The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kim.pongsakorn.26081998, 2019-06-10 12:45:47

tmp

ข ้างพูดด ้วยน ้าเสียงเศร ้าๆ ซึ่งดูยังไงก็ไม่เหมือนมันเลย คน

สี่คนที่ตลกเฮฮาพอถึงวันเครียดๆ กลับกลายเป็นพวกดราม่า

แบบสุดโต่งเหมือนกัน



“แล ้วมึงท าอะไรผิดกับกูล่ะ”



“เฮ ้ อ เอาเป็นว่ากูขอโทษส าหรับทุกอย่างแล ้วกัน กลับมา

เป็นเหมือนเดิมเถอะว่ะ แก๊งโหดที่เป็นแบบนี้แม่งโคตรไม่

คูลเลยสัด”



“กูพยายามอยู่ นี่ก็ห ้าโมงกว่าละไม่มีนัดที่ไหนเหรอ” ผม


แสร ้งยกนาฬกาข ้อมือขึ้นมาดู ก่อนจะเบี่ยงประเด็นอีกครั้ง
เพื่อที่เราจะได ้ไม่พูดถึงมันอีก



“วันนี้ไม่มี ว่าจะกลับไปขอตังค์ที่บ ้าน มึงกลับคนเดียวได ้

นะ”



“ห่วงกูจัง ปกติกูก็กลับคนเดียวตลอด”



“มึงเป็นคนที่น่าห่วงที่สุดในกลุ่มแล ้ว ไม่งั้นไอ ้ค่ายมันไม่

ห่วงมึงหรอก” ทันทีที่พูดชื่อใครอีกคน ผมก็ถูกใบ ้กินอีกรอบ



“...”



“กูไปก่อนนะ เจอกันวันจันทร์ ขอเวลากูไปรีดไถแม่สัก

สองวันก่อน”

“เออ จะไปไหนก็ไป” โบกมือไล่เสร็จก็ได ้แต่นั่งมองดู

เพื่อนในกลุ่มอีกคนเดินผละห่างกระทั่งลับสายตาไป

หลงเหลือเพียงผมคนเดียวที่อยู่ในห ้องนี้



เป็นห่วงเหรอ หึ! ตลกดี



คนเป็นห่วงกันมันไม่ท าแบบนี้หรอก ตั้งแต่วันนั้นไม่มีวัน

ไหนที่ไอ ้ทูไม่บ่นถึงไอ ้ค่ายเรื่องควงผู้หญิงเลยสักวัน มันไม่

เคยเปลี่ยนไป ยังคงหิ้วหญิงไปที่ห ้องและท าตัวเจ ้าชู ้

เหมือนเดิม แล ้วผมยังจะหวังความจริงใจจากความห่วงใย

จอมปลอมนั้นได ้อีกเหรอ ไม่มีทางเลย



บอกว่ายังแคร์กู ทั้งที่ยังมีผู้หญิงคนอื่นนอนอยู่บนเตียง

ของมัน ตลกฉิบหายเลยว่ะ



ปกติช่วงเย็นผมมักเดินเล่นและกินข ้าวที่ห ้าง ก่อนจะใช ้

เวลาที่เหลือด ้วยการซื้อตั๋วหนังเข ้าไปนั่งดูในรอบสุดท ้าย

ของวัน จะติดก็แต่วันนี้ที่ต ้องเข ้าไปคุยงานกับรุ่นพี่ปีสี่นิด

หน่อย เรื่องฝากฝังหน้าที่เฉพาะเกี่ยวกับงานละครเวทีคณะ

ซึ่งจะมีประชุมใหญ่ช่วงอาทิตย์หน้า



กว่าจะหนีจากงานส่วนนี้ได ้ก็เล่นเอาปาดเหงื่อ ผมแวะกิน

ข ้าวที่ร ้านอาหารญี่ปุ่ นจนอิ่ม ช่วงสามทุ่มครึ่งเลยขึ้นมานั่งรอ

ตรงโซฟาหน้าโรงหนัง



ดีหน่อยที่ผมเป็นพวกไม่ชอบดูหนังไปด ้วยกินไปด ้วย เลย

ประหยัดค่าน ้าและป๊ อปคอร์นไปเยอะโข ผมไม่ชอบให ้มี

เสียงรบกวนและท าลายสมาธิตอนดูหนังเท่าไหร่ นี่เลยเป็น

อีกเหตุผลหนึ่งที่เลือกดูหนังรอบสุดท ้ายของวันเพราะคน

น้อย หรือบางที...ก็แทบไม่มีคนเลย



Rrrrr…!



เสียงเรียกเข ้าดังขึ้นมาขัดจังหวะการคิดอะไรเรื่อยเปื่อย

ผมเลยไม่รอช ้ ากดรับอย่างรวดเร็วเพราะปลายสายเป็น

เจ ้าของห ้องที่ผมซุกหัวนอนด ้วยนั่นเอง



“มีไรวะ”



[คืนนี้ไม่กลับนะ]



“พาสาวไปกกอีกล่ะสิมึง”



[เหยื่อติดเบ็ดจะให ้กูปล่อยไปเหรอ] เนื่องจากคอนโดไอ ้

ทูมีห ้องนอนอยู่ห ้องเดียว แถมมีผมเข ้ามาอยู่อาศัยด ้วยอีก

ทุกครั้งที่เห็นมันต ้องพาสาวไปเปิดห ้องใหม่ คนอาศัยอย่าง

ผมเลยรู้สึกไม่ดี แต่มันก็ไม่เคยถือสาและยินดีจะให ้เป็นแบบ

นี้ไปอีกพักใหญ่จนกว่าผมจะพร ้อมและตัดใจจากไอ ้ค่ายได ้



“เออ เอาที่มึงสบายใจ”



[กูไม่อยู่อย่าก่อเรื่อง]

“บอกตัวเองก่อนมะ...มั้ย” ท ้ายประโยคเบาหวิวจนแทบ

ปลิดปลิวไปในอากาศ เมื่อม่ายสายตาของผมปะทะเข ้ากับ

ใครบางคนเข ้า



เป็นไอ ้ค่ายไม่ผิดแน่

มันมากับผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในชุดนิสิต เธอผมยาวแถมยัง

ตัวเล็กมากๆ ทั้งคู่เดินไปหยุดอยู่ตรงเคาน์เตอร์ซึ่งขายขนม


และเครื่องดื่ม ผมถือสายค ้างอยู่นานก่อนจะครางอืออาทั้งที่

แทบไม่รู้ด ้วยซ ้าว่าเพื่อนก าลังพูดอะไร



ในใจผมหวาดหวั่น เอาแต่นั่งภาวนาว่าเราคงไม่ได ้ดูหนัง


โรงเดียวกัน ดีที่ไอ ้ค่ายมองไม่เห็นผม เพราะหลังจากซื้อป๊

อปคอร์นและเครื่องดื่มเสร็จคนทั้งคู่ก็เดินไปยังจุดที่

พนักงานตรวจตั๋วยืนอยู่ ก่อนจะเข ้าไปด ้านใน ทิ้งให ้คนมอง

นั่งคอตกอยู่ล าพัง




การตัดใจจากเพื่อนสนิทที่แอบรักมาร่วมสองปีไม่ใช่เรื่อง

ง่ายดายเลย เวลาสองอาทิตย์ไม่ได ้ท าให ้ความเจ็บที่

เกิดขึ้นในใจลดน้อยลง จนผมไม่รู้ว่าต ้องใช ้ เวลาอีกนาน


เท่าไหร่กว่าวันนั้นจะมาถึง



หนังใกล ้ฉายแล ้ว ผมปิดโทรศัพท์มือถือแล ้วลุกขึ้นยืน


เต็มความสูง ยื่นตั๋วหนังให ้พนักงานแล ้วเดินเข ้าไปใน

โรงหนัง ด ้านในปิดไฟมืดสนิทแล ้วเพราะตัวอย่างหนังเริ่ม

ฉาย ผมเดินเข ้าไปทิ้งตัวลงนั่งตรงเบาะตามหมายเลยของ

ตัวเอง วันนี้คนน้อยเหมือนทุกที เพราะทั้งโรงมีแทบไม่ถึง

สิบคน




เสียงกุกกักของเก ้าอี้แถวหน้าที่นั่งเยื้องกับผมหนึ่ง

ต าแหน่งสร ้างความร าคาญให ้เล็กน้อย แต่เมื่อเพลง

สรรเสริญพระบารมีเริ่มบรรเลงขึ้น ความร าคาญที่เกิดขึ้นใน

ตอนแรกก็เริ่มแผ่ซ่านเข ้ามาภายในใจ




ผมจ าส่วนสูงของคนตรงหน้าได ้ดี แม ้จะนั่งเยื้องและ

มองเห็นเสี้ยวหน้าเพียงเล็กน้อย ผมก็ยังรู้ว่าคือคนเดียวกัน




ท าไมมึงต ้องมาอยู่ที่นี่ในวันที่กูอ่อนแอ



เพลงจบแล ้ว ทุกคนทิ้งตัวลงนั่งจุดเดิม มีเพียงผมที่ยืน


ค ้างมองดูร่างสูงค่อยๆ ลดตัวลง เสี้ยววินาทีนั้นเราหันมา

สบตากันชั่วครู่ก่อนเวลาบนโลกนี้จะหยุดเดินในความรู้สึก



จะท ายังไงเหรอ ทักทายหรือส่งยิ้มให ้กูมั้ย เอ่ยถามหรือ


ท าอะไรก็ได ้ให ้รู้สึกดีกว่านี้หน่อย แต่เปล่าเลย ไม่มีอะไร

เกิดขึ้น เป็นเพียงไม่กี่วินาทีที่เรามองตากันและต่างฝ่ ายต่าง

เพิกเฉยจนอดคิดไม่ได ้ว่า...นี่เราเป็นเพื่อนกันจริงๆ ใช่มั้ย




“น้องคะ ช่วยนั่งลงด ้วยค่ะ”

