The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by achirapong.art, 2022-09-22 05:01:42

รวมคำวินิจฉัย ของประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ

วินิจฉัยว่ำ คดีนี้ไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว




วินิจฉัย ณ วันที่ ๒ เดือน กุมภำพันธ์ พุทธศักรำช ๒๕๖๐



เมทินี ชโลธร

(นำงเมทินี ชโลธร)
ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ




นภกมล หะวำนนท์ สว่ำงแจ้ง - ย่อ

พำชื่น แสงจันทร์เทศ - ตรวจ





















































923

ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ นำงสำว ป. โจทก์

ที่ วยช ๒๕/๒๕๖๒ นำย ญ. จ�ำเลย



โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์กับจ�ำเลยอยู่กินฉันสำมีภริยำโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส

มีบุตรด้วยกัน ๑ คน อำยุ ๒ ปีเศษ จ�ำเลยเป็นผู้แจ้งกำรเกิดและให้ใช้ชื่อสกุลของจ�ำเลย



โจทก์จ�ำเลยและบุตรผู้เยำว์อยู่ร่วมกันท่บ้ำนของจ�ำเลย ต่อมำจ�ำเลยน�ำหญิงอ่นมำอยู่
ร่วมกันกับโจทก์ โจทก์จึงพำบุตรผู้เยำว์ออกจำกบ้ำนของจ�ำเลยไปเช่ำบ้ำนอยู่อำศัย
จ�ำเลยไม่เคยช่วยเหลือและจ่ำยค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตรผู้เยำว์ ขอให้บังคับจ�ำเลยจ่ำย


ค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตรผู้เยำว์จนกว่ำบุตรผู้เยำว์จะบรรลุนิติภำวะ จ�ำเลยให้กำรว่ำ ผู้เยำว์

มิใช่บุตรชอบด้วยกฎหมำยของจ�ำเลย จ�ำเลยไม่จ�ำต้องจ่ำยค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตรให้
แก่โจทก์ กรณีตำมค�ำฟ้องแม้โจทก์กับจ�ำเลยเคยอยู่กินฉันสำมีภริยำและมีบุตรผู้เยำว์

ด้วยกัน แต่เม่อโจทก์กับจ�ำเลยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ผู้เยำว์จึงไม่ใช่บุตรชอบด้วย
กฎหมำยของจ�ำเลย ประกอบกับโจทก์เพียงขอให้บังคับจ�ำเลยช�ำระค่ำอุปกำระเล้ยงด ู


บุตรผู้เยำว์แก่โจทก์เท่ำน้น ไม่ได้ขอให้จ�ำเลยรับผู้เยำว์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมำยด้วย
ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงโจทก์ จ�ำเลย และบุตรผู้เยำว์จึงไม่อยู่ภำยใต้ข้อบังคับแห่งบทบัญญัต ิ

ป.พ.พ. บรรพ ๕ ว่ำด้วยครอบครัว คดีนี้จึงไม่เป็นคดีครอบครัว

_____________________________













โจทก์ฟ้องว่ำ เมอปี ๒๕๕๕ โจทก์กบจำเลยอย่กนฉนสำมภรยำโดยไม่ได้จดทะเบยน

สมรส มีบุตรด้วยกัน ๑ คน คือเด็กหญิง ก. ผู้เยำว์ เกิดวันที่ ๒ กุมภำพันธ์ ๒๕๖๐ อำยุ ๒ ปีเศษ
จ�ำเลยเป็นผู้แจ้งกำรเกิดและให้ใช้ช่อสกุลของจ�ำเลย โจทก์จ�ำเลยและบุตรผู้เยำว์อยู่ร่วมกัน

ที่บ้ำนของจ�ำเลยจนกะทั่งวันที่ ๒๑ กุมภำพันธ์ ๒๕๖๐ จ�ำเลยน�ำหญิงอื่นมำอยู่ร่วมกันกับโจทก์
ท�ำให้โจทก์ได้รับควำมอับอำยขำยหน้ำอย่ำงร้ำยแรงจึงพำบุตรผู้เยำว์ออกจำกบ้ำนของจ�ำเลยไป

เช่ำบ้ำนอยู่อำศัย จ�ำเลยไม่เคยช่วยเหลือและจ่ำยค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตรผู้เยำว์ ขอให้บังคับจ�ำเลย


จ่ำยค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตรผู้เยำว์นับแต่วันท่ศำลมีค�ำพิพำกษำจนกว่ำบุตรผู้เยำว์จะบรรลุนิติภำวะ
จ�ำเลยให้กำรว่ำ โจทก์กับจ�ำเลยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ผู้เยำว์มิใช่บุตรชอบด้วย
กฎหมำยของจ�ำเลยและโจทก์มิได้ขอให้จ�ำเลยรับรองผู้เยำว์เป็นบุตร จ�ำเลยไม่จ�ำต้องจ่ำย

ค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตรให้แก่โจทก์ โจทก์ฟ้องโดยอำศัยมูลหน้ละเมิด จึงไม่ใช่คดีครอบครัว



924








จำเลยไม่ได้ท�ำละเมดต่อโจทก์เน่องจำกขณะท่โจทก์มำพกอำศยอย่กบจ�ำเลย โจทก์ทรำบด ี

อยู่แล้วว่ำจ�ำเลยอยู่กินกับหญิงอ่นซ่งต้งครรภ์และคลอดบุตรในเวลำไล่เล่ยกับโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง














ระหว่ำงพจำรณำ จำเลยยนคำร้องขอให้ประธำนศำลฎกำ (ทถกประธำนศำลอทธรณ์

คดีช�ำนัญพิเศษ) วินิจฉัยว่ำคดีน้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว
หรือไม่ ศำลเยำวชนและครอบครัวจังหวัดสุพรรณบุรีจึงส่งส�ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คด ี
ช�ำนัญพิเศษวินิจฉัย ตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชน
และครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๑
วินิจฉัยว่ำ คดีนี้แม้โจทก์กับจ�ำเลยเคยอยู่กินฉันสำมีภริยำและมีบุตรผู้เยำว์ด้วยกัน แต่
เม่อโจทก์กบจำเลยไม่ได้จดทะเบยนสมรสกน ผ้เยำว์จงไม่ใช่บุตรชอบด้วยกฎหมำยของจำเลย








ประกอบกับสภำพแห่งค�ำฟ้องและค�ำขอบังคับของโจทก์เพียงขอให้บังคับจ�ำเลยช�ำระค่ำอุปกำระ


เล้ยงดูบุตรผู้เยำว์แก่โจทก์เท่ำน้น โจทก์ไม่ได้ขอให้จ�ำเลยรับผู้เยำว์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมำยด้วย
ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงโจทก์ จ�ำเลย และบุตรผู้เยำว์จึงไม่อยู่ภำยใต้ข้อบังคับแห่งบทบัญญัต ิ
ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ บรรพ ๕ ว่ำด้วยครอบครัว คดีนี้จึงไม่เป็นคดีครอบครัวตำม
พระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓
มำตรำ ๑๐ (๓)
วินิจฉัยว่ำ คดีนี้ไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว
วินิจฉัย ณ วันที่ ๑๓ เดือน พฤษภำคม พุทธศักรำช ๒๕๖๒

ไมตรี สุเทพำกุล

(นำยไมตรี สุเทพำกุล)

ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ




เดชวิบุล พนำเศรษฐเนตร - ย่อ
พำชื่น แสงจันทร์เทศ - ตรวจ












925

ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ นำง ช. โจทก์

ที่ วยช ๘๗/๒๕๖๒ นำย ท. จ�ำเลย



แม้โจทก์กับจ�ำเลยเคยอยู่กินฉันสำมีภริยำและมีบุตรผู้เยำว์ด้วยกัน ๒ คน แต่



เม่อโจทก์กับจ�ำเลยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ผู้เยำว์ท้งสองจึงไม่ใช่บุตรโดยชอบด้วย
กฎหมำยของจ�ำเลยประกอบกับตำมค�ำฟ้องของโจทก์ โจทก์เพียงแต่ขอให้บังคับจ�ำเลย


ช�ำระค่ำอุปกำระเล้ยงดูผู้เยำว์ท้งสองตำมสัญญำประนีประนอมยอมควำมโดยไม่ได้

ฟ้องขอให้จ�ำเลยรับผู้เยำว์ท้งสองเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมำยด้วย ควำมสัมพันธ์ระหว่ำง

โจทก์ จ�ำเลย และผู้เยำว์ท้งสองจึงไม่อยู่ภำยใต้บังคับแห่งบทบัญญัต ป.พ.พ. บรรพ ๕

ว่ำด้วยครอบครัว แต่เป็นกำรฟ้องบังคับตำมสัญญำทำงแพ่งท่วไป จึงไม่เป็นคดีครอบครัว

___________________________



โจทก์ฟ้องว่ำ เม่อประมำณปี ๒๕๔๘ โจทก์กับจ�ำเลยอยู่กินด้วยกันฉันสำมีภริยำ

โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสและมีบุตรด้วยกัน ๒ คน คือ เด็กชำย ว. อำยุ ๑๓ ปี ๔ เดือน และ
เด็กชำย ร. อำยุ ๑๐ ปี ๖ เดือน ต่อมำโจทก์กับจ�ำเลยแยกกันอยู่ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภำคม ๒๕๖๒

โจทก์กับจ�ำเลยท�ำสัญญำประนีประนอมยอมควำมกันว่ำ จ�ำเลยจะช�ำค่ำเล้ยงดูบุตรผู้เยำว์คนละ



๓,๐๐๐ บำท ต่อเดือน ให้แก่โจทก์ รวมเป็นเงินเดือนละ ๖,๐๐๐ บำท เร่มต้งแต่วันท่ ๓๐ มิถุนำยน ๒๕๖๒


และทุก ๆ ส้นเดือน จนกว่ำบุตรผู้เยำว์ท้งสองจะบรรลุนิติภำวะ หำกจ�ำเลยผิดนัด โจทก์มีสิทธ ิ

ฟ้องเรียกให้จ�ำเลยรับผิดช�ำระค่ำเล้ยงดูบุตรผู้เยำว์ได้ หลังจำกท�ำสัญญำจ�ำเลยผิดนัดช�ำระ





ค่ำเล้ยงดูบุตรผู้เยำว์ท้งสองต้งแต่วันท่ ๓๐ กรกฎำคม ๒๕๖๒ เป็นต้นมำ ท�ำให้โจทก์ได้รับ


ควำมเสียหำย ขอให้บังคับจ�ำเลยช�ำระค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตรผู้เยำว์ท้งสองคนละ ๓,๐๐๐ บำท
นับแต่วันผิดสัญญำจนกว่ำบุตรผู้เยำว์แต่ละคนจะมีอำยุ ๒๐ ปี บริบูรณ์
ช้นตรวจค�ำฟ้อง ศำลเยำวชนและครอบครัวจังหวัดภูเกตเหนว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคด ี



นี้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัวหรือไม่ จึงส่งส�ำนวนให้ประธำน
ศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัย ตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำ
คดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๑


วินิจฉัยว่ำ คดีน้ แม้โจทก์กับจ�ำเลยเคยอยู่กินฉันสำมีภริยำและมีบุตรผู้เยำว์ด้วยกัน
๒ คน แต่เมื่อโจทก์กับจ�ำเลยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ผู้เยำว์ทั้งสองจึงไม่ใช่บุตรโดยชอบด้วย




926

กฎหมำยของจ�ำเลย ประกอบกับตำมค�ำฟ้องของโจทก์ โจทก์เพียงแต่ขอให้บังคับจ�ำเลยช�ำระ



ค่ำอุปกำระเล้ยงดูผู้เยำว์ท้งสองตำมสัญญำประนีประนอมยอมควำมโดยไม่ได้ฟ้องขอให้จ�ำเลย
รับผู้เยำว์ทั้งสองเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมำยด้วย ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงโจทก์ จ�ำเลย และผู้เยำว์

ท้งสองจึงไม่อยู่ภำยใต้บังคับแห่งบทบัญญัติประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ บรรพ ๕

ว่ำด้วยครอบครัว แต่เป็นกำรฟ้องบังคับตำมสัญญำทำงแพ่งท่วไป จึงไม่เป็นคดีครอบครัวตำม
พระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓
มำตรำ ๑๐ (๓)

วินิจฉัยว่ำ คดีนี้ไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว



วินิจฉัย ณ วันที่ ๖ เดือน ธันวำคม พุทธศักรำช ๒๕๖๒



ไมตรี สุเทพำกุล

(นำยไมตรี สุเทพำกุล)

ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ




เดชวิบุล พนำเศรษฐเนตร - ย่อ
พำชื่น แสงจันทร์เทศ - ตรวจ


































927

ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ นำงสำว ห. โจทก์

ที่ วยช ๘๓/๒๕๖๓ นำย จ. จ�ำเลย



โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์กับจ�ำเลยอยู่กินฉันสำมีภริยำโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส

มีบุตรผู้เยำว์ด้วยกัน ๑ คน ต่อมำโจทก์กับจ�ำเลยเลิกกันโดยทั้งสองไปลงบันทึกรำยงำน


ประจ�ำวันรับแจ้งเป็นหลักฐำนไว้ท่สถำนีต�ำรวจ มีข้อตกลงว่ำ จ�ำเลยยอมชดใช้เงิน

ให้แก่โจทก์ ๒๐,๐๐๐ บำท และช�ำระค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตรเดือนละ ๕,๐๐๐ บำท นับ
แต่เดือนกันยำยน ๒๕๕๖ เป็นต้นไปจนกว่ำบุตรผู้เยำว์จะบรรลุนิติภำวะ แม้โจทก์กับ

จ�ำเลยเคยอยู่กินฉันสำมีภริยำและมีบุตรผู้เยำว์ด้วยกัน แต่เม่อโจทก์กับจ�ำเลยไม่ได้

จดทะเบียนสมรสกัน บุตรผู้เยำว์จึงไม่ใช่บุตรชอบด้วยกฎหมำยของจ�ำเลย ประกอบกับ


สภำพแห่งค�ำฟ้องและค�ำขอบังคับของโจทก์เพียงขอให้บังคับจ�ำเลยช�ำระค่ำอุปกำระเล้ยงด ู
บุตรผู้เยำว์แก่โจทก์ตำมข้อตกลงในบันทึกรำยงำนประจ�ำวันรับแจ้งเป็นหลักฐำนเท่ำนั้น

โจทก์ไม่ได้ขอให้จ�ำเลยรับผู้เยำว์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมำยด้วย ควำมสัมพันธ์ระหว่ำง

โจทก์ จ�ำเลย และบุตรผู้เยำว์จึงไม่อยู่ภำยใต้ข้อบังคับแห่งบทบัญญัติใน ป.พ.พ. บรรพ ๕
ว่ำด้วยครอบครัว คดีนี้จึงไม่เป็นคดีครอบครัว

___________________________




โจทก์ฟ้องว่ำ เมื่อปี ๒๕๕๑ โจทก์กับจ�ำเลยอยู่กินฉันสำมีภริยำโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส

มีบุตรด้วยกัน ๑ คน คือเด็กชำย ศ. ผู้เยำว์ เกิดเมื่อวันที่ ๓ สิงหำคม ๒๕๕๔ อำยุ ๘ ปีเศษ


ต่อมำประมำณปี ๒๕๕๖ จ�ำเลยแอบไปมีหญิงอนในลักษณะชู้สำว โจทก์และจ�ำเลยตกลงกัน

ไม่ได้จึงเลิกกันโดยลงบันทึกรำยงำนประจ�ำวันรับแจ้งเป็นหลักฐำนไว้ท่สถำนีต�ำรวจภูธรเพ
จังหวัดระยอง ลงวันท่ ๑๕ สิงหำคม ๒๕๕๖ มีข้อตกลงว่ำ จ�ำเลยยอมชดใช้เงินให้แก่โจทก์


๒๐,๐๐๐ บำท และช�ำระค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตรเดือนละ ๕,๐๐๐ บำท โดยโอนเงินเข้ำบัญช ี
โจทก์ทุกวันที่ ๑ ของเดือน นับแต่เดือนกันยำยน ๒๕๕๖ เป็นต้นไป โจทก์และบุตรยินยอมออก

จำกบ้ำนจ�ำเลยภำยใน ๗ วัน นับแต่วันท�ำบันทึกประจ�ำวัน โจทก์ได้รับเงิน ๒๐,๐๐๐ บำทแล้ว


โจทก์และบุตรจึงได้ออกไปจำกบ้ำนของจ�ำเลย แต่จ�ำเลยช�ำระค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตรเพียง ๑๖ งวด

เป็นเงิน ๗๙,๐๐๐ บำท หลังจำกน้นผิดนัดไม่ช�ำระค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตรตำมข้อตกลงใน

บันทึกรำยงำนประจ�ำวันรับแจ้งเป็นหลักฐำน ค�ำนวณถึงวันฟ้องจ�ำเลยคงค้ำงช�ำระค่ำอุปกำระ



928



เล้ยงดูบุตร ๓๓๑,๐๐๐ บำท ขอให้บังคับจ�ำเลยช�ำระค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตรผู้เยำว์ ๓๓๑,๐๐๐ บำท







พร้อมดอกเบ้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ตอปี นับแตวันฟ้องไปจนกว่ำจะชำระเสรจแก่โจทก์ กบให้จำเลย
ช�ำระค่ำอุปกำระเลี้ยงดูบุตรเดือนละ ๕,๐๐๐ บำท นับแต่เดือนกันยำยน ๒๕๖๓ เป็นต้นไปจนกว่ำ
เด็กชำย ศ. จะบรรลุนิติภำวะ

จำเลยให้กำรว่ำ จ�ำเลยเคยอยู่กินฉันสำมีภริยำกับโจทก์โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส
และมีบุตรด้วยกัน ๑ คน คือเด็กชำย ศ. โจทก์กับจ�ำเลยสมัครใจแยกทำงกัน โดยท�ำบันทึกเรื่อง
ค่ำอุปกำระเลี้ยงดูบุตรไว้ที่สถำนีต�ำรวจภูธรเพ จังหวัดระยอง ตกลงช�ำระค่ำอุปกำระเลี้ยงดูบุตร

เดือนละ ๕,๐๐๐ บำท เริ่มช�ำระงวดแรกวันที่ ๑ กันยำยน ๒๕๕๖ เป็นต้นไป จ�ำเลยเริ่มผิดนัด

งวดที่ ๑๗ ประจ�ำวันที่ ๑ มกรำคม ๒๕๕๘ แต่โจทก์น�ำคดีมำฟ้องเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหำคม ๒๕๖๓

เป็นเวลำเกินกว่ำ ๕ ปี คดีโจทก์จึงขำดอำยุควำมตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์

มำตรำ ๑๙๓/๓๓ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และเป็นข้อพิพำทเก่ยวด้วยสิทธิและหน้ำท่ของ


บิดำมำรดำกับบุตร จึงอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว ปัจจุบัน
จ�ำเลยตกงำน ไม่มีรำยได้ประจ�ำ จ�ำเลยสำมำรถช�ำระค่ำอุปกำระเล้ยงดูได้เพียง ๓,๐๐๐ บำท

ต่อเดือน ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดระยองเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำ

พิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัวหรือไม่ จึงส่งส�ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญ

พิเศษวินิจฉัย ตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและ

ครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๑

วินิจฉัยว่ำ คดีนี้แม้โจทก์กับจ�ำเลยเคยอยู่กินฉันสำมีภริยำและมีบุตรผู้เยำว์ด้วยกัน แต่





เม่อโจทก์กบจำเลยไม่ได้จดทะเบยนสมรสกน ผ้เยำว์จงไม่ใช่บุตรชอบด้วยกฎหมำยของจำเลย



ประกอบกับสภำพแห่งค�ำฟ้องและค�ำขอบังคับของโจทก์เพียงขอให้บังคับจ�ำเลยช�ำระค่ำอุปกำระ
เล้ยงดูบุตรผู้เยำว์แก่โจทก์ตำมข้อตกลงในบันทึกรำยงำนประจ�ำวันรับแจ้งเป็นหลักฐำนไว้ท ่ ี

สถำนีต�ำรวจภูธรเพ จังหวัดระยอง ลงวันที่ ๑๕ สิงหำคม ๒๕๕๖ เท่ำนั้น โจทก์ไม่ได้ขอให้จ�ำเลย
รับผู้เยำว์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมำยด้วย ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงโจทก์ จ�ำเลย และบุตรผู้เยำว์
จึงไม่อยู่ภำยใต้ข้อบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ บรรพ ๕ ว่ำ


ด้วยครอบครัว คดีน้จึงไม่เป็นคดีครอบครัวตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและ
วิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๐ (๓)
วินิจฉัยว่ำ คดีนี้ไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว




929

วินิจฉัย ณ วันที่ ๑๗ เดือน พฤศจิกำยน พุทธศักรำช ๒๕๖๓




ภำวนำ สุคันธวณิช
(นำงสำวภำวนำ สุคันธวณิช)

ผู้พิพำกษำศำลฎีกำ ช่วยท�ำงำนชั่วครำวในต�ำแหน่ง

ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ




รัสรินทร์ อริยพัชญ์พล - ย่อ
พำชื่น แสงจันทร์เทศ - ตรวจ
























































930

ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ นำงสำว ส. โจทก์

ที่ วยช ๑๑๓/๒๕๖๓ นำง ส. จ�ำเลย





โจทก์ฟ้องว่ำ จ�ำเลยเป็นบุตรของโจทก์ โจทก์ออกเงินซ้อท่ดินพิพำท โจทก์ยอม



ให้ใส่ช่อจ�ำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธ์ในท่ดินร่วมกับโจทก์ โดยจ�ำเลยไม่ได้ออกเงินค่ำซ้อท่ดิน




