พจนานกุ รมพทุ ธศาสน
ฉบบั ประมวลศัพท
สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย
(ป. อ. ปยุตฺโต)
งานบาํ เพ็ญกศุ ลทกั ษณิ านุปทาน (บญุ อฏั ฐะ)
อุทิศให้
นายกอง ศรีสมุทร และ นางพูล ศรสี มุทร
พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท
© สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย (ป. อ. ปยุตฺโต)
ISBN 974-575-029-8
พิมพครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๒๒ ๑,๕๐๐ เลม
– งานพระราชทานเพลิงศพ พระครูปลดั สมยั กิตฺตทิ ตฺโต เจาอาวาสวดั พระพเิ รนทร ๙,๔๐๐ เลม
๕,๐๐๐ เลม
พมิ พครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๒๗ (เพ่ิมศพั ทและปรับปรงุ )
๓๑,๕๐๐ เลม
พิมพครัง้ ท่ี ๓ พ.ศ. ๒๕๒๘ (เพิ่มภาคผนวก)
– พิมพถวายมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั โดย “ทนุ พิมพพจนานุกรมพุทธศาสน”
พิมพครง้ั ท่ี ๔–๙ พ.ศ. ๒๕๓๑–๒๕๔๓
พมิ พครงั้ ที่ ๑๐ พ.ศ. ๒๕๔๖ (จดั เรียงพมิ พใหมดวยระบบคอมพิวเตอร) ๑๐,๐๐๐ เลม
ขนาดตวั อกั ษรธรรมดา ๕,๐๐๐ เลม และขนาดตวั อกั ษรใหญ ๕,๐๐๐ เลม ๓๐,๖๐๐ เลม
๘,๐๐๐ เลม
พิมพครงั้ ท่ี ๑๑, ๑๒ - กรกฎาคม - พฤศจิกายน ๒๕๕๑ (ชําระ-เพิม่ เตมิ ชวงท่ี ๑)
พิมพครั้งท่ี ๑๓, ๑๔ - กันยายน – ธนั วาคม ๒๕๕๒ (ชําระ-เพ่มิ เติม ชวงท่ี ๑/เสรมิ )
พมิ พครั้งท่ี ๑๕ - ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๓ (ชําระ-เพิ่มเติม ชวงท่ี ๑/ยตุ ิ)
พิมพครัง้ ท่ี ๓๒ - - (ชวงแทรกพิเศษ ทายป ๖๐: เพิ่ม ๕๐ หนา) - กมุ ภาพนั ธ ๒๕๖๑ ๑,๐๐๐ เลม
– ในงานบําเพ็ญกุศลทกั ษิณานุปทาน (บุญอัฏฐะ) อทุ ิศให นายกอง ศรสี มุทร และนางพูล ศรีสมุทร
พมิ พท่ี
อนุโมทนา
ณ วนั ที่ ๒๘ กมุ ภาพนั ธ ๒๕๖๑ และ ๑-๒-๓ มนี าคม ๒๕๖๑ ทบี่ าน
หนองกก ตาํ บลบวั หงุ อาํ เภอราษไี ศล จงั หวดั ศรสี ะเกษ จะมงี านบาํ เพญ็ กศุ ล
ทกั ษณิ านปุ ทาน (บญุ อฏั ฐะ) อทุ ศิ ให นายกอง ศรสี มทุ ร และ นางพลู ศรสี มทุ ร
ในการน้ี อาจารยประสทิ ธ์ิ ศรสี มทุ ร ไดแจงบญุ เจตนาวาจะจดั พมิ พหนงั สอื
พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท เพอ่ื เปนอนสุ รณ และเปนการอทุ ศิ
กศุ ลแกทานผลู วงลบั ดวยธรรมทาน โดยแจกมอบแกพทุ ธบรษิ ทั ญาตมิ ติ รประชา
ชน ใหเกดิ ผลเปนประโยชนทางธรรมทางปญญากวางขวางออกไป
ประจวบเปนจงั หวะพอดที หี่ นงั สอื พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท์
เพง่ิ มกี ารปรบั ปรงุ เพมิ่ เตมิ เสรจ็ ใหมๆ มเี นอื้ หาเพมิ่ ขนึ้ อกี ๕๐ หนา จงึ ถอื วา
ธรรมทานครงั้ นเ้ี ปนการบาํ เพญ็ ประโยชนในการเจรญิ ปญญาเพม่ิ ขน้ึ อกี ดวย
การบําเพ็ญธรรมทานนั้น เปนยอดของทาน ดังที่พระพุทธเจาตรัส
สรรเสรญิ วา การใหธรรมะชนะการใหทง้ั ปวง และเปนการบาํ เพญ็ ประโยชน
สุขแกประชาชนอยางเปนแกนสาร จึงเหมาะแทท่ีจะเปนบุญกริ ยิ า ในการ
แสดงกตญั กู ตเวทติ าแดทานผเู ปนบพุ การี
ขออนโุ มทนากศุ ลจรยิ าของอาจารยประสทิ ธ์ิ ศรสี มทุ ร ในการบาํ เพญ็
ธรรมทานครงั้ น้ี ดวยความมนี า้ํ ใจระลกึ ถงึ บพุ การี และตงั้ ใจบาํ เพญ็ ประโยชน
สขุ ทเี่ ปนแกนสารแกประชาชน ใหเกดิ ผลในทางสรางสรรคแกชวี ติ และสงั คม
ขอบญุ กริ ยิ าทไี่ ดบาํ เพญ็ จงอาํ นวยสขุ สมบตั แิ ก นายกอง ศรสี มทุ ร และ
นางพลู ศรสี มทุ ร และอาํ นวยจตรุ พธิ พรแกครอบครวั ลกู หลาน ใหเจรญิ งอก
งามไพบลู ยในธรรมและความสขุ เกษมศานติ์ ตลอดกาลยนื นาน
สมเดจ็ พระพทุ ธโ ษาจารย (ป. อ. ปยตุ ฺโต)
๑ ธันวาคม ๒๕๖๐
คาํ ี้ ง
(งานแทรกพเิ ศษ ท้ายปี ๒๕๖๐ - พิมพค์ รง้ั ที่ ๓๑)
หนงั สอ พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท น ตามทก่ ะการ ว หลังจาก
“ชาระเพมิ่ เติม ชวงท่ ๑” ในกลางป ๒๕๕๑ จะมการชาระเพม่ิ เตมิ ชวงท่ ๒ และชวงท่ ๓ ตามมา
อก แตจน ัดนเวลา าน ปเกอ ๑๐ ป ยัง มมโอกาสทาอะ รใหกาวตอ ป ทงั นเหตสุ าคัญคอ
ระยะเวลายาวนานทล่ วงมาและขางหนาตอ ปแท ทังสนิ ตองยกใหแกงานตรวจจดั หนังสอ ตาม
พระใหมไ่ ปเรยี นธรรม ่งม ๖๐ ตอน ทต่ กลง ววาจะพมิ พในงานปลงศพพระครูสังฆรกั ษ
( าย ป ฺ าปทโป) อนั เทากั เปนเง่อน ขใหตองทาหนังสอ ตามพระใหม่ฯ นนั ใหเสร็จ จงจะ
ปลงศพ ด และตองยกเวลาแท ทงั สนิ ใหแกงานนนั แตถง ัดน หนงั สอ ตามพระใหม่ฯ เพิง่
เสร็จ ป ด ๒๗ ใน ๖๐ ตอน ทาใหมอง ปวากวางานหนงั สอ ตามพระใหมฯ่ นันจะเสร็จ อาจ ม
มโอกาสเหลอทจ่ ะทาหนังสอใด ดอก
ดวยเหตดุ ังกลาว จงตกลงเ ยดแ งแยงเวลาจากงานหนังสอ ตามพระใหมฯ่ ออกมาชาระ
เพ่มิ เติม พจนานุกรมพทุ ธศาสน ฉบับประมวลศพั ท น โดยขอแตนอยใหสันทส่ ุด มงุ ปท่
ศัพทในระดั พน านทต่ กหลน และคาสามญั างแหงทน่ าจะเสริมใหชดั ย่งิ ขน
ทังท่คดิ ววาจะใชเวลาใหนอยท่สดุ แตกวาจะปดงานเ ยดแทรกน ด ก็ใชเวลาถง ๒ เดอน
โดย ดยกหัวศัพทภาษา ทยทงิ ปประมาณ ๒๕ คา (เดมิ ทนัน ทาพจนานุกรมนเพ่อความรูเ อง
ตนในระดั นกั ธรรม จงรั คาภาษา ทยเกา ทม่ ในหนงั สอเรยนนักธรรมเขามาดวย แตเมอ่ งาน
ขยายขอ เขตออก ป กร็ ักษา วเ พาะคาพระและศพั ทพระธรรมวินัย) มคาศพั ทเพ่มิ ใหม ๖๕
คา คาเกาทข่ ดั เกลาหรอขยายความราว ๑๕๐ คา รวมมเนอหนังสอเพมิ่ ขน ๕๐ หนา
ดงั ท่กลาวแลว การชาระเพิม่ เตมิ พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท คราวน เปน
งานแทรกพเิ ศษกระชนั ชิด ท่เ ยดแ งแยงเวลาจากงานปจจุ นั แตน ปเ องหนา ถาโอกาสจะพงเกิด
ม คงจะ ดมการชาระเพิ่มเตมิ ชวงท่ ๒ และชวงท่ ๓ ตามท่กะการ วนานแลวนนั ตอ ป
ระหวางท่งานดาเนิน ป พระครูสังฆวจิ ารณ (พงศธรณ เกตุ าโณ) นอกจากทาการติดตอสอ่
สารทจ่ าเปนใหแลว อาศัยสายตาทด่ ยงั ดชวยอานชวย อกท่พิมพเ ลอพลาดตกหลน ชวยใหแก ข
ดเรย รอยมากแหง ขออนโุ มทนา ว ณ ทน่ ดวย
อน่ง ในชวงเวลา ๓-๔ ปท่ านมาน ขณะทอ่ ยหู าง กลและโดย มทนั รูตวั จู ญาตโิ ยม ู
ศรัทธาท่พ เ พาะหนา ก็ อกแจงถวายทนุ พิมพพจนานกุ รมน าง ทาประโยชนอน่ าง ในการ
พมิ พครงั พิเศษน โยมท่เก็ เงินเหลาน วก็จะ ดหมดภาระในการรักษา โดยยกเงนิ ทังหมดนันมา
ใชพมิ พหนงั สอคราวนในชอ่ วา “ทุนประเดิม” และขออนุโมทนาทกุ ทาน ว ณ ท่น
สมเดจ็ พระพทุ ธโ ษาจารย (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑ ธนั วาคม ๒๕๖๐
บันทึกนํา - พมิ พครัง้ ท่ี ๑๑
(ฉบบั “ชําระเพมิ่ เติม ชวงที่ ๑”)
หนงั สือนีเ้ กดิ ขึน้ ๒๙ ปมาแลว เมือ่ พ.ศ. ๒๕๒๒ เดมิ ทนี ั้นมงุ ใหเปนงานสําหรับใชไปพลาง โดยพัก
งานพจนานกุ รมเดมิ ทีเ่ ริม่ มาแต พ.ศ. ๒๕๐๖ ไวกอน (มีความเปนมาดงั ไดเลาไวตางหาก) และเปนงานเรงดวน
เฉพาะหนา เพอ่ื เปนอนุสรณในงานพระราชทานเพลงิ ศพทานอาจารยพระครูปลัดสมยั กิตตฺ ิทตโฺ ต อดตี เจา
อาวาสวดั พระพเิ รนทร ทําไวเพียงเปนขอมลู พ้ืนฐาน สําหรบั ผูเรียนนักธรรม และผแู รกศกึ ษา จึงตั้งช่ือวา
พจนานุกรมพทุ ธศาสน ฉบับครู นักเรียน นักธรรม พรอมกบั หวงั วาจะหาโอกาสปรบั ปรุงและเพมิ่ เติมตอไป
บัดน้ี งานพจนานุกรมเดิมท่ีเริ่มแตป ๒๕๐๖ ซ่งึ พกั ไว ไดกลายเปนพบั ไปแลว สวน พจนานกุ รมพุทธ
ศาสน ฉบบั ประมวลศัพท นี้ (เปลย่ี นเปนช่ือปจจุบันเมอื่ พิมพครงั้ ท่ี ๒ ใน พ.ศ.๒๕๒๗ เพือ่ เขาชุดกับ
พจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบบั ประมวลธรรม ท่ไี ดเกดิ ข้ึนกอนต้ังแต พ.ศ.๒๕๑๘) ยงั เปนเพยี งขอมูลพ้ืนฐาน
อยอู ยางเดมิ จนกระทงั่ ตนปทแี่ ลว เดอื นมกราคม พ.ศ.๒๕๕๐ ผานเวลามา ๒๘ ป บงั เอญิ ผเู รยี บเรยี งเกดิ มโี รค
แทรกท่ีคอนขางยืดเยอื้ กเ็ ลยไดมเี วลาและโอกาสหันไปรอ้ื ฟนงานเพิม่ เติมพจนานุกรมน้ี แตกระนัน้ กก็ ลาย
เปนงานยดื เยอื้ มงี านอน่ื มาแยงเวลาไปเสียมาก ถึงขณะนี้ ๑ ปครึง่ จงึ ยุติที่จะพมิ พเผยแพรไปคราวหน่ึงกอน
งานปรับปรงุ และเพมิ่ เติมน้ี ในทน่ี ี้ เรยี กวา การชําระ-เพม่ิ เติม เปนงานใหญ ยากจะทําใหเตม็ ตาม
ตองการ จงึ ไดแบงงานนน้ั เปน ๓ ชวง ดงั นี้
การชาํ ระ-เพม่ิ เติม ชวงที่ ๑: แกไขปรับปรุงขอขาดตกบกพรองที่พบเฉพาะหนา โดยเฉพาะสวนหลงตา
ทบ่ี งั เอญิ พบ และเพมิ่ เตมิ คาํ ศพั ทและคาํ อธบิ ายทรี่ บี ดวน หรอื บงั เอญิ นกึ ได รวมทงั้ ศพั ททบี่ นั ทกึ ไวระหวางเวลาท่ี
ผานมา (เลอื กทาํ เฉพาะคาํ ทไี่ มซบั ซอนนกั ) และบางคาํ ทท่ี านผใู ชไดมนี า้ํ ใจแจงมาวาเจอคาํ ผดิ หรอื คนหาไมพบ
การชาํ ระ-เพมิ่ เติม ชวงที่ ๒: อาน-ตรวจตลอดเลม เพ่ือจะไดมองเหน็ คาํ พมิ พผิด คําตก จุดและแงที่
จะแกไข-ปรับปรงุ -เพมิ่ เตมิ ทั่วทง้ั หมด พรอมทง้ั จดั ปรบั คาํ อธิบายศัพททง้ั ของเดิมและสวนทเี่ พ่ิมเติม ใหเขา
มาตรฐานเดียวกนั ทงั้ ในแงการแสดงความหมาย วธิ ีอธบิ าย และอัตราสวนความยาวทสี่ ัมพันธกับความสาํ คญั
ของศัพทนั้นๆ
การชาํ ระ-เพม่ิ เตมิ ชวงที่ ๓: มุงทก่ี ารจดั ระบบ เพื่อใหสม่ําเสมอ กลมกลืน เปนแบบแผนอันเดยี วกนั
และท่ัวกัน เชน มีคําอาน บอกที่มาในคัมภีร แสดงคาํ เดมิ ในภาษาบาลแี ละสันสกฤต และถาเปนไปได ใหคํา
แปลภาษาอังกฤษของศัพทต้งั หรอื หัวศพั ท พรอมทง้ั แผนที่และภาพประกอบ
บดั นี้ ถอื วาเสรจ็ งาน ชาํ ระ-เพิ่มเตมิ ชวงที่ ๑ เน้ือหนังสอื ขยายจากเดิมเพ่มิ ขึน้ ๒๐๔ หนา (จาก ๓๗๖
หนา เปน ๕๘๐ หนา) มีศัพทท่ีปรบั แกเพมิ่ เตมิ ประมาณ ๑,๑๐๐ คํา แตพรอมกบั ท่มี ีศพั ทและคาํ อธบิ ายเพมิ่ ข้ึน
เปนอันมาก ก็เกิดความไมสมดุลขึน้ เพราะวา ในขณะทศี่ ัพทเพ่มิ ใหม และศพั ทท่ีปรบั ปรุง (เชน ปริตร, ภาณ
ยกั ษ, มานะ) มีคาํ อธิบายยืดยาว ดังจะเปนสารานกุ รม แตคาํ เกาที่มอี ยเู ดมิ สวนใหญมคี าํ อธบิ ายส้นั นิดเดยี ว
ทั้งน้ี ขอใหถือวาคงใชตอไปพลางกอน และใหความเรยี บรอยราบร่นื เปนเร่อื งของการชาํ ระ-เพิ่มเติม
ชวงท่ี ๒ และ ชวงท่ี ๓ ทีอ่ าจจะมีขางหนา
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)
๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๑
บนั ทึกเสรมิ
พจนานุกรมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท ท่ี ชําระ-เพ่มิ เติม ชวงท่ี ๑ ไดพิมพเสรจ็ ออกมาเผยแพร
เม่อื เดือน มิ.ย. - ก.ค. ๒๕๕๑ เวลาผานไปรวดเร็ว ถงึ บดั น้ีปเศษแลว ระหวางน้ี บางทานผใู ฝศกึ ษา มี
ฉันทะแรงกลา พรอมดวยความมีน้าํ ใจเก้อื หนุน ไดตัง้ ใจอานตลอดเลมโดยละเอยี ด และเก็บรวมคาํ ผิด
คลาดเคลื่อน ตก และเกิน เปนตน แลวสงมาให ฝายทานท่ีขออนุญาตพมิ พรายลาสดุ เมือ่ ทราบเรอ่ื งน้ี ก็
อยากจะพมิ พฉบบั ท่ไี ดแกไขขอผดิ เหลานั้นแลว จึงขอรองและเรงมา แตทางดานผเู รียบเรียงหนงั สือนี้เอง
นอกจากงานอ่ืนบบี รัดแลว ก็อยใู นระยะอาพาธขั้นรุนแรงตอเน่อื ง เรอ่ื งจงึ ยืดเย้อื เรอ่ื ยมา แตในท่สี ดุ เมื่อ
วานนีเ้ อง ไดโอกาสทํางานน้ี จงึ ยกตนฉบบั พจนานกุ รมข้ึนมาแกไขจนเสรจ็ ส้ินไปในวันเดยี ว และวันน้ีจึง
เตรียมฝากสงตนฉบบั น้ันใหแกทานทข่ี อพิมพ แลวแตจะไปดาํ เนินการกันเองใหเกิดประโยชนตอไป
ทานทส่ี งบญั ชคี าํ ควรแกมาให ทไี่ ดใชงานเมอ่ื วานนี้ มี ๓ ทาน เรียงตามลําดบั เวลาท่บี ัญชีมาถึง คือ
พระมหานิยม สีลสํวโร แหงมหาจุฬาอาศรม คุณพนั ธรุ พี นพรัมภา และคณุ จิรประภา เดชะอําไพ (สง
ผานทางพระครปู ลดั สวุ ฒั นพรหมคุณ พระการณุ ย กุสลนนโฺ ท และคณุ พนิตา อังจันทรเพ็ญ ตามลาํ ดบั )
ตามบญั ชขี องพระมหานิยม สลี สํวโร ซ่ึงมีท้ังแกคําผิด ตดั คาํ เกนิ ปรบั คําเดยี วกันในตางที่ใหตรง
กัน เปนตน นบั ได ๕๕ แหง เห็นไดวาทานทํางานดวยความใสใจและละเอยี ดลออมาก นอกจากน้นั ใน
ฐานะท่ีเปนพระเปรียญผมู ที งั้ ฐานและประสบการณดานปรยิ ัติ ยงั มีขอเสนอหลายอยางทีเ่ ปนประโยชน
เชน เสนอเพม่ิ คํา (เพอื่ เปนศพั ทตั้ง) มา ๑๗ คาํ และขอใหใสคําแปลไทยสาํ หรบั ขอความบาลบี างแหง
(เพ่ือใหผูคนควาทไ่ี มรบู าลสี ามารถเขาใจไดดวย) แตเร่อื งน้ี ดงั ที่บอกกลาวไวแลว จะตองรอไวทําในการ
“ชาํ ระ-เพิม่ เตมิ ชวงท่ี ๒” (คราวน้ีตองใหจํานวนหนาคงอยเู ทาเดิม)
บญั ชีของคุณพันธรุ พี นพรมั ภา มีคาํ ท่ีไดแก ซ่งึ ไมซา้ํ กบั ของพระมหานยิ ม สีลสวํ โร นบั ได ๓๕ แหง
กับการเวนวรรคหลงั ตวั เลข และหลงั พ.ศ. หลงั ค.ศ. อกี ๓๐ แหง
พอมาถงึ บัญชีของคุณจริ ประภา เดชะอําไพ ปรากฏวา คําผดิ ทพ่ี บแทบทง้ั หมดซาํ้ กบั ๒ บญั ชแี รก
สวนท่ีไมซ้ํา กไ็ ดแกไป แตไดประโยชนมากที่ทําใหมนั่ ใจวานาจะแทบไมมีคําผดิ เหลืออยูในพจนานุกรมน้ี
ขออนุโมทนาเจาของบัญชขี อพงึ แก ทงั้ ๓ ทานไว ณ ท่ีนี้ เปนอยางยิ่ง (ขอพึงแกทีผ่ เู รียบเรียงเอง
บงั เอิญพบ และทีไ่ ดรับคําบอกแจงแหลงอืน่ บางแหง กไ็ ดถอื โอกาสปรับแกเติมไปดวยอกี เกนิ ๒๐ แหง)
ดงั ไดเลาไวในบันทึกนาํ คร้งั ท่แี ลววา ผูเรียบเรยี งเองยงั ไมไดอาน-ตรวจตลอดเลมพจนานุกรมนีเ้ ลย
และไดจดั เอางานสวนนรี้ วมไวในการ “ชาํ ระ-เพม่ิ เตมิ ชวงที่ ๒” ทจี่ ะมภี ายหนา แตครนั้ ไดบญั ชคี าํ พงึ แกจาก
สามทานนแ้ี ลว กค็ ดิ วาตนคงไมจาํ เปนตองทาํ งานนอ้ี กี สามารถตดั งานอาน-ตรวจตลอดเลมนน้ั ออกไปได
เลย และมคี วามเปนไปไดมากวา งานพจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ทอาจจะตองตดั ตอนจบลงเพยี ง
ในระดบั น้ี เพราะมคี วามเปนไปไดนอยอยางยงิ่ ทผ่ี เู รยี บเรยี งจะมโี อกาสเหลอื พอทจี่ ะทาํ งานนนั้
หวังวา งานเสรมิ การ “ชาํ ระ-เพิม่ เตมิ ชวงท่ี ๑” นี้ คงจะชวยใหผูศึกษาคนควาไดรบั ประโยชนจาก
พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท ใกลเต็มคุณคายิง่ ขน้ึ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต)
๙ กันยายน ๒๕๕๒
ความเปนมา
ในการ “ชําระ-เพม่ิ เติม ชวงท่ี ๑”: ม.ค. ๒๕๕๐ - มิ.ย. ๒๕๕๑
ก) งานในโครงการ ชะงกั -หายไป
ยอนหลังไปถงึ พ.ศ.๒๕๐๖ เมือ่ หนังสอื Student’s Thai–Pali–English Dictionary of
Buddhist Terms เลมเลก็ ๆ เสร็จแลว ผจู ดั ทําหนงั สอื นี้ ก็ไดเร่ิมงานพจนานุกรมพระพทุ ธศาสนา
งานคางที่ ๑: เริ่มแรก คิดจะทําพจนานุกรมพระพุทธศาสนาเชิงสารานุกรม ฉบับที่คอนขาง
สมบรู ณเลยทเี ดยี ว มที ง้ั ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ โดยเขยี นแยกเปน ๒ คอลมั น ซาย-พากยไทย
และ ขวา-พากยอังกฤษ เริ่ม ๒๙ ก.ย. ๒๕๐๖ ถึง ๑๒ พ.ย. ๒๕๐๗ จบอักษร “บ” (ยังคางชําระ
บางคํา) ตองเขารับงานท่ีมหาจฬุ าฯ แลวยงุ กบั งานท่นี นั่ จนงานพจนานุกรมชะงักแลวหยุดไปเลย
งานคางที่ ๒: เม่ือเห็นวายากจะมโี อกาสทํางานคางนั้นตอ จึงคดิ ใหมวาจะทําฉบบั ที่มีเพยี งพากย
ไทย อยางยนยอ โดยมีภาษาอังกฤษเฉพาะคําแปลศัพทใสวงเลบ็ หอยทายไว แลวเริ่มงานใน พ.ศ.-
--- แตงานท่มี หาจุฬาฯ มาก พอทาํ จบ “ต” ก็ตองหยดุ (ตนฉบบั งานชุดนีท้ ง้ั หมดหายไปแลว)
(ระหวางนนั้ ในป ๒๕๑๕ โดยคํานมิ นตของทานเจาคุณเทพกิตตโิ สภณ คร้งั ยังเปนพระมหา
สมบูรณ สมฺปณุ โฺ ณ ตกลงทําประมวลหมวดธรรมออกมาใชกนั ไปพลางกอน ทําใหเกิดพจนานกุ รม
พทุ ธศาสตร [ตอมาเตมิ คาํ วา ประมวลธรรม] เสร็จเปนเลม ใน พ.ศ. ๒๕๑๘)
งานคางท่ี ๓: ใน พ.ศ.๒๕๑๙ ไปเปนวทิ ยากรท่ี Swarthmore College เมือ่ กลับมาในป ๒๕๒๑
ตงั้ ใจหยดุ งานอน่ื ทง้ั หมดเพอ่ื จดั ทาํ สารานกุ รมพทุ ธศาสนา โดยเรมิ่ ตนใหม ทาํ เฉพาะพากยภาษาไทย มี
ภาษาองั กฤษเพยี งคาํ แปลศพั ทในวงเลบ็ หอยทาย พอใกลสนิ้ ป ๒๕๒๑ กจ็ บ “ก” รวมได ๑๐๕ หนา
กระดาษพิมพดีด และขนึ้ “ข” ไปไดเลก็ นอย แลวหันไปทําคําเกยี่ วกบั ประวัติเสร็จไปอีก ๘๐ หนา
ตนป ๒๕๒๒ นน้ั เอง ศาสตราจารย ดร. ระวี ภาวไิ ล จะพมิ พ พทุ ธธรรม ไดขอเวลาทานเพื่อ
เขยี นเพม่ิ เตมิ แลวการไปบรรยายที่ Harvard University มาแทรก กวาจะเติมและพิมพเสร็จ ส้นิ
เวลา ๓ ป งานทาํ พจนานกุ รม-สารานุกรมเปนอันหยดุ ระงับไป จากนัน้ งานดานอืน่ เพมิ่ ขนึ้ ตลอดมา
ข) งานใหมนอกสาย แตเสร็จ: พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท
๑. ยคุ พมิ พระบบเกา
ตนป ๒๕๒๒ นั้นแหละ เม่ือเห็นวาคงไมมีโอกาสฟนงานที่คาง กน็ ึกถึงหนงั สอื ศพั ทหลกั
สตู รภาษาไทย (สําหรบั วิชาใหมในหลักสตู รนกั ธรรม) ทมี่ หาจุฬาฯ พิมพออกมาใน พ.ศ.๒๕๐๓ ซึ่ง
แทบจะยงั ไมทนั ไดเผยแพร วิชาใหมนั้นกถ็ ูกยกเลกิ เสีย จึงพบหนังสือชุดนน้ั เหลอื คางถกู ทอดทง้ิ
อยูมากมาย เหน็ วา มขี อมูลพอจะทําเปนพจนานุกรมเบื้องตนได อยางนอยหวั ศพั ททมี่ ีอยูกจ็ ะทุน
แรงทุนเวลาในการเกบ็ ศัพทไปไดมาก จึงตกลงทํางานใหมช้นิ ที่งายและรวบรัด โดยนาํ หนงั สอื ชดุ นนั้
ทงั้ ๓ เลม รวม ๙ ภาค (ศพั ท น.ธ.ตร–ี โท–เอก ชน้ั ละ ๓ วชิ า จงึ มชี นั้ ละ ๓ ภาค) มาจดั เรยี งเปน
ค
พจนานกุ รมเบอื้ งตนเลมเดยี ว พมิ พออกมากอน ในงานพระราชทานเพลงิ ศพทานอาจารยพระครปู ลดั
สมยั กติ ตฺ ทิ ตโฺ ต (๑๙ พ.ค. ๒๕๒๒) เรยี กชอื่ วา พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ครู นกั เรยี น นกั ธรรม
(เปลย่ี นเปนชอื่ ปจจบุ นั วา พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท เมอ่ื พมิ พครง้ั ท่ี๒ พ.ศ.๒๕๒๗)
หนงั สอื ใหมเลมนไ้ี มเกย่ี วของกบั งานทที่ าํ มาแลวแตอยางใด งานเกาทท่ี าํ คางไวทงั้ หมดถกู พกั
เกบ็ เฉยไว เพราะในกรณนี ี้ มงุ สาํ หรบั ผเู รยี นขน้ั ตน โดยเฉพาะนกั เรยี นนกั ธรรม ตองการเพียงศพั ท
พ้ืนๆ และความหมายสั้นๆ งายๆ จึงคงขอมูลสวนใหญไวตามหนงั สอื ศพั ทหลกั สตู รภาษาไทยน้ัน
โดยแกไขปรับปรงุ อธิบายเพมิ่ หรือเขียนขยายบางเพยี งบางคํา และเตมิ ศพั ทนกั ธรรมทต่ี กหลนและ
ศัพทท่วั ไปอันควรรูท่ยี งั ไมมี เขามาบาง รวมแลว เปนขอมูลของเกากับของใหมราวครึ่งตอคร่ึง
หลังจากพิมพออกมาแลว พจนานุกรมเลมนี้ก็มีชะตากรรมที่ขึ้นตอระบบการพิมพยุคน้ัน
โดยเฉพาะตนแบบซง่ึ อยใู นแผนกระดาษทต่ี ายตัว แทบปรบั เปลยี่ นอะไรไมไดเลย การพมิ พครงั้
ตอๆ มา ตองพมิ พซํา้ ตามตนแบบเดิม ถาจาํ เปนตองแกไข ก็แกไดเพยี ง ๔–๕ บรรทดั ยง่ิ ตอมา
แผนกระดาษตนแบบกผ็ ุเปอย โดยเฉพาะพจนานกุ รมน้ี ตนแบบท่ีทําขน้ึ ใหมในการพิมพครง้ั ที่ ๒
ไดสญู หายไปตัง้ แตพมิ พเสรจ็ การพิมพตอนน้ั มาตองใชวธิ ีถายภาพจากหนังสือทพ่ี มิ พคร้ังกอนๆ
แตกระนั้น พจนานกุ รมนี้ยังมศี พั ทและคาํ อธบิ ายท่ีจะตองเพม่ิ อกี มาก เม่ือแกไขของเดมิ ไม
ได พอถงึ ป ๒๕๒๘ จะพิมพครง้ั ท่ี ๓ จึงใสสวนเพมิ่ เขามาตางหากตอทายเลมเปน “ภาคผนวก” (มี
ศพั ทตงั้ หรอื หัวศพั ทเพิม่ ๑๒๔ ศพั ท รวม ๒๔ หนา) จากนัน้ มา ก็ไดแคพิมพซ้าํ เดมิ อยางเดียว
๒. เขาสูยคุ ขอมลู คอมพิวเตอร
เมอื่ เวลาผานมาถงึ ยคุ คอมพวิ เตอร กม็ องเหน็ ทางวาจะแกไข–ปรบั ปรงุ –เพมิ่ เตมิ พจนานกุ รม
นไ้ี ด แตกต็ องรอจดุ ตง้ั ตนใหม คอื พมิ พขอมลู พจนานกุ รมในเลมหนงั สอื ลงในคอมพิวเตอร
แมจะตองใชเวลาและแรงงานมาก ก็มีทานท่ีสมัครใจเสียสละ ไดพิมพขอมูลหนังสือ
พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท ลงในคอมพวิ เตอร โดยมไิ ดนดั หมายกนั เทาทที่ ราบ ๔ ชดุ
เรมิ่ ดวยพระมหาเจมิ สวุ โจ แหงมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ทที่ าํ งานอยหู ลายปจนเตรียมขอมลู
เสร็จแลวมอบมาใหเม่อื วนั ที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๔๑ แลวก็มชี ดุ ของผูอ่ืนตามมาอกี
ทงั้ ทมี่ ขี อมลู ในคอมพิวเตอรแลว ผจู ดั ทาํ เองกไ็ มมเี วลาตรวจ เวลาผานมาจนกระทงั่ รศ. ดร.