“อ ้อ ขอโทษครับ” เสียงที่พุ่งลงมาจากด ้านหลังเร่งให ้ผม


กุลีกุจอนั่งลงพัลวัน



ใจยังคงเต ้นแรงอยู่เลย มันดังจนแทบจะกลบเสียงเคี้ยวป๊

อปคอร์นจากคนข ้างหน้า ปกติไอ ้ค่ายไม่ชอบซื้ออะไรพวกนี้

มากินระหว่างดูหนังเหมือนกัน แต่ผิดที่วันนี้มันอาจก าลังเอา


ใจใครบางคนอยู่



หนังเริ่มฉาย แปลกดีที่คนชอบดูหนังอย่างผมกลับจดจ่อ


อยู่ที่เบาะสีแดงตรงหน้าเสียมากกว่า และก็อดไม่ได ้ที่จะ

ชะเง ้อมองหลายครั้งอย่างไม่เข ้าใจ ศีรษะที่โผล่โพ ้นขึ้นมา

ท าให ้ผมจับจ ้องทุกการเคลื่อนไหว ตอนแรกมันยังตั้งตรงดี

อยู่ แต่ไม่นานมันก็เริ่มเอนเอียงเข ้าหาคนข ้างๆ




ผมก าหมัดแน่นเพื่อกักกับอารมณ์บางอย่างที่ก าลังพลุ่ง

พล่านอยู่ข ้างใน ปล่อยให ้ปลายเล็บจิกเข ้าไปในฝ่ ามือจน

รู้สึกเจ็บ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นไอ ้ค่ายอยู่กับผู้หญิง แต่


เหตุผลที่ครั้งนี้เจ็บกว่าทุกทีก็เพราะเราไม่ได ้รักกันเหมือน

ก่อน



ผมเริ่มควบคุมตัวเองด ้วยการมองตรงไปยังจอขนาดยักษ์


แทนที่จะเป็นเก ้าอี้ข ้างหน้า แต่เชื่อหรือเปล่าว่ามันไม่ได ้

ช่วยให ้ผมดูหนังรู้เรื่องขึ้นเลย ตามองก็จริงแต่กลับเลือนราง

เต็มแก่ แม่งโคตรเกลียดตัวเองที่อ่อนแอฉิบหาย




หลายครั้งที่ผมสังเกตพวกเขา ไอ ้ค่ายกระซิบคุยกับ

ผู้หญิงคนนั้นเบาๆ พร ้อมกับป้อนขนมกัน เพิ่งรู้สึกเหมือน

ตัวเองเป็นส่วนเกินครั้งแรก น่าแปลกที่ร่างกายกลับทรยศ

ด ้วยการนั่งนิ่งแทบไม่ขยับเขยื้อน ระยะเวลาสองชั่วโมง

ยาวนานราวกับตกลงในขุมนรก




ความเข ้มแข็งที่เคยมีมาตลอดพังทลาย ปิดฉาก

ความหวังในการแอบชอบมาตลอดสองปีกับอีกสี่เดือนลงใน


พริบตา สมองส่วนที่ลึกที่สุดพยายามเค ้นหาเหตุผลทั้งข ้อดี

และข ้อเสียที่ท าให ้ผมต ้องรีบตัดใจในเร็ววัน อย่างน้อยก็

ตอนนี้ ตอนที่ไม่มีแรงแม ้แต่การควบคุมลมหายใจของ

ตัวเอง




“ค่าย เมื่อกี้นางเอกพูดว่าอะไรนะ ฟังไม่ทัน” เสียงกระซิบ

ที่ดังแทรกขึ้นมาเบาๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งท าให ้ผมเงี่ยหูฟัง

อย่างอยากรู้




โชคดีที่ในโรงหนังมีคนน้อย และทุกคนก็นั่งกระจัด

กระจายตามพื้นที่ต่างๆ จนสามารถกระซิบคุยกันได ้โดยไม่

รบกวนใครยกเว ้น...กู




“เขาบอกว่า I wanna be the one you drunk text

first”




“แปลหน่อย”



“อยากเป็นคนแรกที่คุณส่งข ้อความมาหาเวลาเมา”



“ต่อไปถ ้าเมา เราส่งหาค่ายได ้มั้ย”




“ได ้ดิ ส่งมาได ้ตลอดเลยครับ”




ระหว่างบทสนทนาอันโคตรเสียดแทงใจ ผมได ้ค ้นพบ

ข ้อเสียข ้อต่อมาของมันที่สมองพอจะกลั่นออกมาได ้...



ข ้อสาม นิสัยเจ้าชู ้ และอ่อยไปทั่ว




“เดี๋ยวดูหนังเสร็จไปไหนต่อ”



“ที่ห ้องเรามั้ย”




ข ้อสี่ เห็นทุกคนเป็นแค่วันไนต์แสตนด์



“โอเค แล ้ว...”




“ชู่วววววววว” เสียงผะแผ่วที่ส่งออกมาของคนตัวสูงท า

ให ้บริเวณโดยรอบกลับมาเงียบอีกครั้ง จะมีก็แต่เสียงที่

ส่งผ่านมาจากหนังเรื่องดังตรงหน้าเท่านั้นที่ด าเนินต่อไป


ทั้งที่ไม่เข ้าใจอะไรเลย



เออ หนังแม่งพูดเกี่ยวกับเรื่องอะไรกันแน่วะ เพราะเท่าที่

ดูและได ้ฟังกลับค ้นพบว่าทุกอย่างล ้วนมีแต่เรื่องของไอ ้ค่าย

ทั้งหมด ผมเลยปล่อยให ้ภาพของมันครอบง าความรู้สึก


เหล่านั้นไปเรื่อยๆ



ข ้อห ้า ผู้หญิงเก่าๆ ของมันล ้วนเป็นปัญหา




นอกจากคนเก่าตบตีคนใหม่แล ้ว ยังลามมายุ่มย่ามกับ

เพื่อนในกลุ่มจนไม่เป็นอันท าอะไรอีก หนักสุดตอนนั้นก็มา

ขอให ้ผมช่วยเป็นพ่อสื่อให ้คืนดีกัน และแน่นอนว่าถ ้ามัน


แก ้ปัญหาได ้เพื่อนก็คงไม่เดือดร ้อน



ข ้อหก มันไม่ฉลาด




เออมันไม่ฉลาด แล ้วผมก็โง่งมอยู่นาน



นี่กูเจ็บซ ้าซากมานานแค่ไหนแล ้ววะเนี่ย แผลเหวอะหวะ

เต็มไปทั้งหัวใจแล ้วไอ ้สาด




แม ้แต่ความเป็นเพื่อนเรายังให ้กันไม่ได ้ แล ้วที่ทนเจ็บมา

โคตรนานเพื่อให ้รู้ว่าสุดท ้ายไม่เหลืออะไรเลยเนี่ยนะ คนเรา

นี่ก็แปลกรู้ว่าวันหนึ่งต ้องเจ็บปวดแต่ก็อยากรู้จักกับความรัก


ตอนผมเจอไอ ้ค่ายครั้งแรก ใจมันก็รั้นท่าเดียวว่าถ ้าได ้ท า

ความรู้จักก็คงดี ต่อให ้เจ็บฉิบหายแค่ไหนก็ยอม



ความอดทนนั้นลากยาวจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี

ยอมรับได ้ทุกอย่างว่าอีกฝ่ ายจะรักใคร มองดูมันมีแฟนและ


เลิกรากันไปคนแล ้วคนเล่า เฝ้าแต่พูดกับตัวเองว่าสักวันมัน

คงจะหยุด และคนที่อยู่เคียงข ้างในตอนนั้นยังไงก็ยังเป็นผม

ซึ่งมันเป็นความคิดที่น่าสมเพชมาก




ผมเหมือนวิ่งมาไกลแต่ไม่มีเส ้ นชัยและจุดหมาย วิ่งไป

เรื่อยๆ เหมือนคนหลงทาง วิ่งจนกว่าจะหมดแรงและเลิกรา

ไปเอง ซึ่งวันนั้นมันก็มาถึงแล ้ว




หนังแอคสุดท ้ายด าเนินมาถึง ผมนั่งตัวเกร็งขึ้นอีกระดับ

เมื่อเห็นเส ้ นผมสีด าขลับที่โผล่ขึ้นมาจากเก ้าอี้เริ่ม

เคลื่อนไหว จนอดไม่ได ้ที่จะกัดปากตัวเองแน่นเมื่อเห็นริม


ฝีปากของคนที่แอบชอบมาตลอดสัมผัสกับผู้หญิงเบาะ

ข ้างๆ



ทั้งคู่ก าลังจูบกัน โดยมีไอ ้หน้าโง่ตัวหนึ่งลอบมองผ่าน


ซอกเก ้าอี้ หัวใจก็เต ้นกระหน ่าจนแทบระเบิด เขาจูบกันนาน

มาก นานจนได ้ยินเสียงที่เล็ดรอดออกมาให ้คนฟังด ้านหลัง

นั่งน ้าตาตกใน เสียงดนตรีจากหนังไม่ได ้ช่วยเยียวยาอะไร

เลย




จ าวันนั้นได ้มั้ย วันที่มึงบอกว่าแคร์กู และกูเป็นเพื่อนรักคน

หนึ่งของมึง ท าไมวันนี้มึงถึงเลือกท าลายกูได ้ลงคอ ในหัวมี

แต่ค าถามว่าท าไมเต็มไปหมด แม ้แต่ตอนที่หนังจบผมก็

ยังคงตั้งค าถาม




ไอ ้ค่ายลุกขึ้นยืนพร ้อมกับแสงไฟที่เริ่มส่องสว่างขึ้น ผู้หญิง

ที่นั่งอยู่ข ้างๆ รีบลุกตาม แค่ได ้เห็นแผ่นหลังของคนตัวสูง


ผมก็เอื้อมมือออกไปข ้างหน้าโดยไม่มีเหตุผล แต่ร่างกาย

ของอีกฝ่ ายกลับขยับหนี



ผมนิ่งอยู่นาน รู้ตัวอีกที...




ไอ ้ค่ายก็ได ้เดินจากไปไกลแล ้ว



มือของผมค ้างเติ่งคล ้ายอยู่กลางอากาศ ก่อนจะลู่ตกมาอยู่


ตรงหน้าขาอย่างคนหมดเรี่ยวแรง เอนเครดิตที่ปรากฎอยู่

ด ้านหน้ากลายเป็นภาพแสนรางเลือน คล ้ายกับความหวังที่

หมดลงเหลือเพียงน ้าตาที่กลิ้งลงมาบนแก ้มทั้งสองข ้าง




และตอนนั้นเองที่ผมค ้นพบความจริงอีกข ้อที่ว่า...

