The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kim.pongsakorn.26081998, 2019-06-10 12:45:47

tmp

อาจจะต ้องเพิ่มสถานการณ์เข ้าไป”




“เช่นสั่งเบียร์ใช่มั้ย แดกไก่กับเบียร์ดูเข ้ากัน ป้าค

ร ้าบบบบ” ขอความเข ้ากันระหว่างประเด็นที่พูดเมื่อกี้ซิ ย ้อน

แย ้งมากเว่อร์ แล ้วป้าแม่ค ้าแกก็มาไวยิ่งกว่าขีปนาวุธ



“เอาอะไรดีคะลูก”



“เบียร์หมีควายสี่กระป๋ องครับ”




“กูไม่เอา” ผมรีบปฏิเสธพัลวัน ให ้ตายกูก็จะไม่แดก

แอลกอฮอล์อีก ล าพังแค่อ ้วกทะลุง่ามนิ้วไอ ้ค่ายในวันนั้นยัง

ติดตาจนทุกวันนี้เลย



“ซื้อให ้แล ้ว เท่าไหร่นะครับ” ป๋ าโบนควักจ่ายตังค์เสร็จเรา

ก็มีเบียร์มาถือไว ้ในมือคนละกระป๋ อง ไอ ้ค่ายเป็นคนแรกที่


ยกขึ้นมากระดกทีเดียวหลายอึกอย่างไม่รีรอ แป๊ บๆ หมด

กระป๋ องแทบไม่เหลือสักหยด



“กินมั้ย” มันถามผม



“ไม่”




“งั้นกูแดกแทน” ว่าแล ้วมือหนาก็คว ้าเบียร์อีกกระป๋ องไป

ซดโฮกอย่างรวดเร็ว โอ ้โหรักใครให ้แดกเบียร์แทนงี้เหรอ

ซาบซึ้งสัดๆ




“สันดานไอ ้ค่าย กูซื้อให ้ไอ ้เติร์ดไม่ได ้ใช ้ ให ้มึงมาแดก

แทน”



“มันแม่งเมาแล ้วอ ้วก ตัวก็มีแต่ผื่นแดงมึงไม่สงสารมัน

หรือไง อีกอย่างท าไมกูจะไม่มีสิทธิ์ในตัวมัน”



“เป็นผัวเมียกันแล ้วเหรอ”




“สัด” ร าคาญ!



“ดูที่รักมึงก่อน ปฏิเสธหน้าตายเลยนะนั่น เจ็บมั้ยไอ ้ค่าย

เขาไม่ยอมรับมึงอ่ะ”



“เติร์ด...กูเป็นอะไรส าหรับมึงนะ” เสียงทุ้มต ่ากัดฟันถาม


แกมบังคับ รู้ทั้งรู้ว่าผมคงไม่ตอบรับให ้ไอ ้โหดอีกสองคน

เก็บไว ้แซว มันก็ยังจะถามอีก



“ไม่ได ้เป็นไร”



“มึงเป็นของกูไง”




“ตอนไหน!”

“ไม่ได้เป็ นในทางพฤติกรรม แต่ก็เป็ นในทาง

ความรู้สึก”




“กรู้วววววววว เก็บมุกนี้ไว ้เล่นที่บ ้านเถอะนะครับ ฟังแล ้ว

รู้สึกแดกเบียร์ไม่คล่องคอเลย อะแค่กๆ”



บางทีผมก็คิดนะครับ ว่าตัดสินใจร่วมทริปกับพวกมันมา

เพื่ออะไร เพื่อเที่ยวและดูโลเคชั่นในการท าหนัง หรือมา

เพื่อให ้มันทั้งสามตัวนั่งเผานิ่งๆ กันแน่




ฉากที่สอง รถไฟตู้ที่สิบหก / ทางรถไฟ / ตีห ้าครึ่ง



“ป้าขอเบียร์อีกสามป๋ องครับ”



“ได ้ค่าลูกกกกกก”




เหยดแหม่มึงเอ๊ย ตลอดเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงไอ ้ค่าย ไอ ้

โบน และไอ ้ทูไม่มีท่าทีว่าจะหยุดกระดกเบียร์แม ้แต่วินาที

เดียว ถุงพลาสติกที่ขอจากพนักงานมาใส่ขยะตอนนี้เป็นที่

บรรจุกระป๋ องเบียร์เรียบร ้อย นี่มึงมาเที่ยวหรือมึงมาเมา!



“เติร์ดกูคิดออกละ ในบทกูอยากให ้มีฉากตัวเอกนั่งเล่น

เกมส์ด ้วย” ไอ ้ทูที่เมาทีไรสมองมักจะบรรเจิดโพล่งไอเดีย


ขึ้นมาให ้ฟังเป็นฉากๆ

“เกมส์ยังไงวะ”




“แบบที่เราเล่นกันในปาร์ตี้พูลครั้งก่อนไง”



“จ าไม่ได ้ เล่นไปเป็นร ้อยเกมส์”



“ก็ที่ให ้พูดค าตอบออกมาก่อนแล ้วให ้ทายค าถามไง”



“ยังไงวะ วันนั้นไม่ได ้เล่นเกมส์นี้” หรือผมเมาเกินกว่าจะ


จ าเหตุการณ์ในวันนั้นได ้ ไอ ้โบนจึงเป็นฝ่ ายสาธิตวิธีเล่นให ้

ผมฟัง



“สมมตินะ ถ ้ากูพูดว่าเควนติน แทแรนติโนปุ๊ บ มึงก็แค่

ทายว่าค าถามจะเป็นอะไร แค่นั้น”



“เข ้าใจละ แต่ท าไมต ้องยัดบทกากๆ แบบนี้ไปใส่ในหนัง


สั้นด ้วยวะ”



“มึงแม่งไม่คูลว่ะ สรุปทายว่าอะไร ไหนๆ ก็เล่นละต่อให ้

จบไปเลย” ไม่ได ้ดูหน้ากูเลยครับว่าอยู่ในอารมณ์อยากเล่น

หรือเปล่า



“ผู้ก ากับหนังที่มึงชอบใช่ป่ ะ”




“ถูกต ้องนะคร ้าบบบบบ สุดยอดมากเพื่อนเติร์ด” สนุก

จังเล ้ย




“กูทายมึงบ ้างไอ ้เติร์ด วิชาการตลาด” ไอ ้ทูยิ้ม

กะลิ้มกะเหลี่ย มันยืดหลังนั่งตัวตรง สายตาจดจ ้องมาที่ผม

อย่างไม่ลดละ ขอโทษนะ...นี่มึงเล่นเกมส์ก าจัดจุดอ่อนกัน

อยู่เหรอ



“วิชาที่มึงชอบคืออะไร”




“ผิด”



“วิชาที่มึงลงทะเบียนไม่ทันเป็นครั้งแรก”



“ผิด ตอนที่กูโอดโอยอยู่ในห ้องอ่ะเพื่อนรัก”



“อ๋อ เอฟตัวแรกในชีวิต”




“ถูกต ้องนะคร ้าบบบบบ ค าถามคือกูติดเอฟวิชาอะไรเป็น

วิชาแรก” หัวฟวย นี่มึงล่อตั้งแต่ปีหนึ่งเลยนี่หว่า การตลาด

ส าหรับนักนิเทศฯ ง่ายกว่าอมฮอลล์ให ้ละลายในปากอีก บ ้า

บอ



“กูขอบ ้างๆ” แม ้แต่ไอ ้ค่ายก็ยังเอากับเขาด ้วย “Flipped”




“ง่ายสัด หนังที่กูชอบคือเรื่องอะไร”

“ผิด” อ ้าว




“หนังที่กูหยิบไปประมูลครั้งแรกในชีวิต”



“ผิด”



“ค าถามคือหนังที่กูหยิบมาดูบ่อยที่สุดต่างหาก” เกิด

ความอื้ออึงในกลุ่มเพื่อนไปพักหนึ่ง เดี๋ยวนะ ไอ ้ค่ายเกลียด


หนังรัก แต่สุดท ้ายค าตอบของหนังที่ดูบ่อยๆ กลับเป็นหนัง

รักเนี่ยนะ



“ดูจริงป่ ะ” ผมถามย ้า



“จริงดิ รักจนหัวปักหัวป าแล ้วเนี่ย” มันส่งยิ้มมาให ้จนปาก

แทบจะฉีกถึงใบหู “มึงทายกูบ ้างดิ”




“คิดไม่ออก”



“งั้นกูถามอีกข ้อให ้มั้ย ค าตอบคือตกลง”



“อะไรวะ ยืมเงินได ้มั้ยเหรอ” ในขณะที่ตอบหัวใจกลับเต ้น

รัวแปลกๆ สายตาของเพื่อนที่นั่งฝั่งตรงข ้ามก็แปลกๆ แม ้แต่


สีหน้าของไอ ้ค่ายเองก็ไม่ต่างกัน

“ไม่ใช่”




“ไปเที่ยวกันมั้ย”



“ผิด กูรู้ว่ามึงรู้ว่ะเติร์ด”



“กูไม่รู้อะไรเลย มึงจะให ้กูทายว่ายังไง”



“มึงรู้”




“พรุ่งนี้เลี้ยงข ้าวมั้ย”



“ไม่ใช่”



“ไปส่งเข ้าห ้องน ้าหน่อย”




“ร าคาญ บ่ายเบี่ยงอยู่นั่นแหละ ค าถามคือเป็ นแฟน

กันมั้ย”



“ง่ายอย่างนี้เลยเหรอ”



“เออ ง่ายอย่างนี้แหละ ตอบมา!”




