จตุ ิ ๗๔ จลุ กฐิน
พุทธพจนเปนประเภทตางๆ ท่ีเรียกวา บาง เลวบางเปนตน ตามกรรมของตน
นวังคสัตถุศาสน พุทธพจนอันเปนคํา เรยี กอีกอยางวา ทิพพจกั ขุ (ขอ ๒ ใน
วิสัชนาท่ีเปนจุณณิยบทลวน จัดเปน ญาณ ๓ หรือวชิ ชา ๓, ขอ ๗ ในวิชชา
เวยยากรณะ, พทุ ธพจนทเี่ ปนคาถาลวน ๘, ขอ ๕ ในอภิญญา ๖)
จดั เปน คาถา, พทุ ธพจนทเี่ ปนจณุ ณยิ บท จุนทะ พระเถระผูใหญชน้ั มหาสาวก เปน
และมคี าถาระคน จดั เปน เคยยะ; ใน นองชายของพระสารีบุตร เคยเปน
ประเพณไี ทย เมอื่ พระเทศน มธี รรม- อปุ ฏฐากของพระพทุ ธองค และเปนผนู าํ
เนียมใหยกขอความบาลีข้ึนมาวานาํ กอน อัฐิธาตุของพระสารีบุตรจากบานเกิดที่
และในการเทศนทว่ั ไป มกั ยกคาถาพทุ ธ ทานปรินิพพานมาถวายแดพระพุทธ-
ภาษติ ขน้ึ เปนบทตงั้ เรยี กวา นกิ เขปบท องคทพี่ ระเชตวัน
แตในการเทศนมหาชาติ ซงึ่ เปนเทศนาท่ี จุนทกัมมารบุตร นายจุนทะ บุตร
มลี กั ษณะเฉพาะพเิ ศษ นยิ มยกขอความ ชางทอง ชาวเมืองปาวา ผูถวายสูกร-
รอยแกวภาษาบาลจี ากอรรถกถาชาดกมา มัททวะ เปนภตั ตาหารครั้งสดุ ทาย แด
กลาวนาํ ทีละเลก็ นอยกอนดาํ เนนิ เรอ่ื งใน พระพทุ ธเจา ในเชาวนั ปรนิ พิ พาน, จนุ ทะ
ภาษาไทยตอไป และนค่ี งเปนเหตใุ หเกดิ กัมมารบุตร ก็เขียน; ดู สูกรมัททวะ,
ความเขาใจที่เปนความหมายใหมข้ึนใน พทุ ธปรนิ พิ พาน
ภาษาไทยวา จุณณยี บท คอื บทบาลี (รอย จลุ กฐนิ “กฐนิ นอย”, “กฐนิ จว๋ิ ”, กฐนิ วนั
แกว) เล็กนอย ที่ยกขึ้นแสดงกอนเน้ือ เดยี วเสรจ็ , พธิ ที าํ บญุ ทอดกฐนิ แบบหนง่ึ
ความ (พจนานกุ รมเขยี นจุณณียบท); ตรง ทีไ่ ดพัฒนาขึน้ มาในประเพณีไทย (บาง
ขามกบั คาถา,คาถาพนั ธ; ดูนวงั คสตั ถศุ าสน ถิ่นเรียกวากฐินแลน) โดยมีกําหนดวา
จตุ ิ “เคล่ือน” (จากภพหนึง่ ไปสภู พอนื่ ), ตองทาํ ทกุ อยางตงั้ แตปนฝาย ทอ ตดั
ตาย (ในภาษาบาลี ใชไดท่ัวไป แตใน เยบ็ เปนจวี รผนื ใดผนื หนง่ึ (ตามปกตทิ าํ
ภาษาไทยสวนมากใชแกเทวดา); ใน เปนสบง คงเพราะเปนผนื เลก็ ทส่ี ดุ ทนั ได
ภาษาไทย บางทีเขาใจและใชกันผิดไป งาย) ยอม และนาํ ผากฐนิ ไปทอดถวายแก
ไกล ถงึ กับเพีย้ นเปนวา เกดิ กม็ ี พระสงฆ ใหทนั ภายในวนั เดยี ว (พระสงฆ
จุตูปปาตญาณ ปรีชารูจุติและอุบัติของ ไดรบั แลว กจ็ ะทาํ การกรานกฐนิ และ
สัตวท้ังหลาย, มีจกั ษทุ ิพยมองเห็นสัตว อนโุ มทนาเสรจ็ ในวนั นน้ั ตามธรรมดาของ
กาํ ลังจุติบาง กาํ ลังเกดิ บาง มีอาการดี พระวินยั การทัง้ หมดของทุกฝายจึงเปน
๗๔
จลุ กาล ๗๕ จุฬามณเี จดีย
อันเสร็จในวันเดยี วกนั ), เหตุที่นยิ มทํา ดวยเรอื่ งเสนาสนะ ๗. สงั ฆเภทขนั ธกะ
และถือวาเปนบุญมาก คงเพราะตอง วาดวยสังฆเภทและสังฆสามัคคี ๘.
สําเร็จดวยความสามัคคีของคนจํานวน วัตตขันธกะ วาดวยวัตรตางๆ เชน
มากท่ีทํางานกันอยางแข็งขันขมีขมัน อาคันตุกวัตร เปนตน ๙. ปาตโิ มกขัฏ-
และประสานกนั อยางดยี ง่ิ ; โดยปรยิ าย ฐปนขันธกะ วาดวยระเบยี บในการงด
หมายถงึ งานทต่ี องทาํ เรงดวนอยางชลุ มนุ สวดปาติโมกขในเมื่อภิกษุมีอาบตั ิติดตัว
วนุ วายเพอ่ื ใหเสรจ็ ทนั เวลาอนั จํากัด มารวมฟงอยู ๑๐. ภกิ ขนุ ขี นั ธกะ วาดวย
จุลกาล ช่ือนองชายของพระมหากาลท่ี เร่ืองภิกษุณีเร่ิมแตประวัติการอนุญาต
บวชตามพชี่ าย แตไมไดบรรลมุ รรคผล ใหมีการบวชครั้งแรก ๑๑. ปญจสติก-
ขันธกะ วาดวยเร่ืองสงั คายนาครั้งท่ี ๑
สกึ เสยี ในระหวาง
จลุ คณั ฐี ชอ่ื นกิ ายพระสงฆพมานกิ ายหนงึ่ ๑๒. สตั ตสติกขนั ธกะ วาดวยสังคายนา
จลุ ราชปรติ ร ปรติ รหลวงชดุ เลก็ คอื เจด็ ครัง้ ท่ี ๒; จฬู วรรค หรือ จูฬวคั ค ก็
ตาํ นาน ดู ปรติ ร,ปรติ ต เขยี น; ดู ไตรปฎก (เลม ๖–๗)
จลุ วรรค ชอื่ คมั ภรี อนั เปนหมวดหนงึ่ แหง จุลศักราช ศักราชนอย ต้ังขึ้นโดย
พระวนิ ยั ปฎก (ตอจาก มหาวรรค) มที ง้ั กษตั ริยพมาองคหน่งึ ใน พ.ศ. ๑๑๘๒
หมด ๕ หมวด คือ อาทกิ มั ม ปาจติ ตยี ภายหลงั มหาศกั ราช, เปนศกั ราชท่ีเราใช
มหาวรรค จุลวรรค ปรวิ าร; คัมภรี จุล กนั มากอนใชรัตนโกสนิ ทรศก, นับรอบ
วรรค มี ๑๒ ขันธกะ คอื ๑. กมั มขนั ธ ปตัง้ แต ๑๖ เมษายน ถึง ๑๕ เมษายน
กะ วาดวยเร่อื งนคิ ห-กรรม ๒. ปารวิ า เขยี นยอวา จ.ศ. (พ.ศ. ๒๕๕๒ ตรงกบั
สิกขันธกะ วาดวยวัตรของภิกษุผูอยู จ.ศ. ๑๓๗๐–๑๓๗๑)
ปริวาส ผปู ระพฤตมิ านัต และผเู ตรยี ม จุลศลี ดู จฬู มัชฌิมมหาศีล
จะอพั ภาน ๓. สมจุ จยขนั ธกะ วาดวย จุฬามณีเจดีย พระเจดียท่ีบรรจุพระ
ระเบยี บปฏิบัตติ างๆ ในการประพฤติวฏุ จฬุ าโมลี (มวยผม) ของพระพุทธเจาใน
ฐานวิธี ๔. สมถขันธกะ วาดวยการ ดาวดงึ สเทวโลก อรรถกถาเลาวา เม่ือ
ระงบั อธกิ รณ ๕. ขทุ ทกวตั ถ-ุ ขนั ธกะ วา พระโพธิสัตวเสด็จออกบรรพชา เสด็จ
ดวยขอบญั ญตั ปิ ลกี ยอยจาํ นวนมาก เชน ขามแมนํ้าอโนมาแลวจะอธิษฐานเพศ
การปลงผม ตัดเลบ็ ไมจิม้ ฟน ของใช บรรพชติ ทรงตดั มวยพระเกศาขวางไปใน
ตางๆ เปนตน ๖. เสนาสนขนั ธกะ วา อากาศ พระอินทรนําผอบแกวมารองรบั
๗๕
จฬู นิทเทส ๗๖ จูฬมัชฌมิ มหาศีล
เอาไปประดิษฐานในพระเจดียจุฬามณี มัชฌิมศีล (ศลี กลาง) และ มหาศลี (ศลี
ใหญ), หมายถึงศีลที่เปนหลักความ
ตอมาเมื่อพระพุทธเจาเสด็จดับขันธ- ประพฤติของพระภกิ ษุ ซ่ึงพระพุทธเจา
ตรัสแจกแจงไวในพระสูตรบางสูตร
ปรินิพพานแลว ในขณะแจกพระบรม- (ปรากฏในทีฆนิกาย สีลขันธวรรค คือ
พระไตรปฎกบาลอี กั ษรไทย เลม ๙ ท้งั
สารีริกธาตุ พระอินทรไดมานําเอาพระ ๑๓ สตู ร มีสาระเหมอื นกันหมด) และ
ทาฐธาตุ (พระเขยี้ วแกว) ขางขวาทโ่ี ทณ- เนื่องจากมีรายละเอียดมากมาย พระ
พราหมณซอนไวในผาโพกศรี ษะ ใสผอบ ธรรมสังคาหกาจารยจึงจัดเปน ๓
หมวด และต้ังช่ือหมวดอยางที่กลาวน้นั
ทอง นําไปบรรจุในจฬุ ามณเี จดยี ดวย ตามลาํ ดับ, ในพระสตู รแรกทีต่ รัสแสดง
จฬู นทิ เทส ดู นิทเทส 2., ไตรปฎก (เลม ศีลชุดน้ี (คือ พรหมชาลสูตร) พระองค
๓๐) ตรัสเพ่ือใหรูกันวา เรื่องท่ีปุถุชนจะเอา
จูฬปนถกะ พระมหาสาวกองคหน่ึงใน มากลาวสรรเสรญิ พระองค กค็ ือความมี
อสตี มิ หาสาวก เปนบตุ รของธิดาเศรษฐี ศีลอยางน้ี ซ่ึงแทจรงิ แลว เปนเรอ่ื งตํ่าๆ
เล็กนอย แตเร่อื งทจ่ี ะใชเปนขอสําหรบั
กรุงราชคฤห และเปนนองชายของพระ สรรเสริญพระองคไดถูกตองน้ัน เปน
เรอื่ งลกึ ซึ้ง ซึ่งบณั ฑติ จะพึงรู คือการที่
มหาปนถกะ ออกบวชในพระพุทธ ทรงมีพระปญญาท่ีทําใหขามพนทิฏฐิที่
ผดิ ท้ัง ๖๒ ประการ สวนในพระสูตร
ศาสนา ปรากฏวามีปญญาทึบอยางย่ิง นอกนัน้ ตรัสศลี ชุดน้เี พื่อใหเหน็ ลาํ ดับ
การปฏิบัติของบุคคลท่ีมีศรัทธาออก
พีช่ ายมอบคาถาเพยี ง ๑ คาถาใหทอง บวชแลว วาจะดาํ เนนิ กาวไปอยางไร โดย
เร่ิมดวยเปนผูถงึ พรอมดวยศลี สํารวม
ตลอดเวลา ๔ เดือน กท็ องไมได จงึ ถกู อินทรีย ประกอบดวยสติสัมปชัญญะ
เปนผูสนั โดษ เมอ่ื พรอมอยางน้ีแลว ก็
พช่ี ายขบั ไล เสยี ใจคดิ จะสกึ พอดพี บพระ เจริญสมาธิ จนเขาถึงจตุตถฌาน แลว
โนมจิตที่เปนสมาธิดีแลวน้ัน ใหมุงไป
พทุ ธเจา พระองคตรสั ปลอบแลวประทาน
๗๖
ผาขาวบริสุทธ์ิใหไปลูบคลําพรอมทั้ง
บริกรรมสั้นๆ วา “รโชหรณํ ๆ ๆ” ผา
นั้นหมองเพราะมือคลําอยูเสมอ ทําให
ทานมองเห็นไตรลักษณ และไดสําเร็จ
พระอรหตั ทานมคี วามชาํ นาญแคลวคลอง
ในอภญิ ญา ๖ ไดรบั ยกยองเปนเอตทคั คะ
ในบรรดาผฉู ลาดในเจโตววิ ฏั ฏ; ช่ือทาน
เรยี กงายๆ วา จูฬบนั ถก, บางแหงเขียน
เปน จุลลบนั ถก
จูฬมัชฌิมมหาศีล จูฬศีล (ศีลยอย)
จฬู มัชฌมิ มหาศลี ๗๗ จูฬมัชฌิมมหาศีล
เพ่ือญาณทัศนะ แลวกาวไปในวชิ ชา ๘ วนิ ัยปฎก และเปนผลทจ่ี ะเกดิ มเี มือ่ ได
ประการ จนบรรลอุ าสวกั ขยญาณในทส่ี ดุ ปฏบิ ัติตามสกิ ขาบทเหลาน้นั
โดยเฉพาะในขนั้ ตนทตี่ รสั ถงึ ศลี นนั้ พระ
องคไดทรงตง้ั เปนคาํ ถามวา “ภกิ ษเุ ปนผู เนื่องจากจฬู ศลี (ในภาษาไทย นยิ ม
ถงึ พรอมดวยศลี อยางไร?” จากนนั้ จึงได เรยี กวา จลุ ศลี ) มชั ฌมิ ศีล และมหาศีล
ทรงแจกแจงรายละเอยี ดในเรอื่ งศลี อยาง ท่ีตรสั ไว ยดื ยาว มีรายละเอียดมาก ใน
มากมาย ดงั ทเี่ รยี กวา จฬู ศลี มชั ฌิมศลี ท่ีน้ี จะแสดงเพียงหัวขอที่จะขยายเอง
และมหาศีล ทก่ี ลาวน้ี ได หรือพอใหเห็นเคาความ (ผตู องการ
รายละเอียด พึงดู ที.สี.๙/๓-๒๕/๕-๑๕;
พึงสังเกตวา ในพระสูตรท้ังหลาย ๑๐๓–๑๒๐/๘๓–๙๒)
ทรงจาํ กัดความ หรือแสดงความหมาย
ของ “ภกิ ษผุ ถู งึ พรอมดวยศลี ” ดวยจฬู - จฬู ศีล
มัชฌิมมหาศีลชุดน้ี หรือไมก็ตรัส ๑ . ล ะ ป า ณ า ติ บ า ต … ๒ . ล ะ
อธิบายเพียงส้ันๆ วา (เชน องฺ.จตุกฺก.๒๑/ อทินนาทาน… ๓.ละอพรหมจรรย… ๔.
๓๗/๕๐) “ภกิ ษุในธรรมวินยั นี้ เปนผมู ศี ลี ละมุสาวาท… ๕.ละปสุณาวาจา… ๖.
สํารวมดวยปาติโมกขสังวร ถึงพรอม ละผรุสวาจา… ๗.ละสมั ผัปปลาปะ… ๘.
ดวยอาจาระและโคจร มปี รกตเิ หน็ ภยั ใน เวนจากการพรากพีชคามและภูตคาม
โทษแมแคนดิ หนอย สมาทานศกึ ษาอยู ๙.ฉันมื้อเดียว…งดจากการฉันในเวลา
ในสิกขาบททงั้ หลาย” สวนในอรรถกถา วิกาล ๑๐.เวนจากการฟอนรําขับรอง
มบี อยครงั้ (เชน ม.อ.๒/๑๒/๕๔; ส.ํ อ.๓/๑๕๔/ ประโคมดนตรีและดูการเลนอันเปน
๑๙๗; อติ ิ.อ.๕๖/๕๔๕) ที่อธิบาย “ความถงึ ขาศึกแกกุศล ๑๑.เวนจากการทัดทรง
พรอมดวยศลี ” วาหมายถึงปารสิ ุทธิศลี ๔ ประดับและตกแตงรางกายดวยดอกไม
แตทงั้ หมดนัน้ ก็เปนเพยี งวิธีอธิบาย ซึ่ง ของหอมและเคร่ืองประเทอื งผวิ อนั เปน
ในท่ีสดุ ก็ไดสาระอนั เดียวกัน กลาวคือ ฐานแหงการแตงตวั ๑๒.เวนจากการน่งั
ศลี ที่ตรสั ในพระสูตร ไมวาโดยยอหรอื นอนบนทีน่ งั่ ที่นอนอนั สูงใหญ ๑๓.เวน
โดยพิสดาร และศลี ที่อรรถกถาจดั เปน จากการรับทองและเงิน ๑๔.เวนจากการ
ชดุ ข้ึนมานน้ั ก็คอื ความประพฤติทเ่ี ปน รับธัญญาหารดิบ ๑๕.เวนจากการรับ
วิถีชีวิตของพระภิกษุ ซ่ึงเปนจุดหมาย เนื้อดิบ ๑๖.เวนจากการรับสตรีและ
ของการบัญญัติประดาสิกขาบทในพระ กุมารี ๑๗.เวนจากการรับทาสีและทาส
๑๘.เวนจากการรับแพะและแกะ ๑๙.
๗๗
จฬู มัชฌมิ มหาศีล ๗๘ จฬู มชั ฌมิ มหาศลี
เวนจากการรบั ไกและสุกร ๒๐.เวนจาก โชคลาง เสกเปา เปนหมอดู หมองู
การรบั ชาง โค มา และลา ๒๑.เวนจาก หมอผี, แจงรายละเอียด มตี วั อยางมาก) ๒.
