The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by mon, 2022-02-22 22:05:22

ทำเนียบวิจัย 65

ทำเนียบวิจัย 65

19

ประเด็น กรณีศกึ ษา กรณศี กึ ษา การวเิ คราะห์
เปรยี บเทียบ รายท่ี 1
รายท่ี 2

เพื่อประเมินความมั่นคงและตรวจสอบระดับข้อเข่าเทียม
เช่นเดียวกันกับเคสที่ 1 ประกอบชุดข้อเข่าเทียมและแกนทั้ง
ส่วนทิเบียและฟีเมอร์แล้วทำการยึดข้อเข่าเทียมและแกนด้วย
วิธีการใช้ซีเมนต์ในการยึดเกาะข้อเข่าเทียมกับกระดูกโดยเร่ิม
ใส่ที่กระดูกทเิ บยี ฟีเมอร์และโพลเี อธทลิ นี ตามลำดบั

รูปที่ 20 การประเมินกระดูกส่วนที่หายของกระดูกทิเบียโดย
AORI classification ซงึ่ ประเมนิ ได้เปน็ AORI T1

ภาพถา่ ยรงั สีหลงั การผ่าตัดแก้ไขข้อเข่าเทียมพบว่าแนวของข้อ
เข่าเทียมกลับเข้าสู่แนวปกติ(รูปที่ 21 )หลังการผ่าตัดผู้ปว่ ยไม่
มีภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา ฝึกเดินได้ดี เหยียดเข่าได้สุด
และงอเข่าได้ 90 องศาขณะอยใู่ นโรงพยาบาล

ผลตดิ ตาม ไม่มีอาการ ไม่มีอาการ รูปที่ 21 ภาพถ่ายรังสีหลังการผ่าตัดแก้ไขข้อเข่าเทียมของ
อาการผูป้ ่วย ปวดหรอื เขา่ ปวดเวลา ผ้ปู ่วยรายท่ี 2 พบว่าแนวของข้อเข่าเทียมกลับเข้าสู่แนวปกติ
บวมเปน็ ๆ เริ่มยนื และ
หายๆ เดินเหมือน จากกรณีศึกษาผู้ป่วยทั้ง 2 รายแสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญ
เหมือนก่อน กอ่ นผ่าตดั ของการวินจิ ฉัยหาสาเหตุของการเกิดภาวะการยึดเกาะของข้อ
ผ่าตดั เข่าเทียมกับกระดูกของผู้ป่วยหลุดแยกออกจากกันโดยไม่ได้
เกิดจากการติดเชื้อ โดยลำดับแรกจะต้องการวินิจฉัยแยกโรค
ข้อเข่าเทียมติดเชื้อออกไปให้ได้ก่อน ลำดับถัดมาจึงหาสาเหตุ
ของการเกดิ ภาวะน้ที งั้ จากประวัติ การตรวจร่างกาย การตรวจ
ทางห้องปฏิบตั ิการ ภาพถ่ายรังสีและการพเิ ศษตา่ งๆ ผู้ทำการ
รกั ษาจะตอ้ งทราบสาเหตุและมีประสบการณ์และทักษะในการ
ผ่าตัดแก้ไขเปลี่ยนขอ้ เข่าเทียมที่ถูกต้องเพื่อให้ได้ผลการผ่าตัด
ที่ดี ไม่มีภาวะแทรกซ้อน มีคุณภาพชีวิตที่ดีหลังการผ่าตัดของ
ผปู้ ว่ ยทุกราย

20

ประเดน็ กรณศี กึ ษา กรณศี ึกษา การวิเคราะห์
เปรียบเทยี บ รายท่ี 1 รายที่ 2
ผู้ป่วยทั้ง 2 รายไม่มีอาการปวด ข้อเข่าหลวมหรือข้อเข่าบวม
สรปุ ผลการศกึ ษา เเหมือนก่อนการผ่าตัด แนวข้อเข่าและภาพรังสีของข้อเข่า
กลบั เขา้ สู่แนวปกติ
ผู้ป่วยรายที่ 1 ติดตามอาการผู้ป่วยที่ 2 สัปดาห์หลงั การผา่ ตัด
พบว่าไม่มีการติดเชื้อของแผลผ่าตัด ฝึกเดินได้ดี เหยียดเข่าได้
สุดและงอเข่าได้ 90 องศา ผลติดตามอาการผู้ป่วยหลังการ
ผ่าตัด ที่ 6 สัปดาห์ 12 สัปดาห์ 24 สัปดาห์ 3 เดือน 6 เดือน
และ 12 เดือนหลังการผ่าตัด พบว่าไม่มีการติดเชื้อของแผล
ผ่าตัด เดินได้ดีสามารถเดินโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเดินที่ 4
สัปดาห์หลังการผ่าตัด เหยียดเข่าได้สุดและงอเข่าได้ 100
องศา ไม่มีอาการปวด ข้อเข่าหลวม เข่าบวมหรือ
ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆจากการรักษาตลอดการติดตามอาการ
หลงั การผา่ ตดั
ผู้ป่วยรายที่ 2 ผลติดตามอาการผู้ป่วยที่ 2 สัปดาห์หลังการ
ผ่าตัดพบวา่ ไม่มีการติดเช้อื ของแผลผา่ ตัด สามารถเดนิ ไดด้ ีโดย
ไม่ใช้อุปกรณ์ช่วยเดินที่ 2 สัปดาห์ เหยียดเข่าได้สุดและงอเข่า
ได้ 100 องศา และงอเข่าได้ 110 องศาตั้งแต่ 6 สัปดาห์ ผล
ติดตามอาการผู้ป่วยหลังการผ่าตัด ที่ 6 สัปดาห์ 12 สัปดาห์
24 สัปดาห์ 3 เดือน 6 เดือนและ 12 เดือนหลังการผ่าตัด
พบวา่ ไมม่ ีการติดเช้ือของแผลผ่าตัด หลังการผา่ ตดั เหยียดเข่า
ได้สุดและงอเข่าได้ 110 องศา ไม่มีพบภาวะแทรกซ้อนจาก
การรกั ษาตลอดการติดตามอาการหลังการผา่ ตัด

การวินิจฉัยอาการปวดหลังผ่าตัดข้อเข่าเทียม ต้องใช้ประวัติ การตรวจร่างกาย การตรวจทาง
ห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษซึ่งนำมาประมวลผลร่วมกัน และเริ่มต้นกระบวนการในรายที่ยังหาสาเหตุ
ไม่ได้ควรพิสูจน์ให้ได้ว่าไม่มีการติดเชื้อก่อนทุกครั้งและจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยที่แน่นอนก่อนที่จะทำการ
ผ่าตัดรักษาเสมอ โรคข้อเข่าเทียมหลุดหลวมโดยไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อเป็นภาวะที่การยึดเกาะของข้อเข่า
เทียมกับกระดูกของผูป้ ่วยหลุดแยกออกจากกนั โดยไม่ไดเ้ กดิ จากการติดเชื้อซึ่งพบได้มากทีส่ ดุ ในกลุ่มผูป้ ว่ ยท่มี ี
อาการปวดหลงั ผ่าตดั ข้อเข่าเทียม สาเหตสุ ่วนใหญ่มกั เกีย่ วข้องกับส่วนประกอบของข้อเข่าเทียมอยู่ไนแนวที่ไม่
ถูกต้องและมีภาวะการสลายกระดูกเกิดขึ้นมักจะสัมพันธ์กับการสีกกร่อนของโพลเอธทิลีน ข้อเข่าเทียมจะพบ
การหลุดหลวมโดยไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อได้ที่ส่วนประกอบของทิเบีย มากกว่าที่ส่วนประกอบของฟีแมอร์

การรักษาโรคข้อเข่าเทียมหลุดหลวมโดยไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อในปัจจุบัน คือ การผ่าตัดแก้ไขข้อ
เข่าเทียม ( Revision Total Knee Arthroplasty; Revision TKA) ซึ่งมีความยุ่งยากซับช้อนมากกว่าการทำ
ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมชนิดปฐมภูมิอีกและยังรวมไปถึงการใช้ทรัพยากรที่มากกว่า ระยะเวลาการนอนใน
โรงพยาบาลทน่ี านกวา่ ทำให้มคี ่าใช้จา่ ยในการรักษาพยาบาลสูงกว่า จงึ มคี วามจำเปน็ อยา่ งยิ่งท่ีศลั ยแพทย์ออร์
โธปิดิกส์ผู้จะทำการผ่าตัดข้อเข่าเทียมต้องมีความเขา้ ใจในหลักการเป็นอย่างดี การประเมินก่อนการผา่ ตัดควร

21

จะให้ความสำคัญเป็นพิเศษในการผ่าตัดแก้ไขข้อเข่าเทียมซึ่งมีหลักการผ่าตัด 6 ขั้นตอนดังได้กล่าวมาแล้ว
ข้างต้น

การทราบสาเหตมุ คี วามจำเปน็ อย่างมากเพ่ือใหไ้ ด้ผลการรักษาที่ดแี ละไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน เมอ่ื มีข้อ
บ่งชี้และทราบสาเหตุแล้วควรจะรีบแก้ไขโดยเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายที่มากขึ้น การประเมินควร
จะเริ่มตั้งแต่ประวัติและการตรวจร่างกายเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการติด เชื้ออยู่ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของ
ภาพรังสี ทราบขนาดของข้อเข่าเทียมเดิมรวมถึงขนาดที่วัดได้จากข้างปกตมิ ีส่วนช่วยในการผา่ ตัดแก้ไขข้อเข่า
เทียมเป็นอย่างยิ่งการประเมินส่วนที่หายไปของกระดูกจะช่วยในการวางแผนเตรียมข้อเข่าเทียมและ
อุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ นอกเหนือจากนี้จะตอ้ งไม่ลืมที่จะแยกสาเหตุจากข้อสะโพกหรือกระดูกสัน
หลังที่ทำให้เกิดอาการคล้ายคลึงกันได้ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นลดภาวะแทรกซ้อนกลับไปอยู่กับ
ครอบครัวและชุมชนอยา่ งมคี ณุ ภาพตอ่ ไป

กรณีศึกษาทั้งสองรายเป็นตัวอย่างการวินิจฉัยหาสาเหตุการเกิด อาการปวดหลังผ่าตัดข้อเข่าเทียม
ต้องใช้ประวัติ การตรวจร่างกาย การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษซึ่งนำมาประมวลผลร่วมกัน
และเร่มิ ต้นกระบวนการในรายทย่ี ังหาสาเหตุไม่ไดค้ วรพสิ ูจนใ์ หไ้ ดว้ า่ ไม่มีการติดเชื้อก่อนทุกคร้งั และจำเป็นต้อง
ได้รับการวนิ ิจฉัยท่ีแน่นอนก่อนที่จะทำการผ่าตัดรักษาเสมอ การรกั ษาโรคข้อเข่าเทียมหลุดหลวมโดยไม่ได้เกิด
จากการติดเชื้อในปัจจุบัน คือ การผ่าตัดแก้ไขข้อเข่าเทยี มซึง่ มีความยุ่งยากซับช้อนแพทย์ออร์โธปดิ ิกส์ผู้จะทำ
การผ่าตัดข้อเข่าเทียมต้องมีความเข้าใจในหลักการเป็นอย่างดีซึ่งมีหลักการผ่าตัดตามลำดับขั้นตอนเพ่ือ
ลดภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพหลังการผ่าตัดที่ดีและลดการผ่าซ้ำที่ยุ่งยากซับซ้อน
และสิน้ เปลืองทรัพยากรมากยิง่ ข้นึ กวา่ เดมิ ในอนาคต
ขอ้ เสนอแนะ

เป้าหมายของการรักษาโรคข้อเข่าเทียมหลุดหลวมโดยไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ คือ การผ่าตัดแก้ไข
ข้อเข่าเทียมซึ่งมีความยุ่งยากซับช้อน ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ผู้จะทำการผ่าตัดข้อเข่าเทียมต้องมีความเข้าใจ
ในหลักการเป็นอย่างดี การประเมินก่อนการผ่าตัดควรจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษตั้งแต่ประวัติและการตรวจ
ร่างกายเพื่อใหแ้ น่ใจว่าไม่มีการติดเชอื้ อยู่ ประกอบกบั การเปลีย่ นแปลงของภาพรังสี ตอ้ งทราบสาเหตุ เมื่อมีข้อ
บ่งชี้และทราบสาเหตุแล้วควรจะรีบแก้ไขโดยเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายที่มากขึ้น ทราบขนาดของ
ขอ้ เข่าเทียมเดิมอันมีส่วนช่วยในการผ่าตัดแก้ไขข้อเข่าเทียมเป็นอย่างยิ่ง การประเมินส่วนที่หายไปของกระดูก
จะช่วยในการวางแผนเตรียมข้อเข่าเทียมและอุปกรณ์เสริมต่างๆ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ลดภาวะแทรกซ้อนหลงั การผ่าตดั ทั้งในระยะส้ันและระยะยาว

22

เอกสารอ้างอิง
1. อารี ตนาวลี.(2551). ตำราศลั ยศาสตร์ข้อสะโพกและข้อเข่าเทยี ม เลม่ ท่ี 1 ข้อเข่า. ราชวทิ ยาลัยแพทย์

ออรโ์ ธปดิ ิกสแ์ ห่งประเทศไทย.
2. Baldini A, Anderson JA, Cerulli-Mariani p, Kalyvas J, Pavlov H, Sculco TP.

Patellofemoral evaluation after total knee arthroplasty. Validation of a new weight
bearing axial radiographic view. J Bone Joint Surg Am 2007;89:1810-7.
3. Jacobs MA, Hungerford DS, Krackow KA, Lennox DW. Revision total knee arthroplasty
for aseptic failure. Clin Orthop Relat Res 1988;226:78-85.
4. Hanssen AD. Bone-grafting for severe patellar bone loss during revision knee
arthroplasty. J Bone Joint Surg Am 2001;83-A: 171-6.
5. Insall JN, Dethmers DA. Revision of total knee arthroplasty. Clin Orthop Relat Res
1982;170:123-30.
6. Kurtz , Ong K, Lau E, Mowat F, Halpern M. Projections of primary and revision hip and
knee arthroplasty in the United States from 2005 to 2030. J Bone Joint Surg Am
2007;89:780-5.
7. Laskin RS. The patient with a painful total knee replacement. In: Lotke PA, GarinoJP,
editors. Revision total knee arthroplasty. Philadelphia, PA: Lippincott; 1999. p. 91-107.
8. Mason JB, Fehring TK, Odum SM, Griffin WL, Nussman DS. The value of white blood
cell counts before revision total knee arthroplasty. J Arthroplasty 2003,18:1038-43.
9. Mulhall KJ, Ghomrawi HM, Scully , Callaghan JJ, Saleh KJ. Current etiologies and
modes of failure in total knee arthroplasty revision. Clin Orthop Relat Res
2006;446:45-50
10. Parvizi J., et al. The 2018 Definition of Periprosthetic Hip and Knee Infection: An
Evidence-Based and Validated Criteria. J Arthroplasty2018;33(5):1309-1314.
11. Rorabeck c, Murray p. Cost effectiveness of revision total knee replacem ent. Instr
Course Lect. 1997;46:237-240.
12. Saleh K, Rand J, McQueen D. Current status of revision total knee arthroplasty: how
do we assess results? J Bone Joint Surg Am 2003;85:S18-S20.
13. Trampuz A, Hanssen AD, Osmon DR, Mandrekar J, SteckelbergJM, Patel R. Synovial
fluid leukocyte count and differendal for the diagnosis of prosthetic knee infection.
Am J Med 2004;117:556-62.
14. Vessely MB, Whaley AL, Harmsen, Schleck CD, Berry DJ. The Chitranjan Ranawat
Award: Long-term survivorship and failure modes of 1000 cemented condylar total
knee arthroplasties. Clin Orthop Relat Res 2006;452:28-34.

การปลูกถ่ายเนอื้ เยื่อยดึ ตอ่ เพอื่
รักษาภาวะเหงือกร่น: รายงาน
ผปู้ ว่ ย Treatment of Gingival
Recession with Connective Tissue
Graft: A Case Report



การปลูกถายเน้ือเยื่อยึดตอเพื่อรักษาภาวะเหงือกรน Treatment of Gingival Recession with Connective Tissue Graft

256 Case Report

รายงานผูปวย

การปลูกถายเน้ือเย่ือยึดตอเพ่ือรักษาภาวะเหงือกรน: รายงานผูปวย
Treatment of Gingival Recession with Connective Tissue Graft: A Case Report

วรรณฤดี ลมิ้ ศรเี จรญิ ‘
Wanruedee Limsricharoen‘

‘กลมุ งานทนั ตกรรม โรงพยาบาลเจา พระยายมราช จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี
‘Dental Department, Chaophraya Yomraj Hospital, Suphanburi

Corresponding author e-mail address: [email protected]

Received: April 27, 2021
Revised: August 19, 2021
Accepted: August 24, 2021

Abstract
Gingival recession is an apical displacement of gingival margin from cementoenamel junction leading

to an exposure of a root surface. Gingival recession results in an aesthetic problem and it may relate to
tooth hypersensitivity. The subepithelial connective tissue graft is a technique to treat gingival recession
and to achieve root coverage. The technique provides predictable outcome. However, the success of
root coverage surgery depends on several factors. The aim of this study is to represent a case of connective
tissue graft on tooth 31 which had loss of periodontal attachment. The result demonstrates partial root
coverage on tooth 31. Patient had good periodontal health and satisfied with treatment outcome.
Treatment plan, surgical technique selection and outcome discussion in this case provide the guideline
for successful treatment.

Keywords: gingival recession, root coverage surgical technique, connective tissue graft
Buddhachinaraj Med J 2021;38(2):256-62.

ปท ่ี ๓๘ ฉบบั ท่ี ๒ พฤษภาคม-สงิ หาคม ๒๕๖๔ Volume 38 No. 2 May-August 2021

BUDDHACHINARAJ MEDICAL JOURNAL พุทธชินราชเวชสาร257

บทคดั ยอ

เหงอื กรน เปน ภาวะทข่ี อบเหงอื กเคลอ่ื นทจี่ ากรอยตอ เคลอื บฟน กบั เคลอื บรากฟน มาทางปลายรากฟน ทำให
ผวิ รากฟน โผล สง ผลใหเ กดิ ปญ หาความไมส วยงามและอาจเกดิ อาการเสยี วฟน การแกไ ขเหงอื กรน เพอ่ื ปด ผวิ รากฟน
สามารถทำไดโ ดยการผา ตดั ปลกู ถา ยเนอื้ เยอื่ ยดึ ตอ ซงึ่ เปน เทคนคิ ทคี่ าดหวงั ผลการรกั ษาไดด ี อยา งไรกต็ ามความสำเรจ็
ของการผา ตดั ปด ผวิ รากฟน ขนึ้ กบั หลายปจ จยั รายงานผปู ว ยฉบบั นม้ี วี ตั ถปุ ระสงคเ พอื่ นำเสนอการปลกู ถา ยเนอื้ เยอื่
ยดึ ตอ ในผปู ว ย 1 รายเพอ่ื ปด ผวิ รากฟน ซี่ 31 ซง่ึ สญู เสยี อวยั วะปรทิ นั ต ผลการรกั ษาสามารถปด ผวิ รากฟน ซี่ 31
ไดบ างสว น ผปู ว ยมเี หงอื กสขุ ภาพดแี ละพงึ พอใจตอ ผลการรกั ษา ทง้ั นี้ การวางแผนการรกั ษา การเลอื กเทคนคิ ในการ
ผา ตดั และการวจิ ารณผ ลการรกั ษาในผปู ว ยรายนส้ี ามารถใชเ ปน ขอ มลู ประกอบการจดั ทำแนวแนวทางรกั ษาผปู ว ย
ทม่ี ภี าวะเหงอื กรน ใหป ระสบความสำเรจ็ ตอ ไป

คำสำคญั : เหงอื กรน , เทคนคิ การผา ตดั ปด ผวิ รากฟน , การปลกู ถา ยดว ยเนอ้ื เยอื่ ยดึ ตอ
พทุ ธชนิ ราชเวชสาร 2564;38(2):256-62.

บทนำ ไมส ามารถปด ผวิ รากฟน ได8 นอกจากนล้ี กั ษณะความกวา ง
เหงือกรนเปนภาวะที่ขอบเหงือกเคลื่อนที่จาก และความลกึ ของเหงอื กรน มผี ลตอ ผลการปด ผวิ รากฟน
ลักษณะเหงือกรนที่ต้ืนและแคบกับเหงือกรนที่ลึก
รอยตอ เคลอื บฟน กบั เคลอื บรากฟน มาทางปลายรากฟน และแคบสามารถปดผิวรากฟนดีกวาเหงือกตื้นและ
ทำใหผ วิ รากฟน โผลส ง ผลใหเ กดิ ความไมส วยงามและ กวา งกบั เหงอื กลกึ และกวา ง2
อาจกอ ใหเ กดิ อาการเสยี วฟน เหงอื กรน เฉพาะตำแหนง
ทำใหข อบเหงอื กไมส มำ่ เสมอและทำความสะอาดยาก วธิ ศี ลั ยกรรมเหงอื กกบั เยอื่ เมอื กเพอื่ แกไ ขรอยโรค
เหงือกรนมีสาเหตุหลักจากโรคปริทันต1 สาเหตุเสริม เหงือกรนและปดผิวรากฟนสามารถทำไดโดยการ
เฉพาะท่ี ไดแ ก ตำแหนง ฟน 2 ความกวา งของเหงอื กเคราตนิ ปลกู ถา ยเนอ้ื เยอ่ื เหงอื กจากเหงอื กบรเิ วณขา งเคยี งหรอื
ไมเพียงพอ3 เน้ือเยื่อริมฝปากเกาะใกลขอบเหงือก4 เหงอื กบรเิ วณเพดานหรอื การเหนยี่ วนำใหเ กดิ เนอ้ื เยอื่ ใหม
การบาดเจ็บจากการแปรงฟน5 การเคลื่อนฟนทาง เทคนคิ ในการปลกู ถา ยเนอื้ เยอ่ื เหงอื กมหี ลายวธิ ี การศกึ ษา
ทนั ตกรรมจดั ฟน 6 และขอบวสั ดบุ รู ณะฟน ไมด ี7 ท่ีผานมาแสดงใหเห็นวามีหลายปจจัยที่เก่ียวของกับ
ความสำเร็จในการเเกไขรอยโรคเหงือกรนในแตละ
การจำแนกลกั ษณะเหงอื กรน พจิ ารณาจากตำแหนง เทคนคิ 9-11เทคนคิ การปลกู ถา ยเนอื้ เยอื่ ดว ยเนอ้ื เยอื่ ยดึ ตอ
ขอบเหงอื ก เหงอื กสามเหลย่ี มระหวา งฟน และกระดกู แบบซองจดหมายเปน เทคนคิ ทท่ี ำใหช น้ิ เนอ้ื เยอื่ ไดร บั
เบาฟน แบงไดเปน 4 ลักษณะ ไดแก ลักษณะที่ 1 หลอดเลือดมาเล้ียงสองทางท้ังจากเยื่อหุมกระดูกและ
ขอบเหงือกรนไมถึงรอยตอเหงือกกับเย่ือเมือก แผนเหงือกปดทับ ซึ่งเทคนิคน้ีการเตรียมตำแหนง
ลกั ษณะที่ 2 ขอบเหงอื กรน ถงึ รอยตอ เหงอื กกบั เยอื่ เมอื ก ปลกู ถา ยไมล งรอยกรดี ในแนวดง่ิ จงึ ลดโอกาสการตาย
โดยเหงือกสามเหลี่ยมระหวางฟนและกระดูกเบาฟน ของชน้ิ เนอื้ เยอ่ื ปลกู ถา ย การใชเ นอื้ เยอื่ ยดึ ตอ ทำใหส ขี อง
มสี ภาพปกติ ลกั ษณะท่ี 3 ขอบเหงอื กรน ต่ำกวา รอยตอ เหงอื กกลมกลนื กบั เหงอื กบรเิ วณขา งเคยี งและบรเิ วณ
เหงอื กกบั เยอ่ื เมอื ก โดยเหงอื กสามเหลย่ี มและกระดกู เนื้อเย่ือปลูกถายยังคงมีแผนเหงือกปดชวยลดความ
เบาฟนถูกทำลาย และลักษณะที่ 4 ขอบเหงือกรน เจบ็ ปวดของผปู ว ย12รายงานผปู ว ยนมี้ วี ตั ถปุ ระสงคเ พอ่ื
ต่ำกวา รอยตอ เหงอื กกบั เยอ่ื เมอื ก โดยเหงอื กสามเหลย่ี ม นำเสนอการแกไ ขเหงอื กรน และปด ผวิ รากฟน โผลใ นฟน
และกระดกู เบา ฟน ถกู ทำลายมาก การแกไ ขเพอื่ ปด ผวิ ทม่ี สี ญู เสยี อวยั วะปรทิ นั ตด ว ยเทคนคิ การปลกู ถา ยเนอ้ื เยอ่ื
รากฟนจากเหงือกรนพบวาลักษณะเหงือกรนท่ี 1 ยึดตอแบบซองจดหมายซ่ึงเปนเทคนิคท่ีละเอียดออน
และ 2 สามารถปด ผวิ รากฟน ไดท งั้ หมด ลกั ษณะท่ี 3
สามารถปดผิวรากฟนไดบางสวน สวนลักษณะที่ 4 Volume 38 No. 2 May-August 2021

ปท ี่ ๓๘ ฉบบั ที่ ๒ พฤษภาคม-สงิ หาคม ๒๕๖๔

การปลูกถายเน้ือเยื่อยึดตอเพ่ือรักษาภาวะเหงือกรน Treatment of Gingival Recession with Connective Tissue Graft

258 อกั เสบเเบบเรอื้ รงั ขอบเหงอื กสเี เดงหนาตวั และมนกลม
เหงือกสามเหลี่ยมระหวางฟนทู บวมน้ำ กดน่ิม และ
ผลสำเร็จของการปดผิวรากฟนในผูปวยรายน้ีขึ้นกับ มีเลือดออกเมื่อหยั่งรองเหงือก ฟนซ่ี 31 มีเหงือกรน
หลายปจจัย การวิจารณผลสำเร็จท่ีไดสามารถใชเปน ดา นรมิ ฝป ากลกึ 4 มลิ ลเิ มตร รอ งเหงอื กลกึ 2 มลิ ลเิ มตร
ขอมูลประกอบการจัดทำแนวทางในการเลือกผูปวย เหงอื กเคราตนิ กวา ง 1 มลิ ลเิ มตร ฟน โยกระดบั 1 สว น
การวางแผนการรักษา และการเลือกเทคนิคผาตัด ฟน ซี่ 41 และฟน ซี่ 32 มเี หงอื กรน ดา นรมิ ฝป ากลกึ 2
ที่เหมาะสมเพื่อใหการรักษาผูปวยที่มีภาวะเหงือกรน มลิ ลเิ มตร รอ งเหงอื กลกึ 2 มลิ ลเิ มตร เหงอื กเคราตนิ
ประสบความสำเรจ็ ตอ ไป กวาง 4 มิลลิเมตร ฟนโยกระดับ 1 โดยพบชองวาง
ระหวา งฟน ซ่ี 31 และซี่ 41 กวา ง 1 มลิ ลเิ มตร (รปู ท่ี 1A)
รายงานผปู ว ย จากภาพถายรังสีพบการทำลายกระดูกของฟนซ่ี
ผปู ว ยหญงิ ไทยอายุ 41 ป อาชพี รบั ราชการ มอี าการ 32-41 ในแนวระนาบท่ีระดับนอยกวา 1 ใน 3 ของ
ความยาวรากฟน (รปู ที่ 1B) ฟน ซ่ี 31 ไดร บั การวนิ จิ ฉยั
สำคญั คอื เหงอื กรน และเจบ็ เหงอื กบรเิ วณดา นรมิ ฝป าก วามีโรคเหงือกอักเสบแบบเร้ือรัง เหงือกรนลักษณะ
ของฟน ซี่ 31 ประมาณ 1 ป ผปู ว ยไมม โี รคประจำตวั และ ท่ี 3 และเหงอื กเคราตนิ ไมเ พยี งพอ
ไมม ปี ระวตั เิ เพย า ผปู ว ยไดร บั การจดั ฟน เมอ่ื 10 ปท แี่ ลว
ปจจุบันติดเคร่ืองมือรีเทนเนอรแบบติดแนนดานลิ้น
ของฟน ซ่ี 33-43 และใสเ ครอ่ื งมอื รเี ทนเนอรแ บบถอดได
ผูปวยขาดการติดตามการรักษาทางทันตกรรมจัดฟน
จากการตรวจภายในชองปากพบฟนซ่ี 31 มีเหงือก

