อสาธารณสกิ ขาบท ๕๗๔ อสตี มิ หาสาวก
อุมมัตตกสมมติ (การสวดประกาศให แลว ม่ันใจวาพระราชโอรสนั้นจักตรัสรู
ถอื ภิกษเุ ปนผูวกิ ลจรติ ) ๕.เสกขสมมติ เปนพระพุทธเจาแนนอน นอกจากทํา
(การสวดประกาศต้งั สกลุ เปนเสขะ) ๖. อัญชลีนบไหวแลว ก็ไดแยมย้ิมแสดง
พรหมทัณฑ (การลงโทษภิกษุหัวดื้อวา ความแชมชื่นใจออกมา แตเมื่อมองเห็น
ยาก โดยวธิ ีพรอมกนั ไมวากลาว) ๗. วาตนจะไมมีชีวิตอยูจนถึงเวลาแหงการ
ปกาสนียกรรม (การประกาศใหเปนท่ีรู ตรสั รู กเ็ สยี ใจรองไห กระนนั้ กต็ าม พระ
ทั่วกัน ถึงสภาวะของภิกษุซึ่งไมเปนท่ี ดาบสไดไปบอกหลานชายของทาน ชอื่ วา
ยอมรับของสงฆ ใหถือวาการใดทเ่ี ธอทํา นาลกะ ใหออกบวชรอเวลาท่ีพระโพธิ-
ก็เปนเรื่องเฉพาะตัวของเธอ ไมผกู พนั สัตวจะไดตรสั รู (ขอความทว่ี า พระบาท
ตอสงฆ) ๘.อวันทนียกรรม (การที่ ทั้งสองของพระราชโอรสเบี่ยงข้ึนไป
ภิกษุณีสงฆประกาศภิกษุผูแสดงอาการ ประดิษฐานบนเศียรหรือบนชฎาของ
อันไมนาเล่ือมใส ใหเปนผูท่ีภิกษุณีท้ัง พระดาบสนนั้ เปนคาํ เลาขยายความของ
หลายไมพงึ ไหว); ดทู ี่ ปกาสนยี กรรม อรรถกถา, เชน สุตฺต.อ.๒/๖๘๒/๓๑๘; ชา.อ.๑/
อสาธารณสกิ ขาบท สกิ ขาบททีไ่ มทั่วไป ๘๖); อสิตดาบสน้ี มีชื่ออีกอยางหนึ่งวา
หมายถึงสิกขาบทเฉพาะของภกิ ษณุ ี ท่ี กาฬเทวลิ หรอื กาฬเทวลั ดาบส (เรยี กวา
แผกออกไปจากสิกขาบทของภิกษ;ุ เทยี บ กัณหเทวิลฤาษี ก็มี); ตามหนังสือแบบ
สาธารณสกิ ขาบท
เรียน อสิตดาบสทํานายพระราชโอรสวา
อสติ ดาบส ดาบสผคู นุ เคย และเปนที่ มีคตเิ ปน ๒ ตามตาํ รบั มหาบรุ ษุ ลกั ษณ-
นบั ถอื ของศากยราชสกุล มีเรือ่ งปรากฏ พยากรณศาสตร; ดู มหาบุรุษลักษณะ,
ในนาลกสตู ร (ขุ.สุ.๒๕/๓๘๘/๔๖๗) วา ในวนั นาลกะ 1.; เทยี บ พราหมณทาํ นายพระ
ทพ่ี ระโพธสิ ตั วประสูติ ทานไดทราบขาว มหาบุรุษ
ประสตู ิ แหงพระราชโอรส ของพระเจา อสีตยานพุ ยัญชนะ อนพุ ยัญชนะ ๘๐;
สุทโธทนะ จึงเขาไปเย่ียม พระราชาทรง ดู อนพุ ยญั ชนะ
นําพระราชโอรสออกมาเพื่อจะใหวันทา อสตี มิ หาสาวก พระสาวกผใู หญ ๘๐ องค
พระดาบส แตพระบาททั้งสองของพระ บางทเี รยี กอนุพุทธ ๘๐ องค มีรายนาม
ราชโอรสกลับเบี่ยงขึ้นไปประดิษฐานบน ตามลาํ ดบั อักษร ดังน้ี (ที่พิมพตวั เอน
เศียรของพระดาบส เมื่อพระดาบส คอื ทานทเี่ ปนเอตทคั คะดวย): กงั ขาเรวตะ,
พิจารณาพระลักษณะของพระราชโอรส กปั ปะ, กาฬทุ าย,ี กมิ พลิ ะ, กมุ ารกสั สปะ,
๕๗๔
อสภุ ,อสภุ ะ ๕๗๕ อสูร
กณุ ฑธาน, คยากสั สปะ, ควมั ปต,ิ จนุ ทะ, เขียวคลา้ํ ๓. วิปพุ พกะ ซากศพทมี่ นี า้ํ
จฬู ปนถก, ชตกุ ณั ณ,ิ ตสิ สเมตเตยยะ, เหลอื งไหลออกอยู ๔. วจิ ฉทิ ทกะ ซากศพ
โตเทยยะ, ทพั พมลั ลบตุ ร, โธตกะ, นท-ี ทีข่ าดกลางตัว ๕. วกิ ขายติ กะ ซากศพที่
กสั สปะ, นันทะ, นันทกะ, นนั ทกะ, สตั วกดั กนิ แลว ๖. วกิ ขติ ตกะ ซากศพที่
นาคิตะ, นาลกะ, ปงคิยะ, ปณโฑล- มมี อื เทา ศีรษะขาด ๗. หตวกิ ขติ ตกะ
ภารทวาช, ปลนิ ทวจั ฉะ, ปณุ ณกะ, ปณุ ณช,ิ ซากศพที่คนมีเวรเปนขาศึกกัน สบั ฟน
ปุณณมันตานีบุตร, ปุณณสุนาปรันตะ, เปนทอนๆ ๘. โลหติ กะ ซากศพที่ถูก
โปสาละ, พากลุ ะ (พกั กลุ ะ กเ็ รยี ก), พาหยิ - ประหารดวยศัสตรามีโลหิตไหลอาบอยู
ทารจุ รี ยิ ะ, ภค,ุ ภทั ทยิ ะ (ศากยะ), ภทั ทยิ ะ, ๙. ปุฬวุ กะ ซากศพทม่ี ีตวั หนอนคลาน
ภทั ราวธุ , มหากจั จายนะ, มหากปั ปนะ, คลา่ํ ไปอยู ๑๐. อฏั ฐิกะ ซากศพทีย่ งั
มหากัสสปะ, มหาโกฏฐติ ะ, มหานามะ, เหลอื อยแู ตรางกระดกู
มหาปนถก, มหาโมคคลั ลานะ, เมฆยิ ะ, อสุภสัญญา กําหนดหมายถึงความไม
เมตตค,ู โมฆราช,ยสะ, ยโสชะ, รฏั ฐปาละ, งามแหงรางกาย (ขอ ๓ ในสญั ญา ๑๐)
ราธะ, ราหลุ , เรวตะ ขทริ วนยิ ะ, ลกณุ ฏก- อสรุ กาย “พวกอสูร” ภพแหงสตั วเกิดใน
ภทั ทิยะ, วกั กล,ิ วังคีสะ, วปั ปะ, วมิ ละ, อบายพวกหนึ่ง เปนพวกมักหวาดสะดงุ
สภยิ ะ, สาคตะ, สารีบุตร, สวี ลี, สุพาหุ, ไรความรืน่ เริง (ขอ ๔ ในอบาย ๔); ดู คติ
สภุ ตู ,ิ เสละ, โสณกฏุ กิ ณั ณะ,โสณโกฬวิ สิ ะ, อสรู สัตวก่ึงเทพหรือเทพชนั้ ต่ําพวกหน่ึง
โสภติ ะ, เหมกะ, องคุลมิ าล, อชิตะ, ตํานานกลาววา เดิมเปนเทวดาเกา (บุพ-
อนุรุทธะ, อัญญาโกณฑัญญะ, อสั สช,ิ เทวา) เปนเจาถิ่นครอบครองดาวดึงส-
อานนท, อทุ ยะ, อทุ าย,ี อบุ าล,ี อปุ วาณะ, เทวโลก ตอมาถกู เทวดาพวกใหม มที าว
อุปสวี ะ, อุปเสนวังคันตบุตร, อุรุเวล- สักกะเปนหัวหนาแยงถ่ินไป โดยถกู เทพ
กัสสปะ พวกใหมน้ันจับเหวี่ยงลงมาในระหวาง
อสภุ , อสภุ ะ สภาพทไี่ มงาม, พจิ ารณาราง พิธีเล้ียงเมื่อพวกตนด่ืมสุราจนเมามาย
กายของตนและผอู นื่ ใหเหน็ สภาพทไ่ี มงาม; ไดชื่อใหมวาอสูร เพราะเมื่อฟนคืนสติ
ในความหมายเฉพาะ หมายถงึ ซากศพใน ขน้ึ ระหวางทางทต่ี กจากดาวดึงสนัน้ ได
สภาพตางๆ ซง่ึ ใชเปนอารมณกรรมฐาน กลาวกันวา “พวกเราไมดื่มสุราแลว”
รวม ๑๐ อยาง คอื ๑. อทุ ธมุ าตกะ ซาก (อสรู จึงแปลวา “ผไู มด่ืมสุรา”) พวก
ศพที่เนาพอง ๒. วนิ ีลกะ ซากศพทม่ี สี ี อสูรไดครองพิภพใหมท่ีเชิงเขาสิเนรุ
๕๗๕
อเสขะ ๕๗๖ อัคคัญญสูตร
หรือเขาพระสเุ มรุ และมสี ภาพความเปน จองหอง กาวราวอวดดี
อยู มอี ายุ วรรณะ ยศ และอิสริย- อเหตุกทิฏฐิ ความเหน็ วาไมมีเหตุ คือ
สมบัติ คลายกันกับเทวดาชั้นดาวดึงส ความเห็นผิดวา คนเราจะไดดีหรือชั่ว
พวกอสูรเปนศัตรูโดยตรงกับเทวดา ตามคราวเคราะห ถึงคราวจะดี ก็ดเี อง
และมีเรื่องราวขัดแยงทําสงครามกัน ถงึ คราวจะราย กร็ ายเอง ไมมีเหตุอื่นจะ
บอยๆ พวกอสูรออกจะเจาโทสะ จึงมัก ทาํ ใหคนดีคนชว่ั ได (ขอ ๒ ในทฏิ ฐิ ๓)
ถูกกลาวถึงในฐานะเปนพวกมีนิสัยพาล อโหสกิ รรม กรรมเลกิ ใหผล ไมมผี ลอกี
หรอื เปนฝายผดิ ไดแกกรรมทั้งที่เปนกุศลและอกุศลท่ี
อเสขะ ผไู มตองศกึ ษา เพราะศึกษาเสรจ็ เลิกใหผล เหมือนพชื ที่หมดยาง เพาะ
สน้ิ แลว ไดแกบคุ คลผตู งั้ อยใู นอรหตั ตผล ปลกู ไมขึน้ อีก (ขอ ๔ ในกรรม ๑๒)
คอื พระอรหนั ต; คูกบั เสขะ ออกพรรษา สิ้นสดุ การจําพรรษา; ดู วนั
อเสขบุคคล บุคคลผูไมตองศึกษา; ดู ออกพรรษา
อเสขะ อักโกสวัตถุ เรื่องสาํ หรบั ดา มี ๑๐ อยาง
อหังการ การทํา (ความยึดถอื วา) “ตัวขา”, คือ ๑. ชาติ ไดแกชนั้ หรือกําเนิดของคน
การยึดถอื วาตัวกู; มักมาคูกบั มมงั การ ๒. ชือ่ ๓. โคตร คือตระกลู หรือแซ ๔.
คือ การทํา (ความยึดถือวา) “ของขา”, การงาน ๕. ศลิ ปะ ๖. โรค ๗. รปู พรรณ
การยึดถอื วาของก,ู และมกั พูดควบกัน สัณฐาน ๘. กเิ ลส ๙. อาบัติ ๑๐. คําสบ
เปน “อหงั การ-มมงั การ” แปลกันงายๆ ประมาทอยางอน่ื ๆ
วา การถือวาตัวเรา ของเรา; มมงั การ อักขระ ตัวหนังสอื , วชิ าหนังสอื , คํา,
เปนตณั หา สวน อหงั การ บางแหงวา เสยี ง, สระ และพยัญชนะ
เปนทฏิ ฐิ บางแหงวาเปนมานะ บางแหง อักขรวิธี ตําราวาดวยวิธีเขียนและอาน
วาเปนมานะและทิฏฐิ (ในคําวา หนังสือใหถกู ตอง
“อหังการมมงั การมานานสุ ัย” อรรถกถา อักษร ตวั หนงั สอื
หนึ่งอธิบายวา อหังการ เปนทิฏฐิ อคั คสาวก ดู อัครสาวก
มมงั การ เปนตัณหา มานานสุ ัย เปน อคั คญั ญสตู ร ชอ่ื สตู รที่ ๔ แหงทฆี นกิ าย
มานะ – ม.อ.๓/๑๔๖); ในภาษาไทย ปาฏกิ วรรค พระสตุ ตนั ตปฎก ทรงแสดง
อหงั การ มักใชในความหมายทเ่ี พ้ียนไป แกสามเณรวาเสฏฐะ และสามเณร
กลายเปนความเยอหย่ิง ความทะนงตัว ภารัทวาชะ ผูออกบวชจากตระกูล
๕๗๖
อคั คิ ๕๗๗ อคั รสาวิกา
พราหมณ ทรงคดั คานคาํ กลาวอางของ ใจใหเรารอน มี ๓ คอื ๑. ราคคั คิ ไฟคอื
พวกพราหมณ ท่ีถือวาพราหมณเปน ราคะ ๒. โทสคั คิ ไฟคอื โทสะ ๓.โมหคั คิ
วรรณะประเสริฐท่ีสุด และถือวาชาติ ไฟคือโมหะ
กําเนิดเปนเครื่องตัดสินความประเสริฐ อคั คเิ วสสนโคตร ตระกูลอัคคเิ วสสนะ
และความตา่ํ ทรามของมนษุ ย ทรงแสดง เปนตระกูลของปริพาชกคนหนึ่งชื่อ
ใหเห็นวาความประเสรฐิ หรอื ตา่ํ ทรามน้ัน ทีฆนขะ
อยูท่ีความประพฤติ โดยมีธรรมเปน อัคฆสโมธาน การประมวลโดยคา, เปน
เครอ่ื งตดั สิน คนวรรณะตางๆ ออกบวช ช่ือปริวาสท่ีภิกษุผูปรารถนาจะออกจาก
ในพระพุทธศาสนาแลว ยอมช่ือวาเปนผู อาบัติสังฆาทิเสสซ่ึงตองหลายคราว มี
เกิดจากธรรมเสมอกันหมด แลวทรง จํานวนวันปดไมเทากัน ประมวลอาบตั ิ
แสดงความเปนมาของสงั คมมนษุ ย เริม่ และวนั เขาดวยกนั อยูปรวิ าสเทาจํานวน
แตเกิดมีสัตวข้ึนในโลกแลวเปล่ียน วันทม่ี ากที่สดุ เชน ตองอาบัติ ๓ คราว,
แปลงตามลําดับ จนเกิดมีมนุษยท่ีอยู คราวหนึง่ ปดไว ๓ วนั คราวหนึง่ ปดไว
รวมกันเปนหมูเปนพวก เกิดความจํา ๕ วนั คราวหน่งึ ปดไว ๗ วนั อยปู ริวาส
เปนตองมีการปกครอง และมีการ เทาจาํ นวนมากท่ีสดุ คอื ๗ วัน; ดู
ประกอบอาชพี การงานตางๆ กนั วรรณะ สโมธานปริวาส
ท้ังส่ีก็เกิดจากความเปล่ียนแปลงเหลานี้ อคั ร เลศิ , ยอด, ลา้ํ เลศิ , ประเสรฐิ , สงู สดุ
มิใชเปนเร่อื งของพรหมสรางสรรค แต อัครพหสู ตู พหสู ตู ผูเลศิ , ยอดพหสู ตู ,
เกดิ จากธรรม (ธรรมดา, กฎธรรมชาต)ิ ผูคงแกเรยี นอยางยอดเยี่ยม หมายถึง
ทุกวรรณะประพฤติช่ัวก็ไปอบายได พระอานนท
ปฏิบัติธรรมก็บรรลุนิพพานได ธรรม อคั รสาวก สาวกผเู ลศิ , สาวกผยู อดเยยี่ ม
เปนเคร่ืองตัดสิน และธรรมเปนของ หมายถึงพระสารีบุตร (เปนอัครสาวก
ประเสริฐสุด ผทู ่สี นิ้ อาสวกิเลสแลว เปน เบ้ืองขวา) และพระมหาโมคคัลลานะ
ผูประเสริฐสุดในวรรณะทั้งส่ี ผูที่ (เปนอัครสาวกเบ้อื งซาย); ดู ตุลา
สมบูรณดวยวิชชาและจรณะ เปนผู อคั รสาวกิ า สาวกิ าผเู ลศิ , สาวกิ าผยู อด
ประเสรฐิ สดุ ในบรรดาเทวะ และมนษุ ย เยยี่ ม หมายถงึ พระเขมา (เปนอคั รสาวกิ า
ทงั้ ปวง เบื้องขวา) และพระอบุ ลวรรณา (เปน
อัคคิ ไฟ, ไฟกเิ ลส, กิเลสดุจไฟเผาลนจิต อัครสาวกิ าเบ้ืองซาย); ดู ตลุ า
๕๗๗
อัครอบุ าสก ๕๗๘ องั คีรส
อัครอบุ าสก อุบาสกผูเลิศ, อบุ าสกผยู อด ตะวนั ออกของแควนมคธ มแี มนาํ้ จมั ปา
เยยี่ ม หมายถงึ จติ ตคฤหบดี และหตั ถกะ กั้นแดน และมนี ครหลวงชื่อจมั ปา ใน
อาฬวกะ; ดู ตลุ า พุทธกาล แควนองั คะข้นึ กบั แควนมคธ
อคั รอบุ าสิกา อบุ าสิกาผูเลิศ, อบุ าสกิ าผู อังคาร ถานเถาที่ถวายพระเพลิงพระ
ยอดเยยี่ ม หมายถึง เวฬกุ ณั ฏกนี นั ท- พุทธสรีระ
มารดา และขชุ ชุตรา; ดู ตลุ า อังคารสตปู พระสถปู ทีบ่ รรจพุ ระองั คาร
อัครอุปฏฐาก ผูเฝารับใชพระพุทธเจา ซึ่งโมริยกษัตริยสรางไวท่ีเมืองปปผลิ
อยางเย่ียมยอด ไดแกพระอานนท; ดู วัน, อังคารสถปู ก็เขียน
ตลุ า อังคาส ถวายพระ, เลี้ยงพระ
อัครอปุ ฏฐากอบุ าสก อบุ าสกผอู ปุ ถัมภ อังคีรส “มีพระรศั มีเปลงจากพระองค”,
บํารุงที่เลิศ, บางทีเรียกส้ันวา อัคร- พระนามอยางหน่ึง ในบรรดาพระนาม
อุบาสก คอื อบุ าสกผยู อดเยยี่ ม หมายถึง มากมายที่เปนกลางๆ ใชแกพระพุทธ
จติ ตคฤหบดีและหตั ถกะอาฬวกะ; ดู ตลุ า เจาพระองคใดก็ได, ที่ใชแกพระพุทธ
อัครอปุ ฏฐายกิ า อุบาสกิ าผูดแู ลอุปถัมภ เจาพระองคปจจุบนั พบในพระไตรปฎก
บํารงุ พระพุทธเจาอยางเย่ยี มยอด ไดแก หลายแหง เชน ในอาฏานาฏิยสูตร (ท.ี ปา.
วสิ าขามหาอบุ าสกิ า (แตพบในอรรถกถา ๑๑/๒๐๙/๒๑๐) ทส่ี วดกนั อยเู ปนประจาํ วา
แหงหน่ึง จัดเจาหญิงสปุ ปวาสา โกลยิ - “องคฺ รี สสสฺ นมตถฺ ุ สกยฺ ปตุ ตฺ สสฺ สริ มี โต”
ราชธิดา เปนอคั รอุปฏฐายิกา); ดู ตลุ า หรืออยางท่ีพระวังคีสะประพันธคาถา
อัครอุปฏฐิกาอุบาสิกา อุบาสิกาผู ถวายพระสดุดี (สํ.ส.๑๕/๗๕๙/๒๘๗, ขุ.เถร.
