และด้วยสภาพปัจจุบัน การเรียนการสอนวิชาดนตรีในโรงเรียนมารีย์ธงชัยพบว่าจาก
การเรียนการสอนท่ีผ่านมา นักเรียนยังทาคะแนนได้ไม่ดีนักในวิชาดนตรีท้ังเร่ืองการอ่านโน้ต
ดนตรีสากลและการปฎิบัติคีย์บอร์ด ผู้วิจัยจึงมีความคิดจะพัฒนาส่ือการเรียนการสอนตาม
แนวทางของซูซูกิเพ่ือให้ผู้เรียนมีความสามารถในการปฎิบัติเคร่ืองดนตรี คีย์บอร์ด อย่างจริงจัง
และเป็นการปลูกฝังทกั ษะท่จี ะนาไปสกู่ ารเรียนในระดับสงู ต่อไป
“ส่ือ” ได้เข้ามามีบทบาทท้ังส่วนของผู้สอนและผู้เรียน โดยช่วยให้ผู้สอนสามารถจัด
ประสบการณ์เพ่ือการเรียนได้ อย่างเหมาะสมกับตัวผ้ ูเรียนและช่วยให้ ผ้ ูเรียนสามารถเรียนได้ ตาม
ความต้องการ ความสามารถและ ความสนใจในจุดหมายของการเรียนการสอน (กฤษมันต์ วัฒนา
ณรงค,์ 2554)
ปัจจุบันการออกแบบส่อื มีรูปแบบท่หี ลากหลายและน่าสนใจมากย่ิงข้นึ เน่ืองจากต้องการ
นาสารส่งถึง ผู้รับข้อมูลให้ได้อย่างบรรลุวัตถุประสงค์ โดยส่ือ อินโฟกราฟิ ก (Infographic) น้ัน
น่าสนใจเป็ นอย่างมากในยุคน้ี Infographic มาจากคาว่า Information + graphic อินโฟกราฟิ กจึง
หมายถึง การนาข้อมูลหรือความรู้มาสรุปเป็นสารสนเทศในลักษณะของข้อมูล ภายในภาพน้ันอาจ
ประกอบด้วย สัญลักษณ์ กราฟ แผนภูมิ ไดอะแกรม แผนท่ี เป็นต้น ท่ีออกแบบเป็นภาพน่ิงหรือ
ภาพเคล่ือนไหว เข้าใจง่าย รวดเรว็ และชัดเจน เปรียบเสมือนการสรุปข้อมูลลงในภาพ ส่อื ให้เข้าใจ
ความหมายท้งั หมดได้ การออกแบบอินโฟกราฟิ ก คือการนาข้อมูลมาเสนอในรูปแบบต่างๆ อย่าง
สร้างสรรค์ ภาพสามารถเล่าเร่ืองได้ มอี งค์ประกอบสาคัญ โดยรวบรวมข้อมูลต่างๆ ให้เพียงพอ แล้ว
สรุป วิเคราะห์ เรียบเรียง ทาให้ภาพน้ันมีความน่าสนใจและดึงดูดสายตาของผู้ชมได้ เป็นการลด
เวลาในการอธบิ ายโดยใช้ภาพเป็นสว่ นประกอบ
จะเหน็ ได้ว่าจากหลักการและเหตุผลท่กี ล่าวมาข้างต้นน้ัน ทาให้ผู้วิจัยเหน็ ความสาคัญ
และประโยชน์ของส่อื การสอนและรูปแบบการสอนของซูซูกิ ดังน้ันผู้วิจัยมีความสนใจอย่างย่ิง ท่จี ะ
พัฒนาส่อื อนิ โฟกราฟิ ก ( Infographic) ตามแนวคดิ ของซูซกู เิ พ่ือเป็นการพัฒนาความสามารถการ
ปฎิบัติคีย์บอร์ด เพ่ือให้ผู้เรียนมีความสามารถในการปฎิบัติเคร่ืองดนตรี คีย์บอร์ด อย่างจริงจัง
และเป็นการปลูกฝังทกั ษะท่จี ะนาไปสู่การเรียนในระดับสูงต่อไปและยังเป็นประโยชน์แก่นักเรียน
ในการเรียนดนตรีรูปแบบใหม่อกี ด้วย
วตั ถุประสงค์
1. เพ่ือพัฒนาความสามารถการปฎิบัติคีย์บอร์ด โดยใช้ ส่ืออินโฟกราฟิ ค
(Infographic) ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4
2. เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนการปฎิบัติคีย์บอร์ด ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 4
3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่มี ีต่อ ส่อื อนิ โฟกราฟิ ก (Infographic)
499
สมมติฐานการวิจยั
1.นักเรียนมีความสามารถพัฒนาการปฎิบัติคีย์บอร์ด โดยใช้ ส่ืออินโฟกราฟิ ก
(Infographic) มีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็
2. นักเรียนท่เี รียนโดยใช้ส่อื อินโฟกราฟิ ก (Infographic) มีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลัง
เรียนสงู กว่ากอ่ นเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิท่รี ะดบั .05
3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้ส่ืออินโฟกราฟิ ก (Infographic) อยู่ใน
ระดบั มาก
ขอบเขตการวิจยั
การวิจัยเร่ือง การพัฒนาความสามารถการปฎิบัติคีย์บอร์ด โดยใช้ส่ือ อินโฟกราฟิ ก
(Infographic) ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 มขี อบเขตการวิจัยดังน้ี
กลุ่มเป้ าหมาย นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 โรงเรียนมารีย์ธงชัย อาเภอปักธงชัย
จังหวัด นครราชสมี า จานวน 35 คน
ตวั แปรทีใ่ ชก้ ารวิจยั
ตัวแปรต้น ได้แก่ ส่ือ อินโฟกราฟิ ค (Infographic) การ ปฎิบัติคีย์บอร์ด วิชา
ดนตรี
ตัวแปรตาม ได้แก่ ความสามารถการปฎิบัติวิชาคีย์บอร์ด,ผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียนวิชาดนตรีความพึงพอใจท่มี ตี ่อส่อื อนิ โฟกราฟิ ก
ขอบเขตของเน้ อื หา
ผู้วิจัยได้นาหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ
สาระท่ี 2 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 5 ทักษะดนตรี เพ่ือนามาจัดทาอินโฟกราฟิ ก (Infographic)
ประกอบด้วย
โครงสร้างของบทเพลง, จังหวะทางดนตรีสากล, ทานองเพลง, เคร่ืองหมายและ
สญั ลักษณ์ทางดนตรี ,การถ่ายทอดเร่ืองราวของบทเพลง ระยะเวลาการทดลอง ผู้วิจัยดาเนินการ
ทดลองในภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 จานวน 16 ช่ัวโมง
เครือ่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการศึกษาค้นคว้าคร้ังน้ีประกอบด้วย
1. แผนการจัดการเรียนรู้เร่ืองการพัฒนาความสามารถปฎิบัติวิชาคยี บ์ อร์ด
2.ส่อื อนิ โฟกราฟิ ก (infographic)ตามแนวคิดของ ซซู กู ิ (Suzuki)
3.แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิ
4.แบบประเมินความสามารถปฎบิ ัติวิชาคยี ์บอร์ด
500
5.แบบสอบถามความพึงพอใจท่มี ตี ่อส่อื อนิ โฟกราฟิ ก (infographic)
การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
ผู้วิจัยได้เกบ็ รวบรวมข้อมูลดงั น้ี
1. ข้นั เตรียม
ช้ีแจงจุดประสงค์การเรียนรู้ของเร่ืองท่ีเรียน ช้ีแจงกิจกรรมต่างๆ และรายละเอียด
เก่ียวกบั การเรียนวิชาดนตรีสากล เร่ือง การพัฒนาความสามารถการปฎิบัตคิ ีย์บอร์ด ตามแนวคดิ
ของซซู กู ิ (Suzaki) โดยใช้ส่อื อนิ โฟกราฟิ ก (infographic) ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4
2. ข้นั ดาเนนิ กิจกรรม
การวิจัยในคร้ังน้ีดาเนินการทดลองในภาคเรียนท่ี2 ปี การศึกษา 2562 โดยผู้วิจัย
ดาเนินการทดสอบก่อนเรียนและสอนตามแผนจัดการเรียนรู้ วิชาดนตรีสากล เร่ือง การส่งเสริม
ความสามารถการปฎิบัติวิชาคียบ์ อร์ด โดยใช้ส่อื อนิ โฟกราฟิ ก (Infographic)ตามแนวคิดของ ซซู ู
กิ (Suzuki) ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 จานวน 5 แผน รวม 16 ช่ัวโมงดงั น้ี
- แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 1 เคร่ืองหมายสญั ลักษณ์ 2 ช่ัวโมง
- แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 2 จังหวะทางดนตรีสากล 3 ช่ัวโมง
- แผนการจัดการเรียนรู้ท่3ี เร่ือง โครงสร้างของบทเพลง 2 ช่ัวโมง
- แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 4 เร่ือง ทานองเพลง 3 ช่ัวโมง
- แผนการจัดการเรียนรู้ท่5ี เร่ือง การถ่ายทอดเร่ืองราวของบทเพลง 6 ช่ัวโมงและ
ทดสอบความสามารถจานวน 10 คร้ังแผนละ 2 คร้ัง
3. ข้นั ทดสอบหลงั เรียน
หลังจากนักเรียนได้เรียนกบั แผนการจัดการเรียนรู้ท้งั 5 แผนแล้ว ผู้วิจัยได้ดาเนินการ
ดงั น้ี
3.1 ทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาดนตรีสากล การปฎิบัติคีย์บอร์ดของนักเรียน
ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4
3.2 ให้นักเรียนตอบแบบสอบถามความพึงพอใจจากการเรียนรู้เร่ือง การพัฒนา
ความสามารถการปฎิบัติคีย์บอร์ด ตามแนวคิดของซูซูกิ (Suzaki) โดยใช้ส่ืออินโฟกราฟิ ก
(infographic) ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4
3.3 เกบ็ ข้อมูลท่ไี ด้ท้งั หมดนาไปวิเคราะห์ข้อมูลทางสถติ ิ สรุปผลและแปลผลต่อไป
การวิเคราะหข์ อ้ มูล
การวิเคราะห์ข้อมูลท่ไี ด้จากการดาเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ทาการวิเคราะห์
ข้อมูล ดงั น้ี
1. วิเคราะห์การพัฒนาความสามารถการปฎิบัติวิชาคีย์บอร์ด โดยหาร้ อยละ
(Percentage)
501
2. วิเคราะห์ผลสมั ฤทธท์ างการเรียนกอ่ นและหลังการทดลองใช้โดยใช้การทดสอบค่าที
(t-test Dependent Samples)
3. วิเคราะห์คุณภาพส่อื โดยหาความเท่ยี งตรง (Validity) ตามเน้ือหา
4. วิเคราะห์ความพึงพอใจท่ีมีต่อ การพัฒนาความสามารถการปฎิบัติคีย์บอร์ด ตาม
แนวคิดของซูซูกิ (Suzaki) โดยใช้ส่อื อนิ โฟกราฟิ ก (infographic) ใช้ค่าเฉล่ีย (Mean) และส่วน
เบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
สรุปผลการวิจยั
ตอนท่ี 1 ผลของความสามารถในการปฎิบัติคีย์บอร์ด โดยใช้ส่ืออินโฟกราฟิ ก
(Infographic) ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4จานวน 35 คน พบว่า นักเรียนมีคะแนนไม่ต่า
กว่าร้อยละ 80 ผ่านเกณฑ์ จานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 43 และมีนักเรียนท่ไี ม่ผ่านเกณฑ์ จานวน
20 คน คิดเป็นร้อยละ 57
ตอนท่ี 2 แสดงการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนการปฎิบัติคีย์บอร์ด ของ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 ก่อนเรียนและหลังเรียน จานวน 35 คน พบว่า นักเรียนมี
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงข้ึนกว่าก่อนเรียน ท้ังหมด 33 คน และต่าลง 2 คนและ
นักเรียนมีคะแนนเฉล่ียก่อนเรียนเทา่ กบั 10.60ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเทา่ กบั 2.72 และนักเรียน
มีคะแนนเฉล่ียหลังเรียนเท่ากับ 15.25ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.31 เม่ือเปรียบเทียบ
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนการปฎิบัติคีย์บอร์ด ก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า คะแนนหลังเรียนสูง
กว่าก่อนเรียน อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติท่รี ะดับ .05 ดังตารางท่ี 1
ตารางท่ี 1
ผ ล สั ม ฤ ท ธ์ิ
n คะแนนเต็ม Mean S.D. t Sig.
ทางการเรียน
หลังเรียน 35 20 15.25 3.31 10.123 .000
กอ่ นเรียน 35 20 10.60 2.72
ตอนท่ี 3 ระดับความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อ ส่ืออินโฟกราฟิ ก (Infograpic)
จานวน 35 คน พบว่า ความพึงพอใจภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 2.57, S.D. = 0.57) เม่ือ
พิจารณารายด้านเรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย คือ ด้านครูผู้สอน (X̅ = 2.72, S.D. =
0.45) ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวซูซูกิ (Suzuki) (X̅ = 2.50, S.D. = 0.60) และด้านส่ือ
อนิ โฟกราฟิ ก (Infographic) (X̅ = 2.49, S.D. = 0.62)
502
อภปิ รายผล
จากการศึกษาการพัฒนาความสามารถการปฎิบัติวิชาคีย์บอร์ดตามแนวคิดของซูซูกิ
โดยใช้ส่ือ อินโฟกราฟิ ก (Infographic) ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 สามารถอภิปรายได้
ดังน้ี
1. ผลของความสามารถในการปฎบิ ัตคิ ีย์บอร์ด โดยใช้ส่อื อนิ โฟกราฟิ ก (Infographic)
ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4จานวน 35 คน พบว่า นักเรียนมีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80
ผ่านเกณฑ์ จานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 43 และมีนักเรียนท่ไี ม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 20 คน คิด
เป็ นร้อยละ 57 ท้ังน้ีเน่ืองจาก การเรียนจากอินโฟกราฟฟิ ก (Infographic)เร่ืองดนตรีน้ันเป็ น
เน้ ื อหาท่ีค่ อนข้ างยากซ่ึ งผู้ วิ จั ยมีเวลาจากัดซ่ึ งบางเร่ื องน้ั นต้ องใช้ ระยะเวลาทาความเข้ าใจ
พอสมควรเพราะเป็นการปฎิบัติเป็นส่วนใหญ่ทาให้บางทนี ักเรียนคิดว่าสามารถทาได้แล้วต่อพอ
เวลามาเจอกับคีย์บอร์ดจริงๆสถานการณ์จริงจึงทาให้นักเรียนเกดิ ความประหม่าและประกอบกบั
เดก็ ในช้ันเรียนมีมากถึง 35 คน ผู้วิจัยอาจจะดูแลไม่ท่วั ถึงแต่สังเกตได้ว่าการวัดความสามารถใน
2 ตอนแรก คือคร้ังท่ี 1 คะแนนรวม 35 คนได้ 93 คะแนน และคร้ัง ท่ี 2 คะแนนรวม 35คนได้
95 คะแนน ซ่ึงท้งั สองคร้ังน้ีถือว่าต่ากว่าการวัดความสามารถในทุกๆคร้ัง เพราะนักเรียนยังไม่เคย
ได้เรียนกบั การจัดการแบบน้ี ยังไม่เคยได้เรียนกับอินโฟกราฟิ ก (Infographic)ด้วยตัวเอง แต่พอ
ผ่านไป 2 คร้ังนักเรียนเร่ิมมีความเข้าใจในจุดประสงค์ในการเรียนรู้ นักเรียนเร่ิมปรับตัวได้
นักเรียนเร่ิมช่วยเหลือกัน ทาให้ในการทดสอบความสามารถการปฎิบัติวิชาคีย์บอร์ดเร่ิมดีข้ึน
เร่ือยๆอย่างเห็นได้ชัดเจน จะเห็นได้ว่าเดิมนักเรียนมีคะแนนค่อนข้างต่า แต่เม่ือใช้ส่ืออินโฟ
กราฟิ ก (Infographic)นักเรียนมีการพัฒนาข้ึนถึงแม้จะไม่ผ่านเกณท์ ร้อยละ80ทุกคนกต็ าม ซ่ึง
การให้นักเรียนได้เรียนรู้จากส่อื หรือครูผู้สอนและได้ลองผิดลองถูกน้ันกเ็ ป็นทฤษฎีการเรียนรู้ของ
ซซู กู ใิ นข้ันท่ี 1 ข้ันท่ี 2 คอื ทาตามในส่งิ ท่ไี ด้เรียนรู้ ข้ันท่ี 3 คือ ฝึกปฎิบัตแิ ละข้ันท่ี 4 คอื ทาซา้ ๆซ่ึง
เช่ือมโยงกับ (ทิศนา แขมมณี,2548,น .51)การเรียนรู้เกิดจากการเช่ือมโยงส่ิงเร้ากับการ
ตอบสนองความม่ังคงของการเรียนรู้จะเกดิ ข้ึนหากได้มีการนาไปใช้บ่อยบ่อยหากไม่มีการนาไปใช้
อาจมกี ารลืมเกดิ ข้นึ ได้ซ่ึงสอดคล้องกบั งานวิจัยของสภุ รณ์ พรหมคุณ (2553)ทาการวิจัยเร่ืองการ
พัฒนาชุดกจิ กรรมวิชาดนตรีเร่ืองทฤษฎีดนตรีสากลเบ้ืองต้นพบว่านักเรียนท่เี รียนด้วยชุดกจิ กรรม
วิชาดนตรีเร่ืองทฤษฎีดนตรีสากลเบ้ืองต้นกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี1มี
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ.01 และ
มนสิการ พร้อมสุขกุล (2557) วิจัยเร่ืองการรับรู้เสียงของนิสิตสาขาวิชาดนตรีตะวันตกเคร่ือง
ดนตรีเปี ยโนมหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเดจ็ เจ้าพระยาพบว่าปัจจัยท่สี ่งผลต่อการมีความสามารถ
ทางการรับรู้ระดับเสียงคือ1)ปัจจัยด้านส่ิงแวดล้อมทางดนตรีจากครอบครัว 2)ปัจจัยด้านอายุท่ี
เร่ิมต้นเรียนดนตรีคือช่วงอายุ2-7ปี ดีท่สี ุด 3)ปัจจัยเวลาท่เี ล่นดนตรีระยะเวลาย่ิงมากย่ิงส่งผลต่อ
ทกั ษะการฟัง4)ปัจจัยด้านวิธีการน้ีเป็นวิธกี ารเรียนท่เี น้นการฟังเป็นหลักส่งผลต่อ Absolute Pitch
503
5)ปัจจัยด้านแนวดนตรีท่เี ล่นหรือย่ิงฟังและเล่นดนตรีหลายประเภทย่ิงส่งผลต่อความสามารถใน
การรับรู้ระดบั เสยี ง
2.ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนการปฎิบัตคิ ีย์บอร์ดโดยการพัฒนาความสามารถการปฎบิ ัติ
วิชาคีย์บอร์ดตามแนวคิดของซูซูกิ โดยใช้ส่ือ อินโฟกราฟิ ก (Infographic) ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 4 จานวน 35 คน คะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน จานวน 35 คน พบว่า
นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงข้ึนกว่ากอ่ นเรียน ท้งั หมด 33 คน และต่าลง 2 คน
ผลวิจัยเป็ นไปตามสมมติฐาน ข้อท่ี 2 ท่ีเป็ นเช่นน้ีเน่ืองมาจากผู้วิจัยได้ยึดหลักการสอนโดยใช้
แนวคิดของซูซูกิ สุกรี เจริญสุข (2542: 13-17) กล่าวว่า ชึนอิชิ ซูซูกิ เช่ือว่าความสามารถท่ี
เรียกว่า “เก่งหรืออจั ฉริยะ” ไม่ได้มีติดตัวมาแต่กาเนิด ทุกคนเกิดมามีทุกส่งิ ทุกอย่างเทา่ กันหมด
คือ “ไม่มีอะไร” ต้องอาศัยการเรียนรู้ การเล้ียงดู อบรมบ่มสอนและการพัฒนา เพ่ือให้เดก็ เป็น
อย่างท่ีพ่อแม่ต้องการ การเรียนรู้ของเดก็ เหมือนกับการเรียนรู้ภาษาจากแม่ กระบวนการสอน
ของชึนอิชิ ซูซูกิ ต้ังช่ือว่า “การศึกษาของคนเก่ง” (Talent Education) ซูซูกิเช่ือว่า เดก็ ทุกคน
สามารถเรียนรู้และเป็นคนเก่งได้ แต่อย่าทอดท้ิงให้เดก็ เติบโตอย่างยถากรรมโดยท่ไี ม่ได้อบรม
เล้ียงดูและต่อเน่ืองดนตรีเป็นเร่ืองของการได้ยิน การฟังเสียงเพ้ียน การตอบสนองการฟังย่อม
เพ้ียนไปด้วย การได้ยินเสียงท่ถี ูกต้อง การตอบสนองการได้ยินย่อมถูกต้องด้วย ดังน้ัน การศึกษา
ของคนเก่ง เราต้องศึกษาเพ่ือท่ีจะพัฒนาความเก่งของเด็กผ่านการศึกษา อบรมส่ังสอน
ความสามารถทางดนตรีก็เหมือนกับความสามารถทางด้านอ่ืน ๆ ท่ีทุกคนสามารถเรียนได้
เหมือนกนั มนุษย์มีความจาเป็นท่จี ะต้องพัฒนาความสามารถให้สูงข้ึน การพัฒนาความสามารถท่ี
สูงข้ึนทาได้ด้วยการฝึ กท่ีถูกต้อง ความสามารถไม่ได้มาจากความคิดหรือทฤษฎี แต่มาจากการ
ฝึ กซ้อมท่ีถูกต้อง ในการฝึ กซ้อมน้ัน ต้องได้รับการฝึ กท่ีดีและถูกต้อง ไม่ต้องรีบร้อนแต่ไม่หยุด
การฝึ ก ซ้อมอย่างสม่าเสมอ การฝึ กซ้อมท่ีผิด ๆ จะพัฒนาความสามารถท่ีผิด ๆ ด้วย ความลับ
ของการฝึ กซ้อมกค็ ือการทาซา้ ฝึ กซา้ แล้วซา้ อีก จนดูเป็นเร่ืองท่ีง่ายและเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติ
คือเป็นสว่ นหน่ึงของชีวิต ฝึกซ้อมจนเป็นธรรมชาติและธรรมชาติ คือ ชีวิต
ซ่ึงผู้วิจัยได้ทา Infographic เพ่ือจัดการการเรียนรู้ท่ีเน้นการฝึกฝนในทักษะปฏบิ ัติจน
สามารถทาให้ นักเรียนเกิดความเข้ าใจในเน้ ือหาของดนตรีเน่ืองจากเป็ นการจัดการเรียนร้ ูท่ีเน้ น
ฝึกฝนในทกั ษะปฏบิ ัติจนสามารถทาให้นักเรียนเกิดความเข้าใจในเน้ือหาของดนตรีเน่ืองจากการ
ฝึกปฏบิ ัติซา้ ๆอย่างต่อเน่ืองด้วยวิธกี ารตามแนวคิดของซูซูกิน้ันจะทาให้นักเรียนเกดิ ความชานาญ
จนถึงข้ันจดจาอกี ท้งั ส่อื อนิ โฟกราฟฟิ กตามแนวคิดของซูซูกิยังเป็นการส่งเสริมให้นักเรียนเกดิ การ
อภิปรายแลกเปล่ียนกลุ่มซ่ึงสามารถทาความเข้าใจเน้ือหาท่เี รียนได้เป็นอย่างดจี นส่งผลให้นักเรียน
มีผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนท่สี งู ข้ึน สอดคล้องกบั สกุ รี เจริญสุข (2542,น13-17)ท่กี ล่าวถึงหน้าท่ี
ของศูนย์การพัฒนาความสามารถท่สี ูงข้ึนน้ันทาได้ถูกต้องความสามารถความคิดทฤษฎีแต่มาจาก
