The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by mon, 2022-02-22 22:05:22

ทำเนียบวิจัย 65

ทำเนียบวิจัย 65



ในขณะที่การทบทวนปัญหาของผู้สงู วัยจากเอกสารวิชาการที่เกี่ยวข้องมีการจัดกลุ่มปัญหาของ
ผู้สูงวัยไว้ ๓ ด้านคือ (๑) ปัญหาด้านสุขภาพ พบว่า ผู้สูงอายุประมาณร้อยละ ๑๙ ทากิจวัตรประจาวัน
ได้ลดลง ผู้สูงอายุมกี ารเข้าถงึ กิจกรรมส่งเสริมป้องกันโรคอยู่ในระดบั ต่า เชน่ การตรวจสุขภาพประจาปี
การตรวจคัดกรองสุขภาพพ้ืนฐานต่างๆ ร้อยละ ๙๕ มีปัญหาโรคเรื้อรัง ภาวะสมองเสื่อมมีแนวโน้ม
เพิ่มข้ึน และการเข้าถึงระบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่ครอบคลุมมิติกาย ใจ สังคม และจิต
วิญญาณยังค่อนข้างน้อย และระบบดูแลสุขภาพขาดความเชื่อมโยงและขาดความต่อเน่ืองจาก
ครอบครัว ชมุ ชน และสถานบริการสุขภาพ (2) ปัญหาด้านความมัน่ คงปลอดภัย พบว่า ภาระค่าใช้จ่าย
บริการสุขภาพผู้สูงวัยในภาพรวมของประเทศคาดว่าจะเพ่ิมจากร้อยละ 0.64 ของ GDP ในปี พ.ศ.
2553 เพ่ิมเป็นร้อยละ 1.1 ในปี พ.ศ.2564 ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีรายได้ต่า ไม่เพียงพอต่อการดารงชีพ
รายได้หลักส่วนใหญ่มาจากบุตร ในขณะท่ีศักยภาพในการดูแลเก้ือหนุนผู้สูงวัยลดลง ผู้สูงอายุเกิด
อบุ ัติเหตุหกล้มเพราะสภาพแวดล้อมท้ังนอกบ้านและในบ้านไม่เหมาะสม (3) ปัญหาดา้ นการมีส่วนร่วม
ในสังคม พบว่า ยังขาดการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่วัยสูงอายุทุกช่วงวัย สัดส่วนผู้สูงอายุไม่มีบุตร
มากข้ึน และแนวโน้มผู้สูงอายุอยู่ลาพังคนเดียว หรืออยู่ลาพังกับคู่สมรสเพ่ิมมากขึ้น ระบบบริการและ
เครือข่ายการเก้ือหนุนทางสังคมยังไม่รองรับสังคมผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมกิจกรรมทางสังคมน้อย
และขาดการนาศักยภาพของผู้สูงวัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ (สานักนโยบายและยุทธศาสตร์, 2560:
9-12)

การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับผลกระทบต่อสุขภาพจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ สิ่งสาคัญ
คือ การมีรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุท่ีมีประสิทธิภาพที่จะสามารถรองรับปัญหาและ
ความต้องการของผู้สูงอายุท้ังดา้ นการส่งเสริม การป้องกัน การรักษา และการฟื้นฟูสมรรถภาพ รวมท้ัง
การดูแลระยะยาว ซึ่งจะส่งผลต่อการลดการเจ็บป่วยเร้ือรัง ความพิการหรือทุพพลภาพ การสูญเสีย
ความสามารถในการประกอบกจิ กรรม และการเสียชวี ิตลง โดยที่ผ่านมาแนวคดิ ในการดูแลผ้สู ูงอายุเร่ิม
มีความชัดเจนจากการที่ประเทศไทยมีแผนระยะยาวเพื่อผู้สูงอายุแห่งชาติขึ้นโดยแผนฉบับที่ 1 (พ.ศ.
๒๕๒๙ – ๒๕๔๔) และแผนฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๕ – ๒๕๖๔) ฉบับปรับปรุง คร้ังท่ี 1 ปีพ.ศ. 2552
ซ่ึงตามแผนฯ ๒ น้ีแบ่งออกตามเป้าหมายทางยุทธศาสตร์เป็นหลัก จาแนกออกเป็ น ๕ หมวด
(คณะกรรมการผู้สงู อายุแห่งชาติ, ๒๕๕๓: ๓๑) ประกอบด้วย

หมวดท่ี ๑ ยุทธศาสตร์ด้านการเตรยี มความพร้อมของประชากรเพ่ือวัยสูงอายุที่มคี ุณภาพ
หมวดท่ี ๒ ยทุ ธศาสตร์ดา้ นการส่งเสรมิ ผู้สูงอายุ
หมวดที่ ๓ ยทุ ธศาสตร์ด้านระบบคุ้มครองทางสังคมสาหรับผสู้ ูงอายุ
หมวดท่ี ๔ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการเพื่อการพัฒนางานด้านผู้สูงอายุระดับชาติ และ
การพฒั นาบคุ ลากรด้านผ้สู งู อายุ
หมวดท่ี ๕ ยุทธศาสตร์การประมวล และพัฒนาองค์ความรู้ด้านผู้สูงอายุ และการติดตาม
ประเมนิ ผลการดาเนนิ ตามแผนผูส้ งู อายุแหง่ ชาติ
นอกจากแผนผูส้ ูงอายุแห่งชาติฉบับท่ี ๒ (๒๕๔๕ – ๒๕๖๔) แล้วประเทศไทยยังมีนโยบายการ
ดูแลผู้สูงอายุที่เกี่ยวข้องอีกหลายนโยบาย เช่น แนวนโยบายพ้ืนฐานของรัฐ ตามรัฐธรรมนูญแห่ง


ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. ๒๕๔๖ แผนพัฒนาเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560-2564) ในช่วง 5 ปีแรกของการขบั เคลือ่ นยุทธศาสตร์ชาติ
20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) มหี ลักการสาคัญยึด “คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา” มุ่งสร้างคุณภาพชีวิต
และสุขภาวะที่ดีสาหรับคนไทย พัฒนาคนทุกช่วงวัยและเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างมี
คุณภาพ กรอบการบูรณาการความร่วมมือ 4 กระทรวง การพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิตในช่วงวัยสูงอายุ
และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านสาธารณสุข ยุทธศาสตร์ที่ 1 ส่งเสริมสุขภาพ ปอ้ งกันโรค และคุ้มครอง
ผู้บริโภคเป็นเลิศ แผนงานท่ี 1 การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทยทุกกลุ่มวัย (ด้านสุขภาพ) กลุ่มวัย
ผู้สูงอายุ ซึ่งจากนโยบายท่ีเกี่ยวข้องดังกล่าวมาแล้วข้างต้น กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัย
กรมการแพทย์ กรมสุขภาพจิต และ กรมควบคุมโรค จึงได้จัดให้มีการบูรณาการการดาเนินงาน
ผ้สู ูงอายุรว่ มกันภายใตก้ ารจดั ทาแผนบูรณาการพัฒนาสุขภาพกลุ่มวัยผู้สูงอายุ (พ.ศ. 2557 – 2566)
ซึ่งได้กาหนดยุทธศาสตร์ของการดาเนินงาน 3 ยุทธศาสตร์คือ ยุทธศาสตร์ท่ี 1 สนับสนุน การส่งเสริม
สุขภาพและป้องกันปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในผู้สูงอายุและการคัดกรอง Geriatric Syndromes
ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาระบบบริการสุขภาพท่ีมีคุณภาพเช่ือมโยงจากสถานบริการสู่ชุมชน และ
ยุทธศาสตร์ ที่ 3 ส่งเสริมสนับสนุนความเข้มแข็งการมีส่วนร่วมของ ครอบครัว ชุมชน และท้องถ่ิน
ในการสร้างเสริมและดูแลสุขภาพผู้สงู อายุ (กรมอนามัย, Online) จากนโยบายการดูแลผู้สงู อายทุ ี่กล่าว
มาข้างต้น กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมอนามัย ได้เสนอแนวคิดรูปแบบการให้บริการ การเตรียมการ
ด้านสาธารณสุขเพ่ือรองรับสังคมผู้สูงอายุประเทศไทย และกาหนดรูปแบบการดาเนินงานระดับจังหวัด
เพ่ือให้การแปลงนโยบายสู่การปฏบิ ัติมีความชัดเจน (โสภณ เมฆธน ใน เอกชัย เพียรศรีวัชรา, 2558)
ประกอบดว้ ย (1) ระบบบริการ: ผู้สูงอายุอย่างน้อยเขา้ ถึงบริการภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์ (2) กาลังคน:
ให้ผู้ดูแลผู้สูงอายุที่เป็นทางการ (Formal Caregiver) และไม่เป็นทางการ (Informal Caregiver )
ได้รับการพัฒนา และมีจานวนเพียงพอกับจานวนผู้สูงอายุ (3) การเงินคลัง: ให้ท้องถ่ิน ชุมชน มีระบบ
การเงิน/ กองทุนในการดูแลผู้สูงอายุ และมีประเมินความคุ้มค่า คุ้มทุน รู้ต้นทุน ในการดูแลผู้สูงอายุ
(4) การจดั การ: จัดให้มีระบบเชื่อมตอ่ ในการให้คาปรึกษาหรอื การส่งต่อ ระหว่างชุมชน/ ครอบครวั กับ
สถานพยาบาล และท้องถิ่น/ ชุมชน และผู้จัดการการดูแลผู้สูงอายุในพ้ืนที่ (5) การส่ือสารสาธารณะ:
เพื่อใหผ้ ้สู งู อาย/ุ ครอบครวั /อาสาสมัคร รบั รขู้ ้อมลู ขา่ วสารท่จี าเป็น

สถานการณ์ด้านผู้สูงอายุของจังหวัดสุพรรณบุรี พบว่า ในรอบ 2๐ ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.25๔๑ –
25๖๑) พบว่าโครงสร้างสัดส่วนประชากรกลุ่มผู้สูงอายุ(อายุ 60 ปีข้ึนไป)มีแนวโน้มเพิ่มมากข้ึน โดย
ประชากรสูงอายุของจงั หวัดสุพรรณบุรปี ี 25๔๑ จากร้อยละ ๑๐.09 เป็นร้อยละ 18.49 ในปี 2561
และอายุคาดเฉล่ียเมื่อแรกเกิดของประชากรในปี 2561 พบว่า ผู้หญิงมีอายุคาดเฉล่ียเม่ือแรกเกิด
82.77 ปี และผู้ชายอยู่ที่ 74.99 ปี ในภาพรวมทั้งสองเพศมีอายุคาดเฉล่ียเมื่อแรกเกิดเท่ากับ
77.77 ปี (สานักงานสาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี, 2561: ๑๗) อย่างไรก็ดีแม้ว่าประชากรของ
จังหวัดสุพรรณบุรีจะมีอายุขัยเฉล่ียยืนยาว แต่ผลการสารวจสภาวะสุขภาพผู้สูงอายุในปี 2557 พบว่า
ผู้สูงอายุระบุว่ามีภาวะความดันโลหิตสูง ร้อยละ 49.0 เบาหวาน ร้อยละ 16.2 รวมทั้งมีประวัติการ
เจ็บป่วยด้วยโรคสาคัญอื่น เช่น โรคข้อเสื่อม รูมาตอยด์ เก๊าท์ ร้อยละ 13.8 รองลงมาคือ โรคหัวใจ
ขาดเลือด ร้อยละ 3.6 โรคกระดูกพรุน และโรคโลหิตจาง ร้อยละ 2.9 เท่ากัน และยังพบว่า ผู้สูงอายุ
พักอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมท่ีบ้านไม่มีความปลอดภัย ร้อยละ 30.9 (กลุ่มงานพัฒนายุทธศาสตร์


สาธารณสุข, 2557) และผลการสารวจสภาวะสุขภาพผู้สูงอายุในปี 255๙ ผู้สูงอายุระบุว่ามีภาวะ
ความดันโลหิตสูง ร้อยละ 49.๑ เบาหวาน ร้อยละ ๑๓.๙ และมีประวัติการเจ็บป่วยด้วยโรคที่พบบ่อย
ในผู้สูงอายุอ่ืนๆ ได้แก่ ปวดข้อ ข้อเส่ือม ถึงร้อยละ ๓๘.๙ โรคกระดูกพรุน ร้อยละ 7.5 โรคหัวใจ
ขาดเลือด ร้อยละ 3.๒ อัมพฤกษ์/อัมพาต ร้อยละ 3.9 เส้นเลือดในสมองตีบ ร้อยละ 2.๙ และเม่ือ
สอบถามเกี่ยวกับการพลัดตกหกล้ม พบว่า ในรอบปีท่ีผ่านมาผู้สูงอายุร้อยละ 35.0 เคยหกล้ม/ตกจาก
ท่ีสูง ซงึ่ เปน็ การเกิดในตวั บ้านทีอ่ ยู่อาศัยรอ้ ยละ 53.1 โดยสาเหตสุ าคญั เกิดจากการล่ืนหกลม้ สะดุดส่ิง
กีดขวาง/ ร้อยละ 34.2 รองลงมาคือ พื้นบ้านต่างระดับ ร้อยละ 24.0 และพบประมาณเกือบครึ่งหนึ่ง
ของผู้สูงอายุ (ร้อยละ 44.6) พักอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่บ้านไม่มีความปลอดภัย (สานักงาน
สาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี, 25๕๙: Online) สาหรับความพิการในผู้สูงอายุพบจานวน 6,840 คน
หรือร้อยละ 4.59 หรือร้อยละ 45.20 ของผู้พิการท้ังหมด (ฐานข้อมูลกลาง สานักงานสาธารณสุข
จังหวัดสุพรรณบุรี, 2559) และจากสถิติการเสียชีวิตสาคัญของประชากรตามกลุ่มวัยจังหวัด
สุพรรณบุรีปี 2560 พบว่า ส่วนใหญ่เสียชีวิตสาคัญใน ๓ ลาดับแรกของผู้สูงอายุชายคือ โรคหลอด
เลือดสมอง โรคปอดบวม และ มะเร็ง ส่วนในหญิง ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมอง โรคปอดบวม และ
ภาวะการติดเชื้อในกระแสเลือด (สานักงานสาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี, 2561: ๓๔-๓๕) ซึ่งจะ
พบว่า โรคดังกลา่ วโดยเฉพาะโรคหลอดเลอื ดสมองเป็นสาเหตุสาคญั ของความพิการและทุพพลภาพ

จากการศึกษาผลการนิเทศงานของสานักงานสาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี พบว่า การ
ดาเนินงานผู้สูงอายุตามแนวคิดการดูแลระยะยาว (Long Term Care) ซ่ึงถือเป็นแนวคิดหลักในการ
ดูแลผู้สูงอายุได้อย่างครบวงจร พบสภาพ และปัญหาอุปสรรคในการดาเนินงานได้แก่ (1) การพัฒนา
ระบบข้อมูล ระบบการจัดเก็บข้อมูล/รายงานต่างๆ ยังเป็นแบบรวบรวมเป็นเอกสาร (Manual) ซึ่งอาจ
ทาให้เกิดข้อผิดพลาดในการรายงานผล และในบางอาเภอยังขาดการวิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือนามาแก้ไข
ปัญหา (2) ชมรมผู้สูงอายุ พบว่า ส่วนใหญ่ของชมรมผู้สูงอายุมีการดาเนินงานยังไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร
เนื่องมาจากปัญหาในการเดินทางของผู้สูงอายุ, ความเสื่อมของร่างกาย, ปัญหาเศรษฐกิจ, ขาดผู้นา, ไม่
มีหน่วยงานหลักรับผิดชอบ (3) การดูแลผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น พบว่า องค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นตาบลเป้าหมายทั้งหมดมีส่วนร่วมในการดูแลผู้สูงอายุได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่
อย่างไรกต็ ามในบาง อบต./เทศบาล ทีไ่ ม่มีหัวหน้ากองสาธารณสุขเป็นเจ้าหนา้ ที่สาธารณสุขมีผลใหก้ าร
ดาเนินงานด้านสุขภาพไม่ครอบคลุมเท่าที่ควร (4) การบริการการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในสถานบริการ
และท่ีบ้านโดยทีมสุขภาพซึ่งเป็นบุคลากรสาธารณสุข พบวา่ การเยี่ยมบ้านโดยทีมสหวชิ าชีพนั้นในบาง
อาเภอไม่สามารถดาเนินการได้ครอบคลุมเน่ืองจากภาระงานของทีมที่ความรับผิดชอบแตกต่างกนั และ
(5) การมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้านติดเตียง ในทุกอาเภอมีการสนับสนุน
โครงการ/กิจกรรมกองทุนสุขภาพตาบลในการดูแลผู้สูงอายุกลุ่มติดเตียง การดูแลผู้สูงอายุโดย
ครอบครัว/เพื่อนบ้าน/จิตอาสา/วัด พบว่าครอบครัวและเพื่อนบ้านให้การดูแลผู้สูงอายุค่อนข้างดีเป็น
แบบเครือญาติ แต่ในส่วนของวัดยังมีบทบาทน้อยในเรื่องของสุขภาพ และการฟ้ืนฟูสภาพด้วย
การแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลือกยังมีการดาเนินงานน้อยเช่นกัน (กลมุ่ งานพัฒนายุทธศาสตร์
สาธารณสขุ , 2558: อดั สาเนา)



จากสภาพปัญหาด้านสุขภาพของผู้สูงอายุ ผลการดาเนินงานท่ีผ่านมาที่พบว่ายังมีปัญหา
อุปสรรคในการดาเนินงานท่ีหลากหลาย ประกอบกับข้อเสนอรูปแบบการดาเนินงานระดับจังหวัดท่ี
ส่วนกลางได้นาเสนอให้ดาเนินการ ผู้วิจัยจึงได้ดาเนินการวิจัยและพัฒนา (The Research and
Development – R&D) โดยเริ่มดาเนินการต้ังแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน (ปี 2561) โดยเร่ิมต้ังแต่
การศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาอุปสรรคการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ จากน้ันค้นหาทางเลือก
หรือวิธีการใหม่ๆ ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ จังหวัด
สุพรรณบุรี และจัดทาเป็นข้อเสนอให้ผู้บริหารกาหนดเป็นนโยบาย และผู้เก่ียวข้องใช้ในการขับเคล่ือน
การดาเนินงานดูแลผู้สูงอายุสู่การปฏิบัติ เพื่อนาไปสู่การปรับปรุงประสิทธิภาพในการดาเนินงาน โดย
ตั้งประเด็นสาคัญของการศึกษาคือ “เหตุใดการดาเนินงานการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุท่ีผ่านมาจึงไม่ได้
ประสิทธิภาพเท่าที่ควร”และ“จะมีวิธีการเช่นไรในการเพิ่มประสิทธิภาพ” และ “ประสิทธิผลของ
รปู แบบการดาเนินงานการดแู ลสุขภาพผสู้ ูงอายุจังหวัดสุพรรณบุรีเปน็ เชน่ ไร”

วัตถปุ ระสงค์

๑. เพ่ือศึกษาสภาพ ปัญหา และอุปสรรคของรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุของ
จังหวดั สพุ รรณบุรี

๒. เพ่ือค้นหาแนวทางการเพ่ิมประสิทธิภาพรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ
จงั หวัดสุพรรณบุรี และจัดทากรอบขอ้ เสนอในการเพิ่มประสิทธภิ าพรูปแบบการดาเนนิ งานดูแลสุขภาพ
ผู้สูงอายุ ของจงั หวดั สุพรรณบุรี

๓. เพื่อประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุจงั หวัดสุพรรณบุรี
ภายหลงั การเพม่ิ ประสิทธิภาพ

ขอบเขตของกำรศึกษำ

ในการศกึ ษามขี อบเขตของการศกึ ษา ดงั นี้
๑. ขอบเขตด้ำนวธิ ีกำรศึกษำ

1.1 การศึกษาสภาพ ปัญหา และอุปสรรคของรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพ
ผู้สูงอายุของจังหวัดสุพรรณบุรี ใช้วิธีการศึกษาเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ ประกอบด้วย (1) การ
สัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) (2) การสอบถามความคิดเห็นสภาพแวดล้อมภายนอกท่ีมีผล
ตอ่ ประสิทธภิ าพการดาเนนิ งานดูแลผู้สงู อายุ (3) เทคนิคการอภปิ รายกล่มุ (Group Discussion)

1.2 การค้นหาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ
และจัดทากรอบข้อเสนอในการเพิม่ ประสิทธภิ าพรปู แบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สงู อายุ ใช้เทคนิค
การอภิปรายกลุ่ม (Group Discussion)



1.3 การประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุจังหวัด
สพุ รรณบุรภี ายหลงั การเพ่ิมประสทิ ธภิ าพ ใช้วธิ ี (๑) การประเมินความความคิดเห็นเก่ียวกับรูปแบบการ
ดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุจังหวัดสุพรรณบุรี โดยการใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) (2) การ
ประเมนิ ความพึงพอใจต่อรูปแบบการจดั บริการ โดยการใชแ้ บบสอบถาม (Questionnaire)

2. ขอบเขตด้ำนประชำกรในกำรศึกษำ
2.1 การศึกษาสภาพ ปัญหา และอุปสรรคของรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพ

ผู้สงู อายุของจงั หวดั สุพรรณบรุ ี กลุ่มเป้าหมายประกอบดว้ ย
(1) การสัมภาษณเ์ ชิงลึก (In-depth Interview) ผู้ให้ขอ้ มูลคนสาคัญ ( Key

Informants) ได้แก่ หัวหน้ากลุ่มงานท่ีดาเนินงานเก่ียวข้องกับผู้สูงอายุ (กลุ่มงานส่งเสริมสุขภาพ และ
กลุ่มงานควบคุมโรคไม่ติดต่อและสุขภาพจิต) และผู้รับผิดชอบงานผู้สูงอายุระดับจังหวัด (กลุ่มงาน
ส่งเสริมสุขภาพ และกลุ่มงานควบคุมโรคไม่ติดต่อและสุขภาพจิต) ผู้รับผิดชอบงานแผนยุทธศาสตร์
สุขภาพ กลุ่มงานพัฒนายุทธศาสตร์สาธารณสุข) ของสานักงานสาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี
ผ้รู บั ผิดชอบงานผสู้ ูงอายขุ องโรงพยาบาล สานกั งานสาธารณสุขอาเภอ และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ
ตาบล

(2) การสอบถามความคิดเห็นสภาพแวดล้อมภายนอกที่มีผลต่อประสิทธิภาพ
การดาเนินงานดูแลผู้สูงอายุ ประชากร ได้แก่ กลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย กลุ่มผู้บริหาร และผู้รับผิดชอบ
งานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์จังหวัด ท้องถ่ินจังหวัด
เทศบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ แกนนา อสม. แกนนาผู้สูงอายุ และผู้แทนของหน่วยงานในสังกัด
สานกั งานสาธารณสุขจงั หวัดแต่ละระดับ

(3) กลุ่มเป้าหมายเทคนิคการอภิปรายกลุ่ม (Group Discussion) ผู้ให้ข้อมูล
คนสาคัญ (Key Informants) ได้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล นักวิชาการสาธารณสุขท่ีมี
ประสบการณ์ด้านผู้สูงอายุ และบุคลากรอื่นๆ เช่น นักวิชาการที่ปฏิบัติงานด้านข้อมูลข่าวสารและ
สารสนเทศ ด้านการเงินและบญั ชี เจ้าหน้าทสี่ าธารณสุขระดับตาบล

2.2 การค้นหาแนวทางการเพ่ิมประสิทธิภาพรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ
และจัดทากรอบข้อเสนอในการเพิม่ ประสิทธภิ าพรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ใช้เทคนิค
การอภิปรายกลุ่ม (Group Discussion) ผู้ให้ข้อมูลคนสาคัญ (Key Informants) เป็นกลุ่มเดียวกันกับ
หวั ขอ้ 2.1 (3)

2.3 การประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุจังหวัด
สุพรรณบุรภี ายหลังการเพิ่มประสิทธิภาพ

(๑) การประเมินความคิดเห็นเก่ียวกับรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ
จงั หวัดสุพรรณบุรี โดยการใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้รับผิดชอบงาน
ผู้สูงอายุของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลทุกแห่ง โรงพยาบาลทุกแห่ง และสานักงานสาธารณสุข
อาเภอทกุ อาเภอ



(2) การประเมินความพึงพอใจต่อรูปแบบการจัดบริการ โดยการใช้แบบสอบถาม
(Questionnaire) กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้สูงอายุจานวน 157,565 คน (ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป
ของจังหวัดสุพรรณบุรีจากทะเบียนราษฎร์ กรมการปกครอง ณ เดือนธันวาคม ๒๕๖๐) คานวณขนาด
ตัวอย่างได้ จานวน 384 คน

2.3 ขอบเขตด้ำนระยะเวลำในกำรศึกษำ
ระยะท่ี 1 ระยะศึกษำ (R1) เป็นการศึกษาบริบท การศึกษาสภาพ ปัญหา และอุปสรรค

ของรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุของจังหวัดสุพรรณบุรี ระยะเวลาในการศึกษา
พ.ศ.2557 - 2559

ระยะที่ 2 ระยะพัฒนำ (D) แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน คือ ข้ันตอนแรก (D1) เป็นการ
ค้นหาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ และข้ันตอนท่ีสอง
(D2) นาผลของการวิเคราะห์เน้ือหาแบบตารางไขว้ จัดทาเป็นกรอบข้อเสนอในการเพิ่มประสิทธิภาพ
รปู แบบการดาเนนิ งานดแู ลสขุ ภาพผู้สูงอายุ ระยะเวลาในการศกึ ษา พ.ศ.2559-2560

ระยะท่ี 3 ระยะวิจัยและประเมินผล (R2) เป็นการทดลองใช้รูปแบบการดาเนินงานดูแล
สุขภาพผู้สูงอายุท่ีพัฒนาประสิทธิภาพ เพื่อศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพ
ผู้สงู อายจุ ังหวัดสพุ รรณบรุ ภี ายหลังการเพ่ิมประสิทธภิ าพ ระยะเวลาในการศึกษา พ.ศ.2560 -2561

ระยะที่ 4 กำรสรุปผล เป็นการวิเคราะห์ผล และสรุปผลการวิจัย ระยะเวลาในการศึกษา
ในปี พ.ศ. 2561

ขอ้ จำกดั ของกำรวิจัย

การวิจัยนี้ส่วนหน่ึงเป็นการศึกษาย้อนหลัง ทาให้ขาดข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้อง เอกสาร
บางอย่างผู้รับผิดชอบไม่ได้เก็บรวบรวมไว้ และผู้ให้ข้อมูลบางครั้งจาเหตุการณ์ท่ีผ่านมาไม่ได้ในบาง
ประเดน็



กรอบแนวคิดในกำรศึกษำ ปัจจัยนำเขำ้ (Input)

ัปจ ัจยนำเข้ำ (Input) การศึกษาบริบท ปัญหา และสภาพ กำรวเิ ครำะห์ปจั จยั ภำยนอก - PESTLE กรอบข้อเสนอในการเพ่ิมประสิทธิภาพ
ปัจจุบันของการดาเนินงานดูแลสุขภาพ การขับเคล่ือนการดแู ลสขุ ภาพผู้สูงอายุ
ผูส้ ูงอายุ Six Building Blocks Provincial Model การจัดบริการมีความครอบคลุม มีบริการเชิง
of Health กSาyรsวteเิ คmราะหป์ จั จยั ภายใน รุก และเชิงรับ ในกลุ่มสุขภาพดี กลุ่มเสี่ยง
การสัมภาษณ์/ การศึกษาเอกสาร/ และกลมุ่ ป่วย การเข้าถึงบรกิ ารได้ง่าย สะดวก
แบบสอบถาม กระบวนกำร (Process) ปลอดภัย บริการที่ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ
เป็นไปตามมาตรฐาน และมีความเชอ่ื มโยงกัน
ศึกษาและทบทวนการจัดการการ 1 .รูป แบ บ บ ริการ ชุ ด ข อ ง รู ป แ บ บ ข อ งส ถ าน บ ริ ก า ร ทุ ก ร ะ ดั บ ร ว ม ท้ั งมี ก า ร
ดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุใน (Service Delivery) บ ริ ก ำร(Service ประสานงานและความร่วมมือของเครือข่าย
ปจั จบุ ัน package) เครอื ขา่ ย

สัมภาษณเ์ ชิงลึก 2.บุคลากร (Health กำลังคน โครงสรา้ งการปฏบิ ัติงาน
Workforce) (Man Power) บคุ ลากรพอเพยี ง /มกี ารพฒั นาศกั ยภาพ
สภาพท่ัวไป ข้อมูลพ้ืนฐาน และข้อมูลการ บคุ ลากรมีแรงจงู ใจในการปฏบิ ัติงาน
จดั การการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สงู อายุ 3 .ร ะ บ บ ส าร ส น เท ศ กำรบรหิ ำรจัดกำร
( Health Information (Management) มีข้อมูลพื้นฐานเก่ียวกับผู้สูงอายุ ครอบครัว
ระยะศกึ ษำ Systems) และสภาพแวดล้อมข้อมูลเกี่ยวกับผูด้ ูแล และ
ระยะพัฒนำ S - System บุคลากรสุขภาพที่ดูแลผู้สูงอายุ สถานบริการ
สาธารณสุขใกล้เคียง ข้อมูลเก่ียวสถานะ
กระบวนกำร (Process) สัมภาษณ์/ สนทนากลุ่ม 4.ยา/บริการท่ีจาเป็น สุขภาพ และข้อมลู ท่จี าเป็นอืน่ ๆ
ผเู้ ชีย่ วชาญตรวจสอบ
(Access to Essential ยา/เวชภณั ฑ์ อุปกรณ์
บริการที่จาเป็นตามมาตรฐาน
Medicines) -Primary Prevention

