อธภิ ัทร ถำมะณีศรี (2553). การพฒั นากิจกรรมการเรียนรูแ้ บบร่วมมือโดย ใชแ้ บบฝึ กเสริม
ทกั ษะเรือ่ งโจทยป์ ัญหาเศษส่วน ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6
อำรีนำ หะยีเตะ. (2559). ผลการจัดการเรียนรู้ เรื่องพยญั ชนะและสระ สาระวิชาภาษามลายู
สาหรบั นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนบา้ นน้าดา โดยใชร้ ูปแบบการ
เรียนรูแ้ บบร่วมมือ. (วิทยำนิพนธ์ ครุศำสตรมหำบัณฑติ , มหำวิทยำลัยรำชภฏั ยะลำ).
Bragg, L.A. (2012). The effect of mathematical games on on-task behaviours in the primary
classroom. Mathematics Education Research Journal, 24 (4), 385-401.
Gokkurt, B., Dundar, S.,Soylu, Y., & Akgun, L. (2012). The effects of learning together
technique which is based on cooperative learning on students' achievement in
mathematics class. Procedia Social and Behavioral Sciences, 46, 3431 – 3434.
doi: 10.1016/j.sbspro.2012.06.079
Hossain, A., & Tarmizi, R.A. (2 0 1 3 ) . Effects of cooperative learning on students’
achievement and attitudes in secondary mathematics. Procedia Social and
Behavioral Sciences,
Lyman, F (1981). The responsive classroom discussion: The inclusion of all students. In
Mainstreaming digest. College Park, MD: University of Maryland College of
Education.
649
การพฒั นาความสามารถการบรรเลงเครือ่ งดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ
(Dalcroze) สาหรบั นกั เรียนระดบั ประถมศึกษาตอนปลาย
The Development of Thai Musical Instrument Playing Skills Based on the
Dalcroze Method for Primary Students
สุวนนั ท์ ฟ้ ุงสาคร1
พจมาลย์ สกลเกยี รติ2
บทคดั ย่อ
การวิจัยน้ี มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) พัฒนาความสามารถการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย
ตามแนวคิดของดาลโครซ (Dalcroze) 2) ศึกษาพฤตกิ รรมการเรียนรู้ต่อการบรรเลงเคร่ืองดนตรี
ไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ (Dalcroze) และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่มี ีต่อการ
บรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ (Dalcroze) กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนท่กี าลัง
ศึกษาอยู่ระดับประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนเทศบาลนาดี จังหวัดสมุทรสาคร ท่ีเรียนวิชา
ดนตรีไทย ในกิจกรรมลดเวลาเรียนเพ่ิมเวลารู้ จานวน 20 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง
เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้เร่ืองการพัฒนาความสามารถการบรรเลง
เคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ (Dalcroze) จานวน 5 แผน 2) แบบประเมิน
ความสามารถการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ (Dalcroze) 3) แบบ
ประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ต่อการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ
(Dalcroze) และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจท่มี ีต่อการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิด
ของดาลโครซ (Dalcroze) สถิติท่ใี ช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน
และค่าสถติ ิ Paired Sample t-test
ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาล
โครซ (Dalcroze) สาหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย นักเรียนมีคะแนนความสามารถ
การบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 2)
พฤติกรรมการเรียนรู้ต่อการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ (Dalcroze)
สาหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย มีคะแนนผ่านเกณฑ์ไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 จานวน
12 คน คิดเป็นร้อยละ 60 และไม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 40 และ 3) ความพึง
พอใจของนักเรียนท่มี ีต่อการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ (Dalcroze)โดย
ภาพรวมอยู่ในระดบั มาก ( ̅ = 4.50, S.D. = 0.62)
1 นักศึกษา หลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ธรุ กจิ บณั ฑติ ย์
2 ท่ปี รึกษาวทิ ยานิพนธ์
650
คาสาคญั : การบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย, แนวคดิ ของดาลโครซ (Dalcroze), วิชาดนตรีไทย
ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา
กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะเป็ นกลุ่มสาระท่ีช่วยพัฒนาให้ ผู้เรียนมีความคิดริเร่ิม
สร้างสรรค์ มีจินตนาการทางศิลปะ ช่ืนชมความงาม มีสุนทรียภาพ ความมีคุณค่า ซ่ึงมีผลต่อ
คุณภาพชีวิตมนุษย์ กจิ กรรมทางศิลปะช่วยพัฒนาผู้เรียนท้งั ด้านร่างกาย จิตใจ สตปิ ัญญา อารมณ์
สงั คม ตลอดจนการนาไปส่กู ารพัฒนาส่งิ แวดล้อม ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเช่ือม่ันในตนเอง อัน
เป็นพ้ืนฐานในการศึกษาต่อหรือประกอบอาชีพได้ ซ่ึงการเรียนการสอนดนตรีไทยในสถานศึกษา
น้ันเร่ิมเข้ามามีบทบาทในสังคม การศึกษาส่งเสริมให้คนรู้จักการเสาะแสวงหาความรู้ และนา
ความรู้ไปพัฒนาให้ชีวิตมีความเป็นอยู่ท่ดี ีข้ึน ทาให้ครูผู้สอนต้องเปล่ียนบทบาทจากเดิม โดยต้อง
เปล่ียนวิธีการสอนวิชาดนตรีไทย ซ่ึงครูผู้สอนควรทาความเข้าใจในธรรมชาติของวิชา และ
ลักษณะเฉพาะ ว่ามีเน้ือหาสาระสาคัญอย่างไรบ้าง เพ่ือการวางแผนการสอนให้ครอบคลุมถึง
เน้ือหาสาระ ซ่ึงจะส่งผลให้การเรียนการสอนวิชาดนตรีเป็นไปอย่างมีประสทิ ธภิ าพ ตรงเป้ าหมาย
เพ่ือผลสาเรจ็ ของการสอนและการสืบสานดนตรีไทยท่ยี ่ังยืน ในปัจจุบัน ปัญหาท่พี บเจอในช่ัวโมง
วิชาดนตรีไทยน้ัน ผู้เรียนไม่มีสมาธิ จดจาโน้ตเพลงไม่ได้ จึงทาให้ผู้เรียนเกดิ ความเบ่ือหน่าย จาก
การศึกษาค้นคว้าข้อมูลเก่ยี วกบั การสอนดนตรีรูปแบบต่างๆ ทาให้พบการสอนดนตรีตามแนวคดิ
ของดาลโครซ (Dalcroze) ท่เี หมาะกบั พัฒนาการของเดก็ เร่ิมฝึกจากง่ายไปหายาก
ในการเรียนการสอนดนตรีตามแนวคิดของดาลโครซ (Dalcroze) น้ันเป็ นการสอน
ดนตรีโดยใช้ การเคล่ือนไหวจังหวะเพ่ือตอบสนองต่อเสียงดนตรีใช้ ช่ือว่า “ยูริธึมมิก”
(Eurhythmics) ซ่ึงเก่ียวข้องกบั การต้ังใจฟังเสียงอย่างมีสมาธแิ ละตอบสนองต่อองค์ประกอบของ
ดนตรีง่ายๆ ในเร่ืองจังหวะ ระดับเสียง ความดังเบา ความยาวส้ัน นอกจากน้ันดาลโครซยังใช้
หลักการสอนโซลเฟจ (Solfege) ซ่ึงเป็นการฝึกการอา่ นและการฟังเพ่ือจดจาระดับเสยี งต่างๆ ช่วย
ส่งเสริมพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ตามพัฒนาการของเดก็ วิธสี อนตามแนวทางของดาลโครซน้ีได้
ช้ีเด่นชัดว่ามีการให้ความสาคัญของการฝึ กโสตประสาททางด้านต่าง ๆ เช่น จังหวะ ระดับเสียง
ความแตกต่างของเสียง โดยใช้กิจกรรมการสอนยูริธึมมิก การสอนโซลเฟจ และการอิมโพร -ไว
เซช่ัน เป็นส่อื และมลี าดบั ข้ันตอนจากง่ายมาหายากตามพัฒนาการของเดก็ ซ่ึงผู้วิจัยเลือกแนวคิด
ของดวงรัตน์ วุฒิปัญญารัตนกุล (2555) มาเสริมในส่วนในของดาลโครซ โดยการประยุกตใ์ ช้เป็น
ข้ันตอนการสอนดนตรีไทยของการวิจัยคร้ังน้ี โดยมี 4 ข้ันตอน คือ ข้ันท่ี 1 ทาความเข้าใจจังหวะ
ข้ันท่ี 2 เคล่ือนไหวร่างกายอย่างอิสระ ข้ันท่ี 3 ฝึ กฝนการเคล่ือนไหวท่ีถูกต้อง และข้ันท่ี 4
ประยุกต์การเคล่ือนไหว
ดังน้ัน ผู้วิจัยจึงนาแนวคิดของดาลโครซ (Dalcroze) มาประยุกต์ใช้กับการบรรเลง
เคร่ืองดนตรีไทย และนาเทคนิควิธตี ่างๆ ตามแนวคิดของดาลโครซ (Dalcroze) มาประยุกต์ใช้ให้
เข้ากับการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทยท่ีผู้วิจัยกาหนดข้ึน สาหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอน
651
ปลาย โรงเรียนเทศบาลนาดี จังหวัดสมุทรสาคร เพ่ือเป็นแนวทางในการพัฒนาทกั ษะของนักเรียน
อกี ท้งั ยังสามารถทาให้นักเรียนได้นาทกั ษะการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทยไปประกอบอาชีพต่อไปได้
ในอนาคต
วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั
1. เพ่ือพัฒนาความสามารถการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ
(Dalcroze)
2. เพ่ือศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ต่อการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของ
ดาลโครซ (Dalcroze)
3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตาม
แนวคิดของดาลโครซ (Dalcroze)
สมมติฐานการวิจยั
1. นักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลายมีความสามารถในการบรรเลงเคร่ืองดนตรี
ไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ (Dalcroze) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ
ท่รี ะดับ .05
2. นักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลายมีคะแนนพฤติกรรมการเรียนรู้ต่อการ
บรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคดิ ของดาลโครซ (Dalcroze) ไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ของคะแนน
เตม็
3. นักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลายมีความพึงพอใจในการบรรเลงเคร่ืองดนตรี
ไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ (Dalcroze) อยู่ในระดับมาก
ขอบเขตการวิจยั
1. ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
1.1 ประชากร
ประชากรท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี เป็นนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย (ช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 4 - 6) โรงเรียนเทศบาลนาดี จังหวัดสมุทรสาคร ระดับช้ันละ 3 ห้อง รวม 9
ห้อง และมีนักเรียนจานวนท้งั หมด 315 คน
1.2 กลุ่มตวั อย่าง
กลุ่มตัวอย่างท่ใี ช้ในการวิจัยคร้ังน้ี เป็นนักเรียนท่กี าลังศึกษาอยู่ระดับประถมศึกษา
ตอนปลาย (ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 - 6) วิชาดนตรีไทย ในกิจกรรมลดเวลาเรียนเพ่ิมเวลารู้
จานวน 20 คน โรงเรียนเทศบาลนาดี จังหวัดสมุทรสาคร โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive
Sampling)
652
2. ตัวแปรท่ศี ึกษา
2.1 ตวั แปรต้น
2.1.1 แนวคดิ ของดาลโครซ (Dalcroze)
2.2 ตัวแปรตาม
2.2.1 ความสามารถการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ
(Dalcroze)
2.2.2 พฤติกรรมการเรียนรู้ต่อการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของ
ดาลโครซ (Dalcroze)
2.2.3 ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตาม
แนวคดิ ของดาลโครซ (Dalcroze)
3. ขอบเขตด้านเน้ือหา
เน้ือหาท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี คือ วิชาดนตรีไทย ในกิจกรรมลดเวลาเรียนเพ่ิมเวลารู้
มีเน้ือหาท้งั หมด 5 เร่ือง ได้แก่ โน้ตดนตรีไทย เสียงของเคร่ืองดนตรีไทยแต่ละประเภท จังหวะ
ดนตรีไทย ทานองดนตรีไทย และวิธกี ารบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทยแต่ละประเภท ท้งั หมด 5 แผน
รวม 16 ช่ัวโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 1 โน้ตดนตรีไทย จานวน 2 ช่ัวโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 2 เสยี งของเคร่ืองดนตรีไทยแต่ละประเภท จานวน 2 ช่ัวโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 3 จังหวะดนตรีไทย จานวน 4 ช่ัวโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 4 ทานองดนตรีไทย จานวน 4 ช่ัวโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 5 วิธีการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทยแต่ละประเภท จานวน 4
ช่ัวโมง
4. ระยะเวลาในการวิจัย
ระยะเวลาในการทาวิจัยคร้ังน้ีใช้เวลา 4 สัปดาห์ รวม 16 ช่ัวโมง ภาคเรียนท่ี 2 ปี
การศึกษา 2562
เครือ่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
1. แผนการจัดการเรียนรู้เร่ืองการพัฒนาความสามารถการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย
ตามแนวคิดของดาลโครซ (Dalcroze)
2. แบบประเมินความสามารถการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ
(Dalcroze)
3. แบบประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ต่อการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคดิ ของ
ดาลโครซ (Dalcroze)
653
4. แบบสอบถามความพึงพอใจท่ีมีต่อการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของ
ดาลโครซ (Dalcroze)
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
ผู้วิจัยได้ดาเนินการทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมูลตามข้นั ตอน ต่อไปน้ี
1. อธบิ ายและช้ีแจงจุดประสงค์การเรียนรู้ของเร่ืองท่ีเรียน ช้ีแจงภาระงาน ผู้วิจัยอาจ
นาโดยการพูดคุย ซักถามนักเรียน เปิ ดวีดีทัศน์และส่ืออ่ืนๆ ท่ีเก่ียวกับเร่ืองการบรรเลงเคร่ือง
ดนตรีไทยเพ่ือเร้าความสนใจของนักเรียน
2. ประเมินความสามารถก่อนเรียน (Pre - test) โดยใช้แบบประเมินความสามารถ
การบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคดิ ของดาลโครซ (Dalcroze)
3. ดาเนินการสอนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้กบั นักเรียนกลุ่มตัวอย่าง
4. ระหว่างดาเนินการสอน ประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้การบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย
ของแต่ละแผน
5. เม่ือดาเนินการสอนครบแล้วประเมินความสามารถหลังเรียน (Post - test) โดยใช้
แบบประเมินความสามารถการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคดิ ของดาลโครซ (Dalcroze)
6. ให้นักเรียนตอบแบบสอบถามความพึงพอใจจากการเรียนรู้เร่ื องการพัฒนา
ความสามารถการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ (Dalcroze) สาหรับนักเรียน
ระดบั ประถมศึกษาตอนปลาย
7. เกบ็ รวบรวมข้อมูลท้งั หมด นาไปประมวลผลและวิเคราะห์
8. สรุป อภิปรายผล โดยใช้ตารางการพรรณนา
การวิเคราะหข์ อ้ มูล
การวิเคราะห์ข้อมูลท่ไี ด้จากการดาเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ทาการวิเคราะห์
ข้อมูล ดังน้ี
1. วิเคราะห์ความสามารถการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย โดยใช้ค่าเฉล่ีย (Mean) ค่า
ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และทาการทดสอบค่าที (t-test Dependent
Samples)
2. วิเคราะห์ผลพฤติกรรมการเรียนรู้ต่อการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย โดยใช้ค่าร้อยละ
(Percentage)
3. วิเคราะห์ความพึงพอใจท่ีมีต่อการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาล
โครซ (Dalcroze) โดยใช้ค่าเฉล่ีย (Mean) และค่าสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
654
ผลการวิจยั
การพัฒนาความสามารถการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ
(Dalcroze) สาหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย สรุปผลได้ดงั น้ี
1. ความสามารถการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ (Dalcroze)