การฝึ กซ้อมท่ีถูกต้อง ในการฝึ กซ้อมน้ันต้องได้รับการฝึ กท่ีดีและถูกต้องไม่ต้องรีบร้อน ซ่ึง
สอดคล้องกับงานวิจัยของเดสเตฟานิส (Destefanis,2004)ท่ศี ึกษาวิจัยผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
504
วิชาดนตรีเคร่ืองสายของนักเรียนโดยใช้วิธีการสอนตามแนวคิดของซูซูกิเพ่ือพัฒนาความเข้าใจใน
วิธกี ารจัดการเรียนรู้ดนตรีเบ้ืองต้นเป็นการพัฒนาการเรียนรู้ โดยให้นักเรียนฟังเพลงจากส่อื ทุกวัน
พบว่านักเรียนกลุ่มท่ฟี ังเพลงทุกวันได้คะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนมากกว่ากลุ่มควบคุมและยัง
สอดคล้องกับงานวิจัยของ วิภารัตน์ คู่คิด (2555)ท่ีเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและ
ทักษะดนตรีเร่ืองการบรรเลงดนตรีไทยเบ้ืองต้นของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี2 ระหว่างการ
จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดของโซลตานโคดาย และชิอชิ ิ ซูซูกิพบว่า การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด
ของชิอชิ ิ ซูซูกมิ ีค่าเฉล่ียของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงกว่าการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดของโซล
ตานโคดาย
3. ระดบั ความพึงพอใจของนักเรียนท่มี ีต่อเป็นไปตาม สมมติฐานการวิจัยคอื ส่อื อนิ โฟ
กราฟิ ก Infographic ส่งเสริมความสามารถการปฎิบัติวิชาคีย์บอร์ดของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี
ท่ี 4จานวน 35 คน พบว่า ความพึงพอใจภาพรวมอยู่ในระดบั มาก (ค่าเฉล่ีย 2.57) เม่อื พิจารณา
รายด้านเรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย คือ ด้านครูผู้สอน (ค่าเฉล่ีย 2.72) ด้านกจิ กรรม
การเรียนรู้ตามแนวซูซูกิ (Suzuki) (ค่าเฉล่ีย 2.50) ด้านส่ือ อินโฟกราฟิ ก (Infographic)
(ค่าเฉล่ีย 2.49) สรุปโดยรวมนักเรียนมีความพึงพอใจระดับมากส่ืออินโฟกราฟิ ก Infographic
ส่งเสริมความสามารถการปฎิบัติวิชาคีย์บอร์ดของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 ในทุกๆด้านซ่ึง
สามารถดูได้จากคะแนน ซ่ึงสอดคล้องกับ พิเชฐ สุวรรณฟันธ์ (2557) ศึกษาเร่ือง การพัฒนา
นิตยสารอิเลก็ ทรอนิกส์ ท่นี าเสนอด้วยรูปเบบอนิ โฟกราฟิ กด้านกีฬาฟุตบอล สาหรับนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกมาตอนต้น จากผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความรู้ในการใช้นิตยสารอิเลก็ ทรอนิกสด์ ้าน
ฟุตบอลโดยรวมอยู่ในระดบั มาก ความคิดเหน็ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาตอนต้นท่มี ีต่อนิตยสาร
อเิ ลก็ ทรอนิกส์ ท่นี าเสนอด้วยรูปแบบอนิ โฟกราฟิ กด้านกฬี าฟุตบอล โดยรวมอยู่ในระดับมาก และ
สอดคล้องกบั งานวิจัยของ นัจภัค มีอุสาห์ (2556) ได้วิจัย เร่ืองอิทธพิ ลของชุด ข้อมูล และสีสัน
ต่อความเข้าใจเน้ือหาของภาพอนิ โฟกราฟิ ก ผลการศึกษาความเข้าใจเน้ือหาของภาพอนิ โฟกราฟิ ก
1) พบว่าจานวนชุดข้อมูลมีผลต่อความเข้าใจเน้ือหาของภาพอนิ โฟกราฟิ ก เม่ือจานวนชุดข้อมูล
มากข้ึนความเข้าใจเน้ือหาของภาพอนิ โฟกราฟิ กมีแนวโน้มลดลง ซ่ึงควรหลีกเล่ียงจานวนชุดข้อมูล
ท่มี ากกว่า6ชุด ข2) สสี นั บางสสี นั ส่งผลต่อความเข้าใจเน้ือหาของภาพอนิ โฟกราฟิ ก การออกแบบ
ภาพอนิ โฟกราฟิ กท่มี ีสนี า้ เงินและสสี ้มมีแนวโน้มในการช่วยให้ความเข้าใจเน้ือหาท่ดี ีข้ึน
ขอ้ คน้ พบงานวิจยั
1. การสอนดนตรีบางคร้ังถ้าเร่ืองท่สี อนยากมากไป อาจจะต้องใช้ส่ืออ่ืนช่วยเช่นวีดิโอ
หรือ Motion Graphic เพ่ือให้นักเรียนได้เหน็ ถึงภาพและเสียง ควบคู่กนั ไปทาให้จะเข้าใจเร็วกว่า
เหน็ ภาพเพียงอย่างเดียว
2. การเลือกหรือผลิตส่อื อินโฟกราฟิ ก (infographic)น้ันควรผลิตให้เหมาะสมกับช่วง
วัยของเด็กนักเรียน ซ่ึงช่วงวัยแต่ละช่วงน้ันการรับรู้ต่างกัน ถ้าเราผลิตส่ืออินโฟกราฟฟิ ก
505
(Infographic)ท่คี ่อนข้างซับซ้อนและนาไปใช้กับเดก็ เลก็ จะทาให้เดก็ ยากต่อการเข้าใจในส่ิงท่เี รา
ต้องการจะส่อื และอาจจะทาให้นักเรียนหมดแรงจูงใจท่จี ะเรียนในวิชาน้ันๆ
ขอ้ เสนอแนะ
ข้อเสนอแนะในการนาผลวิจัยไปใช้
1. การใช้ส่อื อนิ โฟกราฟิ ก (Infographic)เพ่ือพัฒนาความสามารถการปฎบิ ัติคีย์บอร์ด
ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 ผู้สอนจะต้องเพ่ิมบทบาทของตัวเอง หรือเรียกว่า Coaching
คอยกากบั ให้คาช้ีแนะแก่ผู้เรียนในขณะฝึกฝนหรือขณะซ้อม เพ่ือกระตุ้นผู้เรียนตลอดเวลา ให้เกดิ
ความเข้าใจมากย่งิ ข้นึ
2. ครูผู้สอนควรจะวางแผนให้ดี ศึกษาเน้ือหาเชิงลึกท้งั ด้านการสอนและการออกแบบ
อนิ โฟกราฟิ กเพ่ือให้งานวิจัยน้ันๆได้เกดิ ผลสมั ฤทธ์กิ บั นักเรียน
3.การเรียนการสอนคีย์บอร์ดจาเป็นต้องมีอปุ กรณ์ดนตรีส่อื การเรียนการสอนเพียงพอ
กบั ตัวนักเรียนเพ่ือให้นักเรียนได้ฝึกทุกคน และได้ตรงตามแผนท่ผี ู้วิจัยต้ังไว้
4. ควรเพ่ิมเวลาให้นักเรียนท่มี พี ัฒนาการช้าหรือมองว่าวิชาดนตรีเป็นเร่ืองท่ยี าก
506
บรรณานุกรม
กระทรวงศึกษาธิการ. (2542).พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ . พ.ศ. 2542 หมวด 9
เทคโนโลยีเพ่ือการศึกษาหมวด มาตรา 63-69 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2 )
พ.ศ. 2545 กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพ์ คุรุสภาลาดพร้าว
กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์ (2554). นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา. พิมพ์คร้ังท่2ี . กรุงเทพฯ :
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
ทศิ นา แขมมณี, (2548).ศาสตร์การสอน. (พิมพ์คร้ังท่4ี ).กรุงเทพมหานคร:ด่านสทุ ธาการพิมพ์
จากดั .
นัจภัค มีอุสาห์ (2556) อิทธิพลของชุดข้อมูลและสีสันต่อความเข้าใจเน้ือหาของภาพอินโฟ
กราฟิ ก คณะเทคโนโลยสี ่อื สารมวลชน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธญั บุรี
ประพันธ์ศักด์ิ พุ่มอินทร์. (2557).แนวทางการพัฒนาการสอนไวโอลินระดับอุดมศึกษา
กรณีศึกษา สถาบันอุดมศึกษาท่ีเปิ ดสอนวิชาเอกดนตรีระดับปริญญาตรีใน
กรุงเทพมหานคร. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ปัณท์ชนิต ปัญญะสังค์. (2550).การสอนวิชาขับร้องสากล : กรณีศึกษาโรงเรียนดนตรีมีฟ้ า.
กรุงเทพมหานคร: สาขาวิชาดนตรี บัณฑติ มหาวิทยาลัยมหิดล
พิเชฐ สุวรรณพันธ์ (2557) การพัฒนานิตยสารอิเล็กทรอนิกส์ท่ีนาเสนอด้วยรูปแบบอินโฟ
กราฟิ กด้านกีฬาฟุตบอล สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น คณะครุศาสตร์
อตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธญั บุรี
ภคเมธา การสมใจ . (2559). การพัฒนาอินโฟกราฟิ กแบบเคล่ือนไหวเพ่ือส่งเสริมความคิด
สร้างสรรค์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย:วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษามหาบัณ
ทติ เทคโนโลยกี ารศึกษา: มหาวิทยาลัยรามคาแหง
มนสิการ พร้อมสุขกุล, (2557). การรับรู้เสียงของนิสิตสาขาวิชาดนตรีตะวันตกเคร่ืองดนตรี
เปี ยโนมหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเดจ็ เจ้าพระยา กรุงเทพมหานคร
วัฒนาพร ระงับทุกข์, (2545).เทคนิคและกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็ นสาคัญตาม
หลักสตู รข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. 2544. กรุงเทพมหานคร:พริกหวานกราฟฟิ ก
วิภารัตน์ คู่คิด, (2555). การเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและทกั ษะทางดนตรีเร่ือง การ
บรรเลงดนตรีไทยเบ้ืองต้น ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 ระหว่างการจัดการ
เรียนรู้ตามแนวคิด โซลตาน โคดาย และแนวคิดของ ชินอิชิ ซูซูกิ. (วิทยานิพนธ์
มหาบัณฑติ )มหาสารคาม:มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
สุกรี เจริญสุข. (2542).ดนตรีกับแนวคิดของการศึกษาไทย: นครปฐม:วิทยาลัย ดุริยางคศิลป์
มหิดล
สุภรณ์ พรหมคุณ, (2553).การพัฒนาชุดกิจกรรมวิชาดนตรีเร่ืองทฤษฏีดนตรีสากลเบ้ืองต้น
โรงเรียนเฉลิมพระเกยี รติสมเดจ็ พระศรีนครินทร์ จังหวัดศรีษะเกษ
507
เหนือดวง พูลเพ่ิม. (2560) การจัดการเรียนรู้วิชาดนตรี ตามแนวคิดของซูซูกิร่วมกับการเรียนรู้
แบบร่วมมอื เพ่ือพัฒนาทักษะการขับร้องและความสามารถในการทางานเป็ นทีม
สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 . มหาวิทยาลัยธรุ กจิ บัณฑติ ย์/กรุงเทพฯ
Destefanis,R. (2004).The Effect of passive listening on beginning string student in
strumental Music performance (Digital Responsitory). Maryland : University of
Maryland
508
การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรคใ์ นการประพนั ธเ์ พลง โดยใชเ้ ทคนคิ Team-Pair-
Solo ผ่านแอพพลเิ คชนั่ บนอุปกรณอ์ จั ฉริยะ สาหรบั นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 3
The Development of Creative Thinking in Music Composition
by Using Team-Pair-Solo Technique Through Application on Smart Device
for Mathayomsuksa 3 Students
ธญั ญมงคล ปัญญาศรีวิชยั 1
พจมาลย์ สกลเกียรติ2
บทคดั ย่อ
การวิจัยเชิงทดลองน้ีมวี ัตถุประสงค์เพ่ือ 1) พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในการประพันธ์
เพลงของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 3 โดยใช้เทคนิค Team-Pair-Solo 2) ศึกษาพฤติกรรมการ
เรียนรู้แบบ Team-Pair-Solo 3) ศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้เทคนิค Team-Pair-
Solo ผ่านแอพพลิเคช่ัน Music Maker Jam กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 3 จานวน
40 คน โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
ซ่ึงนักเรียนกาลังศึกษาในภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 เคร่ืองมือท่ใี ช้ในงานวิจัย 1) แผนการ
จัดการเรียนรู้การประพันธ์เพลง โดยใช้เทคนิค Team-Pair-Solo ผ่านแอพพลิเคช่ัน Music
Maker Jam 2) แบบประเมินความคิดสร้างสรรค์ในการประพันธ์เพลง โดยใช้เทคนิค Team-
Pair-Solo 3) แบบประเมินพฤติกรรมการเรี ยนรู้โดยใช้ เทคนิค Team-Pair-Solo 4)
แบบสอบถามความพึงพอใจท่มี ีต่อการจัดการเรียนรู้เร่ืองการประพันธ์เพลงโดยใช้เทคนิค Team
-Pair- Solo ผ่านแอพพลิเคช่ัน Music Maker Jam
ผลการวิจัยพบว่า 1) ความคิดสร้างสรรค์ในการประพันธเ์ พลง โดยใช้เทคนิค Team-
Pair-Solo ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 80 จานวน 21 คน คิดเป็นร้อยละ 52.5 ไม่ผ่านเกณฑจ์ านวน 2 คน
คิดเป็นร้อยละ 5 2) พฤติกรรมการเรียนรู้แบบ Team-Pair-Solo จากการประพันธ์เพลงอยู่ใน
ระดับดีมาก 3) ความพึงพอใจท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้ เร่ืองการประพันธ์เพลง โดยใช้เทคนิค
Team -Pair- Solo ผ่านแอพพลิเคช่ัน Music Maker Jam อยู่ในระดับมากท่ีสุด ( X = 4.55,
S.D.= 0.67)
คาสาคญั : ความคดิ สร้างสรรคใ์ นการประพันธเ์ พลง, เทคนิค Team-Pair-Solo อุปกรณ์อจั ฉริยะ
แอพพลิเคช่ันในการประพันธเ์ พลง
1 นักศึกษาสาขาหลกั สตู รและการสอน วิทยาลยั ครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรุ กจิ บณั ฑติ ย์
2 อาจารย์ท่ปี รกึ ษา
509
ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา
การศึกษาในศตวรรษท่ี 21 สถานศึกษาต่าง ๆ ให้ความสาคัญกับการจัดการเรียนการ
สอน ท่ีสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม วิถีการดาเนินชีวิตมีการเปล่ียนแปลงตามเทคโนโลยี และ
สังคมโลก โดยมุ่งเน้นให้ความสาคัญกับการพัฒนาและปรับปรุงส่งเสริมวิธีการท่ีมีความ
หลากหลาย เพ่ือการจัดการเรียน การสอน การเรียนรู้และวิธกี ารประเมินท่ดี ีมีความเหมาะสม อนั
จะนาไปส่กู ารสร้างทกั ษะและคุณภาพของผู้เรียนให้ดีข้ึน ลักษณะการเรียนจะเน้นการเรียนรู้แบบ
กระบวนการกลุ่ม และเน้นส่ือการเรียนรู้ท่ีทันสมัยตามการเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยี ลักษณะ
ของการเรียนการสอนจะมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏบิ ัติกจิ กรรมต่าง ๆ ซ่ึงจะได้มาซ่ึงช้ินงานของ
ตัวผู้เรียน (Horn and Staker, 2011)
ปัจจุบันเทคโนโลยีได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วท้งั ในด้านการส่ือสาร (Communication)
อินเทอร์เนต็ (Internet) เคร่ืองคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer) อุปกรณ์อัจฉริยะ
(Smart Devices) เช่น แทบ็ เลต็ (Tablet) สมาร์ทโฟน (Smart Phone) มีราคาถูกลง มีขนาดเลก็
และเบา มีความคล่องตัวง่ายต่อการพกพา และสะดวกต่อการใช้งาน ทาให้อุปกรณ์ดังกล่าวเข้ามา
มีบทบาทในชีวิตประจาวัน เป็นอย่างมาก (ไพฑูรย์ ศรีฟ้ า, 2555) รวมไปถึงนโยบายสาคัญของ
ประเทศไทยท่ีกาลังก้าวเข้าสู่ยุค Thailand 4.0 ซ่ึงขับเคล่ือนประเทศด้วยเทคโนโลยี ความคิด
สร้างสรรค์ และนวัตกรรมไปสู่ความ “ม่ังค่ัง ม่ันคง และย่ังยืน”ประเทศไทยจึงจาเป็นต้องมีการ
สร้างนวัตกรรมเป็นของตนเอง การศึกษาในยุค Thailand 4.0 กล่าวคือในการเรียนรู้ใด ๆ กต็ าม
นอกจากความรู้ท่ีผู้เรียนจะได้รับแล้ว ผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนาทักษะท่ีสาคัญในการดาเนิน
ชีวิตไปด้วย และการจะก้าวเข้าส่ยู ุค Thailand 4.0 ในบริบทท่เี ก่ียวข้องกบั การศึกษา นอกจากการ
ปรับปรุงเร่ืองของหลักสูตร ตารา และบทบาทของครูผู้สอนแล้ว เรากค็ วรส่งเสริมทักษะแห่ง
อนาคตให้กับผู้เรียนด้วย เพราะเป็นทกั ษะท่จี าเป็นสาหรับการรับมือต่อการเปล่ียนแปลงของโลก
และสังคมในอนาคต (พาสนา จุลรัตน์, 2561) ซ่ึงหน่ึงในทักษะท่ีสาคัญในการศึกษายุคน้ีคือ
ทกั ษะความคิดสร้างสรรค์
ความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถในการคิดส่ิงท่ีแปลกใหม่ ไม่เหมือนความคิด
ของคนท่ัวไปรวมท้ังสามารถคิดดัดแปลงความคิดเดิมให้เป็นส่ิงแปลกใหม่ท่มี ีคุณประโยชน์และ
ได้รับการยอมรับจากสังคม (Socially valued idea) กล่าวคือ ผู้เรียนต้องสามารถคิดต่อยอด
ผลงานท่มี ีอยู่เดิมให้แปลกใหม่กว่าเดิม สามารถประยุกต์และใช้ประโยชน์ของส่งิ ต่าง ๆ ได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ ซ่ึงทกั ษะด้านความคิดสร้างสรรค์มีประโยชน์และจาเป็นสาหรับบุคคลในสังคมท่มี ี
การเปล่ียนแปลงอย่างรวดเรว็ เป็นอย่างย่ิงโดยเฉพาะในบริบทของการศึกษายุค Thailand 4.0 ท่ี
ต้องการให้ผู้เรียนสามารถสร้างสรรค์ผลงานของตนเองได้ การจัดการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาความคิด
สร้างสรรค์ Guilford (1967) ได้อธิบายว่าความคิดสร้างสรรค์เป็ นความสามารถทางสมอง
ระดับสูงท่คี ิดได้กว้างไกลหลายทิศทาง หลายแง่มุม หรือท่ีเรียกว่าลักษณะการคิดแบบอเนกนัย
(Divergent thinking) ประกอบด้วย ความคดิ ริเร่ิม (Originality) ความคิดคล่องแคล่ว (Fluency)
510
ความคิดยืดหยุ่น (Flexibility) ความคิดละเอยี ดลออ (Elaboration) ซ่ึงความคิดท้งั 4 ลักษณะน้ี
เป็นองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ตามแนวความคดิ ของ Guilford ความคิดในลักษณะน้ีจะ
เกิดข้ึนได้จะต้องได้รับการกระตุ้นด้วยกิจกรรมท่ีหลากหลายอย่างต่อเน่ือง และกิจกรรมเหล่าน้ี
จะต้องมคี วามเหมาะสมตามความสามารถและวัยของผู้เรียน อษุ ณีย์ อนุรุทธว์ งศ์ (2552: น. 71)
กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์คือกระบวนการทางปัญญาระดับสูงท่ีใช้กระบวนการทางความคิด
หลาย ๆ อย่างมารวมกัน เพ่ือสร้างสรรค์ส่ิงใหม่หรือแก้ปัญหาท่ีมีอยู่ให้ดีข้ึน และความคิด
สร้างสรรค์จะเกิดข้ึนได้กต็ ่อเม่ือผู้สร้างสรรค์ต้องมีอิสรภาพทางความคิดซ่ึงจะทาให้ผู้เรียนมี
ความสุข สนุกในการเรียนรู้และส่งผลให้ผู้เรียนสามารถคิดจินตนาการสร้างสรรค์ผลงานและ
เกดิ ผลทางบวกต่อผู้เรียนในแง่ของการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมทางความคิดสร้างสรรค์ กล้าเส่ยี งท่ี
จะคิด (กิติยา เก้าเอ้ียน, 2558: น. 14) ดังน้ัน ในการจัดการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาความคิด
สร้างสรรค์ให้กับผู้เรียน ครูผู้สอนควรจัดการเรียนรู้ท่เี ปิ ดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกคิดจินตนาการ ได้
ลงมือสร้างสรรค์ผลงานตามท่ีคิดไว้ เพราะถ้าได้แต่คิด แต่ไม่เคยได้ลงมือกระทา ความคิด
สร้างสรรค์ในการสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ กค็ งจะไม่เกดิ ข้ึนเช่นเดยี วกนั กจิ กรรมท่เี อ้อื ต่อการพัฒนา
ความคิดสร้างสรรค์ เช่น กิจกรรมด้านศิลปะ การประพันธ์ การประดิษฐ์หรือการออกแบบผลงาน
ท่สี ามารถคิดหาคาตอบได้หลายทางเลือก เป็นต้น ส่วนวิธกี ารจัดการเรียนรู้ท่ชี ่วยพัฒนาความคิด
สร้างสรรค์ เช่นการทางานเป็นกลุ่ม การสอนแบบระดมพลังสมอง
เทคนิคการเรียนรู้แบบ Team - pair - solo เป็นเทคนิคท่ีครูกาหนดปัญหาหรืองาน
ให้ แล้วนักเรียนทางานร่วมกันท้ังกลุ่มจนงานสาเร็จ จากน้ันจะแยกทางานเป็ นคู่จนงานสาเร็จ
สดุ ท้ายนักเรียนแต่ละคนแยกมาทาเองจนสาเรจ็ ได้ด้วยตนเอง (Kagan, 1995) เทคนิคการเรียนรู้
