7
ตารางท่ี 2 ข้อมูลของผู้ป่วยเด็กสมาธิสั้น
ลกั ษณะขอ้ มลู ทัว่ ไป จำนวนราย (รอ้ ยละ)
เพศ 76.1
23.9
- ชาย 150
- หญงิ 47
อายุ(ปี)
- 0-6 18 9.1
- 6-12 144 73.1
- 12-18 35 17.8
เวลาในการรกั ษา(เดือน) 18 9.1
- <6 144 73.1
- 6 – 12 35 17.8
- >12
67 36.8
ผลการเรยี นเกรดเฉลี่ย 82 45.1
- <2 33 18.1
- 2-3
- 3-4
ประเภทของโรคสมาธิสน้ั
- hyperactive 99 50.3
- inattentive 22 11.2
- combined 76 38.6
โรครว่ มทางจิตเวช
- ไมม่ ี 93 47.2
- มี 104 52.8
โรคที่พบร่วมในผู้ป่วยสมาธิสั้นมีดังนี้ โรคการเรียนรู้บกพร่อง (learning disability) จำนวน 25 ราย
ร้อยละ 12.7 โรคสติปัญญาบกพร่อง (Intellectual disability) จำนวน 21ราย ร้อยละ 10.7 โรคออทิสติก
(Autistic spectrum disorder) จำนวน 11 ราย รอ้ ยละ 5.6
อุบัติการณ์ของภาวะซึมเศร้าในผู้ปกครองของผู้ป่วยเด็กสมาธิสั้น โดยการทำแบบสอบถาม Patient
Health Questionnaire (PHQ9) พบผู้ที่ผ่านเกณฑ์เป็นกลุ่มเสี่ยง 57 ราย (ร้อยละ 28.9) และผู้ท่ีได้รับการ
สมั ภาษณโ์ ดยจติ แพทยเ์ พ่อื ยนื ยันการวนิ ิจฉยั พบ 32 ราย (รอ้ ยละ16.2) ตารางท่ี 3
ตารางที่ 3 อบุ ตั กิ ารณข์ องภาวะซมึ เศรา้ ในผู้ปกครองของผู้ป่วยสมาธิส้ัน
จำนวน (รอ้ ยละ)
เขา้ เกณฑแ์ บบประเมนิ 9Q 57 28.9
วนิ ิจฉัยโดยจติ แพทย์ 32 16.2
8
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อนำมาวิเคราะห์แบบตัวแปรเดี่ยว
(univariate analysis) คือการมโี รคร่วมทางจติ เวชของเด็ก ระยะเวลาท่เี ร่ิมรกั ษา ผลการเรยี นเฉล่ีย สว่ นปัจจัย
อื่นที่ไม่พบความสัมพันธ์ทางสถิติได้แก่ การมีโรคประจำตัวของผู้ปกครอง ประเภทของโรคสมาธิสั้นและผู้ช่วย
ดแู ลเดก็ ในครอบครัว (ตารางที่ 4)
ตารางที่ 4 ปัจจัยที่เกี่ยวขอ้ งของภาวะซึมเศรา้ ในผู้ปกครองของผปู้ ่วยสมาธสิ นั้
ปัจจัย ไม่มีภาวะซึมเศร้า ภาวะซึมเศรา้ p-value
จำนวน รอ้ ยละ จำนวน รอ้ ยละ
โรคประจำตัวของผ้ปู กครอง
- ไมม่ ี 128 77.6 23 71.9 0.498
- มี 37 22.4 9 28.1
85 51.5 8 25 0.007
โรคร่วมทางจติ เวชของเด็ก
- ไม่มี
- มี 80 48.5 24 75
เวลาในการรักษา(เดือน) 11 6.7 9 28.1 0.001
- <6 42 25.5 7 21.9
112 67.9 16 50
- 6 – 12
- >12 47 31.3 20 62.5 0.004
ผลการเรียนเกรดเฉลย่ี 73 48.7 9 28.1
- <2 30 20.0 3 9.4
- 2-3 84 50.9 15 46.9 0.166
21 12.7 1 3.1
- 3-4 60 36.4 16 50
ประเภทของโรคสมาธิส้นั
94 57.7 14 43.8 0.175
- hyperactive 69 42.3 18 56.3
- inattentive
- combined
ผ้ชู ว่ ยดูแลเด็กในครอบครัว
- ไม่มี
- มี
9
วิจารณ์
การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะซึมเศร้าในผู้ปกครองของผู้ป่วย
สมาธิสั้น โดยมีข้อมูลจากการศึกษาก่อนหน้านี้พบว่าผู้ปกครองของผู้ป่วยสมาธิสั้นจะมีภาวะเครียด ซึมเศร้า
มากกวา่ ประชากรทัว่ ไป การศกึ ษาน้ีไม่ไดศ้ กึ ษากล่มุ ควบคุมเพ่ือเปรยี บเทียบ
จากผลการศึกษาครั้งนี้พบว่าอุบัติการณ์ของภาวะซึมเศร้าของผู้ปกครองของผู้ป่วยเด็กสมาธิสั้นที่มา
รักษาที่โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จำนวน 197 คนในครั้งนี้พบว่า ผู้ปกครองที่มีภาวะซึมเศร้า 32 ราย
เท่ากับร้อยละ 16.2 ซึ่งมากกว่าความชุกโรคซึมเศร้าในกลุ่มประชากรไทยตามรายงานการศึกษาเรื่องความชุก
ของโรคจิตเวชและปัญหาสุขภาพจิต ปี 2556 11 ซึ่งพบร้อยละ 1.6 สอดคล้องกับการศึกษาของ Durukan
และคณะ12 พบว่าคะแนนภาวะซึมเศรา้ และวติ กกงั วลของแมท่ ่ีมีลูกเป็นสมาธสิ ั้นสงู กวา่ ประชากรทว่ั ไป
ภาวะซึมเศร้าของผู้ปกครองในการศึกษานี้น้อยกว่าการศึกษาของสุวรรณี พุทธิศรี 7 ที่ศึกษาภาวะ
ซึมเศรา้ ในมารดาของเด็กสมาธสิ ้นั โดยใช้แบบสอบถาม Thai Depression Inventory (TDI) เพือ่ ประเมินภาวะ
ซึมเศร้าในมารดาและไม่มีการสัมภาษณ์เพื่อการวินิจฉัย พบว่ามีมารดาที่มีภาวะซึมเศร้าคิดเป็นร้อยละ 34.7
และน้อยกว่าของ Harrison13 ซึ่งพบภาวะซึมเศร้าในบิดามารดาของเด็กสมาธิสั้นร้อยละ 21 โดยใช้เครื่องมือ
Beck depression inventory
ผลการคัดกรองได้จำนวนที่เข้าเกณฑ์ภาวะซึมเศร้าค่อนข้างน้อยว่าการศึกษาก่อนหน้านี้ อาจเป็น
เพราะการตอบคำถามดว้ ยตนเองทำใหผ้ ู้ปกครองอาจมีแนวโน้มจะประเมนิ อาการของตนเองน้อยกว่าความเป็น
จริง และเนื่องจากสังคมไทยต่างจังหวัดมีสมาชิกในครอบครัวที่คอยช่วยเหลือในการเลี้ยงดูผูป้ ่วยสมาธสิ ั้นอาจ
ทำให้ความเครียดในผู้ดูแลหลักลดลง ซึ่งการดูแลเด็กตามลำพังนั้นเป็นปัจจัยที่มีผลต่อภาวะซึมเศร้า
ในผูป้ กครองตามการศึกษาของ Balushi และคณะ14และประชากรที่เข้าร่วมในงานวจิ ยั สว่ นใหญผ่ ู้ป่วยสมาธิส้ัน
ที่ได้รับการวินิจฉัยอยู่ในช่วง 6-12 เดือน ผู้ปกครองจึงอาจจะยังไม่เกิดภาวะเครียด ซึมเศร้าจากปัญหา
พฤติกรรมของเด็กที่สะสมมายาวนาน ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ สุวรรณี พุทธิศรี 7 พบว่าปัจจัยด้าน
ระยะเวลาที่เด็กได้รับการวินิจฉัยโรคสมาธิสั้นมานานกว่า 12 เดือน มีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้าในมารดา
ประมาณ 4 เทา่
ในการศึกษานี้ผู้วิจัยได้ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อภาวะซึมเศร้าในผู้ปกครองของผู้ป่วยสมาธิสั้น โดยแบ่ง
ปัจจัยท่ศี กึ ษาเป็น 2 กลุม่ กลุม่ แรกคอื ปัจจยั จากผปู้ กครองและกลมุ่ ที่สองคือปจั จัยจากผู้ปว่ ยโรคสมาธิสัน้
ทางด้านปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับผู้ปกครองที่มีภาวะซึมเศร้าคือปัจจัยจากผู้ป่วยโรคสมาธิสั้น ได้แก่
การมโี รครว่ มทางจิตเวชของผู้ปว่ ยสมาธิสั้น ระยะเวลาท่เี ร่มิ รักษา ผลการเรียนเฉลีย่ ซึ่งในการศึกษานี้โรคที่พบ
ร่วมในผู้ป่วยโรคสมาธิสั้นได้แก่ โรคการเรียนรู้บกพร่อง โรคสติปัญญาบกพร่องและโรคออทิสติก ซึ่งการมีโรค
ร่วมดังกล่าวส่งผลกับการเรียน ปัญหาในการทำกิจวัตรประจำวัน การสื่อสารบอกความต้องการและการ
ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นที่ไม่สมวัย ทำให้ผู้ปกครองตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยได้ยากและเกิดปัญหา
พฤติกรรมตามมา ทำให้เกิดความยากลำบากในการดูแล สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อการควบคุม
อารมณ์ผู้ปกครองเป็นอย่างยิ่ง สอดคล้องกับการศึกษาของ Rockhill และคณะ8 พบว่าพ่อแม่ของผู้ป่วยสมาธิ
สั้นท่มี ีโรคร่วมทางจิตเวชเชน่ โรคดอ้ื ต่อตา้ น โรควติ กกังวลจะมีปัญหาเครยี ด ซึมเศร้า และรูส้ ึกเปน็ ภาระในการ
เล้ียงดเู พม่ิ ขน้ึ ซึ่งแตกต่างจากการศกึ ษาของ Balushi และคณะ14 ซงึ่ พบวา่ ปจั จัยท่ีเกี่ยวข้องกับภาวะซึมเศร้าใน
10
ผู้ดูแลคือการมีรายได้น้อย การเป็นผู้ดูแลเด็กเพียงลำพังและชนิดของโรคสมาธิสั้น ได้แก่ hyperactive
,combined type
ข้อจำกัดในการศึกษาครั้งนี้คือ การตอบแบบสอบถามคัดกรองเป็นการตอบแบบสอบถามด้วยตนเอง
ผู้ปกครองอาจไม่ตอบตามความเป็นจริงทั้งหมดจึงทำให้มีจำนวนผู้เข้าเกณฑ์ภาวะซึมเศร้าน้อยกว่าความเป็นจริง
และนอกจากนัน้ ยังมีปจั จยั อื่นๆทอ่ี าจมผี ลตอ่ ภาวะซมึ เศร้าของผู้ปกครองทีผ่ วู้ ิจยั ไม่ได้ทำการศกึ ษา เช่น ความรุนแรง
ของโรคสมาธิสั้นในผู้ป่วย ปัญหาที่โรงเรียน สถานภาพสมรสของผู้ปกครอง ลักษณะการเลี้ยงดู ความรุนแรง
ของภาวะซึมเศร้าในผู้เลีย้ งดู เปน็ ต้น ดังน้ันการศกึ ษาคร้ังต่อไปจึงควรพิจารณาเร่ืองแบบคัดกรองภาวะซึมเศร้า
เพม่ิ การศึกษาในกลุม่ ประชากรท่ใี หญ่ขนึ้ และศกึ ษาปัจจยั อน่ื ๆเพม่ิ เตมิ
สรปุ และเสนอแนะการนำไปใช้ประโยชน์ (Conclusions and suggestions)
ผูป้ กครองเดก็ สมาธสิ น้ั ทม่ี ารับการบริการในโรงพยาบาลเจา้ พระยายมราชมีความชุกของภาวะซึมเศร้า
โดยการทำแบบสอบถาม Patient Health Questionnaire (PHQ9) พบผู้ที่ ผ่านเกณฑ์เป็นกลุ่มเสี่ยง ร้อยละ
28.9 และผู้ที่ได้รับการสัมภาษณ์โดยจิตแพทย์เพื่อยืนยันการวินิจฉัยพบ ร้อยละ16.2 ปัจจัยที่ความสัมพันธ์
กับผู้ปกครองท่มี ีภาวะซึมเศร้า คือการมีโรครว่ มทางจิตเวชของผู้ปว่ ยสมาธสิ น้ั ระยะเวลาทีเ่ ริม่ รักษา ผลการเรยี นเฉลยี่
ดังนั้นบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยเด็กสมาธิสั้นจึงควรตระหนักถึงภาวะซึมเศร้าของผู้ปกครอง ควรให้การ
วนิ ิจฉยั และรักษาในผปู้ กครองรว่ มดว้ ย เพื่อใหก้ ารรักษาเด็กสมาธสิ ั้นเปน็ ไปอยา่ งมีประสิทธภิ าพ
11
เอกสารอา้ งองิ
1. ศิรไิ ชย หงสส์ งวนศรี,คมสนั ต์ เกียรตริ ุ่งฤทธ์.ิ โรคสมาธสิ ้ัน. ใน:มาโนช หลอ่ ตระกูล,ปราโมทย์ สุคนิชย์
,บรรณาธิการ.จติ เวชศาสตรร์ ามาธบิ ด.ี พิมพค์ ร้ังที่ 4.กรุงเทพฯ:ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์
โรงพยาบาลรามาธบิ ดี มหาวิทยาลัยมหดิ ล;2558.หนา้ 541-51.
2. วฐิ ารณ บุญสทิ ธิ.โรคสมาธสิ ั้น:การวินจิ ฉัยและการรักษา.วารสารสมาคมจิตแพทย์แหง่ ประเทศไทย
2555;57:373-86.
3. ชาญวิทย์ พรนภดล,วนิ ัดดา ปยิ ะศิลป,์ จติ ราภรณ์ จิตรธร,ศริ นิ ดา จันทร์เพ็ญ.การพฒั นาแบบคัดกรองโรคสมาธิ
สนั้ ในเด็กและวัยรนุ่ ไทย อายุระหว่าง 3-18 ปี.วารสารสมาคมจิตแพทย์แหง่ ประเทศไทย2557;59:335-54.
4. ชาญวิทย์ พรนภดล.ผลกระทบและการดำเนนิ โรค.ใน:ชาญวทิ ย์ พรนภดล,บรรณาธกิ าร.โรคสมาธสิ ้ัน.พมิ พ์
ครงั้ ที่ 1.กรุงเทพฯ:ศริ ิราช คณะแพทยศาสตร์ศริ ิราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหดิ ล;2561.หนา้ 347-65.
5.ดลฤดี แดงนำ้ คู้.ความเครยี ดของผูป้ กครองในการเล้ยี งดูเดก็ สมาธสิ น้ั วทิ ยานพิ นธ์ปริญญาวิทยาศาสตร
มหาบัณฑิต กรุงเทพฯ:จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย;2549.
6. อารรี ตั น์ สริ พิ งศ์พนั ธ์,สุวรรณี พทุ ธศิ รี.ปจั จัยท่ีสง่ ผลต่อสุขภาพจติ ของมารดาผู้ปว่ ยสมาธิสัน้ .วารสารสมาคม
จติ แพทย์แห่งประเทศไทย2559;61(3):205-16.
7. สุวรรณี พุทธศิ รี,พัชรี พรรณนาพานิช,ธนติ า ปานทัง่ ทอง,มนัส สงู ประสทิ ธิ.์ ภาวะซึมเศรา้ ในมารดาของเดก็
สมาธสิ ั้น.วารสารสมาคมจิตแพทยแ์ ห่งประเทศไทย2549;51(3):213-23.
8. Rockhill C,Violette H,Stoep AV,Grover S,Myers K.Caregivers’ distress youth with attention-
deficit/hyperactivity disorder and comorbid disorders assessed via telemental health.J Child
Adolesc Psychopharmacol2013;23(6):379-85.
9.Minichil W,Getinet W,Derajew H,Seid S.Depression and associated factors among primary
caregivers of children and adolescents with mental illness in Addis Abba,Ethiopia.BMC
Psychiatry2019;19:249.
10. ธรณนิ ทร์ กองสุข,สวุ รรณา อรณุ พงค์ไพศาล,ศภุ ชัย จันทร์ทอง,เบญจมาศ พฤกษก์ านนท์,สุพตั ร สุขาว
,จนิ ตนา ลจ้ี งเพมิ่ พูน.ความเท่ียงตรงตามเกณฑ์การวนิ จิ ฉัยโรคซมึ เศรา้ ของแบบประเมินอาการโรคซมึ เศรา้ 9
คำถามฉบบั ปรับปรงุ ภาษากลาง.วารสารสมาคมจิตแพทยแ์ หง่ ประเทศไทย2561;63(4):321-34.
11. พันธุน์ ภา กิตติรัตนไพบูลย,์ นพพร ตนั ติรงั สี,วรวรรณ จฑุ า,อธบิ ตันอารยี ์,ปทานนท์ ขวัญสนทิ ,สาวติ รี
อัษณางค์กรชัยและคณะ.ความชุกของโรคจติ เวชและปัญหาสุขภาพจิต.นนทบุรี:กรมสขุ ภาพจติ ;2559.สำนัก
บรหิ ารระบบบรกิ ารสขุ ภาพจิต.
12. Durukan I,Erdem M,Tufan AE,Congologlu A,Yorbik O,Turkbay T.Depression and anxiety
levels and coping strategies used by mothers of children with ADHD: a preliminary
study.Anadolu Psikiyatri Derg2008;9:217-23.
13. Harrison C,Sofronoff K.ADHD and parental psychological distress:role of
demographics,child behavioral characteristics,and parental cognitions.J Am Acad Child
Adolesc Psychiatry2002;41:6:703-11.
14. Balushi NA,Shekaili MA,Alawi MA,Balushi MA,Panchatcharam SM,Adawi SA.Prevalence and
predictors of depressive symptoms among caregivers of children with attention-
deficit/hyperactivity disorder attending a tertiary care facility: a cross-sectional analytical
study form Muscat,Oman.Early Child Dev Care2019;9:1515-24.