ของนักเรียน หลังเรียนสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมนี ัยสาคัญทางสถิตทิ ่รี ะดับ .05
2. พฤติกรรมการเรียนรู้ต่อการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ
(Dalcroze) ของนักเรียน มีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็ คิดเป็นร้อยละ 80.60
เม่อื พิจารณาผ่านเกณฑม์ คี ะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 พบว่า มนี ักเรียนผ่านเกณฑไ์ ม่ต่ากว่าร้อยละ
80 จานวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 60 และไม่ผ่านเกณฑ์ ไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 จานวน 8 คน คิด
เป็นร้อยละ 40
3. ความพึงพอใจในการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ
(Dalcroze) ของนักเรียน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( ̅ = 4.50, S.D. = 0.62) เม่ือพิจารณาราย
ด้านเรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย คือ ด้านประโยชน์ท่ไี ด้รับ ( ̅ = 4.63, S.D. = 0.56)
ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ ( ̅ = 4.56, S.D. = 0.61) ด้านครูผู้สอน ( ̅ = 4.51, S.D. = 0.59)
และด้านส่อื การเรียนการสอน ( ̅ = 4.29, S.D. = 0.66)
อภิปรายผล
จากการศึกษาผลการพัฒนาความสามารถการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิด
ของดาลโครซ (Dalcroze) สาหรับนักเรียนระดบั ประถมศึกษาตอนปลาย สามารถอภปิ รายได้ดงั น้ี
1. ความสามารถการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ (Dalcroze)
ของนักเรียน หลังเรียนสงู กว่ากอ่ นเรียนอย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดบั .05 ซ่ึงผลการวิจัยเป็นไป
ตามสมมติฐานข้อท่ี 1 ท่ีต้ังไว้ เน่ืองจากวิชาดนตรีไทย ในกิจกรรมลดเวลาเรียนเพ่ิมเวลารู้ เป็น
วิชาเลือกท่นี ักเรียนสามารถเลือกเรียนได้ตามความถนัดของตนเอง โดยท่ผี ู้เรียนน้ันมีทักษะและ
ความสามารถเดิมในการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ซ่ึงสอดคล้องกบั Howard Gardner (1983) ท่ี
ได้กล่าวไว้ว่า การพัฒนาปัญญาของผู้เรียน ให้เป็นผู้รอบรู้ มีความสามารถหลากหลาย มุ่งสง่ เสริม
ความสามารถของผู้เรียนในทุกด้าน โดยคานึงถึงศักยภาพของผู้เรียนท่ีแตกต่างกัน รวมถึง
สติปัญญาของมนุษย์มีหลายด้านท่ีมีความสาคัญเท่าเทียมกัน ข้ึนอยู่กับว่าใครจะโดดเด่นในด้าน
ไหนบ้ าง แล้ วแต่ละด้ านผสมผสานกัน แสดงออกมาเป็ นความสามารถในเร่ืองใด เป็ น
ลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละคนไป อีกท้ังยังเป็นการจัดการเรียนรู้ท่ีมุ่งพัฒนาความสามารถการ
บรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย และสอดคล้องกับแนวคิดของบุญช่วย โสวัตร (2542 : 1) ได้กล่าวถึง
ความสามารถทางดนตรีน้ันเป็นศิลปกรรมประเภทหน่ึงท่ีอยู่คู่กับความเป็นไทยมาช้านาน ซ่ึงมี
ความงามและสมบูรณ์ในตัวเอง จนทาให้ดนตรีไทยก้าวสู่ความเป็ นศักษิต (CLASSIC) ซ่ึง
655
หมายถึง ผู้เล่นดนตรีไทยจะต้องมีความชานาญในการเล่นเคร่ืองดนตรีประเภทน้ันๆ จึงถือได้ว่า
เป็นผู้มีความสามารถทางดนตรีไทย สอดคล้องกบั แนวคิดของกิตติ กติ ติศัพท์ (2547) กล่าวว่า
การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) คือ การประเมินผลท่ใี ช้วิธีการและเกณฑ์ท่ี
หลากหลายในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ความสามารถ และคุณลักษณะต่าง ๆ ของผู้เรียน
อย่างเตม็ เวลาของกจิ กรรมในแต่ละโปรแกรม โดยให้ผู้เรียนได้ทากจิ กรรมหรือสร้างผลงานออกมา
เพ่ือแสดงตัวอย่างของความรู้และทักษะท่ีตนมี ซ่ึงกิจกรรมท่ีนามาใช้ในการประเมินน้ัน จะมี
ลักษณะเหมือนและเป็ นส่วนหน่ึงของกจิ กรรมการเรียนรู้มากกว่าเป็นการทดสอบ และข้อมูลของ
การประเมินผลได้ มาจากท้ังการเก็บรวบรวมผลงานท่ีผู้ เรี ยนได้ ปฏิบั ติ อย่ างสอดคล้ องกับ
ชีวิตประจาวัน การสังเกตพฤติกรรม ควบคู่ไปกับการทดสอบความรู้ความเข้าใจ และสอดคล้อง
กับวิจัยของประพันธ์ พุฒตาล (2547 : 8) กล่าวไว้ว่า การวัดผลและประเมินผลตามสภาพจริง
(Authentic Assessment) หมายถึง กระบวนการเกบ็ รวบรวมข้อมูล สารสนเทศของผู้เรียนท่มี กี าร
เรียนรู้เกิดข้ึนจริงทุกด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive domain) ด้านจิตพิสัย (Affective
Characteristics) และด้านทกั ษะพิสัย (Psychomotor Domain) ด้วยวิธีการท่ีหลากหลายจากการ
จัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ แล้วนามาประมวลใช้ตัดสินผลการเรียนรู้โดยเทียบ
กับเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้อย่างชัดเจน นอกจากน้ียังสอดคล้องกับวิจัยของณัฐวรรณ หิรัญรัตน์
(2550 : 10) ได้กล่าวไว้ว่า ความสามารถทางดนตรีน้ันมีความสาคญั และมีคุณประโยชน์มากมาย
ท้งั ทางร่างกายและจิตใจ สามารถทาให้จิตใจสงบเยือกเยน็ รู้จักคิดอย่างมีสติ มีเหตุผล และเม่ือมี
สุขภาพจิตดี สุขภาพร่างกายก็จะดีตามไปในท่ีสุด โดยประเมินตามสภาพจริง (Authentic
Assessment)
2. พฤติกรรมการเรียนรู้ต่อการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ
(Dalcroze) ของนักเรียน มีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็ พบว่า นักเรียนมีผลการ
ประเมิน คิดเป็ นร้อยละ 80.60 เม่ือพิจารณาผ่านเกณฑ์มีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 พบว่า
มีนักเรียนผ่านเกณฑ์ไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 จานวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 60 และไม่ผ่านเกณฑ์
ไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 จานวน 8 คน คดิ เป็นร้อยละ 40 ซ่ึงผลการวิจัยเป็นไปตามสมมตฐิ านข้อท่ี 2
ท่ตี ้ังไว้ เน่ืองจากการพัฒนาความสามารถการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ
(Dalcroze) เป็นการจัดการเรียนรู้ท่ปี ระเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ต่อการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย
ซ่ึงสอดคล้องกบั ทฤษฎีของบลูม (Bloom, 1956) ได้จาแนกการเรียนรู้ไว้เป็น 3 ด้าน คอื 1) ด้าน
พุทธพิ ิสยั (Cognitive Domain) หมายถงึ พัฒนาการด้านสติปัญญาและความคดิ 2) ด้านจิตพิสัย
(Affective Domain) หมายถึงพัฒนาการทางด้านความรู้สึกนึกคิด ความสนใจ ค่านิยม ความ
ซาบซ้ึง การปรับตัวและเจตคติต่างๆ 3) ด้านทกั ษะพิสยั (Psychomotor Domain) หมายถึง การ
พัฒนาทักษะในทางปฏิบัติ ได้แก่ทักษะในการใช้อวัยวะต่างๆ เช่น การเคล่ือนไหว การลงมือ
ทางาน การทาการทดลอง สอดคล้ องกับวิจัยของอาภรณ์ ใจเท่ียง (2553 : 14) ได้สรุป
ความหมายของการเรียนรู้ไว้ว่า การเรียนรู้ คือ กระบวนการท่ีบุคคลเกิดการเปล่ียนแปลง
656
พฤติกรรมอย่างค่อนข้างถาวร อนั เน่ืองมาจากประสบการณ์หรือการฝึกหัด และเรวณี ชัยเชาวรัตน์
(2554 หน้า 185 อ้างถึงใน สุรางค์ โค้วตระกูล, 2559 หน้า 18) อธบิ ายว่า การเรียนรู้ หมายถึง
การเปล่ียนแปลงพฤติกรรม ซ่ึงเป็ นผลเน่ืองมาจากประสบการณ์ท่ีคนเรามีปฏิสัมพันธ์กับ
ส่งิ แวดล้อม หรือจากการฝึกหัด รวมท้งั การเปล่ียนปริมาณความรู้ของผู้เรียน ซ่ึงเป็นไปตามทฤษฎี
ของ Kagan and Segal (1992 : 5 - 6) ได้อธิบายเก่ียวกับพฤติกรรมไว้ ว่า ทุกส่ิงทุกอย่าง
มากมายท่เี ป็นการกระทาของร่างกายในแต่ละวัน โดยเร่ิมต้ังแต่ต่ืนนอนตอนเช้า หาว เหยียดแขน
ขา แต่งตวั และนอนหลับ หมายความว่าตลอดหน่ึงวันจะต้องเดนิ พูด เรียนทางาน เล่นหัวเราะ หรือ
บางคร้ังก็ร้ องไห้ และ Bower and Hilgard (1981) ให้ ความหมายไว้ ว่า การเรียนรู้ คือ
กระบวนการเปล่ียนแปลงของกิจกรรม โดยการแสดงปฏกิ ิริยาตอบสนองต่อสถานการณ์อย่างใด
อย่างหน่ึง หรืออาจจะเป็นการเพ่ิมความสามารถให้เฉพาะบุคคลท่ไี ด้มาจากผลของการฝึกหัดหรือ
ประสบการณ์
3. ความพึงพอใจในการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ
(Dalcroze) ของนักเรียน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( ̅ = 4.50, S.D. = 0.62) เม่ือพิจารณาราย
ด้านเรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย คือด้านประโยชน์ท่ไี ด้รับ ( ̅ = 4.63, S.D. = 0.56)
ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ ( ̅ = 4.56, S.D. = 0.61) ด้านครูผู้สอน ( ̅ = 4.51, S.D. = 0.59)
และด้านส่อื การเรียนการสอน ( ̅ = 4.29, S.D. = 0.66) ซ่ึงผลการวิจัยเป็นไปตามสมมติฐานข้อ
ท่ี 3 ท่ตี ้ังไว้ เน่ืองจากการพัฒนาความสามารถการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาล
โครซ (Dalcroze) เป็ นการท่ีนักเรียนได้ลงมือปฏิบัติ ทาให้เกิดการพัฒนาความสามารถการ
บรรเลงเคร่ืองดนตรีไทยของตนเอง มีพฤติกรรมการเรียนรู้ต่อการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทยท่ดี ีข้นึ
เม่ือเทยี บกบั เกณฑ์ท่ผี ู้วิจัยได้ต้ังไว้ ได้เรียนรู้บทเพลงใหม่ๆ ได้สนุกกบั การทากิจกรรมเคล่ือนไหว
ร่างกายตามแนวคิดของดาลโครซ (Dalcroze) ก่อนลงปฏิบัติเคร่ืองดนตรีจริง เพ่ือให้เข้าใจถึง
เน้ือหาโดยใช้ร่างกายของตนเองก่อน จึงส่งผลให้นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
สอดคล้องกับศศิธร พงษ์โภคา (2557) ได้ทาการวิจัยเร่ือง การพัฒนาความสามารถในการคิด
แก้ปัญหา ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 6 โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการแก้ปัญหา
อนาคตร่วมกับแผนผังความคิด พบว่า ความคิดเหน็ ของนักเรียน ท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วย
เทคนิคการแก้ปัญหาอนาคตร่วมกับแผนผังความคิดภาพรวมอยู่ใน ระดับมาก โดยนักเรียนเหน็
ด้วยในด้านบรรยากาศในการเรียนรู้อยู่ในระดับมากท่สี ุดเป็นลาดับหน่ึง รองลงมานักเรียนเห็น
ด้วยในด้านกจิ กรรมการเรียนรู้อยู่ในระดบั มาก และนักเรียนเหน็ ด้วยในด้าน ประโยชน์ท่ไี ด้รับจาก
การเรียนรู้อยู่ในระดับมากตามลาดับ ซ่ึงสอดคล้องกับวิจัยของกฤษดา หุ่นเจริญ (2561) ได้ทา
การวิจัยเร่ืองชุดการสอนวิชาดนตรีเร่ืองทักษะการฟังสาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 โดย
การประยุกต์แนวคิดของ ออร์ฟ โคดาย และดาลโครซ พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ต้ังใจปฏบิ ัติตาม
เน้ือหาบทเรียนท่กี าหนดไว้ ให้ความร่วมมือ ต้ังใจ และสนุกสนาน มีความช่ืนชอบในกจิ กรรม ส่อื
การสอน และเวลาในการจัดการสอนเป็นอย่างมาก
657
ขอ้ คน้ พบจากการวิจยั
จากการศึกษาผลการพัฒนาความสามารถการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิด
ของดาลโครซ (Dalcroze) สาหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย พบว่า แนวคิดของดาล
โครซ (Dalcroze) น้ันเป็ นการสอนดนตรีโดยใช้การเคล่ือนไหวในการตอบสนองต่อดนตรี ซ่ึง
เหมาะกบั บางเน้ือหา เช่น โน้ต จังหวะ ทานอง และเสยี งสูง - ต่า ส้นั - ยาว ดัง – เบา เพราะใน
การเรียนการสอนดนตรีตามแนวคิดของดาลโครซ (Dalcroze) น้ันเป็นการสอนดนตรีโดยใช้การ
เคล่ือนไหวจังหวะเพ่ือตอบสนองต่อเสียงดนตรี และตอบสนองต่อองค์ประกอบของดนตรีง่ายๆ
ในเร่ืองจังหวะ ระดับเสียง ความดังเบา ความยาวส้ัน อีกท้งั มีการให้ความสาคัญของการฝึ กโสต
ประสาททางด้านต่าง ๆ เช่น จังหวะ ระดับเสยี ง ความแตกต่างของเสยี ง โดยใช้กจิ กรรมการสอนยู
ริธมึ มิก การสอนโซลเฟจ และการอมิ โพร -ไวเซช่ัน เป็นส่อื และมีลาดับข้นั ตอนจากง่ายมาหายาก
ตามพัฒนาการของเดก็
ขอ้ เสนอแนะ
ข้อเสนอแนะสาหรับการนาผลการวิจัยไปใช้
1. การพัฒนาความสามารถการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิดของดาลโครซ
(Dalcroze) เพ่ือให้เกดิ ประสทิ ธภิ าพแกน่ ักเรียนน้ัน ข้นึ อยู่กบั ปัจจัยดังน้ี
- ความเช่ียวชาญทางด้านการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทยของครู เพ่ือเป็นต้นแบบท่ี
ถูกต้องให้แก่นักเรียน
- การจัดเรียงลาดับเน้ือหาการจัดการเรียนรู้ท่เี หมาะสม โดยเร่ิมจากเน้ือหาท่ีง่าย
ไปยาก เพ่ือให้นักเรียนรู้สกึ ง่ายต่อการทาความเข้าใจ ไม่สอดแทรกเน้ือหาท่ยี ากจนเกนิ ไป เน้ือหา
ในการเรียนมีความต่อเน่ือง
- สภาพแวดล้อมในการจัดการเรียนรู้ ต้องจัดให้มีความเหมาะสมกับการทา
กจิ กรรมและการฝึกความสามารถของนักเรียน
ขอ้ เสนอแนะสาหรบั การวิจยั คร้งั ต่อไป
1. ควรมีการศึกษาการพัฒนาความสามารถการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย ตามแนวคิด
ของดาลโครซ (Dalcroze) กับทกั ษะนักเรียนในด้านอ่นื ๆ เช่น การทางานเป็นทมี การส่อื สารและ
ความร่วมมอื เป็นต้น
2. ควรนาวิธีการและผลการจัดการพัฒนาความสามารถการบรรเลงเคร่ืองดนตรีไทย
ตามแนวคิดของดาลโครซ (Dalcroze) ไปประยุกตใ์ ช้กบั ทกั ษะดนตรีประเภทอ่นื ๆ นอกเหนือจาก
การลงมอื ปฏบิ ัตหิ รือบรรเลงเคร่ืองดนตรี เพ่ือศึกษาประสทิ ธผิ ลของทกั ษะดนตรีในแต่ละด้าน
658
บรรณานุกรม
กฤษดา หุ่นเจริญ. (2561). ชุดการสอนวิชาดนตรีเรื่องทักษะการฟังสาหรับนักเรียนชั้น
ประถมศึกษา ปีที่ 1 โดยการประยกุ ต์แนวคิดของออรฟ์ โคดาย และดาลโครซ.
กติ ติ กติ ตศิ ัพท.์ (2547). การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assesment).
ณัฐวรรณ หิรัญรัตน์. (2550). การศึกษาความสมั พนั ธ์ระหว่างความสามารถทางดนตรีไทยกับ
ความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนกลุ่มเจา้ พระยา
สงั กดั กรุงเทพมหานคร. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
ดวงรัตน์ วุฒิปัญญากุล. (2555). ผลของการใชก้ ิจกรรมดนตรีและเคลือ่ นไหวตามแนวคิดดาล
โครซทีม่ ีต่อความสามารถทางสติปัญญาของเดก็ อนุบาล. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
บุญช่วย โสวัตร. (2542). ทฤษฎีดุริยางค์ไทย. กรุงเทพฯ : สานักงานคณะกรรมการส่งเสริมและ
ประสานงานเยาวชนแห่งชาติ (ส.ย.ช.).
ประพันธ์ พุฒตาล. (2547). การศึกษาสภาพการวดั ผลและประเมินผลตามสภาพจริงของครู
ในสถานศึกษาที่เปิ ดสอนเฉพาะระดับชัน้ มัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่
การศึกษา จงั หวดั พิษณุโลก.
เรวณี ชัยเชาวรัตน์. (2559). เอกสารประกอบการสอนวิชา ED 12202 : การออกแบบและการ
จดั การเรียนรู้ (Learning Design and Management). คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ราชภฏั อุดรธานี.
ศศิธร พงษ์โภคา. (2557). การพัฒนาความสามารถในการคิดแกป้ ัญหา ของนักเรียนชัน้
มธั ยมศึกษา ปี ที่ 6 โดยการจดั การเรียนรูด้ ว้ ยเทคนิคการแกป้ ัญหาอนาคตร่วมกับ
แผนผงั ความคิด. บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร.
อาภรณ์ ใจเท่ยี ง. (2553). หลกั การสอน. (พิมพ์คร้ังท่ี 5). กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์.
Bloom, Benjamin A. (1956). Taxonomy of Education Objective Handbook I : Cognitive
Domain. New York : David Mc Kay Company.
Bower, H. & Hilgard, E. R. (1981). Theories of learning. (5th ed.). Englewood Cliffs,
New Jersey: Prentice - Hall.
Gardner, H. (1983). Frames of Mind: A Theory of Multiple Intelligences. New York: Basic
Books.
Kagan, Jerome and Segal,Julius. (1992) Psychology an Introduction.7thed. Florida :
Harcourt Brace Jovanovich,Inc.