ข ้อเจ็ด มันไม่เคยรักใครจริง




ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล ้ว ผมเดินคอตกออกมา

จากโรงฉายเพียงล าพังหลังจากตัดพ ้อชีวิตตัวเองจนพอใจ

พรุ่งนี้จะไม่มีไอ ้เติร์ดคนเดิมอีก ถึงแม ้วันนี้ต ้องร ้องไห ้ให ้

ตาย ผมก็จะให ้มันเป็นเพียงครั้งสุดท ้ายที่น ้าตาของผมมีไว ้

ส าหรับมัน




“ไอ ้เติร์ด” ก ้าวเท ้าออกมาได ้ไม่กี่ก ้าวใครคนหนึ่งก็

เรียกชื่อผม ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมามองผมก็เห็นไอ ้โบนยืนอยู่


ตรงหน้าแล ้ว



“เชี่ยโบน มึง...มาได ้ไงวะ” ผมถามอย่างสงสัย รีบยก

แขนเสื้อขึ้นเช็ดหน้าลวกๆ เพราะกลัวว่ามันจะจับไต๋ได ้




“ก็มึงบอกจะมาดูหนัง เจอไอ ้ค่ายด ้วยก็เลย...”



“เหรอๆ มันออกไปแล ้วล่ะ เดี๋ยวกูว่าจะกลับอยู่เหมือนกัน”




“มึงโอเคมั้ย”



“โอเคดิ หนังแม่งสนุกดีว่ะ” ไม่ทันได ้พูดอะไรต่อร่างของ


ผมก็ถูกเพื่อนตัวสูงกว่าดึงเข ้าไปกอดอย่างแรง แรงถึงขนาด

ที่ท าให ้ผมหายใจแทบไม่ออก

“ไอ ้เติร์ดกูขอโทษ”




“เฮ ้ ย ขอโทษอะไรวะ ฮ่าๆ”



“ขอโทษที่ท าให ้มึงเป็นแบบนี้”



“...”




“กูไม่ได ้ตั้งใจ กูขอโทษจริงๆ” ไอ ้โบนไม่ยอมปล่อยผม มัน

เอาแต่พูดค าว่าขอโทษไม่หยุดจนท าให ้คนฟังอดน ้าตาไหล


อีกรอบไม่ได ้



“โบนมึง...”




“วันนั้นมึงได ้ยินที่กูพูดใช่มั้ย” เป็นไปตามคาด ไอ ้โบนรู้ค

วามจริงจนได ้ ไม่รู้ว่าไอ ้ทูบอกหรือมันรู้ด ้วยตัวเองกันแน่



ผมไม่ได ้ถือโทษโกรธอะไรเพราะยังไงเพื่อนก็คือเพื่อน จะมี


ก็แต่ไอ ้ค่ายเนี่ยแหละที่พยายามตัดใจ พร ้อมเมื่อไหร่สัญญา

ว่าจะกลับมาเป็นคนเดิม



“ใช่ กูได ้ยินทุกค าที่มึงพูด แต่มันผ่านไปแล ้ว”




“กูไม่รู้ไอ ้เหี้ย กูผิดเอง”

“...”




“ถ ้าใครสักคนต ้องผิด คนคนนั้นขอให ้เป็นกู” ผมรู้สึกว่า

ตัวเองไม่ได ้ถูกเพื่อนหันหลังให ้ อย่างน้อยก็ไอ ้โบนอีกหนึ่ง

คนที่เริ่มหันมาแคร์ความรู้สึกกันบ ้าง




“กูคิดไม่ซื่อกับเพื่อนด ้วยแหละ สมควรแล ้ว”



“ไอ ้ค่ายมันรักมึงมากนะ”




“แบบไหน”



ในใจผมก าลังคาดหวังอะไรอยู่วะ ต ้องการค าตอบแบบ


ไหนถึงจะพอใจ...



“เพื่อน”




“ระ...เหรอ”



“ร ้องออกมาเถอะว่ะ แล ้วพรุ่งนี้กูก็จะยังอยู่กับมึง”




อย่างน้อยได ้โบนก็ท าให ้ผมตาสว่าง เจ ้าตัวกระชับวงแขน

ให ้แน่นขึ้นเพื่อกอดปลอบผม ในเวลาที่อ่อนแอฉิบหาย

ขอบใจที่มึงยังอยู่เคียงข ้าง ผมจะร ้องไห ้ให ้กับไอ ้ค่ายแค่

วันนี้




เพื่อพรุ่งนี้...จะไม่ต ้องร ้องไห ้อีกต่อไป



การประชุมใหญ่ของคณะเริ่มต ้นขึ้นในช่วงบ่ายของวัน

อังคาร เฮดของแต่ละสาขาตามชั้นปีนั่งเรียงอยู่ในห ้อง


ประชุมกว ้าง โต๊ะรูปตัวยูมีนิสิตจับจองพื้นที่จนเต็มอัตรา ผม

กับเพื่อนอีกสามคนจากฝั่งฟิล์มปีสามเป็นตัวแทนของสาขา

มารับฟังข่าวสารแล ้วไปขยายต่อ




งานใหญ่ประจ าปีที่เป็นหน้าตาของคณะนั่นก็คือละครเวที

นิเทศใกล ้เริ่มขึ้นแล ้ว ไม่อย่างนั้นงานนิเทศแฟร์ครั้งก่อนเรา

คงไม่ขนพลกันมาจัดกิจกรรมโกยเงินเข ้าคณะกันจนหัววุ่น


วันนี้ประธานรุ่นปีสี่ที่เป็นเฮดใหญ่แกเลยรีบประชุมและแบ่ง

หน้าที่กัน เพราะต ้องใช ้ เวลาเตรียมตัวอีกนาน



การท าละครไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะองค์ประกอบและหน้าที่


ค่อนข ้างเยอะ ไหนจะต ้องมี stage manager, back stage,

co-stage, คอสตูม ท าฉาก PR สารพัดจะคัดคนมาท า ซึ่ง

ประธานปีสี่แกก็ได ้แบ่งสันปันส่วนคร่าวๆ ไว ้ก่อนแล ้ว แต่ก็

ต ้องมารองานหลักที่ถ ้าไม่เสร็จงานก็เดินต่อไม่ได ้อย่างการ


เขียนบทแทน

และหวยก็มาออกที่ผมกับรุ่นพี่อีกสองคนที่เคยคุยเรื่องนี้

กันไว ้คร่าวๆ หน้าที่ของทีมเขียนบทคือต ้องสร ้างเส ้ นเรื่อง


และรายละเอียดการแสดงทั้งหมดในละครเวที เอาจริงๆ

จินตนาการในหัวตอนนี้เท่ากับศูนย์ นั่นท าให ้ทุกฝ่ ายต ้อง

จ่ายเวลาให ้ผมได ้คิดและเขียนมันออกมาในเวลาตั้ง...เดือน

ครึ่ง




เยอะมากเลยแสรดดดดดดดด



เวลาแค่นี้เนี่ยนะ กับสภาพจิตใจแบบนี้เนี่ยนะ ฆ่ากู


เหอะว่ะ



หลังออกมาจากห ้องประชุม ผมก็โทรนัดไอ ้ทูมาข ้างนอก

เพื่อเริ่มต ้นเขียนพล็อตคร่าวๆ แม ้ดูรวมๆ แล ้วงานหลักของ


มันจะเป็นงานภาพซะมากกว่า เพราะเฮดถ่ายภาพแกพูดชื่อ

ไอ ้ทูในที่ประชุมไม่หยุดเลย



สองชั่วโมงให ้หลังผมขับรถกลับมายังคอนโด จัดการโยน


กระเป๋ าและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ ้าเป็นชุดล าลอง ก่อนจะเดินไป

เคาะประตูห ้องของไอ ้โบนตามที่ได ้นัดหมายกันไว ้



ก๊อกๆๆ




รอไม่นาน เจ ้าตัวก็เดินมาเปิดประตูให ้ด ้วยใบหน้าระรื่น

พลางเอ่ยถามน ้าเสียงติดกวนตีน




“เป็นไง พ่อคนเขียนบท”



“ตอนแรกโอเค แต่พอเห็นหน้ามึงแล ้วสมองกูแบลงค์มาก

ครับไอ ้ควาย”




“กูหล่อก็บอก”



“ร าคาญ แล ้วผีไหนเข ้าสิงมึงให ้ใส่กางเกงแบบนี้วะ”


กางเกงบอลครับ แต่ขาดจนแทบลามไปถึงรูดาก



“เหมาะกันป่ ะ”




“เออเหมาะ กางเกงแม่งขาดเหมือนสติของมึงเลย ขาดๆ

เกินๆ”



“วันนี้อยากให ้กูซัดฟันซี่ไหนมึงทิ้งดีครับ”




“ไปกวนตีนไกลๆ แล ้วนี่จะให ้กูเข ้าไปมั้ย”



“เชิญ” บุคคลที่สองซึ่งนั่งกดเกมส์อยู่หน้าทีวีก็คือไอ ้ทู


มันหันมายิ้มให ้แว๊บหนึ่งก่อนจะจดจ่อกับเกมส์ต่อ แล ้วพอ

ไอ ้โบนเดินกลับไปนั่งขัดสมาธิข ้างๆ พร ้อมกับหยิบเกมส์กด

ขึ้น มันสองตัวก็เริ่มต ้นฆ่าล ้างผลาญกันอย่างเอาเป็นเอา

ตาย ทิ้งให ้ผมนั่งเหงาอยู่คนเดียว




“แล ้ว...ไอ ้ค่ายล่ะ” จริงๆ ก็อดถามไม่ได ้ เชี่ยโบนหันมา

จ ้องตาผม ก่อนจะกลับไปจดจ่อกับเกมส์ตามเดิม



“มันมีนัดน่ะ” ถึงแม ้ไม่บอกตรงๆ เดาว่ามันคงไปกับ


ผู้หญิงคนใหม่อีกตามเคย บ่อยครั้งที่ผมมักเห็นคนตัวสูงพา

ผู้หญิงหน้าตาสะสวยซ ้ อนท ้ายบิ๊กไบท์อยู่บ่อยๆ ซึ่งมันก็ท า

ให ้ผมรู้สึกทุรนทุรายเหมือนกัน




ไอ ้ค่ายไม่ค่อยไปไหนมาไหนกับเราแล ้ว ตอนนี้แก๊งโหด

เหมือนเหลือไว ้แค่ชื่อและสมญานาม มีแค่ผมสามคนเท่านั้น

ที่ใช ้ เวลาอยู่ด ้วยกันบ่อยๆ จะมีก็แต่ไอ ้โบนเนี่ยแหละที่เป็น


เหมือนกาวใจผสาน คอยดึงไอ ้ค่ายให ้กลับเข ้ากลุ่มตามเดิม

แต่มันก็เปล่าประโยชน์ในเมื่อเราไม่สนิทใจกันเหมือนเดิม



“ถามจริง ตอนนี้มึงให ้อภัยมันหรือยังวะ” ไอ ้โบนถามต่อ




“กูไม่อะไรแล ้ว แค่...พยายามกลับมาเป็นเพื่อนกัน

เหมือนเดิม แต่มันเนี่ยดิ”




“ได ้ยินอย่างนี้กูก็ดีใจ ไอ ้ค่ายมันแม่งฟอร์มไปงั้นแหละ

เห็นมึงไม่บอกเหตุผลอะไรเลยหาเรื่องโกรธมึงกลับบ ้างแค่

นั้นเอง” เออได ้ผล เพราะกูเจ็บจนพูดไม่ออกเลยล่ะ




“ก็ถ ้ากูบอกมันก็คงไม่เหมือนเดิม”



“เข ้าใจ”



“พวกมึงจะไม่บอกมันเรื่องนี้ใช่มั้ย” มันสองตัวมองหน้า


กันนิ่งก่อนไอ ้ทูจะเป็นฝ่ ายพูดบ ้าง



“เรื่องมันไม่เกี่ยวกับพวกกูป่ ะวะ กูให ้สิทธิ์เจ ้าของ


ความรู้สึกเป็นคนบอกเองดีกว่า”



“ขอบใจว่ะ”




“...”



