ศึกษาของมหาวิทยาลัยเหอฉือ ดังน้ี
หน่วยท่ี 1 การอ่านเชิงวิเคราะห์ข่าว
หน่วยท่ี 2 การอ่านเชิงวิเคราะห์บทความ
หน่วยท่ี 3 การอ่านเชิงวิเคราะห์สารคดี
หน่วยท่ี 4 การอ่านเชิงวิเคราะห์เร่ืองส้นั
ระยะเวลาในการศึกษา
ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562
เครือ่ งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการวิจัยคร้ังน้ีประกอบด้วย
1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาการอ่านภาษาไทยโดยใช้เทคนิค KWDL
2. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนการอา่ นเชิงวิเคราะห์ภาษาไทย
3. แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนการอ่านเชิงวิเคราะห์ภาษาไทยโดยใช้
เทคนิค KWDL
การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
ผู้วิจัยได้เกบ็ รวมรวมข้อมูลมีข้นั ตอนดงั น้ี
1. ผู้วิจัยดาเนินการทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมูลด้วยตนเองตามแผนการจัดการเรียนรู้ท้ังหมด
จานวน 4 หน่วย หน่วยละ 4 คาบ คาบละ 45 นาที รวม 16 คาบ ในคาบเรียนปกติของนักศึกษา
จีนช้ันปี ท่ี 3 มหาวิทยาลัยเหอฉือ และดาเนินการสอนดงั น้ี
1) ข้นั นา
ผู้วิจัยได้ช้ีแจงและอธิบายให้นักศึกษาซ่ึงเป็นประชากรเป้ าหมายทราบถึงวัตถุประสงค์
และประโยชน์ท่ไี ด้รับจากการจัดการเรียนรู้การอ่านเชิงวิเคราะห์ภาษาไทยโดยใช้เทคนิค KWDL
และให้นักศึกษาทาแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนการอ่านเชิงวิเคราะห์ภาษาไทยกอ่ นการ
เรียน (Pre-test) จานวน 25 ข้อ โดยใช้เวลา 45 นาที เพ่ือเกบ็ คะแนนและประมวลผล
2) ข้นั สอน
2.1 ดาเนินการสอนให้กับนักศึกษาซ่ึงเป็นประชากรเป้ าหมายตามแผนการจัดการ
เรียนรู้ จานวน 4 หน่วย หน่วยละ 4 คาบ คาบละ 45 นาที รวม 16 คาบ แต่ละหน่วยการเรียนรู้
ผู้วิจัยอธิบายและยกตัวอย่างวิธกี ารอ่านเชิงวิเคราะห์ ข่าว บทความ สารคดี เร่ืองส้นั โดยใช้เทคนิค
KWDL สาหรับการเลือกเน้ือหาในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ กาหนดขอบเขตของเน้ือหาของการอ่าน
โดยแต่ละเร่ืองท่ีมีคาภาษาต่างประเทศหรือมีคาศัพทใ์ หม่ไม่เกินร้อยละ 10 ในเน้ือหาของแต่ละ
เรืองท่นี ามาใช้ เพ่ือช่วยจากัดขอบเขตของการอ่านท่นี ักศึกษาไม่ทราบความหมายของศัพท์ และ
อาจไม่เข้าใจเร่ืองท่ีอ่านได้ และลาดับจากง่ายไปหายาก จากรูปธรรมเป็ นนามธรรม และให้
นักศึกษาทางานเป็นรายบุคคล เม่ือส้นิ สดุ แต่ละหน่วย นักศึกษาทาแบบทดสอบความสามารถใน
การอา่ นเชิงวิเคราะห์ภาษาไทย เพ่ือเกบ็ คะแนน และเฉลยคาตอบของแบบทดสอบให้แก่นักศึกษา
399
ทุกคร้ังเพ่ือเป็นการทบทวนเร่ืองท่เี รียน
2.2 ผู้วิจัยให้นักศึกษาการทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนการอ่านเชิงวิเคราะห์
ภาษาไทยหลังเรียน (Post-test) จานวน 25 ข้อโดยใช้เวลา 45 นาที เพ่ือเก็บคะแนนและ
ประมวลผล
3) ข้นั สรุป
ข้ันน้ี ผู้วิจัยตรวจแบบทดสอบผลสมั ทธ์ิทางการเรียน สรุปหน่วยการเรียนรู้ท้งั หมด
และเพ่ิมเติมความรู้ในส่วนท่นี ักศึกษาควรปรับปรุงแก้ไข
2. เม่อื ส้นิ สดุ การเรียนการสอนท้งั หมด ผู้วิจัยให้นักศึกษาตอบแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการ
อา่ นเชิงวิเคราะห์ภาษาไทยโดยใช้เทคนิค KWDL
3. ผู้วิจัยได้เกบ็ รวบรวมคะแนนท้ังหมดเพ่ือนาคะแนนท่ีได้มาวิเคราะห์โดยวิธีทางสถิติ เพ่ือ
ตรวจสอบสมมตฐิ าน และสรุปผลการวิจัย
การวิเคราะหข์ อ้ มูล
ผู้วิจัยได้วิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลด้วยโปรแกรมสาเรจ็ รูป โดยมีรายละเอยี ดดงั น้ี
1. ผู้วิจัยได้นาผลการทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนการอ่านเชิงวิเคราะห์
ภาษาไทยก่อนเรียนและหลังเรียน และแบบสอบถามประเมินความพึงพอใจท้งั หมดมาวิเคราะห์
ข้อมูล โดยใช้สถิติพ้ืนฐาน ได้แก่ ค่าร้ อยละ (Percentage) ค่าเฉล่ีย (Mean)ส่วนเบ่ียงเบน
มาตรฐาน (Standard Deviation) และหาค่าที (Paired Sample t-test)
2.ประมวลผลโดยใช้ โปรแกรมสาเรจ็ รูปแปลผลและวิเคราะห์ข้อมูล
3.ประมวลผลและอภปิ รายผล โดยใช้ตารางและการพรรณนา
สรุปผลการวิจยั
1. ผลการพัฒนาความสามารถการอ่านเชิงวิเคราะห์ภาษาไทยโดยใช้เทคนิค KWDL
สาหรับนักศึกษาจีนช้ันปี ท่ี 3 มหาวิทยาลัยเหอฉือ การอ่านเชิงวิเคราะห์ของนักศึกษามีคะแนนไม่
ต่ากว่าร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์จานวน 30 คน คิดเป็นร้อยละ 100 และการอ่านแต่ละประเภทมี
คะแนนหลังเรียนสงู กว่ากอ่ นเรียนอย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ิท่รี ะดบั .05
2. ผลสัมฤทธ์ิทางการอ่านเชิงวิเคราะห์ภาษาไทยของนักศึกษาจีนช้ันปี ท่ี 3
มหาวิทยาลัย เหอฉือ พบว่านักศึกษามีคะแนนหลังเรียนเพ่ิมข้ึนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ
.05 (t=15.24*,sig.=.000)
3. ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจของนักศึกษาจีนช้ันปี ท่ี 3 ท่ีมีต่อการอ่านเชิง
วิเคราะห์ภาษาไทยโดยใช้เทคนิค KWDL พบว่า ความพึงพอใจภาพโดยรวมอยู่ระดับมาก ( X
=4.38 , S.D.=0.66) เม่ือพิจารณาเป็นรายด้านเรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย คือ ด้าน
400
กิจกรรมการเรียนรู้ ( X =4.45 , S.D.=0.65) ด้านผู้สอน ( X =4.41 , S.D.=0.66) ด้านผู้เรียน
( X =4.29 , S.D.=0.67)
อภิปรายผล
1. ผลการพัฒนาความสามารถการอ่านเชิงวิเคราะห์ภาษาไทยโดยใช้เทคนิค KWDL
สาหรับนักศึกษาจีนช้ันปี ท่ี 3 มหาวิทยาลัยเหอฉือ การอ่านเชิงวิเคราะห์ของนักศึกษามีคะแนน
ไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์จานวน 30 คน คิดเป็ นร้อยละ 100 จากการให้นักศึกษาอ่าน
วิคราะห์งานแต่ละประเภทจานวน 2 คร้ังทดสอบก่อนและหลังการใช้เทคนิค KWDL การอ่านแต่
ละประเภทของนักศึกษามีพัฒนาการคะแนนค้ังท่ี 2 เพ่ิมข้ึนทุกประเภทมีนักศึกษาบางคนมี
คะแนนคงท่ี (เทา่ เดิม) บางประเภทและบางประเภทมีคะแนนลดลง แต่อย่างไรกด็ ีเม่ือพิจารณา
โดยภาพรวมแล้ว นักศึกษามีพัฒนาการการอ่านเชิงวิเคราะห์ดีข้ึน และการอ่านแต่ละประเภท
คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ.05 การอ่านคร้ังแรกคือการ
อ่านข่าวนักศึกษารู้สึกยากมากเพราะเป็นภาษาไทยและมีคาศัพทท์ ่ีนักศึกษาไม่เข้าใจความหมาย
ผู้สอนได้อธิบายความหมายให้ และได้ดาเนินการสอนโดยใช้ KWDL ให้ช่วยกันทาแบบฝึ กเป็น
กลุ่มๆ หลังจากน้ันได้นักศึกษาอ่านข่าวเร่ืองใหม่ซ่ึงเป็นแบบทดสอบความสามารถในการวิเคราะห์
ข้อสอบนักศึกษา ทาแบบทดสอบได้มีคะแนนเพ่ิมข้ึน และการอ่านประเภทอ่นื ๆกท็ าเช่นเดียวกนั
นักศึกษาจึงมคี ะแนนหลังสงู กว่าก่อนเรียนดังได้กล่าวไว้ข้างต้น ซ่ึงเป็นการกระตุ้นให้นักศึกษารู้สึก
การอ่านเชิงวิเคราะห์ไม่ใช่เร่ืองยาก และนักศึกษายังสามารถนาไปใช้กับการเรียนวิชาอ่ืนท่ีใช้
ภาษาไทยได้ ดังท่ี Shaw,G.M., Chambless,M.S., Chessin, D.R., Price, V., & Bearfain, G.
(1997, pp.482-486) กล่าวถึง เทคนิค KWDLไว้ว่า เป็นการสอนทกั ษะภาษา เพราะผู้เรียนได้
มีการฝึกให้ตระหนักในกระบวนการคิด การทาความเข้าใจ จึงมีประโยชน์ในการฝึกทกั ษะการอ่าน
คิดวิเคราะห์ เขียนสรุป และนาเสนอ และ นิรันดร์ แสงกุหลาบ (2547, น. 7-8) กล่าวว่า เทคนิค
KWDL จะช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์และสังเคราะห์ช่วยให้ผู้เรียน
พัฒนาสติปัญญา พัฒนาการคิด พัฒนาทางสังคมโดยเฉพาะถ้าจัดให้ผู้เรียนฝึกการทางานร่วมกนั
เป็นกลุ่ม การพัฒนาดังกล่าวข้างต้นจึงสอดคล้องกบั การจัดการเรียนการโดยใช้เทคนิค KWDL ใน
รายวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ส่วนวิชาภาษาไทยมีบ้างแต่ไม่มาก เช่น งานวิจัยของนรินช์
ณัฏฐ์ ตระหง่าน( 2558)ได้ศึกษา “การศึกษาการใช้ KWDL เพ่ือการแก้โจทย์ปัญหาวิชาฟิ สกิ ส์
เร่ือง ไฟฟ้ าและแม่เหลก็ ของนักศึกษาช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5” ผลการวิจัยพบว่า ผลการใช้ KWDL
เพ่ือการแก้โจทย์ปัญหาวิชาฟิ สิกส์ ของนักศึกษาช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 เร่ือง ไฟฟ้ าและแม่เหล็ก
พบว่านักศึกษามีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ตามเกณฑท์ ่กี าหนดไว้จานวน 26
คน คิดเป็นร้อยละ 74.29 ไม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 25.27และกนกพร เทพธี
(2559)ได้ศึกษาเร่ือง ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL ท่มี ีต่อความสามารถ
ในการแก้โจทยป์ ัญหาและความคงทนในการเรียนคณติ ศาสตร์ เร่ือง ระบบการเชิงเส้นสองตวั แปร
401
ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาได้รับการจัดกิจกรรมเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL มีความสามารถใน
การแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ สูงกว่านักศึกษาท่ีได้รับการจัดกิจกรรมเรียนรู้แบบปกติ อย่างมี
นัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .01 และสาหรับการอ่านเชิงวิเคราะห์สอดคล้องกบั งานวิจัยของพรรณี
วิเศษโวหาร (2556) ได้ทาการวิจัยเร่ืองการศึกษาความสามารถด้านการอา่ นเชิงวิเคราะห์และการ
เขียนสรุปความภาษาไทยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 จากการจัดการเรียนรู้แบบ KWL-
Plus ผลการวิจัยพบว่า หลังการจัดการเรียนรู้แบบ KWL – Plus ความสามารถด้านการอ่านเชิง
วิเคราะห์ภาษาไทยของกลุ่มตัวอย่างสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้แบบ KWL – Plus อย่างมี
นัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 ความสามารถด้านการอา่ นเชิงวิเคราะห์ภาษาไทยสูงกว่าเกณฑร์ ้อย
ละ 70 อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติท่รี ะดบั .05
2. ผลสัมฤทธ์ิทางการอ่านเชิงวิเคราะห์ภาษาไทยของนักศึกษาจีนช้ันปี ท่ี 3
มหาวิทยาลัย เหอฉือ พบว่านักศึกษามีคะแนนหลังเรียนเพ่ิมข้ึนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ
.05 (t=15.24*,sig.=.000) เม่ือเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการอ่านเชิงวิเคราะห์ภาษาไทยของ
นักศึกษาจีนช้ันปี ท่ี 3 คะแนนของผลการทดสอบหลังเรียนสงู ข้ึนผลต่างของคะแนนก่อนเรียนและ
หลังเรียน มคี ะแนนผลต่างต้ังแต่ 2-16 คะแนน อาจกล่าวได้ว่าการเรียนการอ่านเชิงวิเคราะห์โดย
ใช้เทคนิค KWDL ทาให้นักศึกษาเกิดการเรียนรู้และพัฒนาการอ่านเชิงวิเคราะห์ของตนเองให้ดี
ย่ิงข้ึน อีกประการหน่ึงนักศึกษาได้เรียนรู้การอ่านประเภทต่างๆ คือ ข่าว บทความ สารคดีและ
เร่ืองส้ัน ซ่ึงเป็ นเร่ืองภาษาไทย มีท้ังเร่ืองท่ีง่ายและยาก เม่ือนักศึกษาได้ทาแบบทดสอบวัดผล
สมั ฤทธ์ิบางคนประสบความสาเรจ็ เพราะคะแนนเพ่ิมข้ึนต้ังแต่10-16 คะแนน จานวน 11คน คิด
เป็นร้อยละ 36.66 ดังท่พี วงรัตน์ ทวีรัตน์ (2543) กล่าวว่าการวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เป็น
การวัดความรู้ ความสามารถของบุคคลอันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน หรือมวลประสบการณ์
ท้งั ปวงท่บี ุคคลได้จากการเรียนการสอน ทาให้บุคคลเกดิ การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมในด้านต่างๆ
ของสมรรถภาพทางสมอง ซ่ึงมีจุดมุ่งหมายเพ่ือเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถสมองของ
บุคคล เรียนแล้วรู้อะไรบ้าง และมีความสามารถด้านใดมากน้อยเท่าไร และสอดคล้องกบั งานวิจัย
ของ พรรณี วิเศษโวหาร (2556) ได้ทาการวิจัยเร่ืองการศึกษาความสามารถด้านการอ่านเชิง
วิเคราะห์และการเขียนสรุปความภาษาไทยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 ผลการวิจัยพบว่า
หลังการจัดการเรียนรู้แบบ KWL – Plus ความสามารถด้านการอ่านเชิงวิเคราะห์ภาษาไทยของ
กลุ่มตัวอย่างสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้แบบ KWL – Plus อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ
.05 ความสามารถด้านการอ่านเชิงวิเคราะห์ภาษาไทยสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสาคัญ
ทางสถิติท่รี ะดับ .05 และบรรจง แสงนภาวรรณ ( 2557) ได้ศึกษา การพัฒนาทกั ษะการอา่ นคิด
วิเคราะห์ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยการประยุกต์ใช้เทคนิคการสอน KWL Plus”
ผลงานวิจัยพบว่า ทกั ษะการอ่านคิดวิเคราะห์หลังการจัดการเรียนรู้ โดยประยุกต์ใช้เทคนิคการ
สอน KWL Plus สงู กว่ากอ่ นการจัดการเรียนรู้ โดยประยุกต์ใช้เทคนิคการสอน KWL Plus อย่างมี
นัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และจุฑาทิพย์ อินทร์ช่วย (2558) ได้ ศึกษา การศึกษา
402
ความสามารถการอ่านเชิงวิเคราะห์บันเทงิ คดีร้อยแก้วของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1ท่จี ัดการ
เรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL-PLUS ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถทางการอา่ นเชิงวิเคราะห์บันเทงิ
คดีร้อยแก้วของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาศึกษาปี ท่ี 1 ท่ีจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL-PLUS
หลังเรียนสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดบั .01
3. ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจของนักศึกษาจีนช้ันปี ท่ี 3 ท่ีมีต่อการอ่านเชิง
วิเคราะห์ภาษาไทยโดยใช้เทคนิค KWDL พบว่า ความพึงพอใจภาพโดยรวมอยู่ระดับมาก ( X
=4.38 , S.D.=0.66) เม่อื พิจารณาเป็นรายด้านเรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย ดังน้ี ความ
พึงพอใจ ด้านกจิ กรรมการเรียนรู้ ได้แก่ ช่วยให้ผู้เรียนสร้างความรู้ความเข้าใจได้ด้วยตนเอง สร้าง
ความสุข สนุกสนานในการเรียนการอ่าน การใช้กระบวนการการอ่านคิดวิเคราะห์ โดยเทคนิค
KWDL ท้าทายความสามารถทางการคิดวิเคราะห์ในเร่ืองท่อี า่ นและกระต้นุ ความสนใจในการเรียน
การอ่านให้เพ่ิมข้ึน ด้านผู้สอน ได้แก่ การให้คาปรึกษาและแนะนาอย่างใกล้ชิด เลือกเน้ือหาและ
กจิ กรรม เปิ ด อธบิ ายเน้ือหาและข้นั ตอนการทากจิ กรรมให้เข้าใจชัดเจนเปิ ดโอกาสให้ผู้เรียนได้คิด
และเรียนรู้ด้วยตนเอง และแสดงความคดิ เหน็ ร่วมกนั และ ด้านผู้เรียน ได้แก่ ความสามารถเข้าใจ
บทเรียนได้เรว็ และง่ายข้นึ สามารถคดิ วิเคราะห์มากข้ึน มพี ึงพอใจในการเรียนรู้ของตนเอง มคี วาม
กระตือรือร้นในการเรียนรู้ สามารถนากระบวนKWDLไปใช้ได้ ความพึงพอใจท่ีกล่าวมาน้ี
สอดคล้องกับงานวิจัยท่ีเก่ียวกับการคิดวิเคราะห์โดยใช้ KWDL ของ บรรจง แสงนภาวรรณ
(2557) ได้ศึกษา การพัฒนาทกั ษะการอ่านคิดวิเคราะห์ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดย
การประยุกต์ใช้เทคนิคการสอน KWDL Plus” ผลงานวิจัยพบว่า นักเรียนมีความคิดเหน็ ต่อการ
จัดการเรียนรู้ โดยประยุกต์ใช้เทคนิคการสอน KWDL Plus ในภาพรวมอยู่ในระดับมากและ
จุฑาทิพย์ อินทร์ช่วย (2558) ได้ศึกษา การศึกษาความสามารถการอ่านเชิงวิเคราะห์บันเทิงคดี
ร้อยแก้วของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1ท่จี ัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL-PLUS ผลการวิจัย
พบว่า นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 มีความคิดเหน็ ต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL-
PLUS โดยภาพรวมอยู่ในระดับเหน็ ด้วยมาก
ขอ้ คน้ พบในการวิจยั
การจัดการเรียนรู้โดยใช้ KWDL สามารถพัฒนาการอ่านเชิงวิเคราะห์ ได้อย่างมีระบบ
และเป็นข้ันตอน เหมาะสาหรับนักศึกษาโดยเฉพาะการให้ความสาคัญกับการทากิจกรรมซ่ึงเม่ือ
นักศึกษาเกดิ ความเข้าใจแล้วสามารถจะเช่ือมโยงไปหาคาตอบได้ และเม่ือให้ทาแบบทดสอบก่อน
เรียนคร้ังแรกยังไม่เข้าใจ แต่เม่ือผ่านมาเป็นคร้ังท่ี 2 และ 3 นักศึกษามีความเข้าใจเพ่ิมข้ึน เม่ือ
เรี ยนบทเรี ยนจบแต่ ละประเภทก็ให้ นั กศึ กษาทาแบบทดส อบห ลั งเรี ยนนั กศึ กษาก็ทา ไ ด้ ดี
นอกจากน้ันนักศึกษายังได้เรียนรู้เร่ืองใหม่ๆอีกหลายเร่ืองและบางเร่ืองกส็ นุกสนาน บางเร่ืองมี
คาศัพท์ให้ได้เรียนรู้ โดยครูผู้สอนบอกความหมายและอธิบายเพ่ิมเติม เร่ืองส่วนใหญ่ท่ีนามาให้
เรียนมีต้ังแต่เร่ืองท่อี ่านไปถึงเร่ืองยาก จากเร่ืองใกล้ตัวไปหาเร่ืองไกลตัว เป็นเร่ืองท่เี ป็นรูปธรรม
403
ไปสนู่ ามธรรม ซ่ึงให้ข้อคิดและประโยชน์แก่นักศึกษา ผลการเรียนรู้การอา่ นเชิงเคราะห์โดยการใช้
เทคนิด KWDLจึงเป็นประสบการณ์ท่ดี แี ก่นักศึกษาจีนช้ันปี ท่ี 3 มหาวิทยาลัยเหอฉือ
ขอ้ เสนอแนะ
1. ข้อเสนอแนะสาหรับการนาไปใช้
1)การจัดเตรียมบทอ่านนามาใช้ ต้องใช้เวลาคัดเลือกเร่ืองให้เหมาะกับประเดน็ ท่ีต้องการให้
นักศึกษาเรียนรู้ เพ่ือเป็นการกระตุ้นความสนใจของนักศึกษา และเน่ืองจากเป็นเร่ืองท่เี ขียนเป็น
ภาษาไทย ซ่ึงจะช่วยให้นักศึกษาเข้าใจเน้ือหาได้ดขี ้นึ หรืออาจเป็นเร่ืองซ่ึงท้าทายให้นักศึกษากล้าท่ี
จะอา่ นเร่ืองท่ยี ากข้นึ ตามลาดับต่อไปได้
2 )นักศึกษาจีนโดยส่วนมากจะมีปัญหาในการอ่านภาษาไทยคือ มีคลังคาศัพท์ไม่เพียงพอ และ
ไม่เข้าใจความหมายของคา และบางทสี บั สนเก่ยี วกบั โครงสร้างประโยคยาวๆ ไม่สามารถ ทาความ
เข้าใจได้ อุปสรรคเหล่าน้ีทาให้นักศึกษาจีนทาแบบทดสอบผิดในคร้ังแรกๆ ครูผู้สอนจึง
จาเป็นต้องบอกความหมายหรืออธบิ ายคาศัพท์บางคาหรือประโยคบางประโยค หรือบางข้อความ
3) การจัดกจิ กรรมการอ่านเชิงวิเคราะห์ครูผู้สอนอาจต้องเลือกบทอ่านท่มี ีเน้ือหาความรู้ท่มี ี
คาศัพทภ์ าษาต่างประเทศ หรือคาศัพทเ์ ฉพาะ โดยจากดั จานวนให้พอเหมาะกบั ระดบั การศึกษาจะ
ทาให้เร่ืองท่อี ่านน่าสนใจและได้ความรู้และเป็นประโยชน์แก่ผู้อา่ น
4) แบบฝึกทุกแบบฝึกควรจัดเฉลยคาตอบและเพ่ิมพูนความรู้บางเร่ืองให้ด้วยท้งั น้ีครูผู้สอน
อาจจะให้นักศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติมในเร่ืองท่อี า่ น
2. ข้อเสนอแนะเพ่ือการวิจัยต่อไป
ควรศึกษาการใช้เทคนิค KWDL เพ่ือพัฒนาความสามารถการอ่านอย่างมีวิจารณญาณใน
รายวิชาอ่นื ๆท่เี รียนเป็นภาษาไทย
404
บรรณานุกรม
กรมวิชาการ.กระทรวงศึกษาธิการ. ( 2546). เอกสารเกี่ยวกบั หลกั สูตรกอน.กรุงเทพฯ :
โรงพิมพ์ คุรุสภาลาดพร้าว.กดิ านันท์
กนกพร เทพธ.ี (2559). ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL ท่มี ีต่อความสามารถ
ในการแก้โจทยป์ ัญหาและความคงทนในการเรียนคณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบการเชิงเส้น
สองตัวแปร.วารสารการวิจัยเพือ่ พฒั นาชุมชน ( มนุษยศาสตรล์ ะสงั คมศาสตร)์
มหาวิทยาลยั นเรศวร; 9(2). 63-80.