659
การพฒั นาระบบรบั แจง้ ปัญหางานทางดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ
Information Technology Incident Management System
ประเสริฐ อศั วเดชานุกร*
ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.วรภทั ร ไพรีเกรง**
บทคดั ยอ่
โครงงานน้ ีเป็ นการพัฒนาระบบรับแจ้ งปัญหางานทางด้ านเทคโนโลยีสารสนเทศ ผ่าน
ทางระบบเวบ็ แอปพลิเคชันขององคก์ ร เพ่ืออานวยความสะดวกให้กบั พนักงานท่ตี ้องการแจ้งซ่อม
และติดตามสถานะการซ่อมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ จากเดิมท่ีใช้การติดต่อทางโทรศัพท์และการ
จัดเกบ็ ในระบบเอกสาร เปล่ียนเป็นการใช้งานผ่านนระบบเวบ็ แอปพลิเคชันและการจัดเกบ็ ข้อมูล
ลงฐานข้อมูลท่มี ีความปลอดภัย ท้งั น้ียังสามารถสืบค้น เรียกดูประวัติการซ่อมบารุง เพ่ือยังใช้อ้าง
และประกอบพิจารณาในการส่งั ซ้ืออปุ กรณ์ใหม่ทดแทนอปุ กรณ์ท่เี สยี ชารุดอยู่บ่อยคร้ัง
บทนาํ
ปัจจุบันน้ีองค์กรต่างๆ ได้ให้ความสาคัญกบั การดาเนินงานอย่างมีประสทิ ธิภาพ และ การใช้เวลา
ในการปฏบิ ัติงานน้อยลง ดังน้ันจึงได้มีการนาเอาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยสนับสนุนการ
ปฏบิ ัติงานเพือเพ่ิมประสิทธิภาพในการปฏบิ ัติงานจึงถือได้ว่าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์
อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เป็ นปัจจัยพ้ืนฐานและเป็ นเคร่ืองมือทีสาคัญในการให้การ สนับสนุนการ
ปฏบิ ัติงาน โดยมีฝ่ ายเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ มีหน้าท่ีในการช่วยเหลือ และ
อานวยความสะดวกในการจัดเตรียมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้กบั บุคลากรในองค์กรและยังมีหน้าท่ี
คอยดูแลตรวจสอบประสิทธิภาพในการทางานของอุปกรณ์เพ่ือให้อุปกรณ์เหล่าน้ัน มีความพร้อม
ให้บริการ สามารถใช้งานได้อยู่เสมอ ท้งั น้ีรวมถึงทาการซ่อมบารุงเม่ืออปุ กรณน์ ้ันเกดิ ปัญหาจนไม่
สามารถใช้งานได้อกี ต่อไป ตลอดจนทาการจัดหาอุปกรณ์ให้แผนปฏบิ ัติงานใช้ทดแทนในระหว่าง
การรอซ่อมแซมอุปกรณ์เพ่ือให้องค์กรและบุคลากรสามารถปฏิบัติงานได้อย่างต่อเน่ืองไม่ส่งผล
กระทบต่อการดาเนินงานต่างๆ ซ่ึงการให้บริการของฝ่ ายเทคโนโลยีสารสนเทศน้ันจาเป็ นต้อง
ดาเนินงานด้วยความถูกต้องเหมาะสมรวดเร็ว นอกจากน้ันผู้ใช้งานจะต้องสามารถตรวจสอบ
ติดตามสถานะการณ์ดาเนินงานได้
* นักศกึ ษาหลกั สตู รวทิ ยาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวทิ ยาลยั ธรุ กจิ บณั ฑติ ย์
** ท่ปี รึกษาสารนิพนธ์
660
ปัญหาและแรงจูงใจ
ปั ญหาและแรงจู งใจท่ีคิดทาการพั ฒนาโปรแกรมระบบแจ้ งปั ญหาเก่ียวกับระบบ
เทคโนโลยีสารสนเทศข้ึนมาน้ันเกิดจากระบบเดิมใช้คาขอเป็ นเอกสารส่งมายังหน่วยงาน
สารสนเทศ และต้ องรอการอนุ มั ติจากผ้ ูจัดการแผนกสารสนเทศก่อน จึงจะทาตามท่ีคาขอจาก
หน่วยงานต่างๆขอมาน้ันในบางกรณีอาจมีระยะเวลาในการดาเนินงานนานทาให้ผู้ส่งซ่อมเกิดการ
ติดตามข้ ึนเน่ืองจากไม่ทราบความเคล่ือนไหวของสถานะของการดาเนินงานทาให้ เกิดค วาม
เสียเวลาในการงานท้ังในส่วนของผู้ปฏิบัติงานเองท่ีต้องทาการติดตามและทางฝ่ ายเทคโนโลยี
สารสนเทศท่ีต้องตอบคาถามความคืบหน้าของการดาเนินงานและเร่ืองการจัดเกบ็ เอกสารจะดู
ข้ อมูลย้ อยหลังเป็ นไปได้ คงลาบากและใช้ เวลานาน
วตั ถุประสงค์
1. เพ่ือทาการศึกษาและพัฒนาระบบบริหารจัดการซ่อมบารงุ อปุ กรณค์ อมพิวเตอร์
2. ระบบบริหารจัดการซ่อมบารุงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ มาช่วยสนับสนุนในการทางานของ
ฝ่ ายเทคโนโลยีสารสนเทศให้มปี ระสทิ ธิภาพมากข้ึนด้วยการทางานท่เี ป็นระบบ
3. เพ่ือพัฒนาในการติดตามผลการดาเนินงานของฝ่ ายเทคโนโลยีสารสนเทศ จากมุมมอง
หน่วยงานอ่นื ๆ ท่แี จ้งซ่อมอุปกรณ์
ประโยชนท์ ีค่ าดว่าจะไดร้ บั
1. เพ่ือช่วยให้ฝ่ ายเทคโนโลยีสารสนเทศเหน็ ติดตามงานซ่อมคงค้างท้งั หมดท่ยี ังดาเนินการ
ไม่สาเรจ็ และสามารถจัดลาดบั ความสาคญั ของการดาเนินงานได้ กรณที ่มี ีความสาคัญมาก
ควรได้รับการแก้ไขก่อน
2. เพ่ือเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการส่งั ซ้ืออุปกรณ์ทดแทนกรณีซ่อมอุปกรณ์หลาย
คร้ัง แต่ยังเกดิ ปัญหาเดิมซา้ หรือเพ่ือเป็นหลักฐานในการขอซ้ืออะไหล่ หรืออุปกรณ์เสริม
กรณี อุปกรณ์ชารุดจนไม่สามารถซ่อมแซมได้
3. เพ่ือให้ผู้ส่งซ่อมอุปกรณ์สามารถตรวจติดตามความคืบหน้าของอุปกรณ์ได้โดยไม่ติดต่อ
สอบถามไปยังฝ่ ายเทคโนโลยีสารสนเทศ
แนวคดิ และทฤษฎีทีเ่ กยี่ วขอ้ ง
วงจรชีวิตการพฒั นาระบบงาน Software Development Life Cycle (SDLC)
วงจรชีวิตการพัฒนาระบบงานคอื ข้นั ตอนต้งั แต่เร่ิมต้นจนเสรจ็ เรียบร้อยเป็นระบบท่ี
สามารถใช้งานได้ซ่ึงนักวิเคราะห์ระบบต้องศึกษาข้ันตอนในแต่ละข้ันมีการทางานอย่างไรและ
ผลลัพธท์ ่ไี ด้ในแต่ละข้นั ตอน โดยประกอบ 7 ข้นั ดังต่อไปน้ี
661
1. การเข้าใจปัญหา (Problem Recognition), 2. ศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility
Study), 3. วิเคราะห์ (Analysis), 4. ออกแบบ ( Design), 5. สร้ างหรื อพั ฒนาระบ บ
(Implement), 6. การปรับเปล่ียน (Conversion), 7. บารุงรักษา (Maintenance). (ผศ.ดร. มห
ศักด์ิ เกตุฉ่า, 2559)
การวิเคราะหร์ ะบบ (Analysis System)
เร่ิมเข้าส่กู ารวิเคราะห์ระบบ การวิเคราะห์ระบบเร่ิม ต้ังแต่การศึกษาระบบการทางาน
ของธุรกิจน้ัน ในกรณีท่รี ะบบศึกษาน้ันเป็นระบบสารสนเทศอยู่แล้วจะต้องศึกษาว่าทางานอย่างไร
เพราะเป็นการยากท่จี ะออกแบบระบบใหม่โดยท่ไี ม่ทราบว่า ระบบเดิมทางานอย่างไร หรือธุรกิจ
ดาเนินการอย่างไร หลังจากน้ันกาหนดความต้องการของ ระบบใหม่ซ่ึงนักวิเคราะห์ระบบจะต้อง
ใช้เทคนิคในการเกบ็ ข้อมูล (Fact-Gathering Techniques). (เอกชัย ภคเลิศพงค์, 2558)
เอเอพดี อตเนต็ (ASP.NET)
เอเอพีดอตเนต็ (ASP.NET) คือเทคโนโลยีสาหรับพัฒนาเวบ็ ไซต์ เวบ็ แอปพลิเคช่ัน
และเว็บเซอร์วิส โดยอยู่ภายใตแนวคิด .NET Framework เป็ นแนวคิดหน่ึงท่ีไมโครซอฟท์
พยายามเช่ือโยงอุปกรณ์อเิ ลก็ ทรอนิกสท์ ุกอย่างบนโลกมาเช่ือมโยงกนั เหมือนตาข่ายท่อี ยู่ในระบบ
.NET Framework เช่นอุปกรณ์พวกปาล์มหรืออุปกรณ์ท่ีเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ ASP (Active
Server Pages) เป็นการเขียนโปรแกรมเพ่ือประมวลผลคาส่งั บนเวบ็ เซิร์ฟเวอร์ ก่อนจะส่งผลลัพธ์
กลับมายังเบราว์เซอร์ท่ีร้องขอข้อมูลไปหลักการทางานของ ASP จะทางานโดยมีตัวแปลและ
ตัวเอ็กซิคิวต์ท่ีฝ่ังเซิร์ฟเวอร์ (Server Side Application) ส่วนการทางานเบราว์เซอร์ของผู้ใช้
เรียกว่า ฝ่ังไคลเอนต์ (Client Side) การทางานเร่ิมต้นเม่ือผู้ใช้ ส่งความต้องการผ่านเว็บ
เบราว์เซอร์ทาง HTTP (HTTP Request) เช่นการค้นหาข้อมูลจากฐานข้อมูล ในรูปของเอกสาร
ASP ไปยงั เวบ็ เซิร์ฟเวอร์ จากน้ันเวบ็ เซิร์ฟเวอร์จะทาหน้าท่แี ปลคาส่งั แล้วเอก็ ซิคิวต์คาส่งั น้ัน อาจ
มีการเรียกใช้ออบเจก็ ต์ คอมโพเนนต์ หรือ ADO เพ่ือใช้สาหรับการทางานกบั ฐานข้อมูล หลังจาก
น้ันเวบ็ เซิร์ฟเวอร์จะสร้างผลลัพธใ์ นรูแบบเอกสาร HTML ส่งกลับไปให้เวบ็ เบราว์เซอร์ เพ่ือแสดง
ทางฝ่งั ผู้ใช้ต่อไป (HTTP Request). (อนรรฆนงค์ คุณมณี, 2554)
ไมโครซอฟท์ วิชวลสตูดิโอ (MS Visual Studio)
ไมโครซอฟท์ วิชวลสตูดิโอ (MS Visual Studio) คือ เคร่ืองมือท่ีช่วยในการพัฒนา
โปรแกรม (Integrated Development Environment) โดยมีส่ิงอานวยความสะดวกต่างๆ เช่น
คาส่ัง Compile, Run พัฒนาข้ึนโดยไมโครซอฟท์ ซ่ึงเป็ นเคร่ืองมือท่ีช่วยนักพัฒนาซอฟต์แวร์
พัฒนา โปรแกรมคอมพิวเตอร์เวบ็ ไซต์เวบ็ แอปพลิเคช่ันและ เวบ็ เซอร์วิสระบบท่รี องรับการทางาน
น้ันมีไมโครซอฟทว์ ินโดวสพ์ อ็ คเกตพีซี, สมาร์ทโฟน และ เวบ็ เบราว์เซอร์ ในปัจจุบัน วิชวลสตดู โิ อ
น้ันสามารถใช้ภาษาโปรแกรมท่เี ป็นภาษาดอตเนน็ ในโปรแกรมเดยี วกนั เช่น VB.NET, C++, C#
และ J#. (อนรรฆนงค์ คุณมณี, 2554)
662
การวิเคราะหแ์ ละออกแบบระบบ
กระบวนการทํางานเดมิ
ภาพที่ 1 กระบวนการการแจ้งซ่อมอปุ กรณ์คอมพิวเตอร์เดมิ
กระบวนการทํางานใหม่
ภาพที่ 2 กระบวนการการแจ้งซ่อมอปุ กรณ์คอมพิวเตอร์ใหม่
การออกแบบระบบงาน
ทศิ ทางการไหลของข้อมูล สามารถแสดงให้เหน็ ด้วย Data Flow Diagram ซ่ึงประกอบด้วย
กระบวนการ 4 กระบวนการหลัก ดงั น้ี
1. การจัดการข้อมูลผู้ใช้งาน ผู้ดูแลระบบสามารถเพ่ิม บัญชีช่ือผู้ใช้ ให้กับ พนักงาน
เพ่ือให้ พนักงานสามารถเข้ าใช้ ระบบสาหรับแจ้ งซ่อมอุปกรณ์พร้ อมกาหนดสิทธ์ิ
การใช้งาน
2. การจัดการข้อมูลอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เม่ือมีการจัดซ้ืออุปกรณ์มาใหม่ ผู้ดูแลระบบมี
หน้าท่บี ันทกึ ข้อมูลอุปกรณ์ เพ่ือจัดเกบ็ ข้อมูลและลงทะเบียนอปุ กรณ์
3. การจัดการข้อมูลแจ้งซ่อม เม่อื เกดิ ปัญหาต่อการใช้งานอุปกรณพ์ นักงานสามารถ สร้างใบ
แจ้งซ่อมได้ และ เสนอต่อหัวหน้างานทาการอนุมตั ิ เม่อื หัวหน้างาน อนุมตั ิ ผู้ดูแลระบบทา
663
การตรวจสอบและบันทกึ ผลการซ่อมอปุ กรณ์
4. การออกรายงาน ผู้ดูแลระบบสามารถเรียกดูรายงานได้
ภาพที่ 3 Data Flow Diagram
การออกแบบฐานข้อมูลสามารถแสดงให้เหน็ ได้ดังรูป
ภาพที่ 4 ER Diagram
664
การพฒั นาระบบและผลการดําเนนิ การ
จากการพัฒนาระบบงาน สามารถแสดงในเหน็ ได้ว่า ระบบสามารถทางานในลักษณะ
เวบ็ แอปพลิเคชัน ซ่ึงผู้ใช้สามารถเลือกเข้าไปใช้งานในเมนูต่างๆ ได้ดงั ภาพ
ภาพที่ 5 จอแสดงผลหลักของระบบของผู้ใช้งาน
โดยเม่ือเข้าสู่ระบบแล้วผู้ใช้สามารถท่ีจะเลือกเข้ามาดูรายการท่ีเกิดข้ึนในระบบ เช่น
การติดตามการซ่อม พร้อมท้งั ทราบสถานะของรายการท่ไี ด้ส่งเร่ืองเข้ามาด้วย รวมถึง ผู้บริหาร
จัดการระบบ สามารถท่ีจะเรียกดูรายงานต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องได้ เช่น รายงานทรัพย์สินอุปกรณ์
คอมพิวเตอร์ ของบริษัท ซ่ึงมีรายละเอียดต่างๆ ให้ผู้ใช้งานสามารถเข้ามาสืบค้นและดูข้อมูลท่ี
ต้องการได้
ภาพที่ 7 จอแสดงผลการติดตามการซ่อมโดยระบบจะแสดงการแจ้งซ่อมพร้อมท้งั สถานะ
665
ภาพที่ 8 จอแสดงผลตัวอย่างรายงานทรัพย์สนิ อุปกรณร์ ายการคอมพิวเตอร์ในระบบท้งั หมดใน
บริษัทฯ
บทสรุป
การพัฒนาระบบรั บแจ้ งปั ญหางานทางด้ านเทคโนโลยีสารสนเทศ พัฒนาข้ ึนเพ่ือให้
ผู้ใช้งานลดการติดต่อกับฝ่ ายเทคโนโลยีสารสนเทศโดยไม่จาเป็นลง และลดการตอบปัญหาการ
แจ้งซ่อมและการสอบถามสถานะการซ่อมทางโทรศัพทล์ งโดยให้ทาการแจ้ง และติดตามผลการ
ดาเนินงานผ่านเวบ็ ไซต์
จากการใช้งานระบบรับแจ้งปัญหางานทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศช่วยให้ฝ่ าย
เทคโนโลยีสารสนเทศได้ฐานข้อมูลอุปกรณ์ท้ังหมดท่ีมีของบริษัทจากการบันทึกข้อมูลอุปกรณ์
คอมพิวเตอร์ท่มี ีแล้วและท่ไี ด้จัดซ้ือหลังจากการใช้โปรแกรมทเี มนูการจัดการอปุ กรณ์สามารถเกบ็
บันทึกประวัติการซ่อมอุปกรณ์ได้ โดยการบันทึกข้ อมูลใบแจ้ งซ่อมจากเมนู แจ้ งซ่อมอุปกรณ์โดย
รายการแจ้งซ่อมท้ังหมดท่ีผ่านการอนุมัติจะแสดงในเอกสารรอการอนุมัติของฝ่ ายเทคโนโลยี
สารสนเทศ สามารถจัดการเรียงลาดับก่อนหลังของการแจ้งขอรับบริการได้ ในส่วนของผู้แจ้ง
สามารถตดิ ตามสถานะเอกสารได้ท่เี มนูเอกสารสว่ นตวั โดยกระบวนการท้งั หมด เปล่ียนจากการใช้
เอกสารในรูปแบบกระดาษเป็นการจัดเกบ็ ในฐานข้อมูล ซ่ึงสามารถตดิ ตามและเรียกใช้งานได้ง่าย
1. ในด้านผู้ใช้งาน ช่วยลดข้ันตอนในการกรอกข้อมูลส่วนแต่เพียงลงช่ือเข้าใช้งาน และทา
การแจ้ งซ่อมระบบสามารถดึงข้ อมูลส่วนตัวของผ้ ูแจ้ งซ่ อมมาแสดงได้ ทันทีในส่วนของ
การแจ้งซ่อมเพียงใส่หมายเลขอุปกรณ์ระบบจะทาการดึงข้อมูลอุปกรณ์มาแสดง ผู้ใช้งาน
สามารถบันทึกรายการทีต้องการแจ้งซ่อมและกดป่ ุมตกลงเอกสารจะถูกส่งไปรอการ
อนุมัติและสามารถติดตามสถานะเอกสารเพ่ิมตรวจสอบความคบื หน้าได้ด้วยตนเอง
666
2. ในด้านผู้บังคับบัญชาสามารถทราบรายการแจ้งซ่อมในส่วนท่ีตนเองรับผิดชอบ และทา
การอนุมัตไิ ด้ทนั ท่โี ดยไม่ต้องใช้ระบบกระดาษ
3. ในด้านของฝ่ ายเทคโนโลยีสารสนเทศสามารถทราบรายการแจ้งซ่อมได้ทนั ทที ่ีมีการสร้าง
เอกสารสามารถบริหารจัดการลาดับก่อนหลังได้ อย่างเป็ นธรรมสามารถตรวจสอบประวัติ
การซ่อมได้เพียงกรอกเลขท่ีอุปกรณ์และสามารถใช้ประกอบการพิจารณาจัดซ้ืออุปกรณ์
ใหม่ได้อกี ด้วย
ขอ้ เสนอแนะ
ในการจัดการลงทะเบียนทรัพย์สินทางคอมพิวเตอร์น้ันเน่ืองจากต้องทาการบันทกึ
ข้อมูลย้อนหลังเป็นจานวนมากและอุปกรณ์ส่วนใหญ่น้ันกระจายอยู่ท่ีผู้ใช้งานฝ่ ายเทคโนโลยีสาร
สนเทคมคี วามจาเป็นต้องลงพ้ืนท่ตี รวจสอบอุปกรณ์และจัดเกบ็ ข้อมูลด้วยตนเองและต้องขอความ
ร่วมมือจากผู้ใช้งานช่วยให้ข้อมูลเก่ียวกบั อุปกรณ์ท่ตี นเองครอบครองอยู่ก่อนหน้าเช่น มีอุปกรณ์
ชนิดใดบ้างต้ังอยู่ท่สี ถานท่ใี ดบ้างเพ่ือฝ่ ายเทคโนโลยีสารสนเทศสามารถทาการตรวจสอบได้อย่าง
ถูกต้องและครบถ้วน การจัดทานโยบายการแจ้งซ่อมอปุ กรณใ์ นองค์กรเพ่ือผลักดนั ให้ผู้ใช้งานแจ้ง
ปัญาหาเข้ามาในระบบเท่าน้ัน หากไม่แจ้งปัญหาผ่านระบบจะไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาจากฝ่ าย
เทคโนโลยสี ารสนเทศ เพ่ือให้ทุกคนปฎิบัตติ ามกฎระเบียบของบริษัทฯ
เอกสารอา้ งอิง
[1] ไพรัฐ เพชรฤทธ์ิ, งานค้นคว้าอสิ ระ, “การพัฒนาระบบการจัดงานซ่อมบารุงระบบ
คอมพิวเตอร์”, มหาวิทยาลัยธุรกจิ บัณฑติ ย์ 2561.