อุปถัมภบํารุงท่ีเลิศ, บางทีเรียกส้ันวา ๒๖/๔๐๑/๔๓๗) ใชคาํ วา “พระองั ครี ส มหา-
อัครอุบาสิกา คืออุบาสิกาผูยอดเย่ียม มุนี”, แตมีบันทึกในอรรถกถาบางแหง
หมายถึง เวฬกุ ัณฏกีนันทมารดา และ (เถร.อ.๒/๕๐/๑๙๑; อป.อ.๒/๓๕๐/๗๐) ซง่ึ อาง
ขชุ ชุตรา; ดู ตลุ า อิงเรื่องท่ีพระเจาสุทโธทนะสงกาฬุทายี
อังคะ๑ องค, สวนประกอบ, คุณสมบัติ, อํามาตยไปอาราธนาพระพุทธเจาเสด็จ
อวยั วะ เชนในคําวา องั คบริจาค (การ กรุงกบิลพัสดุ กาฬุทายีนั้นเมื่อไปเฝา
สละใหอวัยวะ); ดู องค 1. พระพุทธเจา ไดฟงธรรม บรรลุอรหตั ต-
อังคะ๒ ช่ือแควนหนึ่งในบรรดา ๑๖ ผล บวชแลว ตอมา เม่ือพระพุทธเจารบั
แควนใหญแหงชมพูทวีป ตั้งอยูทิศ อาราธนาและออกเสด็จพุทธดําเนินมา
๕๗๘
องั คดุ ร ๕๗๙ อจั เจกจวี ร
เพอ่ื จะทรงเยีย่ มพระพุทธบิดา คร้นั มา พระพุทธเจา
ในระหวางทาง ทานพระกาฬุทายไี ดเดิน อังคดุ ร หมายถงึ อังคุตตรนกิ าย
ทางลวงหนามาแจงขาว พระเจาสทุ โธทนะ องั คตุ ตรนกิ าย ชอ่ื นกิ ายที่ ๔ ในบรรดา
ทอดพระเนตรเห็นพระกาฬุทายีในเพศ นกิ าย ๕ แหงพระสตุ ตนั ตปฎก เปนท่ี
ภกิ ษุ ทรงจําไมได ตรสั ถามวาทานเปน ชมุ นมุ พระสตู รซง่ึ จดั เขาลาํ ดบั ตามจาํ นวน
ใคร พระกาฬุทายีจึงกลาวตอบถวาย หัวขอธรรม เปนหมวด ๑ (เอกนบิ าต)
พระพรวา “อาตมภาพเปนบตุ รของพระ หมวด ๒ (ทกุ นิบาต) เปนตน จนถึง
พทุ ธเจา ผทู รงฝาไปไดในสิง่ ที่ใครๆ ไม หมวด ๑๑ (เอกาทสกนิบาต); ดู ไตร
อาจทนไหว องคพระองั คีรส ผูคงที่ ไม ปฎก (เลม ๒๐ - ๒๔)
มผี ูใดเปรียบปาน ดูกรมหาบพิตร พระ องั คตุ ตราปะ ชอื่ แควนหนงึ่ ในชมพทู วปี
องคเปนโยมบดิ าแหงพระบดิ าของอาตม- ครง้ั พทุ ธกาล มเี ขตตดิ ตอกบั แควนองั คะ
ภาพ ดูกรทาวศากยะโคดม พระองคเปน ทอี่ ยทู างตะวนั ออกของมคธ เมอื งหลวง
พระอยั กาของอาตมภาพ โดยธรรม” ใน เปนเพียงนิคมชื่อ อาปณะ
คํากลาวของพระกาฬุทายีน้ี มีคําวา องั คุลมิ าละ ดู องคลุ ิมาล
“องั ครี ส” ซ่ึงพระอรรถกถาจารยอธิบาย อังคุลมิ าลปริตร ดู ปริตร
วา “คาํ วา ‘อังคีรส’ แปลวา ผสู มั ฤทธ์ิ อังสะ ผาท่ีภกิ ษุใชหอยเฉวียงบา
พระคุณมีศีลเปนตน ที่ทําใหเปนองค อัจเจกจีวร จีวรรีบรอน หรือผาดวน
เปนอัน (หรือเปนเน้ือเปนตัว) แลว, หมายถงึ ผาจํานําพรรษาที่ทายกผูมีเหตุ
อาจารยอกี พวกหนึ่ง (อปเร) แปลวา ‘ผู รีบรอน ขอถวายกอนกาํ หนดเวลาปกติ
มีพระรัศมีเปลงฉายออกจากพระวรกาย (กําหนดเวลาปกติสําหรับถวายผาจํานํา
ทุกสวน’ แตอาจารยบางพวก (เกจิ) พรรษา คอื จีวรกาลนน่ั เอง กลาวคอื
กลาววา ‘พระพุทธบิดานั่นแหละ ไดทรง ตองผานวนั ปวารณาไปแลว เร่มิ แตแรม
เลือกเอาพระนาม ๒ อยางนี้ คือ ๑ คํา่ เดือน ๑๑ ถึงข้นึ ๑๕ คาํ่ เดอื น
องั ครี ส และสทิ ธตั ถะ’” คาํ อธบิ ายน้ี บอก ๑๒ และถากรานกฐินแลว นบั ตอไปอกี
ใหรูถึงมติอันหนึ่ง ซึ่งเปนของเกจิ ถึงข้นึ ๑๕ ค่าํ เดอื น ๔; เหตุรบี รอนนน้ั
อาจารย ทีบ่ อกวา ‘องั ครี ส’ กเ็ ปนพระ เชน เขาจะไปทัพ หรือเจ็บไขไมไวใจ
นามสวนพระองคของพระพุทธเจาพระ ชวี ติ หรือมศี รัทธาเลอื่ มใสเกิดข้นึ ใหม)
องคปจจบุ ัน เชนเดียวกับ ‘สิทธัตถะ’; ดู อัจเจกจวี รเชนนี้ มพี ุทธานญุ าตใหภิกษุ
๕๗๙
อจั ฉริยะ ๕๘๐ อัญญสมานาเจตสกิ
รบั เกบ็ ไวได แตตองรับกอนวันปวารณา องค คือ ทัณฑปาณิ และสปุ ปพุทธะ)
ไมเกนิ ๑๐ วนั (คอื ตงั้ แตขนึ้ ๖ คา่ํ ถงึ อัญชลกี รรม การประนมมือแสดงความ
๑๕ ค่ํา เดือน ๑๑) (สกิ ขาบทท่ี ๘ แหง เคารพ
ปตตวรรค นิสสัคคิยปาจิตตีย) อ ชฺ ลกี รณโี ย (พระสงฆ) เปนผคู วรไดรบั
อัจฉริยะ “เหตุอนั ควรที่จะดีดนิ้วเปาะ”, อญั ชลกี รรม คอื การประนมมอื ไหว กราบ
อัศจรรย, แปลกวเิ ศษ, นาทง่ึ ควรยอม ไหว เพราะมีความดีที่ควรแกการไหว
รับนับถอื , ดีเลศิ ลํ้านาพศิ วง, มีความรู ทําใหผูไหวผูกราบ ไมตองกระดากใจ
ความสามารถทรงคณุ สมบตั เิ หนอื สามญั (ขอ ๘ในสงั ฆคณุ ๙);อ ชฺ ลกิ รณโี ย กใ็ ช
อัญญเดียรถยี ผถู อื ลทั ธนิ อกพระพทุ ธ-
หรอื เกนิ กวาระดบั ปกติ
อชั ฏากาศ “อากาศทไ่ี มมชี ฏั ” (ที่วางอัน ศาสนา
ไรสงิ่ รกรงุ รัง), อากาศทีเ่ ว้งิ วาง คอื ทอง อญั ญภาคิยสกิ ขาบท ชื่อสกิ ขาบทท่ี ๙
ฟา กลางหาว, อชฏากาศ กเ็ ขยี น (บาลี: แหงสังฆาทิเสส (ภิกษุหาเลสโจทภิกษุ
อชฏากาส); ดู อากาศ ๓, ๔ อน่ื ดวยอาบตั ิปาราชกิ ), เรยี กอีกช่ือหน่ึง
อชั ฌัตติกะ ภายใน, ขางใน เชนในคาํ วา วา ทตุ ยิ ทุฏฐโทสสกิ ขาบท
อัชฌัตติกทาน (ทานภายใน, ใหของ อัญญวาทกกรรม กรรมทจ่ี ะพึงกระทาํ
ภายใน) อัชฌัตติกายตนะ (อายตนะ แกภิกษผุ กู ลาวคําอื่น คือภิกษปุ ระพฤติ
ภายใน); ตรงขามกบั พาหริ ะ
อชั ฌัตติกรูป ดทู ่ี รปู ๒๘ อนาจาร สงฆเรยี กตัวมาถาม แกลงยก
อัชฌาจาร ความประพฤติชั่ว, การ
เร่ืองอ่ืนๆ มาพูดกลบเกลอ่ื นเสยี ไมให
ละเมิดศีล, การลวงมรรยาท, การ
การตามตรง, สงฆสวดประกาศความ
ละเมิดประเพณี น้ันดวยญัตติทุติยกรรม เรียกวายก
อชั ฌาสัย นิสยั ใจคอ, ความนยิ ม, ความ อัญญวาทกกรรมขึน้ , เม่อื สงฆประกาศ
เชนน้ีแลว ภิกษุน้ันยังขืนทําอยางเดิม
มีน้ําใจ อกี ตองอาบตั ปิ าจิตตีย (สิกขาบทท่ี ๒
อัญชนะ กษัตริยโกลิยวงศผูครอง แหงภตู คามวรรค ปาจติ ตยิ กัณฑ); คกู ับ
เทวทหนคร มมี เหสพี ระนามวา ยโสธรา วิเหสกกรรม
เปนพระชนกของพระมหามายาเทวีผู อญั ญสมานาเจตสิก เจตสิกทม่ี ีเสมอกนั
เปนพระพุทธมารดาและพระนางมหา- แกจติ ตพวกอน่ื คือ ประกอบเขาไดกับ
ปชาบดีโคตมี (ตาํ นานวามีโอรสดวย ๒ จิตตทกุ ฝายทัง้ กุศลและอกศุ ล มิใชเขา
๕๘๐
อญั ญสัตถทุ เทส ๕๘๑ อัฏฐกะ
ไดฝายหนึง่ ฝายเดียว มี ๑๓ แยกเปน แนนอน มีคตเิ ปนอยางเดยี ว ตอมาทาน
ก. สัพพจติ ตสาธารณเจตสกิ (เจตสิกท่ี ออกบวชตามเสด็จพระสิทธตั ถะ ขณะ
เกิดท่ัวไปกบั จติ ตทกุ ดวง) ๗ คอื ผสั สะ บําเพ็ญทุกรกิริยา เปนหัวหนาพระ
(ความกระทบอารมณ) เวทนา สัญญา เบญจวคั คีย และไดนาํ คณะหลีกหนีไป
เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรยี มนสิการ เม่ือพระมหาบุรุษเลิกบําเพ็ญทุกรกิริยา
(ความกระทําอารมณไวในใจ, ใสใจ) กลับเสวยพระกระยาหาร ตอมาเมอ่ื พระ
ข. ปกิณณกเจตสิก (เจตสิกท่เี รี่ยรายคอื พุทธเจาตรัสรูแลวเสด็จไปโปรด ทาน
เกิดกับจิตตไดท้ังฝายกุศลและอกุศล สดบั ปฐมเทศนาไดดวงตาเหน็ ธรรม ขอ
แตไมแนนอนเสมอไปทุกดวง) ๖ คอื บรรพชาอุปสมบทเปนปฐมสาวกของ
วิตก (ความตรกึ อารมณ) วิจาร (ความ
ตรองอารมณ) อธิโมกข (ความปกใจใน พระพทุ ธเจา
อารมณ) วริ ิยะ ปติ ฉนั ทะ (ความพอใจ โกณฑญั ญะ ท่ีไดชื่อวา อญั ญา-
โกณฑญั ญะ เพราะเมอ่ื ทานฟงปฐมเทศนา
ในอารมณ) ของพระพทุ ธเจา และไดธรรมจกั ษุ พระ
อัญญสตั ถุทเทส, อัญญสัตถเุ ทศ การ พทุ ธเจาทรงเปลงอทุ านวา “อ ฺ าสิ วต
โภ โกณฑฺ โฺ ๆ” (โกณฑญั ญะไดรู
ถือศาสดาอ่ืน จัดเปนความผิดพลาด แลวหนอๆ) คาํ วา อญั ญา จงึ มารวมเขา
สถานหนกั (ขอ ๖ ในอภิฐาน ๖) กับช่ือของทาน ตอมาทานไดสําเร็จ
อญั ญสัตววิสยั วิสัยของสตั วอ่ืน, วสิ ยั
ของสัตวท่วั ๆ ไป อรหัตดวยฟงอนัตตลักขณสูตร ไดรบั
อัญญาโกณฑัญญะ พระมหาสาวกผูเปน ยกยองเปนเอตทคั คะในทางรตั ตญั ู (รู
ปฐมสาวกของพระพทุ ธเจา เปนรูปหน่ึง ราตรนี าน คอื บวชนาน รเู ห็นเหตกุ ารณ
ในคณะพระปญจวัคคีย เปนบุตร มากมาแตตน) ทานทลู ลาพระพทุ ธเจาไป
พราหมณมหาศาล เกดิ ทห่ี มูบานโทณ- อยูท่ีฝงสระมันทากินี ในปาฉัททันตวัน
วตั ถุ ไมไกลจากกรงุ กบิลพัสดุ เดมิ ชอื่ แดนหิมพานต อยู ณ ท่ีนั้น ๑๒ ป ก็
โกณฑัญญะ เปนพราหมณหนุมทีส่ ุดใน ปรินิพพานกอนพุทธปรินิพพาน; ดู
บรรดาพราหมณ ๘ คน ผทู าํ นายลกั ษณะ โกณฑัญญะ
ของสิทธัตถกุมาร และเปนผูเดียวที่ อญั ญาตาวินทรีย ดู อนิ ทรยี ๒๒
ทาํ นายวา พระกมุ ารจะทรงออกบรรพชา อญั ญนิ ทรีย ดู อนิ ทรีย ๒๒
ไดตรัสรูเปนพระสัมมาสัมพุทธเจาอยาง อฏั ฐกะ หมวด ๘
๕๘๑
อัฏฐบาน ๕๘๒ อตั ตวาทุปาทาน
อัฏฐบาน ปานะทง้ั ๘, น้าํ ปานะคือนาํ้ ค้นั อฏั ฐิ กระดกู , บดั นเ้ี ขยี น อฐั ิ
ผลไม ๘ อยาง; ดู ปานะ อฏั ฐมิ ิญชะ เย่ือในกระดกู (ปจจบุ นั แปล
อัฏฐมีบูชา การบูชาในวันที่ระลึกงาน วา ไขกระดกู )
ถวายพระเพลิงพระพุทธสรรี ะ เรยี กวา อัฐบริขาร บริขาร ๘; ดู บริขาร
วนั อัฏฐมีบูชา ตรงกับวันแรม ๘ คา่ํ อัฑฒกุสิ เสนค่ันดุจคนั นาขวางระหวาง
เดือน ๖ แตนยิ มเรียกสั้นๆ วา วนั อฏั ฐมี ขณั ฑกบั ขณั ฑของจีวร; เทียบ กสุ ,ิ ดู จวี ร
วันอัฏฐมบี ชู าน้ี แมวาคงจะไดมมี า อัณฑชะ สัตวเกิดในไข คอื ออกไขเปน
แตโบราณ แตไมเดนชดั ไมเปนทรี่ ูจกั ฟองแลวจงึ ฟกออกเปนตัว เชน ไก นก
กนั อยางกวางขวาง และในปจจุบันก็ไม จ้งิ จก เปนตน (ขอ ๒ ในโยนิ ๔)
จัดเขาเปนวันสาํ คัญทางราชการ อัฑฒมณฑล ชิ้นสวนของจีวรพระท่ี
อฏั ฐารสเภทกรวตั ถุ เร่อื งทาํ ความแตก เรยี กวา กระทงนอย หรือกระทงเลก็ มี
กัน ๑๘ อยาง, เรอื่ งท่จี ะกอใหเกดิ ขนาดคร่ึงหน่ึงของมณฑล (กระทง
ความแตกแยกแกสงฆ ๑๘ ประการ ใหญ); เทียบ มณฑล, ดู จวี ร
ทานจัดเปน ๙ คู (แสดงแตฝายค่)ี คือ อัตตกิลมถานุโยค การประกอบตนให
ภิกษุแสดงสิ่งมิใชธรรมวาเปนธรรม, ลําบากเปลา คือ ความพยายามเพื่อ
แสดงสิ่งมิใชวนิ ัยวาเปนวินยั , แสดงส่งิ บรรลุผลท่ีหมายดวยวิธีทรมานตนเอง
ทพี่ ระตถาคตมไิ ดตรสั วาไดตรัส, แสดง เชน การบําเพ็ญตบะตางๆ ท่นี ยิ มกนั ใน
ส่ิงท่ีพระตถาคตมิไดประพฤติวาได หมูนกั บวชอินเดยี จํานวนมาก (ขอ ๒
ประพฤติ, แสดงสิ่งที่พระตถาคตมิได ใน ทส่ี ดุ ๒ อยาง)
บัญญตั ิ วาไดบัญญัต,ิ แสดงอาบัตวิ ามิ อตั ตนยิ ะ สง่ิ ทเ่ี นอ่ื งดวยตน, สงิ่ ทเี่ ปนของ
ใชอาบัติ, แสดงอาบัติเบาวาเปนอาบัติ ตน; ในภาษาไทย มกั พดู ใหสะดวกปาก
หนัก, แสดงอาบัติมีสวนเหลือวาเปน เปนอัตตนิยา หรืออัตตนียา, เปนคาํ
อาบัติไมมีสวนเหลือ, แสดงอาบัตหิ ยาบ ประกอบท่ีใชในการอธิบายหรือถกเถียง
คายวามิใชอาบัติหยาบคาย (ฝายคูก็ เรอ่ื งอตั ตา-อนตั ตา เชนวา เมอ่ื มอี ตั ตา ก็
ตรงขามจากน้ีตามลําดับ เชน แสดง มอี ตั ตนยิ า จะมอี ตั ตนยิ า กต็ องมอี ตั ตา
ธรรมวามิใชธรรม, แสดงวินัยวามิใช อตั ตภาพ ความเปนตวั ตน, ชวี ติ , เบญจ-
วินยั ฯลฯ แสดงอาบัตไิ มหยาบคายวา ขนั ธ, บดั นีเ้ ขียน อตั ภาพ
อัตตวาทุปาทาน การถือม่ันวาทะวาตน
เปนอาบัติหยาบคาย)
๕๘๒
อตั ตวนิ บิ าต ๕๘๓ อตั ถะ
คือความยึดถือสําคัญม่ันหมายวานั่นนี่ อัตตัตถสมบัติ “ความถึงพรอมดวย
เปนตวั ตน เชน มองเหน็ เบญจขันธเปน ประโยชนตน” เปนพุทธคุณอยางหน่ึง
อัตตา, อยางหยาบขึ้นมา เชน ยึดถอื มั่น คือ การทไ่ี ดทรงบาํ เพญ็ พระบารมธี รรม
หมายวา น่ีเรา นนั่ ของเรา จนเปนเหตุ กําจัดอาสวกิเลสทั้งปวงและทําศีล
แบงแยกเปนพวกเรา พวกเขา และเกดิ สมาธิ ปญญาใหบรบิ รู ณ สมบูรณดวย
ความถอื พวก (ขอ ๔ ในอปุ าทาน ๔) พระญาณทั้งหลาย เพียบพรอมดวย
อตั ตวนิ ิบาต การทาํ ลายตัวเอง, ฆาตัว พระคุณสมบัติมากมาย เปนท่ีพึ่งของ
เอง; บัดน้ีเขียน อัตวินิบาต
พระองคเองได และเปนผูพรอมท่ีจะ
อัตตสัมมาปณิธิ การตั้งตนไวชอบ คือ บําเพ็ญกิจเพื่อประโยชนแกชาวโลกตอ
ดํารงตนอยใู นศลี ธรรม และดําเนนิ แนว ไป มกั ใชคาํ ที่แทนกนั ไดวา อัตตหิต-
แนในวิถีทางที่จะนําไปสูจุดหมายที่ดี สมบัติ ซง่ึ แปลเหมือนกัน; เปนคูกันกบั
ปรัตถปฏบิ ัติ หรือ ปรหติ ปฏิบัติ
งาม (ขอ ๓ ในจักร ๔)
อตั ตสุทธิ การทําตนใหบรสิ ทุ ธิ์จากบาป อัตตา ตัวตน, อาตมัน; ปุถชุ นยอมยดึ
อตั ตหิตสมบตั ิ ดู อัตตตั ถสมบัติ
มน่ั มองเหน็ ขันธ ๕ อยางใดอยางหน่ึง
อตั ตญั ตุ า ความเปนผรู จู กั ตน เชนรวู า หรือทั้งหมดเปนอัตตา หรือยึดถือวามี
เรามคี วามรู ความถนดั คณุ ธรรม ความ อตั ตาเนื่องดวยขันธ ๕ โดยอาการอยาง
สามารถ และฐานะ เปนตน แคไหนเพยี ง ใดอยางหนึง่ ; เทียบ อนตั ตา
ไร แลวประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ หเหมาะสมเพอ่ื อตั ตาธิปเตยยะ ดู อตั ตาธปิ ไตย
ใหเกดิ ผลดี (ขอ ๓ ในสปั ปรุ สิ ธรรม ๗) อตั ตาธปิ ไตย ความถอื ตนเปนใหญ จะ
อัตตตั ถะ ประโยชนตน, สงิ่ ทเี่ ปนคณุ แก ทําอะไรก็นึกถึงตน คํานึงถึงฐานะ
ชวี ติ ชวยใหเปนอยดู วยดี สามารถพงึ่ เกียรติศักดิ์ศรี หรือผลประโยชนของ
ตน หรอื เปนทพี่ งึ่ แกตนได ไมวาจะเปน ตนเปนสําคัญ, พึงใชแตในขอบเขตที่
ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ สมั ปรายิกัตถะ หรือ เปนความดี คือ เวนช่ัวทําดีดวยเคารพ
ปรมัตถะ, ความมีชีวิตและส่ิงอันเกื้อ ตน (ขอ ๑ ในอธปิ ไตย ๓)
หนุนใหชีวิตเพียบพรอมดวยคุณสมบัติ อตั ตานทุ ฏิ ฐิ ความตามเหน็ วาเปนตวั ตน
ทงั้ หลาย ทง้ั ทางกาย ทางสังคม ทางจติ อตั ถะ 1. ประโยชน, ผลทม่ี งุ หมาย, จดุ
ใจ และทางปญญา, ชวี ิตทมี่ ีคุณภาพ มี หมาย, อตั ถะ ๓ คอื ๑. ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ
คุณคา และมคี วามหมาย; เทียบ ปรัตถะ ประโยชนปจจุบัน, ประโยชนในภพน้ี
๕๘๓
อตั ถจริยา ๕๘๔ อนั ตรกปั
๒. สมั ปรายกิ ตั ถะ ประโยชนเบอ้ื งหนา, หนาอันจะเกิดสืบเนื่องไปจากเหตุ (ขอ
ประโยชนในภพหนา ๓. ปรมัตถะ ๑ ในปฏสิ ัมภิทา ๔)
ประโยชนอยางย่ิง, ประโยชนสงู สดุ คอื อัตถสาธกะ ยงั อรรถใหสาํ เร็จ, ทําเนือ้
พระนพิ พาน; อตั ถะ ๓ อกี หมวดหนง่ึ คือ ความใหสาํ เร็จ
๑. อตั ตัตถะ ประโยชนตน ๒. ปรตั ถะ อัตถัญ ุตา ความเปนผรู จู ักผล เชน รจู ัก
ประโยชนผอู ืน่ ๓. อภุ ยัตถะ ประโยชน วา สขุ เปนผลแหงเหตอุ ันน้ี ทุกขเปนผล
ทั้งสองฝาย 2. ความหมาย, ความ แหงเหตอุ ันนี้, รคู วามมุงหมายและรจู ัก
หมายแหงพุทธพจน, พระสูตร พระ ผล; ตามบาลวี า รูความหมาย เชนวา
ธรรมเทศนา หรือพุทธพจน วาโดยการ ธรรมขอนี้ๆ มีความหมายอยางนี้ๆ
แปลความหมาย แยกเปน อัตถะ ๒ คือ หลักขอน้ีๆ มเี นอื้ ความอยางนๆ้ี (ขอ ๒
๑. เนยยัตถะ (พระสตู ร) ซึ่งมคี วาม ในสปั ปรุ สิ ธรรม ๗)
หมายท่ีจะตองไขความ, พุทธพจนท่ี อตั ถุปปตติ เหตุทีใ่ หมเี ร่อื งขนึ้ , เหตุให
ตรัสตามสมมติ อันจะตองเขาใจความ เกดิ เรื่อง
จริงแทท่ีซอนอยูอีกชั้นหนึ่ง เชนท่ีตรัส อัธยาจาร ดู อัชฌาจาร
เรอ่ื งบคุ คล ตัวตน เรา-เขา วา บุคคล ๔ อธั ยาศัย นสิ ยั ใจคอ, ความนยิ มในใจ,
ประเภท, ตนเปนที่พง่ึ ของตน เปนตน ความมนี ํา้ ใจ
๒. นตี ตั ถะ (พระสตู ร) ซง่ึ มีความหมาย อนั ตะ ไสใหญ
ท่ีแสดงชัดโดยตรงแลว, พุทธพจนท่ี อนั ตคาหกิ ทฏิ ฐิ ความเหน็ ทยี่ ดึ เอาทส่ี ดุ
ตรัสโดยปรมัตถ ซ่ึงมีความหมายตรง คอื แลนไปถงึ ทส่ี ดุ ในเรอื่ งหนงึ่ ๆ มี ๑๐
ไปตรงมาตามสภาวะ เชนที่ตรัสวา รปู อยาง คอื ๑. โลกเทย่ี ง ๒. โลกไมเทย่ี ง
เสยี ง กล่ิน รส เปนตน; อรรถ กเ็ ขยี น ๓. โลกมที สี่ ดุ ๔. โลกไมมที สี่ ดุ ๕. ชพี
อัตถจริยา ประพฤติส่ิงที่เปนประโยชน อนั นน้ั สรรี ะกอ็ นั นนั้ ๖. ชพี กอ็ ยาง สรรี ะ
แกผอู ่นื , การบาํ เพญ็ ประโยชน (ขอ ๓ กอ็ ยาง ๗. สตั วตายแลวยงั มอี ยู ๘. สตั ว
ในสงั คหวัตถุ ๔) ตายแลว ยอมไมมี ๙. สตั วตายแลว ทง้ั มี
อัตถปฏิสัมภิทา ปญญาแตกฉานใน อยู ทง้ั ไมมี ๑๐. สตั วตายแลวจะมอี ยู ก็
อรรถ, ความแตกฉานสามารถอธิบาย ไมใช ไมมอี ยู กไ็ มใช
เนื้อความยอของภาษิตโดยพิสดารและ อนั ตคณุ ไสนอย, ไสทบ
ความเขาใจที่สามารถคาดหมายผลขาง อนั ตรกปั ดู กปั
๕๘๔
อนั ตรธาน ๕๘๕ อันธกวินทะ
อนั ตรธานหายไป, เสอื่ มสนิ้ ไป, สญู หายไป งูเลอื้ ยเขามา (เพือ่ ไลงู) ๙. ชีวติ นั ตราย
อนั ตรวาสก ผานงุ , สบง, เปนผนื หนงึ่ ใน
ไตรจวี ร มีเร่ืองเปนตาย เชนภกิ ษุอาพาธโรคราย
อนั ตราบตั ิ อาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ทต่ี องใหม (เพื่อชวยแกไข) ๑๐. พรหมจริยนั ตราย
มอี ันตรายแกพรหมจรรย เชน มีคนมา
อกี ในระหวางประพฤตวิ ฏุ ฐานวธิ ี คอื ตง้ั จับภิกษุ (เลิกเพราะอลหมาน); ดู
แตเรม่ิ อยปู รวิ าสไปจนถงึ กอนอพั ภาน ปาตโิ มกขยอ,อเุ ทศ
อันตราปรินิพพายี พระอนาคามีผูจะ อนึ่ง ภกิ ษุตองอาบตั สิ งั ฆาทเิ สสถา
ปรนิ พิ พาน ในระหวางอายยุ งั ไมทนั ถงึ กงึ่ มีอันตรายเหลาน้ีอยางใดอยางหนึ่งแม
(ขอ ๑ ในอนาคามี ๕) ไมไดบอกอาบัติของตนพนคืนไปยังไม
อันตรายของภิกษุสามเณรผูบวชใหม ถอื วาปดอาบตั ิ
เหตุท่ีจะทําใหผูบวชในธรรมวินัยน้ี อันตรายิกธรรม ธรรมอันกระทํา
ประพฤตพิ รหมจรรยอยไู ดไมยง่ั ยนื มี ๔ อันตราย คือ เหตุขดั ขวางตางๆ เชน
อยาง คอื ๑. อดทนตอคาํ สงั่ สอนไมได เหตขุ ดั ขวางการอุปสมบท ๑๓ อยาง มี
๒. เหน็ แกปากแกทอง ๓. ฝนใฝทะยาน การเปนโรคเร้อื น เปนตน
อยากไดกามคณุ ๔. รกั ผหู ญงิ อนั ติมวตั ถุ “วัตถมุ ีในทส่ี ดุ ” หมายถึง
อนั ตราย ๑๐ เหตฉุ กุ เฉนิ หรอื เหตขุ ดั ของ อาบตั ิปาราชกิ ซึง่ ทําใหภกิ ษแุ ละภิกษณุ ี
ท่ีทรงอนุญาตใหเลิกสวดปาติโมกขได ผูตอง มโี ทษถึงท่ีสุด คอื ขาดจากภาวะ
โดยใหสวดปาตโิ มกขยอแทน มี ๑๐ อยาง ของตน (และจะบวชใหมกลับคนื สูภาวะ
คอื ๑. ราชนั ตราย พระราชาเสดจ็ มา (เลกิ นน้ั กไ็ มไดดวย)
สวดเพอ่ื รับเสด็จ) ๒. โจรนั ตราย โจรมา อนั เตวาสกิ ผูอยใู นสาํ นัก, ภกิ ษผุ ูขออยู
ปลน (เพอ่ื หนภี ยั ) ๓. อคั ยนั ตราย ไฟ รวมสํานกั , ศิษย (ภกิ ษผุ รู ับใหอยรู วม
ไหม (เพอื่ ดบั หรอื ปองกนั ไฟ) ๔. อทุ กนั - สํานกั เรยี กอาจารย); อันเตวาสิกมี ๔
ตราย น้ําหลากมา (หรือฝนตกเมือ่ สวด ประเภทคือ ๑. ปพพชนั เตวาสิก อนั เต-
กลางแจง; เพอ่ื หนนี า้ํ ) ๕. มนสุ สนั ตราย วาสกิ ในบรรพชา ๒. อปุ สมั ปทนั เตวาสกิ
คนมามาก (เพ่ือรูเหตุหรือปฏิสันถาร) อนั เตวาสิกในอปุ สมบท ๓. นสิ สยันเต-
๖. อมนสุ สนั ตราย ผเี ขาภิกษุ (เพอ่ื ขับ วาสกิ อนั เตวาสกิ ผถู อื นสิ ยั ๔. ธมั มนั เต-
ผ)ี ๗. วาฬันตราย สัตวรายเชนเสือมา วาสิก อนั เตวาสิกผูเรียนธรรม
ในวดั (เพ่ือไลสัตว) ๘. สิรงิ สปนตราย อันธกวินทะ ช่ือหมูบานแหงหนึ่งใน
๕๘๕
อนั ธกัฏฐกถา ๕๘๖ อัปปมาทะ
แควนมคธ อยูหางจากกรุงราชคฤห สมมติ คือแตงตั้งจากสงฆ ใหมหี นาที่
ประมาณ ๑ คาวตุ คมั ภรี ฉบับสงิ หลวา เปนผูจายของเลก็ นอย เชน เข็มเยบ็ ผา
๓ คาวตุ ) มดี ตดั เล็บ ประคด เภสชั ทงั้ หา เปนตน
อันธกฏั ฐกถา ดู โปราณฏั ฐกถา, อรรถ- ใหแกภิกษุทั้งหลาย, เปนตําแหนงหน่ึง
กถา ในบรรดา เจาอธกิ ารแหงคลัง
อัปปฏิฆรูป ดูท่ี อนิทัสสนอัปปฏิฆรูป, อัปปมาณะ “ไมมปี ระมาณ”, สภาวะท่ี
รปู ๒๘ ประมาณมิได หมายถึงธรรมที่เปน
อปั ปณิหิตวโิ มกข ความหลดุ พนดวยไม โลกุตตระ; ดู ปรติ ต 2.
