The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ นิพนธ์โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

คําศัพท์ในวิชานักธรรมซึ่งการตอบและอธิบายตามแบบแผนมีความสําคัญมากสําหรับผู้เรียนและผู้สอบในระบบนั้น (โดยมากเป็นศัพท์พระวินัย) ในที่นี้มักคัดเอาความหมายและคําอธิบายในแบบเรียนมาลงไว้ด้วย

ความหมายและคําอธิบายหลายแห่งเขียนอย่างคนรู้กันคือผู้มีพื้นความรู้อยู่บ้างแล้วจึงจะเข้าใจชัดเจน และใช้ประโยชน์ได้เต็มที่

อย่างไรก็ตาม ว่าโดยส่วนใหญ่ คนทั่วไปที่สนใจทางพระศาสนาก็ใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by preecha.s, 2021-04-01 23:54:17

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ นิพนธ์โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

คําศัพท์ในวิชานักธรรมซึ่งการตอบและอธิบายตามแบบแผนมีความสําคัญมากสําหรับผู้เรียนและผู้สอบในระบบนั้น (โดยมากเป็นศัพท์พระวินัย) ในที่นี้มักคัดเอาความหมายและคําอธิบายในแบบเรียนมาลงไว้ด้วย

ความหมายและคําอธิบายหลายแห่งเขียนอย่างคนรู้กันคือผู้มีพื้นความรู้อยู่บ้างแล้วจึงจะเข้าใจชัดเจน และใช้ประโยชน์ได้เต็มที่

อย่างไรก็ตาม ว่าโดยส่วนใหญ่ คนทั่วไปที่สนใจทางพระศาสนาก็ใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดี

Keywords: พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

รปู ๒๘ ๓๗๔ รูป๒๘

โดยสมมติเรียกกันไปตามที่ตกลง กลนิ่ รส โผฏฐัพพะ (โผฏฐัพพะไมนับ

บญั ญัติ เชนทนี่ บั ถอื ไฟเปนเทวดา เรยี ก เขาจํานวน เพราะตรงกับปฐวี เตโช

วาแมพระเพลงิ พระอคั นเี ทพ เปนตน วาโย ซึ่งเปนมหาภูตรปู ) ค. ภาวรูป ๒
ไดแก อติ ถีภาวะ ความเปนหญงิ และ
(บญั ญตั ิเตโช กเ็ รยี ก) ปุรสิ ภาวะ ความเปนชาย ง. หทัยรูป คอื
วาโยธาตุ ๔ อยาง คอื ๑.ลกั ขณ- หทัยวัตถุ หัวใจ จ. ชีวิตรูป ๑ คือ
ชีวิตนิ ทรีย ภาวะท่รี กั ษารปู ใหเปนอยู ฉ.
วาโย วาโยโดยลกั ษณะ ไดแก สภาวะท่ี อาหารรูป ๑ คอื กวฬงิ การาหาร อาหาร
สน่ั ไหว คาํ้ จนุ เครงตงึ (เรยี ก ปรมตั ถ- ทก่ี นิ เกดิ เปนโอชา ช. ปรจิ เฉทรปู ๑ คือ
วาโย กไ็ ด) ๒.สสมั ภารวาโย วาโยโดย อากาศธาตุ ชองวาง ญ. วิญญัตริ ปู ๒ คือ
พรอมดวยเคร่อื งประกอบ ภายในกาย กายวญิ ญตั ิ ไหวกายใหรคู วาม วจวี ญิ ญตั ิ
ไหววาจาใหรคู วาม คอื พดู ฎ. วกิ ารรปู ๕
เชน ลมหายใจ ลมในทอง ลมในไส ลม อาการดัดแปลงตางๆ ไดแก ลหุตา
ความเบา, มทุ ตุ า ความออน, กมั มญั ญตา
หาว ลมเรอ ภายนอกตวั เชน ลมพดั ลม ความควรแกงาน, (อกี ๒ คอื วญิ ญตั ริ ปู
๒ นั่นเอง ไมนับอกี ) ฏ. ลกั ขณรปู ๔ ได
ลมสูบยางรถ ลมเปาไฟใหโชน ลมรอน แก อปุ จยะ ความเตบิ ขึ้นได, สนั ตติ
สบื ตอได, ชรตา ทรดุ โทรมได, อนจิ จตา
ลมหนาว ลมพายุ ลมฝน ลมเหนอื ลมใต ความสลายไมยั่งยืน (นับโคจรรปู เพียง
๓.อารมั มณวาโย วาโยโดยเปนอารมณ
คือลมที่เปนนิมิตในกรรมฐาน (เรียก ๔ วกิ ารรูปเพยี ง ๓ จึงได ๒๔)

นมิ ติ ตวาโย หรอื กสณิ วาโย ก็ได) ๔. รูป ๒๘ น้ัน นอกจากจัดเปน ๒
สมมตวิ าโย วาโยโดยสมมติเรียกกนั ไป
ตามท่ตี กลงบญั ญัติ เชนทนี่ บั ถอื ลมเปน ประเภทหลักอยางน้ีแลว ทานจัดแยก

เทวดา เรียกวาพระมารุต พระพาย ประเภทเปนคูๆ อีกหลายคู พึงทราบ
เปนตน (บัญญัติวาโย ก็เรียก); ดู ธาตุ,
ปฐวธี าต,ุ อาโปธาต,ุ เตโชธาต,ุ วาโยธาตุ โดยสงั เขป ดังน้ี
ข. อุปาทายรูป ๒๔ รปู อาศยั , รปู ทีเ่ กดิ คทู ี่ ๑: นปิ ผันนรูป (รปู ที่สําเร็จ คือเกดิ
จากปจจัยหรือสมุฏฐาน อันไดแก
สบื เน่อื งจากมหาภูต, อาการของภตู รูป,
อปุ าทารปู ๒๔ กเ็ รยี ก, มี ๒๔ คอื ก. กรรม จิต อุตุ อาหาร โดยตรง มสี ภาว-
ประสาท หรือ ปสาทรูป ๕ ไดแก จักขุ
ตา, โสต หู, ฆานะ จมกู , ชิวหา ลิ้น, ลกั ษณะของมนั เอง) มี ๑๘ คอื ท่ีมิใช
กาย, มโน ใจ ข. โคจรรูป หรอื วิสัยรปู
(รูปทเี่ ปนอารมณ) ๕ ไดแก รูป เสยี ง ๓๗๔

รปู ๒๘ ๓๗๕ รปู ๒๘

อนปิ ผนั นรูป (รปู ท่ีมไิ ดสําเร็จจากปจจัย วญิ ญัตตริ ปู ๒ วกิ ารรปู ๓ ลักขณรูป
หรือสมุฏฐานโดยตรง ไมมีสภาว- ๔); ทท่ี านวาอยางน้ี มิไดขดั กนั ดงั ท่ี
ลักษณะของมันเอง เปนเพียงอาการ ปญจกิ า ชแี้ จงวา ทนี่ บั อปุ าทนิ นรปู เปน ๙
สําแดงของนิปผนั นรปู ) ซึง่ มี ๑๐ คอื กเ็ พราะเอาเฉพาะเอกนั ตกมั มชรปู คอื รปู
ปริจเฉทรูป ๑ วิญญตั ตริ ปู ๒ วิการรปู ทเี่ กดิ จากกรรมอยางเดยี วแทๆ (ไมมใี น
๓ ลกั ขณรูป ๔ อตุ ชุ รปู เปนตน) ซงึ่ มเี พยี ง ๙ อยางดงั ที่
คูที่ ๒: อนิ ทรยี รูป (รปู ที่เปนอนิ ทรีย กลาวแลว (คอื อินทรยี รปู ๘ และหทยั -
คอื เปนใหญในหนาท)่ี มี ๘ คอื ปสาท- รูป ๑) สวนกมั มชรปู อกี ๙ อยาง (อวิ-
รปู ๕ ภาวรปู ๒ ชีวิตรปู ๑ อนินทรยี - นิพโภครูป ๘ ปรจิ เฉทรปู ๑) ไมนบั เขา
รปู (รปู ที่มิใชเปนอนิ ทรยี ) มี ๒๐ คอื ท่ี ดวย เพราะเปน อเนกนั ตกมั มชรปู คอื มิ
เหลอื จากนน้ั ใชเปนรูปท่ีเกิดจากกรรมอยางเดียวแท
คทู ี่ ๓: อปุ าทนิ นรปู (รปู ทตี่ ณั หาและทฏิ ฐิ (จติ ตชรปู กด็ ี อตุ ชุ รปู กด็ ี อาหารชรปู กด็ ี
ยึดครอง คอื รปู ซง่ึ เกิดแตกรรม ทีเ่ ปน ลวนมรี ปู ๙ อยางนเี้ หมอื นกบั กมั มชรปู
อกุศลและโลกิยกุศล) ไดแกกัมมชรูป ทง้ั นน้ั )
มี ๑๘ คอื อนิ ทรียรูป ๘ นนั้ หทยั รูป
๑ อวินิพโภครปู ๘ ปริจเฉทรูป ๑ โดยนัยนี้ เมอ่ื นับอเนกนั ตกมั มชรปู
อนุปาทนิ นรูป (รปู ทตี่ ัณหาและทฏิ ฐไิ ม (ยอมนบั รปู ทซี่ า้ํ กนั ) รวมเขามาดวย กจ็ งึ
ยึดครอง มิใชกัมมชรูป) ไดแกรปู ๑๐ มวี ธิ ีพดู แสดงความหมายของรปู คทู ่ี ๓
อยางทเี่ หลอื (คอื สัททรูป ๑ วญิ ญตั ติ- น้ีแบบปนรวมวา อุปาทินนรูป ไดแก
รูป ๒ วิการรปู ๓ ลักขณรูป ๔) กมั มชรูป ๑๘ คือ อินทรยี รูป ๘ หทัย-
รปู ๑ อวินิพโภครปู ๘ ปรจิ เฉทรูป ๑
สาํ หรบั คทู ่ี ๓ นี้ มขี อทต่ี องทาํ ความ อนุปาทินนรูป ไดแก จติ ตชรูป ๑๕ (รูป
เขาใจซบั ซอนสกั หนอย คอื ทกี่ ลาวมานนั้ ที่เกิดแตจิต: วญิ ญัตตริ ปู ๒ วกิ ารรปู ๓
เปนการอธิบายตามคัมภีรอภิธัมมัตถ- สทั ทรปู ๑ อวินพิ โภครปู ๘ ปรจิ เฉทรูป
วภิ าวนิ ี แตในโมหวิจเฉทนี ทานกลาววา ๑) อตุ ุชรูป ๑๓ (รปู ทเ่ี กิดแตอตุ :ุ วกิ าร-
อปุ าทนิ นรปู มี ๙ เทานั้น ไดแกอนิ ทรีย- รปู ๓ สทั ทรูป ๑ อวินิพโภครูป ๘ ปริจ-
รปู ๘ และหทัยรปู ๑ อนุปาทินนรูป ได เฉทรปู ๑) อาหารชรูป ๑๒ (รปู ที่เกิด
แกรปู ๑๙ อยางทเ่ี หลอื (คอื อวนิ พิ โภค แตอาหาร: วกิ ารรปู ๓ อวินิพโภครปู ๘
รูป ๘ ปริจเฉทรปู ๑ สัททรูป ๑ ปริจเฉทรูป ๑)

๓๗๕

รปู ๒๘ ๓๗๖ รูป๒๘

คทู ี่ ๔: โอฬาริกรปู (รูปหยาบ ปรากฏ เหลือจากนั้น
ชดั ) มี ๑๒ คือ ปสาทรูป ๕ วสิ ัยรูป ๗ คทู ่ี ๑๐: อชั ฌตั ตกิ รปู (รปู ภายใน ฝาย
ของตนทจี่ ะรบั รโู ลก) มี ๕ คือ ปสาทรูป
สุขมุ รูป (รูปละเอยี ด รบั รทู างประสาท
๕ พาหิรรูป (รูปภายนอก เหมือนเปน
ทงั้ ๕ ไมได รไู ดแตทางมโนทวาร) มี
พวกอน่ื ) มี ๒๓ คือ ที่เหลอื จากนนั้
๑๖ คอื ทเี่ หลือจากน้ัน คทู ่ี ๑๑: โคจรคั คาหกิ รปู (รปู ทรี่ บั โคจร
คูท่ี ๕: สันตเิ กรูป (รูปใกล รับรงู าย) มี คอื รบั รอู ารมณหา) มี ๕ คอื ปสาทรปู ๕
๑๒ คอื ปสาทรปู ๕ วิสัยรูป ๗ ทเู รรูป (แยกยอยเปน ๒ พวก ไดแก สัมปตต-
โคจรัคคาหกิ รปู รปู ซง่ึ รบั อารมณทไี่ มมา
(รูปไกล รบั รยู าก) มี ๑๖ คอื ที่เหลอื ถงึ ตนได มี ๒ คอื จกั ขุ และโสตะ กบั
อสัมปตตโคจรัคคาหิกรูป รูปซึ่งรับ
จากนน้ั [เหมอื นคูท่ี ๔] อารมณทม่ี าถงึ ตน มี ๓ คอื ฆานะ ชวิ หา
คูที่ ๖: สปั ปฏฆิ รปู (รูปที่มีการกระทบ
ใหเกิดการรับร)ู มี ๑๒ คือ ปสาทรูป ๕ และกาย) อโคจรัคคาหิกรูป (รูปท่ีรับ

วสิ ัยรปู ๗ อัปปฏฆิ รูป (รปู ทไ่ี มมกี าร โคจรไมได) มี ๒๓ คอื ทเ่ี หลือจากนั้น

กระทบ ตองรดู วยใจ) มี ๑๖ คือ ที่ [เหมอื นคูท่ี ๑๐]
คทู ี่ ๑๒: อวนิ พิ โภครปู (รปู ทแี่ ยกจากกนั
เหลอื จากนนั้ [เหมอื นคทู ่ี ๔] ไมได) มี ๘ คือ ภตู รูป ๔ วณั ณะ ๑
คทู ี่ ๗: สนิทสั สนรูป (รูปที่มองเหน็ ได)
มี ๑ คอื วัณณะ ๑ (ไดแกรูปารมณ) คันธะ ๑ รสะ ๑ โอชา (คืออาหารรูป) ๑

อนิทัสสนรูป (รูปที่มองเห็นไมได) มี [ท่ีประกอบกันเปนหนวยรวมพ้ืนฐาน

๒๗ คอื ท่เี หลอื จากนนั้ ของรปู ธรรม ทเ่ี รยี กวา “สทุ ธฏั ฐกกลาป”]
คทู ่ี ๘: วตั ถุรูป (รปู เปนทตี่ ้ังอาศยั ของ
จติ และเจตสิก) มี ๖ คอื ปสาทรูป ๕ วนิ พิ โภครปู (รปู ทแ่ี ยกจากกนั ได) มี ๒๐

หทัยรปู ๑ อวตั ถรุ ปู (รูปอันไมเปนที่ตั้ง คือ ทเี่ หลือจากนั้น

อาศัยของจิตและเจตสิก) มี ๒๒ คอื ท่ี นอกจากรูปที่จัดประเภทเปนคูดังท่ี

เหลือจากน้นั กลาวมานแ้ี ลว ในพระไตรปฎกกลาวถงึ
คทู ี่ ๙: ทวารรปู (รปู เปนทวาร คือเปน
ทางรับรูของวิญญาณหา และทางทํา รปู ชดุ ท่มี ี ๓ ประเภท ซึ่งเทียบไดกบั ท่ี

กายกรรมและวจีกรรม) มี ๗ คือ แสดงขางตน คอื (เชน ท.ี ปา.๑๑/๒๒๘/๒๒๙)

ปสาทรปู ๕ วญิ ญัตตริ ปู ๒ อทวารรปู สนทิ ัสสนสัปปฏิฆรปู (รปู ที่มองเหน็ และ

(รูปอนั มิใชเปนทวาร) มี ๒๑ คอื ที่ มกี ารกระทบใหเกิดการรับรไู ด) มี ๑ ได

๓๗๖

รูปกลาป ๓๗๗ รปู สัญเจตนา

แกรปู ารมณ คอื วณั ณะ อนทิ ัสสนสัป- รปู ธรรม สิง่ ทม่ี ีรปู , สภาวะที่เปนรูป; คูกับ
ปฏิฆรปู (รปู ทม่ี องเหน็ ไมได แตมกี าร นามธรรม
กระทบได) ไดแกโอฬาริกรูป ๑๑ ท่ี รูปนันทา พระราชบุตรีของพระเจา

เหลือ อนทิ สั สนอัปปฏิฆรูป (รูปทม่ี อง สุทโธทนะและพระนางปชาบดีโคตมี

เห็นไมไดและไมมีการกระทบใหเกิดการ เปนพระกนิฏฐภคินีตางพระมารดาของ

รบั รู ตองรูดวยใจ) ไดแก สขุ ุมรูป ๑๖ พระสิทธตั ถะ
รูปอีกชุดหนึ่งท่ีกลาวถึงบอย และ รปู ปริจเฉทากาศ ดู อากาศ ๓, ๔

ควรทราบ คอื ชดุ ที่จดั ตามสมฏุ ฐาน เปน รูปพรรณ เงินทองท่ีทาํ เปนเครอ่ื งใชหรือ

๔ ประเภท ไดแก กมั มชรปู ๑๘ จติ ตช- เครอื่ งประดับ, ลักษณะ, รปู ราง และสี
รปู ๑๕ อตุ ชุ รูป ๑๓ และอาหารชรปู ๑๒ รปู พรหม พรหมในช้นั รูปภพ, พรหมท่ี

พงึ ทราบตามทก่ี ลาวแลวในคทู ่ี ๓ วาดวย เกิดดวยกาํ ลงั รปู ฌาน มี ๑๖ ช้นั ; ดู

อปุ าทนิ นรปู และอนปุ าทนิ นรปู ขางตน พรหมโลก
รปู กลาป ดู กลาป 2. รูปภพ โลกเปนที่อยูของพวกพรหม; ดู
รูปกัมมัฏฐาน กรรมฐานมรี ปู ธรรมเปน พรหมโลก
อารมณ รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรม คอื ติด
รปู กาย ประชุมแหงรูปธรรม, กายทเี่ ปน ใจในอารมณแหงรูปฌาน หรือใน

สวนรูป โดยใจความไดแกรูปขนั ธหรือ รปู ธรรมอนั ประณตี (ขอ ๖ ในสงั โยชน

รางกาย; เทยี บ นามกาย ๑๐)

รปู ฌาน ฌานมรี ปู ธรรมเปนอารมณ มี ๔ รูปรปู รปู ที่เปนรปู หรือรปู แท คือ รูปท่ี
คอื ๑. ปฐมฌาน ฌานที่ ๑ มอี งค ๕ เกิดจากปจจัยหรือสมุฏฐานของมันโดย

คอื วติ ก (ตรกึ ) วจิ าร (ตรอง) ปติ (อิม่ ตรง มสี ภาวลกั ษณะของมนั เอง มใิ ชเปน
ใจ) สุข (สบายใจ) เอกัคคตา (จิตมี เพียงอาการสาํ แดง ไดแก นปิ ผนั นรูป
อารมณเปนหนง่ึ ) ๒. ทุติยฌาน ฌานท่ี ๑๘; ดูท่ี รูป ๒๘
๒ มีองค ๓ คือ ปติ, สขุ เอกคั คตา ๓. รปู วจิ าร ความตรองในรปู เกิดตอจาก
ตติยฌาน ฌานท่ี ๓ มีองค ๒ คือ สขุ , รปู วิตก
เอกัคคตา ๔. จตุตถฌาน ฌานท่ี ๔ มี รูปวิตก ความตรึกในรูป เกดิ ตอจากรปู -

องค ๒ คอื อุเบกขา, เอกัคคตา ตณั หา
รูปตัณหา ความอยากในรปู รปู สัญเจตนา ความคดิ อานในรูป เกิด