“แต่ไม่มีวันนั้นหรอก ปีหน้าอีกปีก็เรียนจบแล ้ว” เราคงจะ

ไกลกันมากขึ้น เจอกันยากขึ้น ที่ส าคัญ...ไม่วันใดก็วันหนึ่ง


ทุกคนก็ต ้องมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ไอ ้ค่ายถึงแม ้จะเจ ้าชู ้

แต่สักวันมันก็คงหยุดที่ผู้หญิงดีๆ สักคน



ผมแค่อยากแต่งตัวไปงานแต่งของมันด ้วยใบหน้ายิ้มแย ้ม


แบบไม่ต ้องฝืน หรือยืนเคียงข ้างมันในต าแหน่งของเพื่อน

เจ ้าบ่าว มันต ้องมีวันนั้นที่ความรักของเราหมายถึงมิตรภาพ

ของค าว่าเพื่อนมากกว่าจะเป็นอย่างอื่น




ยังอยากเป็นเพื่อน เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของมัน



“เหย เรียนจบแต่ความเป็นเพื่อนไม่จบนะเว ้ย เดี๋ยวกูขอ

เล่นตานี้จบก่อนแล ้วจะไปเอาเบียร์มาให ้”




“เอาที่มึงสะดวกเถอะ อยู่ห ้องคนเดียวก็เหงา”



เรานั่งจิบเบียร์กันไปเรื่อยๆ ปรับทุกข์บ ้างตามประสาเพื่อน


ดีที่อย่างน้อยตอนที่รู้สึกแย่ก็ได ้มันสองตัวเนี่ยแหละคอย

พยุงไว ้ไม่ให ้ล ้ม



ก๊อกๆๆ




“ใครวะ” เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะอีกครา ผมเงยหน้า


มองหน้าปัดนาฬกาฝาผนัง ตอนนี้ก็เกือบสี่ทุ่มแล ้ว



“ไปเปิดสิ”



“ขี้เกียจลุก มึงไปเปิดดิไอ ้เติร์ด”




“กูควรได ้รับการปลอบใจมั้ย นี่กูอกหักนะไอ ้เหี้ย” อกหัก

ทั้งที่ยังไม่ได ้คบกัน แปลกดี

“มึงแหละไป กางเกงกูขาดเนี่ยเห็นมั้ย” เอาเรื่องกางเกง

มาต่อรองนับเป็นอะไรที่ปัญญาอ่อนที่สุด ผมเลยต ้องถอน


หายใจเฮือกใหญ่ ดันตัวเองให ้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล ้ว

เดินตรงดิ่งไปที่หน้าประตู



ทันทีที่ตัดสินใจหมุนลูกบิด ผมกลับพบว่าคนที่ยืน

เผชิญหน้าอยู่เป็นคนคนเดียวกับที่ไม่อยากเจอมาตลอด




“ไอ ้ค่าย...”




“ไอ ้โบนเรียกกูมา กินเบียร์กันอยู่เหรอ” ไอ ้ควายโบน ไอ ้

สารเลว!



ผมยืนค ้างอยู่หน้าประตู มองดูร่างสูงเดินผ่านเข ้ามา


ภายใน คงจะดีกว่านี้ หากมืออีกข ้างของมันไม่ได ้เกี่ยว

ข ้อมือของใครอีกคนเอาไว ้



“เข ้ามาเลย นี่เพื่อนพี่เอง”




“โอ๊ยยยยยยคนสวย เชิญครับ เชิญ” คนแรกที่กุลีกุจอลุก

ขึ้นมาจนน่าตบบ ้องหูเลยก็คือไอ ้ทู มันรีบจัดแจงเคลียร์พื้นที่

ก่อนจะเชิญให ้เขานั่งตรงโซฟาอย่างมีมารยาท




“ลมอะไรหอบมาวะ”

“พาน้องไปกินข ้าวเสร็จ เชี่ยโบนก็โทรชวนเลยแวะมา”




“อ๋อ น้องกินเบียร์มั้ยครับ” รุ่นน้องคนนั้นส่ายหน้าไปมา

เพื่อนในกลุ่มเลยวิ่งหาน ้าเปล่ากันพัลวัน จะมีก็แต่ไอ ้โบนที่

จับสังเกตได ้และมองเห็นว่าผมยังยืนนี่อยู่ที่เดิม



“ไอ ้เติร์ดปิดประตู กลับมานั่งนี่”




“คือกูว่า...จะกลับ”




“เหรอ งั้นก็กลับเถอะ มึงคงเมาแล ้วเนอะ” พอเห็นว่าผม

ท าหน้าหงอยๆ ไอ ้โบนเลยเข ้าใจด ้วยการไล่ตะเพิดกรายๆ

แต่เชี่ยค่ายเนี่ยดิที่พูดแทรกออกมาซะก่อน




“นั่งด ้วยกันก่อนดิ”



ผมพยายามท าตัวให ้เป็นปกติที่สุดด ้วยการเดินกลับไป

นั่งขัดสมาธิอยู่กับพวกมัน โชคดีที่เบียร์ยังไม่หมดขวดเลย


พอดื่มย ้อมใจไปได ้บ ้าง ถึงแม ้ไอ ้ค่ายจะรั้งให ้ผมอยู่ต่อ แต่

มันก็ไม่ได ้ทักทายหรือพูดคุยอะไรกับผมสักค า



และมันก็เข ้าสเต็ปเดิมคือเดดแอร์




“ค่ายมึงรู้ยัง โปรเจ็กต์ละครเวทีเริ่มแล ้วนะ จองหน้าที่

อะไรไว ้” ไอ ้โบนกับไอ ้ทูมักสลับกันหาเรื่องคุยไปเรื่อยเพื่อ

ไม่ให ้งานกร่อย เห็นแล ้วก็สงสารพวกมันนะครับ พยายาม


กันจนปาดเหงื่อ



“ผู้ช่วยผู้ก ากับ”



“โหยยยยยย หน้าที่นี้ปีสี่จองไปแล ้วครับ อย่าโง่สิ”




“กูคุมแสงสีเสียงได ้”




“เข ้าแก๊บอยู่ กูก็อยากมาท าส่วนนี้ แต่ไอ ้เติร์ดนี่หนักกว่า

เพื่อนหน่อย”



“ท าไม”




“เขียนบท นั่งคิดไปสิว่าจะให ้ใครรักกัน”



“มึงรู้ได ้ไงว่ากูจะเขียนเรื่องความรัก เมื่อก่อนอาจจะใช่


แต่ตอนนี้กูไม่ศรัทธาละ” ผมอดค่อนแขวะไม่ได ้ ซึ่งคนที่ถูก

พาดพิงก็หันมามองด ้วยใบหน้าเรียบเฉย



“คนอย่างมึงเคยศรัทธาอะไรด ้วยเหรอ” และไม่นานมันก็


ตอกกลับมาเจ็บแสบเช่นกัน

“กูไม่ใช่มึงที่จะศรัทธากับความรักไปทั่ว คั่วไปทั่วเหมือน

ทุกวันนี้”




“ไอ ้เติร์ด!”



“ใจเย็นเพื่อน ใจเย็น...” ไอ ้ทูกับไอ ้โบนรีบตะโกนสงบศึก

ผมเลยไม่พูดอะไรออกไปอีกนอกจากดื่มเงียบๆ ไม่รู้ว่า


เพราะแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข ้าไปตั้งแต่หัวค ่าหรือเปล่า ท าให ้

มองอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด แม ้กระทั่งเสียงเจื้อยแจ ้ว

ของรุ่นน้องผู้หญิงที่ตอนนี้ได ้ไถลตัวเองลงมานั่งกับไอ ้ค่าย


เรียบร ้อย



“พี่ค่ายอย่าดื่มเยอะเป็นห่วง”




“ไม่เยอะครับ”



“ไม่ให ้สูบบุหรี่ด ้วย”




“โอเค”



“เชื่อฟังแบบนี้สิ”




“คิดเหรอว่ามันจะเชื่อฟังน้องแค่คนเดียว” เหมือนทุกคน

ก าลังเข ้าสู่โหมดอึ้งกันอยู่ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท าไม

ถึงพลั้งปากพูดแบบนั้นออกไป แต่มันก็ท าไปแล ้ว




“พี่หมายความว่าไงคะ”



“ก็ไอ ้ค่ายมันมั่วไง เดี๋ยวได ้แล ้วมันก็ทิ้ง”



“ไอ ้เหี้ยเติร์ด!” ร่างสูงถลาเข ้ามากระชากคอเสื้อของผม


อย่างแรง ไอ ้ทูที่นั่งอยู่ข ้างๆ เร็วพอเลยเข ้ามาแยกจนผมถูก

ผลักให ้หงายหลัง




“ใจเย็นมึง มึงเมาแล ้วใช่มั้ย กลับห ้องกันนะ”



“กูไม่เมา แม่งพูดความจริงก็ผิดเหรอ” ผมควบคุมตัวเอง

ไม่ได ้ มันอัดอั้นอยู่เต็มอกจนแทบระเบิด แค่เราไม่คุยกันมัน


ก็แย่อยู่แล ้ว แต่ที่เจ็บยิ่งกว่าคือมันพาใครไม่รู้มาหยามกัน

ต่อหน้าซึ่งผมทนไม่ได ้



“แล ้วไง อย่างน้อยกูก็รักใครเป็น ไม่เหมือนมึงหรอก งี่เง่า


ไร ้เหตุผลฉิบหาย”



“มึงกล ้าพูดจริงๆ เหรอว่าสิ่งที่เป็นอยู่ของมึงมันคือรัก”




“ใช่รัก แล ้วกูก็รู้ว่าจะยกมันให ้ใครที่ไม่ใช่เพื่อนเหี้ยๆ

อย่างมึง” เสียงตะคอกก่อนหน้าดังก ้องไปทั้งกกหู พร ้อมกับ

ร่างกายที่ซวนเซเพราะถูกผลักอย่างแรง น ้าตาหยดแรก

ไหลกระทบพื้นห ้อง ผมก ้มหน้ามองนิ่งๆ จนหยดที่สองและ


สามตามลงมาไม่ขาดสาย



ไอ ้ทูพยายามดึงผมให ้ลุกขึ้นแต่ร่างกายกลับไร ้เรี่ยวแรง

เกินกว่าจะยืน ได ้แต่นั่งก ้มหน้ามองพื้นและปิดปากเงียบอยู่

อย่างนั้น




“ไอ ้ค่าย เติร์ดมันเมาอย่าถือสามันเลย”




“เมาแต่ปากก็หาเรื่องฉิบหาย”



“แคร์มันหน่อย ช่วงนี้มันไม่โอเค”




“มึงคิดว่ามันเป็นเมียกูหรือไงถึงต ้องแคร์!”



