The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by mon, 2022-02-22 22:05:22

ทำเนียบวิจัย 65

ทำเนียบวิจัย 65

11

โดยจะใหไดผลดีน้ัน จะตองปฏิบัติตัวและดูแลตนเองอยางตอเน่ืองสม่าเสมอ โดยเฉพาะอยางย่ิงการปรับ
พฤตกิ รรมการดาเนินชีวติ ประจาวันใหสอดคลองกับการปฏิบัตติ ัวของผูปวยโรคความดนั โลหิตสูงอยางถูกตอง ก็
จะช่วยทาใหผ้ ู้ปว่ ยสามารถควบคุมความดันโลหิตได้ (JNC, 2003 ; Kaplan, 2002) ผลการศกึ ษาน้ใี กล้เคียงกับ
การศึกษาของสิทธิโชค จิติวงศ์ (2560); สุรชัย จติ ต์ดารงค์ และคณะ (2556) และจงดี เพ็งสกุล (2558) พบว่า
ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงสามารถควบคุมโรคความดันโลหิตได้ร้อยละ 49.4, 50.7 และ 42.5 ตามลาดับ
ฐิติรัตน์ ศิริพบิ ูลย์ (2564) พบวา่ ร้อยละ 68.0 มีพฤตกิ รรมการดแู ลตนเองในระดบั ปานกลาง

ผลจากการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเอง พบว่า การได้รับการ
สนบั สนุนทางสังคม และการได้รบั ข่าวสารเกย่ี วกับโรคความดันโลหติ สงู มคี วามสมั พันธ์เชิงบวกอยา่ งมนี ัยสาคัญ
ทางสถิติ (P < 0.05) ในระดับปานกลาง และต่า ตามลาดับ กับพฤติกรรมการดูแลตนเอง ท้ังน้ี เนื่องจากการ
ได้รับการสนับสนุนทางสังคม คือส่ิงที่บุคคลได้รับการช่วยเหลือประคับประคองจากบุคคลอ่ืนในสังคมในด้าน
ต่างๆ อาทิ ด้านอารมณ์ ด้านข้อมูลข่าวสาร สิ่งของ เงิน การดูแล การสนับสนุนทางสังคมเป็นปัจจัยที่มีผลต่อ
พฤติกรรมสุขภาพ โดยเฉพาะในภาวะที่บุคคลมีความเจ็บป่วยหรือช่วยเหลือตนเองได้น้อย เน่ืองจากช่วยทาให้
บคุ คลเห็นคุณคา่ ของตนเอง ลดความเครยี ด มกี าลังใจ มคี นรักและห่วงใย ทาให้เกิดความม่นั ใจในการปฏิบตั ิตัว
เพื่อดูแลตนเอง ช่วยให้มีพฤติกรรมสุขภาพท่ีเหมาะสม (Green & Kreuter, 2005) ดังนั้น หากผู้ป่วยได้รับการ
สนับสนุนทางสังคมมาก จะทาให้มีการดูแลสุขภาพของตนเองดีขึ้น เน่ืองจากการได้รับคาแนะนา ข่าวสารหรือ
ความช่วยเหลือจากบุคคลต่าง ๆ ทาให้มีแนวทางในการตัดสินใจเลือกปฏิบัติตน และดูแลสุขภาพของตนเองได้
ซ่ึงสอดคล้องกับการศึกษาของฐิติรัตน์ ศิริพิบูลย์ (2564) ที่พบว่า การได้รับการสนับสนุนทางสังคม มี
ความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมการดูแลตนเอง สินีนาฏ โคตรบรรเทา และคณะ (2557) พบว่า แรง
สนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการดูแลตนเอง อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ พวงเพชร เหล่า
ประสทิ ธิ์ (2554) พบวา่ การสนับสนุนทางสังคมมีความสมั พันธ์เชงิ บวกกับพฤติกรรมการดแู ลตนเอง นอกจากน้ี
การได้รับข่าวสารเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงเป็นส่ิงกระตุ้นความรู้สึก ทาให้เกิดความรู้ และความเข้าใจของ
บุคคลเก่ียวกับโรคความดันโลหิตสูง ทาให้บุคคลปรับพฤติกรรมตนเองให้เหมาะสมย่ิงข้ึน (Bernstein, 1999)
ดังน้ัน การได้รับข่าวสารเก่ียวกับโรคความดันโลหิตสูง จึงมีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ
สอดคล้องกับการศึกษาของ ขวัญใจ ผลศิริปฐม (2554) ท่ีพบว่า การได้รับข้อมูลข่าวสารเก่ียวกับโรคความดัน
โลหติ สงู มคี วามสัมพนั ธก์ ับพฤติกรรมสง่ เสริมสุขภาพ

สาหรับอายุ และความรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง ในการศึกษาคร้ังน้ี พบว่า ไม่ความสัมพันธ์กับ
พฤติกรรมการดูแลตนเอง ท้ังน้ีเป็นเพราะว่า กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งน้ี 3 ใน 4 เป็นผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่มี
พฤติกรรมอยา่ งท่ีเคยเป็นมานาน การปรับเปลยี่ นพฤตกิ รรมในการดาเนินชีวติ ท่ีเคยปฏิบตั ิกเ็ ป็นสง่ิ ท่ียาก แมจ้ ะ
ได้รบั ความรู้เกี่ยวกบั โรคความดนั โลหติ สูง สอดคล้องกับการศกึ ษาของ กลั ยรัตน์ แกว้ วันดี (2554) ทพี่ บว่า อายุ
ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง ฐิติรัตน์ ศิริพิบูลย์ (2564) พบว่า อายุ และความรู้
เกย่ี วกบั โรคความดนั โลหติ สูง ไมม่ ีความสมั พนั ธ์กับพฤตกิ รรมการดูแลตนเอง

ขอ้ เสนอแนะ

1. ผู้ป่วยที่ไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ ควรดาเนินการให้การดูแล ให้คาแนะนา และ
ปรับเปลยี่ นพฤตกิ รรม พร้อมติดตามประเมินผลเปน็ ระยะๆ

2. ส่งเสริมให้ผปู้ ่วยมพี ฤตกิ รรมการดูแลตนเองให้ถกู ต้องเพม่ิ มากขน้ึ ในด้านต่าง ๆ ดงั นค้ี ือ
- ดา้ นการรับประทานอาหาร ใหม้ ีการรับประทานผักและผลไมท้ ่รี สไม่หวานจัด เพ่ิมมากขนึ้
- ด้านการออกกาลังกาย ให้ออกกาลังกายมากกว่า 3 ครั้ง/สัปดาห์ แต่ละคร้ังนานอย่างน้อย 30

นาที และทากจิ วตั รประจาวันทตี่ ้องใชก้ าลังอยา่ งต่อเนื่องจนมเี หง่อื ออก

12

- ด้านการจัดการกับความเครียด เม่ือมีเร่ืองไม่สบายใจให้พูดคุยปรับทุกข์กับผู้อื่น มีการผ่อนคลาย
ดว้ ยวิธีการตา่ ง ๆ พยายามควบคุมอารมณ์ได้ และอาจใชก้ ารผ่อนคลายจติ โดยสวดมนต์/นง่ั สมาธิ

- ด้านการควบคุมปจั จัยเสยี่ ง ให้ควบคมุ น้าหนักตัวไมใ่ หเ้ พม่ิ ขนึ้ และลด/งดการด่ืมชาหรือกาแฟ
- ด้านการตรวจสขุ ภาพ เม่ือมีอาการผดิ ปกตใิ ห้มาพบแพทย์/เจ้าหนา้ ที่สาธารณสขุ ทนั ทกี อ่ นนดั
3. จากการศึกษาพบว่า การได้รับการสนับสนุนทางสังคม และการได้รับข่าวสารเกี่ยวกับโรคความดัน
โลหติ สงู มีความสมั พันธ์เชิงบวก กับพฤติกรรมการดแู ลตนเอง ดังน้นั
3.1 ส่งเสริมครอบครัวผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ให้การสนับสนุนในการดูแลผู้ป่วยเพิ่มมากข้ึน
โดยเฉพาะในเร่ืองการใหก้ าลังใจ การรับประทานยาตรงเวลาและสมา่ เสมอ ใหค้ าปรึกษาและรับฟงั เมื่อเกดิ ความ
วติ กกังวลและความเครยี ด กระต้นุ ใหอ้ อกกาลังกาย การจัดการกบั ความเครียดโดยวธิ ีต่างๆ และห้ามปรามหาก
รับประทานอาหารทเี่ ป็นขอ้ ห้ามของโรคความดนั โลหิตสงู ซงึ่ ทางครอบครวั ผูป้ ว่ ยยงั ให้การสนันสนนุ น้อย
3.2 ดาเนินการให้ข้อมูลข่าวสารเก่ียวกับโรคความดันโลหิตสูงแก่ผู้ป่วยเพ่ิมมากข้ึน ซึ่งอาจจะต้อง
พิจารณาช่องทางการส่ือสารท่ีเหมาะสมกบั บรบิ ทของผ้ปู ่วย

ข้อเสนอแนะในการวิจยั คร้ังต่อไป
1. ศึกษารูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงท่ีเหมาะสมกับ

บริบทของผู้ป่วย ในพน้ื ทร่ี บั ผดิ ชอบ รพ.สต.บา้ นโค้งบ่อแร่
2. วิจัยประเมินผลการดาเนินการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ใน

การดาเนนิ การของ รพ.สต. การปฏิบตั ติ ัวของผปู้ ่วย การสง่ เสริมการดูแลผู้ปว่ ยของญาติและอ่นื ๆ ทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง
3. ศึกษาหาปจั จยั ทมี่ ีความสัมพนั ธก์ ับความสามารถในการควบคุมระดบั ความดนั โลหิต ของผปู้ ่วยโรค

ความดนั โลหติ สูง

ขอ้ จากัดในการวิจัยคร้งั นี้
ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในคร้ังนี้ กลุ่มตวั อยา่ งส่วนใหญจ่ ะเป็นกลุ่มผู้หญงิ และเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งจะ

อยปู่ ระจาท่ีบ้าน ส่วนผชู้ ายหรือกลมุ่ ผหู้ ญงิ วัยทางานจะไปทางานตา่ งถน่ิ

เอกสารอา้ งองิ

กองโรคไม่ตดิ ตอ่ กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสขุ . (2561). รายงานสถานการณโ์ รค NCDs : เบาหวาน
ความดันโลหิตสงู และปัจจัยเสย่ี งท่ีเกี่ยวขอ้ ง พ.ศ. 2561. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์อกั ษรกราฟฟิค
แอนดด์ ีไซน์

กลั ยรตั น์ แก้ววันดี. (2554). ปัจจยั ท่ีมคี วามสมั พนั ธก์ บั การดแู ลสขุ ภาพตนเองของประชาชนกลุม่ เสย่ี งโรค
ความดนั โลหติ สูง โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สุขภาพตาบลหนองยวง อาเภอเวยี งหนองลอ่ ง จังหวดั ลาพนู .
วทิ ยานิพนธ์ สาธารณสขุ ศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั
เชียงใหม่.

ขวญั ใจ ผลศิริปฐม. (2554). พฤติกรรมการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงของกลุ่มเสีย่ งสูงในเขตตาบลวงั ตะกอ
อาเภอหลงั สวน จงั หวัดชุมพร. วทิ ยานพิ นธ์ สาธารณสขุ ศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาสาธารณสุข
ศาสตร์ บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยราชภฏั เพชรบุรี.

จงดี เพง็ สกลุ . (2558). ความสามารถในการควบคมุ ความดันโลหิต และพฤติกรรมการดแู ลตนเองของผู้ที่
ควบคุมความดนั โลหติ ได้และไมไ่ ด้ โรงพยาบาลพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี. สุราษฎรธ์ านี: รายงาน
วิจยั .

13

ญาณิน หนองหารพทิ กั ษ์ และประจกั ร บวั ผัน. (2556). ปจั จัยท่มี ีผลต่อการปฏบิ ัตงิ านของพยาบาลเวชปฏิบตั ิ
ทว่ั ไปในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล จงั หวัดอุดรธานี. สบื ค้นจาก https://ph02.tcihaijo.org
/index.php/gskku/article/view/22960

ฐิตริ ัตน์ ศริ พิ ิบลู ย์. (2564). พฤติกรรมการดูแลตนเอง และความสามารถในการควบคมุ ความดันโลหิต ของ
ผ้ปู ่วยโรคความดนั โลหิตสูง โรงพยาบาลส่งเสรมิ สขุ ภาพตาบล จงั หวัดสมทุ รสาคร. รายงานวิจยั .

พวงเพชร เหล่าประสทิ ธ์ิ. (2554). พฤตกิ รรมการดูแลตนเอง และการเกิดภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรค
ความดนั โลหิตสูง โรงพยาบาลพนุ พนิ จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี.สุราษฎร์ธานี : รายงานวจิ ัย.

โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบา้ นโคง้ บ่อแร่. (2563). รายงานผู้ป่วยโรคความดันโลหติ สงู . สพุ รรณบรุ ี :
โรงพยาบาลสง่ เสริมสขุ ภาพตาบลบ้านโค้งบ่อแร่.

วทิ ยา บุรณศริ ิ. (2555). เร่งรัดนโยบายรกั ษาเบาหวาน-ความดัน ลดแออดั ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่.
สืบค้นจาก http://www.healthfocus.in.th/content/2012/07 /876

ศนู ยก์ ารศกึ ษาต่อเน่ืองทางเภสชั ศาสตร์. (2563). การประชมุ วิชาการชมรมร้านขายยาแหง่ ประเทศไทย
ครงั้ ท่ี 1 ประจาปี 2563 เรื่อง “ความดนั โลหติ สงู : สิง่ ทีน่ า่ รแู้ ละตอ้ งรู้”. สบื ค้นจาก https://ccpe.
pharmacycouncil.org/index.php?option=seminar_detail& subpage=seminar
detail&id=3115

สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย. (2563). การประชุมวชิ าการประจาปีคร้ังท่ี 18 สมาคมความดัน
โลหติ สูงแหง่ ประเทศไทย. สืบคน้ จาก http://thaihypertension.org/files/4521.Thai% 20
Hypertension%20Conference%202020.pdf

สานักโรคไม่ติดตอ่ กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสุข. (2556). รายงานการเฝา้ ระวงั โรคเบาหวาน
ความดนั โลหติ สูง และหัวใจขาดเลือดปี 2556.

สานกั สารนเิ ทศ สานกั งานปลัดกระทรวงสาธารณสขุ . (2562). ประเดน็ สารรณรงคว์ นั ความดันโลหติ สูงโลก
ปี 2562. สบื ค้นจาก https://pr.moph.go.th/?url=pr/detail/2/07/127178/

สทิ ธโิ ชค จิติวงศ์. (2560). พฤติกรรมการดูแลตนเอง และความสามารถในการควบคุมความดันโลหิต ของ
ผู้ปว่ ยโรคความดนั โลหิตสงู โรงพยาบาลนภาลัย. สมทุ รสงคราม: รายงานวจิ ัย.

สินีนาฏ โคตรบรรเทา, สนิ ีนาฏ วทิ ยพิเชฐสกลุ , อนุช แซเ่ ลา้ และพูลพงศ์ สขุ สวา่ ง. (2557). โมเดล
ความสัมพนั ธเ์ ชงิ สาเหตขุ องการปฏบิ ตั ิตนเพ่ือลดความเสี่ยงตอ่ การเกดิ โรคความดันโลหิตสูง ของ
ประชาชนเทศบาลเมืองบ้านสวน อาเภอเมือง จงั หวดั ชลบุรี. วารสารสาธารณสุขมหาวทิ ยาลยั บรู พา,
9(2), 85-96.

สุภาภรณ์ เก้อื สุวรรณ. (2556). ปัจจัยที่มอี ทิ ธพิ ลตอ่ พฤตกิ รรมการสง่ เสรมิ สุขภาพตนเองและครอบครัวของผู้
มารบั บริการทีโ่ รงพยาบาลศรีบรรพต จงั หวัดพัทลงุ . วิทยานพิ นธ ปรญิ ญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต
(สขุ ศกึ ษา) มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์

สรุ ชัย จิตต์ดารงค,์ สพุ รรษา เพลงเสนาะ และสมควร จันทรค์ ง. (2556). ความสามารถและพฤตกิ รรมการ
ดแู ลตนเองของผทู้ ่ีควบคุมความดันโลหติ ได้และไมไ่ ด้ โรงพยาบาลลาทะเมนชัย จงั หวัดนครราชสีมา.
นครราชสีมา : รายงานวจิ ยั .

Bernstein, D. M. (1999). Perception is everything. New York: Ronjo Magic.
Dodd, M., Janson, S., Facione, N., Faucett. J., Feroelicher, E. S., Humphereys, J., Lee, K.,

Miaskowski, C., Puntillo, K., Rankin, S., & Taylor, D. (2001). Advancing the science of
symptom management. Journal of Advance Nursing, 33(5), 668-675
Green, L. W., & Kreuter, M. W. (2005). Health program planning an educational and

14

ecological approach. New York: Quebecor World Fairfield.
Joint National Committee (JNC). (2003). The seventh report of the Joint National Committee

on prevention, detection, evaluation, and treatment high blood pressure: National
high blood pressure education program. Retrieved from http///www.nhbl.nih.gov
/guidelines/hypertension/Express.pdf.
Kaplan, N. M. (2002). Kaplan’s clinical hypertension. (8th ed.). Philadelphia: Lippincott
Williams & Wilkins.
Orem. D. E. (1995). Nursing concepts of practice. In K. M.Renpenning & S. G.Taylor (Eds.),
(5th ed). St.Louis: Mosby Year Book.
Srinivasan, A. V. (2014) . Managing a modern hospital. New Delhi: A Division of Sage India (P)
Yamane, T. (1967). Statistics : An Introductory Analysis. London : John Weather Hill,Inc.

