The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kim.pongsakorn.26081998, 2019-06-10 12:45:47

tmp

“กู...ไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้” คงไม่มีค าแก ้ตัวใดๆ อีก

แล ้ว ผมจึงไม่อยากปฏิเสธ




“เข ้าใจ”



“...”



“เพราะกูเหี้ยมากใช่มั้ย พวกมึงถึงไม่มา” สิ้นสุด

ค าพูดนั้นใบหน้าหล่อเหลาก็คลี่ยิ้มบางๆ มาให ้ ยิ้มที่เต็มไป


ด ้วยความเจ็บปวดและถาโถมเข ้ามาจนผมรู้สึกผิด



“ไม่ใช่ มันก็แค่เรื่องเข ้าใจผิด...ไอ ้ทูกับไอ ้โบนไม่ได ้

ตั้งใจ ทั้งหมดเป็นความผิดของกูเอง” พูดแล ้วน ้าตาผมมันก็

พาลจะไหลอีก ไอ ้ค่ายเลยเอื้อมมือมาเช็ดน ้าตาให ้ด ้วยสี

หน้าเรียบนิ่ง




สิ่งที่เป็นในตอนนี้ไม่ใช่มัน ไม่ใช่ค่ายคนเดิมที่เคยรู้จัก



“มึงไม่ผิด กูเต็มใจที่จะรอเอง”



“...” ผมพูดไม่ออก ตอนนี้จะบอกว่าท าอะไรไม่ถูกเลยก็

ยังได ้




“มึงมากับใคร” เสียงทุ้มถามอีกครั้ง

“คนเดียว”




“เหรอ งั้นค่อยๆ ขับรถกลับเถอะ ถ ้าเราไม่มีแพลน

เดินทางในวันพรุ่งนี้แล ้ว กูคิดว่าตัวเองคงต ้องกลับห ้องแล ้ว

เหมือนกัน” เจ ้าตัวก ้มตัวลงไปหยิบกระเป๋ าเป้ขึ้นมาสะพาย

บ่า พร ้อมกับหยิบสัมภาระหลายๆ อย่างขึ้นมา ผมใช ้ จังหวะ

นั้นคว ้ากระเป๋ าใส่กีตาร์ของมันเอาไว ้ในมือ



“กลับด ้วยกันสิ” ตลอดหลายสัปดาห์ที่เราต่างหมางเมิน


กัน มันท าให ้ผมรู้ว่าตัวเองต ้องทรมานแค่ไหนกับการฝืน

ความรู้สึกไม่ให ้รักไอ ้ค่าย ฝืนจนรู้สึกเจ็บไปหมด นี่เหรอวะ

คือการหาทางออกให ้กับตัวเอง



“กูกลับได ้เหรอ”



“กลับ...ได ้” น ้าเสียงที่ตอบกลับไปสั่นเทาเกินควบคุม




“กลับได ้จริงๆ นะ”



“กลับได ้แล ้ว มึงไม่ต ้องรอแล ้ว”



ร่างสูงพยักหน้ารับรู้แล ้วเดินตามหลังผมด ้วยความเงียบ

เชียบ เงียบ...จนรู้สึกเหงาขึ้นมาจับใจ




ไอ ้ค่ายไม่ได ้เอารถมา มันขนของทุกอย่างใส่แท็กซี่และ

มานั่งรอเพื่อนอีกสามคนตั้งแต่หกโมงเช ้ า คืนก่อนมันพูด

ด ้วยน ้าเสียงตื่นเต ้น ผิดกับตอนนี้ที่สีหน้าดูเหงาหงอยลงไป


มาก แหงล่ะ โดนทิ้งอยู่ที่สถานีรถไฟข ้ามวันเป็นผมก็คง

โกรธจนไม่อยากพูดด ้วย



หลังเจอตัวไอ ้ค่ายผมรีบติดต่อหาเพื่อนแก๊งโหดอีกสอง

คนให ้สแตนบายรอที่ห ้องของผม ส่วนตัวเองก็หันไปจดจ่อ

กับการขับรถพามนุษย์โดนทิ้งกลับหลังจากพากันร ้องไห ้

น ้าตาแตกที่สถานีรถไฟไปก่อนหน้านี้




นี่มัน...วาไรตี้ออฟเรียลไลฟ์ โคตรๆ



“หิวมั้ย” เพิ่งนึกออกว่าไอ ้ค่ายอาจจะรอจนไม่ได ้กินอะไร

ผมเลยถามด ้วยความเป็นห่วง



“ก็หิวนะ”




“ตอนเช ้ ากินอะไรมา”



“ไม่ได ้กิน”



“ตอนกลางวันอ่ะ”




“แซนด์วิช ไม่กล ้าไปไหนกลัวมึงมาถึงแล ้วไม่เจอ มือถือ

ก็ปิดเครื่องไง” รู้สึกผิดอีกแล ้วกู

“งั้นแวะหาอะไรกินก่อนแล ้วกัน” ว่าแล ้วก็ตบไฟเลี้ยว

เข ้าข ้างทาง เพราะเห็นร ้านบะหมี่ตั้งอยู่แถวนั้นเลยถือ


โอกาสพาคนตัวสูงไปหาอะไรรองท ้องก่อน กระเพาะไอ ้นี่

เที่ยงตรงเกินไป บางทีไม่มีอะไรตกถึงท ้องผมกลัวว่ามันจะ

ป่ วยเข ้า



“เอาอะไร”



“มึงสั่งให ้หน่อย” ทิ้งท ้ายไว ้เสร็จสรรพก็ย่างเท ้าไปรอที่


โต๊ะด ้วยสีหน้าซีดเซียว ทิ้งภาระให ้ผมบอกเมนูที่เจ ้าตัวมัก

กินประจ ากับแม่ค ้าแทน



“ไม่สบายป่ ะเนี่ย”



“เปล่า แต่มึงยกโทษให ้กูแล ้วเหรอ”




“กูไปโกรธมึงตอนไหน”



“ตอนชิงชิงไง” ผมแทบจะรูดซิบปากทันควัน หันไปเหม่อ

มองท ้องฟ้า รถรา และแสงไฟยามค ่าคืนเพื่อเบี่ยงประเด็น



ไอ ้เรื่องนั้นมันก็ยังตงิดใจอยู่บ ้าง แต่พอเจอมันถูกทิ้งที่

สถานีรถไฟผมก็ลืมทุกอย่างจนหมด อย่างน้อยก็ไม่เคยคิด


ไว ้ว่าเพื่อนจะพากันเทมันขนาดนี้มาก่อน

“ทุกอย่างที่กูพยายามมามันพังหมดเลย” ผมรู้สึกแย่มาก

ที่ได ้ยินประโยคนี้ของเพื่อนตัวสูง น ้าเสียงที่เปล่งออกมา


เต็มไปด ้วยความเศร ้าสลด ที่ผ่านมาเราเจ็บกันไปเท่าไหร่

แล ้วกับค าว่ารัก



“มีคนมาบอกกูว่าเขาเข ้าหามึงก่อน ท าไมตอนนั้นไม่บอก

วะ”



“มึงไม่เชื่อกูหรอก”




“แต่กูเห็นต าตา ไม่อยากจะคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ”



“มันไม่ใช่แบบนั้น ตอนที่เขาโถมตัวเข ้ามาหากู กูไม่เคย

จูบเขากลับ แต่ขณะเดียวกันกูก็อึ้งจนท าตัวไม่ถูก มันไม่ได ้

เคลิ้ม ไม่ได ้มีอารมณ์ร่วม ไม่ได ้รู้สึกอะไรนอกจากช็อก กว่า

จะผลักเขาออกทุกอย่างที่กูพยายามท ามาก็ไม่เหลือแล ้ว”




ใช่! ไม่เหลืออะไรเลยในตอนนั้น แม ้แต่ความไว ้วางใจ

ของผมที่มีให ้อีกฝ่ ายมาตลอดด ้วย



“กูแม่งเหี้ยเองที่พาตัวเองเข ้าไปอยู่ในที่แบบนั้น เหี้ยเอง

ที่หลังผละจากเขากูก็มีความคิดจะปิดบังมึงต่อไปด ้วย

ความเห็นแก่ตัวที่ว่ากูไม่อยากเสียมึงไป แต่มันดันซวยที่มึง


ยืนอยู่ตรงนั้น ซวยที่มึงมาเห็นความเหี้ยของกูพอดี”

“คืนนั้นถ ้ากูไม่ออกมากับไอ ้ทู วันนี้เราอาจดีกันอยู่ก็ได ้

แต่กูก็แค่โง่ต่อไป”




“กูเรียนรู้แล ้วว่าต่อไปจะไม่ท าแบบนั้นอีก กูจะไม่โกหกมึง

แม่งโคตรไม่มีความสุข จ าได ้ในวินาทีนั้นที่เห็นมึงวิ่งออกไป

ใจกูมันหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มแล ้ว”



“แถมมาเห็นกูจูบกับไอ ้โบนพอดีเลยดิ”




“อืม”



“รู้สึกยังไง” ผมก็แค่อยากรู้...ในอารมณ์ชั่ววูบนั้น



“โกรธจนอยากฆ่าให ้ตาย โกรธตัวเองด ้วยเนี่ย ท าเหี้ยไร

ไม่ถูกเลย” เป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์มั้งที่ได ้มานั่ง

นึกถึงเหตุการณ์วันนั้นแล ้วเคลียร์กันตรงๆ พอได ้ระบายก็


รู้สึกโล่งใจแปลกๆ หรือจริงๆ แล ้วที่ผมรู้สึกอึดอัดมานานมัน

เกิดจากการปิดกั้นตัวเองและไม่ยอมรับฟังความเห็นของไอ ้

ค่ายกันแน่



“บะหมี่มาแล ้วค่า” คุยได ้สักพักบะหมี่ก็มาเสิร์ฟถึงโต๊ะ มือ

หนาเลื่อนชามของมันมาไว ้ด ้านหน้าผมก่อนจะพูดเสียงเบา




“ปรุงให ้หน่อย”

