องค์ประกอบระหว่ำงประเทศหรือเข้ำกรณีใดกรณีหนึ่งตำมมำตรำ ๗ (๓) ถึง (๑๐) คดีนี้จึงมิใช่
ี
ื
ั
คดีแพ่งเก่ยวกับอนุญำโตตุลำกำรเพ่อระงับข้อพิพำทตำมมำตรำ ๗ (๑๑) แห่งพระรำชบัญญัติจัดต้ง
ศำลทรัพย์สินทำงปัญญำและกำรค้ำระหว่ำงประเทศและวิธีพิจำรณำคดีทรัพย์สินทำงปัญญำและ
กำรค้ำระหว่ำงประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙
ี
วินิจฉัยว่ำ คดีน้ไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลทรัพย์สินทำงปัญญำและ
กำรค้ำระหว่ำงประเทศ
วินิจฉัย ณ วันที่ ๑๗ เดือน กันยำยน พุทธศักรำช ๒๕๖๓
ไมตรี สุเทพำกุล
(นำยไมตรี สุเทพำกุล)
ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
ณัฐจิรำ ขันทอง - ย่อ
นิภำ ชัยเจริญ - ตรวจ
373
ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ บริษัทสแกน อินเตอร์ จ�ำกัด
ที่ วทป ๔๔/๒๕๖๔ (มหำชน) โจทก์
บริษัทอีโค่ โอเรียนท์ รีซอสเซส
(ประเทศไทย) จ�ำกัด จ�ำเลย
ี
ึ
ผู้ร้องขอให้บังคับตำมค�ำช้ขำดของอนุญำโตตุลำกำรท่ระงับข้อพิพำทอันเกิดข้น
ี
ึ
ื
ตำมสัญญำซ้อขำยก๊ำซระหว่ำงผู้ร้องกับผู้คัดค้ำนซ่งต่ำงเป็นนิติบุคคลจดทะเบียนใน
ึ
ประเทศไทย สัญญำฉบับดังกล่ำวจัดท�ำข้นในประเทศไทย และคู่สัญญำตกลงให้ส่งมอบ
ุ
ี
่
่
ี
ี
ก๊ำซในประเทศไทย มใช่คดีแพ่งเก่ยวกับอนญำโตตลำกำรเพอระงบข้อพพำททเกยวกบ
ุ
ิ
่
ั
ั
ิ
ื
กำรซื้อขำยระหว่ำงประเทศ
_____________________________
ผู้ร้องยื่นค�ำร้องขอว่ำ ผู้ร้องเป็นบริษัทมหำชนจ�ำกัดจดทะเบียนตำมกฎหมำยไทย ส่วน
ผู้คัดค้ำนเป็นบริษัทจ�ำกัดจดทะเบียนตำมกฎหมำยไทย ผู้ร้องและผู้คัดค้ำนท�ำสัญญำซ้อขำยก๊ำซ
ื
ี
ต่อมำผู้คัดค้ำนผิดสัญญำ เป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับควำมเสียหำย ผู้ร้องจึงเสนอข้อพิพำทท่เกิดข้นต่อ
ึ
สถำบันอนุญำโตตุลำกำร ส�ำนักอนุญำโตตุลำกำร ส�ำนักงำนศำลยุติธรรม เมื่อวันที่ ๒๒ มีนำคม
๒๕๖๔ คณะอนุญำโตตุลำกำรมีค�ำชี้ขำดให้ผู้คัดค้ำนช�ำระเงิน ๔๐,๗๑๒,๔๓๘.๓๔ บำท พร้อม
ดอกเบี้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจ�ำนวนดังกล่ำว นับแต่วันถัดจำกวันเสนอข้อพิพำท
จนกว่ำผู้คัดค้ำนจะช�ำระเสร็จแก่ผู้ร้อง ผู้คัดค้ำนได้รับส�ำเนำค�ำชี้ขำดแล้วแต่เพิกเฉยไม่ช�ำระเงิน
แก่ผู้ร้อง ขอให้มีค�ำส่งบังคับตำมค�ำช้ขำดของคณะอนุญำโตตุลำกำร สถำบันอนุญำโตตุลำกำร
ี
ั
ส�ำนักอนุญำโตตุลำกำร ส�ำนักงำนศำลยุติธรรม
ุ
ี
ุ
ั
้
้
ื
ั
ผ้คดคำนย่นคำคัดคำนวำ คำชขำดของคณะอนญำโตตุลำกำร สถำบนอนญำโตตุลำกำร
ู
่
้
�
�
ส�ำนักอนุญำโตตุลำกำร ส�ำนักงำนศำลยุติธรรม คลำดเคล่อนไปจำกข้อเท็จจริงและข้อกฎหมำย
ื
มิได้เป็นไปตำมข้อสัญญำ และมิได้ค�ำนึงถึงธรรมเนียมปฏิบัติทำงกำรค้ำท่ใช้กับธุรกรรม
ี
คณะอนุญำโตตุลำกำรวินิจฉัยเกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในกำรเสนอข้อพิพำท ผู้คัดค้ำนย่นค�ำร้อง
ื
ี
ขอให้ศำลเพิกถอนค�ำช้ขำดของคณะอนุญำโตตุลำกำรต่อศำลแพ่งแล้ว กำรบังคับตำมค�ำช้ขำด
ี
�
ู
ี
ี
ี
จะเป็นกำรขดต่อควำมสงบเรยบร้อยและศลธรรมอนดของประชำชน คดนไม่อย่ในอำนำจ
ั
ี
ี
้
ั
พิจำรณำพิพำกษำของศำลทรัพย์สินทำงปัญญำและกำรค้ำระหว่ำงประเทศ ขอให้ยกค�ำร้อง
ในระหว่ำงพิจำรณำ ผู้คัดค้ำนยื่นค�ำร้องว่ำ คดีนี้มิใช่คดีแพ่งเกี่ยวกับอนุญำโตตุลำกำร
เพ่อระงับข้อพิพำทตำมพระรำชบัญญัติจัดต้งศำลทรัพย์สินทำงปัญญำและกำรค้ำระหว่ำงประเทศ
ื
ั
และวิธีพิจำรณำคดีทรัพย์สินทำงปัญญำและกำรค้ำระหว่ำงประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มำตรำ ๗ (๓)
ถึง (๑๐) และไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลทรัพย์สินทำงปัญญำและกำรค้ำ
374
ั
้
่
ิ
่
ั
์
ระหวำงประเทศตำมมำตรำ ๗ (๑๑) ศำลทรพยสนทำงปญญำและกำรคำระหวำงประเทศกลำง
พิจำรณำแล้วเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีน้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลทรัพย์สิน
ี
ั
ี
ทำงปัญญำและกำรค้ำระหว่ำงประเทศหรือไม่ จึงให้รอกำรพิจำรณำพิพำกษำคดีน้ไว้ช่วครำวแล้ว
เสนอปัญหำดังกล่ำวให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษเป็นผู้วินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัต ิ
จัดต้งศำลทรัพย์สินทำงปัญญำและกำรค้ำระหว่ำงประเทศและวิธีพิจำรณำคดีทรัพย์สินทำงปัญญำ
ั
และกำรค้ำระหว่ำงประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มำตรำ ๙
ี
ี
ี
วินิจฉัยว่ำ คดีน้เป็นคดีแพ่งเก่ยวกับอนุญำโตตุลำกำรเพ่อระงับข้อพิพำทท่เก่ยวกับ
ื
ี
กำรซ้อขำยระหว่ำงประเทศตำมพระรำชบัญญัติจัดต้งศำลทรัพย์สินทำงปัญญำและกำรค้ำ
ื
ั
ระหว่ำงประเทศและวิธีพิจำรณำคดีทรัพย์สินทำงปัญญำและกำรค้ำระหว่ำงประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙
มำตรำ ๗ (๑๑) ประกอบมำตรำ ๗ (๕) หรือไม่ เห็นว่ำ คดีนี้ผู้ร้องขอให้บังคับตำมค�ำชี้ขำดของ
ี
ื
ึ
อนุญำโตตุลำกำรท่ระงับข้อพิพำทอันเกิดข้นตำมสัญญำซ้อขำยก๊ำซระหว่ำงผู้ร้องกับผู้คัดค้ำน
ึ
ึ
ซ่งต่ำงเป็นนิติบุคคลจดทะเบียนในประเทศไทย สัญญำฉบับดังกล่ำวจัดท�ำข้นในประเทศไทย
และคู่สัญญำตกลงให้ส่งมอบก๊ำซในประเทศไทย ลักษณะของสัญญำระหว่ำงผู้ร้องกับผู้คัดค้ำน
ี
อันเป็นมูลแห่งข้อพิพำทท่เสนอให้อนุญำโตตุลำกำรช้ขำดจึงไม่ใช่สัญญำซ้อขำยระหว่ำงประเทศ
ื
ี
ี
ื
กำรท่ผู้ร้องย่นค�ำร้องขอให้บังคับตำมค�ำช้ขำดย่อมมิใช่คดีแพ่งเก่ยวกับอนุญำโตตุลำกำรเพ่อ
ี
ื
ี
ระงับข้อพิพำทท่เก่ยวกับกำรซ้อขำยระหว่ำงประเทศซ่งอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ
ึ
ื
ี
ี
ศำลทรัพย์สินทำงปัญญำและกำรค้ำระหว่ำงประเทศตำมมำตรำ ๗ (๑๑) ประกอบมำตรำ ๗ (๕)
แห่งพระรำชบัญญัติจัดต้งศำลทรัพย์สินทำงปัญญำและกำรค้ำระหว่ำงประเทศและวิธีพิจำรณำคด ี
ั
ทรัพย์สินทำงปัญญำและกำรค้ำระหว่ำงประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙
วินิจฉัยว่ำ คดีน้ไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลทรัพย์สินทำงปัญญำและ
ี
กำรค้ำระหว่ำงประเทศ
วินิจฉัย ณ วันที่ ๒๓ เดือน พฤศจิกำยน พุทธศักรำช ๒๕๖๔
อโนชำ ชีวิตโสภณ
(นำงอโนชำ ชีวิตโสภณ)
อธิบดีผู้พิพำกษำศำลเยำวชนและครอบครัวกลำง
ช่วยท�ำงำนชั่วครำวในต�ำแหน่งประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
สุธรรม สุธัมนำถพงษ์ - ย่อ
นิภำ ชัยเจริญ - ตรวจ
375
รวมค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
คดีภำษีอำกร
376
ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ นำยประมวล เลี่ยวไพรัตน์ โจทก์
ที่ วภ ๖/๒๕๖๑ กรมสรรพำกร จ�ำเลย
โจทก์ฟ้องว่ำจ�ำเลยออกหนังสือแจ้งกำรประเมินภำษีเงินได้บุคคลธรรมดำให้
ี
ิ
นำย ป. กับพวกในฐำนะบุคคลในคณะบุคคลช�ำระภำษีพร้อมเบ้ยปรับเงินเพ่ม นำย ป.
ยื่นอุทธรณ์กำรประเมิน คณะกรรมกำรพิจำรณำอุทธรณ์มีค�ำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ นำย ป.
ฟ้องจ�ำเลยต่อศำลภำษีอำกร ต่อมำศำลฎีกำยกฟ้องโจทก์ กรณีจึงพ้นก�ำหนดระยะเวลำ
ที่จ�ำเลยมีสิทธิยึดและอำยัดทรัพย์สินของนำย ป. เพื่อช�ำระหนี้ภำษีอำกรตำม ป.รัษฎำกร
ึ
ิ
ิ
ื
่
่
ั
ั
�
่
ี
�
ึ
มำตรำ ๑๒ วรรคส แต่จำเลยออกคำสงยดทรพย์สนของนำย ป. ซงโจทก์ถอกรรมสทธ ์ ิ
ร่วมกับนำย ป. และพวก ขอให้เพิกถอนค�ำสั่งยึดทรัพย์ จ�ำเลยให้กำรว่ำ จ�ำเลยยึด อำยัด
และขำยทอดตลำดทรัพย์สินของนำย ป. ภำยใน ๑๐ ปี นับแต่ศำลฎีกำมีค�ำพิพำกษำตำม
ป.รัษฎำกร มำตรำ ๑๒ วรรคสี่ ประกอบ ป.วิ.พ. มำตรำ ๒๗๔ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพำทว่ำ
กำรที่จ�ำเลยมีค�ำสั่งยึดทรัพย์สินซึ่งเป็นที่ดินที่โจทก์ นำย ป. และพวก มีชื่อถือกรรมสิทธิ์
ร่วมกันออกขำยทอดตลำดเพื่อน�ำเงินมำช�ำระหนี้ค่ำภำษีอำกรชอบด้วยมำตรำ ๑๒ แห่ง
ี
ี
ป.รัษฎำกร หรือไม่ คดีโจทก์จึงเป็นข้อพิพำทเก่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหน้ค่ำภำษ ี
ั
อำกรตำมมำตรำ ๗ (๒) แห่ง พ.ร.บ. จัดต้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร
พ.ศ. ๒๕๒๘ คดีอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร
______________________________
ี
ื
โจทก์ฟ้องและแก้ไขค�ำฟ้องว่ำ เม่อวันท่ ๑๕ มีนำคม ๒๕๕๐ จ�ำเลยออกหนังสือแจ้ง
กำรประเมินภำษีเงินได้บุคคลธรรมดำให้นำยประชัย นำงเมธนี และนำยสมศักดิ์ ในฐำนะบุคคล
ในคณะบุคคลช�ำระภำษีเงินได้บุคคลธรรมดำพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มส�ำหรับปีภำษี ๒๕๓๙ ปี
ภำษี ๒๕๔๐ ปีภำษี ๒๕๔๑ (ครึ่งปี) ปีภำษี ๒๕๔๑ (เต็มปี) รวม ๔ ฉบับ โดยส่งให้นำยประชัย
ื
ี
ื
เม่อวันท่ ๒๑ มีนำคม ๒๕๕๐ นำยประชัยย่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมกำรพิจำรณำอุทธรณ์ขอ
ี
ให้ยกเลิกกำรประเมินและงดหรือลดเบ้ยปรับและเงินเพ่ม คณะกรรมกำรพิจำรณำอุทธรณ์ม ี
ิ
ค�ำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ นำยประชัยฟ้องจ�ำเลยต่อศำลภำษีอำกรกลำงต่อมำศำลฎีกำพิจำรณำ
แล้วมีค�ำพิพำกษำท่ ๓๘๓๕/๒๕๕๙ ลงวันท่ ๓๑ พฤษภำคม ๒๕๕๙ พิพำกษำยกฟ้องโจทก์
ี
ี
ผลของค�ำพิพำกษำศำลฎีกำดังกล่ำว จ�ำเลยไม่ต้องประเมินภำษีเงินได้ของนำยประชัยใหม่ โดย
377
สำมำรถบังคับให้ช�ำระภำษีตำมที่จ�ำเลยได้ค�ำนวณไว้ตำมหนังสือแจ้งกำรประเมินได้ทันทีภำยใน
ื
ั
ั
่
ี
ี
ิ
ระยะเวลำทมอย่ตำมประมวลรษฎำกร มำตรำ ๑๒ โดยถอว่ำนำยประชยได้รบแจ้งกำรประเมน
ั
ู
ให้เสียภำษีเงินได้บุคคลธรรมดำแล้วตั้งแต่วันที่ ๒๑ มีนำคม ๒๕๕๐ กรณีจึงครบก�ำหนดเวลำที่
นำยประชัยต้องช�ำระภำษีอำกรที่ค้ำงภำยในวันที่ ๒๐ เมษำยน ๒๕๕๐ และพ้นก�ำหนดระยะเวลำ
ิ
�
ี
ิ
ี
ึ
�
ื
ี
ี
่
ั
ั
ั
ิ
่
ทจำเลยมสทธยดและอำยดทรพย์สนของนำยประชยเพอชำระหน้ภำษตำมประมวลรัษฎำกร
ุ
ิ
ในวันท่ ๒๐ เมษำยน ๒๕๖๐ โดยไม่มีเหตุเร่องอำยุควำมสะดุดลงและเร่มนับอำยควำมใหม่ให้ต้อง
ื
ี
ื
ี
พิจำรณำเน่องจำกระยะเวลำกำรยึดทรัพย์ตำมประมวลรัษฎำกร มำตรำ ๑๒ วรรคส่ เป็นระยะ
เวลำกำรบังคับคดีตำมประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมแพ่ง มำตรำ ๒๗๔ (มำตรำ ๒๗๑ เดิม)
จ�ำเลยจึงไม่อำจเริ่มนับระยะเวลำใหม่จำกวันที่ศำลฎีกำมีค�ำพิพำกษำและกรณีไม่อำจนับก�ำหนด
ี
ี
ระยะเวลำบังคับคดี ๑๐ ปี นับแต่วันท่มีค�ำพิพำกษำถึงท่สุดตำมมำตรำ ๓๑ แห่งประมวลรัษฎำกร
ั
ุ
ื
ี
�
ี
ุ
ั
ั
ี
ั
ิ
มำบงคบใช้ได้เพรำะนำยประชยผู้ค้ำงชำระภำษเป็นผู้ไม่ได้รับอนมตให้ทเลำกำรเสยภำษหรอ
ให้รอค�ำวินิจฉัยอุทธรณ์หรือรอค�ำพิพำกษำจำกอธิบดีกรมสรรพำกรตำมมำตรำ ๓๑ หลังจำก
วันที่ ๒๐ เมษำยน ๒๕๖๐ อันเป็นวันพ้นก�ำหนดเวลำกำรยึดและอำยัดทรัพย์สินของนำยประชัย
ั
ตำมกฎหมำยแล้ว จ�ำเลยกระท�ำกำรอันมิชอบด้วยกฎหมำยโดยออกค�ำส่งท่ สภ. ๒/๗๔๕๓/๒๕๖๐
ี
ลงวันที่ ๓ สิงหำคม ๒๕๖๐ ให้ยึดทรัพย์สินของนำยประชัย คือที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๘๘๒ ต�ำบล
พระโขนง (ที่ ๑๑ พระโขนงฝั่งเหนือ) อ�ำเภอพระโขนง กรุงเทพมหำนคร ซึ่งโจทก์ถือกรรมสิทธิ์
ร่วมกับนำยประชัย นำยประทีป และนำยประหยัด ไว้เพ่อขำยทอดตลำด คดีน้เป็นข้อพิพำท
ี
ื
เก่ยวกับกำรยึดทรัพย์ตำมอ�ำนำจหน้ำท่ของจ�ำเลยตำมประมวลรัษฎำกร มำตรำ ๑๒ วรรคส ่ ี
ี
ี
ี
แต่เป็นกำรกระท�ำตำมหน้ำท่ของจ�ำเลยท่ไม่ชอบด้วยกฎหมำย จึงมิใช่คดีพิพำทเก่ยวกับภำษ ี
ี
ี
อำกรตำมมำตรำ ๗ แห่งพระรำชบัญญัติจัดต้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร
ั
ี
พ.ศ. ๒๕๒๘ ขอให้จ�ำเลยมีค�ำส่งเพิกถอนค�ำส่งยึดทรัพย์ท่ สภ. ๒/๗๔๕๓/๒๕๖๐ ลงวันท่ ๓
ั
ั
ี
ี
สิงหำคม ๒๕๖๐ ท่ให้ยึดท่ดินโฉนดเลขท่ ๙๘๘๒ ต�ำบลคลองตัน (ท่ ๑๑ พระโขนงฝั่งเหนือ)
ี
ี
ี
อ�ำเภอพระโขนง กรุงเทพมหำนคร
จ�ำเลยให้กำรว่ำ ตำมประมวลกฎหมำยรัษฎำกร มำตรำ ๑๒ มิได้ก�ำหนดระยะเวลำ
ในกำรบังคับช�ำระหนี้ภำษีอำกรค้ำงไว้โดยตรง หำกแต่มำตรำ ๑๒ วรรคสี่ ก�ำหนดให้วิธีกำรยึด
และขำยทอดตลำดทรัพย์สินให้ปฏิบัติตำมประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมแพ่งโดยอนุโลม
เท่ำนั้น ซึ่งเมื่อพิจำรณำบทบัญญัติตำมมำตรำ ๒๗๔ (มำตรำ ๒๗๑ เดิม) แห่งประมวลกฎหมำย
วิธีพิจำรณำควำมแพ่ง ได้ก�ำหนดระยะเวลำในกำรบังคับคดีไว้ว่ำให้บังคับคดีภำยใน ๑๐ ปี
378
ี
ึ
ั
นับแต่วันท่มีค�ำพิพำกษำหรือค�ำส่ง ซ่งแต่เดิมศำลฎีกำวินิจฉัยตีควำมเป็นบรรทัดฐำนไว้ว่ำหมำยถึง
ี
ี
ี
วันท่ศำลมีค�ำพิพำกษำอันถึงท่สุด ตำมนัยค�ำพิพำกษำศำลฎีกำท่ ๘๑๖/๒๕๔๓ แต่ต่อมำ
ศำลฎีกำโดยมติท่ประชุมใหญ่กลับแนววินิจฉัยเดิมเป็นว่ำหมำยควำมถึงวันท่มีค�ำพิพำกษำหรือ
ี
ี
ั
ี
ค�ำส่งช้นท่สุดในคดีน้น ฉะน้นหำกเป็นคดีท่มีกำรอุทธรณ์หรือฎีกำเป็นผลให้มีค�ำพิพำกษำ
ั
ี
ั
ั
ี
หลำยศำลต่ำงช้นกัน กำรนับระยะเวลำ ๑๐ ปี ตำมบทบัญญัติดังกล่ำวต้องนับแต่วันท่มคำพิพำกษำ
�
ั
ี
ของศำลสุดท้ำย ตำมค�ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ ๑๐๗๓๑/๒๕๕๘ (ประชุมใหญ่), ๑๔๕๑๗/๒๕๕๘
ี
ั
และ ๔๖๗๓/๒๕๖๐ ดังน้น ระยะเวลำในกำรบังคับช�ำระหน้ค่ำภำษีอำกรค้ำงตำมประมวลรัษฎำกร
มำตรำ ๑๒ ซึ่งมีที่มำจำกกำรประเมินภำษีอำกรจึงต้องตีควำมนัยเดียวกันกับประมวลกฎหมำย
ั
ื
ี
วิธีพิจำรณำควำมแพ่ง มำตรำ ๒๗๔ ดังน้น เม่อศำลฎีกำมีค�ำพิพำกษำท่ ๓๘๓๕/๒๕๕๙ ให้ยกฟ้อง
นำยประชัยกับพวก กำรประเมินภำษีอำกรของเจ้ำพนักงำนประเมินของจ�ำเลยจึงเป็นอันยุต ิ
ตำมค�ำพิพำกษำของศำลฎีกำซ่งวินิจฉัยว่ำกำรประเมินและค�ำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมำย
ึ
�
ั
ึ
ั
ิ
ั
แล้ว จำเลยจงต้องทำกำรยด อำยด และขำยทอดตลำดทรพย์สนของนำยประชยลกหนค่ำภำษ ี
้
�
ี
ู
ึ
อำกรอันเป็นกำรบังคับช�ำระหน้ ภำยใน ๑๐ ปี นับแต่ศำลฎีกำมีค�ำพิพำกษำ ตำมประมวลรัษฎำกร
ี
มำตรำ ๑๒ วรรคสี่ ประกอบประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมแพ่ง มำตรำ ๒๗๔ จึงเป็นกำร
ยึดทรัพย์ภำยในก�ำหนดระยะเวลำตำมกฎหมำยแล้ว กำรท่โจทก์ฟ้องขอให้ศำลเพิกถอนกำร
ี
ึ
ยึดทรัพย์สินในคดีน้สืบเน่องมำจำกเจ้ำพนักงำนอำศัยอ�ำนำจยึดท่ดินของโจทก์ซ่งถือกรรมสิทธ ์ ิ
ี
ี
ื
ื
ร่วมกับนำยประชัยผู้ค้ำงช�ำระค่ำภำษีอำกรเพ่อให้ได้รบช�ำระค่ำภำษีอำกรค้ำงตำมประมวล
ั
รัษฎำกร มำตรำ ๑๒ อันเป็นกำรใช้สิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่ำภำษีอำกร เมื่อโจทก์โต้แย้งว่ำ
กำรใช้สิทธิเรียกร้องของรัฐดังกล่ำวเป็นกำรกระท�ำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมำย กรณีจึงเป็นคดีพิพำท
เกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องในหนี้ค่ำภำษีอำกรตำมมำตรำ ๗ (๒) แห่งพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลภำษี
ึ
อำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ ซ่งอยู่ในอ�ำนำจกำรพิจำรณำพิพำกษำของ
ศำลภำษีอำกรกลำง และนำยประชัยย่นฟ้องจ�ำเลยต่อศำลภำษีอำกรกลำงเป็นคดีหมำยเลขด�ำ
ื
ิ
ี
ิ
�
ี
ั
ท ภ. ๑๐๘/๒๕๖๑ เพอขอให้ศำลมคำพพำกษำห้ำมมให้จำเลยใช้สทธเรยกร้องของรฐในหน ้ ี
ื
่
่
�
ิ
ี
ิ
ค่ำภำษีอำกรตำมมำตรำ ๑๒ แห่งประมวลรัษฎำกร และให้เพิกถอนกำรยึด อำยัด และขำย
ั
�
ึ
ั
�
ั
ั
ึ
่
ทอดตลำดทรพย์สินตำมค�ำส่งกรมสรรพำกรจำนวนหลำยฉบบซงรวมถงคำส่งกรมสรรพำกร
ท่ สภ. ๒/๗๔๕๓/๒๕๖๐ ลงวันท่ ๓ สิงหำคม ๒๕๖๐ ท่พิพำทกันในคดีน้ด้วยโดยนำยประชัย
ี
ี
ี
ี
อ้ำงเหตุของกำรขอให้เพิกถอนค�ำสั่งยึดทรัพย์สินเอำไว้ด้วยว่ำเป็นกำรยึดเมื่อพ้นก�ำหนด ๑๐ ปี
ี
นับแต่วันครบก�ำหนดช�ำระภำษีอำกรอันเป็นกำรอ้ำงเหตุเช่นเดียวกับโจทก์อ้ำงในคดีน้ และ
379
่
ุ
่
ั
ี
ี
�
่
ิ
ิ
ี
ั
ิ
�
ศำลภำษอำกรกลำงมคำสงค้มครองชวครำวห้ำมมให้จำเลยขำยทอดตลำดทดนแปลงพพำท
ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนชี้สองสถำน ศำลแพ่งเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำ
ของศำลภำษีอำกรหรือไม่ จึงส่งส�ำนวนมำให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม
พระรำชบัญญัติจัดต้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ มำตรำ ๑๐
ั
วรรคสอง
ิ
ิ
ิ
วนจฉยว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำจำเลยออกหนงสอแจ้งกำรประเมนภำษเงินได้บุคคลธรรมดำ
ั
�
ี
ื
ั
ให้นำยประชัยกับพวก ในฐำนะบุคคลในคณะบุคคลช�ำระภำษีเงินได้บุคคลธรรมดำพร้อมเบ้ยปรับ
ี
และเงินเพิ่มส�ำหรับปีภำษี ๒๕๓๙ ปีภำษี ๒๕๔๐ ปีภำษี ๒๕๔๑ (ครึ่งปี) ปีภำษี ๒๕๔๑ (เต็มปี)
ี
รวม ๔ ฉบับ โดยส่งให้นำยประชัยเม่อวันท่ ๒๑ มีนำคม ๒๕๕๐ นำยประชัยย่นอุทธรณ์ต่อ
ื
ื
คณะกรรมกำรพิจำรณำอุทธรณ์ คณะกรรมกำรพิจำรณำอุทธรณ์มีค�ำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์
นำยประชัยฟ้องจ�ำเลยต่อศำลภำษีอำกรกลำง ต่อมำศำลฎีกำพิจำรณำแล้วมีค�ำพิพำกษำท ี ่
๓๘๓๕/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๓๑ พฤษภำคม ๒๕๕๙ พิพำกษำยกฟ้องโจทก์ กรณีจึงพ้นก�ำหนดระยะ
ี
เวลำท่จ�ำเลยมีสิทธิยึดและอำยัดทรัพย์สินของนำยประชัยเพ่อช�ำระหน้ภำษีตำมประมวลรัษฎำกร
ี
ื
ในวันที่ ๒๐ เมษำยน ๒๕๖๐ เนื่องจำกระยะเวลำกำรยึดทรัพย์ตำมประมวลรัษฎำกร มำตรำ ๑๒
วรรคส่ เป็นระยะกำรบังคับคดีตำมประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมแพ่ง มำตรำ ๒๗๔ (มำตรำ
ี
๒๗๑ เดิม) แต่จ�ำเลยกระท�ำกำรอันมิชอบด้วยกฎหมำยโดยออกค�ำสั่งที่ สภ. ๒/๗๔๕๓/๒๕๖๐
ลงวันที่ ๓ สิงหำคม ๒๕๖๐ ให้ยึดทรัพย์สินของนำยประชัย คือที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๘๘๒ ต�ำบล
พระโขนง (ที่ ๑๑ พระโขนงฝั่งเหนือ) อ�ำเภอพระโขนง กรุงเทพมหำนคร ซึ่งโจทก์ถือกรรมสิทธิ์
ั
ร่วมกับนำยประชัย นำยประทีป และนำยประหยัด ไว้เพ่อขำยทอดตลำด ขอให้จ�ำเลยมีค�ำส่ง
ื
ื
ั
เพิกถอนค�ำส่งยึดทรัพย์ดังกล่ำว จ�ำเลยให้กำรว่ำเม่อศำลฎีกำมีค�ำพิพำกษำให้ยกฟ้องนำยประชัย
ิ
�
ิ
ั
�
ึ
็
้
ั
ิ
ี
กบพวก กำรประเมนภำษอำกรของเจำพนกงำนประเมนของจำเลยจงเปนอนยุตตำมคำพพำกษำ
ิ
ั
ของศำลฎีกำซ่งวินิจฉัยว่ำกำรประเมินและค�ำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมำยแล้ว จ�ำเลย
ึ
ท�ำกำรยึด อำยัด และขำยทอดตลำดทรัพย์สินของนำยประชัย ลูกหน้ค่ำภำษีอันเป็นกำรบังคับ