-Early Detection
-Early Diagnosis
-Early Treatment

สร้างกรอบแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพ 5. การเงินการคลัง การเงินการคลัง ความพอเพียงของเงินทุนที่นามาใช้ในการ
ดาเนินงานดูแลสขุ ภาพผู้สูงอายุ (Finance) (Finance) ดูแลสขุ ภาพผู้สงู อายุ
การจัดสรรเงินในระบบสขุ ภาพครอบคลุมตาม
การลงมอื ปฏิบตั ิ 6) ภาวะผู้นาและ กำรบริหำรจัดกำร สภาพปัญหาของผู้สงู อายุ
ก า ร อ ภิ บ า ล ร ะ บ บ ก ำ ร ค ว บ คุ ม การควบคุมค่าใช้จ่าย เพ่ือให้มีเงินทุนในการ
การนาข้อเสนอในการเพ่ิมประสิทธิภาพ (Leadership and ดแู ลสขุ ภาพผู้สงู อายุอย่างต่อเน่ือง
การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุไปปฏบิ ัติ Governance) มำตรฐำนและ การมีนโยบายท่ีชัดเจนในการดูแลผู้สูงอายุ มี
แนวปฏิบัติ มีการดาเนินงานตามกรอบ
ระยะวิจยั อภบิ ำลระบบ ยุทธศาสตร์ท่วี างไว้ ผูน้ าและผู้เก่ยี วข้องในแต่
ระยะประเมินผล ละระดับมีการควบคุมกากับ ดูแล การ
ประสานความรว่ มมือ เพ่ือให้การดาเนนิ งานมี
ประสทิ ธิผล และมีคุณภาพตามมาตรฐาน

ผล/ ผลลัพธ์ ประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผล รปู แบบของกำรดแู ลสขุ ภำพผู้สูงอำยุ
(Output/ Outcome) ของรูปแบบการดแู ลสขุ ภาพผสู้ ูงอายุ

แบบสมั ภาษณ/์ แบบสอบถาม ผล/ ผลลพั ธ์
ผลการดาเนนิ งานจาก HDC (Output/ Outcome)

แผนภำพที่ 1.2 กรอบแนวคดิ ในการศึกษา

๑๐

นยิ ำมศพั ทป์ ฏิบัติกำร

รูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ หมายถึง แนวทาง หรือวิธีการ /กิจกรรมที่
เหมาะสมในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่เกี่ยวข้องกับการจัดบริการ การจัดการด้านบุคลากร การจัดให้มี
ขอ้ มูลและสารสนเทศที่จาเป็นสาหรับการดาเนินงาน การมรี ะบบการเข้าถึงยาและบริการที่จาเป็น การ
จัดการด้านการเงินการคลังเพ่ือสนับสนุนการดาเนินงานการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว และนโยบาย
ควบคุม กากับ ติดตามของผู้นา และผู้รับผิดชอบงาน เพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิผลตามมาตรฐาน
ระเบยี บ กฎเกณฑ์ และระบบท่ีออกแบบไว้

สภาพ ปัญหา และอุปสรรคของรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ หมายถึง
ข้อขัดข้องต่างๆที่เป็นเหตุให้การปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ซ่ึงจะส่งผลต่อความสาเร็จของ
การดาเนนิ งานตามเปา้ หมายที่กาหนดไว้

ปัจจัยภายนอกท่ีมีผลต่อประสิทธิภาพการดาเนินงาน หมายถึง ปัจจัยท่ีส่งผลกระทบต่อการ
ดาเนินงาน โดยไม่สามารถควบคุม หรือกาหนดเองได้ ซึ่งมีทั้งปัจจัยที่ส่งผลดี (เป็นโอกาสต่อการ
ดาเนินงาน) และปัจจัยที่ส่งผลเสีย (เป็นอุปสรรคต่อการดาเนินงาน) ซ่ึงในการศึกษาคร้ังนี้ประกอบด้วย
สภาพแวดล้อมทั่วไป ไดแ้ ก่ สภาพทางการเมือง (Political) อาทิเช่น นโยบาย หรือมาตรการที่เก่ียวขอ้ ง
กับการดาเนินงานผู้สูงอายุ สภาพเศรษฐกิจ (Economical) อาทิเช่น รายได้ การจ้างงาน การเงินการ
คลังของรัฐ ค่าครองชีพ สังคม (Socio-cultural) อาทิเช่น โครงสร้างประชากร วิถีการดาเนินชีวิต
การสื่อสาร ความรู้ เทคโนโลยี (Technological) อาทิเช่น การพัฒนางานวิจัย นวัตกรรม ผลิตภัณฑ์
รวมทั้งการใช้สื่อและเทคโนโลยีที่ทันสมัยต่างๆ สภาวะแวดล้อม (Ecological) อาทิเช่น
สภาพแวดล้อมในบ้าน ในชุมชน โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และกฎระเบียบ (Legal) อาทิเช่น กฎหมายที่
เกีย่ วข้องกบั การดแู ลสขุ ภาพผ้สู งู อายุ หรอื ในท่นี ีใ่ ชค้ ายอ่ วา่ “ PESTEL”

ปัจจัยภายในท่ีมีผลต่อประสิทธิภาพการดาเนินงาน หมายถึง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการดาเนินงาน
ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุให้ประสบความสาเร็จและบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบข้อมูล
เพื่อการบริหารท่ีครอบคลุมทุกด้าน ท้ังในด้านโครงสร้างระบบ ระเบียบ วิธีปฏิบัติงาน บรรยากาศใน
การทางานและทรัพยากรในการบริหาร (คน เงิน วัสดุ การจัดการ) รวมถึงผลการดาเนินงานท่ีผ่านมา
สาหรับการศกึ ษาครัง้ นกี้ าหนดศึกษาปัจจัยภายใน โดยพจิ ารณาจาก

(1) รูปแบบบริการ (Service Delivery) หมายถึง การจัดบริการเพ่ือการดูแลสุขภาพ
ผู้สูงอายุที่ครอบคลุมท้ังบริการด้านส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาพยาบาล ฟื้นฟูสมรรถภาพ และ
การดูแลระยะสุดท้าย โดยเป็นบริการทั้งเชิงรุก (บริการที่บ้าน หรือในชุมชน) และเชิงรับ (บริการใน
สถานบริการสุขภาพ) ทาให้ผู้สูงอายุทั้งกลุ่มสุขภาพดี กลุ่มเส่ียง และกลุ่มป่วยได้เข้าถึงบริการได้ง่าย
สะดวก ปลอดภัย ลักษณะของบริการท่ีดูแลสุขภาพผู้สูงอายุเป็นไปตามมาตรฐาน และบริการมีความ
เชื่อมโยงกันของสถานบริการทุกระดับ รวมทั้งมีการประสานงานและความร่วมมือของเครือข่ายใน
การดาเนินงาน

(2) บุคลากร (Health Workforce) หมายถึง ความพอเพียงของจานวนบุคลากร
ด้านสุขภาพท่ปี ฏบิ ัตงิ านเกีย่ วข้องกับการดูแลผู้สงู อายุในแต่ละระดับของสถานบริการสาธารณสขุ ได้แก่

๑๑
แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เภสัชกร และบุคลากรสาธารณสุขอื่นๆ รวมท้ังคุณภาพของบุคลากร
อันไดแ้ ก่ ความรู้ ทักษะ และแรงจูงใจในการปฏิบัติงานทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับการดแู ลสขุ ภาพผสู้ ูงอายุ

(3) ระบบสารสนเทศ (Health Information Systems) หมายถึง ข้อมูล ข่าวสาร
ข้อเท็จจริงทีเ่ กี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายรุ ะยะยาว ท่ีมีการรวบรวม จัดเก็บ และมกี ารประมวลผลไว้ใน
การติดตามและประเมินผล รวมทง้ั ใช้ในการกาหนดวัตถุประสงค์ การวางแผน การเตือนภัยด้านสุขภาพ
การสนับสนุนการจัดบริการด้านสุขภาพ การศึกษาวิจัย การวิเคราะห์แนวโน้มของสถานะสุขภาพ และ
การส่ือสารด้านสุขภาพ ข้อมูลดังกล่าว เช่น ข้อมูลพ้ืนฐาน ได้แก่ คุณลักษณะของผู้สูงอายุ อาทิ อายุ
เพศ ระดับการศึกษา สถานภาพการสมรส อาชีพ รายได้ ข้อมูลเก่ียวกับครอบครัว อาทิ การพักอาศัย
สภาพบ้าน และสภาพแวดล้อมทั่วไป ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ดูแล และบุคลากรสุขภาพที่ดูแลผู้สูงอายุ
สถานบริการสาธารณสุขใกล้เคียง ข้อมูลเกี่ยวกับสถานะสุขภาพ อาทิ ภาวะสุขภาพ โรค/อาการ
เจบ็ ปว่ ย อัตราป่วย อัตราตาย เป็นต้น

(4) ยา/บริการที่จาเป็น (Access to Essential Medicines) หมายถึง การเข้าถึงยาของ
ผู้สูงอายุอย่างเท่าเทียมกัน โดยผู้สูงอายุได้รับยาที่มีมาตรฐาน ในปริมาณหรือ ขนาดที่เหมาะสม และ
ราคาของยาไม่แพงจนเกินไป สามารถจัดหาได้ระดับบุคคล และชุมชน ผู้ให้บริการมีคู่มือ หรือแนวทาง
การจ่ายยาให้แก่ผู้สูงอายุที่เจ็บป่วย เพื่อความปลอดภัย และป้องกันยาสูญเสีย หรือเสื่อมสภาพ
ส่วนบริการที่จาเป็น ในที่น้ีหมายถึง บริการที่หน่วยบริการกาหนดไว้ หรือบริการที่จัดไว้เพื่อตอบสนอง
ความต้องการและปัญหาของผู้สูงอายุ เช่น บริการฉุกเฉิน 1669 และรวมไปถึงวัสดุอุปกรณ์ท่ี
จาเป็นต้องใช้ เชน่ อุปกรณ์พ่นยา เตียง รถเขน็ อุปกรณ์ช่วยความพิการ หรืออาจเป็นแนวทางที่จาเป็น
อาทิ ชอ่ งทางด่วน แนวทางในการดูแลผูป้ ว่ ยโรคหวั ใจและหลอดเลือด

(5) การเงินการคลัง (Finance) หมายถึง การเงินการคลังด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับ
การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ได้แก่ การระดมทุน /แหล่งของเงินทุนท่ีนามาใช้ในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ
และการจัดสรรเงนิ ในระบบสุขภาพ เพ่ือจัดบริการให้ครอบคลุมตามความต้องการและสภาพปัญหาของ
ผู้สูงอายุ รวมทั้งกลไกในการวางแผนเก่ียวกับต้นทุน และการควบคุมค่าใช้จ่าย เพื่อให้มีเงินทุนใน
การดูแลสุขภาพผสู้ ูงอายุอย่างต่อเน่ือง

(6) ภาวะผู้นาและการอภิบาลระบบ (Leadership and Governance) หมายถึง การมี
นโยบายที่ชัดเจนในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุของผู้นา นโยบายมีแนวปฏิบัติ และมีการดาเนินงานตาม
กรอบยุทธศาสตร์ที่วางไว้ ผู้นาและผู้เกี่ยวข้องในแต่ละระดับมีการควบคุมกากับ ดูแล การประสาน
ความร่วมมือ เพื่อให้การดาเนินงานมีประสิทธิผลตามมาตรฐาน ระเบียบ กฎเกณฑ์ และระบบ
ทีอ่ อกแบบไว้

ประสิทธิภาพของรูปแบบการดาเนินงาน หมายถึง ความสามารถในการดาเนินงานให้ประสบ
ความสาเร็จจากการปรับปรุง หรือการพัฒนาปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในให้เอื้อต่อการดาเนินงาน
และนามาใช้หรอื ปฏิบัติไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม

ประสิทธิผลของรูปแบบการดาเนินงาน หมายถึง ความสาเร็จของงานโดยดูจากผลงานเม่ือ
เปรียบเทียบกับเป้าหมาย ถา้ สามารถปฏบิ ัติงานโดยสามารถบรรลุเป้าหมายท่ีตง้ั ไว้ถือว่าการปฏิบัตงิ าน
น้ันมีประสิทธิผล แต่ถ้าปฏิบัติงานแล้วไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ก็ถือว่าการปฏิบัติงานนั้นไม่มี
ประสิทธิผล โดยการประเมินรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ประเมินความมีประสิทธิผล

๑๒

ของรูปแบบจาก (1) ผลการดาเนินงาน (Output) โดยประเมินจากความสาเร็จของผลการดาเนินงาน
ตามเปา้ หมาย ซึ่งวัดจากผลการดาเนินงานคัดกรองสุขภาพผูส้ ูงอายุ และผลการดาเนินงานกิจกรรมตาม
แนวทางท่ีกาหนดไว้ ว่าได้ดาเนินกิจกรรมน้ันแล้วหรือไม่ และ (2) การประเมินผลลัพธ์ (Outcome)
ประเมนิ จาก (1) ความความพึงพอใจของผสู้ ูงอายตุ ่อการดาเนินงาน และ (2) ร้อยละของความสามารถ
ในการประกอบกิจวตั รประจาวัน (Barthel Activities of Daily Living: ADL)ของผ้สู งู อายุ

ประโยชนท์ ่ีไดร้ บั จำกกำรวิจัย

๑. เพื่อทราบปัญหาอุปสรรค และหาแนวทางการแก้ไขปัญหาอุปสรรคให้การดาเนินงานบรรลุ
เปา้ หมาย

๒. เพ่ือนาผลการประเมนิ ของโครงการวจิ ัยมาปรบั ปรงุ แก้ไขปัญหาการดาเนนิ งานในด้านต่างๆ
อนั จะช่วยเพม่ิ ประสิทธิภาพการดาเนินงานดูแลสุขภาพผสู้ ูงอายุ ของจงั หวดั สพุ รรณบรุ ี

๓ ได้ข้อมูลท่ีใช้เป็นกรอบแนวทางประกอบการตัดสินใจ และข้อเสนอเชิงนโยบายเสนอต่อ
ผู้บรหิ าร ในการพฒั นารูปแบบการดาเนนิ งานผ้สู งู อายุต่อไป

๔. ได้กรอบข้อเสนอเชิงนโยบายและการปฏิบัติเสนอต่อผู้บริหารระดับกระทรวงใช้เป็น
แนวทางในการพฒั นานโยบายในระดับชาติต่อไป

๕. เพื่อนาผลจากการวิจัยท่ีมีประสิทธิผลสนับสนุนการขับเคล่ือนและการขยายผลการ
ดาเนนิ งานตอ่ ไป

๖. ทาให้ทราบประสิทธิผลของการดาเนินงานที่เป็นผลลัพธ์ เช่น ผลการดาเนินงาน (Output)
จากผลการดาเนินงานคัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุ การประเมิน ADLตามความสามารถในการประกอบ
กิจวัตรประจาวัน (Barthel Activities of Daily Living :ADL) ของผู้สูงอายุ ผลการดาเนินงานตาม
กจิ กรรมการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ และระดับความคิดเห็นผู้ให้บริการต่อความสาคัญของการดาเนนิ งาน
และผลลัพธ์ (Outcome) ได้แก่ ความความพึงพอใจของผู้สูงอายุต่อการดาเนินงาน และใช้ผล
การดาเนนิ งาน และผลลพั ธเ์ ปน็ ตัวทบทวนผลการดาเนนิ งานทีผ่ ่านมา

บทท่ี ๒
ทบทวนวรรณกรรม

ในบทน้ผี ูว้ ิจยั ได้ทบทวนสถานการณ์เกีย่ วกับผู้สูงอายุ หลัก แนวคิด ทฤษฎีการดแู ลผ้สู งู อายุ
แนวคิดเก่ียวกับประเมินประสิทธิภาพ และประสิทธิผลรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ
และผลงานวจิ ยั ทีเ่ กีย่ วข้อง โดยลาดับการนาเสนอประกอบดว้ ย

1. แนวคดิ ทฤษฎีทเ่ี กย่ี วขอ้ งการการดแู ลสขุ ภาพผ้สู งู อายุ
๒. แนวคดิ ในการวเิ คราะห์ปจั จัยแวดลอ้ มท่ีมผี ลตอ่ การดาเนนิ งานดแู ลสขุ ภาพผู้สงู อายุ

๒.1 การวิเคราะห์ปัจจัยภายใน: แนวคิดเก่ียวกับระบบสุขภาพขององค์การอนามัย
โลก (The WHO Six Building Blocks of Health System)

๒.2 การวิเคราะหป์ จั จัยภายนอก: PESTEL Analysis
3. แนวคิดทฤษฎีเก่ียวกับการประเมินประสิทธิภาพ และประสิทธิผล และตัวแบบการ
ประเมนิ ผลเชงิ ระบบ (Input Output Model หรือ System Approach Model)
4. แนวคิดการวิจยั และการพฒั นา (Research and Development – R&D)
5. ผลงานวจิ ัยท่เี ก่ียวข้อง
ดงั มรี ายละเอยี ดตอ่ ไปนี้

๑. แนวคิดทฤษฎีท่ีเก่ยี วขอ้ งการการดูแลสุขภาพผ้สู ูงอายุ

1.1 การนิยามผู้สงู อายุ
การนิยามผสู้ ูงอายุน้นั นกั วิชาการท่ีศกึ ษาเกีย่ วกบั ผูส้ ูงอายไุ ด้ให้ความหมายแตกต่างกันออกไป
ตามแงม่ ุม หรอื มิตติ า่ ง ๆของการศกึ ษา อาทิเช่น ทางชีววทิ ยา ประชากรศาสตร์ การจ้างงาน และทาง
สังคมวิทยา แต่โดยท่ัวไปตามหลักสากลนิยมการนิยามความหมายของประเทศต่างๆ ใช้เกณฑ์การ
นยิ ามตามเง่ือนไขอายุ (Chronological Age) โดยกาหนดให้ผสู้ ูงอายุคอื บคุ คลท่มี ีอายุตั้งแต่ ๖๐–๖๕
ปีขึ้นไป ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่จะนิยามผู้สูงอายุว่า เป็นบุคคลที่อายุ ๖๕ ปีขึ้นไป
แต่ทว่าประเทศแถบแอฟริกานิยามอายุของผู้สูงอายุอยู่ท่ีช่วง ๕๐–๖๕ ปี บางประเทศอยู่ที่ ๕๐–๕๕ ปี
แต่สาหรบั องค์การสหประชาชาตแิ ล้วนิยามอายุของผู้สูงอายุไว้ท่ี ๖๐ ปีข้นึ ไป เชน่ เดียวกันกับองค์การ
อนามัยโลกที่ใชเ้ กณฑอ์ ายุ ๖๐ ปีเป็นการนิยามผู้สูงอายุ นอกจากนีย้ ังได้แบ่งเกณฑ์อายุตามสภาพของ
การมีอายุเพิ่มขึ้นดังนี้ ผู้สูงอายุ (Elderly) มีอายุระหว่าง ๖๐ – ๗๔ ปี คนชรา (Old) มีอายุระหว่าง
๗๕ – ๙๐ ปี และ คนชรามาก (Very Old) มอี ายุ ๙๐ ปีขน้ึ ไป (WHO, online, 2011) และสาหรับ
ประเทศไทยตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ.๒๕๔๖ กาหนดไว้ว่าผู้สูงอายุคือ บุคคลท่ีมีอายุ ๖๐ ปี
บริบูรณ์ขึ้นไป (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, ๒๕๕๗: ๑) อย่างไรก็ดี
นกั วชิ าการที่ดาเนนิ งานด้านผสู้ ูงอายุ เชน่ ศศพิ ฒั น์ ยอดเพชร (๒๕๔๔: ๑๐–๑๑) ไดเ้ สนอขอ้ คิดเห็น

๑๔
ของ บาร์โร และสมิธ (Barrow and Smith) ว่าเป็นการยากที่จะกาหนดว่าผู้ใดชราภาพหรือสูงอายุ
แต่สามารถพิจารณาจากองคป์ ระกอบต่างๆ ไดด้ งั นค้ี อื

๑) ประเพณีนิยม (Tradition) เป็นการกาหนดผ้สู งู อายุ โดยยึดตามเกณฑอ์ ายุทอี่ อก
จากงาน เช่น ประเทศไทยกาหนดอายุวัยเกษียณอายุ เมื่ออายุครบ ๖๐ ปี แต่ประเทศสหรัฐอเมริกา
กาหนดอายุ ๖๕ ปี เปน็ ตน้

2) การปฏิบัติหน้าที่ทางร่างกาย (Body Functioning) เป็นการกาหนดโดยยึดตาม
เกณฑ์ทางสรีรวิทยาหรือทางกายภาพ บุคคลจะมีการเส่ือมสลายทางสรีรวิทยาท่ีแตกต่างกันในวัย
สูงอายุ อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย จะทางานน้อยลงซ่ึงแตกต่างกันในแต่ละบุคคล บางคนอายุ ๕๐ ปี
ฟนั อาจจะหลดุ ท้ังปากแต่บางคนอายถุ งึ ๘๐ ปี ฟันจึงจะเร่มิ หลุด เป็นต้น

3) การปฏิบัติหน้าที่ทางด้านจิตใจ (Mental Functioning) เป็นการกาหนดตามเกณฑ์
ความสามารถในการคิดสรา้ งสรรค์ การจา การเรียนรู้ และความเสอ่ื มทางด้านจิตใจ ส่ิงทพี่ บมากท่ีสุด
ในผู้ที่สูงอายุคือ ความจาเรม่ิ เส่ือม ขาดแรงจูงใจซงึ่ ไมไ่ ด้หมายความว่าบุคคลผสู้ ูงอายุทุกคนจะมสี ภาพ
เชน่ นี้

4) ความคิดเก่ียวกับตนเอง (Self - Concept) เป็นการกาหนดโดยยึดความคิดท่ี
ผู้สูงอายุมองตนเอง เพราะโดยปกติผู้สูงอายุมักจะเกิดความคิดว่า “ตนเองแก่ อายุมากแล้ว” และ
ส่งผลต่อบุคลิกภาพทางกาย ความรู้สึกทางด้านจิตใจ และการดาเนินชีวิตประจาวัน สิ่งเหล่าน้ีจะ
เปลย่ี นแปลงไปตามแนวความคิดท่ีผ้สู ูงอายุนัน้ ๆ ไดก้ าหนดขน้ึ

5) ความสามารถในการประกอบอาชีพ (Occupation) เป็นการกาหนดโดยยึดในการ
ประกอบอาชีพ โดยใช้แนวความคิด จากการเสื่อมถอยของสภาพทางร่างกาย และจิตใจ คนทั่วไป
จึงกาหนดว่า วัยสูงอายุเป็นวัยท่ีต้องพักผ่อน หยุดการประกอบอาชีพ ดังน้ัน บุคคลท่ีอยู่ในวัยสูงอายุ
จงึ หมายถงึ บุคคลท่มี ีวัยเกนิ กว่าวัยทีจ่ ะอยใู่ นกาลังแรงงาน

6) ความกดดันทางอารมณ์และความเจ็บป่วย (Coping with Stress and Illness) เป็น
การกาหนดโดยยึดตามสภาพร่างกาย และจิตใจ ผู้สูงอายุจะเผชิญกับสภาพโรคภัยไข้เจ็บอยู่เสมอ
เพราะสภาพทางร่างกายและอวยั วะต่าง ๆเริ่มเส่ือมลง นอกจากนี้ยังอาจต้องเผชิญกับปัญหาทางด้าน
สังคมอืน่ ๆ ทาให้เกดิ ความกดดันทางอารมณ์เพิ่มข้ึน สว่ นมากพบในผู้มอี ายุระหว่าง ๖๐–๖๕ ปีข้นึ ไป

จากการทบทวนการรับรู้เร่ืองความสูงอายุหรือ การเข้าสู่วัยสูงอายุ ซึ่งเก่ียวข้องกับการรับรู้
เรื่องอายุของบุคคลของรศรินทร เกรย และคณะ (๒๕๕๖: ๗ – ๑๐) ได้แบ่งผู้สูงอายุออกได้เป็น ๕
ลักษณะใหญ่ๆ ได้แก่ อายุตามปีปฏิทินหรืออายุตามวัย (Calendar age หรือ Chronological age)
อายุทางชีววิทยา (Biological age) อายทุ างสังคม (Sociological age) อายุตามอตั วสิ ยั (Subjective
age) และอายุในมติ อิ ื่นๆ

1) อายุตามปีปฏิทนิ หรอื อายุตามวยั เป็นตวั ช้ีวดั อายขุ องบคุ คลหนง่ึ ซ่ึงแสดงระยะเวลา
จานวนปีที่บุคคลนั้นมีชีวิตมานับต้ังแตเ่ กิด เน่อื งจากอายุตามปีปฏทิ ินแสดงเป็นตัวเลขทีเ่ ฉพาะเจาะจง
สามารถนามาแสดงเปรียบเทียบระหว่างบุคคล ได้ชัดเจน ทาให้ใช้เป็นเกณฑ์บ่งช้ีอายุและการสูงอายุ
ของบุคคลที่แพร่หลาย และเป็นที่ยอมรับมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์อายุอื่นๆ ในหลาย

๑๕
ประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศกาลังพัฒนา อายุตามปีปฏิทินที่ ๖๐ ปี และ ๖๕ ปีขึ้นไปสาหรับ
ประเทศพฒั นาแลว้ ส่วนใหญ่

2) อายุทางชีววิทยา บางครั้ง เรียกว่า อายุเชิงฟังก์ชั่น (Functional Age) (Uotinen,
2005) หมายถึง อายุท่ีอธิบายด้วยการเปล่ียนแปลงของสภาพร่างกาย (Physical Aging) และการ
เปลี่ยนแปลงของสภาพจิตใจของบุคคล (Psychological Aging) ซึ่งสะท้อนผ่านการเปล่ียนแปลง
ของลักษณะทางกายภาพเมื่อพิจารณาจากภายนอก (Physical Appearance) สถานะสุขภาพท้ังทาง
ร่างกายและจิตใจ (Health Status) หรือความสามารถในการทาบทบาทหน้าที่ของบุคคล
(functioning) ภายใต้สมมติฐานที่ว่า สภาพร่างกายหรือความสามารถของบุคคลมักถดถอย
หรือเปลีย่ นแปลงไปตามจานานปีท่ีเพม่ิ ขึ้นของการมีชวี ติ อยูน่ ับต้ังแตป่ ีที่เกิด

๓) อายุทางสังคม หมายถึง อายุของบุคคลที่อธิบายด้วยการเปล่ียนแปลงของสถานภาพ
และบทบาททางสังคม (Social Status and Social Role) ของบุคคลนั้นในสังคมอาศัยอยู่ ซึ่งจะ
เปล่ียนแปลงไปตามลาดับข้ันของช่วงชีวิตคนในแต่ละช่วง การเข้าสู่ความสูงอายุในทางสังคมมัก
เกิดขึ้นเม่ือบุคคลมีสถานภาพและบทบาท รวมถึงพฤติกรรมทางสังคมที่แตกต่างไปจากกลุ่มประชากร
ที่เป็นเกณฑ์เปรียบเทียบ ในหลายครั้งจากความเข้าใจของสังคม ซึ่งนาสถานภาพการทางานมาใชเ้ ป็น
เกณฑ์เปรียบเทียบน้ี ทาให้การเข้าสู่ความสูงอายุถูกนาไปผูกติดกับอายุที่บุคคลหยุดทางานหรือ
เกษียณอายุจากการทางาน ภายใต้แนวคิด “อายุทางสังคม” วัยสูงอายุ ครอบคลุม ชว่ งวัยทส่ี าม หรือ
ช่วงวัยที่สี่ ของชีวิตบุคคลแต่ละคน โดยช่วงวัยที่สาม หมายถึง ช่วงวัยของโอกาสใหม่ๆ ในชีวิตและ
ความเป็นอิสระจากภาระการงาน และครอบครัว ในขณะท่ี ช่วงวัยท่ีส่ี หมายถึง วัยท่ีสุขภาพเริ่มเป็น
ปัญหามากขึ้น ความสามารถในการดาเนินกิจกรรมต่างๆ ถดถอย บุคคลเร่ิมมีการสูญเสีย
ความสามารถในการพ่ึงพงิ ตนเอง และตอ้ งการการสนับสนนุ หรอื การชว่ ยเหลือจากบคุ คลอื่น

4) อายุทางอตั วสิ ยั ซง่ึ อาจเป็นได้ทั้งอัตวสิ ัยในระดับบคุ คล ซ่ึงหมายถึง อายทุ วี่ ัดประเมิน
หรือบ่งช้ีจากประสบการณ์ส่วนบุคคลของบุคคลนั้นๆ หรือ อัตวิสัยในระดับชุมชน ซึ่งหมายถึง การ
สูงอายุของบุคคลซ่ึงตัดสินโดยการรับรู้ ค่านิยม และบรรทัดฐานของชุมชนหรือสังคมนั้นๆ ท่ีบุคคล
อาศัยอยู่ในระดับบุคคล การให้ความหมายของการเข้าสู่ความสูงอายุย่อมแตกต่างไปในแต่ละบุคคล
การสูงอายุตามปีปฏิทิน การเปล่ียนแปลงของสภาพร่างกายและสุขภาพที่ถดถอย การเปลี่ยนแปลง
ของสถานภาพและบทบาททางสังคม อาจไม่ทาให้อายุทางอัตวิสัย (Subjective Age) ของบุคคล
เปลยี่ นแปลงเลยกเ็ ปน็ ได้ หรอื หากเปลี่ยนแปลงก็ย่อมแตกต่างกันระหว่างบุคคลที่มีประสบการณ์และ
มุมมองชวี ติ ท่แี ตกตา่ งกนั

5) การสูงอายุในมิติอื่นๆ จากอายุคาดเฉลี่ยของประชากรในประเทศต่างๆ ที่ยืนยาวขึ้น
ขอ้ เสนอหนึ่งที่เกิดข้ึนในประเทศไทย คอื การเสนอให้ใช้เกณฑจ์ านวนปีที่คาดว่าบุคคลนั้นจะมีชีวติ อยู่
ต่อไปข้างหน้า (Remaining life Expectancy) เป็นเกณฑ์กาหนดอายุเร่ิมต้นของความสงู อายุ แทนท่ี
การใช้จานวนปปี ฏทิ นิ (Calendar Years) ที่บุคคลมีอย่มู าแล้วซ่ึงเปน็ เกณฑ์ทใ่ี ช้อยใู่ นปจั จุบันข้อเสนอ
น้ีเป็นอีกหนึ่งมุมมองของลักษณะการสูงอายุ ซึ่งใช้อายุคาดเฉล่ียที่เหลืออยู่ของบุคคลเป็นเกณฑ์
พจิ ารณา