จุฑาทพิ ย์ อนิ ทร์ช่วย. (2558). การศึกษาความสามารถการอ่านวิเคราะห์บันเทงิ คดีร้อยแก้วของ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1ท่ีจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL-PLUS. วารสาร
Veridian E-Journal : มหาวิทยาลยั ศิลปากร. 8(3), 71-83
นรินช์ณัฏฐ์ ตระหง่าน.(2558). การศึกษาการใช้ KWDL เพือ่ การแกโ้ จทยป์ ัญหาวิชาฟิ สิกส์
เรือ่ ง ไฟฟ้ าและแม่เหล็ก ( วิทยานิพนธม์ หาบัณฑิต ). กรุงเทพฯ มหาวิทยาลัยธุรกิจ
บัญฑติ ย์
นิรันดร์ แสงกุหลาบ) .2547). การเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ เรือ่ ง โจทยป์ ัญหาทศนิยมและ
รอ้ ยละ ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5 ทีจ่ ดั การเรียนรู้ ดว้ ยเทคนคิ K-W-D-
L และตามแนว สสวท.วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบัณฑติ มหาวิทยาลัยศิลปากร .
บรรจง แสงนภาวรรณ. ( 2557 ). การพัฒนาทักษะการอ่านคิดวิเราะห์ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยการประยุกต์ใช้เทคนิคการสอน KWL Plus.วารสาร Veridian
E-Journal : มหาวิทยาลยั ศิลปากร. 7 ( 2 ). 448-460.
ปิ ยตา พงศ์สชุ าต.ิ ( 2556 ) . การพฒั นาความสามารถดา้ นการอ่านเชิงวิเคราะหโ์ ดยใชว้ ิธีการ
สอนแบบ PANORAMA ร่วมกับเทคนิค KWLH Plus กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทยสาหรบั นกั เรียนช้นั ปะถมศึกษาปี ที่ 5. (วิทยานิพนธ์ิมหาบัณฑติ ). สงขลา.
มหาวิทยาลัยทกั ษิณ.
พวงรัตน์ ทวีรัตน์.(2543). วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์.กรุงเทพฯ:
มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ.
พรทิพย์ แข็งขัน และ เฉลิมลาภ ทองอาจ.(2553). โมเดล 5 โมเดล การจัดการเรียนรู้
ภาษาไทยเพอื่ พฒั นากระบวนการคิดในคู่มือฝึ กอบรมภาษาไทยระดบั มธั ยมศึกษา
ตอนปลาย.กรุงเทพมหานคร: คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
พรรณี วิเศษโวหาร. (2556). การศึกษาความสามารถดา้ นการอ่านเชิงวิเคราะหแ์ ละการเขียน
สรุป
ความภาษาไทยของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5 จากการจดั การเรียนรูแ้ บบ KWL-
Plus. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (หลักสตู รและการสอน). นครราชสมี า : สานักวิทยบริการและ
เทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสมี า.
405
วัชรี บูรณสิงห์และนิรมล ศตวุฒิ.(2542).การอ่านเชิงวิเคราะหว์ ิจารณด์ า้ นหลกั สูตรและการ
สอน.กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
วีณา วีสเพ็ญ.(2535).เอกสารประกอบการสอนภาษาไทยระดบั มธั ยมศึกษา.พิมพ์คร้ังท่ี 2.
มหาสารคาม : ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม.
สุนันทา ม่ันเศรษฐวิทย์ .(2545).หลกั และวิธีสอนอ่านภาษาไทย.กรุงเทพมหานคร : คณะ
ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
สวุ ิทย์ มูลคา . (2550). กลยทุ ธก์ ารสอนวิเคราะห.์ พิมพ์คร้ังท่ี 4.กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ์.
อัจฉรา ประดิษฐ์. (2550). ชวนเด็กไทยใหเ้ ป็ นนกั อ่าน (๑). กรุงเทพฯ: สานักงานอุทยานการ
เรียนรู้.
Shaw, J. M., Chambless, M.S., Chessin, D.A., Price, V., & Beardain, G. (1 9 9 7 ) .
CooperativeProblem Solving: Using K W D L as an Organizational technique.
Teaching Children Mathematics.
406
การพฒั นาคุณลกั ษณะความเป็ นพลเมืองดใี นระบอบประชาธิปไตย
โดยการเรียนรูแ้ บบโครงงานของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5
Development of Good Democratic Characteristics of Prathomsuksa 5
Students by using Project
กุลวดี คูเมอื ง1
อญั ชลี ทองเอม2
บทคดั ยอ่
การวิจัยน้ี มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) พัฒนาคุณลักษณะความเป็ นพลเมืองดีในระบอบ
ประชาธิปไตยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 โดยการเรียนรู้แบบโครงงาน 2) ศึกษา
พฤติกรรมการทางานกลุ่ม 3) ศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาสังคม ศึกษาศาสนาและ
วัฒนธรรม4) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่มี ีต่อการเรียนรู้แบบโครงงาน กลุ่มเป้ าหมาย
ท่ีใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนวัดศรีมหาโพธ์ิ อาเภอนครชัยศรี
จังหวัดนครปฐม ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 จานวน 30 คน เคร่ืองมอื ในการวิจัย ได้แก่ 1)
แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงาน 2) แบบประเมินโครงงาน 3) แบบประเมินพฤติกรรมการ
ทางานกลุ่ม 4) แบบประเมินคุณลักษณะความเป็ นพลเมืองดีในระบอบประชาธิปไตย 5)
แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน 6) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติท่ใี ช้ในการวิเคราะห์
ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน และใช้สถติ ิ paired sample t-test
ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาการพัฒนาคุณลักษณะความเป็ นพลเมืองดีใน
ระบอบประชาธปิ ไตย ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 โดยการเรียนรู้แบบโครงงาน ภาพรวม
จากการประเมนิ ตนเอง คุณลักษณะของพลเมอื งดี ของนักเรียน คดิ เป็นร้อยละ 91.11 และท่ไี ม่มี
คุณลักษณะคิดเป็นร้อยละ 8.89 2) พฤติกรรมการทางานกลุ่มการเรียนรู้แบบโครงงาน อยู่ระดบั
ดี ค่าเฉล่ีย 3.4 3) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี
ระดับ .05 ( t = 16.245*, Sig. = .000 ) 4) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้แบบ
โครงงาน โดยภาพรวมอยู่ในระดบั มาก ( = 3.59 , S.D. = 0.49 )
คาสาคญั : การเรียนรู้แบบโครงงาน, พฤติกรรมการทางานกลุ่ม , คุณลักษณะความเป็นพลเมอื ง
ดีใน ระบอบประชาธปิ ไตย , นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5
1 นกั ศกึ ษาหลกั สตู ร ศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาหลักสตู รและการสอน วิทยาลัยครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรุ กจิ
บณั ฑติ ย์
2 ท่ปี รึกษาวิทยานิพนธห์ ลกั สตู ร
407
ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม มุ่งให้นักเรียนอยู่ร่วมกันใน
สังคมไทยและสังคมโลกอย่างสันติสุข การเป็นพลเมืองดี ศรัทธาในหลักธรรมของศาสนาการเหน็
คุณค่าของทรัพยากรและส่ิงแวดล้ อม ความรักชาติและความภาคภูมิใจในความเป็ นไทย
(กระทรวงศึกษาธิการ, 2551, น. 10) เพ่ือทาให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยประสบ
ความสาเร็จในประเทศโดยการสร้าง “พลเมือง” ท่ีมีความสามารถปกครองตนเองในระบอบ
ประชาธปิ ไตย ซ่ึงหมายถึง สมาชิกในสงั คมท่ใี ช้สทิ ธิ เสรีภาพ โดยมคี วามรับผดิ ชอบต่อตนเอง ต่อ
ผู้อ่นื และต่อสงั คม โดยบุคคลท่เี ป็นพลเมืองดีตามวิถีประชาธปิ ไตย มพี ฤติกรรมท่สี าคญั คอื การ
มีคารวะธรรม เป็ นพฤติกรรมท่ีแสดงให้เห็นถึงความเคารพซ่ึงกันและกัน เคารพในระเบียบ
กฎเกณฑห์ รือระเบียบข้อบังคบั ของสงั คมส่วนรวมมีความสามัคคธี รรม เป็นพฤติกรรมท่แี สดงออก
ของบุคคลซ่ึงอยู่ร่วมกนั ในสังคมและมีการทางานร่วมกนั หรือทางานเป็นทมี ด้วยความเป็นนา้ หน่ึง
ใจเดียวกันและต้ังใจปฏิบัติงานให้สาเรจ็ ลุล่วงไปได้ด้วยดีและตามวัตถุประสงค์หรือเป้ าหมายท่ี
กาหนดไว้ (สานักงานเลขาธกิ ารสภาผู้แทนราษฏร, 2555, น.25-28)
การปกครองด้วยระบอบประชาธปิ ไตยจะประสบความสาเรจ็ ได้น้ัน ประชาชนจะต้อง
เป็น “ พลเมือง” ตามระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ มีสมาชิกของสังคมท่ใี ช้สิทธิเสรีภาพโดยมี
ความรับผิดชอบ เคารพผู้อ่นื เคารพความแตกต่างและเคารพกติกา (คณะอนุกรรมการกนป. ด้าน
พัฒนาการศึกษาเพ่ือสร้างความเป็นพลเมืองดี,2554: 8-9) สาหรับกระบวนการสร้างความเป็น
พลเมอื งท่ผี ่านมาน้ัน พบว่า ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาและเยอรมนี ได้จัดให้มี “การศึกษา
เพ่ือสร้างความเป็นพลเมือง (Civic Education)” เพ่ือเปล่ียนประชาชนให้เป็นพลเมอื ง ซ่ึงประสบ
ความสาเรจ็ จนเป็นตัวอย่างให้แกป่ ระเทศต่างๆ (ปริญญา เทวานฤมิตรกุล, 2555: 59)
ส่ิงหน่ึงท่ีจะทาให้สังคมไทยมีความสงบสุขได้ คือ คนไทยทุกคนต้องปฏิบัติตนเป็ น
พลเมืองในระบอบประชาธปิ ไตย มีหลักประชาธิปไตยในการดารงชีวิต ปฏบิ ัติตามกฎหมายและ
ทาตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ซ่ึงการสร้างความเป็นพลเมืองไม่ใช่การทาให้ประชาชนรู้สึกถึง
สิทธิและหน้าท่ขี องตัวเองมีแต่ส่งิ ท่จี ะต้องทาให้ประชาชนได้เรียนรู้และเข้าใจอย่างถูกต้อง ส่งิ แรก
คอื "พ้ืนฐานความเป็นพลเมอื งในระบอบประชาธปิ ไตย" มี 3 ประการ คอื
1. เคารพศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ ทุกคนเกดิ มามีคุณค่าเทา่ กันอาจล่วงละเมิดได้ การ
มีอิสรภาพและความเสมอภาคการยอมรับในเกียรติภูมิของแต่ละคน โดยไม่คานึงถึงสถานภาพ
ทางสงั คมยอมรับความแตกต่างของทุกคน
2. เคารพสิทธิ เสรีภาพ และกฏกติกาของสังคมท่ีเป็ นธรรม โดยให้ความสาคัญต่อ
สทิ ธิเสรีภาพ การมีกฏกติกาท่วี างอยู่บนความยุติธรรมและชอบธรรม มีหลักในการคุ้มครองสิทธิ
เสรีภาพไม่ให้ถูกละเมิด
408
3. รับผิดชอบต่อตนเอง ผู้อ่ืนและสังคม โดยคานึงถึงบทบาท หน้าท่ีของความเป็ น
พลเมืองในระบอบประชาธิปไตยโดยมุ่งเน้นไปท่ีคุณลักษณะสาคัญในหน้าท่แี ละความรับผิดชอบ
ของตนเองต่อสงั คมและการช่วยเหลือเก้อื กูลกนั ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาด้วยเหตุผล
ดังน้ัน หากประชาชนได้เข้าใจในหลักพ้ืนฐานความเป็นพลเมืองท้งั 3 หลักการท่กี ล่าว
มาข้างต้นแล้ว และสามารถนาไปปฏิบัติให้เกิดผลได้กจ็ ะทาให้สังคมไทยพัฒนาเป็ นสังคม
ประชาธปิ ไตยได้อย่างแท้จริง (ถวิลวดี บุรีกุล และ รัชวดี แสงมหะหมัด, 2014)
ความเป็นพลเมอื ง ( Citizenship ) เป็นคาท่มี คี วามสาคัญต่อการพัฒนาประชาธปิ ไตย
ประชาธปิ ไตยจะประสบความสาเรจ็ ได้ไม่ใช่เพียงมีรัฐธรรมนูญท่ดี ีเทา่ น้ัน แต่ประชาชนจะต้องเป็น
พลเมืองตามระบอบประชาธิปไตยด้วย วรากรณ์ สามโกเศศ (2554) กล่าวคือ มีสมาชิกของ
สงั คมท่ใี ช้สิทธเิ สรีภาพโดยมีความรับผิดชอบ เคารพสทิ ธผิ ู้อ่นื เคารพความแตกต่าง เคารพกติกา
ในต่างประเทศ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศเยอรมนี จัดให้มีการศึกษาเพ่ือสร้างความ
เป็นพลเมือง (Civic Education) ข้ึนมาท้งั น้ีในยุทธศาสตร์ (คณะอนุกรรมการกนป. ด้านพัฒนา
การศึกษาเพ่ือสร้างความเป็นพลเมืองดี, 2554:21-22) ได้ระบุไว้จะต้องอาศัยการเรียนรู้โดยการ
ลงมือปฏบิ ัติเพ่ือการเป็นพลเมืองและควรปรับเปล่ียนการเรียนการสอนจากเดิมมาเป็นการเรียนรู้
โดยใช้โครงงาน (Project Learning)โดยใช้การเรียนโครงงานโดยให้นักเรียนศึกษาข้อมูลในชุมชน
และให้ประมวลความรู้นามาใช้ในการวิเคราะห์ปัญหา หาสาเหตุ เสนอวิธีแก้ไข และลงมือปฏบิ ัติ
เพ่ือให้เกดิ จริยธรรมในการประกอบอาชีพ ความรับผดิ ชอบต่อสงั คมและการเป็น “พลเมอื ง” โดย
การลงมือปฏบิ ัติหรือกล่าวได้ว่า การศึกษาเพ่ือสร้างความเป็นพลเมืองน้ันควรเน้นท่ี “ความคิด”
หรือ “การคิด” มากกว่า “ความรู้” ดังน้ัน วิธีการเรียนการสอนท่ีเหมาะสมจึงควรเน้นท่ี
“กจิ กรรม”เพ่ือให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองให้เป็นพลเมืองตามระบอบประชาธปิ ไตย
การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ต้ังอยู่บนความเช่ือ และหลักการปฏิรูปกระบวนการ
เรียนรู้คือ เช่ือม่ันในศักยภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ภายใต้หลักการจัดการเรียนรู้ท่ยี ึดผู้เรียนเป็น
สาคัญ และสอดคล้องกบั สภาพจริงในท้องถ่ิน กล่าวคือ ผู้เรียนได้เลือกเร่ืองหรือประเดน็ ปัญหาท่ี
ต้องการจะศึกษาด้วยตนเอง ผู้เรียนเลือกและหาวิธีการตลอดจนแหล่งข้อมูลท่ีหลากหลายลงมือ
ปฏบิ ัติ เรียนรู้ได้บูรณาการ ทกั ษะ ประสบการณ์ ความรู้ ส่งิ แวดล้อมรอบตัวตามสภาพจริง ผู้เรียน
เป็นผู้สรุปสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง แลกเปล่ียนเรียนรู้กบั ผู้อ่นื และได้นาไปใช้จริง ซ่ึงมขี ้นั ตอน
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน ดังน้ี ข้ันกาหนดความมุ่งหมาย ข้ันน้ีครูเป็นผู้ช้ีแนะให้
นักเรียนต้ังความมุ่งหมายของการเรียน ว่าจะเรียนเพ่ืออะไร เม่ือกาหนดข้ันตอนแล้วจึงเร่ิม
วางแผนหรือโครงการ นักเรียนจะช่วยกนั วางแผนว่าทาอย่างไรจึงจะบรรลุตามความมุ่งหมายท่ตี ้ัง
ไว้ จะใช้วิธีใดในการทากิจกรรม แล้วลงมือดาเนินการเป็นข้ันท่นี ักเรียนลงมือทากิจกรรมหรือลง
มอื แก้ปัญหาตามแผนท่วี างไว้ ครูคอยส่งเสริมให้นักเรียนได้กระทา ได้คิดและตัดสนิ ใจด้วยตัวเอง
ให้มากท่ีสุดและช้ีแนะให้นักเรียนได้เรียนรู้จากการวัดการทางานเป็ นระยะๆและประเมินผล
409
นักเรียนเป็นผู้ประเมนิ ผลกจิ กรรม หรือโครงงานท่ที าน้ันว่าบรรลุตามความมุ่งหมายท่ตี ้ังไว้หรือไม่
มีข้อบกพร่อง และควรแก้ไขอย่างไร (กรมวิชาการ. 2544 : 28)
สาหรับงานวิจัยในคร้ังน้ี ผู้วิจัยมุ่งเน้นศึกษาท่คี วามตระหนัก (Awareness) ในความ
เป็นพลเมืองของนักเรียนเน่ืองจากความตระหนัก คือ ความรู้สกึ หรือสานึกท่บี ุคคลจะมีข้ึนได้จาก
การได้รับประสบการณ์หรือส่ิงเร้าและท่ีสาคัญ ความตระหนักจะนาไปสู่พฤติกรรมของบุคคลใน
ท่สี ดุ (Good, 1973 อ้างถึงใน เอกลักษณ์ ธนเจริญพิศาล, 2554)พฤติกรรมท่วี ่าน้ีคอื คุณลักษณะ
ความเป็นพลเมอื งดี กจิ กรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน ซ่ึงผู้วิจัยมฐี านคดิ ท่วี ่า การจะทาให้นักเรียน
มีความตระหนักในความเป็นพลเมืองท่ีดีตามระบอบประชาธิปไตยได้น้ัน ควรเป็นกิจกรรมการ
เรียนรู้แบบโครงงาน เน่ืองนักเรียนยังไม่มีความรู้และประสบการณ์ในการทาโครงงานมาก่อน
ดังน้ันกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานจะมีส่วนช่วยให้นักเรียนได้ฝึกคิดและลงมือปฏบิ ัติจริง ซ่ึง
จะทาให้นักเรียนได้เรียนรู้และตระหนักในความเป็นพลเมอื งด้วยตนเองในท่สี ดุ
วตั ถุประสงคก์ ารวิจยั
1.เพ่ือพัฒนาคุณลักษณะความเป็ นพลเมืองดีในระบอบประชาธิปไตยของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 5 โดยการเรียนรู้แบบโครงงาน
2. เพ่ือศึกษาพฤติกรรมการทางานกลุ่มของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 โดยการ
เรียนรู้แบบโครงงาน
3. เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาสังคม ศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมของ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 ก่อนและหลังโดยการเรียนรู้แบบโครงงานสารวจ
4. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่มี ีต่อการเรียนรู้แบบโครงงาน ของนักเรียน
ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5
สมมติฐานในการวิจยั
1. นักเรียนได้รับการพัฒนาคุณลักษณะความเป็ นพลเมืองดีโดยการเรียนรู้แบบ
โครงงาน โดยมคี ะแนนไม่ต่ากว่า ร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็
2. นักเรียนมคี ะแนนพฤตกิ รรมการทางานกลุ่มอยู่ในระดับดี
3. นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาสังคม ศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมโดยการ
เรียนรู้แบบโครงงาน หลังเรียนสงู กว่ากอ่ นเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05
4. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมโดย
การเรียนรู้แบบโครงงานอยู่ในระดับมาก
410
ขอบเขตของการวิจยั
1. กล่มุ เป้ าหมาย
กลุ่มเป้ าหมายท่ใี ช้ในการวิจัยคร้ังน้ี คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนวัดศรี
มหาโพธ์ิ อาเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 จานวน 30 คน
2. ตวั แปรทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
2.1 ตวั แปรต้น คือ การเรียนรู้แบบโครงงาน
2.2 ตวั แปรตาม คอื
1. คุณลักษณะการเป็นพลเมืองดีในระบอบประชาธิปไตยโดยใช้การเรียนรู้
แบบโครงงาน
2. ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาสงั คม ศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม
3. ความพึงพอใจท่มี ีต่อการเรียนรู้แบบโครงงาน
3. ขอบเขตดา้ นเน้ อื หา
เน้ือหาท่ใี ช้ในการวิจัยคือ สาระท่ี 2 หน้าท่พี ลเมือง วัฒนธรรมและการดาเนินชีวิตใน
สงั คมช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 วัฒนธรรมและการดาเนินชีวิตในสงั คม
สาระสาคัญ คือ การอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในสังคมน้ัน ทุกคนจะต้องปฏบิ ัติตนตาม
สถานภาพ บทบาท สทิ ธเิ สรีภาพ และหน้าท่ขี องตนเองในฐานะพลเมอื งดี
4. ระยะเวลาดาเนนิ การวิจยั
ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562
เครือ่ งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ โครงงาน ในรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและ
วัฒนธรรม ช้ันประถมศึกษาปี ท่5ี จานวน 3 แผน รวมท้งั หมด 16 ช่ัวโมง
2. แบบประเมนิ โครงงาน
3. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม
4. แบบประเมนิ คุณลักษณะความเป็นพลเมอื งดใี นระบอบประชาธปิ ไตย
5. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาสงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
6. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่มี ีต่อการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ศาสนา
และวัฒนธรรม โดยการเรียนรู้แบบโครงงาน
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
ผู้วิจัยได้เกบ็ รวบรวมข้อมูลตามลาดบั ข้นั ตอนดังน้ี
ข้นั เตรียม
1. ให้นักเรียนทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาสังคม ศึกษาศาสนาและ
วัฒนธรรม ก่อนเรียน (Pretest)เป็นข้อสอบปรนัย 4 ตัวเลือก จานวน 1 ชุด จานวน 20 ข้อ โดย
411
ใช้คะแนนการวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียน มาจัดกลุ่มละ 6 คนแบ่งเป็น 5 กลุ่มๆละ 2
ครอบครัวๆละ 1 คน จานวน 10 คน แบบคละความสามารถจากน้ันผู้สอนแนะนาการทางานกลุ่ม
และบทบาทของสมาชิกในกลุ่ม โดยแนะนาให้นักเรียนทุกกลุ่มสลับหน้าท่ใี นกลุ่มได้ในแต่ละคร้ังท่ี
มกี ารทากจิ กรรม
2. ช้ีแจงจุดประสงค์การเรียนรู้ของเร่ืองท่ีเรียนแต่ละแผนซ่ึงนักเรียนทาเป็นโครงงาน
คอื
แผนการเรียนรู้ท่ี 1 การปฏบิ ัติตนตามสถานภาพ บทบาทและหน้าท่ี จานวน 5 ช่ัวโมง
แผนการเรียนรู้ท่ี 2 การปฏบิ ัตติ นตามสทิ ธแิ ละเสรีภาพ จานวน 5 ช่ัวโมง
แผนการเรียนรู้ท่ี 3 คุณลักษณะของพลเมืองดี จานวน 5 ช่ัวโมง
3. นาเข้าส่บู ทเรียนโดยการสนทนา ซักถามนักเรียน เปิ ดวิดีทศั น์และส่ือเก่ียวกับเร่ือง
ท่เี รียน เพ่ือกระต้นุ ความสนใจของผู้เรียนหลังจากน้ันเข้าสกู่ ารเรียนรู้โดยใช้โครงงานสารวจ
ข้นั ดาเนินกจิ กรรม
1. แนะนานักเรียนให้ทราบถึงข้ันตอนการทาโครงงานสารวจหลังจากน้ันให้นักเรียน
แต่ละกลุ่มต้งั ช่ือโครงงานท่จี ะศึกษาโดยต้องเป็นเร่ืองท่เี ก่ยี วข้องกบั หน่วยการเรียนรู้ ซ่ึงแต่ละกลุ่ม
ดาเนินการตามกระบวนการดงั น้ี
(1) การวางแผนการทางาน
(2) การค้นคว้าหาข้อมูล
(3) การดาเนินการปฏบิ ัติ
(4) การสรุปผล
(5) การนาเสนอโครงงาน
2. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มวางแผนและดาเนินการศึกษาค้นคว้าในการหาคาตอบของ
โครงงานตามประเดน็ ท่คี รูกาหนดให้
3. นักเรียนลงมือปฏิบัติตามข้ันตอนกิจกรรมโครงงานท่ีวางแผนไว้และช่วยกัน
รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลท่ีได้ว่ามีความถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ โดยนักเรียนสามารถขอ
คาปรึกษาจากครูเม่อื เกดิ ข้อสงสยั หรือมปี ัญหาเกดิ ข้นึ
4. นักเรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอโครงงานโดยครูผู้สอนแนะนาเพ่ิมเติมเพ่ือให้เน้ือหาใน
เร่ืองท่นี ักเรียนได้รับมอบหมาย โดยแต่ละคร้ังท่นี ักเรียนไปสารวจข้อมูลจากครอบครัวจะไม่ซา้ กนั
ในประเดน็ ท่ไี ปสารวจ เน่ืองจากแต่ละกลุ่มมจี านวน 6 คนแบ่งเป็น 5 กลุ่มๆละ 2 ครอบครัวๆละ
1 คน จานวน 10 คน
5. นักเรียนแต่ละคนประเมินตนเองเก่ียวกบั คุณลักษณะการเป็นพลเมืองดีในระบอบ
ประชาธปิ ไตยท่ใี ช้การเรียนรู้แบบโครงงานท่ที ุกคนได้ร่วมกนั ทาท้งั ในกลุ่มและในช้ันเรียน
412
6. ในขณะท่นี ักเรียนทาโครงงาน ครูประเมินผลการทาโครงงาน ประเมินคุณลักษณะ
การเป็ นพลเมืองดีในระบบประชาธิปไตยและพฤติกรรมการทางานกลุ่มจนส้ ินสุดการเรียนการ
สอน
ข้นั สรุป
1. เม่ือครบกระบวนการแล้วได้ทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลังการเรียนรู้วิชา
สังคม ศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมโดยโครงงาน (Posttest) ซ่ึงเป็ นข้ อสอบชุดเดียวกับ
แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนก่อนเรียน (Pretest) และหลังจากน้ันให้นักเรียนช่วยสรุป
การเรียนรู้ท่ไี ด้จากการเรียนรู้แบบโครงงานและบันทกึ ข้อมูลส่ง
2.นาผลท่ไี ด้จาการแบบประเมินการทาโครงงาน แบบประเมินคุณลักษณะความเป็น
พลเมืองดีในระบอบประชาธิปไตย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรม ก่อนเรียนและหลังเรียน แบบประเมินพฤติกรรมการทางานกลุ่มและ
แบบสอบถามความพึงพอใจ นามาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธกี ารทางสถติ ิ
การวิเคราะหข์ อ้ มูล
ผู้วิจัยได้ทาการวิเคราะห์ข้อมูลท่ไี ด้ ดงั น้ี
1. นาข้อมูลมาวิเคราะห์ โดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ( ) และส่วนเบ่ียงเบน
(S.D) และค่าสถติ ิทดสอบสมมตฐิ าน Paired Simple t-test
2. แปลผลและวิเคราะห์ข้อมูล
3. ประมวลผลและอภปิ รายผลโดยใช้ตารางและการพรรณนา
สรุปผลการวิจยั
ตอนท่ี 1 ผลการศึกษาการพัฒนาคุณลักษณะความเป็ นพลเมืองดีในระบอบ
ประชาธปิ ไตย ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 โดยการเรียนรู้แบบโครงงานสารวจ จานวน 30
คน โดยประเมินตนเอง พบว่า ภาพรวมคุณลักษณะของพลเมืองดี ของนักเรียน คิดเป็นร้อยละ
91.11 และท่ไี ม่มีคุณลักษณะ คดิ เป็นร้อยละ 8.89
ตอนท่ี 2 ผลการศึกษาพฤติกรรมการทางานกลุ่มการเรียนรู้แบบโครงงานสารวจ ของ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 จานวน 30 คน แบ่งเป็น 5 กลุ่ม ๆ 6 คน พบว่า ทุกกลุ่ม ภาพรวม
พฤติกรรมการทางานกลุ่มอยู่ระดับดี ค่าเฉล่ีย 3.4 ข้นึ ไป
ตอนท่ี 3 ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาสงั คม ศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมของนักเรียน
ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 ก่อนและหลังโดยการเรียนรู้แบบโครงงานสารวจ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
ก่อนเรียนมีค่า = 9.87 , S.D. = 1.78 และหลังเรียนมีค่า = 15.73 , S.D. = 1.31 และ
เม่ือทดสอบด้วยสถิติ Paired Simple t-test นักเรียนมีคะแนนหลังเรียนสุงกว่าก่อนเรียนอย่างมี
นัยสาคัญทางสถติ ทิ ่รี ะดับ .05 ( t = 16.245* , Sig. = .000 )
ตอนท่ี 4 ผลศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการเรียนรู้แบบโครงงานสารวจ
ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 จานวน 30 คน พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้
413
แบบโครงงานสารวจ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 3.59 , S.D. = 0.49 ) เม่ือพิจารณา
ในแต่ละด้านอยู่ในระดับมาก เม่ือเรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย คือ ด้านผู้สอน และ ด้าน
ผู้เรียน ( = 3.67, S.D. = 0.47 ) ด้านบรรยากาศ ( = 3.54, S.D. = 0.50 ) และด้านการ
จัดการเรียนรู้แบบโครงงาน( = 3.48, S.D. = 0.50 ) ตามลาดับ
การอภิปรายผล
ผู้วิจัยแบ่งการอภปิ รายผลเป็น 4 ตอนดังน้ี
ตอนท่ี 1 ผลการศึกษาการพัฒนาคุณลักษณะความเป็ นพลเมืองดีในระบอบ
ประชาธิปไตย ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 โดยการเรียนรู้แบบโครงงานสารวจ จานวน 30
คน โดยประเมินตนเอง พบว่า ภาพรวมคุณลักษณะของพลเมืองดี ของนักเรียน คิดเป็นร้อยละ
91.11 และท่ไี ม่มีคุณลักษณะ คดิ เป็นร้อยละ 8.89
จะเห็นได้ว่าจากการเรียนรู้แบบโครงงานสารวจน้ีทาให้ นักเรียนได้เรียนรู้และ
คุณลักษณะความเป็นพลเมืองดีในระบอบประชาธิปไตย ด้วยการประเมินตนเองได้และจากการ
ประเมินของครูเม่อื ส้นิ สดุ การจัดกจิ กรรมท้งั น้ีเกดิ จากการเรียนรู้จากการทาโครงงานสารวจท่แี ต่ละ
กลุ่มได้รับมอบหมายให้ปฏบิ ัติ ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงและการเลียนแบบผู้ใหญ่ คือคนใน
ครอบครัว และข้อมูลจากครอบครัวของเพ่ือนท่รี ่วมทามาด้วยกนั จึงเป็น”ตัวแบบ” (Modeling)
ตามความหมายของ แบนดูรา (Bandura, 1977 น. 22) ท่มี ีความเช่ือว่า การเรียนรู้ของมนุษย์
ส่วนมากเป็ นการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการเลียนแบบ เน่ืองจากมนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับ
ส่ิงแวดล้อมท่ีอยู่รอบ ๆ ตัวอยู่เสมอ ผู้เรียนต้องสามารถท่ีจะประเมินได้ว่าตนเลียนแบบได้ดี
หรือไม่ดีอย่างไร และจะต้องควบคุมพฤติกรรมของตนเองได้ด้วย นอกจากน้ันนักเรียนได้เรียนรู้
อย่างมีความหมายและความสุข (Ausubel , 1963) สอดคล้ องกับงานวิจัยของเก่ียวกับ
คุณลักษณะการเป็ นพลเมือง ดังท่ีจันทนา บุญญานุวัตร์ (2549) ศึกษาเร่ืององค์ประกอบท่ี
สัมพันธ์กบั คุณลักษณะของความเป็นพลเมืองดีของนักเรียนมัธยมศึกษาปี ท่ี 3 จังหวัดพัทลุง ผล
การศึกษาพบว่า การอบรมเล้ียงดูการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม ความเช่ือม่ันในตนเอง ความวิตก
กงั วลและความสามารถในการควบคุมตนเองมีความสมั พันธก์ บั คุณลักษณะของความเป็นพลเมือง
ดีอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .01 และสอดคล้องกับการเรียนรู้แบบโครงงานดังท่ี ปภัสสร
ไพบูลย์ฐิติพรชัย (2553) ศึกษาเร่ืองความเป็นพลเมืองดีของนักเรียนโรงเรียนพณิชการแห่งหน่ึง
ในจังหวัดนนทบุรี พบว่า ปัจจัยสนับสนุนด้านความเช่ือม่ันในตนเองและการอบรมเล้ียงดูแบบ
ประชาธิปไตยมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความเป็ นพลเมืองดีของนักเรียนและสอดคล้องกับ
งานวิจัย ของวรัญญา พักอยู่ (2560) เร่ือง การพัฒนาการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและ
วัฒนธรรมโดยใช้โครงงาน (สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์) ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3
ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการพัฒนาการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ( สาระท่ี 3
เศรษฐศาสตร์ ) โดยใช้โครงงาน นักเรียนทุกกลุ่มมีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ผ่านเกณฑ์ คิด
เป็นร้อยละ 100
414
ตอนท่ี 2 ผลการศึกษาพฤติกรรมการทางานกลุ่มของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5
จากการเรียนรู้แบบโครงงานสารวจ จานวน 30 คน พบว่า นักเรียนมีพฤติกรรมการทางานกลุ่ม
การเรียนรู้แบบโครงงานสารวจ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 จานวน 30 คน แบ่งเป็น 5
กลุ่ม ๆ 6 คน พบว่า ภาพรวมพฤติกรรมการทางานกลุ่มอยู่ระดับดี ค่าเฉล่ีย 3.4 เมือพิจารณา
เป็นรายกลุ่ม กลุ่มท่มี ีพฤติกรรมการทางานกลุ่มระดบั ดีท่สี ดุ ค่าเฉล่ีย 3.6 คือกลุ่มท่ี 2 และ กลุ่ม
ท่ี 4
ส่ิงท่ีปรากฏให้เหน็ แต่ละกลุ่มมีพฤติกรรมการทางานในด้านต่างๆ ด้านท่อี ยู่ระดับดี
มาก คือ การแสดงความคิดเหน็ ส่วนด้านอ่ืนๆอยู่ระดับมากเรียงลาดับจากมากไปหาน้อยได้แก่
การวางแผนการทางาน การให้ความร่วมมือในการทางาน และ การความกระตือรือร้นในการ
ทางาน และ ความรับผดิ ชอบต่อหน้าท่ี นักเรียนมีคะแนนการเรียนรู้แบบโครงงานสารวจ มีคะแนน
ไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็ ผ่านเกณฑ์ทุกกลุ่มการทาโครงงานของทุกกลุ่มมีคะแนนแต่
ละด้านโดยภาพรวมคือ การวางแผนการทางาน และการนาเสนอโครงงาน คิดเป็นร้อยละ 100
การสรุปผล คิดเป็นร้อยละ 95 การค้นหาข้อมูล และการดาเนินการ คิดเป็นร้อยละ 90 ดังท่ี วลัย
พานิช (2549, น. 114) , วัฒนา มัคคสมัน (2550 ,น. 38-39) กล่าวถึง การเรียนแบบ
โครงงานนามาใช้ได้ดี โดยให้นักเรียนแสวงหาความรู้ในสถานท่ี จริงทาให้เกดิ ความรู้ความเข้าใจ
ได้ดี โดยการลงพ้ืนท่ีหรือศึกษาเร่ืองท่ีตนสงสัย สนใจ เพ่ือให้ได้ข้อมูล คาตอบ อีกท้ังการทา
โครงงานของนักเรียนน้ันต้องมีการรวมกลุ่มทาให้เกิดการพ่ึงพาอาศัยซ่ึงกันและกัน ได้ใช้
สติปัญญาเพราะช่วยกันระดมสมองในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซ่ึงทาให้ผลงานประสบความสาเรจ็
ตามเป้ าหมายท่ีวางไว้ ครูมีบทบาทสาคัญมากต้องคอยให้คาปรึกษา อธิบาย แนะนาวิธีการทา
โครงงานท่ี ถูกต้องและต้องมเี วลาในการตรวจสอบความถูกต้องของโครงงาน หม่นั คอยสงั เกตการ
ทางานร่วมกัน การนาเสนอ การวางแผนจนผลงานผ่านและมีคุณภาพและสุคนธ์ สินธพานนท์
(2550 : 56-57) กล่าวถึงประโยชน์ของการจัดกจิ กรรมการเรียนแบบโครงงานว่าเป็นการสอนท่ี
มุ่งให้ผู้เรียนมีบทบาท มีส่วนร่วม ได้ปฏิบัติจริงคิดเอง ทาเองอย่างละเอียดรอบคอบ อย่างเป็น
ระบบ ผู้เรียนรู้จักแสวงหาข้อมูล สร้างองค์ความรู้และสรุปความรู้ได้ด้วยตนเองมีทักษะในการ
แก้ปัญหา ในกระบวนการทางาน ในการเคล่ือนไหวทางกาย ได้ฝึ กกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์
ทางานร่วมกับผู้อ่ืนได้ ฝึ กความเป็ นประชาธิปไตยรับฟังความคิดเห็นซ่ึงกันและกัน มีเหตุผล
ยอมรับ ในความรู้ความสามารถซ่ึงกนั และกนั ได้ฝึกลักษณะนิสยั ท่ดี ีในการทางาน เช่นการสงั เกต
จดบันทกึ ข้อมูล เกบ็ ข้อมูลอย่างเป็นระบบ รับผิดชอบ ซ่ือตรง เอาใจใส่ ขยันหม่ันเพียรในการ
ทางานรู้จักทางานอย่างเป็นระบบ ทางานอย่างมีแผน ใช้เวลาว่างเป็นประโยชน์ เกิดความคิดริเร่ิม
สร้างสรรค์และสามารถนาความรู้ ความคิด แนวทางท่ีได้ไปใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตหรือใน
สถานการณ์อ่นื ได้ สอดคล้องกบั งานวิจัยของวรัญญา พักอยู่ (2560) เร่ืองการพัฒนาการเรียนรู้
วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมโดยใช้โครงงาน (สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์) ของนักเรียนช้ัน
415
ประถมศึกษาปี ท่ี 3 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนทุกกลุ่มมพี ฤตกิ รรมการทางานกลุ่มอยู่ในระดับมาก
ท่สี ดุ มีคะแนนเฉล่ียต้งั แต่ 3.42-3.56
ตอนท่ี 3 ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาสงั คม ศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ของนักเรียน
ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 พบว่า นักเรียนมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทาง
สถิติท่ีระดับ .05 ( t = 16.245 , Sig. = .000 ) จากคะแนนดังกล่าวข้างต้นแสดงให้เหน็ ว่า
นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้โดยการเรียนรู้แบบโครงงานสารวจ ก่อนท่นี ักเรียนจะเร่ิมทา
โครงงานทุกๆคร้ังนักเรียนต้องเรียนรู้เน้ือหากับประเดน็ คาถามท่จี ะนาไปใช้ เม่ือทาแบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนจึงทาให้คะแนนหลังเรียนสูงข้ึน คะแนนเฉล่ียก่อนเรียน 9.87 และ
คะแนนเฉล่ียหลังเรียน 15.73 สอดคล้องกับงานวิจัยของปภัสสร ไพบูลย์ฐิติพรชัย (2553)
ศึกษาเร่ืองความเป็นพลเมืองดีของนักเรียนโรงเรียนพณิชการแห่งหน่ึงในจังหวัดนนทบุรี พบว่า
นักเรียนระดับช้ันปวช.ปี ท่ี 1-3 มีความเป็นพลเมืองดีในระดับสูงปัจจัยส่วนบุคคลของนักเรียน
อนั ได้แก่ เพศ สาขาท่ศี ึกษาและผลการเรียนท่แี ตกต่างกนั มคี วามเป็นพลเมืองดีท่แี ตกต่างกนั อย่าง
มีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 และ รังศิมา ชูเทยี น (2557) ศึกษาเร่ือง การพัฒนาการเรียนรู้
แบบโครงงานเป็นฐาน วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สาร สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี
ท่ี 1 โรงเรียนบุญคุ้มราษฎร์บารุง จังหวัดปทุมธานี จานวน 30 คน ปี การศึกษา 2557 พบว่า
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยมีคะแนนเฉล่ียก่อนเรียน
เท่ากับ 8.20 และมีค่า S.D. เท่ากับ 0.40 ค่าคะแนนเฉล่ียหลังเรียนเท่ากับ 16.17 มีค่า S.D.