การพัฒนาโปรแกรมการสรา้ งเสริม
สุขภาพผสู้ ูงอายุทเี่ ป็นโรคความดนั
โลหิตสงู ตาบลโคกโคเฒา่ อาเภอเมอื ง
สพุ รรณบรุ ี จงั หวัดสุพรรณบุรี



The Journal of Boromarjonani College of Nursing, Suphanburi
Vol.4 No.2 July-December 2021 111

การพฒั นาโปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพผู้สูงอายุทีเ่ ป็ นโรคความดันโลหิตสูง ตาบลโคกโคเฒ่า
อาเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวดั สุพรรณบุรี
พรพจน์ บุญญสิทธ์ิ, ส.ม.*
บทคัดย่อ

การวิจยั และพฒั นา (Research and Development) น้ี มีวตั ถุประสงคเ์ พื่อพฒั นาและวดั ผลใน
การใช้โปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพผูส้ ูงอายุที่เป็ นโรคความดนั โลหิตสู งที่ไดพ้ ฒั นาข้ึน ข้นั ตอน
การศึกษาประกอบด้วย 6 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัญหาโดยการศึกษาความรู้และ
พฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ่ีเป็ นโรคความดนั โลหิตสูง (R1) ระยะท่ี 2 พฒั นาโปรแกรม
การสร้างเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายุท่ีเป็ นโรคความดนั โลหิตสูง (D1) ระยะที่ 3 ทดลองโปรแกรมการสร้าง
เสริมสุขภาพผูส้ ูงอายุท่ีเป็ นโรคความดนั โลหิตสูง (research: R2) ระยะท่ี 4 ปรับปรุงโปรแกรมการ
สร้างเสริมสุขภาพผูส้ ูงอายุที่เป็ นโรคความดนั โลหิตสูง (development: D2) ระยะท่ี 5 ทดลองใช้
โปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพผูส้ ูงอายุที่เป็ นโรคความดันโลหิตสูง (research: R3) และระยะที่ 6
ประเมินโปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพผูส้ ูงอายุที่เป็ นโรคความดนั โลหิตสูงโดยการสนทนากลุ่ม
เพื่อให้ไดข้ อ้ ตกลงร่วมกนั เกี่ยวกบั โปรแกรม (development: D3) เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวม
ขอ้ มูล ไดแ้ ก่ แบบสัมภาษณ์สาหรับผูส้ ูงอายุ แนวทางคาถามสาหรับการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ขอ้ มูล
ดว้ ยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงเปรียบเทียบโดยใช้ paired t-test และวิเคราะห์เชิงเน้ือหา (content
analysis)

ผลการวจิ ยั พบวา่ ไดโ้ ปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพของผสู้ ูงอายทุ ่ีเป็นโรคความดนั โลหิตสูง
ที่พฒั นาข้ึน โดยกลุ่มท่ีไดร้ ับโปรแกรมสร้างเสริมสุขภาพมีความรู้เกี่ยวกบั โรคความดนั โลหิตสูงเพิ่ม
สูงข้ึน และพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของผสู้ ูงอายทุ ่ีเป็ นโรคความดนั โลหิตสูง สูงกวา่ ก่อนการ
ให้โปรแกรมอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติ (p<0.05) ท้งั น้ีเนื่องจากในโปรแกรมมีการให้ความสาคญั ท้งั
ผูป้ ่ วย ญาติ ผูด้ ูแลที่มีบทบาทในการกระตุน้ เตือนผูส้ ูงอายุในการปฏิบตั ิกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพ
อย่างต่อเนื่อง รวมท้งั ให้การดูแลเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพแก่ผูส้ ูงอายุท่ีเป็ นโรคความดนั โลหิตสูง
อยา่ งถูกตอ้ งและมีประสิทธิภาพ
คาสาคัญ: โปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพ ผสู้ ูงอายุ โรคความดนั โลหิตสูง

* นกั วชิ าการสาธารณสุขระดบั ชานาญการ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลสนามชยั
E-mail: [email protected]

The Journal of Boromarjonani College of Nursing, Suphanburi
Vol.4 No.2 July-December 2021 112

The Development of Health Promotion Program in older persons with Hypertension
at Khok Kho Thao Sub-District, Mueang District, Suphanburi Province
Pornpoj Boonyasit, M.P.H.
Abstract

This research is Research and Development. The objective is to develop and measure Health
Promotion programs used in older persons with Hypertension. The study process consists of 6 phases:
The first phase, the study of problem conditions by studying knowledge and health-promoting
behaviors of older persons with Hypertension (R2). The second phase, Developing a Health
Promotion Program for older persons with Hypertension (D1). The third phase, Tryout Health
Promotion Program in older persons with Hypertension (D1). The fourth phase, Improving the health
promotion program for older persons with Hypertension (Development: D2). The fifth phase, Tryout
Health Promotion Program in older persons with Hypertension (Research: R3). And the sixth phase,
Evaluating Health Promotion Program by a focus group discussion to reach a consensus on the
program (Development: D3). Instrumental was used for data collection such as interview forms for
older persons and Question Guide for focus group discussion. Data were analyzed with descriptive
statistics and comparative statistics using a paired t-test. Analyzing content using content analysis.

The result found that Health Promotion Program for older persons with Hypertension was
developed. The number of persons that received Health Promotion Program for older persons with
Hypertension group was increased in knowledge scores about hypertension knowledge. The Health
Promotion Behaviors of the older persons with Hypertension statistically significantly higher than
before received program (p<0.05). This is because in the program, there is an emphasis on both
patients, relatives, and carers who play a role in encouraging the older persons to practice continual
health promotion activities. including providing proper and effective health promotion for the elderly
with high blood pressure.
Keywords: Health Promotion Program Older persons Hypertension

บทนา The Journal of Boromarjonani College of Nursing, Suphanburi
ประ เทศไทย ได้ก้าวเข้าสู่ สังคม Vol.4 No.2 July-December 2021 113

ผูส้ ูงอายุ (aging society) ต้งั แต่ปี 2548 โดยมี 2559) ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั ปัญหาดา้ นสุขภาพของ
ประชากรอายุ 60 ปี ข้ึนไป ร้อยละ10.4 และ ผสู้ ูงอายขุ องโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล
คาดการณ์ว่าอีก 20 ปี ข้างหน้า สังคมไทยจะ โคกโคเฒ่า อาเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวดั
เป็ นสังคมผู้สู งอายุโดย ส มบู รณ์ ทาให้ สุพรรณบุรี จากอตั ราป่ วยด้วยโรคความดนั
อัตราส่วนพ่ึงพาของผู้สูงอายุ สู งข้ึนอย่าง โลหิตสูงที่มารับบริการท่ีมีผลการควบคุมโรค
หลีกเลี่ยงไม่ได้ (กรมสุ ขภาพจิต, 2563) ความดันโลหิตสูงตามเกณฑ์ ยอ้ นหลัง 3 ปี
แนวโน้มการเพิ่มข้ึนของผูส้ ูงอายุดังกล่าว มี (2560 - 2562) ร้อยละ 38.90, 44.61 และ 64.19
ผ ล ก ร ะ ท บ โ ด ย ต ร ง ต่ อ น โ ย บ า ย แ ล ะ ง า น ตามลาดบั และผลการคดั กรองความเส่ียงดา้ น
สาธารณสุขของประเทศ ผูส้ ูงอายุกลายเป็ น สุขภาพพ้ืนท่ีของหมู่ท่ี 3 บา้ นสามหน่อ และ
กลุ่มเป้าหมายที่สาคญั เนื่องจากเป็ นผูท้ ี่มีการ หมู่ที่ 4 บ้านลาดบัวขาว ตาบลโคกโคเฒ่า
เปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมถอย ท้งั ทางด้าน อาเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวดั สุพรรณบุรี
ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม สถานการณ์ พบว่า พบกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง
ผู้สูงอายุในจังหวดั สุพรรณบุรี มีแนวโน้ม จานวน 118 คนคิดเป็ นร้อยละ 20.85 และพบ
เพิ่มข้ึนจากร้อยละ 18.11 เป็ นร้อยละ 21.85 กลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน จานวน 15 คน คิดเป็ น
และร้อยละ 22.48 ใน 2558,2559 และ 2560 ร้อยละ 3.39 (รายงานประจาปี โรงพยาบาล
ตามลาดบั (กรมกิจการผสู้ ูงอาย,ุ 2564) ส่งเสริมสุขภาพตาบลโคกโคเฒ่า, 2562) ซ่ึง
ปัญหาดา้ นสุขภาพของผูส้ ูงอายุส่วนใหญ่เกิด
จากการประเมินความสามารถในการ จากการมีพฤติกรรมท่ีไม่ส่งเสริมสุขภาพ หรือ
ดาเนินชีวิตประจาวนั พบมีผูส้ ูงอายุกลุ่มติด มีพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพในระดบั
สังคม ร้อยละ 95.98 เพ่ิมข้ึนจากปี 2559
(ร้อยละ 93.77) กลุ่มติดบา้ นและติดเตียงร้อย ปัญหาผู้สูงอายุที่เป็ นโรคความดัน
ละ 4.02 ลดลงจากปี 2559 (ร้อยละ 6.22) โลหิ ตสู งของตาบลโคกโคเฒ่า พบเกิ ด
ผู้สู งอายุนับว่ามีความเสี่ ยงปัญหาสุ ขภาพ ภาวะแทรกซอ้ นของโรคจากพฤติกรรมการไม่
สูงสุด ไดแ้ ก่ โรคความดนั โลหิตสูง (ร้อยละ ส่งเสริมสุขภาพของผูส้ ูงอายุที่มีโรคความดนั
31.40) รองลงมา ไดแ้ ก่ หวั ใจและหลอดเลือด โลหิตสูง โดยพบว่ารับประทานอาหารที่มี
และขอ้ เข่าเส่ือม ร้อยละ 18.59,13.31 ตามลาดบั ลกั ษณะเค็ม หวาน มีไขมนั การออกกาลงั กาย
(มูลนิธิสถาบนั วิจยั และพฒั นาผูส้ ูงอายุไทย, ที่ไม่สม่าเสมอ และการมีสภาวะเครียดทาง
อารมณ์ ทาให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง
(Stroke) ส่งผลให้เกิดเกิดความพิการ จานวน

5 ราย (รายงานประจาปี โรงพยาบาลส่งเสริม The Journal of Boromarjonani College of Nursing, Suphanburi
สุขภาพตาบลโคกโคเฒ่า, 2562) นอกจากน้ี Vol.4 No.2 July-December 2021 114
องคก์ ารอนามยั โลกไดใ้ ห้การสนบั สนุนเร่ือง
ของพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพว่า การที่ วางแผนในการดาเนิ นงานด้านการส่ งเสริ ม
ผู้สู งอายุมีพฤติกรรมการปฏิบัติตัวท่ีไม่ สุขภาพ และแกไ้ ขปัญหาสุขภาพของผสู้ ูงอายุ
ส่งเสริมสุขภาพน้ี จะช่วยเร่งขบวนการต่างๆ ที่เป็นโรคความดนั โลหิตสูงตอ่ ไป
ในการเกิดพยาธิสภาพหรื อโรคต่างๆ ใน วตั ถุประสงค์การวจิ ัย
ผู้สู งอายุและทาให้อัตราการเสี ยชี วิตใน
ผูส้ ูงอายุเพ่ิมมากข้ึน (WHO, 1998) ดงั น้นั การ 1. เพ่อื พฒั นาโปรแกรมการสร้างเสริม
ส่งเสริมสุขภาพจึงมีความสาคญั และจาเป็ น สุขภาพผสู้ ูงอายทุ ี่เป็นโรคความดนั โลหิตสูง
อยา่ งยิง่ ต่อภาวะสุขภาพของผสู้ ูงอายุ และเป็ น
กลยุทธ์ท่ีจะช่วยให้ผู้สู งอายุมีสุ ขภาพดี 2. เพ่ือเปรียบเทียบความรู้เกี่ยวกบั โรค
สามารถดารงชีวิตได้ด้วยตนเองโดยไม่เป็ น ความดนั โลหิตสูงของผูส้ ูงอายุก่อนและหลัง
ภาระตอ่ ครอบครัวและสงั คม ไดร้ ับโปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายุ
ที่เป็นโรคความดนั โลหิตสูง
จากความสาคัญของปัญหาดังกล่าว
ผูว้ ิจยั จึงมีความสนใจท่ีจะศึกษาเก่ียวกับการ 3. เพอ่ื เปรียบเทียบการปฏิบตั ิกิจกรรม
พฒั นาโปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายุ การสร้างเสริมสุขภาพ ของผูส้ ูงอายุก่อนและ
ที่เป็ นโรคความดนั โลหิตสูง ตาบลโคกโคเฒ่า หลงั ไดร้ ับการส่งเสริมสุขภาพผูส้ ูงอายุที่เป็ น
อาเภอเมืองสุพรรณบุรี จงั หวดั สุพรรณบุรีที่มา โรคความดนั โลหิตสูง
รั บบริ การในคลิ นิ กโรคเร้ื อรั งโรงพยา บ า ล ขอบเขตของการวธิ ีวจิ ัย
ส่งเสริมสุขภาพตาบลโคกโคเฒ่า ซ่ึงโรคความ
ดนั โลหิตสูงเป็ นโรคเร้ือรังท่ีอยูอ่ นั ดบั ตน้ ของ ด้านเนื้อหา
ผูส้ ูงอายุท่ีมารับบริการในคลินิกโรคเร้ื อรัง การวิจัยคร้ังน้ี มีวตั ถุประสงค์เพ่ือ
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลโคกโคเฒ่า พัฒนาโปรแกรมการสร้างเสริ มสุ ขภาพ
อาเภอเมืองสุพรรณบุรี จงั หวดั สุพรรณบุรี โดย ผูส้ ูงอายุที่เป็ นโรคความดันโลหิตสูง ตาบล
ประยุกต์ใช้แนวคิดของเพนเดอร์ (Pender, โคกโคเฒ่า อาเภอเมืองสุพรรณบุรี จงั หวดั
2006) เป็ นกรอบแนวคิดในการศึกษา ท้งั น้ีผล สุพรรณบุรี ตามแนวคิดการสร้างเสริมสุขภาพ
ของการวิจัยในคร้ังน้ี เพื่อนาไปใช้ในการ ของเพนเดอร์ 6 ด้าน ( Pender et al.,2006)
ประกอบดว้ ย ดา้ นความรับผิดชอบต่อสุขภาพ
ด้านการออกกาลงั กาย ด้านโภชนาการ ด้าน
การมีปฏิสัมพนั ธ์กบั บุคคลอ่ืน ดา้ นการพฒั นา
ด้านจิตวิญญาณ และด้านการจัดการกับ
ความเครียดของผูส้ ูงอายุท่ีเป็ นโรคความดัน
โลหิตสูง

ด้ า นพื้นที่และ ระ ยะ เวลาใ นก ารวิจั ย The Journal of Boromarjonani College of Nursing, Suphanburi
Vol.4 No.2 July-December 2021 115
พ้ืนที่ในการวิจยั คร้ังน้ี คือ เขตพ้ืนที่ตาบลโคก
3. ระยะท่ี 6 ประชากรและก ลุ่ ม
โคเฒ่า อาเภอเมืองสุ พรรณบุรี จังหวัด ตวั อยา่ งคือ เจา้ หนา้ ท่ีของโรงพยาบาลส่งเสริม
สุ ข ภ า พ ต า บ ล โ ค ก โ ค เ ฒ่ า อ า เ ภ อ เ มื อ ง
สุพรรณบุรี และระยะเวลาที่ใชใ้ นการวิจยั เริ่ม สุพรรณบุรี จงั หวดั สุพรรณบุรี
กรอบแนวคดิ ของการวจิ ัย
ต้งั แตเ่ ดือน มกราคม 2563 ถึงตุลาคม 2563
การศึกษาน้ีเป็ นการวิจัยและพัฒนา
ด้านประชากร (Research and Development) มีวตั ถุประสงค์
เพ่ือพฒั นาโปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพ
ประชากรแบ่งได้ออกเป็ น 2 กลุ่ม ผู้สู ง อ า ยุ ท่ี เ ป็ น โ ร ค ค ว า ม ดัน โ ล หิ ต สู ง
ตามระยะของการวจิ ยั ดงั น้ี ประกอบด้วย 6 ระยะ ระยะที่ 1 การศึกษา
สภาพปัญหา ปัญหาโดยการศึกษาความรู้และ
1. ระยะท่ี 1 ระยะที่ 3 ประชากรและ พฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพผูส้ ูงอายุที่
กลุ่มตวั อยา่ งคือ ผสู้ ูงอายทุ ี่มีอายตุ ้งั แต่ 60 ปี ข้ึน เป็ นโรคความดันโลหิตสูง (R1) ระยะที่ 2
ไป ที่เป็ นโรคความดนั โลหิตสูง ตาบลโคกโค พัฒนาโปรแกรมการสร้าง เสริ มสุ ขภาพ
เฒ่า อาเภอเมืองสุพรรณบุรี จงั หวดั สุพรรณบุรี ผูส้ ูงอายุท่ีเป็ นโรคความดันโลหิตสูง (D1)
ท่ีมารับบริการที่คลินิกโรคเร้ือรังโรงพยาบาล ระยะที่ 3 ทดลองโปรแกรมการสร้างเสริม
ส่งเสริมสุขภาพตาบลโคกโคเฒ่า อาเภอเมือง สุขภาพผูส้ ูงอายุที่เป็ นโรคความดนั โลหิตสูง
สุพรรณบุรี จงั หวดั สุพรรณบุรี (research: R2) ระยะท่ี 4 ปรับปรุงโปรแกรม
การสร้างเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ี่เป็ นโรคความ
2. ระยะที่ 5 ประชากรและก ลุ่ ม ดันโลหิ ตสู ง (development: D2) ระยะท่ี 5
ตวั อย่างคือ ผูส้ ูงอายุที่มีอายุต้งั แต่ 60 ปี ข้ึนไป ทดลองใช้โปรแกรมการสร้ างเสริ มสุ ขภาพ
ที่เป็ นโรคความดนั โลหิตสูง ตาบลโคกโคเฒ่า ผู้สู ง อ า ยุ ท่ี เ ป็ น โ ร ค ค ว า ม ดัน โ ล หิ ต สู ง
อาเภอเมืองสุพรรณบุรี จงั หวดั สุพรรณบุรี ท่ีมา (research: R3) ระยะที่ 6 ประเมินโปรแกรม
รับบริ การท่ีคลินิกโรคเร้ื อรังโรงพยาบาล การสร้างเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ี่เป็ นโรคความ
ส่งเสริมสุขภาพตาบลโคกโคเฒ่า อาเภอเมือง ดันโลหิ ตสู งโดยการสนทนากลุ่ มเพื่อให้ได้
สุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี และผู้ดูแล ข้ อ ต ก ล ง ร่ ว ม กั น เ กี่ ย ว กั บ โ ป ร แ ก ร ม
ผูส้ ูงอายุที่มีอายุต้งั แต่ 60 ปี ข้ึนไป ท่ีเป็ นโรค (development: D3) ดังแสดงในแผนภาพท่ี 1
ความดันโลหิตสูง ตาบลโคกโคเฒ่า อาเภอ ดงั น้ี
เมืองสุพรรณบุรี จงั หวดั สุพรรณบุรี ท่ีมารับ
บริการท่ีคลินิกโรคเร้ือรังโรงพยาบาลส่งเสริม
สุ ข ภ า พ ต า บ ล โ ค ก โ ค เ ฒ่ า อ า เ ภ อ เ มื อ ง
สุพรรณบุรี จงั หวดั สุพรรณบุรี

