The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by mon, 2022-02-22 22:05:22

ทำเนียบวิจัย 65

ทำเนียบวิจัย 65

ของบุคลากรในสังกดั
สานักงานสาธารณสุขจังหวดั สุพรรณบุรี



สารบัญ

• ทาเนยี บงานวจิ ยั

เร่ืองที่ 1 ผลของโปรแกรมการใหค้ วามรู้ตอ่ ระดบั ความรู้และทศั นคติในสตรีท่ีมาตรวจ
คดั กรองมะเร็งปากมดลูก ในโรงพยาบาลเจา้ พระยายมราชจงั หวดั สุพรรณบุรี

เร่ืองท่ี 2 ปัญหาและอุปสรรคของพยาบาลในการดูแลผปู้ ่ วยแบบประคบั ประคอง (Palliative
care) โรงพยาบาลเครือข่ายจงั หวดั สุพรรณบุรี

เร่ืองท่ี 3 การพฒั นารูปแบบการจดั ทาเวชระเบียนตามแนวคิด Lean Development of
medical records based on Lean Concept

เรื่องที่ 4 ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผูส้ ูงอายุ
จงั หวดั สุพรรณบุรี

เรื่องที่ 5 ธรรมาภิบาลกบั ประสิทธิผลของงานบริหารบุคคลของสานกั งานสาธารณสุขจงั หวดั
สุพรรณบุรี

เรื่องท่ี 6 A comparison of stone free rate between a diuretic and a control
group of patients Undergoing extracorporeal shock wave lithotripsy:
a prospective, randomized, double-blind, placebo-controlled trial

เรื่องท่ี 7 กรณีศึกษา ผปู้ ่ วยโรคกลา้ มเน้ือหวั ใจขาดเลือดเฉียบพลนั ท่ีเกิดจากหลอดเลือด
โคโรนารีฉีกขาดจากอุบตั ิเหตุ

เรื่องที่ 8 การดูแลรักษาผปู้ ่ วยที่มีการยดึ เกาะของขอ้ เข่าเทียมกบั กระดูกของผปู้ ่ วยหลุดแยกออก
จากกนั โดยไม่ไดเ้ กิดจากการติดเช้ือ: กรณีศึกษาเปรียบเทียบ Management of
Aseptic Loosening of Total Knee Arthroplasty : Comparative case study

เรื่องที่ 9 การปลูกถ่ายเน้ือเยอ่ื ยดึ ต่อเพ่ือรักษาภาวะเหงือกร่น: รายงานผปู้ ่ วย Treatment of
Gingival Recession with Connective Tissue Graft: A Case Report

เรื่องที่ 10 การพฒั นาระบบสารสนเทศทางยาและระบบขอ้ มูลผปู้ ่ วยแพย้ าเพือ่ ป้องกนั การแพย้ า
ซ้า โรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช

เร่ืองที่ 11 การพฒั นารูปแบบการจดั การทางการพยาบาลเพื่อความปลอดภยั จากการบริหารยา
ความเสี่ยงสูง โรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช จงั หวดั สุพรรณบุรี

เร่ืองที่ 12 ความเที่ยงตรงของการวดั ขนาดกระดูกจากภาพถ่ายรังสีโดยใชส้ เกลมาตรวดั อา้ งอิง
เปรียบเทียบกบั การวดั กระดูกจริงดว้ ยเวอร์เนีย คาลิปเปอร์ ในผปู้ ่ วยผา่ ตดั เปลี่ยนขอ้
สะโพกเทียมและเปล่ียนขอ้ เข่าเทียม

สารบัญ (ต่อ)

• ทาเนียบงานวจิ ัย
เร่ืองท่ี 13 ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งผลเซลลว์ ทิ ยานรีเวชจากการตรวจดว้ ยวธิ ีแป๊ ปสเมียร์แบบ
ด้งั เดิมและผลจุลพยาธิวทิ ยา ณ โรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช
เรื่องที่ 14 ผลของไซโคนิวโรบิคส์ ในการลดอาการปวดเฉียบพลนั ในผปู้ ่ วยโรคขอ้ อกั เสบ
รูมาตอยด์ โรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช จงั หวดั สุพรรณบุรี
เร่ืองที่ 15 ผลลพั ธ์ทางคลินิกของผปู้ ่ วยเดก็ โรคหืดหลงั จากการใชก้ ารตรวจสไปโรเมตรีย์
ประเมินสมรรถภาพปอดในคลินิกเด็กโรคหืด โรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช
เร่ืองท่ี 16 เรื่องความชุกและปัจจยั ที่เก่ียวขอ้ งของภาวะซึมเศร้าในผปู้ กครองของผปู้ ่ วยสมาธิ
ส้นั ท่ีมารักษาที่โรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช
เร่ืองท่ี 17 อุบตั ิการณ์และปัจจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ งความรู้สึกเครียดในสตรีต้งั ครรภท์ ี่มาฝากครรภใ์ น
โรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช
เรื่องที่ 18 พฤติกรรมการดูแลตนเอง และความสามารถในการควบคุมความดนั โลหิตของ
ผปู้ ่ วยโรคความดนั โลหิตสูง ในพ้นื ที่รับผดิ ชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล
บา้ นโคง้ บ่อแร่
เรื่องที่ 19 การพฒั นาโปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ่ีเป็นโรคความดนั โลหิตสูง
ตาบลโคกโคเฒา่ อาเภอเมืองสุพรรณบุรี จงั หวดั สุพรรณบุรี
เรื่องท่ี 20 ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งลกั ษณะทางคลินิกและความยาวปากมดลูกในไตรมาสท่ีสอง
ของการต้งั ครรภใ์ นสตรีต้งั ครรภเ์ ดี่ยวปกติที่มาฝากครรภท์ ่ีโรงพยาบาลสมเด็จ
พระสงั ฆราชองคท์ ่ี 17

ผลของโปรแกรมการใหค้ วามรู้
ตอ่ ระดับความรแู้ ละทัศนคตใิ น
สตรีทีม่ าตรวจคัดกรองมะเรง็
ปากมดลกู ในโรงพยาบาล
เจ้าพระยายมราช
จงั หวัดสพุ รรณบุรี



ชื่อการวิจัย: ผลของโปรแกรมการให้ความรู้ต่อระดับความรู้และทัศนคติในสตรีท่ีมาตรวจคัดกรองมะเร็งปาก
มดลูกในโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราชจังหวดั สพุ รรณบุรี
ชื่อผู้นาเสนอผลงาน : นางนงนภา อรรถปรีชา ตาแหน่ง พยาบาลวิชาชีพชานาญการหน่วยตรวจผู้ป่วย
นอกสูติ – นรีเวช โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช โทร: 089-8366155 E-mail : [email protected]
ที่มา : จากสถิติของท่ัวโลกโรคมะเร็งปากมดลูกพบว่าเป็นมะเร็งที่พบในสตรีเป็นอันดับสองรองจากมะเร็งเต้า
นมโดยเฉพาะกว่าร้อยละ 85 พบในประเทศกาลังพัฒนาสาหรับประเทศไทยจากข้อมลู ลา่ สุดของสถาบันมะเร็ง
แห่งชาติพบว่ามะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งท่ีพบมากเป็นอันดับสองในสตรีรองจากมะเร็งเต้านม การรณรงค์ให้
สตรีมารับตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกสามารถช่วยตรวจคัดกรองโรคได้ต้ังแต่ระยะเร่ิมแรกซึ่งจากการ
ทบทวนงานวิจัยท่ีผ่านมาพบว่าสตรีเหล่าน้ีมีความต้องการข้อมูลความรู้และคาแนะนาต่างๆท่ีเก่ียวข้องกับโรค
ซ่ึงปัจจัยเหล่านี้จะช่วยเพ่ิมอัตราการมาตรวจคัดกรองอย่างสม่าเสมอให้เพ่ิมมากขึ้นนอกจากนี้จาก
ประสบการณ์ของผู้วิจัยในการปฏิบัติงานในคลินิกพบว่ายังมีผู้ใช้บริการบางส่วนที่ให้ประวัติว่าเคยไปรับการ
ตรวจคัดกรองมาก่อนหน้าน้ี แต่ไม่ทราบว่าตนเองได้รับการตรวจคัดกรองด้วยวิธีใด และ/หรือไม่ทราบผลการ
ตรวจของตนเอง ไม่ได้รับคาแนะนาเก่ียวกับการปฏิบัติตัวหลังฟังผลตรวจ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลให้ยังมี
พฤตกิ รรมในการป้องกนั การเกดิ โรคมะเร็งปากมดลูกท่ีไม่เหมาะสมและการไม่มาตรวจคัดกรองอย่างสม่าเสมอ
จากการทบทวนวรรณกรรมที่เก่ียวข้องพบผลการวิจัยที่สนับสนุนว่าการให้ความรู้เก่ียวกับการเกิดโรคการ
ป้องกนั โรคจะช่วยเพ่มิ ระดับความรแู้ ก่สตรแี ละส่งผลต่อการมีพฤติกรรมในการดูแลตนเองในการป้องกนั โรคที่ดี
ข้ึน ดังน้ันผู้วิจัยจึงสนใจพัฒนาโปรแกรมการให้ความรู้ร่วมกับการแจ้งผลการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
ให้แก่สตรีที่มาฟังผลการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกซ่ึงรูปแบบของโปรแกรมดังกล่าวพัฒนามาจากแนวคิด
ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (health belief model) รวมทั้งแนวคิดทฤษฎีแรงจูงใจในการป้องกัน
โรค(protection motivation theory) ของโรเจอร์ซึ่งอธิบายได้วา่ การท่ีบุคคลจะเลือกมีพฤติกรรมในการดูแล
สุขภาพตนเองอย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับการมีความรมู้ ีทัศนคติตอ่ เรื่องน้ันๆอย่างไรซึ่งในการให้ความรู้ในโปรแกรม
ดังกล่าวจะเร่ิมจากการประเมินความรู้และทัศนคติเดิมก่อนจากนั้นจึงให้ความรู้เพ่ือเป็นการกระตุ้นให้เกิด การ
รับรโู้ อกาสเสยี่ งของการเปน็ โรคและความรนุ แรงของโรค
วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ัย : เพอ่ื ศึกษาเปรียบเทียบระดับความรูแ้ ละทัศนคตเิ กย่ี วกับโรคมะเร็งปากมดลูกก่อน
และหลงั การใช้โปรแกรมการให้ความรู้
ระเบียบวิธีวิจัย/การดาเนินการวิจัย:การวิจัยเชิงทดลองชนิดกลุ่มเดียววัดก่ อนและหลังกลุ่มตัวอย่างได้แก่สตรี
ไทยอายุ 20 - 65 ปีที่มารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกระหว่างเดือนกันยายนถึงเดือนมกราคม -
เมษายน 2559 จานวน 50 รายโปรแกรมการให้ความรู้ประกอบด้วย 1) การประเมินความรู้และทัศนคติ 2)
การให้ความรู้ร่วมกับการใช้สื่อการสอน 3) การกระตุ้นให้เกิดการรับรู้ความรุนแรงและโอกาสเส่ียงของโรค4)
การเสริมสร้างความคาดหวังและการสร้างความตั้งใจต่อการมีพฤติกรรมในการป้องกันโรคร่วมกับการแจ้งผล
ตรวจเคร่ืองมือเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่แบบสอบถามความรู้และแบบสอบถามทัศนคติเกี่ยวกับโรคมะเร็งปาก
มดลกู การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ใชส้ ถิติร้อยละคา่ เฉลีย่ สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานและ Paired t-test
ผลการศึกษา : กลุ่มตัวอย่างมีอายุระหว่าง 41-50 ปีมากท่ีสุดร้อยละ 42.5 อายุน้อยที่สุด 30 ปี และมากที่สุด
60 ปี อายุเฉล่ยี ประมาณ 46 ปี จบการศกึ ษาระดับประถมศกึ ษามากทส่ี ุด ร้อยละ 39.1 มอี าชีพคา้ ขาย ร้อยละ
39.4 เกอื บ 2 ใน 3 อยูก่ นิ กับสามี พบวา่ อายสุ มรสเฉล่ยี ประมาณ 23 ปี อายุนอ้ ยท่สี ุด 12 ปแี ละมากทส่ี ุด 40
ปี อายุตั้งครรภ์คร้ังแรกเฉลี่ยประมาณ 24 ปี ค่าเฉล่ียของความถ่ีในการต้ังครรภ์ 2.2 คร้ัง ร้อยละ 70.1 ของ
กล่มุ ตวั อยา่ งมีความรู้เก่ียวกับมะเร็งปากมดลูกในระดบั ค่อนขา้ งน้อย ร้อยละ 40.3 มคี วามรู้เกีย่ วกับมะเร็งปาก
มดลูกระดับดีมากเพียงร้อยละ 8.5 พฤติกรรมการตรวจมะเร็งปากมดลูก เคยตรวจมะเร็งปากมดลูก ร้อยละ

69.7 ร้อยละ 49.6 ตอบว่าถ้าโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราชจัดให้มีการตรวจมะเร็งปากมดลูกใน 2-3 เดือน
ข้างหน้าตนจะไปรบั บรกิ าร รอ้ ยละ 30.9 ไม่แนใ่ จว่าจะไปรบั บริการหรือไม่ กลุม่ ที่ไมเ่ คยตรวจมะเร็งปากมดลูก
มากกว่าครึ่งหน่ึงบอกว่า ที่ไม่ตรวจมะเร็งปากมดลูกเพราะไม่คิดว่าจะเป็นมะเร็งปากมดลูก เนื่องจากไม่มี
อาการผิดปกติใดๆรองลงมา ไมม่ ีเวลาตรวจและกลวั เจ็บจากการตรวจและอายเจา้ หน้าทท่ี ีต่ รวจ กลุ่มตวั อยา่ งที่
ตอบว่าเคยตรวจมะเรง็ ปากมดลกู มีผลการตรวจปกติ ร้อยละ 95.5 ไม่แน่ใจผลการตรวจหรือจา ไม่ได้ ร้อยละ
1.7 รอผลการตรวจร้อยละ 1.1 และมีผลการตรวจผิดปกติร้อยละ 0.4 กลุ่มตัวอย่างที่เคยตรวจมะเร็งปาก
มดลูกมีความถ่ีของการตรวจปีละ 1 คร้ัง เหตุผลของการไปตรวจมะเร็งปากมดลูก 3 ลาดับแรกคือ ตรวจ
สุขภาพประจาปรี องลงมา กลัวเป็นมะเรง็ ปากมดลูก และตรวจหลงั คลอด สื่อท่ีสตรีส่วนใหญ่เห็นว่าสื่อท่ีเข้าถงึ
กลุ่มของตนมากที่สุดในการตัดสินใจตรวจมะเร็งปากมดลูกลาดับแรกคือโทรทัศน์ ร้อยละ 42.2 รองลงมา
เจ้าหน้าที่สาธารณสุข/อสม. ร้อยละ 24.6 และเสียงตามสายของเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี ร้อยละ 6.5
ตามลาดับ จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรระดับความรู้ ทัศนคติหลังเข้าร่วมโปรแกรมกลุ่ม
ตัวอยา่ งมรี ะดบั ความรแู้ ละมีทศั นคตติ ่อโรคมะเร็งปากมดลูกสูงขึน้ อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ (p < 0.05)
สรุปผลการศึกษา : ผลการศึกษาพบว่าสตรีที่เข้าร่วมโปรแกรมการให้ความรู้ มีระดับความรู้ ทัศนคติภายหลัง
เข้าร่วมโปรแกรมสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 การนาโปรแกรมการให้
ความรู้ดังกล่าวมาใช้ในสตรีท่ีมีผลตรวจปกติเพื่อช่วยเพิ่มระดับควา มรู้และส่งเสริมให้มีทัศนคติที่ดีอันเป็น
บทบาทโดยตรงของพยาบาลวิชาชีพ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่ารูปแบบของโปรแกรมการให้ความรู้ท่ี
ดาเนนิ การตามแนวคดิ ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพและแนวคิดทฤษฎีแรงจูงใจในการป้องกันโรคของ
โรเจอร์สามารถช่วยเพิ่มระดับความรู้และปรับเปลี่ ยนทัศนคติของกลุ่มตัวอย่างได้เน่ืองจากการสอนตาม
โปรแกรมจะเริม่ ตน้ จากการประเมนิ ความรูท้ ี่แต่ละคนมีอยู่เดิมจากนั้นจงึ ให้ความรเู้ ก่ยี วกบั โรคมะเร็งปากมดลูก
และสาเหตุของการเกิดโรคอย่างครอบคลุมซึ่งจะเป็นการช่วยให้กลุ่มตัวอย่างมีข้อมูลเก่ียวกับโรคและวิธีการ
ป้องกันตนเองท่ีถูกต้อง
การนาเสนอผลงานวิจัยไปใช้ในงานประจา : ในการนารูปแบบการให้ความรู้ตามโปรแกรมดังกลา่ วไปใชค้ วร
ให้ความสาคัญกับการประเมินก่อนการให้ความรู้ท่ีคานึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคลเป็นจุดสาคัญ เช่น อายุ
สถานภาพสมรสระดับการศึกษารวมทั้งทัศนคติท่ีมีอยู่เดิมและประยุกต์การสอนให้เข้ากับบริบทของแต่ละ
บุคคลท่ีมีความแตกต่างกันท้ังน้ีการใช้ส่ือการสอนท่ีเห็นภาพจะช่วยกระตุ้นการรับรู้และความเข้าใจให้ดีย่ิงขึ้น
การศึกษาต่อยอดการวิจัยเร่ืองน้ีควรมุ่งท่ีความยั่งยืนโดยการติดตามประเมินพฤติกรรมการูแลตนเองภายหลัง
การได้รบั โปรแกรมการให้ความรู้ในระยะยาว

ปญั หาและอปุ สรรคของ
พยาบาลในการดแู ลผู้ป่วย
แบบประคับประคอง
(Palliative care) โรงพยาบาล
เครือข่ายจังหวัดสพุ รรณบุรี



