The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วารสารบัณฑิตศึกษา ปีที่ 8 ฉบับที่ 3

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by care.chitlada, 2020-08-25 13:52:44

วารสารบัณฑิตศึกษา

วารสารบัณฑิตศึกษา ปีที่ 8 ฉบับที่ 3

สมมติฐานการวิจยั
1. นักเรียนสามารถแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบอริยสจั 4 มี

คะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ของคะแนนเตม็
2. นักเรียนมผี ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตร์มีคะแนนหลังเรียนสงู กว่าก่อนเรียน

อย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิท่รี ะดบั .05
3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบอริยสัจ

4 อยู่ในระดับมาก

ขอบเขตของการวิจยั
กลุ่มเป้ าหมายท่ใี ช้ในวิจัยในคร้ังน้ี เป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 ภาคเรียนท่ี 2 ปี

การศึกษา 2562โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๑๐๔ (บ้านทุ่งกระถิน) อาเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี
จานวน 23 คน

ตัวแปรท่ศี ึกษา
ตวั แปรอสิ ระ ได้แก่ การจัดการเรียนรู้โดยใช้อริยสจั 4
ตัวแปรตาม ได้แก่
1. ความสามารถการแก้โจทยป์ ัญหาทางคณติ ศาสตร์
2. ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาคณิตศาสตร์
3. ความพึงพอใจท่มี ีต่อการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์

ขอบเขตด้านเน้ือหา
เน้ือหาในงานวิจัยคือ เร่ือง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ในระดับช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 ตาม
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ปรับปรุง 2560 ) กลุ่มสาระการ
เรียนรู้คณติ ศาสตร์
ระยะเวลาในการวิจัย
การวิจัยคร้ังน้ีดาเนินการในภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 จานวน 15 ช่ัวโมง

เครือ่ งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบอริยสัจ 4 สาหรับ

นักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 2
2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์สาหรับนักเรียนช้ัน

มัธยมศึกษาปี ท่ี 2
3. แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบ

อริยสจั 4 สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2

449

การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
ผู้วิจัยได้ดาเนินการทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมูลตามข้นั ตอนดังน้ี

1. ข้นั เตรียม
ผู้วิจัยแจ้งวัตถุประสงค์ของการเรียนวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบอริยสัจ 4

และข้ันตอนการดาเนินการวิจัยแก่นักเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียนคณิตศาสตร์ก่อนเรียน โดยใช้แบบทสอบจานวน 1 ชุด แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จานวน 20
ข้อ เพ่ือเกบ็ คะแนน
2. ข้นั ดาเนินการ

1) ดาเนินการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบอริยสัจ 4 จานวน
1 หน่วยการเรียนรู้ ประกอบด้วย ใบกจิ กรรมและแบบทดสอบ ท้งั 4 แผนการเรียนรู้ รวมท้งั ส้ิน
15 ช่ัวโมง

2) ในแต่ละแผนผู้สอนฝึ กความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์เร่ือง
ทฤษฎีพีทาโกรัสจากใบกิจกรรมโดยให้ ทางานเป็ นกลุ่มและทดสอบความสามารถในการแก้ โจทย์
ปัญหาทางคณติ ศาสตร์เป็นรายบุคคล เพ่ือเกบ็ คะแนน

3) เม่ือส้ินสุดการจัดการเรียนรู้ผู้สอนให้นักเรียนทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้แบบอริยสัจ 4 โดยใช้แบบทสอบจานวน 1 ชุด แบบปรนัย 4
ตัวเลือก จานวน 20 ข้อ ซ่ึงเป็ นแบบทดสอบชุดเดียวกันกับแบบทดสอบก่อนเรียน เพ่ือเกบ็
คะแนน

4) ให้นักเรียนตอบแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์โดยใช้
การเรียนรู้แบบอริยสจั 4 จานวน 1 ชุด 15 ข้อ
3. ข้นั สรุป

นาข้อมูลท่เี กบ็ รวบรวมได้ท้งั หมดมาวิเคราะห์ โดยใช้วิธกี ารทางสถิติ

การวิเคราะหข์ อ้ มูล
1. วิเคราะห์ความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์เร่ือง ทฤษฎีบทพีทา

โกรัส สาหรับนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 2 โดยการหาค่าร้อยละ
2. วิเคราะห์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เร่ือง ทฤษฎีบท

พีทาโกรัส สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 โดยการหาค่าร้อยละ การหาค่าเฉล่ีย (Mean)
และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)

3. วิเคราะห์ประเมินผลแบบสอบถามความพึงพอใจท่ีมีต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์
โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบอริยสจั 4 โดยการหาค่าเฉล่ีย (Mean) และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน
(Standard Deviation)

4. สรุปผลโดยใช้ตาราง การพรรณนาและอภปิ รายผล

450

สรุปผลการวิจยั
ตอนที่ 1 ผลการพัฒนาความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้การ

เรียนรู้แบบอริยสัจ 4 สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 จานวน 23 คน พบว่า นักเรียนท่ีมี
คะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ของคะแนนเตม็ ผ่านเกณฑ์ จานวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 82.61
และนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 4 คน คดิ เป็นร้อยละ 17.39

ภาพท่1ี แสดงการพัฒนาความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบ
อริยสจั 4 สาหรับนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 2 จานวน 23 คน

ตอนที่ 2 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตร์ ก่อนเรียนและหลังเรียนคณิตศาสตร์
โดยใช้การเรียนรู้แบบอริยสัจ 4 สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิ
การแก้โจทย์ปัญหาทางคณติ ศาสตร์ก่อนเรียน มคี ่า ̅ = 8.83, S.D. = 2.12 และหลังเรียนมีค่า ̅
= 14.17, S.D. = 2.75 เม่ือทดสอบด้วยสถิติ paired t -test นักเรียนมีความรู้หลังเรียนสูงกว่า
กอ่ นเรียนอย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ทิ ่รี ะดับ .05 (t = 20.87, sig = 0.000)

ผลสมั ฤทธ์ิ

ทางการเรียน จานวนนกั เรียน ̅ S.D. t Sig.
2.12
คณิตศาสตร์ 8.83
14.17 20.87* 0.000
ก่อนเรียน 23 2.75

หลังเรียน 23

*มนี ัยสาคญั ทางสถติ ริ ะดบั เทา่ กบั .05

451

ตอนที่ 3 ผลระดับความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 ท่มี ีต่อการเรียนรู้วิชา
คณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบอริยสัจ 4 พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมากท่ีสุด ( ̅ = 4.57,
S.D. = 0.62) เม่ือพิจารณาแต่ละด้านมีคะแนนเฉล่ียเรียงจากมากไปน้อย ดังน้ี ด้านบรรยากาศ
การเรียนรู้
( ̅ = 4.60, S.D. = 0.62) ด้านประโยชน์ท่ไี ด้รับ ( ̅ = 4.57, S.D. = 0.61) และด้านเน้ือหา ( ̅
= 4.55, S.D. = 0.67)

อภิปรายผล
ตอนที่ 1 ผลการพัฒนาความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้การ

เรียนรู้แบบอริยสัจ 4 สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 จานวน 23 คน พบว่า นักเรียนท่ีมี
คะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ของคะแนนเตม็ ผ่านเกณฑ์ จานวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 82.61
และนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 4 คน คิดเป็ นร้อยละ 17.39 นักเรียนท่ีไม่ผ่านเกณฑ์ผล
เน่ืองมาจากนักเรียนเป็นเดก็ สมาธิส้ัน และจากการพิจารณาคะแนนการทดสอบแต่ละคร้ัง การ
ทดสอบคร้ังท่ี 1 มีคะแนนเฉล่ีย 7.48 เป็นหน่วยการเรียนรู้เร่ืองสมบัติของรูปสามเหล่ียมมุมฉาก
ซ่ึงเป็นเร่ืองท่งี ่าย นักเรียนส่วนใหญ่จะมีพ้ืนฐานความรู้มาก่อน เม่ือการทดสอบคร้ังท่ี 2 คะแนน
เฉล่ีย 7.17 เป็ นเร่ืองเก่ียวกับทฤษฎีพีทาโกรัสและเป็ นเร่ืองท่ีต้องทาความเข้าใจเก่ียวกับ
ความสมั พันธร์ ะหว่างพ้ืนท่ขี องรูปส่เี หล่ียมจัตรุ ัส สร้างจากรูปสามเหล่ียมมุมฉากท่ที บั ซ้อนกนั เป็น
เร่ืองใหม่เม่ือเวลาทาแบบทดสอบนักเรียน ซ่ึงมีนักเรียนบางคนทาแบบทดสอบไม่ได้ แต่เม่อื เรียน
เร่ื องท่ีเก่ียวข้ อ งกันนั กเรี ยน สา มาร ถเ ช่ือ มโยงเร่ื อ งเก่า มา สู่เร่ื อ งใหม่ ได้ และ มีคะแนน สูงข้ ึ น
ตามลาดับ ซ่ึงดวงเดือน อ่อนน่วม (2542, หน้า 126–133) ได้เสนอแนะเทคนิคการพัฒนา
ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ว่า การใช้โจทยป์ ัญหาคณิตศาสตร์หลายระดับโดย
ท่คี รูประเมินโจทย์ไว้หลายระดับความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ของเดก็ แต่ละคนเพ่ือ
ไม่ให้เดก็ ขาดแรงจูงใจในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ในขณะเดียวกนั กพ็ บความสาเรจ็ ในการ
แก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์เพ่ือสร้างแรงจูงใจในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ท่ซี ับซ้อนข้ึนและ
ครูลิคกับรัดนิค (Krulik & Rudnick, 1988, p. 19) ได้กล่าวถึงลาดับข้ันในการแก้โจทย์ปัญหา
คณติ ศาสตร์ คอื 1) การอ่านทาความเข้าใจโจทย์ 2) การสารวจเง่ือนไขและข้อมูลในโจทยท์ ่จี าเป็น
ต่อการแก้ปัญหา 3) การเลือกวิธกี ารมาใช้ในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ 4) การดาเนินการ
แก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ 5) การตรวจสอบและนาวิธกี ารแก้โจทยป์ ัญหาเพ่ือนาไปใช้ต่อไป

สาหรับการใช้อริยสัจ 4 มาช่วยในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์น้ันทาให้นักเรียน
ประสบความสาเรจ็ ในการเรียนรู้คณิตศาสตร์เพ่ิมข้ึนดังท่ี วิทย์ วิศเวทย์และเสถียรพงษ์ วรรณปก
(2547 : 42-43), สุวิทย์ มูลคาและอรทัย มูลคา (2549) ได้สรุปว่า วิธีสอนแบบอริยสัจ 4 มี
ข้ันตอน คือ 1) ข้ันกาหนดปัญหาหรือข้ันทุกข์ ครูช่วยนักเรียนให้ได้ศึกษาพิจารณาดูปัญหาท่ี
เกดิ ข้ึนด้วยตนเองด้วยความรอบคอบและพยายามกาหนดขอบเขตของปัญหา ซ่ึงนักเรียนจะต้อง

452

คิดแก้ไขให้ได้ 2) ข้ันสมมติฐานหรือข้ันสมุทัย ครูช่วยให้นักเรียนได้พิจารณาเองว่าสาเหตุของ
ปัญหาท่ยี กข้นึ มากล่าวในข้ันท่ี 1 น้ันมีอะไรบ้าง 3) ข้นั การทดลองหรือเกบ็ ข้อมูลหรือข้นั นิโรธ ข้นั
ทาให้แจ้ง ครูต้องสอนให้นักเรียนได้กระทาหรือทาการทดลองด้วยตนเองตามหัวข้อต่างๆ ท่ี
กาหนดไว้ 4) ข้นั วิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผลหรือมรรค จากการทดลองกระทาด้วยตนเองหลาย ๆ
คร้ัง ย่อมจะได้ผลออกมาชัดเจนผลบางประการช้ีให้เหน็ ว่า แก้ปัญหาได้บ้างแต่ไม่ค่อยชัดเจนนัก
ผลท่ีถูกต้องช้ีให้เหน็ ว่าแก้ปัญหาได้แน่นอนแล้วและได้บรรลุจุดหมายแล้ว ได้แนวทางหรือข้อ
ปฏบิ ัติท่เี ราต้องการแล้วเหล่าน้ีหมายความว่า จะต้องวิเคราะห์และเปรียบเทยี บข้อมูลท่ไี ด้บันทกึ ไว้
ในข้นั ท่3ี จนแจ่มแจ้งว่าทาอย่างไรจึงจะแก้ปัญหาท่กี าหนดในข้นั ท่ี 1 ได้สาเรจ็

บงกชรัตน์ สมานสินธุ์ (2551: บทคัดย่อ) ศึกษาเร่ือง ผลการจัดการเรียนการสอน
แบบอริยสจั 4 ท่มี ีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาและทกั ษะการเช่ือมโยงทางคณิตศาสตร์ของ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการแก้ปัญหาและทกั ษะการ
เช่ือมโยงทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 หลังจากได้รับการจัดการเรียนการ
สอนแบบอริยสัจ 4 สูงกว่าก่อนได้รับการสอนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 2)
ความสามารถในการแก้ปัญหาและทกั ษะการเช่ือมโยงทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา
ปี ท่ี 5 หลังจากได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบอริยสจั 4 ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 60 ข้ึนไป อย่างมี
นัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .01และปวีณา ตังนู (2557: บทคัดย่อ) การพัฒนาความสามารถใน
การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เร่ือง จานวนและตัวเลขโดยใช้การจัดการเรียนการสอนแบบอริยสจั
4 ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1โรงเรียนเบญจลักษ์พิทยา สังกดั สานักงานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษา
มัธยมศึกษาเขต 28 พบว่านักเรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ก่อนการ
พัฒนาเฉล่ียร้ อยละ 40.81 และหลังการพัฒนาเฉล่ียร้ อยละ 81.77 แสดงว่า นักเรียนมี
ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เร่ือง จานวนและตัวเลขโดยใช้การจัดการเรียนการ
สอนแบบอริยสจั 4 หลังการพัฒนาสงู กว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิท่รี ะดับ .05

ตอนที่ 2 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตร์ ก่อนเรียนและหลังเรียนคณิตศาสตร์
โดยใช้การเรียนรู้แบบอริยสจั 4 สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 พบว่า นักเรียนมผี ลสัมฤทธ์ิ
การแก้โจทยป์ ัญหาทางคณติ ศาสตร์กอ่ นเรียน มีค่า ̅ = 8.83, S.D. = 2.12 และหลังเรียนมีค่า ̅
= 14.17, S.D. = 2.75 เม่ือทดสอบด้วยสถิติ paired t -test นักเรียนมีความรู้หลังเรียนสูงกว่า
ก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 (t = 20.87, sig = 0.000) คะแนนก่อนเรียน
โดยใช้อริยสัจ 4 คะแนนเตม็ 20 คะแนน นักเรียนได้คะแนนเกินคร่ึงมาจานวน 10 คน จาก
นักเรียน 23 คน คิดเป็นร้อยละ 43.48 หลังจากเรียนรู้ไปแล้วใช้แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียนชุดเดียวกนั ปรับโจทย์เลก็ น้อยนักเรียนมคี ะแนนสงู ข้นึ จานวน 22 คน คดิ เป็นร้อยละ 95.65
อาจกล่าวได้ว่า การเรียนโดยใช้การเรียนรู้แบบอริยสจั 4 ทาให้นักเรียนมีความสามารถในการแก้
โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้เป็นอย่างดี สอดคล้องกบั งานวิจัยของโสภิดา ศรีโพธ์ชิ ัย (2556 :
บทคัดย่อ) ผลของการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์โดยใช้ปัญหาเป็ นหลักร่วมกบั หลักอริยสัจ 4

453

ท่มี ตี ่อผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน ความสามารถในการแก้ปัญหาและความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ของ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 3 พบว่า นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 3 มีผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนหลัง
เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลักร่วมกับหลักอริยสัจ 4 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี
นัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 และสงิ หา จันทน์ขาว (2558 : บทคัดย่อ) ผลของการจัดการเรียน
การสอนด้วยวิธีอริยสัจส่ีท่มี ีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเร่ืองเพศศึกษาของนักเรียนช้ันมัธยมช้ัน
มัธยมศึกษาปี ท่ี 1 ผลการวิจัย ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนด้านความรู้ มีความแตกต่างกันอย่างมี
นัยสาคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดับ .05

ตอนที่ 3 ผลระดับความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 ท่มี ีต่อการเรียนรู้
วิชาคณติ ศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบอริยสจั 4 พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมากท่สี ดุ ( ̅ = 4.57,
S.D. = 0.62) เม่ือพิจารณาแต่ละด้านมีคะแนนเฉล่ียเรียงจากมากไปน้อย ดังน้ี ด้านบรรยากาศ
การเรียนรู้ ( ̅ = 4.60, S.D. = 0.62)ด้านประโยชน์ท่ไี ด้รับ ( ̅ = 4.57, S.D. = 0.61) และด้าน
เน้ือหา ( ̅ = 4.55, S.D. = 0.67) เม่ือพิจารณาเป็ นรายด้านมีรายละเอียดดังน้ี ด้านบรรยากา
ศการเรียนรู้ ได้แก่ มีความกระตือรือร้นในการเรียน เกิดความคิดท่ีหลากหลายจากการทางาน
ร่วมกบั ผู้อ่นื เปิ ดโอกาสให้นักเรียนมีสว่ นร่วมในการทากจิ กรรมเรียน มคี วามรับผดิ ชอบต่อตนเอง
และกลุ่ม เปิ ดโอกาสให้นักเรียนทากจิ กรรมได้อย่างอิสระ ด้านประโยชน์ท่ไี ด้รับ ได้แก่ นาอริยสัจ
4 สร้างความรู้ความเข้าใจด้วยตนเองได้ และทาให้การเรียนรู้ง่ายข้ึน ช่วยให้ยอมรับความคิดเหน็
ของ ช่วยให้นักเรียนตัดสนิ ใจโดยใช้เหตุผล นักเรียนนาวิธีการเรียนรู้ไปใช้ในวิชาอ่นื ๆ ด้านเน้ือหา
ได้แก่ เน้ือหายากแต่สามารถทาให้เข้าใจได้ง่าย ความยากง่ายของเน้ือหาเหมาะกับผู้เรียน เน้ือหา
ในแต่ละหน่วยการเรียนเช่ือมโยงกัน เน้ือหาเหมาะกับเวลาท่ีกาหนด เน้ือหาสามารถนาไปใช้ใน
ชีวิตประจาวันได้ สอดคล้องกับงานวิจัยของโสภิดา ศรีโพธ์ิชัย (2556 : บทคัดย่อ) ผลของการ
จัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์โดยใช้ปัญหาเป็ นหลักร่วมกับหลักอริยสัจ 4 ท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียน ความสามารถในการแก้ปัญหาและความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปี ท่ี 3 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้หลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้
โดยใช้ปัญหาเป็นหลักร่วมกบั หลักอริยสจั 4 อยู่ในระดับมากท่สี ดุ และสงิ หา จันทน์ขาว (2558 :
บทคัดย่อ) ผลของการจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีอริยสัจส่ีท่มี ีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเร่ือง
เพศศึกษาของนักเรียนช้ันมธั ยมช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 พบว่า นักเรียนมีความคิดเหน็ ต่อการจัดการ
เรียนการสอนด้วยวิธอี ริยสจั ส่โี ดยรวมอยู่ในระดบั ดมี าก

ขอ้ คน้ พบจากงานวิจยั
เน่ืองจากเน้ือหาเร่ืองทฤษฏพี ีทาโกรัส เป็นเร่ืองท่ีต้องใช้ความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับ

ความสมั พันธร์ ะหว่างด้านตรงข้ามมุกฉากกับด้านประกอบมุมฉาก การจัดการเรียนการสอนแบบ
อริยสัจ 4 ครูผู้สอนสามารถยกสถานการณ์ท่ีนักเรียนสามารถพบได้ในชีวิตประจาวันเพ่ือให้
นักเรียนเหน็ ภาพและเข้าใจในเน้ือหาจึงทาให้บทเรียนง่ายข้ึน เช่น ครูนาภาพอาคารในรูปแบบ

