นนั ทนวัน ๑๗๔ นันทมารดา
องคทม่ี รี ปู พรรณสณั ฐานคลายพระพทุ ธ- องค ๓ ไดแก กอนให ก็ดีใจ กาํ ลงั ให
องคนน่ั เอง อยู ก็ทาํ จิตใหผุดผองเลอ่ื มใส ครั้นให
นันทนวนั ชอื่ สวนสวรรคของพระอินทร แลว กช็ ื่นชมปลื้มใจ และปฏคิ าหกมีองค
ในดาวดึงสเทวโลก ๑ ใน ๔ แหง คือ ๓ ไดแก เปนผปู ราศจากราคะหรอื ปฏบิ ตั ิ
นนั ทนวัน จติ รลดาวนั มิสสกวนั และ เพ่ือบําราศราคะ เปนผูปราศจากโทสะ
ปารสุ กวัน (นนั ทนวัน บางคมั ภรี เรยี ก หรือปฏิบัติเพ่ือบําราศโทสะ เปนผู
นันทวัน, ปารุสกวัน คัมภรี อักษรอื่น ปราศจากโมหะหรือปฏิบัติเพ่ือบําราศ
เรยี ก ผารุสกวัน), นนั ทนวันนัน้ อรรถ โมหะ ทักขิณาน้ันเปนบุญยิ่งใหญ มีผล
กถาบางแหงวามใี นทกุ เทวโลก มากยากจะประมาณได (อง.ฉกกฺ .๒๒/๓๐๘/
นนั ทมาณพ ศษิ ยคนหนงึ่ ในจาํ นวน ๑๖ ๓๗๕) 2. อตุ ตรานนั ทมารดา เปนธดิ า
คน ของพราหมณพาวรี ทไี่ ปทูลถาม ของนายปณุ ณะ หรอื ปณุ ณสหี ะ แหง
ปญหากะพระศาสดา ทป่ี าสาณเจดยี เมอื งราชคฤห ซง่ึ ตอมาพระราชาไดทรง
นนั ทมารดา อุบาสกิ าสาํ คัญ มีช่อื ซํ้ากัน แตงตงั้ ใหเปนธนเศรษฐี เมื่อทานเศรษฐี
๒ ทาน แยกโดยเรยี กช่อื นําท่ีตางกัน คอื ใหมจัดงานมงคลฉลองและถวายทาน
1. เวฬกุ ณั ฏกีนนั ทมารดา (นนั ทมารดา อุตตราไดสดับพระดํารัสอนุโมทนาของ
ชาวเมอื งเวฬกุ ณั ฏกะ [เมอื งหนามไผ] ใน พระพทุ ธเจา กไ็ ดบรรลโุ สดาปตตผิ ลใน
แควนอวนั ต)ี ไดฌาน ๔ เปนอนาคามี คราวเดยี วกบั บดิ าและมารดา อตุ ตรานน้ั
และเปนอัครอุบาสิกา คูกับนางขุชชุตรา รกั ษาอโุ บสถเปนประจาํ เดอื นละ ๘ วนั
พระพุทธเจาทรงยกยองวาเปน “ตุลา” ตอมา เมอ่ื แตงงานไปอยกู บั สามี กข็ อ
คอื เปนตราชู หรือเปนแบบอยางสําหรบั โอกาสรกั ษาอโุ บสถบาง แตสามไี มยอม
สาวิกาท้ังหลายทีเ่ ปนอุบาสกิ า คกู บั นาง รบั นางจงึ ไมมโี อกาสทาํ การบญุ อยางท่ี
ขชุ ชตุ รานนั้ (เชน อง.จตกุ กฺ .๒๑/๑๗๖/๒๒๒) เคยปฏบิ ตั ิ จนกระทง่ั คราวหนง่ึ อตุ ตรา
คร้งั หนงึ่ ทว่ี ดั พระเชตวัน เวฬุกัณฏกี ตกลงวาจะถอื อโุ บสถครง่ึ เดอื น และใช
นันทมารดา ถวายทานแดพระสงฆมพี ระ เวลาในการใหทานและฟงธรรมใหเต็มที่
สารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะเปน โดยใชวิธีจางโสเภณีช่อื สิรมิ าใหมาอยกู บั
ประมุข พระพุทธเจาตรัสแกภิกษุทั้ง สามแี ทนตวั ตลอดเวลา ๑๕ วนั นน้ั เมอื่
หลายวา อุบาสิกาทานน้ันประดิษฐาน ครบครง่ึ เดอื น ในวนั ทเี่ ตรยี มจะออกจาก
ทักขิณาที่พรอมดวยองค ๖ คอื ทายกมี อุโบสถ ไดยุงอยูในโรงครัวจัดเตรียม
๑๗๔
นนั ทมารดา ๑๗๕ นนั ทมารดา
อาหาร ตอนนนั้ สามมี องลงมาทางหนา เมื่อพระพุทธเจาเสด็จมาที่บานของ
ตาง เห็นอุตตราในสภาพมอมแมม อตุ ตรา นางสิรมิ าเขาไปกราบทูลขอขมา
ขมีขมัน ก็นึกในใจวานางน้ันอยูครอบ แลว อตุ ตรากใ็ หอภยั แกนาง และในวนั
ครองสมบตั อิ ยแู สนสบาย กลบั ทง้ิ ความ นน้ั นางสริ มิ าฟงพระธรรมกถาแลว กไ็ ด
สุขมาทาํ งานกับพวกคนรับใชจนตัวเลอะ บรรลโุ สดาปตตผิ ล (เรอื่ งน้ี อรรถกถา
เทอะเปรอะเปอน ไมมเี หตไุ มมผี ล แลวก็ ตางคมั ภรี เชน อง.อ.๑/๕๖๒/๓๙๐; ธ.อ.๖/๑๗๑;
ยมิ้ อยางสมเพช ฝายอตุ ตราพอดมี องขน้ึ วิมาน.อ.๑๒๓/๗๒ เลารายละเอียดแตกตาง
ไป เหน็ อยางนนั้ กร็ ทู นั และนกึ ในใจวา กันไปบาง โดยเฉพาะอรรถกถาแหง
สามีเปนพาลชน มัวจมอยูในความ วมิ านวตั ถุ นอกจากวานางสริ มิ าไดบรรลุ
ประมาท หลงไปวาสมบัติจะยั่งยืนอยู โสดาปตติผลแลว ยังบอกวาอุตตราได
ตลอดไป นกึ แลวกย็ ม้ิ บาง ฝายนางสริ มิ า เปนสกทาคามนิ ี และสามพี รอมทง้ั บดิ า
อยมู าหลายวนั ชกั จะลมื ตวั พอเหน็ สามี และมารดาของสามีไดเปนโสดาบัน) ตอ
กบั ภรรยายม้ิ กนั กเ็ กดิ ความหงึ ขน้ึ มา มา ในทปี่ ระชมุ ณ วดั พระเชตวนั พระ
แลววง่ิ ลงจากชน้ั บน ผานเขาครวั ฉวย พุทธเจาไดตรัสยกยองนางอุตตรานันท-
กระบวย ตกั นาํ้ มนั ทเ่ี ขากาํ ลงั ปรงุ อาหาร มารดา เปนเอตทคั คะในบรรดาอบุ าสกิ า
แลวปร่ีเขามาเทนํ้ามันราดลงบนศีรษะ ผูมฌี าน หรือนกั บาํ เพ็ญฌาน (ฌายี)
ของอตุ ตรา ฝายอตุ ตรามสี ตดิ ี รตู วั วา
อะไรจะเกดิ ขน้ึ ก็เขาเมตตาฌานยนื รบั แมวาโดยหลกั ฐานตางๆ เชน เมอื งท่ี
นํ้ามันท่ีรอนก็ไมเปนอันตรายแกเธอ อยู เวฬกุ ณั ฏกีนนั ทมารดา กบั อตุ ตรา
ขณะนน้ั พวกคนรบั ใชของอตุ ตราซงึ่ ได นนั ทมารดา นาจะเปนตางบคุ คลกนั แต
เหน็ เหตกุ ารณ กเ็ ขามาพากนั รมุ บรภิ าษ ก็ยังมีชองใหสงสัยวาอาจจะเปนบุคคล
ทุบตีนางสิริมา กวานางอุตตราจะหาม เดยี วกนั ได อยางนอย พระสาวกและ
สําเร็จ นางสริ ิมาก็บอบช้ํามาก ทาํ ใหนาง พระสาวิกา ท่ีไดรับยกยองเปนคูตุลา
สิริมาสาํ นึกไดถึงฐานะท่ีแทจรงิ ของตนที่ หรอื คอู คั รสาวก คอู คั รสาวกิ า และคอู คั ร-
เปนคนขางนอกรับจางเจาของบานมา อบุ าสก กล็ วนเปนเอตทคั คะมาตลอด ๓
จึงเขาไปขอขมาตออุตตรา แตอุตตรา คแู รก แตพอถงึ คตู ลุ าฝายอบุ าสกิ า หรอื
บอกวาตนจะใหอภัยไดตอเมื่อบิดาทาง คอู คั รอบุ าสกิ า กลายเปนนางขชุ ชตุ ราที่
ธรรมคอื พระพทุ ธเจาใหอภยั แลว ตอมา เปนเอตทคั คะดวย กบั เวฬกุ ณั ฏกนี นั ท-
มารดา ทมี่ ไิ ดเปนเอตทคั คะ (สวนอตุ ตรา
๑๗๕
นนั ทาเถรี ๑๗๖ นยั นา
นนั ทมารดา เปนเอตทคั คะ แตไมไดเปน นนั ทิ ความยนิ ด,ี ความตดิ ใจเพลดิ เพลนิ ,
ตลุ า หรอื อคั รอบุ าสกิ า) ทเ่ี ปนเชนนอ้ี าจ ความระเริง, ความสนกุ , ความชืน่ ม่นื
เปนเพราะวา เรอื่ งราวของนนั ทมารดาทงั้ นมั มทา ชอื่ แมน้ําสายสาํ คัญในภาคกลาง
สองนาม ซงึ่ กระจายอยใู นทต่ี างๆ ขาด ของอินเดีย ไหลไปคลายจะเคียงคูกับ
ขอมูลท่ีจะเปนจุดประสานใหเกิดความ เทือกเขาวินธยะ ถือวาเปนเสนแบง
ชดั เจน, นอกจากนน้ั เมอื่ อานขอความใน ระหวางอตุ ราบถ (ดนิ แดนแถบเหนอื ) กบั
คมั ภรี พทุ ธวงส ทก่ี ลาวถงึ คอู คั รอบุ าสกิ า ทกั ขิณาบถ (ดนิ แดนแถบใต) ของชมพู-
วา “นนทฺ มาตา จ อตุ ตฺ รา อคคฺ า เหสสฺ น-ฺ ทวปี , บดั นเ้ี รยี กวา Narmada แตบางที
ตปุ ฏ ิกา” (ฉบบั อกั ษรพมา มแี หงหนงึ่ วา เรยี ก Narbada หรอื Nerbudda ชาว
“อตุ ตฺ รา นนทฺ มาตา จ อคคฺ า เหสสฺ นตฺ -ุ ฮนิ ดูถือวาเปนแมน้ําศกั ด์สิ ิทธิท์ ีส่ ุด รอง
ปฏ กิ า” เลยทเี ดยี ว) บางทานกอ็ าจจะยง่ิ จากแมน้ําคงคา, แมนํ้านัมมทายาว
งง อาจจะเขาใจไปวา พระบาลีในท่ีน้ี ประมาณ ๑,๓๐๐ กม. ไหลจากทศิ ตะวนั
หมายถึงนางอุตตรานันทมารดา แตท่ี ออกเฉียงเหนือไปทางตะวันตกเฉียงใต
จริงไมใช เพราะในที่น้ีทานกลาวถึงสอง ออกทะเลที่ใตเมืองทาภารุกจั ฉะ (บดั นี้
บุคคล คอื อตุ ตราเปนบคุ คลหนง่ึ ไดแก เรยี ก Bharuch) สอู าว Khambhat
ขชุ ชตุ รา และนนั ทมารดาเปนอกี คนหน่งึ (Cambay กเ็ รยี ก), อรรถกถาเลาวา เมอ่ื
ไดแกเวฬุกณั ฏกนี นั ทมารดา (ในคมั ภรี ครั้งที่พระพุทธเจาเสด็จไปสุนาปรันตรัฐ
อปทานแหงหนงึ่ , ข.ุ อป.๓๓/๗๙/๑๑๗ กลาว ตามคําอาราธนาของพระปุณณะผูเปน
ถงึ ขอความอยางเดยี วกัน แตระบุไวชดั ชาวแควนน้ันแลว ระหวางทางเสด็จ
กวาน้วี า “ขุชฺชตุ ตฺ รา นนฺทมาตา อคคฺ า กลบั ถึงแมน้าํ นมั มทา ไดแสดงธรรม
เหสฺสนตฺ ปุ าสกิ า”); ดู อุตตรา,เอตทัคคะ โปรดนมั มทานาคราช ซึง่ ไดทลู ขอของที่
นันทาเถรี ชอื่ ภิกษณุ ี ผูเปนพระนองนาง ระลกึ ไวบชู า จงึ ทรงประทบั รอยพระบาท
ของพระเจากาลาโศก ไวทร่ี ิมฝงแมนาํ้ นัมมทานัน้ อนั ถอื กันมา
นนั ทาโบกขรณี สระโบกขรณใี นสวรรค วาเปนพระพทุ ธบาทแหงแรก; ดู วนิ ธยะ,
ช้นั ดาวดึงส อยูในสวนนันทนวนั มีรูป ทกั ขณิ าบถ,อตุ ราบถ,ปณุ ณสนุ าปรนั ตะ
รางเปนส่ีเหลี่ยมจัตรุ ัส กวางดานละ ๕๐ นยั อุบาย, อาการ, วิธ,ี ขอสําคญั , เคา
โยชน (บางวา ๕๐๐ โยชน แตไมหนกั ความ, เคาเง่ือน, แงความหมาย
แนน); ดู ดาวดึงส, นนั ทนวนั นยั นา ดวงตา
๑๗๖
นาค ๑๗๗ นานาสังวาส
นาค งูใหญในนยิ าย; ชาง; ผปู ระเสริฐ; นางเล็ด
ใชเปนคาํ เรยี กคนที่กําลังจะบวชดวย นาถ ทีพ่ งึ่ , ผเู ปนทพี่ ่ึง
นาคเสน พระอรหนั ตเถระผโู ตวาทะชนะ นาถกรณธรรม ธรรมทาํ ที่พง่ึ , ธรรม
พระยามลิ นิ ท กษตั รยิ แหงสาคลประเทศ สรางทพ่ี ่งึ , คุณธรรมทที่ าํ ใหพ่ึงตนได มี
ดงั มีคาํ โตตอบปญหามาในคมั ภรี มลิ นิ ท- ๑๐ อยางคอื ๑. ศลี มคี วามประพฤติดี
ปญหา ทานเกิดหลังพุทธกาลประมาณ ๒. พาหสุ จั จะ ไดเลาเรยี นสดบั ฟงมาก
๔๐๐ ป ทห่ี มบู านกชงั คละในหมิ วนั ต- ๓. กลั ยาณมติ ตตา มีมติ รดีงาม ๔.
ประเทศ เปนบุตรของพราหมณชื่อ โสวจสั สตา เปนคนวางาย ฟงเหตผุ ล
โสณตุ ตระ ทานเปนผชู าํ นาญในพระเวท ๕. กิงกรณีเยสุ ทักขตา เอาใจใสกจิ ธุระ
และตอมาไดอปุ สมบท โดยมพี ระโรหณะ ของเพอ่ื นรวมหมคู ณะ ๖. ธัมมกามตา
เปนพระอุปชฌาย; ดู มิลินท, มิลินท- เปนผูใครธรรม ๗. วิรยิ ะ ขยนั หมั่น
ปญหา เพยี ร ๘. สนั ตุฏฐี มีความสนั โดษ ๙.
นาคาวโลก การเหลียวมองอยางพญา สติ มสี ติ ๑๐. ปญญา มีปญญาเขาใจสงิ่
ชาง, มองอยางชางเหลียวหลัง คือ ทง้ั หลายตามความเปนจริง
เหลียวดูโดยหันกายกลับมาทั้งหมด นานาธาตุญาณ ปรีชาหยั่งรูธาตุตางๆ
เปนกริ ิยาของพระพทุ ธเจา ตามเรือ่ งใน คอื รจู กั แยกสมมตอิ อกเปนขนั ธ อายตนะ
พทุ ธประวตั ิ คร้งั ที่ทอดพระเนตรเมอื ง ธาตุตางๆ (ขอ ๔ ในทศพลญาณ)
เวสาลีเปนปจฉิมทัศน กอนเสด็จไป นานาธมิ ตุ ตกิ ญาณ ปรชี าหยงั่ รอู ธั ยาศยั
ปรนิ ิพพานทเ่ี มืองกุสนิ ารา; เปนชอ่ื พระ ของสตั ว ทโี่ นมเอยี ง เชอื่ ถอื สนใจ พอใจ
พุทธรูปปางหนึ่ง ซง่ึ ทํากริ ยิ าอยางนั้น; ดู ตางๆ กัน (ขอ ๕ ในทศพลญาณ)
พทุ ธปรนิ พิ พาน นานานกิ าย นิกายตางๆ คือหมูแหงสงฆ
นาคิตะ พระเถระมหาสาวกองคหน่ึง ตางหมูตางคณะ
เคยเปนอุปฏฐากของพระพุทธองค มี นานาภัณฑะ ทรพั ยตางกนั คอื หลายสง่ิ ,
พระสูตรท่ีพระพุทธเจาตรัสแกทานเกยี่ ว ภัณฑะตางๆ, ส่ิงของตางชนิดตาง
กับเนกขัมมสุข ปรากฏอยูในคัมภีร ประเภท
อังคตุ ตรนกิ าย ๒–๓ แหง นานาสังวาส มีธรรมเปนเครอ่ื งอยูรวม
นางเร็ด ชื่อขนมชนิดหนึง่ ทําเปนแผน (คืออุโบสถและสังฆกรรมเปนตน) ท่ี
กลมโรยนํ้าตาล พจนานุกรมเขียน ตางกนั , สงฆผูไมรวมสังวาส คือ ไม
๑๗๗
นาบ,ี นบี ๑๗๘ นาลกะ
รวมอโุ บสถและสงั ฆกรรมดวยกนั เรยี ก ตา หู จมกู ล้ิน กาย แตรูไดทางใจ; ดู
วาเปนนานาสงั วาสของกนั และกัน เหตุ นาม; คูกบั รปู ธรรม
ทที่ ําใหนานาสงั วาสมี ๒ คือ ภิกษุทําตน นามรูป นามธรรม และรูปธรรม
ใหเปนนานาสังวาสเอง เชน อยูในนกิ าย นามธรรม หมายถึง ส่งิ ทีไ่ มมีรูป คอื รู
หน่ึงไปขอเขานิกายอ่ืน หรือแตกจาก ไมไดทาง ตา หู จมกู ล้ิน กาย แตรูได
พวกเพราะเหตุวิวาทาธิกรณอยางหนึ่ง ดวยใจ ไดแกเวทนา สัญญา สงั ขาร
อีกอยางหน่ึงถูกสงฆพรอมกันยกออก วิญญาณ รปู ธรรม หมายถงึ ส่ิงท่มี รี ูป
จากสงั วาส ส่งิ ท่เี ปนรปู ไดแกรปู ขนั ธท้ังหมด
นาบ,ี นบี ศาสดาผปู ระกาศศาสนาอสิ ลาม นามรูปปริจเฉทญาณ ญาณกําหนด
ทําหนาท่ีแทนพระผูเปนเจา, ผูเทศนา, แยกนามรปู , ญาณหยงั่ รูวาสงิ่ ทั้งหลาย
ผูประกาศขาว ชาวมุสลิมถือวาพระ เปนแตเพียงนามและรูป และกําหนด
มะหะหมัดเปนนาบอี งคสดุ ทาย จําแนกไดวาสิ่งใดเปนรูป สิง่ ใดเปนนาม
นาม ธรรมที่รูจกั กนั ดวยชือ่ กาํ หนดรู (ขอ ๑ ในญาณ ๑๖)
ดวยใจ เปนเร่อื งของจติ ใจ, สิ่งทไ่ี มมีรปู นามรูปปจจัยปริคคหญาณ ญาณ
ราง ไมใชรปู แตนอมมาเปนอารมณของ กาํ หนดจบั ปจจยั แหงนามรปู , ญาณหยงั่
จติ ได 1. ในทท่ี ว่ั ไปหมายถงึ อรปู ขนั ธ ๔ รทู ก่ี าํ หนดจบั ไดซงึ่ ปจจยั แหงนามและรปู
คอื เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ โดยอาการท่ีเปนไปตามหลักปฏิจจ-
2. บางแหงหมายถงึ อรปู ขนั ธ ๔ นั้นและ สมปุ บาท เปนตน (ขอ ๒ ในญาณ ๑๖)
นิพพาน (รวมทั้งโลกุตตรธรรมอ่ืนๆ) 3. เรียกกันส้ันๆ วา ปรคิ คหญาณ
บางแหงเชนในปฏจิ จสมปุ บาท บางกรณี นารายณ ชอ่ื เรียกพระวษิ ณุ ซ่งึ เปนพระ
หมายเฉพาะเจตสกิ ธรรมทงั้ หลาย; เทยี บ รปู เจาองคหนึง่ ของศาสนาพราหมณ
นามกาย “กองแหงนามธรรม” หมายถงึ นารี ผูหญงิ , นาง
เจตสกิ ท้ังหลาย; เทยี บ รปู กาย นาลกะ 1. หลานชายของอสิตดาบส
นามขันธ ขนั ธทเี่ ปนฝายนามธรรม มี ๔ ออกบวชตามคําแนะนาํ ของลุง และไป
คอื เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ บําเพ็ญสมณธรรมรอการตรัสรูของพระ
นามธรรม สภาวะท่ีนอมไปหาอารมณ, พุทธเจาอยูในปาหิมพานต ครั้นพระ
ใจและอารมณทเ่ี กิดกบั ใจ คือ จิต และ พุทธเจาตรัสรูแลว ไดมาทูลถามเรื่อง
เจตสกิ , สง่ิ ของทีไ่ มมรี ูป คอื รูไมไดทาง โมไนยปฏิปทา และกลับไปบําเพ็ญ
๑๗๘
นาลนั ทะ ๑๗๙ นาลันทา
สมณธรรมในปาหิมพานต ไดบรรลุ ๙๙๘ ไดทรงสรางวดั เปนสถานศกึ ษาขน้ึ
อรหตั แลว ดํารงอายอุ ยอู กี ๗ เดือน ก็ แหงหน่ึงท่ีเมืองนาลันทา และกษัตริย
พระองคตอๆ มาในราชวงศนก้ี ไ็ ดสราง
ปรนิ พิ พานในปาหิมพานตนัน้ เอง; ทาน วดั อืน่ ๆ เพม่ิ ข้ึนในโอกาสตางๆ จนมีถึง
๖ วดั อยใู นบรเิ วณใกลเคียงกนั ในท่ี
จัดเปนมหาสาวกองคหน่ึงในอสีติ- สุดไดมีการสรางกําแพงใหญอันเดียว
มหาสาวกดวย 2. ชอ่ื หมูบานอนั เปนที่ ลอมรอบ ทําใหวดั ทง้ั ๖ รวมเขาดวยกนั
เปนหนง่ึ เดยี ว เรยี กวา นาลนั ทามหาวหิ าร
เกิดของพระสารีบุตร ไมไกลจากเมือง และไดกลายเปนศูนยกลางการศึกษาท่ี
ราชคฤห บางทเี รยี ก นาลันทคาม ย่ิงใหญ แหงสาํ คัญย่ิง ท่ีนักประวัติ-
นาลันทะ ชอ่ื หมบู านแหงหนง่ึ ไมไกลจาก ศาสตรสมัยปจจุบัน เรียกกันทั่วไปวา
กรงุ ราชคฤห เปนบานเกดิ ของพระสาร-ี มหาวิทยาลัยนาลันทา พระเจาหรรษ-
บตุ ร; ดู นาลกะ 2. วรรธนะ มหาราชพระองคหน่ึงของ
นาลนั ทา ชอ่ื เมอื งเลก็ ๆ เมอื งหนง่ึ ในแควน อินเดีย ซ่ึงครองราชยระหวาง พ.ศ.
