The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kim.pongsakorn.26081998, 2019-06-10 12:45:47

tmp

หลังประชุมเฮดแต่ละฝ่ ายเสร็จ ไอ ้ค่ายก็โทรเข ้ามาอย่างรู้

งาน ผมมองหน้าจอที่ปรากฏชื่อมันชั่วครู่ราวกับใช ้ ความคิด


แต่สุดท ้ายก็ยอมกดรับสายแต่โดยดี



“ว่าไงมึง”



[ว่างมั้ย วันนี้ไปกินข ้าวกับดูหนังกัน]




“อืม...เอาดิ” ใจของผมเต ้นแรง รู้สึกดีใจทุกครั้งที่มันชวน

ออกไปข ้างนอก แม ้จะบอกตัวเองเสมอว่าทุกอย่างที่คนตัว


สูงท าไปเพราะความเป็นเพื่อน ผมก็อดดีใจไม่ได ้อยู่ดี



ถึงไม่ได ้ครอบครอง แค่ได ้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนที่

รักมาตลอดมันก็คุ้มค่าแล ้ว




[งั้นออกมาที่ลานจอดรถคณะเลย ขับตามๆ กันไป] เสียง

ทุ้มตอบกลับมาอีก ผมเลยอดถามถึงบุคคลหาตัวจับยากอีก

สองคนด ้วย




“ไอ ้ทูกับเชี่ยโบนล่ะ”



[มีนัด เหลือแต่มึงกับกูเนี่ย เร็ว! รีบออกมากูหิว]




ไอ ้ค่ายตัดสาย ผมจึงสับเท ้าไปข ้างหน้า ตรงดิ่งไปยังลาน

จอดรถที่ซึ่งมีร่างสูงรออยู่ตรงนั้น ผมมองดูมันที่ยืนพิงชาวี

ลูกรักด ้วยรอยยิ้ม มันเองก็ยิ้มกลับมาก่อนจะชวนกันไปยัง


สถานที่นัดหมาย



เราแวะที่ร ้านอาหารสไตล์อิตาเลี่ยนแห่งหนึ่ง สั่งของกิน

กันมาซัดจนหน าใจก็เดินทางต่อ ไอ ้ค่ายจูงมือผมเข ้าไปใน

ร ้านเครื่องส าอางขนาดใหญ่ ที่ซึ่งมีแต่ผู้หญิงเดินอยู่กันเต็ม


ไปหมด ท าเอาคนไม่คุ้นอย่างผมยืนตัวลีบไปพร ้อมๆ กับคน

ข ้างๆ เนี่ยแหละ




“มึงจะซื้ออะไรวะ แล ้วท าไมแม่งต ้องมายืนอยู่ตรงนี้ด ้วย

เนี่ย” การมายืนอยู่หน้าแผนกลิปสติกเป็นอะไรที่ผมอาย

แทบแทรกแผ่นดินหนี




“กูอยากซื้อลิป เอาไปให ้หญิง” หน้าของผมตึงขึ้นมา

ทันที แต่ก็ไม่ได ้พูดอะไรออกไปเพราะยอมรับไอ ้ค่ายที่เปย์

ผู้หญิงไปทั่วอยู่แล ้ว ปกติผมก็เห็นมันตามซื้อน ้าหอมและ

เครื่องส าอางให ้สาวๆ ประจ า แต่ปกติมันไม่เคยเรียกให ้


เพื่อนคนไหนมาช่วยเลย ยกเว ้นวันนี้



“ท าไมไม่ให ้เขามาเลือกเองวะ”




“ไม่รู้ดิ อยากเลือกให ้ จะได ้ดูเหมือนใส่ใจ” ครับ กับคนที่

ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับลิปสติกอย่างกูเนี่ยนะ แล ้วมันก็ถามต่ออีก

“สีนี้สวยมั้ย”




ผมมองลิปสติกสีชมพูในมือของเพื่อนสนิท ก่อนจะพยัก

หน้าหงึกหงัก



“อืม”




“แล ้วนี่อ่ะ”



“นี่ก็สวย”




“แล ้วอันนี้อ่ะ สามอันนี้อันไหนสวยกว่ากัน”



“เขามีปากเดียวมั้ย เลือกท าไมตั้งหลายแท่ง”




“ผู้หญิงไม่ได ้คิดเหมือนมึงเว ้ย เลือกมา!”



“นี่ชมพู นี่ก็ชมพู อันนี้...ก็ชมพู ต่างกันตรงไหน”




“ใช่มะ?” เหมือนควายสองตัวยืนเลือกลิปสติกเลยครับ

แน่นอนว่าผมกับไอ ้ค่ายแยกไม่ออกว่าอันไหนสวยหรือ

แตกต่างกันยังไง จนกระทั่งพนักงานเดินเข ้ามาให ้ความ


ช่วยเหลือ

“ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายต ้องการลิปแบบไหนคะ” ไอ ้ค่าย

สะกิดไหล่ผมยิกๆ ให ้เป็นฝ่ ายตอบ ส่วนตัวเองก็เหม่อมอง


หลอดไฟและเพดานเป็นการหนีปัญหา โธ่ไอ ้ควาย!



“แบบที่ทาปากครับ” โฮร่ลลลลลลล นับเป็นค าตอบที่

สิ้นคิดมาก




“ลิปสติกจะมีหลายรูปแบบนะคะ ทั้งแบบแท่งและลิควิด

แบบเนื้อแมทต์ เนื้อซาติน หรือจะเป็นทินท์ไว ้ทาบางๆ ใสๆ”

โอ ้โหที่พูดออกมานั้นไม่เข ้าใจเลยครับ ผมจึงชี้ไปที่ลิปสติก


ที่เลือกกับไอ ้ค่ายก่อนหน้านั้น



“เอาแบบนี้ครับ”




“ถ ้าอยากรู้ว่าชอบสีแบบไหนลองสวอชได ้นะคะ” สวอช?



สักพักเธอก็ถูกดึงตัวไปให ้แนะน าสินค ้ากับลูกค ้าคนอื่น

ทิ้งให ้ควายสองตัวมองหน้ากันพร ้อมกับค าถามที่ว่า สวอช


ในที่นี้หมายถึงอะไร



“เติร์ด”




“ไร”

“กูขอลองกับมึงหน่อยดิ” เท่านั้นแหละครับ ลิปสติก

ตัวอย่างก็ถูกละเลงลงปากจนกูอยากร ้องไห ้ เห็นไอ ้ค่าย


หัวเราะชอบใจกูยิ่งน ้าตาตกใน ส่องกระจกทีไรสติแทบ

กระเจิง ปล่อยให ้อีกฝ่ ายลองผิดลองถูกอยู่นานจนพนักงาน

คนเดิมเดินกลับมา



“มีสีที่ชอบมั้ยคะ”




“แบบบนปากเพื่อนผมนี่ครับ โอเคมั้ย”




“หา!” เล่นเอาตะลึงกันไปทั้งร ้าน ปากบนโทนสีชมพู

ปากล่างมีความเป็นเกาหลีออกสีส ้ มนิดๆ โอ๊ยไอ ้เหี้ย ต่อไป

ถ ้าชวนมาท าอะไรแบบนี้ไม่ต ้องเรียกกูครับ เป็นเพื่อนไม่ใช่

หนูทดลอง กว่าจะเช็ดสีออกพี่เขาต ้องหาพวกคลีนซิ่งมาให ้


วุ่นวายกันทั้งร ้าน จ่ายตังค์เสร็จผมนี่รีบวิ่งออกมาแทบไม่

เห็นฝุ่ นเลย



แน่นอนว่าไอ ้ค่ายได ้สิปสติกดั่งใจอยู่หลายแท่ง หมดเงิน


ไปก็เยอะ แต่เพื่อนรักหักเหลี่ยมแค ้นไม่ได ้หยุดแค่นี้น่ะสิ

มันยังลากผมเข ้าไปในช็อปแบรนด์เนมช็อปหนึ่งเพื่อเลือก

ซื้อก าไลข ้อมือด ้วย




“ไอ ้สัดโคตรแพง”

“ก็ดูเฉยๆ อันนี้สวยมั้ย” มือหนายื่นก าไลสีเงินวงหนึ่งให ้

ผมดู




“กูเลือกก าไลไม่เป็นหรอก มึงเลือกเถอะ” ไอ ้ค่ายไม่ได ้

รบกวนผมอีกนอกจากยืนเลือกของเงียบๆ เมื่อจ่ายเงินเสร็จ

เราก็ออกมา แวะซื้อโน่นนี่นั่นอยู่หลายอย่าง กระทั่งมาหยุด

อยู่ตรงร ้านหนังสือขนาดใหญ่ มีหนังสือหลายเล่มที่ผม


อยากได ้แต่ก็เลือกได ้แค่บางเล่มเท่านั้น



“คิดอะไร” ร่างสูงที่ยืนซ ้ อนอยู่ด ้านหลังถามขึ้น




“ก าลังคิดว่าจะซื้อเล่มไหนดี”



“ก็เอามันไปทั้งหมดเนี่ยแหละ”




“ห่า กูซื้อมาสี่เรื่องแล ้วเนี่ย ห ้าเล่มคือหมดโควตาแล ้ว

เอาเล่มนี้ละกัน” ตัดสินใจในวินาทีสุดท ้ายด ้วยการหยิบ

หนังสือเกี่ยวกับการท าหนังขึ้นมา ก่อนจะเดินไปจ่ายเงินที่


หน้าเคาน์เตอร์



“ไปเร็ว เดี๋ยวดูหนังไม่ทัน” ใบหน้าหล่อเหลาพยักหน้า

เป็นเชิงเข ้าใจ เราเลยเดินคู่กันไปที่โรงหนังพร ้อมของในมือ


เยอะแยะเต็มไปหมด

มึงรู้มั้ย...ว่าวันนี้กูมีความสุขแค่ไหน




ได ้กินข ้าวกับมึง ซื้อของกับมึง เดินเล่นและได ้ดูหนัง

ด ้วยกัน ถึงแม ้จะตัดใจไม่ขาดในตอนนี้ แต่สิ่งที่ผมกับมัน

เป็นอยู่ดีที่สุดแล ้ว



เรานั่งข ้างกันในโรงหนัง เหตุการณ์มันแตกต่างจากวันนั้น


มากที่ผมท าได ้แค่เฝ้าดูอยู่ข ้างหลัง ตอนโกรธกันแม่งโคตร

แย่ และผมรู้ดีว่าจะไม่มีทางให ้มันเกิดขึ้นอีก




ตั้งแต่เริ่มเรื่องจวบจนเอนเครดิตปรากฎ เวลาแค่สอง

ชั่วโมงหล่อเลี้ยงหัวใจที่เคยขาดน ้าของผมให ้ชุ่มชื้นขึ้นมา

แม ้หนังจะไม่ได ้โรแมนติกเลยก็ตาม




“หนังคลีเช่นะ แต่ท าออกมาดีมาก” ทั้งโรงเหลือเพียงผม

กับไอ ้ค่ายที่ยังคงนั่งอยู่ คุยกันไป มองดูชื่อที่เลื่อนผ่าน

สายตาอย่างเพลินๆ




“คิดเหมือนกัน ชอบตัวบทกับแอคสุดท ้ายมาก”