“นี่กูมีเพื่อนหรือมีลูกชายอีกคนวะ”




“เป็นอะไรก็ได ้ขอแค่ส าคัญส าหรับมึง” กูจะอ ้วก เลยเบะ

ปากใส่ขณะมือจ ้วงตักเครื่องปรุงไม่ลดละ ไอ ้ค่ายไม่ชอบ

อะไรเปรี้ยวๆ แต่กินเผ็ด ฉะนั้นก๋วยเตี๋ยวของมันเลยใส่แต่

พริกป่ นกับน ้าปลาเท่านั้น



“เสร็จละ กินได ้”




“ขอบคุณคร ้าบบบบ” น ้าเสียงเริ่มสดใสขึ้นทันทีที่ของกิน

ถูกเลื่อนมาไว ้ตรงหน้า คนตัวสูงสวาปามซดโฮกอย่าง

รวดเร็วจนหมดในชามแรก และระหว่างรอชามที่สองมา

เสิร์ฟผมจึงเลื่อนของตัวเองให ้แม่งแดกแก ้ขัดไป



“ความจริงมันก็มีหลายอย่างที่ท าให ้กูรู้สึกไม่ดีกับมึงมา

สักพักแล ้ว” และเพื่อไม่ให ้ความสงสัยที่ค ้างคาใจนานเกิน


กว่านี้ ผมจึงเอ่ยปากพูดออกไป



“มีอะไรถามมาเลย”



“วันออดิชั่นนักร ้อง กูเห็นเพื่อนแซวมึงกับรุ่นน้องคนนั้น กู

จ าประโยคได ้ไม่แม่นแต่เพื่อนฝ่ ายโสตพูดประมาณว่ามึง

ชอบเขา” แม ้ไม่เห็นว่าไอ ้ค่ายท าหน้ายังไงอยู่ แต่ดูจาก


สถานการณ์แล ้วก็คงสนุกสนานกันเต็มแก่

“คนที่พูดอ่ะชอบ แต่ไม่รู้จะลงที่ใครเลยเบี่ยงมาใส่กู

ต่างหาก”




“แต่มึงก็ไม่ได ้ปฏิเสธ”



“รอฟังอยู่นานมั้ยเนี่ย”



“นาน”




“ก็ไม่ได ้ตอบอะไร แต่เพื่อนในกลุ่มจะรู้ว่ากูท าหน้าไม่

พอใจใส่มันอยู่”



“แล ้วเรื่องไลน์อ่ะ กูเห็นมึงแอบคุยกับเขา”



“เพราะไม่อยากให ้มึงไม่สบายใจ”




“นั่นแหละที่ท าให ้ไม่สบายใจ เพราะมึงเลือกมีความลับ

กับกูมากกว่าพูดแบบนี้ไง”



“งั้นอยากอ่านมั้ย” มือหนาหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ า

กางเกง



“ไหนบอกแบตหมด”




“เห็นพาวเวอร์แบงค์ของมึงอยู่ตรงเบาะหลังกูเลยหยิบมา

เสียบ ถ ้ามันท าให ้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมได ้มึงท าเต็มที่

เลย” ใจจริงผมไม่อยากก ้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของไอ ้


ค่ายนัก แต่ชีวิตที่ผ่านมาของมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ท าให ้วางใจ

ได ้ หากนี่เป็นค าตอบที่ท าให ้ผมหายสงสัย มันก็ไม่มีเหตุผล

อะไรที่ต ้องหยุด



ในคอนแท็กของคนตรงหน้ามีชื่อรุ่นน้องที่ชื่อชิงชิงอยู่จริง

แต่มันไม่เหมือนเดิมตรงที่ว่าเจ ้าของไลน์นี้ถูกบล็อกไว ้แล ้ว




ข ้อความในอดีตที่ไอ ้ค่ายคุยกับเขามีไม่มากนัก ผมเลื่อน

ขึ้นไปด ้านบนสุดเพื่ออ่านตั้งแต่ประโยคแรกด ้วยความรู้สึก

อธิบายไม่ได ้...



ChingChing

พี่ค่ายนี่ชิงชิงเอง

ที่เราเจอกันตรงห ้องออดิชั่น


K.Khunpol

อ๋อครับ

ChingChing

วันนี้ขอบคุณมากนะคะ

ถ ้ามีปัญหาเกี่ยวกับการอัดเสียงชิงถามพี่ค่ายได ้มั้ย

K.Khunpol

ครับ


ChingChing

ตอนนี้ท าอะไรอยู่คะ

K.Khunpol

จะนอน


ChingChing

เหรอคะ งั้นไม่กวนแล ้วนะ

K.Khunpol

ครับ



ข ้อความของวันนั้นจบลงตรงที่ไอ ้ค่ายไม่สานต่อด ้วยการ

ตอบกลับใดๆ และทั้งคู่ก็ไม่ได ้คุยกันอีกจนกระทั่งเช ้ าวัน


ใหม่ ทุกวันจะมีข ้อความที่ส่งจากชิงชิงมาทักทายเสมอ ไอ ้

ค่ายก็ตอบสั้นๆ แค่ประโยคเรียบง่ายอย่างค าว่า ‘ครับ’ จน

ผมเองยังรู้สึกหงุดหงิดกับคนที่คุยด ้วยเลย



กระทั่ง...



ChingChing


เพื่อนพี่บอกว่าพี่ชอบชิง

K.Khunpol

ใคร

ChingChing

พี่เมฆฝ่ ายโสต

K.Khunpol

อ๋อ จริงๆ ไอ ้เมฆนั่นแหละชอบน้อง


พี่ไม่ได ้ชอบ

อ่านถึงตรงนี้แล ้วผมรู้สึกว่าตัวเองพลาดอะไรบางอย่างไป

หรือเพราะที่ผ่านมาระแวงมากเกินถึงไม่รู้ว่าจริงๆ แล ้วเรื่อง


ทุกอย่างไม่ได ้เลวร ้ายอย่างที่คิด



ผมยังคงตั้งหน้าตั้งตาเลื่อนข ้อความที่คนทั้งคู่พิมพ์คุยกัน

ไปเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลานับเดือน ก่อนจับจุดประสงค์ของ

อีกฝ่ ายได ้ว่าน้องเขาคงชอบไอ ้ค่ายมากจริงๆ เพราะดูได ้

จากภาษาที่ใช ้ และการทักทายถี่ยิบเกินปกติ




ChingChing

วันนี้ฝ่ ายโสตนัดเลี้ยงพี่ค่ายมามั้ย

มาเถอะนะ มีอะไรสนุกเพียบ

ช่วงนี้เงียบหายไปเลย เป็นอะไรหรือเปล่า

พี่ค่าย

K.Khunpol

วันนี้ไม่ว่าง แต่คนอื่นไปครบนะครับ


ChingChing

อยากให ้ไปด ้วยกัน

นานๆ จะได ้สังสรรค์กันสักที

เราเหนื่อยกันมามากแล ้ว

K.Khunpol

ชิง พี่ว่า...

เราเลิกคุยกันแบบนี้เถอะ


ChingChing

ชิงท าอะไรผิดรึเปล่า

K.Khunpol

พี่มีคนที่ชอบแล ้ว ก าลังตามจีบอยู่


เพื่อนพี่ชื่อเติร์ด ถ ้าชิงยังจ าได ้

พี่ไม่อยากให ้เติร์ดไม่สบายใจ

ChingChing

เข ้าใจค่ะ

แต่พี่เติร์ดก็คงไม่ห ้ามไม่ให ้พี่มาใช่มั้ย

วันนี้เป็นงานของฝ่ ายโสต พี่จะไม่มาเลยเหรอ




ข ้อความตั้งแต่ต ้นจนจบมีเพียงเท่านี้ ถึงแม ้ไอ ้ค่ายไม่ตอบ

กลับข ้อความของอีกฝ่ าย แต่สุดท ้ายมันก็ไปฉลองกับฝ่ าย

โสตอยู่ดี ผมเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวทุกอย่างได ้ทั้งหมด

จนมาถึงจุดที่เราไม่เข ้าใจกันในวันนั้น



“มึงน่าจะบอกกูให ้เร็วกว่านี้” ผมพูดด ้วยน ้าเสียงเนือยๆ




“อยากบอกมานานแล ้ว แต่มึงไม่เปิดโอกาสให ้กูได ้ท า

แบบนั้นเลย”



“...”



“เราทะเลาะกันเป็นอาทิตย์ มีมึงอยู่ใกล ้แต่ก็เหมือนโคตร

ไกล แถมยังปิดกั้นกูอีกต่างหาก”




เพราะตอนนั้นมันเจ็บมากไง เจ็บจนไม่อยากรับฟังอะไร มี

แต่เพื่อนเนี่ยแหละที่คอยพูดกรอกหูพร ้อมกับปลอบใจว่าสิ่ง

ที่ผมเห็นมันไม่ใช่เรื่องจริง ผมเลือกฟังแค่นี้โดยไม่คิดจะฟัง


ค าอธิบายจากปากของไอ ้ค่ายสักนิด



สุดท ้ายกลับพบว่าความคิดนั้นมันแย่บรม



“ขอโทษ”



“มึงไม่ได ้ผิดเติร์ด กูเหี้ยเองจ าไม่ได ้เหรอ”




“ขอโทษที่ไม่เชื่อใจมึง และขอโทษที่วันนี้กูทิ้งมึงไว ้”



“อืม...พวกมึงแม่งปิดมือถือหมด กูเป็นห่วงนะ กลัวจะเป็น

อันตราย”



“ทุกคนปลอดภัยดี จริงๆ แล ้วกูก็แค่ไม่อยากเจอมึง”




“ตรงประเด็นฉิบหาย แล ้วไอ ้ทูกับไอ ้โบนอ่ะ อย่าบอกนะ

ว่ามันก็เกลียดกูด ้วย”



“เปล่า ไอ ้ทูตั้งใจอยู่เป็นเพื่อนกู ส่วนไอ ้โบนเข ้าใจว่ากูจะ

ไปเลยเปิดโอกาสให ้เราได ้ปรับความเข ้าใจกัน สุดท ้าย...”