แบบกลุ่ม-คู่-เด่ียว (Team-Pair-Solo) มีรากฐานมาจากแนวคิดการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
(Constructionism) ของ Vygotsky (1978) โดย Kagan (1994, pp. 1-11) ได้นาแนวคิดของ
Vygotsky มาต่อยอดโดยให้ความสาคญั กบั สองประเดน็ ท่วี ่า ทาอย่างไรให้สามารถแบ่งการเรียนรู้
ออกเป็นสองระดับสาคัญคือระดับทางสงั คมและระดับบุคคลจากสองประเดน็ ดังกล่าว Kagan จึง
เกิดแนวความคิดเทคนิคการเรียนรู้แบบกลุ่ม-คู่-เด่ียว โดยการแบ่งการเรียนรู้เป็ นสามระดับ
ได้แก่ระดับกลุ่ม ระดับคู่ และระดับเด่ียว ซ่ึงในระดับกลุ่ม (Team) ผู้เรียนท่ีมีความสามารถ
มากกว่าสามารถร่วมเรียนและช่วยเหลือผู้ท่ีมีความสามารถน้อยกว่า ระดับคู่ (Pair) ผู้เรียน
สามารถมีส่วนร่วมได้มากข้ึนและสามารถใช้ความรู้ท่ไี ด้จากการเรียนระดบั กลุ่มมาต่อยอด สดุ ท้าย
ในระดับเด่ียว (Solo) หลังจากท่ีผู้เรียนได้ผ่านการเรียนรู้จากระดับกลุ่มระดับคู่ทาให้ผู้เรียนได้
พัฒนาศักยภาพในการเรียนรู้ได้ด้วยตนเองสอดคล้องกับแนวคิดของ Vygotsky ท่วี ่าสุดท้ายทุก
คนสามารถพัฒนาศักยภาพได้โดยตนเอง
จากประเด็นดังท่ีกล่าวผู้วิจัยมีความสนใจท่ีจะพัฒนาทักษะการประพันธ์เพลงใน
รายวิชาดนตรีสากล เน่ืองจากการประพันธเ์ พลงเป็นทกั ษะท่ียากและต้องอาศัยการฝึ กฝนปฏิบัติ
อย่างต่อเน่ือง ซ่ึงการประพันธ์เพลงด้วยตนเองเป็นส่ิงท่ที าได้ยากผู้วิจัยจึงใช้เทคนิค Team-Pair-
511
Solo ท่ผี ู้เรียนจะได้พัฒนาความคิดสร้างสรรค์โดยการสร้างผลงานเพลงของตนเองจากการเรียนรู้
โดยใช้กระบวนการกลุ่ม (Team) กระบวนการทางานเป็นคู่ (Pair) และท้ายสดุ ผู้เรียนจะสามารถ
สร้ างผลงานเพลงของตนเอง (Solo) โดยกระบวนการเรียนรู้น้ีผู้เรียนจะได้ เรียนรู้ผ่าน
แอพพลิเคช่ันสาหรับการประพันธ์เพลงคือแอพพลิเคช่ัน Music Maker Jam ใช้งานผ่านทาง
อุปกรณ์อัจฉริยะ การใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีเป็ นการกระตุ้นผู้เรียนให้เกิดความกระตือรือร้น
ต้องการท่จี ะเรียนรู้แม้จะเป็นเน้ือหาท่ยี ากและน่าเบ่ือ
ผู้วิจัยนาประเดน็ ท่ีกล่าวมาข้างต้น ประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนเร่ืองของการ
พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในการประพันธ์เพลงของรายวิชาดนตรีสากล สาหรับนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปี ท่ี 3 เพ่ือค้นหาแนวทางใหม่ในการจัดการเรียนรู้ในรายวิชาดนตรีสากล เพ่ือ
ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน แนวทางในการศึกษาเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และให้สอดคล้อง
กบั การเรียนการสอนของครูและนักเรียนในยุคการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21
วตั ถุประสงคก์ ารวิจยั
1. เพ่ือพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในการประพันธ์เพลงโดยใช้เทคนิค Team-Pair-
Solo ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 3
2. เพ่ือศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้แบบ Team-Pair-Solo
3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้เทคนิค Team-Pair-Solo ผ่าน
แอพพลิเคช่ัน Music Maker Jam สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 3
สมมติฐานการวิจยั
1. นักเรียนมีคะแนนความคิดสร้างสรรคใ์ นการประพันธเ์ พลงร้อยละ 80 ข้นึ ไป
2. นักเรียนมีพฤตกิ รรมการเรียนรู้แบบ Team-Pair-Solo อยู่ในระดบั ดี
3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้เทคนิค Team-Pair-Solo ผ่าน
แอพพลิเคช่ัน Music Maker Jam อยู่ในระดบั มาก
ขอบเขตการวิจยั
ประชากรในการวิจัยคร้ังน้ี เป็ นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 3 โรงเรียนสวนกุหลาบ
วิทยาลัย นนทบุรี จานวน 14 ห้องเรียน รวมท้งั หมด 560 คน
กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยคร้ังน้ี เป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 3 โรงเรียนสวนกุหลาบ
วิทยาลัย นนทบุรี จานวน 1 ห้องเรียน รวมท้งั หมด 40 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive
Sampling)
512
เน้ือหาท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ีเป็ นเน้ือหาสาระการเรียนรู้ศิลปะ ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 3
ตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ของกระทรวงศึกษาธิการ ซ่ึงมีเน้ือหาตาม
หัวข้อต่อไปน้ี
1) หน่วยการเรียนรู้เร่ืององค์ประกอบดนตรี จานวน 2 ช่ัวโมง
2) หน่วยการเรียนรู้เร่ืองการสร้างสรรค์บทเพลง จานวน 4 ช่ัวโมง
3) หน่วยการเรียนรู้เร่ืองแต่งเพลงคร้ืนเครงใจ จานวน 6 ช่ัวโมง
4) หน่วยการเรียนรู้เร่ืองการเปรียบเทยี บงานดนตรี จานวน 4 ช่ัวโมง
ตัวแปรต้น ได้แก่ การใช้เทคนิค Team-Pair-Solo ผ่านแอพพลิเคช่ันบนอปุ กรณ์อจั ฉริยะ
ตวั แปรตาม ได้แก่
1) ความคดิ สร้างสรรค์ในการประพันธเ์ พลง
2) พฤติกรรมการเรียนรู้แบบ Team-Pair-Solo
3) ความพึงพอใจของนักเรียนหลังจากเรียนรู้โดยเทคนิค Team-Pair-Solo ผ่าน
แอพพลิเคช่ันบนอปุ กรณ์อจั ฉริยะ
ระยะเวลาในการวิจัย ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
นนทบุรี
เครือ่ งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
1. แผนการจัดการเรียนรู้การประพันธ์เพลง โดยใช้เทคนิค Team-Pair-Solo ผ่าน
แอพพลิเคช่ัน Music Maker Jam
2. แบบประเมนิ ความคิดสร้างสรรคใ์ นการประพันธเ์ พลง เทคนิค Team-Pair-Solo
3. แบบประเมนิ พฤติกรรมการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิค Team-Pair-Solo
4. แบบสอบถามความพึงพอใจท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้ เร่ืองการประพันธเ์ พลง โดย
ใช้เทคนิค Team -Pair- Solo ผ่านแอพพลิเคช่ัน Music Maker Jam
การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
งานวิจัยน้ีเป็ นการทดสอบพัฒนาการของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้เทคนิค Team-Pair-
Solo ผ่านแอพพลิเคช่ัน Music Maker Jam เพ่ือพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในการประพันธ์เพลง
ผู้วิจัยได้ดาเนินการทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมูลตามข้นั ตอน ต่อไปน้ี
1. ช้ีแจงจุดประสงค์การเรียนรู้เร่ืองการประพันธ์เพลง ช้ีแจงภาระงานและกาหนดการ
เรียนรู้ โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบ Team-Pair-Solo ผ่านแอพพลิเคช่ัน Music Maker Jam
2. ผู้เรียน เรียนรู้เน้ือหาทฤษฎดี นตรีเร่ืองการประพันธเ์ พลงจากผู้วิจัย
3. ผู้เรียนแบ่งกลุ่มแบบคละความสามารถ โดยการสอบถามประวัติท่ีเก่ียวข้องกับ
ดนตรี ซ่ึงทกั ษะพ้ืนฐานทางดนตรีของนักเรียนแต่ละบุคคลไม่เทา่ กนั
513
4. ผู้เรียนติดต้ังแอพพลิเคช่ัน Music Maker Jam และเรียนรู้การใช้งานเคร่ืองมือต่าง
ๆ ภายในแอพพลิเคช่ันจากผู้วิจัย
5. ผู้วิจัยกาหนดเกณฑแ์ ละเน้ือหาในการประพันธเ์ พลง
6. ผู้เรียนประพันธเ์ พลงจากการใช้เทคนิค Team-Pair-Solo เป็นกลุ่ม (Team) เพลง
ท่ี 1 และ 4 โดยใช้แอพพลิเคช่ัน Music Maker Jam บนอุปกรณ์อัจฉริยะของผู้เรียน โดยผู้วิจัย
ประเมนิ ความคดิ สร้างสรรค์ในการประพันธเ์ พลงและประเมนิ พฤตกิ รรมการเรียนรู้
7. ผู้เรียนประพันธ์เพลงจากการใช้เทคนิค Team-Pair-Solo เป็นคู่ (Pair) เพลงท่ี 2
และ 5 โดยใช้แอพพลิเคช่ัน Music Maker Jam บนอุปกรณ์อจั ฉริยะของผู้เรียน โดยผู้วิจัยประเมิน
ความคิดสร้างสรรคใ์ นการประพันธเ์ พลงและประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้
8. ผู้เรียนประพันธ์เพลงจากการใช้เทคนิค Team-Pair-Solo เป็นรายบุคคล (Solo)
เพลงท่ี 3 และ 6 โดยใช้แอพพลิเคช่ัน Music Maker Jam บนอุปกรณ์อัจฉริยะของผู้เรียน โดย
ผู้วิจัยประเมินความคดิ สร้างสรรค์ในการประพันธเ์ พลงและประเมินพฤตกิ รรมการเรียนรู้
9. ผู้เรียนทาแบบสอบถามความพึงพอใจต่อเทคนิค Team-Pair-Solo
10. เกบ็ รวบรวมข้อมูลท้งั หมด แล้วนาไปสรุป และวิเคราะห์โดยใช้สถิติต่อไป
การวิเคราะหข์ อ้ มูล
การวิเคราะห์ข้อมูลท่ไี ด้จากการดาเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ทาการวิเคราะห์
ข้อมูล ดังน้ี
1. วิเคราะห์ผลความคิดสร้ างสรรค์ในการประพันธ์เพลง โดยใช้ ค่าร้ อยละ
(Percentage) และค่าเฉล่ีย (Mean)
2. วิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค Team-Pair-Solo โดยใช้ค่าร้อยละ
(Percentage) และค่าเฉล่ีย (Mean)
3. วิเคราะห์ความพึงพอใจต่อการเรียนรู้เร่ืองการพัฒนาทกั ษะการประพันธ์เพลงโดย
ใช้เทคนิค Team-Pair-Solo ผ่านแอพพลิเคช่ันบนอุปกรณ์อัจฉริยะโดยใช้ค่าเฉล่ีย (Mean) และ
สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
4. ประมวลผลโปรแกรมสาเรจ็ รูป แปลผล และวิเคราะห์ข้อมูล
5. อภิปรายผล โดยใช้ตารางและการพรรณนา
ผลการวิจยั
1. ผลการศึกษาความคิดสร้างสรรค์ในการประพันธ์เพลง โดยใช้เทคนิค Team-Pair-
Solo สาหรับผู้เรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 3 นักเรียนจานวน 40 คน พบว่า จากการใช้เทคนิค
Team-Pair-Solo เป็นกลุ่มนักเรียนผ่านเกณฑ์ คะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 จานวน 35 คน คิด
เป็ นร้อยละ 87.5 และนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 5 คน คิดเป็ นร้อยละ 12.5 จากการใช้
514
เทคนิค Team-Pair-Solo เป็นคู่ นักเรียนผ่านเกณฑ์ คะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 จานวน 26 คน
คิดเป็นร้อยละ 65 และนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 35 การเรียนรู้แบบ
Team-Pair-Solo เป็นรายบุคคล นักเรียนผ่านเกณฑค์ ะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 จานวน 25 คน
คิดเป็นร้อยละ 62.5 และมีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 37.5 และจาก
การใช้เทคนิค Team-Pair-Solo เป็นรายบุคคล นักเรียนท่ไี ม่ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 80 จานวน 2 คน
คิดเป็นร้อยละ 5 นักเรียนผ่านเกณฑจ์ ากการเรียนรู้แบบ Team-Pair-Solo เป็นรายบุคคล จานวน
21 คน คิดเป็นร้อยละ 52.5 นักเรียนผ่านเกณฑจ์ ากการเรียนรู้แบบ Team มากท่สี ุด ลาดับต่อมา
คอื การเรียนรู้แบบ Pair และลาดับต่อมาคอื การเรียนรู้แบบ Solo
2. ผลการศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้แบบ Team-Pair-Solo จากการประพันธ์เพลง
สาหรับผู้เรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 3 นักเรียนจานวน 40 คน พบว่า จากการใช้เทคนิค Team-
Pair-Solo เป็นกลุ่ม คะแนนพฤติกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับดีมาก จานวน 35 คน คิดเป็นร้อย
ละ 87.5 และระดับดี จานวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 12.5 จากการใช้เทคนิค Team-Pair-Solo
เป็ นคู่ คะแนนพฤติกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับดีมาก จานวน 30 คน คิดเป็ นร้อยละ 75 และ
ระดับดี จานวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 25 จากการใช้เทคนิค Team-Pair-Solo เป็นรายบุคคล
คะแนนพฤติกรรมการเรียนรู้แบบ Solo อยู่ในระดับดีมากจานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 37.5
และระดับดี จานวน 25 คน คิดเป็นร้อยละ 62.5 และภาพรวมพบว่านักเรียนส่วนใหญ่มีคะแนน
คะแนนพฤติกรรมการเรียนรู้จากการใช้เทคนิค Team-Pair-Solo อยู่ในระดบั ดมี าก
3. ผลการศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนประพันธเ์ พลงโดยใช้เทคนิค Team-Pair-
Solo ผ่านแอพพลิเคช่ัน Music Maker Jam พบว่า โดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากท่ีสุด
( X =4.55, S.D.=0.67) เม่ือพิจารณารายด้านจากมากไปหาน้อย พบว่า ความพึงพอใจด้าน
ครูผู้สอนอยู่ในระดับมากท่สี ุด ( X =4.61, S.D.=0.62) ลาดับต่อมาคือด้านเทคนิคการเรียนรู้
แบบ Team-Pair-Solo ( X =4.52, S.D.=0.75) และลาดบั ต่อมาคือด้านส่อื การเรียนการสอน (
X =4.35, S.D.=0.67)
อภิปรายผล
ผลจากการศึกษาวิจัยเร่ือง การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในการประพันธ์เพลงโดยใช้
เทคนิค Team-Pair-Solo ผ่านแอพพลิเคช่ันบนอุปกรณ์อจั ฉริยะ สาหรับผู้เรียนช้ันมัธยมศึกษาปี
ท่ี 3 สามารถอภิปรายผลได้ดงั ต่อไปน้ี
1. ผลการศึกษาความคิดสร้างสรรค์ในการประพันธเ์ พลง โดยใช้เทคนิค Team-Pair-
Solo สาหรับผู้เรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 3 นักเรียนจานวน 40 คน พบว่า จากการใช้เทคนิค
Team-Pair-Solo เป็นกลุ่มนักเรียนผ่านเกณฑ์ คะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 จานวน 35 คน คิด
เป็ นร้อยละ 87.5 และนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 5 คน คิดเป็ นร้อยละ 12.5 จากการใช้
เทคนิค Team-Pair-Solo เป็นคู่ นักเรียนผ่านเกณฑ์ คะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 จานวน 26 คน
515
คิดเป็นร้อยละ 65 และนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 35 การเรียนรู้แบบ
Team-Pair-Solo เป็นรายบุคคล นักเรียนผ่านเกณฑค์ ะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 จานวน 25 คน
คิดเป็นร้อยละ 62.5 และมีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 37.5 และจาก
การใช้เทคนิค Team-Pair-Solo เป็นรายบุคคล นักเรียนท่ไี ม่ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 80 จานวน 2 คน
คดิ เป็นร้อยละ 5 นักเรียนผ่านเกณฑจ์ ากการเรียนรู้แบบ Team-Pair-Solo เป็นรายบุคคล จานวน
21 คน คิดเป็นร้อยละ 52.5 นักเรียนผ่านเกณฑจ์ ากการเรียนรู้แบบ Team มากท่สี ุด ลาดับต่อมา
คือการเรียนรู้แบบ Pair และลาดับต่อมาคือการเรียนรู้แบบ Solo ซ่ึง ทวีศักด์ิ สิริรัตน์เรขา
(2552) กล่าวว่า การวัดความสามารถผู้ใดว่ามีมากหรือน้อยเพียงใด ถ้าเรานาเคร่ืองมือวัดระดับ
สติปัญญาท่ใี ช้กนั อยู่ในปัจจุบันเป็นมาตรวัด อาจได้ผลการวัดท่ไี ม่ครอบคลุมท้งั หมด เพราะวัดได้
เพียงเร่ืองของภาษา ตรรกศาสตร์ คณิตศาสตร์ และมิติสัมพันธ์เพียงบางส่วนเท่าน้ัน ยังมี
ความสามารถอีกหลายด้านท่ีแบบทดสอบในปัจจุบันไม่สามารถวัดได้ครอบคลุมถึง เช่น เร่ือง
ความสามารถทางดนตรี ความสามารถทางกฬี า และความสามารถทางศิลปะ เป็นต้น สอดคล้อง
กับ Howard Gardner (1983) “ทฤษฎีพหุปัญญา” (Theory of Multiple Intelligences) โดยมี
แนวคิดว่า สติปัญญาของมนุษย์มี 8 ด้านท่มี ีความสาคัญเท่าเทยี มกนั ข้ึนอยู่กบั ว่าใครจะโดดเด่น
ในด้านใดและแต่ละด้านผสมผสานกันแล้วแสดงออกมาเป็ นความสามารถในเร่ืองใด เป็ น
ลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละคนไป
ท้ังน้ีผู้วิจัยได้แบ่งกลุ่มผู้เรียนแบบคละความสามารถ เพ่ือให้ผู้เรียนท่ีเก่งกว่าได้
ช่วยเหลือผู้เรียนท่ีความสามารถน้อยกว่า ดังน้ันการใช้เทคนิค Team-Pair-Solo เป็ นกลุ่ม
(Team) และเป็นคู่ (Pair) จึงทาให้ผู้เรียนได้พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในการประพันธ์เพลงอยู่
ในระดบั ดี ทาให้ผู้เรียนคะแนนผ่านเกณฑจ์ ากการเรียนรู้ท้งั 3 แบบ คอื Team-Pair-Solo จานวน
21 คน ซ่ึง บัญญัติ ชานาญกิจ (2550) ได้กล่าวถึงเทคนิค Team-Pair-solo ว่า เป็ นเทคนิคท่ี
ผู้สอนกาหนดปัญหาหรืองานให้แล้วผู้เรียนทางานร่วมกันท้ังกลุ่มจนงานสาเรจ็ จากน้ันจะแยก
ทางานเป็นคู่จนงานสาเรจ็ สุดท้ายผู้เรียนแต่ละคนแยกมาทาเองจนสาเรจ็ ได้ด้วยตนเอง ผู้เรียนท่ี
เก่งกว่าจะช่วยเหลือผู้เรียนท่มี คี วามสามารถน้อยกว่า ทาให้ผู้เรียนท่เี ก่งมีความรู้สกึ ภาคภมู ิใจ รู้จัก
สละเวลา และช่วยให้เข้าใจเน้ือหาการเรียนได้ดขี ้นึ ส่วนผู้เรียนท่คี วามสามารถน้อยกว่าจะรู้ซาบซ้ึง
ในนา้ ใจ มคี วามอบอนุ่ รู้สกึ เป็นกนั เอง กล้าซักถามในข้อสงสยั มากข้นึ จึงง่ายต่อการทาความเข้าใจ
ในเร่ืองท่ีเรียน ท่ีสาคัญในการเรียนในลักษณะน้ี ผู้เรียนในกลุ่มได้ร่วมกันคิด ร่วมกันทางาน
จนกระท่งั สามารถหาคาตอบท่เี หมาะสมท่สี ดุ ได้ สอดคล้องกบั วรัญญา นิลรัตน์ (2561) กล่าวว่า
Team -Pair -Solo ผู้เรียนได้แก้ปัญหาเป็นกลุ่มกอ่ น จากน้ันจับคู่ แล้วจึงแก้ปัญหาเป็นรายบุคคล
เพ่ือกระตุ้นให้ผู้เรียนได้จัดการกับปัญหาท่ียากกว่าระดับความสามารถของตนเองให้ได้ วิธีน้ีมี
พ้ืนฐานจากความคิดท่ีว่า ผู้เรียนมักทางานได้ดีกว่าเม่ือมีความช่วยเหลือ การให้ผู้เรียนได้คิด
แก้ปัญหาเป็นกลุ่ม จากน้ันลดลงเป็นคู่ และท้ายสุดเป็นรายบุคคลจะช่วยให้ผู้เรียนเกดิ ความม่นั ใจ
มากข้ึนว่าสามารถแก้ปัญหายากๆท่ีไม่เคยแก้ได้ตามลาพังได้ด้วยตนเอง สอดคล้องกับ งานวิจัย
516
ของ ธรี ะ ศักด์สิ นิ ชัย (2558) ได้ทาการวิจัยเร่ืองการพัฒนาทกั ษะการพูดภาษาอังกฤษของผู้เรียน
ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือท่ีเน้นวิธีการสอนแบบ ทีม คู่ เด่ียว :
กรณีศึกษาของโรงเรียนบ้านขอนแตก ตาบลขอนแตก อาเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ผลการวิจัย