อุบตั กิ ารณ์และปัจจยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง
ความรูส้ กึ เครียดในสตรีต้ังครรภ์ทม่ี าฝาก
ครรภใ์ นโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช
-1-
เพ่อื แต่งต้งั ใหด้ ำรงตำแหนง่ นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ (ดา้ นเวชกรรม)
ชอ่ื – สกลุ นางสาวอติพร ผลเพิ่มพนู ทวี
สังกัด กลุ่มงานสตู ิ-นรีเวชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช
ผลงานวชิ าการ อุบตั ิการณ์และปัจจยั ท่ีเก่ยี วข้องความรู้สึกเครยี ดในสตรตี ัง้ ครรภ์ที่มาฝากครรภ์ในโรงพยาบาล
เจา้ พระยายมราช
Incidence and Related Factors with Stress in Pregnant Women Attending Antenatal Care at
Chaoprayayomraj Hospital
บทคัดยอ่
วตั ถปุ ระสงค์หลัก
เพ่ือศึกษาความชุกของความรสู้ กึ เครียดในสตรตี ้งั ครรภท์ ่ีเข้ารับการฝากครรภ์ในโรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช
วัตถปุ ระสงคร์ อง
เพื่อศกึ ษาปจั จยั ที่สัมพันธก์ ับของความรสู้ ึกเครียดในสตรีตั้งครรภ์ทเี่ ข้ารบั การฝากครรภ์ในโรงพยาบาล
เจ้าพระยายมราช
รูปแบบการวจิ ยั
การศึกษาแบบวิเคราะห์ไปขา้ งหนา้ จากเหตไุ ปหาผล (Prospective analytic study)
ประชากรเป้าหมาย
สตรตี ั้งครรภ์ทเ่ี ข้ารบั บริการฝากครรภ์ท่แี ผนกฝากครรภ์ โรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช
กลมุ่ ตัวอยา่ ง
สตรีต้ังครรภ์ที่เข้ารับบริการฝากครรภ์ที่แผนกฝากครรภ์ โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช โดยมีคุณสมบัติ
ตามเกณฑ์คัดเขา้ และคัดออก
ผลการศึกษา : พบว่า หญิงตั้งครรภ์มีระดับความเครียดระดับต่ำ 266 คน คิดเป็นร้อยละ 63.30 คะแนนเฉล่ีย
คือ 9.530 ± 5.876 คะแนน ระดับความเครียดระดับปานกลาง 150 คน คิดเป็นร้อยละ 35.70 คะแนนเฉล่ีย
คือ 22.607 ± 2.222 คะแนน และระดับความเครียดระดับสูง 4 คน คิดเป็นร้อยละ 1.00 คะแนนเฉล่ีย
คือ 33.750 ± 0.500 คะแนน ตามลำดับ ความชุกของความรู้สึกเครียดระดับสูงในสตรีต้ังครรภ์ ร้อยละ 1.80
ใน ไตรมาส 3 และร้อยละ 25.00 ในไตรมาส 1 ความชุกของความรู้สึกเครียดระดับปานกลางในสตรีต้ังครรภ์
รอ้ ยละ 40.60 ใน ไตรมาส 3 และร้อยละ 32.70 ในไตรมาส 1
แสดงผลการศึกษาในสตรีตั้งครรภ์ท้ังหมด 420 คน พบว่า ไม่มีความเครียด 266 คน คิดเป็นร้อยละ
63.30 มีความเครยี ดระดับปานกลางขน้ึ ไป จำนวน 154 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 36.70 และดา้ นปัจจยั ส่วนบุคคล
พบว่าส่วนใหญ่มีอายุเฉล่ีย คือ 27.20 ± 6.38 ปี โดยมีช่วงอายุระหว่าง 14 ถึง 40 ปี เป็นการต้งั ครรภ์ในวัยผู้ใหญ่
คิดเป็นร้อยละ 88.10 ซึ่งจะพบว่าวัยผู้ใหญ่ อายุมากกว่า 19 ปีขึ้นไปจะมีความรู้สึกเครียด คิดเป็นร้อยละ 37.03
โดยท่ี มีดัชนมี วลกายเฉลย่ี 25.75 ± 5.84 โดยสว่ นใหญม่ คี ่าดัชนมี วลกายผิดปกติ คดิ เป็นรอ้ ยละ 85.20 และมี
อายุครรภ์เฉล่ีย 22.55 ± 11.95 สัปดาห์ อยู่ในช่วงไตรมาสที่ 3 คิดเป็นร้อยละ 39.30 มีความรู้สึกเครียดต้ังแต่
ระดับปานกลางถึงสูง คิดเป็นร้อยละ 42.40 มีสถานภาพการสมรสแต่งงาน คิดเป็นร้อยละ 79.80 มีการศึกษา
ระดับประถมและมัธยมศึกษาตอนปลาย คิดเป็นร้อยละ 78.10 มีงานทำ คิดเป็นร้อยละ 74.00 นบั ถือศาสนาพทุ ธ
คิดเป็นร้อยละ 99.80 สามีมีงานทำ คิดเป็นร้อยละ 95.50 มีรายได้ของครอบครัว < 10,000 บาท คิดเป็นร้อยละ
44.50 ระยะทางของบ้านห่างจากโรงพยาบาล > 5 กโิ ลเมตร คิดเปน็ รอ้ ยละ 79.80 ไมส่ ูบบหุ รี่ขณะตัง้ ครรภ์
-2-
คิดเป็นร้อยละ 98.60 ไม่ด่ืมสุราขณะต้ังครรภ์ คิดเป็นร้อยละ 99.00 ความพร้อมของการต้ังครรภ์ พบว่า
การต้ังครรภ์ครัง้ นี้ส่วนใหญ่ไม่ได้มีการวางแผนไว้ คิดเป็นร้อยละ 53.80 เป็นการต้ังครรภ์ครง้ั ท่ีสอง คิดเป็นร้อยละ
39.50 เคยผ่านการคลอดบุตรมาก่อน 1 คร้ัง คิดเป็นร้อยละ 39.50 ไม่เคยแท้ง คิดเป็นร้อยละ 97.60 ไม่มีโรค
ประจำตัว คิดเป็นร้อยละ 89.00 ไม่มีภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ครั้งนี้ คิดเป็นร้อยละ 87.90 และไม่มี
ภาวะแทรกซ้อนในการตง้ั ครรภค์ รั้งก่อน คดิ เป็นรอ้ ยละ 93.30
นอกจากน้ยี งั พบว่ามีสถานการณ์ทมี่ ีผลกระทบตอ่ จติ ใจอย่างรุนแรงในชีวิตขณะต้ังครรภ์ คือ ส่วนใหญ่ไมม่ ี
การเสียชีวิตของญาติสายตรง (บิดา มารดา บุตร คู่สมรส หรือพ่ีน้อง) คิดเป็นร้อยละ 90.70 ไม่มีการหย่าร้างหรือ
แยกทางกับคู่สมรส คิดเป็นร้อยละ 94.30 ไม่มีการลาออกหรือโดนให้ออกจากงานประจำ คิดเป็นร้อยละ 93.30
ไมม่ ีการโดนทำร้ายรา่ งกายหรอื จิตใจจากสมาชกิ ในครอบครัว คดิ เปน็ รอ้ ยละ 84.50 ไม่มีความคิดหรือเคยพยายาม
ฆ่าตัวตาย คิดเป็นร้อยละ 95.50 ไม่มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งหรือไม่เข้าใจกันกับสามีในช่วงท่ีผ่านมา คิดเป็น
ร้อยละ 88.80 ไม่มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งหรือไม่เข้าใจกันกับคนในครอบครัวในช่วงท่ีผ่านมา คิดเป็นร้อยละ
91.40 ปัจจัยด้านภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ การมีภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์คร้ังน้ี คิดเป็นร้อยละ
90.50 และการมีภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ครั้งก่อน คิดเป็นร้อยละ 78.30 ปัจจัยด้านความพร้อมของการ
ต้งั ครรภ์ พบวา่ สว่ นใหญไ่ ม่มกี ารเตรยี มความพร้อมในการตงั้ ครรภ์ คิดเปน็ ร้อยละ 53.80
เมื่อนำตัวแปรด้านต่างๆมาหาความสัมพันธ์กับการรับรู้ความเครียดของหญิงตั้งครรภ์ พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล
มีเพียงปัจจัยด้านรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท ต่อเดือน ที่มีความสัมพันธ์กับการรับรู้ความเครียดของหญิงตั้งครรภ์
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ปัจจัยด้านสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรงในชีวิตขณะ
ตั้งครรภ์ ได้แก่ การเสียชีวิตของญาติสายตรง (บิดา มารดา บุตร คู่สมรส หรือพ่ีน้อง) และการหย่าร้างหรือแยก
ทางกับคู่สมรสไม่มีความสัมพันธ์กับการรับรู้ความเครียดของหญิงต้ังครรภ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05
สำหรับการลาออกหรือโดนให้ออกจากงานประจำ,การโดนทำร้ายร่างกายหรือจิตใจจากสมาชิกในครอบครัวและมี
ความคิดหรือเคยพยายามฆ่าตัวตาย มีความสัมพันธ์กับการรับรู้ความเครียดของหญิงต้ังครรภ์ อย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติท่ีระดบั 0.05 ปจั จัยด้านภาวะแทรกซอ้ นของการต้ังครรภ์ พบว่าการมีภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภค์ รั้ง
ก่อนและคร้ังน้ีมีความสัมพันธ์กับการรับรู้ความเครียดของหญิงตั้งครรภ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05
ปัจจัยความพร้อมของการต้ังครรภ์พบว่าไม่มีความสัมพันธ์กับการรับรู้ความเครียดของหญิงต้ังครรภ์ อย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05
แสดงผลการวิเคราะห์ Multiple logistic regression analysis เพ่ือพิจารณาว่าเม่ือทำการวิเคราะห์การ
ถดถอยพหุโลจิสติก สามารถอธิบายความแปรปรวนของตัวแปรได้ร้อยละเท่าใด และมีตัวแปรใดบ้างที่ส่งผลต่อตัว
แปรตามอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยด้านต่างๆท่ีส่งผลต่อความรู้สึกเครียดในสตรีตั้งครรภ์ พบว่าปัจจัยส่วนบุคคลไม่มี
ความสัมพันธ์กันกับความรู้สึกเครียดในสตรีตั้งครรภ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 ปัจจัยความพร้อม
ของการตั้งครรภ์ไม่มีความสัมพันธ์กันกับความรู้สึกเครียดในสตรีตั้งครรภ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05
ปัจจัยดา้ นภาวะแทรกซอ้ นของการต้ังครรภ์ พบว่าการมีภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ครัง้ ก่อนมีความสัมพันธ์กัน
กับความรู้สึกเครียดในสตรีตั้งครรภ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 โดยมีค่า Crude OR 0.506, 95%CI
0.262-0.976, p-value 0.042 แ ล ะ Adjusted OR 0.479, 95%CI 0.243-0.944, p -value 0.033 ก า ร มี
ภาวะแทรกซ้อนในการต้ังครรภ์คร้ังน้ีมีความสัมพันธ์กันกับความรู้สึกเครียดในสตรีตั้งครรภ์อย่างมีนัยสำคัญทาง
สถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีค่า Crude OR 0.510, 95%CI 0.290-0.897, p-value 0.019 และ Adjusted OR
0.489, 95%CI 0.202-0.864, p -value 0.037 ปัจจัยสถานการณ์ท่ีมีผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรงในชีวิตขณะ
ตัง้ ครรภ์ คอื การมคี วามคดิ หรือเคยพยายามฆ่าตัวตาย มีความสัมพันธก์ นั กบั ความรูส้ กึ เครียดในสตรีต้งั ครรภ์
-3-
โดยมีค่าCrude OR 0.173, 95%CI 0.035-0.850, p-value 0.031 และ Adjusted OR 0.167, 95%CI 0.028-
0.823, p -value 0.040 และปัจจัยด้านความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว ได้แก่ การมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง
หรอื ไม่เข้าใจกันกับสามีในชว่ งทผี่ ่านมามีความสมั พันธ์กันกบั ความรสู้ ึกเครียดในสตรตี ั้งครรภ์ อย่างมนี ัยสำคัญทาง
สถิติท่ีระดับ 0.05 โดยมีค่า Crude OR 0.261, 95%CI 0.097-0.701, p-value 0.008 และ Adjusted OR
0.239, 95%CI 0.088-0.648, p -value 0.005 และการมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งหรือไม่เข้าใจกันกับคนใน
ครอบครัวในช่วงท่ีผ่านมา มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 โดยมีค่า Crude OR 0.429,
95%CI 0.201-0.917, p-value 0.029 และ Adjusted OR 0.402, 95%CI 0.185-0.873, p -value 0.021
คำสำคัญ : อบุ ัติการณ์,ปจั จัยที่เกยี่ วขอ้ ง,ความรู้สกึ เครียดในสตรีต้ังครรภ์
-4-
Abstract
Main objective
To study the prevalence of feelings of stress among pregnant women attending
antenatal care at Chao Phraya Yommarat Hospital.
Secondary objective
To study the factors associated with stressful feelings among pregnant women attending
antenatal care at Chao Phraya Yommarat Hospital.
Research model
Forward analytical study From cause to effect (Prospective analytic study)
Target population
Pregnant women attending antenatal services at the Antenatal Department Chaopraya
Yommarat Hospital
Sample group
Pregnant women attending antenatal services at the Antenatal Department Chaopraya
Yommarat Hospital With qualifications according to the criteria for in and out
Results: It was found that pregnant women had a low stress level of 266 people, representing
63.30 percent, the mean score was 9.530 ± 5.876, the average stress level was 150 people,
representing 35.70 percent, the mean score was 22.607 ± 2.222 points and the stress level. The
4 subjects were 1.00%, the mean score was 33.750 ± 0.500 points, respectively, the prevalence
of high-stress feeling among pregnant women, 1.80% in the third trimester and 25.00% in the
1st trimester, the prevalence of moderate stress. Among pregnant women 40.60% in the third
trimester and 32.70% in the 1st trimester.
A study of 420 pregnant women found that there were no stress, 266 people, 63.30
percent, had moderate stress, 154 people, representing 36.70 percent, and personal factors
showed that most of them had a mean age of 27.20 ±. 6.38 years with a range between 14 and
40 years of age, it is an adult pregnancy. Accounted for 88.10 percent, which will find that
adults over 19 years old will feel stressed It was 37.03% with an average body mass index of
25.75 ± 5.84 and most of them had an abnormal BMI. Accounted for 85.20% and the average
gestational age of 22.55 ± 11.95 weeks was in the third trimester, 39.30% had a moderate to
high level of stress. Accounted for 42.40 percent having a marital status marrying Accounted for
79.80% have primary and high school education. 78.10 percent employed 74.00 percent of
Buddhism. 99.80% of the husband employed 95.50% had a family income <10,000 baht or
44.50% distance of the home away from the hospital> 5 km or 79.80% did not smoke while
pregnant. 98.60 percent did not drink alcohol while pregnant. This accounted for 99.00 percent
of the readiness of the pregnancy. It was found that most of these pregnancies were not
planned. Or 53.80 percent is the second pregnancy. 39.50 percent had had one previous
maternity, 39.50 percent had never had a miscarriage, or 97.60 percent had no underlying
disease. Accounted for 89.00 percent. There were no complications in this pregnancy. This
-5-
accounted for 87.90% and there were no complications in the previous pregnancy. Accounted
for 93.30 percent
In addition, it was found that there were serious psychological situations in life while
pregnant, most of which there were no deaths of direct relatives (parent, child, spouse or
sibling), accounting for 90.70%. Separated from spouse Accounted for 94.30 percent. There was
no resignation or being dismissed from the job. Accounting for 93.30 percent, there was no
physical or psychological harm from family members. 84.50 percent had no thoughts or
attempted suicide. This accounted for 95.50%. There were no quarrel or not understood
problems with their husbands in the past, accounting for 88.80%. There were no problems,
quarrels or not understand each other with family members in the past. Accounted for 91.40
percent. Factors of complications of pregnancy. Is there a complication in this pregnancy? This
accounted for 90.50% and had complications in a previous pregnancy. Accounted for 78.30
percent. Factors of pregnancy readiness found that most of them did not prepare for
pregnancy. Or 53.80 percent
When various parameters were found to correlate with the perception of stress of
pregnant women, it was found that personal factors Only income factors less than 10,000 baht
per month were correlated with pregnant women perceptions of stress. At a level of 0.05, the
situation with serious psychological impact in life during pregnancy was the death of a direct
relative (father, mother, child, spouse, or sibling) and divorce or separation. There was no
correlation with the spouse perceptions of stress among pregnant women. This was statistically
significant at 0.05 for resignation or dismissal from work, physical or psychological harm by
family members, and thoughts or attempted suicide. It correlates with the perception of stress
of pregnant women. Significantly Statistically at a level of 0.05 pregnancy complications factor.
It was found that having complications in previous pregnancies and this was associated with
stress perceptions of pregnant women. At a statistically significant level of 0.05, the pregnancy
readiness factor was found to be non-correlated with the perceived stress of pregnant women.