รปู ท่ี 1 การปลกู ถา ยเหงอื กดว ยเนอ้ื เยอื่ ยดึ ตอ แบบซองจดหมาย
(1A) ฟน ซี่ 31 กอ นการผา ตดั (1B) ภาพถา ยรงั สี (1C) ตำแหนง รบั สงิ่ ปลกู ถา ย (1D) ตำแหนง เนอ้ื เยอ่ื ปลกู ถา ย
(1E) ชนิ้ เนอ้ื เยอ่ื ปลกู ถา ย (1F) ชน้ิ เนอ้ื เยอ่ื ปลกู ถา ยถกู เยบ็ ทตี่ ำแหนง รบั สง่ิ ปลกู ถา ย

ปท ี่ ๓๘ ฉบบั ที่ ๒ พฤษภาคม-สงิ หาคม ๒๕๖๔ Volume 38 No. 2 May-August 2021

BUDDHACHINARAJ MEDICAL JOURNAL พุทธชินราชเวชสาร259

ผปู ว ยไดร บั การรกั ษาอนามยั ชอ งปากและปรกึ ษา บุผิวที่มีสวนของแถบเยื่อบุผิวกวาง 1 มิลลิเมตร
ทันตแพทยจัดฟน โดยรื้อเครื่องมือรีเทนเนอรแบบ (รูปที่ 1E) สอดชิ้นเนื้อเยื่อยึดตอในตำแหนงรับสิ่ง
ตดิ แนน และใสเ ครอ่ื งมอื รเี ทนเนอรแ บบถอดไดช ดุ ใหม ปลกู ถา ยโดยมสี ว นเยอ่ื บผุ วิ และเนอื้ เยอ่ื ยดึ ตอ บางสว น
จากนน้ั ฟน ซี่ 31 ไดร บั การปลกู ถา ยเหงอื กดว ยเนอื้ เยอ่ื (รปู ท่ี 1F) กดเบา ๆ ใหเ นอื้ เยอื่ ปลกู ถา ยแนบสนทิ กบั
ยึดตอแบบซองจดหมาย โดยฉีดยาชาที่ ฟนซี่ 31 ตำแหนง รบั สงิ่ ปลกู ถา ย เยบ็ และใสย าปด แผลปรทิ นั ต
(ตำแหนง รบั สง่ิ ปลกู ถา ย) และเหงอื กดา นเพดานฟน ซ่ี ตดั ไหมหลงั ทำศลั ยกรรม 2 สปั ดาห
14 และ 17 (ตำแหนงเนื้อเย่ือปลูกถาย) ลงรอยกรีด
ตามรอ งเหงอื กฟน ซ่ี 31 เลาะเหงอื กแบบแผน เนอ้ื เยอื่ ผลการรกั ษาและตดิ ตามผลพบวา ที่ 2 เดอื นผปู ว ย
บางสวนจนถึงสวนลึกสุดของชองปากสวนนอกโดย ไมม อี าการเจบ็ เหงอื ก มเี หงอื กอกั เสบ เหงอื กมสี แี ดง
ไมเปดแผนเหงือกและขยายฐานแผนเหงือกโดยรอบ เลก็ นอ ย ขอบเหงอื กมนกลม เหงอื กแนน แขง็ ฟน ซ่ี 31
(รปู ท่ี 1C) ตรวจพบผวิ รากฟน ดา นรมิ ฝป ากของฟน ซี่ มเี หงอื กรน ลกึ 2 มลิ ลเิ มตร รอ งเหงอื กลกึ 2 มลิ ลเิ มตร
31 มีรอยกระดูกเปดแยก หลังจากน้ันตัดเนื้อเย่ือ เหงือกเคราตินหนาและมีความกวาง 5 มิลลิเมตร
ปลูกถายขนาด 15 x 12 x 1 ลูกบาศกมิลลิเมตร (รปู ท่ี 2B) ผลการรกั ษาที่ 1 ป 3 เดอื นเหงอื กสขุ ภาพดี
ซึ่งเน้ือเย่ือปลูกถายประกอบดวยเน้ือเย่ือยึดตอใตเย่ือ เหงอื กมสี ชี มพู และสภาพอวยั วะปรทิ นั ตอ น่ื ๆ คงเดมิ
ผปู ว ยพงึ พอใจตอ ระดบั ขอบเหงอื กซี่ 31 (รปู ที่ 2C)

รปู ท่ี 2 กอ นและหลงั การรกั ษา (2A) ฟน ซี่ 31 กอ นผา ตดั (2B) หลงั ตดิ ตามผล 2 เดอื น และ (2C) 1 ป 3 เดอื น

วจิ ารณ และพบรอยโรคกระดกู เปด แยกซง่ึ อาจเปน รอยโรคทเ่ี กดิ
ผปู ว ยรายนม้ี อี าการสำคญั คอื เหงอื กรน และเจบ็ เหงอื ก ขนึ้ ขณะหรอื หลงั จดั ฟน ทำใหฟ น ซ่ี 31 เกดิ เหงอื กรน
ไดง า ยกวา ฟน ซขี่ า งเคยี ง นอกจากนเี้ หงอื กเคราตนิ ซ่ี 31
บรเิ วณดา นรมิ ฝป ากของฟน ซี่ 31 ประมาณ 1 ป จาก กวา ง 1 มลิ ลเิ มตร สว นฟน ซี่ 41 มเี หงอื กเคราตนิ กวา ง
การตรวจทางคลนิ กิ พบฟน ซ่ี 31 เปน โรคเหงอื กอกั เสบ 4 มิลลิเมตร ปริมาณเคราตินท่ีจำกัดรวมกับการดูแล
เรอื้ รงั ซงึ่ มสี าเหตจุ ากคราบจลุ นิ ทรยี ท เี่ กดิ จากการดแู ล อนามยั ชอ งปากทไี่ มเ พยี งพอเปน สาเหตเุ สรมิ ในการเกดิ
อนามยั ชอ งปากทไ่ี มเ พยี งพอ การใสเ ครอื่ งมอื รเี ทนเนอร เหงอื กรน ทฟี่ น ซ่ี 31 การทำศลั ยกรรมเพอื่ เพมิ่ เหงอื ก
แบบตดิ แนน และถอดไดเ ปน ปจ จยั เฉพาะทท่ี ำใหค ราบ เคราตินกอนหรือภายหลังจัดฟนอาจชวยปองกันหรือ
จลุ นิ ทรยี ส ะสมไดง า ยและยากตอ การทำความสะอาด7,12 ลดความเสยี่ งในการเกดิ เหงอื กรน ทฟี่ น ซ่ี 31
เมอ่ื เปรยี บเทยี บตำแหนง ขอบเหงอื กของฟน ซ่ี 31 และ
ฟน ซขี่ า งเคยี งพบวา ฟน ซี่ 31 มเี หงอื กรน ลกึ มากกวา การศึกษาท่ีผานมาพบวาการปลูกถายเนื้อเยื่อ
ฟนซี่ขางเคียง ซึ่งอาจมีสาเหตุเฉพาะท่ีอ่ืนรวมดวย ยึดตอเพ่ือปดผิวรากฟนโผลตำแหนงฟนหนาลาง
การจัดฟนที่ทำใหฟนเคล่ือนที่ออกจากกระดูกเบาฟน ในกลุมผูปวยจัดฟน กลุมผูปวยจัดฟนที่ใสเคร่ืองมือ
ทำใหเกิดรอยโรคกระดูกเปดแยกและเกิดเหงือกรน6 รีเทนเนอรแบบติดแนนดานลิ้นสามารถปดผิวรากฟน
ผปู ว ยรายนไี้ ดร บั การวดั ความลกึ กระดกู ขณะทำศลั ยกรรม
Volume 38 No. 2 May-August 2021
ปท ี่ ๓๘ ฉบบั ท่ี ๒ พฤษภาคม-สงิ หาคม ๒๕๖๔

การปลูกถายเนื้อเย่ือยึดตอเพื่อรักษาภาวะเหงือกรน Treatment of Gingival Recession with Connective Tissue Graft

260 สามารถปด เหงอื กรน ได 2 มลิ ลเิ มตรและขอบเหงอื กซี่
32-41 สมำ่ เสมอ ซง่ึ เปน ไปตามทผ่ี ลคาดหวงั เมอ่ื พจิ ารณา
โผลไดนอยกวากลุมผูปวยจัดฟนท่ีไมไดใสเคร่ืองมือ จากผลการศกึ ษาทผ่ี า นมาพบวา การผา ตดั ปด ผวิ รากฟน
รเี ทนเนอรแ บบตดิ แนน ดา นลน้ิ โดยแรงจากรเี ทนเนอร ในเหงือกรนลักษณะที่ 3 มีคาเฉลี่ยรอยละการปด
แบบติดแนนอาจสงผลตอขบวนการหายของแผลและ เหงอื กรน รอ ยละ 90.22 ไมแ ตกตา งจากการผา ตดั ปด ผวิ
สง ผลตอ ผลคาดหวงั หลงั ผา ตดั 13 ผปู ว ยรายนจี้ งึ ไดร บั รากฟน ในเหงอื กรน ลกั ษณะที่ 2 โดยฟน ทมี่ เี หงอื กรน
การรื้อเครื่องมือรีเทนเนอรแบบติดแนนดานลิ้นกอน ลักษณะท่ี 3 สามารถปดผิวรากฟนไดท้ังหมดรอยละ
การทำศลั ยกรรมเหงอื กและเยอื่ เมอื กแลว ไดร บั การใส 42.85 สว นฟน ทมี่ เี หงอื กรน ลกั ษณะท่ี 2 สามารถปด ผวิ
เครอ่ื งมอื รเี ทนเนอรแ บบถอดได รากฟน ไดท งั้ หมดรอ ยละ 71.4215 เมอื่ เปรยี บเทยี บกบั
ผูปวยรายนี้ท่ีสามารถปดผิวรากฟนไดรอยละ 50
การศึกษาเปรียบเทียบผลการรักษาเหงือกรน ซง่ึ นอ ยกวา การศกึ ษาทผี่ า นมา โดยเทคนคิ ในการผา ตดั
ดว ยศลั ยกรรมเหงอื กกบั เยอื่ เมอื กเทคนคิ ตา งๆ พบวา ปดผิวรากฟนมีผลตอความสำเร็จในการรักษาซึ่งจะ
การปลูกถายเหงือกดวยเน้ือเย่ือยึดตอสามารถแกไข กลา วตอ ไป
เหงือกรนไดดีที่สุด คาดหวังผลการรักษาไดดี และ
เปน วธิ มี าตรฐานในปจ จบุ นั 1,10-11,14 เทคนคิ การปลกู ถา ย ขนาดของเน้ือเยื่อปลูกถายควรมีขนาดกวางกวา
เนื้อเย่ือยึดตอมีรายละเอียดในแตละขั้นตอนหลายวิธี บรเิ วณผวิ รากฟน ทต่ี อ งการปด 3-5 มลิ ลเิ มตรโดยรอบ
เทคนิคการปลูกถายเน้ือเย่ือยึดตอแบบซองจดหมาย และมีความหนา 1 มิลลิเมตร12 การศึกษาที่ผานมา
มคี า เฉลยี่ รอ ยละการปด เหงอื กรน รอ ยละ 83 และมคี า เฉลยี่ พบวา เหงอื กดา นเพดานของฟน ซ่ี 13-15 มคี วามหนา
การปด เหงอื กรน 2.4 มลิ ลเิ มตร9 ซงึ่ เมอื่ เปรยี บเทยี บ มากกวา บรเิ วณอนื่ โดยมคี วามหนาเฉลยี่ 3.23 ± 0.47
กบั ผลการรกั ษาของผปู ว ยรายนพ้ี บวา ฟน ซ่ี 31 สามารถ มลิ ลเิ มตร16ในผปู ว ยรายนมี้ เี หงอื กดา นเพดานฟน ซ่ี 13
ปดเหงือกรนได 2 มิลลิเมตรและปดเหงือกรนได เปน ลกั ษณะรกู ี คอื ผวิ เปน คลน่ื ผวิ ไมเ รยี บจงึ เลอื กใช
รอ ยละ 50 นนั่ คอื ความสำเรจ็ ในการปด เหงอื กรน ในผปู ว ย เหงอื กดา นเพดานตงั้ แตฟ น ซี่ 14 ถงึ ดา นไกลกลางฟน ซ่ี
รายนน้ี อ ยกวา การศกึ ษาทผ่ี า นมา ทง้ั นี้ มหี ลายปจ จยั 17 (ไมม ฟี น ซี่ 15) อยา งไรกต็ ามเหงอื กดา นเพดานของ
สำคญั ทม่ี ผี ลตอ ความสำเรจ็ ในการปด เหงอื กรน ปจ จยั ฟนซ่ี 17 มักพบกระดูกงอกไดบอยและใกลรูเปดของ
สำคัญที่เก่ียวของกับผลตอความสำเร็จในผูปวยรายนี้ หลอดเลอื ดพาลาตนิ การนำชน้ิ เนอ้ื เยอ่ื ปลกู ถา ยบรเิ วณน้ี
ไดแก ลักษณะเหงือกรน ขนาดของเนื้อเยื่อปลูกถาย คอ นขา งยากและตอ งอาศยั ความชำนาญ จากขอ จำกดั
และความลกึ ของชอ งปากสว นนอก ดงั กลา วขนาดของชน้ิ เนอ้ื เยอื่ ปลกู ถา ยในผปู ว ยรายนจี้ งึ
มขี นาดเลก็ กวา ทค่ี าดหวงั ไวแ ละมคี วามหนาไมส ม่ำเสมอ
การศึกษาท่ีผานมาน้ันลักษณะเหงือกรนเปน กรณชี นิ้ เนอื้ เยอ่ื ปลกู ถา ยไมเ พยี งพออาจพจิ ารณาใชเ ทคนคิ
ลกั ษณะที่ 1 และ 29 แตใ นผปู ว ยรายนมี้ ลี กั ษณะเหงอื ก การเหนย่ี วนำใหเ กดิ เนอ้ื เยอ่ื ใหม
รน ฟน ซี่ 31 เปน ลกั ษณะที่ 3 ซงึ่ มเี หงอื กสามเหลย่ี ม
ระหวา งฟน และกระดกู เบา ฟน ถกู ทำลาย มผี ลตอ ความ เทคนคิ การใชเ นอื้ เยอ่ื ยดึ ตอ เพอ่ื ปด ผวิ รากฟน พบวา
คาดหวงั ของการปด ผวิ รากฟน โดยสามารถปด ไดบ างสว น การใชเทคนิคน้ีรวมกับการเลื่อนแผนเหงือกมาทาง
เน่ืองจากผิวรากฟนโผลเปนบริเวณท่ีไมมีหลอดเลือด ตวั ฟน ไดผ ลดที ส่ี ดุ 9-10,17แตก ารเลอ่ื นแผน เหงอื กมาทาง
มาเลย้ี งชนิ้ เนอ้ื เยอื่ ปลกู ถา ยทวี่ างบนผวิ รากฟน จงึ เสย่ี ง ตัวฟนทำไดจำกัดในกรณีมีชองปากสวนนอกตื้น
ทจ่ี ะตาย9-10 การสญู เสยี อวยั วะปรทิ นั ตข องฟน ซี่ 31 และ แผนเหงือกจะมีแรงดึงมากทำใหเกิดการดึงรั้งกลับ
ซี่ขางเคียงทำใหจำกัดหลอดเลือดที่เล้ียงชิ้นเน้ือเย่ือ ตำแหนง เดมิ ไดง า ย สง ผลตอ การอยรู อดของชนิ้ เนอื้ เยอื่
ปลูกถายและเน่ืองจากกายวิภาคของขอบเหงือกที่ ปลูกถาย18-19นอกจากน้ีการเลื่อนแผนเหงือกมาทาง
ปกตจิ ะมลี กั ษณะสมำ่ เสมอ ผลตอ ความคาดหวงั ปด ผวิ ตวั ฟน ทำใหช อ งปากสว นนอกตน้ื มากขน้ึ อาจเกดิ การสะสม
รากฟนซี่ 31 นาจะปดไดในตำแหนงระดับเดียวกับ ของคราบจุลินทรียไดงายและทำความสะอาดยาก19
ขอบเหงอื กของซ่ี 41 และซ่ี 32 ทง้ั น้ี หลงั การตดิ ตาม
ผลการรกั ษา 2 เดอื นและ 1 ป 3 เดอื นพบวา ฟน ซ่ี 31

ปท ่ี ๓๘ ฉบบั ที่ ๒ พฤษภาคม-สงิ หาคม ๒๕๖๔ Volume 38 No. 2 May-August 2021

BUDDHACHINARAJ MEDICAL JOURNAL พุทธชินราชเวชสาร261

ในผูปวยรายนี้มีชองปากสวนนอกที่ต้ืนและมีเหงือก 5. Dorfer CE, Staehle HJ, Wolff D. Three-year
เคราตนิ กวา ง 1 มลิ ลเิ มตรจงึ พจิ ารณาไมเ ลอ่ื นแผน เหงอื ก randomized study of manual and power
มาทางตวั ฟน toothbrush effects on pre-existing gingival
recession. J Clin Periodontol 2016;43(6): 512-9.
ขอมูลท่ีนำเสนอน้ีสรุปไดวาฟนที่สูญเสียอวัยวะ
ปริทันตบางสวนสามารถปลูกถายเน้ือเย่ือยึดตอเพ่ือ 6. Kalina E, Zadurska M, Gorski B.
แกไขเหงือกรนและปดผิวรากฟนโผลไดโดยคาดหวัง Postorthodontic lower incisor and canine
ผลการปด ผวิ รากฟน ไดบ างสว นและสามารถเพม่ิ ความ inclination and labial gingival recession in
กวา งเหงอื กเคราตนิ เทคนคิ การผา ตดั นเี้ ปน เทคนคิ ท่ี adult patients. J Orofac Orthop 2021;82(4):
ละเอยี ดออ น ผลสำเรจ็ ของการรกั ษาขน้ึ กบั ปจ จยั ตา งๆ 246-56.
เชน ลกั ษณะเหงอื กรน ขนาดของเนอ้ื เยอ่ื ความลกึ ของ
ชอ งปากสว นนอก รวมถงึ ประสบการณแ ละความชำนาญ 7. Harris RJ. A comparative study of root
ของผผู า ตดั จงึ ควรคำนงึ ถงึ ปจ จยั เหลา นเี้ พอื่ ใหก ารรกั ษา coverage obtained with an acellular dermal
ประสบความสำเรจ็ matrix versus a connective tissue graft:
results of 107 recession defects in 50
เอกสารอา งองิ consecutively treated patients. Int J
1. Zucchelli G, Mounssif I. Periodontal plastic Periodontics Restorative Dent 2000;20(1):
surgery. Periodontol 2000. 2015;68(1): 51-9.
333-68. doi: 10.1111/prd.12059
2. Zucchelli G, Tavelli L, Ravida A, Stefanini 8. Miller PD Jr. Root coverage with the
M, Amo FSD, Wang HL. Influence of free gingival graft. Factors associated
tooth location on coronally advanced flap with incomplete coverage. J Periodontol
procedures for root coverage. J Periodontol 1987;58(10):674-81.
2018;89(12):1428-41. doi: 10.1002/JPER.
18-0201 9. Bouchard P, Malet J, Borghetti A. Decision-
3. Dias JJ, Panwar M, Kosala M. Management making in aesthetics: Root coverage
of inadequate keratinized gingiva and revisited. Periodontol 2000. 2001;27(1):
Miller Class III or IV gingival recession 97-120.
using two-stage free gingival graft procedure.
J Indian Soc Periodontol 2020;24(6):554-9. 10. Chambrone L, Ortega MAS, Sukekava F,
4. Stimmelmayr M, Allen EP, Gernet W, Rotundo R, Kalemaj Z, Buti J, et al. Root
Edelhoff D, Beuer F, Schlee M, et al. coverage procedures for treating localised
Treatment of gingival recession in the and multiple recession-type defects.
anterior mandible using the tunnel technique Cochrane Database Syst Rev 2018;10(10):
and a combination epithelialized-subepithelial CD007161. doi: 10.1002/14651858. CD007161.
connective tissue graft-a case series. Int J pub3
Periodontics Restorative Dent 2011;31(2):
165-73. 11. Tavedhikul K, Kungsadalpipob K. Decision
making for root coverage surgical techniques.
J Dent Assoc Thai 2016;66(4):268-84.

12. Langer B, Langer L. Subepithelial
connective tissue graft technique for root
coverage. J Periodontol 1985;56(12):715-20.

ปท ี่ ๓๘ ฉบบั ที่ ๒ พฤษภาคม-สงิ หาคม ๒๕๖๔ Volume 38 No. 2 May-August 2021

การปลูกถายเนื้อเยื่อยึดตอเพื่อรักษาภาวะเหงือกรน Treatment of Gingival Recession with Connective Tissue Graft

262 16. Said KN, Abu Khalid AS, Farook FF.
Anatomic factors influencing dimensions
13. Beitlitum I, Barzilay V, Rayyan F, Sebaoun of soft tissue graft from the hard palate.
A, Sarig R. Post-orthodontic lower incisors A clinical study. Clin Exp Dent Res 2020;
recessions: combined periodontic and 6(4): 462-9.
orthodontic approach. Intern J Environmental
Res Public Health 2020;17(21):8060. doi: 17. Tatakis DN, Chambrone L, Allen EP, Langer
10.3390/ijerph1728060 B, McGuire MK, Richardson CR, et al.
Periodontal soft tissue root coverage
14. Chaysri C, Kungsadalpipop K. Factors procedures: a consensus report from the
affecting the root coverage outcome. Thai AAP Regeneration Workshop. J Periodontol
J Periodontol 2007;1(1):56-67. 2015;86(2 Suppl):S52-5.

15. Nart J, Valles C, Mareque S, Santos A, 18. Butler BL. The subepithelial connective
Sanz-Moliner J, Pascual A. Subepithelial tissue graft with a vestibular releasing
connective tissue graft in combination with incision. J Periodontol 2003;74(6):893-8.
a coronally advanced flap for the treatment
of Miller Class II and III gingival recessions 19. Urban IA, Monje A, Nevins M, Nevins ML,
in mandibular incisors: a case series. Int J Lozada JL, Wang HL. Surgical management
Periodontics Restorative Dent 2012;32(6): of significant maxillary anterior vertical ridge
647-54. defects. Int J Periodontics Restorative
Dent 2016;36(3):329-37.

ปท ่ี ๓๘ ฉบบั ที่ ๒ พฤษภาคม-สงิ หาคม ๒๕๖๔ Volume 38 No. 2 May-August 2021

การพฒั นาระบบสารสนเทศ
ทางยาและระบบข้อมูลผู้ป่วยแพ้
ยาเพือ่ ป้องกนั การแพ้ยาซ้า
โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช



การพัฒนุาระบบสารสนุเทศทางยา

และระบบขอมูลผูปวยแพยาเพื่อปองกันการแพยาซํ้า
โรงพยาบาลเจาพระยายมราช

อรวรรณ ศรีตุลารักษ, การัณย วีระวงษ, ฐิติวัฒนุ นุ่ิมอนุงค
(ภ.ม., วศ.บ., วท.ม.)