454

ต่างๆ และให้นักเรียนร่วมกันสังเกตอาคารเรียนหรือส่งิ ก่อสร้างท่อี ยู่ใกล้เคียงท้งั ข้างนอกห้องเรียน
และภายในห้องเรียน และให้นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหน็ ว่านักเรียนเห็นอาคารเรียนหรือ
ส่ิงก่อสร้างเป็นรูปเรขาคณิตอะไรบ้าง จากน้ันครูสนทนากบั นักเรียนเก่ยี วกับรูปเรขาคณิตท่พี บ ซ่ึง
นักเรียนจะเห็นว่ามีรูปส่ีเหล่ียม รูปสามเหล่ียมต่างๆ ครูจึงเช่ือมโยงความรู้มายังเร่ืองรูป
สามเหล่ียมมุมฉาก เพ่ือนาไปสู่การค้นหาสมบัติของรูปสามเหล่ียมมุมฉาก หลังจากน้ันครูต้ัง
คาถามกระตุ้นความคิดของนักเรียนโดยครูถามว่า “ นักเรียนทราบหรือไม่ว่ารูปสามเหล่ียมมุม
ฉากมสี มบัตอิ ย่างไร ” นักเรียนตอบว่า รูปสามเหล่ียมมุมฉาก คือ สามเหล่ียมท่มี ีมุมใดมุมหน่ึงเป็น
มุมฉาก หรือ 90 องศา นักเรียนจะช่วยกันคิดหาคาตอบ มีท้งั ร่วมกนั คิดและมีท้งั การแข่งกนั ทาให้
เกิดความสนุกสนาน และเม่ือนักเรียนทาแบบฝึ กและแบบทสอบกเ็ พ่ิมความเข้าใจในเร่ืองท่ีเรียน
มากย่งิ ข้นึ

อีกประการหน่ึงการจัดการเรียนการสอนแบบอริยสจั 4 น้ัน สามารถช่วยให้นักเรียนมี
ทกั ษะกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ และนักเรียนยังสามารถแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้
อย่างถูกต้องและรวดเรว็

ขอ้ เสนอแนะ
ขอ้ เสนอแนะสาหรบั การนาไปใช้

1) ครูผู้สอนควรนาสถานการณป์ ัญหาในชีวิตประจาวัน มาเช่ือมโยงและสอดแทรกใน
การแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เพ่ือให้นักเรียนเหน็ ความสาคัญของวิชาคณิตศาสตร์มากข้ึน
และครูควรหาหรือเลือกส่อื หรืออุปกรณ์การสอน เช่น รูปภาพ อาคารสถานท่ี เป็นต้น ท่ใี กล้เคียง
กบั ชีวิตประจาวันเพ่ือนักเรียนจะได้เช่ือมโยงความคิดได้ดี

2) การจัดการเรียนการสอนแบบอริยสัจ 4 เป็นวิธกี ารเรียนแบบใหม่ซ่ึงนักเรียนยังไม่
เคยเรียนมาก่อน ดังน้ันครูผู้สอนจึงต้องอธิบายเก่ยี วกับการเรียนแบบอริยสจั 4 ให้นักเรียนเข้าใจ
และยกตวั อย่างให้ชัดเจน

3) ระหว่างการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ครูอาจเพ่ิมเติมให้นักเรียนต้ังปัญหาในลักษณะ
ใกล้เคียงกับสถานการณ์ปัญหาท่คี รูกาหนดในแต่ละคร้ังท่จี ัดการเรียนการสอนเพ่ือฝึกให้นักเรียน
เป็นผู้มีความคิดริเร่ิมและแก้ปัญหาท่นี ักเรียนสร้างโจทย์ข้ึนเองเพ่ือเป็นการตรวจสอบความรู้ความ
เข้าใจของนักเรียนให้มากย่ิงข้นึ

ขอ้ เสนอแนะในการวิจยั คร้งั ต่อไป
ควรจะมีการทาวิจัยโดยการจัดการเรียนการสอนแบบอริยสจั 4 โดยศึกษาตัวแปรอ่นื ๆ

เช่น ทกั ษะการใช้เหตผุ ล ทกั ษะการส่อื สาร และการนาเสนอให้กบั นักเรียนในช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1
หรือ 3 และในเน้ือหาอ่นื ๆ ท่เี ก่ยี วข้อง

455

บรรณานุกรม

กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย.

ดุษฎี สีตลวรางค์.(2554). ศึกษาเปรียบเทียบวิธีการสอนแบบอริยสจั 4 ช้นั ประถมศึกษาปี ที่
6. ขอนแก่น : วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัย
ขอนแกน่ .

ทศิ นา แขมมณี. (2552).ศาสตรก์ ารสอน.พิมพ์คร้ังท่ี 9 กรุงเทพมหานคร: ด่านสทุ ธาการพิมพ์.
บงกชรัตน์ สมานสินธ์. (2551). ผลการเรียนการสอนแบบอริยสจั 4 ทีม่ ีต่อความสวามารถใน

การแกป้ ัญหาและทกั ษะการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตรข์ องนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษา
ปี ที่ 5. กรุงเทพฯ : ปริญญานิพนธก์ ารศึกษามหาบัณฑติ บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลัย
ศรีนครินทรวิโรฒ.
พระธรรมปิ ฎก. (2543). พุทธธรรมเล่มที่ 4 ฉบบั ปรบั ปรุงและขยายความ.โรงพิมพ์มหา
จุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย.
เยาวภา ประคองศิลป์ .(2554). ศึกษาเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนแบบความเห็นชอบ
ตามการเรียนรูแ้ บบอริยสจั 4 ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 จงั หวดั เพชรบุรี
ภาคเรียนที่1 ปี การศึกษา 2554. เชียงใหม่:ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต บัณฑิต
วิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
สาโรช บัวศรี.(2526). วิธีสอนตามข้ันตอนท้งั สี่ของอริยสัจ ศึกษาศาสตรต์ ามแนวพุทธ
ศาสตร.์ กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์วัฒนธรรมแห่งชาติ.
โสภิดา ศรีโพธ์ิชัย (2556). ผลของการจัดการเรียนรูว้ ิชาคณิตศาสตรโ์ ดยใชป้ ัญหาเป็ นหลกั
ร่วมกบั หลักอริยสัจ 4 ที่มีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ความสามารถในการ
แกป้ ัญหาและความพึงพอใจต่อการเรียนรูข้ องนกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 3.
วารสารบณั ฑติ ศึกษา ปี ท่ี 10 ฉบับท่ี 51 พฤศจิกายน – ธนั วาคม 2556
สิงหา จันทน์ขาว (2558). ผลของการจัดการเรียนการสอนดว้ ยวิธีอริยสจั สี่ที่มีต่อผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรียนเรือ่ งเพศศึกษาของนกั เรียนช้นั มธั ยมช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1. ครุศาสตร
มหาบัณฑติ สาขาสขุ ศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

456

การพฒั นาความสามารถในการเล่นกฬี าฟุตบอลโดยใชส้ ถานการณจ์ าลอง
สาหรบั นกั เรียนทีเ่ ป็ นนกั กฬี าระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย
Development Of Ability To Play Football Using Simulation
For High School Student Athletes

จิรพนธ์ วงศพ์ นม1
พจมาลย์ สกลเกยี รติ2

บทคดั ยอ่

การวิจัยเชิงทดลองน้ี มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) พัฒนาความสามารถในการเล่นกีฬา
ฟุตบอลโดยใช้สถานการณ์จาลอง สาหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 2) เปรียบเทยี บ
ความสามารถในการเล่นกฬี าฟุตบอลก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สถานการณ์จาลอง 3) ศึกษา
ความพึงพอใจของนักเรียนระดบั มัธยมศึกษาตอนปลายในการเล่นกฬี าฟุตบอลโดยใช้สถานการณ์
จาลอง กลุ่มเป้ าหมายท่ใี ช้ในงานวิจัยคร้ังน้ี คือ นักเรียนท่เี ป็นนักกฬี าช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย
โรงเรียนอัสสัมชัญหลักสูตรภาษาอังกฤษ จังหวัดสมุทรสาคร ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562
จานวน 20 คน ซ่ึงได้จากการสมัครใจ (Volunteer Sampling) เคร่ืองมือในการวิจัย ได้แก่ 1)
แผนการจัดการเรียนรู้กีฬาฟุตบอลโดยใช้สถานการณ์จาลอง จานวน 5 แผน 2) แบบประเมิน
ความสามารถกฬี าฟุตบอล 3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนรู้การพัฒนาความสามารถ
ในการเล่นกีฬาฟุตบอลโดยใช้สถานการณ์จาลอง สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าร้อยละ
ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และสถติ ิทดสอบสมมติฐาน Paired Sample t-test

ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีคะแนนความสามารถในการเล่นกีฬาฟุตบอล ไม่ต่า
กว่าร้อยละ 80 ผ่านเกณฑ์ จานวน 20 คน คดิ เป็นร้อยละ 100 2) นักเรียนมีความสามารถในการ
เล่นกฬี าฟุตบอลหลังเรียนสูงกว่ากอ่ นเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิท่รี ะดบั .05(t = 25.11, sig
= 0.000) 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการพัฒนาความสามารถในการเล่นกฬี าฟุตบอล โดยใช้
สถานการณจ์ าลองในภาพรวม ในระดับมาก (x̅ = 4.34 , S.D. = 0.64)
คาสาคัญ : การพัฒนาความสามารถ, สถานการณจ์ าลอง, กฬี าฟุตบอล

1 นกั ศึกษา หลกั สตู รศึกษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาหลกั สตู รและการสอน วทิ ยาลยั ครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัย
ธรุ กจิ บณั ฑติ ย์
2 ท่ปี รกึ ษาวทิ ยานพิ นธ์

457

ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา

สาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เป็นสาระการเรียนรู้หน่ึงใน 8 สาระท่จี ัดไว้ใน
หลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นกลุ่มสาระท่ผี ู้เรียนทุกคนจาเป็นต้องเรียนรู้
เป็นกลุ่มสาระท่มี ีความหมาย และมคี วามสาคญั ย่ิงต่อการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยตรง
เพราะครอบคลุมเร่ืองสุขภาพท่ีเป็ นพ้ืนฐานสาคัญต่อชีวิตความเป็ นอยู่โดยมุ่งเน้นพัฒนา
พฤติกรรมการเรียนรู้ของ ท้งั ด้านสาระความรู้เก่ียวกบั สุขภาพท่จี าเป็น ด้านการสร้างเจตคติและ
ค่านิยมท่ีดี คุณธรรม จริยธรรม และคุณลักษณะนิสัยท่ีพึงประสงค์ รวมท้ังทักษะกระบวนการ
ปฏิบัติในการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพท่ีย่ังยืน ซ่ึงการมีสุขภาพดีเป็ นคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์
ประการแรกของคนไทยท่รี ัฐบาลได้กาหนดไว้เป็นนโยบายและมาตรการในการจัดการศึกษาของ
ประเทศ เพ่ือพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มคี วามม่นั คง ม่นั ค่ังและย่งั ยืนในประชาคมโลกท้งั ปัจจุบัน
และอนาคต จึงกล่าวได้ว่า สุขศึกษาและพลศึกษาเป็ นสาระการเรียนรู้ท่ีสาคัญในการพัฒนา
ประชากร โดยมุ่งเน้นการปรับเปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพ การป้ องกัน ส่งเสริม พัฒนา และการ
บริหารจัดการชีวิต ท้งั ทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สงั คมและจิตวิญญาณ อนั เป็นองค์ประกอบ
ของการมภี าวะสขุ ภาพท่สี มบูรณ์ (กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2551)

จากแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับท่ี 6 พ.ศ. (2560-2564) กล่าวว่าจากการ
พัฒนากฬี าท่ผี ่านมายังไม่ประสบความสาเรจ็ เทา่ ท่คี วร โดยเฉพาะการพัฒนาการกฬี าข้ันพ้ืนฐาน
การดูกฬี าและการเล่นกฬี าของประชาชนยังมีน้อย การออกกาลังกายและเล่นกฬี าของประชาชน มี
อัตราเพ่ิมข้ึนเลก็ น้อยจากการสารวจของสานักงานสถิติแห่งชาติเก่ียวกบั พฤติกรรมการออกกาลัง
กายของประชากร ท้งั น้ีกจิ กรรมพลศึกษาและการออกกาลังกายในรูปแบบต่างๆ หน่วยงานภาครัฐ
ภาคเอกชน โรงเรียน มหาวิทยาลัยควรเลง็ เหน็ ถึงความสาคัญให้เพ่ิมข้ึนเพ่ือท่จี ะพัฒนาประชากร
ในประเทศทุกเพศ ทุกวัยได้เตม็ ตามศักยภาพทว่ั ไป

ปัจจุบันกีฬาฟุตบอลได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายไปท่ัวโลก สามารถส่งเสริม
พัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญาของบุคคลได้เป็นอย่างดีการเล่นฟุตบอลมี
จุดมุ่งหมายเพ่ือความสนุกสนานเพลิดเพลินเป็นการออกกาลังกายท่จี ะทาให้ร่างกายมีพลานามัย
สมบูรณ์มีวินัยในตนเองมีการประสานงานกับบุคคลอ่ืนและยังสามารถเล่นเพ่ือเป็ นอาชีพได้
โดยเฉพาะเด็กในวัยเรียน กีฬาฟุตบอลจึงมีความสาคัญและความต้ องการของเด็กสูง
กระทรวงศึกษาธกิ าร จึงได้กาหนดให้กฬี าฟุตบอลอยู่ในกลุ่มสร้างเสริมลักษณะนิสัยใน หลักสตู ร
การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2551: 2-4) ฟุตบอลในประเทศ
ไทยเร่ิมมีการเล่นในสมัยรัชกาลท่ี 6 เน่ืองจากสมัยรัชกาลท่ี 5 ได้ส่งพระราชโอรสและข้าราช
บริพารไปศึกษายังประเทศอังกฤษจนเม่ือสาเรจ็ การศึกษากลับมา จึงได้นากีฬาน้ีเข้ามาเล่นใน
เมืองไทย ตอนแรกได้นาไปแข่งขันกนั ในโรงเรียนก่อน ต่อมาได้เผยแพร่ไปยังสโมสรและไปจนถึง
ต่างจังหวัดอย่างรวดเรว็ ทาให้ชาวไทยเร่ิมรู้จักและเป็นท่นี ิยมมากข้นึ (สกายบุก๊ จากดั , 2548)

458

กฬี าฟุตบอลเป็นกฬี าท่มี กี ารแข่งขันท่ชี ิงไหวชิงพริบและเสริมสร้างให้ร่างกายเกดิ ความ
คล่องตัว มีความแขง็ แรง อดทน ว่องไว (สุขสวัสด์ิ ชนะพาล 2550: 2) นอกจากน้ี อุดม จอกรบ
(2545: 30) กล่าวว่าผู้ท่ีเป็ นนักฟุตบอลน้ันยังเป็ นผู้ท่ีมีความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย
หมายถึงการท่ีร่างกายมีประสิทธิภาพด้านความแขง็ แรง ความอดทน ความเร็ว ความคล่องตัว
ความอ่อนตัว และมีกาลัง นักกีฬาท่มี ีสมรรถภาพสูงน้ันกย็ ่อมแสดงความสามารถออกมาได้สูง
ตรงกนั ข้ามกบั นักกีฬาท่มี ีสมรรถภาพร่างกายต่ากย็ ่อมแสดงความสามารถออกมาได้น้อย รวมถึง
ทกั ษะพ้ืนฐานเป็นส่วนสาคัญในการเล่นกีฬาฟุตบอล เช่น ทกั ษะการครอบครองหยุดลูกฟุตบอล
ทกั ษะการรับและส่งลูกฟุตบอล ทกั ษะการเล้ียงลูกฟุตบอล ทกั ษะยิงประตู และแทคติกการเล่มทมี
เป็ นต้ น

หากจะกล่าวถึงว่า วิธีสอนใดท่จี ะส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มากท่ีสุด แน่นอน
น่ันคือการสอนท่ใี ห้ผู้เรียนได้สัมผัสสถานการณ์ท่เี ป็นจริง เพราะการท่ผี ู้เรียนได้ปฏบิ ัติจริงน้ัน จะ
ทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ท่ียาวนานและเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ ถ้าหากไม่สามารถปฏิบัติใน
สถานการณ์ท่เี ป็นจริงได้ การเรียนการสอนท่ใี ช้สถานการณ์จาลองกเ็ ป็นทางเลือกท่ดี ีท่ใี ห้ผู้เรียนได้
สัมผัสกับการเรียนท่ีสะท้อนความเป็ นจริง ตามจุดมุ่งหมายท่ีผู้สอนได้กาหนดไว้ การสร้าง
สถานการณ์จาลอง เป็นการจัดสภาพแวดล้อมเลียนแบบของจริง ให้ใกล้เคียงสภาพความเป็นจริง
มากท่ีสุด และให้ผู้เรียนได้ฝึ กการคิดแก้ปัญหาและตัดสินใจจากสภาพการณ์ท่เี ขากาลังเผชิญอยู่
น้ัน ( สขุ สม สวิ ะอมรรัตน์ 2552 ) วิธสี อนโดยใช้สถานการณ์จาลองเป็นการจัดการเรียนการสอน
ท่พี ยายามให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสถานการณ์ท่ีมีความใกล้เคียงความเป็นจริงมากท่ีสุด โดยการ
สร้ างสถานการณ์จาลองข้ ึนในห้ องเรียนแล้ วให้ ผ้ ูเรียนแสดงบทบาทของตนเองตามสถานการณ์
น้ันๆ (ไสว ฟักขาว,2544 : 122) โดยให้ผู้เรียนลงไปเล่นในสถานการณ์ท่ีมีบทบาท ข้อมูล และ
กติกาการเล่น ท่ีสะท้อนความเป็ นจริง และมีปฏิสัมพันธ์กับส่ิงต่างๆ ท่ีอยู่ในสถานการณ์ ได้ใช้
ข้อมูลท่ีมีสภาพคล้ายกับข้อมูลในความเป็ นจริง ในการตัดสินใจและแก้ปัญหาต่างๆ ซ่ึงการ
ตัดสนิ ใจน้ันจะส่งผลถึงผู้เล่นในลักษณะเดียวกันกบั ท่เี กดิ ข้ึนในสถานการณ์จริง (ทศิ นา แขมมณี,
2550 : 370)จุดเด่นของการสอนโดยใช้สถานการณ์จาลอง 1) เป็ นวิธีสอนท่ีช่วยให้ผู้เรียนได้
เรียนรู้เร่ืองท่มี ีความสมั พันธ์ซับซ้อนได้อย่างเข้าใจ เกดิ ความเข้าใจ เน่ืองจากได้มีประสบการณ์ท่ี
เห็นประจักษ์ชัดด้วยตนเอง 2) ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้สูงมาก ผู้เรียนได้เรียนอย่าง
สนุกสนาน การเรียนรู้มคี วามหมายต่อตัวผู้เรียน 3) ผู้เรียนมีโอกาสได้ฝึกทกั ษะกระบวนการต่างๆ
จานวนมาก เช่นกระบวนการปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืน กระบวนการส่ือสาร กระบวนการตัดสินใจ
กระบวนการแก้ปัญหา และกระบวนการคิด เป็นต้น (ทศิ นา แขมมณี 2550 : 373)

นอกจากน้ันการใช้สถานการณ์จาลองดังท่ี อินทิรา บุณยาทร (2542 : 102-103)
กล่าวถึง ข้ันตอนการสอนโดยใช้สถานการณ์จาลอง ซ่ึงประกอบด้วย 3 ข้ันตอน คือ 1) ข้ัน
เตรียมการสอน กาหนดจุดประสงค์ กาหนดสถานการณ์จาลอง 2) ข้นั ตอนดาเนินการสอน ผู้สอน
เสนอสถานการณ์จาลองโดยให้ผู้เรียนศึกษาปัญหาและหาแนวทางท่ีจะแก้ปัญหา แบ่งเป็นกลุ่ม

459

ย่อยร่วมกันแสดงความคิดเห็นหรือ ผู้เรียนเสนอแนวทางแก้ปัญหา 3) ข้ันตอนอภิปรายและ
สรุปผล ผู้วิจัยจึงมีความสนใจท่จี ะศึกษาการใช้สถานการณ์จาลอง โดยใช้กระบวนการ 3 ข้ันตอน
ข้างต้น เพ่ือพัฒนาความสามารถในการเล่นกีฬาฟุตบอล ของนักเรียนท่ีเป็ นนักกีฬาโรงเรียน
อัสสัมชัญหลักสูตรภาษาอังกฤษ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ซ่ึงโรงเรียนอัสสัมชัญหลักสูตร
ภาษาอังกฤษ ได้เปิ ดเป็นชมรมฟุตบอลเพ่ือให้นักเรียนท่มี ีความสามารถและความสนใจมาสมัคร
เป็นนักกฬี าของโรงเรียน โดยใช้เวลาหลังเลิกเรียนฝึกซ้อมวันจันทร์ ถึง วันศุกร์ การเรียนการสอน
กีฬาฟุตบอล เป็ นการเรียนรู้ภาคปฏิบัติ มากกว่าภาคทฤษฎี ดังน้ันการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ภาคทฤษฎีท่ีสามารถนาไปปฏิบัติได้จริง จึงเป็ นส่ิงท่ีสาคัญ ซ่ึงผู้วิจัยได้ศึกษาการพัฒนา
ความสามารถในการเล่นกฬี าฟุตบอล โดยใช้สถานการณ์จาลอง อาจช่วยทาให้ผู้เรียนกีฬาฟุตบอล
สามารถนาความรู้ท่ีได้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ท่ีเกิดข้ึนจริงในเกมการแข่งขัน ได้อย่าง
เหมาะสม

วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั

1. เพ่ือพัฒนาความสามารถในการเล่นกีฬาฟุตบอลโดยใช้สถานการณ์จาลอง สาหรับ
นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

2. เพ่ือเปรียบเทยี บความสามารถในการเล่นกฬี าฟุตบอลก่อนเรียนและหลังเรียน โดย
ใช้สถานการณ์จาลอง

3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในการเล่นกีฬา
ฟุตบอลโดยใช้สถานการณ์จาลอง

สมมติฐานการวิจยั
1. นักเรียนท่ไี ด้รับการพัฒนาความสามารถในการเล่นกฬี าฟุตบอลโดยใช้สถานการณ์

จาลอง มคี ะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็
2. นักเรียนมีความสามารถในการเล่นกฬี าฟุตบอลหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมี

นัยสาคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดับ .05
3. นักเรียนมีความพึงพอใจในการเล่นกีฬาฟุตบอล โดยใช้สถานการณ์จาลอง อยู่ใน

ระดบั มาก

ขอบเขตการวิจยั

กลุ่มเป้ าหมาย คือ นักเรียนชายระดับมัธยมศึกษาตอนปลายท่ีเป็ นนักกีฬาฟุตบอล
โรงเรียนอัสสัมชัญหลักสูตรภาษาอังกฤษ จังหวัดสมุทรสาคร จานวน 20 คน โดยการเลือกแบบ
สมัครใจ (Volunteer Sampling)

460

ตวั แปรทีศ่ ึกษา
ตวั แปรตน้
การใช้สถานการณจ์ าลองในการพัฒนาความสามารถในการเล่นกฬี าฟุตบอล
ตวั แปรตาม
1. ความสามารถในการเล่นกีฬาฟุตบอล ซ่ึงประกอบไปด้วย ทักษะการหยุดลูก

ฟุตบอล, ทกั ษะการเล้ียงลูกฟุตบอล, ทกั ษะการรับและส่งลูกฟุตบอล ทกั ษะการยิงประตู และแท
คตกิ การเล่นทมี

2. ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเล่นฟุตบอล โดยใช้สถานการณ์จาลอง
ขอบเขตดา้ นเน้ อื หา

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 การเคล่ือนไหว การออกกาลังกาย การเล่นเกม กีฬาไทย และ
กฬี าสากล
ระยะเวลา

ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 จานวน 5 วัน วันละ 3 ช่ัวโมง

เครือ่ งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั

1. แผนการจัดการเรียนรู้กฬี าฟุตบอลโดยใช้สถานการณ์จาลอง
2. แบบประเมินความสามารถกฬี าฟุตบอล
3. แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนรู้การพัฒนาความสามารถในการเล่นกฬี า

ฟุตบอลโดยใช้สถานการณ์จาลอง

การเก็บรวบรวมขอ้ มูล

ผู้วิจัยได้ดาเนินการทดลองกับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายท่เี ป็นนักฟุตบอล
โรงเรียนอัสสัมชัญหลักสูตรภาษาอังกฤษ โดยได้ดาเนินการทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมูลตาม
ข้นั ตอน ต่อไปน้ี

1. อธิบายและช้ีแจงการพัฒนาความสามารถในการเล่นกีฬาฟุตบอล โดยใช้
สถานการณ์จาลองให้นักเรียนเข้าใจ

2. ทาการประเมินนักเรียนก่อนเรียน (Pre - test) โดยใช้แบบประเมินความสามารถ
ในการเล่นกฬี ากฬี าฟุตบอล โดยใช้สถานการณจ์ าลอง

3. ดาเนินการสอนโดยใช้สถานการณ์จาลองจานวน 5 แผน แผนละ 3 ช่ัวโมง รวม
เวลาในการสอน 15 ช่ัวโมง

4. เม่ือส้ินสุดการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ท้งั 5 แผน ผู้วิจัยทาการประเมิน
หลังเรียน (Post - test) โดยใช้แบบประเมนิ ความสามารถในการเล่นกฬี าฟุตบอลท่ผี ู้วิจัยสร้างข้นึ

461

5. นักเรียนทาแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการพัฒนาความสามารถกีฬาฟุตบอล
โดยใช้สถานการณจ์ าลองของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาตอนปลาย

6. สรุปผล อภิปรายผล โดยใช้ตารางและการพรรณนา

การวิเคราะหข์ อ้ มูล

การวิเคราะห์ข้อมูลท่ไี ด้จากการดาเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ทาการวิเคราะห์
ข้อมูลโดยโปรแกรมทางสถติ สิ าเรจ็ รูป ดังน้ี

1. วิเคราะห์ความสามารถในการเล่นกีฬาฟุตบอลโดยใช้สถานการณ์จาลอง ของ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยใช้ค่าร้อยละ (Percentage)

2. วิเคราะห์ความสามารถในการเล่นกีฬาฟุตบอลก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ค่า
ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉล่ีย (Mean) สถิติทดสอบสมมติฐาน Paired Sample T- Test

3. วิเคราะห์ประเมินแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์
จาลองโดยใช้ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉล่ีย (Mean) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard
Deviation)

4. ประมวลผลโดยใช้โปรแกรมสาเรจ็ รูป แปลผลและวิเคราะห์ข้อมูล
5. สรุปผลโดยใช้ตารางและการพรรณนา และอภิปรายผล

ผลการวิจยั

1. ผลการพัฒนาความสามารถในการเล่นกีฬาฟุตบอลโดยใช้สถานการณ์จาลอง
สาหรับนักเรียนท่เี ป็นนักกฬี าระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย จานวน 20 คน พบว่า นักเรียนทุกคนมี
คะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ผ่านเกณฑ์ จานวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ 100

2. ผลประเมินความสามารถในการเล่นกฬี าฟุตบอลโดยใช้สถานการณ์จาลอง สาหรับ
นักเรียนท่เี ป็นนักกฬี าระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย พบว่า นักเรียนมคี วามสามารถในการเล่นกีฬา
ฟุตบอลหลังเรียนสงู กว่ากอ่ นเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิท่รี ะดับ .05

3. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน การพัฒนาความสามารถในการเล่นกีฬา
ฟุตบอล โดยใช้สถานการณ์จาลอง สาหรับนักเรียนท่ีเป็ นนักกีฬาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
พบว่า โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับ มาก (x̅ =4.34,S.D.=0.64) เม่ือพิจารณาเป็น
รายด้านเรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย คือ ด้านผู้เรียน (x̅ =4.41,S.D.=0.65) รองลงมา
คือ ด้านผู้สอน (x̅ =4.32,S.D.=0.57) และด้านการเรียนการสอน (x̅ =4.28,S.D.=0.70)
ตามลาดบั

462

อภิปรายผล

การวิจัยเร่ืองการพัฒนาความสามารถในการเล่นกฬี าฟุตบอลโดยใช้สถานการณ์จาลอง
สาหรับนักเรียนท่เี ป็นนักกฬี าระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย สามารถอภปิ รายผลได้ดังน้ี

1. ผลการพัฒนาความสามารถในการเล่นกีฬาฟุตบอลโดยใช้สถานการณ์จาลอง
สาหรับนักเรียนท่เี ป็นนักกฬี าระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จานวน 20 คน พบว่า นักเรียนทุกคนมี
คะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ผ่านเกณฑ์ จานวน 20 คน คดิ เป็นร้อยละ 100 การนาเอาการเรียนรู้
แบบใช้สถานการณ์จาลองมาใช้กับการพัฒนาความสามารถในการเล่นกีฬาฟุตบอลของนักเรียนท่ี
เป็นนักกฬี าฟุตบอลระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ท้งั 3 ข้ันตอน ประกอบด้วย ข้ันเตรียมการสอน
ข้ันดาเนินการสอน และข้ันอภิปรายและสรุปผล ซ่ึงเป็ นการเรียนรู้ท่ีผ่านการลงมือปฏิบัติจริง
เพราะการท่ผี ู้เรียนได้ปฏบิ ัตจิ ริงน้ัน จะทาให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนรู้ท่ยี าวนานและเข้าใจได้อย่างถ่อง
แท้ แต่ถ้าหากไม่สามารถปฏิบัติในสถานการณ์ท่ีเป็ นจริงได้ การเรียนการสอนท่ีใช้สถานการณ์
จาลองก็เป็ นทางเลือกท่ีดีท่ีให้ ผู้เรียน ได้สัมผัสกับการเรียนท่ีสะท้อนความเป็ นจริง ตาม
จุดมุ่งหมายท่ีผู้สอนได้กาหนดไว้ ซ่ึงสอดคล้องกับแนวคิด โฮลเดน ( Holden. 1981: 5 ) กล่าว
ว่า สถานการณจ์ าลองเป็นการจาลองสถานการณ์ให้ใกล้เคียงกบั สถานการณ์จริง สว่ นมากจะอยู่ใน
รูปแบบของการแก้ปัญหา ครูทาหน้าท่ีเป็ นเพียงผู้ควบคุมจะนาของจริงต่างๆมาเป็นส่ือในการ
กระตุ้นผู้เรียนให้ใช้ทักษะ ส่วน โจนส์ ( Jones. 1982: 5 ) กล่าวถึงลักษณะการเรียนรู้ด้วย
สถานการณ์จาลองเป็ นเหตุการณ์หน่ึงซ่ึงไม่ใช่การสอนโดยครู แต่นักเรียนเป็ นผู้เข้าร่วมใน
เหตุการณ์น้ันและเป็ นผู้ท่ีทาให้เหตุการณ์น้ันดาเนินต่อไปโดยได้รับมอบหมายหน้าท่ีภารกิจใน
สังคมและความรับผิดชอบท่ีเก่ียวข้องอยู่ในสถานการณ์น้ัน ซ่ึงต้องมีการแก้ปัญหาและการ
ตัดสินใจอยู่ด้วย ส่วนครูจะเป็นผู้กาหนดเวลาเร่ิมต้นและส้ินสุดของสถานการณ์ นอกจากน้ีครูมี
หน้าท่อี ธบิ ายรายละเอียดต่างๆท่ีสาคัญในสถานการณ์ สอดคล้องกับงานวิจัยของ วิชนนท์ พูลศรี
(2560) ได้ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้สถานการณ์จาลองท่ีมีต่อทักษะกีฬา
ฟุตบอลเพ่ือความปลอดภัยของนักเรียนประถมศึกษาตอนปลาย สรุปได้ว่านักเรียนท่ไี ด้รับวิธกี าร
จัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้สถานการณ์จาลองเพ่ือให้นักเรียนได้เรียนรู้ทกั ษะกีฬาฟุตบอลเพ่ือ
ความปลอดภัย มีค่าเฉล่ียของคะแนนหลังการทดลองสงู กว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสาคัญทาง
สถิติท่รี ะดับ .05 และค่าเฉล่ียของคะแนนทกั ษะกีฬาฟุตบอลเพ่ือความปลอดภัยก่อนการทดลอง
ของนักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05
หลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี
ระดับ.05 ผลการวิจัยแสดงว่าการจัดการเรียนรู้พลศึกษาโดยใช้สถานการณ์จาลองท่มี ีผลต่อทักษะ
กฬี าฟุตบอลเพ่ือความปลอดภัยส่งผลให้นักเรียนมีทกั ษะกฬี าฟุตบอลเพ่ือความปลอดภัย

2. ผลประเมินความสามารถในการเล่นกฬี าฟุตบอลโดยใช้สถานการณ์จาลอง สาหรับ
นักเรียนท่เี ป็นนักกฬี าระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย พบว่า นักเรียนมคี วามสามารถในการเล่นกีฬา
ฟุตบอลหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 ท้งั น้ีนักเรียนได้เรียน

463

ผ่านกระบวนการสอนโดยใช้สถานการณจ์ าลองท้งั 3 ข้นั ตอน ประกอบด้วย ข้นั เตรียมการสอน ข้นั
ดาเนินการสอน และข้ันอภิปรายและสรุปผล ส่งผลให้คะแนนในการเล่นทีมของแต่ละกลุ่มอยู่ใน
ระดับดี ส่วนนักเรียนท่ที าการทดสอบทกั ษะหลังเรียนได้คะแนนเตม็ เน่ืองจากนักเรียนมีทักษะ
พ้ ืนฐานเบ้ ืองต้ นด้ านกีฬาฟุตบอลมาบ้ างและเม่ือผู้วิจัยนากระบวนการสอนโดยใช้ สถานการณ์
จาลองไปใช้ กับนักเรียน ทาให้ นักเรียนมีความสามารถเพ่ิมข้ึน ส่วนค่าเฉล่ียของคะแนน
ความสามารถท่เี รียงลาดบั จากน้อยไปหามากคือ ทกั ษะยิงประตู ค่าเฉล่ีย 2.00 เป็นเพราะนักเรียน
ขาดการฝึกฝนในทกั ษะการยิงประตู ควรให้นักเรียนฝึกทกั ษะการยิงประตูอย่างสม่าเสมอ ลาดับ
ต่อไปคือ ทกั ษะการครอบครองหยุดลูกฟุตบอล ค่าเฉล่ีย 2.65 ลาดับต่อไปคือ ทกั ษะการรับและ
ส่งลูกฟุตบอล ค่าเฉล่ีย 2.75 ลาดับต่อไปคือ ทักษะการเล้ียงลูกฟุตบอล ค่าเฉล่ีย 2.90 และ
ค่าเฉล่ียของคะแนนมากท่สี ดุ คือ แทคติกการเล่นทมี มีค่าเฉล่ีย 3.00 เป็นเพราะนักเรียนมีความ
สนุกท่ีได้เล่นทีมกับกลุ่มเพ่ือนๆโดยใช้สถานการณ์จาลอง ทาให้ดึงความสามารถของทักษะ
พ้ืนฐานต่างๆมาใช้ในการเล่นแทคติกการเล่นทีมได้เป็ นอย่างดี ท้ังน้ีควรฝึ กทักษะอ่ืนๆ อย่าง
สม่าเสมอเพ่ือให้เกิดความชานาญ ซ่ึง กิบบอนส์ (Gibbons. 1995) ได้ศึกษาผลของการใช้
สถานการณ์จาลองท่ีมีต่อทัศนคติในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน ผลการศึกษาพบว่า
การสอนโดยใช้สถานการณ์จาลองทาให้นักเรียนมีทศั นคติท่ดี ีต่อการเรียนการสอนวิชาคณติ ศาสตร์
และมีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ท่สี งู ข้นึ ซ่ึง ทศิ นา แขมมณี (2550 : 370) กล่าวว่า
วิธสี อนโดยใช้สถานการณ์จาลอง เป็นวิธีการท่มี ุ่งช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้สภาพความเป็นจริงและ
เ กิด ค ว า ม เ ข้ าใ จใ นส ถ านก ารณ์ ห รื อเ ร่ื อ ง ท่ีมี ตั วแป รจา นว นม าก ท่ีมี คว าม สัม พั นธ์กันอย่ าง
ซับซ้อน และงานวิจัยของ เหรียญทอง สุดสังข์ (2550) ได้ทาการศึกษาการเปรียบเทียบผลของ
การเรียนรู้ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 เร่ืองคุณธรรมจริยธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม
ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ระหว่างการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็ นฐานและโดยใช้
สถานการณ์จาลอง พบว่านักเรียนกลุ่มท่เี รียนแบบใช้สถานการณ์จาลอง เร่ืองคุณธรรม จริยธรรม
มีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนและความสามารถในการคิดวิเคราะห์หลังเรียนต่างจากนักเรียนท่ีเรียน
แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดบั .05 แต่นักเรียนท้งั สองกลุ่มมคี วามฉลาด
ทางอารมณ์ไม่แตกต่างกันดังน้ัน การจัดการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จาลองช่วยส่งเสริมให้
นักเรียนมีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน และความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สูงกว่าการจัดการเรียนรู้
โดยใช้ ปัญหาเป็ นฐาน

3. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน การพัฒนาความสามารถในการเล่นกีฬา
ฟุตบอล โดยใช้สถานการณ์จาลอง สาหรับนักเรียนท่ีเป็ นนักกีฬาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
พบว่า โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับ มาก (x̅ =4.34,S.D.=0.64) เม่ือพิจารณาเป็น
รายด้านเรียงลาดบั ค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย คือ ด้านผู้เรียน (x̅ =4.41,S.D.=0.65) เพราะการ
สอนโดยใช้สถานการณ์จาลองเป็นการสอนโดยให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง จึงทาให้ผู้เรียนเกดิ
ความสนุกสนานในการเรียนรู้ สามารถนากระบวนการแก้ปัญหาไปใช้ได้จริง ได้พัฒนาความคิดใน

464

ส่ิงท่ีอยากเรียนมากข้ึน รู้จักการวางแผนในการทางาน และสามารถทางานร่วมกับผู้อ่ืนได้ ลาดับ
ต่อมาคือ ด้านผู้สอน (x̅ =4.32,S.D.=0.57) เพราะผู้สอนส่งเสริมให้ผู้เรียนได้แก้ปัญหาด้วยวิธี
คิดท่หี ลากหลาย ส่งเสริมการกล้าแสดงออก ช่วยเหลือให้คาปรึกษาอย่างสม่าเสมอ รวมถึงการวัด
และประเมินผลการเรียนมีความชัดเจนและยุติธรรม และด้ านการเรียนการสอน ( x̅
=4.28,S.D.=0.70) การจัดการเรียนรู้ทาให้นักเรียนกล้าคิดกล้าตอบ มีโอกาสเรียนรู้ด้วยตนเอง
ท้งั ในและนอกห้องเรียน สามารถรู้จักวิธีแก้ปัญหาอย่างเป็ นระบบ แลกเปล่ียนความรู้ และการ
ปฏิบัติระหว่างผู้เรียน และบรรยากาศเป็ นกันเองและมีความสุขในการเรียน ตามลาดับ ซ่ึง
สอดคล้องกบั แนวคิดของ สขุ สม สวิ ะอมรรัตน์ (2552) ท่ศี ึกษาผลของการใช้สถานการณ์จาลองท่ี
มีต่อความสามารถในการทางานกลุ่มของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 แสดงให้เห็นว่า โดย
ภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (x̅ =4.49,S.D. = 0.78) เม่ือพิจารณาเป็ นรายด้าน
พบว่า ด้านผู้สอน อยู่ในระดับมาก ลาดับต่อมาคือ ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ และด้านผู้เรียน ซ่ึง
มอร์ส(Morse, 1955, p. 27) ได้ กล่าวว่า ความพึงพอใจหรือความพอใจ ตรงกับคาใน
ภาษาอังกฤษว่า “Satisfaction” น้ันหมายถึงส่ิงท่ีตอบสนองความต้องการข้ันพ้ืนฐานของมนุษย์
เป็นการลดความกดดันทางด้านร่างกายและจิตใจหรือสภาพความรู้สกึ ของบุคคลท่มี ีความสขุ ความ
ช่ืนใจตลอดจนสามารถสร้างทัศนคติในทางบวกต่อบุคคลต่อส่ิงหน่ึง ซ่ึงจะเปล่ียนแปลงไปตาม
ความพอใจต่อส่ิงน้ัน และจรัสพร บัวเรือง (2562, น. 60) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง
ความรู้สึกหรือทศั นคติท่ดี ีของบุคคล ซ่ึงเกิดจากการได้รับการตอบสนองตามท่ีตนต้องการ กจ็ ะ
เกดิ ความรู้สกึ ท่ดี ีต่อส่งิ น้ัน ตรงกนั ข้ามหากความต้องการไม่ได้รับการตอบสนอง ความไม่พึงพอใจ
กจ็ ะเกดิ ข้นึ และงานวิจัยของ ยุพิน ศุภรัชตเ์ ศรณี (2550:61) ได้ศึกษาเร่ืองผลการใช้สถานการณ์
จาลองท่มี ีต่อผลสัมฤทธ์ิ และเจตคติทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 5 พบว่า ความพึงพอใจการใช้สถานการณ์จาลองท่มี ีต่อผลสัมฤทธ์ิ และเจตคติ
ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาเป็ นรายด้าน พบว่า
นักเรียนมคี วามพึงพอใจต่อการสร้างบรรยากาศการเป็นกันเอง กจิ กรรมการเรียนการสอน ผู้สอน
อานวยความสะดวกให้นักเรียนได้วิเคราะห์ อยู่ในระดับมากเรียงตามลาดบั