ี
ช�ำระหนี้ ภำยใน ๑๐ ปี นับแต่ศำลฎีกำมีค�ำพิพำกษำ ตำมประมวลรัษฎำกร มำตรำ ๑๒ วรรคสี่
ประกอบประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมแพ่ง มำตรำ ๒๗๔ จึงเป็นกำรยึดทรัพย์ภำยในก�ำหนด
ระยะเวลำตำมกฎหมำยแล้ว ดังนี้ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพำทว่ำ กำรที่จ�ำเลยมีค�ำสั่งยึดทรัพย์สิน
ื
ี
ิ
ื
ซ่งเป็นท่ดินท่โจทก์ นำยประชัย และพวก มีช่อถือกรรมสิทธ์ร่วมกัน ออกขำยทอดตลำดเพ่อ
ึ
ี
380
ี
น�ำเงินมำช�ำระหน้ค่ำภำษีอำกร เป็นกำรชอบด้วยมำตรำ ๑๒ แห่งประมวลรัษฎำกร หรือไม่
ี
ี
ี
คดีของโจทก์จึงเป็นคดีท่มีข้อพิพำทเก่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหน้ค่ำภำษีอำกรตำม
ั
มำตรำ ๗ (๒) แห่งพระรำชบัญญัติจัดต้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘
วินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร
วินิจฉัย ณ วันที่ ๒ เดือน พฤศจิกำยน พุทธศักรำช ๒๕๖๑
ไมตรี สุเทพำกุล
(นำยไมตรี สุเทพำกุล)
ผู้พิพำกษำศำลฎีกำ ช่วยท�ำงำนชั่วครำวในต�ำแหน่ง
ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
มณฑำทิพย์ ตั้งวิชำชำญ - ย่อ
วีนัส นิมิตกุล - ตรวจ
381
ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ บริษัททรีดี สตีล จ�ำกัด โจทก ์
ที่ วภ ๑/๒๕๖๐ กรมสรรพำกร จ�ำเลย
ั
ี
ข้อเท็จจริงตำมค�ำฟ้องได้ควำมว่ำพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ของจ�ำเลยมีค�ำส่ง
ึ
ึ
โดยอำศัยอ�ำนำจตำมมำตรำ ๑๒ แห่ง ป.รัษฎำกร อำยัดเงินฝำกก่งหน่งในบัญช ี
เงินฝำกธนำคำร ก. ช่อบัญช กิจกำรร่วมค้ำ พ. ซ่งมีบริษัท ป. ผู้ค้ำงช�ำระภำษีอำกร
ี
ื
ึ
เป็นคู่สัญญำร่วมค้ำดังกล่ำว โจทก์คัดค้ำนกำรอำยัดบัญชีเงินฝำกดังกล่ำวว่ำโจทก์
ื
ซ้อหุ้นในกิจกำรร่วมค้ำ พ. ในส่วนของบริษัท ป. โดยเสียค่ำตอบแทนแล้ว โจทก์จึงเป็น
ผู้มีกรรมสิทธ์ในเงินฝำกตำมบัญชีเงินฝำกดังกล่ำวแต่เพียงผู้เดียว ขอให้เพิกถอนค�ำส่ง
ั
ิ
ื
อำยัดและเรียกค่ำเสียหำยจำกค�ำส่งอำยัดของจ�ำเลย เม่อจ�ำเลยให้กำรว่ำทรัพย์สินในบัญช ี
ั
ั
เงินฝำกในนำมกิจกำรร่วมค้ำเป็นกรรมสิทธ์ร่วมของผู้ร่วมค้ำ ค�ำส่งอำยัดเงินฝำกในบัญช ี
ิ
ึ
้
ดังกล่ำวก่งหน่งจึงชอบแล้ว ดังน ประเด็นข้อพิพำทจึงมีว่ำ เงินฝำกในบัญชีเงินฝำกท ี ่
ึ
ี
ั
ั
ั
ื
ิ
้
ึ
่
ึ
่
�
ี
ั
พนกงำนเจ้ำหน้ำทของจำเลยอำยดไว้กงหนงตำมฟ้องนนเป็นทรพย์สนของโจทก์หรอ
่
บรษท ป. และโจทก์ได้รบควำมเสยหำยหรอไม่ ไม่มกรณพพำทเกยวกบภำษอำกรตำม
ิ
ื
ี
ี
ี
ี
ั
ี
่
ิ
ั
ั
ที่ก�ำหนดไว้ในมำตรำ ๗ แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร
พ.ศ. ๒๕๒๘ คดีไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร
______________________________
โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์ท�ำสัญญำกิจกำรร่วมค้ำกับบริษัทป๊อป คอนส์ เอ็นจิเนียร่ง จ�ำกัด
ิ
ใช้ช่อว่ำ กิจกำรร่วมค้ำ พีโอพี ทรีดี และร่วมกันเปิดบัญชีเงินฝำกธนำคำรกสิกรไทย จ�ำกัด
ื
(มหำชน) ประเภทเงินฝำกกระแสรำยวัน ช่อบัญชี กิจกำรร่วมค้ำ พีโอพี ทรีดี ต่อมำบริษัท
ื
ป๊อป คอนส์ เอ็นจิเนียร่ง จ�ำกัด ประสบปัญหำทำงเศรษฐกิจจึงตกลงโอนสิทธิให้โจทก์เป็น
ิ
�
ผู้ด�ำเนินกำรจัดหำวัสดุอุปกรณ์และสนับสนุนด้ำนกำรเงิน ตลอดจนหนังสือค้ำประกัน กำรบริหำร
กำรควบคุมงำนก่อสร้ำงและส่งมอบงำน และกำรเปิดบัญชีธนำคำรเพ่อรับเงินจำกผู้ว่ำจ้ำง โดย
ื
บริษัทป๊อป คอนส์ เอ็นจิเนียริ่ง จ�ำกัด ได้รับค่ำตอบแทนจำกโจทก์เป็นค่ำหุ้นจำกสัญญำกิจกำร
ร่วมค้ำเป็นเงิน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บำท โจทก์จึงเป็นผู้มีกรรมสิทธ์ในเงินท่อยู่ในบัญชีเงินฝำก
ิ
ี
กระแสรำยวัน ธนำคำรกสิกรไทย จ�ำกัด (มหำชน) ชื่อบัญชี กิจกำรร่วมค้ำ พีโอพี ทรีดี แต่เพียง
ผู้เดียว เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎำคม ๒๕๕๙ สรรพำกรภำค ๒ มีค�ำสั่งอำยัดตำมมำตรำ ๑๒ แห่ง
382
ประมวลรัษฎำกร ให้ธนำคำรกสิกรไทย จ�ำกัด (มหำชน) อำยัดทรัพย์สินของบริษัทป๊อป คอนส์
ิ
เอ็นจิเนียร่ง จ�ำกัด ผู้ค้ำงช�ำระภำษีอำกร ในบัญชีเงินฝำกกระแสรำยวันของธนำคำรกสิกรไทย
ี
ั
จ�ำกัด (มหำชน) ช่อบัญชี กิจกำรร่วมค้ำ พีโอพี ทรีดี จำกน้นวันท่ ๑๕ สิงหำคม ๒๕๕๙
ื
ธนำคำรกสิกรไทย จ�ำกัด (มหำชน) ได้อำยัดเงินฝำกในบัญชีเงินฝำกดังกล่ำวเป็นเงิน
๔,๔๖๓,๙๘๓.๒๐ บำท โดยจ�ำเลยมิได้แจ้งให้โจทก์ทรำบและให้โอกำสโจทก์โต้แย้งคัดค้ำนก่อน
ต่อมำโจทก์ย่นหนังสือคัดค้ำนค�ำส่งอำยัดดังกล่ำวไปยังอธิบดีกรมสรรพำกร ขอให้จ�ำเลย
ั
ื
ถอนค�ำสั่งอำยัดเนื่องจำกทรัพย์สินในบัญชีเงินฝำกธนำคำรกสิกรไทย จ�ำกัด (มหำชน) ดังกล่ำว
ิ
ไม่เก่ยวข้องกับบริษัทป๊อป คอนส์ เอ็นจิเนียร่ง จ�ำกัด แต่จ�ำเลยกลับส่งหนังสือถึงผู้จัดกำร
ี
ธนำคำรกสิกรไทย จ�ำกัด (มหำชน) แจ้งว่ำบัญชีเงินฝำกธนำคำรกสิกรไทย จ�ำกัด (มหำชน)
มีส่วนที่บริษัทป๊อป คอนส์ เอ็นจิเนียริ่ง จ�ำกัด มีสิทธิเรียกร้องเพียงกึ่งหนึ่ง ขอให้ธนำคำรน�ำส่ง
ึ
เงินในบัญชีเงินฝำกดังกล่ำวก่งหน่งให้แก่จ�ำเลย และถอนกำรอำยัดเงินฝำกในส่วนของโจทก์
ึ
ึ
ก่งหน่ง ธนำคำรกสิกรไทย จ�ำกัด (มหำชน) จึงส่งเงิน ๒,๒๓๑,๙๙๑.๖๐ บำท แก่จ�ำเลย ต่อมำโจทก์
ึ
ั
ได้รับหนังสือแจ้งผลกำรพิจำรณำคัดค้ำนกำรอำยัดทรัพย์สินจำกจ�ำเลย โดยวินิจฉัยว่ำค�ำส่งอำยัด
ชอบด้วยกฎหมำยแล้ว โจทก์ไม่เห็นด้วย เนื่องจำกกิจกำรร่วมค้ำ พีโอพี ทรีดี มีข้อสัญญำในกำร
ี
ี
ื
ั
ประกอบกิจกำรท่จะแบ่งส่วนก�ำไรอันเกิดจำกกิจกำรท่ท�ำน้นเม่อกำรก่อสร้ำงอำคำรแล้วเสร็จและ
เสร็จสิ้นกำรช�ำระบัญชี ดังนั้นเงินฝำกธนำคำรดังกล่ำวที่มีอยู่ในระหว่ำงด�ำเนินงำน จึงไม่ใช่สิทธิ
เรียกร้องของคู่สัญญำร่วมค้ำ นอกจำกน้โจทก์แต่ผู้เดียวจะต้องน�ำเงินท่ได้รับไปช�ำระหน้ค่ำวัสด ุ
ี
ี
ี
ค่ำแรงงำน ค่ำภำษีมูลค่ำเพิ่มและค่ำใช้จ่ำยอย่ำงอื่นในงวดถัดไป เงินที่ได้รับจำกผู้ว่ำจ้ำงโดยน�ำ
ี
ี
ิ
เข้ำบัญชีธนำคำรท่ถูกอำยัดจึงไม่ใช่ทรัพย์สินท่เป็นของโจทก์หรือบริษัทป๊อป คอนส์ เอ็นจิเนียร่ง
จ�ำกัด ค�ำส่งอำยัดของจ�ำเลยจึงขัดต่อมำตรำ ๑๒ แห่งประมวลรัษฎำกร และบันทึกแนบท้ำยสัญญำ
ั
ร่วมค้ำ เรื่องกำรโอนสิทธิระบุแล้วว่ำ โจทก์ซื้อหุ้นในกิจกำรร่วมค้ำในส่วนของบริษัทป๊อป คอนส์
เอ็นจิเนียริ่ง จ�ำกัด แล้ว กำรโอนสิทธิเรียกร้องสมบูรณ์ โดยสุจริตและมีค่ำตอบแทนก่อนที่จ�ำเลย
ี
ั
จะมีค�ำส่งอำยัดเงินฝำกดังกล่ำว ค�ำส่งอำยัดดังกล่ำวไม่ชอบด้วยกฎหมำย นอกจำกน้ จ�ำเลย
ั
ี
ไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทรำบเพ่อให้โอกำสโจทก์ในฐำนะผู้มีส่วนได้เสียช้แจงและโต้แย้งคัดค้ำนก่อน
ื
และคำส่งอำยดบัญชีเงนฝำกของจ�ำเลยท�ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย ขอให้เพกถอนคำส่ง
ิ
�
ั
�
ั
ั
ิ
อำยัด ตำมมำตรำ ๑๒ แห่งประมวลรัษฎำกร ฉบับลงวันที่ ๑๓ กรกฎำคม ๒๕๕๙ และค�ำวินิจฉัย
ตำมหนังสือของจ�ำเลย ฉบับลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกำยน ๒๕๕๙ คืนเงินที่จ�ำเลยอำยัดไว้แก่โจทก์
ให้จ�ำเลยชดใช้ค่ำเสียหำยเป็นเงิน ๔๐๔,๗๓๐.๘๑ บำท พร้อมดอกเบี้ยในอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
383
ของต้นเงิน ๒,๒๓๑,๙๙๑.๖๐ บำท นับถัดจำกวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจ�ำเลยจะเพิกถอนค�ำสั่ง
อำยัด และโจทก์ได้รับเงินที่จ�ำเลยอำยัดไว้คืน
ื
ี
ี
จ�ำเลยให้กำรว่ำ โจทก์ไม่มีอ�ำนำจฟ้องคดีน้ท่ศำลภำษีอำกรเน่องจำกเป็นคดีพิพำท
เกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สิน ไม่ใช่พิพำทเกี่ยวกับเรื่องภำษีอำกรตำมที่ก�ำหนดไว้ในมำตรำ ๓ และ
มำตรำ ๗ แห่งพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘
ิ
ู
้
ี
ึ
ี
ิ
ั
ี
ิ
ุ
ิ
ิ
คดนจงอย่ในอ�ำนำจพจำรณำพพำกษำของศำลยตธรรม เงนฝำกในบญชเงนฝำกตำมฟ้องเป็น
กรรมสิทธ์ร่วมของผู้ร่วมค้ำคือโจทก์กับบริษัทป๊อป คอนส์ เอ็นจิเนียร่ง จ�ำกัด ข้อตกลงท่โจทก์
ิ
ี
ิ
ึ
ื
ซ้อหุ้นในกิจกำรร่วมค้ำเป็นบุคคลสิทธิไม่อำจใช้ยันจ�ำเลยซ่งเป็นบุคคลภำยนอก ค่ำเสียหำยท ี ่
ั
โจทก์เรียกมิใช่ค่ำเสียหำยโดยตรงจำกกำรยึดและอำยัด ค�ำส่งอำยัดตำมมำตรำ ๑๒ แห่งประมวล
รัษฎำกร และค�ำวินิจฉัยของจ�ำเลยถูกต้องด้วยข้อเท็จจริงและชอบด้วยกฎหมำยแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ื
ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลภำษีอำกรกลำงเห็นว่ำ จ�ำเลยให้กำรและย่นค�ำร้องว่ำ คดีน ้ ี
ไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำคดีของศำลภำษีอำกรกลำง กรณีมีปัญหำว่ำคดีนี้อยู่ในอ�ำนำจ
พิจำรณำพิพำกษำคดีของศำลภำษีอำกรกลำงหรือไม่ จึงส่งส�ำนวนมำให้ประธำนศำลอุทธรณ์
ั
คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติจัดต้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร
พ.ศ. ๒๕๒๘ มำตรำ ๑๐ วรรคสอง
วินิจฉัยว่ำ ข้อเท็จจริงตำมฟ้องได้ควำมว่ำ พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ของจ�ำเลยมีค�ำส่ง โดย
ี
ั
ั
ั
ั
ิ
ิ
ึ
ึ
�
อำศยอำนำจตำมมำตรำ ๑๒ แห่งประมวลรษฎำกร อำยดเงนฝำกก่งหน่งในบัญชีเงนฝำกธนำคำร
กสิกรไทย จ�ำกัด (มหำชน) ประเภทเงินฝำกกระแสรำยวัน ชื่อบัญชี กิจกำรร่วมค้ำ พีโอพี ทรีดี
ึ
ิ
ซ่งมีบริษัทป๊อป คอนส์ เอ็นจิเนียร่ง จ�ำกัด ผู้ค้ำงช�ำระภำษีอำกรเป็นคู่สัญญำกิจกำรร่วมค้ำ
ื
ดังกล่ำว โจทก์คัดค้ำนกำรอำยัดบัญชีเงินฝำกดังกล่ำว โดยโต้แย้งว่ำโจทก์ซ้อหุ้นในกิจกำรร่วมค้ำ
ิ
ในส่วนของบริษัทป๊อป คอนส์ เอ็นจิเนียร่ง จ�ำกัด โดยเสียค่ำตอบแทนแล้ว โจทก์จึงเป็นผู้มีกรรมสิทธ ิ ์
ในเงินฝำกตำมบัญชีเงินฝำกดังกล่ำวแต่เพียงผู้เดียว ขอให้เพิกถอนค�ำส่งอำยัดและเรียก
ั
ั
ค่ำเสียหำยจำกค�ำส่งอำยัดของจ�ำเลย เม่อจ�ำเลยให้กำรโต้แย้งว่ำ ทรัพย์สินในบัญชีเงินฝำกในนำม
ื
กิจกำรร่วมค้ำเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมของผู้ร่วมค้ำ คือโจทก์กับบริษัทป๊อป คอนส์ เอ็นจิเนียริ่ง จ�ำกัด
ั
ค�ำส่งอำยัดเงินฝำกในบัญชีเงินฝำกดังกล่ำวก่งหน่งจึงชอบแล้ว ดังน้ ประเด็นข้อพิพำทแห่งคด ี
ี
ึ
ึ
จึงมีว่ำ เงินฝำกในบัญชีเงินฝำกท่พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ของจ�ำเลยอำยัดไว้ก่งหน่งตำมฟ้องน้นเป็น
ี
ั
ี
ึ
ึ
ทรัพย์สินของโจทก์หรือของบริษัทป๊อป คอนส์ เอ็นจิเนียริ่ง จ�ำกัด และโจทก์ได้รับควำมเสียหำย
ั
ี
�
ี
ี
หรือไม่ ไม่มีกรณพิพำทเก่ยวกับภำษีอำกรตำมท่กำหนดไว้ในมำตรำ ๗ แห่งพระรำชบัญญต ิ
จัดตั้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘
384
วินิจฉัยว่ำ คดีนี้ไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร
วินิจฉัย ณ วันที่ ๑๖ เดือน สิงหำคม พุทธศักรำช ๒๕๖๐
เมทินี ชโลธร
(นำงเมทินี ชโลธร)
ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
มณฑำทิพย์ ตั้งวิชำชำญ - ย่อ
วีนัส นิมิตกุล - ตรวจ
385
ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ นำยสุรพล โคตมี กับพวก โจทก ์
ที่ วภ ๒/๒๕๖๑ กรมสรรพำกร กับพวก จ�ำเลย
่
ั
ี
จ�ำเลยท ๑ มีค�ำส่งโดยอำศัยอ�ำนำจตำมมำตรำ ๑๒ แห่ง ป.รัษฎำกร ให้ยึด
ี
ั
่
�
ิ
่
ี
�
่
่
ึ
ทดินโฉนดเลขท ๒๒๙๐ ตำบลหนองเดน อำเภอบุ่งคล้ำ จงหวัดบงกำฬ ซงมีชอนำย ช.
ื
ึ
่
ู
ู
ั
�
ิ
ผ้ค้ำงชำระภำษอำกรเป็นผ้ถือกรรมสทธ โจทก์ทงสองคดค้ำนกำรยดทรพย์ดงกล่ำว
ิ
้
ี
ั
ั
ึ
์
ั
ั
ั
็
ี
ิ
โดยโต้แย้งว่ำเป็นทรพย์ของโจทก์ทงสอง คดจงมประเดนข้อพพำทเพยงว่ำ ทรพย์ท ี ่
ี
ึ
ั
้
ี
ั
ั
ั
จ�ำเลยท ๑ มีค�ำส่งยึดไว้น้นเป็นของโจทก์ท้งสองหรือของนำย ช. ไม่มีกรณีพิพำท
ี
่
ี
ั
ี
เก่ยวกับภำษีอำกรตำมท่ก�ำหนดไว้ในมำตรำ ๗ แห่ง พ.ร.บ. จัดต้งศำลภำษีอำกรและ
วิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ จึงไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ
ศำลภำษีอำกร
______________________________
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่ำ โจทก์ที่ ๑ เป็นเจ้ำของและผู้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๒๙๐
ต�ำบลหนองเดิ่น อ�ำเภอบุ่งคล้ำ จังหวัดบึงกำฬ (หนองคำย) พร้อมสิ่งปลูกสร้ำง โดยโฉนดที่ดิน
ดังกล่ำวมีช่อของนำยเชษฐำ เป็นผู้ถือกรรมสิทธ์ เน่องจำกเม่อต้นปี ๒๕๕๒ โจทก์ท่ ๑ ท�ำ
ิ
ื
ื
ื
ี
สัญญำกู้ยืมเงินจำกนำยเชษฐำ ๒๐๐,๐๐๐ บำท เพื่อน�ำเงินไปช�ำระค่ำเช่ำซื้อรถยนต์ โดยน�ำที่ดิน
ี
โฉนดเลขท่ ๒๒๙๐ ดังกล่ำวมำวำงเป็นหลักประกันกำรกู้ยืมเงินหรือกำรจ�ำนองตำมกฎหมำย
ี
ิ
ต่อมำปี ๒๕๕๕ โจทก์ท่ ๑ ช�ำระเงินท่กู้ยืมให้แก่นำยเชษฐำจนเสร็จส้นแล้ว นำยเชษฐำ
ี
จึงเวนคืนสัญญำกู้ยืมเงินซ่งต่อมำได้มีกำรท�ำลำยท้งและคืนโฉนดท่ดินแก่โจทก์ท่ ๑ ท�ำให้
ิ
ี
ี
ึ
ี
โจทก์ท่ ๑ ทรำบว่ำนำยเชษฐำจดทะเบียนโอนกรรมสิทธ์ท่ดินดังกล่ำวเป็นของตนเพ่อเป็น
ี
ิ
ื
หลักประกันกำรกู้ยืมเงินแทนกำรจดทะเบียนจ�ำนอง แต่โจทก์ท่ ๑ ไม่ได้ติดใจเน่องจำกเม่อ
ี
ื
ื
ี
ี
ช�ำระหน้เสร็จแล้วนำยเชษฐำคืนโฉนดท่ดิน และท�ำหนังสือมอบอ�ำนำจพร้อมมอบส�ำเนำ
ี
ื
ทะเบียนบ้ำนและส�ำเนำบัตรประจ�ำตัวประชำชนท่นำยเชษฐำรับรองส�ำเนำถูกต้อง เพ่อน�ำไป
ั
ี
จดทะเบียนโอนกรรมสิทธ์ให้แก่โจทก์ท่ ๒ โจทก์ท้งสองจึงอยู่ในฐำนะอันจะให้จดทะเบียนสิทธ ิ
ิ
ของตนได้ก่อน ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ ๑๓๐๐ ต่อมำเดือนเมษำยน ๒๕๖๐
้
ั
ิ
�
ี
่
่
ึ
ื
ั
้
โจทก์ทงสองทรำบว่ำทดนโฉนดเลขท ๒๒๙๐ ถกจ�ำเลยทงสองยดออกขำยทอดตลำดเพอชำระ
ี
่
ู
ื
ิ
ค่ำภำษีอำกรค้ำง เน่องจำกนำยเชษฐำผู้มีช่อเป็นเจ้ำของกรรมสิทธ์ตำมโฉนดท่ดินเป็นผู้ค้ำงช�ำระ
ื
ี
ภำษีอำกร โจทก์ทั้งสองจึงยื่นค�ำร้องต่อจ�ำเลยทั้งสองขอให้งดกำรขำยทอดตลำดและขอให้ปล่อย
ทรัพย์ที่ยึด แต่จ�ำเลยทั้งสองไม่ได้ด�ำเนินกำรและมิได้ไต่สวนหรือสอบสวนว่ำทรัพย์ดังกล่ำวเป็น
ั
ของนำยเชษฐำหรือของโจทก์ท้งสอง ท�ำให้โจทก์ท้งสองได้รับควำมเสียหำย ขอให้บังคับจ�ำเลย
ั
386
ทั้งสองเพิกถอนกำรยึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๒๙๐ ต�ำบลหนองเดิ่น อ�ำเภอบุ่งคล้ำ จังหวัดบึงกำฬ
(หนองคำย) และให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดคืนแก่โจทก์ทั้งสอง
จ�ำเลยทั้งสองให้กำรว่ำ โจทก์ทั้งสองไม่มีอ�ำนำจฟ้องจ�ำเลยทั้งสอง เพรำะกำรยึดทรัพย์
หรือกำรปล่อยทรัพย์ที่ยึดเพื่อช�ำระค่ำภำษีอำกรที่ค้ำงช�ำระ เป็นอ�ำนำจของอธิบดีกรมสรรพำกร
ั
ี
ตำมมำตรำ ๑๒ แห่งประมวลรัษฎำกร ไม่ใช่อ�ำนำจของจ�ำเลยท่ ๒ และโจทก์ท้งสองไม่ใช่ผู้ม ี
ส่วนได้เสียหรือถูกโต้แย้งสิทธิ โจทก์ที่ ๑ ขำยที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๒๙๐ ให้แก่นำยเชษฐำ โดยท�ำ
เป็นหนังสือและจดทะเบียนซื้อขำยที่ส�ำนักงำนที่ดินจังหวัดหนองคำย สำขำบึงกำฬ นำยเชษฐำ
์
่
ี
ึ
ิ
ิ
ิ
ุ
�
ี
ั
ื
่
จงเป็นเจ้ำของกรรมสทธในทดนดงกล่ำวตำมกฎหมำย เมอห้ำงห้นส่วนจำกัด พ.เอส.มอเตอร์
บึงกำฬ ๙๙๙ ซึ่งมีนำยเชษฐำเป็นหุ้นส่วนผู้จัดกำรค้ำงช�ำระภำษีอำกรแก่จ�ำเลยที่ ๒ จ�ำเลยที่ ๑
จึงอำศัยอ�ำนำจตำมมำตรำ ๑๒ แห่งประมวลรัษฎำกร ยึดท่ดินแปลงดังกล่ำวและประกำศขำย
ี
ทอดตลำด กำรยึดทรัพย์และประกำศขำยทอดตลำดของจ�ำเลยท่ ๑ จึงชอบด้วยกฎหมำยแล้ว
ี
ขอให้ยกฟ้อง
ี
ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลจังหวัดบึงกำฬเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีน้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำ
พิพำกษำของศำลภำษีอำกรหรือไม่ จึงส่งส�ำนวนมำให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัย
ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ มำตรำ ๑๐
วรรคสอง
วินิจฉัยว่ำ ข้อเท็จจริงได้ควำมว่ำ จ�ำเลยที่ ๑ มีค�ำสั่งโดยอำศัยอ�ำนำจตำมมำตรำ ๑๒
แห่งประมวลรัษฎำกร ให้ยึดท่ดินโฉนดเลขท่ ๒๒๙๐ ต�ำบลหนองเด่น อ�ำเภอบุ่งคล้ำ จังหวัดบึงกำฬ
ี
ิ
ี
ี
ิ
ั
ิ
์
ั
ู
้
ื
่
ื
(หนองคำย) ซงมชอนำยเชษฐำ ผ้ค้ำงชำระภำษอำกรเป็นผ้ถอกรรมสทธ โจทก์ทงสองคดค้ำน
ึ
่
ี
ู
�
กำรยึดทรัพย์ดังกล่ำว โดยโต้แย้งว่ำเป็นทรัพย์ของโจทก์ท้งสอง คดีจึงมีประเด็นข้อพิพำทเพียงว่ำ
ั
ทรัพย์ที่จ�ำเลยที่ ๑ มีค�ำสั่งให้ยึดไว้นั้นเป็นของโจทก์ทั้งสองหรือของนำยเชษฐำ ไม่มีกรณีพิพำท
ี
เก่ยวกับภำษีอำกรตำมท่ก�ำหนดไว้ในมำตรำ ๗ แห่งพระรำชบัญญัติจัดต้งศำลภำษีอำกรและ
ี
ั
ั
วิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ คดีของโจทก์ท้งสองจึงไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำ
ของศำลภำษีอำกร
วินิจฉัยว่ำ คดีนี้ไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร
วินิจฉัย ณ วันที่ ๗ เดือน มีนำคม พุทธศักรำช ๒๕๖๑
เมทินี ชโลธร
(นำงเมทินี ชโลธร)
ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
มณฑำทิพย์ ตั้งวิชำชำญ - ย่อ
วีนัส นิมิตกุล - ตรวจ
387
ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ กรมสรรพำกร โจทก์
ที่ วภ ๒/๒๕๖๒ นำยเก่งกำจหรือศรีไพร จงใจพระ
หรือศรีไพร ใจพระ
กับพวก จ�ำเลย
�
ี
โจทก์ฟ้องว่ำ บริษัทจัดหำงำน อ. ค้ำงช�ำระภำษ นำง ม. หรือ ณ. ท�ำสัญญำค้ำประกัน
ี
และจดทะเบียนจ�ำนองท่ดิน ๓ แปลง เป็นประกันกำรผ่อนช�ำระหน้ภำษีอำกรค้ำง
ี
ั
ของบริษัท ต่อมำนำง ม. หรือ ณ. ถึงแก่ควำมตำย จ�ำเลยท้งสองเป็นทำยำท
ื
ี
ตำมกฎหมำยของนำง ม. หรือ ณ. เม่อบริษัทจัดหำงำน อ. ยังคงค้ำงช�ำระภำษ โจทก์
ั
มีหนังสือไปยังจ�ำเลยท้งสองให้ช�ำระภำษีอำกรค้ำงและบอกกล่ำวบังคับจ�ำนอง
ี
ั
ั
ี
แต่จ�ำเลยท้งสองเพิกเฉย จ�ำเลยท้งสองต้องช�ำระหน้ท่ยังคงค้ำงช�ำระของบริษัท
ั
ี
จัดหำงำน อ. ขอให้ยึดหรืออำยัดท่ดินท้งสำมแปลง จ�ำเลยท้งสำมให้กำรขอให้ยกฟ้อง
ั
ี
และฟ้องแย้ง ก่อนช้สองสถำนโจทก์ถอนฟ้อง คดีคงมีปัญหำว่ำ คดีในส่วนท่จ�ำเลย
ี
ั
ั
ท้งสองฟ้องแย้งอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกรหรือไม่ จ�ำเลยท้งสอง
ฟ้องแย้งว่ำ นำง ม. หรือ ณ. ผู้ท�ำสัญญำค�้ำประกันและจดทะเบียนจ�ำนองที่ดิน น.ส. ๓ ก.
