The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วารสารบัณฑิตศึกษา ปีที่ 8 ฉบับที่ 3

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by care.chitlada, 2020-08-25 13:52:44

วารสารบัณฑิตศึกษา

วารสารบัณฑิตศึกษา ปีที่ 8 ฉบับที่ 3

ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา
ภาษานับว่าเป็นส่ิงสาคัญและจาเป็นอย่างย่ิงต่อการดารงชีวิตของมนุษย์ เพราะภาษา

เป็นเคร่ืองมือในการติดต่อส่อื สารระหว่างมนุษย์ ถ้าขาดส่อื สาคัญน้ีแล้วมนุษย์ไม่สามารถรวมกัน
เป็นสงั คมได้ ภาษาไทยของเราน้ันนับว่ามคี วามสาคญั ท่สี ดุ สาหรับคนไทยทุกคน เพราะนอกจากจะ
เป็นเคร่ืองมือในการติดต่อส่อื สารแล้ว ภาษายังเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เป็นภาษาประจาชาติ และ
เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันลา้ ค่าท่บี รรพบุรุษได้สร้างไว้เป็นเคร่ืองแสดงว่า ภาษาไทยเป็นเคร่ือง
แสดงถึงเอกลกัษณ์ประจาชาติเป็ นสมบัติทางวัฒนธรรมท่ีก่อให้เกิดความเป็ นเอกภาพ และ
เสริมสร้างบุคลิกภาพให้มีความเป็นไทย เป็นเคร่ืองมือในการติดต่อส่อื สารระหว่างกนั และกนั สร้าง
ความสมั พันธร์ ะหว่างคนในชาตทิ าให้เกดิ ความสะดวกและการส่อื สารท่มี ีความเข้าใจตรงกนั อกี ท้งั
ภาษาไทยยังเป็นเคร่ืองมือในการแสวงหาความรู้ประสบการณ์จากแหล่งต่างๆ เพราะการเรียนรู้
ภาษาไทยเป็นทกั ษะความเข้าใจในด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน โดยใช้ภาษาเป็ นส่อื
ของความคิด ความเข้าใจ และแสวงหาความรู้ เพ่ือพัฒนาความรู้ ความคดิ วิเคราะห์ วิจารณ์ และ
สร้างสรรค์ ให้ทนั ต่อการเปล่ียนแปลงทางสงั คมตลอดจนนาไปใช้พัฒนาอาชีพให้มีความม่ันคง

การเรียนรู้ภาษาไทยย่อมเก่ียวพันกับความคิดของมนุษย์ เพราะภาษาเป็ นส่ือของ
ความคิดการเรียนรู้ภาษาไทยจึงต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนได้สร้างสรรค์ คิดวิพากษ์ วิจารณ์ คิด
ตัดสินใจแก้ปัญหา และวินิจฉัยอย่างมีเหตุผล ขณะเดียวกันการใช้ภาษาอย่างมีเหตุผลใช้ในทาง
สร้างสรรค์และใช้ภาษาอย่างสละสลวย ใช้ได้อย่างมีประสิทธภิ าพ โดยจาเป็นต้องสร้างการเรียนรู้
เพ่ือให้เกิดทักษะในด้านต่างๆ (วิจารณ์ พานิช, 2556) ได้แก่ ทักษะชีวิตและอาชีพ ทกั ษะการ
เรียนรู้และนวัตกรรม ทกั ษะด้านสารสนเทศ ส่อื และเทคโนโลยี ทกั ษะสาระวิชาหลัก (การอ่าน การ
เขียน การคิด และทกั ษะการดารงชีวิตในศตวรรษท่ี 21) โดยทกั ษะข้างต้นจาเป็นต้องมีระบบการ
สนับสนุนการศึกษาท่จี าเป็น ได้แก่ มาตรฐานการเรียนรู้ การประเมนิ ผล หลักสตู รและวิธกี ารสอน
การพัฒนาวิชาชีพ และบรรยากาศการเรียนรู้ โดยเปิ ดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการ
สอนมากข้นึ

ภาษาไทยมีความสาคัญเป็ นอย่างมากดังท่ีกล่าวมาแล้ว พระราชบัญญัติการศึกษา
แห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) จึงได้มีการกาหนดแนวทางจัด
การศึกษาไว้ในมาตรา 23 และมาตรา 24 โดยให้สถาบันการศึกษาจัดการศึกษาท่เี น้นความสาคัญ
ในด้านความรู้ และทกั ษะการใช้ภาษาไทยท่ถี ูกต้อง ฝึกทกั ษะ และจัดการ การเผชิญสถานการณ์
และการประยุกต์เอาความรู้มาใช้ป้ องกนั และแก้ปัญหา และจัดกิจกรรมให้นักเรียนได้เรียนรู้จาก
ประสบการณ์จริง ให้เดก็ ทาได้ คิดเป็น ทาเป็น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่ เรียนรู้อย่างต่อเน่ือง
ด้วยเหตุน้ี ทาให้กระทรวงศึกษาธกิ าร (2551) ได้มกี ารกาหนดให้วิชาภาษาไทยเป็นกลุ่มสาระการ
เรียนรู้หน่ึง ท่มี ีเน้ือหาสาระท้ังหมด 5 สาระ และกาหนดให้ทักษะการอ่านเป็นเน้ือหาสาระท่ี 1
มาตรฐานท่ี ท1.1 คือให้นักเรียนใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดไปใช้ในการ

549

ตัดสินใจแก้ปัญหาและสร้างวิสัยทศั น์ในการดาเนินชีวิต ดังน้ันการอ่านจึงเป็นส่ิงท่ีสาคัญสาหรับ
การเรียนภาษาไทยท่นี ักเรียนทุกคนจะต้องมีทกั ษะการอ่านท่ีดี เพ่ือใช้ในการเรียนวิชาอ่ืนๆ และ
การประกอบอาชีพ เพราะในปัจจุบันเป็ นโลกยุคข้อมูลข่าวสารการอ่านถือเป็ นเร่ืองสาคัญและ
จาเป็ นสาหรับมนุษย์มาก เน่ืองจากการอ่านเป็ นพ่ืนฐานท่ีจะทาให้ก้าวทันโลกได้ทันเหตุการณ์
นอกจากน้ีการอ่านยงั ช่วยส่งเสริม ความรู้ความคดิ ให้เพ่ิมพูนย่งิ ข้นึ อกี ด้วย

ทกั ษะการอ่านเป็นองค์ประกอบสาคัญอย่างย่ิงในการเรียนรู้ เพราะการเรียนวิชาต่างๆ
ต้องอาศัยความสามารถในการอ่าน เพ่ือให้เข้าใจเน้ือหา เม่ืออ่านแล้วต้องจับใจความสาคัญของ
เร่ืองท่ีอ่านได้ คิดวิเคราะห์เป็ น ดังน้ันแล้วการอ่านเป็นทกั ษะทางภาษาท่ีจาเป็นต้องฝึกฝนอยู่
เสมอ และไม่มีวันส้นิ สดุ สามารถฝึกได้เร่ือยๆ ตามวัยและประสบการณ์ของผู้อ่าน เพราะการอ่าน
น้ันจะเก่ียวข้องกับชีวิตประจาวันของมนุษย์ เป็นเคร่ืองมือสาคัญท่ีจะช่วยให้มนุษย์ได้รับความรู้
ความคิด และความบันเทงิ ใจ ช่วยปรับปรุงชีวิตให้สดใสสมบูรณ์ จิราภรณ์ บุญณรงค์ (2554 น.
21) สรุปความสาคัญของการอ่านว่า การอ่านเป็นกระบวนการแสวงหาความรู้ซ่ึงเป็นหัวใจสาคัญ
ในการเรียนการสอนทาให้เพ่ิมพูนความรู้ความคิดท่ีกว้างขวางและมีการพัฒนาชีวิตท่ีดี และมี
ประโยชน์ ดงั น้ัน การอา่ นจึงเป็นส่งิ จาเป็นท่จี ะต้องฝึกให้เกิดความชานาญ การอ่านประเภทหน่ึงท่ี
นักเรียนควรจะได้ รับการฝึ กปฏิบัติอย่างสม่าเสมอเพราะเป็ นประโยชน์อย่างมากในการแสวงหา
ความรู้ คือ การอ่านเพ่ือความเข้าใจ ซ่ึงถือเป็ นทักษะพ้ืนฐานในการอ่าน เดก็ จะสามารถเข้าใจ
เร่ืองราวท่ีอ่านได้ ต้องมีความรู้พ้ืนฐานเก่ียวกับการอ่าน ตอบคาถาม หรือเข้าใจเร่ืองท่ีอ่าน และ
สรุปความสาคัญของเร่ืองท่ีอ่านได้ ว่าในเร่ืองท่ีอ่านน้ันมีเหตุการณ์สาคัญอย่างไร สามารถลาดับ
เหตุการณ์ของเร่ืองได้ ซ่ึงเป็นทกั ษะท่คี วรปลูกฝัง หรือพัฒนาในตัวเดก็ คือ การอ่านโดยให้เข้าใจ
ภาพรวม ประกอบกบั แกน่ เร่ืองสาคัญท่เี ร่ืองน้ันต้องการจะส่อื ถงึ ดังท่ี ละออ คนั ธวงศ์ (2551) ได้
ให้ความหมายของการอ่านเพ่ือความเข้าใจไว้ว่า หมายถึง ความสามารถในการเข้าใจความท่ีอ่าน
ได้ตรงตามท่ีผู้เขียนต้องการ และสามารถสรุปความ จับใจความของเร่ืองท่ีอ่านได้ ด้วยการแปล
ความ ตีความ และสรุปแนวคิด ผู้อ่านจะต้องมีความเข้าใจในคาศัพท์ สามารถเรียงลาดับได้ จับ
ใจความสาคัญได้ ซ่ึงผู้อ่านแต่ละคนย่อมมีระดับความเข้าใจแตกต่างกนั ออกไป

จากการจัดการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของโรงเรี ยนบ้าน
กระสงั ปัจจุบันยังไม่ประสบความสาเรจ็ เท่าท่ีควร ซ่ึงพบว่าคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน กลุ่ม
สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 มีคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนอยู่ในระดับ
พอใช้ ซ่ึงปัญหาท่ผี ู้สอนพบมากท่สี ดุ ในการเรียนวิชาภาษาไทยคือ ปัญหาด้านการอ่านของนักเรียน
คอื นักเรียนอ่านหนังสอื ได้เป็นคาๆ แต่ไม่สามารถอ่านหรือทาความเข้าใจโดยภาพรวมได้ เม่อื อ่าน
จบแล้วนักเรียนไม่สามารถตีความหรือสรุปความจากเร่ืองท่อี ่านได้ ว่าเร่ืองท่อี ่านต้องการส่อื ถึงส่งิ

550

ใดมีประโยชน์หรือให้ข้อคิดอะไรบ้าง ท้งั น้ีเป็นเพราะนักเรียนยังไม่เข้าใจในเร่ืองท่ีอ่านมากพอ
อาจจะเป็นเพราะนักเรียนสนใจแค่อ่านเร่ืองน้ันๆ เพ่ือให้จบเร่ืองไป ไม่ได้คิดตามหรือทาความ
เข้าใจตามไปด้วยพร้อมกบั การอ่าน และตอบคาถามจากเร่ืองท่อี ่านได้ จึงเป็นปัญหาในการจัดการ
เรียนการสอนวิชาภาษาไทย และวิชาอ่นื ๆ

ผู้วิจัยจึงศึกษาแนวทางในการจัดการเรียนการสอนเพ่ือการพัฒนาความสามารถการ
อ่านเพ่ือความเข้าใจ โดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม มาใช้ประกอบในการเรียนการสอน เพ่ือกระต้นุ
ให้นักเรียนเกดิ ทกั ษะในด้านการคิด สามารถอ่านเร่ืองแล้วนามาวิเคราะห์ แยกแยะข้อเทจ็ จริงจาก
เร่ืองท่อี ่านได้ เม่ือนักเรียนอ่านเพ่ือความเข้าใจได้แล้ว สามารถตอบคาถามจากเร่ืองได้ ส่งผลดี
ให้กบั การเรียนวิชาอ่นื ๆ ด้วย เพราะสามารถนาความรู้จากการอ่านเพ่ือความเข้าใจไปประยุกต์ใช้
ได้ การสอนอ่านเพ่ือความเข้าใจ โดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม จะช่วยให้นักเรียนเกดิ กระบวนการ
คิดได้ ดังท่นี ภเนตร ธรรมบวร (2544 น. 65-68 อ้างถึงใน ชัยวัฒน์ สุทธริ ัตน์, 2557 น. 25-
26) ได้สรุปเทคนิคการใช้ต้ังคาถามเป็นการส่งเสริมกระบวการคิด คือ 1)ในการถามคาถามเดก็
ผู้สอนควรให้เวลาแก่เดก็ และแสดงออก โดยไม่เร่งเดก็ ให้ตอบคาถามมากเกนิ ไป หรือกลายเป็น
ผู้ตอบคาถามเอง ถ้าผู้สอนให้เวลาแก่เดก็ ในการคิดหาคาตอบโดยใช้เวลาในการรอคาตอบ2)
คาถามท่ผี ู้สอนใช้ ควรเป็นคาถามปลายเปิ ด ซ่ึงคาถามปลายเปิ ดจะช่วยส่งเสริมการคิดแก้ปัญหา
การเปรียบเทยี บและทางเลือก คาถามท่สี ่งเสริมให้เดก็ คิดแก้ปัญหาน้ันจะต้องมีคาตอบท่ถี ูกอย่าง
หลากหลาย ไม่ใช่เพียงคาตอบเดียว ท้ังน้ีเพ่ือให้เดก็ มีความคิดท่ีเปิ ดกว้าง สามารถคิดได้หลาย
ทาง3) คาถามท่ผี ู้สอนถามควรเป็นคาถามท่ีช่วยให้เดก็ เช่ือมโยงประสบการณ์เดิมของตนกับการ
เรียนรู้ในปัจจุบันได้4)ผู้สอนควรกระตุ้นและส่งเสริมให้เดก็ เป็นผู้ต้ังคาถามด้วยตนเองซ่ึงผู้สอน
อาจกระตุ้นเดก็ ให้ถามคาถามโดยวิธีการต่างๆ 5) ผู้สอนควรใช้คาถามเพ่ือกระตุ้นให้เดก็ เรียนรู้
และค้นหาคาตอบด้วยตนเอง ซ่ึงการส่งเสริมให้เดก็ ตอบคาถามด้วยตนเอง จะนาไปสู่การถาม
คาถามต่อไปน้ี เน่ืองจากทุกคร้ังท่เี ดก็ หาคาตอบได้ด้วยตนเอง เดก็ จะมีความเช่ือม่นั ในตนเองมาก
ข้ึน เขาจะมีเจตคติในทางบวกต่อตนเอง ซ่ึงจะช่วยให้เดก็ เรียนรู้ท่จี ะถามคาถามต่างๆ ด้วยตนเอง
ต่อไป

จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงสนใจท่จี ะศึกษา การพัฒนาความสามารถการอ่าน
เพ่ือความเข้าใจ โดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม วิชาภาษาไทย สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1
ซ่ึงผู้วิจัยเล็งเหน็ ความสาคัญของการอ่านเพ่ือความเข้าใจว่า เป็นหัวใจสาคัญในการเรียนรู้ เป็น
ทักษะท่ีสาคัญสาหรับนักเรียนและเป็นการเพ่ิมพูนศักยภาพด้านการอ่าน และพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนให้สงู ข้นึ ด้วย

วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั
1. เพ่ือพัฒนาความสามารถการอ่านเพ่ือความเข้าใจภาษาไทย โดยใช้เทคนิคการต้งั คาถาม

ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1

551

2. เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์กิ ารอ่านเพ่ือความเข้าใจภาษาไทย ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1
3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 ท่มี ตี ่อการอา่ นเพ่ือความ
เข้าใจ โดยใช้เทคนิคการต้งั คาถาม

สมมติฐานการวิจยั
1. นักเรียนมีความสามารถการอ่านเพ่ือความเข้าใจภาษาไทย โดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม มี

คะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ของคะแนนเตม็
2. การอ่านเพ่ือความเข้าใจภาษาไทยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 หลังการใช้เทคนิค

การต้งั คาถาม มผี ลสมั ฤทธ์หิ ลังเรียนสงู กว่าก่อนการเรียนรู้อย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ทิ ่รี ะดับ .05
3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการการเรียนรู้การอ่านเพ่ือความเข้าใจ โดยใช้เทคนิค

การต้งั คาถาม อยู่ในระดับมาก

ขอบเขตของการวิจยั
กลุ่มเป้ าหมาย คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนบ้านกระสงั อาเภอสตึก

จังหวัดบุรีรัมย์ ท่กี าลังศึกษาอยู่ในภาคท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 จานวน 1 ห้องเรียน มนี ักเรียน
จานวน 18 คน

ตวั แปรท่ศี ึกษา ตัวแปรต้น คือ การใช้เทคนิคการต้งั คาถาม
ตวั แปรตาม คอื
1) ความสามารถการอ่านเพ่ือความเข้าใจภาษาไทย
2) ผลสมั ฤทธ์กิ ารอา่ นเพ่ือความเข้าใจภาษาไทย
3) ความพึงพอใจของนักเรียนท่มี ีต่อการอ่านเพ่ือความเข้าใจภาษาไทยโดยใช้เทคนิค
การต้งั คาถาม
ขอบเขตด้านเน้ือหา
เน้ือหาท่ใี ช้ในการวิจัย คือ หน่วยการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทยท่ใี ช้สอนในช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนบ้านกระสงั หน่วยการเรียนรู้ท่ี 5 เร่ืองการอ่าน มี 5 ประเภท ดังน้ี
1. นิทาน 2. เร่ืองเล่า 3. จดหมาย 4. ข่าว 5. โฆษณา
ระยะเวลาในการวิจัย
การวิจัยคร้ังน้ีดาเนินการในภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 จานวน 15 ช่ัวโมง

เครือ่ งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1
2. แบบทดสอบวัดความสามารถทางการอา่ นเพ่ือความเข้าใจภาษาไทย
3. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการอ่านเพ่ือความเข้าใจภาษาไทย

552

4. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่มี ีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการ
ต้งั คาถาม

การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล

วิธดี าเนินการวิจัยการพัฒนาความสามารถการอ่านเพ่ือความเข้าใจ โดยใช้เทคนิคการ

ต้งั คาถาม ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 มีวิธดี าเนินการวิจัยดงั น้ี

1. ข้นั เตรียม

ได้ ช้ ีแจงวัตถุประสงค์ของการเรียนวิชาภาษาไทยซ่ึงเป็ นการเรียนร้ ูการอ่านเพ่ือความ

เข้าใจ โดยใช้เทคนิคการต้งั คาถาม และข้นั ตอนการดาเนินการการเรียนรู้แก่นักเรียน

2. ข้นั ดาเนินการ

2.1 ให้นักเรียนกลุ่มเป้ าหมายทาแบบทดสอบก่อนการจัดการเรียนรู้ (pretest) การ

อ่านเพ่ือความเข้าใจ โดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม เป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิชา

ภาษาไทย เป็นปรนัยแบบ 4 ตวั เลือกจานวน 20 ข้อ 20 คะแนน

2.2 จัดการเรียนการสอนตามแผนการเรียนรู้การอ่านเพ่ือความเข้าใจ โดยใช้

เทคนิคการต้งั คาถาม จานวน 5 แผนๆละ3 ช่ัวโมง ท้งั หมด 15 ช่ัวโมง ซ่ึงประกอบด้วย

แผนการเรียนรู้ท่ี 1 นิทาน จานวน 3 ช่ัวโมง

แผนการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ืองเล่า จานวน 3 ช่ัวโมง

แผนการเรียนรู้ท่ี 3 จดหมาย จานวน 3 ช่ัวโมง

แผนการเรียนรู้ท่ี 4 ข่าว จานวน 3 ช่ัวโมง

แผนการเรียนรู้ท่ี 5 โฆษณา จานวน 3 ช่ัวโมง

การจัดการเรียนรู้ท้งั 5 แผนการเรียนรู้ ผู้วิจัยได้ให้นักเรียนทาแบบฝึกและแบบทดสอบในแต่

ละแผนจนครบ

2.3 หลังจากน้ันให้ทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกับนักเรียนกลุ่ม

เป้ าหมายอกี คร้ังหลังการจัดการเรียนรู้ (posttest) การอ่านเพ่ือความเข้าใจ โดยใช้เทคนิคการต้ัง

คาถาม ซ่ึงเป็นแบบทดสอบชุดเดียวกนั กบั แบบทดสอบก่อนจัดการเรียนรู้การอ่านเพ่ือความเข้าใจ

โดยใช้เทคนิคการต้งั คาถาม จานวน 20 ข้อ 20 คะแนน

2.4 ให้นักเรียนตอบแบบสอบถามความพึงพอใจท่มี ีต่อการจัดการเรียนรู้การอ่าน

เพ่ือความเข้าใจ โดยใช้เทคนิคการต้งั คาถาม

3. ข้นั สรุป

นาข้อมูลท่รี วบรวมได้ท้งั หมดมาวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้วิธกี ารทางสถติ ิ เพ่ือตรวจสอบ

สมมติฐาน

553

การวิเคราะหข์ อ้ มูล
1. นาผลการทดสอบมาวิเคราะห์ข้อมูล โดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย (Mean) และส่วน

เบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) สถิติทดสอบสมมติฐาน Paired-Sample t-test
2. แปลผลและวิเคราะห์ข้อมูล
3. ประมวลผลและอภปิ รายผล โดยใช้ตารางและการพรรณนา

สรุปผลการวิจยั
ตอนท่ี 1 ผลการศึกษาความสามารถการอ่านเพ่ือความเข้าใจภาษาไทย โดยใช้เทคนิค

การต้ังคาถามของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 พบว่า นักเรียนท่มี ีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 70
ของคะแนนเตม็ ผ่านเกณฑ์จานวน 12 คน คิดเป็ นร้อยละ 66.67 และ นักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์
จานวน 6 คน คดิ เป็นร้อยละ 33.33

ภาพท่ี1 แสดงความสามารถการอ่านเพ่ือความเข้าใจภาษาไทย โดยใช้เทคนิคการต้ังคาถามของ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 จานวน 18 คน

ตอนท่ี 2 ผลสมั ฤทธ์กิ ารอ่านเพ่ือความเข้าใจภาษาไทย ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี
ท่ี 1พบว่า นักเรียนมีความสามารถการอ่านเพ่ือความเข้าใจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี
นัยสาคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดบั .05 ( t = 21.012, sig = .000) ซ่ึงเป็นไปตามสมมติฐานท่กี าหนดไว้

ผลสมั ฤทธ์ิ จานวน คะแนน X̅ S.D. t Sig.