The Journal of Boromarjonani College of Nursing, Suphanburi
Vol.4 No.2 July-December 2021 116

ระยะท่ี 1 การศึกษาสภาพปัญหา ศึกษาเอกสาร และงานวจิ ยั ระยะที่ 2 พฒั นาโปรแกรมการสร้าง
ปัญหาโดยการศึกษาความรู้และ ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การการ เสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ่ีเป็ นโรคความดนั
พฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ ส่งเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ่ี โลหิตสูง ( (D1)
ผสู้ ูงอายทุ ี่เป็นโรคความดนั โลหิต เป็ นโรคความดนั โลหิตสูง
สูง (R1)

ระยะท่ี 4 ปรับปรุงโปรแกรมการสร้างเสริม ระยะที่ 3 ทดลองโปรแกรมการสร้างเสริม
สุขภาพผสู้ ูงอายทุ ่ีเป็ นโรคความดนั โลหิตสูง สุขภาพผสู้ ูงอายทุ ่ีเป็ นโรคความดนั โลหิต
(development: D2) สูง (research :R2)

ระยะที่ 5 ทดลองใชโ้ ปรแกรมการสร้าง ระยะที่ 6 ประเมินโปรแกรมการสร้าง
เสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ี่เป็ นโรคความดนั เสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ี่เป็ นโรคความดนั
โลหิตสูง (research: R3) โลหิตสูงโดยการสนทนากลมุ่ เพอื่ ใหไ้ ด้
ขอ้ ตกลงร่วมกนั เก่ียวกบั โปรแกรม
แผนภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั (development: D3)

โปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายุ
ท่ีเป็นโรคความดนั โลหิตสูง

วธิ ีดาเนินการวจิ ัย The Journal of Boromarjonani College of Nursing, Suphanburi
Vol.4 No.2 July-December 2021 117
ประชากรท่ีศึกษา ประชากรแบ่งได้
ออกเป็น 2 กลุ่ม ตามระยะของการวจิ ยั ดงั น้ี สุพรรณบุรี จานวน 50 คน โดยมีเกณฑ์คดั เขา้
คือ เป็ นผูด้ ูแลผูส้ ูงอายเุ ป็ นประจาและยินดีเขา้
1. ระยะท่ี 1 การศึกษาสภาพปัญหา ร่วมในโครงการวจิ ยั
ระยะที่ 3 ทดลองการใช้โปรแกรมการสร้าง
เสริมสุขภาพคร้ังท่ี 1 และระยะที่ 5 ทดลองใช้ 3. ระยะที่ 6 ประเมินโปรแกรมการ
โปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพคร้ังท่ี 2 การ สร้างเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายุท่ีเป็ นโรคความดนั
วิจัยคร้ังน้ี ศึกษาปรพชากรท้ังหมด โดย โลหิตสูง โดยการสนทนากลุ่มผูใ้ ชโ้ ปรแกรม
ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง คือ ผสู้ ูงอายทุ ี่มีอายุ เพ่ือใหไ้ ดข้ อ้ ตกลงร่วมกนั เก่ียวกบั โปรแกรมท่ี
ต้งั แต่ 60 ปี ข้ึนไป ที่เป็ นโรคความดนั โลหิตสูง เหมาะสมสาหรับการนาไปใชต้ ่อไปประชากร
ตาบลโคกโคเฒ่า อาเภอเมืองสุ พรรณบุรี และกลุ่มตวั อยา่ งคือ เจา้ หนา้ ที่ของโรงพยาบาล
จงั หวดั สุพรรณบุรี ท่ีมารับบริการที่คลินิกโรค ส่งเสริมสุขภาพตาบลโคกโคเฒ่า อาเภอเมือง
เร้ื อรังโรงพยาบาลส่ งเสริ มสุ ขภาพตาบลโคก สุพรรณบุรี จงั หวดั สุพรรณบุรี จานวน 4 คน
โคเฒ่า อาเภอเมืองสุ พรรณบุรี จังหวัด เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในงานวจิ ัย
สุพรรณบุรี จานวน 50 คน
ระยะท่ี 1 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บ
2. ระยะที่ 5 ทดลองการใชโ้ ปรแกรม รวบรวมขอ้ มูล ไดแ้ ก่
การสร้างเสริมสุขภาพคร้ังที่ 2
1. แบบสัมภาษณ์ความรู้เก่ียวกบั โรค
2.1 การวิจัยศึกษาประชากรท้งั หมด ความดนั โลหิตสูงผูส้ ูงอายุท่ีเป็ นโรคความดนั
คือ ผูส้ ูงอายุที่มีอายุต้งั แต่ 60 ปี ข้ึนไป ที่เป็ น โลหิตสูง ที่ผวู้ จิ ยั ผวู้ จิ ยั พฒั นาจากเครื่องมือวิจยั
โรคความดนั โลหิตสูง ตาบลโคกโคเฒา่ อาเภอ ของของ สมรัตน์ ขามาก (2559) โดยได้
เมืองสุพรรณบุรี จงั หวดั สุพรรณบุรี ท่ีมารับ ทบทวนวรรณกรรม ศึกษาจากตารา เอกสาร
บริการที่คลินิกโรคเร้ือรังโรงพยาบาลส่งเสริม รายงานการวิจัยต่างๆ เพิ่มเติมเพื่อความ
สุ ข ภ า พ ต า บ ล โ ค ก โ ค เ ฒ่ า อ า เ ภ อ เ มื อ ง สมบูรณ์และเหมาะสมกับการวิจยั ในคร้ังน้ี
สุพรรณบุรี จงั หวดั สุพรรณบุรี จานวน 50 คน ประกอบด้วย ข้อคาถามจานวน 16 ข้อเป็ น
แบบเลือกตอบถูกหรือผดิ
2.2 ญาติหรือผู้ดูแลผูส้ ูงอายุที่มีอายุ
ต้งั แต่ 60 ปี ข้ึนไป ที่เป็ นโรคความดนั โลหิตสูง 2. แบบสัมภาษณ์พฤติกรรมการสร้าง
ตาบลโคกโคเฒ่า อาเภอเมืองสุ พรรณบุรี เสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ี่เป็ นโรคความดนั โลหิต
จงั หวดั สุพรรณบุรี ที่มารับบริการที่คลินิกโรค สูง ท่ีผูว้ ิจยั พฒั นาจากเครื่องมือวิจยั ของของ
เร้ื อรังโรงพยาบาลส่ งเสริ มสุ ขภาพตาบลโคก ภราดา บุราณสาร (2546) และของพนมมาศ
โคเฒ่า อาเภอเมืองสุ พรรณบุรี จังหวัด สุภีคา (2551) โดยได้ทบทวนวรรณกรรม
ศึกษาจากตารา เอกสาร รายงานการวจิ ยั ต่างๆ

เพ่ิมเติมเพื่อความสมบูรณ์และเหมาะสมกับ The Journal of Boromarjonani College of Nursing, Suphanburi
การวิจัยในคร้ังน้ี แนวคิดการสร้างเสริ ม Vol.4 No.2 July-December 2021 118
สุ ข ภ า พ ข อ ง เ พ น เ ด อ ร์ 6 ด้า น ( Pender
et al.,2006) ประกอบด้วย ส่ วนที่ 1 ข้อมูล 2.1 แบบสัมภาษณ์ความรู้เกี่ยวกบั โรค
ท่ัวไป ส่วนท่ี 2 พฤติกรรมการสร้างเสริ ม ความดนั โลหิตสูงผูส้ ูงอายุที่เป็ นโรคความดนั
สุขภาพดา้ นความรับผดิ ชอบตอ่ สุขภาพ ส่วนท่ี โลหิตสูง
3 พฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพด้านการ
ออกกาลังกาย ส่วนที่ 4 พฤติกรรมการสร้าง 2.2 แบบสัมภาษณ์พฤติกรรมการ
เสริ มสุ ขภาพด้านโภชนาการ ส่ วนที่ 5 สร้างเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ี่เป็นโรคความดนั
พฤติกรรมการสร้ างเสริ มสุ ขภาพด้านการมี โลหิตสูง
ปฏิสัมพนั ธ์กบั บุคคลอื่น ส่วนท่ี 6 พฤติกรรม
ระยะที่ 5
การสร้างเสริมสุขภาพดา้ นการพฒั นาดา้ นจิต 1. เครื่องมือท่ีใชใ้ นการดาเนินการวิจยั
วิญญาณ และส่วนท่ี 7 พฤติกรรมการสร้าง ได้แก่ โปรแกรมการสร้างเสริ มสุ ขภาพ
เสริมสุขภาพด้านการจดั การกบั ความเครียด ผูส้ ูงอายุท่ีเป็ นโรคความดนั โลหิตสูง ซ่ึงผูว้ ิจยั
และเอกสารงานวิจยั ที่เก่ียวขอ้ งกบั ทฤษฎีการ พฒั นาข้ึนจากการศึกษา ค้นควา้ จากเอกสาร
สร้างเสริมสุขภาพ ตาราและงานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ ง ประกอบดว้ ย 2
กิจกรรม ดงั น้ี
ระยะที่ 3 กิจกรรมที่ 1 การใหค้ วามรู้ร่วมกบั สื่อ
1. เครื่องมือท่ีใชใ้ นการดาเนินการวิจยั การสอนทางวดี ีทศั นแ์ ก่ผสู้ ูงอายทุ ี่เป็นโรค
ได้แก่ โปรแกรมการสร้างเสริ มสุ ขภาพ ความดนั โลหิตสูง และผดู้ ูแลเกี่ยวกบั การสร้าง
ผูส้ ูงอายุท่ีเป็ นโรคความดนั โลหิตสูง ซ่ึงผูว้ ิจยั เสริมสุขภาพท้งั 6 ดา้ น โดยใชส้ ่ือสุขภาพ แผน่
พฒั นาข้ึนจากการศึกษา ค้นควา้ จากเอกสาร พบั โปสเตอร์ โมเดลอาหาร มีการเพม่ิ การให้
ตาราและงานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ ง ประกอบดว้ ย 2 ความรู้กบั ญาติ หรือผดู้ ูแลร่วมดว้ ย
กิจกรรม คือ กิจกรรมท่ี 1 การใหค้ วามรู้ร่วมกบั กิจกรรมที่ 2 ติดตามเยี่ยมผูส้ ูงอายุท่ี
ส่ือการสอนทางวีดีทศั น์แก่ผูส้ ูงอายุที่เป็ นโรค เป็ นโรคความดันโลหิ ตสู งท่ีบ้านโดยใช้
ความดนั โลหิตสูง และผูด้ ูแลเก่ียวกบั การสร้าง นวตั กรรมประกอบดว้ ย นวตั กรรม “แผน่ เยย่ี ม
เสริมสุขภาพท้งั 6 ดา้ น โดยใชส้ ่ือสุขภาพ แผน่ บา้ น ตา้ นความดนั ” ร่วมกบั ใช้เคร่ืองวดั ความ
พบั โปสเตอร์ โมเดลอาหาร เค็มของอาหารท่ีรับประทาน ติดตามการออก
2. เคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม กาลงั กายโดยการแกวง่ แขน ท้งั น้ีมีการเพ่ิมการ
ขอ้ มูล ไดแ้ ก่ ติดตามเย่ียมจาก 1 คร้ัง/เดือนเป็ น 1 คร้ัง/
สปั ดาห์ จานวน 4 คร้ัง ในระยะเวลา 1 เดือน

2. เคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม The Journal of Boromarjonani College of Nursing, Suphanburi
ขอ้ มูล ไดแ้ ก่ Vol.4 No.2 July-December 2021 119

2.1 แบบสัมภาษณ์ความรู้เก่ียวกบั โรค ความตรง (validity) และใหค้ วามเห็นชอบดา้ น
ความดนั โลหิตสูงผูส้ ูงอายุที่เป็ นโรคความดนั ความตรงเชิงเน้ือหา (content validity) หาค่า
โลหิตสูง ดัช นี ค ว า ม ส อ ด ค ล้อ ง ข อ ง ข้อ ส อ บ กับ
จุ ดประ ส งค์ (The Index of Item Objective
2.2 แบบสัมภาษณ์พฤติกรรมการ Congruence หรือ IOC) ซ่ึงตอ้ งไม่ต่ากว่า 0.5
สร้างเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ่ีเป็นโรคความดนั ในแต่ละขอ้ หลงั จากผูท้ รงคุณวุฒิไดพ้ ิจารณา
โลหิตสูง แลว้ ผูว้ จิ ยั นาแบบสัมภาษณ์มาปรับปรุงแกไ้ ข
ให้เหมาะสมตามคาแนะนาของผูท้ รงคุณวุฒิ
ระยะที่ 6 เคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บ ก่อนนาไปทดลองใช้ และตรวจสอบความ
ร ว บ ร ว ม ข้อ มู ล คื อ แ บ บ สั ม ภ า ษ ณ์ ก่ึ ง เท่ียงของเครื่องมือ โดยนาแบบสัมภาษณ์ท่ี
โครงสร้างเพื่อใช้ในการสนทนากลุ่ม (focus ปรับปรุงแกไ้ ขแลว้ ไปทดลองใช้ (try out) กบั
group) ผูส้ ูงอายุที่มีอายุต้งั แต่ 60 ปี ข้ึนไป ที่เป็ นโรค
การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ ความดนั โลหิตสูง ที่มารับบริการที่คลินิกโรค
เร้ือรังโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลดอน
1. เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการดาเนินการวิจยั มะสังข์ อาเภอเมืองสุ พรรณบุรี จังหวัด
ไดแ้ ก่ โปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายุท่ี สุพรรณบุรี จานวน 30 คน เพื่อวิเคราะห์หา
เป็ นโรคความดันโลหิตสูง ตรวจสอบความ ความเท่ียง (reliability) ของแบบสัมภาษณ์ โดย
ต ร ง ต า ม เ น้ื อ ห า ( content validity) จ า ก ไดค้ า่ reliability เทา่ กบั .78 และ .86 ตามลาดบั
ผูท้ รงคุณวุฒิ 5 คน และปรับปรุงแก้ไขตาม การพทิ กั ษ์สิทธิของกลุ่มตัวอย่าง
ขอ้ เสนอแนะของผเู้ ชี่ยวชาญ
การศึกษาคร้ังน้ีผ่านการพิจารณา
2. แบบสัมภาษณ์ความรู้เกี่ยวกบั โรค เห็นชอบจากคณะกรรมการจริยธรรมการวจิ ยั
ความดันโล หิ ตสู ง แล ะ แบบสัมภา ษ ณ์ ในมนุษย์ สานักงานสาธารณสุ ขจังหวัด
พฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพผูส้ ูงอายุที่เป็ น สุ พรรณบุรี กระทรวงสาธารณสุ ข ได้รับ
โรคความดันโลหิตสูง ตรวจสอบความตรง ใบรับรองเลขที่ 35/2563 เพอ่ื ใหด้ าเนินการเก็บ
ของเครื่องมือ โดยตรวจสอบคุณภาพ เคร่ืองมือ ขอ้ มูล ผูว้ ิจยั พิทกั ษส์ ิทธิของกลุ่มตวั อยา่ งโดย
ด้านความตรงเชิงเน้ือหา (content validity) ช้ีแจงวตั ถุประสงค์ของการวิจยั ข้นั ตอนการ
โดยให้ผู้ทรงคุณวุฒิ จานวน 3 ท่าน เป็ นผู้ เก็บรวบรวมขอ้ มูล ประโยชน์หรือผลกระทบท่ี
ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือการวิจัย ความ อาจเกิดข้ึนจากการเขา้ ร่วมโครงการวจิ ยั ในคร้ัง
เหมาะสมของภาษา (wording) ตรวจสอบ