สมศลี ฌานวงั ศะ ราชบณั ฑติ (มบี ตุ รหญงิ –ชาย คอื น.ส.ภาวนา ตงั้ แตยงั เปน ด.ญ.ภาวนา ฌานวงั ศะ
และนองชาย คอื นายปญญา ตง้ั แตยงั เปน ด.ช.ปญญา ฌานวงั ศะ เปนผชู วยพมิ พขอมลู ) นอกจาก
พมิ พขอมลู หนงั สอื ลงในคอมพวิ เตอรแลว ยงั ชวยรบั ภาระในการพิสูจนอักษร (ตรวจปรูฟ) ตลอดเลม
นอกจากตรวจเองแลว กย็ งั หาพระชวยตรวจทานอกี ใหแนใจวาขอมูลใหมในระบบคอมพิวเตอรน้ี
ตรงกับขอมูลเดิมในเลมหนังสอื แลวในท่ีสดุ พจนานกุ รมนีก้ ็พมิ พเสรจ็ ออกมาใน พ.ศ. ๒๕๔๖
เน่ืองจากผูจัดทําเองยงั ไมมีเวลาแมแตจะตรวจปรฟู พจนานุกรมพทุ ธศาสน ฉบับประมวล
ศพั ท พิมพครัง้ ท่ี ๑๐ ท่เี สร็จออกมาใน พ.ศ. ๒๕๔๖ ซง่ึ เปนครั้งแรกท่ใี ชขอมูลในระบบคอมพิวเตอร
จึงมหี ลักการท่วั ไปวา ใหคงเนอ้ื หาไวอยางเดมิ ตามฉบบั เรยี งพมิ พเกา ยงั ไมปรบั ปรงุ หรอื เพม่ิ เตมิ
ง
ค) งานเร่ิมเขาทาง: ชําระ-เพิ่มเตมิ ชวงท่ี ๑
๑. ผานไป ๒๘ ป จงึ ถงึ ทชี ําระ-เพม่ิ เตมิ ชวงท่ี ๑
บดั นี้ เวลาผานไป ๒๙ ปแลว นบั แตพมิ พ พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท ออก
มาครั้งแรก ใน พ.ศ. ๒๕๒๒ ขอมูลสวนใหญในพจนานกุ รมนนั้ ยงั เปนขอมูลพ้ืนฐานทต่ี ั้งใจวาจะ
ชําระ-เพม่ิ เติม แตกข็ ัดของตลอดมา
ในชวง ๒๔ ปแรก ตดิ ขดั ดวยระบบการพมิ พไมเออื้ แลวความบบี คน้ั ดานเวลากซ็ า้ํ เขาไป สวน
ในชวง ๔ ปทช่ี ดิ ใกลน้ี ทงั้ ทมี่ ขี อมลู สะดวกใชอยใู นคอมพวิ เตอร กต็ ดิ ขดั ดวยขาดเวลาและโอกาส
จนมาถึงขนึ้ ปใหม ๒๕๕๐ นี้ เมอื่ หาโอกาสปลกี ตวั จากวดั พอดโี รคทางเดนิ หายใจกาํ เรบิ ขน้ึ อกี
คออกั เสบลงไปถงึ สายเสยี ง พดู ยากลาํ บาก ตอดวยกลามเนอ้ื ยดึ สายเสยี งอกั เสบ โรคยดื เยอ้ื เกนิ ๒ เดอื น
ไดไปพกั รกั ษาตวั ในชนบทนานหนอย เปนโอกาสใหไดเรม่ิ งานชาํ ระ-เพมิ่ เตมิ พจนานกุ รม แตในขนั้ น้ี
เรงทาํ เฉพาะสวนรบี ดวนและสวนทพี่ บเฉพาะหนาใหเสรจ็ ไปชน้ั หนง่ึ กอน เรยี กวา “งานชาํ ระ-เพมิ่
เตมิ ชวงที่ ๑” คดิ วาลลุ วงไปไดทหี นง่ึ คงจะปดงานจดั ใหพรอมเพอื่ เขาโรงพมิ พไดทนั กอนโรคจะหาย
แตแลวกไ็ มเปนไปอยางนนั้ จงึ มเี รอื่ งตองเลาตออกี
๒. อะไรมากบั และจะมาตาม การชําระ-เพิม่ เติม ชวงที่ ๑
งานชําระ-เพิ่มเตมิ นี้ คอื การทําให พจนานุกรมพทุ ธศาสน ฉบับประมวลศพั ท มีคุณสมบัติ
เตม็ ตามความมงุ หมาย เพราะหนงั สือทพี่ มิ พเร่อื ยมานน้ั จดั ทาํ ขน้ึ อยางรวบรดั เพ่ือพอใชไปพลาง
กอน เพียงเปนขอมลู พนื้ ฐานอยางทีก่ ลาวแลว (มีบางบางคาํ ที่มีโอกาสขยายความไปกอนแลว)
เน่อื งจากตระหนกั วา จะไมมีโอกาสทาํ งานชาํ ระ-เพม่ิ เตมิ อยางตอเนื่องใหเสร็จสิ้นไปในคราว
เดียว จึงกะวาจะแบงงานน้ีเปน ๓ ชวง สาํ หรบั ชวงที่ ๑ คดิ วาเพียงจะแกไขปรบั ปรุงขอขาดตกบก
พรองท่ีพบเฉพาะหนา โดยเฉพาะสวนหลงตาท่บี ังเอญิ พบ และเพิ่มเตมิ คําศพั ทและคาํ อธิบายทร่ี บี
ดวน หรือบงั เอญิ นึกได เสรจ็ แลวก็พมิ พออกไปทหี นึ่งกอน งานปรบั ปรุงนอกจากนนั้ เอาไวทาํ ใน
ชวงที่ ๒ และ ชวงท่ี ๓
อยางไรกด็ ี เมอ่ื ตกลงยตุ งิ านชวงท่ี ๑ วาพอเทานกี้ อน (๑๖ ม.ี ค. ๒๕๕๐) พอดไี ดอานจดหมาย
ของพระมหานยิ ม สีลสํวโร (เสนารินทร) ทส่ี งมาตั้งแต ๑๘ พ.ย. ๒๕๔๗ ก็มองเหน็ วา ทานแจงคาํ
ผดิ -ตก ท่สี ําคัญ แมจะมากแหง ก็ใชเวลาแกไขไมมาก จงึ ทาํ ใหเสรจ็ ไปดวยในคราวนี้ รวมเพ่ิมทีแ่ ก
ไขอกี ราว ๕๐ แหง อกี ท้งั ไดเหน็ ชัดวา ดวยฉนั ทะของทานเอง พระมหานยิ มตรวจพจนานุกรม โดย
เทยี บกบั เลมเดิมทีเ่ ปนตนฉบับไปดวยนี้ ทานใชเวลาอานจริงจังละเอียด จนทําใหคิดวา ในการ
ชาํ ระ-เพิ่มเติมชวงที่ ๒ ทจี่ ะอานอยางตรวจปรฟู ตลอดดวยนัน้ งานสวนนค้ี งเบาลงมาก จะไดมงุ ไป
ทง่ี านเพิม่ เตมิ -ปรบั ปรงุ ทว่ั ไป จงึ ขออนโุ มทนาพระมหานยิ ม สลี สวํ โร ไว ณ ทน่ี ้ี
พอจะปดงาน หนั มาดรู ายการศพั ททพี่ ระธรรมรกั ษาแจงมาตงั้ แต ๑๔ ธ.ค.๒๕๒๘ จนถงึ ก.ค.
๒๕๒๙ วาไมพบในพจนานกุ รมฯ รวมได ๒๘ คาํ เปนศพั ทในอรรถกถาชาดกแทบทงั้ นน้ั เหน็ วานาจะทํา
ใหเสรจ็ ไปดวยเลย จงึ ตดั คาํ นอกขอบเขตออกไป ๖ ศพั ท (๑๙ หวั ศพั ททที่ าํ เพม่ิ ตามเสนอของพระ
จ
ธรรมรกั ษา คอื จลุ กฐนิ ฉาตกภยั ธวุ ภตั นพิ ทั ธทาน บพุ จรยิ า ประชมุ ชาดก ปาฏหิ ารยิ ปกษ พาหริ ทาน
พาหริ ภณั ฑ วติ ถารนยั สตั ตสดกมหาทาน สมั มานะ สาธกุ ฬี า สคุ โตวาท อธคิ มธรรม อภสิ มั พทุ ธคาถา
อสทสิ ทาน อปุ ทวะ อยุ ยานบาล, อทุ ยานบาล) แลวแถมเองอกี ประมาณ ๒๐ คาํ ใชเวลาคน-เขยี นจน
เสรจ็ อกี ๔ วนั (ของพระมหานยิ มราว ๕๐ ศพั ท ทานตรวจใชเวลามากมาย แตเปนการแกคาํ ทพี่ มิ พ
ผดิ -ตก จงึ ใชเวลาเพยี ง ๖.๔๐ ชม. กเ็ สรจ็ สวนของพระธรรมรกั ษา แจงคาํ ทไ่ี มเจอ แมจะนอย ทาํ แค
๑๙ หวั ศพั ท แตตองเขยี นเพม่ิ ใหม จงึ ใชเวลามาก) ขออนโุ มทนาพระธรรมรกั ษาดวย
มจี ดุ หนง่ึ ซง่ึ การแกปญหาคอนขางซบั ซอน คอื คาํ “อสติ ดาบส” ทไี่ ดรบั ความเออื้ เฟอจาก รอง
ศาสตราจารย ดร.ภทั รพร สริ กิ าญจน แจงใหทราบวา ทานทที่ าํ งานวชิ าการ ทง้ั ฝายผเู สนองาน และ
ฝายผพู จิ ารณางาน ประสบความตดิ ของ เพราะหลกั ฐานชน้ั ตนกบั เอกสารอางองิ มขี อมลู ขดั แยงกนั
ใบแจงของ ดร.ภทั รพร สริ กิ าญจน ชวยทาํ ใหเอะใจและไดตรวจสอบขอมลู ซงึ่ ไดแกปญหาดวยวธิ ี
บอกขอมลู ไปตามทเ่ี ปนของแหลงนนั้ ๆ โดยไมวนิ จิ ฉยั ขออนโุ มทนาทานผแู จง เปนอยางยงิ่
เมอื่ งานปรบั แกเพมิ่ เตมิ ดาํ เนนิ มาถงึ วนั ที่ ๒๔ มนี าคม๒๕๕๐ มศี ัพทต้งั ท่ีเพ่ิมข้ึนและทมี่ ีความ
เปลีย่ นแปลงราว ๓๑๗ หัวศพั ท (ไมนับการแกคาํ ผดิ -ตก ท่ีพระมหานพิ นธชวยแจงมา ราว ๕๐ แหง)
หนงั สอื หนาเพมิ่ ขน้ึ ๔๘ หนา (จากเดมิ ๓๗๖ หนา เปน ๔๒๔ หนา) คดิ วาจะยตุ เิ ทานแี้ ละสงโรงพมิ พ
อยางไรกด็ ี เมอ่ื เหลอื บไปดใู นหนงั สอื ทพ่ี มิ พรนุ เกา พ.ศ.๒๕๒๗ ซง่ึ ใชเปนทที่ ยอยบนั ทกึ ศพั ท
ทนี่ กึ ขน้ึ มาวาควรเพมิ่ หรอื ควรปรบั ปรงุ กไ็ ดเหน็ วาบางศพั ทนาจะเตมิ ลงไปในคราวนดี้ วย กเ็ ลยรอเพม่ิ
อกี หนอย พอทาํ คาํ นเ้ี สรจ็ เหน็ วาคาํ นนั้ กน็ าทาํ กเ็ ตมิ อกี หนอย แลวมงี านอน่ื ทเ่ี รงแทรกเขามาเปน
ระยะๆ รวมแลวงานอนื่ แทรกราว ๘ เดอื น และมเี วลาทาํ ยดื มาราว ๖ เดอื น ทาํ ไปทาํ มากย็ ตุ ลิ งในบดั นี้
การแกไขและเพม่ิ เตมิ ทง้ั หมดนี้ เปนการทาํ เปนจดุ ๆ มงุ จาํ เพาะไปทจี่ ดุ นนั้ ๆ จงึ ยงั ไมไดตรวจดู
ทว่ั ตลอดทง้ั เลม การแกคาํ ทพ่ี มิ พผดิ และการเพมิ่ ศพั ทใหมจาํ นวนมาก เปนเรอ่ื งทม่ี าจากความบงั เอญิ
พบบงั เอญิ เหน็ เชน จะดคู าํ “สรณคมน” วาควรอธบิ ายเพมิ่ เตมิ หรอื ไม พอดเี หลอื บไปเหน็ คาํ
“สรภญั ญะ” ซง่ึ อยใู กลๆ ทง้ั ทไ่ี มไดนกึ ไววาจะทาํ อะไรกบั คาํ นเ้ี ลย แตพอเหน็ วาไดใหความหมายไวสนั้
นกั กเ็ ลยเขยี นอธบิ ายใหมอยางคอนขางยาว, จะอธบิ ายคาํ วา “ภาณวาร” ใหชดั ขนึ้ กพ็ ลอยนกึ ถงึ คาํ วา
“ภาณยกั ษ” ดวย ทงั้ ทเ่ี ดมิ ไมมคี าํ นี้ และไมไดตง้ั ใจมาแตเดมิ กเ็ ลยบรรจุ “ภาณยกั ษ” เขามาดวย และ
อธบิ ายเสยี ยาว, คาํ วา “ถวายพรพระ” “คาถาพาหงุ ” “ชยั มงคลคาถา” ฯลฯ กเ็ ขามาโดยบงั เอญิ ทาํ นองนี้
แมคาํ ทพี่ มิ พผดิ ซง่ึ ยงั ไมไดตง้ั ใจจะตรวจปรฟู กพ็ บโดยบงั เอญิ และแกไปมากมาย แมกระทง่ั
เมอ่ื หนงั สอื ใกลจะเสรจ็ เชน จะเตมิ ขอความ ๑ บรรทดั วา “ศาสนวงศ ดู สาสนวงส” ตอนนน้ั จะตอง
รกั ษาใหขอความบรรทดั แรกและบรรทดั สดุ ทายของหนานน้ั คงอยทู เี่ ดมิ จงึ ตองลดบรรทดั ในหนานน้ั
ลง ๑ บรรทดั ทาํ ใหตองอานหาคาํ ศพั ทในหนานนั้ ซงึ่ มคี าํ อธบิ ายทพี่ อจะบบี ใหบรรทดั นอยลง กเ็ ลย
เจอโดยบงั เอญิ วา ทคี่ าํ “ศลี ๘” มขี อความวา “จะรกั ษาประจาํ ใจกไ็ ด” เกดิ ความสงสยั วา ไมนาจะมี
“ใจ” จงึ เปดหนงั สอื เกาสมยั ปกสสี มดู พบวามแี ต “ประจาํ ” จงึ ไดแกโดยตดั “ใจ” ออกไป หรอื อยาง
เมอื่ ตรวจดคู วามเรยี บรอยของหวั ศพั ททข่ี นึ้ ไปปรากฏบนหวั กระดาษ กท็ าํ ใหบงั เอญิ พบหวั ศพั ททพ่ี มิ พ
ผดิ “สปทาจารกิ งั คะ” (สปทานจารกิ งั คะ) และ “อปโลกนธรรม” (อปโลกนกรรม) จงึ ไดแกใหถกู ตอง
ฉ
๓. การชําระ-เพ่ิมเตมิ ชวงที่ ๑ ทําใหมีความเปลย่ี นแปลงอะไร
การชําระ-เพมิ่ เติมชวงที่ ๑ นี้ ถือวายุติลงในวนั ที่ ๑๙ มถิ นุ ายน ๒๕๕๑ ไดทาํ ให
พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท มีศัพทที่เพ่ิมข้ึนและท่ีมีความเปล่ียนแปลงรวม
ประมาณ ๑,๑๐๐ หัวศพั ท กลายเปนเพม่ิ อกี ๒๐๔ หนา (จากเดมิ ๓๗๖ หนา เปน ๕๘๐ หนา)
หัวศพั ท ท่ีมีการปรับแก และที่เพิ่มใหมในระยะ ๒ เดือนแรก มี ตัวอยาง ดังนี้
กปั ,กลั ป กริ ยิ า กเิ ลสพนั หา คงคา คณาจารย เคร่อื งราง
ชมุ นุมเทวดา ตณั หา ๑๐๘ ทกั ขณิ าบถ
นัมมทา บรขิ าร บุพการ ทฆี นขสตู ร ธรรมราชา ธญั ชาติ
ปรติ ร,ปรติ ต ปญญา ๓ พรหมจรรย
มานะ ยถากรรม ยมนุ า บพุ นมิ ติ แหงมรรค ปกตตั ตะ ปปญจะ
สรภู สงั คายนา สจั กริ ยิ า
หนี ยาน อจิรวดี อธิษฐาน มหานที ๕ มหายาน มาตรา
อาภัพ อายุ อายุสังขาร
โยนก โวการ (เชน จตโุ วการ) สมานฉันท
สัจจาธฏิ ฐาน สีหนาท สุตะ
อธิษฐานธรรม อภิสมั พุทธคาถา อโศกมหาราช
อาสภิวาจา อุตราบถ อทุ ยาน
หวั ศพั ท ที่มีการปรับแก และท่ีเพ่ิมใหมในระยะ ๑๔ เดือนหลัง มี ตัวอยาง ดังนี้
กรรมวาท กลาป คนั ธกุฎี คามวาสี คหิ วิ ินยั จณุ ณยิ บท
จูฬมชั ฌมิ มหาศลี ฉันมอื้ เดียว ชวนะ ญาณ ๑๖ เดน
ตุลา ถวายพรพระ ชยมงั คลฏั ฐกคาถา ธรรมสภา บงั สกุ ลุ ตาย-เปน ปฏกิ รรม
ปรมตั ถธรรม ปานะ พทุ ธาวาส ภาณยักษ ยมกปาฏิหาริย
รูปรูป, สุขมุ รูป วถิ ีจติ ธรรมทตู สมานฉนั ท สรณคมน สรภัญญะ
โปราณัฏฐกถา
วิปสสนูปกเิ ลส
สังฆาวาส สารีริกธาตุ สวุ รรณภูมิ สกู รมทั ทวะ อตมั มยตา อภิธัมมัตถสงั คหะ
อรรถกถา อรญั วาสี อัชฏากาศ อากาศ อปุ ฏฐานศาลา เอตทคั คะ
การชาํ ระ-เพิ่มเตมิ นี้ ทาํ ให พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท มลี กั ษณะคบื เคลอื่ น
เขาไปใกลงานคางท่ี ๓ ซงึ่ ไดหยดุ ลงเมอื่ ใกลส้ินป ๒๕๒๑ เชน คาํ “กปั , กัลป” ในการพมิ พครง้ั
ที่ ๑๐ พ.ศ. ๒๕๔๖ มคี าํ อธบิ าย ๑๒ บรรทดั แตในฉบับชําระ-เพ่มิ เติม ชวงที่ ๑ น้ี ขยายเปน
๑๑๓ บรรทัด เม่อื นาํ ไปเทียบกบั ฉบบั งานคางที่ ๓ นนั้ (ในการเขียนขยายคราวนี้ ไมไดหนั ไปดู
งานคางน้นั เลย) ปรากฏวา คําอธบิ ายในฉบับชาํ ระ-เพม่ิ เติม ชวงที่ ๑ นี้ ยงั สน้ั กวาเกาเกือบคร่ึงหน่ึง
ถาตองการมองใหชัดวางานชาํ ระ-เพม่ิ เตมิ มลี ักษณะอยางไร จะดไู ดงายทคี่ ําตัวอยางขางบน
น้ัน เฉพาะอยางยิ่งคาํ วา กัป, กัลป; กิเลสพนั หา; เครอ่ื งราง; ชาดก; ทักขณิ าบถ; นัมมทา; บรขิ าร;
ปริตร,ปริตต; ภาณวาร; มานะ; ยถากรรม; สรภญั ญะ; สัจกิริยา; อธิษฐาน; อายุ
บดั น้ี งานชาํ ระ-เพมิ่ เตมิ ชวงที่ ๑ ไดเสร็จส้ินแลว โดยกําหนดเอาเองวาเพียงเทาน้ี แตงาน
ชาํ ระ-เพม่ิ เตมิ ชวงท่ี ๒ และ ๓ ซึง่ รอขางหนา มีมากกวา
ขอทาํ ความเขาใจรวมกันวา ตามท่คี ดิ ไว งานตรวจชําระ ๓ ชวง จะเปนดังน้ี
ช
การชาํ ระ-เพิ่มเตมิ ชวงท่ี ๑: แกไขปรับปรุงขอขาดตกบกพรองท่พี บเฉพาะหนา โดยเฉพาะ
สวนหลงตาที่บังเอิญพบ และเพิ่มเติมคําศัพทและคําอธิบายท่ีรีบดวน หรือบังเอิญนกึ ได รวมทง้ั
ศัพทท่ีบนั ทึกไวระหวางเวลาทผ่ี านมา (ไดเลอื กทาํ แลวเฉพาะคาํ ที่ไมซับซอนนกั ) และบางคาํ ทที่ านผู
ใชหนงั สือ ไดมนี ํา้ ใจแจงมาวาเจอคําผดิ หรือคนหาไมพบ
การชาํ ระ-เพ่มิ เตมิ ชวงท่ี ๒: อาน-ตรวจตลอดเลม เพ่อื จะไดมองเหน็ คําพมิ พผดิ คาํ ตก
จดุ และแงทีจ่ ะแกไข-ปรับปรงุ -เพ่ิมเตมิ ท่วั ทั้งหมด พรอมท้ังจัดปรบั คําอธิบายศัพทท้ังของเดมิ และ
สวนทเ่ี พ่มิ เติม ใหเขามาตรฐานเดยี วกนั ทงั้ ในแงการแสดงความหมาย วิธีอธิบาย และอตั ราสวน
ความยาวท่สี ัมพนั ธกบั ความสําคัญของศัพทน้ันๆ
การชาํ ระ-เพิม่ เติม ชวงที่ ๓: มุงทีก่ ารจดั ระบบ เพอื่ ใหสม่าํ เสมอ กลมกลนื เปนแบบแผน
อันเดยี วกันและท่วั กนั เชน มคี ําอาน บอกทีม่ าในคมั ภรี แสดงคําเดมิ ในภาษาบาลแี ละสนั สกฤต
และถาเปนไปได ใหคาํ แปลภาษาองั กฤษของศพั ทตง้ั หรอื หวั ศัพท พรอมทั้งแผนที่และภาพประกอบ
งานชาํ ระ-เพมิ่ เตมิ ชวงที่ ๑ ไดเสรจ็ สิ้นลง โดยกําหนดเอาเองวาแคนก้ี อน แตชวงท่ี ๒ และ
ชวงที่ ๓ ไมอาจคาดหมายวาจะเสรจ็ เมอ่ื ใด หากไมนริ าศ-ไมไดโอกาสจากโรค ก็กลาวไดเพยี งวา
อยูในความตัง้ ใจที่จะทําตอไป
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต)
๑๙ มิถนุ ายน ๒๕๕๑
คาํ ปรารภ
(ในการพิมพครงั้ ที่ ๑๐)
เมื่อกลาวถงึ พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท หลายทานนกึ ถงึ พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร
ฉบบั ประมวลธรรม ดวย โดยเขาใจวาเปนหนังสือชุดท่มี ีสองเลมรวมกัน แตแทจริงเปนหนงั สอื ท่เี กดิ ข้นึ ตาง
หากกัน ตางคราวตางวาระ และมีความเปนมาทที่ งั้ ตางหากจากกัน และตางแบบตางลักษณะกัน
ก. ความเปนมา ชวงท่ี ๑: งานสาํ เร็จ แตขยายไมได
พจนานกุ รมพุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม เปนหนังสอื ท่ีคอยๆ กอตัวขน้ึ ทลี ะนอย เรมิ่ จากหนงั สอื
Student’s Thai–Pali–English Dictionary of Buddhist Terms เลมเลก็ ๆ ทีจ่ ดั ทาํ เสรจ็ ใน พ.ศ. ๒๕๐๖
ตอแตน้ันก็ไดปรับปรุง–เพ่ิมเติม–ขยายขนาดขึ้นเร่ือยๆ และไดขยายขอบเขตออกไปจนกลายเปนงานที่มี
ลกั ษณะเปนสารานกุ รม
เม่อื เวลาผานไปๆ ก็มองเห็นวางานทําสารานุกรมจะกินเวลายืดเยอ้ื ยาวนานมาก ยง่ิ มีงานอน่ื แทรกเขา
มาบอยๆ กย็ ง่ิ ยากที่จะมองเหน็ ความจบสน้ิ ในทสี่ ุดจงึ ตกลงวาควรทาํ พจนานุกรมขนาดยอมๆ ข้ันพนื้ ฐาน
ออกมากอน และไดรวบรวมคดั เลือกหมวดธรรมมาจัดทาํ คําอธิบายขนึ้ ซงึ่ ไดบรรจบรวมกับหนงั สอื เลมเล็ก
เดิมทีส่ บื มาแต พ.ศ. ๒๕๐๖ กลายเปนภาคหนง่ึ ๆ ใน ๓ ภาคของหนงั สือทีร่ วมเปนเลมเดยี วกนั อนั มชี อื่ วา
พจนานุกรมพุทธศาสตร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕
กาลลวงมาจนถงึ พ.ศ. ๒๕๒๘ พจนานุกรมพทุ ธศาสตร ซึ่งพมิ พครง้ั ท่ี ๔ จึงมชี ่ือปจจบุ นั วา
พจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม เพอ่ื ใหเขาคกู บั พจนานุกรมอีกเลมหนึ่งท่ีเปลี่ยนจากชอื่ เดิมมา
เปน พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท
ถงึ วาระนี้ พจนานุกรมสองเลมนจี้ ึงเสมือนเปนหนงั สอื ทีร่ วมกนั เปนชุดอนั เดียว
พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบับประมวลศพั ท ทวี่ านัน้ เปนหนังสอื ทเ่ี กดิ ขึน้ แบบทัง้ เลมฉบั พลันทนั ที
โดยแทรกตัวเขามาใน พ.ศ. ๒๕๒๒ ระหวางท่ีงานทําพจนานุกรมซงึ่ ขยายขอบเขตออกไปจนจะเปนสารานุกรม
นั้น กําลังดําเนนิ อยู
เน่ืองจากผูรวบรวมเรียบเรียงเห็นวางานทําสารานุกรม คงจะกินเวลายืดเยื้อไปอีกนาน และ
พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ทที่ าํ เสรจ็ ไปแลว กม็ เี ฉพาะดานหลกั ธรรมซงึ่ จดั เรยี งตามลาํ ดบั หมวดธรรม ควรจะมี
พจนานกุ รมเลมเล็กๆ งายๆ วาดวยพระพทุ ธศาสนาทวั่ ๆ ไป แบบเรยี งตามลาํ ดับอกั ษร ทพ่ี อใชประโยชนพนื้ ๆ
สาํ หรบั ผเู ลาเรยี นในขน้ั ตน โดยเฉพาะนกั เรยี นนกั ธรรม ออกมากอน
พรอมน้ันก็พอดีประจวบเหตุผลอีกอยางหน่ึงมาหนุน คือ ไดเห็นหนงั สอื ศพั ทหลกั สตู รภาษาไทย
สาํ หรบั นกั ธรรม ชน้ั ตรี ชนั้ โท และชนั้ เอก ท่ีมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั จัดพมิ พออกมาใน พ.ศ. ๒๕๐๓
เหลอื อยูจํานวนมากมาย และดเู หมอื นวาไมมีใครเอาใจใส
หนังสอื ศพั ทหลกั สตู รภาษาไทย ชดุ นน้ั ทาง มจร. จัดพิมพข้ึนมาเพือ่ สนองความตองการของ
นกั เรียนนักธรรมทีจ่ ะตองสอบวิชาใหมซ่ึงเพม่ิ เขามาในหลกั สตู ร คอื วชิ าภาษาไทย แตแทบจะยงั ไมทันไดเผย
แพรออกไป วิชาภาษาไทยนัน้ ก็ไดถูกยกเลกิ เสีย หนังสือชุดนัน้ จงึ ถูกทอดท้ิง
ไดมองเหน็ วา หนงั สอื ศพั ทหลกั สตู รภาษาไทย นนั้ ไมควรจะถกู ทงิ้ ไปเสยี เปลา ถานาํ มาจดั เรยี งใหมในรปู
พจนานกุ รม กจ็ ะใชประโยชนได อยางนอยศพั ทตง้ั หรอื หวั ศพั ททม่ี อี ยกู จ็ ะทนุ แรงทนุ เวลาในการเกบ็ ศพั ทเปนอนั มาก
ฌ
โดยนยั นี้ กไ็ ดนาํ หนงั สอื ศพั ทหลกั สตู รภาษาไทย ชดุ นน้ั ทง้ั ๙ ภาค (ศพั ทสาํ หรบั นกั ธรรมตรี–โท–เอก
ชั้นละ ๓ วิชา จึงมีช้นั ละ ๓ ภาค พมิ พรวมเปนช้นั ละเลม) มาจัดเรียบเรยี งเปนพจนานุกรมเลมเดียว ดงั ไดเลา
ไวแลวใน “แถลงการจดั ทําหนังสือ ประกาศพระคณุ ขอบคณุ และอนุโมทนา (ในการพิมพครง้ั ที่ ๑)”
ศพั ทจํานวนมากทเี ดยี ว ทีง่ ายๆ พนื้ ๆ และตองการเพียงความหมายสัน้ ๆ หรอื คําอธบิ ายเพยี งเล็ก
นอย ไดคงไวตามเดิมบาง แกไขปรับปรงุ บาง สวนศัพททตี่ องการคําอธิบายยาวๆ กเ็ ขียนขยาย และศพั ท
สําหรบั การเรยี นนกั ธรรมทีต่ กหลนหรอื ศพั ทท่วั ไปอนั ควรรูทยี่ งั ไมมี ก็เติมเขามา รวมเปนของเกากับของใหม
ประมาณครง่ึ ตอครงึ่ จึงเกดิ เปนพจนานกุ รม ซงึ่ ในการพมิ พครง้ั แรก พ.ศ. ๒๕๒๒ เรยี กชอ่ื วา พจนานกุ รม
พทุ ธศาสน ฉบับครู นกั เรียน นักธรรม
ตอมา ในการพิมพครงั้ ท่ี ๒ พ.ศ. ๒๕๒๗ พจนานกุ รมเลมนน้ั ไดเปลย่ี นมีชื่ออยางปจจบุ นั วา
พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบับประมวลศพั ท คือหนังสือเลมนี้
เมื่อมีการเผยแพรมากข้ึน ผูขออนุญาตพิมพบางแหงจึงไดนําพจนานุกรมทั้งสองเลมน้ีมาจัดรวมกัน
เปนชดุ และลาสุดบางทถี งึ กบั ทํากลองใสรวมกนั
แมจะมีประวตั แิ หงการเกิดข้นึ ตางหากกนั แตพจนานกุ รมสองเลมนก้ี ็มีลักษณะท่ีเหมอื นกันอยางหน่งึ
คือเปนงานในชวงระหวางท่ีงานทําพจนานุกรมซ่ึงตอเน่ืองมาแตเดิมและขยายออกไปจนกลายเปนสารานุกรม
แสดงอาการวาจะเปนเรื่องยดื เยอ้ื ตองรออกี ยาวนาน
หลงั จากการพมิ พลงตัวแลว พจนานกุ รมสองเลมน้กี ็มชี ะตากรรมอยางเดยี วกนั คือข้ึนตอระบบการทาํ
ตนแบบและการพิมพยุคกอนน้ัน ซง่ึ ตนแบบอยใู นแผนกระดาษที่ตายตัว แกไขและขยบั ขยายไดยาก ย่ิงเปน
หนังสอื ขนาดหนาและมีรูปแบบซบั ซอน กแ็ ทบปรบั เปลยี่ นอะไรไมไดเลย
ดวยเหตุน้ี การพมิ พพจนานุกรมสองเลมน้นั ในคร้งั ตอๆ มา จงึ ตองพมิ พซํ้าตามตนแบบเดมิ ถาจาํ
เปนจริงๆ ท่จี ะตองแกไข กแ็ กไดเพียง ๔–๕ บรรทดั ยิ่งเมือ่ เวลาผานมานานขึ้น แผนกระดาษตนแบบท้ังหมด
ก็ผเุ ปอยหรอื สูญหายไป (ตนแบบของ พจนานุกรมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท ซงึ่ ทาํ ขน้ึ ใหมในการพมิ พ
ครง้ั ที่ ๒ ไดสญู หายไปต้ังแตเม่ือการพมิ พครัง้ ที่ ๒ น้ันเสร็จส้นิ ลง) ทําใหการพมิ พตอจากนน้ั ตองใชวธิ ีถาย
ภาพจากหนังสือที่พิมพคร้ังกอนๆ ซ่ึงจะไดตัวหนังสือท่ีเลือนรางลงไปเรื่อยๆ ไดแตรอเวลาทจ่ี ะพิมพทําตน
แบบขน้ึ ใหม โดยจะถอื โอกาสเพ่ิมเตมิ ดวยพรอมกัน
อยางไรกต็ าม เนอื่ งจาก พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศพั ท น้ี มีศัพทและคําอธิบายที่จะเพิม่
มากมาย เมอ่ื แกไขตนแบบเดมิ ไมได กจ็ งึ ใสสวนเพิ่มเขามาตางหากตอทายเลมในการพิมพครง้ั ที่ ๓ พ.ศ.
