The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ นิพนธ์โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

คําศัพท์ในวิชานักธรรมซึ่งการตอบและอธิบายตามแบบแผนมีความสําคัญมากสําหรับผู้เรียนและผู้สอบในระบบนั้น (โดยมากเป็นศัพท์พระวินัย) ในที่นี้มักคัดเอาความหมายและคําอธิบายในแบบเรียนมาลงไว้ด้วย

ความหมายและคําอธิบายหลายแห่งเขียนอย่างคนรู้กันคือผู้มีพื้นความรู้อยู่บ้างแล้วจึงจะเข้าใจชัดเจน และใช้ประโยชน์ได้เต็มที่

อย่างไรก็ตาม ว่าโดยส่วนใหญ่ คนทั่วไปที่สนใจทางพระศาสนาก็ใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by preecha.s, 2021-04-01 23:54:17

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ นิพนธ์โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

คําศัพท์ในวิชานักธรรมซึ่งการตอบและอธิบายตามแบบแผนมีความสําคัญมากสําหรับผู้เรียนและผู้สอบในระบบนั้น (โดยมากเป็นศัพท์พระวินัย) ในที่นี้มักคัดเอาความหมายและคําอธิบายในแบบเรียนมาลงไว้ด้วย

ความหมายและคําอธิบายหลายแห่งเขียนอย่างคนรู้กันคือผู้มีพื้นความรู้อยู่บ้างแล้วจึงจะเข้าใจชัดเจน และใช้ประโยชน์ได้เต็มที่

อย่างไรก็ตาม ว่าโดยส่วนใหญ่ คนทั่วไปที่สนใจทางพระศาสนาก็ใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดี

Keywords: พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์



ศตมวาร วาระที่ ๑๐๐, วนั ท่ีครบ ๑๐๐; แลว (ตางจาก สารท)
ในภาษาไทย นิยมใชในประเพณที ําบุญ ศราทธพรต พิธีทําบุญอุทิศแกญาติผู
อุทิศแกผูลวงลับ โดยมีความหมายวา ลวงลับไปแลว; ศราทธพรตคาถา หรอื
วนั ท่ี ๑๐๐ หรอื วนั ท่คี รบ ๑๐๐ เชน ใน คาถาศราทธพรต หมายถงึ คาถาหมวด

ขอความวา “บาํ เพ็ญกศุ ลศตมวาร” ซงึ่ หน่ึง (มีรอยแกวนําเล็กนอย) ท่ีพระ

พดู เปนคําพ้ืนบานวา “ทาํ บญุ ๑๐๐ วัน”, สงฆใชสวดรับเทศน ในงานพระราชพธิ ี

ทั้งนี้ มคี ําท่ีมกั ใชในชุดเดียวกันอีก ๒ คํา เผาศพในประเทศไทย แตบัดน้ีใชกัน
คอื สตั มวาร (วันที่ ๗ หรือวันทีค่ รบ กวางออกไปแมในพิธีราษฎรท่ีจะจัดให
๗) และ ปญญาสมวาร (วันท่ี ๕๐ หรอื เปนการใหญ
วนั ท่ีครบ ๕๐); อน่งึ “ศตมวาร” (วารที่ ศรี มง่ิ ขวัญ, ราศ,ี อาการท่ีนานยิ ม; ดู สิริ
๑๐๐) นี้ เปนคําจากภาษาสนั สกฤต ตรง ศรีอารยเมตไตรย พระนามของพระ

กบั คาํ บาลวี า “สตมวาร” ไมพงึ สบั สนกับ พุทธเจาพระองคหนึ่ง ซ่ึงจะอบุ ัติข้ึนใน

“สัตมวาร” (วารท่ี ๗) ท่ีมาจากคาํ เตม็ ใน ภายหนา หลงั จากสนิ้ ศาสนาพระโคดมแลว

ภาษาบาลวี า “สตตฺ มวาร” ในคราวทมี่ นุษยมีอายยุ ืน ๘๐,๐๐๐ ป
ศรัทธา ความเช่ือ, ความเช่อื ถอื ; ดู สัทธา
ศรัทธาไทย ของทเ่ี ขาถวายดวยศรทั ธา; นับเปนพระพทุ ธเจาพระองคที่ ๕ แหง
ภัทรกัปนี้, เรียกวา พระศรีอริย-
“ทําศรัทธาไทยใหตกไป” คอื ทาํ ใหของ เมตไตรย หรอื เรยี กสนั้ ๆ วา พระศรอี ารย

ที่เขาถวายดวยศรัทธาเส่ือมเสียคุณคา บาง, พระนามเดิมในภาษาบาลีวา
หรอื หมดความหมายไป หมายความวา “เมตฺเตยยฺ ”; ดู พระพทุ ธเจา ๕
ปฏบิ ตั ิตอสงิ่ ทเ่ี ขาถวายดวยศรัทธา โดย ศกั ดิ์ อาํ นาจ, ความสามารถ, กาํ ลงั , ฐานะ
ไมสมควรแกศรทั ธาของเขา หรือโดยไม ศักดินา อํานาจปกครองท่ีนา หมาย

เห็นความสําคัญแหงศรทั ธาของเขา เชน ความวาพระมหากษัตริยพระราชทาน

ภิกษุเอาอาหารบิณฑบาตที่เขาถวายโดย พระบรมราชานญุ าตใหเจานาย และขุน

ต้ังใจทําบุญ ไปทิ้งเสีย หรือไปใหแก นางเปนตน ถอื นาไดมกี าํ หนดจาํ นวนไร

คฤหสั ถโดยยงั มิไดฉนั ดวยตนเองกอน เปนเรือนหมื่นเรือนพันตามฐานานุรูป
ศราทธ การทาํ บุญใหแกญาติผูลวงลับไป การพระราชทานใหถอื ศักดนิ านน้ั เปน

ศักด์สิ ทิ ธิ์ ๔๒๕ ศิลปศาสตร

เคร่ืองเทียบยศและเปนเคร่ืองปรับผู หนึ่งทีใ่ ชเรียกพระพทุ ธเจา; ปจจุบันใช

ก้ําเกิน หรือเปนเคร่อื งปรบั ผถู ือศกั ดนิ า เรียกผตู ัง้ ศาสนาโดยท่ัวไป, ในพุทธกาล

นน่ั เอง เมื่อทาํ ผดิ ครูทัง้ ๖ คอื ปรู ณกสั สป มกั ขลิโคสาล

ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ มอี าํ นาจ(ศกั ด)ิ์ ใหสาํ เรจ็ (สทิ ธ)์ิ , อชิตเกสกัมพล ปกธุ กจั จายนะ สญั ชัย-

ขลัง, มีกําลังอํานาจที่จะทําใหเปนไป เวลฏั ฐบตุ ร และนคิ รนถนาฏบตุ ร ถาเรยี ก

อยางน้ันอยางน้ี หรือใหสาํ เร็จผลไดจริง ตามบาลี กเ็ ปนศาสดา ๖

ศัพท เสยี ง, คํา, คํายากทต่ี องแปล, คํา ศาสตร ตํารา, วิชา
ศาสนทตู ดู โมคคัลลบี ุตรติสสเถระ
ยากทต่ี องอธิบาย

ศสั ตรา ของมคี มเปนเครื่องแทงฟน ศาสนวงศ ดู สาสนวงส
ศสั ตราวุธ อาวธุ มีคมเปนเครื่องฟนแทง ศาสนา คาํ สอน, คําส่งั สอน; ปจจุบันใช
(ศสั ตรา = ของมีคมเปนเคร่ืองฟนแทง, หมายถึงลัทธิความเช่ือถืออยางหนึ่งๆ
อาวธุ = เคร่ืองประหาร)
พรอมดวยหลกั คาํ สอน ลทั ธิ พธิ ี องคกร

ศากยะ ชือ่ กษัตริยพวกหนงึ่ ซง่ึ สืบเช้อื และกิจการทว่ั ไปของหมูชนผนู ับถือลทั ธิ

สายมาจากพระเจาโอกกากราช ซง่ึ เปนผู ความเชอ่ื ถอื อยางน้นั ๆ ทั้งหมด
สรางและครองกรุงกบิลพัสดุ พระพทุ ธ- ศาสนปู ถัมภก ผทู ะนบุ ํารงุ ศาสนา
เจาก็เปนกษตั รยิ วงศนี;้ ศากยะ เปนคํา ศิลปะ ฝมอื , ความฉลาดในฝมอื , ฝมือทาง
สนั สกฤต เรยี กอยางบาลเี ปน สกั กะ บาง, การชาง, การแสดงออกมาใหปรากฏอยาง
สกั ยะ บาง, สากยิ ะ บาง; ศากยะ หรือ งดงามนาชม, วชิ าที่ใชฝมอื , วชิ าชพี ตางๆ
สกั กะ นี้ ใชเปนคาํ เรยี กชอ่ื ถน่ิ หรอื แควน ศลิ ปวทิ ยา ศิลปะและวิทยาการ
ของพวกเจาศากยะดวย; ดู สกั กชนบท ศิลปศาสตร ตําราวาดวยวิชาความรู
ศากยกุมาร กมุ ารวงศศากยะ, เจาชาย ตางๆ มี ๑๘ ประการ เชนตาํ ราวาดวย

วงศศากยะ การคํานวณ ตาํ รายิงธนู เปนตน อนั ได

ศากยราช กษตั ริยศากยะ, พระเจาแผน มีการเรียนการสอนกันมาต้ังแตสมัย

ดินวงศศากยะ กอนพทุ ธกาล; ๑๘ ประการนัน้ มีหลาย
ศากยวงศ เช้อื สายพวกศากยะ
ศากยสกลุ ตระกลู ศากยะ, เหลากอพวก แบบ ยกมาดแู บบหนง่ึ จากคมั ภรี โลกนติ ิ
และธรรมนิติ ไดแก ๑. สุติ ความรทู ่วั
ศากยะ ไป ๒. สมั มตุ ิ ความรูกฎธรรมเนยี ม ๓.
ศาสดา ผอู บรมสงั่ สอน, เปนพระนามอยาง สงั ขยา วิชาคาํ นวณ ๔. โยคา การชาง

๔๒๕

ศิลาดวด ๔๒๖ ศลี ๕

การยนตร ๕. นีติ วชิ าปกครอง (คอื ศิวาราตรี พิธีลอยบาปของพราหมณทํา

ความหมายเดิมของ นิติศาสตร ใน ในวันเพญ็ เดือน ๓ เปนประจาํ ป วธิ ีทาํ
ชมพทู วปี ) ๖. วิเสสิกา ความรูการอันให คอื ลงอาบนา้ํ ในแมนํ้า สระเกลา ชําระ
เกิดมงคล ๗. คันธพั พา วิชารองรํา ๘. กายใหสะอาดหมดจด เทาน้ีถือวาได
คณิกา วิชาบริหารรางกาย ๙. ธนพุ เพธา ลอยบาปไปตามกระแสนํ้าแลวเปนอัน
วิชายงิ ธนู (ธนพุ เพทา กว็ า) ๑๐. ปรู ณา ส้ินบาปกนั คราวหน่ึง ถงึ ปก็ทําใหม (คาํ
วิชาบูรณะ ๑๑. ตกิ จิ ฉา วิชาบาํ บดั โรค สันสกฤตเดิมเปน ศิวราตริ แปลวา
(แพทยศาสตร) ๑๒. อติ หิ าสา ตํานาน “ราตรีของพระศิวะ” พจนานุกรม
หรือประวัติศาสตร ๑๓. โชติ ความรู สนั สกฤตวา ตรงกบั แรม ๑๔ คา่ํ เดอื น ๓)
เรอื่ งสงิ่ สองสวางในทองฟา (ดาราศาสตร) ศีล ความประพฤติดีทางกายและวาจา,
๑๔.มายา ตาํ ราพชิ ยั สงคราม ๑๕.ฉนั ทสา การรกั ษากายและวาจาใหเรยี บรอย, ขอ
วชิ าประพนั ธ ๑๖.เกตุ วชิ าพดู ๑๗.มนั ตา ปฏิบัติสําหรับควบคุมกายและวาจาให
วิชาเวทมนตร ๑๘. สัททา วิชาหลัก ตง้ั อยใู นความดงี าม, การรกั ษาปกตติ าม

ภาษาหรอื ไวยากรณ, ทงั้ ๑๘ อยางน้ี ระเบียบวนิ ัย, ปกตมิ ารยาททีป่ ราศจาก
โบราณเรียกรวมวา สิปปะ หรอื ศิลปะ โทษ, ขอปฏิบัติในการฝกหัดกายวาจา
ไทยแปลออกเปน ศลิ ปศาสตร (ตําราวา ใหดีย่ิงขึ้น, ความสุจริตทางกายวาจา

ดวยศลิ ปะตางๆ); แตในสมยั ปจจบุ นั ได และอาชพี ; มกั ใชเปนคาํ เรียกอยางงาย
แยกความหมาย ศลิ ปะ กบั ศาสตร ออก สําหรับคาํ วา อธศิ ีลสิกขา (ขอ ๑ ในไตร
จากกัน คอื ศลิ ปะ หมายถึง วทิ ยาการที่ สิกขา, ขอ ๒ ในบารมี ๑๐, ขอ ๒ ใน
มวี ตั ถปุ ระสงคตรงความงาม เชนดรุ ยิ างค- อริยทรพั ย ๗, ขอ ๒ ในอริยวัฑฒิ ๕)
ศลิ ป นาฏศิลป และจิตรกรรม เปนตน ศลี ๕ สาํ หรบั ทกุ คน คอื ๑. เวนจากทาํ ลาย
ศาสตร หมายถงึ วทิ ยาการทม่ี วี ตั ถปุ ระสงค ชวี ติ ๒. เวนจากถอื เอาของทเ่ี ขามิไดให
ตรงความจรงิ เชน คณิตศาสตร และ ๓. เวนจากประพฤตผิ ดิ ในกาม ๔. เวน

วทิ ยาศาสตร เปนตน จากพูดเทจ็ ๕. เวนจากของเมา คือสรุ า
ศิลาดวด หนิ ท่สี ูงขึ้นไปบนพ้นื ดนิ
ศลิ าดาด หนิ ท่เี ปนแผนราบใหญ เมรัยอันเปนที่ตั้งแหงความประมาท;
ศิลาเทอื ก หินทีต่ ดิ เปนพืดยาว คาํ สมาทานวา ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี
ศิลาวดี ช่อื นครหน่งึ ในสกั กชนบท สิกขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ ๒. อทนิ ฺนาทานา
เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทิยามิ ๓. กาเมสุ

๔๒๖

ศลี ๘ ๔๒๗ ศลี ธรรม

มิจฉาจารา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทยิ ามิ ๑๐.เวนจากการรบั ทองและเงนิ ;
๔. มสุ าวาทา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ คําสมาทาน (เฉพาะท่ตี าง) วา ๗. นจจฺ คตี -
๕. สรุ าเมรยมชชฺ ปมาทฏ านา เวรมณี วาทติ วสิ กู ทสสฺ นาเวรมณีสกิ ขฺ าปทํ สมาท-ิ
สกิ ขฺ าปทํสมาทยิ าม;ิ ดู อาราธนาศีล ดวย ยามิ ๘. มาลาคนธฺ วเิ ลปนธารณมณฺฑนวิภ-ู
ศีล ๘ สําหรับฝกตนใหยงิ่ ข้ึนไปโดยรักษา สนฏ านา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ ๙.
ในบางโอกาส หรือมีศรัทธาจะรักษา อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สิกฺขาปทํ
ประจาํ กไ็ ด เชน แมชมี กั รกั ษาประจาํ หวั สมาทิยามิ ๑๐. ชาตรูปรชตปฏิคฺคหณา
ขอเหมอื นศลี ๕ แตเปลยี่ นขอ ๓ และ เวรมณีสกิ ขฺ าปทํสมาทยิ าม;ิ ดู อาราธนาศลี
เตมิ ขอ ๖, ๗, ๘ คอื ๓. เวนจากการ ศลี ๒๒๗ ศลี สาํ หรบั พระภกิ ษุ คอื ถอื
ประพฤตผิ ดิ พรหมจรรย คอื เวนจากการ สกิ ขาบท ๒๒๗ ขอ ใน ภกิ ขปุ าตโิ มกข

รวมประเวณี ๖. เวนจากบรโิ ภคอาหารใน (ปาราชิก ๔ สงั ฆาทิเสส ๑๓ อนยิ ต ๒
เวลาวกิ าล คอื เทยี่ งแลวไป ๗. เวนจาก นิสสคั คิยปาจิตตยี ๓๐ ปาจิตตยี ๙๒ ปาฏิ-

เทสนยี ะ ๔ เสขยิ วัตร ๗๕ อธกิ รณสมถะ ๗)

การฟอนราํ ขบั รอง บรรเลงดนตรี ดกู าร ศีล ๓๑๑ ศีลสําหรับพระภิกษุณี คอื ถอื
เลนอนั เปนขาศกึ ตอพรหมจรรย การทดั สกิ ขาบท ๓๑๑ ขอ ใน ภกิ ขนุ ปี าตโิ มกข
ทรงดอกไม ของหอมและเคร่ืองลูบไล (ปาราชกิ ๘ สังฆาทเิ สส ๑๗ นสิ สคั คยิ -

ซงึ่ ใชเปนเครอ่ื งประดบั ตกแตง ๘. เวน ปาจติ ตยี ๓๐ ปาจติ ตยี ๑๖๖ ปาฏเิ ทสนียะ ๘

จากทน่ี อนอนั สงู ใหญหรหู ราฟมุ เฟอย; เสขิยวตั ร ๗๕ อธิกรณสมถะ ๗)

คาํ สมาทาน (เฉพาะทต่ี างจากศลี ๕) วา ศลี ธรรม ความประพฤตทิ ่ีดงี ามทางกาย
๓. อพรฺ หมฺ จริยา เวรมณี สิกขฺ าปทํ สมาทิ-
ยามิ ๖. วกิ าลโภชนา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมา- วาจา, ความประพฤติทดี่ ที ่ชี อบ, ความ
ทยิ ามิ ๗. นจจฺ คตี วาทติ วสิ กู ทสสฺ นมาลา-
คนธฺ วเิลปนธารณมณฑฺ นวภิ สู นฏ านา เวรมณี สจุ รติ ทางกายวาจาและอาชวี ะ; โดยทาง
สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ ๘. อจุ จฺ าสยนมหาสยนา ศพั ท ศีลธรรม แปลวา “ธรรมคือศลี ”

หมายถงึ ธรรมขั้นศลี หรือธรรมในระดับ

เวรมณีสกิ ขฺ าปทํสมาทยิ าม;ิ ดู อาราธนาศลี ศลี เพราะศีลเปนธรรมอยางหนงึ่ ใน

ศลี ๑๐ สาํ หรบั สามเณร แตผูใดศรัทธาจะ บรรดาธรรมภาคปฏบิ ตั ิ ๓ อยางคือ ศลี
รกั ษากไ็ ด หวั ขอเหมอื นศลี ๘ แตแยกขอ สมาธิ และปญญา ดงั นน้ั ตอจากธรรม

๗ เปน ๒ ขอ (= ๗,๘) เลอื่ นขอ๘ เปน ๙ ขัน้ ศลี จึงมีธรรมขน้ั สมาธิ และธรรมขั้น
และเตมิ ขอ ๑๐ คือ ๗. เวนจากฟอนราํ ปญญา; ไดมผี พู ยายามแปล ศลี ธรรม

ขบั รอง ฯลฯ ๘. เวนจากทัดทรงดอกไม อีกอยางหน่ึงวา “ศลี และธรรม” (ถาแปล

ฯลฯ ๙. เวนจากที่นอนอันสูงใหญ ฯลฯ ใหถูกตองจริงตองวาศีลและธรรมอื่นๆ

๔๒๗

ศลี พรต ๔๒๘ โศกาลัย

คือศีลและธรรมอืน่ ๆ นอกจากศลี เชน พัฒนาใหดีย่ิงข้ึนไปจนกวาจะสมบูรณ;

สมาธิ และปญญา เปนตน เพราะศลี ก็ ในการศึกษาทางพระธรรมวนิ ัย นยิ มใช
เปนธรรมอยางหนงึ่ ) ถาแปลอยางนี้ จะ รูปท่เี ขียนอยางบาลี คือ “สิกขา”; ดู สิกขา
ตองเขาใจวาศีลธรรม มิใชเปนเพียง ศุกลปกษ “ฝายขาว, ฝายสวาง” หมายถงึ
ความประพฤตดิ ีงามเทานน้ั แตรวมถงึ ขางขน้ึ ; ชณุ หปกษ ก็เรียก; ตรงขามกบั
สมถะวปิ สสนา ขันธ ๕ ปฏจิ จสมปุ บาท กัณหปกษ หรอื กาฬปกษ
ไตรลกั ษณ เปนตน ดวย; เทยี บ จริยธรรม ศภุ วารฤกษ ฤกษงามยามดี
ศีลพรต ศีลและพรต, หลักความ ศทู ร ชือ่ วรรณะทสี่ ่ี ในวรรณะสี่ของคน

ประพฤตทิ วั่ ไปท่ีรักษาเปนพน้ื ฐาน ช่อื วา ในชมพูทวีป ตามหลกั ศาสนาพราหมณ

ศีล ขอทสี่ มาทานถือเขมงวดชอ่ื วา พรต จดั เปนชนชั้นตํา่ ไดแก พวกทาสและ
ศลี ภาวนา ดู ภาวนา กรรมกร; ดู วรรณะ
ศีลวตั ร ศลี และวัตร, หลักความประพฤติ เศวต สีขาว
ท่ัวไปอันจะตองรักษาเปนพื้นฐานเสมอ เศวตฉัตร ฉัตรขาว, รมขาว, พระกลด
กัน ช่ือวา ศลี ขอปฏบิ ตั จิ ําเพาะเพอ่ื ฝก ขาว ซ่งึ นบั วาเปนของสูง
ฝนใหประณตี ยิ่งข้นึ ไป ช่อื วา วัตร เศวตอสั ดร มาสขี าว
ศลี วบิ ตั ิ ดู สีลวิบัติ โศก ความเศรา, ความมีใจหมนไหม,
ศลี อุโบสถ คอื ศีล ๘ ทสี่ มาทานรกั ษา ความแหงใจ, ความรูสึกหมองไหมใจ
พเิ ศษในวนั อโุ บสถ; ดู อโุ บสถศลี
แหงผาก เพราะประสบความพลัดพราก

ศลี าจาร ศลี และอาจาระ, การปฏบิ ัตติ าม หรือสูญเสียอยางใดอยางหนึ่ง (บาลี:

พระวินัยบัญญัติ และมารยาททั่วไป; โสก; สันสกฤต: โศก)

นัยหนึง่ วา ศลี คือไมตองอาบัติปาราชิก โศกศัลย ลกู ศรคือความโศก, เปนทกุ ข
และสังฆาทิเสส อาจาระ คือไมตอง เดอื ดรอนเหมอื นถูกลกู ศรทิ่มแทง

อาบัตเิ บาตง้ั แตถุลลัจจยั ลงมา โศกาลัย ความเศราเหี่ยวแหงใจและ

ศกึ ษา การเรยี น, การฝกฝนปฏิบตั ,ิ การ ความหวงใย, ทั้งโศกเศราทงั้ อาลัยหรือ

เลาเรียนใหรูเขาใจ และฝกหัดปฏบิ ตั ิให โศกเศราดวยอาลยั , รองไหสะอึกสะอื้น

เปนคุณสมบัติที่เกิดมีข้ึนในตนหรือให (เปนคาํ กวีไทยผูกขึ้น)

ทาํ ไดทาํ เปน ตลอดจนแกไขปรบั ปรงุ หรอื

๔๒๘



สกทาคามิผล ผลที่ไดรับจากการละ ความวาคือภาษาของชาวมคธ อยางท่ี
สักกายทฏิ ฐิ วจิ กิ จิ ฉา สีลัพพตปรามาส พระพทุ ธเจาตรสั (วนิ ย.อ.๓/๓๕๑), โดยนัย

กับทาํ ราคะ โทสะ โมหะ ใหเบาบาง ซ่งึ นี้ จึงจดั ภาษาบาลี หรอื มาคธิกนี้วาเปน

สืบเนื่องมาแตสกทาคามมิ รรค, สกิทา- ปรากฤต; ดู สันสกฤต, ปรากฤต, ฉนั ทัส
คามผิ ล กเ็ ขียน สกุล วงศ, เชอ้ื สาย, เผาพันธุ
สกทาคามิมรรค ทางปฏิบัติเพ่ือบรรลุ สงกรานต เทศกาลขึ้นปใหมอยางเกา;

ผล คอื ความเปนพระสกทาคาม,ี ญาณ สงกรานต แปลวา “ยาย” คือ ดวง

คือความรูเปนเหตลุ ะสงั โยชนได ๓ คือ อาทิตยยายราศี วันเวลาท่ีพระอาทิตย

สกั กายทฏิ ฐิ วจิ กิ ิจฉา สีลัพพตปรามาส ยายจากราศีหนึ่ง และยกข้ึนสูอีกราศี

กับทํา ราคะ โทสะ โมหะ ใหเบาบางลง, หนงึ่ มที กุ เดอื น เรียกวาสงกรานตเดือน
สกิทาคามิมรรค กเ็ ขียน แตวันทพ่ี ระอาทติ ยยกขึ้นสรู าศีเมษ คอื
สกทาคามี พระอริยบุคคลผูไดบรรลุ ในเดือนเมษายน เรียกเปนพิเศษวา
สกทาคามิผล, สกทิ าคามี กเ็ ขียน “มหาสงกรานต” คือยายคร้ังใหญ
สกสัญญา ความสําคัญวาเปนของตน, เพราะเปนวันยายเดือนที่ครบรอบป คือ

นึกวาเปนของตนเอง ยายจากปเกา ยกข้นึ สปู ใหม แตบดั นี้

สกา นิรุตติ “ภาษาของตน” มีพุทธ เมื่อพูดถึงสงกรานต ก็หมายถึง

บัญญัติหามมิใหยกพุทธพจนเปนภาษา มหาสงกรานต

พระเวท หรอื ภาษาสันสกฤต ความวา การถือเอาวันมหาสงกรานตเปนวัน

“ไมพึงยกพุทธวจนะขึ้นโดยฉันทัส ขึ้นปใหมนั้น เปนคติจากอินเดียภาค

(ภาษาสันสกฤต) ภกิ ษรุ ปู ใดยกขึ้น ตอง เหนือ ซึ่งตอจากเหมันต เขามวี สันต คือ

อาบตั ทิ ุกกฏ, ภิกษทุ ้ังหลาย เราอนุญาต ฤดูใบไมผลิ ทคี่ ลายหรอื หายหนาว คนื

ใหเรยี นพทุ ธพจน ดวยภาษาของตน” (น ชวี ติ ใหม สดชนื่ ราเรงิ สวยงาม

ภิกขฺ เว พุทฺธวจน ฉนฺทโส อาโรเปตพฺพ, สงกรานตของไทย ตามปกติมี ๓

โย อาโรเปยฺย อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส; วนั คือ วันที่ ๑๓, ๑๔ และ ๑๕