“กูโดนทิ้ง ขอบคุณครับบบบบบบบ” คนตรงหน้านั่งเดาะ

ลิ้นเสียงดังเป๊ าะ เห็นท่าทางแบบนี้กูไม่สงสารละ อยากขอ

น ้าตาที่เสียไปคืน




“คิดซะว่าเป็นความฝันละกันนะ” ได ้แต่พูดปลอบใจแค่นั้น



“ฝันร ้ายหรือฝันดีล่ะ”



“คงฝันร ้าย เพราะมึงรอนาน”



“ไม่หรอก ฝันร้ายของกูคือการไม่มีมึงอยู่ต่างหาก”




เอาซะกูไปไม่เป็นเลย ไม่มีอะไรให ้จิ้มด ้วยดิ ตอนนี้มือ

ว่างมาก บิดตัวก็ไม่ได ้เดี๋ยวไอ ้ค่ายรู้ว่าเขิน นี่กูไบโพลาร์

สัดๆ เลยนะเพราะก่อนหน้ายังอึนๆ กับมันอยู่เลย



“เขินเหรอ”




“เปล่า”



“ดีละ กูพูดไม่จริง”



“สัด”



“แต่ถ ้าได ้รักกันจริงกูคงกราบกาแฟด ากับ M150 ที่ช่วย


ให ้กูอยู่รอดในชานชาลาจนได ้มาเจอมึง” นี่มันสูตรฮีล

ร่างกายยามสอบเลยนี่หว่า

“ไหนบอกไม่ลุกไปไหนไง”




“ตอนนั้นเดินไปเยี่ยวเลยจ าต ้องแวะซื้อมา คือถ ้าไม่ปวด

เยี่ยวกูก็นั่งรออยู่ที่เดิมแหละ รู้ป่ ะ ตอนนั้นกูแม่งโคตร

เหมือนตัวเอกที่มีกล ้องดอลลี่อยู่ตลอดเวลาเลยนะเว ้ย”



“ตั้งใจพูดเพื่อปลอบใจหรือตอกย ้ากูกันแน่”



“ไม่ได ้หมายถึงแบบนั้นเลย แต่ไว ้ทริปหน้า...”




“ฮึ?”



“ไว ้ทริปหน้ามาเริ่มต ้นกันใหม่เถอะ”



“อือ”




“มึงเคยบอกว่าอยากท าหนังสั้นแนวแฟนตาซีตอนจบปีสี่

ส่วนกูไม่เคยคิดอะไรเอาไว ้ จนระหว่างที่นั่งรอมึงอยู่ตรง

ชานชาลากูก็คิดออก” ก๋วยเตี๋ยวชามที่สามเสิร์ฟลงบนโต๊ะ

ไอ ้ค่ายจับตะเกียบไว ้มั่นแล ้วคีบบะหมี่เข ้าปากแทบจะทันที



“คิดอะไรควายๆ ออกอีกอ่ะ” คือกูอยากฟังมากกว่านั่ง

มองมึงแดกตะกละตะกลามอยู่แบบนี้




“กูอยากเล่าช่วงเวลาที่ผู้ชายคนหนึ่งรอคนรักของเขาโดย

ที่ไม่รู้เลยว่าคนๆ นั้นจะโผล่มาเมื่อไหร่ แล ้วอยู่ดีๆ ก็เสือก

โดนฆ่าตายซะก่อน ตื่นมาอีกทีก็อยู่ที่ชานชาลา โดนยิงตาย


แล ้วตื่นแบบวนลูป”



“สัด นั่น Edge of tomorrow”



“จุดประสงค์ไม่ได ้ท าเพื่อก๊อปหนัง แต่จะเอาไว ้ตอกย ้ามึง

ว่าท าให ้คนอื่นรอซ ้าซากต่างหาก”




“โคตรเลว”



“กูบันทึกเสียงไว ้ด ้วยนะ อยากฟังป่ ะ”



กลายเป็นผมต ้องมาลุ้นอีกเนี่ยว่าจะโดนไอ ้ค่ายด่าเป็น

ภาษาอะไรบ ้าง นี่โดนทิ้งมาเกือบวัน ไม่แน่อาจผูกใจเจ็บ

เอาไว ้เยอะ ยิ่งเจอข ้อความเสียงเป็นสิบก็ถึงกับร ้องโอ ้โห


ท าไมมึงด่ากูไม่บันยะบันยังขนาดนี้วะ



“นี่มึงจะฆ่ากูเลยป่ ะเนี่ย เยอะฉิบหาย”



“อัดอั้นตันใจ”



นาทีนี้ท าใจดีสู ้ เสือกดเข ้าไปที่บันทึกข ้อความแรกพลาง


เหลือบตามองคนที่ก ้มหน้าก ้มตากินไปด ้วย ไอ ้ค่ายท าท่า

เหมือนไม่สนใจ ผมเลยพุ่งประเด็นมาที่การฟังข ้อความจาก

มือถือแทน





ข ้อความเสียงที่หนึ่ง


8 นาฬกาเวลานัดหมาย ที่นี่คนเดินพลุกพล่านมาก
กูนั่งรอพวกมึงอยู่ตรงชานชาลาหมายเลข 7 ช่วยรีบมาเร็วๆ

ดิวะ เดี๋ยวก็ตกรถไฟหรอก





ข ้อความเสียงที่สอง


9 โมง ไม่รู้ว่านาฬกาบ ้านแม่งตายหรือเปล่าเพราะตอนนี้รอ
สองชั่วโมงแล ้วยังไม่ยอมโผล่มาสักที


เสียงประกาศดังขึ้นแล ้ว รถไฟที่เราต ้องนั่งเคลื่อนผ่านไป

สมน ้าหน้า...พวกมึงตกรถไฟ





ข ้อความเสียงที่สาม

ไอ ้สัด 10 โมงแล ้วครับไปตายห่าที่ไหนกัน หัดรับโทรศัพท์

กูบ ้าง



“ด่าเก่งจังวะ”




“คลายเครียด”

ข ้อความเสียงที่สี่


11 นาฬกาไร ้วี่แววของเพื่อนพ ้อง หรือกูควรกลับไปตั้งหลัก

ใหม่



“แล ้วท าไมไม่กลับตั้งแต่ตอนนั้น”



“เพราะกลัวว่าถ ้ามึงมาแล ้วไม่เจอจะเสียใจไง”



“แล ้วรอแบบนั้นไม่เสียใจกว่าเหรอ”




“ถ้าใครส ั กคนต้องเสียใจ ให้คนคนนั้นเป็ นกูเถอะ”




ข ้อความเสียงที่ห ้า


เที่ยงวันตรงเผง กระเพาะกูร ้องดังมากเลยต ้องกินแซนด์วิช

ที่ซื้อติดกระเป๋ ามา

พวกมึงเป็นอะไรหรือเปล่าวะ รถยางแบนเหรอ กูเป็นห่วง...





ข ้อความเสียงที่หก

บ่ายโมง กูไม่กลัวว่าจะตกรถไฟ หรือรถไฟขบวนไหนจะ

ออกจากชานชาลาอีก

กูกลัวแค่ว่าพวกมึงจะไม่โผล่มามากกว่า




ผมนั่งฟังข ้อความทั้งหมดในมือถือนับสิบข ้อความ ไอ ้ค่าย

บันทึกเสียงทุกๆ หนึ่งชั่วโมงเพื่อบอกความคิดและ

สถานการณ์ในตอนนั้น การเฝ้ารอทรมานผมรู้ดี และคิดว่า

คนที่กรอกเสียงลงไปนั้นกระวนกระวายแค่ไหนที่ถูกทิ้งให ้


เคว ้งอยู่ล าพัง



จนกระทั่งหกโมงเย็น ผมก็ไม่ได ้ฟังข ้อความที่บันทึก

เอาไว ้อีก



“แบตหมดน่ะ” เสียงทุ้มบอกอย่างรู้ทัน




“เหรอ บันทึกเสียงจนแบตหมด”



“เปล่าหรอก กูโทรจนแบตหมดเลยต่างหาก”



“ไหนบอกว่าไม่ได ้โทรตามกูไง”



“โทรหามึงแค่ครั้งแรก พอรู้ว่าปิดเครื่องเลยไม่โทรตาม


อีก กลัวว่ามึงจะร าคาญ เลยหันไปโทรตามมึงจากเพื่อนใน

เอกแทน แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่ามึงไปไหน ในใจมันกลัวฉิบหาย

ว่ามึงจะเป็นอันตราย รู้มั้ยว่าก่อนหน้าที่รอกูแม่งห่วงว่า

ตัวเองคงถูกทิ้งแน่ๆ โกรธไปสารพัด”



“...”




“แต่พอหลังจากนั้นกูกลับห่วงพวกมึงมากกว่า กลัวว่าจะ

เป็นอันตราย กลัวไปต่างๆ นานา รู้ตัวอีกทีก็ตอนรุ่นพี่ใน

คณะโทรมาบอกว่าเจอมึงกับไอ ้ทูอยู่ที่ห ้างเนี่ยแหละ ใจมัน

ก็โล่งไปเปราะหนึ่ง เอาแต่ปลอบใจว่าเดี๋ยวพวกมึงก็คง


มาเลยอยู่ต่อ”



“ไอ ้สัด มึงแม่งหลอกตัวเอง”



“เออไง แล ้วรู้มั้ยว่าถ ้าแบตไม่หมดกูจะพูดกับมึงว่ายังไง”



“ด่ากูมั้ง แบบ...ด่าประโยคที่เจ็บที่สุดเท่าที่มึงเคยพูดมา”


เดาว่าอย่างนั้น ไอ ้ค่ายรู้ตั้งแต่เย็นแล ้วว่าเหตุผลที่ผมไม่มา

ตามนัดไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุหรือเกิดเหตุฉุกเฉินใดๆ แต่ผม

แค่ไม่อยากไป



“งั้นฟังข ้อความที่สิบเอ็ดนะ”



“ไอ ้เหี้ยเติร์ด!”