วั บทคดั ยอ การปีรับูปีรุงช�่อำสัามัญทางยา จำานวิน 2,570 ระเบูียน (ร�อำยละ
ตถุปุ ระสังค:์ เพ�่อำพัฒนาระบูบูสัารสันเทศูทางยาทั�งระบูบู 98.20) ติ์าราง opd_allergy มีการปีรับูปีรุงขึ้�อำมูลช�่อำสัามัญทางยา
ขึ้�อำมูลยาและระบูบูขึ้�อำมูลผูู้�ปี่วิยแพ�ยา ในฐานขึ้�อำมูล จำานวิน 18,701 ระเบูียน (ร�อำยละ 59.79) ปีรับูปีรุงการไม่เล่อำก,
ค์อำมพิวิเติ์อำร์ขึ้อำงโรงพยาบูาลให�มีค์วิามถูกติ์�อำง สัามารถ ไม่ระบูุ “ห�ามสัั�งใช�” ยาท�ีแพ� 793 ระเบูียน ช่วิงวิันที� 1 พฤศูจิกายน
ปี้อำงกันการแพ�ยาซีำ�าในโรงพยาบูาลจากการสัั�งใช�ยาที�ผูู้�ปี่วิยมี พ.ศู. 2562 - 31 มกราค์ม พ.ศู. 2563 มีจำานวินใบูสั�ังยา 358,146
ปีระวิัติ์ิแพ�ยา ว์ิธ์ีการศึกษัา: เปี็นการวิิจัยเชิงพัฒนา แบู่งเปี็น 2 ใบูสัั�งยา มีการสั�ังจ่ายยา 849,638 ขึ้นาน และมีการลงขึ้�อำมูลการ
ด่�าน ค์่อำ ด่�านการจัด่การฐานขึ้�อำมูลยา ฐานขึ้�อำมูลผูู้�ปี่วิยแพ�ยาใน แพ�ยาขึ้อำงผูู้�ปี่วิยทางโปีรแกรม ADR Yom จำานวิน 630 รายงาน
ระบูบูค์อำมพิวิเติ์อำร์ขึ้อำงโรงพยาบูาล และด่�านการพัฒนาโปีรแกรม หลังการนำาโปีรแกรม ADR Yom มาช่วิยในการลงขึ้�อำมูลแพ�ยา
เสัริมเพ่�อำบูันท้กขึ้�อำมูลแพ�ยาขึ้อำงผูู้�ปี่วิยให�ถูกติ์�อำง โด่ยด่ำาเนินการ ไมพ่ บูปีญั หายา 1 รายการ มชี อ่� ำสัามญั ทางยามากกวิา่ 1 ชอ�่ ำในฐาน
ทบูทวินขึ้�อำมูลการแพ�ยาในโปีรแกรม HOSxP ติ์ั�งแติ์่ปีีพ.ศู. 2552- ขึ้�อำมูลผูู้�ปี่วิยแพ�ยา ไม่มีการสั�ังยาที�ผูู้�ปี่วิยแพ� และไม่มีการสัั�งยา
2562 แบู่งการด่ำาเนินงานเปี็น 4 ขึ้�ันติ์อำน ได่�แก่ 1) ศู้กษาขึ้�อำมูล ที�อำาจแพ�แบูบูกลุ่มในยากลุ่มเด่ียวิกับูท�ีผูู้�ปี่วิยมีปีระวิัติ์ิแพ� ค์ิด่เปี็น
ในฐานขึ้อ� ำมลู ค์อำมพวิ ิเติ์อำรท์ เ�ี กย�ี วิขึ้อ� ำงกบั ูการแพย� า และมผี ู้ลกระทบู อำัติ์รา 0/1,000 ใบูสั�ังยา สัรปุ : การพฒั นาระบูบูสัารสันเทศูทางยา
ให�เกิด่การแพ�ยาซี�ำาได่� 2) สัร�างแนวิทางการจัด่การขึ้�อำมูลใน และระบูบูขึ้�อำมูลผูู้�ปี่วิยแพ�ยาขึ้อำงโรงพยาบูาล สัามารถปี้อำงกัน
ฐานขึ้�อำมูลค์อำมพิวิเติ์อำร์ท�ีเก�ียวิขึ้�อำงกับูการแพ�ยา ให�สัามารถ การแพ�ยาซีำ�าภายในโรงพยาบูาลเจ�าพระยายมราช ท�ีมีสัาเหติ์ุจาก
ปี้อำงกันการสัั�งใช�ยาท�ีแพ� ผู้่านโปีรแกรมค์อำมพิวิเติ์อำร์ 3) ปีรับูปีรุง การพิมพ์ช�่อำสัามัญทางยาท�ีผูู้�ปี่วิยมีปีระวิัติ์ิแพ�ไม่ถูกติ์�อำงติ์รงกันกับู
ขึ้�อำมูลในฐานขึ้�อำมูลค์อำมพิวิเติ์อำร์ให�ถูกติ์�อำงติ์ามแนวิทางท�ีกาำ หนด่ ฐานขึ้�อำมูลช่�อำสัามัญทางยาขึ้อำงโรงพยาบูาล และการไม่เล่อำก
4) พัฒนาโปีรแกรม ADR Yom เพ�่อำใช�ในการบูันท้กขึ้�อำมูลผูู้�ปี่วิย ค์ำาสั�ัง “ห�ามสั�ังใช�” ในการบูันท้กขึ้�อำมูลแพ�ยาได่�
แพ�ยาแทนการบูันท้กลงในโปีรแกรม HOSxP โด่ยทำาการวิิจัย
ในช่วิง 1 มิถุนายน พ.ศู. 2562 – 31 มกราค์ม พ.ศู. 2563 ผู้ลการ ความเปนุมาและความสําคัญของปญหา
ศึกษัา: โค์รงสัร�างฐานขึ้�อำมูลโปีรแกรม HOSxP ท�ีเก�ียวิขึ้�อำงกับูการ
บูันท้กปีระวิัติ์ิการแพ�ยา ปีระกอำบูด่�วิยติ์ารางทะเบูียนเวิชภัณฑู์ยา อำาการไม่พ้งปีระสังค์จ์ ากการใช�ยา (Adverse Drug Re-
(drugitems) จำานวิน 2,617 ระเบูียน ติ์ารางปีระวิัติ์ิการแพ�ยา actions: ADRs) หมายถ้ง ปีฏิิกริ ยิ าทเ�ี กิด่ขึ้�้นโด่ยไมไ่ ด่�ติ์�ังใจและเปี็น
(opd_allergy) จำานวิน 31,283 ระเบูียน ปีัญหาที�พบู ค์่อำ ยา 1 อำันติ์รายติ์อ่ ำร่างกายมนุษย์ เกิด่ขึ้้�นเมอ่� ำใช�ยาในขึ้นาด่ปีกติ์1ิ ปีี พ.ศู.
รายการ มีช�่อำสัามัญทางยามากกวิ่า 1 ช�่อำ ไม่มีการจัด่กลุ่มยาเพ่�อำ 2560 มีรายงานอำาการไม่พ้งปีระสังค์์จากการใช�ยาขึ้อำงศููนย์เฝี้า
ปี้อำงกันการแพ�แบูบูกลุ่ม และช�่อำสัามัญทางยาในติ์าราง opd_ ระวิงั ค์วิามปีลอำด่ภยั ด่า� นผู้ลติ ิ์ภณั ฑูส์ ัขุ ึ้ภาพ สัาำ นกั งานค์ณะกรรมการ
allergy ไม่ติ์รงกับูช�่อำสัามัญทางยาในติ์าราง drugitems ปีัญหา อำาหารและยา กระทรวิงสัาธารณสัขุ ึ้รวิม 45,275 ฉบูบั ู จดั ่เปีน็ ค์วิาม
ด่ังกล่าวินำามาสัู่การจัด่ทำาแนวิทางการติ์ั�งช�่อำสัามัญทางยาให�เปี็น ร�ายแรงระด่ับูที�ผูู้�ปี่วิยติ์�อำงเขึ้�ารับูการรักษาในโรงพยาบูาลหร่อำเพ�ิม
ระบูบูเด่ียวิกัน ปีรับูปีรุงช�่อำสัามัญทางยาในฐานขึ้�อำมูลให�เปี็นไปี ระยะเวิลาในการรกั ษานานขึ้น�้ (F) รอ� ำยละ 14.71 และเปีน็ เหติ์ใุ ห�
ติ์ามแนวิทางที�กำาหนด่ และการพัฒนาโปีรแกรม ADR Yom เพ�่อำ ผู้�ูปีว่ ิยเสัยี ชวี ิติ ิ์ (I) ร�อำยละ 0.312 แติ์ล่ ะโรงพยาบูาลจ้งมีการกาำ หนด่
ใช�ในการบูันท้กขึ้�อำมูลการแพ�ยาขึ้อำงผูู้�ปี่วิยแติ์่ละราย ผู้ลการ แนวิทางการปีอ้ ำงกนั การแพย� าซี�าำ อำาทิ การซีกั ปีระวิตั ิ์ปิ ีระเมนิ อำาการ
ปีรับูปีรุงฐานขึ้�อำมูลระบูบูค์อำมพิวิเติ์อำร์พบูวิ่าติ์าราง drugitems มี ไมพ่ ง้ ปีระสังค์ท์ เี� กดิ ่ขึ้น้� ใหค� ์าำ แนะนาำ หรอ่ ำใหค� ์วิามรเ�ู รอ�่ ำงการแพย� า3

คาำ สัาำ คัญ : การแพ�ยา ปี้อำงกันการแพ�ยาซีำา� สัารสันเทศู

Vol.46 No.4 July - September 2020 ปท่ี 46 ฉบบั ท่ี 4 ประจาํ เดือนกรกฎาคม – กนั ยายน 2563 35

สัร�างค์วิามเขึ้�าใจเร่�อำงการแพ�ยาที�ถูกติ์�อำงรวิมถ้งการปีฏิิบูัติ์ิติ์ัวิเม�่อำ โรงพยาบูาล และการไมเ่ ลอ่ ำกค์าำ สังั� “หา� มสังั� ใช”� ในการบูนั ทก้ ขึ้อ� ำมลู
พบูอำาการทส�ี ังสัยั แพย� า4 เพม�ิ ขึ้อ� ำมลู แพย� าบูนใบูสัง่ ติ์อ่ ำระหวิา่ งแผู้นก แพ�ยาได่�
และทบูทวินการลงปีระวิตั ิ์แิ พย� าในโปีรแกรมค์อำมพวิ ิเติ์อำร์5 เปีน็ ติ์น�
ปีัจจุบูันระบูบูค์อำมพิวิเติ์อำร์มีบูทบูาทในการบูันท้กขึ้�อำมูลผู้�ูปี่วิย เค์ร�่อำงม่อำท�ีใช�ในการศู้กษา : โปีรแกรม HOSxP,
มากขึ้�้น มีการศู้กษาพบูวิ่าการใช�ระบูบูค์อำมพิวิเติ์อำร์สัามารถลด่ โปีรแกรม Microsoft excel, โปีรแกรม Navicat, โปีรแกรม PHP
ค์วิามค์ลาด่เค์ล�่อำนทางยาท�ีเกิด่จากการสัั�งใช�ยาที�ผู้�ูปี่วิยมีปีระวิัติ์ิ
แพ�ยาได่�6 ทั�งนี� ปีระสัิทธิภาพขึ้อำงระบูบูค์อำมพิวิเติ์อำร์ขึ้�้นกับูค์วิาม นุยิ ามศัพทเฉพาะ
ถูกติ์�อำงขึ้อำงการบูันท้กขึ้�อำมูล7 และค์วิามสัมบููรณ์ขึ้อำงปีระวิัติ์ิแพ�ยา
เพราะปีระวิัติ์ิแพ�ยาท�ีไม่ถูกติ์�อำงอำาจสั่งผู้ลติ์่อำค์วิามปีลอำด่ภัยขึ้อำง 1. การแพย� า (drug allergy) หมายถง้ ปีฏิกิ ริ ยิ าทเ�ี กดิ ่จาก
ผู้ปู� ีว่ ิยได่4� ,5 ภมู ิค์ม�ุ กนั ขึ้อำงร่างกายติ์่อำติ์�านยาที�ได่�รบั ูเขึ้�าไปี9

ปีี พ.ศู. 2552 โรงพยาบูาลเจา� พระยายมราชนาำ โปีรแกรม 2. การแพ�ยาซีำ�า (repeated drug allergy) หมายถ้ง
HOSxP มาใชใ� นระบูบูสัารสันเทศูขึ้อำงโรงพยาบูาล และใช�ปี้อำงกนั เหติ์กุ ารณท์ ผี� ู้ปู� ีว่ ิยได่ร� บั ูการบูรหิ ารยาทงั� โด่ยติ์นเอำง ผู้ด�ู ่แู ล หรอ่ ำจาก
การแพ�ยาซีาำ� ขึ้อำงผู้�ูปี่วิย อำย่างไรก็ติ์าม จากการทบูทวินรายงาน บูุค์ลากรทางการแพทย์แล�วิเกิด่อำาการแพ�ยา โด่ยผูู้�ปี่วิยเค์ยเกิด่
การแพย� าระหวิ่างปีี พ.ศู. 2552 - 2562 พบูผู้ปู� ี่วิยแพ�ยาซี�าำ ที�อำยใู่ น อำาการแพย� าด่งั กลา่ วิจากยาทมี� ชี อ�่ ำสัามญั เด่ยี วิกนั ทงั� ทเ�ี ค์ยมปี ีระวิตั ิ์ิ
ระบูบูปีอ้ ำงกนั ขึ้อำงโรงพยาบูาล จาำ นวินทง�ั สัน�ิ 5 ราย โด่ย 2 ใน 5 ราย และไม่มีปีระวิัติ์ิบูันท้กในเวิชระเบูียนหร่อำเอำกสัารขึ้อำงโรงพยาบูาล
เกดิ ่การแพย� าซีาำ� ทม�ี สี ัาเหติ์จุ ากขึ้อ� ำจาำ กดั ่ขึ้อำงระบูบูค์อำมพวิ ิเติ์อำร์ ค์อ่ ำ ยกเวิ�นการติ์งั� ใจใหย� าซีำา� (rechallenge) ขึ้อำงบูคุ ์ลากรทางการแพทย์
ชอ่� ำสัามญั ทางยาทบ�ี ูนั ทก้ ในปีระวิตั ิ์แิ พย� าไมต่ ิ์รงกบั ูชอ�่ ำสัามญั ทางยา เพ�่อำปีระโยชน์ในการรักษา หร่อำมีขึ้�อำบู่งใช�ทางการแพทย์ หร่อำ
ที�มีในติ์ารางทะเบูียนเวิชภัณฑู์ยา (drugitem) ในโปีรแกรม HOSxP ในกรณที ี�ผู้ปู� ี่วิยติ์งั� ใจใชย� าซีำ�าด่�วิยติ์นเอำง10
และการบูันท้กปีระวิัติ์ิแพ�ยาน�ันไม่เล่อำก “ห�ามสั�ังใช�” ทาำ ให�เกิด่
การสังั� ใชแ� ละจา่ ยยาทแี� พไ� ด่� สัง่ ผู้ลใหเ� กดิ ่อำบุ ูตั ิ์กิ ารณร์ ะด่บั ู E รวิมทง�ั 3. ติ์ารางทะเบูียนเวิชภัณฑู์ยา (drugitems) หมายถ้ง
ปีี พ.ศู. 2562 โรงพยาบูาลเจ�าพระยายมราชปีรับูเขึ้�าสัู่ระบูบูลด่ ติ์ารางในโปีรแกรม HOSxP ที�รวิบูรวิมรายการยาท�ังหมด่ขึ้อำง
การใชก� ระด่าษ (less paper) สัง่ ผู้ลใหม� กี ารยกเลกิ ระบูบูการปีอ้ ำงกนั โรงพยาบูาล
การแพย� าซีาำ� แบูบูเด่มิ บูางอำยา่ ง ทาำ ใหร� ะบูบูปีอ้ ำงกนั การแพย� าซีา�ำ ติ์อ� ำง
พง้� พาระบูบูค์อำมพวิ ิเติ์อำรเ์ พมิ� ขึ้น�้ ด่งั นนั� การศูก้ ษานจี� ง้ มวี ิตั ิ์ถปุ ีระสังค์์ 4. ติ์ารางปีระวิตั ิ์กิ ารแพย� า (opd_allergy) หมายถง้ ติ์าราง
เพ�่อำพัฒนาระบูบูสัารสันเทศูทางยาท�ังระบูบูจัด่การฐานขึ้�อำมูลยา ในโปีรแกรม HOSxP ท�มี ีบูันทก้ ขึ้�อำมูลปีระวิตั ิ์ิการแพย� าขึ้อำงผู้�ูปี่วิย
ขึ้อำงโรงพยาบูาล และระบูบูขึ้�อำมูลแพ�ยาขึ้อำงผู้�ูปี่วิยในฐานขึ้�อำมูล
ค์อำมพิวิเติ์อำร์ขึ้อำงโรงพยาบูาลให�มีค์วิามถูกติ์�อำง สัามารถปี้อำงกัน วธิ ีการศกึ ษา
การแพย� าซีำ�าในโรงพยาบูาลได่�
.
วตั ถุประสงค การศู้กษานเี� ปีน็ การวิิจัยเชิงพฒั นา และวิิเค์ราะห์ขึ้อ� ำมูล
โด่ยใชส� ัถติ ิ์เิ ชงิ พรรณนา (Descriptive statistics) การศูก้ ษาแบูง่ เปีน็
เพ่�อำพัฒนาระบูบูสัารสันเทศูทางยาท�ังระบูบูขึ้�อำมูลยา 2 ด่า� น ค์อ่ ำ การจดั ่การฐานขึ้อ� ำมลู ยา ฐานขึ้อ� ำมลู ผู้ปู� ีว่ ิยแพย� าในระบูบู
และระบูบูขึ้�อำมูลผู้�ูปี่วิยแพ�ยา ในฐานขึ้�อำมูลค์อำมพิวิเติ์อำร์ขึ้อำง ค์อำมพิวิเติ์อำร์ขึ้อำงโรงพยาบูาล และการพัฒนาโปีรแกรมเสัริมเพ่�อำ
โรงพยาบูาลให�มีค์วิามถูกติ์�อำง สัามารถปี้อำงกันการแพ�ยาซีำ�า บูนั ทก้ ขึ้อ� ำมลู แพย� าขึ้อำงผู้ป�ู ีว่ ิย วิธิ ดี ่ำาเนนิ การวิจิ ยั แบูง่ เปีน็ 4 ขึ้น�ั ติ์อำน
ในโรงพยาบูาลจากการสัง�ั ใช�ยาทีผ� ูู้ป� ีว่ ิยมปี ีระวิตั ิ์แิ พย� า ได่�แก่
1. ศูก้ ษาขึ้อ� ำมลู ในฐานขึ้อ� ำมลู ค์อำมพวิ ิเติ์อำรท์ เี� กย�ี วิขึ้อ� ำงกบั ู
ประโยชนุทค่ี าดวาจะไดร บั การแพ�ยา และมีผู้ลกระทบูใหเ� กดิ ่การแพย� าซี�าำ ได่�
2. สัร�างแนวิทางการจัด่การขึ้�อำมูลในฐานขึ้�อำมูล
1. ฐานขึ้�อำมูลปีระวิัติ์ิแพ�ยาขึ้อำงโรงพยาบูาลมีค์วิาม ค์อำมพิวิเติ์อำร์ทีเ� ก�ียวิขึ้�อำงกับูการแพย� า ให�สัามารถปี้อำงกันการสั�ังใช�
ถกู ติ์อ� ำงสัอำด่ค์ลอ� ำงกบั ูฐานขึ้อ� ำมลู ยาขึ้อำงโรงพยาบูาล สัง่ ผู้ลใหส� ัามารถ ยาทีแ� พ�ผู้่านโปีรแกรมค์อำมพิวิเติ์อำร์
ปี้อำงกนั การสัั�งใช�ยาที�ผู้�ูปีว่ ิยมีปีระวิตั ิ์แิ พ� 3. ปีรับูปีรุงขึ้�อำมูลในฐานขึ้�อำมูลค์อำมพิวิเติ์อำร์ให�ถูกติ์�อำง
ติ์ามแนวิทางท�กี ำาหนด่
2. ปี้อำงกันอำุบูัติ์ิการณ์การแพ�ยาซี�าำ ในโรงพยาบูาล 4. พัฒนาโปีรแกรม ADR Yom เพ�่อำใช�ในการบูันท้ก
เจ�าพระยายมราชท�ีมีสัาเหติ์ุจากการพิมพ์ช�่อำสัามัญทางยาท�ีผู้�ูปี่วิย ขึ้อ� ำมลู ผูู้�ปี่วิยแพย� าแทนการบูนั ทก้ แบูบูเด่มิ
มปี ีระวิตั ิ์แิ พไ� มถ่ กู ติ์อ� ำงหรอ่ ำไมต่ ิ์รงกบั ูฐานขึ้อ� ำมลู ชอ่� ำสัามญั ทางยาขึ้อำง
ระยะเวลาการดาํ เนุนิ ุการ

1 มถิ นุ ายน พ.ศู. 2562 – 31 มกราค์ม พ.ศู. 2563

36 ปท่ี 46 ฉบบั ที่ 4 ประจําเดอื นกรกฎาคม – กนั ยายน 2563 Vol.46 No.4 July - September 2020

ผลการศกึ ษา ต้�ร�งทุ่� 1 ปญห�และแนำวทุ�งก�รจัดก�รข้อม้ลในำฐ�นำข้อม้ล
คอมพวิ เต้อร์ทุเ�่ ก่�ยวข้องกับก�รแพย้ �
ขั�นตอนท�ี 1 ศู้กษาขึ้�อำมูลในฐานขึ้�อำมูลค์อำมพิวิเติ์อำร์
ทเ�ี กีย� วิขึ้�อำงกับูการแพ�ยา และมีผู้ลกระทบูใหเ� กดิ ่การแพย� าซี�ำาได่�

ขึ้�อำมูลท�ีเก�ียวิขึ้�อำงกับูปีระวิัติ์ิแพ�ยาในโปีรแกรม HOSxP
มี 2 ติ์าราง ค์่อำ

1. ติ์ารางทะเบูียนเวิชภัณฑู์ยา (drugitems) มีขึ้�อำมูล
จำานวิน 2,617 ระเบูียน เปี็นยา 1,666 รายการ สั่วินปีระกอำบู
ทีส� ัำาค์ญั เกย�ี วิกับูขึ้อ� ำมลู แพ�ยาค์อ่ ำ ค์อำลัมน์ generic_name

2. ติ์ารางปีระวิัติ์ิการแพ�ยา (opd_allergy) มีจาำ นวิน
31,283 ระเบูยี น มสี ัว่ ินปีระกอำบูท�ีสัำาค์ัญเกีย� วิกับูขึ้�อำมลู แพย� าขึ้อำง
ผู้�ูปีว่ ิยแติ์่ละราย ในแติ์่ละรายการยาทีแ� พอ� ำยูใ่ นค์อำลมั น์ agent

ทั�ง 2 ติ์ารางเช�่อำมโยงกันด่�วิยช�่อำสัามัญทางยา ได่�แก่
ค์อำลมั น์ generic_name ขึ้อำงติ์าราง drugitems และค์อำลมั น์ agent
ขึ้อำงติ์าราง opd_allergy จากการศูก้ ษาติ์าราง drugitems มรี ายการ
ชอ่� ำสัามญั ทางยา จาำ นวิน 1,666 รายการ (รายชอ�่ ำสัามญั ทางยา) แติ์่
มีจาำ นวินระเบูียนทงั� หมด่ 2,617 ระเบูียน เน�่อำงจากยา 1 รายการ
ชอ�่ ำสัามญั ทางยาทมี� ใี นโรงพยาบูาลอำาจมยี าหลายค์วิามแรงหรอ่ ำหลาย
รปู ีแบูบู ซีง้� แติ์ล่ ะค์วิามแรง แติ์ล่ ะรปู ีแบูบูจะเปีน็ ระเบูยี นทแ�ี ติ์กติ์า่ งกนั
แติ์่เช่�อำมโยงกันด่�วิยช่�อำสัามัญทางยาเด่ียวิกัน ทั�งนี� จากการศู้กษา
ขึ้�อำมูลในติ์าราง drugitems พบูวิ่ายา 1 รายการ ซี�ง้ ค์วิรมชี ่อ� ำสัามญั
ทางยาเพียงช่�อำเด่ียวิ แม�จะมีหลายระเบูยี น กลับูมกี ารติ์ัง� ชอ�่ ำสัามัญ
ทางยามากกวิา่ 1 ช่อ� ำ แติ์กติ์า่ งกันไปีในแติ์่ละระเบูยี น เกดิ ่จากการ
บูันทก้ ค์วิามแรง รปู ีแบูบู เกล่อำ อำักษรย่อำ ปีริมาติ์รบูรรจุ ช�อ่ ำการค์�า
ขึ้อำงยาเขึ้�าไปีในช�่อำสัามัญทางยา สัะกด่ช่�อำสัามัญทางยาไม่ถูกติ์�อำง
ใช�รปู ีแบูบูอำกั ษรภาษาอำงั กฤษเปี็นติ์วั ิพมิ พเ์ ลก็ พมิ พ์ใหญ่ (tallman
letters) กรณีเปี็นยาสัูติ์รผู้สัมใช�สััญลักษณ์หลายแบูบูเช่น + ; :
เปี็นติ์�น หร่อำมีการเวิ�นวิรรค์ระหวิ่างช่�อำยา ทาำ ให�ยา 1 รายการมี
ชอ�่ ำสัามญั ทางยาหลายหลากชอ่� ำ (รปู ีแบูบู) ทงั� น�ี พบูวิา่ มจี าำ นวินรปู ีแบูบู
ชอ่� ำสัามญั ทางยาแติ์กติ์า่ งกนั สังู สัดุ ่ถง้ 18 รปู ีแบูบู ในยารายชอ่� ำสัามญั
ทางยาเด่ียวิกัน ก่อำนปีรับูปีรุงฐานขึ้�อำมูลยามีจำานวินช่�อำสัามัญ
ทางยาในฐานขึ้อ� ำมูล 1,666 รายการ โด่ยจาำ นวิน 788 รายการเปี็น
ยาทมี� ชี อ่� ำสัามญั ทางยา 1 รปู ีแบูบู สัว่ ินอำกี 878 รายการเปีน็ ยาทมี� ี
ช่�อำสัามัญทางยามากกวิา่ 1 รูปีแบูบู (ซี้�งเปี็นช่�อำสัามญั ทางยาจรงิ ๆ
ท�ีไม่ซีำา� กันเพียง 305 รายการ) ทาำ ให�เม�่อำจะเล่อำกบูันท้กช�่อำยา
ที�ผูู้�ปี่วิยแพ�อำาจเล่อำกได่�ไม่ค์รอำบูค์ลุมทุกรูปีแบูบูขึ้อำงช�่อำสัามัญ
ทางยาน�ันๆ ที�มีการติ์ั�งไวิ� สั่งผู้ลให�ไม่สัามารถเกิด่การแจ�งเติ์่อำน
แพย� า ห�ามสังั� ใช�ยา และนำาไปีสัู่โอำกาสัในการเกิด่การแพ�ยาซีา�ำ

ขั�นตอนที� 2 สัร�างแนวิทางการจัด่การขึ้�อำมูลในฐาน
ขึ้�อำมูลค์อำมพิวิเติ์อำร์ท�ีเก�ียวิขึ้�อำงกับูการแพ�ยา ให�สัามารถปี้อำงกัน
การสััง� ใช�ยาทแ�ี พผ� ู้่านโปีรแกรมค์อำมพิวิเติ์อำร์

จ า ก ก า ร ศู้ ก ษ า ขึ้� อำ มู ล ใ น ฐ า น ขึ้� อำ มู ล ค์ อำ ม พิ วิ เ ติ์ อำ ร์
ท�ีเก�ียวิขึ้�อำงกับูการแพ�ยาในขึ้�ันติ์อำนที� 1 พบูปีัญหาที�มีผู้ลกระทบู
ให�เกดิ ่การแพ�ยาซีาำ� ได่� นาำ ไปีสั่แู นวิทางการจัด่การแกไ� ขึ้ปีัญหาทพี� บู
ในติ์าราง drugitems และติ์าราง opd_allergy ด่ังแสัด่งในติ์ารางท�ี 1

Vol.46 No.4 July - September 2020 ปท ี่ 46 ฉบบั ที่ 4 ประจาํ เดือนกรกฎาคม – กนั ยายน 2563 37