การรับไรนาและท่ดี นิ ๒๒.เวนจากการ เวนจากมิจฉาชีพดวยติรัจฉานวิชา
ประกอบทูตกรรมรับใชเดินขาว ๒๓. (จําพวกทายลักษณะคน ลักษณะของ
เวนจากการซือ้ การขาย ๒๔.เวนจากการ ลักษณะสัตว) ๓.เวนจากมิจฉาชพี ดวย
โกงดวยตาช่ัง การโกงดวยของปลอม ติรจั ฉานวชิ า (จาํ พวกดูฤกษดชู ัย) ๔.เวน
และการโกงดวยเคร่อื งตวงวดั ๒๕.เวน จากมจิ ฉาชีพดวยติรจั ฉานวชิ า (จาํ พวก
จากการรบั สินบน การลอลวง และการ ทาํ นายจนั ทรคราส สรุ ยิ คราส อกุ กาบาต
ตลบตะแลง ๒๖.เวนจากการเฉือนห่ัน และนักษัตรท่ีเปนไปและท่ีผิดแปลก
ฟน ฆา จองจาํ ตีชิง ปลน และกรรโชก ตางๆ) ๕. เวนจากมจิ ฉาชพี ดวยตริ จั ฉาน-
วิชา (จําพวกทาํ นายชะตาบานเมอื ง เร่อื ง
มชั ฌมิ ศลี ฝนฟา ภยั โรค ภยั แลง ภยั ทุพภกิ ขา
๑.เวนจากการพรากพีชคามและภูต- เปนตน) ๖.เวนจากมิจฉาชีพดวย
คาม (แจกแจงรายละเอียดดวย มิใชเพียงกลาว ตริ จั ฉานวชิ า (จาํ พวกใหฤกษ แกเคราะห
เปนหมอเวทมนตร ทรงเจา บวงสรวง สู
กวางๆ อยางในจฬู ศีล, ในขอตอๆ ไป กเ็ ชนกัน) ขวญั ) ๗.เวนจากมจิ ฉาชพี ดวยตริ จั ฉาน-
วชิ า (จําพวกทําพิธีบนบาน แกบน ทาํ พิธี
๒.เวนจากการบริโภคของท่ีทาํ การสะสม ตง้ั ศาล ปลกู เรือน บําบวงเจาท่ี บูชาไฟ
ไว ๓.เวนจากการดูการเลนอันเปนขาศกึ เปนหมอยา หมอผาตัด)
แกกุศล ๔.เวนจากการพนนั อนั เปนทต่ี ง้ั
แหงความประมาท ๕.เวนจากการนั่ง จะเห็นวา จฬู มชั ฌิมมหาศีลท้งั หมด
นอนบนท่ีน่ังท่ีนอนอันสูงใหญ ๖.เวน น้ี เนนศีลดานที่ทานจัดเปนอาชีวปาริ-
จากการมัววุนประดับตกแตงรางกาย สุทธิศีล และท่ีตรัสรายละเอยี ดไวมาก
๗.เวนจากติรัจฉานกถา (ดู ตริ จั ฉาน ในพระสูตรกลมุ นี้ นาจะเปนเพราะทรง
กถา) ๘.เวนจากถอยคําทุมเถียง มุงใหเห็นวิถีชีวิตและลักษณะความ
แกงแยง ๙.เวนจากการประกอบทูต ประพฤติของพระสงฆในพระพุทธ
กรรมรับใชเดนิ ขาว ๑๐.เวนจากการพูด ศาสนา ท่แี ตกตางจากสภาพของนักบวช
หลอกลวงเลียบเคยี งทาํ เลศหาลาภ มากมายที่เปนมาและเปนไปในสมัยน้ัน;
ดู ปาริสุทธศิ ลี , ดริ ัจฉานวิชา
มหาศีล
๑.เวนจากมิจฉาชีพดวยติรัจฉานวิชา ๗๘
(จําพวกทํานายทายทัก ทําพิธีเก่ียวกับ
จูฬวงส ๗๙ เจตนา
จฬู วงส ช่อื หนงั สือพงศาวดารลังกาฉบบั หรอื วตั ถทุ คี่ วรเคารพบชู า, เจดยี เกย่ี วกบั
“เล็ก” แตงโดยพระเถระหลายรูป พระพทุ ธเจามี ๔ อยางคอื ๑. ธาตเุ จดยี
บรรจุพระบรมสารรี ิกธาตุ ๒. บรโิ ภค-
พรรณนาความเปนมาของพระพุทธ เจดีย คือส่ิงหรือสถานท่ีที่พระพุทธเจา
เคยทรงใชสอย ๓. ธรรมเจดยี บรรจุ
ศาสนาและชาติลังกา ตอจากคัมภีร พระธรรม คอื พทุ ธพจน ๔. อทุ เทสกิ -
มหาวงส ตง้ั แต พ.ศ. ๘๔๕ จนถงึ พ.ศ. เจดยี คอื พระพทุ ธรปู ; ในทางศลิ ปกรรม
๒๓๕๘ ในสมัยท่ีถูกอังกฤษเขาครอง
เปนอาณานคิ ม (จฬู วงส กค็ ือ ภาค ๒
ของมหาวงสนัน่ เอง) ไทยหมายถึงส่ิงที่กอเปนยอดแหลมเปน
จฬู เวทลั ลสตู ร ชอ่ื สตู รหนงึ่ ในมชั ฌมิ นกิ าย ทบี่ รรจสุ งิ่ ท่เี คารพนบั ถือ เชน พระธาตุ
มูลปณณาสก แหงพระสุตตันตปฎก และอฐั ิบรรพบรุ ุษ เปนตน
แสดงโดยพระธรรมทินนาเถรี เปนคํา เจตนา ความตง้ั ใจ, ความมุงใจหมายจะ
ตอบปญหาทีว่ ิสาขอบุ าสกถาม ทํา, เจตจาํ นง, ความจํานง, ความจงใจ,
จฬู ศีล ดทู ่ี จูฬมัชฌิมมหาศลี เปนเจตสิกที่เกิดกบั จติ ทุกดวง เปนตัว
จฬู สังคาม ช่อื ตอนหนง่ึ ในคมั ภรี ปรวิ าร นําในการคดิ ปรุงแตง หรอื เปนประธาน
แหงพระวินยั ปฎก ในสังขารขันธ และเปนตวั การในการทํา
จูฬสุทธันตปริวาส “สุทธันตปริวาส
กรรม หรือกลาวไดวาเปนตัวกรรมที
อยางเล็ก” หมายความวา ปรวิ าสท่ีภกิ ษุ เดยี ว ดงั พทุ ธพจนวา “เจตนาหํ ภกิ ฺขเว
กมมฺ ํ วทาม”ิ แปลวา “เรากลาวเจตนาวา
ตองอาบัติสังฆาทิเสสหลายคราวดวย
กัน จําจาํ นวนอาบตั ิและวันทปี่ ดไดบาง เปนกรรม”; เจตนา ๓ คือ เจตนาใน ๓
อยูปรวิ าสไปจนกวาจะเห็นวาบรสิ ทุ ธ์ิ กาล ซง่ึ ใชเปนขอพจิ ารณาในเร่อื งกรรม
เจด็ ตาํ นาน “เจด็ เรอื่ ง” คอื พระปรติ รทมี่ ี และการใหผลของกรรม ไดแก ๑. ปพุ พ-
เจตนาเจตนากอนจะทาํ ๒.สนั นฏิ ฐาปก-
อาํ นาจคุมครองปองกันตามเร่ืองตนเดิม เจตนา เจตนาอันใหสําเร็จการกระทํา
หรือใหสําเร็จความมุงหมาย ๓. อปร-
ทเ่ี ลาไว ซงึ่ ไดจดั รวมเปนชดุ รวม ๗ เจตนา เจตนาสืบเนือ่ งตอๆ ไปจากการ
พระปรติ ร; อกี นยั หนง่ึ วา “เจด็ ปรติ ร” แต
ตามความหมายน้ี นาจะเขยี น เจ็ดตาํ นาณ
คอื เจด็ ตาณ (ตาณ=ปรติ ต, แผลงตาณ กระทําน้ัน (อปราปรเจตนา ก็เรียก),
เปนตาํ นาณ); ดู ปรติ ร, ปรติ ต เจตนา ๓ น้ี เปนคําในชนั้ อรรถกถา แต
เจดยี ทเ่ี คารพนบั ถอื , บคุ คล สถานท่ี กโ็ ยงกับพระไตรปฎก โดยเปนการสรปุ
๗๙
เจตภูต ๘๐ เจโตปรยิ ญาณ
ความในพระไตรปฎกบาง เปนการสรร ๓๐๘/๓๗๕) วา “ปพุ เฺ พว ทานา สมุ โน โหติ
ถอยคําท่ีจะใชอธิบายหลักกรรมตาม กอนให กด็ ใี จ, ทท จติ ตฺ ปสาเทติ
พระไตรปฎกนน้ั บาง เฉพาะอยางยง่ิ ใช กําลังใหอยู ก็ทาํ จติ ใหผดุ ผองเลือ่ มใส,
แนะนําเปนหลักในการท่ีจะทําบุญคือ ทตวฺ า อตฺตมโน โหติ คร้นั ใหแลว กช็ ่นื
กรรมทดี่ ี ใหไดผลมาก และมักเนนใน ชมปลมื้ ใจ”; ดู กรรม,ทกั ขณิ า,เวฬกุ ณั ฏก-ี
เรือ่ งทาน (แตในเรือ่ งทานนี้ เจตนาท่ี ๒ นนั ทมารดา
ทานมักเรยี กวา “มุญจนเจตนา” เพื่อให เจตภตู สภาวะซงึ่ เปนผคู ดิ , ตามทเ่ี ขาใจ
ชัดวาเปนความตั้งใจในขณะใหทาน กัน หมายถงึ ดวงชีพอนั เทีย่ งแทที่สิงอยู
จริงๆ คือขณะท่ีปลอยของออกไป แทน ในตัวคน ซง่ึ เช่ือกันวาออกจากรางไดใน
ทีจ่ ะใชวาสนั นฏิ ฐาปกเจตนา หรอื ความ เวลานอนหลับ และเปนตัวไปเกิดใหม
จงใจอันใหสาํ เรจ็ การกระทาํ ซงึ่ ในหลาย เมื่อกายนแี้ ตกทําลาย เปนคาํ ทไ่ี ทยเราใช
กรณี ไมตรงกบั เวลาของเหตกุ ารณ เชน เรยี กแทนคาํ วา อาตมนั หรอื อัตตา ของ
คนที่ทําบาปโดยขุดหลุมดักใหคนอื่นตก ลัทธิพราหมณ และเปนความเช่ือนอก
ลงไปตาย เม่ือคนตกลงไปตายสมใจ พระพุทธศาสนา
เจตนาท่ีลุผลใหขุดหลุมดักสําเร็จในวัน เจตสกิ ธรรมท่ีประกอบกบั จติ , อาการ
กอน เปนสันนฏิ ฐาปกเจตนา) ดงั ทท่ี าน หรือคณุ สมบตั ติ างๆ ของจิต เชน ความ
สอนวา ควรถวายทานหรอื ใหทานดวย โลภ ความโกรธ ความหลง ศรทั ธา
เจตนาในการให ท่ีครบทงั้ ๓ กาล คือ เมตตา สติ ปญญา เปนตน มี ๕๒
๑. กอนให มีใจยินดี (ปพุ พเจตนา หรอื อยาง จดั เปน อญั ญสมานาเจตสกิ ๑๓
บพุ เจตนา) ๒. ขณะให ทาํ ใจผองใส อกุศลเจตสิก ๑๔ โสภณเจตสิก ๒๕;
(มญุ จนเจตนา) ๓. ใหแลว ชน่ื ชมปลมื้ ใจ ถาจดั โดยขนั ธ ๕ เจตสกิ กค็ อื เวทนาขนั ธ
(อปรเจตนา), คาํ อธบิ ายของอรรถกถาน้ี สญั ญาขันธ และสงั ขารขันธ นนั่ เอง
ก็อางพุทธพจนในพระไตรปฎกน่ันเอง เจตสิกสุข สุขทางใจ, ความสบายใจ
โดยเฉพาะหลกั เรอื่ งทกั ขณิ าทพี่ รอมดวย แชมชนื่ ใจ; ดู สุข
องค ๖ อนั มผี ลยงิ่ ใหญ ซง่ึ ในดานทายก เจตี แควนหนึ่งในบรรดา ๑๖ แควนใหญ
หรอื ทายกิ า คอื ฝายผใู ห มอี งค ๓ ดงั ที่ แหงชมพูทวปี ต้งั อยูลมุ แมนาํ้ คงคา ตดิ
พระพุทธเจาตรัสในเร่ืองการถวายทาน ตอกบั แควนวงั สะ นครหลวงชอ่ื โสตถวิ ดี
ของเวฬุกัณฏกีนันทมารดา(อง.ฉกฺก.๒๒/ เจโตปริยญาณ ปรีชากําหนดรูใจผูอื่น
๘๐
เจโตวมิ ตุ ติ ๘๑ เจาอธิการแหงอาราม
ได, รูใจผูอ่ืนอานความคิดของเขาได การของสวนรวมในวดั ตามพระวนิ ยั แบง
เชน รวู าเขากําลงั คดิ อะไรอยู ใจเขาเศรา ไวเปน ๕ ประเภท คอื ๑. เจาอธกิ ารแหง
หมองหรือผองใส เปนตน (ขอ ๕ ใน จวี ร ๒. เจาอธกิ ารแหงอาหาร ๓. เจา
วิชชา ๘, ขอ ๓ ในอภญิ ญา ๖) อธกิ ารแหงเสนาสนะ ๔. เจาอธกิ ารแหง
เจโตวมิ ตุ ติ ความหลุดพนแหงจิต, การ อาราม ๕. เจาอธกิ ารแหงคลงั
หลุดพนจากกิเลสดวยอํานาจการฝกจิต เจาอธกิ าร 1. ดู อธกิ าร 2. เจาหนาท,่ี ผู
หรอื ดวยกําลงั สมาธิ เชน สมาบัติ ๘ ไดรับมอบหมายหรือแตงต้ังใหมีหนาที่
เปนเจโตวิมุตติอันละเอียดประณีต รบั ผดิ ชอบในเรือ่ งราวหรือกิจการนั้นๆ
(สนั ตเจโตวิมุตติ) เจาอธิการแหงคลัง ภิกษุท่ีสงฆสมมติ
เจรญิ พร คาํ เรมิ่ ทภี่ กิ ษสุ ามเณรพดู กับ คือแตงตั้งใหเปนเจาหนาท่ีเก่ียวกับคลงั
คฤหัสถผูใหญและสุภาพชนท่ัวไป เกบ็ พสั ดขุ องสงฆ มี ๒ อยาง คอื ผู
เทยี บไดกับ “เรยี น” และใชเปนคํารับ รกั ษาคลงั ทเี่ กบ็ พสั ดขุ องสงฆ (ภณั ฑา-
เทียบไดกับ “จะ” หรือ “ครบั ”, กบั ท้ังใช คารกิ ) และผจู ายของเลก็ นอยใหแกภกิ ษุ
เปนคําข้ึนตนและลงทายจดหมายท่ี ทัง้ หลาย (อัปปมัตตวสิ ัชกะ)
ภิกษุสามเณรมีไปถึงบุคคลเชนนั้นดวย เจาอธิการแหงจีวร คือ ภิกษุท่ีสงฆ
(คาํ ลงทาย นิยมใชวา “ขอเจริญพร”); ถา สมมติ คือแตงต้ังใหเปนเจาหนาท่เี กี่ยว
พูดกับเจานาย ใชวา “ถวายพระพร” กับจีวร มี ๓ อยาง คอื ผรู ับจีวร
และ “ขอถวายพระพร” (จวี รปฏคิ าหก) ผเู กบ็ จวี ร (จวี รนทิ หก) ผู
เจรญิ วปิ สสนา ปฏบิ ตั วิ ปิ สสนา, บาํ เพญ็ แจกจวี ร (จีวรภาชก)
วปิ สสนา, ฝกอบรมปญญาโดยพิจารณา เจาอธิการแหงเสนาสนะ ภิกษุท่ีสงฆ
สังขาร คอื รปู ธรรมและนามธรรมทัง้ สมมติ คือแตงตง้ั ใหเปนเจาหนาทเี่ กย่ี ว
หมดแยกออกเปนขันธๆ กําหนดดวย กบั เสนาสนะ แยกเปน ๒ คอื ผแู จก
ไตรลกั ษณวา ไมเท่ยี ง เปนทกุ ข เปน เสนาสนะใหภกิ ษถุ อื (เสนาสนคาหาปก)
อนตั ตา และผจู ดั ตง้ั เสนาสนะ (เสนาสนปญญาปก)
เจาภาพ เจาของงาน เจาอธิการแหงอาราม ภิกษุท่ีสงฆ
เจาหนาทที่ าํ การสงฆ ภกิ ษผุ ไู ดรบั สมมติ สมมติ คือแตงตั้งใหเปนเจาหนาที่เกี่ยว
คือแตงตั้งจากสงฆ (ดวยญัตติทุติย- กบั กจิ การงานของวัด แยกเปน ๓ คือ
กรรมวาจา) ใหทาํ หนาทต่ี างๆ เกย่ี วกบั ผูใชคนงานวัด (อารามิกเปสก) ผูใช
๘๑
เจาอธกิ ารแหงอาหาร ๘๒ โจรดุจผกู ธง
สามเณร (สามเณรเปสก) และผูดูแล โจท ฟองรอง; ทักทวง; ดู โอกาส
การปลูกสราง (นวกมั มิก) โจทก ผฟู องรอง
เจาอธิการแหงอาหาร ภิกษุที่สงฆ โจทนา กริ ิยาที่โจท, การโจท, การฟอง,
สมมติ คอื แตงตัง้ ใหเปนเจาหนาที่เกย่ี ว การทักทวง, การกลาวหา; คาํ ฟอง
กบั อาหาร มี ๔ อยาง คอื ผจู ดั แจกภตั โจทนากัณฑ ชื่อตอนหนึ่งในคัมภีร
(ภตั ตเุ ทศก) ผแู จกยาคู (ยาคภุ าชก) และ ปริวารแหงพระวินยั ปฎก
ผูแจกของเคี้ยว (ขชั ชภาชก) โจรกรรม การลัก, การขโมย, การ
เจาอาวาส สมภารวัด, หัวหนาสงฆในวัด กระทาํ ของขโมย
มีอํานาจและหนาท่ีปกครองดูแลอํานวย โจรดุจผกู ธง โจรผูรายทข่ี ึน้ ชอ่ื โดงดงั
กิจการทุกอยางเก่ยี วกบั วัด
๘๒
ฉ
ฉกามาพจรสวรรค สวรรคท่ียังเกี่ยว สามเณร)
ของกาม ๖ ช้นั คอื ๑. จาตุมหาราชิกา ฉันท คําประพนั ธประเภทหน่งึ กาํ หนด
๒. ดาวดึงส ๓. ยามา ๔. ดุสิต ๕. ดวยครุลหุ และกําหนดจํานวนคําตาม
นมิ มานรดี ๖. ปรนมิ มติ วสวตั ตี
ขอบังคับ
ฉลอง 1. แทน, ตอบแทน 2. ทาํ บุญ ฉนั ทะ๑ 1. ความพอใจ, ความชอบใจ,
สมโภชหรือบชู า ความยนิ ด,ี ความตองการ, ความรกั ใคร
ฉลองพระบาท รองเทา
ฉลองพระองค เสือ้ ใฝปรารถนาในสิ่งนั้นๆ (เปนกลางๆ
ฉวี ผวิ กาย
ฉฬังคเุ บกขา อเุ บกขามีองค ๖ คอื ดวย เปนอกุศลก็ได เปนกุศลก็ได, เปน
อญั ญสมานาเจตสกิ ขอ ๑๓ (ปกณิ ณก
ตาเห็นรูป หูไดยินเสียง จมูกสูดดม
เจตสกิ ขอ ๖), ทเ่ี ปนอกศุ ล เชนในคาํ วา
กลนิ่ ลิน้ ลิม้ รส กายถูกตองโผฏฐัพพะ กามฉนั ทะ ทเี่ ปนกศุ ล เชน ในคาํ วา
อวหิ งิ สาฉนั ทะ)
ใจรูธรรมารมณแลว ไมดีใจ ไมเสยี ใจ 2. ฉันทะ ท่ีใชเปนคาํ เฉพาะ มา
วางจติ อุเบกขา มีสติสมั ปชัญญะอยู (ข.ุ ม. เดยี่ วๆ โดยทวั่ ไปหมายถงึ กศุ ลฉนั ทะ
๒๙/๔๑๓/๒๘๙) เปนคณุ สมบตั อิ ยางหน่ึง หรอื ธรรมฉนั ทะ ไดแก กตั ตกุ มั ยตาฉนั ทะ
ของพระอรหันต ซึ่งมอี ุเบกขาดวยญาณ คอื ความตองการทจี่ ะทาํ หรอื ความอยาก
คือดวยความรูเทาทันถึงสภาวะของส่ิง ทาํ (ใหด)ี เชน ฉนั ทะทเี่ ปนขอ ๑ ใน อทิ ธิ
ทั้งหลาย อันทําใหไมถูกความชอบชัง บาท ๔; ตรงขามกบั ตณั หาฉนั ทะ ซงึ่ เปน
ยินดียินรายครอบงําในการรับรูอารมณ ความอยากเสพ อยากได อยากเอาเพอ่ื
ทั้งหลาย ตลอดจนไมหว่ันไหวเพราะ ตวั ทเ่ี ปนฝายอกศุ ล เรยี กสน้ั ๆ คาํ เดยี ว
โลกธรรมทั้งปวง; ดู อุเบกขา วา ตณั หา
ฉอ โกง เชนรบั ฝากของ ครั้นเจาของมา
ฉันทะพึงแยกความหมายใหเขาใจงายๆ
ขอคืน กลาวปฏิเสธวาไมไดรับไว หรอื วา ฉนั ทะ เปนความอยากเพอื่ สภาวะ
ไดใหคนื ไปแลว คอื อยากเพอื่ ความดงี าม เพอ่ื ความเตม็
ฉักกะ หมวด ๖ เปยมสมบูรณของสิ่งน้ันๆ คนนั้นๆ
ฉัน กนิ , รับประทาน (ใชสาํ หรับภิกษแุ ละ สภาพนน้ั ๆ เอง เชนเหน็ ตนไม กอ็ ยากให
ฉนั ทะ๒ ๘๔ ฉนั ทสั ,ฉันทส
มันเจริญงอกงามมีดอกใบสะพรั่งสีสัน มอบแกภิกษุรูปหน่ึงควบไปกับฉันทะ
งดงามทําใหถิ่นสถานร่ืนรมยเกื้อกูลแก โดยมอบปารสิ ุทธิวา “ปารสิ ทุ ฺธึ ทมฺมิ,
ชวี ติ จติ ใจ และเมอื่ มนั ดงี ามสมบรู ณ ก็ ปารสิ ทุ ธฺ ึ เม หร, ปารสิ ทุ ธฺ ึ เม อาโรเจห”ิ
ชน่ื ชมยนิ ดี อยากใหมนั งอกงามสมบรู ณ และมอบฉันทะอยางที่แสดงขางตน
สบื ตอไป, สวน ตณั หา เปนความอยาก (ภิกษุใดทําอุโบสถท่ีวัดอ่ืนแลวมายังวัด
เพอ่ื ตวั ตน คอื อยากได อยากเอามาให น้นั ถาเธอไมเขารวมประชุมเพ่ือเปนการ
ตัวไดเสพ เปนตน เชนเหน็ ตนไมงาม ใหกายสามัคคี ก็พึงมอบฉันทะอยาง
สมบรู ณที่ไหน กอ็ ยากตดั เอาไปขายให เดยี ว ไมตองมอบปาริสุทธ)ิ
ตวั ไดเงนิ ดงั นเ้ี ปนตน ฉนั ทราคะ ความพอใจติดใคร, ความ
ฉนั ทะ๒ ความยนิ ยอม, ความยนิ ยอมใหที่ ชอบใจจนตดิ , ความอยากทแ่ี รงข้นึ เปน
ประชมุ ทาํ กจิ นน้ั ๆ ในเมือ่ ตนมไิ ดรวมอยู ความติด; ฉันทะ ในท่นี ี้ หมายถึงอกุศล-
ดวย, เปนธรรมเนียมของภกิ ษุ ท่อี ยใู น ฉันทะ คือตัณหาฉันทะ ซึ่งในขั้นตน
วัดเดียวกันภายในสีมา มีสิทธิที่จะเขา เม่ือเปนราคะอยางออน (ทุพพลราคะ)
ประชุมทํากิจของสงฆ พึงเขารวม ก็เรียกแควาเปนฉันทะ แตเม่ือมีกําลัง
ประชุมทําสังฆกรรม เวนแตภิกษุใดมี มากขน้ึ กก็ ลายเปนฉันทราคะ คือราคะ
เหตุจําเปนจะเขารวมประชุมดวยไมได อยางแรง (พลวราคะ หรอื สิเนหะ); ดู
เชนอาพาธ กม็ อบฉันทะคอื แสดงความ ฉนั ทะ 1.
ยนิ ยอมใหสงฆทํากิจนั้นๆ ได, วธิ ีมอบ ฉันทัส, ฉันทส ภาษาพระเวท, สันสกฤต;
ฉันทะ คือบอกแกภิกษุรูปหนึ่งโดย มีพุทธบัญญัติหามมิใหยกพทุ ธพจนเปน
กลาววา “ฉนทฺ ํ ทมฺม,ิ ฉนทฺ ํ เม หร, ฉันทัส คือภาษาพระเวท หรือภาษา
ฉนทฺ ํ เม อาโรเจหิ” (ถาผมู อบออน สันสกฤต ความวา “ไมพงึ ยกพทุ ธวจนะ
พรรษากวา เปล่ียน หร เปน หรถ และ ขน้ึ โดยฉันทัส (ภาษาสนั สกฤต) ภกิ ษรุ ปู
เปลีย่ น อาโรเจหิ เปน อาโรเจถ); เฉพาะ ใดยกขึ้น ตองอาบัติทุกกฏ, ภิกษุทั้ง
ในการทําอโุ บสถ มีขอพเิ ศษวา ภิกษุท่ี หลาย เราอนุญาตใหเรียนพุทธพจน
อาพาธหรือมีกิจจาํ เปนจะเขารวมประชมุ ดวยภาษาของตน” (น ภิกฺขเว พุทฺธวจน
ไมไดน้นั นอกจากมอบฉนั ทะแลว พงึ ฉนทฺ โส อาโรเปตพฺพ, โย อาโรเปยฺย
มอบปารสิ ทุ ธดิ วย (ในสงั ฆกรรมอน่ื ไม อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส; อนุชานามิ ภกิ ขฺ เว
ตองมอบปารสิ ทุ ธ)ิ , วธิ มี อบปารสิ ทุ ธิ คอื สกาย นริ ุตฺตยิ า พทุ ฺธวจน ปริยาปุณิตุ”