แต่อย่ำงใด ท่ดินดังกล่ำวจึงเป็นกรรมสิทธ์ของโจทก์แต่ผู้เดียว จ�ำเลยมีช่อในโฉนด





ดงกล่ำวในฐำนะตวแทนโจทก์ และยังไม่มีกำรแบ่งกรรมสทธ์รวมระหว่ำงโจทก์กับจ�ำเลย



โจทก์ประสงค์ใช้ท่ดินเพ่อจัดสรรขำยท่ดิน และบอกกล่ำวให้จ�ำเลยคืนท่ดินดังกล่ำวให้

โจทก์ แต่จ�ำเลยไม่ยอมด�ำเนินกำร คดีน้มีประเด็นข้อพิพำทตำมค�ำฟ้องของโจทก์ท่จะต้อง





วินิจฉัยว่ำ จ�ำเลยมีช่อเป็นเจ้ำของกรรมสิทธ์ท่ดินพิพำทแทนโจทก์หรือไม่ อันเป็นปัญหำ

เก่ยวกับหน้ำท่และควำมรับผิดของตัวแทนต่อตัวกำรท่จะต้องบังคับตำม ป.พ.พ. บรรพ ๓


ลักษณะ ๑๕ แม้โจทก์จะบรรยำยฟ้องว่ำ จ�ำเลยเป็นบุตรของโจทก์ แต่ก็มิได้มีประเด็น
ที่เกี่ยวกับบิดำมำรดำและบุตรซึ่งพิพำทกันตำม ป.พ.พ. บรรพ ๕ คดีนี้จึงไม่เป็นคดีครอบครัว
_______________________________
โจทก์ฟ้องว่ำ จ�ำเลยเป็นบุตรของโจทก์ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกำยน ๒๕๖๒ โจทก์ออก
เงินซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๖๒๗ เลขที่ดิน ๑๐๙ ต�ำบลสำกเหล็ก อ�ำเภอสำกเหล็ก จังหวัดพิจิตร

เน้อท่ ๒ งำน ๖๘ ตำรำงวำ โจทก์ยอมให้ใส่ช่อจ�ำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธ์ในท่ดินร่วมกับโจทก์






โดยจ�ำเลยไม่ได้ออกเงินค่ำซ้อท่ดินแต่อย่ำงใด ท่ดินดังกล่ำวจึงเป็นกรรมสิทธ์ของโจทก์แต่ผู้เดียว







จำเลยมชอในโฉนดดงกล่ำวในฐำนะตวแทนโจทก์ และยงไม่มกำรแบ่งกรรมสทธรวมระหว่ำง






โจทก์กับจ�ำเลย ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ประสงค์ใช้ที่ดินเพื่อจัดสรรขำยที่ดิน และบอกกล่ำวให้จ�ำเลย
คืนที่ดินดังกล่ำวให้โจทก์ แต่จ�ำเลยไม่ยอมด�ำเนินกำรอันเป็นกำรโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพำท
ของโจทก์ท�ำให้โจทก์เสียหำย ขอให้จ�ำเลยจดทะเบยนโอนกรรมสิทธ์ท่ดนพิพำทให้กับโจทก์




หำกจ�ำเลยไม่ด�ำเนินกำรขอให้ถือเอำค�ำพิพำกษำแทนกำรแสดงเจตนำ

ในช้นตรวจค�ำฟ้อง ศำลเยำวชนและครอบครัวจังหวัดพิจิตรเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำ





คดนอย่ในอ�ำนำจพจำรณำพพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครวหรอไม่ จงส่งสำนวนให้





ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัย ตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัว
และวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๑
931



วินิจฉัยว่ำ คดีน้มีประเด็นข้อพิพำทตำมค�ำฟ้องของโจทก์ท่จะต้องวินิจฉัยว่ำ จ�ำเลย

มีช่อเป็นเจ้ำของกรรมสิทธ์ท่ดินพิพำทแทนโจทก์หรือไม่ อันเป็นปัญหำเก่ยวกับหน้ำท่และ





ควำมรับผิดของตัวแทนต่อตัวกำรท่จะต้องบังคับตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์
บรรพ ๓ ลักษณะ ๑๕ แม้โจทก์จะบรรยำยฟ้องว่ำ จ�ำเลยเป็นบุตรของโจทก์ แต่ก็มิได้มีประเด็น
ท่เก่ยวกับบิดำมำรดำและบุตรซ่งพิพำทกันตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ บรรพ ๕




คดีน้จึงไม่เป็นคดีครอบครัวตำม พระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคด ี
เยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๐ (๓)
วินิจฉัยว่ำ คดีนี้ไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว




วินิจฉัย ณ วันที่ ๗ เดือน ธันวำคม พุทธศักรำช ๒๕๖๓



ภำวนำ สุคันธวณิช

(นำงสำวภำวนำ สุคันธวณิช)

ผู้พิพำกษำศำลฎีกำ ช่วยท�ำงำนชั่วครำวในต�ำแหน่ง
ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ




รัสรินทร์ อริยพัชญ์พล - ย่อ

พำชื่น แสงจันทร์เทศ - ตรวจ































932

ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ นำย พ. โจทก์

ที่ วยช ๕๙/๒๕๖๔ นำงสำว พ. จ�ำเลย



โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์กับนำง ธ. เคยเป็นสำมีภริยำชอบด้วยกฎหมำย มีบุตร






ด้วยกน ๒ คน คอ จำเลยและนำย ธ. ต่อมำโจทก์กบนำง ธ. จดทะเบยนหย่ำกน

ในบันทึกท้ำยทะเบียนกำรหย่ำระบุว่ำ โจทก์กับนำง ธ. ยกท่ดินพิพำทให้จ�ำเลยและ


นำย ธ. บุตรท้งสอง หลังจำกน้นนำง ธ. ฟ้องโจทก์เป็นจ�ำเลยต่อศำลเยำวชนและครอบครัว

จังหวัดอุตรดิตถ์ ขอให้บังคับโจทก์ไปจดทะเบียนโอนท่ดินพิพำทให้แก่บุตรท้งสอง



หำกไม่สำมำรถจดทะเบียนโอนท่ดินพิพำทได้ ให้โจทก์ชดใช้เงินแทน นำง ธ. กับโจทก์
ท�ำสัญญำประนีประนอมยอมควำมในคดีดังกล่ำวและศำลมีค�ำพิพำกษำตำมยอม โดย



ในสัญญำประนีประนอมยอมควำมระบุวำ โจทกยินยอมใหบุตรทั้งสองเขำไปครอบครอง

ท�ำประโยชน์ในท่ดินพิพำทตลอดไป โดยโจทก์ท�ำสัญญำประนีประนอมยอมควำม

ในฐำนะกรรมกำรและผู้ถือหุ้นของบริษัท ฤ. ซึ่งเป็นเจ้ำของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพำท ต่อมำ
จ�ำเลยเข้ำไปปลูกต้นไผ่ในที่ดินพิพำท แต่จ�ำเลยไม่ได้ดูแลต้นไผ่ ภำยหลังโจทก์เข้ำไปใน

ท่ดินพิพำทเพ่อดูแลท่ดินและไม้ยืนต้นท่บริษัท ฤ. ปลูกไว้ก่อนหน้ำน โดยไม่ได้ยุ่งเก่ยวกับ







ต้นไผ่ของจ�ำเลยแต่อย่ำงใด หลังจำกน้นโจทก์ทรำบว่ำจ�ำเลยแจ้งควำมร้องทุกข์ต่อ


พนักงำนสอบสวนให้ด�ำเนินคดีแก่โจทก์ในข้อหำบุกรุกท่ดินพิพำทซ่งเป็นกำรใส่ร้ำยโจทก์


เพ่อให้โจทก์ต้องรับโทษทำงอำญำท้งท่โจทก์ไม่ได้กระท�ำควำมผิด อันเป็นกำรประพฤต ิ


เนรคุณต่อโจทก์ โจทก์จึงแจ้งจ�ำเลยเพ่อขอยกเลิกสิทธิในกำรให้จ�ำเลยเข้ำไปครอบครอง
ท�ำประโยชน์ในท่ดินพิพำท และให้จ�ำเลยคืนสิทธิกำรครอบครองท�ำประโยชน์ในท่ดิน


พิพำทแก่โจทก์หรือบริษัท ฤ. แต่จ�ำเลยเพิกเฉย ขอให้จ�ำเลยส่งมอบสิทธิกำรครอบครอง



ท�ำประโยชน์ในทดินพิพำทคืนแก่โจทก์หรือบริษท ฤ. และห้ำมมิให้จ�ำเลยและบรวำร

เข้ำไปยุ่งเกี่ยวหรือครอบครองท�ำประโยชน์ในที่ดินพิพำทอีกต่อไป คดีนี้สภำพแห่งข้อหำ
ของโจทก์และค�ำขอบังคับตำมค�ำฟ้องเป็นเร่องกำรเรียกถอนคืนกำรให้เพรำะเหตุผู้รับ

ประพฤติเนรคุณ อันเป็นกรณีท่จะต้องบังคับตำม ป.พ.พ. บรรพ ๓ มำตรำ ๕๓๑ คดีน ี ้

จึงมิใช่คดีครอบครัว
______________________________






933

โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์กับนำง ธ. เคยเป็นสำมีภริยำชอบด้วยกฎหมำย มีบุตรด้วยกัน ๒ คน

คือ จ�ำเลยและนำย ธ. ต่อมำโจทก์กับนำง ธ. จดทะเบียนหย่ำขำดจำกกัน ในบันทึกท้ำยทะเบียน

กำรหย่ำ ข้อ ๓. ระบุว่ำ ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๒๐๕ ต�ำบลไม้เค็ด อ�ำเภอเมืองปรำจีนบุรี จังหวัด
ปรำจีนบุรี โจทก์กับนำง ธ. ยกให้จ�ำเลยและนำย ธ. บุตรทั้งสอง เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนำยน ๒๕๖๒

นำง ธ. ฟ้องโจทก์เป็นจ�ำเลยต่อศำลเยำวชนและครอบครัวจังหวัดอุตรดิตถ์ ขอให้บังคับโจทก์




ไปจดทะเบียนโอนท่ดินโฉนดเลขท่ ๓๔๒๐๕ ให้แก่บุตรท้งสอง หำกไม่สำมำรถจดทะเบียนโอนท่ดิน

ดังกล่ำวได้ ให้ชดใช้เงินแทนจ�ำนวน ๑๒,๒๒๙,๑๐๐ บำท นำง ธ. กับโจทก์ท�ำสัญญำประนีประนอม
ยอมควำมในคดีดังกล่ำวและศำลเยำวชนและครอบครัวจังหวัดอุตรดิตถ์มีค�ำพิพำกษำตำมยอม
โดยในสัญญำประนีประนอมยอมควำม ข้อ ๓. ระบุว่ำ โจทก์ยินยอมให้บุตรท้งสองเข้ำไปครอบครอง



ท�ำประโยชน์ในท่ดินโฉนดเลขท่ ๓๔๒๐๕ ตลอดไป กำรท่โจทก์ท�ำสัญญำประนีประนอมยอมควำม

ให้จ�ำเลยเข้ำไปครอบครองท�ำประโยชน์ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๒๐๕ นั้น โจทก์กระท�ำไปในฐำนะ


กรรมกำรและผู้ถือหุ้นของบริษัท ฤ. ซ่งเป็นเจ้ำของกรรมสิทธ์ท่ดินโฉนดเลขท่ ๓๔๒๐๕ ต่อมำ


เมื่อประมำณเดือนมิถุนำยน ๒๕๖๓ จ�ำเลยเข้ำไปปลูกต้นไผ่บริเวณบำงส่วนในที่ดินดังกล่ำว แต่



จ�ำเลยไม่ได้ดูแลรดน้ำใส่ปุ๋ยต้นไผ่ท่จ�ำเลยปลูก โดยจ�ำเลยจะเข้ำมำในท่ดินปีละ ๑ ถึง ๒ คร้ง

เท่ำนั้น เมื่อวันที่ ๒๙ มีนำคม ๒๕๖๔ โจทก์เข้ำไปในที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๒๐๕ เพื่อดูแลที่ดิน



และไม้ยืนต้นท่บริษัท ฤ. ปลูกไว้ก่อนหน้ำน้ โดยไม่ได้ยุ่งเก่ยวกับต้นไผ่ของจ�ำเลยแต่อย่ำงใด

หลังจำกน้นโจทก์ได้รับหมำยเรียกจำกพนักงำนสอบสวนสถำนีต�ำรวจภูธรเมืองปรำจีนบุรีเม่อ

วันท่ ๘ เมษำยน ๒๕๖๔ โจทก์จึงทรำบว่ำจ�ำเลยแจ้งควำมร้องทุกข์ต่อพนักงำนสอบสวนให้

ด�ำเนินคดีแก่โจทก์ในข้อหำบุกรุกที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๒๐๕ กำรกระท�ำของจ�ำเลยเป็นกำรใส่ร้ำย



โจทก์เพ่อให้โจทก์ต้องรับโทษทำงอำญำ ท้ง ๆ ท่โจทก์ไม่ได้กระท�ำผิดตำมข้อกล่ำวหำ อันเป็นกำร
ประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ โจทก์จึงแจ้งจ�ำเลยเพ่อขอยกเลิกสิทธิในกำรให้จ�ำเลยเข้ำไปครอบครอง

ท�ำประโยชน์ในท่ดินโฉนดเลขท่ ๓๔๒๐๕ และให้จ�ำเลยคืนสิทธิกำรครอบครองท�ำประโยชน์


ในที่ดินดังกล่ำวแก่โจทก์หรือบริษัท ฤ. แต่จ�ำเลยเพิกเฉย ท�ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย ขอให้
จ�ำเลยส่งมอบสิทธิกำรครอบครองท�ำประโยชน์ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๒๐๕ ต�ำบลไม้เค็ด อ�ำเภอ

เมืองปรำจีนบุรี จังหวัดปรำจีนบุรี คืนแก่โจทก์หรือบริษัท ฤ. และห้ำมมิให้จ�ำเลยและบริวำร

เข้ำไปยุ่งเกี่ยวหรือครอบครองท�ำประโยชน์ในที่ดินดังกล่ำวอีกต่อไป



ในช้นตรวจค�ำฟ้อง ศำลจังหวัดอุตรดิตถ์เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีน้อยู่ในอ�ำนำจ
พิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัวหรือไม่ จึงส่งส�ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์



934

คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัย ตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชน

และครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๑



วินิจฉัยว่ำ คดีน้สภำพแห่งข้อหำของโจทก์และค�ำขอบังคับตำมค�ำฟ้องเป็นเร่องกำร

เรียกถอนคืนกำรให้เพรำะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณ อันเป็นกรณีท่จะต้องบังคับตำมประมวล
กฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ บรรพ ๓ มำตรำ ๕๓๑ คดีนี้จึงมิใช่คดีครอบครัว ตำมพระรำชบัญญัติ

ศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๐ (๓)
วินิจฉัยว่ำ คดีนี้ไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว




วินิจฉัย ณ วันที่ ๒๓ เดือน สิงหำคม พุทธศักรำช ๒๕๖๔




ภำวนำ สุคันธวณิช
(นำงสำวภำวนำ สุคันธวณิช)

ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ




ณิศรำ กิจคณำศิร - ย่อ

พำชื่น แสงจันทร์เทศ - ตรวจ




































935

ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ นำย อ. โจทก์

ที่ วยช ๖๗/๒๕๖๐ นำงสำว พ. จ�ำเลย






คดีน้มีประเด็นข้อพิพำทส�ำคัญท่ต้องพิจำรณำว่ำ แหวนเพชรกับจ้พลอย

ตำมค�ำฟ้องเป็นทรัพย์สินท่โจทก์ส่งมอบให้แก่จ�ำเลยเป็นของหม้นหรือไม่ และจ�ำเลย









ปฏบัตผิดสัญญำหม้นจึงต้องคนของหม้นให้แก่โจทก์หรือไม่ ซ่งเป็นกรณท่จะต้องบังคับ
ตำม ป.พ.พ. บรรพ ๕ มำตรำ ๑๔๓๗ วรรคหน่ง และ ๑๔๓๙ ประเด็นข้อพิพำทส่วนน ้ ี

จึงเป็นคดีครอบครัว

ส่วนท่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจ�ำเลยช�ำระเงิน ๔๓๕,๑๑๔ บำท แม้ไม่เป็น

คดีครอบครัวเพรำะไม่มีปัญหำต้องวินิจฉัยถึงสถำนะกำรหม้นระหว่ำงโจทก์กับจ�ำเลย

แต่มูลควำมแห่งคดีส่วนน้เก่ยวข้องกับส่วนท่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจ�ำเลยคืนของหม้น





โจทก์จึงมีสิทธิเสนอค�ำฟ้องต่อศำลท่มีอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำศำลใดศำลหน่งเป็น
คดีเดียวกันได้ตำม ป.วิ.พ. มำตรำ ๕ และเน่องจำก พ.ร.บ. ศำลเยำวชนและครอบครัว

และวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๒ บัญญัติว่ำ ภำยใต้


บังคับบทบัญญัติแห่งพระรำชบัญญัติน้ว่ำด้วยกำรโอนคดีในท้องท่ท่ศำลเยำวชนและ


ครอบครัวเปิดท�ำกำรแล้ว ห้ำมมิให้ศำลช้นต้นอ่นใดในท้องท่น้นรับคดีท่อยู่ในอ�ำนำจศำล




เยำวชนและครอบครัวไว้พิจำรณำพิพำกษำ คดีน้จึงอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ

ศำลเยำวชนและครอบครัว
_________________________

โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์กับจ�ำเลยตกลงหม้นกันโดยโจทก์ส่งมอบแหวนเพชร ๒ วง

จี้พลอย ๑ อัน และแหวนทองค�ำ ๑ วง ให้แก่จ�ำเลยเป็นของหมั้น นอกจำกนี้ในปี ๒๕๕๗ จ�ำเลย
ขอให้โจทก์ช่วยเหลือเรื่องกำรเงินโดยมีข้อตกลงว่ำ เมื่อโจทก์หำเงินให้จ�ำเลยได้แล้วจ�ำเลยจะคืน

เงินให้แก่โจทก์โดยเร็ว จ�ำเลยแนะน�ำให้โจทก์น�ำรถยนต์ของโจทก์ไปเข้ำไฟแนนซ์ แล้วน�ำเงิน







มำมอบให้แก่จำเลย โจทก์นำรถยนต์ของโจทก์ไปเข้ำไฟแนนซ์ของบรษท อ. จำกด ได้เงน

มำ ๒๐๑,๐๙๘ บำท แล้วโจทก์ท�ำสัญญำเช่ำซ้อรถยนต์ดังกล่ำวคืน โจทก์โอนเงิน ๒๐๑,๐๙๘

บำท ท่ได้มำน้นเข้ำบัญชีเงินฝำกของจ�ำเลย ต่อมำระหว่ำงเดือนธันวำคม ๒๕๕๗ ถึงเดือน



เมษำยน ๒๕๕๙ โจทก์ยังโอนเงินเข้ำบัญชีเงินฝำกของจ�ำเลยอีก ๑๐ คร้ง รวมเป็นเงิน
936



๑๖๕,๔๐๐ บำท โจทก์ผ่อนช�ำระค่ำเช่ำซ้อรถยนต์ให้แก่บริษัทผู้ให้เช่ำซ้อไปแล้ว ๒๖๙,๗๑๔ บำท



เม่อรวมกับเงินท่โจทก์โอนเข้ำบัญชีเงินฝำกของจ�ำเลยอีก ๑๐ คร้ง ดังกล่ำวแล้ว จ�ำเลยจะต้อง

ช�ำระเงินคืนให้แก่โจทก์ ๔๓๕,๑๑๔ บำท นอกจำกน้จ�ำเลยยังปฏิบัติผิดสัญญำหม้น จ�ำเลยจึงต้อง

คืนของหมั้นให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจ�ำเลยช�ำระเงิน ๔๓๕,๑๑๔ บำท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย

อัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันถัดจำกวันฟ้องจนกว่ำจะช�ำระเสร็จ กับให้จ�ำเลยคืนของหม้น
ให้แก่โจทก์ หำกคืนไม่ได้ให้ใช้รำคำแทน ๖๐,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
นับแต่วันถัดจำกวันฟ้องจนกว่ำจะช�ำระเสร็จ

จ�ำเลยให้กำรว่ำ เดิมโจทก์กู้ยืมเงินจำกจ�ำเลย ๒๖๐,๐๐๐ บำท ต่อมำโจทก์น�ำรถยนต์

ของโจทก์ไปเข้ำไฟแนนซ์เพ่อน�ำเงินมำช�ำระหน้ให้แก่จ�ำเลย ส่วนท่โจทก์โอนเงินเข้ำบัญชีเงินฝำก