พบว่า ผู้เรียนกลุ่มทดลองท่ีใช้วิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือท่ีเน้นวิธีการสอนแบบ ทีม คู่ เด่ียว มี
ความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษ หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง โดยผู้เรียนมีการ
พัฒนาทกั ษะการพูดภาษาอังกฤษสูงข้ึนอย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิท่รี ะดบั .05 และ Veni Verawati
(2012) ได้ทาการวิจัยเร่ือง การพัฒนาทักษะอ่านเพ่ือความเข้าใจจากบทความพรรณนาผ่าน
วิธีการสอนแบบ Team-Pair-Solo พบว่าการอ่านเพ่ือความเข้าใจจากบทความพรรณนาของ
ผู้เรียนโดยใช้วิธีการสอนแบบ Team-Pair-Solo หลังเรียนดีกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทาง
สถิติท่ีระดับ.01 วิธีการสอนแบบทีม คู่ เด่ียว เป็ นวิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือท่ีมีประสิทธิภาพ
ส่งเสริมให้ผู้เรียนช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน มีการปฏสิ ัมพันธ์ แลกเปล่ียนเรียนรู้และแก้ปัญหาไป
ด้วยกนั ทาให้ผู้เรียนเกดิ ความม่นั ใจและพัฒนาทกั ษะการอา่ นได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ
2. ผลการศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้แบบ Team-Pair-Solo จากการประพันธ์เพลง
สาหรับผู้เรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 3 นักเรียนจานวน 40 คน พบว่า จากการใช้เทคนิค Team-
Pair-Solo เป็นกลุ่ม คะแนนพฤติกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับดีมาก จานวน 35 คน คิดเป็นร้อย
ละ 87.5 และระดับดี จานวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 12.5 จากการใช้เทคนิค Team-Pair-Solo
เป็ นคู่ คะแนนพฤติกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับดีมาก จานวน 30 คน คิดเป็ นร้อยละ 75 และ
ระดับดี จานวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 25 จากการใช้เทคนิค Team-Pair-Solo เป็นรายบุคคล
คะแนนพฤติกรรมการเรียนรู้แบบ Solo อยู่ในระดับดีมากจานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 37.5
และระดับดี จานวน 25 คน คิดเป็นร้อยละ 62.5 และภาพรวมพบว่านักเรียนส่วนใหญ่มีคะแนน
คะแนนพฤติกรรมการเรียนรู้จากการใช้เทคนิค Team-Pair-Solo อยู่ในระดับดีมาก ซ่ึงผู้วิจัยได้
สังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน 5 ด้าน คือ 1) ความพร้อมในการทากจิ กรรม 2) ความ
ร่วมมือในการทากจิ กรรม 3) การรับฟังความคิดเหน็ ของผู้อ่ืน 4) ความรับผิดชอบต่อหน้าท่ี 5)
การช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั จากผลสรุปภาพรวมนักเรียนส่วนใหญ่มีคะแนนพฤติกรรมการเรียน
รู้อยู่ในระดับดีมาก
จากคะแนนความคิดสร้ างสรรค์ในการประพันธ์เพลงของผู้เรียนมีข้ อท่ีน่าสังเกตคือ
ผู้เรียนท่มี ีความสามารถน้อยกว่าเม่ือจับคู่กับผู้เรียนท่เี ก่งกว่าจะมีคะแนนความคิดสร้างสรรค์และ
คะแนนพฤติกรรมการเรียนรู้สูง เน่ืองจากการให้คะแนนเป็นคู่ แต่เม่ือผู้เรียนได้ประพันธ์เพลง
ด้วยตนเองแล้วผู้เรียนท่มี ีความสามารถน้อยกว่าคะแนนจะลดลงเม่ือเทยี บกับแบบคู่ แต่ยังพบว่า
ผู้เรียนท่ีมีความสามารถน้ อยกว่ามีพั ฒนาการทางความคิดสร้ างสรรค์และพฤติกรรมในการ
ประพันธ์เพลงท่ีมากข้ึน รวมถึงผู้เรียนท่ีเก่งกว่า ซ่ึง มานิตย์ สิงห์ทองชัย (2552) กล่าวว่า ใน
เทคนิค Team-Pair-Solo ผู้เรียนได้คดิ ได้ตัดสนิ ใจและลงมอื ปฏบิ ัติด้วยตนเองในการทางานเด่ียว
และได้เกดิ การแลกเปล่ียนเรียนรู้ระหว่างคนอ่นื ๆ ในห้องเรียน ระหว่างการทางานแบบกลุ่ม โดย
517
ผู้สอนเป็นเพียงผู้ให้คาช้ีแนะ ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ท่ดี ีข้ึน และสามารถจดจา
ความรู้ดังกล่าวได้นานย่ิงข้ึน สอดคล้องกับงานวิจัยของ ณัฐกิตต์ิ นวลแสง (2560) ท่ีได้ทาการ
วิจัยเร่ือง การพัฒนาชุดกิจกรรมโดยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่ม-คู่-เด่ียว (Team -Pair-
Solo) เพ่ือส่งเสริมทกั ษะการเล่นซอด้วงสาหรับผู้เรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนบ้านคลอง
ตัน จังหวัดสมุทรสาคร ผลการวิจัยพบว่าผู้เรียนส่วนใหญ่มีคะแนนพฤติกรรมการเล่นซอด้วงแบบ
กลุ่ม คู่ เด่ยี ว อยู่ในระดบั ดี และ และมลวิภา เมอื งพระฝาง และคณะ (2559) ได้ทางานวิจัยเร่ือง
ความคิดเห็นของผู้เรียนต่อพฤติกรรมการสอนของครู พฤติกรรมการเรียนของผู้เรียน และ
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ืองอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีของผู้เรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 ท่ีจัด
กิจกรรมการเรียนรู้แบบเพ่ือนคู่คิด ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้
แบบเพ่ือนคู่คิดในรายวิชาเคมี ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 มีค่าเทา่ กบั 80.25/82.00 และผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .01 อีกสาเหตุหน่ึงท่ี
คะแนนพฤตกิ รรมของผู้เรียนสว่ นใหญ่อยู่ในระดับดีมากอาจเพราะงานวิจัยน้ีใช้อปุ กรณ์เทคโนโลยี
ในการทดลองจึงเป็นการกระตุ้นผู้เรียนให้เกดิ พฤติกรรมการเรียนรู้ท่ดี ี และอกี สาเหตุหน่ึงคือ การ
ช่ืนชมผู้เรียนอยู่เสมอเม่ือปฏบิ ัติตนเหมาะสมหรือมอบรางวัลให้กับผู้เรียนเม่ือผู้เรียนทาผลงาน
ออกมาได้ดี สอดคล้องกับ ทฤษฎีการเสริมแรง (Reinforcement) ของ Skinner ซ่ึง Skinner
(1953) ได้กล่าวไว้ว่า “การเสริมแรงเป็ นส่ิงท่ีสาคัญท่ีทาให้บุคลแสดงพฤติกรรมซ้า และ
พฤติกรรมของบุคคลส่วนใหญ่เป็ นพฤติกรรมแบบเรียนรู้ปฏิบัติและพยายามเน้นว่า การ
ตอบสนองต่อส่งิ เร้าใด ๆ ของบุคคล ส่งิ เร้าน้ันจะต้องมีส่งิ เสริมแรงอยู่ในตัว หากลดส่งิ เสริมแรง
ลงเม่อื ใด การตอบสนองจะลดลงเม่อื น้ัน’’
3. ผลการศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนประพันธเ์ พลงโดยใช้เทคนิค Team-Pair-
Solo ผ่านแอพพลิเคช่ัน Music Maker Jam พบว่า โดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากท่ีสุด
( X =4.55, S.D.=0.67) เม่ือพิจารณารายด้านจากมากไปหาน้อย พบว่า ความพึงพอใจด้าน
ครูผู้สอนอยู่ในระดับมากท่สี ดุ ( X =4.61, S.D.=0.62) อาจเพราะผู้วิจัยตอบสนองต่อผู้เรียนได้
เป็นอย่างดี จึงทาให้ผู้เรียนมีความพึงพอใจด้านครูผู้สอนมากท่ีสุด สอดคล้องกับเสกสรร ธรรม
วงศ์ (2541, หน้า 37) กล่าวว่า ความพึงพอใจ เป็ นความรู้สึก หรือทัศนคติทางด้านบวกของ
บุคคลท่ีมีผลต่อส่ิงใดส่ิงหน่ึงซ่ึงจะเกิดข้ึนกต็ ่อเม่ือ ส่ิงน้ันสามารถตอบสนองความต้องการแก่
บุคคลน้ันได้ ความพึงพอใจลาดับต่อมาคือด้านเทคนิคการเรียนรู้แบบ Team-Pair-Solo ( X
=4.52, S.D.=0.75) ซ่ึงเทคนิคการเรียนรู้แบบ Team-Pair-Solo น้ันช่วยพัฒนาศักยภาพทาง
ความคิดและการประพันธ์เพลงของผู้เรียนได้ดี เน่ืองจากผู้เรียนจะได้ลงมือปฏิบัติเป็นกลุ่ม ได้
แสดงความคิดเห็นร่วมกันภายในกลุ่ม ได้แลกเปล่ียนเรียนรู้ทางความคิดซ่ึงกันและกัน ทาให้
ผู้เรียนได้พัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างต่อเน่ือง ท้ายสุดผู้เรียนสามารถสร้างผลงานการ
ประพันธเ์ พลงของตนเองได้ สอดคล้องกบั ธรี ะ ศักด์สิ นิ ชัย (2558) ได้ทาการวิจัยเร่ืองการพัฒนา
ทกั ษะการพูดภาษาองั กฤษของผู้เรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 โดยใช้วิธกี ารเรียนรู้แบบร่วมมือท่เี น้น
518
วิธกี ารสอนแบบ ทมี คู่ เด่ยี ว : กรณีศึกษาของโรงเรียนบ้านขอนแตก ตาบลขอนแตก อาเภอสงั ขะ
จังหวัดสรุ ินทร์ ผู้เรียนกลุ่มทดลองมคี วามพึงพอใจต่อการพัฒนาทกั ษะการพูดภาษาอังกฤษโดยใช้
วิธกี ารเรียนรู้แบบร่วมมอื ท่เี น้นวิธกี ารสอนแบบ ทมี คู่ เด่ยี ว โดยรวมผู้เรียนมคี วามพึงพอใจอยู่ใน
ระดับมาก ผลการประเมินความพึงพอใจหลังการใช้วิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือท่ีเน้นวิธีการสอน
แบบ ทีม คู่ เด่ียวผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการพูดภาษาอังกฤษในระดับมากมีค่าเฉล่ีย 4.38
โดยรวมอยู่ในระดับมาก และความพึงพอใจลาดับต่อมาคือด้านส่อื การเรียนการสอน ( X =4.35,
S.D.=0.67) เน่ืองจากกลุ่มตัวอย่างท่ผี ู้วิจัยทาการทดลองมีอุปกรณเ์ ทคโนโลยีท่ที นั สมัย ผู้วิจัยจึง
ใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีเหล่าน้ันให้เกดิ ประโยชน์ต่อการเรียนรู้และช่วยกระต้นุ ความสนใจของผู้เรียน
ในรายวิชาดนตรี สอดคล้องกับ นภาพร ฟักมี (2552) ได้ทาการวิจัยเร่ือง ผลของกจิ กรรมดนตรี
ท่มี ีต่อความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะของผู้เรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนวัดยางสุทธาราม
เขตบางกอกน้อยกรุงเทพมหานคร พบว่า ผู้เรียนท่ีได้รับการใช้กิจกรรมดนตรีมีความคิด
สร้างสรรค์ทางศิลปะมากกว่าผู้เรียนท่ีไม่ได้รับการใช้กิจกรรมดนตรี อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี
ระดับ .01 และ กรณิการ์ ชูตระกูลธรรม (2555) ได้ทาการวิจัยเร่ืองการพัฒนาโปรแกรมเล่น
ดนตรีไทยบนแทบ็ เลต็ ระบบปฏบิ ัตกิ ารแอนดรอยด์ จากผู้ใช้งานจานวน 30 คน ได้ค่าเฉล่ียเทา่ กบั
4.33 และค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากบั 0.66 จากผู้ใช้โปรแกรมสรุปได้ว่าระบบท่พี ัฒนาข้ึนน้ี
มีประสทิ ธภิ าพสงู และมีความพึงพอใจในระดับมาก
ขอ้ คน้ พบ
1. การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในการประพันธ์เพลงโดยใช้เทคนิค Team-Pair-
Solo ผ่านแอพพลิเคช่ันบนอุปกรณ์อัจฉริยะ ทาให้นักผู้เรียนมีพัฒนาการความคิดสร้างสรรค์ใน
การประพันธ์เพลงท่ีดี กล่าวคือ กิจกรรมการเรียนรู้ในงานวิจัยน้ีมุ่งเน้นให้ผู้เรียนทากิจกรรม
ร่วมกบั ผู้อ่นื ต้ังแต่การทากิจกรรมกลุ่ม ทากิจกรรมเป็นคู่ ซ่ึงจะเกดิ การแลกเปล่ียนความคิดเหน็
การช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั เรียนรู้ร่วมกนั ภายในกลุ่มและนอกกลุ่ม ทาให้เกดิ ความรับผิดชอบทาง
สังคม ท้ายสุดผู้เรียนนาความรู้ท่ีได้ไปพัฒนาตนเอง และสามารถสร้างผลงานได้ด้วยตนเองจน
ประสบความสาเรจ็ ในท่สี ดุ
2. การประพันธ์เพลงเป็ นทักษะหน่ึงทางด้านดนตรีเป็นทักษะท่ีต้องอาศัยความคิด
สร้างสรรค์เป็นอย่างมาก การประพันธ์เพลงไม่มีวิธที ่เี ป็นข้ันตอนอย่างชัดเจน การประพันธ์ข้ึนอยู่
กบั ผู้ประพันธ์เอง ว่าต้องการส่งสารอย่างไรถึงผู้ฟัง ผู้เรียนจึงต้องใช้สมาธิ และแสวงหาส่งิ ใหม่อยู่
เสมอ เพ่ือนาความคิดหรือข้อมูลเหล่าน้ันมาเป็ นส่วนหน่ึงของบทประพันธ์ให้บทเพลงของ
ผู้ประพันธต์ อบสนองกบั ผู้ฟังได้มากท่สี ดุ
519
3. ความถนัดและความสนใจของผู้เรียนมีความแตกต่างกนั แต่ผู้เรียนทุกคนสามารถ
ฝึกปฏบิ ัตไิ ด้ ส่งิ ท่กี ระตุ้นให้ผู้เรียนเกดิ ความสนใจในการปฏบิ ัติกจิ กรรมคือ อุปกรณอ์ จั ฉริยะ หรือ
อปุ กรณเ์ ทคโนโลยี ซ่ึงส่งิ เหล่าน้ีเป็นตวั ช่วยให้ผู้เรียนเกดิ ความสนใจท่จี ะเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี
ขอ้ เสนอแนะสาหรบั การนาไปใช้
1. การประพันธ์เพลงโดยเทคนิค Team-Pair-Solo ผู้วิจัยต้องเป็ นผู้อานวยความ
สะดวกแก่ผู้เรียน โดยการตอบคาถาม คอยให้คาปรึกษาในข้อสงสัย และกระตุ้นผู้เรียนโดยการ
กล่าวช่ืนชมเม่อื ผู้เรียนปฏบิ ัตถิ ูกต้องเพ่ือให้ผู้เรียนเกดิ ความกระตือรือร้นในการปฏบิ ัติกจิ กรรม
2. การประพันธ์เพลงในงานวิจัยน้ีมีการประพันธ์เพลงจานวน 6 คร้ัง หรือ 6 เพลง
แบ่งเป็น กลุ่ม 2 เพลง คู่ 2 เพลง และเด่ียว 2 เพลง ดังน้ันในการประพันธเ์ พลงแบบกลุ่ม และคู่
คร้ังแรกน้ันต้องนาคะแนนเป็นเกณฑใ์ นการแบ่งกลุ่มอกี คร้ังในการประพันธเ์ พลงคร้ังท่ี 2 เพ่ือให้
ผู้ท่มี คี วามสามารถเกง่ กว่าได้ช่วยเหลือผู้ท่มี ีความสามารถน้อยกว่าได้อย่างเตม็ ท่มี ากข้ึน
3. ผู้วิจัยควรเตรียมความพร้อมล่วงหน้าทุกคร้ัง เพ่ือให้การดาเนินกิจกรรมเป็นไป
อย่างราบร่ืน เช่น การจัดเตรียมส่อื และอุปกรณก์ ารเรียนรู้
ขอ้ เสนอแนะในการวิจยั คร้งั ต่อไป
ผู้วิจัยควรทาการวิจัยเก่ยี วกับเทคนิค Team-Pair-Solo โดยการบูรณาการร่วมกับการ
การศึกษาทางไกล (Distance learning) เช่น การเรียนการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped
classroom), การเรียนรู้ผ่านส่อื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-learning) ผ่านทางแอพพลิเคช่ัน เวปไซต์ หรือ
ระบบออนไลน์อ่นื ๆ
520
บรรณานุกรม
ภาษาไทย
กรณิการ์ ชูตระกูลธรรม. (2555). การพฒั นาโปรแกรม เลน่ ดนตรีไทยบนแทบ็ เลต็
ระบบปฏิบตั ิการแอนดรอยด์ (วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบัณฑติ ). กรุงเทพ :
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกล้าพระนครเหนือ.
กติ ิยา เก้าเอ้ยี น. (2558). ผลของการจัดกจิ กรรมศิลปะสร้างสรรค์โดยใช้แนวคดิ ของวิลเลียมสท์ ่ี
มตี ่อความคิดสร้างสรรคข์ องเดก็ ปฐมวัย. วารสารวจิ ยั ทางการศึกษา, 9(2), 13–21.
ณัฐกติ ต์ิ นวลแสง. (2560). การพฒั นาชุดกิจกรรมโดยการเรียนรูแ้ บบร่วมมือเทคนิค กล่มุ คู่
เดีย่ ว (Team pair solo) เพือ่ ส่งเสริมทกั ษะการเลน่ ซอดว้ งสาหรบั นกั เรียนชนั้
ประถมศึกษาปีที่ 5 (วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบัณฑติ ). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรุ กจิ
บัณฑติ ย์.
ทวีศักด์ิ สริ ิรัตน์เรขา. (2552). อีคิวพฒั นาสวู่ ฒุ ิภาวะทางอารมณ.์ สบื ค้น 12 มนี าคม 2563,
จาก http://www.babybestbuy.in.th/shop/eq
ธรี ะ ศักด์สิ นิ ชัย. (2558). การศึกษาเรือ่ งการพฒั นาทกั ษะการพูดภาษาอังกฤษของนกั เรียนชนั้
มธั ยมศึกษาปีที่ 1 โดยใชว้ ธิ ีการเรียนรูแ้ บบร่วมมือทีเ่ นน้ วธิ ีการสอนแบบทีม คู่ เดีย่ ว
(วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบัณฑติ ). มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
นภาพร ฟักมี. (2552). ผลของกิจกรรมคนตรีทีม่ ีต่อความคิดสรา้ งสรรคท์ างศิลปะของนกั เรียน
ชนั้ ประถมศึกษาปีที5่ โรงเรียนวดั ยางสทุ ธาราม เขตบางกอกนอ้ ย กรุงเทพมหานคร.
สารนิพนธ์ กศ.ม. (วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบัณฑติ ). กรงุ เทพ: บัณฑติ วิทยาลัย
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
บัญญัติ ชานาญกจิ . (2550). วัฎจักรการสบื เสาะหาความรู้ 5Es. วารสารวชิ าการบณั ฑิตศึกษา
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์. (4), 1-9.
พาสนา จุลรัตน์. (2561). การจดั การเรียนรูส้ าหรบั ผเู้ รียนยคุ Thailand 4.0. สบื ค้น 30 สงิ หาคม
2562, จาก www.tci-thaijo.org/index.php/VeridianEJournal/article/download/
144570/106964
ไพฑรู ย์ ศรีฟ้ า. (2555). ใหค้ าปรึกษาเกีย่ วกบั Augmented Reality (Ar). สบื ค้น 3 พฤศจิกายน
2561, จาก http://drpaitoon.com/?p-773
มลวิภา เมอื งพระฝาง และคณะ. (2559). ความคิดเห็นของนกั เรียนต่อพฤติกรรมการสอนของ
ครู พฤติกรรมการเรียนของผเู้ รียน และผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เรือ่ ง อตั ราการ
เกิดปฏิกิริยา เคมี ของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 ทีจ่ ดั กิจกรรมการเรียนรู้ แบบ
เพือ่ นค่คู ิด. หลักสตู รครุศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิทยาศาสตรศึกษา คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภฎั มหาสารคาม.
521
มานิตย์ สงิ ห์ทองชัย. (2552). ผลการจัดการเรียนแบบใฝ่ รู้ด้วยเทคนิคการคิดเด่ียวคิดคู่ คิด
ร่วมกนั และทาเป็นกลุ่มทาเป็นคู่ ทาคนเดียวท่มี ีต่อพฤตกิ รรมการเรียนรู้ ผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรียนและความพึงพอใจในการเรียนรายวิชาเศรษฐศาสตร์จุลภาคของนักศึกษา
ระดบั ปริญญาตรีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์. วารสารราชพฤกษ์, (1)
วรัญญา นิลรัตน์. (2561). ผลการจดั การเรียนรูแ้ บบร่วมมือโดยใชเ้ ทคนิค STAD ร่วมกบั
กระบวนการแกป้ ัญหาตามแนวคิดของโพลยา (Polya) เรือ่ ง อตั ราส่วนตรีโกณมิติทีม่ ี
ต่อผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนสวนกหุ ลาบ
วทิ ยาลยั ธนบุรี.(วิทยานิพนธ)์ . กรุงเทพฯ: โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี.
เสกสรร ธรรมวงศ์. (2541). ความพึงพอใจของนกั ศึกษาผใู้ หญ่ทีม่ ีต่อการใหบ้ ริการดา้ นการ
เรียนการสอนสายสามญั ระดบั ประถมศึกษา: ศึกษากรณี โรงเรียนผใู้ หญ่สตรีบางเขน
ทณั ฑสถานหญิงกลาง. กรุงเทพฯ: สถาบันบัณฑติ พัฒนบริหารศาสตร์.
อษุ ณีย์ อนุรุทธว์ งศ์. (2552). หนงั สือชดุ สรา้ งลกู ใหเ้ ป็นอัจฉริยะ (เล่มที2่ ฝึกลกู รกั ใหเ้ ป็นนกั
คิด). กรุงเทพฯ: ไทยยูเน่ียนกราฟฟิ กส์
ภาษาต่างประเทศ
Guilford, J.P. (1967). The Nature of Human Intelligence. New York : McGraw-Hill
BookCo.
Horn, B. M., & Staker, H. (2011). The rise of K-12 blended learning. Unpublished
Pape: Innosight Institude.
Howard Gardner. (1983). Multiple Intelligence. The Intheory in Practice. 76(8), 92 -
102.
Kagan, S. (1995). Cooperative Learning & Wee Science. San Clemento : Kagan
Cooperative Learning, 1995.