๘๔
ฉันทาคติ ๘๕ ฉนั ม้อื เดียว
(วินย.๗/๑๘๐/๗๐); ดู สันสกฤต, สกา ภตั เดยี ว” ตามวฒั นธรรมของชมพทู วปี
นิรุตติ สมยั นน้ั ภตั หมายถงึ อาหารทจ่ี ดั เปนมอื้
ฉนั ทาคติ ลาํ เอียงเพราะรักใคร (ขอ ๑ ตามชวงเวลาของวนั ซงึ่ มมี อื้ หลกั ๒ มอ้ื
ในอคติ ๔) คอื ปาตราสภตั (มอ้ื เชา) ไดแกอาหารที่
ฉนั ทารหะ “ผคู วรแกฉนั ทะ”, ภกิ ษทุ สี่ งฆ กนิ ในชวงเชาถงึ กอนเทยี่ งวนั และสาย-
ควรไดรบั มอบฉนั ทะของเธอ คอื เมอื่ สงฆ มาสภตั (มอ้ื สาย, สายในภาษาบาลี คอื
คาํ เดยี วกบั สายณั ห) ไดแกอาหารทก่ี นิ ใน
ครบองคประชมุ แลว ภกิ ษใุ ดในสมี านัน้ มี ชวงหลังเท่ียงวันถึงกอนอรุณวันใหม
ตามความหมายนี้ ภกิ ษฉุ นั มอ้ื เดยี ว (มี
สทิ ธิเขารวมประชมุ แตเธออาพาธหรือ ภัตเดียว) จึงหมายถึง ฉันอาหารมื้อ
กอนเทย่ี งวันทีว่ ามาน้ี ตรงกับขอความ
ติดกจิ จาํ เปนไมอาจมารวมประชมุ ภิกษุ บาลที ี่นํามาใหครบวา (เชน ท.ี สี.๙/๑๐๓/๘๔)
“เอกภตฺตโิ ก โหติ รตฺตูปรโต วริ โต
นั้นเปนฉันทารหะ (ภิกษุรูปใดรูปหน่ึง วกิ าลโภชนา” (แปลวา: เปนผฉู นั มอื้ เดยี ว/
มีภัตเดียว งดอาหารคํ่าคืน เวนจาก
พึงรับมอบฉันทะของเธอมาแจงแกสงฆ โภชนะนอกเวลา) นคี่ อื เมอ่ื บอกวาฉนั
คือแกที่ประชุมนัน้ ); ดู กัมมปตตะ มอื้ เดยี วแลว กอ็ าจถามวามอื้ ไหน จงึ พดู
ฉันนะ อํามาตยคนสนิทผูเปนสหชาติ กันชวงเวลาใหญคือกลางคืนที่ตรงขาม
และเปนสารถีของเจาชายสิทธัตถะในวนั กบั กลางวนั ออกไปกอน แลวกก็ าํ กบั ทาย
วา ถงึ แมในชวงกลางวนั นน้ั กไ็ มฉนั นอก
เสด็จออกบรรพชา ฉนั นะตามเสดจ็ ไป เวลา คอื ไมเลยเทย่ี งวนั โดยนยั น้ี ภกิ ษุ
ตามปกติจึงเปนผูฉันภัตเดียวคืออาหาร
ดวย ภายหลงั บวชเปนภิกษุ ถอื ตวั วา มื้อกอนเที่ยงวันน้ี และอรรถกถาจึง
อธบิ ายวา ฉนั มอื้ เดยี วน้ี ถงึ จะฉนั ๑๐
เปนคนใกลชิดพระพุทธเจามาแตเกา ครงั้ เมอื่ ไมเลยเทยี่ ง กเ็ ปนเอกภตั ตกิ ะ
(เชน ที.อ.๑/๑๐/๗๔) ๒. ภกิ ษทุ ต่ี ามปกติ
กอน ใครวาไมฟง เกดิ ความบอยๆ หลงั เปนเอกภตั ตกิ ะฉนั มอื้ เดยี วนแ้ี หละ เมอื่
จะฝกตนใหย่ิงข้ึนไปอีก อาจปฏิบัติให
จากพระพุทธเจาปรินิพพานแลว ถูก
๘๕
สงฆลงพรหมทัณฑหายพยศ และได
สําเรจ็ เปนพระอรหันต
ฉนั มือ้ เดียว ขอความภาษาไทยน้ี ในแง
ธรรมวินัย ยังมคี วามหมายกาํ กวม เมื่อ
จะทําความเขาใจ พึงแยกเปน ๒ นัย
คือ ๑. ตามคําบรรยายวถิ ชี วี ิตของพระ
ภกิ ษุ เชน ในจูฬศลี วา ภกิ ษเุ ปนผู “ฉนั
ม้ือเดียว” น้ีคือคําแปลจากคําบาลีวา
“เอกภตั ตกิ ะ” ซงึ่ แปลรกั ษาศพั ทวา “มี
ฉพั พรรณรงั สี ๘๖ เฉทนกปาจิตตยี
เครงครดั โดยเปนเอกาสนกิ ะ แปลวา ฉาตกภยั ภยั คอื ความหวิ , ภยั อดอยาก,
“ผฉู ันท่นี ัง่ เดยี ว” หรือฉนั ทอี่ าสนะเดียว มกั มากับภัยแลง (ทพุ พฏุ ฐภิ ยั ) หรอื ภัย
หมายความวา ในวนั หนง่ึ ๆ กอนเทยี่ งนน้ั ขาวยากหมากแพง (ทุพภิกขภยั )
เมอื่ ลงน่ังฉันจนเสรจ็ ลกุ จากทน่ี ั่นแลว ฉายา 1. เงา, อาการทเ่ี ปนเงาๆ คือไมชดั
จะไมฉันอีกเลย นี่คือฉันม้ือเดียวใน ออกไป, อาการเคลือบแฝง 2. ชอื่ ท่ีพระ
ความหมายวาฉันวันละคร้งั เดยี ว (เปน อุปชฌายะตั้งใหแกผูขอบวชเปนภาษา
ทง้ั เอกภตั ติกะ และเอกาสนกิ ะ) และถา บาลี เรยี กวา ชอื่ ฉายา ทเ่ี รียกเชนน้ี
ตองการ จะถอื ปฏบิ ตั จิ รงิ จงั เปนวตั รเลย เพราะเดิมเม่อื เสรจ็ การบวชแลว ตองมี
กไ็ ด เรยี กวาถอื ธดุ งค ขอ “เอกาสนกิ งั คะ” การวัดฉายาคือเงาแดดดวยการสืบเทา
โดยสมาทานวา (เชน วิสุทฺธิ.๑/๘๕) วาเงาหดหรือเงาขยายแคไหน ชั่วก่ีสืบ
“นานาสนโภชน ปฏกิ ขฺ ปิ ามิ เอกาสนกิ งคฺ เทา การวดั เงาดวยเทาน้ันเปนมาตรานบั
สมาทิยามิ” (แปลวา: ขาพเจางดการฉนั ที่ เวลา เรยี กวา บาท เมื่อวัดแลวจดเวลา
อาสนะตางๆ ขาพเจาสมาทานองคแหง ไวและจดสง่ิ อ่นื ๆ เชนชอ่ื พระอปุ ชฌายะ
ภิกษุผูมีการฉันที่อาสนะเดียวเปนวัตร) พระกรรมวาจาจารย จาํ นวนสงฆ และ
ผทู เ่ี ปนเอกาสนกิ ะอยางเครงทสี่ ดุ (เรยี ก ชอื่ ผูอุปสมบท ทงั้ ภาษาไทยและมคธลง
วาถอื อยางอกุ ฤษฏ) เมอื่ นง่ั ลงเขาที่ ตนมี ในนัน้ ดวย ช่อื ใหมที่จดลงตอนวัดฉายา
อาหารเทาใดก็ตาม พอหยอนมือลงท่ี นน้ั จึงเรียกวา ชื่อฉายา
โภชนะจะฉนั กไ็ มรบั อาหารเพม่ิ เตมิ ใดๆ ฉายาปาราชิก “เงาแหงปาราชิก” คือ
อีก จนลุกจากท่ที เี ดยี ว; ดู เอกภตั ติกะ, ประพฤติตนในฐานะที่ลอแหลมตอ
เอกาสนกิ ะ; จูฬศีล, ธดุ งค
ปาราชกิ อาจเปนปาราชิกได แตจบั ไม
ฉพั พรรณรงั สี รศั มี ๖ ประการ ซง่ึ เปลง ถนัด เรยี กวา ฉายาปาราชิก เปนผูท่ี
ออกจากพระวรกายของพระพทุ ธเจา คอื สงฆรงั เกียจ
๑. นลี ะ เขยี วเหมอื นดอกอญั ชนั ๒. ปตะ ฉิบหายเสียจากคุณอันใหญ ไมได
เหลืองเหมือนหรดาลทอง ๓. โลหิตะ บรรลุโลกุตตรธรรม, หมดโอกาสท่ีจะ
แดงเหมือนตะวันออน ๔. โอทาตะ ขาว บรรลุโลกตุ ตรธรรม
เหมอื นแผนเงนิ ๕. มญั เชฐ สหี งสบาท เฉทนกปาจิตตีย อาบัติปาจิตตยี ทต่ี อง
เหมือนดอกเซงหรือหงอนไก ๖. ตัดส่ิงของท่ีเปนเหตุใหตองอาบัติเสีย
ประภสั สร เลอื่ มพรายเหมอื นแกวผลกึ กอน จึงแสดงอาบตั ติ ก ไดแก สิกขาบท
๘๖
เฉวยี ง ๘๗ เฉวียง
ท่ี ๕, ๗, ๘, ๙, ๑๐ แหงรตนวรรค บา”) ซาย, ในที่นีห้ มายถึง พาดจวี รไวที่
(ปาจติ ตียขอ ๘๗, ๘๙, ๙๐, ๙๑, ๙๒) บาซาย
เฉวียง (ในคําวา “ทาํ ผาอุตราสงคเฉวยี ง
๘๗
ช
ชฎา ผมท่ีเกลาเปนมวยสูงข้ึน, เคร่ือง ชนเมชยะ พระเจาแผนดินในครง้ั โบราณ
ประดบั สาํ หรบั สวมศรี ษะ รปู คลายมงกฎุ เคยทําพิธีอัศวเมธ เพ่ือประกาศความ
ชฎิล นกั บวชประเภทหน่ึง เกลาผมมนุ เปนพระเจาจักรพรรดิ
เปนมวยสูงข้นึ มกั ถือลทั ธิบชู าไฟ บาง ชนวสภสตู ร สตู รหนงึ่ ในคมั ภรี ทฆี นกิ าย
ครั้งจดั เขาในพวกฤษี มหาวรรค สุตตันตปฎก วาดวยเรอ่ื งท่ี
ชฎลิ สามพีน่ อง ดู ชฎลิ กัสสปะ พระเจาพิมพิสารซ่ึงสวรรคตไปเกิดเปน
ชฎลิ กัสสปะ กัสสปะสามพนี่ อง คือ อรุ -ุ ชนวสภยักษ มาสําแดงตนแกพระพทุ ธ-
เวลกสั สปะ นทกี สั สปะ คยากัสสปะ ผู เจา และพระอานนท แลวเลาเหตกุ ารณ
เปนนักบวชประเภทชฎลิ (ฤๅษีกัสสปะ ท่ีพวกเทวดามาประชุมในสวรรคช้ัน
สามพน่ี อง) ดาวดึงส พากันชื่นชมขาวดีที่เทวดามี
ชตกุ ัณณีมาณพ ศิษยคนหนง่ึ ในจํานวน จํานวนเพิ่มขึ้นเพราะคนประพฤติตาม
๑๖ คน ของพราหมณพาวรี ท่ไี ปทูล คาํ สอนของพระพทุ ธเจา
ถามปญหากะพระศาสดา ทป่ี าสาณเจดยี ชมพทู วปี “ทวปี ทก่ี าํ หนดหมายดวยตน
ชตเุ ภสัช พชื ท่มี ียางเปนยา, ยาทาํ จาก หวา (มตี นหวาเปนเครอื่ งหมาย) หรอื ทวปี
ยางพืช เชน มหาหิงคุ กาํ ยาน เปนตน ทม่ี ตี นหวาใหญ(มหาชมพ)ู เปนประธาน”,
ชนกกรรม กรรมทีน่ าํ ใหเกดิ , กรรมที่ ตามคติโบราณวา มีสัณฐานคือรูปราง
เปนกุศลหรืออกุศลก็ตามท่ีเปนตัวแตง เหมอื นเกวยี น, เปนชอื่ ครงั้ โบราณอนั ใช
สัตวใหเกิด คือชักนําใหถือปฏิสนธิใน เรยี กดนิ แดนทก่ี าํ หนดคราวๆ วา คอื
ภพใหม เมอ่ื สิน้ ชีวติ จากภพนี้ (ขอ ๕ ประเทศอนิ เดยี ในปจจบุ นั (แตแทจรงิ นน้ั
ในกรรม ๑๒) ชมพูทวีปกวางใหญกวาอินเดียปจจุบัน
ชนนี หญงิ ผใู หเกดิ , แม
ชนบท “ถ่ินแดนที่ประชาชนไปถึงมาถึง มาก เพราะครอบคลมุ ถงึ ปากสี ถานและ
หรอื ไปมาถงึ กนั ” 1. แวนแควน, ประเทศ อฟั กานสิ ถาน เปนตน ดวย); ชมพทู วปี ใน
2. บานนอก; ดู มหาชนบท, ชมพูทวีป สมยั พทุ ธกาล ประกอบดวยมหาชนบท
ชนมายุกาล เวลาที่ดํารงชีวิตอยูแตปที่ คอื แวนแควนใหญ หรอื มหาอาณาจกั ร
๑๖ เรยี งคราวๆ จากตะวนั ออก (แถบบงั -
เกิดมา กลาเทศ) ขนึ้ ไปทางตะวนั ตกเฉยี งเหนอื
ชมพพู ฤกษ ๘๙ ชยมังคลัฏฐกคาถา
(แถบเหนอื ของอฟั กานสิ ถาน) คอื องั คะ สวนที่นาํ เอามาวา ชยปริตตคาถา (คาถา
มคธ กาสี โกศล วชั ชี มลั ละ เจตี วงั สะ ของชยปริตร คือไมใชเต็มท้ังชยปริตร),
กรุ ุ ปญจาละ มจั ฉะ สรุ เสนะ อสั สกะ โดยเฉพาะชยปริตตคาถาสวนท่ีนาํ มาใช
อวนั ตี คนั ธาระ และกมั โพชะ (กลาวในพระ ในการเจรญิ ชยั มงคลคาถา เรยี กชอ่ื เปน
ไตรปฎก เชน อง.ฺ ตกิ .๒๐/๕๑๐/๒๗๓); ดู อินเดยี พเิ ศษวาชยั มงคลคาถาไดแกคาถาตอไปน้ี
ชมพูพฤกษ ตนหวา
ชยปรติ ตคาถา คาถาของชยปรติ ร, คาถา ชยนฺโต โพธิยา มเู ล สกยฺ านํ นนทฺ ิวฑฺฒโน
ทป่ี ระกอบขน้ึ เปนชยปรติ ร; ดูท่ี ชยปริตร เอวํ ตฺวํ วชิ โย โหหิ ชยสฺสุ ชยมงฺคเล
ชยปรติ ร “ปรติ รแหงชยั ชนะ”, ปรติ รบท อปราชติ ปลฺลงฺเก สเี ส ป วโิ ปกขฺ เร
หนง่ึ ประกอบดวยคาถาทแ่ี ตงขน้ึ ใหมใน อภิเสเก สพฺพพทุ ฺธานํ อคคฺ ปปฺ ตโฺ ตปโมทติฯ
ยคุ หลงั โดยนาํ เอาพทุ ธพจน (สนุ กขฺ ตตฺ สุนกขฺ ตฺตสุมงคฺ ล สปุ ภาต สหุ ุฏ ติ
สมุ งคฺ ล ฯเปฯ สห สพเฺ พหิ าตภิ ,ิ อง.ฺ ตกิ . สุขโณ สมุ ุหุตโฺ ต จ สุยิฏ พฺรหฺมจาริสุ
๒๐/๕๙๕/๓๗๙) มาตง้ั เปนแกน เรมิ่ ตนวา ปทกขฺ ณิ กายกมมฺ วาจากมมฺ ปทกขฺ ิณ
“มหาการณุ โิ ก นาโถ” จดั เปนปรติ รบทท่ี ปทกขฺ ิณมโนกมฺม ปณิธี เต ปทกขฺ ณิ า
ปทกฺขิณานิ กตฺวาน ลภนตฺ ตเฺ ถ ปทกฺขิเณ ฯ
๑๒ (บทสดุ ทาย) ใน “สบิ สองตาํ นาน” เมื่อสวดชัยมงคลคาถานี้จบแลว ก็
ชยปรติ รน้ี นยิ มสวดกนั มาก นอกจาก ตอลงทายดวยสัพพมงั คลคาถา (มงั คล-
ใชสวดรวมในชดุ สบิ สองตาํ นาน และพวง โสตถิคาถา กเ็ รียก) คือ “ภวตุ สพพฺ -
ทายเจด็ ตาํ นานแลว ยังตดั เอาบางสวน มงคฺ ลํ ฯเปฯ สทา โสตถฺ ี ภวนฺตุ เต”
ไปใชตางหากจากชุด สาํ หรับสวดในพิธี เปนอันจบการเจรญิ ชยั มงคลคาถา; ดู
หรอื ในโอกาสอ่ืนดวย เชน นาํ ไปสวดตอ ปรติ ร, ถวายพรพระ
จากชยมังคลัฏฐกคาถา (พุทธชยั มงคล- ชยมังคลฏั ฐกคาถา “คาถาวาดวยหมวด
คาถา) ในการถวายพรพระ และจดั เปน ๘ แหงชยั มงคล” ไดแก คาถาอันแสดง
บทเฉพาะสาํ หรบั สวดในกาํ หนดพธิ พี เิ ศษ มงคลคือชัยชนะของพระพุทธเจา ๘
หรอื มงคลฤกษตางๆ เปนตนวา โกนผม เรอ่ื ง ดังนี้ ๑. ทรงชนะมาร ดวยพระ
ไฟ ตดั จกุ วางศลิ าฤกษ เปดงาน เปด บารมธี รรมมที านเปนตน ๒. ทรงชนะ
ราน รบั พระราชทานปรญิ ญาบตั ร เททอง อาฬวกยกั ษ ดวยพระขนั ติ ๓. ทรงชนะ
หลอพระ เรยี กวาเจรญิ ชยั มงคลคาถา ชางนาฬาคีรีที่ตกมัน ดวยพระเมตตา
ชยปรติ รทนี่ าํ บางสวนมาใชนนั้ เรยี ก ๔. ทรงชนะโจรองคุลิมาล ดวยการดล
๘๙
ชยเสนะ ๙๐ ชวนะ
ฤทธิ์ ๕. ทรงชนะนางจญิ จมาณวกิ า ดวย อารมณ ทางทวารทั้งหลาย (ทางตา หู
จมูก ลน้ิ กาย หรอื ใจ) เปนวิถีจติ ในชวง
ความสงบเย็นพระทัยเปนสนั ติธรรม ๖. หรือขั้นตอนทีท่ ํากรรม (เปนกศุ ลชวนะ
หรืออกศุ ลชวนะ แตถาเปนจิตของพระ
ทรงชนะสจั จกนคิ รนถ ดวยพระปญญา อรหนั ต กไ็ มทาํ กรรม เปนกริ ยิ าชวนะ)
จึงถือวาอยูในชวงที่สําคัญ, โดยทั่วไป
๗. ทรงชนะนนั โทปนนั ทนาคราช ดวย และอยางมากทีส่ ดุ ปถุ ชุ นในกามภูมิ มี
ชวนจติ เกดิ ขนึ้ ๗ ขณะ แลวเกดิ ตทารมณ
ทรงอนุญาตการใชฤทธ์ิ แกพระมหา (ตทาลมั พณะ หรอื ตทาลมั พนะ กเ็ รียก)
เปนวิปากจิตขน้ึ มา ๒ ขณะ แลวก็เกิด
โมคคลั ลานะ ๘. ทรงชนะพระพรหมนาม เปนภวงั คจิต เรียกกนั วาตกภวังค เปน
อันสิ้นสุดวิถีจิต คือสิ้นสุดการรับ
วาพกะ (คนไทยเรยี กวา พกาพรหม) อารมณไปวิถีหนงึ่ , ทีว่ ามานี้ เปนกรณที ี่
รับอารมณที่มีกําลังแรงหรือเดนชัดมาก
ดวยพระญาณหย่ังรู; บางทีเรียกแยก (ถาเปนอารมณใหญมากทางปญจทวาร
คือทางตา หู จมูก ลน้ิ กาย เรยี กวา
เปน ชยมังคลอัฏฐกคาถา, พุทธชัย- อตมิ หนั ตารมณ ถาเปนอารมณเดนชัด
ทางมโนทวาร เรยี กวา วภิ ตู ารมณ) แต
มงคลคาถา กเ็ รียก, ชาวบานมักเรียก ถาอารมณท่ีรับนั้นมีกําลังไมมากนัก
หรอื ไมเดนชดั (คอื เปนมหนั ตารมณทาง
งายๆ วา คาถาพาหุง (เพราะข้นึ ตนดวย ปญจทวาร หรือเปนอวิภูตารมณทาง
มโนทวาร) พอชวนจติ ขณะท่ี ๗ ดับไป
คําวา “พาหุ”), เรียกอยางเต็มแทวา ก็เกิดเปนภวังคจิตตอเลย (เรยี กวาตก
“พุทธชยมงั คลอฏั ฐกคาถา”; ดู ถวายพร ภวงั ค) ไมมตี ทารมณเกิดข้นึ , ยงิ่ กวานนั้
พระ; เทียบ ชยั มงคลคาถา ในทางปญจทวาร ถาอารมณทก่ี ระทบ มี
ชยเสนะ พระราชบิดาของพระเจาสีหหนุ กําลงั นอย (เปนปรติ ตารมณ) หรือออน
ครองนครกบิลพสั ดุ กาํ ลงั อยางยิง่ (เปนอติปริตตารมณ) วิถี
ชราธรรม มคี วามแกเปนธรรมดา, มคี วาม จิตจะเกิดข้ึนนอยขณะ แลวเกิดเปน
แกเปนของแนนอน; ธรรมคอื ความแก
ชราภาพ ความแก, ความชาํ รดุ ทรดุ โทรม ๙๐
ชลาพุชะ, ชลามพุชะ สตั วเกดิ ในครรภ
ไดแกมนษุ ย และสตั วเดยี รัจฉานทีอ่ อก
ลกู เปนตวั (ขอ ๑ ในโยนิ ๔)
ชลาลยั “ท่อี ยขู องน้ํา”, แมนา้ํ , สระ, ทะเล
ชลาศัย “ทอี่ ยูของนาํ้ ”, แมน้ํา, สระ, ทะเล
ชโลทกวารี นํ้า
ชวนะ “การแลนไป”, “การไปเรว็ ”, “การ
สวางวาบ”, ความเร็ว, ความไว; จิต ขณะ
ท่ีแลนไปในวิถี ทําหนาท่ีรับรูเสพ
ชะตา ๙๑ ชยั มงคลคาถา
ภวงั คจติ (ตกภวังค) โดยไมมีชวนจติ ก็เตมิ คาํ กํากับลงไปวา “ชวนจติ ” หรือ
เกดิ ขนึ้ เลย, ทวี่ ามานน้ั เปนการพดู ทวั่ ไป “ชวนกิจ” ตามลาํ ดับ; ดู วิถจี ติ
ยงั มขี อพิเศษหลายอยาง เชน ในกามภูมิ ชะตา เวลาท่ีถือกําเนิดของคนและส่ิงท่ี
น้ีแหละ ในกรณีที่อารมณออนกําลัง สาํ คญั
ชวนจิตเกิดแค ๖ ขณะก็มี ในเวลาจะ ชักสื่อ นําถอยคําหรือขาวสารของชาย
สน้ิ ชีวติ ชวนจิตเกดิ เพยี ง ๕ ขณะ ใน และหญิง จากฝายหน่ึงไปบอกอีกฝาย
เวลาเปนลม สลบ งวงจัด เมาสุรา หน่ึง หรือจากทั้งสองฝายใหรูถึงกัน
เปนตน หรือกรณีมีปสาทวตั ถุออนกาํ ลงั เพื่อใหเขาสําเร็จความประสงคในทาง
ยง่ิ อยางทารกในครรภหรอื เพง่ิ เกดิ ชวน- เมถนุ (สังฆาทเิ สส สกิ ขาบทท่ี ๕)
จติ เกดิ ขน้ึ เพยี ง ๔-๕ ขณะ สวนในภมู ิท่ี ช่ังเกียจ ตราช่ังท่ีไมซ่ือตรง ทําไวเอา
สูงขึ้นไป เชน ในการบรรลฌุ านแตละ เปรยี บผูอืน่
ข้ันครั้งแรก ในการทํากิจแหงอภิญญา ชังเฆยยกะ แผนผาทเี่ ย็บทาบเตมิ ลงไป
ในการสาํ เร็จกิจแหงมรรค และในเวลา บนจวี รตรงทถี่ ูกแขง, นี้วาตามคาํ อธิบาย
ออกจากนิโรธสมาบัติ ชวนจิตเกิดขึ้น ในอรรถกถา แตพระมตขิ องสมเดจ็ พระ
ขณะเดยี ว (แตในเวลาเขานโิ รธสมาบตั ิ มหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณ-
ชวนจิตเกิดข้ึน ๒ ขณะ) สําหรับผู วโรรส ในวินัยมุข เลม ๒ วา ในจวี รหา
ชํานาญในฌาน ชวนจติ (อปั ปนาชวนะ) ขณั ฑๆ ถัดออกมาจากขณั ฑกลางทงั้
จะเกิดดับตอเนื่องไปตลอดเวลาที่อยูใน ๒ ขาง ช่ือชงั เฆยยกะ เพราะอัฑฒ
ฌานน้ัน อาจจะตลอดท้ังวัน ไมมี มณฑลของ ๒ ขณั ฑน้นั อยูทีแ่ ขงใน
กําหนดจํานวนขณะ (เปนอัปปนาวิถี เวลาหม; ดู จีวร
ตลอดเวลาที่ฌานจิตยังสืบตอติดเน่ือง ชชั วาล รงุ เรือง, สวาง, โพลงขึน้
กันไป) จนกวาจะเกิดเปนภวังคจิตขึ้น ชัยมงคล มงคลคอื ชยั ชนะ, ความชนะท่ี
มา สันตติของฌานจิตก็ขาดตอน เรยี ก เปนมงคล
วาตกภวังค คือออกจากฌาน; คําวา ชัยมงคลคาถา คาถาเพ่ือชัยมงคล,
“ชวนะ” นี้ ใชหมายถงึ จติ ซ่งึ ทําหนาท่รี บั คาถาวาดวยมงคลคือชัยชนะ, หมายถงึ
อารมณในวถิ ี กไ็ ด หมายถงึ การทาํ หนาที่ ชยปรติ ตคาถาทอนทวี่ า “ชยนโฺ ต โพธยิ า
ของจิตในการรับอารมณน้ัน กไ็ ด ถา มูเล ฯเปฯ ลภนฺตตฺเถ ปทกขฺ เิ ณ” ซ่งึ ใช