หมายุเหตุ : ติ์าราง OPD_allergy มีการปีรับูปีรงุ ช่�อำยา โด่ยอำัติ์โนมัติ์ิทันที ทั�งน�ี ระบูบูการบูันท้กการแพ�ยาแบูบูเด่ิม จะ
ติ์ามหลกั เกณฑูเ์ ชน่ เด่ียวิกับูในติ์าราง drugitem ด่�วิย ปีระเมนิ การแพย� าและบูนั ทก้ ลงในกระด่าษแบูบูฟัอำรม์ แลว� ิสัง่ ติ์อ่ ำให�
เภสััชกรที�รับูผู้ิด่ชอำบูงานติ์ิด่ติ์ามอำาการไม่พ้งปีระสังค์์จากยาเปี็น
ขัน� ตอนท�ี 3 ปีรับูปีรุงขึ้อ� ำมูลในฐานขึ้�อำมลู ค์อำมพิวิเติ์อำร์ ผู้ต�ู ิ์รวิจสัอำบูค์วิามถกู ติ์อ� ำงขึ้อำงขึ้อ� ำมลู กอ่ ำนบูนั ทก้ ลงโปีรแกรม HOSxP
ให�ถกู ติ์�อำงติ์ามแนวิทางที�กำาหนด่ ซีง้� จะมชี ว่ ิงเวิลาทใ�ี ชใ� นการสัง่ ติ์อ่ ำขึ้อ� ำมลู และการนาำ ขึ้อ� ำมลู ลงโปีรแกรม
HOSxP ซีง้� ชว่ ิงเวิลานอี� ำาจเกดิ ่ค์วิามเสัยี� งทจ�ี ะมกี ารสัง�ั ใชย� าทผี� ู้ป�ู ีว่ ิยแพ�
หลงั จากศูก้ ษาปีญั หาขึ้อำงฐานขึ้อ� ำมลู ในติ์าราง drugitems ได่� แติ์ร่ ะบูบูบูนั ทก้ แบูบูใหมน่ จี� ะสัง่ ขึ้อ� ำมลู เขึ้า� โปีรแกรม HOSxP ทนั ที
ติ์าราง opd_allergy และกำาหนด่แนวิทางในการแกป� ีัญหา ขึ้ั�นติ์อำน และเกดิ ่การติ์รวิจสัอำบูการปีระวิตั ิ์กิ ารแพย� าได่ท� นั ทเี มอ่� ำแพทยส์ ังั� ใช�
ติ์่อำไปีเปี็นการปีรับูปีรุงขึ้�อำมูลในฐานขึ้�อำมูลค์อำมพิวิเติ์อำร์ขึ้อำง ทง�ั น�ี เมอ�่ ำบูนั ทก้ ขึ้อ� ำมลู ในโปีรแกรม ADR Yom แลว� ิ ผู้บ�ู ูนั ทก้ จะไม่
โรงพยาบูาลให�ถูกติ์�อำงติ์ามแนวิทางที�กาำ หนด่ โด่ยมีรายละเอำียด่ สัามารถแกไ� ขึ้ขึ้อ� ำมลู ได่ด� ่ว� ิยติ์นเอำง การติ์รวิจสัอำบู แกไ� ขึ้ขึ้อ� ำมลู แพย� าที�
การปีรับูปีรงุ ด่งั ติ์ารางที� 2 บูนั ทก้ แลว� ิจะมเี ภสัชั กรผู้ร�ู บั ูผู้ดิ ่ชอำบูงานติ์ดิ ่ติ์ามอำาการไมพ่ ง้ ปีระสังค์์
จากยาเปีน็ ผู้ต�ู ิ์รวิจสัอำบูและแกไ� ขึ้
ต้�ร�งทุ่� 2 ก�รปรบั ปรุงข้อม้ลในำฐ�นำข้อมล้ คอมพวิ เต้อร์
ติ์ง�ั แติ์ว่ ินั ที� 1 พฤศูจกิ ายน พ.ศู. 2562 - วินั ที� 31 มกราค์ม
ฐานขอ้ มลู ระบบ รายละเอียดการปรบั ปรุงฐานขอ้ มลู จานวนระเบยี น พ.ศู. 2563 โรงพยาบูาลเจา� พระยายมราชมกี ารสังั� จา่ ยยา 849,638
คอมพวิ เตอร์ ทป่ี รบั ปรุง ขึ้นาน มจี าำ นวินใบูสังั� ยา 358,146 ใบูสังั� ยา และมกี ารลงขึ้อ� ำมลู การแพย� า
(รอ้ ยละ) ขึ้อำงผู้ป�ู ีว่ ิยทางโปีรแกรม ADR Yom จาำ นวิน 630 รายงาน หลงั การ
นาำ โปีรแกรม ADR Yom มาช่วิยในการลงขึ้�อำมูลแพ�ยา ไม่พบู
ตาราง drugitems จานวน 2,617 ระเบยี น ปีญั หายา 1 รายการ มชี อ่� ำสัามญั ทางยามากกวิา่ 1 ชอ่� ำในฐานขึ้อ� ำมลู
ผู้ป�ู ีว่ ิยแพย� า ไมม่ กี ารสังั� ยาทผี� ู้ป�ู ีว่ ิยแพ� และไมม่ กี ารสัง�ั ยาทอี� ำาจแพแ� บูบู
- ปรบั ปรุงชอ่ื สามัญทางยาทม่ี ีชือ่ เดียวให้เปน็ ตามแนวทางท่ีกาหนด 1,139 (43.52) กลมุ่ ในยากลมุ่ เด่ยี วิกบั ูทผ�ี ู้ป�ู ีว่ ิยมปี ีระวิตั ิ์แิ พ� ค์ดิ ่เปีน็ อำตั ิ์รา 0/1,000
- ปรับปรุงชื่อสามัญทางยาท่ีมมี ากกว่า 1 ชอื่ ใหเ้ ปน็ ตามแนวทางทกี่ าหนด 1,189 (45.43) ใบูสัง�ั ยา
- ปรับปรุงช่อื สามญั ทางยาท่ีมี ≥ 1 ชื่อและจัดการแพ้ยาแบบกลมุ่ 242 (9.25)
- ไมต่ อ้ งปรับปรงุ ช่อื สามญั ทางยา
ตาราง opd_allergy จานวน 31,283 ระเบียน 47 (1.80)

1. การปรับปรุงชือ่ สามัญทางยา 1,222 (3.91)
1.1 ปรบั ปรงุ ชือ่ สามญั ทางยา (generic name) 17,302 (55.31)
1.2 ปรับปรงุ ชอ่ื สามญั ทางยาและจดั การแพย้ าแบบกล่มุ
1.3 เป็นผลข้างเคียงจากยา 177 (0.57)
1.4 ไมต่ ้องปรับปรงุ ชื่อสามญั ทางยา 12,582 (40.22)

2. การหา้ มสงั่ ใชย้ าท่มี ีประวตั ิแพ้ 39
2.1 จาก ไม่เลือก “หา้ มสัง่ ใช้” เปน็ ห้ามสง่ั ใชแ้ ละเตอื นแพ้ยาทุกกรณี 754

2.2 จาก ไม่ระบุ “หา้ มสัง่ ใช้” เปน็ หา้ มสั่งใช้และเตอื นแพย้ าทุกกรณี

ข�ันตอนท�ี 4 พัฒนาโปีรแกรม ADR Yom เพ�่อำใช� ภ�พทุ�่ 1 ขอ้ มล้ ต้�่ งๆ ทุต�่ ้อ้ งบนั ำทุกึ ก�รแพย้ �ผู้�่ นำโปรแกรม ADR Yom
ในการบูนั ทก้ ขึ้อ� ำมลู ผู้ป�ู ีว่ ิยแพย� าแทนการบูนั ทก้ แบูบูเด่มิ โดยขอ้ มล้ ทุม�่ เ่ ครอ�้ งหม�ย * จะบงั คบั ว�่ ต้อ้ งมก่ �รใส่ล่ งขอ้ มล้ จงึ จะ
บนั ำทุกึ ได้
จากการวิเิ ค์ราะหส์ ัาเหติ์ขุ ึ้อำงปีญั หาติ์า่ งๆ ทเ�ี กดิ ่ขึ้น้� จง้ มี
การพฒั นาโปีรแกรม ADR Yom และนาำ มาใชใ� นการบูนั ทก้ ปีระวิตั ิ์แิ พย� า อภิปรายและสรปุ ผล
ผู้ป�ู ีว่ ิย แทนการบูนั ทก้ ลงในโปีรแกรม HOSxP โด่ยติ์รง เมอ�่ ำเภสัชั กร
บูันท้กเลขึ้ปีระจาำ ติ์ัวิขึ้อำงผู้�ปู ี่วิย (HN) จะมีการด่้งช่�อำ นามสักุลขึ้อำง การพฒั นาฐานขึ้อ� ำมลู ค์อำมพวิ ิเติ์อำรเ์ พอ่� ำปีอ้ ำงกนั การแพย� าซีา�ำ
ผู้ป�ู ีว่ ิยจากโปีรแกรม HOSxP มาใสัใ่ นโปีรแกรม ADR Yom โด่ยอำตัิ์โนมตัิ์ิ ผู้ลการศู้กษาพบูวิ่าโค์รงสัร�างฐานขึ้�อำมูลโปีรแกรม HOSxP ที�
เปี็นการเพิ�มค์วิามถูกติ์�อำงในการย่นยันผู้�ูปี่วิยจากช�่อำ นามสักุลที� เกยี� วิขึ้อ� ำงกบั ูการแพย� าปีระกอำบูด่ว� ิย 2 ติ์าราง ได่แ� ก่ ติ์าราง drugitems
สัอำด่ค์ลอ� ำงกบั ูเลขึ้ปีระจาำ ติ์วั ิขึ้อำงผู้ป�ู ีว่ ิย โปีรแกรมจะมกี ารบูงั ค์บั ูใหต� ิ์อ� ำง จาำ นวิน 2,617 ระเบูยี น ทาำ การปีรบั ูปีรงุ ขึ้อ� ำมลู จาำ นวิน 2,570 ระเบูยี น
ใสัข่ ึ้อ� ำมลู ทจ�ี าำ เปีน็ (มเี ค์รอ�่ ำงหมาย * สัแี ด่งกาำ กบั ู) ด่งั แสัด่งในภาพท�ี 1
จง้ จะบูนั ทก้ ขึ้อ� ำมลู ได่� ทงั� นี� ในสัว่ ินขึ้อำงหวั ิขึ้อ� ำ *ยาทแ�ี พ� (ชอ�่ ำสัามญั ) และ
อำาการทแ�ี พจ� ะมรี ายการเลอ่ ำกแบูบูด่ง้ ลง (drop down list) โด่ยบูงั ค์บั ู
ใหเ� ลอ่ ำกชอ่� ำสัามญั ทางยาทแี� พจ� ากขึ้อ� ำมลู ชอ�่ ำสัามญั ทางยาทม�ี ใี นติ์าราง
drugitems เทา่ นนั� จะไมส่ ัามารถบูนั ทก้ โด่ยอำสิ ัระด่ว� ิยกลอ่ ำงขึ้อ� ำค์วิาม
ชนดิ ่พมิ พเ์ อำงได่� ทาำ ใหช� อ่� ำสัามญั ทางยาทบ�ี ูนั ทก้ มคี ์วิามถกู ติ์อ� ำงติ์รงกบั ู
ชอ่� ำสัามญั ทางยาในฐานขึ้อ� ำมลู ขึ้อำงโรงพยาบูาล เมอ่� ำกด่บูนั ทก้ ขึ้อ� ำมลู
ในโปีรแกรม ADR Yom ขึ้อ� ำมลู ทบ�ี ูนั ทก้ จะถกู ด่ง้ ไปีใสัใ่ นปีระวิตั ิ์กิ ารแพย� า
ขึ้อำงผู้ป�ู ีว่ ิยในโปีรแกรม HOSxP พรอ� ำมทง�ั มกี ารเลอ่ ำกค์าำ สังั� “หา� มสังั� ใช”�

38 ปท ่ี 46 ฉบบั ท่ี 4 ประจําเดอื นกรกฎาคม – กันยายน 2563 Vol.46 No.4 July - September 2020

(ร้้อยละ 98.20) ตาราง opd_allergy จำ�ำ นวน 31,283 ระเบียี นยา ทำ�ำ การ และประวัตั ิแิ พ้้ยาไม่ถ่ ูกู เลืือก “ห้้ามสั่่ง� ใช้้” เพราะผู้ป�้ ่ว่ ยทุกุ รายที่่ม� ีี
ปรับั ปรุงุ ข้้อมูลู จำ�ำ นวน 18,701 ระเบียี น (ร้้อยละ 59.79) เมื่อ่� เปรียี บ การบันั ทึึกการแพ้้ยาในโปรแกรม ADR Yom จะได้้รับั การเลืือก “ห้้าม
เทียี บกับั การศึึกษาที่่ม� ีกี ารพัฒั นาสารสนเทศเพื่อ�่ ป้อ้ งกันั การแพ้้ยาซ้ำ�ำ� สั่่ง� ใช้้” โดยอัตั โนมัตั ิิ รวมถึึงโปรแกรม ADR Yom สามารถจำ�ำ กัดั สิทิ ธิิ
ของระบบบริกิ ารผู้ป�้ ่ว่ ยนอกในโรงพยาบาลทั่่ว� ไป8 ขนาด 485 เตียี ง การเข้้าถึึงการแก้้ไขข้้อมูลู ผู้ป�้ ่ว่ ยแพ้้ยาได้้และสามารถเรียี กรายงานเพื่อ�่
มีกี ารปรับั ปรุงุ ข้้อมูลู 11,171 ระเบียี น โดยปรับั ปรุงุ ชื่อ่� สามัญั ทางยา ตรวจสอบการเข้้าบัันทึึก แก้้ไข หรืือเปลี่่�ยนแปลงข้้อมููลได้้ทัันทีี
และการแพ้้ยาแบบกลุ่�ม รวม 3,996 ระเบียี น และปรับั ปรุงุ การเตืือน อย่า่ งไรก็ต็ าม ในอนาคตควรมีกี ารพัฒั นาโปรแกรม ADR Yom ให้้
แพ้้ยา รวม 2,697 ระเบีียน จะเห็็นว่่าจำ�ำ นวนฐานข้้อมููลของ สามารถแจ้้งเตืือนการประเมิินอาการและแนวทางการรัักษาผู้�ป้ ่่วย
โรงพยาบาลเจ้้าพระยายมราชมีจี ำ�ำ นวนที่่ม� ากกว่า่ ประมาณ 3 เท่า่ อัตั โนมัตั ิิ เพื่อ�่ เพิ่่ม� ประสิทิ ธิภิ าพในการดูแู ลผู้ป�้ ่ว่ ย การติดิ ตามผล 3
เนื่อ�่ งจากโรงพยาบาลเจ้้าพระยายมราชเป็น็ โรงพยาบาลศูนู ย์ข์ นาด เดืือนหลังั พัฒั นาระบบสารสนเทศทางยาและระบบข้้อมูลู ผู้ป�้ ่ว่ ยแพ้้ยา
680 เตียี ง อาจเป็น็ ส่ว่ นหนึ่่ง� ที่่ท� ำ�ำ ให้้มีคี วามแตกต่า่ งในเรื่อ่� งของจำ�ำ นวน เพื่อ�่ ป้อ้ งกันั การแพ้้ยาซ้ำ��ำ ไม่ม่ ีรี ายงานความคลาดเคลื่อ�่ นที่่เ� กิดิ จาก
ข้้อมูลู ประวัตั ิแิ พ้้ยา ทั้้ง� นี้้� โรงพยาบาลที่่ม� ีจี ำ�ำ นวนข้้อมูลู ประวัตั ิแิ พ้้ยา การบันั ทึึกชื่อ่� สามัญั ทางยาที่่ผ� ู้ป�้ ่ว่ ยแพ้้ผิดิ ไม่พ่ บการสั่่ง� ใช้้ยาที่่ผ� ู้ป�้ ่ว่ ย
มาก มีเี ภสัชั กรจำ�ำ นวนมากร่ว่ มประเมินิ การแพ้้ยาและบันั ทึึกข้้อมูลู มีีประวััติิแพ้้และได้้รัับการบัันทึึกประวััติิไว้้ในฐานข้้อมููลของ
ลงระบบคอมพิิวเตอร์์ของโรงพยาบาล ควรต้้องมีีการวางแนวทาง โรงพยาบาลแล้้ว และไม่พ่ บการแพ้้ยาซ้ำ��ำ
ในการบัันทึึกข้้อมููลทุุกด้้านของระบบยาที่่�มีีความชััดเจน มีีความ
เชื่อ่� มโยงกันั และควรมีกี ารตรวจสอบการลงบันั ทึึกข้้อมูลู ซ้ำ��ำ โดยอิสิ ระ ข้้อจำ�ำ กััดของการศึึกษานี้้�คืือ เนื่่�องจากศึึกษาฐานข้้อมููล
อย่า่ งสม่ำ��ำ เสมอ นอกจากนี้้� การศึึกษาของโรงพยาบาลแห่ง่ หนึ่่ง� ใน ย้้อนหลััง 10 ปีี ส่่งผลให้้รายละเอีียดของประวััติิแพ้้ยาในผู้�้ป่่วย
จ.สมุทุ รสาคร5 มีกี ารพัฒั นาระบบคอมพิวิ เตอร์เ์ พื่อ่� แจ้้งเตืือนการแพ้้ยา บางรายไม่่ครบถ้้วน เช่่น ไม่่ทราบชื่่�อสามััญทางยาเนื่่�องจากระบุุ
พบว่า่ ฐานข้้อมูลู ที่่ต� ้้องปรับั ปรุงุ ได้้แก่ต่ าราง drugitems และตาราง ประวััติิการแพ้้เป็็นกลุ่�มยา ไม่่ทราบอาการแพ้้ยาที่่�ชััดเจน เป็็นต้้น
opd_allergy เช่น่ กันั การศึึกษาดังั กล่า่ วข้้างต้้นทั้้ง� สองการศึึกษา มีกี าร ข้้อเสนอแนะจากการศึึกษาคืือควรมีกี ารติดิ ตามตรวจสอบและปรับั ปรุงุ
กำ�ำ หนดแนวทางการตั้้ง� ชื่อ่� สามัญั ทางยา รวมถึึงกำ�ำ หนดให้้ยาที่่ม� ีหี ลาย ชื่อ�่ สามัญั ทางยาในตาราง drugitems ให้้เป็น็ ไปตามแนวทางที่่ก� ำ�ำ หนด
รูปู แบบ หลายความแรง ให้้ใช้้ชื่อ�่ สามัญั ทางยาชื่อ่� เดียี วเช่น่ เดียี วกับั อย่่างสม่ำ��ำ เสมอ และตรวจสอบการจััดการแพ้้ยาแบบกลุ่�มเมื่�่อมีี
การศึึกษาของโรงพยาบาลเจ้้าพระยายมราช แต่ท่ั้้ง� สองการศึึกษานั้้น� ยาเข้้าใหม่ใ่ นโรงพยาบาล
ผู้บ�้ ัันทึึกยัังสามารถบัันทึึกชื่อ่� ยาด้้วยกล่่องข้้อความชนิิดพิิมพ์์เองได้้
ซึ่ง� แตกต่า่ งจากการศึึกษาของโรงพยาบาลเจ้้าพระยายมราชที่่ม� ีกี าร สรุุปผลการศึึกษา พบว่่าการพััฒนาระบบสารสนเทศ
พัฒั นาโปรแกรม ADR Yom โดยเภสัชั กรเป็น็ ผู้ก�้ ำ�ำ หนดเงื่อ่� นไข โครงร่า่ ง ทางยาและระบบข้้อมูลู ผู้ป�้ ่ว่ ยแพ้้ยาของโรงพยาบาล สามารถป้อ้ งกันั
ของโปรแกรม และนัักวิิชาการคอมพิิวเตอร์์ของโรงพยาบาลเป็็น การแพ้้ยาซ้ำ�ำ� ภายในโรงพยาบาลเจ้้าพระยายมราช ที่่�มีีสาเหตุุจาก
ผู้เ�้ ขียี นโปรแกรมเพื่อ่� ใช้้ร่ว่ มกับั โปรแกรม HOSxP ในการแก้้ปัญั หาการ การพิิมพ์์ชื่�่อสามััญทางยาที่่�ผู้�ป้ ่่วยมีีประวััติิแพ้้ไม่่ถููกต้้องตรงกัันกัับ
บันั ทึึกประวัตั ิชิ ื่อ่� ยาที่่แ� พ้้ได้้โดยอิสิ ระด้้วยกล่อ่ งข้้อความชนิดิ พิมิ พ์เ์ อง ฐานข้้อมูลู ชื่อ่� สามัญั ทางยาของโรงพยาบาล และการไม่เ่ ลืือกคำ�ำ สั่่ง�
“ห้้ามสั่่ง� ใช้้” ในการบันั ทึึกข้้อมูลู แพ้้ยาได้้

บรรณานุุกรม

สำ�ำ นักั งานคณะกรรมการอาหารและยา. แนวทางสำ�ำ หรับั ผู้ร�้ ับั อนุญุ าตในการรายงานความปลอดภัยั ของยาที่่ใ� ช้้ในมนุษุ ย์์ ยาเสพติดิ และวัตั ถุทุ ี่่อ� อกฤทธิ์ต� ่อ่ จิติ และประสาทที่่ใ� ช้้ทาง
การแพทย์ภ์ ายหลังั ออกสู่่�ตลาด. นนทบุรุ ี;ี 2558.

ศูนู ย์เ์ ฝ้า้ ระวังั ความปลอดภัยั ด้้านผลิติ ภัณั ฑ์ส์ ุขุ ภาพ. สรุปุ รายงานอาการไม่พ่ ึึงประสงค์จ์ ากการใช้้ยาประจำ�ำ ปีี 2560. นนทบุรุ ี:ี อักั ษรากราฟฟิคิ แอนด์์ ดีไี ซน์;์ 2560.
นทพรชัยั พิชิ ิติ ,นฤมลเจริญิ ศิริ ิพิ รกุลุ ,ผันั สุุชุมุ วรฐายี.ี ความรู้�ความเข้้าใจต่อ่ การแพ้้ยาและพฤติกิ รรมการพกบัตั รแพ้้ยาของผู้ป�้ ่ว่ ยแพ้้ยาในโรงพยาบาลศรีนี ครินิ ทร์.์ ศรีนี ครินิ ทร์เ์ วชสาร2552;24:224-

230.
กาญจนาพร วิบิ ูลู ย์ศ์ ิริ ิกิ ุลุ . การพัฒั นาระบบป้อ้ งกันั การแพ้้ยาซ้ำ�ำ� ในโรงพยาบาลส่ง่ เสริมิ สุขุ ภาพตำ�ำ บลเครืือข่า่ ย อ.บางปะหันั จ.พระนครศรีอี ยุธุ ยา โดยการประเมินิ ความถูกู ต้้องของประวัตั ิิ

แพ้้ยา. ว. สมาคมเวชศาสตร์ป์ ้อ้ งกันั แห่ง่ ประเทศไทย. 2558;5:245-261.
ชนิติ นันั ท์์ สุธุ าประดิษิ ฐ์,์ อิศิ ราวรรณ ศกุนุ รักั ษ์.์ การพัฒั นาระบบคอมพิวิ เตอร์เ์ พื่อ่� แจ้้งเตืือนการแพ้้ยาร่ว่ มกับั การจัดั การฐานข้้อมูลู การแพ้้ยาของโรงพยาบาลแห่ง่ หนึ่่ง� ในจังั หวัดั สมุทุ รสาคร.

ว.เภสัชั กรรมไทย 2562;11:431-443.
Fernando B, Morrison Z, Kalra D, Cresswel K, Sheikh A. Approaches to recording drug alergies in electronic health records: qualitative study. PloS one 2014 April; 9:e93047.
Medication Errors Associated with Documented Alergies. Pa Patient Saf Advis 2008 Sep; 5(3):75-80.
พินิ ิจิ ธราภูมู ิพิ ิพิ ัฒั น์.์ การพัฒั นาสารสนเทศเพื่อ่� ป้อ้ งกันั การแพ้้ยาซ้ำ��ำ ของระบบบริกิ ารผู้ป�้ ่ว่ ยนอกโรงพยาบาลพหลพลพยุหุ เสนา. วารสารเภสัชั กรรมคลินิ ิกิ . 2560;23:20-25.
โพยม วงศ์ภ์ ูวู รักั ษ์.์ ความหมาย ประเภท และกลไกการเกิดิ ADR. ใน: ธิดิ า นิงิ สานนท์์ และจันั ทิมิ า โยธาพิทิ ักั ษ์,์ บรรณาธิกิ าร. ตรงประเด็น็ เรื่อ�่ ง Adverse Drug Reaction.

พิมิ พ์ค์ รั้้ง� ที่่� 2. กรุงุ เทพมหานคร: ปรมัตั ถ์์ การพิมิ พ์;์ 2550:1–19.
สำ�ำ นัักพััฒนาระบบบริิการสุุขภาพ กรมสนัับสนุุนบริิการสุุขภาพ กระทรวงสาธารณสุุข และชมรมเภสััชกรโรงพยาบาล กระทรวงสาธารณสุุข. คู่่�มืือติิดตามอาการไม่่พึึงประสงค์์

จากการใช้้ยา. 2550.

Vol.46 No.4 July - September 2020 ปีีที่�่ 46 ฉบัับที่่� 4 ประจำำ�เดือื นกรกฎาคม – กัันยายน 2563 39

การพฒั นารปู แบบการจัดการ
ทางการพยาบาลเพอ่ื ความ
ปลอดภัย จากการบรหิ ารยาความ
เส่ียงสงู โรงพยาบาลเจา้ พระยา
ยมราช จังหวดั สพุ รรณบรุ ี



วารสารแพทย์เขต 4-5 137 การพัฒนารูปแบบการจัดการทางการพยาบาลเพื่อความปลอดภัย
ปีท่ี 40 ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม 2564 จากการบริหารยาความเส่ียงสูง โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช
จังหวัดสุพรรณบุรี

การพฒั นารูปแบบการจดั การทางการพยาบาลเพ่ือความปลอดภยั ินพน ์ธ ้ตนฉบับ Original Article
จากการบรหิ ารยาความเสยี่ งสงู โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช
จงั หวัดสุพรรณบุรี
The Development of Nursing Management Model for Safety

of High Alert Drug Administration Chaophrayayommarat Hospital,
Suphan Buri

ปฤษณา เปลง่ อารมณ์ วท.ม., Prissana Plengarom M.S.,
สาขาสขุ ศึกษา Health Education
โรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช Chaophrayayommarat Hospital
จงั หวัดสุพรรณบรุ ี Suphan Buri

บทคดั ยอ่

วตั ถปุ ระสงค์ : เพอ่ื พฒั นาและศกึ ษาผลของการพฒั นารปู แบบการจดั การทางการพยาบาลเพอื่ ความปลอดภยั
จากการบรหิ ารยาความเสีย่ งสูง โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จงั หวดั สพุ รรณบุรี

วิธีการศึกษา : การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลวิชาชีพทุกคนท่ีเก่ียวข้องกับการ
บริหารยาความเสี่ยงสูงจากในหน่วยบริการของโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จ�ำนวน 308 คน และแฟ้มประวัติ
ผู้ป่วยท่ีได้รับการบริหารยาความเสี่ยงสูงโดยพยาบาลวิชาชีพ จากหอผู้ป่วยใน จ�ำนวน 325 แฟ้ม ที่คัดเลือก
แบบเจาะจง และด�ำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนมีนาคม - ตุลาคม 2563 โดยแบ่งเป็น 5 ระยะ
ดังนี้ ระยะที่ 1 วิเคราะห์สถานการณ์ ศึกษาปัญหาและสาเหตุของปัญหา ระยะที่ 2 การออกแบบและพัฒนา
รูปแบบ ระยะที่ 3 ด�ำเนินการทดลองใช้รูปแบบ ระยะที่ 4 พัฒนาและขยายประสิทธิผลรูปแบบ และระยะท่ี 5
ประเมินประสิทธิผลรูปแบบ เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งน้ีประกอบด้วย 1) แบบสังเกตการณ์
การใช้กระบวนการพยาบาลในการบริหารยาความเสี่ยงสูง และ 2) แบบประเมินความพึงพอใจต่อรูปแบบ
การจัดการทางการพยาบาลเพื่อความปลอดภัยจากการบริหารยาความเส่ียงสูงของพยาบาลวิชาชีพ ซึ่งผ่าน
การตรวจความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จ�ำนวน 5 ท่าน ทดสอบความเช่ือมั่นของเคร่ืองมือ และค�ำนวณ
คา่ ความเชอ่ื มน่ั ไดเ้ ทา่ กบั .906 และ .982 ตามลำ� ดบั สำ� หรบั แบบรายงานอบุ ตั กิ ารณค์ วามคลาดเคลอื่ นจากการบรหิ าร
ยาความเส่ียงสงู มีค่าดัชนคี วามตรงเชงิ เนื้อหาเทา่ กบั .96 ผวู้ ิจัย วเิ คราะห์ขอ้ มลู เชิงคณุ ภาพด้วยการวิเคราะหเ์ นื้อหา
และข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย การแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย
สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน paired sample t test และ independent sample t test

ผลการศกึ ษา : ระยะท่ี 1 พบวา่ บรบิ ทวัฒนธรรมและนโยบายด้านความปลอดภยั ทเ่ี กยี่ วข้องกบั การบรหิ าร
ยาความเสี่ยงสูงส�ำหรับพยาบาลยังไม่เป็นรูปธรรม ไม่มีความชัดเจน ประกอบกับการส่ือสารท่ีไม่ครอบคลุมและ

137

Region 4-5 Medical Journal 138 The Development of Nursing Management Model
Vol. 40 No. 1 January-March 2021 for Safety of High Alert Drug Administration
Chaophrayayommarat Hospital, Suphan Buri

ไม่ชัดเจน เน่ืองจากภาระงานมาก/สถานการณ์รบกวนสมาธิขณะบริหารยาความเสี่ยงสูง และอปุ กรณ์ เครอื่ งมอื
ไมเ่ พยี งพอ ไมพ่ รอ้ มใช้ ระยะท่ี 2 รา่ งรปู แบบการจดั การทางการพยาบาลเพอ่ื ความปลอดภยั จากการบรหิ ารยาความเสยี่ งสงู
โดยใช้กระบวนการพยาบาลในการบริหารยาความเส่ียงสูง ระยะที่ 3 ด�ำเนินการทดลองใช้รูปแบบใน 4 หน่วยงาน
นำ� รอ่ ง ระยะท่ี 4 พฒั นาและขยายประสทิ ธผิ ลรปู แบบการจดั การทางการพยาบาลเพอ่ื ความปลอดภยั จากการบรหิ าร
ยาความเส่ียงสูง ซึ่งมีองค์ประกอบของรูปแบบ 2 ส่วน คือ 1) กระบวนการพยาบาลในการบริหารยาความเส่ียงสูง
2) การออกแบบแผนการนิเทศทางคลินิก พบว่า จ�ำนวนอุบัติการณ์ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยาลดลง
ระยะท่ี 5 การประเมนิ ประสทิ ธผิ ลรปู แบบการจดั การทางการพยาบาลเพอ่ื ความปลอดภยั จากการบรหิ ารยาความเสยี่ งสงู
พบว่า ความพึงพอใจต่อรูปแบบการจัดการทางการพยาบาลเพ่ือความปลอดภัยจากการบริหารยาความเสี่ยงสูงของ
พยาบาลมีคา่ เฉล่ียอยใู่ นระดับสงู ( X = 4.29)

สรปุ : รปู แบบการจัดการทางการพยาบาล เพื่อความปลอดภยั จากการบริหารยาความเส่ยี งสูง ท่พี ฒั นาข้นึ
มีประสิทธิภาพสามารถลดอุบัติการณ์ความคลาดเคล่ือนทางยาได้ ควรน�ำไปใช้และขยายผลในโรงพยาบาลเครือข่าย
สุขภาพจังหวัดสุพรรณบรุ ี และเขตสุขภาพท่ี 5 ทพ่ี บปัญหาใกลเ้ คียงกนั

คำ� ส�ำคัญ : การพัฒนา รูปแบบการจัดการทางการพยาบาล การบริหารยาความเส่ยี งสงู
วารสารแพทยเ์ ขต 4-5 2564 ; 40(1) : 137-150.