มคธ อยูหางจากพระนครราชคฤห ๑๑๔๙–๑๑๙๑ กไ็ ดทรงเปนองคอปุ ภมั ภก
ของมหาวิทยาลัยนาลันทา หลวงจีน
ประมาณ ๑ โยชน ณ เมอื งน้ี มสี วน เหีย้ นจงั (พระถงั ซมั จงั๋ ) ซงึ่ จารกิ มาสืบ
มะมวงช่ือ ปาวาริกมั พวัน (สวนมะมวง พระศาสนาในอนิ เดียในรัชกาลนี้ ในชวง
ของปาวาริกเศรษฐี) ซึ่งพระพุทธเจา พ.ศ. ๑๑๗๒–๑๑๘๗ ไดมาศึกษาที่
นาลนั ทามหาวิหาร และไดเขียนบันทกึ
เสด็จมาประทับแรมหลายครั้ง คัมภีร บรรยายอาคารสถานท่ีที่ใหญโตและ
ฝายมหายานกลาววา พระสารบี ตุ ร อคั ร- ศลิ ปกรรมทว่ี ิจติ รงดงาม ทานเลาถึงกิจ-
กรรมทางการศึกษาที่รุงเรืองยิ่ง นัก
สาวก เกดิ ทเ่ี มอื งนาลนั ทา แตคมั ภรี ฝาย ศกึ ษามีประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน และมี
อาจารยประมาณ ๑,๕๐๐ คน พระมหา-
บาลีเรียกถิ่นเกิดของพระสารีบุตรวา กษัตรยิ พระราชทานหมูบาน ๒๐๐ หมู
หมบู านนาลกะ หรือ นาลันทคาม โดยรอบถวายโดยทรงยกภาษีท่ีเก็บได
ใหเปนคาบาํ รงุ มหาวิทยาลัย ผูเลาเรียน
ภายหลงั พทุ ธกาล ชอ่ื เมอื งนาลนั ทา
๑๗๙
เงยี บหายไประยะหนง่ึ หลวงจนี ฟาเหยี น
ซ่ึงจาริกมาสืบศาสนาในชมพูทวีป ราว
พ.ศ. ๙๔๔–๙๕๓ บนั ทกึ ไววาไดพบเพยี ง
สถปู องคหนงึ่ ทน่ี าลนั ทา แตตอมาไมนาน
กษัตริยราชวงศคุปตะพระองคหน่ึงพระ
นามวาศกั ราทิตยหรือ กุมารคุปตะที่ ๑
ซ่ึงครองราชยประมาณ พ.ศ. ๙๕๘–
นาลันทา ๑๘๐ นาลันทา
ไมตองเสียคาใชจายใดๆ ทง้ั ส้ิน วิชาที่ กลืนกับศาสนาฮินดูมากขึ้น เปนเหตุ
สอนมีทั้งปรัชญา โยคะ ศัพทศาสตร สําคัญอยางหน่ึงแหงความเส่ือมโทรม
เวชชศาสตร ตรรกศาสตร นติ ิศาสตร ของพระพุทธศาสนา ครั้นถึงประมาณ
นิรุกติศาสตร ตลอดจนโหราศาสตร พ.ศ. ๑๗๔๒ กองทพั มสุ ลมิ เตริ กสไดยก
ไสยศาสตร และตนั ตระ แตทเ่ี ดนชัดก็ มารุกรานรบชนะกษัตริยแหงชมพูทวีป
คือนาลันทาเปนศูนยกลางการศึกษา ฝายเหนือ และเขาครอบครองดินแดน
พุทธศาสนาฝายมหายาน และเพราะ โดยลาํ ดับ กองทัพมสุ ลมิ เตริ กสไดเผา
ความท่มี กี ติ ตศิ พั ทเลอ่ื งลอื มาก จงึ มนี ัก ผลาญทําลายวัดและปูชนียสถานใน
ศึกษาเดินทางมาจากตางประเทศหลาย พทุ ธศาสนาลงแทบทง้ั หมด และสงั หารผู
แหง เชน จนี ญป่ี นุ เอเชยี กลาง สมุ าตรา ทไี่ มยอมเปลยี่ นศาสนา นาลนั ทามหาวหิ าร
ชวา ทเิ บต และมองโกเลยี เปนตน หอ กถ็ กู เผาผลาญทาํ ลายลงในชวงระยะเวลา
สมุดของนาลันทาใหญโตมากและมีชื่อ นน้ั ดวย มีบนั ทึกของนกั ประวตั ศิ าสตร
เสียงไปทั่วโลก เมื่อคราวท่ีถูกเผา ชาวมสุ ลมิ เลาวา ทนี่ าลนั ทา พระภกิ ษถุ กู
ทําลายในสมัยตอมา มีบันทึกกลาววา สังหารแทบหมดสิ้น และมหาวิทยาลัย
หอสมุดนี้ไหมอยูเปนเวลาหลายเดือน นาลันทาก็ไดถึงความพินาศสูญสิ้นลง
ห ล ว ง จี น อี้ จิ ง ซ่ึ ง จ า ริ ก ม า ใ น ร ะ ย ะ แตบดั นนั้ มา ซากของนาลนั ทาทถี่ กู ขดุ พบ
ประมาณ พ.ศ. ๑๒๒๓ ก็ไดมาศกึ ษาที่ ในภายหลงั ยงั ประกาศยนื ยนั อยางชดั เจน
นาลันทาและไดเขียนบันทึกเลาไวอีก ถงึ ความยงิ่ ใหญของนาลนั ทาในอดีต
นาลันทารุงเรืองสืบมาชานานจนถึงสมัย
ราชวงศปาละ (พ.ศ. ๑๓๐๓–๑๖๘๕) ในปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๕
กษัตริยราชวงศนี้ก็ทรงอุปถัมภมหา- อินเดียไดเริ่มต่ืนตัว และตระหนักถึง
วิหารแหงน้ี เชนเดียวกับมหาวิทยาลัย ความสําคัญของพระพุทธศาสนาท่ีไดมี
อื่นๆ โดยเฉพาะโอทันตปุระที่ไดทรง บทบาทอันย่ิงใหญในการสรางสรรค
สถาปนาข้นึ ใหม อยางไรก็ดี ในระยะ อารยธรรมของชมพูทวีป รวมท้ังบท
หลังๆ นาลนั ทาไดหันไปสนใจการศกึ ษา บาทของมหาวิทยาลัยนาลันทานี้ดวย
พุทธศาสนาแบบตันตระ ท่ีทําใหเกิด และใน พ.ศ. ๒๔๙๔ กไ็ ดมีการจัดตงั้
ความยอหยอนและหลงเพลินทาง สถาบนั บาลนี าลนั ทา ชอื่ วา นวนาลนั ทา-
กามารมณ และทําใหพุทธศาสนากลม มหาวิหาร (นาลนั ทามหาวิหารแหงใหม)
ขึ้น เพื่อแสดงความรําลึกคุณและยก
๑๘๐
นาสนะ ๑๘๑ นคิ ม
ยองเกียรติแหงพระพทุ ธศาสนา พรอม สุตตันตปฎก ซึ่งแยกเปน ทีฆนิกาย
ท้ังเพ่ือเปนอนุสรณแกนาลันทามหา- มชั ฌมิ นกิ าย สังยตุ ตนกิ าย องั คตุ ตร-
นิกาย และขุททกนิกาย; ดู ไตรปฎก 2.
วหิ าร มหาวทิ ยาลยั ทย่ี งิ่ ใหญในอดตี สมยั
นาสนะ ดู นาสนา คณะนกั บวช หรอื ศาสนิกชนในศาสนา
นาสนา ใหฉิบหายเสีย คือ การลงโทษ
เดยี วกนั ทแ่ี ยกเปนพวกๆ; ในพระพทุ ธ-
บุคคลผูไมสมควรถือเพศ มี ๓ อยาง ศาสนามีนิกายใหญท่ีเรียกไดวาเปน
คอื ๑. ลิงคนาสนา ใหฉิบหายจากเพศ นิกายพทุ ธศาสนาในปจจบุ นั ๒ นกิ าย
คอื ใหสกึ เสยี ๒. ทณั ฑกรรมนาสนา ให คือ มหายาน หรือนิกายฝายเหนือ
ฉบิ หายดวยการลงโทษ ๓. สงั วาสนาสนา (อุตรนิกาย) พวกหนึ่ง และ เถรวาท
ใหฉิบหายจากสังวาส หรอื นิกายฝายใต (ทกั ษิณนกิ าย) ทบ่ี าง
นาสิก จมูก ทีเรยี ก หีนยาน พวกหนง่ึ ; ในประเทศ
นาสิกฏั านชะ อักษรเกดิ ในจมกู คือ ไทยปจจุบนั พระภิกษสุ งฆในพระพุทธ
นิคคหติ (-)ํ , พยัญชนะทสี่ ดุ วรรคทง้ั ๕ ศาสนาฝายเถรวาทดวยกัน แยกออก
คอื ง ณ น ม นอกจากเกดิ ในฐาน เปน ๒ นิกาย แตเปนเพียงนิกายสงฆ
ของตนๆ แลว กเ็ กิดในจมูกดวย (คือ มิใชถึงกับเปนนิกายพุทธศาสนา (คือ
เกิดใน ๒ ฐาน) แยกกันเฉพาะในหมูนักบวช) ไดแก
นาฬี ช่ือมาตราตวง แปลวา “ทะนาน”; ดู มหานกิ าย และ ธรรมยตุ กิ นกิ าย ซึ่งบางที
มาตรา เรียกเพียงเปนคณะวา คณะมหานกิ าย
นํา้ ทิพย นา้ํ ท่ีทําผดู ่มื ใหไมตาย หมายถึง และ คณะธรรมยตุ
นคิ คหะ ดู นิคหะ
นา้ํ อมฤต หรือนํ้าสรุ ามฤต
นํ้าอมฤต ดู อมฤต นิคคหกรรม ดู นคิ หกรรม
นิกเขปบท บทตง้ั , คําหรอื ขอความ ทยี่ อ นิคคหวธิ ี วิธขี ม, วธิ ที าํ นคิ หะ, วธิ ีลง
จับเอาสาระมาวางตั้งลงเปนแมบท เพ่ือ โทษ; ดู นคิ หกรรม
จะขยายความ หรอื แจกแจงอธบิ ายตอไป นคิ คหติ อกั ขระทวี่ ากดเสียง, อกั ขระท่ี
นิกร หม,ู พวก
วาหุบปากกดกรณไวไมปลอย มรี ปู เปน
นิกรสตั ว หมสู ตั ว จดุ กลวง เชน สงฺฆํ อุปสมปฺ ทํ; บดั น้ี
นกิ าย พวก, หมวด, หม,ู ชุมนุม, กอง; นยิ มเขียน นคิ หิต
1. หมวดตอนใหญแหงพทุ ธพจนในพระ นิคม 1. หมบู านใหญ, เมอื งขนาดเล็ก,
๑๘๑
นิคมกถา ๑๘๒ นทิ เทส
ยานการคา 2. คําลงทายของเรอ่ื ง นยิ สกรรม ปพพาชนยี กรรม ปฏสิ ารณยี -
นิคมกถา 1. การสนทนาถกเถยี งกนั เรือ่ ง กรรม อกุ เขปนยี กรรม และ ตสั สปาปย-
นิคม วานิคมน้ันนิคมน้ีเปนอยางน้ัน สิกากรรม
อยางนี้ แบบเพอเจอ, เปนตริ ัจฉานกถา นคิ ณั ฐนาฏบตุ ร ดู นคิ รนถนาฏบตุ ร
อยางหน่งึ ; ดู ติรจั ฉานกถา 2. ถอยแถลง นิโครธ ตนไทร
ทายเรอื่ ง, ขอความลงทาย, คาํ กลาวปด นิโครธาราม อารามที่พระญาติสราง
เรอ่ื ง, ในภาษาบาลี นิยมเขียน “นคิ มน- ถวายพระพทุ ธเจา อยใู กลกรงุ กบลิ พสั ดุ
กถา”, คกู ับ นิทานกถา คอื คาํ กลาวนํา นิจศีล ศีลท่ีพึงรักษาเปนประจํา, ศีล
หรือคาํ แถลงเริม่ เรอื่ ง ประจําตัวของอุบาสกอุบาสิกา ไดแก
นิคมพจน, นิคมวจนะ คําลงทาย, คาํ ศีล ๕
กลาวปดเรือ่ ง, ในภาษาบาลี นยิ มเขียน นิตย เท่ยี ง, ย่ังยนื , เสมอ, เปนประจาํ
“นคิ มนวจน”, คูกบั นิทานพจน หรอื นติ ยกาล ตลอดเวลา, ตลอดกาลเปนนติ ย
นทิ านวจนะ คือคํานํา หรอื คําเริ่มเร่อื ง นติ ยภัต อาหารหรอื คาอาหารทถ่ี วายแก
นคิ มสีมา แดนนคิ ม, อพัทธสีมาท่สี งฆ ภิกษุสามเณรเปนประจาํ
กําหนดดวยเขตนคิ มทีต่ นอาศยั อยู นทิ เทส 1. คาํ แสดง, คาํ ช้แี จงอธิบาย,
นิครนถ นักบวชนอกพระพุทธศาสนาท่ี คาํ ไขความ (พจนานกุ รม เขียน นเิ ทศ);
เปนสาวกของนิครนถนาฏบุตร, นกั บวช ดู นเิ ทศ 2. ชือ่ คัมภรี อนั เปนภาษิตของ
ในศาสนาเชน พระสารีบุตร ซึง่ อธิบายขยายความพระ
นิครนถนาฏบตุ ร คณาจารยเจาลทั ธคิ น สูตรตางๆ ในสตุ ตนิบาต แยกยอยเปน
หน่งึ ในจํานวนครูท้ัง ๖ เปนศาสดาของ มหานิทเทส อธิบายขยายความพระ
พวกนิครนถ มคี นนบั ถอื มาก มชี อ่ื เรยี ก สตู ร ๑๖ สตู ร ในอฏั ฐกวรรคแหงสุตต
หลายอยาง เชน วรรธมานบาง พระมหา นิบาต และ จฬู นทิ เทส อธบิ ายขยาย
วรี ะบาง เปนตนศาสนาเชน ซ่ึงยังมีอยูใน ความพระสูตร ๑๖ สตู รในปารายนวรรค
ประเทศอนิ เดยี และขัคควิสาณสูตรในอุรควรรค แหง
นคิ หะ การขม, การกําราบ, การลงโทษ
นคิ หกรรม การลงโทษตามพระธรรมวนิ ยั , สตุ ตนบิ าต จดั เปนคัมภรี ที่ ๑๑ แหง
สังฆกรรมประเภทลงโทษผูทําความผิด ขุททกนิกาย ในพระสุตตันตปฎก; ดู
ทานแสดงไว ๖ อยางคือ ตัชชนยี กรรม ไตรปฎก (เลม ๒๙ มหานทิ เทส และ
๓๐ จูฬนทิ เทส)
๑๘๒
นทิ ศั นะ,นิทสั น ๑๘๓ นพิ ทั ธทกุ ข
นิทัศนะ, นทิ ัสน ตัวอยางทนี่ าํ มาแสดง การยอมเชอื่ ฟง
ใหเห็น, อทุ าหรณ (พจนานุกรม เขียน นพิ พาน การดับกเิ ลสและกองทกุ ข เปน
นิทศั น) โลกตุ ตรธรรม และเปนจุดหมายสูงสุด
นิทาน เหตุ, ท่มี า, ตนเรื่อง, ความเปนมา ในพระพุทธศาสนา; ดู นพิ พานธาตุ
แตเดมิ หรือเรือ่ งเดมิ ทเี่ ปนมา เชนในคํา นพิ พานธาตุ ภาวะแหงนพิ พาน; นพิ พาน
วา “ใหทาน ท่ีเปนสุขนิทานของสรรพ หรอื นพิ พานธาตุ ๒ คอื ๑. สอปุ าทเิ สส-
สัตว” สขุ นทิ าน คอื เหตแุ หงความสุข; นิพพาน ดบั กิเลสมีเบญจขนั ธเหลอื ๒.
ในภาษาไทย ความหมายไดเพ้ียนไป อนุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสไมมี
กลายเปนวา เร่ืองทเ่ี ลากันมา เบญจขนั ธเหลอื
นิทานกถา คําแถลงความเปนมา, ขอ นพิ พิทา “ความหนาย” หมายถงึ ความ
ความตนเรอื่ ง, ความนาํ , บทนาํ หนายท่ีเกิดข้ึนจากปญญาพิจารณาเห็น
นิทานพจน, นิทานวจนะ คําช้ีแจง ความจริง ถาหญิงชายอยูกินกันเกิด
ความเปนมา, ถอยคาํ ตนเรอ่ื ง, คําเรมิ่ หนายกัน เพราะความประพฤติไมดตี อ
เร่อื ง, คํานํา กัน หรือหนายในมรรยาทของกันและ
นิเทศ คาํ ชแ้ี จงอธบิ าย, คาํ แสดงความ กัน อยางนี้ไมจดั เปนนิพพิทา; ความ
หมาย, คาํ ไขขยายความ; มกั มาคกู บั เบ่อื หนายในกองทุกข
อเุ ทศ; ดู อุเทศ นิพพิทาญาณ ความรูทที่ าํ ใหเบอ่ื หนาย
นิบาต ศพั ทภาษาบาลีท่วี างไวระหวางขอ ในกองทุกข, ปรชี าหย่ังเห็นสังขารดวย
ความในประโยคเพื่อเชื่อมขอความหรือ ความหนาย; ดู วิปสสนาญาณ
เสริมความ เปนอพั ยยศัพทอยางหนึ่ง นิพพทิ านปุ สสนาญาณ ปรชี าคาํ นงึ ถงึ
นปิ ปริยาย ไมออมคอม, ตรง, ส้ินเชงิ สงั ขารดวยความหนาย เพราะมแี ตโทษ
(พจนานุกรมเขยี น นิปริยาย)
มากมาย แตไมใชทําลายตนเองเพราะ
นิปปรยิ ายสทุ ธิ ความบรสิ ทุ ธ์ิโดยสนิ้ เชงิ เบื่อสงั ขาร เรียกสัน้ วา นิพพิทาญาณ
ไมมีการละและการบําเพ็ญอีก ไดแก นิพทั ธทาน ทานเนอื งนิตย, ทานทถ่ี วาย
ความบริสุทธ์ิของพระอรหนั ต; ตรงขามกบั หรือใหตอเนอื่ งเปนประจาํ
ปริยายสุทธ;ิ ดู สทุ ธิ นิพัทธทุกข ทุกขเนืองนิตย, ทุกข
นิปผนั นรปู ดูที่ รปู ๒๘
ประจาํ , ทุกขเปนเจาเรือน ไดแก หนาว
นิปจจการ การเคารพ, การออนนอม, รอน หิวกระหาย ปวดอจุ จาระ ปวด
๑๘๓
นพิ ัทธปุ ฏฐาก ๑๘๔ นยิ ยานิกะ
ปสสาวะ ถวาย, ขอเขาโดยวธิ ีใหรโู ดยนัย ไมขอ
นิพัทธุปฏฐาก อุปฏฐากประจํา ตาม ตรงๆ 3. เครื่องหมายสําหรับใหจิต
ปกติ หมายถงึ พระอุปฏฐากประจําพระ กําหนดในการเจริญกรรมฐาน, ภาพท่ี
องคของพระพุทธเจา คือพระอานนท เปนอารมณกรรมฐานมี ๓ คือ ๑.
ซ่ึงไดรับหนาท่ีเปนพระอุปฏฐากประจํา บริกรรมนมิ ติ นิมติ แหงบริกรรม หรอื
พระองคตงั้ แตพรรษาท่ี ๒๐ แหงพทุ ธ- นิมิตตระเตรียม ไดแก ส่งิ ท่เี พง หรอื
กิจ เปนตนไปจนสิ้นพุทธกาล, กอน กําหนดนึกเปนอารมณกรรมฐาน ๒.
พรรษาที่ ๒๐ นน้ั พระเถระมากหลาย อุคคหนิมิต นมิ ิตทีใ่ จเรียน หรือนิมติ ติด
รูป รวมท้ังพระอานนท และพระ ตาติดใจ ไดแก สิง่ ทเี่ พงหรือนึกนั้นเอง
มหาสาวกท้ังปวง ไดเปล่ยี นกันทําหนาท่ี ท่ีแมนในใจ จนหลับตามองเห็น ๓.
เปนพระอุปฏฐากของพระพุทธเจา ดัง ปฏิภาคนิมิต นิมิตเสมือน หรือนิมิต
บางทานที่ปรากฏนามเพราะมีเหตุการณ เทียบเคียง ไดแก อคุ คหนิมิตนัน้ เจน
เก่ียวของ เทาทพ่ี บ คือ พระนาคสมาละ ใจจนกลายเปนภาพที่เกิดจากสัญญา
พระอุปวาณะ พระสนุ กั ขตั ตะ พระจนุ ทะ เปนของบริสุทธิ์ จะนึกขยายหรือยอ
พระนนั ทะ พระสาคตะ พระโพธิ พระ สวนก็ไดตามปรารถนา 4. สิ่งที่พระ
เมฆยิ ะ; ดู อานนท, อุปฏฐาก, พร ๘ โพธิสัตวทอดพระเนตรเห็นกอนเสด็จ
นมิ นต เชญิ หมายถงึ เชญิ พระ เชญิ นกั บวช ออกบรรพชา ๔ อยาง; ดู เทวทูต
นิมมานรดี สวรรคชั้นท่ี ๕ มีทาว นมิ ิตขาด (ในคําวา “สมี ามีนมิ ิตขาด”)
สุนิมมิตเทวราชปกครอง เทวดาช้ันน้ี สีมามนี มิ ติ แนวเดียว ชักแนวบรรจบไม
ปรารถนาส่ิงหนง่ึ สง่ิ ใด นิรมิตเอาได ถึงกนั ; ตามนยั อรรถกถาวา ทักนมิ ิตไม
นิมนั ตนะ การนมิ นต หรอื อาหารที่ไดใน ครบรอบถึงจุดเดิมท่ีเรม่ิ ตน
ทนี่ ิมนต หมายเอาการนิมนตของทายก นิมติ ต ดู นมิ ติ
นิมิตตโอภาส ตรัสขอความเปนเชิงเปด
เพือ่ ไปฉันท่บี านเรือนของเขา
นมิ ติ 1. เครอ่ื งหมาย ไดแกวตั ถอุ นั เปน โอกาสใหอาราธนาเพ่ือดาํ รงพระชนมอยู
เคร่อื งหมายแหงสีมา, วัตถุทคี่ วรใชเปน ตอไป
นิมิตมี ๘ อยาง ภเู ขา ศิลา ปาไม ตนไม นยิ ม กาํ หนด; ชอบ, นบั ถือ
จอมปลวก หนทาง แมนาํ้ น้ํา 2. (ในคาํ นิยยานิกะ เปนเครือ่ งนําสัตวออกไปจาก
วาทาํ นิมติ ) ทําอาการเปนเชิงชวนใหเขา กองทุกข
๑๘๔
นยิ สกรรม ๑๘๕ นเิ วศน
นยิ สกรรม กรรมอนั สงฆพงึ ทําใหเปนผู คนเขาใจ ตลอดท้ังรูภาษาตางประเทศ
ไรยศ ไดแกการถอดยศ, เปนชือ่ นิคห- (ขอ ๓ ในปฏิสัมภิทา ๔)
กรรมที่สงฆทําแกภิกษุผูมีอาบัติมาก นโิ รธ ความดับทุกข คอื ดบั ตัณหาไดสิน้
หรือคลุกคลีกับคฤหัสถ ดวยการคลุก เชิง, ภาวะปลอดทุกขเพราะไมมที ุกขท่ี
คลีอันไมสมควร โดยปรับใหถือนิสัย จะเกดิ ขึ้นได หมายถึงพระนิพพาน
ใหมอกี ; ดู นคิ หกรรม นโิ รธสมาบตั ิ การเขานโิ รธ คือ ดบั
นิยาย เรื่องท่ีเลากันมา, นิทานที่เลา สัญญาความจําไดหมายรู และเวทนา
เปรียบเทยี บเพ่อื ไดใจความเปนสภุ าษติ การเสวยอารมณ เรียกเต็มวา เขา
นริ ยะ นรก, ภพทไ่ี มมีความเจรญิ , ภมู ิท่ี สัญญาเวทยิตนิโรธ, พระอรหันตและ
เสวยทุกขของคนผูทําบาปตายแลวไป พระอนาคามที ไ่ี ดสมาบตั ิ ๘ แลวจงึ จะ
เกิด (ขอ ๑ ในทคุ ติ ๓, ขอ ๑ ในอบาย เขานโิ รธสมาบัตไิ ด (ขอ ๙ ในอนปุ พุ พ-
๔) ดู นรก, คติ วิหาร ๙)
นริ ยบาล ผูคมุ นรก, ผูลงโทษสตั วนรก นิโรธสัญญา ความสาํ คัญหมายในนิโรธ
นิรฺวาณมฺ ความดับ เปนคําสันสกฤต คอื กําหนดหมายการดบั ตณั หาอันเปน
เทียบกับภาษาบาลี ก็ไดแกศัพทวา อริยผลวา เปนธรรมละเอยี ดประณตี ; ดู
นิพพาน น่นั เอง ปจจุบนั นิยมใชเพยี งวา สัญญา
นิรวาณ กับ นริ วาณะ น้วิ พระสคุ ต, นวิ้ สคุ ต ดู มาตรา
นิรันดร ติดตอกัน, เสมอมา, ไมมี นวิ รณ, นวิ รณธรรม ธรรมที่กน้ั จติ ไม
ระหวางค่ัน, ไมเวนวาง ใหบรรลุความด,ี สิ่งที่ขัดขวางจติ ไมให
นริ ันตราย ปราศจากอันตราย กาวหนาในคณุ ธรรม, อกุศลธรรมท่กี ด
นริ ามษิ , นริ ามิส หาเหยือ่ มิได, ไมมี ทบั จติ ปดกน้ั ปญญา มี ๕ อยาง คือ ๑.