ของจ�ำเลย ๑๐ ครั้ง ระหว่ำงเดือนธันวำคม ๒๕๕๗ ถึงเดือนเมษำยน ๒๕๕๙ ก็เป็นกำรกระท�ำ




เพ่อช�ำระหน้ดังกล่ำวบำงส่วนและเป็นกำรยกให้แก่จ�ำเลยโดยเสน่หำบำงส่วน ของหม้นท่โจทก์
ส่งมอบให้แก่จ�ำเลยได้แก่เงิน ๔๐๐,๐๐๐ บำท กับแหวนทองค�ำ ๑ วง ส่วนแหวนเพชร ๒ วง
กับจี้พลอย ๑ อัน ตำมค�ำฟ้องมิใช่ของหมั้น จ�ำเลยมิได้ปฏิบัติผิดสัญญำหมั้น แต่โจทก์เป็นฝ่ำย
ขอถอนหม้นและขอของหม้นคืนเพ่อจะน�ำไปช�ำระหน้ จ�ำเลยคืนเงินสดท่เป็นของหม้นให้แก่โจทก์






ไปเต็มจ�ำนวนแล้ว สิทธิเรียกร้องของโจทก์กรณีขอให้บังคับจ�ำเลยคืนของหม้นขำดอำยุควำม

และค�ำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดชลบุรีเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำ
พิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัวหรือไม่ จึงส่งส�ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญ

พิเศษวินิจฉัย ตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและ
ครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๑




วินิจฉัยว่ำ คดีน้มีประเด็นข้อพิพำทส�ำคัญท่ต้องพิจำรณำว่ำ แหวนเพชรกับจ้พลอย

ตำมค�ำฟ้องเป็นทรัพย์สินท่โจทก์ส่งมอบให้แก่จ�ำเลยเป็นของหม้นหรือไม่ และจ�ำเลยปฏิบัต ิ







ผดสญญำหมนจงต้องคนของหม้นให้แก่โจทก์หรอไม่ ซงเป็นกรณทจะต้องบงคบตำมประมวล









กฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ บรรพ ๕ มำตรำ ๑๔๓๗ วรรคหนึ่ง และ ๑๔๓๙ ประเด็นข้อพิพำท

ส่วนนจงเป็นคดีครอบครวตำมพระรำชบญญตศำลเยำวชนและครอบครวและวิธพจำรณำ










คดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๐ (๓) ส่วนท่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจ�ำเลย
ช�ำระเงิน ๔๓๕,๑๑๔ บำท แม้ไม่เป็นคดีครอบครัวเพรำะไม่มีปัญหำต้องวินิจฉัยถึงสถำนะกำรหม้น




ระหว่ำงโจทก์กับจ�ำเลย แต่มูลควำมแห่งคดีส่วนน้เก่ยวข้องกับส่วนท่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจ�ำเลย
937



คืนของหม้น โจทก์จึงมีสิทธิเสนอค�ำฟ้องต่อศำลท่มีอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำศำลใดศำลหน่ง


เป็นคดีเดียวกันได้ตำมประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมแพ่ง มำตรำ ๕ และเน่องจำก
พระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓
มำตรำ ๑๒ บัญญัติว่ำ ภำยใต้บังคับบทบัญญัติแห่งพระรำชบัญญัตินี้ว่ำด้วยกำรโอนคดีในท้องที่





ท่ศำลเยำวชนและครอบครัวเปิดท�ำกำรแล้ว ห้ำมมิให้ศำลช้นต้นอ่นใดในท้องท่น้นรับคดีท่อยู่ใน







อ�ำนำจศำลเยำวชนและครอบครัวไว้พจำรณำพพำกษำ คดีนจึงอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพพำกษำ
ของศำลเยำวชนและครอบครัว
วินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว
วินิจฉัย ณ วันที่ ๒๐ เดือน กรกฎำคม พุทธศักรำช ๒๕๖๐


เมทินี ชโลธร

(นำงเมทินี ชโลธร)

ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ




นภกมล หะวำนนท์ สว่ำงแจ้ง - ย่อ
พำชื่น แสงจันทร์เทศ - ตรวจ


































938

ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ นำย ย. โจทก์

ที่ วยช ๙๒/๒๕๖๔ นำงสำว น. จ�ำเลย





คดีน้ข้ออ้ำงท่อำศัยเป็นหลักแห่งข้อหำและค�ำขอบังคับของโจทก์เป็นกรณีท่โจทก์

ฟ้องขอแบ่งสินสมรสจำกจ�ำเลยเพรำะเหตุที่โจทก์กับจ�ำเลยหย่ำกัน อันเป็นกรณีที่ต้องบังคับ

ตำม ป.พ.พ. บรรพ ๕ มำตรำ ๑๕๓๒ และ ๑๕๓๓ ซ่งเป็นคดีครอบครัว ส่วนท่โจทก์ฟ้อง



เก่ยวกับกำรขอแบ่งห้องชุด แม้มีช่อน้องของจ�ำเลยซ่งเป็นบุคคลภำยนอกเป็นเจ้ำของ

แต่โจทก์ก็กล่ำวอ้ำงว่ำห้องชุดดังกล่ำวเป็นสินสมรสซ่งใส่ช่อน้องของจ�ำเลยไว้แทนโจทก์





กับจ�ำเลยเท่ำน้น คดีในส่วนน้จึงเป็นคดีฟ้องขอแบ่งสินสมรสซ่งเป็นคดีครอบครัวเช่นกัน


ส่วนท่โจทก์ขอให้มีค�ำส่งเลิกห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด ร. และห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด ค. กับต้งเจ้ำพนักงำน

บังคับคดีเป็นผู้ช�ำระบัญชีของห้ำงดังกล่ำวและให้แบ่งทรัพย์สินท่เหลือจำกกำรช�ำระบัญช ี





ของห้ำงดังกล่ำวให้แก่โจทก์ก่งหน่งแม้เป็นกรณีท่ต้องบังคับตำม ป.พ.พ. บรรพ ๓ ซ่งมิใช่


คดีครอบครัว แต่มูลควำมแห่งคดส่วนน้เกยวข้องกับส่วนทโจทก์ฟ้องขอให้บงคับจำเลย







แบ่งสินสมรส โจทก์จึงมีสิทธิเสนอค�ำฟ้องต่อศำลท่มีอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำศำลใดศำลหน่ง

เป็นคดีเดียวกันได้ตำม ป.วิ.พ. มำตรำ ๕ และเนื่องจำก พ.ร.บ. ศำลเยำวชนและครอบครัว
และวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๒ บัญญัติว่ำ “ภำยใต้บังคับ



บทบัญญัติแห่งพระรำชบัญญัติน้ว่ำด้วยกำรโอนคดีในท้องท่ท่ศำลเยำวชนและครอบครัว

เปิดท�ำกำรแล้ว ห้ำมมิให้ศำลช้นต้นอ่นใดในท้องท่น้นรับคดีท่อยู่ในอ�ำนำจศำลเยำวชน




และครอบครัวไว้พิจำรณำพิพำกษำ” คดีน้จึงอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชน

และครอบครัว
_______________________
โจทก์ฟ้องและแก้ไขค�ำฟ้องว่ำ โจทก์กับจ�ำเลยจดทะเบียนสมรสกันเม่อวันท่ ๕


สิงหำคม ๒๕๒๕ ไม่มีบุตรด้วยกัน ต่อมำปี ๒๕๒๗ โจทก์กับจ�ำเลยน�ำเงินที่ท�ำมำค้ำขำยร่วมกัน
ในชื่อร้ำน พ. มำเปิดร้ำนใหม่โดยจดทะเบียนนิติบุคคลใช้ชื่อว่ำห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด พ. หลังจำกนั้น

ปี ๒๕๓๕ โจทก์กับจ�ำเลยน�ำเงินท่ได้จำกกำรท�ำมำค้ำขำยของห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด พ. มำเปิด
กิจกำรใหม่ในชื่อห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด ร. โดยน�ำเงินสินสมรส ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บำท มำลงหุ้นในห้ำง

ดังกล่ำว และในปี ๒๕๓๕ โจทก์กับจ�ำเลยจดทะเบียนต้งห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด ค. เพ่อจ�ำหน่ำย


939









สนค้ำของบรษท ส. โดยนำเงนสนสมรส ๔,๐๐๐,๐๐๐ บำท มำลงห้นในห้ำงดงกล่ำว ต่อมำ


วันท่ ๑๓ กันยำยน ๒๕๖๑ โจทก์ฟ้องจ�ำเลยต่อศำลเยำวชนและครอบครัวจังหวัดแพร่เพ่อ


ขอแยกสินสมรส เป็นคดีแพ่งหมำยเลขด�ำท่ พ ๕๘/๒๕๖๑ ซ่งศำลเยำวชนและครอบครัว
จังหวัดแพร่พิพำกษำยกฟ้องและยกฟ้องแย้งเมื่อวันที่ ๒๖ มีนำคม ๒๕๖๒ คดีถึงที่สุดแล้ว เมื่อ
วันที่ ๕ พฤศจิกำยน ๒๕๖๑ จ�ำเลยฟ้องหย่ำโจทก์ต่อศำลเยำวชนและครอบครัวจังหวัดแพร่ และ

วันท่ ๖ พฤศจิกำยน ๒๕๖๑ โจทก์กับจำเลยท�ำสัญญำประนีประนอมยอมควำมตกลงหย่ำกน


ศำลเยำวชนและครอบครัวจังหวัดแพร่พิพำกษำให้คดีเสร็จเด็ดขำดไปตำมยอม ในระหว่ำง













สมรสโจทกกบจำเลยมทรพยสนทเปนสนสมรสประกอบดวยทดนพรอมสงปลกสรำง ๔๙ แปลง








แต่จ�ำเลยขำยท่ดินและส่งปลูกสร้ำงโดยโจทก์ไม่ได้ให้ควำมยินยอม ๔ แปลง ห้องชุด ๑ ห้อง เงินค่ำหุ้น

ในห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด ร. เงินค่ำหุ้นในห้ำหุ้นส่วนจ�ำกัด ค. เคร่องเพชร ทอง เคร่องประดับและทรัพย์สิน



มีค่ำท่เก็บรักษำไว้ในตู้เซฟ เงินฝำกในบัญชีธนำคำร ๓๖ บัญชี สลำกออมทรัพย์ หุ้นใน
ตลำดหลักทรัพย์ หุ้นในนิติบุคคลต่ำง ๆ ทรัพย์สินในห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด ร. ทรัพย์สินในห้ำงหุ้น
ส่วนจ�ำกัด ค. พระพุทธรูปเชียงแสน งำช้ำง ๓ คู่ ขันโตกไม้สัก ๑๐ ใบ ชุดรับแขกไม้สัก ๓ ชุด เงิน


ค่ำเสียหำยจำกกำรท่จ�ำเลยขำยท่ดินสนสมรสไปโดยโจทก์ไม่ได้ให้ควำมยินยอม เงินสินสมรสท ่ ี


จ�ำเลยถอนออกจำกบัญชีธนำคำรต่ำง ๆ ในระหว่ำงสมรสก่อนวันท่โจทก์ฟ้องขอแยกสินสมรสและ
ก่อนวันฟ้องหย่ำ เงินฝำกในบัญชีธนำคำรชื่อบัญชีของจ�ำเลย ๕ บัญชี ที่จ�ำเลยเปิดบัญชีภำยหลัง


จำกศำลพิพำกษำตำมยอมให้หย่ำกัน เงินสนสมรสท่จ�ำเลยน�ำไปช�ำระหน้เงินก้และไถ่ถอนจ�ำนอง






ทดน รถยนต ๑๘ คน สทธกำรเชำทดนพรอมสงปลูกสรำง เงนรำยไดจำกค่ำบรกำรรบจอดรถยนต ์















เงินค่ำเช่ำห้องแถวและอำคำรพำณิชย์ และในระหว่ำงสมรสโจทก์ไว้วำงใจให้จ�ำเลยบริหำรจัดกำร
ทำงด้ำนกำรเงิน แต่จ�ำเลยได้ยักย้ำย จ�ำหน่ำย จ่ำยโอนเงินสินสมรสในบัญชีต่ำง ๆ รวมทั้งเงิน

สินสมรสท่ฝำกไว้ในบัญชีห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด ร. และห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด ค. โจทก์จึงได้ฟ้องจ�ำเลยเป็น
คดีอำญำต่อศำลจังหวัดแพร่ในควำมผิดฐำนปลอมเอกสำรสิทธิ ใช้เอกสำรสิทธิปลอม และลักทรัพย์







พฤตกำรณ์ของจ�ำเลยแสดงถงควำมไม่ซอสัตย์ต่อโจทก์ กำรให้จำเลยยังคงเอำเงนสนสมรส
ซ่งเป็นกรรมสิทธ์รวมของโจทก์ร่วมอยู่ด้วยให้จ�ำเลยเป็นผู้จัดกำรในนำมห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด ร.


และห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด ค. ต่อไปจะเกิดควำมเสียหำย โจทก์ไม่ประสงค์จะเป็นหุ้นส่วนกับจ�ำเลย



อีกต่อไป ขอให้บังคับจ�ำเลยแบ่งสินสมรสส่วนท่เป็นท่ดินพร้อมส่งปลูกสร้ำง ห้องชุด เงินค่ำหุ้น











เครองเพชร ทอง เคร่องประดบและทรพย์สนมค่ำทเกบรกษำไว้ในต้เซฟ เงนฝำกในบญชธนำคำร




สลำกออมทรัพย์ หุ้นในตลำดหลักทรัพย์ หุ้นในนิติบุคคล พระพุทธรูปเชียงแสน งำช้ำง ขันโตก
940

ไม้สัก และชุดรับแขกไม้สักให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง กับให้มีค�ำสั่งเลิกห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด ร. และห้ำงหุ้นส่วน


จ�ำกัด ค. กับต้งเจ้ำพนักงำนบังคับคดีเป็นผู้ช�ำระบัญชีของห้ำงดังกล่ำวและให้แบ่งทรัพย์สิน
ที่เหลือจำกกำรช�ำระบัญชีของห้ำงดังกล่ำวให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง และให้จ�ำเลยชดใช้เงินค่ำเสียหำย
จำกกำรที่จ�ำเลยขำยที่ดินสินสมรสแก่โจทก์กึ่งหนึ่ง กับให้จ�ำเลยชดใช้เงินกึ่งหนึ่งของจ�ำนวนเงิน


ท่จ�ำเลยเบิกถอนไปจำกบัญชีธนำคำรในระหว่ำงสมรสก่อนวันฟ้องขอแยกสินสมรสและก่อน


วันฟ้องหย่ำ พร้อมดอกเบ้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ให้แก่โจทก์ ให้คืนเงินสินสมรสท่จ�ำเลย




น�ำไปช�ำระหน้เงินกู้และไถ่ถอนจ�ำนองท่ดินแก่โจทก์ก่งหน่ง ให้จำเลยช�ำระเงินรำคำรถยนต์



๑๘ คันก่งหน่งให้แก่โจทก์ หำกไม่ช�ำระให้น�ำรถยนต์ทุกคันประมูลขำยระหว่ำงโจทก์กับจ�ำเลย


หำกขำยไม่ได้น�ำออกขำยทอดตลำดน�ำเงินมำแบ่งกัน และให้จ�ำเลยแบ่งเงินค่ำเช่ำท่ดินท่ได้รับ
ในแต่ละเดือน สิทธิกำรเช่ำท่ดิน เงินค่ำบริกำรจอดรถยนต์ และเงินค่ำเช่ำห้องแถวและอำคำร

พำณิชย์ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง

จ�ำเลยให้กำรว่ำ จ�ำเลยน�ำทรัพย์สินส่วนตัวของจ�ำเลยบำงส่วนมำกกว่ำท่โจทก์กล่ำว
ในฟ้องมำร่วมลงทุนในกิจกำรกับโจทก์ โดยจ�ำเลยเป็นผู้ดูแลบริหำรกิจกำร เมื่อมีผลก�ำไรจ�ำเลย
จะแบ่งปันส่วนก�ำไรน�ำมำใช้ต่อยอดบริหำรกิจกำรรวมถึงลงทุนซ้ออสังหำริมทรัพย์และ

สังหำริมทรัพย์ หำกน�ำเงินสินสมรสไปซ้อจ�ำเลยจะใส่ช่อโจทก์กับจ�ำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธ์ร่วมกัน



หำกใช้เงินส่วนตัวซื้อจ�ำเลยจะใส่ชื่อของตนเองฝ่ำยเดียวเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ กำรบริหำรงำนและ
กำรแบ่งรำยได้หรือผลประโยชน์ระหว่ำงโจทก์กับจ�ำเลยมีสัดส่วนและควำมชัดเจนมำโดยตลอด

ซ่งโจทก์ไม่เคยโต้แย้งว่ำกำรบริหำรงำนและบริหำรทรัพย์สินของจ�ำเลยไม่ถูกต้องแต่ประกำรใด











ทรพย์สินใดเปนสนสมรสระหว่ำงโจทกกบจำเลย หรอทรพย์สินใดเป็นสนสวนตวของจำเลยหรือ



ไม่ต้องฟังเป็นยุติตำมค�ำพิพำกษำในคดีแพ่งหมำยเลขด�ำท่ พ ๕๘/๒๕๖๑ ซ่งคดีถึงท่สุดแล้ว


ในระหว่ำงสมรสโจทก์กับจ�ำเลยมีทรัพย์สินท่เป็นสินสมรส คือ ท่ดินตำมฟ้องข้อ ๑.๑ ถึง


ข้อ ๑.๔๒ และข้อ ๑.๔๔ ขันโตกไม้สัก และชุดรับแขกไม้สัก ส่วนที่ดินตำมฟ้องข้อ ๑.๔๓ และ
ข้อ ๑.๔๕ สลำกออมทรัพย์ หุ้นในตลำดหลักทรัพย์ หุ้นในนิติบุคคล เคร่องประดับเพชรและ

ทอง พระพุทธรูปเชียงแสน งำช้ำง และที่ดินที่จ�ำเลยขำยไป ๔ แปลง เป็นสินส่วนตัวของจ�ำเลย
ห้องชุดเป็นของพันเอก ช. น้องชำยของจ�ำเลย จ�ำเลยใช้เงินสินส่วนตัวของจ�ำเลยลงหุ้น
ในห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด ร. และห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด ค. ผลประโยชน์ต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับห้ำงหุ้นส่วน
ดังกล่ำวจึงมิใช่สินสมรส เงินฝำกในบัญชีธนำคำร ๓๖ บัญชี มีที่เป็นทรัพย์สินของโจทก์ ๖ บัญชี
เป็นทรัพย์สินของห้ำงหุ้นส่วน ๒๔ บัญชี และเป็นสินส่วนตัวของจ�ำเลย ๖ บัญชี ทรัพย์สินของ

941



ห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด ร. และห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด ค. โจทก์ต้องไปเรียกร้องเก่ยวกับเร่องกำรจัดกำร




ทรัพย์สนของห้ำงหุ้นส่วนต่ำงหำก ท่โจทก์ฟ้องอ้ำงว่ำจำเลยถอนเงนสินสมรสออกจำกบัญช ี



ธนำคำรต่ำง ๆ จ�ำนวนมำกก่อนและหลังจำกท่โจทก์ฟ้องขอแยกสินสมรสน้น เงินท่จ�ำเลยถอน
ไม่ใช่เงินสินสมรส เนื่องจำกเป็นเงินในบัญชีที่ใช้หมุนเวียนในธุรกิจของห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด ร. หรือ
ห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด ค. และเป็นบัญชีสินส่วนตัวของจ�ำเลย จ�ำเลยจึงไม่ต้องคืนให้แก่โจทก์ เงินฝำก

ในบัญชีธนำคำร ๕ บัญชี ท่จ�ำเลยเปิดหลังจำกท่ฟ้องหย่ำไม่ใช่เงินสินสมรส รถยนต์ ๑๘ คัน


ไม่ใช่สินสมรส โจทก์ไม่อำจเรียกให้จ�ำเลยแบ่งกรรมสิทธ์ได้และไม่สำมำรถเรียกให้จ�ำเลยช�ำระ
เงินแทนได้ เงินที่จ�ำเลยน�ำไปช�ำระหนี้เงินกู้และไถ่ถอนจ�ำนองที่ดินเป็นเงินสินส่วนตัวของจ�ำเลย


สิทธิกำรเช่ำและให้เช่ำช่วงอำคำรเป็นสินส่วนตัวของจ�ำเลย และสิทธิกำรเช่ำท่ดินโฉนดเลขท ่ ี
๒๑๙๙ ต�ำบลในเวียง อ�ำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ ไม่ใช่สินสมรส ขอให้ยกฟ้อง



ระหว่ำงพิจำรณำ โจทก์ย่นค�ำร้องว่ำ คดีมีปัญหำว่ำคดีส่วนท่เก่ยวกับห้องชุดซ่งม ี














ชอน้องของจำเลยเป็นเจ้ำของแทนตำมคำขอท้ำยฟ้องข้อท ๓ ส่วนทเกยวกบกำรขอให้เลก
ห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด ร. ตำมค�ำขอท้ำยฟ้องข้อที่ ๑๑ และเกี่ยวกับกำรขอให้เลิกห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด ค.