๓๗๗

รปู สญั ญา ๓๗๘ โรหิณี

ตอจากรปู สัญญา ธรรมอยูในปาไมตะเคียนประมาณ ๓

รูปสัญญา ความหมายรใู นรปู เกดิ ตอ เดือนเศษ กไ็ ดสําเร็จพระอรหตั ไดรบั

จากจกั ขสุ มั ผัสสชาเวทนา ยกยองเปนเอตทคั คะในทางอยูปา

รูปปปมาณิกา ผูถอื รูปเปนประมาณ คอื โรหณิ ี 1. เจาหญิงองคหนง่ึ แหงศากยวงศ

พอใจในรูป ชอบรูปรางสวยสงางาม ผิว เปนกนิษฐภคินี คือนองสาวของพระ

พรรณหมดจดผองใส เปนตน อนรุ ทุ ธะ (ตามหนังสือเรยี นวาเปนพระ

รูปารมณ อารมณคือรูป, สิ่งท่ีเห็นได ธิดาของเจาอมิโตทนะ แตเมื่อถือตาม

ดวยตา ม.อ.๑/๓๘๔; วินย.ฏี.๓/๓๔๙ เปนตน ทีก่ ลาววา

รูปาวจร ซ่ึงทองเที่ยวไปในรูป, อยูใน พระอนุรุทธะเปนโอรสของเจาสุกโกทนะ

ระดบั จติ ชัน้ รปู ฌาน, ระดบั ทมี่ รี ปู ธรรม เจาหญิงโรหิณีก็เปนพระธิดาของเจา
เปนอารมณ, เนอ่ื งในรูปภพ; ดู ภพ, ภูมิ สุกโกทนะ) ไดบรรลุธรรมเปนพระ
รูปยสังโวหาร การแลกเปลี่ยนดวย โสดาบนั 2. ช่อื แมนํ้าท่ีเปนเสนแบงเขต

รูปยะ, การซ้ือขายดวยเงินตรา, ภิกษุ แดนระหวางแควนศากยะ กับแควน

กระทํา ตองอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย โกลิยะ การแยงกันใชนา้ํ ในการเกษตร

(โกสิยวรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๙) เ ค ย เ ป น มู ล เ ห ตุ ใ ห เ กิ ด ก ร ณี พิ พ า ท

รปู ยะ, รปู ยะ เงนิ ตรา ระหวางแควนท้ังสองจนจวนเจียนจะ

เรวตะ ชอื่ พระเถระองคหนง่ึ ในการกสงฆ เกิดสงครามระหวางพระญาติ ๒ ฝาย

ทาํ สังคายนาครงั้ ท่ี ๒ พระพุทธเจาเสดจ็ มาระงบั ศึก จงึ สงบลง

เรวตขทริ วนยิ ะ พระมหาสาวกองคหนึง่ ได สันนษิ ฐานกนั วา เปนเหตกุ ารณใน

เปนบุตรพราหมณชื่อวังคันตะมารดาช่ือ พรรษาท่ี ๕ (บางทานวา ๑๔ หรือ ๑๕)

นางสารี เปนนองชายคนสุดทองของ แหงการบําเพ็ญพุทธกิจ และเปนท่ีมา

พระสารีบตุ ร บวชอยูในสาํ นกั ของภิกษุ ของพระพุทธรปู ปางหามญาต;ิ ปจจุบนั
พวกอยปู า (อรัญวาสี) บําเพ็ญสมณ- เรยี ก Rowai หรอื Rohwaini

๓๗๘



ฤกษ คราวหรือเวลาซ่ึงถือวาเหมาะเปน สันสกฤตของ อทิ ธิ; ฤทธิ์ หรอื อิทธิ

ชยั มงคล คอื ความสําเร็จ ความรงุ เรอื ง มี ๒ คือ

ฤคเวท ชื่อคัมภีรท่ีหนึ่งในไตรเพท ๑. อามสิ ฤทธิ์ อามิสเปนฤทธ์ิ, ความ
ประกอบดวยบทมนตรสรรเสริญเทพ สําเร็จหรือความรุงเรืองทางวัตถุ ๒.
เจาทั้งหลาย; ดู ไตรเพท ธรรมฤทธิ์ ธรรมเปนฤทธ์ิ, ความสาํ เรจ็
ฤดู คราว, สมัย, สวนของปซง่ึ แบงเปน ๓ หรอื ความรงุ เรืองทางธรรม
คราวข้นึ ไป เชน ฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดู ฤษี ผแู สวงธรรม ไดแกนักบวชนอกพระ
รอน; ดู มาตรา
ศาสนาซงึ่ อยใู นปา, ชีไพร, ผแู ตงคมั ภีร

ฤทธ์ิ อํานาจศักดิ์สิทธ, ความเจริญ, พระเวท

ความสําเร็จ, ความงอกงาม, เปนรูป



ลกณุ ฏกภทั ทยิ ะ พระมหาสาวกองคหนง่ึ กาบัติ
เปนบุตรในตระกูลมั่งค่ัง ชาวพระนคร ลหโุ ทษ โทษเบา; คกู ับ มหันตโทษ
สาวตั ถี ไดฟงพระธรรมเทศนาของพระ ลหุภณั ฑ ของเบา เชน บณิ ฑบาต เภสัช

ศาสดาท่ีพระเชตวันมีความเล่ือมใสจึง และของใชประจําตัว มีเขม็ มดี พบั มดี
บวชในพระพุทธศาสนา ทานมีรูปราง โกน เปนตน; คูกบั ครภุ ัณฑ
เตี้ยคอมจนบางคนเห็นขัน วันหนึ่งมี ลักขณูปนชิ ฌาน ดู ฌาน ๒
หญิงน่ังรถผานมา พอเห็นทานแลว ลักซอน เห็นของเขาทาํ ตก มีไถยจิตเอา

หัวเราะจนเห็นฟน ทานกําหนดฟนนั้น ดินกลบเสยี หรือเอาของมใี บไมเปนตน

เปนอารมณกรรมฐาน ไดสําเร็จ ปดเสยี
อนาคามิผล ตอมาทานไดบรรลุพระ ลักเพศ [ลกั -กะ-เพด] แตงตัวปลอมเพศ

อรหัตในสํานักพระสารีบุตร แตเพราะ เชนไมเปนภิกษุ แตนุงหมผาเหลือง

ความทม่ี รี ปู รางเลก็ เต้ียคอม ทานมกั ถกู แสดงตัวเปนภิกษุ
เขาใจผิดเปนสามเณรบาง ถูกพระหนมุ ลักษณะ ส่ิงสําหรับกําหนดรู, เคร่ือง

เณรนอยลอเลียนบาง ถูกเพ่ือนพระดู กําหนดร,ู อาการสําหรบั หมายรู, เครอ่ื ง

แคลนบาง แตพระพทุ ธเจากลบั ตรัสยก แสดงสิ่งหน่ึงใหเห็นวาตางจากอีกส่ิง

ยองวา ถึงทานจะรางเลก็ แตมคี ณุ ธรรม หนึ่ง, คุณภาพ, ประเภท

ฤทธานภุ าพมาก ทานไดรับยกยองเปน ลกั ษณะ ๓ ไมเท่ียง, เปนทกุ ข ไมใชตวั
ตน; ดู ไตรลักษณ
เอตทัคคะในทางมีเสียงไพเราะ

ลบหลคู ุณทาน ดู มักขะ ลักษณพยากรณศาสตร ตําราวาดวย
ลวงสิกขาบท ละเมิดสิกขาบท, ไม การทายลกั ษณะ
ประพฤตติ ามสกิ ขาบท, ฝาฝนสกิ ขาบท ลักษณะตัดสนิ ธรรมวินยั ดู หลกั ตดั สิน
ลหุ เสยี งเบา ไดแก รสั สสระไมมตี วั ธรรมวินัย
สะกด คอื อ, อ,ิ อุ เชน น ขมติ; คกู ับ ครุ ลคั น เวลาในดวงชาตาคนเกิดและในดวง
ลหกุ าบัติ อาบัตเิ บา คือ อาบัตทิ ีม่ ีโทษ ทําการมงคล
เลก็ นอย ไดแกอาบตั ถิ ลุ ลจั จยั ปาจติ ตยี ลัชชนิ ี หญงิ ผูมีความละอายตอบาป เปน
ปาฏิเทสนยี ะ ทกุ กฏ ทพุ ภาสิต; คูกับ ครุ- อิตถีลิงค ถาเปนปุงลงิ ค เปน ลชั ชี

ลัชชีธรรม ๓๘๑ ลกู ถวิน

ลัชชีธรรม ธรรมแหงบุคคลผูละอายตอ คือ ต้งั “นโม ฯลฯ” ๓ จบแลวกลาววา
บาป “สิกขฺ ํ ปจฺจกขฺ าม,ิ คหิ ีติ มํ ธาเรถ” (วา ๓
ลฏั ฐิวัน สวนตาลหนมุ (ลฏั ฐิ แปลวา ครั้ง) แปลวา “กระผมลาสกิ ขา, ขอทาน

“ไมตะพด” ก็ได บางทานจึงแปลวา “ปา ทั้งหลายจงทรงจํากระผมไววาเปน
ไมรวก”) อยูทิศตะวันตกเฉียงใตของ คฤหัสถ” (คิหตี ิ ออกเสียงเปน [ค-ิ ฮี-ต]ิ )
กรุงราชคฤห พระพุทธเจาเสด็จไป ลาํ เอยี ง ดู อคติ
ประทับที่นั่น พระเจาพิมพิสารไปเฝา ลขิ ติ โก, ลิขติ กะ “ผูถกู เขียนไว” หมาย

พรอมดวยราชบรพิ ารจํานวนมาก ทรง ถงึ โจรทท่ี างการมปี ระกาศบอกไว (เชน)

สดับพระธรรมเทศนา ไดธรรมจักษุ วา “พบในท่ีใด พึงฆาเสยี ในทนี่ ้นั ”, โจร

ประกาศพระองคเปนอุบาสกท่นี นั่ หรอื คนรายทท่ี างการบานเมอื งมปี ระกาศ

ลัทธิ หลักการและความคดิ เหน็ ที่เชื่อถอื หรอื หมายสง่ั ทาํ นองนี้ ไมพงึ ใหบวช
ยึดถือรวมกันเปนหมูพวกสืบกันมา, ลิงค เพศ, ในบาลีไวยากรณมี ๓ อยาง
ทิฏฐิ, ความรเู ขาใจและประเพณีท่ีไดรบั คอื ปงุ ลงิ ค เพศชาย, อติ ถลี งิ ค เพศหญงิ
นปุงสกลงิ ค มใิ ชเพศชายมใิ ชเพศหญงิ
ไวและยดึ ถือปฏบิ ัติสืบตอกันมา

ลัทธสิ มยั สมยั คอื ลทั ธิ หมายถงึ ลทั ธินนั่ ลิจฉวี กษัตริยทปี่ กครองแควนวชั ชี; ดู
เอง วัชชี
ลาภ ของทไ่ี ด, การได; ดู โลกธรรม ลมุ พินีวนั ช่ือสวนเปนที่ประสูติของพระ
ลาภมจั ฉรยิ ะ ตระหน่ีลาภ ไดแกหวงผล พุทธเจา เปนสังเวชนียสถานหน่ึงในสี่

ประโยชน พยายามกดี กันผูอืน่ ไมใหได แหง ต้งั อยูระหวางกรงุ กบลิ พสั ดุ และ

(ขอ ๓ ในมจั ฉรยิ ะ ๕) กรุงเทวทหะ บดั นเ้ี รียก Rummindei ใน

ลาภานุตตริยะ การไดท่ียอดเยีย่ ม เชน เขตประเทศเนปาล หางจากเขตแดน

ไดศรทั ธาในพระพทุ ธเจา ไดดวงตาเหน็ ประเทศอินเดียไปทางเหนือประมาณ ๖

ธรรม (ขอ ๓ ในอนตุ ตรยิ ะ ๖) กิโลเมตรคร่ึง พระสิทธัตถะประสูติที่

ลาสิกขา ปฏิญญาตนเปนผูอ่ืนจากภิกษุ สวนน้ี เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ กอนพุทธ

ตอหนาภิกษดุ วยกัน หรือตอหนาบุคคล ศก ๘๐ ป (มีปราชญคาํ นวณวาตรงกับ
อน่ื ผูเขาใจความ แลวสละเพศภิกษุเสีย วนั ศุกร ปจอ เวลาใกลเท่ยี ง); ดู สงั เวช
ถือเอาเพศท่ีปฏิญญานนั้ , ละเพศภกิ ษุ นยี สถาน
สามเณร, สกึ ; คําลาสิกขาทใ่ี ชในบัดนี้ ลูกถวิน ลกู กลมๆ ทีผ่ กู ตดิ สายประคด

๓๘๑

ลูขปฏิบัติ ๓๘๒ โลกวิทู

เอว, หวงรอยสายประคด คอื มีลาภ ไมมลี าภ มียศ ไมมยี ศ

ลขู ปฏบิ ัติ ประพฤตปิ อน, ปฏบิ ตั ิเศรา นนิ ทา สรรเสรญิ สขุ ทุกข
หมอง คือใชของเศราหมอง ไมตองการ โลกธาตุ แผนดิน; จกั รวาลหนงึ่ ๆ
ความสวยงาม (หมายถงึ ของเกา หรือดู โลกนาถ ผเู ปนทพ่ี ่ึงของโลก หมายถงึ

เกา เรยี บๆ สีปอนๆ แตสะอาด) พระพุทธเจา

ลูขปั ปมาณิกา ผูถือความเศราหมองเปน โลกบาล ผคู มุ ครองโลก, ผเู ลย้ี งรกั ษาโลก
ประมาณ ชอบผูทป่ี ระพฤติปอน ครอง ใหรมเยน็ , ทาวโลกบาล ๔; ดู จาตมุ หาราช
โลกบาลธรรม ธรรมคมุ ครองโลก คือ
ผาเกา อยูเรยี บๆ งายๆ

เลฑฑบุ าต [เลด-ดุ-บาด] ระยะโยนหรอื ปกครองควบคุมใจมนุษยไวใหอยูใน

ขวางกอนดินตก ความดี มิใหละเมดิ ศีลธรรม และใหอยู

เลศ 1. อาการ ลกั ษณะ หรอื ขอเทยี บเคยี ง กนั ดวยความเรยี บรอยสงบสุข ไมเดือด
อยางใดอยางหนึ่ง ที่พอจะยกขึ้นอาง รอนสบั สนวุนวาย มี ๒ คือ ๑. หิริ

เพอ่ื ผูกเร่อื งใสความ 2. ในภาษาไทย ความละอายบาป ละอายใจตอการทํา
โดยท่วั ไป หมายถงึ อาการที่แสดงอยาง ความชว่ั ๒. โอตตัปปะ ความกลัวบาป

มคี วามหมายซอนเรนใหรกู นั ในที มกั ใช เกรงกลวั ตอความชว่ั และผลของกรรมชว่ั

ควบคกู บั “นยั ” วา เลศนยั โลกวัชชะ อาบัติทเ่ี ปนโทษทางโลก คอื

เลียบเคียง พูดออมคอมหาทางใหเขา คนสามญั ที่มิใชภิกษุทาํ เขา กเ็ ปนความ

ถวายของ ผดิ ความเสียหาย เชน โจรกรรม ฆา

โลก แผนดนิ เปนทอ่ี าศยั , หมสู ตั วผอู าศยั ; มนุษย ทุบตกี ัน ดากนั เปนตน; บางที
โลก ๓ คือ ๑. สังขารโลก โลกคอื วาเปนขอเสียหายท่ีชาวโลกเขาติเตียน
สงั ขาร ๒. สตั วโลก โลกคือหมสู ัตว ๓. ถอื วาไมเหมาะสมกบั สมณะ เชน ด่ืม
โอกาสโลก โลกคือแผนดิน; อีกนยั หน่งึ สุรา เปนตน; เทยี บ ปณณตั ติวัชชะ
๑. มนษุ ยโลก โลกมนษุ ย ๒. เทวโลก โลกวทิ ู (พระผมู ีพระภาคเจานนั้ ) ทรงรู
โลกสวรรค ทั้ง ๖ ชนั้ ๓. พรหมโลก แจงโลก คือทรงรแู จงสภาวะแหงโลกคอื

โลกของพระพรหม สังขารทั้งหลาย ทรงทราบอัธยาศัย

โลกธรรม ธรรมทม่ี ีประจําโลก, ธรรมดา สันดานของสัตวโลกที่เปนไปตางๆ ทาํ

ของโลก, ธรรมทคี่ รอบงาํ สัตวโลกและ ใหทรงบําเพญ็ พุทธกิจไดผลดี (ขอ ๕

สตั วโลกก็เปนไปตามมนั มี ๘ อยาง ในพุทธคณุ ๙)

๓๘๒

โลกตั ถจริยา ๓๘๓ โลกตุ ตมาจารย

โลกตั ถจรยิ า พระพทุ ธจรยิ าเพอ่ื ประโยชน ของโลก, ฌานของผูมีจิตยังไมเปน

แกโลก, ทรงประพฤติเปนประโยชนแก โลกตุ ตระ, ฌานที่ปุถชุ นได
โลก คือทรงอาศยั พระมหากรณุ า เสด็จ โลกิยธรรม ธรรมอันเปนวิสัยของโลก,

ไปประกาศพระศาสนาเพื่อประโยชนสุข สภาวะเน่ืองในโลก ไดแกขันธ ๕ ทีย่ ังมี
แกมหาชนในถ่ินฐานแวนแควนตางๆ อาสวะทัง้ หมด; คกู บั โลกุตตรธรรม
เปนอันมาก และประดษิ ฐานพระศาสนา โลกยิ ภมู ิ ภูมิท่เี ปนโลกยิ ะ ไดแก สามภมู ิ

ไวเพ่ือประโยชนสุขแกชุมชนภายหลัง แรก ในภมู ิ ๔, บางทเี รยี กรวมกันวา

ตลอดกาลนาน; ดู พทุ ธจรยิ า “ไตรภูม”ิ ไดแก กามภูมิ รปู ภมู ิ และ

โลกาธปิ เตยยะ ดู โลกาธปิ ไตย อรปู ภมู ิ สวนภมู ทิ ส่ี ่ี เปนโลกตุ ตรภมู ;ิ ดู

โลกาธิปไตย ความถือโลกเปนใหญ คอื ภูมิ 2.
ถือความนิยมหรือเสียงกลาววาของชาว โลกยิ วิมตุ ติ วิมตุ ตทิ ีเ่ ปนโลกยี คือความ

โลกเปนสําคัญ หว่ันไหวไปตามเสียง พนอยางโลกๆ ไมเด็ดขาด ไมส้นิ เชิง

นินทาและสรรเสริญ จะทาํ อะไรก็มงุ จะ กิเลสและความทุกขยังกลับครอบงําได

เอาใจหมชู น หาความนิยม ทําตามทเ่ี ขา อีก ไดแกวิมุตติ ๒ อยางแรก คอื
นิยมกัน หรือคอยแตหวั่นกลัวเสียง ตทังควิมุตติ และ วิกขัมภนวิมุตต;ิ ดู
กลาววา, พึงใชแตในทางดีหรือใน วมิ ุตติ, โลกตุ ตรวิมตุ ติ
ขอบเขตท่ีเปนความดี คือ เคารพเสียง โลกิยสขุ ความสขุ อยางโลกีย, ความสขุ ท่ี

หมชู น (ขอ ๒ ในอธิปไตย ๓) เปนวสิ ยั ของโลก, ความสขุ ทย่ี งั ประกอบ

โลกามิษ เหยือ่ แหงโลก, เครือ่ งลอ ท่ลี อ ดวยอาสวะ เชน กามสขุ มนษุ ยสขุ ทพิ ย-

ใหตดิ อยใู นโลก, เครอ่ื งลอใจใหตดิ ในโลก สขุ ตลอดจนถงึ ฌานสขุ และวปิ สสนาสุข
ไดแก ปญจพิธกามคุณ คือ รปู , เสยี ง, โลกุดร, โลกุตตระ, โลกตุ ระ พนจาก