อามิสคือเหย่ือท่ีเปนเครื่องลอใจ, ไม กามฉนั ท พอใจใฝกามคุณ ๒. พยาบาท
แคนเคืองคิดรายเขา ๓. ถีนมทิ ธะ หดหู
ตองอาศัยวตั ถุ
นริ ามิสสขุ สุขไมเจืออามิส, สุขไมตอง ซึมเซา ๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ฟุงซาน
อาศัยเคร่อื งลอหรือกามคณุ ไดแก สขุ ที่ รําคาญใจ ๕. วิจกิ ิจฉา ลงั เลสงสยั
องิ เนกขัมมะ; ดู สขุ นวิ รณูปกเิ ลส โทษเคร่ืองเศราหมองคอื
นิรุตติปฏิสัมภิทา ปญญาแตกฉานใน นวิ รณ
ภาษา คอื เขาใจภาษา รูจกั ใชถอยคาํ ให นิเวศน ทอี่ ยู
๑๘๕
นิสสยาจารย ๑๘๖ นสิ สัคคยิ ปาจิตตีย
นสิ สยาจารย อาจารยผใู หนิสัย แทน “ภนเฺ ต”), ถาสละ ๒ ผนื ข้นึ ไป วา
นิสสรณวิมุตติ ความหลดุ พนดวยออก “อมิ านิ เม ภนเฺ ต จีวรานิ ทสาหา-
ไปเสีย หรือสลัดออกได เปนการพนที่ ติกฺกนฺตานิ นสิ ฺสคฺคิยาน,ิ อิมานาห
อายสมฺ โต นิสสฺ ชฺชาม.ิ ”; ถาของอยู
ยั่งยืนตลอดไป ไดแกนิพพาน, เปน
นอกหตั ถบาส วา “เอต”ํ แทน “อทิ ํ”
โลกตุ ตรวิมุตติ (ขอ ๕ ในวมิ ตุ ติ ๕)
นิสสคั คิยะ, นิสสคั คยี “อนั ใหตองสละ และ “เอตาหํ” แทน “อมิ าห”ํ , วา “เอตานิ”
สงิ่ ของ” เปนคุณบทแหงอาบตั ิปาจติ ตีย
แทน “อมิ าน”ิ และ “เอตานาห”ํ แทน
หมวดทมี่ ีการตองสละสิ่งของ ซง่ึ เรียกวา
นิสสัคคิยปาจิตตีย; “อันจะตองสละ” “อิมานาห”ํ ; คําคืนให (ถาหลายผืน หรือ
เปนคุณบทแหงส่ิงของที่จะตองสละเม่ือ
อยนู อกหตั ถบาส พงึ เปลยี่ นโดยนยั ขาง
ตองอาบตั ปิ าจติ ตยี หมวดน้นั กลาวคือ ตน) วา “อมิ ํ จีวร อายสฺมโต ทมฺม”ิ
นสิ สคั คิยวัตถุ
นสิ สคั คิยกัณฑ ตอน หรอื สวนอันวา จวี รวรรค สกิ ขาบทท่ี ๒ (อยปู ราศ
ดวยอาบัตนิ สิ สคั คยิ ปาจิตตีย
นสิ สคั คิยปาจิตตยี อาบัติปาจิตตีย อนั จากไตรจวี รลวงราตร)ี ของอยใู นหตั ถบาส
ทําใหตองสละสิ่งของ ภิกษุตองอาบัติ วา “อิท เม ภนเฺ ต จวี รํ รตฺตวิ ปิ ฺปวุตถฺ ํ
อ ฺ ตรฺ ภิกฺขสุ มฺมตยิ า นสิ สฺ คคฺ ิย, อิมาห
ประเภทนี้ ตองสละส่ิงของท่ีทําใหตอง อายสฺมโต นสิ ฺสชฺชามิ.”, ถา ๒ ผนื วา
“ทวฺ จิ วี ร”ํ ถาท้ัง ๓ ผนื วา “ตจิ วี ร”ํ (คาํ
อาบตั กิ อน จงึ จะปลงอาบตั ติ ก, มที ง้ั หมด
คนื ผาให และคําเปลี่ยนทั้งหลาย พึง
๓๐ สกิ ขาบท จดั เปน ๓ วรรค คือ จีวร-
ทราบเหมอื นในสิกขาบทแรก)
วรรค (มี ๑๐ สิกขาบท) โกสยิ วรรค (มี โกสยิ วรรค สกิ ขาบทที่ ๘ (รบั ทอง
๑๐ สิกขาบท) และปตตวรรค (มี ๑๐ เงนิ - ตองสละในสงฆ) วา “อหํ ภนฺเต
รูปยํ ปฏิคฺคเหสึ, อทิ ํ เม นิสสฺ คคฺ ยิ ,
สกิ ขาบท) อิมาห สงฆฺ สฺส นิสฺสชฺชาม.ิ ”
ตวั อยางคาํ เสยี สละ ในบางสกิ ขาบท: โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๙ (แลก
จวี รวรรค สกิ ขาบทที่ ๑ (ทรงอตเิ รก-
จวี รเกนิ ๑๐ วนั ) ของอยใู นหตั ถบาส วา เปลย่ี นดวยรปู ยะ - ตองสละในสงฆ) วา
“อทิ ํ เม ภนเฺ ต จีวรํ ทสาหาติกฺกนฺต “อห ภนฺเต นานปปฺ การก รูปยสโวหาร
นสิ สฺ คคฺ ยิ ,ํ อมิ าหํ อายสมฺ โต นสิ สฺ ชชฺ าม.ิ ” สมาปชฺชึ, อิทํ เม นิสฺสคฺคิยํ, อิมาห
(ถาผสู ละแกพรรษากวาผรู บั วา “อาวุโส” สงฺฆสฺส นสิ ฺสชฺชาม.ิ ”
ปตตวรรค สกิ ขาบทท่ี ๓ (เกบ็ เภสชั
๑๘๖
นสิ สคั คิยวตั ถุ ๑๘๗ นิสสัย
ไวฉนั ลวง ๗ วนั ) วา “อทิ ํ เม ภนฺเต พลอย ผลขางเคยี ง หรอื ผลโดยออม ซงึ่
เภสชชฺ ํ สตตฺ าหาติกฺกนฺตํ นสิ ฺสคคฺ ยิ ,ํ สืบเนื่องตอออกไปจากวิบาก (คือ
อมิ าห อายสฺมโต นิสฺสชชฺ ามิ.” คาํ คืนให อิฏฐารมณหรืออนิฏฐารมณที่เกิดพวง
วา “อมิ ํ เภสชชฺ ํ อายสมฺ โต ทมฺมิ” (เภสชั มาขางนอก อันจะกอใหเกิดความสุข
ทไี่ ดคนื มา มใิ หฉนั พงึ ใชในกจิ อน่ื ) หรอื ความทกุ ข) เชน ทํากรรมดีแลว เกดิ
นิสสคั คิยวัตถุ ของท่ีเปนนิสสัคคีย, ของ ผลดตี อชวี ติ เปนวิบาก จากน้ันพลอยมี
ที่ตองสละ, ของทที่ ําใหภิกษตุ องอาบัติ ลาภมีความสะดวกสบายเกิดตามมา
นิสสัคคยิ ปาจิตตยี จาํ ตองสละกอนจงึ เปนนิสสันท หรือทาํ กรรมชัว่ แลว ชีวิต
จะปลงอาบตั ิตก สืบตอแปรเปลี่ยนไปในทางที่ไมนา
นสิ สคั คยี ดู นิสสคั คยิ ะ ปรารถนา เปนวบิ าก และเกดิ ความโศก
นสิ สันท, นิสสันทะ “สภาวะทห่ี ลง่ั ไหล เศราเสยี ใจ เปนนสิ สันท และนสิ สันท
ออก”, ส่งิ ทเี่ กดิ ตามมา, ส่งิ ทอ่ี อกมาเปน น้ันหมายถึงผลท่ีพลอยเกิดแกคนอื่น
ผล, ผลสบื เน่อื ง หรือผลตอตาม เชน ดวย เชน บุคคลเสวยวบิ ากของกรรมชว่ั
แสงสวางและควัน เปนนิสสันทของไฟ, มชี ีวติ ท่ไี มดแี ลว ครอบครวั ญาติพีน่ อง
มูตรและคถู เปนตน เปนนสิ สนั ทของส่งิ ของเขาเกิดความเดือดรอนเปนอยูยาก
ที่ไดด่มื กิน, อปุ าทายรปู เปนนิสสนั ทของ ลาํ บาก เปนนสิ สนั ท; นิสสันท หมายถึง
มหาภูตรูป, โทสะเปนนสิ สันทของโลภะ ผลสืบเนื่องหรือผลพวงพลอยท่ีดีหรือ
(เพราะโลภะถกู ขัด โทสะจงึ เกิด), อรปู - รายก็ได ตางจากอานิสงสซ่ึงหมายถึง
ฌานเปนนสิ สนั ทของกสณิ , นโิ รธสมาบตั ิ ผลไดพเิ ศษในฝายดีอยางเดยี ว; ดู ผล,
เปนนิสสันทของสมถะและวิปสสนา เทยี บ วิบาก, อานสิ งส
นสิ สนั ท ใชกบั ผลดหี รอื ผลรายก็ได นิสสัย ปจจัยเคร่ืองอาศัยของบรรพชิต
เชนเดยี วกบั วิบาก แตวบิ ากหมายถึงผล ๔ อยาง คอื ๑. ปณฑยิ าโลปโภชนะ
ของกรรมท่ีเกิดข้ึนแกกระแสสืบตอแหง โภชนะท่ีไดมาดวยกําลังปลีแขง คือ
ชวี ติ ของผทู าํ กรรมนนั้ (คอื แกชวี ติ สนั ตติ เท่ียวบณิ ฑบาต รวมท้ังภตั ตาหารทเี่ ปน
หรอื แกเบญจขนั ธ) สวนนสิ สนั ทน้ี ใชกบั อตเิ รกลาภ ๑๐ อยาง ๒. บังสุกลุ จวี ร
ผลของกรรมก็ได ใชกับผลของธรรม ผานุงหมที่ทาํ จากของเขาท้งิ รวมทงั้ ผาที่
และเรอ่ื งราวทั้งหลายไดท่ัวไป ถาใชกบั เปนอตเิ รกลาภ ๖ อยาง ๓. รุกขมูล-
ผลของกรรม นสิ สันทหมายถึงผลพวง เสนาสนะ ที่อยูอาศยั คอื โคนไม รวมท้ัง
๑๘๗
นสิ สารณา ๑๘๘ นสิ ัย
ที่อยูอาศัยท่ีเปนอติเรกลาภ ๕ อยาง นนั่ เอง ในพธิ อี ปุ สมบทอยางทป่ี ฏบิ ตั กิ นั
๔. ปตู มิ ตุ ตเภสัช ยานา้ํ มูตรเนา รวมทัง้
เภสชั ทเ่ี ปนอตเิ รกลาภ ๕ อยาง (เรยี ก อยู การขอนสิ ยั ถอื อปุ ชฌายเปนบพุ กจิ ตอน
สนั้ ๆ วา จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ
คลิ านเภสัช); คาํ บาลีวา “นสิ สฺ ย” ใน หนึ่งของการอุปสมบท กอนจะทําการ
ภาษาไทย เขยี น นสิ สัย หรอื นิสัย ก็
ได; ดู ปจจยั 2., อนศุ าสน (๘) สอนซอมถามตอบอนั ตรายิกธรรม ผขู อ
นสิ สารณา การไลออก, การขบั ออกจาก
หมู เชน นาสนะสามเณรผูกลาวตพู ระผู อุปสมบทเปลงวาจาขอนิสัยถืออปุ ชฌาย
มพี ระภาคเจาออกไปเสียจากหมู (อยูใน
อปโลกนกมั ม) ประกาศถอนธรรมกถกึ ดงั นี้ (เฉพาะขอความท่พี มิ พตวั หนาเทา
ผไู มแตกฉานในธรรมในอรรถ คดั คาน
คดีโดยหาหลักฐานมิได ออกเสียจาก นน้ั เปนวินัยบญั ญตั ิ นอกน้ันทานเสริม
การระงับอธิกรณ (อยูในญัตติกมั ม); คู เขามาเพื่อใหหนักแนน): “อหํ ภนฺเต
กับ โอสารณา นสิ สฺ ยํ ยาจาม,ิ ทตุ ยิ มปฺ อหํ ภนเฺ ต นสิ สฺ ยํ
นิสยั 1. ทพี่ ึง่ , ทอ่ี าศัย เชน ขอนิสัยใน ยาจาม,ิ ตตยิ มปฺ อหํ ภนเฺ ต นสิ สฺ ยํ ยาจาม,ิ
การอุปสมบท (คือกลาวคําขอรองตอ อุปชฌฺ าโย เม ภนฺเต โหหิ, อุปชฺฌาโย เม
อุปชฌายในพธิ อี ปุ สมบท ขอใหทานเปน ภนฺเต โหห,ิ อปุ ชฌฺ าโย เม ภนฺเต โหหิ”
ท่ีพ่ึงที่อาศัยของตน ทําหนาทีป่ กครอง ลําดับนั้นผูจะเปนอุปชฌายะกลาวตอบ
สงั่ สอนใหการศกึ ษาอบรมตอไป), อาจารย วา “สาห”ุ (ดลี ะ) “ลห”ุ (เบาใจดอก)
ผูใหนิสัย เรียกวา นิสสยาจารย (อาจารย “โอปายกิ ”ํ (ชอบแกอบุ าย) “ปฏริ ปู ” (สม
ผูรับท่ีจะเปนที่พ่ึงที่อาศัย ทาํ หนาทีป่ ก ควรอย)ู “ปาสาทิเกน สมปฺ าเทห”ิ (จง
ครองแนะนําในการศกึ ษาอบรม); คาํ บาลี ใหถึงพรอมดวยอาการอันนาเลื่อมใส
วา “นสิ ฺสย” ในภาษาไทย เขยี น นสิ สัย
หรือ นิสยั กไ็ ด เถดิ ) คําใดคําหน่ึง หรอื ใหรเู ขาใจดวย
การขอนสิ ยั (ขออยใู นปกครองหรอื อาการทางกายก็ตาม ก็เปนอันไดถือ
ขอใหเปนทพี่ ่งึ ในการศึกษา) สาํ เร็จดวย
การถืออุปชฌาย (ขอใหเปนอุปชฌาย) อุปชฌายแลว แตนิยมกันมาใหผูขอ
กลาวรับคําของทานแตละคําวา “สาธุ
ภนเฺ ต” หรอื “สมปฺ ฏิจฺฉามิ” แลวกลาว
ตอไปอีกวา “อชฺชตคเฺ คทานิ เถโร มยฺหํ
ภาโร, อหมปฺ เถรสฺส ภาโร” (วา ๓ หน)
(= ตัง้ แตวันนีเ้ ปนตนไป พระเถระเปน
ภาระของขาพเจา แมขาพเจากเ็ ปนภาระ
ของพระเถระ)
ภิกษุนวกะถาไมไดอยูในปกครอง
๑๘๘
นิสัยมุตตกะ ๑๘๙ เนรญั ชรา
ของอุปชฌายดวยเหตอุ ยางใดอยางหน่ึง ๓ ในบารมี ๑๐)
ท่ที าํ ใหนสิ ัยระงบั เชน อุปชฌายไปอยู เนกขัมมวิตก ความตรึกที่จะออกจาก
เสยี ทอ่ี นื่ ตองถอื ภกิ ษอุ น่ื ทม่ี คี ณุ สมบตั ิ กาม หรอื ตรกึ ทจ่ี ะออกบวช, ความดําริ
สมควร เปนอาจารย และอาศัยทานแทน หรอื ความคดิ ที่ปลอดจากความโลภ (ขอ
วิธีถืออาจารยก็เหมือนกับวิธีถือ ๓ ในกุศลวติ ก ๓)
อุปชฌาย เปล่ยี นแตคาํ ขอวา “อาจรโิ ย เม เนตติ แบบแผน, เย่ียงอยาง, ขนบธรรม-
ภนเฺ ต โหห,ิ อายสมฺ โต นิสฺสาย วจฉฺ ามิ” เนียม (พจนานกุ รม เขยี น เนต)ิ
(ขอทานจงเปนอาจารยของขาพเจา เนตร ตา, ดวงตา
เนปาล ช่ือประเทศอันเคยเปนที่ตั้งของ
ขาพเจาจักอยอู าศัยทาน)
2. ปจจยั เครอื่ งอาศยั ของบรรพชติ ๔ แควนศากยะบางสวน รวมทั้งลมุ พนิ อี ัน
อยาง ดู นสิ สยั เปนทป่ี ระสตู ขิ องเจาชายสทิ ธตั ถะ ตง้ั อยู
3. ในภาษาไทยวา ความประพฤติที่ ทางทิศเหนือของประเทศอินเดียและ
เคยชิน เชน ทาํ จนเปนนิสยั ทางใตของประเทศจีน มีเน้ือท่ี
นิสัยมุตตกะ ภิกษุผูพนการถือนิสัย ๑๔๐,๗๙๗ ตารางกิโลเมตร มีพลเมือง
หมายถึงภกิ ษุมีพรรษาพน ๕ แลว มี ประมาณ ๒๙,๕๑๙,๑๑๔ คน (พ.ศ.
ความรธู รรมวนิ ยั พอรกั ษาตัวไดแลว ไม ๒๕๕๑); หนังสือเกาเขยี น เนปอล
ตองถือนิสัยในอุปชฌาย หรืออาจารย เนยยะ ผูพอแนะนําได คือพอจะฝกสอน
ตอไป; เรียกงายวา นสิ ัยมุตก
อบรมใหเขาใจธรรมไดตอไป (ขอ ๓ ใน
นิสัยสีมา คามสีมาเปนท่ีอาศัยของ บุคคล ๔ เหลา)
เนยยตั ถะ ดู อัตถะ 2.
พัทธสีมา
นิสิต ศิษยผูเลาเรียนอยูในสํานัก, ผู เนรเทศ ขบั ไลออกจากถน่ิ เดมิ , ใหออก
อาศัย, ผถู ือนสิ ยั ไปเสียจากประเทศ
นิสิตสีมา พทั ธสมี าอาศัยคามสมี า เนรัญชรา ชอ่ื แมนา้ํ สําคญั พระพุทธเจา
นสิ ที นะ ผาปูนง่ั สําหรบั ภิกษุ
ไดตรัสรูพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
นีตตั ถะ ดู อตั ถะ 2. ท่ีภายใตตนโพธ์ิ ซ่ึงอยูริมแมนํ้าสายนี้
เนกขมั มะ การออกจากกาม, การออก และกอนหนานั้นในวันตรัสรูทรงลอย
บวช, ความปลอดโปรงจากสิ่งลอเราเยา ถาดขาวมธุปายาสที่นางสุชาดาถวายใน
ยวน (พจนานุกรมเขียน เนกขมั ); (ขอ แมน้าํ สายน้ี
๑๘๙
เนวสัญญานาสญั ญายตนะ ๑๙๐ เนา
เนวสัญญานาสัญญายตนะ ภาวะท่ีมี ผอน กไ็ มนอน, คําสมาทานวา “เสยยฺ ํ
สัญญากไ็ มใช ไมมสี ัญญากไ็ มใช เปน ปฏิกฺขิปามิ, เนสชฺชิกงฺคํ สมาทิยามิ”
ชื่ออรปู ฌาน หรืออรูปภพที่ ๔ แปลวา “ขาพเจางดการนอน สมาทาน
เนวสัญญนี าสัญญี มสี ญั ญาก็ไมใช ไม องคแหงผ—ู ” (ขอ ๑๓ ใน ธดุ งค ๑๓)
เนา เอาผาทาบกนั เขา เอาเข็มเย็บเปนชวง
มสี ัญญาก็ไมใช
เนสชั ชกิ ังคะ องคแหงภกิ ษผุ ถู ือการน่งั ยาวๆ พอกันผาเคลื่อนจากกนั คร้นั เย็บ
คือ ถือ นัง่ ยืน เดนิ เทาน้ัน แมจะพัก แลวกเ็ ลาะเนานั้นออกเสีย
๑๙๐
บ
บทภาชนะ บทไขความ, บทขยายความ บรรพชา การบวช (แปลวา “เวนความชวั่
บทภาชนีย บทที่ต้ังไวเพื่อขยายความ, ทุกอยาง”) หมายถึง การบวชทั่วไป,
บททต่ี องอธิบาย ก า ร บ ว ช อั น เ ป น บุ ร พ ป ร ะ โ ย ค แ ห ง
บรม อยางยง่ิ , ทีส่ ดุ
บรมธาตุ กระดูกพระพทุ ธเจา อปุ สมบท, การบวชเปนสามเณร (เดิมที
บรมพุทโธบาย อุบายคือวิธีของพระ เดียว คําวา บรรพชา หมายความวา
พทุ ธเจาผูยอดเยยี่ ม จากศัพทวา บรม
(ปรม) + พทุ ธ (พทุ ธฺ ) + อบุ าย (อปุ าย) บวชเปนภกิ ษุ เชน เสด็จออกบรรพชา
บรมศาสดา ศาสดาทย่ี อดเยี่ยม, พระผู
อัครสาวกบรรพชา เปนตน ในสมยั ตอ
เปนครูท่สี ูงสดุ , พระบรมครู หมายถงึ มาจนถึงปจจุบันน้ี คําวา บรรพชา
หมายถงึ บวชเปนสามเณร ถาบวชเปน
ภิกษุ ใชคาํ วา อปุ สมบท โดยเฉพาะเมอ่ื
พระพุทธเจา ใชควบกันวา บรรพชาอุปสมบท)
บรมสารีริกธาตุ ดู สารรี กิ ธาตุ บรรพชติ ผบู วช, นักบวช เชน ภกิ ษุ
บรมสุข สขุ อยางยง่ิ ไดแก พระนพิ พาน สมณะ ดาบส ฤษี เปนตน แตเฉพาะใน
บรมอฏั ฐ,ิ บรมอัฐิ กระดูกกษัตรยิ พระพุทธศาสนา ไดแก ภิกษุและ
บรรจถรณ ผาปูนอน, เครอ่ื งลาด (คือ สามเณร (และภิกษุณี สิกขมานา
สามเณร)ี มกั ใชคกู ับ คฤหสั ถ (ในภาษา
ปจจัตถรณะ)
บรรจบ ครบ, ถวน, จดกนั , ประสมเขา, ไทยปจจบุ ันใหใชหมายเฉพาะนักบวชใน
ติดตอกัน, สมทบ พระพุทธศาสนา ไมวาในฝายเถรวาท
บรรทม นอน หรอื ฝายมหายาน)
บรรเทา ทําใหสงบ, คลาย, เบาลง, ทําให บรรพต ภเู ขา
บรรยาย การสอน, การแสดง, การชี้
เบาลง, ทเุ ลา
บรรพ ขอ, เลม, หมวด, ตอน, กัณฑ แจง; นัยโดยออม, อยาง, ทาง
เชนวา กายานุปสสนา ตามดูรเู ห็นกาย บรรลุ ถงึ , สาํ เรจ็
แยกเปนบรรพตางๆ มี อานาปานบรรพ บรกิ รรม 1. (ในคาํ วา “ถาผากฐนิ นั้นมี
อิรยิ าปถบรรพ สมั ปชัญญบรรพ ปฏิกลู บริกรรมสําเร็จดีอยู”) การตระเตรียม,
มนสกิ ารบรรพ เปนตน การทําความเรยี บรอยเบอื้ งตน เชน ซกั
บรกิ รรมภาวนา ๑๙๒ บรขิ าร
ยอม กะ ตัด เยบ็ เสร็จแลว 2. สถานที่ ตจิ วี ร จฺ ปตโฺ ตจ วาสีสจู ิจพนธฺ น
ปรสิ สฺ าวเนนฏเ เต ยตุ ตฺ โยคสสฺ ภกิ ขฺ โุ น.