ทําความปรารถนา คือ พิจารณาเห็น อัปปมาทะ ความไมประมาท, ความเปน
นามรูปเปนทุกข แลวถอนความ อยูอยางไมขาดสติ, ความไมเผลอ,
ปรารถนาเสยี ได (ขอ ๓ ในวโิ มกข ๓) ความไมเลินเลอเผลอสติ, ความไม
อปั ปณิหติ สมาธิ การเจรญิ สมาธิทท่ี าํ ให ปลอยปละละเลย, ความระมดั ระวงั ท่ีจะ
ถึงความหลุดพนดวยกําหนดทุกข- ไมทําเหตุแหงความผิดพลาดเสียหาย
ลกั ษณะ (ขอ ๓ ในสมาธิ ๓) และไมละเลยโอกาสที่จะทําเหตุแหง
อปั ปนาปริวาส ดู ปรวิ าส 2. ความดงี ามและความเจริญ, ความมสี ติ
อัปปนาภาวนา ภาวนาขั้นแนวแน คือ รอบคอบ
ฝกสมาธิถึงขั้นเปนอัปปนา เปนข้ัน ความไมประมาท พึงกระทําในท่ี ๔
บรรลุปฐมฌาน (ขอ ๓ ในภาวนา ๓) สถาน คือ ๑. ในการละกายทุจริต
อปั ปนาสมาธิ สมาธิแนวแน, จติ ตต้ังมน่ั ประพฤติกายสุจรติ ๒. ในการละวจ-ี
สนทิ เปนสมาธใิ นฌาน (ขอ ๒ ในสมาธิ ทจุ รติ ประพฤตวิ จีสจุ รติ ๓. ในการละ
๒, ขอ ๓ ในสมาธิ ๓) มโนทจุ รติ ประพฤติมโนสุจริต ๔. ใน
อัปปมัญญา ธรรมที่แผไปไมมปี ระมาณ การละความเหน็ ผิด ประกอบความเหน็
หมายถงึ เมตตา กรุณา มุทติ า อเุ บกขา ทถ่ี กู ; อกี หมวดหนงึ่ วา ๑. ระวงั ใจไมให
ที่แผไปในมนุษยและสัตวทั้งหลายอยาง กําหนัด ในอารมณเปนท่ีต้ังแหงความ
กวางขวางสมาํ่ เสมอกนั ไมจาํ กดั ขอบเขต กาํ หนัด ๒. ระวงั ใจไมใหขดั เคอื ง ใน
มี ๔ คือ เมตตา กรุณา มทุ ติ า อเุ บกขา อารมณเปนที่ต้ังแหงความขัดเคือง ๓.
ท่ีกลาวแลวนั้น; ดู พรหมวหิ าร ระวังใจไมใหหลง ในอารมณเปนท่ีต้ัง
อัปปมัตตกวิสัชชกะ ภิกษุผูไดรับ แหงความหลง ๔. ระวงั ใจไมใหมวั เมา
๕๘๖
อัปปมาทคารวตา ๕๘๗ อพั ยากตะ,อพั ยากฤต
ในอารมณเปนที่ต้งั แหงความมัวเมา บริสทุ ธ วธิ ีปฏิบัติ คือ ถาตองอาบัติ
อัปปมาทคารวตา ดู คารวะ สงั ฆาทเิ สสแลวไมไดปดไว พงึ ประพฤติ
อปั ปมาทธรรม ธรรมคอื ความไมประมาท มานัตสิ้น ๖ ราตรีแลวขออัพภานกะ
อปั ยศ ปราศจากยศ, เสียชอื่ เสยี ง, เส่ือม สงฆวีสติวรรค สงฆสวดอัพภานแลว
เสยี , นาขายหนา ชื่อวาเปนผูบริสุทธ์ิจากอาบัติ, แตถา
อัปปจฉกถา ถอยคําท่ีชักนําใหมีความ ภิกษุตองปกปดอาบัติไวลวงวันเทาใด
ปรารถนานอย หรือมกั นอย (ขอ ๑ ใน ตองประพฤติวัตรเรียกวา อยูปริวาส
กถาวตั ถุ ๑๐) ชดใชครบจํานวนวันเทาน้ันกอน จึง
อปั ปยารมณ อารมณทไ่ี มนารกั ไมนา ประพฤตมิ านัตเพ่มิ อีก ๖ ราตรี แลวจงึ
ชอบใจ ไมนาปรารถนา เชน รูปทไ่ี ม ขออัพภานกะสงฆวีสติวรรค เม่ือสงฆ
สวยไมงามเปนตน อพั ภานแลว อาบัตสิ ังฆาทิเสสทต่ี องชื่อ
อพฺพุฬฺหสลฺโล “มีลูกศรอันถอนแลว” วาเปนอันระงบั
หมายถงึ หมดกเิ ลสทท่ี ม่ิ แทง, เปนคณุ บท อัพภานารหะ ภกิ ษผุ ูควรแกอพั ภาน ได
ของพระอรหนั ต แกภกิ ษุผปู ระพฤตมิ านัตสิ้น ๖ ราตรี
อัพโพหาริก “กลาวไมไดวามี”, มแี ตไม ครบกําหนดแลว เปนผคู วรแกอัพภาน
ปรากฏ จึงไมไดโวหารวามี, มีเหมอื นไม คือควรท่ีสงฆวีสติวรรคจะสวดอัพภาน
มี เชน สุราทเ่ี ขาใสในอาหารบางอยาง (เรยี กเขาหมู) ไดตอไป
เพ่ือฆาคาวหรือชูรส และเจตนาท่ีมีใน อัพภานารหภิกษุ ดู อพั ภานารหะ
อัพโภกาสิกังคะ องคแหงผูถืออยูในที่
เวลาหลบั เปนตน
อพั ภันดร มาตราวดั เทากับ ๒๘ ศอก แจง คอื อยูเฉพาะกลางแจง ไมอยใู นที่
หรือ ๗ วา มงุ บัง หรอื แมแตโคนไม (หามถือในฤดู
อัพภาน “การเรียกเขา” การรบั กลบั เขา ฝน), คําสมาทานวา “ฉนฺน จฺ รุกขฺ มลู จฺ
หม,ู เปนขน้ั ตอนสดุ ทายแหงวฏุ ฐานวธิ ี คอื ปฏิกขฺ ิปามิ, อพโฺ ภกาสิกงฺคํ สมาทิยาม”ิ
ระเบียบปฏิบัติในการออกจากครุกาบัติ แปลวา “ขาพเจางดที่มุงบังและโคนไม
ข้ันสังฆาทิเสส ไดแกการที่สงฆสวด สมาทานองคแหงผ—ู ” (ขอ ๑๐ ใน
ระงับอาบัติ รับภิกษุผูตองอาบัติ ธดุ งค ๑๓)
สงั ฆาทิเสส และไดทําโทษตนเองตามวธิ ี อัพยากตะ, อัพยากฤต “ซึ่งทานไม
ที่กําหนดเสร็จแลว ใหกลับคืนเปนผู พยากรณ”, มิไดบอกวาเปนกุศลหรือ
๕๘๗
อมั พปาลีวัน ๕๘๘ อากร
อกศุ ล (ไมจัดเปนกศุ ลหรืออกศุ ล) คอื แควนใหญแหงชมพูทวีป ตั้งอยูลุมนาํ้
เปนกลางๆ ไมดไี มชั่ว ไมใชกุศลไมใช โคธาวรี ทิศตะวันตกเฉียงเหนือแหง
อกศุ ล ไดแก วิบาก กิริยา รปู และ แควนอวันตี นครหลวงชื่อ โปตลิ (บาง
นพิ พาน ทีเรยี ก โปตนะ)
อมั พปาลวี นั สวนทหี่ ญงิ แพศยาชอ่ื อมั พ- อัสสชิ 1. พระมหาสาวกองคหนึ่งเปน
ปาลี ถวายเปนสังฆาราม ไมนานกอนวนั พระเถระรปู หน่งึ ในคณะปญจวัคคยี เปน
พุทธปรินิพพาน อยใู นเขตเมอื งเวสาลี พระอรหันตรุนแรกและเปนอาจารยของ
อมั พวนั สวนมะมวง มหี ลายแหง เพอ่ื กนั พระสารีบตุ ร 2. ชอ่ื ภกิ ษรุ ูปหน่ึงในภกิ ษุ
สบั สน ทานมกั ใสชอ่ื เจาของสวนนําหนา ๖ รปู ซงึ่ ประพฤตเิ หลวไหล ทเี่ รยี กวา
ดวย เชน สวนมะมวงของหมอชวี ก ในเขต พระฉพั พคั คยี คกู บั พระปนุ พั พสกุ ะ
เมืองราชคฤห ซึ่งถวายเปนสังฆาราม อสั สพาชี มา
เรยี กวา ชวี กมั พวนั เปนตน อัสสยุชมาส, ปฐมกัตติกมาส เดือน
อัยกะ, อยั กา ป,ู ตา ๑๑; ปุพพกตั ตกิ า หรอื บพุ กัตติกา ก็
อัยการ เจาพนักงานท่ศี าลฝายอาณาจกั ร เรยี ก
จัดไวเปนเจาหนาท่ีฟองรอง, ทนายแผน อัสสตั ถพฤกษ ตนไมอสั สัตถะ, ตนพระ
ดนิ , ทนายหลวง ศรีมหาโพธ์ิ ท่ีริมฝงแมนํ้าเนรัญชรา
อัยก,ี อัยยกิ า ยา, ยาย ตําบลอรุ ุเวลาเสนานิคม อนั เปนสถานท่ี
อัศวเมธ พธิ เี อามาบูชายัญ คอื ปลอยมา ที่พระมหาบุรุษ ไดตรัสรูพระอนุตตร-
อุปการใหผานดินแดนตางๆ เปนการ สัมมาสมั โพธิญาณ; ดู โพธ์ิ
ประกาศอํานาจจนมานั้นกลับ แลวเอา อัสสาทะ ความยินด,ี ความพงึ พอใจ, รส
มาน้ันฆาบูชายัญ เปนพิธีประกาศ อรอย เชน รสอรอยของกาม, สวนดี,
อานุภาพของราชาธิราชในอินเดียครั้ง สวนท่ีนาชืน่ ชม
โบราณ อัสสาสะ ลมหายใจเขา
อัสดงค ตกไป คือ พระอาทิตยตก, อสั สุ นาํ้ ตา
พจนานุกรม เขยี น อสั ดง อากร หมู, กอง, บอเกิด, ท่เี กิด เชน
อสั มิมานะ การถอื วาน่ฉี นั นก่ี ู กเู ปนน่นั ทรัพยากร ท่เี กดิ ทรพั ย ศิลปากร บอ
เปนน,ี่ การถอื เราถอื เขา เกดิ ศลิ ปะ, คาธรรมเนยี มที่รัฐบาลเรียก
อัสสกะ ช่ือแควนหนึ่งในบรรดา ๑๖ เก็บ จากสง่ิ ท่เี กิดจากธรรมชาติ หรือส่งิ
๕๘๘
อากัปกิรยิ า ๕๘๙ อากาศ
ท่ีทําขน้ึ เพอ่ื การคา ฏมิ ากาศ และอัชฏากาศ (ปญจ.อ.๑๑๓๒/
อากปั กิรยิ า การแตงตัวดี และมีทาทาง ๒๒๐) แตในคมั ภรี ช้นั หลงั บางแหง (เชน
เรยี บรอยงดงาม; กริ ิยาทาทาง
อาการ ภาวะที่ปรากฏหรือแสดงออก, ปาจติ ยฺ าทโิ ยชนา และอนทุ ปี นปี า , มแี ตฉบบั อกั ษร
ความเปนไป, สภาพ, ทาทาง, ทวงที,
พมา ยังไมพบตีพิมพในประเทศไทย) แยก
ทํานอง, กิริยาที่ทําหรือที่แสดง, ละเอยี ดออกไปอกี เปน อากาศ ๔ คอื ๑.
ปรจิ เฉทากาศ ชองวางที่กาํ หนดแยกรูป
ลักษณะของการกระทําหรือความเปน ทัง้ หลาย หรือชองวางระหวางกลาป คือ
รปู ในความหมายท่ีเปนปรจิ เฉทรปู (รปู
ไป; สวนปลีกยอย, สวนประกอบทแ่ี ยก ปรจิ เฉทากาศ กเ็ รยี ก) ๒. ปรจิ ฉนิ นากาศ
ชองวางท่ีถูกกําหนดแยก คือชองวาง
ยอยกระจายออกไป (อวัยวะหลัก เรยี ก ระหวางวตั ถทุ ง้ั หลาย เชน ชองประตู รฝู า
ชองหนาตาง ชองหู รจู มกู (ท่ีใชเปน
วา “องค” อวัยวะยอย เรียกวา อากาศกสณิ คอื ขอน)ี้ ๓. กสณิ ุคฆาฏิ-
“อาการ”) เชน ในคาํ วา ทวัตตงิ สาการ มากาศ ชองวางที่เกิดจากการเพิกกสิณ
อาการ ๓๒ ดู ทวัตติงสาการ นิมติ คือชองวางหรอื อากาศอนั อนนั ตที่
อาการที่พระพุทธเจาทรงส่ังสอน มี เปนอารมณของอากาสานัญจายตนฌาน
๓ อยางคอื ๑. ทรงรูยงิ่ เหน็ จริงเองแลว ๔. อชั ฏากาศ ชองวางเว้ิงวาง คอื ทองฟา
(บางทีเรียกวา ตจุ ฉากาศ คือชองวางท่ี
จึงทรงสัง่ สอนผอู ่นื เพื่อใหรูย่ิงเหน็ จริง วางเปลา) แลวบอกวา ขอท่ี ๒ คือ
ปริจฉินนากาศ จัดรวมเขาไดกบั ขอที่ ๑
ตามในธรรมทีค่ วรรูควรเห็น ๒. ทรงส่ัง คือรูปปริจเฉทากาศ น่ีกห็ มายความวา
ทานแยกขอท่ี ๑ ของอรรถกถา ออกเปน
สอนมีเหตุผลซ่ึงผูฟงอาจตรองตามให ๒ ขอ, เหตุท่ีคัมภีรช้ันหลงั แยกอยางน้ี
เพราะตองการแยกอากาศท่ีเปนสภาว-
เหน็ จรงิ ได ไมเล่ือนลอย ๓. ทรงสั่ง ธรรม คือทเี่ ปนปรจิ เฉทรูป ออกไวตาง
หากใหชัด ดงั จะเห็นวา อกี ขอหน่ึงคอื
สอนเปนอัศจรรย ทําใหผูฟงยอมรับ ปริจฉินนากาศ อยางชองหู รูกุญแจ
หรือชองท่ีกําหนดเปนอารมณกสิณ ก็
และนําไปปฏิบัติตาม ไดรับผลจริง
๕๘๙
บงั เกิดประโยชนสมควรแกการปฏบิ ัติ
อาการที่ภิกษุจะตองอาบตั ิ ๖ ดู อาบตั ิ
อากาศ ทีว่ างเปลา, ชองวาง, ทองฟา; ใน
ความหมายเดมิ ไมเรยี กแกสทใ่ี ชหายใจ
วาอากาศ แตเรียกแกสนั้นวาเปนวาโย
หรอื วาโยธาตุ; ในอรรถกถา ทานแยก
ประเภทตามความหมายนยั ตางๆ เปน
อากาศ ๓ คอื ปริจเฉทากาศ กสณิ คุ ฆา-
อากาศธาตุ ๕๙๐ อาคนั ตกุ วตั ร
เน่ืองกันอยูกับอัชฏากาศนั่นเอง (เปน อาคนั ตกุ ะ ผูมาหา, ผูมาจากทอ่ี น่ื , ผูจร
เพยี งบญั ญัติ มใิ ชสภาวะ) แตในอรรถ- มา, แขก; (ในคําวา “ถาปรารถนาจะให
กถาและคัมภีรทั่วไปที่ไมแยกละเอียด อาคันตุกะไดรับแจกดวย”) ภิกษุผูจํา
อยางนน้ั เรยี กอากาศทก่ี าํ หนดเปนกสณิ พรรษาท่วี ัดอืน่ จรมา, ถาภกิ ษุผูมีหนาท่ี
คืออากาศกสิณ วาเปนปริจเฉทากาศ- เปนจวี รภาชกะ (ผูแจกจวี ร) ปรารถนา
กสณิ บาง ปรจิ ฉินนากาศกสณิ บาง ไม จะใหอาคันตุกะมีสวนไดรับแจกจีวร
ถือตายตัว, จะเหน็ วา อากาศในขอ ๒ ดวย ตองอปโลกน คอื บอกเลาขอ
เปนกสิณสําหรับผูเจริญรูปฌาน เมื่อ อนุมัติตอภิกษุเจาถ่ินคือผูจําพรรษาใน
เพกิ กสณิ นิมิตของขอ ๒ น้ี ก็เปนอากาศ วดั นัน้ (ซึง่ เรียกวา วสั สิกะ หรือ วัสสา-
ในขอ ๓; “อัชฏากาศ” น้ี ถอื ตามหนงั สอื วาสิกะ แปลวา “ภิกษผุ อู ยูจาํ พรรษา”)
เกาจะเขยี นอชฏากาศ กไ็ ด; ดู รูป ๒๘ อาคันตุกภัต อาหารท่ีเขาถวายเฉพาะ
อากาศธาตุ สภาวะท่วี าง, ความเปนทว่ี าง ภกิ ษุอาคนั ตุกะ คอื ผจู รมาจากตางถิ่น
เปลา, ชองวางในรางกาย ท่ีใชเปน อาคันตุกวัตร ธรรมเนียมท่ีภิกษุผูไปสู
อารมณกรรมฐาน เชน ชองหู ชองจมกู อาวาสอน่ื เปนอาคนั ตกุ ะ คอื ผจู รมา พงึ
ชองปาก ชองอวัยวะตางๆ; ในคัมภีร ปฏบิ ตั ิ เชน แสดงอาการเคารพ โดยลดรม
อภิธรรม จัดเปนอุปาทายรปู อยางหนง่ึ ถอดรองเทา ลดจวี รเฉวยี งบา เขาไปหา
เรียกวา ปรจิ เฉทรูป; ดู ธาตุ, รปู ๒๘ เจาของถิ่น ไหวเจาถ่ินผูแกกวา แสดง
อากาสานัญจายตนะ ฌานกําหนด ความเกรงใจ เชน รอเจาถนิ่ ทาํ ธรุ ะเสรจ็
อากาศคือชองวางหาที่สุดมิไดเปน จงึ เขาไปหา ทานมงี านพกั ไว กไ็ มอยนู าน
อารมณ, ภพของผูเขาถึงอากาสานัญ- แสดงอาการสภุ าพ เชน ลางเทา ถอื อาสนะ
จายตนฌาน (ขอ ๑ ในอรปู ๔) ทสี่ มแกตน ถาจะพกั อยู กป็ ระพฤตใิ หถกู
อากิญจัญญายตนะ ฌานกําหนดภาวะท่ี ธรรมเนยี มของเจาถน่ิ เชน ถามถงึ เสนาสนะ
ไมมอี ะไรเลยเปนอารมณ, ภพของผเู ขาถงึ อนั ถงึ แกตน ถามถนิ่ ทเี่ วลาเขาสโู คจรคาม
อากญิ จญั ญายตนฌาน (ขอ ๓ ในอรปู ๔) ทอ่ี โคจร ตลอดจนวจั กฎุ ี สระนาํ้ และกตกิ า
อากลู วนุ วาย, ไมเรยี บรอย, สบั สน, คงั่ คาง สงฆ ครนั้ ถอื เสนาสนะแลว กไ็ มดดู าย ใส
อาคม ปรยิ ตั ทิ เี่ รยี น, การเลาเรยี นพทุ ธ- ใจปดกวาด จดั ตงั้ เครอ่ื งใชใหเปนระเบยี บ
พจน; ในภาษาไทยมีความหมายเพ้ียน คกู บั อาวาสกิ วัตร คอื ธรรมเนยี มที่
ไปเปนเวทมนตร ภิกษุผูเจาถ่ินควรปฏิบัติตออาคันตุกะ
๕๙๐
อาคาริยวนิ ัย ๕๙๑ อาฆาตวตั ถุ
เชน ขวนขวายตอนรบั แสดงความนบั ถอื หายแกผูเปนทีร่ ักทชี่ อบใจของเรา ๖. ผกู
จดั หรอื บอกใหนาํ้ ใหอาสนะ ถาอาคนั ตกุ ะ อาฆาตวา ผนู ัน้ จกั ประพฤตกิ ารเสียหาย
จะมาพกั มาอยู พงึ แสดงเสนาสนะ บอก แกผูเปนท่ีรักที่ชอบใจของเรา ๗. ผกู
ทท่ี างและกตกิ าสงฆ เปนตน อาฆาตวา ผูน้ันไดประพฤติการเปน
อาคาริยวนิ ยั วนิ ยั ของผูครองเรือน; ดู ประโยชนแกผูไมเปนที่รักไมเปนท่ีชอบ
วนิ ัย๒ ใจของเราแลว ๘. ผกู อาฆาตวา ผูน้นั
อาฆาต ความเคยี ดแคน, ความผูกใจเจบ็ ; กําลังประพฤติการเปนประโยชนแกผูไม
โดยวิเคราะหศัพทวาเปนสภาวะท่ีบีบคั้น เปนท่ีรกั ไมเปนทีช่ อบใจของเรา ๙. ผกู
ทาํ รายจติ , โดยทั่วไปทานวาเปนชื่อของ อาฆาตวา ผูน้ันจักประพฤติการเปน
ความโกรธ (เชน ที.อ.๑/๕๑, ม.อ.๒/๒๕) เปน ประโยชนแกผูไมเปนที่รักไมเปนท่ีชอบ
ไวพจนของพยาบาท (ที๑.ฏี.๑/๒๔๖) นยั อ่ืน ใจของเรา ๑๐. โกรธในกรณีอนั มิใชฐานะ
ที่พึงทราบ เชนวา ความโกรธเกดิ ขน้ึ (ในเรอ่ื งไมเปนเร่ือง) (องฺ.ทสก.๒๔/๗๙/๑๖๐)
ครง้ั หน่งึ แลว เกดิ ขึน้ ซํา้ ๆ อีก เรยี กวา
ผูกอาฆาต หรือวาอาฆาตทเี่ กดิ ข้นึ โดยมี อาฆาตวัตถุ ๑๐ นี้ ในพระอภิธรรมก็
ปจจัยพิเศษ ไมยอมหายไป เหมือนถูก แสดงไว แตใชสํานวนความตางออกไป
ผูกติดไวในอารมณของมัน จึงเกิดซํ้า เล็กนอย เชนวา “๑. ความอาฆาตเกดิ ข้ึน
อกี ๆ เรยี กวาผูกอาฆาต (เชน ท๓ี .ฏ.ี ๓๓๓) ดวยคดิ วา ผูน้นั ไดประพฤตกิ ารเสยี หาย
อาฆาตวัตถุ เร่ืองเปนท่ีต้ังแหงอาฆาต, แกเราแลว…๙. ความอาฆาตเกดิ ข้ึนดวย
เหตุใหเกิดความเคียดแคน, เหตุแหง คิดวา ผูน้ันจักประพฤติการเปน
ความผูกใจเจบ็ ประโยชนแกผูไมเปนท่ีรักไมเปนท่ีชอบ
ใจของเรา ๑๐. ความอาฆาตเกิดขึน้ ใน
อาฆาตวตั ถุ ๑๐ คือ ๑. ผกู อาฆาตวา กรณีอันมิใชฐานะ” (อภิ.วิ.๓๕/๑๐๒๗/๕๒๘)
ผูน้ันไดประพฤติการเสียหายแกเราแลว
๒. ผูกอาฆาตวา ผูน้นั กาํ ลงั ประพฤติการ ในพระสูตรหลายแหง และพระ
เสยี หายแกเรา ๓. ผกู อาฆาตวา ผูน้ันจัก อภธิ รรมบางแหง แสดง อาฆาตวัตถุ ๙
ประพฤติการเสียหายแกเรา ๔. ผูก (ไมมขี อ ๑๐) (เชน อง.ฺ นวก.๒๓/๒๓๓/๔๒๒; อภิ.ว.ิ
อาฆาตวา ผนู ้นั ไดประพฤตกิ ารเสยี หาย
แกผูเปนที่รกั ทช่ี อบใจของเราแลว ๕. ผกู ๓๕/๑๐๒๐/๕๒๖)
อาฆาตวา ผูน้ันกําลังประพฤติการเสีย
อาฆาตวัตถุ ๙ ขอแรกน้ันมีความชดั
อยูแลว สวนขอ ๑๐ ที่วาโกรธวาอาฆาต
ในกรณีอันมใิ ชฐานะ เขาใจไดงายดวยตวั
๕๙๑
อาจริยมตั ต ๕๙๒ อาจารย
อยางเชนวา โกรธฝนวาทําใหตนมเี ส้อื ผา อาจริยวาท วาทะของพระอาจารย, มติ
เปยก โกรธพระอาทติ ยวาทาํ ใหแดดรอน ของพระอาจารย; บางที ใชเปนคําเรียก
โกรธตนโพธ์วิ าใบมากกวาดไมไหว โกรธ พทุ ธศาสนานกิ ายฝายเหนอื คอื มหายาน
ลมพดั วาทําใหหมจวี รไมได โกรธตอไมวา อาจาระ ความประพฤติ, จรรยา, วตั ร
ทําใหสะดดุ ถลาไปแทบจะลม ฯลฯ, ปฏิบัติ, มรรยาท; บางทีใชในความ
ในอาฆาตวัตถุ ๙ ขอแรก อาฆาตเกิด หมายวาเปนความประพฤติที่ดี
ขึ้นตอสัตวบุคคล ทําใหเสียกรรมบถ อาจารย ผูส่ังสอนธรรมอํานวยวิชา
(คอื เปนอกศุ ลกรรมบถ) สวนในขอ ๑๐ ความร,ู ผฝู กอบรมจรรยามารยาท
อาฆาตเกิดตอสังขาร เปนแคกรรม (= อาจารย ๔ คือ ๑. บพั พชั ชาจารย
อกุศลกรรม) แตไมเปนกรรมบถ (ไม หรือ บรรพชาจารย อาจารยในบรรพชา
เปนอกศุ ลกรรมบถ) [หลักทวั่ ไปมีอยวู า (คอื ผใู หสกิ ขาบท หรอื ใหศกึ ษาขอพงึ ศกึ ษา
ความโกรธเกดิ ขึน้ ตอสงั ขาร เปนกรรม ไม ในคราวบรรพชา) ๒. อุปสัมปทาจารย
เปนกรรมบถ, ความโกรธเกดิ ขน้ึ ตอสัตว อาจารยในอุปสมบท (คือผูกลาวหรือ
สวดกรรมวาจาในคราวอุปสมบท) ๓.
ถาเพียงโกรธเคืองเขา กเ็ ปนกรรม ยังไม นสิ สยาจารย อาจารยผูใหนสิ สัย (คือ
ทานท่ีนิสิตไปถือนิสสัยอยูดวย) ๔.