ตำมคำขอท้ำยฟ้องข้อท ๑๒ อย่ในอำนำจพจำรณำพพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครวหรอไม่






ขอให้ส่งส�ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัยเร่องอ�ำนำจศำล ศำลเยำวชน

และครอบครัวจงหวัดแพร่จงส่งส�ำนวนให้ประธำนศำลอทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัย










ตำมพระรำชบญญตศำลเยำวชนและครอบครวและวธพจำรณำคดเยำวชนและครอบครว



พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๑


วินิจฉัยว่ำ คดีน้ข้ออ้ำงท่อำศัยเป็นหลักแห่งข้อหำและค�ำขอบังคับของโจทก์เป็นกรณ ี


ท่โจทก์ฟ้องขอแบ่งสินสมรสจำกจ�ำเลยเพรำะเหตุท่โจทก์กับจ�ำเลยหย่ำกัน อันเป็นกรณีท่ต้อง


บังคับตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ บรรพ ๕ มำตรำ ๑๕๓๒ และ ๑๕๓๓ ซ่งเป็น
คดีครอบครัวตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและ
ครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๐ (๓) ส่วนท่โจทก์ฟ้องเก่ยวกับกำรขอแบ่งห้องชุด แม้ม ี


ชื่อน้องของจ�ำเลยซึ่งเป็นบุคคลภำยนอกเป็นเจ้ำของ แต่โจทก์ก็กล่ำวอ้ำงว่ำห้องชุดดังกล่ำวเป็น

สินสมรสซ่งใส่ช่อน้องของจ�ำเลยไว้แทนโจทก์กับจ�ำเลยเท่ำน้น คดีในส่วนน้จึงเป็นคดีฟ้องขอแบ่ง




สินสมรสซ่งเป็นคดีครอบครัวเช่นกัน ส่วนท่โจทก์ขอให้มีค�ำส่งเลิกห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด ร. และห้ำงหุ้นส่วน






จ�ำกัด ค. กบตงเจ้ำพนักงำนบังคบคดีเป็นผู้ช�ำระบัญชีของห้ำงดังกล่ำวและให้แบ่งทรพย์สินท ี ่



เหลือจำกกำรช�ำระบัญชีของห้ำงดังกล่ำวให้แก่โจทก์ก่งหน่ง แม้เป็นกรณีท่ต้องบังคับตำมประมวล

942

กฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ บรรพ ๓ ซึ่งมิใช่คดีครอบครัว แต่มูลควำมแห่งคดีส่วนนี้เกี่ยวข้องกับ



ส่วนท่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจ�ำเลยแบ่งสินสมรส โจทก์จึงมีสิทธิเสนอค�ำฟ้องต่อศำลท่มีอ�ำนำจ

พิจำรณำพิพำกษำศำลใดศำลหน่งเป็นคดีเดียวกันได้ตำมประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมแพ่ง
มำตรำ ๕ และเน่องจำกพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและ

ครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๒ บัญญัติว่ำ “ภำยใต้บังคับบทบัญญัติแห่งพระรำชบัญญัตินี้



ว่ำด้วยกำรโอนคดีในท้องท่ท่ศำลเยำวชนและครอบครัวเปิดท�ำกำรแล้ว ห้ำมมิให้ศำลช้นต้น




อ่นใดในท้องท่น้นรับคดีท่อยู่ในอ�ำนำจศำลเยำวชนและครอบครัวไว้พิจำรณำพิพำกษำ” คดีน ้ ี

จึงอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว
วินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว


วินิจฉัย ณ วันที่ ๑๓ เดือน ธันวำคม พุทธศักรำช ๒๕๖๔



อโนชำ ชีวิตโสภณ

(นำงอโนชำ ชีวิตโสภณ)
อธิบดีผู้พิพำกษำศำลเยำวชนและครอบครัวกลำง

ช่วยท�ำงำนชั่วครำวในต�ำแหน่งประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ




ณิศรำ กิจคณำศิริ - ย่อ

พำชื่น แสงจันทร์เทศ - ตรวจ




























943

ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ นำง อ. โจทก์

ที่ วยช ๑๑๙/๒๕๖๔ นำย ด. กับพวก จ�ำเลย





โจทก์ซ่งเป็นภริยำชอบด้วยกฎหมำยของจ�ำเลยท ๑ ฟ้องเพิกถอนกำรจดทะเบียน







โอนให้ท่ดินพร้อมบ้ำนพิพำทระหว่ำงจ�ำเลยท ๑ และท ๓ และกำรจดทะเบียนโอนขำยท่ดิน
พร้อมบ้ำนพิพำทดังกล่ำวระหว่ำงจ�ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ กับจ�ำเลยที่ ๔ อ้ำงว่ำ ที่ดินพร้อม

บ้ำนพิพำทเป็นสินสมรสระหว่ำงโจทก์กับจ�ำเลยท ๑ จ�ำเลยท ๑ ท�ำนิติกรรมให้ท่ดินพร้อม












บ้ำนพพำทในส่วนของจำเลยท ๑ แก่จำเลยท ๓ โดยเสน่หำ ไม่มค่ำตอบแทนและไม่ได้
รับควำมยินยอมจำกโจทก์ ส่วนจ�ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้กำรว่ำ ที่ดินพร้อมบ้ำนพิพำทไม่ใช่
สินสมรสระหว่ำงโจทก์กับจ�ำเลยที่ ๑ และจ�ำเลยที่ ๔ ให้กำรว่ำซื้อที่ดินพร้อมบ้ำนพิพำท


จำกจ�ำเลยท ๒ และท ๓ โดยสุจริตและเสียค่ำตอบแทน กรณีจึงมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ



ท่ดินพร้อมบ้ำนพิพำทเป็นสินสมรสระหว่ำงโจทก์กับจ�ำเลยท ๑ หรือไม่ ซ่งจะมีผลไปถึง














อำนำจในกำรจดกำรทรพย์สนดงกล่ำว อนเป็นคดเกยวกบทรพย์สนระหว่ำงสำมภรยำ



ซึ่งต้องบังคับตำม ป.พ.พ. บรรพ ๕ มำตรำ ๑๔๗๐ ถึง ๑๔๗๔ มำตรำ ๑๔๘๐ จึงเป็นคดี


ครอบครัว ส่วนค�ำฟ้องของโจทก์ท่ขอให้บังคับจ�ำเลยท ๔ ด้วยน้น แม้จ�ำเลยท ๔ ไม่ม ี




นิติสัมพันธ์ในทำงครอบครัวเก่ยวข้องกับโจทก์ก็ตำม แต่กรณีเป็นกำรขอให้เพิกถอน





กำรจดทะเบียนโอนกรรมสิทธ์ท่ดินพร้อมบ้ำนพิพำทระหว่ำงจ�ำเลยท ๒ ท ๓ กับ






จ�ำเลยท ๔ ซ่งเป็นนิติกรรมเก่ยวกับทรัพย์แปลงเดียวกัน ถือได้ว่ำมูลควำมแห่งคด ี

เก่ยวข้องกันตำม ป.วิ.พ. มำตรำ ๕ ประกอบ พ.ร.บ. ศำลเยำวชนและครอบครัวและ
วิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๖ โจทก์จึงมีสิทธิเสนอค�ำฟ้อง
ในส่วนที่เกี่ยวกับจ�ำเลยที่ ๔ ต่อศำลเยำวชนและครอบครัวได้ด้วย
____________________________
โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นภริยำชอบด้วยกฎหมำยของจ�ำเลยท่ ๑ จดทะเบียนสมรส




เม่อวันท่ ๖ สิงหำคม ๒๕๔๖ มีทรัพย์สินซ่งเป็นสินสมรสร่วมกัน ได้แก่ บ้ำนพิพำทส่วนท่ต่อ

เติมขึ้นใหม่ปลูกสร้ำงอยู่บนที่ดินซึ่งมีชื่อจ�ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ถือกรรมสิทธิ์รวมคนละส่วนเท่ำกัน
สลำกออมสิน ๑ ฉบับ จ�ำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บำท เงินฝำกออมทรัพย์พิเศษแบบสูงอำยุจ�ำนวน
๑,๐๐๐,๐๐๐ บำท ทรัพย์สินภำยในบ้ำนรวมเป็นเงิน ๒๓๑,๐๐๐ บำท อำคำรชุด ๒ ห้อง รำคำ
944




๑,๕๐๐,๐๐๐ บำท พร้อมเฟอร์นิเจอร์ ๒๐๐,๐๐๐ บำท เม่อวันท่ ๑๓ พฤษภำคม ๒๕๖๓ จ�ำเลยท่ ๑
จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมบ้ำนพิพำทส่วนของจ�ำเลยที่ ๑ ให้แก่จ�ำเลยที่ ๓ โดยเสน่หำ
ไม่มีค่ำตอบแทนและไม่สุจริต โดยไม่ได้รับควำมยินยอมจำกโจทก์ ต่อมำวันที่ ๑๓ กรกฎำคม ๒๕๖๓




จ�ำเลยท่ ๒ และท่ ๓ จดทะเบียนโอนขำยท่ดินพร้อมบ้ำนพิพำทให้แก่จ�ำเลยท่ ๔ ในรำคำ

๓,๕๐๐,๐๐๐ บำท โดยจ�ำเลยท้งส่ทรำบว่ำท่ดินพร้อมบ้ำนพิพำทบำงส่วนเป็นสินสมรสระหว่ำง





โจทก์กับจ�ำเลยท่ ๑ และจ�ำเลยท่ ๑ เป็นเจ้ำของกรรมสิทธ์รวมในบ้ำนพิพำทบำงส่วน จึงเป็น
กำรท�ำนิติกรรมโดยไม่สุจริต ขอให้เพิกถอนกำรจดทะเบียนโอนให้ท่ดินพร้อมบ้ำนพิพำทระหว่ำง





จ�ำเลยท่ ๑ และท่ ๓ ฉบับลงวันท่ ๑๓ พฤษภำคม ๒๕๖๓ และกำรจดทะเบียนโอนขำยท่ดิน
พร้อมบ้ำนพิพำทระหว่ำงจ�ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ กับจ�ำเลยที่ ๔ ฉบับลงวันที่ ๑๓ กรกฎำคม ๒๕๖๓



จ�ำเลยท่ ๑ ถึงท่ ๓ ให้กำรว่ำ เดิมจ�ำเลยท่ ๑ จดทะเบียนสมรสกับนำง ส. ต้งแต่ปี ๒๕๑๖

มีบุตรด้วยกัน ๒ คน คือ จ�ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ที่ดินพร้อมบ้ำนพิพำทเป็นทรัพย์สินที่จ�ำเลยที่ ๑
กับนำง ส. ร่วมกันซื้อมำในระหว่ำงที่เป็นสำมีภริยำกัน ต่อมำปี ๒๕๓๓ นำง ส. ถึงแก่ควำมตำย


ท่ดินพร้อมบ้ำนพิพำทจึงเป็นกรรมสิทธ์รวมระหว่ำงจ�ำเลยท่ ๑ กับนำง ส. บ้ำนพิพำทไม่เคยมีกำร

ต่อเติมใหม่ตำมท่โจทก์อ้ำง จ�ำเลยท่ ๑ โอนกรรมสิทธ์ท่ดินพร้อมบ้ำนพิพำทในส่วนของจ�ำเลยท่ ๑












ให้แก่จำเลยท ๓ โดยไม่มค่ำตอบแทนเพรำะจำเลยท ๓ เป็นบตร ทดนพร้อมบ้ำนพพำท





จึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจ�ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ กำรจดทะเบียนโอนขำยที่ดินพร้อมบ้ำนพิพำทให้แก่

จ�ำเลยท่ ๔ เป็นกำรท�ำนิติกรรมโดยสุจริตและเสียค่ำตอบแทน โจทก์จึงไม่มีอ�ำนำจฟ้องขอให้
เพิกถอนนิติกรรมดังกล่ำว ขอให้ยกฟ้อง
จ�ำเลยท่ ๔ ให้กำรว่ำ จ�ำเลยท่ ๔ เป็นบุคคลภำยนอกซ้อท่ดินพร้อมบ้ำนพิพำทจำก




จ�ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ โดยสุจริตและเสียค่ำตอบแทน ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลเยำวชนและครอบครัวกลำงเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำ คดีนี้อยู่ใน
อ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัวหรือไม่ จึงส่งส�ำนวนให้ประธำนศำล
อุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัย ตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำ
คดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๑


วินิจฉัยว่ำ คดีน้โจทก์ซ่งเป็นภริยำชอบด้วยกฎหมำยของจ�ำเลยท่ ๑ ฟ้องเพิกถอน


กำรจดทะเบียนโอนให้ท่ดินพร้อมบ้ำนพิพำทระหว่ำงจ�ำเลยท่ ๑ และท่ ๓ และกำรจดทะเบียน



โอนขำยท่ดินพร้อมบ้ำนพิพำทดังกล่ำวระหว่ำงจ�ำเลยท่ ๒ และท่ ๓ กับจ�ำเลยท่ ๔ อ้ำงว่ำ



ที่ดินพร้อมบ้ำนพิพำทเป็นสินสมรสระหว่ำงโจทก์กับจ�ำเลยที่ ๑ จ�ำเลยที่ ๑ ท�ำนิติกรรมให้ที่ดิน
945

พร้อมบ้ำนพิพำทในส่วนของจ�ำเลยที่ ๑ แก่จ�ำเลยที่ ๓ โดยเสน่หำ ไม่มีค่ำตอบแทนและไม่ได้รับ

ควำมยินยอมจำกโจทก์ ส่วนจ�ำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้กำรว่ำ ที่ดินพร้อมบ้ำนพิพำทไม่ใช่สินสมรส

ระหว่ำงโจทก์กับจ�ำเลยที่ ๑ และจ�ำเลยที่ ๔ ให้กำรว่ำซื้อที่ดินพร้อมบ้ำนพิพำทจำกจ�ำเลยที่ ๒


และท่ ๓ โดยสุจริตและเสียค่ำตอบแทน กรณีจึงมีปัญหำต้องวินิจฉัยว่ำ ท่ดินพร้อมบ้ำนพิพำท
เป็นสินสมรสระหว่ำงโจทก์กับจ�ำเลยที่ ๑ หรือไม่ ซึ่งจะมีผลไปถึงอ�ำนำจในกำรจัดกำรทรัพย์สิน



ดังกล่ำว อันเป็นคดีเก่ยวกับทรัพย์สินระหว่ำงสำมีภริยำซ่งต้องบังคับตำมประมวลกฎหมำย
แพ่งและพำณิชย์ บรรพ ๕ มำตรำ ๑๔๗๐ ถึง ๑๔๗๔ มำตรำ ๑๔๘๐ จึงเป็นคดีครอบครัวตำม
พระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓




มำตรำ ๑๐ (๓) ส่วนค�ำฟ้องของโจทก์ท่ขอให้บังคับจ�ำเลยท่ ๔ ด้วยน้น แม้จ�ำเลยท่ ๔ ไม่ม ี

นิติสัมพันธ์ในทำงครอบครัวเก่ยวข้องกับโจทก์ก็ตำม แต่กรณีเป็นกำรขอให้เพิกถอนกำร



จดทะเบียนโอนกรรมสิทธ์ท่ดินพร้อมบ้ำนพิพำทระหว่ำงจ�ำเลยท่ ๒ ท่ ๓ กับจ�ำเลยท่ ๔ ซ่ง





เป็นนิติกรรมเก่ยวกับทรัพย์แปลงเดียวกัน ถือได้ว่ำมูลควำมแห่งคดีเก่ยวข้องกันตำมประมวล

กฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมแพ่ง มำตรำ ๕ ประกอบพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและ
วิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๖ โจทก์จึงมีสิทธิเสนอค�ำฟ้องในส่วน
ที่เกี่ยวกับจ�ำเลยที่ ๔ ต่อศำลเยำวชนและครอบครัวได้ด้วย
วินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว



วินิจฉัย ณ วันที่ ๒๓ เดือน มกรำคม พุทธศักรำช ๒๕๖๕



อโนชำ ชีวิตโสภณ

(นำงอโนชำ ชีวิตโสภณ)

อธิบดีผู้พิพำกษำศำลเยำวชนและครอบครัวกลำง
ช่วยท�ำงำนชั่วครำวในต�ำแหน่งประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ




นิชญำ ปรำณีจิตต์ - ย่อ

พำชื่น แสงจันทร์เทศ - ตรวจ









946

ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ นำงสำว ส. โจทก์

ที่ วยช ๖๘/๒๕๖๔ นำยหรือหมวดโท ส. จ�ำเลย


โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์แต่งงำนและอยู่กินฉันสำมีภริยำกับจ�ำเลยโดยจ�ำเลยสัญญำ

ว่ำจะจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ภำยหลัง มีบุตรด้วยกัน ๑ คน คือ เด็กหญิง ณ. ซึ่งจ�ำเลย

จดทะเบียนรับผู้เยำว์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมำยแล้ว ระหว่ำงอยู่กินฉันสำมีภริยำโจทก์
กับจ�ำเลยมีทรัพย์สินร่วมกันคือรถยนต์ ๑ คัน ซึ่งมีชื่อโจทก์เป็นผู้เช่ำซื้อ ต่อมำโจทก์กับ

จ�ำเลยเลิกร้ำงกัน จ�ำเลยน�ำรถยนต์คันดังกล่ำวไปใช้เพียงผู้เดียว โดยจ�ำเลยตกลงว่ำ



จะเป็นผู้ผ่อนช�ำระค่ำเช่ำซ้องวดท่เหลือเองและจะคืนเงินดำวน์แก่โจทก์กับเปล่ยนช่อ




ผู้เช่ำซ้อเป็นช่อจ�ำเลย แต่จ�ำเลยไม่ผ่อนช�ำระค่ำเช่ำซ้อและคืนเงินดำวน์แก่โจทก์ ท้งต้งแต่





โจทก์กับจ�ำเลยเลิกร้ำงกัน จ�ำเลยไม่เคยอุปกำระเล้ยงดูบุตรผู้เยำว์ นอกจำกน กำรท่จ�ำเลย

ไม่จดทะเบียนสมรสกับโจทก์จนกระท่งเลิกร้ำงกับโจทก์ท�ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย




แก่ร่ำงกำย จตใจ และช่อเสียง ขอให้พพำกษำให้โจทก์เป็นผู้ใช้อ�ำนำจปกครอง
เด็กหญิง ณ. บุตรผู้เยำว์ แต่เพียงผู้เดียว กับบังคับให้จ�ำเลยช�ำระค่ำอุปกำระเลี้ยงดูบุตร
ผู้เยำว์เป็นรำยเดือนจนกว่ำบุตรผู้เยำว์จะมีอำยุครบ ๒๐ ปี หรือจบกำรศึกษำในระดับชั้น
อุดมศึกษำ ให้จ�ำเลยชดใช้ค่ำเสียหำย กับให้จ�ำเลยคืนรถยนต์ในสภำพเรียบร้อยใช้กำร

ได้ดีแก่โจทก์ หำกคืนไม่ได้ให้ใช้รำคำแทน คดีน้โจทก์ขอให้พิพำกษำให้โจทก์เป็นผู้ใช้

อ�ำนำจปกครองบุตรผู้เยำว์แต่เพียงผู้เดียว กับบังคับให้จ�ำเลยช�ำระค่ำอุปกำระเล้ยงด ู
บุตรผู้เยำว์ ให้จ�ำเลยชดใช้ค่ำเสียหำยแก่โจทก์ และให้จ�ำเลยคืนรถยนต์หรือใช้รำคำ


แทนแก่โจทก์ ส�ำหรับค�ำฟ้องท่ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่ำเสียหำยแก่โจทก์เป็นกำรฟ้อง
โดยอำศัยมูลละเมิดตำม ป.พ.พ. บรรพ ๒ ลักษณะ ๕ ส่วนที่ขอให้บังคับจ�ำเลยคืนรถยนต์
หรอใช้รำคำแทนแก่โจทก์น้น เนองจำกโจทก์กบจำเลยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน







จึงเป็นกำรขอแบ่งทรัพย์สินโดยอำศัยหลักกรรมสิทธ์รวมตำม ป.พ.พ. บรรพ ๔ ลักษณะ ๒


ค�ำฟ้องท้งสองส่วนน้ไม่อยู่ภำยใต้บังคับแห่ง ป.พ.พ. บรรพ ๕ จึงไม่เป็นคดีครอบครัว



ส่วนค�ำฟ้องท่ขอให้พพำกษำให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนำจปกครองบุตรผู้เยำว์แต่เพยงผู้เดียว



กับบังคับให้จ�ำเลยช�ำระค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตรผู้เยำว์นน เม่อจ�ำเลยได้จดทะเบียนรับ


ผู้เยำว์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมำยแล้ว กรณีมีปัญหำต้องพิจำรณำถึงควำมสัมพันธ์ระหว่ำง
บิดำมำรดำและบุตร รวมทั้งสิทธิและหน้ำที่ของบิดำมำรดำและบุตร จึงอยู่ภำยใต้บังคับ
แห่ง ป.พ.พ. บรรพ ๕ ค�ำฟ้องส่วนนี้จึงเป็นคดีครอบครัว
______________________________
947


โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์แต่งงำนและอยู่กินฉันสำมีภริยำกับจ�ำเลยต้งแต่ปี ๒๕๕๙ และ
จ�ำเลยสัญญำว่ำจะจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ภำยหลัง โจทก์กับจ�ำเลยมีบุตรด้วยกัน ๑ คน คือ

เด็กหญิง ณ. อำยุ ๔ ปี โดยจ�ำเลยจดทะเบียนรับผู้เยำว์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมำยแล้ว ระหว่ำง

