“...”



“ดีแล้วที่มึงไม่เป็ นไร กูจะรออยู่ที่เดิม”



ว่าแล ้วมือหนาก็เอื้อมมาลูบหัวผมด ้วยความเอ็นดูพร ้อม

กับฉีกยิ้ม กลายเป็นกูเองเนี่ยแหละที่รู้สึกผิดไปเองเหมือน


กรรมตามสนอง

และผมรู้...




รออยู่ที่เดิมไม่ใช่สถานที่ หากแต่เป็นความรู้สึกมากกว่า



“แล ้วมึงรู้มั้ย ตอนที่ไอ ้โบนเดินมาเคาะประตูห ้องแล ้วบอก

ว่าไม่ได ้ไปเที่ยวกับมึงกูรู้สึกยังไง”



“สมน ้าหน้าเหรอ” ผมส่ายหัว




“รู้สึกเจ็บ”



“...”



“ในใจกูได ้แต่บอกว่ารีบกลับไปเถอะ ขอให ้มึงอย่ารออยู่

เลย”




“แต่กูก็รอมึง เพราะหวังว่าถึงแม ้จะไม่ได ้เดินทางไป

ด ้วยกัน แต่อย่างน้อยเราก็ได ้กลับบ ้านด ้วยกันอยู่ดี”



“มึงรออยู่ตรงนั้นนานมากกว่ากูจะมา”



“อือฮึ”




“คืนนี้ไปนอนที่ห ้องกูมั้ย” ไม่ได ้ชวนนะ แค่ถาม...

“ก็ตั้งตารอให ้มึงพูดค านี้อยู่เหมือนกัน งั้นกินเสร็จแล ้วไป

ห ้องมึงเถอะ กูอยากนอนจะแย่” ไอ ้ค่ายกินเร็วกว่าปกติทั้งที่


แต่เดิมมันก็กินเร็วอยู่แล ้ว ทันทีที่จ่ายเงินเสร็จผมจึงขับรถ

มุ่งหน้ากลับคอนโด ที่ที่มีเพื่อนอย่างไอ ้โบนกับไอ ้ทูรออยู่

ตรงนั้นด ้วย



หลังจากไขประตูเข ้าไป ไอ ้ค่ายก็ได ้รับการต ้อนรับจาก

เพื่อนอีกสองคนอย่างเต็มที่ด ้วยการกระโดดขึ้นไปเกาะตัว

มันแล ้วล็อกคอจนแน่น




“ไอ ้ควายค่ายกูขอโทษษษษษ”



“ปล่อยกูสัด อัก! ปล่อย!” ผมมองร่างสูงดิ้นพล่านไปมา

ก่อนเพื่อนสองตัวจะลากบุคคลโดนทิ้งไปยังห ้องนั่งเล่นและ

กระโดดทับจนได ้ยินเสียงโอดโอยดังขึ้นมาไม่ขาด




มันสามตัวเป็นพวกเล่นแรง แต่บางทีกูก็คิดนะว่านอกจาก

โดนทิ้งแล ้ว ท าไมมันต ้องโดนท าร ้ายให ้เจ็บปางตายเป็น

การตอบแทนด ้วยวะ กว่าจะเคลียร์กันเสร็จก็ปาไปเกือบครึ่ง

ชั่วโมง เตะกันสิบห ้านาที ส่วนอีกสิบห ้านาทีที่เหลือแม่ง

หมดไปกับการยืนด่ากัน นี่ก็เพิ่งจับเข่ามานั่งคุยกันดีๆ ได ้



ต ้องขอบคุณเพื่อนร่วมเอกที่ติดต่อมาหาไอ ้โบน เพราะ


หลังจากเปิดเครื่องมันก็ได ้พบความจริงที่เจ็บปวดว่าเราได ้

ทิ้งเพื่อนคนหนึ่งให ้รออยู่ที่สถานีรถไฟนานนับสิบชั่วโมง

“สรุปมึงหายโกรธกูแล ้วใช่มั้ยเพื่อน” ไอ ้โบนเอ่ยถาม

พลางยิ้มสู ้




“มึงคิดว่ากูควรตอบว่าไงพวกเหี้ยเอ๊ย บางทีถ ้าจะเบี้ยว

นัดช่วยโทรมาบอกกูด ้วยครับ คนรอแม่งทรมาน”



“ก็ส่งไอ ้เติร์ดไปกู้หน้าแล ้วไง มันห่วงมึงจะตาย”



“ตอนไหนวะ” ผมแหวใส่ทันที นั่งจับเข่าคุยกันอยู่สามคน


สุดท ้ายก็วกกลับมาพาดพิงผมอีกจนได ้



“โหยยยย ตอนมันรู้ว่ากูไม่ได ้ไปด ้วยมันแม่งรีบเหยียบรถ

ไปหัวล าโพงเลย จ ้า! ไม่ห่วงเลยจ ้า” ประชดบวกแดกดันนี่

สันดานไพร่ไอ ้โบนเลยครับ รู้สึกคันตีนอยากกระทืบคนแถว

นี้ขึ้นมาเฉย




“แล ้วจะกลับกันได ้ยังอ่ะ ตีสี่กว่าแล ้วเนี่ย”



“แหมไอ ้เติร์ด ไล่กูสองคนเพื่อจะได ้สวีตกับขุนพลเหรอ

ครับ”



“อย่ามาตลกไอ ้ทู กูง่วงจะตายห่าละ มีอะไรค่อยมาคุยกัน

พรุ่งนี้ก็ได ้”




“เคๆ งั้นกูไปนอนก่อนละ มึงสองตัวก็...อย่าจิ้มๆ กันก่อน

ซะล่ะ เดี๋ยวไม่ลุ้น” เลว! ผมบ่นตามหลังไอ ้ทูกับไอ ้โบน

จนถึงหน้าประตู ไม่นานความเงียบงันก็กลับมาอีกครั้งเมื่อ


ในห ้องเหลือเพียงผมกับไอ ้ค่ายที่เอาแต่มองหน้ากันเลิกลัก



“กูจะไปเปลี่ยนเสื้อใหม่”



“เปลี่ยนกางเกงด ้วยดิ”



“คิดหื่นอะไรอีกเนี่ย”




“อะไร กูเป็นห่วงมึงนะกลัวจะมีกลิ่นบะหมี่ติดกางเกงไง”

สีหน้าแม่งดูสัปดนมากครับ กูเชื่อก็โง่สุดๆ ละ



“เดี๋ยวกูจัดการเอง”



“เปลี่ยนตรงนี้เลยจะได ้ไม่เสียเวลา”




“เวรเถอะ”



“หากางเกงขาสั้นมาใส่ได ้มั้ย ชอบความเซ็กซี่อ่ะ”



“ไม่มี”




“กางเกงบอลก็ได ้”

“กูจะนอน ไม่ได ้จะออกไปเตะบอล ส่วนมึงไปอาบน ้าก่อน

เถอะ ผ ้าเช็ดตัวก็อยู่ในตู้เหมือนเดิม” พูดจบก็ส่งสายตา


ขวางๆ ออกไปให ้ด ้วยเผื่อมันจะได ้สงบปากสงบค าไว ้บ ้าง

เดี๋ยวนะ! ก่อนหน้าที่เจอกันตรงสถานีรถไฟสภาพอย่างกับ

หมาโดนเจ ้าของทิ้ง แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็น

หลังตีนเฉย



“อาบน ้าด ้วยกันอีกรอบมั้ย เผื่อกูจะช่วยขัดหลังให ้”

สาระแน! ความรักระหว่างผมกับมันจะไปกันรอดจริงเหรอวะ


ดูจากสภาพไม่น่าจะไหวเพราะความหื่นของไอ ้ค่ายมักมา

เป็นพักๆ



“รีบไสหัวไปได ้แล ้ว ร าคาญ”



“โอเคๆ”




“อย่าอาบนานล่ะเดี๋ยวหรรมยุ่ย” ผมส าทับไปอีกรอบเป็น

เชิงติดตลก



“ห่วงน้องชายกูไม่แข็งตัวก็บอก” และไอ ้ค่ายก็ตอบ

กลับมาแบบที่กูไม่ตลกอีกเช่นเคย คิดต่างเชิญทางอื่น คิด

หื่นเชิญทางนี้




สิบนาทีให ้หลังคนตัวสูงก็เดินออกจากห ้องน ้าพร ้อมกับ

เสื้อผ ้าชุดใหม่ที่เป็นของผม เจ ้าตัวกดปิดสวิตช์ไฟอย่างรู้

งาน จากนั้นก็กระโดดขึ้นเตียงอย่างรวดเร็วโดยไม่ถาม

ความเห็นเจ ้าของเตียงอย่างผมก่อน แถมมันยังถือวิสาสะ


รวบตัวผมเข ้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงโดยไม่ถามสุขภาพกูสัก

ค าด ้วย



“กูอึดอัด นอนดีๆ ได ้มั้ยวะ”



“ก็คนมันมีความสุขอ่ะ นึกว่าจะได ้นอนที่หัวล าโพงซะละ”




“รู้งี้กูให ้มึงนอนที่นั่นก็ดี”



“เดาว่าคนแถวนี้คงนอนร ้องไห ้”



“ไม่ได ้อยู่ในจุดที่เอะอะก็ปล่อยโฮขนาดนั้นมั้ย” แม ้ความ

เป็นจริงจะใกล ้เคียงกับสิ่งที่อีกฝ่ ายพูดก็ตาม หมดกันความ

คูลที่สั่งสมมา




“โอเคมึงแม่งโคตรเข ้มแข็ง โคตรเท่ เพราะงั้นคืนนี้ช่วย

เป็นหมอนข ้างให ้หน่อย พอดีกูชอบนอนเด ้าหมอนข ้างอ่ะ”



“ไอ ้ฉิบหาย”