น้ี และเปิ ดโอกาสให้ผูเ้ ขา้ ร่วมโครงการวิจยั ได้ The Journal of Boromarjonani College of Nursing, Suphanburi
ซกั ถามขอ้ สงสัยต่าง ๆ ก่อนลงนามยินยอมเขา้ Vol.4 No.2 July-December 2021 120
ร่ วมโครงการวิจัยด้วยความเต็มใจ และ
ผูเ้ ขา้ ร่วมโครงการวิจยั สามารถถอนตัวออก ดา้ นการออกกาลงั กาย การสร้างเสริมสุขภาพ
จากการวจิ ยั ไดท้ ุกเวลาโดยไม่ตอ้ งช้ีแจงเหตุผล ดา้ นโภชนาการ การสร้างเสริมสุขภาพดา้ นการ
ให้ผูว้ ิจยั ทราบ โดยการถอนตวั ออกจากการ มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอ่ืน การสร้างเสริ ม
วิจัยไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อตัวเข้าร่ วม สุขภาพด้านการพฒั นาด้านจิตวิญญาณ และ
โครงการวิจยั หรือญาติท้งั สิ้น นอกจากน้ีขอ้ มูล การสร้างเสริ มสุ ขภาพด้านการจัดการกับ
ท้งั หมดในการวิจยั จะนาเสนอในภาพรวม ไม่ ความเครียด และ 2) แบบสัมภาษณ์พฤติกรรม
สามารถสืบคน้ ขอ้ มูลเป็นรายบุคคลได้ การสร้างเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ี่เป็ นโรคความ
ข้นั ตอนการดาเนินงานวจิ ัย ดันโลหิ ตสู ง ตามแนวคิดการสร้างเสริ ม
สุขภาพของเพนเดอร์ 6 ด้าน (Pender et al.,
ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัญหาโดย 2006) ประกอบด้วย การสร้างเสริมสุขภาพ
ศึ ก ษ า ค วา ม รู้ เก่ี ย วกับ โรค ควา มดันโล หิ ตสู ง ดา้ นความรับผดิ ชอบตอ่ สุขภาพ การสร้างเสริม
และพฤติกรรมการสร้างเสริ มสุขภาพของ สุขภาพดา้ นการออกกาลงั กาย การสร้างเสริม
สุขภาพดา้ นโภชนาการ การสร้างเสริมสุขภาพ
ผูส้ ูงอายุที่เป็ นโรคความดันโลหิตสูง ตาบล ด้านการมีปฏิสัมพนั ธ์กบั บุคคลอ่ืน การสร้าง
โคกโคเฒ่า อาเภอเมืองสุพรรณบุรี จงั หวดั เสริมสุขภาพด้านการพฒั นาด้านจิตวิญญาณ
สุ พรรณบุรี โดยการสารวจความรู้ และ และการสร้างเสริมสุขภาพดา้ นการจดั การกบั
ความเครียด
พฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพผูส้ ูงอายุท่ีเป็ น
โรคความดนั โลหิตสูง ตาบลโคกโคเฒา่ อาเภอ ระยะที่ 2 พฒั นาโปรแกรมการสร้าง
เมืองสุพรรณบุรี จงั หวดั สุพรรณบุรี ท่ีมารับ เสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ี่เป็ นโรคความดนั โลหิต
บริการที่คลินิกโรคเร้ือรังโรงพยาบาลส่งเสริม สูง ประกอบดว้ ย 1) ให้ความรู้ร่วมกบั ส่ือการ
สุ ข ภ า พ ต า บ ล โ ค ก โ ค เ ฒ่ า อ า เ ภ อ เ มื อ ง สอนทางวิดีทศั น์แก่ผูส้ ูงอายุที่เป็ นโรคความ
ดนั โลหิตสูง 2) ติดตามเยี่ยมผสู้ ูงอายุที่เป็ นโรค
สุพรรณบุรี ใช้แบบสัมภาษณ์จานวน 2 ชุด ค ว า ม ดัน โล หิ ต สู ง ที่ บ้าน โด ย ใช้น ว ัต กรรม
ได้แก่ 1) แบบสัมภาษณ์ความรู้เก่ียวกับโรค ประกอบดว้ ย นวตั กรรม “แผน่ เย่ยี มบา้ น ตา้ น
ความดนั โลหิตสูงผูส้ ูงอายุที่เป็ นโรคความดนั ความดนั ” ร่วมกบั ใช้เคร่ืองวดั ความเค็มของ
อาหารท่ีรับประทาน ติดตามการออกกาลงั กาย
โลหิ ตสู งตามแนวคิดการสร้างเสริ มสุ ข ภาพ โดยการแกว่งแขน ท้งั น้ีติดตามเย่ียม 1 คร้ัง/
ของเพนเดอร์ 6 ด้าน (Pender et al., 2006) เดือน จานวน 1 คร้ัง ในระยะเวลา 1 เดือน
ประกอบดว้ ย การสร้างเสริมสุขภาพดา้ นความ
รับผิดชอบต่อสุขภาพ การสร้างเสริมสุขภาพ

ระยะที่ 3 ทดลองโปรแกรมการสร้าง The Journal of Boromarjonani College of Nursing, Suphanburi
เสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ่ีเป็นโรคความดนั โลหิต Vol.4 No.2 July-December 2021 121
สูง กบั ผสู้ ูงอายทุ ่ีเป็นโรคความดนั โลหิตสูง
ตาบลโคกโคเฒ่า อาเภอเมืองสุพรรณบุรี สูง ท่ีพฒั นาปรับปรุง กบั ผสู้ ูงอายทุ ี่เป็นโรค
จงั หวดั สุพรรณบุรี ที่มารับบริการที่คลินิกโรค ความดนั โลหิตสูง ตาบลโคกโคเฒ่า อาเภอ
เร้ือรังโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลโคก เมืองสุพรรณบุรี จงั หวดั สุพรรณบุรี ท่ีมารับ
โคเฒา่ อาเภอเมืองสุพรรณบุรี บริการท่ีคลินิกโรคเร้ือรังโรงพยาบาลส่งเสริม
สุขภาพตาบลโคกโคเฒา่ อาเภอเมือง
ระยะท่ี 4 ปรับปรุงโปรแกรมการ สุพรรณบุรี และญาติหรือผดู้ ูแล
สร้างเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ่ีเป็นโรคความดนั
โลหิตสูง โดยการวเิ คราะห์ปัญหา อุปสรรค ระยะท่ี 6 ประเมินโปรแกรมการสร้าง
และผลลพั ธ์จากการใชโ้ ปรแกรมกบั เสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ี่เป็ นโรคความดนั โลหิต
กลุ่มเป้าหมาย โดยมีการปรับปรุงโปรแกรม สูง โดยการสนทนากลุ่มผูใ้ ชโ้ ปรแกรมเพ่ือให้
ดงั น้ี ได้ข้อตกลงร่ วมกันเก่ียวกับโปรแกรมท่ี
เหมาะสมสาหรับการนาไปใชต้ อ่ ไป
กิจกรรมท่ี 1 ให้ความรู้ร่วมกบั ส่ือการ การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
สอนทางวิดีทศั น์แก่ผูส้ ูงอายุที่เป็ นโรคความ
ดันโลหิตสูง และเพิ่มการให้ความรู้กับญาติ ก า ร ศึ ก ษ า วิ จัย ใ น ค ร้ ั ง น้ ี เ พื่ อ พ ัฒ น า
หรือผดู้ ูแล โปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ี่เป็ น
โรคความดนั โลหิตสูง ระยะท่ี 1 ระยะที่ 3 และ
กิจกรรมท่ี 2 ติดตามเยี่ยมผูส้ ูงอายุท่ี ระยะที่ 5 ผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนินตามข้นั ตอน ดงั น้ี
เป็ นโรคความดันโลหิ ตสู งที่บ้านโดยใช้
นวตั กรรมประกอบดว้ ย นวตั กรรม “แผน่ เยีย่ ม 1. จัดประชุมช้ีแจงเจ้าหน้าที่ใน
บา้ น ตา้ นความดนั ” ร่วมกบั ใช้เครื่องวดั ความ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลโคกโคเฒ่า
เค็มของอาหารท่ีรับประทาน ติดตามการออก อาเภอเมืองสุพรรณบุรี เพื่อทาความเขา้ ใจที่
กาลังกายโดยการแกว่งแขน ท้ังน้ีเพิ่มการ ต ร ง กัน ใ น เ น้ื อ ห า ข อ ง แ บ บ สั ม ภ า ษ ณ์ แ ล ะ
ติดตามเยี่ยมจาก 1 คร้ัง/เดือน จานวน 1 คร้ัง วธิ ีการสัมภาษณ์ผสู้ ูงอายุ ก่อนเกบ็ ขอ้ มูลจริง
ในระยะเวลา 1 เดือน เป็ น1 คร้ัง/สัปดาห์
จานวน 4 คร้ัง ในระยะเวลา 1 เดือน 2. เก็บข้อมูลผูส้ ูงอายุกลุ่มเป้าหมาย
ที่มารับบริการท่ีคลินิกโรคเร้ือรังโรงพยาบาล
ระยะท่ี 5 ทดลองโปรแกรมการสร้าง ส่งเสริมสุขภาพตาบลโคกโคเฒ่า อาเภอเมือง
เสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ่ีเป็นโรคความดนั โลหิต สุพรรณบุรี จงั หวดั สุพรรณบุรี เพื่อขอความ
ร่วมมือในการตอบแบบสัมภาษณ์

3. ดาเนินการเก็บข้อมูลในเดือน
มกราคม - ตุลาคม 2563 และตรวจสอบความ

ถูกต้องครบถ้วนของแบบสัมภาษณ์แล้วจึง The Journal of Boromarjonani College of Nursing, Suphanburi
Vol.4 No.2 July-December 2021 122
นาไปวเิ คราะห์ขอ้ มูล
36.00 ตามลาดบั ) สถานภาพสมรส ส่วนมาก
ระยะที่ 6 ประเมินโปรแกรมการสร้าง สมรสคู่ รองลงมา หมา้ ย/หย่า/แยก (ร้อยละ
เสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ี่เป็ นโรคความดนั โลหิต 60.00, 32.00 ตามลาดบั ) ระดบั การศึกษา ส่วน
สูง ในเดือนธันวาคม 2563 โดยการสนทนา ใหญ่จบการศึกษาระดบั ประถมศึกษา รองลง
กลุ่มผูใ้ ช้โปรแกรมเพ่ือให้ไดข้ อ้ ตกลงร่วมกนั ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ร้อยละ 80.00,
เก่ียวกับโปรแกรมท่ีเหมาะสมสาหรับการ 16.00 ตามลาดบั ) ส่วนมากไม่ทางาน รองลงมา
นาไปใชต้ อ่ ไป ประกอบอาชีพเกษตรกร/ ทาสวน/ ทาไร่ (ร้อย
การวเิ คราะห์ข้อมูล ละ 40.00, 38.00 ตามลาดบั ) มีรายไดต้ ่อเดือน
น้อยกว่าหรื อเท่ากับ 5,000 บาท รองลงมา
ขอ้ มูลจากแบบสัมภาษณ์วิเคราะห์ดว้ ย 5,001-10,000 บ า ท ( ร้ อ ย ล ะ 82.00, 16.00
โปรแกรมสาเร็ จรู ปโดยกาหนดความมี ตามลาดบั ) เป็ นผูท้ ่ีมีโรคประจาตวั อื่นๆ ร่วม
นยั สาคญั ที่ระดบั .05 ข้นั ตอนการวิเคราะห์มี ดว้ ย ร้อยละ 78.00 ส่วนใหญ่เป็ นโรคไขมนั ใน
ลาดบั ดงั น้ี เลือดสูง ร้อยละ 30.00 รองลงมาโรคเบาหวาน
ร้อยละ 22.00
1. ข้อมูลทั่วไปของผู้สู งอายุ การ
วิ เ ค ร า ะ ห์ ข้อ มู ล โ ด ย ใ ช้ ส ถิ ติ เ ชิ ง พ ร ร ณ น า 2. สภาพปัญหาความรู้เก่ียวกับโรค
ค วา ม ดันโล หิ ตสู ง แล ะ พ ฤ ติ กรรม ก า รส ร้ าง
ประกอบด้วย ข้อมูลทวั่ ไปวิเคราะห์ด้วย ค่า เสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ่ีเป็ นโรคความดนั โลหิต
ร้อยละ มัชฌิมาเลขคณิ ต ส่ วนเบ่ียงเบน สูง

มาตรฐาน 2.1 สภาพปัญหาความรู้เก่ียวกับโรค
ความดนั โลหิตสูงของผสู้ ูงอายทุ ่ีเป็ นโรคความ
2. เปรียบเทียบความรู้และพฤติกรรม ดันโลหิตสูง ตาบลโคกโคเฒ่า อาเภอเมือง
สุพรรณบุรี จงั หวดั สุพรรณบุรี ผลการวเิ คราะห์
ส่งเสริมสุขภาพ ของผูส้ ูงอายุก่อนและหลัง พบว่า ความรู้ของผูส้ ูงอายุท่ีเป็ นโรคความดนั
โลหิตสูงมีความรู้เกี่ยวกบั โรคความดนั โลหิต
ไดร้ ับการส่งเสริมสุขภาพผูส้ ูงอายุที่เป็ นโรค สูงในระดับ ปานกลาง–ดีมาก โดยมีคะแนน
เฉลี่ยเท่ากบั 13.18 คะแนนจากคะแนนเตม็ 16
ความดนั โลหิตสูงดว้ ยสถิติ paired t-test คะแนน และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ
1.966 คะแนน โดยผสู้ ูงอายุ ร้อยละ 100 รับรู้วา่
3. ข้อมูลที่ได้จากการสนทนากลุ่ม
วิเค รา ะ ห์ ข้อ มู ล โ ดย ใ ช้ก า รวิเ ค รา ะ ห์ เ น้ื อ ห า
(content analysis)
ผลการวจิ ัย

1. ขอ้ มูลทวั่ ไปของกลุ่มตวั อยา่ ง
กลุ่มตวั อย่าง อายุส่วนมากอยู่ในช่วง

70-79 ปี คิด รองลงมา 60-69 ปี (ร้อยละ 48.00,

การกินยาตอ้ งรับประทานยาให้ตรงตามเวลา The Journal of Boromarjonani College of Nursing, Suphanburi
Vol.4 No.2 July-December 2021 123
ชนิดยา ขนาดยาตามท่ีแพทยส์ ั่ง และผสู้ ูงอายุ
ร้ อ ย ล ะ 9 4 รู้ ว่ า ค ว ร ห า วิ ธี ก า ร จัด ก า ร (คะแนนเฉลี่ยเท่ากบั 2.62 และส่วนเบ่ียงเบน
มาตรฐานเทา่ กบั 0.64)
ความเครียด เช่น ทาสมาธิ ดูหนัง ฟังเพลง
3.โปรแกรมการสร้ างเสริ มสุ ขภาพ
เท่ียว ทางานอดิเรก ปรึกษาคนสนิท เมื่อมี ของผูส้ ูงอายุท่ีเป็ นโรคความดนั โลหิตสูง โดย
ประยุกต์ใช้แนวคิดการส่ งเสริ มสุ ขภา พข อง
ความเครียด และผูเ้ ป็ นโรคความดนั โลหิตสูง เพนเดอร์ (Pender et.al., 2006) ประกอบดว้ ย

ควรงดสูบบุหร่ี กิจกรรมท่ี 1 ใหค้ วามรู้ร่วมกบั สื่อการ
สอนทางวดิ ิทศั น์
2.2 พฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ
ผูส้ ูงอายุท่ีเป็ นโรคความดันโลหิตสูง พบว่า 1.1) ใหค้ วามรู้ร่วมกบั สื่อการสอนทาง
ผู้สู งอายุท่ีเป็ นโรคความดันโลหิ ตสู ง มี วิดิทศั น์แก่ผูส้ ูงอายุท่ีเป็ นโรคความดนั โลหิต
พฤติกรรมการ สร้ างเสริ มสุ ขภาพด้านความ สู ง ที่ ม า รั บ บ ริ ก า ร ที่ ค ลิ นิ ก โ ร ค เ ร้ื อ รั ง
รับผิดชอบต่อสุขภาพอยู่ระดับปานกลาง มี โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลโคกโคเฒ่า
คะแนนเฉลี่ยเท่ากบั 2.95 คะแนน และส่วน อาเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวดั สุพรรณบุรี
เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากบั 0.57 คะแนน โดยมี จานวน 1 คร้ัง 6 ดา้ น คือ 1. ดา้ นโภชนาการ 2.
พฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพดา้ นการออก ด้านการออกกาลังกาย 3. ด้านสุ ขนิ สัย
กาลังกาย ระดับปานกลาง (คะแนนเฉลี่ย ประจาวนั 4. ดา้ นความรับผิดชอบต่อสุขภาพ
เท่ากับ 2.59 และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 5. ดา้ นการมีปฏิสัมพนั ธ์กบั บุคคลอื่น 6. ดา้ น
เท่ากบั 0.58) พฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ การจดั การกบั ความเครียด
ด้านโภชนาการอยู่ ระดบั สูง (คะแนนเฉลี่ย
เท่ากับ 3.06 และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 1.2) ใหค้ วามรู้ร่วมกบั สื่อการสอนทาง
เท่ากบั 0.55) พฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ วิดิทัศน์แก่ญาติ ผู้ดูแลและทาอาหารให้กับ
ดา้ นการมีปฏิสัมพนั ธ์กบั บุคคลอ่ืน ระดบั ปาน ผูส้ ูงอายุท่ีเป็ นโรคความดนั โลหิตสูง ท่ีมารับ
กลาง (คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 2.55 และส่วน บริการที่คลินิกโรคเร้ือรังโรงพยาบาลส่งเสริม
เบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากบั 0.69) พฤติกรรมการ สุ ข ภ า พ ต า บ ล โ ค ก โ ค เ ฒ่ า อ า เ ภ อ เ มื อ ง
สร้างเสริ มสุ ขภาพด้านการพัฒนาด้านจิต สุพรรณบุรี จงั หวดั สุพรรณบุรี จานวน 1 คร้ัง 6
วิญญาณ ระดบั ปานกลาง (คะแนนเฉล่ียเท่ากบั ด้านคือ 1. ด้านโภชนาการ 2. ด้านการออก
2.84 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากบั 0.73) กาลงั กาย 3. ด้าน สุขนิสัยประจาวนั 4. ด้าน
พฤติกรรมการสร้างเสริ มสุขภาพด้านการ ความรับผิดชอบต่อสุ ขภาพ 5. ด้านการมี
พัฒนาด้านความเครี ยด ระดับปานกลาง

The Journal of Boromarjonani College of Nursing, Suphanburi
Vol.4 No.2 July-December 2021 124

ปฏิสัมพนั ธ์กบั บุคคลอ่ืน 6. ดา้ นการจดั การกบั ของผู้สู งอายุโรคความดันโลหิ ตสู งของ
ความเครียด ผูส้ ูงอายุก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการ
สร้างเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายุที่เป็ นโรคความดนั
กิจกรรมท่ี 2 ติดตามเย่ียมผูส้ ูงอายุท่ี โลหิตสูง พบวา่ ผูส้ ูงอายุมีความรู้เกี่ยวกบั โรค
เป็ นโรคความดันโลหิ ตสู งท่ีบ้านโดยใช้ ความดันโลหิ ตสู งก่อนและหลังเข้าร่ วม
นวตั กรรมประกอบดว้ ย นวตั กรรม “แผน่ เย่ียม โปรแกรมการสร้ างเสริ มสุ ขภาพไม่แตกต่าง
บา้ น ตา้ นความดนั ” ร่วมกบั ใชเ้ ครื่องวดั ความ กนั แต่เม่ือพิจารณาค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้
เค็มของอาหารที่รับประทาน ติดตามการออก เก่ียวกบั โรคความดนั โลหิตสูง พบวา่ ก่อนเขา้
กาลงั กายโดยการแกวง่ แขน ท้งั น้ีติดตามเยีย่ ม ร่ วมโปรแกรมผู้สู งอายุมีคะแนนความรู้
1 คร้ัง/สัปดาห์ จานวน 4 คร้ัง ในระยะเวลา 1 เก่ียวกบั โรคความดนั โลหิตสูงโดยเฉล่ีย เทา่ กบั
เดือน 13.180 คะแนน (SD = 1.965) และหลงั เขา้ ร่วม
โปรแกรมผูส้ ูงอายุมีคะแนนความรู้เก่ียวกับ
4. ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบความรู้ โรคความดนั โลหิตสูงโดยเฉลี่ย เท่ากบั 13.900
และพฤติกรรมการสร้างเสริ มสุขภาพของ คะแนน (SD = 1.775) โดยหลังเข้าร่ วม
ผูส้ ูงอายุโรคความดนั โลหิตสูงก่อนและหลัง โปรแกรมผูส้ ูงอายุมีคะแนนความรู้เกี่ยวกับ
การได้รับโปรแกรมการสร้ างเสริ มสุ ขภ าพ โรคความดนั โลหิตสูงเพิ่มข้ึนจากก่อนเขา้ ร่วม
ผสู้ ูงอายทุ ี่เป็นโรคความดนั โลหิตสูง โปรแกรม ดงั แสดงในตารางท่ี 1