กลนิ่ , รส, โผฏฐัพพะ อนั นาปรารถนา โลก, เหนอื โลก, พนวิสัยของโลก, ไม

นาใครนาพอใจ; โลกามิส กเ็ ขยี น เน่อื งในภพท้ังสาม (พจนานุกรม เขยี น

โลกิยะ, โลกียะ, โลกีย เก่ียวกับโลก, โลกตุ ร, พึงทราบอยางนี้ทกุ แหง); คกู ับ
ทางโลก, เนื่องในโลก, เรื่องของชาว โลกยิ ะ
โลก, ยังอยใู นภพสาม, ยังเปนกามาวจร โลกุตตมาจารย อาจารยผูสูงสุดของ
รูปาวจร หรอื อรปู าวจร; คกู ับ โลกตุ ตระ โลก, อาจารยยอดเย่ยี มของโลก หมาย
โลกิยฌาน ฌานโลกีย, ฌานอนั เปนวิสยั ถงึ พระพุทธเจา

๓๘๓

โลกุตตรธรรม ๓๘๔ โลหติ ปุ บาท

โลกุตตรธรรม ธรรมอันมิใชวิสัยของ นิพพาน
โลก, สภาวะพนโลก มี ๙ ไดแก มรรค โลกุตตราริยมรรคผล อริยมรรคและ

๔ ผล ๔ นพิ พาน ๑ (พจนานกุ รม อริยผลท่พี นวิสัยของโลก

เขยี น โลกตุ รธรรม); คกู ับ โลกิยธรรม โลณเภสัช เกลอื เปนยา เชนเกลือทะเล
โลกุตตรปญญา ปญญาที่สัมปยุตดวย เกลอื ดํา เกลอื สนิ เธาว เปนตน
โลกุตตรมรรค, ความรูที่พนวิสัยของ โลน กิรยิ าวาจาหยาบคายไมสุภาพ
โลภ ความอยากได (ขอ ๑ ในอกศุ ลมลู ๓)
โลก, ความรทู ช่ี วยคนใหพนโลก

โลกตุ ตรภมู ิ ชน้ั ที่พนจากโลก, ระดับจติ โลภเจตนา เจตนาประกอบดวยโลภ, จง

ใจของพระอรยิ เจา (ขอ ๔ ในภมู ิ ๔ อีก ใจคิดอยากได, ตั้งใจจะเอา

๓ ภูมิ คือ กามาวจรภมู ิ รปู าวจรภมู ิ โลมะ, โลมา ขน
โลมชาติชูชัน ขนลุก
อรปู าวจรภมู )ิ

โลกุตตรวิมุตติ วิมุตติที่เปนโลกุตตระ โลลโทษ โทษคือความโลเล, ความมี

คือความหลุดพนท่ีเหนือวิสัยโลก ซ่ึง อารมณออนไหว โอนเอนไปตามส่งิ เยา

กิเลสและความทุกขท่ีละไดแลวไมกลับ ยวนอันสะดุดตาสะดุดใจ

คืนมาอีก ไมกลบั กลาย ไดแกวมิ ตุ ติ ๓ โลหติ เลอื ด; สแี ดง
อยางหลงั คอื สมจุ เฉทวมิ ตุ ต,ิ ปฏปิ สสทั ธ-ิ โลหิตกะ ชื่อภิกษุรูปหน่ึงในพวกเหลว
วิมุตติ และ นิสสรณวมิ ุตต;ิ ดู วมิ ตุ ติ, ไหลทั้ง ๖ ที่เรยี กวา พระฉพั พัคคยี
โลกยิ วิมุตติ โลหติ ปุ บาท ทํารายพระพุทธเจาจนถึงยัง
โลกุตตรสุข, โลกุตรสุข ความสขุ อยาง พระโลหิตใหหอ (ขอ ๔ ในอนนั ตรยิ -

โลกตุ ระ, ความสขุ ทเี่ หนือกวาระดับของ กรรม ๕)

ชาวโลก, ความสุขเนื่องดวยมรรคผล

๓๘๔



วจนะ 1. คาํ พูด, ถอยคํา 2. ลกั ษณะที่ วจีสมาจาร ความประพฤติทางวาจา
บงจํานวนนามทางไวยากรณ เชน บาลมี ี วจสี ังขาร 1. ปจจยั ปรงุ แตงวาจา ไดแก
๒ วจนะ คอื เอกวจนะ บงจํานวนเพียง วติ ก (ตรึก) และ วิจาร (ตรอง) ถาไมมี
หนึ่ง และ พหวุ จนะ บงจาํ นวนตงั้ แตสอง ตรกึ ตรองกอนแลว พูดยอมไมรูเร่ือง 2.
ขนึ้ ไป; ไวยากรณปจจบุ นั นยิ มใชวา พจน สภาพทปี่ รุงแตงการกระทําทางวาจา ได
วจนตั ถะ ความหมายของคํา เชนวา “ใน แก วจีสัญเจตนา คือความจงใจทาง
ขอนี้ มวี จนตั ถะวา: ชือ่ วาธรรม เพราะ วาจา ทีก่ อใหเกดิ วจกี รรม; ดู สังขาร
ทรงไวซ่ึงลักษณะของตน”; บางแหงทาน วจีสุจริต ประพฤติชอบดวยวาจา,

ไขความไวงายๆ วา “วจนัตถะ กค็ ือ ประพฤติชอบทางวาจา มี ๔ อยาง คือ

สทั ทตั ถะ (ความหมายของศัพท)” (ท๒ี .ฏี. เวนจากพูดเท็จ เวนจากพูดสอเสียด

๕๓); จะใชส้นั ๆ วา “วจนตั ถ” กไ็ ด เวนจากพดู คาํ หยาบ เวนจากพดู เพอเจอ;
วจกี รรม การกระทาํ ทางวาจา, การกระทาํ ดู สจุ ริต; เทยี บ วจีทุจรติ
ดวยวาจา, ทาํ กรรมดวยคาํ พดู , ทดี่ ี เชน วณพิ ก คนขอทานโดยรองเพลงขอ คือ

พดู จรงิ พดู คาํ สภุ าพ ทช่ี ว่ั เชน พดู เทจ็ ขับรองพรรณนาคุณแหงการใหทานและ

พดู คาํ หยาบ; ดู กศุ ลกรรมบถ, อกุศล- สรรเสรญิ ผใู หทาน ทเี่ รยี กวาเพลงขอทาน
กรรมบถ วทญั ู “ผรู ถู อยคาํ ” คือ ใจดี เออ้ื อารี
วจีทวาร ทวารคอื วาจา, ทางวาจา, ทาง เอื้อเฟอฟงคําของเขา รับฟงความทุกข

คําพดู (ขอ ๒ ในทวาร ๓) ยากเดือดรอนและความตองการของผู

วจที จุ รติ ประพฤตชิ ว่ั ดวยวาจา, ประพฤติ อนื่ เขาใจถงึ คาํ พดู ของเขา
ช่วั ทางวาจามี ๔ อยางคือ ๑. มสุ าวาท วน, วนะ, วนั ปา, ปาไม, ดง, สวน (บาล:ี
พูดเท็จ ๒. ปสณุ าวาจา พูดสอเสียด ๓. วน); วนะ คอื ปา ในความหมายทเี่ นน
ผรสุ วาจา พดู คาํ หยาบ ๔. สมั ผปั ปลาปะ ความเปนทร่ี วมอยขู องตนไม หรอื พฤกษ-
พดู เพอเจอ; ดู ทจุ รติ ; เทยี บ วจีสุจริต ชาติ ตลอดจนสา่ํ สตั วทอ่ี าศยั สวน อรญั
วจีวิญญัติ การเคล่ือนไหวใหรูความ คอื ปา ในความหมายทเี่ นนความเปลา

หมายดวยวาจา ไดแก การพดู การ เปลยี่ ว หางไกล หรอื ความเปนตางหาก

กลาวถอยคาํ ; เทียบ กายวิญญตั ิ จากบาน หรอื จากชมุ ชน; เทยี บ อรญั

วนปรสั ถะ ๓๘๖ วสี

วนปรสั ถะ ดู วานปรัสถ วรรณนา คําพรรณนา, คําชี้แจงความ
วนาสณฑ, วนาสัณฑ ดู ไพรสณฑ หมายอธิบายความ คลายกับคําวา
วโนทยาน สวนปา เชน สาลวโนทยาน อรรถกถา (อฏ กถา) บางทกี ใ็ ชเสรมิ กัน

คอื สวนปาไมสาละ หรือแทนกันบาง (เชน ท.ี อ.๓/๓๖๐/๒๖๗:
วรกปั ดู กปั
วรฺคานตฺ พยญั ชนะทส่ี ดุ วรรค ไดแก ง นฏิ ติ า จ ปาฏกิ วคคฺ สสฺ วณณฺ นาต.ิ ปาฏกิ วคคฺ ฏ -
ญณนม
วรรค หมวด, หมู, ตอน, พวก; กําหนด กถา นิฏ ิตา.) แตคําวา อรรถกถา มกั ใช
หมายถงึ ทง้ั คมั ภรี สวน วรรณนา มกั ใช
แกคําอธิบายเฉพาะตอนๆ (คาํ เตม็ รูปที่

จํานวนภิกษุท่ีประกอบเขาเปนสงฆ มักใชแทนหรือใชแสดงความหมายของ
หมวดหน่ึงๆ ซงึ่ เมื่อครบจาํ นวนแลวจึง อรรถกถา ไดแก อรรถสงั วรรณนา [คาํ

จะทาํ สงั ฆกรรมอยางนน้ั ๆ ได มี ๔ พวก บาลวี า อตถฺ สวํ ณฺณนา])
คือ ๑. สงฆจตรุ วรรค (สงฆพวก ๔ คอื ววัตถิตะ ในทางอักขรวิธีภาษาบาลี
ตองมภี กิ ษุ ๔ รปู ข้ึนไป ทํากรรมไดทกุ หมายถึงบททแี่ ยกกัน เชน ตณุ ฺหี อสสฺ
อยางเวนปวารณา ใหผากฐนิ อปุ สมบท ตรงขามกับ สัมพันธ ที่ตางบทนั้นมา
และอัพภาน) ๒. สงฆปญจวรรค (สงฆ สนธเิ ชือ่ มเขาดวยกนั เชน ตุณหฺ ี + อสสฺ
พวก ๕ คือ ตองมภี กิ ษุ ๕ รปู ขึ้นไป ทํา เปน ตุณฺหสิ สฺ หรอื ตุณฺหสสฺ
ปวารณา ใหผากฐนิ และอุปสมบทใน วสวตั ด,ี วสวดั ดี ชอ่ื พระยามาร เปนเทพ
ปจจันตชนบท) ๓. สงฆทศวรรค (สงฆ ในสวรรคชั้นสูงสุดแหงระดับกามาวจร

พวก ๑๐ คือ ตองมีภกิ ษุ ๑๐ รปู ขึ้นไป เปนผคู อยขดั ขวางเหนยี่ วรงั้ บุคคลไมให

ใหอปุ สมบทในมัธยมชนบทได) ๔. สงฆ ลวงพนจากแดนกาม ซ่ึงอยูในอํานาจ
วสี ตวิ รรค (สงฆพวก ๒๐ คือ ตองมี ครอบงาํ ของตน; ดู มาร 2, เทวปตุ ตมาร
ภิกษุ ๒๐ รูปขน้ึ ไป ทําอัพภานได) วสนั ต ฤดใู บไมผลิ (แรม ๑ คา่ํ เดอื น ๔
วรรณะ ผิว, ส,ี เพศ, ชนดิ , พวก, เหลา; ถงึ ขน้ึ ๑๕ คาํ่ เดอื น ๖); เทยี บ วสั สานะ
ความเปลงปลงั่ , ความมรี าศ;ี คุณความ (ฤดฝู น), ดู มาตรา
ดี, ความยกยองสรรเสริญ; หนังสือ; วสี มอี ํานาจเหนือ, ชาํ นาญ, จัดเจน;

ชนชั้นท่ีจัดแบงออกไปตามหลักศาสนา ความชํานาญ, ความคลองแคลวจดั เจน;
พราหมณเรียกวา วรรณะ ๔ คือ (“วส”ี หมายไดท้ัง “คน” และ “ความ”

กษัตริย พราหมณ แพศย ศูทร เชน ผูชาํ นาญ และความชาํ นาญ) มี ๕

๓๘๖

วกั กะ ๓๘๗ วงั สะ

อยาง คอื ๑.อาวัชชนวสี ความชํานาญ ศรัทธาสนิทแนว
คลองแคลวในการนกึ ตรวจองคฌานท่ี วังคันตะ ชื่อพราหมณผูเปนบิดาของ
ตนไดออกมาแลว ๒. สมาปชชนวสี พระสารบี ตุ ร
ความชํานาญคลองแคลวในการท่ีเขา วังคีสะ พระมหาสาวกองคหน่งึ เปนบตุ ร
ฌานไดรวดเร็วทันที ๓. อธิฏฐานวสี พราหมณในพระนครสาวตั ถี ไดศึกษา

ความชํานาญคลองแคลวในการที่จะ ไตรเพทจนมีความชํานาญเปนที่พอใจ
รักษาไวมิใหฌานจิตตนัน้ ตกภวังค ๔. ของอาจารย จึงไดเรียนมนตรพิเศษ
วุฏฐานวสี ความชํานาญคลองแคลวใน ชือ่ ฉวสสี มนตร สาํ หรบั พสิ จู นศรี ษะซาก

การจะออกจากฌานเมื่อใดก็ไดตาม ศพ เอาน้ิวเคาะหัวศพก็ทราบวาผูน้ัน
ตองการ ๕. ปจจเวกขณวสี ความ ตายแลวไปเกดิ เปนอะไร ท่ไี หน ทานมี

ชํานาญคลองแคลวในการพิจารณาทบ ความชํานาญในมนตรนี้มาก ตอมาได

ทวนองคฌาน เขาเฝาพระพทุ ธเจา และไดแสดงความ

วักกะ ไต (เคยแปลกันวา มาม) ดู ปหกะ สามารถของตน แตเมื่อเคาะศรี ษะของผู
วักกลิ พระมหาสาวกองคหนึง่ เปนบตุ ร ปรินิพพานแลวไมสามารถบอกคติได

พราหมณชาวพระนครสาวัตถีเรียนจบ ดวยความอยากเรียนมนตรเพิ่มอกี จึง

ไตรเพทตามลทั ธพิ ราหมณ บวชในพระ ขอบวชในพระพทุ ธศาสนา ไมนานกไ็ ด

พุทธศาสนา ดวยความอยากเห็นพระ บรรลุพระอรหัต ไดรับยกยองวาเปน

รูปพระโฉมของพระศาสดา คร้ันบวช เอตทคั คะในทางมีปฏิภาณ
แลวก็คอยติดตามดูพระองคตลอดเวลา วังสะ ช่ือแควนหนงึ่ ในบรรดา ๑๖ แควน

จนไมเปนอันเจรญิ ภาวนา พระพุทธเจา ใหญแหงชมพูทวีป ต้ังอยูในเขตมัชฌมิ -

ทรงรอเวลาใหญาณของเธอสกุ งอม ครนั้ ชนบท ทางทิศใตของแควนโกศล ทาง

แลวก็ตรัสเตือนเธอวา “จะมีประโยชน ทิศตะวนั ตกของแควนกาสี และทางทิศ

อะไรท่ีไดเห็นกายเปอยเนาน้ี ผูใดเห็น เหนือของแควนอวันตี นครหลวงชื่อ
ธรรม ผนู ้นั เหน็ เรา” ดังน้เี ปนตน และ โกสัมพี บัดน้เี รียกวา Kosam อยบู นฝง

ทรงสอนตอไปดวยอุบายวิธีจนในท่ีสุด ใตของแมน้ํายมุนา ในสมัยพุทธกาล

พระวกั กลกิ ไ็ ดสําเรจ็ พระอรหตั และตอ วังสะเปนแควนท่ีรุงเรืองและมีอํานาจ

มาไดรับยกยองจากพระศาสดาวาเปน มากแควนหนึง่ มีราชาปกครองพระนาม

เอตทัคคะในบรรดาศรัทธาธมิ ตุ คอื ผมู ี วา พระเจาอเุ ทน

๓๘๗

วจั กฎุ ี ๓๘๘ วัฏฏะ

วัจกฎุ ี สวม, ทีถ่ ายอุจจาระสาํ หรบั ภกิ ษุ บัณเฑาะก คนลักเพศ ภิกษุเขารีต

สามเณร เดียรถีย สตั วดริ จั ฉาน [รวมทั้งคนดุจ

วัจกุฎีวตั ร ขอปฏิบัติอันภกิ ษพุ งึ กระทํา ดริ ัจฉาน] คนฆามารดา คนฆาบดิ า คน

ในวัจกุฎี, ขอปฏิบัติสําหรับภิกษุผูใช ฆาพระอรหันต คนประทุษรายภิกษุณี

สวม โดยยอมี ๗ ขอ คือ ใชตามลาํ ดับ ภิกษุผูทําลายสงฆ คนผูทํารายพระ

ผไู ปถงึ , รักษากริ ิยาในการจะเขาจะออก ศาสดาจนถึงหอพระโลหิต และอุภโต-

ใหสุภาพเรียบรอยและไมทําเสียงดัง, พยญั ชนก), แมในสงั ฆกรรมทง้ั หลายอนื่

รักษาบริขารคือจีวรของตน, รักษาตัว กพ็ งึ เวนวชั ชนยี บคุ คล ๒๑ น้ี
เชน ไมเบงแรง ไมใชสิ่งที่จะเปน วัชชี ชื่อแควนหนง่ึ ในบรรดา ๑๖ แควน

อันตราย, ไมทาํ กจิ อืน่ ไปพลาง, ระวงั ไม ใหญแหงชมพูทวีป ต้ังอยูบนฝงทิศ

ทําสกปรก, ชวยรักษาความสะอาด ตะวนั ออกของแมนํา้ คนั ธกะ อยทู างทศิ
วัชชนียบุคคล “บุคคลที่พึงเวน” คือ ตะวนั ออกของแควนมลั ละ ทางทศิ เหนอื
บคุ คล ๒๑ ประเภท ซง่ึ ไมควรรวมอยู ของแควนมคธ นครหลวงช่อื เวสาลี

ในทป่ี ระชมุ สงฆท่สี วดปาติโมกข แตพึง แควนวัชชีปกครองดวยระบอบสามัคคี-

ใหอยนู อกหัตถบาส ทานถือตามพทุ ธ- ธรรม พวกกษัตริยที่ปกครองเรียกวา
บญั ญตั ิขอวา (วนิ ย.๔/๑๗๓/๒๖๖) “ไมพึง กษัตริยลิจฉวี (นอกจากพวกลจิ ฉวแี ลว

สวดปาติโมกขในบริษทั ทม่ี คี ฤหัสถ” จงึ ยังมีพวกวิเทหะซ่ึงปกครองอยูท่ีเมือง

นับคฤหัสถนั้นเปน ๑ และตามพุทธ- มถิ ลิ า แตในสมยั พทุ ธกาลมอี าํ นาจนอย)

บญั ญัติขอวา (วนิ ย.๔/๒๐๑/๒๖๘) “ไมพงึ แควนวัชชีรุงเรืองเขมแข็งและมีอํานาจ

สวดปาติโมกขในบรษิ ทั ทม่ี ภี กิ ษุณี ฯลฯ มากตอนปลายพทุ ธกาล ไดกลายเปนคู

อุภโตพยญั ชนกะ นัง่ อยดู วย” ซ่งึ มอี ีก แขงกบั แควนมคธ แตหลงั พุทธกาลไม

๒๐ บุคคล จึงรวมเปน ๒๑ (๒๐ บุคคล นาน ก็เสียอํานาจแกมคธเพราะอุบาย

ในขอหลัง ไดแก ภิกษุณี สิกขมานา ทําลายสามคั คี ของวสั สการพราหมณ
สามเณร สามเณรี ภกิ ษผุ บู อกลาสิกขา วชั ชบี ตุ ร ชอ่ื ภกิ ษพุ วกหนง่ึ ชาวเมอื งเวสาลี