ตองการความหมายใหจําเพาะชัดลงไป ในการเจรญิ ชยั มงคลคาถา; พึงสังเกต
๙๑
ชาคริยานโุ ยค ๙๒ ชาติ
วา ชัยมงคลคาถา น้ี ตางหากจากพุทธ- ไมไดเลาเรอ่ื งโดยละเอยี ด ผอู านเขาใจ
ชยั มงคลคาถา ซงึ่ หมายถงึ ชยมงั คลฏั ฐก- ไดยาก จงึ มอี รรถกถาขน้ึ มาชวยอธบิ าย
คาถา ทม่ี กั เรยี กกนั วา คาถาพาหงุ ; ดู เรยี กวา “ชาตกฏั ฐกถา” (เรยี กใหงายวา
ชยปรติ ร, ชยมังคลฏั ฐกคาถา อรรถกถาชาดก) ซง่ึ ขยายความออกไป
ชาคริยานโุ ยค การประกอบความเพยี ร มาก จดั เปนเลมหนงั สอื ฉบบั บาลอี กั ษร
เคร่อื งตืน่ อยู คือ ความเพยี รพยายาม ไทยรวม ๑๐ เลม เรอ่ื งชาดกทเี่ รยี นและ
ปฏบิ ัตธิ รรม ไมเหน็ แกนอน ตน่ื ตัวอยู เลากนั ทว่ั ไป กค็ อื เลาตามชาตกัฏฐกถานี้
เปนนติ ย ชําระจติ ไมใหมีนวิ รณ (ขอ ๓ แตนักศึกษาพึงรูจักแยกระหวางสวนทีม่ ี
ในอปณณกปฏิปทา) ในพระไตรปฎก กบั สวนทเี่ ปนอรรถกถา;
ชาดก, ชาตกะ “เครอื่ งเลาเรอ่ื งราวทพ่ี ระ ดู อภสิ ัมพุทธคาถา
พทุ ธเจาไดทรงเกดิ มาแลว”, ชอ่ื คมั ภรี ใน ชาตกัฏฐกถา อรรถกถาอธบิ ายความใน
พระไตรปฎก อันเลาเรื่องพระชาติใน คมั ภีรชาดก (ชาตกะ) แหงขุททกนิกาย,
อดีตของพระพุทธเจา เมื่อยังเปนพระ รวมอยูในชุดท่ีมีชื่อเฉพาะวา ปรมัตถ-
โพธิสัตวซึ่งกําลังทรงบําเพ็ญบารมี มี โชติกา; ดู ชาดก, ปรมัตถโชติกา,
จาํ นวนทง้ั หมดตามตวั เลขถวนทก่ี ลาวใน อรรถกถา, โปราณฏั ฐกถา
อรรถกถาท้ังหลายวา ๕๕๐ ชาดก (นบั ชาตปฐพี [ชา-ตะ-ปะ-ถะ-พี] ดนิ เกดิ เอง,
ตรงเลขวา ๕๔๗ ชาดก แตคนไทยมกั ปฐพแี ท คอื มดี นิ รวนลวน มดี นิ เหนยี ว
พดู ตดั เลขแคหลกั รอยวา พระเจา ๕๐๐ ลวน หรือมีของอื่น เชนหินกรวด
ชาต)ิ , จดั เปนคมั ภรี ที่ ๑๐ แหงขทุ ทก กระเบอ้ื ง แร และทรายนอย มดี นิ รวน
นกิ าย ในพระสุตตนั ตปฎก; ดู ไตรปฎก ดนิ เหนยี วมาก ดนิ นปี้ ระสงคเอาทย่ี งั ไม
(เลม ๒๗ และ ๒๘) ไดเผาไฟ กองดนิ รวนกด็ ี กองดนิ เหนยี ว
เน่ืองจากชาดกทั้งหมดในพระไตร กด็ ี มฝี นตกรดเกนิ ๔ เดอื นมาแลว นบั
ปฎก เปนคาถาลวนๆ (เวนชาดกหนง่ึ ที่ เขาในปฐพแี ท
เปนความรอยแกว คอื กณุ าลชาดก) และ ชาตสระ [ชา-ตะ-สะ] สระเกดิ เอง, ทนี่ าํ้ ขงั
โดยมากเปนเพยี งคาํ กลาวโตตอบกนั ของ อันเปนเองตามธรรมชาติ เชน บึง,
บุคคลในเรื่อง พรอมทั้งพระดํารัสของ หนอง, ทะเลสาบ ฯลฯ
พระพุทธเจาที่ตรัสสรุปหรือแสดงคติ ชาติ การเกดิ , ชนดิ , พวก, เหลา, ปวงชน
ธรรม อนั เรยี กวาอภสิ มั พทุ ธคาถาเทานนั้ แหงประเทศเดยี วกัน
๙๒
ชาติปุกกสุ ะ ๙๓ ชวี ก
ชาติปุกกุสะ พวกปุกกุสะ เปนคนชนั้ ตา่ํ เพราะการที่ ล้ิน รส และชิวหา-
พวกหนึ่งในระบบวรรณะของศาสนา วญิ ญาณประจวบกัน
พราหมณ มีอาชีพคอยเก็บกวาดขยะ ชี นักบวช, หญงิ ถือบวช, อุบาสกิ าทนี่ งุ
ดอกไมตามสถานท่ีบชู า ขาวหมขาวโกนผมโกนค้วิ ถือศีล
ชาตสิ งสาร ความทองเที่ยวไปดวยความ ชตี น พระสงฆทคี่ ุนเคยใกลชดิ กับครอบ
เกิด, การเวียนตายเวียนเกิด ครัวหรอื ตระกูล ซึง่ เขาเคารพนับถือเปน
ชาติสทุ ทะ พวกสุททะ, คนพวกวรรณะ อาจารยเปนทป่ี รกึ ษา เรยี กอยางคาํ บาลวี า
ศูทร เปนคนชน้ั ตํา่ ในชมพทู วปี ; ดู ศูทร กลุ ปุ กะ,กลุ ปู กะ หรอื กลุ ปุ ก; ดู กลุ ปุ กะ
ชานมุ ณฑล เขา, บรเิ วณเขา, ชวงเขา ชีเปลือย นักบวชจาํ พวกหน่ึง ถือเพศ
ชาวปาจีน คาํ เรยี กภกิ ษุชาววชั ชบี ตุ รอกี เปลอื ยกาย
ช่อื หนึง่ หมายถงึ อยดู านทศิ ตะวันออก, ชพี ชีวิต, ความเปนอยู
ชีวก ช่ือหมอใหญผูเชี่ยวชาญในการ
ชาวเมืองตะวนั ออก
ชาํ ระ ในคาํ วา “ชาํ ระพระไตรปฎก” คือ รักษาและมีช่ือเสียงมากในคร้ังพุทธกาล
รักษาพระไตรปฎกใหบริสุทธ์ิ หมดจด เปนแพทยประจําพระองคของพระเจา
จากความผิดพลาดคลาดเคลื่อน โดย พิมพิสาร และพระเจาพมิ พสิ ารไดถวาย
กาํ จดั ส่งิ ปะปนแปลกปลอมหรือทาํ ใหเขา ใหเปนแพทยประจําพระองคของพระ
ใจสบั สนออกไป และทําใหมองเหน็ ของ พทุ ธเจาดวย, ชอื่ เตม็ วาชีวกโกมารภจั จ
เดิมแทชัดเจนตรงตามท่ีรวบรวมไว หมอชีวกเกิดที่เมืองราชคฤห
แตตน, เปนงานสวนสําคัญของการ แควนมคธ เปนบุตรของนางคณิกา
สงั คายนา; ดู สังคายนา (หญงิ งามเมือง) ช่อื วาสาลวดี แตไมรจู ัก
ชิวหา ลิน้ มารดาบดิ าของตน เพราะเมอื่ นางสาลวดี
ชิวหาวญิ ญาณ ความรูทเ่ี กดิ ขึ้นเพราะรส มีครรภ เกรงคาตัวจะตก จึงเกบ็ ตวั อยู
กระทบลิ้น, รสกระทบล้ินเกิดความรู ครั้นคลอดแลวก็ใหคนรับใชเอาทารกไป
ขึน้ , การรรู ส (ขอ ๔ ในวิญญาณ ๖) ทิ้งทก่ี องขยะ แตพอดีเมือ่ ถงึ เวลาเชาตรู
ชิวหาสมั ผสั อาการทีล่ ิ้น รส และชิวหา- เจาชายอภัย โอรสองคหนงึ่ ของพระเจา
วญิ ญาณประจวบกนั พิมพิสาร จะไปเขาเฝา เสด็จผานไป
ชวิ หาสมั ผสั สชาเวทนา เวทนาทเี่ กิดขึน้ เหน็ การมุ ลอมทารกอยู เม่อื ทรงทราบวา
เพราะชวิ หาสัมผัส, ความรสู กึ ทเี่ กดิ ข้นึ เปนทารกและยังมีชีวิตอยู จึงไดโปรด
๙๓
ชวี ก ๙๔ ชีวก
ใหนําไปใหนางนมเล้ยี งไวในวงั ในขณะ กลบั ถงึ พระนครราชคฤห นาํ เงนิ และของ
ทีท่ รงทราบวาเปนทารก เจาชายอภยั ได รางวัลทั้งหมดไปถวายเจาชายอภัยเปน
ตรัสถามวาเด็กยังมชี ีวติ อยู (หรอื ยังเปน คาปฏิการคุณที่ไดทรงเลี้ยงตนมา เจา
อย)ู หรอื ไม และทรงไดรบั คาํ ตอบวายัง ชายอภัยโปรดใหหมอชีวกเก็บรางวัลน้ัน
มชี ีวติ อยู (ชวี ติ = ยังเปนอยู หรือยังมี ไวเปนของตนเอง ไมทรงรับเอา และ
ชีวติ อย)ู ทารกนั้นจึงไดช่ือวา ชวี ก (ผู โปรดใหหมอชีวกสรางบานอยูในวังของ
ยังเปน) และเพราะเหตุที่เปนผูอันเจา พระองค ตอมาไมนาน เจาชายอภยั นาํ
ชายเลย้ี งจงึ ไดมสี รอยนามวา โกมารภจั จ หมอชีวกไปรักษาโรคริดสีดวงงอกแด
(ผูอันพระราชกุมารเลีย้ ง) พระเจาพิมพิสาร จอมชนแหงมคธทรง
หายประชวรแลว จะพระราชทานเครอื่ ง
ครน้ั ชวี กเจรญิ วยั ขน้ึ พอจะทราบวา ประดบั ของสตรชี าววงั ๕๐๐ นางใหเปน
ตนเปนเด็กกาํ พรา ก็คิดแสวงหาศิลป- รางวลั หมอชวี กไมรบั ขอใหทรงถอื วา
วทิ ยาไวเลยี้ งตวั จงึ ไดเดนิ ทางไปศกึ ษา เปนหนาทขี่ องตนเทานน้ั พระเจาพมิ พ-ิ
วชิ าแพทยกบั อาจารยแพทยทศิ าปาโมกข สารจงึ โปรดใหหมอชวี กเปนแพทยประจาํ
ทเี่ มอื งตกั สลิ า ศกึ ษาอยู ๗ ป อยาก พระองค ประจาํ ฝายในท้ังหมด และ
ทราบวาเมอ่ื ใดจะเรยี นจบ อาจารยใหถอื ประจําพระภิกษุสงฆอันมีพระพุทธเจา
เสยี มไปตรวจดทู ว่ั บรเิ วณ ๑ โยชนรอบ เปนประมุข หมอชีวกไดรักษาโรคราย
เมอื งตกั สลิ า เพอ่ื หาสง่ิ ทไ่ี มใชตวั ยา ชวี ก สาํ คญั หลายครง้ั เชน ผาตดั รกั ษาโรคใน
หาไมพบ กลบั มาบอกอาจารย อาจารยวา สมองของเศรษฐีเมืองราชคฤห ผาตัด
สําเร็จการศึกษามีวิชาพอเล้ียงชีพแลว เนื้องอกในลําไสของบุตรเศรษฐีเมือง
และมอบเสบยี งเดนิ ทางใหเลก็ นอย ชวี ก พาราณสี รักษาโรคผอมเหลอื งแดพระ
เดินทางกลับยังพระนครราชคฤห เมื่อ เจาจัณฑปชโชตแหงกรุงอุชเชนี และ
เสบียงหมดในระหวางทาง ไดแวะหา ถวายการรักษาแดพระพทุ ธเจาในคราวท่ี
เสบยี งท่ีเมอื งสาเกต โดยไปอาสารกั ษา พระบาทหอพระโลหิตเน่ืองจากเศษหิน
ภรรยาเศรษฐีเมืองนั้นซึ่งเปนโรคปวด จากกอนศิลาที่พระเทวทัตกลิ้งลงมาจาก
ศรี ษะมา ๗ ป ไมมใี ครรกั ษาหาย ภรรยา ภเู ขาเพอ่ื หมายปลงพระชนมชพี
เศรษฐีหายโรคแลว ใหรางวัลมากมาย
หมอชวี กไดเงนิ มา ๑๖,๐๐๐ กษาปณ หมอชีวกไดบรรลุธรรมเปนพระ
พรอมดวยทาสทาสีและรถมา เดินทาง โสดาบนั และดวยศรทั ธาในพระพทุ ธเจา
๙๔
ชวี กโกมารภัจจ ๙๕ ชุมนมุ เทวดา
ปรารถนาจะไปเฝาวันละ ๒–๓ คร้ัง (ธรรมท่ีเกิดรวมดวย) ดุจน้าํ หลอเลย้ี ง
เห็นวาพระเวฬุวันไกลเกินไป จึงสราง ดอกบวั เปนตน มี ๒ ฝายคอื ๑.
วัดถวายในอัมพวันคือสวนมะมวงของ ชีวติ นิ ทรียทเ่ี ปนชีวติ รปู เปนอปุ าทายรูป
ตน เรยี กกนั วา ชวี กมั พวัน (อมั พวนั อยางหนงึ่ (ขอที่ ๑๓) เปนเจาการในการ
ของหมอชวี ก) เมอื่ พระเจาอชาตศตั รเู รม่ิ รักษาหลอเลี้ยงเหลากรรมชรูป (รูปที่
นอมพระทัยมาทางศาสนา หมอชีวกก็ เกิดแตกรรม) บางทเี รียก รปู ชีวติ ินทรีย
เปนผูแนะนําใหเสดจ็ ไปเฝาพระพทุ ธเจา ๒. ชีวิตินทรียที่เปนเจตสิกเปนสัพพ-
ดวยเหตุท่ีหมอชีวกเปนแพทย จิตตสาธารณเจตสิก (เจตสิกทเี่ กดิ กบั
ประจําคณะสงฆและเปนผูมีศรัทธาเอา จติ ทกุ ดวง) อยางหนง่ึ (ขอท่ี ๖) เปนเจา
ใจใสเกอ้ื กูลพระสงฆมาก จึงเปนเหตใุ ห การในการรักษาหลอเล้ียงนามธรรมคือ
มีคนมาบวชเพื่ออาศัยวัดเปนที่รักษาตัว จิตและเจตสิกท้ังหลาย บางทีเรียก
จํานวนมาก จนหมอชีวกตองทูลเสนอ อรปู ชวี ติ นิ ทรยี หรอื นามชวี ติ ินทรยี
พระพุทธเจาใหทรงบัญญัติขอหามมิให ชโี ว ผเู ปน, ดวงชพี ตรงกบั อาตมนั
รบั บวชคนเจบ็ ปวยดวยโรคบางชนดิ นอก หรือ อัตตา ของลัทธพิ ราหมณ
จากนั้น หมอชีวกไดกราบทูลเสนอให ชณุ หปกข, ชุณหปกษ “ฝายขาว, ฝาย
ทรงอนุญาตที่จงกรมและเรือนไฟ เพ่อื สวาง” หมายถงึ ขางขน้ึ ; ศกุ ลปกษ ก็
เปนที่บริหารกายชวยรักษาสุขภาพของ เรยี ก; ตรงขามกบั กณั หปกษหรอื กาฬปกษ
ภิกษทุ ้งั หลาย หมอชวี กไดรับพระดํารัส ชุมนมุ เทวดา กลาวคาํ เชญิ ชวนเทวดาให
ยกยองเปนเอตทัคคะในบรรดาอุบาสก มาชุมนุมกันเพื่อฟงธรรม ในโอกาสที่
ผเู ลื่อมใสในบุคคล พระสงฆสวดพระปริตร, เรียกเต็มวา
ชีวกโกมารภัจจ “ผูทีพ่ ระราชกุมารเลี้ยง “บทขดั ชมุ นมุ เทวดา” หมายถงึ บทสวด
ชือ่ ชวี ก”; ดู ชวี ก ท่ีโบราณาจารยประพนั ธขึ้น สาํ หรับให
ชีวติ ความเปนอยู บคุ คลหนง่ึ (ธรรมเนยี มบดั น้ี ใหภกิ ษรุ ปู
ชีวิตสมสีสี ผูส้นิ กิเลสพรอมกับสิ้นชวี ิต, ทน่ี งั่ อนั ดบั ๓) สวดนาํ (เรยี กวา “ขดั นาํ ”)
ผไู ดบรรลุธรรมวเิ ศษแลวกด็ บั จติ พอดี กอนทพ่ี ระสงฆจะเริ่มสวดพระปรติ ร มี
ชวี ิตกั ษยั การสิน้ ชีวติ , ตาย ขอความเปนคําเชิญชวนเทวดาท่ัวทั้ง
ชีวติ ินทรีย อนิ ทรยี คือชีวติ , สภาวะท่ี หมดใหมาฟงธรรมอันมีในบาลีภาษิต
เปนใหญในการตามรักษาสหชาตธรรม แหงพระปริตรทีจ่ ะสวดตอไปนน้ั ดงั คาํ
๙๕
ชงู วง ๙๖ เชตวัน
ลงทายวา “ธมมฺ สสฺ วนกาโล อยมภฺ ทนตฺ า” ภุมมฺ า จายนฺตุ เทวา ชลถลวิสเม ยกขฺ คนธฺ พฺพนาคา,
(ทานผเู จรญิ ทง้ั หลาย นเ้ี ปนเวลาทจ่ี ะฟง ตฏิ นตฺ า สนฺติเก ยํ มนุ วิ รวจนํ สาธโว เม สุณนฺตุ.
ธมฺมสฺสวนกาโล อยมฺภทนตฺ า,
ธรรม) ดงั นี้: ธมฺมสสฺ วนกาโล อยมฺภทนตฺ า,
ธมฺมสฺสวนกาโล อยมภฺ ทนตฺ า.”
ก) สาํ หรบั เจด็ ตาํ นาน มรี ะเบยี บวา ถาชมุ นมุ เทวดาแลว ทาย
“สรชชฺ ํ สเสนํ สพนฺธุ นรินฺทํ,
ปรติ ตฺ านภุ าโว สทา รกขฺ ตูติ. สวดมนต ตองสวดเทวตาอยุ โฺ ยชนคาถา
ผรติ ฺวาน เมตฺตํ สเมตฺตา ภทนฺตา,
อวกิ ขฺ ติ ตฺ จิตตฺ า ปรติ ตฺ ํ ภณนฺต.ุ (คาถาสงเทวดากลบั คอื บท “ทกุ ขฺ ปปฺ ตตฺ า
สคเฺ ค กาเม จ รเู ป คริ ิสขิ รตเฏ จนฺตลกิ ฺเข วิมาเน, …”) จบแลว นยิ มเตมิ บท “สพเฺ พ พทุ ธฺ า
ทีเป รฏเ จ คาเม ตรวุ นคหเน เคหวตฺถุมฺหิ เขตฺเต, พลปปฺ ตตฺ า…” ดวย จากนน้ั กส็ วด “ภวตุ
ภุมฺมา จายนฺตุ เทวา ชลถลวสิ เม ยกขฺ คนฺธพฺพนาคา, สพพฺ มงคฺ ลํ …” และ “นกขฺ ตตฺ ยกขฺ ภตู านํ
ตฏิ นฺตา สนฺติเก ยํ มุนวิ รวจนํ สาธโว เม สณุ นฺต.ุ …” (แตถาสวดในพธิ วี นั เดยี ว เชาหรอื เพล
ธมฺมสสฺ วนกาโล อยมฺภทนตฺ า, ท่ีมีการถวายภัตตาหาร พอจบคาถาสง
ธมมฺ สฺสวนกาโล อยมภฺ ทนตฺ า, เทวดา และ “สพเฺ พ พทุ ธฺ า…” กต็ อดวย
ธมฺมสสฺ วนกาโล อยมฺภทนฺตา.” ถวายพรพระ ตง้ั แต “อติ ปิ โส…” ไปเลย)
มีธรรมเนียมวา ถาเปนพระราชพิธี แตถาไมชมุ นมุ เทวดา กไ็ มตองสวดคาถา
และสวดมนตในพระราชฐาน ใหขน้ึ ตน สงเทวดากลบั ; ดู ปรติ ร,ถวายพรพระ
บทขดั ตง้ั แต “สรชชฺ ํ สเสนํ …” ถาเปน ชูงวง ในประโยควา “เราจักไมชูงวงเขา
งานพธิ อี นื่ ใหเรมิ่ ที่ “ผรติ วฺ าน เมตฺตํ… ไปสตู ระกลู ” ถอื ตัว
ข) สาํ หรบั สบิ สองตาํ นาน (มเี พม่ิ ๑ คาถา) เชฏฐ-, เชษฐ- พ่ี
“สรชฺชํ สเสนํ สพนธฺ ุ นรินทฺ ,ํ เชฏฐา, เชษฐา พ่ีชาย
ปริตฺตานภุ าโว สทา รกขฺ ตตู .ิ เชฏฐภคินี พ่สี าวคนโต
ผริตฺวาน เมตตฺ ํ สเมตฺตา ภทนฺตา, เชฏฐมาส เดอื น ๗
อวกิ ขฺ ิตตฺ จติ ตฺ า ปริตตฺ ํ ภณนตฺ .ุ เชตวนั “สวนเจาเชต” ชอ่ื วดั สาํ คัญซ่ึง
สมนตฺ า จกกฺ วาเฬสุ อตฺราคจฺฉนฺตุ เทวตา อนาถบิณฑิกเศรษฐีสรางถวายแดพระ
สทธฺ มมฺ ํ มนุ ริ าชสสฺ สุณนฺตุ สคฺคโมกขฺ ท.ํ พุทธเจา อทุ ศิ สงฆจากจาตุรทศิ ทีเ่ มือง
สคฺเค กาเม จ รเู ป คิรสิ ขิ รตเฏ จนฺตลกิ เฺ ข วมิ าเน, สาวัตถี เมอื งหลวงของแควนโกศล (คง
ทีเป รฏเ จ คาเม ตรวุ นคหเน เคหวตถฺ ุมหฺ ิ เขตฺเต, จะสรางในพรรษาที่ ๓ แหงพุทธกิจ) โดย
๙๖
เชาวน ๙๗ ซดั ไปประหาร
ซ้ือท่ีดินอุทยานของเจาเชต (เชตราช- ถงึ ๑๙ พรรษา คอื (อาจจะครงั้ แรกใน
กมุ าร) ดวยวธิ เี อาเกวยี นขนเงนิ เหรียญ พรรษาที่ ๓) พรรษาที่ ๑๔ และในชวง
มาปใู หเตม็ พน้ื ท่ี (เรอ่ื งมาใน วนิ ย.๗/๒๕๖/๑๐๙) พรรษาท่ี ๒๑–๔๔ ซง่ึ ประทับสลับไปมา
ตามเร่ืองวา เมื่อหมูเกวียนขนเงินมา ระหวางวัดพระเชตวนั กบั วดั บุพพาราม
เที่ยวแรก เงินเหรียญปูยังไมเต็มพ้ืนท่ี ของวสิ าขามหาอุบาสกิ า, ดวยเหตนุ ้ี การ
ขาดอยูตรงท่ีใกลซุมประตูหนอยเดียว ทรงแสดงธรรม และทรงบัญญัติวินยั จึง
ขณะท่ีอนาถบิณฑิกคหบดีส่ังคนใหไป เกดิ ขน้ึ ทว่ี ดั พระเชตวนั นม้ี าก โดยเฉพาะ
ขนเงนิ มาอีก เจาเชตเกดิ ความซาบซึง้ ใน สิกขาบทของภิกษุณี ทรงบัญญัติท่ีวัด
ศรัทธาของทานอนาถบิณฑิก จึงขอมี พระเชตวันแทบทั้งนน้ั ; ดู อนาถบณิ ฑิก,
สวนรวมในการสรางวดั ดวย โดยขอให คันธกฎุ ,ี มหาคันธกฎุ ี
ทต่ี รงนัน้ เปนสวนทตี่ นถวาย ซึ่งอนาถ- เชาวน ความนกึ คิดท่แี ลนไป, ความเรว็
บิณฑิกคหบดกี ็ยนิ ยอม เจาเชตจึงสราง ของปญญาหรือความคดิ , ไหวพริบ
ซุมประตูวัดขน้ึ ตรงทีน่ ้ัน, เชตวนั อนาถ- เช่อื ดายไป เชื่อเร่ือยไป, เช่อื ดะไปโดยไม
บิณฑิการามน้ี เปนวัดที่พระพุทธเจา นึกถงึ เหตุผล
ประทบั จาํ พรรษามากทสี่ ดุ รวมทงั้ หมด
ซ
ซัดไปประหาร ฆาหรือทํารายโดยยิง ดวยศลิ า เปนตน
ดวยศรหรือดวยปน พุงดวยหอก ขวาง
๙๗
ฌ
ฌาน การเพงอารมณจนใจแนวแนเปน เผาอวิชชา ญาณกเ็ ปนฌาน (ดู ขุ.ปฏิ.๓๑/
อปั ปนาสมาธ,ิ ภาวะจติ สงบประณตี ซง่ึ มี ๔๘๓/๓๖๘) ดงั ท่ีในอรรถกถาบางแหงแบง
สมาธเิ ปนองคธรรมหลกั ; ฌาน ๔ คอื ๑. เปน ฌาน ๒ คือ ๑. อารมั มณปู นชิ ฌาน
ปฐมฌาน มอี งค ๕ (วติ ก วจิ าร ปติ สขุ
เอกคั คตา) ๒. ทตุ ยิ ฌาน มอี งค ๓ (ปติ การเพงอารมณ ตามแบบสมถะ ไดแก
สขุ เอกคั คตา) ๓. ตตยิ ฌาน มอี งค ๒ ฌานสมาบัตินั่นเอง ๒. ลกั ขณปู นชิ ฌาน
(สขุ เอกคั คตา) ๔. จตตุ ถฌาน มอี งค ๒
การเพงพนิ ิจลักษณะ ตามแบบวิปสสนา
ไดแกพิจารณาใหเห็นไตรลักษณ คือ
(อเุ บกขา เอกคั คตา); ฌาน ๕ กเ็ หมอื น วิปสสนานนั่ เอง, จนกระทั่งแมแตมรรค
อยาง ฌาน ๔ นน่ั เอง แตตามแบบ ผล กเ็ รยี กวาฌานได เพราะแปลวาเผา
อภธิ รรม ทานซอยละเอยี ดออกไป โดย กิเลสบาง เพงลักษณะท่ีเปนสุญญตา
เพม่ิ ขอ ๒ แทรกเขามา คอื ๑. ปฐมฌาน ของนพิ พานบาง (ดู องฺ.อ.๑/๕๓๖; ปฏิส.ํ อ.