ทางการเรียน นกั เรียน เต็ม 10.33 1.74 21.012* .000
15.27 2.19
ก่อนเรียน 18 20

หลังเรียน

*มนี ัยสาคญั ทางสถติ ริ ะดับเทา่ กบั .05

554

ตอนท่ี 3 ผลระดับความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 ท่ีมีต่อการอ่าน
เพ่ือความเข้าใจ โดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดบั มาก (X̅ =2.64, S.D. =
0.48) เม่ือเรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย คือด้านครูผู้สอน (X̅ =2.69 S.D. = 0.47)
รองลงมาด้านส่อื การเรียนรู้ (X̅ =2.63, S.D. = 0.49) และด้านกิจกรรมการเรียนรู้ (X̅ =2.61,
S.D. = 0.49)

อภิปรายผล
ตอนท่ี 1 ผลการศึกษาความสามารถการอา่ นเพ่ือความเข้าใจภาษาไทย โดยใช้เทคนิค

การต้ังคาถามของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 พบว่า นักเรียนท่มี ีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 70
ของคะแนน ผ่านเกณฑจ์ านวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 66.67 และ นักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์จานวน
6 คน คิดเป็ นร้อยละ 33.33 จากการพิจารณาคะแนนนักเรียนท่ีผ่านเกณฑ์เกินคร่ึงหน่ึงของ
จานวนนักเรียนท้ังหมด และท่ีคะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ 6 คน แต่นักเรียนมีคะแนนเกินคร่ึงของ
คะแนนเตม็ ซ่ึงมีคะแนนใกล้เคียงเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ ตามปกติการเรียนการสอนในโรงเรียนเป็น
แบบเก่า สอนโดยครูเป็นผู้ป้ อนข้อมูลให้นักเรียนแต่เพียงผู้เดียว และบางคร้ังครูกค็ ิดให้เดก็ ด้ วย
จึงทาให้นักเรียนไม่เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง การอ่านเพ่ือความเข้าใจ โดยใช้เทคนิคการต้ัง
คาถาม เป็ นการเรียนรู้ท่ีกระตุ้นความสนใจของเดก็ นักเรียนในช้ันน้ี เพราะเป็ นเร่ืองใหม่ เร่ือง
ต่ืนเต้น ซ่ึงไม่เคยมีมาก่อนจากแบบฝึ ก 2 คร้ัง ในแต่ละประเภทจะเห็นได้ว่าเด็กนั กเรียนมี
พัฒนาการดีข้ึน จากคร้ังท่ี 1 มาคร้ังท่ี 2 เช่น การอ่านนิทานคร้ังท่ี 1 มีค่าเฉล่ีย = 6.44 คร้ังท่ี 2
มีค่าเฉล่ีย = 7.89, การอ่านเร่ืองเล่าคร้ังท่ี 1 มีค่าเฉล่ีย = 5.33 คร้ังท่ี 2 มีค่าเฉล่ีย = 6.72, การ
อ่านข่าวคร้ังท่ี 1 มีค่าเฉล่ีย = 5.56 คร้ังท่ี 2 มีค่าเฉล่ีย = 7.28, การอ่านโฆษณาคร้ังท่ี 1 มี
ค่าเฉล่ีย = 6.61 คร้ังท่ี 2 มีค่าเฉล่ีย = 8.33 และการอ่านจดหมายคร้ังท่ี 1 มีค่าเฉล่ีย = 6.89
คร้ังท่ี 2 มีค่าเฉล่ีย = 8.44 คาถามส่วนใหญ่ท่ีใช้ต้ังเป็นคาถาม เช่น ใคร ทาอะไร ท่ไี หน เม่ือไร
อย่างไร เป็นต้น การท่คี ะแนนเฉล่ียของการเร่ืองเล่ามีน้อยเพราะ เร่ืองเล่าเป็นเร่ืองราวท่ีเกดิ ข้ึน
หรือเป็นประสบการณ์ เน่ือเร่ืองมีลักษณะเหมือนจริง ตัวละครมีความเป็นมนุษย์จึงทาให้การอ่าน
ค่อยข้างยากต่างจากนิทาน ซ่ึงเป็ นเร่ืองเพ่ือสร้างความสนุกสนาน เน้ือหาไม่ซับซ้อน เป็ นเร่ือง
แปลกประหลาด ผิดปกติจากธรรมดา ตัวละครในเร่ืองมีลักษณะพิเศษท่เี หนือความจริง เช่น เป็น
เจ้าหญิง เจ้าชาย แม่มด นางฟ้ า สตั ว์ท่มี คี วามรู้สกึ นึกคดิ เหมือนมนุษยจ์ ึงทาให้เร่ืองท่อี ่านเข้าใจได้
ง่าย ดงั ท่ี สวุ ิทย์ มูลคา และอรทยั มูลคา (2545 น. 74) กล่าวว่า การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้แบบ
การใช้คาถาม เป็นกระบวนการเรียนรู้ท่มี ุ่งพัฒนากระบวนการทางความคิดของผู้เรียน โดยผู้สอน
จะป้ อนคาถามในลักษณะต่างๆ ท่ีเป็ นคาถามท่ีดี สามารถพัฒนาความคิดผู้เรียน ถามเพ่ีอให้
ผู้เรียนใช้ความคิดเชิงเหตุผล วิเคราะห์ วิจารณ์ สงั เคราะห์ หรือการประเมนิ ค่าเพ่ือจะตอบคาถาม
เหล่าน้ัน และชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2553) สรุปได้ว่า คาถามน้ันมีความสาคัญมากในการพัฒนา

555

ผู้เรียนโดยคาถามจะช่วยให้ครูได้สารวจความรู้เดิมและกระตุ้นความสนใจผู้เรียนทาให้ผู้เรียนมี
ส่วนร่วมในการเรียนกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดแง่มุมการคิดมากข้ึนและ เม่ือมีการอภิปรายจะนาไป สู่
ความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายท่วี างไว้รวมท้งั คาถามจะช่วยในการประเมินผลการ
เรียนของผู้เรียนและการสอนของครูอีกด้วย ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัยของพิมพร ไตรยานุภาพ
(2552 น. 69-70) ได้วิจัยเร่ือง การจัดการเรียนรู้แบบใช้เทคนิคคาถามเพ่ือพัฒนาทกั ษะการคิด
วิเคราะห์ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความสามารถด้านทกั ษะ
การคิดวิเคราะห์หลังการเรียนรู้ ในภาพรวมทุกองค์ประกอบของการคิดวิเคราะห์สงู กว่าก่อนเรียน
โดยค่าคะแนนจากการทดสอบหลังการเรียนรู้ (ค่าเฉล่ีย = 24.38/15.86) สูงข้ึนคิดเป็นร้อยละ
28.41และสิตรา ศรีเหรา (2560) ได้ศึกษาพัฒนาการการอ่านเพ่ือความเข้าใจของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 4 โดยใช้กจิ กรรมการอา่ นแบบกว้างขวาง โรงเรียนบ้านหลังเขา อาเภอบ่อพลอย
จังหวัดกาญจนบุรี พบว่านักเรียนมีความสามารถทางการอ่านเพ่ือความเข้าใจหลังเรียนสูงกว่าก่อน
เรียนอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดับ .05

ตอนท่ี 2 ผลสมั ฤทธ์กิ ารอ่านเพ่ือความเข้าใจภาษาไทย ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี
ท่ี 1 การอ่านเพ่ือความเข้าใจภาษาไทยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 พบว่า นักเรียนมี
ความสามารถการอ่านเพ่ือความเข้าใจหลังเรียนสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ
.05 ( t = 21.012, sig = .000) ซ่ึงสอดคล้องกบั สมมติฐานท่ตี ้ังไว้ จะเหน็ ได้ว่าคะแนนหลังเรียน
สูงกว่าก่อนเรียนทุกคน โดยมีคะแนนต้ังแต่ 3 ถึง 7 แสดงว่านักเรียนมีการอ่านเพ่ือความเข้าใจดี
ข้นึ ดงั ท่ี ปราณี กองจินดา (2549 ) กล่าว่า ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือ
ผลสาเรจ็ ท่ไี ด้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์
เรียนรู้ และนวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์ (2535) กล่าวว่า การวัดผลเป็นส่วนสาคัญของการจัดการ
เรียนการสอน ท่ีมุ่งให้ผู้เรียนแต่ละคนได้พัฒนาเตม็ ศักยภาพ การวัดผลต้องปรับเปล่ียนไปให้มี
ลักษณะเป็ นการประเมินผลท่ีเน้นผู้เรียนเป็ นสาคัญและประเมินผลตามสภาพจริงด้วย ซ่ึง
สอดคล้องกบั งานวิจัยของปวรา วงศ์ปัญญา (2551 :บทคัดย่อ) ได้ทาวิจัยการพัฒนาการอ่านเชิง
วิเคราะห์ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 2 ระหว่างการจัดกจิ กรรมโดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม
กับการจัดกิจกรรมโดยใช้เทคนิคแผนผังความคิด ผลการวิจัย หน่วยการอ่านเชิงวิเคราะห์ โดยใช้
เทคนิคการต้งั คาถาม มีค่าเทา่ กบั 0.59 นักเรียนกลุ่มท่มี ีการจัดกจิ กรรมการอา่ นเชิงวิเคราะห์ โดย
ใช้เทคนิคการต้ังคาถาม มีผลสมั ฤทธ์กิ ารอ่านเชิงวิเคราะห์สูงกว่านักเรียนกลุ่มท่เี รียนด้วยเทคนิค
แผนผงั ความคดิ อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติท่รี ะดับ .05และวันเพญ็ วัฒฐานะ (2557) ได้ศึกษาการ
จัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการอ่านแบบ SQ3R เพ่ือพัฒนาความเข้าใจในการอ่าน และศึกษา
พฤติกรรมการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนวัดตะปอนน้อย
จังหวัดจันทบุรี ผลการวิจัยปรากฏว่า 1. ความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนวัดตะปอนน้อย จังหวัดจันทบุรี ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค
การอา่ นแบบ SQ3R หลังเรียนสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดับ .01

556

ตอนท่ี 3 ผลระดับความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 ท่ีมีต่อการอ่าน
เพ่ือความเข้าใจ โดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม พบว่า โดยภาพรวมความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
(=2.64, S.D. = 0.48) เม่ือเรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย คือด้านครูผู้สอน (X̅=2,69
S.D. = 0.47) รองลงมาด้านส่อื การเรียนรู้ (X̅=2.63, S.D. = 0.49) และด้านกจิ กรรมการเรียนรู้
(X̅=2.61, S.D. = 0.49) ความพึงพอใจท้งั 3 ด้าน มีค่าเฉล่ียใกล้เคียงกัน จะเหน็ ได้ว่า ด้านท่ี
นักเรียนพึงพอใจมากท่สี ุดคือ เร่ืองครูเพ่ิมเติมความรู้เก่ยี วกับเร่ืองท่อี ่าน เอาใจใส่ดูแลทุกๆ คร้ัง
ท่มี ีกิจกรรม และกระตุ้นให้นักเรียนเกิดการคิด ลาดับต่อมาด้านส่ือการเรียนรู้และกิจกรรมการ
เรียนรู้ เป็นส่ิงใหม่สาหรับนักเรียน ซ่ึงปกติเรียนในหนังสือเรียนเพียงอย่างเดียว จึงทาให้เดก็ ๆ
เกิดความต่ืนเต้น สนุกสนาน กับการเรียนรู้โดยเฉพาะมีการต้ังคาถามให้ตอบ ถ้าตอบไม่ถูกครูยัง
ช่วยแนะนาในการคิดหาคาตอบ ทาให้ตอบคาถามได้ และเป็นความภาคภมู ิใจของนักเรียน ดังท่ี
สรชัย พิศาลบุตร (2549 ) กล่าวว่า ความรู้สึกถูกใจในส่งิ ท่ไี ด้รับประสบการณ์ท่เี หมาะสม ทาให้
เกดิ พฤตกิ รรมท่เี ปล่ียนไปจากเดิม ประโยชนท่ไี ด้รับคือ 1) ทาให้ทราบถงึ ความรู้ความเข้าใจของผู้
ท่ถี ูกวัดความพึงพอใจ 2)ทาให้ทราบถึงความต้องการเพ่ิมจากส่ือท่ีได้รับอยู่ 3) ทาให้ทราบถึง
คุณสมบัติ และลักษณะของส่อื ท่นี ามาใช้ตามความต้องการของผู้ท่ถี ูกวัด

ขอ้ คน้ พบจากงานวิจยั
การใช้เทคนิคการต้ังคาถาม เพ่ือพัฒนาความสามารถการอ่านเพ่ือความเข้าใจของ

นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1น้ัน ผู้สอนจะเร่ิมให้นักเรียนอ่านเร่ืองจากเร่ืองท่ีง่ายไปหาเร่ืองท่ี
ยาก และต้ังคาถามส้ันๆ เพ่ือสร้างความเข้าใจ และให้นักเรียนได้คิดหาคาตอบ ซ่ึงเป็นคาตอบ
ส้นั ๆ ตัวอย่างคาถามเช่น ใคร ทาอะไร ท่ไี หน เม่อื ไร และอย่างไร ผู้สอนจะเลือกบทอ่านท่มี เี น้ือหา
ท่ใี กล้ตัวเร่ืองท่อี ยู่ในชีวิตประจาวัน เช่น ข่าว โฆษณา และจดหมาย เป็นเร่ืองจินตนาการคือ นิทาน
เพ่ือกระตุ้นความสนใจ และให้ความสนุก อย่างเช่น เร่ืองเล่า เป็นเร่ืองท่มี ีตัวละครไม่มากเพ่ือให้
นักเรียนจาช่ือตัวละครได้ และจาเน้ือเร่ืองได้ ในการอา่ นเน้ือเร่ืองผู้สอนเป็นผู้อ่านเร่ืองให้นักเรียน
ฟัง และผู้สอนเป็นผู้ต้ังคาถามกระตุ้นให้นักเรียนคิดตาม และตอบคาถามได้ และการต้งั คาถามจะ
ช่วยให้ผู้สอนได้สารวจความรู้เดิมและกระตุ้นความสนใจนักเรียน ซ่ึงทาให้นักเรียนมีส่วนร่วมใน
การเรียนรู้ และเกิดการคิดได้ด้วยตนเอง วิธีน้ีจะช่วยให้นักเรียนกล้าท่ีจะตอบคาถามมากข้ึน
นาไปส่กู ารพัฒนาความสามารถการอา่ นเพ่ือความเข้าใจได้ดีข้นึ

การใช้เทคนิคการต้ังคาถาม ในการจัดการเรียนการสอนเป็ นกระบวนการเรียนรู้ท่ีมุ่ง
พัฒนากระบวนการทางความคิดของนักเรียน โดยผู้สอนจะป้ อนคาถามในลักษณะต่างๆ ให้
นักเรียนได้คิดหาคาตอบจากเร่ืองท่ีอ่าน เช่น จากเร่ืองท่ีอ่านมีตัวละครอะไรบ้าง, เหตุการณ์ใน
เร่ืองเป็นอย่างไร และมีวิธีการใด เร่ืองท่ีเดก็ นักเรียนชอบ นิทาน โฆษณา และจดหมาย สาหรับ
เร่ืองเล่า และข่าว นักเรียนยังอ่านแล้วไม่เข้าใจ ผู้สอนอาจต้องบอกใบ้คาตอบ หรือแนะคาตอบให้

557

นักเรียนช่วยกันตอบคาถาม และเขียนคาตอบ จากการจัดกิจกรรมนักเรียนเหน็ ด้วยกับบทบาท
ผู้สอนท่ใี ช้เทคนิคการต้ังคาถาม

การใช้เทคนิคการต้ังคาถามเพ่ือการอ่านเพ่ือความเข้าใจ ทาให้นักเรียนจดจาเร่ืองราวท่ี
อ่าน และมีความสนุกสนานในการเรียนมากข้ึน ซ่ึงเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย Meaningful
Verbal Learning) ของออซเู บล(David p. Ausubel, 1963)

ขอ้ เสนอแนะ
ข้อเสนอแนะสาหรับการนาไปใช้
1.การจัดเตรียมบทอ่านนามาใช้สอนควรมีรูปภาพประกอบท่ีสอดคล้องกับเน้ือหาใน

เร่ือง เพ่ือเป็นการเร้าความสนใจของนักเรียน ซ่ึงจะช่วยให้นักเรียนเข้าใจเน้ือหาได้ดีข้ึน หรืออาจ
เป็นเร่ืองซ่ึงท้าทายให้นักเรียนกล้าท่จี ะอา่ นเร่ืองท่ยี ากข้นึ ตามลาดบั ต่อไป

2. การจัดกิจกรรมการอ่านให้น่าสนใจ ผู้สอนสามารถเลือกบทอ่านท่ีมีการกาหนด
เกณฑ์การเลือกเร่ือง เช่น จากเร่ืองง่ายไปหายาก ใกล้ตัวไปไกลตัว จากรูปธรรมไปสู่นามธรรม
เป็ นต้ น

3. ควรจัดให้มีการเรียนรู้นอกห้องเรียน เช่น การเรียนในห้องสมุด หรือตามสถานท่ี
ต่างๆภายในโรงเรียนเพ่ือเป็ นการสร้างบรรยากาศ ทาให้นักเรียนรู้สึกผ่อนคลาย สามารถคิด
เช่ือมโยงและฝึ กคิดในเร่ืองได้ดีข้ นึ

ข้อเสนอแนะเพ่ือการวิจัยต่อไป
1. ควรใช้เทคนิคการต้ังคาถามเพ่ือพัฒนาความสามารถการอ่านเพ่ือความเข้าใจในช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 2 เป็นความต่อเน่ืองในการเรียนรู้ของนักเรียน และเพ่ิมความยากของบทอา่ น
2. ควรใช้เทคนิคการต้ังคาถามในรายวิชาอ่ืนๆ ท่ีเป็นวิชาท่ีต้องท่องจาให้นักเรียนได้
ฝึกคดิ เช่น วิชาวิทยาศาสตร์ วิชาสงั คม และประวัติศาสตร์ เป็นต้น

558

บรรณานุกรม
กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2551). หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551.

กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย.
จิราภรณ์ บุญณรงค์. (2554). การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิการอ่านจบั ใจความของนกั เรียนช้นั

ประถมศึกษาปี ที่ 6 ที่ไดร้ บั การสอนดว้ ยเทคนิค KWL กบั วิธีสอนแบบปกติ.
วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบัณฑติ . มหาวิทยาลัยศิลปากร.
ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์. (2557). เทคนิคการใชค้ าถาม พฒั นาการคิด. พิมพ์คร้ังท่ี 4. กรุงเทพฯ:
วีพร้ินท์
นวลจิตต์ เชาวกรี ตพิ งศ์. (2535). การจัดการเรียนรู้ท่เี น้นผู้เรียนเป็นสาคญั . กรุงเทพฯ: ม.ป.พ.
ปราณี กองจินดา. (2549). การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตรแ์ ละทกั ษะ
การคิดเลขในใจของนกั เรียนทีไ่ ดร้ บั การสอนตามรูปแบบซิปปาโดยใช้ แบบฝึ กหดั
ทีเ่ นน้ ทกั ษะการ คิดเลขในใจกบั นกั เรียนทีไ่ ดร้ บั การสอนโดยใชค้ ู่มือ. วิทยานิพนธ์
ค.ม.(หลักสูตรและการสอน). มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธย า/
พระนครศรีอยุธยา.
ปวรา วงศ์ปญญา. การเปรียบเทียบผลการอ่านเชิงวิเคราะห์ ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่
2 ระหว่างการจัดกิจกรรมโดยใชเ้ ทคนิคการใชค้ าถาม กบั การจัดกิจกรรมโดยใช้
เทคนิคแผนผงั ความคิด. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม, 2551.
พิมพร ไตรยานุภาพ. (2552). การจัดกิจกรรมการเรียนรูแ้ บบใชเ้ ทคนิคการต้งั คาถามเพื่อ
พฒั นาทกั ษะการคิดวิเคราะหข์ องนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนบา้ นโป่ ง
นก สานกั งานเขตพ้ นื ทีก่ ารศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบัณฑิต
, มหาวิทยาลัยราชภฎั เชียงราย)
ละออ คนั ธวงศ์. (2551). ผลการใชก้ ิจกรรมพฒั นาการอ่านเพอื่ ความเขา้ ใจดว้ ยนทิ านพ้ นื บา้ น
สาหรบั นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 4.สารนิพนธป์ ริญญาครุศาสตรมหาบัณฑติ
มหาวิทยาลัยราชภัฏลาปาง.
วันเพญ็ วัฒฐาน. (2557). การจัดการเรียนรูโ้ ดยใชเ้ ทคนคิ การอ่านแบบ SQ3R. วิทยานิพนธ์
ปริญญามหาบัณฑติ มหาวิทยาลัยบูรพา.
วิจารณ์ พานิช. (2556). การสรา้ งการเรียนรูส้ ูศ้ ตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ : มูลนิธิสยามกลั ป์ มา
จล.
สรชัย พิศาลบุตร. (2549). สารวจความพึงพอใจของผูใ้ ช้บริการ ทาได้งายนิดเดียว.
กรุงเทพฯ: วิทยพัฒน์.

559

สติ รา ศรีเหรา. (2560). การพฒั นาความสามารถทางการอ่านเพอื่ ความเขา้ ใจของนกั เรียน
ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 4 โดยใชก้ ิจกรรมการอ่านแบบกวา้ งขวาง.วิทยานิพนธป์ ริญญา
ศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาหลักสตู รและการสอน มหาวิทยาลัยธุรกจิ บัณฑติ ย.์

วิทย์ มูลคา และอรทยั มูลคา. (2545). วิธีจดั การเรียนรูเ้ พอื่ พฒั นากระบวนการคิด. กรุงเทพฯ
: ภาพพิมพ์.