เลขท ๔๐๐๒, ๔๐๐๓ และ ๔๐๐๔ เป็นหลักประกันกำรผ่อนช�ำระหน้ภำษีอำกรค้ำงของ
ี
ี
่
ั
บริษัทจัดหำงำน อ. ท่มีต่อโจทก์น้น ถูกศำลล้มละลำยกลำงมีค�ำส่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขำด
ั
ี
ต่อมำนำง ม. หรือ ณ. ถูกปลดจำกล้มละลำยนับแต่วันที่ ๒ สิงหำคม ๒๕๕๙ จึงเป็นผลให้
หลุดพ้นจำกหน้ท้งปวงอันพึงขอรับช�ำระได้ตำม พ.ร.บ. ล้มละลำย พ.ศ. ๒๔๘๓ มำตรำ ๗๗
ี
ั
เน่องจำกเป็นหน้ท่เกิดจำกกำรค้ำประกัน ไม่ใช่หน้ค่ำภำษีอำกรตำม พ.ร.บ. ล้มละลำย
ี
ื
�
ี
ี
พ.ศ. ๒๔๘๓ มำตรำ ๗๗ (๑) เมื่อหนี้ของนำง ม. หรือ ณ. ตำมสัญญำค�้ำประกันระงับสิ้นไป
กำรจ�ำนองก็ย่อมเป็นอันระงับไปด้วย ขอให้พิพำกษำให้โจทก์จดทะเบียนไถ่ถอน
จ�ำนองที่ดินหลักประกันทั้งสำมแปลงดังกล่ำว โจทก์ให้กำรแก้ฟ้องแย้งว่ำ ค�ำสั่งปลดจำก
ล้มละลำยไม่ท�ำให้บุคคลล้มละลำยหลุดพ้นจำกหนี้เกี่ยวกับภำษีอำกรตำม พ.ร.บ. ล้มละลำย
พ.ศ. ๒๔๘๓ มำตรำ ๗๗ (๑) แม้ว่ำจะเป็นกำรค�้ำประกันหรือจ�ำนองก็เป็นไปด้วยมูลหนี้
ี
ี
เก่ยวกับภำษีอำกรและไม่มีบทบัญญัติจ�ำกัดสิทธิให้กำรประกันกำรช�ำระหน้เก่ยวกับ
ี
ภำษีอำกรน้นส้นสุดไปด้วยเหตุท่มีค�ำส่งให้ปลดผู้ค้ำประกันหรือผู้จ�ำนองจำกล้มละลำย
�
ั
ี
ั
ิ
โจทก์ยึดที่ดินอันเป็นหลักประกันกำรจ�ำนองทั้ง ๓ แปลง และด�ำเนินกำรขำยทอดตลำด
388
ี
แบบติดจ�ำนองตำมมำตรำ ๑๒ แห่ง ป.รัษฎำกร โจทก์เป็นเจ้ำหน้มีประกันตำม พ.ร.บ.
ี
ล้มละลำย พ.ศ. ๒๔๘๓ มำตรำ ๙๕ โจทก์ยังคงใช้สิทธิบังคับช�ำระหน้จำกหลักประกัน
ี
หน้ภำษีอำกรค้ำงได้ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพำทว่ำ ควำมรับผิดของ นำง ม. หรือ ณ.
ี
้
ิ
ั
ั
้
ั
�
ตำมสญญำคำประกนและสัญญำจำนองทดนทง ๓ แปลง เป็นประกันกำรผ่อนชำระหน ี ้
�
่
�
ี
ั
ภำษีอำกรค้ำงของบริษัทจัดหำงำน อ. ท่มีต่อโจทก์น้นเป็นอันระงับส้นไปด้วยค�ำส่ง
ั
ิ
ี
ศำลล้มละลำยกลำงท่ให้ปลด นำง ม. หรือ ณ. จำกล้มละลำยหรือไม่ ไม่มีกรณีพิพำท
ั
ี
เก่ยวกับภำษีอำกรตำม พ.ร.บ. จัดต้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร
พ.ศ. ๒๕๒๘ มำตรำ ๗ คดีตำมฟ้องแย้งของจ�ำเลยท้งสองจึงไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำ
ั
พิพำกษำของศำลภำษีอำกร
______________________________
โจทก์ฟ้องว่ำ บริษัทจัดหำงำน เอส.เอ.กรุ๊ป จ�ำกัด เป็นผู้ประกอบกำรจดทะเบียน
ภำษีมูลค่ำเพิ่มตั้งแต่วันที่ ๒๐ สิงหำคม ๒๕๓๖ ประกอบกิจกำรตัวแทนจัดหำงำนอื่น ๆ ต่อมำ
ั
ี
จดทะเบยนเลกบรษทและจดทะเบยนเสรจกำรชำระบญชเมอวนท ๒๔ กรกฎำคม ๒๕๕๖
ี
่
็
ั
�
ื
่
ี
ั
ิ
ี
ิ
ื
ี
ผู้ช�ำระบัญชีคือจ�ำเลยท่ ๑ นำงมณฑำหรือณฐมน ถึงแก่กรรมเม่อวันท่ ๒๗ พฤษภำคม ๒๕๕๘
ี
ก่อนถึงแก่กรรมนำงมณฑำหรือณฐมนท�ำสัญญำค้ำประกันกำรผ่อนช�ำระภำษีอำกรของบริษัท
�
จัดหำงำน เอส.เอ.กรุ๊ป จ�ำกัด โดยน�ำที่ดินจ�ำนวน ๓ แปลง ตำมหนังสือรับรองกำรท�ำประโยชน์
น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๔๐๐๒, ๔๐๐๓ และ ๔๐๐๔ (ปัจจุบันเป็นโฉนดเลขที่ ๑๕๖๙๒, ๑๕๖๙๓ และ
ั
ั
ั
ู
๑๕๖๙๔) ตำบลกนจ อำเภอบงสำมพน จงหวดเพชรบรณ์ จดทะเบยนจำนองเป็นหลกประกน
�
ึ
ี
�
ั
�
ั
ุ
ั
ั
เม่อวันท่ ๑๙ พฤษภำคม ๒๕๔๒ ภำยหลังนำงมณฑำหรือณฐมนถึงแก่กรรมไม่มีกำรแต่งต้ง
ี
ื
ี
ี
ผู้จัดกำรมรดก จ�ำเลยท่ ๑ เป็นสำมีโดยชอบด้วยกฎหมำย จ�ำเลยท่ ๒ เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมำย
ของนำงมณฑำหรือณฐมน จ�ำเลยท้งสองจึงเป็นทำยำทโดยธรรมตำมกฎหมำยมีสิทธิรับมรดก
ั
ั
ี
ึ
ิ
ซ่งรวมถึงกรรมสิทธ์ในท่ดินท้งสำมแปลงดังกล่ำวของนำงมณฑำหรือณฐมน บริษัทจัดหำงำน
ิ
ี
เอส.เอ.กรุ๊ป จ�ำกัด เป็นหน้ภำษีมูลค่ำเพ่มค้ำงช�ำระเดือนภำษีเมษำยน ๒๕๔๐ ถึงเดือนภำษ ี
ู
ิ
ี
ุ
ื
ิ
ิ
่
ื
ั
็
มถนำยน ๒๕๔๐ เนองจำกเจ้ำพนกงำนของโจทก์ประเมนเรยกเกบภำษมลค่ำเพมเดอนภำษ ี
ี
่
ดังกล่ำวพร้อมเบี้ยปรับตำมประมวลรัษฎำกร มำตรำ ๘๙ (๔) และเงินเพิ่มตำมประมวลรัษฎำกร
ี
มำตรำ ๘๙/๑ ในอัตรำร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของเงินภำษีท่ต้อง
ั
ช�ำระ รวมท้งจำกกำรตรวจสอบกำรช�ำระภำษีมูลค่ำเพ่มในเดือนภำษีมิถุนำยน ๒๕๓๖
ิ
เดือนภำษีสิงหำคม ๒๕๓๖ เดือนภำษีพฤศจิกำยน ๒๕๓๖ และเดือนภำษีมกรำคม ๒๕๓๗
389
ื
ื
ิ
พบว่ำบริษัทย่นแบบแสดงรำยกำรภำษีมูลค่ำเพ่มในเดือนภำษีดังกล่ำวโดยแสดงยอดซ้อเกิน
เป็นเหตุให้บริษัทช�ำระภำษีมูลค่ำเพ่มขำดไป เจ้ำพนักงำนของโจทก์ประเมินเรียกเก็บ
ิ
้
ั
ี
ั
ู
ี
ิ
�
่
�
ิ
ุ
ภำษมลค่ำเพมจำนวนดงกล่ำวพร้อมเบยปรบสำหรบเดอนภำษมถนำยน ๒๕๓๖ และ
ี
ั
ื
ิ
เดือนภำษีสิงหำคม ๒๕๓๖ กรณีประกอบกิจกำรโดยไม่ได้จดทะเบียนภำษีมูลค่ำเพ่ม
ตำมมำตรำ ๘๕ แห่งประมวลรัษฎำกร ฉบับปี ๒๕๓๕ มำตรำ ๘๙ (๑) จ�ำนวนสองเท่ำ
ของเงินภำษีท่ต้องเสียในเดือนภำษี ตลอดระยะเวลำท่ไม่ปฏิบัติตำมบทบัญญัติดังกล่ำวและ
ี
ี
ี
ิ
ี
ประเมินเรียกเก็บภำษีมูลค่ำเพ่มท่ขำดของเดือนภำษีพฤศจิกำยน ๒๕๓๖ พร้อมเบ้ยปรับ
ตำมประมวลรษฎำกร ฉบับปี ๒๕๓๕ มำตรำ ๘๙ (๗) กรณน�ำใบก�ำกบภำษปลอม
ั
ั
ี
ี
ไม่ว่ำท้งหมดหรือบำงส่วนมำใช้ในกำรค�ำนวณภำษีให้เสียเบ้ยปรับจ�ำนวนสองเท่ำ
ั
ี
ของจ�ำนวนภำษีตำมใบก�ำกับภำษีนั้น รวมทั้งประเมินเรียกเก็บภำษีมูลค่ำเพิ่มจ�ำนวนที่ขำดของ
ี
เดือนภำษีมกรำคม ๒๕๕๗ พร้อมเบ้ยปรับกรณีย่นแบบแสดงรำยกำรภำษีหรือแบบน�ำส่งภำษีไว้
ื
ไม่ถูกต้องหรือมีข้อผิดพลำดอันเป็นเหตุให้จ�ำนวนภำษีซ้อในเดือนภำษีท่แสดงไว้คลำดเคล่อนไป
ื
ี
ื
ตำมประมวลรัษฎำกร ฉบับปี ๒๕๓๕ มำตรำ ๘๙ (๓) จ�ำนวนหนึ่งเท่ำ และกรณีน�ำใบก�ำกับภำษี
ั
ปลอมไม่ว่ำท้งหมดหรือบำงส่วนมำใช้ในกำรค�ำนวณภำษีตำมประมวลรัษฎำกร ฉบับปี ๒๕๓๕
มำตรำ ๘๙ (๗) จ�ำนวนสองเท่ำ รวมเป็นสำมเท่ำ และเรียกเก็บเงินเพ่มตำมประมวลรัษฎำกร
ิ
ิ
่
มำตรำ ๘๙/๑ ในอัตรำร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงนภำษีทต้องช�ำระ บริษท
ั
ี
ื
ได้รับทรำบกำรประเมินโดยชอบด้วยกฎหมำยแล้ว แต่บริษัทไม่ได้ย่นอุทธรณ์คัดค้ำนกำร
ประเมินภำษีอำกรต่อคณะกรรมกำรพิจำรณำอุทธรณ์ ต่อมำบริษัทช�ำระภำษีอำกรค้ำงเพียง
บำงส่วนแล้วเพิกเฉย เจ้ำพนักงำนของโจทก์จึงอำศัยอ�ำนำจตำมมำตรำ ๑๒ แห่งประมวลรัษฎำกร
ื
ี
อำยัดสิทธิเรียกร้องจำกเงินฝำกในบัญชีเงินฝำกในธนำคำรเพ่อน�ำมำช�ำระหน้ภำษีอำกรค้ำง
ช�ำระได้บำงส่วน ต่อมำวันที่ ๑๑ ธันวำคม ๒๕๔๑ บริษัทยื่นค�ำร้องขอผ่อนช�ำระภำษีอำกรค้ำง
ตำมหนังสือแจ้งกำรประเมินดังกล่ำวจ�ำนวน ๓๖ งวด โดยนำงมณฑำหรือณฐมน ท�ำสัญญำ
ค�้ำประกันกำรผ่อนช�ำระภำษีอำกรดังกล่ำวและจดทะเบียนจ�ำนองที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๔๐๐๒,
ี
๔๐๐๓ และ ๔๐๐๔ (ปัจจุบันเป็นโฉนดเลขท่ ๑๕๖๙๒, ๑๕๖๙๓ และ ๑๕๖๙๔) ต�ำบลกันจ ุ
อ�ำเภอบึงสำมพัน จังหวัดเพชรบูรณ์ ของนำงมณฑำหรือณฐมนเป็นหลักประกันกำรผ่อนช�ำระ
ิ
ื
ั
�
ั
ี
ภำษอำกรโดยทำหนงสอสญญำจำนองเป็นประกนลงวนท ๑๙ พฤษภำคม ๒๕๔๒ วงเงนท ่ ี
�
ั
่
ี
ั
จ�ำนอง ๔๘๒,๓๖๑ บำท คิดดอกเบี้ยในอัตรำร้อยละ ๑๘ ต่อปี (อัตรำเงินเพิ่มตำมกฎหมำย) และ
สัญญำจ�ำนองเป็นประกันระบุสำระส�ำคัญว่ำผู้จ�ำนองตกลงจ�ำนองท่ดินเพ่อค้ำประกันกำรผ่อน
ี
�
ื
390
ี
้
่
ี
�
ิ
�
ั
่
ั
ั
ั
ุ๊
ชำระหนภำษอำกรของบริษัทจดหำงำน เอส.เอ.กรป จ�ำกด ตอโจทก์ หลงจำกน้นบรษัทผอนชำระ
ภำษีอำกร ๓ งวด แล้วผิดนัดไม่ผ่อนช�ำระอีก โจทก์มีหนังสือแจ้งเตือนให้บริษัทและ
�
้
ี
ั
ี
�
ื
ู
�
้
ิ
ั
ั
นำงมณฑำหรอณฐมนผ้คำประกนให้นำเงนไปชำระหนภำษอำกรค้ำงดงกล่ำวแล้ว แต่บริษทและ
ื
นำงมณฑำหรือณฐมนไม่น�ำเงินไปช�ำระ เน่องจำกนำงมณฑำหรือณฐมนถึงแก่กรรม โจทก์จึงม ี
หนังสือแจ้งให้จ�ำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ในฐำนะทำยำทโดยธรรมของนำงมณฑำหรือณฐมนให้ช�ำระ
ี
ี
ค่ำภำษีอำกรค้ำงและบอกกล่ำวบังคับจ�ำนองไปในครำวเดียวกันโดยให้จ�ำเลยท่ ๑ และท่ ๒
น�ำเงินภำษีอำกรที่ค้ำงช�ำระของบริษัทผู้ค้ำงช�ำระภำษีไปช�ำระให้แก่โจทก์ภำยใน ๑๕ วัน นับแต่
วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่ำว แต่จ�ำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เพิกเฉย ปัจจุบันบริษัทมีหนี้ภำษีมูลค่ำเพิ่ม
่
ค้ำงช�ำระ ๒๑๑,๖๘๘.๘๕ บำท (เงินเพมเท่ำค่ำภำษแล้ว) ขอให้จ�ำเลยท ๑ และท ๒ ในฐำนะ
ิ
่
ี
ี
่
ี
ทำยำทโดยธรรมของนำงมณฑำหรือณฐมน ร่วมกันช�ำระหนี้ที่ยังค้ำงช�ำระ ๒๑๑,๖๘๘.๘๕ บำท
จำกกองมรดกของนำงมณฑำหรือณฐมน หำกจ�ำเลยท่ ๑ และท่ ๒ ไม่ช�ำระ ขอให้ศำลมีค�ำส่ง
ี
ี
ั
�
่
ี
ั
่
ี
ิ
ั
ยดหรออำยดทดนตำมหนงสอรบรองกำรทำประโยชน์ น.ส. ๓ ก. เลขท ๔๐๐๒, ๔๐๐๓ และ
ึ
ื
ื
ั
๔๐๐๔ (ปัจจุบันเป็นโฉนดเลขที่ ๑๕๖๙๒, ๑๕๖๙๓ และ ๑๕๖๙๔) ต�ำบลกันจุ อ�ำเภอบึงสำมพัน
ู
ั
ึ
จังหวัดเพชรบูรณ์ รวมท้งส่งปลูกสร้ำงในท่ดินท่มีอย่แล้วหรือจะมีข้นต่อไปในภำยหน้ำออกขำย
ิ
ี
ี
ทอดตลำดน�ำเงินมำช�ำระหนี้แก่โจทก์
จ�ำเลยท้งสองให้กำรและฟ้องแย้งว่ำ ก่อนท่นำงมณฑำหรือณฐมนผู้จ�ำนองจะถึงแก่กรรม
ี
ั
เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภำคม ๒๕๕๘ นำงมณฑำหรือณฐมนถูกศำลล้มละลำยกลำงมีค�ำสั่งพิทักษ์ทรัพย์
ี
เด็ดขำดในคดีหมำยเลขแดงท่ ล.๑๑๘๒/๒๕๕๓ หลังจำกน้นโจทก์ซ่งเป็นเจ้ำหน้มีประกัน
ึ
ั
ี
ได้ย่นค�ำขอรับช�ำระหน้จำกกองทรัพย์สินของนำงมณฑำหรือณฐมนต่อเจ้ำพนักงำนพิทักษ์ทรัพย์
ื
ี
ไว้แล้ว ต่อมำนำงมณฑำหรือณฐมนถูกปลดจำกล้มละลำยนับแต่วันท่ ๒ สิงหำคม ๒๕๕๙ จึงเป็นผล
ี
ให้นำงมณฑำหรือณฐมนหลุดพ้นจำกหน้ท้งปวงอันพึงขอรับช�ำระได้ตำมพระรำชบัญญัติล้มละลำย
ั
ี
พ.ศ. ๒๔๘๓ มำตรำ ๗๗ เนื่องจำกหนี้ที่นำงมณฑำหรือณฐมนเป็นหนี้ต่อโจทก์เป็นหนี้ที่เกิดจำก
ี
ี
�
กำรค้ำประกัน ไม่ใช่หน้ค่ำภำษีอำกรหรือจังกอบของรัฐบำลหรือเทศบำลท่ยังจะต้องมีหน้ำท ี ่
ื
ต้องช�ำระตำมพระรำชบัญญัติล้มละลำย พ.ศ. ๒๔๘๓ มำตรำ ๗๗ (๑) อยู่อีก เม่อหน ี ้
ของนำงมณฑำหรือณฐมนตำมฟ้องระงับส้นไป กำรจ�ำนองก็ย่อมเป็นอันระงับไปด้วยเช่นกัน
ิ
ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ ๗๔๔ และฟ้องโจทก์ในมูลหน้ตำมสัญญำ
ี
�
ค้ำประกันค่ำภำษีอำกรขำดอำยุควำมแล้ว โจทก์ไม่ได้บอกกล่ำวกำรบังคับจ�ำนองไปยังบริษัท
จัดหำงำน เอส.เอ.กรุ๊ป จ�ำกัด หรือผู้ช�ำระบัญชี จึงถือไม่ได้ว่ำโจทก์บอกกล่ำวบังคับจ�ำนองโดยชอบ
391
ุ
้
ั
ิ
้
ั
�
่
ี
็
้
์
ี
ดวยกฎหมำย โจทกไม่มอำนำจฟ้องจำเลยทงสอง และดวยเหตทสญญำจำนองเปนอนระงับสนไป
�
้
ั
�
ี
แล้ว จึงขอให้ศำลพิพำกษำให้โจทก์จดทะเบียนไถ่ถอนจ�ำนองท่ดินโฉนดเลขท่ ๑๕๖๙๒, ๑๕๖๙๓
ี
และ ๑๕๖๙๔ ต�ำบลกันจุ อ�ำเภอบึงสำมพัน จังหวัดเพชรบูรณ์ หำกโจทก์ไม่ปฏิบัติตำมให้ถือเอำ
ค�ำพิพำกษำเป็นกำรแสดงเจตนำแทนโจทก์
ั
ื
ี
โจทก์ให้กำรแก้ฟ้องแย้งว่ำ มูลเหตุในกำรไถ่ถอนจ�ำนองน้นเป็นเร่องอ่นไม่เก่ยวเน่อง
ื
ื
ี
กับค�ำฟ้องเดิมจึงไม่อำจรวมพิจำรณำกับค�ำฟ้องคดีน้ได้ กำรจ�ำนองยังไม่ระงับส้นไปด้วยเหต ุ
ิ
แห่งอำยุควำมตำมประมวลแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ ๗๔๔ (๑) หนี้ที่โจทก์ยื่นขอรับช�ำระหนี้ตำม
ี
พระรำชบัญญัติล้มละลำย พ.ศ. ๒๔๘๓ มำตรำ ๙๑ ในคดีหมำยเลขแดงท่ ล.๑๑๘๒/๒๕๕๓
ี
ี
ไม่ใช่หน้ภำษีค้ำงช�ำระในคดีน้ แต่เป็นหน้ส่วนตัวของนำงมณฑำโดยเป็นหน้ไม่มีประกันท ี ่
ี
ี
ี
ี
ื
ค้ำงช�ำระโดยกำรประเมินภำษีของสรรพำกรพ้นท่กรุงเทพมหำนคร ๑๐ จึงไม่เก่ยวข้องกับคดีน ี ้
อีกท้งกำรปลดจำกล้มละลำยมีผลเพียงท�ำให้บุคคลล้มละลำยหลุดพ้นสถำนะล้มละลำย แต่ในส่วน
ั
ั
ี
ั
ี
ี
หน้สินและทรัพย์สินท่มีอยู่ก่อนและระหว่ำงศำลมีค�ำส่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหน้น้น เจ้ำพนักงำน
้
ั
ิ
ื
ิ
ี
้
ิ
ิ
�
พทักษ์ทรพย์ยังมีอำนำจในกำรรวบรวมทรัพย์สนเพ่อช�ำระหนแก่เจ้ำหนทมีสทธตำมกฎหมำย
่
ี
ี
ได้อยู่ตำมมำตรำ ๒๒ และมำตรำ ๗๘ แห่งพระรำชบัญญัติล้มละลำย พ.ศ. ๒๔๘๓ โจทก์ยึดที่ดิน
ั
ั
�
�
้
ี
่
ั
อนเป็นหลกประกันจำนองทง ๓ แปลง ไว้แล้วเพอบงคบชำระหนทนำงมณฑำค้ำงชำระและ
ี
ั
่
้
ั
�
ื
โจทก์ด�ำเนนกำรขำยทอดตลำดแบบตดจำนองตำมมำตรำ ๑๒ แห่งประมวลรษฎำกร กำรจะขอให ้
�
ั
ิ
ิ
ไถ่ถอนจ�ำนองได้ จ�ำเลยทั้งสองต้องช�ำระหนี้ภำษีอำกรที่ค้ำงช�ำระทั้ง ๒ จ�ำนวน คือ หนี้จ�ำนวน
๕๗๑,๕๗๙.๔๖ บำท ซึ่งเป็นหนี้ตำมกำรประเมินของสรรพำกรพื้นที่กรุงเทพมหำนคร ๑๐ และ
ี
้
ี
ี
ี
ี
้
ี
หนจำนวน ๒๑๑,๖๘๘.๘๕ บำท ในคดนให้ครบถ้วนเสยก่อน และหนภำษอำกรค้ำงในคดน ี ้
้
�
ี
ี
ี
มีหลักประกันเป็นท่ดินของนำงมณฑำซ่งเป็นผู้ค้ำประกันและผู้จ�ำนองเป็นประกันหน้บริษัท
ึ
�
จัดหำงำน เอส.เอ.กรุ๊ป จ�ำกัด โจทก์จึงเป็นเจ้ำหน้มีประกันตำมพระรำชบัญญัติล้มละลำย
ี
ี
พ.ศ. ๒๔๘๓ มำตรำ ๙๕ โจทก์ยังคงใช้สิทธิบังคับช�ำระหน้จำกหลักประกันหน้ภำษีอำกรค้ำงได้อย ู่
ี
ั
กรณียังไม่มีเหตุให้จ�ำนองระงับ ค�ำส่งปลดจำกล้มละลำยไม่ท�ำให้บุคคลล้มละลำยหลุดพ้นจำกหน ้ ี
เกี่ยวกับภำษีอำกรตำมพระรำชบัญญัติล้มละลำย พ.ศ. ๒๔๘๓ มำตรำ ๗๗ (๑) แม้ว่ำจะเป็นกำร
�
ี
ี
ค้ำประกันหรือจ�ำนองก็ตำมก็เป็นไปด้วยมูลเหตุหน้เก่ยวกับภำษีอำกรและไม่มีบทบัญญัติจ�ำกัด
ิ
ี
�
ั
ี
ั
ี
สิทธิให้ประกันกำรช�ำระหน้เก่ยวกับภำษีอำกรน้นส้นสุดไปด้วยเหตุท่มีค�ำส่งให้ปลดผู้ค้ำประกัน
หรือผู้จ�ำนองจำกล้มละลำย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
392
ั
ี
ก่อนช้สองสถำน โจทก์ขอถอนฟ้องจ�ำเลยท้งสอง ศำลภำษีอำกรกลำงอนุญำตและให้
ี
จ�ำหน่ำยคดีเฉพำะค�ำฟ้องโจทก์ออกจำกสำรบบควำม แล้วทนำยโจทก์แถลงว่ำคดีน้ในส่วนของ
ฟ้องแย้งไม่ได้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำของศำลภำษีอำกรกลำงแต่อยู่ในอ�ำนำจกำรพิจำรณำของ
ศำลล้มละลำยกลำง
ศำลภำษีอำกรกลำงเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีน้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำ
ี
ของศำลภำษีอำกรหรือไม่ จึงส่งส�ำนวนมำให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำม
ั
พระรำชบัญญัติจัดต้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ มำตรำ ๑๐
วรรคสอง
ื
วินิจฉัยว่ำ เม่อโจทก์ถอนฟ้องแล้ว จ�ำเลยท้งสองฟ้องแย้งว่ำ นำงมณฑำหรือณฐมน
ั
ผู้ท�ำสัญญำค�้ำประกันและจดทะเบียนจ�ำนองที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๔๐๐๒, ๔๐๐๓ และ ๔๐๐๔
(ปัจจุบันเป็นโฉนดเลขที่ ๑๕๖๙๒, ๑๕๖๙๓ และ ๑๕๖๙๔) ต�ำบลกันจุ อ�ำเภอบึงสำมพัน จังหวัด
ี
เพชรบูรณ์ เป็นหลักประกันกำรผ่อนช�ำระหน้ภำษีอำกรค้ำงของบริษัทจัดหำงำน เอส.เอ.กรุ๊ป
ี
ั
ั
จ�ำกัด ท่มีต่อโจทก์น้น ถูกศำลล้มละลำยกลำงมีค�ำส่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขำดในคดีหมำยเลขแดง
ที่ ล.๑๑๘๒/๒๕๕๓ ต่อมำนำงมณฑำหรือณฐมนถูกปลดจำกล้มละลำยนับแต่วันที่ ๒ สิงหำคม
๒๕๕๙ จึงเป็นผลให้นำงมณฑำหรือณฐมนหลุดพ้นจำกหน้ท้งปวงอันพึงขอรับช�ำระได้ตำม
ี
ั
ื
ี
ี
พระรำชบัญญัติล้มละลำย พ.ศ. ๒๔๘๓ มำตรำ ๗๗ เน่องจำกหน้ท่นำงมณฑำหรือณฐมน
ี
ี
เป็นหน้ต่อโจทก์เป็นหน้ท่เกิดจำกกำรค้ำประกัน ไม่ใช่หน้ค่ำภำษีอำกรหรือจังกอบของรัฐบำลหรือ
�
ี
ี
ี
ี
เทศบำลท่ยังจะต้องมีหน้ำท่ต้องช�ำระตำมพระรำชบัญญัติล้มละลำย พ.ศ. ๒๔๘๓ มำตรำ ๗๗ (๑)
ิ
�
ี
อยู่อีก เม่อหน้ของนำงมณฑำหรือณฐมนตำมสัญญำค้ำประกันระงับส้นไป กำรจ�ำนองก็ย่อม
ื
เป็นอันระงับไปด้วยตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ ๗๔๔ จึงขอให้ศำลพิพำกษำ
ให้โจทก์จดทะเบียนไถ่ถอนจ�ำนองที่ดินหลักประกันทั้งสำมแปลงดังกล่ำว โจทก์ให้กำรแก้ฟ้องแย้งว่ำ
ั
ี
ค�ำส่งปลดจำกล้มละลำยไม่ท�ำให้บุคคลล้มละลำยหลุดพ้นจำกหน้เก่ยวกับภำษีอำกรตำม
ี
พระรำชบัญญัติล้มละลำย พ.ศ. ๒๔๘๓ มำตรำ ๗๗ (๑) แม้ว่ำจะเป็นกำรค�้ำประกันหรือจ�ำนองก็
ี
เป็นไปด้วยมูลเหตุหน้เก่ยวกับภำษีอำกรและไม่มีบทบัญญัติจ�ำกัดสิทธิให้กำรประกันกำรช�ำระหน ี ้
ี
ั
เก่ยวกับภำษีอำกรน้นส้นสุดไปด้วยเหตุท่มีค�ำส่งให้ปลดผู้ค้ำประกันหรือผู้จ�ำนองจำกล้มละลำย
ิ
�
ี
ั
ี
ั
โจทก์ยึดท่ดินอันเป็นหลักประกันกำรจ�ำนองท้ง ๓ แปลง และด�ำเนินกำรขำยทอดตลำดแบบ
ี
ติดจ�ำนองตำมมำตรำ ๑๒ แห่งประมวลรัษฎำกร โจทก์เป็นเจ้ำหนี้มีประกันตำมพระรำชบัญญัติ
ี
ั
ล้มละลำย พ.ศ. ๒๔๘๓ มำตรำ ๙๕ โจทก์ยงคงใช้สิทธิบงคับช�ำระหน้จำกหลักประกันหน ้ ี
ั
393
ภำษีอำกรค้ำงได้ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพำทว่ำ ควำมรับผิดของนำงมณฑำหรือณฐมนตำมสัญญำ
ั
ี
�
ี
ค้ำประกันและสัญญำจ�ำนองท่ดินท้ง ๓ แปลง เป็นประกันกำรผ่อนช�ำระหน้ภำษีอำกรค้ำงของ
บริษัทจัดหำงำน เอส.เอ.กรุ๊ป จ�ำกัด ที่มีต่อโจทก์นั้นเป็นอันระงับสิ้นไปด้วยค�ำสั่งศำลล้มละลำย
ี
ี
กลำงท่ให้ปลดนำงมณฑำหรือณฐมนจำกล้มละลำยหรือไม่ ไม่มีกรณีพิพำทเก่ยวกับภำษีอำกร
ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ มำตรำ ๗
คดีตำมฟ้องแย้งของจ�ำเลยทั้งสองจึงไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร
วินิจฉัยว่ำ คดีตำมฟ้องแย้งของจ�ำเลยท้งสองไม่เป็นคดีท่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำ
ั
ี
ของศำลภำษีอำกร
วินิจฉัย ณ วันที่ ๗ เดือน พฤษภำคม พุทธศักรำช ๒๕๖๒
ไมตรี สุเทพำกุล
(นำยไมตรี สุเทพำกุล)
ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ)
มณฑำทิพย์ ตั้งวิชำชำญ - ย่อ
วีนัส นิมิตกุล - ตรวจ
394
ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ นำยธีระพงษ์ แจ่มจันทร์
ที่ วภ ๕/๒๕๖๓ กับพวก โจทก ์
กรมสรรพำกร จ�ำเลย
ี
ั
จ�ำเลยมีค�ำส่งโดยอำศัยอ�ำนำจตำมมำตรำ ๑๒ แห่ง ป.รัษฎำกร ยึดท่ดินโฉนด
เลขที่ ๒๙๕๘ และ ๘๙๗๐ ซึ่งมีชื่อโจทก์ทั้งสี่และนำงสำว น. เป็นเจ้ำของกรรมสิทธิ์รวม
ี
ี
ั
ี
โจทก์ท้งส่คัดค้ำนกำรยึดท่ดินดังกล่ำวว่ำ จ�ำเลยต้องยึดและขำยทอดตลำดท่ดิน
่
้
้
ั
่
่
่
ั
ี
เฉพำะสวนของนำงสำว น. เทำนน จำเลยใหกำรวำทดนทงสองแปลงยงไมไดมกำรแบงแยก
้
ี
่
่
ั
้
ิ
�
่
ู
ั
้
ึ
อย่ำงชัดเจนวำส่วนใดเป็นของนำงสำว น. จงตองสนนิษฐำนว่ำผ้เป็นเจ้ำของรวมมส่วน
ี
ั
เท่ำกัน กำรยึดท่ดินท้งแปลงชอบแล้ว คดีมีประเด็นพิพำทว่ำโจทก์ท้งส่เป็นเจ้ำของรวม
ี
ั
ี
ซ่งมีกรรมสิทธ์ในท่ดินท้งสองแปลงตำมฟ้องท่ได้แบ่งแยกกำรครอบครองเป็นสัดส่วน
ิ
ั
ี
ี
ึ
ี
ั
หรือไม่ และจ�ำเลยมีสิทธิยึดท่ดินดังกล่ำวได้ท้งแปลงหรือไม่ ไม่มีกรณีพิพำทเก่ยวกับ
ี
ภำษีอำกรตำมที่ก�ำหนดไว้ในมำตรำ ๗ แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำ
คดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ คดีไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร
______________________________
โจทก์ฟ้องและแก้ไขค�ำฟ้องว่ำ จ�ำเลยมีค�ำส่งแต่งต้งเจ้ำพนักงำนของจ�ำเลยยึดท่ดินของ
ั
ั
ี
นำงสำวนงเยำว์หรือยศนพรรณ ผู้ค้ำงภำษีอำกร รวม ๗ แปลง ซึ่งที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๙๕๘ และ
ที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๙๗๐ ต�ำบลแสวงหำ อ�ำเภอแสวงหำ จังหวัดอ่ำงทอง โจทก์ทั้งสี่เป็นเจ้ำของ
ี
ั
ื
กรรมสิทธ์ร่วมกับนำงสำวนงเยำว์ โจทก์ท้งส่โต้แย้งคัดค้ำนกำรยึดท่ดินท้งสองแปลงดังกล่ำวเพ่อ
ิ
ี
ั
น�ำออกขำยทอดตลำดทั้งแปลง ต่อมำจ�ำเลยมีค�ำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่ โจทก์ทั้งสี่
ี
ื
่
้
ี
ึ
ั
็
ั
เหนว่ำ จ�ำเลยไม่อำจยดทดินทงสองแปลงดังกล่ำวท้งแปลงได้ เน่องจำกท่ดินดังกล่ำวได้มำโดย
กำรรับมรดกจำกบิดำ จึงเป็นกำรได้มำในฐำนะส่วนตัว และมีกำรตกลงแบ่งกำรครอบครองไว้เป็น
ส่วนสัดและเข้ำท�ำประโยชน์ตำมสัดส่วนท่ได้ครอบครองแล้วก่อนท่จ�ำเลยจะยึด ส่วนท่ดินโฉนด
ี
ี
ี
เลขที่ ๘๙๗๐ มีกำรจดทะเบียนบรรยำยส่วนของแต่ละคนไว้เป็นหลักฐำนในโฉนดที่ดินแล้ว ที่ดิน
ท่จ�ำเลยยึดไว้จึงไม่ใช่ท่ดินของผู้ค้ำงช�ำระภำษีอำกร กำรยึดท่ดินเฉพำะส่วนของผู้ค้ำงภำษีออก
ี
ี
ี
ี
ขำยทอดตลำดเพ่อน�ำเงินมำช�ำระหน้ภำษีอำกรมิได้ท�ำให้จ�ำเลยเสียเปรียบและได้รับควำมเสียหำย
ื
ั
ั
อีกท้งโจทก์ท้งส่ไม่ได้มีส่วนเก่ยวข้องกับกำรด�ำเนินกิจกำรและหน้ภำษีอำกรของนำงสำวนงเยำว์
ี
ี
ี
395
ขอให้เพิกถอนค�ำสั่งที่ สภ.๔/อท/๑๙๒/๒๕๕๙ เรื่องแต่งตั้งเจ้ำพนักงำนให้ยึดทรัพย์สินของผู้ค้ำง
ภำษี ลงวันที่ ๑๕ ธันวำคม ๒๕๕๙ เพิกถอนประกำศของจ�ำเลย เรื่อง ให้ยึดทรัพย์สินของผู้ค้ำง
ภำษีอำกร ลงวันที่ ๑๕ ธันวำคม ๒๕๕๙ เพิกถอนค�ำสั่งของจ�ำเลย ตำมหนังสือที่ กค ๐๗๒๒.๑๑/
กร.๓/๒๗๙ ลงวันที่ ๑๘ มกรำคม ๒๕๖๑ แก้ไขบัญชีทรัพย์สินที่ถูกยึด ท้ำย ภ.ส. ๑๘ ประกำศ
ี
ื
ของจ�ำเลย เร่องให้ยึดทรัพย์สินของผู้ค้ำงภำษีอำกร ลงวันท่ ๑๕ ธันวำคม ๒๕๕๙ และขอให้
เพิกถอนค�ำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจ�ำเลย
จ�ำเลยให้กำรว่ำ นำงสำวนงเยำว์ มีหนี้ค่ำภำษีอำกรค้ำงช�ำระ ๓๔,๘๖๒,๔๔๙.๙๖ บำท
ั
ิ
(ไม่รวมเงินเพ่มตำมกฎหมำย) จ�ำเลยจึงมีอ�ำนำจส่งยึดหรืออำยัดและขำยทอดตลำดทรัพย์สิน
ั
ของผู้ต้องรับผิดเสียภำษีอำกรโดยมิต้องขอให้ศำลออกหมำยยึดหรือส่ง ตำมมำตรำ ๑๒ แห่ง
ประมวลรัษฎำกร ท่ดินโฉนดเลขท่ ๒๙๕๘ ไม่ปรำกฏว่ำมีกำรบรรยำยส่วนหรือแบ่งแยกกรรมสิทธ ์ ิ
ี
ี
รวมไว้ จึงต้องสันนิษฐำนไว้ก่อนว่ำผู้เป็นเจ้ำของรวมมีส่วนเท่ำกัน ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและ
ี
ิ
พำณิชย์ มำตรำ ๑๓๕๗ ส่วนท่ดินโฉนดเลขท่ ๘๙๗๐ แม้มีกำรบรรยำยส่วนกรรมสิทธ์ของนำงสำว
ี
นงเยำว์ไว้แต่ยังไม่ได้มีกำรแบ่งแยกส่วนสัดอย่ำงชัดเจนว่ำส่วนใดเป็นของนำงสำวนงเยำว์ ที่ดิน
ท้งสองแปลงดังกล่ำวจึงเป็นทรัพย์สินท่สำมำรถยึดได้ท้งแปลง ตำมข้อ ๗ (๑) (ก) และข้อ ๑๐
ั
ั
ี
(๒๑) ของระเบียบกรมสรรพำกร ว่ำด้วยกำรยึดทรัพย์สินตำมควำมในมำตรำ ๑๒ แห่งประมวล
รัษฎำกร และเม่อขำยทอดตลำดท่ดินได้แล้วจึงจะน�ำเงินท่ได้แบ่งตำมส่วนของผู้ถือกรรมสิทธ์รวม
ิ
ี
ื
ี
และน�ำเงินในส่วนของนำงสำวนงเยำว์มำช�ำระหนี้ภำษีอำกรค้ำงต่อไป ดังนั้น กำรยึดทรัพย์และ
ประกำศของจ�ำเลยกับค�ำวินิจฉัยอุทธรณ์จึงชอบด้วยกฎหมำยแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ี
ี
ก่อนช้สองสถำน ศำลภำษีอำกรกลำงเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีน้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำ
พิพำกษำของศำลภำษีอำกรกลำงหรือไม่ จึงส่งส�ำนวนมำให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
ั
้
ี
ั
ิ
ี
ี
ี
ิ
ั
วนจฉยตำมพระรำชบญญตจดตงศำลภำษอำกรและวธพจำรณำคดภำษอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘
ิ
ิ
ั
ั
ิ
มำตรำ ๑๐ วรรคสอง
ั
วินิจฉัยว่ำ จ�ำเลยมีค�ำส่งโดยอำศัยอ�ำนำจตำมมำตรำ ๑๒ แห่งประมวลรัษฎำกร ยึด
ึ
ี
ี
ี
ั
ี
ท่ดินโฉนดเลขท่ ๒๙๕๘ และท่ดินโฉนดเลขท่ ๘๙๗๐ ซ่งมีช่อโจทก์ท้งส่และนำงสำวนงเยำว์
ื
ี
ี
ผู้ค้ำงภำษี เป็นเจ้ำของกรรมสิทธ์รวม โจทก์ท้งส่คัดค้ำนกำรยึดท่ดินดังกล่ำวท้งแปลง โดย
ั
ิ
ั
ี
ี
โต้แย้งว่ำมีกำรตกลงแบ่งแยกกำรครอบครองท่ดินไว้เป็นส่วนสัดแล้ว จ�ำเลยจึงต้องยึดและ
ี
ี
ขำยทอดตลำดท่ดินเฉพำะส่วนของนำงสำวนงเยำว์เท่ำน้น เม่อจ�ำเลยให้กำรโต้แย้งว่ำ ท่ดิน
ั
ื
ึ
ี
ั
ั
ทงสองแปลงยงไม่ได้มกำรแบ่งแยกอย่ำงชดเจนว่ำส่วนใดเป็นของนำงสำวนงเยำว์ จงต้อง
้
ั
396
ี
ั
สันนิษฐำนไว้ก่อนว่ำผู้เป็นเจ้ำของรวมมีส่วนเท่ำกัน กำรยึดท่ดินท้งแปลงชอบแล้ว คดีจึงมีประเด็น
ั
ี
ึ
ิ
ี
ี
ั
ข้อพิพำทเพียงว่ำ โจทก์ท้งส่เป็นเจ้ำของรวมซ่งมีกรรมสิทธ์ในท่ดินท้งสองแปลงตำมฟ้องท่ได้
ิ
�
ั
ิ
ี
้
ึ
่
ื
แบ่งกำรครอบครองเป็นส่วนสัดแล้วหรอไม และจำเลยมีสิทธยดท่ดนดังกล่ำวไดท้งแปลงหรือไม ่
ี
ไม่มีกรณีพิพำทเก่ยวกับภำษีอำกรตำมท่ก�ำหนดไว้ในมำตรำ ๗ แห่งพระรำชบัญญัติจัดต้ง
ั
ี
ศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘
วินิจฉัยว่ำ คดีนี้ไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร
วินิจฉัย ณ วันที่ ๓๐ เดือน พฤศจิกำยน พุทธศักรำช ๒๕๖๓
ภำวนำ สุคันธวณิช
(นำงสำวภำวนำ สุคันธวณิช)
ผู้พิพำกษำศำลฎีกำ ช่วยท�ำงำนชั่วครำวในต�ำแหน่ง
ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
มณฑำทิพย์ ตั้งวิชำชำญ - ย่อ
วีนัส นิมิตกุล - ตรวจ
397
ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ นำง พ. ในฐำนะผู้แทน
ที่ วภ ๒/๒๕๖๔ โดยชอบธรรมของเด็กชำย ว. โจทก ์
กรมสรรพำกร จ�ำเลย
�
ั
่
ี
ั
ี
่
พนักงำนเจ้ำหน้ำทของจ�ำเลยมคำสงตำมมำตรำ ๑๒ แห่ง ป.รษฎำกร
อำยัดเงินในบัญชีเงินฝำกธนำคำร ชื่อบัญชี “เพื่อ ด.ช. ว. โดยนำย ร.” โจทก์คัดค้ำนกำร
อำยัดบัญชีเงินฝำกดังกล่ำว โดยโต้แย้งว่ำ เงินในบัญชีเงินฝำกเป็นกรรมสิทธิ์ของ ด.ช. ว.
ั
ั
�
่
�
ิ
ี
ั
เพยงผ้เดยว ขอให้เพกถอนกำรอำยดและเรยกค่ำเสยหำย จำเลยให้กำรว่ำคำสงอำยด
ี
ู
ี
ี
เงินชอบแล้ว และมิได้ท�ำให้ ด.ช. ว. เสียหำย ประเด็นพิพำทจึงมีว่ำ เงินในบัญชีเงินฝำก
ี
ั
ึ
่
�
ื
ิ
ิ
ี
ั
ทจำเลยอำยดไว้ตำมฟ้องเป็นทรัพย์สนของ ด.ช. ว. หรอ นำย ร. ซงจำเลยมสทธิอำยด
่
�
ไว้ได้หรือไม่ และ ด.ช. ว. ได้รับควำมเสียหำยหรือไม่ ไม่มีกรณีพิพำทเก่ยวกับภำษ ี
ี
ั
อำกรตำมท่ก�ำหนดไว้ในมำตรำ ๗ แห่ง พ.ร.บ. จัดต้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำ
ี
คดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ คดีไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร
______________________________
โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชำย ว. เด็กชำย ว. เป็นบุตรของ
โจทก์กับนำยรชต์เขตต์ ผู้ค้ำงภำษี ปัจจุบันโจทก์กับนำยรชต์เขตต์จดทะเบียนหย่ำแล้ว เมื่อวันที่
ั
๕ พฤศจิกำยน ๒๕๖๒ จ�ำเลยมีค�ำส่งอำยัดทรัพย์ของนำยรชต์เขตต์ และมีหนังสือถึงธนำคำร
เพ่อกำรเกษตรและสหกรณ์กำรเกษตรให้ด�ำเนินกำรอำยัดเงินในบัญชีเงินฝำก ช่อบัญช ี
ื
ื
“เพื่อ ด.ช. ว. โดยนำยรชต์เขตต์” จ�ำนวนเงิน ๑๙,๘๐๑ บำท ซึ่งเงินในบัญชีดังกล่ำวเป็นเงินออม
ื
ของเด็กชำย ว. ตำมโครงกำรเด็กดีมีเงินออมของทำงโรงเรียนและน�ำไปฝำกไว้กับธนำคำรเพ่อ
ี
ิ
กำรเกษตรและสหกรณ์กำรเกษตร เด็กชำย ว. จึงเป็นผู้มีกรรมสิทธ์ในเงินท่อยู่ในบัญชีเงินฝำก
ดังกล่ำวแต่เพียงผู้เดียว จ�ำเลยและธนำคำรไม่ได้แจ้งให้เด็กชำย ว. ทรำบเพ่อให้โอกำสโต้แย้ง
ื
คัดค้ำน ค�ำส่งอำยัดบัญชีเงินฝำกดังกล่ำวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมำยและท�ำให้เด็กชำย ว. ได้รับ
ั
ควำมเสียหำย ขอให้เพิกถอนกำรบังคับคดีของจ�ำเลยในกำรบังคับเอำทรัพย์สินของเด็กชำย ว. ให้
จ�ำเลยส่งมอบเงิน ๑๘,๘๐๑ บำท (ที่ถูก ๑๙,๘๐๑ บำท) พร้อมดอกเบี้ยในอัตรำร้อยละ ๕ ต่อปี ของ
ต้นเงินดังกลำว นับแต่วันท่ได้รับเงินจำกธนำคำรเพ่อกำรเกษตรและสหกรณ์กำรเกษตร และชดใช้
่
ื
ี
ค่ำเสียหำยเป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บำท ให้แก่เด็กชำย ว.
จ�ำเลยให้กำรว่ำ คดีนี้เป็นคดีพิพำทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ภำษีอำกร ตำม
ั
มำตรำ ๗ (๒) แห่งพระรำชบัญญัติจัดต้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘
คดีจึงอยู่ในอ�ำนำจของศำลภำษีอำกร เด็กชำย ว. เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมำยของนำยรชต์เขตต์
ื
สิทธิเรียกร้องตำมบัญชีเงินฝำกธนำคำรเพ่อกำรเกษตรและสหกรณ์กำรเกษตร จึงเป็นสิทธ ิ
398
ั
ของนำยรชต์เขตต์ จ�ำเลยแจ้งค�ำส่งอำยัดให้แก่นำยรชต์เขตต์และธนำคำรทรำบโดยชอบแล้ว
ี
ี
ิ
ี
ิ
ั
ึ
�
ั
ิ
ู
ั
ิ
ั
แต่ไม่มผ้คดค้ำน กำรอำยดสทธเรยกร้องในบญชเงนฝำกดงกล่ำวจงชอบแล้ว และกำรดำเนน
กำรของจ�ำเลยเป็นกำรอำศัยอ�ำนำจตำมกฎหมำยจึงมิได้เป็นกำรละเมิดและไม่ได้ท�ำให้เด็กชำย ว.