ชื่อการวิจัย : ปัญหาและอุปสรรคของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง (Palliative
care) โรงพยาบาลเครอื ข่ายจงั หวดั สพุ รรณบุรี
ชื่อผู้นาเสนอผลงาน : นางสาวธนภรณ์ กุลทัพ ตาแหน่งพยาบาลวิชาชีพชานาญการ หน่วยงานศูนย์
แสงส่องใจ กลุ่มการพยาบาลโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช โทร:061 -4962948 Email
:[email protected]
ทม่ี า : การดแู ลผูป้ ว่ ยแบบประคบั ประคองเปน็ รปู แบบการดูแลสขุ ภาพในผูท้ ่ตี ้องทกุ ข์ทรมานดว้ ยโรค
ทค่ี ุกคามต่อชวี ติ ทั้งด้านรา่ งกาย จิตใจ สังคม และจติ วิญญาณ การดแู ลต้องใชค้ วามละเอียดออ่ น
และทักษะสูงเพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถเผชิญความเจ็บป่วยที่มีอยู่ได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ที่สุดเท่าที่ทาได้ เครือข่ายจังหวัดสุพรรณบุรีมีการดาเนินการเร่ืองการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง
อย่างชดั เจนเม่ือปีพ.ศ.2556 โดยไดร้ ับการคัดเลือกใหเ้ ข้ารว่ มโครงการพัฒนาระบบสาธารณสขุ ในการ
บริบาลผู้ป่วยระยะท้ายโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน และโรงพยาบาลในจังหวัดสุพรรณบุรี ของ
สมาคมบริบาลผู้ป่วยระยะท้ายจานวน 4 โรงพยาบาลได้แก่รพศ.เจ้าพระยายมราช รพช.สามชุก
รพช.เดมิ บางนางบวช และรพช.ดา่ นชา้ ง พบว่ารปู แบบการดาเนินงานไมช่ ัดเจน แนวทางการปฏิบัติ
หลากหลาย ไม่ครอบคลุม ขาดความต่อเนื่องถึงชุมชน บุคลากรทีมสุขภาพบางส่วนยังขาดความรู้และ
ทักษะในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง และการพัฒนาระบบบริหารการดูแลผู้ป่วยแบบ
ประคบั ประคองบางโรงพยาบาลยังไม่เป็นไปตามนโยบายของสานักการพยาบาล ผ้วู จิ ยั ต้องการศึกษา
ปญั หาและอุปสรรคท่ีเกดิ ขึ้นและสง่ ผลต่อการดูแลผู้ปว่ ยแบบประคับประคอง เพอ่ื นาไปปรับปรุงการ
ดาเนินการในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองโรงพยาบาลเครือข่ายจังหวัดสุพรรณบุรีให้เกิด
ประสทิ ธิภาพสูงสุด
วัตถุประสงค์ : เพ่ือศึกษาปัญหาและอุปสรรคของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง
ระเบียบวิธีวิจัย/การดาเนินการวิจัย /วิธีการดาเนินการ : เป็นการวิจยั แบบพรรณนาเชิงสารวจกลมุ่
ตัวอย่างได้แก่พยาบาลที่ทาหน้าที่ดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองของรพศ.เจ้าพระยายมราช รพช.
สามชุก รพช.เดิมบางนางบวช และรพช.ด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ที่เข้าร่วมโครงการกับสมาคม
บริบาลการดแู ลผู้ปว่ ยระยะสดุ ท้ายในปี พ.ศ.2557 จานวนกลุ่มตัวอยา่ งทง้ั หมด 50 ท่าน เคร่อื งมือ
ท่ีใช้เพ่ือเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลท่ัวไปและแบบวัดปัญหาและอุปสรรค
ของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง ปรับปรุงจากแบบวัดอุปสรรคในการนา
ผลการวิจัยทางการพยาบาลมาใช้ ของเรณู อาจสาลีและคณะ อุปสรรคมีองค์ประกอบ 4 ด้าน คือ
ด้านผู้ปฏิบัติ ด้านองค์กร ด้านวิธีปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง ด้านลักษณะการ
เผยแพร่ และการเข้าถึงความรู้ มีระดับคะแนน 1-4 นาแบบสอบถามหาค่าความตรงตามเนื้อหา
(content Validity) โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ได้ค่าความตรงตามเนื้อหา (CVI) เท่ากับ 0.93 และ
นาไปหาค่าความเชื่อมั่น(Reliability ) ทั้งฉบับได้ค่าครอนบาคอัลฟ่า เท่ากับ 0.91 สถิติ ท่ีใช้ใน
การวิเคราะห์ข้อมูลไดแ้ กค่ ่ารอ้ ยละ คา่ เฉลย่ี และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน
ผลการศกึ ษา :

1. ข้อมูลทั่วไปของพยาบาลวิชาชีพท่ีเป็นกลุ่มตัวอย่างพบว่า ส่วนใหญ่มีระยะเวลาในการ
ปฏิบัติงาน11-20ปี คิดเป็นร้อยละ 42.0 เคยมีประสบการณ์ในการดูแลผ้ปู ว่ ยแบบประคับประคองคดิ
เปน็ ร้อยละ 86.0 และผา่ นการอบรมเรือ่ งการดแู ลผปู้ ว่ ยแบบประคับประคอง คิดเป็นรอ้ ยละ 82.0

2. ปัญหาและอุปสรรคของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองของท้ัง 4
โรงพยาบาลในภาพรวม อยู่ในระดับน้อย (X = 2.09,SD = 0.56) เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าอยู่ใน
ระดับน้อยทุกด้าน โดยด้านท่ีมีค่าคะแนนเฉลี่ยสูงสุด คือด้านการเผยแพร่และเข้าถึงความรู้(X =

2.28,SD = 0.72) รองลงมาคือด้านวิธีการปฏิบัต(ิ X = 2.13,SD = 0.61) ดา้ นผ้ปู ฏิบัติ (X = 2.12,SD
= 0.67) และน้อยทีส่ ดุ คอื ด้านองคก์ ร(X = 1.82,SD = 0.55)

3. ปัญหาและอุปสรรคของพยาบาลในการในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง เมื่อ
พิจารณารายข้อพบว่าเป็นปัญหาระดับกลางจานวน 3 ข้อ ได้แก่วิธีปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยแบบ
ประคับประคองตอ้ งใช้ทักษะและความสามารถสูง ( วธิ ีการปฏบิ ัต)ิ ( X = 3.26,SD = 0.78) รองลงมา
คือทา่ นมีงานดา้ นอ่ืน ๆ มากจนไม่มเี วลาในการดูแลผูป้ ่วยแบบประคบั ประคองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(ด้านองค์กร)(X=2.64,SD=0.96)และน้อยท่ีสุด คือมีเวลาไม่เพียงพอท่ีจะศึกษาค้นคว้าหรือปรับปรุง
วิธีการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองให้เหมาะสมและทันสมัยอยู่เสมอ(ด้านองค์กร) ( X = 2.52,SD
= 0.84)
สรุปผลการศึกษา : ผลการศึกษาพบว่าปัญหาและอุปสรรคของพยาบาลในการการดูแลผู้ป่วยแบบ
ประคับประคองอยู่ในระดับน้อย ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การเผยแพร่และเข้าถึงความรู้ด้าน
ตา่ งๆท่เี กย่ี วข้องกับการดูแลผ้ปู ่วยแบบประคบั ประคอง ดา้ นวธิ ีการหรือลักษณะของการปฏิบตั ใิ นการ
ดแู ลผูป้ ่วยแบบประคบั ประคอง ดา้ นผปู้ ฏิบตั ิ (ลักษณะของพยาบาล) และด้านองค์กร เป็นปัญหาและ
อุปสรรค ระดับน้อยในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองของท้ัง 4 โรงพยาบาล เมื่อพิจารณาราย
ข้อพบว่าปัญหาและอุปสรรคของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง ท่ีเป็นปัญหามาก
ที่สุดอยู่ระดับกลาง ได้แก่วิธีปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองต้องใช้ทักษะและ
ความสามารถสงู รองลงมาคอื มีงานด้านอ่ืนๆมากจนไม่มีเวลาในการดูแลผู้ปว่ ยแบบประคบั ประคองได้
อย่างมีประสิทธิภาพ และมีเวลาไม่เพียงพอ ที่จะศึกษาค้นคว้า หรือปรับปรุงวิธีการดูแลผู้ป่วยแบบ
ประคบั ประคองใหเ้ หมาะสม และทนั สมยั อยเู่ สมอ
การนาผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในงานประจา : การดาเนินการในการดูแลผู้ป่วยแบบ
ประคับประคองโรงพยาบาลเครือข่ายจังหวดั สุพรรณบุรี ให้เกิดประสิทธภิ าพสงู สุด ควรร่วมกันจัดทา
รูปแบบการดแู ลและสง่ ตอ่ ผูป้ ่วยท่ีชดั เจน เป็นไปในแนวทางเดยี วกัน ส่งเสรมิ ทกั ษะในการดแู ลผู้ป่วย
แบบประคับประคองให้กับบุคลากรที่ดูแลและเกี่ยวข้อง ควรร่วมกันจัดตั้งทีมในการดูแลและให้
คาปรึกษา ตลอดจนสนับสนุนในด้านเวลาให้เพียงพอ และควรจัดทาคู่มือเร่ืองการดูแลผู้ป่วยแบบ
ประคับประคองไว้ประจาหน่วยงานท่ีมีเนอื้ หาเหมาะสม เข้าใจง่าย และสามารถนาไปใช้ปฏบิ ัตไิ ดจ้ รงิ
และทนั สมยั อย่เู สมอ

การพัฒนารปู แบบการจัดทา
เวชระเบยี นตามแนวคิด
Lean Development of medical
records based on Lean Concept



รายงานวจิ ัย

การพฒั นารูปแบบการจดั ทาเวชระเบียนตามแนวคดิ Lean

Development of medical records based on Lean Concept

นายวีระพล บญุ เรอื งโรจน์
นางสาวสุพรรณิกา อบุ ลบาน

โรงพยาบาลศรปี ระจนั ต์ อาเภอศรีประจันต์ จังหวัดสพุ รรณบุรี
ได้รับทุนอุดหนุนการวจิ ัยจากสานักงานสาธารณสุขจงั หวัดสุพรรณบรุ ี

กมุ ภาพันธ์ 2561

การพัฒนารปู แบบการจดั ทาเวชระเบียนตามแนวคิด Lean
Development of medical records based on lean concept

วีระพล บญุ เรอื งโรจน์
สพุ รรณิกา อุบลบาน
**นกั วชิ าการสาธารณสขุ รพ.ศรปี ระจันต์

บทคดั ยอ่

วตั ถปุ ระสงค์ เพ่ือพฒั นารูปแบบกาจดั ทาเวชระเบยี นตามแนวคดิ Lean และศกึ ษาระยะเวลาการจัดทา
เวชระเบียนผปู้ ่วยใน

วธิ กี ารวิจัย รปู แบบการวจิ ยั (Study Design) เป็นการวิจยั ปฏบิ ัติการ(Action research) ดาเนนิ การศึกษา
ขอ้ มลู ที่เกีย่ วข้อง พัฒนารปู แบบเวชระเบยี นตามแนวคิด Lean ทดลองใช้งาน ปรับปรงุ แก้ไขในชว่ งเดอื น
มนี าคม พ.ศ. 2560 – กันยายน พ.ศ. 2560

ผลการวจิ ัย จากการวิจยั สามารถพฒั นาเวชระเบยี นให้พยาบาลสามารถส่ังพมิ พแ์ บบเวชระเบยี นจาก
คอมพวิ เตอร์ ลกู ข่ายซ่ึงเชื่อมโยงเขา้ กบั เครอ่ื งแมข่ ่ายของโรงพยาบาลศรปี ระจันต์ โดยพยาบาลสามารถ
สั่งพมิ พเ์ วชระเบียนชดุ รบั ใหม่ได้ในครงั้ เดยี ว คอมพวิ เตอรจ์ ะส่งั พมิ พเ์ อกสารเวชระเบยี นท่ีจาเปน็ ทกุ ฉบบั
พร้อมขอ้ มูลที่มที ้งั หมด ลดการเขียนดว้ ยลายมอื ลดความคลาดเคลือ่ นของการคัดลอกยาจากลายมือแพทย์
และสามารถพิมพ์แบบเวชระเบยี นเพิม่ เติมไดต้ ามความตอ้ งการ

สามารถลดระยะเวลาการจดั ทาเวชระเบยี นผปู้ ่วยรบั ใหมล่ ง 15 นาที(ก่อนพัฒนาเวชระเบียนตาม
แนวคดิ LEAN ใช้เวลา 30 นาที หลังพฒั นาเวชระเบยี นตามแนวคดิ LEAN ใช้เวลา 15 นาที) โดยไมท่ าให้
มาตรฐานของข้อมูลที่ต้องการขาดหาย ความพึงพอใจด้านความครอบคลุมของข้อมูล มีความพึงพอใจระดับ
มากท่ีสดุ ร้อยละ 93.75 ด้านความถูกตอ้ งตามมาตรฐาน มคี วามพึงพอใจระดบั มากทส่ี ุด ร้อยละ 90.63
ด้านรวดเร็วของการจดั ทาเวชระเบยี น ร้อยละ 100.00 ด้านสะดวก มีความพงึ พอใจระดับมาก รอ้ ยละ 90.63
ความพงึ พอใจในภาพรวมของการจดั เวชระเบียนจากการพฒั นาเวชระเบยี นตามแนวคดิ LEAN มคี วาม
พึงพอใจระดับมากที่สุด ร้อยละ 93.75 เวชระเบียนตามแนวคดิ LEAN สามารถเช่ือมโยงข้อมูลของผปู้ ว่ ย
แตล่ ะแผนกใหส้ ามารถใช้ขอ้ มลู รว่ มกนั ได้แบบ Real time เป็นการให้ผูป้ ฏบิ ตั ิงานสะดวกในการปฏบิ ัติงาน
ของพยาบาลแบบไร้รอยตอ่ (Seamless)
ขอ้ เสนอแนะ ผปู้ ฏบิ ตั งิ านควรเปดิ ใชง้ านตามความจาเปน็ และ Log out โปรแกรมทกุ ครง้ั ที่ไมต่ ้องการ
เข้าถึงข้อมูล กอ่ นพิมพ์เวชระเบยี นผู้ปฏบิ ัตงิ านควรตรวจสอบรายชอ่ื ผปู้ ่วยใหแ้ นใ่ จกอ่ นเพอ่ื ปอ้ งกันความ
ผิดพลาดการบนั ทึกขอ้ มลู ผู้ป่วยตั้งแต่ผู้ปว่ ยเข้ามาในโรงพยาบาลจะต้องมีความถูกตอ้ งสมบูรณเ์ พ่อื ปอ้ งกัน
ความผิดพลาด การปรบั เปลย่ี นแบบบนั ทกึ เวชระเบยี นควรผา่ นการรบั รองจากหนว่ ยงานท่ีเก่ียวขอ้ งและ
ได้รับการรับรองจากองคก์ รเรียบรอ้ ยแล้ว

กติ ตกิ รรมประกาศ

งานวจิ ยั ฉบบั นี้สาเรจ็ ลงได้ดว้ ยดีผูว้ จิ ัยขอขอบคุณผู้ให้รบั การสนบั สนุนทุกท่าน ประกอบด้วย
นายแพทย์สธุ น ยวุ ศิรนิ ันท์ ผอู้ านวยการโรงพยาบาลศรปี ระจนั ต์ หวั หนา้ พยาบาลโรงพยาบาลศรีประจนั ต์
พยาบาลปฏบิ ัติการทกุ ท่านทใี่ ห้ข้อมูลเพอ่ื การพฒั นาแบบเวชระเบียนตามแนวคิด Lean สามารถสาเรจ็ ได้
และนาไปใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงานซึ่งทาให้ลดภาระงานและเพ่ิมคณุ ภาพของเวชระเบียนได้ ขอขอบคณุ
น้องๆ กลมุ่ งานประกนั สุขภาพ ยทุ ธศาสตรแ์ ละสารสนเทศทางการแพทย์ ทีร่ ่วมแรงร่วมใจชว่ ยกนั พัฒนา
และปรบั ปรงุ แกไ้ ขใหแ้ บบเวชระเบยี นใชง้ านได้ตลอด 24 ชัว่ โมง ขอขอบคุณ ดร.เพช็ รนอ้ ย ศรีผดุ ผอ่ ง
หัวหน้ากลุ่มงานพัฒนายุทธศาสตร์ สานักงานสาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ผลักดันให้โครงการสนบั สนนุ
ทุนวจิ ยั ไดร้ บั การอนุมตั อิ ันจะเปน็ ประโยชนใ์ นการพัฒนาศกั ยภาพของบคุ ลากร และสนบั สนุนการพัฒนา
คุณภาพบริการต่อไป ขอขอบคุณ ผศ.ดร.ศิริพร จันทร์ฉาย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บรู พา
ทสี่ ละเวลาให้คาปรกึ ษา เสนอแนะการดาเนนิ การวิจยั ตลอดมา

ผวู้ จิ ัยหวงั วา่ งานวิจัยฉบบั น้ีจะมปี ระโยชนอ์ ย่ไู มน่ ้อย จงึ ขอมอบส่วนดีบูชาคุณ แด่บิดา มารดา และ
ผู้มีพระคุณทุกท่าน สาหรับขอ้ บกพรอ่ งตา่ งๆ ท่ีอาจจะเกดิ ขึน้ น้ัน ผวู้ ิจยั ขอนอ้ มรับผดิ เพียงผู้เดียว และยินดี
ที่จะรับฟังคาแนะนาจากทุกท่านทไี่ ดเ้ ข้ามาศกึ ษา เพ่ือเป็นประโยชน์ใน การพัฒนางานวจิ ัยตอ่ ไป