ABSTRACT

Objective : The aim is to develop the nursing management model for safety of high alert
drug administration at Chaophrayayommarat Hospital, Suphan Buri.

Methods : The purposively sampled participants in this research and development were 308
RN involved in administration of high-alert drugs from Chaophrayayommarat Hospital’s service units
and 325 patients’ profiles. This study conducted in March - October 2020 with 5 stages in the research
method as follows: Phase 1 situational analysis and studying the previous nursing problems and
causes; Phase 2 designing and developing the nursing management model for safety of high alert
drug administration; Phase 3 implementing the new nursing management model; Phase 4 developing
and reimplementing the model; and Phase 5 evaluating the effectiveness of the model. The
research instruments consisted of 1) the form of nursing process observation; 2) the questionnaire
for assessing satisfaction of the nursing management model for safety administration of high alert
drugs. The research instruments were tested for content validity by 5 experts and the reliability
of the tools was .906 and .982 respectively. The high alert drug administration error report was
tested for content validity by 5 experts and the CVI was .96. The qualitative data were analyzed
with the content analysis method, and the quantitative data were analyzed by using descriptive
statistics and t test.
Results : Phase I: the research found that the context, culture, and safety policies
associated with the administration of high alert drugs among nurses were abstract, doubtful,
coupled incomprehensible, and miscommunication due to the heavy workload/distraction
situation while administering high alert drugs and insufficient equipment. Phase 2: the draft of

138

วารสารแพทย์เขต 4-5 139 การพัฒนารูปแบบการจัดการทางการพยาบาลเพ่ือความปลอดภัย
ปีที่ 40 ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม 2564 จากการบริหารยาความเสี่ยงสูง โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช
จังหวัดสุพรรณบุรี

the nursing management model for safety of high alert drug administration process consisted
of nursing process for high risk drug management. Phase 3: the model was conducted in four
pilot units. Phase 4: developing and reimplementing the model which consisted of 2 parts:
1) the nursing process for high risk drug administration 2) clinical supervision. It was found that the
number of incidence of drug administration discrepancies had decreased. Phase 5: the participants
were satisfied with the nursing management model for the safety of high alert drug administration
at high level ( X = 4.29).

Conclusion : Nursing management model for safety of high alert drug administration can
be efficiently performed to reduce medication administration errors. The developed model in this
research should be applied to other hospitals in Suphan Buri Province and 5th Participatory Health
Region to prevent medication errors.

Keywords : development, nursing management model, high alert drug administration
Received : Jun 15, 2020 Revised : Jun 26, 2020 Accepted : Aug 15, 2020
Reg 4-5 Med J 2021 ; 40(1) : 137-150.

บทน�ำ ได้รับยา โดยเฉพาะข้ันตอนของการบริหารยา (drug
administration) ซง่ึ เรมิ่ ตง้ั แตร่ บั การสง่ั ใชย้ าจากแพทย์
“ความปลอดภัย” เป็นมิติคุณภาพที่องค์การ การทวนสอบประวัติการใช้ยาและประวัติการแพ้ยา
อนามัยโลกให้ความส�ำคัญ และถือเป็นภารกิจหลัก ของผู้ป่วย การรับยาท่ีส่งมาจากหน่วยงานเภสัชกรรม
ของสถานบริการทางสุขภาพที่ประเทศสมาชิกทั่วโลก การจดั เตรยี มยา การบรหิ ารยาในวถิ ที างตา่ งๆ ตามแผน
ควรก�ำหนดเป็นเป้าหมายในการดูแลผู้ป่วย รวมถึง การรกั ษาของแพทย์ และการดแู ลสงั เกตอาการขา้ งเคยี ง
ประเทศไทยซึ่งเป็นหน่ึงในประเทศสมาชิกขององค์การ อาการไมพ่ งึ ประสงคจ์ ากยา ตลอดจนการใหค้ าํ แนะนาํ
อนามัยโลกที่ให้ความส�ำคัญกับคุณภาพและความ ในการใช้ยา ก่อนผู้ป่วยกลับบ้าน ซึ่งล้วนมีโอกาส
ปลอดภยั ครอบคลมุ ทงั้ ผปู้ ว่ ยและบคุ ลากรทางสาธารณสขุ เส่ียงต่อการเกิดความคลาดเคล่ือนในการบริหารยา
(Patient and Personnel Safety: 2P Safety) โดย (administration error: AE) ซงึ่ Joint Commission
รฐั มนตรกี ระทรวงสาธารณสุขได้มีการประกาศนโยบาย Resources สหรัฐอเมริกา รายงานอุบัติการณ์
ด้านความปลอดภัย เพ่ือให้สถานบริการสุขภาพทั่ว ความคลาดเคลอ่ื นในการบรหิ ารยาวา่ พบมากเปน็ อนั ดบั 4
ประเทศน�ำนโยบายไปขับเคล่ือนพัฒนาระบบบริการ ของอุบัติการณ์ไม่พึงประสงค์ในโรงพยาบาล3 และใน
มุ่งความปลอดภัย และเป็นองค์กรที่ผู้รับบริการเชื่อม่ัน ประเทศไทยพบว่าความคลาดเคล่ือนในการบริหารยา
และไวว้ างใจเพม่ิ ขน้ึ ตง้ั แต่ พ.ศ. 25601 โดยเฉพาะความ เปน็ อนั ดบั 2 ของอบุ ตั กิ ารณไ์ มพ่ งึ ประสงคใ์ นโรงพยาบาล
ปลอดภัยดา้ นยาทเ่ี ป็น 1 ใน 5 อันดบั เหตุการณไ์ ม่พึง โดยร้อยละ 10 ของเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนมีระดับความ
ประสงคท์ เ่ี กดิ จากการรกั ษาพยาบาล (adverse event) รุนแรงมาก4 และเปน็ สาเหตุสำ� คัญหนึง่ ที่ท�ำให้พยาบาล
และจดั เป็น 1 ใน 10 อนั ดับแรกของสาเหตุการเสียชวี ติ ถกู ฟอ้ งรอ้ ง5 ทง้ั นี้ Joint Commission on Accreditation
และความพิการในระบบบริการสุขภาพ2 of Healthcare Organization สหรฐั อเมรกิ า ได้รวบรวม
ข้อมูลการเกดิ ความคลาดเคลอ่ื นในการบรหิ ารยาระหวา่ ง
พยาบาลเป็นบุคลากรสาธารณสุขที่มีส่วน
เกยี่ วข้องสำ� คญั กับคณุ ภาพและความปลอดภัยจากการ

139

Region 4-5 Medical Journal 140 The Development of Nursing Management Model
Vol. 40 No. 1 January-March 2021 for Safety of High Alert Drug Administration
Chaophrayayommarat Hospital, Suphan Buri

ค.ศ.1995-2004 พบวา่ สาเหตขุ องความคลาดเคลอ่ื นใน จากข้อมูลการติดตามความคลาดเคล่ือนใน
การบรหิ ารยามปี จั จยั เชงิ ระบบทเ่ี กย่ี วขอ้ งคอื การสอื่ สาร การบรหิ ารยาดว้ ยโปรแกรม HRMS on Could & HOSxP
การฝกึ อบรม การจดั อตั รากำ� ลงั สมรรถนะของบคุ ลากร ของโรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช ตงั้ แต่ ปี 2560 - 2562
และวิธีการปฏิบัติงานุ6 และจากผลการเยี่ยมส�ำรวจ พบอุบัติการณ์ความคลาดเคล่ือนในการบริหารยา
ทางการพยาบาลในประเทศไทย พบสาเหตุของ ในกลุ่มผู้ป่วยนอก (OPD) 1.29, 0.63, และ 0.56
ความคลาดเคล่ือนในการบริหารยา เกิดจากปัญหา ครงั้ ตอ่ 1,000 ใบสั่งยา และกลุม่ ผูป้ ่วยใน (IPD) 1.28,
ด้านการจัดการ การนิเทศ การก�ำกับติดตาม และ 0.01, และ 0.01 คร้ังต่อ 1,000 วันนอน ตามล�ำดับ
การเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการให้ยา4 โดยเป็นกลุ่มยาความเส่ียงสูงในผู้ป่วยนอก (OPD)
ดงั นนั้ กระบวนการบรหิ ารยาของพยาบาลจงึ จำ� เปน็ ตอ้ ง จ�ำนวน 4, 3, และ 2 ครัง้ และผู้ปว่ ยใน (IPD) จำ� นวน
ได้รับการพัฒนาให้เกิดระบบการจัดการท่ีรัดกุมและ 9, 7, และ 6 คร้ังตามล�ำดับ ที่มีระดับความรุนแรง
มีคุณภาพเพ่ิมขึ้น เนื่องจากเป็นข้ันตอนสุดท้ายก่อน ต้ังแต่น้อยไปจนถึงต้องมีการรักษาเพ่ิม (ระดับ E)
ผู้ป่วยจะได้รับยาหากเกิดความคลาดเคล่ือนจะถึงตัว และนอนโรงพยาบาลนานข้ึน (ระดับ F) ส่งผลให้
ผู้ป่วย โดยเฉพาะในกลุ่มยาความเสี่ยงสูง (high alert โรงพยาบาลสญู เสยี คา่ ใชจ้ า่ ยในการรกั ษาพยาบาลเพมิ่ ขนึ้
drugs : HAD) ที่มีโอกาสเกิดอันตรายได้แม้จะให้ยา เฉล่ีย 6, 111.75, 12, 246.00, และ 9,789.15 บาท
อย่างถูกต้อง7 และหากมีการบริหารยาคลาดเคลื่อนจะ ตอ่ ราย และผปู้ ว่ ยตอ้ งนอนโรงพยาบาลนานขนึ้ เฉลย่ี 2, 5,
ย่ิงก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงแก่ผู้ป่วยถึงข้ันพิการหรือ และ 3 วันตอ่ ราย ตามลำ� ดบั ดงั นน้ั เพื่อความปลอดภัย
เสยี ชีวิตได้ (ระดับ G, H, และ I) ของผปู้ ว่ ยและบคุ ลากรพยาบาลตามนโยบาย 2 P Safety
ของโรงพยาบาล ผู้วิจัยซึ่งเป็นผู้ศึกษาและติดตาม
กระบวนการบริหารยาความเสี่ยงสูงของ อุบัติการณ์ความคลาดเคล่ือนจากการบริหารยา
พยาบาลในโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช สุพรรณบุรี มาอย่างตอ่ เน่อื ง ท้งั ในฐานะหัวหนา้ งานผ้ปู ่วยนอกและ
เร่ิมต้ังแต่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาที่หน่วยบริการและ หัวหน้าพยาบาล จึงเห็นความส�ำคัญของการวิเคราะห์
แพทยม์ แี ผนการรกั ษาดว้ ยยาความเสยี่ งสงู ซึง่ พยาบาล ระบบการบริหารยาความเสี่ยงสูงและพัฒนารูปแบบ
มีบทบาทส�ำคัญในการร่วมปรึกษาหารือ ทบทวน การจดั การทางการพยาบาลเพอ่ื ความปลอดภยั จากการ
ความถูกต้องเหมาะสมของแผนการรักษา ก่อนบันทึก บรหิ ารยาความเสยี่ งสงู ในโรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช
ข้อมูลการรักษาด้วยยาลงในใบบันทึกการให้ยา สุพรรณบุรี เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาความเสี่ยงสูงอย่าง
(medication administration records : MAR) ถูกต้อง ปลอดภัยตามแผนการรักษา ลดอุบัติการณ์
จัดส่งแผนการรักษา (doctor order sheet : DOS) ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยาความเสี่ยงสูง
ให้เภสัชกรเพ่ือให้จัดและส่งยากลับมาที่หน่วยบริการ เป็นการเพ่มิ ประสทิ ธิภาพ คณุ ค่า และความภาคภูมใิ จ
จากน้ันพยาบาลจะตรวจสอบความถูกต้องของยา ในงานบริการของพยาบาล ในขณะที่ผู้ป่วยและ
ความเส่ียงสูงท่ีได้รับเทียบกับแผนการรักษาของแพทย์ ครอบครวั เกิดความมนั่ ใจในความปลอดภยั สง่ ผลท�ำให้
กอ่ นจัดเก็บยาดงั กลา่ วแยกจากยาทวั่ ไป และบรหิ ารยา งานบริการรักษาพยาบาลของโรงพยาบาลมีคุณภาพได้
ความเส่ียงสูงตามหลัก 6 R (Right patient, Right รบั ความไวว้ างใจจากผู้รับบริการเพม่ิ ขนึ้ อยา่ งตอ่ เนื่อง
drug, Right dose, Right route, Right time
and Right technique) รวมท้ังเฝ้าระวัง ติดตาม วัตถุประสงค์
ประเมินอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด และรายงานแพทย์
ทันทีเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์เพ่ือให้การ 1. เ พื่ อ พั ฒ น า รู ป แ บ บ ก า ร จั ด ก า ร ท า ง ก า ร
ชว่ ยเหลอื ผปู้ ว่ ยไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ เหมาะสม และปลอดภยั พยาบาล เพ่ือความปลอดภัยจากการบริหารยา
ความเสยี่ งสงู โรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช สพุ รรณบรุ ี

140

วารสารแพทย์เขต 4-5 141 การพัฒนารูปแบบการจัดการทางการพยาบาลเพ่ือความปลอดภัย
ปีท่ี 40 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มีนาคม 2564 จากการบริหารยาความเส่ียงสูง โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช
จังหวัดสุพรรณบุรี

2. เพื่อศึกษาผลของการพัฒนารูปแบบการ ระยะท่ี 2 ออกแบบและพัฒนารูปแบบการ
จัดการทางการพยาบาล เพื่อความปลอดภัยจากการ จัดการทางการพยาบาลเพื่อความปลอดภัยจากการ
บริหารยาความเสี่ยงสูง โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช บรหิ ารยาความเสย่ี งสงู (พฤษภาคม – กรกฎาคม 2563)
สพุ รรณบุรี โดยการนำ� ขอ้ มลู จากการวเิ คราะหส์ ถานการณใ์ นระยะที่ 1
มาเปน็ ขอ้ มลู พน้ื ฐาน ศกึ ษาหลกั การ แนวคดิ ทฤษฎขี อง
3. เพื่อประเมินความพึงพอใจของพยาบาล คาร์เปนิโต11 และแนวคิดพรอคเตอร์12 ออกแบบ และ
ท่ีมีต่อรูปแบบการจัดการทางการพยาบาล เพ่ือความ พัฒนารูปแบบการจัดการทางการพยาบาลเพ่ือความ
ปลอดภัยจากการบริหารยาความเสี่ยงสูง ท่ีผู้วิจัย ปลอดภัยจากการบริหารยาความเสี่ยงสูงตามบริบท
สรา้ งข้นึ ของโรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช สพุ รรณบรุ ตี รวจสอบ
คุณภาพร่างรูปแบบการจัดการทางการพยาบาลเพ่ือ
วิธีการศึกษา ความปลอดภัยจากการบริหารยาความเสี่ยงสูง โดย
ผทู้ รงคณุ วฒุ จิ ำ� นวน 5 คน ไดค้ า่ ดชั นคี วามตรงเชงิ เนอื้ หา
การวิจัยและพัฒนาครง้ั นี้ เป็นการพัฒนารูป (content validity index: CVI) เท่ากบั .96
แบบการจดั การทางการพยาบาลเพอื่ ความปลอดภยั จาก
การบริหารยาความเส่ียงสูง โดยใช้แนวคิดการวิจัยของ ระยะที่ 3 ด�ำเนินการทดลองใช้รูปแบบการ
เคมมิสและแมคทาคกาท8 รว่ มกับกรอบแนวคดิ การพฒั จัดการทางการพยาบาลเพื่อความปลอดภัยจากการ
นาระบบของ โดนามิเดียน9 ด�ำเนินการในโรงพยาบาล บริหารยาความเส่ียงสูง (สิงหาคม – กันยายน 2563)
เจา้ พระยายมราช ระหวา่ งเดอื นมนี าคม - ตลุ าคม 2563 เป็นการพัฒนาวงจรที่ 1 เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบ
โดยการพฒั นา 2 วงรอบ วงรอบละ 5 ระยะ ไดแ้ ก่ ระยะ สังเกตการณ์การใช้กระบวนการพยาบาลในการบริหาร
วเิ คราะหส์ ถานการณ์ ศกึ ษาปญั หาและสาเหตขุ องปญั หา ยาความเสย่ี งสงู ทมี่ ลี กั ษณะเปน็ แบบตรวจสอบรายการ
ระยะการออกแบบและพฒั นารปู แบบ ระยะดำ� เนนิ การ จ�ำนวน 20 ข้อ แต่ละขอ้ มีคะแนนสูงสดุ 2 คะแนน และ
ทดลองใช้รูปแบบ ระยะพัฒนาและขยายประสิทธิผล ต�่ำสดุ 0 คะแนน คะแนนเฉล่ียรวมท้ังฉบับมีค่าระหวา่ ง
รูปแบบและระยะประเมินประสิทธิผลรปู แบบ ดงั น้ี 1.34 -2.00 หมายถงึ มกี ารปฏบิ ตั ติ ามกระบวนการพยาบาล
บรหิ ารยาความเสยี่ งสงู ระดบั สงู คะแนนเฉลย่ี 0.67 – 1.33
ระยะที่ 1 วเิ คราะหส์ ถานการณ์ ศึกษาปัญหา หมายถงึ มกี ารปฏบิ ตั ติ ามกระบวนการพยาบาลบรหิ ารยา
และสาเหตุของปัญหาการบริหารยาความเสี่ยงสูงของ ความเสย่ี งสงู อยใู่ นระดบั ปานกลาง และคะแนนเฉลย่ี 0.00
พยาบาล (มีนาคม – เมษายน 2563) รวบรวมข้อมูล – 0.66 หมายถึง มกี ารปฏบิ ตั ติ ามกระบวนการพยาบาล
จากกลมุ่ ตวั อยา่ ง 10 คน ซึ่งเปน็ หวั หนา้ งาน หัวหนา้ เวร บรหิ ารยาความเสยี่ งสงู อยใู่ นระดบั ตำ�่ และแบบรายงาน
และพยาบาลวิชาชีพ คัดเลือกแบบเจาะจง ซ่ึงเป็นผู้มี อุบัติการณ์ความคลาดเคล่ือนจากการบริหารยา
ประสบการณก์ ารบรหิ ารยาความเสย่ี งสงู มากกวา่ 10 ปี ความเสี่ยงสูงท่ีได้รับการตรวจสอบความตรงเชิงเน้ือหา
ผ่านการเข้าร่วมทบทวนอุบัติการณ์ความคลาดเคล่ือน โดยผู้ทรงคุณวุฒิจ�ำนวน 5 คน ได้ค่าดัชนีความตรง
ในการบริหารยา มาร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาสาเหตุของ เชงิ เนือ้ หา (content validity index: CVI) เท่ากับ .96
ความคลาดเคล่ือนในการบริหารยาความเส่ียงสูงโดย และวางระบบใหม้ กี ารจดั เกบ็ และสง่ แบบฟอรม์ รายงาน
ใช้แบบวิเคราะห์เชิงระบบตามแนวคิด JCAHO10 เพ่ือ ทุกเดือน หรือรายงานผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์
คน้ หาปัญหารากเหงา้ (root cause analysis : RCA) (HRMS on Could & HOSxP) ร่วมกับการทบทวน
และแนวทางการป้องกันขอ้ บกพรอ่ งเชิงระบบ (failure เวชระเบียนผู้ป่วยโดยใช้ตัวส่งสัญญาณ (trigger tool)
mode and effect analysis : FMEA) การบริหารยา และได้รับการตรวจสอบความตรงโดยผู้ทรงคุณวุฒิ
ความเส่ียงสูงของพยาบาลวิชาชีพ ซึ่งมีลักษณะคำ� ถาม จำ� นวน 5 คน และวิเคราะห์ความเช่ือมั่นโดยการหาคา่
แบบปลายเปิด จำ� นวน 12 ข้อ

141

Region 4-5 Medical Journal 142 The Development of Nursing Management Model
Vol. 40 No. 1 January-March 2021 for Safety of High Alert Drug Administration
Chaophrayayommarat Hospital, Suphan Buri

สมั ประสทิ ธแิ์ อลฟาของครอนบาค (Cronbach’s alpha โครงการวิจัยหมายเลข YM 015/2563 ลงวันที่ 22
coefficient) ไดค้ า่ ความเช่ือมัน่ เทา่ กบั .906 พฤษภาคม 2563

ระยะท่ี 4 พฒั นาและขยายประสทิ ธผิ ลรปู แบบ ผลการศึกษา
การจัดการทางการพยาบาลเพื่อความปลอดภัยจาก
การบรหิ ารยาความเสย่ี งสงู (กนั ยายน – ตลุ าคม 2563) ผู้วิจัยตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของ
เปน็ การพฒั นาและขยายผลวงจรที่ 2 โดยนำ� ขอ้ มลู ทไ่ี ด้ ขอ้ มลู และวเิ คราะหข์ อ้ มลู เชงิ คณุ ภาพดว้ ยการวเิ คราะห์
จากการติดตามผลการทดลองใช้รูปแบบในหน่วยงาน เน้ือหา และข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์โดยใช้สถิติ
น�ำร่องมาพัฒนาให้รัดกุม ปลอดภัย และเอ้ือต่อการ เชงิ พรรณนา ประกอบดว้ ย การแจกแจงความถี่ หาคา่
ปฏบิ ัติ (สงิ หาคม 2563) จากนัน้ นำ� รูปแบบดงั กลา่ วไป ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน paired
ขยายผลใช้ครอบคลุมทุกหน่วยบริการที่มีการบริหาร sample t test และ independent sample t test
ยาความเส่ียงสูง (กันยายน – ตุลาคม 2563) โดยอธบิ ายผลการศกึ ษาออกเป็น 5 ระยะ ดังน้ี

ระยะที่ 5 การประเมินประสิทธิผลรูปแบบ ผลการศกึ ษาระยะท่ี 1 การวเิ คราะหส์ ถานการณ์
การจัดการทางการพยาบาลเพ่ือความปลอดภัยจาก ศึกษาปัญหา และสาเหตุของปัญหาการบริหารยา
การบริหารยาความเส่ียงสูง (พฤศจิกายน 2563) เก็บ ความเส่ียงสูงของพยาบาล พบว่า มีประเด็นส�ำคัญ
รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสงั เกตการปฏิบตั ติ ามรูปแบบ แยกตามปัจจัยน�ำเข้า (inputs) พบปัญหา 1) บริบท
การจัดการทางการพยาบาลเพื่อความปลอดภัยจาก วัฒนธรรมและนโยบายด้านความปลอดภัยที่เก่ียวข้อง
การบริหารยาความเส่ียงสูงของพยาบาลวิชาชีพ และ กับการบริหารยาความเสี่ยงสูงส�ำหรับพยาบาลยัง
แบบประเมินความพึงพอใจต่อรูปแบบการจัดการ ไมเ่ ป็นรูปธรรม ไมม่ ีความชดั เจน 2) บคุ ลากรพยาบาล
ทางการพยาบาลเพ่ือความปลอดภัยจากการบริหารยา (man) มีความหลากหลายประสบการณ์ องค์ความรู้
ความเสย่ี งสูงของพยาบาลวิชาชีพ มลี กั ษณะขอ้ คำ� ถาม ความตระหนักรู้ และความใส่ใจถึงความปลอดภัยจาก
เปน็ แบบมาตรประมาณคา่ 5 ระดบั จำ� นวน 21 ขอ้ แต่ละ การบริหารยาความเสี่ยงสูง การสื่อสารที่ไม่ครอบคลุม
ข้อมีคะแนนสูงสุด 5 คะแนน และต�่ำสุด 1 คะแนน และไม่ชัดเจน ภาระงานมากหรือสถานการณ์รบกวน
คะแนนเฉล่ียรวมทั้งฉบับมีค่าระหว่าง 4.50 - 5.00 สมาธขิ ณะบรหิ ารยาความเสยี่ งสงู 3) อปุ กรณ์ เครอื่ งมอื
หมายถงึ ความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั สงู มาก คะแนนเฉล่ีย (material) ไม่เพียงพอ ไม่พร้อมใช้ เช่น infusion
3.50 – 4.49 หมายถึง ความพึงพอใจอยู่ในระดับสูง pump, syringe pump เอกสารท่ีเกี่ยวข้องกับ
คะแนนเฉลย่ี 2.50 – 3.49 หมายถงึ ความพงึ พอใจอยใู่ น การบริหารยาความเสี่ยงสูงไม่เอ้ือต่อการปฏิบัติ เช่น
ระดบั ปานกลาง คะแนนเฉล่ีย 1.50 – 2.49 หมายถงึ ใบบันทึกการให้ยา (medication administration
ความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั ตำ�่ และคะแนนเฉลี่ย 1.00 – record : MAR) ใบคำ� ส่งั การให้ยาของแพทย์ (doctor
1.49 หมายถงึ ความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั ตำ�่ มาก และได้รบั order sheet : DOS) บันทึกทางการพยาบาล (nurse
การตรวจสอบความตรงโดยผทู้ รงคณุ วฒุ ิ 5 คน วเิ คราะห์ note) 4) ระบบงาน (method) โครงสร้างการมอบ
หาความเชื่อมั่นโดยการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของ หมายงานแบบ case method ในสถานการณท์ จี่ ำ� นวน
ครอนบาค (Cronbach’s alpha coefficient) ได้ค่า ผู้ป่วย และภาระงานท่ีมากเม่ือเทียบกับอัตราก�ำลัง
ความเชื่อม่นั เทา่ กับ .982 จึงไม่เอ้ือต่อการ double check/ re-check รวมท้ัง
การบริหารยาความเสี่ยงสูงในสิ่งแวดล้อมท่ีวุ่นวาย
การพิทักษ์สิทธิ์กลุ่มตัวอย่าง การศึกษา มสี งิ่ รบกวนสมาธเิ ข้ามาสอดแทรกตลอดการบริหารยา
ครง้ั นีไ้ ดร้ บั การพิจารณาความสอดคลอ้ งกับ Belmont
reports จากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน ผลการศึกษาระยะท่ี 2 รูปแบบการจัดการ
ของโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช ด้วยเอกสารรับรอง ทางการพยาบาลเพ่ือความปลอดภัยจากการบริหารยา