ขอ้ คน้ พบในงานวิจยั

1. การนาเอาการเรียนรู้แบบใช้สถานการณ์จาลองมาใช้กบั การพัฒนาความสามารถใน
การเล่นกีฬาฟุตบอลของนักเรียนท่ีเป็นนักกีฬาฟุตบอลระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สามารถทา
ให้นักเรียนพัฒนาความสามารถในการเล่นกีฬาฟุตบอลดีข้ึน หลังจากได้เรียนตามข้ันตอนการใช้
สถานการณ์จาลอง ท้งั 3 ข้ันตอน ประกอบด้วย ข้ันเตรียมการสอน ข้ันดาเนินการสอน และข้ัน
อภิปรายและสรุปผล ซ่ึงเป็นการเรียนรู้ท่ผี ่านการลงมอื ปฏบิ ัตจิ ริงทาให้ผู้เรียนเกดิ ความเข้าใจและ
สามารถพัฒนาทกั ษะการครอบครองลูกฟุตบอล การรับและส่งลูกฟุตบอล การเล้ียงลูกฟุตบอล
การยิงประตู และแทคติกการเล่นทีม นักเรียนส่วนใหญ่มีความกระตือรือร้นและต้ังใจในการ

465

ปฏบิ ัติ เม่ือปฏบิ ัติหลายๆคร้ังทาให้เกิดความชานาญในทกั ษะต่างๆ ครูผู้สอนมีส่วนร่วมในการ
เรียนรู้สาหรับนักเรียนคือให้คาปรึกษา (Coach) หรือให้คาแนะนา ช่วยให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจใน
การเรียน ทาให้เกดิ ความสนุกสนาน

2. การวิจัยเร่ืองการพัฒนาความสามารถในการเล่นกีฬาฟุตบอลโดยใช้สถานการณ์
จาลอง สาหรับนักเรียนท่เี ป็นนักกฬี าระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย พบว่า ลักษณะการเรียนรู้โดยใช้
สถานการณ์จาลอง เป็นการถ่ายทอดความรู้อย่างมีระบบ ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะในการเล่น
กฬี าฟุตบอล ช่วยให้ผู้เรียนได้เผชิญปัญหามากมายในระยะเวลาอนั จากดั ยังทาให้ผู้เรียนได้พบกบั
สภาพการณ์ก่อนท่ีจะเกิดในชีวิตจริง และทุกคนมีส่วนร่วมในการเรียน ซ่ึงในอนาคตนักเรียน
อาจจะนาการเรียนรู้น้ีไปใช้ในเรียนรู้หรือพัฒนาความสามารถในการเล่นฟุตบอลในระดบั สงู ข้นึ

ขอ้ เสนอแนะ

ข้อเสนอแนะสาหรับการนาไปใช้
1. การพัฒนาความสามารถในการเล่นกฬี าฟุตบอลโดยใช้สถานการณ์จาลอง ครูผู้สอน

ควรศึกษาและทาความเข้าใจการจัดการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จาลองให้ชัดเจน พร้อมช้ีแจงให้
นักเรียนเข้าใจในแต่ละข้นั ตอนของการเรียน เพ่ือให้นักเรียนสามารถปฏบิ ัตไิ ด้ถูกต้องและเกดิ การ
เรียนรู้ตามวัตถุประสงคท์ ่ตี ้ังไว้

2. การเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จาลองไม่จาเป็นต้องเรียนภายในห้องเรียนเทา่ น้ัน แต่
สามารถเรียนนอกห้องเรียนได้เช่นกัน สนามฟุตบอล ลานกฬี า ห้องฟิ ตเนส ซ่ึงจะช่วยส่งเสริมให้
นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้จากหลายแหล่ง และเป็นการเปล่ียนบรรยากาศการเรียนการ
สอน เพ่ือให้เกดิ ความต่นื เต้น สนุกสนานในการเรียนการสอน

3. การเรียนโดยใช้สถานการณ์จาลองเน้นการปฏบิ ัติ เพ่ือพัฒนาความสามารถเฉพาะ
บุคคลให้มีความพร้อมการเรียนหรือการแข่งขัน ดังน้ันครูผู้สอนจะต้องเลือกเน้ือหาและวางแผน
ในการสอนให้เหมาะสมกบั ระดับช้ันของนักเรียน นักเรียนจะต้องมีความพร้อม มีความรับผิดชอบ
ในการปฏบิ ัติและความสม่าเสมอในการฝึกซ้อมให้เกดิ ความชานาญ

ข้อเสนอแนะในการวิจัยคร้ังต่อไป
ควรนาแนวทางการจัดการเรียนโดยใช้สถานการณจ์ าลอง ไปประยุกต์ใช้กบั วิชาอ่นื หรือ
กีฬาประเภทอ่ืนๆ เช่น บาสเกตบอล วอลเลย์บอล เซปักตะกร้อ รักบ้ี เป็นต้น เพ่ือส่งเสริมการ
พัฒนาความสามารถด้านในด้านต่างๆ เพราะการสอนโดยใช้สถานการณ์จาลองสามารถพัฒนา
ความสามารถเฉพาะบุคคลได้ เม่ือความสามารถเฉพาะบุคคลดี จะส่งให้พัฒนาระบบทมี หรือการ
เล่มทมี ได้ดีข้นึ อกี ด้วย

466

บรรณานุกรม

ภาษาไทย
กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2551). หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พ.ศ. 2551. กรุงเทพฯ
จรัสพร บัวเรือง. (2562). การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรค์ โดยการเรียนรูแ้ บบนาตนเอง
วิชาคอมพิวเตอร์ ของนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปี ที่ 2. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชา

หลักสตู รและการสอน วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรุ กจิ บัณฑติ ย.์
ทิศนา แขมมณี. (2550). รูปแบบการเรียนการสอนทางเลือกที่หลากหลาย. กรุงเทพฯ:

จุฬาลงกรณ์
ทศิ นา แขมมณี. (2550). ศาสตรก์ ารสอน : องค์ความรูเ้ พือ่ การจดั กระบวนการเรียนรูท้ ีม่ ี
ประสิทธิภาพ. พิมพ์คร้ังท่ี 6. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
เเผนพฒั นาการกีฬาแห่งชาติฉบบั ที่ 6 (พ.ศ. 2560 – 2564). กระทรวงการท่องเทีย่ วและกีฬา

สารนิพนธ์ วท.ม (วทิ ยาศาสตรก์ ารกีฬา). กรุงเทพฯ: บัณฑติ วิทยาลัยมหาลัยศรีนคริน
ทรวิโรฒ.
ยุพิน ศุภรัชต์เศรณี. (2550) ผลการใชส้ ถานการณ์จาลองทีม่ ีต่อผลสมั ฤทธ์ิและเจตคติทางการ
เรียน กลุ่ม สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย ของนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียน
ชมุ ชนบา้ นท่าแหน จงั หวดั ลาปาง. วทิ ยานิพนธ.์ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช
ระวีวรรณ วุฒิประสทิ ธ์.ิ (2530). บทเรียนวชิ าชดุ ครูทางวทิ ยไุ ปรษณียช์ ดุ วชิ าครู ระดบั พ.ม.
วชิ าหลกั การสอน. นครสวรรค์ : ศูนยก์ ารศึกษาสาหรับครูทางวิทยุไปรษณยี ์.
วิชนนท์ พูลศรี. (2560). ผลการจดั การเรียนรูพ้ ลศึกษาโดยใชส้ ถานการณ์จาลองทีม่ ีต่อทักษะ
กีฬา
ฟุตบอลเพือ่ ความปลอดภยั ของนกั เรียนประถมศึกษาตอนปลาย. มหาบัณฑิตสาขาวิชาสุขศึกษา
และพลศึกษา. ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิ ทยาลั ย สืบค้ นเม่ือ 5 พฤศจิ กายน 2562 . สืบค้ นจาก https://www.tci-

thaijo.org/index.php/OJED/article/view.

สกายบุ๊ค. (2548). ฟุตบอลสาหรบั นกั เรียน นกั ศึกษาและบุคคลท่วั ไป. กรุงเพทมหานคร: ไทย
วัฒนาพานิช

สุขสม สิวะอมรรัตน์. (2552). การใช้สถานการณ์จาลองท่ีมีต่อความสามารถในการทางานกลุ่ม
ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนวัดเลียบราษฏร์บารุง เขตบางซ่ือ
กรุงเทพมหานคร: บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

สขุ สวัสด์ิ ชนะพาล. (2550). ผลของการฝึกเสริมดว้ ยโปรแกรมการฝึกความคลอ่ งแคล่ววอ่ งไวทีม่ ี
ความสามารถในการเล้ยี งลกู ฟุตบอลของนกั กีฬาฟุตบอล อายุ 12-14 ปี. วทิ ยานิพนธ์
ครุศาสตรมหาบณั ฑิต (พลศึกษา). จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย, กรุงเทพฯ

467

ไสว ฟักขาว. (2544). การจดั การเรียนการสอนทีเ่ นน้ ผูเ้ รียนเป็ นศูนย์กลาง. กรุงเทพฯ : เอม
พันธ.์

เหรียญทอง สุดสังข์. (2550). การศึกษาการเปรียบเทียบผลของการเรียนรูข้ องนักเรียนขัน้
มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 เรือ่ งคณุ ธรรมจริยธรรม กลุ่มสาระการเรียนรูส้ งั คมศึกษา ศาสนา
และวฒั นธรรม ระหว่างการจดั การเรียนรูโ้ ดยใชป้ ัญหาเป็นฐานและโดยใชส้ ถานการณ์
จาลอง. มหาสารคาม: การศึกษามหาบัณฑติ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

อนิ ทริ า บุญยาทร. (2542). หลกั การสอน. กรุงเทพฯ : สถาบนั ราชภฏั บา้ นสมเดจ็ เจา้ พระยา
อดุ ม จอกรบ. (2545). ผลของการฝึกความอ่อนตวั และความแขง็ แรงของกลา้ มเน้ือทีม่ ีต่อความ
แม่นยาในการเตะลูกฟุตบอล. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต (พลศึกษา). กรุงเทพฯ:

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ภาษาต่างประเทศ
Gibbons. (1995). A concrete approach to mathematical modelling. New York :

Wiley and son.
Holden, Suan. (1981). Dream in Language Teaching. London : Longman Group Jones.
Jones, Ken. (1982). Simulation in Language Teaching. Cambrige : Cambrige

University Press.
Morse, N. C. (1955). Satisfaction in the White Collar Job. Michigan: University of Michigan

Press.
Measurement and Evaluation in Physical Education.

468

การพฒั นาความสามารถเรียนรูว้ ิชาวิทยาศาสตร์ โดยใชก้ ารเรียนรูแ้ บบ
Predict-Observe-Explain (POE) ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1
The Development of Learning Ability in Science Subject by Using
Predict-Observe-Explain (POE) for Mathayomsuksa 1 Students

ชญานษิ ฐ์ สุวรรณกาญจน1์
อญั ชลี ทองเอม2

บทคดั ย่อ
งานวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) ศึกษาความสามารถการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์
2) ศึกษาพฤติกรรมการทางานเป็ นกลุ่มการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ 4) ศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ กลุ่ม
ตัวอย่างท่ใี ช้ในการวิจัย คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนการเคหะท่าทราย เขตหลักส่ี
กรุงเทพฯ ปี การศึกษา 2562 จานวน 1 ห้องเรียน 35 คน โดยการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง
(Purposive Sampling) เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์
โดยใช้การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) 2) แบบประเมินความสามารถการ
เรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ 3) แบบประเมินพฤติกรรมการทางานเป็ นกลุ่ม 4) แบบทดสอบวัด
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติท่ีใช้ในการ
วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน และสถิติ Pair sample t-test
ผลการวิจัย พบว่า 1) นักเรียนมคี วามสามารถในการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์มีคะแนน
ไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็ ผ่านเกณฑจ์ านวน 3 กลุ่ม คิดเป็นร้อยละ 50 มีนักเรียนไม่
ผ่านเกณฑ์จานวน 3 กลุ่ม คิดเป็นร้อยละ 50 2) พฤติกรรมการทางานเป็นกลุ่ม นักเรียนทุกกลุ่ม
มีคะแนนเฉล่ียต้ังแต่ 2.47-2.91อยู่ในระดับดี คิดเป็นร้อยละ 100 3) ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน
หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 (t = 3.504, Sig. = .001) 4)
โดยภาพรวมมคี วามพึงพอใจอยู่ในระดบั มาก (x̅ = 4.44, S.D. = 0.37)

คาสาคัญ : ความสามารถการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์, การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain
(POE) ช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 1

1 นักศึกษาสาขาหลกั สตู รและการสอน วิทยาลยั ครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรุ กจิ บณั ฑติ ย์
2 อาจารยท์ ่ปี รกึ ษาสาขาหลกั สตู รและการสอน วิทยาลัยครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรุ กจิ บณั ฑติ ย์

469

บทนา
ความรู้และทกั ษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เข้ามามีบทบาทสาคญั ต่อการพัฒนา

การศึกษา โดยเฉพาะอย่างย่ิง ในยุคท่ีทุกส่ิงทุกอย่างล้วนเก่ียวข้องกับวิทยาศาสตร์ ท้ังใน
ชีวิตประจาวัน การทางานด้านต่างๆ ตลอดจนเคร่ืองมือเคร่ืองใช้ ท่ชี ่วยในการอานวยความสะดวก
ให้กับมนุษย์ ล้วนมีรากฐานมาจากวิทยาศาสตร์ท้ังส้ิน การเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์จึงมี
บทบาทมากข้ึน ผู้เรียนจึงต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์มากข้ึน ผู้เรียนท่ตี ้องมีความรู้และ
ทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สามารถปรับเปล่ียนและก้าวให้ทันกับสภาพการณ์ทาง
สงั คมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

ผู้วิจัยได้ศึกษา ผลการทดสอบระดับชาติข้ันพ้ืนฐาน (O-NET) ของสานักงาน
คณะกรรมการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ, 2562) ปี การศึกษา
2557-2561 คะแนนวิชาวิทยาศาสตร์ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 3 ท้ังประเทศ จากคะแนนเตม็ 100
คะแนน พบว่า คะแนนเฉล่ียค่อนข้างต่า ถงึ แม้ในปี การศึกษา 2561 จะมแี นวโน้มเพ่ิมข้นึ แต่กย็ ัง
ไม่ผ่านร้อยละ 50 ของคะแนนเต็ม ซ่ึงปัญหาดังกล่าวต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน การ
พัฒนาการจัดการเรียนรู้ จึงควรมุ่งเน้นท่ผี ู้เรียนเป็นสาคัญ โดยใช้วิธกี ารจัดกิจกรรมการเรียนการ
สอนท่ที าให้ผู้เรียน ได้พัฒนากระบวนการเรียนรู้ สามารถใช้ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ใน
การแสวงหาความรู้ และสร้างองคค์ วามรู้ด้วยตนเองได้

การจัดการเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) เป็นวิธกี ารสอนท่ที าให้เกดิ
การพัฒนาการเรียนรู้ได้ดีย่ิงข้ึน เป็นการจัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ท่เี น้นให้
ผู้เรียน เรียนรู้จากประสบการณ์เดิม ลงมือหาคาตอบ และเกดิ เป็นองค์ความรู้ของตนเอง โดยไวท์
และกันสโตน (White and Gunstone, 1992) ได้กล่าวถึง การจัดการเรียนรู้แบบ Predict-
Observe-Explain (POE) ไว้ว่าเป็นวิธีท่ีจะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเหน็ และอภิปราย
เก่ียวกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ และช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในเร่ืองท่ีเรียนและส่งผลเชิง
บวกในด้านการเรียน ผู้เรียนได้ลงมือปฏบิ ัติเองและเป็นการตรวจสอบความเข้าใจของผู้เรียน มี
ข้ันตอน 3 ข้ัน ได้แก่ 1) ข้ันการทานาย ผู้เรียนต้องทานายเหตุการณ์และให้เหตุผลประกอบการ
ทานายด้วย จากน้ันเป็น 2) ข้นั การสงั เกต ในข้นั น้ีผู้เรียน จะได้ลงมือหาคาตอบด้วยตนเอง สงั เกต
ส่ิงท่ีเกิดข้ึนว่ามีอะไรเกิดข้ึนบ้าง และ 3) ข้ันการอธิบาย ผู้เรียนต้องอธิบายเหตุผล ท้ังท่ีเป็นไป
ในทางเดียวกันหรือขัดแย้งกนั ระหว่างการทานายกับการสังเกต สอดคล้องกับพัชรวรินทร์ เกล้ียง
นวล (2556) และ อามีเนาะ ตารีตา (2560) ท่ีกล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบ Predict-
Observe-Explain (POE) เป็ นวิธีสอนท่ีเน้นให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยอาศัย
ความรู้พ้ืนฐานจากประสบการณ์เดมิ ของตน การท่ผี ู้เรียนทานายสถานการณ์ไว้ก่อนทาการทดลอง
ทาให้ผู้เรียนอยากรู้ว่าส่ิงท่ีทานายไว้ถูกต้องหรือไม่ ผู้เรียนจึงมีแรงกระตุ้นท่ีจะสืบค้นหาข้อมูล
หรือทาการทดลอง เม่อื สบื ค้นหาข้อมูลหรือทาการทดลอง กจ็ ะได้คาตอบ ผู้เรียนกไ็ ด้เปรียบเทียบ

470

ความรู้เดิมท่มี ีอยู่กบั ความรู้ใหม่ท่ไี ด้รับ ทาให้ผู้เรียนเกดิ ความรู้เพ่ิมข้ึน และกระบวนการกลุ่มยัง
ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พูดคุยแลกเปล่ียนประสบการณซ์ ่ึงเป็นการขยายความรู้ให้กว้างมากย่งิ ข้นึ

จากแนวคิดและเหตุผลดังกล่าว ผู้วิจัยจึงมีความสนใจท่ีจะศึกษาการพัฒนา
ความสามารถการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 โดยการเรียนรู้แบบ
Predict-Observe-Explain (POE) เพ่ือช่วยให้ นักเรียนได้พัฒนาทักษะการทานายหรือการ
ต้งั สมมตฐิ าน พัฒนากระบวนการคดิ การแก้ปัญหา มที กั ษะการสบื ค้นหาข้อมูล สรุปและอธบิ ายส่งิ
ท่เี กดิ ข้ึน และพัฒนาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ให้สูงข้ึน นอกจากน้ียังเป็นแนวทาง
ในการพัฒนาการปฏบิ ัติงานของครูผู้สอน สามารถนารูปแบบการเรียนรู้ไปใช้ในการจัดการเรียน
การสอนวิชาวิทยาศาสตร์ในระดบั ช้ันอ่นื ๆ ด้วย

วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั
1. เพ่ือศึกษาความสามารถการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 โดย

ใช้การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE)
2. เพ่ือศึกษาพฤติกรรมการทางานเป็ นกลุ่มการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนช้ัน

มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 โดยใช้การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE)
3. เพ่ือเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี

1 กอ่ นและหลังการเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE)
4. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) ของ

นักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 1

สมมติฐานการวิจยั
1. นักเรียนท่ีได้รับการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์แบบ Predict-Observe-Explain (POE) มี

คะแนนความสามารถการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็
2. นักเรียนมีพฤติกรรมการทางานเป็ นกลุ่มการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนช้ัน

มัธยมศึกษาปี ท่ี 1 โดยใช้การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) อยู่ระดบั ดี
3. นักเรียนท่ีได้รับการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์แบบ Predict-Observe-Explain (POE) มี

ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ
ท่ี .05

4. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) อยู่ใน
ระดับมาก

471

ขอบเขตการวิจยั
ประชากรท่ใี ช้ในการวิจัย คือ นักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนการเคหะทา่ ทราย

เขตหลักส่ี กรุงเทพฯ ปี การศึกษา 2562 จานวน 2 ห้องเรียน ท้งั หมด 76 คน เป็นนักเรียนแบบ
คละความสามารถ

กลุ่มตัวอย่างท่ใี ช้ในการวิจัย คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 เป็นนักเรียนแบบคละ
ความสามารถ โรงเรียนการเคหะทา่ ทราย เขตหลักส่ี กรุงเทพฯ ปี การศึกษา 2562 เลือกจานวน 1
ห้องเรียน จานวน 35 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)

ตัวแปรต้น - การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE)
ตัวแปรตาม - ความสามารถการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์