“ตราตรึงสาดดดด”




“แล ้วนี่เดี๋ยวไปไหนต่อ” ผมถาม

“เที่ยงคืนกว่าแล ้วมั้ยครับคุณเติร์ด กลับห ้องสิวะ”




“เออ กูลืม”



“ฝากของไว ้ที่ล็อกเกอร์ใช่มั้ย เดี๋ยวแวะเอาแล ้วกลับกัน

เลย” อยากหยุดเวลาเอาไว ้ให ้นานอีกหน่อย แต่ก็รู้ว่าเป็นไป

ไม่ได ้ จะโลภท าไมแค่ได ้อยู่กับเพื่อน




ผมเดินคิดอะไรเพลินๆ โดยมีไอ ้ค่ายก ้าวเท ้าเคียงข ้างไม่

ห่าง เราจอดรถไว ้คนละที่เลยต ้องแยกกันตรงชั้นอันเดอร์


กราวด์ ก่อนไปมือหนายื่นถุงพลาสติกสีขาวใส่มือของผม

โดยไม่เฉลยว่าสิ่งที่ให ้นั้นคืออะไรกันแน่



“อะไร”




“เออน่ะ”



“ให ้กูเหรอ”




“ใช่ เจอกันพรุ่งนี้นะ อย่าตื่นสายซะล่ะ” ไอ ้ค่ายยกมือ

ขึ้นมายีหัวของผมอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนจะปลีกตัวเดินไปอีก

ทาง ปล่อยให ้ผมจ ้องมองถุงพลาสติกในมือเงียบๆ และเมื่อ


ลองแง ้มดูนั้นผมก็ได ้เห็น...

หนังสือเล่มที่ผมอยากได ้บรรจุอยู่ในนั้น




รู้มั้ยว่ามันรู้สึกดีแค่ไหน ถึงไม่ได ้ใจของอีกฝ่ าย แต่ถ ้า

ได ้รับการใส่ใจ มันก็เพียงพอแล ้ว



ซึ้ง น ้าตาก าลังไหล ต ้องรีบเดินไปก่อนจะดราม่ากว่านี้

ฮืออออออ




ทีมเขียนบทพยายามท างานอย่างแข็งขัน สุดท ้ายสิ่งที่

เราพยายามมาตลอดหนึ่งเดือนกว่าๆ ก็ส าเร็จ เมื่อบท


ส าหรับละครเวทีเสร็จสิ้น พี่เชนทร์กับพี่ย ้งยี้เลยถือโอกาส

พากันไปฉลอง โดยมีไอ ้เพื่อนสามคนของผมเป็นติ่งติดสอย

ห ้อยตามไปด ้วย




สถานที่ก็เป็นร ้านอาหารกึ่งบาร์แห่งหนึ่ง เราสั่งอาหาร

และเบียร์มาค่อนข ้างเยอะ นั่งกันตั้งแต่สองทุ่มจนตอนนี้ห ้า

ทุ่มก็ยังไม่มีท่าทีว่าใครจะกลับ




ผมแทบไม่แตะแอลกอฮอล์เลยเพราะกลัวว่าจะปาก

พล่อยพูดอะไรไม่เข ้าท่าอีก อย่างที่รู้กันดี ช่วงหลังมานี้ไอ ้ทู

กับไอ ้โบนจึงคอยปลามผมอีกทางด ้วย แม ้จะเป็นผู้ห่วงใยที่

ดี แต่สภาพพวกมันตอนนี้ไม่ต่างจากหมาข ้างทางเท่าไหร่


เพราะเสือกไปเจอสายแข็งอย่างมนุษย์หมีเข ้า

ชนกันตั้งแต่เริ่มแดกข ้าวยันร ้านแทบปิด หมดก็รินเติมไม่

ปล่อยให ้ขาด สภาพเลยทุลักทุเลอย่างที่เห็น ดีที่พี่ย ้งยี้แก


ชิงกลับก่อน ไม่งั้นคงต ้องมารับกรรมนั่งแบกร่างควายเผือก

หลายตัวขึ้นรถทั้งน ้าตานองหน้าแน่ๆ พี่รอดไปได ้ เพราะงั้น

กรรมหนักจึงตกมาอยู่ที่ผม



โอ ้โห กูจะท ายังไงกับสี่ชีวิตนี้ดีวะเนี่ย




“พี่เชนทร์ ผมว่าพอก่อนเหอะว่ะ เดี๋ยวพี่จะกลับไม่ได ้” ถ ้า

จะเบรกก็ต ้องเบรกที่ไอ ้คนที่เป็นหัวโจกเนี่ยแหละ




“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเมียมารับ” เออขอบคุณ มึงเอาตัวรอดกัน

ได ้เก่งมาก




“พวกมึงสามตัวก็พอได ้ละ กูไม่หามกลับนะเว ้ย”



“ตากูยังใสแจ๋วอยู่เลย” ไอ ้โบนยังคงปากดีอยู่ เมื่อกี้เห็น

วิ่งไปล ้วงคออ ้วกกับไอ ้ทูมา รอดก็บ ้าแล ้วครับไอ ้เวร




ผมต ้องคอยเทน ้าเปล่าใส่แก ้วให ้พวกมันกินเพื่อให ้หาย

สร่างเมา ซึ่งก็พอช่วยได ้บ ้าง จะมีก็แต่ไอ ้ค่ายเนี่ยแหละที่

เดินโซซัดโซเซคล าก าแพงไปเข ้าห ้องน ้าทั้งหน้าแดงก ่า


ปกติมันไม่ค่อยเป็นอย่างนี้นะครับ ผิดก็ตรงที่มาเจอคนพูด

ภาษาเดียวกันแถมบิวด์อารมณ์เก่งอย่างพี่เชนทร์เข ้า ทุก

อย่างเลยเป็นอย่างที่เห็น




ผมนั่งรอไอ ้ค่ายกลับมานั่งที่โต๊ะอยู่นาน แต่มันก็ไม่ยอม

กลับมาสักที จิตใจที่เอาแต่ว ้าวุ่นเร่งให ้ต ้องรีบลุกขึ้นยืนเต็ม

ความสูง เดินตามอีกฝ่ ายเข ้าไปยังห ้องน ้าชาย



โล่งอกไปทีที่เห็นร่างสูงยืนโงนเงินอยู่ตรงโถฉี่




“เยี่ยวนานฉิบหาย”




“อือ”



“รู้ตัวป่ ะเนี่ย พูดจะไม่รู้เรื่องแล ้วมึง” ปากว่า แต่มือก็มอง

ไอ ้ค่ายพยายามรูดซิบกางเกงทั้งสังขารเปลี้ยๆ แบบนั้น ผม


เห็นแล ้วสงสารจึงรีบเข ้าไปพยุงอีกฝ่ ายให ้ล ้างมือจนเสร็จ



“มึงโอเคมั้ย นี่กี่นิ้ว” ผมชูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ขึ้นมา ไอ ้ค่ายก็

ยืนมองทั้งตาปรือแบบนั้น




“...”



“สงสัยจะเมามากจริงๆ เดี๋ยวกูพากลับ รถมึงเดี๋ยวกูบอก


ผู้จัดการร ้านให ้ดูแลก่อน ส่วนไอ ้สอง...” ยังไม่ทันได ้พูด

อะไรต่อผมก็ถูกร่างหนาหนักดันติดกับก าแพงจนต ้องร ้อง

โวยวายออกมา “เฮ ้ ยอะไรวะเนี่ย!”




ใบหน้าของอีกฝ่ ายเลื่อนเข ้ามาประชิดจนได ้กลิ่น

แอลกอฮอล์คละคลุ้งไปทั่วจมูก สมองแม่งว่างเปล่าไปหมด

ไม่รู้ว่าต ้องท าอะไรก่อน นอกจากยืนตาโปนมองดูไอ ้ขี้เมา

อยู่นิ่งๆ




นานอยู่หลายนาทีเหมือนกันกว่าจะรวบรวมสติได ้ ตั้งใจจะ

ผลักคนตัวสูงกว่าออกแต่ไอ ้ค่ายเร็วกว่า เมื่อมันใช ้ สองมือ

ดันผนังเอาไว ้แล ้วล็อกให ้ผมอยู่กับที่




“ไอ ้ค่าย มึงเมาแล ้วนะเว ้ย ไอ ้...อื้อ!”



เสี้ยววินาทีนั้นโลกของผมถูกเหวี่ยงอย่างแรงจนไร ้


ทิศทาง ริมฝีปากของคนตรงหน้าประกบลงบนปากของผม

แทบไม่ทันตั้งตัว เล่นเอาความคิดที่อยู่ในหัวกระเจิดกระเจิง

จนหมด




ผมหายใจไม่ออก และไอ ้ค่ายก็ยังคงบดเบียดริมฝีปากอยู่

อย่างนั้น



ค าถามแรกที่โผล่เข ้ามาในหัวเลยก็คือ มึงตั้งใจจะจูบกู


ใช่มั้ย ผมคิดอยู่อย่างนั้นแต่ก็ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา

นอกจากเสียงครางอืออาแทบไม่ได ้ศัพท์

ด ้วยความมีชั้นเชิงของคนเมาอย่างไอ ้ค่าย การตระโบม

จูบของมันจึงชักน าความรู้สึกคนอย่างผมได ้อย่างง่ายดาย


ผมไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีอีกแล ้ว แม ้จะบอกตัวเองว่าคน