เขาลาดปูน ปไู ม ขัดเงา หรือชกั เงา โบก ตามปกติ อรรถกถากลาวถงึ บริขาร ๘
เมื่อเลาเร่ืองของทานผูบรรลุธรรมเปนพระ
ปูน ทาสี เขียนสี แตงอยางอ่นื เรยี กวา ปจเจกพทุ ธเจา ซง่ึ มีบริขาร ๘ เกดิ ขึ้นเอง
ท่ที ําบรกิ รรม หามภกิ ษถุ มน้าํ ลาย หรอื พรอมกบั การหายไปของเพศคฤหสั ถ และ
นัง่ พิง 3. การนวดฟน ประคบ หรอื ถู เรอ่ื งของพระสาวกในยคุ ตนพทุ ธกาล ซงึ่ มี
บริขาร ๘ เกิดข้ึนเอง เมื่อไดรับอุปสมบท
ตัว 4. การกระทําขนั้ ตนในการเจริญ เปนเอหิภิกขุ นอกจากน้ี ทานอธิบาย
ลักษณะของภิกษุผูสันโดษวา ภิกษุผู
สมถกรรมฐานคือ กําหนดใจโดยเพง สันโดษที่พระพุทธเจาทรงมุงหมายในพระ
สูตร (เชน สามญั ญผลสูตร, ท.ี สี.๙/๙๑/๖๑) ซ่ึง
วตั ถุ หรือนกึ ถงึ อารมณท่ีกาํ หนดน้ัน วา เบาตัวจะไปไหนเมื่อใดก็ไดตามปรารถนา
ดังนกท่ีมีแตปกจะบินไปไหนเมื่อใดไดดัง
ซํา้ ๆ อยูในใจอยางใดอยางหน่งึ เพ่ือทํา ใจน้นั คือทานที่มบี ริขาร ๘ สวนผูท่มี ี
บรขิ าร ๙ (เพิ่มผาปูลาด หรือลูกกุญแจ) มี
ใจใหสงบ 5. เลอื นมาเปนความหมายใน บรขิ าร ๑๐ (เพ่ิมผานิสที นะ หรอื แผนหนงั )
มีบรขิ าร ๑๑ (เพมิ่ ไมเทา หรือทะนานนาํ้
ภาษาไทย หมายถึงทองบน, เสกเปา มัน) หรือมบี รขิ าร ๑๒ (เพม่ิ รม หรอื รอง
บริกรรมภาวนา ภาวนาข้ันตนหรือข้ัน เทา) กเ็ รยี กวามักนอย สันโดษ แตมิใชผู
ตระเตรยี ม คอื กําหนดใจ โดยเพงดู ทที่ รงมุงหมายในพระสูตรดังกลาวนน้ั
รายการบรขิ ารในพระไตรปฎก ท่ีมีชอ่ื
วัตถุ หรือนึกวาพุทธคุณ ธรรมคุณ และจํานวนใกลเคยี งกับบริขาร ๘ นี้ พบ
ในสิกขาบทที่ ๑๐ แหงสุราปานวรรค
สงั ฆคุณ เปนตน ซํ้าๆ อยูในใจ ปาจิตตีย (ภิกษุซอนบริขารของภิกษุอื่น)
บรขิ าร ของใชสวนตัวของพระ, เครื่องใช ไดแก บาตร [ไตร]จวี ร ผานสิ ีทนะ กลอง
สอยประจาํ ตวั ของภิกษ;ุ บรขิ ารท่ีจาํ เปน เขม็ ประคดเอว (นบั ได ๗ ขาดมดี และ
เคร่ืองกรองน้ํา แตมีนิสีทนะเพิ่มเขามา),
แทจริง คือ บาตร และ[ไตร]จีวร ซง่ึ ตอง
๑๙๒
มพี รอมกอนจงึ จะอปุ สมบทได แตไดยดึ
ถอื กนั สบื มาใหมี บรขิ าร ๘ (อัฐบริขาร)
คอื ไตรจวี ร (สังฆาฏิ อตุ ราสงค อันตร-
วาสก) บาตร มดี เลก็ (วาส,ี อรรถกถามกั
อธบิ ายวาเปนมดี ตดั เหลาไมสีฟน แตเรา
นิยมพูดกันมาวามีดโกนหรอื มีดตดั เลบ็ )
เข็ม ประคดเอว ผากรองนํ้า (ปริส-
สาวนะ, หรอื กระบอกกรองนา้ํ คอื ธมกรก,
ธมกรณ, ธมั มกรก หรอื ธมั มกรณ) ดัง
กลาวในอรรถกถา (เชน วนิ ย.อ.๑/๒๘๔) วา
บรขิ ารโจล ๑๙๓ บริวาร
ในคราวจะมีสังคายนาคร้งั ที่ ๒ พวกภิกษุ ผากรองนาํ้ ถุงบาตร ยาม ผาหอของ
วัชชีบุตรไดเท่ียวหาพวกดวยการจัด บรจิ าค สละให, เสยี สละ, สละออกไป
เตรียมบริขารเปนอันมากไปถวายพระ จากตัว, การสละใหหมดความเห็นแก
เถระบางรูป (วนิ ย.๗/๖๔๓/๔๑๐) ไดแก บาตร ตัว หรืออยางมิใหมีความเห็นแกตน
จีวร นสิ ที นะ กลองเขม็ ประคดเอว ผา โดยมุงเพ่ือประโยชนของผูอ่ืน เพื่อ
กรองนา้ํ และธมกรก (ครบ ๘ แตมี ความดงี าม หรือเพอื่ การกาวสงู ขน้ึ ไปใน
นิสีทนะมาแทนมดี ) ธรรม เชน ธนบรจิ าค (การสละทรัพย)
คัมภีรอปทาน (ขุ.อป.๓๓/๒๐๘/๕๔๙) ชีวิตบริจาค (การสละชีวิต) กามสุข-
นอกจากบรรยายเร่ืองพระบรมสารีริกธาตุ บรจิ าค (การสละกามสขุ ) อกุศลบรจิ าค
ที่ไดรับการอญั เชญิ ไปบรรจไุ ว ณ สถปู - (การสละละอกุศล); บัดนี้ มักหมาย
เจดียสถานตางๆ แลว ยงั ไดกลาวถึง เฉพาะการรวมใหหรือการสละเพ่ือการ
บริขารของพระพุทธเจา ซง่ึ ประดษิ ฐานอยู บุญอยางเปนพธิ ี
ในท่ีตางๆ (หลายแหงไมอาจกําหนดไดวา บริจาริกา หญิงรับใช
ในบัดน้ีคือทใ่ี ด) คือ บาตร ไมเทา และ บรภิ ัณฑ ดู สัตตบริภณั ฑ
จีวรของพระผมู ีพระภาค อยใู นวชิรานคร บริโภค กิน, ใชสอย, เสพ; ในประโยควา
สบงอยูในกุลฆรนคร (เมืองหน่ึงใน “ภิกษุใดรอู ยู บรโิ ภคนา้ํ มตี ัวสัตว เปน
แควนอวันตี) บรรจถรณอยูเมืองกบิล ปาจติ ตยิ ะ” หมายถึง ด่ืม อาบ และใช
ธมกรกและประคดเอวอยูนครปาฏลีบุตร สอยอยางอน่ื
ผาสรงอยูท่ีเมืองจัมปา ผากาสาวะอยูใน บริโภคเจดยี เจดยี คอื สง่ิ ของหรือสถาน
พรหมโลก ผาโพกอยูที่ดาวดึงส ผา ท่ีที่พระพุทธเจาเคยทรงใชสอยเก่ียว
นิสีทนะอยูในแควนอวันตี ผาลาดอยูใน ของ ไดแก ตุมพสถูป องั คารสถปู และ
เทวรัฐ ไมสไี ฟอยใู นมถิ ิลานคร ผากรอง สังเวชนยี สถานท้ัง ๔ ตลอดถงึ บาตร
นํ้าอยูในวิเทหรัฐ มีดและกลองเข็มอยูท่ี จวี ร เตียง ตัง่ กุฎี วหิ าร ทพ่ี ระพุทธเจา
เมอื งอินทปตถ บริขารเหลือจากนนั้ อยใู น ทรงใชสอย
อปรนั ตกชนบท (สนั นษิ ฐานวาเปนดนิ แดน บรวิ าร 1. ผูแวดลอม, ผหู อมลอมติด
แถบรฐั Gujarat ในอนิ เดยี ถงึ Sind ใน ตาม, ผรู บั ใช 2. สง่ิ แวดลอม, ของสมทบ,
ปากสี ถานปจจุบัน) สง่ิ ประกอบรวม เชน ผาบรวิ าร บริวาร
บริขารโจล ทอนผาใชเปนบรขิ าร เชน กฐนิ เปนตน 3. ชอ่ื คัมภรี พระวนิ ัยปฎก
๑๙๓
บรษิ ัท ๑๙๔ บอกวตั ร
หมวดสดุ ทายใน ๕ หมวด คอื อาทิ กิจการงาน, ปกครอง
กัมม ปาจติ ตีย มหาวรรค จุลวรรค บรหิ ารคณะ ปกครองหม,ู ดแู ลหมู
บริวาร; เรียกตามรูปเดิมในบาลีวา บวงสรวง บูชา (ใชแกผีสาง เทวดา)
ปริวาร; ; ดู ไตรปฎก, ปรวิ าร บวงแหงมาร ไดแก วตั ถุกาม คือ รปู
บริษัท หมเู หลา, ทปี่ ระชุม, คนรวมกัน, เสยี ง กล่ิน รส โผฏฐพั พะ ท่นี ารักใคร
กลมุ ชน, ชุมนุม, ชุมชน นาพอใจ
บริษัท ๔ 1. ชมุ ชนชาวพุทธ ๔ พวก คอื บวช การเวนทั่ว คือเวนความชั่วทุก
ภกิ ษุ ภิกษณุ ี อุบาสก อุบาสิกา, (เชน อง.ฺ อยาง, ไปไดทั่ว (ออกมาจากคาํ วา ป +
จตกุ ฺก.๒๑/๑๓๐/๑๘๐) นิยมเรียกวา พุทธ วช) หมายถงึ การถือเพศเปนนักพรตทว่ั
บริษทั . 2. เหลาชน, กลุมชน, ทปี่ ระชุม, ไป; บวชพระ คือบวชเปนภกิ ษุ เรียกวา
สมาคม ๔ เหลา คือ ขตั ติยบริษทั (เหลา อปุ สมบท, บวชเณร คอื บวชเปนสามเณร
ชนผปู กครอง) พราหมณบริษัท (เหลา เรยี กวาบรรพชา
พราหมณ, เหลาชนเจาตําราเจาพิธี) บอก ในประโยควา “ภิกษุใด ไมไดรับ
คหบดีบริษัท (เหลาเจาบานเจาทุน) บอกกอน กาวลวงธรณเี ขาไป” ไมไดรบั
สมณบรษิ ัท (เหลาสมณะ), (ชน องฺ.สตตฺ ก. บอก คือยังไมไดรบั อนุญาต
๒๓/๖๕/๑๑๕) บอกวัตร บอกขอปฏิบัติในพระพุทธ-
บริษัท ๘ เหลาชน, กลุมชน, ท่ีประชุม, ศาสนา เมื่อทําวัตรเย็นเสร็จแลว ภกิ ษุ
ชมุ นุม, สมาคม ๘ เหลา คอื ขัตตยิ รูปเดยี วเปนผูบอก อาจใชวิธหี มนุ เวียน
บรษิ ัท พราหมณบรษิ ทั คหบดีบรษิ ัท กนั ไปทลี ะรปู ขอความทบี่ อก วาเปนภาษา
สมณบริษัท จาตุมหาราชิกบรษิ ัท (เหลา บาลี กลาวถงึ ปฏิบตั ิบูชา คาถา โอวาท-
เทพช้นั จาตุมหาราชิกา) ดาวดึงสบรษิ ทั ปาติโมกข คุณานิสงสแหงขันตธิ รรม คาํ
(เหลาเทพช้ันดาวดึงส) มารบริษัท เตือนใหใสใจในธรรมในเม่ือไดมีโอกาส
(เหลาไพรพลของมาร) พรหมบริษัท เกิดมาเปนมนุษยพบพระพุทธศาสนา
(เหลาพรหม), (องฺ.อฏ ก.๒๓/๑๖๖/๓๑๖) ความไมประมาท เรงเพียรพยายามใน
บรสิ ุทธ, บรสิ ุทธ์ิ สะอาด, หมดจด, ทางธรรมเพ่ือนอมไปสูพระนิพพาน
ปราศจากมลทิน, ผุดผอง; ครบถวน, และพนจากทคุ ติ แลวกลาวถงึ พทุ ธกจิ
ถกู ตองตามระเบยี บอยางบริบูรณ ประจําวนั ๕ ประการ ลาํ ดับกาลในพระ
บริหาร ดูแล, รกั ษา, ดาํ เนินการ, นําพา พุทธประวัติ สิ่งแทนพระองคภายหลัง
๑๙๔
บอกศกั ราช ๑๙๕ บอกศกั ราช
พทุ ธปรนิ ิพพาน ชอ่ื วัน เดอื น ป และ แบบเครงครดั คอื จะใหตัวเลขตรงตาม
ดาวนกั ษัตร ๒๗ จบลงดวยคําเชอ้ื เชญิ ราชการดวย และใหเวลาของพุทธ
ใหตั้งอยูในพระพุทธโอวาท บําเพ็ญ ศักราชตรงแทดวย มิใหการนับปของ
ปฏิบัติบูชา เพ่ือบรรลุสมบัติท้ังที่เปน พระพุทธศาสนาคลาดเคล่ือน โดยถือ
โลกยิ ะและโลกุตตระ; ธรรมเนยี มนี้ บัด วันวิสาขบูชาเปนวันเปลี่ยนศักราช ก็
นเี้ ลอื นรางไปแลว ตองบอกศกั ราชในปหน่งึ ๆ แยกเปน ๒
บอกศักราช เปนธรรมเนียมของพระ ชวง คอื ชวงท่ี ๑ ตัง้ แตวันวสิ าขบูชา
สงฆไทยแตโบราณ มีการบอกกาลเวลา ถงึ วันที่ ๓๑ ธนั วาคม และชวงที่ ๒ ต้ัง
เรยี กวา บอกศักราช ตอนทายสวดมนต แตวันท่ี ๑ มกราคม ถงึ วันขน้ึ ๑๔ คาํ่
และกอนจะแสดงพระธรรมเทศนา (หลงั ของเดือนท่ีทําวิสาขบูชา และปรับ
จากใหศีลจบแลว) วาท้ังภาษาบาลีและ เปลี่ยนถอยคาํ ใหสอดคลองกบั กาลเวลา
คาํ แปลเปนภาษาไทย การบอกอยางเกา ในชวงน้ันๆ แตโดยทวั่ ไป อนุโลมให
บอกป ฤดู เดอื น วัน ทัง้ ท่ีเปนปจจุบนั บอกแบบเดียวกันตามปของราชการ)
อดตี และอนาคต คือบอกวาลวงไปแลว บัดน้ี ไมนยิ มบอกศักราชกันแลว คง
เทาใด และยงั จะมมี าอกี เทาใด จงึ จะครบ เปนเพราะมีปฏิทินและเครื่องบอกเวลา
จํานวนอายุพระพุทธศาสนา ๕ พนั ป อยางอ่นื ใชกันด่ืนท่ัวไป
โดยเปล่ยี นศกั ราชใหม และนับจาํ นวนป
เร่ิมตั้งแตวันวิสาขบูชา เพราะพุทธ ในทน่ี ี้ แสดงคาํ บอกศกั ราชอยางใหม
ศักราชน้ัน ตามแบบของไทย นับตัง้ แต ไวเปนตวั อยาง (เมื่อใกล พ.ศ. ๒๕๐๐
พระพทุ ธเจาปรินพิ พานลวงแลว ๑ ป ยังถือปฏบิ ตั ิกนั อย)ู ดงั น้ี
เปน พ.ศ. ๑ แตตอมา ในป พ.ศ.
๒๔๘๓ รัฐบาลไดประกาศใหถอื วันที่ ๑ อทิ านิ ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมา-
มกราคม เปนวันขน้ึ ปใหม เริ่มตง้ั แตวนั สมฺพุทฺธสฺส, ปรินิพฺพานโต ปฏฐาย,
ที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เปนตนมา เอกสํวจฺฉรุตฺตรป ฺจสตาธิกานิ, เทฺว
(ป พ.ศ. ๒๔๘๓ มี ๙ เดอื น) จงึ ไดมวี ิธี สํวจฉฺ รสหสสฺ านิ อติกฺกนตฺ าน,ิ ปจฺจุปฺ-
บอกศักราชอยางใหมขึ้นใชแทน โดย ปนนฺ กาลวเสน, จติ รฺ มาสสสฺ เตรสมํ ทนิ ,ํ
บอกเฉพาะป พ.ศ. เดือน วนั ที่ และวัน วารวเสน ปน รวิวาโร โหต.ิ เอวํ ตสสฺ
ในปจจุบัน ทั้งบาลแี ละคําแปล (ถาบอก ภควโต ปรินิพฺพานา, สาสนายุกาล-
คณนา สลฺลกฺเขตพฺพาต.ิ
ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนายุกาล,
๑๙๕
บงั คม ๑๙๖ บงั สกุ ลุ ตาย-บงั สกุ ุลเปน
จําเดิมแตปรินิพพาน, แหงพระองค เขาทง้ิ แลว ตลอดถึงผาหอคลุมศพท่เี ขา
สมเด็จพระผมู พี ระภาค, อรหนั ตสัมมา ท้ิงไวในปาชา ไมใชผาที่ชาวบานถวาย,
สมั พุทธเจานั้น, บัดนี้ ลวงแลว ๒๕๐๑ ปจจุบันมักหมายถึงผาท่ีพระชักจากศพ
พรรษา, ปจจบุ นั สมยั , เมษายนมาส, โดยตรงก็ตาม จากสายโยงศพกต็ าม
สุรทนิ ที่ ๑๓ อาทติ ยวาร, พระพทุ ธ- บังสกุ ุลตาย-บังสกุ ลุ เปน ตามประเพณี
ศาสนายุกาล, จําเดิมแตปรินิพพาน, เกี่ยวกับการศพ หลังจากเผาศพแลว
แหงพระองคสมเด็จพระผูมีพระภาค, เมอื่ จะเกบ็ อฐั ิ (เก็บในวันที่เผาก็ได แต
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจานั้น, มีนยั อนั นยิ มเก็บตอนเชาวันรุงขึน้ ) มีการนิมนต
จะพงึ กําหนดนับ ดวยประการฉะน้ี. พระมาบังสกุ ุลอฐั ิ เรียกวา “แปรรปู ” หรือ
“แปรธาต”ุ (พระกร่ี ูปก็ได แตนิยมกนั วา
[วนั เรียงลาํ ดบั จากวนั อาทติ ยไป เปน ๔ รปู , บางทานวา ทีจ่ รงิ ไมควรเกนิ ๓
คาํ บาลีวา: รวิ จนทฺ ภมุ มฺ วธุ ครุ สกุ กฺ รปู คงจะเพอื่ ใหสอดคลองกับกรณีทีม่ ี
โสร; เดือน เรยี งลําดับจากเมษายนไป การทําบญุ สามหาบ ซง่ึ ถวายแกพระ ๓
เปนคําบาลีวา: จติ รฺ วสิ าข เชฏ รปู ) ในการแปรรูปนน้ั กอนจะบังสุกุล
อาสาฬหฺ สาวน โปฏ ปท (หรอื ภททฺ - บางทีก็นิมนตพระสงฆทําน้ํามนตมา
ปท) อสสฺ ยชุ กตตฺ กิ มคิ สริ ปสุ สฺ มาฆ ประพรมอัฐิ เรียกวาดบั ธาตกุ อน แลว
ผคฺคุณ; สวนวันท่ี และเลขป พึง
ประกอบตามหลกั บาลีไวยากรณ] เจาหนาที่ (สัปเหรอ) จัดอฐั ิทีเ่ ผาแลวน้ัน
บังคม ไหว ใหรวมเปนสวนๆ ตามรูปของรางกาย
บังสกุ ลุ ผาบงั สกุ ลุ หรือ บงั สกุ ุลจีวร; ใน หนั ศรี ษะไปทศิ ตะวนั ตก พรอมแลว
ภาษาไทยปจจุบัน มักใชเปนคํากริยา ญาติจุดธูปเคารพ บอกกลาว และเอา
หมายถึงการท่ีพระสงฆชักเอาผาซึ่งเขา ดอกพิกุลเงินพิกุลทองหรือสตางควาง
ทอดวางไวทศี่ พ ทหี่ บี ศพ หรอื ทสี่ ายโยง กระจายลงไปทั่วรางของอัฐิ แลว
ศพ โดยกลาวขอความท่ีเรียกวา คํา ประพรมดวยน้ําอบน้าํ หอม จากน้ันจึง
พิจารณาผาบังสกุ ุล ดังนี้ ทอดผาบังสกุ ุล และพระสงฆกก็ ลาวคํา
อนจิ จฺ า วต สงขฺ ารา อุปปฺ าทวยธมฺมิโน พิจารณาวา “อนิจฺจา วต สงฺขารา”
อปุ ปฺ ชฺชติ ฺวา นริ ชุ ฌฺ นตฺ ิ เตสํ วูปสโม สโุ ข
เปนตน อยางทวี่ าตามปกตทิ ่วั ไป เรยี ก
บังสุกุลจีวร ผาที่เกลือกกลั้วดวยฝุน, วา บังสกุ ุลตาย เสร็จแลวเจาหนาที่ก็
หมุนรางอัฐิใหหันศีรษะไปทิศตะวัน
ผาทไี่ ดมาจาก กองฝุน กองหยากเยือ่ ซ่ึง
๑๙๖
บัญญัติ ๑๙๗ บัณเฑาะว
ออก และพระสงฆกลาวคําพิจารณา ปริมณฑลรอยโยชน เปนทิพอาสนที่
เปลี่ยนเปนบงั สกุ ลุ เปน มคี วามหมาย ประทบั น่งั ของพระอินทร ยาว ๖๐ โยชน
วาตายแลวไปเกิด จบแลว เม่ือถวาย กวาง ๕๐ โยชน สูง ๑๕ โยชน ตาม
ดอกไมธูปเทียนแกพระสงฆเสร็จ เจา ปกติออนนุม เมือ่ พระอินทรประทับนัง่
ภาพก็เก็บอฐั ิ (เลือกเกบ็ จากศรี ษะลงไป จะยุบจมลงไปครึ่งองค เม่ือใดมีคนดี
ปลายเทา),คาํ พจิ ารณาบงั สกุ ลุ เปนนน้ั วา ถูกขมเหงรังแก หรอื ผทู รงศลี ทรงธรรม
อจริ ํ วตยํ กาโย ป วึ อธิเสสสฺ ติ ควรไดรับความเอื้อเฟอ พระแทนน้ีจะ
ฉฑุ โฺ ฑ อเปตวิ ฺ าโณ นิรตฺถํว กลงิ ฺครํ แสดงอาการรอน ทําใหพระอินทรทรง
บังสุกุลตาย-บังสุกุลเปนนี้ ตอมามี สอดสอง เมอ่ื ทรงทราบเหตุแลว ก็จะ
การนําไปใชในการสะเดาะเคราะหดวย ทรงดําเนินการชวยเหลือหรือแกไข
ทํานองจะใหมีความหมายวา ตายหรือ ปญหา แตบางคร้ัง เมอื่ อาสนรอนดวย
วบิ ตั แิ ลว กใ็ หกลบั ฟนขน้ึ มา, อยางไรกด็ ี เดชแหงศีลหรือความดีของบางบุคคล
ถาไมระวังไว แทนที่จะเปนการใชใหมี พระอินทรอาจระแวงวาเขาจะแขงอํานาจ
ความหมายเชงิ ปรศิ นาธรรม ก็จะกลาย จะทําใหตนหลุดหลนพนฐานะ พระ
เปนการใชในแงถือโชคลาง; ดู บังสกุ ุล อินทรกอ็ าจคิดทจี่ ะไปขมไปปราบเขา; ดู
บญั ญัติ การต้ังข้ึน, ขอทต่ี ้ังข้นึ , การ ดาวดึงส, ปาริฉัตตก
กาํ หนดเรยี ก, การเรียกช่อื , การวางเปน บณั เฑาะก [บนั -เดาะ] กะเทย, คนไม
กฎไว, ขอบังคับ ปรากฏชัดวาเปนเพศชายหรือเพศหญิง
บัณฑิต ผูมีปญญา, นักปราชญ, ผู ไดแก กะเทยโดยกําเนดิ ๑ ชายผถู ูก
ดําเนนิ ชวี ิตดวยปญญา ตอนที่เรยี กวาขนั ที ๑ ชายมรี าคะกลา
บณั ฑติ ชาติ เผาพนั ธบุ ัณฑติ , เหลานัก ประพฤตินอกจารีตในทางเสพกามและ
ปราชญ, เชอื้ นกั ปราชญ ยั่วยวนชายอนื่ ใหเปนเชนนน้ั ๑
บัณฑกุ มั พลศลิ าอาสน แทนหินมสี ดี ุจ บัณเฑาะว [บัน-เดาะ] 1. กลองเล็กชนดิ
ผากมั พลเหลือง (มอี รรถกถาวา เหมอื นผารตั ต หน่ึงมีหนังสองหนาตรงกลางคอด ริม
กัมพลคือสีแดง, เชน นทิ .อ.๑/๔๔๔) บางทีเรียก ทั้งสองใหญ พราหมณใชในพิธีตางๆ
สน้ั ๆ วาบณั ฑกุ มั พลศลิ า ในสวรรคช้ัน ขับโดยใชลูกตุมกระทบหนากลองทั้ง
ดาวดงึ ส ต้ังอยทู ี่โคนตนปารฉิ ตั ตก ซึ่ง สองขาง; 2. สมี ามีสัณฐานดจุ บณั เฑาะว
สูงรอยโยชน และมีรมเงาแผเปน คอื มลี กั ษณะทรวดทรงเหมอื นบณั เฑาะว
๑๙๗
บนั ดาล ๑๙๘ บารมี
บนั ดาล ใหเกดิ มีขนึ้ หรอื ใหเปนไปอยาง บาป ความชวั่ , ความราย, ความชั่วราย,
ใดอยางหน่ึงดวยฤทธิ์หรือดวยแรง กรรมชว่ั , กรรมลามก, อกศุ ลกรรมท่สี ง
อํานาจ ใหถงึ ความเดือดรอน, สภาพทท่ี าํ ใหถงึ
บัลลังก ในคาํ วา “นัง่ ขดั บัลลงั ก” หรอื คติอนั ชัว่ , สิ่งท่ีทาํ จิตใหตกสทู ่ชี ัว่ คือ
“นงั่ คบู ลั ลงั ก” คอื นง่ั ขดั สมาธ;ิ ความ ทําใหเลวลง ใหเสอ่ื มลง
หมายทว่ั ไปวา แทน, พระแทน, ท่นี ั่งผู บารมี คณุ ความดีท่ีบาํ เพ็ญอยางย่ิงยวด
พพิ ากษาเมื่อพจิ ารณาคดใี นศาล, สวน เพ่ือบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่ง, บารมีท่ี
ของสถูปเจดียบางแบบ มีรูปเปนแทน พระโพธิสัตวตองบําเพ็ญใหครบ
เหนือคอระฆัง บริบูรณ จึงจะบรรลโุ พธญิ าณ เปนพระ
บวั ๔ เหลา ดู บคุ คล ๔ จําพวก พทุ ธเจา มี ๑๐ คอื ๑.ทาน (การให การ
บาตร ภาชนะที่ภิกษสุ ามเณรใชรบั อาหาร
เสียสละเพื่อชวยเหลือมวลมนุษยสรรพ
บิณฑบาต เปนบริขารประจําตัวคูกับ สัตว) ๒.ศีล (ความประพฤติถูกตอง
สุจริต) ๓.เนกขัมมะ (ความปลีกออก
ไตรจีวร ซ่งึ ผูจะอปุ สมบทจําเปนตองมี
จึงจะบวชได ดังทเ่ี รียกรวมกนั วา “ปตตฺ - จากกามได ไมเห็นแกการเสพบําเรอ,
จีวรํ” และจดั เปนอยางหนงึ่ ในบรขิ าร ๘ การออกบวช) ๔.ปญญา (ความรอบรู
ของภกิ ษ,ุ บาตรทท่ี รงอนญุ าต มี ๒ อยาง เขาถึงความจรงิ รูจักคดิ พจิ ารณาแกไข
(วนิ ย.๗/๓๔/๑๗) คอื บาตรเหลก็ (อโย- ปญหาและดําเนินการจัดการตางๆ ให
สําเร็จ) ๕.วริ ิยะ (ความเพยี รแกลวกลา
ปตฺต) และบาตรดิน (มตฺติกาปตฺต, บากบนั่ ทาํ การ ไมทอดทงิ้ ธุระหนาท)่ี ๖.
ขันติ (ความอดทน ควบคุมตนอยูไดใน
หมายเอาบาตรดนิ เผาซึ่งสมุ ดําสนิท)
บาตรอธิษฐาน บาตรที่พระพุทธเจา
อนญุ าตใหภกิ ษมุ ีไวใชประจําตวั หน่ึงใบ ธรรม ในเหตผุ ล และในแนวทางเพือ่ จุด
บาทยุคล คูแหงบาท, พระบาททั้งสอง หมายอันชอบ ไมยอมลอุ าํ นาจกเิ ลส) ๗.