[2] ผศ.ดร.มหศักด์ิ เกตฉุ ่า, “การบวนการผลิตซอฟตแ์ วร์ (Software Process Model
Development)”, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 2559.
[3] ภาสกร ปาละกูล, งานวิจัย, “โปรแกรมระบบบริหารจัดการงานซ่อมบารุงอุปกรณ์
คอมพิวเตอร์ของศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ วิทยาลัยราชพฤกษ์”, วิทยาลัยราชพฤกษ์
2554.
[4] เอกชัย ภคเลิศพงค์, วิทยานิพนธม์ หาบัณฑติ , “การพัฒนาระบบฐานข้อมูลสาหรับการบริหาร
จัดการอปุ กรณค์ อมพิวเตอร์”, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร 2558.
[5] โอภาส เอ่ยี มสริ ิวงศ์, 2558, “ระบบฐานข้อมูล (Database System)”, กรุงเทพมหานคร: ซี
เอด็ ยูเคช่ัน.
[6] อนรรฆนงค์ คุณมณี, 2554, “basic & workshop ASP + AJAX และ jQuery”, นนทบุรี:
ไดดึซีฯ
[7] การออกแบบเวบ็ ไซต:์ https://krupiyadanai.wordpress.com
667
ระบบบริหารจดั การงานผลิตและการผสมสี
ภาติยะ พุกตุน*
ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. วรภทั ร ไพรีเกรง**
บทคดั ยอ่
อตุ สาหกรรมผสมสเี ป็นอุตสาหกรรมผลิตสนิ ค้าตามส่งั ซ่ึงมีความต้องการสนิ ค้าไม่คงท่ี
จึงยากท่ีจะรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ปริมาณความต้องการของลูกค้า ส่งผลให้เกิดความ
ยากลาบากในการวางแผนการผลิต ปัจจุบันยังมีความจาเป็ นต้องพ่ึงพาพนักงานในการวาง
แผนการผลิตผลิตภัณฑ์ท่ีมีความต้องการท่ีไม่แน่นอน เพ่ือให้ม่ันใจว่าสามารถผลิตและส่งมอบ
ผลิตภัณฑ์ได้ตรงเวลาตามความต้องการของลูกค้า อย่างไรกต็ ามการพ่ึงพาพนักงานในการวาง
แผนการผลิตน้ันมีแนวโน้มท่ีจะเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย ท้ังจากการส่ือสารผิดพลาดและการใช้
สญั ชาตญาณส่วนตัวของผู้วางแผน
ดังน้ันจึงสร้ างระบบสารสนเทศท่ีสามารถทานายระยะเวลาการผลิตของแต่ละ
ผลิตภัณฑ์จากองค์ความรู้ด้านการผสมสี โดยใช้วิธีการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นสามารถหา
ระยะเวลาท่เี หมาะสมสาหรับการผลิตของแต่ละผลิตภัณฑแ์ ละช่วยในการวางแผนการผลิตโดยใช้
ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากน้ียังช่วยในการตรวจสอบความเพียงพอของวัตถุดิบใน
คลังสินค้ าและพนักงานการผลิตท่ีจาเป็ นในการผลิตสินค้ าตรงเวลาตามความต้ องการของลูกค้ า
ซ่ึงผลลัพธ์จากการพัฒนาระบบสารสนเทศจะเหน็ ได้ว่า ช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพในการดาเนินการ
ต่างๆ ให้ดีย่ิงข้ึน ไม่ว่าจะเป็นด้านการลดเวลาในการวางแผนการผลิต และลดข้อผิดพลาดในการ
ส่อื สารระหว่างแผนก
* นกั ศึกษาหลักสตู รวิทยาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหาวิทยาลยั ธรุ กจิ บณั ฑติ ย์
** ท่ปี รกึ ษาสารนิพนธ์
668
บทนา
ทีม่ าและความสาคญั ของปัญหา
หน่ึงในส่ิงสาคัญในการดาเนินธุรกิจของแต่ละอุตสาหกรรมคือความพึงพอใจของ
ลูกค้า นอกเหนือจากคุณภาพของผลิตภัณฑแ์ ล้วปัจจัยท่มี ีผลต่อความพึงพอใจของลูกค้ายังรวมถึง
การส่งมอบผลิตภัณฑ์ท่ีตรงเวลา ซ่ึงมักจะเป็นปัญหากับอุตสาหกรรมการผลิตตามส่ัง เน่ืองจาก
อุตสาหกรรมน้ีมักจะมีผลิตภัณฑ์หลายประเภท และจะมีการผลิตผลิตภัณฑ์คร้ังละปริมาณน้อย
การวางแผนการผลิตสาหรับการผลิตผลิตภัณฑ์แบบตามส่ังมีความยากท่ีจะวางแผน เน่ืองจาก
กระบวนการผลิตของแต่ละผลิตภณั ฑค์ ่อนข้างซับซ้อน และระยะเวลาในการผลิตแต่ละผลิตภัณฑ์ท่ี
ไม่ค่อยแน่นอน
กรณีศึกษาน้ีเป็นโรงงานอุตสาหกรรมประเภทหมึกพิมพ์ท่สี ่งั ผลิตแบบตามงาน มีการ
บริการ Color Matching เป็นการทาให้เกิดเป็นชนิดของผลิตภัณฑ์สี Color Match ออกมาหลาย
ชนิดมากมายตามความต้องการของลูกค้า โดยท่แี ม่สีท่ีใช้ และระยะเวลาท่ใี ช้ของงานแต่ละงานมี
ความแตกต่างกนั ข้ึนอยู่กบั เง่ือนไขและส่วนผสมของช้ินงาน ซ่ึงชนิดของนา้ สมี าตรฐานแต่ละชนิด
และสแี ต่ละสี จะมีความยากง่ายท่แี ตกต่างกนั ในการนาสมี าผสม จึงทาให้พบปัญหาเร่ืองความยาก
ในการประเมนิ ระยะเวลาในการผลิต และการกาหนดวันสาหรับการสง่ มอบงานให้กบั ลูกค้า
วตั ถุประสงค์
ระบบบริหารจัดการงานผลิตโรงงานผสมสีถูกสร้างข้ึน เป็นโปรแกรมท่ชี ่วยตรวจสอบ
ปริมาณผลิตภัณฑแ์ ละวางแผนการผลิตประจาวันตามคาส่ังซ้ือของลูกค้าท่มี ีความถูกต้องแม่นยา
เพ่ือช่วยสนับสนุนการวางแผนการผลิตให้สามารถผลิตผลิตภัณฑไ์ ด้อย่างมปี ระสิทธิภาพ และช่วย
ให้ลดเวลาการส่อื สารกบั แผนกท่เี ก่ยี วข้องให้มีความถูกต้องและแม่นยา
ระบบสนับสนุนการตดั สนิ ใจในการวางแผนการผลิตจะช่วยสนับสนุนดังต่อไปน้ี
1. คานวนระยะเวลาท่จี ะใช้ในการจัดทา Production Order ตามส่งั
2. จัดตารางการผลิต โดยเรียงลาดบั ตามลาดบั ความสาคัญของงาน
3. สนับสนุนการจัดงาน Production Order ให้เหมาะสมกบั พนักงานผลิต
4. จัดสรรการใช้งานทรัพยากรณก์ ารใช้งานเคร่ืองจักรได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ
ประโยชนท์ ีค่ าดว่าจะไดร้ บั
1. ช่วยลดระยะเวลาในการวางแผนการผลิต
2. ลดเวลาและความผดิ พลาดจากการส่อื สารจากแผนกผลิตไปหาฝ่ ายขาย
3. ลดการพ่ึงพาประสบการณ์ ความชานาญ จากพนักงานผลิต ในการวางแผนงาน
4. เพ่ิมความแม่นยาในการจัดแผนการผลิต
5. เพ่ิมความรู้ในการจัดแผนการผลิตแต่ละสนิ ค้า
6. พยายากรณไ์ ด้ว่าจานวนคน กาลังผลิต จะพอหรือไม่พอ ทนั ตามเวลาท่กี าหนด
669
แนวคิดและทฤษฎีทีเ่ กยี่ วขอ้ ง
ภาษา C#
ภาษาC#เป็ นภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุทางานบน .Net Framework พัฒนาโดยบริษัท
ไมโครซอฟทแ์ ละ มี Anders Hejlsberg เป็นหัวหน้าโครงการ โดยมรี ากฐานมาจากภาษา C++ และ
ภาษาอ่นื ๆ โดยปัจจุบันภาษา C# เป็นภาษามาตรฐานรองรับโดย ECMA และ ISO ซ่ึงในปัจจุบัน
ได้พัฒนา และปรับรูปแบบของ ภาษา C# อยู่ตลอดเวลา โดยทางไมโครซอฟท์ ได้นาภาษา C# ไป
อยู่ในชุดพัฒนา software อย่าง visual studio ซ่ึงทาให้เป็นท่นี ิยมเพ่ิมมากข้ึน
โปรแกรม Microsoft Visual Studio
Visual Studio คือ โปรแกรมตัวหน่ึงท่เี ป็นเคร่ืองมือท่ชี ่วยพัฒนาซอฟต์แวร์และระบบ
ต่างๆ ซ่ึงสามารถติดต่อส่ือสารพูดคุยกับคอมพิวเตอร์ได้ในระดับหน่ึงแล้ว แต่ยังไม่สามารถ
พัฒนาเป็ นระบบเองได้ เหมาะสมสาหรับภาษา VB และ VB.NET เน่ืองจากไมโครซอฟท์ได้
พัฒนาโปรแกรมและภาษาข้ึนมาควบคู่กันเพ่ือให้ใช้งานได้ซ่ึงกนั และกัน ซ่ึงนักโปรแกรมเมอร์จะ
นาเคร่ืองมอื มาใช้ในการพัฒนาต่อยอดให้เกดิ เป็นระบบต่างๆ หรือเป็นเวบ็ ไซต์ และแอพพลิเคช่ัน
ต่างๆ
ภาษา SQL
SQL ย่อมาจาก Structured Query Language คือภาษาท่ีใช้ในทา Query เพ่ือจัดการ
กบั ฐานข้อมูลโดยเฉพาะ เป็นภาษามาตราฐานบนระบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์และเป็นระบบเปิ ด
(Open System) หมายถึงเราสามารถใช้คาส่ัง SQL กับฐานข้อมูลชนิดใดกไ็ ด้ และคาส่ังงาน
เดียวกันเม่ือส่งั งานผ่าน ระบบฐานข้อมูลท่แี ตกต่างกันจะได้ ผลลัพธ์เหมือนกนั ทาให้เราสามารถ
เลือกใช้ฐานข้อมูล ชนิดใดกไ็ ด้โดยไม่ตดิ ยดึ กบั ฐานข้อมูลใดฐานข้อมูลหน่ึง
MySQL
MySQL คือ โปรแกรมระบบจัดการฐานข้อมูล ท่ีพัฒนาโดยบริษัท MySQL AB มี
หน้าท่ีเกบ็ ข้อมูลอย่างเป็ นระบบ รองรับคาส่ัง SQL เป็ นเคร่ืองมือสาหรับเกบ็ ข้อมูล ท่ีต้องใช้
ร่วมกบั เคร่ืองมอื หรือโปรแกรมอ่นื อย่างบูรณาการ เพ่ือให้ได้ระบบงานท่รี องรับ ความต้องการของ
ผู้ใช้
Microsoft SQL Server
Microsoft SQL Server เป็ นโปรแกรมในการบริหารจัดการฐานข้อมูลท่ีดีท่ีสุดของ
Microsoft โดยเป็ นในรูปแบบของ Relational Database Management System หรือท่ีเรียกว่า
RDBMS ซ่ึงจะเป็นบริหารข้อมูลให้กบั ผู้ใช้บริการต่าง ๆ รองรับการทางานได้จานวนมาก และมี
ความสามารถมากมาย มคี ุณสมบัตเิ ด่นเร่ืองของ User Interface ท่ใี ช้งานได้ง่าย
670
SAP Business One (SAP B1)
SAP เป็ นผู้พัฒนาระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) ท่ีเหมาะกับธุรกิจ
ขนาดเลก็ และขนาดกลาง โดย SAP มีช่ือเสียงด้านซอฟทแ์ วร์บริหารจัดการระบบภายในองกรณ์
มาอย่างยาวนานกว่า 45 ปี ซ่ึง SAP B1 มีองกรณ์ใช้กันท่วั โลกกว่า 50,000 บริษัท เป็นระบบ
มาตรฐานสากลในด้านการทางาน ระบบบัญชี (Accounting) และอ่ืนๆมากมาย ซ่ึงในองค์กร
ขนาดใหญ่มีการในงานระบบ SAP เป็ นจานวนมาก และช่วยให้บริหารจัดการข้อมูลทางด้าน
ทรัพยากรต่างๆ ขององค์กรอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
Crystal Reports
Crystal Reports เป็นเคร่ืองมอื ในการสร้างรายงานท่มี จี ุดเด่นในความสามารถเช่ือมต่อ
ฐานข้อมูลท่หี ลากหลาย เพ่ือนาเอาข้อมูลมาใช้สร้างรายงานสา หรับการใช้งานท่วั ไปในงานธุรกิจ
ประจาวัน เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหน้ี ไปจนถึงรายงานสาหรับแอพลิเคช่ันท่ีนิยมใช้กันอย่าง
แพร่หลาย
การพยากรขอ้ มูลโดยการวิเคราะหก์ ารถดถอย (Linear Regression)
วิธกี ารถดถอยเป็นวิธกี ารทางสถิติท่ใี ช้ในการศึกษาความสมั พันธ์ในลักษณะของความ
เป็นเหตุเป็นผลซ่ึงกนั และกัน และสามารถประมาณค่าและพยากรณ์ตัวแปรตัวหน่ึงโดยใช้ค่าของ
ข้อมูลอีกตัวหน่ึงหรือชุดหน่ึงเป็นตัวพยากรณ์ ตัวแปรท่ใี ช้ในการพยากรณ์เรียกว่า ตัวแปรอิสระ
(Independent Variable) หรือตัวพยากรณ์ (Predictor) ส่วนผลท่ีได้ เรียกว่าตัวแปรตาม
(Dependent Variable) หรือผลท่ีวัดได้ (Outcome) ในท่ีน้ีจะกล่าวถึงการวิเคราะห์การถดถอย
อย่างง่าย (Simple Linear Regression)
การวิเคราะห์การถดถอยอย่างง่าย (Simple Linear Regression) เป็นการวิเคราะห์การ
ถดถอยในลักษณะเป็ นเส้นตรง (Linear Relationship) รูปแบบของสมการถดถอยเชิงเส้นตรง
อย่างง่าย เม่อื มีตัวพยากรณ์ (X) 1 ตัว และตวั แปรตาม (Y) 1 ตัว มีลักษณะดงั สมการท่ี (2.1)
̂ = + (2.1)
โดย ̂ คอื ค่าของตวั แปรตามท่ไี ด้จากการพยากรณ์
คอื ตวั แปรอสิ ระ
, คอื ค่าสมั ประสทิ ธ์กิ ารถดถอย
671
การวิเคราะหแ์ ละออกแบบระบบ
การวิเคราะหเ์ พอื่ ระบุปัญหาในระบบงานงานปัจจุบนั
1. ใช้เวลาในการวางแผนการผลิตเป็นระยะเวลานาน
2. มีโอกาสเกดิ ความผดิ พลาดจากการส่อื สารระหว่างแผนก
3. ต้องพ่ึงพาความเช่ียวชาญของพนักงานในการวางแผนการผลิต
4. ไม่มคี วามชัดเจนในการตรวจสอบความเพียงพอของกาลังพนักงานผลิต
5. ขาดการวางแผนการใช้งานเคร่ืองจักรท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพ
ข้นั ตอนการทางานปัจจุบนั
ภาพที่ 1 แสดงข้นั ตอนการดาเนินการดาเนินการต้งั แต่รับคาส่งั ผลิตไปจนผลิตสผี สม
672
การพฒั นาระบบและผลการดาเนนิ การ
ผลลัพธจ์ ากการวิเคราะห์และออกแบบระบบสามารถแสดงให้เหน็ ได้ ดังน้ี
แผนภาพแสดงความสมั พนั ธร์ ะหว่างขอ้ มูล (Entity Relationship Diagram)
ภาพที่ 2 แสดงแผนภาพจาลองความสัมพันธร์ ะหว่างกลุ่มข้อมูล
1.ระบบคานวณเวลาการผลติ การผสมสี
ภาพที่ 3 แสดงการคานวณเวลาผสมสขี องแต่ละสนิ ค้า จากการใช้ Linear Regression
673
2.ระบบเจรจาต่อรองเวลาของลูกคา้
ภาพที่ 4 แสดงผล Production Order จากระบบ SAP-B1
ภาพที่ 5 แสดงการตรวจสอบปริมาณแม่สที ่มี ีอยู่ใน Stock
3.ระบบจดั ลาดบั การทางาน
ภาพที่ 6 แสดงการจัดแผนการผลิตให้กบั พนักงาน
ภาพที่ 7 แสดงรายงานจากการจัดแผนการผลิต
674
บทสรุป
ประโยชน์ท่ีโรงงานผสมสีกรณีศึกษาได้รับจากการนาระบบสารสนเทศเข้ามาช่วยใน
การบริหารจัดการและวางแผนการผลิต คือความถูกต้องและความเป็นปัจจุบันของข้อมูล รวมถึง
การบริหารและการจัดการผลิตมีประสิทธิภาพมากข้นึ ท้งั ช่วยลดเวลาท่ใี ช้ในการวางแผนการผลิต
ลดความผิดพลาดจากการส่ือสารระหว่างแผนก และลดภาระของพนักงานวางแผนการผลิต
นอกจากน้ียงั ช่วยจัดสรรทรัพยากรในการผลิตสไี ด้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ
ขอ้ เสนอแนะและขอ้ จากดั ของระบบ
พัฒนาระบบเพ่ิมเติมให้สามารถวางแผนผลิตล่วงหน้าได้หลายวัน เพ่ือเป็ นการ
วางแผนผลิตระยาวให้ทราบแผนงานและกาลังพนักงานล่วงหน้าได้อย่างชัดเจน ทาให้มีเวลาใน
การจัดการมากข้ึน
บรรณานุกรม
วิทยานพิ นธ์
ณรงค์เดช เดชทวิสทุ ธิ. (2555). การเพมิ่ ประสิทธิภาพการผลิตเฟอรน์ เิ จอรไ์ ม้ ดว้ ยวิธีการ
พยากรณค์ วามตอ้ งการ. วิทยานิพนธห์ ลักสูตรการจัดการมหาบัณฑติ (การจัดการอตุ สาหกรรม)
บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกยี รติ.