142

วารสารแพทย์เขต 4-5 143 การพัฒนารูปแบบการจัดการทางการพยาบาลเพ่ือความปลอดภัย
ปีท่ี 40 ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม 2564 จากการบริหารยาความเส่ียงสูง โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช
จังหวัดสุพรรณบุรี

ความเสยี่ งสงู ตามแนวคดิ ของคารเ์ ปนโิ ต11 ประกอบดว้ ย ( X = 1.53) การวางแผนการพยาบาล ( X = 1.49)
5 ขน้ั ตอน คือ 1) การประเมิน (assessment) กอ่ นการ การประเมินผลการพยาบาลขณะ/หลังบริหารยา
บริหารยา 2) การวินิจฉัยทางการพยาบาล (nursing ( X = 1.48) และการวินิจฉัยทางการพยาบาล
diagnosis) สร้างความตระหนักรู้ถึงความเส่ียงก่อน ( X = 1.24) ตามล�ำดับ ส�ำหรบั ขอ้ มลู เชิงคุณภาพพบ
การบริหารยา 3) การวางแผนการพยาบาล (planning) ประเด็นปัญหาท่ีเป็นปัจจัยเอ้ือต่อการเกิดอุบัติการณ์
บรหิ ารยาความเสย่ี งสงู กอ่ นการบรหิ ารยา 4) การปฏบิ ตั ิ ความคลาดเคล่ือนในการบริหารยาความเสี่ยงสูงเพ่ิม
การพยาบาล (implementation) ขณะบริหารยา คอื องคค์ วามรเู้ กยี่ วกบั ยาโดยเฉพาะการเตรยี มยาอยา่ ง
ความเสี่ยงสูง และ 5) การประเมินผลการพยาบาล ถูกต้อง เหมาะสม ประกอบกับค�ำสั่งแผนการรักษา
(evaluation) ขณะและหลงั การบรหิ ารยาความเสยี่ งสงู ที่คลุมเครือไม่ชัดเจน ใช้ตัวย่อไม่เป็นสากล และเป็น
สัดส่วนที่ต้องอาศัยประสบการณ์ ความจ�ำ สไตล์การ
ผลการศึกษาระยะท่ี 3 ด�ำเนินการทดลองใช้ สั่งใช้ยาของแพทย์แต่ละคน ในการตีความ นอกจากน้ี
รปู แบบการจดั การทางการพยาบาลเพอ่ื ความปลอดภยั การประเมิน สังเกตอาการ และอาการข้างเคยี งของยา
จากการบริหารยาความเสี่ยงสูงของพยาบาลจาก ทั้งขณะและหลังการบริหารยาไม่เหมาะสม ไม่มีความ
หน่วยงานน�ำร่องมีค่าเฉล่ียโดยรวมอยู่ในระดับสูง ต่อเนื่อง ขาดการส่ือสารกันระหว่างผู้ให้ยาและผู้ดูแล
( X = 1.48)เม่ือพิจารณาแยกในแต่ละข้ันตอน ผปู้ ว่ ยตอ่ โดยเฉพาะชว่ งสง่ ตอ่ เวร ดงั แสดงในตารางที่ 1
พบว่า การประเมินก่อนการบริหารยามีค่าเฉลี่ยสูงสุด
( X = 1.56) รองลงมา คือ การปฏิบัติการพยาบาล

ตารางที่ 1 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และระดับพฤติกรรมการปฏิบัติตามรูปแบบการจัดการทางการ
พยาบาล เพ่ือความปลอดภัยจากการบริหารยาความเสี่ยงสูงของพยาบาลจาก 4 หน่วยงานน�ำร่อง
(n = 44)

พฤตกิ รรมการปฏบิ ตั ติ ามรปู แบบ กอ่ นพัฒนา หลงั พฒั นา
การจัดการทางการพยาบาล X SD ระดับ X SD ระดบั
1.56 0.436 สูง 1.83 0.203 สงู
การประเมิน 1.24 0.368 ปานกลาง 1.81 0.232 สงู
การวนิ จิ ฉยั ทางการพยาบาล 1.49 0.430 สงู 1.87 0.178 สูง
การวางแผนการพยาบาล 1.53 0.387 สูง 1.86 0.114 สงู
การปฏบิ ตั ิการพยาบาล 1.48 0.430 สูง 1.93 0.166 สูง
การประเมนิ ผลการพยาบาล 1.48 0.332 สงู 1.86 0.089 สงู

ภาพรวม

ผลการศึกษาระยะท่ี 4 พัฒนาและขยาย การประเมินติดตามการให้ยา อาการไม่พึงประสงค์
ประสิทธิผลรูปแบบการจัดการทางการพยาบาล เพื่อ คา่ สญั ญาณชีพ แบบตรวจสอบรายการดว้ ย check list
ความปลอดภัยจากการบริหารยาความเสี่ยงสูง ซึ่งมี และ ขอ้ บง่ ชใ้ี นการรายงานแพทย์ และ 2) การออกแบบ
องค์ประกอบของรปู แบบ 2 ส่วน คอื 1) กระบวนการ แผนการนิเทศทางคลินิกโดยใช้กระบวนการพยาบาล
พยาบาล เป็นการพัฒนาแบบบันทึกการเฝ้าระวังการ บรหิ ารยาความเสยี่ งสงู แนวคดิ พรอคเตอร1์ 2 ประกอบดว้ ย
ใช้ยาความเสี่ยงสูง ประกอบด้วย ข้อมูลการบริหารยา การนิเทศตามแบบแผน การนิเทศตามมาตรฐาน และ

143

Region 4-5 Medical Journal 144 The Development of Nursing Management Model
Vol. 40 No. 1 January-March 2021 for Safety of High Alert Drug Administration
Chaophrayayommarat Hospital, Suphan Buri

การนิเทศตามหลักสมานฉันท์ พร้อมทั้งเพิ่มการก�ำกับ ผลการศึกษาเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยการปฏิบัติ
ติดตามประเมินผลและการสะท้อนผลการปฏิบัติ ตามรูปแบบการจัดการทางการพยาบาล เพ่ือความ
(Check & Action) ผลการทดลองใช้ พบว่า การปฏบิ ตั ิ ปลอดภัยจากการบริหารยาความเสี่ยงสูงของพยาบาล
ตามรูปแบบการจัดการทางการพยาบาล เพื่อความ วิชาชีพจาก 4 หน่วยงานน�ำร่อง ก่อนและหลังการ
ปลอดภัยจากการบริหารยาความเสี่ยงสูง (หลังการ พฒั นาพบวา่ คา่ เฉลย่ี การปฏบิ ตั ติ ามรปู แบบการจดั การ
พัฒนา) ของพยาบาลจากหน่วยงานน�ำร่องโดยรวม ทางการพยาบาล เพ่ือความปลอดภัยจากการบริหาร
ค่าเฉลย่ี อยู่ในระดับสูง ( X = 1.86) เมือ่ พจิ ารณาแยก ยาความเสี่ยงสูงของพยาบาลวิชาชีพจากหน่วยงาน
ในแต่ละขั้นตอน พบว่า การประเมินผลการพยาบาล น�ำร่องก่อนการพัฒนาและหลังการพัฒนาโดยรวม
ขณะหรอื หลงั การบรหิ ารยา มคี า่ เฉลยี่ สงู สดุ ( X = 1.93) และทุกขั้นตอนแตกต่างกันอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ
รองลงมา คือ การวางแผนการพยาบาล ( X = 1.87) ทร่ี ะดบั .05 โดยคา่ เฉลย่ี การปฏบิ ตั ติ ามรปู แบบการจดั การ
การปฏิบัติการพยาบาล ( X = 1.86) การประเมิน ทางการพยาบาล เพอื่ ความปลอดภยั จากการบรหิ ารยา
กอ่ นการบรหิ ารยา ( X = 1.83) และการวนิ จิ ฉยั ทางการ ความเส่ียงสูงของกลุ่มทดลองใช้รูปแบบดังกล่าวสูงกว่า
พยาบาล ( X = 1.81) กอ่ นการพฒั นาทุกขั้นตอน ดงั แสดงในตารางที่ 2

ตารางท่ี 2 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยการปฏิบัติตามรูปแบบการจัดการทางการพยาบาล เพื่อความปลอดภัยจากการ
บริหารยาความเสี่ยงสูง ของพยาบาลวิชาชีพจาก 4 หน่วยงานน�ำร่อง ก่อนและหลังการพัฒนา
จ�ำแนกตามพฤติกรรมการปฏบิ ตั แิ ละภาพรวม (n = 44)

พฤตกิ รรมการปฏิบตั ิ ก่อนการพฒั นา หลังการพฒั นา df t P-value
การประเมิน X SD X SD 43 4.361 .001***
การวนิ จิ ฉยั ทางการพยาบาล 4.69 1.31 5.48 0.61 43 11.708 .001***
การวางแผนการพยาบาล 3.73 1.10 5.44 0.70 43 6.293 .001***
การปฏิบัติการพยาบาล 4.48 1.29 5.60 0.53 43 6.141 .001***
การประเมนิ ผลการพยาบาล 12.27 3.09 14.90 0.91 43 7.237 .001***
4.44 1.29 5.79 0.50 43 8.597 .001***
ภาพรวม 29.62 6.64 37.21 1.79

* p < .05, **p < .01, ***p < .001

กล่าวโดยสรุป รูปแบบการจัดการทางการ การปฏิบัติการพยาบาล (implementation) และ
พ ย า บ า ล เ พื่ อ ค ว า ม ป ล อ ด ภั ย จ า ก ก า ร บ ริ ห า ร ย า การประเมินการพยาบาล (evaluation) และ
ความเสี่ยงสูง ประกอบด้วย 2 องค์ประกอบ ได้แก่ 2) การนิเทศทางคลินิกการใช้กระบวนการพยาบาล
1) กระบวนการพยาบาลบริหารยาความเสี่ยงสูง บริหารยาความเสี่ยงสูง ซ่ึงประกอบด้วย การนิเทศ
(nursing process) ซง่ึ มี 5 ขัน้ ตอน คอื การประเมิน ตามแบบแผน การนิเทศตามมาตรฐาน และการนิเทศ
(assessment) การวินิจฉัยทางการพยาบาล (nursing ตามหลักสมานฉันท์ ดงั แสดงในภาพที่ 1
diagnosis) การวางแผนการพยาบาล (planning)

144

วารสารแพทยเ์ ขต 4-5 145 การพัฒนารูปแบบการจัดการทางการพยาบาลเพื่อความปลอดภัย
ปีท่ี 40 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มีนาคม 2564 จากการบริหารยาความเส่ียงสูง โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช
จังหวัดสุพรรณบุรี

รูปแบบการจัดการทางการพยาบาลเพือ่ ความปลอดภยั จากการบริหารยาความเส่ยี งสงู
โรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช จังหวัดสพุ รรณบรุ ี

ปจั จยั นำ� เขา้ (Input) กระบวนการ (Process) ผลลพั ธ์ (Outcome)

1. บรบิ ทรพ.และนโยบายความ 1. กระบวนการพยาบาลบรหิ ารยา 1. การปฏิบตั ติ ามรปู แบบ
ปลอดภยั ดา้ นยา ความเสย่ี งสงู 5 ขน้ั ตอน การจัดการทางการ
พยาบาลเพื่อความ
2. คน ประกอบด้วย 1) การประเมนิ (assessment) ปลอดภยั จากการบริหาร
2.1 หัวหน้าหอผู้ปว่ ย กอ่ นการบรหิ ารยา ยาความเสีย่ งสงู
2.2 หัวหนา้ เวร
2.3 พยาบาลวชิ าชีพ 2) การวนิ จิ ฉยั ทางการพยาบาล 2. จำ� นวนอุบตั กิ ารณ์
(nursing diagnosis) ตระหนักรู้ ความคลาดเคล่อื นจาก
3. อปุ กรณก์ ารบรหิ ารยา ประกอบดว้ ย ถงึ ความเสย่ี งกอ่ นการบรหิ ารยา การบริหารยาเส่ียงสูง
3.1 เอกสารที่เกยี่ วขอ้ งกับการ
บริหารยา เชน่ ใบ MAR, 3) การวางแผนการพยาบาล 3. ความพึงพอใจของ
DOS, Nurse Note (planning) บรหิ ารยาความเสย่ี งสงู พยาบาลตอ่ รูปแบบการ
3.2 คมู่ ือท่ีใช้ในการบรหิ ารยา กอ่ นการบรหิ ารยา จัดการทางการพยาบาล
ความเสยี่ งสงู เพ่ือความปลอดภยั จาก
3.3 เคร่ืองมือในการบรหิ าร 4) การปฏบิ ตั กิ ารพยาบาล การการบรหิ ารยาความ
ยา เชน่ Infusion Pump, (implementation) ขณะบรหิ าร เสี่ยงสงู
Syringe Pump ยาความเสยี่ งสงู

4. ดา้ นระบบงาน ประกอบด้วย 5) การประเมนิ ผลการพยาบาล
4.1 โครงสรา้ งการมอบหมายงาน (evaluation) ขณะและหลังการ
4.2 สิ่งแวดล้อมทเ่ี อ้ือต่อการ บรหิ ารยาความเสยี่ งสงู
บรหิ ารยาความเสีย่ งสงู
2. การนิเทศทางคลินิกการใช้
กระบวนการพยาบาลบริหารยา
ความเสยี่ งสงู

1) การนิเทศตามแบบแผน
(Formative clinical supervision)
กระบวนการพยาบาลบริหารยา
5 ขนั้ ตอน

2) การนเิ ทศตามมาตรฐาน
(Normative clinical supervision)

3) การนเิ ทศตามหลกั สมานฉนั ท์
(Restorative clinical supervision)

ภาพท่ี 1 รูปแบบการจัดการทางการพยาบาลเพอ่ื ความปลอดภยั จากการบริหารยาความเสี่ยงสูง

145

Region 4-5 Medical Journal 146 The Development of Nursing Management Model
Vol. 40 No. 1 January-March 2021 for Safety of High Alert Drug Administration
Chaophrayayommarat Hospital, Suphan Buri

ผลการศกึ ษาระยะที่ 5 การประเมนิ ประสทิ ธผิ ล ความเสยี่ งสงู ของพยาบาลวชิ าชพี โรงพยาบาลเจา้ พระยา
รปู แบบการจดั การทางการพยาบาลเพอ่ื ความปลอดภยั ยมราช สพุ รรณบรุ ี กอ่ นการพัฒนาและหลงั การพฒั นา
จากการบริหารยาความเสี่ยงสูง พบว่า ความพึงพอใจ โดยรวมและทกุ ขน้ั ตอนแตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทาง
ต่อรูปแบบการจัดการทางการพยาบาลเพื่อความ สถิติที่ระดับ .05 โดยค่าเฉล่ียการปฏิบัติตามรูปแบบ
ปลอดภัยจากการบริหารยาความเสี่ยงสูงของพยาบาล การจัดการทางการพยาบาล เพื่อความปลอดภัยจาก
จากหน่วยงานน�ำร่องโดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับสูง การบริหารยาความเสยี่ งสงู หลังการพฒั นาสูงกวา่ กอ่ น
( X = 4.07) ค่าเฉล่ียการปฏบิ ัตติ ามรูปแบบการจัดการ การพัฒนาทกุ ขน้ั ตอน ดงั แสดงในตารางท่ี 3
ทางการพยาบาล เพอ่ื ความปลอดภยั จากการบริหารยา

ตารางท่ี 3 เปรยี บเทยี บคา่ เฉลยี่ การปฏบิ ตั ติ ามรปู แบบการจดั การทางการพยาบาล เพอื่ ความปลอดภยั จากการบรหิ าร
ยาความเสีย่ งสูง ของพยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช สุพรรณบรุ ี กอ่ นและหลงั การพฒั นา
จ�ำแนกตามพฤตกิ รรมและภาพรวม (n = 308)

พฤตกิ รรมการปฏบิ ตั ิ กอ่ นการทดลอง หลังการทดลอง df t P-value
X SD X SD

การประเมิน 4.46 1.256 5.68 0.519 307 17.117 .001***

การวนิ จิ ฉัยทางการพยาบาล 3.63 1.303 12.75 1.473 307 88.751 .001***

การวางแผนการพยาบาล 4.15 1.293 5.76 0.481 307 22.628 .001***

การปฏบิ ตั ิการพยาบาล 11.47 2.922 15.40 0.842 307 23.902 .001***
การประเมินผลการพยาบาล 4.10 1.090 5.85 0.366 307 27.260 .001***
ภาพรวม 27.81 6.571 38.03 1.571 307 28.135 .001***
* p < .05, **p < .01, ***p < .001

ความพึงพอใจต่อรูปแบบการจัดการทางการ เมอ่ื พจิ ารณาแยกความพงึ พอใจตอ่ กระบวนการพยาบาล
พยาบาลเพื่อความปลอดภัยจากการบริหารยาความ บรหิ ารยาความเสยี่ งสงู โดยรวมมคี า่ เฉลยี่ อยใู่ นระดบั สงู
เส่ียงสูงของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลเจ้าพระยา ( X = 4.31) ดังแสดงในตารางท่ี 4
ยมราช โดยรวมมคี ่าเฉลยี่ อยู่ในระดับสงู ( X = 4.29)

ตารางท่ี 4 คา่ เฉลยี่ สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน และระดบั ความพงึ พอใจตอ่ รปู แบบการจดั การทางการพยาบาลเพอื่ ความ
ปลอดภัยจากการบริหารยาความเสี่ยงสงู ของพยาบาล (n = 308)

รายการประเมินความพึงพอใจต่อรปู แบบการจัดการทางการ X หลังทดลอง
พยาบาลเพ่ือความปลอดภยั จากการบริหารยาความเสีย่ งสูงของ SD ระดบั ความพึงพอใจ
พยาบาล 4.24 0.553 สูง
1. กระบวนการพยาบาลบรหิ ารยาความเสยี่ งสงู เอ้อื ตอ่ การน�ำไปใช้ 4.31 0.578 สูง
2. การใช้กระบวนการพยาบาลบรหิ ารยาความเสย่ี งสูง 4.28 0.574 สงู
3. ความพงึ พอใจในการใช้กระบวนการพยาบาล

146

วารสารแพทยเ์ ขต 4-5 147 การพัฒนารูปแบบการจัดการทางการพยาบาลเพื่อความปลอดภัย
ปีท่ี 40 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มีนาคม 2564 จากการบริหารยาความเส่ียงสูง โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช
จังหวัดสุพรรณบุรี

ตารางที่ 4 คา่ เฉลย่ี สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน และระดบั ความพงึ พอใจตอ่ รปู แบบการจดั การทางการพยาบาลเพอ่ื ความ
ปลอดภยั จากการบริหารยาความเส่ยี งสูงของพยาบาล (n = 308) (ต่อ)

รายการประเมินความพึงพอใจตอ่ รปู แบบการจัดการทางการ X หลงั ทดลอง
พยาบาลเพื่อความปลอดภยั จากการบริหารยาความเสย่ี งสูงของ
พยาบาล 4.31 SD ระดับความพงึ พอใจ
4.29 0.495 สงู
ภาพรวมความพึงพอใจต่อการใช้กระบวนการพยาบาล 4.34 0.586 สูง
4. ความพงึ พอใจตอ่ แผนนเิ ทศทางคลินิกในดา้ นคุณภาพ 4.31 0.579 สูง
5. ความพงึ พอใจต่อผู้นิเทศทางคลนิ กิ 4.29 0.495 สูง
0.462 สูง
ภาพรวมความพงึ พอใจตอ่ แผนนเิ ทศ
ภาพรวมรปู แบบการจดั การทางการพยาบาล

การเกิดอุบัติการณ์ความคลาดเคล่ือนในการ อย่าง มีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 (p < .05)
บริหารยาความเสี่ยงสูง ก่อนการพัฒนาและหลังการ โดยจ�ำนวนอุบัติการณ์ความคลาดเคลื่อนในการบริหาร
พัฒนารูปแบบการจัดการทางการพยาบาล เพื่อความ ยามีจ�ำนวนลดลงหลงั การใชร้ ูปแบบการจัดการทางการ
ปลอดภัยจากการบริหารยาความเส่ียงสูงของพยาบาล พยาบาลที่พัฒนาข้นึ ดงั แสดงในตารางท่ี 5
วชิ าชพี โรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช มคี วามแตกตา่ งกนั

ตารางที่ 5 เปรยี บเทยี บการเกดิ อบุ ตั กิ ารณค์ วามคลาดเคลอ่ื นในการบรหิ ารยาความเสย่ี งสงู กอ่ นและหลงั การพฒั นา
รปู แบบการจดั การทางการพยาบาลเพอ่ื ความปลอดภยั จากการบรหิ ารยาความเสย่ี งสงู ของพยาบาลวชิ าชพี
โรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช สุพรรณบรุ ี (n = 325)

จ�ำนวนอุบตั ิการณ์ผปู้ ว่ ยไดร้ ับยา จำ� นวน X SD df t P-value
ความเส่ยี งสงู คลาดเคล่อื น เวชระเบยี น (n) 3.262 .001***

กอ่ นพัฒนา 156 0.910 1.430 324

หลงั พัฒนา 169 0.468 0.994

* p < .05, **p < .01, ***p < .001

วจิ ารณ์ หลายประสบการณ์ องคค์ วามรู้ ความตระหนักรู้ และ
ความใสใ่ จถงึ ความปลอดภยั จากการบรหิ ารยาความเสยี่ งสงู
การวิเคราะห์สถานการณ์ ศึกษาปัญหาและ การสื่อสารทไี่ ม่ครอบคลุมและไมช่ ัดเจน ภาระงานมาก
สาเหตุของปัญหาการบริหารยาความเส่ียงสูงของ หรอื สถานการณร์ บกวนสมาธขิ ณะบรหิ ารยาความเสยี่ งสงู
พยาบาล พบปัญหา ดังน้ี 1) บริบทวัฒนธรรมและ 3) อุปกรณ์ เคร่ืองมือ ไม่เพียงพอ ไม่พร้อมใช้ และ
นโยบายด้านความปลอดภัยที่เก่ียวข้องกับการบริหาร 4) โครงสร้างการมอบหมายงานแบบ case method
ยาความเสี่ยงสูงส�ำหรับพยาบาลยังไม่เป็นรูปธรรม ในสถานการณ์ท่ีจ�ำนวนผู้ป่วย และภาระงานท่ีมาก
ไม่มีความชัดเจน 2) บุคลากรพยาบาลมีความหลาก

147

Region 4-5 Medical Journal 148 The Development of Nursing Management Model
Vol. 40 No. 1 January-March 2021 for Safety of High Alert Drug Administration
Chaophrayayommarat Hospital, Suphan Buri

เมื่อเทียบกับอัตราก�ำลังจึงไม่เอื้อต่อการ double ตามรูปแบบหลังการพัฒนาจึงสูงกว่าก่อนการพัฒนาใน
check/ re-check รวมทั้งการบริหารยาความเส่ียงสูง ทกุ ขนั้ ตอน สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษาของสพุ ตั รา เมฆพริ ณุ 16
ในสงิ่ แวดลอ้ มทวี่ นุ่ วาย มสี ง่ิ รบกวนสมาธเิ ขา้ มาสอดแทรก เกยี่ วกบั การพฒั นาระบบการใหย้ าทม่ี คี วามเสยี่ งสงู เพอื่
ตลอดการบรหิ ารยา ซง่ึ อาจเกดิ จากการละเลยไมป่ ฏบิ ตั ติ าม ความปลอดภัยในผปู้ ่วย โดยใชก้ ารทบทวนวรรณกรรม
แนวทางการบริหารยาที่ก�ำหนด ขาดการตรวจสอบ และประชมุ ระดมความคิดเหน็ จากนั้นอบรมให้ความรู้
ซ้�ำหลังให้ยาผู้ป่วย พยาบาลขาดความรู้ทักษะในการ และจัดท�ำแนวทางปฏิบัติเก่ียวกับยาท่ีมีความเสี่ยงสูง
ประเมินอาการผู้ป่วย ภาระงานท่ีเร่งรีบ การส่ือสาร แกพ่ ยาบาลทง้ั โรงพยาบาลพบวา่ การดำ� เนนิ งานพฒั นา
ส่งต่อข้อมูลไม่มีประสิทธิภาพ ขาดการนิเทศ ติดตาม ความปลอดภัยในการให้ยาท่ีมีความเสี่ยงสูงโดยการ
ก�ำกับโดยหัวหน้าหอผู้ป่วยหรือรองหัวหน้าหอผู้ป่วย จัดอบรมให้ความรู้เร่ืองยาและแนวปฏิบัติที่ก�ำหนดขึ้น
สอดคล้องกับการศึกษาการเฝ้าระวังความคลาดเคล่ือน พรอ้ มการตรวจสอบการปฏบิ ตั งิ านของพยาบาลในเรอ่ื ง
ในการให้ยาของบุคลากรท่ีปฏิบัติงานในโรงพยาบาล การบรหิ ารยาและการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั ทำ� ใหพ้ ยาบาล
ชัยนาทนเรนทร ของผ่องพรรณ อรุณศรี ถูกถวิล มีความรู้และสามารถปฏิบัติได้ตามเกณฑ์ทีก่ �ำหนดดีขนึ้
พวั พานชิ และพชั รี พงษพ์ านชิ 13 พบวา่ ความผดิ พลาดใน
การบริหารยา เกิดจากขาดการตรวจสอบความถูกต้อง นอกจากน้ียังพบว่า หลังการใช้รูปแบบ
ของการรับค�ำส่ัง หรือตรวจสอบไม่รัดกุม ก่อนท่ีจะ การจัดการทางการพยาบาลท่ีพัฒนาข้ึนอุบัติการณ์
บริหารยาใหผ้ ู้ป่วย ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยาความเส่ียงสูง
มีจ�ำนวนอุบัติการณ์ความคลาดเคล่ือนในการบริหารยา
ค่าเฉลี่ยการปฏิบัติตามรูปแบบการจัดการ ลดลง ทงั้ นเ้ี นอ่ื งจากรปู แบบการจดั การทางการพยาบาล
ทางการพยาบาลเพ่ือความปลอดภัยจากการบริหาร เพอื่ ความปลอดภยั จากการบรหิ ารยาความเสยี่ งสงู มกี าร
ยาความเส่ียงสูงของพยาบาลวิชาชีพก่อนการพัฒนา ประสานการดแู ลกระบวนการสามดา้ น คอื การจดั การ
และหลังการพัฒนาโดยรวมมีความแตกต่างกันอย่าง ในคลนิ ิกท่ีเหมาะสม การบริหารความเส่ียงท่ดี ีพอ และ
มนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 (p< .05) ทง้ั นเี้ นอ่ื งจาก การพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเน่ือง โดยกระบวนการ
การนำ� แนวคดิ กระบวนการพยาบาลมาเปน็ องคป์ ระกอบ จัดการดังกล่าวสอดคล้องกับการบริหารความเสี่ยง
ของรูปแบบ ซึ่งเป็นรูปแบบของการคิดวิเคราะห์ และ และมกี ารพัฒนาคณุ ภาพต่อเน่ือง ชว่ ยสง่ เสริมให้ผู้ปว่ ย
ตัดสินใจอยา่ งเป็นระบบ เปน็ ส่งิ ท่นี ำ� ไปส่กู ารปฏิบตั กิ าร ปลอดภัยเพ่ิมขึ้น5 ส�ำหรับระยะเวลานอนโรงพยาบาล
พยาบาลท่ีมีประสิทธิภาพ14 กระบวนการพยาบาล และค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ไม่ได้น�ำมาศึกษา
บริหารยาความเสี่ยงสูงท่ีมีความชัดเจนในการปฏิบัติ ในการวิจัยครัง้ นเี้ นอ่ื งจากมปี จั จยั ที่เก่ยี วข้องหลายด้าน
แตล่ ะขน้ั ตอนอยา่ งเปน็ ระบบและตอ่ เนอื่ ง เสรมิ ความรู้
ทักษะการบริหารยาความเส่ียงสูงให้กับพยาบาลที่ ความพึงพอใจต่อรูปแบบการจัดการทางการ
หลากหลายประสบการณ์ด้วยการนิเทศทางคลินิกตาม พยาบาลเพ่ือความปลอดภัยจากการบริหารยาความ
แนวคดิ พรอคเตอร1์ 5 แลกเปลย่ี นเรยี นรอู้ ยา่ งสรา้ งสรรค์ เส่ียงสูงของพยาบาลวิชาชีพ โดยรวมมีค่าเฉล่ียอยู่ใน
แทนการจับผิดในการก�ำกับติดตามการใช้กระบวนการ ระดับสูง ท้ังน้ีเน่ืองจากผู้วิจัยประยุกต์ใช้กระบวนการ
พยาบาลบริหารยาความเสี่ยงสูงเป็นรายบุคคล ท�ำให้ พยาบาลซึ่งเป็นเครื่องมือที่พยาบาลใช้เป็นแนวทาง
พยาบาลปฏิบัติตามกระบวนการพยาบาลด้วยความรู้ ก�ำหนดการพยาบาลตัดสินใจอย่างมีเหตุผล17 จึงท�ำให้
ความเขา้ ใจ อยา่ งครบถว้ นและตอ่ เนอื่ ง สง่ ผลใหก้ ารปฏบิ ตั ิ พยาบาลวิชาชีพมีทัศนคติเชิงบวกต่อกระบวนการ
พยาบาลบริหารยาความเส่ียงสูง ไม่รู้สึกว่าการใช้