อนุชานามิ ภิกฺขเว สกาย นิรุตฺติยา พุทธฺ เมษายน วนั ที่ ๑๓ คอื วันตน เปน วนั
วจน ปรยิ าปณุ ติ ุ” (วินย.๗/๑๘๐/๗๐) คาํ วา มหาสงกรานต (ทางเมอื งเหนอื เรียกวา
ภาษาของตน (สกา นริ ตุ ติ) อรรถกถาไข วนั สงั ขารลอง) เปนวนั ขึ้นปใหม วนั ที่

สงคราม ๔๓๐ สงสาร

๑๔ คือวนั กลาง เปน วนั เนา (ทางเมือง ในสังฆคุณ ประกอบดวยคูบุรุษ ๔

เหนอื เรยี กวา วันเนา) คอื วันอยูนงิ่ พัก บุรษุ บทุ คล (รายตัวบุคคล) ๘ เรม่ิ แต

ผอน อยบู าน วันท่ี ๑๕ คอื วนั ทาย เปน ทานผูต้ังอยูในโสดาปตติมรรค จนถึง
วันเถลงิ ศก หรอื พระยาวนั คอื วันขึ้น พระอรหันต ตางจากภิกขสุ งฆ คอื หมู

ศักราชใหม แหงภิกษุหรือชุมนุมภิกษุ (ดูความ

ในปใด พระอาทติ ยยกข้นึ สรู าศเี มษ หมาย 2), ตอมา บางทีเรียกอยางแรก

ในเวลาเลยเท่ยี งคืนไปแลว สงกรานตป วา อรยิ สงฆ อยางหลงั วา สมมติสงฆ

นน้ั มี ๔ วนั คอื วันที่ ๑๓-๑๖ เมษายน 2. ชมุ นุมภกิ ษหุ มหู นึง่ ตัง้ แต ๔ รูปขน้ึ

โดยมีวันกลางระหวางวันตนและวันสุด ไป ซ่ึงสามารถประกอบสังฆกรรมได

ทาย เปนวนั เนา ๒ วัน ตามกําหนดทางพระวนิ ยั ตางโดยเปน

อน่ึง กอนถึงวันสงกรานตวันหนึ่ง สงฆจตรุ วรรคบาง ปญจวรรคบาง ทศ-

คือวันท่ี ๑๒ เมษายน เปนวนั เตรยี มซ้อื วรรคบาง วสี ตวิ รรคบาง, ถาเปนชมุ นุม

หาสิ่งของสําหรับทําบุญในวันมหา ภกิ ษุ ๒ หรอื ๓ รูป เรยี กวา คณะ ถามี
สงกรานต รวมท้งั เตรียมเส้อื ผาใหมๆ ไว ภกิ ษรุ ปู เดียว เปน บุคคล
แจก และทําขนมกวน เรยี กวา วันจาย สงฆจตรุ วรรค สงฆพวก ๔ คอื มีภกิ ษุ
กิจกรรมตางๆ ท่เี ปนลกั ษณะพเิ ศษ ๔ รปู ข้นึ ไปจึงจะครบองคกําหนด, สงฆ
ของวันสงกรานต นอกจากการทําบุญ จตุวรรค กเ็ ขยี น; ดู วรรค
ตักบาตรและการเลนสนุกสนาน ตางๆ สงฆทศวรรค สงฆพวก ๑๐ คอื มภี กิ ษุ
แลว กไ็ ดแก การกอพระเจดยี ทราย การ

ปลอยนกปลอยปลา การบังสุกุลอัฐิ ๑๐ รปู ขึน้ ไป จงึ จะครบองคกาํ หนด; ดู
วรรค
การรดน้ําดาํ หัว และสรงนํา้ พระ สงฆมณฑล ดู สังฆมณฑล
สงคราม การรบกนั , เปนโวหารทางพระ สงฆวีสตวิ รรค สงฆพวก ๒๐ คอื มี

วินัย เรียกภิกษุผูจะเขาสูการวินิจฉัย

อธกิ รณ วาเขาสูสงคราม ภกิ ษุ ๒๐ รปู ขนึ้ ไป จงึ จะครบองคกาํ หนด
สงเคราะห 1. การชวยเหลือ, การเอ้อื ทจี่ ะทาํ สงั ฆกรรมนน้ั ได; ดู วรรค
เฟอเกอื้ กลู ; ดู สงั คหวัตถุ 2. การรวม สงสาร 1. การเวียนวายตายเกิด, การ
เวียนตายเวยี นเกดิ ; ดู สงั สาระ 2. ใน
เขา, ยนเขา, จัดเขา

สงฆ หม,ู ชมุ นุม 1. หมูสาวกของพระ ภาษาไทยมักหมายถงึ รสู กึ ในความเดือด
พุทธเจา เรยี กวา สาวกสงฆ ดังคําสวด รอนหรือความทกุ ขของผอู ืน่ (= กรุณา);

๔๓๐

สงสารทุกข ๔๓๑ สตปิ ฏฐาน

ดู กรุณา มคี วามหมายกรอนเชนเดียวกัน); ใชเปน
สงสารทกุ ข ทกุ ขทตี่ องเวยี นวายตายเกดิ , คาํ นาม หมายถงึ พิธสี วดมาตกิ าบังสุกลุ

ทุกขท่ีประสบในภาวะแหงการวายวนอยู ในงานศพ ปจจุบันใชเฉพาะศพเจานาย
ในกระแสแหงกเิ ลส กรรม และวบิ าก; ดู สติ ความระลึกได, นึกได, ความไม
สงั สาระ, สงั สารวัฏ, ปฏจิ จสมุปบาท เผลอ, การคุมใจไวกับกิจ หรือกมุ จติ ไว
สงสารวัฏ, สงสารวัฏฏ วังวนแหง กับสิ่งท่ีเก่ียวของ, จําการท่ีทาํ และคาํ ที่

สงสาร คอื ทองเทย่ี วเวียนวายตายเกิด พูดแลว แมนานได (ขอ ๑ ในธรรมมี

อยูซํ้าแลวซ้ําเลา; ดู สงั สาระ, สงั สารวัฏ อุปการะมาก ๒, ขอ ๑ ในโพชฌงค ๗,
สงสารสาคร หวงนํ้าคือการเวียนวาย ขอ ๓ ในอินทรยี ๕, ขอ ๓ ในพละ ๕,
ตายเกิด; ดู สังสาระ, สงั สารวฏั
ขอ ๖ ในสัทธรรม ๗, ขอ ๙ ในนาถ-

สงสารสทุ ธิ ดู สังสารสทุ ธิ กรณธรรม ๑๐)

สจิตตกะ มีเจตนา, เปนไปโดยตั้งใจ, สตปิ ฏฐาน ธรรมเปนที่ตงั้ แหงสต,ิ ขอ

เปนชื่อของอาบัติพวกหน่ึงที่เกิดขึ้นโดย ปฏิบัติมีสติเปนประธาน, การตง้ั สตถิ ึง

สมุฏฐานมเี จตนา คอื ตองจงใจทาํ จึงจะ ทันไวโดยปญญาพิจารณาสิ่งทง้ั หลายให

ตองอาบัตนิ ้ัน เชน ภิกษหุ ลอนภกิ ษุให รูเห็นเทาทันตามความเปนจริง, การมี

กลัวผี ตองปาจิตตยี ขอนเ้ี ปนสจติ ตกะ สติกาํ กบั ดูสง่ิ ตางๆ และความเปนไปทั้ง

คอื ต้งั ใจหลอกจึงตองปาจติ ตีย แตถา หลาย โดยปญญารูเทาทันตามสภาวะ

ไมไดตั้งใจจะหลอก ไมตองอาบัติ ของมัน ไมถูกครอบงําดวยความยินดี
สญชัย ดู สัญชัย
สดบั ปกรณ “เจ็ดคัมภีร” หมายถงึ คมั ภรี ยินราย ที่ทําใหมองเห็นเพี้ยนไปตาม
อาํ นาจกเิ ลส มี ๔ อยาง คือ ๑. กายานุ
พระอภธิ รรมทง้ั ๗ ในพระอภธิ รรมปฎก ปสสนา สติปฏฐาน การตั้งสตกิ าํ หนด
เขยี นเตม็ วา สตั ตปั ปกรณ (ดู ไตรปฎก)
พิจารณากาย, การมีสติกาํ กบั ดูรเู ทาทนั
แตในภาษาไทยคํานี้มีความหมายกรอน กายและเร่ืองทางกาย ๒. เวทนานปุ ส
สนา สติปฏฐาน การตั้งสติกําหนด
ลงมา เปนคําสําหรับใชในพิธีกรรม

เรียกกิริยาท่ีพระภิกษุกลาวคําพิจารณา พิจารณาเวทนา, การมีสติกาํ กบั ดรู เู ทา
ทนั เวทนา ๓. จติ ตานปุ สสนา สตปิ ฏฐาน
สังขารเมื่อจะชักผาบังสุกุลในพิธีศพเจา
นายวา สดบั ปกรณ ตรงกบั ท่เี รียกในพธิ ี การตงั้ สตกิ าํ หนดพจิ ารณาจติ , การมสี ติ
ศพทัว่ ๆ ไปวา บังสุกุล (ซึ่งกเ็ ปนศัพทที่
กาํ กับดูรูเทาทันจิตหรือสภาพและอาการ

๔๓๑

สตวิ ินัย ๔๓๒ สนธิ

ของจิต ๔. ธัมมานุปสสนา สติปฏฐาน หรือเปนผูทาํ การดวยสติท่ีมาพรอมดวย
การตงั้ สติกําหนดพิจารณาธรรม, การมี สมั ปชัญญะท้งั ๔; ดู สติ, สมั ปชัญญะ
สตกิ าํ กับดูรูเทาทนั ธรรม; เรยี กสน้ั ๆ วา สถลมารค ทางบก
กาย เวทนา จิต ธรรม; ดู โพธปิ กขิย สถาปนา กอสราง, ยกยองโดยแตงต้ังให
ธรรม สงู ข้นึ
สติวินัย ระเบียบยกเอาสติขึ้นเปนหลัก สถาพร มั่นคง, ยัง่ ยืน, ยืนยง
ไดแกกิริยาท่ีสงฆสวดประกาศใหสมมติ สถติ อยู, ยนื อยู, ตั้งอยู
แกพระอรหันต วาเปนผูมีสติเต็มท่ี เพ่ือ สถูป สิ่งกอสรางซึ่งกอไวสําหรับบรรจุ

ระงับอนวุ าทาธิกรณ ทม่ี ีผโู จททานดวย ของควรบูชา เปนอนุสรณที่เตอื นใจให

ศีลวิบัติ หมายความวาจําเลยเปนพระ เกิดปสาทะและกุศลธรรมอ่ืนๆ เชน

อรหันต สงฆเหน็ วาไมเปนฐานะที่จาํ เลย พระสารีรกิ ธาตุ อฐั แิ หงพระสาวก หรอื
จะทําการลวงละเมิดดังโจทกกลาวหา กระดกู แหงบุคคลทีน่ บั ถือ (บาลี: ถปู ,
จึงสวดกรรมวาจาประกาศความขอน้ีไว สันสกฤต: สตฺ ูป); ดู ถปู ารหบคุ คล
เรียกวาใหสติวินัย แลวยกฟองของ สทารสันโดษ ความพอใจดวยภรรยา

โจทกเสีย ภายหลังจําเลยจะถูกผูอ่ืน ของตน, ความยินดีเฉพาะภรรยาของ

โจทดวยอาบัติอยางนั้นอีก ก็ไมตอง ตน (ขอ ๓ ในเบญจธรรม), จัดเปน

พิจารณา ใหอธิกรณระงบั ดวยสติวินยั พรหมจรรยอยางหนงึ่
สตสิ งั วรสังวรดวยสติ(ขอ ๒ ในสังวร ๕) สนตพาย รอยเชือกสําหรับรอยจมูก
สติสมฺโมสา อาการที่จะตองอาบัติดวย ควาย ทีจ่ มกู ควาย (สน = รอย, ตพาย

ลมื สติ = เชอื กท่ีรอยจมกู ควาย) (พจนานกุ รม

สตูป ส่ิงกอสรางสําหรับบรรจุของควร เขยี น สนตะพาย)
บชู า นิยมเรียก สถปู สนธิ การตออักษรท่ีอยูในตางคํา ให
สเตกิจฉา อาบัติท่ียังพอเยียวยาหรอื แก เนื่องหรอื กลืนเขาเปนอนั เดียวกัน ตาม

ไขได ไดแก อาบตั อิ ยางกลางและอยาง หลักไวยากรณแบบบาลีหรือสันสกฤต

เบา คือตั้งแตสังฆาทิเสสลงมา; คูกับ เชน โย + อยํ = ยวฺ าย,ํ ตตฺร + อยํ +

อเตกจิ ฉา อตโฺ ถ = ตตรฺ ายมตโฺ ถ, อยํ + เอว + เอส

สโตการี “ผมู ปี กตกิ ระทาํ สต”ิ คอื เปนผู + อิติ = อยเมเวสาต;ิ แมแตคาํ ทเี่ อามา

มีสติ เปนผูทําการอันพึงทํา ดวยสติ รวมกันดวยสมาสแลว ก็อาจจะใชวิธี

๔๓๒

สนาน ๔๓๓ สภาวทกุ ข

สนธิน้ีเชื่อมอักษรเขาดวยกันอีกชั้นหน่ึง กัน, เพื่อนพรหมจรรย, เพือ่ นบรรพชิต,

เชน คณุ อากร เปน คณุ ากร, รูปอารมณ เพ่ือนนักบวช
เปน รูปารมณ, ศาสนอปุ ถัมภ เปน สภา “ท่ีเปนท่ีพูดรวมกัน”, ท่ีประชุม,

ศาสนูปถัมภ, วรโอกาส เปน วโรกาส, สถาบันหรือองคการอันประกอบดวย

พทุ ธโอวาท เปน พุทโธวาท, อรณุ อทุ ยั คณะบุคคลซ่ึงทําหนาท่ีพิจารณาวินิจฉัย

เปน อรโุ ณทยั ; เทยี บ สมาส หรืออํานวยกิจการ ดวยการประชุม

สนาน อาบน้ํา, การอาบนํ้า ปรึกษาหารือออกความคิดเห็นรวมกัน

สนิทสั สนรปู ดูท่ี อนทิ ัสสนอปั ปฏฆิ รูป, สภาค มสี วนเสมอกนั , เทากนั , ถกู กนั ,
รปู ๒๘ เขากันได, พวกเดยี วกัน
สนทิ ัสสนสปั ปฏฆิ รูป ดูท่ี รูป ๒๘ สภาคาบัติ ตองอาบัตอิ ยางเดยี วกัน
สบง ผานุงของภิกษุสามเณร, คําเดิม สภาพ ภาวะของมนั เอง, สภาวะ; คาํ นี้
เรยี ก อันตรวาสก; ดู ไตรจวี ร
แผลงมาจาก “สภาว” คือสภาวะ แตเมื่อ

สปทานจาริกังคะ องคแหงผูถือเที่ยว ใชในภาษาไทย มีความหมายแปลกไป

บิณฑบาตไปตามลาํ ดับบาน คอื รับตาม บาง หมายถึงภาวะของส่ิงน้นั ๆ ทีเ่ ปน

ลําดับบานตามแถวเดยี วกนั ไมรับขาม อยูเปนไป หรือปรากฏใหรูเห็น เชน

บานขามแถว, เท่ียวบิณฑบาตไปตาม สภาพดินเสีย สภาพปาเสื่อมโทรม

ตรอก ตามหองแถว เรียงลําดบั เรือ่ ยไป สภาพความเปนอยูแรนแคน
เปนแนวเดียวกัน ไมขามไปเลือกรับที่ สภาวะ ความมีอยูเปนอยูตามธรรมดา

โนนท่ีน่ีตามใจชอบ, คําสมาทานวา ของมัน, สิ่งที่มีอยูเปนอยูตามธรรมดา

“โลลุปฺปจารํ ปฏิกฺขิปาม,ิ สปทานจารกิ งฺคํ ของมัน, สภาวธรรม; บางครั้งใชใน

สมาทิยามิ” แปลวา “ขาพเจางดการเทยี่ ว ความหมายเดียวกบั สภาพ
ตามใจอยาก สมาทานองคแหงผู—” สภาวทุกข ทุกขตามสภาวะ คือตาม
(ขอ ๔ ใน ธุดงค ๑๓)
ภาวะของมันท่เี ปนทุกข ตรงตามชอื่ ตาม

สปณฑะ ผูรวมกอนขาว, พวกพราหมณ สภาพ ไดแก ทุกขทกุ ข คอื ทุกขเวทนา,

หมายเอาบรุ พบิดร ๓ ชัน้ คือ บดิ า, ปู, ตางจากทกุ ขชอื่ อน่ื เชน วิปรณิ ามทกุ ข

ทวด ซ่ึงเปนผูควรที่ลูกหลานเหลนจะ ซ่ึงเปนความรูสกึ สุข แตกลายเปนทุกข

เซนดวยกอนขาว; คูกบั สมาโนทก เมื่อแปรปรวนไป, สภาวทกุ ขน้ีเปนทุกข

สพรหมจารี ผปู ระพฤตพิ รหมจรรยรวม ทชี่ ัดในความรสู กึ แลว ยงั เปนทีต่ ั้งของ

๔๓๓

สภาวธรรม ๔๓๔ สมณสารปู

ทุกขไดอีกดวย และพรอมกันนัน้ มันก็ พระอริยบคุ คล
เปนสังขารทุกขตามภาวะที่มันเปน สมณกตุ ก คนทท่ี าํ อยางสมณะ, คนแตงตวั

สงั ขารดวย; บางมตวิ าทกุ ขประจาํ สงั ขาร อยางพระ อรรถกถาบอกวา (วนิ ย.อ.๑/๔๘๙)
คือ ชาติ ชรา มรณะ; ดู ทุกขทุกข, โกนศรี ษะไวจุก ใชผากาสาวพัสตร ผนื
วปิ ริณามทกุ ข, สงั ขารทกุ ข หน่งึ นงุ อกี ผนื หนง่ึ พาดบา อาศัยวดั อยู
สภาวธรรม สงิ่ ท่มี ภี าวะของมันเอง, สิ่งที่ กนิ อาหารเหลอื จากพระ (ทาํ นองเปนตา

มีอยูเปนอยูตามธรรมดาของมัน เถน, เขยี นเต็มอยางบาลวี า สมณกุตตก)

สภยิ ะ พระเถระผใู หญชน้ั มหาสาวก เคย สมณกุตกในเรือ่ งท่ีกลาวถงึ นนั้ มชี ือ่ วา

เปนปริพาชกมากอน ไดฟงพระพุทธเจา “มคิ ลณั ฑกิ ” (วินย.๑/๑๗๖/๑๒๙; วนิ ย.อ.๑/๔๘๙)
พยากรณปญหาท่ีตนถาม มีความ สมณคณุ คณุ ธรรมของสมณะ, ความดที ี่

เลือ่ มใส ขอบวช หลังจากบวชแลวไมชา สมณะควรมี

กไ็ ดบรรลพุ ระอรหัต สมณโคดม คําที่คนทั่วไปหรือคนภาย

สโภชนสกลุ สกลุ ทก่ี าํ ลงั บรโิ ภคอาหารอย,ู นอกพระศาสนา นยิ มใชเรยี กพระพทุ ธเจา
ครอบครวั ทกี่ าํ ลงั บรโิ ภคอาหารอยู (หาม (เขียนตามเคยชินเปน สมณะโคดม กม็ )ี
มใิ หภกิ ษเุ ขาไปนง่ั แทรกแซง ตามสกิ ขาบท สมณพราหมณ สมณะและพราหมณ

ท่ี ๓ แหงอเจลกวรรค ปาจติ ตยิ กัณฑ) (เคยมีการสันนิษฐานวาอาจแปลไดอีก

สมจารี ผปู ระพฤติสม่าํ เสมอ, ประพฤติ อยางหน่ึงวา พราหมณผเู ปนสมณะหรือ
ถูกตองเหมาะสม; คูกับ ธรรมจารี
พราหมณผูถอื บวช แตหลกั ฐานไมเอ้อื )

สมโจร เปนใจกับโจร สมณวัตต ดู สมณวตั ร
สมชวี ติ า มีความเปนอยูพอดี คอื เลี้ยง สมณวตั ร หนาทขี่ องสมณะ, กิจที่พงึ ทํา

ชีวิตตามสมควรแกกําลังทรัพยท่ีหาได ของสมณะ, ขอปฏิบัตขิ องสมณะ
ไมฝดเคอื งนกั ไมฟมู ฟายนกั (ขอ ๔ ใน สมณวิสยั วิสัยของสมณะ, ลกั ษณะท่ี

ทฏิ ฐธัมมิกตั ถสงั วตั ตนกิ ธรรม ๔) เปนอยูของสมณะ, ลักษณะที่เปนอยู
สมณะ “ผูสงบ” หมายถึงนักบวชท่วั ไป ของผูสงบ
แตในพระพุทธศาสนา ทานใหความ สมณสัญญา ความสาํ คญั วาเปนสมณะ,

หมายจาํ เพาะ หมายถงึ ผูระงบั บาป ได ความกําหนดใจไววาตนเปนสมณะ,

แกพระอริยบุคคล และผูปฏิบัติเพื่อ ความสาํ นกึ ในความเปนสมณะของตน
ระงับบาป ไดแกผูปฏิบตั ธิ รรมเพือ่ เปน สมณสารูป ความประพฤติอันสมควร

๔๓๔

สมณทุ เทส, สมณเุ ทศ ๔๓๕ สมบัติ

ของสมณะ ใหญ หรอื ประเสริฐ

สมณุทเทส, สมณุเทศ สามเณร สมถะ ธรรมเปนเครื่องสงบระงับจิต,
สมดงึ ส-, สมติงส- สามสิบถวน, ครบ ธรรมยังจิตใหสงบระงับจากนิวรณูป-

สามสิบ, สามสบิ เต็มพอดี (สม [เทา, กเิ ลส, การฝกจติ ใหสงบเปนสมาธิ (ขอ
ถวน, พอด]ี + ตึส [สามสิบ]) มักมาใน ๑ ในกรรมฐาน ๒ หรือ ภาวนา ๒)
คาํ วา สมดึงสบารมี หรอื สมตงิ สบารมี สมถกัมมัฏฐาน กรรมฐานคือสมถะ,
งานฝกจติ ใหสงบ;ดูกมั มฏั ฐาน, สมถะ
แปลวา บารมี ๓๐ ครบถวน

ในภาษาเกาท่ีมักพูดวา “บารมี สมถขนั ธกะ ชอื่ ขนั ธกะที่ ๔ แหงจลุ วรรค

สามสิบทศั ” นนั้ ไดใหถือกันไปพลางวา ในพระวนิ ยั ปฎก วาดวยวธิ รี ะงบั อธกิ รณ
“ทศั ” แปลวา “ถวน” แตพอจะสนั นษิ ฐาน สมถภาวนา การเจริญสมถกมั มฏั ฐานทาํ
ไดวา นาจะเปนการพดู คําซอน กลาวคือ จติ ใหแนวแนเปนสมาธิ; ดู ภาวนา
“สบิ ” ในภาษาไทย ตรงกบั คาํ พระวา “ทศั ” สมถยานกิ ผมู สี มถะเปนยาน หมายถงึ

(ทศั คอื ทศ, บาลเี ปน ทส, แปลวา สบิ ) ผเู จริญสมถกรรมฐาน จนไดฌานกอน

และบารมที มี่ จี าํ นวนรวมเปน ๓๐ นนั้ แลวจงึ เจรญิ วิปสสนาตอ
แทจรงิ แลวมใิ ชวามบี ารมี ๓๐ อยาง แต สมถวิธี วิธีระงับอธิกรณ; ดู อธิกรณ-
เปนบารมสี บิ คอื ทศั ๓ ชดุ ไดแก ทศั - สมถะ
บารมี ทศั อปุ บารมี และทศั ปรมตั ถบารมี สมถวิปสสนา สมถะและวิปสสนา
เมอ่ื พดู วา “บารมสี ามสบิ ทศั ” จงึ คลาย สมถาภนิ ิเวส ดู อภนิ เิ วส
กบั บอกวา บารมสี ามสบิ น้ี ทว่ี า ๓๐ นน้ั สมนุภาสนา การสวดสมนุภาสน, สวด

คอื ๓ ทศั (ขอใหสงั เกตตวั อยางขอความ ประกาศหามไมใหถือรน้ั การอนั มชิ อบ
ในคมั ภรี ทกี่ ลาวถงึ “สมดงึ สบารม”ี คอื สมบตั ิ ความถงึ พรอม, ความครบถวน,

บารมี ๓ ทศั เชนใน อป.อ.๑/๑๒๓ ทว่ี า ความสมบรู ณ 1. สง่ิ ทไี่ ดทถี่ งึ ดวยด,ี เงนิ
“ทสปารมที สอปุ ปารมที สปรมตถฺ ปารมนี ํ
วเสน สมตสึ ปารม”ี ซงึ่ เหมอื นในภาษา ทองของมีคา, ส่ิงท่ีมีอยูในสิทธิอํานาจ

ไทยพดู วา “บารมี ๓๐ ถวน คอื ๓ ทศั …”); ของตน, ความพรั่งพรอมสมบูรณ,
ดู บารมี สมบัติ ๓ ไดแก มนุษยสมบัติ สมบตั ิใน
สมณุทเทส, สมณุเทศ สามเณร ข้ันมนุษย สวรรคสมบัติ สมบัติใน
สมเด็จ เปนคํายกยอง หมายความวาย่งิ สวรรค (เทวสมบัติ หรือ ทพิ ยสมบัติ ก็
เรยี ก) และ นพิ พานสมบตั ิ สมบัตคิ ือ

๔๓๕

สมบตั ิของอบุ าสก ๕ ๔๓๖ สมมติเทพ

นิพพาน 2. ความครบถวนของสงั ฆ- มธั ยม
กรรม เชน อุปสมบท เปนตน ที่จะทํา สมพงศ การรวมวงศหรือตระกูลกัน,

ใหสังฆกรรมน้ันถูกตอง ใชได มีผล รวมวงศกันได ลงกนั ได
สมบูรณ มี ๔ คือ ๑. วัตถสุ มบตั ิ วัตถุ สมเพช ในภาษาไทย ใชในความหมายวา

ถงึ พรอม เชน ผอู ุปสมบทเปนชายอายุ สลดใจ ทาํ ใหเกิดความสงสาร แตตาม
ครบ ๒๐ ป ๒. ปรสิ สมบตั ิ บริษัทคือที่ หลักภาษาตรงกบั สงั เวช
ประชุมถึงพรอม สงฆครบองคกาํ หนด สมโพธิ การตรัสรเู ปนพระพุทธเจา
๓. สมี าสมบตั ิ เขตชมุ นมุ ถงึ พรอม เชน สมภพ การเกิด
สีมามีนิมิตถูกตองตามพระวินัย และ สมภาร เคร่ืองประกอบ, ความดีหรือ
ประชุมทําในเขตสีมา ๔. กรรมวาจา- ความช่ัวที่ประกอบหรือสะสมไว (เชน
สมบัติ กรรมวาจาถึงพรอม สวด ในคําวา สมภารกรรม และสมภาร-