เปนกรรมบถ ตอเม่ือคดิ จะใหเขาถกู ฆา อุทเทศาจารย หรือ ธรรมาจารย
อาจารยผสู อนธรรม (คือทานผใู หอเุ ทศ
หรอื พนิ าศวอดวาย จึงเปนกรรมบถ]
หรือปรปิ ุจฉา คือผใู หศึกษาพุทธพจน)
ในพระวินัย กลาวถึงทั้งอาฆาตวัตถุ
ในอรรถกถาแหงวินัยปฎก ทานวา
๙ และอาฆาตวตั ถุ ๑๐ (ไมแจกขอยอย
อาจารยมี ๔ อยางน้ี (วนิ ย.อ.๓/๑๘๒) แต
ไว) และกลาววา อาฆาตวตั ถุ ๙ เปนเหตุ
บางทีกว็ ามี ๕ (วนิ ย.อ.๓/๕๘๒) อาจารย ๕
ใหสงฆแตกกนั ได (วนิ ย.๘/๑๒๗๒/๕๒๒) คอื เพิม่ ขอ ๕. โอวาทาจารย อาจารยผู
อาจริยมัตต ภิกษุผมู ีพรรษาพอทีจ่ ะเปน กลาวโอวาท (คือทานท่ีบอกกลาวแนะ
อาจารยใหนสิ สยั แกภิกษอุ นื่ ได, พระปูน
นําตักเตือนต้ังแตการนุงหมและกิริยา
อาจารย คือ มีพรรษา ๑๐ ขน้ึ ไป หรอื
แกกวาราว ๖ พรรษา; อาจรยิ มตั กเ็ ขยี น มารยาทตางๆ ในจาํ พวกเสขยิ วตั ร และ
อาจริยวัตร กิจอันที่อันเตวาสิกควร
ประพฤติปฏิบัติตออาจารย (เชนเดียว อภิสมาจาร) แตท่ีถือเปนหลักคือ
กับ อุปชฌายวัตร ที่สัทธิวิหาริกพึง
ปฏิบตั ติ ออปุ ชฌาย) อาจารย ๔ โดยรวมโอวาทาจารยอยูใน
๕๙๒
อาจารวบิ ตั ิ ๕๙๓ อาณาจกั ร
อาจารยทงั้ ๔ น้นั อาชีวก นกั บวชชเี ปลอื ยพวกหนงึ่ ในครั้ง
โดยถอื ตามพทุ ธบญั ญตั วิ า “ภกิ ษุท้ัง พุทธกาล เปนสาวกของมักขลโิ คสาล
หลาย เราอนุญาตใหอาศัยภิกษุมพี รรษา อาชีวปาริสทุ ธิ ความบรสิ ทุ ธแิ์ หงอาชวี ะ
๑๐ อยู อนญุ าตใหภิกษุมีพรรษา ๑๐ คอื เลย้ี งชวี ติ โดยทางทชี่ อบ ไมประกอบ
ใหนิสสัย” (วินย.๔/๙๒/๑๑๒) ทานจงึ วางหลัก อเนสนา เชน ไมหลอกลวงเขาเลี้ยงชีวิต
วา ภิกษุผูถึงพรอมดวยกําลังความ (ขอ ๓ ในปารสิ ุทธศิ ลี ๔), ทเ่ี ปนขอ ๓ ใน
ฉลาดสามารถ มพี รรษา ๑๐ หรือเกิน ปาริสุทธศิ ลี ๔ เรยี กเตม็ วาอาชวี ปารสิ ทุ ธิ
๑๐ จงึ เปนอาจารย (ดู วินยาลงฺการฏีกา 2.6) ศลี แปลวาศลี คอื ความบรสิ ทุ ธแิ์ หงอาชวี ะ
และมเี กณฑท่ีผอนลงมาวา ถามีพรรษา อาชีววิบัติ เสียอาชวี ะ, ความเสยี หาย
ยงั ไมครบ ๑๐ หากมพี รรษาแกกวากนั แหงการเล้ยี งชพี คือ ประกอบมจิ ฉา-
๖ พรรษาแลว เชน ภิกษพุ รรษา ๖ อาชวี ะมีหลอกลวงเขาเลยี้ งชีพ เปนตน
สําหรับภิกษุที่ยังไมไดพรรษา ภิกษุ (ขอ ๔ ในวิบัติ ๔)
พรรษา ๙ สาํ หรับภิกษุท่ีมีพรรษา ๓ อาญา อํานาจ, โทษ
เรียกวาเปนคราวอาจารย หรือรุน อาฏานาฏยิ ปรติ ร ดู ปรติ ร, ภาณยกั ษ
อาฏานาฏยิ สตู ร ดู ปรติ ร, ภาณยกั ษ
อาจารย (อาจรยิ มัตต)
อาจารวิบัติ เสียอาจาระ, เสียจรรยา, อาณตั ิ ขอบงั คบั , คาํ สง่ั กฎ; เครอื่ งหมาย
มรรยาทเสยี หาย, ประพฤตยิ อหยอนรมุ ราม อาณัติสัญญาณ ขอบงั คบั ทไ่ี ดนัดหมาย
มักตองอาบัติเล็กนอยตั้งแตถุลลัจจัยลง กันไว, เคร่ืองหมายที่ตกลงกันไวใหรู
มาถึงทุพภาสติ (ขอ ๒ ในวิบตั ิ ๔) แทนคาํ ส่ัง
อาจณิ เคยประพฤตมิ า, เปนนสิ ยั , ทํา อาณา อํานาจบงั คบั , อาํ นาจปกครอง
อาณาเขต เขตแดนในอํานาจปกครอง,
เสมอๆ, ทําจนชิน
อาจณิ ณจรยิ าความประพฤตเิ นอื งๆ, ความ ดินแดนในบังคับ
ประพฤตปิ ระจาํ ,ความประพฤตทิ เี่ คยชนิ อาณาจักร เขตแดนที่อยูในอํานาจปก
อาจิณณวัตร การปฏิบัติประจํา, การ ครองของรัฐบาลหนึ่ง, อาํ นาจปกครอง
ปฏิบตั ิเสมอๆ ทางบานเมือง บางทีพูดเขาคูกับพุทธ
อาชญา อาํ นาจ, โทษ จักร ซ่ึงหมายถึงขอบเขตการปกครอง
อาชีวะ อาชีพ, การเลยี้ งชพี , ความเพียร ของคณะสงฆในพระพุทธศาสนา หรอื
บางทีพดู กวางออกไปคกู บั ศาสนจกั ร
พยายามในการแสวงหาปจจัยยังชีพ,
การทาํ มาหากนิ
๕๙๓
อาณาประชาราษฎร ๕๙๔ อาทิตยวงศ
อาณาประชาราษฎร บรรดาราษฎรทีอ่ ยู อาทร ความเอ้ือเฟอ, ความเอาใจใส
ในอํานาจปกครอง, ประชาชน, พลเมือง อาทิ เปนตน; ทีแรก, ขอตน, ทเี่ ร่ิมแรก
อาณาปวัติ ความเปนไปแหงอํานาจ, อาทกิ มั ม ดู อาทกิ มั มกิ ะ 2
ขอบเขตทอี่ าํ นาจปกครองแผไป; เปนไป อาทกิ มั มกิ ะ 1. “ผทู าํ กรรมทแี รก” หมาย
ในอาํ นาจปกครอง, อยใู นอาํ นาจปกครอง ถึง ภิกษุผูเปนตนบัญญัติในสิกขาบท
อาณาปาตโิ มกข ดู ปาติโมกข นน้ั ๆ 2. ชอ่ื คมั ภรี ในพระวนิ ยั ปฎก เปน
อาณาสงฆ อํานาจของสงฆ, อํานาจ คมั ภรี แรก เมอ่ื แยกพระวนิ ยั ปฎกเปน ๕
ปกครองของสงฆ คอื สงฆประชมุ กันใช คมั ภรี ใชคาํ ยอวา อา; อาทกิ มั ม กเ็ รยี ก;
อํานาจโดยชอบธรรม ระงับอธิกรณที่ ดูไตรปฎก
เกดิ ขึ้น อาทิตตปริยายสูตร ช่ือพระสูตรท่ีพระ
อาดูร เดือดรอน, กระวนกระวาย, ทน พุทธเจาทรงแสดงแกภิกษุประมาณ
ทกุ ขเวทนาท้ังกายและใจ ๑,๐๐๐ รปู มอี ุรเุ วลกัสสป เปนตน ซึง่
อาตมภาพ ฉัน, ขาพเจา (สําหรับพระ เคยเปนชฎิลบูชาไฟมากอน วาดวย
ภกิ ษุสามเณรใชเรยี กตัวเอง เม่ือพดู กบั อายตนะทง้ั ๖ ท่ีรอนติดไฟลกุ ทัว่ ดวย
คฤหสั ถผใู หญ ตลอดถงึ พระเจาแผนดนิ ) ไฟราคะ ไฟโทสะ และไฟโมหะ ตลอด
อาตมนั ตวั ตน, คาํ สนั สกฤต ตรงกับ จนรอนดวยทุกข มีชาติ ชรามรณะ
บาลีคือ อัตตา
เปนตน ทําใหภิกษุเหลานั้นบรรลุ
อาตมา ฉัน, ขาพเจา (สาํ หรบั พระภิกษุ อรหตั ตผล (มาในคมั ภรี มหาวรรค แหง
สามเณรใชพูดกับผูมีบรรดาศักดิ์ แต พระวนิ ยั ปฎก และสงั ยตุ ตนกิ าย สฬาย-
บัดนี้ นิยมใชพูดอยางใหเกียรติแกคน ตนวรรค พระสุตตันตปฎก)
ทวั่ ไป) อาทติ ยโคตร ตระกูลพระอาทติ ย, เผา
อาถรรพณ เวทมนตรท่ีใชเพ่ือใหดีหรือ พันธุพระอาทติ ย, ตระกลู ทสี่ บื เชือ้ สาย
ราย, วิชาเสกเปาปองกนั , การทําพิธีปอง นางอทิติผูเปนชายาของพระกัศยป
กันอันตรายตางๆ ตามพิธีพราหมณ ประชาบดี, ทานวาสกลุ ของพระพุทธเจา
เชน พิธีฝงเสาหนิ หรือ ฝงบัตรพลี ก็เปนอาทิตยโคตร (โคตมโคตร กับ
เรยี กวา ฝงอาถรรพณ (สืบเนอ่ื งมาจาก อาทติ ยโคตร มคี วามหมายอยางเดยี วกนั )
พระเวทคัมภีรที่ ๔ คอื อถรรพเวท หรอื อาทติ ยวงศ วงศพระอาทติ ย; ดู อาทติ ย-
อาถรรพณเวท) อาถรรพ ก็ใช โคตร
๕๙๔
อาทิพรหมจรรย ๕๙๕ อานนท
อาทิพรหมจรรย หลักเบ้ืองตนของ อมิโตทนะ (นี้วาตาม ม.อ.๑/๓๘๔; วนิ ย.ฏ.ี
พรหมจรรย, หลักการพื้นฐานของชีวติ ท่ี ๓/๓๔๙ เปนตน แตที่เรยี นกนั มามักวาเปน
ประเสรฐิ ; เทยี บ อภสิ มาจาร โอรสของเจาสกุ โกทนะ) ซง่ึ เปนพระเจา
อาทิพรหมจรยิ กาสกิ ขา หลกั การศกึ ษา อาของเจาชายสิทธัตถะ เมื่อพระ
อบรมในฝายบทบัญญัติหรือขอปฏิบัติ โพธิสัตวออกผนวชและตอมาไดตรัสรู
แลว ถึงพรรษาท่ี ๒ แหงพทุ ธกจิ พระ
เบื้องตนของพรหมจรรย สําหรับปอง พุทธเจาไดเสด็จมาโปรดพระประยูร-
ญาติที่พระนครกบิลพสั ดุ (เชน อง.อ.๑/
กันความประพฤตเิ สยี หาย, ขอศกึ ษาท่ี ๑๗๑) เมื่อพระพุทธเจาเสด็จออกจาก
เมืองกบิลพสั ดุแลว ไดทรงแวะประทบั
เปนเบือ้ งตนแหงพรหมจรรย หมายถึง ที่อนปุ ยอมั พวนั ในอนปุ ยนิคม แหง
แควนมลั ละ ครั้งนั้น พระเจาสทุ โธทนะ
สกิ ขาบท ๒๒๗ ทม่ี าในพระปาติโมกข; ไดทรงประชุมเจาศากยะทั้งหลาย และ
เทียบ อภสิ มาจาริกาสกิ ขา ทรงขอใหบรรดาเจาศากยะมอบเจาชาย
อาทีนพ, อาทีนวะ โทษ, สวนเสยี , ขอ ออกบวชตามเสด็จพระพุทธเจาครอบ
บกพรอง, ผลราย; ตรงขามกับ อานสิ งส ครัวละหนึ่งองค ไดมีเจาชายศากยะ
อาทนี วญาณ ดู อาทนี วานปุ สสนาญาณ ออกบวชจํานวนมาก รวมทั้งเจาชาย
อาทีนวสัญญา การกําหนดหมายโทษ อานนทดวย เจาชายอานนทไดเดินทาง
แหงรางกายซ่ึงมีอาพาธคือโรคตางๆ ไปเขาเฝาพระพุทธเจาและทรงบวชใหท่ี
อนุปยอมั พวนั (วินย.๗/๓๔๑/๑๕๙) พรอม
เปนอนั มาก (ขอ ๔ ในสญั ญา ๑๐) กบั เจาชายอ่ืน ๕ องค (ภทั ทยิ ะ อนรุ ทุ ธะ
อาทนี วานปุ สสนาญาณ ญาณอันคาํ นงึ ภคุ กิมพลิ ะ เทวทัต) รวมเปน ๗ กบั
เห็นโทษ, ปรชี าคาํ นงึ เหน็ โทษของสงั ขาร ท้ังกัลบกชื่อวาอบุ าลี พระอานนทมพี ระ
อปุ ชฌายชือ่ วาพระเพลฏั ฐสีสะ (เชน วนิ ย.
วามีขอบกพรองระคนดวยทุกข เชน
๕/๓๔/๔๓; ในระยะตนพทุ ธกาล พระภกิ ษทุ บี่ วชแลว
เห็นสังขารปรากฏเหมือนเรือนถูกไฟ
ยงั ไมมอี ปุ ชฌาย จงึ ไดตรสั ใหถอื อปุ ชฌาย คอื พระผู
ไหม (ขอ ๔ ในวปิ สสนาญาณ ๙)
อาเทสนาปาฏิหารยิ ปาฏหิ ารยิ คอื การ ทาํ หนาทด่ี แู ลฝกอบรมพระใหมในการศกึ ษาเบอ้ื งตน
ทายใจ, รอบรูกระบวนของจิตตอาน
ตามพระพทุ ธานญุ าตใน วนิ ย.๔/๘๐/๘๒ ตอมาจงึ
ความคิดและอุปนิสัยของผูอื่นไดเปน
๕๙๕
อัศจรรย (ขอ ๒ ในปาฏิหารยิ ๓)
อาธรรม, อาธรรม ดู อธรรม
อานนท พระมหาสาวกองคหนึ่ง เปน
เจาชายในศากยวงศ เปนโอรสของเจา
อานนั ตริกสมาธิ ๕๙๖ อานาปานสตกิ มั มฏั ฐาน
ทรงบญั ญตั ใิ น วนิ ย.๔/๑๓๓/๑๘๐ ใหอปุ สมบทผทู ม่ี ี พระอภธิ รรม) พระอานนทดาํ รงชีวติ สืบ
อปุ ชฌายพรอมไวแลว) ทานบรรลุโสดาปตติ- มาจนอายุได ๑๒๐ ป จึงปรนิ ิพพานใน
ผลเมื่อไดฟงธรรมกถาของพระปุณณ- อากาศ เหนือแมน้าํ โรหิณี ซงึ่ เปนเสนกั้น
มันตานีบุตร (ส.ํ ข.๑๗/๑๙๓/๑๒๘) เมอื่ พระ แดนระหวางแควนของพระญาติท้ังสอง
พุทธบดิ า คือพระเจาสทุ โธทนะ ประชวร ฝาย คอื ศากยะ และโกลิยะ; ดู พร๘
ทรงฟงธรรมไดบรรลุอรหัตตผลและดับ อานันตริกสมาธิ สมาธิอันไมมีระหวาง
ขนั ธปรนิ พิ พาน ในพรรษาท่ี ๕ แหง คือไมมีอะไรคนั่ หมายความวา ใหเกดิ
พทุ ธกิจแลว พระนางมหาปชาบดี ไดไป ผลตามมาทันที ไดแก มรรคสมาธิ ซึ่ง
เฝาพระพุทธเจา และทูลขอใหสตรีได เมอ่ื เกดิ ขึน้ แลว ก็จะเกิดมรรคญาณ คอื
บรรพชา แตยังไมสําเร็จ (วนิ ย.๗/๕๑๓/ ปญญาทกี่ าํ จดั อาสวะ ตามตดิ ตอมาใน
๓๒๐) จนกระท่ังตอมาไดอาศัยพระ ทนั ท,ี อานนั ตริกสมาธนิ ้ี พระพุทธเจา
อานนทชวยทลู ขอ พระนางและสากิยานี ตรัสวาเปนสมาธิเยี่ยมยอด ไมมีสมาธิ
ทั้งหลายจึงไดบวช เปนจุดเริ่มกําเนิด ใดเทียมเทา (ขุ.ข.ุ ๒๕/๗/๕) เพราะทาํ กเิ ลส
ภกิ ษณุ สี งฆ พระอานนทไดเปนอปุ ฏฐาก ใหส้ินไปได ประเสริฐกวารูปาวจรสมาธิ
รบั ใชพระพทุ ธเจาตามโอกาสเชนเดยี วกบั และแมแตอรูปาวจรสมาธิของพระ
พระเถระรูปอ่ืนมากทาน จนกระทั่งใน พรหม หรอื ทจ่ี ะทาํ ใหไดเกดิ เปนพรหม
พรรษาท่ี ๒๐ แหงพุทธกจิ ทานไดรบั อานันทเจดีย เจดยี สถานแหงหนง่ึ อยใู น
เลือกใหเปนพระอปุ ฏฐากประจาํ พระองค เขตโภคนคร ระหวางทางจากเมอื งเวสาลี
(นพิ ทั ธปุ ฏฐาก) ของพระพทุ ธเจา (เชน ท.ี อ. สูเมืองปาวา เปนท่ีพระพุทธเจาตรัส
๒/๑๔) ซ่งึ ทานตกลงรับหนาท่ดี วยการทลู มหาปเทส ๔ ฝายพระสูตร
ขอพร ๘ ประการ ทานไดรบั ยกยอง อานาปานสติ การมีสติกํากับดูรูลม
เปนเอตทัคคะหลายดาน คือ เปน หายใจเขาออก (ขอ ๙ ใน อนสุ ติ ๑๐,
พหูสูต เปนผมู สี ติ มีคติ มธี ิติ และเปน ขอ ๑๐ ใน สญั ญา ๑๐), เปนบรรพที่ ๑
อุปฏฐากที่ยอดเย่ียม ทานบรรลุพระ ของกายานปุ สสนาสติปฏฐานดวย แตมี
อรหัตหลังจากพระพุทธเจาปรินิพพาน ชื่อเรียกใหส้ันวา อานาปานบรรพ; ดู
แลว ๓ เดอื น เปนกาํ ลงั สาํ คญั ในคราว กายานปุ สสนา, สตปิ ฏฐาน
ทาํ ปฐมสงั คายนา คือ เปนผวู ิสัชนาพระ อานาปานสตกิ ัมมัฏฐาน กรรมฐานท่ใี ช
ธรรม (ซ่ึงตอมาแบงเปนพระสูตรและ สติกาํ หนดลมหายใจเขาออก
๕๙๖
อานาปานสั สติ ๕๙๗ อาเนญชาภิสงั ขาร
อานาปานัสสติ การมีสติทันดูรูลม ไดพิเศษในเร่ืองราวทั่วไปดวย เชน
หายใจเขาออก (หนังสือเกามักเขียน อานสิ งสของการบริโภคอาหาร อานิสงส
อยางน)้ี ; ดู อานาปานสติ
อานิสงส ผลดีหรือผลที่นาปรารถนานา ของธรรมขอนั้นๆ จีวรที่เปนอานิสงส
ของกฐิน, โดยทั่วไป อานิสงสมีความ
พอใจ อันสบื เนอ่ื งหรือพลอยได จาก หมายตรงขามกับ อาทีนพ ซ่ึงแปลวา
กรรมดี, ผลงอกเงยแหงบุญกศุ ล, คุณ, โทษ ขอเสีย ขอดอย จุดออน หรือผล
ขอดี, ผลที่เปนกําไร, ผลไดพิเศษ; ราย เชนในคําวา กามาทีนพ (โทษของ
“อานิสงส” มคี วามหมายตางจาก “ผล” กาม) และเนกขมั มานิสงส (คณุ หรอื ผล
ท่เี รียกชื่ออยางอน่ื โดยขอบเขตท่กี วาง ดีในเนกขัมมะ); ดู ผล, เทียบ นิสสันท,
หรือแคบกวากนั หรอื โดยตรงโดยออม วิบาก, ตรงขามกับ อาทีนพ
เชน ทํากรรมดีโดยคิดตอคนอื่นดวย อานภุ าพ อาํ นาจ, ศกั ดา, ฤทธเ์ิ ดช, ความ
เมตตาแลวเกิดผลดี คอื มีจติ ใจแชมชืน่ ยง่ิ ใหญ
สบาย ผอนคลาย เลอื ดลมเดนิ ดี มีสขุ อาเนญชวิหาร ธรรมเคร่ืองอยูอันเปน
ภาพ ตลอดถึงวาถาตายดวยจิตอยาง ภาวะมั่นคงไมหวั่นไหว ไดแก อรูป
นนั้ ก็ไปเกิดดี นเ้ี ปนวบิ าก พรอมกนั สมาบตั ิ ๔; ดู วหิ าร, สมาบัติ
นนั้ ก็มีผลพวงอน่ื ๆ เชน หนาตาผองใส อาเนญชสมาธิ สมาธิอันถึงภาวะม่ันคง
เปนท่ีรักใครชอบใจของคนอื่น อยางนี้ ไมหวั่นไหวในเพราะสรรพกิเลสสุดถึง
เปนอานิสงส แตถาทํากรรมไมดีโดย อวชิ ชา ไดแกผลสมาธอิ ยางสูงสดุ กลาว
คิดตอคนอ่ืนดวยโทสะแลวเกิดผลราย คืออรหตั ตผลสมาบตั ิ ท่เี ขาโดยทําฌาน
ตอตนเองทต่ี รงขามกับขางตน จนถึงไป ๕ คือ รูปาวจรจตตุ ถฌาน และอรปู า
เกดิ ในทคุ ติ ก็เปนวบิ าก และในฝายราย วจรฌานสี่ ฌานใดฌานหนงึ่ ใหเปนบาท
นไี้ มมอี านิสงส (วบิ าก เปนผลโดยตรง อาเนญชสมาบตั ิ การเขาสภู าวะจิตท่ีมน่ั
และเปนไดทั้งขางดีและขางราย สวน คง, ภาวะอันพงึ เขาถึงซึง่ เปนภาวะจิตที่
อานิสงส หมายถึงผลพวงพลอยหรืองอก มนั่ คงไมหวนั่ ไหว ไดแก ฌาน ๕ คือ
เงยในดานดีอยางเดียว ถาเปนผลพลอย รูปาวจรจตตุ ถฌาน และอรูปาวจรฌานสี่
ดานราย ก็อยูในคําวานิสสันท), อน่ึง อาเนญชาภิสงั ขาร สภาพทปี่ รุงแตงภพ
วิบาก ใชเฉพาะกับผลของกรรมเทานั้น อันมน่ั คง ไมหวั่นไหว ไดแกภาวะจติ ที่
แตอานิสงส หมายถึงคณุ ขอดี หรอื ผล มั่นคงแนวแนดวยสมาธิแหงจตุตถฌาน
๕๙๗
อาบัติ ๕๙๘ อาโปธาตุ
(ขอ ๓ ในอภิสงั ขาร ๓); อเนญชาภิ อาบตั ิ ๑ กกุ กฺ จุ จฺ ปกตตา ตองดวยสงสยั
สงั ขาร กเ็ รยี ก แลวขนื ทาํ ลง ๑ อกปปฺ เย กปปฺ ยส ฺ ติ า
อาบัติ การตอง, การลวงละเมดิ , โทษท่ี
เกิดแตการละเมิดสิกขาบท; อาบัติ ๗ ตองดวยสาํ คญั วาควรในของทไ่ี มควร ๑
คอื ปาราชกิ สงั ฆาทเิ สส ถลุ ลจั จยั ปาจติ ตยี กปปฺ เย อกปปฺ ยส ฺ ติ า ตองดวยสาํ คญั
วาไมควรในของท่คี วร ๑ สตสิ มโฺ มสา
ปาฏเิ ทสนยี ะ ทกุ กฏ ทพุ ภาสติ ; อาบตั ิ ๗ ตองดวยลมื สติ ๑
กองน้ีจัดรวมเปนประเภทไดหลายอยาง อาบัติช่ัวหยาบ ในประโยควา “บอก
โดยมากจัดเปน ๒ เชน ๑. ครุกาบตั ิ อาบัติช่ัวหยาบของภิกษุแกอนุปสัมบัน”
อาบัติหนัก (ปาราชิกและสังฆาทิเสส) อาบตั ิปาราชกิ และอาบตั ิสงั ฆาทิเสส; ดู
๒. ลหกุ าบัติ อาบัตเิ บา (อาบตั ิ ๕ อยาง ทุฏ ุลลาบัติ
ทีเ่ หลือ); คตู อไปนี้กเ็ หมอื นกัน คือ ๑. อาบัติที่เปนโทษลํา่ อาบตั ิปาราชกิ และ
ทฏุ ลุ ลาบตั ิ อาบตั ชิ ว่ั หยาบ ๒. อทฏุ ลุ - สังฆาทเิ สส
ลาบตั ิ อาบัติไมชว่ั หยาบ; ๑. อเทสนา- อาปณะ ช่ือนคิ ม ซ่งึ เปนเมอื งหลวงของ
คามินี อาบัติท่ีไมพนไดดวยการแสดง แควนองั คุตตราปะ
๒. เทสนาคามนิ ี อาบตั ิท่ีพนไดดวยการ อาปตตาธิกรณ อธกิ รณคืออาบัติ หมาย
แสดงคือเปดเผยความผิดของตน; คตู อ ความวา การตองอาบัตแิ ละการถูกปรับ
ไปน้ีจัดตางออกไปอีกแบบหน่ึงตรงกัน อาบัติ เปนอธิกรณโดยฐานเปนเรื่องที่
ทง้ั หมด คอื ๑. อเตกจิ ฉา เยียวยาแกไข จะตองจัดทํา คือระงับดวยการแกไข
ไมได (ปาราชกิ ) ๒. สเตกิจฉา เยียวยา ปลดเปลอ้ื งออกจากอาบตั ินั้นเสยี มีการ
แกไขได (อาบตั ิ ๖ อยางที่เหลือ); ๑. ปลงอาบัติ หรือการอยูกรรมเปนตน
อนวเสส ไมมสี วนเหลือ ๒. สาวเสส ตามวิธที ี่ทานบัญญตั ไิ ว
ยังมีสวนเหลือ; ๑. อัปปฏิกัมม หรือ อาปุจฉา บอกกลาว, ถามเชงิ ขออนญุ าต
อปฏิกรรม ทาํ คนื ไมได คือแกไขไมได เปนการแสดงความเออื้ เฟอ, แจงใหทราบ
๒. สปั ปฏิกัมม หรอื สปฏิกรรม ยังทาํ เชน ภิกษุผูออนพรรษาจะแสดงธรรม
คนื ได คอื แกไขได ตองอาปจุ ฉาภกิ ษผุ มู พี รรษามากกวากอน
อาการท่ีภกิ ษจุ ะตองอาบตั ิ มี ๖ อยาง อาโปธาตุ ธาตุน้าํ , สภาวะทม่ี ลี กั ษณะเอบิ
คือ อลชชฺ ติ า ตองดวยไมละอาย ๑ อาบ ดดู ซมึ เกาะกมุ ; ในรางกายทใ่ี ชเปน
อ ฺ าณตา ตองดวยไมรูวาสิ่งน้ีจะเปน อารมณกรรมฐาน ไดแก ดี เสลด หนอง
๕๙๘
อาพาธ ๕๙๙ อามิสทายาท
เลอื ด เหงอื่ มนั ขน นา้ํ ตา เปลวมนั นา้ํ อภพั บคุ คล
ลาย นาํ้ มูก ไขขอ มตู ร, ขอความนี้ เปน อาภัสสระ ผมู ีรัศมีแผซาน, เปลงปล่งั ,
การกลาวถึงอาโปธาตุในลักษณะที่คน ช่ือพรหมโลกชั้นท่ี ๖; ดู พรหมโลก
สามญั ทวั่ ไปจะเขาใจได และพอใหสาํ เรจ็ (พจนานกุ รมเขยี น อาภสั ระ)