560

การพฒั นาความคิดริเริม่ ในงานคอมพวิ เตอร์ โดยใชร้ ูปแบบการเรียนการ
สอนทกั ษะปฏิบตั ิของซิมพซ์ นั ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 3

พชร สถติ ยพ์ งษ์
ผศ.ดร.พชั ราภา ตนั ติชูเวช**

บทคดั ย่อ

งานวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) เพ่ือพัฒนาความคดิ ริเร่ิมในงานคอมพิวเตอร์โดย
ใช้รูปแบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏบิ ัติของซิมพ์ซัน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 2) เพ่ือ
ศึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคอมพิวเตอร์โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏบิ ัติของ
ซิมพ์ซัน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 3) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการ
เรียนการสอนทักษะปฏบิ ัติของซิมพ์ซัน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 กลุ่มตัวอย่างท่ใี ช้ใน
การวิจัย คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 โรงเรียนวัดเวตวันธรรมาวาส เขตบางซ่ือ
กรุงเทพมหานคร ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 จานวน 28 คน โดยการเลือกแบบ
เฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการวิจัย คอื 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดย
ใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน 2) แบบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา
คอมพิวเตอร์ 3) แบบประเมนิ ความคดิ ริเร่ิม 4) แบบสอบถามความพึงพอใจท่มี ีต่อการใช้รูปแบบ
การเรียนการสอนทกั ษะปฏบิ ัติของซิมพ์ซัน ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการพัฒนาความคิดริเร่ิมใน
งานคอมพิวเตอร์โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน มีค่าเฉล่ีย ( ) รวม
เท่ากับ 3.56 และมีส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.25 อยู่ในระดับมากท่ีสุด 2)
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 (t =
28.773, Sig. = .035) 3) โดยภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการเรียนการ
สอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน มีค่าเฉล่ีย ( ) รวมเท่ากับ 4.38 และมีส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน
(S.D.) เทา่ กบั 0.74 อยู่ในระดับมาก

คาสาคญั : ความคดิ ริเร่ิม, คอมพิวเตอร์, รูปแบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏบิ ัติของซิมพ์ซัน

* นักศกึ ษาสาขาหลกั สตู รและการสอน วทิ ยาลัยครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรุ กจิ บณั ฑติ ย์
** อาจารย์ท่ปี รึกษาสาขาหลกั สตู รและการสอน วทิ ยาลัยครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรุ กจิ บณั ฑติ ย์

561

บทนา

วิชาคอมพิวเตอร์เป็นการเรียนการสอนท่เี น้นภาคปฏบิ ัตมิ ากกว่าภาคทฤษฎี และเน้น
กระบวนการทางานเทา่ กบั ผลงาน มุ่งให้ผู้เรียนทางานเป็น รักการทางาน มองเหน็ คุณค่าของการ
ทางาน และผู้เรียนต้องมีโอกาสได้ฝึกปฏบิ ัติงานด้วยตนเอง ซ่ึงสอดคล้องกับการเรียนการสอนใน
ศตวรรษท่ี 21 ท่เี น้นการเรียนภาคปฏบิ ัติ การให้นักเรียนได้ลงมือทาจริงได้เรียนรู้จากประสบการณ์
จริงเป็ นหน่ึงในทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 (21st Century Skills) คือ ทักษะด้านสารสนเทศ ส่ือ
และเทคโนโลยี เน่ืองด้วยในปัจจุบันมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านทางส่อื และเทคโนโลยีมากมาย
ผ้ ูเรี ยนจึ งต้ องมีความสามารถในการแสดงทักษะการคิดอย่ างมีวิ จารณญาณและปฏิบั ติงานได้
หลากหลาย โดยอาศัยความรู้ด้านสารสนเทศ ความรู้เก่ยี วกบั ส่ือ และความรู้ด้านเทคโนโลยี ดงั น้ัน
การเรียนรู้การใช้งานคอมพิวเตอร์ในระดับประถมศึกษา จึงเป็นส่งิ ท่มี ีความจาเป็นอย่างย่ิงในการ
ดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในการทางาน การศึกษา ให้มีประสิทธิภาพและความสะดวก
เพ่ิมมากข้ึน ผู้เรียนสามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้ วิเคราะห์เจาะลึกถึงความจาเป็ นและแนวทางท่ี
ผู้เรียนนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน ความรู้เบ้ืองต้นเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ การใช้
โปรแกรมพิมพ์เอกสาร เช่น Microsoft Word เพ่ือประโยชน์ในการพิมพ์รายงานของผู้เรียน และ
ได้ทาได้พิมพ์อยู่บ่อย ๆ จะได้ไม่ลืมเพราะส่ิงน้ีเป็นความสามารถท่ผี ู้เรียนต้องใช้ไปอีกนาน ท้งั ใน
เร่ืองการเรียนและการทางานในอนาคตข้างหน้า

อย่างไรก็ตามจากประสบการณ์สอนของผู้วิจัยพบว่า ผู้เรียนไม่สามารถใช้ งาน
คอมพิวเตอร์หรือเรียนรู้ได้ดี เพราะขาดทกั ษะการปฏบิ ัติงานในแต่ละเน้ือหาท่ถี ูกต้องและบางคน
ไม่สามารถปฏบิ ัติได้เลย เป็นผลทาให้ไม่มีงานส่งครู หรือบางคนมีงานส่งแต่ผลงานอยู่ในเกณฑ์
ต้องปรับปรุง เม่ือครูซักถามในประเดน็ หรือเน้ือหาท่ีสาคัญของการเรียนแต่ละคร้ัง นักเรียนไม่
สามารถตอบคาถามได้ถูกต้อง

ดังน้ัน ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาและนารูปแบบการเรียนการสอนท่ชี ่วยพัฒนาผู้เรียนท่เี น้นการ
พัฒนาด้านทกั ษะปฏบิ ัติ คือ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ทกั ษะปฏบิ ัติของซิมพ์ซัน (ทศิ นา, 2550)
เป็นรูปแบบการเรียนท่ีส่งเสริมทกั ษะปฏบิ ัติ โดยนักเรียนสามารถพัฒนาทักษะปฏบิ ัติงานได้ด้วย
การฝึกฝน หากได้รับการฝึกฝนท่ดี ีแล้วจะเกดิ ความถูกต้องความคล่องแคล่ว ความเช่ียวชาญ ความ
ชานาญการและความคงทนของพฤติกรรมหรือการปฏบิ ัติงานน้ัน ๆ ซ่ึงสามารถสงั เกตได้จากการ
ปฏิบัติงาน ความรวดเรว็ และความแม่นยา ซ่ึงทักษะปฏิบัติน้ีสามารถพัฒนาผู้เรียนในการจัดการ
เรียนการสอนวิชาคอมพิวเตอร์ เพราะการสร้างช้ินงานในวิชาคอมพิวเตอร์เป็นกระบวนการท่มี ี
ข้ันตอนแยกย่อยจานวนมาก ก่อนจะรวมกันเป็นช้ินงานท่สี มบูรณ์สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของ
รูปแบบการสอนทกั ษะปฏบิ ัติของซิมพ์ซัน ท่มี ุ่งช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถทางด้านทกั ษะ
ปฏบิ ัติ ด้วยการฝึกฝน ซ่ึงหากได้รับการฝึกฝนท่ดี ีแล้ว จะเกดิ ความถูกต้อง ความคล่องแคล่ว ความ
เช่ียวชาญชานาญการ ความแม่นยาหรือความราบร่ืนในการจัดการ และกระบวนการทางานท่มี ี
คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ และก่อให้เกดิ การเรียนรู้อย่างเตม็ ประสทิ ธภิ าพกบั ผู้เรียนต่อไป

562

วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั

1. เพ่ือพัฒนาความคิดริเร่ิมในงานคอมพิวเตอร์โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทกั ษะ
ปฏบิ ัติของซิมพ์ซัน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3

2. เพ่ือศึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคอมพิวเตอร์โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน
ทกั ษะปฏบิ ัตขิ องซิมพ์ซัน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3

3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏบิ ัติของซิมพ์
ซัน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3

สมมติฐานการวิจยั

1. นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 ทุกคนมีคะแนนจากการประเมินความคิดริเร่ิมในการ
สร้างผลงานคอมพิวเตอร์ในระดบั มาก

2. คะแนนผลสัมฤทธ์ิวิชาคอมพิวเตอร์โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏบิ ัติของ
ซิมพ์ซัน มคี ะแนนหลังเรียนสงู กว่าก่อนเรียน อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติท่รี ะดบั .05

3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏบิ ัติของซิมพ์ซัน
อยู่ในระดบั ดี

ขอบเขตการวิจยั

ประชากรท่ใี ช้ในการวิจัยคร้ังน้ี คือ นักเรียนในช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 ของโรงเรียน
วัดเวตวันธรรมาวาส จังหวัดกรุงเทพมหานคร ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 จานวน 2 ห้อง
จานวนท้งั หมด 53 คน

กลุ่มตัวอย่างท่ใี ช้ในการวิจัยคร้ังน้ี คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 โรงเรียน
วัดเวตวันธรรมาวาส จังหวัดกรุงเทพมหานคร จานวน 1 ห้อง จานวน 28 คน ซ่ึงผู้วิจัยเลือกแบบ
เฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling)

ตวั แปรทีใ่ ชใ้ นการวิจยั ได้แก่
ตวั แปรต้น - รูปแบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏบิ ัติของซิมพ์ซัน
ตวั แปรตาม 1. ความคิดริเร่ิมงานคอมพิวเตอร์
2. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคอมพิวเตอร์
3. ความพึงพอใจต่อรูปแบบการสอนทกั ษะปฏบิ ัตขิ อง
ซิมพ์ซัน

ระยะเวลาการเก็บขอ้ มูล
ระยะเวลาท่ใี ช้ในการวิจัยคร้ังน้ี คอื เดอื นพฤศจิกายน 2562 – พฤษภาคม 2563

563

ประโยชนท์ ีค่ าดว่าจะไดร้ บั

1. นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 มกี ารพัฒนาความคดิ ริเร่ิมในงานคอมพิวเตอร์โดย
ใช้รูปแบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏบิ ัตขิ องซิมพ์ซัน

2. นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 ท่ไี ด้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียน
การสอนทกั ษะปฏบิ ัตขิ องซิมพ์ซันมีผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนดขี ้ึน

3. ครูผู้สอนวิชาคอมพิวเตอร์สามารถนาไปประยุกต์ใช้กบั การเรียนการสอนใน
ระดบั ช้ันอ่นื ได้

ระเบยี บวิธีการวจิ ยั

เครือ่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏบิ ัติของ
ซิมพ์ซัน
2. แบบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาคอมพิวเตอร์
3. แบบประเมินความคิดริเร่ิม
4. แบบสอบถามความพึงพอใจท่มี ตี ่อการใช้รูปแบบการเรียนการสอน
ทกั ษะปฏบิ ัตขิ องซิมพ์ซัน

การเก็บรวบรวมขอ้ มูล

ผู้วิจัยได้ดาเนินการวิจัยเพ่ือพัฒนาความคิดริเร่ิมในการเรียนรู้วิชาคอมพิวเตอร์โดยใช้
รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 โรงเรียน
วัดเวตวันธรรมาวาส ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 โดยมีข้นั ตอนดังน้ี

1. ผู้วิจัย ช้ีแจงและอธิบาย นาเสนอเก่ียวกับวัตถุประสงค์ในการจัดกิจกรรมการเรียน
การสอน ตลอดจนการวัดและการประเมินผล ให้กบั นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3/2 ซ่ึงเป็นกลุ่ม
ตวั อย่าง

2. ก่อนดาเนินตามแผนการสอนให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre - test)
จานวน 20 ข้อ ใช้เวลา 15 นาที และบันทกึ คะแนนไว้ หลังจากน้ันดาเนินการตามแผนการจัดการ
เรียนรู้ จานวน 6 แผน รวม 16 ช่ัวโมง

3. จัดการเรียนการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ท่ใี ช้รูปแบบการเรียนการสอนทกั ษะ
ปฏบิ ัติของซิมพ์ซัน จานวน 6 แผน โดยใช้เวลาทดลอง 16 ช่ัวโมง ในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้
ได้มีการทดสอบและเกบ็ คะแนน

4. เม่ือส้ินสุดการเรียนการสอนท้ัง 6 แผน ทาการทดสอบหลังเรียน (Post - test)
จานวน 20 ข้อ ใช้เวลา 15 นาที ซ่ึงเป็นข้อสอบคู่ขนาน และบันทกึ คะแนนไว้

564

5.นักเรี ยนทาแบบสอบถามความพึ งพอใจท่ีมีต่อการใช้ รูปแบบการเรียนการสอน
ทกั ษะปฏบิ ัตขิ องซิมพ์ซัน

6. เม่อื จบกระบวนการเรียนท้งั 6 แผนการเรียนรู้ ผู้เรียนสง่ ช้ินงานการเรียนรู้ คนละ 1
ช้ินงาน ผู้สอนประเมนิ ตามแบบประเมินท่ผี ู้วิจัยสร้างข้นึ

การวิเคราะหข์ อ้ มูล

1. เปรียบเทยี บคะแนนผลสมั ฤทธ์ิก่อนเรียนและหลังเรียนการพัฒนาความคิดริเร่ิมใน
งานคอมพิวเตอร์ โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 3 ด้วยค่า (t-test) แบบ Dependent Samples

2. ประเมนิ ความคิดริเร่ิมจากการวิเคราะห์ช้ินงานคอมพิวเตอร์โดยใช้ค่าเฉล่ียและส่วน
เบ่ียงเบนมาตรฐาน

3. วิเคราะห์ความพึงพอใจต่อการพัฒนาความคิดริเร่ิมในงานคอมพิวเตอร์ โดยใช้
รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 ด้วย
ค่าเฉล่ีย (Mean) และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)

สรุปและอภิปรายผล

การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัยเพ่ือพัฒนาความคิดริเร่ิมในงานคอมพิวเตอร์ โดยใช้รูปแบบ
การเรียนการสอนทกั ษะปฏบิ ัติของซิมพ์ซัน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3
สรุปผลการวิจัยดังน้ี

1. ผลสัมฤทธ์ิก่อนเรียนและหลังเรียนการพัฒนาความคิดริเร่ิมในงานคอมพิวเตอร์
โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏบิ ัติของซิมพ์ซัน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 สูง
กว่ากอ่ นเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ทิ ่รี ะดับ .05

2. ผลการประเมินความคิดริเร่ิมจากการวิเคราะห์ช้ินงานคอมพิวเตอร์ โดยใช้รูปแบบ
การเรียนการสอนทกั ษะปฏบิ ัติของซิมพ์ซัน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 ได้แก่ 1)ความคิด
ริเร่ิมด้านความเหมาะสมของรูปแบบตัวอักษร มีค่าเฉล่ียโดยรวมอยู่ระดับมากท่ีสุด ( = 3.65,
S.D. = 0.18) 2) นักเรียนมีช้ินงานความคิดริเร่ิมด้านการจัดวางองค์ประกอบมีความเหมาะสม
แปลกใหม่ มีค่าเฉล่ียโดยรวมอยู่ระดับมากท่สี ดุ ( = 3.65, S.D. = 0.18) 3) นักเรียนมีช้ินงาน
ความคิดริเร่ิมด้านความสวยงามน่าสนใจและแปลกใหม่ มีค่าเฉล่ียโดยรวมอยู่ระดับมากท่ีสดุ (
= 3.42, S.D. = 0.25) 4) นักเรียนมชี ้ินงานความคิดริเร่ิมภาพมีสสี นั สวยงามและมีความสมั พันธ์
กบั เน้ือหา มีค่าเฉล่ียโดยรวมอยู่ระดบั มากท่สี ดุ ( = 3.52, S.D. = 0.38)

3. ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏบิ ัติของ
ซิมพ์ซัน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 ได้แก่ 1) ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการใช้
รูปแบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏบิ ัติของซิมพ์ซันด้านครูผู้สอน มีค่าเฉล่ียโดยรวมอยู่ระดับ มาก

565

( = 4.37, S.D. = 0.77) 2) ความพึงพอใจของนักเรียนท่มี ีต่อการใช้รูปแบบการเรียนการสอน
ทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซันด้านกิจกรรมการเรียนรู้ มีค่าเฉล่ียโดยรวมอยู่ระดับมาก ( = 4.32,
S.D. = 0.70) 3) ความพึงพอใจของนักเรียนท่มี ีต่อการใช้รูปแบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏบิ ัติ
ของซิมพ์ซันด้านส่ือการเรียนรู้ มีค่าเฉล่ียโดยรวมอยู่ระดับมาก ( = 4.36, S.D. = 0.78) 4)
ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการใช้รูปแบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏิบัติของซิมพ์ซันด้าน
ประโยชน์ท่ไี ด้รับ มีค่าเฉล่ียโดยรวมอยู่ระดับมาก ( = 4.45, S.D. = 0.69)

อภปิ รายผล

จากการศึกษาวิจัยเร่ือง การพัฒนาความคิดริเร่ิมในงานคอมพิวเตอร์ โดยใช้รูปแบบ
การเรียนการสอนทกั ษะปฏบิ ัติของซิมพ์ซัน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 สามารถนาไปสกู่ าร
อภิปรายผลตามวัตถุประสงค์การวิจัยได้ดังน้ี

วัตถุประสงค์การวิจัยข้อท่ี 1. เพ่ือพัฒนาความคิดริเร่ิมในงานคอมพิวเตอร์โดยใช้
รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 ผลการ
ประเมินความคิดริเร่ิมจากการวิเคราะห์ช้ินงานคอมพิวเตอร์ พบว่านักเรียนมีค่าเฉล่ียโดยรวมอยู่
ระดับมากท่สี ดุ ( = 3.56, S.D. = 0.25) ซ่ึงอภปิ รายได้ว่า เป็นเพราะการจัดกจิ กรรมการเรียนท่ี
เน้นให้นักเรียนได้ลงมือปฏบิ ัติสร้างช้ินงานตามข้ันตอนการพัฒนาทกั ษะปฏบิ ัติของซิมพ์ซัน ทาให้
นักเรียนเกิดความต้องการท่ีจะเรียนรู้ ได้ฝึ กฝนการกระทาน้ัน ๆ จนนักเรียนสามารถทาได้อย่าง
คล่องแคล่ว และด้วยความเช่ือม่ันในตน นักเรียนได้มีปฏสิ ัมพันธ์กบั เพ่ือนร่วมช้ันได้ช่วยเหลือกัน
ในการสร้างช้ินงาน เกดิ ความภาคภมู ิใจต่อช้ินงานของตนเองท่ไี ด้สร้าง

วัตถุประสงค์การวิจัยข้อท่ี 2. เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคอมพิวเตอร์โดย
ใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 พบว่า
หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 โดยมีคะแนนเฉล่ีย ( ) ก่อน
เรียนมีค่าเทา่ กบั 4.78 และคะแนนเฉล่ีย ( ) หลังเรียนมีค่าเทา่ กบั 15.96 ซ่ึงอภิปรายได้ว่า การ
เรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏบิ ัติของซิมพ์ซัน ทาให้นักเรียนเข้าใจใน
บทเรียนมากข้ึนและพัฒนาทกั ษะปฏบิ ัติรวมถึงการใช้ความคิดริเร่ิมของตนเองซ่ึงในแต่ละสปั ดาห์
เน้ือหาการจัดการเรียนการสอนจะต่อเน่ืองกนั เร่ิมต้นจากง่ายไปหายากตามลาดบั

วัตถุประสงค์การวิจัยข้อท่ี 3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการเรียนการ
สอนทักษะปฏบิ ัติของซิมพ์ซัน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 โดยผลการประเมินความพึง
พอใจของนักเรียน พบว่ามีค่าเฉล่ียรวมอยู่ระดับมาก ( = 4.38, S.D. = 0.74) ซ่ึงอภิปรายได้ว่า
ทฤษฎที กั ษะปฏบิ ัติของซิมพ์ซันเป็นทฤษฎที ่เี น้นการลงมอื ปฏบิ ัตจิ ริง ทาซา้ ๆ จนเกดิ ความชานาญ
มีการส่งเสริมให้นักเรียนทางานด้วยตนเอง จึงทาให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติงานจริง ทาให้เกิด
ความสนุกสนานในการเรียน นักเรียนจะเป็นคนออกแบบช้ินงานด้วยตัวของนักเรียนเอง ทาให้
นักเรียนได้ใช้ความคดิ ริเร่ิมได้อย่างเตม็ ท่ี

566

จากการอภิปรายผลตามรายละเอียดข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ข้ันตอนการฝึ กทักษะ
ปฏิบัติของซิมพ์ซัน ในข้ันท่ี 6 ข้ันการปรับปรุงและประยุกต์ใช้ และข้ันท่ี 7 ข้ันการคิดริเร่ิม
นักเรียนกับครูผู้สอนร่วมกนั ประเมินช้ินงาน ข้อควรปรับปรุงจากการปฏบิ ัติงาน ช้ีจุดบกพร่องของ
งาน เพ่ือนาไปปรับปรุงแก้ไข พัฒนางานให้ดีย่ิงข้ึน และเป็นแนวทางในการปฏบิ ัติงานต่อไป ซ่ึง
เป็ นการแลกเปล่ียนเรียนรู้ให้นักเรียนได้แสดงออกถึงความคิดริเร่ิม นักเรียนได้มีการปรับปรุง
ทกั ษะหรือการปฏบิ ัติของตนเองให้ดีย่ิงข้ึน ด้วยการฝึกฝนอย่างต่อเน่ืองซา้ ๆ จนเกดิ ความถูกต้อง
ความคล่องแคล่ว ความเช่ียวชาญชานาญการ ซ่ึงจะก่อให้เกิดเป็นทกั ษะข้ันสูง เช่น ทกั ษะการคิด
คล่องฝังลึกเข้าไปในตัวนักเรียน จนกระท่งั เม่ือถึงจุดหน่ึงจะทาได้อย่างอัตโนมัติ จึงทาให้นักเรียน
สามารถประยุกต์ใช้ในสถานการณท์ ่หี ลากหลาย และเร่ิมเกดิ ความคดิ ใหม่ ๆ นักเรียนได้แสดงออก
ถึงความคิดท่ีแปลกใหม่อย่างอิสระ มีการสร้างช้ินงานท่ีต่างจากต้นแบบอย่างเห็นได้ชัด และมี
รูปแบบท่แี ปลกใหม่แตกต่างจากเดิม ซ่ึงล้วนเกดิ จากการได้ฝึ กทกั ษะความคิดริเร่ิม จะเหน็ ได้จาก
ผลคะแนนการประเมินความคิดริเร่ิมจากการวิเคราะห์ช้ินงานคอมพิวเตอร์ของนักเรียนท่มี ีคะแนน
เฉล่ียโดยรวมท้งั 4 ด้าน อยู่ระดับมากท่สี ดุ