“เฮ ้ ยกูว่ามึงพูดดีๆ กับมันก็ได ้นะไอ ้ค่าย”




“ไว้มันมานอนให้กูเอาเมื่อไหร่ กูถึงจะพูดดีด้วย พอใจ

ยัง!!”



ผั่วะ!!




เสียงของแข็งกระทบกันดังขึ้น ก่อนสถานการณ์จะชุลมุน

วุ่นวายเมื่อไอ ้โบนถลาเข ้าไปชกหน้าคนปากมอมอย่างแรง

จนล ้มหงาย โชคดีที่มีไอ ้ทูคอยแยกเอาไว ้เรื่องเลยจบลง


เพียงหมัดเดียว



“ไอ ้ค่ายนี่เพื่อนนะ เพื่อนที่รักมึง”



“...”




“ไอ ้เติร์ดมัน...มัน...”




“โบนพอเหอะว่ะ” ผมรีบเข ้าไปขวางไอ ้โบนเอาไว ้ไม่ให ้มัน

พูดอะไรออกมา แม ้น ้าตาที่ไหลอยู่ตรงนี้ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด

ก็ตาม




ระหว่างผมกับไอ ้ค่ายคงไม่มีทางเป็นไปได ้ ใบหน้าหล่อ

เหลาจ ้องมองผมกลับ แต่ภาพเหล่านั้นก็ฝ้าฟางเต็มแก่ ผม

ไม่สามารถมองมันได ้อย่างชัดเจนจากตรงนี้อีกแล ้ว




“กู...ขอโทษนะ กูไม่ดีเอง” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะพยุงตัวเอง

ให ้ลุกขึ้นยืน



เพื่อปกป้องค าว่าเพื่อนของเรา ผมก็จ าต ้องเก็บความรู้สึกนี้


เอาไว ้ตลอดไป...

ตอนที่ 5

ตัดใจแล ้วไปต่อ



ค าพูดของไอ ้ค่ายวนเวียนในหัวของผมจนสลัดไม่ออก...




แม ้วินาทีที่เดินโซเซกลับมายังห ้อง สมองของผมก็เอา

แต่จดจ าได ้เพียงประโยคนั้น น ้าเสียงของมัน สีหน้าที่แสดง

อารมณ์ของมันบ่งบอกได ้เป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ ายตั้งใจพูดแค่


ไหน



ผมสูญเสียมันทั้งหมดแล ้ว ทั้งฐานะคนพิเศษ และ

ความสัมพันธ์ของค าว่าเพื่อน ไม่เหลือ...แม ้แต่อย่างเดียว




น ้าตามากมายที่ไหลลงมาไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ได ้แต่

สะอื้นอยู่คนเดียวโดยไร ้ซึ่งเงาของไอ ้ทูและไอ ้โบน ผมไม่

สนหรอกว่าใครจะปลอบใจหรือไม่ นอกจากสาวเท ้าเข ้าไป


ยังห ้องน ้า น ้าตาท าให ้ผมมองไม่เห็นแม ้แต่ความหวังของ

ตัวเอง เพราะความเสียใจเอาแต่ครอบง าไว ้จนหมด



เวลานี้ผมเจ็บจนไม่มีอารมณ์หาเพลงมาเปิดบิวด์อีกแล ้ว


เมื่อก่อนอาจเป็นเพียงเรื่องตลก แตกต่างจากตอนนี้ที่รู้สึก

สมเพชตัวเองมากกว่า และคงไม่มีหน้ากลับไปคุยกับไอ ้ค่าย

ได ้อย่างสนิทใจอีก




สายน ้าเย็นเฉียบจากฝักบัวที่ตกกระทบใบหน้าท าให ้ผม

กล ้าที่จะร ้องไห ้ อย่างน้อยเสียงน ้าก็ดังพอที่จะกลบเสียง

สะอื้นจากความเจ็บปวดไปได ้บ ้าง




เคยมีคนบอกว่าสักวัน...เราจะเจอคนที่ชอบที่เราเป็นเรา

ยอมรับที่เราเป็นตัวของตัวเอง สักวันคนที่มีอะไรเหมือนกัน

จะโคจรมาพบกัน ผมเชื่ออย่างนั้นมาตลอดถึงแม ้ไม่รู้ว่าคน

ที่เคยบอกนั้นเป็นใครก็ตาม




แล ้ววันหนึ่งผมก็ได ้รู้จักกับไอ ้ค่าย มันแนะน าตัวกับผมว่า

ขุนพล ส่งยิ้มให ้ผม ซื้อขนมมาให ้ ชวนกันเข ้ามาอยู่ในกลุ่ม


และหลังจากนั้นผมกับมันก็ตัวติดกันเป็นตังเม เราต่างชอบ

อะไรคล ้ายๆ กัน อ่านใจกันออกทุกเรื่อง มีความลับอะไรก็

แชร์กันตลอด เรียกได ้ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันไป

แล ้ว




แตกต่างก็ตรงที่ไอ ้ค่ายมองความสัมพันธ์แบบนี้แค่เพื่อน

ขณะที่ผมคิดเป็นอื่น...




เสียงน ้ายังคงชโลมลงมาบนหน้าของผมไม่หยุด ความ

หนาวเย็นแผ่ซ่านเข ้ามาสุดขั้วหัวใจ ร่างกายของผมสั่นเทิ้ม

เสื้อผ ้าเปียกปอนไปทั้งตัวแต่ก็ไม่คิดพาตัวเองออกมา เอา

แต่นั่งคุดคู้และเจ็บปวดเพียงล าพัง




พรุ่งนี้...ผมจะเป็นคนใหม่ได ้เหรอ

พรุ่งนี้...จะมองหน้าอีกฝ่ ายได ้อย่างจริงใจได ้เหรอ เพราะ

แค่เห็นหน้าของไอ ้ค่าย ค าพูดเสียดแทงใจต่างๆ ก็แล่นเข ้า


มาในหัวแล ้ว ในเมื่อมันไม่แคร์และไม่รู้สึกอะไร ท าไมถึง

เป็นผมที่ทรมานอยู่ฝ่ ายเดียว



“ไอ ้เติร์ด! เติร์ดมึงอยู่ห ้องน ้าเหรอ” เสียงไอ ้ทูแว่วเข ้ามา

ในโสตประสาท แม ้จะไม่ชัดเจนแต่ผมก็รู้สึกได ้ว่าน ้าเสียง


นั้นขยับใกล ้เข ้ามาทุกที



ผมไม่ตอบอะไรกลับไปนอกจากนั่งเงียบๆ กลางสายน ้า


จากฝักบัว



“เติร์ด มึงออกมาคุยกับกูหน่อย”




“...”



“นอนแช่น ้าอย่างนั้นมันเปลือง” ไม่ได ้ห่วงกูเลยสักนิด




ซึ่งผมก็เลือกที่จะไม่โต ้ตอบอีก ไอ ้ทูเงียบไปอึดใจหนึ่ง

คิดว่ามันคงปล่อยให ้ผมได ้อยู่ตามล าพังเพื่อคิดทบทวน

เรื่องต่างๆ แต่เปล่าเลย...น ้าหยุดไหลแล ้ว ที่ส าคัญคือ

อารมณ์กูชะงักค ้างเหมือนยืนอยู่กลางหน้าผา แม่งโมโหจน


อดไม่ได ้ที่จะโวยวายออกไป

“ไอ ้ทู ไอ ้ควาย! มึงสับคัตเอาท์ลงท าไม”




ปั้งๆๆ



ไม่มีการตอบรับใดๆ นอกจากเสียงตบประตูห ้องน ้าที่ดัง

ขึ้นมาไม่ขาดสาย




“กูอยากอยู่คนเดียว”



“ออกมา กูปวดขี้ รีบออกมา!” น ้าเสียงที่เต็มไปด ้วยความ


เกรี้ยวกราดท าให ้ผมต ้องยันร่างกายให ้ลุกขึ้นยืน

แอลกอฮอล์ที่อยู่ในกระแสเลือดหายไปเป็นปลิดทิ้ง ผมพา

ตัวเองมาด ้านหน้า หมุนลูกบิดประตูเพื่อเผชิญหน้ากับคน

ข ้างนอกด ้วยจิตใจสั่นไหว




“ท ้องเสียเหรอ” ผมพูดทั้งน ้าเสียงติดสั่น ไม่รู้ว่าหน้าตา

อยู่ในสภาพทุเรศขนาดไหน แต่ทันทีที่ไอ ้ทูเห็นมันก็ดึงผม

เข ้าไปกอดอย่างรวดเร็ว




“ไม่เป็นไรนะมึง ไม่เป็นไร...”