Statistically significant at a level of 0.05.
The results of Multiple logistic regression analysis were shown to determine that when
performing a multiple logistic regression analysis. What percentage of the variance can be
explained by the variables? And are there any variables that significantly affect the dependent
variable? Various factors affecting the feeling of stress in pregnant women. It was found that
personal factors were not significantly associated with feelings of stress in pregnant women at
0.05 readiness factor. Of pregnancy were not associated with feelings of stress in pregnant
women. This was statistically significant at a level of 0.05. Pregnancy complication factor. The
pre-pregnancy complications were found to be significantly associated with stress in pregnant
women at 0.05 with Crude OR 0.506, 95% CI 0.262-0.976, p-value. 0.042 and Adjusted OR 0.479,
95% CI 0.243-0.944, p -value 0.033. The occurrence of this pregnancy complication was
statistically significantly associated with the feeling of stress in pregnant women at the level of
0.05. Crude OR 0.510, 95% CI 0.290-0.897, p-value 0.019 and Adjusted OR 0.489, 95% CI 0.202-
-6-
0.864, p -value 0.037. Thoughts of or ever trying to kill yourself It is associated with feelings of
stress in pregnant women.
Crude OR 0.173, 95% CI 0.035-0.850, p-value 0.031 and Adjusted OR 0.167, 95% CI 0.028-
0.823, p -value 0.040 and family relational factors were whether there was a conflict or not.
Understanding with husbands in the past was associated with feelings of stress in pregnant
women. Are statistically significant at 0.05 with Crude OR 0.261, 95% CI 0.097-0.701, p-value
0.008 and Adjusted OR 0.239, 95% CI 0.088-0.648, p -value 0.005, and whether there was a
conflict? Understand each other with the family in the past. There were statistically significant
correlations at 0.05 with Crude OR 0.429, 95% CI 0.201-0.917, p-value 0.029 and Adjusted OR
0.402, 95% CI 0.185-0.873, p-value 0.021.
Keywords: Incidence, Related Factors, Feeling of Stress in Pregnant Women
-7-
หลักการและเหตุผล
ความรู้สึกเครียด เป็นเรื่องของระบบร่างกายและจิตใจ ที่เกิดจากการต่ืนตัว เตรียมรับกับสถานการณ์
ใดสถานการณ์หน่ึง ซ่ึงอาจคิดว่าเป็นเร่ืองท่ีไม่น่าพอใจ เป็นเรื่องท่ีหนักหนาสาหัสเกินกำลังหรือทรัพยากรท่ีมีอยู่
หรือเกินความสามารถท่ีจะแก้ไข้ได้ ทำให้รู้สึกหนักใจ เป็นทุกข์ จนทำให้เกิดความผิดปกติทางร่างกาย และจิตใจ
ตามมา 1
ปัจจุบันความรู้สึกเครียดในสตรีตั้งครรภ์เป็นปัญหาท่ีพบบ่อยและมีความสำคัญ โดยรายงานการศึกษา
ผลของความรู้สึกเครียดในสตรีตั้งครรภ์ พบว่าความรู้สึกเครียดในระหว่างตั้งครรภ์ จะมีความเสี่ยงต่อการคลอด
ทารกก่อนกำหนด (Preterm birth), ภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia), เบาหวานจากการตั้งครรภ์
(gestational diabetes), ทารกน้ำหนักตัวน้อย (small for gestational age) เพมิ่ ขึน้ 2-6 สาเหตุของความเครยี ด
ในสตรีตั้งครรภ์เกิดไดจ้ ากหลายปจั จยั ปัจจัยท่ีสำคัญคือการเพิ่มขึ้นระดบั ฮอร์โมนในชว่ งตัง้ ครรภ์ เช่น ฮอรโ์ มนเอซี
ทีเอช (ACTH) และ คอร์ติซอล (Cortisol) ท่ีเพ่ิมสูงขึ้นจะส่งผลให้ระดับความเครียดสูงข้ึน7 ซ่ึงรายงานของ Alice
A. Han และคณะ ในปี พ.ศ.25588 ศึกษาความสัมพันธ์ของระดับฮอร์โมน เอซีทีเอช (ACTH) และ คอร์ติซอล
(Cortisol) ต่อความรูส้ ึกเครียด (Perceived stress) โดยใช้เครื่องมือ 10 - item Perceived Stress Scale (PSS-
10) พบว่าระดับฮอร์โมนดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับความรู้สึกเครียดอย่างมีนัยสำคัญ8 นอกจากปัจจัยภายในจาก
กลไกการเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนแล้ว ความรู้สึกเครียดในสตรีตั้งครรภ์ยังเก่ียวข้องกับปัจจัยภายนอก
เช่น การตั้งครรภ์แรก การตั้งครรภ์โดยไม่ได้วางแผน สถานะทางอาชีพของสามี รายได้น้อยหรือไม่มีรายได้ ,
โรคเร้ือรัง, ปัญหาด้านการนอนหลับ, การรับประทานอาหารท่ีผิดปกติ, เบาหวานขณะต้ังครรภ์ และ ขาดการ
สนับสนุนจากครอบครัว9,10 เป็นต้น โดยรายงานที่ผ่านมาเป็นการศึกษาในต่างประเทศท่ีให้ความสำคัญกับภาวะ
เครียดในสตรีต้ังครรภ์ แต่ยังไม่มีรายงานการศึกษาในประเทศไทย ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจทำการศึกษาความรู้สึก
เครียดและปัจจยั ท่เี กีย่ วข้องในสตรตี ง้ั ครรภ์
รายงานการศึกษาของ Reeta Vijayaselvi และคณะ9 ในปี พ.ศ. 2558 ทำการศึกษาปัจจัยเส่ียง
ตอ่ ความรู้สึกเครียดในสตรตี ้ังครรภ์ในโรงพยาบาลระดับตติยะภูมิ ประเทศ India โดยศึกษาแบบตัดขวาง (Cross-
sectional study) ในมารดาที่มาฝากครรภ์โดยไม่มีปัจจัยเส่ียงระหว่างฝากครรภ์ ช่วงอายุครรภ์ 28-34 สัปดาห์
รวมท้ังส้ิน 156 ราย โดยใช้แบบประเมินภาวะเครียด Perceived stress score (PSS) พบว่าสตรีตั้งครรภ์
ร้อยละ 65.4 มีผลรวมคะแนน PSS เกินค่าเฉล่ีย (13.5 ± 5.02) โดยมีปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับความรู้สึกเครียด
ไดแ้ ก่ การต้งั ครรภค์ ร้งั แรก (57.7%), การตัง้ ครรภ์โดยไม่ได้วางแผน และสถานะทางอาชพี ของสามี มคี วามสมั พันธ์
กับผลรวมคะแนน PSS ท่ีสงู
รายงานการศึกษาของ Anwar E. Ahmed และคณะ10 ในปี พ.ศ. 2560 โดยศึกษา ความเครียดในสตรี
ตั้งครรภ์ในโรงพยาบาล King Abdulaziz Medical City ประเทศ Saudi Arabia รูปแบบการศึกษาแบบตัดขวาง
(Cross-sectional study) ในสตรีที่มาฝากครรภ์ รวมทั้งส้ิน 438 ราย โดยใช้แบบประเมินภาวะเครียดโดย PSS
พบวา่ สตรตี งั้ ครรภ์ร้อยละ 33.4 มีผลรวมคะแนน PSS สูง (PSS≥20) ซึ่งปัจจยั ทม่ี ีความสัมพันธ์กบั ความรู้สึกเครยี ด
ได้แก่ รายได้น้อยหรือไม่มีรายได้, มีโรคเร้ือรัง, มีปัญหาด้านการนอนหลับ, การรับประทานอาหารที่ผิดปกติ,
เบาหวานขณะตั้งครรภ์ และ ขาดการสนับสนุนจากครอบครัว มีความสัมพันธ์กับภาวะเครียดอย่างมีนัยสําคัญ
ทางสถติ ิ
-8-
การศึกษาของ Nigus Alemnew Engidaw และคณะ11 ในปี พ.ศ. 2562 โดยศึกษา ความรู้สึกเครียด
และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ในสตรีตั้งครรภ์ ท่ี Bale zone Hospitals ประเทศ Ethiopia เป็นการศึกษาแบบ
ตัดขวาง (Cross-sectional study) ในสตรีต้ังครรภ์ 396 ราย โดยใช้แบบประเมิน Perceived stress score
พบว่า ความชุกของความรู้สึกเครียดร้อยละ 11.6% ซ่ึงปัจจัยที่สัมพันธ์กับความรู้สึกเครียด ได้แก่ ต้ังครรภ์ท่ี 2-5
และอายคุ รรภ์นอ้ ยกวา่ 12 สปั ดาห์
การศึกษาของ Maryam Kashanian และคณะ12 ในปี พ.ศ. 2562 ทำการศึกษา ส่ิงกระตุ้นความเครียด
ในสตรีตั้งครรภ์ และผลกระทบต่อภาวะการตั้งครรภ์ ท่ี Akbarabadi women hospital ประเทศ Iran
เปน็ การศึกษาแบบตัดขวาง (Cross-sectional study) ในสตรีหลังคลอด 200 ราย ครรภ์แรก อายรุ ะหว่าง 18-35 ปี
ประเมินภาวะเครียดด้วย PSS เพื่อหาตัวกระตุ้นความเครียดระหว่างตั้งครรภ์ เช่น บทบาทหน้าที่ของคู่สมรส
การใช้ความรุนแรง รวมถึงเศรษฐกิจและสังคม ผลการศึกษาพบว่า ค่าเฉล่ียและค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Mean ± SD)
ของ PSS เท่ากับ 25.5 ± 8.6 และ ความรู้สึกเครียดของสตรีตั้งครรภ์ในกลุ่มท่ีคู่สมรสใช้ถ้อยคำที่รุนแรงและใช้
ความรนุ แรง คะแนน PSS สงู อย่างมีนัยสำคัญทางสถติ ิ เม่ือเปรียบเทียบกบั กลุม่ ทไ่ี มไ่ ด้รบั นอกจากนั้น ระดับ PSS
ยังมคี วามสัมพันธก์ ับอารมณข์ องคสู่ มรสและสถานะทางการเงนิ อย่างมนี ัยสำคัญทางสถิติ
การศึกษาของ Ying Lau และคณะ13 ในปี พ.ศ. 2554 โดยศึกษาความเครียดและคุณภาพชีวิตในสตรี
ต้ังครรภ์ที่มาฝากครรภ์ อายุครรภ์ช่วงไตรมาส 2 ที่โรงพยาบาล S. Januario Hospital ใน Macaoประเทศจีน
เป็นการศึกษาแบบตัดขวาง (Cross-sectional study) โดยใช้แบบประเมิน PSS และประเมินคุณภาพชีวิตโดยใช้
Standard Short Form-12 Health Survey) พบว่า ในสตรีตั้งครรภ์รวมท้ังส้ิน 1151 ราย ปัจจัยท่ีมีผลต่อ
ความเครียดในสตรีต้ังครรภ์ ได้แก่ อายุน้อย, หย่าร้าง, ระดับการศึกษาต่ำ, ทำงานหลายช่ัวโมง, การตั้งครรภ์โดย
ไม่ได้วางแผน, มาฝากครรภ์ช้า, สภาพร่างกายหรอื สภาพจิตใจท่ไี ม่ดี มีความสัมพันธก์ ับระดบั คะแนน PSS สูงอย่าง
มนี ัยสำคัญทางสถิติ
รายงานของ Sandesh Pantha และคณะ14 ในปี พ.ศ. 2558 ทำการศึกษาความชุกของความรู้สึกเครียด
ในสตรีตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ ท่ีโรงพยาบาล Patan Hospital ประเทศเนปาล เป็นการศึกษาแบบตัดขวาง
(Cross-sectional study) โดยใช้แบบสอบถาม General Health Questionnaire (GHQ-12) ในสตรีตั้งครรภ์
ที่มาฝากครรภ์ ความชุกของความรู้สึกเครยี ดในสตรีตั้งครรภ์ รอ้ ยละ 35 ใน ไตรมาส 1 และรอ้ ยละ 34.2 ในไตรมาส 3
การศกึ ษาของ Sara Shishehgar และคณะ15 ในปี พ.ศ.2558 ศึกษาความรู้สึกเครียดและคุณภาพชีวิตใน
สตรีต้ังครรภ์ ท่ีโรงพยาบาล Shahryar hospital ประเทศ Iran เป็นการศึกษาแบบตัดขวาง (Cross-sectional
study) โดยใช้แบบสอบถาม WHO QOL–BREF และ Specific Pregnancy Stress พบว่าคุณภาพชีวิตในสตรี
ตัง้ ครรภ์ รวมถงึ ส่ิงแวดลอ้ ม และการเงิน มคี วามสัมพันธก์ ับภาวะเครียดในสตรีต้ังครรภอ์ ย่างมนี ยั สำคญั ทางสถติ ิ
เหตุผลและความจำเป็นในการทำวจิ ัย
ความรูส้ ึกเครียดและปัจจัยทีส่ ัมพนั ธ์ในสตรีต้ังครรภ์ มีการศึกษาอยา่ งแพรห่ ลายในหลายประเทศ แต่ยังไม่
มีการศึกษาเรื่องความชุกรวมถึงปัจจัยท่ีสัมพันธ์กับความรู้สึกเครียดของสตรีต้ังครรภ์ในประเทศไทย ซึ่งความรู้สึก
เครียดมีผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ ดังน้ันผู้วจิ ัยจึงสนใจทำการศึกษา เพื่อเป็นองค์ความรใู้ หม่และนำไปสกู่ ารรักษา
หรือป้องกนั ในการดูแลสตรีตง้ั ครรภต์ อ่ ไป
-9-
วัตถุประสงคห์ ลัก
เพื่อศึกษาความชุกของความรสู้ ึกเครียดในสตรตี งั้ ครรภท์ ี่เข้ารับการฝากครรภ์ในโรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช
วัตถปุ ระสงคร์ อง
เพ่ือศึกษาปัจจัยท่ีสัมพันธ์กับของความรู้สึกเครียดในสตรีต้ังครรภ์ที่เข้ารับการฝากครรภ์ในโรงพยาบาล
เจา้ พระยายมราช
กรอบแนวคิดในการวิจยั ตัวแปรตาม
ตัวแปรอสิ ระ
ปจั จยั ส่วนบคุ คล
อายุ, อาชีพ, สถานะสมรส, ศาสนา, ระดับการศึกษา, อาชีพของ
สามี, รายได้ต่อเดือนของครอบครัว, ระยะทางห่างจากโรงพยาบาล,
BMI,จำนวนครั้งของการตั้งครรภ์,จำนวนคร้ังที่เคยคลอด, จำนวนที่
เคยแทง้ , โรคประจำตวั ก่อนการตัง้ ครรภ์, การสูบบุหร่ี, การด่ืมสรุ า
สถานการณ์ทีม่ ผี ลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรงในชีวิตขณะ ความรู้สึกเครียดในสตรีตงั้ ครรภ์
ต้งั ครรภ์
การเสียชีวติ ของญาติสายตรง (บดิ า มารดา บตุ ร คูส่ มรส หรอื พ่ี
นอ้ ง), การหย่าร้างหรือแยกทางกบั ค่สู มรส, การลาออกหรือโดนให้
ออกจากงานประจำ, โดนทำร้ายร่างกายหรอื จิตใจจากสมาชิกใน
ครอบครัว, มคี วามคิดหรือเคยพยายามฆา่ ตัวตาย
ภาวะแทรกซอ้ นของการต้งั ครรภ์
ความพรอ้ มของการตงั้ ครรภ์
ความสัมพนั ธ์กบั คนในครอบครวั
-10-
รูปแบบการวิจยั และระเบียบวธิ ีวจิ ัย
การศกึ ษาแบบวิเคราะห์ไปข้างหนา้ จากเหตไุ ปหาผล (Prospective analytic study)
การคำนวณขนาดตวั อยา่ ง
ประชากรเปา้ หมาย
สตรตี ้ังครรภท์ เ่ี ข้ารับบริการฝากครรภท์ ี่แผนกฝากครรภ์ โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช
กล่มุ ตัวอยา่ ง
สตรีตั้งครรภ์ท่ีเข้ารับบริการฝากครรภ์ที่แผนกฝากครรภ์ โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช โดยมีคุณสมบัติ
ตามเกณฑค์ ดั เข้าและคดั ออก
เกณฑก์ ารคัดเขา้ เกณฑ์การคดั ออก และเกณฑ์การหยุดการวิจัย
เกณฑ์การคดั เขา้ (กล่มุ ศกึ ษา)
1. สตรีต้ังครรภ์สญั ชาตไิ ทย
2. สามารถสื่อสารภาษาไทยเข้าใจทัง้ พดู และเขยี น
3. ยนิ ยอมเข้ารว่ มวจิ ัย
เกณฑก์ ารคัดออก (ท้ังสองกล่มุ )
1. มโี รคทางจติ เวช เชน่ โรคซมึ เศรา้ โรคจติ เภท โรควิตกกังวล เปน็ ตน้
2. มสี ตปิ ัญญาบกพรอ่ ง
เกณฑ์การหยดุ การวจิ ัย – ไม่มี
การพิทักษส์ ทิ ธก์ิ ลมุ่ ตัวอย่าง
การวิจัยดำเนินการภายหลังได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการจริยธรรมของโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช
และหอผู้ป่วยท่ีดำเนินการทดลอง โดยการขอความอนุเคราะห์จากกลุ่มตัวอย่าง ก่อนเข้าร่วมการวิจัย ช้ีแจงการ
ดำเนินการทดลอง ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อกลุ่มตัวอย่างและการตอบ แบบสอบถาม และสามารถยุติการเข้าร่วมการ
วจิ ยั ได้มีการรักษาความลับของขอ้ มูลไว้อย่างปลอดภัย วิเคราะหข์ ้อมลู รายงานผลในลักษณะภาพรวมเชงิ วชิ าการ
เครอื่ งมอื ที่ใช้ในการวิจยั
จำนวนอาสาสมคั ร หรือขนาดตวั อย่าง
ขนาดตัวอยา่ ง (Sample size)
การศึกษาแบบวิเคราะห์ไปข้างหน้า จากเหตุไปหาผล (Prospective analytic study) นี้มีวัตถุประสงค์
หลักเพื่อค้นหาความชุกของความรู้สึกเครียดและศึกษาปัจจัยท่ีสัมพันธ์กับความรู้สึกเครียดในสตรีต้ังครรภ์ท่ีเข้ารับ
การ ฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช การกำหนดขนาดตัวอย่างในการศึกษานี้จึงใช้การประมาณค่า
ขนาดตวั อย่างจากสตู รคำนวณขนาดตัวอย่างสำหรับการประมาณคา่ สัดส่วนดงั น้ี16
= /22 (1 − )
2
-11-
โดย n หมายถงึ ขนาดตวั อย่าง
Zα/2 หมายถึง คา่ สถิติมาตรฐานใต้โคง้ ปกติท่ีสอดคล้องกับระดับนัยสำคัญ
โดยกำหนดระดับนยั สำคญั α = 0.05 ดงั นัน้ Zα/2 = 1.96
d หมายถงึ คา่ ความคลาดเคลื่อนสมบูรณ์
โดยกำหนดคา่ ความคลาดเคลื่อน ร้อยละ 5 ดังนนั้ d = 0.05
p หมายถงึ คา่ สัดส่วนประชากรหรอื ค่าความชกุ
โดยคา่ สถติ ิอ้างองิ จากการศกึ ษา Stress and its predictors in
pregnant women: a study in Saudi Arabia ของ Anwar E
Ahmed และคณะ10 ผลการศึกษาพบความชุกของความรู้สึกเครียดใน
สตรีตัง้ ครรภ์ ร้อยละ 33.4 ดังนน้ั p = 0.334
สามารถแทนคา่ ในสตู รคำนวณขนาดตัวอย่างไดด้ ังน้ี
n = 1.962 x 0.334 (1 - 0.334)
0.052
n = 342
ขนาดตัวอย่างที่คำนวณจากสูตรคำนวณขนาดตัวอย่างได้จำนวนตัวอย่างที่จะต้องใช้มีจำนวนไม่น้อยกว่า
342 คน ทง้ั นไ้ี ดป้ รบั เพิม่ ขนาดตวั อยา่ งเพ่ือป้องกันการตอบข้อมูลไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ (Non-response rate) ร้อย
ละ 15 จากการคำนวณโดยใช้สูตรปรับขนาดตัวอย่าง17 (nnew = 342 / (1-0.15) ได้จำนวนตัวอย่าง 403 คน
ดังนน้ั จึงกำหนดขนาดตวั อยา่ งท่ีใช้ในการศึกษาครง้ั นจ้ี ำนวน 420 คน
เนื่องจากการวิจัยครั้งน้ีใช้สมการถดถอยในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาความสัมพันธ์และอำนาจในการ
ทำนายจงึ ต้องคำนวณกลมุ่ ตวั อยา่ งใหเ้ พียงพอกับการเปน็ ตวั แทนในการทำนาย โดยใช้สตู รของ Green SB. 18
n > 104+m
โดย n= ขนาดของกลุ่มตวั อย่าง และm=จำนวนตวั แปรต้นทศ่ี ึกษา
ไดข้ นาดของกลุ่มตัวอยา่ ง = 104+23 = 127 คน
สรุปขนาดตวั อย่างที่จะใช้
การสุม่ ตวั อยา่ ง
การสุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการคัดเลือกในรายที่เข้าได้กับเกณฑ์การคัดเข้าทุกรายโดยเป็นรายใหม่เรียง
ตามลำดบั ไปจนครบ (Quota sampling)
ตวั แปร
ระบุตัวแปรหลกั
- ตัวแปรอิสระ ได้แก่ อายุ, อาชีพ, สถานะสมรส, ศาสนา, ระดับการศึกษา, อาชีพของสามี, รายได้ต่อ
เดือนของครอบครัว, ระยะทางห่างจากโรงพยาบาล, BMI, จำนวนคร้ังของการต้ังครรภ์, จำนวนคร้ังที่เคยคลอด,
จำนวนทเี่ คยแทง้ , โรคประจำตวั ก่อนการตง้ั ครรภ์, การสูบบุหร่ี, การด่ืมสรุ า, ภาวะแทรกซอ้ นของการต้ังครรภค์ รั้ง
ก่อน, ความพร้อมของการตั้งครรภ์, การวางแผนการตั้งครรภ์คร้ังน้ี, สถานการณ์ท่ีมีผลกระทบต่อจิตใจอย่าง
รนุ แรง, ปญั หาความสัมพนั ธก์ บั คนในครอบครวั
- ตัวแปรตาม ได้แก่ ความรู้สึกเครียดในสตรีตั้งครรภ์โดยใช้แบบวัดความรู้สึกเครียดฉบับภาษาไทย
(Thai version of 10-item Perceived Stress Scale, T-PSS-10)
-12-
ตัวแปรกวน ความลำเอียง
- ตวั แปรกวน ไม่มี
- ความลำเอียงหรืออคติ อาจเกิดได้จากกระบวนการคัดเลือกประชากรตัวอย่าง และในขั้นตอนการ
ดำเนนิ งานวิจัย ซึง่ ผูว้ ิจยั ได้ป้องกันโดยกำหนดเกณฑ์การคัดเลือกทีช่ ัดเจนและคดั เลือกกลุ่มตัวอย่างเรียงตามลำดับ
ไปเรื่อยๆ จนครบตามขนาดตัวอย่างทคี่ ำนวณไว้
นยิ ามตัวแปร
1. สตรีตั้งครรภ์ (pregnancy) คือภาวะท่ีมีการเจริญของตัวอ่อนและรก ภายในร่างกายของสตรี แบ่งเป็น
สามไตรมาส19
- ไตรมาสแรก คือ 1 ถึง 14 สัปดาห์
- ไตรมาสท่สี อง คือ 15 ถึง 28 สัปดาห์
- ไตรมาสทีส่ าม คือ 29 ถึง 42 สัปดาห์
2. ความร้สู กึ เครียดในสตรตี ง้ั ครรภ์ หมายถึง ภาวะความเครยี ดทเ่ี กดิ จากปจั จยั ทางดา้ นจิตใจและสังคม
ในงานวิจยั นี้ใชต้ วั ชี้วดั ระดบั ความรูส้ ึกเครยี ดดว้ ยแบบทดสอบ T-PSS-10
3. สถานการณ์ท่ีมีผลกระทบต่อจิตใจอยา่ งรนุ แรงในชวี ิตขณะตง้ั ครรภ์ (Serious life event)
คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ท่ีส่งผลด้านลบต่อจิตใจของสตรีต้ังครรภ์ เป็นสาเหตุที่ให้เกิดภาวะเครียด
ซึมเศร้าหรอื วิตกกงั วล20 โดยรายละเอยี ดของเหตุการณอ์ า้ งอิงจากการศึกษาก่อนหน้าน้ี อันไดแ้ ก่
- การเสยี ชีวิตของญาตสิ ายตรง (บดิ า มารดา บตุ ร คู่สมรส หรอื พ่นี ้อง)
- การหยา่ ร้างหรือแยกทางกับคสู่ มรส
- การลาออกหรือโดนให้ออกจากงานประจำ
- โดนทำร้ายร่างกายหรอื จติ ใจจากสมาชกิ ในครอบครวั
- มีความคิดหรือเคยพยายามฆา่ ตัวตาย
4. ภาวะแทรกซ้อนของการต้ังครรภ์ คือ ภาวะและอาการต่าง ๆ ท่ีพบร่วมกับการตั้งครรภ์ และอาจมี
ผลเสียต่อร่างกายหรือจิตใจต่อมารดาหรือทารก มีต้ังแต่ภาวะที่พบเป็นปกติไม่มีอันตรายไปจนถึงภาวะท่ีอาจเป็น
อันตรายถึงชีวิต20 เช่น เบาหวานขณะต้ังครรภ์ ภาวะครรภ์เป็นพิษ ครรภ์แฝด ภาวะรกเกาะต่ำ ภาวะเจ็บครรภ์
คลอดกอ่ นกำหนด อาการแพ้ท้องรุนแรง
5. ความพร้อมของการตั้งครรภ์ คือ ความพร้อมของมารดาและสามีในการเตรียมพร้อมที่จะมีบุตร และมี
ความประสงค์ให้มกี ารต้ังครรภ์เกดิ ข้นึ 20
6. ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว คือ ภาวะท่ีสามีและภรรยา หรือคนในครอบครัว มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดี
มปี ัญหาทะเลาะเบาะแว้ง หรือการใชค้ ำพูดท่ีรนุ แรง รวมถงึ การใช้กำลังกันระหว่างสามภี รรยา หรือกับคนในครอบครวั 20
กระบวนการขอคำยินยอมแก่อาสาสมัครให้เข้าร่วมการวิจัยและการได้มาซึ่งอาสาสมัคร (inform consent
process and recruitment process)
ผู้ช่วยผู้วิจัยจะอธิบายให้สตรีต้ังครรภ์เพ่ือเข้าร่วมโครงการวิจัยท่ีคลินิกฝากครรภ์ (Antenatal care
clinic) โดยใชว้ ิธีการคดั เลือกในรายท่เี ขา้ ได้กบั เกณฑ์การคดั เขา้ ทกุ รายโดยเปน็ รายใหม่ เรียงตามลำดับไปจนครบ
เม่อื ผู้เข้ารว่ มวจิ ัยไดอ้ ่านข้อมูลเกี่ยวกับงานวจิ ยั ช้ีแจงเร่ืองประโยชน์ท่ีผเู้ ข้าร่วมวิจัยจะได้รับจากโครงการวจิ ัยคร้ังนี้
คือ ได้รับความรู้เก่ียวกับความเครียด และได้รับการประเมินความเครียดท่ีเกิดขึ้นกับตนเอง และข้อมูลท่ีผู้เข้าร่วม
วิจัยให้จะเป็นประโยชน์ในการวางแผนการรักษาและป้องกันต่อไป การเข้าร่วมโครงการวิจัยในคร้ังนี้ข้ึนอยู่กับ
ความสมัครใจของผู้เข้าร่วมวิจัย โดยผู้เข้าร่วมวิจัยจะไม่สูญเสียประโยชน์หรือค่าใช้จ่ายใดๆ หากผู้เข้าร่วมวิจัย
ไม่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ หรือต้องการบอกเลิกหรือยุติการเขา้ ร่วมโครงการ ผู้เข้ารว่ มวิจัยสามารถแจ้งกับผู้วิจัย
ไดต้ ลอดเวลา และจะไม่มผี ลกระทบตอ่ การดูแลทผ่ี ู้เข้าร่วมวจิ ัยพึงจะได้รบั นอกจากนก้ี รณผี ู้เข้าร่วมวจิ ัยมีปัญหา
-13-
ด้านสุขภาพหรือมีภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ ตกเลือดก่อนคลอด เจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ผู้วิจัยจะขอ
ยกเลกิ โครงการวิจัยและยินดใี ห้การดูแลและชว่ ยเหลอื โดยส่งต่อผู้เช่ียวชาญทนั ที ผู้วิจัยจะเก็บข้อมลู ของผู้เข้าร่วม
วิจัยเป็นความลับ และจะใช้รหัสแทนช่ือของผู้เข้าร่วมวิจัย การนำข้อมูลไปอภิปรายหรือพิมพ์เผยแพร่จะนำเสนอ
ในภาพรวมของการวิจัยเท่าน้ัน ซึ่งผู้เข้าร่วมวิจัยเข้าใจเรียบร้อยแล้ว และตกลงเข้าร่วมวิจัย ให้ลงช่ือเข้าร่วม
การวจิ ัย (Informed consent) แล้วจึงให้กรอกแบบบนั ทึกขอ้ มลู
สำหรับสตรีต้ังครรภ์วัยรุ่น (อายุ ≤ 18 ปี) ผู้ช่วยวิจัยจะอธิบายให้สตรีตั้งครรภ์และบิดามารดาหรือ
ผู้ปกครองเพื่อเข้าร่วมโครงการวิจัยที่คลินิกฝากครรภ์ (Antenatal care clinic) เม่ือผู้เข้าร่วมวจิ ัยและบิดามารดา
หรือผู้ปกครองได้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับงานวิจัยเข้าใจเรียบร้อยแล้วและตกลงเข้าร่วมวิจัย ให้ผู้เข้าร่วมวิจัยและบิดา
มารดาหรือผู้ปกครองลงช่ือเขา้ รว่ มการวจิ ยั (Informed consent) แลว้ จึงใหก้ รอกแบบบนั ทึกข้อมูล
วธิ ดี ำเนนิ การวจิ ยั (Methodology)
1.ขออนุญาตดำเนินการวิจัยจากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยโรงพยาบาลเจ้าพ ระยายมราช
จังหวดั สพุ รรณบุรี และขออนุญาตเกบ็ ข้อมลู จากผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จังหวัดสพุ รรณบุรี
2.จัดเตรียมแบบบนั ทึกขอ้ มลู ซง่ึ ประกอบด้วยสว่ นข้อมูลพื้นฐาน และแบบวัดความรูส้ ึกเครียด T-PSS-10
3.ผ้ชู ่วยวิจัยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างตามเกณฑค์ ัดเข้าและคดั ออก ตามลำดับทีแ่ ผนกฝากครรภ์ (ANC Clinic)
หน่วยงานสูตนิ รเี วชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จังหวดั สุพรรณบรุ ี
4.อธิบายให้ข้อมูลแก่อาสาสมัครที่แผนกฝากครรภ์ (ANC Clinic) ในช่วงเวลาตั้งแต่เวลา 9.00 น – 12.00
น.ระหว่างเข้ารอรับการตรวจบริการ โดยอธิบายเกี่ยวกับโครงการวิจัยและขั้นตอนการวิจัย หากอาสาสมัครเข้าใจ
และยนิ ยอมเข้ารว่ มวิจยั ใหอ้ าสาสมัครลงชื่อยนิ ยอมเข้าร่วมวจิ ัยในแบบยินยอมเข้าร่วมวจิ ัย (Informed consent)
5.ผู้ช่วยวิจัยแจกแบบบันทึกข้อมูลให้อาสาสมัครอ่านและกรอกข้อมูลในแบบบันทึกข้อมูลด้วยตนเองหาก
ไม่เข้าใจสามารถสอบถามได้ จะใช้เวลาประมาณคนละ 20 นาที
6.รวบรวมข้อมูลท่ีไดจ้ ากอาสาสมัครทัง้ หมดมาบันทกึ ด้วยคอมพวิ เตอร์ ทำการวเิ คราะห์ข้อมูลและแปลผล
ทางสถิติ
เครอ่ื งมอื วัดตัวแปร
ผูว้ ิจัยได้ออกแบบเครื่องมือวดั ตัวแปรโดยใช้แบบเกบ็ ข้อมลู ที่ครอบคลมุ วตั ถุประสงค์ในการวิจัย
แบบบันทกึ ข้อมลู ประกอบด้วย 2 สว่ นคอื
สว่ นท่ี 1 ข้อมลู ทัว่ ไปของผูเ้ ข้าร่วมการวจิ ยั
สว่ นท่ี 2 แบบวัดความรู้สึกเครียด (Perceived Stress Scale-10, PSS-10) ของโคเฮนและคณะพัฒนา16
และแปลเป็นภาษาไทยโดยศาสตราจารย์แพทย์หญิงณหทัย วงศ์ปการันย์ และศาสตราจารย์นายแพทย์ทินกร
วงศป์ การันย์ คา่ สัมประสิทธ์แิ อลฟาของครอนบาคของฉบับภาษาไทย (Cronbach’s Alpha Coefficient) เทา่ กับ
0.8517 ลักษณะเครื่องมือประกอบด้วยข้อคำถามเก่ียวกับ ความรู้สึกและความคิดของผู้ทำแบบทดสอบในรอบ 1
เดือนที่ผ่านมา มี 10 ข้อ คะแนนเป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Likert scale) มี 5 อันดับ (0-4) ตามคะแนนความถี่
ของความรูส้ ึกโดย
0 หมายถงึ ไม่เลย
1 หมายถงึ แทบจะไมม่ ี
2 หมายถงึ มีบางครัง้
3 หมายถงึ ค่อนข้างบอ่ ย
4 หมายถงึ บ่อยมาก
-14-
คะแนนรวมของแบบสอบถามการรับรู้ความเครียดทั้งชุดมีค่าระหว่าง 10 -40 คะแนนแบ่งระดับ
ความเครยี ดเปน็ 3 ระดบั ตามช่วงคะแนน
ช่วงคะแนน 10-20 หมายถึงมีความเครียดระดับตำ่
ช่วงคะแนน 21-31 หมายถงึ มีความเครียดระดบั ปานกลาง
ช่วงคะแนน 32-40 หมายถงึ มคี วามเครยี ดระดับสงู
ในการวิจัยครั้งน้ีจะใช้ระดับความเครียดตั้งแต่ระดับปานกลางถึงระดับสูง (ช่วงคะแนน 21- 40) ในการหาปัจจัย
ทีส่ มั พันธ์กับความรู้สกึ เครียดในสตรตี ้งั ครรภ์
การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
1.เก็บข้อมูลในส่วนของข้อมูลพื้นฐาน ได้แก่ อายุ, อาชีพ, สถานะสมรส, ศาสนา, ระดับการศึกษา, อาชีพ
ของสามี, รายได้ตอ่ เดือนของครอบครัว, ระยะทางห่างจากโรงพยาบาล, ภาวะแทรกซ้อนของการตง้ั ครรภ์, จำนวน
ครั้งของการต้งั ครรภ์, ภาวะแทรกซ้อนของการต้ังครรภ์ครั้งก่อน, โรคประจำตัวก่อนการตั้งครรภ์, ความพร้อมของ
การต้ังครรภ์, การสูบบุหรี่, การดื่มสุรา, การวางแผนการต้ังครรภ์คร้ังนี้, สถานการณ์ท่ีมีผลกระทบต่อจิตใจอย่าง
รุนแรง, ปัญหาความสัมพันธ์กบั คนในครอบครัว
2.เกบ็ ขอ้ มูลระดับความรูส้ ึกเครียดดว้ ยแบบทดสอบ T-PSS-10
3.บันทึกข้อมูลจากแบบบนั ทึกข้อมลู ลงในคอมพวิ เตอร์โดยผูช้ ว่ ยวจิ ัย ผู้วจิ ัยตรวจสอบความถูกต้องของการ
ข้อมูลในคอมพวิ เตอร์
การวิเคราะห์ข้อมูล
1.ข้อมูลลักษณะท่ัวไปของกลุ่มตัวอย่างและความชุกของความรู้สึกเครียดในสตรีตั้งครรภ์ การวิเคราะห์
และนำเสนอข้อมูลแบง่ เปน็ 2 สว่ นตามประเภทของขอ้ มูล ดงั นี้
- ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ อายุ น้ำหนัก ส่วนสูง รายได้ จำนวนคร้ังของการต้ังครรภ์ จำนวนคร้ังที่เคย
คลอดอายุครรภ์ที่มาฝากครรภ์ครั้งแรก จำนวนครั้งการฝากครรภ์ นำเสนอโดยใช้เป็นค่าเฉลี่ย (mean) และค่า
เบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) หรือค่ามัธยฐาน (median) และพิสัยควอไทล์ (interquartile range)
ตามความเหมาะสมของขอ้ มูล
- ข้อมูลเชิงคุณภาพ ได้แก่ ระดับความรู้สึกเครียดในตรีตั้งครรภ์ ระดับความเครียดประเมินตาม T-PSS-
10 นำเสนอโดยการแจกแจงคา่ ความถี่, อาชีพ, สถานะสมรส, เช้ือชาติ, ศาสนา, ระดับการศึกษา, ภาวะแทรกซ้อน
ของการต้งั ครรภ์, เคยมีภาวะแทรกซ้อนของการต้งั ครรภ์ครัง้ ก่อน, โรคประจำตัวก่อนการต้งั ครรภ์, ความพร้อมของ
การต้ังครรภ์, ปัญหาความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว, การสูบบุหร่ี, การด่ืมสุรา, นำเสนอโดยการแจกแจง
คา่ ความถ่ี(Frequency) และรอ้ ยละ (Percentage)
2. ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยกับความรู้สึกเครียดในสตรีตั้งครรภ์ วิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้การ
วิเคราะห์ความถดถอยพหุโลจิสติก (Multiple logistic regression analysis) นำเสนอค่า Odds Ratio (OR)
และช่วงแห่งความเช่ือม่ันท่ีระดับ 95% การวิเคราะห์ข้อมูลท้ังหมดใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป SPSS for
window version 22.0 โดยกำหนดนยั สำคัญทางสถิตทิ รี่ ะดับ 0.05
-15-
dummy table
ตารางที่ 1 แสดงจำนวน ร้อยละของกลมุ่ ตัวอย่างจำแนกตามขอ้ มลู ทั่วไป (n=420)
ตัวแปร ทัง้ หมด เครียด ไม่เครยี ด p -value
n=420 n= n=
mean (S.D.) mean (S.D.) mean (S.D.)
อายุ (ปี)
น้ำหนัก (ก.ก.)
สว่ นสูง (ซ.ม.)
BMI
อายุครรภ์ (สัปดาห)์
a=unpaired t-test; b=Chi square test
-16-
ตารางท่ี 2 แสดงจำนวน ร้อยละของกลมุ่ ตัวอย่างจำแนกตามข้อมลู ทั่วไป (n=420)
ตวั แปร ทง้ั หมด n = 420 เครียด n = ไมเ่ ครียด n = p -value
n (%) n (%) n (%)
สถานภาพการสมรส
โสด
แตง่ งาน
หย่า/แยก
การศกึ ษา
ประถมศกึ ษา/มัธยมศกึ ษา
ปริญญาตรี
สูงกว่าปริญญาตรี
อาชีพ
เรียน/วา่ งงาน
ทำงาน
ศาสนา
ศาสนาพุทธ
ศาสนาครสิ ต์
ศาสนาอิสลาม
รายได้ (บาท)
< 10,000
10,000 – 20,000
> 20,000
จำนวนครง้ั ของการตง้ั ครรภ์
1 ครงั้
2 คร้ัง
> 2 ครัง้
สูบบหุ ร่ีขณะตั้งครรภ์
ไม่ใช่
ใช่
ด่ืมสรุ าขณะต้ังครรภ์
ไม่ใช่
ใช่
สถานการณ์ท่มี ผี ลกระทบต่อ
จิตใจ
การเสียชีวติ ของญาตสิ ายตรง
มี
ไม่มี
-17-
ตารางท่ี 2 แสดงจำนวน ร้อยละของกล่มุ ตัวอยา่ งจำแนกตามขอ้ มลู ท่ัวไป (n=420) (ต่อ)
ตวั แปร ทงั้ หมด n = 420 เครียด n = ไมเ่ ครยี ด p -value
n (%) n=
การหยา่ รา้ งหรอื แยกทางกับคู่สมรส
มี n (%) n (%)
ไม่มี
การลาออกหรือโดนให้ออกจากงานประจำ
มี
ไมม่ ี
โดนทำรา้ ยรา่ งกายหรือจิตใจจากสมาชิกใน
ครอบครัว
มี
ไมม่ ี
มีความคดิ หรือเคยพยายามฆ่าตวั ตาย
มี
ไม่มี
มปี ัญหาทะเลาะเบาะแว้งหรือไมเ่ ขา้ ใจกนั กับ
สามี
มี
ไม่มี
BMI
ปกติ
อ้วน
จำนวนครง้ั ท่เี คยคลอด
1 ครัง้
2 ครั้ง
> 2 ครงั้
จำนวนครง้ั ทเ่ี คยแทง้
1 ครงั้
2 คร้ัง
> 2 คร้ัง
โรคประจำตวั ก่อนตงั้ ครรภ์
มี
ไม่มี
-18-
ตารางที่ 2 แสดงจำนวน ร้อยละของกลมุ่ ตัวอย่างจำแนกตามขอ้ มลู ท่ัวไป (n=420) (ตอ่ )
ตวั แปร ทงั้ หมด n = 420 เครยี ด n = ไมเ่ ครยี ด n = p -value
n (%) n (%) n (%)
ภาวะแทรกซ้อนในการต้ังครรภ์ครงั้ น้ี
มี
ไม่มี
ภาวะแทรกซ้อนในการตงั้ ครรภค์ รง้ั ก่อน
มี
ไม่มี
ตารางที่ 3 แสดงความสัมพันธร์ ะหวา่ งปจั จยั กบั ความรู้สึกเครยี ดในสตรีตัง้ ครรภ์ วเิ คราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้
การวเิ คราะห์ความถดถอยพหโุ ลจสิ ตกิ (Multiple logistic regression analysis)
Variables Crude OR 95%CI p -value Adjusted 95%CI p -value
OR
- การเสยี ชีวติ ของญาติ
สายตรง (บดิ า มารดา
บตุ ร คสู่ มรส หรือพ่ี
นอ้ ง)
- การหยา่ ร้างหรือแยก
ทางกับคู่สมรส
- การลาออกหรอื โดนให้
ออกจากงานประจำ
- โดนทำรา้ ยร่างกาย
หรอื จติ ใจจากสมาชิกใน
ครอบครวั
- มีความคดิ หรือเคย
พยายามฆ่าตวั ตาย
ภาวะแทรกซ้อนของ
การตัง้ ครรภ์
ความพร้อมของการ
ตงั้ ครรภ์
ความสัมพันธก์ ับคนใน
ครอบครวั
ความเสยี่ งและผลขา้ งเคียงทอี่ าจเกดิ
เนื่องจากการวิจัยในคร้ังน้ีเป็นการเก็บข้อมูลจากการตอบแบบสอบถาม ไม่มีการทำหัตถการใด ๆ ท่ีเป็น
อันตรายแก่ผู้เข้าร่วมวิจัยและทารก จึงถือว่าเป็นความเส่ียงต่ำ ผลกระทบต่อผู้เข้าร่วมวิจัยน้อยมากและไม่มี
อนั ตรายตอ่ ผูเ้ ข้าร่วมวิจยั แต่อย่างใด
-19-
ข้อพิจารณาดา้ นจรยิ ธรรม
การวิจัยในคร้ังนี้ได้ดำเนินการตามหลักจริยธรรมการวิจัยตามคำประกาศเฮลซิงกิ เน่ืองจากรูปแบบ
การศึกษาเป็นการเก็บข้อมลู จากการตอบแบบบันทึกข้อมูลของผู้เข้ารว่ มวิจัย โดยมกี ารลงชื่อยนิ ยอมอยา่ งเป็นลาย
ลักษณ์อักษร ซ่ึงผู้ที่กรอกแบบบันทึกข้อมูลคือผู้เข้าร่วมวิจัย และบุคลากรทางการแพทย์ท่ีช่วยเก็บข้อมูลเบื้องต้น
ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการตอบแบบบันทึกข้อมูลของผู้เข้าร่วมวิจัย จะถูกเก็บไว้กับผู้วิจัยเท่าน้ัน ดังนั้นข้อมูลผู้เข้าร่วม
วิจัยจะถูกเก็บเป็นความลับ จึงมีผลกระทบด้านจริยธรรมน้อย และหากทำการวิเคราะห์ข้อมูลเสร็จพร้อมเผยแพร่
ก็จะมีการทำลายข้อมูลท่ีเก็บรวมรวมไว้ทั้งหมดโดยการเผาทำลายโดยตัวผู้วิจัยเอง การเผยแพร่ข้อมูลจะทำได้
เฉพาะการสรปุ ผลการวิจยั เท่านั้น
ข้อจำกดั ของการวจิ ยั
ในงานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยที่ศึกษาในกลุ่มประชากรท่ีอาศัยอยู่ในโรงพยาบาลเจ้าพ ระยายมราช
จังหวัดสุพรรณบุรี เท่าน้ัน ซ่ึงอาจมีปัจจัยต่างๆ ทางกายภาพและทางสังคมท่ีต่างออกไปจากกลุ่มประชากรอ่ืน ๆ
และอาจมีผลตอ่ การนำผลการวิจยั ไปใช้เพ่อื อ้างองิ กบั กลุ่มประชากรอื่นๆ
อปุ สรรคท่ีอาจเกดิ ขน้ึ
หากได้ขอ้ มูลไมค่ รบถ้วน กไ็ มส่ ามารถนำไปแปลผลและวเิ คราะหใ์ นงานวิจัยได้
ผลการศึกษา
ตารางที่ 1 แสดงความชกุ ของการรับรู้ความรู้สกึ เครียดของกลมุ่ ตวั อยา่ ง (n=420)
ระดบั ความ คะแนน ระยะต้งั ครรภ์ ระยะต้ังครรภ์ ระยะต้งั ครรภ์ รวม
รูส้ ึกเครยี ด ความรสู้ กึ ไตรมาส 1 ไตรมาส 2 ไตรมาส 3
เครยี ด n (%) n (%) n (%) n (%)
(mean±S.D.)