ประโยชนในการเจรญิ กรรมฐาน แตใน อาภา แสง, รัศม,ี ความสวาง
ทางอภิธรรม อาโปธาตุเปนสภาวะท่ี อามะ คาํ รบั ในภาษาบาลี ตรงกบั ถกู แลว,
สมั ผสั ดวยกายไมได มใี นรปู ธรรมทวั่ ไป ใช, ครับ, คะ, จะ, เออ ถาผถู ูกกลาวรบั
แมแตในกระดาษ กอนหิน เหลก็ และ เปนผูนอยกวาหรือมีพรรษานอยกวา
แผนพลาสติก; ดู ธาต,ุ รปู ๒๘ หรือเปนคฤหัสถพูดกับพระสงฆกลาว
อาพาธ ความเจบ็ ปวย, โรค (ในภาษา ตอวา ภนั เต เปน อามะ ภนั เต ถาผู
ไทย ใชแกภกิ ษสุ ามเณร แตในภาษา กลาวรับเปนผูใหญกวาหรือมีพรรษา
บาลี ใชไดทัว่ ไป); อาพาธตางๆ มมี าก มากกวา หรือเปนพระสงฆพูดกับ
มาย เรียกตามชื่ออวัยวะท่ีเปนบาง คฤหสั ถ กลาวตอวา อาวุโส เปน อามะ
เรียกตามอาการบาง บางทีแยกตาม อาวโุ ส (เขยี นตามรปู บาลี เปน อาม ภนเฺต,
สมุฏฐานวา ปตตฺ สมฏุ านา อาพาธา, อาม อาวุโส)
เสมหฺ สมฏุ านา อาพาธา, วาตสมฏุ านา อามยั ความปวยไข, โรค, ความไมสบาย;
อาพาธา, สนฺนปิ าตกิ า อาพาธา, อตุ -ุ ตรงขามกับ อนามยั คอื ความสบาย, ไมมี
ปริณามชา อาพาธา, วิสมปริหารชา โรคภัยไขเจ็บ
อาพาธา, โอปกฺกมิกา อาพาธา, กมฺม- อามสิ เครอ่ื งลอใจ, เหยื่อ, ส่ิงของ
อามิสทายาท ทายาทแหงอามิส, ผูรับ
วปิ ากชา อาพาธา
อาภพั ไมสมควร, ไมสามารถ, ไมอาจ มรดกอามิส, ผูรับเอาสมบัติทางวัตถุ
เปนไปได, เปนไปไมได (จากคาํ บาลวี า เชน ปจจัย ๔ จากพระพทุ ธเจามาเสพ
อภพฺพ เชน ผูกระทํามาตุฆาต ไม เสวย ดวยอาศยั ผลแหงพทุ ธกจิ ทไ่ี ดทรง
สามารถบรรลมุ รรคผล, พระโสดาบนั ไม บาํ เพญ็ ไว; โดยตรง หมายถึง รบั เอา
อาจเปนไปไดทจี่ ะทํามาตุฆาต เปนตน); ปจจยั ๔ มาบรโิ ภค โดยออม หมายถึง
ไทยใชเฉพาะในความวา ไมอาจจะไดจะ ทํากุศลท่ีนําไปสูวัฏฏะ เชนใหทาน
ถงึ สงิ่ นน้ั ๆ, ไมมที างจะไดสง่ิ ทมี่ งุ หมาย บําเพ็ญฌานสมาบัติ ดวยมุงหมาย
(คลายคาํ วา อบั วาสนา หรอื ไมมวี าสนา; ดู มนุษยสมบัตแิ ละเทวสมบตั ิ; พระพทุ ธ-
๕๙๙
อามิสบชู า ๖๐๐ อายุสงั ขาร
เจาตรัสสอนภิกษุท้ังหลายใหเปนธรรม- อายาจนะ การขอรอง, การวิงวอน, การ
ทายาท มิใหเปนอามิสทายาท; เทียบ เช้อื เชญิ
ธรรมทายาท อายุ สภาวธรรมท่ีทาํ ใหชีวิตดาํ รงอยูหรือ
อามิสบูชา การบชู าดวยอามิส คือ ดวย เปนไป, พลงั ทหี่ ลอเลยี้ งดาํ รงรกั ษาชวี ติ ,
สง่ิ ของมีดอกไม ของหอม อาหาร และ พลังชีวิต, ความสามารถของชีวิตท่ีจะ
วตั ถอุ ื่นๆ (ขอ ๑ ในบชู า ๒) ดาํ รงอยแู ละดาํ เนนิ ตอไป, ตามปกตทิ าน
อามิสปฏิสันถาร การตอนรับดวยสิ่ง อธบิ ายวา อายุ กค็ อื ชวี ติ นิ ทรยี นน่ั เอง;
ของ เชน อาหาร น้ําบรโิ ภค เปนตน ชวงเวลาท่ีชีวิตของมนุษยสัตวประเภท
(ขอ ๑ ใน ปฏิสนั ถาร ๒) นน้ั ๆ หรอื ของบคุ คลนนั้ ๆ จะดาํ รงอยไู ด,
อามสิ สมโภค คบหากนั ในทางอามิส ได
ชวงเวลาท่ีชวี ติ จะเปนอยูได หรือไดเปน
แก ใหหรอื รบั อามิส อย;ู ในภาษาไทย อายุ มคี วามหมาย
อายโกศล ดู โกศล ๓ เพย้ี นไปในทางท่ีไมนาพอใจ เชนกลาย
อายตนะ ทต่ี ดิ ตอ, เคร่ืองตดิ ตอ, แดน
เปนความผานลวงไปหรือความลดถอย
ตอความร,ู เครอ่ื งรแู ละสงิ่ ท่ีถกู รู เชนตา ของชวี ติ
เปนเครื่องรู รูปเปนส่ิงท่ีถูกรู, หูเปน อายกุ ษยั , อายขุ ยั การสน้ิ อาย,ุ ความตาย
เครอ่ื งรู เสยี งเปนสง่ิ ท่ีถูกรู เปนตน, จดั อายกุ ปั , อายกุ ปั ป กาลกาํ หนดแหงอาย,ุ
เปน ๒ ประเภท คือ อายตนะภายใน ๖ กาํ หนดอาย,ุ ประมาณแหงอาย,ุ ชวงเวลา
อายตนะภายนอก ๖
แตเกดิ ถงึ ตาย ตามปกติ หรอื ทค่ี วรจะ
อายตนะภายนอก เคร่ืองตอภายนอก, เปน ของสตั วประเภทนนั้ ๆ ในยคุ สมยั
สงิ่ ทถ่ี กู รมู ี ๖ คอื ๑. รปู รปู ๒. สทั ทะ นน้ั ๆ ดงั เชนในพทุ ธกาลนี้ มนษุ ยมอี ายุ
เสยี ง ๓. คนั ธะ กลิน่ ๔. รส รส ๕. ประมาณ ๑๐๐ ป (ท.ี ม.๑๐/๔/๔); ดู กปั
โผฏฐัพพะ สิ่งตองกาย ๖. ธัมมะ อายุวัฒนะ ความเจริญอายุ, ยืดอายุ,
ธรรมารมณ คือ อารมณท่ีเกิดกับใจ อายยุ ืน
หรือสง่ิ ที่ใจรู; อารมณ ๖ ก็เรียก อายสุ งั ขาร เครอ่ื งปรงุ แตงอาย,ุ ปจจยั
อายตนะภายใน เครื่องตอภายใน, ตางๆ ทห่ี ลอเลย้ี งชวี ติ ของสตั วและพชื ให
เครอื่ งรบั รู มี ๖ คอื ๑. จกั ขุ ตา ๒. โสต ดาํ รงอยแู ละสบื ตอไปได, มกั พบในคาํ วา
หู ๓. ฆานะ จมกู ๔. ชวิ หา ลน้ิ ๕. กาย “ปลงอายสุ งั ขาร” และ “ปลงพระชนมาย-ุ
กาย ๖. มโน ใจ; อนิ ทรยี ๖ กเ็ รยี ก สงั ขาร”; ดู อาย,ุ อายสุ งั ขารโวสสชั ชนะ
๖๐๐
อายสุ ังขารโวสสัชชนะ ๖๐๑ อารักขกัมมฏั ฐาน
อายสุ ังขารโวสสชั ชนะ “การสลดั ลงซง่ึ หนา แพรหลายไพบูลย; คาํ น้ี ทานปรงุ
ปจจยั เครอื่ งปรงุ แตงอาย”ุ , การปลงอาย-ุ ข้ึนใชในหนังสือปฐมสมโพธิ เพื่อสื่อ
สังขาร, การสละวางการปรุงแตงอายุ, ความหมายทกี่ ลาวแลว; เทยี บ อายสุ งั ขาร-
การเลิกความคดิ ทีจ่ ะดาํ รงชีวติ อยตู อไป, โวสสชั ชนะ
ความตกลงปลงใจกาํ หนดการสน้ิ สดุ อาย;ุ อารมณ เครอื่ งยึดหนวงของจติ , สิ่งทีจ่ ิต
ในพุทธประวัติ ที่วาพระพุทธเจาทรง ยดึ หนวง, ส่งิ ที่ถูกรูหรือถกู รบั รู ไดแก
“ปลงอายสุ งั ขาร” หรอื “ปลงพระชนมาย-ุ อายตนะภายนอก ๖ คอื รูป เสยี ง กลิ่น
สงั ขาร” คอื ทรงพจิ ารณาเหน็ วา บรษิ ทั ๔ รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ; ใน
มีคุณสมบัติพรอม และพรหมจริยะคือ ภาษาไทย ความหมายเลือนไปเปน
พระศาสนาน้ี เจรญิ แพรหลายไพบูลยดี ความรูสึก หรือความเปนไปแหงจิตใจ
แลว จึงตกลงพระทัยวา (อกี ๓ เดอื น ในขณะหรอื ชวงเวลาหนึ่งๆ เชนวา อยา
แตนั้นไป) จะปรินิพพาน, อายุสังขาร- ทําตามอารมณ วนั นอ้ี ารมณดี อารมณ
โอสสชั ชนะ หรอื อายสุ งั ขาโรสสชั ชนะ ก็ เสยี เปนตน
วา; ดู อาย,ุ อายสุ งั ขาร อารยะ คนเจริญ, คนมอี ารยธรรม; พวก
อายสุ งั ขาราธฏิ ฐาน การตงั้ พระทยั วาจะ ชนชาติ อรยิ กะ (ตรงกบั บาลวี า อรยิ ะ แต
ดาํ รงไวซงึ่ อายสุ งั ขาร, การทพ่ี ระพทุ ธเจา ในภาษาไทยใชในความหมายตางกัน)
ตั้งพระทยั กาํ หนดแนวาจะดาํ รงพระชนม อารยชน ชนท่เี จรญิ ดวยขนบธรรมเนียม
อยกู อน จนกวาพทุ ธบรษิ ทั ทง้ั ๔ คือ อันดีงาม, คนมอี ารยธรรม
ภกิ ษุ ภกิ ษุณี อบุ าสก อบุ าสิกา จะเปนผู อารยชาติ ชาตทิ เ่ี จรญิ ดวยขนบธรรมเนยี ม
ทไี่ ดเรยี นรูเชยี่ วชาญ แกลวกลา เปน อันดีงาม, ชนชาติทม่ี ีอารยธรรม
พหูสูต ทรงธรรม ปฏบิ ตั ชิ อบ สามารถช้ี อารยธรรม ธรรมอนั ดีงาม, ธรรมของ
แจงแสดงธรรม กําราบปรัปวาทท่ีเกิด อารยชน, ความเจรญิ ดวยขนบธรรมเนยี ม
ขนึ้ ใหสงบไดโดยชอบธรรม ในระหวาง แบบแผนอันดงี าม; ในทางธรรม หมาย
นี้แมหากมีโรคาพาธเกิดขึ้น ก็จะทรง ถงึ กศุ ลกรรมบถ ๑๐
ระงับขับไลเสียดวยอทิ ธิบาทภาวนา จะ อารยอัษฎางคิกมรรค ทางมีองค ๘
ยงั ไมปรินิพพาน จนกวาพรหมจรยิ ะคอื ประการ อันประเสรฐิ ; ดู มรรค
พระศาสนาน้ี จะเจริญมั่นคง เปน อารักขกมั มฏั ฐาน กรรมฐานเปนเครอื่ ง
ประโยชนแกพหูชน เปนปกแผนแนน รักษาตน, กรรมฐานเปนเคร่ืองรักษาผู
๖๐๑
อารกั ขสัมปทา ๖๐๒ อารัญญกวัตร
ปฏิบตั ิใหสงบระงบั และใหต้งั อยใู นความ ปองกนั ภยนั ตราย (ขอ ๒ ในทิฏฐธัมม-ิ
ไมประมาท ทานจดั เปนชดุ ขน้ึ ภายหลงั กตั ถสงั วตั ตนิกธรรม ๔)
ดงั มกี ลาวถงึ ในอรรถกถา (วนิ ย.อ.๓/๓๗๔) อารักขา การขอความคุมครองจากเจา
และฎกี าพระวนิ ยั (วนิ ย.ฏ.ี ๒/๖๗/๑๗๙) มี ๔ หนาทฝี่ ายบานเมอื ง เม่ือมผี ูปองรายขม
ขอ เรยี กวา จตรุ ารกั ขา (เรยี กใหสน้ั วา เหง หรือถูกลักขโมยส่ิงของ เปนตน
จตรุ ารกั ข หรอื จตรุ ารกั ษ) คอื พทุ ธานสุ ติ เรยี กวา ขออารกั ขา ถือเปนการปฏบิ ตั ิ
เมตตา อสภุ ะ และมรณสต,ิ ตอมาใน ชอบตามธรรมเนียมของภิกษุแทนการ
ลงั กาทวปี พระธรรมสริ เิ ถระ ไดเขยี น ฟองรองกลาวหาอยางท่ีชาวบานทํากัน
อธบิ ายไวในคมั ภรี ขทุ ทสกิ ขา และในพมา เพราะสมณะไมพอใจจะเปนถอยความ
ทเ่ี มอื งรางกงุ ไดมพี ระเถระชอ่ื อคั รธรรม กบั ใครๆ
ถึงกับแตงคัมภีรข้ึนอธิบายเร่ืองน้ีโดย อารักษ, อารกั ขา การปองกัน, การคมุ
เฉพาะ เรียกวา จตุรารักขทีปนี; ใน ครอง, การดูแลรกั ษา
หนงั สอื นวโกวาท มคี าํ อธบิ ายซงึ่ เปนพระ อารญั ญกวตั ร ขอปฏบิ ตั สิ าํ หรบั ภกิ ษผุ อู ยู
ราชนิพนธของพระบาทสมเด็จพระจอม ปา, ธรรมเนียมท่ีภิกษุผูอยูปาพึงถือ
เกลาเจาอยหู วั วา “อารกั ขกมั มฏั ฐาน ๔ ปฏิบัติ ตามพุทธบัญญัติที่มาในวัตต-
๑. พุทธานุสสติ ระลึกถงึ คณุ พระพุทธ ขนั ธกะ จดั เปนหวั ขอไดดงั น้ี
เจาทม่ี ใี นพระองค และทรงเกื้อกลู แกผู ก. ๑. ภกิ ษผุ อู ยปู า พงึ ลกุ ขนึ้ แตเชา
อน่ื ๒. เมตตา แผไมตรจี ติ คิดจะให ตรู เอาถงุ บาตรสวมบาตรแลวคลองบาไว
สัตวท้ังปวงเปนสุขทั่วหนา ๓. อสุภะ พาดจีวรบนไหล สวมรองเทา เก็บงาํ
พิจารณารางกายตนและผูอื่นใหเห็นเปน เครื่องไมเคร่ืองดิน ปดประตูหนาตาง
ไมงาม ๔. มรณัสสติ นึกถงึ ความตาย แลวลงจากเสนาสนะ (ทพ่ี กั อาศยั ) ไป ๒.
อันจะมแี กตน. กมั มฏั ฐาน ๔ อยางนี้ ทราบวา “บดั นจี้ กั เขาหมบู าน” พงึ ถอด
ควรเจรญิ เปนนติ ย” รองเทา เคาะตา่ํ ๆ แลวใสถงุ คลองบาไว
อารักขสัมปทา ถึงพรอมดวยการรักษา นงุ ใหเปนปรมิ ณฑล คาดประคดเอว หม
คือรักษาทรัพยที่แสวงหามาไดดวย สงั ฆาฏซิ อนเปนสองชน้ั กลดั ลกู ดมุ ชาํ ระ
ความหมนั่ ไมใหเปนอนั ตรายและรักษา บาตรแลวถือเขาหมบู านโดยเรยี บรอยไม
การงานไมใหเสือ่ มเสยี ไป, รูจกั เกบ็ ออม รบี รอน ไปในละแวกบานพงึ ปกปดกาย
ถนอมรักษาปดชองรั่วไหลและคุมครอง ดวยดี สาํ รวมดวยดี ไมเดนิ กระโหยง
๖๐๒
อารัญญิกงั คะ ๖๐๓ อาราธนาพระปริตร
เมอ่ื จะเขาสนู เิ วศน พงึ กาํ หนดวา เราจกั อาร ฺ ิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา
เขาทางน้ี จกั ออกทางน้ี ไมพงึ รบี รอนเขา “ขาพเจางดเสนาสนะชายบาน สมาทาน
ไป ไมพงึ รบี รอนออกมา พงึ ยนื ไมไกล องคแหงผ—ู ” (ขอ ๘ ใน ธดุ งค ๑๓)
เกนิ ไป ไมใกลเกนิ ไป ไมนานเกนิ ไป ไม อารมั ภกถา คาํ ปรารภ, คาํ เรมิ่ ตน, คาํ นาํ
กลับออกเร็วเกินไป เม่ือยืนอยู พึง อารัมมณูปนิชฌาน ดู ฌาน ๒
กําหนดวา เขาประสงคจะถวายภิกษา อาราธนา การเชอื้ เชิญ, นิมนต, ขอรอง,
หรอื ไม ฯลฯ เมอ่ื เขาถวายภกิ ษา พงึ ออนวอน (มกั ใชสําหรับพระสงฆและสิ่ง
แหวกสงั ฆาฏดิ วยมอื ซาย นอมบาตรเขา ศักดิ์สทิ ธ)์ิ
ไปดวยมอื ขวา ใชมอื ทง้ั สองขางประคอง อาราธนาธรรม กลาวคาํ เชญิ หรอื ขอรอง
บาตรรับภิกษา ไมพึงมองดูหนาสตรีผู พระใหแสดงธรรม (ใหเทศน) วาดงั น:ี้
ถวาย พงึ กาํ หนดวาเขาประสงคจะถวาย “พฺรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ
แกงหรอื ไม ฯลฯ เมอื่ เขาถวายภกิ ษาแลว กตฺอ ชฺ ลี อนฺธิวรํ อยาจถ
พึงคลุมบาตรดวยสังฆาฏิแลวกลับโดย สนตฺ ีธ สตตฺ าปฺปรชกขฺ ชาติกา
เรียบรอยไมรีบรอน เดินไปในละแวก เทเสตุ ธมฺมํ อนุกมปฺ มํ ปช”ํ
บาน พงึ ปกปดกายดวยดี สาํ รวมดวยดี พึงสงั เกตวา กตฺอ ชฺ ลี อนธฺ วิ รํ คาํ
ไมเดนิ กระโหยง ๓. ออกจากบานแลว
ปกตเิ ปน กต ชฺ ลี (กตอ ชฺ ล)ี อนธวิ รํ
(หลงั จากฉนั และลางบาตรแลว) เอาบาตร (ในพระไตรปฎก ๓๓/๑๘๐/๔๐๓ กใ็ ช
ใสถงุ คลองบา พบั จวี ร วางบนศรี ษะ รปู ปกตติ ามไวยากรณอยางนนั้ ) แตทมี่ ี
สวมรองเทาเดนิ ไป ข. ภกิ ษผุ อู ยปู าพงึ รปู แปลกไปอยางนี้ เนอ่ื งจากทานทาํ ตาม
จดั เตรยี มนาํ้ ดม่ื ไว พงึ จดั เตรยี มนาํ้ ใชไว ฉนั ทลกั ษณ ทบ่ี งั คบั คร-ุ ลหุ เมอื่ จะอาน
พงึ ตดิ ไฟเตรยี มไว พงึ จดั เตรยี มไมสไี ฟ หรอื นาํ ไปสวดเปนทาํ นอง จะไดไมขดั
ไว พงึ จดั เตรยี มไมเทาไว ค. พงึ เรยี นทาง อาราธนาพระปริตร กลาวคําเชิญหรือ
นกั ษตั รไว (ดดู าวเปน) ทงั้ หมดหรอื บาง ขอรองใหพระสวดพระปริตร วาดงั นี:้
“วิปตตฺ ปิ ฏิพาหาย
สวน พงึ เปนผฉู ลาดในทศิ สพฺพสมฺปตฺตสิ ทิ ฺธิยา
อารญั ญกิ งั คะ องคแหงผถู อื อยปู า คอื ไม สพฺพทกุ ฺขวนิ าสาย
อยใู นเสนาสนะใกลบาน แตอยปู าหางจาก ปริตตฺ ํ พฺรูถมงคฺ ลํ”
บานอยางนอย ๒๕ เสน, คําสมาทาน (วา ๓ คร้ัง แตคร้ังท่ี ๒ เปล่ียน ทกุ ฺข
วา “คามนฺตเสนาสนํ ปฏิกฺขิปามิ,
๖๐๓
อาราธนาศลี ๖๐๔ อาวรณ
เปน ภย; คร้ังที่ ๓ เปลีย่ นเปน โรค) ของพวกเทวดาชน้ั จาตุมหาราชิกา
อาราธนาศีล กลาวคําเชิญหรือขอรอง อาลปนะ คาํ รองเรียก, คําเรยี กใหรูตวั ,
พระใหใหศลี , สาํ หรบั ศลี ๕ วาดงั น:้ี “มยํ คาํ เรียกคําทกั บุคคลน้นั ๆ ตามควรแก
ภนฺเต, (วิสุ วสิ ุ รกขฺ ณตฺถาย), ตสิ รเณน ฐานะของเขา หรือตามที่ตนมีทาทีหรือ
สห, ป จฺ สีลานิ ยาจาม; ทตุ ยิ มฺป มยํ ความรูสกึ ตอบุคคลนัน้ ๆ เชนเคารพนบั
ภนฺเต, (วิสุ วสิ ุ รกขฺ ณตฺถาย), ตสิ รเณน ถอื หรอื ไมอยางไร เชน “อาวโุ ส” “ภนเฺ ต”
สห, ป จฺ สีลานิ ยาจาม; ตติยมฺป มยํ “เห”
ภนเฺ ต, (วสิ ุ วสิ ุ รกฺขณตถฺ าย), ติสรเณน อาลยสมุคฺฆาโต ความถอนขึ้นดวยดีซึง่
สห, ป จฺ สลี านิ ยาจาม;” (คาํ ในวงเลบ็ อาลัย, การถอนอาลยั คือตณั หาไดเดด็
ขาด (เปนไวพจนแหงวริ าคะ)
จะไมใชก็ได)
คาํ อาราธนาศลี ๘ กอ็ ยางน้ี เปลย่ี น อาลยั 1. ทีอ่ ย,ู ทีอ่ าศยั , แหลง 2. ความ
แต ป จฺ เปน อฏ และเวนคาํ ในวงเลบ็ มีใจผูกพนั , ความเยอ่ื ใย, ความติดใจ
อาราธนาศลี อโุ บสถ กลาวคาํ ขอใหพระ ปรารถนา, ความพวั พัน มักหมายถึง
ใหอโุ บสถศลี วาพรอมกนั ทกุ คน ดงั น:ี้ ตณั หา; ในภาษาไทยใชในความหมายวา
“มยํ ภนเฺ ต, ตสิ รเณน สห, อฏ งคฺ สมน-ฺ หวงใย หวนคดิ ถึง
นาคต,ํ อุโปสถํ ยาจาม” (วา ๓ จบ) อาโลก แสงสวาง
อาราม วดั , ทีเ่ ปนท่มี ายินด,ี สวนเปนที่ อาโลกกสิณ กสิณคือแสงสวาง, การ
รื่นรมย; ความยินดี, ความร่ืนรมย, เจริญสมถกรรมฐานตั้งใจเพงแสงสวาง
ความเพลิดเพลิน; ในทางพระวินัย เปนอารมณ (ขอ ๙ ใน กสณิ ๑๐)
เกยี่ วกบั ของสงฆ หมายถงึ ของปลกู สราง อาโลกเลณสถาน ช่ือถํ้าแหงหน่ึงใน
ในอารามตลอดจนตนไม; ดู คนั ธกุฎี มลยชนบท เกาะลงั กา เปนทท่ี าํ สงั คายนา
อารามวตั ถุ ท่ดี นิ วัด, ทีด่ ินพ้นื วดั ครัง้ ที่ ๕ จารกึ พระไตรปฎกลงในใบลาน
อารามกิ คนทาํ งานวัด, คนวัด อาโลกสัญญา ความสาํ คญั ในแสงสวาง,
อารามิกเปสกะ ภิกษผุ ูไดรบั สมมติ คอื กําหนดหมายแสงสวาง คอื ต้งั ความ
แตงต้ังจากสงฆ ใหมหี นาที่เปนผใู ชคน กําหนดหมายวากลางวันไวในใจ ให
ทํางานวัด, เปนตําแหนงหนึ่งในบรรดา เหมือนกันทั้งในเวลากลางวันและกลาง
เจาอธกิ ารแหงอาราม คนื เปนวธิ แี กงวงอยางหนง่ึ
อาลกมันทา ราชธานีซึ่งเปนทิพยนคร อาวรณ เครือ่ งกั้น, เครอื่ งกาํ บงั ; ไทยมัก
๖๐๔
อาวัชนาการ ๖๐๕ อาศรม
ใชในความหมายวา หวงใย, อาลัย, คิด คฤหสั ถ คูกบั คํา ภนฺเต ซง่ึ ภิกษุผอู อน
กังวลถึง กวาใชรองเรียกภิกษุผูแกกวาหรือ
อาวชั นาการ ความราํ พงึ , การราํ ลกึ , นกึ ถงึ คฤหัสถรองเรียกภิกษุ; ในภาษาไทย
อาวาส ทอ่ี ย,ู โดยปรกตหิ มายถึงทีอ่ ยู มักใชเพีย้ นไปในทางตรงขาม หมายถึง
ของพระสงฆ คอื วดั เกากวา หรอื แกกวาในวงงาน กิจการ
อาวาสปลิโพธ ความกังวลในอาวาส คอื หรือความเปนสมาชิก
ภิกษุยงั อยใู นอาวาสนนั้ หรอื หลกี ไปแต อาศรม ท่ีอยูของนกั พรต; ตามลัทธขิ อง
ยังผูกใจอยวู าจะกลบั มา (เปนเหตอุ ยาง พราหมณ ในยคุ ทก่ี ลายเปนฮนิ ดแู ลวได
หน่ึงที่ทําใหกฐินยังไมเดาะ); ในการ วางระเบียบเกี่ยวกับการดําเนินชีวิตของ
เจริญกรรมฐาน หมายถึงความหวงใย ชาวฮินดูวรรณะสูง โดยเฉพาะวรรณะ
กังวลเกี่ยวกับที่อยูอาศัย เชนหวงงาน พราหมณ โดยแบงเปนขน้ั หรอื ชวงระยะ
กอสรางในวัด มีสิ่งของท่ีสะสมเอาไว ๔ ขนั้ หรอื ๔ ชวง เรยี กวา อาศรม ๔
มาก เปนตน เมอื่ จะเจรญิ กรรมฐาน พึง กําหนดวาชาวฮินดูวรรณะพราหมณทุก
ตดั ปลโิ พธนใ้ี หได; ดู ปลโิ พธ คนจะตองครองชวี ติ ใหครบทงั้ ๔ อาศรม
อาวาสมจั ฉรยิ ะ ตระหนที่ อี่ ยู ไดแกหวง ตามลาํ ดบั (แตในทางปฏบิ ตั ิ นอยคนนกั
แหน ไมพอใจใหใครๆ เขามาอยแู ทรก ไดปฏบิ ตั เิ ชนนน้ั โดยเฉพาะปจจบุ นั ไมได
ถอื กนั แลว) คอื ๑. พรหมจารี เปนนกั
แซง หรอื กดี กนั ผอู นื่ ทมี่ ใิ ชพวกของตนไม เรยี นศกึ ษาพระเวท ถอื พรหมจรรย ๒.