สารนพิ นธ์
ณัฐธยาน์ มนุษยด์ ี. (2553). การพยากรณจ์ านวนผใู้ ชอ้ ินเทอรเ์ นต็ ในประเทศไทยดว้ ยการ
วิเคราะหอ์ นุกรมเวลาและการวิเคราะหก์ ารถดถอยเชิงพหคุ ูณ. สารนิพนธว์ ิยาศาสตรมหา
บัณฑติ สาขาวิชาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการส่อื สาร บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลัยธุรกจิ
บัณฑติ ย.์
นางสาวธญั ยธรณ์อ้นมี. (2560). การพยากรณแ์ ละการวางแผนสรา้ งสต็อกสินคา้ เพอื่ ลด
ปัญหาการส่งมอบสินคา้ ล่าชา้ กรณีศึกษาโรงงานผลิตเลนสแ์ ว่นตา. สารนิพนธว์ ิศวกรรมศาสตร
มหาบัณฑติ สาขาวิชาการพัฒนางานอตุ สาหกรรม ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะ
วิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อนุสรณ์ บุญสง่า. (2559). การพยากรณค์ วามตอ้ งการสินคา้ สาหรบั การวางแผนการผลติ
กรณศี ึกษาการผลิตชดุ สะอาด. สารนิพนธว์ ิยาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์
และโซ่อุปทาน วิทยาลัยโลจิสตกิ สแ์ ละซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยศรีปทุม
675
การประเมนิ สมรรถนะและเปรียบเทียบระบบผลิตไฟฟ้ าจากเซลล์
แสงอาทิตยแ์ บบหลายเทคโนโลยี
Performance Evaluation and Comparison of Different Technologies of
Solar Cell Electricity Generation System
กอบเกต กงุ้ ทอง1
ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.อานาจ ผดุงศิลป์ 2
บทคดั ย่อ
จากการติดต้ังระบบผลิตไฟฟ้ าจากเซลล์แสอาทิตย์ท่ีมีเทคโนโลยีของแผงเซลล์
แสงอาทิตย์ท่ีต่างชนิดกันจานวน 3 ชนิดคือ (1) เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดอะมอร์ฟัส ซิลิคอน
(Amorphous Silicon) (2) เซลล์แสงอาทติ ย์ชนิดไมโครครอสตอลไลน์อะมอร์ฟัสซิลิคอน(Micro
Crystalline Amorphous Silicon) และ (3)เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดสารประกอบของคอปเปอร์
อินเดียมแกลเลียมไดเซเลไนด์ CI(GS)S (Copper Indium gallium Di-Selenide)กาลังการผลิต
ไฟฟ้ าสงู สุด 7820.3 kWh และมีผลรวมเท่ากบั 164867.2 kWh ชนิดท่3ี เซลล์แสงอาทติ ย์ชนิด
อะมอร์ฟัส ซิลิคอน (Amorphous Silicon) ZoneE Performance Ratio (%) สูงสุด 101.201
เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดอะมอร์ฟัส ซิลิคอ (Amorphous Silicon) Zone การประเมินสมรรนะและ
เปรียบเทียบของระบบผลิตไฟฟ้ าจากเซลล์แสงอาทิตย์แบบหลายเทคโนโลยีโรงไฟฟ้ าพลังงาน
แสงอาทิตย์ท่ีแตกต่างกันโดยการติดต้ังระบบ PV ท้ัง 3 ชนิด ชนิดแผงท่ีดีท่ีสุดคือเซลล์
แสงอาทิตย์ชนิดอะมอร์ฟัส ซิลิคอน (Amorphous Silicon) Zone D เพ่ือทดสอบการผลิตไฟฟ้ า
ของแผงเซลล์แสงอาทติ ย์แต่ละชนิดภายใต้สภาวะการใช้งานจริงในประเทศไทยจากน้ันนาข้อมูลท่ี
ได้มาประเมินสมรรถนะของระบบเพ่ือหาเทคโนโลยีของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ท่ีเหมาะสมและ
เปรียบเทียบแผงท่ีมีประสิทธิภาพดีท่ีสุดเพ่ือใช้ในการติดต้ังใช้งานระบบผลิตไฟฟ้ าจากเซลล์
แสงอาทติ ยต์ ่อไป
คาสาคญั : การประเมินสมรรถนะ Performance Ratio เปรียบเทียบระบบผลิตไฟฟ้ าจากเซลล์
แสงอาทติ ย์
1 นักศึกษาหลักสตู รวศิ วกรรมศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาการจดั การทางวศิ วกรรม มหาวิทยาลัยธรุ กจิ บณั ฑติ ย์
2 ท่ปี รกึ ษาการศึกษารายบุคคลหลัก
676
ABSTRACT
From this installed electricity from solar cells that have 3 different types(1)
Amorphous Silicon solar cells ( 2) Micro Crystalline Amorphous Silicon Solar Cells (3)
Copper Indium Gallium Diselenide CI (GS) S (Copper Indium gallium) Solar Cells Di-
Selenide) The maximum electricity generating capacity 7820.3 kWh and the total is equal
to 164867.2 kWh Type 3 Amorphous Silicon solar cells ZoneE Performance Ratio (%)
maximum101.201 Amorphous Silicon Solar Cells, Zone, Assessment and Comparison of
Power Generation Systems from Multiple Photovoltaic Solar Power Plants, by installing both
PV systems 3 types, the best panel type is Amorphous Silicon solar cell Zone D To test the
electricity production of each type of solar panel under actual usage conditions in Thailand,
and then use the information to evaluate the system performance to find the suitable solar
panel technology and compare the best efficiency panel To be used in the installation and
operation of the electricity generating system from solar cell
Keywords: Performance Assessment, Performance Ratio, Comparison of photovoltaic power
generation systems
1. บทนา
ประเทศไทยเป็นประเทศท่ตี ้ังอยู่ในแนวเส้นศูนย์สตู รซ่ึงสามารถรับแสงได้ตลอดท้ังปี มี
ค่าพลังงานแสงอาทิตย์เฉล่ียรายปี 17.4 MJ/m2.day (4.83 kWh/ m2.day) ซ่ึงมีศักยภาพท่ี
เพียงพอต่อการนาพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้งานได้ท้งั ปี และในแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและ
พลังงานทางเลือก (Alternative Energy Development Plan : AEDP) ของประเทศไทยมเี ป้ าหมาย
การใช้ พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกในปี พ .ศ. 2564 ซ่ึงแสดงให้ เห็นถึงการให้
ความสาคัญต่อการใช้พลังงานทดแทนในส่วนของการผลิตไฟฟ้ าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์มี
เป้ าหมายการตดิ ต้ังท่ี 3,000 MW
โดยท่ัวไปคุณสมบัติของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ท่ีระบุโดยผู้ผลิตน้ันทาการทดสอบท่ี
เง่ือนไขมาตรฐาน Standard Test Condition: STC น่ันคือกรทดสอบท่ีอุณหภูมิแผงเซลล์
แสงอาทิตย์ 25องศาเซลเซียส ความเข้มรังสีดวงอาทิตย์ 1,000W/m2 และสเปกตรัมแสง AM
1.5 (Air Mass 1.5) ซ่ึงมีความแตกต่างจากสภาวะการใช้งานจริง ด้วยปัจจัยของส่งิ แวดล้อมท่ไี ม่
สามารถควบคุมได้ เช่น ความเข้มรังสอี าทติ ย์, อุณหภมู ิของแผงเซลล์แสงอาทติ ย์, ฝ่ ุนละอองและ
อ่ืนๆ ซ่ึงเป็ นปัจจัยเหล่าน้ีล้วนส่งผลต่อการผลิตไฟฟ้ าของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ จากปัญหา
ดังกล่าวจึงได้ทาการประเมินสมรรถนะ และเปรียบเทยี บระบบผลิตไฟฟ้ าจากเซลล์แสงอาทิตย์
แบบหลายเทคโนโลยี เพ่ือทดสอบกาลังการผลิตไฟฟ้ าของแผงเซลล์แสงอาทิตย์แต่ละชนิดแบบ
677
ยึดติดบนพ้ืนราบ Fix Type ท้งั 3ชนิด จากน้ันนาข้อมูลแผงเซลล์แสงอาทติ ย์ท่ปี ระเมินได้มาเปรีย
เทยี บกาลังการผลิตไฟฟ้ าสงู สดุ ภายใต้การใช้งานจริง
2. วตั ถุประสงคข์ องการศึกษา
การประเมินสมรรถนะและเปรียบเทียบระบบผลิตไฟฟ้ าจากเซลล์แสงอาทิตย์แบบ
หลายเทคโนโลยีโดยติดต้ังระบบผลิตไฟฟ้ าจากเซลล์แสงอาทิตย์แบบอยู่กับท่ี (Fix Type)
ประกอบด้วย (1)เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดอะมอร์ฟัส ซิลิคอน (Amorphous Silicon)(2)เซลล์
แสงอาทิตย์ชนิด ไมโครครอสตอลไลน์อะมอร์ฟัสซิลิคอน( Micro Crystalline Amorphous
Silicon) และ(3)เซลล์แสงอาทติ ย์ชนิดสารประกอบของคอปเปอร์อนิ เดียมแกลเลียมไดเซเลไนด์
CI(GS)S (Copper Indium gallium Di-Selenide)
3.ขอบเขตการศึกษา
ในการประเมินสมรรถนะและเปรียบเทียบระบบผลิตไฟฟ้ าจากเซลล์แสงอาทิตย์น้ัน
คณะกรรมาธกิ ารด้านวิศวกรรมไฟฟ้ าระหว่างประเทศ : IEC 61724
4. ผลงานวิจยั ทีเ่ กยี่ วขอ้ ง
การประเมินสมรรถนะและเปรียบเทยี บของระบบผลิตไฟฟ้ าจากเซลล์แสงอาทติ ย์แบบ
หลายเทคโนโลยีโรงไฟฟ้ าพลังงานแสงอาทติ ย์ถึงแม้ว่าจะมีค่าพารามิเตอร์เป็นจานวนมากท่ีใช้ใน
การคานวณ แต่จะมีค่าพารามิเตอร์ท่ีสาคัญท่สี ามารถนามาใช้ในการเปรียบเทียบสมรรถนะการ
ผลิตไฟฟ้ าของระบบท่ตี ดิ ต้ังกบั ระบบอ่นื ๆ ดงั น้ี
Ya คือ ค่าพลังงานไฟฟ้ าท่ีผลิตจากแผงเซลล์แสงอาทติ ย์ต่อขนาดของระบบท่ตี ิดต้ัง:
Array Yield (kWh/kWp)
Yf คือ ค่าพลังงานไฟฟ้ าท่ีผลิตจากระบบต่อขนาดของระบบท่ีติดต้ัง: Final Yield
(kWh/kWp)
678
Yr คือ ค่าพลังงานไฟฟ้ าท่ีผลิตได้จากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ทางทฤษฎี: Reference
Yield (kWh/kWp)
PR คอื ค่าสมรรถนะของระบบ : Performance Ratio (%)
Epv(DC) คือ ค่าพลังงานไฟฟ้ าท่ผี ลิตจากแผงเซลล์แสงอาทติ ย์ (kWh)
Egrid(AC) คือ ค่าพลังงานไฟฟ้ าท่ผี ลิตจากระบบผลิตไฟฟ้ า (kWh)
Po (installed) คอื ขนาดของระบบผลิตไฟฟ้ าท่ตี ดิ ต้งั (kWp)
Hi คอื ค่าพลังงานรังสดี วงอาทติ ย์ (kWh/m2)
GSTC คือ ค่ารังสดี วงอาทติ ย์ ท่มี าตรฐาน STC (1 kW/m2)
สรุปงานวิจัยงานวิจัยในอีต ณิชชา บูรณสิงห์ (เม.ย 2558) เซลล์แสงอาทติ ย์พลังงาน
ทดแทนท่ีย่ังยื เน่ืองจากพลังงานมีจากัดและขาดแคลน รวมถึงสถานการณ์ด้านพลังงานของ
ประเทศ และทว่ั โลกมีแนวโน้มเพ่ิมสูงข้นึ อย่างต่อเน่ืองทุกปี ดังน้ันการนาพลังงานทดแทนมาใช้จะ
เป็นแนวทางหน่ึงท่ีช่วยแก้วิกฤตด้านพลังงาน ณิชชา บูรณสิงห์ ( 2558) เพราะจะช่วยลดพ่ึงพา
การนาเข้านา้ มันเช้ือเพลิง และพลังงานชนิดอ่ืนซ่ึงเป็ นการช่วยกระจายความเส่ียงในการจัดหา
เช้ือเพลิงเพ่ือการผลิตไฟฟ้ าของประเทศ เพราะในอดตี การผลิตไฟฟ้ าต้องพ่ึงพากา๊ ซธรรมชาตเิ ป็น
หลักพลังงานแสงอาทติ ย์ จึงเป็นตวั เลือกหน่ึงท่นี ามาเป็นพลังงานทดแทนในการผลิตกระแสไฟฟ้ า
เพราะประเทศไทยเป็นประเทศท่อี ยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรจึงทาให้ได้รับแสงอาทติ ย์อย่างต่อเน่ือง และ
คงท่ีตลอดท้ังปี และพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานสะอาดท่ีไม่ก่อให้เกดิ มลพิษกับส่ิงแวดล้อม
ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้ าพลังงานแสงอาทติ ย์เกิดข้ึนในประเทศไทยมากข้ึนเพ่ือสอดรับกบั นโยบายการ
พัฒนาพลังงานทดแทนของภาครัฐท่ไี ด้ต้ังเป้ าหมายให้สามารถใช้ทดแทนพลังงานจากฟอสซิลซ่ึง
เป็นหน่ึงในสาเหตุหลักของการเกิดภาวะโลกร้อน โดยการสร้างแรงจูงใจเพ่ือกระตุ้นให้มีส่วนร่วม
และสร้ างนวัตกรรมใหม่ๆมาใช้ ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพเพ่ือเป็ นการเสริมสร้ างความม่ังคง
ทางด้านพลังงานของประเทศอย่างย่งั ยืน
679
5. วิธีการดาเนนิ การศึกษา
การเตรียมการและรวบรวมข้อมูล เซลล์แสงอาทติ ยช์ นิดสารประกอบของคอปเปอร์
อนิ เดียมแกลเลยี มไดเซเลไนด์ Zone A
ศึกษาแผงเซลลแ์ สงอาทติ ย์ แบบ
Fix Type เซลล์แสงอาทติ ยช์ นิด ไมโครครอสตอลไลน์
ศกึ ษาประสทิ ธภิ าพ ของแผงเซลล์ อะมอร์ฟัสซิลคิ อน Zone C
แสงอาทติ ย์
เซลล์แสงอาทติ ย์ชนดิ อะมอร์ฟัส ซิลคิ อน Zone D
ศกึ ษาแผนและนโยบายด้านพลงั งาน และZone E
AEDP 2015 พ.ศ. 2558