สัจจะ (ความจริง ซื่อสตั ย จรงิ ใจ จริง
(เทาสองขาง) จงั ) ๘.อธษิ ฐาน (ความตง้ั ใจม่ัน ตง้ั จุด
บาน ที่อยูของคนครัวเดยี วกนั มเี รือน
หลงั เดียว สองหลงั สามหลัง หรือมาก หมายไวดีงามชัดเจนและมุงไปเด็ดเด่ียว
แนวแน) ๙.เมตตา (ความรักความ
กวานน้ั หรอื รวมบานเหลานน้ั เขาเปนหมู
กเ็ รยี กวา บาน คําวา คามสีมา หมายถงึ ปรารถนาดี คิดเกอื้ กูลหวงั ใหสรรพสัตว
อยูดมี ีความสขุ ) ๑๐.อเุ บกขา (ความวาง
แดนบานตามนัยหลงั นี้
๑๙๘
บารมี ๓๐ทศั ๑๙๙ บาลพี ุทธอทุ าน
ใจเปนกลาง อยูในธรรม เรียบสงบ วา “บารมี ๓๐ ทัศ”; ดู ทัศ, สมดงึ ส-
สมา่ํ เสมอ ไมเอนเอยี ง ไมหวนั่ ไหวไป บารมี ๓๐ ทัศ ดู บารมี, สมดงึ ส-
ดวยความยินดียินรายชอบชังหรือแรง บาลี 1. “ภาษาอันรักษาไวซ่งึ พุทธพจน”,
เยายวนยัว่ ยุใดๆ) ภาษาทใ่ี ชทรงจาํ และจารกึ รกั ษาพทุ ธพจน
บารมี ๑๐ นั้น จะบริบูรณตอเม่อื แตเดมิ มา อนั เปนหลกั ในพระพทุ ธศาสนา
พระโพธิสัตวบําเพ็ญแตละบารมีครบ ฝายเถรวาท ถือกันวาไดแกภาษามคธ
สามขั้นหรอื สามระดับ จึงแบงบารมีเปน 2. พระพุทธวจนะ ซึ่งพระสงั คีติกาจารย
๓ ระดบั คอื ๑.บารมี คอื คุณความดีท่ี รวบรวมไว คือ พระธรรมวนิ ยั ที่พระ
บําเพญ็ อยางยิง่ ยวด ขั้นตน ๒.อปุ บารมี อรหนั ต ๕๐๐ องคประชมุ กันรวบรวม
คือคุณความดีท่ีบําเพ็ญอยางย่ิงยวด จัดสรรใหเปนหมวดหมูในคราวปฐม-
ขั้นจวนสงู สุด ๓.ปรมตั ถบารมี คือคณุ สงั คายนา และรกั ษาไวดวยภาษาบาลี สบื
ความดีท่บี าํ เพ็ญอยางย่ิงยวด ขั้นสูงสุด ตอกันมาในรูปท่ีเรียกวาพระไตรปฎก
เกณฑในการแบงระดับของบารมี อนั เปนคมั ภรี พระพทุ ธศาสนาตนเดมิ ที่
น้ัน มีหลายแงหลายดาน ขอยกเกณฑ เปนหลักของพระพุทธศาสนาเถรวาท,
อยางงายมาใหทราบพอเขาใจ เชน ใน พทุ ธพจน, ขอความทมี่ าในพระไตรปฎก;
ขอทาน สละทรัพยภายนอกทุกอยางได ในการศึกษาพระพุทธศาสนา มี
เพื่อประโยชนแกผูอื่น เปนทานบารมี ประเพณที ปี่ ฏบิ ตั กิ นั มาในเมอื งไทย ให
สละอวัยวะเพื่อประโยชนแกผูอื่น เปน แยกคาํ วา “บาล”ี ในความหมาย ๒
ทานอปุ บารมี สละชีวิตเพอ่ื ประโยชนแก อยางน้ี ดวยการเรยี กใหตางกนั คอื ถา
ผูอื่น เปนทานปรมัตถบารมี หมายถงึ บาลใี นความหมายที่ 1. ใหใชคาํ
บารมใี นแตละขัน้ มี ๑๐ จงึ แยกเปน วา ภาษาบาลี (หรอื ศพั ทบาลี คาํ บาลี
บารมี ๑๐ (ทศบารม)ี อปุ บารมี ๑๐ หรือบาลี) แตถาหมายถึงบาลีในความ
(ทศอปุ บารม)ี และปรมตั ถบารมี ๑๐ หมายที่ 2. ใหใชคาํ วา พระบาลี
(ทศปรมตั ถบารม)ี รวมทง้ั สน้ิ เปนบารมี บาลีประเทศ ขอความตอนหนึ่งแหง
๓๐ เรียกเปนคาํ ศพั ทวา สมดงึ สบารมี บาลี, ขอความจากพระไตรปฎก
(หรือสมติงสบารมี) แปลวา บารมี บาลพี ทุ ธอทุ าน คําอุทานทพี่ ระพทุ ธเจา
สามสบิ ถวน หรือบารมคี รบเต็มสามสบิ ทรงเปลงเปนบาลี เชนท่วี า
แตในภาษาไทย บางทีเรยี กสืบๆ กันมา ยทา หเว ปาตภุ วนฺติ ธมฺมา
๑๙๙
บาํ บวง ๒๐๐ บุคคลาธิษฐาน
อาตาปโน ฌายโต พฺราหมฺ ณสฺส อัตตา, อาตมนั ; ในพระวินัย โดยเฉพาะ
อถสสฺ กงขฺ า วปยนฺติ สพพฺ า
ในสังฆกรรม หมายถึงภิกษุรูปเดียว;
ฯเปฯ เทยี บ สงฆ, คณะ
(“ในกาลใดแล ธรรมท้งั หลายปรากฏแก บคุ คล ๔๑ บุคคล ๔ จาํ พวก คือ ๑. อคุ -
พราหมณผูเพียรเพงพิจารณา ในกาล ฆฏิตัญ ู ผรู เู ขาใจไดฉบั พลนั แตพอ
น้นั ความสงสัยท้ังปวงของพราหมณนั้น ทานยกหัวขอข้ึนแสดง ๒. วปิ จติ ญั ู ผู
รเู ขาใจตอเมอ่ื ทานขยายความ ๓. เนยยะ
ยอมสิ้นไป ...”)
บาํ บวง บนบาน, เซนสรวง, บูชา ผทู ีพ่ อจะแนะนาํ ตอไปได ๔. ปทปรมะ
บาํ เพญ็ ทาํ , ทําดวยความตง้ั ใจ, ปฏบิ ัต,ิ ผูไดแคตัวบทคือถอยคําเปนอยางย่ิง
ทาํ ใหเตม็ , ทาํ ใหมีข้นึ , ทาํ ใหสาํ เรจ็ ผล ไมอาจเขาใจความหมาย
(ใชแกส่ิงท่ีดีงามเปนบญุ กศุ ล) พระอรรถกถาจารยเปรียบบุคคล
บณิ ฑจารกิ วตั ร วตั รของผเู ทย่ี วบณิ ฑบาต, ๔ จาํ พวกน้กี ับบวั ๔ เหลาตามลําดบั คอื
ธรรมเนียมหรือขอควรปฏิบัติสําหรับ ๑. ดอกบวั ท่ีตง้ั ข้ึนพนนาํ้ รอสมั ผสั แสง
ภกิ ษทุ จ่ี ะไปรบั บณิ ฑบาต เชน นุงหมให อาทิตยกจ็ ะบานในวันน้ี ๒. ดอกบวั ท่ตี ง้ั
เรียบรอย สาํ รวมกริ ิยาอาการ ถอื บาตร อยูเสมอน้ํา จักบานในวันพรุงน้ี ๓.
ภายในจีวรเอาออกเฉพาะเมื่อจะรับ ดอกบัวที่ยังอยูในน้ํา ยังไมโผลพนนํ้า
บณิ ฑบาต กาํ หนดทางเขาออกแหงบาน จักบานในวนั ตอๆ ไป ๔. ดอกบวั จมอยู
และอาการของชาวบานท่ีจะใหภิกขา ในน้ําท่ีกลายเปนภักษาแหงปลาและเตา
หรือไม รบั บิณฑบาตดวยอาการสํารวม (ในพระบาลี ตรสั ถงึ แตบัว ๓ เหลาตน
รปู ทก่ี ลบั มากอน จดั ทีฉ่ นั รูปที่มาทีหลัง เทานั้น)
ฉันแลวเก็บกวาด บุคคล ๔๒ บคุ คล ๔ จาํ พวกทแี่ บงตาม
บิณฑบาต อาหารที่ใสลงในบาตรพระ, ประมาณ ไดแก ๑. รปู ปปมาณกิ า ๒. โฆ-
อาหารถวายพระ; ในภาษาไทยใชใน สปั ปมาณกิ า ๓. ลขู ัปปมาณิกา และ ๔.
ความหมายวา รับของใสบาตร เชนท่วี า ธัมมปั ปมาณกิ า; ดู ประมาณ
พระไปบิณฑบาต คอื ไปรับอาหารทเ่ี ขา บุคคลหาไดยาก ๒ คือ ๑. บุพการี ๒.
กตัญ กู ตเวที
จะใสลงในบาตร
บุคคล “ผูกลืนกินอาหารอันทําอายุให บุคคลาธิษฐาน มีบุคคลเปนที่ต้ัง,
ครบเตม็ ”, คนแตละคน, คนรายตวั ; เทศนายกบุคคลขึ้นตั้ง คือ วิธีแสดง
๒๐๐
บุคคลกิ าวาส ๒๐๑ บุญ
ธรรมโดยยกบุคคลข้ึนอาง; คูกับ (บญุ ในพทุ ธพจนน้ี ทรงเนนทก่ี ารเจรญิ
ธรรมาธษิ ฐาน เมตตาจิต), พระพุทธเจาตรัสสอนให
บุคคลิกาวาส ดู ปุคคลกิ าวาส ศกึ ษาบญุ (“ปุ ฺ เมว โส สกิ เฺ ขยยฺ ” -
บคุ ลิก เนอื่ งดวยบคุ คล, จําเพาะคน (= ข.ุ อติ ิ.๒๕/๒๐๐/๒๔๑; ๒๓๘/๒๗๐) คอื ฝก
ปคุ คลกิ ) ปฏิบัติหัดทําใหชีวิตเจริญงอกงามข้ึนใน
บญุ เครอ่ื งชาํ ระสนั ดาน, ความด,ี กรรมด,ี ความดแี ละสมบรู ณดวยคณุ สมบตั ทิ ดี่ ี
ความประพฤติชอบทางกายวาจาและใจ,
กุศลกรรม, ความสขุ , กุศลธรรม ในการทาํ บญุ ไมพงึ ละเลยพนื้ ฐานที่
ตรงตามสภาพความเปนจรงิ ของชวี ติ ให
ท่ีกลาวน้ัน เปนความหมายทั่วไป ชีวิตและสิ่งแวดลอมเจริญงอกงามหนุน
โดยสรุป ตอนี้พึงทราบคําอธิบาย กนั ขน้ึ ไปสคู วามดงี ามทสี่ มบรู ณ เชน พงึ
ละเอียดข้ึน เร่ิมแตความหมายตามรูป ระลกึ ถงึ พทุ ธพจน (ส.ํ ส.๑๕/๑๔๖/๔๖) ทวี่ า
ศัพทวา “กรรมที่ชําระสันดานของผู “ชนเหลาใด ปลกู สวน ปลกู ปา สราง
กระทําใหสะอาด”, “สภาวะอนั ทําใหเกดิ สะพาน (รวมทั้งจัดเรือขามฟาก) จัด
ความนาบูชา”, “การกระทําอนั ทําใหเต็ม บรกิ ารนา้ํ ดม่ื และบงึ บอสระนา้ํ ใหทพี่ กั
อ่ิมสมนา้ํ ใจ”, ความด,ี กรรมทด่ี งี ามเปน อาศยั บญุ ของชนเหลานนั้ ยอมเจรญิ
ประโยชน, ความประพฤตชิ อบทางกาย งอกงาม ทงั้ คนื ทง้ั วนั ตลอดทกุ เวลา, ชน
วาจาใจ, กุศล (มักหมายถึงโลกิยกุศล เหลานน้ั ผตู งั้ อยใู นธรรม ถงึ พรอมดวย
หรือความดีที่ยังกอปรดวยอุปธิ คือ ศีล เปนผูเดินทางสวรรค”, คัมภีรท้งั
เก่ียวของกับส่ิงที่ปรารถนากันในหมูชาว หลายกลาวถึงบุญกรรมท่ีชาวบานควร
โลก เชน โภคสมบตั )ิ ; บางทหี มายถึงผล รวมกนั ทาํ ไวเปนอนั มาก เชน (ชา.อ.๑/๒๙๙)
ของการประกอบกุศล หรือผลบุญนั่น การปรับปรงุ ซอมแซมถนนหนทาง สราง
เอง เชนในพุทธพจน (ท.ี ปา.๑๑/๓๓/๖๒) สะพาน ขดุ สระนํ้า สรางศาลาทีพ่ ักและ
วา “ภิกษทุ ง้ั หลาย เพราะการสมาทาน ท่ีประชุม ปลูกสวนปลูกปา ใหทาน
กุศลธรรมท้ังหลายเปนเหตุ บุญน้ียอม รักษาศีล ดังตัวอยางในเร่ืองของมฆ
เจริญเพิม่ พนู อยางน้ี”, และมีพทุ ธพจน มาณพ; ดู ดาวดงึ ส, มฆะ
(ข.ุ อติ ิ.๒๕/๒๐๐/๒๔๐) ตรสั ไวดวยวา “ภิกษุ
ทงั้ หลาย เธอทง้ั หลายอยาไดกลวั ตอบญุ พระพทุ ธเจาตรสั ประมวลหลกั การทาํ
เลย คาํ วาบญุ น้ี เปนช่อื ของความสุข” บญุ ทพ่ี งึ ศกึ ษาไว เรยี กวา บุญกิรยิ าวัตถุ
๓ (ข.ุ อติ .ิ ๒๕/๒๓๘/๒๗๐) ซง่ึ พระอรรถกถา-
๒๐๑
บญุ กริ ิยาวตั ถุ ๒๐๒ บพุ กรณ
จารยไดแจกแจงใหเห็นตัวอยางในการ (ธัมมสั สวนมยั , ธมั มเทสนามยั ) จดั เขา
ขยายความออกไปเปน บญุ กริ ยิ าวตั ถุ๑๐ ใน ๓. ภาวนามยั ; ขอ ๑๐. (ทิฏ ชุ กุ ัมม)
(เชน สงคฺ ณ.ี อ.๒๐๘); ตรงขามกบั บาป, เทียบ เขาไดท้งั ทาน ศลี และ ภาวนา
กศุ ล, ดู บญุ กิริยาวัตถุ, อปุ ธิ บญุ เขต เน้อื นาบญุ ; ดู สงั ฆคุณ
บุญกริ ยิ าวตั ถุ หลักเปนที่ตง้ั แหงการทาํ บญุ ญาภสิ งั ขาร ดู ปุญญาภิสงั ขาร
บญุ , เรื่องท่ีจัดเปนการทําบุญ, ทางทาํ บุญนธิ ิ ขุมทรัพยคอื บญุ
ความด,ี หมวด ๓ คือ ๑. ทานมยั ทาํ บญุ ราศี กองบญุ
บุญดวยการให ๒. สีลมยั ทําบุญดวย บญุ ฤทธ์ิ ความสาํ เรจ็ ดวยบญุ , อาํ นาจบญุ
การรักษาศีลและประพฤติดี ๓. บณุ ฑริก บวั ขาว
ภาวนามัย ทําบุญดวยการเจริญภาวนา บณุ มี, บรู ณมี ดิถที ีพ่ ระจนั ทรเต็มดวง,
(เชน ท.ีปา.๑๑/๒๒๘/๒๓๐); หมวด ๑๐ คอื ๑. วนั เพ็ญ, วนั ขน้ึ ๑๕ คาํ่ , วันกลางเดือน;
ทานมัย ๒. สีลมัย ๓. ภาวนามยั ๔. ปณุ มี หรอื ปรู ณมี กเ็ ขยี น (บาล:ี ปณุ ณฺ ม;ี
อปจายนมยั ดวยการประพฤตอิ อนนอม ๕. สนั สกฤต: ปรู ณฺ มี)
เวยยาวัจจมัย ดวยการชวยขวนขวายรบั บถุ ุชน ดู ปถุ ุชน
ใช ๖. ปตติทานมยั ดวยการใหสวนทาํ บทุ คล บุคคล (เขียนอยางรปู สันสกฤต)
ความดแี กผอู ืน่ ๗. ปตตานุโมทนามยั บุปผวิกัติ ดอกไมทที่ าํ ใหแปลก, ดอกไม
ดวยความยินดีความดีของผูอื่น ๘. ท่ีทําใหวิจิตร โดยประดษิ ฐเปนรปู ตางๆ
ธัมมัสสวนมัย ดวยการฟงธรรม ๙. บพุ กรณ ธรุ ะอนั จะพงึ ทาํ ในเบอ้ื งตน, งาน
ธัมมเทสนามัย ดวยการส่ังสอนธรรม ที่จะตองกระทําทีแรก, เรื่องที่ควร
๑๐. ทิฏ ุชุกมั ม ดวยการทําความเห็น ตระเตรยี มใหเสรจ็ กอน เชน บพุ กรณ
ใหถูกตรง (เชน ท.ี อ.๓/๒๔๖ = ใหม 3/195) ของการทําอุโบสถ ไดแก เม่ือถึงวัน
บุญกิริยาวัตถุท่ีอรรถกถาจําแนก อโุ บสถ พระเถระลงอโุ บสถกอน สง่ั ภกิ ษุ
ขยายเปน ๑๐ น้ัน ก็รวมอยใู นขอหลกั ใหปดกวาดโรงอโุ บสถ ตามไฟ ตง้ั นาํ้ ฉนั
๓ อยางน่นั เอง ดังทีอ่ รรถกถานัน้ เอง นา้ํ ใช ตง้ั หรอื ปลู าดอาสนะไว; บพุ กรณ
อธิบายไว คือ ขอ ๔.-๕. (อปจายนมัย, แหงการกรานกฐนิ คอื ซกั ผา ๑ กะผา ๑
เวยยาวัจจมยั ) จดั เขาใน ๒. สีลมัย; ขอ ตดั ผา ๑ เนาหรอื ดนผาทตี่ ดั แลว ๑ เยบ็
๖.-๗. (ปตติทานมัย, ปตตานโุ มทนามัย) เปนจวี ร ๑ ยอมจวี รทเี่ ยบ็ แลว ๑ ทาํ
จัดเขาใน ๑. ทานมัย; ขอ ๘.-๙. กปั ปะคอื พนิ ทุ ๑ ดงั นเ้ี ปนตน
๒๐๒
บพุ การ ๒๐๓ บุพเปตพลี
บุพการ 1. “อุปการะกอน”, การชวย ทรงบําเพ็ญประโยชนทําความดีในปาง
เหลือเกือ้ กลู ทีร่ ิเร่มิ ทําขน้ึ กอนเอง โดยมิ กอนของพระพุทธเจาเมื่อคร้ังยังเปน
ไดคํานึงถึงเหตุเกาเชนวาเขาเคยทําอะไร พระโพธิสัตวโดยเฉพาะ
ใหเราไว และมิไดหวงั ขางหนาวาเขาจะ บุพนิมติ เครอื่ งหมายใหรูลวงหนา, สิ่งท่ี
ใหอะไรตอบแทนเรา (ในคาํ วา บพุ การี) ปรากฏใหเห็นกอนเปนเคร่ืองหมายวา
2. ความเก้อื หนุนชวยเหลือโดยถือเปน จะมีเร่ืองดีหรือรายบางอยางเกิดขึ้น,
สําคัญอันดับแรก, การอุปถัมภบํารุง ลาง; บรุ พนมิ ิตต ก็เขยี น
เก้ือกูลนับถือรับใชที่ทําโดยตั้งใจให บุพนมิ ิตแหงมรรค ๗ เครือ่ งหมายที่
ความสาํ คัญนําหนาหรือกอนอื่น (เชนใน บอกลวงหนาวามรรคจะเกดิ ขึ้น, ธรรม
ขอ ๕ แหง สมบัติของอุบาสก ๕) ๗ ประการ ซงึ่ แตละอยางเปนเครื่อง
บุพการี บุคคลผูทาํ อปุ การะกอน คอื ผมู ี ห ม า ย บ ง บ อ ก ล ว ง ห น า ว า อ ริ ย
พระคณุ ไดแก มารดาบิดา ครอู าจารย อัฏฐังคิกมรรคจะเกิดขึ้นแกผูนั้น ดุจ
เปนตน (ขอ ๑ ในบคุ คลหาไดยาก ๒); แสงอรุณเปนบุพนิมิตของดวงอาทิตยท่ี
ดู บุพการ 1.
บุพกิจ กจิ อนั จะพงึ ทาํ กอน, กจิ เบือ้ งตน จะอุทัย, แสงเงินแสงทองของชีวิตที่ดี
เชน บพุ กจิ ในการทาํ อโุ บสถ ไดแก กอน
งาม, รงุ อรณุ ของการศกึ ษา ๗ อยาง คอื
สวดปาติโมกขตองนําปาริสุทธิของภิกษุ ๑. กลั ยาณมติ ตตา ความมกี ลั ยาณมติ ร
๒. สลี สมั ปทา ความถงึ พรอมดวยศลี
อาพาธมาแจงใหสงฆทราบ นาํ ฉนั ทะของ ๓. ฉนั ทสมั ปทา ความถงึ พรอมดวย
ฉนั ทะ ๔. อตั ตสมั ปทา ความถงึ พรอม
ภกิ ษอุ าพาธมา บอกฤดู นบั ภกิ ษุ ให ดวยตนท่ีฝกไวดี ๕. ทิฏฐิสัมปทา
โอวาทนางภิกษุณี; บุพกิจแหงการ
อปุ สมบท ไดแก การใหบรรพชา ขอนสิ ยั ความถึงพรอมดวยทิฏฐิ (มีหลักความ
ถืออุปชฌาย จนถึงสมมติภิกษุผูสอบ คิดความเช่ือท่ีถูกตอง) ๖. อัปปมาท
ถามอันตรายิกธรรมกะอปุ สมั ปทาเปกขะ สัมปทา ความถึงพรอมดวยความไม
ประมาท ๗. โยนิโสมนสิการสัมปทา
ทามกลางสงฆ ดงั นเี้ ปนตน
บุพจรยิ า ความประพฤติปฏิบัติตนทสี่ บื ความถึงพรอมดวยโยนิโสมนสกิ าร
มาแตเดิม, การที่ไดเคยดําเนินชีวิต บุพประโยค อาการหรือการทําความ
ประพฤติปฏิบัติหรือทําการอยางน้ันๆ พยายามเบ้อื งตน, การกระทาํ ทแี รก
มาในกาลกอน, บางแหง หมายถึงการ บพุ เปตพลี การบําเพญ็ บญุ อทุ ศิ แกญาติ
๒๐๓
บุพพสกิ ขาวัณณนา ๒๐๔ บชู า
ท่ลี วงลบั ไปกอน, การทําบุญอทุ ิศใหแก บุรณะ ดู บูรณะ
ผูตาย; เขียนเต็มเปน บุพพเปตพลี บรุ ณมี วนั เพญ็ , วันกลางเดอื น, วนั ขน้ึ
หรอื ปุพพเปตพลี; ดู ปุพพเปตพลี ๑๕ คํ่า
บุพพสิกขาวัณณนา หนังสืออธิบาย บรุ พทิศ ทิศตะวนั ออก
พระวินัย พระอมราภริ กั ขติ (อมร เกดิ ) บุรพนิมติ ต ดู บุพนมิ ิต
บุรพบรุ ษุ คนกอนๆ, คนรุนกอน, คน
วดั บรมนิวาส เปนผูแตง
บพุ พณั ณะ ดู ธญั ชาต;ิ เทยี บ อปรัณณะ เกากอน, คนผูเปนตนวงศตระกูล,
บุพพัณหสมัย เวลาเบื้องตนแหงวัน, บรรพบุรษุ ; คาํ วา บุรุษ ในท่นี ี้ หมาย
เวลาเชา รวมทง้ั ชายและหญงิ
บุพพาจารย 1. อาจารยกอนๆ, อาจารย บุรพประโยค ดู บพุ ประโยค
รนุ กอน, อาจารยปางกอน 2. อาจารย บุรพาจารย ดู บพุ พาจารย
ตน, อาจารยคนแรก คือ มารดาบดิ า บรุ พาราม ดู บุพพาราม
บุพพาราม วัดที่นางวิสาขาสรางถวาย บชู นยี สถาน สถานทคี่ วรบูชา
พระพุทธเจาและภิกษุสงฆท่ีกรุงสาวัตถี บูชา นาํ ดอกไม ของหอม อาหาร ทรพั ย
พระพุทธเจาประทบั ที่วัดน้ี รวมทัง้ สิ้น ๖ สินเงินทอง หรือของมคี า มามอบให
พรรษา (ในชวงพรรษาที่ ๒๑–๔๔ ซ่ึง เพื่อแสดงความซาบซ้ึงพระคุณ มอง
ประทับสลับไปมาระหวางวัดพระเชตวัน เห็นความดงี าม เคารพนบั ถอื ช่นื ชม
กับวัดบุพพารามน้)ี ; ดู วิสาขา เชิดชู หรือนํามาประกอบกิริยาอาการ
บพุ เพนวิ าส “ขนั ธทเี่ คยอาศยั อยใู นกอน”, ในการแสดงความยอมรับนับถือ ตลอด
ภพกอน, ชาตกิ อน, ปพุ เพนวิ าส กเ็ ขยี น; ดู จนจัดกิจกรรมตางๆ เพ่ือแสดงความ
ปุพเพนวิ าสานสุ ติญาณ
บพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ ดู ปพุ เพนวิ าสา- เคารพนับถอื เชนน้นั , แสดงความเคารพ
นุสติญาณ
บุพเพสันนิวาส การเคยอยูรวมกันใน เทดิ ทนู , เชดิ ชูคณุ ความด,ี ยกยองให
ปรากฏความสาํ คญั ; บชู า มี ๒ (อง.ฺ ทกุ .๒๐/
กาลกอน เชน เคยเปนพอแมลูกพนี่ อง ๔๐๑/๑๑๗) คอื อามสิ บชู า (บชู าดวยอามสิ
คือดวยวัตถุสิ่งของ) และ ธรรมบูชา
เพอื่ นผวั เมยี กนั ในภพอดตี (ดู ชาดกที่ (บูชาดวยธรรม คือดวยการปฏิบัติให
๖๘ และ ๒๓๗ เปนตน) บรรลุจุดหมายท่ีพระพุทธเจาไดทรง
บุพภาค สวนเบื้องตน, ตอนตน แสดงธรรมไว), ในอรรถกถาแหงมงคล-
๒๐๔
บูชามยบุญราศี ๒๐๕ เบญจธรรม
สตู ร (ขทุ ฺทก.อ.๑๑๓; สุตตฺ .อ.๒/๘๓) ทานกลาว บรู ณมี ดู บุณมี
ถึงบูชา ๒ อยาง เปน อามสิ บชู า และ บรู พาจารย ดู บุพพาจารย
ปฏิบัติบูชา (บูชาดวยการปฏิบัติ คือ เบญจกัลยาณี หญิงมีลักษณะงาม ๕
บชู าพระพุทธเจาดวยสรณคมน การรับ อยาง คอื ผมงาม เนอ้ื งาม (คอื เหงือก
สกิ ขาบทมารักษาเพ่อื ใหเปนผมู ีศีล การ และริมฝปากแดงงาม) ฟนงาม ผวิ งาม
ถืออโุ บสถ และคุณความดตี างๆ ของตน วัยงาม (คอื ดูงามตลอดทุกวยั )
มปี าริสทุ ธศิ ีล ๔ เปนตน ตลอดจนการ เบญจกามคุณ ส่ิงท่ีนาปรารถนานาใคร
เคารพดแู ลมารดาบดิ า และบชู าปูชนยี - ๕ อยาง คือ รปู เสยี ง กลนิ่ รส และ
บุคคลทัง้ หลาย) โดยเฉพาะปฏบิ ตั ิบชู า โผฏฐพั พะ (สมั ผสั ทางกาย)
นั้ น ทานอ างพุทธพจนในมหา- เบญจขนั ธ ขนั ธ ๕, กองหรอื หมวดทง้ั ๕
ปรนิ พิ พานสูตร (ท.ี ม.๑๐/๑๒๙/๑๖๐) ทตี่ รัส แหงรูปธรรมและนามธรรมท่ีประกอบ
วา “ดกู รอานนท ผใู ดแล จะเปนภิกษุ เขาเปนชีวติ ไดแก ๑. รปู ขนั ธ กองรปู
ภิกษุณี อบุ าสก หรืออบุ าสกิ า ก็ตาม ๒. เวทนาขนั ธ กองเวทนา ๓. สญั ญา-
เปนผูปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรม ขนั ธ กองสญั ญา ๔. สงั ขารขนั ธ กอง
ปฏิบัติชอบ ปฏบิ ัติตามธรรมอยู ผูนน้ั สงั ขาร ๕. วิญญาณขันธ กองวญิ ญาณ
ชื่อวาสักการะ เคารพ นับถือ บูชา เบญจโครส โครส คอื ผลผลิตจากนม
ตถาคตดวยการบูชาอยางย่งิ ” กลาวยอ โค ๕ อยาง ไดแก ขีระ (นมสด) ทธิ
ปฏบิ ัตบิ ชู า ไดแก ธรรมานุธรรมปฏิบตั ิ (นมสม) ตกั กะ (เปรียง) สัปป (เนยใส)
บูชามยบุญราศี กองบุญท่ีสําเร็จดวย นวนีตะ (เนยขน), พึงทราบวา เนยขน
การบชู า นั้น มลี ักษณะเปนกอน ทานจงึ เติมคํา
บูชายัญ พิธีเซนสรวงเทพเจาของ วา “ปณฑะ” เขาไป เปน นวนตี ปณฑะ
พราหมณ, การเซนสรวงเทพเจาดวยวิธี หรือโนนีตปณฑะ (เชน ขุ.เถร.๒๖/๑๑๕/
ฆาคนหรือสตั วเปนเครือ่ งบชู า; ในภาษา ๒๑๔); ดู โครส
บาลี ไมใชคาํ วา “บูชา” กบั คาํ วา “ยัญ” เบญจธรรม ธรรม ๕ ประการ, ความดี
ทพ่ี ดู กันวา “บูชายัญ” นั้น แปลจากคาํ ๕ อยางท่ีควรประพฤติคูกันไปกับการ
บาลีวา “ยัญญยชนะ” รักษาเบญจศีลตามลําดับขอดังนี้ ๑.