ประกาศถกู ตองครบถวน (ขอ ๔ อาจ ธรรม), สัมภาระ; ในภาษาไทย ใชเปน
แยกเปน ๒ ขอ คือเปน ๔. ญตั ตสิ มบัติ คําเรยี กพระทเ่ี ปนเจาอาวาส; ดู สัมภาระ
ญัตติถึงพรอม คือคําเผดียงสงฆถูก สมโภค การกินรวม; ดู กนิ รวม
ตอง ๕. อนสุ าวนาสมบัติ อนสุ าวนาถงึ สมโภช งานฉลองในพิธมี งคลเพอื่ ความ

พรอม คือคาํ หารือตกลงถูกตอง รวม รื่นเริงยนิ ดี

เปนสมบัติ ๕); เทยี บ วิบัติ สมมติ การรรู วมกัน, การตกลงกัน, การ
สมบตั ิของอุบาสก ๕ คือ ๑. มศี รทั ธา มีมติรวมกนั หรือยอมรบั รวมกนั ; การ

๒. มศี ีลบริสุทธ์ิ ๓. ไมถอื มงคลตน่ื ขาว ท่ีสงฆประชุมกันตกลงมอบหมายหรือ

เช่อื กรรม ไมเช่ือมงคล ๔. ไมแสวงหา แตงต้ังภิกษุใหทํากิจหรือเปนเจาหนาท่ี

เขตบุญนอกหลักพระพุทธศาสนา ๕. ในเร่ืองอยางใดอยางหนึ่ง เชน สมมติ

ขวนขวายในการอุปถัมภบาํ รุงพระพุทธ- ภกิ ษเุ ปนผใู หโอวาทภกิ ษณุ ี สมมติภิกษุ

ศาสนา (ขอ ๕ แปลทบั ศพั ทวา ทาํ บพุ การ เปนภตั ตุเทศก เปนตน; ในภาษาไทย

ในพระศาสนาน,ี้ แบบเรยี นวา บําเพ็ญ ใชในความหมายวา ตกลงกนั วา ตางวา
บุญแตในพทุ ธศาสนา); ดู บพุ การ สมมตเิ ทพ เทวดาโดยสมมติ คือโดย
สมผุส เปนคําเฉพาะในโหราศาสตร ความตกลงหรือยอมรับรวมกันของ

หมายถงึ การคํานวณชนิดหนึ่ง เกยี่ วกบั มนุษย ไดแก พระราชา พระราชเทวี

โลกและดาวนพเคราะหเล็งรวมกัน; ดู พระราชกุมาร (ขอ ๑ ในเทพ ๓)

๔๓๖

สมมตสิ จั จะ ๔๓๗ สมาจาร

สมมติสัจจะ จรงิ โดยสมมติ คือ โดย สมังคี ผูพร่งั พรอม, ผพู รอม (ดวย…), ผู

ความตกลงหมายรูรวมกันของมนุษย ประกอบ (ดวย…); มกั ใชเปนบททายใน
เชน นาย ก. นาย ข. ชาง มา มด โตะ
หนงั สอื พอ แม ลกู เพือ่ น เปนตน ซ่งึ คาํ สมาส เชน กศุ ลสมงั คี (ผูประกอบ
เม่ือกลาวตามสภาวะ หรือโดยปรมตั ถ ดวยกศุ ล) โทสสมงั คี (ผปู ระกอบดวย
โทสะ) มรรคสมงั คี (ผูประกอบดวย

แลว กเ็ ปนเพยี งสงั ขาร หรอื นามรปู หรอื มรรค คือ ตง้ั อยใู นมรรค เชน ในโสดา

ขนั ธ ๕ เทานัน้ ; ตรงขามกับ ปรมัตถสจั จะ ปตติมรรค) ผลสมงั คี (ผูประกอบดวย
สมรภูมิ ทร่ี วมตาย, สนามรบ
ผล คอื ไดบรรลุผล เชน ถึงโสดาปตติ-

สมสสี ี [สะ-มะ-สี-ส]ี บุคคลผสู ิ้นอาสวะ ผล เปนโสดาบัน เปนตน)
พรอมกบั สนิ้ ชวี ิต คอื บรรลอุ รหตั ตผล สมนั ตจกั ขุ จกั ษรุ อบคอบ, ตาเหน็ รอบ

ในขณะเดยี วกับทส่ี ิ้นชวี ติ ; นี้เปนความ ไดแกพระสัพพัญ ุตญาณ อันหย่ังรู

หมายหลักตามพระบาลี แตในมโนรถ- ธรรมทุกประการ เปนคุณสมบัติพเิ ศษ

ปรู ณี อรรถกถาแหงอังคตุ ตรนิกาย ให ของพระพุทธเจา (ขอ ๕ ในจกั ขุ ๕)
ความหมาย สมสสี ี วาเปนการสน้ิ อาสวะ สมันตปาสาทิกา ช่ือคัมภีรอรรถกถา

พรอมกบั สิ้นอยางอืน่ อนั ใดอันหนึ่งใน ๔ อธบิ ายความในพระวนิ ยั ปฎก พระพทุ ธ-

อยางและแสดงสมสีสีไว ๔ ประเภท โฆสาจารยแปลและเรียบเรียงข้ึนเปน

คือ ผสู ้นิ อาสวะพรอมกบั หายโรค เรยี ก ภาษาบาลี เมื่อ พ.ศ. ใกลจะถึง ๑๐๐๐
วา โรคสมสีสี ผสู น้ิ อาสวะพรอมกบั ที่ โดยอาศัยอรรถกถาภาษาสิงหฬท่ีมีอยู
เวทนาซ่ึงกําลังเสวยอยูสงบระงับไป กอน คอื ใชคมั ภรี มหาอฏั ฐกถา เปนหลกั
เรียกวา เวทนาสมสีสี ผูสิ้นอาสวะ พรอมท้ังปรึกษาคัมภรี มหาปจจรี และ
พรอมกับการสิ้นสุดของอิริยาบถอันใด กุรุนที เปนตนดวย; ดู โปราณัฏฐกถา,
อนั หนงึ่ เรยี กวา อริ ิยาบถสมสีสี ผสู ้นิ อรรถกถา
อาสวะพรอมกับการส้ินชีวิต เรียกวา สมัย คราว, เวลา; ลทั ธิ; การประชมุ ;
ชวี ติ สมสสี ;ี อยางไรกด็ ี ในอรรถกถาแหง การตรัสรู
ปคุ คลบญั ญัติ เปนตน แสดงสมสีสไี ว สมาคม การประชมุ , การเขารวมพวก

๓ ประเภท และอธบิ ายตางออกไปบาง รวมคณะ
ไมขอนาํ มาแสดงในทีน่ ี้ เพราะจะทําให สมาจาร ความประพฤติทด่ี ;ี มักใชใน

ฟนเฝอ ความหมายทเี่ ปนกลางๆ วา ความประพฤติ

๔๓๗

สมาทปนา ๔๓๘ สมานฉนั ท

โดยมีคําอื่นประกอบขยายความ เชน สมาธิ ๓ คือ ๑. สุญญตสมาธิ ๒.
กายสมาจาร วจีสมาจาร ปาปสมาจาร อนมิ ติ ตสมาธิ ๓. อปั ปณหิ ติ สมาธิ; อีก
เปนตน หมวดหนึง่ ไดแก ๑. ขณิกสมาธิ ๒.
สมาทปนา การใหสมาทาน หรือชวนให อุปจารสมาธิ ๓. อัปปนาสมาธิ
ปฏิบัติ คืออธิบายใหเห็นวาเปนความ สมาธิกถา ถอยคําท่ีชักชวนใหทําใจให

จริง ดีจริง จนใจยอมรับที่จะนําไป สงบต้ังม่นั (ขอ ๗ ในกถาวัตถุ ๑๐)

ปฏิบัติ; เปนลักษณะอยางหนึ่งของการ สมาธิขันธ หมวดธรรมจําพวกสมาธิ
สอนท่ดี ี (ขอกอนคอื สันทัสสนา, ขอ เชน ฉนั ทะ วริ ยิ ะ จติ ตะ ชาคริยานุโยค
ตอไปคอื สมุตเตชนา)
กายคตาสติ เปนตน

สมาทาน การถอื เอารบั เอาเปนขอปฏบิ ตั ,ิ สมานกาล เวลาปจจุบัน
การถอื ปฏบิ ตั ิ เชน สมาทานศีล คอื รับ สมานฉนั ท มีฉนั ทะเสมอกัน, มีความ

เอาศีลมาปฏิบตั ิ พอใจรวมกัน, พรอมใจกัน, มีความ

สมาทานวตั ร ดู ขน้ึ วัตร ตองการที่จะทําการอยางใดอยางหนึ่ง

สมาทานวิรัติ การเวนดวยการสมาทาน ตรงกันหรือเสมอเหมือนกัน ในทางท่ี

คือ ไดสมาทานศีลไวกอนแลว เม่ือ รายหรอื ดีกไ็ ด, ในทางราย เชน หญิง

ประสบเหตุทจ่ี ะใหทาํ ความชวั่ กง็ ดเวน และชายท่ีมีสมานฉันทในการประกอบ

ไดตามทสี่ มาทานน้นั (ขอ ๒ ในวริ ตั ิ ๓) กาเมสุมจิ ฉาจาร (เปนตวั อยางทีท่ านใช
สมาธิ ความมีใจตง้ั มั่น, ความต้งั ม่นั แหง ในการอธิบายบอยทสี่ ดุ ) และหมคู นราย

จติ , การทําใหใจสงบแนวแน ไมฟุงซาน, ท่ีมีสมานฉันทในการทาํ โจรกรรม สวน

ภาวะท่ีจิตตั้งเรียบแนวอยูในอารมณคือ ในทางดี เชน หมคู นดีมีสมานฉนั ทที่จะ

ส่ิงอันหน่งึ อันเดยี ว, มักใชเปนคําเรียก ไปทาํ บุญรวมกนั เชน ไปจัดปรับถนน
งายๆ สาํ หรบั อธจิ ติ ตสกิ ขา; ดู เอกคั คตา, หนทาง สรางสะพาน ขดุ สระ ปลกู สวน
อธจิ ติ ตสิกขา (ขอ ๒ ในไตรสิกขา, ขอ สรางศาลาพักรอน ใหทาน รักษาศีล

๔ ในอนิ ทรีย ๕, ขอ ๔ ในพละ ๕, ขอ (ชา.อ.๑/๒๙๙ เปนตวั อยางเดน) เด็กกลุมหนึ่ง

๖ ในโพชฌงค ๗) มีสมานฉนั ททจ่ี ะบรรพชา ภิกษุหลายรูป

สมาธิ ๒ คือ ๑. อุปจารสมาธิ สมาธจิ วน มีสมานฉันทท่ีจะถือปฏิบัติธุดงคขอนั้น
เจยี น หรอื สมาธิเฉียดๆ ๒. อปั ปนา- ขอน,้ี คนผมู สี มานฉนั ทในทางรายนนั้ ไม
สมาธิ สมาธแิ นวแน
ตองใชปญญาไตรตรองพจิ ารณา เพยี ง

๔๓๘

สมานลาภสีมา ๔๓๙ สมาส

ชอบใจอยากทาํ ก็ประกอบกรรมไปตาม หมายถงึ การทําตวั ใหเสมอสมาน เขา

อาํ นาจของราคะ หรือโลภะ โทสะ และ กนั ได ดวยการเอาตวั เขารวม รวมกจิ

โมหะ สวนคนท่ีจะมสี มานฉันทในทางดี รวมการงาน รวมสุขรวมทกุ ข ไมถือตวั

เบ้ืองแรกมองเห็นดวยปญญาแลววา มคี วามเสมอภาค และวางตวั เหมาะสม

กรรมน้ันดีงามเปนประโยชนมีเหตุผล (ขอ ๔ ในสังคหวัตถุ ๔)
ควรทาํ จงึ เกิดฉนั ทะคอื ความพอใจใฝ สมานาจริยกะ ภกิ ษผุ รู วมพระอาจารย

ปรารถนาท่ีจะทาํ โดยเขาใจตรงกัน และ เดยี วกัน
พอใจเหมือนกนั รวมดวยกัน; ดู ฉันทะ สมานาสนกิ ผรู วมอาสนะกนั หมายถงึ
สมานลาภสมี า แดนมีลาภเสมอกนั ได ภิกษุผูมีพรรษารุนราวคราวเดียวกัน

แกเขตท่สี งฆตง้ั แต ๒ อาวาสขน้ึ ไปทํา ออนแกกวากันไมถงึ ๓ พรรษา นั่งรวม

กตกิ ากันไววา ลาภเกดิ ข้ึนในอาวาสหน่งึ อาสนะเตยี งตง่ั เดยี วกนั ๒ รปู ได; เทยี บ

สงฆอีกอาวาสหนึ่งมีสวนไดรับแจก อสมานาสนกิ ; ดู อาสนะ
ดวย; ดู กตกิ า สมานุปชฌายกะ ภิกษุผูรวมพระ
สมานสังวาส มีธรรมเปนเคร่อื งอยูรวม อปุ ชฌายะเดียวกนั
เสมอกัน, ผรู วมสงั วาส หมายถึง ภิกษุ- สมาโนทก ผูรวมนํ้า, ตามธรรมเนยี ม

สงฆผูสามัคคีรวมอุโบสถสังฆกรรมกัน; พราหมณ หมายถึง บุรพบิดรพนจาก

เหตุใหภิกษุผูแตกกันออกไปแลวกลับ ทวดขน้ึ ไปกด็ ี ญาตผิ มู ไิ ดสบื สายตรงกด็ ี
เปนสมานสังวาสกนั ไดอกี มี ๒ อยาง ซ่งึ เปนผูพึงไดรบั นํ้ากรวด;คกู บั สปณฑะ
คือ ๑. ทาํ ตนใหเปนสมานสังวาสเอง สมาบัติ ภาวะสงบประณีตซ่ึงพึงเขาถึง;

คอื สงฆปรองดองกนั เขาได หรอื ภกิ ษุ สมาบัติมีหลายอยาง เชน ฌานสมาบัติ

น้นั แตกจากหมูแลวกลับเขาหมูเดมิ ๒. ผลสมาบัติ อนุปุพพวิหารสมาบัติ

สงฆระงับอุกเขปนียกรรมที่ลงโทษภิกษุ เปนตน สมาบตั ทิ ก่ี ลาวถงึ บอยคอื ฌาน-

นน้ั แลวรับเขาสังวาสตามเดิม สมาบตั ิ กลาวคือ สมาบัติ ๘ อันไดแก

สมานสังวาสสีมา แดนมีสังวาสเสมอ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ ถาเพมิ่

กัน, เขตที่กําหนดความพรอมเพรียง นิโรธสมาบัติ ตอทายสมาบัติ ๘ นี้ รวม

และสิทธิในการเขาอุโบสถปวารณาและ เรียกวา อนุปพุ พวิหารสมาบตั ิ ๙
สมาส [สะ-หฺมาด] การนาํ เอาศพั ท ๒
สังฆกรรมดวยกัน

สมานัตตตา “ความเปนผูมีตนเสมอ” ศัพทข้ึนไปมาตอรวมกันโดยมีความ

๔๓๙

สมุจจยขันธกะ ๔๔๐ สโมธานปริวาส

หมายเช่ือมโยงเปนคําเดียว ตามหลัก ๒. ลาํ พังวาจา ๓. กายกับจติ ๔. วาจา

ไวยากรณแบบบาลีหรือสันสกฤต เชน กับจิต และที่ควบกนั อีก ๒ กค็ ือ ๑.

ธรรม + ราชา เปน ธรรมราชา, อาณา กายกับวาจา ๒. กายกบั วาจากับท้ังจติ
+ จักร เปน อาณาจกั ร, กศุ ล + เจตนา สมุตเตชนา การทาํ ใหอาจหาญ คอื เราใจ

เปน กุศลเจตนา; สมาสตางกับสนธิ ใหแกลวกลา ปลุกใจใหคึกคัก เกิด
กลาวคือ สนธิ เอาคํามาตอกนั โดย ความกระตือรือรน มีกําลังใจแข็งขัน
เช่ือมตัวอักษรใหอานหรือเขียนกลม มั่นใจที่จะทําใหสําเร็จ ไมกลัวเหน็ด

กลืนเขากนั เปนคําเดยี ว เชน ป จฺ + เหน่ือยหรือยากลําบาก; เปนลักษณะ

อิเม เปน ป ฺจิเม, แต สมาส เอาคํามา อยางหน่ึงของการสอนท่ดี ี (ขอกอนคือ
ตอกัน โดยเชอื่ มความหมายใหเน่ือง สมาทปนา, ขอสดุ ทายคอื สมั ปหงั สนา)
เปนคําเดยี วกัน เชน ป จฺ + นที เปน สมทุ ัย เหตใุ หเกิดทุกข ไดแก ตัณหา คอื
ป ฺจนท;ี เทียบ สนธิ
ความทะยานอยาก เชน อยากไดนัน่ ได

สมจุ จยขันธกะ ชอื่ ขันธกะที่ ๓ ในจุล น่ี อยากเปนโนนเปนน่ี อยากไมเปนโนน
วรรคแหงพระวนิ ยั ปฎก วาดวยวุฏฐาน- เปนน่ี (ขอ ๒ ในอรยิ สจั จ ๔); ดู ตัณหา
สโมธานปริวาส ปริวาสแบบประมวลเขา
วิธีบางเร่ือง

สมุจเฉท การตัดขาด ดวยกัน คือปริวาสท่ีภิกษุตองอาบัติ

สมจุ เฉทปหาน การละกเิ ลสไดโดยเด็ด สงั ฆาทเิ สสตางคราว มจี าํ นวนวนั ปดตาง

ขาดดวยอริยมรรค กนั บาง ไมตางบาง ปรารถนาจะออกจาก

สมุจเฉทวมิ ตุ ติ หลดุ พนดวยตัดขาด ได อาบตั นิ น้ั จงึ อยปู รวิ าสโดยประมวลอาบตั ิ

แก พนจากกิเลสดวยอริยมรรค กเิ ลส และราตรเี ขาดวยกนั จาํ แนกเปน ๓ อยาง
เหลานั้นขาดเด็ดไป ไมกลับเกิดข้ึนอีก คอื ๑. โอธานสโมธาน สาํ หรับอาบตั ิ

เปนโลกุตตรวมิ ตุ ติ (ขอ ๓ ในวมิ ุตติ ๕) มากกวาหนึ่งแตปดไวนานเทากัน เชน
สมจุ เฉทวิรัติ การเวนดวยตดั ขาด หมาย ตองอาบตั ิ ๒ คราว ปดไวคราวละ ๕ วนั

ถึงการเวนความช่ัวไดเด็ดขาดของพระ ประมวลเขาดวยกนั อยูปริวาส ๕ วนั
อริยเจา เพราะไมมกี ิเลสท่จี ะเปนเหตุให ๒. อคั ฆสโมธาน สาํ หรับอาบตั มิ ากกวา

ทําความชั่วน้ันๆ (ขอ ๓ ในวิรตั ิ ๓) หนงึ่ และปดไวนานไมเทากนั เชน ตอง
สมุฏฐาน ทีเ่ กดิ , ที่ตั้ง, เหตุ; ทางทเี่ กิด อาบัติ ๓ คราว ปดไว ๓ วันบาง ๕ วนั

อาบัติ โดยตรงมี ๔ คือ ๑. ลําพังกาย บาง ๗ วนั บาง ประมวลเขาดวยกนั อยู

๔๔๐

สยัมภู ๔๔๑ สรณคมน

ปรวิ าสเทาจํานวนวนั ท่มี ากทสี่ ดุ (คอื ๗ สรณะ), “ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉาม”ิ (ขาพเจา
วัน) ๓. มสิ สกสโมธาน สาํ หรบั อาบตั ทิ ่ี ถึงพระธรรมเปนสรณะ), “สงฺฆํ สรณํ
คจฉฺ าม”ิ (ขาพเจาถงึ พระสงฆเปนสรณะ);
ตางวตั ถกุ นั (เชน กายสงั สคั คะกม็ ี ทฏุ - “ทตุ ยิ มฺป พทุ ฺธํ สรณํ คจฺฉาม”ิ (ขาพเจา
ถึงพระพุทธเจาเปนสรณะแมครงั้ ที่ ๒),
ลุ ลวาจากม็ ี สญั จรติ ตะก็มี) มีวันปด “ทตุ ิยมฺป ธมฺมํ สรณํ คจฉฺ าม,ิ ทตุ ิยมปฺ
สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ าม”ิ ; “ตตยิ มปฺ พทุ ธฺ ํสรณํ
เทากนั บาง ไมเทากันบาง ประมวลเขา คจฺฉามิ” (ขาพเจาถึงพระพทุ ธเจาเปน
สรณะแมครง้ั ท่ี ๓), “ตตยิ มฺป ธมมฺ ํ สรณํ
ดวยกัน อยูปรวิ าสรวมเปนคราวเดยี ว คจฺฉามิ, ตตยิ มฺป สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ”
สยมั ภู พระผเู ปนเอง คอื ตรสั รไู ดเอง โดย
ไมมีใครสัง่ สอน หมายถึงพระพุทธเจา การถึงพระรัตนตรัยเปนสรณะ ทํา
สยมั ภูญาณ ญาณของพระสยมั ภ,ู ปรชี า ใหเรามีเคร่ืองนําทางในการดําเนินชีวิต
มีหลักยึดเหน่ียวจิตใจ มีแหลงที่สาด
หย่งั รขู องพระสยมั ภู สองใหแสงสวางแหงปญญา ทาํ ใหเกิด
สยามนกิ าย 1. นกิ ายสยาม หมายถึง ความมนั่ ใจ อบอนุ ใจ ปลอดภยั หาย
หวาดกลวั หายขนุ มวั เศราหมอง มจี ติ ใจ
พวกพระไทย เรยี กช่ือโดยสัญชาติ 2. ดู เบกิ บานผองใส เกดิ ความเขมแขง็ ทจี่ ะ
สยามวงศ ทําความดีงามทําประโยชนใหสําเร็จ
สยามวงศ ชอื่ นิกายพระสงฆลังกาทบี่ วช เปนการไดกลั ยาณมติ รสงู สดุ ที่จะชนี้ ํา
ใหหยุดยัง้ ถอนตนจากบาป ใหกาวไปใน
จากพระสงฆสยาม (คือพระสงฆไทย) กุศล พนจากอบาย บรรลภุ มู ทิ ่ีสงู ขนึ้ ไป
จนถึงความสุขแทท่ีเปนอิสระไรทุกขท้ัง
ในสมยั อยุธยา ซ่งึ พระอบุ าลีเปนหวั หนา ปวง ทั้งนี้ จะตองมศี รัทธาถูกตอง ที่
ประกอบดวยปญญา นบั ถอื โดยมีความ
ไปประดิษฐาน ใน พ.ศ. ๒๒๙๖ รคู วามเขาใจชดั เจนและมนั่ ใจ มใิ หสรณ-
สรณะ ท่พี ่ึง, ทรี่ ะลึก คมนน้ันเศราหมองดวยความไมรูหรือ
สรณคมน การถึงสรณะ, การยดึ เอาเปน เขาใจผิดเพ้ียนหลงงมงายหรือไมใสใจ;
ท่ีพ่ึงทรี่ ะลกึ , หมายถึง การถงึ รัตนะทั้ง ดู รตั นตรยั

สาม (พระรัตนตรยั ) คือ พระพุทธเจา ๔๔๑

พระธรรม พระสงฆ เปนท่ีพง่ึ ทีร่ ะลกึ ;
เรียกวา สรณาคมน บางกม็ ี (ในภาษา

ไทย บางทพี ดู วา “ไตรสรณคมน” หรือ

แมแต “ไตรสรณาคมน” ก็มี แตใน
คัมภีรทง้ั หลาย ใชเพยี งวา “สรณคมน”)

คําถึงสรณะ วาดังน้ี: “พุทฺธํ สรณํ
คจฺฉามิ” (ขาพเจาถึงพระพุทธเจาเปน

สรณคมนอปุ สมั ปทา ๔๔๒ สรภัญญะ

สรณคมนอปุ สมั ปทา วธิ อี ปุ สมบทดวย “การกลาว[ธรรม] ดวยเสียง” (หรือ
การเปลงวาจาถงึ พระพทุ ธเจา พระธรรม “[ธรรม] อนั พงึ กลาวดวยเสยี ง”) คอื ใช
และพระสงฆ เปนสรณะ เปนวธิ ที พ่ี ระ เสียงเปนเคร่ืองกลาวหรือบอกธรรม
พุทธเจาทรงอนุญาตใหพระสาวกใช หมายความวา แทนที่จะกลาวบรรยาย
อุปสมบทกุลบุตรในตอนปฐมโพธิกาล อธิบายธรรมดวยถอยคํา อยางท่ีเรียก
ตอมาเมื่อพระพุทธเจาทรงอนุญาตการ วา “ธรรมกถา” ก็เอาเสยี งที่ตั้งใจเปลง
อปุ สมบทดวยญตั ตจิ ตตุ ถกรรมแลว การ ออกไปอยางประณีตบรรจง ดวยจิต
บวชดวยสรณคมน กใ็ ชสาํ หรบั บรรพชา เมตตา และเคารพธรรม อันชัดเจน
สามเณรสบื มา; ตสิ รณคมนปู สมั ปทา ก็ เรยี บรน่ื กลมกลนื สมาํ่ เสมอ เปนทาํ นอง
เรยี ก; ดู อปุ สมั ปทา ไพเราะ นุมนวล ชวนฟง มาเปนส่อื เพือ่
สรณตรยั ทพ่ี ง่ึ ทง้ั สาม คอื พระพทุ ธ พระ นาํ ธรรมทม่ี อี ยเู ปนหลกั หรอื ทเี่ รยี บเรยี ง
ธรรม พระสงฆ; ดู รตั นตรยั , สรณคมน ไวดีแลว ออกไปใหถึงใจของผูสดับ,
สรทะ, สรทกาล, สรทฤด,ู สรทสมยั สรภัญญะเปนวิธีกลาวธรรมเปนทํานอง
ฤดูทายฝน, ฤดูสารท, ฤดูใบไมรวง ใหมีเสียงไพเราะนาฟงในระดับท่ีเหมาะ
(แรม ๑ คา่ํ เดอื น ๑๐ ถงึ ขน้ึ ๑๕ คา่ํ สม ซง่ึ พระพุทธเจาทรงอนญุ าตแกภกิ ษุ
เดอื น ๑๒) เปนฤดทู ม่ี สี ภาพอากาศสดใส ทั้งหลาย ตามเร่ืองวา (วนิ ย.๗/๑๙–๒๑/๘-๙)
ยามฝนตก กเ็ ปนฝนเมด็ โต โดยทว่ั ไป ครง้ั หนึง่ ท่เี มอื งราชคฤห มมี หรสพบน
อากาศโปรงแจมใส ปราศจากเมฆหมอก ยอดเขา (คิรคั คสมชั ชะ) พวกพระฉพั -
ดวงอาทติ ยลอยเดน แผดแสงกลา ทอง พัคคียไปเที่ยวดู ชาวบานติเตียนวา
ฟาสวางแจมจา ยามราตรี ดาวพระศกุ ร ไฉนพระสมณะศากยบุตรจึงไดไปดูการ
สองแสงสกาว มีพุทธพจนตรสั ถงึ บอย ฟอนรํา ขับรอง และประโคมดนตรี
ครง้ั ในขอความอปุ มาอปุ ไมยตางๆ; ดู เหมือนพวกคฤหัสถผูบริโภคกาม เม่ือ
มาตรา ความทราบถึงพระพุทธเจา จึงไดทรง
สรภงั คะ นามของศาสดาคนหนง่ึ ในอดตี ประชุมสงฆ และบัญญัติสิกขาบทมใิ ห
เปนพระโพธสิ ตั ว มคี ณุ สมบตั คิ อื เปนผู ภิกษุไปดูการฟอนรํา ขับรอง และ
ปราศจากราคะในกามทั้งหลาย ได ประโคมดนตร,ี อีกคราวหนึง่ พวกพระ
ประกาศคาํ สอน มศี ษิ ยจาํ นวนมากมาย ฉัพพัคคียน้ัน สวดธรรมดวยเสียงเอือ้ น
สรภญั ญะ [สะ-ระ-พนั -ยะ, สอ-ระ-พนั -ยะ] ยาวอยางเพลงขับ ชาวบานติเตียนวา