๑๖
สาหรับการศึกษาท่ีเก่ียวข้องกับผู้สูงอายุในสังคมไทย ยังมิได้มีข้อสรุปว่าจะมีการจัดประเภท
ของผู้สูงอายุในลกั ษณะใด การจดั โดยใช้เกณฑ์อายุกย็ งั มีข้อถกเถียงวา่ ยังไม่เหมาะสม นกั วิชาการบาง
ทา่ นจึงใช้เกณฑ์ความสามารถของผ้สู งู อายแุ บง่ เป็น ๓ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทีช่ ่วยเหลือตนเองได้ดี กล่มุ ที่
ช่วยเหลือตนเองได้บ้าง และกลุ่มท่ีช่วยเหลือตนเองไม่ได้ เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพ มีความพิการ
อย่างไรก็ดีนักวิชาการได้พยายายามจะหานิยามคาว่า “ผู้สูงอายุ” เช่น การศึกษาของรศรินทร เกรย
และคณะ (๒๕๕๖: บทสรุปผู้บริหาร) ได้ค้นหาความหมายของผู้สูงอายุ และความเป็นไปได้ในการ
นิยามความหมายใหม่ของผู้สูงอายุ และวิธีการเปลี่ยนแปลงนิยามผู้สูงอายุให้เป็นที่ยอมรับต่อสังคม
โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ จากเอกสาร สนทนากลุ่มกับประชาชนท่ัวไป จานวน ๔๕ กลุ่ม และ
สัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้บริหาร นักวิชาการ และแพทย์ จานวน ๑๒ คน สาหรับการกาหนดนิยาม
ผู้สูงอายุในอนาคตควรจะเปล่ียนแปลง โดยมีความเห็นเป็น ๔ ทางเลือก เรียงจากความเห็นของผู้
สนทนากลุ่มมากไปน้อยดังนี้ ๑) กาหนดด้วยอายุเท่าน้ัน เนื่องจากชัดเจนท่ีสุด และสามารถบริหาร
จัดการกาลังคนได้ ๒) กาหนดด้วยอายุ และคุณลักษณะของผู้สูงอายุท่ีเป็นเชิงบวก เนื่องจากการ
กาหนดด้วยอายุมีความสาคัญ และการกาหนดลักษณะเชิงบวกทาให้ผู้สูงอายุรู้สึกมีคุณค่า และภูมิใจ
ในตนเอง และทาให้ผู้สูงอายุต้องทาตัวให้เหมาะสมกับลักษณะเชิงบวก ๓) คุณลักษณะที่เป็นเชิงบวก
เท่านั้น เนื่องจากการกาหนดอายุท่ีแน่นอน มีผลทางจิตวิทยา ทาให้รู้สึกว่าตนเองถึงวัยสูงอายุ ซ่ึงทุก
คนไม่ต้องการถึงวัยนี้ น่าจะเป็นเพราะภาพจาของผู้สูงอายุมีลักษณะเชิงลบ และ ๔) ไม่มีนิยาม
ผู้สูงอายุ เน่ืองจากการรับรู้ว่าตนเองเป็นผู้สูงอายุข้ึนอยู่กับแต่ละบุคคล การกาหนดนิยามโดยใช้อายุ
ทาให้รู้สึกว่าตนเองแก่ สาหรับการกาหนดนิยามผู้สูงอายุในเชิงคุณค่าน้ัน ผู้ร่วมสนทนากลุ่มส่วนใหญ่
ให้ความเห็นว่าน่าจะทาได้ยาก เนื่องจากการให้ความหมาย “คุณค่า” ท่ีแตกต่างกันของแต่ละบุคคล
และผู้สนทนากลุ่มเกือบทุกคนเห็นว่าการให้นิยามผู้สูงอายคุ วรเป็นนิยามเดียวท่ัวประเทศไม่ว่าจะเป็น
นิยามแบบใด เพ่ือความเสมอภาค ถึงแม้ความเป็นผู้สูงอายุมีความแตกต่างกันระหว่างเขตเมือง และ
ชนบท หญงิ และชาย สาหรบั การกาหนดด้วยอายุน้ัน ไม่วา่ จะเป็นข้อเสนอที่ ๑ หรือ ๒ ส่วนใหญ่ของ
ผู้ร่วมสนทนากลุ่มมีความเห็นว่าน่าจะเลื่อนอายุให้สูงข้ึนจาก ๖๐ ปี เน่ืองจากในปัจจุบันคนไทยโดย
เฉล่ียมีอายุยืนยาวข้ึน สุขภาพดีขึ้น ซ่ึงอาจจะเล่ือนเป็นที่ ๖๕ ปี หรือ ๗๐ ปี แต่ต้องไม่กระทบสิทธิ
ประโยชน์ที่ได้รับในปัจจุบัน เช่น การได้รับเบี้ยยังชีพ ต้องยังคงได้รับเมื่ออายุ ๖๐ ปีข้ึนไปเช่นเดิม
ผลกระทบทางบวกจากการเลื่อนนิยามผู้สูงอายุให้มีอายุสูงข้ึน จะทาให้มีสุขภาพจิตดีท่ีรู้สึกว่าตนเอง
ยังไม่แก่ เมื่อสุขภาพจิตดีสุขภาพกายย่อมดีตามไปด้วย มีพลังในการทางานยาวนานขึ้น และถ้าการ
ขยายอายุผู้สูงอายุ นาไปสู่การขยายอายุการทางานด้วย จะทาให้ยังมีรายได้ ไม่ต้องพ่ึงพาลูกหลาน
มากจนเกินไป ส่งผลต่อความรู้สึกว่าตนเองยังมีคุณค่า มีความภาคภูมิใจในตนเอง สาหรับในทางลบ
น้ัน มีเป็นส่วนน้อยที่เห็นว่าถ้าเช่ือมโยงอายุผู้สูงอายุที่เพ่ิมมากขึ้นและอายุเกษียณเป็นอายุเดียวกัน
อาจทาให้คนรุ่นใหม่มีโอกาสได้เข้าทางานน้อยลง และมีการเปล่ียนแปลงวัฒนธรรมการเลี้ยงหลาน มี
ผ้สู งู อายุเล้ยี งหลานนอ้ ยลง เน่ืองจากผสู้ ูงอายุออกมาทางานมากข้นึ
อยา่ งไรก็ดใี นการศึกษาคร้ังน้ี นิยามผู้สงู อายุกาหนดตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ.๒๕๔๖
กล่าวคือ ผู้สูงอายุคือ บุคคลท่ีมีอายุ ๖๐ ปีบริบูรณ์ข้ึนไป อย่างไรก็ตามในการทบทวนวรรณกรรมท่ี

๑๗

เกี่ยวข้อง บางคร้ังอาจนาเสนอตามผลงานหรือมุมมองของนักวิชาการที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจใช้เกณฑ์
การนยิ ามผ้สู งู อายุอืน่ ประกอบการศกึ ษาด้วย

1.2 แนวคิด และทฤษฎีเก่ียวกบั กระบวนการสงู อายุ
ในการทบทวนแนวคิด และทฤษฎีเก่ียวกับกระบวนการสูงอายุ เพ่ือนาเสนอให้เห็นการ
เปลี่ยนแปลงทางกายภาพในร่างกาย หรือความชราเชิงชีวภาพ (Biological Aging) การเปล่ียนแปลง
ทางจิตวิทยาในด้านจิตใจและสมรรถภาพทางสมอง หรือความชราเชิงจิตวิทยา (Psychological
Aging) และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในทัศนะและความคาดหวงั ท้ังของตนเองและที่ผู้อน่ื มตี อ่ ตนเอง
หรือความชราเชิงสังคม (Social Aging) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในสองประการหลังน้นี ักวชิ าการบางท่าน
เรียกว่า กระบวนการเปล่ยี นแปลงภาวะสูงอายุทางจิตวิทยาสังคม (Psychosocial Aging) ความชรา
ที่กล่าวมาแล้วเป็นความเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึนกับผู้สูงอายุโดยรวม ซ่ึงจะนาไปสู่การดูแลผู้สูงอายุตาม
การเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้นในระยะต่างๆ ข้ันตอนของการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึนแก่บุคคลท่ีอยู่ในภาวะ
สูงอายุ เปน็ กระบวนการทเ่ี กดิ ข้ึนอยา่ งสมา่ เสมอ และการเปลี่ยนแปลงน้เี ปน็ สงิ่ ทไ่ี ม่อาจหลีกเล่ียงได้

๑) กระบวนการภาวะสูงอายุทางกายภาพและสรีระวิทยา (Biological Aging) ภาวะ
สูงอายุทางสรรี ะวทิ ยาเป็นการเปล่ียนแปลงท่ีเกดิ ขน้ึ กับผู้สูงอายุทางรา่ งกาย เป็นการเปลยี่ นแปลงทาง
กายภาพท่ีจะปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนกับร่างกายของคนเมื่อวัยสูงข้ึน กระบวนการน้ีประกอบด้วย
๒ ลักษณะคือ การเปล่ียนแปลงทางร่างกายและการเปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยา (สมศักดิ์ ศรีสันติสุข,
๒๕๓๙: ๕๔ – ๕๕)

(๑) การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เป็นการเปล่ียนแปลงทางกายภาพและโครงสร้าง
ของร่างกายที่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน เช่น ผิวหนังเหี่ยวย่น ตกกระ ผิวบาง เกิดบาดแผลได้ง่าย
กล้ามเนื้อลดจานวนลงทาให้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลง กระดูกเปราะบาง กระดูผุ กระดูกข้อ
อกั เสบ ฯลฯ

(2) การเปล่ียนแปลงทางสรีระวทิ ยาเป็นการเปลีย่ นแปลงคณุ ภาพของอวัยวะตา่ งๆ
ในร่างกายที่เคยใช้งานได้ดี เช่น การใช้สายตา หู ลิ้น ฯลฯ หย่อนสมรรถภาพลง จานวนเซลล์สมอง
ลดลงทาใหค้ วามจาเสือ่ มลงไป ระบบทางเดินหายใจ ทางเดนิ อาหาร ทางเดินปัสสาวะ ฯลฯ ทางานได้
นอ้ ยลง ทาใหเ้ กิดอาการผิดปกติตามมา เช่น อาหารไมย่ อ่ ย เป็นไขห้ วัดได้งา่ ย อั้นปัสสาวะไม่ได้ ฯลฯ

(3) สภาพการเปลี่ยนแปลงเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ จากการทบทวนผลของการ
เปลี่ยนแปลงในวัยผู้สูงอายุพบว่า ผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีการเปล่ียนแปลงทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์
และสงั คม ซ่งึ การเปลี่ยนแปลงจะสง่ ผลกระทบต่อความสามารถในการดาเนินชวี ิตอย่างหลกี เลีย่ งไมไ่ ด้
การเปล่ียนแปลงทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคมที่เป็นผลมาจากอายุท่ีเห็นชัดได้แก่ (กรม
อนามยั กระทรวงสาธารณสขุ , ๒๕๔๗: ๑๕ – ๑๖)

๒) กระบวนการภาวะสงู อายุทางจติ วิทยาสงั คม (Psychosocial Aging)
แนวคิดทฤษฎีที่ใช้อธิบายภาวะสูงอายุทางจิตวิทยาสังคมที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบันมี
๒ แนวทาง คือ ทฤษฎกี จิ กรรม และทฤษฎภี าวะถดถอย (สรุ กุล เจนอบรม, ๒๕๓๔: ๓๔ – ๓๕)

๑๘
(1) ทฤษฎีกิจกรรม (Activity Theory) เป็นทฤษฎีที่พัฒนามาจาก การศึกษาของ
Havighurst และ Albrecht (1953) โดยมีพื้นฐานแนวคดิ เกี่ยวกบั อตั ตา (Self) ของMead วา่ อตั ตา
(Self) เกดิ จากการกระทาระหว่างกนั ทางสังคม (Social Interaction) กับบุคคลอนื่ ๆในสังคม ถ้าหาก
โครงสร้างทางสังคมขัดขวางการกระทาระหว่างกันทางสังคมของผู้สูงอายุ เช่น การถูกปลดเกษียณ
ทาให้ลดคุณค่าความเป็นคนของผู้สูงอายุ เกิดความแปลกแยก อันเป็นผลให้ความพึงพอใจในชีวิตลด
ต่าลง ในทฤษฎนี ี้กจิ กรรมทางสังคมถูกผูกมัดไวก้ ับบทบาททางสังคมของบุคคล และถ้าบุคคลถูกกีดกัน
ออกจากบทบาทสังคม กิจกรรมทางสังคมของบุคคลจะลดลง อันส่งผลให้ความพึงใจในชีวิตลดลง
นอกจากนี้ Havighurst ได้ศึกษาผู้สูงอายุชาวผิวขาวที่มีฐานะปานกลางและมีสุขภาพดี พบว่า
ผู้สงู อายุท่ีมีกจิ กรรมปฏิบตั ิอยู่เสมอๆ จะมีบุคลกิ ทกี่ ระฉับกระเฉงและการมีภาระกิจกรรมสมา่ เสมอจะ
ทาให้มีความพึงพอใจในชีวิตและปรับตัวได้ดีกว่าผู้สูงอายุท่ีปราศจากกิจกรรมหรือบทบาทภาระกิจ
หนา้ ที่ใด ๆ
(2) ทฤษฎีภาวะถดถอย (Disengagement Theory) เป็นทฤษฎีท่ีอธิบายในส่ิงที่
ตรงข้ามกับทฤษฎีกิจกรรม เสนอโดย William Henry (1961) ซ่ึงกล่าวว่า เม่ือเข้าสู่วัยสูงอายุ
ผสู้ ูงอายุจะลดกิจกรรมและบทบาทของตนเองลง ซึ่งจะเป็นผลจากการทร่ี ู้สึกว่าตนเองมีความสามารถ
ลดลงและการท่ีผู้สูงอายุไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมและบทบาททางสังคม เป็นการถอนสถานภาพ
และบทบาทของตนเองให้แก่หนุ่มสาวหรือคนที่จะมีบทบาทหน้าที่ได้ดีกว่า ทั้งน้ีเพราะสังคมต้องการ
คนที่มีทักษะใหม่และคนรุ่นใหม่เข้าไปแทนที่ทฤษฎีทั้งสองทฤษฎีนี้มีความสาคัญอย่างย่ิง เน่ืองจาก
เป็นทฤษฎที ี่สามารถอธบิ ายภาวะการสูงอายุของผู้สูงอายทุ ่ีมีพืน้ ฐานของชีวติ ในวัยหนุ่มสาวท่ีแตกต่าง
กัน อันอาจเนอื่ งมาจากการใชช้ ีวิตในวัยหนุ่มสาวทม่ี ีสภาพสังคมและเศรษฐกิจต่างกัน ทฤษฎกี ิจกรรม
ที่นามาใช้กับผู้สูงอายุที่มีวิถีชีวิตที่เก่ียวข้องกับการมีสถานภาพและบทบาทในสังคมมาตลอดช่วงวัย
หนุ่มสาวจนถึงวัยกลางคน เมื่อต้องละบทบาทและสถานภาพน้ันลงตามช่วงวัยชราการเกษียณอายุ
จาเป็นอย่างย่ิงท่ีสังคมจะต้องเตรียมสถานภาพ และบทบาทอ่ืนๆ เพื่อรองรับการเปล่ียนแปลงทาง
สังคมของผู้สูงอายุกลุ่มนั้น ในขณะท่ีผู้สูงอายุท่ีมีวิถีชีวิตแบบเดิมๆ ต้ังแต่วัยหนุ่มสาว วัยกลางคนจน
เข้าสู่วัยสูงอายุ อาจจะไม่ต้องการกิจกรรมรองรับมากเทา่ ผ้สู ูงอายุกลุ่มแรก ส่วนทฤษฎีภาวะถดถอยใช้
อธิบายกับผ้สู ูงอายุท่ีมีความพร้อมในการเข้าสู่ภาวะสูงอายุท่ีแตกต่างกัน ผู้สูงอายุท่ีมีความพร้อมเข้าสู่
ภาวะสูงอายุจะลดบทบาททางสงั คมของตนได้เม่อื เขา้ สูว่ ัยสงู อายุ และทาหน้าท่ีสนับสนนุ คนหนุ่มสาว
ให้รับภาระทางสังคมแทน ตัวผู้สูงอายุเองจะหันเข้าหากิจกรรมอื่น ๆ ตามภาวะถดถอยของตน เช่น
การศึกษาธรรมะ ฯลฯ ดังน้ันผู้สูงอายุที่ถดถอยตนเองลงได้ช้า จึงต้องนาทฤษฎีกิจกรรมมาใช้ในการ
อธบิ ายภาวะสูงอายขุ องผ้สู ูงอายุกลมุ่ นี้แทน
จากการทบทวนแนวคิด และทฤษฎีที่เก่ียวข้องกับกระบวนการสูงอายุ จะพบว่า มีความ
แตกต่างกันไป โดยมีความพยายามอธิบายความสูงอายุ หรือความชราจากประสิทธิภาพการทางาน
ของร่างกายท่ีลดลง จากความจาการเรียนรู้ สติปัญญา อารมณ์ และจากความสามารถในการคง
บทบาท และสถานภาพทางสังคมไว้ จึงอาจกล่าวได้ว่า ไม่มีแนวคิด หรือทฤษฎีใดเพียงแนวคิดทฤษฎี
เดียวที่จะอธิบายความเส่ือมถอย หรือการเปล่ียนแปลงทางด้านอารมณ์ จิตใจ และสภาพทางสังคม
ของผู้สูงวัยได้ท้ังหมด สภาพการเปลี่ยนแปลงต่างๆน้ี ทาให้การดูแลผู้สูงอายุนับเป็นเรื่องที่

๑๙

ละเอียดอ่อน และท้าทายการวางแผนบริหารจัดการการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ โดยเฉพาะการเตรียม
ความพร้อมเพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่ผสู้ ูงอายุในวัยช่วงปลายท่ีมีคุณภาพ เพราะความเส่ือมถอยเป็นส่ิง
ท่หี ลีกเล่ียงไม่ได้ แตก่ ารดูแลสุขภาพผ้สู ูงอายุใหค้ รอบคลุมในทุกมติ ขิ องการดแู ลสขุ ภาพท่ีดีทง้ั ด้านการ
ส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษา การฟ้ืนฟูสมรรถภาพ หรือการเตรียมความพร้อมในการ
บรหิ ารจัดการการดูแลระยะยาวท่ดี ี จะช่วยลดผลกระทบจากปญั หาสุขภาพ ความเจ็บป่วย และความ
พิการ ของผู้สูงอายใุ นช่วงปลายได้

1.3 แนวคิด และทฤษฎีทีเ่ กีย่ วข้องกบั การดูแลผสู้ ูงอายุ
ในการทบทวนแนวคิด และทฤษฎีที่เก่ียวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุ ผู้ศึกษาได้ลาดับการ
นาเสนอเกย่ี วกับแนวคิดเกี่ยวกับการดแู ลโดยทั่วไป และแนวคิดในการดแู ลผสู้ ูงอายุ ดังตอ่ ไปน้ี

1.3.1 แนวคิดเกย่ี วกับการดแู ลโดยทัว่ ไป
การดูแล คือ กิจกรรมการช่วยเหลือ หรือการดูแลที่กระทาโดยตรง หรือโดยอ้อม เป็น
กระบวนการที่ส่งเสริมให้บุคคลดาเนินชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ เป็นเรื่องของการให้ความสนใจ และ
ห่วงใยผู้ที่ต้องพ่ึงพาผู้อื่น ในทางวิชาการได้มีผู้เสนอข้อคิดเห็นต่อแนวคิดการดูแลท่ีสาคัญดังน้ี
(ศศิพฒั น์ ยอดเพชร, ๒๕๔๗: ๑๐)

1) แนวคิดเกี่ยวกับแรงจูงใจในการช่วยเหลือ แรงจูงใจในการช่วยเหลือ
(Motivation for Helping) สามารถนามาอธิบายแรงจูงใจในการดูแลผู้อ่ืน อันประกอบด้วย ๒
แนวคิด คือ แรงจูงใจ เพ่ือตอบสนองความต้องการของบุคคล (Egoistic Motivation) เป็นแรงจูงใจท่ี
ผลักดันให้บุคคลช่วยเหลือผู้อืน่ เพื่อหวังผลตอบแทนจากการกระทานน้ั ๆ ไดแ้ ก่ การไดร้ ับค่าจ้างตอบ
แทน การได้รับคาชมจากบุคคลอ่ืนและสงั คม หรือการสานึกต่อความผิด หากไม่ทาการชว่ ยเหลือผู้อื่น
และ แรงจูงใจ ที่เกิดจากความเอ้ืออาทรต่อกัน (Altruistic Motivation) เป็นแรงจูงใจท่ีเกิดจาก
ความเห็นอกเห็นใจ ความสงสาร ที่มีต่อผู้ที่ต้องการพึ่งพิง โดยอาจมีปัจจัยอื่น เข้ามาเก่ียวข้อง เช่น
เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เกี่ยวข้องเป็นญาติหรือมีบุญคุณต่อกันมาก่อน จึงทาให้เกิดความผูกพัน
และรสู้ กึ อยากช่วยเหลอื

จากแนวคิดแรงจูงใจท่ีนาเสนอ บุคคลใดจะดูแลผู้อื่นน้ัน อาจมาจากแรงจูงใจทั้ง ๒
ประการดังกล่าวก็ได้ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิง การดูแลในครอบครัวมกั เรม่ิ ต้นจากความเอื้ออาทรกอ่ น แล้ว
จึงพัฒนาไปสู่ การตอบสนองความต้องการของบุคคล แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจากแรงจูงใจ
ประเภทแรงจงู ใจท่เี กดิ จากความเออื้ อาทรต่อกันมากที่สุด

2) แนวคิดท่ีเกี่ยวข้องกับค่านิยมของบุคคลและสังคม การอธิบายแนวคิดเร่ืองการ
ดูแลโดยรวบรวมแนวคิดของนักวิชาการ ๓๕ คน จากบทความวิชาการ และการวิจัยวิเคราะห์เน้ือหา
ของข้อมูลที่ได้มาท้ังหมด ได้แบ่งแนวคิดเก่ียวกับการดูแลไว้ ๕ ทัศนะ (Morse et al., 1990) ได้แก่
(1) ดูแลเป็นลักษณะประจาของมนุษยชาติ เพื่อให้มนุษย์สามารถรักษาเผ่าพันธุ์ไว้ แต่จะแตกต่างกัน
ตามศักยภาพของแต่ละบคุ คล โดยข้ึนกับประสบการณ์ การได้รับการดูแลมาก่อน ลักษณะเฉพาะของ
ตัวบุคคล และขนบธรรมเนียมประเพณีในสังคมนั้น ๆ (2) การดูแลเป็นเร่ืองของศีลธรรม จริยธรรม

๒๐
ตามค่านิยมพ้ืนฐานของบุคคล หรือสังคม การดูแลแสดงออกโดยพฤติกรรม ภาพลักษณ์และลักษณะ
ทางอารมณ์ เช่น การแสดงความเห็นอกเห็นใจ ความอ่อนโยนให้กาลังใจ จะเห็นมากในผู้ดูแลใน
ครอบครัวเดียวกัน (3) การดูแลเป็นการแสดงความสนใจห่วงใย การดูแลมีความเกี่ยวข้องกับอารมณ์
มีความรู้สึกเอาใจเขามาใส่ใจเรา สนใจ เป็นห่วง ต้องการปกป้อง และอุทิศให้ การดูแลท่ีพัฒนาข้ึนใน
บุคคลมี ๔ ระยะ คือ ความผูกพัน ความพยายามที่จะให้ ความใกล้ชิด และการแสดงยืนยัน ความ
ห่วงใย ถ้าการพัฒนาไม่ครบทั้ง ๔ ระยะน้ี ก็จะไม่ถือว่าเป็นการดูแล (4) การดูแลเป็นการแสดง
สัมพนั ธภาพระหว่างบคุ คล จงึ เป็นการดูแลท่เี กดิ ข้ึนในครอบครัว ระหว่างคนใกล้ชิด (5) การดแู ลเป็น
การปฏิบัติการ เพื่อการรักษาพยาบาล การอธิบายกิจกรรมท่ีดูแลต้องใช้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์
การพยาบาล การแพทย์ และศาสตร์อ่ืน ๆ ผู้ดูแลในทัศนะนี้จะต้องมีความรู้ และทักษะในการนา
ความรดู้ ังกล่าวมาใช้ เพ่ือให้ผู้รับบริการคงไว้ซึ่งภาวะสุขภาพที่ดี หรือพ้นจากความเจบ็ ป่วย ตลอดจน
สามารถถ่ายทอดความรู้ ให้คาปรึกษาแก่บุคคล สามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดข้ึน และมีความรู้
ความเขา้ ใจในการประสานงานเพื่อแกป้ ัญหาสุขภาพได้

แนวคิดการดูแลจึงเป็นเรอ่ื งที่เกยี่ วข้องกบั ความรับผิดชอบ ศีลธรรม จริยธรรม และ
ประเพณีปฏิบัติท่ีมีต่อกัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่า หรือผู้ท่ีต้องพ่ึงพาการดูแล
จากผู้อ่ืนท้งั ท่ีเปน็ ทางการ และไม่เปน็ ทางการ อาจได้รับค่าจ้าง หรอื แรงจูงใจอืน่ ๆ หรือไม่ได้รับค่าจา้ ง
โดยข้ึนอยู่กับสถานการณ์ ความจาเป็น และความผูกพนั ตอ่ ผู้ทตี่ ้องดแู ล ซึ่งในการศึกษานค้ี ือ การดูแล
ผู้สูงอายุท่ีประสบภาวะยากลาบาก อันเน่ืองมาจากภาวะการเจ็บป่วยเร้ือรัง การประสบอุบัติเหตุ
ความพิการต่างๆ ตลอดจนผูส้ ูงอายุทีช่ ราภาพไม่สามารถช่วยเหลือตวั เองไดใ้ นชวี ิตประจาวนั

1.3.2 แนวคิดในการดแู ลผูส้ งู อายุ
จากการทบทวนแนวคิด และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุ พบว่า โดยท่ัวไป
ไม่ได้จาแนกประเภท หรือลักษณะของการดูแลอย่างชัดเจน ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาเพ่ือให้ได้สภาพ
ของความต้องการดูแล ในขณะที่ผู้ที่ทาหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุอาจไม่ใช่คนในครัวเรือนเดียวกันกับ
ผู้สูงอายุ หรือการที่ผู้สูงอายุอยู่ร่วมกับบุตรหลานก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นผู้ดูแล แต่เป็น
ลักษณะของการเกื้อกูลกันตามธรรมชาติ และบ่อยคร้ังที่พบว่าผู้สูงอายุกลับเป็นผู้ให้การดูแลมากกว่า
เป็นผู้รบั การดูแล และประเด็นสดุ ท้ายการให้สงิ่ ของแก่ผู้สูงอายกุ ไ็ ม่ไดห้ มายความวา่ เปน็ การดูแลเสมอ
ไป การให้ที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพียงลักษณะของกตัญญูกตเวทีต่อบุพการีเท่าน้ัน ดังนั้น ในการทบทวน
แนวคิดในการดูแลผู้สูงอายุ ผู้ศึกษาจึงได้นาเสนอแนวคิดเก่ียวกับรูปแบบในการดูแลผู้สูงอายุ ระดับ
ของการดแู ล และผู้ดแู ลผสู้ ูงอายุ

1) รปู แบบในการดูแลผู้สูงอายุ
การจัดบริการในการดูแลผู้สูงอายุ จากการทบทวนเอกสาร และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง
พบว่า แต่ละประเทศจะมีบริการแตกต่างกันออกไปตามบริบททางด้านเศรษฐกิจ สังคม และ
วัฒนธรรม ซึ่งความหมายของการดูแลค่อนขา้ งจะกว้างขวางไปตามบรบิ ทที่เกี่ยวขอ้ งกับผู้สงู อายุ และ
เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน แต่สาหรับในการศึกษาครั้งน้ีการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับการ
ดูแลผูส้ ูงอายุ โดยมุง่ เน้นไปท่กี ารจัดบรกิ ารสุขภาพ และบริการสงั คมในการดแู ลผูส้ งู อายุ

๒๑
สาหรับบริการสุขภาพ (Health Service) น้ัน องค์การอนามัยโลกได้ให้ความหมาย
ไว้ว่า หมายถึง บริการที่ครอบคลุมการดาเนินการวินิจฉัย และรักษาโรค การส่งเสริม การบารุงรักษา
หรือการซ่อมแซมสุขภาพ บริการสุขภาพเป็นบริการที่มีหน้าท่ีชัดเจนในระบบของสุขภาพ ทั้ง
ผู้ใช้บริการและสาธารณะชนทั่วไป ขอบเขตการบริการครอบคลุมถึงปัจจัยนาเข้าต่างๆ ได้แก่
งบประมาณ บุคลากร เคร่ืองมือ และยารักษาโรค ต่างเป็นส่ิงสาคัญในการดาเนินการระบบบริการ
สุขภาพ ส่วนการบริการสังคม (Social Services) น้ัน คณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม
แห่งชาติ (๒๐๐๙ อ้างในศศิพัฒน์ ยอดเพชร, ๒๕๕๒: ๗ – ๘) ให้ความหมายวา่ หมายถึง หนา้ ทค่ี วาม
รบั ผิดชอบอย่างหนึ่งของรัฐบาล และเอกชนท่มี ีต่อประชาชนในการจัดสรรบริการ เพ่ือสร้างเสรมิ ชีวิต
ความเป็นอย่แู ละสวสั ดิภาพของประชาชน ดว้ ยจุดมุง่ หมายของการป้องกัน การบาบัดความเดือดร้อน
การสร้างเสริมและพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ให้สามารถดารงชีวิตอยู่ในสังคมที่มีการ
เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างเป็นสุข ตามควรแก่อัตภาพ ดังนั้น ในการทบทวนวรรณกรรมที่
เก่ียวข้องกับการจัดบริการดูแลผู้สูงอายุจะใช้นิยามบริการสุขภาพ และบริการสังคมตามความหมาย
ดังกลา่ วน้ี
จากผลการทบทวนการดูแลผู้สูงอายใุ นประเทศไทยเริ่มจากหน่วยงานดา้ นสวสั ดิการ
ของรัฐ (The Government's Welfare Institution)ซ่ึงก่อต้ังข้ึนต้ังแต่ พ.ศ. ๒๔๙๖ แต่ยังไม่มี
นโยบายประเทศด้านผู้สูงอายุ จนกระทั่งใน พ.ศ. ๒๕๒๙ จึงมีนโยบายด้านผู้สูงอายุ โดยมีการจัดทา
เป็นแผนระยะยาวเพื่อผู้สูงอายุแห่งชาติข้ึน แผนฉบับท่ี ๑ มีระยะเวลาระหว่าง พ.ศ.๒๕๒๙ - ๒๕๔๔
และแผนผู้สูงอายุแห่งชาติฉบับท่ี ๒ ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๔๕ – ๒๕๖๔ การพัฒนานโยบายของประเทศ
เก่ียวกับผู้สูงอายุของประเทศไทยได้รับเกิดจากอิทธิพลและแรงผลักดันจากองค์การสหประชาชาติ
ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๙ เป็นต้นมา ได้มีการศกึ ษาวิจัยในประเด็นตา่ งๆ ที่เกยี่ วขอ้ งกับผู้สูงอายุ ซึง่ แสดงให้
เห็นถึงสถานการณ์ ข้อเท็จจรงิ เกี่ยวกับผ้สู งู อายขุ องประเทศไทย ผลกระทบท่ีจะเกดิ ข้ึนในอนาคต เป็น
แหล่งข้อมูลสาคัญในการพัฒนาแผนผู้สูงอายุระยะยาวด้วย ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว บุคคลสาคัญ
และองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและให้ความสาคัญกับผู้สูงอายุ ได้เคลื่อนไหวให้รัฐบาลจัดตั้ง
คณะกรรมการเพ่ือผู้สูงอายุแห่งชาติข้ึน (The National Commission of the Elderly) โดยมีรอง
นายกรัฐมนตรีเปน็ ประธาน คณะกรรมการนี้ประกอบด้วยผู้แทนจากหนว่ ยงานของรัฐหลายหน่วยงาน
ภาคเอกชน และจากสถาบันการศึกษา เลขานุการของคณะกรรมการชุดนี้มาจาก ๓ หน่วยงานคือ
สานักนายกรัฐมนตรี สถาบันเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ กระทรวงสาธารณสุข กองสวัสดิการสงเคราะห์
กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม แผนผู้สูงอายุนี้ได้ร่างและสรุปแนวคิดจากการกระตุ้นและการ
เคล่ือนไหวขององค์กร/สถาบนั ท้องถิน่ (Local Institution) ในแผนผ้สู ูงอายแุ ห่งชาติฉบับท่ี ๒ น้ีแบ่ง
ออกตามเป้าหมายทางยุทธศาสตร์เป็นหลัก จาแนกออกเป็น ๕ หมวด โดยมีสาระสาคัญโดยสังเขป
ดงั ต่อไปนี้
หมวดที่ ๑ ยุทธศาสตร์ด้านการเตรียมความพร้อมของประชากรเพ่ือวัยสูงอายุที่มี
คุณภาพ เป็นเร่ืองเก่ียวกับมาตรการหลักประกันด้านรายได้เพื่อวัยสูงอายุ มาตรการการให้การศึกษา
และการเรยี นรู้ตลอดชวี ิต มาตรการการปลกุ จิตสานกึ ให้คนในสังคมตระหนกั ถึงคุณค่าและศักด์ิศรีของ
ผูส้ ูงอายุ