- พฤติกรรมการทางานเป็นกลุ่ม
- ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์
- ความพึงพอใจต่อการเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain
ระยะเวลาเกบ็ ข้อมูล ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562
นยิ ามศพั ท์
การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) หมายถึง กระบวนการท่ีเน้นให้
ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ เน้นให้ผู้เรียนปฏบิ ัติด้วยตนเอง และผู้เรียนได้แสดงแนวคิด
อย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย 3 ข้นั ตอน
1. ข้ันทานาย (Predict) เป็ นข้ันให้ผู้เรียนทานายหรือต้ังสมมติฐาน คาดการณ์กับ
สถานการณ์ปัญหาท่ผี ู้สอนกาหนด ว่าผลท่เี กดิ ข้ึนจะเป็นอย่างไร รวมท้งั ให้เหตุผลประกอบ
2. ข้นั การสงั เกตหรือทดลอง (Observe or Experimentation) เป็นข้ันค้นหาข้อมูลหรือสบื
หาคาตอบ ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏบิ ัติ โดยใช้วิธกี ารทดลอง หรือการสบื ค้นข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้
3. ข้ันอธิบายหรือสรุป (Explain or Summerize) เป็นข้ันอธิบายผลเก่ียวกับการทานาย
และผลท่ีเกิดข้ึนจริง ท้ังท่ีเป็ นไปในทางเดียวกันหรือขัดแย้ งกันระหว่างการทานายหรือ
ต้งั สมมติฐานกบั การสงั เกตหรือทดลอง
ความสามารถการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ หมายถึง คะแนนการเรียนรู้ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปี ท่ี 1 ท่ีสามารถเรียนรู้ตามกระบวนการ 3 ข้ันตอนของการเรียนรู้แบบ Predict-
Observe-Explain มีทักษะการทานาย การสังเกตหรือทดลอง และการอธิบายหรือสรุป ซ่ึงวัดได้
จากแบบประเมินความสามารถการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ท่ผี ู้วิจัยสร้างข้นึ
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ หมายถงึ คะแนนความรู้ความเข้าใจเก่ียวกบั
เน้ือหาวิชาวิทยาศาสตร์ เร่ือง บรรยากาศ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 ก่อนและหลังใช้การ
เรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา
วิทยาศาสตร์ ท่ผี ู้วิจัยสร้างข้นึ

472

ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การแสดงออกของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปี ท่ี 1 เม่ือได้รับส่ิงเร้าท่ีตรงตามความต้องการ ความรู้สึก ความชอบไม่ชอบ และ
ความคิดเหน็ ต่อการจัดการเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) โดยวัดจากการตอบ
แบบสอบถามความพึงพอใจด้านผู้สอน ด้านเทคนิคการเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain
(POE) และด้านกจิ กรรมการเรียนรู้
ประโยชนท์ ีค่ าดว่าจะไดร้ บั

1. เป็ นแนวทางให้นักเรียนได้พัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์โดยการ
เรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE)

2. เป็ นแนวทางให้ครูผู้สอนในการนาวิธีการเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain
(POE) ใช้ในการจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และกลุ่มสาระการเรียนรู้อ่นื ๆ

ระเบยี บวิธีการวิจยั
เครือ่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-

Explain (POE)
2. แบบประเมนิ ความสามารถการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์
3. แบบประเมินพฤตกิ รรมการทางานเป็นกลุ่ม
4. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์
5. แบบสอบถามความพึงพอใจต่อใช้การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE)
การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
ผู้วิจัยได้ดาเนินการวิจัย โดยทดลองใช้การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain

(POE) เพ่ือพัฒนาความสามารถการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1
โรงเรียนการเคหะทา่ ทราย ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 โดยมขี ้นั ตอน ดังน้ี

1. ช้ีแจงวัตถุประสงคใ์ นการวิจัย การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้
ให้กลุ่มตวั อย่างทราบ

2. ดาเนินการทดสอบกอ่ นเรียน (Pretest) กบั นักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 โดยใช้
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนฉบับกอ่ นเรียน

3. ดาเนินการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ในช้ันเรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การเรียนรู้
แบบ Predict-Observe-Explain (POE) จานวน 4 แผน รวมเป็นเวลา 18 ช่ัวโมง และทาการ
ประเมินความสามารถการเรียนรู้ และพฤตกิ รรมการทางานเป็นกลุ่มในการจัดการเรียนรู้แต่ละ
แผน เพ่ือเกบ็ คะแนน

473

4. ทาการทดสอบหลังเรียน(Posttest)โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนฉบับ
หลังเรียน และให้นักเรียนทาแบบสอบถามความพึงพอใจต่อใช้การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-
Explain (POE)

5. เกบ็ รวบรวมข้อมูลท้งั หมดเพ่ือนาผลท่ไี ด้มาวิเคราะห์ข้อมูล

การวิเคราะหข์ อ้ มูล
1. วิเคราะห์ความสามารถการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 ท่ี

ใช้การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) โดยใช้ค่าร้อยละ(Percentage) ของคะแนน
2. วิเคราะห์พฤติกรรมการทางานเป็นกลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี

ท่ี 1 ท่ใี ช้การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) โดยใช้ค่าเฉล่ีย (Mean)
3. วิเคราะห์ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1

ก่อนและหลังใช้ การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) โดยใช้ การทดสอบท่ีมี
ความสมั พันธก์ นั (Paired-Sample T-test)

4. วิเคราะห์ความพึงพอใจต่อการเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) ของ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 โดยใช้ค่าเฉล่ีย (Mean) และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard
Deviation)

สรุปและอภิปรายผล
จากการศึกษาการพัฒนาความสามารถการเรียนร้ ูวิชาวิทยาศาสตร์โดยใช้ การเรียนร้ ู

แบบ Predict-Observe-Explain (POE) ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนการเคหะท่า
ทราย สรุปผลได้ดงั น้ี

1. ผลการศึกษาความสามารถการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1
โดยใช้การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) พบว่า นักเรียนมีความสามารถในการ
เรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์มีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็ ผ่านเกณฑจ์ านวน 3 กลุ่ม
คดิ เป็นร้อยละ 50 มนี ักเรียนไม่ผ่านเกณฑจ์ านวน 3 กลุ่ม คิดเป็นร้อยละ 50

2. ผลการศึกษาพฤติกรรมการทางานเป็ นกลุ่มการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปี ท่ี 1 โดยใช้การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) พบว่า นักเรียนทุก
กลุ่ม มีคะแนนเฉล่ียต้งั แต่ 2.47-2.91อยู่ในระดับดี คิดเป็นร้อยละ 100

3. ผลการเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี
ท่ี 1 ก่อนและหลังการเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) พบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียนหลังเรียนสงู กว่ากอ่ นเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิท่รี ะดบั .05 (t = 3.504, Sig. = .001)

4. ผลการศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) ของ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 พบว่า โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (x̅ = 4.44,

474

S.D. = 0.37) เม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน เรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย คือ ด้านผู้สอน มี
ความพึงพอใจอยู่ในระดับ มากท่สี ุด (x̅ = 4.53, S.D. = 0.41) มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
คือ ด้านเทคนิคการเรียนรู้แบบ POE (x̅ = 4.44, S.D. = 0.41) และ ด้านกจิ กรรมการเรียนรู้ (x̅
= 4.38, S.D. = 0.43) ตามลาดบั

อภิปรายผล
จากการศึกษาการพัฒนาความสามารถการเรียนร้ ูวิชาวิทยาศาสตร์โดยใช้ การเรียนร้ ู

แบบ Predict-Observe-Explain (POE) ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนการเคหะท่า
ทราย สามารถอภิปรายผลได้ดงั น้ี

1. ผลการศึกษาความสามารถการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1
โดยใช้การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) พบว่า นักเรียนมีความสามารถในการ
เรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์มีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็ ผ่านเกณฑจ์ านวน 3 กลุ่ม
คิดเป็นร้อยละ 50 มีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์จานวน 3 กลุ่ม คิดเป็นร้อยละ 50 เม่ือพิจารณาการ
ทางานเป็นกลุ่ม จะเหน็ ได้ว่า กลุ่มท่มี ีคะแนนสงู คิดเป็นร้อยละ 85, 81 และ 80 จะมคี ะแนน POE
อยู่ในระดับดี คือ มีค่าเฉล่ีย 2.56, 2.44 และ 2.41 ตามลาดับ ส่วนกลุ่มท่มี ีคะแนนคิดเป็นร้อย
ละ 77, 75 และ 71 จะมีคะแนน POE อยู่ในระดับ พอใช้ คือ มีค่าเฉล่ีย 2.33, 2.26 และ 2.15
ตามลาดับ

ดังท่ี สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร (2554, น.
89) และสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2555, น. 96) ได้กล่าวถึง การ
เรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) ว่า เป็นการให้ผู้เรียนทานายเหตกุ ารณ์ทาให้ผู้สอน
เข้าใจความคิดเดิมของผู้เรียน เป็นการสารวจความรู้เดิมได้อกี ทางหน่ึง และการให้ผู้เรียนสังเกต
ส่งิ ท่เี กดิ ข้นึ และจดบันทกึ จะเป็นการฝึกทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การอธบิ ายส่งิ ท่เี กิดข้ึน
ว่าแตกต่าง จากส่ิงท่ีทานายไว้อย่างไร ทาให้ผู้เรียนตระหนักว่าตนเองมีความรู้เดิมอย่างไรและ
เรียนรู้อะไร จึงเป็ น การย้าความรู้ท่ีได้รับรวมท้ังได้ฝึ กปฏิบัติจริงและทาให้ผู้เรียนเกิดทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์

เพ่ือให้ผู้เรียนสังเกตอย่างละเอียดรอบคอบและนาผลท่ีได้จากการสังเกต มาอธิบาย
และเปรียบเทยี บกบั ส่ิงท่ที านายไว้ ทาให้ผู้เรียนสนุกสนานและการปฏบิ ัติกจิ กรรมทดลอง เป็นการ
ท้าทายในการค้นหาความรู้เพ่ือตรวจสอบผลการทานายของตนเอง สอดคล้องกับงานวิจัยของ
อนุชา ตู้แก้ว (2561, บทคัดย่อ) ได้ทาการศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธี ทานาย
สังเกต อธิบาย ท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 โรงเรียนอุทัยวิทยาคม พบว่า ผลการประเมิน
ความสามารถด้านทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อยู่ในระดบั ดี

475

จากผลของการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-
Explain (POE) นักเรียนแต่ละกลุ่มประสบความสาเร็จอยู่ในระดับพอใช้ถึงระดับดี มีคะแนน
เฉล่ีย 2.15-2.56 ซ่ึงสอดคล้องกบั งานวิจัยของ ปาลิดา มาจรัล (2555, บทคัดย่อ) การพัฒนา
มโนมติทางวิทยาศาสตร์ เร่ือง โลกและการเปล่ียนแปลง ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 ด้วย
วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบการทานาย-สงั เกตอธบิ าย (POE) พบว่า อัตราของนักเรียนท่มี ี
ระดับความเข้าใจเชิงวิทยาศาสตร์ เร่ือง โลกและการเปล่ียนแปลง ท่ถี ูกต้อง สมบูรณ์เพ่ิมมากข้ึน
ในขณะท่อี ตั ราของนักเรียนท่มี ีระดับความเข้าใจมโนมติเชิงวิทยาศาสตร์ท่ี คลาดเคล่ือนลดน้อยลง
หลังจากท่ีได้เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้แบบทานาย-สังเกต-การอธิบาย (Predict-Observe-
Explain(POE)) จึงสามารถสรุปได้ว่าจากการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ บนพ้ืนฐานทฤษฎคี อน สตรัค
ติวิสต์ โดยใช้วิธแี บบ POE เร่ือง โลกและการเปล่ียนแปลงน้ี สง่ ผลให้นักเรียนมกี ารพัฒนามโนมติ
หรือความรู้เดิมของนักเรียนสู่มโนมติทางวิทยาศาสตร์ นอกจากน้ีในการสารวจมโนมติก่อนเรียน
หรือ ความรู้เดิมท่นี ักเรียนมีอยู่ เก่ยี วกบั โลกและการเปล่ียนแปลง น้ันควรนาเสนอประเดน็ คาถาม
ในการ ทานายเพ่ิมข้ึนมากกว่าน้ี เพ่ือกระตุ้นให้นักเรียนอยากมีส่วนร่วมในการเรียนรู้โดยใช้วิธี
แบบทานายสงั เกต-การอธบิ าย (Predict-Observe-Explain(POE)) เพ่ิมมากข้นึ

2. ผลการศึกษาพฤติกรรมการทางานเป็ นกลุ่มการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปี ท่ี 1 โดยใช้การเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) พบว่า นักเรียนทุก
กลุ่ม มีคะแนนเฉล่ียต้ังแต่ 2.47-2.91อยู่ในระดับดี คิดเป็ นร้อยละ 100 ซ่ึงการสอนแบบ
Predict-Observe-Explain (POE) เป็นยุทธศาสตร์การสอนท่มี ีแนวคดิ จากกลุ่มนักการศึกษาคอน
สตรัคติวิสต์ มีหลักการสาคัญเก่ียวกบั ความรู้เดิมและการสร้างองค์ความรู้ใหม่ มีการปฏสิ ัมพัทธ์
กบั บุคคลอ่นื เป็นการร่วมมือกนั ทางานให้ประสมความสาเรจ็ (รัตนา พันสนิท, 2555) และเป็น
ข้อสนับสนุนของพฤติกรรมการทางานกลุ่มท่ปี ระสบความสาเรจ็ ดังท่ี สุกัญญา สุนทร (2556)ได้
กล่าวว่า กระบวนการทางานกลุ่มเป็นการส่งเสริม การทางานแบบร่วมมือ ท่ปี ระกอบด้วย 1) การ
กาหนดจุดหมายในการทางาน เพ่ือให้เกดิ ความชัดเจนและตรวจสอบดูว่าทุกคนเข้าใจตรงกันก่อน
ลงมอื ปฏบิ ัตงิ าน 2) การวางแผน คอื การคิดและตดั สนิ ใจในปัจจุบันถึงส่งิ ท่จี ะทาในอนาคต ว่าจะ
ทาอะไร อย่างไร เพ่ือให้งานท่ตี ้องทาบรรลุผลความสาเรจ็ 3) การปฏบิ ัติตามแผน ในข้ันน้ีแต่ละ
คนของกลุ่มควรลงมอื ตามหน้าท่รี ับผิดชอบของตน มกี ารตดิ ตามงาน การจูงใจให้เพ่ือนร่วมงานมี
กาลังใจในการทางาน สร้างความร่วมมอื ร่วมใจให้ให้ความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาต่างๆ เพ่ือให้เกิด
ความสะดวกในการทางานแต่ละข้ันตอน 4) การประเมินผลและการปรับปรุงงาน เป็นข้ันตอนท่ี
สาคัญในการทางานกลุ่ม เพราะจะช่วยให้กลุ่มได้รับทราบว่าการทางานสามารถบรรลุเป้ าหมาย

476

หรือไม่ นอกจากน้ีจะทาให้ได้ข้อมูลท่ีเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงการทางานให้ดีข้ึนในโอกาส
ต่อไป เพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการทางานกลุ่มได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ

3. ผลการเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี
ท่ี 1 ก่อนและหลังการเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) พบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียนหลังเรียนสงู กว่าก่อนเรียน อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติท่รี ะดบั .05 (t = 3.504, Sig. = .001)
เม่ือเปรียบเทยี บคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน จะเหน็ ได้ว่า คะแนนหลังเรียนเพ่ิมข้ึนทุกคน แต่
จะมี 7 คน ท่มี ีคะแนนเพ่ิมสงู ข้ึน คิดเป็นร้อยละ 20 ถ้าพิจารณาคะแนนหลังเรียนมากกว่าร้อยละ
50 ของคะแนนเตม็ มีจานวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 34.28 และคะแนนหลังเรียนต่ากว่าร้อยละ
50 มีจานวน 23 คน คิดเป็นร้อยละ 65.71 แต่อย่างไรกด็ ี ในภาพรวมคะแนนหลังเรียนสูงกว่า
ก่อนเรียน สอดคล้องกบั งานวิจัยของ พัชรวรินทร์ เกล้ียงนวล (2556, บทคดั ย่อ) ได้ทาการศึกษา
ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธกี ารสอบแบบ Predict-Observe-Explain (POE) ร่วมกบั เทคนิคผัง
กราฟิ กท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ัน
มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนเขาชัยสน จานวน 31 คน พบว่า ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนรวมท้งั ทกั ษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนแบบ Predict-
Observe-Explain (POE) ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิ ก หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญ
ทางสถติ ิท่รี ะดับ .01 และอนุชา ต้แู ก้ว (2561, บทคัดย่อ) ได้ทาการศึกษาผลการจัดกจิ กรรมการ
เรียนรู้ด้วยวิธี ทานาย สังเกต อธิบาย ท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 โรงเรียนอุทยั วิทยาคม ผลการวิจัย
พบว่า นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 ท่ไี ด้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีทานาย-สังเกต-
อธิบาย มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลัง
เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 และมีผลการประเมินความสามารถ
ด้านทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับดี

4. ผลการศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) ของ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 พบว่า โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (x̅ = 4.44,
S.D. = 0.37) เม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน เรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย คือ ด้านผู้สอน มี
ความพึงพอใจอยู่ในระดบั มากท่สี ดุ (x̅ = 4.53, S.D. = 0.41) มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
คอื ด้านเทคนิคการเรียนรู้แบบ POE (x̅ = 4.44, S.D. = 0.41) และ ด้านกจิ กรรมการเรียนรู้ (x̅
= 4.38, S.D. = 0.43) ตามลาดับ เม่ือพิจารณาเป็ นรายด้าน จะเห็นว่า ด้านผู้สอน นักเรียนมี
ความพึงพอใจอยู่ในระดับมากท่สี ดุ ได้แก่ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้นักเรียนเข้าใจเน้ือหาชัดเจน

477

ให้คาปรึกษาแก่นักเรียนอย่างสม่าเสมอและท่ัวถึง และเปิ ดโอกาสให้ซักถามและแสดงความ
คิดเหน็

ด้านเทคนิคการเรียนรู้แบบ POE ได้แก่ ข้นั Predict ช่วยให้มคี วามกระตอื รือร้นในการ
เรียนรู้มากข้ึน ทาให้ได้ทบทวนความรู้และประสบการณ์เดิม ข้ัน Observe ทาให้เพ่ิมการใช้ทกั ษะ
ในการสืบค้นข้อมูล ช่วยให้สนุกสนานในการเรียนรู้ ข้ัน Explain ทาให้สามารถตรวจสอบความ
เข้าใจของตนเอง และรับรู้ข้อมูลท่ถี ูกต้อง ช่วยสรุปความรู้ได้ เข้าใจได้ดีข้ึน และจดจาความรู้ได้ดี
ย่งิ ข้นึ

ดังท่ี สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร (2554, น.
89-91) ได้กล่าวถงึ ประโยชน์ของวิธสี อนแบบ Predict-Observe-Explain (POE) ไว้ว่า 1) การท่ี
ผู้เรียนได้ใช้ความรู้เดิมทานายส่งิ ท่เี กดิ ข้นึ และให้เหตผุ ล เป็นการให้ผู้สอนได้สารวจความรู้เดิมได้
อีกทางหน่ึง 2) เม่ือสังเกตและบันทกึ ส่งิ ท่เี กดิ ข้ึน เป็นการฝึกทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
อย่างหน่ึง 3) การอธิบายส่งิ ท่เี กดิ ข้ึน ทาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ว่าตนเองมีความรู้เดิมอย่างไร และได้
เรียนรู้อะไรเพ่ิมข้นึ จากการทากจิ กรรมบ้าง

ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ ได้แก่ ช่วยให้เข้าใจเน้ือหาเพ่ิมข้ึน มีการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ท่ีหลากหลาย นักเรียนมีส่วนร่วมในการทากิจกรรมร่วมกัน เรียงลาดับกิจกรรมเหมาะสม
กาหนดเวลาเหมาะสม ส่งเสริมให้นักเรียนได้แลกเปล่ียนความคิดเหน็ กัน สอดคล้องกบั งานวิจัย
ของ พัชรวรินทร์ เกล้ียงนวล (2556, บทคัดย่อ) ได้ทาการศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้
วิธีการสอบแบบ Predict-Observe-Explain (POE) ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิ กท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนและทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียน
เขาชัยสน ความพึงพอใจของนักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนแบบ Predict-
Observe-Explain (POE) ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิ กอยู่ในระดับมาก และอามีเนาะ ตารีตา
(2560, บทคัดย่อ) ได้ทาการศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกบั กลวิธี POE
ท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และความพึง
พอใจต่อการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนบ้านตันหยงดาลอ พบว่า
นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนโดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกบั POE ในระดับมาก

478

ขอ้ เสนอแนะ
ขอ้ เสนอแนะต่อการนาผลการวิจยั ไปใช้
1. ในข้ันตอน Predict ควรให้คาแนะนากบั นักเรียน เพราะต้องให้นักเรียนได้ใช้ความรู้

จากประสบการณ์เดิมท่ีเคยเรียนรู้มาก่อนแล้ว และกระตุ้นให้นักเรียนได้ใช้ความคิดในการ
ต้ังสมมติฐาน จากสถานการณ์ปัญหาท่คี รูกาหนด ให้ได้มากท่สี ดุ