ระดบั ตำ่ 0-20 96 (65.75) 75 (68.80) 95 (57.60) 266 (63.30)
9.530±5.876
ระดับปาน 21-30 49 (32.70) 34 (31.20) 67 (40.60) 150 (35.70)
กลาง 22.607±2.222
ระดับสงู 31-40 1 (25.00) 0 3 (1.80) 4 (1.00)
33.750±0.500
โดยรวม 146 (34.80) 109 (26.00) 165 (39.30) 420 (100.00)
14.431±8.144
จากตารางท่ี 1 พบว่า หญิงตั้งครรภ์มีระดับความเครียดระดับต่ำ 266 คน คิดเป็นร้อยละ 63.30 คะแนนเฉลี่ย
คือ 9.530 ± 5.876 คะแนน ระดับความเครียดระดับปานกลาง 150 คน คิดเป็นร้อยละ 35.70 คะแนนเฉลี่ย
คือ 22.607 ± 2.222 คะแนน และระดับความเครียดระดับสูง 4 คน คิดเป็นร้อยละ 1.00 คะแนนเฉลี่ย
คือ 33.750 ± 0.500 คะแนน ตามลำดับ ความชุกของความรู้สึกเครียดระดับสูงในสตรีตั้งครรภ์ ร้อยละ 1.80
ในไตรมาส 3 และร้อยละ 25.00 ในไตรมาส 1 ความชุกของความรู้สึกเครียดระดับปานกลางในสตรีต้ังครรภ์
ร้อยละ 40.60 ในไตรมาส 3 และรอ้ ยละ 32.70 ในไตรมาส 1 ตามลำดบั
-20-
ตารางท่ี 2 แสดงจำนวน ร้อยละของกลมุ่ ตัวอยา่ งจำแนกตามข้อมลู ท่ัวไป (n=420)
ตัวแปร ทั้งหมด ไม่เครยี ด เครียด p -value
n=420 n=266 n=154 0.510a
0.677b
n (%) n (%) n (%) 0.311a
0.055b
ปัจจัยส่วนบุคคล 27.20 ± 6.38 27.04 ± 6.48 27.47 ± 6.22 0.257a
อายุ (ป)ี (mean±S.D.) 50 (11.90) 33 (66.00) 17 (34.00) 0.127b
370 (88.10) 233 (62.97) 137 (37.03)
วัยร่นุ (12-19 ปี) 0.452a
วยั ผู้ใหญ่ (19 ปีข้นึ ไป)
0.061a
BMI (mean±S.D.) 25.75 ± 5.84 25.53 ± 6.01 26.13 ± 5.53
ปกติ 62 (14.80) 46 (74.19) 16 (25.81) 0.493a
อ้วน 358 (85.20) 220 (61.45) 138 (38.55)
0.446a
อายคุ รรภ์ (สปั ดาห์) (mean±S.D.) 22.55 ± 11.95 22.05 ± 11.77 23.42 ± 12.24
ไตรมาสที่ 1 146 (34.80) 96 (65.75) 50 (34.25)
ไตรมาสที่ 2 109 (26.00) 75 (68.80) 34 (31.20)
ไตรมาสที่ 3 165 (39.30) 95 (57.60) 70 (42.40)
- สถานภาพการสมรส 78 (18.60) 50 (64.10) 28 (35.90)
โสด 335 (79.80) 210 (62.70) 125 (37.30)
แต่งงาน 6 (85.70) 1 (14.30)
หยา่ /แยก 7 (1.70)
- ระดบั การศกึ ษา 328 (78.10) 217 (66.20) 111 (33.80)
ประถมศกึ ษา/มัธยมศกึ ษา 79 (18.80) 41 (51.90) 38 (48.10)
ปรญิ ญาตรี 13 (3.10) 8 (61.50) 5 (38.50)
สูงกวา่ ปริญญาตรี
- อาชพี
เรียน/วา่ งงาน 109 (26.00) 72 (66.10) 37 (33.90)
117 (37.60)
ทำงาน 311 (74.00) 194 (62.40)
154 (36.80)
- ศาสนา 0
ศาสนาพุทธ 419 (99.80) 265 (63.20)
ศาสนาอิสลาม 1 (0.20) 1 (0.40)
p-value <0.05 a= unpaired t-test ; b=Chi square test
-21-
ตารางท่ี 2 แสดงจำนวน ร้อยละของกล่มุ ตัวอย่างจำแนกตามขอ้ มูลท่ัวไป (n=420) (ต่อ)
ตวั แปร ทั้งหมด ไมเ่ ครียด เครียด p -value
0.148a
n=420 n=266 n=154 0.031a**
n (%) n (%) n (%) 0.294a
0.713a
- อาชีพของสามี 19 (4.50) 15 (78.90) 4 (21.10) 0.306a
เรยี น/ว่างงาน 401 (95.50) 250 (62.70) 149 (37.30) 0.627a
ทำงาน 0.332a
- รายได้ของครอบครัว (บาท)
< 10,000 187 (44.50) 129 (48.50) 58 (31.00)
61 (39.60)
10,000 – 20,000 154 (36.70) 93 (60.40) 35 (44.30)
> 20,000 79 (18.80) 44 (16.50) 127 (37.90)
27 (31.80)
- ระยะทางห่างจากโรงพยาบาล
28 (60.90)
< 5 กโิ ลเมตร 335 (79.80) 208 (62.10) 238 (63.60)
> 5 กิโลเมตร 85 (20.20) 58 (68.20) 1 (16.70)
153 (37.00)
- โรคประจำตัว
1 (25.00)
มโี รคประจำตวั 46 (11.00) 18 (39.10) 153 (36.80)
ไมม่ โี รคประจำตัว 374 (89.00) 136 (36.40) 64 (41.00)
55 (33.10)
- สูบบุหร่ีขณะตง้ั ครรภ์ 35 (35.70)
สบู บหุ รี่ 6 (1.40) 5 (83.30)
ไม่สูบบุหรี่ 414 (98.60) 261 (63.00)
- ดม่ื สุราขณะต้ังครรภ์
ด่มื สุรา 4 (1.00) 3 (75.00)
ไม่ดมื่ สรุ า 416 (99.00) 263 (63.20)
- จำนวนคร้งั ของการตัง้ ครรภ์
ครรภแ์ รก 156 (37.10) 92 (59.00)
ครรภท์ ่ี 2 166 (39.50) 111 (66.90)
ตั้งแต่ครรภท์ ่สี องขึน้ ไป 98 (23.30) 63 (64.30)
p-value <0.05 a= unpaired t-test ; b=Chi square test
-22-
ตารางที่ 2 แสดงจำนวน ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามขอ้ มลู ท่ัวไป (n=420) (ตอ่ )
ตัวแปร ทง้ั หมด ไมเ่ ครียด เครียด p -value
n=420 n=266 n=154 0.710a
0.170a
n (%) n (%) n (%)
0.101a
- จำนวนครง้ั ของการคลอด 0.067a
0.020a**
ไมเ่ คยคลอด 156 (37.10) 92 (59.00) 64 (41.00) 0.000a**
เคยคลอด 1 คร้งั 166 (39.50) 111 (66.90) 55 (33.10)
เคยคลอด > 1 คร้ัง 98 (23.30) 63 (64.30) 35 (35.70)
- จำนวนคร้ังของการแทง้
ไม่เคยแทง้ 410 (97.60) 261 (63.70) 149 (36.30)
เคยแทง้ 1 ครัง้ 8 (1.90) 3 (37.50) 5 (62.50)
เคยแทง้ > 1 คร้ัง 2 (0.50) 2 (100.00) 0
ปัจจยั สถานการณท์ ่ีมีผลกระทบตอ่
จติ ใจอย่างรุนแรงในชวี ิตขณะต้ังครรภ์
- การเสียชีวติ ของญาติสายตรง (บิดา
มารดา บตุ ร คู่สมรส หรือพี่น้อง)
ไม่มีปญั หา 381 (90.70) 246 (64.60) 135 (35.40)
มีปญั หา 39 (9.30) 20 (51.30) 19 (48.70)
- การหย่ารา้ งหรือแยกทางกับคู่สมรส
ไมม่ ีปญั หา 396 (94.30) 255 (64.40) 141 (35.60)
มีปญั หา 24 (5.70) 11 (45.80) 13 (54.20)
- การลาออกหรือโดนใหอ้ อกจากงาน
ประจำ
ไมม่ ีปญั หา 392 (93.30) 254 (64.80) 138 (35.20)
มปี ัญหา 28 (6.70) 12 (42.90) 16 (57.10)
- โดนทำร้ายรา่ งกายหรือจิตใจจาก
สมาชกิ ในครอบครวั
ไมม่ ปี ัญหา 355 (84.50) 208 (58.60) 147 (41.40)
มีปญั หา 65 (15.50) 58 (89.20) 7 (10.80)
p-value <0.05 a= unpaired t-test ; b=Chi square test
-23-
ตารางท่ี 2 แสดงจำนวน รอ้ ยละของกลุ่มตวั อยา่ งจำแนกตามปัจจยั สว่ นบุคคล (n=420) (ต่อ)
ตัวแปร ทง้ั หมด ไม่เครยี ด เครยี ด p -value
n=420 n=266 n=154
n (%) n (%) n (%)
- มคี วามคิดหรือเคยพยายามฆ่าตัวตาย 401 (95.50) 249 (62.10) 152 (37.90) 0.016a**
ไม่มปี ญั หา 19 (4.50) 17 (89.50) 2 (10.50)
มปี ัญหา
ปัจจัยความสมั พนั ธ์กับคนในครอบครัว
- มีปัญหาทะเลาะเบาะแวง้ หรือไม่เข้าใจ
กนั กบั สามีในช่วงท่ผี า่ นมา
ไมม่ ีปญั หา 373 (88.80) 225 (60.30) 148 (39.70) 0.000a**
มีปญั หา 47 (11.20) 41 (87.20) 6 (12.80)
- มีปัญหาทะเลาะเบาะแวง้ หรอื ไม่เขา้ ใจ
กนั กบั คนในครอบครัวในชว่ งท่ีผ่านมา
ไม่มีปัญหา 384 (91.40) 249 (64.80) 135 (35.20) 0.036a**
19 (52.80) 0.040a**
มปี ญั หา 36 (8.60) 17 (47.20) 0.011a**
129 (39.20) 0.665a
ปัจจัยภาวะแทรกซอ้ นของการต้ังครรภ์ 25 (27.50)
- มีภาวะแทรกซ้อนในการต้ังครรภค์ รง้ั นี้ 138 (38.90)
16 (24.60)
ไม่มีภาวะแทรกซอ้ น 355 (84.50) 200 (60.80)
69 (35.60)
มภี าวะแทรกซ้อน 65 (15.50) 66 (72.50) 85 (37.60)
- มีภาวะแทรกซอ้ นในการตงั้ ครรภค์ รั้ง
ก่อน
ไม่มีภาวะแทรกซอ้ น 355 (84.50) 217 (61.10)
มภี าวะแทรกซ้อน 65 (15.50) 49 (75.40)
ปัจจัยความพร้อมของการตั้งครรภ์
- ความพร้อมของการตั้งครรภ์
มีการเตรยี มความพร้อม 194 (46.20) 125 (64.40)
ไม่มีการเตรียมความพร้อม 226 (53.80) 141 (62.40)
p-value <0.05 a= unpaired t-test ; b=Chi square test
-24-
จากตารางที่ 2 แสดงผลการศึกษาในสตรีตั้งครรภ์ทั้งหมด 420 คน พบว่า ไม่มีความเครียด 266 คน
คิดเป็นร้อยละ 63.30 มีความเครียดระดับปานกลางขึ้นไป จำนวน 154 คน คิดเป็นร้อยละ 36.70 และด้านปัจจัย
ส่วนบุคคลพบว่าส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย คือ 27.20 ± 6.38 ปี โดยมีช่วงอายุระหว่าง 14 ถึง 40 ปี เป็นการตั้งครรภ์
ในวัยผู้ใหญ่ คิดเป็นร้อยละ 88.10 ซึ่งจะพบว่าวัยผู้ใหญ่ อายุมากกว่า 19 ปีขึ้นไปจะมีความรู้สึกเครียด คิดเป็น
ร้อยละ 37.03 โดยท่ี มีดัชนีมวลกายเฉล่ีย 25.75 ± 5.84 โดยส่วนใหญ่มีค่าดัชนีมวลกายผิดปกติ คิดเป็นร้อยละ
85.20 และมีอายุครรภ์เฉล่ีย 22.55 ± 11.95 สัปดาห์ อยู่ในช่วงไตรมาสท่ี 3 คิดเป็นร้อยละ 39.30 มีความรู้สึก
เครียดต้ังแต่ระดับปานกลางถึงสูง คิดเป็นร้อยละ 42.40 มีสถานภาพการสมรสแต่งงาน คิดเป็นร้อยละ 79.80
มีการศึกษาระดับประถมและมัธยมศึกษาตอนปลาย คิดเป็นร้อยละ 78.10 มีงานทำ คิดเป็นร้อยละ 74.00
นับถือศาสนาพุทธ คิดเป็นร้อยละ 99.80 สามีมีงานทำ คิดเป็นร้อยละ 95.50 มีรายได้ของครอบครัว < 10,000 บาท
คิดเป็นร้อยละ 44.50 ระยะทางของบ้านห่างจากโรงพยาบาล > 5 กิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 79.80 ไม่สูบบุหรี่
ขณะตั้งครรภ์ คิดเป็นร้อยละ 98.60 ไม่ด่ืมสุราขณะต้ังครรภ์ คิดเป็นร้อยละ 99.00 ความพร้อมของการต้ังครรภ์
พบว่า การตั้งครรภ์ครัง้ นี้ส่วนใหญ่ไม่ได้มีการวางแผนไว้ คิดเป็นร้อยละ 53.80 เป็นการตั้งครรภ์ครงั้ ท่ีสอง คิดเป็น
รอ้ ยละ 39.50 เคยผ่านการคลอดบุตรมาก่อน 1 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 39.50 ไมเ่ คยแท้ง คดิ เปน็ ร้อยละ 97.60 ไม่มี
โรคประจำตัว คิดเป็นร้อยละ 89.00 ไม่มีภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ครั้งน้ี คิดเป็นร้อยละ 87.90 และไม่มี
ภาวะแทรกซ้อนในการตง้ั ครรภค์ รั้งกอ่ น คดิ เปน็ ร้อยละ 93.30
นอกจากน้ียังพบว่ามีสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรงในชีวิตขณะต้ังครรภ์ คือ ส่วนใหญ่
ไม่มีการเสียชีวิตของญาติสายตรง (บิดา มารดา บุตร คู่สมรส หรือพี่น้อง) คิดเป็นร้อยละ 90.70 ไม่มีการหย่าร้าง
หรือแยกทางกับคู่สมรส คิดเป็นร้อยละ 94.30 ไม่มีการลาออกหรือโดนให้ออกจากงานประจำ คิดเป็นร้อยละ
93.30 ไม่มีการโดนทำร้ายร่างกายหรือจิตใจจากสมาชิกในครอบครัว คิดเป็นร้อยละ 84.50 ไม่มีความคิดหรือเคย
พยายามฆ่าตัวตาย คิดเป็นร้อยละ 95.50 ไม่มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งหรือไม่เข้าใจกันกับสามีในช่วงที่ผ่านมา
คิดเป็น ร้อยละ 88.80 ไม่มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งหรือไม่เข้าใจกันกับคนในครอบครัวในช่วงที่ผ่านมา คิดเป็น
ร้อยละ 91.40 ปัจจัยด้านภาวะแทรกซ้อนของการต้ังครรภ์ การมีภาวะแทรกซ้อนในการต้ังครรภ์คร้ังน้ี คิดเป็น
ร้อยละ 90.50 และการมีภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์คร้ังก่อน คิดเป็นร้อยละ 78.30 ปัจจัยด้านความพร้อม
ของการตง้ั ครรภ์ พบว่า สว่ นใหญไ่ ม่มกี ารเตรียมความพร้อมในการตั้งครรภ์ คดิ เป็นรอ้ ยละ 53.80
เมื่อนำตัวแปรด้านต่างๆมาหาความสัมพันธ์กับการรับรู้ความเครียดของหญิงต้ังครรภ์ พบว่า ปัจจัย
ส่วนบุคคล มีเพียงปัจจัยด้านรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท ต่อเดือน ที่มีความสัมพันธ์กับการรับรู้ความเครียดของ
หญิงตั้งครรภ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ปัจจัยด้านสถานการณ์ท่ีมีผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรง
ในชีวิตขณะต้งั ครรภ์ ได้แก่ การเสียชีวิตของญาติสายตรง (บิดา มารดา บุตร คู่สมรส หรือพนี่ ้อง) และการหย่าร้าง
หรือแยกทางกับคู่สมรสไม่มีความสัมพันธ์กับการรับรู้ความเครียดของหญิงต้ังครรภ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ท่ีระดับ 0.05 สำหรับการลาออกหรือโดนให้ออกจากงานประจำ , การโดนทำร้ายร่างกายหรือจิตใจจากสมาชิก
ในครอบครัวและมีความคิดหรือเคยพยายามฆ่าตัวตาย มีความสัมพันธ์กับการรับรู้ความเครียดของหญิงตั้งครรภ์
อย่างมนี ัยสำคัญทางสถติ ิที่ระดับ 0.05 ปัจจัยด้านภาวะแทรกซ้อนของการตัง้ ครรภ์ พบว่าการมภี าวะแทรกซ้อนใน
การต้ังครรภ์ครั้งก่อนและคร้ังน้ีมีความสัมพันธ์กับการรับรู้ความเครียดของหญิงต้ังครรภ์ อยา่ งมีนัยสำคัญทางสถิติ
ท่ีระดับ 0.05 ปัจจัยความพร้อมของการตั้งครรภ์พบว่าไม่มีความสัมพันธก์ ับการรับรู้ความเครียดของหญิงตั้งครรภ์
อย่างมนี ยั สำคญั ทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ 0.05
-25-
ตารางท่ี 3 ผลการวเิ คราะห์ความถดถอยพหุโลจิสติกปัจจยั ท่สี ัมพนั ธ์กับความรู้สกึ เครียดในสตรตี งั้ ครรภ์
Univariable Analysis Multivariable Analysis
OR 95% CI p -value AOR 95% CI p -
value
ภาวะแทรกซ้อนของการตงั้ ครรภ์
- มภี าวะแทรกซ้อนในการตง้ั ครรภ์ครง้ั
ก่อน
ไมม่ ภี าวะแทรกซ้อน 1.000 reference 1.000 reference
มภี าวะแทรกซ้อน 0.506 0.262- 0.042** 0.479 0.243- 0.033**
0.976 0.944
- มีภาวะแทรกซ้อนในการต้ังครรภ์ครงั้ นี้ 1.000 reference 1.000 reference
ไมม่ ภี าวะแทรกซ้อน
มภี าวะแทรกซ้อน 0.510 0.290- 0.019** 0.489 0.202- 0.037**
0.897 0.864
ปจั จัยความสัมพนั ธก์ บั คนในครอบครัว
- มปี ัญหาทะเลาะเบาะแว้งหรือไมเ่ ข้าใจ
กนั กับสามีในช่วงท่ีผา่ นมา
ไมม่ ปี ญั หาทะเลาะเบาะแว้ง 1.000 reference 1.000 reference
มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง 0.261 0.097- 0.008** 0.239 0.088- 0.005**
0.701 0.648
- มปี ัญหาทะเลาะเบาะแว้งหรือไม่เขา้ ใจ
กันกบั คนในครอบครวั ในชว่ งทผ่ี า่ นมา
ไมม่ ีปญั หาทะเลาะเบาะแวง้ 1.000 reference 1.000 reference
มปี ัญหาทะเลาะเบาะแวง้ 0.429 0.201- 0.029** 0.402 0.185- 0.021**
0.917 0.873
ปัจจยั สถานการณ์ท่มี ีผลกระทบต่อจติ ใจ
อย่างรุนแรงในชีวิตขณะตงั้ ครรภ์
- มีความคิดหรือเคยพยายามฆ่าตัวตาย
ไม่มีความคดิ หรือเคยพยายามฆ่าตวั 1.000 reference 1.000 reference
ตาย
มีความคิดหรือเคยพยายามฆ่าตวั ตาย 0.173 0.035- 0.031** 0.167 0.028- 0.040**
0.850 0.823
p-value <0.05, -2 Log likelihood = 491.059, Cox & Snell R Square = 0.135 และ Nagelkerke R
Square = 0. 185
-26-
จากตารางท่ี 3 แสดงผลการวิเคราะห์ Multiple logistic regression analysis เพื่อพิจารณาว่าเมื่อทำ
การวิเคราะห์การถดถอยพหุโลจิสติก สามารถอธิบายความแปรปรวนของตัวแปรได้ร้อยละเท่าใด และมีตัวแปร
ใดบ้างท่ีส่งผลต่อตัวแปรตามอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยด้านต่างๆท่ีส่งผลต่อความรู้สึกเครียดในสตรีต้ังครรภ์ พบว่า
ปัจจัยส่วนบุคคลไม่มีความสัมพันธ์กันกับความรู้สึกเครียดในสตรีตั้งครรภ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
ปัจจัยความพร้อมของการตั้งครรภ์ไม่มีความสัมพันธ์กันกับความรู้สึกเครียดในสตรีต้ังครรภ์ อย่างมีนัยสำคัญทาง
สถติ ิที่ระดับ 0.05 ปจั จัยดา้ นภาวะแทรกซ้อนของการต้ังครรภ์ พบว่าการมีภาวะแทรกซ้อนในการต้งั ครรภ์ครั้งก่อน
มีความสัมพันธ์กันกับความรู้สึกเครียดในสตรีตั้งครรภ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีค่า Crude OR
0.506, 95%CI 0.262-0.976, p-value 0.042 แ ล ะ Adjusted OR 0.479, 95%CI 0.243-0.944, p -value
0.033 การมีภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์คร้ังนี้มีความสัมพันธ์กันกับความรู้สึกเครียดในสตรีต้ังครรภ์อย่างมี
นั ย ส ำ คั ญ ท า งส ถิ ติ ที่ ร ะ ดั บ 0.05 โด ย มี ค่ า Crude OR 0.510, 95%CI 0.290-0.897, p-value 0.019
และ Adjusted OR 0.489, 95%CI 0.202-0.864, p -value 0.037 ปัจจัยสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อจิตใจ
อย่างรุนแรงในชีวิตขณะตั้งครรภ์ คือ การมีความคิดหรือเคยพยายามฆ่าตัวตาย มีความสัมพันธ์กันกับความรู้สึก
เครียดในสตรีต้ังครรภ์ โดยมีค่า Crude OR 0.173, 95%CI 0.035-0.850, p-value 0.031 และ Adjusted OR
0.167, 95%CI 0.028-0.823, p -value 0.040 และปัจจัยด้านความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว ได้แก่ การมี
ปัญหาทะเลาะเบาะแว้งหรือไม่เข้าใจกันกับสามีในช่วงท่ีผ่านมามีความสัมพันธ์กันกับความรู้สึกเครียดในสตรี
ตั้งครรภ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีค่า Crude OR 0.261, 95%CI 0.097-0.701, p-value
0.008 และ Adjusted OR 0.239, 95%CI 0.088-0.648, p -value 0.005 และการมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง
หรือไม่เข้าใจกันกับคนในครอบครัวในช่วงท่ีผ่านมา มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
โดยมีคา่ Crude OR 0.429, 95%CI 0.201-0.917, p-value 0.029 และ Adjusted OR 0.402, 95%CI 0.185-
0.873, p -value 0.021
วิจารณ์
อุบัติการณ์และปัจจัยที่เก่ียวข้องความรู้สึกเครียดในสตรีต้ังครรภ์ที่มาฝากครรภ์ในโรงพยาบาล
เจ้าพระยายมราช เป็นการศึกษาแบบวิเคราะห์ไปข้างหน้า จากเหตุไปหาผล (Prospective analytic study)
เพื่อศึกษาความชุกของความรู้สึกเครียดในสตรีตั้งครรภ์และเพื่อศึกษาปัจจัยท่ีสัมพันธ์กับของความรู้สึกเครียดใน
สตรีตั้งครรภ์ท่เี ขา้ รับการฝากครรภ์ในโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช กลุ่มตัวอย่าง คือ สตรีตัง้ ครรภ์ท่ีเข้ารับบริการ
ฝากครรภ์ที่แผนกฝากครรภ์ โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จำนวน 420 คน พบว่า ความชุกของสตรีต้ังครรภ์ท่ีมี
ความรู้สึกเครียดในระดับสูง ร้อยละ 1.80 ในระยะการตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 3 และร้อยละ 25.00 ในระยะการ
ต้งั ครรภ์ไตรมาสที่ 1 ความชุกของสตรีต้ังครรภ์ท่ีมีความรู้สึกเครียดในระดับปานกลาง ร้อยละ 40.60 ในระยะการ
ตั้งครรภไ์ ตรมาสที่ 3 และร้อยละ 32.70 ในระยะการต้ังครรภไ์ ตรมาสท่ี 1 ตามลำดับ
-27-
เมื่อทำการวิเคราะห์การถดถอยพหุแบบโลจิสติก พบว่า ปัจจัยด้านภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์
พบว่าการมีภาวะแทรกซ้อนในการต้ังครรภ์คร้ังก่อนมีความสัมพันธ์กันกับความรู้สึกเครียดในสตรีต้ังครรภ์
(Adjusted OR 0.479, 95%CI 0.243-0.944, p -value 0.033) การมีภาวะแทรกซ้อนในการต้ังครรภ์ครั้งน้ีมี
ความสัมพันธ์กันกับความรู้สึกเครียดในสตรีต้ังครรภ์ (Adjusted OR 0.489, 95%CI 0.202-0.864, p -value
0.037) ปัจจัยสถานการณ์ท่ีมีผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรงในชีวิตขณะต้ังครรภ์ คือ การมีความคิดหรือเคย
พยายามฆ่าตัวตาย มีความสัมพันธ์กันกับความรู้สึกเครียดในสตรีต้ังครรภ์ (Adjusted OR 0.167, 95%CI 0.028-
0.823, p -value 0.040) และปัจจัยด้านความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว ได้แก่ การมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง
หรือไม่เข้าใจกันกับสามีในช่วงที่ผ่านมามีความสัมพันธ์กันกับความรู้สึกเครียดในสตรีตั้งครรภ์ (Adjusted OR
0.239, 95% CI 0.088-0.648, p -value 0.005) และการมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งหรือไม่เข้าใจกันกับคนใน