“ให ้ตอบเหี้ยไร มึงมีอยู่ค าตอบเดียวว่าตกลงเนี่ย”

“เหยดดดดดดดดดดดดดดดดด”




“สรุปมึงเป็นแฟนกับกูแล ้วนะเติร์ด ไหนจุ๊บเหม่งหน่อยซิ”

สิ้นสุดค าพูดของไอ ้ค่าย มือหนาก็คว ้าหมับเข ้าที่หน้าผม

แล ้วล็อกไว ้อย่างแน่นหนา เสี้ยววินาทีต่อจากนั้นมันท าการ

อุกฉกาจด ้วยการจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากผมอย่างแรง

จนกะโหลกแทบยุบ



“เดี๋ยว กูไม่ได ้ตกลง” ผมพูดอย่างจริงจัง กระทั่งเสียง


ยินดีของเพื่อนทั้งสามเริ่มซาลง



“คือยังไงวะ” ไอ ้ค่ายถาม สายตาที่มองมาเต็มไปด ้วย

ความไม่เข ้าใจ



“เรื่องคบกับมึงแบบคนรัก”




“...”



“ขอโทษว่ะ แต่กูว่าไม่ดีกว่า...”



วินาทีนั้น ผมก็ได ้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ...

จางหายไป

ตอนที่ 18

ทฤษฎีจีบเธอ




ฉากที่สอง ภายใน / ตู้รถไฟ / หกโมงเช ้ า



“แต่เมื่อกี้มึงพูดว่าตกลง ไอ ้โบนกับไอ ้ทูก็ได ้ยิน” ไอ ้ค่าย

พูดเสียงแปร่ง เจ ้าของชื่ออีกสองคนพยักหน้าหงึกหงักเห็น

ด ้วย




นับตั้งแต่วันที่มันบี้ปากผู้หญิง ลามมาจนถึงวันที่เจ ้าตัวยืน

เคลียร์กับแฟนเก่าหน้าหอสมุด ระยะเวลามันก็ไม่กี่เดือนเอง

นะ ซึ่งแม่งไม่ได ้ช่วยรับประกันได ้เลยว่าไอ ้ค่ายจะไม่ดีแตก

หลังจากนี้อีก



“กูไม่ตกลงอะไรทั้งนั้น เกมส์ที่มึงเตี๊ยมมาเล่นกับเชี่ยทู

แล ้วก็ได ้โบนนี่อีก กูไม่อิน”




“กูยังมีข ้อบกพร่องตรงไหนที่มึงไม่โอเคอีกวะ”



“เวลาจะพิสูจน์สิ่งที่มึงเป็นเอง”



“กูไม่ตายก่อนได ้คบมึงในชาตินี้เหรอ”




“งั้นอยากตายก่อนมั้ย” คนฟังถึงกับรูดซิบปากแทบไม่ทัน

เพื่อนอีกสองคนก็คงอึ้งกับค าตอบที่ได ้ยินพอสมควร ที่ผม

ไม่ยังตอบตกลงเพราะคิดว่าความรักไม่ใช่สิ่งที่ต ้องรีบร ้อน

ถ ้าไอ ้ค่ายอดทนรอได ้ผมก็จะให ้ราคากับมัน ซึ่งกว่าที่วันนั้น


จะมาถึงก็คงอีกนาน



“กูไม่เล่นเกมส์แล ้วนะ จะฟังเพลง” ผมหยิบหูฟังขึ้นมาใส่

หูแล ้วหลับตา ตัดขาดตัวเองตัวเองออกจากโลกภายนอก

เพราะไม่ลึกๆ ในใจก็รู้สึกสงสารไอ ้ค่ายไม่น้อย



ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดเข ้ามาในหูของผมอีก อาจเพราะเปิด


เพลงเสียงดัง หรืออีกเหตุผลหนึ่งก็คือเพื่อนอีกสามคน

เลือกที่จะเงียบและใช ้ เวลาส่วนตัวเหมือนกับผม



รถไฟยังคงเคลื่อนไปข ้างหน้า สายลมเบาๆ ที่ตีกระทบ

กับแสงแดดที่เริ่มร ้อนแรงผลักดันให ้ผมผินตัวหลบแดด ซึ่ง

แน่นอนว่าคนที่นั่งอยู่ข ้างๆ ก็คงรู้สึก




“เติร์ดมึงนอนดีๆ”



“อือ” หูฟังถูกดึงออกจากหูตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ร่างกาย

ของผมถูกรั้งให ้โน้มตัวลงไปนอนบนตักอ่อนนุ่ม และผมก็

ไม่ได ้ปฏิเสธใดๆ นอกจากโอนอ่อนผ่อนตาม



“Since you've stepped into my life. Like someone


brought the vision to the blind~”

“ไปหัดร ้องมาจากไหน” ผมถามเสียงอู้อี้แม ้จะไม่ลืมตา

ขึ้นไปมองคนร ้องก็ตาม แต่น ้าเสียงเพี้ยนๆ กับประโยค


แปร่งๆ กลับท าให ้ผมยิ้มออกมาได ้ไม่ยาก



นี่เป็นเพลงที่ผมมักเปิดฟังในรถ และไอ ้ค่ายก็บอกเสมอ

ว่าน่าเบื่อ



“ท าไม ไม่เพราะเหรอ”




“อืม ไม่เพราะ”



“จริงดิ” ผมรู้สึกได ้ถึงฝ่ ามือที่สัมผัสเส ้ นผมและลูบไล ้ไป

มาเบาๆ



“ร ้องไม่ดีแต่พยายามก็ดีแล ้วเว ้ย”




ผมหลับต่อ รู้สึกปลอดภัยที่อยู่แบบนี้ อบอุ่นเมื่อได ้นอน

ตัก แล ้วก็มีความสุขที่ได ้เดินทาง บางทีหลังจากทริปนี้ผ่าน

พ ้นไปเราทั้งสี่คนอาจเจอกับอะไรที่ดีๆ ก็ได ้ใครจะไปรู้



การเดินทางด ้วยรถไฟมีเสน่ห์ของมันอย่างหนึ่ง ตรงที่เรา

ไม่ต ้องรีบเร่งให ้ถึงจุดหมายโดยไวเพื่อค ้นหาความสุขตรง

ปลายทาง แต่มันสอนให ้เราเรียนรู้ที่จะหาความสุขกับ


ประสบการณ์ระหว่างเดินทางมากกว่า


ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก ้มมองนาฬกาข ้อมือก็พบว่าเวลาเดิน
ไปเกือบสิบโมงเช ้ าแล ้ว ไอ ้ค่ายที่ให ้ผมยืมตักนั่งหลับจนคอ


แหงนไปกับเก ้าอี้ ส่วนคนที่นั่งอยู่เบาะตรงข ้ามก็หายหัว

ก่อนจะพบว่ามันทั้งคู่ย ้ายไปนั่งตรงที่ว่างถัดไปแทน

เนื่องจากรถไฟขบวนนี้แทบไม่มีคน



“ตื่นแล ้วเหรอ” ลุกขึ้นนั่งได ้ไม่นานคนตัวสูงก็ลืมตาขึ้น

มันเอ่ยถามด ้วยเสียงทุ้มนุ่มผิดกับวิสัยของตัวเองมากๆ หรือ

การปฏิเสธของผมก่อนหน้าจะท าให ้สมองอีกฝ่ าย


กระทบกระเทือนไปแล ้ววะ



“อืม มึงนอนต่อก็ได ้นะเดี๋ยวกูให ้ยืมตัก”



“ไม่เอา กูแค่พักสายตาไม่ได ้หลับจริงๆ หรอก”