คฤหสั ถ เปนผคู รองเรอื น มภี รรยาและมี
ใหเขาอยู (ขอ ๑ ในมจั ฉรยิ ะ ๕) บตุ ร ๓. วานปรสั ถ ออกอยปู าเมอ่ื เหน็
อาวาสกิ วตั ร ดูท่ี อาคนั ตกุ วตั ร บตุ รของบตุ ร ๔. สนั ยาสี (เขยี นเตม็ เปน
อาวาหะ การแตงงาน, การสมรส, การพา สนั นยาส)ี เปนผสู ละโลก มผี านงุ ผนื เดยี ว
หญิงมาบานตัว
อาวาหววิ าหมังคลาภเิ ษก พิธรี ดนํา้ เพ่อื
เปนมงคลในการแตงงาน, งานมงคล ถือภาชนะขออาหารและหมอนํ้าเปน
สมรส (ใชแกเจา) สมบัติ จาริกภิกขาจารเร่ือยไปไมยุง
อาวโุ ส “ผูมีอาย”ุ เปนคําเรียก หรอื ทกั เกี่ยวกับชาวโลก (ปราชญบางทานวา
ทาย ท่ีภิกษุผูแกพรรษาใชรองเรียก พราหมณไดความคิดจากพระพุทธ-
ภิกษุผอู อนพรรษากวา (ภกิ ษุผใู หญรอง ศาสนาไปปรับปรุงจัดวางระบบของตน
เรียกภิกษุผูนอย) หรือภิกษุรองเรียก ข้นึ เชน สันยาสี ตรงกับภกิ ษุ แตหา
๖๐๕
อาสนะ ๖๐๖ อาสวะ
เหมือนกนั จรงิ ไม) พระมหาบุรุษเมื่อประสูติจากพระครรภ
อาสนะ ทน่ี ั่ง; มพี ุทธานญุ าตใหภิกษุน่ัง ของพระมารดา ยางพระบาทไป ๗ กาว
อาสนะยาวรวมกับอสมานาสนิก (บุคคล แลวทรงหยุดประทับยืนตรัสอาสภิวาจา
ท่ีไมเสมออาสนะกัน เชน ภิกษุหาง วา “อคโฺ คหมสมฺ ิ โลกสสฺ ” ดังน้เี ปนตน
พรรษา สามเณร คฤหัสถ) ยกเวน (คอื แปลวา “เราเปนอัครบุคคลของโลก
มใิ หน่ังรวมกบั ) บัณเฑาะก (กะเทย) ผู ฯลฯ”, พระสารีบุตรก็เคยเปลงอาสภิ-
หญิง อุภโตพยญั ชนก (คนสองเพศ) วาจา ประกาศความเล่ือมใสในพระผูมี
(วินย.๗/๒๘๘/๑๓๑), อาสนะยาว คอื อาสนะ พระภาคเจาวา สมณะหรอื พราหมณอน่ื
ท่นี ั่งไดอยางนอยสามคน; “คนพันทาง” ใดท่ีจะยิ่งไปกวาพระผูมีพระภาคใน
ท่ีทานระบุในหนังสือเรียน ในกรณีน้ี สัมโพธิญาณน้ัน มิไดมีแลว จักไมมี
คอื คนมเี พศผิดพวก หรือมเี พศแปลก และทง้ั ไมมอี ยูในบัดนี,้ คาํ วาอาสภิวาจา
จากพวก ไดแก บัณเฑาะก (กะเทย) บางครง้ั มาดวยกันกบั คาํ วาสีหนาท (การ
และอภุ โตพยญั ชนก บันลอื อยางราชสหี ) คอื ถอยคําทแ่ี สดง
สมานาสนิก (ผูมีอาสนะเสมอกัน ความแกลวกลามั่นใจ เปนอาสภิวาจา
หรือผูรวมอาสนะ) ไดแกภิกษุที่อยูใน กิริยาที่ประกาศความจริงความมั่นใจ
ชวง ๓ พรรษาตอกนั คอื แกออนกวา ออกไปแกที่ประชุมหรือแกชนท้ังหลาย
กนั ไมเกนิ ๒ พรรษา ทรงอนญุ าตใหน่งั เปนสหี นาท; ดู สหี นาท
อาสนะไมยาว จําพวกเตียง และต่ัง อาสวะ 1. ความเสียหาย, ความเดอื ด
รวมกัน ๒ รูปได (วินย.๗/๒๘๖-๗/๑๓๐); ดู รอน, โทษ, ทุกข 2. น้ําดองอันเปนเมรัย
สมานาสนิก, อสมานาสนกิ เชน ปปุ ผฺ าสโว นาํ้ ดองดอกไม, ผลาสโว
อาสภวิ าจา วาจาอาจหาญ, วาจาย่ิงยง นา้ํ ดองผลไม 3. กเิ ลสทหี่ มักหมมหรือ
องอาจ ที่เปลงออกมาอยางหนักแนน ดองอยูในสันดาน ไหลซึมซานไปยอม
แกลวกลาและจะแจงชดั เจน อนั ประกาศ จิตตเมื่อประสบอารมณตางๆ, อาสวะ ๓
ความจรงิ หรอื ความสาํ เรจ็ ทแ่ี นแท ซง่ึ คือ ๑. กามาสวะ อาสวะคือกาม ๒.
ไมมีใครอาจคัดคานได, อาสภิวาจาท่ี ภวาสวะ อาสวะคอื ภพ ๓. อวชิ ชาสวะ
อางองิ บอยทสี่ ดุ ในคมั ภรี ทงั้ หลาย ไดแก อาสวะคอื อวชิ ชา; อกี หมวดหนง่ึ อาสวะ ๔
พระดํารัสของพระโพธิสัตว ที่ประกาศ คือ ๑. กามาสวะ อาสวะคือกาม ๒.
พระองควาเปนเอกในโลก ตามเรื่องวา ภวาสวะ อาสวะคอื ภพ ๓. ทิฏฐาสวะ
๖๐๖
อาสวกั ขยญาณ ๖๐๗ อาสาฬหบูชา
อาสวะคอื ทิฏฐิ ๔. อวิชชาสวะ อาสวะ อาสาฬหะ เดอื น ๘ ทางจนั ทรคติ
อาสาฬหบูชา “การบูชาในเดือน ๘”
คอื อวชิ ชา
อาสวักขยญาณ ความรูเปนเหตุสิ้น (เปนคําเรยี กตดั ส้ัน คําเต็มวา “อาสาฬห-
อาสวะ, ญาณหยั่งรใู นธรรมเปนทส่ี ิ้นไป ปณุ ณมบี ชู า” หรอื “อาสาฬหบรู ณมบี ชู า”)
แหงอาสวะท้ังหลาย, ความตรัสรู (เปน หมายถงึ การบชู าในวนั เพญ็ เดอื น ๘ เพ่ือ
ความรูท่ีพระพุทธเจาไดในยามสุดทาย รําลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเปนการพิเศษ
แหงราตรี วนั ตรสั ร)ู (ขอ ๓ ในญาณ ๓ เนื่องในวันท่ีพระพุทธเจาทรงแสดงปฐม
หรอื วชิ ชา ๓, ขอ ๖ ในอภิญญา ๖, ขอ เทศนา คอื ธมั มจักกัปปวัตตนสูตร แก
๘ ในวิชชา ๘, ขอ ๑๐ ในทศพลญาณ) พระเบญจวัคคยี ทอ่ี สิ ปิ ตนมฤคทายวนั
อาสญั ไมมีสญั ญา, หมดสญั ญา; เปนคํา เมอื งพาราณสี ในวนั เพญ็ เดอื นอาสาฬหะ
ใชในภาษาไทย หมายความวา ความ คือเดือน ๘ หลังจากตรัสรูได ๒ เดือน
ตาย, ตาย ทําใหเกดิ มีปฐมสาวก คอื พระอัญญา
อาสตั ย ไมมสี ตั ย, ไมซอื่ ตรง, กลบั กลอก โกณฑัญญะ และเกิดสังฆรัตนะคํารบ
อาสนั ทิ มาน่ังส่เี หลยี่ มจตั ุรสั น่งั ไดคน พระรตั นตรัย
เดียว (ศพั ทเดิมเรียก อาสันทกิ , สวน
อาสันทิ เปนเตียงหรือเกาอ้นี อน) นิ ย ม ส รุ ป ค ว า ม สําคั ญ ข อ ง วั น
อาสันนกรรม กรรมจวนเจียน, กรรม อาสาฬหบูชากันวา เปนวันท่ีพระพุทธ
เจาทรงแสดงปฐมเทศนา อันเปนการ
ใกลตาย หมายถึงกรรมท่ีเปนกุศลก็ดี ทรงเร่ิมประกาศพระศาสนา, เปนวันท่ี
อกุศลก็ดี ท่ีทาํ เมอ่ื จวนตายยังจบั ใจอยู เกดิ อรยิ สงฆ คือการท่ีทานโกณฑญั ญะ
ใหมๆ ถาไมมคี รกุ กรรม และพหลุ กรรม รแู จงธรรม (เกิดดวงตาเหน็ ธรรม คือ
ยอมใหผลกอนกรรมอืน่ ๆ เหมือนโคท่ี ธรรมจักษุ) เปนพระโสดาบัน จดั เปน
ยัดเยียดกันอยูในคอกเม่ือคนเลี้ยงเปด อริยบุคคลทานแรกในอริยสงฆ ทาํ ใหมี
คอกออก ตวั ใดอยูใกลประตู ตัวนนั้ สังฆรัตนะเกิดขึน้ และจึงถือดวยวาเปน
ยอมออกกอน แมจะเปนโคแก (ขอ ๑๑ วันท่ีมีพระรัตนตรัยครบบริบรู ณ, เปน
ในกรรม ๑๒) วันท่ีเกิดพระภิกษุรูปแรก ในพระพทุ ธ
อาสา ความหวงั , ความตองการ; ไทยวา ศาสนา คอื การทท่ี านโกณฑัญญะขอ
รบั ทาํ โดยเตม็ ใจ, สมัคร, แสดงตวั ขอ บรรพชา และไดบวชเปนพระภิกษุ หลงั
รบั ทําการนน้ั ๆ จากฟงปฐมเทศนาและบรรลุธรรมแลว
๖๐๗
อาสาฬหปุรณมี ๖๐๘ อาหาร
จึงถือดวยวาเปนวันท่ีเร่ิมต้ังภิกษุสงฆ สงฆไดพิจารณาเหน็ วา วนั เพญ็ เดอื น ๘
หรือตนกําเนิดสมมติสงฆ, เปนวันที่ ท่ีพระพุทธเจาทรงแสดงปฐมเทศนา
พระพุทธเจาทรงไดปฐมสาวก คอื การที่ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนั้น เปนวันท่ี
ทานโกณฑัญญะน้ันไดบรรลุธรรมและ สําคัญมาก เพราะเปนการประดิษฐาน
บวชเปนพระภกิ ษุ จงึ เปนสาวกรปู แรก พระพุทธศาสนา สมควรยกข้ึนจดั เปน
ของพระพุทธเจา วันสําคัญท่ีมีการเฉลิมฉลองเปนพุทธ
นอกจากนี้ เมอื่ เทียบกบั วนั สาํ คญั บูชาอีกวันหน่ึง จึงไดมีประกาศคณะ
อ่ืนในพระพทุ ธศาสนา บางทีเรียกวัน สงฆ เร่ืองกําหนดวันสาํ คญั ทางศาสนา
อาสาฬหบชู านว้ี า วนั พระสงฆ (คือวนั ที่ ณ วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๐๑ ใหวดั
เริ่มเกิดมีพระสงฆ) โดยเรียกวันวิสาข ตางๆ ทว่ั ราชอาณาจกั ร จัดงานวัน
บูชาวา วันพระพุทธ (คือวันประสูติ อาสาฬหบูชา และทางราชการก็ได
ตรสั รู และปรนิ พิ พานของพระพุทธเจา) สนับสนุนมติของคณะสงฆ โดย
และเรียกวันมาฆบูชาวา วันพระธรรม ประกาศสํานักคณะรัฐมนตรี เรื่อง
(วันที่พระพุทธเจาทรงแสดงโอวาท ระเบียบการชกั ธงชาติ (ฉบบั ท่ี ๖) พ.ศ.
ปาตโิ มกข ประกาศประมวลหลักสาํ คญั ๒๕๐๑ ณ วันท่ี ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๐๑
ของพระพุทธศาสนา), อยางไรก็ตาม อางถึงมติคณะรัฐมนตรีใหถือวันอา
บางทานเรียกวันอาสาฬหบูชาน้ีวา วัน สาฬหบูชาเปนวันสําคัญทางราชการ
พระธรรม โดยถือวาทรงแสดงปฐม เปนวันหยุดราชการวันหนึ่ง และใหชกั
เทศนา เร่ิมประกาศพระธรรม และ ธงชาติในวันดังกลาว; ดู ธัมมจักกปั -
เรยี กวนั มาฆบูชาวา วนั พระสงฆ โดย ปวตั ตนสตู ร,ปฐมเทศนา
ถือวา เปนวันที่มีการประชุมใหญของ อาสาฬหปุรณมี วนั เพญ็ เดือน ๘, วนั
พระสาวกสงฆ ทั้งน้ีเปนมติท่ีผูศึกษา กลางเดือน ๘, วนั ขน้ึ ๑๕ คํ่า เดอื น ๘
ส า ม า ร ถ ถื อ เ อ า นั ย ต า ม ที่ จ ะ เ ป น อาสาฬหมาส ดู อาสาฬหะ
ประโยชน แตมไิ ดมเี ปนบัญญัติไว อาหัจจบาท เตียงท่ีเขาทําเอาเทาเสียบ
ประเพณจี ดั งานวนั อาสาฬหบชู า มี เขาไปในแมแคร ไมไดตรึงสลัก
อายุไมนาน พ่ึงเกิดข้นึ เม่ือ พ.ศ. ๒๕๐๑ อาหาร ปจจัยอันนาํ มาซึ่งผล, เครือ่ งค้าํ
กลาวคือ หลังจากงานฉลอง ๒๕ พุทธ จุนชีวติ , เครอื่ งหลอเลย้ี งชีวติ มี ๔ คือ
ศตวรรษ ใน พ.ศ. ๒๕๐๐ แลว คณะ ๑. กวฬงิ การาหาร อาหารคือคาํ ขาว ๒.
๖๐๘
อาหารปรเิ ยฏฐทิ กุ ข ๖๐๙ อิทธบิ าท
ผสั สาหาร อาหารคอื ผัสสะ ๓. มโน- จัญญายตนฌาน; เรยี กเตม็ วา อาฬาร-
สญั เจตนาหาร อาหารคือมโนสัญเจตนา ดาบส กาลามโคตร
๔. วญิ ญาณาหาร อาหารคอื วิญญาณ อาํ มาตย ดู อมาตย
อาหารปริเยฏฐิทุกข ทุกขเก่ียวกับการ อิจฉา ความปรารถนา, ความอยากได;
แสวงหาอาหาร, ทกุ ขในการหากนิ ไดแก ไทยมกั ใชในความหมายวารษิ ยา
อาชีวทุกข คอื ทกุ ขเนือ่ งดวยการเลยี้ ง อฏิ ฐารมณ “อารมณทนี่ าปรารถนา” สงิ่ ที่
ชีวติ (คาํ เต็มวา “อาหารปริเยฏฐมิ ูลก- คนอยากไดอยากพบ แสดงในแงกามคณุ
ทุกข” = ทกุ ขมีการหาอาหารเปนมูล) ๕ ไดแก รปู เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะ ที่
อาหารรปู ดทู ่ี รูป ๒๘
นารกั ใคร นาชอบใจ แสดงในแงโลก-
อาหาเรปฏิกูลสัญญา กําหนดหมาย ธรรม ไดแก ลาภ ยศ สรรเสรญิ และ
ความเปนปฏิกลู ในอาหาร, ความสําคัญ ความสขุ ; ตรงขามกบั อนฏิ ฐารมณ
หมายในอาหารวาเปนของปฏิกูล อติ ถภี าวะ ความเปนหญงิ , สภาวะทที่ าํ ให
พิจารณาใหเห็นวาเปนของนาเกลยี ดโดย ปรากฏลกั ษณะอาการตางๆ อนั แสดงถงึ
อาการตางๆ เชน ปฏกิ ลู โดยบรโิ ภค, โดย ความเปนเพศหญงิ เปนภาวรปู อยางหนง่ึ ;
ประเทศทอี่ ยขู องอาหาร, โดยสงั่ สมอยนู าน คกู บั ปรุ สิ ภาวะ; ดู อปุ าทายรปู
เปนตน (ขอ ๓๕ ในกรรมฐาน ๔๐) อิติวุตตกะ พระสูตรที่ไมข้ึนตนดวยคํา
อาหุดี การเซนสรวง วา เอวมเฺ ม สตุ ํ แตข้นึ ตนดวย “วุตฺต
อาหเุ นยฺโย (พระสงฆ) เปนผคู วรแกของ เหต ภควตา, วตุ ฺตมรหตาติ เม สุต”
คํานับ คือ มีคุณความดสี มควรแกการท่ี แลวเชื่อมความเขาสคู าถาสรุปทาย ดวย
ประชาชนจะนําของถวายมาแสดงความ คาํ วา อิติ วจุ จฺ ติ รวม ๑๑๒ สตู ร จัด
นับถือเชิดชูบูชา ถึงจะตองเดินทางมา เปนคัมภีรท่ี ๔ แหงขทุ ทกนกิ าย; ดู ไตร
แมจากทไ่ี กล (ขอ ๕ ในสงั ฆคณุ ๙) ปฎก (ในเลม ๒๕), ขุชชตุ รา
อาฬกะ ชื่อแควนหนึ่ง ต้ังอยูท่ีลุมน้ํา อิทธาภิสังขาร การปรุงแตงฤทธ์ิขึ้น
โคธาวรี ตรงขามกบั แควนอัสสกะ ทนั ใด, การบนั ดาลดวยฤทธ์ิ
อาฬารดาบส อาจารยผูสอนสมาบัติที่ อทิ ธิ ความสาํ เร็จ, ความรงุ เรอื งงอกงาม;
พระมหาบุรุษเสด็จไปศึกษาอยูดวย อาํ นาจที่จะทําอะไรไดอยางวเิ ศษ
คราวหนึ่ง กอนท่ีจะทรงบําเพ็ญทุกร- อทิ ธิ ๒ ดู ฤทธิ์ ๒
กิริยา, ทานผูนไี้ ดสมาบัติถึงชน้ั อากิญ- อิทธิบาท คุณเคร่ืองใหถึงความสําเร็จ,
๖๐๙
อทิ ธบิ าทภาวนา ๖๑๐ อินทรยิ ปโรปริยตั ตญาณ
คุณเครื่องสําเร็จสมประสงค, ทางแหง ตกเฉยี งเหนอื ของประเทศไทย ถัดจาก
ความสําเร็จ มี ๔ คอื ๑. ฉนั ทะ ความ
พอใจรักใครสิ่งนัน้ ๒. วริ ิยะ ความ ประเทศพมาออกไป มีเมืองหลวงช่ือ
พยายามทําส่ิงนัน้ ๓. จติ ตะ ความเอาใจ นวิ เดลี (New Delhi) อยหู างจากกรงุ เทพ
ฝกใฝในสงิ่ นนั้ ๔. วมิ งั สา ความพจิ ารณา ประมาณ ๓,๑๐๐ กิโลเมตร อินเดียมี
เนื้อที่ท้ังหมด ๓,๒๘๗,๕๙๐ ตาราง
ใครครวญหาเหตุผลในส่ิงนั้น, การ กโิ ลเมตร มพี ลเมอื งใน พ.ศ. ๒๕๒๔
ทดลอง ตรวจสอบ; จํางายๆ วา มีใจรัก ประมาณ ๖๓๘ ลานคน (พ.ศ. ๒๕๔๙
พากเพียรทํา เอาจิตฝกใฝ ใชปญญา ประมาณ ๑,๐๙๕ ลานคน) คร้ังโบราณ
สอบสวน; ดู โพธปิ กขยิ ธรรม เรียก ชมพทู วปี เปนประเทศทเี่ กิดพระ
อิทธิบาทภาวนา การเจริญอิทธิบาท, พทุ ธศาสนา, พทุ ธคยา สถานท่ตี รัสรู
การฝกฝนปฏบิ ตั ใิ หอทิ ธิบาทเกดิ มขี น้ึ ของพระพุทธเจา อยหู างจากกรงุ เทพฯ
อิทธิปาฏิหาริย ปาฏิหาริยคือฤทธิ์, ประมาณ ๒,๐๐๐ กโิ ลเมตร; ดูชมพทู วปี
แสดงฤทธไ์ิ ดเปนอัศจรรย เชน ลองหน อินทปตถ ชอ่ื นครหลวงของแควนกุรุ ต้งั
ดาํ ดนิ เหาะได เปนตน (ขอ ๑ ใน อยู ณ บริเวณเมอื งเดลี นครหลวงของ
ปาฏิหาริย ๓) อินเดยี ปจจบุ นั (แควนกรุ อุ ยแู ถบลมุ นาํ้
อิทธิวธิ า, อทิ ธิวิธิ แสดงฤทธ์ไิ ดตางๆ ยมนุ าตอนบน ราวมณฑลปญจาบลงมา)
เชน นิรมิตกายคนเดียวเปนหลายคน อนิ ทร ผเู ปนใหญ, จอมเทพ, ช่อื เทวราช
หลายคนเปนคนเดยี ว ลองหน ดาํ ดิน ผูเปนใหญในสวรรคช้ันดาวดึงส และมี
เดินนํ้า เปนตน (ขอ ๑ ในอภิญญา ๖, อาํ นาจบงั คบั บญั ชาเหนอื เทพชนั้ จาตมุ หา-
ขอ ๓ ในวิชชา ๘) ราชกิ า; เรยี กตามนยิ มในบาลวี า ทาว
อิทัปปจจยตา “ภาวะที่มีอันน้ีๆ เปน สกั กะ; ดู ดาวดึงส, วตั รบท ๗, จาตมุ หา-
ปจจัย”, ความเปนไปตามความสมั พนั ธ ราชิกา
แหงเหตุปจจัย, กระบวนธรรมแหงเหตุ อินทริยปโรปริยัตตญาณ ปรีชาหย่ังรู
ปจจัย, กฎทวี่ า “เมือ่ ส่ิงน้มี ี สิ่งนจ้ี ึงมี, ความหยอนและย่ิงแหงอินทรียของสัตว
เพราะสงิ่ นี้เกิดขนึ้ ส่งิ นี้จงึ เกดิ ขึ้น; เปน ท้ังหลาย คือรูวา สัตวพวกไหนมี
อีกช่ือหนึ่งของหลัก ปฏิจจสมุปบาท อินทรยี (คือศรัทธาเปนตน) ออน พวก
หรือ ปจจยาการ
ไหนมอี นิ ทรยี แกกลา พวกไหนมจี ริตมี
อินเดีย ชอื่ ประเทศ ตัง้ อยูทางทศิ ตะวนั อัธยาศัย เปนตน อยางไรๆ พวกไหน
๖๑๐
อินทรยี ๖๑๑ อนิ ทรีย
สอนยาก พวกไหนสอนงาย ดังน้ี ฆานะ-จมกู ชิวหา-ลน้ิ กาย-กาย มโน-ใจ
เปนตน (ขอ ๖ ในทศพลญาณ) อินทรยี ๒๒ สภาวะที่เปนใหญใน
อนิ ทรีย ความเปนใหญ, สภาพทเี่ ปนใหญ
ในกจิ ของตน, ธรรมทเ่ี ปนเจาการในการ การทาํ กิจของตน คือ ทําใหธรรมอ่ืนๆ
ทาํ หนาท่ีอยางหน่ึงๆ เชน ตาเปนใหญ ทีเ่ ก่ยี วของ เปนไปตามตน ในกิจนัน้ ๆ
ในขณะทเ่ี ปนไปอยูนั้น มดี ังนี้ หมวด ๑:
หรือเปนเจาการในการเห็น หูเปนใหญ ๑. จกั ขนุ ทรยี (อินทรีย คอื จกั ขุปสาท)
ในการไดยิน วิริยะเปนเจาการในการ ๒. โสตินทรีย (อนิ ทรีย คือ โสตปสาท)
ครอบงาํ เสยี ซ่งึ ความเกียจคราน เปนตน ๓. ฆานินทรยี (อินทรยี คือ ฆานปสาท)
อนิ ทรยี ๕ ธรรมท่เี ปนใหญในกิจ ๔. ชิวหนิ ทรีย (อนิ ทรยี คือ ชิวหาปสาท)
ของตน โดยเปนเจาการในการทาํ หนาท่ี ๕. กายนิ ทรีย (อินทรยี คอื กายปสาท)
๖. มนินทรยี (อินทรีย คือ ใจ) หมวด๒:
และเปนหัวหนานําสัมปยุตตธรรมใน ๗. อติ ถินทรยี (อินทรีย คือ อิตถภี าวะ)
การครอบงํากําจัดธรรมท่ีเปนปฏิปกษ ๘. ปุริสินทรยี (อินทรีย คือ ปรุ ิสภาวะ)
มี ๕ อยาง ไดแก ศรทั ธา วิริยะ สติ
สมาธิ ปญญา (ขอธรรมตรงกบั พละ ๙. ชวี ิตนิ ทรยี (อินทรีย คอื ชวี ิต)
๕), ธรรม ๕ อยางชุดเดียวกนั น้ี เรยี ก หมวด ๓: ๑๐. สุขนิ ทรีย (อินทรีย คือ
ชื่อตางกนั ไป ๒ อยาง ตามหนาที่ท่ที ํา สุขเวทนา) ๑๑. ทกุ ขนิ ทรีย (อินทรยี คือ
คอื เรยี กชอ่ื วา พละ โดยความหมายวา
เปนกาํ ลงั ใหเกดิ ความเขมแข็งมนั่ คง ซึง่ ทุกขเวทนา) ๑๒. โสมนัสสินทรีย
ธรรมที่ตรงขามแตละอยางจะเขาครอบ (อนิ ทรยี คอื โสมนสั สเวทนา) ๑๓.