เสียหำย ขอให้ยกฟ้อง
ี
ก่อนช้สองสถำน ศำลจังหวัดแพร่เห็นว่ำ จ�ำเลยให้กำรและย่นค�ำร้องว่ำ คดีน้อยู่ในอ�ำนำจ
ื
ี
ี
พิจำรณำพิพำกษำคดีของศำลภำษีอำกร กรณีมีปัญหำว่ำคดีน้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำ
ของศำลภำษีอำกรหรือไม่ จึงส่งส�ำนวนมำให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัย
ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ มำตรำ ๑๐
วรรคสอง
วินิจฉัยว่ำ พนักงำนเจ้ำหน้ำที่ของจ�ำเลยมีค�ำสั่งโดยอำศัยอ�ำนำจตำมมำตรำ ๑๒ แห่ง
ื
ประมวลรัษฎำกร อำยัดเงินในบัญชีเงินฝำกธนำคำรเพ่อกำรเกษตรและสหกรณ์กำรเกษตร
ช่อบัญชี “เพ่อ ด.ช. ว. โดยนำยรชต์เขตต์” โจทก์คัดค้ำนกำรอำยัดบัญชีเงินฝำกดังกล่ำว โดย
ื
ื
โต้แย้งว่ำ เงินในบัญชีเงินฝำกเป็นกรรมสิทธ์ของเด็กชำย ว. แต่เพียงผู้เดียวมิใช่กรรมสิทธ์ของ
ิ
ิ
ื
นำยรชต์เขตต์ ขอให้เพิกถอนกำรอำยัดและเรียกค่ำเสียหำยจำกค�ำส่งอำยัดของจ�ำเลย เม่อ
ั
จ�ำเลยให้กำรโต้แย้งว่ำ ค�ำส่งอำยัดเงินฝำกในบัญชีเงินฝำกดังกล่ำวชอบแล้วเน่องจำกเด็กชำย ว.
ั
ื
เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมำยของนำยรชต์เขตต์และกำรกระท�ำของจ�ำเลยมิได้ท�ำให้เด็กชำย ว.
ี
ี
ี
เสียหำย ดังน้ ประเด็นข้อพิพำทแห่งคดีน้จึงมีว่ำ เงินในบัญชีเงินฝำกท่พนักงำนเจ้ำหน้ำท ่ ี
�
่
ื
ึ
ั
ั
�
ของจำเลยอำยดไว้ตำมฟ้องเป็นทรพย์สนของเดกชำย ว. หรอของนำยรชต์เขตต์ซงจำเลยจะ
ิ
็
ี
มีสิทธิอำยัดไว้ได้หรือไม่ และเด็กชำย ว. ได้รับควำมเสียหำยหรือไม่ ไม่มีกรณีพิพำทเก่ยวกับ
ภำษีอำกรตำมที่ก�ำหนดไว้ในมำตรำ ๗ แห่งพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำ
คดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘
วินิจฉัยว่ำ คดีนี้ไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร
วินิจฉัย ณ วันที่ ๑๘ เดือน มกรำคม พุทธศักรำช ๒๕๖๕
อโนชำ ชีวิตโสภณ
(นำงอโนชำ ชีวิตโสภณ)
อธิบดีผู้พิพำกษำศำลเยำวชนและครอบครัวกลำง
ช่วยท�ำงำนชั่วครำวในต�ำแหน่งประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
มณฑำทิพย์ ตั้งวิชำชำญ - ย่อ
วีนัส นิมิตกุล - ตรวจ
399
ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ ห้ำงหุ้นส่วนจ�ำกัด
ที่ วภ ๓/๒๕๖๐ หำดใหญ่คำร์แคร์ โจทก ์
กรมสรรพำกร จ�ำเลย
ั
ี
กำรท่จ�ำเลยมีค�ำส่งอำยัดทรัพย์สินของโจทก์และหุ้นส่วนผู้จัดกำรของโจทก์
ื
ี
ื
ก็เน่องมำจำกกำรท่โจทก์ย่นแบบแสดงรำยกำรภำษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด. ๕๐) รอบ
ระยะเวลำบัญชีต้งแต่วันท ๑ มกรำคม ๒๕๔๖ ถึงวันท ๓๑ ธันวำคม ๒๕๔๖ ต่อจ�ำเลย
ี
่
ี
่
ั
ื
ิ
ี
่
�
ิ
็
ั
ี
�
ิ
และขอคนเงนภำษอำกรทชำระไว้เกน ต่อมำเจ้ำพนกงำนของจำเลยพจำรณำแล้วเหนว่ำ
ี
จ�ำเลยคืนเงินภำษีอำกรท่ช�ำระไว้เกินแก่โจทก์ผิดพลำด จึงทวงถำมให้โจทก์น�ำเงิน
ที่สั่งคืนให้แก่โจทก์ผิดพลำดดังกล่ำวไปช�ำระคืน แต่โจทก์เพิกเฉย จ�ำเลยจึงอำศัยอ�ำนำจ
ตำมมำตรำ ๕๗ แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติรำชกำรทำงปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ อำยัดสิทธ ิ
ื
เรียกร้องในบัญชีเงินฝำกธนำคำรของโจทก์และของหุ้นส่วนผู้จัดกำรของโจทก์ เม่อ
ั
ค�ำฟ้องของโจทก์ขอให้บังคับจ�ำเลยให้มีค�ำส่งเพิกถอนหรือยกเลิกค�ำส่งยึดทรัพย์หรือ
ั
อำยัดทรัพย์สินดังกล่ำว โดยอ้ำงว่ำโจทก์มีสิทธิได้รับเงินภำษีอำกรคืน จึงไม่จ�ำต้องคืน
�
่
ั
�
ิ
ั
ิ
ิ
ั
ี
ั
ื
ึ
ิ
ั
้
ี
เงนภำษอำกรให้แก่จำเลย ดงน ก่อนทจะวนจฉยว่ำ คำสงยดหรออำยดทรพย์สนดงกล่ำว
ั
ี
่
ของจ�ำเลยชอบหรือไม่ จ�ำต้องวินิจฉัยในประเด็นส�ำคัญแห่งคดีก่อนว่ำ โจทก์มีสิทธ ิ
ื
ี
ได้รับเงินภำษีอำกรคืนตำมฟ้องหรือไม่ กรณีจึงเป็นเร่องพิพำทเก่ยวกับกำรขอคืน
ี
ค่ำภำษีอำกร อันอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกรตำมท่ก�ำหนดไว้ใน
มำตรำ ๗ (๓) แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘
____________________________
โจทก์ฟ้องว่ำ เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภำคม ๒๕๔๗ โจทก์ยื่นแบบแสดงรำยกำรภำษีเงินได้
นิติบุคคล (ภ.ง.ด. ๕๐) รอบระยะเวลำบัญชี ๒๕๔๖ ฉบับปกติ โดยไม่ประสงค์ขอคืนภำษีเงินได้
ี
ื
ี
ี
นิติบุคคลท่ได้ถูกหัก ณ ท่จ่ำยไว้เกิน ๒๑๖,๙๗๑.๐๓ บำท ณ ส�ำนักงำนสรรพำกรพ้นท่สำขำ
หำดใหญ่ ๑ จังหวัดสงขลำ ต่อมำวันที่ ๓๐ เมษำยน ๒๕๕๐ โจทก์ยื่นค�ำร้องขอคืนภำษีที่ช�ำระ
ไว้เกินตำมแบบ ค.๑๐ และวันที่ ๒๒ พฤศจิกำยน ๒๕๕๐ โจทก์ยื่นแบบแสดงรำยกำรภำษีเงินได้
นิติบุคคล (ภ.ง.ด. ๕๐) รอบระยะเวลำบัญชี ๒๕๔๖ ฉบับยื่นเพิ่มเติมครั้งที่ ๒ ปรับปรุงแบบตำม
ผลกำรตรวจของเจ้ำพนักงำนประเมินและขอคืนภำษีเงินได้นิติบุคคลที่ได้ถูกหัก ณ ที่จ่ำยไว้เกิน
400
๒๑๖,๙๗๑.๐๓ บำท จ�ำเลยโดยส�ำนักงำนสรรพำกรพื้นที่สงขลำ ๒ คืนเงินภำษีอำกรดังกล่ำวให้
แก่โจทก์ ๒๑๖,๙๗๑.๐๓ บำท ต่อมำจ�ำเลยตรวจพบว่ำกำรขอคืนภำษีอำกรกรณีถูกหัก ณ ที่จ่ำย
ทั้งจ�ำนวน เป็นภำษีหัก ณ ที่จ่ำยตำมมำตรำ ๓ เตรส โจทก์ต้องยื่นค�ำร้องภำยใน ๓ ปี นับแต่
วันสุดท้ำยแห่งปีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ำยเกินไป ตำมมำตรำ ๖๓ แห่งประมวลรัษฎำกร มิใช่ขอคืนตำม
ี
ี
มำตรำ ๒๗ ตร แห่งประมวลรัษฎำกร โจทก์จึงหมดสิทธิท่จะได้รับคืนเงินภำษีอำกรดังกล่ำว
จ�ำเลยมีหนังสือแจ้งคืนเงินภำษีอำกรผิดพลำด (ค.๓๑) ลงวันที่ ๗ มีนำคม ๒๕๕๑ และหนังสือ
ี
แจ้งยกเลิกหนังสือแจ้งคืนภำษีอำกร (ค.๓๗) ลงวันท่ ๗ มีนำคม ๒๕๕๑ โจทก์ได้รับหนังสือ
ดังกล่ำวแล้ว จึงมีหนังสือโต้แย้งและคัดค้ำนกำรเรียกคืนเงินภำษีอำกร แต่จ�ำเลยมีหนังสือ
ั
ี
ี
แจ้งว่ำกำรท่จ�ำเลยขอให้โจทก์ส่งคืนเงินภำษีอำกรท่คืนผิดพลำดน้นถูกต้องแล้ว โจทก์เห็นว่ำ
ระยะเวลำในกำรขอคืนเงินภำษีอำกรของโจทก์ไม่ถือตำมมำตรำ ๖๓ แห่งประมวลรัษฎำกร แต่
ี
ื
ิ
ื
�
ต้องถอตำมมำตรำ ๒๗ ตร แห่งประมวลรษฎำกร โจทก์ยนคำร้องขอคนเงนภำษอำกรทชำระ
ั
่
่
�
ี
ื
ี
ไว้เกินตำมมำตรำ ๒๗ ตรี แห่งประมวลรัษฎำกร เมื่อวันที่ ๓๐ เมษำยน ๒๕๕๐ จึงอยู่ในระยะ
ี
เวลำไม่เกิน ๓ ปี นับแต่วันสุดท้ำยแห่งก�ำหนดเวลำย่นรำยกำรภำษีตำมท่กฎหมำยก�ำหนด
ื
่
ื
ื
�
ิ
ี
�
ิ
ี
ิ
ี
ั
โจทก์จึงมสทธได้รบเงนภำษอำกรคน กำรทจำเลยคืนเงนภำษอำกรแก่โจทก์แล้ว ถอว่ำจำเลย
ิ
ี
สละสิทธิประโยชน์แห่งอำยุควำมเพื่อปฏิเสธไม่คืนภำษี และโจทก์ไม่ได้เป็นหนี้ค้ำงค่ำภำษีอำกร
แก่จ�ำเลย หำกจ�ำเลยเห็นว่ำเงินภำษีอำกรที่คืนเป็นลำภมิควรได้ เมื่อนับจำกวันที่ ๑๘ ธันวำคม
ี
ี
๒๕๕๐ อันเป็นวันท่จ�ำเลยรู้ว่ำตนมีสิทธิเรียกคืน จนถึงวันน้เกิน ๑ ปี สิทธิเรียกร้องของจ�ำเลย
ขำดอำยุควำมเช่นกัน จ�ำเลยไม่อำจเรียกคืนเงินจำกโจทก์ได้ ต่อมำจ�ำเลยออกค�ำส่งกรมสรรพำกร
ั
ที่ ๗๑๕, ๗๑๗, ๗๒๒/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๑๖ กุมภำพันธ์ ๒๕๕๘ โดยอำศัยอ�ำนำจตำมมำตรำ ๕๗
แห่งพระรำชบัญญัติวิธีปฏิบัติรำชกำรทำงปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ อำยัดสิทธิเรียกร้องในบัญชีเงิน
ฝำกธนำคำรของโจทก์ และของหุ้นส่วนผู้จัดกำรของโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ค�ำส่งอำยัดทรัพย์แล้ว
ั
ั
แต่จ�ำเลยมีค�ำวินิจฉัยยกอุทธรณ์ของโจทก์ กำรออกค�ำส่งยึดหรืออำยัดทรัพย์สินดังกล่ำวของ
จ�ำเลยจึงไม่ชอบ ขอให้บังคับจ�ำเลยให้มีค�ำส่งเพิกถอนหรือยกเลิกค�ำส่งกำรยึดทรัพย์หรืออำยัด
ั
ั
ทรัพย์สินของโจทก์ และหุ้นส่วนผู้จัดกำรของโจทก์ หำกจ�ำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอำค�ำพิพำกษำ
แทนกำรแสดงเจตนำของจ�ำเลย
ี
ื
จ�ำเลยให้กำรว่ำ โจทก์ไม่มีอ�ำนำจฟ้องคดีน้ต่อศำลภำษีอำกรกลำง เน่องจำกเป็น
ี
คดีพิพำทเก่ยวกับกำรอำยัดทรัพย์สินตำมมำตรำ ๕๗ แห่งพระรำชบัญญัติวิธีปฏิบัติรำชกำร
ทำงปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ไม่ใช่คดีพิพำทเกี่ยวกับภำษีอำกรตำมที่ก�ำหนดไว้ในมำตรำ ๗ แห่ง
401
พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ ศำลภำษีอำกรกลำง
จึงไม่มีอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำ โจทก์ยื่นแบบแสดงรำยกำรภำษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด. ๕๐)
รอบระยะเวลำบัญชี ตั้งแต่วันที่ ๑ มกรำคม ๒๕๔๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวำคม ๒๕๔๖ ต่อมำโจทก์
ยื่นค�ำร้องขอคืนเงินภำษีอำกรที่ช�ำระไว้เกินตำมแบบ ค.๑๐ เจ้ำพนักงำนของจ�ำเลยพิจำรณำคืน
ั
เงินภำษีอำกรตำมค�ำร้องดังกล่ำวและแจ้งกำรคืนเงินภำษีอำกรแก่โจทก์ หลังจำกน้นเจ้ำพนักงำน
ของจ�ำเลยตรวจพบว่ำเงินได้ของโจทก์เป็นเงินได้ตำมมำตรำ ๔๐ (๘) แห่งประมวลรัษฎำกร และ
ั
ี
ี
ภำษีเงินได้ท่โจทก์ถูกหัก ณ ท่จ่ำยต้องหักในอัตรำร้อยละ ๓ ตำมข้อ ๘ (๒) แห่งค�ำส่ง
กรมสรรพกร ที่ ท.ป.๔/๒๕๒๘ ลงวันที่ ๒๖ กันยำยน ๒๕๒๘ ประกอบข้อหำรือกรมสรรพำกร
ื
ี
ท่ กค ๐๘๑๑/๐๗๙๒๖ ลงวันท่ ๘ มิถุนำยน ๒๕๔๑ โจทก์ต้องย่นค�ำร้องขอคืนภำยใน ๓ ปี
ี
ื
นับแต่วันสุดท้ำยแห่งปีท่ถูกหักภำษีเกินไป ตำมมำตรำ ๖๓ แห่งประมวลรัษฎำกร เม่อโจทก์
ี
ย่นค�ำร้องขอคืนเงินภำษีอำกรเกินก�ำหนดระยะเวลำตำมกฎหมำย โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิได้รับเงิน
ื
ั
ภำษีอำกรคืน จ�ำเลยมีหนังสือแจ้งกำรส่งคืนเงินภำษีอำกรผิดพลำดและหนังสือแจ้งยกเลิก
หนังสือแจ้งคืนภำษีอำกรแก่โจทก์ ซึ่งถือว่ำเป็นค�ำสั่งทำงปกครอง แต่โจทก์มีหนังสือโต้แย้งและ
่
ิ
ี
ื
ั
ึ
ั
�
ื
ี
ี
ั
ื
ิ
�
ี
คดค้ำนกำรเรยกคนเงนภำษอำกร จำเลยจงมหนงสอยืนยนว่ำกำรทจำเลยขอให้โจทก์ส่งคนเงน
ภำษีอำกรท่คืนผิดพลำดน้นถูกต้องแล้ว เจ้ำพนักงำนของจ�ำเลยทวงถำมเงินภำษีอำกรคืนจำก
ั
ี
โจทก์หลำยครั้ง แต่โจทก์เพิกเฉยไม่ส่งเงินคืน จ�ำเลยจึงสำมำรถใช้มำตรกำรบังคับทำงปกครอง
โดยวิธีกำรยึด อำยัด และขำยทอดตลำดทรัพย์สินเพ่อช�ำระเงินได้ตำมมำตรำ ๕๗ แห่งพระรำชบัญญัต ิ
ื
วิธีปฏิบัติรำชกำรทำงปกครอง พ.ศ.๒๕๓๙ โดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีแพ่ง ท้งชอบท่จะด�ำเนิน
ั
ี
กำรอำยัดสิทธิเรียกร้องในบัญชีเงินฝำกธนำคำรของโจทก์และของหุ้นส่วนผู้จัดกำรของโจทก์ได้
ื
สิทธิเรียกร้องของจ�ำเลยไม่ขำดอำยุควำมเน่องจำกเงินภำษีอำกรท่จ�ำเลยคืนโดยผิดพลำดเป็น
ี
ึ
ื
ู
ิ
�
�
ี
ทรพย์สนของจำเลย จำเลยมสทธตดตำมเอำคนจำกผ้ไม่มีสิทธยดถอไว้ตำมประมวลกฎหมำย
ั
ิ
ิ
ื
ิ
ิ
แพ่งและพำณิชย์ มำตรำ ๑๓๓๖ ค�ำส่งอำยัดทรัพย์สินดังกล่ำวของจ�ำเลยจึงชอบด้วยกฎหมำย
ั
แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลภำษีอำกรกลำงเห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีน้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำ
ี
พิพำกษำของศำลภำษีอำกรหรือไม่ จึงส่งส�ำนวนมำให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัย
ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ มำตรำ ๑๐
วรรคสอง
402
์
์
่
้
่
้
วินิจฉัยวำ กำรที่จ�ำเลยมีค�ำสั่งอำยัดทรัพยสินของโจทก และหุนสวนผูจัดกำรของโจทก์
ก็เนื่องมำจำกกำรที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรำยกำรภำษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด. ๕๐) รอบระยะเวลำ
ี
ี
ั
บัญชีต้งแต่วันท่ ๑ มกรำคม ๒๕๔๖ ถึงวันท่ ๓๑ ธันวำคม ๒๕๔๖ ต่อจ�ำเลย และขอคืนเงิน
ี
ี
ภำษีอำกรท่ช�ำระไว้เกิน เจ้ำพนักงำนของจ�ำเลยพิจำรณำคืนเงินภำษีอำกรท่ช�ำระไว้เกินแก่โจทก์
ต่อมำเจ้ำพนักงำนของจ�ำเลยพิจำรณำแล้วเห็นว่ำ จ�ำเลยคืนเงินภำษีอำกรที่ช�ำระไว้เกินแก่โจทก์
ผิดพลำด จึงทวงถำมให้โจทก์นำเงนท่สงคืนให้แก่โจทก์ผดพลำดดังกล่ำวไปช�ำระคืน แต่โจทก์
�
ั
ิ
่
ิ
ี
เพิกเฉย จ�ำเลยจึงอำศัยอ�ำนำจตำมมำตรำ ๕๗ แห่งพระรำชบัญญัติวิธีปฏิบัติรำชกำรทำงปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ อำยัดสิทธิเรียกร้องในบัญชีเงินฝำกธนำคำรของโจทก์และของหุ้นส่วนผู้จัดกำร
ของโจทก์ เม่อค�ำฟ้องของโจทก์ขอให้บังคับจ�ำเลยให้มีค�ำส่งเพิกถอนหรือยกเลิกค�ำส่งยึดทรัพย์
ั
ั
ื
หรืออำยัดทรัพย์สินดังกล่ำว โดยอ้ำงว่ำโจทก์มีสิทธิได้รับเงินภำษีอำกรคืน จึงไม่จ�ำต้องคืนเงิน
ภำษีอำกรให้แก่จ�ำเลย ดังนี้ ก่อนที่จะวินิจฉัยว่ำ ค�ำสั่งยึดหรืออำยัดทรัพย์สินดังกล่ำวของจ�ำเลย
ชอบหรือไม่ จ�ำต้องวินิจฉัยในประเด็นส�ำคัญแห่งคดีก่อนว่ำ โจทก์มีสิทธิได้รับเงินภำษีอำกรคืน
ี
ตำมฟ้องหรือไม่ กรณีจึงเป็นเร่องพิพำทเก่ยวกับกำรขอคืนค่ำภำษีอำกร อันอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำ
ื
พิพำกษำของศำลภำษีอำกรตำมท่ก�ำหนดไว้ในมำตรำ ๗ (๓) แห่งพระรำชบัญญัติจัดต้งศำล
ี
ั
ภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘
วินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร
วินิจฉัย ณ วันที่ ๒๘ เดือน พฤศจิกำยน พุทธศักรำช ๒๕๖๐
เมทินี ชโลธร
(นำงเมทินี ชโลธร)
ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
มณฑำทิพย์ ตั้งวิชำชำญ - ย่อ
วีนัส นิมิตกุล - ตรวจ
403
ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ บริษัทอิออน แฟนตำซี
ที่ วภ ๑/๒๕๖๕ (ไทยแลนด์) จ�ำกัด โจทก ์
นำงวิมล ช�ำนำญวินิจฉัย
กับพวก จ�ำเลย
โจทก์ท�ำสัญญำเช่ำห้องชุดจำกจ�ำเลยที่ ๑ โดยหักภำษีเงินได้ ณ ที่จ่ำยจำกค่ำเช่ำ
ี
ิ
ในอัตรำร้อยละ ๕ ต่อเดือน ภำยหลังทรำบว่ำกรรมสิทธ์ห้องชุดท่โจทก์เช่ำเป็นของ
ี
ี
ี
คนต่ำงด้ำวท่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ท�ำให้ภำษีเงินได้หัก ณ ท่จ่ำยท่ถูกต้องเป็นอัตรำ
ี
ร้อยละ ๑๕ โจทก์ต้องช�ำระภำษีเงินได้หัก ณ ท่จ่ำยเพ่มเติม แก่กรมสรรพำกร โจทก์
ิ
ทวงถำมจ�ำเลยท้งสองให้ช�ำระเงินคืน แต่จ�ำเลยท้งสองไม่ช�ำระ ส่วนจ�ำเลยท้งสองให้กำรว่ำ
ั
ั
ั
จ�ำเลยไม่ต้องช�ำระภำษีเงินได้บุคคลธรรมดำ ภำระภำษีเกิดจำกโจทก์คิดภำษีไม่ถูกต้อง
ี
ดังน ประเด็นพิพำทตำมค�ำฟ้องและค�ำให้กำรจึงเป็นกรณีสืบเน่องจำกสิทธิเรียกร้อง
้
ื
ี
ี
ี
ี
ี
ของรัฐในหน้ค่ำภำษีอำกรท่ให้ผู้จ่ำยเงินได้พึงประเมินมีหน้ำท่หักภำษ ณ ท่จ่ำย จึงเป็น
ั
ี
กรณีพิพำทเก่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหน้ค่ำภำษีอำกรตำม พ.ร.บ. จัดต้งศำล
ี
ภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ มำตรำ ๗ (๒) คดีอยู่ในอ�ำนำจ
พิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร
______________________________
ี
โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจ�ำกัด เม่อวันท่ ๑ มกรำคม ๒๕๖๐,
ื
๑ มกรำคม ๒๕๖๑ และ ๑ มกรำคม ๒๕๖๒ โจทก์ท�ำสัญญำเช่ำห้องชุด อำคำรเฮอร์ริเทจ ถนน
ี
สขุมวิท แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนำ กรงเทพมหำนคร จำกจำเลยท่ ๑ โดยโจทก์หักภำษเงนได้
�
ี
ุ
ุ
ิ
ณ ที่จ่ำยจำกเงินค่ำเช่ำ อัตรำร้อยละ ๕ ต่อเดือนของเงินค่ำเช่ำมำโดยตลอด จนกระทั่งประมำณ
เดือนพฤษภำคม ๒๕๖๓ โจทก์จึงทรำบว่ำ จ�ำเลยที่ ๒ เป็นเจ้ำของกรรมสิทธิ์ห้องชุดที่โจทก์เช่ำ
เมื่อจ�ำเลยที่ ๒ เป็นคนต่ำงด้ำวที่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ภำษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ำย จะเป็นอัตรำ
ร้อยละ ๑๕ โจทก์จึงต้องช�ำระภำษีเงินได้หัก ณ ท่จ่ำยเพ่มเติม แก่กรมสรรพำกร รวมเป็นเงิน
ี
ิ
ั
๒๕๖,๕๘๔.๘๐ บำท จ�ำเลยท้งสองต้องคืนเงินส่วนน้แก่โจทก์ โจทก์ทวงถำมจ�ำเลยท้งสองแล้ว
ี
ั
ี
ั
แต่จ�ำเลยท้งสองเพิกเฉย ขอให้จ�ำเลยท้งสองร่วมกันช�ำระเงิน ๒๕๖,๕๘๔.๘๐ บำท พร้อมดอกเบ้ย
ั
อัตรำร้อยละ ๗.๕ ของเงินจ�ำนวนดังกล่ำว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช�ำระเสร็จแก่โจทก์
404
ั
ั
ี
จ�ำเลยท้งสองให้กำรว่ำ โจทก์เป็นผู้หักภำษีเงินได้ ณ ท่จ่ำย โดยจ�ำเลยท้งสองไม่เก่ยวข้อง
ี
ในกำรหักภำษี จ�ำเลยที่ ๒ ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยจนครบหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภำษี ๒๕๖๐
ี
ถึงปีภำษี ๒๕๖๓ จึงไม่ต้องช�ำระภำษีเงินได้บุคคลธรรมดำ กำรท่โจทก์มีภำระภำษีเกิดจำก
กรมสรรพำกรเห็นว่ำโจทก์คิดภำษีไม่ถูกต้อง จ�ำเลยท้งสองไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์หรือ
ั
กระท�ำละเมิดแก่โจทก์แต่อย่ำงใด ขอให้ยกฟ้อง
�
ิ
ั
้
ิ
ิ
่
ื
ู
�
้
ั
ี
�
ในชนพจำรณำ ทนำยจำเลยทงสองยนคำร้องว่ำ คดอย่ในอำนำจพจำรณำพพำกษำ
ของศำลภำษีอำกรกลำง ทนำยโจทก์คัดค้ำน ศำลแขวงพระนครใต้เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำ คดีนี้
อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกรหรือไม่ จึงส่งส�ำนวนมำให้ประธำนศำลอุทธรณ์
ั
คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติจัดต้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร
พ.ศ. ๒๕๒๘ มำตรำ ๑๐ วรรคสอง
วินิจฉัยว่ำ โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์ท�ำสัญญำเช่ำห้องชุดจำกจ�ำเลยที่ ๑ โดยหักภำษีเงินได้
ณ ที่จ่ำยจำกเงินค่ำเช่ำในอัตรำร้อยละ ๕ ต่อเดือน ภำยหลังจึงทรำบว่ำกรรมสิทธิ์ห้องชุดที่โจทก์
ี
ี
ึ
เช่ำเป็นของจ�ำเลยท่ ๒ ซ่งเป็นคนต่ำงด้ำวท่ไม่ได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ท�ำให้ภำษีเงินได้หัก
ี
ี
ี
ิ
ณ ท่จ่ำยท่ถูกต้องเป็นอัตรำร้อยละ ๑๕ โจทก์จึงต้องช�ำระภำษีเงินได้หัก ณ ท่จ่ำยเพ่มเติม
ั
แก่กรมสรรพำกร รวมเป็นเงิน ๒๕๖,๕๘๔.๘๐ บำท โจทก์ทวงถำมจ�ำเลยท้งสองให้ช�ำระเงิน
ั
ี
ั
ั
คืน แต่จ�ำเลยท้งสองไม่ช�ำระ ส่วนจ�ำเลยท้งสองให้กำรว่ำ จ�ำเลยท้งสองไม่เก่ยวข้องในกำรหัก
ภำษีเงินได้ ณ ที่จ่ำย จ�ำเลยที่ ๒ ไม่ต้องช�ำระภำษีเงินได้บุคคลธรรมดำ ภำระภำษีเกิดจำกกำร