ภิกษุผูตองอันติมวัตถุ ภิกษุผูถูกสงฆ แสดงวตั ถุ ๑๐ ประการ ละเมดิ ธรรมวนิ ยั
ยกเสยี ฐานไมเห็นอาบตั ิ ภกิ ษุผูถูกสงฆ เปนตนเหตแุ หงการสงั คายนา ครงั้ ท่ี๒
ยกเสียฐานไมกระทําคืนอาบัติ ภิกษุผู วัชรยาน ดู หีนยาน
ถูกสงฆยกเสียฐานไมสละคืนทิฏฐิอันช่ัว วัฏฏะ การวนเวยี น, การเวียนเกดิ เวยี น

๓๘๘

วัฏฏกปริตร ๓๘๙ วัตถุ

ตาย, การเวยี นวายตายเกดิ , ความเวยี น พทุ ธเจาทรงบญั ญตั กิ ารลงโทษควาํ่ บาตร

เกิด หรือวนเวียน ดวยอํานาจกิเลส วัฑฒิ, วัฑฒิธรรม หลักความเจริญ
กรรม และวบิ าก เชน กิเลสเกดิ ขน้ึ แลว (ของอารยชน); ดู อริยวฑั ฒิ
ใหทาํ กรรม เมอื่ ทาํ กรรมแลว ยอมไดรบั วณั ณะ ดู วรรณะ
ผลของกรรม เมอื่ ไดรบั ผลของกรรมแลว วัณณกสิณ ๔ กสิณทีเ่ พงวัตถุมสี ตี างๆ
กเิ ลสกเ็ กดิ อกี แลวทาํ กรรม แลวเสวย ๔ อยาง คือ นลี ํ สเี ขียว, ปตํ สีเหลอื ง,
ผลกรรม หมนุ เวยี นตอไป; ดู ไตรวฏั ฏ โลหิตํ สีแดง, โอทาตํ สีขาว; ดู กสิณ
วัฏฏกปรติ ร ดู ปริตร วัณณมัจฉรยิ ะ ตระหนวี่ รรณะ คือหวง
วฏั ฏคามณีอภยั ชอื่ พระเจาแผนดนิ แหง ผิวพรรณ ไมพอใจใหคนอ่ืนสวยงาม

เกาะลังกาพระองคหน่ึง ครองราชย หรือหวงคุณวัณณะ ไมพอใจใหใครมี

ประมาณ พ.ศ. ๕๐๕–๕๒๗ ถกู พวกทมฬิ คุณความดีมาแขงตน (ขอ ๔ ใน

แยงชิงราชสมบตั ิ เสด็จไปซอนพระองค มจั ฉริยะ ๕)
อยใู นปา และไดรบั ความชวยเหลอื จาก วัตตขนั ธกะ ชื่อขนั ธกะที่ ๘ แหงคมั ภรี
พระเถระรปู หน่ึง ตอมาพระองคกรู าช- จลุ วรรค วินยั ปฎก วาดวยวตั รประเภท

สมบตั ิคนื มา ไดทรงสรางอภัยครี วี ิหาร ตางๆ
และอาราธนาพระเถระรูปนั้นมาอยคู รอง วตั ตปฏิบตั ิ ดู วัตรปฏบิ ตั ิ
กับท้ังไดทรงทํานุบํารุงพระพุทธศาสนา วัตตเภท ความแตกแหงวัตร หมาย

อกี เปนอันมาก การสังคายนาคร้งั ท่ี ๕ ความวาละเลยวัตร, ละเลยหนาที่ คือ

ท่ีจารึกพุทธพจนลงในใบลาน ก็จัดทํา ไมทําตามขอปฏิบัติที่กําหนดไว เชน

ในรัชกาลน้ี ภิกษุผูกาํ ลังประพฤติมานัต หรือกําลัง

วฏั ฏปจเฉท ความเขาไปตดั เสยี ซึ่งวฏั ฏะ อยูปริวาส ละเลยวัตรของตน พระ
(เปนไวพจนของ วิราคะ)
อรรถกถาจารยปรับอาบตั ิทุกกฏ

วัฑฒกีประมาณ ประมาณของชางไม, วตั ถิกรรม การผกู รัดทท่ี วารหนกั ผกู รัด

เกณฑหรอื มาตราวดั ของชางไม หัวริดสีดวงงอกที่ทวารหนัก ทาน

วัฑฒลิจฉวี เจาลิจฉวชี อ่ื วาวฑั ฒะ ถูก สันนิษฐานวา อาจจะหมายถึงการสวน

พระเมตตยิ ะ และพระภมุ มชกะเสยี้ มสอน ทวารเบากไ็ ด
ใหทําการโจทพระทัพพมัลลบุตรดวย วตั ถุ เรือ่ ง, สงิ่ ของ, ขอความ, ทด่ี นิ ; ที่ตงั้

อาบัติปฐมปาราชิก เปนตนเหตุใหพระ เรอื่ ง หมายถงึ บุคคลผเู ปนทตี่ ง้ั แหงการ

๓๘๙

วตั ถุ๑๐ ๓๙๐ วตั ถุสมบัติ

ทาํ กรรมของสงฆ เชน ในการอปุ สมบท กปั ปะ เรื่องไมกวน ถือวา น้ํานมสดแปร

คนทจี่ ะบวชเปนวตั ถแุ หงการใหอปุ สมบท ไปแลวแตยงั ไมเปนทธคิ อื นมสม ภกิ ษฉุ นั
วตั ถุ ๑๐ เรอื่ งทเี่ ปนตนเหตุ, ขอซง่ึ เปนท่ี แลวหามอาหารแลว ดมื่ นาํ้ นมอยางนั้น
ตั้งหรือเปนจุดเริ่มตนเร่ือง, ขอปฏิบัติ อันเปนอนตริ ิตตะได ๘. ชโลคงิ ปาตงุ

๑๐ ประการของพวกภิกษุวัชชบี ุตร ชาว ถือวา สุราอยางออน ไมใหเมา ดืม่ ได
เมืองเวสาลี ที่ผิดเพี้ยนยอหยอนทาง ๙. อทสกงั นสิ ีทนงั ถือวา ผานสิ ที นะไม
พระวนิ ยั แปลกจากสงฆพวกอนื่ เปนเหตุ มชี ายกใ็ ชได ๑๐. ชาตรปู รชตงั ถือวา

ปรารภใหมีการสงั คายนาครัง้ ท่ี ๒ เม่อื ทองและเงินเปนของควร รบั ได
พ.ศ. ๑๐๐ มีดงั นี้ ๑. สิงคโิ ลณกัปปะ กรณีวัตถุ ๑๐ ประการน้จี ัดเปน

เร่ืองเกลอื เขนง ถือวา เกลอื ทเ่ี กบ็ ไวใน ววิ าทาธกิ รณใหญเร่ืองหนึง่
เขนง (ครั้งนั้นภิกษเุ ก็บเกลือไวในเขนง วตั ถกุ าม พสั ดุอันนาใคร ไดแกกามคุณ

ความหมายคือ รับประเคนไวคางคืน ๕ คอื รูป เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ
แลว) เอาออกผสมอาหารฉันได ๒. อนั นาใคร นาปรารถนา นาชอบใจ; ดู กาม
ทวงั คุลกัปปะ เร่อื งสองนว้ิ ถือวา เงา วตั ถุเทวดา เทวดาทดี่ ิน, พระภูมิ
แดดบายเลยเทยี่ งเพียง ๒ นว้ิ ฉนั วตั ถมุ งคล ดู เครอ่ื งราง
อาหารได ๓. คามันตรกปั ปะ เรื่องเขา วัตถรุ ูป ดทู ี่ รูป ๒๘
ละแวกบาน ถือวา ภกิ ษุฉันแลว หาม วตั ถวุ บิ ตั ิ วิบัติโดยวตั ถุ คอื บุคคลหรือ

อาหารแลว ปรารภวาจะเขาละแวกบาน วัตถุซ่ึงเปนท่ีตั้งแหงสังฆกรรมนั้นๆ

เดี๋ยวนั้น ฉันโภชนะเปนอนติริตตะได ขาดคุณสมบตั ิ ทาํ ใหสังฆกรรมเสยี ใช
๔. อาวาสกปั ปะ เรอื่ งอาวาส ถอื วา ภกิ ษุ ไมได เชน ในการอปุ สมบทผูอปุ สมบท

ในหลายอาวาสที่มีสีมาเดียวกันแยกทาํ อายไุ มครบ ๒๐ ป หรอื มเี ร่ืองทีเ่ ปน
อโุ บสถตางหากกนั ได ๕. อนมุ ตกิ ัปปะ ความผิดรายแรง เชน ฆาบิดามารดา

เรื่องอนุมตั ิ ถือวา ภิกษยุ งั มาไมพรอม หรือเปนปาราชิกเม่ือบวชเปนภิกษุคราว

ทาํ สังฆกรรมไปพลาง ภิกษทุ ี่มาหลงั จงึ กอน หรือไปเขารีตเดียรถียท้งั เปนภกิ ษุ
ขออนมุ ตั กิ ไ็ ด ๖. อาจณิ ณกปั ปะ เรอ่ื งที่ หรอื เปนสตรี ดงั นี้เปนตน
เคยประพฤตมิ า ถอื วา ธรรมเนยี มใด วัตถุสมบัติ ความถึงพรอมแหงวัตถุ,

อุปชฌายอาจารยเคยประพฤติมาแลว ความสมบูรณโดยบุคคลหรือวัตถุซึ่ง
ควรประพฤตติ ามอยางนนั้ ๗. อมถิต- เปนท่ีต้ังแหงการทําสังฆกรรมน้ันๆ มี

๓๙๐

วัตถุสมั มุขตา ๓๙๑ วัน

คณุ สมบตั ิถกู ตอง ทาํ ใหสงั ฆกรรมใชได ปฏบิ ตั ปิ ระจาํ ๗ ขอ ทท่ี าํ ใหมฆมาณพได

ไมบกพรองในดานน้ี เชน ในการ เปนทาวสักกะหรอื พระอนิ ทร คือ ๑.
อุปสมบท ผูขอบวชเปนชายมีอายคุ รบ มาตาเปตภิ โร เลยี้ งมารดาบดิ า ๒. กเุ ล-
๒๐ ป ไมเปนมนุษยวบิ ตั เิ ชนถกู ตอน เชฏ ปจายี เคารพผูใหญในตระกูล
ไมไดทําความผิดรายแรงเชนฆาบิดา ๓. สณหฺ วาโจ พูดคาํ สภุ าพออนหวาน
มารดา ไมใชคนทําความเสียหายในพระ ๔. อปสณุ วาโจ หรอื เปสเุณยยฺ ปปฺ หายี ไม
พุทธศาสนาอยางหนกั เชนปาราชกิ เม่ือ พดู สอเสียด พูดสมานสามัคคี ๕. ทาน-
สวํ ิภาครโต หรือ มจเฺ ฉรวินย ชอบเผือ่
บวชคราวกอน ดงั นีเ้ ปนตน

วตั ถุสัมมุขตา ความพรอมหนาวัตถุ คอื แผใหปน ปราศจากความตระหน่ี ๖.
ยกเร่ืองท่เี กิดน้นั ขึ้นวินิจฉยั ; ดู สัมมุขา- สจจฺ วาโจ มีวาจาสตั ย ๗. อโกธโน หรอื
วนิ ยั โกธาภภิ ู ไมโกรธ ระงบั ความโกรธได
วัตร กิจพึงทํา, หนาที,่ ธรรมเนียม, ความ วัตรปฏิบตั ิ การปฏบิ ัตติ ามหนาที่, การ

ประพฤต,ิ ขอปฏิบัติแยกยอยที่ตองทํา ทําตามขอปฏิบัติท่ีพึงกระทําเปนประจํา,

เปนประจํา เปนสวนเสรมิ ประกอบศีล; ความประพฤติที่เปนไปตามขนบ
(อาจจาํ แนกไดเปน ๑. กจิ วตั ร วาดวยกจิ ธรรมเนียมแหงเพศ ภาวะ หรือวิถี

ท่คี วรทํา (เชนอุปชฌายวตั ร สทั ธวิ หิ ารกิ ดําเนินชีวติ ของตน
วตั ร อาคนั ตกุ วตั ร) ๒. จริยาวตั ร วา วนั 1. ระยะเวลาต้ังแตพระอาทติ ยข้ึนถงึ

ดวยมารยาทอันควรประพฤติ (เชน ไม พระอาทิตยตก ซึ่งตามปกติถือตาม

ทิ้งขยะทางหนาตางหรือท้ิงลงนอกฝา กําหนด ๑๒ ชว่ั โมง, กลางวนั กเ็ รียก;
นอกกาํ แพง ไมจบั วตั ถุอนามาส) ๓. วธิ ี ระยะเวลา ๒๔ ชว่ั โมง ทโี่ ลกหมนุ ตวั เอง
วตั ร วาดวยแบบอยางท่พี ึงกระทาํ (เชน ครบรอบหนงึ่ อยางทถี่ อื กนั มาแตเดมิ วา

วธิ ีเกบ็ บาตร วธิ ีพบั จวี ร วิธีเปดปดหนา ตั้งแตพระอาทิตยข้ึนถึงพระอาทิตยข้ึน

ตางตามฤดู วธิ ีเดนิ เปนหม)ู ; วตั รจาํ นวน ใหมในวนั ถัดไป หรืออยางทน่ี ิยมถอื กนั
มาก ทานประมวลแสดงไวใน วตั ตขนั ธกะ ในปจจุบันตามคติสมัยใหมวา ต้ังแต

(วินย.๗/๔๑๔/๒๑๓) แตมีวัตรมากมาย เท่ียงคืนหน่ึงถึงเที่ยงคืนถัดไป; การท่ี
กระจายอยใู น ขนั ธกะ ทง้ั หลาย, ดู ไตร เรยี กวา วนั นนั้ เพราะถือเอาเวลาพระ
ปฎก (เลม ๔ - ๗); เทยี บ พรต
วัตรบท ๗ หลักปฏบิ ัติ หรือขอท่ีถือ อาทิตยซึ่งเรยี กวาตะวนั ข้ึน จนถงึ ตะวัน
ตกเปนกาํ หนด คอื มาจากคําวาตะวนั นนั่

๓๙๑

วนั เขาพรรษา ๓๙๒ วสั สานะ,วัสสานฤดู

เอง (คลายกบั ระยะเวลาเดือนหนึง่ ที่ วนั ออกพรรษา วนั สนิ้ สุดจาํ พรรษา, วัน

ถอื ตามการโคจรของพระจนั ทร ซึง่ มชี ่ือ สุดทายของการจําพรรษา ตามปกติ
วาเดือน) 2. ปา, ดง, สวน (บาลี: วน) หมายถงึ วนั สิ้นสุดพรรษาตน หรอื สิน้
วันเขาพรรษา วันที่พระสงฆเร่ิมจํา ปรุ มิ พรรษา ไดแก วนั ขึ้น ๑๕ คํ่า เดอื น

พรรษา (วัสสูปนายิกา) ตามปกติหมาย ๑๑ อันเปนวันท่ีพระสงฆทําสังฆกรรม

ถงึ เขาพรรษาตน คอื เรมิ่ จําปุริมพรรษา ช่อื วา “ปวารณา” จึงเรยี กวาวนั ปวารณา

(ปุริมวัสสูปนายิกา หรือปฐมวัสสูป- หรือวันมหาปวารณา, (วันออกพรรษา

นายิกา หรอื ปุริมกิ า วสั สปู นายกิ า) ได หลัง หรือส้นิ ปจฉมิ พรรษา คอื วนั ขนึ้
แก วันแรม ๑ ค่ํา เดือน ๘ (ถาปใดมี ๑๕ คา่ํ เดือน ๑๒); ดู จําพรรษา, วันเขา
อธกิ มาส คือเพ่มิ เดอื น ๘ เขามาอีก พรรษา, ปวารณา
เดือนหนึง่ เปนสอง ๘ ในปนั้น ใหถอื วันอัฏฐมีบชู า ดู อฏั ฐมบี ชู า
วันแรม ๑ คํ่า เดือน ๘ หลงั เปนวนั เขา วันอาสาฬหบูชา ดู อาสาฬหบชู า
ปุรมิ พรรษา), แตถาเขาพรรษาตนไมทนั วนั อุโบสถ ดู อุโบสถ
คือเขาปุริมพรรษาไมทัน ดวยเหตุจํา วปั ปะ ชอื่ พระภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ในคณะปญจ-

เปนอยางใดอยางหนึ่ง สามารถเล่อื นไป วัคคยี เปนพระอรหันตรุนแรก
เขาพรรษาหลัง คือเริ่มจาํ พรรษาในวัน วัปปมงคล พธิ แี รกนาขวญั คือพิธเี ริม่ ไถ

เขาปจฉิมพรรษา (ปจฉิมวัสสูปนายิกา นาเพื่อเปนสริ ิมงคลแกขาวในนา
หรือทุติยวัสสูปนายิกา หรือปจฉิมิกา วยั สวนแหงอาย,ุ ระยะของอาย,ุ เขตอายุ

วัสสปู นายกิ า) ไดแก วนั แรม ๑ ค่ํา นยิ มแบงเปน ๓ วัย คมั ภีรวิสุทธิมรรค

เดอื น ๙, ภิกษเุ ขาพรรษา โดยทําการ จดั ดังน้ี ๑. ปฐมวัย วัยตน ๓๓ ป คือ
อธษิ ฐานพรรษา; ดู จาํ พรรษา อายุ ๑ ถงึ ๓๓ ป ๒. มชั ฌมิ วยั วัย
วนั ปวารณา ดู ปวารณา, วันออกพรรษา กลาง ๓๔ ป คอื อายุ ๓๔ ถงึ ๖๗ ป ๓.
วันมหาปวารณา ดู ปวารณา, วันออก ปจฉมิ วัย วัยปลาย ๓๓ ป คือ อายุ ๖๘
พรรษา ป ถึง ๑๐๐ ป
วนั มาฆบชู า ดู มาฆบูชา วัสวดี ชื่อของพระยามาร; ดู วสวัตดี
วันวสิ าขบูชา ดู วิสาขบชู า วัสสานะ, วสั สานฤดู ฤดฝู น (แรม ๑
วันสงกรานต ดู สงกรานต
คาํ่ เดอื น ๘ ถงึ ข้ึน ๑๕ คํ่า เดือน

๓๙๒

วัสสาวาสกิ พสั ตร ๓๙๓ วาสนา

๑๒); ดู มาตรา เปนหลักฐาน ครนั้ ลกู หลานเติบโตกจ็ ัด

วสั สาวาสกิ พสั ตร ดู ผาจาํ นําพรรษา แจงใหมีครอบครวั ตนเองชราลง ก็เขา
วสั สกิ สาฎก ดู ผาอาบน้าํ ฝน
ปาจําศีลถือพรตบําเพ็ญตบะตอไป,

วสั สิกสาฏกิ า ดู ผาอาบน้ําฝน เขียน วนปรัสถะ บางก็ม;ี ดู อาศรม
วสั สูปนายิกา วันเขาพรรษา; ดู วนั เขา วาโยธาตุ ธาตลุ ม, สภาวะทมี่ ลี กั ษณะพดั
พรรษา, จําพรรษา
ไปมา, ภาวะสัน่ ไหว เครงตงึ คํา้ จุน; ใน