๔๔๒

สรภัญญะ ๔๔๓ สรภญั ญะ

ไฉนพระสมณะศากยบุตรเหลาน้ีจึงสวด เจนใจเปนอยางดี และทรงเนอื้ ความไว
ธรรมดวยเสียงเอ้ือนยาวเปนเพลงขับ ถูกถวนดี อีกท้ังเปนผูมีวาจางาม
เหมือนกับพวกเรา ความทราบถึงพระ สละสลวย คลอง ไมพลาด ทําอัตถะให
พุทธเจา ก็ทรงประชุมสงฆชี้แจงโทษ แจมแจง, ในคัมภีรบางแหงกลาววา สร-
ของการสวดเชนนั้น และไดทรงบญั ญตั ิ ภญั ญะมวี ธิ หี รอื ทาํ นองสวดถงึ ๓๒ แบบ
มิใหภิกษุสวดธรรมดวยเสียงเอื้อนยาว จะเลอื กแบบใดกไ็ ดตามปรารถนา (อง.ฏี.
อยางเพลงขับ, ตอมา ภิกษทุ ้งั หลายขดั ๓/๔๒๑/๙๕) แตสรภญั ญะนมี้ ใิ ชการสวด
จิตของใจในสรภัญญะ จึงกราบทูล เอื้อนเสียงยาวอยางเพลงขับ (อายตกะ
ความแดพระพุทธเจา พระองคตรัสวา คีตสร) ที่ทําเสียงยาวเกินไปจนทําให
“ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตสรภัญญะ” อักขระเสยี คือผดิ พลาดไป สรภัญญะมี
(อนชุ านามิ ภกิ ฺขเว สรภ ฺ ํ.) ลักษณะสาํ คัญท่ีวา ตองไมทาํ ใหอกั ขระ
ผิดพลาดคลาดเคลื่อน แตใหบทและ
มี เ ร่ื อ ง ร า ว ม า ก ห ล า ย ที่ แ ส ด ง ว า พยัญชนะกลมกลอม วาตรงลงตวั ไม
สรภญั ญะนเ้ี ปนทน่ี ยิ มในพทุ ธบรษิ ทั ดงั คลมุ เครือ ไพเราะ แตไมมวี กิ าร (อาการ
ตัวอยางเร่ืองท่ีเก่ียวของกับพระพุทธเจา ผดิ แปลกหรือไมเหมาะสม) ดํารงสมณ-
วา (วนิ ย.๕/๒๐/๓๓; ข.ุ อ.ุ ๒๕/๑๒๒/๑๖๕) เม่อื สารูป
คร้ังพระโสณะกุฏิกัณณะ ชาวถิ่นไกล
ชายแดนในอวนั ตที กั ขณิ าบถ เพง่ิ บวชได โดยนยั ทก่ี ลาวมา จงึ ถอื วาสรภญั ญะ
๑ พรรษา กล็ าพระอุปชฌายเดินทางมา เปนวิธีแสดงและศึกษาหรือสอนธรรม
เฝาทีพ่ ระเชตวนารามในกรงุ สาวัตถี พอ อีกอยางหน่ึง เพ่ิมจากวิธีอื่น เชน
ผานราตรีแรกไดพกั ผอนมาจนต่ืน ใกล ธรรมกถา และการถามตอบปญหา,
รุงสวาง พระพุทธเจาตรัสใหเธอกลาว บางทีก็พูดอยางกวางๆ รวมสรภัญญะ
ธรรมตามถนัด (ดังจะทรงดูวาเธอได เขาเปนธรรมกถาอยางหนึ่ง ดงั ทค่ี มั ภีร
ศึกษาเลาเรียนมคี วามรมู าเพียงใด) พระ ยุคหลังๆ บางแหงบันทกึ ไวถึงธรรมกถา
โสณะกุฏิกัณณะไดกลาวพระสูตรท้ัง ๒ แบบ คือ แบบที่ ๑ ภกิ ษรุ ูปแรกสวด
หมดในอัฏฐกวัคค (๑๖ สูตร, ขุ.สุ.๒๕/ ตัวคาถาหรือพระสูตรเปนสรภัญญะให
๔๐๘–๔๒๓/๔๘๔–๕๒๓) เปนสรภญั ญะ จบ จบไปกอน แลวอีกรูปหน่ึงเปนธรรม-
แลว พระพุทธเจาทรงอนุโมทนา กถึกกลาวธรรมอธิบายคาถาหรือพระ
ประทานสาธกุ ารวา เธอไดเรยี นมาอยางดี สูตรท่ีรูปแรกสวดไปแลวนั้นใหพิสดาร

๔๔๓

สรภู ๔๔๔ สวรรค

แบบนีเ้ รียกวา สรภาณธรรมกถา และ หมายถงึ พระพทุ ธเจา (= สพั พัญ ู)
แบบท่ี ๒ สวดพระสตู รเปนตนน้ันไป สรรี ะ รางกาย
อยางเดียวตลอดแตตนจนจบ เรยี กวา สรีรยนต เครอ่ื งยนตคือรางกาย
สรภัญญธรรมกถา (สํ.ฏี.๑/๓๙/๘๙); สรรี าพยพ สวนของรางกาย, อวัยวะใน

สรภัญญะน้ี เม่ือปฏิบัติโดยชอบ ตั้ง รางกาย
เจตนากอปรดวยเมตตา มคี วามเคารพ สลาก เครื่องหมายหรือวัตถุท่ีใชในการ

ธรรม กลาวออกมา ก็เปนท้งั ธรรมทาน เสีย่ งโชค เชน สลากภัต กไ็ ดแกอาหาร

และเปนสัทททาน (ใหทานดวยเสียง ท่ีเขาถวายสงฆโดยเขียนช่ือเจาภาพลง

หรือใหเสียงเปนทาน) พรอมทั้งเปน ในกระดาษใบละช่ือ มวนรวมคละกัน

เมตตาวจีกรรม เขาแลวใหภิกษุทั้งหลายจับตามลําดับ

ในภาษาไทย เรยี กทํานองอยางที่สบื พรรษากันมา หรือเขียนเลขหมายไวท่ี

กันมาในการสวดคาถาหรือคําฉันทวา ของจํานวนหนงึ่ ภิกษจุ ับไดสลากของผู
“สรภญั ญะ” คือ สรภญั ญะกลายเปนชอ่ื ใดก็ไดรบั อาหารของทายกนน้ั ; ฉลาก ก็

ของทาํ นองหนงึ่ ทใ่ี ชในการสวดสรภญั ญะ เรียก
สรภู แมน้าํ ใหญสายสาํ คญั ลาํ ดบั ที่ ๔ ใน สลากภตั อาหารถวายตามสลาก หมาย

มหานที ๕ ของชมพทู วปี ไหลผานเมือง ถึงเอาสงั ฆภัตอนั ทายกเขากันถวาย ตาง

สําคัญ คอื สาเกต, ปจจบุ นั สรภูไมเปน คนตางจดั มา เปนของตางกนั เขามักทาํ

ท่ีรูจักท่ัวไป มีชื่อในภาษาสันสกฤตวา ในเทศกาลที่ผลไมเผล็ดแลวถวายพระ

สรยู และไหลเขาไปรวมกับแมนํ้า ดวยวิธจี บั สลาก; ดู สลาก
Ghaghara ซ่ึงเปนแควหน่งึ ของแมน้าํ สวนขางปลายทงั้ สอง อดีต กับอนาคต
คงคา จึงเรยี กชือ่ รวมเปน Ghaghara สวนทามกลาง ในประโยควา “ไมตดิ อยู
ไปดวย; ดู มหานที ๕
ในสวนทามกลาง” ปจจบุ นั

สรร เลือก, คดั สวนานุตตริยะ การสดับที่ยอดเย่ียม
สรรค สราง
เชน ไดสดับธรรมของพระพุทธเจา (ขอ

สรรพ ท้งั ปวง, ทัง้ หมด, ทกุ ส่ิง ๒ ในอนุตตริยะ ๖)

สรรพางค ทุกๆ สวนแหงรางกาย, ราง สวรรค แดนอันแสนดีเลิศลํ้าดวยกาม

กายทกุ ๆ สวน คณุ ๕, โลกของเทวดา ตามปกติหมาย

สรรเพชญ ผูรูทั่ว, ผูรูทุกส่ิงทุกอยาง ถึงกามาพจรสวรรค (สวรรคท่ียงั เกยี่ ว

๔๔๔

สวรรคต ๔๔๕ สหชีวนิ ี

ของกับกาม) ๖ ชนั้ คือ จาตมุ หาราชิกา สวญิ ญาณกะ สิง่ ทีม่ ีวญิ ญาณ ไดแกสตั ว
ดาวดงึ ส ยามา ดสุ ติ นิมมานรดี ปร- ตางๆ เชน แพะ แกะ สกุ ร โค กระบอื
นมิ มติ วสวัตดี เปนตน; เทียบ อวิญญาณกะ
สวรรคต “ไปสสู วรรค” คอื ตาย (ใชสาํ หรบั สสังขารปรินิพพายี พระอนาคามีผูจะ

พระเจาแผนดิน สมเดจ็ พระบรมราชินี ปรินิพพานดวยตองใชความเพียร; ดู
สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระ อนาคามี
ยุพราช สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สสังขาริก “เปนไปกบั ดวยการชกั นาํ ”, มี

และพระบรมราชวงศที่ทรงไดรับพระ การชักนํา ใชแกจิตท่ีคิดดีหรือช่ัวโดย

ราชทานฉัตร ๗ ชน้ั ) ถกู กระตนุ หรือชกั จงู จากภายนอก มใิ ช

สวสั ดิ,์ สวัสดี ความดีงาม, ความเจรญิ เริ่มข้ึนเอง จึงมีกําลังออน; ตรงขามกับ
รงุ เรอื ง, ความปลอดโปรง, ความปลอด อสงั ขารกิ
สหคตทกุ ข ทกุ ขไปดวยกัน, ทุกขกาํ กบั
ภยั ไรอันตราย

สวัสดิมงคล มงคล คือ ความสวัสดี ไดแกทุกขท่ีพวงมาดวยกันกับผลอัน
สวากขาตธรรม ธรรมทพ่ี ระผูมีพระภาค ไพบลู ย มลี าภ ยศ สรรเสรญิ สขุ

ตรัสไวดแี ลว เปนตน แตละอยางยอมพวั พนั ดวยทกุ ข

สวากขาตนิยยานิกธรรม ธรรมที่พระ สหชาต, สหชาติ “ผเู กดิ รวมดวย” หมาย

พทุ ธเจาตรัสไวดแี ลว อันนําผปู ระพฤติ ถงึ บคุ คล (ตลอดจนสตั วและสงิ่ ของ) ที่

ตามออกไปจากทกุ ข เกดิ รวมวนั เดอื นปเดยี วกนั อยางเพลา

สฺวากฺขาโต (พระธรรมอันพระผูมีพระ หมายถงึ ผเู กดิ รวมปกนั ; ตาํ นานกลาว

ภาค) ตรสั ดแี ลว คอื ตรัสไวเปนความ วา เม่ือเจาชายสิทธัตถะประสูตินั้น

จรงิ ไมวิปริต งามในเบือ้ งตน งามใน มสี หชาต ๗ คือ พระมารดาของเจาชาย

ทามกลาง และงามในท่ีสุด สัมพันธ ราหลุ (เจาหญงิ ยโสธรา หรอื พมิ พา) พระ

สอดคลองกันทั่วตลอด ประกาศ อานนท นายฉนั นะ อาํ มาตยกาฬทุ ายี มา

พรหมจริยะคือทางดําเนินชีวิตอัน กัณฐกะ ตนมหาโพธ์ิ และขุมทรพั ยท้ัง

ประเสริฐ พรอมท้ังอรรถ พรอมท้ัง ๔ (นธิ ีกมุ ภี)
พยญั ชนะ บริสุทธิ์บริบรู ณส้นิ เชิง (ขอ สหชาตธรรม ธรรมทเ่ี กิดพรอมกนั
สหชวี นิ ี คําเรยี กท่ีใชแทนกนั ไดกบั คาํ วา
๑ ในธรรมคุณ ๖)

สวาธยาย ดู สาธยาย สทั ธิวหิ ารินี ทง้ั ๒ คําน้ีแปลวาผอู ยดู วย

๔๔๕

สหธรรมกิ ๔๔๖ สอปุ าทิเสสบคุ คล

ถาอุปสมบทดวยอาศัยภิกษุณีที่เปน ในท่มี งุ ทีบ่ งั เดียวกนั ) กบั หญิงแมในคืน

ปวัตตนิ ีรูปใด กเ็ ปนสหชวี ินีของปวัตตนิ ี แรก (ขอ ๕ และ ๖ ในมสุ าวาทวรรค

รปู นัน้ , ตรงกับสัทธวิ หิ าริกในฝายภิกษุ, ปาจติ ติยกณั ฑ)

ศษิ ยของปวัตติน;ี ดู ปวตั ตนิ ี สหไสย การนอนดวยกนั , การนอนรวม
สหธรรมกิ ผมู ธี รรมรวมกนั , ผปู ระพฤติ สหัมบดี ชื่อพระพรหมผูอาราธนาพระ

ธรรมรวมกนั แสดงไวในคมั ภรี มหานทิ เทส พทุ ธเจาใหแสดงธรรมโปรดสตั ว
แหงพระสุตตันตปฎก มี ๗ คือ ภกิ ษุ สหาย เพอ่ื น, เพือ่ นรวมการงาน (แปล

ภิกษณุ ี สิกขมานา สามเณร สามเณรี ตามศัพทวา “ผูไปดวยในกิจท้ังหลาย”

อุบาสก อบุ าสกิ า; ในสตั ตาหกรณยี ะ หรือ “ผูมีความเสื่อมและความเจริญ

หมายถึง ๕ อยางแรกเทานน้ั เรยี กวา รวมกัน”)
สหธรรมิก ๕ (คัมภีรฝายวินัยท่ัวไปก็ สองตอสอง สองคนโดยเฉพาะ ไมมีผู

มกั หมายเฉพาะจาํ นวน ๕) อื่นอยดู วย, ตวั ตอตวั

สหธรรมิกวรรค ตอนท่ีวาดวยเร่ือง สอเสยี ด ยุใหแตกกัน คอื ฟงคาํ ของขางนี้

ภกิ ษถุ ูกวากลาวโดยชอบธรรม เปนตน แลว เก็บเอาไปบอกขางโนนเพือ่ ทําลาย

เปนวรรคที่ ๘ แหงปาจติ ติยกณั ฑ มี ขางน้ี ฟงคําของขางโนนแลวเก็บเอามา

๑๒ สกิ ขาบท บอกขางนี้ เพ่ือทําลายขางโนน; ดู ปสณุ า

สหรคต ไปดวยกัน, กํากับกัน, รวมกัน วาจา
(บาลี: สหคต) สอุปาทิเสสนิพพาน นพิ พานยังมอี ุปาทิ
สหวาส อยรู วม เปนประการหนงึ่ ในรตั ต-ิ เหลอื , ดับกเิ ลสแตยงั มีเบญจขันธเหลอื

เฉท คือเหตขุ าดราตรีแหงการประพฤติ คอื นพิ พานของพระอรหนั ตผยู งั มชี วี ติ

มานัตและการอยูปริวาส หมายถึงการ อยู, นิพพานในแงท่ีเปนภาวะดับกิเลส

อยูรวมในชายคาเดียวกับปกตัตตภิกษุ; คอื โลภะ โทสะ โมหะ; เทยี บ อนุปาท-ิ
ดู รตั ติเฉท เสสนิพพาน
สหเสยยสิกขาบท สกิ ขาบทเกยี่ วกับการ สอุปาทิเสสบุคคล บุคคลผูยังมีเชื้อ

นอนรวมมี ๒ ขอ ขอหนงึ่ ปรับอาบตั ิ กเิ ลสเหลอื อย,ู ผยู งั ไมสน้ิ อปุ าทาน ไดแก

ปาจติ ตยี แกภกิ ษผุ นู อนรวมกบั อนปุ สมั บนั พระเสขะ คือ พระอรยิ บคุ คลท้ังหมด
เกนิ ๒–๓ คืน อีกขอหนึ่งปรบั อาบัติ ยกเวนพระอรหันต; เทียบ อนุปาทิเสส-
ปาจิตตียแกภิกษุผูนอนรวม (คือนอน บุคคล

๔๔๖

สักกะ ๔๔๗ สงั ขตลกั ษณะ

สักกะ 1. พระนามจอมเทพ ในสวรรคชัน้ สกั ยราช กษตั ริยวงศศากยะ, พระราชา
ดาวดึงส เรยี กกันวา ทาวสกั กะ หรอื พระ วงศศากยะ
อินทร; ดู ดาวดึงส, วตั รบท, อนิ ทร 2. สงั กจั ฉกิ ะ ผารัดหรือโอบรักแร เปนจวี ร

ชอื่ ดงไมทอี่ ยใู นชมพทู วปี ตอนเหนอื แถบ อยางหนึง่ ในจีวร ๕ ของภิกษุณี คือ

เขาหมิ าลยั เขตปาหมิ พานต 3. ชอ่ื ชนบทที่ สังฆาฏิ ผาทาบ ๑ อตุ ตราสงค ผาหม ๑
ตงั้ อยใู นดงไมสกั กะ; ดู สกั กชนบท อันตรวาสก สบง ๑ สังกจั ฉิกะ ผารดั
สักกชนบท ชื่อแควนหนึ่งในชมพูทวีป หรอื ผาโอบรกั แร ๑ อุทกสาฏกิ า ผาอาบ

ตอนเหนือ นครหลวงชือ่ กบิลพสั ดุ เปน ๑ (มากกวาของภิกษุซึ่งมีจํานวนเพียง

ชาติภูมิของพระพุทธเจามีการปกครอง ๓ อยางขางตน)
โดยสามัคคีธรรม มีประวัติสืบมาแต สังกเิ ลส ความเศราหมอง, ความสกปรก,

สมัยพระเจาโอกกากราช บดั นี้อยูในเขต สิ่งท่ีทําใจใหเศราหมอง, ธรรมที่อยูใน

ประเทศเนปาล หานภาค คือในฝายขางเสื่อม ไดแก

สักกรนิคม เปนนิคมหน่ึงอยูในสักก- ธรรมจําพวกที่ทําใหตกต่ําเสื่อมทราม
ชนบท; สกั ขรนคิ ม กเ็ รียก
เชน อโยนิโสมนสิการ อคติ ตัณหา

สกั กายทิฏฐิ ความเห็นวาเปนตัวของตน, มานะ ทฏิ ฐิ อวชิ ชา; ตรงขามกับ โวทาน
ความเห็นเปนเหตุถือตวั ตน เชน เห็นรูป สังขตะ สง่ิ ทถ่ี ูกปจจยั ปรุงแตง, สิ่งทเ่ี กิด

เปนตน เห็นเวทนาเปนตน เปนตน (ขอ จากเหตุปจจยั แตงขึ้น ไดแกสภาพทเี่ กิด

๑ ในสังโยชน ๑๐) แตเหตทุ งั้ ปวง, สังขตธรรม; ตรงขามกบั

สักการ, สักการะ เคารพนับถือบูชา, อสังขตะ
สังขตธรรม ธรรมท่ีถูกปจจัยปรุงแตง
เคร่อื งแสดงความเคารพบชู า

สกั ขสิ าวก สาวกทที่ นั เหน็ องคพระพทุ ธ- ขึ้น ตรงกบั สังขารในคําวา สังขารทงั้ ปวง
เจา, พระสภุ ทั ทะผเู คยเปนปรพิ าชก เปน ไมเท่ยี ง ดงั นี้เปนตน; ตรงขามกับ อสังขต-
สกั ขิสาวกองคสดุ ทายของพระพุทธเจา ธรรม
สักยปุตติยะ ผูเปนเหลากอแหงพระ สงั ขตลักษณะ ลกั ษณะแหงสังขตธรรม,
ศากยบุตร (ศากยบตุ ร หรือ สกั ยปตุ ตะ ลักษณะของปรุงแตง มี ๓ อยาง ๑.

หมายถึงพระพทุ ธเจา), โดยใจความ คอื ความเกดิ ขึ้น ปรากฏ ๒. ความดบั

ผูเปนลูกพระพุทธเจา ไดแกพระภิกษุ สลาย ปรากฏ ๓. เมือ่ ตัง้ อยู ความแปร

(ภิกษุณีเรยี กวา สกั ยธดิ า) ปรากฏ

๔๔๗

สงั ขาร ๔๔๘ สังขารุเปกขาญาณ

สงั ขาร 1. ส่งิ ที่ถกู ปจจยั ปรงุ แตง, สิง่ ท่ี อัสสาสะ ปสสาสะ คือลมหายใจเขา ลม
เกิดจากเหตุปจจัย เปนรูปธรรมก็ตาม หายใจออก ๒. วจีสงั ขาร สภาพทีป่ รุง
แตงวาจา ไดแกวติ กและวจิ าร ๓. จติ ต-
นามธรรมก็ตาม ไดแกขนั ธ ๕ ทง้ั หมด, สังขาร สภาพที่ปรุงแตงใจ ไดแก
ตรงกับคาํ วา สังขตะ หรือ สังขตธรรม

ไดในคําวา “สังขารท้ังหลายท้ังปวงไม สญั ญาและเวทนา
เทยี่ ง” ดังน้ีเปนตน 2. สภาพทปี่ รุงแตง สังขาร ๒ คือ ๑. อุปาทินนกสังขาร
ใจใหดีหรือช่ัว, ธรรมมีเจตนาเปน สังขารท่ีกรรมครอบครอง ๒. อนุปา-
ประธานที่ปรุงแตงความคิด การพูด ทินนกสังขาร สังขารที่กรรมไมครอบ

การกระทํา มีท้ังที่ดีเปนกุศล ที่ชว่ั เปน ครอง, แปลโดยปรยิ ายวา สงั ขารท่มี ีใจ

อกศุ ล ทกี่ ลางๆ เปนอพั ยากฤต ไดแก ครอง และสงั ขารทไ่ี มมีใจครอง
เจตสิก ๕๐ อยาง (คือ เจตสกิ ทัง้ ปวง สงั ขารทกุ ข ทุกขตามทีเ่ ปนสังขาร คอื

เวนเวทนาและสัญญา) เปนนามธรรม เพราะเปนสภาพอันปจจัยปรุงแตงข้ึน

อยางเดียว, ตรงกับสงั ขารขนั ธ ในขนั ธ จึงตองผนั แปรไปตามเหตุปจจยั ไดแก

๕ ไดในคําวา “รูปไมเท่ียง เวทนาไม ขันธ ๕ ท้ังหมด ซ่งึ เปนสภาพท่ถี กู บีบ

เที่ยง สัญญาไมเที่ยง สงั ขารไมเทย่ี ง คน้ั ดวยการเกิดขึ้น และการเสื่อมสลาย

วิญญาณไมเทย่ี ง” ดงั น้เี ปนตน; อธิบาย ของปจจัยตางๆ ท่ีขดั แยง ทาํ ใหคงอยู

อกี ปรยิ ายหนง่ึ สงั ขารตามความหมายน้ี ในสภาพเดิมมไิ ด, ทกุ ขขอน้คี ลมุ ความ
ยกเอาเจตนาขึ้นเปนตัวนําหนา ไดแก หมายของทุกขในไตรลักษณ; เทียบ ทกุ ข
สัญเจตนา คือเจตนาที่แตงกรรมหรือ ทกุ ข, วปิ รณิ ามทุกข
ปรุงแตงการกระทาํ มี ๓ อยางคอื ๑. สงั ขารโลก โลกคอื สังขาร ไดแกชมุ นมุ
กายสังขาร สภาพที่ปรุงแตงการกระทํา แหงสังขารทั้งปวงอันตองเปนไปตาม
ทางกาย คอื กายสญั เจตนา ๒. วจี- ธรรมดาแหงเหตปุ จจยั
สังขาร สภาพที่ปรุงแตงการกระทําทาง สังขารุเปกขาญาณ ปรีชาหย่ังรูถึงขั้น
วาจา คือ วจสี ญั เจตนา ๓. จิตตสงั ขาร เกิดความวางเฉยในสังขาร, ญาณอัน
หรอื มโนสงั ขาร สภาพที่ปรุงแตงการ เปนไปโดยความเปนกลางตอสังขาร คือ

กระทําทางใจ คือ มโนสัญเจตนา 3. รูเทาทันสภาวะของสังขารวาที่ไมเที่ยง
สภาพท่ีปรงุ แตงชวี ิตมี ๓ คอื ๑. กาย- เปนทุกขเปนตนน้ัน มันเปนไปของมัน
สังขาร สภาพท่ีปรุงแตงกาย ไดแก อยางน้นั เปนธรรมดา จึงเลิกเบื่อหนาย

๔๔๘

สงั เขป ๔๔๙ สังคายนา

เลิกคดิ หาทางแตจะหนี วางใจเปนกลาง เจาโดยพรอมกันทบทวนสอบทานจน
ยอมรับและวางลงเปนแบบแผนอันหนึ่ง
ตอมันได เลิกเกี่ยวเกาะและใหญาณ อนั เดยี ว