มอี งค ๕ (วติ ก วจิ าร ปติ สขุ เอกคั คตา) ๒๒๑; สงคฺ ณี อ.๒๗๓)
๒. ทตุ ยิ ฌาน มอี งค ๔ (วจิ าร ปติ สขุ ฌานปญจกนัย ฌานแบบที่จัดเปน
เอกคั คตา) ขอ ๓, ๔, ๕ ตรงกบั ขอ ๒, หมวด ๕ คือเปน ฌาน ๕, บางทีเรียกวา
๓, ๔ ในฌาน ๔ ตามลาํ ดบั ; ดู จตุกกัช- แบบอภิธรรม, มกั เรียกวา “ปญจกชั -
ฌาน, ปญจกัชฌาน ฌาน”; ดู ฌาน ๕
ฌาน ๒ ฌานน้ัน ตามปกติเปนเรือ่ งของ ฌานาทสิ งั กเิ ลสาทญิ าณ ปรชี ากาํ หนดรู
สมถะ ซงึ่ มสี มาธเิ ปนองคธรรมหลกั แต ความเศราหมอง ความผองแผว และการ
ในบางกรณีมีการนํามาใชแสดงความ ออกแหงฌาน วโิ มกข สมาธิ สมาบตั ิ
หมายดานวิปสสนาดวย โดยแปลวา เพง ตามความเปนจรงิ (ขอ ๗ ในทศพลญาณ)
พินจิ หรือคดิ พิจารณา จนถึงเผากเิ ลส ฌาปนกจิ กจิ เผาศพ, การเผาศพ
ญ
ญัตติ คําเผดียงสงฆ, การประกาศให ความที่จะรับคนน้ันเขาหมู และไดรับ
สงฆทราบเพ่ือทาํ กิจรวมกัน, วาจานัด, ความยินยอมของภิกษุทั้งปวงผูเขา
คําแจงหรือตั้งเร่ืองเพื่อใหที่ประชุม ประชุมเปนสงฆน้ัน; พระราธะเปน
พจิ ารณา ตกลง วินจิ ฉัย หรือดาํ เนิน บคุ คลแรกทไี่ ดรบั อุปสมบทอยางน้ี
การ; ถาเปนเร่ืองที่ตองตัดสินหรือ ญตั ตทิ ตุ ยิ กรรม กรรมมญี ตั ตเิ ปนทสี่ อง
วินิจฉัย ญัตติก็จะตามมาดวยการ หรอื กรรมมวี าจาครบ ๒ ทงั้ ญตั ต,ิ กรรม
ประกาศขอมติ เรียกวา อนุสาวนา, อนั ทาํ ดวยตงั้ ญตั ตแิ ลวสวดอนสุ าวนาหน
ญัตติ และอนุสาวนา เปนกรรมวาจา; ดู เดยี ว เชน การสมมตสิ มี า การสงั คายนา
กรรมวาจา, อนสุ าวนา และการมอบใหผากฐนิ เปนตน
ญตั ตกิ รรม กรรมอนั กระทาํ ดวยตงั้ ญตั ติ ญาณ ความร,ู ปรชี าหยง่ั ร,ู ปรชี ากาํ หนดร;ู
ไมตองสวดอนุสาวนา คือประกาศให ญาณ ๓ หมวดหนงึ่ ไดแก ๑. อตตี งั ส-
สงฆทราบ เพอ่ื ทาํ กจิ รวมกนั เรยี กวา ญาณ ญาณในสวนอดตี ๒. อนาคตงั ส-
เผดยี งสงฆอยางเดยี ว ไมตองขอมติ เชน ญาณ ญาณในสวนอนาคต ๓. ปจจุป-
ปนนงั สญาณ ญาณในสวนปจจบุ นั ; อกี
อโุ บสถ และ ปวารณา เปนตน
ญัตติจตุตถกรรม กรรมมญี ตั ติเปนทสี่ ่ี หมวดหนึง่ ไดแก ๑. สัจจญาณ หย่ังรู
ไดแกสงั ฆกรรมทส่ี าํ คญั มกี ารอปุ สมบท อริยสจั จแตละอยาง ๒. กิจจญาณ หยัง่
เปนตน ซึ่งเมอื่ ตงั้ ญัตตแิ ลว ตองสวด รูกิจในอรยิ สจั จ ๓. กตญาณ หย่งั รกู ิจ
อนสุ าวนา คาํ ประกาศขอมติ ถงึ ๓ หน อันไดทําแลวในอริยสัจจ; อีกหมวด
เพ่ือสงฆคือที่ชุมนุมนั้นจะไดมีเวลา หนง่ึ ไดแก วชิ ชา ๓
พจิ ารณาหลายเทยี่ ว วาจะอนมุ ตั หิ รอื ไม ญาณ ๑๖ ญาณท่ีเกิดแกผูบําเพ็ญ
ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา การ วิปสสนาโดยลาํ ดับ ตั้งแตตนจนถงึ จุด
อุปสมบทดวยญัตติจตุตถกรรม ไดแก หมายคือมรรคผลนิพพาน ๑๖ อยาง,
วิธีอุปสมบทท่ีพระสงฆเปนผูกระทํา ญาณ ๑๖ น้ี มใิ ชเปนหมวดธรรมท่มี า
อยางท่ีใชอยูในปจจุบัน โดยภิกษุ ครบชุดในพระบาลเี ดมิ โดยตรง แตพระ
ประชุมครบองคกําหนด ในเขตชุมนุม อาจารยปางกอนไดประมวลจากคัมภีร
ซึ่งเรียกวาสีมา กลาววาจาประกาศเรือ่ ง ปฏสิ มั ภทิ ามคั ค และวสิ ุทธิมคั ค แลว
ญาณ ๑๖ ๑๐๐ ญาณ ๑๖
สอนสืบกนั มา บางทีเรียกใหเปนช่อื ชุด ญาณ ญาณคาํ นงึ เหน็ โทษ ๘. นพิ พทิ าน-ุ
เลยี นคาํ บาลวี า “โสฬสญาณ” หรือเรียก ปสสนาญาณ ญาณคํานึงเห็นดวยความ
ก่ึงไทยวา “ญาณโสฬส”, ท้งั นี้ ทานต้ัง หนาย ๙. มญุ จิตกุ มั ยตาญาณ ญาณหย่ัง
รูอันใหใครจะพนไปเสยี ๑๐. ปฏสิ งั ขาน-ุ
วปิ สสนาญาณ ๙ เปนหลักอยูตรงกลาง ปสสนาญาณ ญาณอนั พจิ ารณาทบทวน
เพื่อจะหาทาง ๑๑. สงั ขารุเปกขาญาณ
แลวเติมญาณขั้นตนๆ ที่ยังไมจัดเปน ญาณอันเปนไปโดยความเปนกลางตอ
สงั ขาร ๑๒. สัจจานโุ ลมิกญาณ ญาณ
วิปสสนาญาณ เพิ่มเขากอนขางหนา เปนไปโดยควรแกการหยง่ั รอู รยิ สัจจ
ค) เหนอื วปิ สสนาญาณ: ๑๓.โคตรภญู าณ
และเติมญาณขั้นสูงท่ีเลยวิปสสนาญาณ ญาณครอบโคตร คอื หวั ตอทขี่ ามพนภาวะ
ปถุ ชุ น ๑๔. มคั คญาณ ญาณในอรยิ มรรค
ไปแลว เขามาตอทายดวย ใหเห็น ๑๕. ผลญาณ ญาณในอริยผล ๑๖. ปจจ-
เวกขณญาณ ญาณทีพ่ ิจารณาทบทวน
กระบวนการปฏิบัติตลอดแตตนจนจบ
อนง่ึ คมั ภรี อภธิ มั มตั ถสงั คหะ ถอื ตาง
จึงเปนความปรารถนาดีท่ีเก้ือกูลแกการ
จากทกี่ ลาวมานบ้ี าง โดยจดั ญาณที่ ๓
ศกึ ษาไมนอย, ญาณ ๑๖ นนั้ ดงั น้ี (ใน
(สัมมสนญาณ) เปนวิปสสนาญาณดวย
ทีน่ ี้ จดั แยกใหเหน็ เปน ๓ ชวง เพ่ือ
จงึ เปนวปิ สสนาญาณ ๑๐ อกี ทงั้ เรยี กชอื่
ความสะดวกในการศกึ ษา) คือ
ก) กอนวิปสสนาญาณ: ๑. นามรูป- ญาณหลายขอใหสนั้ ลง เปน ๔.อทุ ยัพ-
ปริจเฉทญาณ ญาณกําหนดแยกนามรปู
(นามรปู ปริคคหญาณ หรอื สงั ขารปรจิ - พยญาณ ๕.ภังคญาณ ๖.ภยญาณ ๗.
เฉทญาณ กเ็ รยี ก) ๒. (นามรปู )ปจจยั -
ปรคิ คหญาณ ญาณกําหนดจับปจจยั แหง อาทีนวญาณ ๘.นิพพทิ าญาณ ๑๐.ปฏ-ิ
นามรปู (บางทเี รยี ก กงั ขาวติ รณญาณ
หรอื ธมั มฏั ฐติ ญิ าณ) ๓. สัมมสนญาณ สงั ขาญาณ ๑๒.อนุโลมญาณ (นอกนนั้
ญาณพจิ ารณานามรูปโดยไตรลักษณ
ข) วิปสสนาญาณ ๙: ๔. อทุ ยพั พยา- เหมอื นกนั ) ทั้งน้ี พึงทราบเพอื่ ไมสบั สน
นปุ สสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิด
และความดับแหงนามรูป ๕. ภังคานุ- มขี อพงึ ทราบพิเศษวา เม่อื ผปู ฏบิ ตั ิ
ปสสนาญาณ ญาณตามเห็นจําเพาะ
ความดับเดนขึ้นมา ๖. ภยตูปฏฐาน- กาวหนามาจนเกิดวิปสสนาญาณขอแรก
ญาณ ญาณอันมองเห็นสังขารปรากฏ คืออุทยัพพยานุปสสนาญาณ ช่ือวาได
เปนของนากลัว ๗. อาทนี วานปุ สสนา- ตรุณวปิ สสนา (วิปสสนาออนๆ) และ
ในตอนน้ี วปิ สสนปู กิเลสจะเกดิ ขนึ้ ชวน
๑๐๐
ญาณจริต ๑๐๑ ญาตตั ถจริยา
ใหสําคัญผดิ วาถึงจุดหมาย แตเมื่อรูเทา มักใชความคิด พึงสงเสรมิ ดวย แนะนํา
ทัน กาํ หนดแยกไดวาอะไรเปนทางอะไร ใหใชความคิดในทางท่ชี อบ (เปนอีกชอ่ื
มใิ ชทาง ก็จะผานพนไปได อุทยพั พย- หนงึ่ ของพุทธิจรติ )
ญาณน้ันก็จะพัฒนาเปนมัคคามัคค- ญาณทศั นะ, ญาณทัสสนะ การเหน็
ญาณ เขาถึงวิสุทธิคือความบริสุทธิ์ที่ กลาวคอื การหยงั่ ร,ู การเหน็ ทเี่ ปนญาณ
สาํ คัญขัน้ หนึง่ เรยี กวา มัคคามคั คญาณ- หรอื เหน็ ดวยญาณ อยางตาํ่ สดุ หมายถงึ
ทสั สนวสิ ทุ ธิ (วสิ ทุ ธขิ อที่ ๕), อทุ ยพั พย- วิปสสนาญาณ นอกน้ันในที่หลายแหง
ญาณทก่ี าวมาถงึ ตอนน้ี คอื เปนวปิ สสนา- หมายถงึ ทิพพจักขญุ าณ บาง มรรค
ญาณที่เดินถูกทาง ผานพนวิปสสนูป- ญาณ บาง และในบางกรณี หมายถึง
กิเลสมาไดแลว ไดช่ือวาเปนพลว- ผลญาณ บาง ปจจเวกขณญาณ บาง
วปิ สสนา (วปิ สสนาทมี่ ีกําลัง หรอื แข็ง สพั พญั ตุ ญาณ บาง กม็ ี ทง้ั น้สี ุดแต
กลา) ซง่ึ จะเดนิ หนาพฒั นาเปนวปิ สสนา- ขอความแวดลอมในทีน่ ้ันๆ
ญาณที่สงู ขึน้ ตอๆ ไป ญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแหง
บางทีทานกลาวถึงตรุณวิปสสนา ญาณทศั นะ ไดแกญาณในอรยิ มรรค ๔;
และพลววปิ สสนา โดยแยกเปนชวงซ่ึง ดู วสิ ทุ ธิ
กําหนดดวยญาณตางๆ คือ ระบุวา ญาณวิปปยุต ปราศจากญาณ, ไม
(ชวงของ) ญาณ ๔ คือ สงั ขารปริจเฉท- ประกอบดวยปญญา, ปราศจากปรีชา
ญาณ กงั ขาวิตรณญาณ สมั มสนญาณ หยั่งรู, ขาดความรู
และมัคคามัคคญาณ เปนตรุณ- ญาณสงั วร สํารวมดวยญาณ (ขอ ๓ ใน
วิปสสนา และ (ชวงของ) ญาณ ๔ คอื สังวร ๕)
ภยตปู ฏฐานญาณ อาทนี วญาณ มญุ จติ -ุ ญาตปริญญา กําหนดรูข้ันรูจัก คือ
กัมยตาญาณ และสังขารุเปกขาญาณ กําหนดรูสิ่งน้ันๆ ตามลักษณะท่ีเปน
เปนพลววปิ สสนา สภาวะของมันเอง พอใหแยกออกจาก
ในญาณ ๑๖ นี้ ขอ ๑๔ และ ๑๕ สง่ิ อื่นๆ ได เชน รูวา นค้ี ือเวทนา
(มคั คญาณ และผลญาณ) เทานน้ั เปน เวทนามีลักษณะเสวยอารมณ ดังนี้
โลกตุ ตรญาณ อกี ๑๔ อยางนอกนน้ั เปน เปนตน (ขอ ๑ ในปรญิ ญา ๓)
โลกยิ ญาณ; ดูวปิ สสนาญาณ๙, วสิ ทุ ธิ๗ ญาตัตถจริยา พระพุทธจริยาเพื่อ
ญาณจริต คนท่มี พี ื้นนิสยั หนกั ในความรู ประโยชนแกพระญาติ, ทรงประพฤติ
๑๐๑
ญาติ ๑๐๒ ไญยธรรม
ประโยชนแกพระประยูรญาติ เชน ทรง พลี ๕ อยางแหงโภคอาทยิ ะ ๕)
อนุญาตใหพระญาติที่เปนเดียรถียเขา ญาติสาโลหิต พี่นองรวมสายโลหิต
มาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ไมตอง (ญาติ = พ่ีนองท่ียังนับรูกันได,
อยตู ิตถยิ ปริวาส ๔ เดอื นกอน เหมอื น สาโลหติ = ผูรวมสายเลอื ดคอื ญาติท่ี
เดยี รถยี อน่ื และเสดจ็ ไปหามพระญาตทิ ี่ สบื สกลุ มาโดยตรง)
ววิ าทกนั ดวยเรอ่ื งนา้ํ เปนตน; ดู พทุ ธจรยิ า ญายะ, ญายธรรม ความถูกตองชอบ
ญาติ พี่นองทีย่ ังนับรกู นั ได, ผูรวมสาย ธรรม, ความยุตธิ รรม, สงิ่ ท่สี มเหตุผล,
โลหิตกันทางบิดาหรือมารดา, ในฎีกา ทางท่ีถกู , วธิ กี ารทีถ่ ูกตอง, ขอปฏิบัตทิ ี่
วินัย ทานนับ ๗ ชน้ั ท้ังขางบนและขาง ถกู ตอง หมายถงึ อรยิ อัฏฐังคกิ มรรค,
ลาง แตตามปกติจะไมพบมากหลายช้ัน ภาวะอันจะลุถึงไดดวยขอปฏิบัติท่ีถูก
อยางนัน้ ปจจุบนั ทานใหนบั ญาติ ๗ ชนั้ ตอง ไดแก นพิ พาน
หรอื ๗ ช่วั คน คือ นับทางมารดาก็ดี ายปฏิปนฺโน (พระสงฆ) เปนผปู ฏบิ ัติ
ทางบิดากด็ ี ชั้นตนเองเปน ๑ ขางบน ๓ ถูกทาง หรือปฏบิ ตั ิเปนธรรม คือปฏบิ ัติ
(ถงึ ทวด) ขางลาง ๓ (ถงึ เหลน), เขย ปฏิปทาท่ีจะใหเกิดความรู หรือปฏิบัติ
และสะใภ ไมนับเปนญาติ เพอ่ื ไดความรธู รรม ปฏิบตั ิเพือ่ ออกจาก
ญาติพลี สงเคราะหญาติ, ชวยเหลือ ทุกข อกี นัยหนึ่งวา ปฏิบตั ิมุงธรรมเปน
เก้อื กลู ญาต,ิ การจดั สรรสละรายไดหรือ ใหญ ถือความถูกตองเปนประมาณ (ขอ
ทรัพยสวนหน่ึงเปนทุนสําหรับการชวย ๓ ในสังฆคณุ ๙)
เหลือเก้ือกูลญาติพ่ีนอง, การใชรายได ไญยธรรม ธรรมอันควรร,ู ส่งิ ทคี่ วรรู
หรือทรัพยสวนหน่ึงเพ่ือเอ้ือเฟอเก้ือกูล ควรเขาใจ; เญยธรรม ก็เขียน
กนั ในดานการสงเคราะหญาติ (ขอ ๑ ใน
๑๐๒
ฎ
ฎกี า 1. (ฏกี า) ปกรณทพ่ี ระอาจารยใน อรรถกถา; ดู อรรถกถา 2. หนงั สอื
ภายหลัง แตงแกหรืออธิบายเพ่ิมเติม นิมนตพระสงฆ 3. ใบบอกบุญเรี่ยไร
ฐ
ฐานะ เหต,ุ อยาง, ประการ, ทต่ี ั้ง, ฐานานุกรม ลําดับตําแหนงยศที่พระ
ตาํ แหนง, โอกาส, ความเปนไปได ภิกษุผูไดรับพระราชทานสมณศักด์ิแลว
ฐานาฐานญาณ ปรชี ากําหนดรูฐานะ คอื มีอํานาจตั้งใหแกพระภิกษุชั้นผูนอย
สง่ิ ทเี่ ปนไปได เชนทาํ ดีไดดี ทาํ ช่ัวไดชั่ว ตามทาํ เนียบ เชน พระปลดั พระสมุห
เปนตน และอฐานะ คอื ส่งิ ท่เี ปนไปไม พระใบฎกี า เปนตน
ไดเชน ทาํ ดไี ดชว่ั ทาํ ชั่วไดดี เปนตน ฐานานรุ ูป สมควรแกตาํ แหนง, สมควร
(ขอ ๑ ในทสพลญาณ ๑๐) แกเหตุทจ่ี ะเปนได
ด
ดน เยบ็ ผาใหตดิ กนั เปนตะเขบ็ โดยฝเขม็ ในศีล และทาํ ความดที ้ังหลาย เฉพาะ
ดวงตาเหน็ ธรรม แปลจากคาํ วา ธรรมจกั ษุ อยางยิ่ง ตัวมฆมาณพเองยังรักษาขอ
หมายถึงความรูเห็นตามเปนจริงดวย ปฏบิ ตั พิ เิ ศษทเ่ี รยี กวา วตั รบท๗ อกี ดวย
ปญญาวา ส่ิงใดสิ่งหน่ึงมีความเกิดขึ้น ครน้ั ตายไป ทงั้ ๓๓ คน กไ็ ดเกดิ ใน
เปนธรรมดา ส่ิงนั้นท้ังหมดมีความดับ สวรรคที่เรียกชื่อวาดาวดึงสน้ี โดยมฆ
เปนธรรมดา; ดู ธรรมจักษุ มาณพไดเปนทาวสักกะ คอื พระอนิ ทร
ดับไมมีเช้ือเหลือ ดับหมด คอื ดบั ท้งั ดังที่พระอินทรนั้นมีพระนามหนึ่งวา
กิเลสทง้ั ขันธ (= อนปุ าทเิ สสนิพาน) “มฆวา” (ในภาษาไทยเขียน มฆวัน
ดาบส ผบู ําเพ็ญตบะ, ผูเผากิเลส มฆั วา หรือมัฆวาน); ดู วัตรบท ๗
ดาวเคราะห ดู ดาวพระเคราะห ดาวนกั ษตั ร ดาว, ดาวฤกษ, มี ๒๗ หมู
ดาวดงึ ส สวรรคชนั้ ท่ี ๒ แหงสวรรค ๖ ชน้ั คอื ๑. อัศวินี (ดาวมา) มี ๗ ดวง
มีจอมเทพผูปกครองชื่อทาวสักกะ ซ่ึง ๒. ภรณี (ดาวกอนเสา) มี ๓ ดวง
โดยท่วั ไปเรยี กกันวาพระอนิ ทร, อรรถ- ๓. กฤติกา (ดาวลกู ไก) มี ๘ ดวง
กถาอธบิ ายความหมายของ “ดาวดงึ ส” วา ๔. โรหณิ ี (ดาวคางหมู) มี ๗ ดวง
คอื “แดนทค่ี น ๓๓ คนผทู าํ บญุ รวมกัน ๕. มฤคศิระ (ดาวหัวเนือ้ ) มี ๓ ดวง
ไดอุบัต”ิ (จํานวน ๓๓ บาลวี า เตตฺตึส, ๖. อารทรา (ดาวตาสําเภา) มี ๑ ดวง
เขียนตามรูปสันสกฤต เปน ตรยั ตรงึ ศ ๗. ปุนัพสุ (ดาวสําเภาทอง) มี ๓ ดวง
หรอื เพยี้ นเปน ไตรตรงึ ษ ซง่ึ ในภาษา ๘. บษุ ยะ (ดาวสมอสําเภา) มี ๕ ดวง
ไทยกใ็ ชเปนคาํ เรียกดาวดงึ สนด้ี วย) ดัง ๙. อาศเลษา (ดาวเรอื น) มี ๕ ดวง
มตี าํ นานวา ครง้ั หนง่ึ ที่มจลคาม ใน ๑๐. มฆา (ดาวงผู ู) มี ๕ ดวง
มคธรัฐ มีนักทําบุญบําเพ็ญประโยชน ๑๑. บรุ พผลคณุ ี (ดาวงเู มยี ) มี ๒ ดวง
คณะหน่ึงจํานวน ๓๓ คน นําโดยมฆ ๑๒. อตุ รผลคุณี (ดาวเพดาน) มี ๒ ดวง
มาณพ ไดรวมกันทาํ บญุ ตางๆ เชน ทาํ ๑๓. หสั ตะ (ดาวศอกค)ู มี ๕ ดวง
ถนน สรางสะพาน ขดุ บอนา้ํ ปลูกสวน ๑๔. จติ รา (ดาวตาจระเข) มี ๑ ดวง
ปา สรางศาลาท่พี กั คนเดนิ ทาง ใหแก ๑๕. สวาติ (ดาวชางพัง) มี ๕ ดวง
ชมุ ชน และทาํ ทาน ชวนชาวบานตง้ั อยู ๑๖. วศิ าขา (ดาวคนั ฉตั ร) มี ๕ ดวง
ดาวพระเคราะห ๑๐๕ ดิรัจฉานวชิ า
๑๗.อนรุ าธา(ดาวประจําฉัตร)มี ๔ ดวง ความปรารถนา, ความเสนหา (แผลงมา
๑๘. เชษฐา (ดาวชางใหญ) มี ๑๔ ดวง จากคาํ สนั สกฤตวา ตฤษณา ตรงกับคาํ
๑๙. มลู า (ดาวชางนอย) มี ๙ ดวง ทม่ี าจากบาลีวา ตัณหา)
๒๐.บรุ พาษาฒ(ดาวสปั คบั ชาง) มี ๓ ดวง ดิถี วันตามจันทรคติ ใชวา ค่าํ หน่ึง สอง
๒๑. อตุ ราษาฒ (ดาวแตรงอน) มี ๕ ดวง คาํ่ เปนตน
๒๒. ศรวณะ (ดาวหลกั ชยั ) มี ๓ ดวง ดิถเี พญ็ ดิถีมพี ระจันทรเตม็ ดวง, วนั ขึ้น
๒๓. ธนิษฐา (ดาวไซ) มี ๔ ดวง
๑๕ คํา่
๒๔. ศตภษิ ัช (ดาวพิมพทอง) มี ๔ ดวง ดิรัจฉาน สัตวที่(มีลําตัวทอด)ขวางไป
๒๕. บุรพภัทรบท (ดาวหวั เนอื้ ทราย) มี (ไมตั้งตรงขน้ึ ขางบน), สตั วในโลกนที้ ม่ี ี
๒ ดวง ๒๖. อตุ รภทั รบท (ดาวไมเทา) รูปกายปรากฏ นอกจากมนุษย; ใน
มี ๒ ดวง ๒๗. เรวดี (ดาวปลา ภาษาบาลี นิยมเรียกวา “ตริ จฉฺ านคต”;
ตะเพยี น) มี ๑๖ ดวง ในพุทธบัญญัติที่มิใหอุปสมบทดิรัจฉาน
ดาวพระเคราะห ในทางโหราศาสตร (วินย.๔/๑๒๗/๑๗๖) อรรถกถาอธิบายวา
หมายถงึ ดาวทงั้ ๙ ทเ่ี รยี กวา นพเคราะห หมายถึงสัตวอื่นจากมนุษย ทุกอยาง
คอื อาทติ ย จันทร องั คาร พธุ เสาร แมกระทั่งทาวสักกเทวราชคือพระอินทร
พฤหสั บดี ราหู ศกุ ร เกต;ุ แตในทาง (วนิ ย.อ.๓/๙๖); เดยี รจั ฉาน ก็ใช
ดาราศาสตรเรียก ดาวเคราะห หมายถึง ดิรจั ฉานกถา ดู ตริ จั ฉานกถา
ดาวที่ไมมแี สงสวางในตวั เอง ตองไดรบั ดริ จั ฉานวชิ า ในความหมายสาํ หรบั ภกิ ษุ
แสงสวางจากดวงอาทิตยและเปนบริวาร คือ ความรูที่ขวางตอทางพระนิพพาน
โคจรรอบดวงอาทิตยมี ๙ ดวง คอื พุธ เชน รใู นการทาํ เสนห รเู วทมนตรทจ่ี ะทาํ
ศุกร โลก อังคาร พฤหสั บดี เสาร ใหคนถงึ วบิ ตั ิ เปนหมอผี หมอดู หมองู
มฤตยู (ยูเรนัส) เกตุหรือพระสมุทร หมอยา ทาํ พธิ บี วงสรวง บนบาน แกบน
(เนปจูน) พระยม (พลูโต) เปนตน เมอ่ื เรยี นหรอื ใชปฏบิ ตั ิ ตนเองก็
ดาวฤกษ ดู ดาวนกั ษัตร หลงเพลนิ หมกมนุ และสวนมากทาํ ใหผู
ดําริ คดิ , ตริตรอง คนลุมหลงงมงาย ไมเปนอันปฏิบัติกิจ
ดาํ รชิ อบ ดาํ รอิ อกจากกาม ดาํ รใิ นอนั ไม หนาทหี่ รอื ประกอบการตามเหตผุ ล โดย
พยาบาท ดาํ ริในอนั ไมเบียดเบยี น; ดู เฉพาะตัวพระภิกษุก็จะขวางก้ันขัดถวง
สัมมาสังกปั ปะ ตนเองใหไมมีกาํ ลังและเวลาที่จะบาํ เพ็ญ
ดําฤษณา ความอยาก, ความด้ินรน, สมณธรรม, การงดเวนจากการเลยี้ งชพี
๑๐๕
ดุษณภี าพ ๑๐๖ เดน
ดวยดริ จั ฉานวชิ า เปนศลี ของพระภกิ ษุ ราชสีหกิน, พยัคฆวฆิ าส-เดนเสือโครง
ตามหลกั มหาศลี (ท.ี ส.ี ๙/ ๑๙–๒๕/๑๑–๑๕), กนิ , โกกวฆิ าส-เดนสุนขั ปากิน เปนตน)
ศีลนี้สําเร็จดวยการปฏิบัติตามสิกขาบท จะใหอนุปสัมบันตมยางทอดแกงแลว
ในพระวินัยปฎกขอท่ีกําหนดแกภิกษุท้ัง ฉัน กไ็ ด ไมเปนอาบัติ (วินย.๑/๑๓๗/๑๐๙),
หลาย มใิ หเรยี น มใิ หสอนดริ จั ฉานวชิ า มสี กิ ขาบทหามภกิ ษณุ ี มใิ หเท หรอื สงั่ ให