ตอนแรกก็ว่าจะหยุดแล ้ว ไอ ้นี่มันดันมาสะกิดต่อมน ้าตา


อีกรอบ ผมโชคดีที่มีไอ ้ทูกับไอ ้โบน ต่อให ้ต ้องเจอกับความ

เจ็บปวดแค่ไหนพวกมันก็ยังอยู่เคียงข ้างผมเสมอ

“ตัวมึงเปียกหมดแล ้วสัด” ผมพูดเสียงอู้อี้




“ก็ใครบอกให ้มึงไปยืนเปิดน ้าใส่หัวแบบนี้ล่ะ ควายจริง”



“กูเจ็บ”



“ไอ ้ค่ายไม่ได ้ตั้งใจ”




“ไม่ เจ็บที่มึงด่ากูเนี่ย ขอกูไปเปลี่ยนเสื้อผ ้าแป๊ บ” ผม

เปลี่ยนประเด็นเพื่อท าให ้บรรยากาศมันดีขึ้น ไอ ้ทูพยักหน้า


เข ้าใจก่อนทิ้งตัวนั่งลงตรงโซฟาห ้องนั่งเล่นเป็นการฆ่าเวลา

กลับออกมาอีกทีเจ ้าตัวก็ยังอยู่ที่เดิม แถมถอดเสื้อยืดเน่าๆ

ติดชื้นทิ้งไว ้กับพื้นอีกต่างหาก




“ดีขึ้นยัง” มันถามด ้วยสีหน้าเรียบเฉย มองไม่ออกว่า

ก าลังห่วงหรือร าคาญกันแน่



“อืม”




“ตาบวมเลยไอ ้เหี้ย อุบาทว์”



“เออกูขอโทษ”




“มานั่งนี่ดิ คุยกันหน่อย”

“มีอะไรต ้องคุยอีกล่ะ”




“เออน่ะ เพื่อนบอกให ้นั่งก็นั่งสิ ลีลาท าไมเยอะแยะ น่าม

คาญ” บางทีผมก็เกลียดไอ ้ทูนะครับ แต่ก็ไม่อยากเถียงกับ

มันมากนอกจากทิ้งตัวนั่งบนโซฟาอย่างจ ายอม



“จะพูดอะไรก็พูดมา แต่บอกเลยว่าตอนนี้กูไม่ได ้อยู่ใน


อารมณ์จะเล่นตลกกับมึง”



“ไอ ้ค่ายมันบอกกูว่ามันไม่ได ้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น...” แค่


ได ้ยินชื่อของใครอีกคน หัวใจก็เอาแต่บีบรัดจนรู้สึกจุก



“เหรอ”




“มึงแม่งยั่วโมโหมัน”



“กูผิดเอง”




“เติร์ด กูเป็นเพื่อนมึงมั้ย” ค าถามนั้นท าให ้ผมต ้องพยัก

หน้า “เพราะงั้นฟังกูนะ”



เอาแต่จ ้องมองหน้าของคนข ้างๆ ไม่กะพริบ คราวนี้ไอ ้ทูดู


จริงจังกว่าทุกครั้ง จนผมอดหวั่นใจว่าจะรับไม่ได ้หากอีก

ฝ่ ายพูดประโยคท าร ้ายจิตใจออกมา

“ให ้กูฟังอะไร ตอนนี้กูรับไม่ไหวแล ้วว่ะ”




“มึงจะผ่านมันไปได ้ มึงก็เห็นอยู่ว่าทุกวันนี้ค าว่าเพื่อน

ของเรามันแทบไม่เหลือแล ้ว ถ ้ามึงไม่ท าใจยอมรับทุกอย่าง

ก็พัง มึงคงไม่อยากให ้เราทุกคนต ้องพังกันหมดใช่มั้ย”

ประโยคก่อนหน้าเสียดแทงใจฉิบหาย ใช่! ไม่ได ้มีแค่ผมที่

เจ็บ แต่ตัวของไอ ้ทูกับไอ ้โบนก็ต ้องรับผลกระทบนี้ด ้วย




“กูขอโทษที่ท าให ้เรื่องมันเลวร ้ายขนาดนี้”




“ไอ ้ค่ายผิดด ้วยที่พูดเหี้ยๆ แบบนั้นออกมา แต่มึงก็ผิด...

คนโง่อย่างมันไม่รู้หรอกว่าสาเหตุที่มึงโกรธคืออะไร มันยัง

ใช ้ ชีวิตทุกอย่างที่เป็นตัวเองอยู่เหมือนเดิม แต่กลับรู้สึกว่า

มึงเปลี่ยนไปอยู่คนเดียว”




“...”



“ยิ่งวันนี้ที่มึงควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได ้ เรื่องถึงได ้


ลุกลามขนาดนี้ แล ้วรู้อะไรมั้ย...นอกจากมึงที่เจ็บ คนพูดมัน

ก็เจ็บไปด ้วยนะเว ้ย” ค าพูดของไอ ้ทูท าเอาผมซึมไปเลย ได ้

แต่นั่งก ้มหน้ารับฟังเพียงอย่างเดียว




ความวุ่นวายทุกอย่างล ้วนเกิดขึ้นจากตัวของผมทั้งสิ้น

แรกเริ่มเดิมทีผมคิดว่าจะเก็บความรักข ้างเดียวเอาไว ้

ตลอดไป ถึงได ้แอบชอบมาตลอดสองปีและก็อดทนได ้

เสมอตอนที่เห็นไอ ้ค่ายคบหากับผู้หญิงมากมาย ไม่เคยออก


ตัวห ้ามหรือเข ้าไปก ้าวก่ายในชีวิตของมันสักครั้ง



จนกระทั่งวันที่แอบได ้ยินว่าการกระท าหลายอย่างของมัน

เป็นเพียงการลองใจ ความรู้สึกของผมก็พังไม่เป็นท่า ความ

เสียใจนั้นไม่สามารถเก็บเอาไว ้ได ้คนเดียวอีกแล ้ว ผมรู้สึก


เหมือนคนโง่ที่โดนเพื่อนสนิทหักหลัง มันเคว ้งไปหมด ได ้

แต่บอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไรซ ้าๆ ทั้งที่รู้ว่าอาการตอนนั้น

สาหัสแค่ไหน




นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ว่าท าไมผมถึงไม่สามารถเก็บอารมณ์

ได ้ และเลือกระเบิดมันออกมาอย่างที่เห็น




“มึงจะเอายังไงต่อไป” เสียงขอไอ ้ทูดึงสติของผมอีกรอบ



“หมายความว่าไง”




“ความรู้สึกของมึงกับไอ ้ค่าย”



“กู...จะเก็บเอาไว้ ไม่พูดออกไปอีก”




“ไม่ตัดสินใจบอกเหรอ”

“ไม่มีประโยชน์หรอก บอกไปก็ไม่รู้ว่าเราจะเป็นเพื่อนกัน

ได ้หรือเปล่า มึงก็รู้จักเพื่อนมึงดีหนิ มันเป็นคนมั่นใจใน


ตัวเองและไม่เคยมีใครเปลี่ยนความคิดมันได ้ กูอยู่กับมันใน

สถานะเพื่อนตั้งแต่แรก ต่อไปก็คงเป็นมากกว่านั้นไม่ได ้

หรอก” เหมือนไฟ อยู่ข ้างนอกก็อบอุ่นดีแล ้ว จะเดินเข ้าไป

ให ้มันเผาใจอีกท าไม




“อืม กูเอาใจช่วย”



“ขอบใจ”




“มึงเป็นคนเดียวในแก๊งโหดที่ไม่ได ้โหดเลย ใครเขาก็

ต ้องมาดูแลมึงเนี่ย เด็กน้อยฉิบหาย” ไอ ้ทูยีหัวที่ติดเปียก

ของผมอย่างร าคาญ ซึ่งผมก็ไม่ได ้โวยวายอะไรนอกจากท า


หน้าร าคาญใส่



ผมเหมือนเป็นแกะด าของแก๊งโหดจริงๆ คอนเส็ปเราคือ

ต ้องโหดและฮอต ทุกคนมีลุคแบดบอยหมดยกเว ้นกู...




บางทีสิ่งนี้มั้งที่ท าให ้ผมแตกต่างจากไอ ้ค่าย



“ดูหนังมั้ย” ไอ ้ทูถามต่อ




“เรื่องอะไร”

“แล ้วแต่มึงจะจัดเลย มีแผ่นเต็มไปหมด เดี๋ยวคืนนี้กูดูเป็น

เพื่อน จัดแบบบุฟเฟ่ ต์ไปเลยครับ”




“จริงดิ งั้นดู Her”



“เลือกเองก็เปิดเองสิวะ”




ในค ่าคืนที่รู้สึกถึงความเศร ้า เหงา และหนาว ผมมีไอ ้ทู

คอยอยู่ปลอบใจอยู่ตรงนี้ มันไม่เคยใช ้ ค าพูดสวยหรูอย่างที่

เพื่อนร่วมคณะส่งมาให ้ แต่การกระท าของมันบ่งบอกทุก


อย่าง ในวันที่ผมเสียใจที่สุด ผมมีมัน...กับหนังอีกหลายสิบ

เรื่องคอยอยู่เป็นเพื่อนไม่ไปไหน



ไอ ้ค่ายขอเวลากูหน่อยนะ ต่อไป...กูจะเข ้มแข็ง




เลือกที่จะตัดใจจากมึง แล ้วเดินหน้าต่อโดยไม่รู้สึก

เจ็บปวดอีก




เสียงผิวปากดังแว่วเข ้าหูเป็นระยะ แสงอาทิตย์ที่ลอดผ่าน

ผ ้าม่านปลุกให ้ผมต ้องขยี้ตาอยู่หลายครั้ง ก่อนจะพบว่า

ตัวเองนอนขดอยู่ในกองผ ้าห่มผืนหนาราวกับถูกโยนใส่แบบ

ลวกๆ ที่ตู้เสื้อผ ้ามีร่างของเพื่อนรักซึ่งก าลังกลัดกระดุมชุด


นิสิตอย่างใจเย็นอยู่ ไอ ้ทูมองผมผ่านกระจกก่อนจะเปรยขึ้น

เบาๆ

“กูไปเรียนแล ้วนะ”




“ท าไมไม่ปลุกกู”



“กูปลุกมึงเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนละ แม่งบอกไม่ไปเอง”



“สัด! กูพูดตอนไหนวะ”




“เอาน่า นอนไปเถอะ กว่าจะดูหนังจบก็เกือบตีห ้า อีก

อย่างมึงคงไม่พร ้อมเผชิญหน้ากับมันหรอก ใช่มั้ย” ผมรับ


ฟังนิ่งๆ ตารางเรียนวันนี้มีสองวิชา ไม่ได ้หนักหนามาก และ

ที่ส าคัญก็คงเป็นอย่างที่ไอ ้ทูว่า คือผมยังไม่พร ้อมจะเจอกับ

ไอ ้ค่ายตอนนี้




“ห่วงแต่กู มึงเถอะ เพิ่งนอนเองไม่ใช่เหรอ”