“มีหลายอย่างที่กูชอบแล ้วมึงยังไม่รู้ บางทีกูอาจหยิบมัน


เข ้าไปเขียนในบทตอนท าหนังสั้นปีสี่ เช่น การนอนเด ้า

หมอน ขย่มพื้น เทคนิคโลกสวยด ้วยมือเรา การมองนม

ผู้หญิงในมิติอิโรติก” นี่แม่งคือศาสตร์ห่าเหวอะไรวะ เอา

จริงๆ ชีวิตผมต ้องมาเจอคนแบบนี้ตามจีบจริงเหรอ ส าคัญ


ที่สุดคือกูชอบมันก่อนด ้วย



“ค่าย มึงช่วยหยุดพูดเรื่องแบบนี้ได ้มั้ยวะ กูจะอ ้วก”



“งั้นเล่าช่วงเวลาสับสนของกูก่อนจะมารักมึงให ้ฟัง

เอามั้ย”




“ไร ้สาระน่า”



“รักกับมึงไม่ไร ้สาระนะ”



“มีอะไรก็เล่ามา”



“ความรู้สึกตอนที่รู้ว่ามึงชอบกูครั้งแรก แม่งอาการ


เหมือนคนหูดับเลยว่ะ จะบอกว่าไม่เชื่อหูตัวเองก็คง

ประมาณนั้น รับไม่ได ้ สับสน โกรธ สารพัดจะรู้สึก บางทีก็

อยากเดินเข ้าไปบอกมึงตอนนั้นเลยว่าอย่ารักกูเลย กูดูแล

ของส าคัญไม่เป็นหรอก” ความรู้สึกในอดีตถูกเล่าเป็นฉากๆ

แต่ผมก็เดาถูกตั้งแต่แรกว่าไอ ้ค่ายคงคิดแบบนั้นอยู่แล ้ว



เพราะฉะนั้นเลยไม่โต ้เถียงหรือถามกลับ นอกจากฟัง


ความในใจของอีกฝ่ ายเงียบๆ เท่านั้น

“ขนาดกระเป๋ าตังค์กูยังท าหาย รถกูก็ท าพังไปไม่รู้กี่คัน

ก่อนจะมาใช ้ ชาวี นับประสาอะไรกับใจมึง ให ้กูดูแลสักวัน


หนึ่งก็คงพังคามือกูแน่ๆ”



“พังก็พังดิ”



“ตอนนั้นกูเหี้ยมากนะ ยอมพังจริงเหรอ”



“กูเตรียมใจไว ้แต่แรกแล ้ว ถึงรู้ว่าสักวันหนึ่งมึงรักษาใจกู


ไม่ดี มันก็คือปัญหาของกูที่ต ้องดูแลเอง กูรักมึงได ้ก็ต ้องฮีล

ตัวเองจากความเจ็บปวดได ้ นั่นคือสิ่งที่กูคิดเมื่อนานมาแล ้ว

ต่างจากตอนนี้...” ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป กลไกการป้องกัน

ของผมไม่ได ้อยู่ที่การฮีลหลังผ่านอะไรมา แต่หมายถึงจะไม่

เปิดโอกาสให ้มันเกิดขึ้นจนรู้สึกเจ็บมากกว่า แล ้วเป็นไง



...ท าไม่ได ้อยู่ดี…




“ต่างจากตอนนี้ที่กูทุ่มเทกับการรักมึงสุดตัว ขณะที่มึง

ยังคงลังเลใช่มั้ย” ไอ ้ค่ายก าลังเดาความคิดของผม



“กูไม่ได ้ลังเล กูแค่ไม่ไว ้ใจมึง”



“ก็ก าลังพิสูจน์ตัวเองให ้มึงเห็นอยู่นี่ไง”




“บี้ปากผู้หญิงเนี่ยนะ ที่ให ้อภัยเพราะเห็นมึงไม่เล่นด ้วย

หรอกถึงให ้โอกาส ไม่อย่างนั้นก็คงจบกัน แม ้แต่ค าว่าเพื่อน

ยังไม่อยากคิดเลยว่าจะเหลือหรือเปล่า”




“โชคดีที่กูยังได ้รับโอกาสนั้น ขอบคุณนะเติร์ด”



“ไม่ใช่เรื่องที่ต ้องขอบคุณ”



“ขอบคุณดิ อย่างน้อยก็มีโอกาสได ้รัก”




แล ้วไอ ้ค่ายก็ชักแม่น ้าทั้งห ้าเล่าเรื่องผู้หญิงในอดีตต่อ

เกือบชั่วโมงเหมือนเด็กร ้อนวิชา แต่กูก็เก่งนะครับที่ทนฟัง

มันจนถึงตอนนี้ได ้



“ง่วงยัง ถ ้าง่วงก็หลับไปได ้เลยไม่ต ้องฟังหรอก” มันถาม

เหมือนรู้ทัน แต่วงแขนหนาหนักยังคงกอดผมเอาไว ้แน่นไม่

คิดปล่อยให ้เป็นอิสระสักที




“ยัง” แม ้ตอนพูดออกไปน ้าเสียงจะกลั้วน ้าลาย และ

สายตาจะเต็มไปด ้วยความง่วงงุนแค่ไหนก็ตาม ท าไมวะ

ท าไมถึงต ้องทนฟังเรื่องเล่าบ ้าบอจากมันด ้วย



“นอนได ้ไม่ต ้องโกหก”




“ยังไม่ง่วงเลย”

“นี่ถามจริง”




“อือ”



“สรุปแล้วมึงอยากรู้เรื่องความรักที่ผ่านมา หรือ

อยากรู้เรื่องของกูกันแน่”



ท าเป็นรู้ดี! แต่ก็คง...เป็นอย่างหลังมากกว่าแหละมั้ง




ทริปเดินทางโดยรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปสุราษฎร์ฯ พังลง

ไม่เป็นท่าหลังจากต่างคนต่างเบี้ยวนัดจนไอ ้ค่ายโดนทิ้งไว ้

ที่สถานี แล ้วรู้มั้ยว่าแก๊งโหดหาข ้อดีของการพลาดทริปครั้ง

นี้ด ้วยเหตุผลอะไร



ฝนไม่ตก




ใช่ครับ เพราะทริปของเราคือต ้องมีเพื่อน รถไฟ และสาย

ฝน ถ ้าไม่มีฝนแม่งคงไม่อิน นั่นคือเหตุการณ์เมื่อสัปดาห์

ก่อน ส่วนปัจจุบันฝนตกทุกวันจนรองเท ้าแฉะ



ทางคณะนิเทศศาสตร์และทีมกองละครเวทีจัดผังตาราง

การขายบัตรใหม่ ถึงแม ้ว่าความคืบหน้าของละครจะไปไม่

ถึงไหน แต่เพื่อหางบเข ้าคณะให ้มากที่สุดเนื่องจากเงินของ


ฝ่ ายสวัสดิการเริ่มร่อยหรอ เราจึงต ้องมีการเปิดขายบัตร

รอบพรีเซลขึ้นก่อน

รอบนี้จะเปิดจองที่แฟนเพจของละครเวทีนิเทศฯ แต่ตอน

รับบัตรเราจะแบ่งคนไปตามจุดต่างๆ เพื่อขายบัตรและรับ


เงินในตอนนั้นเลย ซึ่งหน้าที่หลักเป็นของฝ่ ายพีอาร์ แต่

เนื่องจากว่าคนไม่พอเลยต ้องระดมนักแสดงไปเรียกกระแส

ด ้วย แม ้แต่นักแสดงเก่าอย่างไอ ้ค่ายก็ต ้องออกโรง



ก่อนที่ทุกคนจะแยกย ้ายไปตามจุดต่างๆ เราก็มีการนัด

รวมพลเพื่อรับบัตรที่คนดูจองทางแฟนเพจมาแจกจ่ายกัน

ก่อน




“ต ้องช่วยกันขายบัตรให ้ได ้ตามเป้านะ ไม่งั้นเข ้าเนื้อ”

เฮดฝ่ ายพีอาร์ก าชับเสียงเข ้ม ปีนี้วิกฤตหนักกว่าทุกปีจริงๆ



“ไอ ้ฟาน มึงก็ช่วยใช ้ หน้าหล่อๆ ของมึงหลอกล่อสาวๆ

มาด ้วย” พระเอกของเรื่องพยักหน้าหงึกหงัก แบกละคร

เอาไว ้ทั้งเรื่องไม่พอยังต ้องแบกหน้ามาอ่อยชาวบ ้านเพื่อหา


เงินอีก ไม่เหลือแล ้วศักดิ์ศรีอ่ะ แม่งแดกไม่ได ้



“ขอเสนอว่าแต่ละจุดควรมีแบ็กดรอปของละครเราไปด ้วย

นะ จะได ้เป็นการประชาสัมพันธ์”



“ดีๆ มีใครเสนออะไรอีกมั้ย”




“ผมมีวิธี เอา nmd ไอ ้ค่ายไปขายสิ รุ่นนั้นปล่อยมือสอง

ได ้หลายหมื่นเลยนะ”

“นั่นของก๊อป”




“ตอแหล!!”



“นี่กูไง ค่ายอะราวด์เดอะเวิร์ล” การโต ้เถียงของไอ ้ค่าย

กับไอ ้ทูท าให ้คนฟังนั่งเกาหัว นอกจากไม่ช่วยแล ้วยังท าให ้

ชาวบ ้านเขาเสียเวลากันอีกว่ะ



“ร าคาญว่ะ รีบแยกย ้ายไปเถอะก่อนที่ฝนจะตก ฟ้ามืดแล ้ว


เนี่ย” พี่เชนทร์เป็นฝ่ ายจบประเด็น เราจึงแยกย ้ายไปตามจุด

ต่างๆ ที่ได ้รับมอบหมาย คนได ้จุดอินดอร์หน่อยก็ถือว่าโชค

ดีไป แต่ถ ้าโชคร ้ายก็คงเป็นแก๊งโหดเนี่ยแหละที่ถูกเตะมา

อยู่โซนหน้าหอสมุด เข ้าไปข ้างในก็ไม่ได ้ แถมลุงยามยังให ้

ใช ้ พื้นที่แค่เพิงหมาแหงน หลบแดดฝนได ้แค่นิดหน่อย

เท่านั้น




ซ่า!!