อยกนฉนสำมภรยำ โจทกกบจำเลยมทรพยสนรวมกน คอ รถยนตยหอมตซบช หมำยเลขทะเบยน
๘ กผ ๕๖๓๖ กรุงเทพมหำนคร ซึ่งมีชื่อโจทก์เป็นผู้เช่ำซื้อ ต่อมำเดือนพฤษภำคม ๒๕๖๓ โจทก์
กับจ�ำเลยเลิกร้ำงกัน จ�ำเลยน�ำรถยนต์คันดังกล่ำวไปใช้เพียงผู้เดียว โดยจ�ำเลยตกลงว่ำจะเป็น
ผู้ผ่อนช�ำระค่ำเช่ำซื้องวดที่เหลือเองและจะคืนเงินดำวน์แก่โจทก์ ๓๐๐,๐๐๐ บำท กับเปลี่ยนชื่อ


ผเช่ำซ้อเป็นช่อจ�ำเลย แต่จ�ำเลยไม่ผ่อนช�ำระค่ำเช่ำซ้อและคืนเงินดำวน์แก่โจทก์ ท�ำให้ผู้ให้เชำซ้อ


ู้

















มหนงสอทวงถำมมำยงโจทก์ ทงตงแต่โจทก์กบจำเลยเลกร้ำงกน จำเลยไม่เคยอปกำระเลยงด ู

บุตรผู้เยำว์ นอกจำกน้ กำรท่จ�ำเลยไม่จดทะเบียนสมรสกับโจทก์จนกระท่งเลิกร้ำงกับโจทก์ท�ำให้โจทก์




ได้รับควำมเสียหำยแก่ร่ำงกำย จิตใจ และช่อเสียง ขอให้พิพำกษำให้โจทก์เป็นผู้ปกครอง (ท่ถูก
ผู้ใช้อ�ำนำจปกครอง) เด็กหญิง ณ. บุตรผู้เยำว์ แต่เพียงผู้เดียว กับบังคับให้จ�ำเลยช�ำระค่ำอุปกำระ
เล้ยงดูบุตรผู้เยำว์เดือนละ ๒๐,๐๐๐ บำท จนกว่ำบุตรผู้เยำว์จะมีอำยุครบ ๒๐ ปี หรือจบกำรศึกษำ

ในระดับชั้นอุดมศึกษำ ให้จ�ำเลยชดใช้ค่ำเสียหำยแก่โจทก์ ๓๐๐,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำ
ร้อยละ ๕ ต่อปี นับแต่วันที่ศำลมีค�ำพิพำกษำเป็นต้นไปจนกว่ำจะช�ำระเสร็จ ให้จ�ำเลยคืนรถยนต์
ยี่ห้อมิตซูบิชิ หมำยเลขทะเบียน ๘ กผ ๕๖๓๖ กรุงเทพมหำนคร ในสภำพเรียบร้อยใช้กำรได้ดี
แก่โจทก์ หำกคืนไม่ได้ให้ใช้รำคำแทนเป็นเงิน ๗๐๐,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบ้ยอัตรำร้อยละ ๕ ต่อปี

นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช�ำระเสร็จ
ช้นตรวจค�ำฟ้อง ศำลเยำวชนและครอบครัวจังหวัดหนองคำยเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำ









คดนอย่ในอ�ำนำจพจำรณำพพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครวหรอไม่ จงส่งสำนวนให้


ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัย ตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและ
วิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๑











วนจฉยว่ำ คดนโจทก์ขอให้พพำกษำให้โจทก์เป็นผ้ใช้อำนำจปกครองบตรผ้เยำว์
แต่เพียงผู้เดียว กับบังคับให้จ�ำเลยช�ำระค่ำอุปกำระเลี้ยงดูบุตรผู้เยำว์ ให้จ�ำเลยชดใช้ค่ำเสียหำย

แก่โจทก์ และให้จ�ำเลยคืนรถยนต์ย่ห้อมิตซูบิชิ หมำยเลขทะเบียน ๘ กผ ๕๖๓๖ กรุงเทพมหำนคร

หรือใช้รำคำแทนแก่โจทก์ ส�ำหรับค�ำฟ้องท่ขอให้บังคับจ�ำเลยชดใช้ค่ำเสียหำยแก่โจทก์เป็นกำร
ฟ้องโดยอำศัยมูลละเมิดตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ บรรพ ๒ ลักษณะ ๕ ส่วนที่ขอ
ให้บังคับจ�ำเลยคืนรถยนต์หรือใช้รำคำแทนแก่โจทก์น้น เน่องจำกโจทก์กับจ�ำเลยไม่ได้จดทะเบียน


948


สมรสกัน จึงเป็นกำรขอแบ่งทรัพย์สินโดยอำศัยหลักกรรมสิทธ์รวมตำมประมวลกฎหมำยแพ่ง








และพำณชย์ บรรพ ๔ ลกษณะ ๒ คำฟ้องทงสองส่วนน้ไม่อย่ภำยใต้บงคับแห่งประมวลกฎหมำย


แพ่งและพำณชย์ บรรพ ๕ จงไม่เป็นคดครอบครว ตำมพระรำชบญญตศำลเยำวชนและครอบครว









และวิธีพจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๐ (๓) ส่วนคำฟ้องท่ขอให้
พิพำกษำให้โจทก์เป็นผู้ใช้อ�ำนำจปกครองบุตรผู้เยำว์แต่เพียงผู้เดียว กับบังคับให้จ�ำเลยช�ำระ


ค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตรผู้เยำว์น้น เม่อจ�ำเลยได้จดทะเบียนรับผู้เยำว์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมำยแล้ว






กรณีมปัญหำต้องพิจำรณำถงควำมสัมพนธ์ระหว่ำงบิดำมำรดำและบตร รวมท้งสิทธและหน้ำท ่ ี





ของบิดำมำรดำและบุตร จงอย่ภำยใต้บงคบแห่งประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณชย์ บรรพ ๕

ค�ำฟ้องส่วนน้จึงเป็นคดีครอบครัว ตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำ

คดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๐ (๓)
วินิจฉัยว่ำ ค�ำฟ้องส่วนท่ขอให้บังคับจ�ำเลยชดใช้ค่ำเสียหำยแก่โจทก์กับคืนรถยนต์หรือ

ใช้รำคำแทนแก่โจทก์ไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว แต่ค�ำฟ้อง


ส่วนทขอให้โจทก์เป็นผู้ใช้อ�ำนำจปกครองบุตรผู้เยำว์แต่เพียงผู้เดียวกับบังคับให้จ�ำเลยช�ำระ
ค่ำอุปกำระเลี้ยงดูบุตรผู้เยำว์อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว
วินิจฉัย ณ วันที่ ๑ เดือน กันยำยน พุทธศักรำช ๒๕๖๔
ภำวนำ สุคันธวณิช
(นำงสำวภำวนำ สุคันธวณิช)
ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
ณิศรำ กิจคณำศิริ - ย่อ

พำชื่น แสงจันทร์เทศ - ตรวจ

















949

ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ นำงสำว อ. โจทก์

ที่ วยช ๑๒๐/๒๕๖๔ นำย ภ. จ�ำเลย




โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจ�ำเลยจ่ำยค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตร และให้จ�ำเลยแบ่ง


ทรัพย์สินท่ท�ำมำหำได้ร่วมกันระหว่ำงอยู่กินด้วยกันฉันสำมีภริยำให้แก่โจทก์ก่งหน่ง


ส�ำหรับค�ำฟ้องท่ขอให้บังคับจ�ำเลยจ่ำยค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตรน้น เป็นกรณีพิพำทกัน












เก่ยวกับสทธิและหน้ำทของบดำมำรดำและบตรทจะต้องบงคบตำม ป.พ.พ. บรรพ ๕

มำตรำ ๑๕๖๔ ค�ำฟ้องส่วนน้จึงเป็นคดีครอบครัว ส่วนค�ำฟ้องท่ขอให้จ�ำเลยแบ่งทรัพย์สิน



ท่ท�ำมำหำได้ร่วมกันระหว่ำงอยู่กินด้วยกันฉันสำมีภริยำให้แก่โจทก์ก่งหน่ง เน่องจำก


โจทก์กบจ�ำเลยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จงเป็นกำรฟ้องขอแบ่งโดยอำศยหลกกรรมสทธ์รวม






ตำม ป.พ.พ. บรรพ ๔ ลักษณะ ๒ ไม่อยู่ภำยใต้บังคับแห่ง ป.พ.พ. บรรพ ๕ ค�ำฟ้อง
ส่วนนี้จึงไม่เป็นคดีครอบครัว
_________________________

โจทก์ฟ้องว่ำ เม่อประมำณปี ๒๕๔๗ โจทก์กับจ�ำเลยอยู่กินด้วยกันฉันสำมีภริยำโดย
ไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกัน ๑ คน คือ เด็กหญิง จ. จ�ำเลยได้จดทะเบียนรับรองว่ำ
เด็กหญิง จ. เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมำยของจ�ำเลย ต่อมำเดือนมิถุนำยน ๒๕๖๔ จ�ำเลยม ี
ผู้หญิงคนใหม่ท�ำให้โจทก์กับจ�ำเลยทะเลำะวิวำทกันเป็นประจ�ำทุกวัน โจทก์ไม่สำมำรถทนอยู่กิน
ฉันสำมีภริยำกับจ�ำเลยได้อีกต่อไป จึงแยกทำงกับจ�ำเลยและขนย้ำยทรัพย์สินออกมำเช่ำบ้ำน
อยู่กับบุตร ต้งแต่โจทก์ย้ำยออกมำจ�ำเลยไม่เคยช่วยค่ำใช้จ่ำยอุปกำระเล้ยงดูบุตรแต่อย่ำงใด


ระหว่ำงอยู่กินด้วยกันฉันสำมีภริยำโจทก์กับจ�ำเลยร่วมกันท�ำมำหำได้มีทรัพย์สินเป็นเงินฝำก
ในบัญชีธนำคำร ๓ บัญชี ซึ่งเป็นชื่อของจ�ำเลย รถยนต์ ๑ คัน และรถกระบะ ๑ คัน โจทก์มีหนังสือ
บอกกล่ำวให้จ�ำเลยจ่ำยค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตรและแบ่งทรัพย์สินดังกล่ำวแล้วแต่จ�ำเลยเพิกเฉย


ขอให้บังคับจ�ำเลยจ่ำยค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตรเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บำท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป

จนกว่ำเดกหญง จ. จะบรรลุนตภำวะหรือจนกว่ำจะจบปรญญำตร และให้จ�ำเลยแบ่งทรพย์สน







ที่ท�ำมำหำได้ร่วมกันระหว่ำงอยู่กินด้วยกันฉันสำมีภริยำดังกล่ำวให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง
จ�ำเลยให้กำรและฟ้องแย้งว่ำ ระหว่ำงโจทก์กับจ�ำเลยอยู่กินด้วยกันฉันสำมีภริยำ จ�ำเลย


เป็นผู้รับผิดชอบค่ำใช้จ่ำยภำยในครอบครัวรวมท้งค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตรแต่เพียงฝ่ำยเดียว
950




เม่อต้นปี ๒๕๖๔ โจทก์ลำออกจำกงำนเพ่อมำประกอบธุรกิจเปิดร้ำนค้ำขำยของสะดวกซ้อ
จ�ำเลยลงทุนเปิดร้ำนดังกล่ำวให้แก่โจทก์เป็นเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บำท ต่อมำเดือนมิถุนำยน ๒๕๖๔

โจทก์ขนย้ำยสินค้ำท้งหมดในร้ำนไปค้ำขำยในสถำนท่แห่งใหม่พร้อมกับพำบุตรไปด้วยโดยไม่แจ้ง



ให้จ�ำเลยทรำบ โจทก์กับจ�ำเลยจึงยุติควำมสัมพันธ์ฉันสำมีภริยำ ท่โจทก์เรียกค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตร
เดือนละ ๑๕,๐๐๐ บำท สูงเกินควร เน่องจำกท้งโจทก์กับจ�ำเลยต่ำงมีหน้ำท่ในกำรอุปกำระ



เล้ยงดูบุตรร่วมกัน จ�ำเลยมีหน้ำท่ในกำรอุปกำระเล้ยงดูบุตรไม่เกินเดือนละ ๕,๐๐๐ บำท รถพิพำท





ท้งสองคันซ้อจำกเงินส่วนตัวของจ�ำเลย และเงินฝำกในบัญชีธนำคำรเป็นเงินส่วนตัวของจ�ำเลย
โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอแบ่งทรัพย์สินดังกล่ำว ขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งเรียกค่ำเสียหำยจำกกำร
ลงทุนเปิดร้ำนค้ำดังกล่ำว ๒๐๐,๐๐๐ บำท และโจทก์ต้องร่วมรับผิดชอบภำระหนี้สินในระหว่ำง
โจทก์กับจ�ำเลยอยู่กินด้วยกันฉันสำมีภริยำเป็นเงิน ๙๐๐,๐๐๐ บำท กึ่งหนึ่ง






ศำลเยำวชนและครอบครวจงหวัดสมทรปรำกำรมค�ำสงรับคำให้กำรจำเลย ส่วนฟ้องแย้ง



เห็นว่ำไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมจึงไม่รับฟ้องแย้ง

ในวันนัดไกล่เกล่ยช้สองสถำนหรือก�ำหนดนัดสืบพยำน ทนำยโจทก์แถลงขอท�ำค�ำให้กำร

แก้ฟ้องแย้งภำยใน ๑๕ วัน นับแต่วันนัดไกล่เกลี่ยชี้สองสถำน ศำลเยำวชนและครอบครัวจังหวัด
สมุทรปรำกำรอนุญำต
ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลเยำวชนและครอบครัวจังหวัดสมุทรปรำกำรเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำ

ว่ำคดีน้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัวหรือไม่ จึงส่งส�ำนวนให้
ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและ

วิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๑ และรอสั่งค�ำให้กำรแก้ฟ้องแย้ง
ของโจทก์เมื่อประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษมีค�ำวินิจฉัยแล้ว


วินิจฉัยว่ำ คดีน้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจ�ำเลยจ่ำยค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตร และให้จ�ำเลย

แบ่งทรัพย์สินท่ท�ำมำหำได้ร่วมกันระหว่ำงอยู่กินด้วยกันฉันสำมีภริยำให้แก่โจทก์ก่งหน่ง ส�ำหรับ




ค�ำฟ้องท่ขอให้บังคับจ�ำเลยจ่ำยค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตรน้น เป็นกรณีพิพำทกันเก่ยวกับสิทธิและ





หน้ำท่ของบิดำมำรดำและบุตรท่จะต้องบังคับตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ บรรพ ๕
มำตรำ ๑๕๖๔ ค�ำฟ้องส่วนนี้จึงเป็นคดีครอบครัวตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัว

และวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๐ (๓) ส่วนค�ำฟ้องท่ขอให้จ�ำเลย



แบ่งทรัพย์สินท่ท�ำมำหำได้ร่วมกันระหว่ำงอยู่กินด้วยกันฉันสำมีภริยำให้แก่โจทก์ก่งหน่ง เน่องจำก

โจทก์กับจ�ำเลยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จึงเป็นกำรฟ้องขอแบ่งโดยอำศัยหลักกรรมสิทธ์รวมตำม

951

ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ บรรพ ๔ ลักษณะ ๒ ไม่อยู่ภำยใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมำย

แพ่งและพำณิชย์ บรรพ ๕ ค�ำฟ้องส่วนนี้จึงไม่เป็นคดีครอบครัว ตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชน

และครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๐ (๓)


วินิจฉัยว่ำ ค�ำฟ้องส่วนท่ขอให้บังคับจ�ำเลยจ่ำยค่ำอุปกำระเล้ยงดูบุตรอยู่ในอ�ำนำจ

พิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว แต่ค�ำฟ้องส่วนท่ขอให้จ�ำเลยแบ่งทรัพย์สิน

ท่ท�ำมำหำได้ร่วมกันระหว่ำงอยู่กินด้วยกันฉันสำมีภริยำไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ
ศำลเยำวชนและครอบครัว




วินิจฉัย ณ วันที่ ๒๔ เดือน มกรำคม พุทธศักรำช ๒๕๖๕




อโนชำ ชีวิตโสภณ
(นำงอโนชำ ชีวิตโสภณ)

อธิบดีผู้พิพำกษำศำลเยำวชนและครอบครัวกลำง

ช่วยท�ำงำนชั่วครำวในต�ำแหน่งประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ




นิชญำ ปรำณีจิตต์ - ย่อ
พำชื่น แสงจันทร์เทศ - ตรวจ


































952

ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ นำย ม. โจทก์

ที่ วยช ๘๓/๒๕๖๔ นำย ภ. จ�ำเลย














คดนโจทก์ฟ้องจ�ำเลยต่อศำลจงหวัดพทยำซงศำลจงหวดพทยำรบฟ้องไว้



พิจำรณำพิพำกษำ เม่อจ�ำเลยย่นค�ำให้กำรต่อสู้คด จ�ำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้ำนว่ำ





ศำลจงหวดพทยำไม่มอำนำจรบพจำรณำพพำกษำคดน ทงในระหว่ำงกำรพจำรณำ



















ของศำลจงหวดพทยำกไม่ปรำกฏว่ำมกำรโต้แย้งคดค้ำนในเรองดงกล่ำวจนกระทง

ศำลจังหวัดพัทยำด�ำเนินกระบวนพิจำรณำแล้วเสร็จและมีค�ำพิพำกษำแล้ว ดังน้แสดง

ว่ำศำลจังหวัดพัทยำเห็นว่ำคดีอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลจังหวัดพัทยำและ
คู่ควำมต่ำงก็ยอมรับในเร่องอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำล อันเป็นกำรเห็นพ้องตรงกัน

ในเร่องอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแล้ว จึงไม่ใช่กรณีท่มีปัญหำว่ำคดีน้จะอยู่ใน



อ�ำนำจของศำลเยำวชนและครอบครัวหรือไม่ กรณีไม่มีเหตุให้ส่งส�ำนวนมำให้ประธำน
ศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัย จึงไม่รับวินิจฉัย
______________________________


โจทก์ฟ้องและแก้ไขค�ำฟ้องว่ำ โจทก์จดทะเบียนสมรสกับนำง ส. เม่อวันท่ ๓ กุมภำพันธ์ ๒๕๑๒

มบตรด้วยกน ๔ คน คอ นำง ว. จำเลย นำงสำวหรอนำง อ. และพระ พ. ระหว่ำงอย่กน










ฉันสำมีภริยำโจทก์และนำง ส. ร่วมกันซ้อท่ดินพิพำทโฉนดเลขท่ ๔๘๑๖๐๑, ๑๗๘๐๒๕ และ

๑๒๖๖๘๓ ต�ำบลตะเคียนเต้ย อ�ำเภอบำงละมุง จังหวัดชลบุรี และท่ดินพิพำทโฉนดเลขท่ ๕๙๔๘๔




ต�ำบลบำงบุตร อ�ำเภอบ้ำนค่ำย จังหวัดระยอง โดยลงช่อจ�ำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธ์แทน ต่อมำ


โจทก์แจ้งจ�ำเลยให้โอนกรรมสิทธ์ท่ดินพิพำทคืนแก่โจทก์ แต่จ�ำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจ�ำเลย

จดทะเบียนโอนกรรมสิทธ์ท่ดินพิพำทคืนแก่โจทก์ หำกจ�ำเลยไม่ปฏิบัติตำมให้ถือเอำค�ำพิพำกษำ



แทนกำรแสดงเจตนำของจ�ำเลย หำกจ�ำเลยไม่สำมำรถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธ์ท่ดินพิพำทได้
ด้วยเหตุพ้นวิสัย ให้จ�ำเลยชดใช้เงิน ๒,๓๑๗,๖๐๐ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช�ำระเสร็จแก่โจทก์
จ�ำเลยให้กำรว่ำ โจทก์กับนำง ส. จดทะเบียนสมรสแต่ไม่ได้อยู่กินฉันสำมีภริยำกัน ทั้ง
ไม่เคยประกอบธุรกิจหรือท�ำมำหำได้ร่วมกัน โดยโจทก์และนำง ส. แยกกันอยู่ต้งแต่ปี ๒๕๔๓ จนถึง



ปัจจุบันเน่องจำกโจทก์มีภริยำใหม่ โจทก์และนำง ส. ไม่เคยร่วมกันซ้อท่ดินพิพำทแล้วลงช่อจ�ำเลย


953

เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทน จ�ำเลยเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพำททั้งสี่แปลงด้วยเงินส่วนตัวของจ�ำเลย จ�ำเลย

ไม่ได้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพำทแทนโจทก์และนำง ส. โจทก์ไม่มีอ�ำนำจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศำลจังหวัดพัทยำพิจำรณำแล้ว พิพำกษำยกฟ้อง ค่ำฤชำธรรมเนียมและค่ำใช้จ่ำย
ในกำรด�ำเนินคดีให้เป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์


ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลอุทธรณ์ภำค ๒ เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีน้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำ
พิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัวหรือไม่ กรณีต้องส่งส�ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์

คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัย ตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชน


และครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ จึงจ�ำหน่ำยคดีออกจำกสำรบบควำมของศำลอุทธรณ์ภำค ๒ ช่วครำว
และคืนส�ำนวนให้ศำลจังหวัดพัทยำ ศำลจังหวัดพัทยำจึงส่งส�ำนวนมำให้ประธำนศำลอุทธรณ์

คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัย
วินิจฉัยว่ำ มำตรำ ๑๑ แห่งพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำ

คดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ บัญญัติว่ำ ในกรณีมีปัญหำว่ำคดีใดจะอยู่ในอ�ำนำจ


ของศำลเยำวชนและครอบครัวหรือไม่ ไม่ว่ำปัญหำน้นจะเกิดข้นในศำลเยำวชนและครอบครัว





หรือศำลยุติธรรมอ่น ให้ศำลน้นรอกำรพิจำรณำพิพำกษำคดีไว้ช่วครำวแล้วเสนอปัญหำน้นให้
ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษเป็นผู้วินิจฉัย คดีนี้โจทก์ฟ้องจ�ำเลยต่อศำลจังหวัดพัทยำซึ่ง


ศำลจังหวัดพัทยำรับฟ้องไว้พิจำรณำพิพำกษำ เม่อจ�ำเลยย่นค�ำให้กำรต่อสู้คดี จ�ำเลยก็ไม่ได้โต้แย้ง

คัดค้ำนว่ำศำลจังหวัดพัทยำไม่มีอ�ำนำจรับพิจำรณำพิพำกษำคดีน้ ท้งในระหว่ำงกำรพิจำรณำ



ของศำลจังหวัดพัทยำก็ไม่ปรำกฏว่ำมีกำรโต้แย้งคัดค้ำนในเร่องดังกล่ำวจนกระท่งศำลจังหวัด
พัทยำด�ำเนินกระบวนพิจำรณำแล้วเสร็จและมีค�ำพิพำกษำแล้ว ดังน้แสดงว่ำศำลจังหวัดพัทยำ


เห็นว่ำคดีอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลจังหวัดพัทยำและคู่ควำมต่ำงก็ยอมรับในเร่อง
อ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำล อันเป็นกำรเห็นพ้องตรงกันในเรื่องอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำ
ของศำลแล้ว จึงไม่ใช่กรณีท่มีปัญหำว่ำคดีน้จะอยู่ในอ�ำนำจของศำลเยำวชนและครอบครัวหรือไม่


กรณีไม่มีเหตุให้ส่งส�ำนวนมำให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมบทบัญญัต ิ

ดังกล่ำว จึงไม่รับวินิจฉัย
















ใหสงสำนวนคนศำลจงหวดพทยำเพอดำเนนกำรใหมกำรพจำรณำพพำกษำตำมรปคด ี

ต่อไป

954

วินิจฉัย ณ วันที่ ๑๕ เดือน ตุลำคม พุทธศักรำช ๒๕๖๔




อโนชำ ชีวิตโสภณ
(นำงอโนชำ ชีวิตโสภณ)

อธิบดีผู้พิพำกษำศำลเยำวชนและครอบครัวกลำง

ช่วยท�ำงำนชั่วครำวในต�ำแหน่งประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ




ณิศรำ กิจคณำศิริ - ย่อ
พำชื่น แสงจันทร์เทศ - ตรวจ
























































955

ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ นำย ส. ในฐำนะ

ที่ วยช ๑๖/๒๕๖๕ ผู้จัดกำรมรดกของ

นำง ห. โจทก์
นำง ต. โดยนำง พ.