งําไมได เรยี กชือ่ วา อนิ ทรีย โดยความ
หมายวาเปนเจาการในการครอบงําเสีย โทมนสั สนิ ทรีย (อินทรยี คือ โทมนสั ส-
ซึ่งธรรมทีต่ รงขามแตละอยาง คือความ เวทนา) ๑๔. อุเปกขินทรีย (อนิ ทรยี คือ
อเุ บกขาเวทนา)หมวด๔: ๑๕.สทั ธนิ ทรยี
ไรศรัทธา ความเกียจคราน ความ (อนิ ทรยี คอื ศรทั ธา) ๑๖. วิริยนิ ทรยี
ประมาท ความฟุงซาน และความหลง (อนิ ทรีย คือ วริ ยิ ะ) ๑๗. สตนิ ทรีย
งมงาย ตามลําดบั ; ดู โพธปิ กขิยธรรม
(อนิ ทรยี คือ สต)ิ ๑๘. สมาธินทรีย
อนิ ทรีย ๖ สภาวะที่เปนใหญหรือ
(อินทรีย คอื สมาธ)ิ ๑๙. ปญญนิ ทรีย
เปนเจาการในการรับรดู านนนั้ ๆ ไดแก (อินทรยี คอื ปญญา) หมวด ๕: ๒๐.
อายตนะภายใน ๖ คอื จักข-ุ ตา โสตะ-หู อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย (อินทรีย
แหงผูปฏิบัติดวยมุงวาเราจักรูสัจจธรรม
๖๑๑
อนิ ทรยี รปู ๖๑๒ อิส,ิ อิสี
ท่ียังมไิ ดรู ไดแก โสตาปตตมิ ัคคญาณ) การมีสติทันโดยรูชัดอิริยาบถท่ีเปน
๒๑. อญั ญนิ ทรยี (อนิ ทรีย คอื อัญญา ไปอยู เปนหมวดหนึง่ ของกายานุปสสนา
หรอื ปญญาอันรทู วั่ ถึง ไดแก ญาณ ๖ สติปฏฐานดวย คอื อิริยาบถบรรพ เปน
ในทามกลาง คอื โสตาปตติผลญาณ ถึง บรรพที่ ๒ ของกายานุปสสนาสติปฏ-
อรหตั ตมคั คญาณ) ๒๒. อญั ญาตาวนิ ทรยี ฐาน; ดู กายานปุ สสนา, สตปิ ฏฐาน
(อนิ ทรียแหงทานผรู ูทว่ั ถึงแลว กลาวคือ อริ พุ เพท คาํ บาลเี รียกคมั ภีรหน่ึงในไตร-
ปญญาของพระอรหันต ไดแก อรหัตต- เพท ตรงกับที่เรียกอยางสันสกฤตวา
ผลญาณ ฤคเวท; ดู ไตรเพท
อนิ ทรียรปู ดทู ่ี รูป ๒๘ อิศวร พระเปนเจาของศาสนาพราหมณ
อินทรยี สังวร สํารวมอินทรยี ๖ คอื ตา ตามปกตหิ มายถึงพระศวิ ะ ซึ่งเปนเทพ-
หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ ไมใหยนิ ดียนิ ราย เจาแหงการทําลาย
ในเวลาเห็นรูป ฟงเสยี ง ดมกลิ่น ลิ้มรส อิสระ ผูเปนใหญ, เปนใหญ, เปนใหญใน
ถูกตองโผฏฐพั พะ รูธรรมารมณดวยใจ, ตัวเอง, เปนไทแกตัว ไมข้นึ แกใคร
การรับรอู ารมณทางอินทรยี ท้ัง ๖ โดยมี อิสรภาพ ความเปนอิสระ
สติมิใหกิเลสครอบงําใจ แตใหรูตาม อิสราธบิ ดี ผูเปนเจาใหญเหนือกวาผเู ปน
เปนจริงและเกิดกุศลธรรม (ขอ ๑ ใน ใหญทั่วไป, ราชา, พระเจาแผนดิน
อปณณกปฏปิ ทา ๓, ขอ ๒ ในปารสิ ทุ ธ-ิ อิสรยิ ยศ ยศคอื ความเปนใหญ, ความ
ศลี ๔, ขอ ๒ ในองคแหงภกิ ษใุ หม ๕), เปนใหญโดยตาํ แหนง ฐานนั ดร เปนตน;
ที่เปนขอ ๒ ในปาริสทุ ธศิ ลี ๔ น้นั เรยี ก ดู ยศ
เตม็ วา อนิ ทรยี สงั วรศลี แปลวา ศีลคือ อสิ สา ความรษิ ยา, ความรูสกึ ไมพอใจ
ความสํารวมอินทรีย เม่ือเห็นเขาไดดี, เห็นเขาไดดีทนอยไู ม
อริ ิยาบถ “ทางแหงการเคลอ่ื นไหว”, ทา ได, ไมอยากใหใครดีกวาตน, ความคดิ
ทางทีร่ างกายจะเปนไป, ทาที่เคล่ือนไหว ตัดรอนผทู ี่ดกี วาตน; ความหึงหวง (ขอ
ตงั้ วางรางกายอยางใดอยางหนง่ึ , อริ ยิ าบถ ๓ ในมละ ๙, ขอ ๘ ในสังโยชน ๑๐
หลกั มี ๔ คอื ยนื เดนิ นง่ั นอน, อริ ยิ าบถ ตามนัยพระอภิธรรม, ขอ ๗ ใน
ยอย เรียกวา จุณณิยอิริยาบถ หรือ อุปกเิ ลส ๑๖)
จุณณิกอริ ยิ าบถ ไดแก ทาทีแ่ ปรเปลย่ี น อสิ ิ, อิสี ผแู สวงหาคณุ ความด,ี ผถู ือบวช,
ยักยายไประหวางอริ ยิ าบถทงั้ ๔ นนั้ ฤษี
๖๑๒
อสิ คิ ิลิบรรพต ๖๑๓ อุฏฐานสมั ปทา
อิสคิ ิลบิ รรพต ภูเขาช่ืออิสิคลิ ิ เปนภเู ขา วา ถูกตัดสิทธแิ หงภกิ ษชุ ัว่ คราว
ลกู หน่งึ ในหาลูก ที่เรียกเบญจคีรี ลอม อุคคหนมิ ติ นมิ ติ ตดิ ตา หมายถงึ นมิ ติ
รอบพระนครราชคฤห (อารมณกรรมฐาน) ท่ีนึกกําหนดจน
อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั ปาเปนทใี่ หอภยั แก แมนใจ หรือทีเ่ พงดจู นตดิ ตาติดใจ แม
เนอื้ ชอ่ื อสิ ปิ ตนะ อยใู กลเมอื งพาราณสี หลบั ตากเ็ หน็ (ขอ ๒ ในนิมิต ๓)
เปนสถานที่ท่ีพระพุทธเจาทรงแสดง อุคฆฏิตัญ ู ผูอาจรูไดฉับพลันแตพอ
ปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ทานยกหัวขอขึ้นแสดง คือมีปญญา
โปรดพระปญจวคั คยี บดั นเ้ี รยี ก สารนาถ เฉียบแหลม พูดใหฟงเพียงหัวขอกเ็ ขา
อุกกลชนบท ชอ่ื ชนบทท่พี อคา ๒ คน ใจ (ขอ ๑ ในบคุ คล ๔)
คอื ตปสุ สะ กับ ภลั ลิกะ เดนิ ทางจากมา อจุ จารธาตุ ในคําวา “โรคอุจจารธาตุ”
แลว ไดพบพระพทุ ธเจาขณะทปี่ ระทบั อยู หมายถงึ โรคทองเสยี ทองเดิน หรือทอง
ภายใตตนราชายตนะ ภายหลังตรัสรู รวง
ใหมๆ อุจเฉททฏิ ฐิ ความเหน็ วาขาดสูญ เชน
อกุ โกฏนะ การรอ้ื ฟน, การฟนเรอ่ื ง, ฟนคดี เห็นวาคนและสัตวจุติจากอัตภาพนี้แลว
อกุ ขฺ ิตตฺ โก “ผอู นั สงฆยกแลว” หมายถึง ขาดสูญ; ตรงขามกับ สสั สตทิฏฐิ (ขอ ๒
ภิกษุผูถูกสงฆทําอุกเขปนียกรรมตัด ในทิฏฐิ ๒)
สิทธิแหงภิกษุชั่วคราว (จนกวาสงฆจะ อุชเชนี ช่ือนครหลวงของแควนอวันตี
บดั นี้เรียกวา อชุ เชน (Ujjain); ดู อวันตี
ยอมระงบั กรรมนน้ั )
อกุ เขปนยี กรรม กรรมอนั สงฆพงึ ทาํ แก อุชปุ ฏิปนโฺ น (พระสงฆ) เปนผปู ฏิบัติ
ภิกษอุ นั จะพึงยกเสีย หมายถึงวธิ ีการลง ตรง คือ ไมลวงโลก ไมมีมายาสาไถย
โทษท่ีสงฆกระทําแกภิกษุผูตองอาบัติ ไมอําพราง หรือดําเนินทางตรง คือ
แลว ไมยอมรบั วาเปนอาบตั ิหรือไมยอม มัชฌิมาปฏิปทา (ขอ ๒ ในสงั ฆคณุ ๙)
ทําคืนอาบัติ หรือมีความเห็นชั่วราย อุฏฐานสัญญามนสิการ ทําในพระทัย
(ทิฏฐิบาป) ไมยอมสละซึ่งเปนทางเสยี ถงึ ความสําคญั ในอนั ทจี่ ะลุกขึน้ , ตัง้ ใจ
สีลสามัญญตา หรือทิฏฐิสามัญญตา วาจะลกุ ขึน้ อกี
โดยยกเธอเสียจากการสมโภคกับสงฆ อุฏฐานสัมปทา ถึงพรอมดวยความ
คือ ไมใหฉันรวม ไมใหอยูรวม ไมใหมี หม่ัน คือ ขยันหมั่นเพียรในการ
สิทธิเสมอกับภิกษุทั้งหลาย พูดงายๆ ประกอบอาชีพท่สี จุ รติ ในการศึกษาเลา
๖๑๓
อุณหะ ๖๑๔ อทุ ก
เรียน และในการทําธุระหนาที่การงาน เรียกกันสามัญวา จีวร (พจนานุกรม
รูจักใชปญญาสอดสอง หาวิธีจัดการ เขยี น อตุ ราสงค)
ดาํ เนินการใหไดผลดี (ขอ ๑ ในทิฏฐ- อุตตริมนุสสธรรม ธรรมยวดย่ิงของ
ธมั มกิ ตั ถสังวัตตนิกธรรม ๔) มนุษย, ธรรมของมนุษยผูยอดย่ิง,
อุณหะ รอน, อุน ธรรมล้าํ มนษุ ย ไดแก ฌาน วิโมกข
อุณหิส กรอบหนา, มงกุฎ สมาบตั ิ มรรคผล, บางทีเรยี กใหงายวา
อุดรทวาร ประตูดานเหนอื ธรรมวเิ ศษ บาง คุณวเิ ศษ หรอื คุณ
อดุ รทศิ ทศิ เบอ้ื งซาย, ทศิ เหนอื ; ดูอตุ ตรทสิ พิเศษ บาง (พจนานกุ รมเขียน อตุ ริ-
อตุ กฤษฎ อยางสงู , สงู สดุ (พจนานกุ รม มนสุ สธรรม)
เขยี น อกุ ฤษฏ) อุตรนกิ าย “นกิ ายฝายเหนอื ” หมายถงึ
อุตตระ ดู โสณะ
พระพุทธศาสนาอยางที่นับถือกันแพร
อุตตรทสิ “ทศิ เบอื้ งซาย” หมายถึงมติ ร; หลายในประเทศฝายเหนือ มี จีน
ดู ทิศหก
เกาหลี ญป่ี ุน เปนตน ท่ีเรียกตวั เองวา
อตุ ตรนกิ าย ดู อุตรนกิ าย มหายาน ใชภาษาสันสกฤต
อตุ ตรนิคม ชอ่ื นคิ มหน่ึงในโกลยิ ชนบท อุตราบถ “หนเหนอื ”, ดนิ แดนแถบเหนอื
อตุ ตรา อุบาสิกาสําคญั มชี ่อื ซา้ํ กนั ๒ ทาน ของชมพทู วปี ; คาํ อธบิ าย ดู ทกั ขิณาบถ
เรียกแยกกันดวยคําเติมขางหนา หรือ อตุ ราวฏั ดู อตุ ตราวฏั ฏ
เติมขางหลงั ไดแก ขุชชุตรา (เขยี นเตม็ อุตสาหะ ความบากบ่นั , ความพยายาม,
วา “ขุชชุตตรา”, อุตตรา ผูคอม) กับ ความขยนั , ความอดทน
อตุ ตรานันทมารดา (อุตตรา มารดาของ อตุ ุ 1. ฤดู, ดินฟาอากาศ, สภาพแวด
นนั ทะ);ดูขชุ ชตุ รา, นันทมารดา 2.
ลอม, เตโชธาตุ, อุณหภมู ,ิ ภาวะรอน
อตุ ตรานันทมารดา ดู นนั ทมารดา 2. เยน็ , ไออุน 2. ระด,ู
อตุ ตราวัฏฏ เวียนซาย, เวียนรอบโดย อุตุกาล ชว่ั ฤดูกาล, ช่วั คราว
หนั ขางซาย คอื เวียนเลยี้ วทางซายยอน อตุ ุชรปู ดูท่ี รปู ๒๘
เขม็ นาฬกิ า (พจนานกุ รมเขยี น อตุ ราวฏั ); อตุ ุปริณามชา อาพาธา ความเจบ็ ไขเกดิ
ตรงขามกบั ทกั ขณิ าวฏั ฏ
แตฤดูแปรปรวน, เจ็บปวยเพราะดนิ ฟา
อุตตราสงค ผาหม, เปนผาผนื หนง่ึ ใน อากาศผนั แปร; ดู อาพาธ
จาํ นวน ๓ ผืน ของไตรจีวร ไดแก ผนื ท่ี อทุ ก น้าํ
๖๑๔
อุทกสาฏกิ า ๖๑๕ อทุ ธจั จะ
อุทกสาฏกิ า ผาอาบ, เปนจีวรอยางหนึ่ง ทานใหแจกไปตามลําดับ เรม่ิ ต้งั แตพระ
ในจวี ร ๕ อยางของภิกษณุ ;ี ดูสงั กัจฉิกะ สงั ฆเถระลงมา ของหมดแคลาํ ดับไหน
ดวย กําหนดไว เม่ือของมีมาอกี จึงแจกตอไป
อุทกกุ เขป เขตสามคั คชี ่วั วักนํ้าสาดแหง ตัง้ แตลําดับท่ีคางอยู อยางน้เี รื่อยไปจน
คนมอี ายแุ ละกาํ ลงั ปานกลาง หมายถงึ เขต ทัว่ กัน แลวจึงเวยี นขึ้นตนใหมอีก; เทียบ
ชุมนุมทําสังฆกรรมท่กี ําหนดลงในแมนํ้า สงั ฆภตั
หรอื ทะเล ชาตสระ (ท่ีขังนาํ้ เกดิ เองตาม อุทเทสวภิ งั คสูตร ชือ่ สูตรท่ี ๓๘ แหง
ธรรมชาติ เชน บงึ หนอง ทะเลสาบ) มชั ฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณณาสก พระสตุ ตนั ต-
โดยพระภิกษุประชุมกันบนเรือ หรือ ปฎก พระพุทธเจาทรงแสดงเรื่อง
บนแพ ซึ่งผกู กับหลักในนาํ้ หรือทอด วญิ ญาณไวโดยยอ ภกิ ษทุ ง้ั หลายอยาก
สมออยูหางจากตล่ิงกวาช่ัววิดนํ้าสาด ฟงโดยพสิ ดาร จงึ ขอใหพระมหากจั จายนะ
(หามผกู โยงเรอื หรอื แพนน้ั กบั หลกั หรือ อธิบายความ พระมหากัจจายนะแสดง
ตนไมรมิ ตลิ่ง และหามทาํ ในเรอื หรอื แพ ไดเนือ้ ความถูกตองชัดเจนดีมาก จนได
ท่กี ําลงั ลอยหรอื เดนิ ); อทุ กกุ เขปนี้ จัด รับคาํ ยกยองชมเชยจากพระพุทธเจา
เปนอพัทธสมี าอยางหนึง่ อทุ เทสกิ เจดยี เจดยี สรางอทุ ศิ พระพทุ ธ-
อุททกดาบส อาจารยผูสอนสมาบัติท่ี เจา, เจดียที่สรางเปนเครื่องเตือนจิตต
พระมหาบุรุษเสด็จไปศึกษาอยูดวย ใหระลึกถึงพระพุทธเจา ไดแก พระ
คราวหน่ึง กอนท่ีจะทรงบําเพ็ญทุกร- พทุ ธรปู (ขอ ๔ ในเจดยี ๔)
กิริยา, ทานผูน้ีไดสมาบัติถึงข้ันเนว- อุทธรณ การยกขึน้ , การร้ือฟน, การขอ
สัญญานาสัญญายตนะ; เรียกเต็มวา รองใหรอื้ ฟนขนึ้ , ขอใหพจิ ารณาใหม
อทุ ทกดาบส รามบตุ ร อทุ ธโลมิ เครื่องลาดที่มขี นต้ัง
อุทเทศาจารย อาจารยผูบอกธรรม, อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี พระอนาคามผี ู
อาจารยสอนธรรม (ขอ ๔ ในอาจารย จะปรนิ พิ พาน ตอเม่อื เลื่อนข้ึนไปเกดิ ใน
๔); คูกับ ธรรมันเตวาสกิ ชนั้ สูงข้ึนไปจนถึงช้นั อกนิฏฐะ (ขอ ๕
อุทเทส ดู อุเทศ ในอนาคามี ๕)
อุทเทสภัต อาหารอุทิศสงฆหรือภัตท่ี อุทธัจจะ ความฟุงซาน, จติ ตสาย, ใจ
ทายกถวายตามทส่ี งฆแสดงให หมายถงึ วอกแวก (พจนานกุ รมเขียน อทุ ธจั );
ของท่ีเขาถวายสงฆแตไมพอแจกท่ัวกัน (ขอ ๙ ในสังโยชน ๑๐ ตามนยั พระ
๖๑๕
อทุ ธัจจกกุ กุจจะ ๖๑๖ อทุ สิ สมังสะ
อภธิ รรม); ดู เยวาปนกธรรม อทุ ัย การข้ึน, การโผลขึ้น, พระอาทิตย
อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุงซานและ แรกขน้ึ
รําคาญ, ความฟุงซานและความเดือด อทุ าน 1. วาจาทเ่ี ปลงข้ึนโดยความเบกิ
รอนใจ (ขอ ๔ ในนวิ รณ ๕) บานใจ มักเปนขอความยาว ๑ หรอื ๒
อุทธมั ภาคยิ สังโยชน สงั โยชนเบือ้ งสูง คาถา ทย่ี าวกวานัน้ มีนอยครัง้ ; ในภาษา
ไดแก กิเลสผูกใจสัตวอยางละเอียดมี ไทย หมายถงึ เสยี งหรอื คาํ ทเ่ี ปลงออกมา
๕ คอื รปู ราคะ อรปู ราคะ มานะ อทุ ธจั จะ เวลาดใี จ แปลกใจ หรอื ตกใจ เปนตน 2.