ขอ้ เสนอแนะ

ขอ้ เสนอแนะต่อการนาผลการวิจยั ไปใช้
1. จากผลการวิจัยพบว่า การนารูปแบบการสอนทกั ษะปฏบิ ัติของซิมพ์ซันมาใช้ในการ

จัดการเรียนการสอน มีค่าประสิทธิภาพตามเกณฑ์ท่ตี ้ังไว้ ดังน้ัน ควรมีการส่งเสริมให้ครูผู้สอนนา
รูปแบบการสอนทกั ษะปฏบิ ัติของซิมพ์ซันไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพ่ือให้นักเรียนพัฒนา
ความคิดริเร่ิมและผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไปพร้อมกนั ช่วยให้นักเรียนมีความกระตือรือร้น และมี
ความมุ่งม่นั เอาใจใสใ่ นการเรียน รวมถงึ เพ่ิมประสทิ ธภิ าพในการเรียนให้ดีย่งิ ข้นึ

2. จากผลการวิจัยพบว่า การนารูปแบบการสอนทกั ษะปฏบิ ัติของซิมพ์ซันในการสร้าง
ช้ินงานด้วยโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด ครูผู้สอนต้องคอยให้คาแนะนาช้ีแนะนักเรียน และเปิ ด
โอกาสให้นักเรียนได้ซักถาม และแสดงความคดิ เหน็ อย่างเป็นอสิ ระในข้นั ตอนระหว่างการเรียนการ
สอน และคอยกระตุ้นให้นักเรียนคิดตามอยู่เสมอ เพ่ือให้นักเรียนเกิดความเข้าใจในข้ันตอนของ
กระบวนการทางานและสามารถสร้างสรรค์ช้ินงานได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
ขอ้ เสนอแนะต่อการทาวิจยั คร้งั ต่อไป

1. ควรนาการจัดการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏบิ ัติของ
ซิมพ์ซัน เพ่ือพัฒนาความคิดริเร่ิมไปปรับใช้ในเน้ือหาส่วนอ่ืน ๆ ของวิชาคอมพิวเตอร์ เช่น
โปรแกรมเพ้น โปรแกรมโฟโต้ชอป โปรแกรมสแคลช ฯลฯ ซ่ึงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้
รูปแบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏบิ ัติของซิมพ์ซัน จะช่วยให้นักเรียนเข้าใจในบทเรียนได้มากข้ึน
และใช้โปรแกรมน้ัน ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว ซ่ึงได้จากการได้ฝึกปฏบิ ัติอยู่บ่อย ๆ จนเกดิ เป็นความ
ชานาญ และยงั ช่วยพัฒนาความคิดริเร่ิมของนักเรียน

567

2. ควรมีการนารูปแบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏบิ ัติของซิมพ์ซันไปใช้ในการจัดการ
เรียนการสอนในรายวิชาอ่ืน ๆ หรือนาไปบูรณาการร่วมกับเน้ือหารายวิชาต่าง ๆ เพ่ือส่งเสริมให้
นักเรียนพัฒนาทกั ษะการปฏบิ ัติในด้านต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วน เตม็ ศักยภาพ และเกิดเจตคติท่ดี ี
ต่อการเรียน

บรรณานุกรม

กระทรวงศึกษาธิการ. สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขนั้ พ้ืนฐำน. (2560). ตัวช้ีวดั และสำระ
กำรเรียนรูแ้ กนกลำง กลุ่มสำระกำรงำนอำชีพและเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.
2560) ตำมหลกั สตู รแกนกลำงกำรศึกษำขนั้ พ้ืนฐำน พุทธศกั รำช 2551. (พิมพ์คร้ัง ท่ี
1). กรุงเทพฯ : ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.

เกษมณี พุกหน้า. (2555). ผลของรูปแบบกำรจดั กำรเรียนรูท้ กั ษะปฏิบัติของซิมพ์ซนั เสริมดว้ ย
เทคนิคระดมสมองต่อทักษะปฏิบัติงำน ผลงำนควำมคิดสรำ้ งสรรค์และผลสัมฤทธ์ิ
ทำงกำรเรียนสำระงำนประดิษฐ์ของนักเรียนชนั้ ประถมศึกษำปี ที่ 5. สืบค้นเม่ือ 24
ตุลาคม 2561, จาก https://gsbooks.gs.kku.ac.th/56/grc14/files/hmp8.pdf

กรมวิชาการ, กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2545). คู มือกำรจดั กำรสำระกำรเรียนรู กลุ มสำระกำร
เรียนรูก้ ำรงำนอำชีพและเทคโนโลยี ตำมหลกั สูตรกำรศึกษำขนั้ พ้ืนฐำน พุทธศักรำช
2544 . กรุงเทพมหานคร : องค การรับส งสนิ ค าและพัสดุภัณฑ (ร.ส.พ.).

กฤตมุข ไชยศิร. (2561). กำรพฒั นำชุดกำรสอนโดยใชร้ ูปแบบกำรสอนทกั ษะปฏิบตั ิของซิมพซ์ นั
เรือ่ งกำรรอ้ ยลกู ปัด วชิ ำกำรงำนอำชพี และเทคโนโลยีสำหรบั นกั เรียนชนั้ ประถมศึกษำปี
ที่ 5 โรงเรียนวดั อ่ำงแกว้ (จีบ ปำนขำ). วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย, 10(1),
175-186

ฉวีวรรณ กุดหอม. (2558). กำรพฒั นำกิจกรรมกำรเรียนรูว้ ชิ ำนำฏศิลป์ ตำมรูปแบบซิปปำและ
รูปแบบ กำรพฒั นำทกั ษะปฏิบตั ิของซิมพซ์ นั ระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษำปีที่ 2.

วารสารวิชาการหลักสตู รและการสอน, 7(18), 49-59
ณัฐพงศ์ ไชยยศ. (2561). กำรพฒั นำรูปแบบกำรเรียนรู้ เพือ่ เสริมสรำ้ งทกั ษะพ้ืนฐำนกีฬำเซปัก

ตะกรอ้ กลุ่มสำระกำรเรียนรูส้ ุขศึกษำและพลศึกษำ ของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษำปี ที่ 2
โดยใชแ้ นวคิดของซิมพซ์ นั (Simpson) ร่วมกบั แบบฝึกทกั ษะภำคปฏิบตั ิ. สบื ค้นเม่อื
3 0 ตุ ล า ค ม 256 1 จ า ก http://www.trueplookpanya.com/data/product/ source/
hash_cms/3657/7657/TE7657_5d5f675594171.pdf
ณัฐรีย์ พุกพบสขุ . (2561). ผลของกำรพฒั นำแบบฝึกปฏิบตั ิโดยใชร้ ูปแบบกำรสอนทกั ษะปฏิบตั ิ
ของซิมพ์ซนั ผสำนเทคนิคระดมสมอง ต่อทกั ษะปฏิบตั ิงำน ผลงำนควำมคิดสรำ้ งสรรค์
และผลสมั ฤทธ์ิ ทำงกำรเรียน วิชำ คอมพิวเตอร์ ของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษำปี ที่ 6.
สบื ค้นเม่อื 24 ตลุ าคม 2562, จาก https://www.kruchiangrai.net/forums

568

ทิศนา แขมมณี. (2551). รูปแบบกำรเรียนกำรสอน : ทำงเลือกที่หำกหลำย. พิมพ์คร้ังท่ี5.
กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ทิศนา แขมมณี. (2553). ศำสตร์กำรสนองคือควำมรู้เพื่อกำรจัดกระบวนกำรเรียนรู้ที่มี
ประสิทธิภำพ. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย 2553.

บุญชม ศรีสะอาด. (2545). กำรวจิ ยั เบ้ืองตน้ . พิมพ์คร้ังท่ี 7. กรุงเทพฯ : สวุ ีริยาสาสน์ .
บุสรินทร์ พาระแพน. (2560). กำรพฒั นำชุดกำรเรียนรูก้ ำรแสดงนำฏศิลป์ พ้ืนบำ้ น ตำมแนวคิด

ทกั ษะปฏิบตั ิของซิมพ์ซนั ทีส่ ง่ เสริมบุคลิกภำพและควำมคิดสรำ้ งสรรค์กำรปฏิบตั ิท่ำรำ
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษำปี ที่ 3. สืบค้ นเม่ือ 30 ตุลาคม 2561, จาก
https://edu.msu.ac.th/journal/home/journal_file/616.pdf
สรัสวดี ปานสวัสด์ิ. (2561). กำรพัฒนำรูปแบบกำรสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้ ร่วมกับกำร
ผสมผสำนทกั ษะปฏิบัติตำมแนวคิดของซิมพ์ซัน เพือ่ ส่งเสริมทกั ษะกำรประดิษฐ์งำน
ใบตอง ชุดสำรทไทย...สำรทเดือนสบิ กลมุ่ สำระกำรเรียนรูก้ ำรงำนอำชพี และเทคโนโลยี
ชั้ น ป ร ะ ถ ม ศึ ก ษ ำ ปี ที่ 5 . สื บ ค้ น เ ม่ื อ 3 0 ตุ ล า ค ม 2 5 6 2 , จ า ก
http://www.kroobannok.com/board_view.php?b_id=169401&bcat_id=14
สานักงาน กพ. (2560). กำรคิดเชิงสรำ้ งสรรค์. สืบค้นเม่ือ 13 พฤศจิกายน 2562, จาก
https://www.ocsc.go.th/sites/default/files/document/ocsc-2017-eb13.pdf
CC เทคโนโลยีในศตวรรษท่ี 21. (2562). เทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21. สืบค้นเม่ือ 31 ตุลาคม
2562, จาก https://sites.google.com/a/sby.ac.th/cc-thekhnoloyi-ni-stwrrs-thi-
21
Clark, Ann-Maire. (2001, December). Implementing the Project Approach : A Beginner’ s
Perspctive. Dissertation Abstracts International. 62(6), pp.2014-A.
John W. Best and James V. Kahn (2006). Research in education. Boston : Allyn and Bacon.
Owen, Pamela Mae. (2002, August). Bridging Theory and Practice : Student Teachers use
the Project Approach. Dissertation Abstracts International. 63(2), pp.563-A.

569

การพฒั นาการเขียนเล่าเรือ่ งภาษาจีนโดยใชเ้ ทคนิคการต้งั คาถาม 5W1H
ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5

The Development of Chinese Story Telling by Using 5W1H
Technique of Matthayomsuksa 5 Students

ภรภัทร ยางงาม1
อญั ชลี ทองเอม2

บทคดั ย่อ
การวิจัยเชิงทดลองน้ี มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) พัฒนาการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้
เทคนิคการต้ังคาถาม 5W1H 2) ศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีน
3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่มี ีต่อการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม
5 W1H กลุ่มตัวอย่างท่ใี ช้ในงานวิจัย คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 โปรแกรมศิลป์ ภาษาจีน
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี จังหวัดนนทบุรี กาลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนท่ี 2/2562
จานวน 1 ห้อง จานวนนักเรียน 28 คน (แบบสมัครใจไม่มีต่อเกรด) เคร่ืองมือในการวิจัย ได้แก่
1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาจีน4 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนเล่าเร่ือง
ภาษจีน3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน 4) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเขียน
เล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม 5W1H สถิติท่ใี ช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าร้อยละ
ค่าเฉล่ีย และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน และใช้สถติ ิ paired sample t-test
ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลของการพัฒนาความสามารถการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้
เทคนิคการต้ังคาถาม 5W1H มีนักเรียนท่ีมีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ จานวน 21
คน คิดเป็ นร้ อยละ 75 และมีนักเรียนท่ีไม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 7 คน คิดเป็ นร้ อยละ 25
2) ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนการเขยี นเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม 5W1H คะแนน
หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 (t = 4.151, sig = 0.000)
3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม 5W1H
โดยภาพรวม อยู่ในระดบั มากท่สี ดุ (x̅= 4.59, S.D. = 0.65)

คาสาคญั : การเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีน, เทคนิคการต้ังคาถาม 5W1H ,นักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี
ท่ี 5

1 นักศกึ ษาหลักสตู รศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาหลกั สตู รและการสอน วทิ ยาลยั ครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรุ กจิ
บณั ฑติ ย์
2 ท่ปี รึกษาวทิ ยานิพนธห์ ลักสตู ร

570

ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา
ปัจจุบันประเทศจีนมีประชากรมากท่ีสุดในโลกท่ี 1,417.89 ล้านคน (ข้อมูลจาก

Worldmeters.info ณ วันท่ี 23 มกราคม 2562) ตามประมาณการขององค์การสหประชาชาติ
(UN) จีนมีประชากรคิดเป็น 18.41% ของประชากรโลกซ่ึงจานวนประชากรมากเป็นอนั ดับต้นๆ
ของโลก (วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ, 2562) ดังน้ันจึงทาให้ภาษาจีนเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากใน
สงั คมไทย ในศตวรรษท่ี 21 น้ี การเรียนรู้เพียงภาษาไทย และภาษาองั กฤษ อาจจะไม่เพียงพอต่อ
การทางานในอนาคต โดยเฉพาะการอยู่ในประชาคมอาเซียน จึงจาเป็นต้องเรียนรู้ภาษาท่ี 3 เพ่ือ
อนาคตของตนเอง

ภาษาจีนถือเป็ นภาษาท่ีสาคัญจะเหน็ ได้จาก สถาบันสอนพิเศษภาษาจีน เกิดข้ึนมา
มากมาย การเรียนภาษาจีนออนไลน์ ในเวบ็ ไซต์ต่างๆ น่ันแสดงให้เหน็ ว่าคนไทยให้ความสนใจ
และให้ความสาคัญกับการเรียนรู้ด้านภาษาจีนเพ่ิมมากข้ึนเร่ือยๆ เน่ืองจากประเทศจีนเข้ามามี
บทบาทสาคญั ในด้านการค้าและเศรษฐกจิ อกี ท้งั ยงั มีการร่วมลงทุนในธรุ กจิ ต่างๆระหว่างไทยและ
จีนเพ่ิมมากข้ึนเร่ือยๆ ประกอบกับความสัมพันธ์ทางการทูตท่ีดีของท้งั สองประเทศ จึงเกดิ ความ
ร่วมมือในด้านการศึกษาอย่างต่อเน่ืองด้วยดีเสมอมา ไม่ว่าจะเป็ นการท่ีรัฐบาลจีนเข้ามาจัดต้ัง
สถาบันขงจ่ือในประเทศไทย นายหวาง ฮุ่ยซาง ผู้แทนสานักงานใหญ่สถาบันขงจ่ือประเทศจีน
สาธารณะรัฐประชาชนจีนกล่าวว่า ท่ผี ่านมาประเทศไทยให้การสนับสนุนสถาบันขงจ่ือมาโดยตลอด
และปัจจุบันในประเทศไทย มีสถาบันขงจ่ือจานวน 16 แห่ง และมีห้องเรียนสถานบัน ขงจ่ืออยู่
ท้งั หมด 20 แห่ง และมีอาสาสมัครชาวจีนท่ีสอนภาษาจีนอยู่ในประเทศไทยท้งั หมดกว่า 1,700
คน สาหรับการศึกษาภาษาจีนในต่างประเทศมีอาจารย์ชาวจีนสอนอยู่ท้งั หมดกว่า 10 ล้านคนท่วั
โลก ซ่ึงส่ิงท่ีจาเป็ นอย่างย่ิงสาหรับการพัฒนาการศึกษาก็คือการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้
ทางด้านภาษาจีนท่ีสามารถนาไปใช้งานได้ (หนังสือพิมพ์แนวหน้า,2561) ลักษณะพิเศษของ
สถาบันขงจ่ือคอื นอกจากจะเป็นองค์กรท่เี น้นการเผยแพร่ภาษาและวัฒนธรรมจีนอย่างเข้มข้นแล้ว
ยังเป็นองค์ท่ดี าเนินงานร่วมกันระหว่างสถาบันการศึกษาของจีนกบั สถาบันการศึกษาท้องถ่ิน ทา
ให้ผู้บริหารสถาบันขงจ่ือ ประกอบด้วยคนจากท้ังสองประเทศ และแบ่งกันรับผิดชอบงานส่วน
ต่างๆ โดยได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากสานักงานส่งเสริมภาษาจีนสู่สากลแห่งประเทศจีน
หรือฮ่ันป้ัน (汉办) ภายใต้การกากับดูแลจากกระทรวงศึกษาธิการของจีน และสถาบันขงจ่ือยัง
มอบทุนต่างๆให้กับนักศึกษา ข้าราชการ ผู้อานวยการโรงเรียนประเทศน้ันๆให้ไปศึกษาต่อและ
เรียนรู้วัฒนธรรมท่ีประเทศจีนอย่างสม่าเสมอ (กรพนัช ต้ังเข่ือนขันธ์, 2556) นอกจากน้ียังมี
โครงการความร่วมมือในการแลกเปล่ียนนักศึกษาและคณาจารย์ชาวไทยและจีนในสถานบัน
อุดมศึกษาท่ีมีข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสถาบันของท้ังสองประเทศอย่างต่อเน่ือง (ณัฐวุฒิ
สวุ รรณช่าง, 2558)

571

กระทรวงศึกษาธกิ ารได้ตระหนักถงึ ความสาคญั ของภาษาจีน จึงได้บรรจุภาษาจีนไว้ใน
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศท่ีผู้เรียนสามารถเลือกเรียนรู้ได้ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 ซ่ึงสถานศึกษาท่มี ีความพร้อมในการจัดการเรียนการสอน
ภาษาจีนสามารถเปิ ดหลักสูตรในรูปแบบต่างๆ ได้และผู้เรียนสามารถท่จี ะเลือกเรียนในหลักสูตร
น้ันๆได้ตามความสนใจ ซ่ึงส่งผลให้โรงเรียนท่ีสอนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษามีการ
เปิ ดสอนวิชาภาษาจีนกันอย่างกว้างขวาง กระทรวงศึกษาธิการ พบว่า มีผู้เรียนต้ังแต่ระดับ
ประถมศึกษาถงึ อดุ มศึกษาท่สี นใจเรียนภาษาจีนซ่ึงมีจานวนกว่า 400,000 คนทว่ั ประเทศ อย่างไร
กต็ ามการเรียนการสอนภาษาจีนจะสามารถประสบผลสาเรจ็ ได้น้ัน จะต้องอาศัย ปัจจัยหลายอย่าง
ท่เี ก่ียวข้อง โดยเฉพาะอย่างย่ิงคือ ครูผู้สอนหลักสูตร ตารา ส่อื การเรียนการสอน และการจัดการ
เรียนการสอน และในการจัดการเรียนการสอนภาษาจีนน้ัน ครูผู้สอนมุ่งหวังให้ผู้เรียนมีเจตคตทิ ่ดี ี
ต่อภาษาจีน สามารถ ใช้ภาษาจีนส่อื สารในสถานการณ์ต่างๆ แสวงหาความรู้ ประกอบอาชีพ และ
ศึกษาต่อในระดับท่สี ูงข้ึน รวมท้ังมีความรู้ ความเข้าใจในเร่ืองราวและวัฒนธรรมอันหลากหลาย
ของประชาคมโลก และสามารถถ่ายทอดความคิดและวัฒนธรรม ไทยไปยังสังคมโลกได้อย่าง
สร้างสรรค์ การท่จี ะสามารถใช้ภาษาจีนเพ่ือการส่อื สารได้น้ันจะต้องอาศัยทกั ษะพ้ืนฐานท่ี สาคัญ
ของภาษา เพ่ือแลกเปล่ียนข้อมูล ข่าวสาร แสดงความรู้สึกและความคิดเห็น ตีความ นาเสนอ
ข้อมูล ความคิด รวบยอดและความคิดเหน็ ในเร่ืองต่างๆอย่างเหมาะสม ซ่ึงทกั ษะพ้ืนฐานท่สี าคัญ
น้ีประกอบด้วยทกั ษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขยี น (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2551)

การเขียนถือเป็นทกั ษะพ้ืนฐานท่สี าคัญสาหรับผู้เรียนภาษาเป็นอย่างมาก สนุ ีต์ิ ภ่จู ิรฐา
พันธุ์ (2554) ได้พูดถึงความสาคัญของการเขียนไว้ว่า เป็นเคร่ืองมือในการส่อื สารของมนุษย์ ใน
ชีวิตประจาวันและในงานอาชีพ มนุษย์ใช้การเขียนเป็นเคร่ืองมือในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด
ความรู้สึก ความต้องการและประสบการณ์หรือจินตนาการในเร่ืองต่างๆ ต่อกันและกัน เป็ น
เคร่ืองมือบันทึกและถ่ายทอดวัฒนธรรมและมรดกทางปัญญาของคนรุ่นหน่ึงไปยังคนอีกรุ่นหน่ึง
เป็นเคร่ืองมือในการโน้มน้าวจิตใจ มนุษย์ใช้การเขียนในการชักจูงเชิญชวนหรือโน้มน้าวจิตใจให้
ผู้รับสารยอมรับหรือปฏบิ ัติในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง เช่น การเขยี นบทความให้รักชาติ การเขียนคาขวัญ
ให้รักษาส่งิ แวดล้อม เป็นเคร่ืองมือในการให้ความบันเทงิ ความเพลิดเพลิน ในปัจจุบันเราสามารถ
หาความเพลิดเพลินจากงานเขียนต่างๆ เช่น นวนิยาย เร่ืองส้นั เร่ืองขาขนั