ผู้เข้ำเป็นคู่ควำมแทน จ�ำเลย




โจทก์ฟ้องจ�ำเลยต่อศำลจังหวัดภูเขียวซ่งศำลจังหวัดภูเขียวรับฟ้องไว้พิจำรณำ





















พพำกษำ เมอจำเลยยนคำใหกำรตอสคดจำเลยกไมไดโตแยงคดคำนวำศำลจงหวดภเขยว




ไม่มีอ�ำนำจรับพิจำรณำพิพำกษำคดีนี้ ทั้งในระหว่ำงกำรพิจำรณำของศำลจังหวัดภูเขียว

ก็ไม่ปรำกฏว่ำมีกำรโต้แย้งคัดค้ำนในเร่องดังกล่ำวจนกระท่งคดีเสร็จกำรพิจำรณำและ

ศำลจังหวัดภูเขียวได้นัดฟังค�ำพิพำกษำแล้ว ดังน้แสดงว่ำศำลจังหวัดภูเขียวเห็นว่ำ

คดีอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลจังหวัดภูเขียวและคู่ควำมต่ำงก็ยอมรับในเร่อง


อ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำล อันเป็นกำรเห็นพ้องตรงกันในเร่องอ�ำนำจพิจำรณำ

พิพำกษำของศำลแล้ว จึงไม่ใช่กรณีท่มีปัญหำว่ำคดีน้จะอยู่ในอ�ำนำจของศำลเยำวชนและ

ครอบครัวหรือไม่ กรณีไม่มีเหตุให้ส่งส�ำนวนมำให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
วินิจฉัยตำมบทบัญญัติดังกล่ำว จึงไม่รับวินิจฉัย
__________________________
โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมำยของนำง ห. กับนำย อ. หลังจำกนำง ห.
กับนำย อ. จดทะเบียนหย่ำกัน เมื่อประมำณปี ๒๕๔๑ นำง ห. อยู่กินฉันสำมีภริยำกับนำย ส.

ต่อมำวันท่ ๗ พฤษภำคม ๒๕๕๑ ได้จดทะเบียนสมรสกัน ระหว่ำงอยู่กินร่วมกันมีสินสมรส
คือ ที่ดินพิพำท โดยใส่ชื่อนำย ส. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เมื่อวันที่ ๒๐ กันยำยน ๒๕๕๖ นำง ห.
กับนำย ส. จดทะเบียนหย่ำกันโดยไม่ได้บันทึกกำรแบ่งสินสมรสไว้ ภำยหลังจดทะเบียนหย่ำ
นำง ห. กับนำย ส. ยังคงอยู่กินร่วมกันฉันสำมีภริยำจนกระทั่งนำง ห. ถึงแก่ควำมตำยเมื่อวันที่
๒๑ พฤษภำคม ๒๕๖๒ โจทก์ย่นค�ำร้องขอจัดกำรมรดกและศำลจังหวัดภูเขียวมีค�ำส่งต้งโจทก์



เป็นผู้จัดกำรมรดกของนำง ห. ต่อมำวันที่ ๑๗ มกรำคม ๒๕๖๔ นำย ส. ถึงแก่ควำมตำย จ�ำเลย
ซงเป็นมำรดำและเป็นทำยำทผ้มสิทธรับมรดกของนำย ส. ยนคำร้องขอจดทะเบียนโอนมรดก








ของนำย ส. ให้แก่จ�ำเลย กำรกระท�ำของจ�ำเลยเป็นกำรโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้บังคับจ�ำเลย
956

















จดทะเบยนแบ่งกรรมสิทธท่ดนพพำทพรอมสงปลกสรำงใหแกโจทก์ก่งหน่ง หำกจ�ำเลยไม่ดำเนินกำร
ให้ถือเอำค�ำพิพำกษำแทนกำรแสดงเจตนำของจ�ำเลย
จ�ำเลยให้กำรว่ำ ก่อนนำง ห. กับนำย ส. จะไปจดทะเบียนหย่ำได้มีกำรตกลงแบ่งสินสมรส
กันแล้วโดยให้ที่ดินพิพำทพร้อมสิ่งปลูกสร้ำงเป็นของนำย ส. ส่วนนำง ห. ได้ที่ดินอีกแปลงหนึ่ง
เมื่อนำง ห. กับนำย ส. ไปจดทะเบียนหย่ำกันจึงไม่ได้บันทึกเกี่ยวกับกำรแบ่งสินสมรสไว้ โจทก์

รู้ถึงควำมตำยของนำง ห. เม่อวันท่ ๒๑ พฤษภำคม ๒๕๖๒ นับถึงวันฟ้องพ้นก�ำหนด ๑ ปี

คดีของโจทก์จึงขำดอำยุควำม ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่ำงพิจำรณำ จ�ำเลยถึงแก่ควำมตำย นำง พ. ย่นค�ำร้องขอเข้ำเป็นคู่ควำมแทน

ศำลจังหวัดภูเขียวมีค�ำสั่งอนุญำต
ระหว่ำงนัดฟังค�ำพิพำกษำ ศำลจังหวัดภูเขียวเห็นว่ำ คดีมีประเด็นว่ำท่ดินพิพำทพร้อม

สิ่งปลูกสร้ำงเป็นสินสมรสของนำง ห. กับนำย ส. ที่ยังไม่มีกำรแบ่งกันหรือไม่ กรณีมีปัญหำว่ำ
คดนอย่ในอ�ำนำจพจำรณำพพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครวหรอไม่ จงส่งสำนวนให้










ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัย ตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและ
วิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๑
วินิจฉัยว่ำ คดีน้โจทก์ฟ้องจ�ำเลยต่อศำลจังหวัดภูเขียวซ่งศำลจังหวัดภูเขียวรับฟ้อง




ไว้พิจำรณำพิพำกษำ เม่อจ�ำเลยย่นค�ำให้กำรต่อสู้คดีจ�ำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้ำนว่ำศำลจังหวัด

ภูเขียวไม่มีอ�ำนำจรับพิจำรณำพิพำกษำคดีน้ ท้งในระหว่ำงกำรพิจำรณำของศำลจังหวัดภูเขียว


ก็ไม่ปรำกฏว่ำมีกำรโต้แย้งคัดค้ำนในเร่องดังกล่ำวจนกระท่งคดีเสร็จกำรพิจำรณำและศำลจังหวัด


ภูเขียวได้นัดฟังค�ำพิพำกษำแล้ว ดังน้แสดงว่ำศำลจังหวัดภูเขียวเห็นว่ำคดีอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำ



พพำกษำของศำลจงหวดภเขยวและค่ควำมต่ำงกยอมรบในเรองอำนำจพจำรณำพพำกษำ










ของศำล อันเป็นกำรเห็นพ้องตรงกันในเรื่องอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลแล้ว จึงไม่ใช่กรณี


ท่มีปัญหำว่ำคดีน้จะอยู่ในอ�ำนำจของศำลเยำวชนและครอบครัวหรือไม่ กรณีไม่มีเหตุให้ส่งส�ำนวน
มำให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมบทบัญญัติดังกล่ำว จึงไม่รับวินิจฉัย
ให้ส่งส�ำนวนคืนศำลจังหวัดภูเขียวเพื่อด�ำเนินกำรให้มีค�ำพิพำกษำต่อไป

957

วินิจฉัย ณ วันที่ ๒๘ เดือน กุมภำพันธ์ พุทธศักรำช ๒๕๖๕




อโนชำ ชีวิตโสภณ
(นำงอโนชำ ชีวิตโสภณ)

อธิบดีผู้พิพำกษำศำลเยำวชนและครอบครัวกลำง

ช่วยท�ำงำนชั่วครำวในต�ำแหน่งประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ




นิชญำ ปรำณีจิตต์ - ย่อ
พำชื่น แสงจันทร์เทศ - ตรวจ
























































958

ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ ร้อยโท พ. โจทก์

ที่ วยช ๗๒/๒๕๖๒ นำงหรือนำงสำว ส. จ�ำเลย





ค�ำฟ้องของโจทก์ในส่วนท่ขอให้จ�ำเลยแบ่งเงินท่ได้จำกกำรขำยรถยนต์เป็น











คำฟ้องทเกยวเนองกบกำรบงคบคดตำมคำพพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครว





จังหวัดเพชรบูรณ์ซ่งจ�ำต้องมีค�ำวินิจฉัยของศำลก่อนท่กำรบังคับคดีจะได้ด�ำเนินไปได้
โดยครบถ้วนและถูกต้องตำม ป.วิ.พ. มำตรำ ๗ (๒) โจทก์ชอบท่จะเสนอต่อศำลท่มีอ�ำนำจ


ในกำรบังคับคดีตำมมำตรำ ๒๗๑ คือ ศำลเยำวชนและครอบครัวจังหวัดเพชรบูรณ์

ดังนน ค�ำฟ้องของโจทก์ในส่วนน้จึงอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำของศำลเยำวชนและครอบครัว


ค�ำฟ้องของโจทก์ในส่วนท่ขอให้จ�ำเลยแบ่งเงินท่จ�ำเลยได้รับช�ำระหน้เงินกู้จำก





บคคลภำยนอกโดยอ้ำงว่ำโจทก์กบจำเลยให้บคคลภำยนอกก้ยืมเงินไปในระหว่ำงสมรส




เป็นค�ำฟ้องท่ต้องวินิจฉัยว่ำเงินท่ได้รับช�ำระหน้เงินกู้จ�ำนวนดังกล่ำวเป็นสินสมรสหรือไม่



เป็นกรณีท่ต้องบังคับตำม ป.พ.พ. บรรพ ๕ มำตรำ ๑๔๗๔ ค�ำฟ้องของโจทก์ในส่วนน ้ ี
จึงอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำของศำลเยำวชนและครอบครัว

ส่วนค�ำฟ้องของโจทก์ในส่วนท่ขอให้จ�ำเลยแบ่งค่ำเช่ำบ้ำนพักและค่ำเช่ำเต็นท์






ในรีสอร์ตหลังจำกกำรสมรสระหว่ำงโจทก์กบจ�ำเลยสนสดลงแล้วน้น แม้คำฟ้องส่วนน ้ ี

จะไม่เป็นคดีครอบครัว แต่เน่องจำกมูลควำมแห่งคดีส่วนน้เก่ยวข้องกับส่วนท่โจทก์




ฟ้องคดีครอบครัวดังกล่ำวข้ำงต้น โจทก์จึงมีสิทธิเสนอค�ำฟ้องต่อศำลท่มีอ�ำนำจพิจำรณำ
พิพำกษำศำลใดศำลหนึ่งเป็นคดีเดียวกันได้ตำม ป.วิ.พ. มำตรำ ๕ และเนื่องจำก พ.ร.บ.
ศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓

มำตรำ ๑๒ บัญญัติว่ำ ภำยใต้บังคับบทบัญญัติแห่งพระรำชบัญญัติน้ว่ำด้วยกำรโอนคด ี



ในท้องท่ท่ศำลเยำวชนและครอบครัวเปิดท�ำกำรแล้ว ห้ำมมิให้ศำลช้นต้นอ่นใด


ในท้องท่น้นรับคดีท่อยู่ในอ�ำนำจศำลเยำวชนและครอบครัวไว้พิจำรณำพิพำกษำ คดีน ี ้


จึงอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว
__________________________
959

โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์กับจ�ำเลยเคยเป็นสำมีภริยำชอบด้วยกฎหมำย จดทะเบียนหย่ำกัน

เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวำคม ๒๕๖๐ ต่อมำศำลเยำวชนและครอบครัวจังหวัดเพชรบูรณ์มีค�ำพิพำกษำ


ในคดีแพ่งหมำยเลขแดงท่ ๖๙/๒๕๖๑ ให้จ�ำเลยแบ่งสินสมรส ได้แก่ อำคำรบ้ำนพักเรือนทิพย์
นำคำ รีสอร์ต รถยนต์ และรถกระบะ ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หำกกำรแบ่งตกลงกันไม่ได้ให้ประมูลกัน




ระหว่ำงคู่ควำมหรือมิฉะน้นให้ขำยทอดตลำดน�ำเงินมำแบ่งกันคนละก่งหน่ง ในกำรแบ่งให้
หักเงินเพ่อชดใช้รำคำสินส่วนตัวให้แก่จ�ำเลยก่อนเป็นเงิน ๗๐๐,๐๐๐ บำท กับให้จ�ำเลยและโจทก์



ร่วมกันช�ำระหน้บุคคลภำยนอกคนละก่งหน่ง ระหว่ำงบังคับคดีจ�ำเลยขำยรถยนต์ไปในรำคำ

๕๑๐,๕๗๕ บำท แต่ยังไม่ได้แบ่งเงินให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ๒๕๕,๒๘๗ บำท และจ�ำเลยได้รับช�ำระหนี้
เงินกู้ ๔๐๐,๐๐๐ บำท ซึ่งบุคคลภำยนอกกู้ยืมไปจำกโจทก์และจ�ำเลยระหว่ำงสมรส จ�ำเลยต้อง



แบ่งเงินดังกล่ำวให้โจทก์ก่งหน่ง ๒๐๐,๐๐๐ บำท นอกจำกน้จ�ำเลยยังได้รับค่ำเช่ำบ้ำนพัก


เรือนทิพย์นำคำและค่ำเต็นท์ในรีสอร์ตซ่งเป็นกรรมสิทธ์รวมต้งแต่วันท่ ๑๓ ธันวำคม ๒๕๖๐



จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๒,๓๘๘,๖๘๖ บำท พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี เป็นเวลำ ๑ ปี
รวมเป็นเงิน ๒,๕๖๗,๘๓๗ บำท แต่โจทก์ขอแบ่งทรัพย์สินดังกล่ำวจำกจ�ำเลยเพียง ๑ ส่วน
ใน ๓ ส่วน เป็นเงิน ๓,๐๒๓,๑๒๔ บำท ขอให้บังคับจ�ำเลยช�ำระเงิน ๓,๐๒๓,๑๒๔ บำท
พร้อมดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจำกวันฟ้องจนกว่ำจะช�ำระเสร็จแก่โจทก์




จ�ำเลยให้กำรว่ำ จ�ำเลยน�ำเงินท่ได้จำกกำรขำยรถยนต์ไปช�ำระหน้ท่เกิดข้นระหว่ำงสมรส





กบโจทกและนำไปชดใชรำคำสนสวนตัวของจำเลยตำมคำพพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครว






จังหวัดเพชรบูรณ์ ส่วนค่ำเช่ำบ้ำนพักเป็นรำยได้ท่เกิดข้นภำยหลังกำรหย่ำและเม่อน�ำค่ำเช่ำ




ไปหักกับค่ำใช้จ่ำยบ�ำรุงรักษำรีสอร์ตแล้ว ไม่หลือเงินท่แบ่งให้แก่โจทก์ ส่วนกำรให้เช่ำเต็นท์


ในรีสอร์ตเป็นกำรกำงเต็นท์ในท่ดินสินส่วนตัวของจ�ำเลยไม่เก่ยวกับอำคำรบ้ำนพักเรือนทิพย์นำคำ
รีสอร์ต โจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่ง ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดหล่มสักเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีน้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำ
พิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัวหรือไม่ จึงส่งส�ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญ
พิเศษวินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและ
ครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๑


วินิจฉัยว่ำ คดีน้ ค�ำฟ้องของโจทก์ในส่วนท่ขอให้จ�ำเลยแบ่งเงินท่ได้จำกกำรขำยรถยนต์



เป็นค�ำฟ้องท่เก่ยวเน่องกับกำรบังคับคดีตำมค�ำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัวจังหวัด

เพชรบูรณ์ซ่งจ�ำต้องมีค�ำวินิจฉัยของศำลก่อนท่กำรบังคับคดีจะได้ด�ำเนินไปได้โดยครบถ้วน


960

และถูกต้องตำมประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมแพ่ง มำตรำ ๗ (๒) โจทก์ชอบที่จะเสนอต่อ


ศำลท่มีอ�ำนำจในกำรบังคับคดีตำมมำตรำ ๒๗๑ คือ ศำลเยำวชนและครอบครัวจังหวัดเพชรบูรณ์


ดังน้น ค�ำฟ้องของโจทก์ในส่วนน้จึงอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำของศำลเยำวชนและครอบครัวตำม
พระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓


มำตรำ ๑๐ (๓) และค�ำฟ้องของโจทก์ในส่วนท่ขอให้จ�ำเลยแบ่งเงินท่จ�ำเลยได้รับช�ำระหน้เงิน

กู้จำกบุคคลภำยนอกโดยอ้ำงว่ำโจทก์กับจ�ำเลยให้บุคคลภำยนอกกู้ยืมเงินไปในระหว่ำงสมรส













เป็นคำฟ้องทต้องวนจฉัยว่ำเงนท่ได้รับชำระหนเงนกู้จำนวนดงกล่ำวเป็นสนสมรสหรอไม่


เป็นกรณีที่ต้องบังคับตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ บรรพ ๕ มำตรำ ๑๔๗๔ ค�ำฟ้อง
ของโจทก์ในส่วนน้จึงอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำของศำลเยำวชนและครอบครัวตำมพระรำชบัญญัต ิ

ศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๐ (๓)
ส่วนค�ำฟ้องของโจทก์ในส่วนท่ขอให้จ�ำเลยแบ่งค่ำเช่ำบ้ำนพักและค่ำเช่ำเต็นท์ในรีสอร์ต


หลังจำกกำรสมรสระหว่ำงโจทก์กับจ�ำเลยส้นสุดลงแล้วน้น แม้ค�ำฟ้องส่วนน้จะไม่เป็นคดีครอบครัว



แต่เน่องจำกมูลควำมแห่งคดีส่วนน้เก่ยวข้องกับส่วนท่โจทก์ฟ้องคดีครอบครัวดังกล่ำวข้ำงต้น




โจทก์จึงมีสิทธิเสนอค�ำฟ้องต่อศำลท่มีอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำศำลใดศำลหน่งเป็นคดีเดียวกันได้

ตำมประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมแพ่ง มำตรำ ๕ และเน่องจำกพระรำชบัญญัติศำลเยำวชน

และครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๒ บัญญัติว่ำ ภำยใต้
บังคับบทบัญญัติแห่งพระรำชบัญญัติน้ว่ำด้วยกำรโอนคดีในท้องท่ท่ศำลเยำวชนและครอบครัว








เปิดท�ำกำรแล้ว ห้ำมมิให้ศำลช้นต้นอ่นใดในท้องท่น้นรับคดีท่อยู่ในอ�ำนำจศำลเยำวชนและ