ข้อมูล Performance Ratio ของ สรปุ ผลการทดลอง
กาลงั การผลติ ของไฟฟ้ า
ภาพที่ 1 แผนภาพแสดงข้ันตอนการดาเนินงาน
ชนดิ แผงเซลลแ์ สงอาทิตยท์ ้งั 3 ชนดิ แบบยดึ ติดอยู่กบั ที่ (Fix Type)
680
คอปเปอรอ์ ินเดียมแกลเลยี มไดเซเลไนด์ Zone A
CI(GS)S (Copper Indium gallium Zone D,E
Di-Selenide)
Zone C
ไมโครครอสตอลไลนอ์ ะมอรฟ์ ัสซิลิ Zone A,C,D,E
คอน (MicroCrystalline แบบยึดคงทีย่ ึดติดบนพ้ นื ราบ อะมอรฟ์ ัส ซิลคิ อน
(Amorphous Silicon)
Amorphous Silicon) ติดต้งั ทางทิศใต้
ทามุม 45 องศา
ภาพที่ 2 ชนิดแผงเซลล์แสงอาทติ ย์ท้งั 3 ชนิดแบบยดึ ติดอยู่กบั ท่ี (Fix Type)
6. ผลการประเมินสมรรถนะ และเปรียบเทียบระบบผลิตไฟฟ้ าจากเซลลแ์ สงอาทิตย์
กาลังการผลิตไฟฟ้ าสูงสดุ ปี 2560ของโรงไฟฟ้ าพลังงานแสงอาทติ ย์
10000
9000
8000
7000
6000
5000 6596.6 6433.4 7568.7 5953.4 6886.7
7820.3
6875.3 6629.3 7120 7188.8 5486.4 5917.3
4000 6704.8 4404.4 5690.3 6310.8
5528.6 5543.3 5936.1 5996.6 5141 5549.3
3000
3673.7 3143.6 3042.1 5472.4
2904.9 3471.7
2000 2693.1
3184.3
1000
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30
ภาพที่ 3 กาลังการผลิตไฟฟ้ าสงู สุดปี 2560ของโรงไฟฟ้ าพลังงานแสงอาทติ ย์ เดือนกนั ยายน
เดอื นกรกฎาคม ถึง เดือนกนั ยายน ค่ากาลังการผลิตไฟฟ้ าสงู สดุ วันท่9ี กนั ยายน
2560กาลังการผลิตอยู่ท่ี (7820.3 KWh) และมผี ลรวมเทา่ กบั (164867.2 KWh) ชนิดท่3ี
เซลล์แสงอาทติ ยช์ นิดอะมอร์ฟัส ซิลิคอน (Amorphous Silicon) Zone E
681
กาลังการผลิตไฟฟ้ าสงู สดุ ปี 2561ของโรงไฟฟ้ าพลังงานแสงอาทติ ย์
10000
9000
8000
7000
6000 7408.5
5000
6579.2 7420.2 5826.9 7648.1
4000 6454.3 6169.1 5952.6 55064.97046.0879.6 4626.3 6134.7 5465.7 6246.6 7094.8 6057.5
3000 5315.2 5021.5
3548.2551295.781.3861221702.72663.9155.5 4570 4229.7
3665.6 3433.1
2000
1000
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30
ภาพที่ 4 กาลังการผลิตไฟฟ้ าสงู สุดปี 2561ของโรงไฟฟ้ าพลังงานแสงอาทติ ย์ เดอื นกนั ยายน
เดือนกรกฎาคม ถึง เดือน กันยายน ค่ากาลังการผลิตไฟฟ้ าสูงสุด วันท่ี27เดือน
กันยายน 2561กาลังการผลิตอยู่ท่ี (7648.1 KWh) และมีผลรวมเท่ากับ (152165.3 KWh)
ชนิดท่3ี เซลล์แสงอาทติ ย์ชนิดอะมอร์ฟัส ซิลิคอน (Amorphous Silicon) Zone E
เซลล์แสงอาทติ ย์แบบหลายเทคโนโลยีโดยตดิ ต้ังระบบผลิตไฟฟ้ าจากเซลล์แสงอาทิตย์
แบบอยู่กับท่ี (Fix Type) ประกอบด้ วย (1)เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดอะมอร์ฟัส ซิลิคอน
(Amorphous Silicon)(2)เซลล์แสงอาทติ ย์ชนิด ไมโครครอสตอลไลน์อะมอร์ฟัสซิลิคอน(Micro
Crystalline Amorphous Silicon) และ(3)เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดสารประกอบของคอปเปอร์
อินเดียมแกลเลียมไดเซเลไนด์ CI(GS)S (Copper Indium gallium Di-Selenide) จากกราฟ
แสดงกาลังการผลิตไฟฟ้ าสูงสุดในปี 2560และปี 2561 แสดงให้เหน็ ว่าปี 2560วันท่ี9กันยายน
2560กาลังการผลิตอยู่ท่ี(7820.3 KWh) และมีผลรวมเท่ากับ (164867.2 KWh) ชนิดท่ี3
เซลล์แสงอาทติ ย์ชนิดอะมอร์ฟัส ซิลิคอน (Amorphous Silicon) Zone Eมกี าลังการผลิตสงู สดุ
ท่มี าโรงไฟฟ้ าพลังงานแสงอาทติ ย์ ข้อมูลค่ากาลังการผลิตไฟฟ้ าสูงสุดเดือนกรกฎาคม
ถึง เดือนกันยายน 2560 การไฟฟ้ าฝ่ ายผลิตแห่งประเทศไทย.ห้องปฏิบัติการวิจัยพลังงาน
แสงอาทติ ย์มหาวิทยาลัยศิลปากร "แผนท่กี ารแผ่รังสจี ากดาวเทยี มของประเทศไทย" รายงานกรม
พัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน, 2553
Performance Ratio (%) สงู สดุ ในปี พ.ศ. 2560
682
Performance Ratio (%) - Zone D
120.000 ประจาเดือน กรกฎาคม 2560
115.000
110.000 81.8639.5886388.52.3690885.48611.08998.28358.27294.88132.98625.8264.968689.69614.99826.79968.9755.98568.78969.08828721.3.70708447.286.669425.28378.19225.0120318.2470.511.26148
105.000 74.163
100.000 54.403
95.000 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31
90.000
85.000
80.000
75.000
70.000
65.000
60.000
55.000
50.000
ภาพที่ 5 Performance Ratio (%) สงู สุดในปี พ.ศ. 2560
เดือนกรกฎาคม ถึง เดือนกันยายน Performance Ratio(%)สูงสุด101.201 วันท่ี27
เดือนกรกฎาคม 2560 เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดอะมอร์ฟัสซิลิคอล (Amorphous Silicon) Zone D
Performance Ratio (%) สงู สดุ ในปี พ.ศ. 2561
Performance Ratio (%) - Zone D
110.000 ประจาเดือน กรกฎาคม 2561
105.000 80.08232.78912.989468.329.380536.9203.887971.18318.58060.39002.4140619.138.2856583.43.5064992.9709.39023.628947.684281.23.00618607.771.8006 87.18428.48788.2709889.9282..4694076
100.000
45.284
95.000
90.000 4.846
85.000
80.000 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31
75.000
70.000
65.000
60.000
55.000
50.000
45.000
40.000
35.000
30.000
25.000
20.000
15.000
10.000
5.000
0.000
ภาพที่ 6 Performance Ratio (%) สงู สดุ ในปี พ.ศ. 2561
683
เดือนกรกฎาคม ถึง เดือนกันยายน Performance Ratio(%)สูงสุด101.185 วันท่ี12
เดือนกรกฎาคม 2561 เซลล์แสงอาทติ ยช์ นิดอะมอร์ฟัสซิลิคอล (Amorphous Silicon) Zone D
เซลล์แสงอาทติ ยแ์ บบหลายเทคโนโลยีโดยตดิ ต้ังระบบผลิตไฟฟ้ าจากเซลล์แสงอาทติ ย์
แบบอยู่กับท่ี (Fix Type) ประกอบด้ วย (1)เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดอะมอร์ฟัส ซิลิคอน
(Amorphous Silicon)(2)เซลล์แสงอาทติ ย์ชนิด ไมโครครอสตอลไลน์อะมอร์ฟัสซิลิคอน(Micro
Crystalline Amorphous Silicon) และ(3)เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดสารประกอบของคอปเปอร์
อินเดียมแกลเลียมไดเซเลไนด์ CI(GS)S (Copper Indium gallium Di-Selenide) จากกราฟ
Performance Ratio(%)สูงสุดในปี 2560และปี 2561แสดงให้เห็นว่า Performance Ratio(%)
สูงสุด101.201 วันท่ี27 เดือนกรกฎาคม 2560 เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดอะมอร์ฟัสซิลิคอล
(Amorphous Silicon) Zone D
โดยใช้ค่าพารามิเตอร์ท่สี าคัญท่สี ามารถนามาใช้ในการเปรียบเทยี บสมรรถนะการผลิต
ไฟฟ้ า Performance Ratio (%) ดังน้ี
ท่ีมาในการประเมินสมรรถนะและเปรียบเทียบระบบผลิตไฟฟ้ าจากเซลล์แสงอาทิตย์น้ัน
คณะกรรมาธกิ ารด้านวิศวกรรมไฟฟ้ าระหว่างประเทศ : IEC 61724
ดังน้ันแผงเซลล์แสงอาทติ ย์ท่มี ีสมรรถนะสงู สดุ คือเซลล์แสงอาทติ ย์ชนิดอะมอร์ฟัสซิลิคอล
(Amorphous Silicon) Zone D และZone E เป็นแผงเซลล์แสงอาทติ ย์ชนิดเดียวกนั
7. สรุปผลการศึกษา
ตามมาตรฐานคณะกรรมาธกิ ารด้านวิศวกรรมไฟฟ้ าระหว่างประเทศ : IEC 61724[3]
ศึกษารวบรวมข้อมูล ข้อมูลจริง ด้วยกรณีศึกษาผลการศึกษาในคร้ังน้ีพบว่าจากการศึกษาข้อมูล
เปรียบเทยี โซล่าเซลล์ ท้งั 3 ชนิด ประกอบด้วย
Zone A
Zone C
Zone D
684
Zone E
7.1 เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดสารประกอบของคอปเปอร์อินเดียมแกลเลียมไดเซเลไนด์
CI(GS)S (Copper Indium gallium Di-Selenide) Zone A
7.2 เซลล์แสงอาทิตย์ชนิด ไมโครครอสตอลไลน์อะมอร์ฟัสซิลิคอน (Micro Crystalline
Amorphous Silicon) Zone C
7.3 เซลล์แสงอาทติ ย์ชนิดอะมอร์ฟัส ซิลิคอน (Amorphous Silicon) Zone D และZone E
กาลังการผลิตไฟฟ้ าสงู สดุ
กาลังการผลิตไฟฟ้ าสูงสุด(7820.3 kWh) และมีผลรวมเท่ากับ (164867.2 kWh)
ชนิดท่3ี เซลล์แสงอาทติ ย์ชนิดอะมอร์ฟัส ซิลิคอน (Amorphous Silicon) ZoneE
Performance Ratio (%) สงู สดุ
Performance Ratio (%) สูงสุด 101.201 เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดอะมอร์ฟัส ซิลิคอ
(Amorphous Silicon) Zone D
การประเมนิ สมรรถนะและเปรียบเทยี บของระบบผลิตไฟฟ้ าจากเซลล์แสงอาทติ ย์แบบ
หลายเทคโนโลยีโรงไฟฟ้ าพลังงานแสงอาทิตย์ท่ีแตกต่างกันโดยการติดต้ังระบบ PV ท้งั 3 ชนิด
ชนิดแผงท่ดี ีท่สี ดุ คอื เซลล์แสงอาทติ ยช์ นิดอะมอร์ฟัส ซิลิคอน (Amorphous Silicon) Zone D
8. ขอ้ เสนอแนะ
8.1 ควรมีการติดต้ังแผงเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดอ่นื ๆ เช่น แผงเซลล์แสงอาทติ ย์แบบลอยนา้
และหมุนติดตามดวงอาทติ ย์
8.2 ควรมกี ารศึกษาการลงทุนของแต่ละประเภทของแผงเซลล์แสงอาทติ ย์
8.3 ควรมีการพัฒนามาตรฐานคณะกรรมาธกิ ารด้านวิศวกรรมไฟฟ้ าระหว่างประเทศโดยใช้
สตู ร IEC อ่นื และระบุช่วงเวลาของกาลังการผลิตไฟฟ้ า
9. กิตติกรรมประกาศ
การประเมินสมรรถนะและเปรียบเทยี บของระบบผลิตไฟฟ้ าจากเซลล์แสงอาทติ ย์แบบ
หลายเทคโนโลยีโรงไฟฟ้ าพลังงานแสงอาทิตย์ได้รับความกรุณาอย่างย่ิงจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์
ดร. อานาจ ผดุงศิลป์ ท่ีปรึกษาสารนิพนธ์ ท่ีได้ให้ความรู้คาปรึกษาตลอดระยะเวลาของการวิจัย
อนั เป็นประโยชน์อย่างย่งิ ต่องานสารนิพนธ์
นอกจากน้ีขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์จากการไฟฟ้ าฝ่ ายผลิตแห่งประเทศไทย
ท่ไี ด้ช่วยในการรวบรวมข้อมูลอีกท้ังได้ให้คาแนะนาเพ่ือเพ่ิมพูนความรู้ จึงทาให้สารนิพนธเ์ ล่มน้ี
สาเรจ็ ลุล่วงไปได้ด้วยดี ประโยชน์อนั ใดท่เี กดิ จากสารนิพนธ์ เป็นผลมาจากความกรุณาของทุกทา่ น
685
บรรณานุกรม
ภาษาไทย
เซลล์แนวทางสาหรับการวัดการแลกเปล่ียนข้อมูลและการวิเคราะห์ IEC61724 มาตรฐาน
IEC,1998 pvXchange GmbH [ออนไลน์] http://www.pvxchange.com, [2014,
ตลุ าคม]
ณิชชา บูรณสิงห์ (2560).การพัฒนาเทคโนโลยีโรงไฟฟ้ าพลังงานแสงอาทิตย์ตามนโยบาย
พลังงาน 4.0 สานักวิชาการ สานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ISBN 2287-
0520 ดาวน์โหลดเอกสารได้จาก http://www parliament.go.th/library, [2017,
ตลุ าคม]
การไฟฟ้ าฝ่ ายผลิตแห่งประเทศไทย.ห้องปฏบิ ัตกิ ารวิจัยพลังงานแสงอาทติ ย์มหาวิทยาลัยศิลปากร
"แผนท่กี ารแผ่รังสจี ากดาวเทยี มของประเทศไทย" รายงานกรมพัฒนาพลังงานทดแทน
และอนุรักษ์พลังงาน, 2553
ภาษาต่างประเทศ
Guidelines for measuring data exchange and analysis IEC61724 "IEC standard,
1998. pvXchange GmbH [online], Availability: http://www.pvxchange.com,
[2014, October]
Nicha Buranasingh (2017) .Technology development of solar power plant according to
Energy Policy4.0 Office of the Secretariat of the House of Representatives ISBN
2287-0520 The document can be downloaded from http: // www
parliament.go.th/library, [2017, October].