วรี ะพล บุญเรอื งโรจน์
กุมภาพนั ธ์ 2561



กิตตกิ รรมประกาศ

งานวจิ ัยฉบับนีส้ าเร็จลงได้ด้วยดีผู้วิจยั ขอขอบคณุ ผู้ให้รับการสนับสนุนทุกทา่ น ประกอบด้วย
นายแพทยส์ ธุ น ยวุ ศริ ินนั ท์ ผอู้ านวยการโรงพยาบาลศรีประจนั ต์ หวั หนา้ พยาบาลโรงพยาบาลศรปี ระจนั ต์
พยาบาลปฏบิ ตั ิการทกุ ทา่ นทใี่ หข้ ้อมลู เพ่ือการพัฒนาแบบเวชระเบียนตามแนวคิด Lean สามารถสาเรจ็ ได้
และนาไปใช้ประโยชน์ในการปฏบิ ตั งิ านซึง่ ทาใหล้ ดภาระงานและเพ่ิมคุณภาพของเวชระเบยี นได้ ขอขอบคณุ
นอ้ งๆ กลุม่ งานประกนั สขุ ภาพ ยุทธศาสตรแ์ ละสารสนเทศทางการแพทย์ ทีร่ ่วมแรงร่วมใจชว่ ยกันพัฒนา
และปรบั ปรงุ แกไ้ ขใหแ้ บบเวชระเบียนใชง้ านไดต้ ลอด 24 ชัว่ โมง ขอขอบคุณ ดร.เพช็ รนอ้ ย ศรีผุดผอ่ ง
หวั หน้ากล่มุ งานพัฒนายุทธศาสตร์ สานักงานสาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ผลักดันใหโ้ ครงการสนบั สนนุ
ทนุ วจิ ัยไดร้ บั การอนมุ ตั อิ นั จะเปน็ ประโยชน์ในการพฒั นาศกั ยภาพของบคุ ลากร และสนับสนุนการพัฒนา
คุณภาพบริการตอ่ ไป ขอขอบคุณ ผศ.ดร.ศิริพร จันทร์ฉาย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา
ทสี่ ละเวลาให้คาปรกึ ษา เสนอแนะการดาเนินการวจิ ัยตลอดมา

ผู้วจิ ยั หวงั ว่างานวจิ ัยฉบับนีจ้ ะมีประโยชนอ์ ยูไ่ ม่น้อย จงึ ขอมอบส่วนดีบูชาคุณ แดบ่ ดิ า มารดา และ
ผู้มพี ระคณุ ทุกทา่ น สาหรับขอ้ บกพร่องต่างๆ ท่ีอาจจะเกดิ ขนึ้ นนั้ ผู้วจิ ยั ขอนอ้ มรับผิดเพียงผเู้ ดยี ว และยินดี
ทีจ่ ะรับฟังคาแนะนาจากทุกท่านที่ไดเ้ ข้ามาศึกษา เพื่อเปน็ ประโยชนใ์ น การพัฒนางานวิจยั ต่อไป

วรี ะพล บญุ เรืองโรจน์
กุมภาพนั ธ์ 2561



การพัฒนารูปแบบการจดั ทาเวชระเบียนตามแนวคิด Lean
Development of medical records based on lean concept

วรี ะพล บุญเรอื งโรจน์
สุพรรณกิ า อุบลบาน
**นักวชิ าการสาธารณสุข รพ.ศรีประจันต์

บทคัดย่อ

วัตถุประสงค์ เพ่ือพฒั นารูปแบบกาจดั ทาเวชระเบยี นตามแนวคิด Lean และศกึ ษาระยะเวลาการจดั ทา
เวชระเบยี นผปู้ ่วยใน

วธิ ีการวิจยั รปู แบบการวจิ ยั (Study Design) เปน็ การวิจัยปฏบิ ัติการ(Action research) ดาเนนิ การศึกษา
ขอ้ มลู ที่เกย่ี วข้อง พัฒนารปู แบบเวชระเบียนตามแนวคดิ Lean ทดลองใชง้ าน ปรบั ปรุงแก้ไขในชว่ งเดือน
มีนาคม พ.ศ. 2560 – กนั ยายน พ.ศ. 2560

ผลการวจิ ยั จากการวจิ ยั สามารถพัฒนาเวชระเบียนใหพ้ ยาบาลสามารถสั่งพมิ พแ์ บบเวชระเบียนจาก
คอมพวิ เตอร์ ลูกข่ายซึง่ เชอื่ มโยงเข้ากบั เครอ่ื งแมข่ ่ายของโรงพยาบาลศรปี ระจันต์ โดยพยาบาลสามารถ
สง่ั พมิ พเ์ วชระเบยี นชุดรับใหม่ไดใ้ นครง้ั เดียว คอมพวิ เตอร์จะส่งั พมิ พเ์ อกสารเวชระเบยี นทีจ่ าเปน็ ทกุ ฉบบั
พรอ้ มขอ้ มูลทม่ี ที งั้ หมด ลดการเขยี นดว้ ยลายมือ ลดความคลาดเคล่ือนของการคัดลอกยาจากลายมือแพทย์
และสามารถพมิ พ์แบบเวชระเบยี นเพมิ่ เติมได้ตามความตอ้ งการ

สามารถลดระยะเวลาการจัดทาเวชระเบยี นผู้ป่วยรบั ใหม่ลง 15 นาที(ก่อนพฒั นาเวชระเบยี นตาม
แนวคิด LEAN ใช้เวลา 30 นาที หลงั พัฒนาเวชระเบียนตามแนวคิด LEAN ใช้เวลา 15 นาที) โดยไมท่ าให้
มาตรฐานของข้อมูลที่ต้องการขาดหาย ความพงึ พอใจด้านความครอบคลุมของข้อมลู มีความพงึ พอใจระดับ
มากทสี่ ดุ ร้อยละ 93.75 ด้านความถูกตอ้ งตามมาตรฐาน มคี วามพงึ พอใจระดับมากทสี่ ดุ รอ้ ยละ 90.63
ด้านรวดเรว็ ของการจัดทาเวชระเบยี น ร้อยละ 100.00 ด้านสะดวก มีความพงึ พอใจระดับมาก ร้อยละ 90.63
ความพึงพอใจในภาพรวมของการจดั เวชระเบียนจากการพฒั นาเวชระเบยี นตามแนวคิด LEAN มีความ
พึงพอใจระดับมากที่สุด ร้อยละ 93.75 เวชระเบยี นตามแนวคิด LEAN สามารถเช่ือมโยงข้อมลู ของผปู้ ่วย
แตล่ ะแผนกใหส้ ามารถใชข้ อ้ มลู รว่ มกันไดแ้ บบ Real time เป็นการใหผ้ ูป้ ฏบิ ตั ิงานสะดวกในการปฏบิ ตั ิงาน
ของพยาบาลแบบไรร้ อยต่อ(Seamless)
ข้อเสนอแนะ ผู้ปฏิบัตงิ านควรเปดิ ใชง้ านตามความจาเปน็ และ Log out โปรแกรมทกุ ครง้ั ท่ีไม่ตอ้ งการ
เขา้ ถึงขอ้ มูล กอ่ นพิมพเ์ วชระเบียนผูป้ ฏิบัตงิ านควรตรวจสอบรายชอื่ ผปู้ ่วยให้แนใ่ จกอ่ นเพื่อปอ้ งกันความ
ผดิ พลาดการบันทกึ ขอ้ มูลผู้ป่วยต้ังแตผ่ ู้ปว่ ยเขา้ มาในโรงพยาบาลจะตอ้ งมีความถูกตอ้ งสมบูรณเ์ พ่อื ปอ้ งกัน
ความผดิ พลาด การปรบั เปลยี่ นแบบบนั ทึกเวชระเบียนควรผา่ นการรบั รองจากหนว่ ยงานทเี่ กี่ยวขอ้ งและ
ได้รับการรบั รองจากองค์กรเรียบรอ้ ยแล้ว

สารบญั ค

กติ ิกรรมประกาศ หน้า
บทคดั ยอ่ ภาษาไทย ก

บทที่ 1 บทนา
ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา 1
วัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั 1
ขอบเขตการวจิ ัย 3
ประโยชน์ที่คาดว่าจะไดร้ ับ 3
ปจั จัยท่เี อื้อต่องการวิจัยท่มี ีอยู่ 3
3
บทท่ี 2 ทฤษฎแี ละวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง
แนวคดิ การใชค้ อมพิวเตอร์บันทึกการพยาบาล 4
แนวคิดของลนี (Lean) 4
การทบทวนวรรรณกรรม/สารสนเทศ ที่เกย่ี วขอ้ ง 7
กรอบแนวคดิ ในการวิจัย 10
17
บทท่ี 3 วิธีการดาเนนิ การวจิ ยั
1. รูปแบบการวิจยั 18
2. ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง 18
3. วิธีการดาเนินการวจิ ยั 19
4. เคร่ืองมือท่ใี ชใ้ นการวจิ ัย 20
5. สถิตทิ ี่ใชใ้ นการวจิ ยั 21
6. ระยะเวลาทาการวิจยั 21
21

บทที่ 4 ผลการวิจยั ง
แบบเวชระเบยี นตามแนวคดิ LEAN
วิธกี ารพมิ พเ์ วชระเบียนตามแนวคิด LEAN หน้า
สรา้ งแบบเวชระเบยี นผู้ปว่ ยใน 22
การลดข้นั ตอนการจัดทาชารต์ ผ้ปู ่วยใน 23
การคดิ ต้นทุนการจดั ทาชาร์ตผปู้ ว่ ยใน 23
การประเมินความพงึ พอใจของพยาบาล 24
46
บทท่ี 5 อภิปรายผล สรุปและข้อเสนอแนะ 47
อภปิ รายผล 47
สรุป
ขอ้ แสนอแนะ 50
50
เอกสารอา้ งองิ 53
ภาคผนวก 53
ประวตั ผิ ู้วิจยั
54
56
60

สารบญั ภาพ จ

ภาพที่ หน้า

1 วงจรคุณภาพ PDCA 9
2 วิธีการพมิ พเ์ วชระเบยี น 23
3 แบบบันทึกประวัตทิ างการแพทย์ 25
4 แบบ IN-PATIENT SUMMARY 26
5 แบบประเมินภาวะสุขภาพของผูป้ ่วยใน 27
6 แบบการประเมินแบบแผนสขุ ภาพ 28
7 ฟอร์มปรอท 29
8 แบบรายงานผลทางห้องปฏิบัตกิ าร 30
9 แบบบันทกึ การใหย้ า 31
10 ใบสรปุ ค่ารักษาพยาบาลผปู้ ่วยใน 32
11 แบบบนั ทึกทางการพยาบาล 33
12 Doctor’s Order Sheet 34
13 แบบรายละเอียดการเตรยี มผู้ปว่ ย/ญาติ สาหรับผ้ปู ่วยแผลกดทบั 35
14 แบบบนั ทกึ อาการเปลี่ยนแปลง 36
15 แบบบนั ทึกสัญญาณทางระบบประสาท 37
16 แบบเฝา้ ระวงั การตดิ เช้อื 38
17 แบบบันทึกข้อความจากแพทยถ์ ึงผู้อานวยการโรงพยาบาลศรีประจนั ต์ 41
18 ใบจอง/ขอโลหิต 42
19 แบบบนั ทกึ การใชเ้ ครื่องช่วยหายใจ 43
20 แบบรายละเอยี ดการเตรยี มผู้ป่วย/ญาติเพือ่ ดูแลสขุ ภาพกอ่ นจาหนา่ ย สาหรบั 44

ผปู้ ว่ ยโรคเบาหวาน 45
21 แบบบนั ทึกการดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออกท่กี าลงั อย่ใู นภาวะวิกฤต



สารบญั ตาราง หน้า
46
ตารางที่

1 แสดงขั้นตอนการจดั ทาเวชระเบียนกอ่ น-หลงั พัฒนาเวชระเบียนตามแนวคิด
LEAN

การพฒั นารปู แบบการจดั ทาเวชระเบยี นตามแนวคดิ Lean 1

บทที่ 1

บทนำ

ควำมสำคญั และที่มำของปัญหำ
กิจกรรมที่พยาบาลปฏิบัติเพื่อการดูแลช่วยเหลือผู้ป่วย ครอบคลุมท้ังด้านร่างกาย จิตใจ

อารมณ์ สังคมและจิตวญิ ญาณ ตลอดจนช่วยให้ผู้ปว่ ยไดร้ บั การดูแลทั้งดา้ นการรักษา การป้องกัน การ
ส่งเสริมและการฟ้ืนฟูสภาพร่างกาย บันทึกทางการพยาบาลเป็นการบันทึกข้อมูลภาวะสุขภาพและ
ปญั หาของผู้ปว่ ย กิจกรรมการพยาบาลและผลลัพธ์เป็นขอ้ มูลท่ีถาวรและใช้เปน็ หลักฐานทางกฎหมาย
และเป็นข้อมูลที่แสดงถึงคุณภาพการดูแลผู้ป่วยและเป็นการให้ข้อมูลเก่ียวกับผู้ป่วยแก่บุคลากรทีม
สุขภาพ ซ่ึงเป็นไปตามประกาศของสภาการพยาบาล(สภาการพยาบาล, 2548) เรื่อง มาตรฐานการ
พยาบาลและผดุงครรภ์ พ.ศ.2548 ในมาตรฐานการปฏิบัติการพยาบาลและผดุงครรภ์ มาตรฐานที่ 5
เรื่องการบันทึกและรายงานที่กล่าวไว้ว่า “… บันทึกและรายงานการพยาบาลและผดุงครรภ์ให้
ครอบคลุมการดูแลผู้รับบริการตามกระบวนการพยาบาลโดยครบถ้วน ถูกต้องตามความเป็นจริง
ชัดเจน กะทัดรัดมีความต่อเนื่อง และสามารถใช้เพื่อประเมินคุณภาพบริการพยาบาลและผดุงครรภ์
ได…้ ”

จากกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกท่ีกา้ วไปสยู่ ุคของโลกไร้พรมแดน อนั เนื่องมาจาก
ความเจริญของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ทาใหท้ ุกคนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้อยา่ งรวดเรว็ ท่วั โลก
ดังน้ันระบบราชการหรือหน่วยงานของรัฐในฐานะเป็นกลไกของรัฐบาลในการผลักดันนโยบายให้ไปสู่
การปฏิบัติ จึงมีความจาเปน็ อย่างยิ่งท่ีจะต้องมีการพัฒนาและปรับเปล่ียนบทบาทการทางานให้มี
ความทันสมัยมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการของรัฐให้สามารถตอบสนองความต้องการ
ของประชาชนได้ ดว้ ยเหตุผลและความจาเปน็ ดงั กล่าวรฐั บาลทุกยุคทุกสมัยได้ใหค้ วามสาคัญกับ การ
บรกิ ารประชาชน ทั้งนี้โดยมีกฎหมาย กฎระเบียบและนโยบายรองรับการดาเนินการ เกี่ยวกบั การลด
ข้นั ตอนและระยะเวลาการปฏิบัติราชการเพ่ือประชาชน ดงั น้ี

1) รัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย ได้บัญญัติในส่วนที่เกี่ยวของกับการบริการของ
หน่วยงานของรฐั ไว้ ดังนี้ “มาตรา 70 บุคคลผูเปน็ ข้าราชการ พนกั งาน หรือลกู จ้างของหน่วย ราชการ
หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือของราชการส่วนท้องถิ่นและเจ้าหน้าท่ีอื่นของรัฐ มีหนาท่ี
ดาเนินการใหเป็นไปตามกฎหมายเพ่ือรักษาประโยชน์ส่วนรวม อานวยความสะดวกและใหบรกิ ารแก
ประชาชน ในการปฏบิ ัตหิ น้าที่หรือในการปฏิบัตกิ ารอน่ื ที่เกยี่ วของกับประชาชน บุคคลตามวรรคหนึ่ง

การพัฒนารปู แบบการจดั ทาเวชระเบยี นตามแนวคดิ Lean 2

ต้องวางตนเปนกลางทางการเมือง ในกรณีท่ีบุคคลตามวรรคหน่ึงละเลยหรอื ไมปฏิบัติให้เป็นไปตาม
หน้าที่ ตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง บุคคลผู้มีส่วนได้เสียย่อมมีสิทธิขอให้บุคคลตามวรรคหนึ่ง หรือ ผู้
บังคับบัญชาของบุคคลดังกล่าวชี้แจงแสดงเหตุผลและขอให้ดาเนินการให้เปนไปตามบัญญัติ ในวรรค
หนึ่งหรือวรรคสองได้” “มาตรา 75 รัฐต้องดูแลใหมีการปฏิบัติตามกฎหมาย คุ้มครองสิทธิและ
เสรีภาพของบคุ คล จัดระบบงานของกระบวนการยุติธรรมให้มีประสิทธภิ าพและอานวยความยตุ ิธรรม
แกประชาชนอย่างรวดเร็วและเท่าเทียมกัน รวมท้ัง จดั ระบบงานราชการและงานของรัฐอย่างอื่นให้มี
ประสทิ ธภิ าพ ตอบสนองความต้องการของประชาชน”

2) มาตรา 3/1 แหง่ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับท่ี 5) พ.ศ. 2545
ไดบ้ ัญญตั ิไว้ดังนี้ “การบริหารราชการตามพระราชบญั ญัตนิ ต้ี ้องเปน็ ไปเพื่อประโยชนส์ ุขของประชาชน
เกิดผลสมั ฤทธติ์ ่อภารกิจของรฐั ความมปี ระสทิ ธิภาพ ความคุ้มคา่ ในเชงิ ภารกจิ แห่งรัฐ การลดขนั้ ตอน
การปฏิบัติงาน การลดภารกิจและยุบเลิกหน่วยงานที่ไม่จาเป็น การกระจายภารกิจและทรัพยากร
ใหแ้ ก่ท้องถ่ิน การกระจายอานาจตัดสินใจ การอานวยความสะดวกและการตอบสนองความต้องการ
ของประชาชน ทั้งน้ีโดยมีผู้รับผิดชอบต่อผลของงาน ในการปฏิบัติหน้าท่ีของส่วนราชการ ต้องใช้
วิธีการบริหารกิจการบ้านเมอื งท่ดี ี โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ให้คานึงถงึ ความรับผดิ ชอบของผู้ปฏิบตั ิงาน การ
มสี ่วนรว่ มของประชาชน การเปิดเผยข้อมลู การตดิ ตามตรวจสอบและประเมนิ ผลการปฏบิ ัตงิ าน ท้งั นี้
ตามความ เหมาะสมแตล่ ะภารกิจ”