“หิวมั้ย”




“ไม่”



“ดูวิวข ้างทางดิ แม่งโคตรสวย” ผมเชื้อเชิญให ้คนข ้างๆ

มองออกไปนอกหน้าต่าง พื้นที่สีเขียวที่เป็นทุ่งนากว ้างไกล

สุดลูกหูลูกตาเลยครับ ผมไม่ค่อยได ้ออกต่างจังหวัด

เท่าไหร่ ชีวิตอยู่แต่ในเมือง เพราะงั้นเวลาได ้เดินทางไกลๆ


เลยรู้สึกตื่นเต ้นมาก

“สวยจริง แต่ฝนไม่ตกลงมาสักหยด”




“เอาน่า ขอแค่ช่วงที่มาถ่ายหนังจริงขอให ้มันตกก็พอ”

หวังว่าพยากรณ์อากาศจะพอช่วยอะไรได ้บ ้าง



“เติร์ด ชีวิตมึงอยากท าอะไรแผลงๆ มั้ย แบบ...ขอให ้ได ้

ท าก่อนตายอ่ะ” จริงๆ การเดินทางที่ใช ้ ระยะเวลานานก็

จ าต ้องฆ่าเวลาด ้วยการพูด และผมคิดว่าไอ ้ค่ายคงไม่มี

หัวข ้อไหนที่จะชวนผมคุยแล ้วเลยยกเรื่องง่ายๆ แบบนี้


ขึ้นมาถาม



แต่จะบอกว่าง่ายก็ไม่เชิงหรอก เพราะเอาเข ้าจริง ผมยัง

ไม่รู้ใจตัวเองด ้วยซ ้าว่าอยากท าอะไรในชีวิตบ ้าง



“ท าอะไรแผลงๆ เหรอวะ คงไปล่าท ้าผีอ่ะ ตามตึกคณะก็

น่าลอง แล ้วมึงอ่ะอยากท าอะไร”




“บันจี้จั๊มป์ อยากลองดูสักตั้ง”



“กูอยากไปแข่งกินมาราธอนด ้วย”



“แดกหนมโก๋อ่ะเหรอ”




“สัด! กินพวกบะหมี่ หรือไม่ก็โดนัทที่มันอร่อยๆ ดิวะ”

“กูอยากแบกเป้ท่องโลก”




“เฮ ้ ยๆ อันนี้กูก็อยากไป ที่แรกลองอินเดียก่อนเลย ทิเบต

ก็น่าไปนะ”



“ชัมบาลาอ่ะเหรอ”



“อืม”




“ขอไปด ้วยคนดิ”



“พูดเหมือนจะไปวันนี้พรุ่งนี้” ไม่น่าเชื่อว่าหัวข ้อสนทนา

ง่ายๆ จะกลายเป็นการแลกเปลี่ยนความฝันของเรา และ

บางอย่างก็ท าคนเดียวไม่ได ้ อย่างเที่ยวเนี่ยถ ้ามีเพื่อนไป

เยอะๆ แม่งก็ยิ่งสนุก ผมแค่หวังว่าวันหนึ่งที่เดินทางไปที่

ไหนสักแห่ง ข ้างกายจะยังมีไอ ้ค่ายกับแก๊งโหดอยู่ตรงนั้น




“แล ้วมีอะไรอีกวะ อยากท าอะไรมากกว่านี้มั้ย” เสียงเข ้ม

ถาม



“อยากดูหนังภาคต่อแบบมาราธอนมั้ง”



“กูอยากอ่านหนังสือภาคต่อให ้จบแบบรวดเดียว”




“กูอยากนั่งคุยกับคนแปลกหน้า”

“คุยเรื่องอะไร”




“อากาศ อาหาร รถติด เรื่องท าบุญอะไรแบบนี้มั้ง เป็นมึง

ล่ะจะคุยเรื่องอะไร”



“เซ็กซ์”



“คิดได ้แค่นี้หรือไง” โคตรเหี้ย เชื้อไม่ทิ้งแถว เสือไม่ทิ้ง

ลายของแท ้ ก็เพราะมันเป็นอย่างนี้ไงใครมันจะปักใจเชื่อว่า


จะหยุดตัวเองได ้ แต่ค าตอบที่มันพูดออกมาก็ท าให ้ผมอึ้ง

ไปอีก



“อ ้าวหวัดดีคนแปลกหน้า ชื่ออะไรครับ”



“ไอ ้สัด”




“ขอมีเซ็กซ์ด ้วยได ้มั้ย”



“ไปตายก่อนไป”



“ฮ่าๆ ท าไมคนแปลกหน้าหน้าแดงจังอ่ะครับ”



“เปลี่ยนเรื่องๆ” ต ้องพยายามเบี่ยงประเด็นก่อนจะโดนเผา


จนร ้อนหน้าไปมากกว่านี้ เชี่ย หรือกูจะลุกไปนั่งกับไอ ้สอง

ตัวที่เบาะถัดไปดีวะ

“ไม่ต ้องคิดจะย ้ายไปเลยกูรู้ เรายังคุยหัวข ้อนี้กันไม่จบ

เลย” ไอ ้ค่ายเหมือนรับรู้ความคิดของผม มันยิ้มเจ ้าเล่ห์มา


ให ้พลางพูดความฝันแผลงๆ ของมันต่อ “แต่กูอยาก

แต่งงานนะ”



“...!” ค าตอบไม่คาดฝันถูกพูดขึ้น



“เจ ้าชู ้ อย่างมึงนี่อยากแต่งงานกับเขาด ้วยเหรอ”




“ก็เลิกแล ้วไงเลยอยากแต่งงาน เกิดมายังไม่เคยแต่งงาน

สักครั้งเลยอยากท ามั่ง แล ้วงานแต่งก็ต ้องมีเจ ้าสาวน่ารักๆ

จัดแม่งสักพันโต๊ะไปเลย ให ้นายกมาเปิดงานด ้วยก็คงดี”



“มึงแม่งโคตรเว่อร์”



“ไม่ชอบเหรอ”




“ไม่ว่ะ”



“ชอบงานแบบไหน”



“เรียบๆ จัดกันเองในครอบครัวแบบนี้มั้ง”




“โอเคเดี๋ยวโทรไปบอกแม่ให ้”

โว ้ยยยยยยยยยยยย โดนทุกดอกเลยกู เปลี่ยนเรื่องคุย

ได ้มั้ยเนี่ยแม่งเอ๊ย รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตุ๊กตาให ้ไอ ้ค่าย


เล่นเพราะไม่ว่าจะขยับไปทางไหนก็ถูกมันจับเอาไว ้แล ้วขยี้

จนใจสั่นตลอดเวลา



“ตามึงบ ้าง อยากท าอะไรอีก”



“กูไม่เล่นแล ้ว” ผมแหวใส่เสียงดัง พร ้อมกับท าตาขวาง

ใส่ด ้วย




“โกรธกูท าไมเนี่ย”



“ก็มึงเล่นเหี้ยๆ แบบนี้ไง”



“เขินก็บอก”




“ไม่ได ้เขิน”



“เอออีกอย่างที่กูอยากท า”



“อะไร”



“โทรไปหาคนที่กูเคยคิดไม่ดีกับเขาตลอดเวลา แล ้ว


สารภาพความผิดทั้งหมด”

“โหย มึงคงต ้องโทรไปอีกหลายสายเลยล่ะ เคยคิดเลวๆ

กับชาวบ ้านเขาเยอะซะด ้วยสิ”




“ก็โทรหาแค่มึงมั้ย”



“มึงเคยเกลียดกูเหรอ”



“เปล่า กูเคยคิดอยากซั่มมึงให้ขาดใจตายคาอกอยู่

บ่อยๆ ว่ะ กูขอโทษนะ”




ไอ ้เหี้ยยยยยยยยยย!!