(วนิ ย.๗/๑๘๓-๔/๗๑) และแกภกิ ษณุ ที ง้ั หลาย เทอุจจาระ ปสสาวะ หยากเยอื่ หรอื ของ
เชนเดียวกัน (วินย.๓/๓๒๒/๑๗๗; ๓๒๕/ เปนเดน ออกไปนอกฝาหรอื นอกกาํ แพง
๑๗๘); ดูจฬู มชั ฌมิ มหาศลี (วินย.๓/๑๗๕/๑๐๖, และ ๓/๑๗๘/๑๐๘ มิใหเท
ดษุ ณีภาพ ความเปนผนู ง่ิ ของเหลาน้ีลงไปบนพชื พันธุของสดเขียว
ดสุ ติ สวรรคชนั้ ท่ี ๔ แหงสวรรค ๖ ชน้ั มี ที่ชาวบานปลูกไว, ท้ังนี้ ภิกษุก็ตอง
ทาวสนั ดสุ ติ เทวราชปกครอง สวรรคชน้ั นี้ ปฏิบตั ิตามดวยเชนกัน), มสี กิ ขาบทหาม
ภิกษุมใิ หเอาเศษอาหาร กาง หรือน้ําเดน
เปนทส่ี ถติ ของพระโพธสิ ตั วกอนจตุ ลิ งมา ใสบาตรออกไปทิ้ง แตใหใชกระโถน
(วินย.๗/๕๔/๒๒; และตาม วินย.๒/๘๕๖/๕๕๗
สมู นษุ ยโลกและตรสั รใู นพระชาตสิ ดุ ทาย ซ่ึงมิใหภิกษุเทนา้ํ ลางบาตร ทีย่ ังมีเมล็ด
ดกู ร, ดกู อน คาํ เอยเรยี กใหเตรียมตวั ฟง ขาวลงในละแวกบาน หนังสือวินัยมุข
ความทีจ่ ะพดู ตอไป, “แนะ” หรือ “ดูรา” เลม ๒ วา “ของเปนเดนก็เหมือนกัน”)
๒. ตรงกับคาํ บาลวี า “อตริ ติ ฺต” ซึ่งมี
ก็ใชบาง รากศัพทเดียวกับอติเรก หรืออดิเรก
เดน ของเศษของเหลอื ที่ไมตองการ, ของ แปลวา สวนเกนิ เหลือเฟอ เกินใช หรอื
เหลืออันเกินจากทตี่ องการ; “เดน” ตาม เกินตองการ หมายถงึ ของเหลอื ซง่ึ เกนิ
จากทตี่ องการ เชนในคาํ “คิลานาติรติ ตฺ ”
ท่เี ขาใจกันในภาษาไทยปจจุบัน มีความ ท่แี ปลวา “เดนภกิ ษไุ ข” ก็คือ ของเกนิ ฉนั
หรือเกินความตองการของพระอาพาธ
หมายไมสูตรงกับท่ีใชในทางพระวินัย ท้ังน้ี พึงเขาใจตามความในพระบาลี ดัง
เรื่องวา ภิกษุทั้งหลายนําบิณฑบาตอัน
อยางนอย ในภาษาไทย มักใชแตในแง ประณีตไปถวายพวกภกิ ษอุ าพาธ ภกิ ษุ
อาพาธฉันไมไดดงั ใจประสงค ภกิ ษทุ ้ัง
ที่พวงมากับความรูสึกเชิงวาต่ําทราม
๑๐๖
หรือนารงั เกยี จ, “เดน” ทใี่ ชกนั มาในทาง
พระวินยั พึงแยกวาเปนคําแปลของคํา
บาลี ๒ อยาง คอื ๑. ตรงกับคําบาลีวา
“วิฆาส” หรอื “อุจฉฺ ฏิ ” หมายถงึ ของ
เศษของเหลือจากทกี่ นิ ที่ใช เชน ภกิ ษุ
พบเน้ือเดนท่ีสัตวกิน (สีหวิฆาส-เดน
เดาะ ๑๐๗ ไดรบั สมมติ
หลายจึงท้ิงบิณฑบาตเหลานั้นเสีย พระ และกลาววา “ทัง้ หมดนัน่ พอแลว”
ผูมีพระภาคทรงสดับเสียงนกการอง เดาะ (ในคําวา “การเดาะกฐิน”) เสียหาย
เซง็ แซ จึงรับสั่งถามพระอานนท เมือ่ คือกฐินใชไมได หมดประโยชน หมด
ทรงทราบความตามท่ีพระอานนทกราบ อานิสงส ออกมาจากคาํ วา อุพฺภาโร,
ทูลแลว ไดทรงอนญุ าตใหฉันอาหารอัน อุทธฺ าโร แปลวา “ยกขึน้ หรือรื้อ” เขา
เปนเดน (อติริตต) ของภิกษุอาพาธ กับศพั ท กฐิน แปลวา “รื้อไมสะดงึ ” คอื
และของภิกษุซ่ึงมิใชผูอาพาธได แต หมดโอกาสไดประโยชนจากกฐิน
(สาํ หรบั อยางหลงั ) พงึ ทาํ ใหเปนเดน โดย เดียงสา รูความควรและไมควร, รูความ
บอกวา “ทั้งหมดนั่น พอแลว” และทรง เปนไปบริบรู ณแลว, เขาใจความ
บัญญัติสิกขาบทวา (วินย.๒/๕๐๐/๓๒๘) เดยี รฉาน, เดยี รจั ฉาน ดู ดริ จั ฉาน
“ภิกษุใดฉันเสร็จแลว หามภัตแลว เดียรถีย นักบวชนอกพระพุทธศาสนา
เคยี้ วก็ดี ฉันกด็ ี ซง่ึ ของเคยี้ วกด็ ี ซึ่งของ เดอื น ดวงจันทร, สวนของป คอื ปหนงึ่ มี
ฉนั ก็ดี อนั มิใชเดน เปนปาจิตตีย”, ท่ีวา ๑๒ เดอื นบาง ๑๓ เดอื นบาง (อยาง
เดน หรอื เกินฉัน ก็คือ ๒ อยาง ไดแก จนั ทรคต)ิ ; การทีน่ ับเวลาเปนเดือนและ
เดนของภิกษุอาพาธ และเดนของภกิ ษุ เรียกเวลาท่ีนับน้ันวาเดือน ก็เพราะ
กําหนดเอาขางขน้ึ ขางแรมของเดือน คือ
ไมอาพาธ ดงั กลาวแลว แตเดนชนดิ หลงั
ดวงจันทรเปนหลักมาตั้งแตเดิม; ดูช่ือ
คืออติริตตของภิกษุซึ่งมิใชผูอาพาธน้ัน เดอื นท่ี มาตรา (มาตราเวลา)
จะตองทาํ ใหถูกตองใน ๗ ประการ คือ โดยชอบ ในประโยควา “เปนผูตรสั รูเอง
ไดทําใหเปนกัปปยะแลว, ภิกษุรับ
โดยชอบ” ความตรสั รูน้นั ชอบ ถูกตอง
ประเคนแลว, ยกขน้ึ สงให, ทาํ ในหตั ถ-
ครบถวนสมบรู ณ ใหสาํ เรจ็ ประโยชนแก
บาส, เธอฉันแลวจึงทํา, เธอฉันเสรจ็
พระองคเองและผอู น่ื
หามภตั แลว ยงั มไิ ดลกุ จากอาสนะ กท็ าํ , ไดรับสมมติ ไดรับมติเห็นชอบรวมกัน
และเธอกลาววา “ทง้ั หมดนน่ั พอแลว”, ของที่ประชุมสงฆตั้งใหเปนเจาหนาท่ี
บางทที านตดั เปน ๕ ขอ คอื ทาํ ใหเปน หรือทํากิจที่สงฆมอบหมาย อยางใด
กัปปยะแลว, ภิกษุรับประเคนแลว, อยางหนง่ึ
(เธอฉันเสรจ็ หามภตั แลว ยังไมลกุ จาก
อาสนะ) ยกข้นึ สงให, ทาํ ในหตั ถบาส,
๑๐๗
ต
ตจะ หนงั แลวอยางนนั้ คอื เสดจ็ มาทรงบาํ เพญ็
ตจปญจกกัมมัฏฐาน กรรมฐานมหี นงั
เปนท่ีคํารบหา กรรมฐานอันบัณฑิต พุทธจริยา เพ่ือประโยชนแกชาวโลก
กาํ หนดดวยอาการมีหนงั เปนที่ ๕ เปน เปนตน เหมือนอยางพระพุทธเจาพระ
องคกอนๆ อยางไรก็อยางนนั้ ๒. พระผู
อารมณ คือ กรรมฐานที่ทานสอนให เสด็จไปแลวอยางนั้น คือทรงทําลาย
พจิ ารณาสวนของรางกาย ๕ อยางคอื อวิชชาสละปวงกิเลสเสด็จไปเหมือน
ผม ขน เลบ็ ฟน หนัง โดยความเปน อยางพระพทุ ธเจาพระองคกอนๆ อยาง
ไรก็อยางน้ัน ๓. พระผูเสด็จมาถึงตถ-
ของปฏิกูล หรือโดยความเปนสภาวะ ลกั ษณะ คือ ทรงมพี ระญาณหยง่ั รเู ขา
อยางหนงึ่ ๆ ตามท่มี นั เปนของมัน ไมเอา ถึงลักษณะท่ีแทจริงของส่ิงท้ังหลายหรือ
ของธรรมทุกอยาง ๔. พระผตู รสั รตู ถ-
ใจเขาไปผูกพันแลวคิดวาดภาพใฝฝน ธรรมตามทมี่ ันเปน คอื ตรสั รูอรยิ สัจจ
ตามอํานาจกิเลส พจนานุกรมเขียน ๔ หรือปฏิจจสมุปบาทอันเปนธรรมท่ี
ตจปญจกกรรมฐาน เรียกอีกอยางวา จริงแทแนนอน ๕. พระผูทรงเห็นอยาง
มลู กัมมฏั ฐาน (กรรมฐานเบื้องตน) น้ัน คือ ทรงรูเทาทันสรรพอารมณท่ี
ตติยฌาน ฌานที่ ๓ มีองค ๒ ละปติเสีย
ได คงอยแู ตสขุ กบั เอกคั คตา ปรากฏแกหมูสัตวทงั้ เทพและมนุษย ซ่ึง
ตถตา ความเปนอยางนั้น, ความเปนเชน
นัน้ , ภาวะท่สี ิง่ ท้งั หลายทงั้ ปวงเปนของ สัตวโลกตลอดถึงเทพถึงพรหมได
มันอยางน้ันเอง คือเปนไปตามเหตุ ประสบและพากันแสวงหา ทรงเขาใจ
สภาพทแ่ี ทจริง ๖. พระผตู รัสอยางน้นั
ปจจัย (มิใชเปนไปตามความออนวอน
(หรือมีพระวาจาท่ีแทจริง) คือ พระ
ปรารถนา หรอื การดลบนั ดาลของใครๆ)
เปนชอื่ หนง่ึ ทใี่ ชเรยี กกฎ ปฏจิ จสมปุ บาท ดํารัสท้ังปวงนับแตตรัสรูจนเสด็จดับ
หรือ อิทปั ปจจยตา
ตถาคต พระนามอยางหน่ึงของพระ ขันธปรินิพพาน ลวนเปนส่ิงแทจริงถูก
พทุ ธเจา เปนคาํ ทีพ่ ระพทุ ธเจาทรงเรียก ตอง ไมเปนอยางอ่นื ๗. พระผูทาํ อยาง
นัน้ คือ ตรัสอยางใด ทาํ อยางนนั้ ทาํ
หรือตรัสถึงพระองคเอง แปลไดความ อยางใด ตรัสอยางนั้น ๘. พระผเู ปนเจา
หมาย ๘ อยาง คอื ๑. พระผเู สดจ็ มา (อภภิ ู) คือ ทรงเปนผูใหญย่งิ เหนอื กวา
ตถาคตโพธสิ ทั ธา ๑๐๙ ตระบดั
สรรพสัตวตลอดถึงพระพรหมท่ีสูงสุด เปนโลกิยวมิ ตุ ต;ิ ดู วิมตุ ติ
เปนผูเหน็ ถองแท ทรงอํานาจ เปนราชา ตทารมณ, ตทารมั มณะ ดู วถิ จี ติ
ท่ีพระราชาทรงบูชา เปนเทพแหงเทพ ตทาลัมพณะ, ตทาลมั พนะ ดู วถิ จี ติ
เปนอินทรเหนือพระอินทร เปนพรหม ตนโพธิ์ ดู โพธิ
เหนือประดาพรหม ไมมีใครจะอาจวัด ตบะ 1. ความเพียรเครื่องเผาผลาญ
หรอื จะทัดเทยี มพระองคดวยศีล สมาธิ กเิ ลส, การบําเพญ็ เพียรเพ่ือกําจัดกเิ ลส
ปญญา วิมตุ ติ และวิมตุ ติญาณทสั สนะ 2. พิธีขมกิเลสโดยการทรมานตัวของ
ตถาคตโพธิสัทธา ความเชื่อปญญา นกั บวชบางพวกในสมัยพทุ ธกาล
ตรสั รขู องพระตถาคต (ผกู เปนศัพทขึ้น ตปสุ สะ พอคาทม่ี าจากอกุ กลชนบทคกู บั
จากความบาลวี า “สททฺ หติ ตถาคตสฺส ภลั ลกิ ะ พบพระพทุ ธเจาขณะประทบั อยู
โพธ”ึ ); ดู สทั ธา ณ ภายใตตนไมราชายตนะภายหลัง
ตทังคนิพพาน “นิพพานดวยองคน้ัน”, ตรสั รใู หมๆ ไดถวายเสบยี งเดนิ ทาง คือ
นพิ พานดวยองคธรรมจาํ เพาะ เชน มอง ขาวสัตตุผง ขาวสตั ตุกอน แลวแสดง
เหน็ ขนั ธ ๕ โดยไตรลกั ษณแลวหายทกุ ข ตนเปนอุบาสก ถึงพระพุทธเจากบั พระ
รอน ใจสงบสบายมคี วามสขุ อยตู ลอดชวั่ ธรรมเปนสรณะ นับเปนปฐมอุบาสกผู
คราวนน้ั ๆ, นพิ พานเฉพาะกรณี ถึงสรณะ ๒ ท่เี รยี กวา เทฺววาจิก
ตทงั คปหาน “การละดวยองคนน้ั ”, การ ตโปทาราม สวนซ่งึ อยใู กลบอนํ้าพรุ อน
ละกิเลสดวยองคธรรมที่จําเพาะกันน้ัน ชอ่ื ตโปทา ใกลพระนครราชคฤห เปน
คือละกิเลสดวยองคธรรมจําเพาะท่ีเปน สถานที่แหงหนึ่งที่พระพุทธเจาเคยทรง
คูปรบั กนั แปลงายๆ วา “การละกิเลส ทาํ นมิ ติ ตโอภาสแกพระอานนท
ดวยธรรมทเ่ี ปนคปู รับ” เชน ละโกรธ ตระกูลอันม่ังคั่ง จะตั้งอยูนานไมได
ดวยเมตตา (แปลกนั มาวา “การละกเิ ลส เพราะเหตุ ๔ อยาง คอื ๑. ไมแสวงหา
ไดชัว่ คราว”) พสั ดุทห่ี ายแลว ๒. ไมบรู ณะพัสดุทีค่ รํ่า
ตทังควิมตุ ติ “พนดวยองคนนั้ ๆ” หมาย ครา ๓. ไมรจู ักประมาณในการบริโภค
ความวา พนจากกิเลสดวยอาศัยธรรม สมบตั ิ ๔. ตง้ั สตรหี รอื บรุ ษุ ทศุ ลี ใหเปน
ตรงขามทีเ่ ปนคปู รับกัน เชน เกิดเมตตา แมบานพอเรือน
หายโกรธ เกิดสังเวช หายกําหนัด ตระบัด ยืมของเขาไปแลวเอาเสีย เชน
เปนตน เปนการหลุดพนชั่วคราว และ ขอยืมของไปใชแลวไมสงคืน กูหน้ีไป
๑๐๙
ตระหน่ี ๑๑๐ ตรีทศ
แลวไมสงตนทนุ และดอกเบี้ย พระยาวชริ ญาณวโรรส ก็ใชคําวา “ตรัส
ตระหน่ี เหนยี ว, เหนียวแนน, ไมอยาก ร”ู แกพระอรหนั ตสาวกทวั่ ไป เชน “เรา
ใหงายๆ, ขี้เหนยี ว (มจั ฉริยะ) ผูพระศาสดาและทานท้ังหลายผูสาวก
ตรัยตรึงศ “สามสิบสาม”, สวรรคชั้น ไดตามตรัสรแู ลว” และ “ทานทัง้ หลายผู
ดาวดงึ ส; ดู ดาวดงึ ส สาวก อันไดตรัสรูจบซึ่งศีล สมาธิ
ตรัสรู รแู จง หมายถึงรูอรยิ สจั จ ๔ คือ ปญญา วิมุตติ นัน้ แลว”
ทกุ ข สมทุ ยั นโิ รธ มรรค อยางแจงชัด ตัวอยางที่ยกมานี้ แสดงวาในสมัย
ถึงไดบรรลมุ รรคผล กอน ทานใชคาํ วา “ตรสั รู” แกผูบรรลุ
ใน “ปฐมสมโพธกิ ถา” พระนพิ นธ มรรคผลท่ัวทัง้ หมด โดยคงถอื วาการรู
ของสมเด็จพระมหาสมณเจา กรม ของผูบรรลุมรรคผล มิใชเปนการรู
พระปรมานชุ ติ ชิโนรส (ทรงชําระเสรจ็ ใน สามัญอยางปุถุชน
พ.ศ. ๒๓๘๘) ทรงใชคาํ วา “ตรัสร”ู แก ตามพจนานุกรมของทางการใน
พระอรหนั ตท้ังปวง เชน “เหตผุ ลในการ ปจจุบนั แสดงความหมายของ “ตรัสร”ู
กราบทูลใหแสดงธรรม คอื บคุ คลผู วา “รแู จง (ใชเฉพาะพระพุทธเจา)” ซง่ึ ผู
พรอมตรัสรตู ามมีอยู หากไมตรัสธรรม อานมักเขาใจวาเฉพาะพระสัมมาสัม
พวกเขาก็ยอมเสยี โอกาส” และทรงใชแก พุทธเจา แตถาถือความหมายวาใช
การบรรลมุ รรคผลทุกระดบั ตง้ั แตเปน เฉพาะพระพุทธเจาท้ัง ๓ ประเภท คอื
โสดาบนั เชนวา “อนั วาพระธรรมาภสิ มัย พระพุทธเจา พระปจเจกพุทธเจา และ
คือตรสั รูมรรคผลก็บังเกดิ แกสัตว ๘๔ พระอนุพทุ ธเจา ก็พอไปกนั ไดกับความ
โกฏเิ ปนประมาณ” และ “เบือ้ งวาบุคคล หมายท่ีไดแสดงมา (บัดนี้ตามปกติไมใช
ตรัสรูซ่ึงองคพระอริยมรรคทั้ง ๘ คําวา “พระอนุพุทธเจา” จะเรียกแควา
ประการน้แี ลว กจ็ ะไดซ่ึงโสดาปตติผล” “พระอนุพุทธ” แตถาพิจารณาตาม
ในหนงั สือ พระปฐมสมโพธิ แบบ หนังสือเกาท่ียังใชเปนแบบเรียนนัก
ธรรมยุต ที่สมเด็จพระสังฆราช (สา ธรรมในบดั น้ี อยางธรรมสมบตั ิ (หมวด
ปุสสฺ เทว) ทรงรจนาในชวง พ.ศ. ๒๔๑๙ ที่ ๒ สงั คตี ิกถา) ซึ่งใชคําวา “พระ
-๒๔๔๕ ซึ่งพมิ พเปนแบบเรยี นนักธรรม อรหนั ตเจา” ท่ัวไปหมด ถาใชคําวา “พระ
ในธรรมสมบตั ิ เปนหมวดที่ ๑ ตามพระ อนุพทุ ธเจา” ก็เปนความสอดคลองกัน)
ดาํ ริของสมเด็จพระมหาสมณเจา กรม ตรที ศ ดู ไตรทศ
๑๑๐
ตรที พิ ๑๑๑ ตกั สลิ า,ตักศิลา
ตรที ิพ ดู ไตรทพิ ลงกัน
ตรุณวิปสสนา วิปสสนาอยางออน; ดู ตอหนังสือค่ํา เรียนหนังสือโดยวิธีท่ี
ญาณ ๑๖, วิปสสนปู กเิ ลส
อาจารยบอกปากเปลาใหโดยตรงเปน
ตรุษ เทศกาลส้นิ ป; ดู ตรุษสงกรานต รายตวั ซงึ่ เนนการจําใหแมนใหตรงเปน
ตรุษสงกรานต เทศกาลส้ินปเกาขึ้นป ฐาน อันสบื มาแตยุคท่ียงั ไมไดใชหนังสือ
ใหมของไทย ตามประเพณโี บราณ เปน โดยอาจารยสอนใหวาทีละคําหรือทีละ
คราวเสร็จการเก็บเกี่ยว ยางเขาฤดูรอน วรรคทลี ะตอน ศิษยกว็ าตามวาซ้ําๆ จน
นาสังเกตวา วันตรุษ คือสน้ิ ป ถอื จาํ ได แลวอาจารยอธบิ ายและตอบคาํ ซกั
ตามจันทรคติ ตรงกับวนั แรม ๑๕ คํา่ ถามใหเขาใจใหชดั หรอื อาจารยกาํ หนด
เดอื น ๔ แตวนั สงกรานต คือขึ้นปใหม ใหนําไปทอง แลวมาวาใหอาจารยฟง
ถือตามสรุ ยิ คติ ไดแกวนั ท่ี ๑๓ เมษายน เม่ือศิษยจําไดและเขาใจแมนยําแลว
เทศกาลตรุษยังมีถือกันอยูเพียงใน อาจารยก็สอนหรือใหรับสวนท่ีกําหนด
บางทองท่ี และตามปกติทํากนั ๓ วัน ใหมไปทองเพมิ่ ตอไปทกุ ๆ วนั วันละ
ตงั้ แตวันแรม ๑๔ คาํ่ เดอื น ๔ ถึงข้ึนคาํ่ มากหรือนอยแลวแตความสามารถของ
หน่ึง เดือน ๕ ศิษย นเ่ี รยี กวา ตอหนังสือ และมักตอ
เม่ือแยกวันส้ินปเกา กับวันข้ึนป ในเวลาคาํ่ จึงเรยี กวา ตอหนงั สือคํ่า
ใหมออกหางกนั ประชาชนกม็ ชี วงเวลา ตะเบ็งมาน เปนชื่อวิธีหมผาของหญิง
สําหรบั ทาํ บุญ และเลนสนุกสนานร่ืนเริง อยางหนงึ่ คือ เอาผาโอบหลงั สอดรกั แร
หรือเที่ยวเตรพกั ผอน ติดตอกันหลาย สองขางออกมาขางหนา ชักชายไขวกนั
วัน จึงอาจฉลองกนั ตงั้ แตวันตรษุ ไปจน ข้ึนพาดบาปกลงไปเหนบ็ ไวทผ่ี าโอบหลัง
ถึ ง วั น เ ป ลี่ ย น ศั ก ร า ช ใ ห ม ใ น วั น ตะโพน เครอื่ งดนตรชี นดิ หนง่ึ มหี นงั สอง
สงกรานต; ดู สงกรานต
หนา ตรงกลางปอง รมิ ๒ ขางสอบลง
ตอง ถกู , ถงึ , ประสบ (ในคําวา “ตอง ตักกะ เปรยี ง; ดู เบญจโครส
อาบตั ิ” คือ ถงึ ความละเมิด หรอื มีความ ตกั บาตรเทโว ดู เทโวโรหณะ
ผดิ สถานนั้นๆ คลายในคําวา ตองหา ตกั สลิ า, ตกั ศลิ า ชอื่ นครหลวงแหงแควน
ตองขัง ตองโทษ ตองคดี) คันธาระ ซึ่งเปนแควนหน่ึงในบรรดา
ตอตาม พูดเกี่ยงราคาในเร่ืองซ้ือขาย, ๑๖ แควนแหงชมพูทวปี ตกั สลิ ามมี าแต
พูดเก่ียงผลประโยชนในการทาํ ความตก ดึกดําบรรพกอนพุทธกาล เคยรุงเรือง
๑๑๑
ตกั สลิ า,ตกั ศิลา ๑๑๒ ตักสิลา,ตักศลิ า
ดวยศิลปวิทยาตางๆ เปนสถานท่ีมีช่ือ ท่ีคนชาติกรีกกลาวถึงขนบธรรมเนียม
เสียงที่สุดในการศึกษายุคโบราณ เรียก ประเพณีของเมืองตักสิลา เชนวา
กนั วา เปนเมอื งมหาวทิ ยาลยั สนั นษิ ฐาน ประชาชนชาวตักสิลา ถาเปนคนยากจน
วา บัดนค้ี อื บริเวณซากโบราณสถาน ใน ไมสามารถจะปลูกฝงธิดาใหมีเหยาเรอื น
เขตแควนปญจาบ ของประเทศปากี- ตามประเพณไี ด กน็ าํ ธดิ าไปขายทต่ี ลาด
สถาน อยูหางออกไปประมาณ ๒๗ กม. โดยเปาสังขตีกลองเปนอาณัติสัญญาณ
ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของราวัล- ประชาชนก็พากันมาลอมดู ถาผใู ดชอบ
ปนดิ (Rawalpindi) เมืองหลวงเกา ใจกต็ กลงราคากนั นาํ ไปเปนภรรยา หญงิ
และหางจากอิสลามะบาด (Islamabad) ทสี่ ามตี ายจะตองเผาตวั ตายไปกบั สามี
เมืองหลวงปจจบุ นั ไปทางทศิ ตะวันตก
ประมาณ ๒๓ กม. นับแตสมัยพระเจาอโศกมหาราช
เปนตนมา ตักสลิ าไดเปนนครท่รี ุงเรือง
ตักสิลาเปนราชธานีที่มั่งค่ังรุงเรือง ดวยพระพุทธศาสนา ซึ่งเจริญขึ้นมา
สืบตอกันมาหลายศตวรรษ ตั้งแตกอน เคียงขางศาสนาฮินดู เปนแหลงสําคัญ
พุทธกาล จนถึงพุทธศตวรรษท่ี ๑๑ มี แหงหน่ึงของการศึกษาพระพุทธศาสนา
เร่ืองราวเลาไวในชาดกเปนอันมาก ซ่ึง ดังมีซากสถปู เจดีย วัดวาอาราม และ
แสดงใหเห็นวา ตักสิลาเปนศูนยกลาง ป ร ะ ติ ม า ก ร ร ม แ บ บ ศิ ล ป ะ คั น ธ า ร ะ
การศึกษา มสี าํ นกั อาจารยทิศาปาโมกข จาํ นวนมากปรากฏเปนหลักฐาน
สัง่ สอนศลิ ปวทิ ยาตางๆ แกศษิ ยซง่ึ เดนิ
ทางมาเลาเรียนจากทุกถ่ินในชมพูทวีป ตอมาราว พ.ศ. ๙๔๓ หลวงจนี
แตในยุคกอนพุทธกาลชนวรรณะสูงเทา ฟาเหียนไดมาสืบพระพุทธศาสนา ใน
นน้ั จงึ มสี ทิ ธเิ ขาเรยี นได บคุ คลสาํ คญั และ อินเดีย ยงั ไดมานมสั การพระสถูปเจดยี
มีช่ือเสียงหลายทานในสมัยพุทธกาล ทีเ่ มืองตักสลิ า แสดงวาเมอื งตกั สิลายงั
สําเร็จการศึกษาจากนครตักสิลา เชน คงบริบูรณดีอยู แตตอมาราว พ.ศ.