Skinner. (1953). Applied History of Psychology/Learning Theories Science and Human
Behavior. New York: Macmillan.
Veni Verawati. (2012). Improving Students' Reading Comprehension on Narrative Text
Through Team Pair Solo (master’s thesis). Semarang: Semarang State
University Press.
Vygotsky, L. (1978). Interaction between learning and development. From : Mind and
Society. Cambridge, MA : Harvard University Press.
522
การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรคว์ ิชาวิทยาศาสตรต์ ามแนวคิดสะตีมศึกษา
ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5
นฤมล กลุ สืบ
ผศ.ดร.พชั ราภา ตนั ติชูเวช**
บทคดั ย่อ
การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) พัฒนาความคิดสร้างสรรค์วิชาวิทยาศาสตร์ตาม
แนวคิดสะตีมศึกษาของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 2) ศึกษาพฤติกรรมการทางานเป็นกลุ่ม
การเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะตีมศึกษาของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5
3) เปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์กอ่ นและหลังได้รับการจัดการเรียนการ
สอนตามแนวคิดสะตีมศึกษา 4) ศึกษาความพึงพอใจท่ีมีต่อการจัดการเรียนการสอนวิชา
วิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะตีมศึกษาของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 กลุ่มตัวอย่างท่ใี ช้ในการ
วิจัย คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนลาพะอง (ราษฎร์จาเริญบารุง) แขวงลาปลาทิว
เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร สังกัดสานักการศึกษา กรุงเทพมหานคร ปี การศึกษา 2562
จานวน 1 ห้องเรียน มีจานวนรวม 35 คน ซ่ึงได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive
Sampling) เคร่ืองมือท่ใี ช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ตามแนวคิด
สะตีมศึกษา 2) แบบประเมินความคิดสร้างสรรค์ 3) แบบประเมนิ พฤติกรรมการทางานเป็นกลุ่ม
4) แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติ
ท่ใี ช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ(Percentage) ค่าเฉล่ีย(Mean) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน
(Standard Deviation) และสถติ ิ t-test Dependent Sample
ผลการวิจัย พบว่า 1) นักเรียนมีคะแนนการพัฒนาความคิดสร้ างสรรค์วิชา
วิทยาศาสตร์ มีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็ ผ่านเกณฑจ์ านวน 5 กลุ่ม คดิ เป็นร้อย
ละ 83.33 มีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑจ์ านวน 1 กลุ่ม คดิ เป็นร้อยละ 16.67 2) พฤติกรรมการทางาน
เป็นกลุ่ม นักเรียนทุกกลุ่ม มีคะแนนเฉล่ียต้ังแต่ 2.38-2.94 อยู่ในระดับดี คิดเป็นร้อยละ 100
3) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 (t =
20.357*, Sig. = .000) 4) โดยภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (x̅ = 2.83,
S.D. = 0.37)
คาสาคญั : ความคิดสร้างสรรค์, สะตมี ศึกษา, วิชาวิทยาศาสตร์, ช้ันประถมศึกษาปึ ท่ี 5
* นักศึกษาสาขาหลักสตู รและการสอน วิทยาลัยครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรุ กจิ บณั ฑติ ย์
** อาจารยท์ ่ปี รกึ ษาสาขาหลักสตู รและการสอน วทิ ยาลยั ครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรุ กจิ บณั ฑติ ย์
523
บทนา
แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 ซ่ึง เป็ นแผนระยะยาว 20 ปี มี
สาระสาคัญท่ีเก่ียวข้องกับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ
กล่าวคือในยุทธศาสตร์ท่ี 2 เน้นการผลิตและพัฒนากาลังคน การวิจัยและนวัตกรรม เพ่ือสร้างขดี
ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซ่ึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นกลไกท่ีสาคัญย่ิง ใน
การนาประเทศเข้าสู่สังคมโลกในศตวรรษท่ี 21 การเตรียมความพร้อมกาลังคนท้งั ด้าน ความรู้
ทกั ษะ สมรรถนะท่จี าเป็นให้สามารถปรับตวั และรู้เทา่ ทนั ต่อกระแสความเปล่ียนแปลงของโลก
ความคิดสร้ างสรรค์เป็ นทักษะการคิดอย่างหน่ึงท่ีจาเป็ นต่อการปลูกฝังพลเมืองของ
ประเทศ เพ่ือตอบสนองต่อโลกยุคใหม่ท่มี ุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรม ซ่ึงมีการเปล่ียนแปลงและการ
แข่งขันสงู ความคิดสร้างสรรค์เป็นทกั ษะท่ีส่งเสริมให้บุคคล รู้จักมองส่งิ รอบตัวและนาความรู้มา
ใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็ นส่ิงใหม่แตกต่างจากเดิมได้อย่างเหมาะสม ด้วยเหตุน้ีความคิด
สร้างสรรค์จึงเป็ นหน่ึงในทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ท่ีควรพัฒนาให้แก่เยาวชน สอดคล้องกับ
ไพฑูรย์ สินลารัตน์ (2558) ท่กี ล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นความจาเป็นท่ีจะต้องส่งเสริมให้
เกดิ ข้ึนในสังคมไทยปัจจุบัน เพราะ เป็นความจาเป็นในประเทศไทย 4.0 ท่จี ะต้องให้ผู้เรียนและ
คนไทยคิดและทาอะไรใหม่ๆข้ึน นอกจากน้ี วิวรรณ สารกิจปรีชา (2550) ผู้เช่ียวชาญด้านการ
ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนให้มีความคิดสร้างสรรค์กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้ปรากฏ
ให้เหน็ เฉพาะในดนตรี ศิลปะ หรือผลงานการเขียนเท่าน้ัน แต่ปรากฏให้เหน็ ได้ในทุกรายวิชา แม้
ในวิชาวิทยาศาสตร์ท่นี ักเรียนแสดงความคิดสร้างสรรค์ผ่านการทดลองและการแก้ปัญหาด้วยวิธที ่ี
หลากหลายด้วยตัวนักเรียนเอง ดังน้ันแนวคิดการจัดการศึกษาของไทยจึงจาเป็นต้องพัฒนาให้
นักเรียนไม่เป็นเพียงผู้บริโภคนิยม แต่ต้องเป็นบุคคลท่มี ีทกั ษะการคิดสร้างสรรค์นาไปส่กู ารผลิต
และคดิ นวัตกรรมเพ่ือนาไปพัฒนาประเทศในอนาคต
การจัดการศึกษาตามแนวคิดสะตีมศึกษาเป็ นรูปแบบการสอนท่ีน่าสนใจในการนามา
พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ให้กับผู้เรียนท้ังน้ี สมรัก อินทวิมลศรี (2560) กล่าวว่า สะตีมศึกษา
คือ รูปแบบการเรียนรู้ในลักษณะของ การบูรณาการการเรียนรู้ 5 ศาสตร์วิชาหลักเข้าไว้ด้วยกัน
ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (S) เทคโนโลยี (T) วิศวกรรมศาสตร์ (E) ศิลปะ (A) ท้ังหมดอยู่ใน
องค์ประกอบทางคณิตศาสตร์ (M) ท้งั น้ี สะตีมศึกษา ทาให้ผู้เรียน เกดิ ความรู้ ความเข้าใจ ผ่าน
ข้ันตอนและ กระบวนการการปฏิบัติจริงควบคู่ไปกบั การพัฒนาทักษะทางการคิด การต้ังคาถาม
การสารวจ การแก้ไขและตรวจสอบปัญหา รวมไปถึงการใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์และสงั เคราะห์ใน
การจัดการเรียนรู้ ไม่เน้นการทอ่ งจา ทฤษฎีหรือกฎต่างๆ
จากหลักการและเหตุผลท่ีกล่าวมาข้างต้น ทาให้ผู้วิจัยสนใจท่ีจะศึกษาการพัฒนา
ความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะตีมศึกษา เพ่ือเป็ นแนวทางในการจัดการ
เรียนรู้ท่ีจะช่วยให้นักเรียนมีความสนใจในการเรียน สนุกสนาน ควบคู่กับการพัฒนาทกั ษะด้าน
524
ความคิดสร้างสรรค์ เพ่ือไปปรับใช้กับชีวิตประจาวัน และนาไปสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ข้ึนมาทา
ให้เกดิ ประโยชน์ต่อตนเองและประเทศชาติ
วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั
1. เพ่ือพัฒนาความคิดสร้างสรรค์วิชาวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะตีมศึกษาของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 5
2. เพ่ือศึกษาพฤติกรรมการทางานเป็ นกลุ่มการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ตามแนวคิดสะตีม
ศึกษาของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5
3. เพ่ือเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ก่อนและหลังได้รับการจัดการ
เรียนการสอนตามแนวคิดสะตมี ศึกษา
4. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจท่ีมีต่อการจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะ
ตีมศึกษาของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5
สมมติฐานการวิจยั
1. นักเรียนมีพัฒนาความคดิ สร้างสรรค์วิชาวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะตีมศึกษามีคะแนนไม่
ต่ากว่าร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็
2. นักเรียนมีพฤติกรรมการทางานกลุ่มการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 5 ตามแนวคิดสะตีมศึกษา อยู่ระดบั ดี
3. นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะตีมศึกษาหลังเรียนสูง
กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ทิ ่ี .05
3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะตีม
ศึกษาอยู่ในระดบั มาก
ขอบเขตการวิจยั
ประชากร คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนลาพะอง (ราษฎร์จาเริญบารุง)
แขวงลาปลาทิว เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ปี การศึกษา 2562 จานวน 4 ห้องเรียน มี
จานวนรวม 147 คน
กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนโรงเรียนลาพะอง (ราษฎร์
จาเริญบารุง) แขวงลาปลาทิว เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ปี การศึกษา 2562 จานวน 1
ห้องเรียน มจี านวนรวม 35 คน ซ่ึงได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
ตัวแปรต้น - การจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะตีมศึกษา
ตัวแปรตาม - ความคิดสร้างสรรคว์ ิชาวิทยาศาสตร์
- พฤติกรรมการทางานเป็นกลุ่ม
525
- ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์
- ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ตามแนวคดิ
สะตมี ศึกษา
เน้ือหาท่ใี ช้ในการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ในคร้ังน้ีคือ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 7 - 8
เร่ือง นา้ ในท้องถ่ินของเราและปรากฎการณ์ธรรมชาติท่เี ก่ียวข้องกับวัฏจักรนา้ ใช้เวลา 8 สปั ดาห์
สปั ดาห์ละ 2 คาบ เรียน คาบเรียนละ 60 นาที รวมเป็น 16 คาบเรียน โดยมีรายละเอยี ดดงั น้ี
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 7 นา้ ในท้องถ่นิ ของเรา
-ปริมาณนา้ บนโลกและปริมาณนา้ ท่นี ามาใช้ได้
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 8 ปรากฎการณ์ธรรมชาติท่เี ก่ยี วข้องกบั วัฏจักรนา้
- วัฏจักรของนา้
- เมฆ หมอก นา้ ค้าง และนา้ ค้างแขง็
- ฝนหิมะและลูกเหบ็
ระยะเวลาในการวิจัย คือเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ถึง พฤษภาคม 2563
ประโยชนท์ ีค่ าดว่าจะไดร้ บั
1. นักเรียนมีการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์วิชาวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะตีมศึกษาได้เป็น
อย่างดี
2. นักเรียนมีพฤตกิ รรมการทางานกลุ่มท่ดี ีย่งิ ข้นึ
3. นักเรียนมีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ท่ดี ีมากย่ิงข้ึนภายหลังการจัดการเรียน
การสอนตามแนวคิดสะตีมศึกษา
4. ผู้สอนได้แนวทางในการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดสะตีมศึกษาสาหรับใช้พัฒนา
ความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนช้ันอ่นื ๆ
ระเบยี บวิธีการวิจยั
เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการวิจัย
1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 จานวน 16 คาบ
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 7 - 8 เร่ือง นา้ ในท้องถ่นิ ของเราและปรากฎการณ์ธรรมชาติท่เี ก่ยี วข้องกบั วัฏ
จักรนา้
2. แบบประเมินความคดิ สร้างสรรค์
3. แบบประเมินพฤตกิ รรมการทางานเป็นกลุ่ม
4. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์
5. แบบสอบถามความพึงพอใจท่มี ตี ่อการจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ตาม
แนวคดิ สะตมี ศึกษา
526
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์วิชาวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะตีมศึกษาของนักเรียน
ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 มีข้นั ตอนการเกบ็ รวบรวมข้อมูลดังต่อไปน้ี
1. นาแบบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ทดสอบกับนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนลาพะอง (ราษฎร์จาเริญบารุง) แขวงลาปลาทิว เขตลาดกระบัง
กรุงเทพมหานคร สังกัดสานักการศึกษา กรุงเทพมหานคร แล้วบันทกึ คะแนนกลุ่มตัวอย่างจาก
การทดสอบคร้ังน้ีเป็นคะแนนสอบก่อนเรียน (Pre-Test)
2. ดาเนินการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดสะตีมศึกษากับนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนลาพะอง (ราษฎร์จาเริญบารุง) แขวงลาปลาทิว เขตลาดกระบัง
กรุงเทพมหานคร จานวน 35 คน การจัดการเรียนการสอนใช้แผนการจัดการเรียนรู้ จานวน 4
แผน ท้ังหมด 16 ช่ัวโมง ในแต่ละแผนผู้สอนจะวัดความสามารถในการเรียนรู้และความคิด
สร้างสรรค์เพ่ือเกบ็ เป็นข้อมูลสาหรับการวิเคราะห์ต่อไป
3. นาแบบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไปทดสอบกับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5
โรงเรียนลาพะอง (ราษฎร์จาเริญบารุง) ใช้เวลาทดสอบ 1 ช่ัวโมงแล้วบันทกึ คะแนนกลุ่มตัวอย่าง
จากการทดสอบคร้ังน้ีเป็นคะแนนสอบหลังเรียน (Post-Test)
4. นักเรียนทาแบบสอบถามความพึงพอใจท่มี ีต่อการพัฒนาความคดิ สร้างสรรค์ทาง
วิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะตมี ศึกษา
5. นาข้อมูลท้งั หมดไปประมวลผลและวิเคราะห์ทางสถิติ
การวิเคราะหข์ อ้ มูล
การวิเคราะห์ข้อมูลท่ีได้จากการดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ทาการ
วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสาเรจ็ รูป โดยมรี ายละเอยี ดดังน้ี
1. วิเคราะห์ความคดิ สร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์โดยใช้ ค่าร้อยละ (Percentage)
2. วิเคราะห์ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนโดยการนาคะแนนของนักเรียนท้ังหมด มา
คานวณหาค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงมาตรฐาน โดยการทดสอบค่าที (t-test for Dependent Sample)
3. วิเคราะห์พฤติกรรมการทางานเป็ นกลุ่มของนักเรียนช้ันของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปี ท่ี 5 ตามแนวคิดสะตีมศึกษาโดยใช้ค่าเฉล่ีย (Mean) และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน
(Standard Deviation)
4. วิเคราะห์ความพึงพอใจท่มี ีต่อการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ตาม
แนวคิดสะตมี ศึกษาโดยใช้ค่าเฉล่ีย (Mean) และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
สรุปและอภิปรายผล
จากการศึกษาการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์วิชาวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะตีมศึกษา
ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 สรุปผลได้ดังน้ี
527
1. ผลการศึกษาการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์วิชาวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะตีม
ศึกษาของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 พบว่า นักเรียนมีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ของ
คะแนนเตม็ ผ่านเกณฑ์จานวน 5 กลุ่ม คิดเป็นร้อยละ 83.33 มีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์จานวน 1
กลุ่ม คิดเป็นร้อยละ 16.67
2. ผลการศึกษาพฤติกรรมการทางานเป็นกลุ่มของนักเรียนในระหว่างเรียนโดยใช้การ
พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ตามแนวคิดสะตีมศึกษา พบว่า นักเรียนทุกกลุ่มมีคะแนนเฉล่ียระดับดี
คดิ เป็นร้อยละ 100
3. ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 พบว่า
นักเรียนมผี ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนมคี ่าเฉล่ีย ( ) เทา่ กบั 10.31 มสี ่วนเบ่ียงเบน
มาตรฐาน (S.D.) เทา่ กบั 2.19 และหลังเรียนมีค่าเฉล่ีย ( ) เทา่ กบั 15.28 มสี ว่ นเบ่ียงเบน
มาตรฐาน (S.D.) เทา่ กบั 1.76 และเม่อื ทดสอบด้วยสถิติ t-test นักเรียนมีคะแนนหลังเรียนสงู
กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิท่รี ะดบั .05 (t = 20.357, Sig. = .000)
4.ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจท่มี ีต่อการจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์
ตามแนวคิดสะตีมศึกษาของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 จานวน 35 คน พบว่า โดยภาพรวมมี
ความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉล่ีย ( ) เท่ากับ 2.83มีส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.)