โรงพยาบาลศรีประจันต์เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 60 เตียง มีผู้ป่วยนอนรักษาเป็น
ผู้ปว่ ยในเฉลี่ยวันละ 48 ราย มีจานวนผปู้ ว่ ยรับเข้าเป็นผู้ป่วยในวันละ 10 – 12 ราย ข้ันตอนการ
รับผู้ป่วยเข้านอนในหอผู้ป่วยในมีความสัมพันธ์โดยตรงกับเวชระเบียนผู้ป่วยในอันเป็นเอกสารสาคัญ
ท้ังด้านการดูแลผู้ป่วย การส่ังการรักษาโดยแพทย์ แผนการพยาบาล การบริหารยาและเวชภัณฑ์
ตลอดจนหลักฐานทางกฎหมาย เวชระเบียนผู้ป่วยในจะเกิดข้ึนได้จะเชื่อมโยงกับบุคลากรหลาย
หน่วยงาน โดยเจา้ หน้าที่กลุ่มงานการจัดการเป็นผู้จัดทาแบบเวชระเบียนโดยการถ่ายสาเนาแบบเวช
ระเบียนตามแบบมาตรฐานซ่ึงกลุ่มงานการพยาบาลกาหนด แบบเวชระเบียนการรับผู้ป่วยใหม่
ประกอบด้วยแบบเวชระเบียน จานวน 10 – 14 ฉบับ กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยในจะนาแบบ
เวชระเบยี นมาจัดเป็นชดุ เรยี งตามมาตรฐานเพือ่ เตรียมพรอ้ มรบั ผู้ป่วยใหม่ เมื่อผู้ป่วยเขา้ นอนในหอ
ผู้ป่วย พยาบาลจะนาชุดเวชระเบียนรับใหม่เพื่อบันทึกข้อมูลตามมาตรฐานด้วยลายมือ พิมพ์
สต๊ิกเกอร์ ข้อมูลผู้ป่วยจานวน 14 แผ่น นามาติดที่ส่วนท้ายของเวชระเบียนทุกฉบับ ซึ่งขั้นตอนการ
บันทึกรวมการจัดให้ผู้ป่วยเข้านอนใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดยจะต้องให้พยาบาล 1 คน

การพฒั นารปู แบบการจัดทาเวชระเบยี นตามแนวคิด Lean 3

ดาเนินการให้แล้วเสร็จ เพ่ือลดระยะเวลาการจดั ทาเวชระเบียนผู้ป่วยในรับใหม่ซึ่งจะทาให้พยาบาลมี
เวลาไปดูแลผู้ปว่ ยได้มากขนึ้ จงึ ได้การพัฒนารูปแบบการจดั ทาเวชระเบียนตามแนวคิด Lean

วตั ถุประสงคก์ ำรวิจัย
1) เพือ่ พฒั นารปู แบบการจดั ทาเวชระเบยี นตามแนวคดิ Lean
2) เพอื่ ศึกษาผลของการพฒั นารูปแบบการลดเวลาการจัดทาเวชระเบยี นผู้ป่วยใน

ขอบเขตกำรวิจัย
ก า ร วิ จั ย ค รั้ งนี้ จ ะ ท า ก า ร ท ด ล อ งใช้ ก า ร พิ ม พ์ เว ช ร ะ เบี ย น ผู้ ป่ ว ย ใน จ า ก ฐ าน ข้ อ มู ล ด้ ว ย

คอมพวิ เตอร์ เฉพาะกลุ่มงานการพยาบาลผปู้ ว่ ยใน โรงพยาบาลศรีประจันต์

ประโยชนท์ ี่คำดวำ่ จะได้รบั
1. สามารถยกเลิกภาระงานเจ้าหน้าท่ีกลุ่มการจัดการในการจัดทาสาเนาแบบเวชระเบียน

สนบั สนนุ การบริการของพยาบาลกล่มุ งานการพยาบาลผ้ปู ว่ ยใน
2. สามารถยกเลิกการจัดซ้ือ สติ๊กเกอร์ สาหรับพิมพ์ข้อมูลท่ัวไปผู้ป่วยในเพื่อติดส่วนท้าย

ของเวชระเบยี น
3. สามารถยกเลกิ ตสู้ าหรับจดั เกบ็ แบบเวชระเบียนในหอผู้ปว่ ยในทงั้ หมด
4. สามารถลดขอ้ ขัดแยง้ กรณเี ปล่ียนแปลงแบบเวชระเบียนซึ่งบางครงั้ หน่วยงานอาจยังไมไ่ ด้

ทาลายแบบเดมิ ทาให้ใช้แบบเวชระเบยี นทีแ่ ตกตา่ งกนั
5. สามารถลดความสูญเสียกระดาษกรณีมีการเปล่ียนแปลงแบบเวชระเบียนทาให้แบบซึ่ง

กลุ่มงานการจัดการจัดทาสาเนาไว้ให้ยังคงค้างอยู่ซึ่งการพิมพ์เวชระเบียนจากฐานข้อมูลด้วย
คอมพวิ เตอร์สามารถแกไ้ ขจากฐานขอ้ มูลและงานสามารถใชไ้ ด้พร้อมกันในทนั ที

ปจั จยั ทเ่ี อ้ือต่อกำรวจิ ัยที่มีอยู่
1. เป็นนโยบายของผบู้ รหิ ารในการลดภาระงานและอานวยความสะดวกผู้ปฏิบตั ิงาน
2. มบี ุคลากรที่มีศักยภาพด้านการจดั ทาชดุ คาสั่งเพื่อสร้างแบบเวชระเบียนสาหรับพิมพ์จาก

ฐานขอ้ มูลดว้ ยคอมพวิ เตอร์
3. มีระบบตอ่ พว่ งภายในโรงพยาบาล(Intranet) สามารถใหบ้ ริการได้ตลอด 24 ชม.

การพัฒนารูปแบบการจดั ทาเวชระเบยี นตามแนวคดิ Lean 4

บทที่ 2

ทฤษฎีและวรรณกรรมทเี่ ก่ยี วข้อง

ผู้วิจัยไดท้ าการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวขอ้ งดงั น้ี
1. แนวคดิ การใช้คอมพิวเตอร์บนั ทึกทางการพยาบาล
2. แนวคดิ ของลีน (LEAN)
3. การทบทวนวรรณกรรม/สารสนเทศ(Information) ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง

แนวคดิ กำรใชค้ อมพวิ เตอร์บันทกึ ทำงกำรพยำบำล
การบันทึกการพยาบาลที่มีคุณภาพนั้นจะต้องสะท้อนแนวคิดต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องโดยอาจใช้

ทฤษฎีทางการพยาบาลทฤษฎีใด ทฤษฎีหนึ่ง หรือหลายทฤษฎีร่วมกันในการประเมินภาวะสุขภาพ
จนถึงการประเมินผลปฏิบัติการพยาบาลซ่ึงต้องครอบคลุมปัญหาทั้งด้านร่างกายจิตใจสังคมและจิต
วิญญาณของผู้ป่วย ดังน้ันถ้ามีการบันทึกทางการพยาบาลอย่างครบถ้วน ถูกต้อง ย่อมเป็นที่ประกัน
ได้ว่าผู้ป่วยจะได้รับการปฏิบัติการพยาบาลท่ีดีเพราะผู้เกี่ยวข้องทุกคนได้รับรู้ข้อมูลของผู้ป่วยอย่าง
ชัดเจน ทาให้นาลงมาสู่การปฏิบัติการพยาบาลที่เหมาะสมและต่อเนื่อง และยังเป็นเคร่ืองมือที่ใช้
ประเมินคณุ ภาพการพยาบาลเพราะการบันทกึ บง่ บอกถึงส่งิ ท่ีพยาบาลได้ปฏิบัตติ ่อผปู้ ว่ ย
ตัง้ แต่ในอดตี จนถงึ ปัจจุบนั การบันทึกทางการพยาบาลเป็นการใช้วธิ กี ารจดบันทึกการพยาบาล ลงบน
แบบฟอร์ม (Paper-based) ท่ีหน่วยบริการพยาบาลต่าง ๆ กาหนดขึ้น ซึ่งมีท้ังท่ีเป็นการบันทึกแบบ
บอกเล่าเร่ืองราว (Narrative record) การบันทึกโดยใช้กระบวนการพยาบาล (Nursing process
record) หรือการบันทึกโดยใช้ระบบปัญหา (Problem orientation record) ซ่ึงประกอบด้วย การ
รวบรวมข้อมูล การวินิจฉัยการพยาบาล การวางแผนการพยาบาล และการประเมินผลการพยาบาล
(สรุ ยี ์ ธรรมิกบวร, 2540) ซึ่งแต่ละแบบมีจดุ ดแี ละจุดด้อยแตกต่างกันไป และบันทึกทางการพยาบาลมี
หลายลักษณะต้ังแต่แบบฟอรม์ การประเมินผู้ป่วยแรกรับ แบบฟอร์มสัญญาณชพี แบบบันทึกปริมาณ
สารน้าเข้า – ออก แบบบันทึกการสอน แบบสรุปการดูแลหรือคาร์เด็กซ์ (Kardex) แผนการพยาบาล
และแบบบันทึกการพยาบาล (Nurse’s note) บางหน่วยงานอาจมีแบบฟอร์มอ่ืนๆ อีก เช่น แบบ
บันทึกการจาหน่ายผู้ป่วย แต่ปัญหาท่ีพบเสมอคือ การบันทึกด้วยลายมือทาให้อ่านไม่ออก ไม่รู้ว่าใคร
เปน็ ผู้บันทกึ ทาให้การบันทกึ ทางการพยาบาลไม่สามารถนามาเป็นข้อมูลสาหรบั การสือ่ สารภายในทีม
สุขภาพเพือ่ การดแู ลผู้ปว่ ย หรือสาหรบั การศึกษาและวิจัยได้อย่างชัดเจน สอดคลอ้ งกบั ผลการรายงาน
เกยี่ วกับปญั หาของการบนั ทึกทางการพยาบาล ชนดิ paper based 4

การพฒั นารปู แบบการจดั ทาเวชระเบยี นตามแนวคิด Lean 5

พบว่า ผลการประเมนิ จากสภาการพยาบาล ปี พ.ศ. 2550-2552 พบว่ามีปัญหา คือ 1) บันทึกไมค่ รบ
สมบูรณ์ตามความจาเป็นในการใช้ 2) บันทึกไม่ต่อเนื่อง 3) ใช้วิธีการบันทึกหลากหลาย ไม่เป็น
แนวทางเดียวกัน 4) เขียนศพั ท์ทางการแพทย์ (medical terminology) ไม่ถูกต้อง 5) ไม่เป็นปัจจุบัน
6) ขาดการบูรณาการกระบวนการพยาบาลไปในการบันทึกและ 7) บันทึกด้วยลายมือท่ีอ่านไม่ออก
ทาให้ตรวจสอบไม่ได้ ผลการประเมินคุณภาพการบันทึกทางการพยาบาลดังกล่าวข้างต้น สะท้อนให้
เห็นผลกระทบท่ีชัดเจนต่อการประเมินคุณภาพบริการพยาบาล และมาตรฐานของโรงพยาบาลใน
ประเทศไทย จากการศึกษาคน้ คว้าเร่ืองบนั ทึกทางการแพทย์และสาธารณสุขพบว่าในตา่ งประเทศได้มี
การใช้คอมพิวเตอร์ในการบันทึก (Computer based) ด้านการแพทย์และสาธารณสุข แทนการ
บันทึกบนกระดาษ (Paper based) อย่างได้ผลดีย่ิง (Mahler, et al., 2007; Martin-Baranera,
Planas, Palau, Miralles, Sancho, &Sanz, 1999; Nickell &Pinto, 1986) มีการนาคอมพิวเตอร์
มาใช้ในการบันทึกอย่างแพร่หลายในประเทศแถบซีกตะวันตกท่ีเจริญแล้ว ได้แก่ ประเทศเยอรมัน
ประเทศอังกฤษ และอีกหลายประเทศในทวีปยุโรป ส่วนในทวีปอเมริกาเหนือ ได้แก่ ประเทศ
สหรัฐอเมริกา และประเทศแคนาดา (Davis, Billings, & Ryland, 1994; Ioanna, Stiliani, &Vasilki,
2007; Lowry, 1994)

วิวัฒนาการของการนาคอมพิวเตอร์มาช่วยในการบันทึกทางการพยาบาลนั้น เกิดข้ึนใน
ประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงกลางของ ค.ศ. 1980 โปรแกรมท่ีใช้ช่ือว่า MedTakeTM System12
ลักษณะการทางานคือ ข้อมูลของผู้ป่วยจะถูกบันทึกลงในคอมพิวเตอร์ โดยผู้บันทึกจะต้องมีรหัส
ส่วนตัวในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ป่วย ต่อมา MedTakeTM System ได้ถูกนาไปใช้อย่างแพร่หลายใน
สหรัฐอเมริกา แต่ MedTakeTM System ก็มีข้อจากัดคือ ไม่สามารถแบ่งปัน (share) ข้อมูลของ
ผู้ป่วยได้ เนื่องจากยังไม่มีการนาระบบเครือข่าย (Computer network) มาใช้ ซ่ึงในระยะต่อมาได้มี
การพัฒนาและปรบั ปรงุ เรื่อยมา จนในปจั จุบันมกี ารนาระบบบนั ทึกขอ้ มูลของผูป้ ่วยไมว่ ่าจะเป็นข้อมูล
ท่ัวไป ประวัติการรักษา ประวัติการให้บริการสุขภาพด้านต่าง ๆ มาใช้ในสถานบริการด้านสุขภาพใน
ประเทศแถบตะวันตกอย่างแพร่หลาย ระบบการบันทึกมีหลายรูปแบบพัฒนาตามความต้องการของ
ผู้ใช้ อาทิ เช่น QMITM, DinamapTM, VitalnetTMและยังมีการนาเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนา
โปรแกรมเพ่ือการบันทึกข้อมูลทางสุขภาพของผู้ป่วยอย่างไม่หยุดยั้ง(Turpin, 2005) จากการศึกษา
ประสิทธิผลของการใชค้ อมพิวเตอร์มาใช้ในการบนั ทึกทางการพยาบาล ตอ่ คุณภาพของบนั ทกึ ทางการ
พยาบาล ของ Mahler และคณะ (2007) เก็บข้อมูลในหอผู้ป่วย จานวน 4 หอผู้ป่วย ผลการวิจัย
พบว่าบันทึกทางการพยาบาลพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ท้ังในด้านของคุณภาพและปริมาณ โดย

การพฒั นารปู แบบการจัดทาเวชระเบยี นตามแนวคิด Lean 6

พยาบาลประเมินว่าคุณภาพการบันทึกด้านความครบถ้วนสมบูรณ์พัฒนาขึ้นอย่างชัดเจน อย่างไรก็
ตามมีผลการประเมินด้านลบ น่ันคือความสับสนในการเขียนแผนการพยาบาล(Mahler, et al.,
2007) นอกจากน้ียังมีงานวิจัยมากมายที่สนับสนุนว่าการบันทึกข้อมูลทางสุขภาพแบบอิเล็กทรอนิกส์
(Electronic health records: EHR) มีประโยชน์ นักวิจัยเหล่านั้นสรุปประโยชน์ของ EHR ดังนี้ 1)
บุคลากรด้านสุขภาพสามารถดึงข้อมูลและประวัติการรักษาของผู้ป่วยมาใช้แบบ real time 2) ข้อมูล
และประวัติการรักษาของผู้ป่วยถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบ 3) เป็นการรับประกันได้ว่าข้อมูลและ
ประวตั กิ ารรักษาของผู้ป่วยจะถูกเก็บอยา่ งปลอดภัย 4) ประหยัดค่าใช้จ่าย เนอื่ งจากลดปรมิ าณการใช้
กระดาษลงอย่างมากมายมหาศาล 5) ประหยัดเวลาในการบันทึก เน่ืองจากการบันทึกไม่มีความซ้า
ซอ้ น ชว่ ยให้พยาบาลมีเวลาในการดูแลผู้ปว่ ยมากข้นึ 6) ง่ายต่อการสบื ค้น เน่ืองจากมกี ารจัดเก็บอย่าง
เป็นระบบ 7) ลดความผิดพลาดท่ีเกิดจากการบันทึกด้วยลายมือ เช่น ใช้คาย่อท่ีไม่สากล ลายมือหวัด
อ่ าน ไม่ อ อ ก มี ก าร ล บ เลื อ น ข้ อ มู ล บ างส่ ว น ข า ด ห าย ไป (Beuscart-Zéphir, Brender,
Beuscart&Ménager-Depriester,1997; Moody, Slocumb, Berg, & Jackson 2004;Torrey,
2001; Turpin, 2005)

จากการสืบคน้ ขอ้ มูลพบว่า EHR มคี วามล้าสมัยมาก กล่าวคือ มีการนาระบบ automated
voice recognition มาใช้ ในการบันทึกข้อมูลของผู้ป่วย ระบบจะจดจาเสียงของผู้บันทึกและแปลง
ข้อมูลเสียงให้เป็นตัวหนังสือ และบันทึกลงในระบบ(Burkle, Michel, Horch,Schleifenbaum,
&Dudeck,1998; Celia, 2002; Frank-strÖmborg, Christensen, & Elmhurst, 2001; Gugerty,
2006) อย่างไรก็ตาม เม่ือนา EHR มาใช้ในการบันทึกข้อมูล จึงมีความจาเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องมีความ
รัดกุมในการบันทึกและการเปิดเผยข้อมูลของผู้ป่วย ผู้ป่วยจาเป็นต้องได้รับการพิทักษ์สิทธิ์อย่างเต็มที่
จงึ มีการออกกฎระเบียบหรือข้อพึงระวังในการบันทกึ หรือเรียกใช้ขอ้ มูลดังกล่าว พอสรุปได้ดังนี้ 1) ผู้
บันทึกข้อมูลจะต้องมีรหัสประจาตัว (Personal code) ในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ป่วย และจะต้องไม่
เปิดเผยรหัสน้ันให้ผู้ใด รวมท้ังบุคคลในครอบครัว 2) เม่ือทาการบันทึกข้อมูลหรือใช้ข้อมูลของผู้ป่วย
เรียบร้อยแล้ว ให้ออกจากระบบทนั ที 3) อย่าเปิดข้อมูลของผู้ป่วยค้างไว้บนหน้าจอคอมพิวเตอร์โดย
เด็ดขาด 4) หากไม่จาเป็นไม่ควรเรียกดูข้อมูลของผู้ป่วยหลายหน้าต่าง ควรดูทีละหน้าและปิดทีละ
หน้า 5) ปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อบังคับของแต่ละสถานพยาบาลอย่างเคร่งครัด (Frank-
stromborg, et al., 2001; Gugerty, 2006; Lamond, 2000)

จากที่กล่าวมาข้างต้นจะพบว่าประโยชน์ที่ประจักษ์ชัดจากการนาคอมพิวเตอร์มาใช้ในการ
บันทกึ ทางการพยาบาลคอื การลดเวลาในการบันทึก ซ่งึ จะช่วยให้พยาบาลมีเวลามากข้ึนในการใหก้ าร

การพฒั นารูปแบบการจดั ทาเวชระเบยี นตามแนวคดิ Lean 7

พยาบาลแก่ผู้ป่วย ช่วยลดปริมาณการใช้กระดาษ ซึ่งเท่ากับเป็นการลดภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นปัญหา
สาคัญท่ีทุกคน ทกุ ภาคสว่ นจะตอ้ งมสี ่วนร่วมในการชว่ ยลดหรอื ชะลอการเกดิ ภาวะโลกรอ้ น
แนวคดิ ของลนี (LEAN)

คาว่า “ลนี ” หมายถึง ความผอมบาง ถา้ เปรยี บเทียบและมองในแง่บวก หมายถึง องค์การทม่ี ี
ขนาดกระชับ มคี วามสามารถในการปรบั ตวั สามารถตอบสนองความต้องการของลกู คา้ และสงั คมได้
ทนั ทว่ งที โดยมีการดาเนินการทป่ี ราศจากความสูญเสยี ในทกุ ๆ กระบวนการ และมปี ระสทิ ธภิ าพ
เหนอื ค่แู ข่ง
ววิ ัฒนำกำรระบบลีน

ก่อนทจี่ ะร้จู ักกับระบบลีน ควรทาความร้จู ักประวัตแิ ละความเปน็ มาของระบบลีน ระบบนี้มี
จุดเรม่ิ ต้นในวงการอุตสาหกรรมผลิตรถยนตใ์ นศตวรรษที่ 19 ต่อ 20 กอ่ นที่จะพฒั นาเป็นระบบลีนใน
อตุ สาหกรรมรถยนตน์ ั้น การผลติ รถยนต์สมยั ตน้ ศตวรรษที่ 20 ใช้ฝมี อื และแรงงานมากไม่มีระบบที่
เรยี กว่าสายการผลติ บริษทั ผลิตรถยนตส์ ่วนใหญ่ต้องอาศัยทักษะและความชานาญของพนักงานเปน็
หลกั ดงั นัน้ ตน้ ทุนการผลิตตอ่ หน่วยจะสงู แตผ่ ผู้ ลติ กส็ ามารถผลติ รถยนตไ์ ดห้ ลากหลายตามความ
ตอ้ งการของลูกค้า ตอ่ มาในช่วงตน้ ศตวรรษท่ี 20 นายเฮนร่ี ฟอร์ด ผกู้ ่อต้ังบริษัทฟอร์ด มอเตอร์ ได้
รเิ รม่ิ แนวคดิ ในการสร้างสายการผลติ ใหม้ ีการไหลเวยี นคล้ายลกั ษณะของการไหลสายน้า และใชแ้ นวคิด
ท่ีวา่ อปุ สรรคทอ่ี ยใู่ นกระบวนการผลติ คอื ความสญู เปลา่ และไมเ่ กดิ คุณภาพ โดยใชร้ ะบบสายพาน
ลาเลยี งซ่ึงเป็นนวตั กรรมในการผลติ รถยนต์ท่ีมีคณุ ภาพในสายการประกอบรถยนต์ (Moving
Assembly line) ของบรษิ ทั ฟอร์ด มอเตอร์ และใชช้ น้ิ สว่ นมาตรฐานทส่ี ามารถเปล่ยี นทดแทนกันได้
ทาให้ใชเ้ วลาในการผลิตลดลง และสง่ ต่อไปยังกระบวนการผลติ ข้นั ตอ่ ไป การผลติ ลกั ษณะเชน่ นเ้ี ปน็
ลกั ษณะเหมอื นการผลิตสินค้าสาเรจ็ รูปจานวนมากๆ จงึ เรยี กการผลิตระบบนี้ว่าเน้นปริมาณ คือ
เนน้ การผลิตจานวนมากเพ่ือลดต้นทุนตอ่ หนว่ ยผลิตใหต้ ่าลงโดยเฉพาะต้นทุนทางออ้ ม ระบบการ
ผลิตลักษณะนี้ประสบความสาเรจ็ มากและเป็นท่ีกลา่ วขวญั ในประเทศสหรฐั อเมริกาในยุคนนั้ ซึ่งผลติ
รถยนต์ฟอร์ดโมเดลทเี่ ป็นรนุ่ ยอดนยิ มและจาหน่ายดีมากถึงแมว้ า่ จะมเี พียงสีดาสีเดยี ว ตลาดขณะน้ัน
ยงั เป็นของผผู้ ลิตเพราะมผี ู้ผลติ น้อยราย การผลิตยังมีจานวนนอ้ ยแตค่ วามตอ้ งการมาก demand
over supplied เท่ากบั วา่ ผลติ จานวนเท่าใดก็ขายได้หมด

ยุคเขำ้ ส่รู ะบบลนี จำกประเทศสหรัฐอเมรกิ ำสปู่ ระเทศญ่ปี ุน่
นายอิจิ โทโยดะ และนายโทอิจิ โอโนะ ผบู้ ริหารบริษทั โตโยต้า ได้นาแนวคิดของ เฮนร่ี ฟอรด์
มาพฒั นาต่อยอดในการปรบั ปรงุ ระบบการผลติ ของบริษัทโตโยต้าทป่ี ระเทศญ่ีปุ่น แตบ่ ริบทของบรษิ ัท

การพัฒนารูปแบบการจดั ทาเวชระเบยี นตามแนวคิด Lean 8

ไม่เหมาะกับระบบนเ้ี น่อื งจากปัจจยั หลายประการคอื ในช่วงเวลาน้ันประเทศญปี่ นุ่ อย่ใู นภาวะแพ้สงคราม
สภาวะเศรษฐกิจและปจั จัยอื่นๆ จงึ ไม่เหมาะกบั ระบบน้ี นายซิฮิโอ ซินโง ท่ีปรึกษาบริษัทโตโยต้า ได้
กลา่ วว่าแนวคิดการผลติ แบบโตโยต้า เปน็ ระบบทพี่ ัฒนาอย่างตอ่ เนื่องใหเ้ หมาะสมกับบริบทของตลาด
และประเทศ โดยมุ่งเนน้ การผลิตจานวนมาก ดว้ ยขนาดรนุ่ การผลติ ท่ีเลก็ และระดบั สินคา้ คงคลังต่า
ซึง่ เปน็ การนาแนวคิดแบบลีนของนายเฮนรี่ ฟอร์ด มาประยกุ ตใ์ หเ้ กิดระบบการผลิตแบบโตโยตา้ ท่ี
เรยี ก “กำรปฏบิ ตั ิท่เี ป็นเลิศ” (Best Practice) ของระบบการผลติ ลนี

กำรเร่มิ ตน้ ของคำวำ่ ระบบลนี และแนวคิดของระบบลนี
ในปี ค.ศ.1990 นายเจมส์ ออแม็ค และนายแดเนียล โจนส์ ได้เขยี นเปรยี บเทยี บปจั จัยแห่ง
ความสาเร็จระหวา่ งอตุ สาหกรรมรถยนตใ์ นประเทศตา่ งๆ คือ ญปี่ นุ่ ยุโรป สหรัฐอเมริกา โดย
เปรียบเทยี บการเพิม่ ขีดความสามารถในการจัดการกระบวนการและเร่ิมใชค้ าว่า “ระบบการผลติ แบบ
ลีน” ตั้งแต่นัน้ มาววิ ฒั นาการของระบบการผลติ แบบลีน เรม่ิ ตน้ จากระบบการผลิตงานฝีมือมาส่กู าร
ผลติ ระบบ เน้นเชงิ ปริมาณแล้วพัฒนามาสู่ระบบการผลติ แบบลนี ท่ีมีความยืดหยุ่นในการผลิตทีใ่ ห้ผล
ผลติ สูง ลดตน้ ทุนหรือตน้ ทุนตา่ เพื่อรองรับสภาพปัจจบุ ันของวงการผลิตท่ีต้องการลดข้ันตอนวงจร
การผลติ ให้สน้ั ลง
แนวคิดระบบลีน คอื วิธีการท่ีมรี ะบบแบบแผนในกระบวนการ ระบแุ ละกาจัดความสญู เสีย
สิ่งท่ไี มเ่ พม่ิ คณุ คา่ /มลู คา่ ในกระบวนการ โดยใช้การดาเนนิ ตามจงั หวะความต้องการของลูกค้าดว้ ย
ระบบดึง (pull) ทาให้เกิดสภาพการไหลของงานอย่างต่อเนื่อง ไม่มีอุปสรรค และมีการปรับปรุงอย่าง
ต่อเน่ืองเพื่อสร้างคุณค่าใหร้ ะบบอยเู่ สมอ ประกอบดว้ ย 5 ขนั้ ตอน คือ
ขนั้ ตอนที่ 1 ระบบสร้างคุณค่าของผลิตภณั ฑ์/บริการ ในมุมมองของลูกค้าภายในและลกู คา้
ภายนอก โดยผบู้ ริหารทุกระดบั จะต้องให้ผูร้ ่วมงานมสี ่วนร่วมในการสร้างคุณคา่ การให้บริการใน
มุมมองของผมู้ ีสว่ นไดส้ ว่ นเสยี ทกุ ภาคสว่ น น่ันคอื ลูกคา้ ภายในและภายนอก
ข้ันตอนท่ี 2 การสร้างกระแสคณุ คา่ ในทุกๆ ขัน้ ตอนของการดาเนนิ งานตง้ั แตจ่ ุดเร่มิ ต้น คือ
การวางแผน จนถึงจดุ ส้ินสุดของการดาเนนิ การในกระบวนการและพิจารณาร่วมกันระหว่างผู้ท่ีมสี ว่ น
ไดส้ ่วนเสียวา่ กิจกรรมใดที่ไมเ่ พมิ่ คุณค่าและเป็นความสญู เสีย เพอื่ ลดกจิ กรรมดังกลา่ วในกระบวนการ
และใหเ้ กิดความตระหนกั ในความสญู เสีย และหาวธิ ีการลดความสญู เสยี ทเ่ี กดิ ขึ้น
ขน้ั ตอนที่ 3 พิจารณาทาให้กจิ กรรมในกระบวนการดาเนินงานมีคุณค่าเกิดการดาเนนิ งานได้
อย่างตอ่ เน่ือง(flow) โดยไม่มีปัญหาอปุ สรรคหรอื ขอ้ ขดั ขอ้ งต่างๆ ทีท่ าให้เกิดความสูญเสียในกระบวนการ
สามารถดาเนนิ งานได้อย่างไหลล่นื

การพฒั นารูปแบบการจัดทาเวชระเบยี นตามแนวคดิ Lean 9

ขัน้ ตอนท่ี 4 ใช้ระบบดงึ (pull) ผูบ้ ริหารให้ความสาคัญเฉพาะส่ิงทล่ี ูกค้าต้องการเทา่ นัน้ ไม่ว่า
จะเปน็ ลูกค้าภายในหรือลกู ค้าภายนอกกต็ าม โดยตอ้ งใช้เคร่ืองมือวิเคราะห์ว่าจะดงึ ส่งิ ท่ลี ูกคา้ ต้องการ
โดยใหค้ วามสาคญั เปน็ อันดบั แรกและสาคัญท่ีสดุ เท่าน้นั

ขนั้ ตอนที่ 5 สร้างคณุ ค่าและกาจัดความสูญเปลา่ ท่ีอาจซอ่ นเร้นอยูใ่ นส่วนเกนิ ตา่ งๆ โดยกาจดั
ความสูญเปลา่ และสรา้ งคณุ ค่าอย่างต่อเนื่อง

จากข้นั ตอนทั้ง 5 ประการดังกล่าวจะเห็นไดว้ ่าการพฒั นาอยา่ งตอ่ เนื่องในการสร้างคุณคา่ โดย
ใชแ้ นวคดิ พ้ืนฐานโดยใชว้ งจรคณุ ภาพ PDCA ดงั ภาพ

ภาพท่ี 1 วงจรคณุ ภาพ PDCA

ในการสรา้ งระบบลีนน้ันส่ิงแรกที่ตอ้ งจาไวเ้ สมอคือ จะตอ้ งเร่ิมต้นจากคนหรือพนักงาน ทั่วทั้ง
องค์กร โดยเฉพาะพนักงานในระดบั ปฏิบตั ิการและหวั หนา้ งาน โดยต้องเสริมสร้างความเข้าใจ ทาให้
พนักงานมที ัศนคติท่ีถกู ต้องพยายามหลีกเล่ียงการเร่ิมต้นด้วยการนาเอาเคร่ืองมือต่างๆ ของระบบลีน
ไปใชภ้ ายในองค์กร จากน้ันจึงเร่ิมวิเคราะห์สภาพปัจจุบัน วางแผนงานอย่างเป็นระบบ กาหนด
เป้าหมายในการปรบั ปรุงแล้วจึงใช้เครื่องมือต่างๆ มาช่วยปรบั ปรงุ อย่างตอ่ เน่ือง ทง้ั นขี้ ้ันตอนการสรา้ ง
ระบบลนี แบ่งออกเปน็ 7 ระยะ ดงั นี้

การเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ได้แก่ สถานที่ เคร่ืองมืออุปกรณ์ที่จาเป็น บุคลากร และ
ช่องทางการสื่อสารภายในระหว่างสมาชิกผู้ดาเนินโครงการรวมถึงการฝึกอบรมให้ความรู้ของ
ระบบลนี แก่ผ้บู รหิ ารและคณะทางาน

การพัฒนารูปแบบการจัดทาเวชระเบยี นตามแนวคดิ Lean 10

การระบคุ ณุ คา่ ของสนิ ค้าและบรกิ ารทล่ี ูกคา้ ต้องการทง้ั ภายนอกและภายใน แลว้ สรุปเปน็
ขอ้ กาหนดส่วนประกอบ กระบวนการและรายละเอียดการปฏบิ ัติงานโดยใช้เทคนิคการถ่ายทอดความ
ตอ้ งการของลูกคา้ ส่ผู ลิตภณั ฑ์ (Quality Function Deployment : QFD)

การสารวจสถานะปจั จุบันของกระบวนการทงั้ หมด แลว้ สรุปบนแผนภาพกระแสคณุ ค่า
(Value Stream Mapping) เพ่ือระบุปัญหาและนาไปใช้ในการวางแผนพัฒนากระแสคุณค่าใน
ขั้นตอนถดั ไป

การประเมินสภาพของกระบวนการ ตัวช้ีวัดผล และเป้าหมายของโครงการตามแนวทางของ
ระบบลีน (LEAN Assessment) เพ่อื นาไปใช้ประกอบการวางแผนพฒั นากระบวนการ

การวางแผนและดาเนนิ การปรับปรุงกระบวนการตามแผนภาพกระแสคุณค่าอนาคต (Future
Value Stream Mapping) รว่ มกับการใช้เคร่ืองมือพัฒนาที่เหมาะสม(ตามโครงสรา้ งของระบบขา้ งต้น)
โดยพจิ ารณากิจกรรมท่ไี มเ่ พิ่มคณุ ค่าและเป็นความสญู เปลา่ ในทุกขั้นตอนจากภาพกระแสคุณค่า
(Value Stream Mapping) ท่ีสรา้ งขน้ึ

การขับเคล่ือนกิจกรรมตามกระแสคุณค่า (Value Stream) อย่างต่อเน่ือง เน้นเฉพาะส่ิงที่
ลูกค้าต้องการ โดยการควบคุมระบบการผลิตแบบลีนร่วมกับการสร้างระบบคัมบัง (Kanban) ซ่ึงเป็น
เคร่ืองมือสาคัญของระบบดึงการสร้างคุณค่าและกาจัดความสูญเปล่าอย่างต่อเนื่อง ด้วยการค้นหา
ความสูญเปล่าท่ีมองไม่เห็นแล้วปรับปรุงกระบวนการด้วยระบบการผลิตแบบลีน พร้อมท้ังขยายผลสู่
บรเิ วณอ่ืนๆ ไปจนถึง Supply Chain อนั ไดแ้ ก่ ลกู คา้ ผสู้ ง่ มอบ และผ้รู ับเหมาชว่ งการผลิต
กำรทบทวนวรรณกรรม/สำรสนเทศ(Information) ท่เี กย่ี วข้อง