2. ในข้ันตอน Observe ต้องเตรียมแหล่งเรียนรู้ท่ีจะให้นักเรียนสืบค้นข้อมูล ท้ัง
เอกสาร หรือ อนิ เตอร์เนต็ หรืออปุ กรณ์ท่จี ะให้นักเรียนทาการทดลองให้พร้อม เพ่ือให้นักเรียนได้
สงั เกตหรือทดลอง ตามแผนท่วี างไว้

3. ในข้ันตอน Explain ต้องเปิ ดโอกาสให้นักเรียนสรุปหรืออธบิ ายร่วมกนั ภายในกลุ่ม
ให้นักเรียนมสี ่วนร่วมในการทางานให้มากท่สี ดุ

ขอ้ เสนอแนะต่อการทาวิจยั คร้งั ต่อไป
1. ควรนากระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) ไปปรับ

ใช้ในวิชาวิทยาศาสตร์ ในระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 เพ่ือความต่อเน่ือง
2. ควรนาการจัดการเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain (POE) ไปใช้ในวิชาอ่ืน

ด้วย เช่น วิชาสงั คมศึกษา หรือวิชาประวัตศิ าสตร์ เป็นต้น

479

เอกสารอา้ งอิง
ปาลิดา มาจรัล. (2555). การพฒั นามโนมติเชิงวิทยาศาสตร์ เรือ่ งโลกและการเปลีย่ นแปลง ของ

นกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 2 ดว้ ยวธิ ีการจดั กิจกรรมการเรียนรูแ้ บบทานาย-สงั เกต-
อธิบาย (วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบัณฑติ ). ขอนแกน่ : มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
พัชรวรินทร์ เกล้ียงนวล. (2556). ผลการจดั การเรียนรูโ้ ดยใชว้ ธิ ีสอนแบบ Predict-Observe-
Explain (POE)ร่วมกบั เทคนิคผงั กราฟิ กทีม่ ีต่อผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนและทกั ษะ
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1 (วิทยานิพนธป์ ริญญา
มหาบัณฑติ ). พัทลุง: มหาวิทยาลัยทกั ษิณ.
รัตนา พันสนิท. (2555). การพฒั นามโนมติทางวทิ ยาศาสตรเ์ รือ่ งงานและพลงั งานของนกั เรียน
ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 โดยใชว้ ธิ ีการจดั การเรียนรูแ้ บบการทานาย-สงั เกต-อธิบาย
(วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบัณฑติ ). ขอนแกน่ : มหาวิทยาลัยขอนแกน่ .
สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน). (2562), สถิติ O-NET ยอ้ นหลงั .
สบื ค้น 24 ตุลาคม 2562, จาก https://www.niets.or.th/th/catalog/view/3865
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2555). ครูวิทยาศาสตร์มืออาชีพแนวทางสู่
การเรียน การสอนท่มี ีประสทิ ธผิ ล. กรุงเทพฯ: สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาต.ิ (2554) พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.
2542. กรุงเทพฯ: คุรุสภาลาดพร้าว.
สกุ ญั ญา สนุ ทร. (2556). ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรูท้ ีเ่ นน้ การเรียน
แบบร่วมมือ เทคนิคการเรียนร่วมกนั เรือ่ งสมดลุ เคมี ทีม่ ีต่อผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน
และ พฤติกรรมการทางานกลมุ่ ของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนหนองกราด
วฒั นา จงั หวดั นครราชสมี า. (วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบัณฑติ ). กรุงเทพฯ:
มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช.
อนุชา ต้แู ก้ว. (2561). ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรูด้ ว้ ยวธิ ีทานาย สงั เกต อธิบาย ทีม่ ีต่อ
ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตรแ์ ละทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ อง
นกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 2 (วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบัณฑติ ). นครสวรรค์:
มหาวิทยาลัยราชภฎั นครสวรรค์.
อามีเนาะ ตารีตา. (2560). ผลของการจดั การเรียนรูโ้ ดยใชส้ มองเป็นฐานร่วมกบั กลวธิ ี POE ทีม่ ี
ต่อผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และ

480

ความพึงพอใจต่อการจดั การเรียนรูข้ องนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 6 (วิทยานิพนธ์
มหาบัณฑติ ). สงขลา: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.
White, R. T and Gunstone, R.F. (1992). Probing Understanding. London: Falmer Press.

481

การพฒั นาความสามารถในการแกป้ ัญหาโดยใชก้ ารเรียนรูแ้ บบฉากทศั นเ์ ป็ นฐาน
วิชาสงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม สาหรบั นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 4

ชณฐั ฎา มเี พยี ร 1
สุดคนงึ นฤพนธจ์ ิรกุล 2

บทคดั ย่อ
การวิจัยน้ีมวี ัตถุประสงค์เพ่ือ 1) พัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาโดยใช้การเรียนรู้

แบบฉากทศั น์เป็นฐาน วิชาสงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4
2) ศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 4 และ3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 ท่ีเรียนด้วย
การเรียนรู้แบบฉากทศั น์เป็นฐาน กลุ่มเป้ าหมายคือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 โรงเรียนเมือง
ชุมพรบ้านเขาถล่ม จานวน 40 เคร่ืองมือท่ใี ช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาสงั คม
ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โดยใช้การเรียนรู้แบบฉากทศั น์เป็นฐาน 2) แบบวัดความสามารถใน
การแก้ปัญหา 3) แบบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์ และ4) แบบสอบถาม
ความพึงพอใจท่มี ีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ฉากทศั น์เป็นฐาน สถิติท่ใี ช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อย
ละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติ Paired Sample t-test

ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี
4 หลังเรียนโดยใช้การเรียนรู้แบบฉากทศั น์เป็นฐานสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี
ระดับ .05 (t = 14.948?, p = .000) 2) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและ
วัฒนธรรม มีค่าเฉล่ียหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 (t =
20.420, p = .000) และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 ท่มี ตี ่อการเรียนรู้
แบบฉากทศั น์เป็นฐาน วิชาสงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( ̅ =
2.96, S.D. = 0.20)

คาสาคญั : ความสามารถในการแก้ปัญหา, การเรียนรู้แบบฉากทศั น์เป็นฐาน, วิชาสงั คมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรม

1 นกั ศกึ ษาหลักสตู รศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาหลักสตู รและการสอน วทิ ยาลัยครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรุ กจิ
บณั ฑติ ย์
2 อาจารยท์ ่ปี รึกษาวทิ ยานพิ นธ์

482

The Development of Problem-Solving Ability Using Scenario-based Learning in
Social Studies, Religion, and Culture Subject for Prathomsuksa 4 Students
Chanatda Meepian 1

Sudkanung Naruponjirakul 2

Abstract
The objectives of this research were to 1) develop the problem-solving ability

using scenario-based learning in Social Studies, Religion and Culture subject for
Prathomsuksa 4 students, 2) investigate students’ learning achievement in Social Studies,
Religion and Culture subject, and 3) explore the satisfaction of Prathomsuksa 4 students
towards scenario-based learning. The target group consisted of 40 Prathomsuksa 4 students
from Muang Chumphon BanKhaoThalom School. Research instruments were 1) lesson plans
using scenario-based learning in Social Studies, Religion and Culture subject, 2) the
problem-solving ability test, 3) the achievement test in Strand 3: Economics, and 4) the
questionnaire on the students’ satisfaction towards scenario-based learning. Statistics used in
this study were percentage, mean scores, standard deviation, and the paired sample t-test.

The research results showed that 1) the problem-solving ability of students after
learning through scenario-based learning was significantly higher than that before learning at
the .05 level (t = 14.948 , p = .000), 2) the posttest achievement scores in Social Studies,
Religion and Culture subject were significantly higher than the pretest at the level of .05 ( t
= 20.420, p = .000), and 3) the overall satisfaction of Prathomsuksa 4 students towards
scenario-based learning in Social Studies, Religion and Culture subject was at a high level
( ̅ = 2.96, S.D. = 0.20)

Keywords: Problem-solving ability, scenario-based learning, social studies, religion and
culture subject

483

บทนา

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560-2564) ได้ช้ีให้เหน็
ถงึ ความจาเป็นในการปรับเปล่ียนจุดเน้นในการพัฒนาคุณภาพคนในสังคมไทยให้มีคุณธรรม และ
มีความรอบรู้อย่างเท่าทัน ให้มีความพร้อมท้ังด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์และศีลธรรม
สามารถก้าวทันการเปล่ียนแปลงเพ่ือนาไปสู่สังคมฐานความรู้ได้อย่างม่ันคง แนวพัฒนาคน
ดังกล่าว มุ่งเตรียมเดก็ และเยาวชนให้มีพ้ืนฐานจิตใจท่ดี ีงาม มีจิตสาธารณะ พร้อมท้งั มีสมรรถนะ
ทกั ษะและความรู้พ้ืนฐานท่ีจาเป็นในการดารงชีวิต อนั จะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศอย่างย่ังยืน
(สภาพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ, 2560)ซ่ึงแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของ
กระทรวงศึกษาธกิ ารในการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสยู่ ุคศตวรรษท่ี 21 โดยมุ่งสง่ เสริมให้ผู้เรียน
มีคุณธรรม รักความเป็นไทย ให้มที กั ษะการคดิ วิเคราะห์สร้างสรรค์มที กั ษะด้านเทคโนโลยสี ามารถ
ทางานร่วมกับผู้อ่นื และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่นื ในสังคมโลกได้อย่างสันติ (กระทรวงศึกษาธิการ,
2551)

กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 เป็ นกลุ่มสาระการเรียนรู้พ้ืนฐานท่ีผู้เรียนต้ังแต่ช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 1 ถึงช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 6 ต้องเรียน ประกอบด้วยศาสตร์หลายแขนง มลี ักษณะ
เป็ นสหวิทยาการ โดยการนาเอาเน้ือหาสาระในสาขาสังคมศาสตร์มาเป็ นสาระการเรียนรู้เช่น
ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ นิติศาสตร์ จริยธรรม ประชากรศึกษา ศาสนาและ
วัฒนธรรม และเพ่ือตอบสนองความต้องการจาเป็นในการดารงชีวิตของมนุษย์ท่ีมีความต้องการ
จาเป็นท่ไี ม่มีส้ินสุด ในการเรียนรู้จึงต้องเน้นให้ผู้เรียนได้แสวงหาความรู้ท่ีเก่ียวข้องกับการผลิต
การบริโภคและการบริการรวมไปถึงระบบเทคโนโลยีทนั สมัย ท่สี ่งผลกระทบต่อการตัดสินใจทาง
เศรษฐกิจ มีความสามารถท่ีจะเลือกประเมิน คิดพิจารณาผลท่ีเกิดจากการเลือกและตัดสินใจ
พร้อมท้งั มีการแก้ปัญหาได้อย่างมีวิจารณญาณ ให้ความสาคัญกับตัวผู้เรียนอย่างมีศักยภาพ จน
เกดิ ทกั ษะการแก้ปัญหาท่เี ป็นคุณสมบัติของผู้เรียนท่สี าคัญอกี ประการหน่ึง ท่ตี ้องพัฒนาให้เกดิ ข้ึน
ในตัวผู้เรียน

กระบวนการคิดแก้ปัญหาเป็นทกั ษะท่สี าคัญของนักเรียนท่สี ่งเสริมให้เกิดกระบวนการ
เรียนรู้ โดยหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (2551, น. 3) กาหนดไว้
ว่าสมรรถนะสาคญั ของนักเรียน เร่ือง ทกั ษะกระบวนการแก้ปัญหา เป็นการแก้ปัญหาและอปุ สรรค
ต่างๆ ท่เี ผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพ้ืนฐานของหลักเหตุผล ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการ
ป้ องกันและแก้ไขปัญหา มีการตัดสินใจท่ีมีประสิทธิภาพ โดยคานึงถึงผลกระทบท่ีเกิดข้ึนต่อ
ตนเอง สังคมและส่ิงแวดล้อม สอดคล้องกับกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2551, น. 6)
กล่าวว่า การจัดกระบวนการคิด เป็นสมรรถนะสาคัญของนักเรียนด้านความสามารถในการคิดทา
ให้นักเรียนพัฒนาตนเองตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ ซ่ึงเป็ นส่ิงท่ีทางโรงเรียนควรจัดให้
นักเรียนได้ในทุกระดับช้ัน เป็ นกระบวนการเพ่ือหาสาเหตุของปั ญหา เป็ นกิจกรรมท่ีส่งเสริม

484

พัฒนาการทางด้านสติปัญญา โดยเฉพาะการคิดแก้ปัญหา ครูควรจัดรูปแบบกิจกรรมท่ี
หลากหลายให้นักเรียนพัฒนาทกั ษะทุกด้าน ลงมือกระทาและปฏิบัติจริงด้วยตนเอง ฝึ กฝนให้มี
การคิดท่ีรอบด้าน เพ่ือมิให้เป็ นคนตัดสินใจผิดพลาด เพราะขาดการย้ังคิด ขาดเหตุผลในการ
ตัดสินใจ นอกจากน้ีนักเรียนบางกลุ่มมีปัญหาด้านความคิด ขาดประสบการณ์และการพิจารณา
ไตร่ตรองสาหรับการตัดสนิ ใจ ลักษณะการพัฒนาด้านอารมณ์กจ็ ะรุนแรง ขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์
มักจะหุนหันพลันแล่น ยังไม่มีความสามารถในการยับย้ังหรือควบคุมอารมณ์ได้ดีพอ นักเรียนจึง
ต้องได้รับการพัฒนากระบวนการคิด รวมถึงการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการตัดสินใจ
ไตร่ตรอง ประเมนิ สถานการณ์รอบตัวด้วยหลักเหตุผล รับรู้ปัญหา สาเหตขุ องปัญหา หาทางเลือก
และตัดสินใจในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ อย่างสร้างสรรค์ กล้าท่ีจะแสดงออกทาง
ความคิด และพร้อมท่ีจะรับผิดชอบต่อส่ิงท่ีตนเองเลือก มีเป้ าหมายชัดเจนในการนาไปใช้
ประโยชน์ (สานักงานวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2551 น. 14) ดงั น้ัน การคดิ แก้ปัญหา ทา
ให้นักเรียนเกิดทักษะกระบวนการคิดและแก้ปัญหาไปตามลาดับข้ันตอน มีเหตุมีผลด้วยตนเอง
ซ่ึงเป็นแนวทางในการนาไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจาวันได้ นักเรียนเกดิ ทกั ษะการสงั เกต การเกบ็
ข้อมูลนาไปสู่การสรุปความ และฝึ กการทางานเป็ นกลุ่ม มีการแลกเปล่ียนความคิด และ
ประสบการณ์ซ่ึงกันและกัน ทาให้นักเรียนมีโอกาสแสวงหาความรู้ นาหลักการท่ีเป็ นจริงตาม
ธรรมชาติไปใช้ในสถานการณใ์ หม่ๆ โดยไม่ต้องทาการทดลองหรือพิสจู น์ซา้ อกี การฝึกให้นักเรียน
คิดแก้ปัญหา ทาให้นักเรียนเป็ นคนมีเหตุมีผล รู้จักใช้กฎเกณฑ์ ข้อสรุปต่างๆ มาช่วยในการ
แก้ปัญหาไม่ตัดสนิ ใจในการทางานอย่างง่ายๆ จนกว่าจะพิสจู น์ข้อเทจ็ จริงได้

จากท่กี ล่าวมาแสดงให้เหน็ ว่า การคิดแก้ปัญหาเป็นทกั ษะท่มี คี วามสาคญั ต่อการพัฒนา
ด้านสติปัญญาของเดก็ ซ่ึงเป็นคุณลักษณะท่พี ึงประสงค์ของเดก็ ไทยและเป็นเป้ าหมายสาคัญของ
การจัดการศึกษา แต่ปรากฏว่าในสภาพปัจจุบันการจัดการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาทักษะการคิด
แก้ปัญหาของเดก็ ยังทาได้น้อยมาก ครูควรมีความตระหนักเพ่ิมข้ึนเก่ียวกับจุดมุ่งหมายและวิธี
สอนให้เดก็ คิดแก้ปัญหาเป็น และโดยท่วั ไป พบว่า การสอนทกั ษะการคิดแก้ปัญหาโดยตรงยังทา
กันน้อยมาก ครูส่วนใหญ่มักเน้นการเรียนการสอนท่ียึดเน้ือหารายวิชามากกว่าการสอนกระบวน
การแก้ปัญหา เดก็ ไทยส่วนใหญ่ยังคงเรียนรู้ด้วยวิธีการจดจา และท่องจาให้ได้มากกว่าสามารถ
วิเคราะห์เน้ือหาสาระส่ิงท่ีเรียนรู้ได้ นอกจากน้ีการสอนเพ่ือเสริมสร้างและพัฒนาการคิดให้กับ
นักเรียนยังไม่มีการปฏิบัติอย่างจริงจังในโรงเรียน เน่ืองจากไม่เข้าใจวิธีการสอน ตลอดจนไม่
สามารถจัดการเรียนการสอนเพ่ือส่งเสริ มทักษะและกระบวน การคิดแก้ ปั ญหาให้ กับนักเรียน
เน่ืองจากปัญหาต่างๆ เหล่าน้ี ทาให้เดก็ ไม่มที กั ษะการคดิ การแก้ปัญหา ซ่ึงจะสง่ ผลต่อการพัฒนา
ทางด้านสติปัญญาของเดก็ (ประพันธศ์ ิริ สเุ สารัจ 2541, น. 2)

การเรียนรู้แบบฉากทศั น์เป็นฐานมาจากทฤษฎกี ารเรียนรู้จากสถานการณเ์ สมอื นจริง ท่ี
ระบุว่าการเรียนรู้ท่ผี ู้เรียนมีโอกาสได้ใช้ประสบการณ์ในการแก้ปัญหาท่ีมีลักษณะตรงกับโลกแห่ง
ความเป็นจริงซ่ึงมีความซับซ้อน ในการแก้ปัญหาผู้เรียนต้องอาศัยการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การ

485

ทางานร่วมกันเป็นทีม และทกั ษะการตัดสินใจ การเรียนรู้จากสถานการณ์เสมือนจริงจะเป็นการ
เรียนรู้อย่างต่ืนตัวและผู้เรียนจะเกิดความเข้าใจเชิงลึกในส่ิงท่เี รียน ทกั ษะและการเรียนรู้ท่ไี ด้จะทา
ให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเข้าสู่สภาพการทางานจริง (สุดคนึง นฤพนธ์จิรกุล, 2560) การ
จัดการเรียนการสอนตามแนวคิดการเรียนรู้แบบฉากทศั น์เป็นฐาน มีข้ันตอนในการออกแบบการ
เรียนรู้ฉากทศั น์เป็นฐาน Cubukcu (2014, p. 46) ได้นาเสนอไว้ดังรายละเอยี ดต่อไปน้ี

1. เลือกหัวข้อให้เหมาะสม โดยผู้สอนต้องตระหนักว่าต้องการผลการเรียนรู้อะไรจาก
ผู้เรียน จึงจะสามารถเลือกหัวข้อหรือประเดน็ ท่จี ะนาไปส่ผู ลการเรียนรู้น้ัน ท้งั น้ี หัวข้อท่เี ลือกควร
เป็ นประเดน็ ท่ีมีความสาคัญ ไม่ควรซับซ้อนเกินไป แต่ควรเน้นให้เกิดปฏิสัมพันธ์กันระหว่าง
ผู้เรียน

2. รวบรวมเน้ือหาท่ีสอดคล้องกับหัวข้อ การรวบรวมเน้ือหาเพ่ือนามาสร้างเป็นฉาก
ทัศน์ควรเป็ นเน้ือหาท่ีจูงใจให้ผู้เรียนอยากค้นคว้าเพ่ิมเติม และอยากสนทนาแลกเปล่ียน
ประสบการณก์ บั บุคคลอ่นื เพ่ือแสวงหาคาตอบต่อหัวข้อท่กี าหนดไว้

3. สร้างฉากทศั น์ท่มี คี วามท้าทาย การสร้างฉากทศั น์จะอยู่ในรูปแบบส่อื ออนไลน์ แบบ
เผชิญหน้ากัน หรือส่ือรูปแบบอ่ืนๆ กไ็ ด้ แต่ฉากทัศน์น้ันต้องมีความสมดุลระหว่างส่ือท่ีใช้กับ
วิธีการสอน เม่ือสร้างฉากทัศน์แล้วควรให้ผู้อ่ืนได้วิจารณ์ เพ่ือให้ม่ันใจว่าการจัดวางฉากทัศน์
เหมาะสมแล้ว เม่ือน้ันผลการเรียนรู้จะเป็นไปตามท่กี าหนดไว้