วางไวทําราย ไดแก วางขวาก ฝงหลาว รางกายนี้ สวนท่ีใชกําหนดเปนอารมณ

ไวในหลุมพราง วางของหนักไวใหตก กรรมฐาน ไดแกลมพดั ขน้ึ เบื้องบน ลม

ทบั วางยาพิษ เปนตน พัดลงเบือ้ งต่ํา ลมในทอง ลมในไส ลม
วาจา คาํ พดู , ถอยคํา พดั ไปตามตวั ลมหายใจ, อยางน้เี ปน
วาจาชอบ ดู สัมมาวาจา การกลาวถึงวาโยธาตุในลักษณะท่ีคน
วาจาชั่วหยาบ ในวินัยหมายถึงถอยคํา สามัญท่ัวไปจะเขาใจได และที่จะให

พาดพิงทวารหนกั ทวารเบาและเมถนุ ; ดู สําเร็จประโยชนในการเจริญกรรมฐาน

ทฏุ ุลลวาจา แตในทางพระอภิธรรม วาโยธาตุเปน

วาชเปยยะ, วาชไปยะ “วาจาดดู ด่ืมใจ”, สภาวะพ้ืนฐานท่ีมีอยูในรูปธรรมทุก

“นา้ํ คําควรด่มื ”, ความรจู ักพูด คือ รจู กั อยาง ไดแกภาวะสน่ั ไหว เครงตงึ คา้ํ
ทักทายปราศรยั ใชวาจาสุภาพนมุ นวล จุน; ดู ธาต,ุ รปู ๒๘
ประกอบดวยเหตผุ ล มีประโยชน ชวน วาร วนั หนึ่งๆ ในสปั ดาห, คร้ัง, เวลา

ใจใหอยากทําตาม อยากรวมมือรวม กําหนด
งานรวมการ เปนทางแหงสามัคคี ทําให วาระ ครง้ั คราว, เวลาที่กําหนดสําหรบั

เกิดความเขาใจอันดี ความเช่ือถือและ ผลดั เปล่ยี น

ความนิยมนับถือ, (บาลี: วาชเปยฺย, วารี น้าํ
โบราณบางทีเขียน “วาชไปยัง”; ขอ ๔ วาลิการาม ช่ือวัดหนึ่งในเมืองเวสาลี

ใน ราชสงั คหวตั ถุ ๔) แควนวัชชี เปนท่ีประชุมทําสังคายนา

วาตสมฏุ านา อาพาธา ความเจบ็ ไขที่ ครัง้ ที่ ๒ ชําระวตั ถุ ๑๐ ประการที่เปน
มีลมเปนสมฏุ ฐาน; ดู อาพาธ
เสยี้ นหนามพระธรรมวนิ ยั

วานปรัสถ ผูอยูปา, เปนธรรมเนยี มของ วาสนา อาการกายวาจา ทีเ่ ปนลกั ษณะ

พราหมณวา ผทู คี่ รองเรอื น มคี รอบครวั พิเศษของบุคคล ซึ่งเกิดจากกิเลสบาง

๓๙๓

วาสภคามิกะ ๓๙๔ วกิ ัป,วิกัปป

อยาง และไดส่ังสมอบรมมาเปนเวลา วิมตุ ติ (ขอ ๒ ในวิมุตติ ๕; ในบาลีเปน

นานจนเคยชินติดเปนพ้ืนประจาํ ตวั แม ขอ ๑ ถงึ ช้ันอรรถกถา จึงกลายมาเปน

จะละกิเลสนั้นไดแลว แตก็อาจจะละ ขอ ๒)
อาการกายวาจาทีเ่ คยชนิ ไมได เชน คาํ วิกติกา เคร่ืองลาดที่เปนรูปสตั วราย เชน

พูดติดปาก อาการเดินท่ีเร็วหรือเดิน ราชสีห เสอื เปนตน
ตวมเตย้ี ม เปนตน ทานขยายความวา วกิ ัป, วิกัปป ทาํ ใหเปนของสองเจาของ

วาสนา ทเี่ ปนกุศล ก็มี เปนอกุศล กม็ ี คอื ขอใหภกิ ษสุ ามเณรอนื่ รวมเปนเจาของ

เปนอพั ยากฤต คอื เปนกลางๆ ไมดีไม บาตรหรอื จีวรนัน้ ๆ ดวย ทาํ ใหไมตอง

ช่วั กม็ ี ทีเ่ ปนกุศลกับอัพยากฤตน้นั ไม อาบัติเพราะเก็บอติเรกบาตรหรืออติเรก

ตองละ แตทีเ่ ปนอกุศลซงึ่ ควรจะละนัน้ จีวรไวเกนิ กําหนด

แบงเปน ๒ สวน คือ สวนทจี่ ะเปนเหตุ วิกปั มี ๒ คือ วกิ ัปตอหนา และวิกปั

ใหเขาถึงอบาย กับสวนที่เปนเหตุใหเกิด ลบั หลัง

อาการแสดงออกทางกายวาจาแปลกๆ วกิ ัปตอหนา คอื วกิ ัปตอหนาผูรับ
ตางๆ สวนแรก พระอรหันตทกุ องคละ ถาจวี รผนื เดียว อยใู นหัตถบาส วา “อมิ ํ
ได แตสวนหลัง พระพทุ ธเจาเทานนั้ ละ จวี รํ ตุยหฺ ํ วิกปฺเปม”ิ แปลวา “ขาพเจา

ได พระอรหันตอื่นละไมได จึงมีคํา วกิ ปั จวี รผนื นแี้ กทาน”(ถาวกิ ปั จวี ร ๒ ผนื

กลาววา พระพุทธเจาเทานั้นละกิเลสทั้ง ขน้ึ ไป วา “อมิ านิ จวี ราน”ิ แทน “อมิ ํ จวี ร”ํ ,

หมดไดพรอมท้ังวาสนา; ในภาษาไทย ถาจวี รทวี่ กิ ัปอยนู อกหตั ถบาส วา “เอต”ํ
คําวา วาสนา มีความหมายเพี้ยนไป แทน “อิม”ํ วา “เอตาน”ิ แทน “อมิ าน”ิ ,

กลายเปนอาํ นาจบญุ เกา หรอื กุศลที่ทาํ ถาวิกัปแกภิกษุผูแกกวา จะใชบทวา

ใหไดรบั ลาภยศ “อายสมฺ โต” แทน “ตุยหฺ ”ํ ก็ควร)
วาสภคามิกะ ช่ือพระเถระองคหน่ึงใน
การกสงฆ ผูทาํ สงั คายนาครั้งท่ี ๒ วกิ ปั ลบั หลงั คอื วกิ ปั ใหแกสหธรรมกิ
วิกขัมภนวิมุตติ พนดวยขมหรือสะกด
รูปใดรปู หนงึ่ ผมู ไิ ดอยูเฉพาะหนา โดย
ไว ไดแกความพนจากกเิ ลสและอกุศล-
เปลงวาจาตอหนาสหธรรมิกรูปอ่ืน ถา
ธรรมไดดวยกําลังฌาน อาจสะกดได จวี รผนื เดยี ว อยใู นหัตถบาส วา “อมิ ํ
จวี รํ อติ ถฺ นนฺ ามสสฺ วิกปฺเปมิ” แปลวา

นานกวาตทังควมิ ตุ ติ แตเม่ือฌานเสื่อม “ขาพเจาวิกัปจีวรผืนน้ี แกทานผูช่ือน้ี”

แลวกเิ ลสอาจเกดิ ขน้ึ อกี จดั เปนโลกิย- (ถาวกิ ปั แกภกิ ษชุ ่อื วาอุตตระ กบ็ อกช่อื

๓๙๔

วกิ ปั ,วิกัปป ๓๙๕ วิกปั ,วกิ ัปป

วา “อตุ ฺตรสฺส ภิกขฺ โุ น” หรอื “อายสมฺ โต คดิ จะใชนุงหมอีก และอธษิ ฐานผืนใหม
อุตตฺ รสสฺ ” แทน “อติ ถฺ นนฺ ามสสฺ ” สุดแต แลว จะอธิษฐานผืนเกาน้นั เปนผาปูนอน
ผูรับออนกวาหรือแกกวา, ถาวิกัปจีวร เชนนไ้ี ด แตถายงั จะใชนุงหม ควรวกิ ัป
หลายผืน หรอื จีวรอยูนอกหตั ถบาส พงึ ไวตามแบบ สวนผาบริขารโจลนนั้ กเ็ ชน
เปล่ียนคํา โดยเทียบตามแบบวิกัปตอ ผากรองนํ้า ถงุ บาตร และยาม อนั มิใช
หนา) ของใชนุงหม และไมใชเปนของใหญ
ตลอดจนผาบรขิ ารอยางอนื่ ซ่งึ มสี แี ละ
จีวรทว่ี กิ ัปไว จะบริโภค ตองขอให ดอกอันหามในผานุงหม อยางน้ี
ผรู ับถอนกอน มฉิ ะนนั้ หากบริโภค จะ อธษิ ฐานขน้ึ สวนผาทีจ่ ะใชนุงหม แม
ตองอาบัตปิ าจิตตยี เมอ่ื ผูทไ่ี ดรับไวน้ัน เพียงผืนเล็กพอใชเปนเคร่ืองประกอบ
ถอนแลว จงึ ใชได, คําถอนสําหรบั จวี รที่ เขาเปนผานุงหมได แมแตผาขาว มี
อยใู นหตั ถบาส วา “อมิ ํ จวี รํ มยหฺ ํ สนตฺ กํ ประมาณต้ังแตยาว ๘ นวิ้ กวาง ๔
ปรภิ ุ ชฺ วา วิสชฺเชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา นิ้วข้ึนไป จัดวาเปนจีวรตามกําหนด
กโรหิ” แปลวา “จีวรผืนน้ขี องขาพเจา อยางตา่ํ ทจ่ี ะตองวิกปั
ทานจงใชสอยกต็ าม จงสละกต็ าม จง
ทําตามปจจยั ก็ตาม” (ถาผถู อนออนกวา อนึ่ง ผาอาบนํ้าฝน เปนของทท่ี รง
พึงวา “อิมํ จีวรํ มยหฺ ํ สนฺตกํ ปริภุ ฺชถ อนุญาตเปนบริขารพิเศษช่ัวคราวของ
วา วิสชฺเชถ วา ยถาปจจฺ ยํ วา กโรถ”, ภิกษุ อธษิ ฐานไวใชไดตลอด ๔ เดือน
คําที่พึงเปล่ียนทั้งหลาย เชน ช่ือของ แหงฤดูฝน พนนนั้ ใหวกิ ปั ไว
จาํ นวนของ และท่ีของต้ังอยใู นหรอื นอก
หัตถบาส พึงเทียบเคียงกับคําท่ีกลาว ทง้ั น้ี มพี ทุ ธานญุ าตไวคราวหนงึ่ (วนิ ย.
แลวขางตน) ๕/๑๖๐/๒๑๘) ซง่ึ ใชเปนทอ่ี างองิ ในเรอื่ งทวี่ า
ผาอยางไหนจะตองอธิษฐาน หรือตอง
ในเรื่องเก่ียวกับการวิกัปนี้ มีแนว วิกปั อยางไร ใจความวา ไตรจีวร ผาปู
ทางปฏิบัติที่พระอาจารยนักวินัยแนะนํา นงั่ (นสิ ที นะ) ผาปูนอน (ปจจตั ถรณะ)
ไว และพระมตใิ นหนังสอื วินัยมขุ อนั ผาเช็ดหนาเช็ดปาก (มุขปุญฉนโจละ)
ควรทราบวา ผาที่จะอธิษฐานเปนผาปู และผาบรขิ ารโจล ใหอธิษฐาน ไมใชให
นอนก็ดี เปนผาบริขารโจลกด็ ี ตองเปน วิกปั , ผาอาบน้ําฝน (วัสสกิ สาฎก) ให
ของท่ไี มใชนงุ หม จึงอธิษฐานขน้ึ เชน อธษิ ฐานใชตลอด ๔ เดอื นแหงฤดฝู น
ภกิ ษถุ อนผาอุตตราสงคผืนเกาเสยี ไม พนจากนั้น ใหวิกปั ไว, ผาปดฝ (กณั ฑุ-

๓๙๕

วิกัปปตจีวร ๓๙๖ วกิ พุ พนา

ปฏิจฉาทิ) ใหอธิษฐานใชตลอดเวลาท่ี “วิญญัต”ิ คอื กายวกิ ารเปน กายวญิ ญตั ิ

อาพาธ พนจากน้ันใหวกิ ัปไว; ผาจีวร (การเคลอื่ นไหวกายใหรคู วามหมาย) วจี

ขนาดอยางต่าํ ยาว ๘ น้ิว กวาง ๔ นว้ิ วิการเปน วจีวิญญัติ (การเคลื่อนไหว
วาจาใหรคู วามหมาย); ดู วญิ ญัติ
โดยนวิ้ พระสุคต ตองวกิ ัป

สวนในการวิกัปบาตร ถาบาตรใบ วิกาล ผิดเวลา, ในวกิ าลโภชนสิกขาบท
เดยี ว อยใู นหตั ถบาส วา “อมิ ํ ปตตฺ ํ ตยุ หฺ ํ (หามฉันอาหารในเวลาวกิ าล) หมายถึง
วิกปฺเปมิ” (ถาบาตรหลายใบ วา “อเิ ม ต้ังแตเท่ียงแลวไปจนถึงกอนอรุณวัน

ปตฺเต” แทน “อิมํ ปตฺต”ํ ; ถาบาตรอยู ใหม; สวนในอนั ธการวรรค สกิ ขาบทท่ี

นอกหตั ถบาส วา “เอตํ” แทน “อมิ ํ” ๗ ในภิกขุนีวิภังค (หามภิกษุณีเขาสู

บาตรหลายใบ วา “เอเต” แทน “อเิ ม”), ตระกูลในเวลาวิกาล เอาทนี่ อนปลู าดนัง่

บาตรทว่ี ิกปั ไวแลว ไมมีกาํ หนดใหถอน นอนทับโดยไมบอกกลาวขออนุญาตเจา

กอนจึงบริโภค พงึ ใชเปนของวกิ ัป แต บาน) หมายถงึ ต้ังแตพระอาทติ ยตกจน

เมื่อจะอธิษฐาน พึงใหถอนกอน; ดู ถึงกอนอรุณวันใหม; ในสิงคาลกสูตร

อธษิ ฐาน, ปจจทุ ธรณ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สุตตันตปฎก

วิกปั ปตจีวร จวี รท่ีวิกัปปไว, จีวรท่ไี ดทํา กลาวถึงการเที่ยวซอกแซกในเวลาวิกาล

ใหเปนของ ๒ เจาของแลว วาเปนอบายมขุ น้นั กห็ มายถึงเวลาค่าํ

วกิ าร 1. พกิ าร, ความแปรผนั , ความผิด วิกาลโภชน การกินอาหารในเวลาวกิ าล,
แปลก, ผดิ ปรกติ 2. ทาํ ตางๆ, แสดง การฉันอาหารผดิ เวลา; ดู วกิ าล
อาการผดิ แปลก ไมเปนปกติ ทางกาย วกิ พุ พนา การทาํ ใหเปนไดตางๆ, การยกั

(กายวิการ) กต็ าม ทางวาจา (วจวี กิ าร) เย้ืองยักยาย, การปรับแปลงแผลงผนั ,

ก็ตาม เชน โกรธข้ึนมา หรือรงั เกียจแลว เชน ผทู เี่ จรญิ อปั ปมญั ญาจนชาํ นาญ มี

ทําหนานิว่ คว้ิ ขมวด ตีหนาถมึงทึง ช้นี ว้ิ จิตเสมอกันตอสรรพสัตว และเขาถึง

ปด เงื้อแขน รองชิๆ ชะๆ พูดไลวาไป ฌานแลว สามารถแผเมตตา เปนตน ตอ

ซ ะ อ ย า ง นี้ เ ป น ต น ภิ ก ษุ มี ส ติ สตั วทงั้ หลาย แผกผนั ไปไดตางๆ ทงั้

สัมปชัญญะ ไมทํากายวิการ หรือวจี แบบกวางขวางไมมีขอบเขต (อโนธโิ ส-

วิการอยางน้นั 3. การเคลอื่ นไหวใหรู ผรณา) ทง้ั แบบจาํ กดั ขอบเขต (โอธโิ ส-

ความหมาย, การใชกายหรือวาจาสื่อ ผรณา) และแบบเฉพาะเปนทศิ ๆ (ทสิ า-

ความหมาย, มีความหมายเทากับ ผรณา), คาํ วา “วกิ พุ พนา” นี้ มกั พบในชอ่ื

๓๙๖

วกิ พุ พนาอทิ ธ,ิ วกิ พุ พนฤทธ์ิ ๓๙๗ วิชฺชาจรณสมฺปนโฺ น

เรยี กอทิ ธิ (ฤทธ)ิ์ แบบหนง่ึ คอื วกิ พุ พนา- เหตุผล

อทิ ธิ หรอื วกิ พุ พนฤทธ;ิ์ เทียบ อโนธิโส- วจิ ิกิจฉา ความลงั เลไมตกลงได, ความ
ผรณา, โอธิโสผรณา, ทิสาผรณา; ดู แผ ไมแนใจ, ความสงสัย, ความเคลือบ
เมตตา,สมี าสมั เภท; วกิ พุ พนาอทิ ธิ
แคลงในกศุ ลธรรมทงั้ หลาย, ความลงั เล

วกิ พุ พนาอทิ ธ,ิ วกิ พุ พนฤทธิ์ ฤทธคิ์ อื เปนเหตุใหไมแนใจในปฏิปทาเคร่ือง

การแผลง, ฤทธบิ์ ดิ ผนั , ฤทธผิ์ นั แผลง ดาํ เนนิ ของตน (ขอ ๕ ในนวิ รณ ๕, ขอ

คอื การแผลงฤทธแ์ิ ปลงตวั เปลยี่ นจาก ๕ ในสงั โยชน ๑๐ ตามนยั พระอภธิ รรม,

รปู รางปกติ แปลงเปนเดก็ เปนครฑุ เปน ขอ ๔ ในอนสุ ยั ๗)
เทวดา เปนเสอื เปนงู เปนตน (ตองหาม วจิ ติ ร งาม, งดงาม, แปลก, ตระการ,

ทางพระวนิ ยั ) หรู, แพรวพราว

วิขัมภนปหาน การละกิเลสไดดวยขมไว วิชชา ความรแู จง, ความรวู ิเศษ; วชิ ชา ๓
ดวยฌาน; มกั เขียน วิกขัมภนปหาน คอื ๑. ปพุ เพนวิ าสานุสตญิ าณ ความรูท่ี
วิขัมภนวิมตุ ิ ดู วกิ ขัมภนวมิ ตุ ติ ระลึกชาติได ๒. จตุ ปู ปาตญาณ ความรู
วจิ ัย การใชปญญาเฟน สืบคน, การคน จตุ แิ ละอบุ ตั ขิ องสตั วทงั้ หลาย ๓.อาสวกั -
ควา สบื หา ตรวจสอบ ฟนเฟน ใหส้ิน ขยญาณ ความรทู ีท่ าํ อาสวะใหสิน้ วิชชา
สงสัย ใหรูเขาใจแจมแจงชัดเจนถึง ๘ คือ ๑. วปิ สสนาญาณ ญาณใน
ความจรงิ ตรงเตม็ ตามสภาวะ; ดู ธรรม วิปสสนา ๒. มโนมยิทธิ ฤทธิท์ างใจ ๓.
วิจยั , ธัมมวจิ ยะ อิทธิวิธิ แสดงฤทธไิ์ ดตางๆ ๔. ทพิ พ-
วจิ าร ความตรอง, การพิจารณาอารมณ, โสต หทู พิ ย ๕. เจโตปริยญาณ รจู กั
การตามฟนอารมณ (ขอ ๒ ในองคฌาน กาํ หนดใจผอู น่ื ได ๖. ปพุ เพนวิ าสานสุ ติ
๕) ๗. ทพิ พจกั ขุ ตาทิพย (= จตุ ูปปาต-
วิจารณ 1. พิจารณา, ไตรตรอง 2. สอบ ญาณ) ๘. อาสวักขยญาณ
สวน, ตรวจตรา 3. คดิ การ, กะการ, จัด วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน (พระผูมีพระภาค