4.1 ผลการวิเคราะห์เปรี ยบเทียบ
ความรู้และพฤติกรรมการสร้างเสริ มสุ ข ภาพ

ตารางท่ี 1 การเปรียบเทียบความรู้เกี่ยวกบั โรคความดนั โลหิตสูงของผสู้ ูงอายุก่อนและหลงั ไดร้ ับการ
ส่งเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ี่เป็นโรคความดนั โลหิตสูง ตาบลโคกโคเฒ่า อาเภอเมืองสุพรรณบุรี จงั หวดั
สุพรรณบุรี (n = 50)

ความรู้เกย่ี วกบั โรคความดนั โลหิตสูง M SD D SD t p

- ก่อนเขา้ ร่วมโปรแกรม 13.180 1.965
- หลงั เขา้ ร่วมโปรแกรม -.120 .085 -1.405 .163

13.900 1.775

*** = p < .001

The Journal of Boromarjonani College of Nursing, Suphanburi
Vol.4 No.2 July-December 2021 125

4.2 ผลการวิเคราะห์เปรี ยบเทียบ สุขภาพผูส้ ูงอายุที่เป็ นโรคความดนั โลหิตสูง
พฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพของผสู้ ูงอายกุ ่อน ผูส้ ูงอายุมีพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ ด้าน
และหลงั ได้รับโปรแกรม การสร้างเสริม ออกกาลงั กาย ดา้ นโภชนาการ ดา้ นจิตวิญญาณ
สุขภาพผูส้ ูงอายุที่เป็ นโรคความดนั โลหิตสูง และดา้ นความเครียดดีข้ึนอยา่ งมีนยั สาคญั ทาง
พบว่า หลงั เขา้ ร่วมโปรแกรมการสร้างเสริม สถิติที่ระดบั .05 ดงั แสดงในตารางท่ี 2

ตารางท่ี 2 การเปรียบเทียบพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของผูส้ ูงอายุก่อนและหลงั ได้รับการ
ส่งเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ่ีเป็นโรคความดนั โลหิตสูง ตาบลโคกโคเฒา่ อาเภอเมืองสุพรรณบุรี จงั หวดั
สุพรรณบุรี (n = 50)

พฤตกิ รรมการสร้างเสริมสุขภาพ M SD D SD t p

1. พฤตกิ รรมการสร้างเสริมสุขภาพโดยรวมของผู้สูงอายุ

- ก่อนเขา้ ร่วมโปรแกรม 2.80 .639
- หลงั เขา้ ร่วมโปรแกรม -.340 .140 -2.429 .017

3.14 .756

2. พฤตกิ รรมการสร้างเสริมสุขภาพด้านพฤตกิ รรมออกกาลงั กายของผู้สูงอายุ

- ก่อนเขา้ ร่วมโปรแกรม 2.62 .667
- หลงั เขา้ ร่วมโปรแกรม -.540 .125 -4.308 .000

3.16 .584

3. พฤตกิ รรมการสร้างเสริมสุขภาพด้านพฤตกิ รรมโภชนาการของผู้สูงอายุ

- ก่อนเขา้ ร่วมโปรแกรม 3.04 .669 -.400 .118 .001
-3.384
- หลงั เขา้ ร่วมโปรแกรม 3.44 .501

4. พฤตกิ รรมการสร้างเสริมสุขภาพด้านพฤตกิ รรมปฏสิ ัมพนั ธ์ของผ้สู ูงอายุ

- ก่อนเขา้ ร่วมโปรแกรม 2.64 .722 .134 -1.940 .055
- หลงั เขา้ ร่วมโปรแกรม -.260

2.90 .614

5. พฤตกิ รรมการสร้างเสริมสุขภาพด้านพฤตกิ รรมด้านจติ วญิ ญาณของผ้สู ูงอายุ

- ก่อนเขา้ ร่วมโปรแกรม 2.80 .782
- หลงั เขา้ ร่วมโปรแกรม -.300 .146 -2.049 .043

3.10 .678

The Journal of Boromarjonani College of Nursing, Suphanburi
Vol.4 No.2 July-December 2021 126

พฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ M SD D SD t p

6. พฤตกิ รรมการสร้างเสริมสุขภาพด้านพฤตกิ รรมด้านความเครียดของผ้สู ูงอายุ

- ก่อนเขา้ ร่วมโปรแกรม 2.66 .658
- หลงั เขา้ ร่วมโปรแกรม -.480 .120 -4.002 .000

3.14 .535

4.3 ผลการประเมินโปรแกรมสร้าง ความรับผิดชอบต่อสุขภาพ 5. ด้านการมี
เสริมสุขภาพของผูส้ ูงอายุท่ีเป็ นโรคความดนั ปฏิสัมพนั ธ์กบั บุคคลอ่ืน 6. ดา้ นการจดั การกบั
โลหิตสูงจากการสนทนากลุ่มของเจา้ หน้าท่ี ความเครียด 1.2) ใหค้ วามรู้ร่วมกบั สื่อการสอน
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลโคกโคเฒ่า ทางวิดิทศั น์แก่ญาติท่ีเป็ นผูด้ ูแลและทาอาหาร
อาเภอเมือง จงั หวดั สุพรรณบุรี พบว่า ร้อยละ ให้กับผูส้ ูงอายุที่เป็ นโรคความดันโลหิตสูง
100 ของเจา้ หนา้ ท่ีมีความคิดเห็นวา่ โปรแกรม ท่ีมารับบริการที่คลินิกโรคเร้ือรังโรงพยาบาล
ที่พฒั นาข้ึนมีความเป็นไปได้ สามารถนาไปใช้ ส่งเสริมสุขภาพตาบลโคกโคเฒ่า อาเภอเมือง
ในการสร้างเสริมสุขภาพของผูส้ ูงอายุท่ีเป็ น สุพรรณบุรี จงั หวดั สุพรรณบุรี จานวน 1 คร้ัง
โรคความดนั โลหิตสูงได้ 6 ดา้ นคือ 1. ดา้ นโภชนาการ 2. ด้านการออก
กาลังกาย 3. ด้านสุขนิสัยประจาวนั 4. ด้าน
อภิปรายผลการวจิ ัย ความรับผิดชอบต่อสุ ขภาพ 5. ด้านการมี
การพฒั นาโปรแกรมการสร้างเสริม ปฏิสัมพนั ธ์กบั บุคคลอ่ืน 6. ดา้ นการจดั การกบั
ความเครียด ท้งั น้ีการให้ความรู้กบั ญาติผูด้ ูแล
สุขภาพของผูส้ ูงอายุที่เป็ นโรคความดนั โลหิต ผูส้ ูงอายุเป็ นการส่งเสริมให้ญาติหรือผูด้ ูแลมี
สูง โดยประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคิดการส่งเสริมสุขภาพ ค ว า ม รู้ ท่ี ถู ก ต้อ ง ส า ม า ร ถ ใ ห้ ก า ร ดู แ ล แ ล ะ
ของ Pender (2006) ประกอบดว้ ย กิจกรรมท่ี 1 กระตุน้ ให้ผูส้ ูงอายุปฏิบตั ิกิจกรรมสร้างเสริม
ใ ห้ค ว า ม รู้ ร่ ว ม กับ สื่ อ ก าร ส อ น ท าง วิดิ ทัศน์ สุขภาพอยา่ งต่อเน่ือง กิจกรรมที่ 2 ติดตามเยยี่ ม
1.1) ให้ความรู้ร่วมกบั สื่อการสอนทางวดิ ิทศั น์ ผูส้ ูงอายุท่ีป่ วยด้วยความดันโลหิตสูงที่บา้ น
แก่ผูส้ ูงอายุที่เป็ นโรคความดนั โลหิตสูง ที่มา โดยใชน้ วตั กรรม ประกอบดว้ ย ใชน้ วตั กรรม
รับบริ การที่คลินิกโรคเร้ื อรังโรงพยาบาล “แผ่นเย่ียมบ้าน ต้านความดัน” ใช้เคร่ืองวดั
ส่งเสริมสุขภาพตาบลโคกโคเฒ่า อาเภอเมือง ความเค็มของอาหารท่ีรับประทาน ติดตามการ
สุพรรณบุรี จงั หวดั สุพรรณบุรี จานวน 1 คร้ัง ออกกาลงั กาย โดยการแกวง่ แขน โดยติดตาม
6 ดา้ น คือ 1. ดา้ นโภชนาการ 2. ดา้ นการออก
กาลงั กาย 3. ด้านสุขนิสัยประจาวนั 4. ด้าน

เยี่ยมเป็ นจานวน 1 คร้ัง/สัปดาห์ ในระยะเวลา The Journal of Boromarjonani College of Nursing, Suphanburi
1 เดือน ท้งั น้ีความรู้คือสารสนเทศท่ีจะนาไปสู่ Vol.4 No.2 July-December 2021 127
การปฏิบัติ (วิจารณ์ พานิช, 2546) ดังน้ัน
ผูส้ ูงอายุจึงจาเป็ นต้องได้รับความรู้เพื่อการ เยี่ยมบา้ น ตา้ นความดนั ” ร่วมกบั ใช้เคร่ืองวดั
สร้ างเสริ มสุ ขภาพตามแนวคิดของเพนเดอร์ ความเคม็ ของอาหารท่ีรับประทาน ติดตามการ
(Pender et. al., 2006) เพ่ือให้เกิดความเข้าใจ ออกกาลงั กาย โดยการแกวง่ แขน ท่ีนามาใชใ้ น
และนาไปสู่การปฏิบตั ิที่ถูกตอ้ ง เหมาะสม ใน โปรแกรมซ่ึงเป็ นการติดตามเยี่ยมสัปดาห์ละ
การน้ีโปรแกรมได้ให้ความสาคญั กบั การให้ คร้ัง และให้คาแนะนาเพ่ิมเติม กระตุน้ เตือน
ค ว า ม รู ้ กับ ญ า ติ ผู้ดู แ ล แ ล ะ ท า อ า ห า ร ใ ห้ กับ ให้กาลังใจ ส่งผลให้ผูส้ ูงอายุมั่นใจในการ
ผูส้ ูงอายุดว้ ย สืบเน่ืองจากเป็ นผูท้ ี่ตอ้ งกระตุน้ ปฏิบตั ิพฤติกรรม รวมท้งั การเขา้ ติดตามเย่ียม
เตือนผูส้ ูงอายุในการปฏิบัติพฤติกรรมการ ทุกสัปดาห์ทาให้ผสู้ ูงอายุตระหนกั และเช่ือมนั่
สร้างเสริมสุขภาพอย่างต่อเนื่อง อีกท้งั การที่ ว่าพฤติกรรมการสร้างเสริ มสุ ขภาพจะส่ งผล
ญาติผูด้ ูแลมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับการ ต่อสุขภาพท่ีดี ป้องกันโรคแทรกซ้อนได้ใน
ปฏิบัติพฤติกรรมสร้างเสริ มสุ ขภาพของ การดูแลตนเอง นาไปสู่ การมีพฤติกรรม
ผูส้ ูงอายุที่เป็ นโรคความดนั โลหิตสูงจะส่งผล ส่งเสริมสุขภาพท่ีถูกตอ้ งเหมาะสม สอดคลอ้ ง
ให้การดูแลผูส้ ูงอายุท่ีเป็ นโรคความดนั โลหิต กบั การศึกษาของ ฉตั รลดา ดีพร้อม และนิวฒั น์
สูงมีประสิทธิภาพมากข้ึน เช่น การประกอบ วงศ์ใหญ่ (2562) ที่ศึกษาผลของโปรแกรม
อาหารท่ีเหมาะสมกบั โรคของผสู้ ูงอายุ รวมท้งั สร้างเสริมสุขภาพของกลุ่มเส่ียงโรคความดนั
การให้คาแนะนาผูส้ ูงอายุเพื่อหลีกเล่ียงปัจจยั โลหิตสูง ตาบลชุมพร อาเภอ เมยวดี จงั หวดั
ต่างๆ ท่ีส่งผลเสียต่อสุขภาพ สอดคล้องกับ ร้อยเอด็ พบวา่ การติดตามเยย่ี มบา้ น สัปดาห์ละ
การศึกษาของสุทธิชยั จิตะพนั ธ์กุล (2554) ที่ 1 คร้ัง เป็นเวลา 8 สปั ดาห์ เพอ่ื สงั เกตพฤติกรรม
พบวา่ การส่งเสริมสุขภาพของผสู้ ูงอายุ พฒั นา อย่างต่อเนื่องพร้อมท้งั มีการให้กาลงั ใจกลุ่มที่
ทกั ษะในการดูแลส่งเสริมสุขภาพของผสู้ ูงอายุ ได้รับโปรแกรมสร้างเสริ มสุขภาพในการ
ควรมีการให้ความรู้ความเขา้ ใจแก่ท้งั ผูส้ ูงอายุ ป้องกันโรคความดันโลหิตสูงตามหลัก 3อ.
บุคคลในครอบครัวและชุมชน 2ส.ที่ถูกตอ้ ง โดยมีการบริโภคอาหารหลกั 5
หมู่ เพิ่มผกั ลดหวาน มนั เคม็ ผกั และ ผลไมล้ ด
สาหรับกิจกรรมติดตามเยี่ยมผูส้ ูงอายุ ความดันโลหิต พร้อมส่งเสริมการทาอาหาร
ท่ีป่ วยด้วยความดันโลหิตสูงท่ีบ้านโดยใช้ รับประทานเองในครัวเรือน ร่วมกบั ออกกาลงั
นวตั กรรม ประกอบดว้ ย ใช้นวตั กรรม “แผ่น กายเป็ นประจา ทาให้มีความเช่ื อม่ันว่า
พฤติกรรมน้นั ๆ จะสามารถทาใหเ้ กิดผลลพั ธ์ที่
ตอ้ งการได้ จะส่งผลใหม้ ีพฤติกรรมสุขภาพน้นั

ต่อไป เป็ นผลทาให้ภายหลงั การให้โปรแกรม The Journal of Boromarjonani College of Nursing, Suphanburi
Vol.4 No.2 July-December 2021 128
สร้างเสริมสุขภาพ กลุ่มท่ีได้รับโปรแกรมมี
พฤติ กรรมสร้ างเส ริ มสุ ขภ าพด้านก า ร อ อ ก
ค่าเฉล่ียความดนั โลหิตลดลงมากกวา่ ก่อนการ กาลงั กายที่มีความแตกต่างอยา่ งมีนยั สาคญั ทาง
สถิติ (p-value<.01) ซ่ึงพฤติกรรมท่ีสาคญั ใน
การเขา้ ร่วมโปรแกรม การที่จะส่ งเสริ มให้เกิดพฤติกรรมสร้างเสริ ม
สุขภาพที่ดีในด้านอื่นๆ คือ พฤติกรรมสร้าง
ผลของการนาโปรแกรมการสร้าง เสริมสุขภาพดา้ นการออกกาลงั กาย เนื่องจาก
เสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ี่เป็ นโรคความดนั โลหิต พฤติกรรมการออกกาลงั กายส่งผลต่อการใช้
สูงไปใช้ พบว่าผูส้ ูงอายุมีความรู้เก่ียวกบั โรค ชีวติ อยใู่ นสังคม และนาไปสู่การตดั สินใจของ
ความดนั โลหิตสูงในระดบั ดีมาก โดยหลงั เขา้ ตนเองที่มีผลดีต่อสุ ขภาพ (Heath, G. W.,
ร่ วมโปรแกรมมี คะ แนนค วาม รู้ เก่ี ย วกับ โ รค &Liguori, G., 2015) จึงอาจส่งผลใหพ้ ฤติกรรม
ความดันโลหิตสูงเพิ่มข้ึนจากก่อนเข้าร่ วม การสร้างเสริมสุขภาพดา้ นอ่ืนดีข้ึนไปดว้ ย
โ ป ร แ ก ร ม แ ต่ ไ ม่ มี นัย ส า คัญ ท า ง ส ถิ ติ อ า จ
เนื่องมาจากที่ผสู้ ูงอายโุ รคความดนั โลหิตสูงที่ สาหรับความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่
รักษาตวั มาในระยะเวลาที่ยาวนานมกั จะไดร้ ับ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลโคกโคเฒ่า
ความรู้เรื่องความดนั โลหิตสูงและการควบคุม เกี่ยวกบั โปรแกรม ท่ีไดจ้ ดั ทาในระยะที่ 6 ของ
ความดนั โลหิตสูงอยูเ่ ป็ นประจาอย่างต่อเน่ือง การวิจยั พบวา่ โปรแกรมมีความเหมาะสมและ
ทาให้ผูส้ ูงอายุมีความรู้เกี่ยวกับโรคความดัน เห็นดว้ ยกบั การใชโ้ ปรแกรมกบั ญาติผดู้ ูแลร่วม
โลหิตสูงและการควบคุมความดนั โลหิตมาก ด้วยเนื่องจากเป็ นบุคคลสาคญั ในการปฏิบตั ิ
ข้ึน และจากการวดั ความรู้ก่อนไดร้ ับโปรแกรม กิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพของผสู้ ูงอายทุ ่ีจะทา
พบว่าผูส้ ูงอายุท่ีเป็ นโรคความดนั โลหิตสูงมี ใหเ้ กิดความยง่ั ยืนสอดคลอ้ งกบั การศึกษาของ
ความรู้อยูใ่ นระดบั ดี ทาใหค้ ะแนนความรู้หลงั Siripitayakunkit et. al. (2008) ท่ี พ บ ว่า ก า ร
การใช้โปรแกรมท่ีถึงแม้จะเพ่ิมจากก่อนใช้ สนบั สนุนทางสังคมของญาติเป็ นปัจจยั หน่ึงท่ี
โปรแกรมจึงไม่มีนยั สาคญั ทางสถิติ ช่วยสนับสนุนให้ผูท้ ่ีเป็ นเบาหวานปรับตวั มี
ชีวิตอยูก่ บั เบาหวานไดอ้ ยา่ งปกติสุข และการ
สาหรับพฤติกรรมการสร้างเสริ ม ติดตามเยย่ี มทุกสัปดาห์จะเป็ นการกระตุน้ และ
สุขภาพหลงั เขา้ ร่วมโปรแกรมพบวา่ พฤติกรรม เพิ่มแรงจูงใจในการทาพฤติกรรมสร้างเสริ ม
การสร้างเสริมสุขภาพโดยรวมของผูส้ ูงอายุ สุขภาพแก่ผูส้ ูงอายุท่ีเป็ นโรคความดันโลหิต
ก่อนและหลังเข้าร่ วมโปรแกรมมีความ สู งได้ จึงมีความเห็นท่ีสอดคล้องกันว่า
แ ต ก ต่ า ง อ ย่ า ง มี นั ย ส า คั ญ ท า ง ส ถิ ติ โปรแกรมน้ีมีความเป็ นไปไดใ้ นการนาไปใชท้ ่ี
(p-value<.05) ท้งั น้ีเมื่อพิจารณารายดา้ นพบวา่ จะสร้างเสริมสุขภาพผูส้ ูงอายุท่ีเป็ นโรคความ
พฤติ กรรมสร้ างเสริ มสุ ขภาพด้านที่ มีความ ดนั โลหิตสูงอยา่ งมีประสิทธิภาพ
แตกต่างอย่างมีนัยสาคัญท่ีชัดเจนที่สุ ดคือ