ตรงหน้าเป็นเพื่อนแต่ผมก็ยังเห็นแก่ตัว



ยังหวังอยู่ลึกๆ ว่าอาจไปได ้ไกลกว่านั้น




ริมฝีปากได ้รูปประกบจูบเปลี่ยนองศา ใช ้ ความช ่าชอง

ของมันท าให ้ผมยอมเปิดปากและแทรกลิ้นร ้อนเข ้ามา

ภายใน เหงื่อมากมายผุดซึมไปทั่วใบหน้าและกลางหลัง




ผมรู้สึกไม่ชินเมื่อถูกลิ้นกวาดเข ้ามาในโพรงปาก ไม่รู้

แม ้กระทั่งว่าต ้องหายใจทางไหน เลยปล่อยให ้อีกฝ่ ายเป็น

คนน าทาง ความรู้สึกวาบหวานแล่นปราดเข ้ามาในอก มือ


หนาเลื่อนจากก าแพงขึ้นมาจับหน้าของผมเอาไว ้ ก่อนจะ

เชยขึ้นเพื่อให ้รับจูบอย่างถนัดถนี่



“อืออออ” ผมเริ่มร ้องประท ้วงเมื่อการหายใจติดขัดหนัก


หน่วงกว่าเดิม



แต่คนเอาแต่ใจก็ยังคงมุ่งมั่นกับการจูบแลกเปลี่ยนน ้าลาย

จนชุ่ม เกี่ยวกระหวัดไปมาจนน ้าใสๆ ไหลเอ่อตรงมุมปาก


ไอ ้ค่ายดูดดึงทุกอย่างออกไปจากผมคล ้ายกับต ้องการ

กระชากวิญญาณให ้หลุดออกจากร่าง

รสฝาดปนกลิ่นคาวไหลผ่านเข ้ามาในล าคอ ความเจ็บจี๊ด

แผ่ซ่านไปทั้งซีกหน้า ผมถูกกัด ถูกจูบอย่างหนักจนปาก


ระบม เมื่อปล่อยให ้ท าอย่างพอใจแล ้วไอ ้ค่ายถึงยอมผละ

ออกและมอบอิสระให ้



แรงหอบหายใจของผมดังไปทั่วบริเวณ ขณะที่คนเมา

ยังคงมองด ้วยสายตาฉ ่าปรืออยู่ เจ ้าตัวแลบลิ้นเลียริมฝีปาก


ไปมาแต่ก็ไม่ยอมขยับหนี



“ค่าย...”




“แพรว”



“...!!” ราวกับมีค ้อนหนักๆ กระแทกตรงกกหูอย่างแรง ผม


นิ่งค ้างทันทีที่ได ้ยินว่ามันก าลังเรียกชื่อคนอื่นต่อหน้า แถม

คนตัวสูงยังไม่หยุดแค่นั้นเมื่อมันก ้มหน้าลงมาจูบผมอีกรอบ

และหนักหน่วงกว่าเดิม




ผมรู้ว่าตัวเองอาจไม่มีความหมายส าหรับมันมากนัก แต่

ผมก็ยังอยากท าดีกับมันให ้มากที่สุด ผมสามารถทนต่อ

ถ ้อยค าและการกระท าแย่ๆ ของมัน ทนได ้ที่ถูกหลอกใช ้ ให ้

เป็นเพียงบททดสอบ ทนได ้ที่ต ้องตามติดมันเลือกซื้อของ


ให ้คนอื่น เพราะผมเชื่อว่าความรู้สึกที่มีให ้ไอ ้ค่ายเพียงพอ

ต่อความสุขที่เกิดขึ้นในใจของผมแล ้ว

แต่ดูสิ่งที่คนโง่ๆ อย่างผมได ้รับสิ




ผมก็ไม่ได ้หวังอะไรมาก แค่ตอนที่ถูกจูบ...



ช่วยเรียกชื่อกูสักครั้งได ้มั้ย



“แพรว แพรว...”




หลังจากริมฝีปากของคนตรงหน้าผละออก มันก็เอาแต่

เรียกชื่อคนอื่น ขณะที่คนฟังได ้แต่ยืนน ้าตาตกใน นี่สินะ


ความรู้สึกของคนแอบรัก



เพราะต่อให ้ชอบมากแค่ไหน ก็รั้งคนคนนั้นเอาไว ้เป็นของ

ตัวเองไม่ได ้




นี่แหละคือความเจ็บปวด...ที่หนักหนาสุดตั้งแต่แอบรักมัน

มา




กระทั่งเช ้ านี้ผมก็ยังเข ้าเรียนตามปกติ หลังพากันกลับเรา

ต่างไม่มีใครพูดถึงเรื่องเมื่อคืนอีก ผมเองก็ไม่ ทุกคนจะรู้แต่

เพียงว่าไอ ้เติร์ดตามไปหามไอ ้ค่ายออกมาจากห ้องน ้า มีแค่

นั้นจริงๆ




คลาสแรกเริ่มต ้นขึ้นตอนสิบโมงเช ้ า ผมนั่งข ้างคนตัวสูง

มันหันมาขอโทษขอโพยผมยกใหญ่เรื่องที่เมาหนักจนเป็น

ภาระให ้ต ้องแบกกลับมา ผมได ้แต่ยิ้มแหย บอกว่าไม่เป็นไร


ซ ้าๆ ทั้งที่ข ้างในแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี



ค าว่าไม่เป็นไร แท ้จริงแล ้วอาจพูดขึ้นมาเพื่อปลอบใจ

ตัวเองมากกว่า




“พวกมึง เดี๋ยววันนี้ตอนเที่ยงเลิกคลาสแล ้วอย่าเพิ่ง

แยกกันนะ” เสียงทุ้มของคนเคียงข ้างแทรกขึ้น ดึงความ

สนใจจากจอโปรเจ็กเตอร์กลับไปที่เจ ้าตัวอีกครั้ง




“มีอะไรวะเชี่ยค่าย กูมีนัดกับรุ่นน้องชมรมถ่ายภาพ” ไอ ้ทู

ถามด ้วยความสงสัย วันนี้ไม่มีคลาสบ่าย ปกติมักจะแยกย ้าย

ตัวใครตัวมัน ส่วนผมก็ต ้องเข ้าไปคุยกับทีมละครเวทีต่อ




“ส าคัญมั้ย” ไอ ้โบนถามบ ้าง



“ก็ไม่เชิง แต่กูอยากให ้พวกมึงกินข ้าวด ้วยกันก่อน”




“โอเค”



“แล ้วมึงล่ะเติร์ด กินข ้าวด ้วยกันก่อนได ้มั้ย” ผมพยักหน้า


เป็นการตอบรับ พลางก ้มหน้าจดข ้อความต่อโดยไม่สนใจ

ไอ ้ค่ายอีก

คงไม่มีเหตุผลต ้องปฏิเสธ ถ ้ามันจะเจ็บ ก็ให ้เจ็บหนัก

ตั้งแต่วันนี้เถอะนะ ผมต ้องทนต่อไปเพื่อที่วันพรุ่งนี้ตัวเองจะ


เข ้มแข็งขึ้น ไม่ต ้องร ้องไห ้เหมือนที่ผ่านมาอีก



ยิ่งเรื่องราวของเมื่อคืนฝังอยู่ในหัวนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งตอก

ย ้าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับมัน ที่ผ่านมาผมไม่ได ้เสีย

อะไรเลยแค่ได ้ใจตัวเองกลับมาดูแลอีกครั้ง แม ้อีกฝ่ าย


ไม่ได ้รับมันไปดูแลตั้งแต่แรกก็ตาม



คลาสเรียกเลิกก่อนเวลาสิบห ้านาที เราเดินไปยังโรง


อาหารของคณะเพื่อจับจองที่นั่ง แก๊งโหดแยกย ้ายกันสั่ง

อาหารก่อนจะกลับมานั่งรวมตัวกันอีกครั้งตรงม ้านั่งตัวยาว

จะมีก็แต่ไอ ้ค่ายที่หายหัว




“มันไปไหนวะ” ผมพูดลอยๆ



“ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ได ้เดินไปสั่งข ้าวกับกูด ้วยนะ” ไอ ้ทูต

อบ




“ว่าแต่เมื่อคืนเถอะ ไอ ้ค่ายมันได ้ก่อเรื่องอะไรมั้ย”

เป็นเชี่ยโบนที่แทรกขึ้นเพื่อให ้ผมตอบ เนื่องจากไอ ้ทูไม่ได ้

สนใจจะตอบค าถามนั้นนอกจากก ้มหน้าก ้มตาแดกข ้าว




“ไม่นะ” น ้าเสียงที่เปล่งออกไปเบาหวิว

ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แม ้แต่กู

เองก็ยังเหมือนเดิม




เจ็บเหมือนเดิม...



“ต่อไปกูว่างดเหล ้าหรือเบียร์เหอะว่ะ พังฉิบหาย”




“ก็ว่าอยู่”



“แล ้วตอนนี้มึงโอเคหรือยังไอ ้เติร์ด”




“กูเหรอ เรื่องอะไร”



“ก็เรื่องไอ ้ค่ายไง”




“อ ้อ กูก าลังท าใจน่ะ อาจต ้องใช ้ เวลาอยู่นิดหน่อย”



“คนเจอกันทุกวันก็ยากอย่างนี้แหละ แต่มึงเก่งมากแล ้ว


ไม่ได ้แสดงอาการอะไรออกมา ทุกอย่างมันจะค่อยๆ ดีขึ้น

เอง” มันจะดีแน่เหรอ ผมถามตัวเองอยู่อย่างนั้น ทว่าสิ่งที่

ก าลังถามกลับได ้รับค าตอบอย่างรวดเร็ว




“พวกมึง” เสียงของไอ ้ค่ายส่งผลให ้เราทั้งสามคนต ้องหัน

ไปมองยังต ้นเสียง ร่างสูงยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า ข ้างกายมี

ผู้หญิงน่ารักคนหนึ่งอยู่ด ้วย




เธอแต่งตัวเรียบร ้อยมาก ดูแตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่

ไอ ้ค่ายเคยควง จู่ๆ ความรู้สึกของผมก็วูบโหวงเมื่อเห็น

ก าไลข ้อมือราคาแพงที่ออกไปซื้อกับมันเมื่อหลายอาทิตย์

ก่อนอยู่บนตัวเธอ ตอนนั้นมันตั้งใจเลือกมาก เราอยู่ในช็อป

เกือบชั่วโมงเพื่อเลือกของชิ้นเดียว ซึ่งช่างเหมาะกับเธอที่


ได ้เป็นเจ ้าของจริงๆ



ผมไม่ได ้อิจฉาหรอก หนังสือที่ไอ ้ค่ายซื้อให ้ในวันนั้น ผม


เปิดอ่านซ ้าๆ ทุกวัน วางมันไว ้ใต ้หมอน คุณค่าของมันไม่ได ้

อยู่ที่ราคา แต่อยู่ที่ว่าใครเป็นคนให ้ต่างหาก



“เฮ ้ ย พาสาวที่ไหนมาวะ”




“สาวคณะข ้างๆ”



แต่ที่แปลกกว่านั้น ผู้หญิงคนนี้เป็นคนแรกที่ไอ ้ค่ายพามา


แนะน ากับเพื่อน มากกว่าจะปล่อยให ้รู้กันเองเหมือนทุกที…



“แล ้วไงต่อ ไม่คิดจะแนะน าให ้เพื่อนรู้จักหรือไง”




“ก็จะแนะน านี่ไง”

“...”