แลนมงุ สูนิพพานอยางเดยี ว (ขอ ๘ ใน “สังคายนา” คือ การสวดพรอมกัน
เปนกิริยาแหงการมารวมกันซักซอม
วิปสสนาญาณ ๙) สอบทานใหลงกันแลวสวดพรอมกันคือ
สงั เขป การยอ, ยนยอ, ใจความ, เคา ตกลงยอมรับไวดวยกันเปนอันหนึ่งอัน
ความ; ตรงขามกับ วิตถาร, พสิ ดาร เดียว ตามหลกั ในปาสาทิกสตู ร (ที.ปา.๑๑/
สงั เขปนัย นยั อยางยอ, แบบยอ, แง ๑๐๘/๑๓๙) ที่พระพทุ ธเจาตรสั แนะนาํ แก
ความหมายซ่ึงช้แี จงอยางรวบรดั ; ตรงขาม ทานพระจนุ ทะ กลาวคือ ทานพระจุนทะ
กบั วติ ถารนยั ปรารภเรื่องที่นิครนถนาฏบุตรส้ินชีพ
สงั เขปฏฐกถา ดู โปราณฏั ฐกถา, อรรถ- แลว ประดานิครนถตกลงในเร่อื งหลัก
กถา คําสอนกนั ไมได กท็ ะเลาะววิ าทกนั ทาน
สงั คณี ดู ไตรปฎก, ธรรมสงั คณี คาํ นงึ ถึงพระศาสนา จงึ มาเฝา และพระ
สงั คหวตั ถุ เรือ่ งทจี่ ะสงเคราะหกัน, คณุ พทุ ธเจาไดตรสั วา “เพราะเหตดุ งั นน้ี น่ั แล
เปนเครื่องยึดเหน่ียวใจของผูอ่ืนไวได, จนุ ทะ ในธรรมทง้ั หลายทเ่ี ราแสดงแลว
ดวยปญญาอันยิ่ง เธอทั้งหมดทีเดียว
หลักการสงเคราะห คือชวยเหลือกัน พึงพรอมเพรียงกันประชุมรวบรวม
กลาวใหลงกัน (สังคายนา) ท้ังอรรถะ
ยึดเหนย่ี วใจกันไว และเปนเครื่องเกาะ กับอรรถะ ทั้งพยัญชนะกับพยัญชนะ
ไมพงึ ววิ าทกนั โดยประการทพ่ี รหมจรยิ ะ
กุมประสานโลกคือสังคมแหงหมูสัตวไว นจ้ี ะยงั่ ยนื ดาํ รงอยตู ลอดกาลนาน เพอ่ื
เกื้อกูลแกพหูชน เพ่ือความสขุ แกพหูชน
ดุจลิ่มสลักเพลายึดรถที่กําลังแลนไปให เพอ่ื เกอ้ื การณุ ยแกชาวโลก เพอ่ื ประโยชน
เพื่อเก้ือกูล เพื่อความสุขแกเทวะและ
คงเปนรถและวิง่ แลนไปได มี ๔ อยาง มนุษยท้ังหลาย” และในท่ีนน้ั ไดตรัสวา
คือ ๑. ทาน การแบงปนเออื้ เฟอเผอื่ แผ ธรรมท้ังหลายที่ทรงแสดงแลวดวย
กัน ๒. ปยวาจา พดู จานารกั นานยิ มนบั ปญญาอันยงิ่ หมายถงึ ธรรม ๗ หมวด
ถอื ๓. อตั ถจรยิ า บาํ เพญ็ ประโยชน ๔.
สมานัตตตา ความมีตนเสมอ คอื ทาํ ตวั ๔๔๙
ใหเขากนั ได เชน ไมถอื ตัว รวมกจิ รวม

งาน รวมสุขรวมทกุ ขกัน เปนตน
สังคายนา “การสวดพรอมกัน” การรอย
กรองพระธรรมวนิ ยั , การประชมุ รวบรวม

และจดั หมวดหมคู าํ สงั่ สอนของพระพุทธ

สงั คายนา ๔๕๐ สงั คายนา

(ทม่ี ชี อ่ื รวมวาโพธปิ กขยิ ธรรม ๓๗), ใน การสังคายนาหลังจากนั้น ซ่งึ จดั ขึ้นหลัง
เวลาใกลกนั นน้ั เมอื่ พระสารบี ุตรไดรับ พุทธปรินพิ พานอยางนอย ๑ ศตวรรษ
พุทธดํารัสมอบหมายใหแสดงธรรมแก ชัดเจนวาไมอยูในวิสัยแหงการรวบรวม
ภิกษุสงฆในท่ีเฉพาะพระพักตร ทานก็ พทุ ธพจน แตเปลีย่ นจุดเนนมาอยูทกี่ าร
ปรารภเรอ่ื งทนี่ คิ รนถนาฏบตุ รสนิ้ ชพี แลว รักษาพุทธพจนและคําส่ังสอนเดิมที่ได
ประดานิครนถทะเลาะวิวาทกันในเร่ือง รวบรวมไวแลว อนั สืบทอดมาถงึ ตน ให
หลักคําสอน แลวทานไดแนะนําให คงอยูบริสุทธิ์บริบูรณท่ีสุดเทาที่จะเปน
สังคายนา พรอมทัง้ ทําเปนตัวอยาง โดย ไปได ดวยเหตุนั้น สงั คายนาในยคุ หลัง
ประมวลธรรมมาลําดับแสดงเปนหมวด สืบมาถึงปจจุบัน จึงมคี วามหมายวาเปน
หมู ตง้ั แตหมวด ๑ ถงึ หมวด ๑๐ เทศนา การประชุมตรวจชําระสอบทาน รักษา
ของพระสารีบุตรครง้ั นไ้ี ดชือ่ วา “สังคตี -ิ พระไตรปฎกใหบริสุทธ์ิ หมดจดจาก
สูตร” (ท.ี ปา.๑๑/๒๒๑/๒๒๒) เปนพระสตู ร ความผิดพลาดคลาดเคล่อื น โดยกาํ จดั
วาดวยการสังคายนาท่ีทําต้ังแตพระบรม ส่ิงปะปนแปลกปลอมหรอื ทาํ ใหเขาใจสับ
ศาสดายังทรงพระชนมอยู, เม่ือพระ สนออกไป ใหธรรมวนิ ยั ของพระพทุ ธเจา
พทุ ธเจาปรนิ พิ พานแลว พระมหากสั สปะ คงอยูเปนแบบแผนอันหนึ่งอันเดียวที่
ผเู ปนสงั ฆเถระ กไ็ ดชกั ชวนพระอรหนั ต เปนของแทแตเดมิ ; ในบางยคุ สมัย การ
ทั้งหลายประชุมกันทําสังคายนาตาม สังคายนาเกิดข้ึนเนื่องกันกับเหตุการณ
หลกั การที่กลาวมาน้ัน โดยประมวลพระ ไมปกติท่ีมีการถือผิดปฏิบัติผิดจากพระ
ธรรมวินัยทั้งหมดเทาที่รวบรวมไดวาง ธรรมวนิ ยั ทาํ ใหการสังคายนาเสมอื นมี
ลงไวเปนแบบแผน ตั้งแตหลังพุทธ- ความหมายซอนเพิ่มข้ึนวาเปนการซัก
ปรินิพพาน ๓ เดือน เรียกวาเปน ซอมทบทวนสอบทานพระธรรมวนิ ยั เพอ่ื
สังคายนาครั้งท่ี ๑ จะไดเปนหลักหรือเปนมาตรฐานในการ
ชําระสังฆมณฑลและสะสางกิจการพระ
ความหมายทเี่ ปนแกนของสงั คายนา ศาสนา, จากความหมายท่ีเรม่ิ คลมุ เครือ
คอื การรวบรวมพทุ ธพจน หรอื คาํ สง่ั สอน สับสนนี้ ในภาษาไทยปจจบุ ัน สังคายนา
ของพระบรมศาสดา ดงั นน้ั สงั คายนาที่ ถึงกับเพี้ยนความหมายไป กลายเปน
เต็มตามความหมายแทจรงิ จึงมีไดตอ การชําระสะสางบคุ คลหรือกิจการ
เมื่อมีพุทธพจนที่จะพึงรวบรวม อนั ได
แกสังคายนาเทาทก่ี ลาวมาขางตน สวน สังคายนาในยุคตน ซึ่งถือเปน

๔๕๐

สงั คีติ ๔๕๑ สังคตี ิ

สําคัญในการรักษาสืบทอดพระธรรม (พ.ศ. ๒๑๘ เปนปท่ีพระเจาอโศกขึ้น

วินยั คือ คร้ังที่ ๑ ถงึ ๕ ดงั น:้ี ครองราชย) โดยพระเจาอโศก หรือศรี-

ครั้งท่ี ๑ ปรารภเรื่องสุภทั ทภกิ ษุผู ธรรมาโศกราชเปนศาสนูปถัมภก ส้ิน

บวชเมื่อแกกลาวจวงจาบพระธรรมวินัย เวลา ๙ เดอื นจงึ เสรจ็
และปรารภท่ีจะทําใหธรรมรุงเรอื งอยูสืบ คร้ังที่ ๔ ปรารภใหพระศาสนา

ไป พระอรหนั ต ๕๐๐ รูป มพี ระมหา- ประดษิ ฐานมน่ั คงในลงั กาทวปี พระสงฆ

กัสสปะเปนประธาน และเปนผูถาม ๖๘,๐๐๐ รูป มีพระมหินทเถระเปน

พระอุบาลีเปนผูวิสัชนาพระวินัย พระ ประธานและเปนผูถาม พระอริฏฐะเปน

อานนทเปนผูวสิ ัชนาพระธรรม ประชมุ ผูวิสัชนา ประชุมทาํ ท่ถี ปู าราม เมืองอนุ-

สังคายนาที่ถํ้าสัตตบรรณคูหา ภูเขา ราธบรุ ี เมอื่ พ.ศ. ๒๓๖ โดยพระเจา

เวภารบรรพต เมืองราชคฤห เมื่อหลงั เทวานัมปยติสสะเปนศาสนูปถมั ภก สนิ้

พทุ ธปรนิ พิ พาน ๓ เดือน โดยพระเจา เวลา ๑๐ เดอื นจึงเสรจ็
อชาตศัตรูเปนศาสนูปถัมภก ส้ินเวลา คร้ังท่ี ๕ ปรารภพระสงฆแตกกนั

๗ เดอื นจงึ เสรจ็ เปน ๒ พวกคือ พวกมหาวิหารกับพวก

ครั้งท่ี ๒ ปรารภพวกภิกษุวชั ชีบุตร อภยั ครี วี หิ าร และคาํ นงึ วาสบื ไปภายหนา

แสดงวตั ถุ ๑๐ ประการ นอกธรรม นอก กุลบุตรจะถอยปญญา ควรจารึกพระ

วนิ ยั พระยศกากณั ฑกบตุ รเปนผชู กั ชวน ธรรมวินัยลงในใบลาน พระอรหันต

ไดพระอรหันต ๗๐๐ รปู พระเรวตะ ๕๐๐ รูป ประชุมกันสวดซอมแลวจาร

เปนผูถาม พระสัพพกามีเปนผูวิสัชนา พุทธพจนลงในใบลาน ณ อาโลกเลณ-

ประชมุ ทาํ ที่วาลกิ าราม เมืองเวสาลี เมอ่ื สถาน ในมลยชนบท ในลงั กาทวีป เม่อื

พ.ศ. ๑๐๐ โดยพระเจากาลาโศกราช เปน พ.ศ. ๔๕๐ (วา ๔๓๖ กม็ )ี โดยพระเจา

ศาสนปู ถมั ภก สน้ิ เวลา ๘ เดอื นจงึ เสรจ็ วัฏฏคามณีอภัย เปนศาสนูปถัมภก;
คร้ังที่ ๓ ปรารภเดียรถยี มากมาย บางคัมภีรวา สังคายนาคร้ังน้ีจัดขึ้นใน

ปลอมบวชในพระศาสนาเพราะมีลาภ ความคุมครองของคนที่เปนใหญในทอง

สกั การะเกดิ ขน้ึ มาก พระอรหนั ต ๑,๐๐๐ ถนิ่ (ครัง้ ท่ี ๔ ไดรับความยอมรับในแง

รูป มีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเปน เหตุการณนอยกวาครั้งท่ี ๕)
ประธาน ประชุมทําท่ีอโศการามเมอื ง สังคีติ 1. การสงั คายนา; ดู สงั คายนา 2.

ปาฏลบี ตุ ร เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๔ ในคาํ วา “บอกสังคตี ”ิ ซ่ึงเปนปจฉิมกจิ

๔๕๑

สังคีตกิ ถา ๔๕๒ สงั ฆคณุ

อยางหน่ึงของการอุปสมบท ทาน กรมธรรมการ เรยี กรวมวา กรมธรรม-
สนั นษิ ฐานวา หมายถึงการประมวลบอก การสังฆการี เดิมเรียกวา สังกะรี หรอื
อยางอนื่ นอกจากทรี่ ะบุไว เชน สมี าหรือ สงั การี เปลยี่ นเรยี ก สงั ฆการี ในรชั กาล

อาวาสที่อปุ สมบท อุปชฌายะ กรรม- ท่ี ๔ ตอมาเม่ือตง้ั กระทรวงธรรมการใน

วาจาจารย จํานวนสงฆ พ.ศ. ๒๔๓๒ กรมธรรมการสงั ฆการเี ปน

สังคีติกถา ถอยคําที่กลาวถึงเรื่อง กรมหนึง่ ในสงั กัดของกระทรวงนั้น จน

สงั คายนา, แถลงความเรอื่ งสังคายนา ถึง พ.ศ. ๒๔๕๔ กรมสังฆการจี ึงแยก
สังคีติปริยาย บรรยายเร่ืองการ เปนกรมตางหากกันกับกรมธรรมการ

สงั คายนา, การเลาเรอ่ื งการสังคายนา ตอมาใน พ.ศ. ๒๔๗๖ กรมสงั ฆการถี ูก
สังฆกรรม งานของสงฆ, กรรมทส่ี งฆพงึ ยุบลงเปนกองสังกัดในกรมธรรมการ

ทํา, กจิ ท่พี งึ ทําโดยท่ปี ระชมุ สงฆ มี ๔ กระทรวงศึกษาธิการ ตอมาอกี ใน พ.ศ.
คอื ๑. อปโลกนกรรม กรรมท่ที าํ เพยี ง ๒๔๘๔ กรมธรรมการเปลี่ยนช่ือเปน

ดวยบอกกันในที่ประชุมสงฆ ไมตองต้ัง กรมการศาสนา และในคราวทายสุด

ญัตติและไมตองสวดอนุสาวนา เชน พ.ศ. ๒๕๑๕ กองสงั ฆการไี ดถูกยุบเลกิ
แจงการลงพรหมทัณฑแกภิกษุ ๒. ไป และมีกองศาสนูปถัมภข้ึนมาแทน
ญัตติกรรม กรรมท่ีทําเพียงต้ังญัตติไม ปจจุบันจึงไมมีสังฆการ;ี บางสมัยสงั ฆ-

ตองสวดอนุสาวนา เชน อุโบสถและ การีมีอํานาจหนาที่กวางขวาง มิใชเปน
ปวารณา ๓. ญัตตทิ ตุ ิยกรรม กรรมทีท่ าํ เพียงเจาพนักงานในราชพธิ ีเทานัน้ แต

ดวยตั้งญัตติแลวสวดอนุสาวนาหนหนึ่ง ทําหนาท่ีชําระอธิกรณพิจารณาโทษแก

เชน สมมติสมี า ใหผากฐิน ๔. ญัตต-ิ พระสงฆผูลวงละเมิดสิกขาบทประพฤติ
จตตุ ถกรรม กรรมทที่ าํ ดวยการตงั้ ญัตติ ผิดธรรมวนิ ยั ดวย
แลวสวดอนุสาวนา ๓ หน เชน สงั ฆคารวตา ดู คารวะ
สังฆคุณ คุณของพระสงฆ (หมายถึง
อปุ สมบท ใหปรวิ าส ใหมานัต

สังฆการี เจาหนาที่ผูทําการสงฆ, เจา สาวกสงฆ หรอื อริยสงฆ) มี ๙ คอื ๑.
พนักงานผูมีหนาที่เกี่ยวกับสงฆในงาน สปุ ฏปิ นฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ พระ

หลวง, เจาหนาทผ่ี เู ปนพนกั งานในการพธิ ี สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจาเปนผู
สงฆ มมี าแตโบราณสมัยอยธุ ยา สังกดั ปฏบิ ัติดี ๒. อชุ ุปฏิปนโฺ น เปนผูปฏิบตั ิ
ในกรมสังฆการี ซึ่งรวมอยูดวยกันกับ ตรง ๓. ายปฏปิ นโฺ น เปนผปู ฏบิ ตั ถิ กู

๔๕๒

สงั ฆเถระ ๔๕๓ สงั ฆภัต

ทาง ๔. สามจี ปิ ฏปิ นโฺ น เปนผปู ฏบิ ตั ิสม อาราธนาศลี รบั ศลี จบแลวตงั้ นโม ๓ จบ
ควร (ยททิ ํ จตตฺ าริ ปรุ สิ ยคุ านิ อฏ ปรุ สิ -
ปคุ คฺ ลา ไดแก คบู ุรษุ ๔ ตัวบุคคล ๘ กลาวคําถวายเสร็จแลวประเคนของ
เอส ภควโต สาวกสงโฺ ฆ พระสงฆสาวก
ของพระผมู พี ระภาคน)้ี ๕. อาหเุ นยโฺ ย และเมื่อพระสงฆอนุโมทนา พงึ กรวดนํ้า

เปนผคู วรแกของคํานับ คือควรรับของ รับพร เปนเสร็จพธิ ;ี คําถวายสงั ฆทาน
ทเี่ ขานํามาถวาย ๖. ปาหุเนยฺโย เปนผู วาดงั นี้: “อมิ านิ มยํ ภนฺเต, ภตฺตานิ,
ควรแกการตอนรบั ๗. ทกขฺ ิเณยโฺ ย เปน สปรวิ ารานิ, ภิกขฺ สุ งฺฆสสฺ , โอโณชยาม,
สาธุ โน ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ, อิมานิ,
ผูควรแกทักษิณาคือควรแกของทําบุญ ภตฺตานิ, สปริวารานิ, ปฏิคฺคณฺหาตุ,
๘. อ ชฺ ลกี รณโี ย เปนผคู วรแกการกราบ อมฺหาก,ํ ทีฆรตฺต,ํ หิตาย, สุขาย” แปล
ไหว ๙. อนุตฺตรํ ปุ ฺ กเฺ ขตฺตํ โลกสฺส วา: “ขาแตพระสงฆผูเจรญิ ขาพเจาทั้ง
หลายขอนอมถวายภัตตาหาร กับทั้ง

เปนนาบุญอันยอดเย่ียมของโลก คือ บริวารเหลาน้ีแกพระภกิ ษุสงฆ ขอพระ
เปนแหลงปลูกเพาะและเผยแพรความดี ภิกษุสงฆจงรับภัตตาหาร กับทั้งบริวาร

ท่ียอดเยี่ยมของโลก เหลานี้ของขาพเจาทั้งหลาย เพ่ือ

สังฆเถระ ภิกษุผูเปนพระเถระในสงฆ ประโยชน เพื่อความสุข แกขาพเจาทง้ั
คือ เปนผูใหญเปนประธานในสงฆ, หลาย สน้ิ กาลนานเทอญ”

ภิกษุผูมีพรรษามากกวาภิกษุอ่ืนใน อนง่ึ ถาเปนสังฆทานประเภทอทุ ิศ

ชุมนุมน้ันทง้ั หมด ผตู าย เรยี กวา มตกภตั พงึ เปลย่ี นแปลง

สงั ฆทาน ทานเพอ่ื สงฆ, การถวายแกสงฆ คาํ ถวายทพี่ มิ พตวั เอนไวคอื ภตตฺ านิ เปน
คือ ถวายเปนกลางๆ ไมจาํ เพาะเจาะจง มตกภตตฺ านิ, อมฺหากํ เปน อมหฺ าก เฺ จว
ภกิ ษุรปู ใดรูปหนึ่ง เชน จะทําพิธถี วาย มาตาปตอุ าทีน จฺ าตกานํ กาลกตานํ;
ของท่ีมีจาํ นวนจาํ กัดพึงแจงแกทางวดั ให ภตั ตาหาร เปน มตกภตั ตาหาร, แก
จดั พระไปรบั ตามจาํ นวนทีต่ องการ หัว ขาพเจาทง้ั หลาย เปน แกขาพเจาทงั้ หลาย
หนาสงฆจัดภกิ ษใุ ดไปพงึ ทาํ ใจวา ทาน ดวย แกญาติของขาพเจาทั้งหลาย มี
มารับในนามของสงฆหรือ เปนผูแทน มารดาบดิ าเปนตนผลู วงลบั ไปแลวดวย”
ของสงฆทั้งหมด ไมพึงเพงเล็งวาเปน สงั ฆนวกะ ภิกษผุ ใู หมในสงฆ คือบวช

บุคคลใด คิดต้ังใจแตวาจะถวายอุทิศ ภายหลงั ภกิ ษทุ ั้งหมดในชมุ นุมสงฆนัน้
แกสงฆ; ในพิธีพงึ จดุ ธูปเทียนบชู าพระ สังฆภัต อาหารถวายสงฆ หมายถึง

๔๕๓

สงั ฆเภท ๔๕๔ สงั ฆาทิเสส

อาหารทเ่ี จาของนาํ มา หรอื สงมาถวายสงฆ ประชุมมีจํานวนครบองคเปนสงฆ ได

ในอารามพอแจกทว่ั กนั ; เทยี บ อทุ เทสภัต นําฉันทะของผูควรแกฉันทะมาแลว
สังฆเภท ความแตกแหงสงฆ, การทาํ ให และผูอยพู รอมหนากันนน้ั ไมคดั คาน; ดู
สงฆแตกจากกนั (ขอ ๕ ในอนันตริย- สัมมุขาวินัย
กรรม ๕), กําหนดดวยไมทําอุโบสถ สงั ฆสามคั คี ความพรอมเพรยี งแหงสงฆ;
ปวารณา และสงั ฆกรรมดวยกัน; เทยี บ ดู สามคั คี
สงั ฆราช,ี ดู สามคั คี สังฆอุโบสถ อโุ บสถของสงฆ คอื การทาํ
สังฆเภทขนั ธกะ ชือ่ ขันธกะที่ ๗ แหง อโุ บสถของสงฆทคี่ รบองคกาํ หนด คอื มี

จุลวรรคในพระวินัยปฎก วาดวยเร่ือง ภกิ ษตุ ง้ั แต ๔ รปู ขน้ึ ไป สวดปาตโิ มกข

พระเทวทัตทําลายสงฆ และเรื่องควร ไดตามปกติ (ถามภี กิ ษอุ ยู ๒–๓ รปู
ตองทาํ คณอโุ บสถ คอื อุโบสถของคณะ
ทราบเก่ียวกบั สงั ฆเภท สงั ฆสามัคคี ซ่งึ เปนปารสิ ุทธิอโุ บสถ คอื อโุ บสถที่ทํา
สังฆมณฑล หมพู ระ, วงการพระ
สังฆมิตตา พระราชบุตรีของพระเจา โดยบอกความบริสุทธิ์ของกันและกัน
ถามภี กิ ษุรปู เดยี ว ตองทําบุคคลอุโบสถ
อโศกมหาราช ผนวชเปนภกิ ษุณี และไป

ประดิษฐานภิกษุณีสงฆท่ีลังกาทวีป คอื อโุ บสถท่ที ําโดยการอธิษฐานกาํ หนด

พรอมท้ังนํากิ่งพระศรีมหาโพธิ์ไปถวาย ใจวาวนั น้นั เปนวนั อุโบสถ); ดู อุโบสถ
แกพระเจาเทวานัมปยติสสะดวย; ดู ตาม สงั ฆาฏิ ผาทาบ, ผาคลุมกนั หนาวท่พี ระ
ลติ ติ ใชทาบบนจวี ร เปนผาผืนหนง่ึ ในสามผืน
สังฆรัตนะ, สังฆรัตน รัตนะคือสงฆ, ท่ีเรียกวา ไตรจีวร
พระสงฆอนั เปนอยางหนงึ่ ในรตั นะ ๓ ท่ี สงั ฆาทิเสส ชื่อหมวดอาบัตหิ นกั รองจาก
เรยี กวาพระรตั นตรยั ; ดู รตั นตรัย
ปาราชิก ตองอยกู รรมจงึ พนได คอื เปน

สังฆราชี ความราวรานแหงสงฆ คอื จะ ครกุ าบตั ิ (อาบตั หิ นกั ) แตยงั เปนสเตกจิ ฉา

แตกแยกกัน แตไมถงึ กบั แยกทาํ อโุ บสถ (แกไขหรือเยียวยาได); ตามศัพท
สงั ฆาทิเสส แปลวา “หมวดอาบัติอันจาํ
ปวารณาและสงั ฆกรรมตางหากกนั ; เทยี บ
สังฆเภท, ดู สามคั คี ปรารถนาสงฆในกรรมเบ้ืองตนและ
สังฆสัมมุขตา ความเปนตอหนาสงฆ
กรรมที่เหลือ”, หมายความวา วธิ กี ารที่

หมายความวา การระงับอธิกรณน้ัน จะออกจากอาบัตนิ ้ี ตองอาศยั สงฆ ตั้ง

กระทําในท่พี รอมหนาสงฆ ซ่ึงภิกษุผูเขา แตตนไปจนตลอด กลาวคือเริ่มตนจะ

๔๕๔

สังฆาทิเสสกัณฑ ๔๕๕ สงั โยชน

อยปู รวิ าส กต็ องขอปรวิ าสจากสงฆ ตอ เชนในขอความวา (วินย.อ.๓/๓๙๔) “ถา

จากน้ัน จะประพฤติมานัตก็ตองอาศัย ภิกษุถือเอาทัพสัมภาระทั้งหลาย มี
สงฆเปนผูให ถามีมูลายปฏิกัสสนาก็ กลอนเปนตน จากสังฆกิ าวาสนน้ั นาํ ไป

ตองสําเรจ็ ดวยสงฆอกี และทายท่สี ดุ ก็ ใชในสงั ฆิกาวาสอ่นื ก็เปนอนั ใชไปดวย

ตองขออัพภานจากสงฆ; สิกขาบทที่ ดี แตเมอ่ื เอาไปใชในปคุ คลกิ าวาส จะ

ภกิ ษลุ ะเมดิ แลว จะตองอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ตองจายมูลคาให หรือตองทําใหกลับ
มี ๑๓ ขอ คาํ วา สงั ฆาทเิ สส ใชเปนช่อื คนื ดเี ปนปกติอยางเดิม, ถาภิกษุมีไถย-

เรยี กสิกขาบท ๑๓ ขอน้ีดวย จติ ถือเอาเตยี งและตง่ั เปนตน จากวหิ าร

สังฆาทิเสสกัณฑ ตอนอนั วาดวยอาบัติ ที่ถกู ทอดท้งิ แลว พึงปรับอาบัติตามมูล

สงั ฆาทเิ สส, ในพระวนิ ยั ปฎก ทานเรียก คาแหงส่ิงของ ในขณะที่ยกขึ้นไปน่ันที
วาเตรสกัณฑ (ตอนวาดวยสิกขาบท เดยี ว”, “สังฆิกวหิ าร” กเ็ รยี ก; พงึ สงั เกต

๑๓) อยใู นคมั ภรี มหาวิภงั คเลมแรก วา “สงั ฆกิ าวาส” กด็ ี “ปคุ คลกิ าวาส” กด็ ี
สงั ฆานุสติ ระลึกถึงคุณของพระสงฆ ดัง เปนคําทใี่ ชในช้นั อรรถกถา สวนในพระ

ที่พระพุทธเจาตรัสสอนในนันทิยสูตร ไตรปฎก ใชเปนขอความวา วหิ ารทเี่ ปน

(อง.ทสก.๒๔/๒๒๐/๓๖๔) ใหระลึกถึงพระ สังฆิกะ หรือวิหารของสงฆ และ

สงฆในฐานเปนกลั ยาณมติ ร (ขอ ๓ ใน เสนาสนะของสงฆ เปนตน
อนสุ ติ ๑๐) เขียนอยางรูปเดมิ ในภาษา สงั ยมะ ดู สญั ญมะ
บาลเี ปน สังฆานุสสต;ิ ดู สังฆคณุ สังยุตตนิกาย นิกายที่ ๓ แหงพระ
สังฆาวาส “อาวาสของสงฆ”, สวนของวดั สตุ ตันตปฎก; ดู ไตรปฎก (เลม ๑๕-๑๙)
ซ่ึงจัดไวเปนท่ีอยูอาศัยของพระสงฆ สงั โยชน กเิ ลสทีผ่ ูกมัดใจสตั ว, ธรรมท่ี

ประกอบดวยกฏุ ิ หอสวดมนต หอฉัน มัดสตั วไวกบั ทุกข มี ๑๐ อยาง คือ ก.