The Journal of Boromarjonani College of Nursing, Suphanburi
Vol.4 No.2 July-December 2021 129

สรุปผลการวจิ ัย ข้อเสนอแนะการนาไปใช้ประโยชน์

โปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพของ ผลของการวิจยั สามารถนาไปใช้ใน
ผู้สู ง อ า ยุ ท่ี เ ป็ น โ ร ค ค ว า ม ดัน โ ล หิ ต สู ง การพฒั นาพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ
ประกอบด้วยกิจกรรมที่ 1 การให้ความรู้ ผู้สู งอายุที่เป็ นโรคความดันโลหิตสู งเพื่อ
ร่วมกบั สื่อการสอนทางวีดีทศั น์ มี 2 กิจกรรม ส่ งเสริ มการควบคุ มโรคได้รวมท้ ังป้ อ ง กัน
ยอ่ ย คือ การใหค้ วามรู้กบั ผูส้ ูงอายุ และการให้ ภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดข้ึน ซ่ึงจะส่งผลให้
ความรู้กบั ญาติหรือผูด้ ูแลผูส้ ูงอายุที่เป็ นโรค ผสู้ ูงอายทุ ี่เป็ นโรคความดนั โลหิตสูงมีคุณภาพ
ความดันโลหิตสูง กิจกรรมที่ 2 คือกิจกรรม ชีวติ ท่ีดี
ติดตามเยี่ยมผูส้ ูงอายุท่ีบ้านโดยใช้นวตั กรรม ข้อเสนอแนะในการศึกษาคร้ังต่อไป
“แผน่ เยยี่ มบา้ น ตา้ นความดนั ” การใชเ้ ครื่องวดั
ความเคม็ ของอาหาร ติดตามการออกกาลงั กาย จ า ก ผ ล ก า ร วิ จัย พ บ ว่ า ก า ร พ ัฒ น า
โดยการแขว่งแขน ท้งั น้ีมีการติดตามเย่ียม 1
คร้ังต่อสัปดาห์ ในระยะเวลา 1 เดือน ทาให้ โปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพผสู้ ูงอายทุ ี่เป็ น
ผสู้ ูงอายุมีความรู้และพฤติกรรมการสร้างเสริม
สุขภาพท่ีดีข้ึน ทาให้ผูส้ ูงอายุตระหนักและ โรคความดนั โลหิตสูงโดยใชแ้ นวคิดของเพน
ปฏิบตั ิพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพอย่าง เดอร์ สามารถส่งเสริมพฤติกรรมสร้างเสริม
ตอ่ เนื่อง
สุขภาพได้ จึงควรมีการศึกษาการใชโ้ ปรแกรม
การสร้างเสริมสุขภาพผูส้ ูงอายุกบั ผูท้ ่ีเป็ นโรค
ความดนั โลหิตสูงในวยั ผใู้ หญ่เพมิ่ ข้ึน

เอกสารอ้างองิ The Journal of Boromarjonani College of Nursing, Suphanburi
Vol.4 No.2 July-December 2021 130
กรมกิจการผูส้ ูงอายุ. สังคมผูส้ ูงอายุในปัจจุบนั
และเศรษฐกิจในประเทศไทย.สืบคน้ ศึกษาเพื่อปรั บเปลี่ยนพฤติกรรม
เม่ือ 16 กรกฏาคม พ.ศ. 2564, จากวิกิ สุขภาพของประชากรกลุ่มเส่ียงโรค
พเี ดีย https://www.dop.go.th/th. ความดันโลหิ ตสู งในเขตอาเภอเมื อง
จังหวัดนครราชสีมา. (วิทยานิพนธ์
กรมสุ ขภาพจิต. (2563). 93 วันสู่ สังคม" ปริญญาสาธารสุขศาสตรมหาบณั ฑิต
คนชรา" 5 จงั หวดั ? คนแก่เยอะสุด- มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น).
น้อย สุ ด . สื บค้นเมื่ อ สื บค้น 16 Heath, Gregory & Liguori, Gary. (2015).
กรกฏาคม พ.ศ. 2564, จากวิกิพีเดีย Physical Activity and Health
https://www.dmh.go.th. Promotion. International
Encyclopedia of the Social &
ฉตั รลดา ดีพร้อม และนิวฒั น์ วงศใ์ หญ่ (2019). Behavioral Sciences.
ผลของโปรแกรมสร้ างเสริ มสุ ขภาพ Pender NJ, Murdaugh CL, Parsons MA.
ของกลุ่มเส่ี ยงโรคความดันโลหิ ตสู ง (2006). Health promotion in nursing
ตาบลชุมพร อาเภอ เมยวดี จังหวดั practice. 5th ed.
ร้อยเอ็ด. J Sci Technol MSU, 38(4), New Jersey: Pearson Education.
451-461 Siripitayakunkit, A., Hanucharurnkul, S., D’
Eramo Melkus, G.,Vorapongsathorn,
มูลนิธิสถาบันวิจัยและพฒั นาผูส้ ูงอายุไทย. T., Rattarasarn, C., & Arpanuntikul,
(2559). สถานการณ์ผสู้ ูงอายไุ ทย พ.ศ. M. (2008). Factors contributing to
2559. สืบค้นเมื่อ 16 กรกฏาคม พ.ศ. integrating lifestyle in Thai women
2564, จ า ก วิ กิ พี เ ดี ย with type 2 diabetes. Thai Journal of
https://www.dop.go.th/download/kno Nursing Research, 12, 166-178.
wledge/th.

วจิ ารณ์ พานิช. (2546). การจัดการความรู้ในยคุ
สั งคมและเศรษฐกิ จบนฐานค วา ม ร้ ู .
กรุงเทพฯ: สถาบนั ส่งเสริมการจดั การ
ความรู้เพอ่ื สังคม.

สุ ภัสสรา พิชญพงษ์โสภณ และจุฬาภรณ์
โสต๊ะ. (2561). ผลของโปรแกรมสุข

ความสมั พันธ์ระหวา่ งลักษณะทางคลนิ ิก
และความยาวปากมดลูกในไตรมาสทีส่ อง
ของการตั้งครรภ์ในสตรีตั้งครรภ์เดยี่ ว
ปกตทิ ี่มาฝากครรภท์ ี่โรงพยาบาลสมเดจ็
พระสงั ฆราชองค์ท่ี 17



ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งลักษณะทางคลินิกและความยาวปากมดลูกในไตรมาสท่ีสองของการต้ังครรภใ์ นสตรี
ตงั้ ครรภเ์ ดีย่ วปกตทิ ี่มาฝากครรภ์ท่โี รงพยาบาลสมเดจ็ พระสงั ฆราชองคท์ ี่ 17
จิรเมธ พรหมจริ โชติ

นายแพทย์ชำนาญการ โรงพยาบาลสมเดจ็ พระสงั ฆราชองค์ท่ี 17 จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี
บทคัดยอ่

ทม่ี า: สตรีตง้ั ครรภ์ท่ีมภี าวะปากมดลกู ส้ันมีความเส่ียงต่อการคลอดก่อนกำหนด การวดั ความยาวปากมดลูกชว่ ยคัด
กรองสตรตี ัง้ ครรภท์ ่มี ีความเสย่ี งดงั กลา่ ว แต่การวัดความยาวปากมดลกู ในไตรมาสทสี่ องของการต้ังครรภ์ในสตรีทุก
รายยังทำไดล้ ำบาก เน่ืองจากพบอัตราสตรีตั้งครรภ์ท่มี ีภาวะปากมดลกู ส้ันต่ำ
วตั ถุประสงค์: เพ่ือหาความสัมพันธร์ ะหว่างลักษณะทางคลินิกและประวัติการตั้งครรภ์กับความยาวปากมดลกู ใน
ไตรมาสทสี่ องของการต้ังครรภ์ เพ่ือเป็นเคร่ืองมือในการคัดกรองภาวะปากมดลูกสั้น
วิธีการศึกษา: เปน็ การศึกษาแบบภาคตดั ขวาง (cross-sectional study) ในสตรีตง้ั ครรภเ์ ดยี่ วปกติของ
โรงพยาบาลสมเด็จพระสงั ฆราชองค์ท่ี 17 โดยวดั ความยาวปากมดลกู ในชว่ งอายุครรภ์ 16-24 สปั ดาห์ ขอ้ มูลประวตั ิ
การตั้งครรภ์ ตวั แปรลักษณะทางคลนิ ิก และความยาวปากมดลกู ถูกเกบ็ รวบรวมตัง้ แต่ เมษายน 2564 - มกราคม
2565 ใช้สถิติการวิเคราะห์แบบตวั แปรเดยี่ ว (univariate analysis) และ การวเิ คราะหถ์ ดถอยเชงิ เส้นพหคุ ูณ
(multivariate linear regression analysis) เพ่อื วิเคราะห์หาความสมั พันธ์
ผลการศึกษา: สตรตี ้ังครรภเ์ ขา้ รว่ มการศึกษาจำนวน 300 ราย ความยาวปากมดลกู เฉล่ีย 40.77 มม. จากการ
วเิ คราะห์ดว้ ย univariate analysis พบว่าสว่ นสูง, ดชั นมี วลกาย และ อายคุ รรภ์ ไม่มีความสมั พนั ธ์กับความยาว
ปากมดลกู แต่ อายุ, น้ำหนกั ตัวขณะตัง้ ครรภ์ และ ประวตั กิ ารคลอดบุตรมคี วามสมั พันธก์ ับความยาวปากมดลูก
อย่างมีนยั สำคัญ (p-value= 0.033, 0.035, 0.045 ตามลำดบั ) แตเ่ ม่ือนำมาวิเคราะหต์ ่อด้วย multivariate
analysis พบว่าตัวแปรทงั้ สาม ไมม่ คี วามสัมพนั ธ์กับความยาวปากมดลกู (p-value= 0.221, 0.094, 0.218
ตามลำดับ)
สรุป: ไม่พบความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างความยาวปากมดลกู ในไตรมาสทส่ี องของการตั้งครรภ์กบั อายุ,
นำ้ หนกั , ส่วนสงู , ดชั นมี วลกาย และประวตั กิ ารคลอดบุตร
คำสำคัญ: ความยาวปากมดลูก, ลักษณะของสตรีตัง้ ครรภ์, ประวัติการตั้งครรภ์

Association between clinical characteristics and second trimester cervical length in
singleton pregnancies at Somdejprasangkharach 17 Hospital
Chirameth Promchirachote, Doctor (Professional level),

Somdejprasangkharach 17 Hospital, Suphan Buri province, Thailand
Abstract

Background: Pregnant women with a short cervix are at risk for spontaneous preterm birth.
Cervical length measurement is a screening tool to identify women at risk; however, second
trimester cervical length measurement in every woman is burdensome owing to the low incidence
of short cervix in the general population.
Objective: To assess possible associations between clinical characteristics/obstetric history and
cervical length in the hope of establishing a screening tool for short cervix.
Methods: A cross-sectional study on singleton pregnancies was conducted at
Somdejprasangkharach 17 Hospital, in which cervical length was measured during 16 - 24 weeks
of gestational age. Data on obstetric history, clinical characteristics and cervical length were
collected from April 2021 to January 2022. Univariate and multivariate linear regression analysis
were performed to assess the relationship.
Results: There were 300 eligible pregnant women. The mean cervical length was 40.77 mm. Using
univariate analysis, no association was found between cervical length and maternal height, BMI
and weight, but cervical length was significantly associated with age, current bodyweight and
obstetric history (p-value = 0.033, 0.035, 0.045, respectively). However, the results from
multivariate linear regression analysis demonstrated that age, current bodyweight and obstetric
history had no significant association with cervical length (p-value = 0.221, 0.094, 0.218,
respectively).
Conclusion: Age, weight, height, BMI and obstetric history were not significantly associated with
second trimester cervical length.
Keywords: cervical length, maternal characteristics, obstetric history

บทนำ
การคลอดก่อนกำหนด (preterm delivery) คอื การคลอดระหว่างอายุ

ครรภ์ 20 สัปดาหถ์ งึ 36+6 สปั ดาห์1 เปน็ ปัญหาทีส่ ำคัญในคนไขส้ ูตกิ รรม ปัจจบุ ัน
พบวา่ การคลอดก่อนกำหนดเกดิ ขน้ึ ประมาณร้อยละ 7-12 ของการตง้ั ครรภ์ท่วั
โลก และเป็นสาเหตสุ ำคัญของการเสยี ชวี ติ ปริกำเนดิ ของทารก2 รวมท้งั ยัง
สัมพันธก์ บั การเกดิ สมองพิการ (cerebral palsy), โรคปอดเร้อื รังในทารกแรก
เกดิ (bronchopulmonary dysplasia), โรคจอประสาทตาผดิ ปกติในทารก
เกดิ ก่อนกำหนด (retinopathy of prematurity) และภาวะทุพพลภาพอ่ืนๆ2,3
มสี าเหตแุ ละปัจจยั เสย่ี งท่ีไดร้ ับการศกึ ษาหลายปจั จยั แต่ก็พบวา่ ประมาณร้อย
ละ 80 ของการเกดิ ภาวะคลอดก่อนกำหนดเกิดขนึ้ เองโดยไม่ทราบสาเหตุ3,4

มีความพยายามท่จี ะศึกษาตัวแปรทสี่ ามารถทำนายโอกาสเกิดภาวะ
คลอดก่อนกำหนด เช่น การวดั ความยาวปากมดลกู (cervical length) และการ
ตรวจหาดชั นีชีว้ ัดทางกายภาพ (biomarker) เชน่ สารฟีตัลไฟโบรเนกติน (fetal
fibronectin) จากสารคดั หลังบริเวณปากมดลูก3,5 การศึกษาหลายการศึกษา
พบว่าการวัดความยาวปากมดลกู เปน็ ตวั ทำนายที่ดีท่สี ุดสำหรบั การทำนายการ
เกิดภาวะคลอดก่อนกำหนด โดยพบว่าภาวะปากมดลูกสนั้ (<25มม.) สัมพนั ธ์
กบั การคลอดก่อนกำหนดทมี่ ากขึ้น6,7 ปจั จุบนั จงึ มคี ำแนะนำและแนวทางปฏิบตั ิ
ของหลายสมาคมท่ีใหว้ ัดความยาวปากมดลูกแก่สตรีตั้งครรภท์ ีม่ าฝากครรภ์ทุก
รายเป็นกจิ วัตร8,9,10

อยา่ งไรก็ตามยังเป็นที่ถกเถยี งกนั อยูว่ า่ การวดั ความยาวปากมดลูกแก่
สตรีตั้งครรภท์ ุกรายน้นั มีความจำเป็นหรือไม่ ฝา่ ยสนันสนุนใหว้ ัดความยาวปาก
มดลูกแกส่ ตรีตั้งครรภท์ กุ รายได้แสดงให้เห็นวา่ การใชย้ าโพรเจสเตอโรน
(progesterone) เหนบ็ ทางช่องคลอดชว่ ยลดความเส่ียงในการคลอดก่อน
กำหนดในสตรที ี่มีปากมดลกู สั้น11,12 และมกี ารศึกษาต้นทนุ ประสทิ ธผิ ลแสดงให้
เห็นวา่ การวดั ความยาวปากมดลกู ในสตรตี ั้งครรภท์ ุกรายมีความคุม้ คา่ ในการ
ป้องกันการคลอดก่อนกำหนด13,14 ฝา่ ยคดั คา้ นใหค้ วามเห็นว่าในเวชปฏิบัตพิ บ
อัตราสตรีต้ังครรภ์ที่มปี ากมดลกู สนั้ ค่อนข้างน้อย การวดั ความยาวปากมดลูกแก่
สตรีตงั้ ครรภ์ทุกรายจงึ มปี ระโยชน์เฉพาะกลุ่มประชากรท่ีมีความเส่ียงสงู เท่านน้ั
15,16 รวมถึงในทางปฏบิ ัติพบวา่ การวัดความยาวปากมดลูกเพ่ิมระยะเวลาในการ
ตรวจครรภเ์ ฉลย่ี ถึง 10 นาทตี อ่ ราย17 และในสถานพยาบาลบางแห่งมีความ

จำกดั ในด้านทรัพยากรบุคคลและปรมิ าณสตรีตง้ั ครรภใ์ นความดแู ลท่มี าก ทำให้

การวัดความยาวปากมดลูกเป็นกิจวตั รแกส่ ตรตี ้งั ครรภท์ กุ รายไมส่ ามารถทำได้18

จึงมกี ารศึกษาที่พยายามหาวา่ ความยาวปากมดลูกนั้นสัมพันธ์กับ

ปัจจยั ใดบ้าง ตัวอยา่ งเช่น มีการศึกษาพบว่าน้ำหนักตัวและดัชนีมวลกายของ

สตรตี ้งั ครรภท์ ี่มากข้นึ สัมพนั ธ์กับปากมดลูกทสี่ ้ันลง19,20 ในทางกลบั กนั ก็พบ

การศึกษาท่ีขดั แยง้ โดยพบวา่ นำ้ หนักตัวของสตรีต้ังครรภ์ทีม่ ากข้นึ สมั พนั ธ์กบั