“นี่แพรว แฟนกู”



“หวัดดี เราชื่อแพรว อยู่อักษรปีสาม ยินดีที่ได ้รู้จักนะ”



เธอแนะน าตัวอย่างน่ารัก พลางนั่งลงตรงเก ้าอี้ตามไอ ้ค่าย


อย่างว่าง่าย ผมส่งยิ้มให ้เธอแต่ไม่ได ้พูดอะไรออกไป อาจ

เพราะจุกเกินกว่าจะเอ่ยแต่ละค าออกไปได ้ล่ะมั้ง




ไอ ้ทูยื่นมือมาตบขาของผมใต ้โต๊ะเหมือนเป็นการ

ปลอบใจ ผมเลยได ้แต่ยิ้มและหยิบเอาหูฟังขึ้นมาใส่เพื่อจะ

ได ้ไม่ต ้องฟังเสียงของผู้หญิงคนนี้กับไอ ้ค่ายอีก ส่วนมือก็

เอาแต่ตักข ้าวเข ้าปากไม่หยุด ผมรู้สึกได ้ถึงอาการสั่นของ


มือที่จับช ้ อนและส ้ อม



ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได ้ตีตื้นเข ้ามาในอก ดวงตาทั้งสอง

ข ้างร ้อนผ่าว ถึงอย่างนั้นก็ยังคงก ้มหน้าไม่ยอมเผชิญหน้า


คุยกับใคร



“เพื่อนค่ายเป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงของเธอแทรกผ่านหู

ฟังเข ้ามา น ้าตาของผมหยดลงบนจานข ้าวโดยไม่สามารถ


ควบคุมได ้

“ไอ ้เติร์ด มึงเป็นอะไรมั้ย” ไอ ้ค่ายถาม ผมเลยรีบปาด

น ้าตาออกจากแก ้มพร ้อมกับหัวเราะเสียงดัง




“เพลงเศร ้ามาเว ้ย อยู่ดีๆ น ้าตาก็ไหล ฮ่าๆ”



“เติร์ด พี่เชนทร์เรียกใช่มั้ย ไปกับกู” ไอ ้โบนเร็วมาก พูด

แป๊ บเดียวมันก็รั้งข ้อมือของผมให ้ลุกขึ้นยืนแล ้ว ผมเดินตาม


แรงรั้งของเพื่อนสนิทไปแต่สุดท ้ายก็ต ้องชะงักเท ้าเมื่อไอ ้

ค่ายวิ่งตามมา




“ไอ ้โบนกูขอคุยกับไอ ้เติร์ดหน่อย”



“มันมีนัดกับรุ่นพี่”




“กูขอแป๊ บเดียว ห ้านาที” ไอ ้โบนยอมรับค าขอ มันยืนห่าง

จากผมกับไอ ้ค่ายไม่ไกลนัก หน้าของผมในตอนนี้คงแดงก ่า

และดูแย่มากแน่ๆ




“มึงมีอะไรหรือเปล่า”



“ร ้องไห ้ท าไม”




“คือกูฟังเพลงเศร ้าน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”

“เติร์ด ถึงแม ้ว่ากูจะมีแฟนแต่เงื่อนไขของเราก็ยัง

เหมือนเดิมนะเว ้ย”




“หมายความว่าไง”



“ก็เรื่องที่กูอยากให ้มึงย ้ายมาอยู่ด ้วยกันไง ถึงแม ้กูจะมี

แฟนแต่กูไม่พาเขาเข ้ามาที่ห ้องแน่นอน มึงจะได ้สบายใจ”


ผมสูดลมหายใจเข ้าปอด กัดปากตัวเองแน่นจนรู้สึกถึงกลิ่น

คาวเลือด ตลอดเวลาที่เป็นเพื่อนกัน ไอ ้ค่ายไม่เคยรู้อะไร

เลย




“ค่าย...เรารู้จักกันมากี่ปีแล ้ววะ”



“...”




“สองปีกว่าแล ้วมั้ย” ผมหยุดพูดชั่วขณะเพราะเสียงที่

เปล่งออกมาสั่นมาก รอจนควบคุมอารมณ์ได ้ครู่หนึ่งแล ้วจึง

เปิดปากพูดต่อ “ถ ้ามึงกลัวว่าความเป็นเพื่อนของเราจะ


หายไป วางใจเถอะ กูยังอยู่ที่เดิมแหละ”



“...”




“มึงไม่ต ้องท าดีกับกูขนาดนี้ก็ได ้เว ้ย ถ ้ามึงจะรักใครก็

เลือกได ้เลย กูไม่กลับไปแล ้ว”

กลับไปก็ไม่รู้ว่าตัวเองต ้องเจ็บอีกเท่าไหร่ สูญเสียอีกมาก

แค่ไหน เพราะขนาดคนที่ร่าเริงมาตลอดอย่างผม ยัง


สูญเสียภูมิต ้านทานของตัวเองไปจนหมด



หากวันนี้มันเลือกแล ้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะหลอกตัวเอง



“โอเค”




“ไอ ้ค่าย”




กูรักมึง...



“แฟนมึงน่ารักดีนะ”




กูรักมึง…



“ขอบใจ”




กูรักมึง แต่พูดออกไปไม่ได ้เลย...


ตอนที่ 6

Begin Again



หนังสือเกี่ยวกับการตัดใจเล่มหนึ่งเคยบอกว่า เวลาไม่ใช่


สิ่งที่ช่วยให ้เราตัดใจได ้เร็วขึ้น แต่การท างานหนักต่างหาก

ที่เป็นตัวกระตุ้นให ้เราลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะ




เพราะงั้นผมจึงใช ้ เวลาทั้งหมดไปกับการท าสิ่งต่างๆ

มากมาย ทั้งที่เขาให ้ท า หรือสาระแนไปท าเอง งานคณะ

รายงาน กิจกรรมพิเศษ อีเว ้นท์มหา’ลัยผมจัดหมด อย่าง

น้อยตอนที่ทุ่มเทกับอะไรสักอย่าง เรื่องของไอ ้ค่ายก็ได ้

หายไปจากสมองของผมบ ้าง



ส าหรับงานละครเวทีประจ าปีก็ใกล ้เริ่มแล ้ว แถมต ้องเข ้า


ประชุมบ่อยขึ้น สัปดาห์หนึ่งก็หลายครั้งเพราะเราต ้องดีล

งานใหญ่ๆ ให ้กับหลายฝ่ าย ก่อนจะมีการประชุมใหญ่ครั้ง

แรกในอาทิตย์หน้าเพื่อแบ่งงานเฉพาะเจาะจงกับทุกคน



สถานการณ์ของแก๊งโหดเองก็เหมือนกับน ้านิ่ง ผมไม่ได ้

เข ้าไปก ้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของใคร นอกจากรับฟังอยู่ห่างๆ

ความรักของไอ ้ค่ายกับแฟนเป็นไปได ้สวย หลายครั้งที่ผม


เห็นทั้งคู่อยู่ด ้วยกัน เจ็บนะ แต่พอคิดถึงเรื่องงานที่ต ้องท า

ผมก็ไม่มีเวลามาสนใจแล ้ว



ไอ ้ทูออกไปถ่ายภาพภาคสนามกับชมรมบ่อยขึ้น ส่วนไอ ้

โบนก็ใช ้ ชีวิตอยู่กับฝ่ ายเสียงและผู้หญิงของมัน เราต่างมี

หน้าที่ที่ท าให ้ความสัมพันธ์ของค าว่าเพื่อนไม่ได ้เข ้มข ้น

เหมือนเมื่อก่อนอีก รักกันแต่ไม่จ าเป็นต ้องตัวติดกัน เราต่าง


มีความฝันและแน่นอนว่าคงเป็นคนละเส ้ นทาง

ในอดีตผมเคยวาดฝันว่าจะได ้คบหากับใครสักคนที่ผมรัก

และใช ้ ชีวิตคู่ไปจนแก่ แค่ยืนอยู่ระเบียง แชร์บุหรี่หนึ่งมวน


ในมือ จากนั้นเราก็จูบกัน เช ้ าวันรุ่งขึ้นผมตื่นขึ้นเพื่อท างาน

ขณะที่ใครคนนั้นก็กุลีกุจอลุกจากเตียงอย่างรีบเร่ง วันหยุดมี

โปรแกรมเที่ยวต่างประเทศหรือต่างจังหวัด เราไม่ต ้องมีเงิน

ในบัญชีเยอะๆ ขอแค่ไม่ล าบากในภายภาคหน้าก็พอ



แล ้วดูความฝันตอนนั้นสิ เหมือนพวกโลกสวยคนหนึ่งที่

ไม่เคยเรียนรู้กับค าว่าเจ็บปวด



ตอนนี้ผมรู้ซึ้งแล ้ว ความฝันในอดีตถูกวาดใหม่ ผมใช ้


เวลาอยู่กับรุ่นพี่มากขึ้นเพื่อพูดคุยกับเขา ผมอยากท างาน

เขียนบท อยากลองสร ้างหนังสักเรื่อง และเมื่อท าเสร็จแล ้ว

ผมก็จะนั่งดูวนซ ้าอยู่อย่างนั้นสักห ้าสิบรอบ ก่อนปลีกตัวไป

ท าเรื่องใหม่อีกเรื่อยๆ พอเก็บเงินได ้จ านวนหนึ่งแล ้วก็เอา

ไปเที่ยวรอบโลก




ไม่แน่ สามสิบหรือสี่สิบปีข ้างหน้าผมอาจอยู่คนละซีกโลก

กับเพื่อนแก๊งโหดก็ได ้ เป็นตาแก่คนหนึ่งที่เฝ้ามองความ

เป็นไปของโลก ไม่กลัวว่าจะตายอย่างโดดเดี่ยวอีก เพราะ

ได ้เรียนรู้แล ้วว่าการมีความรักเจ็บปวดกว่านั้นหลายเท่านัก



นี่ซีนดราม่าหลังดูลาลาแลนด์เหรอ?!




เอาเถอะ อนาคตยังอีกยาวไกล ตอนนี้คงต ้องพาสังขาร

ตัวเองให ้พ ้นปีสามไปก่อน แถมวันนี้ยังต ้องวิ่งวุ่นเก็บของกับ

ไอ ้ทูอีกเนื่องจากผมก าลังย ้ายที่อยู่เป็นรอบที่สาม




สิ้นเดือนก่อนผมได ้ติดต่อเจ ้าของคอนโดปล่อยเช่าเอาไว ้

และพร ้อมที่จะย ้ายเข ้าไปอยู่หลังท าสัญญาเสร็จ เรื่องห ้องก็

ไม่ได ้ไกลจากเพื่อนพ ้องอะไรเลย แค่ขึ้นลิฟต์ไปอีกห ้าชั้น

ฮัลโหล...