เปนตน ตางกับและเปนคูกันกับ โอรมั ภาคยิ สงั โยชน สังโยชนเบื้องต่าํ ๕
ไดแก ๑. สักกายทฏิ ฐิ ความเห็นวาเปน
พุทธาวาส, เปนคําที่บัญญัติข้ึนใชภาย ตวั ของตน ๒. วจิ กิ จิ ฉา ความลงั เลสงสัย
๓. สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีล
หลัง (มิไดมีมาแตเดิมในคัมภีร); ดู พรต ๔. กามราคะ ความติดใจในกาม
พทุ ธาวาส, เทียบสงั ฆกิ าวาส คุณ ๕. ปฏฆิ ะ ความกระทบกระทัง่ ใน
สงั ฆกิ าวาส ท่ีอยูท่ีเปนของสงฆ, เปนคาํ
ทางพระวนิ ัย ตรงขามกับ ปุคคลกิ าวาส

(ทอี่ ยทู เ่ี ปนของบคุ คล หรอื ทอ่ี ยสู วนตวั ) ใจ ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน สังโยชน

๔๕๕

สงั วร ๔๕๖ สงั เวคธรรม

เบอ้ื งสูง ๕ ไดแก ๖. รูปราคะ ความติด ความสํารวมที่เปนความบริสุทธิ์ หรือ
ใจในรูปธรรมอนั ประณตี ๗. อรูปราคะ เปนเคร่อื งทําใหบรสิ ทุ ธ์ิ หมายถงึ ศีลที่
ความติดใจในอรูปธรรม ๘. มานะ ประพฤติถกู ตอง เปนไปเพื่อความไมมี
ความถอื วาตวั เปนนัน่ เปนน่ี ๙. อทุ ธจั จะ วปิ ฏิสาร เปนตน ตามลาํ ดับจนถงึ พระ
ความฟงุ ซาน ๑๐. อวชิ ชา ความไมรจู รงิ ; นพิ พาน จดั เปน อธศิ ลี
พระโสดาบนั ละสงั โยชน ๓ ขอตนได, สงั วรรณนา พรรณนาดวยด,ี อธบิ ายความ
พระสกทิ าคามี ทาํ สงั โยชนขอ ๔ และ ๕ สังวรสุทธิ ความบริสุทธ์ิดวยสังวร,

ใหเบาบางลงดวย, พระอนาคามี ละ ความสํารวมที่เปนเคร่ืองทําใหบริสุทธ์ิ

สงั โยชน ๕ ขอตนไดหมด, พระอรหันต หมายถงึ อนิ ทรยี สังวร
ละสงั โยชนท้งั ๑๐ ขอ; ในพระอภธิ รรม สงั วฏั ฏกปั ดู กปั
ทานแสดงสังโยชนอีกหมวดหน่งึ คือ ๑. สงั วฏั ฏฐายกี ปั ดู กปั
กามราคะ ๒. ปฏิฆะ ๓. มานะ ๔. ทิฏฐิ สังวาส ธรรมเปนเคร่ืองอยูรวมกันของ
(ความเหน็ ผดิ ) ๕. วจิ กิ จิ ฉา ๖. สลี พั พต- สงฆ ไดแกการทําสังฆกรรมรวมกัน
ปรามาส ๗. ภวราคะ (ความติดใจใน สวดปาติโมกขรวมกนั มสี กิ ขาบทเสมอ
ภพ) ๘. อิสสา (ความริษยา) ๙. กนั เรยี กงายๆ วาทาํ อโุ บสถ สงั ฆกรรม
มจั ฉรยิ ะ (ความตระหน)ี่ ๑๐. อวชิ ชา รวมกนั คอื เปนพวกเดยี วกนั อยดู วย
สังวร ความสํารวม, การระวงั ปดก้ันบาป กันได มีฐานะและสิทธิเสมอกัน อยู
อกศุ ล มี ๕ อยาง คอื ๑. ปาติโมกข- ดวยกนั ได; ในภาษาไทย ใชหมายถงึ รวม
สังวร สํารวมในปาติโมกข (บางแหง ประเวณี ดวย
เรยี ก สลี สงั วร สาํ รวมในศีล) ๒. สติ- สังวาสนาสนา ใหฉิบหายจากสังวาส
สังวร สํารวมดวยสติ ๓. ญาณสังวร หมายถงึ การทําอกุ เขปนียกรรมยกเสีย
สาํ รวมดวยญาณ ๔. ขนั ตสิ งั วร สาํ รวม จากสังวาส คือทําใหหมดสิทธิท่ีจะอยู
ดวยขันติ ๕. วิริยสังวร สํารวมดวย รวมกับสงฆ
สงั เวคกถา ถอยคําอันใหเกิดความสังเวช
ความเพยี ร

สงั วรปธาน เพยี รระวัง คือ เพียรระวงั คอื เราเตือนสาํ นกึ ทาํ ใหคิดไดหรอื ไดคิด
บาปอกศุ ลธรรมทย่ี ังไมเกดิ มิใหเกิดขนึ้ สงั เวคธรรม ธรรมคอื ความสงั เวช ไดแก

(ขอ ๑ ในปธาน ๔) สังเวค คือความสงั เวชนน่ั เอง (ธรรม

สงั วรปาริสทุ ธิ ความบรสิ ทุ ธดิ์ วยสังวร, เปนคําสรอย เหมอื นในคําวา “ปญญา

๔๕๖

สงั เวควัตถุ ๔๕๗ สงั เวช

ธรรม” ก็คอื ปญญาน่ันเอง) ดู สงั เวช รปู กรยิ าของคาํ นามวา “สงั เวค” คอื “ส”ํ
สงั เวควตั ถุ เร่อื งทเี่ ราเตือนสํานกึ , เร่ืองที่ (พรงั่ , พรอม) + “เวค” (กาํ ลงั แรง,
นึกถึงหรือพิจารณาแลวทําใหเกิดความ ความเรว็ ) จงึ แปลวา แรงพลงุ , แรงเรง,
สังเวช คอื เราเตอื นสํานึกใหคดิ ได ใหละ แรงกระตนุ หรือพลังทป่ี ลุกเรา หมาย
เลกิ บาป ใหมีจติ ใจนอมมาทางกศุ ล เกดิ ถึง แรงกระตุนเราเตือนใจ ใหไดคิด
ความคดิ ไมประมาท และมีกําลังท่ีจะทํา หรอื สาํ นกึ ข้นึ มาได ใหคดิ ถงึ ธรรม หรือ
ความเพยี รปฏบิ ัติธรรมตอไป ตระหนักถงึ ความจริงความดีงาม อนั ทํา
ใหต่ืนหรือถอนตัวขึ้นมาจากความ
สงั เวควตั ถุ ๘ ไดแก ความเกิด- เพลิดเพลนิ ความหลงละเลงิ ปลอยตวั
ความแก-ความเจ็บ-ความตาย อบาย มวั เมา หรอื ความประมาท แลวหกั หนั
ทกุ ข ทกุ ขมีวฏั ฏะเปนมลู ในอดตี ทุกข ไปเรงเพียรทําการท่ีตระหนักรูวาจะพึง
มีวฏั ฏะเปนมลู ในอนาคต และ อาหาร- ทําดวยความไมประมาทตอไป
ปริเยฏฐมิ ูลกทกุ ข คือทุกขเนอ่ื งดวยการ
หากิน ในปจจบุ ัน (เชน ท.ี อ.๒/๔๐๙) ความสังเวช คือความปลกุ สํานึกตืน่
สังเวช ความสลดใจคดิ ได หรอื ใหไดคดิ , ตระหนักไดรูไดคิดนี้ มีคุณคาอยาง
ความสลดใจไดคิดหักหันจิตพลิกฟนให สําคัญที่ทาํ ใหหายมัวเมาละเลกิ ความลุม
เกิดมีกําลังพรั่งพรอมขึ้นมาท่ีจะไม หลงเพลิดเพลนิ กลบั ตัวได หันมาทํากิจ
ประมาทเรงทําการท่ีควรทําใหสําเร็จ, หนาท่ที าํ ส่งิ ทดี่ ีงามถูกตอง และต้งั อยใู น
ความรสู กึ เตอื นสาํ นึก ปลุกสํานกึ หรือ ความไมประมาท บางคนอาจประสบ
ทาํ ใหฉกุ คิด, ความรูสกึ กระตนุ ใจใหคดิ เหตุการณกระทบใจที่ทําใหสังเวชคิดได
ได ใหคํานึงธรรม ใหตระหนักถงึ ความ และกลับตัวหรือเปลี่ยนพฤติกรรม
จริงของชีวิต และเราเตือนใหไม ดําเนินชีวิตใหมที่ดีดวยตนเอง แตใน
ประมาท หรอื ใหกลับตวั ได การศกึ ษา ทานไมรอความบังเอญิ อยาง
น้ัน พระพุทธเจาและบัณฑิตผูหวังดี
“สังเวช” เปนศัพทธรรมคําหน่ึงทเ่ี ขา นิยมเลือกหรือสรางโอกาสท่ีจะกลาว
มาในภาษาไทยแลวในปจจุบันไดเพี้ยน ถอยคาํ บาง ใชสถานการณบางอยางบาง
ความหมายไปหางไกลแทบจะกลับตรง ที่จะทาํ ใหบุคคลนนั้ ๆ สังเวช หรือเกิด
ขาม กลายเปนความรูสกึ สลดหรือเศรา ความสังเวช คือสลดใจไดคิด หรือสํานึก
สลด แลวหงอยหรือหดหูหอเห่ยี วไปเสีย ตระหนักรคู ิดไดหายลุมหลงมัวเมา และ

ตามความหมายทีแ่ ท “สังเวช-” เปน ๔๕๗

สงั เวช ๔๕๘ สงั เวช

คิดที่จะทํากิจหนาที่เรงทําความดี ที่จะ ระลึกถึงธรรมของสันตชน...อยาใหธุลี
เปนอยอู ยางถูกตองสมควร พูดสั้นๆ วา กามพาเอาตัวทานไปเสีย ภิกษุมีความ
ทีจ่ ะปฏิบัติธรรม โดยไมประมาทตอไป เพยี ร มีสติ ยอมสลดั ธุลกี เิ ลสที่แปด
เปอนใหหลุดไป เหมือนนกตัวเปอนฝนุ
คัมภีรแหงหน่ึงอธิบายไวสัน้ ๆ มีใจ สลัดธุลีที่ติดเปอนตัวใหหลุดได” คํา
ความวา การเกิดมานะคือลาํ พองใจวา เตือนของเทวดาน้ีไดทําใหภิกษุน้ัน
ขาน้ีอายุยนื จะอยูอีกนาน ขาสขุ สบาย สังเวช คือสํานึกได (ส.ํ ส.๑๕/๗๖๑/๒๙๐)
แลว ฯลฯ อยางน้เี รียกวาเมาชีวติ เมอ่ื
เมาก็ประมาท ทานจึงทําใหเขาเกดิ ความ คราวหนงึ่ ที่วดั บพุ พาราม ภกิ ษรุ นุ
สังเวช คือไดสาํ นกึ คิดได ซึง่ จะทําให นวกะมากรูปน่ังสนทนากันที่ชั้นบนของ
เขาเกิดอุตสาหะในสัทธรรม เพราะ มคิ ารมาตปุ ราสาท เอาเรื่องไรสาระมาคยุ
ความสังเวชเปนเหตุแหงอตุ สาหะ กัน พระพทุ ธเจามีพระประสงคใหภกิ ษุ
เหลานั้นสังเวชแลวจะทรงแสดงธรรมสง่ั
เร่ืองราวตัวอยางในคัมภีรมีมากมาย สอน จึงตรสั ใหพระมหาโมคคัลลานะไป
เชน เมื่อพระมหาโมคคัลลานะบวชได ดู พระมหาโมคคัลลานะไดใชนิ้วหวั แม
๗ วัน บําเพญ็ สมณธรรมอยู มวั งวง เทาเขย่ี ยอดปราสาท ทําใหปราสาทไหว
เหงาหาวนอน พระพุทธเจาไดทาํ ใหทาน โอนเอน ภิกษุเหลาน้ันหวาดกลัว ได
สังเวช โดยตรสั วา “แนะโมคคลั ลานะ สงั เวช และกลวั ปราสาทจะพัง พากัน
อยาใหความพยายามของเธอสูญเปลา หนีลงมา ออกจากปราสาท ไปยนื ใกล
ไปเสีย” ดังน้ีเปนตน ทําใหทานสังเวช พระพุทธเจา เมอื่ โอกาสเหมาะ พระองค
แลวแกความงวงเหงาและบําเพ็ญเพียร จึงตรัสสอนธรรมแกพวกเธอซึ่งมีสภาพ
จนไดลุมรรคผลจนจบสน้ิ (อป.อ.๑/๒๘๗) จติ พรอมแลวท่จี ะรับ (ขุ.เถร.๒/๕๔๙)

อีกตัวอยางหนึ่งวา ภิกษุรูปหน่ึงไป อีกคราวหนึ่ง ที่วัดบุพพารามน่ัน
อยูในไพรสณฑ คราวหนึ่ง ขณะพัก แหละ พระอินทรมาเฝาพระพุทธเจา
กลางวนั เธอคดิ อกศุ ลในเร่ืองของชีวิต และทูลถามปญหาเกี่ยวกับนิพพาน
ชาวบาน เทวดาทีน่ ัน่ หวงั ดี จะใหเธอ ครั้นไดฟงคาํ วสิ ชั นาแลว ทรงปราโมทย
สังเวช จึงเขามาหาและกลาวกะเธอวา ดีพระทัย และทูลลากลับไป พระมหา
“ทานปรารถนาวิเวก จึงเขาปา แตใจของ โมคคัลลานะคิดวาที่พระอินทรฟงเร่ือง
ทานซานแสไปขางนอก...ทานมีสติ กจ็ ะ ลึกซงึ้ ขนาดน้นั กลับไปนี้ เขาใจจรงิ หรอื
ละความเบ่ือหนายได ขาพเจาขอใหทาน
๔๕๘

สงั เวช ๔๕๙ สังเวช

ไม จึงตามไปสอบถาม พระอนิ ทรน้ัน ของ “ธรรมสงั เวช” ไวดวย
กาํ ลงั เพลนิ กบั ทพิ ยสมบตั ิ กอ็ ธิบายพรา ธรรมสังเวช คือความสังเวชโดย
สับสน พระมหาโมคคัลลานะจะใหพระ
อินทรสังเวช จึงใชน้ิวหัวแมเทาเขี่ยให คํานึงธรรม, ความปลงใจดวยปญญารู
เวชยันตปราสาทหวั่นไหว ทําใหพระ เทาทันความจริงแหงธรรมดา พรอม
อนิ ทรตกใจ ไดสังเวช หายประมาทแลว ดวยแรงใจที่จะพิจารณาปฏิบัติจัดการ
มีโยนิโสมนสิการ จึงตอบช้ีแจงเรอ่ื งนนั้ เรอ่ื งน้ันใหเปนไปตามธรรม
ไดเหมือนอยางท่ีพระพุทธเจาไดทรง
แสดงแกพระองค (ข.ุ เถร.๒/๕๕๐) ธรรมสังเวชนี้ ในพระไตรปฎก พบ
แหงเดยี ว นอกนน้ั มาในคมั ภีรชน้ั อรรถ
ความหมายของ “สังเวช” ทอ่ี ธบิ าย กถา-ฏกี า และมีคมั ภีร ๕ แหง บอก
ยากและมักเขาใจกนั ผิด นาจะชดั เจนขนึ้ ความหมายของธรรมสังเวชไวตรงตาม
ดวยเร่ืองราวทน่ี าํ มาเลาเปนตัวอยางน้ี กันวา “ธมฺมสภาวจินฺตาวเสน ปวตฺต
สโหตตฺ ปปฺ าณ ธมมฺ สเวโค” (เชน วนิ ย.ฏ.ี
สังเวชน้ันโดยท่ัวไปเปนความสังเวช ๑/๔๘) แปลพอเขาใจวา “ธรรมสงั เวช คอื
โดยคํานึงธรรมอยูแลว แตไมเสมอไป ความตระหนกั รโู ดยมีแรงเราใจ (ญาณ
สังเวชที่เปนแรงพลุงข้ึนของความกลัว พรอมดวยโอตตัปปะ) ซ่ึงเปนไปโดย
เปนความต่ืนภยั ทาํ ใหรบี หนีไปก็มี เปน คาํ นึงถึงสภาวะแหงธรรม”
แรงพลงุ ของความโกรธกม็ ี เปนแรงพลงุ
ของปติกม็ ี ดวยเหตนุ ี้ บางครัง้ จงึ มีการ ความหมายนีจ้ ะไมอธิบายมาก แตจะ
อธิบายกํากับวา ท่ีทานผูโนนบอกวา ใหเขาใจดวยการไดฟงเรอื่ งราวตวั อยาง
“สงั เวช” นนั้ หมายถึง “ธรรมสงั เวช”
เชน เม่ืออรรถกถาแหงหนึ่งบอกวาพระ ในพระไตรปฎก มคี ําวาสังเวชอยูท่วั
อานนทถึงความสังเวช (ที.อ.๑/๙) ก็มี ไปราว ๑๕๐ แหง แตมี “ธรรมสังเวช”
คัมภีรฏีกาอธิบายวา ที่อรรถกถาวา แหงเดียว (ในเถรีคาถา, ขุ.เถรี.๒๖/๔๖๓/๔๖๙)
สังเวชตรงนัน้ เปนธรรมสงั เวช (ท.ี อภินวฏี. ตามเรอ่ื งวา สตรีผหู นึง่ หลงั จากแตงงาน
๑/๘๙) ดังน้ัน บางที “สังเวช” จงึ มคี าํ วา มบี ตุ รคนหนึง่ ชือ่ วา “วฑั ฒ” คนเรยี กเธอ
“ธรรม” กํากบั นาํ หนา เปน “ธรรมสงั เวช” วา “วฑั ฒมารดา” (คณุ แมของวัฑฒ) เธอ
เพ่ือใหแนชัดลงไปและหนักแนนยิ่งขึ้น มีศรทั ธา ไดบวชเปนภิกษุณี ตอมา บตุ ร
ในที่นี้จะแสดงความหมายท่ีหนักแนน นนั้ กไ็ ดออกบวชเปนภิกษุ อยูมาวนั หนึ่ง
พระวัฑฒมาหาพระเถรีผูเปนมารดา
โดยมารปู เดียว พระเถรีไดพูดตกั เตอื น

๔๕๙

สงั เวช ๔๖๐ สงั เวช

เธอไมใหปลอยตัวมัวอยกู บั ความผูกพนั จะเอาอะไรกบั สังขารไดจากท่ีไหน” (ที.ม.
ทพ่ี าใหเปนภาคีของความทกุ ข ขอใหตัง้ ๑๐/๑๕๔/๑๘๘) ความเดิมในพระไตรปฎก
ใจบําเพ็ญมรรคใหไดปญญาเห็นธรรม บาลตี อนนีม้ ีเทานี้ แตพระไตรปฎกแปล
ใหสิ้นทุกข พระวฑั ฒจงึ ถามวา แมไมมี ภาษาไทยบางฉบับแปลแบบขยายความ
ความรกั ผกู พนั ในตวั ลูกแลวหรอื พระ เติมคาํ วาธรรมสังเวชลงไปวา “สวนภกิ ษุ
เถรีตอบวาตัวทานไมมีความผูกพันใน เหลาใด ปราศจากราคะแลว ภกิ ษุเหลา
สังขารท้ังหลายเลยแมแตนอย ทานสนิ้ นั้นมีสติสัมปชัญญะ อดกล้ันดวย
อาสวะ จบพระพุทธศาสนาแลว พระ ธรรมสังเวชวา สังขารท้ังหลายไม
วฑั ฒไดฟงอยางน้ัน ก็กลาววา แมหวงั ดี เที่ยง…” (พระไตรปฎกแปลไทยบาง
เอาปฏักใหญแทงตัวทาน คําสอนที่แม ฉบับแปลเทาความในพระไตรปฎกบาลี
ตักเตอื นนั้น ชวยใหทานถงึ ธรรมสังเวช ไมเติมคาํ ขยายความอยางน้ีลงไป)
ทจี่ ะลถุ ึงเกษมธรรม แลวพากเพียรเดด็
เด่ียวจนไดสัมผัสอดุ มสันติ เร่ืองดําเนนิ ตอไปวา เวลานั้น สภุ ัทท
วุฒบรรพชิตซ่ึงนั่งอยูท่ีนั่นดวย ไดพูด
ในอรรถกถามีคําวาธรรมสงั เวชมาใน หามภิกษุทั้งหลายไมใหรองไหเศราโศก
หลายเรื่อง วาเฉพาะกรณีเก่ียวกับเหตุ บอกวาพวกเราพนไปไดดีแลว เพราะวา
การณสําคญั ท่ีรจู ักกันดี เชน หลังจาก พระพุทธเจาทําใหพวกเราเดือดรอน
พระพุทธเจาเสด็จดับขันธปรินิพพาน โดยตรัสวาการน้ีควร การน้ีไมควร
แลว ๗ วัน ขณะเตรยี มการจะถวายพระ คราวนล้ี ะ อนั ใดอยากทํา พวกเรากจ็ ะ
เพลิงพระพุทธสรีระ พระมหากัสสปะ ทาํ อนั ใดไมอยากทาํ พวกเรากจ็ ะไมทํา
พรอมดวยภกิ ษุสงฆหมูใหญ กําลังเดนิ
ทางจากปาวามายงั กสุ ินารา ระหวางทาง คราวนั้น พระมหากสั สปะไดยนิ คาํ
ทานไดทราบขาวพุทธปรินิพพานจาก ของพระสุภัททะแลวทานยังไมพูดอะไร
อาชีวกที่เดินทางสวนมา เม่ือไดทราบ แตหันไปปลอบโยนเหลาพระภิกษุให
ขาวอยางนั้น บรรดาภิกษุท่ียังไมปราศ มองเห็นความจริง ของธรรมดาที่มีการ
ราคะไดพากันรํ่าไหครํ่าครวญไปตางๆ เกิดดับจากพลดั พราก ซงึ่ ไมเปนไปตาม
“สวนภกิ ษทุ ปี่ ราศราคะแลว (ไดเแกพระ ใจปรารถนา แลวนาํ หมูคณะเดนิ ทางสู
อรหันตและพระอนาคามี) มีสติ เมอื งกสุ นิ าราตอไป เวลาผานไป หลัง
สมั ปชัญญะ วางใจไดวา สังขารไมเทีย่ ง งานถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแลว
เมอื่ ถึงโอกาส พระมหากสั สปะจึงไดเลา

๔๖๐

สงั เวชนียสถาน ๔๖๑ สังเวชนยี สถาน

เร่อื งราวท้งั หมดนี้แกภิกษทุ ัง้ หลาย และ ตวั ทานเปนเสขะ ยงั มกี ิจของตัวทตี่ องทาํ

ยกคําพูดของสุภัททวุฒบรรพชิตเปนขอ ซึ่งเปนเหตุใหไมสมควรเขารวมประชุม

ปรารภในการชวนใหสังคายนาพระ ทานจงอยาไดประมาท” คําเตือนและ

ธรรมวินัย (วินย.๗/๖๑๔/๓๘๐) ความสังเวชนี้ชวยเรงเราใหพระอานนท

ตามความในพระไตรปฎกบาลีท่ีเลา เพียรบําเพ็ญธรรมจนไดเปนพระ

เหตกุ ารณท้ังหมดนี้ ไมมีคําวา “ธรรม อรหันตทันในราตรีสุดทายกอนเร่ิมการ

สังเวช” หรอื แมแต “สังเวช” อยดู วยเลย สังคายนา (ที่มา-ทอี่ างองิ บอกแลวขางตน)

และในตอนนี้เองที่อรรถกถาเลาขยาย ความหมายของ “สังเวช” และ “ธรรม

ความวา พระมหากัสสปะไดฟงคําของ สงั เวช” คงชัดข้นึ ดวยการเห็นตัวอยางใน
สุ ภั ท ท วุ ฒ บ ร ร พ ชิ ต แ ล ว ก็ เ กิ ด เร่ืองราวทเ่ี ลามาน;้ี ดู ธรรมสงั เวช
ธรรมสังเวชวา พระผูมีพระภาคเจา สังเวชนยี สถาน สถานเปนทตี่ ง้ั แหงความ

ปรินิพพานแคสัปดาหเดียว ก็มีเสี้ยน สังเวช, สถานอันเปนท่ีเจรญิ สังเวคธรรม;
หนามใหญเกิดขึ้นแลว ถาคนบาปราย ช่ือเตม็ ตามบาลพี ทุ ธพจนวา “ทสสฺ นยี านิ
ไดพวก ก็สามารถทําใหพระศาสนา สเวชนยี านิ านาน”ิ (ที.ม.๑๐/๑๓๑/๑๖๓; องฺ.