“นั่นไง เทลงมาละแม่ง” ดีที่ขนแบ็กดรอปและสัมภาระมา

หมดแล ้ว เราสี่คนเลยยื่นเรียงแถวหน้ากระดานหลบฝนไป

ก่อน



“ท ายังไงก็ได ้ให ้ฝนหยุดตกเถอะว่ะ” ไอ ้ทูจุดประเด็นขึ้น




“ให ้ไอ ้เติร์ดไปปักตะไคร ้ดิ มันยังซิงอยู่”

“สังคม...กูกลัวจะแล ้งไปถึงชาติหน้า” พูดขนาดนี้ก็ต่อย

ตัวๆ กับกูเถอะเชี่ยทู




“ท าอย่างนี้ดิ” คราวนี้ไอ ้ค่ายเสนอบ ้าง แต่มันไม่ได ้พูด

อย่างเดียวเพราะเล่นเอื้อมมือด ้านๆ มาดึงแก ้มของผมจนยืด

ด ้วย



“ท าแบบนี้ฝนจะได ้ไม่ตกเหรอวะ” ไอ ้โบนถามอย่างสงสัย

เอาจริงๆ กูก็สงสัยด ้วย เจ็บด ้วยเนี่ย




“เปล่า แค่หมั่นเขี้ยวไอ ้เติร์ดเฉยๆ”



“โว๊ะ เกินไปมั้ยคนเราอ่ะ” ผมรีบปัดมืออีกฝ่ ายออกจาก

หน้าอย่างเคืองๆ ฝนตกขนาดนี้คงไม่มีคนโง่ฝ่ ามารับบัตร

ชื้นๆ ถึงตรงนี้หรอก แต่จะให ้ยืนเตะน ้าที่สาดเข ้ามาตรง

ปลายตีนหรือเหม่อมองหลังคาที่มีเม็ดฝนหล่นกระทบพื้นไม่


รู้จบก็คงจะอินดี้กันเกินไปหน่อย เพราะงั้นไอ ้ทูเลยเป็นฝ่ าย

หาเรื่องชวนคุย



“ฝนตกแบบนี้คิดถึงเมื่อปีก่อนเลย วิ่งฝ่ าฝนกันมาเรียน”



“อ๋อ กูจ าไอ ้เติร์ดได ้ แม่งยังเอาเชือกผูกรองเท ้าห ้อยคอ

แล ้ววิ่งตีนเปล่ามาคณะอยู่เลย”




“ท าไมกูไม่รู้เรื่องวะ” จู่ๆ ไอ ้ค่ายก็พูดขึ้น ผมสามคนเลย

หันขวับไปมองมันก่อนจะระลึกความทรงจ าในอดีต




“ตอนนั้นมึงติดเมียป่ ะวะ จ าได ้ว่าโดดคลาสบ่อยกว่าเข ้า

เรียนอีก” และไอ ้โบนก็เป็นคนไขความกระจ่างให ้ ตอนนั้น

อย่าพูดว่าไอ ้ค่ายติดเมียเลย ติดนมมากกว่า เพราะมันไม่ได ้

ควงคนเดียวแต่เปลี่ยนผู้หญิงบ่อยยิ่งกว่ากางเกงใน



นับเป็นช่วงที่ชอกช ้าระก าใจที่สุดในชีวิตผมแล ้วมั้งครับ ปี

สองเทอมสอง ช่วงเวลาที่พีคสัดๆ ของการมีความรัก




“ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้เลยมั้งว่าไอ ้เติร์ดชอบมึง รู้งี้จีบก่อน

ก็ดี ปากแม่งนุ่มฉิบหาย”



“ไอ ้โบน ไอ ้สัด!” ถ ้าไม่ติดว่าผมยืนคั่นกลางอยู่มันทั้งคู่

คงถลาเข ้าไปคลุกวงในกันเรียบร ้อย แต่ท าไมประเด็นต ้อง

พุ่งเป้ามาที่กูอีกวะ




“เติร์ดแม่งจูบกูเอง”



“แล ้วมึงก็โดนกูต่อยต่อไงจ าได ้มั้ย”



“จ าได ้ลางๆ แต่เพราะจูบไอ ้เติร์ดหวานเลยจ าได ้ดีกว่า”




“ฆวย”

“ทีมึงยังอยากท ามิดีมิร ้ายไอ ้เติร์ดเลย”




“นั่นสิทธิ์ของกู มึงเป็นแค่เพื่อนอย่าเจ๋อครับ”



“เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ กูไม่ชอบ” ทุกเสียงเงียบลงถนัดตา

หลังจากผมเป็นฝ่ ายหยุดประเด็น แหมมึง...คุยกันข ้ามหน้า

ข ้ามตาไม่เกรงใจกูเลยนะ



“ท ายังไงถึงจะชอบ” ไอ ้ค่ายถามต่อ




“ซื้อรถใหม่ให ้กูสิ เอาแบบสปอตเท่ๆ ราคาสิบล ้านอัพ”



“มึงชอบแบบนี้จริงดิ เดี๋ยวป๋ าจัดให ้”



“กูประชดมั้ย” ไอ ้นี่ก็เป็นจริงเป็นจังกับทุกอย่างเลยโว ้ย

ตอนนี้เขาคงยาวกว่าควายแล ้วมั้ง ด ้วยความที่จะด่าควายก็


สงสารควายผมจึงเบี่ยงประเด็นไปพูดเรื่องใหม่ทันที “แล ้ว

เดี๋ยวแจกบัตรเสร็จจะไปไหนกันต่อ”



“กลับกับมึงไง” ไอ ้ค่ายตอบอย่างไวว่อง ก่อนจะหันไป

เขม่นกับไอ ้โบนที่ชูโทรศัพ์มือถือขึ้นมาแล ้วพูดเป็นเสียง

กระซิบ




“มีนัดกับสาว”

“แล ้วมึงอ่ะไอ ้ทู” ผมหันไปถามคนที่เงียบสุดใน

สถานการณ์ มันแม่งเงียบมาสักพักละ มัวแต่มองฝน มองน ้า


ราวกับก าลังคิดวิตกเรื่องอะไรสักอย่าง



“กูเหรอ เดี๋ยวกูไปกับรุ่นพี่ แม่งบอกจะมารับไปดูหนัง”



“อืม” ก็เป็นปกติของมันอยู่แล ้ว “ว่าแต่...ดูกับแก๊งไหน

วะ”




“พี่อั้น”



“ไอ ้พี่อั้นเนี่ยนะ มึงไปสนิทกับมันตอนไหน!”



“โหยยย พี่มันเป็นผู้ช่วยผู้ก ากับมั้ย มันก็ต ้องมีดีลงานกัน

บ ้างสิวะ”




“เออ”



ไม่มีใครถามอะไรกลับไปอีกนอกจากรอให ้ฝนหยุดตก

เกือบครึ่งชั่วโมง แต่ก็ไม่มีท่าทางว่าจะหยุดเลย ต่างคนต่าง

หยิบมือถือขึ้นมาเล่นเป็นการฆ่าเวลา



ไม่นานผู้หญิงคนหนึ่งก็วิ่งฝ่ าสายฝนตรงดิ่งมาหาเราอย่าง


ทุลักทุเล มีจุดประสงค์สองอย่างที่สามารถเดาได ้ตอนนี้คือ

หนึ่ง รีบมาอ่านหนังสือที่หอสมุดมาก หรือสองเลยเวลานัด

รับบัตรละครเวทีมาสิบกว่านาทีแล ้ว เลยต ้องฝ่ าฝนมาอย่าง

จ ายอม




สภาพเปียกปอนแถมยังสั่นงกๆ ท าให ้ผมกับเดอะแก๊ง

ต ้องรีบหาเสื้อคลุมมาให ้คนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว กระทั่งเธอ

เงยหน้าขึ้นมา เราทุกคนก็เหมือนกับถูกแช่แข็งอยู่ตรงนั้น



“มารับบัตรละครเวทีค่ะ” แจม...




แฟนคนล่าสุดที่เลิกกันไป คนนี้ต ้องเรียกว่าแฟนอย่าง

จริงจังเพราะอยู่ยาวนานที่สุด จะบอกว่ายังไงดี อดีตของไอ ้

ค่าย ยังตามหลอกหลอนเราอยู่ทุกวัน



“เอ่อ...อ ้อ เดี๋ยวขอชื่อจริงก่อนนะครับ รับบัตรแล ้วหลบ

ฝนอยู่ตรงนี้ด ้วยกันก่อนก็ได ้นะ” ค าชักชวนนี้เป็นของไอ ้

โบน แต่ดูจากสีหน้ามันแล ้วก็ดูไม่ได ้ยินดีจะให ้อยู่ด ้วยกัน


เท่าไหร่



“ชื่อสุณิชชา แล ้วนี่เสื้อคลุมค่ายเหรอ” นิเทศศาสตร์มีเสื้อ

คลุมคณะ เป็นสีด า พื้นหลังปักหลายค าว่า Nitade ตัวเท่า

เป้ง แต่คิดว่าคนเป็นแฟนเก่ากันยังไงก็คงจ าของหรือกลิ่น

ของกันและกันได ้บ ้าง




“อื้อ”

“มีความสุขดีนะ” ผมกลืนน ้าลายลงคออึกใหญ่ อึดอัด

อย่างบอกไม่ถูกที่มาอยู่กั้นกลางระหว่างคนสองคนที่มี


สถานะเป็นแฟนเก่า และคือกู...เป็นเพื่อนที่คิดไม่ซื่อมา

ตลอด ตอนนี้แจมก็คงรู้แล ้ว



ตลอดเวลาที่เคยช่วยเหลือเรื่องความรักของไอ ้ค่ายกับ

แจม ผมไม่ได ้เต็มใจเท่าไหร่นัก ถึงจะบอกว่าไม่คิดอะไรแต่

มันก็ย ้อนแย ้งกับตัวเองเหมือนกัน




“ก็โอเค สุขทุกข์ปะปนกันไป แจมอ่ะเป็นไงบ ้าง”