เตรยี ม, จดั แจง, ดูแล, จดั ดาํ เนินการ เจานั้น) ทรงถึงพรอมดวยวิชชาและ

4. ในภาษาไทย มกั หมายถงึ ตชิ ม, แสดง จรณะ ประกอบดวยวชิ ชา ๓ หรอื วชิ ชา

ความคิดเห็นในเชิงตดั สนิ คุณคา ช้ีขอดี ๘ และจรณะ ๑๕ อนั เปนปฏิปทาเคร่อื ง

ขอดอย บรรลุวิชชาน้ัน, มีความรูประเสริฐ
วจิ ารณญาณ ปญญาทไ่ี ตรตรองพจิ ารณา ความประพฤติประเสริฐ (ขอ ๓ ใน

๓๙๗

วชิ ชาธร,วิชาธร ๓๙๘ วิญ ู

พุทธคณุ ๙) เทพบางหมู พวกวนิ ิปาตกิ ะ บางหมู ๒.
วชิ ชาธร, วชิ าธร ดู วิทยาธร สตั วเหลาหนง่ึ มกี ายตางกนั มสี ญั ญา
วิญญัติ 1. การเคล่ือนไหวใหรูความ อยางเดียวกัน เชน พวกเทพผูอยใู น
หมาย, การสอื่ ความหมาย มี ๒ คอื ๑. จาํ พวกพรหมผเู กดิ ในภมู ปิ ฐมฌาน ๓.
กายวญิ ญตั ิ การใหรคู วามหมายดวยกาย สตั วเหลาหน่งึ มีกายอยางเดียวกัน มี
เชน พยักหนา กวกั มือ ๒. วจวี ิญญตั ิ สญั ญาตางกนั เชน พวกเทพอาภสั สระ

การใหรูความหมายดวยวาจา คือพูด ๔. สัตวเหลาหนง่ึ มีกายอยางเดยี วกัน มี

หรือบอกกลาว 2. การออกปากขอของ สญั ญาอยางเดียวกัน เชน พวกเทพสุภ-

ตอคนไมควรขอ หมายถึงภิกษุขอส่ิง กิณหะ ๕. สตั วเหลาหน่ึง ผเู ขาถึงช้นั

ของตอคฤหัสถผูไมใชญาติ ผไู มใชคน อากาสานญั จายตนะ ๖. สัตวเหลาหนึง่

ปวารณา ผูเขาถงึ ชัน้ วิญญาณญั จายตนะ ๗. สัตว

วญิ ญาณ ความรแู จงอารมณ, จติ , ความรู เหลาหนงึ่ ผเู ขาถงึ ชนั้ อากญิ จญั ญายตนะ
ที่เกิดขึ้นเมื่ออายตนะภายในและ วญิ ญาณธาตุ ธาตรุ ,ู ความรแู จง, ความรู

อายตนะภายนอกกระทบกัน เชนรู อะไรได (ขอ ๖ ในธาตุ ๖)
อารมณในเวลาเมื่อรูปมากระทบตา วิญญาณัญจายตนะ ฌานอันกําหนด

เปนตน ไดแก การเห็น การไดยนิ เปน วิญญาณหาที่สุดมิไดเปนอารมณหรือ
อาทิ; วิญญาณ ๖ คือ ๑. จักขวุ ิญญาณ ภพของผเู ขาถงึ ฌานนี้ (ขอ ๒ ในอรปู ๔)
ความรูอารมณทางตา (เห็น) ๒. โสต- วิญญาณาหาร อาหารคือวิญญาณ,
วิญญาณ ความรอู ารมณทางหู (ไดยนิ ) วิญญาณเปนอาหารคือเปนปจจัย
๓. ฆานวิญญาณ ความรูอารมณทาง อดุ หนนุ หลอเลีย้ งใหเกิดนามรูป (ขอ ๔
จมกู (ไดกลิน่ ) ๔. ชวิ หาวญิ ญาณ ความ ในอาหาร ๔)
รูอารมณทางล้นิ (รรู ส) ๕. กายวญิ ญาณ วิญ ู ผรู ,ู บณั ฑติ , นกั ปราชญ; ในพระ

ความรูอารมณทางกาย (รูส่ิงตองกาย) วินยั ตามปาจติ ตยิ สิกขาบทท่ี ๗ แหง
๖. มโนวญิ ญาณ ความรูอารมณทางใจ มสุ าวาทวรรค วา “อนง่ึ ภิกษุใดแสดง

(รเู รอ่ื งในใจ) ธรรมแกมาตคุ ามเกนิ กวา ๕-๖ คาํ เวน

วิญญาณฐิติ ภูมิเปนทต่ี งั้ ของวญิ ญาณ มี แตมีบุรุษผูเปนวิญ ูอยูดวย เปน
๗ คอื ๑. สตั วเหลาหน่งึ มีกายตางกัน ปาจิตตยี ” คําวา วญิ ู ในที่น้ี หมายถงึ

มีสญั ญาตางกนั เชนพวกมนุษย พวก ผรู คู วาม คอื “ผสู ามารถรูเขาใจคําดคี าํ

๓๙๘

วิญ ชู น ๓๙๙ วถิ จี ิต

ราย คําหยาบคาํ ไมหยาบ”, ในกฎหมาย คอื พนจากภวงั ค หรอื พนจากภาวะทเี่ ปน
ไทย ใชคาํ วา วิญ ชู น หมายถึง บุคคล ภวังคจติ (และมิใชเปนปฏสิ นธิจติ หรือ
จุตจิ ิต), พูดอีกอยางหนง่ึ วา จิต ๑๑ ชือ่
ผรู ผู ิดรชู อบตามปรกติ หรอื อยางภาษา ซงึ่ ทํากิจ ๑๑ อยาง นอกจากปฏิสนธกิ จิ
ภวงั คกิจ และจุติกิจ, “วถิ จี ติ ” เปนคํา
ชาวบานวา ผรู ูผดิ ชอบชว่ั ดี รวม เรียกจิตทงั้ หลาย ซึ่งทําหนาที่เกี่ยว
วญิ ูชน ดู วิญ ู กบั การรับรูอารมณ ๖ ทางทวารท้งั ๖
วติ ก ความตรึก, ตริ, การยกจติ ขนึ้ สู (คาํ บาลวี า “วีถิจติ ฺต”), อธิบายอยางงาย
พอใหเขาใจเปนพน้ื ฐานวา สัตวท้ังหลาย
อารมณ หรอื ปกจติ ลงสอู ารมณ (ขอ ๑ หลังจากเกดิ คือปฏิสนธแิ ลว จนถึงกอน
ตายคือจุติ ระหวางนนั้ ชีวติ เปนอยโู ดย
ในองคฌาน ๕), การคิด, ความดาํ ร;ิ มีจติ ท่เี ปนพ้ืน เรียกวาภวงั คจติ (จิตที่
เปนองคแหงภพ หรอื จติ ในภาวะที่เปน
ไทยใชวาเปนหวงกงั วล องคแหงภพ) ซึ่งเกิดดบั สืบเนอื่ งตอกนั
วิตกจรติ พ้ืนนสิ ยั หนกั ในทางตรกึ , มี ไปตลอดเวลา (มักเรียกวาภวงั คโสต
คอื กระแสแหงภวงั ค) ทนี ี้ ถาจิตอยูใน
วิตกเปนปรกติ, มีปรกตินึกพลานหรือ ภาวะภวังค เปนภวังคจติ และเกดิ ดับ
สืบตอไปเปนภวังคโสตเทานั้น ก็เพียง
คดิ จบั จดฟุงซาน, ผมู จี ริตชนิดน้พี งึ แก แคยังมีชีวิตอยู เหมือนหลับอยูตลอด
เวลา แตชีวิตนนั้ เปนอยดู ําเนินไป โดยมี
ดวย เพงกสิณ หรือเจริญอานาปานสติ- การรับรูและทํากรรมทางทวารตางๆ
เชน เห็น ไดยิน ดู ฟง เคลือ่ นไหว พดู
กมั มัฏฐาน (ขอ ๖ ในจริต ๖) จา ตลอดจนคดิ การตางๆ จิตจงึ มใิ ชอยู
วิตถาร ซึ่งแผยืดขยายกวางขวางออกไป, เพียงในภาวะที่เปนภวังค คือมิใชแค
ขยายความ, พสิ ดาร; ตรงขามกับ สังเขป; เปนองคแหงภพไวเทาน้ัน แตตองมีการ
รับรูเสพอารมณทํากรรมทางทวารทั้ง
ในการวัด หมายถงึ ความกวาง (เทียบ หลายดวย ดังน้นั เมือ่ มีอารมณ คอื รปู
กบั ความยาว คอื อายาม และความสูง เสียง ฯลฯ มาปรากฏแกทวาร (“มาสู
หรือความลกึ คอื อพุ เพธ); ในภาษาไทย
ความหมายเพ้ยี นไป กลายเปนวา ผดิ ๓๙๙

ปกติ, พิลึก, นอกแบบ, นอกลนู อกทาง,

เกินวสิ ัยแหงความยอมรบั
วติ ถารนัย นยั อยางพิสดาร, แบบขยาย

ความ, แงความหมายซึง่ บรรยายอยาง
กวางขวางยืดยาว; ตรงขามกบั สังเขปนยั
วิตกิ กมะ ดู วตี ิกกมะ
วิถีจติ “จติ ในวถิ ”ี คอื จติ ในวถิ ีแหงการรบั

รูเสพอารมณ, จติ ซง่ึ เกดิ ขน้ึ เปนไปในวิถี

วถิ ีจิต ๔๐๐ วิถจี ิต

คลองในทวาร”) คือ ตา หู ฯลฯ ก็จะมี ภวังคจิต (ภวังคโสตะ) กับกระบวนวถิ ี
การรับรู โดยภวงั คจติ ที่กําลังเกิดดบั สืบ
ตอกระแสภพกันอยูนั้น แทนที่วา จติ (วถี จิ ติ ตปวตั ต)ิ ทเ่ี กดิ ดบั สบื ตอไป
ภวงั คจิตหนงึ่ ดับไป จะเกิดเปนภวงั คจิต
ใหมขึน้ มา กก็ ลายเปนวา ภวังคจติ หน่งึ มากมายไมอาจนบั ได
ดบั ไป แตเกิดเปนจิตหนงึ่ ที่เขาอยใู นวถิ ี
แหงการรับรูเกิดขึ้นมา (ตอนน้ี พูด ในการรับรูเสพอารมณทํากรรมคร้ัง
อยางภาษาชาวบานใหเขาใจงายวา จิต
ออกจากภวงั ค หรอื จิตข้นึ สูวถิ )ี แลวก็ หนง่ึ ๆ ทเี่ ปนการเปลย่ี นจากภวงั คจติ มา
จะมีจิตที่เรียกช่ือตางๆ เกิดข้ึนมาทํา
หนาทตี่ อๆ กนั ไป ในวถิ แี หงการรบั รเู สพ เปนวถิ จี ติ จนกระทงั่ กลบั เปนภวงั คจติ
อารมณนั้น จนครบกระบวนจบวิถีไป
รอบหนึ่ง แลวก็เกิดเปนภวังคจิตข้ึนมา อีกน้ัน แยกแยะใหเห็นลําดับข้ันตอน
อกี (พดู อยางภาษาชาวบานวา ตกภวงั ค),
จิตท้ังหลายท่ีเกิดขึ้นมาทําหนาท่ีแตละ แหงความเปนไป พอใหไดความเขาใจ
ขณะในวิถีแหงการรับรูเสพอารมณน้ัน
จนจบกระบวน เรยี กวา “วถิ จี ติ ” และจิต คราวๆ (ในทนี่ ้ี จะพดู ถงึ เฉพาะปญจ-
แตละขณะในวิถีน้ัน มีชื่อเรียกเฉพาะ
ของมนั ตามกจิ คอื งานหรอื หนาทท่ี ี่มนั ทวารวถิ ี คอื การรบั รทู างทวาร ๕ ไดแก
ทํา, เม่ือตกภวังคอยางท่ีวานั้นแลว
ภวังคจติ เกดิ ดับตอกนั ไป แลวกเ็ ปลยี่ น ตา หู จมกู ลนิ้ และกาย ในกรณที ร่ี บั
(เรียกวาตัดกระแสภวังค) เกิดเปนวิถี
จติ ข้ึนมารบั รูเสพอารมณอกี แลวพอจบ อารมณทม่ี กี าํ ลงั มาก คอื อตมิ หนั ตารมณ
กระบวน กต็ กภวังค เปนภวงั คจติ แลว
ก็ตัดกระแสภวงั ค เกดิ เปนวถิ ีจติ ขน้ึ อีก เปนหลกั ) ดงั น้ี ก. ชวงภวงั คจติ (เนอ่ื ง
สลับกันหมุนเวียนไป โดยนัยน้ี ชีวิตท่ี
ดาํ เนินไปแมในกิจกรรมเล็กนอยหน่ึงๆ จากเม่ือจบวิถี ก็จะกลับเปนภวังคอีก
จึงเปนการสลับหมุนเวียนไปของกระแส
ตามปกติจึงเรียกภวังคจิตที่เอาเปนจุด

เรมิ่ ตนวา “อตตี ภวงั ค” คอื ภวงั คทลี่ วง

แลว หรอื ภวงั คกอน) มี ๓ ขณะ ไดแก
๑. อตตี ภวังค (ภวังคจิตท่ีสบื ตอมาจาก
กอน) ๒. ภวงั คจลนะ (ภวงั คไหวตวั จาก
อารมณใหมทกี่ ระทบ) ๓. ภวงั คปุ จเฉท
(ภวงั คขาดจากอารมณเกา) ข. ชวงวถิ จี ติ
มี ๑๔ ขณะ ไดแก ๑. ปญจทวาราวชั ชนะ
(การคาํ นึงอารมณใหมทางทวารนน้ั ๆ ใน

ทวารทงั้ ๕, ถาอยใู นมโนทวารวถิ ี กเ็ ปน
มโนทวาราวชั ชนะ) ๒. ปญจวญิ ญาณ
(การรอู ารมณนน้ั ๆ ในอารมณทง้ั ๕ คอื

เปนจักขุวิญญาณ หรือโสตวิญญาณ

หรือฆานวิญญาณ หรือชิวหาวิญญาณ

๔๐๐

วถิ จี ิต ๔๐๑ วิถจี ติ

หรอื กายวญิ ญาณ อยางใดอยางหนงึ่ ) ๓. จึงจะไหวตัวเปนภวังคจลนะ ในกรณี
สมั ปฏจิ ฉนะ (สัมปฏิจฉันนะ ก็เรยี ก, อยางน้ี กจ็ ะมีอตีตภวงั ค ๒ หรอื ๓ ขณะ
การรับอารมณจากปญจวิญญาณ เพื่อ และเมอ่ื ขนึ้ สวู ถิ ี กจ็ ะไปจบแคชวนะท่ี ๗
เสนอแกสันตีรณะ) ๔. สนั ตรี ณะ (การ ดับ แลวก็ตกภวังค โดยไมมีตทารมณ
พจิ ารณาไตสวนอารมณ) ๕. โวฏฐพั พนะ เกดิ ขนึ้ , ยงิ่ กวานน้ั ถาอารมณทปี่ รากฏมี
(การตัดสินอารมณ) ๖.–๑๒. ชวนะ กาํ ลงั นอย (เปนปรติ ตารมณ) กจ็ ะผาน
(การแลนไปในอารมณ คือรับรูเสพทํา อตตี ภวงั คไปหลายขณะ (ตง้ั แต ๔ ถงึ ๙
ขณะ) จงึ เปนภวงั คจลนะ และเมอ่ื ขน้ึ สวู ถิ ี
ตออารมณ เปนชวงท่ีทาํ กรรม โดยเปน แลว วิถีนน้ั กไ็ ปสน้ิ สดุ ลงแคโวฏฐพั พนะ
ไมทันเกิดชวนจิต ก็ตกภวังคไปเลย,
กุศลชวนะหรืออกุศลชวนะ หรือไมก็ และถาอารมณทปี่ รากฏนน้ั ออนกาํ ลงั เกนิ
กิริยา) ติดตอกนั ๗ ขณะ ๑๓.–๑๔. ไป (เปนอตปิ รติ ตารมณ) กจ็ ะผานอตตี -
ตทารมณ (ตทาลมั พณะ หรอื ตทาลมั พนะ ภวังคไปมากหลายขณะ จนในท่ีสุด
กเ็ รยี ก, “มอี ารมณนนั้ ” คอื มอี ารมณเดยี ว เกดิ ภวงั คจลนะขนึ้ มาได ๒ ขณะ กก็ ลบั
เปนภวงั คตามเดมิ คอื ภวงั คไมขาด (ไม
กบั ชวนะ ไดแกการเกดิ เปนวปิ ากจติ ทไี่ ด มีภวังคุปจเฉท) และไมมีวิถีจิตเกิดขึ้น
เลย จงึ เรยี กวาเปนโมฆวาระ, สวนใน
รบั อารมณตอจากชวนะ เหมอื นไดรบั ผล มโนทวารวถิ ี เมอื่ ภวงั คไหวตวั (ภวงั ค-
จลนะ) และภวงั คขาด (ภวงั คปุ จเฉท)
ประมวลจากชวนะมาบนั ทกึ เกบ็ ไว กอน แลว ขนึ้ สวู ถิ ี จะมเี พยี งมโนทวาราวชั ชนะ
(การคํานึงอารมณใหมทางมโนทวาร)
ตกภวงั ค) ตอกนั ๒ ขณะ แลวกส็ น้ิ สดุ วถิ ี แลวเกดิ เปนชวนจติ ๗ ขณะตอไปเลย
(ไมมสี มั ปฏจิ ฉนจติ เปนตน) เมอื่ ชวนะ
คอื จบกระบวนของวถิ จี ติ เกดิ เปนภวงั ค- ครบ ๗ แลว ในกรณที อี่ ารมณทปี่ รากฏ
เดนชดั (วภิ ตู ารมณ) กจ็ ะเกดิ ตทารมณ
จติ ขนึ้ ใหม (ตกภวงั ค), เมอ่ื นบั ตลอด ๒ ขณะ แลวตกภวงั ค แตถาอารมณ
ออนแรงไมเดนชดั (อวภิ ตู ารมณ) พอ
หมดทงั้ สองชวง คอื ตงั้ แตอตตี ภวงั คจดุ ครบ ๗ ชวนะแลว กต็ กภวงั คไปเลย

เรม่ิ มาจนจบวถิ ี กม็ ี ๑๗ ขณะจติ ๔๐๑

ในสวนรายละเอียด วิถีจิตมีความ

เปนไปแตกตางกนั หลายแบบ เชน ใน
ปญจทวารวถิ ที ี่พูดมาขางตนนั้น เปน
กรณีท่ีรับอารมณซ่ึงมีกําลังเดนชัดมาก

(อติมหันตารมณ) แตถาอารมณที่

ปรากฏเขามามีกําลังไมมากนัก (เปน

แคมหันตารมณ) ภวงั คจะยงั ไมไหวตัว

จนถงึ ภวังคจิตขณะที่ ๓ หรือขณะท่ี ๔

วทิ ยา ๔๐๒ วนิ ยั

โดยไมมตี ทารมณเกดิ ขนึ้ , อนงึ่ ทกี่ ลาว ตะวันออกท่ีพาราณสี ยาวลงไปทาง

มาท้ังหมดน้ัน เปนวิถีจิตในกามภูมิท้ัง ตะวนั ตกเฉยี งใตประมาณ ๑,๐๘๖ กม.