เท่ากับ 1.49 มีค่า t – test ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนเท่ากบั 3.77 ซ่ึงมีความแตกต่างอย่าง
มีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และสอดคล้องกับงานวิจัยของวรัญญา พักอยู่ (2560) การ
พัฒนาการเรียนรู้วิชาสงั คมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมโดยใช้โครงงาน (สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์)
ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิหลังเรียนสูงกว่าก่อน
เรียนอย่างมนี ัยสาคัญท่รี ะดับ .05 (t = 17.16*, sig = .000 )
ตอนท่ี 4 ผลศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการเรียนรู้แบบโครงงานสารวจ
ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 จานวน 30 คน พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้
แบบโครงงานสารวจ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 3.59 , S.D. = 0.49 ) เม่ือพิจารณา
ในแต่ละด้านอยู่ในระดับมากเรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย คือ ด้านผู้สอน และ ด้าน
ผู้เรียน ( = 3.67, S.D. = 0.47 ) ด้านบรรยากาศ ( = 3.54, S.D. = 0.50 ) และด้านการ
จัดการเรียนรู้แบบโครงงานสารวจ ( = 3.48, S.D. = 0.50 ) ตามลาดับ ด้านผู้สอน ได้แก่
ครูผู้สอนมีวิธีกระตุ้นผู้เรียนให้สนใจเร่ืองท่ีทา และครูผู้สอนติดตามการเรียนรู้ท้งั ในและนอกช้ัน
เรียน ครูผู้สอนติดตามการเรียนรู้ท้งั ในและนอกช้ันเรียน และครูผู้สอนให้คาแนะนากับนักเรียน
อย่างสม่าเสมอ ด้านผู้เรียน ได้แก่ นักเรียนมีความสุขในการเรียน มีความรู้ความเข้าใจในเร่ืองท่ี
เรียนอีกแบบหน่ึง มีความเข้าใจในการเรียนแบบโครงงานสารวจ เร่ืองท่ีนักเรียนได้ทาน้ันมี
ประโยชน์ต่อนักเรียน และมีส่วนร่วมในการทางานกบั เพ่ือน ด้านบรรยากาศ ได้แก่ ได้เรียนรู้นอก
416
ห้องเรียนและสนุกกับการเรียน การเรียนรู้แตกต่างจากการเรียนปกติ การเรียนรู้แตกต่างจากการ
เรียนปกติ ด้านการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานสารวจ ได้แก่ ทาให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้เพ่ิมข้นึ
มีความเข้าใจในเน้ือหาของโครงงานท่ที า สามารถปฎิบัติตามข้ันตอนได้ สามารถสรุปและนาเสนอ
โครงงานได้ เร่ืองท่นี ามาให้ผู้เรียนช่วยทาให้การเรียนรู้ ดังท่ี กิตติธชั อ่มิ วัฒนกุล, (2553 ,น. 8)
กล่าวถึง ลักษณะความพึงพอใจ ความพึงพอใจเกิดจากการประเมินความแตกต่างระหว่างส่ิงท่ี
คาดหวังกับส่ิงท่ีได้รับจริงในสถานการณ์หน่ึง สามารถเปล่ียนแปลงได้ตลอดเวลาตามปัจจัย
แวดล้อมและสถานการณ์ท่เี กิดข้ึน ผ่านการแสดงอารมณ์และความรู้สึกในทางบวกของบุคคลต่อ
ส่ิงหน่ึงส่ิงใดเป็ นความร้ ูสึกชอบส่ิงใดส่ิงหน่ึงท่ีผันแปรได้ ตามปัจจัยท่ีเก่ียวข้ องกับความคาดหวัง
ของบุคคลในแต่ละสถานการณ์นอกจากน้ีความพึงพอใจเป็นความรู้สกึ ท่แี สดงออกมาในระดับมาก
น้อยได้ข้ึนอยู่กับความแตกต่างของการประเมินส่ิงท่ีได้รับจริงกับส่ิงท่ีคาดหวังไว้ สอดคล้องกับ
งานวิจัยของ รังศิมา ชูเทียน ( 2557 ) เร่ือง การพัฒนาการเรียนรู้แบบโครงงานเป็ นฐานวิชา
เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สาร สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนบุญคุ้มราษฎร์
บารุง จังหวัดปทุมธานี จานวน 30 คน ปี การศึกษา 2557 พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมี
ต่อวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศหลังใช้การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน มีค่าเฉล่ียเท่ากบั 4.47 อยู่
ในระดับมาก และสอดคล้องกบั งานวิจัยของวรัญญา พักอยู่ (2560) เร่ือง การพัฒนาการเรียนรู้
วิชาสงั คมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมโดยใช้โครงงาน (สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์) ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 3 ผลการวิจัยพบว่า ระดับความพึงพอใจต่อการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนา
และวัฒนธรรม ( สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์ )โดยใช้โครงงานภาพโดยรวมความพึงพอใจของ
นักเรียนอยู่ในระดบั มากท่สี ดุ ( Mean = 4.65 , S.D. = 0.49 )
ขอ้ คน้ พบจากงานวิจยั
นักเรียนได้เกดิ การค้นพบการเรียนรู้แบบใหม่ในส่ิงท่นี ักเรียนไม่เคยได้เรียนรู้และเกดิ
ความคิดสร้างสรรค์และการทางานร่วมกันในกลุ่ม นักเรียนได้แสดงความคิดเหน็ กันในกลุ่ม ได้
แบ่งหน้าท่กี ารรับผิดชอบช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั นักเรียนได้ลงมือปฏบิ ัติจริง เกิดการแลกเปล่ียน
เรียนรู้ซ่ึงกันและกันในกลุ่มเดียวกันและกลุ่มอ่ืน ทาให้นักเรียนทุกคนมีพัฒนาการในการเรียนรู้
เพ่ิมข้ึนและกิจกรรมแต่ละคร้ังนักเรียนได้ทา นักเรียนให้ความร่วมมือเป็ นอย่างดีและมีความ
สนุกสนานในการเรียน ผลท่ีเหน็ ได้ชัดคือ นักเรียนเรียนรู้เร่ืองการพัฒนาคุณลักษณะความเป็ น
พลเมืองดีในระบอบประชาธิปไตย โดยการเรียนรู้แบบโครงงานซ่ึงมีผู้ปกครองเป็นตัวแบบ และ
นักเรียนสามารถทาโครงงานแบบสารวจได้ในคร้ังต่อมา เพราะมีข้ันตอนของการฝึกฝนท่ชี ัดเจน
และเป็ นรูปธรรม
ขอ้ เสนอแนะในการวิจยั
ข้อเสนอแนะการนาไปใช้
1) การทาโครงงานสารวจน้ัน ครูต้องอธิบายสาหรับงานท่ีต้องไปปฏิบัติเพ่ือสร้าง
ความรู้ความเข้าใจเร่ืองท่ีจะต้องทา โดยเฉพาะเร่ืองทีค้นคว้า ครูอาจต้องติดตามทุกกลุ่มอย่าง
417
ใกล้ชิด เพ่ือให้ข้อแนะนา เพราะบางเร่ืองเป็นเร่ืองท่นี ักเรียนไม่เคยเรียนรู้หรือมีประสบการณ์มา
กอ่ น เช่นเร่ืองคุณลักษณะของการเป็นพลเมอื งท่ดี ใี นระบอบประชาธปิ ไตย
2) สาหรับการทาโครงงาน ครูต้องตามการปฏิบัติงานของนักเรียน อย่างใกล้ชิด ซ่ึง
เป็ นเรียนรู้นอกช้ันเรียน คอยติดตามการทางานกลุ่มของนักเรียนแต่ละกลุ่มและอาจต้องให้
คาแนะนาในบางเร่ืองโดยเฉพาะการทางานคร้ังแรกของนักเรียน และต้องติดตามอย่างต่อเน่ือง
หรือแบบสุ่มในคร้ังต่อไปท่ีให้งานนักเรียนทานอกช้ันเรียน หรือหาครูผู้ช่วยเพ่ือติดตามงานได้
อย่างทว่ั ถึง
ข้อเสนอแนะในการวิจัยคร้ังต่อไป
1) ควรการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบโครงงานสารวจกับการคิดวิเคราะห์ สาหรับ
นักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย
2) ควรใช้แบบโครงงานบูรณาการกบั วิชาอ่นื ได้ เช่นวิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี
ภมู ิศาสตร์ หรือศิลปะ เป็นต้น
บรรณานุกรม
กมลวรรณ คารมปราชญ์ คล้ายแก้ว. (2557). บทบาทของครอบครวั ในการปลกู ฝ่งั และพฒั นา
ความเป็นพลเมืองดีตามระบอบประชาธิปไตย. วารสารพฤติกรรมศาสตร์, 20(1),
1-18
กรมวิชาการ. (2544). การจดั กระบวนการเรียนรูท้ ีเ่ นน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั ทีส่ ดุ ตาม
พระราชบญั ญตั ิการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ : ศูนย์พัฒนาหลักสตู ร
กรมวิชาการ.
กติ ติธชั อ่มิ วัฒนกุล. (2553). ความพึงพอใจของประชาชนทีม่ ีต่อการใหบ้ ริการดา้ นโครงสรา้ ง
พ้ืนฐานขององคก์ ารบริหารส่วนตาบลในเขตอาเภอโนนไทยจงั หวดนครราชสมี า.
โครงงานหลักสตู รวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑติ , สาขาวิศวกรรมโยธา, สานักวิชา
วิศวกรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยสี รุ นารี.
คณะอนุกรรมการนโยบายปฏริ ูปการศึกษาในทศวรรษท่สี อง ด้านพัฒนาการศึกษาเพ่ือสร้างความ
เป็นพลเมอื งด.ี (2554). ยทุ ธศาสตรพ์ ฒั นาการศึกษาเพือ่ สรา้ งความเป็นพลเมือง
พ.ศ. 2553-2561. กรุงเทพฯ : สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา.
จันทนา บุญญานุวัตร์. (2549). องคป์ ระกอบทีส่ มั พนั ธก์ บั คณุ ลกั ษณะของความเป็นพลเมืองดีของ
นกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปี ที่ 3 เขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาพทั ลงุ . วิทยานิพนธป์ ริญญาการศึกษา
มหาบัณฑติ (การวัดผลการศึกษา ) มหาวิทยาลัยทกั ษิณ.
ปริญญา เทวานนฤมิตรกุล. (2555) การศึ กษาเพื่อสร้างพลเมือง (Civic Education).
กรุงเทพมหานคร: นานมบี ุค๊ สพ์ ับลิเคช่ันส.์
418
ประภัสสร ไพบูลย์ฐิตพิ รชัย. (2553). การศึกษาความเป็นพลเมืองดีของนกั เรียนโรงเรียนพณิชยก
รรม บางบวั ทอง จงั หวดั นนทบุรี. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (การ
จัดการ ภาครัฐและเอกชน) มหาวิทยาลัยศิลปากร.
วรากรณ์ สามโกเศศ. (2554). การศึกษาเพือ่ สรา้ งความเป็นพลเมือง. ค้นเม่อื วันท่ี 19 มกราคม
2561. สื บ ค้ น จ า http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=
22720&Key =hotnews
วลัย พานิช. (2549). การใชแ้ ผนผังกราฟิ ก ใน ประมวล บทความกิจกรรมพัฒนาผูเ้ รียนสู่
มาตรฐาน การเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม.
กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย.
วัฒนา มัคคสมัน. 2550. การสอนแบบโครงงาน. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
สคุ นธส์ นิ ธพานนท.์ (2550). การจดั กระบวนการเรียนรูท้ ีเ่ นน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั . กรุงเทพฯ: อกั ษร
เจริญทศั น์.
สานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. (2555). รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย. กรุงเทพฯ:
สานักงานเลขาธกิ ารสภาผู้แทนราษฎร.
เอกลักษณ์ธนเจริญพิศาล. (2554). ความตระหนักและ การยอมรบั การนาระบบการจดั การส่ิง
แวดลอ้ ม (ISO 14001) มาใชใ้ นองคก์ าร ภาครฐั : ศึกษากรณีสานกั งานนโยบาย และ
แผนทรัพยากรธรรมชาติและส่ิง แวดลอ้ ม. (วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหา บัณฑิต
สาขาการจัดการส่งิ แวดล้อม คณะ พัฒนาสงั คมและส่งิ แวดล้อม สถาบัน บัณฑติ พัฒนา
บริหารศาสตร์).
Bandura, A. (1977). Social Leaming Theory. Englewood Cliffs,N.J.: Pretice Hall.
Ausubel, D.P. (1963). The Psychology of Meaningful Verbal Learning. New York : Gruner
and Stratton
419
การพฒั นาความสามารถความเขา้ ใจคาศพั ทภ์ าษาไทย
ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 โดยใชแ้ ผนผงั ความคดิ
The development of word comprehension in Thai of Pratomsuksa 1
Students through mapping
ขนษิ ฐา ปล้ ืมใจ1
อญั ชลี ทองเอม2
บทคดั ยอ่
การวิจัยเชิงทดลองคร้ังน้ี มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) พัฒนาความเข้าใจคาศัพทภ์ าษาไทย
โดยใช้แผนผังความคิด ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 2) ศึกษาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนก่อน
เรียนและหลังเรียน 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้โดยใช้แผนผังความคิด
กลุ่มเป้ าหมาย คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนบ้านห้วยนา้ พุ จังหวัดประจวบครี ีขนั ธ์
ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 จานวน 28 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย 1) แผนการจัดการ
เรียนรู้วิชาภาษาไทยโดยใช้แผนผังความคดิ 2) แบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาภาษาไทย
3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการเรียนรู้ความเข้าใจคาศัพท์โดยใช้แผนผัง
ความคิด สถิติท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติ
Paired Sample t-test
ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีคะแนนไม่ต่ากว่า ร้อยละ 80 ผ่านเกณฑ์ จานวน 24
คน คดิ เป็นร้อยละ 92.86 และมีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 4 คน คดิ เป็นร้อยละ 7.14 2) ผล
การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี
ระดบั .05 (t = 12.87*, Sig = 0.00) 3) ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้
ความเข้าใจคาศัพทโ์ ดยใช้แผนผังความคิด โดยภาพรวมความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉล่ีย
= 2.76, สว่ นเบ่ียงเบน = 0.18 )
คาสาคัญ : ความสามารถเข้าใจคาศัพท,์ วิชาภาษาไทย, การใช้แผนผงั ความคิด, นักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 1
1 นักศกึ ษาหลักสตู ร ศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาหลกั สตู รและการสอน วิทยาลัยครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั
ธรุ กจิ บณั ฑติ ย์
2 ท่ปี รึกษาวิทยานพิ นธ์
420
ทีม่ าและความสาคญั ของปัญหา
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 ได้กาหนดให้มีการจัดการ
เรียนการสอนวิชาภาษาไทย ซ่ึงได้กาหนดสาระการเรียนท้งั 5 สาระ ได้แก่ การอ่าน การเขยี น การ
ฟัง การดู และการพูด หลักการใช้ภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมี
ทักษะในการฟัง พูด อ่าน เขียน ให้มีความสัมพันธ์เช่ือมโยงกันและเป็นไปตามธรรมชาติภาษา
ดังน้ัน การจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยจึงมีความสาคัญอย่างย่ิง เพราะเป็ นพ้ืนฐานของ
การศึกษาในรายวิชาอ่นื ๆ สอดคล้องกบั (กรมวิชาการ. 2545, น.3-6) การจัดการเรียนการสอน
ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยถือว่ามีความสาคัญย่ิง เพราะทกั ษะทางภาษาเป็นส่อื ในการสร้าง
ความเข้าใจและค้นหาความรู้ ไม่ว่าจะเรียนวิชาใดกต็ ้องนาไปใช้ เพ่ือแสวงหาความรู้ในสาขาวิชา
น้ัน ๆ และเพ่ือประกอบอาชีพ การอ่านเป็นประตูท่เี ปิ ดไปสู่อดีตและอนาคต ภาษาเป็นเคร่ืองมือ
ศึกษาแสวงหาความรู้ประสบการณ์และรับส่งิ ท่เี ป็นประโยชน์น้ันมาใช้พัฒนาตนเอง นอกจากน้ีการ
ใช้ ภาษาโดยการเขียนเพ่ือแสดงข้ อมูลความรู้แลกเปล่ียนกับผู้อ่ืน ทาให้ เกิดความรู้และ
ประสบการณ์ การอา่ นและการเขียนจึงเป็นส่งิ จาเป็นในการส่อื สาร
กรมวิชาการ (2545, น.4-5) กล่าวถึง ครูผู้สอนภาษาไทยในระดับประถมศึกษา
นับว่าเป็นผู้มีบทบาทสาคัญในการช่วยเหลือให้เดก็ เร่ิมต้นเรียนภาษาไทยท่ถี ูกต้อง โดยเฉพาะช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 1 หรือเดก็ เร่ิมเข้าเรียนซ่ึงเป็ นช้ันท่ีจะต้องเพ่ิมความละเอียดอ่อน หรือความ
ระมัดระวังเป็ นพิเศษ เพราะเป็ นการวางรากฐานท่ีสาคัญ สาหรับการศึกษาช้ันต่อ ๆ ไป และ
บทบาทของครูจะช่วยให้การจัดการเรียนการสอนบรรลุตามจุดมุ่งหมายท่ีกาหนด ถึงแม้ปัจจุบัน
การเรียนการสอนจะมุ่งเน้นให้นักเรียนเป็นสาคัญกต็ าม ความสาคัญของครูกไ็ ม่ได้ลดลง หากแต่
ครูจะต้องลดบทบาทการสอนของตนเอง โดยเปิ ดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงบทบาทในกิจกรรม
การเรียนมากข้นึ กจิ กรรมท่คี รูและนักเรียนจัดข้ึนจะต้องสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ให้นักเรียน
เกดิ ความสนใจกระตอื รือร้นท่จี ะมสี ่วนร่วมในกจิ กรรมน้ัน ๆ
กรมวิชาการ (2545, น.53-57) หลักสูตรประถมศึกษาได้กาหนดกิจกรรมการอ่าน
และการเขียนเป็ นกิจกรรมท่ีมีความสาคัญในการเรียนร้ ูและกาหนดมาตรฐานการเรียนร้ ูด้ านการ
อ่านและการเขียนภาษาไทยไว้เป็ นสาระท่ี 1 และสาระท่ี 2 ในช่วงช้ันดังน้ี ช่วงช้ันท่ี 1 ช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 3 อ่านสะกดคาท่ียากย่ิงข้ึนถูกต้องตามหลักการสะกดคาท่ีตรงตามมาตรา
ตัวสะกด และไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด อ่านจาคาได้แม่นยา อ่านได้คล่อง และเรว็ ตามหลักการ
อ่าน ตลอดท้งั เข้าใจความหมายของคายาก และเข้าใจข้อความท่อี ่าน เขียนอธบิ ายความหมาย นา
คาแต่งประโยคหรือข้อความท่ยี าวข้ึน ใช้กระบวนการอา่ นพัฒนาการอ่าน เขียนอธบิ ายความหมาย
นาคาแต่งประโยคหรือข้อความท่ยี าวข้ึนใช้กระบวนการอ่านพัฒนาการอา่ น อา่ นเร่ืองท่มี ีความยาว
และยากข้ึนตามวัยของผู้เรียน อ่านออกเสียงบทร้อยแก้ว บทร้อยกรองได้เร็วและคล่อง อ่าน
ถูกต้องตามอกั ขรวิธแี ละลักษณะคาประพันธด์ ้วยเสยี งดังฟังชัดเจน ช่วงช้ันท่ี 1 ช้ันประถมศึกษาปี
421
ท่ี 3 เขียนคายากท่มี ีความหมายท่ีสะกดไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด เขียนแสดงความรู้สึก เขียน
เป็นเร่ืองราว เขยี นเป็นข้อความส้นั ๆ เป็นบันทกึ ส่วนตวั โดยใช้ถ้อยคาท่ถี ูกต้อง
ดังน้ัน ครูผู้สอนจึงต้องมีการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีให้นักเรียนสามารถสร้าง
องค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง โดยมีครูเป็นผู้อานวยความสะดวกในการจัดกิจกรรมท่ีเพ่ือกระตุ้นให้
นักเรียนเกดิ ความสนใจ และสามารถส่งเสริมให้นักเรียนเกดิ การเรียนรู้ ดังท่ี บุญเพญ็ สวุ รรณศร
(2548, น.29) ได้กล่าวถึงการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเขียนสะกดคาว่า ครูจะต้องมีความรู้
ความสามารถในหลาย ๆ ด้านประกอบกนั เช่น สอนตามลาดับข้ันตอนท่ถี ูกต้อง การจัดกิจกรรม
การสอนแต่ละคร้ังต้องสอดคล้องกับสภาพความเป็ นจริงของผู้เรียน เช่น สุขภาพ อารมณ์
ความสามารถในด้านการอ่าน การเขียน ในด้านกจิ กรรมการสอนต้องมบี รรยากาศท่สี นุกสนาน ไม่
เบ่ือหน่าย สร้างเจตคติท่ดี ีให้กับผู้เรียน ให้เหน็ ถึงความสาคัญของการเขียนคาท่ถี ูกต้อง รู้จักการ
ใช้กิจกรรมท่ีหลากหลาย เช่น การให้ทาแบบฝึ ก การแข่งขันเขียนคา การจัดทาบัญชีรวบรวมคา
ยากมาแต่งประโยค ฯลฯ นอกจากน้ันควรสอนให้สมั พันธก์ นั ท้งั 4 ทกั ษะ คือ การฟัง การพูด การ
อ่าน และการเขียน เพ่ือให้นักเรียนนาการเขียนไปใช้ในชีวิตประจาวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึง
กิจกรรมท่ีใช้ในการเรียนการสอนน้ันควรมีความหลากหลาย และมีความเหมาะสมกับวัยของ
ผู้เรียนตรงตามจุดประสงค์ เช่น การใช้ เกมปริศนาคาทาย เกมใบ้คาทายอักษร เกมตามล่าหา
พยัญชนะ เป็นต้น และเน้นการจัดการเรียนการสอนท่ีให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมมาก ๆ ตลอดจน
การจัดบรรยากาศในช้ันเรียนท่สี นุกสนาน สร้างเจตคติท่ดี ีต่อผู้เรียน แสดงให้เหน็ ถึงความสาคัญ
ของการเขียนคาท่ีถูกต้อง โดยครูควรจะมีวิธีสอนเขียนคาท่ีเป็ นลาดับข้ันตอน เร่ิมจากการเหน็
ลักษณะภาพรวมของคาน้ันก่อนแล้วจึงค่อย ๆ ต่อให้ยากข้ึน ด้วยการจดจา คาน้ันให้ได้ว่ามี
ลักษณะการเรียงพยญั ชนะ สระ วรรณยุกตอ์ ย่างไรบ้างจึงเขียนคาและทบทวนความถูกต้องอกี คร้ัง
เพ่ือให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนรู้ จดจาและสามารถเขียนคาได้อย่างถูกต้อง
ผู้วิจัยในฐานะผู้สอนพบว่า การจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยในปัจจุบัน ปัญหา
ของนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนต้น เช่น การเขียนคาไม่ถูกต้อง เป็นปัญหาท่พี บมากท่สี ุด ซ่ึง
เกิดมาจากนักเรียนไม่แม่นยาในเร่ืองของการสะกดพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์และตัวสะกด อกี ท้งั
ไม่ทราบความหมายของคาท่ีต้องการใช้ รวมถึงการพูดท่ีออกเสียงไม่ชัดเจนและไม่ถูกต้อง ขาด
ความสนใจและความใส่ใจ ความระมัดระวังในการเขียนคา นาไปส่กู ารเขยี นท่ไี ม่ถูกต้อง ตลอดจน
สภาพแวดล้อมอ่นื ๆ เช่น นักเรียนไม่สนใจการเขียนว่าจะเขียนผิดหรือถูก หรือได้รับรู้มาอย่างไม่
ถูกต้อง จนเกิดการจดจาแบบผิด ๆ และไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังจนเกิดเป็นความเคยชิน
สอดคล้องกับ พัชรี วรจรัสรังสี (2542, น.52) กล่าวว่าสาเหตุท่ที าให้นักเรียนคาผิดน้ันมีหลาย
ประการ บางสาเหตุมาจากตัวของนักเรียน บางสาเหตุมากจากตัวผู้สอน ครูผู้สอนอาจจะละเลย
ทกั ษะการเขียน เพราะเหน็ ว่าใช้เวลามาก ตรวจลาบากต้องใช้เวลานานในการตรวจทาให้ตัดทกั ษะ
ทางการเขียนออกไปให้น้อยลง นักเรียนจึงขาดประสบการณ์และขาดความเช่ียวชาญในการเขียน
422
ในบางโรงเรียนไม่ได้กาหนดการฝึกการเขียนคาไว้ในตารางเรียนอย่างชัดเจน ทาให้ครูผู้สอนไม่ได้
ฝึกทกั ษะการเขยี นคาให้กบั นักเรียนทาให้นักเรียนเขียนคาผิดจานวนมาก
วรรณี โสมประยูร (2544, น.157) สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (2545, น.290-331)
และวิลาวัณย์ สภุ ริ ักษ์ (2550, น.20-21) ได้กล่าวถึงสาเหตขุ องการเขียนผิดไว้ ดังน้ี 1) นักเรียน
มีประสบการณ์เก่ียวกบั คาผิดโดยเหน็ แบบอย่างท่สี ะกดผิด 2) นักเรียนไม่รู้จักหลักภาษา เช่น ไม่
รู้จักมาตราตัวสะกด หลักสะกดการันต์ หลักการผันวรรณยุกต์ หลักมาตราตัวสะกดอ่ืน ๆ 3)
นักเรียนไม่ทราบความหมายเพราะ คาไทยมีคาพ้องเสียง ทาให้ความหมายสับสน 4) นักเรียนฟัง
ไม่ชัดเพราะคาไทยมีคาควบกล้า 5) นักเรียนไม่สามารถถ่ายทอดคาตามเสียง คาท่ีมาจาก
ภาษาองั กฤษ ซ่ึงเขยี นแตกต่างจากเสยี งได้ 6) นักเรียนใช้คาท่มี ี ร ล ไม่ถูกต้อง การเขยี นสะกดคา
เกิดจากผู้เขียนเป็นสาคัญซ่ึงส่วนใหญ่เกิดจากการขาดการสังเกต ขาดการฝึ กฝน มีความรู้ความ
เข้าใจในหลักการทางภาษาท่ีไม่ดีพอ ตลอดจนมีความไม่ระมัดระวังในเร่ืองของการเขียนคาให้
ถูกต้องตามความหมายของคาน้ัน ๆ จนเกดิ ความเคยชินในการเขยี นคา
ด้วยเหตุน้ีครูผู้สอนจึงควรนาทฤษฎีวิธีการหรือหลักการต่าง ๆ เข้ามาปรับใช้ในการ
จัดการเรียนการสอนเพ่ือให้นักเรียนเกดิ การพัฒนาการเรียนรู้ท่ดี ีย่งิ ข้นึ ซ่ึงวิธกี ารหน่ึงคอื การสร้าง
แผนผังความคิด (Mind Mapping) เพ่ือเป็นเคร่ืองบันทกึ ข้อมูลท่ีมีรูปแบบโครงสร้างเฉพาะตัว
ของผู้บันทกึ ดงั ท่ี โทนี บูชาน (Tony Buzan. 1997, น.59) ได้ให้ความหมายของแผนท่คี วามคิด
ไว้ว่า แผนท่ีความคิด เป็ นแผนผังหรือแผนภาพท่ีแสดงออกของการคิดรอบทิศทาง ซ่ึงเป็ น
ลักษณะการทางานท่ีตามธรรมชาติของสมองมนุษย์ และเป็นเทคนิคการแสดงออกด้วยภาพท่ีมี
พลังนาไปส่กู ุญแจสากลท่จี ะใช้ไขประตไู ปส่ศู ักยภาพของสมอง แผนท่คี วามคดิ นาไปประยุกตใ์ ช้ได้
กับทุกแง่มุมของชีวิต ซ่ึงทาให้การเรียนรู้ได้รับการพัฒนาและเกิดความคิดท่ีชัดเจนข้ึนจะนาไปสู่
การกระทาต่าง ๆ ของมนุษย์ นอกจากน้ี บูซานยังได้กล่าวถึง คุณลักษณะสาคัญของแผนท่ี
ความคิดไว้ 4 ประการ ดังน้ี 1) หัวเร่ืองท่ีน่าสนใจจะถูกสร้างข้ึนตรงกลางของภาพ 2) ใจความ
หลักของหัวเร่ืองจะอยู่รอบหัวข้อซ่ึงอยู่ตรงกลางออกไปทุกทิศทางซ่ึงเปรียบเสมือนก่ิงก้านของ
ต้นไม้ท่ีแตกแขนงออกมา 3) ก่ิงก้านท่ีแตกแขนงออกมาประกอบด้วยภาพหรือคาสาคัญท่ีเขียน
บนเส้นท่ีโยงกัน ส่วนของคาอ่ืน ๆ ท่ีมีความสาคัญรองลงมาจะถูกเขียนบนก่ิงก้านท่ีแตกออกใน
ลาดับต่อ ๆ ไป 4) ก่ิงก้านจะถูกเช่ือมโยงกันในลักษณะท่ีแตกต่างกันตามตาแหน่งและ
ความสาคญั ของประเดน็ ต่าง ๆ
การสอนใช้แผนท่คี วามคิด (Mind Mapping) จะเป็นการช่วยให้นักเรียนฝึ กการ
วิเคราะห์ (สมองด้านซ้าย) และสังเคราะห์ (สมองด้านขวา) จนเกิดความสัมพันธ์ทางความคิด
และรวบยอดเป็นข้อมูล จนสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างมีโครงสร้างและมีวิจารณญาณทาง
ความคิด ดังท่ี สมศักด์ิ สนิ ธุระเวชญ์ (2544, น.8) วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2545, น.19) และสาลี
รักสุทธี (2550, น.45) ได้กล่าวว่า การสอนโดยใช้แผนท่คี วามคิด (Mind Mapping) จะเป็นการ
ฝึกวิเคราะห์ (สมองด้านซ้าย) และสงั เคราะห์ (สมองด้านขวา) เป็นยุทธศาสตร์การจัดการเรียนรู้
423
ท่จี ะทาให้ผู้เรียนได้พัฒนาเตม็ ศักยภาพและมีความสมดุลท้ังร่างกาย ปัญญา และสงั คม เป็นการ
ฝึ กให้ ผู้เรียนจัดกลุ่มความคิดรวบยอดของตน เพ่ือให้ เห็นภาพรวมของความคิดเห็น
ความสมั พันธข์ องความคดิ รวบยอดเป็นภาพ สามารถเกบ็ ไว้ในหน่วยความจาได้ง่ายและสอดคล้อง
กับสุวิทย์ มูลคา และอรทัย มูลคา (2550, น.89) วัชรา เล่าเรียนดี (2555, น.61) และทิศนา
แขมมณี (2556, น.389) กล่าวถึง การจัดกลุ่มความคิดรวบยอด เพ่ือให้ความสัมพันธ์ของ
ความคิดระหว่างความคิดหลักและความคิดรองลงไปโดยนาเสนอเป็นภาพหรือเป็นผัง สามารถ
นาเสนอได้หลายลักษณะ
ดังน้ันผู้วิจัยจึงสนใจท่จี ะพัฒนาความสามารถความเข้าใจคาศัพทภ์ าษาไทย โดยการใช้
แผนผังความคิด เพ่ือนาไปใช้แก้ปัญหาและปรับปรุงการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนาความสามารถ
ความเข้าใจคาศัพทภ์ าษาไทย ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี
1 โรงเรียนบ้านห้วยนา้ พุ ซ่ึงผลของการวิจัยในคร้ังน้ีจะเป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนการ
สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทยต่อไป
วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั
1. เพ่ือพัฒนาความเข้าใจคาศัพทภ์ าษาไทยโดยใช้แผนผังความคิด ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 1
2. เพ่ือศึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนความเข้าใจคาศัพทภ์ าษาไทยก่อนและหลังเรียน
การใช้แผนผงั ความคดิ
3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้ความเข้าใจคาศัพทภ์ าษาไทย
โดยใช้แผนผังความคดิ
สมมติฐานของการวิจยั
1. นักเรียนมีความเข้าใจคาศัพทภ์ าษาไทยโดยใช้แผนผังความคิด มีคะแนนไม่ต่ากว่า
ร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็
2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ความเข้าใจคาศัพทภ์ าษาไทยโดยใช้แผนผังความคิดหลัง
เรียนสงู กว่ากอ่ นเรียนอย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ิท่รี ะดับ .05
3. ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้ความเข้าใจคาศัพท์ภาษาไทยโดยใช้
แผนผงั ความคิด อยู่ในระดบั มาก
ขอบเขตของการวิจยั
กลุ่มเป้ าหมาย คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562
โรงเรียนบ้านห้วยนา้ พุ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จานวน 1 ห้องเรียน จานวน นักเรียน 28 คน
424
ตวั แปรทีศ่ ึกษา
ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยโดยใช้แผนผังความคดิ
ตวั แปรตาม
1. ความสามารถในความเข้าใจคาศัพทว์ ิชาภาษาไทย
2. ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนรู้ความเข้าใจคาศัพทว์ ิชาภาษาไทย
3. ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อความเข้าใจคาศัพท์ภาษาไทยโดยใช้แผนผัง
ความคิด
ขอบเขตดา้ นเน้ อื หา
แผนผังความคิดเพ่ือพัฒนาความเข้าใจคาศัพทภ์ าษาไทย จานวน 4 เร่ือง 1. มาตรา
ตวั สะกด 2. คาควบกลา้ 3. อกั ษรสามหมู่ 4. อกั ษรนา
ระยะเวลาในการทาวิจยั
การดาเนินการวิจัยคร้ังน้ี ใช้เวลา 5 สปั ดาห์ สปั ดาห์ละ 4 ช่ัวโมง รวม 20 ช่ัวโมง ภาค
เรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562
เครือ่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยโดยใช้แผนผงั ความคดิ
2. แบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนรู้ความเข้าใจคาศัพทว์ ิชาภาษาไทย
3. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อความเข้าใจคาศัพทภ์ าษาไทยโดย
ใช้แผนผงั ความคดิ
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
ผู้วิจัยได้ดาเนินการวิจัยตามข้ันตอนเพ่ือศึกษาผลการใช้แผนผังความคิดเพ่ือพัฒนา
ความสามารถในความเข้าใจคาศัพท์ภาษาไทย ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 โดยมีข้ันตอน
ดงั น้ี
1. ผู้วิจัยช้ีแจงวัตถุประสงค์ ข้ันตอนและรายละเอียดให้นักเรียนทราบเก่ียวกับการ
จัดการเรียนการสอนภาษาไทยโดยใช้ แผนผังความคิดเพ่ือพัฒนาความสามารถในความเข้ าใจ
คาศัพทภ์ าษาไทย
2. ผู้วิจัยให้นักเรียนทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียน (Pre-Test)
โดยใช้แบบทดสอบ มีจานวน 30 ข้อ เป็นแบบปรนัย 4 ตวั เลือก ใช้เวลา 1 ช่ัวโมง
3. ดาเนินการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1
จานวน 4 แผนการจัดการเรียนรู้ ใช้เวลา 18 ช่ัวโมง ในการจัดกิจกรรมทุกคร้ัง ผู้วิจัยได้ให้
นักเรียนทาแบบทดสอบเพ่ือเก็บคะแนนพัฒนาความสามารถในเร่ือง ความเข้าใจคาศัพท์
ภาษาไทย
4. ให้นักเรียนทาแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียน (Post-Test) โดย
ใช้แบบ ทดสอบ มจี านวน 30 ข้อ เป็นแบบปรนัย 4 ตวั เลือก ใช้เวลา 1 ช่ัวโมง
425
5. ให้นักเรียนทาแบบสอบถามความพึงพอใจท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้ใช้แผนผัง
ความคดิ เพ่ือพัฒนาความสามารถในการเข้าใจคาศัพท์
6. เกบ็ รวบรวมข้อมูลท้ังหมดเพ่ือนาผลท่ีได้มาวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการทางสถิติ
สรุปผล และแปลผลต่อไป
การวิเคราะหข์ อ้ มูล
1. นาผลการทดสอบมาวิเคราะห์ข้อมูล โดยการหาค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉล่ีย
(Mean) และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการ
เรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ Paired-Simples t-test
2. ประมวลผล แปลผล และวิเคราะห์ข้อมูล
3. สรุปผลและอภิปรายผล โดยใช้ตารางและการพรรณนา
สรุปผลการวิจยั
ตอนท่ี 1 ผลการพัฒนาความเข้าใจคาศัพท์ภาษาไทยโดยใช้แผนผังความคิด ของ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 พบว่า นักเรียนมีคะแนนไม่ต่ากว่า ร้อยละ 80 ผ่านเกณฑ์ จานวน
24 คน คิดเป็นร้อยละ 92.86 และมีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 7.14
ตอนท่ี 2 ผลการศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนความเข้าใจคาศัพทภ์ าษาไทยก่อนและ
หลังเรียนการใช้แผนผงั ความคิด พบว่า นักเรียนได้คะแนนก่อนเรียน ( ̅ = 8.21, S.D. = 2.68)
ได้คะแนนหลังเรียน ( ̅ = 20.43, S.D. = 4.02) และเม่ือทดสอบทางสถิติ Paired-Simples t-
test ความสามารถเข้าใจคาศัพท์ภาษาไทย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี
ระดับ .05 (t = 12.87, Sig = 0.00) ซ่ึงเป็นไปตามสมมติฐานท่ตี ้งั ไว้ Sig
แบบทดสอบ จานวน ̅ S.D. T
ผลสมั ฤทธ์ิทางการ นกั เรียน
เรียน
การทดสอบกอ่ นเรียน 28 8.21 2.65 12.87* .000
การทดสอบหลังเรียน 28 20.43 4.02
*มนี ัยสาคญั ทางสถติ ริ ะดับเทา่ กบั .05
ตอนท่ี 3 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้ความเข้าใจคาศัพท์
ภาษาไทยโดยใช้แผนผังความคิด โดยภาพรวมความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( ̅ = 2.76, S.D.
= 0.18) เม่ือพิจารณาเป็นรายด้านเรียงลาดับจากค่าเฉล่ียมากไปหาน้อย คือ ด้านเน้ือหาในการ
เรียนรู้และด้านกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ ( ̅ = 2.79, S.D. = 0.05) ด้านส่ือการเรียนรู้ ( ̅ =
2.77, S.D. = 0.03) และด้านบรรยากาศการจัดการเรียนรู้ ( ̅ = 2.69,S.D. = 0.01) ตามลาดับ
426
อภิปรายผล
ตอนท่ี 1 ผลการพัฒนาความเข้าใจคาศัพท์ภาษาไทยโดยใช้แผนผังความคิด ของ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 พบว่า นักเรียนมีคะแนนไม่ต่ากว่า ร้อยละ 80 ผ่านเกณฑ์ จานวน
24 คน คิดเป็นร้อยละ 92.86 และมีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 7.14
เน่ืองจากนักเรียนไม่เข้าใจในเร่ืองอักษรสามหมู่ ซ่ึงมีคะแนน 15 คะแนน แต่นักเรียนได้คะแนน
ไม่ถงึ คร่ึง เร่ืองอกั ษรควบกลา้ มีนักเรียนจานวน 2 คน นักเรียนท่มี ีคะแนนไม่ถึงคร่ึงของแต่ละคร้ัง
จานวน 1 คน เน่ืองจาก เป็นนักเรียนท่ีบกพร่องทางการเรียนรู้ จึงมีคะแนนท่ีต่ากว่านักเรียนคน
อ่ืนในช้ันเรียน ท้งั น้ีผู้วิจัยได้ให้นักเรียนทบทวนเร่ืองท่เี รียนท้งั หมดและให้ทาแบบทดสอบใหม่อกี
คร้ัง นักเรียนกส็ ามารถท่ีจะทาคะแนนได้เพ่ิมข้ึน แต่นักเรียนส่วนใหญ่มีความสามารถเข้าใจ
คาศัพทค์ วบกลา้ ได้มากท่สี ดุ มีคะแนนเฉล่ีย 14.03 รองลงมา คือ อกั ษร 3 หมู่ สาหรับตัวสะกด
และอักษรนา มีคะแนนเฉล่ียเท่า ๆ กัน ดังท่ีแสดงถึงพัฒนาความสามารถเข้าใจคาศัพท์ของ
นักเรียนเพ่ิมข้ึน ดังท่ี Rasinski Padak and Newton (2008, น.13-14) ได้กล่าวถึง การรู้คาศัพท์
ได้แก่ การเพ่ิมความเข้าใจในความหมายของคาศัพท์โดยในแต่ละคร้ังท่ีผู้เรียนพบคาศัพท์ใหม่
ความรู้ของผู้เรียนท่ีมีต่อความหมายของคาศัพท์น้ัน ๆ กค็ ่อย ๆ ชัดเจนมากย่ิงข้ึน เช่น เม่ือผู้
เรียนรู้ความหมายของคาน้ัน ๆ แล้วเม่ือเวลาผ่านไปผู้เรียนจะรู้ความหมายของคาศัพท์ได้อย่าง
ลึกซ้ึงมากข้ึน และการรู้คาศัพทม์ ักเก่ยี วข้องกบั การรู้ลักษณะเฉพาะของคาน้ัน ๆ และรวมถึงการท่ี
คาศัพท์น้ันเช่ือมโยงถึงคาอ่ืน ๆ หรือความคิดรวบยอดอ่ืน ๆ ด้วย ท้ังน้ีผู้วิจัยได้ใช้แผนผัง
ความคิดมาประกอบการจัดการเรียนรู้เร่ืองมาตราตัวสะกด คาควบกล้า อักษรสามหมู่ และ
อกั ษรนา ซ่ึง วัชรา เล่าเรียนดี (2555, น.61) กล่าวไว้ว่า แผนผังความคิด เป็นเทคนิคหน่ึงท่ชี ่วย
ในการเรียนรู้ท่ลี ึกซ้ึงกว้างขวางมากข้ึน ช่วยในการจา ช่วยให้เข้าใจความสมั พันธ์ระหว่างการสร้าง
แผนผังเช่ือมโยง และการคิดท่ีชัดเจน สามารถใช้ในการเรียนรู้ทุกสาระวิชา ถ้าฝึ กการใช้แผนผัง
ความคิดอย่างสม่าเสมอจะสามารถช่วยพัฒนาผลการเรียนรู้ และสามารถเรียนรู้ได้เรว็ ข้ึน การใช้
แผนผังความคิดเป็นการใช้สายตาและสมองในเวลาเดียวกัน ช่วยทาให้มองเหน็ การทางานของ
สมองของตนเองชัดเจนย่งิ ข้นึ โดยมองเหน็ ความเช่ือมโยงสมั พันธข์ องคา ข้อความ สาระต่าง ๆ ได้
ชัดเจน และออซูเบล (ภพ เลาหไพบูลย์. 2534, น.74 -75; อ้างอิงจาก Ausubel. 1963. The
Psychology of Meaningful Verbal Learning) กล่าวว่า การเรียนรู้อย่างมีความหมาย ผู้เรียนเม่ือ
เรียนรู้แล้วสามารถเช่ือมโยงความรู้ใหม่ให้สัมพันธ์กบั ความรู้เดิม หรืออาจเรียกว่าการเรียนรู้แบบ
รับไว้เพ่ือให้ได้ความหมาย สอดคล้องกบั งานวิจัยของ สนิ ธุ์ชัย ทพิ กุล (2553, น.73) ศึกษาวิจัย
เร่ือง การพัฒนาความสามารถในการอ่านและการเขียนสะกดคา โดยใช้แผนผังความคิด (Mind
Mapping) ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 ผลการวิจัยพบว่า ผู้เรียนมีความก้าวหน้าเพ่ิมข้นึ คิด
เป็ นร้อยละ 80.12 และนักเรียนท่ีเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แผนผังความคิด
เร่ืองการอ่านและการเขียนสะกดคา ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 มีความคงทนในการเรียนรู้ และ
สอดคล้องกับงานวิจัยของ สาธินี วันชัย (2555, น.80) ศึกษาวิจัยเร่ือง ผลการจัดกิจกรรมการ
427
เรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยเร่ืองการอ่านและการเขียนคาท่สี ะกดตรงตามมาตราตวั สะกด
ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 โดยใช้แผนผังความคิด ผลการวิจัยพบว่า ท่นี ักเรียนได้เรียนด้วยแผนการ
จัดการเรียนรู้ภาษาไทยเร่ือง การอ่านและการเขียนคาท่ีสะกดตรงตามมาตราตัวสะกด ช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 1 โดยใช้แผนผงั ความคดิ มีความก้าวหน้าทางการเรียน ร้อยละ 76.02
ตอนท่ี 2 เปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนความเข้าใจคาศัพท์ภาษาไทยก่อนและ
หลังเรียนการใช้แผนผังความคิด พบว่า ความสามารถเข้าใจคาศัพท์ภาษาไทย หลังเรียนสูงกว่า
ก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 (t = 12.87, Sig = 0.00) ซ่ึงเป็ นไปตาม
สมมติฐานการวิจัยท่ตี ้ังไว้ เม่ือเปรียบเทยี บคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนจะเหน็ ได้ว่านักเรียนมี
คะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนเพ่ิมข้ึนทุกคน มีคะแนนเพ่ิมข้ึนต้ังแต่ 9 - 20 คะแนน
มีนักเรียนจานวน 3 คนท่ีคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนเพ่ิมข้ึน 2 คะแนนเน่ืองจาก
นักเรียนคนท่ี 1 เป็ นนักเรียนท่ีบกพร่องทางการเรียนรู้ คนท่ี 2 – 3 มีพ้ืนฐานวิชาภาษาไทย
ค่อนข้างอ่อนโดยเฉพาะเร่ือง การสะกดคา คิดเป็นร้อยละ 10.71 จากคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียนโดยใช้ แผนผังความคิดเพ่ือพัฒนาความเข้ าใจคาศัพท์ภาษาไทยสามารถทาให้ นั กเรียนมี
พัฒนาความเข้าใจคาศัพท์ภาษาไทยเพ่ิมข้ึน สอดคล้องกับงานวิจัยของ วิภาวรรณ์ สุพรรณ์
(2554, บทคัดย่อ) วิจัยเร่ือง ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เร่ืองการอ่านและการเขียนสะกดคา
สาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยใช้แผนผังความคิด ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1โรงเรียนอนุบาลไพรบึง
ผลการวิจัยพบว่า แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 เร่ืองการอ่าน
และการเขยี นสะกดคา โดยใช้แผนผงั ความคดิ เร่ือง การอ่านและการเขยี นสะกดคา โดยใช้แผนผัง
ความคิด มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ
.01 และ วัลยา อ่าหนองโพธ์ิ (2557, น.124) วิจัยเร่ือง การพัฒนาแบบฝึกทกั ษะการเขียนสะกด
คา เร่ือง มาตราตัวสะกดโดยใช้แผนผังความคิด สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียน
เทศบาล 1 ทรงพลวิทยา ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเขียนสะกดคาวิชา
ภาษาไทยก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยแบบฝึ กทักษะการเขียนสะกดคาแตกต่างกันอย่างมี
นัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ 0.01 โดยหลังเรียนนักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่า
กอ่ นเรียน
ตอนท่ี 3 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้ความเข้าใจคาศัพท์
ภาษาไทยโดยใช้แผนผังความคิด โดยภาพรวมความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( ̅ = 2.76, S.D.