ตอนนี้ผมคิดจะหาไม ้ลูกชิ้นสักไม ้จากแม่ค ้า แล ้วเสียบอก

ไอ ้ค่ายให ้ตายตรงนี้ให ้รู้แล ้วรู้รอด หรือถ ้าไม่ก็มีอีกทางนั่น

คือกูต ้องเอาไม ้นั้นแทงตัวเองแทน แม่งเอ๊ย




ฉากที่สาม ภายนอก / สถานีรถไฟสุราษฎร์ธานี / สี่โมง

ครึ่ง (เย็น)



การเดินทางเวลาหลายสิบชั่วโมงสิ้นสุดลงเมื่อผมกับแก๊ง

โหดถึงปลายทางอย่างปลอดภัย เรานั่งเรือข ้ามฟากไปยัง

เกาะสมุย แต่เพื่อนยากสองคนแยกไปพะงันเพราะคืนนี้จะมี

Full moon party ต่อ ผมกับไอ ้ค่ายที่ไม่อยากไป


เบียดเสียดกับคนจ านวนมากเลยปลีกวิเวกมาอยู่ในพื้นที่

สงบของตัวเองแทน

ตอนนี้ก็เหลือผมกับไอ ้ค่ายแล ้วครับที่ต ้องอยู่บ ้านพัก

ตากอากาศหลังเล็กๆ บนเกาะ เพราะจุดประสงค์ในครั้งนี้อยู่


ที่การเดินทางโดยรถไฟ หลังจากนั้นจะแยกย ้ายไปท าอะไร

ก็แล ้วแต่ คาดว่าพรุ่งนี้เช ้ าเพื่อนรักทั้งสองคงกลับมารวมพล

กันอีกรอบ



“เขามีเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่รอบเกาะด ้วยนะ”



“อืม แต่ตอนนี้ขอพักก่อนได ้มั้ยวะ เมื่อยฉิบหายเลย” การ


เดินทางโดยรถไฟหวานเย็นเป็นอะไรที่ใจเย็นมากครับ

เพราะใช ้ เวลาค่อนข ้างมาก ดูจากการคืบคลานของขบวน

รถ



โชคดีที่พอตู้โดยสารโล่งหน่อยไอ ้ทูกับไอ ้โบนก็แบก

กีตาร์มาร ้องร าท าเพลงให ้ฟัง ไม่อย่างนั้นผมคงถูกไอ ้ค่าย

แทะพรุนจนเหลือแต่กระดูกแล ้วครับ




บ ้านพักตากอากาศที่จองเป็นบ ้านสองชั้น มีห ้องนอนชั้น

บนกับชั้นล่าง ซึ่งด ้านล่างไอ ้ทูกับไอ ้โบนจองไว ้เผื่อมานอน

ตายในตอนเช ้ า ส่วนด ้านบนเป็นของผมกับไอ ้ค่าย ตอนดู

รายละเอียดกันมามันเป็นเตียงเดี่ยวสองเตียง มีห ้องน ้าใน

ตัวแต่เมื่อเข ้ามาส ารวจดีๆ แล ้วกลับพบว่า...




“ไอ ้ค่าย ไหนมึงบอกเตียงคู่ไง จองยังไงได ้เตียงคิงไซส์

วะ”

“นี่ไงเตียงคู่ นอนกันสองคนได ้”




“ไม่ใช่แล ้วเว ้ย!”



“ใช่ดิ มึงบอกอยากได ้เตียงคู่ก็นี่ไง” ไอ ้ค่ายมันกวนตีน

ครับ ต ้องการเล่นสงครามประสาทกับกูแน่ๆ แต่ในเมื่อจอง

มาแล ้วจะขอเปลี่ยนก็ดูเรื่องมาก เลยจ าใจต ้องนอนเตียง

เดียวกับมันไปก่อน



ผมยกระเป๋ าเป้เข ้ามาภายใน ไม่คิดจัดเสื้อผ ้าหรือของใช ้


ใดๆ ทั้งนั้นนอกจากทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มทันที



“เดี๋ยวกูไปอาบน ้าก่อนนะ”



“จะท าอะไรก็ท า”




“ให ้กูท าอะไรก็ได ้เหรอ งั้นกูขอมีเซ็กซ์กับมึงได ้ป่ ะวะ”



“มึงไปหื่นที่อื่นเลยไอ ้เวร”



“แล ้วมึงนอนอ่อยกูท าไม”



“กูไม่ได ้อ่อยกูง่วง ค่ายกูกราบ ช่วยไปไกลๆ ตีนกูเถอะ”




เสียงหัวเราะของคนตัวสูงดังขึ้นผะแผ่ว ไอ ้ค่ายเดินวนไป

เวียนมาในห ้องพลางผิวปากอย่างอารมณ์ดี ไม่นานมันก็เดิน

หายไปในห ้องน ้า ส่วนผมก็ขอใช ้ เวลากับการพักผ่อนเพิ่ม


พลังให ้ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก



กระทั่งฟ้ามืดแล ้ว แสงไฟที่แยงตาผมอยู่ท าให ้ต ้องลืมตา

มองบรรยากาศรอบๆ ไอ ้ค่ายไม่ได ้หายไปไหน มันนอนอยู่

ข ้างๆ แบบหมดสภาพไม่ต่างกับผม เห็นทีแพลนวันนี้คงไม่

มีอะไรท านอกจากอยู่ที่ห ้อง




ผมลุกขึ้นไปอาบน ้าและแต่งตัวใหม่ด ้วยเสื้อผ ้าสบายๆ

กลับออกมาก็เห็นว่าเพื่อนตัวสูงตื่นรอก่อนแล ้ว



“ลงไปกินข ้าวกัน”



“อืม”




“ที่มีมีคลับกับบาร์เยอะมาก”



“หนีแสงสีฉิบหาย สุดท ้ายมึงกลับไปในวงจรเดิม”



“แค่บอกว่ามี ไม่ได ้บอกว่าจะไปสักหน่อย”



“เหรอออออออ”




บ ้านพักตากอากาศที่ผมกับไอ ้ค่ายอยู่มีพื้นที่ส่วนกลาง

ด ้านหน้าเป็นสระว่ายน ้า ห ้องอาหารอยู่ถัดไปไม่ไกลนัก เรา

นั่งกินข ้าวเย็นกันที่นี่ ก่อนซื้อขนมและเครื่องดื่มตุนไว ้


ส าหรับคืนนี้



เมื่อกลับมาที่บ ้าน ผมไต่บันไดเล็กๆ ขึ้นไปด ้านบน เหนือ

ห ้องนอนที่เราอยู่เป็นดาดฟ้ามีพื้นที่เอาไว ้ส าหรับสังสรรค์

และชมวิวยามค ่าคืน ด ้านบนมีเก ้าอี้ผ ้าใบสองตัวให ้เอนนอน

ชมดาว ดูแล ้วโรแมนติกมากถ ้าไม่นับไอ ้คนที่มากับผมด ้วย

เนี่ย




“เบียร์เย็นๆ หน่อยมั้ย” นั่นไง พอรู้ว่าผมขึ้นมา ร่างสูงก็

ตามมาราวีอย่างไม่ลดละ



“เออเอามา”



“นอนด ้วยคนสิ”




“ใครห ้ามวะ”



ผมนอนลงที่เก ้าอี้เอนก่อนแล ้ว ส่วนไอ ้ค่ายก็พยายามดึง

เก ้าอี้ของมันมาชิดกับผมให ้มากที่สุดแล ้วทิ้งตัวลงตาม มือ

หนายื่นเบียร์มาให ้ซึ่งผมก็รับเอาไว ้ เปิดกระป๋ อง และค่อยๆ

ดื่มด ่าไปกับบรรยากาศรอบตัว




“ลมเย็นดีว่ะ” ไอ ้ค่ายยังคงเป็นฝ่ ายชวนคุย

“มึงว่าตอนนี้ไอ ้โบนกับไอ ้ทูจะเป็นยังไงบ ้างวะ”




“คงเต ้นจนลืมตายเลยมั้ง เหตุผลที่มันไปที่นั่นก็เพื่อจะได ้

สนุกลืมโลกของมันไง”



“แล ้วท าไมมึงไม่ไป ความจริงไม่ต ้องตามมาอยู่กับกูก็ได ้

นะ” ค่ายแม่งเป็นคนชอบสังสรรค์ เสียงเพลง และความ

สนุกสนาน บางทีผมก็อดสงสารไม่ได ้ว่าเพราะผมหรือเปล่า

มันถึงต ้องฝืนตัวเองขนาดนี้




“กูไม่ได ้อยากไปหลีสาวนี่หว่า อยากอยู่หลีมึงที่นี่

มากกว่า”



“เหอะ!”



“ดาวคืนนี้สวย”




“เพราะฝนไม่ตกไงฟ้าเลยเปิด”



“มึงรู้จักดาวอะไรบ ้าง”



“ไม่รู้อะไรเลย กูเป็นคนดูดาวไม่เป็น แต่ชอบดูนะ”




“เหมือนกัน”

ต่างคนต่างเงียบ ปล่อยให ้บรรยากาศโดยรอบเป็นไปตาม

ธรรมชาติ ด ้านบนนี้ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีเสียงจอแจของคน


โดยรอบ เราได ้ยินเพียงเสียงคลื่นที่สาดซัดขึ้นมาบนฝั่ง

เท่านั้น



และจู่ๆ เสียงทุ้มของคนเคียงข ้างก็เปรยขึ้น...