572

เป็นเคร่ืองมือท่ีช่วยแพร่กระจายความรู้ ความคิด ฯลฯ ไปส่ผู ู้รับสารได้กว้างไกลและ
รวดเรว็ และท่ีสาคัญยังคงหลักฐานไว้ให้อ้างอิงได้ เป็นเคร่ืองมือในการประกอบอาชีพท่ีมีเกียรติ
และมีช่ือเสียง เช่น นักเขียนบทละคร บทภาพยนตร์ นักเขียนเพลง นักเขียนนวนิยาย นักเขียน
บทความ นักเขียนข่าว ฯ เป็นเคร่ืองมอื พัฒนาสติปัญญา การเขยี นต้องอาศัยทกั ษะทางด้านการฟัง
การอ่าน การคิดวิเคราะห์ ซ่ึงทาให้ผู้เขียนได้ใช้สติปัญญาในการประมวลความรู้ พินิจพิจารณา
ไตร่ตรอง ประมวลความคิด การเลือกใช้ภาษาเพ่ือนามาถ่ายทอดในรูปแบบของงานเขียนชนิด
ต่างๆ เป็นการแสดงออกถึงภูมิปัญญาความสามารถของผู้เขียน ดังน้ันการเขียนจึงเป็นเคร่ืองมือ
ในการพัฒนาสตปิ ัญญา

การจัดการเรียนรู้ภาษาจีน มุ่งเน้นท่จี ะพัฒนาทกั ษะท้ัง 4 ด้าน ได้แก่ การฟัง การพูด
การอา่ น และการเขียน แต่เม่อื พิจารณาดูแล้ว การเขียนภาษาจีนเป็นส่งิ ท่ผี ู้เรียนคิดว่ายุ่งยากและมี
ปัญหามากท่สี ดุ เพราะการเขียนภาษาจีนพ้ืนฐานน้ันประกอบไปด้วย (笔画 bǐhuà) เส้นขีดของ
อกั ษรจีน และ (笔顺 bǐshùn) การลาดบั ขีดการเขียนตวั อกั ษรจีน รวมไปถึงการใช้เคร่ืองหมาย
วรรคตอนในภาษาจีน วีระชาติ วงศ์สัจจา (2551) กล่าวว่า การเขียนภาษาจีนแตกต่างจากภาษา
อ่ืนๆ เน่ืองจากภาษาจีนน้ันอาศัยรูปร่างและลักษณะของอักษรแต่ละตัวเพ่ือส่ือความหมาย หรือ
อาจกล่าวได้ว่าเป็นอักษรรูปภาพ ดังน้ันจึงทาให้นักเรียนมีปัญหาในการเขียนภาษาจีนเป็นอย่าง
มาก โดยเฉพาะการเขียนเล่าเร่ือง ผู้เรียนภาษาจีนไม่สามารถนาคาศัพท์ภาษาจีนมาแต่งเป็ น
ประโยค มาเขียนเป็นเร่ืองราวหรือเขียนเล่าเร่ืองได้ การเขียนเล่าเร่ืองน้ันต้องอาศัยการฝึกฝน ซ่ึง
เกดิ จากประสบการณ์ของแต่ละบุคคล เพราะการเขียนเล่าเร่ืองต้องเป็นการถ่ายทอดเร่ืองราวของ
ผู้เขียน ใช้ภาษาท่เี ข้าใจง่ายในการเขียน ไม่ซับซ้อน ดังน้ันการจะเขียนเล่าเร่ืองได้ดีจะต้องเกดิ จาก
การมีพ้ืนฐานการเขยี นภาษาจีนดกี อ่ นน่ันเอง

จากปัญหาการเขียนภาษาจีนข้ างต้ น การใช้ เทคนิคการต้ังคาถาม 5W1H มา
ประยุกต์ใช้กับการเขียนเล่าเร่ือง ซ่ึงตามปกติเทคนิคน้ีจะใช้เร่ืองของการอ่าน คิดวิเคราะห์ เพ็ญ
พิสทุ ธ์ิ ใจสนิท (2555) กล่าวถงึ ว่า 5W1H ย่อมาจาก Who ใคร What อะไร Where ท่ไี หน When
เม่ือไร Why ทาไม และ How อย่างไร คาถามเหล่าน้ีท่ีเกิดข้ึนจากความสงสัยในวันเดก็ เป็นส่ิงท่ี
บอกให้รู้ว่าเดก็ เร่ิมคิด เพราะเม่อื เดก็ เกดิ ความสงสยั แสดงว่าส่งิ แวดล้อมรอบตวั เดก็ กระต้นให้เดก็
เกิดสภาวะท่ีเรียกว่าไม่สมดุล(Disequilibrium) เด็กจึงหาคาตอบเพ่ือให้ เกิดภาวะสมดุล
(Equilibrium) ทาให้เกดิ ปัญญาเป็นความรู้ความเข้าใจท่กี ลายเป็นพ้ืนฐานการคดิ ของเดก็ ต่อไป

573

เทคนิค 5W1H หมายถึง เทคนิคในการต้ังคาถามรูปแบบหน่ึงท่ีส่งผลให้เกิดทักษะ
การอ่านการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และเขียนสรุปความ ซ่ึงประกอบไปด้วย What? (อะไร)
ถามว่า ส่งิ น้ันคืออะไร มีอะไรเกดิ ข้ึนบ้างและมีรายละเอยี ดเป็นอย่างไร Where? (ท่ไี หน) ถามว่า
สถานท่ี หรือตาแหน่งแห่งท่ีท่ีชัดเจน When? (เม่ือใด) ถามว่า เหตุการณ์น้ันได้เกิดข้ึนหรือจะ
เกดิ ข้นึ เม่อื ใด Why? (ทาไม) ถามว่า เพราะเหตุใดเร่ืองน้ันจึงเกดิ ข้ึน แต่ละเหตกุ ารณ์จะต้องเป็น
อย่างน้ันอย่างน้ี Who? (ใคร) ถามว่า ใครท่ีเป็นต้นเร่ือง เป็นบุคคลสาคัญหรือเป็นตัวประกอบ
หรือเป็ นผู้ท่ีเก่ียวข้องท่ีจะได้รับรับผลกระทบอันอาจจะเกิดข้ึนท้ังในด้านบวกและลบ How?
(อย่างไร) ถามเร่ืองรายละเอยี ดในส่ิงท่เี กดิ ข้ึนไปแล้ว หรือกาลังจะเกิดข้ึนว่าจะมีความเป็นไปใน
ลักษณะใด

ส่วนมากเทคนิคการต้ังคาถาม 5W1H น้ีมักจะนาไปใช้กับการคิดวิเคราะห์สรุป
ใจความสาคัญ แต่งานวิจัยน้ี ผู้วิจัยจึงสนใจท่ีจะนาเทคนิคการต้ังคาถาม 5W1H มาช่วยผู้เรียน
สร้างเค้าโครงเร่ืองราวและเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีน เพ่ือพัฒนาการเขียนภาษาจีนให้แก่ผู้เรียนได้ดี
ข้นึ

วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั
1. เพ่ือพัฒนาการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้เทคนิคการต้งั คาถาม 5 W1H
2. ศึกษาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีน
3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้เทคนิคการ

ต้งั คาถาม 5W1H

สมมติฐานของการวิจยั
1. นักเรียนมีความสามารถในการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม 5W1H

มีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ของคะแนนเตม็
2. นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่า

ก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ทิ ่ี .05
3. นักเรียนมคี วามพึงพอใจต่อการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม 5W1H

อยู่ในระดบั มาก

ขอบเขตของการวิจยั
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1. ประชากรท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ีคือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5/15 โปรแกรมศิลป์

ภาษาจีน โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี กาลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนท่ี
2/2562 จานวน 1 ห้อง จานวนนักเรียน 44 คน

574

2. กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ีคือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5/15 โปรแกรม
ศิลป์ ภาษาจีน โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี กาลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนท่ี
2/2562 ซ่ึงเป็นกลุ่มตวั อย่างตามความสมัครใจ (ไม่มีผลต่อเกรด) จานวน 28 คน

ตัวแปรในการวิจัย
ตัวแปรต้น ได้แก่ เทคนิคการต้งั คาถาม 5W1H
ตวั แปรตาม ได้แก่
1) ความสามารถในการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้เทคนิคการต้งั คาถาม 5W1H
2) ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนรู้การเขยี นเล่าเร่ืองภาษาจีน
3) ความพึงพอใจของนักเรียนท่มี ตี ่อการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้เทคนิคการ
ต้งั คาถาม 5W1H

ขอบเขตด้านเน้ือหา
เน้ือหาท่ใี ช้ในการวิจัยคร้ังน้ี เป็นเน้ือหาในรายวิชา ภาษาจีน 4 จานวน 3 หน่วยการเรียนรู้

15 คาบ
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 เร่ือง 课目 kè mù(บรรยายเก่ยี วกบั การเรียนวิชาต่างๆ)
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง 地方 dì fāng (บรรยายเก่ยี วกบั สถานท่)ี
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 เร่ือง 季节 jì jié (บรรยายเก่ยี วกบั ฤดูกาล)

ระยะเวลาในการทาวิจัย
ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 จานวน 15 คาบ

เครือ่ งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการวิจัยคร้ังน้ีประกอบด้วย
1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาจีน 4
2. แบบทดสอบวัดความสามารถการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีน
3. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน
4. แบบสอบถามความพึงพอใจมีต่อการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้เทคนิคการต้ัง
คาถาม 5W1H

ข้นั ตอนการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
ผู้วิจัยได้ดาเนินการทดลองกบั นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5/15 โรงเรียนสวนกุหลาบ

วิทยาลัยนนทบุรีซ่ึงเป็นกลุ่มตวั อย่างและเกบ็ รวบรวมข้อมูลด้วยตนเองตามข้นั ตอน ต่อไปน้ี
1 อธบิ ายและช้ีแจงกิจกรรมการจัดการเรียนรู้การเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้เทคนิค

การต้งั คาถาม 5W1H ในรายวิชาภาษาจีน 4 ให้นักเรียนทราบ

575

2 ให้นักเรียนทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียน (Pretest) เป็ น
ปรนัยแบบ 4 ตวั เลือก และการเขยี นเล่าเร่ือง 1 เร่ือง โดยใช้เวลา 1 ช่ัวโมง

3 ดาเนินการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ ท่ีกาหนดจานวน 3 แผนการจัดการ
เรียนรู้ แต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ได้ให้ความรู้เร่ืองคาศัพทแ์ ละไวยากรณ์จีน ฝึกทาแบบฝึกหัด
และเม่ือเรียนครบ 1 แผนการเรียนรู้ จึงให้ทาแบบทดสอบความสามารถในการเขียนเพ่ือเกบ็
คะแนน ทาลักษณะน้ีจนครบ 3แผนการจัดการเรียนรู้

4 หลังจากทาการสอนเสร็จท้ังหมด 3 แผนการเรียนรู้ ผู้วิจัยให้ นักเรียนทา
แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียน (Posttest) เป็นปรนัยแบบ 4 ตัวเลือก และการ
เขียนเล่าเร่ือง 1 เร่ือง โดยใช้เวลา 1 ช่ัวโมง ซ่ึงเป็นแบบทดสอบแบบคู่ขนาน

3.4.6 ผู้วิจัยให้นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5/15 ทาแบบสอบถามความพึงพอใจต่อ
การเขยี นเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้เทคนิคการต้งั คาถาม 5W1H

การวิเคราะหข์ อ้ มูล
การวิเคราะห์ข้อมูลท่ไี ด้จากการดาเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ทาการวิเคราะห์

ข้อมูล ดังน้ี
1. วิเคราะห์ความสามารถในการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีน โดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม

5W1H โดยวิเคราะห์ค่าร้อยละ (Percentage)
2. วิเคราะห์ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยใช้ สถิติทดสอบสมมติฐาน (Paired sample t-

test)
3. วิเคราะห์แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้เทคนิคการ

ต้งั คาถาม 5W1H ใช้ ค่าเฉล่ีย (Mean) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)

สรุปผลการวิจยั
ตอนท่ี 1 ผลของการพัฒนาความสามารถการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้เทคนิคการ

ต้ังคาถาม 5W1H ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 จานวน 28 คน พบว่า มีนักเรียนท่มี ีคะแนน
ไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ จานวน 21 คน คิดเป็นร้อยละ 75 และมีนักเรียนท่ไี ม่ผ่านเกณฑ์
จานวน 7 คน คดิ เป็นร้อยละ 25

ตอนท่ี 2 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้เทคนิคการต้ัง
คาถาม 5W1H ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 พบว่า คะแนนหลังเรียนของการใช้เทคนิคการ
ต้ังคาถาม 5W1H สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 (t = 4.151, sig. = .
000)

576

แบบทดสอบ

ผลสมั ฤทธ์ิ นกั เรียน x̅ S.D. t Sig.
.000
ทางการเรียน

ก่อนเรียน 28 10.57 5.27
หลงั เรียน 4.151*

28 15.07 5.25

*อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดบั .05

ตอนท่ี 3 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีน

โดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม 5W1H ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 จานวน 28 คน พบว่า

นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม 5W1H โดย
ภาพรวม อยู่ในระดับมากท่สี ุด (x̅ = 4.59, S.D. = 0.65) และเม่ือพิจารณารายด้านแต่ละด้าน

อยู่ในระดับมากท่สี ุด คือด้านด้านกิจกรรมการเรียนรู้การเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้เทคนิคการ
ต้งั คาถาม 5W1H (x̅= 4.60, S.D. = 0.56) เน้ือหาท่เี รียน (x̅= 4.59, S.D. = 0.58) และด้าน
ครูผู้สอน (x̅= 4.57, S.D. = 0.78)

การอภิปรายผล
ตอนท่ี 1 ผลของการพัฒนาความสามารถการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้เทคนิคการ

ต้ังคาถาม 5W1H ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 จานวน 28 คน พบว่า มีนักเรียนท่มี ีคะแนน
ไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ จานวน 21 คน คิดเป็นร้อยละ 75 และมีนักเรียนท่ไี ม่ผ่านเกณฑ์
จานวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 25 เม่ือพิจารณาความสามารถในการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนของ
นักเรียนท่ไี ม่ผ่านเกณฑท์ ่กี าหนดไว้ เน่ืองจากแบบทดสอบท่ี 1 ให้นักเรียนเขียนเร่ืองวิชาท่ตี นเอง
ชอบ นักเรียนส่วนใหญ่คิดเน้ือหาไม่ได้จึงทาให้การเขียนเร่ืองของไวยากรณ์และจานวนคาท่ี
กาหนดไว้กท็ าไม่ได้ด้วย แต่ในแบบทดสอบท่ี 2 เป็ นเร่ืองเก่ียวกับสถานท่ีท่ีตนเองชอบ และ
แบบทดสอบท่ี 3 เป็นเร่ืองเก่ยี วกับฤดูท่ตี นเองชอบท้งั 2 แบบทดสอบน้ีนักเรียนสามารถเขียนได้
มากข้ึน ดูเสมือนเร่ืองแรกเป็นเร่ืองท่ยี ากสาหรับนักเรียนจึงทาให้เขียนไม่ได้ ซ่ึงการใช้เทคนิคการ
ต้ังคาถาม 5W1H จึงเป็นเคร่ืองมือท่ใี ช้ในการพัฒนาการเขียนภาษาจีนได้ระดับหน่ึง แต่อย่างไรก็
ดีนั กเรี ยนท่ีสอบไม่ ผ่ านตามเกณฑ์ได้ มีการพั ฒนาความสามารถการเขียนเล่ าเร่ื องภาษ า จี น
สอดคล้องดังท่ี สุวิทย์ มูลคา (2550) อธิบายว่า การคิดเชิงลึก คิดอย่างละเอียด จากเหตุไปผล
ตลอดจนการเช่ือมโยงความสัมพันธ์ในเชิงเหตุและผลความแตกต่างระหว่างข้อโต้แย้งท่เี ก่ียวข้อง
และไม่เก่ียวข้องเทคนิคการคิดวิเคราะห์อย่างง่ายท่ีนิยมใช้คือ 5W1H ซ่ึงประกอบด้วย What
(อะไร) ปัญหาหรือสาเหตทุ ่เี กดิ ข้ึน ได้แก่ เกดิ อะไรข้นึ บ้าง มอี ะไรเก่ยี วข้องกบั เหตกุ ารณ์น้ี สาเหตุ
ท่ที าให้เกิดเหตุการณ์น้ี คืออะไร Where (ท่ไี หน) สถานท่ีหรือตาแหน่งท่ีเกิดเหตุ ได้แก่ เร่ืองน้ี
เกิดข้ึนท่ีไหนเหตุการณ์น้ีน่าจะเกิดข้ึนมากท่ีสุด When (เม่ือไร) เวลาท่ีเหตุการณ์น้ันได้เกิดข้ึน

577

หรือจะเกดิ ข้ึน ได้แก่ เหตุการณ์น้ันน่าจะเกดิ ข้ึนเม่ือไร เวลาใดบ้างท่เี หตุการณ์เช่นน้ีจะเกิดข้ึนได้
Why (ทาไม) สาเหตหุ รือมูลเหตทุ ่ที าให้เกดิ ข้ึน ได้แก่ เหตุใดต้องเป็นคนน้ี เป็นเวลาน้ี เป็นสถาน
ท่ีน้ี เพราะเหตุใดเหตุการณ์น้ีจึงเกิดข้ึน ทาไมจึงเกิดเร่ืองน้ี Who (ใคร) บุคคลสาคัญเป็ นตัว
ประกอบหรือเป็ นผู้ท่ีเก่ียวข้องท่ีจะได้รับผลกระทบท้ังด้านบวกและด้านลบ ได้แก่ ใครอยู่ใน
เหตุการณ์บ้าง ใครน่าจะเก่ียวข้องกับเหตาการณ์น้ีบ้าง ใครน่าจะเป็ นคนท่ีทาให้สถานการณ์น้ี
เกิดข้ึนมากท่ีสุด เหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ How (อย่างไร)
รายละเอยี ดของส่ิงท่ีเกดิ ข้ึนแล้ว หรือกาลังจะเกดิ ข้ึนว่ามีความเป็นไปได้ในลักษณะใด ได้แก่ เขา
ทาส่ิงน้ีได้อย่างไร ลาดับเหตุการณ์น้ีดูว่าเกิดข้ึนได้อย่างไรบ้าง เหตุการณ์น้ีเกิดข้ึนได้อย่างไร มี
หลักในการพิจารณาคนดอี ย่างไร

การคดิ วิเคราะห์ด้วยเทคนิค 5W1H จะสามารถไล่เลียงความชัดเจนในแต่ละเร่ืองท่ีเรา
กาลังคิดเป็นอย่างดี ทาให้เกดิ ความครบถ้วนสมบูรณ์ ดังน้ัน ในบางคร้ังการเร่ิมคิดวิเคราะห์ของ
ทา่ นถ้าคิดอะไรไม่ออกกข็ อแนะนาให้เร่ิมต้นโดยใช้คาถามจาก 5W1H ถามตัวทา่ นเอง

ตอนท่ี 2 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้เทคนิคการต้ัง
คาถาม 5W1H ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 คะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนจาก
แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน นักเรียนจานวน 28 คน พบว่า คะแนนหลังเรียนของการใช้
เทคนิคการต้งั คาถาม 5W1H สงู กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดบั .05 (t = 4.151,
sig = .000) เม่ือพิจารณาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีน คะแนนเฉล่ียหลัง
เรียน (x̅= 10.57)สูงกว่าก่อนเรียน (x̅= 15.07) เน่ืองจากการวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเป็น
เร่ืองของการวัดความรู้ความเข้าใจซ่ึงเดก็ ส่วนใหญ่จะมีพ้ืนฐานความรู้มาบ้างและแบบทดสอบการ
เขียนเล่าเร่ืองกเ็ ป็นเร่ืองง่ายๆ คอื กอ่ นเรียนเขียนเล่าเร่ืองเก่ียวกบั กจิ กรรมยามว่างหรืองานอดิเรก
หลังเรียนเขียนเล่าเร่ืองเก่ียวกับวันหยุดสุดสัปดาห์ ท้ังสองเร่ืองน้ันมีคะแนนไม่แตกต่างกัน
นักเรียนมีคะแนนเร่ืองความรู้ความเข้าใจ ท้ังหมด 20 คะแนน จึงทาให้นักเรียนมีคะแนน
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนดังท่ีทักษพร โพธ์ิเหมือน (2561) กล่าวว่า
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง การตรวจสอบความสามารถหรือความสัมฤทธ์ิผลของบุคคลว่า
เรียนรู้แล้วผู้เรียนเกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม และประสบการณ์การเรียนรู้ในทศิ ทางเพ่ิมข้ึน
โดยใช้แบบทดสอบทางด้านเน้ือหา และด้านการปฏิบัติท่ีได้เรียนไปแล้ว และสมพร เช้ือพันธ์
(2547) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เป็นแบบวัดความสามารถในการทา
กิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนท่เี ป็นผลมาจากการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอนว่า
ผ่านจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ท่ตี ้ังไว้เพียงใดเช่น ข้อสอบอตั นัยหรือความเรียง (Subjective or Essey
test) เป็นข้อสอบท่มี ีเฉพาะคาถาม แล้วให้นักเรียนเขียนตอบอย่างเสรี เขียนบรรยายตามความรู้
และเขียนข้อคิดเห็นของแต่ละคน เป็ นต้น เน่ืองจากงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับการเขียนเล่าเร่ือง
ภาษาจีนยังไม่ปรากฏงานวิจัย มีแต่เฉพาะการอ่านซ่ึงผู้วิจัยได้นามาสนับสนุนงานวิจัยคร้ังน้ีคือ
งานวิจัยของ ลัดดา เสาร์เป็ ง (2554) ได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ 5W1H ของนักเรียน

578

ระดับช้ัน ปวช. 2/2 วิทยาลัยเทคโนโลยีธนาพณิชยการ เชียงใหม่ ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการใช้
กระบวนการคดิ ด้วยกระบวนการคดิ วิเคราะห์ 5W1H ผู้เรียนส่วนใหญ่มที กั ษะในการคิดวิเคราะห์
อยู่ในระดับท่ดี ีข้ึน 2) ผลการพัฒนาการใช้ทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์5W1H ผู้เรียนทกั ษะ
การคิดวิเคราะห์เพ่ิมข้ึน และดวงพร เฟ่ื องฟู (2559) ได้ทาการวิจัยเก่ียวกับ การพัฒนาชุด
กจิ กรรมการอา่ นจับใจความ โดยใช้ เทคนิค 5W1H เพ่ือสง่ เสริมการอา่ น กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชา
ภาษาไทย ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความสามารถในการ
อ่านจับใจความ โดยใช้เทคนิค 5W1H มีคะแนนไม่ต่ากว่า ร้อยละ 80