๒๕๒๘ โดยทาํ เปน “ภาคผนวก” (มศี พั ทต้งั หรอื หวั ศพั ทเพ่ิม ๑๒๔ ศพั ท รวม ๒๔ หนา ขยายขนาดเลม
หนงั สอื เฉพาะตัวพจนานกุ รมแทๆ ข้ึนเปน ๔๖๖ หนา) ตอแตนน้ั มา กพ็ มิ พซํ้าอยางท่กี ลาวขางตน
ข. ความเปนมา ชวงท่ี ๒: เขายุคใหม มฐี านท่ีจะกาวตอ
ระหวางรอเวลาท่ีจะพิมพทาํ ตนแบบใหม พรอมกับเขียนเพิ่มเตมิ ซงึ่ มองไมเห็นวาจะมีโอกาสทําไดเม่ือ
ใด กาลกล็ วงมา จนถงึ ยุคคอมพวิ เตอร
ระบบคอมพิวเตอรไดชวยใหการพิมพเจริญกาวหนาอยางมหัศจรรย ซ่ึงแกปญหาสาํ คัญในการทาํ
พจนานกุ รมไดทง้ั หมด โดยเฉพาะ
• การพิมพขอมูลใหมทาํ ไดอยางดีและคลองสะดวก
• รักษาขอมลู ใหมน้ันไวไดสมบรู ณและยืนนาน โดยมีคุณภาพคงเดิม หรอื จะปรับใหดียงิ่ ขึน้ กไ็ ด
ญ
• ขอมลู ใหมที่เก็บไวน้นั จะแกไข–ปรับปรุง–เพิม่ เติม ท่ีจุดไหนสวนใด อยางไร และเมอื่ ใด ก็ไดตาม
ปรารถนา
ถงึ ตอนนี้ ก็เหน็ ทางทีจ่ ะทาํ ใหงานทําพจนานกุ รมกาวตอไป แตก็ตองรอข้ันตอนสําคญั คือจุดต้งั ตน
ครง้ั ใหม ไดแกการพิมพขอมลู พจนานุกรมทงั้ หมดในเลมหนงั สือลงในคอมพวิ เตอร ซึ่งตองใชเวลาและแรง
งานมากทเี ดยี ว
ถามีขอมูลที่พมิ พลงในคอมพวิ เตอรไวพรอมแลว ถึงจะยังไมมีเวลาท่ีจะแกไข–ปรบั ปรุง–เพ่มิ เติม ก็
อุนใจได เพราะสามารถเก็บรอไว มีโอกาสเมอื่ ใด ก็ทาํ ไดเมือ่ นั้น แตตองเร่มิ ขัน้ เตรยี มขอมูลน้ันใหไดกอน
ขณะท่ีผูรวบรวมเรียบเรียงเองพิมพดีดไมเปน กบั ทงั้ มีงานอืน่ พันตัวนุงนัง ไมไดดําเนินการอนั ใดใน
เร่อื งนี้ กไ็ ดมีทานทมี่ ีใจรักและทานท่มี องเห็นประโยชน ไดพิมพขอมูล พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบับประมวล
ศพั ท ทั้งหมดของเลมหนังสือลงในคอมพิวเตอร ดวยความสมคั รใจของตนเอง โดยมไิ ดนัดหมาย เทาท่ที ราบ/
เทาทพ่ี บ ๔ ราย เปน ๔ ชดุ คือ
๑. พระมหาเจิม สุวโจ แหงสถาบันวิจยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ไดเรม่ิ จดั ทํางานน้ตี ั้งแตระยะ
ตนๆ ของยคุ แหงการพิมพดวยระบบคอมพวิ เตอร ซงึ่ ทัง้ อปุ กรณและบุคลากรดานนย้ี งั ไมพรั่งพรอม ใชเวลา
หลายป จนในท่สี ุด ไดมอบขอมูลที่เตรยี มเสรจ็ แลวแกผูรวบรวมเรยี บเรียง เมอ่ื วนั ท่ี ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๔๑
ขอมลู ทพ่ี ระมหาเจมิ สวุ โจ เตรยี มไวน้ี ไดจดั วางรปู แบบเสรจ็ แลว รอเพยี งงานขนั้ ทจ่ี ะสงเขาโรงพมิ พ
รวมทง้ั การตรวจครง้ั สดุ ทาย นบั วาพรอมพอสมควร แตผรู วบรวมเรยี บเรยี งกไ็ มมเี วลาตรวจ เวลากผ็ านมาเรอ่ื ยๆ
๒. รศ. ดร.สมศีล ฌานวงั ศะ ราชบณั ฑิต ไดเตรียมขอมูลพจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบับประมวลศัพท
(พรอมทง้ั พจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบบั ประมวลธรรม) โดยบตุ รหญิง–ชาย คอื น.ส.ภาวนา ต้ังแตยังเปน
ด.ญ.ภาวนา ฌานวงั ศะ และนองชาย คือ นายปญญา ตัง้ แตยังเปนด.ช.ปญญา ฌานวังศะ ไดชวยกนั แบงเบา
ภาระดวยการพมิ พขอมลู ทงั้ หมดของเลมหนงั สอื ลงในคอมพวิ เตอร ภายใตการดแู ลของ ดร.สมศลี ฌานวงั ศะ
ซง่ึ เปนผตู รวจความเรียบรอยและจดั รูปแบบขอมูลนนั้ ตามเลมหนงั สอื อกี ทหี นง่ึ
๓. พระไตรปฎก (ในแผน CD – ระบบคอมพิวเตอร) ฉบับสมาคมศิษยเกา มหาจฬุ าลงกรณราช-
วทิ ยาลยั ซึ่งเสร็จออกเผยแพรในชวงตนของ พ.ศ. ๒๕๔๓ ไดขอบรรจุ พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ฉบบั
ประมวลธรรม และ พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศพั ท ไวในโปรแกรมดวย ผจู ดั ทําจงึ ไดพมิ พขอมลู
ท้ังหมดของหนังสอื ทัง้ สองเลมน้ันลงในคอมพิวเตอร แตเน่อื งจากเปนขอมลู สําหรบั โปรแกรมคอมพวิ เตอร จงึ
ไมไดจัดรูปแบบเพ่อื การตีพมิ พอยางเลมหนังสือ
๔. พจนานุกรมพุทธศาสน (ในแผน CD – ระบบคอมพวิ เตอร) รุน ๑.๕ (ในโปรแกรมวา พจนานกุ รม
พทุ ธศาสตร Version <1.2>) พ.ศ. ๒๕๔๔ จดั ทาํ โดยคณะวิศวกรรมศาสตรคอมพวิ เตอร มหาวิทยาลัยรงั สติ
ซง่ึ กไ็ มไดจดั รปู แบบเพ่ือการตีพิมพอยางเลมหนังสือ เพราะเปนขอมูลสําหรบั โปรแกรมคอมพิวเตอร
ขอมลู ทงั้ ๔ ชดุ น้ี ผจู ดั ทาํ ชดุ นนั้ ๆ ไดนาํ ศพั ทตง้ั และคาํ อธบิ ายทงั้ หมดใน “ภาคผนวก” รวม ๒๔ หนา
๑๒๔ ศพั ท ของฉบบั เรยี งพมิ พระบบเกา มาแทรกเขาในเนอื้ หาหลกั ของเลมตามลาํ ดบั อกั ษรเสรจ็ เรยี บรอยดวย
เม่อื มีชดุ ขอมลู ใหเลอื ก ก็แนนอนวาจะตองพิจารณาเฉพาะชุดทีจ่ ัดรูปแบบไวแลวเพอื่ การตพี ิมพอยาง
เลมหนงั สอื คอื ชดุ ท่ี ๑ และชุดท่ี ๒
แตท้ังทีม่ ขี อมูลนนั้ แลว เวลาก็ผานไปๆ โดยผูรวบรวมเรียบเรียงมไิ ดดาํ เนนิ การใดๆ เพราะวาแมจะมี
ขอมลู ครบทงั้ หมดแลว แตกย็ งั มีงานสุดทายในขนั้ สงโรงพิมพ โดยเฉพาะการพสิ ูจนอกั ษร (ตรวจปรฟู ) ตลอด
เลมอีกครงั้ ซงึ่ ควรเปนภาระของผูรวบรวมเรียบเรียงเอง
ฎ
ถาจะใหผรู วบรวมเรียบเรยี งพิสูจนอักษรเองอยางแตกอน การพมิ พคงตองรออีกแรมป หรอื อาจจะ
หลายป (ยง่ิ มาบดั นี้ เมอ่ื ตาทงั้ สองเปนโรคตอหนิ เขาอกี กแ็ ทบหมดโอกาส) คงตองปลอยใหพมิ พครง้ั ใหมดวยการ
ถายภาพจากหนังสอื ทพ่ี มิ พครงั้ กอนตอไปอีก
ค. ความเปนมา ชวงท่ี ๓: พมิ พคร้ังใหม ในระบบใหม
การพมิ พในระบบใหมคืบหนา เมือ่ ดร.สมศีล ฌานวังศะ ชวยรับภาระขน้ั สุดทายในการจัดทาํ ตนแบบ
ใหพรอมทจี่ ะนําเขารับการตพี ิมพในโรงพิมพ
ในงานขน้ั สดุ ทายน้ี สาํ หรบั พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ฉบบั ประมวลธรรม ซง่ึ จดั เรยี งใหมดวยระบบ
คอมพิวเตอร และพมิ พเปนเลมหนังสือไปแลวเปนครงั้ แรก เมือ่ กลางป พ.ศ. ๒๕๔๕ นน้ั ผรู วบรวมเรยี บเรยี ง
ไดอานตนแบบสุดทายกอนยุติ แตเม่อื มาถึง พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท กเ็ ปนเวลาทผี่ รู วบรวม
เรยี บเรยี งประสบปญหาจากโรคตามากแลว รวมทงั้ โรคตอหนิ จงึ ยกภาระในการตรวจปรฟู อานตนแบบแมแต
ครัง้ ยตุ ใิ ห ดร.สมศีล ฌานวังศะ รบั ดาํ เนนิ การท้ังหมด เพยี งแตเมอื่ มขี อผดิ แปลกนาสงสยั ทใ่ี ด กไ็ ถถามปรกึ ษา
เปนแตละแหงๆ ไป
พอดีวา ผูรับภาระนอกจากมีความละเอียดและทํางานน้ีดวยใจรักแลว ยังเปนผูศึกษาวิจัยเร่ือง
พจนานกุ รมเปนพเิ ศษอีกดวย ย่ิงเม่ือไดคอมพิวเตอรมาเปนเครือ่ งมอื กย็ ิง่ ชวยใหการจัดเรยี งพิมพตนแบบ
สามารถดาํ เนินมาจนหนงั สอื เสรจ็ เปนเลมในรปู ลกั ษณที่ปรากฏอยนู ้ี
พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท พมิ พครง้ั ท่ี ๑๐ ซง่ึ เปนคร้งั แรกทีใ่ ชขอมลู อันไดเตรยี มขึ้น
ใหมดวยระบบการพมิ พแบบคอมพวิ เตอรนี้ โดยหลักการ ไดตกลงวาใหคงเนื้อหาไวอยางเดมิ ตามฉบบั เรยี ง
พิมพระบบเกา ยงั ไมปรบั ปรงุ หรอื เพมิ่ เตมิ เนอ่ื งจากผูรวบรวมเรียบเรียงยังไมมีเวลาท่ีจะดําเนินการกับคาํ
ศัพทมากมายอันควรเพม่ิ และสง่ิ ทค่ี วรแกไขปรบั ปรงุ ตางๆ ทบี่ นั ทกึ ไวระหวางเวลาทผ่ี านมา และจะรอกไ็ มมี
กาํ หนด (จดุ เนนหลกั อยทู ก่ี ารไดฐานขอมูลในระบบคอมพิวเตอร ซึ่งทําใหพรอมและสะดวกทจ่ี ะปรบั ปรงุ เพม่ิ
เตมิ ตอไป)
ทงั้ นี้ มขี อยกเวน คอื
๑. นาํ ศพั ทตั้งและคาํ อธิบายทัง้ หมดใน “ภาคผนวก” ของฉบบั เรยี งพิมพระบบเกา มาแทรกเขาไปใน
เน้ือหาหลกั ของเลมตามลําดบั อกั ษรของศพั ทนั้นๆ (ขอนีเ้ ปนการเปลีย่ นแปลงดานรปู แบบเทานน้ั สวนเน้ือหา
ยงั คงเดิม)๒. เนอื่ งจากมศี ัพทต้งั ๘ คาํ ทีไ่ ดปรับปรุงคําอธบิ ายไวกอนแลว จึงนํามาใสรวมดวย พรอมท้ัง
ถอื โอกาสแกไขเนอ้ื ความผิดพลาด ๒–๓ แหงท่ผี ูใชพจนานกุ รมฉบับนี้ ทงั้ บรรพชติ และคฤหสั ถบางทานได
แจงเขามานบั แตการพมิ พครัง้ กอนๆ ซง่ึ ขอขอบคุณ–อนุโมทนาไว ณ ที่นด้ี วย
๓. มีการปรับปรุงเพิ่มเติมปลีกยอยที่พบเห็นนึกไดแลวถือโอกาสทําไปดวยระหวางทาํ งานขั้นสุดทาย
ในการจดั ทําตนแบบใหพรอมกอนจะสงเขารบั การตพี ิมพในโรงพมิ พ กลาวคอื คําอธบิ ายเล็กนอยในบางแหง
ซงึ่ เหน็ วาควรจะและพอจะใหเสรจ็ ไปไดในคราวน้ี เฉพาะอยางยิ่ง
• ไดปรบั คาํ อธบิ ายคาํ วา ศลิ ปศาสตร และไดนาํ คาํ อธบิ ายการแบงชวงกาลในพทุ ธประวตั ิ คอื ชดุ
ทเู รนทิ าน–อวทิ เู รนทิ าน–สนั ตเิ กนทิ าน ชดุ ปฐมโพธกิ าล–มชั ฌมิ โพธกิ าล–ปจฉิมโพธกิ าล และชุดปรุ มิ กาล–อปร
กาล มาปรบั รวมกนั ไวทศ่ี ัพทต้งั วา พทุ ธประวตั ิ อกี แหงหนง่ึ ดวย
• ไดแยกความหมายยอยของศพั ทตั้งบางคําออกจากกนั เพ่อื ใหเกดิ ความชดั เจนย่ิงขน้ึ (เชน คํา
วา พยัญชนะ)
ฏ
• ไดตัดศพั ทตง้ั บางคาํ ทเ่ี ห็นวาไมจาํ เปนออก (เชน วงศกลุ , เทวรูปนาคปรก)
๔. เนือ่ งจากเดิมนน้ั พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบับประมวลศพั ท นี้ จัดทาํ ขน้ึ โดยมงุ เพือ่ ประโยชนของ
ผูเลาเรยี นขน้ั ตน โดยเฉพาะนักธรรมตร–ี โท–เอก ถอยคาํ ใดมใี นแบบเรียนนักธรรม กไ็ ดรกั ษาการสะกดตวั
โดยคงไวอยางเดมิ ตามแบบเรยี นเลมนั้นๆ เปนสวนมาก
แตในการพมิ พตามระบบใหมครงั้ นี้ เหน็ วาควรจะคาํ นงึ ถงึ คนทว่ั ไป ไมจาํ กดั เฉพาะนกั ธรรม จงึ ตกลง
ปรบั การสะกดตวั ของบางศพั ทใหเปนปจจบุ นั (เชน ปฤษณา แกเปน ปรศิ นา)
พรอมนน้ั ตามทพี่ จนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน ใหหลกั ไววา คาํ ทเี่ ปนศพั ทธรรมบญั ญตั ิ จะเขยี น
ตามพจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน หรอื เขียนเต็มรูปอยางเดิมก็ได และในพจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบบั
ประมวลศัพท แตเดิมมาเขียนทั้งสองรปู เชน โลกตุ ตรธรรม–โลกตุ รธรรม อรยิ สจั จ–อรยิ สจั สวนในการพมิ พ
ตามระบบใหมครง้ั น้ี ถาคาํ นน้ั อยูในขอความอธิบาย ไดปรับเขยี นเปนรปู เดียวกันท้งั หมด เชน โลกุตตรธรรม
อรยิ สัจจ ท้ังน้ี เพ่อื ความสอดคลองกลมกลืนเปนอันเดยี วกัน แตผอู านจะนําไปเขยี นเองในรูปทีป่ ระสงคกไ็ ด
ตามคําช้ีแจงตนเลม
๕. แตเดิมมาหนังสือน้ีมุงเพื่อประโยชนแกผูมีความรูพื้นฐานทางธรรมอยูแลว โดยเฉพาะนักเรียน
นกั ธรรม ซ่งึ ถือวารูวธิ ีอานคําบาลีอยูแลว จงึ ไมไดนกึ ถงึ การทจี่ ะแสดงวิธีอานคาํ บาลนี ้ันไว แตบดั น้ไี ดตกลงท่ี
จะคาํ นงึ ถึงผใู ชทว่ั ไป
ดงั นนั้ ในการพมิ พครง้ั ใหมดวยระบบใหมนี้ จงึ ไดแสดงวธิ อี านออกเสยี งศพั ทตงั้ บางคาํ เพอ่ื เกอ้ื กลู แกผู
ใชที่ยังไมคนุ กับวิธอี านคาํ ทมี่ าจากภาษาบาลีสันสกฤต เชน สมสีสี [สะ-มะ-ส-ี สี], โอมสวาท [โอ-มะ-สะ-วาด]
แตเนอื่ งจากยงั เปนทาํ นองงานแถม จึงทําเทาที่นกึ ไดหรอื พบเฉพาะหนา อาจมีคําศัพททาํ นองนีอ้ ยอู ีกหลายคาํ
ที่ยังมิไดแสดงวธิ อี านออกเสยี งกํากับไว
อยางไรกต็ าม ในการพมิ พใหมครงั้ นี้ ไดแทรก “วธิ อี านคาํ บาล”ี เพมิ่ เขามาดวย เพอ่ื ใหผใู ชทวั่ ไปทราบ
หลกั พน้ื ฐานทพ่ี อจะนาํ ไปใชเปนแนวทางในการอานไดดวยตนเอง โดย ดร.สมศลี ฌานวงั ศะ ชวยรบั ภาระเขยี นมา
งานข้ันสดุ ทายทจี่ ะเขาโรงพิมพมคี วามละเอยี ด ซงึ่ ตองใชเวลาและเรี่ยวแรงกําลงั มาก ประกอบกับผู
รับภาระมีงานอ่นื ทตี่ องรับผิดชอบอกี หลายดาน นับจากเรม่ิ งานขน้ั สุดทายน้ี จนตนแบบเสรจ็ เรียบรอยนาํ สง
โรงพมิ พได กใ็ ชเวลาไปหลายเดือน
ท้ังนี้เพราะวา งานขั้นสุดทายกอนรับการตีพิมพมิใชเพียงการตรวจความถูกตองของตัวอักษรเทาน้ัน
นอกจากอานปรฟู ตลอดเลม ทวนแลวทวนอกี หลายเทีย่ วแลว ไดถอื โอกาสแหงการพมิ พท่เี ปนการวางรูปแบบ
ครั้งใหมและมีคอมพิวเตอรเปนอุปกรณนี้ ตรวจทานจัดการเก่ียวกับความสอดคลองกลมกลืน–สม่ําเสมอ–
ครบถวน โดยเฉพาะในเรอื่ งทเี่ ปนระบบแบบแผน ใหลงตัวไวเทาท่จี ะทาํ ได คอื
ก) ความสอดคลองกลมกลืน ทว่ั ๆ ไป ไมวาจะเปนเคร่อื งหมายวรรคตอน หรือการพมิ พคํา–ขนาด
ตัวอักษร–รูปลักษณของตัวอักษร ท้งั คาํ ท่ัวไปและคําท่ใี ชในการอางองิ และอางโยง (เชน ดู เทยี บ คกู ับ ตรงขามกับ)
ไดพยายามตรวจและแกไขใหสมํา่ เสมอกันทกุ แหง
ข) ความถกู ตองครบถวนทวั่ ถงึ อกี หลายอยาง ทย่ี งั อาจตกหลนหรอื ขามไปในการพิมพระบบเกา
โดยเฉพาะการอางโยง ไดตรวจสอบเทาทีท่ ําได เชน ตรวจดใู หแนใจวาศพั ทตัง้ ทกุ คาํ ทเ่ี ปนธรรมขอยอย ได
อางโยงถึงหมวดธรรมใหญทธ่ี รรมขอยอยนั้นแยกออกมา
ค) ระบบการอางโยง ระหวางศพั ทตงั้ ไดจดั ปรบั ใหสมาํ่ เสมอชดั เจนและครบถวนยง่ิ ขนึ้ เชน
ฐ
• ไดสาํ รวจคําแสดงการอางโยงทีม่ ีอยู ซึ่งยตุ ิลงเปน ๔ คาํ และนอกจากไดปรบั ขนาดและแบบตวั
อักษรของคําแสดงการอางโยงนน้ั ใหสมาํ่ เสมอกนั ท่ัวท้งั หมด กลาวคือ ดู เทยี บ คกู บั ตรงขามกับ แลว ยงั ได
พยายามวางขอยตุ ิในการใชคาํ เหลาน้ันดวยวาจะใชคาํ ไหนในกรณีหรือในขอบเขตใด
ในการนี้ พึงทราบวา คาํ ทมี่ กั มาคกู ัน และเปนคําตรงขามกนั ดวย ในพจนานกุ รมน้ี ใชคําอางองิ วา
คกู ับ หรือ ตรงขามกบั อยางใดอยางหนึง่ โดยยงั ไมถือขอยตุ ิเด็ดขาดลงไป เชนโลกยิ ธรรม คูกบั โลกุตตรธรรม,
สังขตธรรม ตรงขามกบั อสงั ขตธรรม
• ใชการอางโยง แทนคําอธบิ ายบางตอนทซี่ ํา้ ซอนเกนิ จาํ เปน หรือชวยใหปรบั เปลยี่ นคําอธิบายบาง
แหงใหสนั้ ลง (เชน ตดั คําอธิบายที่ เบญจศีล ออก เนือ่ งจากซาํ้ กับ ศลี ๕ แลวใชการอางโยงแทน)
นอกจากน้ัน ยังมีงานแทรกซอนบางอยางท่ีใชเวลาเพิ่มข้ึนอีกมากทีเดียวนอกเหนือความคาด
หมาย เชน ทุกครง้ั ที่มีการแกไขขอมูล ซึง่ ทําใหขอความและถอยคาํ ขยบั ขยายเลอื่ นที่ ตองตรวจดคู วามถกู ตอง
เหมาะสมในการตดั แยกคาํ ทายบรรทดั โดยเฉพาะคาํ ศพั ทบาลสี นั สกฤต เชน ปาตโิ มกข และคาํ ประสม เชน
พระเจา นมสม ถา โมกข เจา หรือ สม เลื่อนแยกออกไปอยตู างบรรทดั ซงึ่ ทาํ ใหผดิ หลกั อกั ขรวธิ กี ารเขยี นคาํ
บาลสี นั สกฤต หรอื อาจชวนใหอานเขาใจผิดในกรณีคาํ ประสม กต็ องพยายามแกไขใหมาอยูในบรรทัดเดียวกนั
ครบท้ังคาํ หรือใชวธิ ีใสเคร่อื งหมาย - (ยติภังค) หากเปนคําบาลีสันสกฤตทพ่ี อจะเออื้ ใหตัดแยกได เชน กศุ ล-
ธรรม (ดงั ในตวั อยางน)ี้ และการแกไขนม้ี กั จะสงผลกระทบตอคําอืน่ อยเู นอื งๆ ทําใหตองตรวจดใู หท่วั ซาํ้ อีก
อนึ่ง การแกไขดังกลาว ยังสงผลกระทบตอทอดไปถึงการจดั หนาหนังสอื โดยรวม ซง่ึ พลอยขยับ
เขยือ้ นเปล่ยี นแปลงไปเน่ืองจากการตัด เพิ่ม หรือเปลี่ยนแปลงขอความนนั้ อันจะตองตรวจดแู ละจัดปรับให
ถูกตองลงตวั ดวยทกุ คร้งั เชนเดียวกนั
การท่งี านพมิ พ พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท กาวมาจนถงึ ขน้ั สาํ เรจ็ เสรจ็ สนิ้ ในบดั น้ี จงึ
หมายถงึ การบาํ เพญ็ อทิ ธบิ าททงั้ ๔ ของ ดร.สมศลี ฌานวงั ศะ และบตุ รหญงิ –บตุ รชาย คอื น.ส.ภาวนา ฌานวงั ศะ
และ นายปญญา ฌานวังศะ ซงึ่ ขออนุโมทนาไว ณ ทีน่ ้ี เปนอยางยิง่
พรอมนี้ ขอขอบคณุ พระมหาเจมิ สวุ โจ แหงมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ทไ่ี ดอตุ สาหะ
วริ ยิ ะเตรยี มฐานขอมลู คอมพวิ เตอรชดุ แรกของ พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท และมอบใหไว แมจะ
เปนชุดทีม่ ิไดนํามาใชในการพมิ พครง้ั นี้ กถ็ ือวาพระมหาเจมิ สุวโจ ไดมีสวนรวมในงานน้ีดวย
อนงึ่ ระหวางทแ่ี กไขทวนทานเพอื่ เตรยี มตนแบบสาํ หรบั สงโรงพมิ พนี้ พระครปู ลดั ปฎกวฒั น (อนิ ศร
จินฺตาป ฺโ ) และพระภิกษุหลายรูปในวัดญาณเวศกวัน ไดอานปรูฟอกี เทีย่ วหนึง่ ชวยใหการพิสูจนอกั ษรถูก
ตองเรยี บรอยย่งิ ข้นึ จงึ ขอขอบคณุ พระครปู ลดั ปฎกวฒั นและพระภิกษุทกุ รูปที่ชวยงาน ในโอกาสน้ี กระนั้น
กต็ าม กค็ งยงั มขี อผดิ พลาดหลงเหลอื อยูบาง หากผใู ชทานใดไดพบ ก็ขอไดโปรดแจงใหทราบดวย เพ่อื ชวยให
การพิมพครง้ั ตอๆ ไปมคี วามสมบูรณยิง่ ข้นึ
หวงั วา พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท ทพี่ มิ พดวยระบบใหมครง้ั น้ี จะเปนอปุ กรณอนั เกอื้ กลู
ตอการศกึ ษา ทสี่ าํ เรจ็ ประโยชนไดดยี งิ่ ขนึ้ และเปนปจจยั หนนุ ใหเกดิ ธรรมไพบลู ย เพ่ือประโยชนสขุ แกพหชู น
ย่งั ยนื นานสืบไป
พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)
๒๓ กนั ยายน ๒๕๔๖
บันทกึ ของผูเรยี บเรยี ง
(ในการพิมพครงั้ ท่ี ๒ – พ.ศ. ๒๕๒๗)
๑. หนงั สอื นพ้ี มิ พครงั้ แรกเมอ่ื พ.ศ. ๒๕๒๒ ในงานพระราชทานเพลงิ ศพ พระครปู ลดั สมยั กติ ตฺ ทิ ตโฺ ต
เจาอาวาสวดั พระพิเรนทร มีชื่อวา พจนานุกรมพทุ ธศาสน ฉบบั ครู นกั เรียน นกั ธรรม แตในการพมิ พครั้งที่ ๒
น้ี ไดเปลี่ยนช่ือใหมวา พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท ท้งั น้ีเพราะช่ือเดิมยาวเกนิ ไป เรียกยาก
การท่ีมคี ําสรอยทายชือ่ วา ฉบบั ประมวลศัพท กเ็ พ่ือปองกันความสับสน โดยทําใหตางออกไปจาก
พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ของผูเรียบเรยี งเดยี วกนั ซ่งึ มีอยกู อน
พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท เปนพจนานกุ รมซงึ่ รวบรวมและอธิบายคาํ ศัพททั่วไปทุก
ประเภททเ่ี กย่ี วกับพระพทุ ธศาสนา เชน หลักธรรม พระวินยั พิธีกรรม ประวัตบิ คุ คลสาํ คัญ ตาํ นาน และ
วรรณคดที ่สี ําคญั เปนตน ตางจาก พจนานกุ รมพุทธศาสตร (จะขยายชอ่ื เปน พจนานุกรมพทุ ธศาสตร ฉบบั
ประมวลธรรม) ทีม่ งุ รวบรวมและอธิบายเฉพาะแตหลักธรรมซ่ึงเปนสาระสาํ คัญของพระพุทธศาสนา
๒. ศัพททีร่ วบรวมมาอธิบายในหนังสือน้ี แยกไดเปน ๓ ประเภทใหญๆ คอื
๑) พทุ ธศาสนประวัติ มพี ุทธประวตั เิ ปนแกน รวมถึงสาวกประวตั ิ ประวตั บิ คุ คล สถานที่ และเหตุ
การณสําคัญในพระพุทธศาสนา ตลอดจนตํานาน และเร่อื งราวทมี่ าในวรรณคดีตางๆ เฉพาะทคี่ นท่ัวไปควรรู
๒) ธรรม คอื หลักคําสอน ท้ังทมี่ าในพระไตรปฎก และในคัมภรี รนุ หลงั มีอรรถกถาเปนตน รวมไว
เฉพาะท่ศี กึ ษาเลาเรียนกนั ตามปกติ และเพม่ิ บางหลกั ทีน่ าสนใจเปนพิเศษ
๓) วนิ ยั หมายถงึ พทุ ธบญั ญตั ทิ กี่ าํ กบั ความประพฤตแิ ละความเปนอยขู องพระสงฆ และในทนี่ ใ้ี หมี
ความหมายครอบคลมุ ถงึ ขนบธรรมเนยี มประเพณี พธิ กี รรมบางอยางทไ่ี ดเปนเครอื่ งยดึ เหนย่ี วคมุ ประสานสงั คม
ของชาวพทุ ธไทยสบื ตอกนั มา
นอกจากนม้ี ศี พั ทเบด็ เตลด็ เชน คาํ กวซี ง่ึ ผกู ขนึ้ โดยมงุ ความไพเราะ และคาํ ไทยบางคาํ ทไ่ี มคนุ แต
ปรากฏในแบบเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรม ซง่ึ ภกิ ษสุ ามเณรจาํ เปนจะตองรคู วามหมาย เปนตน
๓. หนงั สือนีร้ วมอยูในโครงการสวนตวั ทจ่ี ะขยายปรับปรงุ กอนการจดั พมิ พคร้งั ท่ี ๒ และไดเพิ่มเตมิ
ปรบั ปรงุ ไปบางแลวบางสวน แตตามทตี่ งั้ ใจไวกะวาจะปรบั ปรงุ จรงิ จงั และจดั พมิ พภายหลงั พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร
(ฉบบั ประมวลธรรม) คร้นั ดร.สุจินต ทงั สุบตุ ร ตดิ ตอขอพิมพเปนธรรมทานในงานพระราชทานเพลงิ ศพบิดา
ผเู ปนบรุ พการี จงึ เปนเหตใุ หการพมิ พเปลยี่ นลาํ ดบั กลายเปนวาหนงั สอื นจ้ี ะสาํ เรจ็ กอน โดยเบอ้ื งแรกตกลงวาจะ
พมิ พไปตามฉบบั เดมิ ทสี่ วนใหญยงั ไมไดปรบั ปรงุ แตปญหาขอยงุ ยากตดิ ขดั ทที่ าํ ใหการพมิ พลาชา ไดกลายเปน
เคร่ืองชวยใหไดโอกาสรีบเรงระดมงานแทรกเพิ่ม ปรบั ปรุงแขงกนั ไปกับงานแกไขปญหา จนหนงั สอื นมี้ ีเนอื้ หา
เกือบจะครบถวนสมบูรณตามความมุงหมาย นับวาเจาภาพงานน้ีไดมีอุปการะมากตอความสําเร็จของงาน
ปรับปรงุ หนงั สอื และตอการชวยใหงานเสรจ็ ส้นิ โดยเรว็ ไมยืดเยอ้ื ตอไป
อยางไรกด็ ี มผี ลสบื เนอื่ งบางอยางทค่ี วรทราบไวดวย เพอ่ื ใหรจู กั หนงั สอื นชี้ ดั เจนยง่ิ ขน้ึ เชน
ก) ในโครงการปรบั ปรงุ เดมิ มขี อพจิ ารณาอยางหนงึ่ วา จะรวมศพั ททแ่ี ปลกในหนงั สอื ปฐมสมโพธกิ ถา และ
ใน มหาเวสสนั ดรชาดก เขาดวยหรอื ไม การพมิ พทเ่ี รงดวนครง้ั นไี้ ดชวยตดั สนิ ขอพจิ ารณาน้นั ใหยุตลิ งไดทนั ที
คือเปนอนั ตองตัดออกไปกอน แตการไมรวมศัพทในวรรณคดี ๒ เรือ่ งน้นั เขามาก็ไมทาํ ใหพจนานกุ รมนเี้ สยี
ความสมบรู ณแตอยางใด เพราะศพั ทสวนมากใน ปฐมสมโพธกิ ถา และ มหาเวสสนั ดรชาดก เปนคํากวีและคํา
ฒ
จาํ พวกตาํ นาน ซ่งึ มงุ ความไพเราะหรอื เปนความรูประกอบ อันเกนิ จาํ เปนสําหรบั การเรยี นรูในระดบั สามญั วาที่
จริงศัพทสองประเภทนั้นเทาท่ีมีอยูเดิมในหนังสือนี้ก็นับวามากจนอาจจะทําใหเกิดความสับสนกับศัพทจําพวก
หลกั วชิ าไดอยแู ลว สวนความรูทเ่ี ปนหลักการของพระพทุ ธศาสนาทปี่ รากฏในวรรณคดี ๒ เรอ่ื งน้ัน กลาวไดวา
มีอยใู นพจนานกุ รมน้แี ลวแทบท้ังหมด
ข) การปรับปรุงอยางเรงดวนแขงกับเวลาท่ีบีบรัดทําใหเกิดความลักลั่นขึ้นบางในอัตราสวนของการ
อธิบาย คอื บางคาํ อธิบายขยายใหมยดื ยาวมาก เชน ไตรปฎก ยาวเกิน ๑๐ หนา แตบางคาํ คงอยอู ยางเดมิ ซึ่ง
เม่ือเทียบกันแลวกลายเปนสน้ั เกินไป เชน ไตรสกิ ขา ท่ีอยใู กลกันน้ันเอง และศัพทบางศพั ทยงั ตกหลนหลงตา
เชน ไตรทศ, ไตรทพิ ย เปนตน
อยางไรกต็ าม ขอบกพรองเชนนเี้ หลอื อยนู อยยงิ่ โดยมากเปนสวนทพ่ี สิ ดารเกนิ ไปมากกวาจะเปนสวนที่
หยอนหรือขาด และถารจู ักคน กส็ ามารถหาความหมายทล่ี กึ ละเอยี ดออกไปอกี ได เชน ไตรสกิ ขา กอ็ าจเปดดคู ํา
ยอยตอไปอีก คอื อธศิ ลี สิกขา, อธิจติ ตสกิ ขา, และ อธิปญญาสิกขา สวนคาํ จําพวก ไตรทศ, ไตรทิพย ก็เปน
กง่ึ คํากวี ไมใชศพั ทวิชาการแท เพยี งแตหาความหมายของศพั ท ไมตองอธบิ ายดานหลักวชิ า อาจปรึกษา
พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน ได
๔. ความหมายและคาํ อธบิ ายศพั ท นอกจากสวนใหญท่ีไดคนควารวบรวมและเรยี บเรยี งข้นึ เปนเน้ือหา
เฉพาะของพจนานุกรมน้ีแลว มีแหลงทค่ี วรทราบอีก คอื
๑) ศัพทจํานวนหน่ึง เก่ียวกับการเรียนการสอนวิชานักธรรม ซึ่งการตอบและอธิบายตามแบบ
แผนมีความสําคญั มากสําหรับผูเรยี นและผสู อบในระบบนั้น (โดยมากเปนศพั ทพระวินัย และมศี พั ททางวชิ า
ธรรมปนอยบู าง) ในทน่ี ม้ี กั คดั เอาความหมายและคาํ อธบิ ายในแบบเรยี นมาลงไวดวย
๒) ศัพทบางศพั ท ทเี่ หน็ วาความหมายและคาํ อธบิ ายในหนงั สอื ศพั ทหลกั สตู รภาษาไทย ของ
มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ชดั เจนและใชไดดีอยู กค็ งไวตามนั้น
๓) ศัพทท่ใี ชกันในภาษาไทย ซึ่งผูคนมกั ตองการเพยี งความหมายของคาํ ศัพท ไมมเี ร่อื งท่ีตองรใู น
ทางหลกั วิชามากกวานนั้ หลายแหงถอื ตาม พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน
๔) ในขน้ั สมบรู ณของพจนานกุ รมนี้ ไดตงั้ ใจไววาจะแสดงหลกั ฐานทมี่ าในคมั ภรี ของเรอื่ งทเี่ ปนหลกั
วิชาไวทั้งหมดโดยละเอยี ด แตเพราะตองสงตนฉบบั เขาโรงพมิ พทันทกี อนแลวจงึ มกี ารแทรกเพมิ่ ปรบั ปรงุ ตาม
โอกาสภายหลงั การบอกทม่ี าใหทว่ั ถงึ จงึ เปนไปไมได ครนั้ จะแสดงทม่ี าของเรอื่ งทมี่ โี อกาสแทรกเพมิ่ หรอื ปรบั ปรงุ
ใหม กจ็ ะทาํ ใหเกดิ ความลกั ลน่ั ไมสมา่ํ เสมอกนั จงึ งดไวกอนทง้ั หมด ผใู ชพจนานกุ รมนจ้ี งึ จะพบหลกั ฐานทม่ี าบาง
กเ็ ฉพาะทเ่ี ปนเพยี งขอความบอกชอ่ื หมวดชอื่ คมั ภรี อยางเปนสวนหนง่ึ ของคาํ อธบิ าย ไมมตี วั เลขบอกเลม ขอ และ
หนา ตามระบบการบอกทมี่ าทสี่ มบรู ณ
การเพิ่มเติมและปรับปรุงแมจะไดทําอยางรีบเรงแขงกับการพิมพเทาท่ีโอกาสเปดให แตก็นับวาใกล
ความครบถวนสมบูรณ ทําใหเนือ้ หาของหนังสอื ขยายออกไปมากประมาณวาอกี ๑ ใน ๓ ของฉบบั พมิ พครงั้
แรก มีศพั ทท่เี พิม่ ใหมและปรบั ปรุงหลายรอยศพั ท กระน้นั ก็ตาม เมื่อถึงโอกาสกจ็ ะมีการปรับปรงุ ใหญอีกคร้งั
หนงึ่ เพ่อื ใหกลมกลืนสม่ําเสมอโดยสมบูรณและเหมาะแกผใู ชประโยชนทกุ ระดับ ต้งั แตนักสอนจนถงึ ชาวบาน
อนึ่ง ในการเพิ่มเติมและปรับปรุงน้ี ไดมีทานผูเปนนักสอนนักเผยแพรธรรมชวยบอกแจงศัพทตก
หลนในการพมิ พคร้งั กอนและเสนอศัพททคี่ วรเพิม่ เติมหรอื ปรับปรุงคําอธบิ ายหลายศัพท คอื พระมหาอารยี
เขมจาโร วดั ระฆงั โฆสติ าราม รองเลขาธกิ ารมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั บอกแจงมา ๑๔ ศัพท เชน จีวรมรดก,
ฒ
ณ
ติตถยิ ปกกันตกะ, อนาโรจนา, อุโปสถกิ ภัต เปนตน คุณหมออมรา มลลิ า เสนอเพมิ่ เติม ๒๔ ศัพท เชน
จงั หัน, จาร, เจรญิ พร, ตอง, ทุกกฏ, ทพุ ภาสติ , ธิต,ิ สังฆการี เปนตน และเสนอปรับปรงุ คําท่อี ธบิ ายไมชัดเจน
อานเขาใจยาก หรือสน้ั เกินไป ๒๓ ศัพท เชน กัปปยภมู ิ, กุฑวะ, คันโพง, ดาวเคราะห เปนตน นับวาไดมีสวน
ชวยเสริมใหหนังสอื สมบูรณยง่ิ ข้นึ
ในการพิมพที่เรงดวนภายในเวลาที่จํากัด ตอหนาปญหาความยุงยากสับสนในกระบวนการพมิ พชวง
ตนท่ีไมราบร่นื นัน้ คุณชุตมิ า ธนะปุระ ไดมีจิตศรัทธาชวยพสิ ูจนอกั ษรสวนหน่งึ (คณุ ชุติมา และคุณยงยทุ ธ
ธนะปรุ ะ ไดบริจาคทนุ ทรพั ยพมิ พพจนานุกรมนแ้ี จกเปนธรรมทานจํานวนหน่งึ ดวย) คุณพนติ า องั จนั ทรเพ็ญ
ไดชวยพสิ ูจนอกั ษรอกี บางสวน และชวยตดิ ตอประสานงานทางดานโรงพมิ พ ทางดานเจาภาพ ชวยเหลอื ทาํ
ธุระใหลลุ วงไปหลายประการ นบั วาเปนผูเกื้อกลู แกงานพิมพหนงั สอื ครั้งนี้เปนอันมาก
พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท พมิ พเสรจ็ สนิ้ ในบดั นี้ กอน พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ฉบบั
ประมวลธรรม ไมยดื เยอื้ ยาวนานตอไป กเ็ พราะคณะเจาภาพงานพระราชทานเพลงิ ศพ อาจารยจติ ร ทงั สบุ ตุ ร ซง่ึ มี
ดร. สจุ นิ ต ทงั สบุ ตุ ร เปนผตู ดิ ตอขอพมิ พ ไดเพยี รพยายามเรงรดั ตดิ ตามงานมาโดยตลอด และไดสละทนุ ทรพั ย
เปนอนั มากในการผลกั ดนั ใหการพมิ พผานพนปญหาขอตดิ ขดั ตางๆ เปนฐานใหการพมิ พสวนทจ่ี ะเพมิ่ เตมิ เปนไป
ไดโดยสะดวกและเสยี คาใชจายลดนอยลง
นอกจากนี้ เจาภาพทข่ี อพมิ พเผยแพรอกี หลายราย กล็ วนเปนผมู จี ติ ศรทั ธาจดั พมิ พแจกเปนธรรมทาน
ทง้ั สน้ิ
เจาภาพทขี่ อพมิ พจาํ นวนมากทส่ี ดุ คอื มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั แมจะพมิ พจาํ หนาย มใิ ชพมิ พแจก
อยางใหเปลา แตกม็ วี ตั ถปุ ระสงคเพอ่ื นาํ ผลประโยชนไปบาํ รงุ การศกึ ษาของพระภกิ ษสุ ามเณร นบั วาเปนการกศุ ล
เชนกนั
นอกจากนี้ เมอ่ื มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ขาดแคลนทนุ ทจ่ี ะใชในการพมิ พ พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ก็
บงั เอญิ ให คณุ หญงิ กระจางศรี รกั ตะกนษิ ฐ ไดทราบ จงึ ไดเชญิ ชวนญาตมิ ติ รของทาน รวมกนั ตง้ั “กองทนุ พมิ พ
พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร” ขน้ึ กองทนุ นนั้ มจี าํ นวนเงนิ มากจนพอทจ่ี ะใชพมิ พ พจนานกุ รมพทุ ธศาสน เลมนด้ี วย
เปนเครอื่ งอปุ ถมั ภใหการพมิ พสาํ เรจ็ ลลุ วงสมหมาย ทาํ ใหมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ไดพจนานกุ รมทงั้ สองเลม
สาํ หรบั จาํ หนายเกบ็ ผลประโยชนโดยมติ องลงุ ทนุ ลงแรงใดๆ เลย
ขออนโุ มทนากุศลเจตนา บุญกิรยิ า และความอุปถมั ภของทานผูไดกลาวนามมาขางตน ขอทุกทานจง
ประสบจตรุ พธิ พร เจริญงอกงามในธรรมย่ิงๆ ขนึ้ ไป และขอธรรมทานทไี่ ดรวมกันบาํ เพญ็ นจ้ี งเปนเคร่อื งชักนาํ
มหาชนใหบรรลปุ ระโยชนสุขอันชอบธรรมโดยท่วั กนั
พระราชวรมุนี
(ประยทุ ธ ปยุตฺโต)
๑๓ ตลุ าคม ๒๕๒๗
ณ
ควรทราบกอน
๑. พจนานุกรมน้ี เหมาะแกครแู ละนกั เรยี นนักธรรม มากกวาผูอ่นื
คาํ ศพั ทในวชิ านกั ธรรม ซงึ่ การตอบและอธบิ ายตามแบบแผนมคี วามสาํ คญั มากสาํ หรับผูเรยี นและผสู อบ
ในระบบนนั้ (โดยมากเปนศัพทพระวินยั ) ในท่นี ม้ี กั คัดเอาความหมายและคําอธบิ ายในแบบเรียนมาลงไวดวย
ความหมายและคาํ อธบิ ายหลายแหงเขยี นอยางคนรกู นั คอื ผมู พี น้ื ความรอู ยบู างแลว จงึ จะเขาใจชดั
เจนและใชประโยชนไดเตม็ ที่
อยางไรกต็ าม วาโดยสวนใหญ คนทว่ั ไปทส่ี นใจทางพระศาสนา กใ็ ชประโยชนไดเปนอยางดี
๒. ศัพทที่อธิบาย มุงวชิ าธรรม พทุ ธประวัติ และวนิ ยั เปนใหญ
ศพั ททคี่ วรอธบิ ายในวชิ าทงั้ สามนี้ พยายามใหครบถวน เทาทม่ี ใี นแบบเรยี นนกั ธรรม ทง้ั ชน้ั ตรี ชน้ั โท
และชน้ั เอก แมวาในการจดั ทาํ ทเี่ รงดวนยง่ิ น้ี ยอมมคี าํ ตกหลนหรอื แทรกไมทนั อยบู างเปนธรรมดา
อยางไรกต็ าม ศพั ทเกยี่ วกบั ศาสนพธิ บี างอยาง และเรอ่ื งทคี่ นทวั่ ไป และนกั ศกึ ษาอนื่ ๆ ควรรู กไ็ ดเพมิ่ เขา
มาอกี มใิ ชนอย เชน กรวดนา้ํ , ผาปา, สงั ฆทาน, อาราธนาศลี , อาราธนาพระปรติ ร, อาราธนาธรรม, วสิ ทุ ธมิ รรค,
จกั กวตั ตสิ ตู ร เปนตน
๓. ลาํ ดบั ศพั ท เรยี งอยาง พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน เวนตนศพั ท มี –ะ
คาํ ที่เปนตนศพั ท หรือแมศัพท แมมปี ระวสิ รรชนีย ก็เรยี งไวกอนคําทอ่ี าศัยตนศพั ทนัน้ เชน เถระ
เรยี งไวกอน เถรวาท; เทวะ เรียงไวกอน เทวดา, เทวทิต เปนตน
๔. การสะกดการนั ต มปี ะปนกันหลายอยาง ใหถอื วาใชไดทัง้ หมด
ศพั ทสวนมาก เกบ็ จากแบบเรยี นนกั ธรรม ซงึ่ เขยี นขนึ้ เมอื่ ศตวรรษลวงแลวแทบทงั้ สนิ้ คอื กอนมี
พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ เปนเวลานาน แบบเรยี นเหลานน้ั แมเขยี นคาํ ศพั ทเดยี วกนั ก็
สะกดการนั ตไมเหมอื นกนั แตกถ็ อื วาถกู ตองดวยกนั อยางนอยตามนยิ มในเวลานนั้
ยงิ่ กวานน้ั พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน ยงั เปดโอกาสสาํ หรบั คาํ ทเี่ ปนธรรมบญั ญตั ใิ หเขยี นเตม็
รปู ตามภาษาเดมิ ไดดวย
ดงั นนั้ พงึ ทราบการสะกดการนั ตไมคงทใี่ นหนงั สอื นี้ วาเปนไปตามแหลงเดมิ ทเี่ กบ็ ถอยคาํ นนั้ ๆ มา หรอื
ตามรปู คาํ ทย่ี อมรบั ในทางหลกั ภาษาวายกั เยอ้ื งไปไดตวั อยางคาํ เขยี นหลายแบบ เชน กรรมฐาน, กมั มฏั ฐาน;
อรยิ สจั จ, อรยิ สจั ; นคิ คหะ, นคิ หะ; ญตั กิ รรม, ญตั ตกิ รรม, ญตั ตกิ มั ม; บรเิ ฉท, ปรเิ ฉท; ธรรมวจิ ยั , ธมั มวจิ
ยะ; จลุ ลวรรค, จลุ วรรค, จลุ ลวคั ค เปนตน
ในการพิมพคร้ังที่ ๑๐ (ระบบคอมพวิ เตอร) ไดปรบั การสะกดตัวของบางศัพทใหเปนปจจบุ ัน (เชน
ปฤษณา แกเปน ปริศนา ซงึ่ แผลงมาจาก ปรัศนา ในสันสกฤต) และในขอความทเี่ ปนคาํ อธบิ ายของหนงั สอื
หากคาํ ศพั ทใดปรากฏซาํ้ ไดปรบั การสะกดตัวใหเปนอยางเดียวกัน
อนงึ่ คาํ ศพั ททมี่ หี ลายรปู เพราะเขยี นไดหลายอยาง เชน อรยิ สจั จ, อรยิ สจั ถอื ปฏบิ ตั ดิ งั นี้
• ในคาํ อธบิ ายทุกแหง เลอื กใชรูปใดรปู หนงึ่ ใหเปนอยางเดยี วเหมอื นกนั หมด เชนในกรณนี ้ี ใชรปู
อรยิ สจั จ
ต
• แตทศ่ี พั ทตง้ั อาจมีรปู อรยิ สจั ดวย โดยเขียนรูปทตี่ างๆ เรยี งไวดวยกนั เปน “อริยสจั , อรยิ สัจจ”
• อาจยกรปู ทต่ี างขน้ึ เปนศพั ทตง้ั ตางหากดวย แตไมอธบิ าย เพยี งอางองิ ใหดรู ปู ศพั ททถี่ อื เปนหลกั ใน
พจนานกุ รมน้ี เชน “อรยิ สจั ดู อรยิ สจั จ”
• ในบางกรณี ไดชแี้ จงไวทายคาํ อธบิ ายของศพั ทตงั้ ทถ่ี อื เปนหลกั นน้ั วาเขียนอยางนนั้ อยางนกี้ ็ได เชน
ทายคําอธบิ ายของ “อรยิ สจั จ” มขี อความชแี้ จงวา “เขยี น อรยิ สจั ก็ม”ี หรือ “อรยิ สัจ กเ็ ขียน”
ในกรณที เี่ ขยี นศพั ทรปู แปลก และควรทราบวา พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน เขยี นอยางไร ไดชี้
แจงกาํ กบั ไวดวยวา พจนานกุ รม เขยี นอยางนัน้ ๆ คําวา พจนานกุ รม ในท่นี ้ี พงึ ทราบวา หมายถึง พจนานกุ รม
ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓, พ.ศ. ๒๕๒๕ และ พ.ศ. ๒๕๔๒
๕. คาํ ที่อางโยง มคี าํ อธิบายในลาํ ดับอักษรของคํานั้น
เม่อื พบคาํ ศพั ทที่อางโยงในคําอธบิ ายของคําอนื่ หลงั คําที่แสดงการอางโยงคอื ดู เทยี บ คกู บั หรือ ตรงขาม
กบั พึงคนหาความหมายของคาํ ทีอ่ างโยงนนั้ เพมิ่ เติม ทล่ี าํ ดบั อักษรของคํานั้นๆ
นอกจากน้ี การอางโยงยงั มใี นคาํ บอกเลขขอในหมวดธรรมภายในวงเลบ็ ทายคาํ อธบิ ายของศพั ทตางๆ เชน
ทค่ี าํ ทมะ ขางทายมี “(ขอ ๒ ในฆราวาสธรรม ๔)” พงึ ทราบวา คาํ เหลานนั้ (ในกรณนี ้ี คอื ฆราวาสธรรม) กม็ คี ํา
อธบิ ายอยใู นลําดับอักษรของตนๆ