4. บทบาทของผู้สอน ผู้สอนสามารถเลือกบทบาทในการเรียนรู้จากฉากทัศน์ได้ 3
ลักษณะ คือ เป็นผู้มีส่วนร่วม (participant) กล่าวคือ ผู้สอนเป็นส่วนหน่ึงของฉากทศั น์ มีบทบาท
เป็นของตนเองและต้องแสดงตามบทบาทท่ีได้รับ ลักษณะท่สี อง คือ เป็นผู้สังเกตการณ์-พ่ีเล้ียง
(observer-mentor) หมายถึง การท่ผี ู้สอนอยู่วงนอกของฉากทศั น์น้ัน ทาหน้าท่เี พียงสงั เกตการณ์
และให้คาแนะนาเท่าน้ัน และลักษณะท่ีสามผู้สอนเป็นผู้มีส่วนร่วม-ผู้สังเกตการณ์ (participant-
observer) เป็นการแสดงตามบทบาทเพียงเล็กน้อยและในขณะเดียวกันกท็ าหน้าท่ีสังเกตการณ์
ด้วย (Lave & Wenger, 1991)

จากการศึกษางานทฤษฎีดังกล่าวและข้อมูลท่กี ล่าวมา ทาให้ผู้วิจัยสนใจท่จี ะศึกษา การ
จัดการเรียนร้ ูแบบฉากทัศน์เป็ นฐานมาใช้ ในพัฒนาความสามารถทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรม ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ของนักเรียน เน่ืองจากเป็ นเร่ืองท่ี
นักเรียนสามารถเช่ือมโยงเน้ือหาเข้ากบั ชีวิตประจาวันได้ อกี ท้งั เพ่ือเป็นแนวทางให้ผู้วิจัยออกแบบ
สถานการณ์การเรียนรู้ สามารถพัฒนาและปรับปรุงการเรียนการสอนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและ
วัฒนธรรมให้มีคุณภาพสามารถนาความรู้ไปประยุกตใ์ ช้ให้เกดิ ประโยชน์ในชีวิตประจาวันต่อไป

วตั ถุประสงคก์ ารวิจยั
1. เพ่ือพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาโดยการเรียนรู้แบบฉากทศั น์เป็นฐาน วิชา

สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4

486

2. เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ของ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4

3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 ท่เี รียนด้วยการเรียนรู้
แบบฉากทศั น์เป็นฐาน

สมมติฐานการวิจยั
1. นักเรียนมคี วามสามารถในการแก้ปัญหาหลังเรียนด้วยการเรียนรู้แบบฉากทศั น์เป็น

ฐานสงู กว่ากอ่ นเรียนอย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ทิ ่รี ะดบั .05
2. นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนด้วยการเรียนรู้แบบฉากทัศน์เป็นฐาน

สงู กว่ากอ่ นเรียนอย่างมนี ัยสาคัญทางสถิตทิ ่รี ะดบั .05
3. ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 ท่มี ีต่อการเรียนรู้แบบฉากทศั น์

เป็นฐานอยู่ในระดบั มาก

กรอบแนวคิด ตวั แปรตาม
ตวั แปรตน้ 1. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
2. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสาระท่ี 3
การจดั การเรียนรู้โดยใชฉ้ ากทศั นเ์ ป็นฐาน เศรษฐศาสตร์
วชิ า สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม 3. ความพงึ พอใจท่ีมีต่อการเรียนโดยใช้
ฉากทศั น์เป็นฐาน
สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์

วิธีดาเนนิ การวิจยั
กล่มุ เป้ าหมาย
กลุ่มเป้ าหมายท่ใี ช้ในการวิจัย คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 โรงเรียนเมอื งชุมพร

บ้านเขาถล่ม จังหวัดชุมพร ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 จานวน 40 คน ท่กี าลังศึกษารายวิชา
สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

เครือ่ งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการศึกษาค้นคว้าคร้ังน้ีประกอบด้วย
1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ การเรียนรู้แบบฉากทัศน์เป็ นฐาน สาระท่ี 3
เศรษฐศาสตร์ วิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม จานวน 6 แผน แผนละ 3 ช่ัวโมง ผลการ

487

ตรวจสอบคุณภาพโดยผู้เช่ียวชาญจานวน 3 คน พบว่ามีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.67-
1.00

2. แบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา เป็ นแบบอัตนัยจานวน 2 ข้อ ผลการ
ตรวจสอบคุณภาพโดยผู้เช่ียวชาญจานวน 3 คน พบว่า มีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง
0.67-1.00 ความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.32 – 0.57 อานาจจาแนกอยู่ระหว่าง 0.20 – 0.57 และ
ค่าความเช่ือม่นั เทา่ กบั 0.74

3. แบบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือกจานวน 30 ข้อ ผลการ
ตรวจสอบคุณภาพโดยผู้เช่ียวชาญจานวน 3 คน พบว่า มีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง
0.67-1.00 ความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.38 - 0.75 อานาจจาแนกอยู่ระหว่าง 0.25 – 0.75 และ
ค่าความเช่ือม่นั เทา่ กบั 0.72

4. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ฉากทศั น์
เป็ นฐาน เป็ นแบบมาตรประมาณค่า 3 ระดับ ได้แก่ ระดับ 3 หมายถึง พึงพอใจมาก ระดับ 2
หมายถึง พึงพอใจปานกลาง ระดับ 1 หมายถึง พึงพอใจน้อย โดยข้อความในแบบสอบถาม
แบ่งเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ด้านกจิ กรรมการเรียนรู้ ด้านส่อื การเรียนรู้ ด้านผู้เรียน และด้านประโยชน์
ท่ไี ด้รับ จานวนท้งั หมด 14 ข้อ เกณฑก์ ารแปลความหมายของความพึงพอใจเป็นดังน้ี

2.34 – 3.00 หมายถึง มคี วามพึงพอใจในระดบั มาก
1.67 – 2.33 หมายถึง มคี วามพึงพอใจในระดบั ปานกลาง
1.00 – 1.66 หมายถึง มคี วามพึงพอใจในระดบั น้อย
ผลการตรวจสอบคุณภาพของแบบสอบถามความพึงพอใจโดยผู้เช่ียวชาญจานวน 3
คน พบว่ามคี ่าดัชนีความสอดคล้องเทา่ กบั 1.00

การรวบรวมขอ้ มูล
ผู้วิจัยได้ดาเนินการทดลองสอนกบั นักเรียนช้ันประถมศึกษาศึกษาปี ท่ี 4 โรงเรียนเมือง

ชุมพรบ้านเขาถล่ม จังหวัดชุมพรโดยได้ดาเนินการทดลองแบบกลุ่มเดียวมีการทดสอบก่อนและ
หลังทดลอง (One Group Pretest Posttest Design) และเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองตาม
ข้นั ตอน ต่อไปน้ี

1. ผู้วิจัยช้ีแจงวัตถุประสงค์ ข้ันตอนและรายละเอียดให้นักเรียนทราบเก่ียวกับการ
จัดการเรียนรู้แบบฉากทัศน์เป็ นฐานเพ่ือพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาวิชาสังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรม

2. นักเรียนทาแบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาจานวน 2 ข้อเป็นแบบอตั นัย ก่อน
เรียนด้วยการเรียนรู้แบบฉากทศั น์เป็นฐาน

3. นักเรียนทาแบบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์ เป็ นแบบ
ปรนัย 4 ตัวเลือก จานวน 30 ข้อ ก่อนเรียนด้วยการเรียนรู้แบบฉากทศั น์เป็นฐาน

488

4. ผู้วิจัยดาเนินการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้แบบฉากทัศน์เป็นฐานจานวน 6
แผนๆ ละ 3 คาบคาบเรียนละ 60 นาที

5. หลังจากทาการสอนจนครบท้ัง 6 แผน ผู้วิจัยทาการวัดความสามารถในการ
แก้ปัญหาด้วยแบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา

6. นักเรียนทาแบบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์ เป็ นแบบ
ปรนัย 4 ตวั เลือก จานวน 30 ข้อ หลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบฉากทศั น์เป็นฐาน

7. นักเรียนทาแบบสอบถามความพึงพอใจท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ฉากทัศน์
เป็ นฐาน

วิธีการวิเคราะหข์ อ้ มูล
การวิเคราะห์ข้อมูลท่ไี ด้จากการดาเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ทาการวิเคราะห์

ข้อมูล ดงั น้ี
1. วิเคราะห์ผลของความสามารถในการแก้ปัญหาก่อนและหลังเรียน โดยการนา

คะแนนของนักเรียนท้งั หมด มาคานวณหาค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงมาตรฐาน แล้วทดสอบค่าที (t-
test แบบ Paired Sample)

2. วิเคราะห์ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์ ก่อนและหลังเรียน โดย
การนาคะแนนของนักเรียนท้งั หมด มาคานวณหาค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงมาตรฐาน แล้วทดสอบค่า
ที (t-test แบบ Paired Sample)

3. วิเคราะห์ความพึงพอใจท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ฉากทศั น์เป็นฐานโดยใช้ค่า
ร้อยละ ค่าเฉล่ีย และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน

4. อภิปรายผล โดยใช้ตารางและการพรรณนา

ผลการวิจยั
ตารางที่ 1 เปรียบเทยี บค่าเฉล่ียความสามารถในการแก้ปัญหาก่อนและหลังเรียนโดยการเรียนรู้
แบบฉากทศั น์เป็นฐานของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 (n = 40)

ผลการเรียนรู้ คะแนนเต็ม S.D. df tp

กอ่ นเรียน 16 7.30 1.57
หลังเรียน 39 14.948* .000

16 12.40 2.01

*p < .05

จากตารางท่ี 1 แสดงค่าเฉล่ียความสามารถในการแก้ปัญหาก่อนและหลังเรียนโดยการ

เรียนรู้แบบฉากทศั น์เป็นฐานของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 จานวน 40 คน พบว่า คะแนน

เฉล่ียก่อนเรียนอยู่ท่ี 7.30 คะแนน ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 1.57 คะแนนเฉล่ียหลังเรียนอยู่ท่ี

489

12.40 คะแนน ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 2.01 เม่ือเปรียบเทียบค่าเฉล่ียความสามารถในการ
แก้ปัญหาโดยการเรียนรู้แบบฉากทัศน์เป็นฐาน พบว่า คะแนนเฉล่ียหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
อย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิท่รี ะดับ .05 (t = 14.948, p = .000)

ตารางที่ 2 เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยการเรียนรู้แบบฉากทศั น์
เป็นฐานวิชา สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 (n = 40)

ผลสมั ฤทธ์ิ คะแนนเต็ม S.D. df tp
กอ่ นเรียน 30
หลังเรียน 30 9.30 3.32
*p < .05 20.45 39 20.420* .000

4.71

จากตารางท่ี 2 แสดงผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยการเรียนรู้แบบฉากทศั น์เป็น
ฐาน วิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 พบว่า ค่าเฉล่ีย
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนอยู่ท่ี 9.30 คะแนน สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน 3.32 ค่าเฉล่ียหลัง
เรียนอยู่ท่ี 20.45 คะแนน ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 4.71 เม่อื เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน
พบว่า ค่าเฉล่ียหลังเรียนสงู กว่ากอ่ นเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 (t = 20.420, p =
.000)

ตารางที่ 3 ค่าเฉล่ียความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 ท่มี ีต่อการเรียนรู้แบบฉาก
ทศั น์เป็นฐาน วิชาสงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม (n = 40)

ดา้ นกิจกรรมการเรียนรู้ 2.95

ดา้ นส่ือการเรียนรู้ 2.93

ดา้ นผเู้ รียน 2.98

ดา้ นประโยชนท์ ่ีไดร้ ับ 2.97

2.9 2.91 2.92 2.93 2.94 2.95 2.96 2.97 2.98 2.99

490

จากตารางท่ี 3 แสดงผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 ท่ี
มีต่อการเรียนรู้แบบฉากทัศน์เป็ นฐาน วิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม จานวน 40 คน
พบว่า โดยภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจในระดับมาก ( ̅ = 2.96, S.D. = 0.20) โดย
เรียงลาดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ลาดับท่ี 1 ด้านผู้เรียนมีค่าเฉล่ียความพึงพอใจสงู ท่สี ดุ ( ̅
= 2.98, S.D. = 0.07) ลาดับท่ี 2 ด้านประโยชน์ท่ีได้รับ ( ̅ = 2.97, S.D. = 0.18) ลาดับท่ี 3
ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ ( ̅ = 2.95, S.D. = 0.22) และ ลาดับท่ี 4 ด้านส่ือการเรียนรู้ ( ̅ =
2.93, S.D. = 0.33) ตามลาดบั

สรุปและอภิปรายผล
จากการวิจัยเร่ืองการพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาโดยใช้การเรียนรู้แบบฉาก

ทัศน์เป็ นฐานวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4
สามารถอภิปรายได้ดังต่อไปน้ี

1. ผลการศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 ท่ี
เรียนด้วยการเรียนรู้แบบฉากทัศน์เป็นฐาน พบว่านักเรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหาหลัง
เรียนเม่ือเรียนด้ วยการเรียนร้ ูแบบฉากทัศน์เป็ นฐานสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี
ระดับ .05 ซ่ึงสอดคล้องกบั สมมติฐานการวิจัยข้อท่ี 1 เน่ืองจากความสามารถในการคิดแก้ปัญหา
เป็ นความสามารถในการใช้ความรู้ประสบการณ์เดิม ความคิดของผู้เรียนแก้ปัญหาท่ีพบใน
สถานการณ์ต่างๆ ได้ การคิดแก้ปัญหาเป็นกระบวนการหรือทกั ษะท่มี ีความสาคัญต่อมนุษย์ท่ีต้อง
ใช้ในการแก้ปัญหาในการดาเนินชีวิตและยังเป็นพ้ืนฐานของการคิดท้งั มวล ดังน้ัน การสอนการคิด
แก้ปัญหาจึงเป็ นส่ิงจาเป็ นอย่างย่ิงท่ีจะต้องทา เพ่ือเตรียมเดก็ และเยาวชนให้มีทักษะการคิดท่ี
จาเป็นในการใช้ชีวิตอยู่ภายในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงการเรียนรู้แบบฉากทศั น์เป็นฐาน
มาจากทฤษฎีการเรียนรู้จากสถานการณ์เสมือนจริง ท่ีระบุว่าการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนมีโอกาสได้ใช้
ประสบการณ์ในการแก้ปัญหาท่มี ีลักษณะตรงกบั โลกแห่งความเป็นจริงซ่ึงมีความซับซ้อน ในการ
แก้ปัญหาผู้เรียนต้องอาศัยการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การทางานร่วมกันเป็นทีม และทักษะการ
ตัดสินใจ การเรียนรู้จากสถานการณ์เสมือนจริงจะเป็นการเรียนรู้อย่างต่ืนตัวและผู้เรียนจะเกิด
ความเข้าใจเชิงลึกในส่ิงท่เี รียน ทกั ษะและการเรียนรู้ท่ไี ด้จะทาให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเข้าสู่
สภาพการทางานจริง สอดคล้องกับงานวิจัยของ สุดคนึง นฤพนธ์จิรกุล (2560) ท่แี สดงว่าฉาก
ทัศน์ช่วยให้นักเรียนมีความสนใจ กระตือรือร้นในการเรียน สามารถร่วมกิจกรรมและทาใบงาน
ตามท่ีกาหนด จากการยกตัวอย่างฉากทศั น์ท่สี อดคล้องกับเน้ือหาท่ีเรียน จะเหน็ ได้ว่าแต่ละฉาก
ทัศน์มีประเดน็ คาถามให้นักเรียนตอบตามลาดับข้ันตอนของทักษะกระบวนการคิดแก้ปัญหา
ประกอบด้วย ข้ันท่ี 1 ระบุปัญหาหรือต้งั ปัญหา จากการจัดการเรียนรู้ด้วยการเรียนรู้แบบฉากทศั น์
เป็นฐาน ฝึกฝนให้นักเรียนแสวงหาความรู้จนสามารถสบื ค้นข้อมูลได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องให้ครู

491

ใช้คาถามกระตุ้นให้นักเรียนได้ฝึ กคิดหาคาตอบ นาไปสู่การสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง เกิด
ความเข้าใจและสามารถระบุปัญหาในสถานการณ์ท่เี กดิ ข้ึนได้ ข้นั ท่ี 2 นิยามสาเหตุของปัญหา การ
จัดการเรียนการสอนแบบผจญปัญหาทาให้นักเรียนได้ฝึก การสรุปประเดน็ ข้อมูล เพ่ือช่วยกันหา
วิธีการแก้ปัญหา มีการตอบคาถามท่ีหลากหลายความคิด เม่ือมีการฝึ กแสดงความคิดเห็น
แลกเปล่ียนกันภายในกลุ่ม ทาให้นักเรียนเกดิ การพิจารณาคิดในส่ิงต่างๆ ท้งั ส่ิงท่ีดีและส่ิงท่ไี ม่ดี
จนทาให้นักเรียนสามารถบอกท่ีมาของปัญหาท่ีเกิดข้ึนได้ ข้ันท่ี 3 ค้นหาแนวทางแก้ปัญหา โดย
การหาทางออกของปัญหาต้องมีการผสมผสานแนวความคิดหลายแง่มุม มีการฝึ กสรุปปัญหาท่ี
เกิดข้ึนจากฉากทศั น์ต่างๆ โดยร่วมกันลงมติหรือข้อสรุปท่เี ป็นไปได้ จากหลายเหตุผล อภิปราย
และร่วมกนั วิเคราะห์ปัญหาจนนาไปส่แู นวทางแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ข้ันท่ี 4 อธบิ ายผลท่ีได้
จากการแก้ปัญหานาไปสู่การพิสจู น์หาคาตอบว่าหลังจากการใช้วิธีการแก้ปัญหาน้ีเกิดผลอย่างไร
เป็นการฝึกให้นักเรียนได้ลองกระทาจากส่งิ ท่ไี ด้เรียนรู้มา เป็นการเพ่ิมพูนความรู้ใหม่ๆ และขยาย
ความรู้ให้มากย่ิงข้ึน โดยสามารถจัดระบบความคิดและวิธกี ารแสวงหาความรู้ด้วยตนเองเป็นการ
เช่ือมโยงการเรียนรู้ท่ีได้หาคาตอบด้วยตนเอง ส่งผลให้จดจาเน้ือหาท่ีค้นพบได้อย่างแม่นยา
สามารถเรียนรู้เน้ือหาท่เี ก่ียวข้องได้อย่างง่ายและรวดเร็ว ดังน้ัน นักเรียนได้รับประสบการณ์จาก
กจิ กรรมการจัดการเรียนรู้ สง่ ผลให้นักเรียนสามารถเขียนอธบิ ายประเดน็ ต่างๆตามท่คี รูกาหนดให้
ได้อย่างถูกต้อง สามารถอธบิ ายต้นเหตทุ ่กี อ่ ให้เกดิ ปัญหาได้อย่างถูกต้องและตรงประเดน็ สามารถ
คิดหาวิธีการแก้ปัญหาท่ีเผชิญอยู่ด้วยเหตุผล และมีลาดับข้ันตอน ระบุผลของการตัดสนิ ใจเลือก
วิธกี ารขจัดปัญหาต่างๆ ให้หมดไปอย่างหลากหลาย สามารถระบุเป็นรายข้อ อย่างน้อย 2 ข้อ และ
อธิบายเช่ือมความสัมพันธ์ในแต่ละข้ันตอนได้อย่างสอดคล้องกัน เป็นการเปิ ดโอกาสให้นักเรียน
ทางานร่วมกันในบรรยากาศแบบกันเองมากข้ึนและกล้าเผชิญกับปั ญหา ซ่ึงสอดคล้องกับ
Errington (2005) ท่ีระบุว่าการเรียนรู้ฉากทัศน์เป็ นฐานจะแสดงสภาพการณ์ มีจุดหักเหหรือ
ประเดน็ ให้ขบคิด มีตัวละคร มีพลอ็ ต (plot) ท่ยี ังไม่สมบูรณ์ มีการจูงใจให้อยากแก้ปัญหาเพ่ือ
ค้นหาคาตอบหรือผลลัพธ์ การเรียนรู้ฉากทศั น์เป็นฐานเป็นกลวิธีการเรียนรู้ท่ดี ีในการให้นักศึกษา
ได้เผชิญกับสถานการณ์ด้านวิชาชีพท่ีใกล้เคียงกับความเป็นจริง การเรียนรู้ฉากทศั น์เป็นฐานจึง
เป็นการเรียนรู้ผ่านภาระงานซ่ึงผู้เรียนจะต้องเผชิญเม่อื จบการศึกษาและเข้าส่กู ารทางานจริง

2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลังเรียน สาระท่ี 3
เศรษฐศาสตร์ ด้วยการเรียนรู้แบบฉากทัศน์เป็นฐาน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 พบว่า
คะแนนผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสงู กว่าคะแนนผลสัมฤทธ์ิก่อนเรียน อย่างมนี ัยสาคัญทาง
สถิติท่รี ะดับ .05 ซ่ึงยอมรับสมมติฐานการวิจัยข้อท่ี 2 ท่วี ่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังใช้การ
เรียนรู้แบบฉากทศั น์เป็นฐานสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 ท้งั น้ีอภิปราย
ได้ว่า การเรียนรู้แบบฉากทศั น์เป็นฐานคือการจัดการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์ท่ใี กล้เคียงกบั ความ
เป็ นจริงมากท่ีสุด ผู้เรียนประยุกต์ใช้ความรู้จากการเรียนด้วยฉากทัศน์ไปใช้ในการทาแบบวัด
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรียนรู้ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่การท่องจาเป็นหลัก ผู้เรียนใช้ประสบการณ์