เท่ากับ0.37เม่ือพิจารณาเป็ นรายด้านเรียงลาดับค่าเฉล่ียจาก มากไปหาน้อย คือ ด้านการจัด
กจิ กรรมการเรียนรู้ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก มคี ่าเฉล่ีย ( ) เทา่ กบั 2.86 มีส่วนเบ่ียงเบน
มาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ0.34 ด้านผู้เรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉล่ีย ( )
เท่ากับ 2.82 มีส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) เทา่ กบั 0.37 และด้านเน้ือหามีความพึงพอใจอยู่
ในระดับมาก มีค่าเฉล่ีย ( ) เท่ากับ 2.79 มีส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.40
ตามลาดับ
อภิปรายผล
จากการศึกษาการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์วิชาวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะตีมศึกษา
ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 สรุปผลได้ดังน้ี
1. ผลการศึกษาการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์วิชาวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะตีม
ศึกษาของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 จานวน 35 คนพบว่า นักเรียนมีการพัฒนาความคิด
สร้างสรรค์วิชาวิทยาศาสตร์ โดยมีคะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็ ผ่านเกณฑจ์ านวน
5 กลุ่ม คิดเป็นร้อยละ 83.33 มีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑจ์ านวน 1 กลุ่ม คิดเป็นร้อยละ 16.67 โดย
คะแนนร้อยละของความคิดสร้างสรรค์วิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนกลุ่มท่ีไม่ผ่านเกณฑ์ มีช่วง
คะแนนอยู่ท่ี 70.83 ซ่ึงยังถอื ว่าอยู่ในระดบั ดี ท้งั น้ีอาจเป็นผลมาจากนักเรียนบางส่วนมีบุคลิกภาพ
ท่อี าจไม่ได้ฝึกฝนการคดิ และการทางานท่จี าเป็นต่อการคิดสร้างสรรคท์ างวิทยาศาสตร์ ต้องใช้เวลา
528
ในการเรียนรู้ ปรับตัว และฝึกฝนไประยะหน่ึง ดังน้ันสง่ ผลให้มีนักเรียนจานวนหน่ึงมีระดบั คะแนน
ต่ากว่าเกณฑท์ ่กี าหนด
จากคะแนนเฉล่ียรายบุคคล จะเหน็ ได้ว่า คะแนนเฉล่ียจากมากไปน้อยคือ ความคิด
ยืดหยุ่น (ค่าเฉล่ียเทา่ กบั 10.51) ความคิดละเอียดลออ(ค่าเฉล่ียเทา่ กับ 10.43) ความคิดริเร่ิม
(ค่าเฉล่ียเทา่ กบั 10.34) ความคิดคล่องแคล่วมี (ค่าเฉล่ียเทา่ กบั 9.74) ตามลาดบั
ผู้วิจัยอภิปรายว่าท่คี วามคดิ คล่องแคล่วมคี ่าเฉล่ียน้อยท่สี ุดเพราะ นักเรียนไม่เคยเรียน
แบบสะตีมศึกษามาก่อน ในช่วงแรกนักเรียนยังไม่คุ้นเคยกับการเรียนท่ตี ้องนาข้อมูลมาวิเคราะห์
หาคาตอบของปัญหาหรือสถานการณ์ เพ่ือนาไปสู่การคิดและออกแบบผลงานเชิงสร้างสรรค์ ซ่ึง
ถือเป็ นประสบการณ์ใหม่ ทาให้นักเรียนทาช้ินงานไม่ทันภายในเวลาท่ีกาหนด อีกท้ังความคิด
สร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์เป็นความสามารถทางการคิด ท่ีต้องใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพ่ือ
สร้างส่งิ ใหม่และเป็นประโยชน์ นักเรียนจึงต้องใช้เวลาเรียนรู้โดยอาศัยประสบการณแ์ ละการฝึกฝน
อย่างไรกต็ ามผลท่ีได้น้ีแสดงให้เห็นว่า การจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดสะตีม
ศึกษาสามารถช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ได้ ดังจะเหน็ ได้จากการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะ
ตมี ศึกษา ท่ปี ระกอบด้วยการจัดการเรียนรู้ 5 ข้นั ตอน ได้แก่ ข้นั ระบุปัญหา ข้ันศึกษาและวิเคราะห์
ข้ันออกแบบสร้างสรรค์ ข้ันนาเสนอ และข้ันประเมินผลงาน เป็ นการจัดการเรียนการสอนผ่าน
กิจกรรมท่นี ักเรียนเป็นผู้ลงมือปฏบิ ัติ โดยลักษณะสาคัญของการจัดการเรียนการสอนท่ใี ช้แนวคดิ
สะตีมศึกษา ท่ีประกอบไปด้วย สถานการณ์ หรือเร่ืองราวต่างๆ ท่ีช่วยกระตุ้นความสนใจของ
ผู้เรียน ในการท่ีจะค้นหาคาตอบ การท่ผี ู้เรียนได้พัฒนาความรู้จากการสืบค้น ข้อมูลท่ีจาเป็นต่อ
การหาคาตอบหรือแก้ไขปัญหา โดยใช้หลักการทาง วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีท่ี
เก่ียวข้อง และนาข้อมูลมาวิเคราะห์เพ่ือหาคาตอบของปัญหาหรือสถานการณ์น้ันนาไปสู่การคิด
และออกแบบผลงานเชิงสร้างสรรค์ สร้างวิธีแก้ปัญหาด้วยการเช่ือมโยงความรู้ด้านวิศวกรรม มา
สร้างสรรค์ผลงานภายใต้ข้อจากัดและเง่ือนไขท่ีกาหนด สามารถถ่ายทอดกระบวนการคิด ผ่าน
เทคนิคทางศิลปะให้มีความน่าสนใจ นาเสนอ แนวคิด วิธีแก้ปัญหาของการสร้างช้ินงานให้ผู้อ่ืน
เข้าใจ โดยออกแบบวิธีนาเสนอข้อมูลท่เี ข้าใจง่าย น่าสนใจ โดยเป็นการฝึกให้นักเรียนมกี ารพัฒนา
ทักษะความคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเน่ือง ส่งผลให้นักเรียนมีทักษะความคิดสร้างสรรค์เพ่ิมข้ึนซ่ึง
สอดคล้องกับ Hu & Adey (2002) ท่ีกล่าวว่า นอกจากปัจจัยทางด้านสติปัญญาท่ีมีผลต่อ
ความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์แล้วยังมี ปัจจัยอ่ืนๆท่ีมีอิทธิพลโดยตรงได้แก่ ลักษณะ
เฉพาะตัวหรือบุคลิกภาพ สภาพแวดล้อม แรงจูงใจ และความรู้ทางวิทยาศาสตร์ท่ีนักเรียนมีมา
อย่างต่อเน่ืองและสอดคล้ องกับ Yang et al. (2016) ท่ีกล่าวว่าความคิดสร้ างสรรค์ทาง
วิทยาศาสตร์เป็นความสามารถท่นี ักเรียนต้องใช้เวลาสะสมความรู้และประสบการณ์ หากนักเรียน
ได้รับการช้ีแนะหรือฝึ กฝนอย่างต่อเน่ือง จะส่งผลให้นักเรียนมีความคิดท่ีมีประสิทธิภาพ มี
หลักเกณฑแ์ ละคดิ ในส่งิ ท่เี ป็นประโยชน์ต่อผู้อ่นื ได้ และสอดคล้องกบั สมรัก อนิ ทวิมลศรี (2560)
กล่าวว่า การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์จาเป็ นต้องใช้ระยะเวลาในการฝึ กฝน
529
นักเรียนต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ อาศัยประสบการณ์และฝึกฝนอย่างต่อเน่ืองและสอดคล้องกับ
จารีพร ผลมูล (2558) ได้ทาการวิจัยเร่ือง การพัฒนาหน่วยการเรียนรู้บูรณาการแบบ STEAM
สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี3 กรณีศึกษา ชุมชนวังตะกอ จังหวัดชุมพรสาหรับวิชา
วิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 3 พบว่า สะตีมศึกษาเป็นการจัดการเรียนการสอนท่ี
เปิ ดโอกาสให้นักเรียนได้สร้างสรรค์ผลงานอย่างอิสระ โดยการนาความรู้วิทยาศาสตร์มาปรับปรุง
หรือประดิษฐ์ช้ินงาน ซ่ึงการเพ่ิมศิลปะเข้าไปช่วยในการเรียนวิทยาศาสตร์ และฝึกฝนให้นักเรียน
ได้ใช้เหตุผลในการเช่ือมโยงความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะและวิทยาศาสตร์ส่งผลให้นักเรียนเกิด
ความคิดสร้างสรรคท์ างวิทยาศาสตร์มากข้นึ
2. ผลการศึกษาพฤตกิ รรมการทางานเป็นกลุ่มการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียน
ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 ตามแนวคิดสะตีมศึกษา พบว่า นักเรียนทุกกลุ่มมีคะแนนเฉล่ียระดับดี คิด
เป็นร้อยละ 100 ซ่ึงผลการวิจัยเป็นไปตามสมมติฐานท่ตี ้ังไว้ อภิปรายได้ว่า การจัดการเรียนการ
สอนตามแนวคิดสะตีมศึกษาเป็ นการเน้นให้ผู้เรียนได้ทากิจกรรมร่วมกับผู้อ่ืน เป็ นการสร้าง
ปฏสิ มั พันธ์ มกี ารวางแผนการทางาน ร่วมมอื กนั ในการทางาน แสดงความคิดเหน็ ร่วมกนั สามารถ
ทาให้นักเรียนประสบผลสาเรจ็ บรรลุตามวัตถุประสงค์ ซ่ึงข้อสนับสนุนของพฤติกรรมการทางาน
กลุ่มท่ปี ระสบความสาเรจ็ สอดคล้องกบั มัลลิกา วิชชุกรองิ ครัต (2553) ท่กี ล่าวถงึ การทางานเป็น
ทีมไว้ ว่า การร่วมทากิจกรรมโดยมีวัตถุประสงค์เดียวกัน สนับสนุนช่วยเหลือ ใช้ ทักษะ
ประสบการณ์ร่วมกนั อย่างเตม็ ความสามารถ และมีการประสานงานอย่างดี ช่วยแก้ไขปัญหาต่าง
ๆ และสามารถพัฒนาองค์การให้บรรลุเป้ าหมายสูงสดุ ของทมี ได้ เช่นเดียวกนั กบั สถาบันส่งเสริม
การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2558) ได้กล่าวไว้คือ การจัดกิจกรรมโดยกระบวนการ
ทางานกลุ่มมีข้อดีคือผู้เรียนสามารถทากจิ กรรมได้ตลอดเวลาและต่อเน่ือง ผู้เรียนมีการปรับตัวใน
การทางาน บทบาทของสมาชิกภายในกลุ่ม เพ่ือท่ีจะขับเคล่ือนงานให้ประสบผลสาเร็จตาม
เป้ าหมายท่ตี ้งั ไว้
3. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ก่อนและหลังได้รับ
การ จัดการเรียนการสอนตามแนวคิดสะตีมศึกษาพบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสงู กว่า
ก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 (t= 20.357*, Sig.= .000) ซ่ึงผลการวิจัย
เป็นไปตามสมมติฐานท่ตี ้ังไว้ อภิปรายได้ว่า เน่ืองจากการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดสะตีม
ศึกษา เป็นการจัดการเรียนรู้ผ่านกิจกรรม ท่นี ักเรียนเป็นผู้ลงมือปฏบิ ัติ ลักษณะสาคัญของการ
จัดการเรียนการสอนท่ใี ช้แนวคดิ สะตีมศึกษา ท่ปี ระกอบไปด้วย สถานการณ์ หรือเร่ืองราวต่างๆ ท่ี
ช่วยกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน ในการท่จี ะค้นหาคาตอบ โดยเป็นปัญหาท่ผี ู้เรียนพบเหน็ ได้จริง
ในชีวิตประจาวันหรือในแหล่งชุมชนใกล้ตวั ซ่ึงสถานการณ์ ปัญหา จะสอดคล้องกบั เน้ือหาบทเรียน
นามาใช้กระตุ้นความสนใจของนักเรียนในการท่จี ะหาความรู้ ค้นหาคาตอบได้ สอดคล้องกบั Sock
lingam et al.(2011) ท่ศี ึกษาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะของสถานการณ์ปัญหาท่ีแตกต่างกัน
และผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนท่ีเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็ นฐานพบว่า ลักษณะของ
530
สถานการณ์ปั ญหาท่ีใกล้ ตัวนักเรี ยนและนักเรียนมีความคุ้นเคยมีความสัมพั นธ์และมีผลใน
ทางบวกต่อผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนโดยตรง และสอดคล้องกับ มีนกาญจน์ แจ่มพงษ์
(2559) ได้ศึกษาการพัฒนาชุดฝึ กทักษะสะตีมศึกษาเพ่ือการสร้างสรรค์ช้ินงานเร่ืองพลังงาน
รอบตัวเรา พบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทาง
สถติ ิระดับ .05
4. ผลการศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ตาม
แนวคิดสะตีมศึกษาของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 จานวน 35 คนพบว่า มีความพึงพอใจอยู่
ในระดับมาก มีค่าเฉล่ีย ( ) เท่ากับ 2.83 มีส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.37 ซ่ึง
ผลการวิจัยเป็นไปตามสมมติฐานท่ตี ้ังไว้ โดยด้านการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้เป็นด้านท่ีมีค่าเฉล่ีย
ความพึงพอใจสูงท่สี ุด เม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน มีรายละเอียดเรียงตามลาดับค่าเฉล่ียจากมากไป
หาน้อย จะเหน็ ได้ว่าความพึงพอใจแต่ละด้าน มีรายละเอยี ด ดงั น้ี
ดา้ นการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ได้แก่ กจิ กรรมการเรียนรู้ทาให้นักเรียนได้สร้างสรรค์
ช้ินงานอย่างอิสระท้ังน้ีเน่ืองมาจาก การจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดสะตีมศึกษา เป็ นการ
จัดการเรียนการสอนท่ีเปิ ดโอกาสให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเองนักเรียนได้
สร้างสรรค์ช้ินงานอย่างอิสระ เกิดการแลกเปล่ียนเรียนรู้ผ่านกิจกรรมท่ีหลากหลายและน่าสนใจ
นาไปสกู่ ารสร้างสรรค์ช้ินงาน เกดิ แรงจูงใจในการคดิ ทาและการเรียนรู้ต่อไป
ดา้ นผูเ้ รียน ได้แก่ นักเรียนได้พัฒนาความคิดสร้างสรรค์มากข้ึน ท้ังน้ีเน่ืองมาจาก
การจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดสะตีมศึกษา เป็นการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นกิจกรรมท่ี
หลากหลาย นักเรียนได้สนุกกบั การทากจิ กรรมโดยเน้ือหาในกจิ กรรมมีความเก่ียวข้องกบั ชัวิตประ
จาวันของนักเรียน ทาให้นักเรียนสนใจและสนุกกบั การเรียนมากข้นึ
ดา้ นเน้ ือหา ได้แก่ เน้ือหาท่ีสอนส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน ท้ังน้ี
เน่ืองมาจากลักษณะสาคญั ของการจัดการเรียนการสอนท่ใี ช้แนวคดิ สะตีมศึกษา ท่ปี ระกอบไปด้วย
สถานการณ์ หรือเร่ืองราวต่างๆ ท่ชี ่วยกระต้นุ ความสนใจของผู้เรียน ในการท่จี ะค้นหาคาตอบ โดย
เป็ นปัญหาท่ีผู้เรียนพบเห็นได้จริง ในชีวิตประจาวันหรือในแหล่งชุมชนใกล้ตัวซ่ึงสถานการณ์
ปัญหา สอดคล้องกบั เน้ือหาบทเรียน นามาใช้กระตุ้นความสนใจของนักเรียนในการท่จี ะหาความรู้
ค้นหาคาตอบ นาไปส่กู ารส่งเสริมความคิดในการสร้างสรรค์งานของนักเรียน เช่นเดียวกบั สนุ ารี
ศรีบุญ (2561) ท่ีพบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาเป็ นรายด้าน
พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากทุกด้าน ด้านท่ีมีค่าเฉล่ียสูงสุดได้แก่ การจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ รองลงมา ได้แก่ ประโยชน์ท่ไี ด้รับจากการจัดการเรียนรู้ และด้านท่มี ีค่าเฉล่ีย
ต่าสุด ได้แก่ บรรยากาศในการเรียนรู้ จากผลการสอบถามความพึงพอใจข้างต้น เน่ืองจากด้าน
การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ มีการวางแผนการจัดการเรียนรู้ท่ดี ี มขี ้นั ตอนการสอนท่ชี ัดเจนกจิ กรรม
การเรียนรู้แปลกใหม่น่าสนใจ สามารถดึงดูดความสนใจของนักเรียนให้อยากค้นหาคาตอบของ
ปัญหา นักเรียนจึงมีความพึงพอใจต่อด้านการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ สงู กว่าด้านอ่นื ๆ อกี ท้งั ยัง
531
สอดคล้องกับงานวิจัยของ จารีพร ผลมูล (2558) ท่ไี ด้ศึกษาการพัฒนาหน่วยการเรียนรู้บูรณา
การแบบ STEM สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 3 พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อการ
จัดการเรียนรู้ผ่านเกณฑร์ ะดบั ดี (เฉล่ีย 3.51) อย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิท่รี ะดับ .01 เน่ืองจากการ
จัดการเรียนรู้ด้วยหน่วยบูรณาการแบบ STEAM เป็นการบูรณาการแบบสอดแทรกเน้ือหา โดยมี
เน้ือหาสาระสอดคล้องกับ ชีวิตประจาวัน แหล่งชุมชนใกล้ตัวผ่านการจัดกิจกรรมท่ีเน้นนักเรียน
เป็ นสาคัญ
ขอ้ คน้ พบงานวิจยั
การจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะตีมศึกษา ทาให้นักเรียน
พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ดีข้ึน ซ่ึงพิจารณาจากคะแนนท่ผี ู้วิจัยประเมินช้ินงานของนักเรียนด้วย
แบบประเมนิ ความคดิ สร้างสรรคห์ ลังทากจิ กรรมในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ จะเหน็ ว่า คะแนน
ความคิดสร้างสรรคข์ องนักเรียน มแี นวโน้มเพ่ิมข้นึ ตามลาดบั และทาให้นักเรียนเข้าใจในบทเรียน
มากย่ิงข้ึน ส่งผลต่อผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ซ่ึงพิจารณาจาก คะแนนแบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนท่ีมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน นอกจากน้ี ยังช่วยกระตุ้นให้
นักเรียนเกดิ การเรียนรู้ผ่านการทากจิ กรรมอย่างสนุกสนาน มกี ารแลกเปล่ียนเรียนรู้ ซ่ึงกนั และกนั
มีความร่วมมือในการทางานกลุ่ม มีการแสดงความคิดเหน็ ทาให้เกดิ การเรียนรู้ในเร่ืองท่เี รียนและ
ฝึ กการทางานเป็ นกลุ่มได้เป็ นอย่างดี
ขอ้ เสนอแนะ
ขอ้ เสนอแนะสาหรบั การนาไปใช้
1. การจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะตีมศึกษา เป็นการจัดการเรียน
การสอนท่ีเน้นให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ดังน้ันผู้สอนอาจเป็ นเพียงผู้ให้คาช้ีแนะ
มากกว่าท่จี ะสอนให้นักเรียนปฏบิ ัติ ควรให้อิสระแก่นักเรียนในการคิดซ่ึงจะทาให้ความคิดของ
นักเรียนไม่ติดอยู่ในกรอบเพ่ือหาคาตอบ แต่ควรกาหนดประเดน็ ให้ชัดเจน
2. การจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดสะตีมศึกษา ผู้สอนควรศึกษา
และทาความเข้าใจในหลักการของแนวคิดสะตีมศึกษา โดยวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้
ชัดเจน ผู้สอนควรกาหนดเวลาในแต่ละข้ันและควบคุมเวลาให้เหมาะสมและควรเน้นให้นักเรียน
ได้ลงมือปฏบิ ัติภายในเวลาท่กี าหนด
ขอ้ เสนอแนะในการวิจยั คร้งั ต่อไป
1.ควรนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดสะตีมศึกษาไปทดลองกับนักเรียนใน
ระดับช้ันอ่นื ๆและประยุกตใ์ ช้กบั กลุ่มสาระวิชาอ่นื ๆ
532
2.ควรมกี ารศึกษาการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะตมี ศึกษาร่วมกบั การพัฒนาทกั ษะใน
ด้านอ่นื ๆท่สี ามารถส่งเสริมทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนเพ่ิมข้นึ
เอกสารอา้ งอิง
กระบวนการออกแบบทางวิศวกรรม (สสวท., 2560). การใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวะ
กรรมเพ่ือเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และการแก้ปัญหา. สืบค้น 18 ธันวาคม
2562, จ า ก https://designtechnology.ipst.ac.th/wp-content/uploads/sites/83/
2018/10/Mag-210.pdf
จารีพร ผลมูล เกริก ศักด์ิสภุ าพ และ สุนีย์ เหมะประสทิ ธ์ิ. (2558). การพฒั นาหน่วยการเรียนรู้
บูรณาการแบบ STEAM สาหรับนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปี ที่ 3 กรณีศึกษา ขุมชนวงั
ตะกอ จงั หวดั ชมุ พร. 34 th The National Graduate Research Conference.
ไพฑูรย์ สินลารัตน์. (2558). ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ตอ้ งกา้ วใหพ้ น้ กับดักของตะวนั ตก.
กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
มีนกาญจน์ แจ่มพงษ์ประสทิ ธ์ิ. (2559). การพฒั นาชุดฝึกทกั ษะสะตีมศึกษาเพื่อการสรา้ งสรรค์
ช้ินงานเรื่องพลังงานรอบตัว. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ:
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี.
มัลลิกา วิชชุกรอิงครัต . (2553). การศึกษาการทางานเป็ นทีมของพนักงานครูเทศบาลสงั กดั
เทศบาล เมืองชลบุรี. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). ค.ม. ชลบุรี : มหาวิทยาลัย
บูรพา.
วิวรรณ สารกจิ ปรีชา. (2550).การเสริมสรา้ งความคิดสรา้ งสรรค์ใหเ้ ด็กไทย.สืบค้น 30 ธันวาคม
2562, จาก https:// www.preschool.or.th/knowledge_creative.php
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท). (2558). หลักสูตรอบรม
ศึกษานิเทศก.์ กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธกิ าร
สมรัก อินทวิมลศรี . (2560). ผลของการใชแ้ นวคิดสะตีมศึกษาในวิชาชีววิทยาทีม่ ีต่อความคิด
สรา้ งสรรค์ทางวิทยาศาสตรแ์ ละผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปี
ที่ 4.(วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบัณฑติ ). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สุนารี ศรีบุญ . (2561). ผลการจดั การเรียนรูต้ ามแนวคิด STEAM Education โดยใชป้ ัญหาเป็น
ฐาน เพือ่ พฒั นาทกั ษะและกระบวนการทางคณิตศาสตรส์ าหรบั นกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษา
ปีที่ 1. (วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบัณฑติ ). นครปฐม: มหาวิทยาลัยศิลปากร.
Guilford, J.P. (1959). The nature of human intelligence. New York: McGraw-Hill Book
Co.
Hu,W.,& Adey , P.(2002). A Scientific creativity test for secondary school student.
International Journal of Science Education, 24(4), 389-403.
533
Riley, S. (2016). 6 steps to creating a STEAM-centered classroom. Retrieved on January
28, 2020, from http://educationcloset.com/2016/02/25/6-steps-to-
creating-a-steam-centered-classroom
Socklingam, N., Rotgans, J., & Schmidt, H. (2011). The relationships between problem
characteristics, achievement-related behaviors, and academic achievement in
problem-based learning. Advances in Sciences Education, 16(4), 481-490.
Yakman,G (2015). STEAM Education Program Description. Retrieved on December 8,
2019, from http:// steamed.com /wp – content / uploads/ 2014/12/STEAM-
Education-program-Description
Yang, K., Lin, S., Hong, Z., &Lin,H.(2016). Exploring the assessment of and relationship
between elementary students scientific creativity and science Inquiry. Creativity
Research Journal, 28(1), 16-23
534
การพฒั นาความสามารถในการแกโ้ จทยป์ ัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้
กระบวนการเรียนรูแ้ บบ SSCS ร่วมกบั การทํางานเป็ นทีม สาํ หรบั นกั เรียนระดบั
ประกาศนยี บตั รวิชาชีพช้นั ปี ที่ 3
Development of Mathematical Word Problem Solving Ability Using SSCS
Learning Process and Teamwork for Third Year Vocational Certificate Students.