ครอบครัวไว้พจำรณำพพำกษำ คดีนจึงอย่ในอ�ำนำจพิจำรณำพพำกษำของศำลเยำวชนและ




ครอบครัว
วินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว
วินิจฉัย ณ วันที่ ๒๑ เดือน ตุลำคม พุทธศักรำช ๒๕๖๒
ไมตรี สุเทพำกุล
(นำยไมตรี สุเทพำกุล)
ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
นภกมล หะวำนนท์ สว่ำงแจ้ง - ย่อ
พำชื่น แสงจันทร์เทศ - ตรวจ

961

ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ พนักงำนอัยกำร

ที่ วยช ๑๙/๒๕๕๙ จังหวัดเชียงใหม่ โจทก์
นำย บ. จ�ำเลย







วนทโจทก์บรรยำยฟ้องว่ำเป็นวันท่กำรกระท�ำควำมผิดฐำนเป็นคนต่ำงด้ำว

เข้ำมำในรำชอำณำจักรโดยผิดกฎหมำยได้เกิดข้นจ�ำเลยยังมีอำยุไม่ครบสิบแปดปีบริบูรณ์

และช่วงวันท่โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำเป็นวันท่กำรกระท�ำควำมผิดฐำนเป็นคนต่ำงด้ำวอยู่



ในรำชอำณำจักรโดยผิดกฎหมำยได้เกิดข้นส่วนหน่งอยู่ระหว่ำงจ�ำเลยยังมีอำยุไม่ครบ










สบแปดปีบริบูรณ์ จงถอว่ำจำเลยเป็นเยำวชนในวันทกำรกระทำควำมผิดได้เกดขน
คดีส่วนท่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจ�ำเลยในควำมผิดท้งสองฐำนดังกล่ำวจึงอยู่ในอ�ำนำจ


พิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว ส่วนวันท่โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำเป็น


วันท่กำรกระท�ำควำมผิดฐำนบุกรุกได้เกิดข้นน้นจ�ำเลยมีอำยุครบสิบแปดปีบริบูรณ์แล้ว


จึงไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว
___________________________




โจทกฟองวำ จำเลยกระทำควำมผดหลำยกรรมตำงกน กลำวคอ เมอวนเวลำใดไมปรำกฏชด












เดือนมกรำคม ๒๕๕๕ จ�ำเลยซ่งเป็นคนต่ำงด้ำวสัญชำติเมียนมำ มีภูมิล�ำเนำอยู่ท่สำธำรณรัฐ

แห่งสหภำพเมียนมำ เข้ำมำในรำชอำณำจักรโดยกำรเดินผ่ำนชำยแดนในต�ำบลใดไม่ปรำกฏชัด


อ�ำเภอแม่สอด จังหวัดตำก ซ่งไม่ใช่ช่องทำงตำมท่รัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงมหำดไทยประกำศ
ในรำชกิจจำนุเบกษำ โดยไม่มีหนังสือเดินทำงหรือเอกสำรท่ใช้แทนหนังสือเดินทำงและไม่ผ่ำน

กำรตรวจอนุญำตของพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ของด่ำนตรวจคนเข้ำเมือง นับแต่วันเวลำดังกล่ำวจนถึง



วันท่ ๑๗ ตุลำคม ๒๕๕๙ เวลำกลำงวันและกลำงคืนต่อเน่องกันตลอดมำ จ�ำเลยอยู่ในรำชอำณำจักร

ทต�ำบลช้ำงคลำน อำเภอเมองเชยงใหม่ จงหวดเชียงใหม่ โดยไม่ได้รบอนญำตจำกพนกงำน










เจ้ำหน้ำท่ วันท่ ๑๗ ตุลำคม ๒๕๕๙ เวลำกลำงคืนหลังเท่ยง จ�ำเลยบุกรุกเข้ำไปในบ้ำนเลขท ่ ี






๓๕๔/๔ ถนนเจรญประเทศ ตำบลช้ำงคลำน อำเภอเมองเชยงใหม่ จงหวดเชยงใหม่ อนเป็น





เคหสถำนท่อยู่อำศัยของนำงสำว จ. ผู้เสียหำย โดยไม่มีเหตุอันสมควร เหตุเกิดท่ต�ำบลใด











ไม่ปรำกฏชด อำเภอแม่สอด จงหวดตำก และตำบลช้ำงคลำน อำเภอเมองเชยงใหม่ จงหวด

เชียงใหม่ ต่อเน่องเก่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ ๙๑, ๓๖๔, ๓๖๕


พระรำชบัญญัติคนเข้ำเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ มำตรำ ๔, ๑๑, ๑๒, ๑๘, ๔๑, ๖๒, ๘๑
จ�ำเลยให้กำรรับสำรภำพ
962










ระหว่ำงพจำรณำ ศำลจงหวดเชยงใหม่มคำสงให้พนกงำนคมประพฤตสบเสำะและ














พนจจำเลย ต่อมำพนกงำนคมประพฤตรำยงำนกำรสบเสำะและพนจต่อศำลจงหวดเชยงใหม่

จ�ำเลยเกิดเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภำคม ๒๕๓๙ ศำลจังหวัดเชียงใหม่เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้
อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัวหรือไม่ จึงส่งส�ำนวนให้ประธำนศำล
อุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัย ตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำ
คดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๓ มำตรำ ๑๑
วินิจฉัยว่ำ จ�ำเลยเกิดเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภำคม ๒๕๓๙ จึงมีอำยุครบสิบแปดปีบริบูรณ์
ในวันที่ ๒๐ พฤษภำคม ๒๕๕๗ ดังนี้ วันที่โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำเป็นวันที่กำรกระท�ำควำมผิดฐำน

เป็นคนต่ำงด้ำวเข้ำมำในรำชอำณำจักรโดยผิดกฎหมำยได้เกิดข้นจ�ำเลยยังมีอำยุไม่ครบ


สิบแปดปีบริบูรณ์ และช่วงวันท่โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำเป็นวันท่กำรกระท�ำควำมผิดฐำนเป็น


คนต่ำงด้ำวอย่ในรำชอำณำจักรโดยผิดกฎหมำยได้เกิดข้นส่วนหน่งอยู่ระหว่ำงจ�ำเลยยังมีอำย ุ



ไม่ครบสิบแปดปีบริบูรณ์จึงถือว่ำจ�ำเลยเป็นเยำวชนในวันท่กำรกระทำควำมผดได้เกิดขน คดีส่วนท ่ ี



โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจ�ำเลยในควำมผิดท้งสองฐำนดังกล่ำวจึงอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำ

ของศำลเยำวชนและครอบครัว ตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำ
คดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๐ (๑) ส่วนวันที่โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำเป็นวันที่



กำรกระท�ำควำมผิดฐำนบุกรุกได้เกิดข้นน้นจ�ำเลยมีอำยุครบสิบแปดปีบริบูรณ์แล้ว คดีส่วนท่โจทก์

ฟ้องขอให้ลงโทษจ�ำเลยในควำมผิดฐำนน้ จึงไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชน
และครอบครัว ตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและ
ครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๐ (๑)

วินิจฉัยว่ำ คดีส่วนท่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจ�ำเลยในควำมผิดฐำนเป็นคนต่ำงด้ำว
เขำมำในรำชอำณำจักรโดยผิดกฎหมำยและเป็นคนต่ำงด้ำวอยในรำชอำณำจักรโดยผิดกฎหมำย
ู่


อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว แต่คดีส่วนท่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษ
จ�ำเลยในควำมผิดฐำนบุกรุกไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว

วินิจฉัย ณ วันที่ ๖ เดือน มกรำคม พุทธศักรำช ๒๕๖๐
เมทินี ชโลธร
(นำงเมทินี ชโลธร)
ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ


นภกมล หะวำนนท์ สว่ำงแจ้ง - ย่อ

พำชื่น แสงจันทร์เทศ - ตรวจ
963

ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ นำงสำว ศ. โจทก์

ที่ วยช ๒๕/๒๕๖๓ พลโท ส. จ�ำเลย







พ.ร.บ. ศำลเยำวชนและครอบครัวและวธพจำรณำคดเยำวชนและครอบครว
พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๐ (๕) บัญญัติให้ศำลเยำวชนและครอบครัวมีอ�ำนำจพิจำรณำ
พิพำกษำหรือมีค�ำสั่งในคดีที่มีกฎหมำยบัญญัติให้เป็นอ�ำนำจหน้ำที่ของศำลเยำวชนและ







ครอบครว คดน้โจทก์ฟ้องจำเลยฐำนกระทำควำมรุนแรงในครอบครวตำม พ.ร.บ. ค้มครอง
ผู้ถูกกระท�ำด้วยควำมรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ มำตรำ ๔ วรรคหนึ่ง รวมมำกับ
ฐำนท�ำร้ำยร่ำงกำยตำม ป.อ. มำตรำ ๒๙๕ โดยตำมมำตรำ ๔ วรรคสอง ได้บัญญัติให้ควำมผิด

ฐำนท�ำร้ำยร่ำงกำยตำม ป.อ. มำตรำ ๒๙๕ เป็นควำมผิดอันยอมควำมได้ ซ่งปัญหำ
กำรแก้ไขควำมรุนแรงในครอบครัวมีควำมละเอียดอ่อน ซับซ้อน เกี่ยวกับบุคคลใกล้ชิด

มีลักษณะพิเศษแตกต่ำงจำกกำรท�ำร้ำยร่ำงกำยระหว่ำงบุคคลท่วไป กำรใช้มำตรกำร
ทำงอำญำตำมประมวลกฎหมำยอำญำมำบังคับกับกำรกระท�ำด้วยควำมรุนแรง

ในครอบครัวจึงไม่เหมำะสมเน่องจำกกฎหมำยอำญำมีเจตนำท่จะลงโทษผู้กระท�ำควำมผิด

มำกกว่ำท่จะแก้ไขฟื้นฟูผู้กระท�ำควำมผิด หรือปกป้องคุ้มครองผู้ท่ถูกกระท�ำด้วย






ควำมรุนแรงในครอบครัวโดยมรปแบบ วธีกำร และข้นตอนทมีลกษณะแตกต่ำงจำก




กำรด�ำเนินคดีอำญำโดยท่วไป โดยให้ผู้กระท�ำควำมผิดมีโอกำสกลับตัวและยับย้ง


กำรกระท�ำควำมผิดซ้ำ รวมท้งสำมำรถรักษำควำมสัมพันธ์อันดีในครอบครัวไว้ได้

กำรที่มำตรำ ๔ วรรคสอง ได้บัญญัติให้ควำมผิดฐำนท�ำร้ำยร่ำงกำยตำม ป.อ. มำตรำ ๒๙๕
เป็นควำมผิดอันยอมควำมได้ เม่อพิจำรณำหลักกำรและเหตุผลในกำรตรำ พ.ร.บ.

คุ้มครองผู้ถูกกระท�ำด้วยควำมรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ จึงถือได้ว่ำควำมผิด
ตำมฟ้องฐำนทำร้ำยร่ำงกำยตำม ป.อ. มำตรำ ๒๙๕ เป็นฐำนควำมผดท่บัญญัติไว้ตำม



มำตรำ ๔ วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระท�ำด้วยควำมรุนแรงในครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๕๐ กรณีจึงไม่ใช่ควำมผิดตำมกฎหมำยอ่นท่ให้ด�ำเนินคดีต่อศำลท่มีอ�ำนำจ





พิจำรณำควำมผิดตำมกฎหมำยอ่นตำมควำมหมำยของมำตรำ ๘ วรรคสอง ดังน้น
ควำมผิดท้งสองฐำนตำมฟ้องจึงต้องด�ำเนินคดีต่อศำลเยำวชนและครอบครัวตำม พ.ร.บ.

ศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓
มำตรำ ๑๐ (๕)
______________________________





964









โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์กบจำเลยอย่กินฉนสำมภริยำโดยมได้จดทะเบียนสมรส มบตร
๑ คน คือ เด็กชำย ณ. อำยุ ๓ ปีเศษ ซึ่งจ�ำเลยรับรองบุตรแล้ว เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวำคม ๒๕๖๑
เวลำกลำงคืนหลังเท่ยง จ�ำเลยท�ำร้ำยร่ำงกำยโจทก์โดยใช้มือข้ำงซ้ำยบีบคอ ใช้ก�ำปั้นขวำ

ชกต่อยท่ใบหน้ำและศีรษะของโจทก์อย่ำงแรงหลำยคร้ง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบำดเจ็บบริเวณ



ใต้ตำซ้ำยช้ำ โหนกแก้มซ้ำยบวมช้ำ ริมฝีปำกล่ำงข้ำงขวำแตก ปำกช้นในแตกและปวดศีรษะ




เป็นอันตรำยแก่กำย และวันท่ ๒๘ มกรำคม ๒๕๖๒ เวลำกลำงคืนก่อนเท่ยง จ�ำเลยท�ำร้ำยร่ำงกำย
โจทก์โดยใช้ก�ำปั้นขวำชกต่อยที่ใบหน้ำและศีรษะของโจทก์อย่ำงแรงหลำยครั้ง เป็นเหตุให้โจทก์

ได้รับบำดเจ็บบริเวณดวงตำด้ำนซ้ำยและด้ำนขวำฟกช้ำ โหนกแก้มซ้ำยบวมช้ำและปวดศีรษะ

อันเป็นอันตรำยแก่กำย กำรกระท�ำของจ�ำเลยมีเจตนำมุ่งประสงค์ให้เกิดอันตรำยแก่ร่ำงกำย
จิตใจ หรือสุขภำพของโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัวอันเป็นควำมรุนแรงในครอบครัว เหตุเกิด
ที่ต�ำบลบึงค�ำพร้อย อ�ำเภอล�ำลูกกำ จังหวัดปทุมธำนี ขอให้ลงโทษตำมประมวลกฎหมำยอำญำ
มำตรำ ๒๙๕, ๙๑ พระรำชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระท�ำด้วยควำมรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐
มำตรำ ๔
ศำลจังหวัดธัญบุรีไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีค�ำสั่งจ�ำหน่ำยคดีออกเสียจำกสำรบบควำม

โจทก์อุทธรณ์

ศำลอุทธรณ์ภำค ๑ พิจำรณำแล้ว ยกค�ำส่งศำลจังหวัดธัญบุรี ให้ศำลจังหวัดธัญบุร ี
เสนอปัญหำให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัย ตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชน

และครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๑
วินิจฉัยว่ำ พระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและ

ครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๐ (๕) บัญญัติให้ศำลเยำวชนและครอบครัวมีอ�ำนำจพิจำรณำ



พิพำกษำหรือมีค�ำส่งในคดีท่มีกฎหมำยบัญญัติให้เป็นอ�ำนำจหน้ำท่ของศำลเยำวชนและครอบครัว


คดีน้โจทก์ฟ้องว่ำจ�ำเลยท�ำร้ำยโจทก์ซ่งเป็นภริยำท่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสและเป็นบุคคล

ในครอบครัว เป็นเหตุให้เกิดอันตรำยแก่กำย ขอให้ลงโทษตำมประมวลกฎหมำยอำญำ
มำตรำ ๒๙๕ และพระรำชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระท�ำด้วยควำมรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐

มำตรำ ๔ ซ่งมำตรำ ๘ วรรคสอง แห่งพระรำชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระท�ำด้วยควำมรุนแรง

ในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติว่ำ “ในกรณีท่กำรกระท�ำควำมผิดตำมมำตรำ ๔ วรรคหน่ง




เป็นควำมผดกรรมเดยวกบควำมผดตำมกฎหมำยอน ให้ดำเนนคดควำมผดตำมมำตรำ ๔










วรรคหน่ง ต่อศำลรวมไปกับควำมผิดตำมกฎหมำยอ่นน้น เว้นแต่ควำมผิดตำมกฎหมำยอ่น





น้นมีอัตรำโทษสูงกว่ำให้ด�ำเนินคดีต่อศำลท่มีอ�ำนำจพิจำรณำควำมผิดตำมกฎหมำยอ่นน้น...”


เม่อคดีน้โจทก์ฟ้องจ�ำเลยฐำนกระท�ำควำมรุนแรงในครอบครัวตำมมำตรำ ๔ วรรคหน่ง รวมมำ

965



กบฐำนทำร้ำยร่ำงกำยตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ ๒๙๕ โดยมำตรำ ๔ วรรคสอง
ได้บัญญัติให้ควำมผิดฐำนท�ำร้ำยร่ำงกำยตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ ๒๙๕ เป็นควำมผิด
อันยอมควำมได้ ซ่งปัญหำกำรแก้ไขควำมรุนแรงในครอบครัวมีควำมละเอียดอ่อน ซับซ้อน



เก่ยวกับบุคคลใกล้ชิดมีลักษณะพิเศษแตกต่ำงจำกกำรท�ำร้ำยร่ำงกำยระหว่ำงบุคคลท่วไป
กำรใช้มำตรกำรทำงอำญำตำมประมวลกฎหมำยอำญำมำบังคับกับกำรกระท�ำด้วยควำมรุนแรง


ในครอบครัวจึงไม่เหมำะสมเน่องจำกกฎหมำยอำญำมีเจตนำท่จะลงโทษผู้กระท�ำควำมผิดมำกกว่ำ




ื้

ู้




ทจะแก้ไขฟนฟูผกระท�ำควำมผิด หรือปกปองค้มครองผ้ทถกกระทำด้วยควำมรนแรงในครอบครว


โดยมีรูปแบบ วิธีกำรและขั้นตอนที่มีลักษณะแตกต่ำงจำกกำรด�ำเนินคดีอำญำโดยทั่วไป โดยให้












ผ้กระทำควำมผดมโอกำสกลับตวและยบย้งกำรกระทำควำมผดซำ รวมทงสำมำรถรักษำควำม


สัมพันธ์อันดีในครอบครัวไว้ได้ กำรท่มำตรำ ๔ วรรคสอง ได้บัญญัติให้ควำมผิดฐำนท�ำร้ำยร่ำงกำย
ตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ ๒๙๕ เป็นควำมผิดอันยอมควำมได้ เมื่อพิจำรณำหลักกำร
และเหตุผลในกำรตรำพระรำชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระท�ำด้วยควำมรุนแรงในครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๕๐จึงถือได้ว่ำ ควำมผิดตำมฟ้องฐำนท�ำร้ำยร่ำงกำยตำมประมวลกฎหมำยอำญำ
มำตรำ ๒๙๕ เป็นฐำนควำมผิดที่บัญญัติไว้ตำมมำตรำ ๔ วรรคสอง แห่งพระรำชบัญญัติคุ้มครอง
ผู้ถูกกระท�ำด้วยควำมรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ กรณีจึงไม่ใช่ควำมผิดตำมกฎหมำยอ่น





ทให้ดำเนนคดต่อศำลทมอำนำจพจำรณำควำมผดตำมกฎหมำยอนตำมควำมหมำยของ











มำตรำ ๘ วรรคสอง ดังน้น ควำมผิดท้งสองฐำนตำมฟ้องจึงต้องด�ำเนินคดีต่อศำลเยำวชน
และครอบครัวตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและ
ครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๐ (๕)
วินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว
วินิจฉัย ณ วันที่ ๑๒ เดือน มิถุนำยน พุทธศักรำช ๒๕๖๓
ไมตรี สุเทพำกุล
(นำยไมตรี สุเทพำกุล)
ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
รุ่งระวี โสขุมำ - ย่อ
พำชื่น แสงจันทร์เทศ - ตรวจ
966

ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ พนักงำนอัยกำร โจทก์

ที่ วยช ๑๐๗/๒๕๖๓ จังหวัดพิษณุโลก

นำย อ. จ�ำเลย



โจทก์ฟ้องว่ำ จ�ำเลยเข้ำไปก่อสร้ำง ก่นสร้ำง แผ้วถำง เผำป่ำ และเข้ำยึดถือ




ครอบครองท�ำประโยชน์ในท่ดินเพ่อตนเองซ่งอยู่ภำยในเขตป่ำสงวนแห่งชำต จ�ำเลย




ให้กำรปฏิเสธ ระหว่ำงพจำรณำ จ�ำเลยแถลงยืนยันโดยโจทก์ไม่คดค้ำนได้ควำมวำ จ�ำเลย



เข้ำครอบครองและท�ำประโยชน์ในท่ดินท่เกิดเหตุมำต้งแต่ปี ๒๕๕๓ ซ่งจ�ำเลยมีอำย ๑๓ ปี






จนกระท่งถูกจับกุมในวันท ๑๕ มิถุนำยน ๒๕๕๘ และต้นยำงพำรำท่ปลูกไว้ในท่ดิน

ที่เกิดเหตุมีอำยุ ๓ ถึง ๗ ปี ย่อมแสดงให้เห็นว่ำ วันที่จ�ำเลยกระท�ำควำมผิดส่วนหนึ่งอยู่



ในช่วงเวลำท่จ�ำเลยมีอำยุไม่ถึงสิบแปดปีบริบูรณ์ เม่อกำรกระท�ำควำมผิดเร่มต้นขณะ

จ�ำเลยอำยุไม่ถึงสิบแปดปีบริบูรณ์เร่อยมำจนจ�ำเลยมีอำยุเกินกว่ำสิบแปดปีบริบูรณ์

ดังน ต้องถือว่ำจ�ำเลยกระท�ำควำมผิดขณะเป็นเยำวชน คดีน้จึงอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำ


พิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว
______________________________
โจทก์ฟ้องว่ำ เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนำยน ๒๕๕๘ เวลำกลำงวัน จ�ำเลยบุกรุกเข้ำไปก่อสร้ำง
ก่นสร้ำง แผ้วถำง เผำป่ำ และเข้ำยึดถือครอบครองท�ำประโยชน์ในท่ดินเพ่อตนเองบริเวณป่ำ




ท้ำยหมู่บ้ำนห้วยเฮ้ย หมู่ท่ ๓ ต�ำบลห้วยเฮ้ย อ�ำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ซ่งอยู่ภำยใน


เขตป่ำสงวนแห่งชำติป่ำเนินเพิ่ม โดยจ�ำเลยปรับพื้นที่ดินแล้วปลูกต้นยำงพำรำ ๑ แปลง เนื้อที่
๖๑ ไร่ ๑ งำน ๔๔ ตำรำงวำ คิดเป็นค่ำเสียหำยของรัฐเป็นเงิน ๓,๔๗๕,๖๔๐ บำท อันเป็นกำร
บุกรุก ก่อสร้ำง ก่นสร้ำง แผ้วถำง เผำป่ำ หรือกระท�ำด้วยประกำรใด ๆ อันเป็นกำรท�ำลำยป่ำ
และเป็นกำรท�ำให้เสื่อมเสียแก่สภำพป่ำสงวนแห่งชำติ และเข้ำไปยึดถือครอบครองท�ำประโยชน์




หรืออยู่อำศัยในท่ดินในเขตป่ำสงวนแห่งชำติ และป่ำซ่งเป็นท่ดินของรัฐเพ่อตนเองหรือผู้อ่น













โดยไม่ชอบด้วยกฎหมำย และได้กระทำต่อพนทป่ำสงวนแห่งชำตเป็นเนอทเกนยสบห้ำไร่






ท้งพ้นท่ดังกล่ำวมิได้อยู่ในเขตท่ได้จ�ำแนกไว้เป็นประเภทเกษตรกรรม และรัฐมนตรีได้ประกำศ

ในรำชกิจจำนุเบกษำ ท้งน้โดยจ�ำเลยไม่ได้รับใบอนุญำตจำกพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ หรือได้รับกำร




ยกเว้นใด ๆ อันเป็นกำรฝ่ำฝืนต่อกฎหมำย เหตุเกิดท่ต�ำบลห้วยเฮ้ย อ�ำเภอนครไทย จังหวัด

967

พิษณุโลก ขอให้ลงโทษตำมพระรำชบัญญัติป่ำสงวนแห่งชำติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มำตรำ ๔, ๕, ๖,

๘, ๙, ๑๔, ๒๖/๔, ๒๖/๕, ๓๑ พระรำชบัญญัติป่ำไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มำตรำ ๔, ๕๔, ๕๕, ๗๒ ตรี








ประมวลกฎหมำยทดน พ.ศ. ๒๔๙๗ มำตรำ ๙ (๑), ๑๐๘ ทว ให้จำเลย คนงำน ผ้รบจ้ำง



ผู้แทน และบริวำรออกจำกท่ดินในเขตป่ำสงวนแห่งชำติท่เกิดเหตุ และให้ร้อถอนส่งปลูกสร้ำงหรือ


น�ำส่งใด ๆ อันก่อให้เกิดกำรเส่อมเสียสภำพป่ำสงวนแห่งชำติออกจำกป่ำสงวนแห่งชำติภำยใน

ระยะเวลำที่ก�ำหนด กับให้จ�ำเลยชดใช้ค่ำเสียหำยแก่กรมป่ำไม้เป็นเงิน ๓,๔๗๕,๖๔๐ บำท
จ�ำเลยให้กำรปฏิเสธ
ระหว่ำงพิจำรณำ จ�ำเลยแถลงว่ำ จ�ำเลยเกิดเม่อวันท่ ๒๐ เมษำยน ๒๕๔๐ จ�ำเลย


รับโอนที่ดินที่เกิดเหตุมำจำกบิดำจ�ำเลยเมื่อปี ๒๕๕๓ ขณะจ�ำเลยมีอำยุ ๑๓ ปี จำกนั้นจึงปลูก
ต้นยำงพำรำ ๒ ครั้ง และครอบครองที่ดินดังกล่ำวเรื่อยมำจนกระทั่งเจ้ำพนักงำนป่ำไม้เข้ำตรวจ
พ้นท่และยึดท่ดินดังกล่ำวเม่อเดือนมิถุนำยน ๒๕๕๘ ปัจจุบันต้นยำงพำรำมีอำยุ ๓ ถึง ๗ ปี







โจทก์แถลงว่ำ ท่ดินท่เกิดเหตุมีบุคคลครอบครองและท�ำประโยชน์อยู่ก่อนวันท่เจ้ำพนักงำนป่ำไม้
เข้ำยึดที่ดินดังกล่ำว จำกกำรตรวจสอบภำพถ่ำยจำกดำวเทียมพบว่ำ ในปี ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๗





มีกำรปลูกต้นยำงพำรำเต็มพ้นท่ของท่ดินท่เกิดเหตุ และขณะเจ้ำพนักงำนป่ำไม้เข้ำยึดท่ดินดังกล่ำว
ต้นยำงพำรำมีอำยุ ๓ ถึง ๗ ปี

ศำลจังหวัดพิษณุโลกเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีน้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำ
ของศำลเยำวชนและครอบครัวหรือไม่ จึงส่งส�ำนวนให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
วินิจฉัย ตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๑
วินิจฉัยว่ำ พระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและ

ครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๐ บัญญัติว่ำ ศำลเยำวชนและครอบครัวมีอ�ำนำจพิจำรณำ

พิพำกษำหรือมีค�ำสั่งในคดีดังต่อไปนี้ (๑) คดีอำญำที่มีข้อหำว่ำเด็กหรือเยำวชนกระท�ำควำมผิด
มำตรำ ๔ บัญญัติว่ำ “เด็ก” หมำยควำมว่ำ บุคคลซ่งมีอำยุเกินกว่ำอำยุท่ก�ำหนดไว้ตำมมำตรำ ๗๓


แห่งประมวลกฎหมำยอำญำ แต่ยังไม่เกินสิบห้ำปีบริบูรณ์ “เยำวชน” หมำยควำมว่ำ บุคคล

อำยุเกินสิบห้ำปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่ถึงสิบแปดปีบริบูรณ์ และมำตรำ ๕ บัญญัติว่ำ คดีอำญำ











ทมข้อหำว่ำเดกหรอเยำวชนกระทำควำมผด ให้ถออำยเดกหรอเยำวชนนนในวนทกำรกระทำ










ควำมผิดได้เกิดข้น ดังน้ เม่อปรำกฏตำมรำยงำนกระบวนพิจำรณำของศำลจังหวัดพิษณุโลก
ลงวันท่ ๑๒ พฤศจิกำยน ๒๕๖๓ ประกอบกับส�ำเนำบัตรประจ�ำตัวประชำชนของจ�ำเลยว่ำ

968





จ�ำเลยเกิดเม่อวันท่ ๒๐ เมษำยน ๒๕๔๐ จ�ำเลยจึงมีอำยุครบสิบแปดปีบริบูรณ์เม่อวันท่ ๑๙
เมษำยน ๒๕๕๘ และจ�ำเลยแถลงยืนยันโดยโจทก์ไม่คัดค้ำนได้ควำมว่ำ จ�ำเลยเข้ำครอบครอง
และท�ำประโยชน์ในที่ดินที่เกิดเหตุมำตั้งแต่ปี ๒๕๕๓ ซึ่งจ�ำเลยมีอำยุ ๑๓ ปี จนกระทั่งถูกจับกุม




ในวันท่ ๑๕ มิถุนำยน ๒๕๕๘ และต้นยำงพำรำท่ปลูกไว้ในท่ดินท่เกิดเหตุมีอำยุ ๓ ถึง ๗ ปี
















ย่อมแสดงให้เหนว่ำ วนทจำเลยกระทำควำมผดส่วนหนงอย่ในช่วงเวลำทจำเลยมอำยไม่ถง
สิบแปดปีบริบูรณ์ เมื่อกำรกระท�ำควำมผิดเริ่มต้นขณะจ�ำเลยอำยุไม่ถึงสิบแปดปีบริบูรณ์เรื่อยมำ

จนจ�ำเลยมีอำยุเกินกว่ำสิบแปดปีบริบูรณ์ ดังน้ ต้องถือว่ำจ�ำเลยกระท�ำควำมผิดขณะเป็นเยำวชน
คดีน้จึงอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว ตำมพระรำชบัญญัต ิ

ศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๐ (๑)
วินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว
วินิจฉัย ณ วันที่ ๒ เดือน ธันวำคม พุทธศักรำช ๒๕๖๓
ภำวนำ สุคันธวณิช
(นำงสำวภำวนำ สุคันธวณิช)
ผู้พิพำกษำศำลฎีกำ ช่วยท�ำงำนชั่วครำวในต�ำแหน่ง

ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ




รัสรินทร์ อริยพัชญ์พล - ย่อ

พำชื่น แสงจันทร์เทศ - ตรวจ

























969

ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ พนักงำนอัยกำร โจทก์

ที่ วยช ๔/๒๕๖๔ จังหวัดนรำธิวำส

นำย ส. จ�ำเลย







พ.ร.บ. ศำลเยำวชนและครอบครัวและวธพจำรณำคดเยำวชนและครอบครว
พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๐(๕) บัญญัติให้ศำลเยำวชนและครอบครัวมีอ�ำนำจพิจำรณำ



พิพำกษำหรือมีค�ำส่งในคดีท่มีกฎหมำยบัญญัติให้เป็นอ�ำนำจหน้ำท่ของศำลเยำวชน
และครอบครัว คดีน้โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำจ�ำเลยท�ำร้ำยร่ำงกำยผู้เสียหำยซ่งเป็นบิดำ


ของจ�ำเลย โดยชกต่อยบริเวณใบหน้ำเป็นเหตุให้มีบำดแผลฉีกขำดบริเวณค้วขวำและ



ตำขวำบวมแดง อนเป็นกำรกระทำควำมรุนแรงในครอบครว ขอให้ลงโทษตำม ป.อ.


และ พ.ร.บ. ส่งเสริมกำรพัฒนำและค้มครองสถำบนครอบครัว พ.ศ. ๒๕๖๒ ซ่ง พ.ร.บ.



ส่งเสริมกำรพัฒนำและคุ้มครองสถำบันครอบครัว พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้มีกำรแก้ไขเพ่มเติมโดย

พ.ร.ก. แก้ไขเพ่มเติมพระรำชบัญญัติส่งเสริมกำรพัฒนำและคุ้มครองสถำบันครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยมำตรำ ๓ ให้ยกเลิกมำตรำ ๒ เดิม และให้ พ.ร.บ. ส่งเสริมกำรพัฒนำและ
คุ้มครองสถำบันครอบครัว พ.ศ. ๒๕๖๒ จะใช้บังคับเม่อใดให้ตรำเป็นพระรำชกฤษฎีกำ


ส่วนมำตรำ ๔ บัญญัติให้ในระหว่ำงท่ยังไม่มีกำรตรำพระรำชกฤษฎีกำตำมมำตรำ ๒

แห่ง พ.ร.บ. ส่งเสริมกำรพัฒนำและคุ้มครองสถำบันครอบครัว พ.ศ. ๒๕๖๒ ซ่งแก้ไข

เพ่มเติมโดยพระรำชก�ำหนดน้ให้ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระท�ำด้วยควำมรุนแรงใน




ครอบครว พ.ศ. ๒๕๕๐ ยงคงมผลใช้บงคบ ปัจจบนยงไม่มกำรตรำพระรำชกฤษฎกำให้







ใช้บังคับจึงต้องบังคับตำม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระท�ำด้วยควำมรุนแรงในครอบครัว

พ.ศ. ๒๕๕๐ เม่อโจทก์บรรยำยฟ้องว่ำจ�ำเลยกระท�ำควำมรุนแรงในครอบครัว ซ่งแม้จะ

ขอให้ลงโทษตำม พ.ร.บ. ส่งเสริมกำรพัฒนำและคุ้มครองสถำบันครอบครัว พ.ศ. ๒๕๖๒
มำตรำ ๔, ๓๖ แต่ก็เป็นควำมผิดที่บัญญัติไว้ในมำตรำ ๔ วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ. คุ้มครอง
ผู้ถูกกระท�ำด้วยควำมรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ กับควำมผิดฐำนท�ำร้ำยร่ำงกำย

ตำม ป.อ. มำตรำ ๒๙๕ และ ๒๙๖ ท่มำตรำ ๘ วรรคสอง บัญญัติว่ำ “ในกรณีท่กำร


กระท�ำควำมผิดตำมมำตรำ ๔ วรรคหน่ง เป็นควำมผิดกรรมเดียวกับควำมผิดตำม
กฎหมำยอื่น ให้ด�ำเนินคดีควำมผิดตำมมำตรำ ๔ วรรคหนึ่ง ต่อศำลรวมไปกับควำมผิด



ตำมกฎหมำยอ่นน้น เว้นแต่ควำมผิดตำมกฎหมำยอ่นน้นมีอัตรำโทษสูงกว่ำให้ด�ำเนิน

970


















คดต่อศำลทมอ�ำนำจพจำรณำควำมผดตำมกฎหมำยอนน้น...” เมอคดนมปัญหำทจะ
ต้องพิจำรณำว่ำกำรกระท�ำของจ�ำเลยเป็นกำรกระท�ำควำมรุนแรงในครอบครัวตำม
พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระท�ำด้วยควำมรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ มำตรำ ๔ วรรคหนึ่ง
และเป็นควำมผิดฐำนท�ำร้ำยร่ำงกำยตำม ป.อ. มำตรำ ๒๙๕ โดยตำมมำตรำ ๔ วรรคสอง
ได้บัญญัติให้ควำมผิดฐำนท�ำร้ำยร่ำงกำยตำม ป.อ. มำตรำ ๒๙๕ เป็นควำมผิด
อันยอมควำมได้ ซ่งกำรแก้ไขปัญหำควำมรุนแรงในครอบครัวมีควำมละเอียดอ่อน

ซับซ้อนและเก่ยวข้องกับบุคคลใกล้ชิด จึงมีลักษณะพิเศษโดยมีรูปแบบ วิธีกำร และข้นตอน




ท่มีลักษณะแตกต่ำงจำกกำรด�ำเนินคดีอำญำโดยท่วไป กำรน�ำมำตรกำรทำงอำญำตำม
ป.อ. มำใช้บังคับกับกำรกระท�ำด้วยควำมรุนแรงในครอบครัวจึงไม่เหมำะสม เน่องจำก



กำรพิจำรณำคดีอำญำในศำลอ่นมีควำมมุ่งหมำยท่จะลงโทษผู้กระท�ำควำมผิดมำกกว่ำ

กำรพิจำรณำคดีในศำลเยำวชนและครอบครัวท่มุ่งแก้ไขฟื้นฟูผู้กระท�ำควำมผิด หรือ











ปกป้องค้มครองผ้ทถกกระทำควำมรนแรงในครอบครว โดยผ้กระทำควำมผดมโอกำส



กลับตัวและยับย้งกำรกระท�ำควำมผิดซ้ำ รวมท้งสำมำรถรักษำควำมสัมพันธ์อันด ี


ในครอบครัวไว้ กำรท่มำตรำ ๔ วรรคสอง ได้บัญญัติให้ควำมผิดฐำนท�ำร้ำยร่ำงกำย
ตำม ป.อ. มำตรำ ๒๙๕ เป็นควำมผดอนยอมควำมได้ เมอพจำรณำประกอบเหตผล






ในกำรตรำ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระท�ำด้วยควำมรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ จึงถือ





ไดวำควำมผดตำมฟองฐำนทำรำยรำงกำยตำม ป.อ. มำตรำ ๒๙๕ เปนควำมผดทไดบญญต ิ











ไว้ตำมมำตรำ ๔ วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. ค้มครองผถกกระทำดวยควำมรุนแรงในครอบครว



ู้

พ.ศ. ๒๕๕๐ ด้วย ส่วนท่โจทก์ฟ้องในควำมผิดฐำนท�ำร้ำยร่ำงกำยตำม ป.อ. มำตรำ ๒๙๖ ด้วย
เพรำะผู้เสียหำยเป็นบุพกำรีโดยเป็นบิดำของจ�ำเลยอันเป็นบุคคลในครอบครัว

จึงเป็นเหตุฉกรรจ์ของมำตรำ ๒๙๕ ให้ต้องรับโทษหนักข้นเท่ำน้น กรณียังเป็นควำม




ผิดตำม ป.อ. มำตรำ ๒๙๕ จึงไม่ใช่ควำมผิดตำมกฎหมำยอ่นท่ให้ด�ำเนินคดีต่อศำลท่ม ี


อ�ำนำจพิจำรณำควำมผิดตำมกฎหมำยอ่นตำมควำมหมำยของมำตรำ ๘ วรรคสอง ดังน้น
ควำมผิดทั้งสองฐำนจึงอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัว
_______________________________

971



โจทก์ฟ้องว่ำ เม่อวันท่ ๒๔ ธันวำคม ๒๕๖๓ เวลำกลำงวัน จ�ำเลยได้บังอำจท�ำร้ำย
ร่ำงกำยนำย อ. ผู้เสียหำย ซึ่งเป็นบิดำของจ�ำเลย โดยกำรชกต่อยที่บริเวณใบหน้ำของผู้เสียหำย





อย่ำงแรงหลำยครง ท�ำให้มบำดแผลฉีกขำดบริเวณค้วขวำและตำขวำบวมแดงปรำกฏ
ตำมใบรับรองแพทย์ท้ำยฟ้อง อันเป็นกำรกระท�ำควำมรุนแรงในครอบครัว เหตุเกิดที่ต�ำบลบองอ
อ�ำเภอระแงะ จังหวัดนรำธิวำส ขอให้ลงโทษตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ ๒๙๕, ๒๙๖
พระรำชบัญญัติส่งเสริมกำรพัฒนำและคุ้มครองสถำบันครอบครัวพ.ศ. ๒๕๖๒ มำตรำ ๔, ๓๖
จ�ำเลยให้กำรรับสำรภำพตำมฟ้อง

ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดนรำธิวำสเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีน้อยู่ในอ�ำนำจ

พิจำรณำพิพำกษำของศำลเยำวชนและครอบครัวหรือไม่ จึงเสนอปัญหำให้ประธำนศำลอุทธรณ์

คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติศำลเยำวชนและครอบครัวและวิธีพิจำรณำคดีเยำวชน

และครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มำตรำ ๑๑
วินิจฉัยว่ำ คดีนี้โจทก์บรรยำยฟ้องว่ำจ�ำเลยได้ท�ำร้ำยร่ำงกำยนำย อ. ผู้เสียหำยซึ่งเป็น


บิดำของจ�ำเลย โดยชกต่อยบริเวณใบหน้ำเป็นเหตุให้มีบำดแผลฉีกขำดบริเวณค้วขวำและ
ตำขวำบวมแดง อันเป็นกำรกระท�ำควำมรุนแรงในครอบครัว ขอให้ลงโทษตำมประมวลกฎหมำย
อำญำ มำตรำ ๒๙๕, ๒๙๖ และพระรำชบัญญัติส่งเสริมกำรพัฒนำและคุ้มครองสถำบันครอบครัว

พ.ศ. ๒๕๖๒ มำตรำ ๔, ๓๖ ซึ่งพระรำชบัญญัติส่งเสริมกำรพัฒนำและคุ้มครองสถำบันครอบครัว



พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้มีกำรแก้ไขเพ่มเติมโดยพระรำชก�ำหนดแก้ไขเพ่มเติมพระรำชบัญญัติส่งเสริม
กำรพัฒนำและคุ้มครองสถำบันครอบครัว พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยมำตรำ ๓ ให้ยกเลิกมำตรำ ๒ เดิม

และให้พระรำชบัญญัติส่งเสริมกำรพัฒนำและคุ้มครองสถำบันครอบครัว พ.ศ. ๒๕๖๒ จะใช้
บังคับเม่อใดให้ตรำเป็นพระรำชกฤษฎีกำ ส่วนมำตรำ ๔ บัญญัติให้ในระหว่ำงท่ยังไม่มีกำรตรำ


พระรำชกฤษฎีกำตำมมำตรำ ๒ แห่งพระรำชบัญญัติส่งเสริมกำรพัฒนำและคุ้มครองสถำบัน



ครอบครัว พ.ศ. ๒๕๖๒ ซ่งแก้ไขเพ่มเติมโดยพระรำชก�ำหนดน้ให้พระรำชบัญญัติคุ้มครอง

ผู้ถูกกระท�ำด้วยควำมรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ ยังคงมีผลใช้บังคับ ปัจจุบันยังไม่ม ี
กำรตรำพระรำชกฤษฎีกำให้ใช้บังคับจึงต้องบังคับตำมพระรำชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระท�ำ


ด้วยควำมรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ เม่อโจทก์บรรยำยฟ้องว่ำจ�ำเลยกระท�ำควำม
รุนแรงในครอบครัว ซ่งแม้จะขอให้ลงโทษตำมพระรำชบัญญัติส่งเสริมกำรพัฒนำและคุ้มครอง

สถำบันครอบครัว พ.ศ. ๒๕๖๒ มำตรำ ๔, ๓๖ แต่ก็เป็นควำมผิดท่บัญญัติไว้ในมำตรำ ๔ วรรคหน่ง


แห่งพระรำชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระท�ำด้วยควำมรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ กับควำมผิด



972


Click to View FlipBook Version