148

วารสารแพทยเ์ ขต 4-5 149 การพัฒนารูปแบบการจัดการทางการพยาบาลเพ่ือความปลอดภัย
ปีท่ี 40 ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม 2564 จากการบริหารยาความเสี่ยงสูง โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช
จังหวัดสุพรรณบุรี

กระบวนการพยาบาลดังกล่าวเป็นการเพ่ิมภาระงาน 3. Robert A. Front line of defense the role of
และพยาบาลสามารถปฏิบัติการบริหารยาไปในทิศทาง nurse in preventing Sentinel event. U.S.A.:
เดียวกัน เกิดความม่ันใจในการบริหารยาความเสี่ยงสูง Joint Commission; 2007.
เพม่ิ ขึน้
4. ธดิ า นิงสานนท,์ สุวัฒนา จุฬาวัฒนทล, และปรีชา
สรปุ มนทกานติกุล. การบริหารยาเพื่อความปลอดภัย
ของผู้ป่วย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: พิฆณี
รปู แบบการจดั การทางการพยาบาลเพอ่ื ความ การพิมพ์; 2554.
ปลอดภยั จากการบรหิ ารยาความเสยี่ งสงู มคี วามเหมาะสม
และสอดคล้องกับบริบทของโรงพยาบาลเจ้าพระยา 5. เพญ็ จันทร์ แสนประสาน, ดวงกมล วตั ราดลุ , และ
ยมราช สพุ รรณบรุ ี และสามารถนำ� ไปปฏบิ ัตงิ านได้จริง บปุ ผาวลั ย์ ศรลี ำ้� . การพยาบาลเพอื่ ความปลอดภยั :
ทำ� ใหผ้ ปู้ ว่ ยไดร้ บั ยาความเสย่ี งสงู อยา่ งถกู ตอ้ ง ปลอดภยั สมรรถนะพยาบาล CVT. พมิ พค์ รง้ั ท่ี 5. กรงุ เทพฯ:
ตามแผนการรกั ษา ลดอุบัติการณค์ วามคลาดเคลอ่ื นใน สุขุมวิทการพิมพ์; 2556.
การบริหารยาความเสี่ยงสูง เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ
คุณค่า และความภาคภูมิใจในงานบริการของพยาบาล 6. Cima L, Clarke S. The Nurse’s Role in
ในขณะที่ผู้ป่วยและครอบครัวเกิดความมั่นใจในความ medication safety. U.S.A. Joint Commission
ปลอดภัย ส่งผลท�ำให้งานบริการรักษาพยาบาลของ Resources; 2007.
โรงพยาบาลมีคุณภาพได้รับความไว้วางใจจากผู้รับ
บริการเพ่มิ ขนึ้ อย่างตอ่ เน่อื ง 7. U.S. Department of Health and Human
Services. Implementation guide to reducing
กติ ตกิ รรมประกาศ harm from high-alert medications [Internet].
2012 [cited 2020 Jun 15]. Available from:
ผวู้ จิ ยั ขอขอบพระคณุ ผอู้ ำ� นวยการโรงพยาบาล http://www.usp.org/pdf/EN/patientsafety/
เจา้ พระยายมราช สพุ รรณบรุ ี ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ คณะกรรมการ medication use process.pdf
จริยธรรมเกี่ยวกบั การวิจัยในมนุษย์ ทมี บริหาร หัวหน้า
หอผู้ป่วย ทีมสหวิชาชีพ และกลุ่มตัวอย่างทุกท่าน 8. Kemmis S, Mc Taggart R. The Action
ท่ใี หค้ วามร่วมมอื ในการท�ำวจิ ัยเปน็ อย่างดี Research Planner. 3rd ed. Waurn Ponds:
Deakin University Press; 1988: 315-7.
เอกสารอ้างอิง
9. Donabedian A. The end results of health
1. สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การ care: Ernest Codman’s contribution to
มหาชน). เป้าหมายความปลอดภัยของผู้ป่วยของ quality assessment and beyond. Milbank
ประเทศไทย พ.ศ.2561 Patient Safety Goals: Q. 1989; 67(2): 233-256.
SIMPLE Thailand 2018. นนทบรุ :ี สถาบนั รบั รอง
คุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน); 2561. 10. Joint Commission on Accreditation of
Healthcare Organizations. Preventing
2. ทรนง พิราลัย. HA UPDATE 2019. นนทบุรี: medication errors: Strategies for pharmacists.
สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การ Oakbrook Terrace: Joint Commission on
มหาชน); 2562. Accreditation of Healthcare Organizations;
2001.

149

Region 4-5 Medical Journal 150 The Development of Nursing Management Model
Vol. 40 No. 1 January-March 2021 for Safety of High Alert Drug Administration
Chaophrayayommarat Hospital, Suphan Buri

11. Moyet C, Juall L. Understanding the 15. Proctor B. Training for the Supervision
Nursing Process: Concept Mapping and Alliance: attitude, skills and intention.
Care Planning for Students. Philadelphia: In Hyrkas K, Fowler J, Cutcliffe JR, Editors.
Lippincott Williams & Wilkins; 2007. Routledge handbook of clinical supervision:
fundamental international themes. New
12. Proctor, B. Co-operative exercise in York: Routledge; 2011. p. 23 - 34.
accountability. In M. Marken, & M. Payne
(Eds.), Enabling and ensuring: supervision 16. สุพัตรา เมฆพิรุณ. การพัฒนาระบบการให้ยา
in practice (pp. 21-23). Leicester: National ท่ีมีความเส่ียงสูงเพื่อความปลอดภัยในผู้ป่วย.
Youth Agency; 1987. วารสารเภสัชกรรมไทย. 2556; 5(1): 24-42.

13. ผ่องพรรณ อรุณศรี, ถูกถวิล พัวพานิช, และ 17. เพญ็ จนั ทร์ แสนประสาน, จารกุ ญั ญ์ พรกิ บญุ จนั ทร,์
พชั รี พงษ์พานชิ . การเฝ้าระวังความคลาดเคลื่อน บรรณาธิการ. การพยาบาลโรคหัวใจและ
ใ น ก า ร ใ ห ้ ย า ข อ ง บุ ค ล า ก ร ท่ี ป ฏิ บั ติ ง า น ใ น หลอดเลือดหัวใจ. ปทุมธานี: คณะพยาบาลศาสตร์
โรงพยาบาลชัยนาทนเรนทร (รายงานผลวิจัย). มหาวทิ ยาลยั ชนิ วัตร; 2560.
ชัยนาท: โรงพยาบาลชยั นาทนเรนทร; 2559.

14. Moyet C, Juall L. Understanding the
Nursing Process: Concept Mapping and
Care Planning for Students. Philadelphia:
Lippincott Williams & Wilkins; 2007.

150

ความเทย่ี งตรงของการวดั ขนาด
กระดูกจากภาพถา่ ยรังสีโดยใช้สเกล
มาตรวัดอ้างองิ เปรยี บเทยี บกบั การ
วดั กระดูกจรงิ ด้วยเวอร์เนยี คาลิป
เปอร์ ในผปู้ ่วยผ่าตัดเปลย่ี นข้อสะโพก
เทยี มและเปลีย่ นข้อเข่าเทยี ม



The Journal of Boromarjonani College of Nursing Suphanburi

Vol.3 No. 2 July – December 2020 14

ความเทยี่ งตรงของการวดั ขนาดกระดูกจากภาพถ่ายรังสีโดยใช้สเกลมาตรวดั อ้างองิ เปรียบเทยี บกบั การวดั กระดูกจริงด้วย
เวอร์เนีย คาลปิ เปอร์ ในผู้ป่ วยผ่าตัดเปลยี่ นข้อสะโพกเทียมและเปลยี่ นข้อเข่าเทยี ม
นายคชั ชรินทร์ โคว้ สมจีน, วท.บ.*

บทคัดย่อ
งานวิจยั น้ีเป็ นการพฒั นางานประจาสู่การวิจยั (Routine to research ) เพื่อศึกษาความเท่ียงตรงของการวดั ขนาด
กระดูกจากภาพถ่ายรังสีดิจิตอลโดยใช้สเกลมาตรวดั อา้ งอิงเปรียบเทียบกบั การวดั กระดูกจริงดว้ ยเวอร์เนียคาลิปเปอร์
ระหวา่ งผา่ ตดั และประเมินความคิดเห็นของศลั ยแพทยก์ ระดูกต่อการใชส้ เกลมาตรวดั อา้ งอิงกลุ่มตวั อย่างแบบเจาะจง
ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ งที่ใชใ้ นการศึกษาไดแ้ ก่ ผูป้ ่ วยผา่ ตดั เปลี่ยนขอ้ สะโพกเทียม และขอ้ เข่าเทียม ที่ศลั ยแพทยก์ ระดูก
ส่งถ่ายภาพรังสี โรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช จานวน 115 ราย การถ่ายภาพรังสีจากหนา้ ไปหลงั ร่วมกบั การใชอ้ ุปกรณ์ท่ี
ประดิษฐข์ ้ึนกบั ส่วนที่เป็นแกนสเกลปรับเลื่อนระดบั ไดแ้ นวด่ิงและแนวระนาบ และแกนเหล็กเส้นผา่ ศูนยก์ ลาง 2 mm ยาว
100 mm ผา่ นการวดั ความเที่ยงตรงดว้ ยอุปกรณ์เวอร์เนียไฮเกรท ใช้กบั ผปู้ ่ วยผา่ ตดั เปลี่ยนขอ้ เข่าเทียม ก่อนผ่าตดั 65 ราย
(ขนาดขอ้ เขา่ เทียมแตกตา่ งกนั 2-3 mm) ผลการวดั มีความแตกต่างมากกวา่ 3 mm จานวน 34 ราย ร้อยละ 52.31 แพทยต์ ดั ผิว
กระดูกท่ีสึกหรอออกในข่วง 8-10 mm ข้ึนกบั รอยโรคและความรุนแรงของโรค และเกิด osteophyte ส่งผลโดยตรงต่อ
ตาแหน่งของการวดั กระดูก หลงั ผา่ ตดั 32 ราย ผลการวดั แตกต่างมากกวา่ 3 mm จานวน 2 ราย ร้อยละ 6.25 การเปล่ียนขอ้
สะโพกเทียม (ขนาดขอ้ เทียมแตกตา่ งกนั 1mm) ก่อนผา่ ตดั จานวน 12 ราย ผลการวดั ไม่แตกตา่ งจานวน 4 ราย ร้อยละ 33.33
แตกต่าง 1 mm 7 ราย, 2 mm 1 รายคิดเป็ นร้อยละ 58.33, 8.34 ตามลาดบั หลงั ผา่ ตดั จานวน 6 รายผลการวดั ไม่แตกต่าง
จานวน 4 ราย ร้อยละ 66.67, แตกต่าง 1 mm 2 ราย จานวน 1 ราย ร้อยละ 8.34 % ผูป้ ่ วยมีภาวะอว้ นส่งผลต่อการกาหนด
หาตาแหน่ง greater trochanter ผลการประเมินความคิดเห็นศลั ยแพทยก์ ระดูก 4 ท่าน ดา้ นการปรับแกค้ า่ การขยายของภาพ
ลดข้นั ตอนในการทางาน, ค่าใชจ้ ่าย ต่อภาพรวมการใชส้ เกลมาตรวดั อา้ งอิง พบว่าค่าเฉลี่ยใน 4 ประเด็นอยูใ่ นระดบั มาก
(ค่าเฉลี่ยระหว่าง 4.00-4.25) โดยมีคะแนนเฉล่ียเท่าค่าเฉลี่ย ± ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน(4.125±0.658) การใช้ประโยชน์
ภาพรังสีดิจิตอลผา่ นโปรแกรมสาเร็จรูปร่วมกบั ใชอ้ ุปกรณ์สเกลมาตรวดั อา้ งอิงในวดั กระดูก มีตน้ ทุนเพียง 1,200 บาท มี
คา่ ใชจ้ ่ายที่ต่า เป็ นวิธีที่ง่าย โดยสเกลมาตรวดั อา้ งอิงปรับแกค้ า่ อตั ราขยายของภาพผา่ นการ calibrate นาไปวดั กระดูกไดค้ ่า
เสมือนจริง รายละเอียดหน่วยวดั เป็ นมิลลิเมตร ทุกข้นั ตอนลงในรายละเอียด สเกลอา้ งอิงมีความเท่ียงตรง ตาแหน่งวาง
สเกลระดบั เดียวกบั กระดูกท่ีตอ้ งการวดั การกาหนดจุดวดั จากภาพรังสีไดถ้ ูกตอ้ ง
คาสาคญั : ความเท่ียงตรง, สเกลมาตรวดั อา้ งอิง, ขอ้ เท่าเทียม, ขอ้ สะโพกเทียม, ภาพถ่ายรังสีดิจิตอล

* นกั รังสีการแพทยช์ านาญการ โรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช
E-mail: [email protected]

The Journal of Boromarjonani College of Nursing Suphanburi

Vol.3 No. 2 July – December 2020 15

Accuracy of digital radiography measurement using reference gauge compared with Vernier Calipers in patients
with hip replacement and knee replacement
Katcharin Kowsomjeen, B.Sc.

Abstract
This research is a study of the development of routine work towards research on the accuracy of radiographic
bone measurements using the reference scale scale Compared to actual bone measurements with Vernier Caliper in hip
and total knee replacement surgery patients. In Chao Phraya Yommarat Hospital, the objective of 1.To study the accuracy
of digital radiograph bone measurements using the reference scale scale compared with vernier caliper measurements.
From real bones during surgery 2.To assess the opinions of orthopedic surgeons on the use of reference gauges In the
adjustment of the magnification of the image Reduce workflows, cost overview, use of digital radiographic reference
gauge scale
The research period was from October 2017 to September 2018. Population and sample used were hip
arthroplasty patients. And artificial knee joints at the orthopedic surgeon department, send radiographs for Hip joint or
Knee joint with scale at the radiology group. Chao Phraya Yommarat Hospital: The criteria for elimination were patients
who voluntarily use the device created by the researcher. Study Method 1. Design tools and equipment. Build equipment
And measure the accuracy of the gauge scale The device has two components, the first is the base structure and the axial
handle, the scale can be adjusted both horizontally and vertically by moving it up and down and both as required. Use a
round stainless steel with a diameter of 2 mm and a length of 1 0 0 mm by measuring the accuracy of the length
measurement with a Vernier High Grate 2. Test the device before using it. By using a digital radiographic reference scale
reference scale on a known object with a simulation device to take a virtual digital radiography. Compare the measurement
of the object size, from the calculation and measurement using the reference gauge scale, the results of the comparison of
the actual object size with the calculation results. And measurement results from the reference meter scale The results
were analyzed with a difference of 0.01 cm and applied to real patients.
Conclusion and analysis of the study found that
Comparison of knee replacement results (Each size difference at 3 mm), 65 patients before surgery, 31 cases
of radiographs and real bone ≤ 3 mm, accounted for 47.69%. % But compared to 32 cases after surgery, the results from
radiographs with real bone ≤ 3 mm number 30, accounting for 93.75%. The radiographs with real bone 3 mm or more
amounted to 2 cases, representing 6.25%. With a deviation greater than 3 mm in 52.31% of the patients before knee
arthroscopy, caused by the surgeon cut off 8-10 mm of worn bone and osteophyte, depending on the lesion and severity
of the patient Per bone measurement position Compared with the effect of postoperative, which had the difference at The
value from radiography with 1 mm of real bone were 2 cases, equivalent to 6.25%.

The Journal of Boromarjonani College of Nursing Suphanburi

Vol.3 No. 2 July – December 2020 16

A comparison of 12 hip replacement (each size is different at 1 mm) before surgery. The results from radiographic imaging
and real bones were not different in 4 cases, representing 33.33%. Radiographic imaging and real bone differences were
1. 7 patients, 58.33%. The radiographic value of 2 mm of real bone, 1 case, accounted for 8.34%, but compared to 6 cases
after surgery. There was no difference in the number of 4 cases, 66.67%. The radiographic value of 2 mm true bone was
33.33%. Obesity affects the determination of the position of the greater trochanter.

Keywords: Accuracy, Referance gauge scale, equality, prosthetic joint , Digital radiography

The Journal of Boromarjonani College of Nursing Suphanburi

Vol.3 No. 2 July – December 2020 17

บทนา Image size / Object หรืออตั ราการขยายภาพเท่ากบั ระยะ
จากตน้ กาเนิดถึงแผ่นรับภาพต่อระยะจากตน้ กาเนิดถึง
จากข้อมูลของโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช วตั ถุ MF = SID / SOD ซ่ึงปัจจยั เหล่าน้ีจะนามาใช้แทน
ปี งบประมาณ 2557-2559 (จุฑาสินี พรพุทธศรี, 2561) มี ค่าในสูตรการคานวณเพื่อหาอตั ราการขยายของภาพถ่าย
การผ่าตัดเปล่ียนข้อเข่าเทียม 369, 391และ 444 ราย รังสี แตเ่ น่ืองจากสูตรตอ้ งมีการคานวณยงุ่ ยาก
ตามลาดบั และผา่ ตดั เปลี่ยนขอ้ สะโพกเทียม 52,70 และ
53 ราย ตามลาดบั ก่อนการผ่าตดั ศลั ยแพทยก์ ระดูกตอ้ ง ผูว้ ิจยั จึงมีแนวคิดท่ีจะทาให้การวดั ขนาดวดั
ส่งตรวจทางรังสีวินิจฉัย ถ่ายภาพรังสีขอ้ สะโพกในท่า จากการถ่ายภาพรังสีดิจิตอลให้ผลการไดค้ ่าเสมือนจริง
ถ่ายจากหน้าไปหลัง (Hip joint Antero-posterior : AP) ไ ด้ใ ก ล้เ คี ย ง ก ร ะ ดู ก จ ริ ง ม า ก ท่ี สุ ด จ ะ ช่ ว ย เ พ่ิ ม
เพื่อวดั ขนาดหัวของกระดูกตน้ ขา (head of femur) ค่าที่ ประสิทธิภาพให้แพทยไ์ ดข้ อ้ มูลในการเตรียมไดอ้ ย่าง
ได้มีความแตกต่างกันมีความคลาดเคล่ือน 4-12 เหมาะสม ในผูป้ ่ วยท่ีผา่ ตดั เปล่ียนขอ้ สะโพกเทียมหรือ
มิลลิเมตร ดังน้ันในการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม ข้อเข่าเทียม โดยประดิษฐ์อุปกรณ์มีส่วนประกอบ 2
บริษทั ผูจ้ าหน่ายนาอุปกรณ์ขอ้ สะโพกเทียมทุกขนาดท่ี ส่วน ส่วนที่1เป็ นโครงสร้างฐานและแกนจบั แนวแกน
สามารถใช้กับคนไทยไดม้ าเตรียมความพร้อมสาหรับ สเกลสามารถปรับได้ท้ังแนวระนาบและแนวดิ่งโดย
การทาผา่ ตดั ในแต่ละคร้ังและอุปกรณ์ท่ีใชใ้ นการวดั ซ่ึง เลื่อนปรับข้ึนลงและท้งั ไดต้ ามที่ตอ้ งการ ส่วนท่ี 2 แกน
ทาให้เกิดความสิ้นเปลืองเพราะเมื่อเปิ ดแลว้ ตอ้ งทาการ สเกลมาตรวดั อา้ งอิงท่ีทึบรังสีโดยใช้เหล็กสแตนเลสก
น่ึงฆ่าเช้ือใหม่ทุกคร้ัง นอกจากน้ีในการเปลี่ยนขอ้ เข่า ลมมีเส้นผ่าศูนยก์ ลาง 2 mm ยาว 100 mm โดยผ่านการ
เทียม การถ่ายรังสีกระดูกขอ้ เข่าในท่าถ่ายจากหน้าไป ตรวจความเที่ยงของการวดั ความยาวด้วยอุปกรณ์เวอร์
หลัง (Knee joint Antero-posterior: AP) เพ่ือวัดขนาด เนียไฮเกรท (วรากร จริงจิตร, 2561) (ที่เลือกใช้ 100 mm
distal femur และproximal tibia เพ่ือนาไปใชว้ างแผนใน เพราะใชว้ ดั กระดูกอยใู่ นช่วง 40-85 mm และง่ายต่อการ
การผ่าตดั ก็ยงั พบว่ามีความคลาดเคล่ือนเช่นกนั แม้จะ calibrate ปรับแก้ค่าการขยายของภาพ)โดยวางสเกล
นอ้ ยกวา่ การผา่ ตดั เปลี่ยนขอ้ สะโพกก็ตาม เพราะการวดั มาตรวดั อยู่แนวเดียวกับกระดูกท่ีต้องการวดั โดยใช้
ขนาดวตั ถุจากภาพรังสีดิจิตอล หลกั การ Anatomy Surface Landmark (วิโรจน์ กวินวงศ์
โกวิท, 2560) สเกลมาตรวดั อา้ งอิงจะมีอตั ราการขยาย
ในการถ่ายภาพรังสีไม่สามารถทาใหภ้ าพรังสีมี เท่ากบั กระดูกท่ีตอ้ งการวดั ในภาพรังสีดิจิตอล แลว้ จึงใช้
ขนาดเท่ากบั ขนาดวตั ถุได้ เพราะจะมีการขยายของภาพ ภาพการวดั ความยาวของสเกลมาตรวดั จากภาพรังสี
(magnification) (ฐานข้อมูลงานสารสนเทศโปรแกรม ดิจิตอลตามหลกั การคานวณหาอตั ราการขยายของภาพ
HosXP, 2560) ที่ไม่คงท่ีและไม่แน่นอนมีหลายปัจจยั ที่ เท่ากบั ขนาดภาพรังสีต่อขนาดวตั ถุ (ความยาว100 mm)
มีอิทธิพลต่อการขยายของภาพท่ีเกินไปจากความเป็ น ที่ผ่านการ calibrate ปรับแก้ค่าอตั ราการขยายของภาพ
จ ริ ง (Magnification:MF) เ ช่ น Source to- image- นาไปวดั กระดูกในภาพถ่ายรังสีได้ค่าเสมือนกระดูก
Distance(SID), Source- to–object Distance (SOD), Focal ผปู้ ่ วยจริง
spot, Collimation , Movement การคานวณหาอตั ราการ
ขยายของภาพเท่ากบั ขนาดภาพรังสีต่อขนาดวตั ถุ MF =

The Journal of Boromarjonani College of Nursing Suphanburi

Vol.3 No. 2 July – December 2020 18

วตั ถุประสงค์ ภาพถ่ายรังสี ดิจิตอลโดยใช้สเกลมาตรวัดอ้างอิง
1. ศึกษาความเที่ยงตรงของการวดั ขนาดกระดูก เปรียบเทียบกับการวดั ด้วยเวอร์เนียคาลิปเปอร์ จาก
กระดูกจริงในระหว่างผา่ ตดั และสอบถามความคิดเห็น
จากภาพถ่ายรังสีดิจิตอลโดยใชส้ เกลมาตรวดั อา้ งอิง ของศลั ยแพทยก์ ระดูกในประเด็นการใช้สเกลมาตรวดั
เปรียบเทียบกบั การวดั ดว้ ยเวอร์เนียคาลิปเปอร์ จาก อา้ งอิงวดั ขนาดเสมือนจริงจากภาพรังสีดิจิตอล จานวน4
กระดูกจริงในระหวา่ งผา่ ตดั คน ในดา้ นการปรับแกค้ ่าการขยายของภาพ ลดข้นั ตอน
ในการทางาน, ค่าใช้จ่าย ภาพรวมการใช้สเกลมาตรวดั
2. เพ่ือประเมินความคิดเห็นของศัลยแพทย์ อา้ งอิงจากภาพรังสีดิจิตอล
กระดูกต่อการใช้สเกลมาตรวดั อ้างอิง ในด้านการ
ปรับแกค้ ่าการขยายของภาพ ลดข้นั ตอนในการทางาน, การพทิ กั ษ์สิทธ์ิกล่มุ ตวั อย่าง
ค่าใช้จ่าย ภาพรวมการใช้สเกลมาตรวดั อ้างอิงจาก งาน วิจัย คร้ั งน้ี ไ ด้รั บก า รอ นุ มัติ จา ก
ภาพรังสีดิจิตอล
คณะกรรมการจริ ยธรรมการวิจัยการวิจัยในมนุษย์
วธิ ีดาเนินการวจิ ัย หมายเลข YM008/2561 จากโรงพยาบาลเจา้ พระยายม
งานวิจยั น้ีเป็ นการศึกษาการพฒั นางานประจาสู่ ราชจงั หวดั สุพรรณบุรี