เสอ่ื มถอยได คดิ ดังน้ีแลวทานก็ตงั้ ใจวา จตกุ ฺก.๒๑/๑๑๘/๑๖๑) แปลวา สถานอนั เปน

จะทาํ สงั คายนา (ท.ี อ.๒/๒๐๙) ทัศนีย ทเี่ จรญิ สังเวช คือ บญุ สถานอัน

เร่ืองดําเนนิ ตอมาอีก กอนสงั คายนา ควรไปดูไปชม เพ่ือเตือนใจใหนึกถึง

ครัง้ แรกน้ัน พระอานนทเปนพระเถระรปู ความจริงแหงธรรมดาของส่ิงทั้งหลาย

เดยี วทย่ี ังไมเปนพระอรหนั ต ทามกลาง อันไมพึงประมาท และพาใหนอมใจ

พระอรหันตผูไดรับเลือกใหเขาประชุม ระลึกถงึ พระพุทธคุณ ทีท่ รงมพี ระมหา

ครั้นเตรียมการประชมุ เสร็จแลว ใกลถึง กรุณาส่ังสอนใหเรารูเขาใจเขาถึงความ

วันเร่ิมสังฆกรรม มีพระบางรูปพูด จริงของธรรมนั้นได โดยที่เราจะตั้งใจ

เปรยๆ วา “ในภิกษุสงฆนี้ ยงั มีภกิ ษรุ ปู ศึกษาใหรูเขาใจและปฏิบัติใหเจริญใน

หน่ึงพากลน่ิ คาวเนือ้ โชยไป” พระอานนท บุญในกุศลจนเขาถึงธรรมท่ีไดทรงสอน

ไดยนิ กร็ วู าเขาหมายถึงตวั จงึ เกดิ ความ ไว; สังเวชนียสถาน ๔ คอื ๑. ทพี่ ระ
สงั เวช (ทีฏ่ ีกาอธบิ ายวาเปนธรรมสังเวช) พทุ ธเจาประสตู ิ คอื ลมุ พินวี นั ปจจบุ ัน
และพระอีกบางรปู ก็พูดแกทานวา “ทาน เรียก ลุมพนิ ี (Lumbini) หรอื รมุ มนิ เด
อานนท พรุงนี้แลวนะจะมีการประชุม (Rummindei) ๒. ท่ีพระพุทธเจาตรัสรู คอื

๔๖๑

สงั เวย ๔๖๒ สังหารมิ ทรพั ย

ควงโพธิ์ ท่ีตําบลพุทธคยา (Buddha อธบิ ายหลกั ปฏจิ จสมปุ บาทนน้ั , อาการ
Gaya หรอื Bodh Gaya) ๓. ทพี่ ระพุทธ หมุนวนของสังสารจักร หรือภวจักรนี้
เจาแสดงปฐมเทศนา คอื ปาอสิ ปิ ตน ทานอธิบายตามหลักไตรวัฏฏ; ดู ไตร-
มฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี วัฏฏ, ปฏจิ จสมปุ บาท, สังสาระ
ปจจบุ ันเรียก สารนาถ (Sarnath) ๔. ที่ สังสารวัฏ วังวนแหงการเวียนเกิดเวียน

พระพุทธเจาปรินิพพาน คือ สาล- ตาย, การเวียนวายตายเกิดอยูในโลก
วโนทยาน เมืองกสุ นิ ารา หรอื กสุ ินคร หรือในภพตางๆ, โดยใจความ กไ็ ดแก
(Kusinagara) บดั น้ีเรียก Kasia; ดู สังเวช “สงั สาระ” นัน่ เอง; สงั สารวฏั ฏ หรอื
สังเวย บวงสรวง, เซนสรวง (ใชแกผีและ สงสารวฏั กเ็ ขียน; ดู สงั สาระ, ไตรวฏั ฏ,
เทวดา) ปฏจิ จสมปุ บาท
สงั สาระ, สงสาร การเทย่ี วเรรอนไปใน สงั สารสุทธิ ความบรสิ ทุ ธดิ์ วยการเวียน

ภพ คือภาวะแหงชีวติ ท่ีถูกพัดพาให วายตายเกิด คอื ลัทธิของมักขลโิ คสาล

ประสบสุขทุกข ข้ึนลง เปนไปตางๆ ซ่ึงถือวา สัตวท้ังหลายทองเท่ียวเวียน

ตามกระแสแหงอวิชชา ตัณหา และ วายตายเกดิ ไปเรื่อยๆ กจ็ ะคอยบรสิ ทุ ธิ์

อุปาทาน, การวายวนอยใู นกระแสแหง หลุดพนจากทุกขไปเอง การปฏิบัติ

กิเลส กรรม และวบิ าก, การเวยี นวาย ธรรมไรประโยชน ไมอาจชวยอะไรได
ตายเกิดอยใู นโลกหรือในภพตางๆ, วา สังสุทธคหณี มีครรภท่ีถือปฏิสนธิ

โดยสภาวะ ก็คือ ความสบื ทอดตอเนือ่ ง สะอาดหมดจดดี

ไปแหงขันธทั้งหลายน่นั เอง; นิยมพดู วา สงั เสทชะ สตั วเกดิ ในของชนื้ แฉะโสโครก
สงั สารวฏั ; ดู ปฏจิ จสมปุ บาท
เชน หมหู นอน (ขอ ๓ ในโยนิ ๔)

สงั สารจักร วงลอแหงสงั สาระ, วงลอ สังหาร การทําลาย, ฆา, ลางผลาญชีวิต
แหงการเที่ยวเรรอนเวียนวายตายเกิด, สงั หารมิ ะ ส่งิ ทเ่ี คลือ่ นทไ่ี ด คอื นําไปได

อาการหมุนวนตอเน่ืองไปแหงภาวะของ เชน สัตวและส่ิงของที่ตง้ั อยูลอยๆ ไม

ชีวิตท่ีเปนไปตามเหตุปจจัย ในหลัก ติดท่ี ไดแก เงิน ทอง เปนตน; เทยี บ
ปฏจิ จสมปุ บาท; “สงั สารจกั ร” เปนคําใน อสงั หารมิ ะ
ชั้นอรรถกถาลงมา เชนเดยี วกบั คาํ วา ภว- สังหาริมทรัพย ทรพั ยเคล่ือนท่ไี ด เชน

จกั ร ปจจยาการจกั ร ตลอดจนปฏจิ จ- สตั วเล้ียง เตยี ง ตั่ง ถวย ชาม เปนตน;
สมุปบาทจักร ซ่ึงทานสรรมาใชในการ คูกบั อสังหารมิ ทรพั ย

๔๖๒

สัจกิริยา ๔๖๓ สัจจาธิฏฐาน

สัจกิริยา “การกระทําสัจจะ”, การใช ปลา แมว โตะ เกาอ้ี ๒. ปรมตั ถสจั จะ

สจั จะเปนอานุภาพ, การยืนยันเอาสัจจะ จริงโดยปรมัตถ เชน รปู เวทนา สญั ญา
คอื ความจริงใจ คําสตั ย หรอื ภาวะท่ีเปน สงั ขาร วิญญาณ 2. ความจรงิ คอื จรงิ
จรงิ ของตนเอง เปนกําลังอํานาจท่ีจะคมุ ใจ ไดแก ซ่ือสตั ย จรงิ วาจา ไดแก พดู
ครองรักษาหรือใหเกิดผลอยางใดอยาง จริง และ จรงิ การ ไดแก ทําจริง (ขอ ๑

หนง่ึ เชนท่ีพระองคลุ ิมาลกลาวแกหญิง ในฆราวาสธรรม ๔, ขอ ๒ ในอธษิ ฐาน

มีครรภแกวา “ดูกรนองหญิง ตั้งแต ธรรม ๔, ขอ ๔ ในเบญจธรรม, ขอ ๗

อาตมาเกิดแลวในอรยิ ชาติ มไิ ดรสู ึกเลย ในบารมี ๑๐)
วาจะจงใจปลงสัตวเสียจากชีวิต ดวย สัจจญาณ ปรีชากําหนดรูความจริง,

สจั วาจาน้ี ขอความสวสั ดจี งมแี กทาน ขอ ความหยง่ั รสู ัจจะ คือ รอู รยิ สัจจ ๔ แต

ความสวัสดีจงมีแกครรภของทานเถิด” ละอยางตามภาวะทีเ่ ปนจรงิ วาน้ีทุกข น้ี

แลวหญิงน้ันไดคลอดบุตรงายดายและ ทุกขสมุทยั เปนตน (ขอ ๑ ในญาณ ๓)
ปลอดภยั (คาํ บาลีของขอความน้ี ไดนาํ สจั จพันธ, สัจจพันธครี ี เขาสจั จพันธ

มาสวดกันในชื่อวา อังคุลิมาลปริตร) ทป่ี ระทับรอยพระพุทธบาท รอยที่ ๒; ดู
และเรอ่ื งในวัฏฏกชาดกที่วา ลกู นกคมุ ปณุ ณสุนาปรนั ตะ
ออน ถกู ไฟปาลอมใกลรังเขามา ตวั เอง สจั ธรรม, สัจจธรรม ธรรมที่จรงิ แท,

ยังบินไมได พอนกแมนกก็บินหนีไป หลกั สจั จะ เชน ในคาํ วา “อรยิ สจั จ-

แลว จงึ ทําสจั กิรยิ า อางวาจาสตั ยของ ธรรมทง้ั ส่ี”
ตนเองเปนอานุภาพ ทําใหไฟปาไมลุก สจั จาธฏิ ฐาน 1. ทมี่ นั่ คอื สจั จะ, ธรรมที่

ลามเขามาในทน่ี น้ั (เปนทมี่ าของวฏั ฏก- ควรตงั้ ไวในใจใหเปนฐานทมี่ น่ั คอื สจั จะ,

ปรติ รทส่ี วดกนั ในปจจบุ นั ), ในภาษาบาลี ผูมีสัจจะเปนฐานท่ีม่ัน (ขอ ๒ ใน
สัจกิริยานี้เปนคําหลัก บางแหงใช อธิฏฐาน ๔); ดู อธษิ ฐานธรรม 2. การ

สัจจาธิฏฐานเปนคําอธิบายบาง แต ตั้งความจริงเปนหลักอาง, ความต้ังใจ

ในภาษาไทยมักใชคําวาสัตยาธิษฐาน มั่นแนวใหเกิดผลอยางใดอยางหน่ึงโดย

ซ่ึงเปนรปู สันสกฤตของ สัจจาธฏิ ฐาน; ดู อางเอาสัจจะของตนเปนกําลังอํานาจ
สัจจาธฏิ ฐาน, สัตยาธษิ ฐาน
สจั จะ 1. ความจรงิ มี ๒ คอื ๑. สมมต-ิ ตรงกบั คาํ วา สจั กริ ยิ า แตในภาษาไทย
สจั จะ จรงิ โดยสมมติ เชน คน พอคา มักใชวาสัตยาธิษฐาน; ดู สัจกิริยา,
สัตยาธิษฐาน

๔๖๓

สัจจานโุ ลมญาณ ๔๖๔ สัญญา

สจั จานโุ ลมญาณ ดู สจั จานโุ ลมกิ ญาณ และพระโมคคลั ลานะเคยบวชอยใู นสาํ นกั
สัจจานุโลมิกญาณ ปรชี าเปนไปโดยสม น้ี ภายหลงั เมอ่ื พระพทุ ธเจาอบุ ตั ขิ นึ้ ใน

ควรแกการกาํ หนดรอู รยิ สจั จ, ญาณอนั โลก พระสารบี ตุ รและพระโมคคลั ลานะ
คลอยตอการตรสั รอู รยิ สจั จ; อนโุ ลมญาณ พรอมดวยศิษย ๒๕๐ คนพากนั ไปสู

ก็เรียก (ขอ ๙ ในวปิ สสนาญาณ ๙) สํานักพระพทุ ธเจา สัญชยั เสียใจเปนลม

สัจฉิกรณะ การทําใหแจง, การประสบ, และอาเจียนเปนโลหิต; นิยมเรียกวา
การเขาถึง, การบรรลุ เชน ทําใหแจงซงึ่ สญชยั ปรพิ าชก เปนคนเดยี วกบั สญั ชยั -
เวลฏั ฐบตุ ร คนหน่งึ ใน ตติ ถกร หรอื ครู
นพิ พาน คอื บรรลุนิพพาน

สัญจร เทย่ี วไป, เดนิ ไป, ผานไป, ผาน ทัง้ ๖
สัญญมะ การยบั ยั้ง, การงดเวน (จาก
ไปมา, เดนิ ทางกันไปมา

สัญจริตตะ การชักส่ือใหชายหญิงเปน บาป หรือจากการเบียดเบียน), การ

ผวั เมียกัน เปนชอื่ สงั ฆาทิเสสสกิ ขาบทท่ี บังคับควบคุมตน; โดยท่ัวไป ทาน

๕ ท่หี ามการชกั สื่อ อธิบายวา สญั ญมะ ไดแก “ศลี ”, บางที

สญั เจตนา ความจงใจ, ความแสวงหา แปลวา “สํารวม” เหมือนอยาง สงั วร;

อารมณ, เจตนาทแี่ ตงกรรม, ความคดิ อาน; เพื่อความเขาใจชัดเจนในเบื้องตน พึง

มี ๓ คือ กายสัญเจตนา วจสี ญั เจตนา เทียบความหมายระหวางขอธรรม ๓
และ มโนสัญเจตนา; ดู สงั ขาร ๓; มี ๖ อยาง คอื สงั วร เนนความระวงั ในการ
คอื รูปสัญเจตนา สัททสญั เจตนา คันธ- รับเขา คือปดกั้นส่ิงเสียหายที่จะเขามา
สัญเจตนา รสสัญเจตนา โผฏฐัพพ- จากภายนอก สญั ญมะ ควบคุมตนใน
สญั เจตนา และ ธมั มสัญเจตนา; ดู ปย- การแสดงออก มิใหเปนไปเพ่อื การเบยี ด
รปู สาตรปู เบยี น เปนตน ทมะ ฝกฝนแกไขปรับ
สัญเจตนิกา มีความจงใจ, มีเจตนา; ปรงุ ตน ขมกําจัดสวนรายและเสริมสวน
เปนชื่อสงั ฆาทิเสสสิกขาบททห่ี นงึ่ ขอที่ ทด่ี งี ามใหยิ่งขนึ้ ไป; สังยมะ กเ็ ขียน
จงใจทําอสุจิใหเคลื่อน เรียกเต็มวา สัญญตั ิ (ในคาํ วา “อุปชฌายะช่อื อะไรก็
สญั เจตนิกาสกุ กวิสัฏฐิ
ตาม ตงั้ สญั ญตั ลิ งในเวลานนั้ วาชอ่ื ตสิ สะ”)

สญั ชยั ชอื่ ปรพิ าชกผเู ปนอาจารยใหญคน การหมายร,ู ความหมายรูรวมกนั , ขอ

หนง่ึ ในพทุ ธกาล ตง้ั สาํ นกั สอนลทั ธอิ ยใู น สําหรบั หมายรูรวมกัน, ขอตกลง
กรงุ ราชคฤห มศี ษิ ยมาก พระสารบี ตุ ร สญั ญา การกาํ หนดหมาย, ความจําได

๔๖๔

สัญญา ๑๐ ๔๖๕ สัตตมวาร,สัตมวาร

หมายรู คือ หมายรไู ว ซง่ึ รปู เสียง กําหนดหมายความไมนาเพลิดเพลินใน
กลนิ่ รส โผฏฐัพพะ และอารมณท่ีเกดิ โลกทง้ั ปวง ๙.สพั พสงั ขาเรสุอนฏิ ฐสญั ญา

กับใจวา เขียว ขาว ดํา แดง ดัง เบา กําหนดหมายความไมนาปรารถนาใน
เสยี งคน เสียงแมว เสียงระฆงั กล่ิน สังขารทงั้ ปวง ๑๐. อานาปานสั สติ สติ
ทุเรียน รสมะปราง เปนตน และจาํ ได กาํ หนดลมหายใจเขาออก
คือ รจู ักอารมณนัน้ วาเปนอยางน้ันๆ ใน สญั ญาเวทยิตนิโรธ การดบั สัญญาและ
เมือ่ ไปพบเขาอกี (ขอ ๓ ในขนั ธ ๕) มี เวทนา เปนสมาบตั ิ เรยี กเตม็ วา สญั ญา-
๖ อยาง ตามอารมณทห่ี มายรูน้ันเชน เวทยิตนิโรธสมาบัติ เรียกสั้นๆ วา
รูปสัญญา หมายรูรูป สัททสัญญา นิโรธสมาบัติ (ขอ ๙ ในอนุปุพพวหิ าร
หมายรูเสียง เปนตน; ความหมาย ๙); ดู นิโรธสมาบัติ
สามัญในภาษาบาลีวาเคร่ืองหมาย ท่ี สญั โญชน ดู สงั โยชน
สังเกตความสําคัญวาเปนอยางน้ันๆ, ใน สัณฐาน ทรวดทรง, ลกั ษณะ, รูปราง
ภาษาไทยมกั ใชหมายถงึ ขอตกลง, คาํ มน่ั สัตตกะ หมวด ๗
สญั ญา ๑๐ ความกาํ หนดหมาย, สง่ิ ทคี่ วร สัตตบรรณคูหา ช่ือถํ้าท่ีภูเขาเวภาร-

กาํ หนดหมายไวในใจ มี ๑๐ อยางคอื บรรพต ในกรุงราชคฤห เปนท่ีพระ
๑. อนจิ จสัญญา กําหนดหมายความไม พุทธเจาเคยทรงทํานิมิตตโอภาสแกพระ
เท่ียงแหงสังขาร ๒. อนัตตสัญญา อานนท และเปนทีท่ าํ สังคายนาครัง้ แรก;
กําหนดหมายความเปนอนัตตาแหง เขยี น สตั ตปณณิคหู า หรือ สัตตบณั ณ-
ธรรมท้ังปวง ๓. อสุภสญั ญา กาํ หนด คหู า กม็ ี
หมายความไมงามแหงกาย ๔. อาทนี ว- สตั ตบรภิ ณั ฑ “เขาลอมทง้ั เจด็ ” คาํ เรยี ก
สัญญา กาํ หนดหมายโทษแหงกาย คือมี หมูภูเขา ๗ เทอื ก ทล่ี อมรอบเขาพระ
อาพาธตางๆ ๕. ปหานสญั ญา กาํ หนด สุเมรุ หรือ สเิ นรุ คือ ยุคนธร อิสินธร

หมายเพื่อละอกุศลวิตกและบาปธรรม กรวกิ สุทัสสนะ เนมินธร วนิ ตก และ
๖. วิราคสัญญา กําหนดหมายวริ าคะ อัสสกณั ณ
คืออริยมรรควาเปนธรรมอันสงบ สตั ตมวาร, สตั มวาร วาระท่ี ๗, ครัง้ ที่
ประณีต ๗. นิโรธสัญญา กาํ หนดหมาย ๗; ในภาษาไทย นยิ มใชในประเพณีทํา

นโิ รธ คืออริยผล วาเปนธรรมอันสงบ บญุ อุทิศแกผูลวงลบั โดยมคี วามหมาย
ประณีต ๘. สัพพโลเก อนภริ ตสญั ญา วา วันที่ ๗ หรือวนั ทค่ี รบ ๗ เชน ในขอ

๔๖๕

สตั ตสดกมหาทาน ๔๖๖ สตั ตสดกมหาทาน

ความวา “บําเพญ็ กศุ ลสัตมวาร”, ทง้ั น้ี กถาอธบิ ายวาพระเวสสนั ดรกท็ ราบอยูวา
มีคาํ ทม่ี ักใชในชดุ เดียวกนั อีก ๒ คํา คอื การใหนํา้ เมาเปนทานทีไ่ รผล แตใหเพือ่
ปญญาสมวาร (วันท่ี ๕๐ หรอื วันท่ี ใหนักเลงสุราทม่ี ากไ็ ดไป ไมตองไปพดู
ครบ ๕๐) และศตมวาร (วนั ที่ ๑๐๐ วามาแลวไมได ข) สตรีท่ีเปนทานใน
หรือวนั ทคี่ รบ ๑๐๐); พจนานกุ รมเขียน คราวน้ี ตามเรอ่ื งวานง่ั ประจาํ รถ ๕๐๐ คนั
สตั มวาร, อน่ึง “สัตมวาร” (วารที่ ๗) ซงึ่ เปนทาน คนั ละคน (ทาํ นองวาเปนคน
เปนคําที่มาจากภาษาบาลีคือ “สตฺตม- ประจาํ รถ) ค) ในการใหทานบคุ คล พระ
วาร” ไมพึงสับสนกบั คําวา “ศตมวาร” เวสสนั ดร คงจะไดรับหรือใหเปนไปโดย
(วารที่ ๑๐๐) ซ่ึงเปนคําจากภาษา ความเหน็ ชอบของบคุ คลนน้ั เชนเดยี วกบั
สันสกฤต ท่ีตรงกับคําบาลีวา “สตมวาร” ในการใหภรยิ า ง) ในเวลามสตู ร (อง.ฺ นวก.
สัตตสดกมหาทาน ทานใหญอยางละ ๒๓/๒๒๓/๔๐๖) พระพุทธเจาตรัสเลาวา
๗๐๐ (ตามที่อรรถกถาประมวลไว ๗ พระองคเคยทรงเกิดเปนพราหมณชื่อวา
หมวด คอื ชาง ๗๐๐ มา ๗๐๐ รถ ๗๐๐ เวลามะ และไดใหมหาทาน มขี องที่เปน
สตรี ๗๐๐ ววั นม ๗๐๐ ทาส ๗๐๐ ทาสี ทานยิ่งใหญมากมาย ตงั้ แตถาดทองคํา
๗๐๐) ซึ่งชาดกเลาวา พระเวสสันดร จาํ นวน ๘๔,๐๐๐ รวมทัง้ ชาง รถ โคนม
บริจาคกอนเสด็จออกจากวังไปอยูท่ีเขา หญงิ สาว อยางละ ๘๔,๐๐๐ (ถาเทยี บกนั
วงกตในแดนหิมพานต, แตตามหลัก ก็ย่ิงใหญกวามหาทานของพระเวสสันดร
พระพทุ ธศาสนา อติ ถที าน คอื การใหสตรี คร้ังน้ี มากมาย) แลวลงทายพระองค
จดั เขาในจาํ พวกทานทไี่ มเปนทาน และ ตรัสวา ทานของผูใหอาหารแกคนมี
ไมเปนบญุ (คือเปนบาป ซ่ึงในมิลนิ ท- สมั มาทิฏฐเิ พียงคนเดยี ว มีผลมากกวา
ปญหากลาววาพาผใู หไปสอู บาย) จึงนา มหาทานของเวลามพราหมณที่กลาวมา
วิเคราะหวาในเร่ืองน้ีมีเหตุผลหรือมีนัย นนั้ และตรสั ถงึ กุศลกรรมทีม่ ผี ลมากยิง่
ท่นี าศกึ ษาอยางไร, ในทนี่ ี้ จะกลาวถึง ขึน้ ไปๆ ตามลําดับ อรรถกถาอธิบาย
ขอมูลและขอสังเกตเบื้องตนไวประกอบ ดวยวา ทานบางอยางของเวลามพราหมณ
การพิจารณา คือ ก) ในโอกาสน้ี พระ ก็ไมนับวาเปนทาน แตใหเพราะจะให
เวสสันดรใหทานโดยสัง่ ใหแจกจาย ทัง้ ครบถวน ไมตองมีใครมาพดู วาไมมีอัน
ใหผาแกผตู องการผา ใหสรุ าแกนักเลง น้นั ไมมอี ันนี้ ทํานองวาใหครบสมบรู ณ
สรุ า ใหอาหารแกผตู องการอาหาร อรรถ- ตามนิยมของโลก ซ่ึงมาเขาขอที่เปน

๔๖๖

สตั ตสตกิ ขนั ธกะ ๔๖๗ สัตติกาํ ลัง

หลักทั่วไปวา จ) พระโพธสิ ตั วบําเพญ็ สตั ติบญั ชร เรือนระเบียบหอก, ซ่ีกรงทํา

บารมี กค็ อื กาํ ลงั พัฒนาตนอยู แมจะ ดวยหอก
บําเพ็ญความดีอยางยวดย่ิงยากท่ีใคร สตั ตาวาส ภพเปนท่อี ยขู องสัตว มี ๙
อนื่ จะทาํ ได แตเพราะยงั ไมตรสั รู ความดี เหมือนกับ วญิ ญาณฏั ฐติ ิ ๗ ตางแตเพ่ิม

ที่ทําสวนมากก็เปนความดีตามที่นิยม ขอ ๕ เขามาเปน ๕. สตั วเหลาหนึ่งไมมี

ยดึ ถอื เขาใจกนั ในกาลสมยั นน้ั ๆ คอื ทาํ ดี สญั ญา ไมมกี ารเสวยเวทนา เชนพวก

ที่สุดเทาที่ทําไดในกาลเทศะน้ัน เชน เทพผเู ปนอสัญญีสตั ว, เลื่อนขอ ๕, ๖,

ออกบวชเปนฤาษี ไดฌานสมาบตั ิ ได ๗ ออกไปเปนขอ ๖, ๗, ๘ แลวเตมิ ขอ

โลกยิ อภญิ ญา แลวไปเกดิ ในพรหมโลก ๙. สตั วเหลาหนงึ่ ผูเขาถงึ เนวสญั ญา-

(อรรถกถากลาววาสเุ มธดาบส กอนออก นาสญั ญายตนะ
บวชก็ไดบริจาคสัตตสดกมหาทาน); ดู สตั ตาหะ สัปดาห, เจด็ วนั ; มกั ใชเปนคาํ
ทานทเี่ ปนบาป,ทานทไ่ี มนบั วาเปนทาน เรยี กยอ หมายถึง สตั ตาหกรณียะ
สตั ตสตกิ ขันธกะ ชื่อขนั ธกะที่ ๑๒ แหง สัตตาหกรณียะ ธุระเปนเหตุใหภิกษุ

จุลวรรคในพระวินัยปฎก วาดวยการ ออกจากวัดในระหวางพรรษาได ๗ วนั

สังคายนาครงั้ ท่ี ๒ ไดแก ๑. ไปเพอ่ื พยาบาลสหธรรมกิ หรอื

สตั ตกั ขตั ตปุ รมะ พระโสดาบนั ซง่ึ จะไป มารดาบิดาผูเจ็บไข ๒. ไปเพ่ือระงับ

เกิดในภพอกี ๗ ครั้ง เปนอยางมากจึง สหธรรมิกท่ีกระสันจะสกึ ๓. ไปเพื่อกจิ

จะไดบรรลุพระอรหัต (ขอ ๓ ใน สงฆ เชน ไปหาทัพพสัมภาระมาซอม

โสดาบนั ๓) วหิ ารทีช่ ํารดุ ลงในเวลาน้ัน ๔. ไปเพ่ือ

สตั ตังคะ เกาอี้มพี นักสามดาน, เกาอ้ีมี บาํ รงุ ศรทั ธาของทายกซงึ่ สงมานมิ นตเพอ่ื

แขน การบาํ เพญ็ กศุ ลของเขา และธรุ ะอน่ื จาก
สัตตัพภันตรสีมา อพัทธสีมาชนิดท่ี นที้ เ่ี ปนกจิ ลกั ษณะอนโุ ลมตามนไ้ี ด
กาํ หนดเขตแหงสามคั คขี น้ึ ในปา อนั หาคน สัตตาหกาลิก ของที่รับประเคนเก็บไว

ตงั้ บานเรอื นมไิ ด โดยวดั จากทสี่ ดุ แนวแหง ฉนั ไดชัว่ ๗ วนั ไดแกเภสัชท้งั ๕ คือ