ความยาวปากมดลกู ท่ยี าวขน้ึ 21,22,23 หรอื มีการศึกษาพบว่าเชื้อชาติมี

ความสัมพันธก์ ับความยาวปากมดลูกเช่นกัน18,19 อกี ท้งั มีการศึกษาพบวา่ ความ

ยาวปากมดลกู ทีส่ ัน้ มีความสมั พันธ์กบั ประวตั ิการต้ังครรภค์ รัง้ ก่อนโดยพบว่า

สตรตี ง้ั ครรภ์ทเี่ คยมปี ระวัตคิ ลอดก่อนกำหนดมาก่อนมีแนวโนม้ ที่จะพบความ

ยาวปากมดลกู สน้ั มากกว่ากลุ่มท่ไี มเ่ คยคลอดก่อนกำหนด24 ท่ีกลา่ วมาท้ังหมดน้ี

แสดงใหเ้ ห็นว่าความยาวปากมดลูกอาจจะมีความสัมพนั ธก์ ับลักษณะโครงสรา้ ง

ร่างกายของสตรีตั้งครรภ์และประวตั ขิ องการตั้งครรภ์ ดังนั้น การศกึ ษาเพอ่ื ให้

เกิดความกระจ่างในปจั จยั ท่ีมีผลตอ่ ความยาวปากมดลูกมีความสำคัญในการ

นำไปประยุกตใ์ ช้ใหเ้ กิดประโยชน์ทางคลินกิ เช่น การให้คำปรกึ ษาแก่สตรี

ตั้งครรภ์ การคดั กรองสตรตี ้ังครรภท์ ม่ี ีปจั จยั เส่ยี งปากมดลูกส้ันและการวาง

ยทุ ธศาสตร์ในการป้องกนั การคลอดก่อนกำหนด

วตั ถปุ ระสงค์

เพ่ือศึกษาความสัมพนั ธ์ระหว่างลกั ษณะทางคลนิ ิกและความยาวปาก

มดลูกในไตรมาสทีส่ องของการตงั้ ครรภ์ในสตรีต้งั ครรภ์เด่ียวปกตทิ ่ีมาฝากครรภ์

ที่โรงพยาบาลสมเดจ็ พระสังฆราชองค์ที่ 17

วธิ ีการศกึ ษา

งานวจิ ัยน้ีเปน็ แบบการศึกษาแบบภาคตดั ขวาง (cross-sectional

study) ในสตรตี ้ังครรภเ์ ดี่ยวปกติที่มาฝากครรภท์ โ่ี รงพยาบาลสมเดจ็

พระสงั ฆราชองค์ท่ี 17 โดยมีอายคุ รรภ์ 16-24 สปั ดาห์ที่ได้รับการยนื ยนั อายุ

ครรภ์แลว้ ระหวา่ งเดือนเมษายน พ.ศ. 2564 ถงึ มกราคม พ.ศ. 2565 เกณฑ์

การคัดออกได้แก่ สตรตี ัง้ ครรภ์ทเ่ี คยตัดปากมดลกู ด้วยหว่ งไฟฟ้า (loop

electrosurgical excisional procedure, LEEP) มาก่อน สตรีต้ังครรภท์ ม่ี ี

ความผดิ ปกติของปากมดลูกและสตรตี ้งั ครรภท์ ารกพิการ

ความยาวปากมดลูกจะถูกวดั ดว้ ยวิธวี ดั ผา่ นทางชอ่ งคลอด

(transvaginal ultrasound) ในช่วงอายุครรภ์ 16-24 สัปดาห์ โดยการวัดจะให้

สตรีตั้งครรภ์ปัสสาวะออกให้หมดและข้ึนนอนบนเตียงตรวจในท่าขบน่วิ

(lithotomy position) จากนนั้ ผวู้ จิ ัยจะทำการวดั ความยาวปากมดลูกโดยสอด

หัวตรวจคล่นื เสยี งความถส่ี งู (7.5 MHz, GE Logiq V5, GE Medical, Austria)

ผา่ นช่องคลอดและหาภาพปากมดลกู ในมุมมองหน้าหลัง (sagittal view) โดย

จะมีผู้วดั เพียงคนเดียวเพ่ือหลีกเลีย่ งความแตกตา่ งระหว่างผู้วดั

(interobserver variation) ความยาวปากมดลกู จะถกู วดั จากปากมดลกู ดา้ น

ใน (internal os) ไปยังปากมดลูกด้านนอก (external os) โดยระวงั ไมใ่ ห้ดนั

หัวตรวจมากเกินไป ความยาวปากมดลกู จะถูกวัดทงั้ ส้ินสามครัง้ และจะบันทึก

ข้อมูลค่าทีส่ น้ั ทีส่ ุด3 โดยจะมีการเก็บข้อมลู ประวตั ิการตัง้ ครรภ์, ข้อมูลตวั แปร

ลักษณะทางกายภาพของสตรีต้งั ครรภ์ และความยาวปากมดลกู ในแบบเกบ็

ข้อมลู

การประมาณค่าขนาดตัวอย่างสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อประมาณค่า

ความยาวปากมดลกู ในสตรีตงั้ ครรภช์ าวไทยใชว้ ธิ ีการประมาณคา่ ขนาดตัวอย่าง

จากส ูตรคำนว ณขนาดตัว อย่างสำหรับการประมาณค่าเฉล ี่ย 26

= /22 2 โดยค่าสถิตทิ ใ่ี ช้ในการคำนวณขนาดตวั อยา่ งทั้งค่าเฉลีย่ และส่วน
2
เบี่ยงเบนมาตรฐานอ้างอิงจากการศึกษาจากการศึกษาของ Van และคณะ19

ขนาดตัวอย่างที่คำนวณจากสูตรคำนวณขนาดตัวอย่างได้จำนวนตัวอย่างท่ี

จะต้องใช้มีจำนวนไม่น้อยกว่า 217 คน และได้ปรับเพิ่มขนาดตัวอย่างเพื่อ

ป้องกนั ความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ของขอ้ มลู ร้อยละ 25 ได้จำนวนตัวอย่าง 290

คน ดงั น้ันจึงกำหนดขนาดตัวตวั อย่างท่ีใชใ้ นการศึกษานจี้ ำนวน 300 คน โดยใช้

วิธีการสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก (convenience Sampling) โครงร่างวิจัย

ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ สำนักงาน

สาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี กระทรวงสาธารณสุข หมายเลขโครงการ

016/2564

ข้อมูลลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างใช้การวิเคราะห์และรายงานผล

การศึกษาด้วยสถิติเชิงพรรณนา (descriptive statistics) การประมาณค่า

ความยาวปากมดลกู ในสตรตี ัง้ ครรภ์ชาวไทยรายงานด้วยค่าเฉลี่ย (mean) และ

ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard Deviation) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์

ระหวา่ งลกั ษณะทางคลินิกและความยาวปากมดลูกใช้การวิเคราะห์แบบตัวแปร

เดียว (univariate analysis) ด้วยการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นอย่างง่าย

( simple regression analysis) แ ล ะ ก า ร ว ิ เ ค ร า ะ ห ์ แ บ บ พ ห ุ ต ั ว แ ป ร

(multivariate analysis) ด้วยการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ

(multiple linear regression analysis) การวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดใช้

โปรแกรมคอมพวิ เตอร์สำเรจ็ รปู โดยกำหนดนัยสำคญั ทางสถิติที่ระดับ 0.05

ผลการศกึ ษา

ข้อมลู ท่ัวไปของสตรตี ั้งครรภ์ที่มาฝากครรภท์ ่ีโรงพยาบาลสมเดจ็

พระสงั ฆราชองค์ท่ี 17 ผลการศึกษาพบวา่ กลมุ่ ตวั อย่างมีอายเุ ฉล่ีย 26.19 ±

6.35 ปี และ นำ้ หนักตวั ขณะตัง้ ครรภ์เฉลยี่ 60.19 ± 13.34 กก. สว่ นสูงเฉลีย่

158.94 ± 6.00 ซม. และมดี ชั นีมวลกายเฉลีย่ 23.06 ± 4.95 กก./ม.2 ผล

การศึกษาพบว่า กลมุ่ ตัวอยา่ งสว่ นมากมีจำนวนครั้งของการต้ังครรภ์

(gravidarum) เปน็ คร้ังที่ 2 ร้อยละ 39.7 และจำนวนครัง้ ของการคลอดบุตร

(parity) เป็นครงั้ ท่ี 1 รอ้ ยละ 43.7 กลมุ่ ตวั อยา่ งเคยมปี ระวตั กิ ารแทง้ บตุ รร้อย

ละ 16 กลมุ่ ตวั อย่างไมเ่ คยคลอดบตุ ร (nulliparity) ร้อยละ41.0 เคยคลอดบตุ ร

แตไ่ ม่มีประวัตกิ ารเจบ็ ครรภค์ ลอดก่อนกำหนด (no history of previous

spontaneous preterm birth, no SPTB) รอ้ ยละ 56 และเคยคลอดบุตรแต่มี

ประวัติการเจบ็ ครรภค์ ลอดก่อนกำหนด (present history of previous

spontaneous preterm birth, present SPTB) ร้อยละ 3.0 (ตารางท่ี 1 และ

2)

ตารางที่ 1 ขอ้ มลู ท่ัวไปของสตรีตงั้ ครรภ์เดยี่ วปกติ (n = 300)

Characteristics mean ± SD

Age (years) 26.19 ± 6.35

Weight at pre-pregnancy (kg) 58.38 ± 13.58

Weight (kg) 60.19 ± 13.34

Height (cm) 158.94 ± 6.00

BMI (kg/m2) 23.06 ± 4.95

Cervical length (mm) 40.77 ± 6.61

GA at CL measurement (weeks + days), median 16w + 3d

GA at 1st ANC (weeks + days), median 10w + 0d

ความยาวปากมดลูกในไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ในสตรีตั้งครรภ์

เดี่ยวปกติ ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความยาวปากมดลูกเฉลี่ย 40.77

± 6.61 มม. การเปรียบเทียบความยาวปากมดลูกจำแนกตามคุณลักษณะท่ัวไป

และข้อมูลการตั้งครรภ์ของสตรีตั้งครรภ์ ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่มี

ดชั นีมวลกาย ต่ำกว่าเกณฑ์ (underweight), ปกติ (normal weight), น้ำหนัก

เกิน (overweight), อ้วน (obese) และ อ้วนอันตราย (extremely obese) มี

ความยาวปากมดลกู ไมแ่ ตกต่างกนั (p-value = 0.115) กลุ่มตัวอย่างท่ีมีประวัติ

การตั้งครรภ์จำนวน 1 ครง้ั , 2 คร้งั , 3 คร้งั , 4 คร้งั และ 5 คร้ัง มีความยาวปาก

มดลูกไมแ่ ตกตา่ งกัน (p-value = 0.632) กลมุ่ ตวั อยา่ งทไี่ ม่เคยมีการคลอดบุตร

และกลุ่มตัวอย่างทีม่ ีการคลอดบุตร 1 ครั้ง และ 2-4 ครั้ง มีความยาวปากมดลูก

ไม่แตกต่างกัน (p-value = 0.134) กลุ่มตัวอย่างที่ไม่เคยแท้งบุตร และกลุ่ม

ตัวอย่างที่เคยแท้งบุตรจำนวน 1 ครั้ง และ 2 ครั้ง มีความยาวปากมดลูกไม่

แตกต่างกัน (p-value = 0.853) กล่มุ ตัวอยา่ งทไ่ี มม่ แี ละมปี ระวตั กิ ารแทง้ บุตรมี

ความยาวปากมดลูกไม่แตกต่างกัน (p-value = 0.720) และกลุ่มตัวอย่างที่มี

ประวัติการตั้งครรภ์ในกลุ่ม nulliparity, กลุ่ม no SPTB และกลุ่ม present

SPTB มคี วามยาวปากมดลกู ไมแ่ ตกตา่ งกัน (p-value = 0.157) (ตารางท่ี 2)

ตารางที่ 2 เปรียบเทียบความยาวปากมดลูกจำแนกตามคุณลักษณะทั่วไปและ

ข้อมูลการตง้ั ครรภ์

Characteristics N (%) Cervical length (mm) p-value
Mean SD Min. Max. -

Total 300 40.77 6.61 24.9 59.0 0.115

BMI 0.632

Underweight 41 39.29 6.23 26.3 53.0

Normal weight 135 41.12 6.74 24.9 59.0

Overweight 52 40.19 5.98 30.3 56.5

Obese 42 40.10 6.90 26.2 54.8

Extremely obese 30 43.23 6.72 27.0 55.1

Gravidarum

1 112 (37.3) 40.00 6.38 26.3 57.9

2 118 (39.3) 41.26 6.77 24.9 56.3

Characteristics N (%) Cervical length (mm) p-value
Mean SD Min. Max.
0.134
3 50 (16.7) 41.36 7.01 26.2 59.0 0.853
0.720
4 12 (4.0) 40.57 5.44 33.0 51.8 0.157

5 8 (2.7) 41.10 6.69 31.9 52.0

Parity

0 125 (41.7) 39.87 6.46 26.3 57.9

1 131 (43.7) 41.46 6.70 24.9 59.0

2-4 44 (16.7) 41.31 6.57 30.1 56.5

Number of Abortion

0 252 (84.0) 40.83 6.54 24.9 57.9

1 41 (13.7) 40.29 7.19 26.2 59.0

2 7 (2.3) 41.47 6.29 31.9 51.8

Abortion

No 252 (84.0) 40.83 6.54 24.9 57.9

Yes 48 (16.0) 40.46 7.02 26.2 59.0

Pregnancy history

Nulliparous 123 (41.0) 39.90 6.50 26.3 57.9

No SPTB 168 (56.0) 41.41 6.73 24.9 59.0

Present SPTB 9 (3.0) 40.97 4.71 34.8 48.2

ผลการวเิ คราะห์ความสัมพนั ธ์ระหว่างคณุ ลักษณะทางคลนิ ิกและความ

ยาวปากมดลูกในไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ในสตรีตั้งครรภ์เดี่ยวปกติ โดย

ใช้การวเิ คราะห์แบบ univariate analysis ดว้ ย simple regression analysis

โดยปัจจัยที่นำมาวิเคราะห์ ได้แก่ อายุ น้ำหนักก่อนตั้งครรภ์ น้ำหนักตัวขณะ

ตั้งครรภ์ ส่วนสูง ดัชนีมวลกาย อายุครรภ์ จำนวนครั้งของการต้ังครรภ์ จำนวน

ครั้งของการคลอด ประวัติการแท้งบุตร และประวัติการคลอดบุตร ผล

การศึกษาพบว่า อายุ น้ำหนักตัวขณะตั้งครรภ์ และประวัติการคลอดบุตร มี

ความสัมพันธ์กับความยาวปากมดลูกในไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ในสตรี

ตั้งครรภ์เดี่ยวปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) โดยที่อายุท่ี

เพิ่มขึ้น 1 ปี ส่งผลให้ความยาวปากมดลูกเพิ่มขึ้น 0.128 มม. (B = 0.128, p-

value = 0.033) น้ำหนักตัวขณะตั้งครรภ์ที่เพิ่มขึ้น 1 กก. ส่งผลให้ความยาว

ปากมดลูกเพิ่มขึ้น 0.060 มม. (B = 0.060, p-value = 0.035) และสตรี

ตั้งครรภ์ที่ไม่เคยมีประวัติการคลอดบุตรมาก่อนจะมีความยาวปากมดลูกน้อย

กวา่ สตรตี ัง้ ครรภ์ท่เี คยมีประวตั ิการคลอดบุตรมาก่อน 1.547 มม. (B = -1.547,

p-value = 0.045) (ตารางที่ 3)

ผลการวเิ คราะห์ความสัมพันธ์ระหวา่ งคุณลักษณะทางคลินิกและความ

ยาวปากมดลูกในไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ในสตรีตั้งครรภ์เดี่ยวปกติ โดย

ใ ช้ ก า ร ว ิ เ ค ร า ะ ห ์ แ บ บ multivariate analysis ด้ ว ย multiple linear

regression analysis โดยพิจารณานำปัจจัยที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญ

ทางสถิติ จากการวิเคราะห์แบบ univariate analysis ได้แก่ อายุ น้ำหนักตัว

ขณะตั้งครรภ์ และประวัติการคลอดบุตร เข้ามาวิเคราะห์ในการวิเคราะห์แบบ

multivariate analysis ผลการทดสอบความเหมาะสมภาพรวมของโมเดลด้วย

สถิติ F-test ตัวแบบ (model) มีค่า F0.05 (3, 296) = 3.063 (p-value =

0.028) และมีค่าสัมประสิทธิ์การตัดสินใจ (R2) เท่ากับ 0.03 หมายความว่าตัว

แปรอิสระทั้ง 3 ตัวแปรในโมเดล ได้แก่ อายุ น้ำหนักตัวขณะตั้งครรภ์ และ

ประวัติการคลอดบุตร สามารถอธิบายความผันแปรของความยาวปากมดลูกได้

ร้อยละ 3 อย่างไรก็ตามผลการศึกษาพบว่า อายุ น้ำหนักตัวขณะตั้งครรภ์ และ

ประวัติการคลอดบุตร มีความสัมพันธ์กับความยาวปากมดลูกในไตรมาสที่สอง

ของการตั้งครรภ์ในสตรีตั้งครรภ์เดี่ยวปกติ อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ โดยที่

เมื่อควบคุมอิทธิพลของตัวแปรกวน อายุที่เพิ่มขึ้น 1 ปี ส่งผลให้ความยาวปาก

มดลูกเพิ่มขึ้น 0.079 มม. (B = 0.079, p-value = 0.221) น้ำหนักตัวขณะ

ตั้งครรภ์ที่เพิ่มขึ้น 1 กก. ส่งผลให้ความยาวปากมดลูกเพ่ิมขึ้น 0.049 มม. (B =

0.049, p-value = 0.094) และสตรีต้งั ครรภ์ท่ีไม่เคยมีประวัติการคลอดบุตรมา

ก่อนจะมีความยาวปากมดลูกน้อยกว่าสตรีตั้งครรภ์ที่เคยมีประวัติการคลอด

บตุ รมากอ่ น 1.018 มม. (B = -1.018, p-value = 0.218) (ตารางท่ี 3)

Table 3 ความสมั พนั ธร์ ะหว่างคุณลกั ษณะทางคลนิ กิ และความยาวปากมดลูก

Factors B 95% CI SE(B) β p-value

Univariate analysis 0.033*
0.116
Age 0.128 0.010 0.245 0.060 0.123

Weight at pre-pregnancy (kg) 0.044 -0.011 0.100 0.028 0.091

Factors B 95% CI SE(B) β p-value
Weight 0.060 0.004 0.116 0.028 0.122 0.035*
Height 0.061 -0.064 0.187 0.064 0.056 0.336
BMI 0.118 -0.034 0.269 0.077 0.088 0.127
GA at CL measurement -0.047 -0.360 0.265 0.159 -0.017 0.765
GA at 1st ANC -0.063 -0.250 0.123 0.095 -0.039 0.506
Gravidarum 0.421 -0.354 1.195 0.394 0.062 0.286
Parity 0.776 -0.189 1.740 0.490 0.091 0.115
Abortion -0.374 -2.424 1.676 1.042 -0.021 0.720
Nulliparous -1.547 -3.061 -0.032 0.770 -0.116 0.045*

Multivariate analysis

Age 0.079 -0.048 0.207 0.065 0.076 0.221
0.094
Weight 0.049 -0.008 0.105 0.029 0.098 0.218

Nulliparous -1.018 -2.640 0.604 0.824 -0.076

Abbreviations: B: Regression coefficient, SE(B): Standard error of B,

β: Standardized regression coefficient, CI, confident interval.