ที่โจทก์คิดภำษีไม่ถูกต้อง จ�ำเลยทั้งสองไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์หรือกระท�ำละเมิดแก่โจทก์ ดังนี้
ประเด็นข้อพิพำทตำมค�ำฟ้องของโจทก์และค�ำให้กำรของจ�ำเลยท้งสองจึงเป็นกรณีสืบเน่องจำก
ื
ั
ี
ี
ี
ี
สิทธิเรียกร้องของรัฐในหน้ค่ำภำษีอำกรท่ให้ผู้จ่ำยเงินได้พึงประเมินมีหน้ำท่หักภำษี ณ ท่จ่ำย
ิ
ั
ั
ั
ั
้
ี
่
ิ
ั
ึ
จงเป็นคดพพำทเกยวกบสทธเรยกร้องของรฐในหนค่ำภำษอำกรตำมพระรำชบญญตจดตง
ิ
ี
ิ
ี
ี
ั
ี
้
ศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ มำตรำ ๗ (๒)
วินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร
วินิจฉัย ณ วันที่ ๔ เดือน กุมภำพันธ์ พุทธศักรำช ๒๕๖๕
อโนชำ ชีวิตโสภณ
(นำงอโนชำ ชีวิตโสภณ)
อธิบดีผู้พิพำกษำศำลเยำวชนและครอบครัวกลำง
ช่วยท�ำงำนชั่วครำวในต�ำแหน่งประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
405
ข้อสังเกต
ี
ี
ึ
ี
ี
คดีน้เป็นกรณีท่โจทก์ซ่งเป็นผู้จ่ำยเงินได้ฟ้องเรียกเงินภำษีหัก ณ ท่จ่ำยท่ได้น�ำส่ง
่
ึ
ู
ี
�
ื
้
ั
�
กรมสรรพำกรคนจำกจำเลยทงสองซงเป็นผ้มเงนได้ แต่กำรจะวนจฉยปัญหำว่ำจำเลยทงสอง
ั
้
ิ
ิ
ั
ิ
ี
ี
ต้องคืนเงินแก่โจทก์หรือไม่ และเป็นจ�ำนวนเท่ำใด มีกรณีท่ต้องพิจำรณำก่อนว่ำเงินค่ำเช่ำท่โจทก์
ั
ั
จ่ำยให้แก่จ�ำเลยท้งสองน้นเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทใดตำมประมวลรัษฎำกร มำตรำ ๔๐
และโจทก์ซึ่งเป็นผู้จ่ำยเงินได้พึงประเมินตำมมำตรำ ๔๐ มีหน้ำที่หักภำษีเงินได้ไว้เมื่อจ่ำยเงินได้
พึงประเมินดังกล่ำวตำมประมวลรัษฎำกร มำตรำ ๕๐ หรือไม่ รวมทั้งต้องหักภำษี ณ ที่จ่ำยและ
ิ
น�ำส่งให้แก่กรมสรรพำกรในอัตรำเท่ำใด และโจทก์ต้องช�ำระภำษีเพ่มเติมแก่กรมสรรพำกร
ี
ดังข้ออ้ำงตำมค�ำฟ้องหรือไม่ เพ่อน�ำมำสู่ปัญหำในคดีน้ว่ำโจทก์สำมำรถเรียกเงินภำษีท่โจทก์ได้น�ำส่ง
ี
ื
กรมสรรพำกรคืนจำกจ�ำเลยท้งสองได้หรือไม่ และเรียกคืนได้เป็นเงินจ�ำนวนเท่ำใด แม้คดีน ี ้
ั
ี
ไม่ใช่หน่วยจัดเก็บภำษีเป็นผู้ใช้สิทธิเรียกร้องของรัฐในหน้ค่ำภำษีโดยตรงก็ตำม แต่ก็เป็นกรณ ี
ี
ี
ื
ี
ท่สืบเน่องเก่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหน้ค่ำภำษีอำกรท่ให้ผู้จ่ำยเงินได้พึงประเมินมีหน้ำท ี ่
ี
ี
หักภำษี ณ ท่จ่ำย อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกรตำมมำตรำ ๗ (๒) แห่ง
พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ ซึ่งวินิจฉัยท�ำนอง
ี
เดียวกับค�ำวินิจฉัยประธำนศำลฎีกำท่ ภษ ๓/๒๕๕๘ ท่เป็นกรณีโจทก์ท้งส่ฟ้องจ�ำเลยซ่งเป็น
ั
ี
ึ
ี
บริษทจ�ำกัด (มหำชน) ว่ำ คิดภำษีมูลค่ำเพ่มส�ำหรับค่ำผลประโยชน์จำกกำรส่งงำนให้หรอ
ิ
ื
ั
ค่ำนำยหน้ำแก่โจทก์ท่ ๑ และท่ ๒ เพ่อท�ำสัญญำประกันภัยไม่ถูกต้อง ค่ำนำยหน้ำท่เกิดจำก
ี
ี
ื
ี
กำรส่งกรมธรรม์ท่เกิดข้นทำงบริษัทประกันภัยหักภำษี ณ ท่จ่ำยของโจทก์แต่ละคนท่มีช่อเป็น
ึ
ี
ี
ื
ี
ิ
้
ี
่
ั
�
ั
ี
ู
ั
ั
็
ผ้ส่งกรมธรรม์ฉบบนนแล้ว กำรออกใบกำกบภำษและใบเสรจรบเงนสำหรบภำษหก ณ ทจ่ำย
ี
�
ั
ั
เป็นกำรคิดภำษีซ้ำซ้อนกัน จ�ำเลยให้กำรว่ำจ�ำเลยหักภำษีมูลค่ำเพ่มและภำษีหัก ณ ท่จ่ำย
�
ิ
ี
จำกค่ำผลประโยชน์ส่งงำนให้บริษัทประกันภัยผ่ำนโจทก์ท่ ๑ โดยชอบด้วยกฎหมำย ประเด็น
ี
ื
ี
ข้อพิพำทตำมค�ำฟ้องและค�ำให้กำร เป็นกรณีสืบเน่องจำกสิทธิเรียกร้องของรัฐในหน้ค่ำภำษีอำกร
ื
ท่ให้ผู้ประกอบกำรจดทะเบียนเรียกเก็บภำษีมูลค่ำเพ่มจำกผู้ซ้อสินค้ำหรือผู้รับบริกำรตำม
ี
ิ
กฎหมำยและให้ผู้จ่ำยเงินได้พึงประเมินมีหน้ำที่หักภำษี ณ ที่จ่ำย จึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวกับสิทธิ
ั
เรียกร้องของรัฐในหน้ค่ำภำษีอำกร ตำมพระรำชบัญญัติจัดต้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำ
ี
คดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ มำตรำ ๗ (๒)
(มณฑำทิพย์ ตั้งวิชำชำญ)
ผู้ช่วยผู้พิพำกษำศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
มณฑำทิพย์ ตั้งวิชำชำญ - ย่อ
วีนัส นิมิตกุล - ตรวจ
406
ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ นำยโมฮันซิงห์ ชำบรำ โจทก์
ที่ วภ ๕/๒๕๖๑ นำยสุนิลกุมำร ปอปลี จ�ำเลย
โจทก์ฟ้องเรียกค่ำสินค้ำผ้ำจำกจ�ำเลย และจ�ำเลยให้กำรในข้อสำระส�ำคัญว่ำ
ช�ำระค่ำสินค้ำครบถ้วนแล้ว ประเด็นข้อส�ำคัญแห่งคดีจึงมีว่ำ จ�ำเลยช�ำระค่ำสินค้ำให้
แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วหรือไม่ เพียงใด แม้จ�ำเลยจะกล่ำวอ้ำงในค�ำให้กำรว่ำ ส�ำเนำ
ั
ใบวำงบิลและส�ำเนำใบส่งของช่วครำว เอกสำรท้ำยฟ้อง ๒๔๐ ฉบับ ไม่สำมำรถรับฟัง
เป็นพยำนหลักฐำนได้ เนื่องจำกเป็นเอกสำรที่หลีกเลี่ยงในกำรเสียภำษีมูลค่ำเพิ่ม ก็เป็น
ื
ี
ี
ี
เร่องกำรรับฟังพยำนหลักฐำนในคด ไม่มีกรณีพิพำทเก่ยวกับภำษีอำกรตำมท่ก�ำหนด
ไว้ในมำตรำ ๗ แห่ง พ.ร.บ. จัดต้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘
ั
คดีไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร
________________________________
โจทก์ฟ้องและแก้ไขค�ำฟ้องว่ำ เม่อระหว่ำงวันท่ ๒๖ ธันวำคม ๒๕๕๖ ถึงวันท่ ๑๖
ี
ื
ี
ั
ธันวำคม ๒๕๕๘ จ�ำเลยซ้อผ้ำจำกโจทก์หลำยคร้งเป็นเงิน ๕๓,๙๑๘,๙๗๕.๗๑ บำท จ�ำเลย
ื
ั
ได้รับผ้ำไปจำกโจทก์ครบถ้วนแล้วตำมใบวำงบิลและใบส่งของช่วครำว ๒๔๐ ฉบับ จ�ำเลยม ี
หน้ำที่ต้องช�ำระเงินค่ำผ้ำแก่โจทก์ภำยใน ๓๐ วัน และ ๑๒๐ วัน นับแต่วันที่รับผ้ำ เมื่อถึงก�ำหนด
จ�ำเลยไม่ช�ำระ โจทก์ทวงถำมแล้ว จ�ำเลยช�ำระให้บำงส่วนเป็นเงิน ๔,๐๐๐,๐๐๐ บำท และ
ขอน�ำผ้ำมำคืนโจทก์ ๑๐ ครั้ง เป็นเงิน ๗,๐๖๔,๕๙๗ บำท เมื่อหักลบจ�ำนวนเงินที่จ�ำเลยช�ำระ
บำงส่วนแล้ว คงเหลือเงินค้ำงจ่ำยค่ำผ้ำ ๔๒,๘๕๔,๓๗๘.๗๑ บำท โจทก์ทวงถำมแล้วแต่จ�ำเลย
เพิกเฉย จ�ำเลยต้องรับผิดในต้นเงินดังกล่ำว พร้อมดอกเบ้ยอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่
ี
วันผิดนัดถึงวันฟ้องเป็นต้นเงินพร้อมดอกเบ้ย ๔๘,๓๑๙.๗๙๘.๕๔ บำท ขอให้บังคับจ�ำเลย
ี
ี
ช�ำระเงิน ๔๘,๓๑๙,๗๙๘.๕๔ บำท พร้อมดอกเบ้ยในอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของต้นเงิน
๔๒,๘๕๔,๓๗๘.๗๑ บำท นับถัดจำกวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช�ำระเสร็จแก่โจทก์
ื
จ�ำเลยให้กำรว่ำ โจทก์ไม่มีอ�ำนำจฟ้องเน่องจำกลำยมือช่อในหนังสือมอบอ�ำนำจให้
ื
ื
ฟ้องคดีของโจทก์เป็นลำยมือช่อปลอม ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และขำดอำยุควำม จ�ำเลยช�ำระ
�
ี
หน้ค่ำผ้ำให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ผ้ำทโจทก์ขำยให้แก่จ�ำเลยมีควำมช�ำรุดบกพร่องท�ำให้จำเลย
่
ี
ได้รับควำมเสียหำยเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บำท ส�ำเนำใบวำงบิลและส�ำเนำใบส่งของช่วครำว
ั
407
ื
่
ั
ั
ั
เอกสำรท้ำยฟ้อง ๒๔๐ ฉบบ ไม่สำมำรถรบฟังเป็นพยำนหลกฐำนได้ เนองจำกเป็นเอกสำร
ท่หลีกเล่ยงในกำรเสียภำษีมูลค่ำเพ่มตำมประมวลรัษฎำกร โดยโจทก์มีกำรออกหลักฐำนกำรขำย
ิ
ี
ี
ิ
ี
สินค้ำตำมเอกสำรท้ำยฟ้องแล้ว จะต้องมีหน้ำท่ในกำรออกใบก�ำกับภำษีมูลค่ำเพ่มให้แก่จ�ำเลย
ตำมประมวลรัษฎำกร มำตรำ ๘๖ แต่โจทก์ไม่ยื่นแบบแสดงรำยกำรภำษีส�ำหรับเดือนภำษี ตำม
ั
ประมวลรัษฎำกร มำตรำ ๘๓ และไม่ปฏิบัติตำมประมวลรัษฎำกร มำตรำ ๘๖ ดังน้นเอกสำร
ท้ำยฟ้องดังกล่ำวจึงต้องห้ำมรับฟังเป็นพยำนหลักฐำน ขอให้ยกฟ้อง
ื
ี
�
�
่
ิ
ิ
�
ระหว่ำงพจำรณำ จำเลยยนคำร้องว่ำ คดนอย่ในอำนำจพจำรณำพพำกษำของศำล
ิ
ี
้
ู
ภำษีอำกร ศำลแพ่งธนบุรีจึงส่งส�ำนวนมำให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัย ตำม
พระรำชบัญญัติจัดต้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ มำตรำ ๑๐
ั
วรรคสอง
ี
วินิจฉัยว่ำ กำรท่โจทก์ฟ้องเรียกค่ำสินค้ำผ้ำจำกจ�ำเลย และจ�ำเลยให้กำรในข้อสำระ
ส�ำคัญว่ำช�ำระค่ำสินค้ำครบถ้วนแล้ว ประเด็นข้อส�ำคัญแห่งคดีจึงมีว่ำ จ�ำเลยช�ำระค่ำสินค้ำให้แก่
โจทก์ครบถ้วนแล้วหรือไม่ เพียงใด แม้จ�ำเลยจะกล่ำวอ้ำงในค�ำให้กำรว่ำ ส�ำเนำใบวำงบิลและส�ำเนำ
ใบส่งของชั่วครำวเอกสำรท้ำยฟ้อง ๒๔๐ ฉบับ ไม่สำมำรถรับฟังเป็นพยำนหลักฐำนได้ เนื่องจำก
ี
เป็นเอกสำรท่หลีกเล่ยงในกำรเสียภำษีมูลค่ำเพ่ม ก็เป็นเร่องกำรรับฟังพยำนหลักฐำนในคด ี
ื
ิ
ี
ไม่มีกรณีพิพำทเก่ยวกับภำษีอำกรตำมท่ก�ำหนดไว้ในมำตรำ ๗ แห่งพระรำชบัญญัติจัดต้ง
ั
ี
ี
ศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘
วินิจฉัยว่ำ คดีนี้ไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร
วินิจฉัย ณ วันที่ ๙ เดือน กรกฎำคม พุทธศักรำช ๒๕๖๑
เมทินี ชโลธร
(นำงเมทินี ชโลธร)
ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
มณฑำทิพย์ ตั้งวิชำชำญ - ย่อ
วีนัส นิมิตกุล - ตรวจ
408
ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ บริษัทเมอร์เซเดส - เบนซ์ ลีสซิ่ง
ที่ วภ ๖/๒๕๖๓ (ประเทศไทย) จ�ำกัด โจทก ์
บริษัทซี เอ็น ซี โมลด์ แอนด์
พำร์ท จ�ำกัด กับพวก จ�ำเลย
ั
�
้
ั
�
่
ตำมคำฟ้องของโจทก์เป็นเรองกล่ำวอ้ำงว่ำ จำเลยทงสองผดนดไม่ชำระค่ำเช่ำ
ื
�
ิ
ี
ี
่
ี
่
รถยนต์พิพำทท่จ�ำเลยท ๑ ได้ตกลงท�ำสัญญำเช่ำไว้กับโจทก์ โดยมีจ�ำเลยท ๒ เป็น
ั
่
ผู้ค้ำประกัน จ�ำเลยท้งสองให้กำรว่ำ จ�ำเลยท ๑ ไม่ได้ผิดนัดช�ำระหน และจ�ำเลยท ๒
�
ี
้
่
ี
ี
�
ั
ไม่เคยเข้ำค้ำประกัน ประเด็นข้อส�ำคัญแห่งคดีจึงมีว่ำ จ�ำเลยท้งสองผิดนัดตำมสัญญำเช่ำ
ั
�
้
ั
ั
ู
ต่อโจทก์หรอไม่ แม้จำเลยทงสองให้กำรต่อส้ว่ำสญญำเช่ำไม่สำมำรถรบฟังเป็นพยำน
ื
หลักฐำนได้เน่องจำกเป็นเอกสำรท่หลีกเล่ยงกำรเสียภำษีมูลค่ำเพ่มก็เป็นเร่องของกำร
ื
ี
ี
ิ
ื
ี
ี
รับฟังพยำนหลักฐำนในคด กรณีจึงไม่ใช่คดีพิพำทเก่ยวกับภำษีอำกรตำมท่ก�ำหนดไว้
ี
ในมำตรำ ๗ แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘
คดีไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร
______________________________
โจทก์ฟ้องว่ำ จ�ำเลยที่ ๑ ตกลงท�ำสัญญำเช่ำรถยนต์ยี่ห้อเมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่น E ๓๐๐
ไปจำกโจทก์ เป็นระยะเวลำรวม ๖๑ งวด เร่มช�ำระงวดแรกเป็นเงิน ๗๔๘,๐๐๐ บำท ภำยใน
ิ
ี
ี
วันท่ ๑๓ ตุลำคม ๒๕๕๗ และงวดต่อ ๆ ไป งวดละ ๔๒,๕๓๙ บำท ภำยในวันท่ ๑๓ ของ
้
ั
ั
ทกเดอนจนกวำจะชำระครบถวนตำมสญญำ เมอครบกำหนดสญญำคสญญำตกลงใหยำนพำหนะ
่
ู
่
ื
ุ
ื
้
�
ั
่
�
นี้มีมูลค่ำ ๑,๔๔๐,๒๐๐ บำท ในอัตรำภำษีมูลค่ำเพิ่ม ซึ่งต่อไปในสัญญำนี้เรียกว่ำ ค่ำซำก และ
ี
ผู้เช่ำตกลงใช้ยำนพำหนะน้เป็นระยะทำงไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ กิโลเมตรต่อปี หำกล่วงระยะเวลำ
ิ
ั
ื
ิ
ดังกล่ำวผู้เช่ำตกลงจะช�ำระค่ำซำกท้งจ�ำนวนเม่อส้นสุดสัญญำ อัตรำภำษีมูลค่ำเพ่มร้อยละ ๗
เป็นอัตรำ ณ วันท�ำสัญญำนี้ ซึ่งอำจเปลี่ยนแปลงได้ตำมที่รัฐบำลก�ำหนด ในวันท�ำสัญญำจ�ำเลย
ี
ึ
ได้รับรถยนต์คันท่เช่ำไปเรียบร้อยในสภำพใช้งำนได้ดี หำกจ�ำเลยผิดสัญญำเช่ำข้อหน่งข้อใด
หรือผิดนัดค้ำงช�ำระค่ำเช่ำตำมสัญญำ โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญำได้ เม่อสัญญำเช่ำเลิกกัน
ื
ี
แล้ว จ�ำเลยมีหน้ำท่ต้องส่งมอบรถยนต์คืนให้โจทก์ในสภำพเรียบร้อย พร้อมต้องรับผิดชดใช้
ี
ค่ำขำดประโยชน์ ค่ำเส่อมรำคำของรถยนต์และค่ำเสียหำยอ่น ๆ ท่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จ�ำเลยท่ ๒
ื
ี
ื
409
�
ี
ี
ตกลงท�ำสัญญำค้ำประกันกำรช�ำระหน้ของจ�ำเลยท่ ๑ ต่อโจทก์ หลังจำกท�ำสัญญำแล้ว จ�ำเลย
ทั้งสองได้ผ่อนช�ำระค่ำเช่ำให้โจทก์เพียง ๕๘ งวด มียอดค้ำงช�ำระตั้งแต่งวดที่ ๕๙ ถึง ๖๑ โจทก์
ทวงถำมแล้ว แต่จ�ำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจ�ำเลยท้งสองร่วมกันหรือแทนกันส่งมอบรถยนต์
ั
ี
คันท่เช่ำในสภำพท่เรียบร้อยใช้กำรได้ดีแก่โจทก์ หำกคืนไม่ได้หรือคืนในสภำพท่เรียบร้อยไม่ได้
ี
ี
ให้ร่วมกันหรือแทนกันใช้รำคำแทนเป็นเงิน ๑,๕๔๙,๗๒๙.๕๒ บำท กับให้จ�ำเลยท้งสอง
ั
ร่วมกันหรือแทนกันช�ำระค่ำเสียหำยหรือค่ำขำดประโยชน์คิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บำท
ค่ำเสียหำยเดือนละ ๓๐,๐๐๐ บำท นับถัดจำกวันฟ้องเป็นต้นไป พร้อมด้วยดอกเบ้ยอัตรำ
ี
ร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑,๖๖๙,๗๒๙.๕๒ บำท นับถัดจำกวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจ�ำเลย
ทั้งสองจะช�ำระเสร็จแก่โจทก์
ั
จ�ำเลยท้งสองให้กำรว่ำ โจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ในกำรประกอบกิจกำรค้ำทำงด้ำนกำรเงิน
ิ
โดยเฉพำะกำรให้เช่ำ เช่ำซ้อ และลิสซ่ง กำรมอบอ�ำนำจตำมหนังสือมอบอ�ำนำจและหนังสือ
ื
ั
มอบอ�ำนำจช่วงไม่ชอบด้วยกฎหมำย โจทก์ไม่มีอ�ำนำจฟ้องจ�ำเลยท้งสอง จ�ำเลยท่ ๑ ไม่เคยผิดนัด
ี
ื
ี
ช�ำระหน้ค่ำงวด และได้ช�ำระค่ำเช่ำต่อเน่องติดต่อกันทุกงวดให้แก่โจทก์ แต่โจทก์กลับน�ำคดีน ี ้
�
ั
ิ
ิ
ั
มำฟ้องโดยใช้สทธไม่สจรต สญญำเช่ำตำมเอกสำรท้ำยฟ้องไม่ปรำกฏหลกฐำนว่ำโจทก์ชำระค่ำ
ุ
ิ
อำกรแสตมป์ก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์ไม่มีอ�ำนำจฟ้องในส่วนนี้ จ�ำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่ำว
ทวงถำมจำกโจทก์ โจทก์เป็นผู้ผิดสัญญำไม่ยินยอมน�ำรถยนต์คันพิพำทไปท�ำประกันภัยคุ้มครอง
ผู้ประสบภัยจำกรถ ภำคบังคับ และไม่ช�ำระค่ำภำษีรถยนต์ เป็นเหตุให้จ�ำเลยไม่สำมำรถใช้รถ
ี
คันพิพำทได้ตำมปกติ จ�ำเลยจึงยังมีสิทธิตำมกฎหมำยท่จะครอบครองรถคันท่เช่ำ รถยนต์คัน
ี
ื
พิพำทมีปัญหำเร่องควำมช�ำรุดบกพร่องของเคร่องยนต์ และไม่สำมำรถจะทรำบได้ในขณะส่งมอบ
ื
รถยนต์แม้จะใช้ควำมระมัดระวังอันจะพึงคำดหมำยได้อย่ำงวิญญูชนก็ตำม เป็นเหตุให้จ�ำเลยท่ ๑
ี
ื
ื
รับรถยนต์คันพิพำทมำแล้วต้องช�ำระค่ำซ่อมเคร่องยนต์ตลอด หำกมีบุคคลอ่นมำเช่ำรถยนต์
ี
�
คันพิพำท รำคำเช่ำไม่เกินเดือนละ ๕๐๐ บำท จ�ำเลยท่ ๒ ไม่เคยยอมตนเข้ำค้ำประกันหน ้ ี
ของจ�ำเลยที่ ๑ อัตรำดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี สูงกว่ำที่กฎหมำยก�ำหนด ตกเป็นโมฆะ ส�ำเนำ
หนังสือสัญญำเช่ำ เอกสำรท้ำยฟ้องหมำยเลข ๗ ไม่สำมำรถรับฟังเป็นพยำนเอกสำรได้เนื่องจำก
ิ
เป็นเอกสำรท่หลีกเล่ยงภำษีมูลค่ำเพ่ม ตำมประมวลรัษฎำกร มำตรำ ๗๗, ๗๗/๑ (๘) (๑๗),
ี
ี
ึ
๗๘, ๗๘/๓, ๘๒/๔, ๘๓, ๘๓/๑, ๘๖, ๘๖/๒, ๘๖/๘ โจทก์ซ่งเป็นผ้ประกอบกำรค้ำมีหน้ำท ่ ี
ู
ิ
ี
ึ
ื
ต้องออกใบก�ำกับภำษีมูลค่ำเพ่มให้แก่จ�ำเลยท่ ๑ ซ่งเป็นผู้ซ้อสินค้ำหรือเช่ำ แต่โจทก์ไม่ปฏิบัต ิ
ตำมที่ได้ระบุไว้ตำมมำตรำ ๘๖ เป็นเอกสำรต้องห้ำมตำมประมวลรัษฎำกร ขอให้ยกฟ้อง
410
ั
ั
ื
วันนัดสืบพยำนโจทก์และจ�ำเลยท้งสอง จ�ำเลยท้งสองย่นค�ำร้องขอให้ประธำนศำล
อุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัยว่ำ คดีน้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกรหรือไม่
ี
ี
ั
�
ั
ั
ึ
�
ุ
ุ
ิ
ิ
ิ
ั
ศำลจงหวดสมทรสำครจงส่งสำนวนมำให้ประธำนศำลอทธรณ์คดชำนญพเศษวนจฉยตำม
พระรำชบัญญัติจัดต้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ มำตรำ ๑๐
ั
วรรคสอง
ั
ื
วินิจฉัยว่ำ ค�ำฟ้องของโจทก์เป็นเร่องท่โจทก์กล่ำวอ้ำงว่ำ จ�ำเลยท้งสองผิดนัดผิดสัญญำ
ี
ไม่ช�ำระค่ำเช่ำรถยนต์พิพำทที่จ�ำเลยที่ ๑ ได้ตกลงท�ำสัญญำเช่ำรถยนต์ไว้กับโจทก์ โดยมีจ�ำเลยที่ ๒
ี
�
เป็นผู้ค้ำประกันกำรช�ำระหน้ของจ�ำเลยท่ ๑ ท�ำให้โจทก์ได้รับควำมเสียหำย จ�ำเลยท้งสอง
ั
ี
ี
ิ
่
้
์
่
่
�
�
ั
้
ี
่
้
่
�
�
้
ั
่
ี
ใหกำรในขอสำระสำคญวำจำเลยท ๑ ไมไดผดนดชำระหนแกโจทก และจำเลยท ๒ ไมเคยยอมตน
เข้ำค�้ำประกันหนี้ของจ�ำเลยที่ ๑ ประเด็นข้อส�ำคัญแห่งคดีจึงมีว่ำ จ�ำเลยทั้งสองผิดนัดผิดสัญญำ
เช่ำต่อโจทก์หรือไม่ แม้จ�ำเลยทั้งสองจะให้กำรต่อสู้ว่ำ สัญญำเช่ำ ตำมเอกสำรท้ำยฟ้องหมำยเลข ๗
ี
ิ
ไม่สำมำรถรับฟังเป็นพยำนหลักฐำนได้เน่องจำกเป็นเอกสำรท่หลีกเล่ยงกำรเสียภำษีมูลค่ำเพ่ม
ื
ี
็
่
กตำม กเป็นเร่องกำรรบฟังพยำนหลกฐำนในคดี กรณจงไม่ใช่คดพิพำทเกยวกับภำษีอำกรตำม
็
ี
ี
ั
ึ
ี
ื
ั
ที่ก�ำหนดไว้ในมำตรำ ๗ แห่งพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร
พ.ศ. ๒๕๒๘
วินิจฉัยว่ำ คดีนี้ไม่อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร
วินิจฉัย ณ วันที่ ๑ เดือน ธันวำคม พุทธศักรำช ๒๕๖๓
ภำวนำ สุคันธวณิช
(นำงสำวภำวนำ สุคันธวณิช)
ผู้พิพำกษำศำลฎีกำ ช่วยท�ำงำนชั่วครำวในต�ำแหน่ง
ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
มณฑำทิพย์ ตั้งวิชำชำญ - ย่อ
วีนัส นิมิตกุล - ตรวจ
411
ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ บริษัทโตโยต้ำ ทูโช (ไทยเแลนด์)
ที่ วภ ๑/๒๕๖๑ จ�ำกัด โจทก ์
กรมศุลกำกร จ�ำเลย
ี
แม้ค�ำฟ้องของโจทก์จะกล่ำวอ้ำงว่ำ พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ของจ�ำเลยจงใจหรือ
ี
ี
ประมำทเลินเล่อปฏิบัติหน้ำท่โดยปรำศจำกอ�ำนำจ และกำรท่พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ของ
ี
ี
จ�ำเลยส่งให้พนักงำนเจ้ำหน้ำท่เข้ำตรวจสอบเก่ยวกับกรณีกำรได้รับยกเว้นกำรเรียกเก็บ
ั
ี
อำกรปกป้องตำมใบขนสินค้ำท้ง ๘๙ ฉบับ โดยไม่มีอ�ำนำจตำมกฎหมำย ท�ำให้โจทก์
ั
ได้รับควำมเสียหำย แต่เมื่อจ�ำเลยให้กำรยืนยันว่ำ จ�ำเลยมีอ�ำนำจหน้ำที่ในกำรเรียกเก็บ
อำกร กำรประเมินภำษีอำกร กำรตรวจสอบควำมถูกต้อง กำรกระท�ำของพนักงำน
ี
เจ้ำหน้ำท่ของจ�ำเลยเป็นกำรปฏิบัติหน้ำท่โดยชอบด้วยกฎหมำยแล้ว ค�ำฟ้องและข้อหำ
ี
ี
ี
ี
ี
คดีน้จึงเป็นกรณีท่โจทก์โต้แย้งกำรปฏิบัติหน้ำท่ของพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ของจ�ำเลยว่ำ
่
ี
เป็นกำรปฏบตหน้ำทโดยไม่ชอบด้วยกฎหมำย อนเป็นปัญหำทเกดขนจำกกำรปฏบต ิ
ึ
ี
ั
่
้
ิ
ิ
ิ
ั
ั
ิ
ี
หน้ำท่ตำม พ.ร.บ. มำตรกำรปกป้องจำกกำรน�ำเข้ำสินค้ำท่เพ่มข้น พ.ศ. ๒๕๕๐ และ พ.ร.บ.