ตอนท่ี 3 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีน
โดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม 5W1H ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 จานวน 28 คน พบว่า
นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม 5W1H โดย
ภาพรวม อยู่ในระดับมากท่สี ดุ (x̅= 4.59, S.D. = 0.65) และเม่อื พิจารณารายด้านแต่ละด้านอยู่
ในระดับมากท่สี ุด ด้านกิจกรรมการเรียนรู้การเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีนโดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม
5W1H (x̅= 4.60, S.D. = 0.56) ด้านเน้ือหาท่ีเรียน (x̅= 4.59, S.D. = 0.58) และด้าน
ครูผู้สอน (x̅= 4.57, S.D. = 0.78) เช่นเดียวกบั ดวงพร เฟ่ื องฟู (2559) ได้ทาการวิจัยเก่ยี วกบั
การพัฒนาชุดกจิ กรรมการอา่ นจับใจความ โดยใช้ เทคนิค 5W1H เพ่ือส่งเสริมการอ่าน กลุ่มสาระ
การเรียนรู้วิชาภาษาไทย ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมคี วามพึง
พอใจต่อชุดกจิ กรรมการอา่ นจับใจความ โดยใช้เทคนิค 5W1H มคี วามพึงพอใจอยู่ในระดบั มาก

ขอ้ คน้ พบของงานวิจยั
การจะให้นักเรียนเขียนเร่ืองได้ดีท่สี ุดน้ัน ไม่ใช่เป็นการให้นักเรียนเขยี นไปเร่ือยๆไม่มี

จุดหมาย จะต้องสอนให้นักเรียนเรียบเรียงความคิดผ่านการต้ังคาถามจึงจะนามาเรียบเรียงเป็น
เร่ืองราวได้จะเหน็ ได้ว่านักเรียนมพี ัฒนาการเพ่ิมข้นึ จากเดิม แต่การพัฒนาน้ันเป็นแบบทลี ะน้อยๆ
ค่อยเป็ นค่อยไป จากคะแนนการเขียนก่อนเรียนและหลังเรียน แตกต่างกันในเร่ืองของเน้ือหา
ไวยากรณ์ และจานวนคาตามท่ีกาหนดไว้ ก่อนเรียนมีคะแนนโดยเฉล่ียด้านเน้ือหา 0.61 ด้าน
ไวยากรณ์ 0.57 และด้านจานวนคา 0.93 หลังเรียนมีคะแนนโดยเฉล่ียด้านเน้ือหา 1.57 ด้าน
ไวยากรณ์ 1.46 และด้านจานวนคา 1.82 คะแนนท่ีได้ดังกล่าวผู้วิจัยพิจารณาด้วยเหตุผลว่า
เน่ืองจากพ้ืนฐานภาษาจีนเดมิ ของนักเรียนมีไม่เพียงพอต่อการเขียนเล่าเร่ืองเช่นเร่ืองวงศัพทแ์ ละ
ไวยากรณ์ อกี ประการหน่ึงนักเรียนไม่ค่อยได้ฝึกฝนทกั ษะด้านการเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีน ส่วนใหญ่
จะฝึกฝนแต่การเขียนคาศัพทภ์ าษาจีน การแต่งประโยคภาษาจีน เม่ือต้องเขียนเป็นเร่ืองราวจึงทา
ให้คิดเน้ือเร่ืองไม่ออก ถงึ แม้ว่าจะใช้เทคนิคการต้งั คาถามกต็ าม เม่อื เป็นเช่นน้ี จานวนตวั อกั ษรจีน
ท่จี ะใช้เขียนจึงไม่ได้ตามเกณฑ์ท่กี าหนด แต่อย่างไรกต็ ามผู้วิจัยคิดว่าถ้านักเรียนได้ฝึ กฝนบ่อยๆ
และเขียนเร่ื องง่ายๆท่ีนักเรี ยนคุ้นเคยในชีวิตประจาวันและอาจจะต้ องใช้ แผนผังความคิดมา
ประกอบเทคนิคการต้ังคาถามด้วย กจ็ ะช่วยให้นักเรียนเขียนเล่าได้ง่ายย่ิงข้ึน ผู้วิจัยได้สงั เกตเหน็

579

ว่าเม่ือเร่ิมให้นักเรียนเขียนเล่าเร่ืองภาษาจีน นักเรียนไม่รู้ว่าจะเร่ิมต้นอย่างไรและรู้สึกท้อต่อ
จานวนตัวอักษรจีนท่คี รูให้เขียน ถ้านักเรียนเหน็ ภาพเร่ืองราวของตนเองชัดเจนข้ึนกจ็ ะสามารถ
เขยี นเร่ืองได้โดยไม่ต้องกงั วลเร่ืองจานวนตัวอกั ษรจีนท่คี รูกาหนดไว้
ขอ้ เสนอแนะ

ขอ้ เสนอแนะสาหรบั การนาไปใช้
1) ครูผู้สอนควรสอนแบบเช่ือมโยงอาจใช้แผนผังความคิดมาประกอบเทคนิคการต้ัง
คาถาม ซ่ึงจะช่วยทาให้นักเรียนเหน็ ภาพเหน็ เร่ืองราวท่ตี นเองจะเขียนได้ชัดเจนข้นึ
2) ควรให้นักเรียนฝึ กเขียนจากคามาเป็ นวลีหรือประโยค และนาแต่ละประโยคมา
เช่ือมต่อกนั ให้เป็นเร่ืองราวกจ็ ะช่วยนักเรียนประสบความสาเรจ็ ในการเขียนมากข้นึ
3) แบบฝึกควรเป็นภาพท่เี ป็นเร่ืองราวต่อเน่ืองเพ่ือช่วยให้นักเรียนคิดคาหรือประโยคท่ี
จะนามาใช้ได้ตามเป้ าหมาย

ขอ้ เสนอแนะเพอื่ การวิจยั ต่อไป
ควรทาวิจัยเร่ืองการพัฒนาการเขียนเล่าเร่ืองกับเทคนิคการต้ังคาถาม 5W1H กับแผนผัง
ความคิดในระดับมัธยมศึกษาตอนต้ นเพ่ือเป็ นการปูพ้ ืนฐานการเขียนให้ แก่นักเรียนสาหรับการ
เขยี นแบบต่างๆ

580

บรรณานุกรม

กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐานพุทธศักราช 2551.
กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ ชุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทยจากดั .

กรพนัช ต้งั เข่อื นขันธ์. (2556). อานาจแบบอ่อนของจนี ในประเทศไทย. แปลจาก Chaina’s Soft
Power in Thailand.โดย ภาคิณนิมมานรวงศ์. สืบค้ น 25 ตุลาคม 2562, จาก
http://aseanwatch.org/2013/06/06/chinas-soft-power-in-thailand/

ณัฐวุฒิ สุวรรณช่าง. (2558). ภาษาและวัฒนธรรมจีนกับการเตรียมความพรอ้ มสู่ประชาคม
เศรษฐกิจอาเซียน. วารสารมนุษยสงั คมปริทศั น์, ปี ท่ี 17 ฉบับท่ี 1 มกราคม – มิถุนายน
2558,14-29

ดวงพร เฟ่ื องฟู. (2559). การพฒั นาชุดกิจกรรมการอ่านจบั ใจความ โดยใชเ้ ทคนิค 5W1H เพือ่
ส่งเสริมการอ่าน กลุ่มสาระการเรียนรูภ้ าษาไทยของนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 6.
(วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบัณฑติ ). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรุ กจิ บัณฑติ ย.์

ทักษพร โพธ์ิเหมือน. (2561). การพัฒนาการอ่านจบั ใจความโดยใชเ้ ทคนิค 4W1H ส่งเสร่ม
ทกั ษะการอ่านภาษาอังกฤษของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 3. (วิทยานิพนธป์ ริญญา
มหาบัณฑติ ). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรุ กจิ บัณฑติ ย.์

แนวหน้า. (2561). ศธ.จบั มือสถาบนั ขงจอื่ ยกระดบั สมรรถนะนศ.-บุคลากรไทยดา้ นภาษาจีน.
สบื ค้น 18 ตลุ าคม 2562, จาก https://www.naewna.com/local/383382

เพ็ญพิสุทธ์ิ ใจสนิท. (2555). เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการจดั การเรียนรูเ้ พื่อพัฒนา
กระบวนการคิด. เชียงราย : คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราภัฏเชียงราย.

ลัดดา เสาร์เป็ง. (2554). พฒั นาทกั ษะการคิดวเิ คราะห์ 5W1H ของนกั เรียนระดบั ชนั้ ปวช. 2/2
วิทยาลยั เทคโนโลยีธนาพนิชยการเชียงใหม่. (วิจัยการเรียนการสอน). เชียงใหม่:
วิทยาลัยเทคโนโลยธี นาพณชิ ยการเชียงใหม่.

วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ. (2562). มองจีน มองเรา.สืบค้ น 18 ตุลาคม 2562, จาก
https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/646455

วีระชาติ วงศ์สจั จา. (2551). หมวดนาอกั ษรจนี . พิมพ์คร้ังท่ี 1. กรุงเทพฯ : ทฤษฎ.ี
สวุ ิทย์ มูลคา. (2550). กลยทุ ธก์ ารสอนคิดวเิ คราะห์. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจากดั ภาพพิมพ์.
สุนีต์ิ ภู่จิรฐาพันธุ์. (2554). การใชภ้ าษาไทยเพื่อการสือ่ สาร. กรุงเทพฯ : ทริปเพ้ิล เอด็ ดูเคช่ัน

จากดั .

581

สมพร เช้ือพันธ.์ (2547). การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนกั เรียนชนั้
มธั ยมศึกษาปี ที3่ โดยใชว้ ธิ ีการจดั การเรียนการสอนแบบสรา้ งองค์ความรูด้ ว้ ยตนเอง
กบั การจดั การเรียนการสอนตามปกติ. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (หลักสูตรและการสอน).
พระนครศรีอยุธยา : บัณฑติ วิทยาลัย สถาบันราชภัฏพระนครศรีอยุธยา.

582

การพฒั นาความสามารถทางการพูดภาษาองั กฤษ โดยใชเ้ ทคนคิ การต้งั คาถาม
แบบ 4W 1H ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1

The Development of English Speaking Ability yhrough the Use of 4W 1H
Technique of Prathomsuksa 1 students

มยุรา ชาตทิ รัพย์สนิ 1
จันทร์พา ทดั ภธู ร2

บทคดั ย่อ

การวิจัยเชิงทดลองคร้ังน้ี มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) พัฒนาความสามารถทางการพูด
ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1โดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม แบบ 4W1H 2)
ศึกษาความสามารถในการจาคาศัพท์ภาษาอังกฤษ 3) ศึกษาความคงทนในการจาคาศัพท์
ภาษาอังกฤษ 4) ศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมเรียนรู้ใช้เทคนิคการต้ังคาถาม แบบ
4W1H กลุ่มเป้ าหมายคือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนวัดดอนพัฒนาราม จังหวัด
พระนครศรีอยุธยา ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 จานวน 14 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย
1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ 2) แบบประเมินความสามารถทางการพูด
ภาษาองั กฤษ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติท่ใี ช้ในการวิจัยได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉล่ียและส่วน
เบ่ียงเบนมาตรฐาน

ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีความสามารถทางการพูดภาษาอังกฤษ มคี ะแนนไม่ต่า
กว่าร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ จานวน 12 คน คดิ เป็นร้อยละ 85.21 และไม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 2 คน
คดิ เป็นร้อยละ 14.29 2) นักรียนมคี วามสามารถในการจาคาศัพทภ์ าษาองั กฤษ คะแนนไม่ต่ากว่า
ร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ จานวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 92.85 และไม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 1 คน คิด
เป็ นร้ อยละ 7.15 3) ความคงทนในการจาคาศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนมีคะแนน
ความสามารถเพ่ิมข้ึน คิดเป็นร้อยละ 50 มีคะแนนเท่าเดิม คิดเป็นร้อยละ 35.71 และมีคะแนน
ลดลง คิดเป็นร้อยละ 14.29 4)ความพึงพอใจนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมเรียนรู้โดยใช้เทคนิค
การต้งั คาถาม แบบ 4W1H ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( X = 2.86, S.D. = 0.35 )
คาสาคัญ : ความสามารถทางการพูดภาษาอังกฤษ, เทคนิคการต้ังคาถาม แบบ 4W 1H,
ความสามารถในการจาคาศัพทภ์ าษาองั กฤษ, ความคงทนในการจาคาศัพทภ์ าษาองั กฤษ

1 นักศึกษาหลกั สตู ร ศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาหลกั สตู รและการสอน วิทยาลยั ครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั
ธรุ กจิ บณั ฑติ ย์
2 ท่ปี รกึ ษาวทิ ยานิพนธ์

583

ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา
ปัจจุบันวิวัฒนาการรอบด้านกาลังก้าวหน้าไปอย่างรวดเรว็ ไม่ว่าจะด้านการศึกษา ด้าน

การส่อื สาร ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านเทคโนโลยี และด้านอ่นื ๆ อกี มากมาย จึงมีความจาเป็นอย่างย่ิง
ในการเตรียมความพร้อมทุกด้านเพ่ือสามารถพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน ด้านการศึกษาในศตวรรษท่ี
21 ได้มีการมุ่งเน้นเป็นอย่างย่ิงในด้านทักษะท่จี าเป็นและสาคัญ สาหรับทกั ษะด้านการส่ือสารใน
ยุคน้ี ภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างย่ิงสาหรับภาษาอังกฤษ ถอื ว่ามีความจาเป็นอย่างมาก ถือ
เป็นภาษาสากลในการส่อื สาร เปรียบเสมือนประตูแห่งการเปิ ดโลกกว้างและเป็นเคร่ืองมอื ท่ีสาคัญ
ในการแลกเปล่ียนเรียนรู้ การพัฒนา ตลอดจนการสืบค้นเร่ืองท่ีสนใจได้อย่างไร้ขีดจากัด การ
จัดการศึกษาในปัจจุบัน จึงต้องปรับให้ทันกับสถานการณ์โลกท่ีเตม็ ไปด้วยความรู้และข้อมูลท่ี
เพ่ิมข้ึน ต้องพัฒนาการศึกษาท่ีเน้นผู้เรียนเป็ นศูนย์กลาง ให้โอกาสผู้เรียนทุกคนได้มีเรียนรู้
เพ่ิมพูนความรู้ และประสบการณ์ และเปิ ดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดท้ังในการแก้ปัญหา
วิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้ ก้าวทันต่อการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 (สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ,
2553)

ดังน้ันหากการเรียนรู้วิชาภาษาองั กฤษท้งั ทกั ษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขยี น
ของผู้เรียนภาษาอังกฤษไม่ประสบความสาเรจ็ เปรียบเสมือนการเรียนรู้ถูกจากดั ไว้ ขาดโอกาสใน
การค้นคว้าข้อมูลเพ่ิมเติมท่ีเป็นประโยชน์ ขาดโอกาสในการแลกเปล่ียน เรียนรู้ และการเสนอ
ความคิดเหน็ ท่อี าจเป็นกุญแจดอกสาคัญสู่ความสาเรจ็ ในด้านต่าง ๆ ด้วยเหตุน้ี จึงมีความจาเป็น
อย่างย่งิ ท่ตี ้องกลับมาให้ความสาคญั ต่อการเรียนการสอนในรายวิชาภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง และ
มุ่งให้เกิดผลสาเร็จแก่ผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงแต่สร้างความแข่งแกร่งในการใช้
ภาษาอังกฤษเท่าน้ัน หากแต่ยังมุ่งหวังให้ ผู้เรียนมี เจตคติท่ีดีต่อภาษาต่างประเทศ
(กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2551) และสามารถนาความสามารถทางภาษาในทกั ษะต่างๆ ไปพัฒนา
ตนเอง ตลอดจนพัฒนาประเทศชาติได้อกี ด้วย

ทกั ษะทางด้านภาษามีอยู่ 4 ทกั ษะ ได้แก่ทกั ษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขยี น
ซ่ึงในบรรดาทกั ษะเหล่าน้ัน การเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ทกั ษะการพูดนับว่าเป็นทกั ษะท่สี าคัญ
ท่สี ุดและมีจาเป็นอย่างย่ิง เน่ืองจากเป็นทักษะเบ้ืองต้นท่ีใช้ในการส่ือสาร (สุมิตรา อังวัฒนกุล,
2537: 167) ทักษะการพูดจึงเป็ นทักษะสาคัญท่ีนักเรียนต้องได้รับการพัฒนามากท่ีสุด
เช่นเดยี วกนั กบั Ur (1998) ได้ให้ ความคิดเก่ยี วกบั เหตุผลท่ตี ้องพัฒนาทกั ษะการพูดของผู้เรียน
ว่า ทกั ษะการพูดเป็ นทกั ษะท่สี าคัญท่สี ุดในบรรดาทกั ษะท้งั หมด เพราะทกั ษะการพูดเป็นทกั ษะท่ี
แสดงให้เหน็ ว่าผู้พูดมีความรู้ทางภาษา และช่วยให้ผู้เรียน เรียนรู้ทกั ษะอ่นื ได้ง่ายข้ึน ดังน้ันทกั ษะ
การพูดจึงเป็นทกั ษะท่คี วรได้รับการพัฒนาเป็นอนั ดับแรกกอ่ นทกั ษะการใช้ภาษาด้านอ่นื

สาหรับประเทศไทย วิชาภาษาอังกฤษได้กาหนดให้จัดการเรียนการสอนอยู่ในกลุ่ม
สาระภาษาต่างประเทศ นักเรียนแทบไม่มีโอกาสได้พูดหรือใช้ภาษาอังกฤษจริงในชีวิตประจาวัน
นอกจากการเรียนภาษาอังกฤษในห้องเรียนเท่าน้ัน ท้งั น้ีปัญหาดังกล่าวน้ีสอดคล้องกับ Shumin
(1997) ได้ให้ความเหน็ ว่า การพูดภาษาอังกฤษเป็ นส่ิงท่ียากย่ิง สาหรับผู้เรียน ผู้เรียนมักพูด

584

ภาษาอังกฤษได้ไม่ดี ขาดความคล่องแคล่วในการใช้โครงสร้างภาษาและ สานวนต่างๆ เน่ืองจาก
ผู้เรียนไม่ได้อยู่ในส่ิงแวดล้อมท่ีมีการใช้ภาษาอังกฤษเพ่ือการส่ือสาร ตลอดจน การขาดความ
เข้ าใจในสภาพความเป็ นจริงทางวัฒนธรรมของเจ้ าของภาษา

ทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ แม้ว่าเป็ นทักษะท่ีทาให้เกิดการเรียนรู้เป็ น
อันดับแรก แต่ปัจจุบันกย็ ังพบว่ามีนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนวัดดอนพัฒนาราม
มีผลสัมฤทธ์ิทางการพูดภาษาอังกฤษค่อนข้างต่ากว่าเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ นอกจากน้ียังพบว่า
นักเรียนขาดความม่ันใจในความถูกต้องของคา การออกเสียงพูด ขาดความม่ันใจในตนเอง
กลัวการพูดผิด ทาให้เกิดเป็นเจตคติด้านลบในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ท้งั น้ีอาจเกิดจากการ
ขาดแรงจูงใจในการเรียน ครูเป็นผู้สอนและเล่าเหตุการณ์ตามประสบการณ์ให้นักเรียนฟังเท่าน้ัน
จึงทาให้วิชาภาษาองั กฤษเป็นวิชาท่นี ักเรียนไม่ให้ความสนใจอย่างท่คี วร ซ่ึงจากการประเมินทกั ษะ
การพูด ภาษาองั กฤษของนักเรียนยงั ไม่สามารถพูดส่อื สารพ้ืนฐานในชีวิตประจาวันได้

ด้ วยเหตุน้ ีทาให้ ผ้ ูวิจัยมีความสนใจ ศึกษาวิธีการจัดการเรี ยนการสอนท่ีช่ วยส่งเสริ ม
ทักษะการพูดแก่นักเรียนระดับประถมศึกษาตอนต้น พบว่า เทคนิคการต้ังคาถาม แบบ 4W1H
เป็ นกลวิธีการถามและตอบคาถามท่ีเป็ นเคร่ืองมือสาหรับกระตุ้นให้ผู้เรียนตอบคาถามโดยใช้
กระบวนการคิดหาคาตอบด้วยตนเอง และสรุปแนวคิดได้ด้วยตนเอง (กิตติชัย สุทธาสิโนบล,
2541) ซ่ึงสอดคล้องกบั คนึงนิจ รุ่งโรจน์. (2556, น.3-4) กล่าวว่า ทกั ษะการต้ังคาถามจัดเป็น
ทกั ษะท่สี าคัญของการสอนภาษาต่างประเทศ เพราะผู้สอนและผู้เรียนจาเป็นต้องมีปฏสิ มั พันธก์ ัน
ในการโต้ตอบ พูดคุยส่อื สารกนั ตลอดเวลา เพ่ือให้ม่ันใจว่ามีความเข้าใจตรงกัน คาถามท่ใี ช้ถาม
ต้องกะทัดรัด ไม่ยาวหรือซับซ้อนจนเกินไป ผู้เรียนสามารถโต้ตอบได้ตรงประเดน็ คาถามท่ีดี
จะต้องเตรียมไว้ล่วงหน้า การถามอย่างเดียวไม่พอ ผู้สอนควรสนใจฟังคาตอบของนักเรียน ถ้าเขา
ตอบไม่ถูก ผู้สอนควรจะใช้คาถามให้ง่ายข้ึน หรือช่วยแก้ไขข้อบกพร่อง รูปแบบการสอน
ภาษาองั กฤษสาหรับประโยชน์ของการใช้เทคนิคการต้ังคาถามช่วยให้นักเรียนกบั ครูส่อื ความหมาย
กนั ได้ดขี ้ึน