เวชระเบียน (medical record) หมายถึง เอกสารทางการแพทย์ทุกประเภท ท่ีใช้บันทึก
และเก็บรวบรวมเร่ืองราวประวตั ิของผู้ป่วยทั้งประวตั ิส่วนตวั ประวัติครอบครัว ประวัติการแพ้ยา
เอกสารการยนิ ยอมให้ทาการรักษาพยาบาล ประวัตกิ ารเจ็บป่วยในอดีตและปัจจบุ ัน ขอ้ มลู บ่งชเ้ี ฉพาะ
ของบุคคล การรักษาพยาบาล ค่ารักษาพยาบาล ผลจากห้องปฏิบัติการ ผลการชันสูตรบาดแผลหรือ
พลิกศพ ผลการบันทึกค่าท้ังท่ีเป็นตัวเลข ตัวอักษร รูปภาพหรือเคร่ืองหมายอ่ืนใด จากอุปกรณ์
เครื่องมือในสถานบรกิ ารสาธารณสุขหรือเครื่องมือทางการแพทย์ทุกประเภท หรือเอกสารการบันทึก
การกระทาใด ๆ ท่ีเป็นการส่ังการรักษา การปรึกษาเพื่อการรักษาพยาบาล การส่งต่อผู้ป่วยไปทาการ
รักษาทอ่ี ื่น การรับผู้ปว่ ยรักษาต่อ การกระทาตามคาสั่งของผูม้ ีอานาจในการรกั ษาพยาบาลตามท่ี
สถานบริการสาธารณสุขกาหนดไว้ เอกสารอ่ืนๆ ที่ใช้ประกอบเพื่อการตัดสินใจทางการแพทย์ เพื่อ
การประสานงานในการรักษาพยาบาลผู้ป่วย และเอกสารอ่ืนใดท่ีทางองค์การอนามัยโลก หรือสถาน

การพัฒนารูปแบบการจัดทาเวชระเบยี นตามแนวคิด Lean 11

บริการสาธารณสุขกาหนดไวว้ ่าเป็นเอกสารทางเวชระเบียน หมายรวมถึงช่ือของหน่วยงานที่ทาหน้าที่
ในการจัดทาเอกสารดังกล่าว การเก็บรวบรวม การค้นหา การบันทึก การแก้ไข การให้รหัสโรค การ
จดั ทารายงานทางการแพทย์ การนามาจัดทาสถิติผู้ป่วย การนามาเพื่อการศึกษาวิจัย หรือเพ่ือการอ่ืน
ใดตามที่สถานบรกิ ารสาธารณสขุ กาหนด นอกจากน้ียังรวมถึงเอกสารทางการแพทย์ท่ีอยใู่ นรปู แบบ
สอ่ื ดิจติ อล หรอื ระบบอเิ ลคทรอนกิ ส์ (Electronic Medical Record -EMR) ซงึ่ เปน็ รูปแบบของ
เวชระเบียนท่ีมีการพัฒนาขึ้น ในปัจจุบัน เวชระเบียน ต้องเป็นเอกสารที่ถูกต้องครบถ้วน
ประกอบดว้ ย

1. HN ย่อมาจาก Hospital Number เป็นหมายเลขของผู้ป่วยนอก ซงึ่ จะออกหมายเลข
ให้ในการลงทะเบียนเป็นผู้ป่วยที่จะตรวจในโรงพยาบาล อาจมีการออกหมายเลขที่ต่อเนื่อง ในบาง
โรงพยาบาลอาจมีการออกหมายเลขท่ีเปน็ ปี พ.ศ.ต่อท้ายหมายเลข แต่เนอ่ื งจากหมายเลขดังกล่าวไม่
นยิ มให้มีการเปลี่ยนในทุกปีพ.ศ. จึงสามารถจะข้ึนหมายเลขไว้ทห่ี น่วยเวชระเบียนผู้ปว่ ยนอกไดว้ ่า
แต่ละปี พ.ศ. มีการออกหมายเลขของผู้ป่วยนอกไปต้ังแต่หมายเลขใดถึงหมายเลขใด และในหลาย
โรงพยาบาลท่มี ีการนาหมายเลข 13 หลักของหมายเลขประจาตัวประชาชนมาใช้ในการกาหนดหมายเลข
ของผู้ป่วยนอกด้วย ซึ่งน่าจะเป็นรูปแบบที่น่าจะเป็นไปได้ในอนาคตว่าหมายเลข HN ของทุกสถาน
บริการทางการแพทย์และสาธารณสุขน่าจะเปน็ หมายเลขเดียวกันกับหมายเลขประจาตัวประชาชน
13 หลกั

2. AN ย่อมาจาก Admission Number เป็นหมายเลขของผู้ป่วยใน ซ่ึงจะออกให้ในการ
ลงทะเบียนรับไวพ้ ักค้างในโรงพยาบาลตามคาสง่ั ของแพทย์ เม่อื ไดห้ มายเลข AN ก็จะนับเป็นผู้ป่วยใน
ซ่งึ อาจออกหมายเลขไปในแตล่ ะปีซ่งึ จะเปน็ หมายเลข AN แล้วตามด้วยปีพ.ศ. เช่น XXXXX-51,
XXXXX/51 หรืออาจมีการออกเลขต่อเนื่องกไ็ ด้ หรือในบางสถานบริการทางการแพทยแ์ ละสาธารณสุข
อาจให้ระบบคอมพิวเตอร์ออกหมายเลขหรือเครื่องหมายเพิ่มเติมจากหมายเลข HN ก็ได้เพ่ือแสดงค่า
ของการลงทะเบียนเป็นผปู้ ว่ ยในที่เปน็ รปู แบบพิเศษก็ได้

3. VN ย่อมาจาก Visit Number เป็นหมายเลขที่กาหนดขึ้นเฉพาะเพ่ือการตรวจสอบ
จานวนผู้รบั บริการซ่ึงโดยปกติหมายถงึ หมายเลขของการมารบั บรกิ ารของผู้ป่วยนอก แต่อาจออกเป็น
หมายเลข VN ของหน่วยบริการอื่น ๆ ก็สามารถกาหนด VN ได้เช่นเดียวกัน การให้หมายเลข VN น้ัน
จะมกี ารให้ ทกุ คร้ังที่มีการใช้บริการทางการแพทย์เพ่ือความครบถ้วน ถกู ต้องของสถิตจิ านวนคร้ังของ
การให้บรกิ ารในโรงพยาบาลหรอื หน่วยบรกิ ารอน่ื ๆ ท่ีคณะกรรมการเวชระเบียนหรือมติจากโรงพยาบาล
ให้สามารถออกหมายเลข VN ได้แต่อาจมีการกาหนดความเป็นเฉพาะเพ่ิมเติมเช่น VND อาจเป็นการ

การพัฒนารูปแบบการจดั ทาเวชระเบยี นตามแนวคิด Lean 12

ให้หมายเลข VN เฉพาะของหนว่ ยบรกิ ารทนั ตกรรม เปน็ ต้น แต่จะต้องมีตัวเลขและสถติ ิที่สามารถ
ตรวจสอบได้หรอื มีตัวเลขสถิติชุดเดียวตามท่ีมีมติกันไว้ของการควบคุมหมายเลขด้านเวชระเบียน
รวมท้ังมีระบบที่ทาให้เกิดความชัดเจนในการบันทึกข้อมูลการให้บริการลงในเวชระเบียนทุกคร้ัง เพ่ือ
ใช้เป็นหลกั ฐานในการตรวจสอบการมารบั บรกิ าร หรืออาจเพื่อป้องกันการทุจริตในการซือ้ ยา เช่น
อาจให้ผ้ปู ่วยท่ีซอ้ื ยานอกหนว่ ยตรวจมีการใชร้ หัสคลินิกแตกต่างออกไปเชน่ อาจเปน็ รหสั VN-XXXXX-
01 ซ่ึงตัวที่เป็นหมายเลข 01 จะเป็นตัวเลขของการให้รหัสคลินิกน่ันเอง หรือผู้ป่วยท่ีซื้อยาต่อเน่ือง
อาจใช้รหัสคลินิกท่ีแตกต่างไปอีกเช่นกัน เช่น VN-XXXXX-03 ซึ่งต้องผา่ นการออกหมายเลข VN
ที่หน่วยงานเวชระเบียนก่อนทุกครั้งที่มารับบริการ หากไม่มีการออกหมายเลข VN หน่วยงานอ่ืนๆ
ท่ีกาหนดให้มีตัวเลขของ VN ไว้ก็สามารถออกหมายเลข VN เพ่ือให้บริการได้ เช่น ไม่สามารถใช้
สทิ ธิ จ่ายยา คดิ และเกบ็ เงนิ จากผปู้ ว่ ยได้ เป็นตน้ ถ้าโรงพยาบาลใดทม่ี กี ารกาหนดหมายเลข VN
แล้ว ผู้ป่วยที่มารับบริการท่ีโรงพยาบาลจะต้องทาการออกหมายเลข VN ทุกครั้งและทุกราย ใน
กรณีที่ผู้ป่วยมีนัดหมายเข้าระบบไว้แล้ว เมื่อหน่วยตรวจรับผู้ป่วยเข้าตรวจหน่วยนั้น ๆ ก็
สามารถให้หมายเลข VN ได้ทันทีถ้าหากเป็นโรงพยาบาลที่มีระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์ในการให้
หมายเลข VN ซึ่งทางงานเวชระเบียนอาจให้ค่าของการออกหมายเลขสาหรับผู้ป่วยนัดไวโ้ ดยเป็นการ
พิเศษ

เน้ือหาการบันทึกเวชระเบียนผู้ปว่ ยใน ประกอบดว้ ยเน้ือหาท่ีสาคัญ 12 เร่อื ง แบง่ เป็น
1. เร่อื งท่ตี ้องมีบนั ทึกทุกราย 7 เรื่อง ได้แก่

1.1 Discharge summary: Diagnosis, Operation: เนื้อหาข้อมูลทางสถิติและ
การแพทย์

1.2 Discharge summary: Others: เนื้อหาอื่นๆ ของใบสรุปการจาหน่ายและ
สว่ นประกอบอนื่ ๆ

1.3 Informed consent: บันทึกการรับทราบและยินยอมรับการรักษา หรือทา
หตั ถการ

1.4 History: บนั ทกึ การซักประวัติโดยแพทย์
1.5 Physical exam: บันทกึ การตรวจร่างกายโดยแพทย์
1.6 Progress note and Doctor’s order sheet: บันทึกความก้าวหน้า หรือการ
ดาเนนิ โรคโดยแพทย์และบันทึกคาส่ังการรักษา
1.7 Nurse’s note: บนั ทกึ ทางการพยาบาล

การพัฒนารูปแบบการจัดทาเวชระเบยี นตามแนวคิด Lean 13

2. เรือ่ งท่ตี อ้ งบันทึกเพิ่มเตมิ ในบางราย 5 เรอ่ื ง ไดแ้ ก่
2.1 Consultation record: บนั ทกึ การปรกึ ษาโรคระหว่างแผนกหรอื กลมุ่ งานของ

แพทย์
2.2 Anesthetic record: บนั ทกึ ทางวสิ ญั ญวี ทิ ยา
2.3 Operative note: บนั ทกึ การทาหตั ถการ
2.4 Labour record: บนั ทกึ การติดตามเฝา้ ระวงั กอ่ นคลอด ระหวา่ งคลอด และ

หลงั คลอด
2.5 Rehabilitation record: บันทึกการให้การฟื้นฟสู มรรถภาพ หรอื การทา

กายภาพบาบัด
การเปล่ยี นแปลงหลงั การใชร้ ะบบการพมิ พ์เวชระเบยี นจากฐานขอ้ มลู
1. ลดภาระงานเจ้าหน้าท่ี (เดิมเจ้าหน้าท่ีงานบริหารต้องทาหน้าที่ในการทาสาเนาแบบเวช

ระเบียนสาหรับงานผูป้ ่วยใน ประมาณ 55 แบบบนั ทึก สามารถไปปฏิบตั ิงานอ่ืนได้เพราะว่ายกเลิกการ
ทาสาเนาดังกลา่ ว)

2. ลดการสูญเสียทรัพยากร (เดิมเปล่ียนแปลงแบบบันทึกเวชระเบียนจะต้องมีแบบบันทึก
เหลือ ซ่ึงจะต้องทิ้งไปการพิมพแ์ บบบันทึกจากฐานข้อมูลทาให้หอผู้ป่วยในไมต่ ้องเก็บแบบบันทึกเปล่า
ไวใ้ นสถานท่ปี ฏบิ ตั ิงานอีกตอ่ ไป)

3. ลดค่าสติ๊กเกอร์สาหรับพิมพ์ข้อมูลผู้ป่วยติดส่วนท้ายของแบบเวชระเบียนราคา 1 บาท/
ดวง จานวน 12-35 ดวงตอ่ การนอนโรงพยาบาลของผรู้ าย 1 ราย
งำนวิจัยท่เี กยี่ วขอ้ ง

บุญรอบ แก้วดี และคณะแผนกผู้ป่วยใน โรงพยาบาลภูสิงห์ (2556) เวชระเบียนรับใหม่
....งา่ ยแค่ปลายนิ้ว มีวัตถุประสงค์เพ่ือลดระยะเวลาในการทาชาร์ต เพิ่มความพึงพอใจของ
ผู้ปฏิบัติงานง่ายในการส่ือสาร ใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่เดิมคุ้มค่าสูงสุด พบว่า สามารถลดระยะเวลา
ในการทาชารต์ รับใหม่จากก่อนทาเฉลยี่ 17.30 นาที ปัจจุบันใช้เวลาเฉลยี่ 9.10 นาที ความ
พึงพอใจของเจ้าหน้าที่ท่ีทาชาร์ตทอยู่ในระดับมากคิดเป็นร้อยละ 81.8, ร้อยละ 90.9, และร้อย
ละ100 ความพึงพอใจของเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพด้านสุขภาพ พบว่ามีความพึงพอใจเวชระเบียน
ก่อนดาเนินการร้อยละ 68.77 และหลังดาเนินการเจ้าหน้าท่ีสหวิชาชีพด้านสุขภาพมีความพึง
พอใจเวชระเบียนร้อยละ 93.44 และที่สาคัญสหวิชาชีพด้านสุขภาพได้ใช้ข้อมูลท่ีถูกต้อง
แมน่ ยาง่ายในการสื่อสารสามารถประมวลผลเป็นประโยชน์ในการบันทึกขอ้ มูลผูป้ ว่ ยทมี่ าทาการ

การพัฒนารูปแบบการจดั ทาเวชระเบยี นตามแนวคดิ Lean 14

รักษารวมถึงกิจรรมต่างๆ ที่ได้จัดกระทากับผู้ป่วย ทาให้ สหวิชาชีพด้านสุขภาพได้มีเวลาในการ
ดูแลผู้ป่วยแบบมืออาชพี มากขึน้

สานักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (2553) การลดระยะเวลาและระยะ
ทางในการรบั บริการตรวจสขุ ภาพประจาปีบุคลากร เพ่ือลดเวลาในการรอคอยและผูรับบริการได
รบั ความพงึ พอใจมากทีส่ ุดโดยการนาแนวคิด Lean มาประยุกตใชเพื่อลดรอบเวลา ระยะทาง
ความสญู เปล่าและการใชแรงคนลง เพ่ือเพิ่มความพึงพอใจสูงสุดของผูมารับบริการกอเกดิ เปนความ
สาเร็จในระยะยาว พบวา ลดระยะทางในการใชบริการทั้งกระบวนงานลงรอยละ 10 ลดขั้นตอน
ลงจากเดิม 14 ขั้นตอน เหลือ 12 ขั้นตอน ลดขั้นตอนเรียกคิวรอหนาหองเจาะเลือดปจจบุ ันเรียก
ควิ แลวเขาที่จดุ รับ tube เจาะเลอื ดไดเลย ลดระยะเวลาในการรอคอยเจาะเลือดลงรอยละ 60
ระดับความพงึ พอใจโครงการตรวจสขุ ภาพประจาป 2550 – 2553 จะอยู่ในเกณฑ์ระดบั ดที ัง้ 4 ปี

งานการพยาบาลผูปวยศัลยกรรมอุบัติเหตุและฉุกเฉิน 2 โรงพยาบาลธรรมศาสตรเฉลิม
พระเกียรติ (2553) โครงการลดข้ันตอนการจาหนาย เพื่อลดระยะเวลาในการรอคอยเอกสารจาก
พยาบาลในหน่วยงาน เพ่ือใหผูปวยและญาติไดรับความสะดวกและรวดเร็ว พบวาระยะเวลาที่
พยาบาลใชในการรวบรวมเอกสารหลังจากรับคาส่ังแพทย์ในการจาหน่ายผูปวย สวนใหญอยูในชวง
≤ 10 นาทีระยะเวลาที่ใชในการออกบตั รนัดและคืนยาอยูในชวง ≤ 10 นาที ระยะเวลาท่ีใชในการ
ดาเนนิ การจาหนายผูปวยต้ังแตญ่ าติรับเอกสารจากพยาบาลจนถึงผูปว่ ยกลบั บ้าน อยูในชวง > 60
นาที ทั้งนี้ระยะเวลาในการจาหนายท้ังหมดจนแลวเสร็จน้ัน ไมไดมีความสัมพันธกับการทา Discharge
planning program กระบวนการเบิกยาเป็นสวนท่ีไมไดเก็บข้อมูลมาโดยตรงแตสามารถท่ีจะ
ประเมินได ข้อมูลระยะเวลาในการดาเนินการเบิกยา นับตั้งแตญาติรับเอกสารจากพยาบาล ซงึ่ อาจให
สวนของเภสัชกรและหองยาทาการเก็บข้อมูลตอไป โดยหอผูปวยศัลยกรรมอุบัติเหตุและฉุกเฉิน 2 ได
จัดทา “แผนที่นาทาง” เพ่ือใชในการใหคาแนะนาเก่ียวกับสถานท่ีที่ญาติจาเปน ในกระบวนการ
จาหน่ายโดยสามารถใหญาติถือแผนท่ีไปยังจุดตางๆ สะดวกขึ้น ทาใหลดระยะเวลาในการหา
สถานท่ีไดระดับหนึ่งและผลจากการประเมิน ความพอใจของญาติจัดอยูในเกณฑดีนอกจากนี้ยังไดมี
การแจงญาติใหทราบเมื่อแพทยสั่งจาหนายเพ่ือระหวางท่ีรอญาติพยาบาลสามารถเบิกยาและทา
เอกสารการจาหนายรอไดเมอ่ื ญาตมิ ารบั กส็ ามารถกลบั บานไดเรว็ ขึน้