“มึงกับกูเรามีครั้งแรกด ้วยกันกี่ครั้งแล ้ววะ มาเที่ยวสมุย

กับมึงครั้งแรก นั่งรถไฟกับมึงครั้งแรก จูบกับมึงครั้งแรก


หลงรักมึงครั้งแรก”



“มันก็เยอะอยู่ แต่กูจ าวันที่สารภาพรักกับมึงครั้งแรกได ้ดี

นะ” ภาพในวันนั้นยังติดตาอยู่เลย วันที่ผมท าแผ่นบอร์ด

หลายๆ ใบกับไอ ้ทูทั้งคืนเพื่อที่จะบอกรักมัน แต่ผลสุดท ้าย

กลับเฟลไม่เป็นท่า




“จ าได ้”



“มึงบอกว่าจะเอามุกนี้ไปจีบคนอื่น”



“แต่ก็ไม่เคยใช ้ จริงๆ หรอก”



“กูเอามาจาก Love actually”




“รู้ เรื่องนั้นเราก็นอนดูด ้วยกัน แถมหลายรอบด ้วย”

“ชีวิตเราต ้องมีครั้งแรกหลายๆ ครั้ง ตาแฉะเลยมั้ยล่ะ”




“เติร์ด...” ใบหน้าคมหันมามอง จมูกโด่งๆ ของมันอยู่

ใกล ้กับแก ้มผมมาก ใกล ้จนรู้สึกถึงลมหายใจที่เป่ ารดกัน



“หือ”



“ถามอะไรหน่อยดิ”




“ถ ้าตอบได ้ก็จะตอบ”



“ถ ้าวันนั้นกูไม่บังเอิญเห็นวิดีโอที่มึงสารภาพรัก มึงยังจะ

บอกชอบกูอยู่มั้ยวะ”



“คงไม่ อาจจะเก็บเอาไว ้”




“ถ ้าหลังจากที่รู้แล ้วกูรับไม่ได ้ มึงยังจะรักกูอยู่มั้ย”



“ก็อาจจะรัก แต่ก็ต ้องตัดใจด ้วยเพราะมันไม่มีหวังแล ้วนี่

หว่า” ผมยังจ าวิธีการมากมายที่คิดค ้นเพื่อให ้ตัวเองตัดใจได ้

อยู่เลย แต่ไม่มีใครรู้หรอก พยายามแค่ไหนสุดท ้าย...



ผมก็ยังรักมันเหมือนตอนนี้ไง




“ถ ้าให ้เลือกระหว่างความเป็นเพื่อนกับคนรัก มึงจะเลือก

ให ้กูเป็นแบบไหน”




“เป็นอย่างที่มึงอยากจะเป็น เมื่อไหร่กูพร ้อมก็ยอมรับเอง

แหละ” อีกฝ่ ายยิ้ม เอื้อมมือมาผสานมือกับผมแนบแน่นจน

ไม่เหลือช่องว่าง



“ถ ้าวันหนึ่งกูกลายเป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีความก ้าวหน้า

ไม่มีอะไรเลยมึงยังจะอยู่กับกูมั้ย”




“ก็ถ ้ามึงยังอยู่กับกู กูก็จะอยู่”



ท าไมวะ จู่ๆ ก็รู้สึกอยากร ้องไห ้ขึ้นมาซะอย่างนั้น



“แล ้วถ ้าโลกนี้มีคนที่ตรงสเป็กมึงและสมบูรณ์พร ้อมทุก

อย่าง มึงจะเลือกเค ้ามั้ย”




“ก็คิดเอาแล ้วกัน ชีวิตกูเจอคนดีๆ มาเท่าไหร่”



“...”



“สุดท้ายก็ยังเลือกคนเหี้ยๆ อย่างมึงเหมือนเดิม”



ฝ่ ามือที่ผสานกันถูกกระชับให ้แน่นขึ้น ไม่มีใครพูดอะไร


ออกมาอีกนอกจากต่างคนต่างยิ้ม บางที...ผมก็อยากให ้

เวลาเดินไปช ้ าๆ ให ้เราได ้สัมผัสกับความสุขจริงๆ ให ้เราได ้

อยู่ด ้วยกันจนกว่าจะหลับไป ให ้นานกว่านี้อีกหน่อย แม ้

ความจริงโลกจะยังคงหมุนของมันเหมือนเดิมก็ตาม




“กูจะดูแลมึงอย่างดี สัญญา...” นานเหมือนกันกว่าความ

เงียบจะถูกท าลายอีกครั้ง



“ถ ้ามึงรอได ้นะ”



“กูก็ต ้องรอได ้อยู่แล ้ว มาถึงขนาดนี้”




“จริงๆ คืนนี้ถ ้ามึงอยากไปที่บาร์ก็ไปได ้นะ”



“ไม่อ่ะ มึงไม่อนุญาต แล ้วตอนนี้กูก็ไม่อยากไป”



“อนุญาตแล ้ว”




“เหอะ มีเบียร์อยู่ในมือนี่ไงกูจะไปท าไมล่ะ”



“ค่าย”



“ว่าไง”



“อยากจูบมั้ย”




“...”

“คราวนี้จูบได ้นะ อนุญาตแล ้ว”




ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรสั่งให ้ผมพูดประโยคนั้นออกไป แต่

หลังจากสิ้นสุดค าพูดไม่นานริมฝีปากของผมก็ถูกใครอีกคน

ครอบครองมันไปทั้งหมด จูบนี้ขมเฝื่อนในตอนแรกจาก

รสชาติของเบียร์ที่เราดื่มเข ้าไป แต่ไม่นานก็หอมหวานราว

กับบรรยากาศโดยรอบที่เราเผชิญ



การเดินทางครั้งนี้ท าให ้ผมรู้ว่าชีวิตเรามีอิสระเสมอ


จนกระทั่งได ้เจอกับความรักเนี่ยแหละ…



มหา’ลัยเปิด ภาระหนักของนิสิตนิเทศฯ แบบเราๆ นั่นก็

คือการเตรียมงานส าหรับละครเวทีประจ าปี หลายคนหัววุ่น

มากจนไม่ได ้หลับได ้นอน ฝ่ ายโสตสิบกว่าคนนอนในห ้อง

บันทึกเสียง ส่วนผมที่ไม่ค่อยมีงานเนื่องจากบทเสร็จแล ้วก็

เปลี่ยนไปท าหน้าที่ประสานงานและขายบัตรกับฝ่ ายพีอาร์




ชีวิตของผมเรียบรื่น มีตื่นเต ้นบ ้างตอนมีงานใหม่เข ้ามา

ดังนั้นกราฟชีวิตเลยขึ้นๆ ลงๆ แต่ก็ไม่ได ้เป็นปัญหาต่อ

สภาพจิตใจ



ไอ ้ค่ายยังคงตามจีบผมอยู่ มันพยายามมากจนผมรู้สึกได ้

ครั้งหนึ่งผมเคยคิดหาวิธีต่างๆ มากมายเพื่อให ้หยุดรักมัน


และหนึ่งในวิธีมากมายเหล่านั้นก็คือการหาข ้อเสียของอีก

ฝ่ ายขึ้นมาเพื่อใช ้ เป็นข ้ออ ้างในการตัดใจ

ผมจ าได ้ขึ้นใจ ทุกข ้อที่เคยคิดถึงในวันนั้นไอ ้ค่ายแม่งท า

มันซะทุกอย่าง ผิดกับตอนนี้ที่เพิ่งสังเกตเห็น หรือเพราะ


ความรักท าให ้คนคนหนึ่งเปลี่ยนไป...



ข ้อหนึ่ง ขับรถเร็ว



“ไอ ้ค่ายเมื่อไหร่จะถึงวะ ถ ้าเข ้าคลาสไม่ทันกูจะตบให ้หัว

หลุดเลย”

“รีบอยู่ แต่ขับเร็วไม่ได ้เดี๋ยวมึงตายห่าคาเบาะก่อน”


“แต่ก็ไม่ต ้องช ้ าขนาดนี้ก็ได ้มั้ง”

“นี่พอดีกับมึงแล ้ว”

“มึงขับเท่าไหร่”

“ยี่สิบ”

“ยี่สิบ! บิ๊กไบค์มึงขับยี่สิบ ขายชาวีทิ้งเหอะสัด ร าคาญ”

“ท าไมเดี๋ยวนี้มึงเป็นคนใจร ้อนนักวะ เมนส์มาเหรอ”

“โอยยยยยยยยยย ไอ ้ค่าย โอยยยยยยยยยย”




ข ้อสอง ไม่รู้จักความพยายาม นิดหน่อยไม่ได ้ดั่งใจก็

ถอดใจไปซะก่อน



“มึงกลับได ้แล ้ว พรุ่งนี้ค่อยเอาไปส่งให ้ร ้านซ่อม”

“ก็เผื่อมึงต ้องใช ้ ท างานคืนนี้ไง เอาเครื่องกูไปใช ้ ก่อนมั้ย

ล่ะ ส่วนของมึงกูจะดูให ้”


“กูไม่รีบเว ้ย”

“แต่มึงมีงานส่งวันมะรืนนะ”

“ก็มึงซ่อมไม่ได ้อ่ะ”

“ได ้ อาการนี้กูเคยเป็นรอกูก่อน”


สองชั่วโมงผ่านไป...