อวชิ ชา พระอรหนั ตจงึ ละได; ดู สงั โยชน พระอทุ านคาถาของพระพทุ ธเจา อันสอื่
อทุ ยมาณพ ศษิ ยคนหนึ่งในจํานวน ๑๖ ธรรมท่ีลึกซ้ึงหรือเปนคติธรรมสําคัญ
คนของพราหมณพาวรี ท่ีไปทูลถาม พรอมทั้งเรื่องราวที่เปนขอปรารภใหทรง
ปญหากะพระศาสดา ท่ีปาสาณเจดีย เปลงพระอทุ านนั้นๆ ๘๐ เรอ่ื ง รวมจัด
อุทยัพพยญาณ ปรีชาหยั่งรูความเกิด เปนคัมภรี ที่ ๓ แหงขทุ ทกนิกาย; ดู ไตร
และความดบั แหงสงั ขาร; ดู อทุ ยพั พยา- ปฎก (ในเลม ๒๕)
นุปสสนาญาณ อุทาหรณ ตัวอยาง, การอางองิ , การยก
อทุ ยัพพยานปุ สสนาญาณ ปรีชาคํานึง ขึ้นใหเห็น
เห็นความเกิดและความดับแหงสังขาร, อุทิศ เฉพาะ, เจาะจง, เพงเล็งถงึ , ทําเพ่ือ,
ญาณทม่ี องเหน็ นามรปู เกดิ ดับ (ขอ ๑ หมายใจตอ, มงุ ใหแก, มงุ ไปยงั , มงุ ไปที่
ในวปิ สสนาญาณ ๙) (ดงั ตวั อยางในประโยคตางๆ วา “เขาออก
อุทยาน “สถานทซ่ี ึ่งชนท้ังหลายแหงนชม บวชอทุ ศิ พระพทุ ธเจา”, “เธอใหทานอุทศิ
[ดอกไม และผลไม เปนตน]เดนิ ไป”, สวน หมญู าต”ิ , “พระเถระเดนิ ทางไกลจากเมอื ง
หลวงที่เปนสาธารณะ, สวนสาธารณะที่ สาวตั ถอี ทุ ศิ หมบู านนนั้ ”, “นายวาณชิ ลง
ทางการบานเมอื งจดั ดแู ล (บาล:ี อยุ ยฺ าน, เรือออกมหาสมุทรอุทิศสุวรรณภูมิ”);
สันสกฤต: อทุ ฺยาน) ในภาษาไทย มักใชในความหมายท่ี
อุทร ทอง สัมพันธกับประเพณีการทําบุญเพ่ือผู
อทุ ริยะ อาหารใหม, อาหารที่รับประทาน ลวงลับ หมายถึง ต้ังใจทาํ การกุศลนน้ั
เขาไปแลวอยใู นทอง ในลาํ ไส กาํ ลังผาน โดยมงุ ใหเกิดผลแกผูตายทีต่ นนกึ ถงึ
กระบวนการยอย แตยังไมกลายเปน อุทิสสมังสะ เน้ือสัตวท่ีเขาฆาเจาะจง
อจุ จาระ เพ่ือถวายภิกษุ ทานมิใหภกิ ษฉุ ัน, หาก
๖๑๖
อุเทน ๖๑๗ อุเทศ
ภิกษุฉันท้งั ไดเห็น ไดยิน หรอื สงสัยวา สญั ญาขันธ สังขารขันธ วิญญาณขนั ธ”
นี่คอื นเิ ทศ, ถายอนเขาไปไขความซอน
เขาฆาเพ่ือถวายตน ตองอาบัติทุกกฏ; อกี ช้นั หนึ่งวา “เวทนาขันธท่ีมใี นเวลาน้ัน
ตรงขามกบั ปวตั ตมงั สะ เปนอยางไร? คอื …” นคี่ ือปฏินิเทศ
อุเทน ราชาแหงแควนวงั สะ คร้ังพทุ ธกาล
ครองราชสมบัติท่ีกรุงโกสัมพี มีอัคร อุเทศเปนการปฏิบัติที่ยืนตัวเปน
หลกั ของการศึกษาในธรรมวินยั นี้ โดย
มเหสี ๓ องค คอื พระนางสามาวดี มาคกู บั ปริปจุ ฉา เชน อุปชฌายมีวตั ร
คือขอปฏิบัติซ่ึงเปนหนาที่ประจําตอ
(อุบาสกิ า, ธดิ าของภทั ทิยเศรษฐี ในภัททยิ
ศิษยคือสัทธิวิหาริกมากมายหลายอยาง
นคร) พระนางวาสลุ ทัตตา (ราชธิดาของ
(อาจารยตอศิษยคืออันเตวาสิกก็เชน
พระเจาจัณฑปชโชต) และพระนาง
กัน) แตวัตรหรือหนาท่ีขอแรกท่ีเปน
มาคัณฑิยา (ธดิ าของมาคณั ฑยิ พราหมณ)
(ปฏิสํ.อ.๒/๓๓๕), เปนพระราชบดิ าของโพธิ หลกั คือตองสงเคราะห ตองอนเุ คราะห
ราชกุมาร สทั ธิวิหาริก ดวยอุเทศ และปรปิ จุ ฉา
อเุ ทนเจดยี เจดียสถานแหงหน่งึ อยทู าง (ตามดวยโอวาท และอนสุ าสนี)
ทิศตะวันออกของเมืองเวสาลี นคร
อเุ ทศ ไดแก พทุ ธพจนหรือคาํ ตรสั
หลวงของแควนวัชชี เปนสถานที่แหง แสดงธรรม หลักธรรมท่ีทรงสอนไว ซึ่ง
หนึ่งท่ีพระพุทธเจาเคยทรงทํานิมิตต ยกมาสอนมาบอกเปนบทตั้ง เปนหลัก
โอภาสแกพระอานนท เปนตัวบท เปนท่ีอางอิง จากน้ันก็มี
อุเทศ 1. การยกขนึ้ แสดง, ขอทีย่ กข้ึน ปรปิ จุ ฉา คอื การซกั รอบสอบถาม ซกั
แสดง, หวั ขอ, บทตั้ง, ความท่ีเปนหลกั ไซใหมีการขยายความอธิบายความ
อเุ ทศ (อุทเฺ ทส) มักมาคูกบั นิเทศ หมายเน้ือหาสาระของพุทธพจนหรือ
(นิทฺเทส) โดยที่อุเทศเปนตวั บท แมบท
หลักธรรมคําตรัสสอนที่ยกมาเปนอุเทศ
บทตั้ง หรอื ขอความยอ และนิเทศเปน
นัน้ จนไดความชัดเจน (การปฏิบตั ิหรือ
คําไขขยายความ เปนคําชี้แจงอธิบาย
กิจกรรมอีกหลายอยางที่ทานกลาวไว
ถามีคําไขยอนขยายความในนิเทศซอน
เขาไปอกี กเ็ รียกวาปฏนิ ิเทศ เ ป น สํา คั ญ อั น จ ะ ช ว ย ใ ห ก า ร ศึ ก ษ า
ตัวอยางเชน บอกวา “ในเวลานน้ั มี สัมฤทธ์ิผล เชน สาธยาย โอวาท
ขันธ ๔” นี่เปนอุเทศ, ไขความวา “ขนั ธ
๔ ที่มใี นเวลานัน้ ไดแก เวทนาขนั ธ อนุสาสนี สากัจฉา โยนิโสมนสิการ
เสวนากัลยาณมิตร); ดู ปรปิ จุ ฉา
๖๑๗
อบุ ล ๖๑๘ อุบาสก
2. การสวดปาตโิ มกข, ปาติโมกขทยี่ ก มีเตโชกสิณเปนอารมณไดบรรลุพระ
ขน้ึ สวด, หมวดหนงึ่ ๆ แหงปาติโมกขทจี่ ดั อรหตั ไดรบั ยกยองวาเปนเอตทคั คะใน
ไวสาํ หรบั สวด, ในคาํ วา “สงฆมอี เุ ทศเดยี ว ทางแสดงฤทธิ์ไดตางๆ และเปนอัคร-
กนั ” หมายความวา รวมฟงสวดปาตโิ มกข สาวิกาฝายซาย
ดวยกนั ; อเุ ทศในปาตโิ มกขจดั โดยยอมี อุบัติ เกิดขึน้ , กําเนิด, เหตใุ หเกิด
๕ คอื ๑. นทิ านทุ เทส ๒. ปาราชกิ ทุ เทส อบุ าทว ดู อปุ ทวะ
๓. สงั ฆาทเิ สสทุ เทส ๔. อนยิ ตทุ เทส ๕. อบุ าย วธิ สี าํ หรบั ประกอบ, หนทาง, วธิ กี าร,
วติ ถารทุ เทส, อทุ เทสท่ี ๕ นน้ั รวมเอา กลวธิ ี, ไทยใชหมายถึง เลหเหลยี่ มดวย
นสิ สคั คยิ ทุ เทส ปาจติ ตยิ ทุ เทส ปาฏเิ ทส- อุบาลี พระมหาสาวกองคหนง่ึ เดิมเปน
นยี ทุ เทส เสขยิ ทุ เทส และสมถทุ เทส เขา กัลบกของเจาศากยะ ไดออกบวชที่
ไวดวยกนั ถาแยกออกนบั โดยพสิ ดารก็ อนุปยอัมพวัน พรอมกับพระอานนท
จะเปน ๙ อทุ เทส การรจู กั อเุ ทศหรอื และพระอนรุ ทุ ธะ เปนตน มอี ปุ ชฌาย
อุทเทสเหลาน้ีเปนประโยชนสําหรับการ ช่ือพระกัปปตก คร้ันบวชแลว เรียน
ตัดตอนสวดปาติโมกขยอไดในคราวจํา กรรมฐาน จะไปอยปู า พระพทุ ธเจาไม
เปน; ดู ปาตโิ มกขยอ ทรงอนุญาต ทานเลาเรียนและเจริญ
อุบล บวั , ดอกบัว วิปสสนาไมชากส็ ําเรจ็ พระอรหตั เปนผู
อุบลวรรณา พระมหาสาวิกาองคหนึ่ง มีความรูความเขาใจเชี่ยวชาญในพระ
เปนธดิ าเศรษฐใี นพระนครสาวตั ถี ไดชอ่ื วินัยมาก จนพระพุทธเจาทรงยกยองวา
วาอบุ ลวรรณา เพราะมผี วิ พรรณดงั ดอก เปนเอตทัคคะในบรรดาภิกษุผูทรงพระ
นลิ ุบล (อบุ ลเขียว) มีความงามมาก จึง วินัย (วินัยธร) พระอุบาลีเปนกําลัง
เปนที่ปรารถนาของพระราชาในชมพู- สําคัญในคราวทําปฐมสังคายนา คือ
ทวปี หลายพระองค ตางสงคนมาตดิ ตอ เปนผูวสิ ัชนาพระวินัย
ทานเศรษฐเี กดิ ความลาํ บากใจ จึงคดิ จะ อบุ าสก ชายผูนง่ั ใกลพระรัตนตรัย, คน
ใหธิดาบวชพอเปนอบุ าย แตนางเองพอ ใกลชิดพระศาสนา, คฤหัสถผูชายท่ี
ใจในบรรพชาอยูแลวจึงบวชเปนภิกษุณี แสดงตนเปนคนนับถือพระพุทธศาสนา
ดวยศรัทธาอยางจริงจัง คราวหนึ่งอยู โดยประกาศถึงพระรัตนตรัยเปนสรณะ
เวรจุดประทีปในพระอุโบสถ นางเพงดู ปฐมอุบาสกผูถงึ สรณะ ๒ ไดแก
เปลวประทีปถือเอาเปนนิมิตเจริญฌาน ตปุสสะและภัลลิกะ ปฐมอุบาสกผูถึง
๖๑๘
อบุ าสกธรรม ๖๑๙ อโุ บสถ
ไตรสรณะ คอื บดิ าของพระยสะ อุบาสิกาท่ีพระพุทธเจาตรัสยกยอง
อุบาสกผูเปนอริยสาวก ไดรับยก วาเปน “ตลุ า” คือเปนตราชู หรอื เปน
ยองเปนเอตทัคคะ รวม ๑๐ ตาํ แหนง แบบอยางสําหรับอุบาสิกาทงั้ หลาย เปน
เชน ตปสุ สะและภัลลิกะ สองวาณชิ เปน อคั รอบุ าสกิ า ๒ ทาน ไดแก ขชุ ชตุ รา และ
เอตทัคคะ ในบรรดาอุบาสกสาวกผถู ึง เวฬกุ ณั ฏกนี นั ทมารดา;ดูตลุ า,เอตทคั คะ
สรณะเปนปฐม สุทัตตะอนาถปณฑิก- อเุ บกขา 1. ความวางใจเปนกลาง ไมเอน
คหบดี เปนเอตทัคคะ ในบรรดาอุบาสก เอยี งดวยชอบหรอื ชงั , ความวางใจเฉยได
สาวกผเู ปนทายก ไมยินดียินราย เมอ่ื ใชปญญาพิจารณา
อุบาสกที่พระพุทธเจาตรัสยกยอง เห็นผลอันเกิดข้ึนโดยสมควรแกเหตุ
วาเปน “ตลุ า” คือเปนตราชู หรอื เปน และรูวาพงึ ปฏิบัติตอไปตามธรรม หรือ
แบบอยางสําหรับอุบาสกทงั้ หลาย เปน ตามควรแกเหตุนั้น, ความรจู ักวางใจเฉย
อคั รอบุ าสก ๒ ทาน ไดแก จิตต- ดูอยู เมื่อเห็นเขารับผิดชอบตนเองได
คฤหบดี และเจาชายหัตถกะอาฬวกะ; ดู หรือในเม่ือเขาควรตองไดรับผลอันสม
ตลุ า, เอตทคั คะ ควรแกความรับผิดชอบของเขาเอง,
อุบาสกธรรม ดู สมบตั ขิ องอบุ าสก ความวางทีเฉยคอยดูอยูในเม่ือคนนั้นๆ
อุบาสิกา หญิงผูน่ังใกลพระรัตนตรัย, สิง่ นน้ั ๆ ดาํ รงอยูหรือดาํ เนินไปตามควร
คนใกลชิดพระศาสนาที่เปนหญิง, ของเขาตามควรของมัน ไมเขาขาง ไมตก
คฤหัสถผูหญิงที่แสดงตนเปนคนนับถือ เปนฝกฝาย ไมสอดแส ไมจูจส้ี าระแน
พระพุทธศาสนา โดยประกาศถึงพระ ไมกาวกายแทรกแซง (ขอ ๔ ในพรหม-
รตั นตรยั เปนสรณะ วิหาร ๔, ขอ ๗ ในโพชฌงค ๗, ขอ
ปฐมอบุ าสิกา ไดแก มารดา (นาง ๑๐ ในบารมี ๑๐, ขอ ๙ ในวปิ สสนู-
สชุ าดา) และภรรยาเกาของพระยสะ ปกิเลส ๑๐) 2. ความรูสกึ เฉยๆ ไมสขุ
อุบาสิกาผูเปนอรยิ สาวกิ า ไดรับยก ไมทุกข เรยี กเต็มวา อเุ บกขาเวทนา (=
ยองเปนเอตทคั คะ รวม ๑๐ ทาน เชน อทุกขมสขุ ); (ขอ ๓ ในเวทนา ๓)
นางสุชาดา เปนเอตทัคคะในบรรดา อโุ บสถ 1. การสวดปาติโมกขของพระ
อบุ าสกิ าสาวิกาผถู ึงสรณะเปนปฐม นาง สงฆทุกกึ่งเดือน เปนเครื่องซักซอม
วสิ าขา เปนเอตทัคคะในบรรดาอบุ าสกิ า ตรวจสอบความบริสุทธ์ิทางวินัยของ
สาวิกาผูเปนทายกิ า ภิกษุท้ังหลาย และท้ังเปนเคร่ืองแสดง
๖๑๙
อโุ บสถ ๖๒๐ อโุ บสถ
ความพรอมเพรยี งของสงฆดวย, อโุ บสถ ธาเรห”ิ วา ๓ ครง้ั ; รูปทีอ่ อนพรรษา
เ ป น สั ง ฆ ก ร ร ม ท่ี ต อ ง ทําเ ป น ป ร ะ จํา เปล่ียน อาวโุ ส เปน ภนเฺ ต และเปล่ียน
ธาเรหิ เปน ธาเรถ); ถามภี ิกษอุ ยูในวัด
สมาํ่ เสมอและมกี าํ หนดเวลาทแ่ี นนอน มี รูปเดยี ว ทานใหทําเพียงอธษิ ฐาน คอื ตัง้
ชอื่ เรยี กยอยออกไปหลายอยาง การทํา ใจกําหนดจติ วา วนั นเี้ ปนอุโบสถของเรา
อุโบสถจะมีการสวดปาติโมกขไดตอเม่ือ (“อชชฺ เม อุโปสโถ”) อโุ บสถทท่ี าํ อยาง
นี้ เรียกวา ปุคคลอุโบสถ หรือ
มภี กิ ษคุ รบองคสงฆจตวุ รรค คือ ๔ รูป อธษิ ฐานอุโบสถ; อโุ บสถที่ทําในวันแรม
๑๔ คา่ํ เรยี กวา จาตทุ สกิ - ทาํ ในวันข้ึน
ขนึ้ ไป ถาสงฆครบองคกาํ หนดเชนนที้ ํา หรอื แรม ๑๕ คํา่ เรยี กวา ปณณรสกิ -
อุโบสถ เรยี กวา สังฆอุโบสถ (มรี าย ทําในวนั สามคั คี เรยี กวาสามัคคอี โุ บสถ
ละเอียดวิธีปฏิบัติตามพุทธบัญญัติใน 2. อโุ บสถ คอื การอยจู าํ รกั ษาองค ๘ ที่
โดยทว่ั ไปเรียกกันวา ศีล ๘ ของอบุ าสก
อุโปสถขันธกะ, วินย.๔/๑๔๗/๒๐๑); อุบาสกิ า น้ัน จาํ แนกไดเปน ๓ ประเภท
ในกรณีทีม่ ภี กิ ษอุ ยใู นวัดเพยี ง ๒ หรอื คือ ๑. ปกติอุโบสถ อโุ บสถที่รกั ษาตาม
ปกตชิ ัว่ วนั หน่งึ กบั คืนหนงึ่ ปจจุบันนิยม
๓ รปู เปนเพียงคณะ ทานใหบอกความ
รกั ษากันเฉพาะในวนั ขึ้นและแรม ๘ คา่ํ
บริสุทธ์ิแกกันและกันแทนการสวดปาฏ-ิ
โมกข เรยี กอโุ บสถนว้ี า คณอโุ บสถ หรอื วันจันทรเพ็ญ คอื ข้นึ ๑๕ ค่ํา และวัน
ปารสิ ทุ ธอิ โุ บสถ กลาวคอื ถามี ๓ รปู
พึงใหรูปที่สามารถตั้งญัตติวา “สณุ นตฺ ุ จันทรดบั คอื แรม ๑๕ ค่ํา หรอื ๑๔
เม อายสมฺ นฺตา, อชฺชุโปสโถ ปณฺณรโส,
คาํ่ (ปกติอโุ บสถอยางเตม็ มี ๘ วนั คอื
ยทายสมฺ นฺตาน ปตฺตกลฺล, มย อ ฺ -
วนั ๕ คาํ่ ๘ คํา่ ๑๔ คา่ํ และ ๑๕ ค่าํ
ม ฺ ํ ปาริสุทฺธิอุโปสถ กเรยฺยาม.”
(ปณณฺ รโส คือ ๑๕ ค่าํ ถา ๑๔ ค่าํ ของทุกปกษ ถาเดือนขาดรักษาในวัน
แรม ๑๓ คา่ํ เพม่ิ ดวย) ๒. ปฏชิ าคร-
เปลยี่ นเปน จาตุทฺทโส) จากนั้น ท้งั สาม อุโบสถ อุโบสถของผูตื่นอยู (คือผู
กระตือรือรนขวนขวายในกุศล ไมหลบั
รูปพึงบอกความบริสุทธ์ิของตนไปตาม
ลาํ ดบั พรรษา (พระเถระวา “ปรสิ ทุ โฺ ธ อห ใหลดวยความประมาท) ไดแก อโุ บสถ
อาวโุ ส, ปรสิ ทุ โฺ ธติ ม ธาเรถ” วา ๓ ครั้ง;
รูปอ่ืนเปล่ยี น อาวโุ ส เปน ภนเฺ ต), ถามี ท่รี กั ษาคร้งั หนึง่ ๆ ถึง ๓ วัน คือ รกั ษา
๒ รปู ไมตองตั้งญตั ติ เพยี งบอกความ
ในวันอุโบสถตามปกติ พรอมท้ังวนั กอน
บริสุทธิ์ของตนแกกัน (พระเถระวา
“ปริสุทฺโธ อห อาวุโส, ปริสุทฺโธติ ม ๖๒๐
อโุ บสถกรรม ๖๒๑ อุปกิเลส
และวนั หลงั ของวนั นน้ั ซงึ่ เรยี กวา วนั รบั ไมลงกนั บาง ทานวาพอใจอยางใด ก็พงึ
และวันสงดวย เชน อโุ บสถทร่ี กั ษาใน ถือเอาอยางน้ัน เพราะแทจริงแลว จะ
วัน ๕ ค่าํ มีวัน ๔ ค่ํา เปนวนั รบั วัน ๖ รักษาอุโบสถในวันใดๆ ก็ใชได เปน
ค่ํา เปนวนั สง อโุ บสถทรี่ กั ษาในวนั ๘ ประโยชนทั้งนั้น แตถารักษาไดในวัน
คา่ํ มีวัน ๗ ค่ํา เปนวันรบั วนั ๙ คํ่า เปน ตามนยิ มกย็ อมควร 3. วนั อโุ บสถสาํ หรบั
วันสง (เดือนหนึ่งๆ จะมีวันรับและวัน พระสงฆ คือ วันจนั ทรเพญ็ (ขน้ึ ๑๕ คาํ่ )
สงรวม ๑๑ วัน, วนั ทีม่ ิใชวันอโุ บสถ ใน และวนั จนั ทรดบั (แรม ๑๕ คาํ่ หรอื ๑๔
เดือนขาดมี ๑๐ วนั เดอื นเต็ม ๑๑ วนั ) คา่ํ เมอื่ เดอื นขาด), สําหรบั คฤหสั ถ คอื
๓. ปาฏิหาริยอุโบสถ อุโบสถทีพ่ ึงนําไป วนั พระ ไดแก วนั ขึ้นและแรม ๘ ค่ํา
ซํ้าอีกๆ หรือยอนกลับไปนําเอามาทํา วันจันทรเพ็ญ และวันจันทรดับ 4.
คือรักษาใหเปนไปตรงตามกําหนดดังที่ สถานทสี่ งฆทาํ สงั ฆกรรม เรยี กตามศพั ท
เคยทํามาเปนประจําในแตละป หมาย วา อโุ ปสถาคาร หรอื อโุ ปสถคั คะ (โรง
ความวา ในแตละปมชี วงเวลาทกี่ าํ หนด อุโบสถ), ไทยมกั ตัดเรยี กวา โบสถ
ไวเฉพาะท่ีจะรักษาอุโบสถประเภทนี้ อโุ บสถกรรม การทําอโุ บสถ; ดู อุโบสถ
อยางสามญั ไดแก อโุ บสถท่ีรกั ษาเปน อโุ บสถศลี ศีลทรี่ กั ษาเปนอโุ บสถ หรือ
ประจําตลอด ๓ เดอื น ในพรรษา (อยาง ศีลทร่ี กั ษาในวันอุโบสถ ไดแก ศีล ๘ ท่ี
เตม็ ไดแกรกั ษาตลอด ๔ เดอื น แหงฤดู อุบาสกอุบาสิกาสมาทานรักษาเปนการ
ฝน คอื แรม ๑ ค่ํา เดอื น ๘ ถึง ขึ้น จาํ ศีลในวันพระ คอื ขึน้ และแรม ๘ คํ่า
๑๕ คํ่า เดือน ๑๒, ถาไมสามารถรักษา ๑๕ คํา่ (แรม ๑๔ ค่าํ ในเดือนขาด)
ตลอด ๔ เดอื น หรือ ๓ เดอื น จะรกั ษา อุปกะ ช่ืออาชีวกผูหนึ่งซ่ึงพบกับพระ
เพยี ง ๑ เดอื น ระหวางวันปวารณาทัง้ สอง พุทธเจาในระหวางทาง ขณะที่พระองค
คอื แรม ๑ ค่ํา เดือน ๑๑ ถงึ ข้ึน ๑๕ เสดจ็ จากพระศรมี หาโพธไ์ิ ปยงั ปาอสิ ปิ ตน-
คาํ่ เดอื น ๑๒ กไ็ ด, อยางตาํ่ สดุ พงึ รกั ษา มฤคทายวนั เพ่อื โปรดพระปญจวคั คีย
กึ่งเดือนตอจากวันปวารณาแรกไป คือ อปุ การะ ความเก้อื หนุน, ความอุดหนนุ ,
แรม ๑ คาํ่ เดอื น ๑๑ ถึง แรม ๑๔ คํ่า การชวยเหลอื
เดอื น ๑๑); อยางไรก็ตาม มตใิ นสวน อปุ กิเลส โทษเคร่อื งเศราหมอง, ส่ิงทที่ าํ
รายละเอยี ดเกย่ี วกับอุโบสถ ๒ ประเภท จติ ตใจใหเศราหมองขุนมวั รับคุณธรรม
หลงั นี้ คมั ภีรตางๆ ยงั แสดงไวแตกตาง ไดยาก มี ๑๖ อยาง คอื ๑. อภชิ ฌา-
๖๒๑
อปุ กเิ ลสแหงวปิ สสนา ๖๒๒ อุปตสิ สปริพาชก
วิสมโลภะ ละโมบ จองจะเอาไมเลอื ก กระดงหรือไมกวาดออกไปภายนอก
ควรไมควร ๒. โทสะ คิดประทุษราย ตกท่ีใด ระยะรอบๆ กําหนดนั้นเปน
๓. โกธะ โกรธ ๔. อุปนาหะ ผูกโกรธ อปุ จารเรือน
ไว ๕. มกั ขะ ลบหลคู ุณทาน ๖. ปลาสะ บรุ ษุ วยั กลางคนมกี าํ ลงั ดี ยนื อยทู ่ี
ตเี สมอ ๗. อสิ สา ริษยา ๘. มัจฉรยิ ะ เขตอปุ จารเรอื น ขวางกอนดนิ ไป กอน
ตระหนี่ ๙. มายา เจาเลห ๑๐. สาเถยยะ ดนิ ทข่ี วางนน้ั ตกลงทใ่ี ด ทนี่ นั้ จากรอบๆ
โออวด ๑๑. ถมั ภะ หวั ดอื้ ๑๒. สารมั ภะ บรเิ วณอปุ จารเรอื น เปนกาํ หนด เขตบาน,
แขงดี ๑๓. มานะ ถือตวั ๑๔. อตมิ านะ บุรุษวัยกลางคนมีกาํ ลังดีน้นั แหละ ยนื
ดหู มนิ่ ทาน ๑๕. มทะ มวั เมา ๑๖. ปมาทะ อยทู เ่ี ขตบานนน้ั โยนกอนดนิ ไปเตม็ กาํ ลงั
กอนดนิ ตกเปน เขตอปุ จารบาน; สมี าที่
เลนิ เลอหรือละเลย
อุปกิเลสแหงวิปสสนา ดู วิปสสนูป- สมมตเิ ปนตจิ วี ราวปิ ปวาสนนั้ จะตองเวน
กิเลส บานและอุปจารบานดังกลาวนี้เสียจึงจะ
อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน ไดแก สมมตขิ นึ้ คอื ใชเปนตจิ วี ราวปิ ปวาสสมี า
กรรมท่เี ปนกุศลกด็ ี ท่เี ปนอกศุ ลก็ดี ซึง่ ได; ดู ตจิ วี ราวปิ ปวาสสมี า ดวย
มีกําลังแรง เขาตัดรอนการใหผลของ อปุ จารภาวนา ภาวนาข้ันจวนเจยี น คอื
ชนกกรรม หรืออปุ ตถัมภกกรรม ท่ีตรง เจริญกรรมฐานถึงข้ันเกิดอุปจารสมาธิ
ขามกับตนเสีย แลวใหผลแทนท่ี (ขอ ๘ (ขอ ๒ ในภาวนา ๓)
ในกรรม ๑๒) อุปจารสมาธิ สมาธิจวนจะแนวแน,
อปุ จาร เฉยี ด, จวนเจยี น, ทใี่ กลชดิ , สมาธิท่ียังไมดิ่งถึงท่ีสุด เปนข้ันทําให
ระยะใกลเคยี ง, ชาน, บรเิ วณรอบๆ; ดงั กเิ ลสมนี วิ รณเปนตนระงบั กอนจะเปน
ตวั อยางคาํ ทวี่ า อปุ จารเรอื น อปุ จารบาน อปั ปนา คอื ถึงฌาน (ขอ ๑ ในสมาธิ ๒,
แสดงตามที่ทานอธิบายในอรรถกถาพระ ขอ ๒ ในสมาธิ ๓)
วนิ ยั ดงั น้ี อปุ จารแหงสงฆ บริเวณรอบๆ เขตสงฆ
อาคารท่ีปลูกข้ึนรวมในแคระยะน้ํา ชมุ นุมกนั
ตกที่ชายคาเปนเรือน, บริเวณรอบๆ อุปฐาก ดู อุปฏฐาก
เรือนซึ่งกําหนดเอาท่ีแมบานยืนอยูท่ี อปุ ตสิ สะ ดู สารีบุตร
ประตูเรือนสาดน้ําลางภาชนะออกไป อุปติสสปริพาชก คาํ เรยี กพระสารบี ตุ ร
หรือแมบานยืนอยูภายในเรือน โยน เมื่อบวชเปนปริพาชกอยูในสํานัก
๖๒๒
อปุ ถัมภ ๖๒๓ อุปมา๓ขอ
ของสญชัย ปาปสมาจาร ความประพฤติเลวทราม
อุปถัมภ การคํ้าจุน, เคร่ืองค้ําจุน,
คอื คบหากบั คฤหัสถในทางทไ่ี มสมควร
อุดหนนุ , ชวยเหลือ, หลอเลี้ยง ทาํ ตนเปนกลุ ทสู ก ๓. อเนสนา หาเลยี้ ง
อุปธิ สิง่ นงุ นัง, สภาวะกลัว้ กิเลส, สงิ่ ท่ยี ัง
ชีพในทางท่ไี มสมควร เชน เปนหมอ
ระคนดวยกิเลส 1. รางกาย 2. สภาวะ เสกเปาใหหวย เปนตน
อันเปนท่ีต้ังที่ทรงไวแหงทุกข ไดแก อปุ ปลวัณณา ดู อุบลวรรณา
กาม กเิ ลส เบญจขนั ธ และอภิสงั ขาร อุปปชชเวทนยี กรรม กรรมใหผลในภพ
อปุ นาหะ ผกู โกรธไว, ผูกใจเจบ็ (ขอ ๔ ที่จะไปเกิด คอื ในภพถดั ไป (ขอ ๒ ใน
ในอปุ กเิ ลส ๑๖) กรรม ๑๒)
อุปนิสัย ความประพฤติที่เคยชนิ เปนพ้ืน อปุ ปตตเิ ทพ “เทวดาโดยกาํ เนดิ ” ไดแก
มาในสันดาน, ความดีทีเ่ ปนทนุ หรือเปน พวกเทวดาในกามาพจรสวรรคและ
พ้ืนอยูในจิตต, ธรรมที่เปนเครื่อง พรหมทั้งหลาย (ขอ ๒ ในเทพ ๓)
อดุ หนุน อุปปฬกกรรม “กรรมบีบคั้น” ไดแก
อุปนิสินนกถา “ถอยคําของผูเขาไปน่ัง กรรมทเ่ี ปนกศุ ลกด็ ี อกศุ ลกด็ ี ซง่ึ บบี คน้ั
ใกล”, การนั่งคุยสนทนาอยางกันเอง การใหผลแหงชนกกรรมและอปุ ตถมั ภก-
หรือไมเปนแบบแผนพิธี เพ่อื ตอบคําซกั กรรม ทีต่ รงขามกบั ตน ใหแปรเปล่ียน
ถาม แนะนาํ ช้แี จง ใหคําปรกึ ษา เปนตน ไป เชน ถาเปนกรรมดีก็บีบค้นั ใหออน
อุปบารมี บารมีขน้ั รอง, บารมขี ั้นจวนสงู ลง ไมใหไดรับผลเตม็ ที่ ถาเปนกรรมชวั่
สุด คือ บารมที ีบ่ าํ เพญ็ ย่งิ กวาบารมตี าม กเ็ กยี ดกนั ใหทเุ ลา (ขอ ๗ ในกรรม ๑๒)
ปกติ แตยังไมถึงสุดท่ีจะเปนปรมัตถ- อุปมา ขอความทน่ี าํ มาเปรียบเทียบ, การ
บารมี เชน สละทรพั ยภายนอกเปนทาน อางเอามาเปรียบเทยี บ, ขอเปรยี บเทยี บ
บารมี สละอวัยวะเปนทานอุปบารมี อปุ มา ๓ ขอ ขอเปรยี บเทียบ ๓ ประการ
สละชีวติ เปนทานปรมัตถบารม;ี ดู บารมี ท่ีปรากฏแกพระโพธิสัตว เม่ือจะทรง
อปุ ปถกิริยา การทํานอกรตี นอกรอยของ บําเพ็ญเพียรที่ตําบลอุรุเวลาเสนานิคม
สมณะ, ความประพฤตินอกแบบแผน คือ
ของภิกษสุ ามเณร ทานจัดรวมไวเปน ๓ ๑. ไมสดชุมดวยยาง ทง้ั ต้งั อยใู น
ประเภท คอื ๑. อนาจาร ประพฤติไมดี น้ําจะเอามาสีใหเกิดไฟ ก็มแี ตจะเหน่ือย
ไมงาม และเลนไมเหมาะสมตางๆ ๒. เปลา ฉันใด สมณพราหมณ ที่มีกายยัง
๖๒๓