ผมไม่ได ้บอกไอ ้โบนกับไอ ้ค่ายเรื่องนี้ เพราะคิดว่าพวก


มันอาจยุ่งกับเรื่องส่วนตัวเลยไม่อยากรบกวน นี่ถ ้าไม่ติดว่า

ไอ ้ทูเป็นเจ ้าของห ้องที่ปล่อยให ้ผมอาศัยได ้เป็นเดือนๆ ผม

ก็คงไม่บอกมันด ้วย



ข ้าวของเครื่องใช ้ ต่างๆ ถูกขนย ้ายในเวลาไม่นาน ผมมี

ห ้องเป็นของตัวเองอีกครั้ง และเงื่อนไขของไอ ้ทูที่เคย

รับปากว่าจะไม่พาหญิงเข ้าห ้องตลอดการอยู่ร่วมกันจึงถือ


เป็นโมฆะ ดูเหมือนแม่งจะดีใจมาก ออกปากรีบขนย ้ายจนกู

อยากกระทืบ



“เหนื่อยฉิบหายเลยโว ้ยยยยยย” เพื่อนสุดเซอร์ทิ้งตัวลง

นอนบนเตียงพลางตะโกนเสียงดังลั่นห ้อง ผมเลยได ้แต่เท ้า

เอวมองอีกฝ่ ายด ้วยความรู้สึกเอือมระอา




“ก็กูบอกแล ้วว่าจะขนย ้ายเอง”

“มึงเป็นเพื่อนกูมั้ย จะนั่งมองให ้มึงเทียวเข ้าเทียวออกคน

เดียวได ้ไง ประสาท”




“ไม่ใช่เพราะรีบเคลียร์ทางให ้นางแบบคนใหม่เหรอวะ”



“อย่ามาท าเป็นรู้สันดานกูดี”



“เมื่อไหร่จะเลิกเจ ้าชู ้ ” ผมถาม เหมือนเป็นค าถามที่รู้อยู่

แล ้วว่าคงไม่มีค าตอบให ้




“มึงถามสิ้นคิดว่ะ เหมือนค าถามเมื่อไหร่จะเลิกหายใจ

อะไรแบบนี้” กูว่าแล ้ว จะหาสาระอะไรจากคนอย่างแม่งวะ

อย่าว่าแต่ไอ ้ค่ายเลย แม ้แต่ไอ ้ทูกับไอ ้โบนก็เหี้ยพอกัน คือ

ไม่มีทางหยุดที่ใครคนไหนแน่นอน



“เออกูขอโทษ สมองกูกรองไม่ดีเอง”




“จริงๆ มันจะมีวันนึงเว ้ยที่เราเหนื่อย มึงคิดเหรอว่าคนเรา

มันจะวิ่งสนุกไปเรื่อยโดยไม่มีทางหยุดพัก”



“มึงไง”



“กูคนครับไม่ใช่เดอะแฟลชจะได ้วิ่งไม่มีวันเหนื่อย สักวัน


ก็ต ้องหยุดอยู่ที่ใครสักคนอยู่ดี”

“ขอเหตุผลของการหยุดหน่อย”




“เวลาและโอกาส เวลาคือกูแก่จนวิ่งไม่ไหวแล ้ว แม่ง

เหนื่อย”



“...”



“ส่วนโอกาสก็เหมือนกับ...ตอนที่มึงเจอใครสักคน เขา

ตรงสเป็กมึงมาก แต่มึงกับเขาเจอกันผิดเวลาเพราะมึงยังไม่


ยอมหยุดตัวเอง สุดท ้ายความรักก็ไปไม่รอด ฉะนั้นโอกาส

ของกูคือใครสักคนที่ตรงใจและเขาเข ้ามาในเวลาที่กูเหนื่อย

จะวิ่งเล่นพอดี มันก็หยุด แค่นั้น...”



“งั้นถ ้าอีกสิบปีเรามาเจอกันแล ้วมึงหยุดตัวเองพอดี มึงจะ

เลือกกูมั้ย”




“งี้ถ ้ากูเจอวัวตัวนึง กูไม่ต ้องเลือกวัวเป็นเมียเลยเหรอ

ครับ”



“อ ้าว”



“มึงพูดเหมือนกูไม่เลือก นมไม่ใหญ่หลบไป” ขอโทษที่

ความเจ๋อของกูท าให ้มึงหงุดหงิดนะ




ผมไม่รู้ว่าคนเจ ้าชู ้ นี่มีความคิดเหมือนๆ กันมั้ย แต่คิดว่า

คนเราเกิดมาต่างความคิด ต่างครอบครัว ยังไงก็คงคิดไม่

เหมือนกันหรอก อย่างไอ ้ค่ายผมว่ามันคือร่างโคลนของ


เดอะแฟลชเลยล่ะ วิ่งไปเรื่อยๆ โฉบไปตรงนั้นทีตรงนี้ที แต่

สุดท ้ายก็ไม่มีวันหยุดอยู่ที่ใคร



“ค ิดอะไร” คนที่นอนเกลือกลิ้งอยู่บนเตียงถามเหมือน

รู้ทันความคิด



“เปล่า”




“ช่วงนี้ไม่ค่อยได ้ใช ้ เวลาร่วมกันเลยเนาะ เรียนเสร็จก็ตัว

ใครตัวมันตลอด”



“กิจกรรมเยอะกูก็เข ้าใจ แล ้วนี่ไอ ้ค่ายกับแฟนเป็นไงบ ้าง

ช่วงนี้ไม่เห็นอัพเดตข่าวคราว” เดี๋ยวนี้ผมไม่เจ็บถึงขนาด

ต ้องร ้องไห ้เวลาพูดถึงเรื่องนี้แล ้วล่ะ




“ถ ้าตอบแล ้วมึงจะเสียใจมั้ยล่ะ”



“กูห่างกับมันมาเยอะพอสมควร ไม่ได ้เอาใจไปไว ้ที่มัน

แล ้ว”



“อืม ก็เห็นยังรักกันดี”




“เหรอ” ผมตอบเสียงแผ่ว คือถ ้าหยุดที่ผู้หญิงคนนั้นได ้

ผมก็ยินดี เธอแตกต่างจากทุกคน และดูจากการทุ่มเทของ

เพื่อนรักแล ้วคิดว่ายังไงก็ไปได ้สวย “มีแฟนน่ารักอย่างนั้นกู


เทคแคร์ตายเลย”



“ก็เหมือนที่แม่งเคยท ากับทุกคนนั่นแหละ แต่ที่ไม่เหมือน

ก็คือ...เพื่อนเรามันโง่จริงๆ ว่ะ”



“โง่ยังไง”




“ก็ตั้งแต่วันนั้น มันไม่เคยพาใครเข้าห้องอีกเลย”



“...”



“ทั้งที่รู้ว่าสุดท้ายมึงก็ไม่มีทางกลับไป”



ละครเวทีประจ าปีอย่างไลค์บรารี่ใกล ้เริ่มขึ้นแล ้ว การ


ประชุมใหญ่จัดขึ้นในช่วงหกโมงเย็นหลังเลิกเรียน นิสิต

คณะนิเทศศาสตร์ที่มีส่วนร่วมในการท าละครทุกคนนัดกัน

มารวมพลอย่างคับคั่ง โดยใช ้ หอประชุมคณะเป็นที่นัดหมาย

เฮดใหญ่คือพี่เชนทร์ซึ่งนั่งต าแหน่งผู้ก ากับและท าหน้าที่

แจกจ่ายหน้าที่ให ้แต่ละคน



ผมนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงพื้นพร ้อมกับแก๊งโหด และถึงแม ้ว่า


ผมจะนั่งข ้างกับไอ ้ค่าย แต่เราก็ไม่ได ้พูดคุยอะไรเลย

นอกจากมองหน้ากันนิ่ง จากนั้นก็หันไปสนใจกับคนที่ยืนอยู่

ด ้านบนเวทีแทน




“ละครเวทีปีนี้ก าลังเริ่มขึ้น หลายคนคงรู้อยู่แล ้วว่าเราเพิ่ง

เขียนบทจบไปไม่นาน ผมท าหน้าที่เป็นผู้ก ากับ มีไอ ้คุณเนม

ปีสี่เป็นผู้ช่วย ส่วนทีมเขียนบทได ้ย ้งยี้กับเติร์ดมาเขียนให ้

เอ ้า! ปรบมือหน่อย” ผมลุกขึ้นยืน ก่อนจะค ้อมตัวเป็นการ

ขอบคุณทันทีที่พี่น้องชาวนิเทศช่วยกันปรบมือให ้



“ต่อจากนี้จะเป็นรายชื่อเฮดของแต่ละฝ่ าย และต ้องไปหา


คนเข ้าทีมกันเอง เริ่มที่ แบ็กสเต็จก่อน...” จากนั้นรุ่นพี่หุ่น

หมีแกก็ร่ายรายชื่อมายาวเหยียดราวกับสวดสรภัญญะ



ฉากใหญ่ของละครเวทีทางคณะจ ้างท าเพื่อจะได ้

ประหยัดเวลางานที่เนี้ยบ ส่วนพร็อพเล็กๆ ก็ให ้เด็กในคณะ

ที่มีหัวศิลป์ หน่อยมาช่วยท าให ้




เมคอัพกับคอสตูมมีรุ่นพี่หลีดและแก๊งสาวประเภทสอง

ออกตัวท าด ้วยความเต็มใจจนเสียงกรี๊ดกร๊าดดังไปทั่วห ้อง

ประชุม ฝ่ ายประสานงานที่ต ้องติดต่อสถานที่ต่างๆ ก็ได ้

ประธานรุ่นปีสามมารับช่วงต่อ สวัสดิการนี่คนเยอะหน่อย

เพราะสายแดกแหลกเสนอตัวกันพรึบพรับ



เพื่อนผมอย่างไอ ้ทูรับหน้าที่เป็นตากล ้องร่วมกับรุ่นน้อง


อีกสองสามคน ส่วนไอ ้ค่ายกับไอ ้โบนก็รับท าส่วนของการ

ควบคุมแสงและเสียงไป

“พีอาร์ครับ ได ้จุ๊บแจงปีสามมาเป็นเฮด ซึ่งต ้องท าเพจ

รวมถึงประชาสัมพันธ์งานตั้งแต่วันนี้เป็นต ้นไปเลย ตากล ้อง


หรือใครที่มีภาพระหว่างท ากิจกรรมก็ส่งเข ้าเพจหน่อย จะได ้

ช่วยสร ้างกระแสในปีนี้ด ้วย”



ทุกคนพยักหน้าเข ้าใจ เพราะงานอื่นๆ ได ้รับการแจกจ่าย

จนหมดแล ้ว จะเหลือก็แต่...