เทคนิคการต้ังคาถาม แบบ 4W1H ถือเป็ นรูปแบบการเรียนรู้ท่ีสาคัญ ท่ีมุ่งพัฒนา
กระบวนการทางความคิดของผู้เรียน โดยผู้สอนจะป้ อนคาถามในลักษณะต่าง ๆ ซ่ึงเป็นคาถามท่ี
ง่ายไปถงึ ยากตามความเหมาะสมแก่ผู้เรียน ท่สี ามารถพัฒนาความคิดผู้เรียน ถามเพ่ือให้ผู้เรียนใช้
ความคิดเชิงเหตุผล เพ่ือจะตอบคาถามเหล่าน้ันการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (กติ ติชัย สทุ ธาสโิ นบล,
2541) การใช้คาถามเป็นกลวิธีการสอนท่กี ่อให้เกดิ การเรียนรู้ท่ีพัฒนาทกั ษะการคิด การตีความ
การไตร่ตรอง การถ่ายทอดความคิด สามารถนาไปสู่การเปล่ียนแปลงและปรับปรุงการจัด
กระบวนการเรียนร้ ูได้ เป็ นอย่างดี

จากปัญหาด้านผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนซ่ึงสอดคล้องกับความบกพร่อง
ของทักษะการพูดท่ีเป็ นส่วนสาคัญในการส่ือสารในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
(ภาษาองั กฤษ) จึงทาให้ผู้วิจัยมีความสนใจในการจัดการเรียนรู้ท่ชี ่วยพัฒนาความสามารถทางการ
พูดภาษาองั กฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนวัดดอนพัฒนาราม โดยใช้เทคนิคการ

585

ต้ังคาถาม แบบ 4W1H ซ่ึงเป็นวิธีการสอนอย่างหน่ึงท่อี าจสามารถช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาทกั ษะ
การพูด ทาให้เกดิ การเรียนรู้ตลอดจนไปสกู่ ารนาไปใช้ได้จริงในชีวิตประจาวันอกี ด้วย

วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั

1. เพ่ือพัฒนาความสามารถทางการพูดภาษาอังกฤษ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี
1โดยใช้เทคนิคการต้งั คาถาม แบบ 4W1H

2. เพ่ือศึกษาความสามารถในการจาคาศัพทภ์ าษาองั กฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษา
ปี ท่ี 1 โดยใช้เทคนิคการต้งั คาถาม แบบ 4W1H

3. เพ่ือศึกษาความคงทนในการจาคาศัพทภ์ าษาองั กฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี
ท่ี 1 โดยใช้เทคนิคการต้งั คาถาม แบบ 4W1H

4. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 ท่มี ตี ่อการจัดกจิ กรรม
เรียนรู้ใช้เทคนิคการต้งั คาถาม แบบ 4W1H

สมมติฐานการวิจยั

สมมตฐิ านของการวิจัยมีดงั น้ี
1.นักเรียนมีความสามารถทางการพูดภาษาองั กฤษ โดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม แบบ

4W1H มคี ะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ของคะแนนเตม็
2. นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 มีความสามารถในการจาคาศัพทภ์ าษาอังกฤษโดย

ใช้เทคนิคการต้งั คาถาม แบบ 4W1H มคี ะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ของคะแนนเตม็
3. นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 มีความคงทนในการจาคาศัพทภ์ าษาองั กฤษโดยใช้

เทคนิคการต้ังคาถาม แบบ 4W1H เม่ือเรียนรู้ผ่านไปแล้ว 2 สัปดาห์ มีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ
70 ของคะแนนเตม็ เพ่ิมข้ึน คงท่ี หรือลดลง

4. ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 ต่อการจัดกจิ กรรมเรียนรู้โดยใช้
เทคนิคการต้งั คาถาม แบบ 4W1H อยู่ในระดบั มาก

ขอบเขตการวิจยั

1. กลุ่มเป้ าหมาย
กลุ่มเป้ าหมายท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ีคือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 2 ปี การศึกษา
2562 โรงเรียนวัดดอนพัฒนาราม สานักงานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา
เขต 2 จานวน 14 คน
2. ตวั แปรท่ศี ึกษา
ตวั แปรต้น
การใช้เทคนิคการต้งั คาถาม แบบ 4W1H

586

ตัวแปรตาม
1) ความสามารถทางการพูดภาษาองั กฤษ
2) ความสามารถในการจาคาศัพทภ์ าษาองั กฤษ
3) ความคงทนในการจาคาศัพทภ์ าษาองั กฤษ
4) ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคการต้ัง
คาถาม แบบ 4W1H
3. เน้ือหาท่ใี ช้ในการวิจัย
เน้ือหาท่ใี ช้ในการพัฒนาความสามารถทางการพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคการต้ัง

คาถาม แบบ 4W1H ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 ของโรงเรียนวัดดอนพัฒนาราม จังหวัด
พระนครศรีอยุธยา ประกอบด้วย 4 หน่วยการเรียนรู้ ดังน้ี

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 What do I have ?
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 Colors
การเรียนรู้ท่ี 3 My body
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 What is this ?/ What is that ?.
4. ระยะเวลาท่ใี ช้ในการวิจัย
ระยะเวลาในการวิจัย ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562

เครือ่ งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั

เคร่ืองมือท่ใี ช้ในการวิจัยคร้ังน้ีประกอบด้วย
1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาองั กฤษ โดยใช้เทคนิคการต้งั คาถาม แบบ 4W1H
2. แบบประเมินความสามารถทางการพูดภาษาองั กฤษ โดยใช้เทคนิคการต้งั คาถาม
แบบ 4W1H
3. แบบทดสอบวัดความสามารถในการจาคาศัพทภ์ าษาองั กฤษ
4. แบบสอบถามความพึงพอใจของท่มี ตี ่อการพูดภาษาองั กฤษโดยใช้เทคนิคการต้ัง
คาถาม แบบ 4W1H

การเก็บรวบรวมขอ้ มูล

ผู้วิจัยได้เกบ็ รวมรวมข้อมูลมีข้นั ตอนดงั น้ี
ผู้วิจัยได้ดาเนินการทดลองกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียน
วัดดอนพัฒนาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ดาเนินการทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมูลตาม
ข้นั ตอนดังต่อไปน้ี
1. อธิบายและช้ีแจงแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม 4 W1H เพ่ือ
ส่งเสริมความสามารถในการพูดภาษาองั กฤษ

587

2. ดาเนินการสอนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้กับนักเรียนกลุ่มเป้ าหมายจานวน 4
แผนการจัดการเรียนรู้ 20 ช่ัวโมง แต่ละแผนครูได้ทดสอบความสามารถทางการพูดภาษอังกฤษ
เป็นรายบุคคล โดยให้นักเรียนจับคู่กัน คนเก่งคู่กับคนอ่อน หรือคนปานกลางคู่กับคนอ่อน และ
เกบ็ คะแนนในแต่ละหน่วยการเรียนรู้

3. ให้นักเรียนทาแบบทดสอบวัดความสามารถในการจาคาศัพท์วิชาภาษาอังกฤษ
หลังจากใช้การเรียนรู้ในแต่ละหน่วยโดยใช้เทคนิคการต้งั คาถาม แบบ 4W1H เพ่ือเกบ็ คะแนน

4. หลังจากเรียนรู้ไปแต่ละหน่วยการเรียนรู้แล้ว และบอกให้นักเรียนกลับไปทบทวน
คาศัพท์ท่ีเคยเรียนท้ังหมด เว้ นระยะเวลา 2 สัปดาห์ ได้ ให้ นักเรียนทาแบบทดสอบวัด
ความสามารถในการจาคาศัพท์วิชาภาษาอังกฤษ คร้ังท่ี 2 ซ่ึงชุดเดียวกับคร้ังท่ี 1 เพ่ือวัดความ
คงทนของการเรียนรู้คาศัพทว์ ิชาภาษาองั กฤษ

5. เม่ือเรียนรู้ครบทุกหน่วยการเรียนรู้ให้นักเรียนทาแบบสอบถามความพึงพอใจท่มี ี
ต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคการต้งั คาถาม แบบ 4W1H

6. เกบ็ รวบรวมข้อมูลท้งั หมดนาไปประมวลผลและวิเคราะห์
7. สรุปผล อภปิ รายผล โดยใช้ตารางและการพรรณนา

การวิเคราะหข์ อ้ มูล

ผู้วิจัยได้วิเคราะห์และประมวลผลข้อมูล โดยมีรายละเอยี ดดังน้ี
1. ผู้วิจัยได้นาผลแบบประเมินความสามารทางการพูดภาษาอังกฤษ แบบทดสอบวัด
ความสามารถในการจาคาศัพท์วิชาภาษาอังกฤษ ความคงทนในการจาคาศัพท์วิชาภาษาอังกฤษ
และแบบสอบถามประเมินความพึงพอใจท้งั หมดมาวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติพ้ืนฐาน ได้แก่ ค่า
ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉล่ีย (Mean)ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
2.ประมวลผลโดยใช้ โปรแกรมสาเรจ็ รูปแปลผลและวิเคราะห์ข้อมูล
3.ประมวลผลและอภปิ รายผล โดยใช้ตารางและการพรรณนา

สรุปผลการวิจยั

การวิจัยคร้ังน้ี สรุปผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ดงั น้ี
1) ความสามารถทางการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม ของนักเรียน
ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 จานวน 14 คน พบว่า นักเรียนมีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์
จานวน 12 คน คดิ เป็นร้อยละ 85.71 และไม่ผ่านเกณฑม์ ีจานวน 2 คน คดิ เป็นร้อยละ 14.29
2) ความสามารถในการจาคาศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1
หลังจากการใช้เทคนิคการต้ังคาถาม แบบ 4W1H จานวน 14 คน พบว่า นักเรียนมีคะแนนไม่ต่า
กว่าร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ จานวน 13 คนคิดเป็นร้อยละ92.86 และไม่ผ่านเกณฑ์จานวน 1 คน
คดิ เป็นร้อยละ7.14

588

3) ความคงทนในการจาคาศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1
หลังจากการทดสอบความสามารถในการจาคาศัพทค์ ร้ังท่ี 1 เว้นระยะเวลา 2 สปั ดาห์ทดสอบคร้ัง
ท่ี 2 โดยใช้แบบทดสอบชุดเดิม พบว่า นักเรียนมีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ จานวน
13 คนคิดเป็ นร้อยละ92.86 และไม่ผ่านเกณฑ์จานวน 1 คน คิดเป็ นร้อยละ7.14 นักเรียนมี
คะแนนความสามารถเพ่ิมข้ึนจานวน 7 คน คิดเป็ นร้อยละ 50 มีคะแนนความสามารถเท่าเดิม
จานวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 35.71 มีคะแนนความสามารถลดลงจานวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ
14.29

4) ระดับความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 ต่อการจัดกจิ กรรมเรียนรู้
โดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม แบบ 4W1H พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( X = 2.86, S.D. =
0.35 ) เม่ือพิจารณาเป็นรายด้านจากค่าเฉล่ียมากไปหาน้อยคอื ด้านครูผู้สอน ( X = 2.93, S.D.
= 0.26 ) ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ ( X = 2.86, S.D. = 0.35 ) และด้านผู้เรียน ( X = 2.81,
S.D. = 0.40 ) ตามลาดบั

อภิปรายผล

การวิจัยเร่ือง การพัฒนาความสามารถทางการพูดภาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคการต้ัง
คาถาม แบบ 4W1H ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนวัดดอนพัฒนาราม สามารถ
อภิปรายผลได้ดงั น้ี

1) ความสามารถทางการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม ของนักเรียน
ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 จานวน 14 คน พบว่า นักเรียนมีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์
จานวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 85.71 และไม่ผ่านเกณฑ์มีจานวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 14.29
แสดงว่านักเรียนส่วนใหญ่ประสบความสาเรจ็ ในการพูดภาษาอังกฤษ ซ่ึงตามปกตินักเรียนจะไม่ได้
รับการฝึกฝนในลักษณะดงั กล่าวน้ี เน่ืองจากท่โี รงเรียนไม่เน้นการฝึกในภาคปฏบิ ัติ ดงั น้ันนักเรียน
จึงสนใจท่จี ะเรียนการพูดและต่ืนเต้นทุกคร้ังท่ีมีการเรียนและการสอบ จะเหน็ ได้ว่า คะแนนของ
ความสามารถการพูดภาษาอังกฤษในแต่ละด้าน นักเรียนมีคะแนนอยู่ในระดับดี ได้แก่ ด้านการ
ออกเสียง ค่าเฉล่ียรวมอยู่ในระดับดี คะแนนเฉล่ีย 2.46 ด้านไวยากรณ์ค่าเฉล่ียรวมอยู่ในระดับ
ปานกลาง คะแนนเฉล่ีย 2.23 ด้านคาศัพทค์ ่าเฉล่ียรวมอยู่ในระดับดี คะแนนเฉล่ีย 2.75 ด้าน
ความคล่องแคล่วค่าเฉล่ียรวมอยู่ในระดับปานกลาง คะแนนเฉล่ีย 2.14 ดังท่ี Finochiaro and
Brumfit (1983) เสนอกจิ กรรมต่าง ๆ ในการสอนทกั ษะการพูดซ่ึงผู้สอนอาจเลือกใช้ให้เหมาะสม
กับผู้เรียนแต่ละระดับ คือ ให้ตอบคาถาม ซ่ึงครูหรือเพ่ือนในช้ันเป็นผู้ถาม หรืออาจให้นักเรียน
ถามหรือตอบคาถามของเพ่ือนในช้ันเก่ยี วกบั ช้ันเรียนหรือประสบการณ์ ต่าง ๆ นอกช้ันเรียน หรือ
ให้บอกลักษณะวัตถุส่ิงของต่าง ๆ จากภาพ เป็นต้น สอดคล้องกับงานวิจัยของสันติ ดารกะพงษ์
(2561) ศึกษาเร่ืองการพัฒนาชุดกจิ กรรมโดยใช้เทคนิคถาม – ตอบ สง่ เสริมการพูดภาษาองั กฤษ
ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนสามารถพูดภาษาองั กฤษได้คะแนน
ไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ผ่านเกณฑจ์ านวน 31 คน คิดเป็นร้อยละ 88.57 และมนี ักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์

589

จานวน 4 คน คดิ เป็นร้อยละ 11.42 2)นักเรียนมีพฤติกรรมการเรียนรู้ระดับดีจานวน 30 คน คดิ
เป็นร้อยละ 85.71 และระดับพอใช้จานวน 5 คน คดิ เป็นร้อยละ 14.28

2) ความสามารถในการจาและความคงทนของการจาคาศัพท์ภาษาอังกฤษของ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 หลังจากการใช้เทคนิคการต้ังคาถาม แบบ 4W1H จานวน 14 คน
พบว่า นักเรียนมีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ จานวน 13 คนคิดเป็ นร้อยละ92.86
และไม่ผ่านเกณฑ์จานวน 1 คน คิดเป็ นร้อยละ7.14และเม่ือทดสอบผ่านไป 2 สัปดาห์ พบว่า
นักเรียนมีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ จานวน 13 คนคิดเป็นร้อยละ92.86 และไม่
ผ่านเกณฑ์จานวน 1 คน คิดเป็ นร้อยละ7.14 เม่ือเปรียบเทียบคะแนนความสามารถในการจา
คาศัพทภ์ าษาอังกฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 คร้ังท่ี 1 และคร้ังท่ี 2 เว้นระยะเวลา 2
สัปดาห์ ใช้แบบทดสอบชุดเดิมทดสอบอีกคร้ัง ปรากฏว่า นักเรียนจานวน 14 คน นักเรียนมี
คะแนนความสามารถเพ่ิมข้ึนจานวน 7 คน คิดเป็ นร้อยละ 50 มีคะแนนความสามารถเท่าเดิม
จานวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 35.71 มีคะแนนความสามารถลดลงจานวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ
14.29 การท่นี ักเรียนมคี ะแนนลดลงเน่ืองจากความสบั สนในการจาคาศัพทบ์ างคาเทา่ น้ันในหน่วย
การเรียนรู้ เร่ือง Colors และเร่ือง My Body จะเหน็ ได้ว่า นักเรียนมีความสามารถในการจาดีข้ึน
และคงท่ี ดังท่ี Atkinson and Shiffrin (1968, อ้างถึงใน Zhu QiongLei , 2559) กล่าวว่า
ความจาระยะส้ันหรือความจาทนั ทที นั ใดและความจาระยะยาวน้ัน ความจาระยะส้ันเป็นความจา
ช่ัวคราว ส่ิงใดกต็ ามถ้าอยู่ในความจาระยะส้ันจะต้องได้รับการทบทวนอยู่ตลอดเวลามิฉะน้ัน
ความจาส่งิ น้ันจะสลายตัวไปอย่างรวดเรว็ ในการทบทวนน้ันเราจะไม่สามารถทบทวนทุกส่งิ ท่เี ข้ามา
อยู่ในระบบความจาระยะส้ัน ดังน้ันจานวนท่เี ราจาได้ในความจาระยะส้ันจึงมีจากัด การทบทวน
ป้ องกันไม่ให้ความจาสลายตัวไปจากความจาระยะส้ัน และถ้าส่ิงใดอยู่ในความจาระยะส้ันเป็น
ระยะเวลาย่งิ นาน ส่งิ น้ันกม็ โี อกาสฝงั ตวั ในความจาระยะยาว ถ้าเราจาส่งิ ใดได้ในความจาระยะเวลา
ย่ิงนาน ส่ิงน้ันกม็ ีโอกาสฝังตัวในความจาระยะยาว ถ้าเราจาส่งิ ใดไว้ ในความจาระยะยาวส่งิ น้ันกจ็ ะ
ตดิ อยู่ในความทรงจาตลอดไป สอดคล้องกบั งานวิจัยของ Zhu QiongLei (2559) ศึกษาเร่ืองการ
พัฒนาความสามารถการฟังและการเขียนระบบพินอินภาษาจีน โดยใช้แนวคิดของกาเย่ ของ
นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปี ท่ี 1 วิทยาลัยอาชีวศึกษาดุสิตพนิชยการ กรุงเทพฯ
ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความคงทนในการฟังและการเขียนพินอินภาษาจีน จากการทดสอบ
วัดผลสัมฤทธ์ิคร้ังท่ี 2 ท่ผี ่านเกณฑ์ไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 จานวน 25 คน คิดเป็นร้อยละ 83.33
และท่ีไม่ผ่านเกณฑ์จานวน 5 คน คิดเป็ นร้อยละ 16.66 และณัฐพล คงวิจิตร์ (2562 ) ศึกษา
เร่ือง การพัฒนาชุดกิจกรรมเพ่ือส่งเสริมความคงทนในการเรียนไวยากรณ์ภาษาฝร่ังเศส โดยใช้
แนวคิดของกาเย่ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4 ผลการวิจัยพบว่า ร้อยละ 91.43 ของ
นักเรียนมีคะแนนความคงทนในการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาฝร่ังเศสผ่านเกณฑ์ท่ีกาหนด (ร้อยละ
70)

3) ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 ต่อการจัดกจิ กรรมเรียนรู้โดยใช้
เทคนิคการต้ังคาถาม แบบ 4W1H พบว่าความพึงพอใจของนักเรียนภาพรวมอยู่ในระดับมาก

590

( X = 2.86, S.D. = 0.35 ) เม่ือพิจารณาเป็ นรายด้านจากค่าเฉล่ียมากไปหาน้อยคือ ด้าน
ครูผู้สอน ( X = 2.93, S.D. = 0.26 ) ด้านกจิ กรรมการเรียนรู้ ( X = 2.86, S.D. = 0.35 ) และ
ด้านผู้เรียน ( X = 2.81, S.D. = 0.40 ) ด้านครูผู้สอนได้แก่ ครูแก้ไขเม่ือพูดผิด จนพูดได้
ถูกต้อง และครูสอนเอาใจใส่ดูแล ทุก ๆ คร้ังท่ีสอน ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ ได้แก่ มีการเรียนรู้
เพ่ิมข้ึน และ มีการใช้อุปกรณ์ เช่น รูปภาพและบัตรคา และนักเรียนมีความเข้าใจเร่ืองท่เี รียนมาก
ข้ึน ด้านผู้เรียน นักเรียนจาคาศัพทไ์ ด้ สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ นักเรียนพูดภาษาอังกฤษได้
สอดคล้องกับ กันต์ฤทัย พิพัฒน์ชยากูร (2562) ศึกษาเร่ืองการพัฒนาความสามารถในการ
ส่อื สารภาษาองั กฤษโดยใช้กิจกรรมปฏสิ ัมพันธ์สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3ผลการวิจัย
พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 ท่ีได้รับการสอนภาษาอังกฤษ โดยใช้
กิจกรรมปฏิสัมพันธ์ พบว่า ภาพรวมของความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( X = 4.28, S.D. =
0.73) เม่ือพิจารณารายด้านเรียงลาดับจากมากไปหาน้อย คอื ด้านประโยชน์ท่ไี ด้รับ ( X = 4.32,
S.D. = 0.63) ด้านส่อื การเรียนรู้ ( X = 4.29, S.D. = 0.72) และด้านกจิ กรรมการเรียนรู้ ( X =
4.24, S.D. = 0.84) ตามลาดับ เช่นเดยี วกนั กบั ไอลดา จันทร์ลอย (2561) ศึกษาเร่ือง การอ่าน
ออกเสยี งคาศัพทภ์ าษาอังกฤษโดยการเรียนรู้แบบเพ่ือนช่วยเพ่ือนของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี
ท่ี 4 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมคี วามพึงพอใจในการอ่านออกเสียงคาศัพทภ์ าษาองั กฤษโดยการ
เรียนรู้แบบเพ่ือนช่วยเพ่ือน ( X = = 2.55, S.D.= 0.60)