สน้ิ ยงั มวี ถิ จี ติ ในภมู ทิ ส่ี งู ขนึ้ ไปอกี ใน บางตอนเคียงคูไปกับแมน้ํานัมมทา

ฝายมโนทวารวิถี (จิตในปญจทวารวิถี แลวส้ินสุดลงในรัฐคุชราต ถือกัน

อยูในกามภูมิอยางเดียว) ซ่ึงเปนจิตท่ี ทํานองเดียวกับแมน้ํานัมมทาวาเปนเสน

เปนสมาธขิ น้ั อปั ปนา และมคี วามเปนไปที่ แบง ระหวางท่ีราบลุมแมน้ําคงคาใน

แตกตางจากวถิ จี ติ ในกามภมู ิ เชน ชวนะ ภาคเหนือ (อุตราบถ) กับดนิ แดนทรี่ าบ

ไมจาํ กดั เพยี งแค ๗ ขณะ เมอื่ เขาฌาน สูงแหงอินเดียภาคใต (Deccan
แลว ตราบใดยงั อยใู นฌาน กม็ ชี วนจติ Plateau; ทกั ขณิ าบถ); ดู นมั มทา
เกดิ ดบั สบื ตอกนั ไปตลอด นบั จาํ นวนไม วนิ ยวาที ผูมปี รกติกลาวพระวินยั
ได โดยไมตกภวังคเลย ถาเกิดเปน วินยสัมมุขตา ความเปนตอหนาพระ

ภวังคจิตขึ้นเมื่อใด ก็คือออกจากฌาน วินัยในวิวาทาธิกรณ หมายความวา

ดงั นเ้ี ปนตน รายละเอยี ดของวถิ จี ติ ระดบั ปฏิบัติตามธรรมวินัยและสัตถุศาสนอัน

น้ี จะไมกลาวในทน่ี ;ี้ ดู ชวนะ, ตทารมณ; เปนเคร่อื งระงับอธิกรณน้นั ; ดู สัมมุขา-
เทยี บ ภวังคจติ วนิ ยั
วิทยา ความรู วินัย ระเบียบแบบแผนสําหรับฝกฝน
วิทยาธร “ผทู รงวิทยา”, ผมู วี ชิ ากายสทิ ธ,์ิ ควบคุมความประพฤติของบุคคลใหมี

ผูมีฤทธิ์ท่ีสําเร็จดวยวิทยาอาคมหรือ ชีวิตที่ดีงามเจริญกาวหนาและควบคุม

ของวิเศษ, พอมด หมูชนใหอยูรวมกันดวยความสงบเรียบ

วเิ ทหะ ชอ่ื แควนหนง่ึ ในชมพูทวปี นคร รอยดีงาม, ประมวลบทบัญญัติขอ
หลวงชือ่ มิถิลา เปนดินแดนพวกวชั ชี กําหนดสําหรับควบคุมความประพฤติ

อีกถ่ินหน่ึง ตั้งอยูบนฝงแมนํ้าคงคา ไมใหเสื่อมเสียและฝกฝนใหประพฤติดี

ตรงขามกับแควนมคธ งามเปนคุณเกื้อกูลย่ิงขึ้น, ประมวล
วิธัญญา ช่ือนครหรือถิ่นหนึ่งในสักก- สกิ ขาบท; วนิ ยั มี ๒ อยางคือ ๑. อนาคา
ริยวินัย วินัยของผูไมครองเรือน คือ
ชนบท ปกครองโดยกษตั รยิ วงศศากยะ;
เวธญั ญะ กเ็ รยี ก วินัยของบรรพชติ หรอื วนิ ยั ของพระสงฆ
วินธยะ ช่ือเทือกเขาสาํ คัญในอนิ เดียภาค
ไดแก การไมตองอาบตั ทิ ง้ั ๗ หรอื โดย
กลาง (Vindhya Range) เร่มิ ตนทาง สาระ ไดแก ปารสิ ทุ ธศิ ลี ๔ ๒. อาคารยิ

๔๐๒

วินยั กถา ๔๐๓ วินตี วัตถุ

วินัย วินยั ของผูครองเรือน คอื วนิ ยั ของ เพยี งสักวาธรรมเนียม หรือแมหนั ไปชกั

ชาวบาน ไดแก การงดเวนจาก นาํ ผอู นื่ ในปฏบิ ตั อิ นั ดี ตางจะไดอานสิ งส

อกุศลกรรมบถ ๑๐ โดยนัยกค็ ือ กศุ ล คือไมมีวิปฏิสาร; ทรงมุงหมายเพอ่ื จะ
กรรมบถ ๑๐ แตงแกหนงั สอื บพุ พสกิ ขาวณั ณนา ของ
วนิ ยั กถา คาํ พูดเกี่ยวกับพระวินยั , คํา พระอมราภริ กั ขติ (อมร เกดิ ) เจาอาวาส

บรรยาย คาํ อธิบาย หรือเรอ่ื งสนทนา วดั บรมนิวาส; จดั พมิ พเปน ๓ เลม ใช

เกี่ยวกับพระวินัย เปนแบบเรียนวิชาวนิ ัย สาํ หรบั นกั ธรรม

วินัยกรรม การกระทําเกย่ี วกับพระวนิ ยั ชนั้ ตรี ชนั้ โท และชน้ั เอก ตามลาํ ดบั
หรือการปฏิบัติตามวินัย เชน การ วนิ ัยวัตถุ เรื่องเกี่ยวกบั พระวินัย
อธิษฐานบริขาร การวิกัปบาตรและจีวร วินิจฉัย ไตรตรอง, ใครครวญ, ชี้ขาด,

การปลงอาบัติ การอยูปริวาส เปนตน ตัดสิน, ชาํ ระความ
วินัยธร “ผูทรงวินัย”, ภิกษุผูชํานาญ วินิบาต “โลกหรือวิสัยเปนที่ตกไปแหง

วนิ ัย; พระอบุ าลเี ถระ ไดรับยกยองจาก สัตวอยางไรอาํ นาจ [คือชวยตัวเองไมได

พระพุทธเจาวาเปนเอตทัคคะในบรรดา เลย]”, “แดนเปนที่ตกลงไปพนิ าศยอย

พระวินัยธร ยบั ”, สภาพตกตา่ํ , ภพคอื ภาวะแหงชวี ติ

วนิ ยั ปฎก ดู ไตรปฎก ท่ีมีแตความตกตํ่าเสื่อมถอยยอยยับ;

วนิ ัยมุข มุขแหงวินัย, หลักใหญๆ หรือ อรรถกถาท้ังหลาย (เชน วินย.อ.๑/๑๘๗)

หัวขอสําคัญๆ ท่ีเปนเบ้ืองตนแหงพระ แสดงความหมายไว ๒ นัย คือ พดู

วินยั หรอื เปนปากทางนาํ เขาสูวนิ ัย เปน แบบรวมๆ ก็เปนไวพจนคําหน่ึงของ
ชื่อหนังสือท่ีสมเด็จพระมหาสมณเจา นรก น่นั เอง แตถาแยกความหมายออก
กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ทรงรจนาขน้ึ ไปตางหาก ก็หมายถึงกาํ เนดิ อสรุ กาย
เพ่ืออธิบายความหมายและชี้ประโยชน วินิปาติกะ ทานวาไดแกพวกเวมานิก-

แหงพระวินัย มุงชวยใหพระภิกษุ เปรต คอื พวกเปรตมีวมิ านอยู ไดเสวย

สามเณรตั้งอยูในปฏิบัติพอดีงาม ผไู ม สขุ และตองทกุ ขทรมานเปนชวงๆ สลับ

เครงจะไดรูสึกสํารวมรักษามารยาทสม กนั ไป มสี ขุ บางทุกขบางคละระคน
เปนสมณะ ฝายผูเครงครดั เกินไปจะได วนิ พิ โภครูป รูปที่แยกจากกนั ได; เทยี บ
หายงมงาย ไมสําคัญวาตนดีกวาผูอื่น อวนิ ิพโภครูป; ดู รปู ๒๘
ต้ังรังเกียจผูอ่ืนเพราะเหตุเล็กนอย วนิ ตี วตั ถุ เร่ืองทที่ านวนิ ิจฉัยแลว, เร่ืองที่

๔๐๓

วิบัติ ๔๐๔ วปิ รณิ ามทุกข

ตัดสินแลว ทานแสดงไวเปนตัวอยาง หมายตางจากผลที่เรียกชอ่ื อยางอนื่ ซึง่

สําหรับเทียบเคียงตัดสิน ในการปรับ เปนผลพวง ผลพลอยได ผลขางเคยี ง

อาบัติ (ทํานองคําพิพากษาของศาลสูง หรอื ผลสบื เนือ่ ง เชน “นสิ สันท” และ

สุดทน่ี ํามาศึกษากัน) “อานิสงส”; ดู ผล,เทียบ นิสสนั ท,อานสิ งส

วิบัติ ความเสยี , ความผดิ พลาด, ความ วิปจิตัญ ู ผูอาจรูธรรมตอเมื่อทาน

บกพรอง, ความเสียหายใชการไมได 1. อธบิ ายความหมายแหงหัวขอนน้ั , รูตอ
วบิ ตั ิ ความเสยี ของภิกษุ มี ๔ อยาง คอื เมือ่ ขยายความ (ขอ ๒ ในบุคคล ๔)
๑. ศลี วบิ ตั ิ ความเสยี แหงศลี ๒. อาจาร- วิปฏสิ าร ความเดือดรอน, ความรอนใจ
วบิ ัติ ความเสยี มรรยาท ๓. ทิฏฐิวิบัติ เชน ผูประพฤติผดิ ศีล เกดิ ความเดอื ด
ความเห็นผิดธรรมผิดวินัย ๔. อาชวี - รอนขึ้นในใจ ในเพราะความไมบริสุทธ์ิ
วบิ ตั ิ ความเสียหายแหงการเลีย้ งชีพ 2. ของตน เรยี กวา เกิดวิปฏิสาร
วิบัติ คือความเสียหายใชไมได ของ วปิ ปวาส “อยูปราศ” เปนประการหน่งึ ใน
สงั ฆกรรม มี ๔ คอื ๑. วตั ถวุ ิบตั ิ เสีย รตั ตเิ ฉท การขาดราตรแี หงการประพฤติ

โดยวัตถุ เชน อปุ สมบทคนอายุตํ่ากวา มานัตและการอยูปริวาส; สําหรับผู
๒๐ ป ๒. สมี าวบิ ตั ิ เสยี โดยสมี า เชน ประพฤติมานตั วปิ ปวาส หมายถงึ อยู
สีมาไมมีนิมิต ๓. ปริสวิบัติ เสียโดย ในถ่ิน (จะเปนวัดหรือที่มิใชวัดเชนปา

บริษัทคอื ทปี่ ระชุม เชน ภกิ ษุเขาประชมุ เปนตนกต็ าม) ทีไมมีสงฆอยูเปนเพอื่ น
ไมครบองคสงฆ ๔. กรรมวาจาวิบัติ คืออยูปราศจากสงฆ, สําหรับผูอยู

เสียโดยกรรมวาจา เชนสวดผิดพลาด ปริวาส หมายถึง อยใู นถน่ิ ปราศจาก

ตกหลน สวดแตอนุสาวนาไมไดตั้ง ปกตัตตภิกษุ (มีปกตัตตภิกษุอยูเปน
ญตั ติ เปนตน (ขอกรรมวาจาวิบตั ิบาง เพื่อนรูปเดียวก็ใชได); ดู รตั ตเิ ฉท
กรณีแยกเปนญัตติวิบัติและอนุสาวนา วิปริณาม ความแปรปรวน, ความผัน
วิบัติ กลายเปนวิบตั ิ ๕ กม็ ;ี เทยี บ สมบัติ แปรเปลย่ี นแปลงเรือ่ ยไป
วบิ าก ผลแหงกรรม, ผลโดยตรงของ วิปริณามทุกข ทุกขเนื่องดวยความผัน

กรรม, ผลดีผลรายท่เี กดิ แกตน คอื เกดิ แปร หรือทุกขท่ีแฝงอยูในความแปร

ขึ้นในกระแสสืบตอแหงชีวิตของตน ปรวน ไดแกสุขเวทนา ซ่ึงกลายเปน

(ชีวิตสันตติ) อันเปนไปตามกรรมดี ความรูสึกทุกข หรือกอใหเกิดทุกขขึ้น

กรรมชัว่ ที่ตนไดทาํ ไว; “วิบาก” มีความ ในทันทีเมื่อสุขเวทนานั้นแปรปรวนไป;

๔๐๔

วปิ ลาส,วปิ ลลาส ๔๐๕ วิปสสนาปญญา

เทยี บ ทกุ ขทุกข, สงั ขารทุกข วิปสสนาหรือญาณท่ีจัดเปนวิปสสนามี

วปิ ลาส, วปิ ลลาส กิรยิ าทถ่ี อื โดยอาการ ๙ อยางคอื ๑. อทุ ยพั พยานปุ สสนาญาณ

วปิ ริตผิดจากความเปนจริง, ความเห็น ญาณตามเห็นความเกิดและความดับ
หรือความเขาใจคลาดเคลื่อนจากสภาพ แหงนามรูป ๒. ภังคานุปสสนาญาณ

ทเ่ี ปนจรงิ มดี งั น:ี้ ก. วิปลาสดวยอํานาจ ญาณตามเห็นจําเพาะความดับเดนขึ้น
มา ๓. ภยตปู ฏฐานญาณ ญาณอันมอง
จิตตและเจตสิก ๓ ประการ คือ ๑. เห็นสังขารปรากฏเปนของนากลัว ๔.
อาทนี วานปุ สสนาญาณ ญาณคาํ นงึ เหน็
วิปลาสดวยอํานาจสําคัญผิด เรียกวา โทษ ๕. นพิ พทิ านปุ สสนาญาณ ญาณ
สญั ญาวปิ ลาส ๒. วิปลาสดวยอํานาจ คํานึงเห็นดวยความหนาย ๖. มุญจิตุ-
คิดผดิ เรยี กวา จิตตวปิ ลาส ๓. วปิ ลาส กัมยตาญาณ ญาณหย่ังรูอันใหใครจะ
ดวยอาํ นาจเหน็ ผดิ เรยี กวา ทฏิ ฐวิ ิปลาส พนไปเสีย ๗. ปฏสิ งั ขานปุ สสนาญาณ
ข. วปิ ลาสดวยสามารถวัตถุเปนทีต่ ัง้ ๔

ประการ คอื ๑. วิปลาสในของทีไ่ มเทย่ี ง

วาเที่ยง ๒. วปิ ลาสในของทีเ่ ปนทุกขวา ญาณอนั พจิ ารณาทบทวนเพ่ือจะหาทาง

เปนสุข ๓. วปิ ลาสในของที่ไมใชตน วา ๘. สงั ขารุเปกขาญาณ ญาณอันเปนไป
เปนตน ๔. วปิ ลาสในของที่ไมงาม วา โดยความเปนกลางตอสงั ขาร ๙. สัจจา-
งาม (เขยี นวา พปิ ลาส ก็มี) นุโลมิกญาณ ญาณเปนไปโดยควรแก
วปิ สสนา ความเหน็ แจง คือเห็นตรงตอ การหยัง่ รูอรยิ สจั จ;ดู ญาณ๑๖
ความเปนจริงของสภาวธรรม; ปญญาท่ี วปิ สสนาธุระ ธรุ ะฝายวิปสสนา, ธุระ

เห็นไตรลักษณอันใหถอนความหลงผิด ดานการเจรญิ วปิ สสนา, กจิ พระศาสนาใน

รูผิดในสังขารเสียได, การฝกอบรม ดานการสอนการฝกเจรญิ กรรมฐาน ซงึ่

ปญญาใหเกิดความเห็นแจงรูชัดภาวะ จบครบท่ีวิปสสนา, เปนคําท่ีใชในช้ัน

ของส่งิ ท้ังหลายตามที่มนั เปน (ขอ ๒ ใน อรรถกถาลงมา (ไมมีในพระไตรปฎก);

กมั มฏั ฐาน ๒ หรอื ภาวนา ๒); ดู ภาวนา, เทียบ คนั ถธุระ, ดู คามวาส,ี อรัญวาสี
ไตรลักษณ วปิ สสนาปรวิ าส ดู ปรวิ าส 2.
วิปสสนากัมมัฏฐาน กรรมฐานคือ วิปสสนาปญญา ปญญาท่ีถึงข้ันเปน
วปิ สสนา, งานเจรญิ ปญญา; ดู กมั มฏั ฐาน, วิปสสนา, ปญญาที่ใชในการเจริญ
วปิ สสนา
วปิ สสนา คือ ปญญาทพ่ี ิจารณาเขาใจ

วิปสสนาญาณ ญาณที่นับเขาใน สังขารตามความเปนจริง

๔๐๕

วิปสสนาภาวนา ๔๐๖ วิปสสนปู กิเลส

วปิ สสนาภาวนา การเจริญวิปสสนา; ดู สภาวะท่ีทําใหวิปสสนามัวหมองของขัด,
ภาวนา, วปิ สสนา สภาพนาชื่นชม ซึ่งเกิดแกผูเจริญ
วปิ สสนาภินเิ วส ดู อภินิเวส วิปสสนาในขั้นท่ีเปนวิปสสนาอยางออน
วิปสสนาภูมิ ภมู แิ หงวิปสสนา, ฐานท่ีตง้ั (ตรณุ วปิ สสนา) แตกลายเปนโทษเครอ่ื ง
อันเปนพน้ื ท่ซี ึง่ วิปสสนาเปนไป, พืน้ ฐาน เศราหมองแหงวปิ สสนา โดยทาํ ใหเขาใจ
ผิดวาตนบรรลุมรรคผลแลว จึงชะงัก
ทด่ี าํ เนนิ ไปของวิปสสนา 1. การปฏิบตั ิ หยุดเสีย ไมดําเนินกาวหนาตอไปใน
วปิ สสนาญาณ มี ๑๐ คอื ๑. โอภาส
อนั เปนพ้นื ฐานท่ีวปิ สสนาดาํ เนนิ ไป คือ แสงสวาง ๒. ปติ ความอมิ่ ใจปลาบปล้มื
เตม็ ไปท้งั ตวั ๓. ญาณ ความรูทีค่ มชดั
การมองดูรเู ขาใจ (สัมมสนะ, มักแปล ๔. ปสสทั ธิ ความสงบเยน็ กายใจ ๕.
สุข ความสุขฉ่ําช่ืนท่ัวท้ังตัวท่ีประณีต
กันวาพิจารณา) หรือรูเทาทันสังขารท้ัง อยางยิ่ง ๖. อธิโมกข ศรัทธาแรงกลาท่ี
ทําใหใจผองใสอยางยิ่ง ๗. ปคคาหะ
หลายตามที่มันเปนอนิจจะ ทุกขะ ความเพยี รทพ่ี อดี ๘. อปุ ฏฐาน สติชัด
๙. อุเบกขา ความวางจิตเปนกลางท่ีลง
อนัตตา อันดําเนินไปโดยลาํ ดับ จนเกดิ ตวั สนิท ๑๐.นกิ นั ติความติดใจพอใจ

ตรณุ วปิ สสนา ซึง่ เปนพ้ืนของการกาวสู ธรรมทั้งหมดนี้ (เวนแตนกิ ันติ ซง่ึ
เปนตัณหาอยางสขุ ุม) โดยตัวมันเอง มิ
วิปสสนาท่ีสงู ขนึ้ ไป 2. ธรรมที่เปนภูมิ ใชเปนสิ่งเสยี หาย มใิ ชเปนอกุศล แต
เพราะเปนประสบการณประณีตล้ําเลิศที่
ของวิปสสนา คอื ธรรมท้ังหลายอนั เปน ไมเคยเกิดมีแกตนมากอน จงึ เกิดโทษ
เน่ืองจากผูปฏิบัติไปหลงสําคัญผิดเสีย
พน้ื ฐานท่ีจะมองดรู เู ขาใจ ใหเกดิ ปญญา เองวาเปนการบรรลมุ รรคผล