“ก็ไม่เป็นไงนะ แค่เจ็บ”



ประโยคนั้นเหมือนเหล็กแหลมเสียบเข ้ามาที่ขั้วหัวใจโดย

ไม่ทันตั้งตัว เกลียดสถานการณ์แบบนี้มาก เลือกได ้ก็คงไม่

พาตัวเองมาอยู่ในจุดนี้




“แล ้วเติร์ดล่ะ คงมีความสุขดีเนาะ” สักพักค าถามก็เปลี่ยน

เป้าหมายมาที่ผมแทน แล ้วคือจะให ้กูตอบว่าอะไรวะ แฮปปี้

ดีเพราะไอ ้ค่ายตามจีบอยู่ หรือบัดซบมากๆ ที่เจอมันบดปาก

กับคนอื่นเมื่อไม่นานมานี้ ค าตอบแบบไหนที่ท าให ้คนฟังไม่

รู้สึกแย่วะ




เพราะเลือกไม่ได ้ว่าจะพูดอะไรออกไปเลยเลือกที่จะเงียบ

สักพักไอ ้ทูก็สะกิดไหล่ผม แล ้วดึงให ้ขยับไปอยู่ข ้างมัน

อย่างน้อยก็ไม่อึดอัดเหมือนตอนอยู่คั่นกลางระหว่างคนสอง

คนหรอก




“ฮ่าๆ นี่ฝนก็ตกอยู่เนาะ ไม่มีร่มมาซะด ้วยสิ” ไอ ้โบนพยา

ยามท าให ้บรรยากาศที่คุกรุ่นดีขึ้น ซึ่งก็เหมือนจะไม่เป็นไป

ตามคาดเมื่อแจมไม่แม ้แต่จะหันมาคุยกับมัน กลายเป็นว่า

พื้นที่แคบๆ ที่มีคนห ้าคนยืนอยู่ถูกก าแพงที่มองไม่เห็นกั้น

เอาไว ้




จะมีก็แต่ไอ ้ค่ายเท่านั้นที่ดูไม่ทุกข์ร ้อนเท่าคนอื่นๆ ทั้งที่

มันคือตัวปัญหา



“มารับบัตรละครคนเดียวเหรอ” เสียงทุ้มดังแว่วเข ้าหู

ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ผม

รู้สึกได ้ถึงความอึดอัดที่ขยายวงกว ้างอยู่ตอนนี้




“ใช่ ซื้อมาสามใบกะไปดูกับเพื่อนสนิทน่ะ”



“ขอบคุณมากที่ช่วยอุดหนุนคณะเรา”



“ตอนแรกเห็นค่ายเล่นเป็นพระเอกเลยอยากเข ้าไปดู แต่

ตอนนี้คงไม่ได ้ดูแล ้ว”




“เสียดายเหมือนกัน”

“ขาหักเป็นไงบ ้าง”




“ถอดเฝือกออกแล ้ว เดินได ้ตามปกติแค่งดวิ่ง”



“เราตามข่าวค่ายตลอดเลยแม ้จะโดนบล็อก”



“...!!” ที่ผ่านมาใครผิดมากกว่ากันวะ ผมที่คิดไม่ซื่อกับ

เพื่อนสนิท ไอ ้ค่ายที่รักใครไม่เป็น หรือแจมที่เอาแต่ใจ แต่

เราสามคนต่างมีส่วนร่วมที่ท าให ้เรื่องทุกอย่างลงเอยแบบนี้




“ค่ายเคยคิดว่าเราจะกลับมารักกันได้มั้ย”



ผมถึงกับยืนกลั้นหายใจหลังจากได ้ยินอดีตแฟนเก่าของ

ไอ ้ค่ายพูดประโยคหนึ่งออกมา ความเจ็บพลันแล่นเข ้ามาใน

ความรู้สึก กลัวว่าไอ ้ค่ายจะตอบไม่ดี




แต่ที่กลัวกว่าคือทั้งคู่จะกลับไปรักกันอีกรอบ ผมแม่ง

โคตรเห็นแก่ตัวเลยว่ะ



เมื่อก่อนการแอบรักของผมคือการพิมพ์ข ้อความผ่านแชต

แล ้วมานั่งลุ้นว่ามันจะอ่านหรือไม่อ่าน ตอบหรือไม่ตอบ นั่ง

ลุ้นว่ามันจะคิดลึกซึ้งกับประโยคที่เราทักไปหรือตีมันเป็น

ค าพูดธรรมดาของความเป็นเพื่อน




เช่นค าว่าคิดถึงนะ มันจะคิดว่าเป็นคิดถึงแบบไหน

ค าว่ารักนะ มันจะคิดว่ารักเป็นแบบไหน บางทีผมก็มานั่ง

กังวล ท าได ้แค่พิมพ์ข ้อความทิ้งไว ้แต่ไม่มีโอกาสส่งไป ซึ่ง


ผมไม่อยากเป็นแบบนั้นแล ้ว



“คิดว่าไม่นะ”



“เพราะเติร์ดเหรอ”



“เราเลิกกันก่อนที่ไอ ้เติร์ดจะมีอิทธิพลกับความรู้สึกของ


เราอีก เพราะงั้นอย่าให ้มันต ้องมาเกี่ยวข ้องกับการเลิกกัน

ของเราเลย ที่เลิกเพราะค่ายไม่ดีเอง” เพิ่งเห็นครั้งแรก ว่า

ไอ ้ค่ายก็ยอมรับผิดด ้วยตัวเอง ปกติแม่งชอบโทษฟ้าโทษ

ดิน โทษโชคชะตาบ ้าบอของมัน ทั้งที่มันทั้งนั้นเป็นคนก่อ



“ค่ายก็ไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ”




“ยอมรับ”



“ใจหมา”



เจ็บสัด! หงอเลยไอ ้เสือของกู เลิกกันได ้ไม่ดีด ้วยไง บอก

เลิกกันผ่านโทรศัพท์หลังจากนั้นก็ตัดขาดทุกอย่างราวกับ

คนไม่รู้จักกัน นี่ถ ้าวันหนึ่งมันเกิดขึ้นกับผม ใครจะรับประกัน


ความเจ็บปวดนี้ได ้วะนอกจากโทษตัวเองที่เลือกตั้งแต่แรก

“เป็นเพื่อนกันได ้มั้ย” แจมถามอีก




“คงไม่ได ้หรอก เราไม่เป็นเพื่อนกับแฟนเก่า”



“เข ้าใจ เออนี่ฝนไม่ยอมหยุดตกสักที แต่เรารีบคงต ้องไป

ก่อนแล ้ว”



“เอาเสื้อคลุมเราไปสิ อย่างน้อยก็ช่วยบังฝน” แจมไม่

ตอบอะไรนอกจากพยักหน้า แล ้วดึงเสื้อคลุมคณะขึ้นมา


คลุมหัวแล ้ววิ่งฝ่ าสายฝนไป ไกลออกไปจนลับสายตา



ไม่มีค าบอกลามากกว่านั้น ไม่มีรอยยิ้มส่งท ้ายให ้กันและ

กัน เป็นการจากลาแค่ต่างคนต่างแยกย ้ายแล ้วมีชีวิตเป็น

ของตัวเอง



จะเจ็บแค่ไหนวะ




จะร ้องไห ้หนักแค่ไหน



จะกอดเสื้อคลุมตัวนั้นแล ้วเอาแต่คิดถึงอดีตมั้ย



ผมคิดไปสารพัด ลองเอาใจตัวเองเข ้าไปอยู่ในตัวผู้หญิง

คนนั้น ที่ผ่านมา...ถูกแล ้วเหรอที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้ ถึงแม ้


ผมจะไม่ได ้เป็นคนแย่งความรักของใคร แต่ก็รู้สึกผิดขึ้นมา

อยู่ดี

“ค าว่าใจหมานี่เจ็บจี๊ดดดดดดดไปถึงกะโหลกเลยว่ะ

ฮ่าๆ” เห็นเขาไปหน่อยล่ะได ้ทีไอ ้โบนเลยครับ มันหยอกไอ ้


ค่ายด ้วยรอยยิ้มซึ่งคนโดนพาดพิงก็ไม่ได ้มีท่าทีอะไร

นอกจากตอบกลับเสียงเรียบ



“กูไม่เจ็บนะ กูด ้าน”



“มึงหักอกคนมาเยอะไง แต่แจมนี่คือคนที่มึงคบนานสุด

คนนึงเลยนะ”




“ก็ไม่ถึงปีป่ ะวะ”



“ถือว่านานในบรรดาผู้หญิงของมึง ครั้งหนึ่งมึงเคยบอกว่า

ชอบเขามาก”



“นั่นมันก่อนที่เราจะคบกันต่างหาก ก่อนที่เราจะได ้รู้ว่า


ความรักมันมีเงื่อนไขมากกว่านั้น”



“...”



“สักวันเขาก็ต ้องไปเจอคนดีๆ ต่อให ้ตอนนี้เรายังคบกันอยู่

อนาคตก็ต ้องเลิกกันอยู่วันยังค ่า ความคิดของเราไม่ตรงกัน

พยายามไปคนที่เจ็บที่สุดก็คือแจม”




“ดูเป็นพระเอกนะ แต่มันไม่ได ้ฟังขึ้นเลยว่ะ”

“ก็ไม่ได ้อยากท าให ้ตัวเองดูดีนี่หว่าก็กูเหี้ยจริง แล ้วรู้มั้ย

ว่าที่ผ่านมาท าไมกูถึงตัดคนคนหนึ่งออกจากชีวิตได ้ฉึบฉับ


ขนาดนั้น เพราะกูไม่อยากยื้อไง...ตัดไปเลยเขาก็จะได ้ตัด

ใจ แต่ถ ้ายื้อยังติดต่อกันอยู่ มึงคิดว่าเขาจะลืมกูเหรอ มีแต่

อยากกลับมาคืนดี สุดท ้ายก็เจ็บกันวนลูปไปอีก แบบนี้

แหละดีแล ้ว”



“...”