บรู ทศิ ตะวนั ออก เมตตากรุณา ๒. สัมมาอาชีวะ ๓. กาม-
บรู ณะ, บรุ ณะ ทาํ ใหเต็ม, ซอมแซม สังวร (สํารวมในกาม) ๔. สจั จะ ๕. สติ-
๒๐๕
เบญจมหานที ๒๐๖ ใบฎีกา
สัมปชัญญะ; บางตาํ ราวาแปลกไปบางขอ สรางสระโบกขรณีในวัด ตามเรื่องวา
คอื ๒. ทาน ๓. สทารสันโดษ = พอใจ อุบาสกผูหน่ึงปรารถนาจะสรางสระ
เฉพาะภรรยาของตน ๕. อปั ปมาทะ = โบกขรณีถวายเพื่อประโยชนแกสงฆ
ไมประมาท; เบญจกลั ยาณธรรม กเ็ รยี ก ภิกษุทง้ั หลายกราบทลู เรื่องนั้น พระผมู ี
เบญจมหานที ดู มหานที ๕
พระภาคตรัสวา “ภิกษุทั้งหลาย เรา
เบญจวัคคีย ดู ปญจวัคคยี อนญุ าตสระโบกขรณ”ี (วินย.๗/๑๐๑/๓๗)
เบญจศีล ดู ศีล ๕
โบกขรพรรษ “ฝนดุจตกลงบนใบบัว
เบญจางค อวยั วะท้งั ๕ คอื ศีรษะ ๑ หรือในกอบัว”, ฝนที่ตกลงมาในกาละ
มือทั้ง ๒ เทาทงั้ ๒ พเิ ศษ มสี แี ดง ผใู ดตองการใหเปยก ก็
เบญจางคประดิษฐ การกราบดวยต้ัง เปยก ผใู ดไมตองการใหเปยก กไ็ มเปยก
อวยั วะท้งั ๕ อยางลงกับพน้ื คอื กราบ แตเมด็ ฝนจะกลงิ้ หลนจากกาย ดจุ หยาด
เอาเขาทั้งสอง มือทั้งสอง และศีรษะ นาํ้ หลนจากใบบวั เชน ฝนทต่ี กในพระ
(หนาผาก) จดลงกบั พื้น ญาติสมาคมคราวเสด็จกรุงกบิลพัสดุ
เบยี ดบัง การถือเอาเศษ เชนทานใหเกบ็ ครงั้ แรก อนั เหมอื นกบั ทต่ี กในพระญาติ
เงินคาเชาตางๆ เก็บไดมากแตใหทาน สมาคมของพระเวสสนั ดร
แตนอย ใหไมครบจาํ นวนทเ่ี กบ็ ได โบราณ มีในกาลกอน, เปนของเกาแก
โบกขรณี สระโบกขรณ,ี สระบวั ; มาจาก โบราณฏั ฐกถา ดู โปราณัฏฐกถา
คําบาลีวา “โปกฺขรณี” คือ ชลาศัย ใบฎกี า 1. หนังสอื นมิ นตพระ ตวั อยาง
(แหลงนํ้า) ท่มี โี ปกขระคอื ใบบัวปกคลมุ “ขออาราธนาพระคุณเจา (พรอมดวย
(“โปกขฺ ร” แปลวา ปทมุ ปตตฺ คือใบบวั , พระสงฆในวัดน้อี ีก ... รปู ) เจรญิ พระ
ขุ.ม.๒๙/๒๑๖/๑๖๓; แตอรรถกถาบางทแ่ี ปล พทุ ธมนต (หรือสวดมนต หรือแสดง
วาดอกบัว บางคัมภีรวาดอกบวั และนา้ํ ); พระธรรมเทศนา) ในงาน ... ทีบ่ าน เลข
สระโบกขรณีมีทั้งที่เกิดเองตามธรรม ท่ี ... ตาํ บล ... อาํ เภอ ... ในวนั ที่ ...
ชาติ เชน สระโบกขรณีช่ือวา ติยัคคฬา เดือน ... พ.ศ. ... เวลา ... น.” (หากจะ
กวางใหญประมาณ ๕๐ โยชน ในแดน อาราธนาใหรับอาหารบิณฑบาตเชาหรือ
หิมพานต (เชน ม.อ.๓/๒๗) แตท่กี ลาวถึง เพลหรอื มกี ารตกั บาตรใชปนโต กใ็ หระบุ
โดยมากเปนสระท่ีมนุษยขุดแตง เชน ไวดวย) 2. ตําแหนงพระฐานานุกรมรอง
เปนทีเ่ ลนสนุก (กีฬา), มีพทุ ธานญุ าตให จากสมหุ ลงมา
๒๐๖
ใบปวารณา ๒๐๗ ใบปวารณา
ใบปวารณา ใบแจงแกพระวาใหขอได ตวั ประสงคสงิ่ ใดอนั ควรแกสมณบรโิ ภค ขอ
อยาง “ขาพเจาขอถวายจตปุ จจยั อนั ควร ไดโปรดเรียกรองจากกัปปยการก ผู
แกสมณบรโิ ภค แดพระคณุ เจา เปนมลู ปฏบิ ตั ขิ องพระคณุ เจา เทอญ”
คา ... บาท ... สต. หากพระคณุ เจาตอง
๒๐๗
ป
ปกครอง คมุ ครอง, ดแู ล, รกั ษา, ควบคมุ วันหนึ่ง ขณะที่พระพุทธเจาประทับน่ัง
ปกตัตตะ, ปกตัตต “ผมู ีตนเปนปกต”ิ , ทรงแสดงธรรมอยู ในทป่ี ระชมุ ใหญซึ่ง
ภิกษุผูมีภาวะของตนกลาวคือศีลเปน มพี ระราชาประทบั อยูดวย พระเทวทัต
ปกติ คอื ไมตองอาบตั ิปาราชิก หรอื ถูก ไดกราบทลู วา พระพุทธเจาทรงพระชรา
สงฆลงอุกเขปนียกรรม รวมทั้งมิใช เปนผูเฒา แกหงอมแลว ขอใหทรงพกั
ภิกษุผูกําลังประพฤติวุฏฐานวิธีเพื่อออก ผอน โดยมอบภกิ ษุสงฆใหพระเทวทัต
จากอาบัติสังฆาทิเสส และภิกษุท่ีถูก บริหารตอไป แตพระพทุ ธเจาทรงหามวา
สงฆลงนคิ หกรรมอื่นๆ; ดู กมั มปตตะ, “อยาเลย เทวทัต เธออยาพอใจที่จะ
กมั มารหะ, ฉันทารหะ บรหิ ารภิกษุสงฆเลย” แมกระน้นั พระ
ปกตอิ โุ บสถ ดู อุโบสถ 2.๑. เทวทัตก็ยังกราบทูลอยางเดิมอีกจนถึง
ปกรณ คมั ภรี , ตาํ รา, หนังสอื ครง้ั ที่ ๓ พระพทุ ธเจาจงึ ตรสั วา แมแต
ปกาสนียกรรม กรรมอันสงฆพึงทําแก พระสารบี ตุ รและพระโมคคลั ลานะ พระ
ภิกษุผทู พี่ ึงถกู ประกาศ (แปลวา กรรม องคก็ยังไมทรงปลอยมอบภิกษุสงฆให
อันเปนเครอื่ งประกาศ กไ็ ด) หมายถงึ แลวจะทรงปลอยมอบภิกษุสงฆน้ันให
การที่สงฆมีมติและทําการประกาศให แกพระเทวทตั ผูกินเขฬะ (คอื บรโิ ภค
เปนท่ีรูกันทั่วไป ถึงสถานภาพในเวลา ปจจยั ซงึ่ เกิดจากอาชวี ะท่ไี มบริสทุ ธ์ิ อนั
นั้นของภิกษรุ ปู นั้นในสงฆ เชน ความไม อรยิ ชนจะพึงคายทิ้ง) ไดอยางไร พระ
เปนทีย่ อมรบั หรือการท่ีสงฆไมยอมรับ เทวทัตโกรธวาพระพุทธเจาตรัสใหตน
และไมรับผิดชอบตอการกระทําของ เสียหนาในทป่ี ระชุม แลวยงั ยกยองพระ
ภิกษุรูปนั้น, เปนกรรมที่พระพุทธเจา สารีบุตรและพระโมคคัลลานะเสียอีก
ตรัสบอกใหเปนวิธีปฏิบัติตอพระเทวทัต ดวย ก็ผูกอาฆาต และทูลลาไป ถึงตอน
และสงฆก็ไดกระทําตอพระเทวทัตใน น้ี พระพุทธเจาจึงไดตรสั บอกวิธีท่ีสงฆ
เมอื งราชคฤห ตามเรื่องวา เมื่อพระเทว- จะปฏิบัติตอพระเทวทัตดวยการทํา
ทัตแสดงฤทธ์ิแกเจาชายอชาตศตั รู ทํา ปกาสนยี กรรม และใหสงฆสมมติ คอื
ใหราชกุมารนั้นเลื่อมใสแลว ก็ไดชื่อ ตั้ ง ใ ห พ ร ะ ส า รี บุ ต ร เ ป น ผู ไ ป ก ล า ว
เสียง มีลาภสักการะเปนอนั มาก ตอมา ประกาศ (พระสารีบุตรเปนผูท่ีไดยก
ปกาสนียกรรม ๒๐๙ ปกาสนยี กรรม
ยองสรรเสริญพระเทวทัตไวในเมือง กราบทูลพระราชา แลวพระองครับส่ัง
ราชคฤหน้ัน) คําประกาศมีวาดังน้ี อยางใด กท็ าํ อยางนนั้ จากนน้ั พวกมหา
(วินย.๗/๓๖๒/๑๗๓) “ปกตขิ องพระเทวทัต อํามาตยก็คุมตัวอชาตศัตรูกุมารเขาไป
แตกอนเปนอยางหนึ่ง เดี๋ยวน้ีเปนอีก เฝาพระเจาพิมพิสาร กราบทูลเร่ืองนั้น
อยางหนงึ่ พระเทวทตั ทําการใด ดวย ใหทรงทราบ พระราชาทรงถามมติของ
กาย วาจา ไมพึงมองเห็นพระพทุ ธ พระ พวกมหาอาํ มาตย ทรงตาํ หนพิ วกทใ่ี หฆา
ธรรม หรอื พระสงฆ ดวยการน้ัน พงึ ภกิ ษทุ งั้ ปวงเสยี ใหหมด โดยทรงทวงวา
เหน็ เปนการเฉพาะตัวพระเทวทตั เอง” พระพุทธเจาไดใหประกาศไปแลวมิใช
หรือวาสงฆมิไดยอมรับการกระทําของ
ทางดานพระเทวทัต ตอมา กไ็ ดไป พระเทวทัต การกระทําน้ันเปนเรื่อง
แนะนําเจาชายอชาตศัตรูใหปลงพระ เฉพาะตัวของพระเทวทัตเอง จากนั้น
ชนมพระราชบิดาแลวข้ึนครองราชย เมอื่ ทรงซกั ถามราชกมุ าร ไดความวาจะ
โดยตนเองก็จะปลงพระชนมพระพุทธ ปลงพระชนมพระองคเพราะตองการ
เจาแลวเปนพระพุทธเจาเสียเอง มา ราชสมบัติ ก็ไดทรงมอบราชสมบัติแก
ประสานบรรจบกนั เจาชายอชาตศัตรูได เจาชายอชาตศัตรู เมื่อพระเจาอชาต-
เหน็บกริชแนบพระเพลาเขาไปเพื่อทํา ศัตรูครองราชยแลว พระเทวทัตก็ได
การตามแผน แตมพี ิรุธ ถกู จบั ได เม่อื กําลังจากฝายบานเมืองมาดําเนินการ
ถูกสอบสวนและสารภาพวาทรงทําตาม พยายามปลงพระชนมพระพุทธเจา ทั้ง
คํายุยงของพระเทวทัต มหาอํามาตย จัดพรานธนูไปดักสังหาร ท้ังกลิ้งกอน
พวกหนึง่ มีมตวิ า ควรประหารชีวิตราช- ศิลาลงมาจากเขาคชิ ฌกฏู จะใหทับ และ
กุมาร และฆาพระเทวทัตกับท้ังประดา ปลอยชางดุนาฬาคีรีใหเขามาทํารายบน
พระภิกษุเสียใหหมดสิ้น มหาอํามาตย ทางเสด็จ แตไมสาํ เรจ็ จนในคร้ังสุด
พวกหน่ึงมีมติวา ไมควรฆาภิกษุท้ัง ทาย มหาชนรูเรื่องกันมากข้นึ กอ็ อกมา
หลาย เพราะพวกภิกษไุ มไดทาํ ความผิด แสดงความไมพอใจตอพระราชาวาเปน
อะไร แตควรประหารชีวิตราชกุมาร ผูสงเสรมิ เปนเหตใุ หพระเจาอชาตศตั รู
และฆาพระเทวทัตเสีย สวนมหา ตองทรงถอนพระองคจากพระเทวทัต
อํามาตยอีกพวกหน่ึงมีมติวา ไมควร ทําใหพระเทวทัตเส่ือมจากลาภสักการะ
ประหารราชกมุ าร ไมควรฆาพระเทวทตั กอนถึงกาลจบส้นิ ในท่ีสุด
และไมควรสงั หารภกิ ษุท้งั หลาย แตควร
๒๐๙
ปกิณณกทกุ ข ๒๑๐ ปฏลิกา
ปกาสนียกรรมน้ี เปนสงั ฆกรรมหนึง่ ครัวท่ีย่ิงดวยศรัทธาแตหยอนดวยโภคะ
ใน ๘ อยาง ทเี่ ปน อสมั มขุ ากรณยี คือ ใหถือวาเปนเสขะ เพอื่ มิใหภกิ ษุรบกวน
กรรมซึ่งไมตองทําในท่ีตอหนา หรือ ไปรบั อาหารมาฉนั นอกจากไดรบั นมิ นต
พรอมหนาบคุ คลทถ่ี ูกสงฆทาํ กรรม ได ไวกอน หรืออาพาธ) ๖.พรหมทณั ฑ
แก ๑.ทเู ตนปุ สมั ปทา (การอปุ สมบท (“การลงโทษอยางสูงสง” คือการทีส่ งฆมี
โดยใชทตู คอื ภกิ ษุณีใหมท่ีอปุ สมบทใน มติลงโทษภิกษุหัวดื้อวายาก โดยวิธี
ภิกษุณีสงฆเสร็จแลว จะไปรับการ พรอมกันไมวากลาวสั่งสอนตักเตือน
อุปสมบทจากภิกษุสงฆเพื่อใหครบการ ใดๆ ดังทีท่ ําแกพระฉนั นะเม่ือพระพุทธ
อุปสมบทจากสงฆสองฝาย แตถามขี อ เจาปรินิพพานแลว) ๗.ปกาสนยี กรรม
ติดขัดเกรงวาการเดินทางจะไมปลอด (การประกาศใหเปนท่ีรูท่ัวกนั ถึงสภาวะ
ภัย ก็ใหภิกษุณอี น่ื เปนทูต คือเปนตวั ของภิกษุรูปน้ันซ่ึงไมเปนที่ยอมรับของ
แทนแจงการขอรับอุปสมบทของตนตอ สงฆ อันพึงถือวาการใดท่ีเธอทําก็เปน
ท่ีประชมุ ภิกษุสงฆ โดยตนเองไมตองไป เรื่องเฉพาะตวั ของเธอ ไมผูกพนั กับสงฆ
ก็ได) ๒.ปตตนกิ กชุ ชนา (การคว่ําบาตร
หรือตอพระศาสนา ดงั ทท่ี ําแกพระเทว-
อุบาสกผูปรารถนารายตอพระรัตนตรัย) ทัต) ๘.อวนั ทนยี กรรม (การทีภ่ กิ ษุณี
๓.ปตตอกุ กชุ ชนา (การหงายบาตร คอื สงฆมีมติประกาศใหเปนที่รูทั่วกันถึง
ประกาศระงับโทษอุบาสกผูเคยมุงราย ภิกษุผูมีพฤติกรรมหรือแสดงอาการอัน
ตอพระรัตนตรยั ซง่ึ ไดกลับตวั แลว) ๔. ไมเปนที่นาเลื่อมใส และใหถือวาภิกษุ
อุมมัตตกสมมติ (การสวดประกาศ นนั้ เปนผทู ่ภี กิ ษุณีทง้ั หลายไมพึงไหว); ดู
ความตกลงใหถือภิกษุผูวิกลจริตใน เทวทตั , นคิ หกรรม
ระดบั ท่ีจาํ อะไรไดบางไมไดบาง วาเปนผู ปกิณณกทุกข ทุกขเบด็ เตล็ด, ทกุ ขเร่ีย
วิกลจริต เพ่ือวาเมื่อภิกษุนั้นระลึก ราย, ทกุ ขจร ไดแก โสกะ ปริเทวะ
อุโบสถหรอื สังฆกรรมไดก็ตาม ระลกึ ไม ทกุ ข โทมนัส อปุ ายาส
ไดก็ตาม มารวมก็ตาม ไมมาก็ตาม ปกิรณกะ ขอเบ็ดเตล็ด, ขอเล็กๆ
สงฆจะพรอมดวยเธอ หรือปราศจาก นอยๆ, ขอปลกี ยอย
เธอก็ตาม ก็จะทําอุโบสถได ทําสังฆ- ปชาบดี 1. ภรรยา, เมยี 2. ดู มหาปชาบด-ี
กรรมได) ๕.เสกขสมมติ (การสวด โคตมี
ประกาศความตกลงต้ังสกุลคือครอบ ปฏลิกา เคร่ืองลาดทําดวยขนแกะท่ีมี
๒๑๐
ปฏาจารา ๒๑๑ ปฏิกรรม
สัณฐานเปนพวงดอกไม วางเปนระบบวธิ ปี ฏิบัตทิ างสังคม คือใน
ปฏาจารา พระมหาสาวกิ าองคหนง่ึ เปน ดานวนิ ัย ข้ันพื้นฐาน ๓ ประการ ไดแก
ธิดาเศรษฐีในพระนครสาวัตถีไดรับ ๑. วินัยบญั ญัติ (สําหรบั พระสงฆ) เรือ่ ง
วปิ โยคทกุ ขอยางหนกั เพราะสามตี าย ลกู อาปตตปิ ฏิกรรม ซึง่ แปลกันวาการทาํ
ตาย พอแมพนี่ องตายหมด ในเหตกุ ารณ คืนอาบัติ คือการที่ภิกษุหรือภิกษุณี
รายท่ีเกิดขึ้นฉับพลันทันทีและติดตอกัน บอกแจงความผดิ ของตน เพ่ือจะสังวร
ถึงกับเสียสติปลอยผานุงผาหมหลุดลุย ตอไป แมแตแคสงสยั ดังเชน เมื่อถึง
เดนิ บนเพอไปในทตี่ างๆ จนถงึ พระเชตวนั วันอุโบสถ ภกิ ษรุ ปู หน่ึงเกิดความสงสัย
พระศาสดาทรงแผพระเมตตา เปลงพระ วาตนอาจจะไดตองอาบตั ิ กบ็ อกแจงแก
วาจาใหนางกลับไดสติ แลวแสดงพระ ภิกษุอ่นื รปู หนง่ึ วา (เชน วนิ ย.๔/๑๘๖/๒๔๖)
ธรรมเทศนา นางไดฟงแลวบรรลโุ สดา- “อห อาวโุ ส อติ ถฺ นฺนามาย อาปตตฺ ยิ า
ปตตผิ ล บวชเปนพระภกิ ษณุ ี ไมชาก็ เวมตโิ ก, ยทา นพิ เฺ พมตโิ ก ภวิสสฺ าม,ิ
สําเร็จพระอรหัต ไดรับยกยองวาเปน ตทา ต อาปตตฺ ึ ปฏกิ รสิ สฺ าม”ิ (ทานครบั
เอตทคั คะในทางทรงพระวนิ ยั ผมมีความสงสัยในอาบัติชื่อนี้ หาย
ปฏิกโกสนา การกลาวคดั คานจงั ๆ (ตาง สงสยั เมื่อใด จกั ทาํ คืนอาบตั นิ น้ั เมือ่ นัน้ ,
จากทิฏฐาวกิ มั ม ซ่งึ เปนการแสดงความ “ปฏกิ รสิ สฺ าม”ิ เปนรปู กรยิ าของปฏกิ รรม)
เห็นแยง ช้ีแจงความเห็นที่ไมรวมดวย ๒. วินัยบัญญัติ (สาํ หรับพระสงฆ) เรอื่ ง
เปนสวนตัว แตไมไดคดั คาน) ปวารณากรรม คอื หลงั จากอยรู วมกนั
ปฏกิ รรม “การทาํ คืน”, “การแกกรรม”, มาตลอดพรรษา ภิกษุหรือภิกษุณีทั้ง
การแกไข, การกลับทําใหมใหเปนดี, หลายประชุมกนั และแตละรูปกลาวคํา
เปนคําสอนสําคัญสวนหนึ่งในการทํา เปดโอกาสหรือเชิญชวนแกท่ีประชุม
กรรม มีสาระสําคัญ คอื ยอมรบั ความ เร่มิ ดวยรปู ทีเ่ ปนผูใหญท่สี ุดวา (วินย.๔/
ผิดพลาดท่ีไดทําไปแลว ละเลิกบาป ๒๒๖/๓๑๔) “สงฺฆ อาวโุ ส ปวาเรมิ ทิฏเ น
อกุศลหรือการกระทําผิดพลาดเสียหาย วา สเุ ตน วา ปริสงกฺ าย วา, วทนฺตุ ม
ท่ีเคยทํานั้น และหันมาทําความดีงาม อายสมฺ นโฺ ต อนกุ มปฺ อปุ าทาย, ปสสฺ นโฺ ต
ถกู ตองหรอื บญุ กุศล แกไขปรบั ปรุงตน ปฏกิ รสิ สฺ าม”ิ (เธอทงั้ หลาย ฉนั ปวารณา
เปล่ียนแปรกรรมใหดี, ในทางปฏิบัติ ตอสงฆ ดวยไดเห็นก็ดี ดวยไดฟงก็ดี
พระพุทธเจาไดทรงนําหลักปฏิกรรมมา ดวยสงสัยก็ดี ขอเธอทั้งหลายจงอาศยั
๒๑๑
ปฏกิ ัสสนา ๒๑๒ ปฏิจจสมปุ บาท
ความกรณุ าวากลาวฉัน ฉนั เหน็ อยู จกั สังฆาทิเสสสําหรับภิกษุผูตองอาบัติ
ทาํ คืน, “ปฏกิ รสิ สฺ าม”ิ เปนรปู กรยิ าของ สังฆาทิเสสข้ึนใหมอีก ในเวลาใดเวลา
ปฏกิ รรม) ๓. อริยวินยั (สําหรบั ทัง้ พระ หน่ึงต้ังแตเริ่มอยูปริวาสไปจนถึงกอน
สงฆและคฤหัสถ) เรื่องอัจจยเทศนา อัพภาน ทําใหเธอตองกลับอยูปริวาส
คือการแสดงความยอมรับหรอื สํานึกผดิ หรือประพฤติมานัตต้ังแตเริ่มตนไป
ในการที่ตนไดทําความผิดละเมิดหรือ ใหม; สงฆจตุรวรรคใหปฏกิ สั สนาได; ดู
ลวงเกินผูอื่น และมาบอกขอใหผอู ืน่ นน้ั อันตราบตั ิ
ยอมรับความสาํ นกึ ของตน เพือ่ ที่ตนจะ ปฏกิ า เคร่อื งลาดทําดวยขนแกะท่มี สี ีขาว
ไดสํารวมระวังตอไป ดังเชนในกรณี ลวน
นายขมังธนูท่ีรับจางมาเพ่ือสังหารพระ ปฏกิ าร การตอบแทน, การสนองคณุ ผอู น่ื