“เพื่อนครับ กูนัดสาวไว ้ด ้วย”




รักกูฉิบหาย กับเรื่องผู้หญิงไอ ้ทูนี้แหกทุกกฎแห่งความขี้

เกียจ ยิ่งเห็นร่างสูงหมุนตัวมาหยิบกระเป๋ ากล ้องกับสมุดเล็ก

เชอร์สองเล่มแล ้วก็ยิ่งหมั่นไส ้ เป็นแบบมันก็ดีนะครับ ไม่

ต ้องคิด ไม่ต ้องเครียด ไม่ต ้องฝากใจไว ้กับใคร เพราะ


สุดท ้ายความรักของคนเราก็ไม่มีอะไรรับประกันได ้ว่ามันจะ

ยั่งยืนอย่างที่หวัง

“นมอยู่ในตู้เย็น ซีเรียลอยู่ตรงเคาน์เตอร์” สุดเซอร์ของ

กลุ่มย ้าอีกครั้ง




“เออ ขอบใจ”



“ตอนกลางวันถ ้าขี้เกียจลงไปตรงช่องฟรีซมีข ้าวกล่อง มึง

เอาไปเวฟแดกได ้”




“ท าอย่างกับกูเป็นลูกน้อย”




“ไม่ใช่ก็ใกล ้เคียง กูไปแล ้วนะ”



“อืม เจอกันเว ้ย”




ไอ ้ทูโบกมือให ้ก่อนจะหอบหิ้วกระเป๋ าของมันเดินออก

จากห ้อง ตอนนี้ก็เหลือผมคนเดียวแล ้วที่นอนโง่ๆ อยู่บน

เตียง หยิบมือถือมาเลื่อนดูผ่านๆ ราวกับคนไม่รู้จะท าอะไร




ถามว่าเหงามั้ยคงตอบได ้ว่าโคตรเหงา แต่คิดว่าเดี๋ยวก็คง

เคยชินกับความรู้สึกแบบนี้ ผมไม่ได ้รับการติดต่อจากใครอีก

ตลอดระเวลาหนึ่งวันที่ท าตัวเหมือนคนว่างอยู่ห ้องไอ ้ทู

จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาเกือบห ้าโมงเย็น เสียงเคาะประตูก็


ดังขึ้น

ก๊อกๆๆ




ผมที่ตอนนั้นนั่งดูหนังอยู่ตรงโซฟาเลยจึงต ้องลุกไปเปิด

ให ้ ในใจก็นึกอยากอ ้าปากด่าไอ ้ทูที่มีกุญแจแล ้วเสือกขี้

เกียจไข แต่ความคิดเหล่านั้นก็เป็นอันกลืนหายไปในล าคอ

เมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่เจ ้าของห ้อง แต่เป็นใครอีกคน

ต่างหาก




“ไอ ้ค่าย...” ผมพึมพ าชื่อของมันเบามาก เจ ้าตัวสวมชุด

นิสิตหลุดลุ่ยก าลังส่งสายตาเรียบเฉยมาให ้ผม




“เอ่อ”



“เอ่อ คือ...” ต่างคนต่างมึนงงใส่กันอยู่นาน ผมเองก็ไม่


กล ้าเอ่ยอะไรออกไป เพราะเรียนรู้การปกป้องตัวเองจากการ

เงียบเรียบร ้อยแล ้ว



“กูเอาชีทเรียนวันนี้มาให ้” สุดท ้ายคนที่เอ่ยออกมาก็คือ


มัน



“ขอบคุณ” ผมยื่นมือไปรับชีทปึกหนึ่งจากมืออีกฝ่ าย และ

หลังจากนั้นสภาวะเดดแอร์ก็เข ้าแทรกอีก เราไม่สนิทกันถึง


ขนาดจะพูดสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ในหัวแล ้ว

“มึงไม่สบายเหรอ”




“เปล่า แค่ขี้เกียจ มึง...เข ้ามาข ้างในมั้ย” คนตัวสูงพยัก

หน้า ผมเลยเดินน ามานั่งที่โซฟา ซึ่งด ้านหน้ามีทีวีที่ก าลัง

ฉายหนังเก่าๆ อยู่ ไอ ้ค่ายทิ้งระยะห่างในการนั่งกับผม

ค่อนข ้างมาก ซึ่งผมก็ไม่ได ้ทั้งท ้วงอะไร




“ที่กูมา ไม่ได ้ตั้งใจจะเอาชีทมาให ้มึงอย่างเดียว”



“...”




“กูจะมาขอโทษ ที่เมื่อวานพูดไม่ดีกับมึง กูไม่ได ้ตั้งใจ”



“ไม่เป็นไร กูเองก็ขอโทษด ้วยนะที่ท าให ้มึงโมโห”




คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการขอโทษกันแล ้วล่ะ ผมอยาก

ขอบคุณจริงๆ ที่ไอ ้ค่ายยอมโอนอ่อนออกตัวพูดกับผมก่อน

ไม่อย่างนั้นก็คงไม่กล ้าพอจะเผชิญหน้ากันมัน




“เติร์ด มึงกับกู...เรามาเริ่มกันใหม่ได ้มั้ยวะ”



ไอ ้ค่ายไม่ได ้ถามเหตุผลที่ผมโกรธมัน ซึ่งผมเองก็ตั้งใจ


เก็บไว ้เป็นความลับตลอดไป ฉะนั้นเรื่องที่ผ่านไปแล ้วก็

ปล่อยให ้มันผ่านไปเถอะ

“เอาสิ โกรธกับมึงแม่งไม่สนุกเลย” แต่คงไม่เอาใจตัวเอง

เข ้าไปเจ็บอีกแล ้ว




“ถ ้ามึงยกโทษให ้กูแล ้ว เรากลับมาอยู่ด ้วยกันได ้มั้ย ห ้อง

ไอ ้ทูมันค่อนข ้างอึดอัดเหมือนกันนะ”



“ไม่หรอก ไอ ้ทูเองก็ไม่ได ้คิดแบบนั้นเลยคิดว่าจะไม่ย ้าย


ไปไหนแล ้ว” ในเมื่อบอกว่าจะออกมาผมก็ต ้องท าให ้ถึง

ที่สุด ถ ้ากลับไปอยู่กับไอ ้ค่ายอีกผมไม่รู้ว่าต่อไปจะต ้อง

เผชิญกับอะไร ที่แน่ๆ ห ้องนั้นต ้องมีความเจ็บปวดรออยู่




ใกล ้เกินไปก็เจ็บ รักษาระยะห่างแบบนี้อาจจะดีกว่า



“กูไม่ได ้เร่งให ้มึงย ้าย แค่อยากให ้กลับไปคิด”




“งั้นกูขอคิดก่อนแล ้วกัน”



“เออ แล ้วบทละครไปถึงไหนละ” พอเริ่มผ่อนคลายขึ้นเรา


ต่างก็มีหัวข ้อใหม่ๆ ผุดขึ้นมา กล ้าพูด และกล ้าสบตาแถม

อาการเกร็งก็ค่อยๆ ลดลงด ้วย



“ยังไม่ได ้อะไรเลย”




“ตอนกลางวันพี่เชนทร์ถามถึงมึงอยู่”

“ท าไมพี่มันไม่โทรมาหากูวะ”




“กูไม่ให ้โทรเองแหละ บางทีมึงอาจอยากอยู่โง่ๆ คน

เดียว” เนี่ย ไอ ้ค่ายแม่งเป็นเพื่อนที่รู้ใจผมทุกอย่าง ถ ้าต ้อง

เสียมันไป สู ้ เจ็บอยู่คนเดียวโดยมีมันอยู่ตรงนี้ผมก็จะท า

อย่างน้อยก็ดึงค าว่าเพื่อนกลับมาได ้บ ้าง




“ไอ ้ค่ายขอบคุณนะ”



“มึงเป็นเพื่อนกู”




ขอบคุณที่ยังมองเห็นกูเป็นเพื่อนอยู่ กู...จะตัดใจ



ผมถูกไอ ้ทูตีตูดให ้กลับมาเรียนในอีกวัน ส่วนไอ ้โบนกับ


ไอ ้ค่ายก็ผนึกก าลังเกาะติดผมหนึบยิ่งกว่าปลิง นี่ก็เพิ่งได ้

ฤกษ์งามยามดีแยกตัวออกมาเพราะต่างคนต่างมีธุระของ

ตัวเอง จิตใจของผมดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก แค่คิดว่าแก๊งโหด

ใกล ้จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็มีก าลังใจจะท าหลายๆ


อย่างต่อไป



ไอ ้พี่เชนทร์ รุ่นพี่ปีสี่ร่างหมีที่นั่งเก ้าอี้ผู้ก ากับละครเวที

เป็นปีแรก แถมยังเข ้ามาอยู่ในทีมเขียนบท เป็นตัวตั้งตัวตีที่


ท าให ้ผมต ้องปลีกตัวออกจากเพื่อน มานั่งหน้ามุ่ยเพื่อ

แลกเปลี่ยนไอเดียกับพี่มันที่หอสมุดแทน

เราคุยกันเยอะมาก เสนอไอเดียร ้อยแปดพันเก ้าแต่ก็ถูก

ปัดตกหมด ดีที่พี่ย ้งยี้หนึ่งในทีมเขียนบทอีกคนติดเรียน ไม่


งั้นคงวุ่นวายมากกว่านี้แน่



“แซะการศึกษาไทยมั้ย ช่วงนี้ก าลังมาแรง” ผมจ าไม่ได ้

แล ้วว่านี่เป็นไอเดียที่เท่าไหร่ แต่ดูจากสีหน้าคนร่างหมีแถม

เคราครึ้มคนนี้กูบอกเลยว่าไม่ผ่านอีกแน่ๆ




“มึงเป็นอะไรกับเรื่องพวกนี้มากมั้ย มันไม่แมสต์”




“ก็ท าสายอินดี้ไปเลย”



“คนดูมันเข ้าใจยาก เขียนเรื่องความรักดิ”




“ไม่ศรัทธา”



“มึงไม่ศรัทธาคนเดียว แต่คนดูต ้องการอะไรที่ไม่ต ้องคิด

หลายชั้น เราต ้องการความฟิน” คนตรงข ้ามพูดด ้วยสีหน้า


เคร่งเครียด “เด็กมหา’ลัยนะเว ้ยไอ ้เติร์ด ชีวิตประจ าวันมันก็

เครียดอยู่แล ้ว เราไม่ได ้จะท าหนังสั้นแต่ก าลังท าละครเวที

ให ้นิสิต เอาแต่ใจตัวเองแล ้วใครจะมาดู”




ผมรู้สึกเหมือนมีพ่อคนที่สองก าลังบ่นอยู่ใกล ้หู ได ้แต่ก ้ม

หน้าขีดเขียนดินสอใส่กระดาษแบบมั่วๆ ไม่รู้ด ้วยซ ้าว่าควร

เลือกน าเสนอในด ้านไหน




“ขอโทษนะคะ พี่โหด...” แล ้วนางฟ้าก็ได ้โปรยตัวลงมา

อยู่ตรงหน้าเราทั้งคู่ ส่งผลให ้พี่เชนทร์เงียบเสียงลงก่อนหัน

ไปมองคนมาใหม่ทันที



เธอเป็นเด็กปีหนึ่ง ดูได ้จากป้ายคล ้องคอที่ยังแขวนอยู่


ร่างขาวสวมเสื้อนิสิตโอเวอร์ไซส์ กะแล ้วคงใหญ่กว่าตัว

ประมาณสามไซส์ได ้ มัดผมรวบตึง หน้าใสมากเพราะไม่ได ้

แต่ง และที่ส าคัญเธอก าลังยื่นบางอย่างให ้กับผม




“ครับ” ผมขานรับอย่างงงๆ



“เพื่อนฝากมาให ้ค่ะ อยากให ้พี่ฝากให ้พี่โบน”




“เพื่อน?”