๒๒
หมวดท่ี ๒ ยุทธศาสตร์ด้านการส่งเสริมผู้สูงอายุ จะมีมาตรการท่ีเก่ียวข้องกับ
มาตรการส่งเสริมความรู้ ด้านการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกัน ดูแลตนเองเบ้ืองต้น การส่งเสริมการอยู่
ร่วมกันและสร้างความเข้มแข็งขององค์กรผู้สูงอายุ การส่งเสริมด้านการทางานและการหารายได้ของ
ผู้สูงอายุ มาตรการสนับสนุนผู้สูงอายุที่มีศักยภาพ การส่งเสริมสนับสนุนส่ือทุกประเภทให้มีรายการ
เพ่ือผู้สูงอายุ และสนับสนุนให้ผู้สงู อายุเข้าถึงขา่ วสารและส่ือ การส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีท่ี
อยู่อาศัยและสภาพแวดลอ้ มที่เหมาะสมและปลอดภยั
หมวดที่ ๓ ยุทธศาสตร์ด้านระบบคุ้มครองทางสังคมสาหรบั ผู้สูงอายุ ในหมวดนี้ส่วน
ใหญจ่ ะเป็นมาตรการ และกิจกรรมท่ีเกยี่ วข้องกับบรกิ ารสังคม และสุขภาพ
หมวดที่ ๔ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการเพื่อการพัฒนางานด้านผู้สูงอายุระดับชาติ
และการพัฒนาบุคลากรด้านผู้สูงอายุ จะเก่ียวกับการบริหารจัดการเพื่อการพัฒนางานด้านผู้สูงอายุ
ระดบั ชาติ และการสง่ เสริมและสนับสนนุ การพฒั นาบคุ ลากรด้านผู้สงู อายุ
หมวดที่ ๕ ยุทธศาสตร์การประมวล และพัฒนาองค์ความรู้ด้านผู้สูงอายุ และการ
ติดตามประเมินผล เป็นมาตรการท่ีเก่ียวข้องกับการดาเนินการตามแผนผู้สูงอายุแห่งชาติด้านการ
สนับสนุนและส่งเสริมให้หน่วยงานวิจัยดาเนินการประมวลและพัฒนาองค์ความรู้ด้านผู้สูงอายุท่ี
จาเป็นสาหรับการกาหนดนโยบาย และการพัฒนาการบริการหรือการดาเนินการท่ีเป็นประโยชน์แก่
ผ้สู งู อายุ
ตามแผนผู้สูงอายุแหง่ ชาติฉบับท่ี 2 กาหนดกลไกและการขับเคลื่อนตั้งแต่ระดับชาติ
โดยคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ระดับจังหวัดโดยคณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ
จังหวัด ระดับอาเภอโดยคณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุอาเภอ และระดับตาบล โดย
คณะอนุกรรมการสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุตาบล (ประชารัฐ) ทั้งน้ี การดาเนินการของหน่วยงานใน
การดูแลผู้สูงอายุที่เก่ียวข้องประกอบด้วยหลายหน่วยงาน อาทิ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความ
มั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริม
การปกครองท้องถิ่น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) กระทรวงแรงงาน สภาผู้สูงอายุ
สปสช. สสส. เป็นต้น ในการศึกษาคร้ังนี้เก่ียวกับการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ จึงขอนาเสนอบทบาทของ
หนว่ ยงานทม่ี ีหนา้ ที่โดยตรงคือ กระทรวงสาธารณสขุ
บทบาทของหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ของกระทรวง
กระทรวงสาธารณสุขประกอบด้วย 1) กรมอนามัย (สานักอนามัยผู้สูงอายุ) เป็นหน่วยงานพัฒนา
ส่งเสริมสุขภาพ ผู้สูงอายุ เพ่ือเฝ้าระวังป้องกันรักษาฟื้นฟูสุขภาพอนามัยผู้สงอายุ รวมทั้งการศึกษา
วจิ ัย เพื่อหา รูปแบบการดาเนนิ งาน เก่ียวกับการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ การจัดระบบดูแลระยะยาว
สาหรับผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพ่ึงพิง สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพและปูองกันโรคในผู้สูงอายุ การ
เยี่ยมบ้านผ้สู ูงอายุติดบ้านติดเตยี ง และส่งตอ่ เพื่อการบาบัดรกั ษา การฝึกอบรมผู้จดั การ ดูแลผสู้ ูงอายุ
(Care Manager) และฝึกอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุ (Care Giver) ในชุมชน การเตรียม ความพร้อมด้าน
สขุ ภาพสาหรับผู้เตรียมเขา้ สู่วัยสูงอายุ 2) กรมการแพทย์ มี 2 หน่วยงานหลักที่ดูแลเรื่องผู้สูงอายุ คือ
(1) สถาบันเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ เป็นหน่วยงานศึกษา วิจัย พัฒนาองค์ความรู้ ด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ
(Geriatrics) และวิทยาการผู้สูงอายุ (Gerontology) เพื่อนาไปสู่ข้อเสนอทางนโยบาย (Evidence-

๒๓
based Policy) สร้างมาตรฐานการดูแลผู้สูงอายุสร้างรูปแบบ ในการดูแลผู้สูงอายุอย่างครบวงจร
ตง้ั แต่ชุมชนเชื่อมโยงสถานพยาบาล เน้นรับมือภาวะสุขภาพ ท่ีเสื่อมถอยลงในผู้สูงอายุ โรคที่พบบ่อย
โรคท่ีทาให้เกิดภาระและความพิการสูง ซึ่งกาลังสร้าง Model หรือรูปแบบสาหรับโรงพยาบาล
พัฒนาการดูแลระยะกลาง (Intermediate Care) หรือ Sub- acute Care สาหรับผู้สูงอายุเช่น ศูนย์
ดูแลกลางวัน (Day Care) (2) สถาบันสิรินธรเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพผู้พิการ ผู้สูงอายุจานวนเกือบ
คร่ึงหน่ึงจะเป็นผู้พิการ และผู้พิการจานวนหนึ่งเป็นผู้สูงอายุ ส่งเสริมสนับสนุนการบริการ สุขภาพ
ผ้สู ูงอายุโดยการคัดกรอง/บริการทันตกรรม ประเมินภาวะสุขภาพ และส่งตอ่ เพื่อดูแลอยา่ งบูรณาการ
เชื่อมโยงจากสถานพยาบาลสู่ชุมชนท้องถิ่น 3) กรมสุขภาพจิต เป็นหน่วยงานที่วิจัยและพัฒนา
ความรู้/รูปแบบ/มาตรฐานงาน ส่งเสริมปูองกัน รักษา ฟ้ืนฟูสุขภาพจิตผู้สูงอายุ รวมถึงการสนับสนุน
และพัฒนาภาคีเครือข่ายในหน่วยบริการ ได้แก่ รพศ. รพท. รพช. รพ.สต. และภาคีเครือข่ายอ่ืนใน
ชุมชนให้สามารถจดั บริการสุขภาพจิตผสู้ ูงอายุได้อย่างมีคุณภาพ รวมถึงการสรา้ งความตระหนัก และ
ความเข้าใจต่อการดูแลสขุ ภาพจิตผสู้ ูงอายุ 4) สานักงานปลดั กระทรวงสาธารณสุข รับผดิ ชอบในการ
ใหบ้ รกิ ารสง่ เสริม สขุ ภาพ ปอ้ งกนั โรค รกั ษาพยาบาล และฟ้ืนฟูสภาพ โดยหนว่ ยบริการในระดับพ้ืนท่ี
โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สขุ ภาพระดับ ตาบล และ
สนับสนุนการดาเนินงานโดยสานักงานสาธารณสุขจังหวัด และสานักงานสาธารณสุขอาเภอ (สานัก
นโยบายและยทุ ธศาสตร์, 2560: 13-19)

สาหรับแผนผูส้ ูงอายุท่ีเก่ยี วข้องกบั การดแู ลสุขภาพโดยตรงท่ีสาคัญในทนี่ ้ีจะกล่าวถึง
คือ แผนบูรณาการพัฒนาสุขภาพกลุ่มวัยผู้สูงอายุ (พ.ศ. 2557 – 2566) ซึ่งประกอบด้วย 3
ยทุ ธศาสตร์ไดแ้ ก่

ยุทธศาสตร์ที่ 1 สนับสนุน การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันปัญหาสุขภาพท่ีพบ
บ่อยในผู้สูงอายุและการคัดกรอง Geriatric Syndromes

มาตรการท่ี 1 คดั กรองปญั หาสขุ ภาพผู้สูงอายุ ท้ังด้านรา่ งกาย/จิตใจ
เป้าหมาย 1 : การประเมินความสามารถในการทากิจวัตรประวัตร

ประจาวนั (ADL)
เป้าหมาย 2 : การคัดกรองโรคที่เป็นปัญหาสาคัญในผู้สูงอายุได้แก่ 1)

เบาหวาน 2) ความดันโลหติ สงู 3) ฟัน และ 4) สายตา
เป้าหมาย 3 : การคัดกรองกลุ่ม Geriatric Syndrome ได้แก่ 1)

ภาวะหกลม้ 2) สมรรถภาพสมอง 3) การกลนั้ ปสั สาวะ 4) การนอนไม่หลบั 5) ภาวะซมึ เศรา้ และ 6)
ข้อเขา่ เสอ่ื ม

มาตรการที่ 2 การวเิ คราะห์จาแนกกลมุ่ ผสู้ ูงอายเุ พือ่ การดูแลทเี่ หมาะสม
เป้าหมาย: มีการวิเคราะห์จาแนกกลุ่มผู้สูงอายุตามแบบคัดกรองฯ

เพ่ือใหก้ ารดูแล/สง่ ต่อ ตามสภาพปญั หา
มาตรการท่ี 3 พฒั นาระบบ/ฐานข้อมูลสุขภาพผู้สงู อายุ
เป้าหมาย: มีระบบ/โปรแกรมการลงทะเบียนการคัดกรองสุขภาพ

ผูส้ ูงอายุ

๒๔
มาตรการที่ 4 พัฒนาผู้สูงอายุ ให้มีทักษะในการดูแลสุขภาพตนเอง และ
สนับสนุนกิจกรรมการปรบั เปลยี่ นพฤติกรรมสุขภาพผูส้ งู อายุ

เป้าหมายที่ 4.1: เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและผู้เกี่ยวข้องทุกระดับ ได้รับ
การพฒั นาองค์ความรู้เพ่อื นาไปถ่ายทอดให้เกิดประโยชน์สงู สุดแกผ่ สู้ ูงอายุ

เป้าหมายท่ี 4.2: ผู้สูงอายุมีทักษะในการดูแลตนเองท้ังด้านร่างกาย
และจติ ใจ สามารถจัดการสุขภาวะตนเองได้ และมีส่วนร่วมในกจิ กรรมชมุ ชน

ยทุ ธศาสตรท์ ่ี 2 การพัฒนาระบบบริการสุขภาพที่มีคุณภาพเชื่อมโยงจากสถาน
บรกิ ารส่ชู ุมชน

มาตรการท่ี 1 พัฒนาระบบบริการผู้สูงอายุที่มีคุณภาพสาหรับคลินิก
ผ้สู งู อายุในโรงพยาบาล

เป้าหมายท่ี 1: มีบริการดูแลรักษา/ป้องกันโรคที่คลินิกผู้สูงอายุใน
โรงพยาบาล

เป้าหมายที่ 2: คลินิกผู้สูงอายุ เป็นศูนย์ข้อมูลสุขภาพผู้สูงอายุ (จาก
การคดั กรอง ของระดับ Primary)

เป้าหมายท่ี 3: มีการส่งต่อผู้สูงอายุที่ต้องดูแลหรือปรับเปล่ียน
พฤติกรรม รวมท้ังการส่งเสริมปอ้ งกนั /เฝา้ ระวังโรค

มาตรการที่ 2 การเพ่ิมประสิทธิภาพในการรับ-ส่งต่อผู้สูงอายุจากชุมชนสู่
สถานพยาบาล เพ่ือการดูแล รักษา และฟ้นื ฟสู ภาพ ตามศักยภาพของสถานพยาบาลแตล่ ะระดับ

ยุทธศาสตร์ ที่ 3 ส่งเสริมสนับสนุนความเข้มแข็งการมีส่วนร่วมของ ครอบครัว
ชมุ ชน และทอ้ งถิ่น ในการสรา้ งเสริมและดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ

มาตรการที่ 1 สง่ เสริมให้ชุมชน/ท้องถ่นิ มรี ะบบการดแู ลผู้สงู อายรุ ะยะยาว
เป้าหมายท่ี 1: ชมุ ชน/ท้องถนิ่ มกี ารประเมินผสู้ ูงอายุระยะยาว
เป้าหมายท่ี 2: ชุมชน/ท้องถ่ินมีการดูแลผู้สูงอายุที่ต้องได้รับการดูแล

ระยะยาวตามสภาพปญั หา
เป้าหมายที่ 3: ชุมชน/ท้องถิ่นมีการส่งต่อผู้สูงอายุท่ีต้องได้รับการดูแล

ระยะยาวตามสภาพปญั หา
มาตรการท่ี 2 ชุมชนท้องถ่ินมีการส่งเสริมสขุ ภาพและปรบั สภาพแวดลอ้ มที่

เอื้อตอ่ ผสู้ งู อายุ
เป้าหมายท่ี 1: ผ้สู ูงอายทุ ุกกลุ่ม (กลุ่มติดสังคม/ติดบ้าน / ติดเตียง) ใน

ชุมชนได้รับการส่งเสริมสุขภาพและ ดูแลอย่างท่ัวถึงและเท่าเทียมตามกลุ่มศักยภาพและบริบทของ
ชมุ ชน

เป้าหมายที่ 2: ส่งเสริมสนับสนุนให้ครอบครัว ชุมชน ท้องถิ่นมีส่วน
รว่ มในการดแู ลผสู้ ูงอายุ

สาหรับการดาเนินงานตามยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัยได้
กาหนดรูปแบบการดาเนินงานในแต่ละระดับ โดยรูปแบบการดาเนินงานดูแลผู้สูงอายุระดับจังหวัด

๒๕
(Provincial Model) (โสภณ เมฆธน, ในเอกชัย เพียรศรีวัชรา, 2015: Online)ได้กาหนดรูปแบบ
การดาเนินงานแบบบูรณาการตามแนวคิดจังหวัดเข้มแข็ง ประเทศเข้มแข็ง ประกอบด้วย 1) รูปแบบ
บริการ กาหนดให้ผู้สูงอายุต้องเข้าถึงบริการภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์ 2) ด้านกาลังคน จะต้องมี
แนวทาง (๑) ผู้ดูแลผู้สูงอายุท่ีเป็นทางการ (Formal Caregiver) /ไม่เป็นทางการ (Informal
Caregiver ) ได้รับการพัฒนา และ (๒) พิจารณาสัดส่วนผู้ดูแลผู้สูงอายุเมื่อเทียบกับจานวนผู้สูงอายุ
ท้ังหมด 3) ระบบการเงินการคลังท่ีต้องดาเนินการคือ (๑) ท้องถิ่น ชุมชน มีระบบการเงิน/กองทุนใน
การดแู ลผู้สงู อายุ และ (๒) ความคุ้มค่า คุ้มทุน รู้Unite Cost ในการดูแล 4) ระบบการบริหารจัดการ
ควรต้องดาเนินการ (๑) มีระบบเช่ือมต่อในการให้คาปรึกษาหรือการส่งต่อ (Consultation and
Referral System) ระหว่างชุมชน /ครอบครัว กับสถานพยาบาล และ (๒) ท้องถิ่น ชุมชน มี Care
Manager / Care Coordinator บริหารจัดการ การดูแลผู้สูงอายุในพ้ืนที่ ชุมชน 5) การส่ือสาร
สาธารณะท่ีเก่ียวข้องกับผู้สูงอายุ /ครอบครัว / อาสาสมัคร การรับรู้ข้อมูล ข่าวสาร และ 6) ควบคุม
มาตรฐานและอภิบาลระบบ อาทิเช่น การพัฒนาหลักสูตรและฝึกอบรม ควบคุมมาตรฐานผู้ดูแล
ผู้สูงอายุในบ้านและชุมชน (Care Manager and Care Giver) การพัฒนาเทคโนโลยี/ นวัตกรรม/
สารสนเทศพัฒนาระบบการส่งเสริมสุขภาพดูแลผู้สูงอายุท่ีบ้านและการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะฉุกเฉิน
และประสบภัยพิบัติ เป็นต้น โดยมีเป้าหมายเพ่ือให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่ในสังคมอย่างมี
ศักดศ์ิ รี เข้าถงึ บรกิ ารอยา่ งถ้วนหน้าและเท่าเทยี ม ตามแผนภาพที่ 2.1

ควบคมุ มาตรฐานและอภิบาลระบบ

แผนภาพที่ 2.1 รูปแบบการดาเนนิ งานดแู ลผ้สู ูงอายรุ ะดับจงั หวดั (Provincial Model)
ทม่ี า: นายแพทย์โสภณ เมฆธน.2015. “นโยบาย ยุทธศาสตร์ และการขบั เคลือ่ นการพฒั นา

สขุ ภาพผู้สงู อายุไทย”.
นอกจากแผนผู้สูงอายุแห่งชาติฉบับท่ี ๒ (๒๕๔๕ – ๒๕๖๔) แล้วประเทศไทยยังมี

นโยบายการดูแลผู้สูงอายุท่ีเก่ียวข้องอีกหลายนโยบาย เช่น พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. ๒๕๔๖ คา

๒๖
แถลงนโยบายของ คณะรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่แถลงต่อสภานิติ
บญั ญัตแิ ห่งชาติ เม่อื วนั ศุกรท์ ่ี 12 กันยายน 2557 โดยนโยบายด้านผสู้ ูงอายุถูกกาหนดไวใ้ นนโยบาย
ข้อ 3 การลดความเหล่ือมลา้ ของสังคมและการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ “ข้อ 3.4 เตรียม
ความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เพื่อส่งเสริมคณุ ภาพชีวิต และการมีงานหรือกิจกรรมท่ีเหมาะสม เพ่ือ
สร้างสรรค์และไม่ก่อภาระต่อสังคมในอนาคต โดยจัดเตรียมระบบการดูแลในบ้าน สถานพักฟื้น และ
โรงพยาบาล ท่ีเป็นความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน และครอบครัว รวมท้ังพัฒนาระบบ
การเงนิ การคลงั สาหรบั การดูแลผสู้ งู อายุ”

จากการทบทวนแนวคิดในการดูแลผู้สูงอายุของประเทศต่างๆ และประเทศไทยจะ
พบว่า โดยส่วนมากแล้วการดูแลผู้สูงอายุจะเก่ียวกับสองแนวคดิ หลกั คือ แนวคิดแรกเป็นการส่งเสริม
ให้ผู้สูงอายุมีการช่วยเหลือตนเองทั้งด้านรายได้ การดารงชีพ การดูแลสุขภาพตนเอง ส่วนแนวคิดที่
สองคือ การดูแลผู้สูงอายุโดยผู้เกี่ยวข้อง ซ่ึงจะประกอบด้วย การดูแลโดยครอบครัวจากบุตรหลาน
หรือญาติใกล้ชิดและอาจจะมีบริการเยี่ยมบ้านโดยทีมผู้ประกอบวิชาชีพทั้งทางด้านการแพทย์ และ
การสังคมสงเคราะห์ การดูแลจากอาสาสมัคร ซ่ึงจะมีท้ังท่ีเป็นอาสาสมัครที่ไม่ได้รับค่าตอบแทน และ
อาสาสมัครท่ีได้รับค่าตอบแทน การดูแลจากท้องถ่ิน หรือจากคน หรือสถาบันในชุมชน บริการน้ีจะ
เป็นบริการถัดมาจากการดูแลโดยครอบครัว และสุดท้ายเป็นบริการการดูแลผู้สูงอายุในสถานบริการ
สาหรับบริการประเภทนี้จัดขึ้นทั้งองค์กรภาครัฐ และเอกชน บริการท่ีจัดข้ึนส่วนใหญ่เป็นลักษณะพัก
คา้ งคืนสาหรับการดแู ลระยะยาว อย่างไรก็ตามบริการต่างๆ ท่ีจัดให้มีข้นึ มีความเหมาะสมกบั ผู้สูงอายุ
ตามความสามารถในการทากิจกรรมต่างๆ ของผู้สูงอายุ หรือภาวะพ่ึงพา ซึ่งจะทาให้การดูแลมีระดับ
ของการดูแลแตกต่างกันออกไป ในการศึกษาคร้ังน้ีกรอบของการวิจัยจึงกาหนดให้มีการศึกษาและ
ทบทวนการบริหารจัดการการดูแลผู้สูงอายขุ องจังหวัดสุพรรณบุรีตามแนวคิดในการดูแลผู้สูงอายวุ ่ามี
ความเหมาะสมกบั สภาพปญั หา และความต้องการของผูส้ งู อายุหรือไม่ อย่างไร

๒) ระดบั ของการดูแล
ในการดูแลผู้สูงอายุ มีการจาแนกการดูแลไปตามระดับของการพ่ึงพา กล่าวคือ ถ้า
ผู้สูงอายุสามารถช่วยเหลอื ตนเองได้ทุกอยา่ ง ไปไหนมาไหนด้วยตนเองได้ การดูแลก็จะเป็นอีกรูปแบบ
หน่ึง แต่ถ้าหากผู้สูงอายุจาเป็นต้องพึ่งพาผู้อ่ืนในการทากิจกรรมต่างๆ ก็จะมีรูปแบบอีกรูปแบบหน่ึง
ระดับของการดูแลเป็นการจาแนกเพื่อจัดบริการให้มีความเหมาะสม และเป็นไปตามมาตรฐานการ
ดูแลผู้สูงอายุในแต่ละระดับของความต้องการ หรอื ความจาเป็นของการช่วยเหลอื ซึ่งในประเทศต่างๆ
มีการแบ่งระดับการดูแลแตกต่างกันออกไป บางประเทศมีการแบ่งการดูแลผู้สูงอายุตามระดับการ
ช่วยเหลือพึ่งพา เช่น ประเทศสิงคโปร์ แบ่งระดับการดูแลออกเป็น ๔ ระดับ ตามระดับการทาหน้าที่
ของร่างกาย คือ ระดับท่ี ๑ ไม่มีภาวะพึ่งพิง สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ระดับที่ ๒ ต้องการการ
ช่วยเหลือเล็กน้อย ระดับที่ ๓ ต้องการการช่วยเหลือปานกลาง อาจมีภาวะนั่งรถเข็น และระดับที่ ๔
ต้องการการช่วยเหลือทั้งหมด อาจมีภาวะนอนติดเตียง สว่ นประเทศญี่ปุ่น แบ่งการดูแลเป็น ๒ ระดับ
การช่วยเหลือ และ ๕ ระดับการดูแล ส่วนประเทศเยอรมนี แบ่งเป็น ๓ ระดับตามความช่วยเหลือ
เรอื่ งรา่ งกาย การรับประทานอาหาร การเคลอ่ื นย้าย และการทางานบา้ น

๒๗
ในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยกระทรวงสาธารณสุข แบ่งระดับการดูแล
ผู้สูงอายุตามลาดับขั้นของทักษะการให้บริการ ซึ่งแบ่งออกเป็น ๓ ระดับ คือ ๑) ระดับการป้องกัน
(Protective) ๒) ระดบั ปานกลาง (Intermediate) และ ๓) ระดบั ท่ีตอ้ งใชท้ ักษะ (Skilled) รัฐโอไฮโอ
นิยามการดูแลที่ต้องใช้ทักษะว่า เป็นการดูแลที่แต่ละคนได้รับบริการดูแลพยาบาลที่ต้องมีทักษะ
(Skilled Nursing Service) อย่างน้อย ๑ อย่างเป็นประจา ๗ วันต่อสัปดาห์ และ/หรือบริการฟื้นฟู
สภาพท่ีต้องมีทักษะ (Skilled Rehabilitation Service) อย่างนอ้ ย ๕ วันต่อสปั ดาห์ โดยผู้รบั บริการ
จะตอ้ งมีคาสั่งจากแพทย์ และบริการนั้นจดั ให้เนื่องมาจากภาวะท่ีไม่คงท่แี ละความซับซอ้ นของบริการ
ท่ีสั่งให้หรือมีภาวะแทรกซ้อนทางการแพทย์ร่วมด้วย (José-Luis Fernández et al., 2009 ใน
สัมฤทธิ์ ศรธี ารงค์สวสั ดิ์ และกนิษฐา บญุ ธรรมเจรญิ , ๒๕๕๓: ๒๑)
สาหรับประเทศไทย กรมอนามัย (๒๕๕๓: ๔๙) ได้แบ่งระดับการดูแลผู้สูงอายุตาม
ศักยภาพของผู้สูงอายุ โดยใช้แบบประเมิน (Activities of Daily Living: ADL) จาแนกผู้สูงอายุตาม
คุณลักษณะด้านสุขภาพ การจาแนกกลุ่มจะเน้นที่ ความสามารถในการทาหน้าท่ี (Functional
Ability) กลุ่มอาการของผู้สูงอายุ (Geriatric Syndrome) ที่สาคัญ โรค และการเจบ็ ป่วย (Disease &
Illness) อันเป็นสิ่งกาหนดภาวะสุขภาพตามหลักวิชาการที่สาคัญ ส่วนคุณลักษณะทางสังคม ให้
ความสาคัญกับประเด็นด้านสังคมท่ีเก่ียวเนื่องกับการจัดบริการสุขภาพ คือ การมีส่วนร่วมกับสังคม
และการประสบปัญหา ทุกข์ยาก เดือดร้อน ในด้านครอบครัว/สังคม เช่น ขาดผู้ดูแล (ถูกทอดท้ิง)
ได้รับการดูแลไม่เหมาะสม ท้ังท่ีอาจเกิดเป็นครั้งคราวหรือระยะยาว ด้านเศรษฐกิจ เช่น ยากจน ด้าน
สิทธิ/กฎหมาย และ ด้านความเป็นอยู่/สภาพแวดล้อม ในการจัดกลุ่มผู้สูงอายุประเภทนี้การจาแนก
กลมุ่ เกณฑ์ในการจดั แบ่งผูส้ ูงอายจุ ะถูกจัดเปน็ ๓ กลุ่ม คือ กลุม่ ท่ี ๑ ผู้สงู อายุที่พ่ึงตนเองได้ ช่วยเหลือ
ผู้อ่ืน ชุมชนและสังคมได้ เป็นกลุ่มผู้สูงอายุกลุ่มท่ีช่วยตนเองได้ดี (ผู้สูงอายุกลุ่มติดสังคม) การดูแล
มงุ่ เน้นการสง่ เสรมิ สุขภาพ และปอ้ งกนั โรค ยืดระยะเวลาการเจบ็ ป่วยเร้ือรังและภาวะทพุ พลภาพ โดย
การสร้างกิจกรรมชมรมผู้สูงอายุ และกิจกรรมจิตอาสา กลุ่มที่ ๒ ผู้สูงอายุที่ดูแลตนเองได้บ้าง
ช่วยเหลือตนเองได้บ้าง (ผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน) การดูแลมุ่งเน้นกิจกรรมการเข้าถึงบริการสุขภาพ การ
ดูแลที่บ้าน (Home Care) และการดูแลสุขภาพท่ีบ้าน (Home Health Care) และกลุ่มท่ี๓ ผู้สูงอายุ
กลุ่มที่พึ่งตนเองไม่ได้ พิการ หรือทุพพลภาพ (ผู้สูงอายุกลุ่มติดเตียง) มุ่งเน้นลดภาวะการเจ็บป่วย
ซ้าซ้อน และมีผู้ดูแล เน้นการดูแลการดูแลท่ีบ้าน (Home Care) และการดูแลสุขภาพท่ีบ้าน (Home
Health Care) โดยเจ้าหน้าที่ และการฟน้ื ฟูสขุ ภาพ รวมถึงกิจกรรมบาบัด
3) ผดู้ แู ลผสู้ ูงอายุ และกิจกรรมการดูแล
ในการดูแลผู้สูงอายุ คาว่า “การดูแล” อาจพิจารณาได้สองลักษณะคือ “การดูแล
จัดการ” (Care Management) และ “การดูแลช่วยเหลือ” (Care Providing) โดยท่ีการดูแลจัดการ
หมายถึง การจัดการกิจต่างๆ แทนผู้สูงอายุท้ังที่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้สูงอายุยังสามารถจัดการได้
ดว้ ยตนเอง ส่วนการดูแลช่วยเหลือ หมายถงึ การปฏิบัติกิจทดแทน เน่ืองจากผู้สูงอายุกระทาเองไม่ได้
หรือเป็นการช่วยเหลือกิจบางส่วน หรือเป็นการช่วยเฝ้าระวัง ซึ่งมีความจาเป็นต่อการป้องกันไม่ให้
เกิดผลเสีย หรืออุบัติเหตุข้ึน (สุทธิชัย จิตะพันธ์กุล และคณะ, ๒๕๔๔: ๖ – ๒) ดังน้ัน ในการทบทวน
เกี่ยวกับรูปแบบ และกิจกรรมการดูแลผู้สูงอายุจะพบว่า สว่ นใหญ่ผลการศึกษาจะกล่าวถึงการดูแลใน

๒๘
ลักษณะรวมๆกัน สาหรับรูปแบบ และกิจกรรมการดูแลจากแนวคิดขององค์การอนามัยโลก ได้มีการ
จัดประเภทของบริการดูแลระยะยาวของประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย โดยจาแนกบริการด้าน
สุขภาพและสังคมสาหรับผู้สูงอายุเป็น ๒ รูปแบบ ได้แก่ การดูแลในสถาบัน (Institutional Care)
และบริการในชุมชน (Community Care) (กรมอนามัย, ๒๕๕๓: ๓๒ – ๓๕) อย่างไรก็ดีการจาแนก
ผู้ดูแลมักจะเป็นไปตามรูปแบบ และลักษณะกิจกรรมของการดูแล สาหรับมิติท่ีพบได้บ่อยในการ
นาเสนอผลการศึกษาตา่ งๆ ได้แก่

(1) การให้ความหมายผู้ดูแลตามรูปแบบของการดูแล ได้แก่ การดูแลในสถาบัน
(Institutional Care) แบ่งออกเป็นการบริการด้านสุขภาพ และการบริการด้านสังคม ในส่วนการ
บริการสุขภาพในสถาบัน จะมีบริการท้ังของภาครัฐ และเอกชน สถานบริบาลผู้สูงอายุ (Nursing
Home) และศูนย์ หรือสถานบริการสุขภาพ และสาหรับการบริการสังคมในสถาบัน ส่วนใหญ่เป็นการ
ให้บริการโดยหน่วยงานภาครัฐ โดยมีการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุหลายด้าน เช่น สถานสงเคราะห์
คนชรา (Elderly Home Care) บริการอุปการะผู้สูงอายุท่ีประสบปัญหาความเดือดร้อน การ
สงเคราะห์เครื่องอุปโภค บริโภค เคร่ืองช่วยความพิการ และอื่นๆ และการดูแลโดยชุมชน
(Community Care) แนวคิดการใช้ชุมชนเป็นฐานการให้บรกิ าร มุ่งใช้ชุมชน และทรัพยากรในชุมชน
เป็นกลไกสร้างจิตสานึกร่วมของประชาชนดาเนินงานเพ่ือชุมชน โดยชุมชน ซ่ึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้าง
จิตสานึก และพัฒนาศักยภาพคนในชุมชน เพ่ือให้เกิดการแก้ปัญหา และพัฒนาบริการต่างๆ โดย
ชุมชน และระดมความร่วมมือด้วยการประสานงานระหว่างบุคลากรภายนอกชุมชน และบุคลากร
ภายในชุมชน เปา้ หมายหลักของการดูแล เพอ่ื ให้ผู้สูงอายุยังคงอาศัยอยภู่ ายในบ้าน หรือในชมุ ชนของ
ตนเองจนถึงวาระสุดท้าย ภายใต้การมีคุณภาพชีวิตที่ดี การดูแลโดยชุมชนแบ่งออกเป็นการบริการ
ด้านสุขภาพในชุมชน ซึ่งจะมีทั้งบริการติดตามเยี่ยมบ้าน และการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริม
สุขภาพผู้สูงอายุ และการบริการด้านสังคมในชุมชน ซึ่งจะมีบริการทั้งภายในศูนย์ในลักษณะ
ศนู ย์บริการกลางวัน ( Day Care Center ) บริการเคล่ือนที่ สวัสดิการฌาปณกิจประจาหมู่บ้าน และ
ดาเนินงานในรปู แบบอ่นื ๆ โดยชมุ ชนริเรมิ่ (ศศิพัฒน์ ยอดเพชร, ๒๕๔๗: ๒๐, ๒๖ -๒๘)

สาหรับกิจกรรมในการดูแลจะมีตั้งแต่การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การ
บาบัดรักษา จนถึงการฟื้นฟูสมรรถภาพ บริการท่ีจัดให้มีขึ้น เช่น การดูแลสุขภาพร่างกายทั่วๆ ไป
บริการนันทนาการและสังสรรค์ การศึกษาและวัฒนธรรม สุขภาพอนามัย พุทธศาสนา และพัฒนา
สังคม และบริการดูแลเยี่ยมเยียนช่วยเหลือ ส่วนใหญ่ผู้ที่ดูแลจะเป็นลักษณะไม่เป็นทางการ
(Informal Caregiver) ซึ่งอาจจะเป็นญาติ เพื่อน และผู้เก่ียวข้องอ่ืนๆ ที่เป็นกาลังสาคัญในการดูแล
ผู้สูงอายุท่ีตอ้ งการพ่งึ พา สาหรับการดูแลในชุมชนน้ีนกั วชิ าการบางท่านได้ให้ความหมายรวมไปถึงการ
ดูแลในครอบครัว (Home Care) ซึ่งให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ไม่สามารถไปใช้บริการที่จัดข้ึนใน
หน่วยงานต่างๆ ได้เป็นการกระตุ้นให้ผู้สูงอายุ และครอบครัวใช้ศักยภาพท่ีมีอยู่ และสัมพันธภาพท่ีดี
ระหว่างกันในการดูแลผู้สูงอายุ โดยมีเป้าหมายเพ่ือส่งเสริมความเป็นอยู่ท่ีดี ความปลอดภัย มั่นคง
และมคี วามรู้สกึ ทด่ี ที ั้งทางอารมณ์ และจิตใจ

อย่างไรก็ตามนอกจากบริการในรูปแบบทั้งสอง บางคร้ังยังมีการจาแนกบริการ
ออกเป็นการดูแลในสถานการณ์พเิ ศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผ้สู ูงอายทุ ่ีเจบ็ ป่วย และเขา้ สู่ระยะสดุ ท้าย

๒๙
ของชีวิต เพื่อให้เข้าสู่ภาวะการตายอย่างมีศักด์ิศรี การดูแลในระยะสุดท้ายเป็นการจัดบริการสาหรับ
ผสู้ ูงอายุในระยะสุดท้ายของชีวิต โดยให้ความสาคัญในการควบคมุ บรรเทาความเจบ็ ปวดมากกว่าการ
รกั ษาโรค ให้ผู้สูงอายุสามารถเผชิญกับความตายได้อย่างมั่นใจ มศี ักดิ์ศรี โดยปราศจากความเจ็บปวด
และเศร้าเสียใจ ลดความทุกข์ทรมานในระยะสุดท้ายของชีวิต โดยตอบสนองความต้องการทาง
อารมณ์ สงั คม จิตใจ เพือ่ ใหผ้ สู้ ูงอายมุ คี วามสขุ ท่ามกลางญาติมติ ร และสภาพแวดลอ้ มที่เหมาะสม

(2) การให้ความหมายผู้ดูแลตามมิติความรับผิดชอบต่องานดูแล ในมิติน้ีเป็น
การพิจารณาว่า บุคคลนั้นได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ หรือมีภารกิจหลักในการดูแลผู้สูงอายุ หรือผู้ที่อยู่ใน
ภาวะพึ่งพิง ผู้ดูแลประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเป็นลูกหลาน หรือญาติจะแบ่งเป็นผู้ดูแลหลัก (Primary
Caregiver) และผู้ดูแลรอง (Secondary Caregiver) สาหรับผู้ดูแลหลัก จะหมายถึง ผู้ทาหน้าที่หลัก
ในการปฏิบัติกิจกรรมดูแลท่ีกระทากับผู้สูงอายุโดยตรง และให้เวลาดูแลอย่างสม่าเสมอ ตอ่ เน่อื ง เช่น
การอาบน้า ทาความสะอาดรา่ งกาย ดูแลสุขวทิ ยาส่วนบุคคล ส่วนผู้ดูแลรอง จะหมายถึง บุคคลอ่ืนที่
อยู่ในเครือข่ายของการดูแล มีหน้าที่จัดการด้านอ่ืน ซ่ึงไม่ใช่ที่กระทาต่อผู้สูงอายุโดยตรง เช่น การทา
ธุระแทนให้ในโอกาสต่างๆ หรืออาจให้การดูแลโดยตรงเป็นครั้งคราว (Horowitz, 1985 และ จอม
สุวรรณโณ, ๒๕๔๑ ในศศิพัฒน์ ยอดเพชร, ๒๕๔๗: ๑๙)

(3) การให้ความหมายผู้ดูแลตามมิติของการดาเนินการที่เป็นประโยชน์ต่อ
บุคคลอื่น เป็นการให้ความหมายการดูแลของผู้ดูแลตามความสามารถในการช่วยเหลือผู้อ่ืน ซึ่งผู้ดูแล
ตามนัยนี้จะมีความหมายกว้าง และครอบคลุมตั้งแต่บุคคลที่เป็นญาติ บุคคลในครัวเรือน เพื่อนบ้าน
กลุ่มคน หรือองค์กรที่ภาครัฐ และเอกชน โดยรูปแบบการให้บริการจะเป็นท้ังแบบบริการในสถาบัน
และบริการในชุมชน และครอบครัว ซ่ึงผู้ดูแลจะเป็นได้ต้ังแต่บุคลากรทางการแพทย์ นักสังคม
สงเคราะห์ จนถึงอาสาสมัคร คนในชุมชน และญาติ กิจกรรมการให้บริการจะเป็นการดูแลเพื่อ
ตอบสนองความต้องการข้ันพ้ืนฐานทั่วไป จนถึงกิจกรรมที่จัดข้ึนเพ่ือเป็นประโยชน์ อาทิเช่น การ
ส่งเสรมิ สขุ ภาพ และการคงไว้ซึ่งมีการมสี ุขภาพ (ศริ วิ รรณ ศริ ิบญุ , ในสทุ ธิชยั จติ ะพนั ธ์ และคณะ, ๒๕๔๔)

นอกจากการให้ความหมายใน ๓ มิติที่กล่าวมาแล้ว ยังมีการแบ่งผู้ดูแลตามมิติ
และกิจกรรมการดูแลอื่นๆ ด้วย เช่น การให้การช่วยเหลือกับบุคคลท่ีต้องพ่ึงพิงผู้อื่น และมิติ
ความสัมพันธ์ในครอบครัว อย่างไรก็ดีความหมายของผู้ดูแลก็สามารถจาแนกได้เป็นผู้ดูแลท่ีให้การ
ดูแลแบบเป็นทางการโดยสถาบัน และการดูแลโดยชุมชนและครอบครัว โดยญาติ คนในชุมชน หรือ
อาสาสมัคร และกิจกรรมการดูแลจะเปน็ ลักษณะของการดูแลโดยตรงในการช่วยเหลือหรือทากิจกรรม
ให้โดยตรง และการดแู ลโดยการเป็นธุระจัดการเร่อื งต่างๆ ให้

จากแนวคิดเก่ียวกับรูปแบบ ระดับการดูแล ผู้ดูแลผู้สูงอายุ และกิจกรรมการให้การ
ดูแลผู้สูงอายุจะเห็นว่า บริการในการดูแลผู้สูงอายุจะมีความครอบคลุมทั้งจากครอบครัว การดูแลใน
ชุมชน และการดูแลในสถาบัน นอกจากนี้ยังได้มีการขยายแนวคิดของการดูแลไปถึงการดูแลระยะ
สุดท้าย ซ่ึงเป็นการดูแลในรูปแบบพิเศษ เพื่อให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน และการตระหนักถึง
ศักดิ์ศรีของผู้สูงอายุ สาหรับการดาเนินที่เป็นรูปธรรมในระดับจังหวัดอิงกรอบแนวคิดการดาเนินงาน
จังหวัดเข้มแข็ง ประเทศเข้มแข็ง ตามท่ีกรมอนามัยเสนอรูปแบบการดาเนินงานดูแลผู้สูงอายุระดับ
จงั หวัด (Provincial Model) ในการศึกษาคร้ังน้ีจึงมุ่งเน้นไปท่ีการนาแนวคิดดังกล่าวมาปฏิบัติให้เป็น

๓๐

รูปธรรม โดยกาหนดศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และอุปสรรคของการดาเนินงานตามตัวแบบเพื่อ
ค้นหาแนวทางการเพ่ิมประสิทธิภาพรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ จังหวัดสุพรรณบุรี
และจัดทากรอบข้อเสนอในการเพิ่มประสิทธิภาพรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ของ
จงั หวดั สพุ รรณบรุ ีท่ีเหมาะสมต่อไป

๒. แนวคิดในการวเิ คราะห์ปัจจัยแวดล้อมท่ผี ลตอ่ การดาเนินงานดูแลสุขภาพผสู้ งู อายุ

การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมเป็นกระบวนการที่สาคัญในการจัดกาหนดแผน หรือรูปแบบการ
ดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ โดยใช้หลักการวิเคราะห์ SWOT (SWOT Analysis) เป็นเครื่องมือใน
การประเมินสถานการณ์ โดยการวิเคราะห์สถานการณ์ด้านจุดแข็ง (Strengths) และจุดอ่อน
(Weaknesses) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน นอกจากน้ียังต้องวเิ คราะหส์ ภาพแวดล้อม
ภายนอกองค์กรซ่ึงเป็นการวิเคราะห์สภาพการณ์ต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบดูว่าสถานการณ์ใดบ้างท่ีเป็น
โอกาส (Opportunities) และสถานการณ์ใดบ้างที่เป็นภัยคุกคาม (Threats) ท่ีมีอิทธิพลกับการ
ดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ซึ่งผู้วิจัยได้ประยุกต์ใช้แนวคิดในการวิเคราะห์ปัจจัยภายใน และ
ปจั จยั ภายนอกดังต่อไปน้ี

๒.1 การวิเคราะห์ปัจจัยภายใน: แนวคิดเก่ียวกับระบบสุขภาพขององค์การอนามัยโลก
(The WHO Six Building Blocks of Health System)

ในการวิเคราะห์ปัจจัยภายใน เป็นการวิเคราะห์จุดแข็ง (Strengths) และจุดอ่อน
(Weaknesses) เพ่ือพิจารณาว่าการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในอดีตท่ีผ่านมาว่ามีจุดแข็งและ
จุดอ่อนอะไรบ้าง และประเด็นใดมีอิทธิพลต่อการดาเนินงาน โดยอาศัยแนวคิดเกี่ยวกับระบบสุขภาพ
ขององค์การอนามัยโลก ภายใต้การมองถึงระบบสุขภาพว่าประกอบด้วยองค์กรทุกองค์กร คน และ
การปฏิบัติการด้านการส่งเสริมสุขภาพ การฟ้ืนฟู หรือการธารงรักษาไว้ซ่ึงสุขภาพ รวมทั้งความ
พยายามที่จะควบคุมปัจจัยที่เป็นตัวกาหนดภาวะสุขภาพ เชน่ เดียวกันกบั การมกี ิจกรรมที่จะช่วยแก้ไข
หรือปรับปรุงสุขภาพ โดยจุดมุ่งหมาย หรือผลลัพธ์ที่สาคัญของระบบสุขภาพก็คือ การดูแลปรับปรุง
สุขภาพ และสร้างความเสมอภาค และเท่าเทียมกันด้านสุขภาพ เพ่ือตอบสนองต่อความต้องการของ
ประชาชน ในรูปแบบของการสร้างความเป็นธรรมทางด้านการเงินด้านสุขภาพ เพ่ือก่อให้เกิดผลดีและ
ประสิทธิภาพ และใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมีเป้าหมายแทรกกลางของผลลัพธ์
สุขภาพคือ การเข้าถึงบริการสุขภาพ ความครอบคลุมของบริการ รวมทั้งการสร้างความมั่นใจใน
คุณภาพ และความปลอดภัยของบริการน้ันๆ (World Health Organization, 2007: 2) กรอบ
แนวคิดเก่ียวกับระบบบริการสุขภาพขององค์การอนามัยโลก (The WHO Six Building Blocks of
Health System) (WHO, 2010: vi-vii) นี้จึงเป็นการระบุผลลัพธข์ องระบบสขุ ภาพทีส่ าคัญ คือ การ
เข้าถึง ความครอบคลุม คุณภาพ และความปลอดภัย และผลสัมฤทธ์ิหรือผลลัพธ์ (Outcomes) ซึ่ง
การจัดการระบบสุขภาพนอกจากจะทาให้ประชาชนมีสุขภาพดีขึ้นแล้ว ยังต้องมีประสิทธิภาพ สร้าง
ความเป็นธรรม ปกป้องคมุ้ ครองความเสี่ยงท้ังด้านสังคมและการเงิน และสามารถตอบสนองต่อความ

๓๑

ต้องการของประชาชนด้วย ท้ังนี้ระบบสุขภาพตามแนวคิดขององค์การอนามัยโลกจะบรรลุถึง
เป้าหมายได้จะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบพื้นฐานอย่างน้อย ๖ ประการ (Six Building Blocks)
ได้แก่ ๑) การให้บริการ ๒) บุคลากรด้านสุขภาพ ๓) สารสนเทศ ๔) ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ วัคซีน
และเทคโนโลยี ๕) การเงิน ๖) ภาวะการนาและการอภิบาล (พงษ์พิสุทธ์ิ จงอุดมสุข, ผศ.ดร.จรวยพร
ศรีศศลกั ษณ์ และ สายศริ ิ ด่านวฒั นะ,๒๕๕๔: ๑๒) (แผนภาพท่ี 2.2)

System Building Blocks Overall Goals/ Outcomes

Service Delivery Access Improved Health (Level and
Health Workforce Coverage Responsiveness
Information Social and Financial Risk Protection
Medical Products, Vaccines Quality Improved Efficiency
&Technologies Safety

Financing
Leadership/ Governance

แผนภาพ 2.2 กรอบแนวคิดระบบสขุ ภาพขององค์การอนามัยโลก (The WHO Health
System Framework)

ทม่ี า: WHO (2007: 3)

ในการวิเคราะห์สภาพ ปัญหา และอุปสรรคของรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ
ของจังหวัดสุพรรณบุรี ผู้วิจัยได้ประยุกต์ใช้แนวคิดเก่ียวกับระบบบริการสุขภาพขององค์การอนามัย
โลกประกอบกับการทบทวนแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพผู้สงู อายุ และ
ตัวแบบดาเนินงานดูแลผู้สูงอายุระดับจังหวัด (Provincial Model) จากนั้นนาแนวคิดดังกล่าวมา
บูรณาการ เพ่ือการกาหนดกรอบในการพัฒนารูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุใน ๖ ด้าน
โดยมีรายละเอยี ดพอสังเขปดังต่อไปน้ี

๑. รูปแบบบริการ (Service Delivery) แนวคิดในการวิเคราะห์และประเมินระบบ
บริการสุขภาพ โดยมากมักจะพิจารณาจากคุณลักษณะท่ีสาคัญ เช่น การเข้าถึงบริการ ความพร้อม
ของบริการท่ีครอบคลุมตามมาตรฐาน และความครอบคลุมของการจัดบริการ (WHO, 2010: 2)
สาหรับแนวคิดในบริการการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่ครอบคลุมในการศึกษาครั้งนี้เป็นการดาเนินงาน

๓๒
ตามแผนบรู ณาการพัฒนาสุขภาพกลุ่มวัยผสู้ ูงอายุ พ.ศ.2557-2566 ซ่ึงจะครอบคลุมการจัดบริการ
ดา้ นส่งเสรมิ สุขภาพ ป้องกันโรค รักษาพยาบาล ฟื้นฟูสมรรถภาพ และการดูแลระยะสุดท้าย โดยเป็น
บริการท้ังเชิงรุก (บริการที่บ้าน หรือในชุมชน) และเชิงรับ (บริการในสถานบริการสุขภาพ) ทาให้
ผู้สูงอายุท้ังกลุ่มสุขภาพดี กลุ่มเส่ียง และกลุ่มป่วยได้เข้าถึงบริการได้ง่าย สะดวก ปลอดภัย ลักษณะ
ของบริการที่ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุเป็นไปตามมาตรฐาน และบริการมีความเช่ือมโยงกันของสถาน
บริการทกุ ระดับ รวมทัง้ มกี ารประสานงานและความร่วมมือของเครอื ข่ายในการดาเนนิ งาน

๒. บุคลากร (Health Workforce) ในท่ีนี้หมายถึง บุคลากรด้านสุขภาพทั้งหมดที่
เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพประชาชนตั้งแต่ระดับปฐมภูมิข้ึนไปต้ังแต่ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล
เภสัชกร และบุคลากรสาธารณสุขอ่ืนๆ (WHO, 2010: 24) ซึ่งในส่วนของบุคลากรนี้ องค์การ
อนามัยโลกจะให้ความสาคัญทั้งในเชิงปริมาณ กล่าวคือ จานวนบุคลากรท่ีพอเพียง และเชิงคุณภาพ
จะเกี่ยวกับการมที กั ษะของบุคลากร และการมีคุณลักษณะที่เก่ยี วขอ้ งการปฏบิ ตั งิ าน

๓. ระบบสารสนเทศ (Health Information Systems) ข้อมูลข่าวสารและสารสนเทศ
เป็นส่ิงสาคญั ในการติดตามและประเมินผล นอกจากน้ียงั จาเป็นสาหรบั ใชใ้ นการกาหนดวัตถุประสงค์
การวางแผน การเตือนภัยด้านสุขภาพ การสนับสนุนการจัดบริการด้านสุขภาพ การศึกษาวิจัย การ
วิเคราะห์แนวโน้มของสถานะสุขภาพ และการส่ือสารด้านสุขภาพ (WHO, 2010: 44) จากการ
ทบทวนแนวคิดเกย่ี วกับขอ้ มูลข่าวสารและสารสนเทศทจี่ าเป็นในการดาเนนิ งานด้านการดแู ลผู้สูงอายุ
ประกอบด้วย การมีฐานข้อมูลท่ีเก่ียวข้องกับสภาพปัญหา และความต้องการ ข้อมูลการดูแลสุขภาพ
และการจัดบริการต่างๆ ขอ้ มูลเก่ียวกบั บุคลากรสุขภาพ ข้อมูลเก่ียวกับค่าใชจ้ ่าย ผลการวิจัยทสี่ ะทอ้ น
ทางเลือกในการดูแลผู้สูงอายุ รวมท้ังข้อมูลที่ใช้สาหรับการวางแผนดาเนินโครงการ และการติดตาม
ประเมนิ ผล

๔. การเข้าถึงยา/ บริการที่จาเป็น (Access to Essential Medicines) การเข้าถึงยาท่ี
จาเป็นเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิด้านสุขภาพ (The Right to Health) ที่เป็นมาตรฐานสูงสุดที่องค์การ
อนามัยโลกกาหนดไว้เป็นกฎบัตรในระดับนานาชาติ สาหรับการเข้าถึงยาที่จาเป็นในประเด็นน้ี
องค์การอนามัยโลก (WHO, 2010: 60) ได้เน้นไปที่การเข้าถึงยาท่ีจาเป็นภายใต้บริบทของระบบ
บริการสุขภาพในปริมาณท่ีพอเพียง ขนาดท่ีเหมาะสม และราคาที่ในระดับบุคคล และชุมชนพึงจัดหา
ได้ สาหรับประเทศไทย ได้มีนโยบายแหง่ ชาตดิ ้านยา พ.ศ. ๒๕๕๔ และยทุ ธศาสตร์การพัฒนาระบบยา
แห่งชาติพ.ศ. ๒๕๕๔ – ๒๕๕๙ โดยมีเป้าหมายเพ่ือให้ประชาชนได้รับการป้องกันและแก้ไขปัญหา
สุขภาพท่ีได้มาตรฐาน โดยการประกนั คุณภาพ ความปลอดภัยและประสิทธิผลของยา การสร้างเสริม
ระบบการใช้ยาอย่างสมเหตุผล การส่งเสริมการเข้าถึงยาจาเป็นให้เป็นไปอย่างเสมอภาค ย่ังยืน ทัน
การณ์การสร้างกลไกการเฝ้าระวังท่ีมีประสิทธิภาพ และอุตสาหกรรมยามีการพัฒนาจนประเทศ
สามารถพึ่งตนเองได้ และได้กาหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยาแห่งชาติมีทั้งหมด ๔ ยุทธศาสตร์
เชอื่ มโยงซึ่งกันและกันอันประกอบด้วย

ยุทธศาสตร์ท่ี ๑ การเข้าถึงยา วัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงยาจาเป็นอย่าง
เสมอภาค ทั่วถึง และทันการณ์ ในราคาที่เหมาะสมกับความสามารถในการจ่ายของประชาชน
ตลอดจนฐานะเศรษฐกจิ ของประเทศ

๓๓
ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การใช้ยาอย่างสมเหตุผล วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการใช้ยาของ
แพทย์บคุ ลากรทางการแพทยแ์ ละประชาชน เปน็ ไปอย่างสมเหตุผล ถกู ต้อง และค้มุ คา่
ยุทธศาสตร์ท่ี ๓ การพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตยา ชวี วตั ถุและสมนุ ไพร เพ่ือการพึ่งพา
ตนเอง วัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมยา ชีววัตถุและสมุนไพรภายในประเทศให้
สามารถพึ่งพาตนเองไดอ้ ยา่ งมนั่ คงและยั่งยืน
ยุทธศาสตร์ท่ี ๔ การพัฒนาระบบการควบคุมยาเพ่ือประกันคุณภาพ ประสิทธิผล
และความปลอดภัยของยา
จากการทบทวนการเข้าถึงยาและบริการท่ีจาเป็นทาให้พบว่า การเข้าถึงยาท่ีจาเป็น
นับเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิด้านสุขภาพของผู้สูงอายุ แต่อย่างไรก็ตามในการส่งเสริมการเข้าถึงยาให้
เป็นไปอย่างเสมอภาค ยั่งยนื ทันการณ์ จะต้องมีการประกันคุณภาพ ความปลอดภัย และประสทิ ธผิ ล
ของยา การสร้างกลไกการเฝ้าระวังที่มีประสิทธิภาพ รวมท้ังการสร้างเสริมระบบการใช้ยาอย่างสม
เหตุผลด้วย ส่วนบริการท่ีจาเป็น หมายถึง บริการที่หน่วยบริการกาหนดไว้ หรือบริการท่ีจัดไว้เพ่ือ
ตอบสนองความต้องการและปัญหาของผู้สูงอายุ จากการทบทวนนโยบายที่เกีย่ วขอ้ งยงั ไม่พบนโยบาย
ที่เป็นรูปธรรมชัดเจน
๕. การเงนิ การคลัง (Finance) การเงินการคลงั ด้านสุขภาพเกี่ยวข้องกบั การระดมเงินทุน
การสะสมเงินทุน และการจัดสรรเงินในระบบสุขภาพ เพื่อจัดบริการได้ครอบคลุมตามความต้องการ
และสภาพปัญหา โดยจัดให้มีกองทุนด้านสุขภาพ รวมไปถึงระบบการเงินการคลังเพ่ือสร้างแรงจูงใจ
แก่ผู้ให้บริการ เพ่ือเป็นหลักประกันการเข้าถึงบริการท่ีมีประสิทธิภาพทั้งในระดับสถานบริการและ
บุคคล (WHO, 2010: 72) สาหรับการเงินการคลังด้านสุขภาพท่ีเกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ
ผู้สงู อายุ จึงเป็นเรอ่ื งเกีย่ วกับการระดมทุน หรือแหลง่ ของเงินทนุ ทีน่ ามาใช้ในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ
และการจัดสรรเงินในระบบสุขภาพ เพื่อจัดบริการให้ครอบคลุมตามความต้องการและสภาพปัญหา
ของผู้สูงอายุ รวมท้ังกลไกในการวางแผนเก่ียวกบั ต้นทุน และการควบคุมคา่ ใช้จ่าย เพ่ือให้มีเงินทุนใน
การดูแลสขุ ภาพผูส้ งู อายอุ ย่างตอ่ เนือ่ ง
6. ภาวะผูน้ าและการอภิบาลระบบ (Leadership and Governance) ในระบบสุขภาพ
ภาวะผู้นาและการอภิบาลระบบจะเกี่ยวขอ้ งกับการดาเนินงานตามกรอบยุทธศาสตร์ทวี่ างไว้ และการ
ควบคุมกากับ ดูแล การประสานความร่วมมือ เพ่ือให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิผลตามมาตรฐาน
ระเบียบ กฎเกณฑ์ และระบบท่ีออกแบบไว้ (WHO, 2010: 86) จากการทบทวนวรรณกรรมที่
เก่ียวข้องกับภาวะผู้นา และการอภิบาลระบบ ได้พบว่า วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร หรือผู้นาท่ีเข้มแข็ง
และเห็นความสาคัญของการดาเนินงานดูแลผู้สูงอายุ เป็นปัจจัยเก้ือหนุนท่ีจะช่วยให้การขับเคล่ือน
การดาเนินงานไปได้ ประกอบการมีนโยบาย และแผนที่ชัดเจนมีความต่อเน่ือง และมีกิจกรรมที่
สะท้อนความต้องการและสภาพปัญหาอย่างแท้จริงของผู้สูงอายุ จะทาให้เกิดความร่วมมือและความ
ยั่งยืนของโครงการ นอกจากน้ียังมีปัจจัยสาคัญต่อความสาเร็จของการดาเนินงานคือ ความสามารถ
บูรณาการการดาเนินงานตั้งแต่ระดับแผนและนโยบาย จนถึงระดับปฏิบัติการ และมีระบบควบคุม
กากบั งานและการประเมินผลทด่ี ี

๓๔

โดยสรุปแล้ว ปัจจัยภายในท่ีกาหนดรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่สาคัญคือ
(1) การจัดบริการที่ครอบคลุมการการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาพยาบาล ฟื้นฟูสมรรถภาพ
และการดแู ลระยะสุดท้าย ทัง้ เชงิ รุก และเชิงรบั โดยดูแลผสู้ ูงอายทุ ้งั กลุ่มสขุ ภาพดี กล่มุ เสีย่ ง และกลุ่ม
ป่วย เพื่อให้เข้าถึงบริการท่ีง่าย สะดวก ปลอดภัย เป็นไปตามมาตรฐาน และบริการมีความเช่ือมโยง
กันของสถานบริการทุกระดับ และเครือข่ายในการดาเนินงาน (2) จานวนบุคลากรมีความพอเพียง
และเชิงคุณภาพ จะเก่ียวกับการมที ักษะของบุคลากร และการมีคณุ ลักษณะท่ีเกย่ี วข้องการปฏิบตั ิงาน
(3) มีระบบข้อมูลข่าวสารและสารสนเทศท่ีจาเป็นในการดาเนินงานได้แก่ ฐานข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับ
สภาพปัญหา และความต้องการ ข้อมูลการดูแลสุขภาพและการจัดบริการต่างๆ ข้อมูลเกี่ยวกับ
บุคลากรสุขภาพ ข้อมูลเก่ียวกับค่าใช้จ่าย ผลการวิจัยท่ีสะท้อนทางเลือกในการดูแลผู้สูงอายุ รวมท้ัง
ข้อมูลท่ีใช้สาหรับการวางแผนดาเนินโครงการ และการติดตาม ประเมินผล (4) การเข้าถึงยาของ
ผู้สูงอายุอย่างเท่าเทียมกัน การได้รับยาที่มีมาตรฐาน มีแนวทางการจ่ายยาให้แก่ผู้สูงอายุท่ีเจ็บป่วย
เพื่อความปลอดภัย และป้องกันยาสูญเสีย หรือเส่ือมสภาพ มีการจัดบริการที่จาเป็นไว้เพื่อตอบสนอง
ความต้องการและปัญหาของผู้สูงอายุ (5) มีการระดมทุน /แหล่งของเงินทุนที่นามาใช้ในการดูแล
สุขภาพผู้สูงอายุ และการจัดสรรเงินในระบบสุขภาพ เพ่ือจัดบริการให้ครอบคลุมตามความต้องการ
และสภาพปัญหาของผู้สูงอายุ รวมทั้งกลไกในการวางแผนเกี่ยวกับต้นทุน และการควบคุมค่าใช้จ่าย
เพ่ือให้มีเงินทุนในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง และ (6) การมีนโยบายท่ีชัดเจนในการดูแล
สุขภาพผู้สูงอายุ มีแนวปฏิบตั ิ และมีการดาเนินงานตามกรอบยุทธศาสตร์ท่ีวางไว้ ผู้นาและผู้เก่ียวข้อง
ในแตล่ ะระดับมีการควบคมุ กากับ ดูแล การประสานความร่วมมอื เพอื่ ให้การดาเนินงานมปี ระสิทธิผล
ตามมาตรฐาน ระเบยี บ กฎเกณฑ์ และระบบทีอ่ อกแบบไว้

๒.2 การวเิ คราะหป์ ัจจัยภายนอก: PESTLE Analysis
การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกองค์กร เป็นการวิเคราะห์สถานการณ์ท่ีเป็นโอกาส
(Opportunities) และภัยคุกคาม (Threats) ท่ีมีผลกระทบต่อการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ
โดยอาศัยหลักการพื้นฐานและกรอบความคิดในการวิเคราะห์วิเคราะห์สถานการณ์ที่มีอิทธิพลจาก
ภายนอก โดยใช้หลักของ “PESTLE Analysis” ซ่ึงเป็นเคร่ืองมือท่ีเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์และ
ทาความเข้าใจ "ภาพรวม" ของสภาพแวดล้อมในพ้ืนท่ีเชิงกลยุทธ์ สาหรับผู้พัฒนายังไม่แน่ชัด
แต่Francis J. Aguilar (1967) ได้มีการพัฒนา "ETPS" ประกอบด้วย "Economic (เศรษฐกิจ)
Technical (เทคนิค) Political (การเมือง) และ Social (สังคม)" ซึ่งต่อมาได้พัฒนาขึ้นเป็น Arnold
Brown Brown's STEPE analysis และในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษท่ี 20 นิยมเรียกกว่า “PESTLE”
(Amanda Dcosta, 2018: Online) ซ่ึงเป็นปัจจัยภายนอกท่ีสาคัญต่อความสาเร็จในการดาเนินงาน
ประกอบด้วย สภาพแวดล้อมด้านการเมือง (Political Environment : P) ซ่ึงเป็นการวิเคราะห์
นโยบายและกฎเกณฑ์ต่างๆ ของภาครัฐที่น่าจะมีผลท้ังในเชิงบวก (โอกาส) และเชิงลบ (ภัยคุกคาม)
ต่อการดาเนินงาน การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมด้านเศรษฐกิจ (Economic Environment : E) ซึ่ง
เป็นการวิเคราะห์เศรษฐกิจที่เกี่ยวกับการดาเนินงาน วิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางด้านสังคมและ
วัฒนธรรม (Sociocultural Environment : S) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์สภาวะทางสังคมและวัฒนธรรม

๓๕

ซึ่งหมายรวมถึงโครงสร้างทางสังคมที่เก่ียวข้องกับการดาเนินงาน การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมด้าน
เทคนิค หรือเทคโนโลยี (Technological Environment : T) ซ่ึงเป็นการวิเคราะห์สภาพการ
เปล่ียนแปลงด้านเทคโนโลยี การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมด้านกฎหมาย(Legal: L) เป็นการวิเคราะห์
กฎหมายท่ีเกี่ยวข้องกับการดาเนินงาน และการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมด้านนิเวศวิทยาหรือ
ส่ิงแวดล้อม (Environment : E) เป็นการวิเคราะห์ส่ิงแวดล้อมที่จะมีผลต่อการดาเนินงานดูแล
สุขภาพผู้สูงอายุ เพื่อนาข้อมูลท่ีได้จากการวิเคราะห์สถานการณ์มาใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์ความ
เปลยี่ นแปลงและหาประโยชน์จากการเปลีย่ นแปลงนัน้

สรุปกรอบแนวคิดในการวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมท่ีผลต่อการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ
เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเอกสาร (Content Analysis) โดยการวิเคราะห์เมทริกซ์ไขว้ (Cross -Matrix
Analysis) ปัจจัยภายนอกท่ีเก่ียวข้องกับการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ประกอบด้วย สภาพแวดล้อมด้าน
การเมือง (Politic) เศรษฐกิจ (Economic) สังคมและวัฒนธรรม (Socio-cultural) เทคนิค/
เทคโนโลยี (Technology) กฎหมาย(Legal) และสิ่งแวดล้อม (Environment) และปัจจัยภายใน 6
องค์ประกอบ ซึง่ ได้จากประยุกต์ใช้แนวคิดระบบสขุ ภาพขององค์การอนามยั โลก (The WHO Health
System Framework) บูรณาการกับตัวแบบดาเนินงานดูแลผู้สูงอายุระดับจังหวัด (Provincial
Model) ได้แก่ รูปแบบบริการ (Service Delivery) บุคลากร (Health Workforce) ระบบสารสนเทศ
(Health Information Systems) การเงินการคลัง (Finance) และภาวะผู้นาและการอภิบาลระบบ
(Leadership and Governance)

3. แนวคิด ทฤษฎีเก่ียวกับประสิทธิภาพและประสิทธิผล และตัวแบบการประเมินผล
เชงิ ระบบ (Input Output Model หรือ System Approach Model)

ประสิทธิภาพและประสิทธิผลทั้งสองคาใช้วัดความสาเร็จของของงาน อย่างไรก็ตามในการ
วัดผลความสาเร็จจะมีความแตกต่างกัน ผู้ศึกษาจึงขอทบทวนแนวคิด ทฤษฎีที่เก่ียวข้องกับการ
ประเมินประสทิ ธิภาพ และประเมินประสิทธิผล เพอ่ื แสดงให้เห็นความแตกต่างโดยประเมนิ จากนิยาม
ความหมาย และแนวคดิ ที่นามาใช้ในการประเมนิ ประสทิ ธิภาพและประสิทธผิ ลดังน้ี

3.1 แนวคดิ ทฤษฎเี ก่ียวกบั ประสิทธภิ าพ
ผวู้ จิ ัยได้ทบทวนความหมาย และแนวคิด ทฤษฎีเกย่ี วกบั ประสิทธภิ าพดังน้ี

3.1.1 ความหมายของประสทิ ธภิ าพ
ประสิทธิภาพ ตามความหมายในพจนานุกรมฉบับบัณฑิตราชยสถานฉบับ พ.ศ.
2554 หมายถึง ความสามารถทท่ี าใหเ้ กิดผลในการงาน (สานกั งานราชบัณฑิตยสภา: Online)
Simon (1960: 180-181) กล่าวถึงประสิทธิภาพในเชิงธุรกิจเกี่ยวกับการทางาน

๓๖
ของเคร่ืองจักร โดยพิจารณาว่างานใดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดน้ัน ดูได้จากความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัย
นาเข้า (Input) กบั ผลผลิต (Output) ซ่ึงสามารถสรุปได้ว่า ประสทิ ธิภาพเท่ากับผลผลิตลบด้วยปัจจัย
นาเข้า แตห่ ากเป็นระบบการทางานของภาครัฐ ต้องนาความพึงพอใจของประชาชนผู้มาขอรับบริการ
รวมอยู่ด้วย แต่ในขณะท่ี Katz & Kahn (1978, p.232-240) ซ่ึงเป็นนักทฤษฎีที่ศึกษาองค์กร
ระบบเปิด (Open System) ได้ศึกษาในเรื่องปัจจัยที่สาคัญต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน
ซึ่งประสิทธิภาพเป็นส่วนประกอบท่ีสาคัญของประสิทธิผล ประสิทธิภาพขององค์การ ถ้าจะวัดจาก
ปัจจัยนาเข้า(Input) เปรียบเทียบกับผลผลิตท่ีได้ (Output) จะทาให้การวัดประสิทธิภาพ
คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงขององค์การ ซ่ึงประสิทธิภาพขององค์กรหมายถึง การบรรลุเป้าหมาย
ขององคก์ าร (Goal Attainment)

Good (1973: 193) ให้ความหมายของประสิทธิภาพว่าหมายถึง ความสามารถที่
จะทาให้เกิดความสาเร็จตามความปรารถนา โดยใช้เวลาและความพยายามเล็กน้อยก็สามารถให้
ผลงานที่ไดส้ าเรจ็ อยา่ งสมบูรณ์

ตนิ ปรัชญาพฤทธิ์ และไกรยุทธ ธีรตยาคีนันท์ (2537: 12-14) ให้ความหมายของ
ประสิทธิภาพอาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ (1) ประสิทธิภาพจากแง่มุมของค่าใช้จ่าย
หมายถึง การใช้ต้นทุนน้อยกว่าผลลัพธ์หรือการใช้ต้นทุนอย่างคุ้มค่าหรือการทาให้มากข้ึนโดยมีการ
สูญเสียน้อยลง (2) ประสิทธิภาพจากแง่มุมของกระบวนการการบริหาร หมายถึง การทาด้วยวิธีการ
หรือเทคนิคที่สะดวกสบายกว่าเดิม หรือทางานด้วยความรวดเร็ว หรือการทางานท่ีถูกต้องตามระบบ
ระเบียบขน้ั ตอนของทางราชการ และ (3) ประสิทธภิ าพจากแงม่ ุมของผลลพั ธ์หมายถึง การทางานที่มี
ผลกาไรหรือการทางานให้ทันเวลา หรือการทางานอย่างมปี ระสิทธภิ าพหรอื การสรา้ งความพึงพอใจให้
เกดิ ขนึ้ ในบรรดาขา้ ราชการด้วยกนั หรือการทางานใหส้ ัมฤทธิผ์ ล

ศิริวรรณ เสรีรัตน์ สมชาย หิรัญกิตติ และสมศักด์ิ วานิชยาภรณ์ (2545: 39) ให้
ความหมายว่า ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง วิธีการ (Mean)จัดสรรทรัพยากร เพื่อให้เกิด
ความส้ินเปลืองน้อยท่ีสุด โดยสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายโดยใช้ทรัพยากรน้อยท่ีสุด กล่าวคือ เป็นการ
การใช้โดยมีเป้าหมายคือประสิทธิผล หรือให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่กาหนดไว้สูงสุดจึงเรียกได้ว่า “ทาส่ิง
ต่างๆให้ถูกต้อง (Doing Things Right) ซึ่ง Emerson (1913 อ้างใน ศิริวรรณ เสรีรัตน์ สมชาย
หริ ญั กิตติ และสมศักด์ิ วานชิ ยาภรณ์ (2545: 53) กลา่ วถงึ หลกั ประสิทธิภาพไว้ 12 ประการคือ (1)
กาหนดจุดมุ่งหมายท่ีชัดเจน (2) ใช้หลักเหตุผลท่ัวไป (3) คาแนะนาท่ีดี (4) วินัย (5) ความยุติธรรม
(6) มีข้อมูลท่ีเช่ือถือได้ เป็นปัจจุบัน ถูกต้อง แน่นอน (7) ความฉับไวของการจัดส่ง (8) มาตรฐาน
และตารางเวลา (9) สภาพมาตรฐาน (10) การปฏิบตั ิการท่ีมมี าตรฐาน (11) มีคาสั่งการปฏิบัตงิ านที่
มมี าตรฐาน และ (12) การใหร้ างวลั ท่มี ปี ระสิทธิภาพ

จากการทบทวนนิยามและการพิจารณาตามหลักประสิทธิภาพ สรุ ปได้ว่า
ประสิทธิภาพ หมายถึง ความสามารถที่จะทาให้ผลงานเกิดความสาเร็จ โดยใช้เทคนิค วิธีการ หรือ
ทรัพยากรอยา่ งส้นิ เปลืองนอ้ ยที่สุด หรอื ใช้ไดอ้ ยา่ งเต็มศักยภาพมากท่ีสดุ

3.1.2 แนวคดิ ทฤษฎีเกย่ี วกับประสทิ ธิภาพ

๓๗

เมื่อทรพั ยากรมีอยู่อยา่ งจากัด การนาทรัพยากรไปใช้อย่างหน่ึงอย่างใดจะเป็นต้นทุน
(Cost) ซึ่งอาจทาให้ไม่สามารถนาทรัพยากรไปใช้กับเรื่องอื่นได้ ดังนั้น การผลิตหรือเลือกท่ีจะใช้
ทรัพยากรจึงควรสร้างให้เกิดผลิตผล (Product) หรือเกิดการใช้ประโยชน์อย่างสูงสุด (Utility) จึงจะ
กล่าวได้ว่าใชท้ รัพยากรอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ

Becker and D.Neuhauser (1975: 94 ) ได้ เสน อ ตั วแบ บ จาล อ งเกี่ ยวกั บ
ประสิทธิภาพขององค์กร โดยกล่าวว่า ประสิทธิภาพขององค์กรนอกจากพิจารณาถึงทรัพยากร เช่น
คน เงิน วัสดุอุปกรณ์ท่ีเป็นปัจจัยนาเข้า และผลผลิตขององค์กร คือบรรลุเป้าหมายแล้ว องค์กรใน
ฐานะท่ีเป็นองค์กรระบบเปิด (Open System) ยังมีปัจจัยประกอบอีก ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้ (1)
หากสภาพแวดล้อมในการทางานขององค์กรที่มีความซับซ้อนต่า หรือมีความแน่นอน มีการกาหนด
ระเบียบปฏิบัติในการทางานขององค์กรอย่างละเอียดถี่ถ้วนแน่ชัดจะนาไปสู่ความมีประสิทธิภาพของ
องค์กรมากกว่าองค์กรที่มีสภาพแวดลอ้ มในการทางานยุ่งยากซับซ้อนสูงข้ึนหรือมีความไม่แน่นอน (2)
มีการกาหนดระเบียบปฏิบัติให้ชัดเจนเพ่ือเพิ่มผลการทางานท่ีมองเห็นได้มีผลทาให้ประสิทธิภาพเพิ่ม
มากขึ้นด้วย (3) ผลการทางานท่ีมองเห็นได้มีความสัมพันธ์ในทางบวกกับประสิทธิภาพ (4) หาก
พิจารณาควบคู่กันจะปรากฏว่า การกาหนดระเบียบปฏิบัติอย่างชัดเจนและการทางานท่ีมองเห็นได้มี
ความสัมพันธ์มากข้ึนต่อประสิทธิภาพมากกว่าตัวแปรแต่ละตัวลาพัง Becker and Neuhauser ยัง
เช่อื อกี ว่า การสามารถมองเห็นผลการทางานขององค์กรได้มีความสัมพันธ์กบั ประสิทธภิ าพขององคก์ ร
เพราะองค์กรสามารถทดลองและเลือกระเบียบปฏิบัติและทรัพยากรที่เป็นประโยชน์ต่อการบรรลุ
เป้าหมายได้ฉะน้ันโครงสร้างของงานระเบียบปฏิบัตงิ าน ผลการปฏิบัตงิ านจึงมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้อง
กับประสิทธภิ าพในการปฏิบัติ ในปี 1978 Katz and Kahn (1978: 226) ซ่ึงเป็นนักทฤษฎีระบบ
เปิดได้ทาการศึกษาในเรื่อง ปัจจัยที่มีความสาคัญต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน โดยกล่าวว่า
ประสิทธิภาพคือส่วนประกอบที่สาคัญในการปฏิบัติงานโดยกล่าวว่า ประสิทธิภาพคือส่วนประกอบที่
สาคัญต่อประสิทธิผล ประสิทธิภาพขององค์การน้ัน ถ้าจะวัดจากปัจจัยนาเข้าเปรียบเทียบกับผลผลิต
ท่ีได้น้ันจะทาให้การวัดประสิทธิภาพคลาดเคล่ือนจากความเป็นจริง ประสิทธิภาพขององค์การ
หมายถึง บรรลุเป้าหมายขององค์กร ในการบรรลุเป้าหมายขององค์กรน้ันปัจจัยต่าง ๆ คือ การ
ฝึกอบรมประสบการณ์ความรู้สึกผูกพัน ยังมีความสาคัญต่อประสิทธิภาพขององค์กรด้วย นอกจากนี้
Thomas J. Peters & Robert H. Waterman, Jr. ได้ศึกษาวิจัยและนาเสนอใน หนังสือชื่อ In
Search of Excellence และเรียบเรียงเป็นไทยโดย วีรชัย ตันติวีระวิทยา (2553: 27-29) โดยใช้
ช่ือหนังสือว่า "ด้ันด้นหาความเป็นเลิศ: ประสบการณ์จากบริษัทชั้นนาของโลก โดยได้กาหนด
คุณลักษณะ 8 ประการของเชิงการบริหารของบริษัทอเมริกันท่ีประสบความสาเร็จ คือ (1) มุ่งเน้น
การปฏิบัติ (A bias for action) บริษัทดีเด่นได้มุ่งเน้นปฏิบัติอย่างจรงิ จังใน 3 เรื่อง ด้วยกัน คือ การ
ทาองค์การให้คล่องตัว การทดลองปฏิบัติ และการทาระบบให้ง่าย (2) มีความใกล้ชิดกับลูกค้า
(Close to the customer) บริษัทดีเด่นได้ใกล้ชิดกับลูกค้าด้วยการใช้ กลยุทธ์ด้านบริการ คุณภาพ
และความเชื่อถือ รวมท้ังความเป็นนักหาช่องว่างและการฟังความเห็นของลูกค้า (3) มีความอิสระใน
การทางานและความรู้สึกเป็นเจ้าของกิจการ (Autonomy and Entrepreneur-ship) บริษัทได้ให้
ความมีอิสระในการทางานแก่พนักงานด้วยการกระจายอานาจการดาเนินงานในขอบเขตที่กว้างขวาง

๓๘
ข้ึนเพ่ือกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกว่ามีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของกิจการ และได้ พยายามส่งเสริม
สนับสนุนพนักงานให้ช่วยกันคิดค้นสินค้าหรือบริการแปลก ๆ ใหม่ๆ อยู่เสมอ รวมทั้งมีความ อดทน
ต่อความล้มเหลวท่ีเกิดขึ้นจากการทดลองคิด ค้นสิ่งแปลกๆใหม่ๆอีกด้วย (4) เพ่ิมผลผลิตโดยอาศัย
พนักงาน (Productivity through People) บริษัทดีเด่นได้ถือว่า พนักงานเป็นทรัพยากรท่ีมีค่าที่สุด
ขององค์การด้วยการปฏิบัติให้พนักงานเห็นอย่างจริงจัง เช่น ให้เกียรติและ ความไวว้ างใจแกพ่ นักงาน
ทุกระดับ รวมทั้งได้ใช้มาตรการต่าง ๆ ในด้านบวกในการส่งเสริมจิตใจพนั กงานให้มี ความ
กระตือรือรน้ ในการทางานอยู่ตลอดเวลา อันเป็นผลทาใหบ้ ริษัทดีเด่นสามารถเพ่ิมผลผลติ อย่างเหน็ ได้
ชัด (5) สัมผัสกับงานอย่างใกลช้ ิดและความเช่อื มั่นในคุณค่าเป็นแรงผลกั ดัน (Hands-on and Value
driven) ผู้บริหารของบริษัทดีเด่นจะลงมาสัมผัสกับการปฏิบัติงานจริง ๆ มิใช่นั่งบริหารงานอยู่แต่ใน
สานักงาน เท่านั้น และพยายามปลูกฝังพนักงานให้มีความเช่ือมั่นในคุณค่าที่ดีต่างๆ เพื่อให้เกิด
แรงผลักดัน ร่วมในการ ปฏิบัติงานให้สาเร็จลุล่วงไปด้วยดี (6) ทาแต่ธุรกิจท่ีมีความเช่ียวชาญและ
เกี่ยวเนื่อง (Stick to the Knitting) บริษัทดีเด่นจะเลือกทา แต่เฉพาะธุรกิจท่ีตนเองมีความถนัดหรือ
เก่ียวเน่ืองกับธุรกิจท่ีได้ทาอยู่เท่าน้ัน เพราะมีความเช่ือว่าการทาธุรกิจท่ี ไม่เชี่ยวชาญมีโอกาสที่จะ
ประสบกับความล้มเหลวได้มาก และอาจกระทบกระเทือนธุรกิจเดิมท่ีได้ดาเนินการมา ด้วยดีอยู่แล้ว
จะสังเกตได้ว่าความคิดนี้เริ่มสวนทางกับการพยายามทาให้กิจการของบริษัทที่ครอบคลุม กว้างขวาง
และอาศัยความได้เปรียบในกิจกรรมขนาดใหญ่ หรือที่เรียกกันว่า Economy of Scales คือความ
เชื่อท่ีว่าใหญ่กว่าก็ย่ิงทาให้ต้นทุนถูกกว่า (7) รูปแบบเรียบง่ายธรรมดา พนักงานอานวยการหรือ
ส่วนกลางมีจากัด (Simple Form and Lean Staff) บริษัทดีเด่นได้จัดองค์การของหน่วยงานใน
ระดับบนด้วยการใช้รูปแบบโครงสร้างที่มีความเรียบง่าย คือ สายงานท่ีจัดตามประเภทของสินค้า
พร้อมกับได้กระจายอานาจให้กบั แต่ละสายงานอยา่ งเตม็ ท่ี จึงทาให้พนักงานอานวยการและเจา้ หน้าท่ี
ในสานักงานใหญ่มีจานวนน้อยไปด้วย นอกจากนี้บริษัทดีเด่นยังมีความ มุ่งม่ันอย่างจริงจังท่ีจะให้
พนักงานทุกคนได้ทางานด้านปฏิบัติการมากกว่าด้านอานวยการ (8) เข้มงวดและผ่อนปรนในเวลา
เดียวกัน (Simultaneous Loose-tight Properties) บริษัทดีเด่น ได้เข้มงวดในการทาให้พนักงาน
เกิดความศรัทธาและเช่ือมั่นร่วมกันในคุณค่าของลูกค้า คุณภาพของสินค้าและ บริการ การสื่อความ
แบบไม่มีพิธีรีตอง และการต้องคิดค้นสิ่งแปลก ๆใหม่ๆ เป็นต้น ขณะเดียวกันก็ได้ผ่อนให้ พนักงานมี
ความอิสระในการทางานอย่างเต็มท่ี และได้ใช้ส่ิงท่ีผ่อนปรนไปให้กลับมาควบคุมการทางานของ
พนกั งานด้วยการมีวนิ ัยในการทางานด้วยตนเองแทน

โดยสรุปแล้วประสิทธิภาพนอกจากจะมองที่ความสามารถที่จะทาให้ผลงานเกิดความสาเร็จ
โดยใช้เทคนิค วิธีการ หรือทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองน้อยที่สุด หรือใช้ได้อย่างเต็มศักยภาพมากที่สุด
แล้วยังข้ึนอยู่กับการมีระเบียบปฏิบัติในการทางานท่ีชัดเจน มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง มีการคิดค้น
สินค้าหรือบริการแปลก ๆ ใหม่ๆ องค์กรมีการจัดโครงสร้างที่เรียบง่าย การมีมาตรการเสริมแรงแก่
พนักงานหรือบุคลากร การให้ความอิสระในการทางาน เป็นต้น ดังน้ัน การประเมินประสิทธิภาพของ
รูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุจึงเป็นการวัดความสาเร็จในการดาเนินงานดูแลสุขภาพ
จากการปรับปรุง หรือการพัฒนาปัจจัยที่เก่ียวข้องกับการดาเนินงานให้มคี วามถูกต้อง เหมาะสม และ
เอื้อต่อการดาเนินงาน ซึ่งในการศึกษาคร้ังน้ี ประกอบด้วยปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน โดยท่ี

๓๙

ปจั จัยภายนอกทส่ี ่งผลตอ่ ประสทิ ธิภาพการดาเนินงานดูแลสขุ ภาพผูส้ ูงอายุ ไดแ้ ก่ สภาพทางการเมือง
(Political) อาทิเช่น นโยบาย หรือมาตรการท่ีเกี่ยวข้องกับการดาเนินงานผู้สูงอายุ สภาพเศรษฐกิจ
(Economical) อาทิเช่น รายได้ การจ้างงาน การเงินการคลังของรัฐ ค่าครองชีพ สังคม (Socio-
cultural) อาทิเช่น โครงสร้างประชากร วิถีการดาเนินชีวิต การสื่อสาร ความรู้ เทคโนโลยี
(Technological) อาทิเชน่ การพฒั นางานวิจยั นวตั กรรม ผลิตภัณฑ์ รวมทั้งการใช้สือ่ และเทคโนโลยี
ท่ีทันสมัยต่างๆ สภาวะแวดล้อม (Ecological) อาทิเช่น สภาพแวดล้อมในบ้าน ในชุมชน โครงสร้าง
พ้ืนฐานต่างๆ และกฎระเบียบ (Legal) อาทิเช่น กฎหมายทีเ่ ก่ียวข้องกับการดูแลสุขภาพผู้สงู อายุ และ
ปัจจัยภายในที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ได้แก่ ระบบบริการ
(Service Delivery) บุคลากร (Health Workforce) ระบบสารสนเทศ (Health Information
Systems) ยา/บริการท่ีจาเป็น (Access to Essential Medicines) การเงินการคลัง (Finance) และ
ภาวะผู้นาและการอภิบาลระบบ (Leadership and Governance)

3.2 แนวคดิ ทฤษฎีเกี่ยวกับประสทิ ธผิ ล
3.2.1 ความหมายของประสทิ ธิผล
ประสิทธิผลเป็นส่ิงสาคัญท่ีจะตัดสินใจข้ันสุดท้ายว่าการบริหารและองค์การประสบ

ความสาเร็จมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็การให้ความหมายของประสิทธิผลนักวิชาการมีความเห็น
แตกต่างกนั ออกไปบ้าง เช่น Etzioni A. (1964: 6) ได้นิยามความหมายของประสิทธิผลองค์การว่า
หมายถึง ระดับท่ีองค์การได้ตระหนักถึงเป้าหมายขององค์การที่ต้องการจะให้บรรลุผล เช่นเดียวกัน
กบั สมพงษ์ เกษมสิน (2526: 21); ภรณี กีร์ตบิ ุตร (2529: 97) อธิบายความหมายของประสิทธผิ ล
ไว้ว่า ประสิทธิผลมีความสัมพันธ์กับผลงานที่องค์การพึงประสงค์ ซึ่งหมายถึงความสาเร็จของการ
ปฏิบัติที่เป็นไปหรือบรรลุตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ขององค์การ ดังน้ัน ประสิทธิผลจึงหมายถึง
ผลท่ีเกดิ ข้ึนของงานนั้นจะต้องสนองตอบหรือบรรลุตามวตั ถุประสงค์ขององค์การ โดยการพจิ ารณาผล
ของการทางานท่ีสาเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เป็นเร่ืองของการนาเอาผลงานที่สาเร็จดังท่ี
คาดหวังไว้มาพิจารณา และความสาเร็จของงานอย่างมีประสิทธิผลน้ีอาจเกิดการปฏิบัติงานที่ไม่
ประหยัด หรือไม่มีประสิทธิภาพได้ ซึ่ง Hoy & Miskel (2001) ก็มีแนวคิดที่คล้ายกันว่าประสิทธิผล
จะเกิดข้นึ ได้เม่ือกจิ กรรมต่าง ๆ บรรลวุ ัตถุประสงค์ขององค์การ ซ่งึ สอดคล้องกับแนวคิดของ Barnard
กล่าวคือ ความมีประสิทธิผล หมายถึง ความสาเร็จตามจุดมุ่งหมายขององค์การ และเป็นจุดมุ่งหมาย
ร่วมกัน (Common Purpose) มีผลต่อสังคมโดยส่วนรวม ซึ่งความสาเร็จในการปฏิบัติงานเป็นส่ิง
สาคัญท่ีจะบ่งบอกถงึ ความสามารถของผู้ปฏิบัติงานนัน้ แต่ในขณะที่ Steers and other (1985) ให้
ความหมายว่า ประสิทธิผลองค์การมีความหมาย 2 นัย คือ (1) เป็นความสามารถขององค์การที่ใช้
ประโยชน์จากทรัพยากรท่ีมีอยู่อย่างจากัดให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ และ (2) เป็นความสามารถ
ขององค์การท่ีดารงอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมท่ีเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกันแนวคิดของ Steers (1977:
55) ที่มองเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรท่ีมีอยู่อย่างจากัดของผู้นาเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ท่ี
กาหนดไว้ ทั้งน้ีประสิทธิผลองค์การท่ีดีที่สุดเป็นการทาให้เป้าหมายขององค์การในสถานการณ์ใด ๆมี
ความเป็นไปได้ ส่วน Goodman and Pennings (1977) มองว่าองค์การจะมีประสิทธิผลก็ต่อเม่ือ

๔๐
องค์การสามารถแกไ้ ขปญั หาและอุปสรรคที่เกีย่ วข้องจนได้ผลเป็นท่ีน่าพอใจ และผลลพั ธ์ขององค์การ
ใกล้เคียงกับเป้าหมายหรือสูงกว่า แต่สาหรับ Gibson, Ivancevich and Donnelly (1973) ให้
ความหมายของประสิทธิผลองค์การในสาระของพฤติกรรมองค์การ กล่าวคือ เป็นความสัมพันธ์ที่
เหมาะสมระหว่างองค์ประกอบ 5 ประเภท คือ ผลิตภาพ ประสิทธิภาพ ความพึงพอใจ การปรับตัว
และการพัฒนา

โดยสรุป ประสิทธผิ ล (Effectiveness) ตามความหมายหลักคอื ความสามารถขององค์การใน
การบรรลุเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ตามที่กาหนดไว้อย่างใกล้เคียงกับเป้าหมายหรือสูงกว่า ซึ่ง
เหมาะสมกบั องค์การท่ีมกี ารกาหนดเป้าหมายอย่างชัดเจน เพียงพอจะสร้างความเข้าใจ และเห็นพ้อง
ร่วมกันของฝ่ายต่างๆ อีกด้วย และประสิทธิผลขององค์การยังมีความหมายรวมไปถึงความพึงพอใจ
เม่ือปัญหาหรืออุปสรรคได้รับการตอบสนอง ความสามารถขององค์การในการดารงสถานภาพไว้ซ่ึง
ความอยรู่ อด และการปรับตวั ใหเ้ ขา้ สภาพแวดลอ้ มอีกด้วย

3.2.2 แนวคิดและทฤษฎีเกย่ี วกบั ประสทิ ธิผล
การศึกษา "ประสิทธิผลองค์การ" เป็นเป้าหมายของทุกองค์การโดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มี
การแข่งขัน เป็นสิ่งที่ใช้ในการตัดสินแสดงความสาเร็จขององค์การ นักวิชาการแทบทุกสาขาจึงให้
ความสนใจ ศึกษา วิเคราะห์เสนอเป็นแนวความคิด ทฤษฎี และตัวแบบของประสิทธิผลองค์การ
ออกเป็นหลายแนวทางแตกต่างกันตามแนวความคิดของแต่ละลักษณะสาขา แต่ก็ยอมรับว่า
ประสิทธิผลองค์การเป็นหลักของทฤษฎีองค์การท้ังหลาย ซึ่งทาให้เห็นได้ถึงความสอดคล้องตรงกันท่ี
สามารถใช้เป็นแนวทางในการประยุกต์ใช้ต่อไปว่าความมีประสิทธิผลใดมีความสาคัญต่อองค์การนั้น
มากทสี่ ดุ
จากการทบทวนวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้องกับแนวทางการศึกษาเพ่ือการประเมินประสิทธิผล
องค์การในเบื้องต้นพบว่าสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แนวทางใหญ่ๆ ด้วยกันคือ แนวทางการศึกษา
ประสิทธิผลองค์การโดยยึดถือแนวคิดเชิงเด่ียว กับแนวทางการศึกษาประสิทธิผลองค์การโดยยึดถือ
แนวคิดแบบบูรณาการ (พงศ์เทพ จันทสุวรรณ, 2553: 149-155)
1) แนวทางการศึกษาประสิทธิผลองค์การโดยยึดถือแนวคิดเชิงเด่ียว จากการศึกษาของ
Cameron (1981: 3-8) พบว่าแนวทางการศึกษาดา้ นประสิทธผิ ลองค์การโดยยดึ ถือแนวคิดเชิงเด่ยี ว
สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 แนวทาง คือ แนวทางตัวแบบเชิงเป้าหมาย แนวทางตัวแบบทรัพยากรเชิง
ระบบ แนวทางตัวแบบกระบวนการภายในองค์การ และแนวทางตัวแบบกลุ่มยทุ ธศาสตร์

(1) แนวทางตัวแบบเชิงเป้าหมาย (Goal Model) ตัวแบบนี้เป็นการนาแนวคิดด้าน
ประสิทธิผลเชื่อมโยงเข้ากับความสาเร็จในการบรรลุเป้าหมายขององค์การ (Etzioni, 1964)ในการ
ใช้แนวทางตัวแบบเชิงเป้าหมายนี้ผู้ที่ทาการประเมินประสิทธิผล มีความเชื่อพื้นฐานว่าองค์การ
มีเป้าหมายที่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน และระดับความสาเร็จของการบรรลุเป้าหมายน้ันจะต้อง
สามารถวัดได้ ซ่ึงเป็นการมุ่งเน้นไปท่ีผลผลิตหรือปัจจัยนาออก (Outputs) ขององค์การ ดังน้ันถ้า
ผลผลิตขององค์การย่งิ เข้าใกลเ้ ป้าหมายท่กี าหนดมากข้ึนเทา่ ใด ก็แสดงวา่ องค์การยง่ิ มีประสิทธผิ ลมาก
ขนึ้ เทา่ นน้ั (Cameron, 1981 : 4)

๔๑
(2) ตัวแบบทรัพยากรเชิงระบบ (System-Resource Model) ซึ่งถูกนาเสนอโดย
Yuchtman and Seashore (1967) โดยแนวทางในการศึกษาประสิทธิผลองค์การแนวน้ี จะไม่ได้
มองในด้านประเด็นด้านการบรรลุเป้าหมายเปน็ ส่ิงที่เรียกว่าประสิทธิผลองค์การ แต่จะพิจารณาในแง่
ของการได้รับทรัพยากรท่ีจาเป็นอย่างเพียงพอต่อการท่ีระบบจะสามารถดารงอยู่ได้หรือ กล่าวอีก
อย่างหน่ึงก็คือ การท่ีระบบภายในองค์การสามารถได้รับทรัพยากรที่จาเป็นในจานวนที่เหมาะสมจาก
สภาพแวดล้อมภายนอกองค์การมากเท่าใด ก็แสดงว่าองค์การยิ่งมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
ดว้ ยเหตุนีป้ ัจจัยนาเข้า (Inputs) หรือการบรรลุถึงความได้เปรียบเชิงการแขง่ ขันในตลาด (หมายความ
ว่าย่ิงมีความได้เปรียบเชิงการแข่งขันมากเท่าใด ก็ย่ิงได้รับทรัพยากรจากสภาพแวดล้อมภายนอก
องค์การมากย่ิงข้ึนเท่าน้ัน) จึงมีความสาคัญมากกว่าผลผลิตหรือปัจจัยนาออก (Outputs) ในตัวแบบ
เชงิ เปา้ หมาย (Cameron, 1981 : 4)
(3) ตัวแบบกระบวนการภายใน (Internal Processes) และการดาเนินงานภายใน
องค์การ (Operations of the Organization) เป็นสาคัญ โดยมุมมองแบบกระบวนการภายในจะ
มองว่าการท่ีองค์การจะมีประสิทธิผล ก็ต่อเม่ือกระบวนการทางานภายในองค์การมีระดับท่ีเหมาะสม
หรือมีความยาวไม่มากเกินความจาเป็น (ไม่มีขั้นตอนของกระบวนการมากเกินความจาเป็น) ภายใน
องค์การเป็นไปด้วยความราบรื่นไม่ติดขัดในเชิงโครงสร้างทั้งแนวดิ่งและแนวนอน (Likert, 1967 in
Marc-Philippe Lumpé, 2016) ซ่ึงสภาพแบบน้ีบางคร้ังก็ถูกเรียกว่า ระบบท่ีมีสุขภาพดี (Healthy
Systems) ดงั น้ัน แนวทางการศกึ ษากระบวนการภายใน จึงมีความเชื่อว่า องค์การจะย่ิงมีประสิทธผิ ล
มากยิ่งขึ้น ถ้าองค์การสามารถรักษาสภาพของกระบวนการภายในให้อยู่ในระดับที่มีสุขภาพดีมาก
ยิ่งขึ้น และในทางตรงกันข้าม องค์การจะย่ิงไม่มีประสิทธิผล ถ้ากระบวนการภายในองค์การอยู่ใน
ระดับที่มีสุขภาพแยล่ ง (Cameron, 1981: 4)
(4) ตวั แบบกลุ่มยทุ ธศาสตร์ (Strategic-Constituencies Model) หรือในบางครง้ั ก็
เรียกว่า ตัวแบบความพึงพอใจของกลุ่มผู้มีส่วนร่วม (Participant-Satisfaction Model) (Keeley,
1978 ; Connolly, et. al., 1980) แนวคิดน้ีได้มองว่าประสิทธิผลขององค์การ ก็คือ การท่ีองค์การ
สามารถทาใหก้ ลุ่มผ้มู ีส่วนร่วมที่สาคญั ทางยุทธศาสตร์มีความพึงพอใจในระดับท่ีน้อยที่สุดท่ียอมรบั ได้
(at least minimally satisfied) ดังน้ัน เป้าหมาย ปัจจัยนาออก ปัจจัยนาเข้า หรือกระบวนการ
ภายในองค์การ จึงไม่ใช่สาระของการมีประสิทธิผลในแนวทางการศึกษาแบบน้ี แต่ความพึงพอใจของ
กลุ่มบุคคลหรือบุคคล จึงเป็นสาระสาคัญของการมีประสิทธิผล กลุ่มยุทธศาสตร์ในแนวคิดนี้ จะ
หมายถึง กลุ่มบุคคลที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับองค์การ แนวคิดนี้มองว่าองค์การจะมีประสิทธิผลตราบ
เท่าท่ีองค์การสามารถตอบสนองความพึงพอใจต่อความต้องการและความคาดหวังของกลุ่ม
ยทุ ธศาสตรเ์ หล่านีไ้ ด้ (Cameron, 1981: 4)
2) แนวทางการศึกษาประสิทธิผลองค์การโดยยึดถือแนวคิดเชิงบูรณาการ แนวทางนี้มีฐาน
คติเบื้องต้นท่ีว่า ประสิทธิผลมิใช่แนวคิด (ที่เกิดจากการสังเกตปรากฏการณ์แล้วอุปนัยมาอยู่ในระดับ
นามธรรม) แตเ่ ปน็ ส่ิงที่ประกอบสรา้ งขึ้นมา (ตามค่านิยม) (....: the fact that effectiveness is not
a concept but a construct.) (Quinn and Rohrbaugh, 1 9 8 3 : 3 6 3 ) ซึ่ ง Quinn and
Rohrbaugh (1983 : 364) ได้เสนอแนะในประเด็นน้ีไว้ว่า ในขั้นแรก ควรท่ีจะกาหนดตัวแปร

๔๒
ทั้งหมดท่ีคาดว่าจะเป็นตัววัดประสิทธิผล หลังจากน้ันก็ให้ทาการศึกษาว่า และจากแนวทางที่ทั้งสอง
ท่านได้เสนอแนะไว้นี้ได้มีนักวิชาการหลายท่านพยายามท่ีจะศึกษาตาม และพยายามท่ีจะบูรณาการ
ตัวแบบประสิทธิผลองค์การเข้าด้วยกัน เช่น Scott (1977) ได้เสนอแนะไว้ว่า จากเกณฑ์วัด
ประสิทธิผลท่ีมีมากมาย สามารถลดทอนลงได้เหลือ 3 ตัวแบบด้วยกัน คือ ตัวแบบระบบเหตุผล
(Rational System Model) ตัวแบบระบบธรรมชาติ (Natural System Model) และ ตวั แบบระบบ
เปิด (Open System Model) โดยใน ตัวแบบระบบเหตุผลน้ัน จะเน้นในเรื่องของความเป็นกลไก
และไม่ลาเอียง ประสิทธิผลขององค์การในตัวแบบนี้จะเน้นไปท่ี กิจกรรมการผลิต (Productivity) ท่ี
จะทา การวัดจากหนว่ ยการผลิตท่ผี ลติ ไดใ้ นเวลาทก่ี าหนดและความมีประสทิ ธิภาพ (Efficiency) ท่ีจะ
ทา การวดั จากหน่วยการผลิตท่ีผลติ ได้ตอ่ ปัจจยั นา เข้าท่ีกาหนด ในขณะท่ีตวั แบบระบบธรรมชาติ ได้
เพ่ิมการคานึงถึงความสามารถในการรักษาระบบภายในให้อยู่รอดได้ด้วย ทัศนะที่มององค์การแบบ
ส่ิงมีชีวิต (Organic View) นี้จึงให้ความสาคัญในเร่ืองของ ขวัญกาลังใจ (Morale) และความสามัคคี
(Cohesion) ของบุคคลภายในองค์การ และสุดท้ายตัวแบบระบบเปิด มีการคานึงถึงหน้าที่ของระบบ
ทั้งในด้านการปรับเปล่ียนระบบ (System-Elaborating) และในด้านการรักษาระบบ (System-
Maintaining)ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมภายนอกดังน้ันจึงให้ความสาคัญในด้านการปรับตัวของ
ระบบ(Adaptability) และการได้มาซึ่งทรัพยากร (Resource Acquisition) ส่วน Cameron
(1979) ได้พยายามท่ีจะบูรณาการตัวแบบ 4 ตัวแบบในการศึกษาประสิทธิผลองค์การแนวคิด
เชงิ เดยี่ วเขา้ ด้วยกัน คอื ตัวแบบเชิงเป้าหมาย ตัวแบบทรพั ยากรเชิงระบบ ตัวแบบกระบวนการภายใน
องค์การ และตัวแบบกลุม่ ยทุ ธศาสตร์

อย่างไรก็ตาม ในการศกึ ษาประสิทธิผลองค์การโดยยึดถือแนวคดิ เชงิ บูรณาการ ยังมขี อ้ โต้แย้ง
จากนักวิชาการหลายท่านในประเด็นเกยี่ วกับความคลุมเครือ การทับซ้อนกันของตวั แปรในการศึกษา
และพบความขดั แยง้ กนั เองของตัวแปรในการศึกษา

ในขณะที่ Katz and Kahn (1966) ได้ทาการอธิบายและสรุปเก่ียวกับปัญหาการกาหนด
เกณฑแ์ ละตวั แปรที่ใช้ศึกษาประสิทธิผลขององคก์ ารไว้ว่า เกณฑ์การวดั ความสาเร็จขององค์การไม่อยู่
ในภาวะที่ขาดแคลนแต่อย่างใด มีการศึกษามากมายที่อ้างถึงประสิทธิภาพ ความสามารถในการผลิต
อัตราการขาดงาน อัตราการลาออกจากงานและผลกาไร ซ่ึงล้วนแต่ใช้ในความหมายเก่ียวกับ
ประสิทธิผลขององค์การท้ังส้ิน แต่การเขียนถึงความหมายของเกณฑ์นั้นส่วนใหญ่เป็นการเขียนจาก
วิจารณญาณส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละคนและยังถกเถียงกันได้ ซ่ึงปัญหาที่สาคัญท่ีสุด คือ การ
ผสมผสานตัวแปรเหล่าน้ันเข้าด้วยกัน เพ่ือเข้าใจถึงอิทธิผลของตัวแปรต่อประสิทธิผลขององค์การ ใน
การวัดประสิทธิผลขององค์การนั้น ซึ่งเขาเสนอให้แบ่งการประเมินประสิทธิผลองค์การออกเป็น 2
ประเภท เช่นเดียวกันคือ (1) การวัดประสิทธิผลองค์การโดยวิธีใช้ตัวบ่งชี้เดี่ยว (Single Criteria
Measures of Effectiveness) และรูปแบบในการประเมินประสิทธิผลด้วยตัวบ่งช้ีเด่ียวน้ันมีอยู่
ด้วยกันหลายตัว ดังตัวอย่างเช่น ความสามารถในการผลิต (Productivity) กาไรสุทธิ (Net Profit)
ความสาเร็จในภารกิจ (Mission Accomplishment) ความเติบโตและความม่ันคงขององค์การ
(Organization Growth and Stability) การบรรลุเป้าหมาย (Goal Attainment) และการสารวจ
รายการของตัวบ่งช้ีในการวัดประสิทธิผลขององค์การแบบตัวชี้เด่ียวและพบว่ามีอยู่ถึง 30 ตัว เช่น

๔๓
ประสิทธิผลในภาพรวม การเติบโต การขาดงาน การควบคุม การปรับตัว/ความยืดหยุ่น ความพึง
พอใจในงาน เป็นต้น (Cambell , 1977) และ (2) การวัดประสิทธิผลองค์การโดยใช้ตัวบ่งชี้หลาย
ตัว (Multiple Criteria Measures of Effectiveness) องค์การโดยทั่วไปจะมีวัตถุประสงค์หลาย
ประการ การท่ีจะประเมินประสิทธิผลองค์การโดยใช้ตัวบ่งชี้เดี่ยว จึงเป็นสิ่งท่ีเป็นไปได้ยาก เพราะไม่
สามารถสะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยระดับต่างๆ ท่ีมีอิทธิพลต่อประสิทธิผลขององค์การได้ การประเมิน
ประสิทธิผลองค์การจึงความใช้การวัดแบบตัวบ่งชี้หลายตัว โดยตัวแบบที่สาคัญในการประเมิน
ประสิทธิผลขององค์การแบบใช้ตัวบ่งช้ีหลายตัว (Multiple Criteria Measures of Effectiveness)
ตัวแปรหน่ึงคือ ตัวแบบหน้าท่ีทางสังคม (Social Function Model) ซึ่งเป็นผลงานที่สาคัญของ
Parson (1960 อ้างใน โดย W Richard Scott and Gerald F. Davis ) ตัวแบบน้ีต้ังอยู่บนพื้นฐาน
ของทฤษฎีระบบสังคมของ Parson ที่ว่าองค์การเป็นระบบสังคมจึงจาเป็นต้องปรับตัวเพ่ือความอยู่
รอดและความอยู่รอดของระบบสังคมข้ึนอยู่กับหน้าที่หลัก 4 ประการ คือ (1) การปรับตัว
(Adaptation) (2) การบรรลุเป้าหมาย (Goal attainment) (3) การบูรณาการ (Integration) (4)
การรักษาแบบแผนวัฒนธรรม (Latency) และ Hoy and Mislel (1991) ได้ขยายแนวคิดของพาร์
สันออกไป โดยเสนอแนะตัวบ่งช้ีในการวัดหน้าที่หลัก 4 ประการ โดยอาศัยแนวคิดของ Cambell
(1977) คอื

1) การปรับตัว (Adaptation) หมายถึง การที่องค์การจะต้องปรับตัวให้สอดคล้อง
กับส่ิงแวดล้อมภายนอก โดยการปรับเปล่ียนการดาเนินงานภายในให้สนองต่อสภาพการณ์ใหม่ ๆ
ที่มีผลกระทบองค์การ ตัวบ่งชี้ที่จะวัดได้แก่ (1) ความสามารถในการปรับเปลี่ยน (adaptation)
(2) นวัตกรรม (Innovation) (3) ความเจริญเตบิ โต (Growth) และ (4) การพัฒนา (Development)

2) การบรรลุเป้าหมาย (Goal Achievement) หมายถึง การกาหนดวัตถุประสงค์
ขององค์การ การจัดหาและการใชท้ รัพยากรต่าง ๆ ภายในองคก์ าร เพ่อื ให้การดาเนินงานขององค์การ
บรรลุวัตถุประสงค์ท่ีวางไว้ ตัวบ่งชี้ท่ีจะใช้วัดได้แก่ (1) ผลสัมฤทธ์ิ (Achievement) (2) คุณภาพ
(Quality) (3) การแสวงหาทรัพยากร (Resource Acquisition) (4) ประสทิ ธภิ าพ (Efficiency)

3) การบูรณาการ (Integration) หมายถึง การประสานความสัมพันธ์เกี่ยวกับ
สมาชิกภายในองค์การ เพ่ือการรวมพลังให้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการปฏิบัติภารกิจของ
องค์การตัวบ่งช้ีที่จะวัดได้แก่ (1) ความพอใจ (Satisfaction) (2) บรรยากาศ (Climate) (3) การส่ือ
ความหมาย (Communication) (4) ความขัดแย้ง (Conflict)

4) การรกั ษาแบบแผนวฒั นธรรม (Latency) หมายถงึ การดารงและรักษาแบบแผน
วัฒนธรรมขององค์การ ซึ่งประกอบด้วยรูปแบบทางด้านวัฒนธรรมขององค์การ และแรงจูงใจในการ
ทางานให้คงอย่ใู นองค์การ ตัวบง่ ชที้ ่ีจะวัดไดแ้ ก่ (1) ความภักดี (Loyalty) (2) ความสนใจของคนสว่ น
ใหญ่ (Central Life Interest) (3) แรงจงู ใจ (Motivation) (4) เอกลักษณ์ (Identity)

ในประเด็นการศึกษาและประเมินประสิทธิผลองค์การยังมีนักวิชาการอีกหลายท่านได้ให้
ข้อเสนอไว้ เช่น Robbins (1987) ได้กล่าวถึงแนวทางการศึกษาและประเมินประสิทธิผลองค์การ
อาจกระทาได้ 5 แนวทาง ดังน้ี

๔๔
1) แนวทางในการบรรลุเป้าหมาย (The Goal-Attainment Approach) ให้เป็นไป
ตามความหมายขององค์การท่ีหมายถึง การสร้างข้ึนมาเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายเฉพาะ (Specific
Goals) ระดับการบรรลุผลของเป้าหมายท่ีกาหนดไว้ เปน็ การเน้นท่ีผลมากกว่าทว่ี ิธกี าร ข้อสันนษิ ฐาน
ของแนวทางนี้คือ (1) องค์การต้องมีเป้าหมายแน่นอน (2) เป้าหมายต้องมีความชัดเจนเข้าใจตรงกัน
(3) เป้าหมายต้องไม่มากเกินไป (4) เป็นเป้าหมายท่ีมีความสอดคล้องกัน และ (5) วัดความก้าวหน้า
ของเป้าหมายได้ เป้าหมายองค์การท่ีนาให้เป็นไปตามข้อสันนิษฐานควรจัดทาให้เป็นเป้าหมายเชิง
ปฏิบัติการ (Operative Goals) เป็นเป้าหมายเฉพาะ (Specific Goals) ขององค์การเพื่อให้เข้าใจ
ตรงกันและสามารถวัดได้
2) แนวทางเชิงระบบ (The System Approach) เป็นไปตามความหมายของ
องค์การที่ว่าองค์การเป็นระบบต้องการปัจจัย มีกระบวนการการเปลี่ยนปัจจัย และมีผลผลิต ต้อง
รักษาเสถียรภาพและความสมดุล ดังนั้นแนวทางเชิงระบบมุ่งเน้นเกณฑ์ที่เพิ่มความอยู่รอดของ
องค์การในระยะยาว ประสิทธิผลองค์การตามแนวทางเชิงระบบจึงหมายถึง ความสามารถของของ
องค์การในการจัดสรรทรัพยากร การรักษาเสถียรภาพและความสมดุลของระบบภายในองค์การ และ
การมีปฏิสัมพันธ์อย่างประสบความสาเร็จกับสภาพแวดล้อมภายนอก แนวทางเชิงระบบเน้นวิธีการ
มากกว่าที่ผล ข้อดีของแนวทางระบบคือ การทาให้ผู้บริหารตระหนักในความสาคัญของการพึ่งพา
อาศัยซึ่งกันและกันของระบบย่อยในองค์การและเหมาะสมกับองค์การที่มีเป้าหมายไม่ชัดเจน
ไมส่ ามารถวัดไดเ้ พราะสามารถใชเ้ กณฑ์อน่ื ๆ แทนการทาให้บรรลเุ ป้าหมาย
3 ) แน วท างเชิงกลยุท ธ์ -กลุ่มท่ี เกี่ยวข้อง (The Strategic-Constituencies
Approach)จัดเป็นการศึกษาประสิทธิผลองค์การตามแนวใหม่ ข้อสันนิษฐาน (Assumption) ของ
แนวทางน้ีพิจารณาองค์การในฐานะที่เป็นระบบภายใต้สภาพแวดล้อมซึ่งต้องดาเนินการให้สอดคล้อง
กับความต้องการ ความพอใจของกลุ่มท่ีเกี่ยวข้องที่ให้การสนับสนุนองค์การให้มีความอยู่รอด
ความหมายของประสิทธิผลองค์การตามแนวทางน้ีคือ ระดับความสามารถขององค์การในการ
ตอบสนองความต้องการของกลุ่มท่ีเกี่ยวข้องในสภาพแวดล้อมขององค์การ แนวทางกลุ่มท่ีเกี่ยวข้อง
จะคล้ายคลึงกับแนวทางเชิงระบบ คือ ทั้ง 2 แนวทางตระหนักถึงความสาคัญของการพ่ึงพาอาศัยกัน
ภายในระบบแต่มีจุดเน้นต่างกัน โดยแนวทางกลุ่มที่เก่ียวข้องเชิงกลยุทธ์จะพิจารณาสภาพแวดล้อม
เฉพาะส่วนท่ีเกย่ี วข้องกับการอยู่รอดขององค์การ ผู้บรหิ ารองค์การจะไม่ละเลยต่อกลุ่มท่ีมีอานาจ ที่มี
อิทธพิ ลตอ่ การดาเนนิ งานขององค์การ
4 ) แน วท างการแข่งขัน -คุณ ค่า (The Competing-Values Approach) ข้อ
สันนิษฐานของแนวทางน้ีคือ ประสิทธิผลองค์การจะมีความเป็นอตั นัย (Subjective) ขึน้ อยกู่ ับค่านยิ ม
ความชอบและความสนใจของผู้ประเมิน จะไม่มีเกณฑ์ที่ดีท่ีสุด (Best Criterion) สาหรับการประเมิน
ประสิทธิผลองค์การแนวทางน้ีคาดว่าจะทาให้การประเมินประสิทธิผลองค์การเหมาะสมยิ่งข้ึน โดย
กาหนดองค์ประกอบทั่วไปของเกณฑ์ประสิทธิผลองค์การ และใช้องค์ประกอบเหล่านี้เป็นพ้ืนฐานใน
การกาหนดคณุ ค่าทแี่ ข่งขนั เพ่อื ท่จี ะกาหนดรปู แบบประสทิ ธผิ ลที่มีลกั ษณะเฉพาะไดใ้ นแต่ละรปู แบบ
5) แนวทางบูรณาการ (Integrated Model) แนวทางน้ีมีแนวคิดที่ต้ังอยู่บน
หลักการและมโนทัศน์ท่ีว่า ประสิทธิผลขององค์การไม่ได้ขึ้นอยู่กับส่ิงใดส่ิงหน่ึงโดยเฉพาะ แต่จะต้อง

๔๕

ผสมผสานกันระหว่างโครงสร้างขององค์การโดยรวมและบุคคลที่อยู่ในองค์การ ซ่ึงไม่ว่าจะใช้แนวคิด
ใดประเมินก็ต้องพิจารณาท้ังสองส่วนควบคู่กันไป นอกจากน้ีบรรยากาศการทางาน ความพึงพอใจ
ความผูกพันต่อองค์การ ส่ิงเหล่าน้ีมีอิทธิพลต่อประสิทธิผลขององค์การ การประเมินประสิทธิผล
องค์การเน้นการประเมินองค์ประกอบรวมโดยนามโนทัศน์ของรูปแบบการประเมินผลแบบด้ังเดิมคือ
การบรรลุเป้าหมายองค์การและรปู แบบระบบทรัพยากรซงึ่ เนน้ ปจั จัยการผลิตมาบรู ณาการเข้าด้วยกัน

สรุป จากการทบทวนแนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการวัดหรือการประเมินประสิทธิผลองค์การ
ผู้วิจัยได้เลือกใช้การประเมินประสิทธิผลองค์การโดยใช้แนวทางในการบรรลุเป้าหมาย (The Goal-
Attainment Approach) เน่ืองจากสานักงานสาธารณสุขจังหวัดสพุ รรณบุรีเป็นองค์กรที่มีการใชแ้ ผน
ยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนการดาเนินงาน ซึ่งในแผนยุทธศาสตร์ และแผนปฏิบัติการเป็นแผนท่ีมี
การกาหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์การดาเนินงานอย่างชัดเจน โดยเกณฑ์ประเมินประสิทธิผล
รูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุจะพิจารณาจาก (1) ผลการดาเนินงาน (Output) โดยประเมินจาก
ความสาเร็จของผลการดาเนินงานตามเป้าหมาย ในท่ีนี้วัดจากผลการดาเนินงานคัดกรองสุขภาพ
ผสู้ ูงอายุ และผลการดาเนินงานกิจกรรมตามแนวทางท่ีกาหนดไว้ ว่าได้ดาเนินกิจกรรมน้ันแล้วหรือไม่
และ (2) การประเมินผลลัพธ์ (Outcome) ซึ่งประเมินจาก (1) ความความพึงพอใจของผู้สูงอายุต่อ
การดาเนินงาน และ (2) ร้อยละของความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจาวัน (Barthel
Activities of Daily Living: ADL)ของผสู้ งู อายุ

3.2.3 ตัวแบบการประเมินผลเชิงระบบ (Input Output Model หรือ System Approach
Model)

ในการประเมินประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของการดาเนินงานโครงการ แบบจาลองท่ี
ผบู้ รหิ ารโครงการ หรือผู้ท่ีเก่ียวข้องกับการประเมินผลโครงการด้านสังคมส่วนมากนิยมใช้คือ แนวคิด
ปัจจัยนาเข้าและผลผลิต หรือเรียกว่าตัวแบบประเมินผลเชิงระบบ (Input Output Model หรือ
System Approach Model) ที่มีหลักการสาคัญมุ่งเน้นประเมินด้วยวิธีระบบการวิเคราะห์
(Analytical Evaluation) ปัจจัยนาเข้า กระบวนการ (Process) และผลผลิต (Outputs) ตลอดจน
ประเมินผลต่อเป้าหมาย (Outcomes) และอาจรวมถึงผลกระทบ (Impacts) ที่คาดว่าเกิดข้ึนจาก
โครงการทั้งทางตรงและทางออม ท้ังมิติทางบวก และมิติทางลบ การประเมินผลโครงการในแนวคิด
และแบบจาลองเชิงระบบ (Input Output Model) เป็นการตรวจสอบโครงการ 2 ชวงเวลาคือการ
ประเมินระหว่างการดาเนินโครงการ (On-going evaluation) ซึ่งเป็นการมุ่งประเมินประสิทธิภาพ
ของการดาเนินโครงการ เพ่ือตรวจสอบกระบวนการดาเนินโครงการว่าไดดาเนินเป็นไปตามแนวคิด
และหลักการบรหิ ารจัดการท่ดี ี และเพ่ือตรวจสอบวดั ความก้าวหนา้ ของโครงการว่าดาเนินเป็นไปตาม
แผนปฏิบัติการท่ีกาหนดไว้หรือไม่ มากน้อยเพียงใด สาหรับการประเมินหลังเสร็จส้ินการดาเนิน
โครงการ (Ex-post evaluation) มุ่งเน้นการประเมินประสิทธิผลของโครงการหรอื ตรวจสอบประเมิน
ความสาเรจ็ ผลสัมฤทธิ์ของโครงการว่าบรรลุวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายหรือไมรวมถึงการประเมินผล
ต่อเป้าหมายหรอื คุณประโยชนที่เกดิ ขึ้นจากโครงการ ตลอดจนผลกระทบทเ่ี กิดขน้ึ ทงั้ ที่คาดหวงั และไม
คาดหวงั จากโครงการในทิศทางทป่ี รารถนาและไมปรารถนา

๔๖

แนวคิดของรูปแบบนี้มาจากศาสตร์ด้านบริหารที่ต้องการเน้นถึงประเด็นสาคัญว่า หาก
ต้องการผลลัพธ์ที่มีคุณภาพ ก็จาเป็นต้องใส่ส่ิงนาเข้าท่ีสมบูรณ์ และมีคุณภาพ เข้าไปในระบบ และ
ดูแลให้กระบวนการของโครงการมีประสิทธภิ าพด้วย การประเมินประกอบด้วย 1)การประเมินปัจจัย
นาเข้า (Input) เป็นการประเมินทรัพยากรที่ใช้ในโครงการ ได้แก่ ทรัพยากรต่างๆ ในการฝึกอบรม
เช่น หลักสูตร เอกสารอบรม สิ่งอานวยความสะดวก เงินงบประมาณ บุคคล วัสดุอุปกรณ์ 2) การ
ประเมินกระบวนการ (Process) เช่น วิธีการอบรม การนาเสนอภาคทฤษฎี การฝึกภาคปฏิบัติ การ
ให้บริการ เป็นต้น และ 3) การประเมินผลการฝกึ อบรม (Output) เช่น ความพึงพอใจ ความรู้ ของผู้
เข้ารับการอบรม ประสิทธิผล เป็นต้น รวมทั้งสารสนเทศต่างๆ เก่ียวกับผลลัพธ์ที่จะสง่ ผลกระทบเป็น
ขอ้ มลู ย้อนกลับ ( Feedback) ในการพฒั นาการฝกึ อบรมครงั้ ตอ่ ไป แสดงดังแผนภูมิท่ี 2.3

สิ่งแวดล้อม

Environment

ปัจจัยนาเขา้ (Inputs) กระบวนการ ผลผลิต (Outputs)/
- วสั ดอุ ปุ กรณ์/สงิ่ อานวย (Process) ผลิตผล (Products
ความสะดวก
- คน
- เงนิ

ขอ้ มูลย้อนกลับ

(Feedback)

แผนภาพท่ี 2.3 รูปแบบการประเมินเชงิ ระบบ
ที่มา: จากการประยุกต์ The Basic Elements of a System in Gibson, J.L., Ivancevich,JM.

and Donnelly J.H. (1973). Organizations : Behavior, Structure Process. (4thed).
Taxas. : Busness Publication, pp.22.