“สุดท ้ายแล ้ว เบิ้ม!”




“กรี๊ดดดดดดดดดดดด ไอ ้หมี ชื่อใบบัวค่า” รุ่นพี่กะเทย

คนหนึ่งหวีดร ้องออกมาสุดเสียง เมื่อได ้ยินผู้ก ากับขานชื่อ

แกผิดไปไกลโข



ชื่อเล่นอ่ะเบิ้มจริง แต่ชื่อในวงการคือบัว กูจะร ้อง




“เออกูขอโทษ ไอ ้ใบหนาด เอ๊ย! ใบบัวจะมาเป็นเฮดของ

ทีมคัดนักแสดงและสอนแอคติ้ง อันนี้หนักหน่อยนะและก็

อยากให ้เร่งท าด ้วย กว่าจะเวิร์คช็อปอะไรกันเสร็จ โน่นชาติ

หน้าถึงได ้เล่น” เสียงประชดของพี่เชนทร์ส่งผลให ้ทีมคัด

นักแสดงส่งเสียงไม่พอใจ กระทั่งใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา

จากแถว




“พรุ่งนี้ประชาสัมพันธ์เลยค่าาาาาา อาทิตย์หน้าได ้

นักแสดงแน่นอน”

“ให ้มันได ้อย่างนี้ เลือกคนมาเล่นนะไม่เอากระสือเหมือน


พวกมึง”



“ไอ ้เชนทร์มึงลงมาตบกับกูข ้างล่างเลยค่ะ” ท่ามกลาง

ความขัดแย ้งนั้น ผมได ้แต่หัวเราะกับความบ ้าบอของทีมท า

ละครจนรู้สึกเหนื่อย เห็นทีปีนี้กองของไลค์บรารี่อาจจะต ้อง

ท างานหนักกว่าปีก่อนๆ หลายเท่า




“มึงเขียนบทก็จบแล ้วอ่ะดิ” แล ้วเสียงทุ้มของใครบางคนก็

ท าให ้ผมหยุดหัวเราะ จ าได ้ดีวันมันเป็นเสียงของใคร แม ้เรา

จะไม่ได ้คุยกันบ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อนก็ตาม



“เปล่าหรอก ต ้องไปช่วยพี่บัวคัดนักแสดงอีก”



“ดีว่ะ งั้นคัดคนสวยๆ เข ้ามาด ้วยนะ” ผมค ้อนขวับใส่อีก


ฝ่ ายทันที



“กูต ้องเลือกตามคาแร็คเตอร์ที่เขียนมั้ย มึงก็ห่วงสวย

อย่างเดียวเลย ท าไม จะหากิ๊กเพิ่มเหรอ”



“ยังไม่มีกิ๊กเลย จะหาเพิ่มได ้ไง”




“รักเดียวใจเดียวเลยล่ะสิ”

“ก็...ส าหรับกู แพรวแม่งสวยอยู่คนเดียวเลย” พูดจบมันก็

ส่งยิ้มหวานมาให ้ ผมเองก็ยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน




ถ ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่ได ้ยินประโยคที่มันพูด ผมอาจรู้สึก

เจ็บจนทนไม่ไหว แต่เมื่อผ่านช่วงเวลาที่ยากล าบากมาได ้

ครั้งนี้มันกลับเบาไปเลย จะบอกว่าไม่รู้สึกก็ดูโกหกเกินไป

ส าหรับผมมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตัดใจ แต่ก็ใช่ว่าจะท าไม่ได ้

เลย ในเมื่อวันนี้...




ก็เกือบท าส าเร็จแล ้ว



“ไม่ให ้เขามาแคสต์ล่ะ”



“ไม่ให ้มาหรอก หวง”



“เข ้าใจ แฟนใครใครก็ต ้องหวง ขอให ้รักกันนานๆ นะ กู


ยินดีด ้วย”



“ขอบใจเพื่อน”



“ยังไงเดี๋ยวกูขอตัวก่อนแล ้วกัน พอดีต ้องคุยกับพี่เชนทร์

เรื่องบทอีกนิดหน่อย”




“ตามสบาย” ไอ ้ค่ายไม่ได ้รั้งผมเอาไว ้ ดังนั้นหลังจากทุก

คนแยกย ้ายผมจึงผละไปอีกทางเพื่อหลีกหนีบทสนทนา

ชวนอึดอัดใจ พรุ่งนี้ผมคงต ้องท างานหนักเหมือนเดิม

เพื่อให ้ความรู้สึกเจ็บนั้นหายไปจากใจอย่างคงทนถาวร...




เช ้ าวันรุ่งขึ้นงานประชาสัมพันธ์เรื่องการแคสต์นักแสดง

ละครเวทีคืบหน้าไปไกลมาก โปสเตอร์ต่างๆ ถูกติดไว ้ตาม

อาคารเรียนทั่วมหา’ลัย หลังเรียนเสร็จนิสิตที่ว่างงานก็ต ้อง

เข ้าฝ่ ายโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได ้ ซึ่งผมก็ใช ้ ช่องว่างตรง

นี้ปลีกตัวออกมาจากเพื่อนในกลุ่ม แล ้วขลุกอยู่กับมนุษย์หมี

อย่างพี่เชนทร์แทน




จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม จนตอนนี้หลายวัน

แล ้วที่ผมกับแก๊งโหดไม่ได ้กินข ้าวหรือไปไหนมาไหน

ด ้วยกันนอกจากเอ่ยทักทายในคลาสเรียน อีกไม่นานต ้อง

เริ่มแคสต์นักแสดงกันแล ้ว แต่ละวันที่ว่างเว ้นผมใช ้ มันหมด

ไปกับการเดินตามไอ ้พี่เชนทร์ร่างหมีที่ต ้องตรวจดูความ

เรียบร ้อยของฝ่ ายต่างๆ อยู่เสมอ




ซึ่งวันนี้ก็เป็นคิวของทีมท าพร็อพประกอบฉาก



ถึงแม ้เราจะจ ้างท าฉากใหญ่ แต่งบที่ได ้จากสปอนเซอร์ก็

ไม่เพียงพอขนาดนั้นท าให ้เราต ้องยืมมือเด็กคณะข ้างๆ

อย่างสถาปัตย์มาช่วยขึ้นนั่งร ้านทาสีให ้




“ยังไม่แห ้งครับไอ ้ควายเติร์ด เขยิบตีนมึงออกไป” ผมหรี่

ตามองขวางเพื่อนร่วมสาขาที่ก าลังถือแปรงโวยวายใส่

“มานี่ ไม่ต ้องไปยืนเกะกะพวกมัน” พี่เชนทร์กวักมือเรียก

ผมให ้ไปยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งด ้านบนก าลังลงสีฉากกัน


ขะมักเขม ้น



“สวยดีนะ” ผมพูดขึ้น



“อืม เมื่อวานมะปรางมาดูแม่งยืนปากหวอเลยเว ้ย”

มะปรางนี่ชื่อแฟนแกครับ ผู้หญิงที่สวยจนผู้ชายในคณะต ้อง

ร ้องขอชีวิต จะคิดสั้นก็ตรงมาคบผู้ชายหุ่นหมีอย่างพี่มันเนี่ย


แหละ



“พี่คบกันมากี่ปีแล ้ววะ”



“สาม”



“เจอกันได ้ไง จริงๆ แล ้วเขาไม่เอาคนเหี้ยๆ อย่างพี่มา


เป็นแฟนก็ได ้นะเว ้ย”



“ตบปากตามอายุตัวเองเดี๋ยวนี้!” ผมรูดซิปปากทันที อย่า

ว่าแต่ผมเลย ใครเขาก็อยากรู้กันทั้งนั้น หรือว่าตอนเจอกัน

แรกๆ พี่มันใช ้ ก าลังเพื่อยัดเยียดความเป็นแฟนให ้เขากันแน่

วะ




“กูรู้นะว่ามึงคิดอะไร แม่งไม่มีตุ๊ยท ้องแล ้วลากเข ้าส ้ วม

แน่นอน”

“รู้ดีไปอีก ฉลาดฉิบหาย”




“กูแอบชอบเขามานานแล ้วเว ้ย แต่กูไม่กล ้าเข ้าหาเพราะ

ตอนนั้นคนจีบมะปรางต่อแถวยาวแทบถึงหัวล าโพง แล ้วมึง

ดูหน้ากู ดูหุ่นกูซะ”



“แล ้วสุดท ้ายท าไมเขาเลือกพี่วะ”



“กูเก่ง” กระทืบกูเถอะ ไม่ได ้ช่วยเป็นแรงบันดาลใจให ้ใคร


เลย “จริงๆ ก็คอยเทคของ คอยดูแลอยู่ห่างๆ แหละ คนเรา

มันผูกพันกันด ้วยเวลาเว ้ย กับความรักก็เหมือนกัน เมื่อถึง

เวลาถ ้าเขารักก็คือรัก แต่ถ ้าเขาไม่รักนั่นหมายความว่าเวลา

เหี้ยไรก็ไม่มีผล”



“หมายความว่าใช ้ ได ้กับบางเคสเท่านั้น”




“เออดิ มึงเคยชอบใครมั้ย”



“...” ผมอึกอัก ไม่ได ้ตอบรับหรือปฏิเสธออกไป



“ถ ้ามีก็รอเวลาที่เขารักมึงกลับ แต่ถ ้าเขาไม่รักมึงก็อย่ารอ

มันเสียเวลา”




“แล ้วเราจะรู้ได ้ไงว่าตอนไหนควรรอหรือถอดใจ”

“มันอยู่ที่ตรงนี้เว ้ย” รุ่นพี่ปีสี่ใช ้ นิ้วชี้แตะที่หัวตัวเองเบาๆ




“เส ้ นผมเหรอวะ”



“สมองครับไอ ้เหี้ย”



“โทษๆ”



“ร่างกายคนเรามีกลไกการป้องกันตัวของตัวเอง เหมือน


มนุษย์ไงที่มีความแข็งแรงไม่เท่ากัน ทนความเจ็บปวดได ้

ไม่เท่ากัน ความเสียใจจากการเฝ้ารอเป็นเหมือนสิ่งที่ท าให ้

สมองได ้รับบาดเจ็บ ทนได ้แสดงว่ารอได ้ แต่ถ ้าทนไม่ได ้นั่น

คือร่างกายรับไม่ไหว ตอนนั้นแหละที่มึงจะรู้ว่าควรรอต่อไป

หรือตัดใจซะ”



“ท าไมต ้องใช ้ สมองวะ คนเราไม่ได ้ใช ้ หัวใจในการตัดสิน


เหรอ”



“เอาอย่างนี้นะ ถ ้าสมมติมีคนจ่อปืนมาที่มึง สมองสั่งการ

ให ้มึงวิ่งหนีและมีชีวิตรอด แต่หัวใจไม่ใช่อย่างนั้น มันแค่สั่ง

การให ้สูบฉีดเลือดเร็วขึ้น ขณะที่เท ้ามึงยังยืนอยู่ที่เดิมเพื่อ

รอให ้ลูกกระสุนปลิวมาเจาะ”




“...”