บุณยาพร ทองอิน01
พจมาลย์ สกลเกยี รติ12
บทคดั ย่อ
การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์ 1) เพ่ือพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทาง
คณิตศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับการทาํ งานเป็ นทีมสาํ หรับนักเรียน
ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปี ท่ี 3 2) เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์ 3) เพ่ือศึกษาพฤติกรรมการทาํ งานกลุ่ม และ 4) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจต่อ
กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS กลุ่มเป้ าหมายท่ีใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนระดับประกาศนียบัตร
วิชาชีพช้ันปี ท่ี 3 แผนกวิชาคหกรรมฐานวิทยาศาสตร์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสิงห์บุรี ภาคเรียนท่ี 2 ปี
การศึกษา 2562 จาํ นวน 28 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชา
คณิตศาสตร์ 2) แบบประเมินความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ 3)
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 4) แบบประเมินพฤติกรรมการทาํ งาน
กลุ่ม และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อกระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS สถิติท่ีใช้ในการ
วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน สถติ ทิ ่ใี ช้ตรวจสอบสมมติฐาน
Paired Sample t - test
ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์
โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับการทาํ งานเป็ นทีมมีคะแนนไม่ต่าํ กว่าร้อยละ 80
ผ่านเกณฑ์ จาํ นวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 50 และมีนักเรียนท่ไี ม่ผ่านเกณฑ์ จาํ นวน 14 คน คิด
เป็นร้อยละ 50 2) ผลการศึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ คะแนนหลังเรียนสูงกว่า
ก่อนเรียน อย่างมีนัยสาํ คัญทางสถิติท่ีระดับ .05 (t = 17.56, Sig. = .000) 3) ผลการศึกษา
พฤติกรรมการทาํ งานกลุ่ม นักเรียนมีพฤติกรรมการทาํ งานกลุ่มอยู่ในระดับดีมาก จาํ นวน 3 กลุ่ม
และพฤติกรรมการทาํ งานกลุ่มอยู่ในระดับดี จาํ นวน 3 กลุ่ม 4) ความพึงพอใจภาพรวมอยู่ใน
ระดับมาก (�X = 4.20, S.D. = 0.64)
คําสําคญั : ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์, กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS
1 นกั ศกึ ษา หลักสตู รศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาหลกั สตู รและการสอน วิทยาลัยครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรุ กจิ บัณฑติ ย์
2 ท่ปี รกึ ษาวทิ ยานพิ นธ์
535
ความเป็ นมาและความสําคญั ของปัญหา
ปัจจุบันนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของประเทศไทยได้เร่ิมขับเคล่ือนอย่างต่อเน่ือง และ
การจัดการอาชีวศึกษาได้ถูกจัดอันดับความสาํ คัญอย่างมากในนโยบายน้ี มุ่งเน้นผลิตบุคลากรให้
สอดคล้องกับการปฏวิ ัติอุตสาหกรรมในยุคท่ี 4 หรือ ท่เี รียกกนั ว่า “อุตสาหกรรม 4.0” ท่เี กดิ ข้ึน
จากการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ท่ีนาํ เอาเคร่ืองจักรอัตโนมัติ หุ่นยนต์ ระบบ
อัจฉริยะต่าง ๆ เข้ามาแทนท่ีการใช้แรงงานคน แท้จริงแล้วคนยังเป็ นส่วนสําคัญของระบบ
อุตสาหกรรมเพียงแต่แรงงานท่ที าํ งานในอุตสาหกรรมยุคท่สี ่ี ต้องเป็นแรงงานคุณภาพสูง ทาํ งาน
กบั เทคโนโลยีข้ันสงู การผลิตคนทางอาชีวศึกษาจึงไม่ใช่การผลิตแรงงานทกั ษะฝีมือแต่เพียงอย่าง
เดียว ต้องสร้างคนท่ที าํ งานในอุตสาหกรรมระดับสงู ได้ด้วย
ดังน้ันรูปแบบการเรียนการสอน จึงต้องมีการปรับเปล่ียนให้เหมาะสม เพราะเน้นให้
ผู้เรียนได้ลงมือปฏบิ ัติจริง สร้างประสบการณ์ตรง นักเรียนสามารถเรียนรู้ วิธีการแก้ปัญหา เกิด
ความคิดสร้างสรรค์ รู้จักการวางแผนการทาํ งาน ตลอดจนสามารถประเมินผลงานและการทาํ งาน
ของตนเองได้ โดยมีครูทาํ หน้าท่ีเป็ นโค้ช คอยให้คําปรึกษาช้ีแนะ ยึดหลัก 4C คือ Critical
Thinking ช้ีแนะให้นักเรียนได้รู้จักใช้วิจารณญาณในการตัดสินส่ิงท่ีทาํ ว่าดีหรือไม่ ถูกหรือผิด
Communication สร้างการส่อื สาร การแลกเปล่ียนข้อมูล Collaboration ช้ีแนะให้รู้จักวิธกี ารทาํ งาน
ร่วมกนั เพ่ือให้เกดิ แนวคิดใหม่ ความรู้ใหม่ ๆ และสดุ ท้าย Creativity เป็นผู้ช้ีแนะให้นักเรียนได้ใช้
ความคิดสร้างสรรคแ์ ละเกดิ จินตนาการ (ปรัชญนันท์ นิลสขุ , 2558)
คณิตศาสตร์มีความสาํ คัญเป็นอย่างย่ิงต่อการพัฒนาด้านความคิดของมนุษย์ ทาํ ให้
มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ คิดเป็นระบบ คิดอย่างมีเหตุผล มีแบบแผน สามารถคิดวิเคราะห์
ปัญหาหรือสถานการณ์ต่าง ๆได้เป็นอย่างดี มีความถ่ีถ้วนรอบคอบ วางแผนตัดสินใจแก้ปัญหา
และสามารถนาํ ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาํ วันได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม (กระทรวงศึกษาธกิ าร
, 2551 : 1) วิชาคณิตศาสตร์น้ันถือได้ว่าเป็นเคร่ืองมือสาํ คัญอย่างย่ิงในการฝึกกระบวนการคิด
ฝึกการแก้ปัญหาช่วยพัฒนาศักยภาพของแต่ละบุคคล ช่วยในการเสริมสร้างความมีเหตุผล ความ
เป็ นคนช่างคิด ช่างริเร่ิมสร้างสรรค์ มีระบบระเบียบในการคิด มีการวางแผนในการทาํ งาน ท่ี
สามารถพัฒนาความสามารถในการแก้โจทยป์ ัญหาของนักเรียนได้
การพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณติ ศาสตร์ของนักเรียนจะประสบ
ความสาํ เร็จหรือไม่น้ันกระบวนการเรียนรู้ถือว่ามีความสาํ คัญเป็ นอย่างมาก ครูผู้สอนควรจัด
กิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาต่าง ๆ ท่ีส่งเสริม ช้ีแนะแนวทางท่ีถูกต้องแก่นักเรียน ซ่ึง
กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ท่ีย่อมาจากคําว่า Search (S), Solve (S), Create(C) และ
Share(S) เป็ นการสอนท่ีพัฒนาข้ึนเพ่ือใช้ในการสอนการแก้ปัญหาโดยนํากระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์มาประยุกตใ์ ช้กบั การแก้ปัญหา และเป็นวิธกี ารสอนท่สี ่งเสริมให้นักเรียนคิดแก้ปัญหา
อย่างเป็นระบบระเบียบ มีข้ันตอนชัดเจน ประกอบด้วย 4 ข้ันตอน ได้แก่ 1. ข้ันตอนการค้นหา
(Search : S) การค้นหาข้อมูลท่ีเก่ียวข้องกับปัญหา และการแยกแยะประเด็นของปัญหา การ
536
แสวงหาข้อมูลต่างๆ ท่เี ก่ยี วกบั ปัญหา 2. ข้ันตอนการแก้ปัญหา (Solve : S) การวางแผนและการ
ดาํ เนินการแก้ปัญหาด้วยวิธีการต่าง ๆ หรือการหาคาํ ตอบของปัญหาท่เี ราต้องการ 3. การสร้าง
คาํ ตอบ (Create : C) การนาํ ผลท่ไี ด้มาจัดกระทาํ เป็นข้ันตอนเพ่ือให้ง่ายต่อความเข้าใจ และเพ่ือ
ส่ือสารกับคนอ่นื ได้ และ4. การแลกเปล่ียนความคิดเหน็ (Share : S) การท่ใี ห้ผู้เรียนแสดงความ
คิดเหน็ เก่ียวกับข้ันตอน หรือวิธีการท่ีใช้ในการแก้ปัญหาท้ังของตนเองและผู้อ่ืน นักเรียนจะได้
เรียนรู้ด้วยตัวเองมากท่สี ุด สภาพแวดล้อมในการเรียนจะเปล่ียนไปจากท่คี รูเป็นศูนย์กลางมาเป็น
ผู้เรียนเป็ นศูนย์กลาง ซ่ึงจะทาํ ให้การสอนการแก้ปัญหาในห้องเรียนมีประสิทธิภาพมากข้ึน
นักเรียนมีโอกาสแสดงความคิดเหน็ และได้เรียนรู้การทาํ งานร่วมกบั ผู้อ่ืนโดยใช้กระบวนการกลุ่ม
(Pizzini et al., 1989 : 528)
ผู้วิจัยเหน็ ว่า หากนักเรียนมโี อกาสได้รับการพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา
และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเน่ืองกจ็ ะช่วยให้มีทักษะการคิดเพ่ิมมากข้ึน ดังน้ันผู้วิจัยจึงสนใจ
ศึกษาและพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้
แบบ SSCSร่วมกบั การทาํ งานเป็นทมี สาํ หรับนักเรียนระดบั ประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปี ท่ี 3 แผนก
วิชาคหกรรมฐานวิทยาศาสตร์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสิงห์บุรี รวมไปถึงศึกษาความพึงพอใจของ
นักเรียนต่อการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ซ่ึง
ประโยชน์ท่ีได้จากการศึกษา คือ นักเรียนท่ีเป็นกลุ่มเป้ าหมายได้รับการพัฒนาความสามารถใน
การแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ผลการวิจัยท่ีได้จะเป็นแนวทางให้ครูผู้สอนคณิตศาสตร์ ใน
การจัดการเรียนรู้รายวิชาคณิตศาสตร์ให้มีประสทิ ธภิ าพมากย่งิ ข้ึน
วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั
1. เพ่ือพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้
แบบ SSCS ร่วมกบั การทาํ งานเป็นทมี สาํ หรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปี ท่ี 3
2. เพ่ือเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ
SSCS ร่วมกบั การทาํ งานเป็นทมี สาํ หรับนักเรียนระดบั ประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปี ท่ี 3
3. เพ่ือศึกษาพฤติกรรมการทาํ งานกลุ่ม โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับการ
ทาํ งานเป็นทมี สาํ หรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปี ท่ี 3
4. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจต่อกระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับการทาํ งานเป็นทมี ใน
การแก้โจทยป์ ัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปี ท่ี 3
สมมติฐานการวิจยั
1. นักเรียนท่ีได้รับการพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้
กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกบั การทาํ งานเป็นทมี มีคะแนนความสามารถในการแก้โจทย์
ปัญหาทางคณิตศาสตร์ไม่ต่าํ กว่าร้อยละ 80 ของคะแนนเตม็
537
2. นักเรียนท่ีได้รับการพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้
กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกบั การทาํ งานเป็นทมี มีผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนหลังเรียนสูง
กว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาํ คญั ทางสถติ ิท่รี ะดบั .05
3. นักเรียนท่ีได้รับการพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้
กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกบั การทาํ งานเป็นทมี มีพฤติกรรมการทาํ งานกลุ่มอยู่ในระดับ
ดี
4. นักเรียนท่ไี ด้รับการพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้
กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกบั การทาํ งานเป็นทมี มคี วามพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
ขอบเขตของการวิจยั
กลุ่มเป้ าหมาย
กลุ่มเป้ าหมายท่ีใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปี ท่ี 3
แผนกวิชาคหกรรมฐานวิทยาศาสตร์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสงิ ห์บุรี ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562
จาํ นวน 28 คน
ตวั แปรทีศ่ ึกษา
ตัวแปรต้น
การเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกบั การทาํ งาน
เป็ นทมี
ตวั แปรตาม
1. ความสามารถในการแก้โจทยป์ ัญหาทางคณิตศาสตร์
2. ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาคณติ ศาสตร์
3. พฤตกิ รรมการทาํ งานกลุ่ม
4. ความพึงพอใจต่อการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ
SSCS ร่วมกบั การทาํ งานเป็นทมี
ขอบเขตดา้ นเน้ อื หา
เน้ือหาท่ใี ช้ในการวิจัย คือ หน่วยการเรียนรู้รายวิชาคณติ ศาสตร์ท่ใี ช้สอนนักเรียนระดบั
ประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปี ท่ี 3 แผนกวิชาคหกรรมฐานวิทยาศาสตร์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสงิ ห์บุรี
แบ่งออกเป็น 2 หน่วยการเรียนรู้ ดังน้ี
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 เร่ือง ลิมิตของฟังกช์ ัน
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง ความต่อเน่ืองของฟังกช์ ัน
ระยะเวลาในการวิจัย
ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 โดยใช้แผนการเรียนรู้จํานวน 5 แผน แผนละ 3
ช่ัวโมง รวมท้งั ส้นิ 15 ช่ัวโมง
538
เครือ่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับการ
ทาํ งานเป็นทมี
2. แบบประเมินความสามารถในการแก้โจทยป์ ัญหาทางคณิตศาสตร์
3. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาคณติ ศาสตร์
4. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการทาํ งานกลุ่ม
5. แบบสอบถามความพึงพอใจต่อกระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกบั การทาํ งานเป็นทมี
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
วิธดี าํ เนินการวิจัย การพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้
กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับการทาํ งานเป็ นทีม สาํ หรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตร
วิชาชีพช้ันปี ท่ี 3 วิทยาลัยอาชีวศึกษาสงิ ห์บุรี จาํ นวนนักเรียน 28 คน มีวิธดี าํ เนินการวิจัย ดงั น้ี
1. ผู้สอนช้ีแจงวัตถุประสงค์ เป้ าหมายของการเรียน และการประเมินผล ให้นักเรียนทราบ
2. ให้นักเรียนทาํ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียน (Pre-test) ท่ีผู้วิจัย
สร้างข้นึ เร่ือง ลิมติ และความต่อเน่ืองของฟังกช์ ัน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปี ท่ี 3 เป็นข้อสอบ
แบบปรนัยเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จาํ นวน 20 ข้อ
3. ดาํ เนินการจัดการเรียนรู้วิชาคณติ ศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS จาํ นวน
2 หน่วยการเรียนรู้ รวมท้งั ส้นิ 15 ช่ัวโมง
4. เม่ือส้นิ สดุ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แต่ละแผนแล้ว ให้นักเรียนทาํ แบบฝึกหัด ซ่ึงมีท้งั
แบบรายบุคคลและแบบกลุ่ม ถ้าเป็นแบบกลุ่มครูผู้สอนจะประเมินพฤติกรรมการทาํ งานกลุ่มด้วย
หลังจากน้ันให้นักเรียนทาํ แบบทดสอบแบบรายบุคคล
5. ให้นักเรียนทาํ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียน (Post-test) เร่ือง
ลิมิตและความต่อเน่ืองของฟังก์ชัน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปี ท่ี 3 เป็นข้อสอบแบบปรนัย
เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จาํ นวน 20 ข้อ
6. ให้นักเรียนทาํ แบบสอบถามความพึงพอใจต่อกระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกบั
การทาํ งานเป็นทมี
7. นาํ ข้อมูลท่ีเกบ็ รวบรวมท้ังหมดมาประมวลผล วิเคราะห์ข้อมูล สรุปผล อภิปรายผล
โดยใช้ตารางแบบหลายทางและการพรรณนา
การวิเคราะหข์ อ้ มูล
1. วิเคราะห์ผลแบบประเมนิ ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณติ ศาสตร์ โดย
การหาร้อยละ (Percentage)
539
2. การทดสอบสมมติฐาน เพ่ือเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกอ่ นเรียนและหลัง
เรียน โดยใช้สตู ร Paired Sample t – test
3. วิเคราะห์ผลแบบประเมินพฤตกิ รรมการทาํ งานกลุ่ม โดยการหาค่าเฉล่ีย (Mean)
4. วิเคราะห์ผลแบบสอบถามความพึงพอใจท่ีมีต่อการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้
กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS โดยการหาค่าเฉล่ีย (Mean) และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard
Deviation)
ผลการวิจยั
1. ผลคะแนนความสามารถในการแก้โจทยป์ ัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้กระบวนการ
เรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับการทาํ งานเป็นทมี สาํ หรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปี ท่ี
3 จาํ นวน 28 คน พบว่า นักเรียนมีคะแนน ไม่ต่าํ กว่าร้อยละ 80 ผ่านเกณฑ์ จาํ นวน 14 คน คิด
เป็นร้อยละ 50 และมนี ักเรียนท่ไี ม่ผ่านเกณฑ์ จาํ นวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 50
2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนระดับ
ประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปี ท่ี 3 พบว่า นักเรียนมีคะแนนเฉล่ียก่อนเรียนเท่ากับ 5.32 ส่วน
เบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.96 และนักเรียนมีคะแนนเฉล่ียหลังเรียนเท่ากับ 13.07 ส่วน
เบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.35 เม่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ก่อน
เรียนและหลังเรียน พบว่า คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาํ คัญทางสถิติท่ีระดับ
.05 (t = 17.56*, Sig. = .000)
3. ผลการศึกษาพฤติกรรมการทาํ งานกลุ่ม โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS
ร่วมกับการทาํ งานเป็นทมี สาํ หรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปี ท่ี 3 จาํ นวน 28 คน
ประเมนิ เป็นรายกลุ่ม 6 กลุ่ม กลุ่มละ 4 - 5 คน พบว่า นักเรียนมพี ฤตกิ รรมการทาํ งานกลุ่มอยู่ใน
ระดับดีมาก จาํ นวน 3 กลุ่ม คือ กลุ่มท่ี 3 กลุ่มท่ี 4 และกลุ่มท่ี 5 และพฤติกรรมการทาํ งานกลุ่ม
อยู่ในระดับดี จาํ นวน 3 กลุ่ม คือ กลุ่มท่ี 1 กลุ่มท่ี 2 และกลุ่มท่ี 6 เม่ือพิจารณารายด้าน พบว่า
พฤติกรรมการทาํ งานกลุ่มอยู่ในระดับดีมาก คือ การแก้ปัญหาอย่างมีระบบ และการแบ่งหน้าท่ี
รับผิดชอบ มีคะแนนเฉล่ียต้ังแต่ 3.67 ถึง 4.00 ส่วนพฤติกรรมการทาํ งานกลุ่มอยู่ในระดับดี คือ
ความร่วมมือในการทาํ งาน การแสดงและรับฟังความคิดเหน็ และการตรงต่อเวลา คะแนนเฉล่ีย
ต้งั แต่ 3.33 ถงึ 3.50
4. ผลการศึกษาความพึงพอใจต่อกระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับการทาํ งาน
เป็นทมี ในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนระดบั ประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปี ท่ี 3
จาํ นวน 28 คน พบว่า ความพึงพอใจภาพรวมอยู่ในระดับมาก (�X = 4.20, S.D. = 0.64) เม่ือ
พิจารณารายด้านเรียงลาํ ดบั ค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย คือ ด้านบรรยากาศการเรียนรู้ (X� = 4.34,
S.D. = 0.61) ด้านประโยชน์ท่ีได้รับจากการเรียนรู้ (X� = 4.14, S.D. = 0.57) และด้านเน้ือหา
(X� = 4.02, S.D. = 0.79)
540
อภิปรายผล
ผลการวิจัยเร่ือง การพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดย
ใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกบั การทาํ งานเป็นทมี สาํ หรับนักเรียนระดบั ประกาศนียบัตร
วิชาชีพช้ันปี ท่ี 3 อภปิ รายผลได้ดังน้ี
1. ผลคะแนนความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้กระบวนการ
เรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกบั การทาํ งานเป็นทมี สาํ หรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปี ท่ี
3 จาํ นวน 28 คน พบว่า นักเรียนมีคะแนน ไม่ต่าํ กว่าร้อยละ 80 ผ่านเกณฑ์ จาํ นวน 14 คน คิด
เป็นร้อยละ 50 และมนี ักเรียนท่ไี ม่ผ่านเกณฑ์ จาํ นวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 50 เม่ือพิจารณาจาก
คะแนนแบบทดสอบความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณติ ศาสตร์ จาํ นวน 5 คร้ัง นักเรียน
ท่ีมีคะแนนผ่านเกณฑ์ และไม่ผ่านเกณฑ์มีจํานวนเท่ากัน อาจเป็ นเพราะว่าการทาํ แบบทดสอบ
ดังกล่าวเป็นแบบรายบุคคล แต่ในขณะการจัดการเรียนรู้นักเรียนได้ทาํ แบบฝึ กหัดเป็นรายกลุ่ม
อาจทาํ ให้นักเรียนบางคนยังไม่มีความเข้าใจ แต่หากดูจากคะแนนเฉล่ียในแต่ละคร้ัง จะเหน็ ได้ว่า
การทดสอบความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์คร้ังท่ี 1 นักเรียนมีคะแนนเฉล่ีย
น้อยท่ีสุด คือ 58.04 คะแนน ท้ังน้ีอาจเน่ืองมาจากการจัดการเรียนรู้คร้ังท่ี 1 เป็ นการเร่ิมต้น
เน้ือหา เร่ือง ลิมิตและความต่อเน่ืองของฟังก์ชัน ซ่ึงเป็นเร่ืองท่นี ักเรียนยังไม่เคยได้เรียนมาก่อน
และเป็นคร้ังแรกท่นี ักเรียนได้รับการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS นักเรียนบางคน
อาจจะยังไม่มีความเข้าใจในแต่ละข้ันตอนของกระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS และในการทดสอบ
ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ในคร้ังท่ี 2, 3, 4 และ 5 นักเรียนสามารถทาํ
คะแนนเฉล่ียได้ คือ 58.75, 65.18, 64.46 และ 70.36 ตามลาํ ดับ ในการทดสอบคร้ังท่ี 4
นักเรียนมคี ะแนนเฉล่ียลดลงเลก็ น้อย อาจจะเป็นเพราะเน้ือหาในคร้ังน้ีมคี วามยากและมีวิธกี ารแก้
โจทย์ปัญหาท่ีซับซ้อนมากข้ึน แต่หากพิจารณาคะแนนเฉล่ียของนักเรียนโดยรวม จะเหน็ ได้ว่า
คะแนนเฉล่ียในแต่ละคร้ังมีแนวโน้ มท่ีเพ่ิมข้ึน แสดงให้ เห็นว่านักเรียนได้รับการพัฒนา
ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์เพ่ิมมากข้ึน สอดคล้องกับ ธันยพัฒน์ พันธุ์
พาํ นัก (2562) ได้ทาํ การวิจัยเร่ือง การจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ SSCS เพ่ือส่งเสริมผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนและทกั ษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เร่ือง ความน่าจะเป็น ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 3
ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีทกั ษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมี
นัยสาํ คัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 และสอดคล้องกบั นริศรา สาํ ราญวงษ์ อาพันธช์ นิต เจนจิต และคง
รัฐ นวลแปง (2560) ได้ทาํ การวิจัยเร่ือง การจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ SSCS เพ่ือพัฒนา
ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์และผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตร์ เร่ืองบท
ประยุกต์สาํ หรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถในการแก้ปัญหา
ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 หลังได้รับจากการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ SSCS
สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสาํ คัญทางสถิติท่ีระดับ .01 ท้ังน้ี อาจเน่ืองมาจากการจัดการ
541
เรียนรู้แบบ SSCS เป็นรูปแบบการสอนท่มี กี ระบวนการและข้ันตอนท่สี ่งเสริมความสามารถในการ
แก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ มีด้วยกัน 4 ข้ันตอน ซ่ึงในแต่ละข้ันตอนของการจัดการเรียนรู้
รูปแบบ SSCS ช่วยพัฒนาความสามารถในการแก้โจทยป์ ัญหาทางคณติ ศาสตร์ดังน้ี
ข้ันท่ี 1 Search : S เป็ นการค้นหาข้อมูลท่ีเก่ียวข้องกับปัญหา แยกแยะประเดน็ ของ
ปัญหา และหาข้อมูลต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับปัญหา วิเคราะห์ปัญหาว่าส่ิงท่ตี ้องการทราบคืออะไร