๖. พจนานกุ รมนี้ เปนกึง่ สารานกุ รม แตใหมีลักษณะทางวชิ าการเพียงเลก็ นอย
คําอธบิ ายของคําจาํ นวนมากในหนงั สือนี้ มิใชแสดงเพยี งความหมายของศพั ทหรือถอยคาํ เทานนั้ ยงั ให
ความรอู นั พงึ ทราบเกย่ี วกบั เรอ่ื งนน้ั ๆ อกี ดวย เชน จาํ นวน ขอยอย ประวตั ยิ อ สถานท่ี และเหตุการณแวดลอม
เปนตน เขาลกั ษณะเปนสารานุกรม แตยงั คงชื่อเปนพจนานกุ รมตามความตงั้ ใจเมอื่ เรม่ิ ทาํ และเปนการจาํ กดั
ขอบเขตไว ใหหนงั สอื นย้ี งั แตกตางจาก สารานกุ รมพทุ ธศาสน ทจี่ ดั ทาํ คางอยู
เพ่ือทราบวาพจนานกุ รมนี้มลี ักษณะและขอบเขตอยางไร พึงคนดศู พั ทตางๆ เชน กรวดนา้ํ , จาํ พรรษา,
กาลามสตู ร, กาลกิ , สารบี ตุ ร, พทุ ธกจิ , นาลนั ทา, สันโดษ, ชวี ก, ไตรปฎก, สังคายนา,ผาปา, ราหุล, วรรค,
สงั เวช, สังฆราช เปนตน
อนง่ึ หนงั สอื นเี้ กดิ ขน้ึ เนอื่ งดวยเหตกุ ารณจาํ เพาะหนา เรยี กไดวาเปนงานฉกุ เฉนิ นอกเหนอื ไปจากโครง
การที่มีอยเู ดมิ แมวาจะองิ สารานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั กลาง ทจ่ี ดั ทาํ คางอยกู จ็ รงิ แตเพราะเปนงานผดุ ขน้ึ กลาง
คนั จงึ ไมไดคดิ วางรปู วางแนวหรอื วางแผนการจดั ทาํ ไวใหชดั เจน เนอื้ หาจงึ มคี วามลกั ลนั่ กนั อยบู าง เชน คาํ ศพั ท
ประเภทเดยี วกนั บางคาํ อยตู นเลมอธบิ ายสน้ั บางคาํ อยูตอนปลายเลม อธิบายยาวกวา ดงั นีเ้ ปนตน
นอกจากนั้น เม่ือแรกทํา คิดเพียงแควาใหสําเร็จประโยชนเปนอุปกรณการศึกษาเบ้ืองตนและใหมี
ขนาดไมหนานกั (กะไวประมาณ ๒๕๐ หนา) เพราะเวลาพิมพกระช้ันและกําลังทุนจํากดั จงึ คิดจํากดั ไมให
หนงั สือมีลักษณะทางวิชาการมากนัก เชน คําอธิบายศัพทใหมเี พยี งเทาทค่ี วรรูโดยตรง ไมมีขยายความเชิงวชิ า
การ และยงั ไมบอกท่ีมาสําหรับผตู องการคนควาเพ่มิ เติม
แมวาบดั นี้ หนังสือนจี้ ะเปนงานท่ีบานปลายออกไป แตโดยทวั่ ไปยังรกั ษาลกั ษณะจํากัดทางวชิ าการทั้ง
สองขอนี้ไว โดยเฉพาะทมี่ าไมไดบอกไวเลย
อยางไรก็ดี ไดตกลงใจวา ในการพมิ พครงั้ ตอๆ ไป เมอ่ื มีโอกาส จะเลอื กบอกท่ีมาสําหรบั บางเรือ่ งตามสมควร
ต
ถ
วิธอี านคําบาลี
ภาษาบาลีเปนภาษาท่ีบรรจพุ ระพุทธศาสนาไวอยางครบถวน ผนู บั ถือพระพุทธศาสนาจงึ ควรจะรูภาษา
บาลีพอสมควร หรืออยางนอยกค็ วรจะรวู ิธอี านคําบาลีใหถูกตอง ซึง่ จะเปนพ้นื ฐานในการอานคําศัพทธรรม
บัญญตั ิจาํ นวนมาก ทย่ี ืมจากภาษาบาลี (และสันสกฤต) มาใชในภาษาไทย เชน อนุปพุ พกิ ถา, ปฏจิ จสมุปบาท
การเขยี นภาษาบาลดี วยอักษรไทยและวิธีอาน
๑. รปู สระ เม่ือเขียนภาษาบาลดี วยอกั ษรไทย สระทกุ ตัว (ยกเวน สระ อ) มีทงั้ รูป “สระลอย” (คือ
สระทีไ่ มมพี ยัญชนะตนประสมอยดู วย) และรูป “สระจม” (คอื สระท่ีมีพยญั ชนะตนประสมอยดู วย) ใหออก
เสียงสระตามรูปสระนน้ั เชน อาภา [อา-พา], อิสิ [อิ-สิ], อตุ ุ [อุ-ต]ุ ท้ังนีก้ ็เชนเดยี วกับในภาษาไทย
ขอพิเศษท่แี ปลกจากภาษาไทย คอื “สระ อ” จะปรากฏรปู เม่ือเปนสระลอย และไมปรากฏรูปเมอ่ื
เปนสระจม ใหออกเสยี งเปน [อะ] เชน อมต [อะ-มะ-ตะ]
นอกจากน้ี “ตวั อ” ยังใชเปนทนุ ใหสระอ่นื เกาะ เม่ือสระน้ันใชเปนสระลอย เชน เอก [เอ-กะ], โอฆ
[โอ-คะ]
๒. รปู พยญั ชนะ พยญั ชนะเมอ่ื ประสมกบั สระใด กจ็ ะมีรปู สระน้ันปรากฏอยดู วย (ยกเวนเม่ือประสม
กับสระ อ) และใหออกเสียงพยัญชนะประสมกบั สระนน้ั เชน กรณยี [กะ-ระ-นี-ยะ]
พยัญชนะทใ่ี ชโดยไมมรี ปู สระปรากฏอยู และไมมเี ครือ่ งหมาย ฺ (พนิ ท)ุ กาํ กบั แสดงวาประสมกบั
สระ อ และใหออกเสียงพยญั ชนะนนั้ ประสมกับ [อะ] เชน รตน [ระ-ตะ-นะ]
สวนพยัญชนะที่มเี คร่ืองหมาย ฺ (พินท)ุ กาํ กับ แสดงวาไมมสี ระใดประสมอยูดวย ใหออกเสยี งเปนตวั
สะกด เชน ธมฺม [ทาํ -มะ], ปจฺจตตฺ ํ [ปด-จดั -ตงั ] หรอื ตวั ควบกล้าํ เชน พฺรหมฺ [พร๎ ะ-หม๎ ะ] แลวแตกรณี ในบาง
กรณี อาจตองออกเสยี งเปนทง้ั ตวั สะกดและตวั ควบกลา้ํ เชน ตตรฺ [ตดั -ตร๎ ะ], กลฺยาณ [กนั -ลย๎ า-นะ]
อน่ึง รูป เอยฺย มกั นยิ มออกเสียงตามความสะดวก เปน [ไอ-ยะ] ก็มี หรอื [เอย-ยะ] ก็มี เชน
ทกฺขิเณยยฺ ออกเสยี งเปน [ทัก-ข-ิ ไน-ยะ] หรือ [ทกั -ข-ิ เนย-ยะ] เมื่อยืมเขามาใชในภาษาไทย จงึ ปรากฏวามใี ช
ทั้ง ๒ รูป คอื ทักขิไณย(บคุ คล) และ ทกั ขิเณยย(บคุ คล)
๓. เคร่อื งหมายนคิ หติ เคร่อื งหมาย ํ (นิคหติ ) ตองอาศัยสระ และจะปรากฏเฉพาะหลงั สระ อ, อิ
หรือ อุ ใหออกเสียงสระนนั้ ๆ (เปน [อะ], [อ]ิ หรอื [อ]ุ แลวแตกรณี) และมี [ง] สะกด เชน อํส [อัง-สะ], เอวํ
[เอ-วงั ], กึ [กงิ ], วิสุ [ว-ิ สุง]
ตัวอยางขอความภาษาบาลีและวิธอี าน มดี ังน้ี
สพฺพปาปสฺส อกรณํ กสุ ลสฺสปู สมฺปทา
[สับ-พะ-ปา-ปด-สะ] [อะ-กะ-ระ-นงั ] [ก-ุ สะ-ลัด-สู-ปะ-สํา-ปะ-ทา]
สจิตตฺ ปริโยทปนํ เอตํ พทุ ธฺ าน สาสนํ
[สะ-จดิ -ตะ-ปะ-ริ-โย-ทะ-ปะ-นงั ] [เอ-ตัง] [พดุ -ทา-นะ] [สา-สะ-นงั ]
ถ
ท
การอานคาํ ที่มาจากภาษาบาลี (และสนั สกฤต)
หลักพื้นฐานดังกลาวขางตนอาจนํามาประยุกตกับการอานคําไทยท่ีมาจากภาษาบาลี (และสันสกฤต)
โดยอนโุ ลม แตยงั ตองดดั แปลงใหเขากบั รูปคาํ และวธิ ีออกเสยี งแบบไทยดวย เชน การออกเสยี งอักษรนําในคํา
วา สมทุ ัย [สะ-หมุ-ไท] แทนทีจ่ ะเปน [สะ-ม-ุ ไท]
นอกจากนี้ หากจะออกเสียงใหถูกตองตามความนิยมในวงการศกึ ษาพระพทุ ธศาสนา ผอู านตองมี
ความรูเพ่ิมเติมวา รูปเดมิ ของศัพทคํานนั้ เปนอยางไร โดยเฉพาะอยางย่งิ จะตองทราบวา พยญั ชนะตวั ใดมี
พนิ ทกุ าํ กับดวยหรือไม เชน ปเสนทิ มรี ูปเดมิ เปน ปเสนทิ จงึ ตองอานวา [ปะ-เส-นะ-ท]ิ ไมใช [ปะ-เสน-ทิ]
แต อนปุ ุพพิกถา มีรูปเดมิ เปน อนุปุพพฺ ิกถา จึงตองอานวา [อะ-น-ุ ปุบ-พ-ิ กะ-ถา] ไมใช [อะ-น-ุ ปบุ -พะ-พ-ิ กะ-
ถา] หรือ ปฏิจจสมุปบาท มรี ูปเดมิ เปน ปฏจิ ฺจสมปุ ปฺ าท จงึ ตองอานวา [ปะ-ติด-จะ-สะ-หมุบ-บาด] ไมใช [ปะ-
ตดิ -จะ-สะ-หมบุ -ปะ-บาด]
ท
อกั ษรยอช่ือคัมภรี *
เรยี งตามอักขรวธิ แี หงมคธภาษา
(ที่พมิ พตัวเอน คือ คมั ภรี ในพระไตรปฎก)
องฺ.อ. องคฺ ุตตฺ รนิกาย อฏ กถา (มโนรถปูรณ)ี ขุทฺทก.อ. ขุทฺทกปา อฏ กถา (ปรมตฺถโชติกา)
องฺ.อฏ ก. องคฺ ตุ ตฺ รนิกาย อฏ กนิปาต จริยา.อ. จริยาปฏก อฏ กถา (ปรมตถฺ ทปี นี)
อง.ฺ เอก. องฺคุตฺตรนิกาย เอกนิปาต ชา.อ. ชาตกฏ กถา
อง.ฺ เอกาทสก. องฺคุตตฺ รนิกาย เอกาทสกนิปาต เถร.อ. เถรคาถา อฏ กถา (ปรมตฺถทีปนี)
อง.ฺ จตกุ ฺก. องคฺ ตุ ตฺ รนิกาย จตกุ กฺ นปิ าต เถร.ี อ. เถรีคาถา อฏ กถา (ปรมตถฺ ทีปน)ี
อง.ฺ ฉกกฺ . องคฺ ตุ ตฺ รนิกาย ฉกฺกนปิ าต ที.อ. ทฆี นิกาย อฏ กถา (สุมงคฺ ลวลิ าสนิ ี)
อง.ฺ ติก. องฺคุตฺตรนิกาย ติกนิปาต ท.ี ปา. ทฆี นิกาย ปาฏกิ วคฺค
อง.ฺ ทสก. องคฺ ตุ ฺตรนิกาย ทสกนปิ าต ท.ี ม. ทฆี นิกาย มหาวคฺค
อง.ฺ ทกุ . องคฺ ตุ ตฺ รนกิ าย ทกุ นิปาต ท.ี ส.ี ทฆี นกิ าย สีลกฺขนฺธวคคฺ
อง.ฺ นวก. องฺคตุ ตฺ รนกิ าย นวกนปิ าต ธ.อ. ธมฺมปทฏ กถา
อง.ฺ ป ฺจก. องฺคตุ ฺตรนิกาย ป จฺ กนปิ าต นทิ .ฺ อ. นิทเฺ ทส อฏ กถา (สทฺธมมฺ ปชฺโชตกิ า)
องฺ.สตตฺ ก. องฺคุตตฺ รนกิ าย สตฺตกนปิ าต ป ฺจ.อ. ป ฺจปกรณ อฏ กถา (ปรมตถฺ ทปี น)ี
อป.อ. อปทาน อฏ กถา (วิสุทธฺ ชนวิลาสินี) ปฏสิ .ํ อ. ปฏสิ มภฺ ทิ ามคคฺ อฏ กถา (สทธฺ มมฺ ปกาสนิ )ี
อภิ.ก. อภธิ มฺมปฏก กถาวตถฺ ุ เปต.อ. เปตวตฺถุ อฏ กถา (ปรมตถฺ ทีปนี)
อภิ.ธา. อภิธมมฺ ปฏก ธาตกุ ถา พทุ ธฺ .อ. พทุ ฺธวํส อฏ กถา (มธุรตถฺ วิลาสนิ ี)
อภ.ิ ป. อภธิ มมฺ ปฏก ปฏ าน ม.อ. มชฌฺ ิมนิกาย อฏ กถา (ปป ฺจสทู นี)
อภิ.ปุ. อภธิ มมฺ ปฏก ปุคคฺ ลป ฺ ตฺติ ม.อ.ุ มชฺฌิมนิกาย อุปริปณฺณาสก
อภ.ิ ยมก. อภธิ มฺมปฏก ยมก ม.ม. มชฺฌมิ นกิ าย มชฺฌิมปณฺณาสก
อภ.ิ ว.ิ อภิธมมฺ ปฏก วิภงคฺ ม.มู. มชฌฺ ิมนิกาย มลู ปณณฺ าสก
อภ.ิ ส.ํ อภิธมมฺ ปฏก ธมฺมสงฺคณี มงคฺ ล. มงคฺ ลตถฺ ทปี นี
อติ .ิ อ. อติ วิ ุตฺตก อฏ กถา (ปรมตถฺ ทปี นี) มลิ นิ ฺท. มลิ ินทฺ ป ฺหา
อุ.อ.,อุทาน.อ. อุทาน อฏ กถา (ปรมตถฺ ทปี น)ี วินย. วินยปฏก
ข.ุ อป. ขุททฺ กนกิ าย อปทาน วนิ ย.อ. วนิ ย อฏ กถา (สมนตฺ ปาสาทิกา)
ข.ุ อติ ิ. ขทุ ฺทกนกิ าย อติ วิ ตุ ตฺ ก วนิ ย.ฏกี า วินยฏ กถา ฏีกา (สารตถฺ ทีปน)ี
ข.ุ อุ. ขทุ ฺทกนกิ าย อทุ าน วภิ งคฺ .อ. วภิ งฺค อฏ กถา (สมฺโมหวิโนทน)ี
ขุ.ข.ุ ขุทฺทกนกิ าย ขทุ ทฺ กปา วมิ าน.อ. วมิ านวตถฺ ุ อฏ กถา (ปรมตถฺ ทปี น)ี
ขุ.จริยา. ขุททฺ กนิกาย จรยิ าปฏก วสิ ทุ ธฺ .ิ วิสทุ ธฺ มิ คคฺ
ข.ุ จู. ขุทฺทกนกิ าย จูฬนทิ ฺเทส วสิ ุทธฺ .ิ ฏกี า วิสทุ ธฺ ิมคคฺ มหาฏีกา (ปรมตถฺ ม ชฺ ุสา)
ข.ุ ชา. ขทุ ทฺ กนกิ าย ชาตก สงฺคณี อ. สงฺคณี อฏ กถา (อฏ สาลิน)ี
ข.ุ เถร. ขุททฺ กนิกาย เถรคาถา สงคฺ ห. อภิธมฺมตถฺ สงคฺ ห
ข.ุ เถรี. ขทุ ฺทกนกิ าย เถรีคาถา สงฺคห.ฏีกา อภธิ มมฺ ตถฺ สงคฺ ห ฏกี า (อภธิ มมฺ ตถฺ วภิ าวนิ )ี
ข.ุ ธ. ขทุ ทฺ กนิกาย ธมมฺ ปท สํ.อ. สํยุตฺตนิกาย อฏ กถา (สารตฺถปกาสนิ ี)
ข.ุ ปฏิ. ขทุ ทฺ กนิกาย ปฏิสมฺภิทามคคฺ ส.ํ ข. สํยุตฺตนกิ าย ขนธฺ วารวคคฺ
ข.ุ เปต. ขุททฺ กนิกาย เปตวตฺถุ ส.น.ิ สํยุตตฺ นิกาย นทิ านวคคฺ
ขุ.พทุ ธฺ . ขทุ ฺทกนิกาย พทุ ธฺ วสํ ส.ม. สํยุตตฺ นกิ าย มหาวารวคคฺ
ข.ุ ม.,ข.ุ มหา. ขุทฺทกนิกาย มหานิทเฺ ทส ส.ส. สํยุตฺตนิกาย สคาถวคฺค
ข.ุ วิมาน. ขุททฺ กนกิ าย วมิ านวตถฺ ุ ส.ํ สฬ. สํยุตตฺ นิกาย สฬายตนวคคฺ
ข.ุ ส.ุ ขุทฺทกนิกาย สตุ ฺตนปิ าต สตุ ฺต.อ. สตุ ตฺ นิปาต อฏ กถา (ปรมตถฺ โชตกิ า)
___________________
* คัมภีรช้ันฎีกาแสดงไวขางตนเฉพาะทใ่ี ชกนั อยใู นวงการศกึ ษาภาษาบาลีในประเทศไทย สวนทนี่ อกจากน้ีไมแสดงไว พึงเขาใจ
เอง ตามแนววธิ ีในการใชอักษรยอสาํ หรบั อรรถกถา ท่ีนาํ อ. ไปตอทายอักษรยอของคมั ภีรในพระไตรปฎก เชน ท.ี อ., ม.อ.,
ส.ํ อ. เปนตน (ในกรณขี องฎีกา กน็ าํ ฏี. หรอื ฏกี า ไปตอ เปน ที.ฏ.ี หรอื ที.ฏีกา เปนตน)
สารบัญ ก
ข
บันทกึ นํา – พมิ พครงั้ ท่ี ๑๑ ซ
ความเปนมา (ในการชําระ-เพมิ่ เติม ชวงท่ี ๑) ฑ
คําปรารภ (ในการพิมพครั้งท่ี ๑๐) ด
บันทึกของผเู รยี บเรยี ง (ในการพมิ พคร้ังท่ี ๒ – พ.ศ. ๒๕๒๗) ถ
ควรทราบกอน ธ
วิธอี านคําบาลี ๑๗๑
อักษรยอชื่อคัมภีร ๑๙๑
ก ๑น ๒๐๘
ข ๓๔ บ ๒๗๔
ค ๔๐ ป ๒๗๙
ฆ ๕๙ ผ ๓๐๔
ง ๖๐ พ ๓๐๕
จ ๖๑ ฟ ๓๒๑
ฉ ๘๓ ภ ๓๕๖
ช ๘๘ ม ๓๖๖
ซ ๙๗ ย ๓๗๙
ฌ ๙๘ ร ๓๘๐
ญ ๙๙ ฤ ๓๘๕
ฎ ๑๐๓ ล ๔๒๔
ฐ ๑๐๓ ว ๔๒๙
ด ๑๐๔ ศ ๕๑๓
ต ๑๐๘ ส ๕๑๘–๖๓๘
ถ ๑๓๔ ห
ท ๑๓๗ อ ๖๓๙
ธ ๑๕๖ ๖๔๑
ผนวก คาํ นาํ บูชาในวันสําคัญ ๖๔๔
วันมาฆบูชา ๖๔๖
วนั วสิ าขบูชา ๖๔๘
วันอาสาฬหบชู า ๖๕๑
แถลงการจดั ทําหนังสือ (ในการพมิ พคร้งั ที่ ๑)
ความเปนมาของพจนานกุ รมพทุ ธศาสตร
ทนุ พมิ พพจนานกุ รมพทุ ธศาสน
ก
กกุธานที แมนํ้าที่พระอานนททูลเชิญ ไดกรานกฐินเสร็จแลว จึงขอใหสงฆ
เสด็จพระพุทธเจา ใหไปเสวยและสรง อนุโมทนา เมื่อสงฆคือท่ีประชุมแหง
ชําระพระกาย ในระหวางเดินทางไป ภิกษุเหลาน้ันอนุโมทนาแลว ก็ทําให
เมืองกุสนิ ารา ในวนั ปรินิพพาน พวกเธอไดสิทธิพิเศษที่จะขยายเขตทํา
กฏตั ตาวาปนกรรม ดู กตตั ตากรรม จวี รใหยาวออกไป (เขตทําจวี รตามปกติ
กฐิน ตามศพั ทแปลวา “ไมสะดึง” คอื ไม ถึงกลางเดอื น ๑๒ ขยายตอออกไปถงึ
แบบสําหรับขึงเพ่อื ตัดเยบ็ จวี ร; ในทาง กลางเดอื น ๔)
พระวินัย ใชเปนชอ่ื เรียกสังฆกรรมอยาง
หนงึ่ (ในประเภทญัตติทตุ ิยกรรม) ซ่ึง ผาที่สงฆยกมอบใหแกภิกษุรูปหน่ึง
พระพุทธเจาทรงอนุญาตแกสงฆ ที่มี นน้ั เรยี กวา ผากฐิน (กฐินทสุ สะ); ผาที่
ภิกษุจํานวน ๕ รปู ข้ึนไป ผจู ําพรรษา เกิดมีแกสงฆที่จะมอบใหนี้ จะเปนผา
ครบ ๓ เดอื นในวดั เดยี วกันแลว ให เกา ผาใหม หรอื ผาบังสุกลุ ก็ได จะเปน
กระทาํ เพอ่ื แสดงออกซ่งึ ความสามัคคี ผาทีญ่ าตโิ ยมคฤหสั ถถวาย หรือพระอ่นื
ของภิกษทุ ่ีไดจําพรรษาอยรู วมกนั โดย ใหก็ได (ท้ังน้ีจะไปขอใครไมไดเปนอนั
ใหพวกเธอพรอมใจกันยกมอบผาผืน ขาด แมแตจะไปเลยี บเคียงกไ็ มได ถามี
หนึ่งทเี่ กดิ ข้นึ แกสงฆ ใหแกภกิ ษุรูปใด พระไปเท่ียวพูดเลียบเคียงแลวโยมถวาย
รูปหนึ่งในหมูพวกเธอ ที่เปนผูมีคุณ มา ถือวาเปนโมฆะ เรียกวา กฐินเดาะ
สมบัติสมควร แลวภิกษุรูปนั้นนําผาที่ แปลวา กฐินนัน้ เสียไปแลว ไมมีผล)
ไดรับมอบไปทําเปนจีวร (จะทําเปน
อนั ตรวาสก หรอื อตุ ราสงค หรอื สังฆาฏิ ท่ีนิยมปฏิบัติกันมาเปนประเพณีใน
กไ็ ด อยางใดอยางหนึ่ง และพวกเธอทง้ั เมืองไทยจนบัดนี้ คือคฤหสั ถผูศรทั ธา
หมดจะตองชวยภิกษุนั้นทํา) คร้ันทํา นําผาท่ีตัดเย็บเปนจีวรสําเร็จรูป (คํา
เสร็จ ภิกษุรูปน้ันถอนจีวรเกาและทํา พระเรียกวาผามีบริกรรมสําเรจ็ แลว) มา
พนิ ทุกปั ปะอธษิ ฐานจวี รใหมเสร็จ เรียก ถวายแกสงฆซ่ึงจําพรรษาครบแลวนั้น
วากรานกฐนิ แลว เธอแจงใหที่ประชุม เรียกวา “ทอดกฐนิ ”
สงฆซึ่งไดมอบผาแกเธอนั้นทราบวาเธอ
สงฆผูประกอบกฐินกรรมตองมี
จํานวนภิกษุผูจําพรรษาในวัดเดียวกัน
อยางนอย ๕ รูป; ระยะเวลาทีพ่ ระพุทธ
กฐินทาน ๒ กตญั กู ตเวที
เจาทรงอนุญาตใหประกอบกฐนิ กรรมได หมาย , ใสไวเพอ่ื เปนทกี่ าํ หนดทจี่ ะกลาว
มีเพียง ๑ เดือนตอจากสิ้นสุดการจาํ เปนตอนๆ ในพธิ )ี ; กถนิ กเ็ ขียน; ดู
พรรษา เรยี กวา เขตกฐนิ คอื ตง้ั แตแรม กรานกฐิน (พรอมคาํ กราน คาํ อนโุ มทนา)
๑ คาํ่ เดอื น ๑๑ ถงึ ขน้ึ ๑๕ คาํ่ เดอื น ๑๒ กฐินทาน การทอดกฐนิ , การถวายผา
ภิกษุผูกรานกฐินแลว ยอมได กฐิน คือการที่คฤหัสถผศู รทั ธาหรือแม
อานิสงส ๕ ประการ (เหมือนอานิสงส ภิกษสุ ามเณร นาํ ผาไปถวายแกสงฆผูจํา
การจาํ พรรษา; ดูจาํ พรรษา) ยดื ออกไปอกี พรรษาแลว ณ วัดใดวดั หนง่ึ เพอ่ื ทํา
๔ เดอื น (ตงั้ แตแรม ๑ คา่ํ เดอื น ๑๒ ถึง เปนผากฐิน เรียกสามญั วา ทอดกฐิน
ขนึ้ ๑๕ คํา่ เดอื น ๔) และไดโอกาสขยาย (นอกจากผากฐินแลวปจจุบันนิยมมีของ
เขตจีวรกาลออกไปตลอด ๔ เดือนน้ัน ถวายอนื่ ๆ อีกดวยจาํ นวนมาก เรียกวา
คําถวายผากฐิน แบบสนั้ วา: “อมิ ,ํ บริวารกฐิน)
สปริวารํ, ก นิ จีวรทุสฺสํ, สงฺฆสฺส, กฐินัตถารกรรม การกรานกฐนิ
โอโณชยาม” (วา ๓ จบ) แปลวา กตญาณ ปรีชากําหนดรูวาไดทํากิจเสร็จ
“ขาพเจาทั้งหลาย ขอนอมถวาย ผากฐนิ แลว คอื ทกุ ข ควรกําหนดรู ไดรูแลว
สมุทัย ควรละ ไดละแลว นิโรธ ควรทาํ
จีวรกบั ท้ังบรวิ ารน้ีแกพระสงฆ”
แบบยาววา: “อมิ ,ํ ภนฺเต, สปรวิ าร,ํ ใหแจงไดทําใหแจงแลว มรรค ควร
ก ินจีวรทุสฺสํ, สงฺฆสฺส, โอโณชยาม, เจริญ ไดเจรญิ คอื ปฏบิ ตั ิหรือทําใหเกิด
สาธุ โน ภนเฺ ต, สงฺโฆ, อมิ ,ํ สปรวิ าร,ํ แลว (ขอ ๓ ใน ญาณ ๓)
ก นิ ทสุ สฺ ,ํ ปฏิคฺคณหฺ าต,ุ ปฏคิ ฺคเหตวฺ า กตเวทิตา ความเปนคนกตเวท,ี ความ
จ,อมิ นิ าทสุ เฺ สน,ก ิน,ํ อตถฺ รต,ุ อมหฺ าก,ํ เปนผสู นองคณุ ทาน
ทีฆรตตฺ ํ, หติ าย, สขุ าย” แปลวา “ขาแต กตัญ ุตา ความเปนคนกตญั ู, ความ
พระสงฆผูเจรญิ ขาพเจาท้งั หลาย ขอ เปนผูรคู ุณทาน
นอมถวายผากฐินจวี ร กับทงั้ บรวิ ารนแ้ี ก กตัญ ูกตเวทิตา ความเปนคนกตัญ ู
พระสงฆ ขอพระสงฆจงรับผากฐินกับ กตเวที
ทัง้ บริวารน้ี ของขาพเจาท้ังหลาย คร้ัน กตญั ูกตเวที ผรู อู ุปการะทท่ี านทําแลว
รับแลว จงกรานกฐินดวยผานี้ เพ่ือ และตอบแทน แยกออกเปน ๒ คอื
ประโยชน เพือ่ ความสุข แกขาพเจาทั้ง กตัญ ู รูคุณทาน; กตเวที ตอบแทน
หลาย ส้นิ กาลนาน เทอญฯ” (เคร่ือง หรือสนองคุณทาน; ความกตัญ ู
๒
กตตั ตากรรม ๓ กนิษฐ
กตเวทีวาโดยขอบเขต แยกไดเปน ๒ ผูอยูในอาวาสที่ทํากตกิ ากันไวดวย
ระดบั คอื กตญั ูกตเวทีตอบุคคลผมู ี กถา ถอยคาํ , เรอ่ื ง, คาํ กลาว, คาํ อธิบาย
คุณความดีหรืออุปการะตอตนเปนสวน กถาวัตถุ 1. ถอยคําทคี่ วรพูด, เรอื่ งที่ควร
ตัว อยางหนึง่ กตญั กู ตเวทีตอบุคคล นาํ มาสนทนากนั ในหมภู กิ ษุ มี ๑๐ อยาง
ผูไดบําเพ็ญคุณประโยชนหรือมีคุณ คอื ๑. อปั ปจฉกถา ถอยคาํ ทช่ี กั นาํ ใหมี
ความดีเกื้อกูลแกสวนรวม เชนที่พระ ความปรารถนานอย ๒. สันตุฏฐิกถา
เจาปเสนทโิ กศลทรงแสดงความกตัญ ู ถอยคําที่ชักนําใหมีความสันโดษ ๓.