The Electricity Generating Authority of Thailand Solar Energy Research Laboratory,
Silpakorn University "Thailand Satellite Radiation Map", Department of
Alternative Energy Development and Efficiency, 2553
686
การวิเคราะหป์ ัญหาในการดาเนินการจดั การบริหารโครงการ กรณีศึกษา
งานก่อสรา้ งอาคารศูนยก์ ารเรียนรูแ้ ละพฒั นาการท่องเทีย่ ว จ.ชยั นาท
Study and Analysis of Budget Overruns for Construction of the Chainat
Tourism and Development Learning Center Building
กิตติศกั ด์ิ เรืองศรี*
ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ศุภรชั ชยั วรรตั น*์ *
บทคดั ยอ่
งานวิจัยน้ีได้จัดทาข้ึนเพ่ือศึกษาและวิเคราะห์ถึงการบริหารงานท่ไี ม่นาเอาหลักการและ
วิธีการดาเนินการบริหารโครงการท่ีดีมาใช้ เพ่ื อให้ โครงการสามารถบรรลุถึงวัตถุประสงค์ตาม
เง่อื นไขของสญั ญาท้งั ทางด้านระยะเวลาและมูลค่าการก่อสร้างตามสญั ญาจ้างงาน ซ่ึงในกรณีศึกษา
ท่ดี าเนินการวิจัยน้ีเป็นโครงการก่อสร้างอาคาร 2 ช้ัน เพ่ือใช้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และท่อง
เท่ียงของจังหวัดชัยนาท โดยค้นคว้าหาสาเหตุของปัจจัยต่างๆท่ีเก่ียวข้องในช่วงระหว่างงาน
ก่อสร้าง นามารวบรวมและศึกษาถึงความเก่ียวข้องและเช่ือมโยงกนั เพ่ือให้เหน็ ถึงสาเหตุท่แี ท้จริง
และกาหนดเป็ นมาตรการป้ องกันและการแก้ไขเพ่ือไม่ให้เกิดข้ึนในอนาคต โดยจะใช้หลักการ
เคร่ืองมือการควบคุมคุณภาพ ผังก้างปลา (Fish Bone Diagram) เพ่ือหาสาเหตุจากปัจจัยท่ี
เก่ียวข้องในแต่ละด้าน จากน้ันจะใช้แผนภมู ิพาเรโต (Pareto Chart) เพ่ือใช้ในการกาหนดปัญหา
หลัก 20% ท่เี ป็นสาเหตุท่ที าให้เกิดปัญหา 80% ของท้งั โครงการและจากน้ันจะใช้วิธี Why-Why
Analysis มาใช้วิเคราะห์ปัญหาและลงลึกถึงส่งิ ท่ที าให้เกดิ รากของปัญหาอย่างแท้จริง
จากผลการดาเนินการวิจัยน้ีได้ทาการวิจัยถึงงบประมาณท่ถี ูกแบ่งแยกออกเป็น 2 สว่ น
เน่ืองจากใช้บริษัทกิจการร่วมค้า 2 บริษัท (Joint Venture) เพ่ือรับงานและแบ่งงานออกเป็น 2
ส่วนหลัก และจากการวิจัยสรุปสาเหตุท่ที าให้งบประมาณท่ใี ช้ในโครงการเพ่ิมข้นึ จริงมาจากสาเหตุ
หลักคือ 1) ผู้จัดการโครงการไม่ปฏบิ ัติการประจาท่ไี ซค์งานทาให้ขาดการประสานงานโดยตรงกบั
ผู้ควบคุมงาน 37.60% 2) การบริหารโครงการโดยท่ีไม่มีการจัดทาแผนงานย่อย และการไม่
อพั เดทแผนงานอย่างสม่าเสมอ 35.41% 3) คุณภาพของงานไม่ได้ตามมาตรฐานต้องแก้ไขงาน
บ่อยคร้ัง 16.49% 4) เกดิ ความขดั แย้งท่หี น้างานเน่ืองจากผู้จัดการโครงการไม่สร้างความสามัคคี
ในการทางานร่วม 2 บริษัท 5.67% 5) การตัดสนิ ใจไม่เดด็ ขาดจากฝ่ ายผู้บริหารเพ่ือยกเลิกการ
บริหารงานโครงการของผู้จัดการโครงการ 4.83% ตามลาดับ
* นกั ศกึ ษาหลกั สตู รวศิ วกรรมศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาการจัดการทางวิศวกรรม มหาวทิ ยาลัยธรุ กจิ บณั ฑติ ย์
** ท่ปี รกึ ษาสารนพิ นธห์ ลัก
687
ABSTRACT
The purpose of this research is to study and analyze traditional project management
that not be applied as an effective method for manage projects according to contractual
conditions, there are in terms of times and costs. In this research, two storey building
construction project to serve as a learning center and traveling center of Chai Nat Province is
used to be the case study. The causes of various factors involved during the construction
phase were conducted and studied to find the relevance to obtain the root causes. Preventive
measures were established to prevent them from occurring in the future. Cause and effect
diagram was used to find the cause of relevant factors in each factor. Then, the Pareto chart
was used to determine the 20% of the main problems that cause 80% of the problem in the
whole project. The Why-why analysis was applied to in-depth analyze the problem to deserve
the empirical root causes.
The result of this research can be divided into 2 parts due to this company case
study is Two Joint Venture Companies. It can be concluded the reasons why the budget used
in the project is exaggerated was derived from the main reasons which are 1) The project
manager does not work on the job site, resulting in lack of direct coordination with the
supervisor equal 37.60% 2) Project management without creating sub-plans and not
updating the plan regularly equal 35.41% 3) The quality of work is not concordant to
standard, work must be corrected often equal 16.49%. 4) On-site conflicts because project
managers create unity in working with two companies equal 5.67% 5) Un-decisive decisions
from management to cancel project of project managers equal 4.83% respectively
ทีม่ าของปัญหา
ตลอดการดาเนินโครงการ บริษัทประสบกบั ปัญหาในด้านต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น
เร่ืองความเหมาะสมของการเบิกเงินงวดงานในแต่ละงวด ปัญหาการจัดการความพร้อมการเข้า
หน้างานล่าช้า การวางแผนและอัพเดตแผนการทางาน การวางกาลังคนงานให้เหมาะสมและ
เพียงพอตามแผนการทางาน การจัดการและควบคุมดูแลการบริหารพ้ืนท่ีการทางาน การเคลียร์
แบบงานทางวิศวกรรม การจัดลาดับการทางานตามความสาคัญและเหมาะสม การทาเอกสาร
ประกอบการทางาน การเปล่ียนแปลงโยกย้ายกรรมการผู้มีอานาจลงนามตรวจงานจ้าง ตลอดจน
การตดิ ต่อประสานงานระหว่างองคก์ ารท่เี ก่ียวข้อง ซ่ึงปัญหาในแต่ละสว่ นล้วนสง่ ผลกระทบต่อการ
ดาเนินโครงการท้งั ด้านระยะเวลาการดาเนินงานตลอดจนต้นทุนการดาเนินโครงการท่สี ูงเกนิ กว่าท่ี
ประมาณการไว้เบ้ืองต้น และยังเกดิ ความไม่ชัดเจนในการแก้ปัญหาจนทาให้ส่งมอบงานล่าช้ากว่า
สัญญางานท่ีกาหนดให้งานต้องแล้วเสร็จภายในระยะเวลา 240 วัน (8 เดือน) และรวมกับ
688
ระยะเวลาท่ีส่งงานอีกล่าช้า 268 วัน ทาให้ระยะเวลาในการดาเนินงานรวมเป็นจานวน 508 วัน
(ประมาณ 16 เดอื น)
จากเหตุผลดังกล่าวข้ างต้ นทา ให้ ผู้วิจัยมีความสนใจท่ีจะทาการศึกษาและหาวิธีท่ีจะ
จัดการเพ่ือแก้ปัญหาท่ีอาจจะเกิดข้ึนในรูปแบบเดียวกันกับตัวอย่างของการบริหารโครงการ
กอ่ สร้างเช่นเดียวกบั โครงการน้ี และเพ่ือให้ทราบถงึ เหตผุ ลท่แี ท้จริงว่าเกดิ จากสาเหตใุ ดเป็นสาคัญ
วตั ถุประสงคข์ องการศึกษาวิจยั
1. รวบรวมและวิเคราะห์ถึงปัญหาต่างๆท่ีเกิดข้ึนในระหว่างการดาเนินโครงการ และพร้อม
จาแนกประเภทของปัญหาออกเป็ นหมวดหมู่
2. นาเคร่ืองมือและทฤษฎีท่ีเหมาะสมมาใช้ในการวิเคราะห์ และนาหลักเกณฑ์มาใช้เป็ น
แนวทางสาหรับการหาวิธแี ก้ปัญหา
3. สร้างรูปแบบเพ่ือนาไปใช้ในการดาเนินการโครงการท่ีมีลักษณะคล้ายคลึงกัน หรือนาไป
ประยุกตใ์ ช้ต่อได้อย่างเหมาะสม
ขอบเขตงานการศึกษา
สาหรับงานวิจัยน้ีจะดาเนินการในส่วนของการบริหารงานภายในองค์กรเพ่ือให้ทราบ
ถึง จุดด้อยท่เี ป็นผลทาให้การดาเนินโครงการ เกดิ ปัญหาหรือเป็นสาเหตทุ ่ที าให้การดาเนินการไม่
เป็นไปตามเป้ าหมายหรือการส่งมอบงานโดยล่าช้า โดยรวบรวมข้อมูลจากงานส่วนย่อยหลายๆ
งานท่จี ะต้องนามาทางานสอดคล้องและประสานเข้าด้วยกัน อาทเิ ช่น กระบวนการรวบรวมข้อมูล
หน้างานเพ่ือจัดเตรียมงานและทาแผนงานก่อสร้าง การทาแผนกระแสเงินเข้า - เงินออก การ
ควบคุมและวางแผนการนาเข้าวัสดุให้สอดคล้องกบั การดาเนินการ การจัดเตรียมกาลังแรงงานช่าง
และคนงาน
ประโยชนท์ ีค่ าดว่าจะไดร้ บั
ในการศึกษาและวิจัยช้ ินน้ ีจะสามารถนาไปใช้ เป็ นแนวทางในการทางานโครงการงาน
ก่อสร้างให้สาเร็จด้วยระบบการทางานท่ีดี วิธีการวางแผนการใช้งบประมาณของโครงการ และ
สร้ างเป็ นมาตรฐานสาหรับการทางาน
ทฤษฎีทีเ่ กยี่ วขอ้ งทีน่ ามาใชใ้ นการวิจยั น้ ี ไดแ้ ก่
1. ความสูญเปล่า (Wastes) 8 ประการ คือ กิจกรรมท่ีไม่ก่อให้เกิดคุณค่า ท้ังในส่วนท่ีผู้
ปฏบิ ัติกิจกรรมน้ัน และผู้ท่รี ับบริการท่ีเกิดจากกิจกรรมเหล่าน้ัน ซ่ึงอาจจะเป็นส่ิงท่ีกระทาโดยผู้
ปฎิบัติงานท่ไี ม่รู้ตัวว่าเป็นความสูญเปล่า หรืออาจจะเป็นส่ิงท่ผี ู้ปฎิบัติงานต้องจัดการดาเนินการ
689
เพ่ือแก้ไขส่ิงท่ผี ิดพลาด ซ่ึงบางคร้ังกป็ ฎิบัติการโดยเป็นประจาตามปกติทุกๆวัน ซ่ึงผลเสียท่เี กิด
จากความสูญเปล่าน้ัน มีมากมายหลายด้าน เช่น ทาให้ต้นทุนสูงเกินจากท่ีประมาณการไว้
ระยะเวลาล่าช้ากว่ากาหนดการณ์ เกดิ ของเสยี และส้นิ เปลืองทรัพยากรหรือวัตถุดบิ ฯลฯ
2. การวิเคราะห์การแก้ปัญหาด้วย Why Why Analysis เป็นการวิเคราะห์ หาสาเหตุรากเหง้า
ของปัญหา โดยหากเราสามารถค้นพบสาเหตุรากเหง้าและกาจัดได้แล้ว ปัญหาเดิมจะไม่เกิดซ้า
หากปัญหาเดิมเกดิ ซา้ แสดงว่าจากการวิเคราะห์ของเราน้ันมาผิดทางหรือ อาจจะมีบางสาเหตุตก
หล่นไป ซ่ึงอาจจะต้องนากลับมาทาการวิเคราะห์ใหม่ เคร่ืองมอื น้ีเป็นเคร่ืองมอื ท่มี ีประสทิ ธภิ าพสูง
เม่ือผู้ท่ที าการวิเคราะห์มคี วามเข้าใจและมีความชานาญในงานท่ตี นได้ดาเนินการอยู่
3. แผนผังก้างปลา หรือเรียกแบบเป็นทางการว่า แผนผังสาเหตุและผล (Cause and Effect
Diagram) แผนผังสาเหตุและผลเป็นแผนผังท่ีแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา (Problem)
กบั สาเหตุท้งั หมดท่เี ป็นไปได้ท่อี าจกอ่ ให้เกดิ ปัญหาน้ัน (Possible Cause) ซ่ึงสาเหตขุ องปัญหา จะ
เขียนไว้ในก้างปลาแต่ละก้าง ก้างย่อยเป็นสาเหตุของก้างรองและก้างรองเป็นสาเหตุของก้างหลัก
เป็ นต้ น
4. การวิเคราะห์ด้วยพาเรโต้ Pareto "หลักการพาเรโต" ต้ังข้ึนในปี 1895 ตามช่ือผู้สร้างกฎ
"วิลเฟรโด พาเรโต" ซ่ึงเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชาวอติ าเล่ียน ผู้ค้นพบหลักการ 80/20 ได้กล่าวไว้ว่า
80% ของรายได้ประชาชาติของประเทศในยุโรป มาจากกลุ่มคนเพียง 20% และ กลุ่มท่ีเหลือ
80% ของประเทศมีรายได้รวมกันเพียง 20% เท่าน้ัน กฎดังกล่าวอธิบายถึงส่ิงท่ีสาคัญหรือมี
ประโยชน์จะมีอยู่เป็นจานวนท่นี ้อยกว่าส่งิ ท่ไี ม่สาคัญ หรือไม่มีประโยชน์ซ่ึงมีจานวนท่มี ากกว่า ใน
อตั ราสว่ น 20 ต่อ 80 จากสภาพการแข่งขันในปัจจุบันการเรียนรู้กฎของพาเรโต้ ถอื เป็นส่งิ จาเป็น
อย่างหน่ึง เพ่ือให้องคก์ รสามารถปรับตวั ได้ทนั แก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างทนั ทว่ งทมี ากย่งิ ข้นึ
5. การบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง การดาเนินการควบคุมงานก่อสร้างให้บรรลุเป้ าหมาย
ของโครงการ จะประกอบไปด้วย “การวางแผนงาน” คือ การกาหนดแนวทางการดาเนินงานหรือ
ปฏบิ ัตงิ านให้สอดคล้องและตรงกบั เป้ าหมายของงานท่จี ะทาให้ผู้ปฏบิ ัติงานทราบล่วงหน้าว่าจะทา
อะไร อย่างไร เม่ือไร และจะต้องมีการคาดการณ์ถึงความต้องการทรัพยากรต่างๆ “การ
ปฎิบัติงาน” คือ การลงมือปฏิบัติตามแผนงานท่ีวางเอาไว้ ซ่ึงจะถือว่าเป็ นอีกข้ันตอนหน่ึงท่ีมี
ความสาคัญ เพราะถ้าเกิดความผิดพลาดอาจจะมีผลกระทบต่อข้ันตอนอ่นื ๆ ซ่ึงจะมีผลทาให้งาน
ท้งั โครงการต้องล่าช้า น่ันหมายถึงค่าใช้จ่ายและระยะเวลาของการดาเนินโครงการท่ีเพ่ิมมากข้ึน
และ “การประเมินผล” คือ การพิจารณาเปรียบเทยี บข้อมูลท่ไี ด้จากการทางานจริงกับแผนงานท่ี
วางไว้ว่าได้งานตามกาหนดเวลา หรือไม่ ซ่ึงถ้าไม่เป็นไปตามแผนงาน เช่น เกิดความล่าช้ากต็ ้อง
วิเคราะห์หาสาเหตุท่เี กดิ ข้ึน และรวบรวมข้อมูลเพ่ือสรุปหาแนวทางแก้ไขและการนาไปปรับปรุง
แผนงาน เป็นต้น
690
วิธีการดาเนนิ การศึกษา
ในการวิจัยคร้ังน้ี ทางผู้วิจัยได้ดาเนินการตามข้นั ตอนงานวิจัยต่อไปน้ี
1. เลือกโครงการท่จี ะใช้เป็นกรณศี ึกษา
จากโครงการท่จี ะทาการเลือกมาเพ่ือการการศึกษาและทาการวิจัย มขี อบเขตของงานน้ี
จะเก่ยี วกับ งานก่อสร้างอาคารพร้อมปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบ ซ่ึงประกอบด้วยรายละเอียดของ
งานดังน้ี
1.1 งานโครงสร้าง ดาเนินการถมดินบดอัดแน่น ปรับพ้ืนท่ี วางผังแปลนอาคาร ตอก
เสาเขม็ งานจัดเตรียมฐานราก เสาตอม่อ คานคอดิน เทพ้ืนแต่ละช้ัน เสาแต่ละช้ัน จนถึงโครงสร้าง
หลังคาของอาคาร
1.2 งานสถาปัตยกรรม ได้แก่ งานผนัง วงกบ ประตุ หน้าต่าง งานฝ้ าเพดาน งานพ้ืนผิว
ผนัง งานวัสดุพ้ืน งานทาสี งานอุปกรณ์สขุ ภณั ฑ์ต่างๆ ตลอดจนงานตกแต่งภายใน
1.3 งานระบบสขุ าภิบาล ได้แก่ งานจัดเตรียมระบบถังเกบ็ นา้ ใต้ดิน, บนดิน และงานเดนิ
ทอ่ ประปาเพ่ือใช้ในห้องนา้ ท้งั อาคาร