พุทธเจา แลวสํานกึ ผดิ และเขามากราบ ปฏิกูล นาเกลียด, นารังเกยี จ
ทลู ความสํานกึ ผดิ ของตน พระพทุ ธเจา ปฏิกูลมนสิการ การพิจารณาสวน
ไดตรัสขอความที่เปนหลักในเร่ืองนี้วา ประกอบอันไมสะอาดทั้งหลาย มีผม
(วินย.๗/๓๖๙/๑๘๐) “ยโต จ โข ตฺว อาวุโส ขน เล็บ ฟน หนัง เปนตน ทป่ี ระชมุ เขา
อจจฺ ย อจจฺ ยโต ทสิ วฺ า ยถาธมมฺ ปฏกิ โรส,ิ เปนรางกายน,้ี เปนบรรพท่ี ๔ (ปฏิกลู
ตนเฺ ต มย ปฏคิ คฺ ณหฺ าม, วุทฺธิ เหสา มนสิการบรรพ) ของกายานุปสสนาสติ
อาวโุ ส อรยิ สสฺ วนิ เย, โย อจจฺ ย อจจฺ ยโต ปฏฐาน; ดู กายานปุ สสนา, สตปิ ฏฐาน
ทสิ วฺ า ยถาธมมฺ ปฏกิ โรติ, อายตึ สวร ปฏคิ ม ผตู อนรบั , ผรู บั แขก, ผดู แู ลตอนรบั
อาปชชฺ ต”ิ (เพราะการทเ่ี ธอมองเห็นโทษ ปฏิคาหก ผรู ับทาน, ผูรบั ของถวาย
โดยความเปนโทษ แลวทาํ คนื ตามธรรม ปฏิฆะ ความขัดใจ, แคนเคอื ง, ความขง้ึ
เราจึงยอมรบั โทษนนั้ ของเธอ การท่ีผใู ด เคียด, ความกระทบกระทง่ั แหงจติ ได
เห็นโทษโดยความเปนโทษ แลวทาํ คืน แกความที่จิตหงุดหงิดดวยอํานาจโทสะ
ตามธรรม ถึงความสงั วรตอไป ขอนน้ั (ขอ ๕ ในสังโยชน ๑๐, ขอ ๒ ใน
เปนความเจรญิ ในอรยิ วนิ ยั , “ปฏกิ โรส”ิ สังโยชน ๑๐ ตามนยั พระอภิธรรม, ขอ
และ“ปฏกิ โรต”ิ เปนรปู กรยิ าของปฏกิ รรม) ๒ ในอนุสัย ๗)
ปฏิกัสสนา กิริยาชักเขาหาอาบัติเดิม, ปฏิจจสมปุ บาท [ปะ-ตดิ -จะ-สะ-หมุบ-
เปนชื่อวุฏฐานวิธีสําหรับอันตราบัติคือ บาด]“การทธ่ี รรมทง้ั หลายอาศัยกนั เกิด
ระเบียบปฏิบัติในการออกจากอาบัติ ข้ึนพรอม”, สภาพอาศัยปจจัยเกิดข้ึน,
๒๑๒
ปฏิจจสมุปบาท ๒๑๓ ปฏิจจสมปุ บาท
การท่ีสิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น, จงึ มีพรอม
เอวเมตสสฺ เกวลสสฺ ทกุ ขฺ กขฺ นธฺ สสฺ
การที่ทุกขเกิดข้ึนเพราะอาศัยปจจัยตอ สมทุ โย โหติ
ความเกิดข้ึนแหงกองทุกขทั้งปวงนี้จึง
เนอื่ งกนั มา มอี งคคอื หวั ขอ ๑๒ ดงั น้ี
๑. อวชิ ฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา มีดวยประการฉะนี้
เพราะอวิชชา เปนปจจัย สงั ขารจงึ มี ปฏิจจสมุปบาทท่ีธรรมท้ังหลาย
๒.สงฺขารปจจฺ ยา วิ ฺ าณํ เปนปจจัยแกกันไปตามลําดับอยางนี้
แสดงทุกขสมุทัยคือความเกิดข้ึนแหง
เพราะสงั ขาร เปนปจจยั วิญญาณจงึ มี ทกุ ข จึงเรยี กวา สมทุ ยั วาร (พงึ สังเกต
๓. วิ ฺ าณปจจฺ ยา นามรูป วา คาํ วา สมปุ บาท กับสมทุ ยั มีความ
หมายเหมือนกันวา ความเกิดข้ึน
เพราะวิญญาณ เปนปจจยั นามรปู จงึ มี พรอม), เมอ่ื ทุกขเกดิ ขน้ึ อยางนี้ การที่
๔. นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ จะดับทุกข กค็ อื ดบั ธรรมที่เปนปจจัยให
เกดิ ทุกข ดังน้ัน ทานจงึ แสดงกระบวน
เพราะนามรปู เปนปจจยั สฬายตนะจงึ มี ธรรมแบบท่ตี รงขามไวดวย คอื ปฏิจจ-
๕. สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส สมุปบาทที่ธรรมอันเปนปจจัยดับตอๆ
กันไป (เร่มิ ตง้ั แตวา “เพราะอวชิ ชาดบั
เพราะสฬายตนะ เปนปจจยั ผัสสะจึงมี สงั ขารจงึ ดับ, เพราะสังขารดับ วญิ ญาณ
๖. ผสฺสปจฺจยา เวทนา จึงดบั ฯลฯ”) เปนการแสดงทกุ ขนิโรธ
คือความดับไปแหงทุกข จึงเรียกวา
เพราะผัสสะ เปนปจจยั เวทนาจงึ มี ปฏจิ จสมปุ บาทแบบ นโิ รธวาร
๗. เวทนาปจฺจยา ตณฺ หา
ปฏิจจสมุปบาทนี้ บางทีเรียกชื่อ
เพราะเวทนา เปนปจจยั ตัณหาจงึ มี เต็มเปนคําซอนวา อิทัปปจจยตา
๘. ตณฺหาปจจฺ ยา อุปาทานํ ปฏิจจสมุปบาท (ภาวะทอี่ ันน้ีๆ มี เพราะ
อันน้ีๆ เปนปจจัย [หรือประชุมแหง
เพราะตัณหา เปนปจจยั อปุ าทานจงึ มี ปจจยั เหลานๆี้ ] กลาวคอื การทีธ่ รรมทงั้
๙. อุปาทานปจจฺ ยา ภโว หลายอาศยั กันเกิดขึน้ พรอม), ในคมั ภีร
ทายๆ ของพระสุตตันตปฎก และใน
เพราะอุปาทาน เปนปจจยั ภพจึงมี
๑๐. ภวปจจฺ ยา ชาติ ๒๑๓
เพราะภพ เปนปจจัย ชาติจึงมี
๑๑. ชาตปิ จฺจยา ชรามรณํ
เพราะชาติ เปนปจจัย ชรามรณะจึงมี
โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา
สมภฺ วนตฺ ิ
โสกะ ปริเทวะ ทกุ ข โทมนสั อปุ ายาส
ปฏิจจสมปุ บาท ๒๑๔ ปฏจิ จสมปุ บาท
พระอภธิ รรมปฎก มคี าํ เรยี กปฏจิ จสมปุ - วิบาก, เม่ือมองตามกลุมหรือตาม
บาทเพิ่มขน้ึ อีกอยางหน่งึ วา ปจจยาการ ประเภทอยางน้ี จะเหน็ ไดงายวา กเิ ลส
(อาการที่เปนปจจัยแกกัน), เน่ืองจาก
ปฏิจจสมุปบาทแสดงอาการท่ีธรรมทั้ง เปนเหตุใหกอกรรม แลวกรรมก็ทําให
หลายเปนปจจัยแกกันตอเน่ืองไปเปน
วงจรหรือหมุนเปนวงวน และเมื่อมอง เกิดผลที่เรยี กวาวิบาก (แลววิบากกเ็ ปน
ตอขึ้นมาอีกช้ันหนึ่ง ก็เห็นสภาพชีวิต
ของสัตวท้ังหลายท่ีเรรอนวายวนเวียน ปจจัยใหเกิดกเิ ลส), เมอ่ื มองความเปน
ไปในภพภมู ิตางๆ ดวยเหตุนี้ กไ็ ดเกดิ มี
คาํ เรียกความเปนไปตามปฏจิ จสมุปบาท ไปตลอดปฏิจจสมุปบาทครบท้ัง ๑๒
นนั้ วา “วฏั ฏะ” (สภาพหมนุ วน) บาง
“สังสาระ” (การเท่ียวเรรอนไป) บาง องค เปนการหมุนวนหนึ่งรอบ ก็คือ
“สงั สารวฏั ฏ” (วงวนแหงการเทยี่ วเรรอน ครบ ๑๒ องคนัน้ เปนวฏั ฏะ ก็จะเห็น
ไป) บาง ตลอดจนคาํ ในชน้ั อรรถกถา ซง่ึ วาวฏั ฏะนน้ั แบงเปน ๓ ชวง คือชวง
บางทเี รยี กปฏจิ จสมปุ บาทวา “ภวจักร”
และ “สังสารจกั ร” กิเลส ชวงกรรม และชวงวบิ าก เมื่อ
ในการอธิบายหลักปฏิจจสมุปบาท วัฏฏะมีสามชวงอยางน้ี ก็จึงเรียก
ที่พระพุทธเจาเองก็ตรัสไววาเปนธรรม ปฏิจจสมปุ บาทวาเปน ไตรวฏั ฏ (วงวน
ลกึ ซึ้งนี้ พระอรรถกถาจารยไดพยายาม สามสวน หรอื วงวนสามซอน) ประกอบ
ช้ีแจงโดยจัดองค ๑๒ ของปฏิจจสมุป-
บาทน้ัน เปนกลมุ เปนประเภทและเปน ดวย กเิ ลสวัฏฏ กรรมวฏั ฏ และวิปาก-
ชวงๆ คือ องคท่ี ๑ อวชิ ชา องคที่ ๘
ตณั หา และองคท่ี ๙ อปุ าทาน สาม วฏั ฏ, การอธบิ ายแบบไตรวฏั ฏนี้ เปน
อยางนเ้ี ปน กิเลส, องคท่ี ๒ สงั ขาร
และองคท่ี ๑๐ ภพ สองอยางน้ีเปน วิธีท่ีชวยใหเขาใจงายข้ึนอยางนอยในข้ัน
กรรม, องคที่ ๓-๗ วญิ ญาณ นามรปู
สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา และองคท่ี เบอ้ื งตน ตอจากน้นั อธิบายใหลึกลงไป
๑๑–๑๒ ชาติ ชรามรณะ เจด็ องคนีเ้ ปน
โดยแยกแยะอีกช้ันหนึ่งวา ในรอบใหญ
ทค่ี รบ ๑๒ องคนนั้ มองใหชดั จะเหน็ วา
มีไตรวฏั ฏตอกนั ๒ รอบ คือ รอบท่ี ๑
องคที่ ๑ อวชิ ชา เปนกิเลส, องคท่ี ๒
สังขาร เปนกรรม, องคที่ ๓-๗
วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผัสสะ
เวทนา เปนวิบาก, รอบที่ ๒ องคที่ ๘
ตณั หา และองคท่ี ๙ อุปาทาน เปนกิเลส,
องคที่ ๑๐ ภพ เปนกรรม, องคที่ ๑๑–
๑๒ ชาติ ชรามรณะ เปนวบิ าก, จากนนั้
อธบิ ายตอไปวา องคทีเ่ ปนกิเลส เปน
๒๑๔
ปฏจิ ฉนั นปริวาส ๒๑๕ ปฏิบัตธิ รรม๒
กรรม เปนวบิ าก ในรอบท่ี ๑ มองดู ปดไว ซึ่งนับวันไดเปนจํานวนเดยี ว
แตกตางกับองคท่ีเปนกิเลส เปนกรรม ปฏิจฉนั นาบตั ิ อาบตั ิ (สงั ฆาทเิ สส) ที่
เปนวิบาก ในรอบที่ ๒ แตทจ่ี ริง โดย ภิกษตุ องแลวปดไว
สาระไมตางกัน ความแตกตางทปี่ รากฏ ปฏชิ าครอโุ บสถ ดู อโุ บสถ 2.๒.
นัน้ คอื การพดู ถงึ สภาวะอยางเดียวกนั ปฏญิ ญา ใหคํามน่ั , แสดงความยนื ยนั ,
แตใชถอยคําตางกัน เพื่อระบุชี้องค ใหการยอมรบั
ธรรมท่ีออกหนามีบทบาทเดนเปนตัว ปฏิญญาตกรณะ “ทําตามรับ” ไดแก
แสดงในวาระนั้น สวนองคธรรมท่ีไม ปรับอาบัติตามปฏิญญาของจําเลยผูรับ
ระบุ ก็มีอยูดวยโดยแฝงประกบอยู เปนสตั ย การแสดงอาบตั กิ จ็ ดั เขาในขอน้ี
หรือถูกรวมเขาไวดวยคําสรุปหรือคําท่ี ปฏิญาณ การใหคาํ ม่นั โดยสจุ รติ ใจ, การ
ใชแทนกนั ได เชน ในรอบ ๑ ท่รี ะบุ ยนื ยนั
เฉพาะอวิชชาเปนกิเลสนน้ั ที่แทตัณหา ปฏิบัติ ประพฤติ, กระทํา, ดําเนิน;
อุปาทานก็พวงพลอยอยูดวย สวนใน บํารงุ , เล้ียงดู
รอบ ๒ ทีว่ าตณั หาอุปาทานเปนกเิ ลส ปฏบิ ตั ิธรรม๑ (ปะ-ติ-บัด-ต-ิ ทมั ) ธรรมคือ
น้ัน ในขณะทีต่ ัณหาอุปาทานเปนเจาบท ปฏิปทาอันจะตองปฏิบัติ ไดแก ไตร
บาทออกโรงอยู ก็มีอวชิ ชาอยูเบอื้ งหลงั สกิ ขา คือ ศลี สมาธิ ปญญา (มาจากคํา
ตลอดเวลา, ในรอบ ๑ ท่ียกสังขารขึน้ บาลวี า “ปฏปิ ตฺตธิ มมฺ ”), มาในชดุ ธรรม
มาระบุวาเปนกรรม ก็เพราะเนนที่การ ๓ คอื ปริยตั ิธรรม ปฏิบัติธรรม และ
ทํางาน สวนในรอบ ๒ ทร่ี ะบวุ าภพเปน ปฏิเวธธรรม, บางทีเรียกวา ปฏิบัติ
กรรม ก็เพราะจะใหมองท่ีผลรวมของ สทั ธรรม; ดู สัทธรรม ๓
งานทีท่ ําคือกรรมภพ, และ ชาติ ชรา- ปฏิบัติธรรม๒ (ปะ-ต-ิ บดั -ทมั ) ดาํ เนินตาม
มรณะ ทวี่ าเปนวบิ ากในรอบ ๒ นัน้ ก็ ธรรม, ประพฤติธรรม, บําเพ็ญธรรม,
หมายถึงการเกิดเปนตน ของวิญญาณ นําธรรมมาใชมาปฏิบัติมาเปนหลักใน
นามรปู ฯลฯ ทร่ี ะบวุ าเปนวิบากในรอบ การดาํ เนนิ ชีวติ ทํากิจทําการ (เปนการนาํ
๑ นน่ั เอง ดังนี้เปนตน; ดู ไตรวัฏฏ คาํ ไทยทีม่ าจากบาลี ๒ คาํ คอื คําวา
ปฏจิ ฉันนปรวิ าส ปริวาสเพือ่ ครุกาบตั ทิ ่ี “ปฏบิ ัติ” กับ คําวา “ธรรม” มาใชในขอ
ปดไว, ปรวิ าสที่ภกิ ษุผปู รารถนาจะออก ความภาษาไทยหรือรูปประโยคภาษา
จากอาบัติสังฆาทิเสสอยูใชเพ่ืออาบัติที่ ไทย ถือไดวาเปนคําแปลของคําบาลีวา
๒๑๕
ปฏบิ ัติบูชา ๒๑๖ ปฏิภาณปฏิสมั ภทิ า
“ธมฺมปฏปิ ตตฺ ิ” ซงึ่ แปลเปนไทยวา การ ปฏปิ กข, ปฏปิ กษ ฝายตรงกันขาม, คู
ปฏบิ ตั ธิ รรม) การนาํ ธรรมมาใชมาปฏิบัติ ปรบั , ขาศึก, ศตั รู
มาบําเพ็ญนี้ พึงใหเปนไปตามหลัก ปฏปิ กขนัย นัยตรงกนั ขาม
ธรรมานุธรรมปฏิบัติ (ธมฺมานุธมฺม- ปฏิปสสัทธิวิมุตติ ความหลุดพนดวย
ปฏิปตตฺ )ิ ; ดู ธรรมานธุ รรมปฏบิ ตั ิ
สงบระงับ ไดแก การหลุดพนจากกิเลส
ปฏบิ ตั ิบูชา การบชู าดวยการปฏิบตั ิ คือ ดวยอริยผล เปนการหลุดพนท่ียั่งยืน
ประพฤติตามธรรมคําสั่งสอนของพระ ไมตองขวนขวายเพอื่ ละอีก เพราะกเิ ลส
ทาน, บูชาดวยการประพฤติปฏิบัติ นน้ั สงบไปแลว เปนโลกุตตรวิมุตติ (ขอ
กระทําสงิ่ ทด่ี งี าม (ขอ ๒ ในบูชา ๒) ๔ ในวมิ ตุ ติ ๕)
ปฏบิ ตั ิสทั ธรรม ดู สทั ธรรม ปฏิพัทธ เนอ่ื งกัน, ผกู พนั , รกั ใคร
ปฏปิ ทา ทางดาํ เนนิ , ความประพฤต,ิ ขอ ปฏิภาค สวนเปรียบ, เทียบเคียง,
ปฏบิ ตั ิ เหมอื น
ปฏปิ ทา ๔ การปฏบิ ัตขิ องทานผูไดบรรลุ ปฏิภาคนิมิต นิมิตเสมือน, นมิ ิตเทียบ
ธรรมพิเศษ มี ๔ ประเภท คือ ๑. ทุกฺขา เคียง เปนภาพเหมือนของอุคคหนิมิต
ปฏปิ ทา ทนธฺ าภิ ฺ า ปฏิบัติลําบาก ท้ัง เกิดจากสัญญา สามารถนึกขยายหรือ
รไู ดชา ๒. ทกุ ฺขา ปฏิปทา ขปิ ฺปาภิ ฺ า ยอสวน ใหใหญหรือเล็กไดตามความ
ปฏบิ ัตยิ าก แตรูไดเร็ว ๓. สขุ า ปฏปิ ทา ปรารถนา
ทนฺธาภิ ฺ า ปฏิบัตสิ ะดวก แตรไู ดชา ปฏิภาณ “ปญญาสวางตอหนา”, “ความรู
๔. สขุ า ปฏิปทา ขิปปฺ าภิ ฺ า ปฏบิ ตั ิ ความคดิ ท่ีปรากฏฉับพลัน”, ปญญาไว
สะดวก ท้ังรไู ดเรว็ อันใหพูดจาโตตอบชี้แจงไดทันทีทัน
ปฏิปทาญาณทสั สนวิสุทธิ ความหมด ควัน, ปญญาแกการณเฉพาะหนา,
จดแหงญาณเปนเคร่ืองเห็นทางปฏิบัติ ความคดิ ทนั การ
ไดแกวปิ สสนาญาณ ๙ (ขอ ๖ ใน ปฏิภาณปฏิสมั ภทิ า ปญญาแตกฉานใน
วสิ ุทธิ ๗)
ปฏภิ าณ, ปรีชาสวางแจงในความคดิ ทัน
ปฏิปทานุตตริยะ การปฏิบัติอันยอด การ, ความมีไหวพรบิ ในการพดู จาตอบ
เย่ียม ไดแกการปฏิบัติธรรมท่ีไดเห็น โตหรือแกปญหาเฉพาะหนาไดทันทวงที,
แลวในขอทัสสนานตุ ตริยะ ท้งั สวนทจี่ ะ ปญญาแจงในความรูทม่ี ีอยู จับมาเชื่อม
พงึ ละและพงึ บําเพญ็ ; ดู อนุตตริยะ โยงสรางความคิดและเหตผุ ลขึน้ ใหม ใช
๒๑๖
ปฏมิ า ๒๑๗ ปฏสิ ันถาร
ประโยชนไดสบเหมาะ เขากบั กรณเี ขากับ ปฏิสนธิ เกิด, เกิดใหม, แรกเกดิ ขนึ้ ใน
เหตุการณ หรือแกไขปญหาไดฉบั พลัน ครรภ
ทนั การ (ขอ ๔ ใน ปฏสิ มั ภิทา ๔) ปฏิสนธิจติ , ปฏิสนธจิ ติ ต จิตทส่ี ืบตอ
ปฏิมา รูปเปรียบ, รปู แทน, รปู เหมอื น ภพใหม, จิตท่ีเกิดทแี รกในภพใหม
ปฏริ ูป สมควร, เหมาะสม, ปรบั ปรงุ ให ปฏสิ สวะ การฝนคํารบั , รับแลวไมทาํ
สมควร; ถาอยูทายในคําสมาสแปลวา ตามรบั เชน รบั นมิ นตวาจะไปแลวหาไป
“เทยี ม” “ปลอม” “ไมแท” เชน สทั ธรรม- ไม (พจนานกุ รม เขยี น ปฏิสวะ)
ปฏิรูป แปลวา “สทั ธรรมเทยี ม” หรือ ปฏิสสวทุกกฏ ทุกกฏเพราะรับคํา,
“ธรรมปลอม” อาบัติทุกกฏเพราะไมทําตามท่ีรับปากไว
ปฏิรูปเทสวาสะ อยูในประเทศอันสม เชน ภิกษรุ บั นมิ นตของชาวบาน หรือ
ควร, อยูในถิน่ ทเี่ หมาะ หมายถงึ อยูใน ตกลงกนั ไว วาจะอยจู าํ พรรษาในทหี่ น่งึ
ถ่นิ เจรญิ มีสิ่งแวดลอมทเ่ี กื้อกลู ปลอด แตแลว โดยมไิ ดตั้งใจพดู เท็จ เธอพบ
ภยั พรอมดวยประดาสปั ปายะ มีคนดี เหตุผลอนั ทําใหไมอยใู นท่ีนน้ั เมอ่ื ทาํ ให
มีนักปราชญ (ขอ ๑ ในจกั ร ๔; ขอ ๖ คลาดจากที่รับปากไว จึงตองปฏิสสว-
ในมงคล ๓๘) ทุกกฏ (ถาพดู เท็จทั้งที่รู เปนปาจิตตีย)
ปฏิโลม 1. ทวนลาํ ดบั , ยอนจากปลายมา ปฏิสังขรณ ซอมแซมทําใหกลับดี
หาตน เชนวา ตจปญจกกมั มฏั ฐาน จาก เหมือนเดมิ
คาํ ทายมาหาคําตนวา “ตโจ ทนั ตา นขา ปฏสิ งั ขานุปสสนาญาณ ญาณอนั คํานึง
โลมา เกสา”; ตรงขามกบั อนุโลม 1. 2. สาว พิจารณาหาทาง, ปรีชาคํานึงพิจารณา
เรอื่ งทวนจากผลเขาไปหาเหตเุ ชน วญิ ญาณ สงั ขาร เพอ่ื หาทางเปนเคร่อื งพนไปเสีย;
มี เพราะสงั ขารเปนปจจยั , สงั ขารมี เพราะ ดู วปิ สสนาญาณ
อวิชชาเปนปจจัย เปนตน; ตรงขามกับ ปฏิสนั ถาร การทกั ทายปราศรยั , การ
อนโุ ลม 2. ตอนรบั แขก มี ๒ อยางคอื ๑. อามิส-
ปฏวิ ัติ การเปลี่ยนแปลงอยางพลิกกลบั , ปฏิสันถาร ตอนรับดวยสิ่งของ ๒.