กตเวทีตอพระพุทธเจาโดยฐานที่ไดทรง ปวเิ วกกถา ถอยคาํ ทช่ี กั นาํ ใหมคี วามสงดั
ประกาศธรรมยังหมูชนใหต้งั อยใู นกุศล- กายสงัดใจ ๔. อสังสคั คกถา ถอยคาํ ท่ี
กลั ยาณธรรม เปนตน อยางหน่ึง (ขอ ชกั นาํ ใหไมคลกุ คลดี วยหมู ๕.วริ ยิ ารมั ภ-
๒ ในบคุ คลหาไดยาก ๒) กถา ถอยคําทชี่ ักนาํ ใหปรารภความเพียร
กตตั ตากรรม กรรมสกั วาทาํ , กรรมที่ ๖. สลี กถา ถอยคําที่ชกั นําใหตง้ั อยใู นศลี
เปนกุศลกต็ าม อกุศลก็ตาม สกั แตวาทาํ ๗. สมาธกิ ถา ถอยคําทช่ี ักนําใหทาํ จิตม่นั
คือไมไดจงใจจะใหเปนอยางนนั้ โดยตรง ๘. ปญญากถา ถอยคําที่ชักนําใหเกิด
หรือมีเจตนาออนไมชัดเจน ยอมใหผล ปญญา ๙. วมิ ตุ ตกิ ถา ถอยคาํ ทชี่ กั นาํ ให
ตอเมือ่ ไมมกี รรมอื่น ทานเปรียบเสมือน ทาํ ใจใหพนจากกเิ ลสและความทุกข ๑๐
คนบายงิ ลูกศร ยอมไมมีความหมายจะ วมิ ุตติญาณทสั สนกถา ถอยคําทีช่ ักนาํ ให
ใหถูกใคร ทาํ ไปโดยไมตงั้ ใจชดั เจน; ดู เกิดความรูความเห็นในภาวะท่ีหลุดพน
กรรม ๑๒ จากกิเลสและความทกุ ข; เทยี บ ตริ จั ฉาน-
กตตั ตาวาปนกรรม ดู กตตั ตากรรม กถา 2. ชอ่ื คมั ภีรท่ี ๕ แหงพระอภธิ รรม
กติกา (ในคําวา “ขาพเจาถวายตามกตกิ า
ปฎก ซึ่งพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ
ของสงฆ”) ขอตกลง, ขอบงั คบั , กติกา ประธานการสังคายนาครง้ั ที่ ๓ เรยี บ
ของสงฆในกรณีนี้ คือขอที่สงฆ ๒ เรยี งขน้ึ เพอ่ื แกความเหน็ ผิดของนิกาย
อาวาส มีขอตกลงกนั ไววา ลาภเกดิ ใน ตางๆ ในพระพุทธศาสนาคร้งั นนั้ ซง่ึ ได
อาวาสหน่งึ สงฆอกี อาวาสหนง่ึ มสี วนได แตกแยกกันออกไปแลวถึง ๑๘ นกิ าย
รับแจกดวย ทายกกลาวคําถวายวา มที ้ังหมด ๒๑๙ กถา; ดู ไตรปฎก (เลม
“ขาพเจาถวายตามกติกาของสงฆ” ลาภ ๓๗, อภิธรรมปฎก เลม ๔)
ทที่ ายกถวายน้นั ยอมตกเปนของภกิ ษุ กนฏิ ฐภคิน,ี กนิษฐภคนิ ี นองหญงิ
๓
กนิฏฐภาดา, กนษิ ฐภาดา ๔ กรรม ๑๒
กนฏิ ฐภาดา, กนิษฐภาดา นองชาย กรรโชก ขูเอาดวยกิริยาหรือวาจาใหกลัว
กบิลดาบส ดาบสที่อยูในดงไมสักกะ (แผลงมาจาก กระโชก)
ประเทศหิมพานต พระราชบุตรและพระ กรรณ หู
ราชบุตรี ของพระเจาโอกกากราช พากนั กรรม การกระทาํ หมายถึง การกระทําที่
ไปสรางพระนครใหมในท่ีอยูของกบิล- ประกอบดวยเจตนา คือ ทาํ ดวยความ
ดาบส จึงขนานนามพระนครที่สรางใหม จงใจหรอื จงใจทาํ ดกี ต็ าม ชว่ั กต็ าม เชน
วา กบลิ พสั ดุ แปลวา “ท่หี รือทด่ี นิ ของ ขดุ หลุมพรางดักคนหรอื สตั วใหตกลงไป
กบิลดาบส” ตาย เปนกรรม แตขุดบอน้ําไวกนิ ใช
กบิลพัสดุ เมืองหลวงของแควนสักกะ สตั วตกลงไปตายเอง ไมเปนกรรม (แต
หรอื ศากยะ ทไ่ี ดชอ่ื วา กบลิ พสั ดุ เพราะ ถารอู ยวู า บอนา้ํ ทตี่ นขดุ ไวอยใู นทซ่ี ง่ึ คน
เดิมเปนทีอ่ ยขู องกบิลดาบส บดั นอ้ี ยูใน จะพลดั ตกไดงาย แลวปลอยปละละเลย
เขตประเทศเนปาล มีคนตกลงไปตาย ก็ไมพนเปนกรรม),
กปสีสะ ไมท่ที ําเปนรูปหัวลิง ในวนั ที่พระ วาโดยสาระ กรรมก็คือเจตนา หรือ
พทุ ธเจาจะปรนิ พิ พาน พระอานนทเถระ เจตนาน่นั เองเปนกรรม, การกระทาํ ทดี่ ี
ยืนเหนี่ยวไมนี้รองไหเสียใจวาตนยังไม เรียกวา กรรมดี การกระทาํ ทช่ี ่วั เรยี ก
สําเร็จพระอรหัต พระพุทธเจาก็จัก วา กรรมชว่ั ; เทียบ กิริยา
กรรม ๒ กรรมจําแนกตามคุณภาพหรือ
ปรนิ พิ พานเสยี แลว
กพฬงิ การาหาร ดู กวฬงิ การาหาร ตามธรรมท่ีเปนมูลเหตมุ ี ๒ คือ ๑.
กรณี เรื่องทพี่ ิจารณา กลาวถงึ หรือเกย่ี ว อกศุ ลกรรม กรรมทเี่ ปนอกศุ ล กรรมชว่ั
คือเกิดจากอกุศลมูล ๒. กุศลกรรม
ของ รายหน่งึ ๆ
กรณยี , กรณยี ะ เรอ่ื งท่ีควรทาํ , ขอที่พึง กรรมท่เี ปนกศุ ล กรรมดี คอื เกิดจาก
ทํา, กจิ กศุ ลมูล
กรมการ เจาพนักงานคณะหนึ่งมีหนาที่ กรรม ๓ กรรมจําแนกตามทวารคือทางที่
บรหิ ารราชการแผนดนิ ในระดบั นน้ั ๆ เชน ทาํ กรรม มี ๓ คอื ๑. กายกรรม การ
กรมการจงั หวดั กรมการอาํ เภอ เปนตน กระทาํ ทางกาย ๒. วจกี รรม การกระทํา
กรมพระสุรัสวดี ชือ่ กรมสมยั โบราณ มี ทางวาจา ๓. มโนกรรม การกระทาํ ทางใจ
หนาที่เก่ียวกับการรวบรวมบัญชีเลข กรรม ๑๒ กรรมจาํ แนกตามหลกั เกณฑ
หรือชายฉกรรจ เก่ียวกับการใหผล พระอรรถกถาจารย
๔
กรรมกรณ ๕ กรรมบถ
รวบรวมแสดงไว ๑๒ อยาง คอื หมวดท่ี วาปนกรรม กรรมสักวาทาํ คอื เจตนา
๑ วาโดยปากกาล คอื จาํ แนกตามเวลาที่ ออนหรือมใิ ชเจตนาอยางนัน้ ใหผลตอ
ใหผล ไดแก ๑. ทฏิ ฐธรรมเวทนยี กรรม เมอ่ื ไมมีกรรมอ่นื ใหผล
กรรมใหผลในปจจุบันคือในภพน้ี ๒. กรรมกรณ เครื่องลงอาชญา, ของสําหรับ
อปุ ปชชเวทนียกรรม กรรมใหผลในภพ ใชลงโทษ เชน โซ ตรวน ขอื่ คา เปนตน
ทจี่ ะไปเกดิ คอื ในภพหนา ๓. อปราปรยิ - กรรมการ บคุ คลในคณะซงึ่ รวมกนั ทาํ งาน
เวทนียกรรม กรรมใหผลในภพตอๆ ไป บางอยางทไ่ี ดรบั มอบหมาย
๔. อโหสกิ รรม กรรมเลิกใหผล หมวด กรรมกเิ ลส กรรมเครอื่ งเศราหมอง, การ
ท่ี ๒ วาโดยกจิ คอื จาํ แนกการใหผลตาม กระทําที่เปนเหตุใหเศราหมอง มี ๔
หนาที่ ไดแก ๕. ชนกกรรม กรรมแตง อยางคอื ๑. ปาณาตบิ าต การทําชวี ติ ให
ใหเกดิ หรือกรรมทเี่ ปนตัวนําไปเกดิ ๖. ตกลวงคือ ฆาฟนสังหารกัน ๒.
อุปตถมั ภกกรรม กรรมสนบั สนนุ คอื เขา อทนิ นาทาน ถอื เอาของทเี่ จาของเขามไิ ด
สนับสนุนหรือซํ้าเติมตอจากชนกกรรม ให คือลักขโมย ๓. กาเมสุมิจฉาจาร
๗. อปุ ปฬกกรรม กรรมบบี คน้ั คอื เขามา ประพฤตผิ ดิ ในกาม ๔. มสุ าวาท พดู เทจ็ ;
บบี คน้ั ผลแหงชนกกรรมและอปุ ตถมั ภก- ดู คหิ ิวินยั
กรรมนั้นใหแปรเปลี่ยนทุเลาเบาลงหรือ กรรมฐาน ดู กมั มฏั ฐาน
สนั้ เขา ๘. อุปฆาตกกรรม กรรมตดั กรรมบถ “กรรมอันเปนทาง”, กรรมดี
รอน คือกรรมแรงฝายตรงขามท่เี ขาตัด หรือชั่วซ่ึงแรงถึงขั้นท่ีเปนทางใหเกิดใน
รอนการใหผลของกรรมสองอยางน้ันให สคุ ติหรอื ทุคติ เชน มสุ าวาทคอื เจตนา
ขาดหรือหยดุ ไปทีเดียว หมวดที่ ๓ วา พูดเท็จถึงขั้นทําลายตัดรอนประโยชน
โดยปากทานปริยาย คือจําแนกตาม ของผอู ่ืน จึงเปนกรรมบถ ถาไมถงึ ขัน้
ลําดับความแรงในการใหผล ไดแก ๙. อยางน้ี ก็เปนกรรมเทาน้ัน ไมเปน
ครุกกรรม กรรมหนกั ใหผลกอน ๑๐. กรรมบถ, มีคําอธิบายแบบครอบคลุม
พหุลกรรม หรอื อาจณิ ณกรรม กรรมทํา ดวยวา กรรมทั้งหลายทัว่ ไป ชือ่ วาเปน
มากหรือกรรมชินใหผลรองลงมา ๑๑. กรรมบถ เพราะเปนทางแหงสุคติและ
อาสนั นกรรม กรรมจวนเจยี น หรอื กรรม ทุคติ และเปนทางแหงความสุขความ
ใกลตาย ถาไมมีสองขอกอนก็จะใหผล ทุกขของผูที่เกิดในคตินั้นๆ, กรรมบถ
กอนอน่ื ๑๒. กตตั ตากรรม หรอื กตตั ตา- แยกเปน กุศลกรรมบถ ๑๐ และ
๕
กรรมปตตะ ๖ กรรมวาท
อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ กรรมเปนเผาพันธุ มีกรรมเปนท่ีพ่ึง
กรรมปตตะ ดู กมั มปตตะ อาศยั ทํากรรมใด อันดงี าม หรอื ทราม
กรรมพันธ (กมฺมพนธฺ ) กรรมผูกพัน, ชว่ั จกั เปนทายาทของกรรมนั้น” (เชน อง.
ความเปนกรรมติดตัว; เมื่อบุคคลทํา ป จฺ ก.๒๒/๕๗/๘๕) (ภาวะทีเ่ ปนไปตามกรรม
การอนั ช่วั รายไมดีบางอยาง อาจทั้งเปน นิยาม) 2. (ในภาษาไทย) สภาพที่สืบมา
โทษทางบัญญัติคือผิดกฎกติกาสังคม ตามสายพันธุจากบรรพบุรุษ เชน
เชนผิดกฎหมาย และทั้งเปนโทษตาม ลกั ษณะ นิสยั ภาวะเดนหรอื ดอยบาง
กฎธรรมชาติ คือทาํ กรรมชวั่ เชน ภกิ ษุ ดาน ตลอดจนความวกิ ลวกิ ารและโรค
มีเจตนาฆาสัตวดิรัจฉาน มีโทษตาม บางอยาง, ปจจบุ นั มกั เรียกวาพันธกุ รรม
บญั ญตั แิ หงพระวนิ ัย เรียกวาตองอาบัติ (ในหลักธรรมวาภาวะท่ีเปนไปตามพีช
ปาจิตตีย และมีโทษตามกฎธรรมชาติ นยิ าม)
คอื ไดทํากรรมไมดี เปนกรรมพันธ คือ กรรมลักษณะ ดู กัมมลักขณะ
เปนกรรมผูกพนั หรือติดตวั ขึน้ มา, ยงั มี กรรมวัฏฏ ดู กมั มวฏั ฏ
แงพิเศษอกี วา บางคร้ัง การทําความผดิ กรรมวาจา คําประกาศกิจในทามกลาง
อยางเดียวกัน อาจมีโทษตามบัญญัติ สงฆ, คําสวดประกาศในการทําสังฆ
เทากนั แตเปนกรรมพันธไมเทากัน เชน กรรม, คําประกาศในการดําเนินการ
ภกิ ษุฆาคนผหู นงึ่ ไมวาผูน้นั เปนใคร ใน ประชุม แยกเปน ญตั ติ และ อนสุ าวนา
ทางบัญญัติแหงวินัย ก็ตองอาบัติ กรรมวาจาจารย พระอาจารยผูสวด
ปาราชิก แตในแงธรรมดาของกรรม ถา กรรมวาจาประกาศทามกลางสงฆในการ
คนท่ีถูกฆานั้นเปนปุถุชน กรรมพันธก็ อปุ สมบท
เปนปาณาติบาตอยางหน่ึง แตถาคนท่ี กรรมวาจาวิบัติ เสียเพราะกรรมวาจา,
ถูกฆานั้นเปนพระอรหันต กรรมพันธ กรรมวาจาบกพรองใชไมได
เปนอนันตรยิ กรรม ดงั นเ้ี ปนตน กรรมวาจาสมบัติ ความสมบูรณแหง
กรรมพนั ธุ 1. (กมมฺ พนฺธ)ุ “มกี รรมเปน กรรมวาจา, คาํ สวดประกาศถกู ตองใชได
เผาพนั ธุ” คือการที่สตั วทงั้ หลายเปนไป กรรมวาท ผูประกาศหลกั กรรม หรือผู
ตามกรรมทตี่ นกระทํา ดังพทุ ธพจนทวี่ า ถอื หลกั กรรม เชน ยนื ยันวากรรมคือ
“สตั วท้งั ปวง มีกรรมเปนของตน เปน การกระทํามแี ละมผี ลจริง วาแตละคนมี
ทายาทของกรรม มีกรรมเปนกําเนดิ มี กรรมเปนของตนและเปนไปตามกรรม
๖
กรรมวาที ๗ กรานกฐิน
นั้น วาการกระทาํ เปนเคร่ืองตัดสินความ ลับ พรอมไปกับหล่ังรินน้ําเปนเครื่อง
ดีเลวสูงทราม (มิใชชาติกําเนิดตัดสิน) หมาย และเปนเคร่ืองรวมกระแสจิตที่
วาการกระทําเปนเหตุปจจัยใหสําเร็จผล ตั้งใจอทุ ศิ นั้นใหแนวแน; เรม่ิ รนิ นํา้ เม่อื
(มิใชสําเร็จดวยการออนวอนดลบันดาล พระองคหัวหนาเร่มิ สวดยถา รินนา้ํ หมด
หรอื แลวแตโชค) เปนตน; หลกั การแหง พรอมกับพระหวั หนาสวดยถาจบ และ
กรรม, การถอื หลกั กรรม; พระพทุ ธเจา พระท้งั หมดเร่มิ สวดพรอมกนั จากน้นั
ตรสั เรยี กพระองคเอง (อง.ฺ ตกิ .๒๐/๕๗๗/๓๖๙) วางท่ีกรวดน้ําลงแลวประนมมือรับพร
วาทรงเปน กรรมวาท (ถอื หลกั หรอื กฎ ตอไป; คํากรวดนา้ํ อยางสัน้ วา “อิทํ โน
แหงการกระทาํ ) กริ ยิ วาท (ถอื หลกั การ าตนี ํ โหต”ุ แปลวา “ขอสวนบุญนจ้ี ง
อันใหกระทํา) และวิริยวาท (ถือหลัก
สาํ เรจ็ แก...(ออกชื่อผลู วงลับ) และญาติ
ความเพยี ร); บางทกี ลาวถงึ พระกติ ตคิ ณุ ท้งั หลายของขาพเจาเถดิ ” จะตออกี กไ็ ด
ของพระพทุ ธเจา (เชน ท.ี ส.ี ๙/๑๘๒/๑๔๗) วา วา “สุขติ า โหนตฺ ุ าตโย” แปลวา “ขอ
ทรงเปนกรรมวาที กริ ยิ วาที (คอื เปน ญาตทิ ัง้ หลายจงเปนสขุ เถิด”
กรรมวาท และกริ ยิ วาท นนั่ เอง ตางกนั กระทู หวั ขอ, เคาเง่อื น
เพยี งวา กรรมวาท และกริ ยิ วาท เปนได กระแสความ แนวความ
ท้ังคําคุณศัพทของบุคคล และคํานาม กระแสเทศนา แนวเทศนา
แสดงหลกั การ สวนกรรมวาที และกริ ยิ - กระหยง (ในคาํ วา “นัง่ กระหยง”) นัง่
วาที เปนคณุ ศัพทอยางเดยี ว) คุกเขาเอาปลายเทาต้ังลงท่ีพื้น สนเทา
กรรมวาที ดู กรรมวาท ทง้ั สองรับกน เรยี กวา นัง่ กระโหยง ก็
กรรมวิปากญาณ ปรีชาหย่ังรูผลของ ได; บางแหงวาหมายถึงนัง่ ยองๆ
กรรม แมจะมกี รรมตางๆ ใหผลอยมู าก กรานกฐิน “ขึงไมสะดึง” คือเอาผาทจี่ ะ
มายซับซอน กส็ ามารถแยกแยะลวงรูได เย็บเปนจีวรเขาขึงที่ไมสะดึง เย็บเสร็จ
วาอันใดเปนผลของกรรมใด แลวบอกแกภิกษุท้ังหลายผูรวมใจกัน
กรรมสิทธิ์ ความเปนเจาของทรัพย, ยกผาใหในนามของสงฆ เพอ่ื อนโุ มทนา
สิทธทิ ่ไี ดตามกฎหมาย ภิกษุผูเย็บทําจีวรใหเสร็จและแจงความ
กรรมารหะ ดู กัมมารหะ สาํ เร็จนัน้ แกสงฆ เรยี กวา ผูกราน
กรรแสง รองไห บดั นเ้ี ขยี น กนั แสง
กรวดนํ้า ตงั้ ใจอทุ ิศบญุ กศุ ลใหแกผูลวง พธิ ีทาํ ในบัดน้ีคอื ภกิ ษซุ ึง่ จําพรรษา
ครบสามเดือนในวัดเดียวกัน (ตองมี
๗
กรานกฐิน ๘ กรานกฐิน
จํานวน ๕ รปู ข้ึนไป) ประชมุ กันใน อติ ฺถนนฺ ามสสฺ ภิกฺขุโน ทเทยยฺ ก ิน
อุโบสถ พรอมใจกันยกผากฐินใหแก อตถฺ ริตุ. เอสา ตฺต.ิ
ภกิ ษรุ ูปหนึ่งในหมูพวกเธอ ภิกษุรูปท่ีได
รบั ผานน้ั ทาํ กจิ ต้งั แต ซัก กะ ตดั เยบ็ “สณุ าตุ เม ภนฺเต สงโฺ ฆ. อทิ ํ
ยอมใหเสร็จในวันนั้น ทําพินทุกัปปะ สงฺฆสฺส ก ินทสุ สฺ ํ อุปฺปนนฺ .ํ สงโฺ ฆ อิมํ
อธิษฐานเปนจีวรครองผืนใดผืนหนึ่งใน ก ินทสุ ฺสํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน เทติ
ไตรจีวร แลวบอกแกสงฆผูยกผาใหเพ่ือ ก นิ อตฺถรติ ุ. ยสสฺ ายสฺมโต ขมติ
อนโุ มทนา เรียกวา กรานกฐิน อมิ สสฺ ก นิ ทุสสฺ สฺส อติ ฺถนนฺ ามสสฺ
ภิกฺขโุ น ทาน ก ิน อตถฺ รติ ุ, โส
ถาผากฐินเปนจีวรสาํ เร็จรูป (เรยี ก ตณุ ฺหสฺส. ยสฺส นกฺขมติ, โส ภาเสยฺย.
วาผากฐนิ มีบริกรรมสําเรจ็ แลว) กจิ ทจี่ ะ
ตอง ซกั กะ ตัด เย็บ ยอม กไ็ มมี ภกิ ษุ “ทนิ นฺ ํ อิทํ สงเฺ ฆน ก นิ ทสุ ฺสํ
ที่ไดรับมอบใหแลว จึงทําพินทุกัปปะ อติ ถฺ นนฺ ามสฺส ภกิ ขฺ โุ น ก นิ อตถฺ รติ ุ.
อธิษฐานเปนจีวรครองผืนใดผืนหน่ึงใน ขมติ สงฆฺ สสฺ , ตสฺมา ตุณฺห.ี เอวเมตํ
ไตรจีวร กรานแลวแจงแกสงฆเพื่อ ธารยามิ.”
อนุโมทนาตอเนื่องไปเลย
คําวา “อติ ฺถนฺนามสฺส” เปลี่ยนตาม
กราน เปนภาษาเขมร แปลวา “ขึง” นามของภิกษุผูไดรับมอบผากฐิน เชน
คอื ทาํ ใหตึง กฐนิ เปนภาษาบาลี แปลวา เปน “วีรกสฺส” และถาเธอแกกวาผสู วด
“ไมสะดึง” กรานกฐนิ ก็คอื “ขึงไม กรรมวาจา พึงเตมิ “อายสมฺ โต” ขาง
สะดึง” คอื เอาผาท่จี ะเยบ็ เปนจวี รเขาขงึ หนา และตัด “ภิกขฺ ุโน” ออกเสยี เปน
ทีไ่ มสะดงึ แลวเยบ็ จนทําเปนจวี รสาํ เรจ็ “อายสฺมโต วีรกสสฺ ”
พรอมที่จะครองคือใชหมตอไป; เขียน
กราลกฐิน บางกม็ ี ภิกษุกรานกฐินดวยจีวรอยางใด
(นยิ มกรานดวยสงั ฆาฏ)ิ พึงปจจุทธรณ
ในสังฆกรรมแหงการกรานกฐินน้ัน จีวรอยางนั้นผืนเดิมแลวอธิษฐานจีวร
ภกิ ษุผูสวดกรรมวาจาใหผากฐนิ วาดงั น้ี อยางนั้นผืนใหม แลวพรอมกับจับหรอื
ลบู ผานนั้ เปลงวาจาวา “อิมาย สงฺฆาฏิยา
(วินย.๕/๙๖/๑๓๖) ก ินํ อตถฺ ราม.ิ ” (ขาพเจากรานกฐินดวย
ผาสงั ฆาฏิผืนน้)ี [ถาเปนอุตตราสงค พงึ
“สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ. อิทํ วา “อิมินา อุตฺตราสงฺเคน ก นิ ํ
สงฆฺ สฺส ก นิ ทสุ ฺสํ อุปฺปนนฺ ํ. ยทิ สงฆฺ สฺส อตฺถรามิ.” ถาเปนอันตรวาสก พึงวา
ปตฺตกลฺล, สงฺโฆ อิมํ ก นิ ทุสฺสํ
๘
กริยา ๙ กลาป
“อมิ นิ า อนฺตรวาสเกน ก ินํ อตฺถราม.ิ ”] เรียกหลายอยาง เชน กลาปวปิ สสนา,
จากนนั้ เธอเขาไปหาสงฆประณมมอื กลาปสมั มสนะ, นยวปิ สสนา, สมทุ าย-
มนสิการ) ซ่ึงงายกวาการพิจารณาโดย
กลาวคาํ แจงแกสงฆวา “อตถฺ ตํ ภนฺเต องค หรือโดยแยกรายขอยอย เชน
สงฺฆสฺส ก ินํ, ธมฺมิโก ก ิตฺถาโร, พจิ ารณาองคฌานตามลาํ ดบั ขอ หรอื เปน
อนุโมทถ.” ครน้ั แลวเหลาภกิ ษุผไู ดมอบ รายขอ (เรยี กวา อนปุ ทธรรมวิปสสนา,
ใหผากฐินแกเธอ ก็กลาวอนุโมทนาวา องั คโต-สัมมสนะ) 2. (คาํ เรียกเต็มวา
“อตฺถตํ อาวุโส สงฺฆสสฺ ก นิ ,ํ ธมฺมโิ ก “รปู กลาป”), หนวยรวมรูปธรรมทเี่ ล็กท่ี
ก นิ ตถฺ าโร, อนุโมทาม.” (ถาแตละรปู วา สุด, หนวยรวมเล็กท่ีสุด ซึ่งมีองค
ของตนๆ ก็เปลีย่ น “อนุโมทาม” เปน ประกอบท่ีจําเพาะแนนอนมารวมกันขึ้น
“อนุโมทาม”ิ สวน “อาวุโส” และ “ภนฺเต” อันเปนสวนยอยของรูปธรรมประเภท
กว็ าตามฐานะของตนๆ); ดู กฐนิ น้ันๆ โดยที่องคประกอบท้ังหมดมี
กริยา ในทางไวยากรณ คือรูปสนั สกฤต “สหวุตต”ิ คือมคี วามเปนไปรวมกนั ทัง้
ของคําวา กริ ิยา เ กิ ด ขึ้ น ด ว ย กั น พ ร อ ม เ ป น อั น เ ดี ย ว
กรษี , กรสี คูถ อุจจาระ ขี้ (เอกุปปาทะ) ท้ังดับดวยกันพรอมเปน
กรุณา ความสงสารคิดจะชวยใหพนทุกข, อันเดียว (เอกนิโรธะ) และมีมหาภูตรูป
ความหวัน่ ใจ เมือ่ เห็นผูอน่ื มที กุ ข คิดหา เปนท่ีอ าศัย รว มกันเปนอันเดียว
ทางชวยเหลอื ปลดเปล้อื งทุกขของเขา; ดู (เอกนิสสยะ); ตามหลักทางอภิธรรม
พรหมวิหาร หนวยรวมรปู ธรรมเลก็ ทสี่ ดุ ทเี่ ปนหนวย
กรุย หลักที่ปกไวเพ่ือเปนเครื่องหมาย ยอยพ้ืนฐานของรูปธรรมทั้งปวง ไดแก
กําหนดแนวทางหรือระยะทาง สทุ ธฏั ฐกกลาป (หนวยรวมหมวด ๘
กฤดายุค, กฤตยุค ดู กปั ลวน) คือกลาปซง่ึ ประกอบดวยอวินพิ -
กลาป [กะ-หลาบ] ฟอน, มัด, กํา, แลง, โภครปู ๘ (รูปธรรมแปดอยางท่มี ีอยู
กลมุ , หมวด, หนวยรวม 1. ในการเจริญ ดวยกันเปนประจําเสมอไป ไมสามารถ
วิปสสนา การพิจารณาโดยกลาป คือ แยกพรากออกจากกันได) อันไดแก
พจิ ารณาธรรมอยางรวมๆ โดยรวมเปน ปฐวี อาโป เตโช วาโย วณั ณะ คันธะ
หมวด หรอื รวบทั้งกลมุ เชนวา รปู ธรรม รสะ โอชา
ทั้งปวง ไมเทย่ี ง ฌานธรรมเหลานี้ ไมมี
แลวก็มขี ึ้น มแี ลว กไ็ มมี ฯลฯ (มีคํา กลาป คือ หนวยรวมยอยของ
๙
กลาวคําอน่ื ๑๐ กลียุค
รูปธรรมทั้งหลาย มีอวินิพโภครูป ๘ หทยรปู ], ชวี ติ นวก~ [๘ + ชีวติ รูป] ๒.