พระเจาปเสนทิโกศล เจามหาลิจฉวี ๑๐๕๐ ชนชาติฮน่ั ยกมาตอี นิ เดยี และได
พันธุลเสนาบดี หมอชวี กโกมารภัจ และ ทาํ ลายพระพุทธศาสนา ทําใหเมอื งตัก-
องคลุ มิ าล เปนตน ตอมาภายหลงั พทุ ธกาล สิลาพินาศสาบสูญไป คร้ันถึง พ.ศ.
ตักสิลาไดถูกพระเจาอเล็กซานเดอร ๑๑๘๖ หลวงจนี เหย้ี นจงั (พระถงั ซมั จงั๋ )
มหาราชกษตั ริยกรกี ยึดครอง มีหนังสอื มาสบื พระพทุ ธศาสนาในอินเดยี กลาว
วาเมอื งตกั สลิ าตกอยใู นสภาพเสอื่ มโทรม
๑๑๒
ตั่ง ๑๑๓ ตัมพปณณิ
เปนเพยี งเมอื งหนง่ึ ทข่ี นึ้ กบั แควนกัศมีระ ๓ อารมณ ๖ ๒ (ภายใน+ภายนอก)
โบสถวหิ าร สถานศกึ ษา และปชู นยี สถาน กาล ๓; ดูปปญจะ,มานะ; เทยี บฉนั ทะ2.
ถูกทาํ ลายหมด จากน้ันมาก็ไมปรากฏ ตณั หา๒ ธิดามารนางหนงึ่ ใน ๓ นาง ที่
เรือ่ งเมอื งตักสลิ าอกี ; เขียนเต็มตามบาลี อาสาพระยามารผเู ปนบดิ า เขาไปประโลม
เปน ตักกสิลา เขียนอยางสันสกฤตเปน พระพทุ ธเจาดวยอาการตางๆ ในสมยั ท่ี
ตกั ษศลิ าองั กฤษเขยี นTaxila;ดูคนั ธาระ พระองคประทับอยูท่ีตนอชปาลนิโครธ
ตัง่ มา ๔ เหล่ียมรี น่ังได ๒ คนกม็ ี ภายหลังตรัสรูใหมๆ (อีก ๒ นาง คือ
ตัชชนียกรรม กรรมอันสงฆพึงทําแก อรดี กบั ราคา)
ภิกษุอันจะพึงขู, สังฆกรรมประเภท ตณั หาจรติ ดู จรติ , จริยา
นิคหกรรมอยางหนึ่ง ซ่ึงสงฆทําการ ตัตรมัชฌัตตตา ความเปนกลางใน
ตําหนิโทษภิกษุผูกอความทะเลาะวิวาท อารมณนน้ั ๆ, ภาวะที่จิตและเจตสกิ ต้ัง
กออธิกรณขน้ึ ในสงฆ เปนผมู อี าบัตมิ าก อยูในความเปนกลาง บางทีเรียก
และคลุกคลีกับคฤหัสถในทางท่ีไมสม อเุ บกขา (ขอ ๗ ในโสภณเจตสกิ ๒๕)
ควร; ดู นิคหกรรม ตนั ติ 1. แบบแผน เชน ตันตธิ รรม
ตงั้ ใจชอบ ดู สัมมาสมาธิ
(ธรรมที่เปนแบบแผน) ตันติประเพณี
ตณฺหกขฺ โย ความส้ินไปแหงตัณหา เปน (แนวทางที่ยึดถือปฏิบัติสืบกันมาเปน
ไวพจนอยางหนึ่งแหง วิราคะ และ แบบแผน) เชน ภิกษทุ ัง้ หลายควรสืบ
นิพพาน
ตอตันติประเพณีแหงการเลาเรียนพระ
ตณั หา๑ ความทะยานอยาก, ความรานรน, ธรรมวินัย และเที่ยวจาริกไป แสดง
ความปรารถนา, ความอยากเสพ อยาก ธรรม โดยดํารงอริ ยิ าบถอันนาเลือ่ มใส
ได อยากเอาเพอ่ื ตวั , ความแสหา, มี ๓ 2. เสน, สาย เชน สายพณิ
คอื ๑. กามตณั หา ความทะยานอยากใน ตนั ตภิ าษา ภาษาทมี่ แี บบแผน คอื มหี ลกั
กาม อยากไดอารมณอันนาใคร ๒. ภาษา มไี วยากรณ เปนระเบยี บ เปน
ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ มาตรฐาน; เมอ่ื พระพทุ ธโฆสาจารยแปล
อยากเปนนน่ั เปนน่ี ๓. วภิ วตณั หา ความ อรรถกถาจากภาษาสงิ หล ทานกลาววา
ทะยานอยากในวภิ พ อยากไมเปนนน่ั ไม ยกขนึ้ สตู นั ตภิ าษา คาํ วา “ตนั ตภิ าษา” ใน
เปนนี่ อยากพรากพนดับสูญไปเสีย; ทนี่ ้ี หมายถงึ ภาษาบาลี (บาล:ี ตนตฺ ภิ าสา)
ตณั หา ๑๐๘ ตามนยั อยางงาย = ตณั หา ตมั พปณณิ “(เกาะ) คนฝามือแดง” เปน
๑๑๓
ตสั สปาปยสกิ ากรรม ๑๑๔ ตามลติ ต,ิ ตามพลติ ติ
ช่ือหนึ่งของลังกาทวีป คือประเทศศรี- จากนั้น ช่ือตัมพปณณิก็ขยายออกไป
ลงั กาในปจจบุ นั และคงเปนช่ือท่เี กาแก กลายเปนชอ่ื ของทง้ั เกาะหรอื ทง้ั ประเทศ,
มาก ปรากฏในรายชื่อดินแดนตางๆ ใน ตามเรอ่ื งทเ่ี ลามา จะเหน็ ชอ่ื ทใี่ ชเรยี กดนิ
คมั ภรี มหานทิ เทส แหงพระสตุ ตนั ตปฎก แดนนีค้ รบ ท้งั ลงั กา ตัมพปณณิ และ
ซึ่งมีชวาดวย และถดั จากสวุ รรณภูมิ ก็ สีหลหรือสงิ หฬ, ตามพปณณิ กเ็ รยี ก
มีตมั พปณณิ (ชว คจฉฺ ติ … สุวณฺณภูมึ (จะเติม ‘ทวีป’ เปนตัมพปณณิทวีป
คจฺฉติ ตมพฺ ปณฺณึ คจฺฉต,ิ ขุ.ม.๒๙/๒๕๔/ หรือตามพปณณิทวปี ก็ได)
๑๘๘, ๘๑๐/๕๐๔) ชอื่ เหลานจ้ี ะตรงกับดิน ตัสสปาปยสกิ ากรรม กรรมอันสงฆพึง
แดนที่เขาใจกนั หรอื เปนชื่อพอง หรือ ทาํ เพราะความทีภ่ กิ ษนุ ั้นเปนผเู ลวทราม,
ต้ังตามกนั ไมอาจวนิ จิ ฉัยใหเดด็ ขาดได, กรรมน้ีสงฆทําแกภิกษุผูเปนจําเลยใน
เหตุที่ลังกาทวีปไดนามวาตัมพปณณิน้ัน อนุวาทาธิกรณ ใหการกลับไปกลับมา
มเี ร่อื งตามตาํ นานวา เจาชายวชิ ัยซึง่ เปน เดีย๋ วปฏเิ สธ เดยี๋ วสารภาพ พดู ถลาก
โอรสองคใหญของพระเจาสีหพาหุและ ไถล พูดกลบเกลอื่ นขอที่ถกู ซัก พดู มุสา
พระนางสีหสีวลีในชมพูทวีป ถูกพระ ซงึ่ หนา สงฆทาํ กรรมนีแ้ กเธอเปนการลง
ราชบิดาลงโทษเนรเทศ ไดเดนิ ทางจาก โทษตามความผิดแมวาเธอจะไมรับ
ชมพูทวีป และมาถึงเกาะนใ้ี นวนั พทุ ธ- หรือเพื่อเพ่ิมโทษจากอาบัติที่ตอง; ดู
ปรนิ พิ พาน ราชบรพิ ารซ่ึงเหนด็ เหนื่อย นคิ หกรรม
จากการเดนิ ทาง เมือ่ ขึ้นฝงแลวกล็ งน่ัง ตามพปณณิ ดู ตัมพปณณิ
พกั เอามอื ยนั พน้ื ดิน เมื่อยกมือขึ้นมา ตามลติ ติ, ตามพลติ ติ ชอ่ื เมอื งทาสาํ คญั
มือก็เปอนแดงดวยดินท่ีนั่นซ่ึงมีสีแดง บนฝงทะเลดานตะวันออกของชมพูทวีป
กลายเปนคนมอื แดง (ตมฺพ [แดง] + ท่ีพอคาเดินเรือออกไปคาขายทางทะเล
ปณฺณี [มฝี ามือ] = ตมพฺ ปณฺณี [มีฝามอื มายงั สวุ รรณภมู ิ เปนตน, พระเจาอโศก
แดง]) ก็จึงเรยี กถ่ินน้ันวา ตมั พปณณิ มหาราชเสดจ็ มาสงกงิ่ พระศรีมหาโพธิ ซงึ่
แลว ณ ถิ่นนน้ั เจาชายวิชัยไดรับความ พระสงั ฆมติ ตาเถรี ราชธดิ า นําไปยงั ลังกา
ชวยเหลือจากยักษิณีท่ีรักพระองค รบ ทวีป โดยลงเรือที่เมืองทาตามพลิตตินี้
ชนะพวกยักษแหงเมืองลงั กาปรุ ะ จงึ ได (วินย.อ.๑/๙๘), หลวงจีนฟาเหียนก็ไปลังกา
ตั้งเมืองตัมพปณณินครข้ึน เปนปฐม- ทวีปโดยมาลงเรอื ทีน่ ่ี ตอมาพระถงั ซําจ๋ังก็
กษตั รยิ ตนวงศของชาวสหี ล หรอื สงิ หฬ มา และเลาวาทีเ่ มอื งนม้ี ีวดั ๑๐ วดั และ
๑๑๔
ตาลาวจร ๑๑๕ ตติ ถกร
มีเสาศิลาจารึกของพระเจาอโศกมหาราช, กไ็ มเปนอันอยูปราศ ไมตองอาบตั ิดวย
ไดช่ือวาตามพลิตติเพราะคนรูกันวาเปนที่ นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี สกิ ขาบทที่ ๑
สงออกทองแดง, ตําราวาปจจบุ ันไดแกถิ่น ตจิ วี ราวปิ ปวาสสมี า แดนไมอยปู ราศจาก
ชอ่ื Tamluk ในรฐั เบงกอลตะวันตก/West ไตรจวี ร สมมตแิ ลว ภิกษอุ ยูหางจาก
Bengal ในอินเดียภาคตะวันออกเฉียง ไตรจวี รในสมี านน้ั กไ็ มเปนอันปราศ
เหนือ หางจากเมืองกัลกัตตา/Calcutta ติณชาติ หญา
(บดั นชี้ ื่อ Kolkata/โกลกาตา) ลงมาทาง ตณิ วตั ถารกวธิ ี วธิ แี หง ตณิ วตั ถารกวนิ ยั
ตะวันตกเฉยี งใต ๕๕ กม. และเนือ่ งจาก ตณิ วตั ถารกวนิ ยั ระเบยี บดงั กลบไวดวย
ปากแมน้าํ คงคาตน้ื ข้ึน ปจจุบนั เมอื งนีอ้ ยู หญา ไดแกกิรยิ าที่ใหประนปี ระนอมกนั
ลกึ เขามาบนแผนดินหางทะเลถงึ ๙๗ กม., ท้ังสองฝาย ไมตองชําระสะสางหาความ
ที่น่ีบัดน้ียังมีวัดพระพุทธศาสนาเหลืออยู เดมิ เปนวธิ ีระงับอาปตตาธิกรณ ท่ใี ชใน
วัดหน่ึง แตไดกลายเปนศาลเจาแมกาลี เม่ือจะระงับลหุกาบัติท่ีเกี่ยวกับภิกษุ
ของศาสนาฮินดูไปแลว; ดู สุปปารกะ, จํานวนมาก ตางก็ประพฤติไมสมควร
สุวรรณภมู ิ, ตัมพปณณิ และซดั ทอดกัน เปนเรือ่ งนุงนังซบั ซอน
ตาลาวจร ดุริยภณั ฑ, เครือ่ งดนตรี (ที.อ. ชวนใหทะเลาะวิวาท กลาวซดั ลําเลิกกนั
๒/๒๐๔, วินย.ฏี.๑/๒๖๒) ไปไมมที ่สี ดุ จะระงบั ดวยวธิ อี ืน่ ก็จะเปน
เรอื่ งลุกลามไป เพราะถาจะสบื สวนสอบ
ตาลุ เพดานปาก สวนปรบั ใหกันและกันแสดงอาบัติ กม็ ี
ตาลุชะ อักษรเกดิ ท่เี พดาน คือ อิ อี และ แตจะทําใหอธิกรณรุนแรงยิ่งขึ้น จึง
จ ฉ ช ฌ กับท้ัง ย ระงับเสียดวยติณวัตถารกวิธี คือแบบ
ตํารับ, ตําหรับ ตาํ ราที่กาํ หนดไวเปน
เฉพาะแตละเรื่องละราย กลบไวดวยหญา ตัดตอนยกเลิกเสีย
ติกะ หมวด ๓ ไมสะสางความหลังกันอีก เปนอยาง
ตจิ วี รวปิ ปวาส การอยปู ราศจากไตรจวี ร หนงึ่ ในวธิ รี ะงับอธิกรณ ๗; ดู อธกิ รณ
ติจีวรอวิปปวาส การไมอยูปราศจาก สมถะ
ไตรจีวร; ดู ติจีวราวิปปวาส ตติ ถกร เจาลัทธิ หมายถึงคณาจารย ๖
ตจิ วี ราวปิ ปวาส การไมอยปู ราศจากไตร- คน คอื ๑.ปรู ณกสั สป๒.มกั ขลโิ คสาล ๓.
จวี ร คอื ภกิ ษุอยูในแดนที่สมมติเปน อชติ เกสกมั พล ๔. ปกทุ ธกจั จายนะ ๕.
ตจิ วี ราวปิ ปวาสแลว อยหู างจากไตรจวี ร สัญชยั เวลฏั ฐบุตร ๖. นคิ รนถนาฏบตุ ร
๑๑๕
ติตถยิ ะ ๑๑๖ ตริ ัจฉานกถา
มักเรยี กวา ครทู ้งั ๖ กถา โจรกถา มหามตั ตกถา (เร่อื งมหา
ติตถยิ ะ เดียรถยี , นักบวชภายนอกพระ อํามาตย) เสนากถา (เรอื่ งกองทพั ) ภย-
พทุ ธศาสนา กถา ยทุ ธกถา อนั นกถา (เรอ่ื งขาว) ปาน-
ติตถิยปริวาส วิธีอยูกรรมสําหรับ กถา (เรอื่ งน้ํา) วตั ถกถา (เร่ืองผา) ยาน-
เดียรถียท่ีขอบวชในพระพุทธศาสนา กถา สยนกถา (เร่ืองท่นี อน) มาลากถา
คันธกถา าติกถา คามกถา (เร่อื ง
กลาวคือ นกั บวชในลัทธศิ าสนาอ่ืน หาก บาน) นคิ มกถา (เรอ่ื งนิคม คือเมือง
ยอย) นครกถา ชนปทกถา อติ ถกี ถา
ปรารถนาจะบวชเปนภิกษุในพระพุทธ- (เรื่องสตร)ี สรู กถา (เรอ่ื งคนกลาหาญ)
วิสิขากถา (เรื่องตรอก) กมุ ภฏั านกถา
ศาสนา จะตองประพฤติปริวาสกอน ๔ (เรือ่ งทานํ้า) ปุพพเปตกถา (เรื่องคนที่
ลวงลบั ) นานัตตกถา (เรอื่ งปลกี ยอย
เดือน หรือจนกวาสงฆพอใจ จึงจะ หลากหลาย) โลกกั ขายกิ า (คาํ เลาขาน
เรอื่ งโลก เชนวาโลกน้ีใครสราง) สมทุ -
อุปสมบทได ทงั้ น้ี เพอ่ื ปรบั ตวั ปรบั วถิ ี ทกั ขายกิ า (คําเลาขานเรื่องทะเล เชนท่ี
วาขุดขึ้นมาโดยเทพเจาช่ือสาคร) อิติ-
ชีวิตใหพรอมที่จะเขาอยูในระบบอยาง ภวาภวกถา (เร่ืองท่ีถกเถียงกันวุนวาย
ไปวาเปนอยางน้ัน-ไมเปนอยางน้ี หรือ
ใหม และเปนการทดสอบตนเองดวย; ดู วาเปนอยางน้ี-ไมเปนอยางนั้น สุดโตง
ปริวาส กนั ไป เชน วาเทีย่ งแท-วาขาดสูญ วาได-
ตติ ถยิ ปกกนั ตกะ ผูไปเขารีตเดียรถียท้ัง วาเสีย วาใหปรนเปรอตามใจอยาก-วา
เปนภิกษุ อปุ สมบทอีกไมได (เปนวตั ถ-ุ ใหกดบีบเครยี ดเครง), ทง้ั หมดนีน้ บั ได
๒๗ อยาง แตคัมภรี นิทเทสระบุจาํ นวน
วิบตั )ิ ไวดวยวา ๓๒ อยาง (เชน ขุ.ม.๒๙/๗๓๓/
ติรัจฉานกถา ถอยคําอันขวางตอทาง ๔๔๕) อรรถกถา (เชน ม.อ.๓/๒๐๒/๑๖๕) บอก
นิพพาน, เรื่องราวที่ภิกษุไมควรนํามา วธิ ีนับวา ขอสดุ ทาย คอื อติ ภิ วาภวกถา
แยกเปน ๖ ขอยอย จงึ เปน ๓๒ (แตใน
เปนขอถกเถยี งสนทนา โดยไมเก่ยี วกบั มหานทิ เทส ฉบบั อักษรไทย มีปุรสิ กถา
การพิจารณาสั่งสอนแนะนําทางธรรม ๑๑๖
อันทําใหคิดฟุงเฟอและพากันหลงเพลิน
เสียเวลา เสียกิจหนาท่ีท่พี ึงปฏิบตั ติ าม
ธรรม เชน ราชกถา สนทนาเรอื่ งพระ
ราชา วาราชาพระองคน้ันโปรดของอยาง
นนั้ พระองคนโี้ ปรดของอยางน้ี โจรกถา
สนทนาเรือ่ งโจร วาโจรหมนู ัน้ ปลนทนี่ นั่
ไดเทาน้นั ๆ ปลนท่ีนีไ่ ดเทานๆ้ี เปนตน;
ทรงแสดงไวในที่หลายแหง ไดแก ราช-
ติรจั ฉานโยนิ ๑๑๗ ตลุ า
ตอจากอิตถกี ถา รวมเปน ๒๘ เมอื่ แยก ทรงกูราชสมบัติคืนไดแลว ไดสรางวัด
ยอยอยางน้ี ก็เกินไป กลายเปน ๓๓) อภัยคีรีวหิ ารถวาย
ย่ิงกวานั้น ในคัมภีรชั้นฎีกาบางแหง ติสสเมตเตยยมาณพ ศิษยคนหนึ่งใน
(วนิ ย.ฏี.๓/๒๖๗/๓๗๙) อธบิ ายวา อีกนัย จาํ นวน ๑๖ คน ของพราหมณพาวรที ่ี
หนึ่ง คําวา “อติ ิ” มีความหมายวารวม ไปทูลถามปญหากะพระศาสดาท่ี
ทั้งเรื่องอ่ืนๆ ทํานองนี้ดวย เชนรวม ปาสาณเจดีย
เรอ่ื ง ปา เขา แมน้าํ และเกาะ เขาไป ก็ ตีรณปรญิ ญา กําหนดรขู ั้นพจิ ารณา คือ
เปน ๓๖ อยาง; ใน อง.ฺ ทสก.๒๔/๖๙/๑๓๘ กําหนดรูสังขารดวยการพิจารณาเห็น
เม่ือตรัสสอนภิกษุทั้งหลายวาไมควร ไตรลักษณ วาสิ่งน้ันๆ มีลักษณะไม
สนทนาติรัจฉานกถาเหลาน้ีแลว ก็ได เทย่ี ง เปนทกุ ข เปนอนตั ตา (ขอ ๒ ใน
ทรงแสดงกถาวัตถุ ๑๐ วาเปนเรอื่ งท่ี ปรญิ ญา ๓)
ควรสนทนากนั สําหรบั ภิกษทุ ั้งหลาย; ดู ตุจฉากาศ ดู อากาศ ๓, ๔
กถาวตั ถุ ๑๐ ตมุ พสตปู , ตมุ พสถูป พระสถปู บรรจุ
ติรัจฉานโยนิ กาํ เนิดดริ จั ฉาน (ขอ ๒ ทะนานทองที่ใชตวงแบงพระบรม
ในทคุ ติ ๓, ขอ ๒ ในอบาย ๔); ดู คติ สารีริกธาตุ โทณพราหมณเปนผูสราง,
ตริ ัจฉานวชิ า ดู ดิรจั ฉานวิชา
ตมุ พเจดีย ก็เรยี ก
ติสรณคมนูปสัมปทา อุปสมบทดวย ตลุ า ตราชู, ประมาณ, เกณฑวัด, มาตร-
ไตรสรณคมน คือบวชภิกษุดวยการ ฐาน, ตวั แบบ, แบบอยาง; สาวกหรอื
(กลาวคํา)ถึงสรณะ ๓ เปนวิธอี ุปสมบท สาวิกา ที่พระพุทธเจาตรัสยกยองวา
ที่พระพุทธเจาทรงอนุญาตใหพระสาวก เปนตราชู หรือเปนแบบอยางในพุทธ
บวชกุลบุตรในคร้ังตนพุทธกาล ตอมา บริษัทนั้นๆ อันสาวกและสาวิกาท้ัง
เมอื่ ทรงอนญุ าตการอปุ สมบทดวยญตั ต-ิ หลาย ควรใฝปรารถนาจะดําเนินตาม
จตตุ ถกรรมแลว กท็ รงอนญุ าตการบวช หรอื จะเปนใหไดใหเหมอื น คือ ๑. ตุลา
ดวยไตรสรณคมนนี้ ใหเปนวิธีบวช สําหรับภิกษสุ าวกท้ังหลาย ไดแก พระ
สามเณรสบื มา ดู อปุ สมั ปทา สารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะ
ตสิ สเถระ ชือ่ พระเถระองคหนึง่ ในเกาะ ๒. ตลุ า สาํ หรับภิกษุณสี าวกิ าทั้งหลาย
ลงั กา เคยอปุ การะพระเจาวฏั ฏคามนิ อี ภยั ไดแก พระเขมา และพระอบุ ลวรรณา
คราวเสียราชสมบัติแกทมิฬ ภายหลัง ๓. ตุลา สําหรบั อบุ าสกสาวกท้งั หลาย
๑๑๗
ตลุ า ๑๑๘ ตลุ า
ไดแก จติ ตคฤหบดี และหตั ถกะอาฬวกะ ท้ังหลาย ถาลาภสักการะและชื่อเสียง
๔. ตลุ า สําหรบั อุบาสิกาสาวกิ าทง้ั หลาย ตามรังควานภิกษุที่ยังศึกษา ซ่ึงยังไม
ไดแก ขุชชุตราอบุ าสกิ า และเวฬุกัณฏกี บรรลุอรหัตตผล ก็จะเปนอันตรายแก
นนั ทมารดา เธอ, ลาภสกั การะและชือ่ เสยี ง เปนเรอื่ ง
รายกาจ อยางน้ี เธอท้ังหลายพึง
นอกจากพุทธพจนที่แสดงหลักทั่ว สาํ เหนียกไว ดังนแ้ี ล”
ไปแลว (อง.ทกุ .๒๐/๓๗๕–๘/๑๑๐-๑; อง.จตุกก.