“ดังนั้นสมองจึงสอนให้มึง ‘เอาตัวรอด’ จากความ

เจ็บปวด ขณะที่หัวใจแค่สอนให้มึง ‘รู้จัก’ กับความ


เจ็บปวดเท่านั้น”



“...”



“อย่างไหนเหี้ยกว่ากันล่ะ การรักใครสักคนใช ้ ใจอย่าง

เดียวไม่ได ้หรอกนะ มึงต ้องปกป้องตัวเองด ้วยการใช ้ สมอง

คิดให ้เยอะๆ ด ้วย” มือหนาตบลงบนบ่าของผมด ้วยแรงอัน


หนักหน่วงก่อนปลีกตัวออกไปยืนคุมงานอีกด ้านอย่างเท่ๆ



ผมรู้แล ้วว่าท าไมพี่มะปรางถึงเลือกผู้ชายหุ่นหมีคนนี้มา

เป็นแฟน



บางทีคนเราก็ไม่ได ้ต ้องการอะไรมากไปกว่าคนเข ้มแข็งที่

สามารถปกป้องเราได ้ คนที่เข ้มแข็งทั้งสมอง และจิตใจ…




ไอ ้ค่ายหายไปจากสารระบบตั้งแต่วันพฤหัสฯ มันทิ้งไลน์

เอาไว ้ว่าต ้องการสะสางปัญหาส่วนตัว หลังจากนั้นเจ ้าตัวก็

ไม่โผล่มาเรียนอีกเลย และไม่ติดต่อหาใครตลอดสุด

สัปดาห์



ผม ไอ ้โบน และไอ ้ทูเลยได ้แต่คาดคะเนไปสารพัด


ตอนนี้ความเห็นของเราเอนเอียงไปทางแฟนของมัน บางที

ไอ ้ค่ายอาจจะติดแฟนจนพากันไปกกอยู่ที่ไหนสักแห่ง

วันจันทร์แม่งก็ยังไม่โผล่ เราเลยโทรไปที่บ ้านของตัว

ปัญหาเพื่อถามไถ่ความเป็นไป ไม่รู้ว่าตายหรือเปล่า แต่แม่


ของมันก็ตอบกลับมาแค่ว่าลูกชายสุดที่รักขอลาพักร ้อน



จะไปแต่ไม่ยอมไม่บอกเพื่อนเนี่ยนะ!



วันอังคารทั้งวันยังคงไร ้ซึ่งวี่แววของมันเหมือนเดิม

หลังจากสะสางงานของคณะเรียบร ้อยผมเลยลากสังขาร

กลับมาที่ห ้องพร ้อมกับบทที่ต ้องใช ้ ส าหรับแคสต์นักแสดง


ในวันพรุ่งนี้ ถามว่าห่วงคนที่หายไปมั้ยก็ห่วง แต่พอคิดว่า

มันอาจหนีเที่ยวกับแฟนผมเลยวางใจไปหลายเปราะ



ตั้งแต่เรียนรู้ที่จะใช ้ สมองให ้มากขึ้น เดี๋ยวนี้ผมแข็งแกร่ง

กว่าเมื่อก่อนเยอะ แม่งต ้องขอบคุณพี่เชนทร์แกจริงๆ



ผมทิ้งตัวลงบนเตียง นอนคว ่าหน้าอย่างหมดแรงจากการ


เสียพลังที่ทุ่มกับงานที่ท าลงไป ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอน

ไหน รู้ตัวอีกทีท ้องฟ้าก็มืดหมดแล ้ว ไฟในห ้องดับสนิท ผม

ดันตัวเองให ้ลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็ก ้าวเท ้าลงจากเตียงเพื่อคล า

ทางไปยังสวิตช์ไฟ



แกร๊ก!




“เฮ ้ ย!!” แสงสว่างภายในห ้องท าให ้ผมร ้องออกมาอย่าง

ตกใจเมื่อเห็นว่าใครคนหนึ่งก าลังนั่งหมุนตัวไปมาอยู่ตรง

เก ้าอี้ท างาน




ไอ ้ห่า กูนึกว่าชัตเตอร์



“มะ...มาได ้ไงวะเนี่ย” ผมถามอย่างลนลาน ยิ่งเห็น

ใบหน้าหล่อเหลาของไอ ้ค่ายไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ด ้วยแล ้ว

ก็อดหวั่นใจไม่ได ้ หรือมันจะมาเป็นสสารที่ท าให ้มนุษย์

สามารถมองเห็นได ้วะ




“กูยังไม่ตาย ท าไมต ้องท าหน้าตกใจขนาดนั้นด ้วยวะ” คน

ตรงหน้าพูดด ้วยน ้าเสียงราบเรียบ หากแต่มืออีกข ้างก็ยก

กระดาษสีขาวปึกหนึ่งขึ้นมา แน่นอนว่ามันคือบทที่จะใช ้

แคสต์นักแสดงเข ้ามาเล่นในละครเวทีปีนี้



“นั่นบทกู”




“มึงเป็นคนคิดคาแร็คเตอร์พระเอกเหรอ”



“ไม่ใช่ พี่เชนทร์ต่างหาก มึงไม่ต ้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย

เข ้ามาที่ห ้องกูได ้ยังไงวะ” ผมสาวเท ้ากลับมาที่เตียง ทิ้งตัว

ลงนั่งช ้ าๆ และพยายามท าตัวให ้ใจเย็นที่สุด



“ไอ ้ทูให ้มา” ไอ ้เพื่อนนรก! การที่กูให ้คีย์การ์ดอีกอันนึง


กับมึงไม่ได ้หมายความว่าแม่งจะยกให ้ใครก็ได ้นะโว ้ย!

“แล ้วหลายวันมานี้มึงหายหัวไปไหน”




“ทบทวนตัวเอง”



“...” ผมไม่ได ้พูดแทรกอะไร นอกจากปล่อยให ้ร่างสูงเล่า

จนจบประโยค



“เติร์ด นี่เราไม่ได ้พูดกันด ้วยประโยคยาวๆ มานาน

เท่าไหร่แล ้ววะ” ผมไม่ค่อยเข ้าใจจุดประสงค์ของไอ ้ค่าย


เท่าไหร่ บางทีมันก็ท าตัวงงๆ เอาแน่เอานอนไม่ได ้ วันดีคืน

ดีก็หายไป แต่บทจะกลับมาก็เป็นอย่างที่เห็น บอกตามตรง

ว่าเดาอารมณ์ไม่ทันเท่าไหร่



“ไม่รู้ดิ กูจ าไม่ได ้แล ้ว”



“ตั้งแต่ที่กูแนะน าแพรวให ้พวกมึงรู้จักใช่มั้ย”




“จริงๆ ก็ไม่หรอก เราต่างมีเรื่องให ้ต ้องคิดต ้องท า

เยอะแยะต่างหาก”



“ไอ ้เติร์ด...ตอนนี้กู...”



“...”




“เลิกกับเขาแล้วนะ”

ประโยคแสนราบเรียบเปล่งออกมาจากริมฝีปากได ้รูป ผม


นั่งอึ้ง ยิ่งเห็นคนตัวสูงไม่แสดงท่าทีเสียใจใดๆ ผมก็ยิ่งท า

ตัวไม่ถูก ปกติจะต ้องลุกไปตบไหล่มันแล ้วปลอบใจว่าไม่

เป็นไร แต่คราวนี้ผมกลับนั่งเฉยๆ



“ท าไมถึงเร็วขนาดนั้นวะ” ทั้งที่ผู้หญิงคนนี้ดูน่าจะเข ้ากับ

มันมากกว่าคนที่ผ่านๆ มาด ้วยซ ้า




“กูเพิ่งรู้ว่าตัวเองแม่งโคตรเหี้ย”



จริงๆ มึงก็น่าจะรู้ตัวตั้งนานแล ้ว แต่ผมไม่พูดหรอก กลัว

เพื่อนจะเสียใจ



“เจอคนใหม่ล่ะสิ”




“ก็ไม่เชิง” ส าหรับไอ ้ค่าย มีไม่กี่เหตุผลหรอก ไม่เจอคน

ใหม่ก็เบื่อของเก่า “กูชอบมองผู้หญิงเป็นเหมือนของเล่น

แค่คิดว่าเรามีเซ็กซ์กัน ต่างคนต่างวินมันก็จบ” เจ ้าตัวเงียบ

ไปอึดใจหนึ่ง ก่อนเหลือบตามองมาที่ผม



“ต่อดิ ฟังอยู่”




“กูเป็นคนเบื่อง่าย อยากลอง แต่ไม่อยากผูกมัด กูมีเซ็กซ์

กับคนมากมายแต่มึงรู้อะไรมั้ย อีกวันเราก็กลายเป็นแค่คน

แปลกหน้าส าหรับกันอยู่ดี”




“ก็เพราะมึงไม่หยุดไง”



“นั่นสินะ” ความเงียบได ้ปกคลุมพื้นที่อีกครั้ง กระทั่งเวลา

ผ่านไป เสียงทุ้มจึงเปล่งออกมาอีกหน “เออ! บทนี้ดีว่ะ กู

ชอบ”



“น ้าเน่านิดหน่อยว่ะ”




“มึงเขียนเองเหรอ”



“อืม”



“ขอลองอ่านออกเสียงได ้มั้ย




ผมขมวดคิ้วเข ้าหากันแทบเป็นปม มองดูมือหนาซึ่งจับ

กระดาษขาวเอาไว ้แล ้วพยายามอ่านทุกตัวอักษรที่ถูกพิมพ์

ลงไป



“เราเป็นคนหน้าแบบนี้ หุ่นแบบนี้ ซึ่งเราคงเปลี่ยนตัวเอง

เพื่อเธอไม่ได ้มาก เรามีเงินในบัญชีไม่เท่าไหร่ อาจจะซื้อ

ของแพงให ้เธอไม่ได ้ แต่เราขอทดแทนมันด ้วยของที่มี


ประโยชน์ส าหรับเธอ”

“...”