วจิ ารณ์

งานวิจยั นี้พบว่าความยาวปากมดลูกในไตรมาสท่ีสองของการตั้งครรภ์

ในสตรตี ้ังครรภ์เดย่ี วปกตมิ ีคา่ เฉลย่ี อยทู่ ี่ 40.77±6.61 มม.สอดคล้องกบั งานวิจัย

อ่นื ทศี่ ึกษาในประเทศไทย ท่คี ่าเฉล่ียความยาวปากมดลูกไมไ่ ดแ้ ตกตา่ งกนั มาก

โดยอยู่ที่ 41.0, 42.4, 38.7 มม. เปน็ ต้น4,25,36 ซง่ึ ความแตกต่าง 1-2 มม.อาจไม่

มนี ยั สำคัญทางคลนิ ิกขณะทำการวดั และเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉล่ยี ความยาว

ปากมดลูกในงานวจิ ัยทศี่ ึกษาในประชากรชาวเอเชียชาติอน่ื ตวั อย่างเช่น

งานวิจัยของ Cho และคณะ ศึกษาทป่ี ระเทศเกาหลใี ต้ พบว่าคา่ เฉลยี่ ความยาว

ปากมดลูกอยทู่ ่ี 37.7 มม.24 แตพ่ บวา่ งานวิจยั นไ้ี ดร้ วมเอาข้อมูลความยาวปาก
มดลกู ของหญงิ ต้ังครรภ์ที่เคยผ่านการตดั ปากมดลกู มาแลว้ จึงน่าจะเปน็ สาเหตทุ ี่
อธบิ ายว่าทำไมความยาวปากมดลูกของงานวิจยั ของ Cho และคณะ สัน้ กวา่

ในการศึกษาน้ีพบวา่ ความยาวปากมดลกู ทส่ี ัน้ ท่ีสดุ คือ 24.9 มม. โดย
พบวา่ เป็นความยาวปากมดลูกท่สี น้ั น้อยกว่า 25 มม.เพยี งรายเดียวจากจำนวน
ประชากรท่ีศึกษาทั้งสน้ิ 300 ราย คดิ เปน็ ร้อยละ 0.33 สอดคล้องกบั งานวิจยั ที่
เคยมกี ารศึกษาพบวา่ อตั ราความยาวปากมดลูกสนั้ ในประชากรชาวเอเชยี ต่ำ
กว่าร้อยละ127 ตามคำแนะนำของ American College of Obstetricians and
Gynecologists (ACOG) ท่ใี ห้วดั ความยาวปากมดลูกในไตรมาสที่ 2 ของการ
ตงั้ ครรภ์ และแนะนำใหย้ าฮอร์โมนโพรเจสเตอโรนเพื่อป้องกันการคลอดก่อน
กำหนดหากความยาวปากมดลกู สัน้ กว่า 25 มม.9 ผู้นิพนธ์มคี วามเห็นว่าอาจจะ
สั้นไปสำหรับประชากรในประเทศไทย เน่อื งจากเราพบว่าความยาวปากมดลกู ท่ี
เปอร์เซ็นไทล์ที่ 2, 5 และ 10 เท่ากบั 29.51 มม., 30.92 มม., และ 32.60 มม.
ตามลำดับ

เราพบวา่ ความยาวปากมดลูกเฉล่ยี เมื่อเปรยี บเทียบระหว่างกล่มุ ท่ไี ม่
เคยคลอดบุตร, เคยคลอดบุตร 1 คร้งั และเคยคลอดบตุ ร 2-4 ครง้ั ความยาว
ปากมดลูกไม่แตกตา่ งกนั แต่แนวโน้มน้นั พบว่าความยาวปากมดลกู ในกลุ่มท่ีเคย
คลอดบตุ รมาก่อนมีค่าเฉลยี่ ท่ีมากกวา่ กล่มุ ที่ไม่เคยคลอดบุตร ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั
งานวิจัยทเี่ คยมีการศึกษาในประชากรไทย4 ขอ้ มลู เหลา่ นเี้ ปน็ สิ่งที่ยืนยนั ว่าการ
คลอดบตุ รไม่ไดท้ ำลายเน้ือเย่ือเกี่ยวพนั ของปากมดลูกซึง่ เคยมีความเชือ่ วา่ จะ
ทำให้ปากมดลูกส้นั ลง นอกจากนนั้ เรายงั พบวา่ กลมุ่ ทม่ี ีประวตั กิ ารแท้งบุตรก็
ไมไ่ ด้ทำให้ความยาวปากมดลูกแตกต่างจากกลุ่มที่ไมเ่ คยมีประวัตกิ ารแท้ง

งานวิจยั น้พี บวา่ ส่วนสงู ไม่มีความสมั พันธ์กับความยาวปากมดลูก ซงึ่
สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ัยที่เคยมีการศึกษา19,28 แต่กใ็ หผ้ ลขัดแย้งกบั งานวจิ ัยบาง
ฉบบั 29 เราไม่พบความสมั พันธข์ องน้ำหนักสตรตี ั้งครรภ์กบั ความยาวปากมดลูก
สอดคล้องกับงานวิจัยของ Cho และคณะ24 แตกต่างจากงานวิจยั อน่ื ที่พบว่า
นำ้ หนักสตรตี ้งั ครรภส์ ัมพนั ธ์กับความยาวปากมดลกู 19 และเมื่อนำนำ้ หนักและ
สว่ นสงู มาคำนวณหาดชั นมี าลกายพบวา่ ไมม่ ีความสัมพันธ์กับความยาวปาก
มดลกู แตกต่างจากงานวจิ ยั บางฉบบั 19,21 ถงึ แมว้ า่ จะพบว่าดัชนมี วลกายไม่มี
ความสัมพันธ์กับความยาวปากมดลกู อย่างมีนัยสำคัญทางสถติ ิ แต่จากการ

พิจารณาค่าเฉลี่ยความยาวปากมดลกู ในรายท่ี underweight (39.29มม.) มี

แนวโน้มสัน้ กว่าคา่ เฉล่ยี ความยาวปากมดลกู ในรายที่ extremely obese

(43.23มม.)

เมือ่ พิจารณาจากประวตั ิการคลอด ซึ่งงานวจิ ยั นไ้ี ด้แบง่ กลุ่มเปน็ กลุ่ม

nulliparity, กลุม่ no SPTB และ present SPTB พบวา่ ความยาวปากมดลกู ไม่

แตกต่างกนั (p-value=0.157) และเม่ือหาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งประวัตกิ าร

คลอดและความยาวปากมดลูก แม้วา่ จะพบว่ามีความสมั พันธ์อยา่ งมีนยั สำคญั

ทางสถติ กิ ับประวัติ nulliparity ในการวิเคราะหแ์ บบ univariate analysis แต่

เมื่อนำมาวเิ คราะห์แบบ multivariate analysis แล้ว พบว่าความสมั พันธ์ไมม่ ี

นยั สำคัญทางสถิติ เม่ือพิจารณาประวัตกิ ารคลอดพบว่ากลุ่ม present SPTB มี

จำนวนท้ังสน้ิ 9 รายในจำนวนประชากร 300 ราย ซง่ึ สัดสว่ นใกล้เคียงกับ

งานวิจยั ของของ Cho SHและคณะ ทมี่ ีประวตั ิคลอดก่อนกำหนด 85 ราย จาก

ประชากร 3,296 ราย เราพบวา่ ทัง้ 9 รายน้ันไม่มรี ายใดทมี่ ีภาวะปากมดลูกสน้ั

เลย แตกต่างจากงานวจิ ยั ของของ Cho SH และคณะทพี่ บสตรีตัง้ ครรภ์ท่มี ี

ภาวะปากมดลกู ส้นั 8 รายจากสตรีท่ีมปี ระวัติคลอดกอ่ นกำหนด 85 ราย24 ซง่ึ

อธบิ ายไดจ้ ากจำนวนประชากรทศ่ี ึกษาอาจมีขนาดน้อยมาก

ขอ้ ได้เปรยี บของงานวจิ ัยนี้คือผู้ทม่ี ำการวดั ความยาวปากมดลูกมเี พยี ง

คนเดียว ทำให้ลดโดอกาสการเกิด ความตา่ งระหวา่ งผวู้ ดั (interobserver

variation) ได้ แต่ก็มขี ้อจำกดั บางประการ กล่าวคือเปน็ การวจิ ัยในสถาบันเดียว

ระยะเวลาน้อย ซ่ึงอาจทำให้ขาดความหลากหลาย และไม่สามารถสะท้อน

ภาพรวมของประชากรทั้งประเทศได้ ประกอบกบั ขนาดประชากรที่ศึกษามี

จำนวนน้อย จึงทำใหไ้ มพ่ บความสมั พนั ธ์ท่ีแท้จริงของตัวแปรท่ศี กึ ษา กบั ความ

ยาวปากมดลกู

อยา่ งไรก็ตาม งานวจิ ยั น้ีเปน็ ความพยายามศึกษาหาปจั จยั ท่ีมี

ความสมั พนั ธก์ ับความยาวปากมดลกู ในไตรมาสท่สี องของการต้ังครรภ์ ซง่ึ ยงั ไม่

เคยมีการศึกษามาก่อนในประเทศไทย ข้อมลู จากงานวิจยั น้ีนา่ จะมปี ระโยชนใ์ น

การศึกษา และตอ่ ยอดในอนาคต

สรปุ
คา่ เฉลีย่ ความยาวปากมดลกู ในไตรมาสทสี่ องของการตั้งครรภ์ของสตรี

ตั้งครรภ์เดีย่ วปกติท่ีมากฝากครรภ์ทีโ่ รงพยาบาลสมเด็จพระสงั ฆราชองค์ท่ี 17
คอื 40.77มม. พบอตั ราความยาวปากมดลูกสัน้ (<25มม.) เพียงรอ้ ยละ0.33 ไม่
พบความสมั พันธร์ ะหวา่ งความยาวปากมดลูกในไตรมาสท่ีสองของการตั้งครรภ์
กับอายุ, นำ้ หนัก, ส่วนสงู , ดชั นีมวลกาย และประวตั กิ ารคลอดบุตร หากเพมิ่
จำนวนประชากรและระยะเวลาทศี่ กึ ษารวมถงึ สถาบันที่รว่ มศึกษา อาจพบ
ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งอายุ, นำ้ หนกั , และประวัติการคลอดบุตรกับความยาว
ปากมดลูกที่ชดั เจนมากขึน้
เอกสารอา้ งองิ
1. Practice Bulletin No. 171: Management of Preterm Labor.
Obstetrics and gynecology. 2016;128(4):155-164.
2. Blencowe H, Cousens S, Oestergaard MZ, Chou D, Moller A-B,
Narwal R, et al. National, regional, and worldwide estimates of
preterm birth rates in the year 2010 with time trends since 1990
for selected countries: a systematic analysis and implications. The
lancet. 2012;379(9832):2162-72.
3. Oskovi Kaplan ZA, Ozgu-Erdinc AS. Prediction of preterm birth:
maternal characteristics, ultrasound markers, and biomarkers: an
updated overview. Journal of pregnancy. 2018;2018.
4. Wanitpongpan P. Cervical length at mid-trimester in Thai
women with normal singleton pregnancies. Siriraj Medical Journal.
2015;67(1).
5. Son M, Miller ES, editors. Predicting preterm birth: cervical
length and fetal fibronectin. Seminars in perinatology; 2017:
Elsevier.

6. Glover AV, Manuck TA, editors. Screening for spontaneous
preterm birth and resultant therapies to reduce neonatal
morbidity and mortality: A review. Seminars in Fetal and Neonatal
Medicine; 2018: Elsevier.
7. Crane J, Hutchens D. Use of transvaginal ultrasonography to
predict preterm birth in women with a history of preterm birth.
Ultrasound in Obstetrics and Gynecology: The Official Journal of
the International Society of Ultrasound in Obstetrics and
Gynecology. 2008;32(5):640-5.
8. Medicine FWGOBPIM-F, Gynecology IFo, Obstetrics. Best practice
in maternal-fetal medicine. Int J Gynaecol Obstet. 2015;128(1):80-
2.
9. Practice Bulletin No. 234: Prediction and Prevention of
Spontaneous Preterm Birth. Obstetrics and gynecology.
2021;138(2):65-90.
10. Committee SfM-FMP. Progesterone and preterm birth
prevention: translating clinical trials data into clinical practice.
American journal of obstetrics and gynecology. 2012;206(5):376-86.
11. Fonseca EB, Celik E, Parra M, Singh M, Nicolaides KH.
Progesterone and the risk of preterm birth among women with a
short cervix. New England Journal of Medicine. 2007;357(5):462-9.
12. Hassan S, Romero R, Vidyadhari D, Fusey S, Baxter J,
Khandelwal M, et al. Vaginal progesterone reduces the rate of
preterm birth in women with a sonographic short cervix: a

multicenter, randomized, double‐blind, placebo‐controlled trial.
Ultrasound in Obstetrics & Gynecology. 2011;38(1):18-31.

13. Cahill AG, Odibo AO, Caughey AB, Stamilio DM, Hassan SS,
Macones GA, et al. Universal cervical length screening and
treatment with vaginal progesterone to prevent preterm birth: a
decision and economic analysis. American journal of obstetrics
and gynecology. 2010;202(6):548. e1-. e8.
14. Werner EF, Hamel MS, Orzechowski K, Berghella V, Thung SF.
Cost-effectiveness of transvaginal ultrasound cervical length
screening in singletons without a prior preterm birth: an update.
American journal of obstetrics and gynecology. 2015;213(4):554.
e1-. e6.
15. Facco FL, Simhan HN. Short ultrasonographic cervical length in
women with low-risk obstetric history. Obstetrics & Gynecology.
2013;122(4):858-62.
16. Orzechowski KM, Boelig R, Nicholas SS, Baxter J, Berghella V. Is
universal cervical length screening indicated in women with prior
term birth? American journal of obstetrics and gynecology.
2015;212(2):234. e1-. e5.
17. Masters HR, Warshak C, Sinclair S, Rountree S, DeFranco E.
Time required to complete transvaginal cervical length in women
receiving universal cervical length screening for preterm birth
prevention. The Journal of Maternal-Fetal & Neonatal Medicine.
2020:1-5.
18. Woraboot W, Wanitpongpan P, Phaophan A. Correlation
between lower uterine wall thickness measured by
transabdominal ultrasonography and cervical length measured by
transvaginal ultrasonography in Thai pregnant women. J Chin Med
Assoc. 2019 Jan;82(1):50-54.

19. Van der Ven A, Van Os M, Kleinrouweler C, De Groot C, Haak
M, Mol B, et al. Is cervical length associated with maternal
characteristics? European Journal of Obstetrics & Gynecology and
Reproductive Biology. 2015;188:12-6.
20. Miller ES, Tita AT, Grobman WA. Second-trimester cervical
length screening among asymptomatic women: an evaluation of
risk-based strategies. Obstetrics & Gynecology. 2015;126(1):61-6.
21. Palatnik A, Miller ES, Son M, Kominiarek MA. Association among
maternal obesity, cervical length, and preterm birth. American
journal of perinatology. 2017;34(05):471-9.
22. Hendler I, Goldenberg RL, Mercer BM, Iams JD, Meis PJ,
Moawad AH, et al. The Preterm Prediction Study: association
between maternal body mass index and spontaneous and
indicated preterm birth. American journal of obstetrics and
gynecology. 2005;192(3):882-6.
23. Liabsuetrakul T, Suntharasaj T, Suwanrath C, Leetanaporn R,
Rattanaprueksachart R, Tuntiseranee P. Serial translabial
sonographic measurement of cervical dimensions between 24 and
34 weeks' gestation in pregnant Thai women. Ultrasound in
Obstetrics and Gynecology: The Official Journal of the
International Society of Ultrasound in Obstetrics and Gynecology.
2002;20(2):168-73.
24. Cho S-H, Park KH, Jung EY, Joo JK, Jang JA, Yoo H-N. Maternal
characteristics, short mid-trimester cervical length, and preterm
delivery. Journal of Korean medical science. 2017;32(3):488-94.

25. Tongsong T, Kamprapanth P, Pitaksakorn J. Cervical length in
normal pregnancy as measured by transvaginal sonography.
International Journal of Gynecology & Obstetrics. 1997;58(3):313-5.
26. Kovavisarach E, Sukontaman W. Nomogram of Cervical Length
at Mid-trimester in Normal Thai Pregnant Women. JOURNAL OF
THE MEDICAL ASSOCIATION OF THAILAND. 2018;101(2):31.
27. Maerdan M, Shi C, Zhang X, Fan L. The prevalence of short
cervix between 20 and 24 weeks of gestation and vaginal
progesterone for prolonging of gestation. The Journal of Maternal-
Fetal & Neonatal Medicine. 2017;30(14):1646-9.
28. Souka A, Papastefanou I, Michalitsi V, Papadopoulos G,
Kassanos D. A predictive model of short cervix at 20–24 weeks

using first‐trimester cervical length measurement and maternal
history. Prenatal diagnosis. 2011;31(2):202-6.
29. Albayrak M, Ozdemir I, Koc O, Coskun E. Can maternal height
predict shorter cervical length in asymptomatic low-risk pregnant
women? European Journal of Obstetrics & Gynecology and
Reproductive Biology. 2011;157(2):161-5.

กลมุ่ งานพฒั นายทุ ธศาสตรส์ าธารณสขุ
สานกั งานสาธารณสขุ จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี

ทาเนียบงานวจิ ยั

https://is.gd/jZs1DO


Click to View FlipBook Version