“ดึกแล ้วง่วง พอเถอะไอ ้ค่าย”

“เนี่ยรอมันโหลดเดี๋ยวได ้เลย”

สามชั่วโมงผ่านไป...

“จะเช ้ าแล ้วเนี่ย”

“ได ้ละเห็นมั้ยว่ากูเก่ง”

“เอาเวลาที่มึงซ่อมไปนอนก่อนมั้ย ตอนนี้ร ้านคอมพ์คง


เปิดแล ้วมั้งสัด”

“ดีใจก็บอก ไม่ต ้องมาเนียนท าเป็นโมโห” จ ้า...เอาที่

สบายใจเลยจ ้า...



ข ้อสาม นิสัยเจ้าชู ้ และอ่อยไปทั่ว



“มองอะไร”


“กูเปล่า”

“นมใหญ่ดีนะนั่น ไม่อยากเข ้าไปจีบเหรอ”

“ก็มองเฉยๆ ให ้จีบจริงกูก็ไม่ท าหรอก”

“เพราะอะไร”

“เพราะกูจีบมึงแค่คนเดียว”

ง่อววววววววววว




ข ้อสี่ เห็นทุกคนเป็นแค่วันไนต์แสตนด์

“เพื่อนๆ คืนนี้ไปร ้านเหล ้ามั้ย”

“ร ้านไหน”


“ร ้านเฮียตี๋ข ้างมอ”

“ถามเติร์ดก่อน ไอ ้เติร์ดไอ ้ทูกับเชี่ยโบนชวนมึงไปมั้ย”

“ไม่ว่ะ ขอเคลียร์งานละครเวทีก่อนนะ มึงสามตัวไปกัน

เลย”

“งั้นกูไม่ไปละ”

“ไม่สนใจไปหิ้วหญิงแล ้วเหรอ เด็ดนะเว ้ย”

“ที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็เด็ดมากแล ้ว”


ชิเหยจย ้า! โดนหยอดอีกแล ้วกู...



ข ้อห ้า ผู้หญิงเก่าๆ ของมันล ้วนเป็นปัญหา



“เติร์ด ถ ้ามีเบอร์ที่ลงท ้ายด ้วย 92 โทรมามึงไม่ต ้องรับ

นะ”

“ท าไม เบอร์ใครวะ”


“แฟนเก่ากู ตอนแรกโทรเข ้าเครื่องกูก่อนแต่กูบล็อก ส่วน

มึงก็ไม่ต ้องไปสนใจ เขากับกูไม่ได ้อะไรกันแล ้ว แล ้วก็ไม่

ต ้องกลัวว่าฝ่ ายนั้นจะท าให ้มึงปวดหัวด ้วย เพราะกูจะท าทุก

ทางไม่ให ้ใครมายุ่งกับมึง”



ข ้อหก มันไม่ฉลาด




“มึงชอบบอกว่ากูโง่”

“ก็มึงโง่จริงอ่ะค่าย”

“แต่กับเรื่องที่มึงรักกูกูรู้นะ ฉลาดพอยัง”

“เอ่อ...”




ข ้อเจ็ด มันไม่เคยรักใครจริง



“แล ้วคนเดียวที่กูรักก็คือมึง...”



ข ้อเสียทุกข ้อที่ผมเคยคิดเพื่อตัดใจวันนี้มันไม่สามารถ

ใช ้ ได ้แล ้ว ไอ ้ค่ายยอมเปลี่ยนตัวเองในทางที่ดีขึ้น แต่นิสัย


บางอย่างก็ยังคงเป็นมัน ผมไม่เคยบังคับให ้มันต ้องท าอะไร

ฝืนใจ ความรักของเราคือความเข ้าใจมากกว่า และไม่ใช่ว่า

เจ็ดข ้อนั้นจะเป็นข ้อบกพร่องทั้งหมดของไอ ้ค่าย มันยังมี

ข ้อเสียอีกมากมายซึ่งผมก็พยายามยอมรับและค่อยๆ

ปรับตัว



แปลกแต่จริง นับจากวันที่แอบรักมันเมื่อเกือบสามปีก่อน


ตอนนี้ผมกับไอ ้ค่ายมาไกลากจุดนั้นมาก



“ทุกคนเตรียมตัว อีกสิบห ้านาทีเริ่มแสดงแล ้ว!” เสียงของ

พี่เชนทร์ดังก ้องไปทั่วหลังเวที ที่นั่งด ้านหน้าเริ่มมีคนทยอย

เข ้ามาจนเต็มพื้นที่ ละครเวทีปีนี้มีการแสดงสองรอบ และ

วันนี้ก็คือรอบสุดท ้ายแล ้ว




เมื่อวานฟานกับพิงค์และนักแสดงทุกคนท าได ้ดีมาก วันนี้

ก็ต ้องดีเหมือนกัน...

“น ้าหน่อยมั้ยไอ ้เติร์ด” พี่เชนทร์ถามพลางยื่นขวดน ้าดื่ม

มาให ้




“ขอบคุณว่ะพี่ แต่ผมว่าพี่น่าจะต ้องการมากกว่านะ” ปากนี่

ซีดเชียว ตื่นเต ้นเกินไปสิท่า



ลุ้นหนักสุดก็ผู้ก ากับเนี่ยแหละ เมื่อวานผมเห็นพี่มันยืนอยู่

ข ้างเวทีไม่ขยับไปไหน ขณะที่นักแสดงวิ่งขึ้นลงเวทีวุ่นเพื่อ

เปลี่ยนเสื้อผ ้าและท าผม พวกแบ็คสเตจก็ท างานหนัก


เหมือนกัน ฝ่ ายโสตคุมเสียงอยู่ด ้านหลัง ไอ ้ทูรับภาระหนัก

ถือกล ้องอัดวิดีโอตัวใหญ่ไปตามเวที ดีที่มีทีมภาพคนอื่นมา

ช่วยเก็บภาพอีกหลายคน



“มึงๆ จะเริ่มแล ้ว”



พี่เชนทร์สะกิดไหล่ผมยิกๆ




เสียงพิธีกรลอดผ่านไมค์โครโฟน ม่านสีแดงที่โรยตัวปิด

อยู่ยังไม่ขยับเขยื้อน ผู้คนเบื้องหน้ามองตรงมาอย่างตื่นเต ้น

พร ้อมกับซาวน์ที่ค่อยๆ ดังขึ้นเพื่อเรียกความสนใจ



“และเวลาต่อจากนี้ ขอเชิญพบกับละครเวทีนิเทศศาสตร์

ประจ าปี 2560 ในเรื่อง...ไลก์เบอรี่ได ้เลยค่า”




ม่านสีแดงถูกดึงขึ้นสูง เผยให ้เห็นฉากหลังอลังการที่ฝ่ าย

ศิลป์ บรรจงสร ้างมันขึ้นมา ความมืดยังคงเกาะกุมพื้นที่อยู่

รอกระทั่งสปอตไลท์ฉายไปยังนางเอกของเรื่องเสียง


ปรบมือก็ดังขึ้น...