นนั้ เปนแกนยืนพนื้ ถาไมมอี งคประกอบ จติ ตชกลาป (กลาปทเ่ี กดิ แตจติ ) มี ๘ แบบ
อนื่ รวม ก็เปนหนวยรวมหมวด ๘ ลวน ไดแก สทุ ธฏั ฐกกลาป [๘], สทั ทนวก~
เรยี กวาสทุ ธฏั ฐกกลาป (สทุ ธ=ลวน + [๘ + สทั ทรปู ], กายวญิ ญตั ตนิ วก~ [๘ +
อฏั ฐก=หมวด ๘ + กลาป=หนวยรวม) กายวิญญัตติรูป], วจีวิญญัตติสัทท-
ดังกลาวแลว แตถามีองคประกอบอื่น ทสก~ [๘ + วจวี ญิ ญตั ตริ ปู + สทั ทรปู ],
เขารวมเพม่ิ ขนึ้ กเ็ ปนกลาปตางแบบออก
ไป โดยที่กลาปแตละแบบนน้ั มจี าํ นวน ลหุตาทเิ อกาทสก~ [๘ + วกิ ารรปู ๓],
องคประกอบรวมอยางเดียวกันเทากัน สัททลหตุ าททิ วาทสก~ [๘ + สทั ทรปู +
วกิ ารรปู ๓], กายวญิ ญตั ตลิ หตุ าท-ิ
ตายตัว ถามีองคประกอบ ๙ ก็เปน ทวาทสก~ [๘ + กายวญิ ญตั ตริ ปู + วกิ าร-
รปู ๓], วจวี ญิ ญตั ตสิ ทั ทลหตุ าทเิ ตรสก~
นวก=หมวด ๙, ถามอี งคประกอบ ๑๐ ก็
เปนทสก=หมวด ๑๐, ถามอี งคประกอบ [๘+วจวี ญิ ญตั ตริ ปู +สทั ทรปู +วกิ ารรปู
๑๑ กเ็ ปนเอกาสก=หมวด ๑๑, ถามี
องคประกอบ ๑๒ ก็เปนทวาทสก= ๓] ๓. อตุ ุชกลาป (กลาปทเี่ กดิ แตอตุ )ุ มี
๔ แบบ ไดแก สทุ ธฏั ฐกกลาป[๘], สทั ท-
หมวด ๑๒, ถามอี งคประกอบ ๑๓ ก็เปน นวก~ [๘+สทั ทรปู ], ลหตุ าทเิ อกาทสก~
[๘+วกิ ารรปู ๓], สทั ทลหตุ าททิ วาทสก~
เตรสก=หมวด ๑๓
กลาปแยกเปน ๔ ประเภทตาม [๘ + สทั ทรปู + วกิ ารรปู ๓] ๔. อาหารช-
สมุฏฐาน คอื ๑. กัมมชกลาป (กลาปท่ี กลาป (กลาปท่เี กดิ แตอาหาร) มี ๒ แบบ
เกดิ แตกรรม คอื มีกรรมเปนสมฏุ ฐาน) ไดแกสทุ ธฏั ฐกกลาป[๘], สทั ทนวก~[๘
มี ๙ แบบ ไดแก จกั ขทุ สกกลาป [๘ + + สัททรูป], ลหุตาทิเอกาทสก~ [๘ +
ชีวติ รูป + จักขุปสาทรปู ], โสตทสก~ [๘ วกิ ารรปู ๓]; ดู มหาภูตรปู , อุปาทายรูป,
+ ชวี ติ รปู + โสตปสาทรูป], ฆานทสก~ อวนิ ิพโภครปู
[๘ + ชวี ติ รปู + ฆานปสาทรปู ], ชวิ หา- กลาวคาํ อนื่ ในประโยควา “เปนปาจติ ตยิ ะ
ทสก~ [๘ + ชวี ิตรปู + ชวิ หาปสาทรปู ], ในเพราะความเปนผูกลาวคาํ อนื่ ” ถูกซกั
กายทสก~ [๘ + ชวี ติ รปู + กายปสาทรปู ], อยใู นทามกลางสงฆ ไมปรารถนาจะให
อติ ถภี าวทสก~ [๘ + ชีวิตรูป + อิตถี- การตามตรง เอาเร่ืองอ่ืนมาพูดกลบ
ภาวรปู ], ปรุ สิ ภาวทสก~ [๘ + ชวี ิตรูป + เกลื่อนเสีย
ปุริสภาวรูป], วตั ถทุ สก~ [๘ + ชีวิตรูป + กลยี คุ ดู กปั
๑๐
กวฬิงการาหาร ๑๑ กัจจายนปโุ รหิต
กวฬงิ การาหาร อาหารคอื คําขาว ไดแก กะเทย คนหรือสัตวที่ไมปรากฏวาเปน
อาหารท่ีกลนื กนิ เขาไปหลอเลย้ี งรางกาย, ชายหรือหญิง
อาหารที่เปนวัตถุ (ขอ ๑ ในอาหาร ๔) กังขาเรวตะ พระมหาสาวกองคหนึ่ง
กษัตริย พระเจาแผนดนิ , เจานาย, ชนชนั้ เดมิ เปนบุตรของตระกูลทม่ี งั่ ค่ัง ชาวพระ
ปกครอง หรอื นกั รบ นครสาวัตถี ไดฟงพระธรรมเทศนาท่ี
กสาวเภสชั นํ้าฝาดเปนยา, ยาท่ีทาํ จากน้าํ พระศาสดาทรงแสดง มีความเลื่อมใส
ฝาดของพืช เชน น้าํ ฝาดของสะเดา นา้ํ ขอบวช ตอมาไดสําเร็จพระอรหตั ไดรบั
ฝาดกระดอม นํ้าฝาดบอระเพด็ เปนตน ยกยองจากพระศาสดาวาเปนเอตทัคคะ
กสิกรรม การทาํ นา, การเพาะปลูก ในทางเปนผยู ินดีในฌานสมาบัติ
กสณิ “ทั้งหมด”, “ทัง้ ส้ิน”, “ลวน”, วัตถทุ ี่ กังขาวิตรณวิสุทธิ ความบริสุทธ์ิดวย
เปนอารมณอยางเดียวลวนในการเจริญ หมดสงสยั ในนามรปู คอื กาํ หนดรปู จจยั
กรรมฐาน เชน ถาใชปฐวคี อื ดนิ ก็เปน แหงนามรปู ไดวา เพราะอะไรเกดิ นามรปู
ปฐวีอยางเดียวลวน ไมมีอยางอื่นปน จงึ เกดิ เพราะอะไรดบั นามรปู จงึ ดบั
จึงเรียกวา “ปฐวีกสิณ”, ตามทเ่ี รียนกนั กังขาวติ รณี ช่ือคมั ภีรอรรถกถาทีอ่ ธิบาย
บัดนี้ แปลกนั วา วัตถุอันจงู ใจ คอื จูง ความแหงพระปาติโมกข คืออธิบาย
ใจใหเขาไปผูกอยู, เปนชือ่ ของกรรมฐาน ๒๒๗ สกิ ขาบทในภิกขุปาติโมกข และ
ท่ีใชวัตถุของลวนหรือสีเดียวลวน ๓๑๑ สิกขาบทในภิกขนุ ปี าติโมกข; ดู
สําหรบั เพงเพื่อจูงจติ ใหเปนสมาธิ มี ๑๐ อรรถกถา
อยาง คอื ภตู กสิณ ๔: ๑. ปฐวี ดนิ กงั สดาล ระฆงั วงเดอื น
๒. อาโป นา้ํ ๓. เตโช ไฟ ๔. วาโย ลม; กัจจานโคตร, กจั จายนโคตร ตระกลู
วรรณกสณิ ๔: ๕. นลี ํ สเี ขยี ว ๖. ปตํ สี พราหมณกัจจานะ หรอื กัจจายนะ
เหลอื ง ๗. โลหติ ํ สแี ดง ๘. โอทาตํ สี กัจจายนปุโรหิต ปุโรหิตช่ือกัจจายนะ
ขาว; และ ๙. อาโลโก แสงสวาง ๑๐. เปนปุโรหิตของพระเจาจัณฑปชโชต
อากาโส ทวี่ าง
กรุงอชุ เชนี ไดฟงพระธรรมเทศนาของ
กสณิ ุคฆาฏิมากาศ ดู อากาศ ๓, ๔ พระพุทธเจา บรรลุพระอรหัตแลวขอ
กหาปณะ ช่ือมาตราเงินในสมัยโบราณ อปุ สมบท มีชือ่ ในพระศาสนาวา พระ
๑ กหาปณะเทากบั ๒๐ มาสก หรือ ๔ มหากจั จายนะ พระพทุ ธเจาทรงยกยอง
บาท วาเปนเอตทัคคะในทางอธิบายความ
๑๑
กจั ฉะ,กัจฉประเทศ ๑๒ กปั ,กัลป
ของคาํ ยอใหพสิ ดาร; ดู มหากัจจายนะ ทาํ ไดแก ฉนั ทะทเ่ี ปนกลางๆ ดีกไ็ ด ชวั่ ก็
กัจฉะ, กจั ฉประเทศ รักแร
ได แตโดยท่ัวไปหมายถึงฉันทะที่เปน
กัญจนา เจาหญิงแหงเทวทหนครเปน กศุ ล คือกุศลฉันทะ หรอื ธรรมฉนั ทะ
พระมเหสีของพระเจาสีหหนุ ผูครอง ตางจากกามฉนั ทะที่เปนแตฝายอกุศล
นครกบิลพัสดุ เปนพระชนนีของพระ กนั ดาร อตั คดั , ฝดเคอื ง, หายาก, ลาํ บาก,
เจาสุทโธทนะ เปนพระอัยยิกาของเจา แหงแลง, ทางท่ผี านไปยาก
ชายสิทธัตถะ กัป, กลั ป กาลกาํ หนด, กาํ หนดอายุของ
กัณฐกะ ช่ือมาสีขาวท่ีพระมหาบุรุษทรง โลก, ระยะเวลายาวนานเหลือเกิน ที่
ในวันออกผนวช กาํ หนดวาโลกคอื สกลจกั รวาล ประลัย
กณั ฐชะ อักษรเกดิ ในลาํ คอ คือ อ, อา, คร้ังหนง่ึ (ศาสนาฮินดูวาเปนวันหนึ่งคนื
ก, ข, ค, ฆ, ง และ ห หนง่ึ ของพระพรหม) ทานใหเขาใจดวย
กัณฑ หมวด, ตอน, สวนของเรื่อง อุปมาวา เปรียบเหมอื นมภี ูเขาศิลาลวน
กัณฑกสามเณร ชื่อสามเณรรูปหนึ่งใน กวาง ยาว สงู ดานละ ๑ โยชน ทกุ ๑๐๐
ครั้งพุทธกาล ผูกลาวตูพระธรรม ป มีคนนาํ ผาเน้ือละเอยี ดอยางดีมาลูบ
เปนตนเหตุใหพระพุทธเจาทรงบัญญัติ คร้งั หน่งึ จนกวาภเู ขานนั้ จะสึกหรอส้ิน
สิกขาบทที่ ๑๐ แหงสัปปาณกวรรคใน ไป กัปหน่งึ ยาวนานกวานัน้ ; กาํ หนด
ปาจิตตยิ กณั ฑ และทรงใหสงฆนาสนะ อายขุ องมนษุ ยหรอื สตั วจาํ พวกน้นั ๆ ใน
เธอเสีย เขียนเปน กณั ฏกะ กม็ ี ยุคนัน้ ๆ เรยี กเตม็ วา ‘อายกุ ัป’ เชนวา
กัณฑเทศน ดู เครอ่ื งกัณฑ อายกุ ปั ของคนยุคน้ี ประมาณ ๑๐๐ ป
กณั หปกข, กณั หปกษ “ฝายดาํ ” หมาย
ถงึ ขางแรม; กาฬปกษ กเ็ รียก; ตรงขามกับ ท่กี ลาวขางตนนัน้ เปนขอควรรูที่พอ
ชุณหปกษ หรือ ศกุ ลปกษ แกความเขาใจทว่ั ไป หากตองการทราบ
กตั ตกิ มาส เดอื น ๑๒ ละเอียด พึงศกึ ษาคตโิ บราณดงั นี้
กตั ติกา 1. ดาวลูกไก 2. เดอื น ๑๒ ตาม
กัปมี ๔ อยาง ไดแก
๑. มหากปั กปั ใหญ คือ กําหนดอายุ
จนั ทรคติ ตกในราวปลายเดือนตลุ าคม ของโลก อันหมายถงึ สกลพิภพ
ถงึ เดือนพฤศจกิ ายน ๒. อสงไขยกปั กัปอันนบั เวลามไิ ด คือ
กัตตกุ มั ยตาฉนั ทะ ความพอใจคอื ความ สวนยอย ๔ แหงมหากัป ไดแก
เปนผูใครเพื่อจะทาํ , ความตองการทจี่ ะ ๑) สงั วฏั ฏกปั (เรยี กเตม็ วา สงั วฏั ฏ-
๑๒
กปั ,กัลป ๑๓ กัป, กัลป
อสงไขยกปั ) กปั เสอื่ ม คอื ระยะกาลท่ี “กัป” ในท่ีนี้ หมายถึงอายกุ ปั คือจะทรง
โลกเสอ่ื มลงจนถงึ วนิ าศ พระชนมอยูจนครบกําหนดอายุของคน
๒) สังวัฏฏฐายีกัป (สังวัฏฏฐายี-
ในยคุ นัน้ เตม็ บรบิ รู ณ คอื เต็ม ๑๐๐ ป
อสงไขยกปั ) ระยะกาลทโี่ ลกพนิ าศแลว
หรือเกินกวานนั้ ก็ได
ทรงอยู
๓) ววิ ฏั ฏกปั (ววิ ฏั ฏอสงไขยกปั ) กปั ตามคติที่บางคัมภีรประมวลมา
เจริญ คือ ระยะกาลท่โี ลกกลบั เจรญิ ข้นึ บนั ทกึ ไว พึงทราบวา ตลอดมหากัปนนั้
๔) ววิ ฏั ฏฐายกี ปั (ววิ ฏั ฏฐายอี สงไขย-
พระพุทธเจาจะอุบัติเฉพาะแตในวิวัฏฏ-
กปั ) ระยะกาลทโี่ ลกเจรญิ แลวทรงอยู
ฐายกี ปั คือในระยะกาลทีโ่ ลกกลบั เจริญ
ครบรอบ ๔ อสงไขยกปั น้ี เปนมหากปั
ข้ึน และกาํ ลงั ทรงอยู เทาน้ัน และกัป
หนงึ่
๓. อันตรกัป กัปในระหวาง ไดแก เมื่อจําแนกตามการอุบัติของพระพุทธ
ระยะกาลที่หมูมนุษยเส่ือมจนสวนใหญ
เจา มี ๒ อยาง ไดแก
พินาศแลว สวนที่เหลือดีข้ึนเจริญขึ้น ๑. สุญกัป กัปสูญ หรือกัปวางเปลา คือ
กัปที่ไมมพี ระพุทธเจาอบุ ัติ (รวมทั้งไมมี
และมีอายยุ ืนยาวข้นึ จนถงึ อสงไขย แลว
พระปจเจกพุทธเจา พระพุทธสาวก
กลับเส่ือมทรามลง อายุส้ันลงๆ จน
และพระเจาจักรพรรดธิ รรมราชาดวย)
เหลือเพียงสิบปแลวพินาศ ครบรอบนี้ ๒. อสญุ กัป กปั ไมสูญ หรือกปั ไมวาง
เปลา คือ กปั ท่ีมพี ระพุทธเจาอุบตั ิ แยก
เปนอันตรกัปหน่ึง ๖๔ อันตรกัปเชนนน้ั
ยอยเปน ๕ ประเภท ไดแก
เปน ๑ อสงไขยกปั ๑) สารกัป (กัปท่ีมีสาระข้ึนมาได
๔. อายุกปั กาํ หนดอายุของสัตวจําพวก
นั้นๆ เชน อายุกัปของมหาพรหมเทากับ โดยมพี ระพทุ ธเจามาอุบตั )ิ คอื กัปที่มี
๑ อสงไขยกปั พระพุทธเจาอบุ ตั พิ ระองคเดยี ว
๒) มัณฑกัป (กัปเยีย่ มยอด) คือ
โดยทัว่ ไป คําวา “กัป” ทม่ี าโดดๆ
กัปทมี่ พี ระพุทธเจาอุบัติ ๒ พระองค
มกั หมายถึงมหากัป แตหลายแหงหมาย ๓) วรกปั (กัปประเสรฐิ ) คือ กัปท่ี
ถึงอายุกัป เชนท่ีพระพุทธเจาตรัสวา มีพระพทุ ธเจาอุบัติ ๓ พระองค
๔) สารมัณฑกัป (กัปท่ีมีสาระ
พระองคไดทรงเจริญอิทธบิ าท ๔ เปน
เยย่ี มยอดย่ิงกวากัปกอน) คือ กปั ทม่ี ี
อยางดีแลว หากทรงจํานง จะทรงพระ
พระพทุ ธเจาอบุ ัติ ๔ พระองค
ชนมอยูตลอดกัปหรือเกินกวากัปก็ได
๑๓
กปั ปมาณพ ๑๔ กัปปยภมู ิ
๕) ภทั กปั (ภทั ทกปั หรอื ภัทรกัป ๓. ทวาปรยคุ ยุคท่ีความดีงามเสื่อม
ก็ได, กัปเจริญ หรอื กปั ท่ดี ีแท) คอื กัป ทรามลงไปอกี ดงั ลกู เตาดาน ‘ทวาปร’ ที่
ทีม่ ีพระพทุ ธเจาอบุ ัติ ๕ พระองค มี ๒ แตม เปนยคุ ทมี่ คี วามดพี อทรงตวั
กปั ปจจุบัน เปนภัทกัป มพี ระพุทธ ได ๘๖๔,๐๐๐ ป (ไทยเรยี ก ทวาบรยคุ )
เจาอุบัติ ๕ พระองค คือ พระกกสุ ันธะ ๔. กลยี คุ ยคุ ที่เส่อื มทรามถงึ ทีส่ ุด ดงั
พระโกนาคมน พระกัสสปะ พระโคตมะ ลกู เตาดาน ‘กล’ิ ทมี่ เี พยี งแตมเดยี ว เปน
ทอี่ ุบตั แิ ลว และพระเมตไตรยท่ีจะอบุ ตั ิ ยคุ แหงความเลวราย ๔๓๒,๐๐๐ ป
ตอไป กปั ปมาณพ ศษิ ยคนหน่งึ ในจาํ นวน ๑๖
ในศาสนาฮนิ ดู ถอื วา ๑ กัป (รูป คนของพราหมณพาวรี ท่ีไปทูลถาม
สันสกฤตเปน กัลป) อนั เปนวนั หนึง่ คืน ปญหากะพระศาสดา ทปี่ าสาณเจดยี
หนงึ่ ของพระพรหม (กลางวนั เปนอทุ ยั กปั กัปปาสิกะ ผาทําดวยฝาย คือผาสามญั
คือกปั รงุ , กลางคนื เปนขยั กปั คอื กัป กัปปยะ สมควร, ควรแกสมณะท่ีจะ
มลาย) ตั้งแตโลกเร่ิมตนใหมจนประลยั บริโภค, ของทีส่ มควรแกภิกษุบรโิ ภคใช
ไปรอบหนง่ึ นน้ั มี ๒,๐๐๐ มหายคุ แต สอย คอื พระพทุ ธเจาอนุญาตใหภกิ ษใุ ช
ละมหายคุ ยาว ๔,๓๒๐,๐๐๐ ป โดยแบง หรือฉันได เชน ขาวสุก จวี ร รม ยาแดง
เปน ๔ ยคุ (จตุยคุ , จตรุ ยุค) เร่ิมจาก เปนกปั ปยะ แตสรุ า เส้ือ กางเกง หมวก
ระยะกาลทมี่ นุษยมศี ีลธรรมและรางกาย นํ้าอบ ไมเปนกัปปยะ สิ่งท่ีไมเปน
สมบรู ณงดงาม แลวเสอื่ มทรามลง และ กัปปยะ เรยี กวา อกัปปยะ
ชวงเวลาของยคุ กส็ ้ันเขาตามลาํ ดับ คอื กปั ปยการก ผทู าํ ของทส่ี มควรแกสมณะ,
๑. กฤตยุค ยุคท่ีโลกอันพระพรหม ผูทําหนาที่จัดของท่ีสมควรแกภิกษุ
สรางเสรจ็ แลว มีความดงี ามสมบูรณอยู บรโิ ภค, ผปู ฏบิ ตั ภิ กิ ษ,ุ ลกู ศษิ ยพระ
ดงั ลกู เตาดาน ‘กฤต’ ทมี่ ี ๔ แตม เปนยคุ กัปปยกุฎี เรอื นเก็บของท่เี ปนกปั ปยะ; ดู
ดเี ลศิ ๑,๗๒๘,๐๐๐ ป (สตั ยยคุ คอื ยคุ กปั ปยภมู ิ
แหงสจั จะ กเ็ รยี ก; ไทยเรยี ก กฤดายคุ ) กัปปยบรขิ าร เครือ่ งใชสอยทีส่ มควรแก
๒. เตรตายคุ ยคุ ทม่ี ีความดีงามถอยลง สมณะ, ของใชที่สมควรแกภิกษุ
มา ดงั ลกู เตาดาน ‘เตรตา’ ทมี่ ี ๓ แตม กัปปยภัณฑ ของใชที่สมควรแกภิกษุ,
ยงั เปนยคุ ทดี่ ี ๑,๒๙๖,๐๐๐ ป (ไทยเรยี ก ส่งิ ของทีส่ มควรแกสมณะ
ไตรดายคุ ) กัปปยภมู ิ ที่สาํ หรับเกบ็ เสบียงอาหารของ
๑๔
กปฺปเยอกปฺปยส ฺ ติ า ๑๕ กัมมวฏั ฏ
วดั , ครวั วดั มี ๔ อยาง คอื ๑. อนสุ สาว- รวมทาํ สังฆกรรม โดยเปนปกตัตตะ
นันตกิ า กัปปยภูมทิ ท่ี ําดวยการประกาศ คือเปนผูมีสิทธิถูกตอง และไมเปน
ใหรูกันแตแรกสรางวาจะทําเปนกัปปย- กมั มารหะ คือมใิ ชเปนผซู ึ่งถกู ทปี่ ระชุม
ภมู ิ คอื พอเรมิ่ ยกเสาหรอื ตง้ั ฝากป็ ระกาศ สงฆทาํ กรรม, สงฆทจี่ ะครบองคประชมุ
ใหไดยนิ วา “กปปฺ ยกฏุ ึ กโรม” แปลวา เชน สังฆกรรมที่ทําโดยสงฆจตุวรรค
“เราทง้ั หลายทาํ กปั ปยกฎุ ”ี ๒. โคนสิ าทกิ า ตองมภี กิ ษคุ รบ ๔ รปู กค็ อื มกี มั มปตตะ
กปั ปยภูมขิ นาดเลก็ เคลอ่ื นทไ่ี ด ดุจเปน ครบ ๔ รูป (สงฆปญจวรรคตองมี
ทโี่ คจอม ๓. คหปตกิ า เรอื นของคฤหบดี กัมมปตตะครบ ๕ รปู สงฆทศวรรคตอง
เขาสรางถวายเปนกปั ปยภมู ิ ๔. สมั มตกิ า มกี มั มปตตะครบ ๑๐ รปู สงฆวสี ตวิ รรค
กปั ปยภมู ิท่สี งฆสมมติ ไดแกกฎุ ีทส่ี งฆ ตองมีกัมมปตตะครบ ๒๐ รูป); ดู
เลือกจะใชเปนกัปปยกุฎี แลวสวด ปกตตั ตะ, กมั มารหะ
กัมมลักขณะ การอันมีลักษณะเปน
ประกาศดวยญัตตทิ ุติยกรรม
กปฺปเย อกปปฺ ยส ฺ ติ า อาการทตี่ อง (สงั ฆ)กรรมนน้ั ได, กจิ การทม่ี ลี กั ษณะอนั
อาบตั ดิ วยสําคัญวาไมควรในของทีค่ วร จัดเขาเปนสังฆกรรมอยางหน่ึงในสังฆ-
กัปปละ ชื่อพราหมณนายบานของหมู กรรมประเภทนน้ั ได แตทานไมไดออก
บานพราหมณหมูหน่ึง ในแขวงกรุง ช่ือไว และไมอาจจดั เขาในช่อื อน่ื ๆ แหง
ราชคฤห เปนบดิ าของปปผลิมาณพ สงั ฆกรรมประเภทเดยี วกัน เชน การ
กมั ปลละ ชอื่ นครหลวงแหงแควนปญจาละ อปโลกนแจกอาหารในโรงฉัน เปนกัมม-
กมั พล ผาทอดวยขนสตั ว เชนสักหลาด ลกั ขณะในอปโลกนกรรม, การประกาศ
กมั โพชะ แควนหนง่ึ ในบรรดา ๑๖ แควน เริ่มตนระงับอธิกรณดวยติณวัตถารก-
แหงชมพูทวีป มีนครหลวงชื่อทวารกะ วินัย เปนกัมมลักขณะในญัตติกรรม,
บัดนี้อยูในประเทศอฟั กานสิ ถาน ญตั ตทิ ตุ ยิ กรรมท่ีสวดในลาํ ดับไปในการ
กัมมขันธกะ ช่ือหมวดหน่ึงในคัมภีร ระงบั อธกิ รณดวยตณิ วตั ถารกวนิ ยั เปน
จลุ ลวรรค พระวนิ ยั ปฎก วาดวยนคิ หกรรม กัมมลักขณะในญัตติทุติยกรรม,
๕ ประเภท อปุ สมบทและอพั ภานเปนกมั มลกั ขณะใน
กัมมชรูป ดทู ่ี รปู ๒๘ ญตั ตจิ ตตุ ถกรรม
กมั มปตตะ, กมั มปตต “ผถู งึ กรรม”, “ผู กมั มวฏั ฏ วนคอื กรรม, วงจรสวนกรรม,
เขากบั กรรม”, ผเู ขากรรม, ภกิ ษผุ เู ขา หน่งึ ในวัฏฏะ ๓ แหงปฏจิ จสมปุ บาท
๑๕
กมฺมวิปากชา อาพาธา ๑๖ กัมมัสสกตาญาณ
ประกอบดวยสังขารและกรรมภพ; ดู ขน้ึ ไปๆ แลว ตอแตนนั้ กจ็ ะตองเอาใจใส
ไตรวฏั ฏ จัดปรับบําเพ็ญตลอดเวลาเพื่อใหกาว
กมมฺ วปิ ากชา อาพาธา ความเจ็บไขเกดิ หนาไปและไดผลด,ี ทงั้ นหี้ มายความวา
แตวบิ ากแหงกรรม; ดู อาพาธ ผปู ฏบิ ตั ทิ กุ คนพงึ ปฏบิ ตั กิ รรมฐานทงั้ ๒
กมั มสทั ธา ดู สทั ธา ขอ เนอื่ งจากสพั พตั ถกกมั มฏั ฐานจะชวย
กมั มญั ญตา ความควรแกการงาน, ภาวะ เปนพ้ืนเกื้อหนุนตอปาริหาริยกัมมัฏฐาน
ท่ีใชการได หรือเหมาะแกการใชงาน, โดยผูปฏิบัตินั้น พอเร่ิมตน ก็เจริญ
ความเหมาะงาน เมตตาตอประดาภิกษุสงฆและหมูชน
กัมมัฏฐาน ท่ีตง้ั แหงการงาน, อารมณ ตลอดถึงเทวดาในถิ่นใกลรอบตัวจนทั่ว
เปนท่ีต้ังแหงการงานของใจ, อบุ ายทาง สรรพสัตว เพ่ือใหมีใจออนโยนตอกัน
ใจ, วิธฝี กอบรมจิตใจและเจรญิ ปญญา และมบี รรยากาศรมเย็นเปนมิตร พรอม
(นิยมเขยี น กรรมฐาน); กัมมัฏฐาน ๒ กนั นน้ั กเ็ จรญิ มรณสติ เพอ่ื ใหใจหางจาก
(โดยหลักทัว่ ไป) คอื ๑. สมถกัมมฏั ฐาน ทุจรติ ไมคดิ ถึงอเนสนา และกระตนุ เรา
กรรมฐานเพ่ือการทําจิตใจใหสงบ, วิธี ใจใหปฏิบัตจิ ริงจงั ไมยอหยอน สวน
ฝกอบรมเจริญจิตใจ ๒. วิปสสนา- อสุภสัญญาก็มาชวยใหโลภะหรือราคะ
กัมมัฏฐาน กรรมฐานเพื่อการใหเกิด เขามาครอบงาํ ไมได เพราะจะไมติดใจ
ความรูแจง, วิธฝี กอบรมเจรญิ ปญญา; แมแตในทิพยารมณ แลวก็มงุ หนาไปใน
กมั มัฏฐาน ๒ (โดยการปฏบิ ัต)ิ คอื ๑. ปารหิ าริยกรรมฐานของตน; ดู ภาวนา
สัพพัตถกกัมมัฏฐาน กรรมฐานที่พึง กัมมัฏฐาน ๔๐ คือ สิ่งท่ีนิยมใชเปน
ตองการในที่ทั้งปวง หรือพงึ ใชเปนฐาน อารมณในการเจริญสมถภาวนา ซ่ึงพงึ
ของการเจรญิ ภาวนาทกุ อยาง, กรรมฐาน เลือกใชใหเหมาะกับตน เชนใหตรงกบั
ทเี่ ปนประโยชนในทกุ กรณี ไดแก เมตตา จรติ มี ๔๐ อยาง ไดแก กสณิ ๑๐ อสภุ ะ
มรณสติและบางทานวา อสภุ สญั ญาดวย ๑๐ อนสุ สติ ๑๐ พรหมวหิ าร ๔ อาหาเร-
๒. ปารหิ ารยิ กมั มฏั ฐาน กรรมฐานทจ่ี ะ ปฏกิ ลู สญั ญา๑ จตธุ าตวุ วตั ถาน๑ อรปู ๔
ตองบรหิ าร (ประจาํ ตวั ) คอื กรรมฐานขอ กัมมสั สกตาญาณ ความรูถงึ ภาวะทสี่ ัตว
หนง่ึ ขอใดกต็ าม ทเ่ี ลอื กวาเหมาะกบั ตน ท้ังหลายมีกรรมเปนของตน ทําดีไดดี
เชนวาตรงกับจรติ แลว หรือกาํ หนดเอา ทาํ ชั่วไดช่วั , จดั เปนปญญาทถี่ ูกตองใน
เปนขอท่ีตนจะปฏิบัติเพ่ือกาวสูผลที่สูง ระดับสามัญ (ยังไมเปนอธปิ ญญา) และ
๑๖
กมั มัสสกตาสทั ธา ๑๗ กัสสปะ
เปนโลกยิ สัมมาทิฏฐ;ิ กมั มัสสกตญาณก็ ๓ ในทฏิ ฐธมั มิกัตถสงั วตั ตนกิ ธรรม ๔)
เขียน, กมั มสั สกตาปญญา หรือ กัมมัส- กัลยาณมติ ร “มิตรผมู ีคุณอนั บณั ฑิตพงึ
สกตปญญา กเ็ รยี ก; ดู สกิ ขา นับ”, เพอื่ นท่ีดี (คุณสมบตั ิ ดู เพอ่ื น)
กัมมสั สกตาสทั ธา ความเช่อื วา สัตวมี กลั ยาณมิตรธรรม ธรรม คอื คณุ สมบัติ
กรรมเปนของตวั ทําดไี ดดี ทําชวั่ ไดชว่ั , ของกัลยาณมติ ร; กัลยาณมติ รธรรม ๗
เปนคําทผ่ี ูกข้ึนภายหลงั โดยจดั ไวในชุด ดู เพอื่ น
สัทธา ๔ สวนในพระไตรปฎกและ กลั ยาณี นางงาม, หญิงงาม, หญงิ ท่ีมคี ณุ
คมั ภรี ท้งั หลาย มแี ต กมั มัสสกตาญาณ; ธรรมนานับถอื
ดู กมั มัสสกตาญาณ, สทั ธา กัลลวาลมุตตคาม ชื่อหมูบาน อยูใน
กัมมารหะ ผูควรแกกรรม คือบุคคลที่ แควนมคธ พระโมคคลั ลานะอปุ สมบท
ถูกสงฆทํากรรม เชน ภิกษุท่ีสงฆ ได ๗ วัน ไปทําความเพียรจนออนใจ
พจิ ารณาทาํ ปพพาชนยี กรรม คฤหัสถที่ นั่งโงกงวงอยู พระพุทธเจาเสด็จไป
ถกู สงฆดาํ เนินการควํา่ บาตร เปนตน; ดู เทศนาโปรด จนไดสําเร็จพระอรหัตท่ี
ปกตัตตะ, กมั มปตตะ หมบู านน้ี
กัลบก ชางตัดผม, ชางโกนผม กัศมีร แควนหนึ่งของชมพูทวีป ซึ่ง
กัลป ดู กปั
ปรากฏช่ือขึ้นในยุคอรรถกถาเปนตนมา
กัลปนา 1. ทห่ี รือส่งิ อ่นื ซ่งึ เจาของอุทิศ โดยมักเรียกรวมกบั แควนคนั ธาระ เปน
ผลประโยชนใหแกวัด 2. สวนบญุ ทผ่ี ูทาํ “กศั มีรคันธาระ”, ในภาษาไทย บางที
อทุ ิศใหแกผตู าย เรยี กวา “แคชเมยี ร”; ดู คนั ธาระ
กัลยาณคุณ คุณอันบัณฑิตพึงนับ, คุณ- กัสสปะ 1. พระนามพระพทุ ธเจาพระ
องคหนง่ึ ในอดีต; ดู พระพุทธเจา ๕ 2.