สงฆออกไปดานละ ๗ อพั ภนั ดรโดยรอบ เนยใส เนยขน นํ้ามัน นา้ํ ผง้ึ น้ําออย; ดู
สตั ตมั พเจดยี เจดยี สถานแหงหนง่ึ ทนี่ คร กาลิก
เวสาลี แควนวัชชี ณ ทน่ี ีพ้ ระพุทธเจา สัตติกําลัง ในคําวา “ตามสัตติกําลัง”

เคยทาํ นิมิตตโอภาสแกพระอานนท แปลวา ตามความสามารถ และตามกาํ ลงั

๔๖๗

สัตตุ ๔๖๘ สตั ว

หรือตามกําลังความสามารถ (สตั ติ = ทาํ อยางหนงึ่ , ทรงฉลาดในวธิ สี อน, และ
ความสามารถ) มาจากคําบาลวี า ยถา- ทรงเปนผนู าํ หมดู จุ นายกองเกวยี น (ขอ
สตฺติ ยถาพลํ; พดู เพ้ียนกนั ไปเปน ตาม ๗ ในพทุ ธคณุ ๙)
สตกิ ําลังกม็ ี สตั ถุศาสน, สตั ถสุ าสน คําส่ังสอนของ
สัตตุ ขาวควั่ ผง, ขนมผง ขนมแหงท่ีไม พระศาสดา หมายถงึ พระพทุ ธพจน; ดู
บูด เชน ขนมท่ีเรียกวาจนั อับและขนม นวงั คสตั ถุศาสน
สัตบรุ ษุ คนสงบ, คนดี, คนมีศลี ธรรม,
ปง เปนตน

สตั ตผุ ง สตั ตกุ อน ขาวตู เสบยี งเดนิ ทางที่ คนท่ปี ระกอบดวยสัปปุรสิ ธรรม
สองพอคา คือ ตปสุ สะ กบั ภลั ลกิ ะ สตั มวาร วนั ที่ ๗, วนั ที่ครบ ๗; เขียน
ถวายแดพระพทุ ธเจา ขณะทป่ี ระทบั อยู เตม็ รปู เปน สัตตมวาร
สตั ย ความจรงิ , ความซอื่ ตรง, ความจรงิ ใจ;
ใตตนราชายตนะ

สัตถะ เกวยี น, ตาง, หมเู กวยี น, หมูพอ ดู สจั จะ
สตั ยยุค ดู กปั
คาเกวียน

สตั ถกรรม การผาตัด สัตยาธษิ ฐาน การตั้งความจริงเปนหลกั
สตฺถา เทวมนสุ สฺ านํ (พระผมู พี ระภาค อาง, ความตง้ั ใจกาํ หนดแนวใหเกดิ ผล

เจานนั้ ) ทรงเปนศาสดาของเทวดาและ อยางใดอยางหนง่ึ โดยอางเอาความจรงิ ใจ

มนุษยท้ังหลาย, ทรงเปนครขู องบุคคล ของตนเปนกาํ ลงั อาํ นาจ, คาํ เดมิ ในคมั ภรี

ท้ังชั้นสูงและช้ันตํา่ , ทรงประกอบดวย นยิ มใช สจั กริ ยิ า, สตั ยาธษิ ฐานน้ี เปนรปู

คณุ สมบัติของครู และทรงทําหนาท่ีของ สนั สกฤต รูปบาลเี ปนสจั จาธฏิ ฐาน; ดู
ครูเปนอยางดี คอื ทรงพราํ่ สอนดวยพระ สัจกริ ยิ า,สจั จาธฏิ ฐาน 2.
มหากรุณา หวังใหผูอื่นไดความรูอยาง สตั ว “ผูตดิ ของในรูปารมณเปนตน” สง่ิ ท่ี

แทจริง, ทรงสอนมุงความจริงและ มีความรูสึกและเคล่ือนไหวไปไดเอง

ประโยชนเปนที่ตั้ง ทรงแนะนําเวไนย- รวมตลอดทงั้ เทพ มาร พรหม มนุษย

สัตวดวยประโยชน ทั้งทิฏฐธัมมกิ ัตถะ เปรต อสรุ กาย ดิรัจฉาน และสัตวนรก

สัมปรายกิ ัตถะ และปรมตั ถะ, ทรงรจู รงิ ในบาลเี พงเอามนุษยกอนอยางอน่ื และ

และปฏบิ ัตดิ วยพระองคเองแลว จงึ ทรง ใชในความหมายท่ีดีท่ีสูงย่ิงบอยดวย

สอนผอู นื่ ใหรแู ละปฏบิ ตั ติ าม ทรงทาํ กบั เชน โพธสิ ตั ว มหาสตั ว และมหาบุรุษ

ตรสั เหมอื นกนั ไมใชตรสั สอนอยางหนง่ึ เปนคาํ ท่ใี ชแทนกันได แตในภาษาไทย

๔๖๘

สัตวนิกาย ๔๖๙ สัทธา

มกั เพงเอาดิรจั ฉาน ความในคมั ภรี นทิ เทส แหงพระสตุ ตนั ต-

สตั วนกิ าย หมสู ัตว ปฎก พระอปุ เสนเถระ (หลกั ฐานบางแหง

สตั วโลก โลกคือหมูสัตว วา พระอปุ ตสิ สเถระ) แหงมหาวหิ ารใน

สทั ธรรม ธรรมทดี่ ,ี ธรรมที่แท, ธรรม ลังกาทวปี เปนผรู จนาขึ้นเปนภาษาบาลี

ของคนดี, ธรรมของสัตบุรษุ โดยถือตามแนวอรรถกถาเกาภาษา

สทั ธรรม ๓ คือ ๑. ปรยิ ตั ิสทั ธรรม สิงหฬ ที่ศกึ ษาและรักษาสบื ทอดกันมา;

สัทธรรมคือคําสั่งสอนอันจะตองเลา หลกั ฐานบางแหงเรยี กวา สทั ธมั มฏั ฐติ กิ า;
เรียน ไดแกพุทธพจน ๒. ปฏิบัติ ดูโปราณฏั ฐกถา, อรรถกถา
สทั ธรรม สัทธรรมคือปฏปิ ทาอนั จะตอง สัทธัมมัสสวนะ ฟงสทั ธรรม, ฟงคําส่งั

ปฏิบัติ ไดแกไตรสกิ ขา (รวมตลอดบุพ สอนของสตั บรุ ษุ , ฟงคาํ สงั่ สอนของทาน
ภาคปฏิปทา เชน ธุดงค) ๓. ปฏิเวธ ผูรูท่ีประพฤติชอบดวยกายวาจาใจ,
สัทธรรม หรือ อธิคมสัทธรรม สดับเลาเรียนอานคําสอนเร่ืองราวท่ี

สัทธรรมคือผลอันจะพึงเขาถึงหรือ แสดงหลกั ความจริงความดีงาม (ขอ ๒

บรรลดุ วยการปฏิบตั ิ ไดแก มรรค ผล ในวุฑฒิ ๔)

และนพิ พาน (เชน วนิ ย.อ.๑/๒๖๔) สทั ธา ความเชือ่ , ความเช่ือถือ; ในทาง

สทั ธรรม ๗ คอื ๑. ศรทั ธา ๒. หริ ิ ๓. ธรรม หมายถึง เช่อื สิง่ ท่ีควรเชือ่ , ความ
โอตตปั ปะ ๔. พาหสุ จั จะ ๕. วริ ยิ ารมั ภะ เชอื่ ทปี่ ระกอบดวยเหตผุ ล, ความเช่อื มั่น
๖. สติ ๗. ปญญา (เชน ที.ปา.๑๑/๓๓๐/๒๖๔; ในสง่ิ ทด่ี ีงาม, ความเล่อื มใสซาบซ้ึงชืน่ ใจ

ม.ม.๑๓/๓๑/๒๗) สนิทใจเชื่อม่ันมีใจโนมนอมมุงแลนไป

สัทธรรมปฏิรูป สัทธรรมปลอม, ตามไปรับคุณความดีในบุคคลหรือสิ่ง

สทั ธรรมเทียม นั้นๆ, ความม่ันใจในความจรงิ ความดี

สัทธัมมปกาสินี ช่ือคัมภีรอรรถกถา ส่งิ ดงี าม และในการทําความดี ไมลูไหล

อธิบายความในปฏิสัมภิทามรรค แหง ตื่นตูมไปตามลักษณะอาการภายนอก

พระสุตตันตปฎก พระมหานามะรจนา (ขอ ๑ ในอนิ ทรยี ๕, ขอ ๑ ในพละ ๕,

ขนึ้ เปนภาษาบาลี โดยถอื ตามแนวอรรถ- ขอ ๑ ในเวสารัชชกรณธรรม ๕, ขอ ๑

กถาเกาภาษาสิงหฬทร่ี ักษาสบื ทอดมาใน ในอริยวฑั ฒิ ๕, ขอ ๑ ในสัทธรรม ๗,
ลงั กาทวีป; ดู โปราณฏั ฐกถา, อรรถกถา ขอ ๑ ในอรยิ ทรัพย ๗); เขยี นอยาง
สทั ธมั มปชโชตกิ า ชือ่ อรรถกถาอธบิ าย สันสกฤตเปน ศรัทธา

๔๖๙

สทั ธาจริต ๔๗๐ สัทธานสุ ารี

ศรทั ธาท่เี ปนหลักแกนกลาง ซ่ึงพบ ตถาคตโพธิสทั ธา เชอ่ื ปญญาตรสั รขู อง

ทวั่ ไปในพระไตรปฎก พระพทุ ธเจาตรัส พระตถาคต

แสดงไวเปนขอเดียว (เชน อง.ฺป ฺจก.๒๒/ อรรถกถาทัง้ หลายจาํ แนกวามี สัทธา
๕๓/๗๔) คอื ตถาคตโพธสิ ทั ธา ความเช่ือ ๔ ระดับ (เชน ท.ี อ.๓/๒๒๗; ม.อ.๓/๒๓๗; อง.ฺ อ.
ปญญาตรสั รูของพระตถาคต (คาํ บาลวี า ๓/๒๙) คือ ๑. อาคมนสัทธา ความเช่ือ

“สททฺ หติ ตถาคตสสฺ โพธ”ึ ; บางครงั้ เมอ่ื ความมั่นใจของพระโพธสิ ัตว อนั สบื มา

ทรงแสดงคุณสมบัติของอริยสาวก จึง จากการบําเพญ็ สงั่ สมบารมี (อาคมนีย-
ตรสั ถงึ อเวจจปสาทะ คอื ความเลอื่ มใสอนั สทั ธา หรืออาคมสทั ธา กเ็ รียก) ๒.
ไมหวน่ั ไหว ในพระพทุ ธเจา ในพระธรรม อธิคมสัทธา ความเช่ือมั่นของพระ

และในพระสงฆ เชน อง.ฺนวก.๒๓/๒๓๑/๔๒๐) อรยิ บคุ คล ซงึ่ เกดิ จากการเขาถงึ ดวยการ

ศรัทธาทีม่ กั กลาวถงึ ในอรรถกถา ได บรรลธุ รรมเปนประจกั ษ (อธิคมนสัทธา
กเ็ รยี ก) ๓. โอกัปปนสทั ธา ความเชื่อ
แก (อ.ุ อ.๒๓๕; อติ .ิ อ.๗๔; จรยิ า.อ.๓๓๖) สัทธา ๒
คอื ๑. ตถาคตโพธสิ ทั ธาเชอ่ื ปญญาตรสั รู หนักแนนสนิทแนวเม่ือไดปฏิบัติกาว
ของพระตถาคต ๒. กัมมผลสัทธา เชือ่
หนาไปในการเห็นความจรงิ (โอกัปปนยี -

กรรมและผลของกรรม, แตหลายแหง สัทธา ก็เรียก, ทานวาตรงกับอธโิ มกข
(เชน อ.ุ อ.๑๑๐; อติ .ิ อ.๓๕๓; เถร.อ.๑/๔๙๐) แสดง หรืออธิโมกขสัทธา) ๔. ปสาทสัทธา
สทั ธา ๒ คอื ๑. กัมมผลสัทธา เชื่อกรรม ความเชื่อที่เปนเพียงความเล่ือมใสจาก
และผลของกรรม ๒. รตนัตตยสทั ธา การไดยนิ ไดฟง
เชื่อพระรัตนตรัย (กัมมผลสัทธา เปน สัทธาจรติ พ้ืนนิสัยหนักในศรัทธา เชื่อ

โลกยิ สทั ธา, รตนตั ตยสทั ธา ถาถูกตอง งาย พงึ แกดวยปสาทนยี กถา คือ ถอย

จริงแทเห็นประจักษดวยปญญาม่ันคง คําที่นําใหเกิดความเลื่อมใสในทางท่ีถูก

ไมหวนั่ ไหว เปนโลกุตตรสัทธา); อยางไร ท่ีควร และดวยความเช่ือท่ีมีเหตุผล

กต็ าม ทร่ี ูจกั กนั มาก คือ สทั ธา ๔ ซงึ่ (ขอ ๔ ในจริต ๖)
เปนชุดสบื ๆ กันมา ท่จี ัดรวมขึน้ ภายหลัง สัทธานุสารี “ผแู ลนไปตามศรัทธา”, “ผู
คอื ๑. กมั มสทั ธา เชื่อกรรม เชอ่ื การ แลนตามไปดวยศรทั ธา”, พระอรยิ บคุ คล
กระทํา ๒. วิปากสทั ธา เชอื่ ผลของกรรม ผูตั้งอยูในโสดาปตติมรรค ที่มี
๓. กมั มสั สกตาสัทธา เชื่อวาสัตวมกี รรม สัทธินทรียแรงกลา (เมอื่ บรรลุผล จะ
เปนของตัว ทาํ ดีไดดี ทาํ ชวั่ ไดชวั่ ๔. กลายเปนสทั ธาวมิ ุต); ดู อรยิ บุคคล ๗

๔๗๐

สัทธาวิมตุ ๔๗๑ สนั ตติ

สัทธาวมิ ตุ “ผหู ลดุ พนดวยศรัทธา” พระ มาแตกําเนิด, อัธยาศยั ทม่ี ีติดตอมา
อรยิ บคุ คลตั้งแตโสดาบันข้ึนไป จนถงึ ผู สนั โดษ ความยินด,ี ความพอใจ, ยินดี

ต้ังอยูในอรหตั ตมรรคที่มีสัทธนิ ทรียแรง ดวยปจจยั ๔ คือ ผานุงผาหม อาหาร

กลา (เมอ่ื บรรลอุ รหตั ตผล จะกลายเปน ทน่ี อนที่นงั่ และยา ตามมีตามได, ยนิ ดี

ปญญาวมิ ตุ ); ดู อรยิ บคุ คล ๗ ในของของตน, การมีความสุขความพอ

สทั ธาสมั ปทา ถงึ พรอมดวยศรทั ธา คอื ใจดวยเคร่ืองเลี้ยงชีพที่หามาไดดวย

เชอ่ื สง่ิ ท่คี วรเช่อื เชนเชื่อวา ทาํ ดไี ดดี ความเพียรพยายามอันชอบธรรมของ

ทําช่วั ไดชัว่ เปนตน (ขอ ๑ ในสมั ปราย-ิ ตน ไมโลภ ไมรษิ ยาใคร; สันโดษ ๓ คือ

กัตถสังวัตตนิกธรรม ๔) ๑. ยถาลาภสนั โดษ ยินดตี ามท่ไี ด คอื

สัทธวิ หิ าริก, สทั ธิงวหิ าริก “ผูอยูดวย”, ไดสงิ่ ใดมาดวยความเพยี รของตน ก็พอ

เปนคําเรียกผูที่ไดรับอุปสมบท ถา ใจดวยสงิ่ น้ัน ไมเดือดรอนเพราะของท่ี

อุปสมบทอาศัยอุปชฌายรูปใด ก็เปน ไมได ไมเพงเล็งอยากไดของคนอ่นื ไม
สัทธิวิหาริกของอปุ ชฌายรปู นั้น, ศิษย ริษยาเขา ๒. ยถาพลสันโดษ ยินดีตาม

ของอุปชฌาย, เรยี กวา สัทธิวหิ ารี ก็มี กําลงั คอื พอใจเพยี งแคพอแกกาํ ลังราง
สัทธิวิหาริกวัตร ขอควรปฏิบัติตอ กายสุขภาพและขอบเขตการใชสอยของ

สัทธิวิหาริก, หนาที่อันอุปชฌายจะพึง ตน ของทเ่ี กนิ กาํ ลงั กไ็ มหวงแหนเสียดาย

กระทาํ แกสทั ธวิ ิหารกิ คือ ๑. เอาธรุ ะใน ไมเกบ็ ไวใหเสียเปลา หรอื ฝนใชใหเปน
การศกึ ษา ๒. สงเคราะหดวยบาตร จวี ร โทษแกตน ๓. ยถาสารุปปสนั โดษ ยินดี

และบรขิ ารอนื่ ๆ ๓. ขวนขวายปองกนั ตามสมควร คอื พอใจตามทสี่ มควรแก

หรอื ระงบั ความเสอื่ มเสยี เชน ระงบั ความ ภาวะ ฐานะ แนวทางชีวติ และจดุ หมาย

คดิ จะสกึ เปลอ้ื งความเหน็ ผดิ ฯลฯ ๔. แหงการบาํ เพญ็ กิจของตน เชน ภกิ ษุ
พยาบาลเมอ่ื อาพาธ; เทียบ อุปชฌายวัตร พอใจแตของอันเหมาะกับสมณภาวะ
สทั ธวิ หิ ารนิ ี สทั ธวิ หิ ารกิ ผหู ญงิ คอื สทั ธ-ิ หรือไดของใชท่ีไมเหมาะกับตนแตจะมี

วิหาริกในฝายภิกษุณี, ตามปกติเรียกวา ประโยชนแกผูอื่น ก็นาํ ไปมอบใหแกเขา

สหชวี นิ ี; ดู สหชวี นิ ี เปนตน; สนั โดษ ๓ นเ้ี ปนไปในปจจยั ๔

สนั ดาน ความสืบตอแหงจติ คอื กระแส แตละอยาง จึงรวมเรียกวา สนั โดษ ๑๒
จิตท่ีเกิดดับตอเน่ืองกันมา; ในภาษา สันตติ การสบื ตอ คือ การเกดิ ดบั ตอ

ไทยมักใชในความหมายวาอุปนิสัยที่มี เนื่องกันไปโดยอาการท่ีเปนปจจัยสงผล

๔๗๑

สนั ตาปทกุ ข ๔๗๒ สนทฺ ฏิ โิ ก

แกกนั ในทางรูปธรรม ทพี่ อมองเห็น อยางสงบ
อยางหยาบ เชน ขนเกาหลดุ รวงไปขน สนั ตีรณะ ดู วถิ จี ติ
ใหมเกิดขึ้นแทน ความสืบตอแหง สันตุฏฐิกถา ถอยคําที่ชักนําใหมีความ
รปู ธรรม จดั เปนอุปาทายรูปอยางหน่งึ ; สันโดษ (ขอ ๒ ในกถาวตั ถุ ๑๐)
ในทางนามธรรม จติ ก็มีสันตติ คอื เกดิ สันถัต ผาปพู น้ื ท่หี ลอดวยขนเจยี มคือขน

ดบั เปนปจจัยสบื เน่ืองตอกันไป แกะ ใชรองนัง่ หรอื ปนู อน, แมวาใน

สนั ตาปทกุ ข ทกุ ขคอื ความรอนรมุ , ทกุ ข สิกขาบทท่ี ๕ แหงโกสยิ วรรค (ขอ ๑๕ ใน

รอน ไดแกความกระวนกระวายใจ นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ) จะใชคาํ วา “นิสที น-

เพราะถกู ไฟกเิ ลสคือ ราคะ โทสะ และ สนั ถตั ” (สนั ถตั ทน่ี งั่ ) กม็ คี าํ อธบิ ายวา ทรง

โมหะแผดเผา ใชคาํ นน้ั เพอ่ื แกไขการทภี่ กิ ษจุ ํานวนมาก

สนั ติ ความสงบ, ความระงบั ดบั หายหมด หลงเขาใจเอาสันถัตเปนจีวรผืนหนึ่ง

ไปแหงความพลุงพลานเรารอนกระวน (ภิกษุมากรูปจะสมาทานธุดงค เขาใจวา

กระวาย, ภาวะเรียบรื่นไรความสับสน สันถัตเปนจีวรขนสัตว เกรงวาตนจะมี

วุนวาย, ความระงับดับไปแหงกิเลสที่ จีวรเกนิ ๓ ผืน จึงไดทิง้ ผาสนั ถตั นั้นเสีย

เปนเหตุใหเกิดความเรารอนวาวุนขุน – วนิ ย.๒/๙๓/๗๙; กงฺขาวติ รณีอภินวฏีกา, ๓๓๘)
มัว, เปนไวพจนหนงึ่ ของ นิพพาน สนั ทดั ถนดั , จดั เจน, ชาํ นาญ; ปานกลาง
สนั ติเกนิทาน “เร่ืองใกลชดิ ” หมายถงึ สนั ทสั สนา การใหเหน็ ชัดแจง หรือชี้ให

เร่ืองราวหรือความเปนมาเกี่ยวกับพระ ชัด คือ ช้แี จงใหเขาใจชัดเจน มองเห็น

พุทธเจาตั้งแตตรัสรูแลวจนเสด็จ เร่ืองราวและเหตุผลตางๆ แจมแจง

ปรนิ พิ พาน; ดู พทุ ธประวตั ิ เหมือนจูงมือไปดูเห็นประจักษกับตา;

สนั ติเกรปู ดู รปู ๒๘ เปนลักษณะอยางแรกของการสอนท่ีดี

สนั ติภาพ ภาวะแหงสันติ; ตามท่ใี ชใน ตามแนวพุทธจริยา (ขอตอไปคือ
ปจจุบัน หมายถึงความสงบภายนอก สมาทปนา)
คอื ภาวะทสี่ งั คมหรือบานเมืองสงบ ไม สนทฺ ฏิ ิโก (พระธรรมอนั ผไู ดบรรล)ุ เหน็

มีความปนปวนวุนวาย, ภาวะที่ระงับ เองรเู อง ประจกั ษแจงกบั ตน ไมตองข้นึ

หรือไมมคี วามขดั แยง, ภาวะปราศจาก ตอผอู ่ืน ไมตองเชอื่ ตอถอยคําของใคร

สงครามหรอื ความมงุ รายเปนศัตรกู ัน (ขอ ๒ ในธรรมคุณ ๖); เมือ่ มาดวยกนั
สันติวิหารธรรม ธรรมเปนเคร่ืองอยู กบั สมฺปรายิโก (ใชเปนคาํ ไทย มีรปู

๔๗๒

สนั นธิ ิ ๔๗๓ สัปปฏฆิ รปู

เปน สัมปรายิกะ) ซึง่ แปลวา เลยไปเบอื้ ง ภาษาท่ีไดปรุงแตงขัดเกลาใหมีระเบียบ

หนา หรอื เลยตาเหน็ (เชน ม.ม.ู ๑๒/๑๙๘/๑๖๙) ประณีต จงึ เรยี กวา “สันสกฤต” (เขียน

สนทฺ ฏิ ิโกนี้ (สนั ทฏิ ฐกิ ะ) แปลวา เปน อยางบาลวี า “สกฺกฏ” แปลวาจดั ทาํ ดี
แลว) ตางจากปรากฤต ซ่งึ เปนภาษาถิ่น
ปจจบุ นั เหน็ ทันตา หรอื เห็นกบั ตา
สนั นิธิ การส่งั สม, ของทส่ี ั่งสมไว หมาย ของคนพ้ืนบานพ้ืนเมือง; ในฐานะเปน
ภาษาพระเวท เรยี กวา ฉนั ทัส, ฉันทส
ถึงของเคี้ยวของฉันท่ีรับประเคนแลว

เก็บไวคางคืนเพ่ือจะฉันในวันรุงข้ึน มีพุทธบัญญัติหามมิใหยกพุทธพจน

ภกิ ษฉุ นั ของนนั้ เปนปาจติ ตยี ทกุ คาํ กลนื เปนภาษาพระเวท หรือภาษาสนั สกฤตนี้

(สกิ ขาบทท่ี ๘ แหงโภชนวรรค ปาจติ ตยิ - ความวา “ไมพึงยกพุทธวจนะข้ึนโดย

กัณฑ) ฉันทัส (ภาษาสันสกฤต) ภกิ ษุรูปใดยก

สนั นบิ าต การประชมุ , ที่ประชมุ ข้นึ ตองอาบตั ทิ ุกกฏ, ภิกษทุ ั้งหลาย เรา

สนฺนิปาตกิ า อาพาธา ความเจบ็ ไขเกดิ อนุญาตใหเรียนพุทธพจน ดวยภาษา

จากสันนิบาต (คือประชุมกันแหง ของตน” (น ภิกฺขเว พุทฺธวจน ฉนทฺ โส

สมุฏฐานท้ังสาม), ไขสันนิบาต คือ อาโรเปตพฺพ, โย อาโรเปยยฺ อาปตตฺ ิ

ความเจบ็ ไขทเ่ี กิดขน้ึ แตดี เสมหะ และ ทุกฺกฏสสฺ ; อนุชานามิ ภกิ ฺขเว สกาย

ลม ทง้ั สามเจอื กัน; ดู อาพาธ นริ ตุ ตฺ ิยา พทุ ธฺ วจน ปรยิ าปณุ ติ ุ” (วินย.๗/

สันนิวาส ทอ่ี ยู, ทพี่ ัก; การอยูดวยกนั , ๑๘๐/๗๐) คําวาภาษาของตน (สกา นริ ตุ ต)ิ

การอยูรวมกัน อรรถกถาไขความวาคือภาษาของชาว

สันนิษฐาน ความตกลงใจ, ลงความเห็น มคธ อยางที่พระพทุ ธเจาตรสั (วนิ ย.อ.๓/

ในทส่ี ุด; ไทยใชในความหมายวา ลง ๓๕๑) การทรงบัญญตั หิ ามอยางน้ี เปน

ความเหน็ เปนการคาดคะเนไวกอน การปองกันมิใหการเรียนพุทธพจนถูก

สันยาสี ผูสละโลกแลวตามธรรมเนียม จํากัดอยูในหมูชนช้ันสูง ซึ่งเปนการผูก
ของศาสนาฮนิ ด;ู ดู อาศรม ขาดการศกึ ษา; ดู ปรากฤต, สกา นริ ตุ ต,ิ
สันสกฤต ชอ่ื ภาษาสําคัญซึง่ ใชในอินเดยี ฉันทัส
สืบมาแตโบราณ ใชในวรรณคดีตั้งแต สัปดาห ๗ วัน, ระยะ ๗ วนั
เปนภาษาพระเวท และสบื มาในศาสนา สัปบรุ ษุ ดู สปั ปุรุษ
พราหมณหรือฮินดู และใชในพระพุทธ สัปปฏิฆรูป ดูท่ี อนิทัสสนอัปปฏิฆรูป,
ศาสนาฝายมหายานดวย ถือวาเปน รูป ๒๘

๔๗๓


Click to View FlipBook Version