เป็นช่วงเวลาสองชั่วโมงครึ่งที่เต็มไปด ้วยเสียงหัวเราะ

คราบน ้าตา และความลุ้นระทึก ไม่เพียงแค่ผู้ชมแต่หมายถึง

เราที่ร่วมท าและสร ้างกันมาตลอดหลายเดือนกว่าจะมีวันนี้

ได ้




ละครนิเทศฯ ให ้ทุกอย่างกับผม ให ้มิตรภาพของค าว่า

เพื่อน ให ้ความอดทนและมุมานะ ให ้เราได ้แบ่งเวลาในการ

ใช ้ ชีวิต และที่ส าคัญ...ให ้ผมได ้ลองก ้าวผ่านความกลัวของ

ตัวเองเพื่อเริ่มต ้นรักใครสักคนอีกครั้ง



“ละครใกล ้จบแล ้ว มาเตรียมตัว”




เสียงของผู้ก ากับหุ่นหมีดังขึ้น ฉากสุดท ้ายก าลังปิดตัวลง

ทุกคนด ้านหลังเวทียืนมองแสงสปอตไลท์ที่ฉายอยู่ตรง

กลางเวทีเป็นจุดเดียว จากสว่างค่อยๆ...ดับลงจนมืดสนิท

ก่อนเราจะได ้ยินเสียงปรบมือและกรีดร ้องดังกระหึ่มไปทั่ว

พื้นที่ พี่น้องนิเทศฯ กอดกันแน่น



สุดท ้ายเราก็ก าลังเติบโตไปด ้วยกัน




“ขอบคุณที่ติดตามไลก์บรารี่มาจนถึงช่วงสุดท ้าย ละคร

เวทีเรื่องนี้จะเกิดขึ้นไม่ได ้เลยถ ้าหากขาดผู้ชมถูกท่าน และ

ทีมงานนิเทศศาสตร์ของเรา...ผู้ก ากับของเรื่องค่า”




เสียงปรบมือยังคงดังต่อเนื่อง พี่เชนทร์วิ่งขึ้นไปบนเวที

พร ้อมกับค ้อมตัวลงเป็นการขอบคุณ แล ้วขยับเท ้าไปยืนอยู่

ตรงกลาง



“นักแสดงของเรื่อง”




“วิ้ดวิ้วววววว”



“ฝ่ ายก ากับการแสดง”



เพื่อนอีกสิบสองคนจับมือกันวิ่งขึ้นไปบนเวทีก่อนค ้อมตัว

ขอบคุณด ้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม




จากนั้นพิธีกรก็เริ่มประกาศหน้าที่ของแต่ละฝ่ ายไปเรื่อยๆ

ทุกคนขึ้นไปจับมือกันบนเวทีและยืนอยู่ตรงนั้นจนกว่าม่าน

จะลดลงมาปิด



“และสุดท ้าย ทีมเขียนบทค่า”



มีผมและพี่ย ้งยี้วิ่งขึ้นไปเพียงสองคนเพราะพี่เชนทร์แม่ง


ยืนรออยู่บนเวทีก่อนแล ้ว พอเราค ้อมตัวเป็นการขอบคุณ

เสียงปรบมือก็ดังขึ้น พี่ย ้งยี้วิ่งไปจับมือกับเพื่อนที่อยู่มุมเวที

ส่วนผมก็ก าลังวิ่งตามไปแต่กลับถูกใครคนหนึ่งเรียกชื่อ

เอาไว ้ซะก่อน




“เติร์ด”



“...” ใครวะ!



“เติร์ด! ตรงนี้” ผมพยายามมองหาเจ ้าของเสียง ก่อนจะ

พบว่าไอ ้ค่ายที่ควรยืนอยู่บนเวทีกลับยืนอยู่ด ้านล่างแทน


มันถือป้ายบอร์ดสีขาวขนาดใหญ่เอาไว ้ในมือ เงยหน้าขึ้นมา

มองผมเหมือนต ้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง



“เติร์ด กูมีอะไรจะบอก”



“กรี๊ดดดดดดดดดด” เกิดเสียงเซ็งแซ่ไปทั่วพื้นที่ ไม่ว่าจะ

เป็นคนจากบนเวทีหรือฝั่งคนดูที่ก าลังนั่งอยู่ตรงเก ้าอี้ก็ตาม




ไอ ้เชี่ยค่ายยยยยย มึงท าอะไรวะ



ผมเหลือบมองโปรเจ็กต์เตอร์ซ ้ ายมือที่ถูกติดตั้งอยู่ข ้าง

เวที ตอนนี้มันก าลังฉายภาพที่เป็นหน้าของผมและไอ ้ค่าย

สลับกันไปมาอยู่ คนดูภายในโรงละครเลยได ้ชมภาพสดที่

ผมเองก็ไม่อยากให ้เกิดขึ้นเท่าไหร่ ตากล ้องครับอย่าซูมห


น้ากู ฮือ...อาย

‘หวัดดี’




ไอ ้ค่ายเปิดแผ่นบอร์ดใบแรกให ้ผมดู นี่เคยเป็นข ้อความ

เริ่มต ้นที่ผมใช ้ สารภาพรักกับมันเมื่อนานมาแล ้ว และเราก็

เอาไอเดียจากหนังเรื่อง Love actually มาใช ้ เหมือนอย่าง

เคย



บอร์ดแผ่นที่สองถูกเปิดต่อ






‘วันนี้เป็นเหมือนวันธรรมดา แต่กูมีสิ่งที่ไม่ธรรมดาจะบอกมึง’



บอร์ดแผ่นที่สาม...



‘มึงเป็นเหมือนสิ่งพิเศษ’




บอร์ดแผ่นที่สี่...



‘ไม่ได ้พิเศษแบบนี้นะ’



ป้ายต่อมาปรากฏรูปยอดมนุษย์หลายตัว เช่น แบทแมน

ซูปเปอร์แมน หรือแม ้แต่กัปตันอเมริกา นี่มันป้ายเก่าของผม

เลยนี่หว่า ไอ ้คนไม่ลงทุน!




บอร์ดแผ่นที่ห ้าถูกเปิด...

‘แต่มึงพิเศษกว่านั้น’




บอร์ดแผ่นหก...



‘วันนี้กูเลยอยากจะบอกกับมึงถึงสิ่งพิเศษส าหรับกู’



ผมยังคงมองตามทุกตัวอักษรและอ่านมันอย่างถี่ถ ้วน ท า

ยังไงวะเพื่อไม่ให ้ตัวเองอายเวลาอยู่ต่อหน้าคนมากๆ ขนาด

นี้ ต ้องท ายังไง




‘ดีใจที่เป็นเพื่อนกันมา’



‘ดีใจที่ได ้รักมึง’



“กรี๊ดดดดดดดด” หลายคนส่งเสียงระงมเมื่อข ้อความล่าสุด

ถูกเปิดออก




‘ดีใจที่ได ้ท าอะไรหลายๆ อย่างร่วมกัน’



‘มึงคือสิ่งพิเศษ และท าให ้กูอยากท าอะไรมากมาย’



‘แต่สิ่งหนึ่งที่กูอยากให ้มันเกิดขึ้นที่สุดก็คือ...’




และก็เหลือบอร์ดแผ่นสุดท ้ายในมือของคนตัวสูง จิตใจของ

ผมเต ้นรัว รู้สึกเหมือนอยากจะร ้องไห ้ขึ้นมาอีกแล ้วทั้งที่

ตัวเองไม่ใช่คนขี้แยเท่าไหร่




ข ้อความนี้ถูกหันไปอีกด ้านท าให ้ผมไม่เห็นว่ามันเขียน

ข ้อความอะไรไว ้ รอคอยก็แต่เพียงให ้อีกฝ่ ายหมุนแผ่นบอร์ด

กลับมาเท่านั้น



และในวินาทีต่อมา...



‘อยากแก่ไปด ้วยกันกับมึง’




“แอร๊ยยยยยยยย”



หูของผมอื้ออึงไปหมด แถมตอนนี้เริ่มจะตาลายขึ้นไปอีก

ไอ ้ค่ายวางแผ่นบอร์ดทั้งหมดไว ้ตรงพื้น ก่อนจะเงยหน้า

ขึ้นมามองที่ผมพร ้อมกับยกนิ้วโป้งสองนิ้วขึ้นมาด ้วยรอยยิ้ม

กว ้าง




ไอ ้สัดนี่! มึงจะก๊อปปี้หนังทุกท่าเลยหรือไง



ไม่มีค าถามให ้ผมตอบ มีเพียงข ้อความของมันลอยวนอยู่

ในหัว ไม่นานเพลงปิดฉากละครเวทีก็ดังขึ้นพร ้อมกับม่านที่

ค่อยๆ ลดตัวลงมา ผู้ชมภายในโรงละครส่งเสียงให ้ก าลังใจ

พร ้อมกับปรบมือไม่หยุด




ไอ ้ค่ายรีบวิ่งขึ้นมาบนเวที จับมือผมไว ้แล ้ววิ่งไปยืนอยู่ใน

กลุ่มเพื่อนนิเทศฯ หากแต่มีประโยคหนึ่งที่เราอาจได ้ยินกัน

เพียงสองคนเล็ดลอดออกมา




“อืม...มาแก่ไปด้วยกันเถอะ”



จบแล ้วไลก์บรารี่ ละครเวทีที่อยู่ในชีวิตจริง



สามเดือนต่อมา...