492

ในการแก้ปัญหา เน้นการพัฒนาทักษะและการคิดวิจารณญาณ ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัยของ จิรา
พร โบสิทธิพิเสฏฐ์ (2557) ท่ีศึกษาเร่ือง การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและทักษะ
กระบวนการคิดแก้ปัญหา เร่ือง สงั คมไทยของนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 3 โดยการจัดการ
เรียนรู้ด้วยกระบวนการเผชิญสถานการณ์ ผลการวิจัยพบว่า ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนหลังเรียนเม่ือ
การจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการเผชิญสถานการณ์สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี
ระดับ .05 และสอดคล้องกับงานวิจัยของอุมาพร ป่ิ นเนตร (2555) ท่ีศึกษาเร่ือง การพัฒนา
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหาเร่ือง หลักธรรมสาคัญทาง
พระพุทธศาสนา ด้วยวิธีสอนแบบสตอร่ีไลน์ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 3 ผลการวิจัย
พบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน นอกจากน้ี Clark (2009, p. 84) ยัง
กล่าวสนับสนุนว่า การเรียนรู้ฉากทัศน์เป็ นฐาน เป็ นการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนมี
โอกาสในการแก้ปัญหาท่ีตรงกบั ความเป็นจริง ในขณะท่แี ก้ปัญหาผู้เรียนได้เรียนรู้มโนทศั น์ และ
ข้นั ตอนการแก้ปัญหาท่เี หมอื นกบั การทางานจริงของผู้เช่ียวชาญในสาขาวิชา น้ันๆ

3. ความพึงพอใจท่มี ีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบฉากทศั น์เป็นฐานโดย
ภาพรวมเห็นด้วยในระดับมาก ซ่ึงเป็ นไปตามสมมติฐานการวิจัยข้อท่ี 3 จากผลการวิจัยพบว่า
ความพึงพอใจ โดยภาพรวมมีความพึงพอใจในระดับมากในด้านผู้เรียนมีค่าเฉล่ียความพึงพอใจ
สงู ท่สี ุด กล้าแสดงความคิดเหน็ ของตนเองอย่างม่ันใจ มีความสขุ และมีอสิ ระในการเรียนแบบฉาก
ทศั น์ และสามารถเสนอแนวทางแก้ปัญหาจากสถานการณ์ท่กี าหนดได้ ด้านประโยชน์ท่ีได้รับ ได้
ฝึกทกั ษะกระบวนการในการศึกษาค้นคว้า หาคาตอบ รวบรวมข้อมูล และสรุปความรู้ด้วยตนเอง
ทาให้เข้าใจสถานการณ์ด้านเศรษฐศาสตร์ในชีวิตประจาวันได้มากข้ึนเกิดทกั ษะการแก้ปัญหาท่ี
เก่ียวข้องกับชีวิตประจาวัน ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยการเรียนรู้แบบฉากทัศน์เป็นฐาน เป็น
กจิ กรรมท่สี ่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้จากสถานการณ์จริง สามารถพบได้ในชีวิตประจาวัน และ
ด้านส่อื การเรียนรู้ สอดคล้องกบั แนวคดิ ของ Mery and Blakiston (2010, p. 1) ท่สี รุปไว้ว่า การ
เรียนรู้ฉากทัศน์เป็ นฐานคือการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็ นศูนย์กลาง โดยให้ผู้เรียนประยุกต์ความรู้
ทางด้านทฤษฎีและแนวคิดเข้ากับสถานการณ์แห่งความเป็นจริง โดยมีฐานแนวคิดว่าผู้เรียนจะ
เรียนรู้ได้ดีเม่ือได้ทาภาระงานในบริบทจริง และผู้เรียนต้องใช้ความรู้เดิมผสมผสานกบั บริบทใหม่
เพ่ือหาหนทางแก้ปัญหา ดงั น้ัน ผู้เรียนจึงได้เรียนรู้มากกว่าการทอ่ งจา แต่เป็นการประยุกต์ความรู้
ให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง และสอดคล้องกับแนวคิดของ สุคนธ์ สินธพานนท์ และคณะ
(2554 น.58) ได้สรุปไว้ว่า จากการเรียนรู้ฉากทศั น์เป็นฐาน นักเรียนได้ฝึกทกั ษะการค้นคว้าหา
ความรู้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ อย่างหลากหลาย ตลอดจนเป็นผู้ท่ที นั ต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน ทาให้
เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ รู้วิเคราะห์สถานการณ์ วิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารท่ีได้รับมาอย่างเป็นผู้ท่ี
รู้เท่าทนั มีหลักเกณฑ์ในการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างหลากหลาย โดยคานึงถึงเกณฑ์มาตรฐาน
ของสงั คมและเกณฑด์ ้านคุณธรรม จริยธรรม นักเรียนรู้จักวิธกี ารเลือกและการตัดสนิ ใจ โดยอาศัย
พ้ืนฐานจากสถานการณ์ท่ีเกิดข้ึนจริง ซ่ึงมีหลากหลาย เพ่ือนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตปัจจุบัน

493

เน่ืองจากนักเรียนไม่อาจเผชิญสถานการณ์ท่ีรุนแรงหรือร้ายแรงได้จริง แต่การท่ีได้ตัวอย่าง
เหตุการณ์จริง จะทาให้นักเรียนสามารถฝึกทกั ษะการเลือกและการตัดสินใจในการแก้ปัญหาอย่าง
มีหลักการ

ขอ้ เสนอแนะ
ขอ้ เสนอแนะในการนาผลการวิจยั ไปใช้
1. การจัดการเรียนการสอนด้วยการเรียนรู้แบบฉากทัศน์เป็ นฐาน มีกิจกรรมการ

เรียนรู้ 4 ข้นั ตอน ในเวลา 60 นาที ผู้สอนต้องวางแผนการสอนและควบคุมเวลาให้เหมาะสม ควร
ฝึ กให้นักเรียนรู้จักการทางานร่วมกันเป็นกลุ่มก่อนท่ีจะจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบฉากทศั น์เป็น
ฐาน

2. การออกแบบใบงานฉากทัศน์ ควรให้มีความยากง่ายเหมาะสมและเป็ นเร่ืองท่ี
สามารถดึงดูดความสนใจของนักเรียนได้ จึงจะสามารถดาเนินกิจกรรมทันเวลาและได้งานท่มี ี
คุณภาพ หรืออาจต้องขยายเวลาออกไปสาหรับบางกจิ กรรมท่ตี ้องใช้เวลาในการหาข้อมูลเพ่ิมเติม

3. การจัดการเรียนการสอนด้วยการเรียนรู้แบบฉากทัศน์เป็ นฐาน ผู้สอนต้อง
ปรับเปล่ียนบทบาทของตนเองจากการบอกความรู้ มาเป็นผู้อานวยความสะดวกในการเรียนรู้ ให้
คาแนะนาและข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียน กระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ถ้า
นักเรียนตอบปัญหาได้ไม่ครอบคลุม ผู้สอนจะต้องเติมเตม็ ความรู้ให้ พร้อมท้งั ช้ีแนะแหล่งข้อมูล
ในการศึกษาเพ่ิมเติม เพ่ือสามารถอธบิ ายสรุปคาตอบท่ไี ด้รับจากการเรียนรู้แบบฉากทศั น์เป็นฐาน
ได้ กระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้สอนจึงต้องฝึกฝนตนเองและเตรียมความ
พร้อมให้กับนักเรียน โดยพยายามกระตุ้นให้ นักเรียนเกิดความกระตือรือร้นและสามารถสืบค้น
ข้อมูลได้ด้วยตนเอง

4. ผู้สอนควรส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศการเรียนรู้ท่ีกระตุ้นให้เกิดการคิดโดยสร้าง
บรรยากาศการเรียนรู้ท่ีเป็ นมิตร เอ้ือต่อการแสดงออกทางความคิด และการแลกเปล่ียน
ประสบการณ์

ขอ้ เสนอแนะในการทาวิจยั คร้งั ต่อไป
1. ควรศึกษาถึงการนาแนวทางการพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาท่เี รียนด้วย

การเรียนรู้แบบฉากทัศน์เป็ นฐาน ไปใช้กับตัวแปรตามอ่ืนๆ เช่น ความคงทนในการเรียนรู้
ความสามารถในการคดิ ตดั สนิ ใจ ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น

2. ควรมีการนาการเรียนรู้แบบฉากทศั น์เป็นฐานไปใช้ร่วมกบั วิธีการสอนหรือรูปแบบ
การจัดการเรียนการสอนอ่ืน เพ่ือให้เกิดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ได้แก่ วิธีสืบเสาะหา
ความรู้ วิธกี ารสอนโดยใช้การอุปนัย และการสอนโดยใช้โครงงาน

494

3. ควรนาการเรียนรู้แบบฉากทัศน์เป็ นฐานไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ในสาระการ
เรียนรู้อ่นื ของกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ได้แก่ สาระการเรียนรู้ประวัติศาสตร์
สาระการเรียนรู้หน้าท่พี ลเมือง วัฒนธรรมและการดาเนินชีวิตในสงั คมและสาระภมู ิศาสตร์ เป็นต้น

เอกสารอา้ งอิง

กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551.
กรุงเทพฯ: ชุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จากดั .

จิราพร โบสิทธิพิเชฏฐ์. (2557). การพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนและทกั ษะกระบวนการคิด
แกป้ ัญหาเรือ่ ง สงั คมไทย ของนกั เรียนระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาปี ที่3 โดยใชก้ ารจดั การ
เรียนรู้ ดว้ ยกระบวนการเผชิญสถานการณ์. (วิทยานิพนธป์ ริญญานิพนธ์ ศึกษาศาสตร
มหาบัณฑติ ) บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร.

ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ. (2541). คิดเก่งสมองไว. กรุงเทพฯ : บริษัทโปรดักทีพกรุ๊ป จากัด.
สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. แผนพัฒนา
เศรษฐกิจและสงั คม แห่งชาติ ฉบบั ที่ 12 (พ.ศ.256 - 2564). กรุงเทพฯ: 2560.

สานักงานวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2551). แนวทางการบริหารจดั การหลกั สูตร ตาม
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: ชุมนุม
สหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย.

สุดคนึง นฤพนธ์จิรกุล. (2560). รูปแบบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษโดยใชก้ ารเรียนรูจ้ าก
สถานการณ์ เสมือนจริงเพื่อเสริมสรา้ งความสามารถทางภาษาอังกฤษและการรบั รู้
ความสามารถของตนเองของนกั ศึกษาระดบั ปริญญาตรี (ปริญญานิพนธ์ปริญญาดุษฎี
บัณฑติ ). สาขาหลักสตู รและการสอน วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรุ กจิ บัณฑติ ย์

สคุ นธ์ สินธพานนทแ์ ละคณะ. (2554). วิธีสอนตามแนวปฏิรูปการศึกษาเพือ่ พฒั นาคณุ ภาพของ
เยาวชน. กรุงเทพฯ: 9199 เทคนิคพร้ินต้ิงนิทาน.

อุมาพร ป่ิ นเนตร. (2555). การพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนและความสามารถในการแกป้ ัญหา
เรือ่ ง หลกั ธรรมสาคญั ทางพระพุทธศาสนา ดว้ ยวิธีสอนแบบสตอรีไ่ ลน์ สาหรบั นกั เรียน
ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3. ภาควิชาหลักสตู รและวิธสี อน มหาวิทยาลัยศิลปากร

Clark, A. T. (2009). “An Examination of Combined Distance and Direct Supervision
Experiences,” (Online). Available : http://umi.com/dissertation/ fullcit/
3115457.

Cubukcu, B. (2014, May). Scenario-based learning. Inside learning technologies and skills,
45- 46.

Errington, E. (2005). Creating learning scenarios: A planning guide for adult educators.
Palmerston North, NZ: Cool Books.

495

Lave, J. & Wenger, E. (1991). Situated learning: Legitimate peripheral participation.
Cambridge: Cambridge University Press.

Mery, Y., & Blakiston, R. (2010). Scenario-based e-learning: Putting the student in the
driver’s seat. 26thAnnual Conference on Distance Teaching and Learning. August
4 - 6, 2010. Wisconsin: University of Wisconsin.

496

การพฒั นาความสามารถการปฎิบตั ิ คียบ์ อรด์ ตามแนวคดิ ของซูซูกิ โดยใชส้ ือ่
อินโฟกราฟิ ก (Infographic) ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 4

Development of Piano Keyboard Capabilities Based on the Suzuki Method Using
Infographics for Prathom Suksa 4 Students.

ณฐั วุฒิ สิริตระกูลเกยี รต์ิ1
พจมาลย์ สกลเกียรติ2

บทคดั ยอ่

การวิจัยน้ี มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1. พัฒนาความสามารถการปฎิบัติคีย์บอร์ด โดยใช้ส่ือ
อนิ โฟกราฟิ ค ( Infographic) 2. ศึกษาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนการปฎิบัตคิ ียบ์ อร์ด 3.ศึกษาความ
พึงพอใจของนักเรียนท่มี ีต่อ ส่อื อนิ โฟกราฟิ ก (Infograpic) กลุ่มเป้ าหมาย นักเรียนท่กี าลังศึกษา
อยู่ระดับประถมศึกษาปี ท่ี 4 วิชาดนตรี จานวน 35 คน โรงเรียนมารีย์ธงชัย จังหวัดนครราชสีมา
เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1. แผนการจัดการเรียนรู้เร่ืองการพัฒนาความสามารถปฎิบัติวิชา
คีย์บอร์ด 2. ส่ือ อินโฟกราฟิ ก (infographic)ตามแนวคิดของ ซูซูกิ (Suzuki) 3.แบบทดสอบวัด
ผลสมั ฤทธ์ิ 4.แบบประเมินความสามารถปฎิบัติวิชาคีย์บอร์ด 5.แบบสอบถามความพึงพอใจท่ีมีต่อ
ส่ืออินโฟกราฟิ ก (infographic)สถิติท่ใี ช้ในการวิจัย ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉล่ีย (Mean) ส่วน
เบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ,t-test Dependent Samples

ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลของความสามารถในการปฎิบัติคีย์บอร์ด โดยใช้ส่ืออินโฟ
กราฟิ ก (Infographic) ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4จานวน 35 คน พบว่า นักเรียนมี
คะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ผ่านเกณฑ์ จานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 43 และมีนักเรียนท่ีไม่
ผ่านเกณฑ์ จานวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ 57 2) แสดงการเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
การปฎิบัติคีย์บอร์ด ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 ก่อนเรียนและหลังเรียน จานวน 35 คน
พบว่า คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 (t = 10.123,
Sig. = .000) 3) ระดับความพึงพอใจของนักเรียนท่มี ีต่อ ส่ืออินโฟกราฟิ ก (Infographic) พบว่า
ระดบั ความพึงพอใจภาพรวมอยู่ในระดบั มาก ( ̅= 2.57, S.D. = 0.57)

คาสาคัญ : ความสามารถการปฎบิ ัตวิ ิชาคียบ์ อร์ด, แนวคดิ ของซซู ูกิ ,อนิ โฟกราฟิ ก (Infographic)

1 นกั ศึกษา หลักสตู รศึกษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาหลกั สตู รและการสอน วิทยาลยั ครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั
ธรุ กจิ บณั ฑติ ย์
2 ท่ปี รกึ ษาวิทยานพิ นธ์

497

ทีม่ าและความสาคญั ของปัญหา

ด น ต รี เ ป็ น วิ ช า ห น่ึ ง ท่ีจั ด อ ยู่ ใ น ห ม ว ด ส า ร ะ แ ล ะ ก า ร เ รี ย น รู้ ศิ ล ป ะ โ ด ย
กระทรวงศึกษาธิการได้กาหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลาง พุทธศักราช 2551 เพ่ือใช้เป็นหลักสูตร
ภาคบังคับของนักเรียนในระดับช้ันประถมศึกษา (กระทรวงศึกษาธิการ,2551) เหตุเพราะ
กระทรวงได้เลง็ เหน็ ถึงประโยชน์ของดนตรี เน่ืองด้วยการพัฒนาทักษะทางดนตรี ท้งั ในเร่ืองการ
ขับร้องการบรรเลงเคร่ืองดนตรี หรือทักษะอ่ืนๆ ท่ีเกิดจากการทากิจกรรมในวิชาดนตรี น้ัน
สามารถช่วยพัฒนาการทางด้าน ร่างกาย จิตใจและอารมณ์และสังคม นอกจากน้ีและยังช่วย
เสริมสร้างสมาธิ ความจา เชาว์ปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ และคุณลักษณะอ่ืนๆท่ีพึงประสงค์
ให้แก่นักเรียน โดยถ้าจะกล่าวถึงทักษะทางด้านดนตรี คือการให้ความรู้ความเข้าใจ ด้วยการให้
ประสบการณ์การเรียนรู้จริง เช่นการเล่นดนตรี การทากิจกรรมดนตรี การฟังดนตรี เป็นต้น ใน
ปัจจุบัน ดนตรีเป็นศาสตร์แขนงหน่ึง ท่มี ีความสาคญั ไม่ย่งิ หย่อนกว่าศาสตร์แขนงอ่นื และได้บรรจุ
ในหลักสูตรให้เรียนกันต้ังแต่ปฐมวัย การเรียนดนตรีภาคปฎิบัติเป็ นส่ิงท่ีจาเป็ นต่อเดก็ ทุกคน
ดนตรีจึงถูกใช้เป็นเคร่ืองมือในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนมากกว่าเพียงเป็ นความบันเทิง
เท่าน้ัน ด้วยเหตุน้ีกระทรวงศึกษาธิการจึงบรรจุวิชาดนตรีเข้าไปในหลักสูตรแกนกลางเพราะได้
เลง็ เหน็ ความสาคัญและประโยชน์อย่างมากมาย

ท้งั น้ีในส่วนของครูควรศึกษาวิธีการจัดการเรียนการสอนรูปแบบต่างๆ เพ่ือปรับปรุง
แก้ ไขและนามาปรับใช้ ในวิชาของตนเองให้ เหมาะสมในวิชาดนตรีแก่นักเรียนในแต่ละระดับช้ันซ่ึง
แนวคิดของ ชินอชิ ิ ซูซูกิ (Shinichi Suzuki) มีหลักการสอนดนตรีเช่นเดียวกบั เดก็ ท่เี รียนรู้ภาษา
แม่ โดยเกดิ จากการฟังและการเลียนแบบ (ประพันธศ์ ักด์ิ พุ่มอนิ ทร์,2557)

สกุ รี เจริญสขุ (2542) กล่าวว่า “เก่งหรืออจั ฉริยะ” ซูซูกิ ให้ความหมายว่า เป็นส่ิงท่ี
ไม่ได้ติดตวั มาแต่กาเนิด ทุกคนมที ุกส่งิ ทุกอย่างเทา่ กนั หมดคือไม่มอี ะไร ต้องการอาศัยการเรียนรู้
และการเล้ียงดู และอบรมส่ังสอนให้เกิดการพัฒนา เพ่ือให้เดก็ เป็ นอย่างท่ีพ่อแม่ต้องการ การ
เรียนรู้ของเดก็ เหมือนกบั เรียนภาษาแม่

ซูซกู ติ ้งั ช่ือกระบวนการสอนว่า “ การศึกษาคนเก่ง ” (Talent Education) เพราะเช่ือว่า
เดก็ ทุกคนสามารถเรียนรู้และเป็นคนเก่งได้ แต่อย่าทอดท้งิ ให้เดก็ เติบโตตามยถากรรมโดยไม่ได้
รับการอบรมเล้ียงดูอย่างต่อเน่ืองเป็นอนั ขาด

จากการศึกษาผู้วิจัยพบว่า การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดของซูซูกิ เป็นรูปแบบหน่ึงท่มี ี
ความน่าสนใจกบั การนามาประยุกต์ใช้การสอนทกั ษะปฎบิ ัติคยี บ์ อร์ด ประกอบด้วย 4 ข้นั ตอน คอื

ข้ันท่หี น่ึง การฟัง คอื การฟังซา้ ๆ
ข้ันท่สี อง เลียนแบบ คอื สงั เกตและจดจาจากครูท่เี ป็นต้นแบบ
ข้นั ท่สี าม ทาซา้ คือ ฝึกซ้อมไปเร่ือยๆจนเป็นธรรมชาติ
ข้นั ท่สี ่ี จดจาฝงั ใจ คือ สามารถปฎบิ ัตดิ นตรีได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

498


Click to View FlipBook Version