ครอบครัวในช่วงท่ีผ่านมา (Adjusted OR 0.402, 95% CI 0.185-0.873, p -value 0.021) โดยมีความสัมพันธ์
กนั อย่างมนี ยั สำคัญทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั 0.05
ผลการวิจัย พบว่าในกลุ่มสตรีต้ังครรภ์ที่ไม่มีความเครียด เมื่อพบว่ามีปัจจัยสถานการณ์ที่มีผลกระทบ
ต่อจิตใจอย่างรุนแรงในชีวิตขณะต้ังครรภ์เกิดข้ึน คือ การมีความคิดหรือเคยพยายามฆ่าตัวตายเพ่ิมขึ้นจะทำให้
ความรู้สึกไม่เครียด ลดลงร้อยละ 83.30 ปัจจัยด้านความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว ได้แก่ การมีปัญหาทะเลาะ
เบาะแว้งหรือไม่เข้าใจกนั กับสามใี นช่วงทีผ่ ่านมาเพ่ิมขึน้ จะทำให้ความรสู้ ึกไมเ่ ครียด ลดลงรอ้ ยละ 76.10 และการมี
ปัญหาทะเลาะเบาะแว้งหรือไม่เข้าใจกันกับคนในครอบครัวในช่วงท่ีผ่านมาเพ่ิมขึ้นจะทำให้ความรู้สึกไม่เครียด
ลดลงรอ้ ยละ 59.80 ปัจจยั ดา้ นภาวะแทรกซ้อนของการต้ังครรภ์ คือ การมภี าวะแทรกซ้อนในการต้ังครรภค์ ร้ังก่อน
เพ่ิมขึ้นจะทำให้ความรู้สึกไม่เครียด ลดลงร้อยละ 52.10 และการมีภาวะแทรกซ้อนในการต้ังครรภ์คร้ังนี้เพ่ิมข้ึนจะ
ทำให้ความรู้สึกไม่เครียด ลดลงร้อยละ 51.10 ตามลำดับ ซ่ึงจากการวิจัยในคร้ังนี้สอดคล้องกับการศึกษาของ
Maryam Kashanian และคณะ12 ท่ีพบว่ามีความรู้สึกเครียดของสตรีต้ังครรภ์ในกลุ่มท่ีคู่สมรสใช้ถ้อยคำท่ีรุนแรง
และใช้ความรุนแรง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และสอดคล้องกับการศึกษาของ Anwar E. Ahmed และคณะ10
ทีพ่ บว่าปจั จยั ท่มี คี วามสัมพันธ์กบั ความรู้สึกเครยี ดในเร่ืองภาวะแทรกซ้อนขณะตงั้ ครรภ์ คือ การเปน็ เบาหวานขณะ
ตั้งครรภ์ และขาดการสนับสนุนจากครอบครัว มีความสัมพันธ์กับภาวะเครียดอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ
สอดคล้องกับการศึกษาของ Ying Lau และคณะ13 ท่ีพบว่าปัจจัยที่มีผลต่อความเครียดในสตรีตั้งครรภ์ ได้แก่
สภาพร่างกายหรือสภาพจิตใจที่ไม่ดีขณะต้ังครรภ์ มีความสัมพันธ์กับระดับคะแนน PSS สูงอย่างมีนัยสำคัญทาง
ส ถิ ติ รว ม ท้ั งก ารศึ ก ษ าข อ ง Wassapol Thongsomboon, Kasemsis Kaewkiattikun แ ล ะ Nitchawan
Kerdcharoen 18 ท่ีพบว่ามีความรู้สึกเครียดของสตรีตั้งครรภ์ในกลุ่มท่ีมีความขัดแย้งกับคู่สมรสและขัดแย้งกับ
สมาชิกในครอบครัวสูงเป็น 3 เท่าเมื่อเทียบกับกลุ่มท่ีไม่มีความขัดแย้งดังกล่าว อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
เชน่ เดยี วกัน
ดังน้ันในการดูแลสตรีต้ังครรภ์ นอกเหนือจากการดูแลทางด้านร่างกายแล้ว ยังมีความจำเป็นต้องดูแล
ทางด้านจิตใจด้วย เพ่ือให้สตรีต้ังครรภ์ลดความรู้สึกเครียดและลดผลกระทบอันเกิดจากความรู้สึกเครียด
การคน้ หาสาเหตกุ ารเกิดความรู้สกึ เครียด เมื่อร้สู าเหตขุ องความรู้สึกเครยี ดเกดิ จากปัญหาใดแล้วจึงร่วมวางแผนกับ
สตรีต้ังครรภ์ในการพยายามแก้ปัญหานั้นให้ได้โดยเร็ว เพราะความรู้สึกเครียดถ้าเกิดข้ึนแล้วจะส่งผลกระทบ
ทง้ั ทางด้านรา่ งกาย อารมณแ์ ละพฤติกรรมต่างๆตลอดระยะการตงั้ ครรภ์และส่งผลรวมถงึ ทารกในครรภ์และนำไปสู่
ภาวะแทรกซ้อนได้
-28-
ผลสำเรจ็ ของงานเชิงปรมิ าณ
สตรีต้ังครรภ์ที่มาฝากครรภ์ที่แผนกฝากครรภ์ โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จำนวนท้ังหมด 420 คน
พบว่า ความชุกของสตรีต้ังครรภ์ที่มีความรู้สึกเครียดในระดับสูง ร้อยละ 1.80 ในระยะการต้ังครรภ์ไตรมาสที่ 3
และร้อยละ 25.00 ในระยะการตั้งครรภ์ ไตรมาสที่ 1 ความชุกของสตรีต้ังครรภ์ท่ีมีความรู้สึกเครียดในระดับ
ปานกลาง ร้อยละ 40.60 ในระยะการตั้งครรภ์ไตรมาสท่ี 3 และร้อยละ 32.70 ในระยะการตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 1
และความรู้สกึ เครียดของสตรตี ้ังครรภ์มีความสัมพันธ์กับปัจจัยความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว ไดแ้ ก่ การมีปญั หา
ทะเลาะเบาะแว้งหรือไม่เข้าใจกันกับคนในครอบครัวในช่วงที่ผ่านมา และการมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งหรือไม่
เข้าใจกันกับสามีในช่วงท่ีผา่ นมาและปัจจัยดา้ นสถานการณ์ท่ีมีผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรงในชีวิตขณะตั้งครรภ์
ได้แก่ การมีความคิดหรือเคยพยายามฆ่าตัวตาย รวมทั้งปัจจัยด้านภาวะแทรกซ้อนของการต้ังครรภ์ พบว่าการมี
ภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์คร้ังก่อนและภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ พบว่าการมีภาวะแทรกซ้อนในการ
ตัง้ ครรภ์คร้งั นมี้ คี วามสมั พันธก์ นั กบั ความรู้สกึ เครยี ดในสตรตี ง้ั ครรภ์
ผลสำเรจ็ เชิงคุณภาพ
1. ผลจากการศึกษาทำให้ทราบความชุกของความรู้สึกเครียดของสตรีต้ังครรภ์ ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐาน
ในการประเมินความรู้สึกเครียดในสตรีตั้งครรภ์เพ่ือการดูแลสตรีต้ังครรภ์ท่ีมาฝากครรภ์ที่แผนกฝากครรภ์
โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราชตอ่ ไป
2. ผลจากการศึกษาสามารถนำมาใช้เป็นแนวปฏิบัติในการดูแลสตรีต้ังครรภ์ที่ตรวจพบระดับความรู้สึก
เครียด หากพบว่ามีระดับความเครียดสูงสามารถให้คำแนะนำ หรือส่งต่อเพ่ือพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
และดแู ลดา้ นจิตบำบัดตอ่ ไป
8. การนำไปใช้ประโยชน์
ประโยชน์และผลกระทบทค่ี าดว่าจะได้รบั
1. ประโยชน์ต่อผู้เข้าร่วมวิจัย เน่ืองจากเป็นการประเมินในสตรีต้ังครรภ์เก่ียวกับความรู้สึกเครียด จะทำ
ใหส้ ามารถตรวจพบระดับความรู้สกึ เครียด หากระดบั ความเครยี ดสงู สามารถให้คำแนะนำ หรือสง่ ต่อเพ่ือพบแพทย์
ผู้เชย่ี วชาญเฉพาะทาง และดแู ลด้านจติ บำบดั ตอ่ ไป
2. ประโยชนต์ อ่ หน่วยงาน ทำให้บคุ ลากรทางการแพทยม์ คี วามรคู้ วามเข้าใจและเหน็ ถึงความสำคัญของ
ความรู้สึกเครียดและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความรู้สึกเครียดในสตรีตั้งครรภ์ ทำให้ทราบถึงความชุกของ
ความรู้สึกเครียดในสตรีตั้งครรภ์ ส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์มีความรู้ความเข้าใจถึงความสำคัญในการค้นหา
ภาวะความเครียดของมารดาขณะตั้งครรภ์ มีการวางแผนการดูแลผู้ป่วยในกลุ่มน้ีอย่างมีประสิทธิภาพมากข้ึน
รวมถึงการให้คำแนะนำ กระตุ้น และส่งเสริมให้สตรีตั้งครรภ์เข้าใจถึงผลกระทบของการมีภาวะเครียดในขณะ
ตั้งครรภ์ ส่งผลทำใหส้ ามารถปอ้ งกันปัจจยั เสี่ยงท่ีจะเกิดขนึ้
3. ประโยชน์ต่อสถาบัน ชุมชน สังคม และประเทศ งานวิจัยนี้จะทำให้ทราบถึงความชุกและปัจจัย
ที่สัมพันธ์กับความรู้สึกเครยี ดในสตรตี ้ังครรภ์ ซ่ึงสถาบันสามารถนำขอ้ มลู ที่ได้ ไปเป็นข้อมูลอ้างองิ ให้กับสถาบนั อ่ืน
รวมทั้งหน่วยงานอื่นๆ ได้ทราบถึงปัญหาและวางแผนป้องกันและแก้ไขความรู้สึกเครียดในสตรีตั้งครรภ์ รวมท้ัง
ปัจจัยต่างๆท่ีสัมพันธ์กับความรู้สึกเครียด และส่งเสริมให้คนในครอบครัวมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือแก้ไขปัญหา
ที่สัมพันธ์กับการเกิดความรู้สึกเครียด เพื่อช่วยดูแลรักษาสตรีต้ังครรภ์ และลดความเส่ียงของการต้ังครรภ์ท่ีอาจ
เกิดขนึ้ ได้
-29-
9. ความยุ่งยากในการดำเนนิ การ/ปัญหา/อุปสรรค
การวิจยั ครั้งน้ีได้รับความรว่ มมืออย่างดีจากกลุ่มตัวอย่างสตรีต้ังครรภ์ แต่การนำข้อมูลไปสู่การดำเนินการ
แก้ไขปัญหาความรู้สึกเครียด ยังพบว่ามีอุปสรรคอยู่มาก เนื่องจากกระบวนการดูแลสตรีต้ังครรภ์ การวางแผน
ป้องกันและแก้ไขความรู้สึกเครียดในสตรีตั้งครรภ์ต้องอาศัยความร่วมมือจากทีมสหสาขาวิชาชีพที่หลากหลาย
จากภาระงานท่ีมาก ทำให้ไม่เอ้ือต่อผู้ปฏิบัติงาน รวมถึงไม่มีข้อมูลความรู้สึกเครียดที่เกิดข้ึนจากสมาชิกครอบครัว
เพ่ือหาปัจจัยสาเหตุการเกิดความเครียดได้มากข้ึน และเป็นประโยชน์ในการรักษาได้ถูกวิธี ไม่ให้ความรู้สึกเครียด
เรอ้ื รงั จนเปน็ โรคซมึ เศรา้ ซึ่งอาจจะส่งผลถงึ การฆ่าตวั ตายได้
10. ข้อเสนอแนะ
1. สำหรบั หญิงต้ังครรภ์
1.1 ควรมีการวางแผนในการตั้งครรภ์ โดยการต้ังครรภ์ในช่วงอายุท่ีเหมาะสม เพื่อให้ร่างกายมีความ
สมบรู ณ์และด้านจิตใจมคี วามพร้อมในการต้งั ครรภ์
1.2 ควรดูแลและรักษาสภาวะสุขภาพจิตของตนเองให้ดี หากมีอาการของความเครียด (ความวิตกกังวล
กลัวนอนไม่หลับ ฯลฯ) ควรรีบหาทางแก้ไข/หาวิธกี ารผอ่ นคลายความเครียดน้ันหรือขอคำปรึกษา/ความช่วยเหลือ
จากบคุ ลากรทางการแพทย์
1.3 เม่ือทราบว่าเร่ิมตั้งครรภ์ ควรมาฝากครรภ์ทันที ซ่ึงสตรีตั้งครรภ์จะได้รับคำแนะนำและความรู้ที่เป็น
ประโยชน์และหากพบความผิดปกติของมารดาหรือทารกในครรภ์จะได้รับการแก้ไขแต่เริ่มแรกเพ่ือหลีกเล่ียง
ความพกิ าร/การเกิดโรคทางกาย ซง่ึ เปน็ สาเหตุของความเครียดดว้ ย
2. สำหรบั บุคคลในครอบครัว
2.1 สามีควรให้ความสำคัญของการต้ังครรภ์ โดยให้ความรัก เอาใจใส่ ดูแลช่วยเหลือและใหก้ ารสนับสนุน
ในการตั้งครรภ์ เหน็ อกเหน็ ใจสตรตี ัง้ ครรภ์
2.2 ญาตคิ วรใหค้ วามเข้าใจและเห็นใจสตรีต้งั ครรภ์โดยยนิ ดที จี่ ะรบั ฟังปญั หา ให้คำปรึกษา ให้การ
ชว่ ยเหลอื ทำใหส้ ตรีตั้งครรภล์ ดความเครียดลงได้
3. สำหรับบุคลากรทางการแพทย์
3.1 ควรตรวจสอบอายุที่เหมาะสมสำหรับตั้งครรภ์ หากพบว่าอายุของสตรีต้ังครรภ์น้อยหรือมาก ควรให้
ความสนใจด้านความเครียดให้มากขน้ึ
3.2 ควรให้ความรู้เร่ืองความเครียดกับการตัง้ ครรภ์ถึงความเครียดท่ีสง่ ผลต่อมารดาและทารก อาการของ
ความเครียด วิธีการลดหรือผ่อนคลายความเคลียด และควรมีการวัดความเครียดในหญิงตั้งครรภ์ที่มารับบริการ
ฝากครรภ์ และคน้ หาสาเหตขุ องความเครียดพร้อมท้งั ให้การดูแลรักษา ช่วยเหลือและให้การสนบั สนุนการตั้งครรภ์
ตลอดจนให้คำปรึกษารายบุคคล/การให้คำปรึกษาครอบครัวในรายที่พบว่ามีปัญหาความเครียดนั้นเพื่อป้องกัน
ปญั หาสขุ ภาพจิตของมารดาและทารก
-30-
เอกสารอา้ งองิ
1. กรมสขุ ภาพจิต. 2555. คูม่ ือคลายเครยี ด ฉบบั ปรบั ปรุงใหม่. กรุงเทพฯ : กระทรวงสาธารณสขุ .
2. Lilliecreutz et al. Effect of maternal stress during pregnancy on the risk for preterm birth.
BMC Pregnancy and Childbirth 2016; 5: 1-8.
3. Khashan, A.S., et al., Rates of preterm birth following antenatal maternal
exposure to severe life events: a population-based cohort study. Hum Reprod
2009; 24: 429-37.
4. Laszlo, K.D., et al., Psychosocial stress related to the loss of a close relative
the year before or during pregnancy and risk of preeclampsia. Hypertension
2013; 62: 183-9.
5. Zhu, P., et al., Time-specific effect of prenatal stressful life events on gestational
weight gain. Int J Gynaecol Obstet 2013; 122: 207-11.
6. Precht, D.H., P.K. Andersen, and J. Olsen, Severe life events and impaired fetal
growth: a nation-wide study with complete follow-up. Acta Obstet Gynecol
Scand 2007; 86: 266-75.
7. F. Gary Cunningham, et al., Williams Obstetrics. 25 (Edition). United States: McGraw-Hill
Education; 2019.
8. Alice A Han, et al., Identification of Biomarkers Related to Perceived Stress Scale-10 and
the Evaluation of the Survey Components. J Med Genomics Biomark 2015; 2: 1-5.
9. Reeta VijayaSelVi, et al., Risk Factors for Stress During Antenatal Period Among Pregnant
Women in Tertiary Care Hospital of Southern India. J Clin Diagn Res 2015; 9: 1-5.
10. Anwar E Ahmed, et al., Stress and its predictors in pregnant women a study in Saudi
Arabia. Psychol Res Behav Manag 2017; 10: 97-102.
11. Nigus Alemnew Engidaw, et al., Perceived stress and its associated factors among
pregnant women in Bale zone Hospitals Southeast Ethiopia a cross-sectional study. BMC
Res Notes 2019; 12: 1-6.
12. Maryam Kashanian, et al., Woman’s perceived stress during pregnancy Stressors and
pregnancy adverse outcomes. J Matern Fetal Neonatal Med 2019; 8: 1-9.
13. Ying Lau, et al., Maternal obstetric variable, perceived stress and health-related quality
of life among pregnant women in Macao China. Midwifery 2011; 27: 668–73.
14. Sandesh Pantha, et al., Prevalence of Stress among Pregnant Women Attending
Antenatal Care in a Tertiary Maternity Hospital in Kathmandu, J Womens Health 2014; 3:
1-5.
15. Sara Shishehgar, et al., Perceived Pregnancy Stress and Quality of Life amongst Iranian
Women, Glob J Health Sci 2014; 6: 270-77.
16. Cohen S, Williamson G, Perceived stress in a probability sample of the United States. In
The Social Psychology of Health 1988: 31-67.
17. Nahathai Wongpakaran, et al., Research The Thai version of the PSS-10 An Investigation
of its psychometric properties, Biopsychosoc Med 2010; 6: 1-6.
-31-
เอกสารอ้างอิง (ตอ่ )
18. จรณิ ต แก้วกังวาล และ ประตาป สิงหศิวานนท์. ขนาดกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยทางคลินิก.
ในพรรณี ปติ ิสุทธิธรรม และ ชยนั ต์ พเิ ชียรสนุ ทร (บรรณาธกิ าร). ตำราการวจิ ัยทางคลินกิ .
กรุงเทพมหานคร: บรษิ ทั อมรนิ ทร์พรน้ิ ต้ิงแอนดพ์ บั ลิชชง่ิ 2554; 107-143.
19. เอมอร เอ่ียมสำอาง. ความวติ กกงั วลของสตรีต้ังครรภแ์ รกโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลมิ พระเกียรติ.
วทิ ยาศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลยั รามคำแหง.2551.
20. Wassapol Thongsomboon, Kasemsis Kaewkiattikun and Nitchawan Kerdcharoen.
Perceived Stress and Associated Factors Among Pregnant Women Attending Antenatal Care
in Urban Thailand. Psychology Research and Behavior Management 2020;13: 1115-22.
พฤตกิ รรมการดแู ลตนเอง และ
ความสามารถในการควบคุมความดนั
โลหิตของผู้ปว่ ยโรคความดนั โลหิตสงู
ในพื้นทร่ี ับผิดชอบโรงพยาบาลสง่ เสริม
สขุ ภาพตาบลบ้านโค้งบอ่ แร่
พฤติกรรมการดูแลตนเอง และความสามารถในการควบคมุ ความดันโลหติ ของผู้ป่วย
โรคความดันโลหิตสงู ในพ้ืนที่รบั ผิดชอบโรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตาบลบ้านโค้งบอ่ แร่
Self – care Behaviors and Blood Pressure Controlling Ability of Hypertension Patients, In
the Area of Responsibility of Ban Khong Bo Ra Sub-district Health Promoting Hospital
พชิ ติ ศักด์ิ จาปาเงนิ
Phichitsak Jumpangern
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้านโค้งบอ่ แร่ อาเภอหนองหญา้ ไซ จังหวดั สพุ รรณบุรี
Ban Khong Bo Ra Sub-district Health, Nong Ya Sai District Suphanburi Province
Corresponding Author Email: [email protected]
บทคัดยอ่
การวิจัยเชิงสารวจน้ี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้เก่ียวกับโรคความดันโลหิตสูง การได้รับการ
สนับสนุนทางสังคม การได้รับข่าวสารเก่ียวกับโรคความดันโลหิตสูง พฤตกิ รรมการดูแลตนเอง ความสามารถใน
การควบคุมโรคความดันโลหิต และปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของผู้ป่วยโรคความดันโลหิต
สูง ในพ้ืนทีร่ ับผิดชอบโรงพยาบาลสง่ เสริมสขุ ภาพตาบลบา้ นโค้งบ่อแร่ กลุม่ ตวั อยา่ งเป็นผู้ปว่ ยโรคความดันโลหิต
สูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ มีอายุตั้งแต่ 35 ปีข้ึนไป จานวน 248 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ
เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบบันทึกข้อมลู การรกั ษาพยาบาล วเิ คราะห์ข้อมลู ด้วยสถิติ
เชงิ พรรณนา และสัมประสทิ ธสิ์ หสมั พนั ธ์ของเพยี ร์สัน
ผลการวิจัย พบว่า ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ร้อยละ 70.2 มีความรู้เก่ียวกับโรคความดันโลหิตสูงใน
ระดับดี ได้รับการสนับสนุนทางสังคมในระดับสูง ร้อยละ 40.3 รองลงมา ร้อยละ 34.3 และ 25.4 ได้รับการ
สนับสนุนในระดบั ตา่ และระดับปานกลาง ตามลาดบั ได้รับข้อมูลข่าวสารเก่ยี วกับโรคความดันโลหิตสงู ในระดับ
ปานกลาง ร้อยละ 50.8 สว่ นใหญ่ รอ้ ยละ 76.6 มีพฤติกรรมการดูแลตนเองในระดบั ปานกลาง สามารถควบคุม
ความดันโลหติ ได้ ร้อยละ 46.4 ทง้ั น้ี การได้รับการสนับสนุนทางสังคม และการได้รับข่าวสารเกีย่ วกับโรคความ
ดันโลหติ สูง มีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (P < 0.05) ในระดับปานกลาง (r = 0.357) และ
ตา่ (r = 0.134) ตามลาดบั กบั พฤติกรรมการดูแลตนเอง
คาสาคญั : โรคความดนั โลหิตสูง, พฤติกรรมการดแู ลตนเอง, การควบคุมความดันโลหิต, โรงพยาบาลส่งเสรมิ
สขุ ภาพตาบล
ABSTRACT
This su r v e y research was aimed to study the knowledge of hypertension, social
support receiving, hypertension information receiving, self – care behaviors, blood pressure
controlling ability, and the factors related to self – care behaviors of . hypertension patients
in the area responsible for the Ban Khong Bo Ra Sub-district Health Promoting Hospital. The
2
sample group was 248 essential hypertension patients, ages 35 and over. All of them,
selected by systematic random sampling. Research instruments were questionnaire and
medical record form. Data was analyzed by descriptive statistics and pe a rso n ,s p ro d u c t
moment correlation. The results were as followings.
The results found that 70.2% of hypertension patients had good level of
hypertension knowledge, received high level of social support at 4 0 .3 %, followed by low
level and medium level at 3 4 . 3 and 2 5 . 4 %, received medium level of hypertension
information at 50.8%, and most, 76.6%, had moderate self-care behaviors. They could
control blood pressure at 46.4%. In this regard, social support receiving, and hypertension
information receiving were positive significantly associated with self – care behaviors (P-value
< 0.05) at medium (r = 0.357) and low (r = 0.134) levels, respectively.