โดยสรุปประสิทธภิ าพจะมุ่งเนน้ ถงึ ความสาเร็จของกระบวนการ (Process)ที่แปรปจั จยั นาเข้า
(Input)ไปเป็นผลผลิต โดยเปรียบเทียบกับกระบวนการแปรปัจจัยนาเข้าในอดีตหรือมาตรวัดท่ีมีอยู่
ซง่ึ ในท่ีนป้ี ระสทิ ธิภาพของรูปแบบการดาเนินงานดแู ลสุขภาพผู้สูงอายุวัดความสาเร็จในการดาเนนิ งาน
ดูแลสุขภาพโดยการปรับปรุง หรือการพัฒนาปัจจัยปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายในที่เกี่ยวข้องกับ
การดาเนินงานให้มีความถูกต้อง เหมาะสม และเอ้ือต่อการดาเนินงาน ส่วนประสิทธิผลเป็นการวัด
ความสาเรจ็ ของงานโดยดูจากผลงานเมื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมาย ถ้าสามารถปฏิบตั ิงานโดยสามารถ
บรรลุเป้าหมายท่ีต้ังไว้ถือว่าการปฏิบัติงานน้ันมีประสิทธิผล แต่ถ้าปฏิบัติงานแล้วไม่สามารถบรรลุ
เป้าหมายที่ตัง้ ไว้ ก็ถือว่าการปฏบิ ัตงิ านนั้นไมม่ ีประสิทธิผล

๔๗

4. แนวคิดการวจิ ัยและการพฒั นา (Research and Development – R&D)

แนวคิดการวิจัยและพัฒนา (R&D) สามารถสร้างความก้าวหน้าทางความคิดและการคิดค้น
ประดิษฐกรรมใหม่ๆ ให้กับศาสตร์ ทุกสาขาวิชา ท้ังทางด้านวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม แพทยศาสตร์
สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ ฯลฯ มีนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยจานวนมากท่ีได้สร้างตานาน
การวิจัยและพัฒนาที่เป็นบ่อเกิดของนวัตกรรมและประดิษฐกรรมกรรมของโลกใบน้ีไว้มากมาย อาทิ
เช่น Isaac Newton ค้นพบมาก่อน คือ กฎแรงโน้มถ่วงของโลก เป็นผู้ประดิษฐ์กล้องโทรทัศน์และ
ส่ิงประดษิ ฐ์อีกหลายอย่าง Benjamin Franklin ค้นพบกระแสไฟฟ้าสถติ ย์ จนได้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า
ก้านยาว เตาไฟฟ้า และสิ่งประดิษฐ์อ่ืนอีกมากมาย และยังมีนักวิจัยอีกจานวนมากท่ีผลิตผลงาน ซึ่ง
เห็นได้จากวิวัฒนาการของความก้าวหน้าในการพัฒนานวัตกรรม และประดิษฐกรรมสาคัญของโลกท่ี
ผ่า มาแสดงให้เห็นบทบาทของนักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์หรือนักวิจัยในการสังเกตสภาพปัญหาท่ี
เกิดขึ้นคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ สร้างหลักการ แนวคิดองค์ความรู้ใหม่อย่างเป็นระบบ เพ่ือการ
ออกแบบ ทดลอง ทดสอบ และทาการปรับปรุงแก้ไข จนประดิษฐกรรมนั้นเกิดประสิทธิผล
ประสทิ ธิภาพ ซง่ึ มรี ากฐานจากกระบวนการวิจัยและพฒั นา (R&D)

4.1 ความหมายของการวิจยั และพัฒนา
นักวิชาการหรือนักวิจัยที่สนใจการวิจัยและพัฒนา (Research and Development, R&D)
ใหค้ วามหมายการวิจยั และพัฒนาไว้คล้ายคลึง กล่าวคอื การวิจัยและพัฒนาเป็นขนั้ แรกของการพัฒนา
บริการหรอื กระบวนการการผลิตใหม่ หรือปรับปรุงบรกิ ารหรือผลิตภัณฑ์ทมี่ ีอยู่เดมิ ในการศึกษาครัง้ นี้
อ้างอิงความหมายตาม ศิริชัย กาญจนวาสี (2559: 1-18) ท่ีให้ความหมายของการวิจัยและพัฒนา
วา่ เป็นการผสานกระบวนการวจิ ัยกับกระบวนการพัฒนาเข้าด้วยกัน เป้าหมายเพ่ือนาองค์ความรู้ใหม่
มาใช้สาหรับการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง วิธีการหรือผลผลิตท่ีสร้างข้ึนใหม่จนมีประสิทธิผลและ
ประสิทธิภาพอันเป็นประโยชน์ ต่อบุคคล หน่วยงาน องค์กร สถาบัน หรือสังคม โดยมีกลยุทธ์ในการ
ตรวจสอบยืนยันความถูกต้อง และน่าเชื่อถือของวิธีการหรือผลผลิตใหม่ หรือ แสวงหาวิธีการหรือ
ผลผลิตใหม่ หรือสร้าง นวัตกรรม หรือส่ิงประดิษฐ์ใหม่ ซ่ึงผังขอกระบวนการวิจัยและพัฒนาดัง
แผนภาพท่ี 2.4

๔๘

กระบวนการ R&D ผลลัพธ์

องคค์ วามรู้ นวัตกรรม การทดลอง นวัตกรรมท่ี การบรรลุ
เหมาะสม เปา้ หมาย
• แนวคิด การออกแบบ ต้นแบบ • ประเมนิ
• หลักการ นวัตกรรม • วธิ ีการ (วถิ ี • เปล่ียนแปลง • วิธีการ (วถิ ี ผลประโยชน์ของ
• ทฤษฎี ประดษิ ฐกรรม การปฏิบัติ) • ปรบั ปรุง การปฏบิ ตั )ิ • บคุ คล
หรอื • หนว่ ยงาน
หรอื • องค์กร
• ผลผลติ • สถาบัน
• ผลผลิต (ส่ิงประดษิ ฐ์) • สังคม
(สิ่งประดษิ ฐ)์

ประสทิ ธผิ ล/ ความพงึ พอใจ
ประสิทธภิ าพ

แผนภาพที่ 2.4 กระบวนการวจิ ยั และพฒั นา (R&D Process)
ที่มา: ศิรชิ ยั กาญจนวาสี. (2559). การวิจยั และพฒั นาการศกึ ษาไทย. วารสารศิลปากร

ศึกษาศาสตรว์ ิจัย, 8 (2), 1-18.

4.2 องค์ประกอบของกระบวนการวจิ ยั และพัฒนา

กระบวนการวิจัยและพัฒนา (R&D Process) มีองค์ประกอบของกระบวนการวิจัยและ
พฒั นา ทส่ี าคญั คอื (ศิริชัย กาญจนวาสี, 2559: 1-18)

1) กระบวนการวิจัย มีการทาวิจัยอย่างเป็นระบบ โดยใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์
ได้แก่ การกาหนดปัญหาในการวิจัย การพัฒนากรอบแนวคิดของการวิจัย การออกแบบการวิจัยการ
พัฒนาเครื่องมือวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ขอ้มูล การเขียนรายงานการวิจัย และการ
เผยแพร่ผลการวิจัย องค์ความรู้ใหม่ท่ีได้นามาใช้เพ่ือพัฒนานวัตกรรม หรือ ประดิษฐกรรมใหม่ที่มี
คณุ ภาพ

2) การผสมผสานวิธีการวิจัย มีการผสานวิธีวิจัยทั้งการวิจัยพ้ืนฐาน (Basic Research)
ทีม่ ุ่งแสวงหาความรู้ใหมห่ รือ ขยายพรมแดนของความรู้ กับการวจิ ัยประยกุ ต์ (Applied Research) ท่ี
มุ่งค้นหาอตั ถะประโยชนข์ อง การนาความรมู้ าใชใ้ นการปฏิบตั ิ หรอื แกป้ ญั หาทางการปฏิบัติ

๔๙
3) กระบวนการพัฒนา มีกระบวนการพัฒนาอย่างเป็นระบบ มีการเปล่ียนแปลง หรือ
ปรับปรุงนวัตกรรมหรือประดิษฐกรรมให้ดีขึ้นอย่างต่อเน่ืองจนมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ การ
พัฒนาอยู่บนพื้นฐานของสารสนเทศที่ได้จากการประเมินและการวิจัย (Research-Based
Development) จนผลผลิตที่ได้มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อบุคคล หน่วยงาน องค์กร สถาบัน
หรอื สงั คมโดยรวม
4) การผสมผสานการทดลองและการ ปรับปรุง มีการออกแบบนวตั กรรมหรือประดิษฐ
กรรมใหม่ ทดลองนาไปใช้ตามกระบวนการทดลอง ที่ได้มาตรฐาน มักมีการทดลองซ้าหลายคร้ัง ทุก
คร้ังของการทดลองจะมกี ารเกบ็ รวบรวมข้อมูล ทาการประเมินผล เพ่ือนาสารสนเทศท่ีไดม้ าใช้สาหรับ
การแกไ้ ข และปรบั ปรงุ ดังแผนภาพท่ี 2.5

ทดลอง
ปรับปรงุ

ทดลอง
ปรบั ปรุง

การออกแบบ การวิจัย (R)
ประดิษฐ
กรรม/
นวัตกรรม

แผนภาพที่ 2.5 องคป์ ระกอบของการวิจัยและพัฒนา (R&D)
ทม่ี า: ศริ ชิ ยั กาญจนวาสี. (2559). การวิจยั และพัฒนาการศกึ ษาไทย. วารสารศลิ ปากร

ศกึ ษาศาสตร์วจิ ัย, 8 (2), 1-18.
สาหรับการศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยประยุกต์การวิจัยและพัฒนา (The Research and
Development – R&D) โดยใชการสังเคราะห์องค์ความรู้ (Synthesis) และบูรณาการองค์ความรู้
(Integration) เพื่อนามาใช้ ออกแบบ และพัฒนาปรับปรุง (Design and Development) จนได้
ผลผลิตท่ีพึงประสงค์ โดยดาเนนิ การในขน้ั ตอนสาคญั 4 ขั้นตอนดงั น้ี
ระยะท่ี 1 ระยะศึกษา (R1) เป็นการศึกษาบริบท การศึกษาสภาพ ปัญหา และอุปสรรคของ
รูปแบบการดาเนนิ งานดูแลสุขภาพผูส้ ูงอายขุ องจังหวดั สุพรรณบุรี

๕๐

ระยะท่ี 2 ระยะพัฒนา (D) แบ่งออกเป็น 2 ข้ันตอน คือ ข้ันตอนแรก (D1) เป็นการค้นหา
แนวทางการเพิม่ ประสทิ ธภิ าพรูปแบบการดาเนนิ งานดแู ลสุขภาพผสู้ งู อายุ และขั้นตอนทสี่ อง (D2) นา
ผลของการวิเคราะห์ในข้ันตอนแรก จัดทาเป็นกรอบข้อเสนอในการเพิ่มประสิทธิภาพรูปแบบการ
ดาเนนิ งานดูแลสขุ ภาพผู้สงู อายุ

ระยะที่ 3 ระยะวิจัยและประเมินผล (R2) เป็นการทดลองใช้รูปแบบการดาเนินงานดูแล
สุขภาพผู้สูงอายุท่ีพัฒนาประสิทธิภาพ เพื่อศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพ
ผู้สูงอายุจังหวัดสุพรรณบุรีภายหลังการเพิ่มประสิทธิภาพ โดยการประเมินผลการดาเนินงาน
(Output) และการประเมินผลลัพธ์ (Outcome) ของการดาเนินงาน

ระยะท่ี 4 การสรปุ ผล เป็นการวิเคราะหผ์ ล และสรุปผลการวิจัย

5. ผลงานวิจัยท่เี กีย่ วข้อง

ในการทบทวนผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้ทบทวนตามวัตถุประสงค์ของการศึกษา
ประกอบด้วย งานวิจัยเกี่ยวกับสภาพ ปัญหา และอุปสรรคของรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพ
ผู้สูงอายุ ประสิทธิภาพรูปแบบการดาเนินงานดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ การประเมินประสิทธิภาพ และ
ประสทิ ธิผลของรูปแบบการดาเนนิ งานดแู ลสุขภาพผสู้ งู อายุ โดยมีการทบททวนพอสงั เขปดงั ตอ่ ไปนี้

กมลชนก ภูมิชาติ ปรีชา สามัคคี และลัญจกร นิลกาญจน์ (2561: 115-131) พบว่า
ชุมชนต้นแบบ ท่ีเป็นมิตรกับผู้สูงอายควรมีรูปแบบใน 3 รูปแบบ ได้แก่ (1) การดูแลและส่งเสริม
ผู้สงู อายโุ ดยผู้สงู อายุเอง (2) การดูแลและส่งเสริมผูส้ ูงอายุโดยผู้ดูแลหรือครอบครัว และ (3) การดแู ล
และส่งเสริมผู้สูงอายุโดยหน่วยงานหรือองค์กรในชุมชน และการดูแลและส่งเสริมผู้สูงอายุ
ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ การดูแลและส่งเสริมผู้สูงอายุด้านสุขภาพกายและจิตใจ การดูแลและ
สง่ เสริมผู้สงู อายุ ด้านอาหารและโภชนาการ การดแู ลและสง่ เสริมผู้สงู อายุดา้ นการออกกาลังกาย การ
ดแู ลและสง่ เสริมผู้สงู อายุด้านที่อยู่อาศัยและสภาพแวดลอ้ ม และผลท่สี นับสนุนให้เห็นความสาคัญของ
การพัฒนานวตั กรรม

ภาสกร สวนเรือง อาณัติ วรรณศรี และสัมฤทธิ์ ศรีธารงสวัสดิ์ (2561: 437-451)ที่ศึกษา
บทบาทของผู้ช่วยเหลอื ดูแลผู้สงู อายุ (Caregiver) และกระบวนการในการดแู ลผู้สงู อายุทมี่ ีภาวะพงึ่ พิง
ในชุมชน หลังการมีนโยบายการพัฒนาระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสาหรับผู้สูงอายุที่มี
ภาวะพ่ึงพิงพบว่า บทบาทของผู้ชว่ ยเหลือดูแลผู้สูงอายุและกระบวนการทางานในการดูแลผู้สูงอายุใน
ชุมชนท่ีเปล่ียนแปลงอย่างเห็นได้ชัดหลังมีนโยบาย คือ ผู้ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุมีองค์ความรู้และ
ทกั ษะต่างๆ ในการดูแลผู้สงู อายุภาวะพึง่ พิงเพิ่มมากขึ้น จากการฝึกอบรม โดยเฉพาะอย่างยง่ิ การช่วย
ดูแลผู้สูงอายุตามกิจวัตรประจาวัน การแก้ปัญหาสุขภาพ การดูแลเรื่องสุขาภิบาลและส่ิงแวดล้อมที่
บ้านของผู้สูงอายุมีการทางานเป็นทีมมากขึ้น โดยมีระบบพี่เลี้ยงและบัดดี้มีรูปแบบในการทางานที่
ชัดเจนข้ึน เห็นได้ชัดจากการทางานตามแผนการดูแลผู้สูงอายุรายบุคคล (Care Plans) ท่ีมีแผนการ
ทางาน มีรายละเอียดของผู้สงู อายุที่ให้การดูแล รวมทั้งเป้าหมายในการช่วยเหลือบาบัดฟื้นฟูผู้สูงอายุ

๕๑
ให้สามารถช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจาวันได้มากขึ้นตามความเหมาะสมกับผู้สูงอายุแต่ละราย
ภายใต้การให้คาปรึกษาดูแลของผู้จัดการระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุข (care managers)
และการทางานร่วมทมี สหวชิ าชีพ ทสี่ อดคลอ้ งกบั ความต้องการการรับบริการของผสู้ งู อายแุ ต่ละราย

กุลวดี โรจน์ไพศาลกิจ และ วรากร เกรียงไกรศักดา (2560: 81-97)ศึกษาการพัฒนาแนว
ทางการดาเนินงานของชุมชนในการพัฒนาสุขภาวะผู้สูงอายุพบว่า ปัจจัยท่ีส่งผลต่อการดาเนินงาน
ของชุมชนในการพัฒนาสุขภาวะผู้สูงอายุ ประกอบด้วย 6 ปัจจัยคือ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการดาเนินงาน
ของชุมชนในการพัฒนาสุขภาวะผู้สูงอายุโดยชุมชน พบว่า ประกอบด้วยปัจจัยด้านต่างๆ ดังนี้ 1)
ปัจจัยด้านทุนทรัพยากรบุคคล ซึ่งเป็นแกนนาหลักในชุมชนที่มีบทบาทสาคัญในการพัฒนาสุขภาวะ
ผู้สูงอายุ ได้แก่ คณะกรรมการชมรมฯ บุคลากร รพ.สต.ผู้บริหาร อบต. กานัน ผู้ใหญ่บ้าน 2) ปัจจัย
ด้านเงินทุนในการดาเนินงานในการพัฒนาสุขภาวะผู้สูงอายุ พบว่าชุมชนมีเงินทุนในการดาเนินการ
จากแหล่งต่างๆ คือ (1) เงินทุนจากค่าธรรมเนียมสมาชิกชมรมผู้สูงอายุ (2) เงนิ ทุนจากเงนิ ท่ีเก็บจาก
สมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์ (3) การสนับสนุนงบประมาณจากสานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
(สปสช.) 4) การสนับสนุนงบประมาณจาก อบต. ซึ่งบรรจุกิจกรรมพัฒนาสุขภาวะผู้สูงอายุไว้ใน
แผนปฏิบัติการประจาปี 5) การได้รบั การสนับสนุนงบประมาณจาก อบจ. (เมือ่ ชุมชนเสนอขอรบั การ
สนบั สนุน) และ 6) เงินสมทบจากสมาชิกชมรมผู้สงู อายุท่ีขายสินคา้ จากโครงการสง่ เสริมการประกอบ
อาชีพ 3) ปัจจัยด้านการสนับสนุนและความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายในพื้นท่ี พบว่าได้รับการ
สนบั สนนุ ในด้านต่างๆ จาก รพ.สต. อบต. และโรงเรียน โดยโรงเรียนในตาบลได้ส่งเสริมใหน้ กั เรยี นมา
เรียนรู้กับผู้สูงอายุท่ีเป็นปราชญ์ชาวบ้านในด้านต่างๆ เช่น การทาขนมพื้นบ้าน นอกจากน้ีกลุ่มเด็ก
และเยาวชนยังไดร้ ว่ มการเย่ียมผู้สงู อายทุ ี่บ้านอกี ด้วย 4) ปัจจัยดา้ นระบบการบริหารจัดการของชมรม
ผู้สูงอายุ ซ่ึงมีขั้นตอนและแนวทางการดาเนินงานท่ีชัดเจน เช่น โครงสร้างการบริหารจัดการ การ
มอบหมายหน้าท่ี/ความรับผดิ ชอบ การจัดระบบงบประมาณ/การเงิน ท่ีสาคัญคือกลไกการนาแกนนา
ในแต่ละหมู่บ้านมาร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารชมรม 5) ปัจจัยดา้ นบริบทวัฒนธรรมชุมชน ที่ยังให้
ความสาคัญกบั ผ้สู ูงอายุ การเคารพและให้คณุ ค่าของผู้สงู อายุในบรบิ ทของครอบครัวและชุมชน การมี
ประเพณีวัฒนธรรมที่เอ้ือต่อการให้ความสาคัญกับผู้สูงอายุ เช่น การรดน้าผู้สูงอายุวันสงกรานต์ การ
ประกวดผู้สูงอายุสุขภาพดี การประกวดนางนพมาศสูงอายุ 6) ปัจจัยด้านคุณลักษณะของประชาชน
ในตาบล ซึ่งมีความกระตือรือร้นในการมีส่วนร่วมในกิจกรรมส่งเสริมสขุ ภาพ ปอ้ งกันโรค และการดูแล
สขุ ภาพ รวมถึงการมคี วามสามคั คี ชว่ ยเหลอื เก้อื กลู กัน

วิไล ตาปะสี ประไพวรรณ ด่านประดิษฐ์ และสีนวล รัตนวิจิตร (2560: 42-54) ที่ศึกษา
รูปแบบการจัดบริการการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตาบลวังตะกูจังหวัด
นครปฐม พบว่ารูปแบบการจัดบริการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุโดยการมีสว่ นร่วมของชุมชน ตาบลวังตะกู
จังหวัดนครปฐมประกอบด้วยกิจกรรม ดังน้ี 1) การสร้างการเข้าถึงบริการ โดยการจัดทาสติกเกอร์
เบอร์โทรศัพท์ที่สาคัญแจกให้กับผู้สูงอายุ 2) การเย่ียมบ้านผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมขององค์ใน
ชุมชน 3) ให้ความรู้กับผู้สูงอายุในเรื่อง การใช้ยา การออกกาลังกาย การรับประทานอาหาร และ 4)
การดูแลผู้สูงอายุในขณะมารับการรักษาท่ีโรงพยาบาล โดยชมรมผู้สูงอายุ ได้จัดจิตอาสามาช่วยดูแล
ผู้สูงอายุระหว่างมารับการรักษาที่โรงพยาบาล ผลการประเมินพบว่า ผู้สูงอายุมีความพึงพอใจต่อ

๕๒
รูปแบบการจัดบริการการดูแลสุขภาพท่ีพัฒนาข้ึน ในภาพรวม อยู่ในระดับมากท่ีสุด (ร้อยละเฉล่ีย
96.67)

กฤตวรรณ สาหร่าย (2560: 165-177) ศึกษารูปแบบการดูแลระยะยาวในประเทศไทย
พบว่ามีประเด็นสาคัญจากการศึกษา ดังนี้ 1) ยังไม่มีกฎหมายรองรับการดูแลระยะยาวสาหรับ
ผู้สูงอายุหรือบุคคลที่มีภาวะพ่ึงพิง มีเพียงพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 ซ่ึงเป็นกฎหมาย
เกย่ี วกบั สทิ ธิประโยชนโ์ ดยทั่วไปของผสู้ ูงอายุไม่ได้เนน้ การดแู ลระยะยาวโดยเฉพาะ 2) ระบบการดแู ล
ระยะยาวอยู่ในช่วงเร่ิมต้นของการดาเนินการเพ่ือค้นหาการดูแลระยะยาวที่เหมาะสมสาหรับประเทศ
ไทย ถงึ แมม้ ีการลงนามบนั ทกึ ความร่วมมือ แตอ่ าจมีข้อจากัดในเร่ืองของนโยบายสู่การปฏิบัติที่ยังไม่มี
ความชัดเจนในบางประเด็น เช่น สปสช. จัดสรรงบประมาณให้ อปท. แต่ อปท.ไม่สามารถจัดสรร
งบประมาณให้กับบุคลากรในพื้นที่ได้ เน่ืองจากข้อจากัดเร่ืองระเบียบการเบิกจ่ายเงิน หรือความ
ซ้าซ้อนของบุคลากรในการดูแลระยะยาว เป็นต้น 3) การบริการการดูแลระยะยาวของประเทศไทย
เน้นการบริการตั้งรับ คือ การดูแลระยะยาวสาหรับผู้สูงอายุหรือบุคคลท่ีมีภาวะพ่ึงพิงในด้านการ
รักษาพยาบาลมากกว่าการบรกิ ารเชิงรกุ คือ การปอ้ งกนั สุขภาพ มีการแบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มติด
สังคม กลุ่มติดบ้าน และกลุ่มติดเตียง แต่ยังไม่มีความชัดเจนในแง่ของการปฏิบัติและความต่อเน่ือง
ของบริการทไ่ี ด้รบั 4) งบประมาณจากัดในการพัฒนาเนอื่ งจากเป็นประเทศกาลังพัฒนาและประชากร
ส่วนใหญ่ของประเทศมีฐานะยากจน ในขณะท่ีรูปแบบการดูแลระยะยาวในญี่ปุ่น พบว่า ประเด็น
สาคัญในการพัฒนารูปแบบการดูแลระยะยาวของญ่ีปุ่น มี 4 ประการ คือ 1) การมีกฎห มาย
พระราชบัญญัติการประกันดูแลระยะยาวเป็นตัวขับเคลื่อนให้ทุกหน่วยงานและผู้ที่เก่ียวข้องปฏิบัติ
ตามกฎหมายอย่างเคร่งครดั 2) มีระบบการประกนั การดูแลระยะยาวที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
และสอดรับกับกฎหมายพระราชบัญญัติการประกันดูแลระยะยาว ทาให้เกิดความเป็นรูปธรรมใน
ระบบการดูแลระยะยาวท้ังในส่วนของนโยบาย การบริหาร กฎหมาย ผู้ปฏิบัติงาน และผู้ได้รับ
ผลประโยชน์ 3) การบริการมีความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย มีการแบ่งประเภทอย่างชัดเจน
ระหว่างผู้สูงอายุที่มีสุขภาพแข็งแรงไม่เข้าเกณฑ์การดูแลระยะยาว ผู้สูงอายุท่ีต้องการได้รับการ
สนับสนุนการดารงชีวิตประจาวนั เนอ่ื งจากอาจมีความยากลาบากบางประการ และผู้สงู อายุที่ต้องการ
การดูแลระยะยาว อาทิ ผู้สูงอายุที่มีสุขภาพแข็งแรงไม่เข้าเกณฑ์การดูและระยะยาวและผู้สูงอายุท่ี
ต้องการได้รับการสนับสนุนจะได้รับบริการสุขภาพเชิงป้องกัน การส่งเสริมสุขภาพในรูปแบบต่างๆ
ภายใต้สิทธิประโยชน์การป้องกันรูปแบบใหม่มุ่งเน้นการป้องกันการเป็นโรคและความพิการหรอื ภาวะ
ทุพพลภาพ ส่วนผู้สูงอายุท่ีช่วยเหลือตนเองไม่ได้และมีความต้องการการดูแลระยะยาวจะได้รับการ
บริการดูแลระยะยาวเต็มรูปแบบและบริการท่ีหลากหลาย 4) ระบบการเงินเป็นไปตามกฎหมายและ
ระบบการประกันการดูแลระยะยาว ซึ่งชัดเจนในด้านการจ่ายเงินที่มีความยุติธรรมตามชีวิตความ
เปน็ อยู่และฐานเงินเดือนของบุคคล

พสิษฐ์พล วัชรวงศ์วาน (2559: S50-59) ได้ทบทวนการใช้ยาร่วมหลายขนาน: แนว
ทางการปรับปรุงการใช้ยาในผู้สูงอายุ ในแผนกผู้ป่วยนอก พบว่า การใช้ยาร่วมหลายขนานในผู้ป่วย
นอกเป็นปรากฏการณ์ที่พบได้บ่อยและมีแนวโน้มที่จะสูงข้ึนในอนาคต ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา
ร่วมหลายขนานในผู้ป่วยสูงอายุ ได้แก่ การให้ความร่วมในการใช้ยา การเกิดอันตรกิริยาระหว่างยา


Click to View FlipBook Version