“ให ้มันเป็นปัญหาของกูเถอะ”



“แต่บางทีกูก็ซวยที่ไปอยู่แทรกกลางระหว่างพวกมึงไง

ครับค่าย” ผมอดพูดไม่ได ้



“ต่อไปไม่มีอีกแล ้ว ขอโทษที่ท าให ้มึงต ้องมาเจออะไร

แบบนี้”




“...”



“ขอโทษที่เห็นแก่ตัวไม่อยากเสียอะไรไปสักอย่าง ครั้ง

หนึ่งกูเคยบอกว่ากูดูแลของมีค่าไม่ได ้ แต่มึงก็เป็นสิ่งแรกที่

กูอยากดูแลนะ”




“มึงดูหนังเยอะไปแน่ๆ ขออะไรล ้างตาหน่อยเถอะเวรเอ๊ย”

หมดมู้ดทันที เมื่อเพื่อนโบนขัดจังหวะ

เอาเป็นว่าผมรับไว ้แต่ก็ไม่ปักใจเชื่อ อย่างที่รู้กันดีวีรกรรม

ของไอ ้ค่ายยาวเป็นหางว่าว วันไหนที่มันพิสูจน์ตัวเองให ้


เห็นผ่านการกระท ามากกว่าค าพูด วันนั้นผมถึงให ้โอกาสมัน

ได ้ดูแล



ภารกิจขายบัตรท่ามกลางฝนที่เทกระหน ่าลงมายังคง

ด าเนินต่อไป หลายครั้งที่เราต ้องตอบข ้อความผ่านแฟนเพจ

เพราะมีคนแคนเซิลกะทันหันเนื่องจากอากาศไม่เป็นใจ

ดังนั้นการขายบัตรเลยกินเวลาไม่นาน ถ ้านับจากนี่ยืนง่อยๆ


กันอยู่ก็แค่สามชั่วโมง



แต่ฝนไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตกเลย



“เดี๋ยวกูจะเข ้าคณะก่อนกลับ”



“กูด ้วย” ไอ ้ทูบอกกับไอ ้โบนพูดขึ้น




“กูจะกลับเลย เติร์ดมึงไปกับกู” ไอ ้ค่ายมัดมือชก



“งั้นกูสองคนเอาแบ็กดรอปกลับแล ้วกัน เจอกันพรุ่งนี้นะ”

ไม่พูดเปล่าเพื่อนรักทั้งสองก็ช่วยกันแบกแบ็กดรอปเอาไว ้

เหนือหัวเพื่อใช ้ เป็นก าบัง




“เชี่ยค่าย”

“ว่าไง”




“อย่าท าเพื่อนกูเสียใจนะ”



“เออ”



จากนั้นมันทั้งคู่ก็วิ่งฝ่ าฝนไปแบบไม่หันหลังกลับมามอง

คนข ้างหลังแม ้แต่เสี้ยว แล ้วเมื่อกี้ค าพูดของไอ ้ทูคืออะไรวะ

ฝากฝังเหมือนกูเตรียมจะแต่งงานฟังแล ้วเลี่ยนฉิบหายเลย




“เสื้อกูไม่อยู่แล ้ว เอาหนังสือแล ้วกัน” หลังมองดูเพื่อน

สองคนวิ่งไปจนไกล มือหนาก็แกะกระเป๋ าเป้พลางหยิบ

หนังสือคณะขึ้นมายื่นให ้



“ไม่เอา เปียกแล ้วก็อ่านไม่ได ้อีก”




“หนังสือกูไม่ส าคัญเท่าหัวมึงหรอก”



“จริงๆ มึงก็ไม่ได ้รักหนังสือขนาดนั้น ไม่ต ้องมาท าเป็น

พูดดี”



“เดี๋ยวกูฟาดปากด ้วยหรรมเลยนะ”




“ไอ ้ค่าย ไอ ้เหี้ย”

“ฝนตกเดี๋ยวมึงไม่สบาย”




“กระเป๋ ากูก็มีใช ้ บังได ้”



“มึงหวงหนังสือข ้างในจะตายท าไมกูจะไม่รู้”



“งั้นรออยู่ตรงนี้จนกว่าฝนจะหยุดแล ้วกัน” ทั้งที่ไม่รู้ว่ามัน

จะหยุดเมื่อไหร่ก็ตาม




“เห็นด ้วย” เรายืนอยู่เงียบๆ ไม่นานคนข ้างๆ ก็ถามต่อ

“โกรธกูป่ ะที่ยกเสื้อให ้แจมไป”



“โกรธท าไมวะก็ของมึง”



“ฝนตกหนักกูเลยให ้เสื้อไป เพราะวิ่งไปส่งเขาไม่ได ้อีก

แล ้ว”




“...”



“แต่กับมึงเรายังต้องเดินไปด้วยกันอีกไกล ไม่ต้องมี

เสื้อก็ได้แค่มีกันก็พอ”



TRAILER




“ใส่เสื้อกันฝนมาท าไมวะ ไม่เห็นว่าฝนจะตกสักเม็ด”

“เดี๋ยวแม่งก็ต ้องตก”




“มึงนั่งรถไฟ ไม่ได ้จะเดินไปอย่าเว่อร์”



ผมไม่เข ้าใจว่าท าไมสามโหดที่เราว่าคูลนักหนาถึงได ้ท า

ตัวปัญญาอ่อนขนาดนี้ นี่แม่งระริกระรี้มาหลายวันแล ้วครับ

หลังจากปักหมุดและได ้วันเดินทางที่แน่นอน



เวลาเดินเร็วมากในทุกๆ วัน...




มหา’ลัยปิดเทอมภาคเรียนแรกด ้วยการสอบที่ท าเอาหืด

จับ นี่เป็นการเดินทางที่แทบไม่ได ้วางแผนใดๆ รู้แค่จะไป

จุดหมายไม่ได ้ส าคัญเท่าระยะทาง แถมยังต ้องคิดบทกัน

สดๆ อีกต่างหาก เราแบกเอาค าว่ามิตรภาพใส่ไว ้เต็มกระเป๋ า

มีกล ้องตัวโปรดของใครของมัน หนังสือคนละเล่ม กีตาร์

หนึ่งตัว เพลงในไอพอดหนึ่งพันเพลง รองเท ้าแตะหนีบ


แว่นตา และหมวกคนละใบ



มันก าลังเริ่มต ้นขึ้นอีกครั้ง



กรุงเทพฯ – สุราษฎร์ฯ อะเกน



ฉากที่หนึ่ง ชานชาลาหมายเลขเจ็ด / หัวล าโพง / ตีสี่สี่


สิบห ้านาที

“นี่ๆ ตรงนี้” ร่างสูงหยุดยืนอยู่ตรงเบาะนั่งฟากหนึ่ง มันชี้

ให ้คนที่เพิ่งเดินเข ้ามาอย่างผมดูก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งด ้วยสี


หน้ายิ้มแย ้ม



เบาะที่เรานั่งเป็นเบาะยาวนั่งได ้สองคนหันหน้าเข ้าหากัน

เพราะงั้นเลยพอกับจ านวนสมาชิกสี่คนพอดีเป๊ ะ เวลาเช ้ ามืด

ขนาดนี้ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ ดูรวมๆ แล ้วเหมือนอยู่บนตู้

รถไฟสายมรณะมากกว่า




นานๆ ทีจะมีแม ้ค ้าเดินหาบของมาขาย พวกน ้าอัดลม

ขนมกินเล่น หรือข ้าวกล่องเล็กๆ ที่ขายโคตรแพง



“มึงเริ่มจดเลยไอ ้เติร์ด ฉากแรกหลังจากขึ้นรถไฟ...ซื้อไก่

ป้าคร ้าบ” ไอ ้โบนโบกมือเรียกแม่ค ้าไหวๆ



“เอาอะไรดีคะลูก”




“ไก่ครับ เอาข ้าวเหนียวด ้วย”



“น ้าดื่มมั้ยคะ”



“โค ้กแล ้วกัน กระป๋ องละเท่าไหร่ป้า”




“สี่สิบห ้าบาทจ ้า”

เหยดแหม่...แพงกว่ากาแฟที่มอกูอีก จ าได ้ว่ากระป๋ องนี้

แค่สิบสามบาท แต่ราคากลับโหดบรรลัยแค่ได ้ขึ้นมาอยู่บน


รถไฟ นี่ผมควรจดเรื่องนี้ลงไปในบทหนังด ้วยมั้ยเนี่ย



“งั้นเอาแค่ไก่พอครับ ข ้าวเหนียวไม่ต ้อง” จ่ายเงินทอน

ตังค์กันเสร็จสรรพผมก็เห็นไอ ้โบนกับไอ ้ทูนั่งแทะซี่โครงกัน

หรรษา ไหนเนื้อ?



“กูขอเส ้ นเรื่องก่อน” อย่างน้อยก็ควรเข ้าวิชาการกันบ ้าง


ไม่ใช่มาเพื่อแดกอย่างเดียว



“เส ้ นเรื่องคือความสัมพันธ์ของกลุ่มคนที่เดินทางโดย

รถไฟในหน้าฝน เริ่มต ้นด ้วยค าว่าเพื่อน และลงท ้ายด ้วยค า

ว่าแฟน” โอเค กูจะได ้เขียนเป็นคอนเส็ปเอาไว ้



“เดี๋ยวค่อยเขียนก็ได ้ มึงตื่นแต่เช ้ านอนก่อนเถอะ” ไอ ้ค่าย


ดึงสมุดออกจากมือผมไปวางไว ้บนตัก



“กูไม่ง่วง” ดูเชี่ยโบนดิ แม่งยังแทะไก่อยู่เลย



“งั้นพูดถึงอนาคตของเราดีกว่า”



“นั่นกูยิ่งไม่อยากพูดเลย”




“ถ ้าเดินทางเฉยๆ โดยไม่ท าอะไรหนังแม่งจะยิ่งเอื่อยนะ


Click to View FlipBook Version