Key words : hypertension, self – care behavior, blood pressure controlling, Sub-district health
promoting hospital
บทนา
ปัจจุบัน โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคท่ีเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สาคัญของโลก และของประเทศ
ไทย โดยพบวา่ ประชากรทว่ั โลก มีอตั ราการเสยี ชีวติ จากโรคความดนั โลหิตสงู ประมาณ 7.5 ล้านคน และมีผปู้ ่วย
ดว้ ยโรคนี้เกอื บ 1 พันล้านคนทวั่ โลก และคาดว่าในปี 2568 จะมีความชุกของผู้ป่วยโรคความดันโลหติ สูงเพิ่มข้ึน
เป็น 1.56 พันล้านคน (ศูนย์การศึกษาต่อเนื่องทางเภสัชศาสตร์, 2563) สาหรับประเทศไทย จานวนผู้ป่วยโรค
ความดันโลหิตสูงมีแนวโน้มเพิ่มข้ึนจากเกือบ 4 ล้านคนในปี 2556 เป็นเกือบ 6 ล้านคนในปี 2561 ทาให้
ประเทศไทยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมากถึงเกือบ 80,000 ล้านบาทต่อปีต่อ
จานวนผู้ป่วยประมาณการ 10 ล้านคน (สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย, 2563) โรคความดันโลหิต
สูง ถือเป็น “ฆาตกรเงียบ” เน่ืองจากไม่มีอาการแสดง จนทาให้หลายคนต้องเสียชีวิตจากโรคน้ี ซึ่งหากมีภาวะ
ความดนั โลหิตสูงเป็นระยะเวลานานแลว้ ไม่ได้รับการรักษา จะส่งผลใหเ้ กิดภาวะแทรกซ้อนท่สี าคัญ ไดแ้ ก่ หลอด
เลือดแดงในตาเสื่อม อาจทาให้มีเลือดออกท่จี อตา ทาให้ประสาทตาเส่ือม ตามัว หรือตาบอดได้โรคหลอดเลือด
3
หัวใจ เกิดจากหัวใจทางานหนักข้ึน ทาให้ผนังหัวใจหนาตัว และถ้าไม่ได้รับการรักษาจะทาให้เกิดหัวใจโต และ
หัวใจวายในท่ีสุด เกิดโรคหลอดเลือดสมอง เกิดภาวะหลอดเลือดในสมองตีบ ตัน หรือแตก ทาให้เป็นอัมพฤกษ์
อัมพาต โรคไตเรื้อรงั (สานักสารนิเทศ สานกั งานปลัดกระทรวงสาธารณสขุ , 2562)
กระทรวงสาธารณสุขได้ปรับปรุงระบบบริการด้านสาธารณสุขของประเทศ เพ่ือให้มีคุณภาพและ
ประสิทธิภาพมากย่ิงข้ึน โดยการพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล (รพ.สต.) ให้ได้มาตรฐาน (ญาณิน
หนองหารพิทักษ์ และประจักร บัวผัน, 2556) ให้มีขีดความสามารถมากขึ้นในการบริการปฐมภูมิ โดยปรับ
ระบบบรกิ ารให้ผู้ป่วยทไี่ ปรบั บรกิ ารทีโ่ รงพยาบาลขนาดใหญ่ทงั้ ในอาเภอและจงั หวดั ให้มารับการรกั ษาท่ี รพ.สต.
ในโรคท่ไี ม่ซบั ซ้อน อยู่ในศกั ยภาพที่ รพ.สต.ใหก้ ารรกั ษาได้ เพอ่ื ใหผ้ ูป้ ่วยไมต่ ้องเสยี คา่ ใช้จา่ ยทสี่ งู ใชเ้ วลาในการ
รอรับบริการนาน อาทิ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง มีระบบการดูแลผู้ป่วยท่ีบ้านที่เรียกว่า Home Health Care หรือ
Home Ward ในการดูแลที่ รพ.สต. โดยทีมสหวิชาชีพ (Srinivasan, 2014) ท้ังนี้ รพ.สต.เป็นหน่วยงานท่ี
กระจายอยู่ทุกตาบล มีหน้าที่ให้บริการแบบองค์รวมอย่างต่อเน่ือง ผสมผสานและสนับสนุนการพ่ึงตนเองของ
ประชาชนอย่างสมดุล ทั้งด้านการส่งเสริมสุขภาพ การควบคุมป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟ้ืนฟู
สภาพ รวมท้ังการจัดการปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ (สานักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 2556)
ซึ่งการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง/กลุ่มเสี่ยง ในปัจจุบันได้เน้นการสร้างสุขภาพโดยยึดหลัก 3อ. 2ส.
ส่งเสริมให้ปรับพฤติกรรมการบริโภค การออกกาลังกายท่ีเหมาะสมกับโรค ซ่ึงจะเน้นให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข
โดยเฉพาะเจ้าหน้าท่ี รพ.สต.เป็นผู้ให้ความรู้ คอยกระตุ้น และส่งเสริมให้ทากิจกรรมท่ีเหมาะสมกับผู้ป่วยโรค
ความดนั โลหติ สูง (กองโรคไมต่ ิดตอ่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 2561)
รพ.สต.บ้านโค้งบ่อแร่ อาเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี มีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในพื้นที่
รพ.สต. บา้ นโคง้ บ่อแร่ โดยต้ังแต่ปี พ.ศ.2559 ถึง 2563 จานวน 427 คน 455 คน 470 คน 495 คน และ 513
คน ตามลาดบั (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้านโค้งบ่อแร่, 2563) ซ่ึงมีแนวโน้มเพิ่มข้ึนทุกปี รพ.สต.บ้าน
โค้งบ่อแร่ ได้มีการดาเนินการดูแลรักษาพยาบาล ปรับเปล่ียนพฤติกรรม/ให้คาแนะนาในการปฏิบัติตัว เพ่ือให้
ผู้ป่วยโรคความดนั โลหิตสงู สามารถควบคุมระดบั ความดนั โลหติ ได้ ลดหรือชะลอการเกิดโรคแทรกซอ้ นในผปู้ ว่ ย
โรคความดนั โลหิตสูง ทั้งนี้ ทางสานักงานสาธารณสุขจังหวดั สุพรรณบุรี และสานักงานสาธารณสขุ อาเภอหนอง
หญ้าไซ ได้ให้ความสาคัญต่อการจัดการผู้ป่วยโรคเรื้อรังของ รพ.สต. ซึ่งเป็นหน่วยบริการระดับปฐมภูมิ
ซง่ึ กระทรวงสาธารณสุขได้มีนโยบายการรักษาโรคความดันโลหิตสูงที่ รพ.สต.มาต้ังแตป่ ี 2555 (วิทยา บุรณศิริ,
2555) ผู้วิจัย ในฐานะบุคลากรสาธารณสุขท่ีดูแลรับผิดชอบสุขภาพของประชาชนในพ้ืนที่รับผิดชอบของ
รพ.สต.บ้านโค้งบ่อแร่ จึงได้ทาการศึกษาพฤติกรรมการดูแลตนเอง และความสามารถในการควบคุมความดัน
โลหิตของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ในพ้ืนท่ีรับผิดชอบ รพ.สต.บ้านโค้งบ่อแร่ เพื่อนามาพัฒนาการดูแล
รักษาพยาบาล ปรับเปล่ียนพฤติกรรมการดูแลตนเอง และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคความ
ดนั โลหติ สงู ให้มปี ระสิทธิผลที่ดตี ่อไป
วัตถุประสงค์การวจิ ยั
1. เพื่อศึกษาความรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง การได้รับการสนับสนุนทางสังคม การได้รับข่าวสาร
เก่ยี วกับโรคความดันโลหิตสูง และพฤตกิ รรมการดูแลตนเอง ของผู้ป่วยโรคความดันโลหติ สูง
2. เพ่ือศกึ ษาความสามารถในการควบคุมโรคความดันโลหติ ของผูป้ ว่ ยโรคความดันโลหิตสูง
3. เพอ่ื ศกึ ษาปจั จยั ท่ีสมั พนั ธก์ บั พฤตกิ รรมการดแู ลตนเอง ของผปู้ ว่ ยโรคความดนั โลหติ สูง
นิยามศัพท์
ความสามารถในการควบคุมโรคความดันโลหิต หมายถึง การควบคุมโรคความดันโลหิตได้หรือไม่ได้
โดยถ้ามีความดันโลหิตซิสโตลิค (Systolic blood pressure : SBP) น้อยกว่า 140 มิลลิเมตรปรอท และหรือ
4
ความดันโลหิตไดแอสโตลิค (Diastolic blood pressure : DBP) น้อยกว่า 90 มิลลิเมตรปรอท ติดต่อกัน 3
ครัง้ ที่มารับการรักษา ถือวา่ ควบคมุ โรคความดันโลหิตได้ แต่ถ้าความดันโลหิตซสิ โตลิคมากกว่าหรือเทา่ กับ 140
มิลลิเมตรปรอท และหรอื ความดันโลหิตไดแอสโตลคิ มากกว่าหรือเท่ากับ 90 มิลลิเมตรปรอท อย่างน้อย 1 ครั้ง
ข้นึ ไป ถือว่าควบคุมโรคความดันโลหิตไมไ่ ด้
กรอบแนวคดิ การวจิ ยั
การที่ผปู้ ่วยโรคความดันโลหติ สูงจะมพี ฤติกรรมการดูแลตนเองท่ถี กู ตอ้ ง ข้นึ อยูกบั ปจั จยั หลายประการ
ได้แก่ อายุ ความรเู้ ก่ียวกับโรคเบาหวาน การสนบั สนุนทางสังคม และการได้รับข่าวสารเกยี่ วกับโรคความดนั
โลหติ สูง ซง่ึ บคุ คลทม่ี อี ายแุ ละวุฒิภาวะเป็นผู้ใหญจ่ ะมีการเรียนร้ใู นการกระทา และผลของการกระทา เพอื่
ตอบสนองความตอ้ งการในการดูแลตนเองทจ่ี าเป็น (Orem, 1995) อายจุ งึ เปน็ ปจั จัยท่ีมผี ลตอ่ พฤติกรรมการ
ปอ้ งกันโรคความดันโลหติ สงู ส่วนความรเู้ ก่ยี วกับโรคความดันโลหติ สงู เป็นปจั จัยสว่ นบคุ คลในดา้ นพฒั นาการ
หรอื วฒุ ภิ าวะของบุคคล เปน็ ภมู ิความรขู้ องบคุ คลทกี่ อ่ ใหเ้ กิดพฤตกิ รรมดแู ลตนเองทเี่ หมาะสม (Dodd, et al.,
2001) เปน็ ตัวนาไปสู่การปฏบิ ตั ติ วั ทถี่ ูกต้องในการดูแลตนเอง ดงั นนั้ การท่ีบคุ คลได้รับความรูเ้ กย่ี วกบั การ
ป้องกนั โรคความดันโลหิตสงู จึงทาให้บคุ คลมีพฤตกิ รรมการดูแลตนเองท่ดี ี ในสว่ นการสนบั สนุนทางสังคม เป็น
การสร้างความสัมพนั ธ์ระหวา่ งบุคคล เพื่อให้เกดิ การชว่ ยเหลอื ในด้านตา่ ง ๆ เปน็ ปจั จยั ท่ีมีอิทธิพลต่อพฤตกิ รรม
การส่งเสรมิ สขุ ภาพตนเอง (สุภาภรณ์ เก้ือสวุ รรณ, 2556) ช่วยทาให้บุคคลเห็นคณุ ค่าของตนเอง ลดความเครียด
มกี าลังใจ มคี นรักและหว่ งใย ทาให้เกิดความม่นั ใจในการปฏิบัตติ ัวเพื่อดูแลตนเอง ชว่ ยใหม้ ีพฤตกิ รรมสุขภาพท่ี
เหมาะสม (Green & Kreuter, 2005) สาหรับการไดร้ ับข่าวสารเกี่ยวกับโรคความดนั โลหิตสูง เป็นการไดร้ ับ/
การรับรู้เกี่ยวกบั โรคความดันโลหติ สงู จากแหลง่ ความร้แู ละแหล่งประสบการณ์ ทาให้เกิดการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง
คิดเอง ปฏิบัติเอง ทาให้บุคคลปรับพฤติกรรมตนเองใหเ้ หมาะสมย่ิงข้นึ (Bernstein, 1999) นาไปส่กู ารปฏบิ ตั ติ ัว
ท่ถี กู ตอ้ งในการดแู ลตนเอง ดังนน้ั ในการศึกษาคร้งั น้ีจึงใชต้ วั แปร อายุ ความรู้เก่ยี วกบั โรคเบาหวาน การ
สนับสนุนทางสงั คม และการไดร้ บั ขา่ วสารเก่ยี วกับโรคความดันโลหติ สงู เป็นตัวแปรในการศกึ ษาปจั จยั ท่ีสมั พันธ์
กบั พฤติกรรมการดูแลตนเองของผปู้ ่วยโรคความดนั โลหิตสูง ดงั ภาพท่ี 1
ตวั แปรอิสระ ตวั แปรตาม
- อายุ พฤตกิ รรมการดูแลตนเอง
- ความรู้เกย่ี วกบั โรคความดันโลหิตสูง
- การได้รับการสนับสนุนทางสงั คม
- การไดร้ บั ข่าวสารเก่ียวกบั โรคความดันโลหิตสูง
ภาพที่ 1 กรอบแนวคดิ ปัจจยั ท่ีสัมพันธก์ ับพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของผูป้ ว่ ยโรคความดนั โลหิตสงู
วธิ ีการดาเนินการวิจัย
การศึกษาน้เี ป็นการวิจัยเชิงสารวจ (Survey Research)
ประชากรทีศ่ ึกษา คอื ผ้ปู ่วยท่ีได้รับการวินจิ ฉยั จากแพทย์ว่าเปน็ โรคความดนั โลหติ สูงชนิดไมท่ ราบ
สาเหตุ ซึ่งอยู่ในพื้นทีร่ ับผิดชอบ รพ.สต.บ้านโค้งบ่อแร่ มีอายุต้ังแต่ 35 ปี ข้นึ ไป มีจานวน 499 คน
กล่มุ ตวั อย่าง
กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบ
สาเหตุ ซึ่งอยู่ในพื้นท่ีรับผิดชอบ รพ.สต.บ้านโค้งบ่อแร่ คานวณหาขนาดตัวอย่างโดยใช้เทคนิคการหาขนาด
5
ตวั อยา่ งของ Yamana (1967) ไดข้ นาดตัวอย่างใช้อา้ งองิ ถึงประชากรทศี่ ึกษาอย่างน้อยคือ 222 คน ในการวิจัย
คร้ังน้ีได้ใช้ขนาดตัวอย่าง จานวน 248 คน (ทั้งนี้ ข้อมูลที่ได้อาจไม่มีความสมบูรณ์ ผู้วิจัยจึงได้ใช้กลุ่มตัวอย่าง
เผื่อไว้ร้อยละ 12 ของขนาดตัวอย่างที่คานวณได้ และพิจารณานาแบบสอบถามที่มีความสมบูรณ์มาใช้) เลือก
ตัวอย่างโดยการสุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบ (Systematic random sampling) 1 คน เว้น 1 คน ให้ได้กลุ่ม
ตัวอย่าง จานวน 248 คน ซึ่งมีเกณฑ์คัดเข้าคือ เป็นผู้ป่วยคนไทยอายุตั้งแต่ 35 ปีข้ึนไป สามารถช่วยเหลือ
ตนเองได้ และเปน็ ผู้ทยี่ นิ ดใี หค้ วามร่วมมอื ในการศกึ ษาวจิ ยั และมีเกณฑ์ในการคัดออกคือ เป็นผปู้ ว่ ยทมี่ ีความดัน
โลหิตซิสโตลิคมากกว่าหรือเท่ากับ 200 มิลลิเมตรปรอท และหรือความดันโลหิตไดแอสโตลิคมากกว่าหรือ
เทา่ กบั 120 มิลลิเมตรปรอท ซ่ึงตอ้ งพบแพทยโ์ ดยด่วน
เคร่อื งมอื ท่ใี ช้ในการวิจัย คอื
1. แบบสอบถามที่ผวู้ จิ ัยสร้างขึ้น ประกอบด้วยขอ้ มลู ท่ัวไป ความรู้เรื่องโรคความดนั โลหติ สูง การได้รบั
การสนบั สนนุ ทางสังคม การได้รบั ขอ้ มูลข่าวสารเก่ียวกบั โรคความดนั โลหติ สูง และพฤติกรรมการดูแลตนเอง
2. แบบบันทึกข้อมูลการรักษาพยาบาล ประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับระดับความดันโลหิต 2 ครั้งก่อน
และปัจจุบนั และการเกิดโรคแทรกซ้อนจากโรคความดันโลหิตสูง
คุณภาพเคร่ืองมือ ได้ตรวจสอบความตรงในเน้ือหา (Content validity) จากผู้เช่ียวชาญ 3 ท่าน และ
ได้พิจารณาตัดสินตามความคิดเห็นที่สอดคล้องกันของผู้เช่ียวชาญ จากค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of
Item Objectives Congruence : IOC) ของแต่ละข้อคาถาม ซึ่งอยู่ระหว่าง 0.6 – 1.0 แล้วนา มาวิเคราะห์
ความเช่ือมั่นของมาตรวัด (Reliability) โดยใช้วิธีการวัดความสอดคล้องภายใน (Internal consistency
method) แบบครอนบาค อัลฟา (Cronbach’s alpha) ผลการวิเคราะห์ได้ค่าความเชื่อม่ันของแบบวัดความรู้
เรื่องโรคความดันโลหิตสูง = 0.70 การได้รับการสนับสนุนทางสังคม = 0.87 การได้รับข้อมูลข่าวสารเก่ียวกับ
โรคความดันโลหติ สูง = 0.86 และพฤตกิ รรมการดแู ลตนเอง = 0.71
การเก็บรวบรวมข้อมูล
1.แบบสอบถาม เก็บข้อมูลโดยการแจกแบบสอบถามให้กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ตอบเม่ือผู้ป่วยมารักษาที่
รพ.สต.หรือไปสอบถามท่ีบ้านผู้ป่วย ท้ังนี้ ในกรณีที่ผู้ตอบมีปัญหาเร่ืองสายตา หรืออ่านหนังสือไม่ออก ผู้เก็บ
ขอ้ มลู กจ็ ะอ่านให้ฟงั แล้วให้ผตู้ อบแบบสอบถามเลอื กคาตอบ
หรอื อธิบายส่งิ ทตี่ อบ แลว้ ผู้เก็บข้อมลู กจ็ ะบันทึกขอ้ มลู ดงั กลา่ ว
2.แบบบันทึกข้อมูลการรกั ษาพยาบาล เกบ็ ข้อมูลโดยการบันทึกข้อมูลจากทะเบยี นประวตั ผิ ปู้ ว่ ย และ
หรอื สอบถามขอ้ มลู จากผู้ป่วย ตามประเด็นทีศ่ กึ ษา
เกบ็ รวบรวมข้อมลู ในเดอื นสงิ หาคม ถงึ ตลุ าคม 2564
การวเิ คราะห์ข้อมูล โดยใช้สถติ ิเชิงพรรณนา (รอ้ ยละ ค่าเฉล่ยี และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน) และสถิติ
สัมประสิทธสิ์ หสัมพนั ธ์ของเพยี ร์สัน (Pearson,s product moment correlation)
การพทิ ักษส์ ทิ ธ์กลุ่มตัวอยา่ ง
การวิจยั นไ้ี ด้ผ่านการรบั รองจากคณะกรรมการวิจยั ในมนษุ ย์ สานักงานสาธารณสุขจังหวัดจังหวดั สพุ รรณบุรี
โดยมีหนงั สือรบั รอง เลขท่ี COA No. 08/2564 ลงวนั ที่ 14 มกราคม 2564
ผลการวิจัย
ลกั ษณะกลุ่มตัวอย่างที่ศกึ ษา พบว่า กลมุ่ ตัวอยา่ ง สว่ นใหญ่ รอ้ ยละ 64.5 เป็นเพศหญงิ มีอายุต้งั แต่
60 ปขี ึ้นไป ร้อยละ 74.6 มอี ายโุ ดยเฉล่ยี 65.0 ปี มีสถานภาพสมรสคู่ ร้อยละ 71.8 มีการศกึ ษาระดับ
6
ประถมศึกษาถงึ ร้อยละ 73.8 ในเรอ่ื งอาชพี นนั้ พบวา่ มีอาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 47.6 รองลงมาคอื ชว่ ยเหลือ
งานในครอบครวั / อย่บู ้านเฉย ๆ รับจ้าง ค้าขาย ธุรกิจส่วนตัว และข้าราชการบานาญ รอ้ ยละ 24.6, 21.8, 4.8,
0.8 และ 0.4 ตามลาดับ มีรายได้น้อยกว่า 5,000 บาท รอ้ ยละ 71.8 โดยเฉล่ยี มีรายได้ 3,105.8 บาท เป็นผใู้ ช้
สทิ ธิบตั รประกนั สขุ ภาพในการรักษาพยาบาล รอ้ ยละ 90.7 สาหรบั ในเรือ่ งระยะเวลาการปว่ ยเป็นโรคความดัน
โลหติ สงู พบวา่ รอ้ ยละ 47.6, 28.2 และ 24.2 ป่วยมานานตง้ั แต่ 10 ปีข้ึนไป 5 – 9 ปี และนอ้ ยกว่า 5 ปี
ตามลาดับ โดยเฉลยี่ ป่วยมานาน 8.3 ปี สถานทีร่ กั ษาเป็นประจา คอื โรงพยาบาลหนองหญา้ ไซ ร้อยละ 77.4
รพ.สต.บา้ นโค้งบ่อแร่ รอ้ ยละ 20.2 และโรงพยาบาล / รพ.สต.อน่ื ๆ ร้อยละ 2.4 ทัง้ น้ี ส่วนใหญ่ รอ้ ยละ 94.0
มารบั การรักษาตามนัดทกุ ครัง้