“อัพวิดีโอลงยูทูปแล ้ว มาดูเร็ว”



“เออๆ”



ตอนนี้ผมอยู่ห ้องไอ ้ค่าย เรานัดหมายกันมาที่ห ้องนี้ก็เพื่อ

ดูหนังสั้นซึ่งเป็นโปรเจ็กต์จบปีสามด ้วยกัน ไอ ้ค่ายเป็นคน

อัพโหลดวิดีโอลงชาแนลที่ผมดูแล มีไอ ้ทูกับไอ ้โบนตัดต่อ


ในขั้นตอนสุดท ้าย



เรานั่งสุมหัวกันอยู่สี่คน มองดูจอสี่เหลี่ยมที่ก าลังฉายหนัง

สั้นปีสามฝีมือเราเอง ก่อนข ้อความแรกจะปรากฏขึ้นพร ้อม

กับเสียงรถไฟ สายฝน และคนคุยกัน



Friend…Train…Rain




“ใส่เสื้อกันฝนมาท าไมวะ ไม่เห็นว่าฝนจะตกสักเม็ด”

“เดี๋ยวแม่งก็ต ้องตก”




ข ้อความเดิมๆ ที่เคยคุยกันเมื่อครั้งเดินทางด ้วยรถไฟครั้ง

แรกถูกถ่ายทอดผ่านตัวละครเพื่อนสี่คน ผู้หญิงสองคน และ

ผู้ชายอีกสอง แม ้นักแสดงจะไม่ใช่หนึ่งในสี่แก๊งโหด แต่

บอกเลยว่า นี่มันเหมือนกับการพาตัวเองออกไปเดินทางอีก

ครั้ง



“แม่งมุกจีบนี่กูเดดแอร์สัดๆ” ไอ ้โบนเริ่มพูดถึงฉากที่


พระเอกจีบนางเอกด ้วยการเล่นเกมส์ทาย



“แต่กูข านะ ไม่ได ้ซึ้งด ้วย”



“เหี้ย หน้าน้องดาวแม่งอึ้งได ้ว่ะ”



“ชอบซีนนี้สัดๆ นึกว่าไอ ้เติร์ดมาเอง”




“ล ้อเข ้าไป” ไอ ้พวกเหี้ย...



ความยาวหนังสั้นของเราก็ไม่เชิงจะสั้นเท่าไหร่ เพราะมัน

ปาไปเกือบสี่สิบนาทีเลยทีเดียว เพื่อนมันถึงได ้ซื้อน ้าซื้อ

ขนมมานั่งแดกตอนดูกันนี่ไง




ไม่มีใครสนใจว่าเวลาจะหมุนผ่านไปแค่ไหน เพราะต่าง

คนต่างก าลังจดจ ากับช่วงเวลาที่ได ้ย ้อนไปถ่ายท าใน

เหตุการณ์นั้นอยู่ มันทั้งสนุก หัวเราะ ร ้องไห ้ เครียดและ

กดดัน ต ้องรอฟ้าฝนที่ไม่เป็นใจกับทีมที่ท าหนังสั้นเพียงสี่


คน แล ้วเวียนท ามันแม่งจนครบทุกหน้าที่



กระทั่งซีนสุดท ้ายปิดตัวลง ชื่อของใครคนหนึ่งก็ปรากฏ

ขึ้น



ก ากับภาพยนตร์

ขุนพล กริชภิรมย์




หลังจากนั้นตัวหนังสือบนจอก็ค่อยๆ เลื่อนผ่านโดยมีชื่อ

ของเราทุกคนปรากฎอยู่บนนั้น รู้สึกดีใจฉิบหายเลยว่ะที่ครั้ง

หนึ่งก็มีชื่อเราทั้งสี่คนโผล่มาในหนังสักเรื่อง





Cast

ปอง ธนกฤต เศวษฉัตร

เนม ปิยะณัฐ ผิวสะอาด

หญิง อารียา ผ่องแผ ้ว

กุ้ง มนัษวีย์ ศิริประชา





บทภาพยนตร์

เตชภณ คุณาปกรณ์

ผู้ช่วยผู้ก ากับ

บริภัทร เกียรติกูล




ก ากับภาพและก ากับศิลป์

ธนฉัตร ตั้งประเสิร์ฐ



Visual effect

บริภัทร เกียรติกูล




บันทึกเสียงและดนตรีประกอบ

ขุนพล กริชภิรมย์



จัดแสง

เตชภณ คุณาปกรณ์



แก๊งโหดโปรดักชั่น (HOD PRODUCTION)




เอนเครดิตจบลงตรงที่หน้าจอเปลี่ยนเป็นสีด า แต่เพลง

ยังคงบรรเลงต่อไป ผมโน้มตัวหมายจะปิดหน้าจอแต่มือ

หนาของไอ ้ค่ายกลับรั้งเอาไว ้ซะก่อน



“มีอะไรวะ” ผมถามอย่างแปลกใจ




“มีอาฟเตอร์เครดิตอีกตัวนึง”

“ไม่เห็นรู้เลย”




“เออน่า”



มันไม่ใช่วิดีโอเคลื่อนไหวหรือฟุตเทจที่ถ่ายเพิ่มเข ้ามา

หรอกครับ หากแต่เป็นข ้อความส่งท ้ายที่ค่อยๆ เลื่อนขึ้นที

ละค าและมันท าให ้ผมชะงักไปในทันที





เติร์ด



เป็น



แฟน




กัน



มั้ย?



นี่เหรอวะตอนจบของหนัง ตอนจบที่โคตรจะเซอร์ไพรส์

แถมเพื่อนยังรู้เห็นเป็นใจอีกต่างหาก ไอ ้ค่ายนั่งอยู่ข ้างผม


มันไม่ได ้พูดอะไรต่อเหมือนก าลังเงียบรอค าตอบเพียงอย่าง

เดียว



“ไอ ้สัด กูไม่รู้จะพูดอะไร” ผมบอกกับมันตรงๆ ใจก็แทบ

ระเบิดอยู่รอมร่อ

“มึงเป็นทุกอย่างส าหรับกูหมดแล ้ว ขาดอย่างเดียวแค่

แฟน”




“เออ! งั้นกูก็เป็ นที่มึงขาดอยู่อย่างหนึ่งเนี่ยแหละ”



“...”



“เป็นแฟนกัน”




เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าตอนเกิดเราเกิดคนเดียว ตายก็ต ้อง

ตายเพียงคนเดียว



เพราะเราเลือกไม่ได ้ เลยคิดว่าชีวิตก็ควรอยู่คนเดียวให ้

เป็น



แต่ตอนนี้ผมรู้แล ้ว...




ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่ของเราแม่งเลือกได ้เว ้ย เลือกได ้ว่า

จะอยู่กับใคร



และนี่คือจุดเริ่มต ้นในหนังของเรา หนังที่มีผมกับไอ ้ค่าย

เป็นผู้สร ้างด ้วยตัวเอง





END

“คือกูต ้องตื่นเต ้นมั้ย”




[อือ งั้นไม่กวนละ เจอกันพรุ่งนี้เช ้ า ฝันดี]



“ไอ ้ค่าย...” ผมเรียกชื่ออีกฝ่ าย ในใจอยากถามค าถามที่

ค ้างคาอยู่ในหัว แต่สุดท ้ายก็ไม่กล ้าพูดออกไปทั้งที่ปลาย

สายเงียบเหมือนรอฟังค าตอบอยู่



[ไอ ้เติร์ด ว่าไง]




“ไม่มีอะไร ฝันดี”



สายถูกตัดไปหลังจากนั้น ผมจึงนอนกลิ้งอยู่ที่เตียงและ

คิดอะไรเพลินๆ สักพักนึกขึ้นได ้เลยเปิดเข ้าไปที่เพจละคร

เวทีนิเทศ แน่นอนว่าวันนี้เป็นการเปิดตัวนักแสดง แต่ละคน

ก็แอคท่าสุดเท่พร ้อมแคปชั่นแนวๆ จากแอดมินเพจช่วย


เรียกเรตติ้ง จะมีก็แต่...



“เชี่ย!” ผมสบถออกมาเสียงดังเมื่อหนึ่งในนั้นมีภาพของ

ผมที่ก าลังนั่งจ ้วงข ้าวเข ้าปากอย่างเอร็ดอร่อย แถมแคปชั่น

ยังสะพรึงจนอดคิดไม่ได ้ว่า ใครแม่งเป็นคนคิดกันแน่วะ!!


Click to View FlipBook Version