ขอ้ คน้ พบจากการวิจยั

การใช้เทคนิคการต้ังคาถาม แบบ 4W1H ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 โดย
ครูผู้สอนได้ใช้คาถามส้ัน ๆ เพ่ือสร้างความเข้าใจในการเรียนรู้ และส่งิ ท่ผี ู้เรียนกาลังเรียนรู้ ซ่ึงมี
ความรู้พ้ืนฐานเดิมมาบ้าง การเร่ิมจากการใช้คาถามง่าย ๆ เป็นการสร้างแรงจูงใจและกระตุ้นให้
ผู้เรียนสามารถตอบคาถามและสามารถสร้างคาถามได้จากการเรียนรู้ ตัวอย่างเช่น “ What color
is it ? ” และครูช้ีไปยังส่ิงต่าง ๆ รอบตัวนักเรียนเพ่ือให้นักเรียนตอบคาถาม นักเรียนคิดหา
คาตอบจากการเรียนรู้คาศัพทเ์ ร่ืองสี หรือครูช้ีไปท่เี ส้อื แล้วถามว่า “ What is this ? นักเรียนกจ็ ะ
ตอบว่า “ This is a shirt.” เป็นต้น ในขณะท่คี รูถามและเพ่ือนต้องตอบ เพ่ือน ๆ ในห้องกร็ อคอย
ฟังคาตอบว่าเพ่ือนจะตอบว่าอย่างไร ผิดหรือถูก ถ้าเพ่ือนตอบผิด เพ่ือนท่ตี อบได้กจ็ ะช่วยเหลือ
โดยกระซิบบอกคาตอบ สร้างความสุข และความสนุกสนานไปด้วย และการเรียนรู้โดยใช้ท่าทาง
ประกอบคาถาม การช่วยเหลือให้ข้อเสนอแนะอ่นื ๆจากเพ่ือนร่วมช้ันเรียนหลังจากการตอบคาถาม
เป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย (Mearningful Learning ) ข้อมูลท่มี ีความหมายจะเกบ็ บันทกึ ไว้
ในสว่ นของความจาระยะยาว ในรูปของเครือข่ายการเช่ือมโยงความจริงต่างๆ หรือเป็นมโนทศั น์ท่ี
เรียกว่า schemata สารสนเทศท่สี อดรับกันกับ sheme ท่มี ีอยู่น้ีจะง่ายต่อการทาความเข้าใจเรียนรู้
และคงอยู่ได้มากกว่าสารสนเทศท่ไี ม่สอดรับกับ scheme ดังกล่าว scheme ท่พี ัฒนาอย่างดีแล้วจะ
จัดระบบเป็นลาดับช้ัน (hierarchies) คล้ายกับมีหัวข้อรายการท่ีเช่ือมยึดโยงใยอยู่ใน schemata
(Ausubel,1963)

591

หลังจากท่ีครูได้สอนโดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม แบบ4W1H ในแต่ละแผนการ
จัดการเรียนรู้ ครูจะให้นักเรียนฝึกต้ังคาถามและตอบคาถามกับเพ่ือนในช้ันเรียน การใช้เทคนิค
การสอนน้ีพบว่านักเรียนให้ความสนใจและให้ความร่วมมือในการสนทนาและเกดิ ปฏิสัมพันธ์ท่ีดี
ระหว่างเพ่ือนและครูผู้สอน ซ่ึงวิธกี ารสอนน้ีส่งเสริมให้นักเรียนมีความกล้าแสดงออกมากข้นึ กล้า
ตอบคาถาม แม้ว่าในช่วงแรกของกจิ กรรมการเรียนรู้นักเรียนยงั ไม่ค่อยกล้าแสดงพูด พูดด้วยเสยี ง
เบา มีความอาย ไม่กล้าพูด ไม่เครียด ไม่น่าเบ่ือ มีลักษณะเป็น Interaction เป็นการปฏบิ ัติจริง
(Learning by doing )ซ่ึงทาให้นักเรียนกล้าพูดภาษาอังกฤษมากข้ึน โดยเฉพาะการจดจาคาศัพท์
ได้เพราะเน่ืองจากนามาสร้างเป็นประโยคท่ถี ูกไวยากรณแ์ ละสมบูรณ์ และนาไปสกู่ ารจาท่คี งทนใน
ระยะยาวและการพัฒนาการพูดภาษาอังกฤษในระดับความยากหรือความเข้มข้นต่อไปได้อย่างดี
ย่งิ

ขอ้ เสนอแนะ

ขอ้ เสนอแนะในการนาไปใช้
1) บัตรภาพและบัตรคาควรท่คี วามแขง็ แรง มีขนาดภาพท่เี หมาะสมกบั วัยของผู้เรียน

เพ่ือเกดิ ความสะดวกในการฝึกถามตอบคาถามของผู้เรียน และความคงทนของบัตรภาพและบัตร
คา

2) ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หากมี Native Speacker ช่วยในการออกเสียง
คาศัพท์ การถามและตอบคาถามเป็นตัวอย่างให้กับผู้เรียน จะช่วยให้ความสามารถทางการพูดมี
ความสมบูรณ์ย่ิงข้ึน ข้อน้ีเป็นปัญหาสาหรับดรงเรียนขนาดเลก็ การแก้ไขโดยใช้ส่อื วีดิทศั น์ท่อี อก
เสยี งโดย Native Speacker มาให้นักเรียนได้เรียนรู้
ขอ้ เสนอแนะการวิจยั คร้งั ต่อไป

การใช้เทคนิคการต้ังคาถามเพ่ือพัฒนาความสามารถทางการพูดภาษาอังกฤษในช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 2 ต่อเน่ืองจากช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 และอาจใช้เทคนิคการเรียนรู้อ่ืน ๆ เข้า
มาร่วมด้วย เช่น การใช้เกม หรือบทบาทสมมติ เป็นต้น

592

บรรณานุกรม

กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). ตัวช้ีวดั และสาระการเรียนรูภ้ าษาต่างประเทศตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ. สานักงานวิชาการและ
มาตราฐานการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน.

กันต์ฤทัย พิพัฒน์ชยากูร. (2562). ศึกษาเรื่องการพัฒนาความสามารถในการสื่อสาร
ภาษาอังกฤษโดยใชก้ ิจกรรมปฏิสัมพันธ์สาหรับนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปี ที่ 3.
วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน. ,มหาวิทยาลัย
ธรุ กจิ บัณฑติ ย.์

กิตติชัย สุธาสิโนบล. (2541). ผลการใชเ้ ทคนิคการใชค้ าถามของครูทีม่ ีต่อผงสมั ฤทธ์ิทางการ
เรียนวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และพฤติกรรมกลามของ
นกั เรียน ชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 5. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรี
นครินทรวิโรฒ ประสานมติ ร.

คนึงนิจ รุ่งโรจน์. (2556). การพัฒนาชุดกิจกรรมฝึ กทักษะภาษาอังกฤษโดยเทคนิคการใช้
คาถาม สาหรบั นกั เรียนช$ั นประถมศึกษาปี ที่ 6.วิทยานิพนธ์ ค.ม. (หลักสตู รและการ
สอน). จันทบุรี : มหาวิทยาลัยราชภฏั ราไพพรรณ.ี

ณัฐพล คงวิจิตร์. (2562). การพฒั นาชุดกิจกรรมเพือ่ ส่งเสริมความคงทนในการเรียนไวยากรณ์
ภาษาฝร่ังเศส โดยใชแ้ นวคิดของกาเย่ สาหรับนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปี ที่ 4 .
วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน. ,มหาวิทยาลัย
ธรุ กจิ บัณฑติ ย์.

สันติ ดารกะพงษ์.(2561). การพัฒนาชุดกิจกรรมโดยใชเ้ ทคนิคถาม – ตอบ ส่งเสริมการพูด
ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 1. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตร
มหาบัณฑติ สาขาหลักสตู รและการสอน. ,มหาวิทยาลัยธรุ กจิ บัณฑติ ย์.

สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ. (2553). การเปลีย่ นแปลงโลกของการเรียนรูใ้ นศตวรรษที่ 21 และ
พัฒนาสู่ “ครูมืออาชีพ” สมาคมเครือข่ายการพัฒนาวิชาชีพอาจารย์และองค์กร
อุ ด ม ศึ ก ษ า แ ห่ ง ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย . ส า นั ก ง า น ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร อุ ด ม ศึ ก ษ า
กระทรวงศึกษาธกิ าร.

สมุ ิตรา องั วัฒนกุล. (2537). วธิ ีการสอนภาษาอังกฤษ. (พิมพ์คร้ังท่ี 2). กรุงทพฯ: จุฬาลงกรณ
มหาวิทยาลัย.

ไอลดา จันทร์ลอย. (2561). การอ่านออกเสียงคาศัพท์ภาษาอังกฤษโดยการเรียนรูแ้ บบเพื่อน
ช่วยเพือ่ นของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 4. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาหลักสตู รและการสอน. ,มหาวิทยาลัยธรุ กจิ บัณฑติ ย.์

Atkinson, R.C. and Shiffrin, R.M. (1968). “The Psychology of Learning and motivator :
Advances in Research and Theory”. New York : Academic.

593

Ausubel, D. (1963). The Psychology of Meaningful Verbal Learning. Grune & Stratton,
New York.

Finochiaro, Mary and Cristtopher Brumfit. ( 1983) . The Functional National Approach :
From Theory to Practice. New York : Oxford University press.

Shumin, K. (1997). Factors to consider: Developing adult EFL students’ speaking
abilities. English Teaching Forum. 35 (3), 8. Retrieved from
http://eca.state.gov/forum/vols/vol35/no3/p8.htm.
Ur, P. (1998). A Course in Language Teaching Trainee. Cambridge: Cambridge University

Press.
Zhu QiongLei. (2559). ศึกษาเรื่องการพฒั นาความสามารถการฟังและการเขียนระบบพินอิน

ภาษาจีน โดยใชแ้ นวคิดของกาเย่ ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพปี ที่ 1
วทิ ยาลยั อาชีวศึกษาดสุ ติ พนิชยการ กรุงเทพฯ. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต
สาขา หลักสตู รและการสอน. มหาวิทยาลัยธรุ กจิ บัณฑติ ย.์

594

การพฒั นาความสามารถการแกโ้ จทยป์ ัญหาคณิตศาสตรโ์ ดยใชป้ ัญหา
ปลายเปิ ดของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 2

The Development of Mathematical Problem-Solving Ability by using
Open-ended Questions For Mathayomsuksa 2 Students

รุ่งไพลิน โปร่งจิตต์1
อญั ชลี ทองเอม2

บทคดั ย่อ

การวิจัยเชิงทดลองน้ี มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) พัฒนาความสามารถการแก้โจทย์ปัญหา
ทางคณิตศาสตร์ โดยใช้ปัญหาปลายเปิ ด ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 2) ศึกษาผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนคณิตศาสตร์ ก่อนเรียนและหลังเรียน 3) ศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียน
คณิตศาสตร์ โดยใช้ปัญหาปลายเปิ ด กลุ่มเป้ าหมายท่ใี ช้ในการวิจัย คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี
ท่ี 2 โรงเรียนวัดไพร่ฟ้ า จังหวัดปทุมธานี ท่ีกาลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562
จานวน 1 ห้องเรียน 31 คน เคร่ืองมอื ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์
โดยใช้ปัญหาปลายเปิ ด 2) แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตร์3) แบบทดสอบ
วัดความสามารถทางการเรียนคณิตศาสตร์โดยใช้ปัญหาปลายเปิ ด 4) แบบสอบถามความพึง
พอใจต่อการเรียนคณิตศาสตร์ โดยใช้ปัญหาปลายเปิ ด ผู้วิจัยเกบ็ รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล
และประมวลผลข้อมูล โดยใช้สถิติ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และใช้
ค่า paired sample t-test

ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีความสามารถในการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์มีคะแนน
ไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็ ผ่านเกณฑ์ 19 คน คดิ เป็นร้อยละ 61.29 ไม่ผ่านเกณฑ์ 12
คน คดิ เป็นร้อยละ 38.71 2) ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนหลังเรียนสงู กว่าก่อนเรียน อย่างมนี ัยสาคัญ
ทางสถิติท่รี ะดับ .05 (t = 14.228, Sig. = .000) 3) ความพึงพอใจต่อการเรียนคณิตศาสตร์
โดยใช้ปัญหาปลายเปิ ด โดยภาพรวมมคี วามพึงพอใจอยู่ในระดบั มาก (x̅ = 4.16, S.D. = 0.69)

คาสาคญั : การแก้โจทยป์ ัญหาคณิตศาสตร์, ปัญหาปลายเปิ ด, นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2

1 นกั ศกึ ษาหลักสตู รศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาหลักสตู รและการสอน วิทยาลัยครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรุ กจิ
บณั ฑติ ย์
2 ท่ปี รกึ ษาวิทยานิพนธห์ ลกั สตู ร

595

ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา
คณติ ศาสตร์เป็นวิชาท่วี ่าด้วยเหตุผลกระบวนการคิดและการแก้ปัญหา คณติ ศาสตร์จึง

เป็นวิชาท่ีช่วยเสริมสร้างให้นักเรียนเป็นคนมีเหตุผล มีการคิดอย่างมีวิจารณญาณและเป็นระบบ
ตลอดจนมีทักษะการแก้ปัญหา ทาให้สามารถวิเคราะห์ปัญหาและสถานการณ์ได้อย่างถ่ีถ้วน
รอบคอบ สามารถคาดการณ์ วางแผนตัดสนิ ใจ และแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม ซ่ึงเป็นประโยชน์
ในชีวิตประจาวัน ย่ิงกว่าน้ัน คณิตศาสตร์ยังเป็ นเคร่ืองมือสาคัญในการศึกษาวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ตลอดจนศาสตร์อ่ืน ๆ ทาให้มีการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่าง
มากมายในทุกวันน้ี (สสวท. 2555)ในการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ท่ีผ่านมาพบว่าเน้นให้
นักเรียนสามารถหาคาตอบ ท่องจาสูตร และจดจาข้ันตอนวิธีการเพ่ือใช้ในการหาคาตอบเท่าน้ัน
โดยมีครูผู้สอนให้ความรู้แต่เพียงผู้เดียว ทาให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยการจดจาไม่สามารถขยาย
ความคิดและ คิดต่อ ยอดออ กไป ได้ แ ต่ ใน การ เ รี ยนการ สอนวิ ชา คณิ ตศา สตร์ ใน ยุ คปั จจุ บั น ได้
เปล่ียนไปเป็นการเรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ สง่ เสริมการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ครู
เปล่ียนบทบาทเป็นผู้คอยให้คาช้ีแนะ และสอนแบบแนะให้รู้คิด การเรียนการสอนเน้นเรียนรู้ด้วย
ความเข้าใจ ซ่ึงการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ให้เกิดความเข้าใจต้องอาศัยการให้เหตุผล และ
ตระหนักถึงความสมเหตุสมผลของข้อสรุป วิธกี าร และคาตอบ (ปิ ยวดี วงษ์ใหญ่. 2551)ดังน้ัน
การจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณติ ศาสตร์ จึงจาเป็นต้องเน้นการพัฒนาความสามารถของ
นักเรียนในการแก้โจทย์ปัญหา การแก้ปัญหาเป็นพฤติกรรมพ้ืนฐานของมนุษย์ทุกขณะท่ีมนุษย์มี
สติสัมปชัญญะอยู่กบั ตัวจะต้องเก่ียวข้องกบั ปัญหา เพราะว่าขณะท่มี นุษย์รู้สึกตัวสมองของมนุษย์
รู้สกึ ตัวสมองของมนุษย์จะคิดอยู่ตลอดเวลา และการคิดน้ันต้องมีเป้ าหมาย แนวทางการสอนด้วย
ปัญหาปลายเปิ ดมีความแตกต่างจากวิธกี ารโดยท่วั ไปคือผู้สอนต้องจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนท่ี
เปิ ดโอกาสและกระตุ้นให้นักเรียนได้คิดสนุกกบั การคิดจินตนาการท่มี ีเหตุผล และส่ิงท่จี ะกระตุ้น
ความคิดให้กบั นักเรียนได้เป็นอย่างดีกค็ ือสถานการณ์หรือปัญหา ซ่ึงปัญหาท่มี ีลักษณะเปิ ดกว้าง
ในการคิดหาคาตอบจะเป็ นส่ิงท่ีท้าทายความคิดใหม่ ๆ ของนักเรียน ในการเรียนการสอน
คณิตศาสตร์ลักษณะคาถามท่คี รูใช้สว่ นใหญ่น้ันเป็นคาถามแบบปิ ด มที ศิ ทางในการตอบแคบหรือ
ตอบได้เพียงคาตอบเดียวจึงไม่เป็นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน ซ่ึงเบกเกอร์และชิ
มาดะ (Becker; & Shimada. 1997: 1) ได้นาเสนอการใช้ปัญหาปลายเปิ ดมาใช้ในการจัดการ
เรียนการสอน ด้วยลักษณะของปัญหาปลายเปิ ดเป็นสถานการณ์ปัญหาท่ีกระตุ้นให้เรียนเกิดการ
คดิ วิเคราะห์ จนสามารถประมวลความรู้ท้งั หมดท่เี รียนเพ่ือนามาใช้ในการแก้ปัญหา มีท้งั คาตอบท่ี
หลากหลาย มีกระบวนการแก้ปัญหาท่ีหลากหลาย และสามารถพัฒนาไปสู่ปัญหาอ่ืนได้ จุดเด่น
ของข้ันตอนการจัดการเรียนรู้ประการหน่ึงท่ใี ช้วิธกี ารแบบเปิ ด คือสามารถดึงเอากระบวนการทาง
คณิตศาสตร์ออกมาจากนักเรียนได้มาก และสามารถนานักเรียนไปสู่การค้นพบสูตรกฎ และ
หลักการทางคณิตศาสตร์ด้วยตัวนักเรียนเอง อันเป็นการช่วยขยายความ “ความหมายของการ
เรียนรู้ด้วยตนเอง” ของนักเรียนท่ีเป็ นรูปธรรมท่ีสุด จุดเน้นท่ีสาคัญของปัญหาปลายเปิ ด คือ

596

ไม่ได้เน้นการได้มาเพียงคาตอบเดียว แต่เน้นไปท่ีการค้นหาวิธีการคิดท่ีแตกต่างกันท่ีนาไปสู่
คาตอบ

จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงสนใจท่ีจะนาการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหา
ปลายเปิ ด มาใช้ในการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เพ่ือพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทาง
คณติ ศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 โดยผลท่ไี ด้จากการศึกษาคร้ังน้ีจะเป็นประโยชน์กบั
การจัดการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ในโรงเรียน และเพ่ือพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ของ
นักเรียนในระดบั สงู ต่อไป

วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั
1. เพ่ือพัฒนาความสามารถการแก้โจทยป์ ัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้ปัญหาปลายเปิ ด ของ

นักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 2
2. เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนคณิตศาสตร์ ของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 2 กอ่ น

เรียนและหลังเรียน
3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนคณิตศาสตร์ โดยใช้ปัญหาปลายเปิ ด ของนักเรียนช้ัน

มัธยมศึกษาปี ท่ี 2

สมมติฐานการวิจยั
1. ผลการศึกษาความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้ปัญหาปลายเปิ ด

ของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 2 มีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็
2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตร์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 โดยใช้ปัญหา

ปลายเปิ ด หลังเรียนสงู กว่าก่อนเรียน อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติท่รี ะดบั .05
3. ความพึงพอใจต่อการเรียนคณิตศาสตร์โดยใช้ ปัญหาปลายเปิ ด ของนักเรียนช้ัน

มัธยมศึกษาปี ท่ี 2 อยู่ในระดับมาก

ขอบเขตของการวิจยั
กลุ่มเป้ าหมาย นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 โรงเรียนวัดไพร่ฟ้ า จ.ปทุมธานี ท่กี าลังศึกษาอยู่ใน
ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 จานวน 1 ห้องเรียน มีนักเรียนท้งั หมด 31 คน

ตวั แปรต้น ได้แก่ การแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดยใช้ปัญหาปลายเปิ ด
ตัวแปรตาม ได้แก่

1) ความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาคณติ ศาสตร์
2) ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนคณิตศาสตร์
3) ความพึงพอใจต่อการเรียนคณิตศาสตร์โดยใช้ปัญหาปลายเปิ ดขอบเขต

ด้านเน้ือหา

597

เน้ือหาท่ใี ช้ในการวิจัย คือ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 เร่ืองสถิติ เป็นเน้ือหาวิชาคณิตศาสตร์
ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ช้ัน
มธั ยมศึกษาปี ท่ี 2

ระยะเวลาในการวิจัย
ระยะท่ใี ช้ในการวิจัยคร้ังน้ี ดาเนินการทดลอง ใช้เวลาในการทดลอง จานวน 4 แผน แผน

ละ 3 คาบเรียน รวม 14 คาบเรียน ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562

เครือ่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์โดยใช้ปัญหาปลายเปิ ด
2. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนคณติ ศาสตร์
3. แบบทดสอบวัดความสามารถทางการเรียนคณิตศาสตร์โดยใช้ปัญหาปลายเปิ ด
4. แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนคณิตศาสตร์ โดยใช้ปัญหาปลายเปิ ด

การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
ผู้วิจัยได้ดาเนินการทดลองสอนกบั นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 โรงเรียนวัดไพร่ฟ้ า

โดยได้ดาเนินการทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมูลด้วยตนเองตามข้นั ตอน ดงั น้ี
1. อธบิ ายและช้ีแจงกจิ กรรมการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาปลายเปิ ดให้นักเรียน

เข้าใจหลังจากน้ันผู้สอนแบ่งกลุ่มนักเรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 6-7 คน โดยคละความสามารถทาง
คณติ ศาสตร์แต่ละกลุ่มมีนักเรียนเก่ง ปานกลาง อ่อน เพ่ือช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั การแบ่งกลุ่มใช้
คะแนนคณิตศาสตร์ของภาคเรียนท่ี 1

2. ใช้ทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนก่อนเรียน (Pretest) เร่ืองสถิติ เป็นปรนัย
แบบ 4ตวั เลือก จานวน 20 ข้อ บันทกึ ผลการสอบไว้สาหรับวิเคราะห์ข้อมูล

3. ดาเนินการสอนคณิตศาสตร์โดยใช้ปัญหาปลายเปิ ดจานวน 4 แผนๆละ 3 คาบ
เรียน รวมเวลาในการสอน 14 คาบเรียน หลังจากเรียนแต่ละแผนได้ทาการทดสอบวัด
ความสามารถ และเกบ็ คะแนนเพ่ือดูพัฒนาการการเรียนรู้

4. หลังจากทาการสอนจนครบท้ัง 4 แผน ทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลัง
เรียน (Posttest) เร่ืองสถิติ เป็นปรนัยแบบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ข้อ ซ่ึงเป็นแบบทดสอบคู่ขนาน
บันทกึ ผลการสอบไว้สาหรับวิเคราะห์ข้อมูล

5. นักเรียนทาแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนคณติ ศาสตร์ โดยใช้ปัญหา
ปลายเปิ ดจานวน 15 ข้อ บันทกึ ผลไว้สาหรับวิเคราะห์ข้อมูล

598


Click to View FlipBook Version