ความรู้เกี่ยวกบั โรคความดันโลหิตสูง พบว่า กลุ่มตัวอย่าง รอ้ ยละ 70.2 มคี วามรู้เก่ยี วกับโรคความดัน
โลหิตสูงในระดับดี รองลงมา ร้อยละ 24.6 และ 5.2 มคี วามรใู้ นระดบั ปานกลาง และต่า ตามลาดบั
(รายละเอียดดงั ตารางท่ี 1) เมื่อพิจารณาความรเู้ กย่ี วกับโรคความดนั โลหิตสงู จาแนกรายประเด็น พบวา่ กลุ่ม
ตวั อยา่ งสว่ นใหญ่มีความรดู้ ี (ตอบถูก) ในเร่ืองตา่ ง ๆ มากกว่ารอ้ ยละ 70.0 ในเกือบทกุ ประเดน็ ยกเวน้ ในเร่ือง
การรบั ประทานอาหารทม่ี ไี ขมันสงู ติดต่อกนั เป็นเวลานาน ไมม่ ีผลทาใหเ้ กิดโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งมีความรใู้ น
เรื่องดงั กล่าว รอ้ ยละ 32.7
ตารางที่ 1 จานวนและร้อยละระดบั ความร้เู กยี่ วกบั โรคความดนั โลหิตสงู ของกล่มุ ตัวอยา่ ง
ระดบั ความร้เู กี่ยวกับโรคความดนั โลหิตสูง จานวน รอ้ ยละ
(n = 248) (100.0)
ระดบั ตา่ (0 – 6 คะแนน) 13 5.2
ระดับปานกลาง (7 – 9 คะแนน) 61 24.6
ระดับดี (10 – 12 คะแนน) 174 70.2
x̄ = 9.8, SD = 1.7, Min = 3, Max = 12
การได้รบั การสนับสนุนทางสงั คม พบวา่ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสงู กล่มุ ตวั อยา่ ง รอ้ ยละ 40.3 ได้รับ
การสนับสนุนทางสังคมในระดบั สงู รองลงมา รอ้ ยละ 34.3 และ 25.4 ได้รับการสนบั สนนุ ในระดับปานกลาง
และระดบั ตา่ ตามลาดบั (รายละเอยี ดดังตารางท่ี 2)
ตารางท่ี 2 จานวนและร้อยละระดบั การไดร้ บั การสนับสนนุ ทางสงั คม ของผ้ปู ว่ ยโรคความดันโลหติ สูงกลุม่
ตัวอย่าง
ระดับการไดร้ ับการสนบั สนุนทางสงั คม จานวน รอ้ ยละ
(n = 248) (100.0)
ระดับต่า (0 – 17 คะแนน) 63 25.4
ระดับปานกลาง (18 – 23 คะแนน) 85 34.3
ระดับสงู (24 – 30 คะแนน) 100 40.3
x̄ = 21.0, SD = 6.1, Min = 3, Max = 30
เม่ือพิจารณาเมื่อพิจารณาการได้รับการสนับสนุนทางสังคม ในเร่ืองการได้รับการสนับสนุนทางสังคม
จากบุคคลในครอบครัว แต่ละประเด็นพบว่า บุคคลในครอบครัวได้คอยกระตุ้นเตือนทุกคร้ังเมื่อถึงเวลาไปรับ
การตรวจรักษาท่ีโรงพยาบาล ในระดับมาก ร้อยละ 43.5 นอกนั้น พบมากกว่ากลุ่มตัวอย่างได้รับการสนับสนุน
ในระดับปานกลาง ได้แก่ เร่ืองให้กาลังใจหรือเตือนให้รับประทานยาตรงเวลาและสม่าเสมอ ให้กาลังใจ ให้
คาปรึกษาและรบั ฟังเมื่อเกดิ ความวิตกกังวลและความเครียด กระตุ้นหรือสนับสนุนให้ออกกาลังกาย สนับสนุน
ในการจดั การกับความเครียดโดยวิธีต่าง ๆ และห้ามปรามหากรบั ประทานอาหารท่เี ป็นขอ้ ห้ามของโรคความดัน
7
โลหิตสูง ร้อยละ 39.1, 39.5, 37.5, 44.4 และ 39.6 ตามลาดับ สว่ นในเรื่องได้รบั การดูแลจากครอบครัว พบว่า
ไม่เคยเลย ร้อยละ 35.1 และปานกลาง ร้อยละ 30.6 ส่วนการได้รับการสนับสนุนทางสังคมจากแพทย์ /
พยาบาล / เจ้าหน้าท่ีสาธารณสุข แต่ละประเด็น พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนในระดับ
มากในทุกเรื่อง ได้แก่ การให้กาลังใจต่อโรคความดันโลหิตสูงที่เป็นอยู่ การกระตุ้นเตือนต่อการปฏิบัติตัวใน
ชวี ิตประจาวันให้เหมาะสมกบั โรคความดันโลหิตสงู ทเี่ ป็นอยู่ และการได้รับข้อมลู ขา่ วสารหรอื คาแนะนาเกย่ี วกับ
การดแู ลตนเองเกยี่ วกับโรคความดันโลหติ สูงรอ้ ยละ 85.9, 83.5 และ 81.5 ตามลาดบั
การไดร้ บั ขอ้ มูลขา่ วสารเกี่ยวกบั โรคความดนั โลหติ สูง พบวา่ ผู้ป่วยโรคความดนั โลหติ สงู กล่มุ ตวั อย่าง
ร้อยละ 50.8 ไดร้ บั ขอ้ มลู ข่าวสารในระดบั ปานกลาง รองลงมา รอ้ ยละ 42.7 และ 6.5 ได้รบั ในระดบั ต่า และสูง
ตามลาดับ (รายละเอยี ดดงั ตารางท่ี 3)
ตารางท่ี 3 จานวนและรอ้ ยละระดับการไดร้ ับข้อมลู ข่าวสารเก่ียวกับโรคความดนั โลหิตสงู ของผู้ป่วยโรคความ
ดนั โลหติ สูงกลมุ่ ตัวอย่าง
ระดับการไดร้ บั ข้อมลู ขา่ วสารเกยี่ วกบั โรคความดัน จานวน ร้อยละ
โลหิตสูง (n = 248) (100.0)
ระดบั ต่า (0 – 10 คะแนน) 106 42.7
ระดบั ปานกลาง (11 – 14 คะแนน) 126 50.8
ระดับสงู (15 – 18 คะแนน) 16 6.5
x̄ = 10.7, SD = 2.4, Min = 3, Max = 18
เมื่อพิจารณาการได้รับข้อมูลข่าวสารเก่ียวกับโรคความดันโลหิตสูง ในแต่ละแหล่งข้อมูลข่าวสาร พบว่า
ส่วนใหญ่ ร้อยละ 81.0 และ 72.2 ได้รับข้อมูลข่าวสารจากแพทย์/พยาบาล/บุคลากรทางสาธารณสุข และ
อาสาสมัครสาธารณสุข ในระดับมาก ท้ังนี้ การได้รับข้อมูลข่าวสารจากเพื่อนบ้าน/เพ่ือนท่ีเป็นโรคเดียวกัน
และวิทยุ/โทรทัศน์ พบอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 60.5 และ 53.6 ตามลาดับ ส่วนการได้รับข่าวสารจาก
หนังสอื /เอกสาร/แผน่ พับ/แผ่นโปสเตอร์ต่างๆ พบในระดบั น้อย รอ้ ยละ 45.2 การไดร้ ับขา่ วสารจากอนิ เตอร์เน็ต
หรอื ส่ือออนไลนต์ า่ ง ๆ พบว่าไม่เคยได้รบั จากแหลง่ ดงั กล่าว ร้อยละ 71.0
พฤตกิ รรมการดแู ลตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหติ สูง พบว่า โดยรวมร้อยละ 76.6 มีพฤติกรรม
การดูแลตนเองในระดับปานกลาง รองลงมา ร้อยละ 15.7 และ 7.7 มีพฤติกรรมการดูแลตนเองในระดับดี และ
ต่า เม่ือพิจารณาพฤติกรรมการดูแลตนเองรายด้าน พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 90.3 และ 60.5 มีพฤติกรรมด้าน
การรับประทานยา และด้านการควบคมุ ปัจจยั เสยี่ ง อยใู่ นระดับดี ส่วนด้านการรับประทานอาหาร รอ้ ยละ 49.2
อยู่ในระดับปานกลาง รองลงมาอยู่ในระดับต่า และดี ร้อยละ 38.3 และ 12.5 ด้านการออกกาลังกาย พบว่า
อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 46.0 และระดับดี ร้อยละ 44.8 ด้านการจัดการกับความเครียด และด้านการ
ตรวจสขุ ภาพ พบว่า ร้อยละ 56.5 และ 40.4 อยู่ในระดับต่า รองลงมาอย่ใู นระดบั ปานกลาง รอ้ ยละ 32.2 และ
30.2 อยูใ่ นระดบั ต่า รอ้ ยละ 11.3 และ 29.4 ตามลาดบั (รายละเอยี ดดังตารางท่ี 4)
ตารางท่ี 4 จานวนและรอ้ ยละระดับพฤตกิ รรมการดูแลตนเอง ของผู้ป่วยโรคความดันโลหติ สงู กลุม่ ตัวอย่าง
ระดบั พฤตกิ รรมการดูแลตนเอง จานวน 8
(n = 248)
โดยรวม ร้อยละ
ระดบั ต่า (0 – 30 คะแนน) 19 (100.0)
ระดับปานกลาง (31 – 41 คะแนน) 190
ระดับดี (42 – 52 คะแนน) 39 7.7
x̄ = 36.9, SD = 4.3, Min = 24, Max = 48 76.6
ด้านการรบั ประทานอาหาร 95 15.7
ระดับตา่ (0 - 9 คะแนน) 122
ระดับปานกลาง (10 – 12 คะแนน) 31 38.3
ระดบั ดี (13 – 16 คะแนน) 49.2
x̄ = 10.1, SD = 2.0, Min = 4, Max = 16 6 12.5
ดา้ นการรับประทานยา 18
ระดบั ต่า (0 - 4 คะแนน) 224 2.4
ระดับปานกลาง (5 – 6 คะแนน) 7.3
ระดับดี (7 – 8 คะแนน) 23 90.3
x̄ = 7.6, SD = 0.8, Min = 3, Max = 8 114
ดา้ นการออกกาลงั กาย 111 9.2
ระดับตา่ (0 - 2 คะแนน) 46.0
ระดับปานกลาง (3 - 4 คะแนน) 140 44.8
ระดบั ดี (5 - 6 คะแนน) 80
x̄ = 4.2, SD = 1.5, Min = 0, Max = 6 28 56.5
ด้านการจดั การกบั ความเครียด 32.2
ระดับตา่ (0 - 4 คะแนน) 11.3
ระดบั ปานกลาง (5 – 6 คะแนน)
ระดบั ดี (7 – 8 คะแนน)
x̄ = 4.4, SD = 1.6, Min = 0, Max = 18
ตารางที่ 4 (ต่อ) จานวน รอ้ ยละ
ระดบั พฤตกิ รรมการดูแลตนเอง (n = 248) (100.0)
ดา้ นการควบคุมปัจจยั เสย่ี ง 26 10.5
ระดบั ต่า (0 - 5 คะแนน)
9
ระดบั ปานกลาง (6 – 7 คะแนน) 72 29.0
ระดบั ดี (8 – 10 คะแนน) 150 60.5
x̄ = 7.6, SD = 1.5, Min = 3, Max = 10
ด้านการตรวจสุขภาพ
ระดับต่า (0 - 2 คะแนน) 100 40.4
ระดบั ปานกลาง (3 คะแนน) 75 30.2
ระดบั ดี (4 คะแนน) 73 29.4
x̄ = 2.8, SD = 0.8, Min = 0, Max = 4
เมือ่ พจิ ารณาพฤตกิ รรมการดูแลตนเองในแต่ละด้าน พบผลการศึกษาดังน้ี คือ
- ด้านการรับประทานอาหาร ควรมีการปรับปรุงแก้ไขในเร่ือง การรับประทานผักและผลไม้ที่รสไม่
หวานจัด ซง่ึ พบว่ามกี ารรบั ประทานเป็นประจา รอ้ ยละ 44.8
- ดา้ นการรบั ประทานยา มีการรับประทานยาท่เี หมาะสม ในทุกประเด็น
- ดา้ นการออกกาลงั กาย สว่ นใหญม่ ีพฤติกรรมการออกกาลังกายไม่เหมาะสมในเรอ่ื ง การออกกาลงั กาย
มากกว่า 3 คร้ัง/สัปดาห์ ออกกาลังกายในแต่ละคร้ังนานอย่างน้อย 30 นาที และทากิจวัตรประจาวันท่ีต้องใช้
กาลังอย่างต่อเนื่องจนมีเหง่ือออก โดยมีการออกกาลังกายดังกล่าวเป็นบางครั้งถึงไม่เคย ร้อยละ 58.9, 58.1
และ 42.3 ตามลาดับ
- ด้านการจัดการกับความเครียด มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในเรื่องเมื่อมีเร่ืองไม่สบายใจจะพูดคุยปรับ
ทุกข์กับผู้อ่ืน เม่ือเกิดความเครียดมีการผ่อนคลายด้วยวิธีการต่าง ๆ เม่ือเกิดความโกรธ หงุดหงิดสามารถ
ควบคุมอารมณ์ได้ และเมื่อมีความเครียดจะผ่อนคลายจิตโดยสวดมนต์/นั่งสมาธิ พบมีพฤติกรรมดังกล่าวเป็น
ประจาเพยี งรอ้ ยละ 21.0, 32.6, 38.3 และ 21.8 ตามลาดบั เท่านัน้
- ด้านการควบคมุ ปจั จยั เส่ยี ง มพี ฤตกิ รรมที่ไมเ่ หมาะสมในเรือ่ งการควบคมุ นา้ หนกั ตวั ไมใ่ ห้เพมิ่ ขึน้
เป็นบางคร้งั ถึงไม่เคย รอ้ ยละ 57.3 และด่ืมชาหรือกาแฟ เป็นประจา ร้อยละ 29.8
- ดา้ นการตรวจสุขภาพ มพี ฤตกิ รรมไม่เหมาะสมในเรื่อง เมอื่ มีอาการผิดปกติจะมาพบแพทย์/เจ้าหนา้ ท่ี
สาธารณสุขทันทีกอ่ นกาหนดนดั รอ้ ยละ 31.5 ปฏบิ ตั ินานๆ ครงั้ และไมเ่ คยเลย รอ้ ยละ 38.7
ความสามารถในการควบคุมโรคความดันโลหิตสูง พบว่า ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงสามารถควบคุม
โรคความดันโลหติ ได้ รอ้ ยละ 46.4 ควบคมุ ไม่ได้ ร้อยละ 53.6 ดงั ภาพท่ี 2
ควบคมุ ไมไ่ ด้ ควบคุมได้
53.6% 46.4%
ภาพที่ 2 ร้อยละความสามารถในการควบคมุ โรคความดันโลหติ ของผปู้ ว่ ยโรคความดนั โลหิตสูงกลุ่ม
ตวั อยา่ ง ในเขตพื้นทรี่ ับผดิ ชอบ รพ.สต.บา้ นโคง้ บอ่ แร่ (n = 248)
ปัจจัยท่ีสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง พบว่า การได้รับการ
สนับสนุนทางสังคม (r = 0.357) และการได้รับข่าวสารเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง (r = 0.134) มี
ความสัมพันธ์เชิงบวกอยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถิติ (P < 0.05) ในระดับปานกลาง และต่า ตามลาดับ กับพฤตกิ รรม
การดูแลตนเอง ส่วนอายุ และความรู้เก่ียวกับโรคความดันโลหิตสูง ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแล
ตนเอง (รายละเอียดดงั ตารางที่ 5)
10
ตารางท่ี 5 คา่ สัมประสิทธส์ิ หสัมพันธ์ และระดับความสมั พนั ธ์ระหว่างอายุ ความรเู้ ก่ียวกับโรคความดันโลหิตสูง
การไดร้ ับการสนับสนนุ ทางสังคม และการได้รับข่าวสารเกีย่ วกบั โรคความดันโลหิตสูง กับพฤติกรรม
การดแู ลตนเอง (n = 248)
ตัวแปร สัมประสิทธิส์ หสัมพันธ์ ระดับความสมั พันธ์
ของพฤติกรรมการดูแลตนเอง
อายุ 0.022 ตา่
ความรู้เก่ยี วกบั โรคความดนั โลหติ สูง -0.029 ตา่
การไดร้ ับการสนับสนุนทางสังคม 0.357* ปานกลาง
การไดร้ ับขา่ วสารเกย่ี วกบั โรคความดนั โลหิตสูง 0.134* ตา่
หมายเหตุ * หมายถึง P-value <0.05
การเกิดภาวะแทรกซอ้ นของผู้ป่วยโรคความดนั โลหติ สูงในเขตพืน้ ที่รบั ผิดชอบ รพ.สต.บา้ นโคง้ บอ่ แร่
พบว่า เกดิ ภาวะแทรกซ้อนร้อยละ 13.7 ซ่ึงเป็นโรคหัวใจ โรคไต โรคอัมพฤกษ์ / อมั พาต และโรคเส้นเลอื ด
สมอง รอ้ ยละ 11.3, 3.0, 2.5 และ 1.5 ตามลาดับ
อภิปรายผล
จากการศึกษาพบว่าผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ร้อยละ 70.2 มีความรู้เก่ียวกับโรคความดันโลหิตสูง
ในระดับดี ท้ังน้ี เม่ือพิจารณาลักษณะของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า เกือบคร่ึงหน่ึงป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงมา
นานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ซึ่งจะได้รับความรู้เก่ียวกับโรคความดันโลหิตสูงจากบุคลากรทางการแพทย์และ
สาธารณสุขเป็นประจาเมื่อมารบั บรกิ ารทางการแพทย์ โดยพบอยู่ในระดับมากถึง ร้อยละ 81.0 ทาให้เกิดการ
รับรู้ มคี วามเข้าใจเก่ยี วกับโรคความดันโลหิตสูงอยูใ่ นระดับดี จึงทาให้ผ้ปู ่วยดังกล่าวมีความรู้เกี่ยวกบั โรคความ
ดันโลหิตสูงอยู่ในระดับดี เม่ือพิจารณาการสนับสนุนทางสงั คม พบว่า ได้รบั การสนับสนุนทางสงั คมอยู่ในระดับ
ปานกลางถึงสูง ถึงร้อยละ 74.6 โดยจะได้รับการสนับสนุนจากแพทย์ / พยาบาล / เจ้าหน้าที่สาธารณสุขใน
ระดับมาก มากกว่าร้อยละ 81.0 ซ่ึงในปัจจุบันการไปรับการรักษา จะเน้นให้ความรู้ ปรับเปล่ียนพฤติกรรม
เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับความดันโลหิตให้ได้ ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน ในส่วนของจากบุคคลใน
ครอบครัว ส่วนใหญ่ก็พบว่าอยู่ในระดับปานกลางถึงมาก ทั้งน้ี ทาง รพ.สต.ได้ส่งเสริมสนับสนุนให้ครอบครัว
ผู้ป่วยเข้ามามีส่วนร่วมให้การสนับสนุนในการดูแลผู้ป่วยในเรื่องต่าง ๆ จึงทาให้ผู้ป่วยได้รับการสนับสนุนทาง
สงั คมอยู่ในระดับปานกลางถึงสูง สว่ นในเรอ่ื งการได้รับข้อมูลขา่ วสารเกย่ี วกบั โรคความดนั โลหิตสงู พบว่า ผูป้ ว่ ย
โรคความดันโลหิตสูงกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 57.3 อยู่ในระดับปานกลางถึงสูง ทั้งนี้ ในปัจจุบันการได้รับข้อมูล
ข่าวสารเก่ียวกบั โรคความดันโลหิตสูงมีสอื่ ต่างๆ มากมาย ทัง้ สอ่ื จากตวั บุคคล ส่ือจากวิทยุ/โทรทัศน์ ซึง่ เป็นสอ่ื ท่ี
สามารถกระจายข้อมูลข่าวสาร และความรตู้ ่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง ทาให้ผู้ป่วยได้รับความรู้เก่ียวกับโรคความ
ดันโลหิตสูงค่อนข้างไปทางปานกลางถึงสูง ผลการศึกษานี้ใกล้เคียงกับการศึกษาของฐิติรตั น์ ศิริพิบูลย์ (2564)
พบว่า ผู้ปว่ ยโรคความดันโลหิตสูง ร้อยละ 87.5 ได้รบั การสนบั สนุนทางสังคมในระดับปานกลางถึงสงู สิทธิโชค
จติ วิ งศ์ (2560) พบวา่ ผู้ปว่ ยโรคความดนั โลหิตสงู ร้อยละ 60.9 มคี วามรเู้ ก่ียวกับโรคความดนั โลหิตสูงในระดับ
ดี ได้รับการสนับสนุนทางสังคมอยใู่ นระดบั ปานกลางถึงสูง ถึงร้อยละ 60.6 และได้รับข้อมูลข่าวสารเกย่ี วกับโรค
ความดนั โลหติ สูงในระดับปานกลางถงึ สงู รอ้ ยละ 45.9
นอกจากนี้ จากผลการศึกษายงั พบว่า มีผปู้ ่วยโรคความดนั โลหิตสูงเกือบคร่ึงหนึ่งสามารถควบคุมความ
ดันโลหิตได้ และเม่ือพิจารณาพฤติกรรมสุขภาพแล้ว พบว่า 4 ใน 5 ของผู้ป่วยดังกล่าวมีพฤติกรรมสุขภาพใน
ระดับปานกลาง โดยมีพฤติกรรมการดูแลตนเองด้านการรับประทานอาหาร ด้านการออกกาลังกาย ด้านการ
จัดการกับความเครียด และด้านการตรวจสุขภาพ ค่อนไปในทางปานกลางถึงต่า ซ่ึงการที่จะควบคุมความดัน
โลหิตให้ได้นั้น ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงจะต้องมีพฤติกรรม / การดแู ลตนเองที่ถูกต้องเหมาะสมกับโรคท่ีเป็น