๒๑/๑๗๖/๒๒๑) บางแหงตรัสสอนวิธี ตอจากน้ันก็มีอีกพระสูตรหน่ึง
ปฏิบัติประกอบไวดวย ดงั พทุ ธโอวาทที่ ตรัสไวทํานองเดียวกันวา (สํ.นิ.๑๖/๕๗๑-
วา (สํ.นิ.๑๖/๕๖๙-๕๗๐/๒๗๖) “พระผูมพี ระ ๒/๒๗๗) “… อบุ าสิกาผมู ีศรัทธา เม่อื จะ
ภาคเจาไดตรสั วา ภกิ ษุทัง้ หลาย ลาภ วิงวอนธิดานอยคนเดียว ซ่งึ เปนท่รี กั ที่
สักการะและช่ือเสียง เปนของทารุณ ชน่ื ใจ โดยชอบ พงึ วิงวอนอยางน้วี า ‘ขอ
เผ็ดรอน หยาบราย เปนอนั ตรายตอการ แมจงเปนเชนขุชชุตราอบุ าสิกา และเวฬุ
บรรลุโยคเกษมธรรม อันยอดเยี่ยม; กัณฏกีนันทมารดาเถิด’ ภิกษุทั้งหลาย
ภกิ ษุท้งั หลาย อุบาสกิ าผูมีศรทั ธา เม่อื ผทู ี่เปนตลุ า เปนประมาณ ในบรรดา
จะวิงวอนบตุ รนอยคนเดียว ซง่ึ เปนที่รกั อุบาสิกาสาวิกาของเรา ก็คือ ขชุ ชตุ รา
ที่ช่ืนใจ โดยชอบ พงึ วิงวอนอยางนี้วา อบุ าสกิ า และเวฬกุ ณั ฏกนี นั ทมารดา, ‘ถา
‘ขอพอจงเปนเชนจิตตคฤหบดี และ แมออกบวช กข็ อจงเปนเชน พระเขมา
หตั ถกะอาฬวกะเถดิ ’ ภกิ ษทุ ้งั หลาย ผูท่ี ภกิ ขนุ ี และพระอบุ ลวรรณาเถดิ ’ ภกิ ษทุ ง้ั
เปนตุลา เปนประมาณ ในบรรดา หลาย ผทู เ่ี ปนตลุ า เปนประมาณ ใน
อบุ าสกสาวกของเรา ก็คอื จิตตคฤหบดี บรรดาภกิ ษณุ สี าวกิ าของเรา กค็ ือ เขมา
และหัตถกะอาฬวกะ, ‘ถาพอออกบวช ภิกขุนี และอุบลวรรณา, ‘ขอแมจงอยา
ก็ขอจงเปนเชนพระสารีบุตร และพระ เปนอยางพระท่ียังศึกษา ซ่ึงยังมิได
โมคคลั ลานะเถดิ ’ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ผทู เ่ี ปน บรรลุอรหตั ตผล ก็ถกู ลาภสักการะและ
ตลุ า เปนประมาณ ในบรรดาภกิ ษสุ าวก ชอ่ื เสียงตามรงั ควาน’… ลาภสักการะ
ของเรา ก็คอื สารีบุตรและโมคคัลลานะ, และช่ือเสยี ง เปนเร่อื งรายกาจ อยางน้ี
‘ขอพอจงอยาเปนอยางพระที่ยังศึกษา เธอทง้ั หลายพงึ สําเหนยี กไว ดงั น้แี ล”
ซ่ึงยังมิไดบรรลุอรหัตตผล ก็ถูกลาภ
สกั การะและชือ่ เสียงตามรังควาน’ ภกิ ษุ พระสาวกและพระสาวิกา ท่ีพระ
พุทธเจาตรัสยกยองวาเปน “ตลุ า” น้ี ใน
๑๑๘
ตลุ า ๑๑๙ ตลุ า
ทที่ ่ัวไป มกั เรียกกันวา พระอคั รสาวก ขุชชตุ รา), อัครอุปฏฐากอุบาสกนนั้ ใน
และพระอัครสาวิกา เปนตน แตพระ อปทานแหงหนง่ึ (ขุ.อป.๓๓/๗๙/๑๑๗) และ
พุทธเจาเองไมทรงใชคําเรียกวา “อัคร ในอรรถกถาธรรมบทแหงหนึง่ เรยี กสน้ั ๆ
วา อัครอุบาสก และอัครอุปฏฐิกา
สาวก” เปนตน นั้น โดยตรง แมวาคําวา อบุ าสกิ า เรียกสน้ั ๆ วา อัครอบุ าสิกา
(แตในที่น้ัน อรรถกถาธรรมบทฉบับ
“อัครสาวก” นั้นจะสบื เน่อื งมาจากพระ
อักษรไทยบางฉบับ, ธ.อ.๓/๗ เรียกเปน
ดํารัสคร้ังแรกท่ีตรัสถึงพระเถระทั้งสอง อคั รสาวก และอคั รสาวกิ า เหมอื นอยาง
ในภกิ ษแุ ละภกิ ษุณีบริษทั ทัง้ น้ี นาจะเปน
ทานนนั้ คอื เม่ือพระสารบี ุตรและพระ
ความผิดพลาดในการตรวจชาํ ระ)
มหาโมคคัลลานะ ออกจากสํานักของ
พระสาวกสาวกิ าท่เี ปน “อัคร” น้ัน
สัญชัยปริพาชกแลว นาํ ปรพิ าชก ๒๕๐
แทบทุกทานเปนเอตทัคคะในดานใด
คนมาเฝาพระพทุ ธเจาทพ่ี ระเวฬุวนั ครั้ง ดานหนึง่ ดวย คือ พระสารีบุตร เปน
เอตทัคคะทางมีปญญามาก พระมหา
นั้น พระพุทธเจาทอดพระเนตรเห็นทัง้ โมคคัลลานะ เปนเอตทัคคะในทางมี
ฤทธิ์ พระเขมา เปนเอตทัคคะทางมี
สองทานนั้นกําลังเขามาแตไกล ก็ได ปญญามาก พระอบุ ลวรรณา เปน
เอตทัคคะในทางมีฤทธิ์ จติ ตคฤหบดี
ตรัสแกภกิ ษทุ ั้งหลายวา (วินย.๔/๗๑/๗๗) ซงึ่ เปนอนาคามี เปนเอตทัคคะในดาน
เปนธรรมกถึก หตั ถกะอาฬวกะ ซงึ่
“ภกิ ษทุ ัง้ หลาย สหายสองคนที่มานน่ั คอื เปนอนาคามี เปนเอตทัคคะทาง
โกลติ ะ และอุปติสสะ จกั เปนคูสาวก สงเคราะหบริษัทคือชุมชน ดวยสังคห-
วตั ถุสี่ ขชุ ชุตรา ซง่ึ เปนโสดาบนั ผูได
ของเรา เปนคูที่ดเี ลิศ ยอดเย่ยี ม (สาวก- บรรลุปฏสิ มั ภทิ า (ไดเสขปฏสิ มั ภทิ า คือ
ยุค ภวิสสฺ ติ อคคฺ ภททฺ ยคุ ํ)”, คาํ เรียก ปฏสิ มั ภทิ าของพระเสขะ) เปนเอตทคั คะ
ทานผูเปน ตลุ า วาเปน “อัคร-” ในพระ ในดานเปนพหูสูต เวนแตเวฬุกณั ฏกี
ไตรปฎก ครบทัง้ ๔ คู มแี ตในพุทธ- นันทมารดา (เปนอนาคามินี) ท่ีนา
แปลกวาไมปรากฏในรายนามเอตทัคคะ
วงส โดยเฉพาะโคตมพทุ ธวงส (ข.ุ พุทธ.
๓๓/๒๐๖/๕๔๕) กลาวคอื ๑. อัครสาวก ๑๑๙
ไดแก พระสารีบุตร และพระมหาโมค-
คลั ลานะ ๒. อคั รสาวกิ า ไดแก พระเขมา
และพระอบุ ลวรรณา ๓. อคั รอปุ ฏฐาก-
อุบาสก ไดแก จติ ตะ (คอื จติ ตคฤหบด)ี
และหตั ถาฬวกะ (คอื หตั ถกะอาฬวกะ)
๔. อัครอุปฏฐกิ าอบุ าสิกา ไดแก (เวฬ-ุ
กณั ฏก)ี นนั ทมารดา และอตุ ตรา (คอื
ตุลาการ ๑๒๐ เตโชธาตุ
ซงึ่ มชี อื่ นนั ทมารดาดวย แตเปนอตุ ตรา ผูวินิจฉัยอรรถคดี, ผูตัดสินคดี, ผู
นันทมารดา ท่ีเปนเอตทัคคะในทาง พพิ ากษา
ชํานาญฌาน (และทาํ ใหยังสงสัยกันวา ตู, กลาวตู กลาวอางหรอื ทกึ ทกั เอาของผู
“นนั ทมารดา” สองทานน้ี แทจรงิ แลว จะ อน่ื วาเปนของตวั , กลาวอางผดิ ตวั ผดิ สง่ิ
เปนบคุ คลเดยี วกนั หรอื ไม) ผิดเร่อื ง, ในคาํ วา “กลาวตูพระพทุ ธเจา”
นอกจากนี้ ยงั มตี ําแหนง “อคั ร” ที่ หรือ “ตพู ทุ ธพจน” หมายความวา อาง
ยอมรับและเรียกขานกันท่ัวไปอีก ๒ ผิดๆ ถกู ๆ, กลาวสง่ิ ท่ตี รัสวามไิ ดตรสั
อยาง คือ อคั รอปุ ฏฐาก ผูเฝารับใชพระ กลาวส่งิ ทม่ี ิไดตรสั วาไดตรัสไว, พดู ให
พุทธเจาอยางเย่ียมยอด ไดแกพระ เคล่ือนคลาดหรือไขวเขวไปจากพุทธ-
อานนท (“อคั รอปุ ฏฐาก” เปนคาํ ท่ใี ชแก ดาํ รสั , พดู ใสโทษ, กลาวขมข,ี่ พดู กด เชน
พระอานนท ต้ังแตในพระไตรปฎก, คัดคานใหเห็นวาไมจริงหรือไมสําคญั
ที . ม.๑๐/๕๕/๖๐; พระอานนทเปน ตกู รรมสิทธ์ิ กลาวอางเอากรรมสิทธิข์ อง
เอตทคั คะถึง ๕ ดาน คือ ดานพหูสตู มี ผูอืน่ วาเปนของตวั
สติ มีคติ มีธติ ิ และเปนอุปฏฐาก) และ เตจีวริกังคะ องคแหงภิกษุผูถือครอง
อัครอุปฏฐายิกา คืออุบาสิกาผูดูแล เพียงไตรจวี ร คือถอื ใชผานงุ หมเพยี ง ๓
อุปถัมภบํารุงพระพุทธเจาอยางเย่ียม ผนื ไดแก จีวร สบง สงั ฆาฏิ อยางละผืน
ยอด ไดแก วิสาขามหาอุบาสิกา (นาง เปนชุดเดยี วเทาน้ัน ไมใชจวี รนอกจากผา
วสิ าขาซ่ึงเปนโสดาบนั เปนเอตทัคคะผู สามผืนนั้น, คาํ สมาทานวา “จตุตถฺ จีวรํ
ยอดแหงทายิกา คูกับอนาถบิณฑิก- ปฏิกฺขิปามิ, เตจีวริกงฺคํ สมาทิยามิ”
เศรษฐี ซึ่งก็เปนโสดาบัน และเปน แปลวา “ขาพเจางดจีวรผืนท่ี 4 สมาทาน
เอตทัคคะผูยอดแหงทายก, แตพบใน องคแหงผ—ู ” (ขอ ๒ ใน ธุดงค ๑๓)
อรรถกถาแหงหน่ึง, อ.ุ อ.๑๘/๑๒๗, จัดเจา เตโชธาตุ ธาตไุ ฟ, สภาวะทม่ี ลี กั ษณะรอน,
หญิงสุปปวาสา โกลิยราชธิดา ซึ่งเปน ความรอน; ในรางกาย ไดแกไฟทยี่ ังกาย
เอตทคั คะผูยอดแหงประณีตทายิกา วา ใหอบอนุ ไฟท่ยี ังกายใหทรุดโทรม ไฟที่
เปนอัครอปุ ฏฐายิกา) ยังกายใหกระวนกระวาย และไฟทเ่ี ผา
ตลุ าการ “ผทู าํ ตลุ า”, “ผสู รางดลุ ”, “ผมู ี อาหารใหยอย, อยางน้ีเปนการกลาวถงึ
อาการเหมอื นตราช”ู คอื ผดู าํ รงรกั ษา เตโชธาตุในลักษณะท่ีคนสามัญทั่วไปจะ
หรอื ทาํ ใหเกดิ ความสมาํ่ เสมอเทย่ี งธรรม, เขาใจได และทจ่ี ะใหสําเรจ็ ประโยชนใน
๑๒๐
เตรตายคุ ,ไตรดายุค ๑๒๑ ไตรทศ
การเจริญกรรมฐาน แตในทางพระ อนุญาตใหภิกษุมไี วใชประจําตวั คือ ๑.
อภิธรรม เตโชธาตุเปนสภาวะพนื้ ฐานที่ สงั ฆาฏิ ผาทาบ ๒. อุตราสงค ผาหม
มีอยูในรูปธรรมทุกอยาง แมแตในน้ํา เรียกสามัญในภาษาไทยวาจีวร ๓.
เปนภาวะทที่ ําใหเรารสู กึ รอน อนุ เย็น อันตรวาสก ผานุง เรยี กสามัญวาสบง
เปนตน; ดู ธาตุ, รปู ๒๘ ไตรดายุค ดู กัป
เตรตายุค, ไตรดายุค ดู กัป ไตรตรึงษ “สามสิบสาม”, สวรรคชั้น
เตรสกัณฑ “กัณฑสิบสาม” ตอนที่วา ดาวดึงส; ดู ดาวดึงส
ดวยสกิ ขาบท ๑๓ หมายถงึ หมวด ไตรทวาร ทวารสาม, ทางทาํ กรรม ๓ ทาง
ความในพระวนิ ัยปฎก สวนทวี่ าดวยบท คอื กายทวาร วจที วาร และ มโนทวาร
บัญญัติเกี่ยวกับอาบัติสังฆาทิเสสซึ่งมี ไตรทศ “สบิ ๓ ครง้ั ” คอื ๓๐ ตรงกบั คาํ
๑๓ สิกขาบท บาลวี า “ตทิ ส” ซงึ่ ในพระไตรปฎกพบใช
เตวาจกิ “มีวาจาครบสาม” หมายถึง ผู เฉพาะในคาํ รอยกรอง คอื คาถา เปนตวั
กลาววาจาถึงสรณะครบท้ังสามอยางคือ เลขถวนตดั เศษ ของ ๓๓ (บาล:ี เตตตฺ สึ )
พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ บิดา ซ่ึงเปนจํานวนของคนคณะหน่ึงมีมฆ-
พระยสเปนคนแรก ที่ประกาศตนเปน มาณพเปนหวั หนา ในตาํ นานทว่ี า พวกเขา
อบุ าสกถึงพระรัตนตรยั ตลอดชีวติ ; เทียบ ทาํ บญุ รวมกนั เชน ทาํ ถนน สรางสะพาน
เทฺววาจกิ ขดุ บอนาํ้ ปลกู สวนปา สรางศาลาทพี่ กั คน
เตยี ง ภิกษุทาํ เตยี งหรือตง่ั พึงทําใหมีเทา เดนิ ทาง ใหแกชมุ ชน และทาํ ทาน ชวน
เพียง ๘ นว้ิ พระสคุ ต เวนไวแตแมแคร ชาวบานตง้ั อยใู นศลี เปนตน เมอ่ื ตายแลว
เบอ้ื งตา่ํ และตองไมหมุ นุน ถาฝาฝน ไดเกดิ ในสวรรคที่เรียกชือ่ วา ดาวดึงส
ตองปาจิตตีย ตองตัดใหไดประมาณ อนั เปนสวรรคชนั้ ที่ ๒ ใน ๖ ชนั้ ดงั ทใี่ น
หรือร้ือเสียกอน จึงแสดงอาบัติตก อรรถกถาอธิบายความหมายของ
(ปาจิตตยี รตนวรรคท่ี ๙ สิกขาบทที่ ๕ “ดาวดงึ ส” วา คอื “แดนทค่ี น ๓๓ คนผู
และ ๖) ทาํ บญุ รวมกนั ไดอบุ ตั ”ิ , คาํ วา “ตทิ ส” ท่ี
โตเทยยมาณพ ศิษยคนหน่ึงในจาํ นวน พบในพระไตรปฎกหมายถึงสวรรคชั้น
๑๖ คน ของพราหมณพาวรที ไ่ี ปทลู ถาม ดาวดงึ สเปนพนื้ แมวาคมั ภรี ชน้ั ตอมาบาง
ปญหากะพระศาสดา ท่ีปาสาณเจดีย แหงจะอธิบายวา หมายถึงเทวดาทั่วไป
ไตรจีวร จีวรสาม, ผาสามผนื ท่พี ระวนิ ัย บางกม็ ,ี ตรที ศ กว็ า; เทียบ ไตรทพิ
๑๒๑
ไตรทิพ,ไตรทพิ ย ๑๒๒ ไตรทิพ,ไตรทพิ ย
ไตรทพิ , ไตรทพิ ย “แดนทพิ ยทง้ั สาม” กําลังบําเพ็ญตบะเพื่อจะถึงองคพระ
หรอื “สามแดนเทพ”, ตรงกบั คาํ บาลวี า พรหมเปนเจากระน้ันหรือ?” ไตรทพิ ย
“ตทิ วิ ” ซง่ึ ในพระไตรปฎกพบใชเฉพาะใน (ติทิว) ในท่ีนี้ หมายถึงพรหมโลก,
คาํ รอยกรอง คอื คาถา หมายถงึ เทวโลก อุบาสิกาทานหน่ึงซ่ึงไดเกิดเปนเทพบุตร
ในความหมายอยางกวาง ทร่ี วมทงั้ พรหม กลาวคาถาไวตอนหนงึ่ มคี วามวา (ท.ี ม.๑๐/
โลก (คอื กามาวจรเทวโลก รปู าวจรเทว- ๒๕๓/๓๐๖) “ขาพเจาไดเปนอุบาสิกาของ
โลก และอรปู าวจรเทวโลก) มกั ใชอยาง พระผทู รงจกั ษุ มนี ามปรากฏวา โคปกา ..
ไมเจาะจง คอื หมายถงึ แดนเทพแหงใด ขาฯ มจี ติ เลอื่ มใส ไดบาํ รงุ สงฆ .. (บดั น)้ี
แหงหน่ึง อันมักรูไดดวยขอความแวด ขาฯ ไดเขาถงึ ไตรทพิ ย เปนบตุ รของทาว
ลอมในทน่ี น้ั วาหมายถงึ แหงใด เชน ใน สกั กะ มอี านภุ าพยง่ิ ใหญ มคี วามรงุ เรอื ง
คาถาของพระกาฬุทายีเถระ (ขุ.เถร.๒๖/ มาก ณ ทนี่ ี้ พวกเทวดารจู กั ขาฯ วา โคปก-
๓๗๐/๓๔๘) วา “พระนางเจามายา พทุ ธ- เทพบตุ ร” ไตรทพิ ย (ตทิ วิ ) ในทน่ี ี้ หมาย
มารดา มเหสขี องพระเจาสทุ โธทนะ ทรง ถงึ สวรรคชนั้ ดาวดงึ ส คมั ภรี ชนั้ หลงั แหง
บริหารพระองคผูเปนพระโพธิสัตวมา หนงึ่ (อนฎุ กี าแหงปญจปกรณ) กลาวถงึ
ดวยพระครรภ ครนั้ ทาํ ลายขนั ธแลว ทรง ไตรทิพยที่หมายถึงสวรรคชั้นดาวดึงส
บนั เทงิ อยใู นไตรทพิ ย” ไตรทพิ ย (ตทิ วิ ) ดงั อธบิ ายวา “ตทิ วิ ” คอื โลกชน้ั ท่ี ๓ โดย
ในทน่ี ี้ หมายถงึ สวรรคชน้ั ดสุ ติ , เมอ่ื ครง้ั เทยี บกนั ในสคุ ตภิ มู ิ นบั เปน ๑. มนษุ ย ๒.
ทพ่ี ระพทุ ธเจาประทับน่ังสงบอยู ณ ไพร- จาตมุ หาราชกิ า ๓. ดาวดงึ ส
สณฑแหงหนง่ึ ในแควนโกศล พราหมณ
สาํ คญั คนหน่งึ พรอมดวยศิษยจาํ นวน อภิธานัปปทีปกาฏกี า ซง่ึ เปนคมั ภรี
มาก ไดเขาไปกลาวขอความแดพระองค ชนั้ หลงั มากสกั หนอย (แตงในพมา ในยคุ
เปนคาถา มคี วามตอนหนึง่ วา (ส.ํ ส.๑๕/ ทต่ี รงกบั สมยั สโุ ขทยั ) อธบิ ายวา “ชอื่ วา
๗๑๐/๒๖๕) “ทานมาอยูในปาเปลี่ยวเพยี ง ‘ตทิ วิ ’ (ไตรทพิ ) เพราะเปนทเ่ี พลดิ เพลนิ
ผูเดียวอยางเอิบอ่ิมใจ ตัวขาพเจานี้มุง ของเทพทงั้ ๓ คอื พระหริ (พระวษิ ณุ
หวงั ไตรทิพยอนั สูงสดุ จงึ เขมนหมายถึง หรอื นารายณ) พระหระ (พระศวิ ะ หรอื
การที่จะไดเขารวมอยูกับพระพรหมเจา อศิ วร) และพระพรหม” (ทจี่ รงิ หร-ิ หระ
ผเู ปนอธิบดแี หงโลก เหตุไฉนทานจึงพอ เพ่ิงปรากฏเปนสําคัญขึ้นมาในศาสนา
ใจปาวงั เวงท่ีปราศจากผูคน ณ ทีน่ ี้ ทาน ฮินดู หลังพุทธกาลหลายศตวรรษ),
ตรีทิพ กว็ า; เทียบ ไตรทศ
๑๒๒
ไตรปฎก ๑๒๓ ไตรปฎก
ไตรปฎก “ปฎกสาม”; ปฎก แปลตาม ธรรมเนียมและการดําเนินกิจการตางๆ
ศพั ทอยางพื้นๆ วา กระจาดหรอื ตะกรา
อันเปนภาชนะสําหรับใสรวมของตางๆ ของภิกษสุ งฆและภิกษณุ สี งฆ แบงเปน
เขาไว นาํ มาใชในความหมายวา เปนที่
รวบรวมคําสอนในพระพุทธศาสนาที่จัด ๕ คัมภรี (เรียกยอหรือหัวใจวา อา ปา
เปนหมวดหมแู ลว โดยนัยนี้ ไตรปฎก ม จุ ป) คือ ๑. อาทิกัมมกิ ะ หรอื
จึงแปลวา “คัมภีรท่ีบรรจุพุทธพจน ปาราชิก วาดวยสิกขาบทที่เก่ียวกับ
(และเรื่องราวชั้นเดิมของพระพุทธ-
ศาสนา) ๓ ชุด” หรือ “ประมวลแหง อาบัติหนักของฝายภิกษุสงฆ ตั้งแต
คัมภีรที่รวบรวมพระธรรมวินัย ๓ ปาราชกิ ถงึ อนยิ ต ๒. ปาจติ ตยี วาดวย
หมวด” กลาวคอื วนิ ยั ปฎก สุตตันต-
ปฎก และ อภิธรรมปฎก สิกขาบทท่ีเกี่ยวกับอาบัติเบา ต้ังแต
พระไตรปฎกบาลีไดรับการตีพิมพ นสิ สัคคิยปาจิตตียถึงเสขิยะ รวมตลอด
เปนเลมหนังสือดวยอักษรไทยครั้งแรก ท้ังภิกขุนีวิภังคทั้งหมด ๓. มหาวรรค
ในรชั กาลท่ี ๕ เรมิ่ เมือ่ พ.ศ. ๒๔๓๑
เสร็จและฉลองพรอมกับงานรัชดาภิเษก วาดวยสิกขาบทนอกปาติโมกขตอนตน
ใน พ.ศ. ๒๔๓๖ แตยังมีเพียง ๓๙ เลม ๑๐ ขนั ธกะ หรอื ๑๐ ตอน ๔. จลุ วรรค
(ขาดคมั ภรี ปฏฐาน) ตอมา พ.ศ. ๒๔๖๘
ในรชั กาลที่ ๗ ไดโปรดเกลาฯ ใหจดั วาดวยสิกขาบทนอกปาติโมกขตอน
พมิ พใหมเปนฉบบั ทีส่ มบรู ณ เพื่ออทุ ิศ ปลาย ๑๒ ขันธกะ (เขียนเตม็ เปน จลุ ล
ถวายพระราชกุศลแดรชั กาลที่ ๖ เรยี ก วรรค; จูฬวรรค ก็เขียน) ๕. ปริวาร
วา สฺยามรฏ สฺส เตปฏกํ (พระไตรปฎก
ฉบบั สยามรฐั ) มจี ํานวนจบละ ๔๕ เลม คัมภีรประกอบหรือคูมือ บรรจุคําถาม
พระไตรปฎกมีสาระสําคัญและการ คําตอบสําหรับซอมความรูพระวนิ ัย
จัดแบงหมวดหมูโดยยอ ดังน้ี
พระวินัยปฎกน้ี แบงอีกแบบหน่ึง
๑. พระวนิ ยั ปฎก ประมวลพทุ ธพจน
หมวดพระวินัย คือพุทธบัญญัติเกี่ยว เปน ๕ คมั ภรี เหมอื นกัน (จดั ๒ ขอใน
กบั ความประพฤติ ความเปนอยู ขนบ แบบตนน้นั ใหม) คอื ๑. มหาวภิ งั ค หรอื
ภิกขวุ ิภงั ค วาดวยสกิ ขาบทในปาติโมกข
(ศลี ๒๒๗ ขอ) ฝายภิกษสุ งฆ ๒.
ภกิ ขนุ วี ภิ งั ค วาดวยสกิ ขาบทในปาติโมกข
(ศลี ๓๑๑ ขอ) ฝายภิกษุณีสงฆ ๓.
มหาวรรค ๔. จลุ วรรค ๕. ปริวาร
บางทีทานจดั ใหยนยอเขาอกี แบง
พระวนิ ยั ปฎกเปน ๓ หมวด คือ ๑.
วิภังค วาดวยสิกขาบทในปาติโมกขทั้ง
๑๒๓