งานวิจยั (Routine to research ) เพ่ือออกแบบสร้างสเกล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ผู้ป่ วยผ่าตัด
มาตรวดั อา้ งอิง โดยการวดั ขนาดกระดูกจากภาพถ่ายรังสี เปลี่ยนขอ้ สะโพกเทียม และข้อเข่าเทียม ที่ศลั ยแพทย์
ให้มีค่าใกลเ้ คียงกบั การวดั กระดูกจริงขณะทาการผ่าตดั กระดูกส่งตรวจภาพรังสี Hip joint or Knee joint with
สาหรับผูป้ ่ วยที่เขา้ รับผา่ ตดั เปล่ียนขอ้ สะโพกเทียมและ scale ได้แก่ ผู้ป่ วยนอกและผูป้ ่ วยในผ่าตดั เปลี่ยนข้อ
ข้อเข่าเทียมในโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช เพื่อให้ สะโพกเทียม และขอ้ เข่าเทียมที่ศัลยแพทย์กระดูกส่ง
สามารถเตรียมข้อสะโพกเทียม หรือข้อเข่าเทียมได้ ตรวจภาพรังสี Hip joint หรื อ Knee jointwitch scale ที่
ใกล้เคียงกับกระดูกผูป้ ่ วยจริงมากที่สุด ใช้ระยะเวลา กลุ่มงานรังสีวทิ ยา โรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช ในช่วง
ดาเนินการวิจยั ต้งั แต่เดือน มกราคม 2561 ถึง ธันวาคม พฤษภาคม – กนั ยายน 2561 เป็นระยะเวลา 5 เดือน
2561
เกณฑค์ ดั เขา้ คือผปู้ ่ วยท่ีสมคั รใจใชอ้ ุปกรณ์
วธิ ีการพฒั นาและวธิ ีการศึกษา ที่ผวู้ จิ ยั สร้างข้ึน
ในกระบวนการปฏิบตั ิงานรังสีวิทยาประจาวนั
เพื่อออกแบบสร้างสเกลมาตรวดั อา้ งอิงวดั ขนาดเสมือน เกณฑค์ ดั ออก คือ 1. ผปู้ ่ วยท่ีมีภาวะขอ้
จริงจากภาพรังสีดิจิตอล ในผูป้ ่ วยที่ผ่าตัดเปล่ียนข้อ เขา่ เส่ือมรุนแรงขาโก่งมากกวา่ 43 เซนติเมตร
สะโพกเทียมและขอ้ เข่าเทียมในโรงพยาบาลเจา้ พระยา
ยมราช ทดสอบก่อนใชก้ บั ผูป้ ่ วย โดยทาการถ่ายภาพกบั 2. ผปู้ ่ วยขอ้ เขา่ เสื่อมไมส่ ามารถยนื ใหอ้ ยนู่ ่ิง
Phantom ที่ทราบขนาดแน่นอน นาไปจาลองการถ่ายภาพ ได้
รังสีโดยใช้สเกลมาตรวดั อา้ งอิงวดั ขนาดจากภาพรังสี
ดิจิตอลเปรียบเทียบค่าท่ีวดั ไดก้ บั การวดั ขนาดวตั ถุกบั ท่ี ข้นั ตอนการศึกษามีดงั นี้
ทราบค่าแล้วจึงนาไปใช้อุปกรณ์ที่สร้างข้ึนกับผู้ป่ วย
เปรียบเทียบความเท่ียงตรงของการวดั ขนาดกระดูกจาก 1. ออกแบบเครื่องมืออุปกรณ์และจัดสร้าง

อุปกรณ์
ผู้วิจัย ทบทวนวรรณกรรม ประกอบกับ

การศึกษาเครื่องเอ็กซเรยข์ องโรงพยาบาลเจา้ พระยายม

The Journal of Boromarjonani College of Nursing Suphanburi

Vol.3 No. 2 July – December 2020 19

ราช นามาออกแบบเคร่ืองมืออุปกรณ์สร้างสเกลมาตรวดั จะวดั ตามหลกั การ Surface Landmark เพ่ือการ calibrate
อ้างอิงวัดขนาดเสมือนจริ งจากภาพรังสี ดิจิตอล ปรับแก้ค่าอตั ราการขยายของภาพ ซ่ึงจะช่วยให้การวดั
ดาเนินการระหว่างเดือนมกราคม 2561โดยประดิษฐ์ ความกวา้ งหรือยาวของกระดูกในภาพถ่ายรังสีได้ค่า
อุปกรณ์มีส่วนประกอบ 2 ส่วน เสมือนกระดูกผปู้ ่ วยจริง

ส่ วนที่ 1 เป็ นโครงสร้างฐานและแกนจับ 2. การวดั ความเทยี่ งตรงของสเกล ไม้
แนวแกนสเกลสามารถปรับได้ท้ังแนวระนาบและ บรรทดั ทึบรังสี โดยอาจารยว์ ิทยาลยั เทคนิค สุพรรณบุรี
แนวด่ิงโดยเล่ือนปรับข้ึนลงและท้งั ไดต้ ามท่ีตอ้ งการ ทาการตรวจสอบความเที่ยงตรงสเกลมาตรวดั อา้ งอิงท่ีมี
ความยาว100 mm ดว้ ยอุปกรณ์เวอร์เนียไฮเกรท
ส่วนท่ี 2 แกนสเกลมาตรวดั อา้ งอิงที่ทึบรังสีโดย
ใชเ้ หลก็ สแตนเลสกลมมีเส้นผา่ ศูนยก์ ลาง 2 mm ยาว 100 3.จัดสร้างอุปกรณ์
mm โดยผ่านการตรวจความเที่ยงของการวดั ความยาว การสร้างสเกลมาตรวดั อา้ งอิงวดั ขนาดเสมือนจริงจาก
ดว้ ยอุปกรณ์เวอร์เนียไฮเกรท (ท่ีเลือกใช้ 100 mm เพราะ ภาพรังสีดิจิตอลของโรงพยาบาลเจา้ พระยายมราช ดงั
ใช้วัดกระดูกอยู่ในช่วง 40-85 mm และง่ายต่อการ
calibrate ปรับแกค้ ่าการขยายของภาพ) ใชใ้ นการจดั วาง ภาพท่ี 1
แผ่นสเกลมาตรวดั ให้อยู่แนวเดียวกบั กระดูกที่ตอ้ งการ

ภาพแสดงการวางสเกล ภาพแสดงการวางสเกล
มาตรวดั ในแนวระนาบ มาตรวดั ในแนวดิ่ง

ภาพท่ี 1 สเกลมาตรวดั อา้ งอิง เพื่อถ่ายภาพรังสีดิจิตอลเสมือนจริง เปรียบเทียบการวดั
วดั ค่าขนาดของวตั ถุ, จากการคานวณ และการวดั โดยใช้
ค่าใช้จ่าย สเกลมาตรวดั อา้ งอิงการคานวณหาอตั ราการขยายของ
ค่าอุปกรณ์แผ่นสเกลมาตรวดั ความยาว 25 ภาพเท่ากบั ขนาดภาพรังสีตอ่ ขนาดวตั ถุ MF = Image size
/ Object หรืออัตราการขยายภาพเท่ากับระยะจากต้น
เซนติเมตร ราคา 300 บาท และค่าแรงงานและอุปกรณ์ กาเนิดถึงแผ่นรับภาพต่อระยะจากตน้ กาเนิดถึงวตั ถุ MF
ในการอุปกรณ์ในการจบั ยึดแผ่นสเกล ราคา 900 บาท = SID / SOD แสดงการถ่ายภาพรังสีกบั วตั ถุโดยติดสเกล
รวมราคา 1,200 บาท มาตรวดั อ้างอิง (เสมือนการถ่ายภาพส่วนข้อสะโพก)
ระยะจากจุดโฟกัสถึงแผ่นรับภาพ Source to-image-
4. ทดสอบอปุ กรณ์ก่อนนาไปใช้จริง
ทดลองอุปกรณ์ที่สร้างข้ึนก่อนนาไปใชจ้ ริง
โดยการใชส้ เกลมาตรวดั อา้ งอิงวดั ขนาดเสมือนจริงจาก
ภาพรังสีดิจิตอลกบั วตั ถุที่ทราบขนาดกบั อุปกรณ์จาลอง

The Journal of Boromarjonani College of Nursing Suphanburi

Vol.3 No. 2 July – December 2020 20

Distance (SID) 100 cm ระยะจากจุดโฟกัสถึ งวัตถุ 6.2 การ Calibrate เพื่อปรับแกค้ ่าอตั ราการขยาย
Source- to–object Distance (SOD) 100 - (6+4.4+1.6) = ของภาพขนาดภาพรังสีต่อขนาดวตั ถุ คือผลการวดั จาก
88 cm อตั ราการขยายภาพที่เกินไปจากความจริงไดจ้ าก 6.1 เทียบกบั คา่ ความยาวของสเกลที่แทจ้ ริง 100 mm
ระยะจากตน้ กาเนิดถึงแผน่ รับภาพตอ่ ระยะจากตน้ กาเนิด
ถึงวัตถุ MF = SID / SOD 100/88 = 1.136 เพื่อทราบ 6.3 นาไปวดั กระดูกในภาพรังสีดิจิตอลได้
อตั ราการขยาย แลว้ จึงคานวณจากภาพรังสี MF =1.136 ภาพเสมือนจริง
หาขนาดของวตั ถุ = ขนาดภาพรังสี / MF ความกวา้ งวดั
ได้ 7.94/1.136 = 6.99 cm ความยาววดั ได้ 7.94/1.136 = การถ่ายภาพเพื่อดูข้อสะโพก Anteroposterior
20.4 cm ข้ันตอนมีความยุ่งยากซับซ้อนการ Calibrate projection (A.P.)
จากสเกลมาตรวดั อา้ งอิงจะแสดงค่า Scale Factor = 1.13
ขนาดของวตั ถุความกวา้ งวดั ได้ 7.00 cm ความยาววดั ได้ การจดั ท่าให้ผูป้ ่ วยนอนหงาย จดั ให้ Midsagital
20.39 cm ผลการเปรียบเทียบขนาดของวตั ถุจริงกบั ผล plane อยู่ก่ึงกลางฟิ ล์ม pelvis ต้องไม่เอียง ระยะจาก
การคานวณการและผลการวดั จากสเกลมาตรวดั อา้ งอิง A.S.I.S. ถึงเตียงตอ้ งเท่ากนั สองขา้ ง บิดหมุนขาเขา้ ขา้ ง
วเิ คราะห์ผลมีคา่ แตกต่างเทา่ กบั 0.01 cm ในผูป้ ่ วยให้จุดก่ึงกลางแสง เส้นแบ่งระหวา่ ง Symphysis
pubis และ iliac crest ต้งั ฉากกบั ฟิ ลม์ ใชร้ ะยะจากฟิ ลม์ ถึง
5.การทดสอบประสิทธิภาพ จุดโฟกสั
ใชก้ บั ผปู้ ่ วย ผวู้ ิจยั ไดน้ าสเกลมาตรวดั อา้ งอิงไป
ทดสอบโดยทาการถ่ายภาพรังสีกับวตั ถุ (Phantom) ท่ี การวางตาแหน่งของสเกลมาตรวดั ตามหลกั ของ
ทราบขนาดแน่นอน จากน้ันวดั ขนาดในภาพถ่ายรังสี Surface Landmark Hip (joint Kenneth L. Bontager and
เปรี ยบเทียบกับขนาดของวัตถุจริ งพบว่า ค่าวัดได้ Barry T. Anthony, 1987) ตาแหน่ง anterior superior iliac
แตกต่างกนั 0.1 mm ซ่ึงมีค่านอ้ ยกวา่ 3 mm ตามท่ีแพทย์ spine (ASIS)ลากจากด้านข้างลงมาพบป่ ุมกระดูก
ศลั ยกรรมกระดูกไดก้ าหนดไว้ แลว้ จึงนาอุปกรณ์ที่สร้าง Greater trochanter
ข้ึนไปใช้กบั ผูป้ ่ วย ระหว่างเดือนพฤษภาคม– กนั ยายน
2561 เป็ นระยะเวลา 5 เดือน จานวน 115 ราย มีการ การถ่ายภาพเพื่อดูข้อเข่า (Knee joint)
สอบถามความคิดเห็นของศลั ยแพทยก์ ระดูกเก่ียวกบั การ Anteroposterior projection (A.P.)
ใชส้ เกลมาตรวดั อา้ งอิงวดั ขนาดเสมือนจริงจากภาพรังสี
ดิจิตอล ในด้านความสะดวกรวดเร็ว, ลดเวลาในการ การจดั ท่าใหผ้ ูป้ ่ วยยนื ตวั ตรงเหยยี ดขอ้ เข่าเต็มท่ี
ผา่ ตดั , คา่ ใชจ้ ่าย, ลดโอกาสการติดเช้ือ และลงน้าหนกั เตม็ เทา้ ท้งั 2 ขา้ ง ใหข้ อ้ เขา่ ชิดแผน่ รับภาพ
มากที่สุด จุดก่ึงกลางของลารังสี ต่าจาก apex of the
6. วธิ ีการวดั ขนาดกระดูกในภาพรังสี patella
6.1วดั ความยาวของสเกลอา้ งอิงท่ีปรากฏใน
ภาพรังสีดิจิตอล การวางตาแหน่งของสเกลมาตรวดั ตามหลกั ของ
Surface Landmark Knee joint จุดตาแหน่งของขอ้ เข่า
โดยป่ ุมนูนของกระดูกตน้ ขาดา้ นนอก Lateral condyle of
femur

ข้นั ตอนการสร้างแบบสอบถาม
โดยลกั ษณะของแบบสอบถาม เป็นแบบ

มาตราส่วนประมาณคา่ (Rating scale) ของ Likert

The Journal of Boromarjonani College of Nursing Suphanburi

Vol.3 No. 2 July – December 2020 21

(RensisLikert , 1961) 5 ระดบั ประกอบดว้ ยเกณฑใ์ น ไดไ้ ปเปรียบเทียบกบั เกณฑใ์ นการแบง่ ค่าเฉลี่ยความ
การใหค้ ะแนน ดงั ต่อไปน้ี คิดเห็นของเบสต์ (Best, 2003) โดยมีเกณฑ์ ดงั น้ี

ระดบั 5 หมายถึง มีระดบั ความคิดเห็นมาก 4.51 - 5.00 หมายความวา่ มีระดบั ความ
ที่สุด มีคา่ เทา่ กบั 5 คะแนน คิดเห็นมากที่สุด

ระดบั 4 หมายถึง มีระดบั ความคิดเห็นมาก 3.51 - 4.50 หมายความวา่ มีระดบั ความ
มีคา่ เทา่ กบั 4 คะแนน คิดเห็นมาก

ระดบั 3 หมายถึง มีระดบั ความคิดเห็นปาน 2.51 - 3.50 หมายความวา่ มีระดบั ความ
กลาง มีคา่ เทา่ กบั 3 คะแนน คิดเห็นปานกลาง

ระดบั 2 หมายถึง มีระดบั ความคิดเห็นนอ้ ย 1.51 - 2.50 หมายความวา่ มีระดบั ความ
มีค่าเท่ากบั 2 คะแนน คิดเห็นนอ้ ย

ระดบั 1 หมายถึง นอ้ ยที่สุด มีคา่ เท่ากบั 1.00 - 1.50 หมายความวา่ มีระดบั ความ
1 คะแนน คิดเห็นนอ้ ยท่ีสุด
ผวู้ จิ ยั ไดท้ าการประมวลผลคา่ เฉลี่ยความคิดเห็นของ
ผตู้ อบแบบสอบถามความคิดเห็นน้ี จากน้นั นาคา่ เฉล่ียท่ี

ผลการศึกษา
การเปลย่ี นข้อเข่าเทียม จานวน 97 ราย (ก่อนผา่ ตดั จานวน 65 ราย) (หลงั ผา่ ตดั 32 ราย)

ภาพท่ี 2 ภาพท่ี 3 ภาพที่ 4

ป่ ุมนูนของกระดูกตน้ ขาดา้ น ระดับของสเกลมาตรวัดในการวาง การวดั สเกลมาตรวดั อา้ งอิง
นอก Lateral condyle of กาหนดตาแหน่ง Lateral condylel calibrate แกค้ ่าอตั ราขยาย
femur

The Journal of Boromarjonani College of Nursing Suphanburi

Vol.3 No. 2 July – December 2020 22

ตารางที่ 1 ขอ้ มูลทว่ั ไป (n = 84)

ตัวแปร M SD

อาย(ุ ปี ) 65.99 7.70
น้าหนกั (kg) 65.79 8.79
ส่วนสูง (cm) 57.33 6.42
BMI (kg/m2) 26.59 3.33
เพศ จานวน ร้อยละ
ชาย 10 11.90
หญิง 74 88.10

ตารางท่ี 2 ความเที่ยงตรงของการวดั ขนาดกระดูกจากภาพถ่ายรังสีดิจิตอลโดยใชส้ เกลมาตรวดั อา้ งอิงเปรียบเทียบกบั การ
วดั ดว้ ยเวอร์เนียคาลิปเปอร์ จากกระดูกจริงในระหวา่ งผา่ ตดั (n=97)

ความแตกต่างของค่าทว่ี ดั ได้จากภาพถ่ายรังสีเปรียบเทยี บกบั การวดั กระดูกจริง จานวน ร้อยละ

ก่อนผ่าตดั n=65 2 3.07
คา่ จากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริง ไมม่ ีความแตกตา่ ง 15 23.07
คา่ จากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริง ± 1 mm 8 12.30
ค่าจากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริง ± 2 mm 6 9.22
คา่ จากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริง ± 3 mm 34 52.31
ค่าจากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริงมากกวา่ 3mm ข้ึนไป
6 18.75
หลงั ผ่าตดั n=32 14 43.75
ค่าจากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริง ไม่มีความแตกต่าง 9 28.21
คา่ จากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริง ± 1 mm 1 3.12
ค่าจากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริง ± 2 mm 2 6.25
คา่ จากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริง ± 3 mm
ค่าจากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริงมากกวา่ 3 mm ข้ึนไป

จากตารางที่ 2 แสดงการเปรียบเทียบผลเปลี่ยน 3 mm จานวน 31 ราย คิดเป็ น 47.69% ค่าจากภาพถ่าย
ขอ้ เขา่ เทียม (แต่ละขนาดแตกตา่ งกนั ท่ี 3 mm) ก่อนผา่ ตดั รังสีกบั กระดูกจริง 3 mm ข้ึนไปจานวน 34 ราย คิดเป็น
จานวน 65 ราย ผลค่าจากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริง ≤ 52.31% แต่เมื่อเทียบกบั หลงั ผา่ ตดั จานวน 32 ราย ผลค่า

The Journal of Boromarjonani College of Nursing Suphanburi

Vol.3 No. 2 July – December 2020 23

จากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริง ≤ 3 mm จานวน 30 ราย ASIS ลากจากด้านข้างลงมาพบป่ ุมกระดูก Greater
คิดเป็ น 93.75% ค่าจากภาพถ่ายรังสีกับกระดูกจริง 3 trochanter
มิลลิเมตรข้ึนไปจานวน 2 ราย คิดเป็ น 6.25% ตาแหน่ง

การเปลยี่ นข้อสะโพกเทยี ม จานวน 18 ราย (ก่อนผา่ ตดั จานวน 12 ราย) (หลงั ผา่ ตดั 6 ราย)

ภาพท่ี 5 ภาพท่ี 6 ภาพท่ี 7

ระดบั ของสเกลมาตรวดั ในการ การวดั กระดูกโดยใชส้ เกลมาตร
วางกาหนดตาแหน่ง head of femur วดั จากภาพรังสีขอ้ สะโพก

ตารางที่ 3 ความเท่ียงตรงของการวดั ขนาดกระดูกจากภาพถ่ายรังสีดิจิตอลโดยใชส้ เกลมาตรวดั อา้ งอิงเปรียบเทียบกบั การ
วดั ดว้ ยเวอร์เนียคาลิปเปอร์ จากกระดูกจริงในระหวา่ งผา่ ตดั (n=18)

ความแตกต่างของค่าทวี่ ดั ได้จากภาพถ่ายรังสีเปรียบเทียบกบั การวดั กระดูกจริง จานวน ร้อยละ

ก่อนผ่าตดั n=12 4 33.33
ค่าจากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริง ไมม่ ีความแตกตา่ ง 7 58.33
คา่ จากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริง ± 1 mm 1 8.34
ค่าจากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริง ± 2 mm
4 66.67
หลงั ผ่าตัด n=6 2 33.33
คา่ จากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริง ไมม่ ีความแตกตา่ ง
ค่าจากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริง ± 1 mm

จากตารางท่ี 3 แสดงการเปรียบเทียบการเปล่ียน จริงไม่แตกต่างจานวน 4 รายคิดเป็ น 33.33 % ค่าจาก
ขอ้ สะโพกเทียม(แต่ละขนาดแตกต่างกนั ที่ 1 mm) ก่อน ภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริงแตกต่าง 1 mm จานวน 7 ราย
ผา่ ตดั จานวน 12 ราย ผลค่าจากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูก คิดเป็ น 58.33% ค่าจากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริง 2 mm

The Journal of Boromarjonani College of Nursing Suphanburi

Vol.3 No. 2 July – December 2020 24

จานวน 1 ราย คิดเป็ น 8.34% แต่เม่ือเทียบกบั หลงั ผา่ ตดั ภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริง 1 mm จานวน 2 ราย คิดเป็ น
จานวน 6 ราย ค่าจากภาพถ่ายรังสีกับกระดูกจริง ไม่มี 33.33 %
ความแตกต่าง จานวน 4 ราย คิดเป็ น 66.67% ค่าจาก

ตารางท่ี 4 ประเมินความคิดเห็นศลั ยแพทยก์ ระดูกต่อการใช้ สเกลมาตรวดั อา้ งอิงในดา้ นการปรับแกค้ า่ การขยายของภาพ
ลดข้นั ตอนในการทางาน คา่ ใชจ้ า่ ย ภาพรวมการใชส้ เกลมาตรวดั อา้ งอิงจากภาพรังสีดิจิตอล ( N = 4)

ความคิดเหน็ M SD ระดบั ความคิดเหน็

1. การปรับแกค้ า่ การขยายของภาพ 4 0.81 มาก
2. ลดข้นั ตอนในการทางาน 4.25 0.5 มาก
3. ลดค่าใชจ้ ่าย 4.25 0.5 มาก
4. ภาพรวมการใชส้ เกลมาตรวดั อา้ งอิง 4 0.81 มาก
4.125 0.658 มาก
รวม

ผลการประเมินความคิดเห็นศลั ยแพทยก์ ระดูก4 mm ข้ึนไปจานวน 2 ราย คิดเป็ น 6.25 % สรุปไดว้ ่า
สาเหตุท่ีมีความคลาดเคล่ือนมากกว่า 3 mm ในผูป้ ่ วย
ท่าน ดา้ นการปรับแกค้ ่าการขยายของภาพ ลดข้นั ตอน ก่อนผา่ ตดั ขอ้ เข่าคิดเป็ น 52.31% เกิดจากศลั ยแพทยต์ ดั
ในการทางาน, ค่าใชจ้ ่าย ต่อภาพรวมการใช้สเกลมาตร ผิวกระดูกท่ีสึ กหรอออก 8 -10 mm และการเกิด
osteophyte ซ่ึงข้ึนอยู่กับรอยโรคและความรุนแรงของ
วดั อา้ งอิง พบว่าค่าเฉลี่ยใน 4 ประเด็นอยู่ในระดบั มาก ผปู้ ่ วยทาให้ส่งผลต่อตาแหน่งของการวดั กระดูก (วโิ รจน์
กวินวงศ์โกวิท, 2560) เม่ือเปรียบเทียบกบั ผลของหลัง
(ค่าเฉล่ียระหว่าง 4.00 - 4.25) โดยมีคะแนนเฉลี่ย±ค่า ผ่าตดั ซ่ึงมีค่าความแตกต่างท่ี ค่าจากภาพถ่ายรังสีกับ
กระดูกจริง 1 mm จานวน 2 ราย คิดเป็น 6.25 %
เบี่ยงเบนมาตรฐาน (4.125 ± 0.658)

อภิปรายผล

จากผลการศึกษาการเปรียบเทียบผลเปลี่ยนขอ้ เข่า
เทียม (แต่ละขนาดแตกต่างกันที่ 3 mm) ก่อนผ่าตัด
จานวน 65 ราย ผลค่าจากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริง ≤
3 mm จานวน 31 ราย คิดเป็ น 47.69 % ค่าจากภาพถ่าย
รังสีกบั กระดูกจริง 3 mm ข้ึนไปจานวน 34 ราย คิดเป็ น
52.31 % แต่เม่ือเทียบกบั หลงั ผ่าตดั จานวน 32 ราย ผล
ค่าจากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริง ≤ 3 mm จานวน 30
ราย คิดเป็น 93.75 % คา่ จากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริง 3

The Journal of Boromarjonani College of Nursing Suphanburi

Vol.3 No. 2 July – December 2020 25

ภาพท่ี 8 ภาพที่ 9
ขนาดของขอ้ เข่าเทียม
แสดงผวิ กระดูกท่ีเสื่อมก่อน
และหลงั การผา่ ตดั

เปรี ยบเทียบการเปล่ี ยนข้อสะโพกเทียม(แต่ละขนา ด ภาพรั งสี ดิ จิตอลการกาหนดแนวลารั งสี ไม่ต้ ังฉากกับ
แตกต่างกนั ท่ี 1 mm) ก่อนผา่ ตดั จานวน 12 ราย ผลค่าจาก แผน่ รับภาพ
ภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริงไม่แตกต่างจานวน 4 รายคิด
เป็ น 33.33% ค่าจากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริงแตกต่าง ข้อเสนอแนะ
1 mm จานวน 7 ราย คิดเป็ น 58.33 % คา่ จากภาพถ่ายรังสี 1. การวดั Lesion ของกระดูกจากภาพถ่ายรังสี
กบั กระดูกจริง 2 mm จานวน 1 ราย คิดเป็ น 8.34 % แต่
เมื่อเทียบกบั หลงั ผา่ ตดั จานวน 6 ราย คา่ จากภาพถ่ายรังสี หรือฟลูออโรสโคปเกิดความคลาดเคล่ือน ปรับใช้โดย
กบั กระดูกจริง ไม่มีความแตกต่าง จานวน 4 ราย คิดเป็ น โดยท่าดา้ นขา้ งเพ่ือทราบตาแหน่งสเกลแลว้ มาถ่ายจาก
66.67% ค่าจากภาพถ่ายรังสีกบั กระดูกจริง 1 mm จานวน หนา้ ไปหลงั เพ่อื วดั ขนาด
2 ราย คิดเป็น 33.33 % สรุปไดว้ า่ คา่ จากภาพถ่ายรังสีกบั
กระดูกจริง 2 mm จานวน 1 ราย คิดเป็น 8.34 % เพราะวา่ 2. ศลั ยแพทยก์ ระดูกสามารถนาขอ้ มูลผลการวดั
ผู้ป่ วยมีภาวะอ้วนส่งผลต่อการกาหนดหาตาแหน่ง การใชส้ เกลมาตรวดั อา้ งอิงเปรียบเทียบกบั การวดั กระดูก
greater trochanter ยาก จริงด้วยเวอร์เนียคาลิปเปอร์ในผูป้ ่ วยผ่าตดั เปลี่ยนข้อ
สะโพกเทียมและเปลี่ยนขอ้ เข่าเทียม ช่วยเป็ นการการวดั
ในการวดั ขนาดกระดูกจากภาพถ่ายรังสี สเกลมาตรวัดอ้างอิงในการ Calibrate ค่าในการวัด
ดิจิตอลโดยใชส้ เกลมาตรวดั อา้ งอิง การวิเคราะห์หน่วย กระดูกจริงจากภาพถ่ายรังสีดิจิตอล มีความเที่ยงตรง ช่วย
วดั เป็ นมิลลิเมตร ตอ้ งการสเกลที่มีความเท่ียงตรง การ ให้ศลั ยแพทยก์ ระดูกนาไปใชใ้ นการวางแผนการรักษา
กาหนดจุดวดั ต้องกาหนดจุดถูกต้อง การกาหนดแนว โดยการผ่าตดั เปล่ียนข้อสะโพกเทียมได้อย่างถูกต้อง
ระดับสเกลอ้างอิงไม่อยู่ตาแหน่งเดียวกับ Surface แม่นยา
Landmark การกาหนดจุดวัดและตาแหน่ งการวัด
3. จากผลการศึกษาเสนอเป็ นแนวทางในการ
ช่วยลดข้นั ตอนและความยุ่งยากในการเตรียมวสั ดุและ
อุปกรณ์ในการวัดด้วยเวอร์เนียคาลิปเปอร์ และการ


Click to View FlipBook Version