จันทรท์ ิรา เจยี รณัย (2557) การพัฒนาโปรแกรมบนั ทึกทางการพยาบาล : การวิจัย
นารอ่ ง ในโรงพยาบาลแห่งหน่ึง จังหวัดสรุ ินทร์ ผลการวิจยั พบว่า ในภาพรวมกลุ่มตวั อย่างประเมิน
ว่าเม่ือนาโปรแกรม ฯ ไปใช้ในการบันทึกทางการพยาบาลทาให้คุณภาพโดยรวมของบันทึกทางการ

การพฒั นารูปแบบการจดั ทาเวชระเบยี นตามแนวคิด Lean 15

พยาบาลอยู่ในระดับดีมาก (mean= 60.25, S.D. = 3.87, range= 50-63) เม่ือพิจารณาคุณภาพการ
บันทกึ เป็นรายด้าน ไดแ้ ก่ 1) ด้านการประเมินผู้ป่วยแรกรับ 2) ด้านการวางแผนการพยาบาล 3) ด้าน
การบันทึกกิจกรรมการพยาบาล และ 4) ด้านการสรุปการจาหน่ายผู้ป่วย พบว่าคุณภาพการบันทึก
ทางการพยาบาลโดยใช้โปรแกรมฯ อยู่ในระดับดีมาก (mean= 18.25, 19.44, 17.69, และ 4.88
S.D. = 2.27, 1.36, 0.70, และ 0.34 ตามลาดบั )

ประคิณ สจุ ฉายาและคณะ (2549) ได้ศึกษาถึงบนั ทกึ ทางการพยาบาลและกรณีศึกษาใน
โรงพยาบาลของรัฐระดบั ตตยิ ภมู ิ และโรงพยาบาลมหาวิทยาลยั 3 แห่ง ซึ่งได้ให้ขอ้ เสนอแนะเพอ่ื การ
พัฒนาการบันทึกทางการพยาบาลเพ่อื ให้มีการใชป้ ระโยชน์และพฒั นาการปฏิบัตกิ ารพยาบาลทส่ี าคัญ
ควรมีการนาระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาซ่ึงอาจใส่แผนการพยาบาลไว้ในคอมพิวเตอร์หรือ
ระบบสารสนเทศและพฒั นาระบบสารสนเทศใหส้ ามารถเชือ่ มโยงภายในองค์กรอย่างมปี ระสิทธิภาพ

Nahm และ Poston (2000) ทาการวิจัยก่ึงทดลอง โดยการใช้รูปแบบการบันทึกทางการ
พยาบาลดว้ ยอิเล็กทรอนิกส์มาใชต้ ่อคุณภาพการบันทึกทางการพยาบาลและความพึงพอใจของผู้ป่วย
ทาการเก็บข้อมูล 4 ระยะ คือ ก่อนทดลอง ระหว่างการทดลองเดือนท่ี 6, 12, และ 18 ของการ
ทดลอง ผลการวิจัยพบวา่ คณุ ภาพการบนั ทึกทางการพยาบาลดขี นึ้ อย่างชดั เจนในเดือนท่ี 12
และ 18 ของการทดลอง ยงั พบวา่ ขอ้ ผดิ พลาดต่าง ๆ ของการบนั ทึกทางการพยาบาลลดลงเรื่อย ๆ

Smith และคณะ (2005) ทาการทดลองนาคอมพิวเตอร์ (Computerbased) มาใช้ในการ
บันทึกทางการพยาบาล วัดคุณภาพการบันทึกทางการพยาบาลและเจตคติของพยาบาลเปรียบเทียบ
ก่อนและหลังการทดลอง ผลการวิจัยพบว่าพยาบาลมีเจตคติต่อการบันทึกทางการพยาบาลโดยใช้
คอมพิวเตอร์ และระยะเวลาในการบันทึกไม่ได้ลดลงเม่ือเปรียบเทียบกับการบันทึกแบบเดิม (Paper
based) แต่กลับพบว่าคุณภาพการบันทึกและความสมบูรณ์ของการบันทึกทางการพยาบาลดีขึ้นอย่าง
ชดั เจน

มีงานวิจัยมากมายที่สนับสนุนว่าการบันทึกข้อมูลทางสุขภาพแบบอิเล็กทรอนิกส์
(Electronic health records: EHR) มี ป ร ะ โ ย ช น์ (Beuscart-Zephir, 1997; Torrey, 2001;
Moody, et al., 2004; Turpin, 2005) นกั วจิ ยั เหล่าน้ันสรปุ ประโยชน์ของ EHR ดงั นี้

1) บุคลากรด้านสุขภาพสามารถดึงข้อมูลและประวัติการรักษาของผู้ป่วยมาใช้แบบ real
time

2) ข้อมลู และประวัติการรกั ษาของผปู้ ว่ ยถูกจัดเก็บอย่างเปน็ ระบบ
3) เปน็ การรับประกนั ได้ว่าขอ้ มูลและประวตั กิ ารรกั ษาของผปู้ ว่ ยจะถูกเก็บอยา่ งปลอดภัย

การพัฒนารูปแบบการจดั ทาเวชระเบยี นตามแนวคดิ Lean 16

4) ประหยดั ค่าใชจ้ ่าย เน่ืองจากลดปรมิ าณการใชก้ ระดาษลงอย่างมากมายมหาศาล
5) ประหยัดเวลาในการบันทึก เนื่องจากการบันทึกไม่มีความซ้าซ้อน ช่วยให้พยาบาลมี
เวลาในการดแู ลผู้ปว่ ยมากขึ้น
6) ง่ายตอ่ การสบื ค้น เนอื่ งจากมีการจดั เกบ็ อย่างเปน็ ระบบ
7) ลดความผิดพลาดที่เกิดจากการบันทึกด้วยลายมือ เช่น ใช้คาย่อที่ไม่สากล ลายมือหวัด
อ่านไมอ่ อก มกี ารลบเลอื น ขอ้ มลู บางส่วนขาดหายไป ฯลฯ
จากการสืบค้นข้อมูลพบว่า EHR มีความล้าสมัยมาก กล่าวคือ มีการนาระบบ automated
voicerecognition มาใช้ ในการบันทึกข้อมูลของผู้ป่วย ระบบจาจดจาเสียงของผู้บันทึกและแปลง
ข้อมูลเสียงให้เป็นตัวหนังสือ และบันทึกลงในระบบ (Burkle, et al., 1998; Celia, 2002; Frank-
Stromborg, et al., 2001; Gugerty, 2006). อย่างไรก็ตาม เม่ือนา EHR มาใช้ในการบันทึกข้อมูล
จึงมีความจาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องมีความรัดกุมในการบันทึกและการเปิดเผยข้อมูลของผู้ป่วย ผู้ป่วย
จาเป็นต้องได้รับการพิทักษ์สิทธ์ิอยา่ งเต็มที่ จึงมีการออกกฎระเบียบหรือขอ้ พึงระวังในการบนั ทึกหรือ
เรียกใช้ข้อมูลดังกล่าว พอสรุปได้ดังนี้ (Lamond, 2000; Celia, 2002; Frank-Stromborg, et al.,
2001; Langowski, 2005)
1) ผู้บันทึกข้อมูลจะต้องมีรหัสประจาตัว (Personal code) ในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ป่วย
และจะต้องไม่เปดิ เผลรหัสนน้ั ใหผ้ ู้ใด รวมทง้ั บุคคลในครอบครัว
2) เมือ่ ทาการบันทกึ ข้อมูลหรือใชข้ ้อมลู ของผปู้ ว่ ยเรียบร้อยแล้ว ให้ออกจากระบบทนั ที
3) อยา่ เปิดข้อมลู ของผ้ปู ่วยค้างไวบ้ นหนา้ จอคอมพวิ เตอร์โดยเดด็ ขาด
4) หากไม่จาเป็นไม่ควรเรียกดูข้อมูลของผู้ป่วยหลายหน้าต่าง ควรดูทีละหน้าและปิดทีละ
หนา้
5) ปฏบิ ตั ิตามกฎระเบยี บและข้อบงั คับของแตล่ ะสถานพยาบาลอย่างเคร่งครดั

การพฒั นารปู แบบการจัดทาเวชระเบยี นตามแนวคดิ Lean 17

กรอบแนวควำมคดิ ของกำรวิจยั

การศึกษาบรบิ ท ปัญหา และสภาพ การวเิ คราะห์ ขอ้ เสนอในการลดภาระการจดั ทา
ปจั จุบันของการจดั ทาเวชระเบยี นผปู้ ว่ ย เวชระเบียนผู้ป่วยรบั ใหม่
ในโรงพยาบาลศรปี ระจนั ต์ Medical Record Quality Services
Audit Guideline with Lean System แบบเวชระเบียนใหค้ รบตามความต้องการ
ประชุม / การสอบถาม (หวั หนา้ ของผู้ใช้งานและตามมาตรฐาน ผ้ใู ชง้ าน
พยาบาล/หัวหนา้ หอผู้ป่วยใน) 1. แบบมาตรฐานของ สามารถใชไ้ ด้สะดวก
เวชระเบยี นผ้ปู ว่ ยใน
ศึกษาวธิ กี ารสร้างแบบเวชระเบียน บุคลากรมีศักยภาพในการใช้คอมพิวเตอร์ /
ผูป้ ว่ ยในด้วยคอมพวิ เตอร์ 2. สมรรถนะของบคุ ลากร เจ้าหน้าท่ี IT มศี กั ยภาพในการสรา้ งแบบ
(Health Workforce) เวชระเบยี น
ประชมุ ทมี งาน IT
3. ระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ มีคอมพวิ เตอร์ ปรน๊ิ เตอร์ พร้อมใชง้ าน /
1. การจัดทาสาเนาเวชระเบียน ภายในโรงพยาบาล (Intranet) ฐานขอ้ มูล ระบบต่อพว่ ง สามารถ
2. ขัน้ ตอนการจดั ทาแบบเวชระเบยี นผปู้ ่วยรับใหม่ ให้บริการได้
3. ข้อมูลท่ีตอ้ งบันทกึ ในแบบเวชระเบยี น
4. ปญั หาของการเขยี นดว้ ยลายมอื การตดิ ตามประเมนิ ผล
5. ระยะเวลาการจัดทาเวชระเบียนผูป้ ว่ ยใหม่ - การลดระยะเวลาจัดทาเวชระเบียน
6. ตู้จดั เก็บเวชระเบียนในหอผปู้ ว่ ย - ประเมินความผิดพลาดของขอ้ มูล
- ประเมินความพงึ พอใจของผู้ใช้
ระยะศกึ ษำ
ระยะพฒั นำ

คณะกรรมการ Audit
เวชระเบียน ตรวจสอบ

สร้างแบบเวชระเบยี นเพอื่ การพิมพจ์ าก
ฐานขอ้ มูลดว้ ยคอมพวิ เตอร์

การลงมือปฏบิ ัติ

นาเสนอวธิ กี ารพมิ พ์เวชระเบยี นจาก
ฐานข้อมูลดว้ ยคอมพวิ เตอร์ตอ่
กรรมการบริหารโรงพยาบาล/ทดลอง
ใชใ้ นการปฏบิ ัติงานจริง/ตดิ ตามแกไ้ ข

การพฒั นารูปแบบการจดั ทาเวชระเบยี นตามแนวคิด Lean 18

บทที่ 3
วิธีกำรดำเนนิ กำรวิจัย

รูปแบบการวิจัย(Study Design) เป็นการวิจัยปฏิบัติการ(Action research) เพ่ือศึกษา
วธิ ีการจดั ทาเวชระเบยี นของงานพยาบาลผปู้ ่วยใน นาไปสู่การพัฒนาเวชระเบยี นตามแนวคดิ LEAN

กอ่ นพัฒนำเวชระเบียนตำมแนวคิด LEAN
1. กลุ่มงานการพยาบาลร่วมกับศูนย์คุณภาพ กาหนดรูปแบบเวชระเบียนตามความ
ต้องการของงานพยาบาลผู้ป่วยใน(หอผู้ป่วยใน 1, หอผู้ป่วยใน 2, หอผู้ป่วยใน 3, หอผู้คลอด)ซึ่ง
เป็นไปตามมาตรฐานของสภาการพยาบาล
2. เจ้าหน้าท่ีธุรการดาเนินการพิมพ์ตามแบบเวชระเบียนซ่ึงผ่านการรับรองโดยศูนย์
คุณภาพและกาหนดรหัสเรียบร้อยแล้วเพื่อเป็นต้นแบบ (จานวน 55 แบบ) แบบเวชระเบียนบาง
ประเภทตอ้ งจัดซื้อจัดหาจากผู้คา้ ภายนอก
3. กลุ่มงานการพยาบาลนาสง่ ต้นแบบเวชระเบียนให้กลุ่มงานการจัดการเพ่ือจัดส่งเจ้าหน้าท่ี
ดาเนินการทาสาเนาแบบเวชระเบยี นและส่งให้งานผู้ปว่ ยในเกบ็ ไว้เพอ่ื นามาใชบ้ นั ทึกทางการพยาบาล
4. พนักงานประจาตึกนาแบบสาเนาเวชระเบียนที่รับจากกลุ่มงานการจัดการเพื่อจัดชุด
(สาหรบั การรบั ผปู้ ่วยใหม่ กรณแี บบเพิ่มเติมจะถกู จดั เกบ็ ไว้ในตเู้ อกสารซงึ่ งานผ้ปู ว่ ยในจัดเตรียมไว้)
5. เม่อื มผี ู้ป่วยรบั ใหม่ พยาบาลจะนาแบบเวชระเบียนซ่ึงจัดชุดไว้แล้วมาบันทึกข้อมูลผู้ป่วย
ตามมาตรฐาน โดยการพิมพ์สติ๊กเกอร์ซ่ึงมขี ้อมูลทป่ี ระกอบด้วย ช่ือ-สกุล หมายเลขผู้ปว่ ยนอก(HN)
หมายเลขผู้ป่วยใน(AN) อายุ วัน เดือน ปี เกิด ภูมิลาเนา(บ้านเลขที่ หมู่ที่ ตาบล อาเภอ
จังหวัด) สิทธิในการรักษาพยาบาล ติดไว้ส่วนท้ายของแบบเวชระเบียนทุกแผ่น(จานวน 12 แผ่น)
และเพ่ิมในทุกแผ่นทม่ี ีการเพ่ิมแบบเวชระเบียนตามความจาเปน็ ของผู้ป่วยแต่ละราย ในแบบประวัติ
(หน้าแรก) จะต้องบันทึก อาการสาคัญที่นาผู้ป่วยมาโรงพยาบาล ประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบัน
ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต สัญญาณชีพ ด้วยลายมือบุคลากร ซ่ึงข้อมูลท้ังหมดได้ทาการบันทึกไว้
แลว้ ในฐานข้อมลู กลางของโรงพยาบาลศรปี ระจนั ต์
ระยะดำเนินกำร
1. กลุ่มงานการพยาบาลร่วมกับกลุ่มงานยุทธศาสตร์และสารสนเทศทางการแพทย์ งาน
พยาบาลผู้ป่วยใน กาหนดรูปแบบเวชระเบียนตามความต้องการของงานพยาบาลผู้ป่วยใน(หอผู้ป่วย
ใน 1, หอผปู้ ว่ ยใน 2, หอผูป้ ่วยใน 3, หอผู้คลอด) ซง่ึ เป็นไปตามมาตรฐานของสภาการพยาบาล

การพฒั นารปู แบบการจัดทาเวชระเบยี นตามแนวคดิ Lean 19

2. กลุ่มงานยุทธศาสตร์และสารสนเทศทางการแพทย์ดาเนินการจัดทาแบบเวชระเบียน
ตามแบบมาตรฐานซ่ึงผ่านการรับรองโดยศูนย์คุณภาพและกาหนดรหัสเรียบร้อยแล้ว โดยสร้างเป็น
รูปแบบไฟลอ์ เิ ลก็ ทรอนิกส์ ใหช้ ื่อท่สี อดคล้องกบั แบบเวชระเบียน และติดตง้ั ไว้ฐานขอ้ มลู
บนโปรแกรม HOSxP ในส่วนของ Document

3. จัดประชุมช้ีแจงผู้ใช้งานโดยประกอบด้วยหัวหน้าพยาบาล หัวหน้างาน/รองหัวหน้างาน
ผูป้ ่วยในและตวั แทนจากผู้ปฏบิ ัติงานจริง

4. ทดลองการพมิ พ์เวชระเบียนจากฐานข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์
หลงั กำรดำเนนิ กำร
1. เม่อื มีผปู้ ่วยรับใหม่ พยาบาลสามารถพมิ พ์แบบเวชระเบยี นจากฐานข้อมูลซง่ึ ข้อมลู ผูป้ ่วย
ประกอบด้วย ช่ือ-สกลุ หมายเลขผู้ป่วยนอก(HN) หมายเลขผู้ป่วยใน(AN) อายุ วนั เดอื น ปี เกิด
ภูมิลาเนา(บ้านเลขที่ หมู่ท่ี ตาบล อาเภอ จงั หวดั ) สิทธิในการรกั ษาพยาบาล ในแบบเวชระเบียน
ทุกแผ่น(จานวน 12 แผ่น) โดยไม่ต้องพมิ พส์ ตกิ เกอร์เพื่อติดไว้ส่วนท้ายของแบบเวชระเบียน และใน
แบบประวัติ(หน้าแรก) สามารถพิมพ์ อาการสาคัญที่นาผู้ป่วยมาโรงพยาบาล ประวัติการเจ็บป่วย
ปัจจุบัน ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต สัญญาณชีพ จากฐานข้อมูลกลางของโรงพยาบาลศรีประจันต์
จากฐานขอ้ มูลโดยไมต่ ้องเขียนด้วยลายมือ
ประชำกรและตวั อยำ่ ง
สุ่มตัวอย่างแบบจาเพาะเจาะจง(purposive sampling method) ในกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง
ประกอบดว้ ย หัวหนา้ พยาบาล หัวหน้ากลุ่มงานพยาบาลผู้ปว่ ยใน พยาบาลที่ปฏิบัติงานในกลุ่มงาน
การพยาบาลผปู้ ่วยใน เจา้ หน้าทก่ี ลมุ่ งานยทุ ธศาสตร์และสารสนเทศทางการแพทย์ โรงพยาบาล
ศรปี ระจันต์ จานวน 36 คน ดงั นี้
1) การศึกษาวิธีการจัดทาเวชระเบียนผู้ป่วยในกรณีรับใหม่ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ หัวหน้า
พยาบาล 1 คน หวั หน้ากล่มุ งานการพยาบาลผูป้ ่วยใน จานวน 4 คน
2) การศึกษาวิธีการจัดสร้างแบบเวชระเบียนเพ่ือการพิมพ์จากฐานข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์
กลุ่มตัวอย่างไดแ้ ก่ นกั วิชาการสาธารณสขุ จานวน 2 คน นักวชิ าการคอมพวิ เตอร์ จานวน 2 คน
3) การประเมินความพึงพอใจ กลุ่มตวั อย่าง ได้แก่พยาบาลที่ปฏิบัตงิ านเวรเช้าจานวน 30
คน(รวมหัวหนา้ กลมุ่ งานการพยาบาลผปู้ ่วยใน)