1.4 งานระบบไฟฟ้ าในและนอกอาคาร ต้ังแต่สายเมนเข้าอาคาร ตู้ควบคุมระบบไฟฟ้ า
อุปกรณไ์ ฟฟ้ าต่างๆ
1.5 งานครุภัณฑเ์ คร่ืองเสยี ง – ระบบส่อื สารภายในห้องประชุม
1.6 งานวางระบบแจ้งเตือนไฟไหม้ในอาคาร
1.7 งานภายนอกอาคาร ได้แก่ งานจัดภมู ิทศั น์ งานทาลานจอดรถ งานตีเส้นจราจร งาน
ถนน
1.8 โครงการมกี ารแบ่งความรับผิดชอบจาก 2 บริษัท ร่วมกนั ดาเนินโครงการ
ตารางที่ 1 แสดงสดั ส่วนการแบ่งงานเพ่ือดาเนินการระหว่าง 2 บริษัท
691
2. ทาการรวบรวมข้อมูลจริงของโครงการ
สาหรับข้อมูลจริงส่วนแรกจะเป็นข้อมูลงานท่เี กดิ ข้นึ จริงโดยจะรวบรวมจากผู้ควบคุมงาน
ฝ่ ายลูกค้าเก่ียวกับผลการดาเนินงานในแต่ละช่วงเดือนท่ีดาเนินการ ซ่ึงจะทาการอธิบายตาม
แผนงานหลักท่ีทางฝ่ ายบริหารโครงการได้จัดทาแผนงานส่งให้กับทางทีมผู้ควบคุมงานในตอน
เร่ิมต้นโครงการด้วย
ภาพที่ 1 แสดงแผนการทางานโครงการเร่ิมต้นท่สี ่งขออนุมัติการทางานในเดือนแรก
เปอร์เซน็ ต์งานล่าช้าของงานในแต่ละช่วงเดอื น
70%
60% 59.00%
53.40%
50%
41.20%
40%
30% 30.75%
23.10% 25.50%
20% 18.40%
10% 9.70% 8.10% 8.10%
0% 0% 1.70% 3.40% 4.10%
0.00%
เดือนที่ เดือนท่ี เดือนที่ เดือนที่ เดือนที่ เดือนท่ี เดือนท่ี เดือนที่ เดือนที่ เดือนท่ี เดือนท่ี เดือนท่ี เดือนที่ เดือนท่ี เดือนที่
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15
ภาพที่ 2 แสดงปริมาณเปอร์เซน็ ตง์ านล่าช้าในแต่ละช่วงเดอื น
692
จำนวนวัน ี่ททำงำนจากภาพท่ี 2 ซ่ึงแสดงปริมาณเปอร์เซ็นต์งานล่าช้าจากแผนงานท่ีวางไว้ต้ังแต่เร่ิม
โครงการ จะเหน็ ได้ว่าปัญหาความล่าช้าจะเร่ิมเกิดข้ึนต้ังแต่ในช่วงเดือนท่ี 2 ของโครงการ ซ่ึงน่ัน
หมายความว่าแผนท่ีจัดทาไว้ก่อนหน้าน้ี ไม่มีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละ
ช่วง ซ่ึงอาจจะด้วยท่ที างทมี งานบริหารโครงการไม่มีประสบการณ์ในการดาเนินการขนาดใหญ่มา
ก่อน และการท่ขี าดการดูแลและเอาใจใส่ของทมี ผู้บริหาร ท่ไี ม่ได้รับข้อมูลในการดาเนินการของ
โครงการน้ีเลย กย็ ังคงปล่อยให้มีการล่าช้าเพ่ิมข้ึนจนถึงในเดือนท่ี 8 ท่จี ะหมดสญั ญาจ้าง ซ่ึงเป็ น
การแก้ไขสถานการณ์ท่ชี ้า และไม่ทนั การ จึงเป็นสาเหตุทาให้ถูกทางผู้ว่าจ้างปรับเงินท่สี ่งมอบงาน
ล่าช้า และทาให้งานโครงการน้ีเกดิ มูลค่าความเสยี หายอย่างสงู
3. การเปรียบเทยี บข้อมูลท่รี วบรวมท้งั หมดของโครงการและแยกปัญหาท่เี กดิ ข้นึ ในโครงการ
- ระยะเวลาการดาเนินการตามสัญญาระบุไว้เป็นเวลา 240 วัน จะเร่ิมนับจากวันท่ีลง
นามในสัญญาจ้าง ซ่ึง จะเร่ิมนับต้ังแต่วันท่ี 2 มิถุนายน 2560 และหมดสัญญาจ้างในวันท่ี 27
มกราคม 2561 ในการดาเนินการจริงน้ันใช้ระยะเวลาในการดาเนินการท้งั หมด 15 เดือนรวมกบั
ระยะเวลาท่ใี ช้ในการเดนิ เร่ืองสง่ มอบงานอกี ประมาณ 2 เดอื น รวมเป็นจานวนวันท่ี ล่าช้าอกี 268
วัน (240+268 = 508 วัน)
- ระยะเวลาในการดาเนินโครงการเปรียบเทียบแยกตามแต่ละงานตามรายละเอียดใน
ภาพท่ี 3 จะแสดงให้เหน็ ถงึ การใช้ระยะเวลาในแต่ละงาน เพ่ือดาเนินการในแต่ละงานจะเหน็ ได้ว่า
งานส่วนใหญ่จะล่าช้ากว่าจานวนวันท่วี างแผนไว้ในตอนต้น ซ่ึงหมายถึงการท่ไี ม่มกี ารวางแผนย่อย
หรือวางแผนงานสารอง เพ่ือท่จี ะพยายามยึดถือระยะเวลาให้สามารถดาเนินงานให้แล้วเสรจ็ ตาม
แผนข้างต้น
ระยะเวลาท่ีใชใ้ นการดาเนินการจริงเปรียบเทียบกบั ช่วงวางแผนงาน
300 270
250 240
200
150 150
150
120
100 90 90 90
50
0
Planning Overdue
693
ภาพที่ 3 แสดงรายการเปรียบเทยี บการดาเนินงานในแต่ละงาน
ภาพที่ 4 แสดงแผนภมู ิการจัดการทมี งานในการดาเนินโครงการจริง
จากแผนภมู กิ ารจัดการทมี งานจะเหน็ ได้ว่า ทางฝ่งั ของบริษัท A จะใช้บุคลากรค่อนข้าง
น้อย และไม่ค่อยสมดุลกับปริมาณงานท่ีจะต้องรับผิดชอบ เน่ืองด้วยในเน้ืองานส่วนใหญ่
(มากกว่า 70% ท่ีเป็ นส่วนท่ีต้องรับผิดชอบจากส่วนของบริษัท A) ซ่ึงหลังจากท่ีได้มีการ
ดาเนินงานจริง ทางบริษัท A กป็ ระสบปัญหาในเร่ืองไม่มีบุคลากรท่จี ะต้องจัดเตรียมเก่ียวกับการ
จัดทาเอกสารต่างๆ ท่ตี ้องใช้ในโครงการ
การใช้งบประมาณในการทางานของแต่ละงาน และจะแยกสว่ นของความรับผิดชอบใน
แต่ละบริษัทด้วย เพ่ือให้เห็นถึงตัวเลขของงบประมาณท่ีใช้จริง และจะนามาเปรียบเทียบกับ
รายการปริมาณงานท่เี สนอขายงานให้กบั ทางผู้ว่าจ้าง ซ่ึงจะทาให้ทราบถึงต้นทุนการใช้งบประมาณ
ท่แี ท้จริงของโครงการ
694
ตารางที่ 2 แสดงรายการค่าใช้จ่ายในการดาเนินการจริงเปรียบเทยี บกบั BOQ
ลาดบั รายการ จานวน หน่วย ราคางาน (บาท) มูลค่าส่วนต่าง
1 งานโครงสร้างวิศวกรรม BOQ Actual
2 สถาปัตยกรรม
3 งานระบบสขุ าภบิ าล และดบั เพลิง 1 งาน 9,411,934.90 18,104,074.93 (8,692,140.03)
4 งานระบบไฟฟ้ าและระบบส่อื สาร
5 งานผงั บรเิ วณและสง่ิ ก่อสร้างอ่นื ๆ 1 งาน 9,951,826.05 12,400,692.23 (2,448,866.18)
6 งานระบบปรบั อากาศ
7 งานครภุ ณั ฑจ์ ดั ซ้อื หรอื สง่ั ทา 1 งาน 1,310,931.52 548,526.44 762,405.08
8 งานภมู ิทศั น์
9 ค่าปรบั เน่อื งจากส่งมอบงานช้า 1 งาน 1,454,574.18 1,748,332.09 (293,757.91)
ราคางานรวม 1 งาน 2,731,148.44 838,000.16 1,893,148.28
1 งาน 1,441,236.00 1,378,861.99 62,374.01
1 งาน 5,724,180.94 4,667,041.95 1,057,138.99
1 งาน 321,150.00 242,401.70 78,748.30
- 8,030,774.38 (8,030,774.38)
32,346,982.03 47,958,705.87 (15,611,723.84)
ซ่ึงในส่วนของค่าใช้จ่ายท่ีเพ่ิมข้ึนดังกล่าวจะเป็นผลสืบเน่ืองมาจากปัญหาในระหว่างท่ดี าเนินการ
โครงการหลายๆปัจจัย ตามแต่ละช่วงของเดือนท่ีทางาน ซ่ึงทางผู้วิจัยได้จัดทารายการรวบรวม
ปัญหาท่เี กดิ ข้ึนท้งั หมดลงในตารางท่ี 3 โดยจะทาการแยกข้อมูลในแต่ละช่วงของเดือนการทางาน
ซ่ึงข้อมูลน้ีได้มาจากการสอบถาม รวบรวม และสมั ภาษณ์มาจากทางฝ่ ายผู้ควบคุมงาน ฝ่ ายวิศวกร
ท่ที างานในโครงการ เจ้าหน้าท่จี ัดเตรียมเอกสาร และหัวหน้าฝ่ ายจัดซ้ือ และโดยทางผู้วิจัยเองกไ็ ด้
ทาการเกบ็ ข้อมูลบางส่วนในระหว่างท่ดี าเนินการอยู่ ในส่วนท่ปี รึกษา งานติดต้ัง งานระบบไฟฟ้ า
ด้วยเช่นกนั
4. การวิเคราะห์หาสาเหตุ และพร้อมเสนอแนะมาตรการป้ องกนั และแนวทางแก้ไขปัญหา
จากการเกบ็ รวบรวมข้อมูลท่ไี ด้จากการดาเนินงานโครงการ โดยข้อมูลท่รี วบรวมได้จะ
มาจากผู้ท่ีดาเนินการทางานร่วมอยู่ในโครงการเป็ นหลักน้ัน ทาให้พบได้ว่าสาเหตุท่ีทาให้การ
ดาเนินโครงการไม่ประสบความสาเรจ็ และมีผลกระทบทาให้งบประมาณในการดาเนินโครงการน้ัน
เกนิ จากท่ปี ระมาณการ มสี าเหตโุ ดยการสรุปผลแล้วมี 5 เร่ืองหลักๆ ดงั น้ี
4.1 ผู้จัดการโครงการไม่ได้อยู่ประจาหน้างาน ทาให้งานไม่ต่อเน่ือง, ขาดการติดตามงาน
และประสานกับทีมผู้ควบคุมงาน แก้ไขสถานการณ์ล่าช้ า การอัพเดตหน้างานไม่ทันตาม
สถานการณ์ ทาให้ข้อมูลในการทางานคลาดเคล่ือน
4.2 ไม่มีการอัพเดตแผนงาน หรือจัดทาแผนการดาเนินการย่อยให้ทนั ตามสถานการณ์
ทางานแบบไม่มีแบบแผนการทางาน ไม่จัดทาแผนงานย่อยและแผนการใช้เงิน (Cash Flow) ทา
ให้ทางสานักงานไม่สามารถ Tracking งานได้
695
4.3 การเร่งรัดงานโดยปราศจากการตรวจสอบ งานขาดคุณภาพ ตรวจสอบไม่ได้ งานเกิด
ความเสยี หาย เน่ืองจากงานท่ไี ม่มคี ุณภาพ เป็นผลให้ต้องแก้ไขงานซา้ หลายคร้ัง
4.4 การขาดความสามัคคีระหว่างทีมงาน 2 บริษัท ทาให้ไม่สามารถวางแผนร่วมกัน
ทางานได้ การขัดขวางการทางานกนั เน่ืองจากขาดการวางแผนท่ดี ี ทาให้งานล่าช้า
4.5 ทมี ผู้บริหารปล่อยให้ผู้จัดการโครงการคนเดมิ ดาเนินการต่อ โดยไม่เปล่ียนแปลงการ
ดาเนินการโดย ผู้จัดการโครงการคนอ่นื ท่มี คี วามรับผิดชอบมากกว่า
ตารางที่ 3 จานวนเงนิ ในสว่ นท่เี พ่ิมข้นึ จากท่ปี ระมาณการทุกๆ สาเหตุ
ลาดบั สาเหตขุ องการเพมิ่ งบประมาณ งบประมาณทีใ่ ช้ งบประมาณ ส่วนต่าง %
ตามแผนงาน ทีใ่ ชต้ ามจริง
4.1.1 ผ้จู ัดการโครงการไม่ได้อยู่ประจาหน้างาน 6,136,967 26,562,554 20,425,587 37.60%
4.1.2 ไม่มกี ารอพั เดตแผนงาน หรอื จดั ทาแผนงานย่อย 5,486,967 24,723,620 19,236,653 35.41%
4.1.3 การเร่งรดั งานโดยปราศจากการตรวจสอบ 1,616,000 10,576,933 8,960,933 16.49%
4.1.4 การขาดความสามคั คีกนั ระหว่าง 2 บริษัท 1,400,000 4,481,953 3,081,953 5.67%
4.1.5 ผ้บู ริหารไม่ยอมเปล่ยี นตวั ผ้จู ดั การโครงการ 1,400,000 4,021,633 2,621,633 4.83%
สรุปผลการดาเนนิ การ
จากการดาเนินงานศึกษาวิจัย จากข้อมูลท่ีได้จากการวิเคราะห์สาเหตุท่ีทาให้
งบประมาณในโครงการงานก่อสร้างเพ่ิมข้ึนจากการประเมินราคาโครงการน้ัน มีสาเหตุมาจากการ
ท่ี ผู้จัดการโครงการไม่ได้อยู่ประจาหน้างานเพ่ือบริหารโครงการอย่างต่อเน่ืองน้ัน มีผลทาให้
งบประมาณโครงการเพ่ิมข้ึนคิดเป็ นร้อยละ 37.60 การบริหารโครงการโดยท่ีไม่มีการจัดทา
แผนงานย่อย และการไม่อัพเดทแผนงานอย่างสม่าเสมอน้ัน มีผลทาให้งบประมาณโครงการ
เพ่ิมข้ึนคิดเป็ นร้อยละ 35.41 จากน้ัน เม่ือโครงการมีการดาเนินการล่าช้าสะสม ทาให้ต้อง
ดาเนินการเร่งรัดงาน แต่กท็ าโดยปราศจากการควบคุมและติดตาม ปล่อยให้คนงานทางานโดย
ปราศจากการตรวจสอบคุณภาพของงาน มีผลทาให้งบประมาณโครงการเพ่ิมข้ึนคิดเป็นร้อยละ
16.49 เม่ือมีการเร่งงานโดยไม่มีแผนงาน และงานในส่วนของบริษัท B ท่ีจะต้องเข้ามาทางาน
ระบบน้ัน ทาให้เกิดการขัดแย้งกัน ไม่มีการประชุมหารือร่วมกันทางาน มีผลทาให้งบประมาณ
โครงการเพ่ิมข้ึนคิดเป็นร้อยละ 5.67 และสุดท้ายเม่ือโครงการมีปัญหาสะสมมากมาย แต่ทาง
ผู้บริหารจากส่วนกลางกไ็ ม่ได้จัดการแก้ปัญหาโดยการเปล่ียนตัวผู้จัดการโครงการใหม่ท่มี ีความ
รับผิดชอบและความพร้อมในการทางานท่ีมากกว่ามาแทน กม็ ีผลทาให้งบประมาณโครงการ
เพ่ิมข้นึ คิดเป็นร้อยละ 4.83 ตามลาดับ
696
ขอ้ เสนอแนะ
ในส่วนข้อเสนอแนะเพ่ิมเติม จาเป็นท่จี ะต้องมีการจัดเตรียมความพร้อมก่อนการเร่ิม
ดาเนินโครงการ เช่น การจัดเตรียม หรือรวบรวมข้อมูลต้ังแต่ข้อมูลย้อนหลังของฝ่ ายขายท่ไี ด้จาก
การถอดปริมาณและราคาต่างๆ และหลังจากท่ีได้เร่ิมดาเนินการเร่ิมงานจริงแล้ว จะต้องมีการ
กาหนดหน้าท่ที ่ตี ้องรับผิดชอบให้ชัดเจน เพ่ือให้ทมี งานสามารถวางแผนงานให้สอดคล้องกนั ทา
ให้ดาเนินงานได้อย่างราบร่ืน และจัดให้มีการประชุมเพ่ืออัพเดทสถานการณ์ และความก้าวหน้า
ของการดาเนินงานเป็นประจาทุกๆ สัปดาห์ การดาเนินการงานก่อสร้าง จะต้องมีรูปแบบชัดเจน
เก่ียวกับแผนการดาเนินงานในแต่ละส่วนของงาน และมีการวางแผนร่วมกับทางผู้ควบคุมงาน
พร้อมท้งั มีการตรวจสอบตลอดการดาเนินการก่อสร้าง เพ่ือให้งานท่ที ามีคุณภาพและเป็นไปตาม
ความต้องการของโครงการ
697
บรรณานุกรม
ภาษาไทย
นางสาวชยุดา จิรรัตนโสภา.(2555). การสร้างระบบควบคุมต้นทุนของโครงการในงานก่อสร้าง
ของธรุ กจิ ปิ โตรเลียมเคมี. วิศวกรรมอตุ สาหการ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย
ภชู ิต โพนทนั .(2555). ปัจจัยของความล่าช้าในงานก่อสร้างของโครงการติดต้ังระบบประตู
ตรวจสอบอตั โนมตั ิ.คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธญั ญบุรี
ชนัญฎา สนิ ช่ืน.(2561). ผลกระทบของการวางแผนและควบคุมกาไรเชิงกลยุทธ์ท่มี ีต่อ
ประสทิ ธผิ ลการบริหารจัดการต้นทุนของธรุ กจิ ขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ใน
ประเทศไทย.คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎอดุ รธานี
นายประกอบ ปานสนั เทยี ะ.(2553).การศึกษาระดับการดาเนินการจัดการงานก่อสร้างของ
ผู้บริหารเทศบาลตาบล.สาขาวิศวกรรมโยธา สานักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย
เทคโนโลยีสรุ นารี
อมรรัตน์ วัดเลก็ .(2557).การเพ่ิมประสทิ ธภิ าพกระบวนการวางแผนการผลิต.สาขาวิชาการ
จัดการโลจิสติกสแ์ ละโซ่อปุ ทาน คณะโลจิสตกิ ส์ มหาวิทยาลัยบูรพา
ธานิน คาทพิ ย์, ชีวินทร์ ล้ิมศิริ.(2559).การวางแผนงานกอ่ สร้างท่เี หมาะสมด้วยการแบ่งสว่ น
เวลา.คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล
สธุ ริ า จันทรา.(2556).การศึกษาปัจจัยท่สี ่งผลกระทบต่อต้นทุนในงานก่อสร้าง พศ.2550 - พศ.
2556 กรณีศึกษา บริษัท อุดมกจิ วิศวก์ จากดั .คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีปทุม
เวนิช วัฒนภรู ิภากร.(2555).ปัจจัยท่มี ผี ลต่อความสาเรจ็ ในการบริหารต้นทุนโครงการ กรณีศึกษา
โครงการก่อสร้างอาคารสงู .คณะบริหารธุรกจิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคล
ธญั บุรี
ทวีศักด์ิ ริมประณาม.(2561).การศึกษาและวิเคราะห์สาเหตงุ บประมาณการก่อสร้างจริงเกนิ ท่ี
กาหนดของโครงการก่อสร้างโรงแรมและพ้ืนท่เี ช่าในประเทศมัลดีฟส.์ คณะ
วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกจิ บัณฑติ ย์
698