= 0.18) เม่ือพิจารณาเป็นรายด้านเรียงลาดับจากค่าเฉล่ียมากไปหาน้อย คือ ด้านเน้ือหาในการ
เรียนรู้และด้านกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ ( ̅ = 2.79, S.D. = 0.05) ด้านส่ือการเรียนรู้ ( ̅ =
2.77, S.D = 0.03) และด้านบรรยากาศการจัดการเรียนรู้ ( ̅ = 2.69, S.D. = 0.01) ตามลาดับ
จากความพึงพอใจระดับมาก คือ ด้านเน้ือในการเรียนรู้ ส่ิงท่ีสาคัญคือ ช่วยให้อ่านสะกดคาและ
เขียนคาได้ถูกต้อง เข้าใจความหมายของคามากข้ึน ด้านกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ แผนผังมี
ประโยชน์ ช่วยให้ผู้เรียนคิดอย่างเป็ นอิสระ มีความสุข สนุกสนาน และได้ความรู้ ด้านส่ือการ
428
เรียนรู้ ช่วยส่งเสริมให้นักเรียนอยากเรียนภาษาไทยมากข้ึน มีความหลากหลาย ด้านบรรยากาศ
การจัดการเรียนรู้ นักเรียนมีส่วนร่วมในการทากจิ กรรม มีความรับผิดชอบต่อตนเองและกลุ่ม และ
ผู้สอนใส่ใจต่อผู้เรียน สอดคล้องกับ วัลยา อ่าหนองโพธ์ิ (2557, น.124) วิจัยเร่ือง การพัฒนา
แบบฝึกทกั ษะการเขียนสะกดคา เร่ือง มาตราตัวสะกดโดยใช้แผนผังความคิด สาหรับนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนเทศบาล 1 ทรงพลวิทยา ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจ
ต่อการเรียนด้วยแบบฝึ กทกั ษะการเขียนสะกดคา เร่ือง มาตราตัวสะกดโดยใช้แผนผังความคิด
สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 อยู่ในระดับดีมาก และ วชิราภรณ์ เย่ียมแสง (2556)
บทคัดย่อ การใช้ผังความคิดและวิจัยปฏบิ ัติการในการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการอ่าน เพ่ือความ
เข้าใจภาษาอังกฤษ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 โรงเรียนขามแก่นนคร นักเรียนมีความพึง
พอใจต่อการ จัดกจิ กรรมการเรียนรู้วิชาภาษาองั กฤษโดยใช้ผังความคิด อยู่ในระดบั มาก
ขอ้ คน้ พบจากงานวิจยั
1. การพัฒนาความสามารถเข้าใจคาศัพทภ์ าษาไทยโดยใช้แผนท่คี วามคิด เป็นเทคนิค
ท่ีช่วยพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนคาวิชาภาษาไทยได้ดี ช่วยให้นักเรียนสามารถเข้าใจ
คาศัพทแ์ ละรู้ความหมาย จึงทาให้นักเรียนสามารถใช้คาได้หลากหลายท้งั การอ่านและเขียนมาก
ย่ิงข้ึน ซ่ึงนักเรียนสามารถนาไปใช้ในการเขียนข้อความหรือย่อหน้าในการเรียนท่ตี ่อเน่ืองจากการ
ทดลองมาได้
2. การใช้แผนผังความคิด ทาให้เกดิ ผลดีต่อการเรียนรู้ความเข้าใจคาศัพทเ์ ม่อื ผู้เรียนรู้
ความหมายของคาน้ัน ๆ แล้วเม่อื เวลาผ่านไปผู้เรียนจะรู้ความหมายของคาศัพทไ์ ด้อย่างลึกซ้ึงมาก
ข้ึน และการรู้คาศัพทม์ ักเก่ียวข้องกับการรู้ลักษณะเฉพาะของคาน้ัน ๆ และรวมถึงการท่ีคาศัพท์
น้ันเช่ือมโยงถึงคาอ่นื ๆ หรือความคิดรวบยอดอ่นื ๆ ด้วย ช่วยให้นักเรียนสามารถอ่านและเขียน
สะกดคาได้ถูกต้องมากย่ิงข้ึน สามารถเข้าใจความหมายของคาได้มากย่ิงข้ึน นอกจากน้ีนักเรียนยงั
รู้สกึ มีความสขุ สนุกสนาน ได้รับความรู้และสามารถนาไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้
ขอ้ เสนอแนะ
ข้อเสนอแนะสาหรับการนาไปใช้
1. การจัดการเรียนการสอนโดยใช้แผนผังความคิดแบบใยแมงมุมช่วยให้นักเรียน
สามารถเขียนคาศัพทไ์ ด้หลากหลายมากย่ิงข้ึน เน่ืองจากเป็นแผนผังความคิดท่ีนักเรียนสามารถ
ลากเส้นเพ่ือเขยี นเพ่ิมเตมิ คาศัพทไ์ ด้เร่ือย ๆ ตามท่นี ักเรียนต้องการ ครูผู้สอนอาจต้องให้ความใส่
ใจในการจัดการเรียนการสอนเพ่ือให้ผู้เรียนสามารถเขียนคาศัพท์ได้อย่างถูกต้อง จนเกิดการ
เรียนรู้และจดจานาไปสคู่ วามคดิ รวบยอดในเร่ืองต่อ ๆ ไป
2. ความเข้าใจคาศัพท์ ครูจะต้องอธิบายเพ่ิมเติมเก่ียวกับคาศัพท์บางคา เช่น เร่ือง
มาตราตวั สะกดสว่ นใหญ่จะให้นักเรียนเขียนคาท่สี ะกดตรงตามมาตรา แต่มบี างคาอาจต้องอธิบาย
429
เพ่ิมเติม เช่นคาท่ีสะกดด้วยมาตราแม่ กก ตัวอย่างเช่น สุก สุข ศุกร์ เขียนต่างกัน ความหมาย
ต่างกัน ท้งั สามคาน้ีปรากฎอยู่ในชีวิตประจาวัน ซ่ึงนักเรียนจะสามารถเลือกใช้คาได้อย่างถูกต้อง
หรือเร่ืองอักษร 3 หมู่ ซ่ึงประกอบด้วย อักษรกลาง อักษรสูง และอักษรต่า ครูอาจต้องระบุว่า
อกั ษรแต่ละหมู่จะเลือกใช้ตัวอกั ษรใดบ้าง เพ่ือให้เป็นไปในทางทศิ เดยี วกนั จากตวั อย่างท่นี าเสนอ
ข้อเสนอแนะเพ่ือการวิจัยคร้ังต่อไป
ควรศึกษาการใช้ แผนผังความคิดในการจั ดการเรี ยนการสอนรายวิชาภาษาไทยในช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 2 เพ่ือพัฒนาความรู้ความเข้าใจคาศัพทว์ ิชาภาษาไทย และในหัวข้อท่ตี ่อเน่ืองกนั
430
บรรณานุกรม
กรมวิชาการ, กระทรวงศึกษาธิการ. (2545) หลกั สูตรการศึกษาข้ันพ้ ืนฐาน พุทธศักราช
2545. กรุงเทพมหานคร : องคก์ ารรับส่งสนิ ค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.)
ทศิ นา แขมมณี. (2556). ศาสตรก์ ารสอน. กรุงเทพฯ : ด่านสทุ ธาการพิมพ์.
บุญเพ็ญ สุวรรณศร. (2548). การศึกษาเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิในการเขียนสะกดคา ของ
นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5 ระหว่างการสอนโดยใชแ้ บบฝึ กการเขียนสะกด
คา กบั การสอนตามคู่มือครูของกรมวิชาการ. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหา
บันฑติ สาขาหลักสตู รและการ สอน มหาวิทยาลัยราชภฎั พระนครศรีอยุธยา.
พัชรี วรจรัสรังส.ี (2542). การวิเคราะหค์ าสะกดยากทีเ่ ขียนผดิ ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี
ที่ 3
ภพ เลาหไพบูลย์. (2534). การสอนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมศึกษา. เชียงใหม่:
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
วชิราภรณ์ เย่ียมแสง. (2556). การใชผ้ งั ความคิดและวิจยั ปฏิบตั ิการในการพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการอ่าน เพื่อความเขา้ ใจภาษาอังกฤษ ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 2
โรงเรียนขามแก่นนคร. วิทยานิพนธ์ สาขาวิชาหลักสูตรและการเรียนการสอน คณะ
ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั มหาสารคาม
วรรณี โสมประยูร. (2544).การสอนภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนา
พานิช.
วัชรา เล่าเรียนดี. (2555). รูปแบบและกลยุทธก์ ารจัดการเรียนรู้ เพือ่ พฒั นาทกั ษะการคิด.
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปกร.
วัฒนาพร ระงบั ทุกข.์ (2545). การจดั การเรียนการสอนทีเ่ นน้ ผเู้ รียนเป็ นศูนยก์ ลาง. กรุงเทพฯ
: ต้นอ้อ.
วัลยา อ่าหนองโพธ์ิ. (2557). การพฒั นาแบบฝึ กทักษะการเขียนสะกดคา เรื่อง มาตรา
ตัวสะกด โดยใช้แผนผังความคิด สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 1.
วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัย
ศิลปากร
วิภาวรรณ สุพรรณ์. (2554). ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรูเ้ รื่องการอ่านและการเขียนสะกด
คาสาระการเรียนรูภ้ าษาไทยช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 โดยใชแ้ ผนผงั ความคิด. สาขา
หลักสตู รและการสอน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
วิลาวัณย์ สุภิรักษ์. (2550). การพฒั นาแบบฝึ กทกั ษะภาษาไทย เรื่อง การเขียนสะกดคา ไม่
ตรงตามมาตราตวั สะกด สาหรบั นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6. วิทยานิพนธ์ศึกษา
ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัย
ศิลปากร.
431
สาธินี วันชัย. (2555). ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรูก้ ลุ่มสาระการเรียนรูภ้ าษาไทย เรือ่ ง การ
อ่านและการเขียนคาทีส่ ะกด ตรงตามมาตราตวั สะกด ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1 โดย
ใชแ้ ผนผงั ความคิด. วิทยานิพนธ์ สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม.
สมศักด์ิ สนิ ธุระเวชญ์. (2544). กิจกรรมพฒั นาผูเ้ รียน. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ไทยวัฒนา
พานิช.
สาลี รักสทุ ธ.ี (2544). ทางกา้ วสู่มอื อาชีพ. กรุงเทพฯ : พัฒนาศึกษา.
สนิ ธุ์ชัย ทพิ กุล. (2553). การพฒั นาความสามารถในการอ่านและการเขียนสะกดคา โดยใช้
แผนผงั ความคิด (Mind Mapping) ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1. ปริญญา
การศึกษามหาบณั ฑิต สาขาวิชา หลกั สูตรและการสอน มหาวิทยาลยั มหาสารคาม.
ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม
สทุ ธวิ งศ์ พงศ์ไพบูลย.์ (2545). การเขียน. พิมพ์คร้ังท่ี 2. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช.
สวุ ิทย์ มูลคา และอรทยั มูลคา. (2550). เรียนรูส้ ู่ครูมืออาชีพ. กรุงเทพฯ : ท.ี พี.พร้ินท.์
Ausubel, D. P. (1968). Educational psychology. A cognitive view. New York: Holt, Rinehart
and Winston, Inc.
Buzan, T.&; Buzan B. (1997). The Mind map book: Radiant thinking. London: BBC
Dissertation Abstracts International. 59(01) : 22 - A ; July.
Dissertation Abstracts International. 63(0) : 361 - A : Fall. Environment. New York :
McGraw-Hill.
Rasinski Timothy, Padak Nancy and Newton Rick M. (2008). Greek and Latin Roots:Keys
to Building Vocabulary. CA: Shell Education
432
การพฒั นาความสามารถการแกโ้ จทยป์ ัญหาทางคณติ ศาสตร์
โดยใชเ้ ทคนคิ กล่มุ -คู่-เดีย่ ว สาหรบั นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที5่
The Development of Mathematical Problem – Soling
By Using Team – Pair – Solo Technique for Matthayomsuksa 5 Students
ขนิษฐา พ่ึงไพร1
อญั ชลี ทองเอม2
บทคดั ยอ่
การวิจัยเชิงทดลองน้ี มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) พัฒนาความสามารถการแก้โจทย์ปัญหา
ทางคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิคกลุ่ม – คู่ – เด่ยี ว สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 2) ศึกษา
พฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน 3) ศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 4) ศึกษา
ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างคอื นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี
5/1 โรงเรียนกสิณธรเซนต์ปี เตอร์ อาเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา
2562 จานวน 1 ห้องเรียน 27 คน เป็นห้องเรียนสายวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ โดยการเลือก
แบบเจาะจง (Purposive Sampling) เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชา
คณิตศาสตร์ เร่ือง หลักการนับเบ้ืองต้น โดยใช้เทคนิคกลุ่ม – คู่ – เด่ียว 2) แบบประเมิน
พฤติกรรมการเรียนรู้ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เร่ือง หลักการ
นับเบ้ืองต้น 4) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ ผู้วิจัยเกบ็ รวบรวม
ข้อมูล สถิติท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติ Paired
Sample t-test
ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้เทคนิค
กลุ่ม – คู่ – เด่ยี ว นักเรียนมีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ของคะแนนเตม็ จานวน 27 คน คดิ เป็น
ร้อยละ 100 2) พฤติกรรมการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคกลุ่ม – คู่ – เด่ียว นักเรียนมีค่าเฉล่ียอยู่
ระดับดีมากคือ การทางานเป็นกลุ่ม รองลงมา คือการทางานเป็นคู่ 3) นักเรียนมีสมั ฤทธ์ิทางการ
เรียนวิชาคณิตศาสตร์นักเรียนมีความรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติท่รี ะดับ
.05 (t = 18.90*, Sig.= 0.000) 4) ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 ท่มี ตี ่อการ
เรียนคณิตศาสตร์โดยใช้เทคนิคกลุ่ม – คู่ – เด่ียว โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากท่ีสุด ( ̅= =
4.49 , S.D. = 0.66 )
คาสาคญั : ความสามารถในการแก้โจทยป์ ัญหา, วิชาคณติ ศาสตร์, การเรียนรู้แบบร่วมมอื เทคนิค
กลุ่ม- คู่-เด่ยี ว ,นักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 5
1 นกั ศึกษา หลักสตู รศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาหลักสตู รและการสอน มหาวทิ ยาลยั ธรุ กจิ บณั ฑติ ย์
2 ท่ปี รึกษาวิทยานิพนธ์
433
ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา
คณิตศาสตร์เป็นศาสตร์ท่มี ีความสาคญั และจาเป็นอย่างย่ิง แต่เหน็ ได้ว่าจากสภาพการ
เรียนการสอนคณิตศาสตร์ต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่ประสบความสาเร็จเท่าท่ีควร ปัจจัยท่ี
เก่ียวข้องพบว่า นักเรียนขาดการฝึ กทักษะการคิดวิเคราะห์ ส่วนใหญ่เน้นการจามากกว่าความ
เข้าใจ ซ่ึงทาให้นักเรียนไม่เข้าใจโจทย์ วิเคราะห์โจทย์ปัญหาไม่เป็นและไม่รู้ว่าโจทย์ปัญหาแต่ละข้อ
เป็นเร่ืองการบวก หรือ การลบ หรือการคูณ หรือการหาร รวมไปถึงการเขียนประโยคสญั ลักษณ์
ด้วย ซ่ึงเป็นความรู้ท่จี ะต้องนาไปใช้ในการเรียนในระดับท่สี ูงข้ึน จนทาให้นักเรียนขาดพ้ืนฐานท่ดี ี
ทาให้การเรียนบทต่อไปไม่เข้าใจเพ่ิมเติมไปอีกจนความไม่เข้าใจสะสมเพ่ิมข้ึนไปเร่ือยๆ จน
กลายเป็นความไม่เข้าใจซา้ ซ้อนท่ีแก้ไขได้ยาก เพราะเม่ือถามนักเรียนว่าไม่เข้าใจตรงไหน หรือ
เร่ืองอะไร นักเรียนจะตอบไม่ได้หรืออาจจะตอบว่า “ไม่เข้าใจท้งั หมด” เพราะนักเรียนมีส่ิงท่ีไม่
เข้าใจสะสมอยู่เป็นจานวนมาก จนไม่ทราบว่าตนเองไม่เข้าใจอะไรบ้าง ซ่ึงสาเหตุส่วนหน่ึงกค็ ือ
การจัดการเรียนรู้ของครูท่ียังมีรูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีไม่หลากหลาย และเอ้ือต่อการฝึ ก
ทกั ษะกระบวนการคิดให้แก่นักเรียนเท่าท่คี วร และอีกสาเหตุหน่ึงท่สี าคัญ กค็ ือ นักเรียนมีเจตคติ
ท่ไี ม่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ กล่าวคือ นักเรียนส่วนใหญ่ไม่ชอบเรียนคณิตศาสตร์ เพราะคิดว่าเป็น
วิชาท่ีมีเน้ือหายาก เรียนแล้วเข้าใจยาก เรียนแล้วเครียด เรียนแล้วไม่สนุก น่าเบ่ือ กิจกรรมการ
เรียนรู้ไม่น่าวนใจ และมีแบบฝึกหัดและแบบทดสอบให้ทาเยอะ และยากเป็นต้น (ศักด์ิชาย ขวัญ
สนิ , 2558 น. 3)
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ให้กับนักเรียนน้ันมีเป้ าหมายท่ี
สาคัญ คือ ให้นักเรียนรู้จักวิธีการคิด และทักษะในการแก้ปัญหาเก่ียวกับคณิตศาสตร์ใน
ชีวิตประจาวันได้ (Howard และ Dumas, 1963 อ้างถึงใน กรมวิชาการ, 2541) และความเจริญ
ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ต้องอาศัยความรู้ทางคณิตศาสตร์เป็นการวางพ้ืนฐาน โดยเฉพาะ
พ้ืนฐาน การแก้โจทยป์ ัญหา (ดาริ บุญชู.2545 : 2 )
จากประสบการณ์ในการสอนคณิตศาสตร์ ผู้วิจัยให้ความสาคัญกับวิชาคณิตศาสตร์
ด้วยความรู้ และประสบการณ์ท่เี คยสอนวิชาคณิตศาสตร์มาเป็นเวลาสามปี ได้พบว่าผู้เรียนในทุก
ระดับช่วงช้ันมีปัญหาในด้านการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์คือ ผู้เรียนจะทาแบบฝึ กหัดท่ีมี
ลักษณะเหมอื นตัวอย่างได้ แต่จะทาโจทยป์ ัญหาท่พี ลิกแพลงจากตัวอย่างไม่ได้ จึงทาให้ผู้เรียนเกดิ
ทศั นคติท่ไี ม่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์เกิดความท้อแท้และเบ่ือหน่ายไม่อยากจะเรียนวิชาคณิตศาสตร์
นักเรียนในบางช่วงช้ันไม่ได้ศึกษาหาความรู้และเรียนรู้คณิตศาสตร์ด้วยชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์
โดยการคิดวิเคราะห์หรือมีพ้ืนฐานมาก่อน จึงทาให้การจัดกระบวนการเรียนการสอนในวิ ชา
คณิตศาสตร์ไม่เป็นไปตามข้ันตอนขาดความต่อเน่ือง ไม่ถึงเกณฑ์การจัดกระบวนการเรียนการ
สอนในวิชาน้ีดังเช่น ในปี การศึกษา 2561 ภาคเรียนท่ี 1 จากการทดสอบความรู้พ้ืนฐานเก่ียวกับ
คณิตศาสตร์โดยใช้ข้อสอบท่ีผู้วิจัยจัดทาข้ึน พบว่านักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 มีคะแนนไม่ถึง
เกณฑร์ ้อยละ 60 ซ่ึงเป็นผลท่ไี ม่น่าพอใจ
434
การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) เป็ นแนวคิดริเร่ิมของ Spencer
Kagan และ David และ Roger Johnson ซ่ึงการเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นมักพบเหน็ ได้ในช้ันเรียน
ท่ัวไปและยังมีประสิทธิภาพในช้ันเรียนดังท่ีจอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson and Johnson,
1991, p. 10-15) กล่าวถึงลักษณะสาคัญของการเรียนแบบร่วมมือไว้ 5 ประการ ดังน้ี 1) การ
สร้างความรู้สึกพ่ึงพากันทางบวกให้เกิดข้ึนในกลุ่มนักเรียน 2) การมีปฏิสัมพันธ์ท่ีส่งเสริมกัน
ระหว่างนักเรียน 3) ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละบุคคล 4) ทกั ษะระหว่างบุคคลและทกั ษะ
การทางานกลุ่มย่อย 5) กระบวนการกลุ่ม
การเรียนรู้แบบร่วมมือแบบหน่ึงท่นี ่าสนใจ คือ เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ กลุ่ม คู่
เด่ียว (Team – Pair –Solo) มีรากฐานมาจากแนวคิดการสร้ างองค์ความรู้ด้ วยตนเอง
(Constructionism) ของ Vygotsky (1978) โดยแนวความคิดน้ีสามารถแบ่งออกเป็นส่วนสาคัญ
2 ส่วน ได้แก่ 1) การพัฒนากระบวนการรับรู้ แบ่งออกเป็น 2 ระดับ ได้แก่ ระดับทางสงั คม คือ
การเรียนรู้ระหว่างกลุ่มคน และระดับบุคคล คือ การเรียนรู้ด้วยตนเอง 2) แนวความคิดผู้ท่ีมี
ความรู้มากกว่า คอื ผู้ท่มี คี วามรู้ความสามารถมากกว่าผู้อ่นื ในกลุ่มหรือสงั คมไม่จากดั แค่ครูผู้สอน
หรือผู้ท่อี าวุโสกว่า แต่รวมไปถึงเพ่ือนและผู้ท่อี าวุโสน้อยกว่า
Kagan (1994) ได้นาแนวของ Vygotsky มาต่อยอดโดยให้ความสาคัญกับสอง
ประเดน็ หลัก คือ 1) ทาอย่างไรให้ผู้มคี วามรู้มากกว่า และผู้มคี วามรู้น้อยกว่า สามารถเรียนรู้ และ
พัฒนาร่วมมือกันอย่างมีประสิทธภิ าพ และ 2) ทาอย่างไรให้สามารถแบ่งการเรียนรู้ออกเป็นสอง
ระดับสาคัญคือ ระดับทางสังคม และระดับบุคคล จากสองประเด็นดังกล่าว Kagan จึงเกิด
แนวความคิด เทคนิคการเรียนรู้แบบ กลุ่ม คู่ เด่ียว (Team – Pair – Solo) โดยแบ่งการเรียนรู้
เป็น 3 ระดบั ได้แก่
1. ระดับกลุ่ม (Team) ผู้เรียนท่ีมีความสามารถมากกว่าสามารถร่วมมือเรียน และ
ช่วยเหลือผู้เรียนท่มี คี วามสามารถน้อยกว่า
2. ระดับคู่ (Pair) ผู้เรียนสามารถมีส่วนร่วมได้มากข้ึนและสามารถใช้ความรู้ท่ไี ด้จาก
การเรียนระดบั กลุ่ม มาต่อยอด
3. ระดับเด่ียว (Solo) หลังจากท่ผี ู้เรียนได้ผ่านการเรียนรู้จากระดับกลุ่ม และระดับคู่
ทาให้ผู้เรียนพัฒนาศักยภาพในการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นผู้วิจัยจึงสนใจการเรียนคณิตศาสตร์โดยเฉพาะเร่ือง การแก้
โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และนาการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่ม-คู่-เด่ียว (Team – Pair
- Solo) มาใช้กบั นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 เพ่ือท่จี ะช่วยทาให้นักเรียนมีความสามารถในการ
แก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ดีข้ึน และเพ่ือเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน
ให้มีคุณภาพและ มีประสทิ ธภิ าพย่งิ ข้นึ
435
วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั
1. เพ่ือพัฒนาความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค
กลุ่ม – คู่ – เด่ยี ว ( Team – Pair –Solo ) สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5
2. เพ่ือศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 โดยใช้เทคนิค
กลุ่ม – คู่ – เด่ยี ว ( Team – Pair –Solo )
3. เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา
ปี ท่ี 5 โดยใช้เทคนิคกลุ่ม – คู่ – เด่ยี ว ( Team – Pair –Solo )
4. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิค
กลุ่ม – คู่ – เด่ยี ว ( Team – Pair –Solo )
สมมติฐานการวิจยั
1. นักเรียนสามารถแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิคกลุ่ม – คู่ – เด่ียว
( Team – Pair –Solo ) มีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ของคะแนนเตม็
2. นักเรียนมพี ฤติกรรมการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคกลุ่ม – คู่ – เด่ยี ว ( Team – Pair –
Solo) อยู่ในระดบั ดี
3. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 หลัง
เรียนสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติท่รี ะดบั .05
4. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิคกลุ่ม – คู่ –
เด่ยี ว ( Team – Pair –Solo ) อยู่ในระดบั มาก
ขอบเขตของการวิจยั
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากร ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนกสิณธรเซนต์ปี เตอร์
อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 จานวน 3 ห้องเรียน รวม 58 คน
กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5/1 โรงเรียนกสิณธรเซนต์ปี
เตอร์ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 จานวน 1 ห้องเรียน 27 คน เป็น
ห้องเรียนสายวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ ซ่ึงได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive
Sampling)
ตัวแปรในการวิจัย
ตัวแปรต้น ได้แก่ การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่ม คู่ เด่ียว (Team - Pair -
Solo)
436
ตวั แปรตาม ได้แก่
1. ความสามารถการแก้โจทยป์ ัญหาทางคณติ ศาสตร์
2. พฤตกิ รรมในการเรียนรู้
3. ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาคณิตศาสตร์
4. ความพึงพอใจต่อการเรียนรู้วิชาคณติ ศาสตร์ โดยใช้เทคนิค กลุ่ม – คู่ – เด่ียว
( Team – Pair –Solo )
ขอบเขตด้านเน้ือหา
เน้ือหาท่ใี ช้ในการวิจัยคร้ังน้ีคือ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 หลักการนับเบ้ืองต้น กลุ่มสาระ
การเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 ตามตัวช้ีวัดหลักสูตรแกนกลาง 2551 (ฉบับ
ปรับปรุง 2560)
ระยะเวลาในการทาวิจัย
การวิจัยคร้ังน้ีดาเนินการในภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 จานวน 16 ช่ัวโมง
เครือ่ งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เร่ือง หลักการนับเบ้ืองต้น โดยใช้เทคนิค
กลุ่ม – คู่ – เด่ยี ว (Team - Pair - Solo)
2. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการเรียนรู้วิชาคณติ ศาสตร์โดยใช้เทคนิคกลุ่ม – คู่ – เด่ยี ว
(Team - Pair - Solo)
3. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาคณติ ศาสตร์ เร่ือง หลักการนับเบ้ืองต้น
4. แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนรู้วิชาคณติ ศาสตร์โดยใช้เทคนิคกลุ่ม-คู่-
เด่ยี ว (Team - Pair - Solo)
การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
วิธดี าเนินการวิจัย การพัฒนาความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณติ ศาสตร์โดยใช้
เทคนิคกลุ่ม-คู่-เด่ยี ว สาหรับนาเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่5ี โรงเรียนกสณิ ธรเซนต์ปี เตอร์
จานวนนักเรียน 27 คน มวี ิธดี าเนินการวิจัย ดงั น้ี
1. ช้ีแจงวัตถุประสงค์ ข้ันตอน และรายละเอียดการเรียนแก่นักเรียนเก่ียวกับการ
เรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เร่ือง การพัฒนาความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้
เทคนิคกลุ่ม – คู่ – เด่ยี ว (Team – Pair –Solo) สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5
2. ทดสอบวัดความรู้ก่อนเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียนกอ่ นเรียน เร่ือง หลักการนับเบ้ืองต้น กบั นักเรียนกลุ่มตัวอย่าง จานวน 20 ข้อ บันทกึ ผลการ
สอบไว้สาหรับวิเคราะห์ข้อมูล
437
3. ดาเนินการสอนวิชาคณติ ศาสตร์ โดยใช้เทคนิคกลุ่ม – คู่ – เด่ยี ว (Team – Pair –
Solo) เร่ือง หลักการนับเบ้ืองต้น จานวน 5 แผน จานวน 16 ช่ัวโมงในการเรียนรู้ทุกๆแผน ผู้วิจัย
ได้ใช้เทคนิคกลุ่ม – คู่ – เด่ียว โดยฝี กจากปัญหาเดียวกันในแต่ละแบบฝึ กเพ่ือดูคะแนนกลุ่ม
คะแนนคู่และคะแนนเดียว ศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ และทดสอบเป็นรายบุคคล ท่ผี ู้วิจัยสร้าง
ข้นึ จนครบ
4. หลังจากสอนครบทุกแผนแล้วทาการทดสอบวัดความรู้หลังเรียน(Posttest) คือโดย
ใช้แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนหลังเรียน (posttest) เร่ือง หลักการนับเบ้ืองต้น จานวน
20 ข้อ ซ่ึงเป็ นแบบทดสอบคู่ขนาน บันทึกผลการสอบไว้เป็ นคะแนนหลังการทดลองสาหรับ
วิเคราะห์ข้อมูล
5. ให้นักเรียนทาแบบสอบถามความพึงพอใจต่อเทคนิคกลุ่ม – คู่ – เด่ียว (Team –
Pair –Solo)
6. เกบ็ รวบรวมข้อมูลท้งั หมดเพ่ือนาไปวิเคราะห์ทางสถิติ
การวิเคราะหข์ อ้ มูล
1. วิเคราะห์ความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางวิชาคณิตศาสตร์เร่ือง หลักการนับ
เบ้ืองต้น สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 โดยใช้เทคนิคกลุ่ม – คู่ – เด่ียว (Team – Pair –
Solo) โดยการหาค่าร้อยละ
2. วิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน โดยใช้เทคนิคกลุ่ม – คู่ – เด่ียว
(Team – Pair –Solo) โดยการหาค่าเฉล่ีย (Mean)
3. วิเคราะห์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เร่ือง หลักการ
นับเบ้ืองต้น สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 โดยใช้เทคนิคกลุ่ม – คู่ – เด่ยี ว (Team – Pair
–Solo)โดยใช้สถิติตรวจสอบสมมตฐิ าน Pair Sample t-test
4. วิเคราะห์ประเมินผลแบบสอบถามความพึงพอใจท่มี ีต่อการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์
โดยใช้เทคนิคกลุ่ม – คู่ – เด่ียว (Team – Pair –Solo) โดยการหาค่าเฉล่ีย (Mean) และ
สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
5. สรุปผลโดยใช้ตารางและการพรรณนาและอภิปรายผล
สรุปผลการวิจยั
1. ความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้เทคนิคกลุ่ม – คู่ – เด่ียว
( Team – Pair –Solo ) ข อ ง นั ก เ รี ย น ช้ั น มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ปี ท่ี 5 พ บ ว่ า นั ก เ รี ย น
มคี ะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ของคะแนนเตม็ มจี านวน 27 คน คิดเป็นร้อยละ 100
2. เพ่ือศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 โดยใช้เทคนิค
กลุ่ม – คู่ – เด่ียว ( Team – Pair –Solo ) พบว่า การเรียนรู้แบบกลุ่ม-คู่-เด่ียว นักเรียนมี
438
ค่าเฉล่ียอยู่ระดับดีมาก คือ การทางานเป็ นกลุ่ม ( ̅=3.60) รองลงมา คือการทางานเป็ นคู่
( ̅=3.35)
3. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปี ท่ี 5 โดยใช้เทคนิคกลุ่ม – คู่ – เด่ียว ( Team – Pair –Solo ) พบว่านักเรียนได้
คะแนนเฉล่ียก่อนเรียน ( ̅=6.59, S.D.= 2.42) ได้คะแนนเฉล่ียหลังเรียน ( ̅=15.22, S.D.=
2.32) และเม่ือทดสอบค่าค่าที (t-test for dependent samples) นักเรียนมีสัมฤทธ์ิทางการเรียน
วิชาคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 (t= 18.90*,
Sig.=0.000) ซ่ึงเป็นไปตามสมมตฐิ านท่ตี ้ังไว้
แบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ิ จานวน ̅ S.D. t Sig.
ทางการเรียน นักเรียน
การทดสอบก่อนเรียน 27 6.59 2.42
18.90* .000
การทดสอบหลังเรียน 27 15.22 2.32
* อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติท่รี ะดับ .05
4. ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิคกลุ่ม – คู่ –
เด่ยี ว ( Team – Pair –Solo ) พบว่า โดยภาพรวมความพึงพอใจอยู่ในระดบั มากท่สี ดุ ( ̅= 4.49
, S.D. = 0.66 ) เม่ือพิจารณาเป็นรายด้านเรียงลาดับจากค่าเฉล่ียมากไปหาน้อย คือ ด้านเทคนิค
กลุ่ม – คู่ – เด่ยี ว ( ̅= 4.70 , S.D. = 0.79 ) ด้านกจิ กรรมการเรียนรู้ ( ̅= 4.46 , S.D. = 0.60
) และด้านครูผู้สอน ( ̅= 4.46 , S.D. = 0.59 )
อภิปรายผล
ผลการวิจัยเร่ือง การพัฒนาความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้
เทคนิคกลุ่ม-คู่-เด่ียว (Team-Pair-Solo) สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 อภิปรายผลได้
ดังน้ี
ตอนท่ี 1 ความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้เทคนิคกลุ่ม – คู่ –
เด่ียว ( Team – Pair –Solo ) – ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 จานวน 27 คน พบว่า
นักเรียนมคี ะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ของคะแนนเตม็ มจี านวน 27 คน คิดเป็นร้อยละ 100
การท่นี ักเรียนได้คะแนนผ่านเกณฑท์ ุกคน เน่ืองจาก เกดิ จากการเรียนรู้ การทางานเป็น
กลุ่ม ซ่ึงนักเรียนแต่ละกลุ่ม กลุ่มละ 4 – 5 คน ทาคะแนนได้ค่อนข้างสูง จากคะแนนเตม็ 50
คะแนน นักเรียนมีคะแนน 35 เป็นคะแนนต่าสุด คะแนนสูงสุด 45 คะแนน เม่ือให้นักเรียนจับ
เป็นคู่ จากกลุ่มเดิม นักเรียนบางคู่ได้คะแนนน้อยจากคะแนนเตม็ 50 คะแนน นักเรียนมีคะแนน
31 เป็นคะแนนต่าสดุ คะแนนสูงสดุ 42 คะแนน ซ่ึงในแบบทดสอบคร้ังท่ี 3 และคร้ังท่ี 4 ซ่ึงอาจ
เป็นเร่ืองยาก คร้ังท่ี 3 เร่ือง การเรียงสบั เปล่ียนเชิงเส้นของส่งิ ของท่ไี ม่แตกต่างกันท้งั หมด คร้ังท่ี
439
4 เร่ือง การเรียงสับเปล่ียนเชิงวงกลมของส่ิงของท่ีแตกต่างกันท้ังหมด แต่เม่ือนักเรียนทา
แบบทดสอบรายบุคคลในแต่ละคร้ังมีคะแนนเพ่ิมข้ึน มีนักเรียนจานวน 1 - 2 คนได้คะแนนน้อย
ในคร้ังท่ี 3 และคร้ังท่ี 4 แต่ส่วนใหญ่มีคะแนนเกนิ คร่ึง แสดงว่า การเรียนรู้โดยใช้เทคนิคกลุ่ม-
คู่-เด่ียวสามารถพัฒนาการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้ เพราะส่วนใหญ่คะแนนจาก กลุ่ม
มา คู่ และเด่ยี ว บางคนคะแนนเพ่ิมข้นึ บางคนคะแนนคงท่ี และมบี างคนคะแนนลดลง แต่คะแนน
ลดลงไม่มาก แสดงถึง การเรียนในลักษณะน้ีเป็ นประโยชน์กับนักเรียนดังท่ี อัมพร ม้าคะนอง
(2546 , น. 8 ) กล่าวถึงหลักการสอนคณิตศาสตร์ท่สี าคัญ สอนโดยใช้การฝึกหัด ให้ผู้เรียนเกิด
ประสบการณใ์ นการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ท้งั การฝึกรายบุคคล ฝึกเป็นกลุ่ม การฝึกทกั ษะย่อย
ทางคณิตศาสตร์และการฝึกทกั ษะรวม เพ่ือแก้ปัญหาท่ซี ับซ้อนมากข้ึน สอดคล้องกบั กรมวิชาการ
(2541: 2-3) สรุปองค์ประกอบท่ีจาเป็นในการแก้โจทย์ปัญหาได้แก่ ผู้แก้ปัญหาควรมองทะลุ
ปัญหา มีความคิดกว้างไกลและมองเหน็ แนวทางในการแก้ปัญหา มีจินตนาการว่าปัญหาน้ันเป็น
อย่างไร เพ่ือหาแนวทางในการแก้ปัญหา ต้องลงมือทาอย่างเป็ นระบบด้วยความชานาญ มี
ความรู้สกึ ท้าทายท่จี ะแก้ปัญหาแปลกๆ ใหม่ๆ รู้จักวิเคราะห์ตามข้ันตอนท่กี ระทาน้ัน เม่ือกระทา
เห็นรูปแบบแล้วกส็ ามารถสรุปได้ มีความยืดหยุ่น ไม่ยึดติดรูปแบบท่ีตนคุ้นเคย ควรยอมรับ
รูปแบบอ่นื ๆ และวิธกี ารใหม่ มีโยงความคิด การสัมพันธ์ความคิดเป็นเร่ืองจาเป็นอย่างย่ิงในการ
แก้ปัญหา สอดคล้องกับงานวิจัยของ เพลินพิศ กาสลัก (2553)ได้สร้างแบบทดลองการฝึ ก
ความสามารถในการแก้ปัญหาโจทย์คณติ ศาสตร์ เร่ืองการหาปริมาตรและพ้ืนท่ผี ิว สาหรับนักเรียน
ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 ผลการวิจัยพบว่า แบบทดสอบท่ใี ช้ในการฝึกความสามารถในการแก้ปัญหา
โจทย์คณิตศาสตร์เร่ืองการหาปริมาตรและพ้ืนท่ีผิวมีประสทิ ธิภาพทาให้นักเรียนมีการพัฒนาการ
เรียนรู้ และมีความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์มากข้ึนกว่าเดิม และพัชรินทร์ ทติ ะ
ยา (2561) ศึกษาเร่ือง การพัฒนาความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้
กระบวนการแก้ปัญหาของ โพลยาร่วมกบั การเรียนรู้แบบร่วมมือ TAI ของนักเรียนประถมศึกษาปี
ท่ี 6 ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์โดยใช้
กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกบั การเรียนรู้แบบร่วมมือTAI นักเรียนทุกคนมีคะแนนไม่
ต่ากว่าร้อยละ 80 ผ่านเกณฑ์ 2) ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ มีคะแนนหลังเรียนสูง
กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการ
เรียนรู้โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ TAI โดย
ภาพรวมอยู่ในระดับมากท่สี ดุ กนั ตก์ นิษฐ์ พลพิพัฒน์ (2560) การศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
และทกั ษะการแก้โจทย์ปัญหา คณิตศาสตร์ของนักเรียนโดยใช้กลวิธีSTAR ผลการวิจัยพบว่า 1)
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียน เร่ือง การแก้โจทย์ปัญหา คณิตศาสตร์โดยใช้กลวิธีSTAR สงู
กว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 2)ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของ
นักเรียน เร่ืองการแก้โจทย์คณิตศาสตร์โดยใช้กลวิธีSTAR หลังการจัด การเรียนรู้สงู กว่าก่อนการ
จัดเรียนรู้อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติทรี ะดับ .05 3) ทกั ษะ การแก้โจทย์ปัญหาหาคณิตศาสตร์ของ
440
นักเรียน เร่ือง การแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์โดยใช้กลวิธี STAR หลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่า
ก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติท่รี ะดับ .05
ตอนท่ี 2 ผลการศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคกลุ่ม – คู่ – เด่ียว (Team
– Pair – Solo) พบว่า การเรียนรู้แบบกลุ่ม-คู่-เด่ียว นักเรียนมีค่าเฉล่ียอยู่ระดับดีมากคือ การ
ทางานเป็ นกลุ่ม รองลงมา คือการทางานเป็ นคู่ การเรียนรู้แบบกลุ่ม-คู่-เด่ียว นักเรียนมี
พฤติกรรมโดยภาพรวม อยู่ในระดับดี มีค่าเฉล่ีย 3.43 เม่ือพิจารณาเป็ นรายข้อการให้ความ
ร่วมมอื อยู่ในระดับดีมาก ( ̅= 3.57) ข้ออ่นื ๆ อยู่ในระดับดี เรียงลาดับค่าเฉล่ียมากไปหาน้อย มี
ความต้ังใจในการทางาน ( ̅= 3.42) การตรงต่อเวลา ( ̅= 3.40) การยอมรับฟังความคิดเหน็
( ̅= 3.39) ความรับผิดชอบต่อหน้าท่ี ( ̅= 3.39) ตามลาดับ จะเหน็ ได้ว่า การท่นี ักเรียน เรียน
เป็นกลุ่มจะเรียนได้ดี เพราะ มีการช่วยเหลือซ่ึงกัน มีความต้ังใจในการทางาน ให้ความร่วมมือ
การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่ืน ความรับผิดชอบต่อหน้าท่ี การตรงต่อเวลา หรือแม้การ
ทางานเป็นคู่กม็ ีค่าเฉล่ียไม่แตกต่างจากกลุ่ม คือ มีระดับดีมากถึงดี ส่วนการทางานเป็นรายบุคคล
จะอยู่ในระดับดีเป็นส่วนใหญ่ มีจานวน 18 คน คดิ เป็นร้อยละ 66.67 ดงั น้ัน การเรียนรู้แบบร่วม
กลุ่ม-คู่ ช่วยพัฒนาการเรียนรู้เป็นรายบุคคลได้ด้วย ดังท่ี Kagan (1994, p. 1-11) ได้นาแนว
ของ Vygotsky มาต่อยอดโดยให้ความสาคัญกับสองประเดน็ หลัก คือ 1) ระดับกลุ่ม (Team)
ผู้เรียนท่มี ีความสามารถมากกว่าสามารถร่วมมือเรียน และช่วยเหลือผู้เรียนท่มี ีความสามารถน้อย
กว่า 2) ระดับคู่ (Pair) ผู้เรียนสามารถมีส่วนร่วมได้มากข้ึนและสามารถใช้ความรู้ท่ีได้จากการ
เรียนระดับกลุ่ม มาต่อยอด 3)ระดับเด่ียว (Solo) หลังจากท่ผี ู้เรียนได้ผ่านการเรียนรู้จากระดับ
กลุ่ม และระดับคู่ ทาให้ผู้เรียนพัฒนาศักยภาพในการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
ตอนท่ี 3 ผลการศึกษาสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปี ท่ี 5 พบว่า นักเรียนได้คะแนนเฉล่ียก่อนเรียนเท่ากบั 6.59 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน
เทา่ กบั 2.42 ได้คะแนนเฉล่ียหลังเรียน เทา่ กบั 15.22 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเทา่ กบั 2.32 และ
เม่อื ทดสอบค่าที (t-test for dependent samples) นักเรียนมีสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาคณิตศาสตร์
หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 (t= 18.90*, Sig.=0.000) ซ่ึง
เป็นไปตามสมมตฐิ านท่ตี ้ังไว้
จากการท่นี ักเรียนได้ฝึ กฝนโดยการเรียนรู้แบบร่วมมือและได้ทาแบบทดสอบวัดผล
สัมฤทธ์ิทางการเรียนมีคะแนนสูงข้ึน ต้ังแต่ 5 คะแนน จนถึง 13 คะแนน ถือว่าเป็นการพัฒนา
ความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนได้เพ่ิมข้ึน ซ่ึงสอดคล้องกบั งานวิจัย
ของ พัชรินทร์ ทิตะยา (2561) ศึกษาเร่ือง การพัฒนาความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทาง
คณิตศาสตร์โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาของ โพลยาร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ TAI ของ
นักเรียนประถมศึกษาปี ท่ี 6 ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ มีคะแนน
หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 พจนา เบญจมาศ (2558) ได้
ศึกษา การพัฒนาแบบฝึ กทกั ษะวิชาคณิตศาสตร์ โดยการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TAI กลุ่ม
441
สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1ผลการวิจัยพบว่า การเรียนรู้
คณิตศาสตร์ เร่ืองสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สาหรับ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .01 และจันทร์