ิ
ึ
ี
ศลกำกร พ.ศ. ๒๔๖๙ ซงศำลจะต้องพจำรณำวนจฉยก่อนว่ำ พนกงำนเจ้ำหน้ำทของ
ั
ิ
ิ
ั
ี
ึ
่
่
ิ
ุ
จ�ำเลยมีอ�ำนำจกระท�ำกำรตำมฟ้องได้โดยชอบด้วยกฎหมำยหรือไม่ หำกฟังได้ว่ำเป็นกำร
กระท�ำโดยไม่ชอบแล้ว จึงมีปัญหำต้องพิจำรณำต่อไปว่ำกำรกระท�ำของพนักงำนเจ้ำหน้ำท ่ ี
ของจ�ำเลยดังกล่ำวเป็นกำรท�ำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ และโจทก์ได้รับควำมเสียหำยหรือไม่
ื
เพียงใด ข้อพิพำทตำมค�ำฟ้องของโจทก์ในเร่องละเมิดเป็นเพียงประเด็นสืบเน่องรองลงมำ
ื
ค�ำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคดีอุทธรณ์ค�ำวินิจฉัยของเจ้ำพนักงำนหรือคณะกรรมกำรตำม
ี
กฎหมำยเก่ยวกับภำษีอำกร อันอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร ตำม
มำตรำ ๗ (๑) แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘
______________________________
โจทก์ฟ้องว่ำ โจทก์มีรำยช่อเป็นผู้น�ำเข้ำสินค้ำเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออ่น ๆ ชนิดเป็นม้วน
ื
ื
ี
และไม่เป็นม้วนท่น�ำเข้ำมำใช้ในอุตสำหกรรมยำนยนต์ ได้รับยกเว้นกำรเรียกเก็บอำกรปกป้อง
ตำมบัญชี ข. ท้ำยประกำศคณะกรรมกำรพิจำรณำมำตรกำรปกป้อง เรื่อง มำตรกำรปกป้องจำก
กำรน�ำเข้ำสินค้ำเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออื่น ๆ ชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วนที่เพิ่มขึ้น พ.ศ. ๒๕๕๖
412
ื
โดยโจทก์เป็นเพียงผู้น�ำเข้ำเหล็กหรือแผ่นเหล็กในลักษณะเป็นวัตถุดิบเพ่อจ�ำหน่ำยต่อให้แก่
ผู้ประกอบกำรน�ำไปแปรรูปหรือผลิตเป็นสินค้ำในขั้นตอนต่อไป โจทก์ไม่ได้เป็นผู้ผลิตสินค้ำหรือ
ี
ผลิตภัณฑ์จำกเหล็กหรือแผ่นเหล็กท่น�ำเข้ำ ในระหว่ำงปี ๒๕๕๖ ถึงปี ๒๕๕๗ โจทก์น�ำสินค้ำ
เหล็กกล้ำเจือเข้ำมำในรำชอำณำจักรตำมใบขนสินค้ำขำเข้ำ ๘๙ ฉบับ เพ่อใช้ในอุตสำหกรรม
ื
ยำนยนต์ด้วยกำรจ�ำหน่ำยให้แก่ผู้ประกอบกำรในอุตสำหกรรมยำนยนต์ อันเป็นกำรน�ำเข้ำท ่ ี
ได้รับสิทธิยกเว้นกำรเรียกเก็บอำกรปกป้องตำมประกำศคณะกรรมกำรพิจำรณำมำตรกำร
ี
ึ
ปกป้องฯ ดังกล่ำว ซ่งคณะกรรมกำรพิจำรณำมำตรกำรปกป้องฯ เป็นผู้มีอ�ำนำจหน้ำท่ในกำรจัดเก็บ
อำกรปกป้อง ไม่เคยตรวจสอบหรือกล่ำวหำว่ำกำรน�ำเข้ำสินค้ำของโจทก์ไม่ได้รับสิทธิยกเว้นกำร
ี
ื
เรียกเก็บอำกรปกป้องและไม่เคยกล่ำวหำว่ำสินค้ำท่โจทก์น�ำเข้ำไม่ใช่กำรน�ำเข้ำเพ่อใช้ใน
อุตสำหกรรมยำนยนต์ ต่อมำวันที่ ๑๗ สิงหำคม ๒๕๕๙ นำยพงษ์ชัย หัวหน้ำฝ่ำยคดีหลีกเลี่ยง
ซึ่งเป็นพนักงำนเจ้ำหน้ำที่ในสังกัดของจ�ำเลย ปฏิบัติหน้ำที่โดยปรำศจำกอ�ำนำจและไม่ชอบด้วย
ี
ี
กฎหมำย มีหนังสือท่ กค ๐๕๐๓(๔)/๖๓๔ ลงวันท่ ๑๗ สิงหำคม ๒๕๕๙ แจ้งว่ำโจทก์น�ำเข้ำ
สินค้ำเข้ำมำในรำชอำณำจักรตำมใบขนสินค้ำขำเข้ำ ๘๙ ฉบับ โดยช�ำระอำกรปกป้องไม่ถูกต้อง
เป็นเหตุให้อำกรปกป้องขำด ๑,๕๘๙,๓๑๑,๘๓๓ บำท ภำษีมูลค่ำเพิ่มขำด ๑๑,๒๕๑,๘๒๙ บำท
และเป็นควำมผิดฐำนส�ำแดงเท็จตำมมำตรำ ๙๙ แห่งพระรำชบัญญัติศุลกำกร พ.ศ. ๒๔๖๙
ั
ในด้ำนคดีเห็นควรให้โจทก์ระงับในช้นศุลกำกร กำรกระท�ำของนำยพงษ์ชัยเป็นกำรจงใจหรือ
ี
ประมำทเลินเล่อต่อโจทก์ เพรำะนำยพงษ์ชัยเป็นเจ้ำหน้ำท่รับผิดชอบในส่วนคดีของจ�ำเลยย่อม
ต้องทรำบดีว่ำอ�ำนำจในกำรตรวจสอบและปฏิบัติกำรอ่นใดเก่ยวกับอำกรปกป้องเป็นอ�ำนำจ
ี
ื
ของคณะกรรมกำรพิจำรณำมำตรกำรปกป้องฯ รัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงพำณิชย์และรัฐมนตร ี
ว่ำกำรกระทรวงกำรคลัง ไม่ใช่อ�ำนำจของจ�ำเลย และพระรำชบัญญัติมำตรกำรปกป้องจำกกำร
น�ำเข้ำสินค้ำท่เพ่มข้น พ.ศ. ๒๕๕๐ ไม่มีบทก�ำหนดโทษทำงอำญำไว้และไม่อำจน�ำพระรำชบัญญัต ิ
ึ
ิ
ี
ศุลกำกร พ.ศ. ๒๔๖๙ มำตรำ ๙๙ มำใช้บังคับกับกำรยื่นหรือส�ำแดงตรำสำรอื่น ๆ ต่อเจ้ำหน้ำที่
ั
ี
ี
ท่เก่ยวกับกำรช�ำระอำกรช่วครำวหรืออำกรปกป้องตำมพระรำชบัญญัติมำตรกำรปกป้องจำกกำร
ี
ี
ึ
น�ำเข้ำสินค้ำท่เพ่มข้น พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้ นอกจำกน้นำยพงษ์ชัยย่อมทรำบว่ำส�ำนักงำนอัยกำรสูงสุด
ิ
ี
ได้เคยตอบข้อหำรือปัญหำข้อกฎหมำยแก่จ�ำเลยตำมหนังสือ ท่ อส ๐๐๐๕/๒๔๔๐ ลงวันท่ ๗
ี
มีนำคม ๒๕๕๙ แล้วว่ำอำกรชั่วครำวหรืออำกรปกป้องตำมพระรำชบัญญัติมำตรกำรปกป้องจำก
ึ
ี
กำรน�ำเข้ำสินค้ำท่เพ่มข้น พ.ศ. ๒๕๕๐ ไม่ใช่อำกรตำมพระรำชบัญญัติศุลกำกร พ.ศ. ๒๔๖๙
ิ
จ�ำเลยจึงไม่สำมำรถน�ำมำตรำ ๒๗ แห่งพระรำชบัญญัติศุลกำกร พ.ศ. ๒๔๖๙ ซึ่งเป็นบทก�ำหนด
413
ั
โทษทำงอำญำมำใช้กับอำกรช่วครำวหรืออำกรปกป้องตำมพระรำชบัญญัติมำตรกำรปกป้องจำก
กำรน�ำเข้ำสินค้ำที่เพิ่มขึ้น พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้ สอดคล้องกับควำมเห็นของคณะกรรมกำรกฤษฎีกำ
ื
ี
เร่องเสร็จท่ ๕๗๔/๒๕๖๐ แต่นำยพงษ์ชัยยังคงมีหนังสือดังกล่ำวมำยังโจทก์อันเป็นกำรกระท�ำ
โดยปรำศจำกอ�ำนำจเกินขอบอ�ำนำจ ไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมำย โจทก์มีหนังสือโต้แย้ง
กำรกระท�ำดังกล่ำวว่ำไม่ใช่อ�ำนำจของจ�ำเลย แต่จนถึงปัจจุบันเป็นเวลำมำกกว่ำ ๑๑ เดือน
ยังไม่มีกำรแจ้งผลกำรวินิจฉัยอุทธรณ์หรือเพิกถอนกำรกระท�ำของนำยพงษ์ชัย นอกจำกน ้ ี
ั
ี
ในช่วงเวลำดังกล่ำวนำยจ�ำเริญ และนำยสุรชำติ พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ของจ�ำเลยส่งกำรให้เจ้ำหน้ำท ี ่
ี
ส�ำนักตรวจสอบอำกรเข้ำตรวจสอบเก่ยวกับกรณีกำรได้รับยกเว้นกำรเรียกเก็บอำกรปกป้อง
ั
้
ี
ั
�
่
ตำมใบขนสินค้ำทง ๘๙ ฉบับ โดยไม่มกฎหมำยให้อำนำจพนกงำนเจ้ำหน้ำทของจ�ำเลย
ี
ตรวจสอบหรือปฏิบัติกำรอ่นใดเก่ยวกับอำกรปกป้อง จึงเป็นกำรกระท�ำละเมิดต่อโจทก์และ
ื
ี
ั
ก่อให้เกิดควำมเสียหำยแก่โจทก์ ขอให้บังคับจ�ำเลยเพิกถอนหรือระงับกำรส่งคดีตำมหนังสือ
่
ิ
ี
ั
�
้
ั
ท กค ๐๕๐๓(๔)/๖๓๔ ลงวนท ๑๗ สงหำคม ๒๕๕๙ ของนำยพงษชย ใหจำเลยเพิกถอนหรอระงบ
ั
ื
ี
่
์
ั
กำรตรวจสอบหรือกำรด�ำเนนกำรใด ๆ เกยวกบอำกรปกป้องจำกกำรน�ำเขำสนคำตำมใบขนสินค้ำ
ิ
้
ี
่
้
ิ
ื
ี
ั
ท้ง ๘๙ ฉบับ ของเจ้ำหน้ำท่ส�ำนักตรวจสอบอำกรในสังกัดของจ�ำเลย และให้จ�ำเลยส่งเร่องกำร
ิ
ั
้
ิ
ั
ิ
ตรวจสอบกำรใช้สทธได้รบยกเว้นอำกรปกป้องจำกกำรน�ำเข้ำสนคำตำมใบขนสินคำท้ง ๘๙ ฉบับ
้
ของโจทก์ ให้แก่คณะกรรมกำรพิจำรณำมำตรกำรปกป้องฯ เป็นผู้ด�ำเนินกำรตำมอ�ำนำจหน้ำท ี ่
ิ
ี
ี
ท่ก�ำหนดไว้ในพระรำชบัญญัติมำตรกำรปกป้องจำกกำรน�ำเข้ำสินค้ำท่เพ่มข้น พ.ศ. ๒๕๕๐
ึ
ี
และให้จ�ำเลยช�ำระเงิน ๕๐,๐๐๐ บำท พร้อมดอกเบ้ยในอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน
ดังกล่ำว นับถัดจำกวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช�ำระเสร็จแก่โจทก์
จ�ำเลยให้กำรว่ำ โจทก์ไม่มีอ�ำนำจฟ้องคดีน้ต่อศำลภำษีอำกรกลำง เน่องจำกหนังสือ
ื
ี
ของพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ตำมฟ้องไม่ใช่ค�ำวินิจฉัยของเจ้ำพนักงำนหรือคณะกรรมกำรตำมกฎหมำย
ี
ี
ี
เก่ยวกับภำษีอำกรหรือเป็นคดีพิพำทเก่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหน้ค่ำภำษีอำกร พนักงำน
ี
เจ้ำหน้ำที่ของจ�ำเลยตรวจสอบพบว่ำ ระหว่ำงวันที่ ๒๗ กุมภำพันธ์ ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๙ กรกฎำคม
๒๕๕๗ โจทก์น�ำเข้ำสินค้ำเหล็กกล้ำเจือ ตำมใบขนสินค้ำขำเข้ำรวม ๘๕ ฉบับ โดยใช้สิทธ ิ
ื
ยกเว้นกำรเรียกเก็บอำกรปกป้อง กรณีน�ำเข้ำมำเพ่อใช้ในอุตสำหกรรมยำนยนต์ ตำมประกำศ
ื
ของคณะกรรมกำรพิจำรณำมำตรกำรปกป้องฯ แต่โจทก์ขำยสินค้ำดังกล่ำวต่อให้แก่บริษัทอ่น
ี
่
ุ
ิ
ิ
ุ
ทมได้ประกอบกจกำรในกล่มอตสำหกรรมยำนยนต์ โจทก์จงไม่ได้รบกำรยกเว้นอำกรปกป้อง
ั
ึ
ิ
่
ื
ตำมประกำศของคณะกรรมกำรพจำรณำมำตรกำรปกป้องฯ ดังกล่ำว เมอโจทก์น�ำสนค้ำเข้ำมำ
ิ
414
ในรำชอำณำจักรโดยมิได้เสียภำษีอำกรให้ถูกต้อง โจทก์จึงมีควำมผิดและมีหน้ำที่ต้องช�ำระภำษี
อำกรตำมกฎหมำย และระหว่ำงวันที่ ๑๒ มิถุนำยน ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๙ ตุลำคม ๒๕๕๖ โจทก์
�
็
ิ
นำเข้ำสินค้ำเป็นเหลกเกรดพิเศษ ตำมใบขนสินค้ำขำเข้ำรวม ๔ ฉบับ โดยใช้สิทธยกเว้นกำร
ื
ี
ี
เรียกเก็บอำกรช่วครำวและอำกรปกป้อง กรณีท่เป็นเหล็กพิเศษ แต่โจทก์เป็นผู้น�ำเข้ำท่ไม่มีช่อ
ั
อยู่ในบัญชี ข ท้ำยประกำศของคณะกรรมกำรพิจำรณำมำตรกำรปกป้องฯ โจทก์จึงไม่ได้รับสิทธิ
ยกเว้นอำกรปกป้อง จ�ำเลยมีอ�ำนำจหน้ำท่ในกำรจัดเก็บอำกร กำรประเมินภำษีอำกร กำรตรวจสอบ
ี
ควำมถูกต้องในกำรส�ำแดงกำรใช้สิทธิยกเว้นอำกรปกป้อง มิใช่เป็นอ�ำนำจของคณะกรรมกำร
พิจำรณำมำตรกำรปกป้องฯ และพระรำชบัญญัติมำตรกำรปกป้องจำกกำรน�ำเข้ำสินค้ำที่เพิ่มขึ้น
พ.ศ. ๒๕๕๐ มำตรำ ๒๓ และ ๒๘ ได้บัญญัติให้น�ำบทบัญญัติแห่งกฎหมำยว่ำด้วยศุลกำกรและ
กฎหมำยว่ำด้วยพิกัดอัตรำศุลกำกรมำใช้บังคับแก่กำรเรียกเก็บอำกรป้องกันดังกล่ำวเสมือนเป็น
อำกรขำเข้ำตำมกฎหมำย เมื่อพระรำชบัญญัติศุลกำกร พ.ศ. ๒๔๖๙ ก�ำหนดควำมผิดและโทษ
ิ
ึ
ี
ทำงอำญำไว้ กำรบังคับใช้พระรำชบัญญัติมำตรกำรปกป้องจำกกำรน�ำเข้ำสินค้ำท่เพ่มข้น
พ.ศ. ๒๕๕๐ ย่อมถือว่ำมีบทบัญญัติควำมผิดทำงอำญำและก�ำหนดโทษไว้ พนักงำนเจ้ำหน้ำท ่ ี
ั
ื
ของจ�ำเลยย่อมมีอ�ำนำจตำมกฎหมำยศุลกำกร ดังน้นเม่อโจทก์ผู้น�ำเข้ำส�ำแดงรำยกำรค่ำภำษีอำกร
ในใบขนสินค้ำไม่ถูกต้องตำมควำมเป็นจริง กำรกระท�ำของโจทก์จึงเป็นควำมผิดฐำนส�ำแดงเท็จ
ี
ตำมมำตรำ ๙๙ แห่งพระรำชบัญญัติศุลกำกร พ.ศ. ๒๔๖๙ พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ของจ�ำเลยจึงม ี
อ�ำนำจท�ำหนังสือแจ้งให้โจทก์ไปท�ำควำมตกลงระงับคดีได้ จึงเป็นกำรกระท�ำท่ชอบด้วยกฎหมำย
ี
ี
และพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ของจ�ำเลยมิได้พิจำรณำควำมผิดตำมมำตรำ ๒๗ แต่คงพิจำรณำควำมผิด
ึ
เฉพำะมำตรำ ๙๙ แห่งพระรำชบัญญัติศุลกำกร พ.ศ. ๒๔๖๙ เท่ำน้น ซ่งกำรระงับคดีในช้นศุลกำกร
ั
ั
ื
เป็นสิทธิของโจทก์ท่จะท�ำควำมตกลงระงับคดีหรือไม่ก็ได้ แต่เม่อโจทก์อุทธรณ์โต้แย้งหนังสือ
ี
ี
ี
ดังกล่ำวและย่นฟ้องจ�ำเลย จึงเป็นพฤติกำรณ์ท่จ�ำเลยเห็นว่ำโจทก์ไม่ประสงค์ท่จะท�ำควำม
ื
ตกลงระงับคดี จ�ำเลยจึงด�ำเนินคดีต่อโจทก์ตำมพยำนหลักฐำนท่ปรำกฏ พนักงำนเจ้ำหน้ำท ี ่
ี
ของจ�ำเลยกระท�ำไปตำมอ�ำนำจหน้ำท่ มิได้จงใจหรือประมำทเลินเล่อก่อให้เกิดควำมเสียหำย
ี
แก่โจทก์ จึงไม่เป็นกำรกระท�ำละเมิด ขอให้ยกฟ้อง
ี
ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลภำษีอำกรกลำง เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีน้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำ
พิพำกษำของศำลภำษีอำกรหรือไม่ จึงส่งส�ำนวนมำให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัย
ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ มำตรำ ๑๐
วรรคสอง
415
วินิจฉัยว่ำ แม้ค�ำฟ้องของโจทก์จะกล่ำวอ้ำงว่ำ พนักงำนเจ้ำหน้ำที่ของจ�ำเลยจงใจหรือ
ี
ื
ประมำทเลินเล่อปฏิบัติหน้ำท่โดยปรำศจำกอ�ำนำจ เน่องจำกอ�ำนำจในกำรตรวจสอบและปฏิบัต ิ
ี
ื
กำรอ่นใดเก่ยวกับอำกรปกป้องเป็นอ�ำนำจของคณะกรรมกำรพิจำรณำมำตรกำรปกป้องฯ รัฐมนตร ี
ว่ำกำรกระทรวงพำณิชย์และรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงกำรคลัง ไม่ใช่อ�ำนำจของจ�ำเลย และกำรที่
ี
ี
ั
พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ของจ�ำเลยส่งให้พนักงำนเจ้ำหน้ำท่เข้ำตรวจสอบเก่ยวกับกรณีกำรได้รับยกเว้น
ี
กำรเรียกเก็บอำกรปกป้องตำมใบขนสินค้ำท้ง ๘๙ ฉบับ โดยไม่มีอ�ำนำจตำมกฎหมำย ท�ำให้
ั
ี
โจทก์ได้รับควำมเสียหำย แต่เม่อจ�ำเลยให้กำรยืนยันว่ำ จ�ำเลยมีอ�ำนำจหน้ำท่ในกำรเรียกเก็บ
ื
อำกร กำรประเมินภำษีอำกร กำรตรวจสอบควำมถูกต้องในกำรส�ำแดงกำรใช้สิทธิยกเว้นอำกร
ปกป้องอย่ำงเดียวกับอำกรขำเข้ำตำมกฎหมำยว่ำด้วยศุลกำกร กำรกระท�ำของพนักงำนเจ้ำหน้ำท ี ่
่
ี
�
ิ
ึ
ิ
ของจำเลยเป็นกำรปฏบตหน้ำทโดยชอบด้วยกฎหมำยแล้ว คำฟ้องและข้อหำคดนจงเป็นกรณ ี
ั
ี
�
ี
้
ี
ี
ี
ี
ท่โจทก์โต้แย้งกำรปฏิบัติหน้ำท่ของพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ของจ�ำเลยว่ำ เป็นกำรปฏิบัติหน้ำท่โดย
ไม่ชอบด้วยกฎหมำย อันเป็นปัญหำที่เกิดขึ้นจำกกำรปฏิบัติหน้ำที่ตำมพระรำชบัญญัติมำตรกำร
ิ
ึ
ี
ปกป้องจำกกำรน�ำเข้ำสินค้ำท่เพ่มข้น พ.ศ. ๒๕๕๐ และพระรำชบัญญัติศุลกำกร พ.ศ. ๒๔๖๙
ึ
่
้
ี
�
่
ั
้
้
่
ี
ซงศำลจะตองพจำรณำวนจฉยกอนวำ พนกงำนเจำหนำทของจำเลยมอำนำจกระทำกำรตำมฟอง
้
ิ
ั
ิ
ิ
่
�
�
ได้โดยชอบด้วยกฎหมำยหรือไม่ หำกฟังได้ว่ำเป็นกำรกระท�ำโดยไม่ชอบแล้ว จึงมีปัญหำต้อง
พิจำรณำต่อไปว่ำกำรกระท�ำของพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ของจ�ำเลยดังกล่ำวเป็นกำรท�ำละเมิดต่อโจทก์
ี
้
์
ี
ื
�
่
หรอไม และโจทกไดรบควำมเสยหำยหรอไม เพยงใด ขอพพำทตำมคำฟองของโจทกในเรองละเมด
่
ั
ิ
์
้
ื
ื
ิ
้
ี
่
เป็นเพียงประเด็นสืบเน่องรองลงมำ ค�ำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคดีอุทธรณ์ค�ำวินิจฉัยของเจ้ำพนักงำน
ื
หรือคณะกรรมกำรตำมกฎหมำยเก่ยวกับภำษีอำกร อันอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของ
ี
ศำลภำษีอำกร ตำมมำตรำ ๗ (๑) แห่งพระรำชบัญญัติจัดต้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำ
ั
คดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘
วินิจฉัยว่ำ คดีของโจทก์อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร
วินิจฉัย ณ วันที่ ๖ เดือน กุมภำพันธ์ พุทธศักรำช ๒๕๖๑
เมทินี ชโลธร
(นำงเมทินี ชโลธร)
ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
มณฑำทิพย์ ตั้งวิชำชำญ - ย่อ
วีนัส นิมิตกุล - ตรวจ
416
ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ บริษัทอำเจล (ประเทศไทย)
ที่ วภ ๓/๒๕๖๑ จ�ำกัด โจทก ์
กรมศุลกำกร จ�ำเลย
โจทก์ฟ้องเรียกเงินประกันค่ำอำกรคืนจำกจ�ำเลย โดยอ้ำงว่ำจ�ำเลยพิจำรณำ
ี
ปัญหำพิกัดอัตรำอำกรเสร็จแล้ว ให้สินค้ำของโจทก์ท่น�ำเข้ำเสียอัตรำอำกรร้อยละ ๕
้
่
้
่
่
้
จ�ำเลยจึงตองคืนเงินประกันคำอำกรสวนที่เหลือใหแกโจทก แตจ�ำเลยคืนใหเพียงส�ำหรับ
์
่
ั
ี
ื
่
กำรน�ำเข้ำสินค้ำคร้งท ๑ เม่อจ�ำเลยให้กำรว่ำจ�ำเลยคืนเงินประกันค่ำอำกรส�ำหรับกำร
ี
ี
่
่
ั
ั
่
ี
ั
น�ำเข้ำสินค้ำคร้งท ๑ และคร้งท ๒ ให้แก่โจทก์แล้ว แต่กำรน�ำเข้ำสินค้ำคร้งท ๓ จ�ำเลย
ยังไม่อำจคืนเงินดังกล่ำวให้แก่โจทก์ได้ เน่องจำกยังอยู่ในระหว่ำงกำรพิจำรณำตำม
ื
ั
ข้นตอนของกฎหมำยว่ำด้วยศุลกำกรของจ�ำเลย คดีจึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่ำ โจทก์
ั
่
ี
ได้รับเงินประกันค่ำอำกรส�ำหรับกำรน�ำเข้ำสินค้ำคร้งท ๒ คืนจำกจ�ำเลยแล้วหรือไม่
และโจทก์มีสิทธิได้รับเงินประกันค่ำอำกรส�ำหรับกำรน�ำเข้ำสินค้ำครั้งที่ ๓ คืนจำกจ�ำเลย