สมบตั ิท่ดี งี าม, คณุ งามความดี
กัลยาณชน คนประพฤตดิ ีงาม, คนดี ชอ่ื ของพระมหากสั สปเถระเมอื่ เรยี กตาม
กลั ยาณธรรม ธรรมอันดี, ธรรมดีงาม, โคตร ทานมชี ื่ออกี อยางหนง่ึ วา ปปผลิ
ธรรมของกลั ยาณชน; ดู เบญจธรรม หรอื ปปผลิมาณพ 3. หมายถึงกัสสปะ
กัลยาณปุถุชน คนธรรมดาท่ีมีความ สามพน่ี อง คอื อรุ เุ วลกสั สปะนทกี สั สปะ
ประพฤติดี, ปุถุชนผมู คี ุณธรรมสูง คยากสั สปะ ซึ่งเปนนกั บวชประเภทชฎิล
กัลยาณมิตตตา ความมีกัลยาณมิตร, ถือลัทธบิ ชู าไฟ เปนท่ีเคารพนบั ถอื ของ
ความมีเพือ่ นเปนคนดี ไมคบคนชัว่ (ขอ ชาวราชคฤห ภายหลงั ไดเปนพระอรหนั ต
๑๗
กสั สปโคตร ๑๘ กามารมณ
พรอมกันทั้งสามพี่นองและบริวารหนึ่ง กามภพ ที่เกิดของผทู ่ียังเกี่ยวของอยูใน
พนั ดวยไดฟงเทศนาอาทติ ตปรยิ ายสตู ร กาม, โลกเปนที่อยอู าศยั ของผเู สพกาม
จากพระพทุ ธเจา 4. คาํ เรียกช่ืออยาง ไดแก อบายภูมิ ๔ มนุษยโลก และ
ส้ันๆ หมายถึงพระกมุ ารกสั สปะ สวรรค ๖ ชั้น ต้ังแตชัน้ จาตุมหาราชกิ า
กัสสปโคตร ตระกลู พราหมณกัสสปะ ถึงชนั้ ปรนมิ มติ วสวัตดีรวมเปน ๑๑ ชนั้
กัสสปสังยุตต ช่ือเรียกพระสูตรหมวด (ขอ ๑ ในภพ ๓)
หนึง่ ในคัมภรี สงั ยุตตนกิ าย รวบรวม กามราคะ ความกาํ หนดั ดวยอาํ นาจกเิ ลส-
เร่ืองเก่ียวกับพระมหากัสสปะไวเปน กาม, ความใครกาม (ขอ ๔ ในสังโยชน
หมวดหมู ๑๐, ขอ ๑ ในสังโยชน ๑๐ ตามนยั พระ
กาจ ราย, กลา, เกง อภิธรรม, ขอ ๑ ในอนุสัย ๗)
กาพย คํารอยกรองท่ีแตงทํานองฉันท กามสมบตั ิ สมบัติคือกามารมณ, ความ
แตไมนยิ มครุลหเุ หมอื นฉนั ททั้งหลาย ถงึ พรอมดวยกามารมณ
กาม ความใคร, ความอยาก, ความ กามสังวร ความสํารวมในกาม, การรจู กั
ปรารถนา, ส่ิงท่ีนาปรารถนา นาใคร, ยับยั้งควบคุมตนในทางกามารมณไมให
กามมี ๒ คอื ๑. กิเลสกาม กเิ ลสทที่ ําให หลงใหลหมกมนุ ใน รปู เสียง กลิน่ รส
ใคร ๒. วตั ถุกาม วัตถุอนั นาใคร ไดแก และสมั ผัส (ขอ ๓ ในเบญจธรรม)
กามคุณ ๕ กามสุข สุขในทางกาม, สุขท่ีเกิดจาก
กามคุณ สวนท่นี าปรารถนานาใครมี ๕ กามารมณ
อยาง คือ รปู เสียง กลน่ิ รส และ กามสุขัลลิกานุโยค การประกอบตนให
โผฏฐัพพะ (สัมผสั ทางกาย) ทน่ี าใครนา พัวพันหมกมนุ อยูในกามสุข เปนอยาง
พอใจ หนงึ่ ในทีส่ ุดสองขาง คือ กามสขุ ลั ลิกา-
กามฉันท, กามฉันทะ ความพอใจรัก นโุ ยค ๑ อัตตกิลมถานุโยค ๑
ใครในอารมณที่ชอบใจมีรูปเปนตน, กามสคุ ตภิ ูมิ กามาวจรภูมิที่เปนสคุ ติ คอื
ความพอใจในกามคุณทั้ง ๕ คอื รปู มนษุ ยและสวรรค ๖ (จะแปลวา “สคุ ติ
เสยี ง กลิน่ รส โผฏฐพั พะ (ขอ ๑ ใน ภมู ิทีย่ งั เก่ียวของกับกาม” กไ็ ด)
นวิ รณ ๕) กามาทนี พ โทษแหงกาม, ขอเสยี ของกาม
กามตัณหา ความทะยานอยากในกาม, กามารมณ 1. อารมณที่นาใคร นา
ความอยากไดกาม (ขอ ๑ ในตัณหา ๓) ปรารถนา หมายถงึ รปู เสยี ง กลนิ่ รส
๑๘
กามาวจร ๑๙ กายคตาสติ, กายสติ
โผฏฐพั พะ ไดแกกามคณุ ๕ นน่ั เอง 2. ใน เรียกเต็มวา รูปกาย 2. ประชุมแหง
ภาษาไทย มกั หมายถงึ ความรสู กึ ทางกาม นามธรรม หรอื กองแหงเจตสกิ เชน ในคาํ
กามาวจร ซง่ึ ทองเทยี่ วไปในกามภพ, ซึ่ง วา “กายปสสทั ธ”ิ (ความสงบเยน็ แหงกอง
เก่ยี วของอยกู ับกาม ไดแก ขนั ธ ธาตุ เจตสกิ ) บางทเี รยี กเตม็ วา นามกาย (แตใน
อายตนะ ทกุ สิง่ ทุกอยางประดามที เ่ี ปน บางกรณี นามกาย หมายถงึ นามขนั ธหมด
ไปในกามภพ ตั้งแตอเวจีมหานรกถึง ทง้ั ๔ คอื ทง้ั เวทนา สญั ญา สงั ขาร และ
สวรรคชั้นปรนิมมิตวสวตั ดี; ดู ภพ, ภูมิ วญิ ญาณ หรอื ทงั้ จติ และเจตสกิ ); นอก
กามาสวะ อาสวะคอื กาม, กเิ ลสดองอยใู น จากความหมายพนื้ ฐาน ๒ อยางนแี้ ลว ยงั
สันดานท่ที าํ ใหเกดิ ความใคร; ดู อาสวะ มคี วามหมายปลกี ยอย และความหมาย
กามุปาทาน ความยึดติดถือม่ันในกาม เฉพาะ ตามขอความแวดลอมอกี หลาย
ยึดถือวาเปนของเราหรือจะตองเปนของ อยาง เชน ในคาํ วา “กายสมั ผสั ” (สมั ผสั
เรา จนเปนเหตใุ หเกดิ รษิ ยาหรอื หวงแหน ทางกาย) หมายถึงกายอินทรียที่รับรู
ลมุ หลง เขาใจผดิ ทําผดิ โผฏฐพั พะคอื สง่ิ ตองกาย, ในคาํ วา “กาย
กาเมสุมิจฉาจาร ความประพฤติผิดใน ทุจริต” (ทุจริตดวยกาย) หมายถึง
กามท้งั หลาย, ความผดิ ประเวณี กายทวารทใ่ี ชทาํ กรรมคอื เคลอื่ นไหวแสดง
กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี เวนจาก ออกและทาํ การตางๆ, ในคาํ วา “กายสขุ ”
ประพฤติผิดในกาม, เวนการลวง (สขุ ทางกาย) หมายถงึ ทางทวารทง้ั ๕ คอื
ประเวณี ตา หู จมกู ลน้ิ และกาย ซง่ึ คกู บั เจโตสขุ
กายกรรม การกระทาํ ทางกาย เชน ฆา หรอื สขุ ทางใจ, ในคาํ วา “กายภาวนา” (การ
สัตว ลักทรัพย ประพฤติผิดในกาม พัฒนากาย) หมายถึงอินทรียสังวรคือ
หรอื เวนจากการฆาสตั ว เวนจากการลกั ความรจู กั ปฏบิ ตั ใิ หไดผลดใี นการใชตา หู
ทรพั ยเปนตน จมกู ลน้ิ และกาย ดงั นี้ เปนตน
กาย กอง, หมวดหมู, ท่ีรวม, ชุมนุม เชน กายกัมมัญญตา ความควรแกงานแหง
สตั วกาย (มวลสตั ว) พลกาย (กอง นามกาย, ธรรมชาตทิ ที่ ํานามกาย คือ
กําลังทหาร) รถกาย (กองทหารรถ) เจตสิกทัง้ หลายใหอยใู นภาวะทจ่ี ะทาํ งาน
ธรรมกาย (ท่ีรวมหรือที่ชุมนุมแหง ไดดี (ขอ ๑๔ ในโสภณเจตสกิ ๒๕)
ธรรม) 1. ทร่ี วมแหงอวยั วะทงั้ หลาย หรอื กายคตาสติ, กายสติ สติที่เปนไปใน
ชมุ นมุ แหงรปู ธรรม คอื รางกาย บางที กาย, สติอันพิจารณากายใหเห็นตาม
๑๙
กายทวาร ๒๐ กายสังสคั คะ
สภาพที่มสี วนประกอบ ซึ่งลวนเปนของ หลายใหนุมนวลออนละมนุ (ขอ ๑๒ ใน
ไมสะอาด ไมงาม นารงั เกียจ ทาํ ใหเกิด โสภณเจตสกิ ๒๕)
ความรเู ทาทนั ไมหลงใหลมัวเมา กายลหุตา ความเบาแหงนามกาย,
กายทวาร ทวารคือกาย, กายในฐานเปน ธรรมชาตทิ าํ นามกาย คอื กองเจตสกิ ให
ทางทํากรรม, ทางกาย เบา (ขอ ๑๐ ในโสภณเจตสิก ๒๕)
กายทุจริต ประพฤติชั่วดวยกาย, กายวิญญตั ิ ความเคลือ่ นไหวรางกายใหรู
ประพฤตชิ ว่ั ทางกาย มี ๓ อยางคอื ๑. ความหมาย เชน สัน่ ศรี ษะ โบกมือ
ปาณาตบิ าต ฆาสตั ว ๒. อทนิ นาทาน ขยิบตา ดดี นิว้ เปนตน; เทียบ วจีวิญญัติ
ลักทรพั ย ๓. กาเมสุมจิ ฉาจาร ประพฤติ กายวิญญาณ ความรูที่เกิดขึ้นเพราะ
ผิดในกาม; ดู ทจุ รติ
โผฏฐัพพะกระทบกาย, โผฏฐัพพะ
กายบริหาร การรักษารางกายใหเหมาะ กระทบกาย เกิดความรูขึน้ (ขอ ๕ ใน
สมแกความเปนสมณะ เชนไมไวผมยาว วญิ ญาณ ๖)
เกินไป ไมไวหนวดเครา ไมไวเลบ็ ยาว กายสมาจาร ความประพฤตทิ างกาย
ไมผดั หนา ไมแตงเคร่ืองประดบั กาย ไม กายสกั ขี “ผูเปนพยานดวยนามกาย”, “ผู
เปลือยกาย เปนตน ประจกั ษกับตัว”, พระอรยิ บคุ คลตง้ั แต
กายประโยค การประกอบทางกาย, การ โสดาบันขึ้นไปจนถึงผูตั้งอยูในอรหัตต-
กระทําทางกาย มรรค ท่ีเปนผมู ีสมาธนิ ทรยี แรงกลา ได
กายปสสัทธิ ความสงบรํางับแหงนาม- สัมผัสวโิ มกข ๘ (เมือ่ บรรลุอรหัตตผล
กาย, ธรรมชาตทิ ํานามกาย คือ เจตสกิ กลายเปนอภุ โตภาควมิ ตุ ); ดู อรยิ บคุ คล๗
ทง้ั หลายใหสงบเย็น (ขอ ๘ ในโสภณ- กายสังขาร 1. ปจจยั ปรงุ แตงกาย ไดแก
เจตสกิ ๒๕) ลมหายใจเขา หายใจออก 2. สภาพที่
กายปาคุญญตา ความคลองแคลวแหง ปรุงแตงการกระทาํ ทางกายไดแก กาย-
นามกาย, ธรรมชาติทํานามกายคือ สัญเจตนา หรือความจงใจทางกาย ซง่ึ
เจตสิกทั้งหลาย ใหแคลวคลองวองไว ทาํ ใหเกิดกายกรรม
รวดเรว็ (ขอ ๑๖ ในโสภณเจตสกิ ๒๕) กายสังสัคคะ ความเกี่ยวของดวยกาย,
กายภาวนา ดู ภาวนา
การเคลาคลึงรางกาย, เปนช่ืออาบัติ
กายมุทุตา ความออนโยนแหงนามกาย, สังฆาทิเสสขอที่ ๒ ที่วาภิกษุมีความ
ธรรมชาติทํานามกาย คือ เจตสิกทั้ง กําหนัดถึงความเคลาคลึงดวยกายกับ
๒๐
กายสัมผสั ๒๑ กาลทาน
มาตุคาม, การจับตองกายหญงิ โดยมีจิต ปฏิกูลมนสิการบรรพ ธาตุมนสิการ
กําหนดั บรรพ และ นวสวี ถกิ าบรรพ (= ๙
กายสมั ผัส สมั ผสั ทางกาย, อาการทก่ี าย สีวถกิ าบรรพ) ท่แี ยกยอยเปน ๙ จงึ เปน
โผฏฐพั พะ และกายวญิ ญาณประจวบกนั ๑๔ บรรพ; ขอ ๑ ใน สติปฏฐาน ๔
กายสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดขึ้น กายิกสุข สุขทางกาย เชนไดยินเสียง
เพราะกายสัมผัส, ความรูสึกที่เกิดขึ้น ไพเราะ ลิ้มรสอรอย ถกู ตองสิ่งที่ออน
เพราะการท่กี าย โผฏฐัพพะ และกาย- นมุ เปนตน
วิญญาณประจวบกัน กายุชุกตา ความซื่อตรงแหงนามกาย,
กายสามคั คี ดู สามัคคี ธรรมชาตทิ ที่ าํ นามกายคอื เจตสกิ ทง้ั หลาย
กายสุจริต ประพฤติชอบดวยกาย, ใหซอ่ื ตรง (ขอ ๑๘ ในโสภณเจตสกิ ๒๕)
ประพฤตชิ อบทางกาย มี ๓ อยาง คอื การก ผกู ระทํากรรมไดตามพระวนิ ัยมี ๓
เวนจากการฆาสัตว เวนจากการลัก คอื สงฆ คณะ และ บคุ คล เชนในการ
ทรัพย เวนจากประพฤติผิดในกาม; ดู ทําอุโบสถ ภิกษุตั้งแตส่ีรูปขึ้นไปเรียก
กายทจุ รติ , สุจริต สงฆ สวดปาตโิ มกขได ภิกษุสองหรอื
กายานุปสสนา การมีสติตามดูพรอม สามรูป เรียก คณะ ใหบอกความ
บรสิ ุทธิ์ได ภิกษุรปู เดยี วเรยี กวา บคุ คล
ดวยปญญารูเห็นสภาวะของรางกาย
เทาทนั อาการ ความเคลอื่ นไหว สภาพ ใหอธษิ ฐาน
องคประกอบ และความผนั แปรเปนไป การกสงฆ “สงฆผกู ระทาํ ” หมายถงึ สงฆ
ตลอดจนแตกสลายของกาย ตามท่ีมันมี หมูหนึ่งผูดําเนินการในกิจสําคัญ เชน
อยูเปนไปอยางไรๆ มองเห็นความกอ การสงั คายนา หรอื ในสงั ฆกรรมตางๆ
เกิดข้ึนมาและความเสื่อมสลายไปใน การงานชอบ ดู สมั มากัมมนั ตะ
กาย ตระหนกั ตอสภาวะที่มอี ยู แครูเทา กาล เวลา
สติทัน ไมติดองิ ไมยึดเอา; (ตามแบบ กาละ เวลา, คราว, คร้งั , หน
เรียนวา: สตพิ ิจารณากายเปนอารมณวา กาลกรรณี, กาลกิณี ดู กาฬกรรณี
กายน้ีก็สักวากาย ไมใชสัตวบุคคลตัว กาลกิรยิ า “การกระทํากาละ”, การตาย,
ตนเราเขา) มรณะ
กายานุปสสนา แยกเปน อานาปาน กาลทาน ทานทใ่ี หตามกาล, ทานท่ใี หได
บรรพ อิรยิ าปถบรรพ สมั ปชญั ญบรรพ เฉพาะเหตุการณ หรือเปนครงั้ คราวใน
๒๑
กาลเทศะ ๒๒ กาลกิ
โอกาสพิเศษ ไมใชใหไดตลอดเวลา, ตามหลัก ๑๐ ขอ คอื อยาปลงใจเช่อื
ตามท่พี ระพทุ ธเจาตรัสไวเดิม (อง.ฺ ป จฺ ก. ดวยการฟงตามกันมา, ดวยการถอื สบื ๆ
๒๒/๓๖/๔๔) มี กาลทาน ๕ คอื อาคนั ตกุ - กันมา, ดวยการเลาลอื , ดวยการอาง
ทาน (ทานแกผูมาจากตางถ่นิ ), คมิกทาน ตําราหรือคัมภรี , ดวยตรรก, ดวยการ
(ทานแกผจู ะไปจากถนิ่ ), คลิ านทาน (ทาน อนุมาน, ดวยการคิดตรองตามแนวเหตุ
แกผเู จบ็ ไข), ทพุ ภกิ ขทาน (ทานในยามมี ผล, เพราะเขากันไดกบั ทฤษฎขี องตน,
ทุพภกิ ขภัย), และทานคราวขาวใหม มี เพราะมองเหน็ รปู ลักษณะนาเชือ่ , เพราะ
ผลไมใหม จดั ใหแกทานผมู ศี ลี เปนปฐม; นับถือวาทานสมณะนี้เปนครูของเรา;
ปจจุบนั นี้ มกั ใชในความหมายวาทานท่ี ตอเม่ือใด พิจารณาเห็นดวยปญญาวา
ใหไดเฉพาะภายในระยะเวลาท่ีกําหนด ธรรมเหลานน้ั เปนอกุศล เปนกศุ ล มี
ไมมีการใหนอกเวลา หรอื นอกเทศกาล โทษ ไมมีโทษ เปนตนแลว จงึ ควรละ
เชน การถวายผากฐิน การถวายผาอาบ หรือถอื ปฏิบตั ติ ามนัน้ เรยี กอกี อยางวา
นํา้ ฝน เปนตน ซึง่ ทายกจะถวายไดตาม เกสปตุ ตยิ สูตร หรอื เกสปุตตสูตร
กําหนดเวลาที่พระพุทธเจาทรงอนุญาต กาลกิ เนอื่ งดวยกาล, ขึ้นกับกาล, ของอัน
เทานน้ั กอนหรอื เลยเขตกําหนดไป ทาํ จะกลืนกินใหลวงลําคอเขาไปซ่ึงพระ
ไมได; ดู ทาน
กาลเทศะ เวลาและประเทศ, เวลา และ วินัยบัญญัติใหภิกษุรับเก็บไวและฉันได
สถานที่ ภายในเวลาทกี่ าํ หนด จาํ แนกเปน ๔ อยาง
กาลวิภาค การแจกกาลออกเปนเดือน คือ ๑. ยาวกาลิก รับประเคนไวและฉัน
ปกษ และวนั ไดช่ัวเวลาเชาถึงเที่ยงของวันน้ัน เชน
กาลัญ ุตา ความเปนผูรูจกั กาลเวลาอนั ขาว ปลา เน้ือ ผกั ผลไม ขนมตางๆ ๒.
ยามกาลิก รับประเคนไวและฉันไดช่ัว
สมควรในการประกอบกิจนั้นๆ เชน รู วนั หน่งึ กบั คนื หนง่ึ คอื กอนรงุ อรณุ ของ
วาเวลาไหนควรทําอะไร เปนตน (ขอ ๕ วันใหม ไดแก ปานะ คือ นา้ํ ค้ันผลไมท่ี
ทรงอนุญาต ๓. สัตตาหกาลิก รับ
ในสัปปรุ สิ ธรรม ๗)
กาลามสูตร สูตรหนง่ึ ในคมั ภรี ติกนิบาต ประเคนไวแลวฉันไดภายในเวลา ๗ วนั
ไดแกเภสัชท้ังหา ๔. ยาวชีวิก รับ
อังคุตตรนิกาย พระพุทธเจาตรัสสอน
ชนชาวกาลามะแหงเกสปุตตนิคมใน ประเคนแลว ฉันไดตลอดไปไมจํากัด
แควนโกศล ไมใหเชอื่ งมงายไรเหตผุ ล เวลา ไดแกของที่ใชปรุงเปนยา นอก
๒๒
กาววาว ๒๓ กจิ จาธกิ รณ
จากกาลกิ ๓ ขอตน (ความจรงิ ยาวชวี กิ ตจี นรางแหลก
ไมเปนกาลิก แตนับเขาดวยโดยปริยาย กาฬิโคธา มารดาของพระภัททิยะ
เพราะเปนของเกยี่ วเนือ่ งกนั ) กษตั รยิ ศากยวงศ
กาววาว ฉูดฉาด, หรหู รา, บาดตา กาฬทุ ายี อาํ มาตยของพระเจาสทุ โธทนะ
กาสะ ไอ (โรคไอ)
เปนสหชาติและเปนพระสหายสนิทของ
กาสาวะ ผายอมฝาด, ผาเหลอื งสาํ หรบั พระ พระโพธิสัตวเม่ือคร้ังยังทรงพระเยาว
กาสาวพัสตร ผาท่ียอมดวยรสฝาด, ผา พระเจาสทุ โธทนะสงไปทลู เชญิ พระศาสดา
ยอมนาํ้ ฝาด, ผาเหลอื งสาํ หรบั พระ เพื่อเสด็จมากรุงกบลิ พัสดุ กาฬทุ ายีไป
กาสี แควนหน่งึ ในบรรดา ๑๖ แควนแหง เฝาพระศาสดาท่ีกรุงราชคฤห ไดฟง
ชมพูทวปี มีนครหลวงชือ่ พาราณสี ใน พระธรรมเทศนา บรรลพุ ระอรหตั ตผล
สมัยพุทธกาล กาสีไดถูกรวมเขาเปน อุปสมบทเปนภิกษุแลว ทูลเชิญพระ
สวนหน่ึงของแควนโกศลแลว ศาสดาพรอมดวยภิกษุสงฆเสด็จกรุง
กาฬกรรณ,ี กาฬกณั ณี “อนั ทาํ ใหทตี่ น กบิลพัสดุ ทานไดรับยกยองวาเปน
อาศัยพลอยเปนดังสดี าํ อบั มดื ไป”, ตวั เอตทคั คะในบรรดาผทู าํ ตระกลู ใหเลอื่ มใส
กออุบาทว, ตวั นําเคราะหรายหรือทาํ ให กําลังของพระมหากษตั รยิ ดู พละ
อับโชค, เสนียดจัญไร, อัปมงคล, บางที กิงกรณีเยสุ ทักขตา ความเปนผูขยัน
เพย้ี นเปน กาลกิณี; ตรงขามกบั สริ ิ, ศรี ชวยเอาใจใสในกิจธุระของเพื่อนภิกษุ
กาฬเทวิลดาบส เปนอีกชื่อหน่ึงของ สามเณร (ขอ ๕ ในนาถกรณธรรม ๑๐)
อสิตดาบส; ดู อสิตดาบส กจิ จญาณ ปรีชากําหนดรกู ิจทค่ี วรทําใน
กาฬปกษ “ซีกมดื ” หมายถึง ขางแรม; อรยิ สัจจ ๔ แตละอยาง คอื รูวา ทุกข
กณั หปกษ กเ็ รยี ก; ตรงขามกบั ศกุ ลปกษ ควรกําหนดรู สมุทัย ควรละ นิโรธ ควร
หรอื ชณุ หปกษ ทาํ ใหแจง มรรค ควรเจรญิ คอื ควร
กาฬสิลา สถานท่ีสําคัญแหงหนึ่งใน ปฏบิ ตั ิ (ขอ ๒ ในญาณ ๓)
แควนมคธ อยูขางภเู ขาอสิ ิคลิ ิ พระนคร กิจจาธิกรณ การงานเปนอธิกรณ คือ
ราชคฤห ณ ท่ีน้ีพระพุทธเจาเคยทํา เร่ืองท่ีเกิดข้ึนอันสงฆตองจัดตองทําหรือ
นมิ ติ ตโอภาสแกพระอานนท และเปนท่ี กิจธุระท่ีสงฆจะพึงทํา; อรรถกถาพระ
ที่พระโมคคัลลานะถูกคนรายซึ่งรับจาง วินัยวาหมายถึงกิจอันจะพึงทําดวย
จากพวกเดียรถียไปลอบฆาดวยการทุบ ประชุมสงฆ ไดแก สงั ฆกรรมท้ัง ๔ คือ
๒๓