เพญ็ เมืองสง (2558) ได้ศึกษา ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธแี บบกลุ่มร่วมมือเทคนิค
STAD กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์เร่ือง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่1ี
ผลการวิจัยพบว่า การศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตร์เร่ือง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดยี ว
ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี1 ก่อนเรียนและหลังเรียนได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคSTAD
แตกต่างกนั อย่างมนี ัยสาคญั ท่ี .05 โดยผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนหลังเรียนสงู กว่า ก่อนเรียน
ตอนท่ี 4 ระดับความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 ท่มี ีต่อความสามารถ
ในการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิคกลุ่ม – คู่ – เด่ียว ( Team – Pair –Solo ) พบว่า
โดยภาพรวมความพึงพอใจอยู่ในระดับมากท่สี ุด ( ̅= 4.49 , S.D. = 0.66 ) เม่ือพิจารณาเป็น
รายด้านเรียงลาดับจากค่าเฉล่ียมากไปหาน้อย คือ ด้านเทคนิคกลุ่ม – คู่ – เด่ียว ( ̅= 4.70 ,
̅= 0.79 ) ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ ( ̅= 4.46 , ̅= 0.60 ) และด้านครูผู้สอน ( ̅= 4.46 ,
̅= 0.59 )จะเหน็ ได้ว่า นักเรียนมคี วามคิดเหน็ เก่ียวกบั เทคนิคกลุ่ม-คู่-เด่ียวมคี ่าเฉล่ียค่อนข้าง
สงู กว่าด้านอ่นื ๆ เพราะเทคนิคน้ีช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกบั ผู้อ่นื มีความกระตือรือร้นในการ
เรียนรู้มากข้ึน เกดิ ความสนุกสนานในการเรียนรู้ ช่วยให้เข้าใจบทเรียนได้เรว็ ข้ึนและเข้าใจง่ายข้ึน
ด้านกจิ กรรมการเรียนรู้ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกจิ กรรมเรียนรู้อย่างเตม็ ท่ี กจิ กรรมการเรียนรู้มีความ
น่าสนใจ ด้านผู้สอน เปิ ดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถาม แต่วิธีการสอนของครูท่ีทาให้เข้าใจง่ายมี
ค่าเฉล่ียต่าสดุ สอดคล้องกบั งานวิจัยของ พจนา เบญจมาศ (2558) ได้ศึกษา การพัฒนาแบบฝึก
ทกั ษะวิชาคณิตศาสตร์ โดยการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TAI กลุ่มสาระการเรียนรู้คณติ ศาสตร์
สาหรับนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 ผลการวิจัยพบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา
ปี ท่ี 1 ท่มี ีต่อการเรียนด้วยแบบฝึ กทกั ษะวิชาคณิตศาสตร์ เร่ือง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดย
การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาช้ันปี ท่ี 1 โดยภาพรวมอยู่ใน
ระดับมากท่ีสุด พัชรินทร์ ทิตะยา (2561) ศึกษาเร่ือง การพัฒนาความสามารถการแก้โจทย์
ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาของ โพลยาร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ
TAI ของนักเรียนประถมศึกษาปี ท่ี 6 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการ
เรียนรู้โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ TAI โดย
ภาพรวมอยู่ในระดบั มากท่สี ดุ
ขอ้ คน้ พบในงานวิจยั
1. การจัดการเรียนรู้การแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้เทคนิคกลุ่ม-คู่-เด่ียว
ทาให้นักเรียนทุกคนมคี วามสามารถในการแก้โจทยป์ ัญหาได้ดขี ้นึ พิจารณาจากคะแนนแบบวัดผล
สมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสงู กว่าก่อนเรียน เน่ืองจากการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่ม-คู่-
442
เด่ยี วน้ันทาให้นักเรียนแต่ละคนท่มี ีความสามารถในการเรียนรู้ท่แี ตกต่างกนั คนเกง่ ได้ช่วยเหลือคน
ท่ไี ม่เก่งเป็นการช่วยเหลือซ่ึงกันและกนั จนทาให้นักเรียนท่ไี ม่เก่งมีความพยายามเพ่ิมมากข้ึน ผล
ท่เี หน็ ได้ชัดคอื คะแนนความสามารถในแต่ละคร้ังมกี ารพัฒนาเพ่ิมข้นึ
2. การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่ม-คู่-เด่ียว ทาให้นักเรียนเกดิ ความสนุกสนานใน
การเรียนเพ่ิมข้ึน และ ยังช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในการเรียนรู้ ไม่รู้สึกเบ่ือกับการ
เรียน ยังเป็ นการช่วยให้ผู้เรียนมีความต้ังใจ ในการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ท่ีเป็ นวิชาท่ียาก
โดยเฉพาะคณิตศาสตร์อันดับสูง การได้เรียนเป็นกลุ่มทาให้นักเรียนได้รับผิดชอบต่อหน้าท่ี ฟัง
ความคิดเหน็ ของเพ่ือนในกลุ่มส่วนใหญ่ ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะไม่เหน็ ด้วยกบั คาตอบของเพ่ือนใน
กลุ่มกต็ ามแต่อย่างไรกด็ ี ครูกต็ ้องให้คาแนะนาหรือเป็นท่ปี รึกษาในบางเร่ือง เพ่ือให้งานของบาง
กลุ่มบรรลุเป้ าหมาย
ขอ้ เสนอแนะการวิจยั
1.ข้อเสนอแนะสาหรับการนาไปใช้
1.1 ผู้สอนควรศึกษาและทาความเข้าใจเก่ียวกบั การเรียนรู้เทคนิคกลุ่ม-คู่-เด่ียว
อย่างชัดเจน เพ่ือนาไปใช้ในการสอน
1.2 ผู้สอนควรกาหนดเวลาให้ เหมาะสมสาหรับการทาแบบฝึ กหัดและ
แบบทดสอบ
1.3 ผู้สอนควรเตรียมความพร้อมล่วงหน้าทุกๆคร้ัง เพ่ือให้การดาเนินกจิ กรรม
เป็นไปอย่างราบร่ืน เช่น การจัดเตรียมห้องเรียนให้เหมาะสมกบั การเรียนแบบกลุ่ม
1.4 ควรสร้างโจทย์ปัญหาให้มีความหลากหลาย หรืออาจปรับให้สอดคล้องกบั
ชีวิตประจาวัน
2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยคร้ังต่อไป
2.1 ควรทาการวิจัยเก่ียวกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคกลุ่ม-คู่-เด่ียวใน
ระดับช้ันอ่นื ๆ
2.2 ควรมีการนาการจัดการเรียนรู้แบบเทคนิคกลุ่ม-คู่-เด่ียว ไปปรับใช้กบั สาระ
การเรียนรู้อ่นื ๆ เช่น ภาษาไทย วิทยาศาสตร์ สงั คมศึกษา ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นต้น
443
บรรณานุกรม
กรมวิชาการ. (2541). การพฒั นาสื่อการเรียนการสอน เอกสารส่งเสริมการปฏิบตั ิตาม
หลกั สูตร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว กรมวิชาการ.
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2541). เอกสารเสริมความรูค้ ณิตศาสตรร์ ะดบั ระถม
ศึกษา อนั ดบั ที่ 9 เรือ่ ง การปัญหาเชิงสรา้ งสรรค.์ กรุงเทพฯ : กรมวิชาการ.
กันต์กนิษฐ์ พลพิพัฒน์.(2560). การศึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนและทกั ษะการแกโ้ จทย์
ปัญหาคณิตศาสตร์ของนกั เรียนโดยใช้กลวิธี STAR . วิทยานิพนธ์การศึกษา
มหาบัณฑติ หลักสตู รและการสอน มหาวิทยาลัยราไพพรรณ.ี
จันทร์เพญ็ เมืองสง. (2558). ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรูโ้ ดยใชว้ ิธีแบบกล่มุ ร่วมมือ เทคนคิ
STAD กลุ่มสาระการเรียนรูค้ ณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเสน้ ตวั แปรเดียว ช้นั
มธั ยมศึกษาที่ 1 สาขาคณิตศาสตร์ศึกษา มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
ดาริ บุญชู. (2545). การจดั ทาแผนพฒั นาคุณภาพการศึกษา. กรุงเทพฯ : ชวนพิมพ์.
พจนา เบญจมาศ. (2558). การพฒั นาแบบฝึ กหัดวิชาคณิตศาสตร์ โดยการเรียนรูแ้ บบ
ร่วมมือเทคทิค TAI กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สาหรับนกั เรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปี ที่ 1. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต หลักสูตรและการสอน
มหาวิทยาลัยราชภฏั บุรีรัมย์
พัชรินทร์ ทติ ะยะ (2561). การพฒั นาความสามารถการแกโ้ จทยป์ ัญหาทางคณิตศาสตรโ์ ดย
ใชก้ ระบวนการ แกป้ ัญหาของโพลยาร่วมกบั การเรียนรูแ้ บบร่วมมือ TAI ของ
นักเรียนประถมศึกษาปี ที่ 6 (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ :
มหาวิทยาลัยธรุ กจิ บัณฑติ ย์.
เพลินพิศ กาสลัก.(2542). การสรา้ งแบบทดสอบทีใ่ ชใ้ นการฝึ กความสามารถในการแกป้ ัญหา
โจทย์คณิตศาสตร์ เรื่องการหาปริมาตรและพ้ ืนที่ผิว สาหรับนักเรียนช้ัน
มธั ยมศึกษาปี ที่ 2.สาระนิพนธ์ ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนคริ
นทรวิโรฒ.
ศักด์ิชาย ขวัญสิน. (2558). การพฒั นาชุดฝึ กเสริมทกั ษะการแกโ้ จทยป์ ัญหาคณิตศาสตร์
เรือ่ ง ทกั ษะการแกโ้ จทยป์ ัญหาคณิตศาสตร์ สาหรบั นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 6.
(ออนไลน์)
http://www.thaiedresearch.org/index.php/home/paperview/11/? วั น ท่ี 3
พฤศจิกายน 2562
อัมพร ม้าคนอง. (2546). คณิตศาสตร์: การสอนและการเรียนรู.้ กรุงเทพฯ: ศูนย์ตาราและ
เอกสารทางวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
444
Johnson, D.W., Johnson, R.T. and Smith, K.A. (1991). Cooperative Learning Increasing
College FacultyInstructional Productivity, Higher Education Report No.4.
Washington D.C. : The Geoge Washington University.
Kagan, S. (1994). Cooperative learning. CA : Kagan Publishing.
Vygotsky,L. (1978). Interaction brtween learning and development. From : Mind and
Society.
(pp. 79-91). Cambridge, MA : Harvard University Press.
445
การพฒั นาความสามารถในการแกโ้ จทยป์ ัญหาทางคณิตศาสตรโ์ ดยใช้
อริยสจั 4 สาหรบั นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 2
The Development of Mathematics Problem-Solving Ability by the Four
Noble truths for Mathayomsuksa 2 Students
ขนษิ ฐา ทองดอนเกยี 1
อญั ชลี ทองเอม2
บทคดั ย่อ
การวิจัยเชิงทดลองน้ี มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) ศึกษาความสามารถการแก้โจทย์ปัญหา
ทางคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบอริยสัจ 4 2) ศึกษาผลสมั ฤทธ์ิวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้การ
เรียนรู้แบบอริยสจั 4 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์โดย
ใช้การเรียนรู้แบบอริยสจั 4 กลุ่มเป้ าหมาย ท่ใี ช้ในงานวิจัยคร้ังน้ี คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี
2 ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๑๐๔ (บ้านทุ่งกระถิน) อาเภอจอมบึง
จังหวัดราชบุรี จานวน 23 คน เคร่ืองมือในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชา
คณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบอริยสัจ 4 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบ
อริยสัจ 4 สถิติท่ใี ช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และ
Paired t-test
ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนท่ีมีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ของคะแนนเตม็ ผ่าน
เกณฑ์ จานวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 82.61 และนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 4 คน คิดเป็น
ร้อยละ 17.39 2) นักเรียนมีความรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ
.05 (t = 20.87, sig = 0.000) 3) นักเรียนมีความพึงพอใจภาพรวมต่อการเรียนรู้วิชา
คณติ ศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบอริยสจั 4 อยู่ในระดบั มากท่สี ดุ ( ̅ = 4.57, S.D. = 0.62)
คาสาคัญ: ความสามารถในการแก้โจทยป์ ัญหา, อริยสจั 4, วิชาคณิตศาสตร์, ช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 2
1 นกั ศึกษาหลักสตู ร ศึกษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาหลกั สตู รและการสอน วทิ ยาลยั ครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัย
ธรุ กจิ บณั ฑติ ย์
2 ท่ปี รกึ ษาวิทยานิพนธ์
446
ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2)
พุทธศักราช 2545 และ (ฉบับท่ี 3) พุทธศักราช 2553 หมวด 4 แนวการจัดการศึกษา มาตรา
22 ได้กล่าวว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้พัฒนาตนเอง
ได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญท่ีสุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถ
พัฒนาตามธรรมชาตแิ ละเตม็ ศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธกิ าร : 2551)
ในการจัดการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ซ่ึงมีบทบาทสาคัญย่ิงต่อการพัฒนา
ความคิดมนุษย์ ทาให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็ นระบบ มีแบบแผน
สามารถวิเคราะห์ปั ญหาหรื อสถานการณ์ได้ อย่า งถ่ีถ้ วนรอบคอบช่ ว ยให้ คาดการณ์วา งแ ผน
ตัดสนิ ใจแก้ปัญหาและนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้อย่างถูกต้องเหมาะสม (กระทรวงศึกษาธิการ:
2552 ) นอกจากน้ีคณิตศาสตร์ยังเป็ นเคร่ืองมือในการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และ
ศาสตร์อ่ืนๆ คณิตศาสตร์จึงมีประโยชน์ต่อการดาเนินชีวิตช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีข้ึนและ
สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุข ในการสอนคณิตศาสตร์จึงมุ่งให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ส่ิง
ต่างๆ อย่างมีความหมายด้วยความเข้าใจ ฝึ กฝนจนเกิดทกั ษะจนเกิดความคล่องแคล่ว แม่นยา
รวดเรว็ พัฒนาทางการคดิ อย่างมเี หตุผล ใช้วิธกี ารท่หี ลากหลายในการแก้ปัญหา ใช้ความรู้ ทกั ษะ
กระบวนการทางคณิตศาสตร์และเทคโนโลยีในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่าง
เหมาะสมให้เหตุผลประกอบการตัดสินใจและสรุปผลได้อย่างเหมาะสม ใช้ภาษาและสัญลักษณ์
ทางคณิตศาสตร์ในการส่อื สาร การส่ือความหมายและการนาเสนอได้ถูกต้องเหมาะสมและชัดเจน
เช่ือมโยงกบั ศาสตร์อ่นื ๆ และมคี วามคิดริเริมสร้างสรรค์ (กระทรวงศึกษาธกิ าร : 2552)
ผู้วิจัยจึงตระหนักถึงการเรียนการสอนต้องเปิ ดโอกาสให้ผู้เรียนได้คิดแก้ปัญหาด้วย
ตนเองโดยอิสระ ซ่ึงผู้สอนมีส่วนช่วยในการจัดเน้ือหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความ
สนใจและความถนัดของผู้เรียนโดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และผู้สอนควรทาหน้าท่ี
เป็นท่ปี รึกษา ให้คาแนะนาและช้ีแนะในข้อบกพร่องของผู้เรียน นอกจากน้ันการจัดการเรียนการ
สอนโดยให้ผู้เรียนเรียนรู้ร่วมกนั เป็นกลุ่ม มีการร่วมคิด ร่วมกนั แก้ปัญหา ปรึกษาหารือ อภิปราย
และแสดงความคิดเห็นด้วยเหตุผลซ่ึงกันและกัน จะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาท้ังความรู้ ทักษะ
กระบวนการคดิ และมีประสบการณม์ ากข้ึน (สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.
2545 : 187-188) นอกจากน้ีวิธกี ารสอนท่เี หมาะสมกบั สภาพการจัดการศึกษาของประเทศไทย
ซ่ึงตามปกตใิ นวงการของวิชาการศึกษาหรือวิชาศึกษาศาสตร์น้ัน มคี วามเข้าใจกนั มานานแล้วว่าถ้า
มนุษย์ใช้วิธคี ิดอย่างไรแล้วกใ็ ห้นาเอาวิธีคิดของมนุษย์อนั น้ันแหละมาใช้เป็นวิธสี อน ซ่ึงวิธีการคิด
ท่ีเด่นชัด ได้แก่ วิธีคิดแบบอริยสัจ 4 (พระธรรมปิ ฎก (ป.อ.ปยุตโต. 2543 : 24) วิธีคิดแบบ
อริยสจั 4 มหี ลักการสาคัญ คือ การเร่ิมต้นปัญหาหรือกาหนดรู้ ทาความเข้าใจกบั ปัญหาหรือความ
ทุกข์ แล้วสืบค้นหาสาเหตุเพ่ือเตรียมแก้ไขแล้วจึงวางวิธีการปฏิบัติท่ีจะกาจัดสาเหตุของปัญหา
เรียกว่า การคดิ แบบอริยสจั 4 ประกอบด้วยข้นั ตอนสาคัญ คอื ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค
447
จากการศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบอริยสัจ 4 สาโรช บัวศรี (2526, น.3) เป็น
การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ท่เี น้นให้ผู้เรียนได้ฝึกการคดิ แก้ปัญหาอย่างเป็นข้นั ตอน คอื
1) ข้นั ทุกข์หรือข้ันกาหนดปัญหาคอื การระบุปัญหาท่ตี ้องการแก้ไข
2) ข้ันสมุทัยหรือข้ันต้ังสมมติฐาน คือ การวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาและ
ต้งั สมมตฐิ าน
3) ข้ันนิโรธหรือข้ันทดลองและเกบ็ ข้อมูล คือการกาหนดวัตถุประสงค์และวิธีการ
ทดลองเพ่ือพิสจู น์สมมตฐิ านหรือวิธกี ารแก้ปัญหาและเกบ็ รวบรวมข้อมูล
4) ข้นั มรรคหรือข้นั วิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผลของการแก้ปัญหา
จากสภาพปัญหาดังท่กี ล่าวมาข้างต้น สะท้อนให้เหน็ ถึงคุณภาพการจัดการเรียนรู้วิชา
คณิตศาสตร์ท่ีจาเป็ นจะต้องปรับเปล่ียนวิธีการจัดการเรียนการสอนให้เท่าทันยุคสมัย ซ่ึงการ
พัฒนาการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ให้มปี ระสทิ ธภิ าพน้ันรูปแบบท่เี ก่ยี วข้องกบั การเรียนการสอน
คณิตศาสตร์สามารถนามาประยุกตใ์ ช้ในการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ได้ จากการท่ผี ู้วิจัยได้ศึกษา
รูปแบบการจัดการเรียนการสอนหลายรูปแบบได้ เห็นว่ ารูปแบบการเรี ยนการสอนโดยใช้ การ
เรียนรู้แบบอริยสจั 4 มีความน่าสนใจและสามารถนามาปฏบิ ัติและปรับใช้ในกระบวนการจัดการ
เรียนรู้ในห้องเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อกี ท้งั สอดคล้องกับการพัฒนาการเรียนรู้คณิตศาสตร์
ด้วย
ท้งั น้ีผู้วิจัยซ่ึงอยู่ในฐานะครูผู้สอนคณิตศาสตร์ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 จึงมีความสนใจท่ีจะ
ศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์โดยใช้ การเรียนรู้แบบอริยสัจ 4 ท่ีมีผลต่อ
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนความสามารถในการแก้ปัญหา และความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ ของ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 ซ่ึงอยู่ในช่วงวัยท่สี ามารถคิดได้ สามารถนาวิธกี ารแก้ปัญหาท่เี รียน
ไปใช้ในการแก้ปัญหาอ่ืน ๆ และคิดอย่างมีเหตุมีผลมากข้ึน นอกจากน้ียังเป็นการเสริมสร้างให้
ผู้เรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณติ ศาสตร์ ซ่ึงเป็นความสามารถพ้ืนฐานท่สี าคัญย่ิงใน
การเรียนรู้คณิตศาสตร์อันจะเป็ นรากฐานสาคัญท่ีจะส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็ นคนมีเหตุมีผล มี
คุณธรรมจริยธรรม อยู่ร่วมกบั ผู้อ่นื ได้อย่างมคี วามสขุ
วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั
1. เพ่ือศึกษาความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบ
อริยสจั 4
2. เพ่ือศึกษาผลสมั ฤทธ์วิ ิชาคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบอริยสจั 4
3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ท่มี ีต่อการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์โดยใช้การ
เรียนรู้แบบอริยสจั 4
448