หรือไม่ เพียงใด เมื่อเงินประกันค่ำอำกรดังกล่ำวถือเป็นส่วนหนึ่งของเงินที่โจทก์วำงเพื่อ
ช�ำระค่ำภำษีอำกร กรณีจึงเป็นคดีพิพำทเกี่ยวกับกำรขอคืนค่ำภำษีอำกร ตำมมำตรำ ๗ (๓)
แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ คดีอยู่ในอ�ำนำจ
พิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร
______________________________
โจทก์ฟ้องว่ำ เมื่อระหว่ำงวันที่ ๑ มกรำคม ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๒ เมษำยน ๒๕๖๐ โจทก์น�ำเข้ำ
้
ิ
ิ
สนค้ำประเภทอำหำรเสรม รวม ๓ ครง ตำมใบขนสนค้ำขำเข้ำ ๓ ฉบบ เสยอตรำอำกรขำเข้ำ
ิ
ั
ี
ั
ั
ร้อยละ ๕ จ�ำเลยกักสินค้ำดังกล่ำวของโจทก์ไว้ท่ส�ำนักงำนศุลกำกรท่ำอำกำศยำนสุวรรณภูม ิ
ี
้
�
่
ื
ิ
็
ิ
โดยใหโจทกเสยอตรำอำกรขำเขำรอยละ ๖๐ โจทกจงวำงเงนประกนเพอนำสนคำออก เปนเงน
้
้
ี
์
ิ
์
ึ
ั
้
ั
๓,๗๗๒,๔๔๐.๓๗ บำท ต่อมำวันที่ ๑๙ เมษำยน ๒๕๖๐ จ�ำเลยพิจำรณำปัญหำพิกัดอัตรำอำกร
แล้วเห็นควรให้สินค้ำของโจทก์ท่น�ำเข้ำเป็นพิกัด ๒๑๐๖.๙๐.๗๒ เสียอัตรำอำกรตำม
ี
ี
ประกำศกระทรวงกำรคลัง ณ วันน�ำเข้ำร้อยละ ๕ จ�ำเลยจ�ำต้องคืนเงินท่โจทก์วำงประกันไว้
ั
๓,๗๗๒,๔๔๐.๓๗ บำท แก่โจทก์ แต่จ�ำเลยคืนให้บำงส่วนตำมใบขนสินค้ำขำเข้ำคร้งแรก
๖๐๒,๗๘๙.๖๑ บำท ส่วนที่เหลืออีก ๓,๑๖๙,๖๕๐.๗๖ บำท จ�ำเลยไม่คืน โจทก์ติดตำมทวงถำม
417
ี
แล้ว แต่จ�ำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจ�ำเลยช�ำระเงิน ๓,๓๔๐,๔๙๔.๖๙ บำท พร้อมดอกเบ้ย
ในอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๓,๑๖๙,๖๕๐.๗๖ บำท นับถัดจำกวันฟ้องเป็นต้นไป
จนกว่ำจะช�ำระเสร็จแก่โจทก์
ี
ี
ี
จ�ำเลยให้กำรว่ำ กำรน�ำเข้ำสินค้ำของโจทก์คร้งท่ ๑ จ�ำเลยมีค�ำช้ขำดเก่ยวกับพิกัด
ั
อัตรำอำกรแล้วว่ำ ให้กำรน�ำเข้ำสินค้ำของโจทก์ช�ำระอัตรำอำกรร้อยละ ๕ และโจทก์ได้รับเงิน
ื
ี
ี
ั
อำกรคืนจำกจ�ำเลยแล้วเม่อวันท่ ๑๑ กรกฎำคม ๒๕๖๐ ส่วนกำรน�ำเข้ำสินค้ำของโจทก์คร้งท่ ๒
โจทก์มีหน้ำท่ต้องส�ำแดงพิกัด (ประเภทสินค้ำ) และอัตรำอำกรต่อจ�ำเลยตำมพระรำชบัญญัต ิ
ี
ศุลกำกร พ.ศ. ๒๔๖๙ มำตรำ ๑๐ และ ๑๐ ทวิ จ�ำเลยได้รับช�ำระอำกรโดยชอบด้วยกฎหมำย
ี
้
ิ
้
้
ี
ั
ั
ั
่
ี
์
้
แลว เพยงแตโจทกมขอโตแยงเกยวกบพกดและอตรำอำกร พนกงำนเจำหนำทของจำเลยจงสง
่
่
ึ
�
้
่
ั
ี
้
เรื่องให้ส�ำนักพิกัดอัตรำศุลกำกรพิจำรณำและมีมติชี้ขำด ซึ่งต่อมำจ�ำเลยเห็นว่ำกำรน�ำเข้ำสินค้ำ
ในคร้งท่ ๒ ของโจทก์เป็นพิกัด ๒๑๐๖.๙๐.๗๒ ให้โจทก์เสียอัตรำอำกรร้อยละ ๕ จึงออกแบบ
ั
ี
แจ้งกำรประเมินอำกรแก่โจทก์ และให้โจทก์มำรับเงินอำกรคืน โจทก์ได้รับแบบแจ้งกำรประเมิน
ี
ั
อำกรและได้รับเงินอำกรคร้งท่ ๒ คืนจำกจ�ำเลยแล้ว โจทก์จึงไม่อ�ำนำจฟ้องเรียกเงินอำกร
ู
ิ
้
ั
ิ
ี
่
�
้
ั
ั
้
ั
ทงสองครงดงกล่ำว ส่วนกำรนำเข้ำสนค้ำของโจทก์ครงท ๓ ยังอย่ในระหว่ำงกำรพจำรณำของ
ี
คณะท�ำงำนพิจำรณำปัญหำพิกัดอัตรำศุลกำกร คณะท�ำงำนยังไม่สำมำรถวินิจฉัยช้ขำดได้
ี
เน่องจำกขำดพยำนหลักฐำนส�ำคัญบำงส่วน จึงแจ้งให้โจทก์ย่นเอกสำรและช้แจงข้อเท็จจริง
ื
ื
ี
ิ
ิ
เพ่มเติม ต่อมำโจทก์ส่งเอกสำรเพ่มเติมพร้อมตัวอย่ำงสินค้ำ โดยช้แจงถึงควำมแตกต่ำงของสินค้ำ
ี
ี
ท่น�ำเข้ำ แต่ไม่ได้ช้แจงถึงองค์ประกอบและส่วนผสมหรือสูตรกำรผลิตของสินค้ำ ท�ำให้จ�ำเลย
ไม่สำมำรถพิจำรณำและชี้ขำดพิกัดอัตรำอำกรได้ จ�ำเลยจึงมีหนังสือแจ้งเตือนให้โจทก์ส่งเอกสำร
หลักฐำนเพ่มเติมอีกคร้ง ดังน้นกำรน�ำเข้ำสินค้ำของโจทก์คร้งท่ ๓ จึงยังอยู่ในระหว่ำงกำรพิจำรณำ
ี
ิ
ั
ั
ั
ตำมข้นตอนของกฎหมำยเพ่อช้และมีมติว่ำสินค้ำดังกล่ำวเป็นสินค้ำประเภทใด เสียอัตรำอำกรใด
ื
ี
ั
จ�ำเลยจึงไม่อำจคืนเงินอำกรแก่โจทก์ได้ และคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินอำกรที่โจทก์ช�ำระต่อจ�ำเลย
ตำมกฎหมำยว่ำด้วยศุลกำกร เป็นคดีพิพำทเก่ยวกับกำรขอคืนภำษีอำกร อันอยู่ในอ�ำนำจ
ี
ั
ั
ี
กำรพจำรณำพพำกษำคดของศำลภำษอำกรกลำง ตำมมำตรำ ๗ (๓) แห่งพระรำชบญญต ิ
ิ
ี
ิ
จัดตั้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ ไม่อยู่ในอ�ำนำจศำลแพ่งกรุงเทพใต้
ขอให้ยกฟ้อง
418
ี
ระหว่ำงพิจำรณำ ศำลแพ่งกรุงเทพใต้เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีน้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำ
พิพำกษำของศำลภำษีอำกรหรือไม่ จึงส่งส�ำนวนมำให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัย
ตำมพระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ มำตรำ ๑๐
วรรคสอง
ี
วินิจฉัยว่ำ กำรท่โจทก์ฟ้องเรียกเงินประกันค่ำอำกรคืนจำกจ�ำเลย โดยอ้ำงว่ำจ�ำเลย
ี
พิจำรณำปัญหำพิกัดอัตรำอำกรเสร็จแล้ว เห็นควรให้สินค้ำของโจทก์ท่น�ำเข้ำเสียอัตรำอำกร
่
�
ึ
ิ
�
้
่
ี
้
่
้
ื
ั
้
รอยละ ๕ แต่จำเลยคืนเงนใหบำงสวน จำเลยจงตองคนเงินประกนคำอำกรส่วนทเหลือใหแก่โจทก์
ั
ี
ั
เม่อจ�ำเลยให้กำรว่ำจ�ำเลยคืนเงินประกันค่ำอำกรส�ำหรับกำรน�ำเข้ำสินค้ำคร้งท่ ๑ และคร้งท่ ๒
ี
ื
ั
ี
ให้แก่โจทก์แล้ว แต่กำรน�ำเข้ำสินค้ำคร้งท่ ๓ จ�ำเลยยังไม่อำจคืนเงินดังกล่ำวให้แก่โจทก์ได้
ื
เน่องจำกยังอยู่ในระหว่ำงกำรพิจำรณำตำมข้นตอนของกฎหมำยว่ำด้วยศุลกำกรของจ�ำเลย
ั
คดีจึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่ำ โจทก์ได้รับเงินประกันค่ำอำกรส�ำหรับกำรน�ำเข้ำสินค้ำคร้งท่ ๒
ั
ี
คืนจำกจ�ำเลยแล้วหรือไม่ และโจทก์มีสิทธิได้รับเงินประกันค่ำอำกรส�ำหรับกำรน�ำเข้ำสินค้ำ
ครั้งที่ ๓ คืนจำกจ�ำเลยหรือไม่ เพียงใด เมื่อเงินประกันค่ำอำกรดังกล่ำวถือเป็นส่วนหนึ่งของเงิน
ื
ี
ท่โจทก์วำงเพ่อช�ำระค่ำภำษีอำกร กรณีจึงเป็นคดีพิพำทเก่ยวกับกำรขอคืนค่ำภำษีอำกร ตำม
ี
ั
มำตรำ ๗ (๓) แห่งพระรำชบัญญัติจัดต้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘
คดีของโจทก์จึงอยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร
วินิจฉัยว่ำ คดีนี้อยู่ในอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร
วินิจฉัย ณ วันที่ ๑๓ เดือน มีนำคม พุทธศักรำช ๒๕๖๑
เมทินี ชโลธร
(นำงเมทินี ชโลธร)
ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
มณฑำทิพย์ ตั้งวิชำชำญ - ย่อ
วีนัส นิมิตกุล - ตรวจ
419
ค�ำวินิจฉัยของประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ บริษัทบีเอ็กซ์โกลเบิ้ล (ไทยแลนด์)
ที่ วภ ๑/๒๕๖๒ จ�ำกัด โจทก ์
กรมศุลกำกร จ�ำเลย
ี
ี
ตำมค�ำฟ้องและค�ำให้กำรเป็นกรณีท่โจทก์ขอคืนสินค้ำล้ออัลลอย ท่โจทก์
อ้ำงว่ำใช้สิทธิยกเว้นอำกรและลดอัตรำอำกรศุลกำกร ภำยใต้ข้อตกลงเขตกำรค้ำเสร ี
อำเซียน-จีน และตำมประกำศกระทรวงกำรคลัง เรื่อง กำรยกเว้นอำกรศุลกำกรส�ำหรับ
ี
ิ
ิ
ของท่มีถ่นก�ำเนิดจำกสำธำรณรัฐประชำชนจีน โดยมีหนังสือรับรองถ่นก�ำเนิดสินค้ำ
(FORM-E) ท่ออกโดยรัฐบำลแห่งสำธำรณรัฐประชำชนจีน แต่พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ของ
ี
ี
�
ั
้
้
�
์
ิ
่
ั
�
จำเลยอ้ำงวำกำรทโจทกนำเขำสนคำมำจำกสำธำรณรฐประชำชนจนแต่กลบทำให้ปรำกฏ
่
ี
ี
ค�ำว่ำ “JAPAN” ซ่งหมำยถึงประเทศญ่ปุ่นในสินค้ำหรือของ จึงเป็นสินค้ำหรือของท่มีกำร
ี
ี
ึ
ี
แสดงก�ำเนิดเป็นเท็จ ต้องห้ำมน�ำเข้ำในรำชอำณำจักรตำม พ.ร.บ. ห้ำมน�ำของท่มีกำร
็
ั
ึ
ิ
ื
ิ
แสดงกำเนดเป็นเทจเข้ำมำ พ.ศ. ๒๔๘๑ มำตรำ ๕ สนค้ำหรอของดงกล่ำวจงเป็นของ
�
ี
ิ
ท่ผิดกฎหมำยจึงต้องยึดไว้เพรำะเป็นกำรลวงผู้บริโภคให้เข้ำใจผิดในถ่นก�ำเนิดว่ำเป็น
สินค้ำท่ผลิตในประเทศญ่ปุ่น ท้งท่มีแหล่งก�ำเนิดในสำธำรณรัฐประชำชนจีน กรณ ี
ั
ี
ี
ี
จึงเป็นกำรโต้แย้งกันว่ำสินค้ำที่โจทก์น�ำเข้ำต้องห้ำมน�ำเข้ำในรำชอำณำจักรตำม พ.ร.บ.
ี
ห้ำมน�ำของท่มีกำรแสดงก�ำเนิดเป็นเท็จเข้ำมำ พ.ศ. ๒๔๘๑ มำตรำ ๕ และจ�ำเลยม ี
อ�ำนำจยึดไว้ตำมกฎหมำยหรือไม่ ส่วนปัญหำว่ำกำรที่จ�ำเลยยึดสินค้ำของโจทก์ดังกล่ำว
ื
ั
เป็นกำรกระท�ำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่น้น เป็นปัญหำท่สืบเน่องรองลงมำจำกปัญหำ
ี
ี
ั
ดงกล่ำว คดของโจทก์เกยวกบจำเลยจงเป็นคดเกยวกบอทธรณ์คำวนจฉยของ
ิ
�
ุ
ิ
่
ึ
ั
ั
�
ี
่
ั
ี
ี
เจ้ำพนักงำนหรือคณะกรรมกำรตำมกฎหมำยเกี่ยวกับภำษีอำกรตำมมำตรำ ๗ (๑) แห่ง
ั
พ.ร.บ. จัดต้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘ คดีอยู่ในอ�ำนำจ
พิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกร
______________________________
โจทก์ฟ้องว่ำ เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวำคม ๒๕๕๙ โจทก์น�ำสินค้ำอะไหล่และชิ้นส่วนอุปกรณ์
ยำนยนต์ประเภทล้ออัลลอยจำกสำธำรณรัฐประชำชนจีนเข้ำมำในรำชอำณำจักรไทยโดยส�ำแดง
รำยกำรสินค้ำในใบขนสินค้ำ เลขท่ A ๐๒๙-๐๕๙๑๒-๐๔๘๕๖ รวม ๑๒ รำยกำร และตำม
ี
420
ี
ใบขนสินค้ำ เลขท่ A ๐๒๙-๐๕๙๑๒-๐๔๘๓๒ รวม ๑๐ รำยกำร ส�ำแดงพิกัดอัตรำศุลกำกร
๘๗๐๘.๗๐.๓๙ อัตรำอำกรร้อยละ ๐ โดยใช้สิทธิยกเว้นอำกรและลดอัตรำอำกรศุลกำกร ภำยใต้
ื
ข้อตกลงเขตกำรค้ำเสรีอำเซียน-จีน และตำมประกำศกระทรวงกำรคลัง เร่อง กำรยกเว้น
ิ
ี
อำกรศุลกำกรส�ำหรับของท่มีถ่นก�ำเนิดจำกสำธำรณรัฐประชำชนจีน ภำยใต้ควำมตกลงกำรค้ำเสร ี
อำเซียน - จีน โดยมีหนังสือรับรองถิ่นก�ำเนิดสินค้ำ (FORM-E) ที่ออกโดยรัฐบำลแห่งสำธำรณรัฐ
ั
ี
ประชำชนจีน พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ของจ�ำเลยตรวจสินค้ำของโจทก์ตำมใบขนสินค้ำท้งสองฉบับ
ดังกล่ำวแล้วอ้ำงว่ำสินค้ำตำมใบขนสินค้ำ เลขที่ A ๐๒๙-๐๕๙๑๒-๐๔๘๕๖ รำยกำรที่ ๑ ถึง ๑๐
และตำมใบขนสินค้ำเลขท่ A ๐๒๙-๐๕๙๑๒-๐๔๘๓๒ รำยกำรท่ ๑ ถึง ๘ มีค�ำว่ำ “JAPAN”
ี
ี
ี
พิมพ์ลำยนูนท่บริเวณขอบของล้ออัลลอย จึงกล่ำวหำว่ำโจทก์มีควำมผิดตำมพระรำชบัญญัติห้ำม
ี
ื
น�ำของท่มีกำรแสดงก�ำเนิดเป็นเท็จเข้ำมำ พ.ศ. ๒๔๘๑ และเป็นควำมผิดฐำนส�ำแดงเท็จเพ่อ
หลีกเล่ยงข้อห้ำมข้อก�ำกัดตำมมำตรำ ๙๙, ๒๗ แห่งพระรำชบัญญัติศุลกำกร พ.ศ. ๒๔๖๙
ี
ประกอบมำตรำ ๑๖ และ ๑๗ แห่งพระรำชบัญญัติศุลกำกร (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๔๘๒ ซึ่งได้สั่ง
ั
ให้มีกำรระงับคดีในช้นศุลกำกรโดยยกของกลำงให้เป็นของแผ่นดินโดยมิให้โจทก์ด�ำเนินกำร
ตำมพิธีกำรวำงประกันสินค้ำดังกล่ำวออกมำจำกท่ำเรือกรุงเทพมหำนคร ท�ำให้โจทก์เสียหำย
ั
ในทำงธุรกิจ โจทก์แสดงก�ำเนิดสินค้ำให้เห็นโดยประจักษ์แจ้งท้งด้ำนเอกสำรและพิธีกำรน�ำเข้ำว่ำ
สินค้ำดังกล่ำวมำจำกสำธำรณรัฐประชำชนจีน มีกำรผลิตและใช้วัตถุดิบจำกสำธำรณรัฐประชำชนจีน
ิ
รวมท้งมีหลักฐำนกำรรับรองถ่นก�ำเนิดจำกรัฐบำลจีน แม้สินค้ำจะมีค�ำว่ำ “JAPAN” พิมพ์
ั
่
่
็
ลำยนนทบรเวณขอบของลออลลอยกไมกอใหรฐบำลไทยเสยหำยในเรองกำรเกบภำษเพรำะโจทก ์
ั
ื
่
็
ี
้
ั
ี
้
ิ
ี
่
ู
ด�ำเนินกำรตำมพิธีกำรตำมข้อผูกพันตำมควำมตกลงระหว่ำงรัฐบำลแห่งรำชอำณำจักรไทยและ
ี
รัฐบำลแห่งสำธำรณรัฐประชำชนจีน จ�ำเลยไม่ได้ปฏิบัติตำมระเบียบปฏิบัติเก่ยวกับหนังสือรับรอง
ถิ่นก�ำเนิดสินค้ำส�ำหรับกฎว่ำด้วยถิ่นก�ำเนิดสินค้ำตำมข้อผูกพันดังกล่ำว ข้อ ๑๘ (A) (๑) ด้วย
�
ั
ิ
ึ
ิ
ิ
ื
ั
กำรร้องขอให้มกำรตรวจสอบหนังสอรบรองถ่นกำเนดสินค้ำ จ�ำเลยจงไม่มีสทธจะกกและบงคับ
ี
ิ
ั
ั
ให้โจทก์ยกสนค้ำดังกล่ำวให้ตกเป็นของแผ่นดิน โจทก์มีหนังสือขอให้จ�ำเลยทบทวนค�ำส่ง แต่
ิ
จ�ำเลยเพิกเฉย กำรกระท�ำของจ�ำเลยเป็นกำรละเมิดต่อโจทก์ให้ได้รับควำมเสียหำยไม่สำมำรถ
ิ
ั
ิ
�
ั
�
ื
นำสนค้ำดงกล่ำวออกมำประกอบกำรค้ำขำย จำเลยต้องคนสนค้ำตำมใบขนสนค้ำดงกล่ำว
ิ
ให้แก่โจทก์และช�ำระค่ำเสียหำยอันเป็นค่ำเช่ำโกดังเก็บสินค้ำ ๖๗๒,๓๖๐ บำท กับค่ำตู้คอนเทนเนอร์
๒๘๕,๗๑๔ บำท หำกคืนสินค้ำดังกล่ำวไม่ได้ให้จ�ำเลยชดใช้ค่ำเสียหำยของสินค้ำ ๓,๐๓๕,๒๘๕.๗๓ บำท
ี
ี
พร้อมดอกเบ้ยในอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี รวมเป็นเงินท่จ�ำเลยต้องช�ำระแก่โจทก์คิดถึงวันฟ้อง
421
๓,๙๙๓,๓๕๙.๗๓ บำท ขอให้จ�ำเลยคืนสินค้ำตำมใบขนสินค้ำ เลขที่ A ๐๒๙-๐๕๙๑๒-๐๔๘๕๖
่
ี
ั
ี
และใบขนสินค้ำ เลขท A ๐๒๙-๐๕๙๑๒-๐๔๘๓๒ แก่โจทก์ พร้อมชดใช้ค่ำเสยหำยอนเป็น
ี
ค่ำเช่ำโกดังเก็บสินค้ำและค่ำตู้คอนเทนเนอร์รวมเป็นเงิน ๙๕๘,๐๗๔ บำท พร้อมดอกเบ้ยในอัตรำ
ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช�ำระเสร็จ หำกคืนไม่ได้ให้จ�ำเลยชดใช้
ั
ู
ิ
ิ
ี
็
ั
ค่ำเสยหำยอนเป็นค่ำเช่ำโกดงเกบสนค้ำและค่ำต้คอนเทนเนอร์ พร้อมค่ำเสยหำยของสนค้ำ
ี
รวมเป็นเงิน ๓,๙๙๓,๓๕๙.๗๓ บำท พร้อมดอกเบ้ยในอัตรำร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง
ี
เป็นต้นไปจนกว่ำจะช�ำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จ�ำเลยช�ำระค่ำเช่ำโกดังเก็บสินค้ำนับถัดจำก
วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ำจะช�ำระเสร็จ
จ�ำเลยให้กำรว่ำ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จ�ำเลยไม่อำจเข้ำใจได้ว่ำโจทก์จะฟ้องเรียกร้อง
ี
ี
ื
ให้จ�ำเลยปล่อยสินค้ำท่พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ของจ�ำเลยจับกุมโจทก์อันเน่องมำจำกกำรแสดงแหล่ง
ก�ำเนิดอันเป็นเท็จ หรือโจทก์จะฟ้องเรียกร้องให้จ�ำเลยไม่ด�ำเนินกำรจัดเก็บภำษีหรือยกเว้นภำษี
ี
ภำยใต้ข้อตกลง (FORM-E) กำรท่โจทก์น�ำเข้ำสินค้ำมำจำกสำธำรณรัฐประชำชนจีนแต่กลับ
ท�ำให้ปรำกฏค�ำว่ำ “JAPAN” ซ่งหมำยถึงประเทศญ่ปุ่นในสินค้ำหรือของ จึงเป็นสินค้ำหรือของ
ี
ึ
�
ั
ั
็
่
ี
ิ
ทมกำรแสดงกำเนดเป็นเทจ ต้องห้ำมนำเข้ำในรำชอำณำจกรตำมพระรำชบญญตห้ำมนำของท ี ่
�
ั
ิ
�
ี
มีกำรแสดงก�ำเนิดเป็นเท็จเข้ำมำ พ.ศ. ๒๔๘๑ มำตรำ ๕ สินค้ำหรือของดังกล่ำวจึงเป็นของที่ผิด
กฎหมำย ต้องยึดไว้ ไม่สำมำรถปล่อยสินค้ำออกไปได้เพรำะเป็นกำรลวงผู้บริโภคให้เข้ำใจผิดใน
ถิ่นก�ำเนิดคิดว่ำเป็นสินค้ำที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่น ทั้งที่มีแหล่งก�ำเนิดในสำธำรณรัฐประชำชนจีน
ไม่เก่ยวกับข้อตกลงเขตกำรค้ำเสรีอำเซียน-จีน ซ่งเป็นเร่องกำรได้รับยกเว้นภำษีอำกร โจทก์
ึ
ื
ี
ไม่สำมำรถวำงเงินประกันได้เพรำะสินค้ำดังกล่ำวเป็นสินค้ำต้องห้ำมต้องก�ำกัด ตำมมำตรำ ๒๗
แห่งพระรำชบัญญัติศุลกำกร พ.ศ. ๒๔๖๙ และโจทก์มิอำจกล่ำวอ้ำงให้จ�ำเลยต้องด�ำเนินกำรตำม
ข้อก�ำหนดในข้อ ๑๘ (A) (๒) ไม่มีกฎหมำยบัญญัติให้จ�ำเลยต้องคืนทรัพย์สินอันได้น�ำเข้ำมำโดย
ี
ั
ิ
�
ฝ่ำฝืนหรอละเมดต่อกฎหมำย จำเลยไม่จำต้องชดใช้ค่ำสนค้ำ ค่ำเช่ำโกดง และค่ำเสยหำยแก่
ื
�
ิ
โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
วันนัดสืบพยำนโจทก์ ศำลแพ่งกรุงเทพใต้เห็นว่ำ กรณีมีปัญหำว่ำคดีน้อยู่ในอ�ำนำจ
ี
พิจำรณำพิพำกษำของศำลภำษีอำกรหรือไม่ จึงส่งส�ำนวนมำให้ประธำนศำลอุทธรณ์คดีช�ำนัญ
ั
พิเศษวินิจฉัยตำมพระรำชบัญญัติจัดต้งศำลภำษีอำกรและวิธีพิจำรณำคดีภำษีอำกร พ.ศ. ๒๕๒๘
มำตรำ ๑๐ วรรคสอง
422