ข้อมูลท่กี าํ หนดมาให้มอี ะไรบ้าง ข้นั ตอนน้ีกจ็ ะช่วยให้นักเรียนได้ทาํ ความเข้าใจและวิเคราะห์โจทย์
ได้ พบว่า นักเรียนสว่ นใหญ่สามารถวิเคราะห์แยกแยะประเดน็ ของปัญหาได้ โดยบอกส่งิ ท่โี จทย์ให้
มา และส่งิ ท่โี จทย์ต้องการหาได้ถูกต้อง แต่มนี ักเรียนบางคนสามารถระบุได้แต่ยังไม่ครบถ้วน
ข้ันท่ี 2 Solve : S เป็นการแก้ปัญหา โดยการนาํ ข้อมูลท่ไี ด้จากข้ันท่ี 1 มาใช้ประกอบ
ในการแก้ปัญหา โดยให้นักเรียนบอกวิธีการท่ีใช้ในการแก้โจทย์ปัญหา พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่
สามารถบอกวิธกี ารท่ใี ช้ในการแก้โจทยป์ ัญหาได้ โดยสามารถระบุวิธกี ารท่ใี ช้ในการแก้โจทยป์ ัญหา
ได้อย่างถูกต้อง นักเรียนบางคนไม่สามารถระบุวิธกี ารท่ใี ช้ในการแก้โจทย์ปัญหาได้หรือดาํ เนินการ
แก้ปัญหาไม่ตรงตามส่ิงท่ีโจทย์ต้องการหา เน่ืองจากนักเรียนดูข้อมูลท่ีโจทย์กาํ หนดให้มาไม่
ครบถ้วน
ข้ันท่ี 3 Create : C เป็นการสร้างคาํ ตอบ เป็นการนาํ ข้อมูลหรือวิธีการท่ไี ด้จากข้ันท่ี 2
มาใช้ในการแก้โจทย์ปัญหาและจัดกระทาํ เป็นข้ันตอน ให้เป็นระบบ เพ่ือให้ง่ายต่อความเข้าใจและ
สามารถส่ือสารกบั คนอ่ืนได้ พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่แก้โจทย์ปัญหาได้ แต่นักเรียนบางคนยังแก้
โจทย์ปัญหาไม่ถูกต้อง และเขยี นคาํ ตอบยงั ไม่ชัดเจน
ข้ันท่ี 4 Share : S เป็นการแลกเปล่ียนความคิดเหน็ เก่ียวกับข้ันตอน หรือ วิธีการท่ใี ช้
ในการแก้โจทย์ปัญหาร่วมกัน พบว่า นักเรียนสามารถนาํ เสนอแนวทางการแก้โจทย์ปัญหาของ
ตนเองหรือของกลุ่มได้ นักเรียนได้ร่วมกันแสดงความคิดเหน็ ท่ีหลากหลาย และตรวจสอบความ
ถูกต้องในแต่ละข้ันตอน
2. ผลการศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนระดับ
ประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปี ท่ี 3 พบว่า นักเรียนมีคะแนนเฉล่ียก่อนเรียนเท่ากับ 5.32 ส่วน
เบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.96 และนักเรียนมีคะแนนเฉล่ียหลังเรียนเท่ากับ 13.07 ส่วน
เบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.35 เม่ือเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ก่อน
เรียนและหลังเรียน พบว่า คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาํ คัญทางสถิติท่ีระดับ
.05 (t = 17.56*, Sig. = .000) หากพิจารณาจะเหน็ ได้ว่าคะแนนเฉล่ียหลังเรียนเท่ากบั 13.07
จากคะแนนเตม็ 20 คะแนน แสดงให้เห็นว่านักเรียนมีคะแนนเฉล่ียหลังเรียนท่ีไม่สูงมาก ซ่ึง
สอดคล้องกับผลของความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ พบว่า นักเรียนมี
คะแนน ไม่ต่าํ กว่าร้อยละ 80 ผ่านเกณฑ์ จาํ นวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 50 และมีนักเรียนท่ีไม่
ผ่านเกณฑ์ จาํ นวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 50 แต่หากพิจารณาคะแนนเฉล่ียในแต่ละคร้ัง จะเหน็
ว่ามีแนวโน้มท่ีเพ่ิมข้ึน แสดงว่านักเรียนได้รับการพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทาง
542
คณิตศาสตร์เพ่ิมมากข้ึน สอดคล้องกับ นริศรา สาํ ราญวงษ์ อาพันธ์ชนิต เจนจิต และคงรัฐ นวล
แปง (2560) ได้ทาํ การวิจัยเร่ือง การจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ SSCS เพ่ือพัฒนาความสามารถ
ในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์และผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตร์ เร่ืองบทประยุกต์
สาํ หรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 ผลการวิจัยพบว่า ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตร์ของ
นักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ SSCS มคี ะแนนเฉล่ียเทา่ กบั 16.33 คะแนน คดิ
เป็นร้อยละ 81.67 และเม่ือทดสอบสมมติฐานพบว่าคะแนนเฉล่ียของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
คณิตศาสตร์ของนักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ SSCS สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75
อย่างมีนัยสาํ คัญทางสถิติท่รี ะดับ .01 ซ่ึงสอดคล้องกับสมมติฐานท่ตี ้ังไว้ ท้งั น้ีอาจเน่ืองมาจากการ
จัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ SSCS เป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ท่มี ีกระบวนการและข้ันตอนในการ
จัดกจิ กรรมการเรียนรู้ท่ชี ่วยสง่ เสริมความสามารถในการแก้ปัญหา ทางคณติ ศาสตร์ ทาํ ให้นักเรียน
สามารถแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี อกี ท้งั นักเรียนยังได้ฝึ กวิเคราะห์โจทย์ปัญหาเพ่ือนาํ ไปใช้ในการ
วางแผนและดาํ เนินการแก้ปัญหาด้วยวิธกี ารต่าง ๆ ได้อย่างอสิ ระตามความเข้าใจของนักเรียนเอง
ฝึกให้นักเรียนได้คิดอย่างเป็นระบบ สามารถเขียนวิธีดาํ เนินการแก้ปัญหาของตนเองได้อย่างเป็น
ข้ันตอนเพ่ือสามารถส่ือสารให้ผู้อ่ืนเข้าใจได้ และนักเรียนยังได้มีการแลกเปล่ียนความคิดเห็น
เก่ียวกับข้อมูลและวิธีดาํ เนินการแก้ปัญหาของตนเองกับผู้อ่ืน เพ่ือเป็ นการฝึ กให้นักเรียนรู้จัก
ยอมรับฟังความคิดเหน็ ของผู้อ่นื ทาํ ให้นักเรียนมีทกั ษะในการแก้ปัญหาทางคณติ ศาสตร์ดีข้นึ และ
ได้เห็นวิธีการแก้ปัญหาท่ีหลากหลายจากโจทย์ปัญหาเดียวกัน เม่ือนักเรียนมี ทักษะในการ
แก้ปัญหาดีข้ึนแล้ว ก็ส่งผลต่อการเรียนรู้ของนักเรียน จึงส่งผลให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
คณิตศาสตร์ของนักเรียนสูงข้ึน และสอดคล้องกับ กีรติ เอ้งฉ้วน (2559) ได้ทาํ การวิจัยเร่ือง ผล
การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ SSCS ท่ีมีต่อความสามารถในการเรียน วิชา คณิตศาสตร์ เร่ือง
“การประยุกต์ของสมการเชิงเส้นตวั แปรเดียว” ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 โรงเรียนเศรษฐ
บุตรบาํ เพญ็ ผลการศึกษาพบว่า ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่า
ก่อนการเรียนและสงู กว่าเกณฑร์ ้อยละ 60
3. ผลการศึกษาพฤติกรรมการทาํ งานกลุ่ม โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS
ร่วมกบั การทาํ งานเป็นทมี สาํ หรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปี ท่ี 3 จาํ นวน 28 คน
ประเมนิ เป็นรายกลุ่ม 6 กลุ่ม กลุ่มละ 4 - 5 คน พบว่า นักเรียนมพี ฤติกรรมการทาํ งานกลุ่มอยู่ใน
ระดับดีมาก มีคะแนนเฉล่ียต้ังแต่ 3.60 ถึง 4.00 จาํ นวน 3 กลุ่ม คือ กลุ่มท่ี 3 กลุ่มท่ี 4 และกลุ่ม
ท่ี 5 และพฤติกรรมการทาํ งานกลุ่มอยู่ในระดับดี มีคะแนนเฉล่ียต้ังแต่ 3.20 ถึง 3.40 จาํ นวน 3
กลุ่ม คือ กลุ่มท่ี 1 กลุ่มท่ี 2 และกลุ่มท่ี 6 เม่ือพิจารณารายด้านจะเหน็ ได้ว่า พฤตกิ รรมการทาํ งาน
กลุ่มของนักเรียนท่มี ีคะแนนเฉล่ียอยู่ในระดับดีมาก คือ การแก้ปัญหาอย่างมีระบบ และการแบ่ง
หน้าท่รี ับผิดชอบ มีคะแนนเฉล่ียต้ังแต่ 3.67 ถึง 4.00 ส่วนพฤติกรรมการทาํ งานกลุ่มท่มี ีคะแนน
เฉล่ียอยู่ในระดับดี คือ ความร่วมมือในการทาํ งาน การแสดงและรับฟังความคิดเหน็ และการตรง
ต่อเวลา มีคะแนนเฉล่ียต้ังแต่ 3.33 ถึง 3.50 สอดคล้องกับจันจิรา หมุดหวัน (2552) ได้ทาํ การ
543
วิจัยเร่ือง การศึกษาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์และความสามารถในการ
ทาํ งานกลุ่ม ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 โดยการจัดการทาํ งานเป็ นทีมเทคนิค STAD
ร่วมกับเทคนิค KWDL ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 ท่ีได้รับการจัดการ
ทาํ งานเป็ นทีมเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค KWDL มีความสามารถในการทาํ งานกลุ่มอยู่ใน
ระดับดี ซ่ึงเป็นไปตามสมมติฐานท่ีกาํ หนดไว้ ท้ังน้ีเน่ืองมาจากการจัดการทาํ งานเป็นทมี เทคนิค
STAD ร่วมกับเทคนิค KWDL เป็นการเรียนรู้ร่วมกันของนักเรียน โดยผู้เรียนจะร่วมกันทาํ งาน
กลุ่มมีการช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน และท่ีสาํ คัญมีการยอมรับความคิดเหน็ กัน และสอดคล้องกับ
ศารทูล อารีวรวิทย์กุล (2554) ได้ทาํ การเปรียบเทยี บความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 ท่ีได้รับการจัดการทาํ งานเป็ นทีม มีความสามารถในการคิด
อย่างมีวิจารณญาณแตกต่างกนั อย่างไม่มีนัยสาํ คัญทางสถิติ จากการทดลองพบว่านักเรียนท่ไี ด้รับ
การจัดการทาํ งานเป็นทมี การเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มน้ัน มีความสาํ คัญและก่อให้เกิดส่ิงต่าง
ๆ เหล่าน้ี คือ เม่ือนักเรียนเข้าทาํ กจิ กรรมตามกลุ่มท่ไี ด้กาํ หนดไว้ ถึงเวลาการทาํ งานกลุ่มนักเรียน
ภายในกลุ่มย่อมท่จี ะเกดิ ความสมั พันธ์กนั ภายในกลุ่ม ความสัมพันธ์ท่เี กิดข้นึ จะเป็นความสัมพันธ์
กนั ในทางบวกคือนักเรียนภายในกลุ่มมเี ป้ าหมายร่วมกนั รู้จักร่วมมือในการวางแผนในการทาํ งาน
ร่วมกันคิดร่วมกันทํา และช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน ก่อให้เกิดการเรียนรู้ และตระหนักถึง
ความสาํ เรจ็ ของกลุ่มว่าข้นึ อยู่กบั สมาชิกภายในกลุ่มการท่นี ักเรียนในกลุ่มช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั มี
การแลกเปล่ียนความคิดเหน็ ทาํ ให้เกิดปฏสิ มั พันธ์อย่างใกล้ชิด และนักเรียนมีความรับผดิ ชอบ ใน
การทาํ งานท่ไี ด้รับมอบหมายอย่างเตม็ ความสามารถ
4. ระดับความพึงพอใจต่อกระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับการทาํ งานเป็นทมี
ในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปี ท่ี 3 จาํ นวน
28 คน พบว่า ความพึงพอใจภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X� = 4.20, S.D. = 0.64) เม่ือพิจารณา
รายด้านเรียงลาํ ดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย คือ ด้านบรรยากาศการเรียนรู้ (X� = 4.34, S.D. =
0.61) ด้านประโยชน์ท่ีได้รับจากการเรียนรู้ (�X = 4.14, S.D. = 0.57) และด้านเน้ือหา (�X =
4.02, S.D. = 0.79) เม่ือพิจารณาเป็นรายด้านมีรายละเอียดเรียงตามลาํ ดับค่าเฉล่ียจากมากไป
หาน้อยจะเหน็ ได้ว่า
1) นักเรียนมีความพึงพอใจในด้านบรรยากาศการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก เม่ือจัดเรียง
ตามลําดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย คือ กิจกรรมการเรียนรู้เหมาะสมกับเน้ือหา ครูช้ีแจง
กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับการทาํ งานเป็นทมี ให้นักเรียน
เข้าใจอย่างชัดเจน กิจกรรมการเรียนรู้เหมาะสมกับจุดประสงค์การเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้มีความเหมาะสม กจิ กรรมการเรียนรู้สร้างความสนุกให้กบั นักเรียน และกจิ กรรมการเรียนรู้
มีความน่าสนใจ เน่ืองจากกิจกรรมการเรียนรู้แบบ SSCS เป็นการเรียนรู้ท่มี ีข้ันตอนท่ีชัดเจน ซ่ึง
ประกอบด้วย การค้นหาปัญหา การแก้ปัญหา การสร้างคาํ ตอบ และการแลกเปล่ียนความคิดเหน็
ร่วมกับการทาํ งานเป็นทีมท่ีมีการจัดกลุ่มให้นักเรียนได้ทาํ งานร่วมกับเพ่ือนท่มี ีความสามารถใน
544
การเรียนรู้ท่ีแตกต่างกัน ทาํ ให้นักเรียนมีโอกาสในการแลกเปล่ียนความคิดเห็นกันได้ จึงทาํ ให้
นักเรียนมคี วามพึงพอใจในด้านบรรยากาศการเรียนรู้มากท่สี ดุ
2) นักเรียนมีความพึงพอใจในด้านประโยชน์ท่ีได้รับจากการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก
เม่ือจัดเรียงตามลาํ ดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย คือ กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ช่วยให้
นักเรียนได้เรียนรู้การทาํ งานร่วมกับผู้อ่ืนและกล้าแสดงความคิดเหน็ มากข้ึน กระบวนการเรียนรู้
แบบ SSCS ทาํ ให้นักเรียนมีเจตคติท่ีดีต่อการเรียนคณิตศาสตร์ กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS
ทาํ ให้นักเรียนเข้าใจเน้ือหาได้เรว็ และง่ายข้ึน นักเรียนสามารถนาํ กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS
ไปประยุกต์ใช้ในการเรียนวิชาอ่ืน ๆ ได้ กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ทาํ ให้นักเรียนมีความ
กระตือรืนร้นในการเรียนรู้มากข้ึน และกระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ช่วยให้นักเรียนแก้โจทย์
ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้ดีย่ิงข้ึน เน่ืองจากกระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกบั การทาํ งานเป็น
ทีม ทาํ ให้นักเรียนได้เรียนรู้การทาํ งานร่วมกับผู้อ่ืนและกล้าแสดงความคิดเหน็ มากข้ึน ทาํ ให้แก้
โจทย์ปัญหาได้ดี เข้าใจเน้ือหาได้เรว็ และง่ายข้ึน
3) นักเรียนมีความพึงพอใจในด้านเน้ือหาอยู่ในระดับมาก เม่ือจัดเรียงตามลําดับ
ค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย คอื เน้ือหามคี วามยากง่าย เหมาะสมกบั นักเรียน เน้ือหามคี วามชัดเจน
เข้าใจง่าย และเน้ือหาเป็นเร่ืองท่ีนาํ ไปใช้ในชีวิตประจาํ วันได้ เน่ืองจากกิจกรรมการเรียนรู้แบบ
SSCS เป็นการเรียนรู้ท่ีช่วยวิเคราะห์โจทย์ และแยกประเดน็ ปัญหา เพ่ือแก้โจทย์ปัญหาต่อไปได้
จึงทาํ ให้นักเรียนสามารถเข้าใจเน้ือหา หรือ เข้าใจโจทยป์ ัญหาได้ง่ายย่งิ ข้ึน
ซ่ึงสอดคล้องกับวรรณวรางค์ น้อยศรี และ เทยี มจันทร์ พานิชย์ผลินไชย (2563) ได้
ทาํ การวิจัยเร่ือง การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบ SSCS เพ่ือส่งเสริมความสามารถในการ
แก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เร่ืองภาคตัดกรวย สาํ หรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4 ผลการวิจัย
พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้ ในภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับ
มาก มีค่าเฉล่ียเทา่ กบั 4.07 ท้งั น้ีอาจเน่ืองมาจากการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ดังกล่าวได้ให้นักเรียน
มีส่วนร่วมในการปฏิบัติไปพร้อม ๆ กันและได้เปิ ดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นท่ี
หลากหลาย ซ่ึงทาํ ให้ผู้เรียนเกดิ ความสนใจมากย่ิงข้ึน ทาํ ให้กจิ กรรมมีความน่าสนใจ และนักเรียน
สามารถปฏบิ ัติได้จากความพึงพอใจของนักเรียนข้างต้น แสดงว่านักเรียนท่เี รียนด้วยกจิ กรรมการ
เรียนรู้ โดยใช้วิธกี ารสอนแบบ SSCS เพ่ือส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์
เร่ืองภาคตัดกรวยสําหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4 ช่วยให้นักเรียนเป็ นคนกล้าคิดกล้า
แสดงออก โดยเหน็ ได้จากการนาํ เสนองานแลกเปล่ียนความคิดเห็นกับเพ่ือนในช้ันเรียนทาํ ให้
นักเรียนไม่เบ่ือหน่ายและมคี วามคิดเหน็ ท่ดี ีต่อกจิ กรรมท่ไี ด้เรียนรู้ด้วย
ขอ้ คน้ พบในงานวิจยั
กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS เป็ นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ท่ีช่วยทาํ ให้นักเรียน
พัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ซ่ึงประกอบด้วย 4 ข้ันตอน ได้แก่
545
1) ค้นหาปัญหา 2) แก้ปัญหา 3) สร้างคาํ ตอบ และ 4) แลกเปล่ียนความคิดเห็น ซ่ึงในแต่ละ
ข้ันตอนจาํ เป็นต้องใช้เวลามากพอสมควรเพ่ือให้นักเรียนได้คิดวิเคราะห์โจทย์ปัญหา และเหมาะ
สาํ หรับเน้ือหาบางเร่ืองเท่าน้ัน ถ้าหากจัดกิจกรรมการเรียนรู้ไม่เหมาะสมกับผู้เรียน หรือหาก
ผู้เรียนมีพ้ืนฐานความรู้ท่ไี ม่เพียงพอ นักเรียนอาจจะยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และจากการศึกษา
ความพึงพอใจต่อกระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS นักเรียนมีความพึงพอใจในด้านบรรยากาศการ
เรียนรู้เป็นลาํ ดับท่ี 1 แสดงให้เหน็ ว่ากระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS นอกจากจะช่วยให้นักเรียนมี
ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เพ่ิมมากข้ึนแล้ว ยังมีส่วนช่วยให้บรรยากาศการ
เรียนรู้เพ่ิมมากข้ึนอกี ด้วย
ขอ้ เสนอแนะ
ขอ้ เสนอแนะสําหรบั การนาํ ไปใช้
กระบวนการเรียนรู้แบบ SSCS เป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ท่ตี ้องใช้เวลาสาํ หรับการ
จัดกิจกรรมในแต่ละข้ันตอน หากนําไปใช้ครูผู้สอนต้องมีการควบคุมเวลาและกาํ หนดเวลาให้
เพียงพอ
ขอ้ เสนอแนะในการวิจยั คร้งั ต่อไป
1. ควรมีการศึกษาการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ SSCS เพ่ือพัฒนาความสามารถใน
การ แก้ปัญหาทางคณติ ศาสตร์ ในเน้ือหาวิชาคณิตศาสตร์อ่นื และระดับช้ันอ่นื ๆ
2. ควรมีการศึกษาเพ่ือเปรียบเทยี บความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์โดย
การ จัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ SSCS กบั การจัดการเรียนรู้แบบอ่นื ๆ
546
บรรณานุกรม
กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). ตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้
คณิตศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551.
กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยจาํ กดั .
กีรติ เอ้งฉ้วน. (2559). ผลการการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ SSCS ท่ีมีต่อความสามารถใน
การเรียนวิชา คณิตศาสตร์ เร่ือง “การประยุกต์ของสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว”ของ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 โรงเรียนเศรษฐบุตรบาํ เพ็ญ. หลักสูตรศึกษาศาสตร
มหาบัณฑติ สาขาวิชาคณติ ศาสตรศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคาํ แหง.
จันจิรา หมุดหวัน. (2552). การศึกษาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และ
ความสามารถในการทาํ งานกลุ่ม ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5 โดยการจัดการ
เรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค KWDL. หลักสูตรปริญญา
การศึกษามหาบัณฑติ สาขาวิชาหลักสตู รและการสอน มหาวิทยาลัยทกั ษิณ.
ธันยพัฒน์ พันธุ์พํานัก. (2562). การจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ SSCS เพ่ือส่งเสริมผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เร่ืองความน่าจะเป็ น ช้ัน
มัธยมศึกษาปี ท่ี 3. หลักสูตรปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร
ศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
นริศรา สําราญวงษ์ และคณะ. (2560). การจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแลล SSCS เพ่ือพัฒนา
ค ว า ม ส า ม า ร ถ ใ น ก า ร แ ก้ ปั ญ ห า ท า ง ค ณิ ต ศ า ส ต ร์ แ ล ะ ผ ล สั ม ฤ ท ธ์ิ ท า ง ก า ร เ รี ย น
คณิตศาสตร์ เร่ืองบทประยุกต์ สําหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5. คณะ
ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา.
ปรัชญนันท์ นิลสขุ (2558). อาชีวะศตวรรษท่ี 21. สบื ค้นจากhttps://www.moe.go.th/moe/
th/news/detail.php?NewsID=40633&Key=hotnews
วรรณวรางค์ น้อยศรี และเทยี มจันทร์ พานิชย์ผลินไชย. (2563). การพัฒนากจิ กรรมการเรียนรู้
แบบ SSCS เพ่ือส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เร่ือง ภาคตัด
กรวย สําหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4. สาขาหลักสูตรและการสอน คณะ
ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร.
ศารทูล อารีวรวิทย์กุล. (2554). การศึกษาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิทยาศาสตร์และความสามารถ
ในการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1 ท่ีได้รับการจัดการ
เรียนรู้แบบบูรณาการและการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ.หลักสูตรปริญญาการศึกษา
มหาบัณฑติ สาขาวิชาการมธั ยมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
Pizzini, Edward L.; & Shepardson; & Abell, Sandra K. (1989, September). A Rationale for
and the Development of a Problem Solving Model of Instruction in Science
Education. ScienceEducation. 73(5):523-534.
547
การพฒั นาความสามารถการอ่านเพือ่ ความเขา้ ใจ โดยใชเ้ ทคนคิ
การต้งั คาถาม สาหรบั นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 1
The Development of Reading Comprehension with Questioning
Techniques for Prathomsuksa 1 Students
ปวีณา วรรณคา1
อญั ชลี ทองเอม2
บทคดั ย่อ
งานวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) พัฒนาความสามารถการอ่านเพ่ือความเข้าใจ
ภาษาไทย โดยใช้เทคนิคการต้งั คาถาม สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 2) ศึกษาผลสมั ฤทธ์ิ
การอ่านเพ่ือความเข้าใจภาษาไทย 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการอ่านเพ่ือความ
เข้าใจ โดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม กลุ่มเป้ าหมาย เป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียน
บ้านกระสงั อาเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ท่กี าลังศึกษาอยู่ในภาคท่ี 2 ปี การศึกษา 2562 จานวน 18
คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย 2) แบบทดสอบวัด
ความสามารถทางการอ่านเพ่ือความเข้าใจภาษาไทย 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการอ่าน
เพ่ือความเข้าใจภาษาไทย 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้
โดยใช้เทคนิคการต้ังคาถาม สถิติท่ใี ช้ในการวิจัยได้แก่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉล่ีย (Mean)
ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และ Paired t-test
ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถการอ่านเพ่ือความเข้าใจภาษาไทย โดยใช้เทคนิค
การต้ังคาถามสาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 ได้คะแนนไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์
จานวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 66.67 และไม่ผ่านเกณฑ์จานวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 33.33 2)
ผลสัมฤทธ์ิทางการอ่านเพ่ือความเข้าใจภาษาไทย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทาง
สถิติท่รี ะดับ .05 3) ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการอ่านเพ่ือความเข้าใจ โดยใช้เทคนิคการต้งั
คาถาม ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ =2.64, S.D. = 0.48)
คาสาคญั : การอา่ นเพ่ือความเข้าใจ, เทคนิคการต้งั คาถาม, ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1
1 นักศึกษาหลักสตู ร ศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาหลักสูตรและการสอน วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ธรุ กจิ บณั ฑติ ย์
2 ท่ปี รึกษาวิทยานิพนธ์
548