“ใช่ค่ะ เพื่อนไม่กล ้ามาเลยให ้หนูเอามาให ้ ไปก่อนนะคะ”


พูดจบเจ ้าตัวก็เผ่นแน่บออกไปทันที ทิ้งให ้ผมกับพี่เชนทร์

นั่งมองหน้ากันอยู่นาน



“เปิดดิ” เสียงควายๆ ของมนุษย์หมีพูดขึ้น




“ของไอ ้โบน”

“เพื่อนสนิทมึงเอง นิดหน่อยน่า” กว่าจะรู้สึกตัวก็เผลอ

เปิดกระดาษแผ่นเล็กที่พับไปมาเป็นรูปบ ้าอะไรก็ไม่รู้ออก


มาแล ้ว ไอ ้โบนกูขอโทษ



พี่โหด ชอบพี่นะคะ



ผมแทบข าพรืดออกมาเมื่ออ่านข ้อความทั้งหมดจบ นี่


ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่มีคนท าแบบนี้ เพราะนอกจากข ้อความ

แล ้วบางครั้งผมก็จะได ้รับขนมจากรุ่นน้องที่ฝากแจกจ่ายถึง

สมาชิกในกลุ่มด ้วย คล ้ายกับว่าผมเป็นคนกลางที่มองดูไอ ้


โหดอีกสามตัวก าลังล่าแต ้มท าสถิติชิงอันดับหนึ่งของสาย

กันอยู่



“เด็กสมัยนี้ จีบกันเชยฉิบหาย” รุ่นพี่หน้าหมีพูดติดตลก




“ไอ ้โบนแม่งมีโมเมนต์ก๊องแก๊งแบบนี้ด ้วยเหรอวะ”



“ขอดูหน่อยดิ” มือหนายื่นมาข ้างหน้า ผมเลยวางกระดาษ


ใส่มือของแกแล ้วหันมาคิดพล็อตละครต่อ



“มันจะโอเคมั้ยถ ้าเราจะเขียนความรักที่เกิดขึ้นใน

หอสมุด” ค าพูดของพี่เชนทร์ท าให ้ผมชะงักมือที่ก าลังขีด


เขียนอยู่ แล ้วเงยหน้าขึ้นมามองคนตรงข ้ามอีกครั้ง

ความรักในหอสมุด...




“มันไม่ธรรมดาไปเหรอพี่”



“นี่ไง กูถึงต ้องการคนเขียนบทเทพๆ อย่างมึงมาช่วย

เรื่องพล็อตธรรมดากูไม่กลัว อยู่ที่ว่าเราจะเขียนให ้มันมี

ความน่าสนใจแค่ไหนมากกว่า”




“นั่นแหละปัญหา”




“มึงคิดดูนะไอ ้เติร์ด ปีๆ นึงเด็กมหา’ลัยใช ้ หอสมุดเยอะ

มาก อย่างพวกไม่เอาอ่าวเลยหนึ่งปีมันก็ต ้องมาสักครั้ง มึง

ไม่คิดเหรอว่าการมาหอสมุดที่น่าเบื่ออาจมีสีสันขึ้นถ ้าเรา

เล่าเรื่องความรักควบคู่ไปด ้วย”




ผมคิดตามสิ่งที่รุ่นพี่ปีสี่แกเสนอ ส าหรับผม การมา

หอสมุดเป็นเรื่องที่น่าจ าเจ เพราะใช ้ เฉพาะช่วงสอบแถมยัง

ชอบจองห ้องติวแบบไพรเวทเอาไว ้มากกว่าจะนั่งกองๆ อยู่


ด ้านนอก มันเลยท าให ้ผมไม่ได ้เจอกับใครเท่าไหร่นอกจาก

เพื่อนในคณะ



แต่ถ ้าเราลองมองอีกมุม ใช ้ เวลาว่างมานั่งสังเกตชีวิตของ


คนกลุ่มอื่นบ ้าง บางทีพล็อตแบบนี้อาจจะเวิร์กก็ได ้ เห็นบาง

คนก็ยังเหล่ๆ มองกันอยู่ทั้งที่ไม่รู้จักแม ้กระทั่งชื่อ

“น่าสนใจ”




“ลองมั้ย แล ้วมาแชร์ไอเดียกัน”



“เดี๋ยวช่วงอาทิตย์นี้ผมเซอร์เวย์ก่อนแล ้วกัน ส่วนพี่ก็ลอง

คิดโครงเรื่องคร่าวๆ ไว ้ แล ้วมาปรับกันอาทิตย์หน้าเพราะมัน

จะไม่ทันแล ้ว” เวลาที่กระชั้นท าให ้เราตัดสินใจท าอะไรเร็ว


ขึ้น รีบแบ่งสันปันส่วนหน้าที่ไว ้อย่างดี เพราะละครจะประสบ

ความส าเร็จได ้ก็ต ้องมาจากบทที่ดีด ้วย




“ตกลงตามนั้น เดี๋ยวกูบอกย ้งยี้เอง อีนี่มันเก่งเรื่องได

อาล็อก”



“...”




“โรแมนติกแต่ไม่มีผัว”



“กับเพื่อนไม่ต ้องแซะขนาดนั้นก็ได ้”




“มึงก็อย่าบอกมันดิ โอเคสรุปตกลงตามนี้ ส่วนชื่อเรื่อง

เดี๋ยวรอดูพล็อตโดยรวมอีกที”




“ครับ”

“แยกย ้ายๆ” พี่เชนทร์เป็นคนท าอะไรรวดเร็ว สั่งอะไร

เสร็จก็หายหัว แกเป็นรุ่นพี่ที่เก่งมากในสายฟิล์ม หน้าตาไม่


หล่อ แต่แฟนโคตรสวย เพื่อนร่วมรุ่นต่างก็อิจฉาเพราะเกิด

มาไม่เคยรู้จักค าว่าแห ้ว แค่คารมกับความเก่งของแกหญิงก็

แทบวิ่งมาสยบตรงปลายเท ้าแล ้ว



ส่วนกูอ่ะ...ก ้มลงมองตัวเองแป๊ บ




อยู่แก๊งโหดแต่ไม่โหด ความฮอตระดับเบสิก หน้าตาจะ

ออกตี๋ด ้วยซ ้าไป ความเก่งก็ไม่ได ้โดดเด่น ติดท็อปลิสต์


บุคคลผู้มีปฏิสัมพันธ์ยอดแย่กับคนแปลกหน้า เออ! สมควร

ที่ไม่มีใครเอา


ช่วงหนึ่งสัปดาห์มานี้ผมยังคงเทียวเข ้าเทียวออกหอสมุด

เป็นว่าเล่น แต่ทุกครั้งก็มักพาไอ ้สามตัวติดสอยห ้อยตามมา


ด ้วย เพราะความสัมพันธ์ของเรากลับมาเกือบเป็นปกติแล ้ว

ผมเองก็ควบคุมความรู้สึกตัวเองเก่งขึ้น เลิกคาดหวังและ

ก ้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของไอ ้ค่าย เลยท าให ้ความเจ็บลดลง

ได ้บ ้าง




แม ้จะไม่หายขาด แต่ก็ดีขึ้นกว่าตอนแรกเยอะโข



วันนี้ผมกับแก๊งโหดนัดแนะกันมานั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งกลาง


หอสมุด ซึ่งรายล ้อมไปด ้วยนิสิตหลากหลายคณะ หลายคน

มองมาที่เราและอมยิ้ม ซึ่งตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงที่นั่งคุยกัน

ล ้วนมีพลังงานบางอย่างส่งมาเสมอ




ไอ ้โบนลุกขึ้นจากโต๊ะเป็นคนแรก เห็นบอกขอตัวไปเข ้า

ห ้องน ้า แต่ตอนเดินออกมากลับผิวปากอย่างมีความสุข

เพราะได ้ไลน์สาว ไอ ้ค่ายกับไอ ้ทูก็ไม่น้อยหน้า หนึ่งสัปดาห์

มานี้ มันสามตัวฟันสาวไปแล ้วหลายคนเพียงเพราะการมา

นั่งหอสมุดเล่นๆ




เข ้าสู่สัปดาห์ที่สองทีมเขียนบทเริ่มดิสคัสกัน เราเสนอ

ไอเดียและร่างพล็อตเรียบร ้อย ผมกับพี่เชนทร์จึงช่วยกัน


เขียนทรีตเมนท์ในแต่ละองก์ แต่ละฉาก โดยมีพี่ย ้งยี้เขียน

ไดอาล็อกและปรับแก ้ให ้สมบูรณ์ขึ้น



งานเขียนบทยังห่างไกลจากค าว่าเสร็จอยู่มาก แต่เราก็


พอจะมีชื่อเรื่องอยู่ในหัวด ้วยการเอาค าสองค ามาผสมกัน

นั่นคือค าว่า Library ที่แปลว่าห ้องสมุด กับค าว่า Like ที่

แปลว่าชอบ สุดท ้ายเราเลยใช ้ ชื่อละครเวทีประจ าปีว่า




‘Likebrary’



ซึ่งทุกคนในที่ประชุมต่างลงความเห็นว่ามันต ้องเป็นที่

จดจ าของคนดูแน่นอน




Rrrr…!


Click to View FlipBook Version