การพัฒนารูปแบบการจดั ทาเวชระเบยี นตามแนวคิด Lean 20

เกณฑ์คดั เลอื กอาสาสมคั รเข้าร่วมโครงการวิจัย
1) การศึกษาวิธีการจัดทาเวชระเบียนผู้ปว่ ยในกรณีรับใหม่ ผู้ร่วมโครงการคอื ผปู้ ฏิบัติงาน
ในตาแหน่งหัวหนา้ พยาบาล หวั หน้ากลมุ่ งานการพยาบาลผู้ปว่ ยในทั้งหมด โรงพยาบาลศรปี ระจันต์
2) การศึกษาวธิ กี ารจัดสรา้ งแบบเวชระเบียนเพื่อการพิมพ์จากฐานขอ้ มูลด้วยคอมพวิ เตอร์ ผู้
ร่วมโครงการคือ นักวิชาการสาธารณสุข นักวิชาการคอมพิวเตอร์ ท่ีปฏิบัติงานในกลุ่มงาน
ยุทธศาสตรแ์ ละสารสนเทศทางการแพทย์ โรงพยาบาลศรปี ระจันต์
3) การประเมนิ ความพึงพอใจ ผู้รว่ มโครงการคอื พยาบาลทป่ี ฏิบัติงานเวรเช้า กลุ่มงานการ
พยาบาลผปู้ ่วยใน โรงพยาบาลศรปี ระจันต์
เกณฑ์ถอนอาสาสมัครออกจากโครงการวจิ ัย
อาสาสมัครย้ายสถานที่ปฏิบัติงาน ได้แก่ การย้ายออกจากโรงพยาบาลศรีประจันต์ ย้าย
ไปปฏิบัตงิ าน ณ กลมุ่ งาน/งานท่ีไม่เกี่ยวขอ้ งกบั การทดลอง ลาออกจากราชการ เสียชวี ิต ระหว่าง
การดาเนินการวิจยั
เกณฑย์ ตุ โิ ครงการวจิ ยั
1) ผบู้ รหิ าร(ผ้อู านวยการโรงพยาบาลศรปี ระจนั ต์)ส่งั ให้ยตุ ิโครงการ
2) หัวหน้าพยาบาล หัวหนา้ กลุ่มงานการพยาบาลผู้ปว่ ยใน มีความเห็นตรงกันว่าโครงการ
ทาใหภ้ าระงานของพยาบาลเพิม่ ขน้ึ และได้รับความเหน็ ชอบจากผูบ้ ริหาร ตามข้อ 1)
3) หัวหน้ากลุ่มงานยุทธศาสตร์และสารสนเทศทางการแพทย์ ประเมินว่าโครงการไม่
สามารถดาเนินการได้ตามกาหนด และได้รับความเห็นชอบจากหัวหน้าพยาบาล หัวหน้ากลุ่มงาน
การพยาบาลผ้ปู ่วยใน ตามข้อ 2) และผู้บริหาร ตามข้อ 1)
วธิ ดี ำเนินกำรวิจยั
1) ประชุมหัวหน้าพยาบาล หัวหน้ากลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยใน หัวหน้ากลุ่มงาน
ยทุ ธศาสตร์และสารสนเทศทางการแพทย์ โรงพยาบาลศรีประจันต์ เพื่อเสนอโครงการและประเมิน
ความเป็นไปไดใ้ นการดาเนินโครงการ
2) เสนอโครงการตอ่ ผบู้ ริหารเพือ่ ขอรับความเห็นชอบและการสนบั สนุน
3) ประชุมนักวิชาการสาธารณสุข นักวิชาการคอมพิวเตอร์ กลุ่มงานยุทธศาสตร์และ
สารสนเทศทางการแพทย์ โรงพยาบาลศรีประจันต์ เพ่ือเตรียมการและจัดทาชุดคาสั่งในการสร้าง
แบบเวชระเบยี นสาหรบั พิมพจ์ ากฐานขอ้ มูลด้วยคอมพิวเตอร์
4) เก็บข้อมูลระยะเวลาการจัดทาเวชระเบยี นผูป้ ่วยในก่อนเรม่ิ โครงการ

การพัฒนารปู แบบการจดั ทาเวชระเบยี นตามแนวคดิ Lean 21

5) นาแบบเวชระเบียนสาหรับพิมพ์จากฐานข้อมูลไปทดลองใช้ และประเมินความเป็นไป
ไดใ้ นการใชโ้ ดย หัวหนา้ พยาบาลและหัวหนา้ กลมุ่ งานการพยาบาลผ้ปู ่วยใน

6) ประชุมชี้แจงวิธีการใช้แบบเวชระเบียนสาหรับพิมพ์จากฐานข้อมูลแก่พยาบาลที่
ปฏิบัตงิ านกลุ่มงานการพยาบาลผู้ปว่ ยใน

7) กาหนดใหใ้ ชง้ านจริงในการปฏบิ ัติงานประจาวนั
8) จัดเตรียมนักวิชาการสาธารณาสุขและนกั วิชาการคอมพิวเตอร์ให้การสนบั สนุนกรณีพบ
ปัญหาผู้ปฏิบัติงานไมส่ ามารถใช้งานได้
9) ประเมินผลหลงั จาการใช้เวชระเบยี นสาหรบั พมิ พจ์ ากฐานขอ้ มูล 1 เดือน
10) สรุปผล ประเมินปัญหา อุปสรรค และวางแผนพฒั นาตอ่ ไป
เคร่อื งมือที่ใช้ในกำรวิจยั
1) แบบบันทกึ ข้ันตอนการจัดทาเวชระเบียนผู้ปว่ ยในกรณรี บั ผ้ปู ว่ ยใหม่
2) แผนการจัดทาชุดคาสั่งเพ่ือสร้างแบบเวชระเบียนเพ่ือพิมพ์จากฐานข้อมูลด้วย
คอมพิวเตอร์
3) แบบประเมนิ ความพงึ พอใจผใู้ ช้งานหลังทดลอง
สถติ ทิ ่ใี ชใ้ นกำรวิจัย
1) การประชุมเพ่ือประเมินความเห็นของทุกกลุ่มงานที่เกี่ยวข้อง ใช้การวิเคราะห์เชิง
คณุ ภาพ
2) การประเมินความพงึ พอใจ ใช้สถติ ิ รอ้ ยละ
ระยะเวลำทำกำรวิจยั และแผนกำรดำเนนิ งำนตลอดโครงกำรวิจยั
1) ประชุมชแี้ จง เสนอโครงการต่อผบู้ รหิ าร ประชมุ เตรยี มการ เดอื นมีนาคม 2560
2) จดั ทาชุดคาสัง่ ในการสร้างแบบเวชระเบยี นสาหรบั พมิ พ์จากฐานข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์
และทดลองใชง้ าน เดือนเมษายน - เดือนพฤษภาคม 2560
4) นาแบบเวชระเบียนสาหรับพิมพ์จากฐานข้อมูลไปทดลองใช้ ปรับปรุงและใช้งานจริง
เดือนมถิ ุนายน 2560
5) ประเมินผลหลังจาการใช้เวชระเบียนสาหรับพิมพ์จากฐานข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์
เดอื นสงิ หาคม 2560
6) สรปุ ผล จดั ทารายงานฉบับสมบรู ณ์ เดือนกันยายน 2560

การพฒั นารูปแบบการจดั ทาเวชระเบยี นตามแนวคิด Lean 22

บทท่ี 4
ผลการวิจัย

การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนารูปแบบการจัดทาเวชระเบียนผู้ป่วยในตามแนวคิด
Lean ผลการวจิ ยั นาเสนอตามลาดบั ดงั น้ี

1. แบบเวชระเบียนผ้ปู ่วยในตามแนวคิด LEAN
2. การลดข้นั ตอนการจัดทาชาร์ตผู้ปว่ ยใน
3. ความพึงพอใจของเจา้ หน้าที่
ผลท่ไี ด้จากการวจิ ยั
1. วิธกี ารพมิ พเ์ วชระเบยี นตามแนวคดิ LEAN
2. สรา้ งแบบเวชระเบยี นผู้ปว่ ยใน ดงั นี้

2.1 แบบบนั ทกึ ประวัติทางการแพทย์
2.2 แบบ IN-PATIENT SUMMARY
2.3 แบบประเมนิ สภาวะสขุ ภาพผูป้ ่วย
2.4 แบบประเมินแผนสุขภาพ
2.5 ฟอรม์ ปรอท
2.6 แบบรายงานผลทางห้องปฏิบตั ิการ
2.7 แบบบันทึกการให้ยา
2.8 ใบสรุปค่ารกั ษาพยาบาลผปู้ ว่ ยใน
2.9 แบบบันทึกทางการพยาบาล
2.10 Doctor’s Order Sheet
2.11 ใบแจ้งยอดผปู้ ่วย/อาหารประจาวนั
2.12 ใบยนิ ยอมรบั การผา่ ตัด/หัตถการ
2.13 ใบส่งตรวจทางหอ้ งปฏิบตั กิ ารผูป้ ่วยใน
2.14 แบบบนั ทึกการใชเ้ ครอ่ื งช่วยหายใน
2.15 แบบบันทกึ อาการเปล่ียนแปลง
2.16 ใบจอง/ขอโลหิต กลมุ่ เทคนิคการแพทย์
2.17 แบบเฝ้าระวังการตดิ เชือ้ ในโรงพยาบาล
2.18 ใบรับรองแพทย์

การพฒั นารปู แบบการจดั ทาเวชระเบยี นตามแนวคิด Lean 23

แบบเวชระเบียนตามแนวคดิ LEAN
จากการพัฒนาเวชระเบียนตามแนวคิด LEAN ผู้วิจัยได้ดาเนินการสร้างเวชระเบียนตามมาตรฐาน

ให้สามารถพมิ พ์ไดจ้ ากฐานข้อมูลทางคอมพิวเตอรล์ ูกข่าย และนาไปใช้ในการปฏบิ ัติงานในงานพยาบาลผปู้ ่วย
ในทุกแหง่ ของโรงพยาบาลศรีประจนั ต์ ดงั มขี ั้นตอนดังนี้
วธิ ีการพิมพเ์ วชระเบียนตามแนวคิด LEAN

การพมิ พเ์ อกสาร : พมิ พท์ หี่ น้าจอผ้ปู ่วยใน ท่ปี ่มุ Document
1. เลือกรายช่อื ผู้ป่วย
2. คลกิ ที่ปุม่ Document
3. เลือกรายการ CUSTOM-XXX ตามแบบเวชระเบยี นที่ตอ้ งการ
4. กดพิมพ์
5. กรณีไม่พบแบบเวชระเบียนที่ต้องการ สามารถ คลิกคาว่า “ค้น” พิมพ์เวชระเบียนตาม
ตอ้ งการ จะสามารถคน้ หาแบบเวชระเบยี นได้(ตอ้ งเปน็ แบบเวชระเบยี นท่ีสรา้ งไว้แล้ว) ดังภาพที่ 2

ภาพที่ 2 วธิ ีการพิมพ์เวชระเบยี น

การพฒั นารูปแบบการจัดทาเวชระเบยี นตามแนวคดิ Lean 24

รายงาน “CUSTOM-NUR-000-เอกสารIPD-รบั ใหม”่

เอกสารในการ Admit ผูป้ ่วยรับใหม่ ประกอบด้วย เอกสารดังน้ี
1. แบบบนั ทึกประวัติทางการแพทย์
(CUSTOM-NUR-000-แบบบนั ทกึ ประวตั ทิ างการแพทย์-ผ้ปู ่วยใน)
2. IN-PATIENT SUMMARY
(CUSTOM-NUR-000-IN-PATIENT SUMMARY)
3. แบบประเมินภาวะสขุ ภาพผู้ป่วยใน + การประเมินแบบแผนสุขภาพ (11 แบบแผนของกอร์ดอน)
(CUSTOM-NUR-021-แบบประเมินภาวะสุขภาพผปู้ ่วยใน)
4. ฟอรม์ ปรอท
(CUSTOM-NUR-004-ฟอรม์ ปรอท)
5. แบบรายงานผลทางห้องปฏบิ ัตกิ าร - สาหรบั ติดผลการรายงานแลบ
(CUSTOM-NUR-007-แบบรายงานผลทางห้องปฏิบตั กิ าร)
6. แบบบันทึกทางการพยาบาล (NURSE'S NOTE)
(CUSTOM-NUR-002-แบบบนั ทึกทางการพยาบาล (NURSE NOTE))
7. แบบบนั ทึกการใหย้ า
- แสดงรายการยาที่ Active ท่ีแสดงในหนา้ ตา่ ง Current Profile (Drug Profile [F8])
แสดงแยกแผ่นระหว่างประเภทยากนิ และยาฉีด

หมายเหตุ : ถา้ ไมม่ ีรายการ Active รายงานจะแสดงฟอรม์ เปล่า

(CUSTOM-NUR-005-แบบบนั ทึกการใหย้ า หรอื CUSTOM-NUR-005-แบบบนั ทกึ การให้ยา-(หนา้

เปล่า))

สรา้ งแบบเวชระเบียนผ้ปู ่วยใน ดงั นี้

แบบเวชระเบียนที่พิมพ์จากฐานข้อมูลสามารถพิมพ์ข้อมูลที่ถูกบันทึกในฐานข้อมูลจาก แพทย์

พยาบาล ของ งานผู้ป่วยนอก งานผู้ป่วยอุบัติเหตุ-ฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ผู้ให้การบริการไม่ต้องเขียนข้อมูลซ้าๆ

และเป็นตัวพิมพ์ของคอมพิวเตอร์ จึงอ่านง่าย ลดความผิดพลาดของการบันทึก HN AN ท่ีอยู่ สิทธิการ

รักษา สัญญาณชีพ และลดความผิดพลาดของการคัดลอกยาจากลายมือแพทย์ ซ่ึงแบบเวชระเบียนที่สร้าง

ขนึ้ ประกอบด้วย

1. แบบบันทึกประวัติทางการแพทย์ ได้พัฒนาให้สามารถพิมพ์แบบบันทึกประวัติทางการแพทย์

ตามมาตรฐานของโรงพยาบาลศรีประจนั ต์พรอ้ มขอ้ มลู สาคญั ประกอบด้วย เลขบตั รประจาตวั ประชาชน ชื่อ

– สกุล HN เพศ เชื้อชาติ สัญชาติ หมเู่ ลือด วนั เดือน ปี เกดิ อายุ สิทธิการรกั ษา สถานพยาบาลหลัก

การพัฒนารูปแบบการจัดทาเวชระเบียนตามแนวคิด Lean 25

สถานพยาบาลรอง ภูมิลาเนา อาชีพ ผู้ติดต่อ ประวตั ิการเจบ็ ปว่ ย สัญญาณชีพ อาการสาคัญ อาการป่วย
ปัจจุบัน การวินิจฉัยข้นั ต้น หัตถการ การสั่งการรกั ษาโดยแพทยผ์ ู้สั่งให้ผปู้ ่วยนอนโรงพยาบาล และระบุช่ือ
แพทย์ผู้สง่ั การรักษา ซ่งึ ขอ้ มูลไดร้ ับการบันทึกโดยผู้เกยี่ วขอ้ งจากหน่วยงานทผี่ ูป้ ่วยเข้ารับบรกิ ารกอ่ นเขา้
นอนพักรกั ษาในโรงพยาบาล ดังภาพท่ี 3

ภาพท่ี 3 แบบบนั ทึกประวัติทางการแพทย์

การพฒั นารปู แบบการจดั ทาเวชระเบียนตามแนวคดิ Lean 26

2. IN-PATIENT SUMMARY ได้พัฒนาให้สามารถพิมพ์แบบ IN-PATIENT SUMMARY ตาม
มาตรฐานพร้อมข้อมลู สาคัญ ประกอบด้วย เลขบัตรประจาตัวประชาชน ชื่อ – สกุล Admission Number
Hospital Number เพศ สถานภาพสมรส เชื้อชาติ สัญชาติ อาชีพ ภูมิลาเนา อายุ สิทธิการรักษา วัน
เดอื น ปีเกิด ภูมลิ าเนา อาชพี ผตู้ ดิ ต่อ และระบชุ ือ่ แพทยผ์ ูส้ ่งั การรกั ษา ดังภาพท่ี 4

ภาพที่ 4 แบบ IN-PATIENT SUMMARY

การพัฒนารูปแบบการจัดทาเวชระเบียนตามแนวคดิ Lean 27

3. แบบประเมินภาวะสขุ ภาพของผ้ปู ่วยในโรงพยาบาลศรปี ระจนั ต์ โปรแกรมสามารถระบุแผนก
ที่ดาเนินการสั่งให้ผู้ป่วยนอนโรงพยาบาล อาการสาคัญท่ีมาโรงพยาบาลประวัติการป่วยปัจจุบัน ประวัติการ
ป่วยในอดีต ประวัติการผ่าตัด ส่วนท้ายของแบบเวชระเบียนสามารถพิมพ์ ช่ือ-สกุล อายุ HN AN หอ
ผปู้ ว่ ย หมายเลขเตียง ประวตั กิ ารแพย้ า ดงั ภาพท่ี 5

ภาพท่ี 5 แบบประเมินภาวะสุขภาพของผปู้ ่วยใน


Click to View FlipBook Version