“เราไม่ใช่อัจฉริยะ แถมติดจะโง่ด ้วยซ ้า แต่เราจะใช ้


ความสามารถที่มีทั้งหมดเพื่อดูแลเธอให ้ดีที่สุด”



“...”



เนื้อความตอนนี้เป็นสิ่งที่ผมเขียนขึ้นจากความคิดเบื้องลึก

ของตัวเอง แม ้คนที่เป็นเจ ้าของประโยคพวกนี้จะเป็น


พระเอกของเรื่องก็ตาม



“แล ้วเธอเชื่อมั้ย ต่อให ้ชีวิตของเธอมีคนมากมายแวะ

เวียนเข ้ามา เธอก็จะยังเห็นเราเฝ้ามองอยู่ที่เดิมเสมอ”



“ไอ ้ค่าย กูว่า...”




“แล้วเธอเชื่อมั้ย ต่อให้ชีวิตของเรามีผู้คนมากมาย

แวะเวียนเข้ามา เราก็ยังคงเห็น ‘เธอ’ เฝ้ ามองอยู่ที่เดิม

เสมอ”



เนื้อความถูกสรรพเปลี่ยนสรรพนาม นั่นท าให ้ความหมาย

ของประโยคเปลี่ยนแปลงไปด ้วย




ค าว่าเฝ้ามองนั้น รู้สึกอบอุ่นอยู่ลึกๆ

ผมกับไอ ้ค่ายเป็นเพื่อนกัน ไม่รู้หรอกว่าประโยคก่อนหน้า

มีความหมายแอบแฝงหรือเป็นแค่การอ่านประโยคหวาน


เลี่ยนแสนธรรมดา แต่ตอนนี้ ณ เวลานี้...



ไม่มีใคร...ละสายตาจากใครไปได ้เลย



การแคสต์นักแสดงละครเวทีเริ่มต ้นขึ้นแล ้ว นิสิตหลายคน

ให ้ความสนใจและหลั่งไหลเข ้ามาสมัครท่วมท ้นจนแน่น

ถนัด เล่นเอาต ้องหาเก ้าอี้เสริมให ้นั่งรอด ้านนอกหอประชุม


กันเลยทีเดียว ผม พี่ใบบัวและทีมแคสต์อีกหลายคนต่างท า

การบ ้านมาอย่างดี เพื่อให ้การเลือกนักแสดงในวันนี้ตรงกับ

บทที่เขียนมาให ้มากที่สุด



เราใช ้ ห ้องประชุมขนาดเล็กเป็นสถานที่แคสต์นักแสดง

โดยล าดับนั้นเราจะให ้ผู้สมัครเข ้ามาทีละสามคนตามบทที่

ต ้องการเล่น เริ่มที่นางเอกของเรื่องก่อน รองลงมาก็พระเอก


ตามด ้วยนักแสดงสมทบไปเรื่อยๆ



“หูยยยยยยยย ผู้หญิงสวยๆ เพียบ นั่นดาวบริหาร ดาวทัน

ตะ ดาวนิติ แม่มึ๊ง!!” เสียงของไอ ้ทูแทรกเข ้ามาเป็นระยะ ดู

เหมือนมันจะมีความสุขมากกับการยลโฉมดอกไม ้งามที่

ก าลังนั่งรวมตัวกันด ้านนอก เพราะเมื่อเก็บภาพกรรมการ

คัดเลือกนักแสดงอย่างพวกผมเสร็จ มันก็วิ่งหิ้วกล ้อง


ออกไปจากห ้องทันที

ความสุขของมึงรออยู่ตรงนี้แล ้วครับ นี่อาการหนักถึง

ขนาดพกเมมโมรี่ส ารองมาถึงสองอัน โธ่...ไอ ้หื่นกามเอ๊ย




ส่วนไอ ้โบนกับไอ ้ค่ายไม่น้อยหน้า วันนี้สาระแนแย่ง

หน้าที่สวัสดิการด ้วยการแจกขนมและน ้าดื่มให ้ผู้สมัคร คือ

มึงคงลืมไปว่าตัวเองมีหน้าที่จัดไฟและคุมเสียง! แต่ผมก็ไม่

มีเวลามาใส่ใจมากนักเพราะผู้หญิงสามคนแรกได ้เดินเข ้ามา

ที่ห ้องเรียบร ้อยแล ้ว




“แนะน าตัวเลยค่ะ” พี่เบิ้ม เจ๊ใหญ่ของการคัดเลือกพูด

ผ่านไมค์



“สวัสดีค่ะ ชื่อชา นิชา เรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาค

เคมีค่ะ”



“มีต าแหน่งอะไร หรือความสามารถพิเศษอะไรบ ้าง


ช่วยพรีเซนต์ให ้เราดูหน่อยค่ะ”



“หนูเป็นดาวคณะวิศวะชั้นปีที่สองค่ะ ความสามารถคือ

ร ้องเพลงและเล่นกีตาร์ค่ะ”



“งั้นก่อนจะลองต่อบท ไหนร ้องเพลงให ้พี่ฟังหน่อย”




ขั้นตอนการแคสต์ด าเนินต่อไปเรื่อยๆ ไอ ้โบนกับไอ ้ค่ายที่

อยากมีส่วนร่วมเลยหาเก ้าอี้มานั่งอยู่ข ้างๆ ผม สงสัยคง

อยากนั่งมองน้องเขาจนขาหนีบสั่นผับ ส่วนไอ ้ทูไม่ต ้องถาม

หาครับ แม่งซูมเลนส์จนแทบแทงดั้งน้องดาวอยู่รอมร่อ




คนแล ้วคนเล่าเดินเข ้ามา โชว์การแสดงตามบทบาทที่

ได ้รับอย่างดี บางคนเล่นดีทั้งค าพูด รวมถึงภาพลักษณ์ที่

ตรงตามบท แต่ก็ยังไม่มีคนไหนที่โดดเด่นออกมา จน

ผู้หญิงอีกสามคนเดินเข ้ามาในห ้อง



“สวยสาดดด ไอ ้เติร์ดเลือกคนนี้แน่” เสียงของไอ ้โบ


นแม่งแทรกเข ้ามาเป็นระยะจนรู้สึกร าคาญ เห็นมันเดา

สถานการณ์กับไอ ้ค่ายมาพักใหญ่แล ้วครับ และก็ไม่มีท่าที

ว่าจะหยุดพล่ามด ้วย



“ยังๆ”



“ไปอีกคน คนโน้น” ไอ ้ค่ายบู้ยปากไปยังรุ่นน้องผู้หญิง


ล าดับที่เก ้า ซึ่งเป็นคนเดียวที่ผมมองตั้งแต่แรกที่เดินเข ้ามา

เพราะคาแร็คเตอร์เป๊ ะมาก



“คิดอะไรบอกกูหน่อย” ไอ ้โบนสะกิดผมอีก



“เงียบไปเลยมึงสองตัวอ่ะ”




“เดี๋ยวจะให ้น้องลองเล่นบทนี้ให ้ดูหน่อย พระเอกจะร ้อง

เพลงที่เป็นธีมหลักของเรื่องเพื่อจีบน้อง บทสนทนาก็ตามนี้

เลย” พี่ใบบัวยื่นบทให ้กับน้องผู้หญิงหมายเลขหก ก่อน

เพื่อนรักสองตัวจะถกประเด็นกันเงียบๆ แต่ร าคาญหูกูฉิบ


หาย



“เพลงของวงโอเอซิสเหรอ แม่งเก่ามาก”



“Wonderwall เพลงโปรดเชี่ยเติร์ด” ไอ ้ค่ายรู้ดีเสมอว่า

ผมชอบอะไร จนบางทีก็รู้สึกดีนะครับที่ความเป็นเพื่อนของ

เรายังมาจากความใส่ใจอยู่บ ้าง




“มึงเลือกเหรอ” ค าถามจากไอ ้โบนส่งมาถามผม



“เออ”



“ถ ้าแทงหวยนี่ไอ ้ค่ายถูกไปละ”




“หวยก็แทงไม่เสียวเท่ากูหรอก”



“ขอโทษนะ พวกมึงช่วยสนใจข ้างหน้าหน่อยได ้มั้ย กู

ร าคาญ” สิ้นเสียงสบถของผม ไอ ้โหดสองตัวก็ไม่ได ้พูด

แทรกอะไรออกมาอีก สุดท ้ายคนที่เราลงคะแนนเสียงเลือก

ก็เป็นไปตามที่ไอ ้ค่ายได ้ท านายไว ้ก่อนหน้า เมื่อน้องหลีด

ศึกษาเบอร์เก ้าคว ้าต าแหน่งนางเอกไปครอง




แม ้ยังไม่ประกาศผลอย่างเป็นทางการ แต่คะแนนที่ได ้รับ

อย่างสูงลิ่งจากใบคะแนนของแต่ละคนก็ท าให ้ไม่ต ้องลุ้นตัว

โก่งกันอีก




จากนางเอกที่แคสต์เสร็จไปเป็นที่เรียบร ้อยก็ย ้ายมาที่

ฟากพระเอกบ ้าง แน่นอนว่าการแคสต์ในครั้งนี้รวมเอาเดือน

และหลีดคณะ รวมถึงคนหน้าตาดีจากทั่วมหา’ลัยเอาไว ้ในที่

เดียว ซึ่งเราก็ยังใช ้ กระบวนการเหมือนเดิมคือให ้ท าการ

แสดงตามบทที่ได ้มอบหมายให ้




ตัวคาแร็คเตอร์ของพระเอกได ้ไอ ้ผู้ก ากับหน้าหมีเป็นคน

คิดให ้ แต่บอกเลยว่าวันนี้พี่มันไม่มา ความหวังทั้งหมดเลย

ฝากไว ้กับคนที่เหลือ



การคัดเลือกยังด าเนินต่อไปเรื่อยๆ จนมาหยุดพักเมื่อท า

การแคสต์บทพระเอกเสร็จสิ้นทั้งหมดแล ้ว แต่ก็เลือกไม่ได ้

ว่าควรเป็นใคร มันเลยมาถึงจุดที่เราต ้องคุยกันคร่าวๆ




“หลายคนเล่นได ้แต่ไม่มีเสน่ห์เลย” ผมที่ท าได ้แค่รับฟัง

เงียบๆ ปล่อยให ้คนมีประสบการณ์วิจารณ์กันไป



“นี่คิดเหมือนกัน คือบทของตฤณเป็นเพลย์บอยและเจ ้าชู ้

มากไง”




“อืม เรามองว่าคนที่เล่นได ้ต ้องเหี้ยมาจากข ้างในจริงๆ

มันต ้องมีอินเนอร์แบบนั้น” โห...พระเอกไม่ได ้เหี้ยครับ แค่


Click to View FlipBook Version