เห็นแจงตามเปนจริง ตรงกับคําวา วปิ สสนูปกิเลสนี้ ไมเกดิ ขึ้นแกทานที่
“ปญญาภมู ิ” ไดแก ขนั ธ ๕ อายตนะ บรรลมุ รรคผลแลว ไมเกดิ ขนึ้ แกบคุ คล
๑๒ ธาตุ ๑๘ อนิ ทรยี ๒๒ อรยิ สจั จ ๔ ท่ีปฏิบัติผิดทาง และไมเกิดขึ้นแกคน
ปฏจิ จสมปุ บาท และ ปฏจิ จสมปุ ปนน- เกยี จครานผทู อดท้งิ กรรมฐาน แตเกิด
ธรรมท้งั หลาย, เฉพาะอยางยิ่ง ทานเนน
ปฏจิ จสมปุ บาท ซง่ึ เปนทร่ี วมในการทํา ๔๐๖
ความเขาใจธรรมท้ังหมดน้ัน, วาโดย

สาระ กค็ อื ธรรมชาตทิ ง้ั ปวงทม่ี ใี นภมู ิ ๓;
ดู วิปสสนาญาณ
วปิ สสนายานิก ผมู วี ปิ สสนาเปนยานคอื
ผู เ จ ริ ญ วิ ป ส ส น า โ ด ย ยั ง ไ ม ไ ด ฌ า น

สมาบัตมิ ากอน
วิปสสนูปกิเลส อุปกิเลสแหงวิปสสนา,

วปิ สสี ๔๐๗ วปิ ากวัฏฏ

ข้ึนเฉพาะแกผูที่เจริญวิปสสนามาอยาง ใชมรรคไมใชทาง แตวปิ สสนาที่พนจาก

ถกู ตองเทาน้นั วปิ สสนูปกิเลสเหลาน้ี ซึ่งดาํ เนินไปตาม

ในพระไตรปฎก เรยี กอาการฟงุ ซานท่ี วิถนี ั่นแหละเปนมรรคเปนทางทถ่ี ูกตอง

เกดิ จากความสาํ คญั ผดิ เอาโอภาสเปนตน น่ีคือเปนญาณที่รูแยกไดวามรรค

นนั้ เปนมรรคผลนพิ พาน วา “ธมั มทุ ธจั จะ” และมใิ ชมรรค นบั เปนวิสุทธขิ อท่ี ๕ คือ
(ธรรมุธัจจ ก็เขียน), แตทานระบุช่ือ มคั คามัคคญาณทสั สนวิสุทธิ

โอภาสเปนตนนัน้ ทีละอยาง โดยไมมี วิปสสนาตั้งแตญาณเร่ิมแรก (คือ

ช่ือเรียกรวม, “วิปสสนูปกิเลส” เปนคําที่ นามรปู ปรจิ เฉทญาณ) จนถงึ มคั คามคั ค-

ใชในคัมภรี ชน้ั อรรถกถาลงมา (พดู สั้นๆ ญาณทัสสนวิสุทธิน้ี ทานจัดเปน

ธรรมุธจั จ ก็คอื ความฟงุ ซานทเี่ กิดจาก วิปสสนาอยางออน (ตรุณวิปสสนา)

ความสาํ คัญผิดตอวิปสสนูปกเิ ลส) สวนวิปสสนาตั้งแตพนจากวิปสสนูป-

เม่อื วิปสสนปู กเิ ลสเกดิ ข้นึ ผปู ฏบิ ตั ิ กเิ ลสเหลานไ้ี ปแลว (จนถงึ สังขารุเปกขา-

ท่ีมีปญญานอย จะฟุงซานเขวไปและ ญาณ) จัดเปนวิปสสนาท่มี ีกาํ ลัง ทแี่ รง

เกิดกิเลสอื่นๆ ตามมาดวย, ผูปฏิบตั ิทีม่ ี กลา หรืออยางเขม (พลววปิ สสนา); ดู
ปญญาปานกลาง กฟ็ ุงซานเขวไป แมจะ ญาณ ๑๖; วปิ สสนาญาณ ๙; วิสทุ ธิ ๗
ไมเกดิ กเิ ลสอน่ื ๆ แตจะสําคญั ผิด, ผู วิปสสี พระนามของพระพทุ ธเจาพระองค
ปฏิบตั ิทีม่ ีปญญาคมกลา ถงึ จะฟุงซาน หนงึ่ ในอดตี ; ดู พระพุทธเจา ๗
เขวไป แตจะละความสําคัญผดิ ได และ วิปากญาณ ปรชี าหย่ังรผู ลแหงกรรม คือ

เจริญวิปสสนาตอไป, สวนผปู ฏบิ ัตทิ ม่ี ี รจู กั แยกไดวา บรรดาผลทสี่ ตั วทง้ั หลาย

ปญญาคมกลามาก จะไมฟุงซานเขวไป ไดรับอันซับซอน อันใดเปนผลของ

เลย แตจะเจรญิ วิปสสนากาวตอไป กรรมดีหรือกรรมชั่วอยางใดๆ เรียก
วธิ ปี ฏบิ ตั ใิ นเรอ่ื งน้ี คอื เมอื่ วปิ สสนปู - เต็มวา กรรมวปิ ากญาณ (ขอ ๒ ใน

กิเลสเกิดขึ้น พึงรูเทาทันดวยปญญา ทสพลญาณ)
ตามเปนจริงวา สภาวะนี้ (เชนวาโอภาส) วิปากทุกข ทุกขท่ีเปนผลของกรรมชั่ว

เกิดข้ึนแลวแกเรา มันเปนของไมเท่ียง เชน ถูกลงอาชญาไดรับความทกุ ขหรอื

เกิดมีขน้ึ ตามเหตุปจจยั แลวก็จะตองดบั ตกอบาย หรอื เกดิ วิปฏิสารคอื เดือด

สน้ิ ไป ฯลฯ เมอื่ รูเทาทัน กไ็ มหวนั่ ไหว รอนใจ
ไมฟุงไปตามมัน คือกําหนดไดวามันไม วปิ ากวฏั ฏ วนคอื วบิ าก, วงจรสวนวบิ าก,

๔๐๗

วปิ ากสัทธา ๔๐๘ วิมติวิโนทนี

หนงึ่ ในวฏั ฏะ ๓ แหงปฏิจจสมุปบาท วภิ ชั ชวาที “ผกู ลาวจําแนก”, “ผแู ยกแยะ

ประกอบดวยวญิ ญาณ นามรูป สฬาย- พดู ”, เปนคณุ บทคอื คาํ แสดงคณุ ลกั ษณะ

ตนะ ผสั สะ เวทนา, ชาติ ชรามรณะ; ดู อยางหนง่ึ ของพระพุทธเจา หมายความ
ไตรวฏั ฏ วา ทรงแสดงธรรมแยกแยะแจกแจง
วปิ ากสทั ธา ดู สัทธา ออกไปใหเห็นวา สิ่งท้ังหลายเกิดจาก
วิภวตณั หา ความอยากในวิภพ คอื ความ สวนประกอบยอยๆ มาประชุมกันเขา

ทะยานอยากในความไมมไี มเปน อยาก อยางไร เชน แยกแยะกระจายนามรูป

ไมเปนนนั่ ไมเปนน่ี อยากตายเสยี อยาก ออกเปนขนั ธ ๕ อายตนะ ๑๒ เปนตน

ขาดสูญ อยากพรากพนไปจากภาวะที่ ส่ิงท้ังหลายมีดานที่เปนคุณและดานท่ี

ตนเกลียดชงั ไมปรารถนา, ความทะยาน เปนโทษอยางไร เรื่องนนั้ ๆ มขี อจริงขอ

อยากที่ประกอบดวยวิภวทิฏฐิหรือ เทจ็ อะไรบาง การกระทําอยางน้นั ๆ มแี ง

อจุ เฉททิฏฐิ (ขอ ๓ ในตณั หา ๓) ถูกแงผิดแงท่ีดีและแงไมดีประการใด
วภิ ังค 1. (ในคําวา “วิภังคแหงสิกขาบท”) เปนตน เพ่อื ใหผฟู งเขาใจสิง่ น้นั เร่อื งน้ัน

คาํ จาํ แนกความแหงสิกขาบทเพอ่ื อธบิ าย อยางชดั เจน มองเหน็ สิ่งทง้ั หลายตามท่ี

แสดงความหมายใหชดั ขนึ้ ; ทานใชเปน เปนจรงิ เชนมองเหน็ ความเปนอนัตตา

ช่ือเรียกคัมภีรท่ีจําแนกความเชนน้ันใน เปนตน ไมมองอยางตคี ลุมหรือเห็นแต

พระวินยั ปฎกวาคมั ภรี วภิ ังค คอื คัมภีร ดานเดยี วแลวยดึ ตดิ ในทฏิ ฐติ างๆ อนั ทาํ

จําแนกความสิกขาบทในภิกขุปาติโมกข ใหไมเขาใจถึงความจรงิ แทตามสภาวะ
เรยี กวา มหาวภิ ังค หรอื ภกิ ขวุ ิภังค วิภัตติ ชื่อวิธีไวยากรณภาษาบาลีและ

คัมภีรจําแนกความตามสิกขาบทใน สนั สกฤต สาํ หรับแจกศัพทโดยเปล่ยี น
ภิกขนุ ีปาติโมกข เรียกวา ภิกขุนีวภิ ังค
เปนหมวดตนแหงพระวนิ ัยปฎก 2. ช่อื ทายคาํ ใหมีรปู ตางๆ กนั เพอื่ บอกการก
และกาลเปนตน เชนคํานาม โลโก วา
คัมภีรท่ี ๒ แหงพระอภิธรรมปฎกที่ โลก, โลกํ ซ่งึ โลก, โลกา จากโลก,
โลเก ในโลก; คํากริ ิยา เชน นมติ ยอม
อธิบายจําแนกความแหงหลักธรรม นอม, นมตุ จงนอม, นมิ นอมแลว

สาํ คญั เชน ขันธ อายตนะ ธาตุ ปจจ-

ยาการ เปนตน ใหชดั เจนจบไปทลี ะเรอ่ื งๆ; เปนตน
ดู ไตรปฎก (เลม ๓๕, อภธิ รรมปฎก วภิ าค การแบง, การจาํ แนก, สวน, ตอน
เลม ๒) วิมติวิโนทนี ช่ือคัมภีรฎีกาอธิบายพระ

๔๐๘

วมิ ละ ๔๐๙ วมิ ุตติสุข

วินัย แตงโดยพระกัสสปเถระ ชาว ๔. ปฏิปสสัทธวิ ิมุตติ พนดวยสงบ ๕.
นิสสรณวิมุตติ พนดวยออกไป; ๒
แควนโจฬะ ในอินเดยี ตอนใต

วิมละ บุตรเศรษฐีเมืองพาราณสีเปน อยางแรก เปน โลกยิ วิมตุ ติ ๓ อยาง
สหายของยสกุลบุตร ไดทราบขาว หลงั เปน โลกตุ ตรวมิ ตุ ติ
ยสกุลบุตรออกบวช จึงไดบวชตาม วมิ ตุ ตกิ ถา ถอยคําทช่ี กั นําใหทาํ ใจใหพน

พรอมดวยสหายอีก ๓ คน คือ สพุ าหุ จากกิเลส (ขอ ๙ ในกถาวัตถุ ๑๐)
ปุณณชิ และ ควัมปติ จัดเปนพระ วมิ ุตติขันธ กองวิมุตติ, หมวดธรรมวา

มหาสาวกองคหนง่ึ ดวยวมิ ตุ ติ คอื การทาํ จติ ใหพนจากอาสวะ

วมิ งั สา การสอบสวนทดลอง, การตรวจ เชน ปหานะ การละ, สัจฉกิ ิรยิ า การทาํ

สอบ, การหม่ันตรติ รองพจิ ารณาเหตุผล ใหแจง (ขอ ๔ ในธรรมขันธ ๕)

ในสงิ่ นั้น (ขอ ๔ ในอทิ ธิบาท ๔) วิมุตติญาณทัสสนะ ความรูเห็นใน

วมิ าน ทีอ่ ยหู รือที่ประทับของเทวดา วิมุตติ, ความรูเห็นวาจิตหลุดพนแลว
วิมานวตั ถุ เร่ืองผูเกิดในสวรรคอยูวิมาน จากอาสวะทงั้ หลาย
เลาการทําความดีของตนในอดีต ที่ทํา วิมุตติญาณทัสสนกถา ถอยคาํ ท่ชี ักนาํ

ใหไดไปเกดิ เชนนนั้ เปนคาถาลวน รวม ใหเกิดความรูความเห็นในความท่ีใจพน

๘๕ เร่อื ง จัดเปนคัมภรี ท่ี ๖ แหงขทุ ทก จากกเิ ลส (ขอ ๑๐ ในกถาวตั ถุ ๑๐)
นิกาย ในพระสุตตันตปฎก; ดู ไตรปฎก วิมุตติญาณทัสสนขันธ กองวิมุตติ

(ในเลม ๒๖) ญาณทสั สนะ, หมวดธรรมวาดวยความรู

วมิ ตุ อักขระทวี่ าปลอยเสียงเชน สุณาต,ุ ความเห็นวา จติ หลดุ พนแลวจากอาสวะ
เอสา ตฺติ
เชน ผลญาณ ปจจเวกขณญาณ (ขอ ๕

วิมุตตานุตตริยะ การพนอันเย่ียมคือ ในธรรมขันธ ๕)
หลุดพนจากกิเลสและกองทุกข ไดแก วิมุตติสุข สุขเกิดแตความหลุดพนจาก

พระนพิ พาน (ขอ ๓ ในอนตุ ตรยิ ะ ๓) กิเลสอาสวะและปวงทกุ ข; พระพทุ ธเจา
วิมุตติ ความหลุดพน, ความพนจาก ภายหลงั ตรสั รแู ลวใหมๆ ไดเสวยวมิ ตุ ติ
กิเลสมี ๕ อยางคอื ๑. ตทงั ควมิ ตุ ติ สขุ ๗ สัปดาหตามลาํ ดบั คือ สัปดาหที่ ๑
พนดวยธรรมคปู รับหรอื พนชวั่ คราว ๒. ทรงประทับภายใตรมไมมหาโพธิ์ ทรง
วิกขัมภนวิมุตติ พนดวยขมหรือสะกด พจิ ารณาปฏจิ จสมปุ บาท สปั ดาหที่ ๒ เสดจ็
ไว ๓. สมจุ เฉทวิมุตติ พนดวยตัดขาด ไปประทับยืนดานอีสาน ทรงจองดูตน

๔๐๙

วมิ ตุ ิ ๔๑๐ วิราคะ

มหาโพธ์ิไมกระพริบพระเนตร ท่ีน้ัน นพิ พาน แลวนอมพระทยั ท่จี ะไมแสดง
เรยี กวา อนมิ สิ เจดยี สปั ดาหที่ ๓ ทรง ธรรม เปนเหตุใหสหัมบดพี รหมมากราบ
นิรมิตท่ีจงกรมข้ึนระหวางกลางแหงพระ ทลู อาราธนา และ ณ ทน่ี เี้ ชนกนั ไดทรง

มหาโพธ์ิและอนิมิสเจดยี เสดจ็ จงกรม พระดาํ รเิ กยี่ วกบั สตปิ ฏฐาน ๔ ท่ีเปน
ตลอด ๗ วนั ทน่ี นั้ เรียก รัตนจงกรม- เอกายนมรรค และอินทรยี ๕ อันมี
เจดยี สปั ดาหที่ ๔ ประทับน่งั ขดั บัลลังก อมตธรรมเปนท่ีหมาย; พึงสังเกตวา
พจิ ารณาพระอภธิ รรมปฎก ณ เรอื นแกว เรื่องในสัปดาหที่ ๒, ๓, ๔ น้นั เปน

ท่ีเทวดานิรมิตในทิศพายัพแหงตนมหา สวนท่ีพระอรรถกถาจารยกลาวแทรก
โพธิ์ ที่นัน้ เรียก รัตนฆรเจดยี สัปดาหท่ี เขามา ความนอกนั้นมาในมหาวรรค
๕ ประทบั ใตรมไมไทร ชอ่ื อชปาลนโิ ครธ แหงพระวินัยปฎก (เรื่องดําริถึงสติ-
ทรงตอบปญหาของพราหมณหุหุกชาติ ปฏฐานและอินทรียมาในสังยุตตนิกาย

แสดงสมณะและพราหมณทแ่ี ท พรอมทงั้ มหาวารวรรค พระสุตตนั ตปฎก)
ธรรมทที่ าํ ใหเปนสมณะและเปนพราหมณ วมิ ตุ ิ ดู วมิ ุตติ
พระอรรถกถาจารยกลาววาธดิ ามาร ๓ วิโมกข ความหลดุ พนจากกิเลส มี ๓
คนไดมาประโลมพระองค ณ ที่น้ี ประเภท คือ ๑. สญุ ญตวิโมกข หลดุ พน
สัปดาหที่ ๖ ประทับใตตนไมจิก ชอื่ มุจจ- ดวยเห็นอนัตตาแลวถอนความยึดม่ัน
ลนิ ท มีฝนตก มุจจลนิ ทนาคราชมาวง ได มองเห็นความวาง ๒. อนิมิตต-
ขนดแผพังพานปกปองพระองค ทรง วโิ มกข หลดุ พนดวยเห็นอนิจจัง แลว
เปลงอทุ านแสดงความสขุ ทีแ่ ท อนั เกดิ ถอนนิมติ ได ๓. อปั ปณหิ ิตวิโมกข หลดุ
จากการไมเบียดเบียนกัน เปนตน พนดวยเห็นทุกข แลวถอนความ

สัปดาหที่ ๗ ประทับใตตนไมเกดช่ือ ปรารถนาได
ราชายตนะ พาณชิ ๒ คน คอื ตปสุ สะและ วริ ัติ ความเวน, งดเวน; เจตนาที่งดเวน
ภลั ลิกะ เขามาถวายสัตตุผง สัตตกุ อน จากความช่วั ; วริ ัติ ๓ คือ ๑. สัมปตต-
และไดแสดงตนเปนปฐมอุบาสกถึง ๒ วิรัติ เวนไดซ่ึงสิ่งท่ีประจวบเขา ๒.
สรณะ เม่ือสิ้นสัปดาหท่ีเจ็ดท่ีน้ีแลว สมาทานวริ ัติ เวนดวยการสมาทาน ๓.
เสด็จกลับไปประทับใตตนอชปาล- สมุจเฉทวิรัติ เวนไดโดยเด็ดขาด
นิโครธอีก ทรงดําริถึงความลึกซ้ึงแหง วิราคะ ความสิน้ กําหนัด, ธรรมเปนทสี่ ้นิ
ธรรมที่ตรัสรู คือปฏิจจสมุปบาทและ ราคะ, ความคลายออกไดหายตดิ เปน

๔๑๐

วิราคสญั ญา ๔๑๑ วิศาขนกั ษัตร

ไวพจนของ นพิ พาน ววิ าท การทะเลาะ, การโตแยงกนั , การ
วิราคสัญญา กําหนดหมายธรรมเปนที่ กลาวเกย่ี งแยงกนั , กลาวตาง คือวาไป

สนิ้ ราคะ หรอื ภาวะปราศจากราคะวาเปน คนละทาง ไมลงกนั ได
ธรรมละเอียด (ขอ ๖ ในสัญญา ๑๐) วิวาทมลู รากเหงาแหงการเถียงกัน, เหตุ
วิริยะ ความเพยี ร, ความบากบ่นั , ความ ทกี่ อใหเกดิ ววิ าท กลายเปนววิ าทาธกิ รณ

เพยี รเพ่ือจะละความช่ัว ประพฤตคิ วาม มี ