The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วารสารบัณฑิตศึกษา ปีที่ 8 ฉบับที่ 3

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by care.chitlada, 2020-08-25 13:52:44

วารสารบัณฑิตศึกษา

วารสารบัณฑิตศึกษา ปีที่ 8 ฉบับที่ 3

การวิเคราะหข์ อ้ มูล
การวิเคราะห์ข้อมูลท่ไี ด้จากการดาเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ทาการวิเคราะห์

ข้อมูล ดงั น้ี
1. หาค่าความเท่ยี งตรงเชิงเน้ือหาและเชิงโครงสร้างของเคร่ืองมอื ทุกฉบับ โดยการหา

ดัชนีความสอดคล้อง (IOC)
2 วิเคราะห์ความสามารถในการแก้โจทยป์ ัญหาทางคณติ ศาสตร์โดยใช้ปัญหา

ปลายเปิ ด โดยการหาค่าร้อยละ (Percentage)
3. การเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ทิ างคณติ ศาสตร์กอ่ นและหลังเรียน เร่ืองสถติ ิ ใช้สถติ ิ

ตรวจสอบสมมติฐาน (Pair sample t-test)
4. วิเคราะห์ประเมินแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้

ปัญหาปลายเปิ ด โดยการหาค่าเฉล่ีย (Mean) และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
5. สรุปผลโดยใช้ตารางและการพรรณนา และอภิปรายผล

สรุปผลการวิจยั
ตอนท่ี 1 ผลการศึกษาความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณติ ศาสตร์ โดยใช้ปัญหา

ปลายเปิ ด นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 จานวน 31 คน เป็ นรายบุคคล พบว่า นักเรียนมี
ความสามารถในการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์มีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็ ผ่าน
เกณฑ์ 19 คน คิดเป็นร้อยละ 61.29 ไม่ผ่านเกณฑ์ 12 คน คิดเป็นร้อยละ 38.71

ภาพท่1ี แสดงความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณติ ศาสตร์ โดยใช้ปัญหาปลายเปิ ด นักเรียน
ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 จานวน 31 คน

599

ตอนท่ี 2 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณติ ศาสตร์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 โดย
ใช้ปัญหาปลายเปิ ดโดยใช้สถิติ t-test พบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 (t = 14.228, Sig. = .000) ซ่ึงเป็ นไปตามสมมติฐานท่ี
กาหนดไว้

ผลสมั ฤทธ์ิ จานวน คะแนน ̅ S.D. t Sig.

ทางการเรียน นกั เรียน เต็ม

ก่อนเรียน 31 20 5.48 2.39 14.228* .000
หลังเรียน
13.48 2.81

*มนี ัยสาคัญทางสถิตริ ะดับเทา่ กบั .05

ตอนท่ี 3 ความพึงพอใจต่อการเรียนคณิตศาสตร์โดยใช้ปัญหาปลายเปิ ด ของนักเรียน
ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 จานวน 31 คน พบว่า โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (x̅ =

4.16, S.D. = 0.69) เม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน เรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย คือ ด้าน
บรรยากาศ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (x̅ =4.22, S.D. =0.68) ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ มี
ความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (x̅ =4.13, S.D. =0.69) และด้านประโยชน์ท่ีได้รับ มีความพึง
พอใจอยู่ในระดบั มาก (x̅ =4.14, S.D. =0.69) ตามลาดับ

อภิปรายผล
จากการศึกษาการพัฒนาความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้

ปัญหาปลายเปิ ด ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 โรงเรียนวัดไพร่ฟ้ า สามารถอภิปรายผลได้
ดงั น้ี

ตอนท่ี 1 ผลการศึกษาความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้
ปัญหาปลายเปิ ด นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 จานวน 31 คน เป็นรายบุคคล พบว่า นักเรียนมี
ความสามารถในการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์มีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็ ผ่าน
เกณฑ์ 19 คน คิดเป็นร้อยละ 61.29 ไม่ผ่านเกณฑ์ 12 คน คิดเป็นร้อยละ 38.71 เน่ืองจากการ
เรียนรู้โดยใช้ปัญหาปลายเปิ ด ในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ท่ีเป็นสถานการณ์ทุกคร้ัง
ก่อนจะมีการทดสอบผู้สอนจะให้ทางานเป็ นกลุ่ม กลุ่มละ 6-7 คน เพ่ือให้เกิดการแลกเปล่ียน
เรียนรู้ ดังน้ัน ทุกกลุ่มจึงมีคะแนนผ่านคิดเป็นร้อยละ 80 ถึง 85 เม่ือมาพิจารณาเป็นรายบุคคล
คร้ังท่ี 1 ได้ค่าเฉล่ียรวม 6.42 คร้ังท่ี 2 ได้ค่าเฉล่ียรวม 8.06 คร้ังท่ี 3 ได้ค่าเฉล่ียรวม 8.13 และ
คร้ังท่ี 4 ได้ค่าเฉล่ียรวม 8.61 จากผลการวิจัยจึงทาให้เหน็ ว่าเม่ือนักเรียนทางานเป็นกลุ่มจะเกิด
การแลกเปล่ียนเรียนรู้ซ่ึงกันและกัน ทาให้คะแนนของนักเรียนผ่านเกณฑ์ทุกคนแต่เม่ือหลังทา
กิจกรรมทุกคร้ังจะมีการทดสอบรายบุคคลจึงทาให้เหน็ ถึงความสามารถในการคิดหาคาตอบของ
นักเรียนท่มี คี ะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็ ผ่านเกณฑ์ 19 คน ไม่ผ่านเกณฑ์ 12 คน

600

สาเหตมุ าจากนักเรียนมีความแตกต่างทางด้านความคิดในขณะทากบั เพ่ือนอาจจะทาให้ดูว่าตัวเอง
มีความเข้าใจแต่เม่ือได้มาทาด้วยตัวเองจึงทาให้รู้ว่าตัวเองอาจจะมีความเข้าใจยังไม่มากพอจึงทา
ให้เกดิ ข้อผิดพลาดในการตอบคาถาม อกี เหตุผลเน่ืองจากผู้วิจัยต้ังเกณฑ์สูงท่มี ีคะแนนไม่ต่ากว่า
ร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็ ถ้าหากผู้วิจัยต้ังเกณฑ์อยู่ในระดับคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ของ
คะแนนเตม็ นักเรียนจะผ่านเกณฑ์ทุกคน ดังท่ี สุวร กาญจนมยูร(2544: 50) กล่าวว่า การฝึ ก
ทกั ษะการแก้โจทย์ปัญหา เป็นกระบวนการแก้โจทย์ปัญหาและกระบวนการท่เี กดิ ข้ึนในสมองของ
บุคคล นักเรียนแต่ละคนมีกระบวนการเรียนรู้และสร้างความรู้ ความเข้าใจในความคิดรวมยอด
หลักการ ได้แตกต่างกนั บางคนเรียนรู้ได้ดี ถ้าเรียนรู้จากส่อื ท่เี ป็นรูปธรรม บางคนเรียนรู้ส่ิงต่างๆ
ได้อย่างรวดเร็ว เพราะว่าวิธีการเรียนรู้ของแต่ละคนมีกระบวนการและพลังความสามารถของ
สมองมีประสิทธิภาพท่ีแตกต่างกัน ฝึ กทักษะการแก้โจทย์ปัญหานับว่าเป็นข้ันตอนท่ีสาคัญมาก
ครูผู้สอนต้องเร่ิมในลักษณะท่ีว่าค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปตามความสามารถของนักเรียนแต่ละคน
โดยแบ่งนักเรียน ในห้องหน่ึงๆ เป็น 3 ระดับ ตามความสามารถได้แก่ กลุ่มท่มี ีความสามารถสูง
เรียนได้เร็ว กลุ่มนักเรียนท่ีมีความสามารถปานกลาง เรียนได้ตามปกติ และกลุ่มนักเรียนท่ีมี
ความสามารถระดับต่า จะเรียนได้ช้ากว่าปกติ ฉะน้ันการฝึ กแก้โจทย์ปัญหา ต้องหาวิธีการคิด
หลากหลายวิธี ศศิธร แม้นสงวน (2555, น.199) กล่าวว่า ปัญหาปลายเปิ ด เป็นปัญหาท่มี ีหลาย
คาตอบ มีแนวคิดหรือวิธีการในการหาคาตอบได้หลายอย่าง เป็นปัญหาท่ีช่วยส่งเสริมความคิด
ริเร่ิม สร้างสรรค์และศักยภาพของนักเรียน และวิธกี ารแบบเปิ ด (Open Approach) ประกอบด้วย
4 ข้ันตอนได้แก่ การนาเสนอปัญหาปลายเปิ ด การเรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียน การอภิปราย
และเปรียบเทยี บรวมท้งั ช้ัน และการสรุปโดยการเช่ือมโยงแนวคิดทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนท่ี
เกดิ ข้นึ ในช้ันเรียน (ไมตรี อนิ ทร์ประสทิ ธ์,ิ 2557) สอดคล้องกบั งานวิจัยของ ประภัสสร เพชรส่มุ
อภิณห์พร (2560, บทคัดย่อ) ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแบบเปิ ด ท่ีมีต่อ
ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 ผลการวิจัย
พบว่านักเรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์5 ช้ันตอนคือ 1) ช้ันการอ่าน
นักเรียนแสดงพฤติกรรมการอ่านแบบสังเกตคาสาคัญ พบในช้ันการเรียนรู้ด้วยตนเองและการ
นาเสนอปัญหา 2) ช้ันการสารวจและวินิจฉัยนักเรียนแสดงออกโดยการวาดภาพพบในช้ันการ
เรียนรู้ด้วยตนเอง 3) ข้ันการเลือกยุทธวิธี นักเรียนใช้แนวทางเดียวในการแก้ปัญหา และเม่ือ
คุ้นเคยกับสถานการณ์ปัญหา นักเรียนจะมีแนวทางท่หี ลากหลายเพ่ือใช้ในการเลือกแก้ปัญหาพบ
ในข้ันการเรียนรู้ด้วยตนเอง 4) ข้ันดาเนินการแก้ปัญหา นักเรียนดาเนินการตามวิธที ่เี ลือกไว้ พบ
ในช้ันการเรียนรู้ด้วยตนอง และ5) ช้ันการทบทวนและขยายผล นักเรียนแสดงพฤติกรรมการ
ตรวจสอบคาตอบการขยายแนวคิดผ่านกิจกรรมการนาเสนอ การอภิปรายร่วมกับเพ่ือนและครู
พบในข้ันการอภปิ รายท้งั ช้ันและการเปรียบเทยี บ และข้ันการสรุปเช่ือมโยงแนวคดิ ของนักเรียน

ตอนท่ี 2 ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตร์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 โดย
ใช้ปัญหาปลายเปิ ด ก่อนและหลัง โดยใช้สถิติ t-test พบว่า ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูง

601

กว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 (t = 14.228, Sig. = .000) เม่ือพิจารณา
คะแนนสอบหลังเรียนมีคะแนนเพ่ิมข้ึนทุกคน และมีคะแนนเพ่ิมข้ึน 10 คะแนนข้ึนไปคิดเป็นร้อย
ละ 32.25 และการท่นี ักเรียนมีคะแนนหลังเรียนเพ่ิมข้ึนน้ันหมายความว่านักเรียนมีความรู้ความ
เข้าใจ โดยใช้ปัญหาปลายเปิ ดกับการแก้โจทย์ปัญหาดังท่ี เบคเกอร์ และชิมาดะ (Becker &
Shimada, 1997, p. 1) กล่าวว่า ปัญหาปลายเปิ ดน้ันไม่ได้ สนใจท่ีคาตอบของปัญหาน้ัน แต่
ปัญหาปลายเปิ ดเป็นปัญหาท่ีมีวิธีการหรือการได้มาซ่ึงคาตอบท่ีหลากหลาย กล่าวคือไม่ได้มีแค่
กระบวนการเดียวเท่าน้ันแต่มีหลายกรณีหรือหลายวิธีในการแก้ปัญหาและศศิธร แม้นสงวน
(2555, น.199) กล่าวว่า ปัญหาปลายเปิ ด เป็นปัญหาท่ีมีหลายคาตอบ มีแนวคิดหรือวิธีการใน
การหาคาตอบได้หลายอย่าง เป็นปัญหาท่ชี ่วยส่งเสริมความคิดริเร่ิม สร้างสรรค์และศักยภาพของ
นักเรียน สอดคล้องกับงานวิจัยของรัชนี วันทองสขุ (2555,น.73) การพัฒนากจิ กรรมการเรียนรู้
ท่เี น้นทกั ษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ เร่ืองสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1
ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ืองสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว นักเรียนมีผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ท่กี าหนดคือต้ังแต่ร้อยละ 70 ข้ึนไป และมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเฉล่ีย
ร้อยละ 82.22 ผ่านเกณฑท์ ่กี าหนด และบุณยนุช ทูรศิลป์ (2560, บทคดั ย่อ) ผลการจัดกจิ กรรม
การเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์1 เร่ืองระบบจานวนเตม็ โดยใช้วิธีการแบบเปิ ด สาหรับนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนโกรกพระ พบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเร่ืองระบบจานนเตม็ ของ
นักเรียนท่ไี ด้รับการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแบบเปิ ดหลังเรียนสูงกว่ากอ่ นเรียนอย่างมี
นัยสาคัญทางสถติ ทิ ่รี ะดบั .05

ตอนท่ี 3 ความพึงพอใจต่อการเรียนคณิตศาสตร์โดยใช้ปัญหาปลายเปิ ด ของนักเรียน
ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 จานวน 31 คน พบว่า โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (x̅ =
4.16, S.D. = 0.69) เม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน เรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย คือ ด้าน
บรรยากาศ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (x̅ =4.22, S.D. =0.68) ด้านกจิ กรรมการเรียนรู้ มี
ความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (x̅ =4.13, S.D. =0.69) และด้านประโยชน์ท่ีได้รับ มีความพึง
พอใจอยู่ในระดับมาก (x̅ =4.14, S.D. =0.69) ตามลาดับ จะเหน็ ได้ว่านักเรียนมีความพึงพอใจ
ในด้านบรรยากาศมากท่ีสุด ได้แก่ เปิ ดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการทากิจกรรม มีความ
รับผิดชอบต่อตนเอง และกลุ่ม เกิดความคิดในการแก้ปัญหาได้ และทาให้นักเรียนมีความ
กระตือรือร้นในการเรียน ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ ได้แก่ ทาให้นักเรียนเข้าใจในเน้ือหามากข้ึน ได้
แลกเปล่ียนความรู้ความคิด ได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง กล้าคิดและกล้าตัดสินใจได้ ด้าน
ประโยชน์ท่ไี ด้รับ ได้แก่ ช่วยฝึกทกั ษะในการศึกษาค้นคว้าหาคาตอบ สามารถในการแก้ปัญหาท่ี
หลากหลาย และสามารถทางานร่วมกบั ผู้อ่นื เพ่ือให้บรรลุเป้ าหมายได้ ดังท่ี กชกร เป้ าสวุ รรณ และ
คณะ (2550) ได้กล่าวถึง ความพึงพอใจว่า เป็นความรู้สึกท่ีมีต่อส่ิงใดส่ิงหน่ึง ซ่ึงเป็นไปได้ท้ัง
ทางบวกและทางลบ แต่ก็เม่ือได้ส่ิงน้ัน สามารถตอบสนองความต้องการ หรือทาให้บรรลุ
จุดมุ่งหมายได้ กจ็ ะเกิดความรู้สึกบวก เป็นความรู้สึกท่ีพึงพอใจ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าส่ิงน้ัน

602

สร้างความรู้สึกผิดหวัง กจ็ ะทาให้เกิดความรู้สึกทางลบ เป็นความรู้สึกไม่พึงพอใจ สอดคล้องกับ
งานวิจัยของ มนตรี สังข์ทอง (2556, บทคัดย่อ) ความพึงพอใจของนักศึกษามหาวิทยาลัย
เทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิท่ีมีต่อการเรียนการสอนปรับพ้ืนฐานวิชาคณิตศาสตร์พบว่า
นักศึกษาท่ีมีเพศ สาขา คณะ และศูนย์พ้ืนท่ีต่างกันมีความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนปรับ
พ้ืนฐานวิชาคณิตศาสตร์ในภาพรวมแตกต่าง กนั อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติท่รี ะดบั .01และบุณยนุช
ทูรศิลป์ (2560, บทคัดย่อ) ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์1 เร่ืองระบบจานวน
เต็มโดยใช้วิธีการแบบเปิ ด สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนโกรกพระ พบว่า
นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เร่ืองระบบจานวนเตม็ โดยให้วิธีการแบบ
เปิ ดอยู่ในระดับมาก

ขอ้ คน้ พบจากงานวิจยั
1.ในการช้ ีแจงการทากิจกรรมในการจัดการเรี ยนการสอนคณิตศาสตร์ โดยใช้ ปั ญ หา

ปลายเปิ ดแต่ละข้ันตอนของกระบวนการเรียนรู้อย่างละเอยี ด ชัดเจนและมีการแจ้งจุดมุ่งหมายใน
การ จัดการเรียนการสอนน้ันทาให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นและสนใจเรียนมากข้นึ สังเกตจาก
การ ร่วมมอื ในการทากจิ กรรม การซักถาม การตอบปัญหาจากสถานการณ์ท่กี าหนดให้ นักเรียนมี
ค ว า ม รั บ ผิ ด ช อ บ ใ นก ารท า ง า นเ ม่ื อ ได้ รั บง า นท่ีไ ด้ รั บ ม อ บห ม า ยม าน้ั นนั กเ รี ยนจ ะเ กิดการ
กระตอื รือร้นในการทางานย่งิ ผู้สอนมีคาถามกระตุ้นเพ่ือให้เกดิ กระบวนการคดิ ท่นี าไปส่คู าตอบจึง
ทาให้นักเรียนมีความสนใจท่จี ะช่วยกนั ค้นหาเพ่ือนาไปส่คู าตอบ

2. บรรยากาศของการเรียนในการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์โดยใช้ปัญหา
ปลายเปิ ด ผู้สอนต้องสร้างบรรยากาศให้นักเรียนกล้าแสดงความคิดเหน็ ไม่รู้สกึ กลัวในการตอบ
ปัญหาท่แี ตกต่างจากเพ่ือนในช้ันเรียน โดยผู้วิจัยได้ได้สร้างบรรยากาศท่เี ป็นกนั เอง ทาให้นักเรียน
ลดความกังวลและจากการสังเกตนักเรียนมีความพึงพอใจมากเม่ือตอบปัญหาหรือวิธีการคิดหา
คาตอบท่แี ตกต่างกบั เพ่ือนได้คาตอบท่ถี ูกต้อง ตามความเข้าใจของนักเรียนเอง อกี ประการหน่ึง
ผู้วิจัยสงั เกตว่าเม่ือผู้วิจัยได้ให้คาชมกบั นักเรียนท่ตี อบคาถามได้ถูกต้องและแตกต่างจากเพ่ือน ทา
ให้นักเรียนเกดิ ความภมู ใิ จและเกดิ แรงจูงใจในการทางานต่าง ๆ ให้สาเรจ็ ดังน้ันคาชมหรือการให้
กาลังใจแกน่ ักเรียนจึงเป็นส่งิ สาคญั ท่คี วรนาไปใช้ในการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน

3. ในระยะแรกของการทดลอง พบว่านักเรียนต้องการคาแนะนาจากผู้สอนเพ่ือใช้เป็น
แนวทางในการแก้ปัญหาเน่ืองจากนักเรียนคุ้นเคยกบั การคิดหาคาตอบหรือแสดงคาตอบท่ถี ูกต้อง
เพียงวิธเี ดียวแต่เม่ือผ่านไประยะเวลาหน่ึง นักเรียนจะเกดิ ความคิดและกล้าท่จี ะแสดงคาตอบและ
วิธีการคิดท่ีหลากหลายเป็ นของตนเองในการแก้ปัญหาซ่ึงสังเกตได้จากการท่ีนักเรียนพยายาม
แสดงวิธกี ารหาคาตอบและแสดงคาตอบท่สี อดคล้องกบั เง่ือนไขท่กี าหนดให้ได้อย่างหลากหลาย

603

ขอ้ เสนอแนะ
ข้อเสนอแนะสาหรับการนาไปใช้
1. ในการแก้ปัญหาจากสถานการณ์ต่าง ๆ ผู้สอนควรใช้คาถามเพ่ือเปิ ดความคิดของ

นักเรียน เป็นการกระตุ้นให้นักเรียนได้แสดงวิธกี ารหาคาตอบท่หี ลากหลาย
2. ผู้สอนควรมีการสร้างปัญหาปลายเปิ ดท่ีสามารถใช้ได้จริงในเน้ือหาคณิตศาสตร์

เร่ืองอ่นื ๆ เพ่ือให้ผู้เรียนได้เช่ือมโยงความรู้เดิมกบั ความรู้ใหม่จะได้นาไปใช้ ได้
3. การจัดกิจกรรมควรยืดหยุ่นเร่ืองเวลา เพราะบางกิจกรรมผู้เรียนต้องใช้ความคิด

มากและผู้สอนควรให้คาแนะนา ช่วยเหลือ เสริมแรงทางบวกให้ผู้เรียนมกี าลังใจในการทากจิ กรรม
เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถคิดหาคาตอบด้วยตนเอง ส่งผลให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนรู้

4. ผู้สอนอาจต้องดูแลนักเรียนบางคนท่ไี ม่สามารถคิดตามเพ่ือนในกลุ่มได้หรือคิดเอง
ตามลาพังไม่ได้ ผู้สอนอาจต้องให้ความช่วยเหลือโดยการอธบิ ายเพ่ิมเติม

ข้อเสนอแนะเพ่ือการวิจัยต่อไป
1. ควรพัฒนาความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้ปัญหา
ปลายเปิ ดของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 3
2. ควรใช้ปัญหาปลายเปิ ดในกลุ่มสาระอ่ืนๆ ในระดับช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 และ
ระดบั ช้ันอ่นื ๆ
3. ควรนาการจัดการเรียนรู้ปัญหาปลายเปิ ดร่วมกบั รูปแบบการสอนอ่นื ๆ

604

บรรณานุกรม

กชกร เป้ าสุวรรณ, ธนภัทร ปัจฉิม และสุจิตรา ฉายปัญญา. (2550). ความคาดหวงั และความ
พึงพอใจต่อ การมาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์สุโขทัย.
กรุงเทพฯ: สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสติ .

บุณยนุช ทูรศิลป์ และวีรวัฒน์ ไทยขา.(2560).ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรูว้ ิชาคณิตศาสตร์
เรือ่ งระบบจานวนเต็มโดยใชว้ ิธีการแบบเปิ ด สาหรบั นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1
โรงเรียนโกรกพระ.รายงานสืบเน่ืองการประชุมวิชาการระดับชาติ สถาบันวิจัยและ
พัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏกาแพงเพชร คร้ังท่ี 4 (244 - 253).กาแพงเพชร:
มหาวิทยาลัยราชภัฏกาแพงเพชร.

ประภัสสร เพชรสุ่ม อภิณห์พร สถิตภาคีกุล และกตัญญุตา บางโท. (2560). การศึกษา
ความสามารถในการแกป้ ัญหาทางคณิตศาสตรข์ องนกั เรียน ทีเ่ รียนดว้ ยกิจกรรม
การเรียนรูโ้ ดยใชว้ ิธีการแบบเปิ ดกลุ่มเป้ าหมายเป็ นนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 2
โรงเรียนวดั มะม่วงตลอด :จังหวัดนครศรีธรรมราช

ปิ ยวดี วงษ์ใหญ่. (2551). การจดั การเรียนรูค้ ณิตศาสตรแ์ นวใหม่. ใน 36 ปี สถาบนั ส่งเสริม
การสอน วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี หน้า 79. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภา

รัชนี วันทองสุข. (2555). การพฒั นาแบบฝึ กเสริมทกั ษะคณิตศาสตร์ เรื่องสมการเชิงเสน้ ตวั
แปรเดียว ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑติ ) : มหาวิทยาลัย
ราชภัฏอบุ ลราชธานี.

ศศิธร แม้นสงวน. (2555). พฤติกรรมการสอนคณิตศาสตร์2. (พิมพ์คร้ังท่ี 2). กรุงเทพฯ:
สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคาแหง.

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2555 ก). การวัดผลประเมินผล
คณติ ศาสตร.์ กรุงเทพฯ : ซีเอด็ ยูเคชัน.

สุวร กาญจนมยูร. (2554). แนวการจัดการเรียนรูว้ ิชาคณิตศาสตร.์ กรุงเทพฯ : ไฮเอด็ พับลิช
ช่ิง.

มนตรี สังข์ทอง. (2556). ความพึงพอใจของนกั ศึกษามหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคล
สุวรรณภูมิที่มีต่อการเรียนการสอนปรบั พ้ ืนฐานวิชาคณิตศาสตร์: มหาวิทยาลัย
เทคโนโลยีราชมงคลสวุ รรณภมู ิ

ไมตรี อินทร์ประสิทธ์ิ. (2557). กระบวนการแกป้ ัญหาในคณิตศาสตร์ระดับโรงเรียน.
ขอนแกน่ : เพญ็ พรินต้ิง.

Becker, J.P; & Shimada, S. (1997). The Open-Ended Approach : A New Proposal for
Teaching Mathematics. Virginia : National Council of Teachers of Mathematics.

605

การพฒั นาความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษเพือ่ ความเขา้ ใจ
โดยใชก้ ารเรียนรูแ้ บบผสมผสานของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6

Developing English Reading Comprehension Ability
by Using Blended Learning for Prathomsuksa 6 Students

รุ่งฤดี บุญสอน 1
ดร. สดุ คนึง นฤพนธจ์ ิรกุล 2

บทคดั ย่อ

การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงคเ์ พ่ือ 1) พัฒนาความสามารถในการอา่ นภาษาองั กฤษเพ่ือ
ความเข้าใจโดยใช้การเรียนรู้แบบผสมผสานของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 2) วัดระดบั ความ
วิตกกังวลด้านการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 และ 3) ศึกษาความ
พึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 ท่ีมีต่อการเรียนรู้แบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างคือ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนการเคหะท่าทราย ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562
จานวนนักเรียน 32 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่
1) แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจโดยใช้การเรียนรู้แบบผสมผสาน
2) แบบทดสอบความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษเพ่ือความเข้าใจ 3) แบบวัดความวิตกกงั วล
ด้านการอา่ นภาษาองั กฤษ และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่มี ีต่อการเรียนรู้แบบ
ผสมผสาน สถิติท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติ
Paired Sample t-test

ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการอา่ นภาษาองั กฤษเพ่ือความเข้าใจโดยใช้การ
เรียนรู้แบบผสมผสานของนักเรียนหลังเรียนสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติท่รี ะดบั .05
(t = 5.57, p = .000) 2) ระดับความวิตกกงั วลในการอา่ นภาษาองั กฤษของนักเรียนหลังเรียนต่า
กว่ากอ่ นเรียนอย่างมีนัยสาคญั ทางสถติ ิท่รี ะดับ .05 (t = 6.41, p = .000) 3) ความพึงพอใจของ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 ต่อการเรียนรู้แบบผสมผสานในภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ใน
ระดับมาก (x̅ = 2.98, S.D. = 0.10)
คาสาคญั : การอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจ, การเรียนรู้แบบผสมผสาน, ความวิตกกังวล
ด้านการอา่ น

1 นกั ศึกษาหลกั สตู รศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาหลกั สตู รและการสอน วทิ ยาลยั ครุ ศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรุ กจิ
บณั ฑติ ย์
2 อาจารยท์ ่ปี รกึ ษา

606

Abstract

The objectives of this research were to 1) develop English reading comprehension
ability by using blended learning for Prathomsuksa 6 students, 2) explore the level of anxiety
in English reading of Prathomsuksa 6 students, and 3) study the students’ satisfaction level
towards blended learning. Samples were 32 Prathomsuksa 6 students of Karnkehathasai
School studying in the second semester of the academic year 2019. A simple random
sampling method was used. Research instruments were 1) English reading comprehension
lesson plans using blended learning, 2) the English reading comprehension test, 3) the
English reading anxiety questionnaire, and 4) the questionnaire on the students’ satisfaction
towards blended learning. Statistics used in the research were percentage, mean scores,
standard deviation, and paired sample t-test.

The research results showed that 1) the posttest scores of the students’ English
comprehension ability using blended learning were found to be significantly higher than the
pretest scores (t = 5.57, p = .000), 2) the level of anxiety in English reading was
significantly lower than the level before the intervention (t = 6.41, p = .000), and 3) the
satisfaction level of Prathomsuksa 6 students towards blended learning instruction as a whole
was at a high level (x=̅ 2.98, S.D. = 0.10).
Keywords: English reading comprehension, Blended Learning, Anxiety in English reading

บทนา

ภาษาอังกฤษมีความสาคัญอย่างย่ิงเพราะเป็ นเคร่ืองมือสาคัญในการส่ือสารและการ
ค้นคว้าข้อมูลเพ่ือติดตามข่าวสารต่าง ๆ กระทรวงศึกษาธิการจึงกาหนดให้นักเรียนไทยเรียน
ภาษาอังกฤษต้ังแต่ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 ถึงช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 6 ดังปรากฏในหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551(สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2552)
เม่ือพิจารณาถึงทักษะภาษาอังกฤษท้ัง 4 ทักษะแล้วจะพบว่าทักษะการอ่านภาษาอังกฤษมี
ความสาคัญสาหรับนักเรียนเป็นอย่างมาก นักเรียนไทยจาเป็นต้องพัฒนาทกั ษะการอา่ นเพ่ือใช้เป็น
เคร่ืองมือในการเรียนรู้ สืบค้นข้อมูลข่าวสาร ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองด้วยการอ่านจากส่ือ
ส่ิงพิมพ์และส่ือดิจิทลั ผู้ท่มี ีความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษจะสามารถเข้าถึงวิทยาการได้
อย่างกว้างขวางและรวดเรว็ ทาให้มีความรอบรู้ทนั ต่อเหตุการณ์ การอ่านควรเป็นทกั ษะท่ไี ด้รับการ
ส่งเสริมเพราะเป็ นทักษะท่ีคงอยู่กับนักเรียนได้นานท่ีสุด และเป็ นส่ิงท่ีสามารถนาไปใช้ใน
ชีวิตประจาวันได้ตลอดเวลาแม้ว่าจะสาเรจ็ การศึกษาไปแล้ว

อย่างไรกต็ าม ปัญหาในการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนไทยท่ีเด่นชัดคือระดับ
ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษยังอยู่ในระดับท่ีไม่น่าพึงพอใจ การท่ีทักษะการอ่านของ

607

นักเรียนโดยเฉพาะนักเรียนในระดับช้ันประถมศึกษาอยู่ในระดับต่าจนทาให้เกดิ ปัญหาในการอ่าน
เกดิ มาจากหลายปัจจัย เช่น วิธีการสอนท่ไี ม่เหมาะสมของผู้สอน และไม่เน้นให้นักเรียนได้พัฒนา
ทักษะการอ่านอย่างแท้จริง ทาให้ ผู้เรียนไม่ประสบความสาเร็จในการอ่านภาษาอังกฤษ
(สนุ ีย์ สนั หมุด, 2552) นอกจากน้ี ครูผู้สอนภาษาอังกฤษบางคนยังสอนโดยเน้นการแปล การจา
คาศัพท์ หรือกฎไวยากรณ์ ซ่ึงไม่ส่งเสริมทกั ษะการคิด ทาให้นักเรียนไม่เข้าใจในส่ิงท่ีอ่าน จนไม่
สามารถสรุปความรู้จากการอ่านให้ออกมาเป็นคาพูดหรือตัวอักษรได้ ประกอบกับผู้สอนไม่ได้
ส่งเสริมให้ ผู้เรียนฝึ กฝนกระบวนการอ่านอย่างแท้จริงกิจกรรมการเรียนการสอนทักษะการอ่านไม่
เหมาะสมกบั วัย ความสามารถ หรือความถนัดในการเรียน จึงทาให้นักเรียนไทยมเี จคติท่ไี ม่ดตี ่อการ
อ่านภาษาองั กฤษ และมีความวิตกกังวลเม่ือต้องอ่านบทอ่านเป็นภาษาอังกฤษ ปัจจัยเหล่าน้ีล้วน
ส่งผลต่อการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนไทย แต่ส่ิงสาคัญท่ีทาให้
ผู้เรียนอยากเรียน คือครูจะต้องสร้างแรงบันดาลใจให้เหน็ ความจาเป็นของภาษาอังกฤษ กระตุ้น
ให้ผู้เรียนสนใจภาษาอังกฤษ นาภาษาอังกฤษมาเป็ นส่วนหน่ึงในชีวิต ย่ิงภาษาอังกฤษเป็ นวิชา
ทักษะเป็ นส่ิงท่ีต้องเรียนรู้สะสมไปเร่ือย ๆ ไม่สามารถหาเทคนิคลัดได้ เพราะร้อยละ 50 ของ
ความสาเรจ็ ในการเรียนภาษาองั กฤษมาจากตวั ผู้เรียนเอง (บุญเลิศ วงศ์พรม, 2559)

ในการส่งเสริมความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษและการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ท่ี
จะลดความวิตกกังวลของผู้เรียนยุคปัจจุบันน้ัน ผู้สอนควรให้ความสนใจกับการประยุกต์ใช้
เทคโนโลยีสารสนเทศกบั การเรียนการสอน เน่ืองจากเทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามบี ทบาทเป็น
อย่างมากในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างย่ิงด้านการศึกษา ผู้สอนจึงต้องพัฒนาตนเองให้รู้เท่าทนั
การใช้เทคโนโลยี ในปัจจุบันการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกับการศึกษามีหลายรูปแบบ เช่น การใช้
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือการสอนด้วย e-learning การนาเอาบทเรียนออนไลน์มาช่วยในการ
เรียนการสอนจะสามารถทาให้ผู้เรียนมีความสนใจในบทเรียนมากข้ึน การเรียนรู้แบบผสมผสาน
(Blended Learning) เป็ นการจัดการเรียนรู้ท่ีอาศัยการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างการเรียน
แบบปกติในช้ันเรียน (Classroom Learning) กับการเรียนออนไลน์ (Online Learning) ซ่ึงการ
จัดการเรี ยนร้ ู แบบผสมผสาน โดยใช้ บ ทเรี ยน ออน ไลน์ผ่าน เว็บ ไซต์ ควบคู่ กับการเรี ยน แ บ บ
เผชิญหน้า (Face-to-face) เป็นวิธีการท่มี ีส่วนช่วยในการพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน นักเรียน
สามารถใช้คุณสมบัติสาคญั ของเทคโนโลยใี ห้เกดิ ประโยชน์สูงสดุ น่ันคอื การเรียนรู้เกดิ เวลาใดกไ็ ด้
สถานท่ีใดกไ็ ด้ ข้ึนอยู่กับความพร้อมของนักเรียน โดยไม่จากัดการมีปฏิสัมพันธ์ไว้แต่เพียงใน
ห้องเรียน อีกท้งั ผู้สอนสามารถให้ผลย้อนกลับแก่นักเรียนได้ทนั ทโี ดยไม่ต้องรอให้ถึงเวลาเรียน
(พัทธพล ฟ้ ุงจันทึก, 2553) ในการส่งเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนด้วยการ
เรียนรู้แบบผสมผสานจะช่วยให้นักเรียนได้ฝึ กฝนทักษะการอ่านจากบทเรียนออนไลน์ตาม
ความเร็วในการเรียนรู้ของแต่ละคน (Learning pace) ท่ไี ม่เท่ากัน นักเรียนท่ีเก่งสามารถใช้เวลา
เรียนรู้ได้เรว็ และเรียนรู้ในปริมาณมากโดยไม่ต้องรอนักเรียนท่อี ่อนภาษาอังกฤษ ในขณะเดียวกนั

608

นักเรียนท่ีอ่อนภาษาอังกฤษกม็ ีเวลาทบทวนบทอ่าน และเรียนรู้ในจังหวะการเรียนรู้ของตนเอง
ช่วยลดความวิตกกงั วลในการอ่านภาษาองั กฤษและพัฒนาทกั ษะการอา่ นภาษาองั กฤษให้เพ่ิมข้นึ

ด้วยเหตุน้ีผู้วิจัยจึงสนใจท่จี ะพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความ
เข้าใจโดยใช้การเรียนรู้แบบผสมผสานระหว่างการจัดการเรียนรู้แบบเผชิญหน้า (Face-to-face)
และการเรียนผ่านบทเรียนออนไลน์ Google Sites สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 เพ่ือให้
เหมาะสมกับนักเรียนยุคปัจจุบันท่ีเกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยี และช่วยส่งเสริมความสามารถใน
การอ่านภาษาอังกฤษให้เพ่ิมข้ึน อันจะส่งผลให้นักเรียนมีความพร้อมในการอ่านภาษาอังกฤษใน
ระดบั ท่ซี ับซ้อนต่อไป

วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั

1. เพ่ือพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษเพ่ือความเข้าใจโดยใช้การเรียนรู้
แบบผสมผสานของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6

2. เพ่ือวัดระดบั ความวิตกกงั วลด้านการอ่านภาษาองั กฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6
3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 ท่ีมีต่อการเรียนรู้แบบ
ผสมผสาน

สมมุติฐาน

1. ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจโดยใช้การเรียนรู้แบบ
ผสมผสานของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี
ระดับ .05

2. ระดับความวิตกกังวลด้านการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนหลังเรียนโดยใช้การ
เรียนรู้แบบผสมผสานอยู่ในระดบั ต่ากว่ากอ่ นเรียนอย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05

3. ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 ท่มี ีต่อการเรียนรู้แบบผสมผสาน
อยู่ในระดบั มาก

609

กรอบแนวคิด

ภาพ 1 กรอบแนวคิด

นยิ ามศพั ท์

ความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษเพอื่ ความเขา้ ใจ หมายถึง การแสดงออกของ
นักเรียนท่สี ามารถเกบ็ ข้อมูลจากเร่ืองท่อี า่ นเป็นหลัก ซ่ึงนักเรียนจะต้องทราบว่าเร่ืองท่อี ่านน้ันเป็น
เร่ืองเก่ยี วกบั อะไร มีความสาคัญอย่างไร ใครทาอะไร ท่ไี หน อย่างไร และสามารถตอบคาถามจาก
เร่ืองท่ีอ่านได้ รวมไปถึงการคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้า ซ่ึงสามารถวัดได้จากแบบทดสอบวัด
ความสามารถในการอา่ นภาษาองั กฤษเพ่ือความเข้าใจท่ผี ู้วิจัยสร้างข้นึ

การเรียนแบบผสมผสาน (Blended learning) หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ท่ี
ผสมผสานรูปแบบการเรียนในห้องเรียน (Classroom Learning) หรือกล่าวอีกอย่างหน่ึงว่าเป็ น
การเรียนแบบ face to face คือการเรียนการสอนท่ผี ู้สอนและผู้เรียนอยู่ในท่เี ดียวกัน โดยบทบาท
ของครูประกอบไปด้วยการบรรยายการนาเสนอ การยกตัวอย่าง และการทบทวน และการเรียนรู้
บนเวบ็ ไซต์ (Online Learning) คอื การเรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียนผ่านเวบ็ ไซต์ตามหัวข้อและ
เวลาท่คี รูกาหนด การเรียนรู้บนเวบ็ ไซตเ์ ป็นการเรียนรู้แบบประสานเวลา ครูและนักเรียนเข้าเรียน
ออนไลน์พร้อมกนั เม่ือถึงเวลาเรียนออนไลน์ครูผู้สอนมีบทบาทในการตรวจสอบการเข้าเรียนของ
นักเรียน และช่วยเหลือเม่ือนักเรียนประสบปัญหาการเรียนออนไลน์ ท้งั ในด้านเน้ือหาและด้าน
เทคนิค สาหรับงานวิจัยน้ีผู้วิจัยใช้สดั สว่ นการผสมผสานด้วยการเรียนในห้องเรียนร้อยละ 50 และ
การเรียนรู้ด้วยตนเองบนเวบ็ ไซต์ร้อยละ 50

บทเรียนออนไลน์ หมายถึง บทเรียนผ่านทางเว็บไซต์ Google Sites ท่ีผู้วิจัยสร้าง
ข้ึนมาจานวนท้ังหมด 5 บท ประกอบไปด้วย บทท่ี 1 Health สาระสาคัญได้แก่การอ่านเพ่ือหา
หัวข้อและจับใจความ (Topic and Main idea)บทท่ี 2 Occupation สาระสาคัญได้แก่การถามและ
บอกทาง (Direction) บทท่ี 3 Sport เรียนเก่ียวกับการเดาความหมายของคาศัพท์ (Guessing
word meaning) บทท่ี 4 Weather เรียนการอ่านแบบสแกนน่ิง (Scanning) บทท่ี 5 Weather

610

เรียนการอ่านสรุปความ (Inference) นักเรียนสามารถเข้าไปเรียนเพ่ือศึกษาด้วยตนเองได้ โดยใน
บทเรียนมีคาช้ีแจงให้นักเรียนเรียนตามข้ันตอน และทาแบบฝึ กหัดเพ่ือทดสอบความเข้าใจด้วย
ตนเอง ซ่ึงนักเรียนสามารถเรียนได้ทุกท่ี และสามารถทบทวนได้ทุกเวลา ผ่านอปุ กรณค์ อมพิวเตอร์
สมาร์ทโฟน และแทบ็ เลต็

ความวิตกกงั วลในการอ่านภาษาองั กฤษ หมายถึง ความรู้สึกไม่สบายใจ สับสน ไม่
สามารถจดจาส่งิ ท่อี ่านได้ ความกลัวท่จี ะอ่านภาษาอังกฤษท่มี ีความยาวเป็นหน้า รู้สกึ ไม่สบายใจเม่ือ
พบกับไวยากรณ์ท่ีไม่รู้จักในขณะท่ีอ่านของนักเรียนท่ีมีต่อการอ่านภาษาอังกฤษ ซ่ึงวัดจาก
แบบสอบถามความวิตกกงั วลด้านการอ่านภาษาองั กฤษท่ผี ู้วิจัยสร้างข้นึ

ความพึงพอใจ หมายถึงความรู้สึกนึกคิดท่ีนักเรียนมีต่อการจัดการเรียนรู้แบบ
ผสมผสาน (Blended Learning) ประกอบด้วยประเดน็ การประเมนิ 4 ด้าน ได้แก่ ด้านกจิ กรรมการ
เรียนรู้ ด้านส่อื การเรียนรู้ ด้านผู้เรียน และด้านประโยชน์ท่ไี ด้รับ ซ่ึงวัดจากแบบสอบถามความพึง
พอใจต่อการเรียนรู้แบบผสมผสานท่ผี ู้วิจัยสร้างข้ึน

ระเบยี บวิธีวิจยั

ประชากร/กลุ่มตวั อย่าง
ประชากรท่ใี ช้ในการวิจัย คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนการเคหะทา่ ทราย

เขตหลักส่ี สงั กดั กรุงเทพมหานคร ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 จานวน 134 คน
กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนการเคหะท่า

ทราย เขตหลักส่ี สงั กดั กรุงเทพมหานคร ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 จานวน 32 คน โดยใช้
การส่มุ ตวั อย่างแบบง่าย (Simple random sampling)

เครือ่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
เคร่ืองมือท่ใี ช้ในการศึกษาค้นคว้าคร้ังน้ีประกอบด้วย
1. แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านภาษาองั กฤษเพ่ือความเข้าใจโดยใช้การเรียนรู้แบบ

ผสมผสาน จานวน 5 แผน แผนละ 4 ช่ัวโมง ผลการตรวจสอบคุณภาพโดยผู้เช่ียวชาญจานวน 3
คน พบว่ามีค่าดชั นีความสอดคล้องเทา่ กบั 1.00

2. แบบทดสอบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจ ลักษณะเป็น
แบบทดสอบปรนัย 4 ตัวเลือกจานวน 20 ข้อ ผลการตรวจสอบคุณภาพโดยผู้เช่ียวชาญจานวน 3
คน พบว่ามคี ่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.67-1.00 ความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.22-0.80
อานาจจาแนกอยู่ระหว่าง 0.22-0.78 และค่าความเช่ือม่นั เทา่ กบั 0.95

3. แบบวัดความวิตกกังวลในการอ่านภาษาอังกฤษ เป็ นแบบมาตรประมาณค่า 3
ระดับ ได้แก่ ระดับ 3 หมายถึง วิตกกังวลมาก ระดับ 2 หมายถึง วิตกกังวลปานกลาง ระดับ 1
หมายถึง วิตกกังวลน้อย จานวน 10 ข้อ โดยใช้เกณฑ์การแปลความหมายของความวิตกกังวล
ดังน้ี

611

2.34 – 3.00 หมายถึง ระดับความวิตกกงั วลด้านการอ่านภาษาองั กฤษมาก
1.67 – 2.33 หมายถึง ระดบั ความวิตกกงั วลด้านการอา่ นภาษาองั กฤษปานกลาง
1.00 – 1.66 หมายถึง ระดบั ความวิตกกงั วลด้านการอ่านภาษาองั กฤษน้อย
ผลการตรวจสอบคุณภาพของแบบวัดความวิตกกังวลในการอ่านภาษาอังกฤษโดย
ผู้เช่ียวชาญจานวน 3 คน พบว่ามคี ่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.67-1.00
4. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการเรียนรู้แบบผสมผสาน เป็ น
แบบมาตรประมาณค่า 3 ระดับ ได้แก่ 3 หมายถงึ พึงพอใจมาก 2 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง 1
หมายถึง พึงพอใจน้อย โดยข้อความในแบบสอบถามแบ่งเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ด้านกิจกรรมการ
เรียนรู้ ด้านส่อื การเรียนรู้ ด้านผู้เรียน และด้านประโยชน์ท่ไี ด้รับ จานวนท้งั หมด 14 ข้อ เกณฑก์ าร
แปลความหมายของความพึงพอใจเป็ นดังน้ ี
2.34 – 3.00 หมายถึง มคี วามพึงพอใจในระดบั มาก
1.67 – 2.33 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับปานกลาง
1.00 – 1.66 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจในระดบั น้อย
ผลการตรวจสอบคุณภาพของแบบสอบถามความพึงพอใจโดยผู้เช่ียวชาญจานวน 3
คน พบว่ามคี ่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.67-1.00

การรวบรวมขอ้ มูล

ผู้วิจัยได้ดาเนินการทดลองจัดการเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจโดยใช้
การเรียนรู้แบบผสมผสานกับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนการเคหะท่าทราย ด้วย
รูปแบบการทดลองแบบกลุ่มเดียวมีการทดสอบก่อนและหลังการทดลอง (One Group Pretest
Posttest Design) และเกบ็ รวบรวมข้อมูลด้วยตนเองตามข้นั ตอน ต่อไปน้ี

1. ผู้วิจัยอธบิ ายและช้ีแจงกจิ กรรมการเรียนการสอนโดยใช้การเรียนรู้แบบผสมผสาน
ในรายวิชาภาษาองั กฤษให้นักเรียนทราบ

2. นักเรียนทาแบบทดสอบความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษเพ่ือความเข้าใจก่อน
การทดลอง โดยใช้แบบทดสอบก่อนเรียน (Pretest) จานวน 20 ข้อ เป็นปรนัย 4 ตัวเลือก และ
เกบ็ คะแนน

3. นักเรียนทาแบบวัดความวิตกกังวลด้านการอ่านภาษาองั กฤษก่อนการเรียนรู้แบบ
ผสมผสาน

4. ผู้วิจัยดาเนินการสอนโดยใช้การเรียนรู้แบบผสมผสานตามแผนการจัดการเรียนรู้
จานวน 5 แผน ๆ ละ 4 คาบเรียน รวมเวลาในการสอน 20 ช่ัวโมง หลังจากสอนเสรจ็ ทุกแผน
ผู้วิจัยให้ นักเรียนทาแบบฝึ กหัดท้ายบทเพ่ือตรวจสอบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือ
ความเข้าใจ

612

5. นักเรียนทาการทดสอบหลังเรียน (Posttest) โดยใช้แบบทดสอบความสามารถใน
การอา่ นภาษาองั กฤษเพ่ือความเข้าใจ จานวน 20 ข้อ เป็นปรนัย 4 ตวั เลือก และเกบ็ คะแนน

6. นักเรียนทาแบบวัดความวิตกกังวลด้านการอ่านภาษาอังกฤษหลังการเรียนรู้แบบ
ผสมผสาน

7. นักเรียนทาแบบสอบถามความพึงพอใจท่มี ตี ่อการเรียนรู้แบบผสมผสาน
8. ผู้วิจัยเกบ็ รวบรวมข้อมูลท้งั หมดเพ่ือประมวลผลทางสถติ ิและวิเคราะห์ผลการวิจัย
การวิเคราะหข์ อ้ มูล
การวิเคราะห์ข้อมูลท่ไี ด้จากการดาเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ทาการวิเคราะห์
ข้อมูล ดังน้ี
1. วิเคราะห์ความสามารถด้านการอ่านภาษาองั กฤษเพ่ือความเข้าใจโดยใช้การเรียนรู้
แบบผสมผสานของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย และส่วนเบ่ียงเบน
มาตรฐาน
2. เปรียบเทยี บความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจก่อนเรียนและ
หลังเรียนด้วยสถติ ิ t-test แบบ Paired sample
3. วิเคราะห์ความวิตกกงั วลต่อการอ่านภาษาองั กฤษโดยใช้ค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบน
มาตรฐาน
4. เปรียบเทยี บความวิตกกงั วลในการอ่านภาษาอังกฤษก่อนเรียนและหลังเรียนด้วย
สถิติ t-test แบบ Paired sample
5. วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการเรียนรู้แบบผสมผสานโดยใช้
ค่าเฉล่ียและสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน

ผลการวิจยั

ตารางที่ 1 เปรียบเทยี บค่าเฉล่ียความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจโดยใช้การ

เรียนรู้แบบผสมผสานกอ่ นเรียนและหลังเรียน (n = 32)

คะแนน คะแนนเต็ม x̅ S.D. df t p

ก่อนเรียน 20 8.84 3.00
หลังเรียน 31 5.57* .000

20 11.53 2.68

*p < .05

จากตารางท่ี 1 แสดงการเปรียบเทยี บความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษเพ่ือความ

เข้าใจโดยใช้การเรียนรู้แบบผสมผสานของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 จานวน 32 คน พบว่า

คะแนนเฉล่ียก่อนเรียนอยู่ท่ี 8.84 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 3.00 คะแนนเฉล่ียหลังเรียนอยู่ท่ี

11.53 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 2.68 เม่ือเปรียบเทยี บความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษเพ่ือ

613

ความเข้าใจ พบว่า คะแนนเฉล่ียหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05
(t = 5.57, p = .000)
แผนภูมทิ ี่ 2 ระดบั ความวิตกกงั วลในการอ่านภาษาองั กฤษก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการเรียนรู้

แบบผสมผสานของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 (n = 32)

จากแผนภูมิท่ี 2 แสดงระดับความวิตกกังวลในการอ่านภาษาอังกฤษก่อนเรียนและ

หลังเรียนด้วยการเรียนรู้แบบผสมผสานของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 จานวน 32 คน พบว่า

นักเรียนจานวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 53.13 มีระดับความวิตกกงั วลก่อนเรียนอยู่ในระดับมาก

นักเรียนจานวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 37.50 มีระดับความวิตกกังวลก่อนเรียนอยู่ในระดับปาน

กลาง และนักเรียนจานวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 9.38 มีระดับความวิตกกังวลก่อนเรียนอยู่ใน

ระดบั น้อย ระดับความวิตกกงั วลหลังเรียนแสดงว่า นักเรียนจานวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 3.12 มี

ระดับความวิตกกังวลหลังเรียนอยู่ในระดับมาก นักเรียนจานวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 37.5 มี

ระดับความวิตกกงั วลหลังเรียนอยู่ในระดับปานกลาง และนักเรียนจานวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ

59.38 มรี ะดบั ความวิตกกงั วลหลังเรียนอยู่ในระดบั น้อย

ตารางที่ 3 เปรียบเทยี บระดบั ความวิตกกงั วลในการอา่ นภาษาองั กฤษก่อนเรียนและหลังเรียนของ

นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 (n = 32)
ความวิตกกงั วล x̅ S.D. df t p

กอ่ นเรียน 2.29 0.47 31 6.41* .000
หลังเรียน 1.59 0.43

*p < .05

ตารางท่ี 3 แสดงค่าเฉล่ียความวิตกกังวลในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ัน

ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ก่อนเรียนด้วยการเรียนรู้แบบผสมผสานเทา่ กบั 2.29 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน

0.47 อยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉล่ียความวิตกกงั วลหลังเรียนเทา่ กบั 1.59 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน

614

0.43 อยู่ในระดับน้อย เม่ือเปรียบเทยี บแล้ว พบว่า ค่าเฉล่ียความวิตกกังวลหลังเรียนต่ากว่าก่อน
เรียนอย่างมีนัยสาคญั ทางสถติ ิท่รี ะดบั .05 (t = 6.41, p = .000)
แผนภาพที่ 4 ค่าเฉล่ียความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 ท่มี ีต่อการเรียนรู้แบบ

ผสมผสาน(n = 32)

จากแผนภาพท่ี 4 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 ต่อ
การเรียนรู้แบบผสมผสานจานวน 32 คน พบว่า โดยภาพรวมมคี วามพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (x̅
= 2.98, S.D. = 0.10) เม่ือพิจารณาเป็ นรายด้านเรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย พบว่า
ด้านประโยชน์ท่ีได้รับมีค่าเฉล่ียความพึงพอใจสูงท่ีสุด (x̅ = 2.99, S.D. = 0.06) ตามด้วยด้าน
กิจกรรมการเรียนรู้ (x̅ = 2.98, S.D. = 0.11) ด้านส่ือการเรียนรู้ (x̅ = 2.98, S.D. = 0.08)
และด้านผู้เรียน (x̅ = 2.97, S.D. = 0.14) ตามลาดับ ซ่ึงผลการประเมินความพึงพอใจจาก
นักเรียนกลุ่มตัวอย่างอยู่ในระดบั มากทุกด้าน

สรุปและอภิปรายผล

จากการวิจัยเร่ืองการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษเพ่ือความเข้าใจโดย
ใช้การเรียนรู้แบบผสมผสานของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 สามารถอภปิ รายได้ดังต่อไปน้ี

1. ผลการศึกษาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจโดยใช้การ
เรียนรู้แบบผสมผสานของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 จานวน 32 คน พบว่า คะแนนเฉล่ียหลัง
เรียนสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดบั .05 เป็นไปตามสมมตฐิ านท่ตี ้ังไว้ สามารถ
อภิปรายได้ดังน้ี การเรียนแบบผสมผสานเป็นรูปแบบการเรียนท่มี ุ่งเน้นการจัดกิจกรรมการเรียน
การสอนโดยการสร้างส่งิ แวดล้อมและบรรยากาศในการเรียนรู้เพ่ือให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้น
รูปแบบการเรียนรู้เน้นให้ผู้เรียนต้องใช้ทกั ษะในการสบื ค้น นักเรียนมโี อกาสเรียนรู้ด้วยตนเองผ่าน
การเรียนจากบทเรียนออนไลน์ซ่ึงเป็ นการเสริมการเรียนร้ ูท่ีมากกว่าการเรียนเฉพาะในห้ องเรียน
และเน่ืองจากนักเรียนกลุ่มตัวอย่างเป็ นกลุ่มท่ีคละความสามารถ การเรียนแบบผสมผสานจึง
ตอบสนองต่อความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียนได้ และทาให้ผู้เรียนแต่ละคนได้ผลลัพธ์ท่ดี ี

615

จากการเรียนการสอน ซ่ึงสอดคล้องกบั งานวิจัยของพรพิมล ศุขะวาที (2558) ท่พี บว่าการเรียน
แบบผสมผสานน้ันสามารถสนับสนุนการอ่านภาษาอังกฤษเชิงวิจารณ์ได้เป็นอย่างดี นอกจากน้ี
เคร่ืองมือออนไลน์ท่ีช่วยการอ่านอย่างมีวิจารณญาณยังสร้ างความสะดวกในการระดมสมองเพ่ือ
ทางานกลุ่ม ผู้เรียนได้เหน็ ตัวอย่างมากข้นึ มีผลป้ อนกลับเรว็ และลดข้อจากดั เร่ืองเวลาการทางาน
ผลการวิจัยของผู้วิจัยยังสอดคล้องกบั งานวิจัยของกลั ยาณี ตันตรานนท์ และวิลาวัณย์ เตอื นราษฎร
(2560) ท่แี สดงให้เหน็ ว่าการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบผสมผสานส่งผลให้เกดิ ผลลัพธ์การ
เรียนรู้ในระดับมากถึงมากท่สี ดุ เช่น ทกั ษะการสบื ค้นข้อมูลโดยใช้ส่อื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ การนาความรู้
ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง เอ้ือให้นักศึกษาสามารถส่งงานได้รับมอบหมายตามท่กี าหนด
นักศึกษามคี วามกระตือรือร้นในการเรียนรู้เก่ยี วกบั หัวข้อท่เี รียน การเรียนแบบผสมผสานจะเข้ามา
มีบทบาทสูงมากในวงการศึกษา โดยเข้ามาแทนท่วี ิธีการเรียนแบบอีเลิร์นน่ิง (E-Learning) และ
การเรียนการสอนแบบเดิม นอกจากน้ี Graham and Kalela (2002) ยังระบุว่าการเรียนแบบ
ผสมผสานเป็นการเรียนท่ดี ีท่สี ดุ เพราะเป็นการจัดการเรียนการสอนโดยการเลือกใช้คุณลักษณะท่ี
ดีท่ีสุดของการสอนในห้ องเรี ยนและคุณลักษณะท่ีดีท่ีสุดของการสอนแบบออนไลน์เข้ าด้ วยกัน
เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างอสิ ระ ทาให้เกดิ พฤตกิ รรมการเรียนท่กี ระฉับกระเฉง (Active
learning) และสามารถลดเวลาในการเข้าช้ันเรียนได้
2. ผลการศึกษาระดับความวิตกกังวลในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6
ด้วยการเรียนแบบผสมผสาน พบว่า ค่าเฉล่ียความวิตกกังวลหลังเรียนต่ากว่าก่อนเรียนอย่างมี
นัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 เป็นไปตามสมมติฐานท่ตี ้ังไว้ สามารถอภิปรายได้ดังน้ี ปัจจัยท่ที า
ให้ผู้เรียนมีความวิตกกังวลแบ่งออกได้ 2 ปัจจัยคือ ปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ปัจจัย
ภายนอกได้แก่ พ้ืนฐานด้านวัฒนธรรมของผู้เรียนสามารถส่งผลให้ผู้เรียนเกิดความวิตกกังวลใน
การเรียนภาษาได้ เช่น ความถ่ีและคุณภาพในการใช้ภาษาของผู้เรียนกับเจ้าของภาษาน้ัน ๆ
บรรยากาศในห้องเรียนท่เี ตม็ ไปด้วยการแข่งขัน ความยากในการเข้าถงึ ครูผู้สอนและความเป็นไป
ได้ท่จี ะเกิดความอับอายในระหว่างทากิจกรรมในห้องเรียน (Lee, 1999) ปัจจัยภายใน ได้แก่
ผู้เรียนมีความภูมิใจในตนเองต่า ปัญหาสัมพันธภาพระหว่างบุคคล และความเช่ือของผู้เรียน
(MacIntyre, 1995) ซ่ึงการเรียนรู้แบบผสมผสานสามารถช่วยให้ผู้เรียนลดความวิตกกังวลลงได้
เพราะการเรียนรู้แบบผสมผสานเป็นการจัดการเรียนการสอนท่ีเอ้ือให้เกิดการเรียนรู้ สามารถ
จัดสรรเวลาในการเรียนรู้ด้วยตนเองได้ และผู้เรียนสามารถเข้าถึงเน้ือหาได้ทุกเวลา ทุกสถานท่ี
สามารถเรียนเน้ือหาเดิมซา้ ได้ตามระดับความสามารถของตนเองจึงเป็นการลดความวิตกกงั วลใน
การอ่าน นอกจากน้ีการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสานเป็ นการผสมผสานวิธีการสอนท่ี
หลากหลาย โดยใช้การสอนแบบเผชิญหน้าในช้ันเรียนร่วมกบั การสอนผ่านเวบ็ ไซต์ออนไลน์ทาให้
ผู้เรียนไม่เกิดความเกรงกลัวต่อผู้สอน และยังทาให้ผู้เรียนติดต่อผู้สอนได้ง่ายข้ึน ผู้เรียนท่ไี ม่กล้า
แสดงออกในห้องเรียนสามารถสอบถามผู้สอนผ่านช่องทางท่อี ยู่ในระบบออนไลน์จึงลดความวิตก
กงั วลและเกดิ การเรียนรู้แม้ว่าไม่ได้อยู่ในห้องเรียน สอดคล้องกบั แนวคดิ ของศิริรัตน์ เพช็ ร์แสงศรี

616

(2555) ท่ีได้กล่าวว่าการเรียนแบบผสมผสานสามารถแก้ปัญหาอุปสรรคในการเรียน เช่น เม่ือ
ผู้เรียนต้องการทบทวนบทเรียนสามารถเข้าไปเรียนซา้ ได้ และเป็นการฝึกฝนทกั ษะการค้นคว้าข้อมูล
เพ่ิมเติม เพราะการเรียนในศตวรรษท่ี 21 ต้องการพัฒนาบุคคลในสังคมอนาคตเพ่ือนาไปสู่ยุค
ของเทคโนโลยชี ้ันสงู ยุคสงั คมแห่งการเรียนรู้ ยุคแห่งสงั คมเครือข่าย

3. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 ต่อการเรียนรู้แบบ
ผสมผสาน พบว่า โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ซ่ึงเป็นไปตามสมมติฐานท่ีต้ังไว้
เม่ือพิจารณาเป็นรายด้านเรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย พบว่า ด้านประโยชน์ท่ีได้รับมี
ค่าเฉล่ียความพึงพอใจสงู ท่สี ุด เน่ืองจากการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานเป็นการจัดการเรียนการ
สอนท่ีนักเรียนได้เห็นประโยชน์ชัดเจนว่าช่วยฝึ กทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจ
สามารถค้นคว้าหาคาตอบ รวบรวมข้อมูล และสรุปความรู้ด้วยตนเองและเม่ือนักเรียนไม่เข้าใจ
เน้ือหา นักเรียนสามารถกลับมาทบทวนบทเรียนได้ทุกท่ี ทุกเวลา เอ้ือให้เกิดการเรียนรู้ทาให้
สามารถจัดสรรเวลาในการเรียนรู้ด้วยตนเองได้ ผลการประเมินความพึงพอใจจากนักเรียนกลุ่ม
ตัวอย่างอยู่ในระดับมากทุกด้าน สอดคล้องกบั งานวิจัยของลภัสปาลิน ใจธรรม (2558) ท่จี ัดการ
เรียนรู้แบบผสมผสาน ณ โรงเรียนศิริวังวิทยาคาร แล้วพบว่านักเรียนท่ไี ด้รับการจัดการเรียนการ
สอนแบบผสมผสาน มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากท่สี ุด ครูผู้สอนมีความพึงพอใจต่อการใช้
ระบบ E-learning อยู่ในระดับมากท่ีสุด การเรียนรู้แบบผสมผสานเป็ นประโยชน์และสามารถ
นาไปใช้ในรายวิชาอ่นื

ขอ้ เสนอแนะ

ขอ้ เสนอแนะในการนาผลการวิจยั ไปใช้
เพ่ือช่วยให้การเรียนการสอนมีประสทิ ธิภาพและมคี วามน่าสนใจมากย่ิงข้นึ ผู้สอนควร

พิจารณาเน้ือหาท่ีเหมาะสมและสัดส่วนในการจัดการเรียนการสอนระหว่าง face to face กับ
online ให้เหมาะสมกับเป้ าหมายของกลุ่มสาระการเรียนรู้และระดับของผู้เรียน ตลอดจนจะต้อง
คานึงถึงความพร้อมของส่อื เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน อนิ เตอร์เนต็ ท่เี ป็นปัจจัยหลักใน
การสนับสนุนให้การจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสานเกดิ ประสทิ ธภิ าพสงู สดุ

สัดส่วนในการเรียนรู้แบบผสมผสานโดยเฉพาะกับผู้เรียนช้ันประถมศึกษาควรมี
สัดส่วนอยู่ท่ี 50 : 50 เพราะเป็นสดั ส่วนท่เี หมาะสมท่ผี ู้สอนจะสามารถให้ผลย้อนกลับกับผู้เรียน
และเพ่ือแก้ไขปัญหาด้านความพร้อมของเทคโนโลยี ครูผู้สอนสามารถให้ผู้เรียนจับกลุ่มเพ่ือเรียน
ออนไลน์ หรือใช้ทรัพยากรในโรงเรียน เช่น ห้องเรียนสารสนเทศ ห้องสมุด เป็นต้น

ขอ้ เสนอแนะในการทาวิจยั คร้งั ต่อไป
1. ควรทาการวิจัยเพ่ือศึกษาตัวแปรอ่ืนท่ีเกิดจากการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน

เช่น เจตคติในการอ่านภาษาอังกฤษ กลยุทธ์การอ่านภาษาอังกฤษ ความคงทนในการอ่าน
ภาษาองั กฤษ การรู้จักกากบั ตนเอง (Self-regulated learning) เป็นต้น

617

2. ควรนารูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานไปพัฒนาความสามารถในการอ่านและการ
เขียนอังกฤษควบคู่กันไป ซ่ึงการเรียนรู้แบบผสมผสานน้ันสามารถช่วยฝึ กฝนทกั ษะการอ่านและ
ทกั ษะการเขียนควบคู่กนั ไปได้

บรรณานุกรม

กัลยาณี ตันตรานนท์ และ วิลาวัณย์ เตือนราษฎร์. (2560). ผลของการจัดการเรียนการสอน
แบบผสมผสานต่อผลลพั ธ์ในการเรียนรูใ้ นกระบวนวิชาวทิ ยาการระบาด. พยาบาล
สาร, 44 (3), 144-152.

บุญเลิศ วงศ์พรม. (2559). ภาษาอังกฤษเด็กไทยไม่กา้ วหนา้ ปัญหาอยู่ที่ใคร?. สืบค้น 21
มิถุนายน 2563, จาก https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/637424

พรพิมล ศุขะวาที. (2558). การใชก้ ลยุทธ์การอ่านเพอื่ พฒั นาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเชิง
วิจารณ์โดยผ่านการเรียนแบบผสมผสานของนิสิตครุ ศาสตร์เอกภาษาอังกฤษ .
วารสารครุศาสตร์, 45 (2), 72-89.

พัทธพล ฟ้ ุงจันทึก. (2553). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บ วิชาฮาร์ดแวร์และ
ยทู ิลิต้ ีเบ้ ืองตน้ (วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตร์อุตสาหกรรมมหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ
: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.

ลภสั ปาลิน ใจธรรม. (2558). การเรียนรูแ้ บบผสมผสานกรณศี ึกษา: โรงเรียนศิริวงั วิทยาคาร.
(สารนิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี
มหานคร.

ศิริรัตน์ เพ็ชร์แสงศรี. (2555). การเรียนแบบผสมผสานและการประยุกต์ใช้ Blended
Learning and Its Applications. วารสารครุศาสตร์อตุ สาหกรรม, 11 (1), 1-5.

สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน. (2552).
ตัวช้ ีวัดและสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพ้ นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
ชุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จากดั .

สุนีย์ สันหมุด. (2552). ปั ญหาด้านการอ่ าน . สืบค้ น 28 สิงหาคม 2554 , จาก
http://www.gotoknow.org/

Graham, G., & Kalela, R. ( 2 0 0 2 ) . Introduction to hybrid courses. Teaching with
Technology Today. Retrieved 2 October 2019, from http:/www.uwsa.edu/
tttlarticles garnham2.htm.

Lee, J. F. (1 9 9 9 ) . Clashes in L2 reading: Research versus practice and readers’
misconceptions. In D. J. Young (Eds.), Affect in foreign language and second

618

language learning: A practical guide to creating a low-anxiety classroom
atmosphere Boston: McGraw-Hill. pp. 49-63.
MacIntyre, P. D. (1995). Language anxiety: A review of the research for language teachers.
In D. J. Young (Eds.), Affect in foreign language and second language learning:
A practical guide to creating a low-anxiety classroom atmosphere Boston:
McGraw-Hill. pp.24-46.

619

การพฒั นาความยดึ มนั่ ผูกพนั ของผูเ้ รียนและความสามารถในการเรียนรูค้ าศพั ท์
ภาษาจีนของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4 ผา่ นกจิ กรรมเชิงสรา้ งสรรค์

The Development of Learners’ Engagement and Chinese Vocabularies
Ability of Mathayomsuksa 4 Students through Creative Activities

ลลนา เลิศจิระวงศ1์
ไพทยา มสี ตั ย2์

บทคดั ย่อ
การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ1)พัฒนาความยึดม่ันผูกพันของผู้เรียนต่อการเรียน
ภาษาจีนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่4ี ผ่านกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ 2)พัฒนาความสามารถในการ
เรียนรู้คาศัพท์ภาษาจีนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี4 ผ่านกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ 3) เพ่ิม
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาภาษาจีนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี4 ผ่านกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์
4)ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี4 ท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมเชิง
สร้างสรรค์ ตัวอย่างท่ใี ช้ในการวิจัย คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี4 ปี การศึกษา 2562 จานวน 1
ห้องเรียนจานวน 19 คน โรงเรียนนวมนิ ทราชินูทศิ หอวัง นนทบุรี จังหวัดนนทบุรี โดยการเลือกแบบ
เจาะจง (Purposive sampling) เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ภาษาจีนโดย
ใช้กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ 2)แบบประเมินความยึดม่ันผูกพันของผู้เรียน 3) แบบทดสอบวัด
ความสามารถในการเรียนรู้คาศัพท์ 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาภาษาจีน
5)แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี4 ท่มี ีต่อกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ การ
วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉล่ีย ร้อยละ สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เน้ือหา
ผลการศึกษาสรุปได้ดังน้ี
1) ผลการพัฒนาความยดึ ม่ันผูกพันของผู้เรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4 ท่มี ีต่อ
การเรียนภาษาจีน ผ่านกจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์ พบว่าภาพรวมนักเรียนมีความยดึ ม่นั ผูกพันอยู่ในระดับ
มาก ( = 4.18, S.D = 0.11)
2) ความสามารถในการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาจีนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4 ผ่าน
กจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนจานวน 19 คน พบว่า การวัดความสามารถในการเรียนรู้คาศัพท์

1 นกั ศึกษามหาบณั ฑติ สาขาหลกั สตู รและการสอน วิทยาลัยครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรุ กจิ บณั ฑติ
2 อาจารยท์ ่ปี รกึ ษาวิทยานิพนธ์

620

ภาษาจีนคร้ังท่ี 1 มีนักเรียนผ่านเกณฑจ์ านวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 63 การวัดความสามารถในการ
เรียนรู้คาศัพท์ภาษาจีนคร้ังท่ี 2 มีนักเรียนผ่านเกณฑ์จานวน 18 คน คิดเป็ นร้อยละ 94.47 เม่ือ
พิจารณาคะแนนเฉล่ียพบว่า การวัดความสามารถในการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาจีนคร้ังท่ี 1 นักเรียนมี
คะแนนเฉล่ีย 16.68 คะแนน คิดเป็ นร้อยละ 83.42 การวัดความสามารถในการเรียนรู้คาศัพท์
ภาษาจีนคร้ังท่ี 2 นักเรียนมีคะแนนเฉล่ีย 18.89 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 94.47

3) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้วิชาภาษาจีนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4 ผ่านกจิ กรรม
เชิงสร้างสรรค์ พบว่า มีนักเรียนสามารถได้คะแนนผ่านเกณฑท์ ่ตี ้ังไว้ท่รี ้อยละ 80 จานวน 17 คน คิด
เป็นร้อยละ 89.47

4) ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่4ี ผ่านกจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์นักเรียนมี
ความพึงพอใจอยู่ในระดบั มากท่สี ดุ (x=̄ 4.46, S.D. = 0.65)

คาสาคัญ: ความยึดม่ันผูกพันของผู้เรียน,ความสามารถในการเรียนรู้คาศัพท์,ภาษาจีน,กิจกรรมเชิง
สร้างสรรค์

ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา
ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นประเทศท่มี ีบทบาทสาคญั ต่อการพัฒนาเศรษฐกจิ โลก

และเป็นประเทศสาคญั ท่เี ข้ามาลงทุนการค้า และอตุ สาหกรรมการทอ่ งเท่ยี วในประเทศไทย ด้วยเหตุน้ี
ภาษาจีนจึงถือเป็นภาษาต่างประเทศท่สี าคญั อกี ภาษาหน่ึงท่ชี าวไทยต้องการจะศึกษา เพ่ือผลประโยชน์
ในการทางาน การค้า และการลงทุน ด้วยความสาคัญของภาษาจีนทาให้โรงเรียนและมหาวิทยาลัย
ต่างๆ ในประเทศไทยให้ความสาคัญต่อการจัดการเรียนการสอนภาษาให้แก่นักเรียนชาวไทย อย่างไร
กต็ ามการจะประสบความสาเรจ็ ในการเรียนภาษาจีนในฐานะภาษาต่างประเทศไม่ใช่เร่ืองง่าย อาจด้วย
เพราะอักษรจีนเป็นอักษรภาพ ดังน้ันการจะเรียนรู้จดจาคาศัพท์ภาษาจีนเพ่ือเป็นพ้ืนฐานของทกั ษะ
การส่ือสารจึงเป็นส่ิงท่ีซับซ้อนและยากสาหรับผู้เรียน นอกจากน้ีจากการศึกษารายงานการวิจัยเพ่ือ
พัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทยของ วิภาวรรณ สนุ ทรจามร (2559) พบว่า การเรียน
การสอนภาษาจีนในประเทศไทยมปี ัญหาและอุปสรรคหลายด้าน ได้แก่ ด้านการบริหารและการจัดการ
ด้านหลักสูตร ด้านการส่ือการสอน ด้านสถานท่ี ด้านผู้สอน ด้านผู้เรียน และด้านความร่วมมืออัน
สง่ ผลต่อผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนภาษาจีนของนักเรียน

เน่ืองจากปัจจุบันการเรียนรู้ท่เี น้นผู้เรียนเป็นหลัก ปัญหาด้านผู้เรียนจึงเป็นปัญหาท่ผี ู้สอน
จาเป็น ต้องเร่งแก้ไข ปัญหาด้านผู้เรียนท่ีพบมากในช้ันมัธยมศึกษา คือการท่ีนักเรียนขาดแรงจูงใจ
และมีทัศนคติท่ไี ม่ดีต่อภาษาจีนและการเรียนภาษาจีน แม้ว่าการเรียนภาษาจีนจะได้ประโยชน์แต่ก็

621

ยากกว่าท่ีจะเรียนได้ผล และเม่ือคิดว่ายากแล้วก็จะหมดแรงจูงใจและขาดความกระตือรือร้นในการ
เรียน

ดังน้ันการจะให้ผู้เรียนปรับทศั นคติท่มี ีต่อการเรียนภาษาจีนจึงเป็นการแก้ปัญหาการเรียน
อย่างตรงจุด การแก้ปัญหาน้ีจาเป็ นต้องพัฒนาความยึดม่ันผูกพันของผู้เรียนก่อนเป็ นสาคัญ จาก
การศึกษาของ Lutz & Culver (2010)ใบทความเร่ือง The National Survey of Student Engagement
พบว่า ถ้าอาจารย์มีการเรียนการสอนท่ีเน้นการทากิจกรรมท่ีหลากหลาย นักศึกษากจ็ ะสนใจเข้าร่วม
กจิ กรรม และมีแรงจูงใจท่จี ะเรียนการสอน ทาให้นักเรียนมีพัฒนาความยดึ ม่นั ผูกพันเพ่ิมมากข้นึ

แนวคิดการจัดการเรียนรู้ท่ใี ช้กิจกรรมของ McGrath & MacEwan (2011) ได้เสนอแนะ
ประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้ท่ใี ช้กิจกรรมไว้ว่า ผู้เรียนจะมีความกระตือรือร้นในการมีส่วนร่วมและ
เรียนรู้ผ่านการลงมือทา อันช่วยพัฒนาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เช่นเดียวกับ
Bonwell & Eison, (1991)ได้อธิบายแนวคิดของการเรียนรู้ท่ีใช้กิจกรรมไว้ว่า เป็นการเรียนรู้ท่ีเปิ ด
โอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมอื กระทาและได้ใช้กระบวนการคดิ ผู้เรียนมสี ว่ นร่วมในช้ันเรียนมากย่งิ ข้นึ อนั ทา
ให้ปฏสิ มั พันธร์ ะหว่างผู้เรียนกบั ผู้เรียนด้วยกนั และผู้เรียนกบั ผู้สอนเพ่ิมมากข้นึ ตามไปด้วย การจัดการ
เรียนรู้ท่ใี ช้กิจกรรมมีหลายแบบ แต่ในงานวิจัยน้ีผู้วิจัยเลือกท่จี ะทดลองการจัดการเรียนการสอนด้วย
กจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์

กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ เป็ นกิจกรรมท่ีนาความรู้เก่ียวกับการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์และ
ห้องเรียนสร้างสรรค์มาใช้ โดนนารูปแบบ The Four P's of Creative Learning ของ Mitchel Resnick
(2007) ซ่ึงประกอบ ด้วย Project , Peers, Passion , และ Play

ผู้วิจัยได้นากจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์ ในรูปแบบ The Four P's of Creative Learning (4 Ps)
มาใช้กับการจัดการเรียนวิชาภาษาจีน เพ่ือพัฒนาความยึดม่ันผูกพันของผู้เรียนและความสามารถใน
การเรียนรู้คาศัพท์ภาษาจีนด้วยแนวคิดท่ีว่า การจะเพ่ิมความยึดม่ันผูกพันของผู้เรียนและ
ความสามารถในการเรียนรู้คาศัพทภ์ าษาจีน น้ันควรเร่ิมจากการจัดการเรียนการสอนท่ีสามารถจูงใจ
ผู้เรียน นอกจากน้ีกิจกรรมท่ีเลือกใช้ต้องเปิ ดโอกาสผู้เรียนสามารถฝึ กฝนควบคู่กับการเรียนรู้ ท่ี
นาไปสู่การเรียนท่ีพ่ึงตัวเองได้(Learner–Independence) และยังช่วยให้สามารถเกิดการเรียนรู้ได้
ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) กรมวิชาการ(2544) อันนาไปสู่การใช้ทักษะทางภาษาให้ถูกต้อง
คล่องแคล่ว เหมาะสม และใช้ได้จริง

วิธีการจัดการเรียนการสอนท่เี หมาะสมในการเพ่ิมความยึดม่ันผูกพันของผู้เรียน และเพ่ิม
ความสามารถในการเรียนรู้คาศัพทข์ องผู้เรียน ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์
เป็นวิธีการเรียนท่ีเหมาะสม เน่ืองจากเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีนักเรียนได้เรียนรู้ผ่านกิจกรรมท่ีครู
ออกแบบด้วยจุดมุ่งหมายท่ีจะให้น่าสนใจ เกิดความสนุกสนาน และไม่น่าเบ่ือหน่าย ซ่ึงเป็นการเพ่ิม
ความยึดม่ันผูกพันของผู้เรียนให้มีความสนใจต่อการเรียนภาษาจีนในห้องเรียน รวมท้งั ยังเป็นวิธกี าร

622

สอนท่ีสนับสนุน ส่งเสริมและเปิ ดโอกาสให้ผู้เรียนได้ร่วมกจิ กรรม ซ่ึงถือเป็นการเรียนด้วยการลงมือ
ปฏบิ ัติ ได้ฝึกทกั ษะการฟัง พูด อ่านเขยี น และสามารถนาคาศัพทท์ ่เี รียนไปใช้เพ่ือการส่อื สาร

วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั
1.เพ่ือพัฒนาความยึดม่ันผูกพันของผู้เรียนต่อการเรียนภาษาจีน ผ่านกิจกรรมเชิง

สร้างสรรค์
2.เพ่ือพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้คาศัพทภ์ าษาจีน ผ่านกจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์
3.เพ่ือเพ่ิมผลผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาภาษาจีน ผ่านกจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์
3.เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้ ผ่านกิจกรรมเชิง

สร้างสรรค์

สมมติฐานการวิจยั
1. นักเรียนมีความยึดม่นั ผูกพันของผู้เรียนในการเรียนภาษาจีน อยู่ในระดับมาก
2. นักเรียนมีความสามารถในการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาจีน มีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80
ของ คะแนนเตม็
3. นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาภาษาจีน มีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ของ
คะแนนเตม็
4. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนภาษาจีน ผ่านกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ อยู่ในระดับ
มาก

ขอบเขตการศึกษา
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรท่ีใช้ในการศึกษาค้นคว้าคร้ังน้ี คือ นักเรียนแผนการเรียนอักษรศาสตร์ นิเทศ

ศาสตร์ช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 4ปี การศึกษา 2562โรงเรียนนวมินทราชินูทศิ หอวังนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี
นักเรียนท้งั ส้นิ 89 คน

กลุ่มตวั อย่าง
กลุ่มตัวอย่างท่ใี ช้ในการวิจัยคร้ังน้ีคือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4 ปี การศึกษา 2562 ท่ี
เรียนวิชาภาษาจีน จานวน 1 ห้องเรียนจานวน 19 คน โรงเรียนนวมินทราชินูทศิ หอวัง นนทบุรี จังหวัด
นนทบุรี โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling)

623

ตวั แปรท่ใี ช้ในการศึกษา
ตัวแปรต้น กจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์
ตัวแปรตาม 1.ความยึดม่นั ผูกพันของผู้เรียนในการเรียนภาษาจีนของนักเรียน
ช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 4
2.ความสามารถในการเรียนรู้คาศัพทภ์ าษาจีนของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปี ท่ี 4
3.ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาภาษาจีนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา
ปี ท่ี 4
4.ความพึงพอใจของผู้เรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4 ต่อการเรียน
ภาษาจีนโดยใช้กจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์

ขอบเขตด้านเน้ือหา
เน้ือหาท่ใี ช้ในการศึกษาค้นคว้าพิจารณาจากคาศัพทท์ ่เี ก่ยี วข้องกบั เน้ือหาในหน่วยการเรียนรู้
ในจากหนังสอื เรียนภาษาจีน 发展汉语 3 หน่วยการเรียนรู้ หน่วยละ 6 ช่ัวโมง รวมเวลา 18 ช่ัวโมง
ดงั น้ี 1) บทท่ี 19 暖气还没有修好(The Central Heating Has Not Been Fixed Yet) 2)บท
ท่ี 20 快餐可以送到家里 Fast food Can Be Delivered Home) 3)บทท่ี 21 我把袋子
放在桌子上了 (I Put The bag on The Table)
ระยะเวลาในการวิจัย
ระยะเวลาท่ใี ช้ทดลองในภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 ดาเนินการสอนท้งั ส้นิ จานวน 3
สปั ดาห์ สปั ดาห์ละ 6 ช่ัวโมง รวมเป็นระยะเวลา 18 ช่ัวโมง
เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการวิจัย
1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์
2. แบบประเมินความยึดม่นั ผูกพันของผู้เรียน
3. แบบทดสอบวัดความสามารถในการเรียนรู้คาศัพท์
4. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาภาษาจีน
5. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่4ี ท่มี ตี ่อกจิ กรรมเชิง

สร้างสรรค์

624

การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
ผู้วิจัยได้ดาเนินการทดลองสอนกับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4 โรงเรียนนวมินทราชินูทศิ

หอวังนนทบุรี โดยได้ดาเนินการทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมูลด้วยตนเองตามข้นั ตอนดงั ต่อไปน้ี
1. อธิบายและช้ีแจงกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้ กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ในรายวิชา
ภาษาจีนให้นักเรียนเข้าใจ
2. ดาเนินการสอนโดยใช้กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ 3 หน่วยการเรียนรู้ หน่วยละ 6 ช่ัวโมง
รวมเวลา 18 ช่ัวโมง หลังจากทาการสอนจบหน่วยการเรียนรู้ 1 และ 3 ผู้วิจัยทาการ
ทดสอบวัดความสามารถด้านคาศัพท์ คะแนนเต็ม 20 คะแนน โดยใช้ แบบแบบวัด
ความสามารถในการเรียนรู้คาศัพท์
3. หลังจัดการเรียนรู้ครบท้งั 3 หน่วยการเรียนรู้ นักเรียนได้ทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนวิชาภาษาจีน โดยใช้แบบทดสอบแบบปรนัย จานวน 40 ข้อ
4. หลังจัดการเรียนรู้ครบท้งั 3 หน่วยการเรียนรู้ได้มีการประเมินความยึดม่ันผูกพันโดยให้
นักเรียนประเมินความยึดม่ันผูกพันของผู้เรียน และผู้สอนประเมินความยึดม่ันผูกพัน
ของผู้เรียน
5. นักเรียนทาแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการกจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์
6. นาข้อมูลท่รี วบรวมได้ท้งั หมดมาวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้วิธกี ารทางสถติ ิ

การวิเคราะหข์ อ้ มูล
การวิเคราะห์ข้อมูลผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูล ท่ไี ด้จากการดาเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมูลดงั น้ี
1. วิเคราะห์ความยดึ ม่นั ผูกพันของผู้เรียนต่อกจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์ โดยใช้ ค่าเฉล่ีย ( )
และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.)
2. วิเคราะห์ผลการวัดความสามารถในการเรียนรู้คาศัพท์ โดยใช้ค่าร้อยละ (Percentage)
3. วิเคราะห์ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาภาษาจีน โดยใช้ค่าร้อยละ (Percentage)
4. วิเคราะห์ความพึงพอใจต่อการเรียนการกจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์ โดยใช้ค่าเฉล่ีย( ) และ
สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.)
5. สรุปและอภิปรายผล

สรุปผลการวิจยั
ตอนที่ 1 ผลการศึกษาความยึดม่นั ผูกพันของผู้เรียนท่มี ตี ่อการเรียนภาษาจีนของนักเรียนช้ัน
มธั ยมศึกษาปี ท่ี 4 ผ่านการใช้กจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์

1) เม่อื พิจารณาค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของความยดึ ม่นั ผูกพันของผู้เรียน ท่มี ี
ต่อการเรียนภาษาจีนโดยใช้กจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์ ของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 4 ของนักเรียน

625

จานวน 19 คน พบว่า ภาพรวมมคี วามยดึ ม่นั ผูกพันของผู้เรียนอยู่ในระดบั มาก ( = 4.16, S.D. =
0.77) เม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน เรียงลาดบั ค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย คือ ด้านอารมณ์ความรู้สกึ (
= 4.31, S.D. = 0.65) อยู่ในระดบั มาก ด้านพฤติกรรม ( = 4.02, S.D. = 0.85) อยู่ในระดบั มาก
ตามลาดบั

แผนภมู ิ 1 แสดงค่าเฉล่ียและสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานของผลความยดึ ม่นั ผูกพันของผู้เรียน นักเรียนช้ัน
มธั ยมศึกษาปี ท่ี 4 ผ่านกจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์

2) เม่อื พิจารณาค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของความยึดม่นั ผูกพันของผู้เรียน ท่มี ี
ต่อการเรียนภาษาจีนโดยใช้กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ด้วยการประเมินโดยผู้สอน พบว่า นักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปี ท่ี 4 โดยใช้กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ นักเรียนจานวน 19 คน ภาพรวมความยึดม่ันผูกพัน
ของผู้เรียนอยู่ในระดบั มาก ( = 4.19, S.D. = 0.63) เม่อื พิจารณาเป็นรายด้านคือ ด้านพฤติกรรม (

= 4.19, S.D. = 0.66) อยู่ในระดับมากท่สี ดุ และด้านอารมณ์ความรู้สกึ ( = 4.18, S.D. = 0.63)
อยู่ในระดบั มากตามลาดบั

626

แผนภมู ิ 2 แสดงค่าเฉล่ียและสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานของผลความยึดม่นั ผูกพันของผู้เรียนโดยผู้สอน
ของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 4 ผ่านกจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์

3) เม่อื พิจารณาค่าเฉล่ียความยึดม่นั ผูกพันจากผู้เรียนและผู้สอน ( = 4.18, S.D = 0.11)
ความยึดม่ันผูกพันอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาเป็ นรายด้าน ค่าเฉล่ียความยึดม่ันผูกพันด้าน
พฤติกรรม ( = 4.10,S.D = 0.13) อยู่ในระดับมาก และค่าเฉล่ียความยึดม่ันผูกพันด้านอารมณ์
ความรู้สกึ ( = 4.25,S.D = 0.09) อยู่ในระดับมากท่สี ดุ

แผนภมู ิ 3 แสดงการเปรียบเทยี บค่าเฉล่ียของผลความยึดม่ันผูกพันของผู้เรียนโดยผู้เรียนและโดย
ผู้สอนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4 ผ่านกจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์

627

ตอนที่ 2 ผลการศึกษาความสามารถในการเรียนรู้คาศัพทภ์ าษาจีนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่4ี
ผ่านกจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์

ความสามารถในการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาจีนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4 ผ่าน
กจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนจานวน 19 คน พบว่า การวัดความสามารถในการเรียนรู้คาศัพท์
ภาษาจีนคร้ังท่ี 1 มีนักเรียนผ่านเกณฑจ์ านวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 63.36 การวัดความสามารถใน
การเรียนรู้คาศัพทภ์ าษาจีนคร้ังท่ี 2 มีนักเรียนผ่านเกณฑจ์ านวน 18 คน คิดเป็นร้อยละ 94.47 และ
เม่ือพิจารณาคะแนนเฉล่ียพบว่า การวัดความสามารถในการเรียนรู้คาศัพทภ์ าษาจีนคร้ังท่ี 1 นักเรียน
มีคะแนนเฉล่ีย 16.68 คะแนน คิดเป็ นร้อยละ 83.42 การวัดความสามารถในการเรียนรู้คาศัพท์
ภาษาจีนคร้ังท่ี 2 นักเรียนมีคะแนนเฉล่ีย 18.89 คะแนน คดิ เป็นร้อยละ 94.47

แผนภมู ิ 3 แสดงผลความสามารถในการเรียนเรียนรู้คาศพั ทภ์ าษาจีนของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 4
ผ่านกจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์
ตอนที่ 3 การศึกษาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนรู้วิชาภาษาจีนของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 4 ผ่าน
กจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์

แผนภูมิ 4 แสดงร้อยละของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาภาษาจีนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4
ผ่านกจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์

628

เม่ือพิจารณาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 35.05 คิดเป็นร้อยละ 87.63
เม่ือเปรียบเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ80 ของคะแนนเตม็ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4 มีผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนรู้วิชาภาษาจีนมคี ะแนนผ่านเกณฑร์ ้อยละ 80 จานวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 89.47 และ
นักเรียนท่มี ีคะแนนไม่ผ่านเกณฑจ์ านวน 2 คน คดิ เป็นร้อยละ 10.53

แผนภมู ิ 5 แสดงร้อยละของจานวนนักเรียนท่ผี ่านและไม่ผ่านเกณฑผ์ ลสมั ฤทธ์เิ ป็นของนักเรียนช้ัน
มธั ยมศึกษาปี ท่ี 4 ผ่านกจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์
ตอนที่ 4 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4 ท่มี ตี ่อการจัดการเรียนรู้ผ่าน
กจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์

เม่ือพิจารณาผลการศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนรู้วิชาภาษาจีนของนักเรียน ช้ัน
มัธยมศึกษาปี ท่ี 4 ผ่านกจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียนจานวน 19 คน พบว่าโดยภาพรวมมีความ
พึงพอใจอยู่ในระดับมากท่ีสุด ( = 4.46, S.D. = 0.65) เม่ือพิจารณาเป็ นรายด้าน เรียงลาดับ
ค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย คือด้านส่ือการเรียนรู้ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากท่สี ุด ( = 4.45,
S.D. = 0.66) ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ และ ด้านประโยชน์ท่ีได้รับ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
คอื ( = 4.44, S.D. = 0.41)และ( = 4.38, S.D. = 0.6) ตามลาดบั

629

แผนภมู ิ 6 แสดงระดับความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 4 ท่มี ีต่อกจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์

อภิปรายผล
จากการการวิจัยเร่ืองการพัฒนาความยึดม่ันผูกพันของผู้เรียนและความสามารถในการ

เรียนรู้คาศัพท์ภาษาจีนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4 ผ่านกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ สามารถ
อภปิ รายผลได้ดังน้ี

ตอนท่1ี ผลการศึกษาความยึดม่ันผูกพันของผู้เรียนต่อการเรียนภาษาจีนของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปี ท่ี 4 ผ่านกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ พบว่าความยึดม่ันผูกพันเฉล่ียในภาพรวม ( = 4.18
,S.D = 0.11) ความยึดม่นั ผูกพันอยู่ในระดบั มาก ท้งั น้ีเน่ืองจากการจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาจีน
ผ่านกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมท่มี ีองค์ประกอบ 4 ส่วน หรือ 4 Ps คือ 1) Project คือ การ
สร้างผลงานหรือช้ินงาน 2) Peers คือ การทากจิ กรรมร่วมกับเพ่ือน 3)Passion คือ แรงปรารถนาใน
การส่ิงท่ีรักให้สาเร็จ และ 4) Play คือ การเล่นซ่ึงเป็ นกิจกรรมท่ีนักเรียนได้ลงมือปฏิบัติและเป็ น
แรงจูงใจให้นักเรียนมีความยึดม่ันผูกพันสูงข้ึน องค์ประกอบ 4 Ps น้ี ถือว่าเป็ นเคร่ืองมือสาคัญ
เสริมสร้างความยึดม่นั ผูกพันของผู้เรียน ดงั ท่Bี arkley (2010)ได้กล่าวถงึ องคป์ ระกอบหลักของความ
ยึดม่ันผูกพันของผู้เรียนประกอบ 2 ส่วน คือ แรงจูงใจ (Motivation) และการเรียนรู้เชิงรุก(Active
Learning)เม่ือมีองค์ประกอบครบท้ังสองอย่าง จะเกิดการเรียนรู้เพ่ือการเปล่ียนแปลง
(Transformative Learning) ทาให้พฤติกรรมของนักเรียน มีการเปล่ียนแปลงไป และสอดคล้องกับ
Skinner & Belmont(1993) ท่ไี ด้อภิปรายพ้ืนฐานของการเรียนรู้โดยมีความผูกพันไว้ว่า หากผู้เรียนมี
ความยึดม่ันผูกพันการเรียนรู้ผู้เรียนจะเกิดแรงจูงใจอนั ส่งผลให้กระบวนการเรียนรู้จะดาเนินไปอย่าง
รวดเรว็ และประสบความสาเรจ็

ตอนท่ี2 ผลการศึกษาความสามารถในการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาจีนของนักเรียนช้ัน
มธั ยมศึกษาปี ท่ี 4 ผ่านกจิ กรรมเชิงสร้างสรรคข์ องนักเรียนจานวน 19 คน พบว่า การวัดความสามารถ

630

ในการเรียนรู้คาศัพทภ์ าษาจีนคร้ังท่ี 1 มนี ักเรียนผ่านเกณฑจ์ านวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 63 การวัด
ความสามารถในการเรียนรู้คาศัพทภ์ าษาจีนคร้ังท่ี 2 มีนักเรียนผ่านเกณฑจ์ านวน 18 คน คิดเป็นร้อย
ละ 94.47 เม่ือพิจารณาคะแนนเฉล่ียพบว่า การวัดความสามารถในการเรียนรู้คาศัพทภ์ าษาจีนคร้ังท่ี
1 นักเรียนมีคะแนนเฉล่ีย 16.68 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 83.42 การวัดความสามารถในการเรียนรู้
คาศัพทภ์ าษาจีนคร้ังท่ี 2 นักเรียนมคี ะแนนเฉล่ีย 18.89 คะแนน คดิ เป็นร้อยละ 94.47

ผลการศึกษาน้ีสามารถอภิปรายได้ว่า จากการท่นี ักเรียนได้ลงมือปฏิบัติผ่านกิจกรรมเชิง
สร้างสรรค์ ท่มี อี งศ์ประกอบ 4 Ps ทาให้ผู้เรียนจดจาส่งิ ท่เี รียนได้มากข้นึ อนั ส่งผลให้ผลคะแนนสูงข้ึน
สอดคล้องกบั งานวิจัยของ Hidayat (2016)ท่ใี ช้เกมอนั ถือว่าเป็นกจิ กรรมท่มี ีลักษณะ 4 Ps เช่นกนั ท่ี
พบว่าผู้เรียนมีพัฒนาการความสามารถทางคาศัพท์สูงข้ึนอย่างมีนัยสาคัญ นอกจากน้ีงานวิจัยของ
Letrud (2012) ยังได้กล่าวถึงประสิทธิภาพของการเรียนรู้แบบการทากิจกรรมแบบปฏิบัติเอง
(Practice doing) ว่าสามารถช่วยให้ผู้เรียนจดจาส่งิ ท่เี รียนโดยเฉพาะคาศัพท์ และไวยากรณ์ได้ถึงร้อย
ละ 75 ของส่งิ ท่ไี ด้เรียนรู้

ตอนท่3ี ผลศึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนรู้วิชาภาษาจีนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4
โดยใช้กจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์ พบว่าจานวนนักเรียนท่ีผ่านเกณฑ์มีถึง 17 คน คิดเป็นร้อยละ 89.47
อนั แสดงถึงกจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์สามารถพัฒนาสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผู้เรียนสูงข้ีนFredricks et
al (2004) ได้เสนอว่าความยึดม่ันผูกพันทางพฤติกรรม Behavioral Engagement เป็ นตัวทานาย
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนท่ีดีท่ีสุด และถือว่าเป็ นตัวบ่งช้ีความสาเร็จในการเรียนรู้ของผู้เรียน
Lee(2014) ผู้เสนอนโยบายทางการศึกษาได้แนะนาว่า นักการศึกษา นักวิจัยชุมชน ควรให้
ความสาคัญและมุ่งเสร้างเสริมความยึดม่ันผูกพันของผู้เรียนให้เกิดข้ึนในช้ันเรียน เพราะความยึดม่ัน
ผูกพันของนักเรียนเป็นตวั ทานายสาคัญต่อผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน

ตอนท่ี 4 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4 โดยใช้กจิ กรรมเชิง
สร้างสรรค์พบว่า โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากท่สี ุด ( = 4.46, S.D. = 0.65)อัน
เน่ืองมาจาก กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์เป็นกิจกรรมท่ีมีองศ์ประกอบ 4Ps ได้แก่ 1) Project การสร้าง
ผลงานหรือช้ินงาน 2) Peers การทากิจกรรมร่วมกับเพ่ือน 3) Passion การสร้างให้ผู้เรียนมีแรง
ปรารถนาอันแรงกล้าในทาส่งิ ท่รี ักให้ประสบความสาเรจ็ และ4) Play การเล่นเป็นการได้ทากจิ กรรม
ด้วยความสนุกสนาน Liu, E et al (2012) การได้คิด ได้ทดลองส่ิงใหม่ๆ นอกกรอบเดิมๆ อัน
ก่อให้เกิดความอยากรู้อยากเหน็ ความสนุก และเกิดแรงจูงใจท่ีจะเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ดังท่ี
เสกสรร ธรรมวงศ์ (2541) กล่าวถึงความพึงพอใจว่าว่า การท่บี ุคคลจะเรียนรู้หรือมีพัฒนาการและ
ความเจริญงอกงามน้ันบุคคลจะต้องอยู่ในสภาวะพึงพอใจ สุขใจ เป็นเบ้ืองต้น น่ันคือ บุคคลจะต้อง
ได้รับการจูงใจท้งั ในลักษณะนามธรรมและรูปธรรม ท้งั น้ียังสอดคล้องกบั ความยึดม่ันผูกพันกบั ความ

631

พึงพอใจในการเรียน Cheonh & Ong (2016)กล่าวคอื หากนักเรียนมคี วามยึดม่นั ผูกพันมากข้ึนจะมี
ความพึงพอใจในการเรียนสงู ข้นึ

ขอ้ คน้ พบในการวิจยั
การศึกษาการพัฒนาความยึดม่ันผูกพันของผู้เรียน และความสามารถในการเรียนรู้

คาศัพท์ภาษาจีนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4 ผ่านกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์น้ัน กิจกรรมเชิง
สร้างสรรค์เป็นการเรียนรู้ท่ที าให้ผู้เรียนเกิดความยึดม่ันผูกพันในการเรียนรู้ ทาให้ผู้เรียนมีการเรียนรู้
คาศัพท์ภาษาจีนได้ดีย่ิงข้ึน ท้ังน้ีทาให้ทราบว่าความยึดม่ันผูกพันของผู้เรียนมีความสาคัญอย่างย่ิง
เพราะความยึดม่ันผูกพันท่ีผู้เรียนมีน้ันเป็ นตัวบ่งช้ีทานายถึงอนาคตของการเรียนรู้ ซ่ึงความยึดม่ัน
ผูกพันจะเกิดข้ึนได้น้ันต้องประกอบด้วยสองส่วนคือการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ซ่ึงในการ
วิจัยคร้ังน้ีผู้วิจัยเลือกใช้กจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์ และส่วนท่สี องคือแรงจูงใจ ซ่ึงเกิดจากการใช้กจิ กรรม
เชิงสร้างสรรค์ท้งั น้ีนอกจาก สองส่วนน้ีแล้วกจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์ยังช่วยส่งเสริมให้เกดิ Passion อนั
เป็นเป็นความปรารถนาในการทาส่ิงท่ีรักให้ประสบความสาเรจ็ และเม่ือพิจารณาความยึดม่ันผูกพัน
ด้านอารมณ์ความรู้สึกของผู้เรียนกพ็ บว่า นักเรียนมีความใคร่รู้ในวิชาน้ี(Curiosity)มีความยึดม่ัน
ผูกพันอยู่ในระดับมาก Dindari & Bayrakci (2015) กล่าวว่า ความอยากรู้อยากเหน็ หรือความใคร่รู้
ในการเรียนรู้น้ี ถอื เป็นหัวใจของการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life Long Learning)

ขอ้ เสนอแนะ
ข้อเสนอแนะเพ่ือการนาไปใช้
1.ถึงแม้รูปแบบ 4Ps สามารถนามาใช้ในกจิ กรรมการเชิงสร้างสรรค์ได้ดี แต่อาจต้องคานึง

ปัจจัยด้านหัวข้อ และธรรมชาตขิ องเน้ือหาด้วย เพ่ือให้การจัดการเรียนการสอนมีความเหมาะสม
2.กจิ กรรมเชิงสร้างสรรค์น้ันท่นี ามาใช้ควรเลือกสรรตามความเหมาะสมกับวัยและความรู้

ของผู้เรียน เพ่ือให้เกดิ ประสทิ ธภิ าพในการเรียนรู้สงู สดุ
3.เวลาในการจัดการเรียนรู้ในแต่ละคร้ังควรมเี วลาประมาณ 2 ช่ัวโมง เพ่ือให้ผู้เรียนมีเวลา

เรียนรู้ควบคู่ไปกบั การปฏบิ ัติ และกจิ กรรมได้อย่างเตม็ ท่ี
4.กจิ กรรมการเรียนการสอนด้วยกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์บางกจิ กรรมอาจไม่เหมาะสมกับ

นักเรียนทุกคน เน่ืองจากนักเรียนแต่ละคนน้ันมีรูปแบบแตกต่างกันไป (Individual Differences)
ดังน้ันการทาแบบสารวจความคิดเหน็ ของผู้เรียนรายบุคคล และการสังเกตการณ์จากครูผู้สอนจึงมี
ความสาคญั ต่อการจัดกจิ กรรม

ข้อเสนอแนะในการวิจัยคร้ังต่อไป

632

1.การศึกษาการพัฒนาความยึดม่ันผูกพันของผู้เรียนในระยะยาว (Longitude research)
อย่างน้อยหน่ึงภาคเรียน

2.การศึกษาและวิจัยระยะยาวท่เี ก่ียวกับปัจจัยการเสริมสร้างความใคร่รู้ (Curiosity) ท่มี ี
ต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต

633

บรรณานุกรม

กรมวิชาการ.(2544).หลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน. พิมพ์คร้ังท่ี 2. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
องคก์ ารรับส่งสนิ ค้าและพัสดุภัณฑ.์

วิภาวรรณ สุนทรจามร.(2559).รายงานการวิจัยเพ่ือพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทย
สงั เคราะห์ภาพรวม สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร
เสกสรร ธรรมวงศ์.(2541).ความพึงพอใจของนักศึกษาผู้ใหญ่ท่มี ีต่อการให้บริการด้านการเรียนการ

สอนสายสามัญระดับประถมศึกษา : ศึกษากรณีโรงเรียนผู้ใหญ่สตรีบางเขน ทัณฑสถาน
หญิงกลาง วิทยานิพน์มหาบัณฑิต สาขาวิเคราะห์และวางแผนพัฒนาสังคม คณะพัฒนา
สงั คม สถาบันบัณฑติ พัฒนบริหารศาสตร์
Barkley, E. F. (2010). Student Engagement Techniques. San Francisco: Jossey-Bass
Bonwell, C & Eison, J. (1991). Active Learning : Creating excitement in the classroom. ASHE
ERIC Higher Education Reports. Retrieved on 8th January, 2017
Cheong K.C. and Ong B.(2016).An Evaluation of the Relationship Between Student
Engagement, Academic Achievement, and Satisfaction Assessment for Learning
Within and Beyond the Classroom: Taylor’s 8th Teaching and Learning
Conference2015 Proceedings (pp.409-416)
Dindari, H. & Bayrakci, M. (2015) Factors Effecting Students’ Lifelong Learning in Higher
Education. International Journal on Lifelong Education and Leadership 1(1), 11-20.
Fredricks, J.A., Blumenfeld, P.C., & Paris, A.H. (2004). School engagement: Potential of the
concept, state of the evidence. Review of Educational Research, 74(1), 59-109
Hidayat, N. (2016)Improving Students’ Vocabulary Achievement through Word Game JEES
(Journal of English Educators Society). 2016;1(2):95-104
DOI 10.21070/jees.v1i2.446
Lee, Jung-Sook. (2014). The Relationship Between Student Engagement and Academic
Performance: Is It a Myth or Reality?. The Journal of Educational Research. 107.
177-185.
Letrud, Kåre. (2012). A rebuttal of NTL Institute's learning pyramid. Education. 133. 117-
124.
Liu, E et al (2012). THE DYNAMICS OF MOTIVATION AND LEARNING STRATEGY IN
A CREATIVITY-SUPPORTING LEARNING ENVIRONMENT IN HIGHER

634

EDUCATION. TOJET (The Turkish Online Journal of Educational Technology) 11
(1) 172-180.
Lutz, M. & Culver, S. (2010). The National Survey of Student Engagement: A university‐level
analysis. Tertiary Education and Management. 16. 35-44.
McGrath, J. R. & MacEwan G. (2011) . Linking pedagogical practices of activity- based
teaching. The International Journal of Interdisciplinary Social Sciences, 6, 261-274.
Mitchel.Resnick,(2007). “All I Really Need to Know (About Creative Thinking) I Learned
(By Studying How Children Learn) in Kindergarten,” in ACM Creativity & Cognition
conference,
Skinner, E.A., & Belmont, M.J.(1993). Motivation in the classroom: Reciprocal effects of
teacher behavior and student engagement across the school year. Journal of
Educational Psychology, 85(4), 571-581.

635

การพฒั นากจิ กรรมการเรียนรูว้ ิชาคณิตศาสตร์ โดยใชเ้ กมร่วมกบั การเรียนรูแ้ บบ
ร่วมมอื เทคนคิ คดิ เดีย่ ว-คิดคู่-คิดร่วมกนั (Think-Pair-Share) ของนกั เรียนช้นั

ประถมศึกษาปี ที่ 6

The Development of Learning Activities in Mathematics Subject Using
Games with Think-Pair-Share Cooperative Learning Technique for

Phathomsuksa 6 students

ลูกนำ้ แก้วปรีชำ1
อญั ชลี ทองเอม2
บทคดั ย่อ
กำรวิจัยเชิงทดลองน้ี มีวัตถุประสงค์ เพ่ือ 1) ศึกษำควำมสำมำรถกำรเรียนรู้วิชำ
คณิตศำสตร์ โดยใช้เกมร่วมกับกำรเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคคิดเด่ียว-คิดคู่-คิดร่วมกัน 2)
ศึกษำผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนวิชำคณิตศำสตร์ 3) ศึกษำพฤติกรรมกำรทำงำนเด่ียว-คู่-กลุ่ม 4)
ศึกษำควำมพึงพอใจต่อกำรเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์ กลุ่มเป้ ำหมำยท่ใี ช้ในกำรวิจัย คือ นักเรียนช้ัน
ประถมศึกษำปี ท่ี 6 โรงเรียนบ้ำนคลองกำลัง จังหวัดนครสวรรค์ ท่ีเรียนอยู่ในภำคเรียนท่ี 2 ปี
กำรศึกษำ 2562 จำนวน 20 คน เคร่ืองมือในกำรวิจัย ได้แก่ 1) แผนกำรจัดกำรเรียนรู้วิชำ
คณิตศำสตร์ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนวิชำคณิตศำสตร์ 3) แบบประเมิน
พฤติกรรมกำรเรียนรู้ 4) แบบสอบถำมควำมพึงพอใจ ผู้วิจัยเกบ็ รวบรวมข้อมูล วิเครำะห์ข้อมูล
และประมวลผลข้อมูล โดยใช้สถิติ ได้แก่ ค่ำร้อยละ ค่ำเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมำตรฐำน และใช้
ค่ำ paired sample t-test
ผลกำรวิจัยพบว่ำ 1) นักเรียนมีควำมสำมำรถในกำรเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์ มีคะแนน
ไม่ต่ำกว่ำร้อยละ 80 ผ่ำนเกณฑจ์ ำนวน 17 คน คดิ เป็นร้อยละ 85 นักเรียนไม่ผ่ำนเกณฑจ์ ำนวน 3
คน คิดเป็นร้อยละ 15 2) ผลสมั ฤทธ์ทิ ำงกำรเรียนวิชำคณติ ศำสตร์ นักเรียนมคี ะแนนหลังเรียนสงู
กว่ำก่อนเรียนอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติท่รี ะดับ .05 (t = 24.473, Sig. = .000) 3) พฤติกรรม
กำรทำงำนเด่ียว-คู่-กลุ่ม อยู่ในระดับดี 4) นักเรียนมีควำมพึงพอใจต่อกำรจัดกำรเรียนรู้วิชำ
คณติ ศำสตร์ โดยใช้เกม โดยภำพรวมอยู่ในระดบั มำก (X̅ = 2.59, S.D. = 0.49)
คาสาคญั : ควำมสำมำรถกำรเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์, เกม, เทคนิคคิดเด่ยี ว-คิดคู่-คิดร่วมกนั
นักเรียนช้ันประถมศึกษำปี ท่ี 6

1 นกั ศึกษำหลกั สตู ร ศึกษำศำสตรมหำบณั ฑติ สำขำหลกั สตู รและกำรสอน วิทยำลัยครศุ ำสตร์ มหำวทิ ยำลยั
ธรุ กจิ บณั ฑติ ย์
2 ท่ปี รึกษำวิทยำนพิ นธห์ ลักสตู ร

636

ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา
กำรจัดกำรเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็ นสำคัญตำมพระรำชบัญญัติกำรศึกษำแห่งชำติ

พ.ศ. 2542 พระรำชบัญญัติกำรศึกษำ พุทธศักรำช 2542 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2)
พ.ศ. 2545 มีสำระท้งั ส้นิ 9 หมวดหมวดท่เี ก่ยี วข้องกบั กำรจัดกำรศึกษำมำกท่สี ดุ คือหมวด 4 แนว
กำรจัด กำรศึกษำตำมหมวดน้ีเร่ิมต้ังแต่มำตรำ 22 ถึงมำตรำ 30 มีสำระสำคัญดังน้ี (สำนักงำน
คณะกรรมกำรกำรศึกษำแห่งชำติ, 2545 ,หน้ำ 13 - 17 มำตรำ 23 กำรจัดกำรศึกษำท้งั ในระบบ
กำรศึกษำนอกระบบและกำรศึกษำตำมอัธยำศัย ต้องเน้นควำมสำคัญท้ังควำมรู้คุณธรรม
กระบวนกำรเรียนรู้และบูรณำกำรตำมควำมเหมำะสม ของแต่ละระดับกำรศึกษำในเร่ืองควำมรู้
และทกั ษะด้ำนคณติ ศำสตร์

คณิตศำสตร์เป็นวิชำหน่ึงท่เี ป็นลักษณะวิชำท่มี ีระเบียบแบบแผน มีกระบวนกำรและมี
เหตุมีผล ให้ผู้เรียนสำมำรถคิดและวิเครำะห์ปัญหำต่ำงๆ อย่ำงมเี หตุผล เพ่ือนำไปส่กู ำรแก้ปัญหำ
ได้ ควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำเป็นส่ิงจำเป็นสำหรับกำรดำรงชีวิตในสังคม เพรำะจำกสภำพ
สังคมท่ีมีกำรเปล่ียนแปลงเกิดข้ึนอยู่เสมอ วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีต่ำงๆ เจริญก้ำวหน้ำไป
อย่ำงรวดเรว็ กำรดำเนินชีวิตในสังคมมีควำมสลับซับซ้อนและเกิดปัญหำข้ึนมำกมำย ทุกคนต้อง
เผชิญกบั ปัญหำต่ำงๆ ท่เี กดิ ข้ึน ฉะน้ันควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำอย่ำงมีประสทิ ธภิ ำพ จึงเป็น
ส่งิ ท่ที ุกคนต้องมแี ละเป็นส่งิ ท่ตี ้องปลูกฝงั ให้เกดิ ข้นึ ในตัวนักเรียนโดยอำศัยวิชำกำรแขนงต่ำงๆ ใน
กำรจัดกำรเรียนกำรสอนให้นักเรียนสำมำรถโยงควำมสำมำรถในกำรคิดแก้ปัญหำในศำสตร์น้ันๆ
ไปสู่กำรแก้ปัญหำอ่ืนๆ เพ่ือให้สำมำรถปรับตัวให้อยู่ในสังคมได้อย่ำงมีควำมสุขต่อไป กำรเรียน
กำรสอนคณิตศำสตร์จึงมีสว่ นสำคัญอย่ำงย่ิงในกำรส่งเสริมให้นักเรียนนำควำมรู้ไปใช้แก้ปัญหำใน
ชีวิตประจำวันได้ ดังท่สี ถำบันส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี (2551 : 135) กล่ำว
ไว้ว่ำ กำรจัดกำรเรียนกำรสอนคณิตศำสตร์โดยเฉพำะอย่ำงย่ิง กำรจัดกำรเรียนกำรสอนท่มี ีทกั ษะ
กระบวนกำรทำงคณิตศำสตร์ เป็นสำระหลักท่จี ำเป็นสำหรับนักเรียนทุกคน ครูจึงต้องจัดกำรเรียน
กำรสอนเพ่ือส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้ ฝึกฝนและพัฒนำให้มำกข้นึ ซ่ึงทกั ษะ กระบวนกำรทำง
คณิตศำสตร์เป็นควำมสำมำรถท่จี ะนำควำมรู้ไปประยุกต์ใช้ในกำรเรียนรู้ส่ิงต่ำงๆ เพ่ือให้ได้มำซ่ึง
ควำมรู้และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ โดยเน้นทักษะกระบวนกำรทำง
คณิตศำสตร์ท่จี ำเป็นและต้องกำรพัฒนำให้เกดิ ข้ึนกบั ผู้เรียน ได้แก่ ควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำ
ควำมสำมำรถในกำรให้เหตุผล ควำมสำมำรถในกำรส่ือสำร ส่ือควำมหมำยทำงคณิตศำสตร์และ
นำเสนอ ควำมสำมำรถในกำรเช่ือมโยงควำมรู้ และกำรมีควำมคิดริเร่ิมสร้ำงสรรค์ ในกำรจัดกำร
เรียนกำรสอนคณิตศำสตร์ ครูผู้สอนต้องสอดแทรกทกั ษะกระบวนกำรทำงคณิตศำสตร์ เข้ำกบั กำร
เรียนกำรสอนด้ำนเน้ือหำ ด้วยกำรให้นักเรียนทำกิจกรรมหรือต้ังคำถำมท่กี ระตุ้นให้นักเรียนคิด
อธิบำยและให้เหตุผล ให้นักเรียนใช้ควำมรู้ทำงคณิตศำสตร์ในกำรอธิบำยเก่ียวกับสถำนกำรณ์
ต่ำงๆ ในชีวิตประจำวัน หรือกระตุ้นให้นักเรียนใช้ควำมรู้ทำงคณติ ศำสตร์ในกำรสร้ำงสรรค์ผลงำน
ท่หี ลำกหลำยและแตกต่ำงจำกคนอ่นื รวมท้งั กำรแก้ปัญหำท่แี ตกต่ำงจำกคนอ่นื ด้วย

637

กำรเรียนรู้ด้วยเกมเป็นวิธีกำรหน่ึงท่อี ำจจะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนคณิตศำสตร์ได้อย่ำง
ท้ำทำยควำมสำมำรถและสนุกสนำน โดยผู้เรียนเป็ นผู้เล่นเอง ฝึ กให้รู้จักคิดและตัดสินใจด้วย
ตนเอง ได้รับประสบกำรณ์ตรง เป็ นวิธีกำรท่ีเปิ ดโอกำสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม จำกกำรศึกษำ
ประโยชน์ของกำรใช้เกมประกอบกำรสอนท่กี ล่ำวมำ สรุปได้ว่ำ เกมมีประโยชน์ต่อกำรเรียนรู้ของ
นักเรียน คือ ช่วยเร้ำควำมสนใจของผู้เรียน เกิดควำมสนุกสนำน และผ่อนคลำยควำมตึงเครียด
ทำให้นักเรียนมีควำมเข้ำใจในเน้ือหำเพ่ิมมำกข้ึน ได้ฝึกทกั ษะต่ำง ๆ เช่น ทกั ษะกำรคิดแก้ปัญหำ
ทักษะด้ำนภำษำ เป็นต้น ส่งเสริมควำมสำมัคคี กำรทำงำนร่วมกัน ฝึ กให้ผู้เรียนมีวินัยในตนเอง
และทำให้ผู้เรียนมีเจตคติท่ดี ีในกำรเรียน ดังท่ี ทิศนำ แขมมณี (2558, น. 365) กล่ำวว่ำ ข้อดี
หรือประโยชน์ของกำรใช้เกมประกอบกำรสอนคอื 1) เป็นวิธสี อนท่ชี ่วยให้ผู้เรียนมีสว่ นร่วมในกำร
เรียนรู้สูง ผู้เรียนได้รับควำมสนุกสนำนและเกิดกำรเรียนรู้จำกกำรเล่น 2) เป็นวิธีสอนท่ชี ่วยให้
ผู้เรียนเกิดกำรเรียนรู้ โดยกำรเหน็ ประจักษ์แจ้งด้วยตนเองทำให้กำรเรียนรู้น้ันมีควำมหมำยและ
อยู่คงทน 3) เป็นวิธีสอนท่ผี ู้สอนไม่เหน่ือยแรงมำกขณะสอนและผู้เรียนชอบ เกริก และจินตนำ
ท่วมกลำง (2555, น. 205) กล่ำวว่ำ เกม ท่นี ำมำใช้ในกำรจัดกำรเรียนกำรสอน เพ่ือเสริมสร้ำง
ควำมสนุกสนำน ควำมมีระเบียบวินัย ควำมรัก ควำมสำมัคคี เสริมสร้ำงทักษะ ประสบกำรณ์
ควำมรู้ ควำมเข้ำใจ แก่ผู้เรียนในกำรเรียนรู้เร่ืองใดเร่ืองหน่ึงตำมจุดประสงค์ของกำรเรียนรู้

งำนวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับกำรเรียนรู้ด้วยเกม เช่น พิริยำ เลิกชัยภมู ิ (2556) ได้ทำกำร
วิจัย เร่ือง ประสทิ ธิภำพกำรเรียนรำยวิชำคณิตศำสตร์โดยใช้เกมทำงคณิตศำสตร์ สำหรับนักเรียน
ช้ันมัธยมศึกษำปี ท่ี 5 และ บรักก์ (Brukk 2012, p.385-401) ศึกษำผลของกำรใช้เกมท่ีมีต่อ
พฤติกรรมในกำรทำงำน สำหรับห้องเรียนระดบั ประถมศึกษำ

จำกกำรศึกษำกำรเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นกำรจัดกำรเรียนรู้ท่มี ุ่งเน้นนักเรียนเป็นสำคัญ
กำรเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็นกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนกำรสอนท่ีทำให้นักเรียนมีส่วน
ร่วมในกำรทำงำนร่วมกบั ผู้อ่นื นักเรียนสำมำรถพัฒนำทกั ษะทำงสังคม มีกำรแลกเปล่ียนควำมรู้
ส่งเสริมทักษะกำรส่ือสำร และช่วยเหลือซ่ึงกันและกันได้ ดังท่ี Spencer Kagan (1992) และ
Roger Johnson (1994) ได้กล่ำวว่ำ กำรเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative lerning) เป็นกำรเรียน
ท่มี ุ่งเน้นให้นักเรียนพัฒนำทกั ษะกำรเรียนรู้ผ่ำนกำรช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั ของผู้เรียน กำรเรียน
แบบร่วมมือสำมำรถแบ่งได้หลำยวิธี เช่น เทคนิคกำรแข่งขันระหว่ำงกลุ่มด้วยเกม (Team-
Games-Tournament หรือ TGT) เทคนิคตำคอบโต๊ะกลม (Round table) เทคนิคคิดเด่ียว-คิด
คู่-คิดร่วมกนั (Think-Pair-Share) เป็นต้น
กำรเรียนรู้ร่วมมือเทคนิคคิดเด่ียว-คิดคู่-คิดร่วมกัน (Think-Pair-Share) เป็ น
เทคนิคท่เี ร่ิมจำกปัญหำหรือโจทย์คำถำม โดยสมำชิกแต่ละคนคิดหำคำตอบด้วยตนเองก่อน แล้ว
นำคำตอบไปอภิปรำยกับเพ่ือนเป็ นคู่ จำกน้ันจึงนำคำตอบของตนหรือของเพ่ือนเป็ นคูเล่ำให้
เพ่ือนๆ ท้งั ช้ันฟัง (Lyman, 1981) ประกอบด้วย 3 ข้นั ดงั น้ี

638

ข้ันท่ี 1 คิดเด่ียว (Think) : กำรให้ผู้เรียนได้คิดและไตร่ตรองจำกคำถำมแบบ
ปลำยเปิ ดหรือกำรเฝ้ ำสงั เกตพฤตกิ รรมของผู้เรียน

ข้ันท่ี 2 คิดคู่ (Pair) : กำรจัดให้ผู้เรียนจับคู่กนั เป็นคู่ๆ เพ่ือแลกเปล่ียนควำมคิดเหน็
ซ่ึงกนั และกนั ในประเดน็ ปัญหำท่กี ำหนดไว้ เพ่ือร่วมกนั ค้นหำข้อสรุปหรือตอบคำถำมท่ตี ้องกำร

ข้ันท่ี 3 คิดร่วมกัน (Share) : กำรสลำยจำกกำรจับกลุ่มกันเป็นคู่ๆ แล้วสรุปผลกำร
ค้นหำคำตอบร่วมกนั ท้งั ช้ัน เพ่ือแลกเปล่ียนควำมรู้ สรุปและอภิปรำยผลกำรค้นพบ

งำนวิจัยท่ีเก่ียวข้องได้แก่ ปริศรำ มอทพิ ย์ (2553: บทคัดย่อ) เร่ืองกำรใช้กิจกรรม
กำรเรียนรู้แบบร่วมมือแบบเพ่ือนคู่คดิ (Think-Pair-Share) สำหรับกลุ่มกำรเรียนรู้กำรงำนอำชีพ
และเทคโนโลยขี องนักเรียนช้ันมัธยมศึกษำปี ท่ี 1 อธภิ ัทร ถำมะณศี รี (2553: บทคัดย่อ) ได้ศึกษำ
กำรพัฒนำกิจกรรมกำรเรียนรู้แบบร่วมมือโดย ใช้แบบฝึ กเสริมทกั ษะเร่ืองโจทย์ปัญหำเศษส่วน
ของนักเรียนช้ันประถมศึกษำปี ท่ี6 และอำรีนำ หะยีเตะ (2559: บทคัดย่อ) ได้ศึกษำผลกำร
จัดกำรเรียนรู้ เร่ืองพยัญชนะและสระ สำระวิชำภำษำมลำยู สำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษำปี ท่ี 2
โรงเรียนบ้ำนนำ้ ดำ โดยใช้รูปแบบกำรเรียนรู้แบบร่วมมอื

จำกแนวคดิ และเหตุผลดังกล่ำว ผู้วิจัยจึงสนใจท่จี ะพัฒนำควำมสำมำรถกำรเรียนรู้วิชำ
คณิตศำสตร์ โดยใช้เกมร่วมกบั กำรเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคคดิ เด่ยี ว-คดิ คู่-คิดร่วมกนั (Think-
Pair-Share) ให้ผู้เรียนเกดิ กำรเรียนรู้ตำมวัตถุประสงค์ท่กี ำหนด และกำรทำงำนร่วมกนั เป็นกลุ่ม
เพ่ือให้กำรจัดกิจกรรมกำรเรียนกำรสอนวิชำคณิตศำสตร์ มีประสิทธิภำพสำมำรถทำงำนร่วมกับ
ผู้อ่ืน ช่วยเหลือซ่ึงกนั และกัน พัฒนำตนเองอย่ำงเตม็ ศักยภำพ ช่วยส่งเสริมให้นักเรียนเกิดควำม
คงทนในกำรเรียนรู้ มีผลกำรเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์สูงข้ึนและสำมำรถพัฒนำควำมรู้ทำง
คณิตศำสตร์ให้ดีย่งิ ๆข้นึ ไป

วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั
1. เพ่ือศึกษำควำมสำมำรถกำรเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์ โดยใช้เกมร่วมกับกำรเรียนรู้

แบบร่วมมอื เทคนิคคดิ เด่ยี ว-คดิ คู่-คิดร่วมกนั (Think-Pair-Share)
2. เพ่ือศึกษำผลสมั ฤทธ์ทิ ำงกำรเรียนวิชำคณิตศำสตร์ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษำปี

ท่ี 6
3. เพ่ือศึกษำพฤติกรรมกำรทำงำนเด่ียว-คู่-กลุ่ม ของนักเรียนช้ันประถมศึกษำปี ท่ี 6
4. เพ่ือศึกษำควำมพึงพอใจต่อกำรเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์ โดยใช้เกมร่วมกับกำร

เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคคิดเด่ียว-คิดคู่-คิดร่วมกัน (Think-Pair-Share) ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษำปี ท่ี 6

639

สมมติฐานการวิจยั
1. นักเรียนสำมำรถเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์ โดยใช้เกมร่วมกับกำรเรียนรู้แบบร่วมมือ

เทคนิคคิดเด่ียว-คิดคู่-คิดร่วมกัน (Think-Pair-Share) มีคะแนนไม่ต่ำกว่ำร้อยละ 80 ของ
คะแนนเตม็

2. ผลสมั ฤทธ์ิทำงกำรเรียนวิชำคณิตศำสตร์ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษำปี ท่ี 6 หลัง
เรียนสงู กว่ำก่อนเรียน อย่ำงมีนัยสำคญั ทำงสถิติ ท่รี ะดบั .05

3. นักเรียนมีคะแนนพฤติกรรมกำรทำงำนเด่ยี ว-คู่-กลุ่ม อยู่ในระดบั ดี
4. ควำมพึงพอใจต่อกำรเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์ โดยใช้เกมร่วมกับกำรเรียนรู้แบบ
ร่วมมือเทคนิคคิดเด่ียว-คิดคู่-คิดร่วมกนั (Think-Pair-Share) ของนักเรียนช้ันประถมศึกษำปี ท่ี
6 อยู่ในระดบั มำก

ขอบเขตของการวิจยั
กลุ่มเป้ ำหมำย
กลุ่มเป้ ำหมำย ได้แก่ นักเรียนช้ันประถมศึกษำปี ท่ี 6 โรงเรียนบ้ำนคลองกำลัง จังหวัด

นครสวรรค์ ท่เี รียนอยู่ในภำคเรียนท่ี 2 ปี กำรศึกษำ 2562 จำนวน 20 คน
ตวั แปรท่ศี ึกษำ
ตวั แปรต้น
กำรเรียนรู้วิชำคณติ ศำสตร์ กำรใช้เกมร่วมกบั กำรเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคคิดเด่ียว-

คดิ คู่-คดิ ร่วมกนั (Think-Pair-Share)
ตวั แปรตำม
1. ควำมสำมำรถกำรเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์
2. ผลสมั ฤทธ์ทิ ำงกำรเรียนวิชำคณิตศำสตร์
3. พฤติกรรมกำรทำงำนกลุ่ม
4. ควำมพึงพอใจท่มี ีต่อกำรเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์
ขอบเขตด้ำนเน้ือหำ

เน้ือหำท่ใี ช้ในกำรวิจัยคร้ังน้ี คอื หน่วยกำรเรียนรู้ท่ี 12 รูปเรขำคณติ สำมมติ ิและปริมำตร
ของทรงส่ีเหล่ียมมุมฉำก กลุ่มสำระกำรเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์ ช้ันประถมศึกษำปี ท่ี 6 ตำมตัวช้ีวัด
หลักสตู รแกนกลำง 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560)

ระยะเวลำในกำรวิจัย
กำรวิจัยคร้ังน้ีดำเนินกำรในภำคเรียนท่ี 2 ปี กำรศึกษำ 2562 จำนวน 16 ช่ัวโมง

640

เครือ่ งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
1. แผนกำรจัดกำรเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์ช้ันประถมศึกษำปี ท่ี 6
2. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ ำงกำรเรียนวิชำคณติ ศำสตร์
3. แบบประเมินพฤติกรรมกำรเรียนรู้
4. แบบสอบถำมควำมพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อกำรจัดกำรเรียนรู้ โดยใช้เกม

ร่วมกบั กำรเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคคดิ เด่ยี ว-คิดคู่-คิดร่วมกนั (Think-Pair-Share)

การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
1. ช้ีแจงนักเรียนก่อนท่จี ะดำเนินกำรสอน เพ่ือให้นักเรียนมีควำมรู้ควำมเข้ำใจในกำร

เรียนโดยใช้แผนกำรจัดกำรเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์ โดยใช้เกมร่วมกับกำรเรียนรู้แบบร่วมมือ
เทคนิคคิดเด่ียว-คิดคู่-คิดร่วมกัน (Think-Pair-Share) เร่ือง รูปเรขำคณิตสำมมิติและปริมำตร
ของทรงส่เี หล่ียมมุมฉำก ให้เข้ำใจถึงบทบำทของนักเรียนจะได้ปฏบิ ัตติ นได้ถูกต้อง

2. นำแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ ำงกำรเรียนวิชำคณิตศำสตร์ เร่ือง รูปเรขำคณิตสำม
มติ แิ ละปริมำตรของทรงส่เี หล่ียมมุมฉำก จำนวน 20 ข้อ เป็นปรนัยแบบเลือกตอบ 4 ตวั เลือก ให้
นักเรียนกลุ่มตัวอย่ำงทำก่อนเรียน (Pre-test) และเกบ็ คะแนน

3. ดำเนินกำรทดลองใช้แผนกำรจัดกำรเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์ โดยใช้เกมร่วมกบั กำร
เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคคิดเด่ียว-คิดคู่-คิดร่วมกัน (Think-Pair-Share) เร่ือง รูปเรขำคณิต
สำมมิติและปริมำตรของทรงส่ีเหล่ียมมุมฉำก ช้ันประถมศึกษำปี ท่ี 6 จำนวน 4 แผน 16 ช่ัวโมง
ในแต่ละแผน ให้นักเรียนทำแบบฝึกและแบบทดสอบจนครบทุกแผน เพ่ือเกบ็ คะแนน

4. หลังจำกดำเนินกำรสอน ให้ทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนวิชำ
คณติ ศำสตร์ เร่ือง รูปเรขำคณติ สำมมิติและปริมำตรของทรงส่เี หล่ียมมุมฉำก จำนวน 20 ข้อ เป็น
ปรนัยแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก ซ่ึงเป็นฉบับคู่ขนำนกบั ก่อนเรียน (Posttest) และเกบ็ คะแนน

5. นำแบบสอบถำมควำมพึงพอใจมำให้นักเรียนกลุ่มตวั อย่ำงทำเพ่ือเกบ็ ข้อมูล
6. เกบ็ รวบรวมข้อมูลท้งั หมด วิเครำะห์ผล สรุปผล และอภิปรำยผลต่อไป

การวิเคราะหข์ อ้ มูล
กำรวิเครำะห์ข้อมูลท่ีได้จำกกำรดำเนินกำรเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ทำกำร

วิเครำะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเรจ็ รูป โดยมรี ำยละเอยี ดดังน้ี
1. วิเครำะห์ควำมสำมำรถกำรเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์ โดยใช้เกมร่วมกับกำรเรียนรู้

แบบร่วมมือเทคนิคคิดเด่ียว-คิดคู่-คิดร่วมกัน (Think-Pair-Share) เร่ือง รูปเรขำคณิตสำมมิติ
และปริมำตรของทรงส่เี หล่ียมมุมฉำก โดยใช้ร้อยละ (Percentage)

2. วิเครำะห์แบบประเมินพฤติกรรมกำรเรียนรู้ และแบบสอบถำมควำมพึงพอใจต่อ
กำรเรียนรู้วิชำคณติ ศำสตร์ โดยใช้ค่ำเฉล่ียเลขคณติ (X̅) และส่วนเบ่ียงเบนมำตรฐำน (S.D.)

641

3. วิเครำะห์ผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนวิชำคณิตศำสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้
สถติ ิ paired sample t-test

4. อภปิ รำยผล โดยใช้ตำรำงและพรรณนำ

สรุปผลการวิจยั
ตอนท่ี 1 ศึกษำควำมสำมำรถกำรเรียนรู้วิชำคณติ ศำสตร์ โดยใช้เกมร่วมกบั กำรเรียนรู้

แบบร่วมมือเทคนิคคิดเด่ียว-คิดคู่-คิดร่วมกัน (Think-Pair-Share) พบว่ำ นักเรียนมีคะแนนไม่
ต่ำกว่ำร้อยละ 80 ผ่ำนเกณฑ์จำนวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 85 นักเรียนไม่ผ่ำนเกณฑ์จำนวน 3
คน คิดเป็นร้อยละ 15

ตอนท่ี 2 ผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนวิชำคณติ ศำสตร์ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษำปี ท่ี 6
พบว่ำ นักเรียนมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่ำก่อนเรียนอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติท่ีระดับ .05 (t =
24.473, Sig. = .000)

ตอนท่ี 3 ผลกำรศึกษำพฤติกรรมกำรทำงำนเด่ียว-คู่-กลุ่ม โดยใช้เกมกับกำรเรียนรู้
แบบร่วมมือเทคนิคคิดเด่ียว-คิดคู่-คิดร่วมกัน (Think-Pair-Share) ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษำปี ท่ี 6จำนวน 20 คน พบว่ำ นักเรียนทุกคนมีพฤติกรรมกำรทำงำนเด่ยี ว-คู่-กลุ่ม อยู่
ในระดบั ดี

ตอนท่ี 4 ผลกำรศึกษำระดับควำมพึงพอใจต่อกำรเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์ โดยใช้เกม
ร่วมกับกำรเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคคิดเด่ียว-คิดคู่-คิดร่วมกัน (Think-Pair-Share) ของ
นักเรียนช้ันประถมศึกษำปี ท่ี 6 พบว่ำ นักเรียนมีควำมพึงพอใจต่อกำรจัดกำรเรียนรู้วิชำ
คณิตศำสตร์ โดยใช้เกมร่วมกบั กำรเรียนรู้แบบร่วมมอื เทคนิคคิดเด่ยี ว-คดิ คู่-คิดร่วมกนั (Think-
Pair-Share) โดยภำพรวมอยู่ในระดบั มำก (X̅ = 2.59, S.D. = 0.49) เม่ือพิจำรณำรำยด้ำน แต่
ละด้ำนอยู่ในระดับมำก คือ ด้ำนกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ (X̅ = 2.63, S.D. = 0.49) และด้ำน
นักเรียน (X̅ = 2.59, S.D. = 0.49) และด้ำนครูผู้สอน (X̅ = 2.56, S.D. = 0.50)

อภิปรายผล
ตอนท่ี 1 ศึกษำควำมสำมำรถกำรเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์ โดยใช้เกมร่วมกบั กำรเรียนรู้

แบบร่วมมือเทคนิคคิดเด่ียว-คิดคู่-คิดร่วมกัน (Think-Pair-Share) จำนวน 20 คน พบว่ำ
นักเรียนมีคะแนนไม่ต่ำกว่ำร้อยละ 80 ผ่ำนเกณฑ์จำนวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 85 นักเรียนไม่
ผ่ำนเกณฑ์จำนวน 3 คน คิดเป็ นร้อยละ 15 จำกกำรทำแบบฝึ กท่ี 1-11 จำแนกเป็นรำยบุคคล
เป็นคู่ และเป็นกลุ่ม จะเหน็ ว่ำคะแนนของกำรทำงำนกลุ่มมีคะแนนคดิ เป็นค่ำเฉล่ีย 95.45 – 100
เม่ือให้ทำเป็นคู่ มีคะแนนคิดเป็นค่ำเฉล่ีย 70.91 – 80.91 และคะแนนเป็นรำยบุคคล มีคะแนน
คดิ เป็นค่ำเฉล่ีย 57.27 – 67.27 คะแนนท่ดี ีท่สี ดุ คือคะแนนจำกกำรทำงำนกลุ่ม รองลงมำคอื กำร
ทำงำนเป็นคู่ จะเหน็ ได้ว่ำ กำรเรียนรู้คณติ ศำสตร์โดยใช้เกมร่วมกับกำรเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค

642

คิดเด่ียว-คิดคู่-คิดร่วมกนั (Think-Pair-Share) ทำให้นักเรียนมีควำมสำมำรถในกำรเรียนรู้วิชำ
คณิตศำสตร์ดีข้ึนและจำกกิจกรรมแต่ละคร้ัง นักเรียนให้ควำมร่วมมือเป็ นอย่ำงดีและมีควำม
สนุกสนำนในกำรเรียน ดังท่ี สคุ นธ์ สนิ ธพำนนท์ (2553, น. 141), เกริก และจินตนำ ทว่ มกลำง
(2555, น. 205), ทศิ นำ แขมมณี (2558, น. 365) สรุปได้ว่ำ เกม เป็นกิจกรรมท่สี ร้ำง ควำม
สนใจและควำมสนุกสนำนให้แก่ผู้เรียน มีกฎเกณฑ์ กติกำ ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดกำรเรียนรู้ เข้ำใจ
และจดจำบทเรียนได้ง่ำยและเสริมสร้ำงทกั ษะ ประสบกำรณ์ ควำมรู้ ควำมเข้ำใจแก่ผู้เรียน รวดเรว็
อกี ท้งั ส่งให้ผู้เรียนได้รู้จักทำงำนร่วมกนั มีกระบวนกำรในกำรทำงำนและอยู่ร่วมกนั ในกำรเรียนรู้
เร่ืองใดเร่ืองหน่ึงตำมจุดประสงค์ของกำรเรียนรู้ ในเกมแต่ละเกมน้ันมีพฤติกรรมกำรเล่น วิธีกำร
เล่นและผลกำรเล่นเกมของผู้เรียนมำใช้ใน กำรอภิปรำยเพ่ือสรุปกำรเรียนรู้ อำจมีผู้เรียนเล่นคน
เดยี ว หรือหลำยคนแข่งขนั กนั หรือร่วมมอื กันทำกจิ กรรมตำมกติกำท่ตี กลงกัน มกี ำรกำหนดระบบ
กำรให้คะแนนหรือวิธีกำรตัดสินใจให้ชนะหรือแพ้ สอดคล้องกับงำนวิจัยของ ธัญญำ แนวดง
(2554: บทคัดย่อ) ได้ทำกำรวิจัย เร่ืองกำรเปรียบเทียบมโนทัศน์ทำงคณิตศำสตร์ เร่ือง ควำม
เท่ำกันทุกประกำร และควำมสำมำรถในกำรให้ เหตุผลทำงคณิตศำสตร์ ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษำปี ท่ี 2 ผลกำรวิจัยพบว่ำ ควำมสำมำรถในกำรให้เหตุผลทำงคณิตศำสตร์ของนักเรียน
ช้ันมัธยมศึกษำปี ท่ี 2 ท่ไี ด้รับ กำรจัดกำรเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกบั เทคนิค Think - Pair - Share
สูงกว่ำเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่ำงมี นัยสำคัญทำงสถิติท่ีระดับ 0.05 พิริยำ เลิกชัยภูมิ (2556) ได้
ศึกษำผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนคณิตศำสตร์ โดยใช้เกม เป็นส่ือนำเข้ำสู่บทเรียนของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษำปี ท่ี 5 ผลกำรวิจัยพบว่ำ ส่วนคะแนนผลสมั ฤทธ์ิทำงกำรเรียนคณิตศำสตร์ด้ำนกำรจำ
ด้ำนกำรคิดวิเครำะห์และด้ำนกำรประยุกต์ใช้ของนักเรียนท่มี ีระดบั ควำมสำมำรถทำงคณิตศำสตร์
สูง ปำนกลำงและต่ำแตกต่ำงกันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติท่ีระดับ 0.01 และ ชนิดำ จ่ันเพ็ชร
(2559: บทคัดย่อ) ได้ศึกษำผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียน เร่ือง กำรแยกตัวประกอบของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษำปี ท่ี 3 ผลกำรวิจัยพบว่ำ 1. ผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียน เร่ืองกำรแยกตัวประกอบ ของ
นักเรียนท่ไี ด้รับกำรจัดกำรเรียนรู้โดยใช้เกมคณิตศำสตร์ประกอบกำรเรียนกำรสอนสงู ข้ึนหลังกำร
จัดกำรเรียนรู้โดยใช้เกมคณติ ศำสตร์ประกอบกำรเรียนกำรสอน

ตอนท่ี 2 ผลสมั ฤทธ์ิทำงกำรเรียนวิชำคณติ ศำสตร์ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษำปี ท่ี 6
พบว่ำ นักเรียนมผี ลสมั ฤทธ์ทิ ำงกำรเรียนกอ่ นเรียนมคี ่ำ X̅ = 9.40, S.D. = 2.521 และหลังเรียน
มีค่ำ X̅ = 16.45, S.D. = 2.064 และเม่ือทดสอบด้วยสถิติ Paired samples t-test นักเรียนมี
คะแนนหลังเรียนสูงกว่ำก่อนเรียนอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติท่ีระดับ .05 (t = 24.473, Sig. =
.000) จำกคะแนนดังกล่ำวข้ำงต้นแสดงให้เหน็ ว่ำนักเรียนมีพัฒนำกำรเรียนรู้จำกกิจกรรมกำร
เรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์ โดยใช้เกมร่วมกับกำรเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคคิดเด่ียว-คิดคู่-คิด
ร่วมกัน (Think-Pair-Share) ดังท่ี กอคเคิร์ท, ดนัดำร์ และอัคกัน (2012, p.3431 – 3434)
ได้ศึกษำผลกำรใช้เทคนิคกำรเรียนรู้แบบร่วมมือท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนคณิตศำสตร์ ผล
ของกำรวิจัย พบว่ำ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษำปี ท่ี 3 ห้องเรียนท่ีคณิตศำสตร์ ระดับผลสัมฤทธ์ิ

643

ทำงกำรเรียน ระหว่ำงกลุ่มทดลองท่เี รียนด้วยเทคนิคกำร เรียนรู้แบบร่วมมอื และกลุ่มควบคุมท่ใี ช้
วิธกี ำรสอนแบบปกตมิ ีควำมแตกต่ำงอย่ำงมีนัยสำคญั ทำง สถิตทิ ่รี ะดบั 0.05 โ ฮ ส ซ ำ อิ น
และทำร์มิซี (2013, p.473 – 477) ได้ศึกษำผลของกำรเรียนแบบร่วมมือ ท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ิ
ทำงกำรเรียน และเจตคติในวิชำคณิตศำสตร์ในระดับช้ันมัธยมศึกษำ ผลกำรศึกษำพบว่ำ
ผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนหลังเรียนของกลุ่มทดลองท่ีสอนโดยกำรเรียนแบบร่วมมือสูงกว่ำในกลุ่ม
ควบคุมท่ีใช้วิธีกำรสอนแบบปกติ อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติท่รี ะดับ 0.05 3. ผลสัมฤทธ์ิทำงกำร
เรียนของนักเรียนกลุ่มทดลองในโรงเรียนชำยและโรงเรียนสตรี ท่สี อนโดยกำรเรียนแบบร่วมมือไม่
มีควำมแตกต่ำงกันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติท่รี ะดับ 0.05 พิริยำ เลิกชัยภมู ิ (2556) ได้ศึกษำ
ผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนคณิตศำสตร์ โดยใช้เกม เป็ นส่ือนำเข้ำสู่บทเรียนของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษำปี ท่ี 5 ท่ีมีควำมสำมำรถทำงกำรเรียนคณิตศำสตร์แตกต่ำงกัน ผลกำรวิจัยพบว่ำ
ผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนคณิตศำสตร์ ด้ำนกำรจำและด้ำนกำรคิดวิเครำะห์ของนักเรียน กลุ่ม
ทดลองสูงกว่ำกลุ่มควบคุม อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติท่ี ระดับ 0.01 ส่วนคะแนนผลสัมฤทธ์ิ
ทำงกำรเรียนคณิตศำสตร์ด้ำนกำรจำ ด้ำนกำรคิดวิเครำะห์และด้ำนกำรประยุกต์ใช้ของนักเรียนท่มี ี
ระดับ ควำมสำมำรถทำงคณิตศำสตร์สูง ปำนกลำงและต่ำแตกต่ำงกันอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติท่ี
ระดับ 0.01 และ ชนิดำ จ่ันเพช็ ร (2559: บทคดั ย่อ) ได้ศึกษำผลสมั ฤทธ์ิทำงกำรเรียน เร่ือง กำร
แยกตัวประกอบของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษำปี ท่ี 3 หลังกำรจัดกำรเรียนรู้โดยใช้เกมคณิตศำสตร์
ประกอบกำรเรียนกำรสอน ผลกำรวิจัยพบว่ำ 1. ผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียน เร่ืองกำรแยกตัว
ประกอบ ของนักเรียนท่ไี ด้รับกำรจัดกำรเรียนรู้โดยใช้เกมคณิตศำสตร์ประกอบกำรเรียนกำรสอน
สูงข้ึนหลังกำรจัดกำรเรียนรู้โดยใช้เกมคณิตศำสตร์ประกอบกำรเรียนกำรสอน 2. ผลสัมฤทธ์ิ
ทำงกำรเรียน เร่ืองกำรแยกตัวประกอบ ของนักเรียนท่ีได้รับกำรจัดกำรเรียนรู้ โดยใช้เกม
คณิตศำสตร์ประกอบกำรเรียนกำรสอนสูงกว่ำก่อนเรียนอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติท่รี ะดับ .05 3.
ผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียน เร่ืองกำรแยกตัวประกอบ ของนักเรียนท่ไี ด้รับกำรจัดกำรเรียนรู้โดยใช้
เกมคณิตศำสตร์ประกอบกำรเรียนกำรสอนสูงกว่ำเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถิติท่ี
ระดับ .05

ตอนท่ี 3 ผลกำรศึกษำพฤติกรรมกำรทำงำนเด่ียว-คู่-กลุ่ม โดยใช้เกมกับกำรเรียนรู้
แบบร่วมมือเทคนิคคิดเด่ียว-คิดคู่-คิดร่วมกัน (Think-Pair-Share) ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษำปี ท่ี 6จำนวน 20 คน พบว่ำ นักเรียนทุกคนมพี ฤติกรรมกำรทำงำนเด่ยี ว-คู่-กลุ่ม อยู่
ในระดบั ดี มคี ะแนนเฉล่ียต้งั แต่ 2.40 – 2.70 เม่อื เปรียบเทยี บกำรทำงำนเป็นรำยบุคคล นักเรียน
มีพฤติกรรมกำรทำงำนอยู่ในระดับปำนกลำง มีคะแนนเฉล่ียต้ังแต่ 2.00 – 2.50 กำรทำงำนเป็น
คู่ นักเรียนมีพฤติกรรมกำรทำงำน อยู่ในระดับดี มีคะแนนเฉล่ียต้ังแต่ 2.40 – 2.80 กำรทำงำน
เป็นกลุ่ม นักเรียนมีพฤติกรรมกำรทำงำน อยู่ในระดับดี มีคะแนนเฉล่ียต้ังแต่ 2.80 – 3.00 จะ
เหน็ ได้ว่ำ กำรเรียนรู้คณติ ศำสตร์โดยใช้เกมร่วมกบั กำรเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคคิดเด่ียว-คิดคู่-
คิดร่วมกัน (Think-Pair-Share) ทำให้นักเรียนมีพฤติกรรมกำรทำงำนกลุ่มดีข้ึนกว่ำกำรทำงำน

644

เป็นคู่และกำรทำงำนเป็นรำยบุคคล กำรท่แี ต่ละกลุ่มทำงำนร่วมกนั ส่งิ ท่มี ีคะแนนเฉล่ียระดบั ดี คอื
ควำมร่วมมือในกำรทำงำนกลุ่มและกำรทำงำนตรงต่อเวลำ มคี ะแนนเฉล่ีย 3.00 สว่ นคะแนนเฉล่ีย
รองลงมำคือ กำรแสดงควำมคิดเหน็ และมีควำมคิดสร้ำงสรรค์ มีคะแนนเฉล่ีย 2.80 และสุดท้ำย
คือควำมรับผิดชอบในกำรทำงำน มีคะแนนเฉล่ีย 2.60 ซ่ึงในภำพรวมแล้วอยู่ในระดับดี ดังท่ี
วัฒนำพร ระงบั ทุกข์ (2542: 34) กล่ำวถงึ กำรเรียนแบบร่วมมือ ว่ำเป็นวิธกี ำรจัดสภำพแวดล้อม
และกจิ กรรมกำรเรียนกำรสอนเพ่ือเน้นให้ผู้เรียนได้เกดิ กำรเรียนรู้ร่วมกนั เป็นกลุ่มเลก็ ๆ สมำชิก
ในกลุ่มมีควำมรู้ควำมสำมำรถแตกต่ำงกันมีควำมรับผิดชอบต่อกำรเรียนของตนเอง และกำร
เรียนรู้ของเพ่ือนสมำชิกทุกคนในกลุ่ม จึงมีกำรแลกเปล่ียนควำมคิดเหน็ กำรแบ่งปันทรัพยำกรกำร
เรียนรู้ รวมท้งั กำรเป็นกำลังใจซ่ึงกันและกนั คนท่เี ก่งจะช่วยเหลือคนท่อี อ่ นกว่ำ สมำชิกในกลุ่มไม่
เพียงแต่รับผิดชอบต่อกำรเรียนของตนเท่ำน้ัน หำกแต่จะต้องรับผิดชอบต่อกำรเรียนรู้ของเพ่ือน
สมำชิกทุกคนในกลุ่ม ควำมสำเรจ็ ของแต่ละบุคคลคือควำมสำเรจ็ ของกลุ่ม สอดคล้องกบั งำนวิจัย
ของ บรักก์ (Brukk 2012, p.385-401) ศึกษำผลของกำรใช้เกมท่มี ีต่อพฤติกรรมในกำรทำงำน
สำหรับห้องเรียนระดับประถมศึกษำ ผลกำรศึกษำพบว่ำ เดก็ ท่เี รียนโดยกำรใช้เกม 93% มีส่วน
ร่วมในกำรเรียนกำรสอนมำกกว่ำเม่ือเทยี บกับเดก็ ท่ีเรียนโดยไม่ใช้เกมซ่ึงมีส่วนร่วมในกำรเรียน
กำรสอน 72% นอกจำกน้ีกำรใช้เกมในกำรสอน ยงั สง่ เสริมให้นักเรียนได้พูดคุยในเร่ืองท่เี ก่ยี วข้อง
กับคณิตศำสตร์ (34%) เม่ือเทยี บกับกำรเรียนท่ีไม่ใช้เกม (11%) ดังน้ัน กำรจัดกำรเรียนกำร
สอนโดยกำรใช้เกมทำให้เน้ือหำบทเรียนมีควำมชัดเจน นักเรียนมีควำมเข้ำใจมำกย่ิงข้ึน เป็นวิธี
หน่ึงท่ที ำให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกำรเรียนรู้มำกข้ึน มีควำมเพลิดเพลิน สนุกสนำนจำกกำรเรียน
วิชำคณิตศำสตร์และกำรเรียนรู้ของนักเรียนมีประสิทธิภำพมำกข้ึน บุปผำ จุลพันธ์ (2550: 2-
94) ได้ศึกษำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงปัจจัยบำงประกำรกับทักษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ข้ัน
พ้ืนฐำนของนักเรียนช้ันประถมศึกษำปี ท่ี 6 ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหำนคร พบว่ำ ปัจจัยด้ำน
รูปแบบกำรเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้ำนพฤติกรรมกำรสอนของครู ด้ำนควำมรับผิดชอบต่อกำรเรียน
และด้ำนเจตคติต่อวิทยำศำสตร์ มีควำมสมั พันธท์ ำงบวกกบั ทกั ษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ข้ัน
พ้ืนฐำน และมลวิภำ เมืองพระฝำง และคณะ (2559) ได้ทำกำรวิจัย เร่ือง ควำมคิดเห็นของ
นักเรียนต่อพฤตกิ รรมกำรสอนของครู พฤตกิ รรมกำรเรียนของผู้เรียนและผลสัมฤทธ์ทิ ำงกำรเรียน
เร่ือง อัตรำกำรเกดิ ปฏกิ ริ ิยำเคมี ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษำปี ท่ี 5 ท่จี ัดกจิ กรรมกำรเรียนรู้แบบ
เพ่ือนคู่คิด ผลกำรวิจัยพบว่ำ ประสิทธิภำพของแผนกำรจัดกำรเรียนรู้แบบเพ่ือนคู่คิดในรำยวิชำ
เคมี ช้ันมัธยมศึกษำปี ท่ี 5 มีค่ำเท่ำกับ 80.25/82.00 และผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนหลังเรียนสูง
กว่ำกอ่ นเรียนอย่ำงมีนัยสำคัญทำงสถติ ทิ ่รี ะดับ .01

ตอนท่ี 4 ผลกำรศึกษำระดับควำมพึงพอใจต่อกำรเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์ โดยใช้เกม
ร่วมกับกำรเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคคิดเด่ียว-คิดคู่-คิดร่วมกัน (Think-Pair-Share) ของ
นักเรียนช้ันประถมศึกษำปี ท่ี 6 จำนวน 20 คน พบว่ำ นักเรียนมีควำมพึงพอใจต่อกำรจัดกำร
เรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์ โดยใช้เกมร่วมกับกำรเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคคิดเด่ียว-คิดคู่-คิด

645

ร่วมกัน (Think-Pair-Share) โดยภำพรวมอยู่ในระดับมำก (X̅ = 2.59, S.D. = 0.49) เม่ือ
พิจำรณำรำยด้ำนแต่ละด้ำนอยู่ในระดบั มำก คือ ด้ำนกำรจัดกจิ กรรมกำรเรียนรู้ (X̅ = 2.63, S.D.
= 0.49) และด้ำนนักเรียน (X̅ = 2.59, S.D. = 0.49) และด้ำนครูผู้สอน (X̅= 2.56, S.D. =
0.50) เม่ือพิจำรณำเป็นรำยด้ำนมีรำยละเอียดเรียงตำมลำดับค่ำเฉล่ียจำกมำกไปหำน้อย จะเหน็
ได้ว่ำ ควำมพึงพอใจแต่ละด้ำน มีรำยละเอียด ดังน้ี 1) ด้ำนกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ ได้แก่ ได้
แลกเปล่ียนควำมคิดเหน็ ซ่ึงกนั และกนั , กจิ กรรมกำรเรียนรู้มหี ลำกหลำยรูปแบบ, กจิ กรรมมคี วำม
น่ำสนใจ กระตุ้นในกำรเรียน, ได้รับควำมรู้และประโยชน์ในกำรจัดกจิ กรรม, ช่วยให้เข้ำใจบทเรียน
ได้เร็วและดีข้ึน 2) ด้ำนนักเรียน ได้แก่ นักเรียนมีควำมรู้และควำมสนุกสนำนในกำรเรียน,
นักเรียนเกิดควำมคิดในกำรสร้ำงช้ินงำน, นักเรียนนำควำมรู้ท่ีได้รับไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้,
นักเรียนมสี ว่ นร่วมกบั กิจกรรมในห้องเรียน, นักเรียนมีกำรเรียนรู้และทำงำนร่วมกบั เพ่ือน นำไปสู่
ควำมสำเรจ็ 3) ด้ำนครูผู้สอน ได้แก่ ครูให้คำปรึกษำและคำแนะนำกำรเรียนรู้ทุกๆ คร้ัง, ครูเปิ ด
โอกำสให้นักเรียนแสดงควำมคิดเหน็ และมีส่วนร่วมในกิจกรรมกำรเรียนรู้, ครูใช้คำถำมระหว่ำง
กำรเรียนเพ่ือให้กระตุ้นให้นักเรียนเกิดควำมคิด, ครูช้ีแจงกิจกรรมกำรเรียนรู้และวิธีกำรสอนให้
นักเรียนเข้ำใจอย่ำงชัดเจน, ครูส่งเสริมให้นักเรียนมีควำมกระตือรือร้นในกำรทำงำน ซ่ึงสอดคล้อง
กบั งำนวิจัยของ อำรีนำ หะยีเตะ (2559: บทคดั ย่อ) ได้ศึกษำผลกำรจัดกำรเรียนรู้ เร่ืองพยญั ชนะ
และสระ สำระวิชำภำษำมลำยู สำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษำปี ท่ี 2 โรงเรียนบ้ำนนำ้ ดำ โดยใช้
รูปแบบกำรเรียนรู้แบบร่วมมือ ผลกำรวิจัยพบว่ำ นักเรียนมีควำมพึงพอใจต่อกำรจัดกำรเรียนรู้
โดยใช้รูปแบบกำรเรียนรู้แบบร่วมมือ เร่ืองพยัญชนะและสระในระดับมำก (4.38) และปิ ยะนุช
เจียมจันทร์ และ ธำนิล ม่วงพูล (2560) ได้ทำกำรวิจัยเร่ือง กำรพัฒนำกระบวนเรียนกำรสอน
แบบเพ่ือนคู่คิดโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เพ่ือเสริมทักษะกำรเรียนรู้ กลุ่มสำระกำร
เรียนรู้ภำษำไทย เร่ืองคำรำชำศัพท์ นักเรียนช้ันประถมศึกษำปี ท่ี 5 โรงเรียนอนุบำลกำแพงแสน
จังหวัดนครปฐม ผลกำรวิจัยพบว่ำ ควำมพึงพอใจของนักเรียนท่มี ีต่อกระบวนกำรสอนแบบเพ่ือน
มีค่ำเฉล่ียเทำ่ กบั 4.55 อยู่ในระดบั พึงพอใจมำกท่สี ดุ

ขอ้ คน้ พบจากการวิจยั
กำรจัดกำรเรียนรู้กิจกรรมกำรเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์ โดยใช้เกมร่วมกับกำรเรียนรู้

แบบร่วมมือเทคนิคคิดเด่ียว-คิดคู่-คิดร่วมกัน (Think-Pair-Share) ทำให้นักเรียนทุกคนมี
ควำมสำมำรถในกำรเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์ดีข้ึนและจำกกิจกรรมแต่ละคร้ัง นักเรียนให้ควำม
ร่วมมือเป็นอย่ำงดแี ละมีควำมสนุกสนำนในกำรเรียน ซ่ึงพิจำรณำจำกคะแนนจำกกำรทำแบบฝึกท่ี
1-11 จำแนกเป็นรำยบุคคล เป็นคู่ และเป็นกลุ่ม เม่อื เปรียบเทยี บคะแนนเป็นรำยบุคคลของแบบ
ฝึ กและแบบทดสอบท่ี 1-11 นักเรียนมีคะแนนสูงข้ึน ผลท่ีเหน็ ได้ชัดคือ คะแนนแบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนท่ีมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่ำก่อนเรียน และแสดงให้เหน็ ว่ำ นักเรียนมี

646

พัฒนำกำรเรียนรู้จำกกิจกรรมกำรเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์ โดยใช้เกมร่วมกับกำรเรียนรู้แบบ
ร่วมมอื เทคนิคคิดเด่ยี ว-คดิ คู่-คิดร่วมกนั (Think-Pair-Share)

กำรทำกิจกรรมกำรเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์ โดยใช้เกมร่วมกับกำรเรียนรู้แบบร่วมมือ
เทคนิคคิดเด่ียว-คิดคู่-คิดร่วมกัน (Think-Pair-Share) ช่วยกระตุ้นให้นักเรียนเกิดกำรเรียนรู้
สร้ำงควำมสนุกสนำน มกี ำรแลกเปล่ียนเรียนรู้ซ่ึงกนั และกนั มีควำมร่วมมอื ในกำรทำงำนกลุ่มและ
กำรทำงำนตรงต่อเวลำ มีกำรแสดงควำมคิดเหน็ และมีควำมคิดสร้ำงสรรค์ มีควำมรับผิดชอบใน
กำรทำงำนทำให้เกิดกำรเรียนรู้ในเร่ืองท่เี รียนและฝึกกำรทำงำนเป็นกลุ่มได้เป็นอย่ำงดี โดยเฉพำะ
เร่ืองควำมคดิ สร้ำงสรรค์ ซ่ึงเกดิ ข้นึ จำกกำรเรียน เช่น แบบฝึก เร่ือง สร้ำงรูปทรงกรวย

ขอ้ เสนอแนะ
ข้อเสนอแนะสำหรับกำรนำไปใช้
1. กำรควบคุมเวลำในกำรเล่นเกม กำรบริหำรจัดกำรเป็นไปตำมท่ีกำหนดไว้ อำจมี

กำรกำกบั เวลำเป็นระยะๆ จนหมดเวลำ
2. กำรสร้ำงกิจกรรมซ่ึงเป็นเกมค่อนข้ำงจะหำยำกท่ีจะให้สอดคล้องกับเน้ือหำ และ

เพ่ือให้เกดิ ควำมหลำกหลำยในกำรใช้เกมในแต่ละกจิ กรรมและเน้ือหำด้วย
3. บำงแบบฝึ กซ่ึงเป็นเร่ืองยำกหลังจำกนักเรียนทำกิจกรรมแล้ว ครูอำจต้องอธิบำย

เพ่ิมเติมเพ่ือสร้ำงควำมรู้ ควำมเข้ำใจให้แก่นักเรียน
4. เน่ืองกำรใช้เกมในกำรทำกิจกรรมทำให้นักเรียนเกิดควำมสนุกสนำน ทำให้เกิด

เสียงดัง อำจจะไปรบกวนห้องข้ำงเคียงได้ ดังน้ันครูผู้สอนจึงต้องกำกับและดูแลนักเรียนอย่ำง
ใกล้ชิด

ข้อเสนอแนะในกำรวิจัยคร้ังต่อไป
กำรพัฒนำควำมสำมำรถกำรเรียนรู้วิชำคณิตศำสตร์ โดยใช้เกมร่วมกับกำรเรียนรู้

แบบร่วมมือเทคนิคคิดเด่ียว-คิดคู่-คิดร่วมกนั (Think-Pair-Share) เปรียบเทยี บกับกำรเรียนรู้
แบบร่วมมือแบบอ่นื เช่น แบบ TeamAssisted Individualization (TAI) หรือ เทคนิคกำรแข่งขัน
ระหว่ำงกลุ่มด้วยเกม (Team – Games - Tournament หรือ TGT)

647

บรรณานุกรม
กระทรวงศึกษำธิกำร.(2542). พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 .

กรุงเทพฯ: บริษัทสยำมสปอรต์ ซินดิเคท จำกดั
กระทรวงศึกษำธกิ ำร.(2542). พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พุทธศกั ราช 2542 (ฉบบั ที่

2) และที่แกไ้ ขเพิม่ เติม พุทธศกั ราช 2545.กรุงเทพฯ: บริษัทสยำมสปอรต์ ซินดิ
เคท จำกดั .
เกริก ท่วมกลำงและจินตนำ ท่วมกลำง. (2555). การพฒั นาสือ่ /นวตั กรรมทางการศึกษาเพือ่
เลอื่ นวิทยฐานะ. กรุงเทพฯ: บริษัทสถำพรบุค๊ จำกดั .
ทิศนำ แขมมณี. (2558). ศำสตร์กำรสอน: องคค์ วามรู้ เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ ที่มี
ประสิทธิภาพ. (พิมพค์รั้ งท่ี19). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ แห่งจุ ฬำลงกรณ์
มหำวิทยำลัย.
บรักก์ (Brukk 2012). ศึกษาผลของการใชเ้ กมที่มีต่อพฤติกรรมในการทางาน สาหรับ
หอ้ งเรียนระดบั ประถมศึกษา
บุปผำ จุลพันธ์ (2550: 2-94) ความสมั พนั ธร์ ะหว่างปัจจัยบางประการกบั ทกั ษะกระบวนการ
ทางวิทยาศาสตรข์ ้นั พ้ นื ฐานของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6
ปริศรำ มอทิพย์. (2553). การใชก้ ิจกรรมการเรียนรูแ้ บบเพื่อนคู่คิด (Think Pair Share)
ส า ห รับ ก ลุ่ ม ส า ร ะ ก า ร เ รี ย น รู ้ก า ร ง า น อ า ชี พ แ ล ะ เ ท ค โ น โ ล ยี ข อ ง น ัก เ รี ย น ช้ ัน
มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 ทีม่ ี รูปแบบการเรียนต่างกนั . รำยงำนกำรวิจัย: โรงเรียนนวมินท
รำชินุทศิ สตรีวิทยำ.
พิริยำ เลิกชัยภูมิ (2556). ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตร์ โดยใชเ้ กม เป็ นสื่อนาเขา้ สู่
ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 ที่มีความสามารถทางการเรียนคณิตศาสตร์
แตกต่างกนั
มลวิภำ เมืองพระฝำง และคณะ (2559). ความคิดเห็นของนกั เรียนต่อพฤติกรรมการสอนของ
ครูพฤติกรรมการเรียนของผูเ้ รียนและผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง อตั ราการ
เกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5
วัฒนำพร ระงบั ทุกข์. (2542). การจดั การเรียนการสอนทีเ่ นน้ ผเู้ รียนเป็ นศูนยก์ ลาง. กรุงเทพฯ
: เลิฟแอนด์เลิฟเพรส.
สถำบันส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี. (2551). คู่มือการจัดการเรียนรูก้ ลุ่มสาระ
การเรียนรูค้ ณิตศาสตร์. กรุงเทพฯ: สถำบันส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และ
เทคโนโลยี.
สุคนธ์ สินธพำนนท.์ (2553). นวตั กรรมการเรียนการสอนเพือ่ พฒั นาคุณภาพของเยาวชน.
(พิมพ์คร้ัง ท่ี 4). กรุงเทพฯ: ห้ำงหุ้นสว่ นจำกดั 9119 เทคนิคพร้ินต้งิ .

648


Click to View FlipBook Version