การหมนุ กลบั , การเปล่ียนพลกิ หลักการ ธรรมปฏิสันถาร ตอนรบั ดวยธรรม คือ
ปฏิเวธ แทงตลอด, รทู ะลปุ รุโปรง, ตรัส กลาวแนะนาํ ในทางธรรม อกี นัยหนึ่งวา
ร,ู ลผุ ลแหงการปฏบิ ัติ ตอนรบั โดยธรรม คือ การตอนรบั ที่ทํา
ปฏเิ วธสทั ธรรม ดู สัทธรรม พอดสี มควรแกฐานะของแขก มีการลุก
๒๑๗
ปฏสิ นั ถารคารวตา ๒๑๘ ปฐมโพธิกาล
รับเปนตน หรือชวยเหลือสงเคราะห ศาสนาเปนทายกอุปฐากสงฆดวยปจจัย
ขจดั ปญหาขอตดิ ขดั ทาํ กศุ ลกจิ ใหลลุ วง ๔ เปนทางจะยังคนผยู ังไมเลอ่ื มใสมิให
ปฏิสันถารคารวตา ดู คารวะ เลื่อมใส จะยังคนผูเลื่อมใสอยูแลวให
ปฏิสัมภิทา ความแตกฉาน, ความรแู ตก เปนอยางอน่ื ไปเสยี ; ปฏสิ าราณยี กรรม
ฉาน, ปญญาแตกฉาน มี ๔ คอื ๑. อตั ถ- ก็เขยี น
ปฏิสัมภิทา ปญญาแตกฉานในอรรถ ปฏเิ สธ การหาม, การไมรบั , การไมยอม
๒. ธมั มปฏิสัมภิทา ปญญาแตกฉานใน รบั , การกดี ก้ัน
ธรรม ๓. นริ ตุ ตปิ ฏสิ มั ภทิ า ปญญาแตก ปฐพี แผนดิน; ดู ปฐวี
ฉานในนริ กุ ติ คอื ภาษา ๔. ปฏภิ าณ- ปฐพีมณฑล แผนดิน, ผืนแผนดนิ
ปฏิสัมภทิ า ปญญาแตกฉานในปฏิภาณ ปฐม ท่หี นง่ึ , ทีแรก, เบอ้ื งตน
ปฏิสัมภิทามรรค, ปฏิสัมภิทามัคค ปฐมฌาน ฌานท่ี ๑ มีองค ๕ คอื วิตก
ทางแหงปฏิสัมภทิ า, ขอปฏิบัติทท่ี าํ ใหมี (ความตรกึ ) วจิ าร (ตรอง) ปติ (ความ
ความแตกฉาน; ภาษติ ของพระสารีบุตร อ่ิมใจ) สุข (ความสบายใจ) เอกัคคตา
อธิบายขอธรรมทลี่ กึ ซึ้งตางๆ เชนเรอ่ื ง (ความมอี ารมณเปนหน่งึ )
ญาณ ทฏิ ฐิ อานาปาน อินทรยี วโิ มกข ปฐมเทศนา เทศนาครง้ั แรก หมายถงึ
เปนตน อยางพิสดาร เปนทางแหง ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรท่ีพระพุทธเจา
ปญญาแตกฉาน จดั เปนคัมภรี ที่ ๑๒ ทรงแสดงแกพระปญจวคั คีย ในวนั ขึน้
แหงขุททกนิกาย ในพระสตุ ตนั ตปฎก; ดู ๑๕ ค่าํ เดอื น ๘ หลังจากวันตรสั รสู อง
ไตรปฎก (เลม ๓๑) เดือน ทปี่ าอสิ ิปตนมฤคทายวนั เมือง
ปฏิสลั ลานะ การหลีกเรน, การปลีกตวั พาราณสี
ออกไปจากความพลกุ พลานวนุ วาย หรอื ปฐมโพธิกาล เวลาแรกตรัสรู, ระยะ
จากอารมณหลากหลายท่ีอาจรบกวน สู เวลาชวงแรกหลังจากพระพุทธเจาตรัสรู
ความสงัดวิเวก, การอยูลาํ พงั แลว ตามอธิบายของอรรถกถาวาคือ
ปฏสิ ารณียกรรม กรรมอันสงฆพึงทาํ แก ๒๐ พรรษาแรกแหงพุทธกจิ , วาตาม
ภกิ ษุอนั จะพึงใหกลบั ไป หมายถึงการที่ หนังสือเรียนนักธรรม ไดแกระยะ
สงฆลงโทษใหภิกษุไปขอขมาคฤหัสถ ประดษิ ฐานพระพทุ ธศาสนา นบั คราวๆ
กรรมน้ีสงฆทําแกภิกษุปากกลา ดาวา ต้ังแตตรัสรู ถึงไดพระอัครสาวก; ดู
คฤหัสถผูมีศรัทธาเล่ือมใสในพระพุทธ- พทุ ธประวตั ิ (ตอนทาย)
๒๑๘
ปฐมยาม ๒๑๙ ปฐวธี าตุ
ปฐมยาม ยามตน, ยามทีห่ น่งึ , สวนที่ โดยแบงปรจิ เฉทที่ ๑ เปน ๒ ตอน)
หนง่ึ แหงราตรี เมือ่ แบงกลางคืนเปน ๓ สวนปฐมสมโพธิ ที่จัดเปนธรรม
สวน; เทียบ มัชฌิมยาม, ปจฉมิ ยาม สมบัติหมวดท่ี ๑ ซึง่ ใชเปนแบบเรยี น
ปฐมวยั วัยตน, วยั แรก, วยั ซึ่งยังเปน นักธรรม คือพระปฐมสมโพธิ แบบ
เด็ก; ดู วยั ธรรมยุต ท่ีสมเด็จพระสังฆราช (สา
ปฐมสมโพธิกถา ชื่อคัมภีรแสดงเรื่อง ปสุ สฺ เทว) ทรงรจนา พิมพข้ึนตามพระดาํ ริ
ราวของพระพุทธเจา ตั้งแตประทับอยู ของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยา
บนสวรรคชั้นดสุ ติ เทวดาอัญเชิญใหมา วชริ ญาณวโรรส ใน พ.ศ. ๒๔๔๘
อบุ ตั ิในมนุษยโลก แลวออกผนวช ตรัสรู ปฐมสังคายนา การสงั คายนาคร้งั ท่ี ๑; ดู
ประกาศพระศาสนา ปรินพิ พาน จนถงึ สังคายนาคร้ังที่ ๑
แจกพระธาตุ ตอทายดวยเรื่องพระเจา ปฐมสังคีติ การสังคายนาคร้ังแรก; ดู
อโศกยกยองพระศาสนา และการ สังคายนาคร้ังท่ี ๑
อนั ตรธานแหงพระศาสนาในทส่ี ดุ ปฐมสาวก สาวกองคแรก คือพระ
ปฐมสมโพธิกถาท่ีรูจักกันมากและ อญั ญาโกณฑญั ญะ
ใชศึกษาอยางเปนวรรณคดีสําคัญน้ัน ปฐมอบุ าสก อบุ าสกคนแรกในพระพทุ ธ-
คือฉบับที่เปนพระนิพนธของสมเด็จ ศาสนา หมายถงึ ตปสุ สะ กบั ภลั ลกิ ะ ซงึ่
พระมหาสมณเจา กรมพระปรมานชุ ติ - ถงึ สรณะ ๒ คอื พระพุทธเจาและพระ
ชิโนรส วดั พระเชตพุ น ทรงรจนาถวาย ธรรม; บิดาของพระยสะเปนคนแรกที่
ฉลองพระราชศรัทธาพระบาทสมเด็จ ถงึ สรณะครบ ๓
พระน่ังเกลาเจาอยูหัวท่ีไดทรงอาราธนา ปฐมอุบาสกิ า อบุ าสกิ าคนแรก หมายถงึ
เม่อื พ.ศ. ๒๓๘๗ ฉบับท่ที รงรจนาน้ี มารดาและภรรยาเกาของพระยสะ
ทรงชําระปฐมสมโพธิกถาฉบับของเกา ปฐมาปตติกะ ใหตองอาบัติแตแรกทํา
ทรงตดั และเติม ขยายความสาํ คญั บาง หมายถงึ อาบัติสังฆาทิเสส ๙ สกิ ขาบท
ตอน เนื้อหามคี ติท้งั ทางมหายานและเถร ขางตน ซ่งึ ภิกษุลวงเขาแลว ตองอาบตั ิ
วาทปนกันมาแตเดมิ และทรงจัดเปนบท ทันที สงฆไมตองสวดสมนภุ าสน; คกู ับ
ตอนเพม่ิ ขนึ้ รวมมี ๒๙ ปรจิ เฉท มที ัง้ ยาวตติยกะ
ฉบับภาษาบาลีและฉบับแปลภาษาไทย ปฐวี ดิน, แผนดนิ ; ปถวี ก็เขียน
(ฉบับภาษาบาลแี บงเปน ๓๐ ปรจิ เฉท ปฐวีธาตุ ธาตุดนิ , สภาวะที่มลี กั ษณะ
๒๑๙
ปณามคาถา ๒๒๐ ปปญจะ
แขนแข็ง; ในรางกายที่ใชเปนอารมณ และภกั ดีตอสาม,ี ขอควรปฏิบัติตอสามี
กรรมฐาน ไดแก ผม ขน เลบ็ ฟน หนงั ปถวี ดู ปฐวี
เน้อื เอ็น กระดกู เยอ่ื ในกระดกู มาม ปถวีธาตุ ดู ปฐวีธาตุ
หวั ใจ ตบั พงั ผดื ไต ปอด ไสใหญ ไส ปทปรมะ “ผมู ีบท (คือถอยคาํ ) เปน
นอย อาหารใหม อาหารเกา, อยางนี้เปน อยางยง่ิ ”, บุคคลผูดอยปญญาเลาเรยี น
การกลาวถึงปฐวีธาตุในลักษณะที่คน ไดอยางมากทสี่ ุดกเ็ พียงถอยคํา หรือขอ
สามัญท่ัวไปจะเขาใจได และที่จะให ความ ไมอาจเขาใจความหมาย ไมอาจ
สําเร็จประโยชนในการเจริญกรรมฐาน เขาใจธรรม; ดู บุคคล ๔
แตในทางพระอภิธรรม ปฐวีธาตุเปน ปทุม บวั หลวง
สภาวะพ้ืนฐานที่มีอยูในรูปธรรมทุก ปธาน ความเพยี ร, ความเพียรชอบ ท่ี
อยาง แมแตในนํา้ และในลมท่เี รียกกัน เปนสัมมาวายามะ มี ๔ อยาง คือ ๑.
สามัญ ซ่ึงรูสึกถูกตองไดดวยกาย สังวรปธาน เพยี รระวงั บาปอกศุ ลท่ยี งั
สมั ผัส; ปถวีธาตุ ก็เขียน; ดูธาต,ุ รูป๒๘ ไมเกิด มิใหเกิดข้ึน ๒. ปหานปธาน
ปณามคาถา คาถานอมไหว, คาถาแสดง เพียรละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแลว ๓.
ความเคารพพระรตั นตรยั เรยี กกนั งายๆ ภาวนาปธาน เพียรเจริญทาํ กศุ ลธรรมท่ี
วา คาถาไหวครู ซง่ึ ตามปกติ พระอาจารย ยังไมเกิดใหเกิดขน้ึ ๔. อนุรกั ขนาปธาน
ผแู ตงคมั ภรี ภาษาบาลี เชน อรรถกถา เพียรรักษากุศลธรรมท่ีเกิดขึ้นแลวไมให
ฎีกา เปนตน ถือเปนธรรมเนียมท่ีจะ เส่ือมไปและใหเพิ่มไพบูลย; สัมมัป-
เรียบเรียงไวเปนเบื้องตน กอนข้ึนเน้ือ ปธาน กเ็ รียก
ความของคัมภรี น้นั ๆ ประกอบดวยคาํ ปปญจะ กเิ ลสเคร่ืองเนิน่ ชา, กเิ ลสที่ปน
สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย คําบอก ใหเชือนแชชักชาอยูในสังสารวัฏ หรือ
ความมุงหมายในการแตง คําอางถึง ปนสงั สารวัฏใหเวียนวนยดื เรอ้ื , กิเลสท่ี
บคุ คลที่เก่ยี วของ เชน ผูอาราธนาให เปนตัวการปนเร่ืองทําใหคิดปรุงแตงยืด
แตง และขอควรทราบอ่นื ๆ เปนอยาง เย้อื แผกเพยี้ นพิสดาร พาใหเขวออกไป
คาํ นาํ หรอื คาํ ปรารภ จากความเปนจรงิ และกอปญหาความ
ปณธิ าน การตัง้ ความปรารถนา ยงุ ยากเดอื ดรอนเพิ่มขยายทุกข มี ๓
ปติวัตร ความจงรกั ในสาม,ี ความซื่อสัตย คอื ตณั หา มานะ ทฏิ ฐิ
๒๒๐
ปปญจสทู นี ๒๒๑ ปรมัตถโชตกิ า
ปปญจสทู นี ช่อื คัมภรี อรรถกถาที่อธบิ าย มเี ทวดาอน่ื นริ มติ ใหอกี ตอหนง่ึ ; พระยา
ความในมัชฌิมนิกาย แหงพระ มารวสวตั ดี เปนเทพแหงสวรรคชนั้ น้ี
สุตตนั ตปฎก พระพทุ ธโฆสาจารยเรยี บ ปรภพ ภพหนา, โลกหนา
เรียงข้ึน โดยอาศัยอรรถกถาเกาภาษา ปรมตั ถ, ปรมตั ถะ 1. ประโยชนอยางยง่ิ ,
สิงหฬท่ีสืบมาแตเดิมเปนหลัก เม่ือ จุดหมายสงู สุด คอื พระนพิ พาน 2. ก)
พ.ศ. ใกลจะถงึ ๑๐๐๐; ดู โปราณัฏฐ ความหมายสงู สดุ , ความหมายทแ่ี ทจริง
กถา, อรรถกถา เชน ในคาํ วา ปรมตั ถสจั จะ ข) สภาวะ
ปมาณกิ า ดู ประมาณ
ตามความหมายสูงสุด, สภาวะที่มีใน
ปมาทะ ความประมาท, ความขาดสต,ิ ความหมายทแี่ ทจริง, สภาวธรรม บางที
ความเลินเลอ, ความเผอเรอ, ความ ใชวา ปรมัตถธรรม
เผลอ, ความผดั เพ้ยี น, ความปลอยปละ ปรมัตถท่ีพบในพระไตรปฎก ตาม
ละเลย, ความชะลาใจ; เทยี บ อัปปมาทะ ปกตใิ ชในความหมายนยั ท่ี 1. คอื จุด
ปมิตา เจาหญิงองคหน่ึงในวงศศากยะ หมาย หรือประโยชนสงู สุด เฉพาะอยาง
เปนพระราชบุตรขี องพระเจาสีหหนุ เปน ยิง่ ไดแกนพิ พาน แตในคัมภีรสมยั ตอ
พระภคินีของพระนางอมิตา เปนพระ มา มกี ารใชในนัยท่ี 2. บอยขนึ้ คอื ใน
เจาอาของพระพุทธเจา; บางท่ีกลาววา ความหมายวาเปนจรงิ หรือไม แตไมวา
เจาหญิงปมิตาเปนเชษฐภคนิ ี ของพระ จะใชในแงความหมายอยางไหน ก็
นางอมติ า แตตามคัมภีรมหาวงส ซง่ึ บรรจบที่นพิ พาน เพราะนพิ พานนัน้ ทัง้
เปนหลักฐานเดียวที่พบพระนามของเจา เปนประโยชนสูงสุด และเปนสภาวะที่
หญงิ ปมิตา นาจะเปนกนษิ ฐภคนิ ี (ใน จรงิ แท (นิพพานเปนปรมตั ถในทัง้ สอง
คมั ภรี อื่นบางแหง พระนามปมิตากลาย นยั ); ดู อัตถะ
เปนปาลติ า และในท่นี ั้น เจาหญงิ ปาลติ า ปรมัตถโชติกา ช่ือคัมภีรอรรถกถา
กเ็ ปนกนษิ ฐภคินีของพระนางอมิตา) อธบิ ายความใน ขทุ ทกปาฐะ ธรรมบท
ปรทาริกกรรม การประพฤตลิ วงเมยี คน สุตตนิบาต และชาดก แหงพระ
อ่ืน, การเปนชูเมียเขา สุตตันตปฎก ซึ่งพระพุทธโฆสาจารยนาํ
ปรนมิ มติ วสวตั ดี สวรรคชนั้ ท่ี ๖ มี เนื้อความในอรรถกถาเกาท่ใี ชศึกษาและ
ทาวปรนมิ มติ วสวตั ดปี กครอง เทวดาชน้ั รักษาสืบตอกนั มาในลงั กาทวปี อนั เปน
นป้ี รารถนาสงิ่ ใดสง่ิ หนง่ึ ไมตองนริ มติ เอง ภาษาสิงหฬ เอามาเรียบเรียงกลับขึ้น
๒๒๑
ปรมัตถทปี นี ๒๒๒ ปรมตั ถธรรม
เปนภาษาบาลี เพ่ือใหใชประโยชนในท่ี ผูแปลใสหรือเติมเขามาตามคําอธิบาย
ของอรรถกถาบาง ตามทเี่ หน็ เหมาะบาง)
อืน่ นอกจากลงั กาทวปี ไดดวย เมือ่ พ.ศ. ตอมาในช้ันอรรถกถา “ปรมัตถธรรม”
จึงปรากฏบาง ๒-๓ แหง แตหมายถงึ
ใกลจะถงึ ๑๐๐๐, มีบางทานสันนิษฐาน เฉพาะนพิ พาน หรอื ไมกใ็ ชอยางกวางๆ
ทํานองวาเปนธรรมอันใหลุถึงนิพพาน
วา พระพุทธโฆสาจารยอาจจะมีคณะ ดังเชนสติปฏฐานก็เปนตัวอยางของ
ปรมตั ถธรรม ทั้งน้ี เห็นไดวาทานมุง
ทํางาน โดยทานเปนหัวหนาในการ ความหมายในแงวาประโยชนสูงสดุ
ดําเนินงานแปลและเรียบเรียงท้ังหมด ตอมา ในคัมภรี ชน้ั ฎกี าลงมา มกี าร
นั้น; ดู อรรถกถา, โปราณฏั ฐกถา ใชคําวาปรมัตถธรรมบอยครั้งข้ึนบาง
ปรมัตถทปี นี ชื่อคมั ภีรอรรถกถาอธิบาย (ไมบอยมาก) และใชในความหมายวา
ความใน อทุ าน อติ วิ ตุ ตกะ วมิ านวตั ถุ เปนธรรมตามความหมายอยางสงู สดุ คอื
เปตวตั ถุ เถรคาถา เถรคี าถา และ ในความหมายทแ่ี ทจรงิ มจี รงิ เปนจรงิ ซง่ึ
จรยิ าปฎก แหงพระสตุ ตันตปฎก พระ ตรงกับคําวาสภาวธรรม ย่ิงเมื่อคัมภีร
ธรรมปาละอาศัยแนวของโปราณัฏฐกถา อภิธัมมัตถสังคหะเกิดขึ้นแลว และมี
การศึกษาพระอภธิ รรมตามแนวของอภ-ิ
ทร่ี ักษาสบื ตอกนั มาในลงั กาทวีป ซึง่ เปน ธมั มัตถสังคหะนัน้ ก็มกี ารพดู กันทวั่ ไป
ถึงหลกั ปรมตั ถธรรม ๔ จนกลาวไดวา
ภาษาสิงหฬ รจนาขึ้นเปนภาษาบาลี ใน อภิธัมมัตถสังคหะเปนแหลงเร่ิมตนหรือ
เปนทม่ี าของเรือ่ งปรมตั ถธรรม ๔
สมัยภายหลังพระพทุ ธโฆสาจารยไมนาน
นกั ;ดูอรรถกถา, โปราณฏั ฐกถา อยางไรก็ดี ถาพูดอยางเครงครัด
ปรมัตถธรรม ธรรมท่ีเปนปรมัตถ, ตามตัวอักษร ในคัมภีรอภิธัมมัตถ-
ธรรมท่เี ปนประโยชนสงู สดุ , สภาวะทีม่ ี สังคหะนั้นเอง ทานไมใชคําวา “ปรมตั ถ-
ธรรม” เลย แมแตในคาถาสาํ คญั เรม่ิ
อยูโดยปรมัตถ, ส่ิงทเี่ ปนจรงิ โดยความ ปกรณหรอื ตนคมั ภรี ซง่ึ เปนบทตง้ั หลกั ที่
ถอื วาจดั ประมวลปรมตั ถธรรม ๔ ขน้ึ มา
หมายสงู สดุ , สภาวธรรม, นยิ มพดู กนั มา ใหศกึ ษานนั้ แทจรงิ กไ็ มมคี าํ วา “ปรมตถฺ -
เปนหลกั ทางพระอภธิ รรมวามี ปรมตั ถ- ๒๒๒
ธรรม ๔ คือ จิต เจตสกิ รูป นิพพาน
พึงสงั เกตเคาความทีเ่ ปนมาวา คําวา
“ปรมตั ถธรรม” (บาล:ี ปรมตถฺ ธมมฺ ) น้ี
ไมพบทใ่ี ชในพระไตรปฎกมาแตเดมิ (ใน
พระไตรปฎก ใชเพยี งวา “ปรมตถฺ ” หรอื
รวมกับคําอ่นื , สวนในพระไตรปฎกแปล
ภาษาไทย มคี ําวาปรมตั ถธรรม ซง่ึ ทาน
ปรมัตถธรรม ๒๒๓ ปรมัตถธรรม
ธมมฺ ” แตอยางใด ดงั คาํ ของทานเองวา คาถานนั้ วา “จตปุ รมตถฺ ธมโฺ ม” (มใี นฉบบั
อกั ษรพมา, ฉบบั ไทยไมม)ี และประการ
ตตฺถ วุตฺตาภิธมมฺ ตฺถา จตุธา ปรมตฺถโต ทสี่ อง ผแู ปลเตมิ หรอื ใสเพมิ่ เขามา เชน
จิตฺตเจตสกิ รปู นิพพฺ านมิติ สพพฺ ถา คําบาลีวา “ปรมตฺถ” ก็แปลเปนไทยวา
ปรมตั ถธรรม ซงึ่ เปนกรณที เ่ี ปนกนั ทวั่ ไป
แปล: “อรรถแหงอภธิ รรม ท่ตี รสั ไว
ในพระอภธิ รรมนัน้ ทั้งหมดทง้ั สนิ้ โดย ในคัมภีรรุนตอมาที่อธิบายอภิธัม-
มัตถสังคหะ เชน อภิธัมมตั ถวิภาวินี มี
ปรมตั ถ มี ๔ อยาง คอื จติ ๑ เจตสิก การใชคําบาลเี ปน “ปรมตถฺ ธมมฺ ” บาง
แมจะไมมาก แตกไ็ มมที ใี่ ดระบจุ าํ นวน
๑ รปู ๑ นิพพาน ๑” วาปรมตั ถธรรมสี่ จนกระทงั่ ในสมยั หลงั
(นเ้ี ปนการแปลกันตามคาํ อธิบายของ มาก มคี มั ภรี บาลแี ตงในพมาบอกจาํ นวน
กบ็ อกเพยี งวา “ปรมตั ถ ๔” (จตตฺ าโร
คัมภีรอภิธัมมัตถวิภาวินี แตมีอีกฎีกา ปรมตเฺ ถ, ปรมตถฺ ทปี นี สงคฺ หมหาฏกี าปาฐ, ๓๓๑)
แลวก็มีอีกคัมภีรหน่ึงแตงในพมายุคไม
หนึ่งในยุคหลังคานวาอภิธัมมัตถวิภาวินี นานนี้ ใชคาํ วาปรมัตถธรรมโดยระบวุ า
บอกผดิ ทีถ่ กู ตองแปลวา “อภิธัมมัตถะ สังขารและนิพพาน เปนปรมัตถธรรม
(นมกกฺ ารฏกี า, ๔๕) ยงิ่ กวานน้ั ยอนกลบั ไป
ที่ขาพเจาคือพระอนุรุทธาจารยกลาวใน ยุคเกา อาจจะกอนพระอนุรุทธาจารย
แตงอภิธัมมัตถสังคหะเสียอีก คัมภีร
คําวาอภธิ มั มตั ถสังคหะนั้น …”) ฎีกาแหงอรรถกถาของสังยุตตนิกาย
ทายปริจเฉทท่ี ๖ คือรูปสงั คหวิภาค แหงพระสุตตันตปฎก ซ่ึงถือวารจนา
โดยพระธรรมปาละ ผูเปนอรรถกถา-
ซง่ึ เปนบทท่แี สดงปรมัตถมาครบ ๔ ถงึ จารยใหญทานหน่ึง ใชคําปรมตั ถธรรม
ในขอความท่ีระบุวา “ปรมัตถธรรมอัน
นิพพาน กม็ ีคาถาคลายกนั ดงั นี้ แยกประเภทเปน ขนั ธ อายตนะ ธาตุ
สจั จะ อนิ ทรยี และปฏจิ จสมปุ บาท” (ส.ํ ฏี.
อิติ จติ ฺตเจตสกิ รปู นพิ พฺ านมิจฺจป ๒/๓๓๐๓/๖๕๑) นกี่ ค็ อื บอกวา ปรมตั ถธรรม
ปรมตฺถ ปกาเสนตฺ ิ จตธุ าว ตถาคตา ไดแกประดาธรรม ชุดที่เรียกกันวา
แปล: “พระตถาคตเจาทั้งหลาย ๒๒๓
ยอมทรงประกาศปรมัตถไวเพียง ๔
อยาง คือ จิต ๑ เจตสกิ ๑ รปู
นพิ พาน ๑ ดวยประการฉะน้ี”
เมื่อพินิจดูก็จะเห็นไดท่ีน่ีวา คําวา
“ปรมตั ถธรรม” เกดิ ขนึ้ จาก ประการแรก
ผูจัดรูปคัมภีร (อยางที่ปจจุบันเรียกวา
บรรณกร) จบั ใจความตอนนน้ั ๆ ตง้ั ขน้ึ
เปนหัวขอ เหมือนอยางในกรณนี ้ี ใน
คัมภีรบางฉบับ ต้ังเปนหัวขอขึ้นเหนือ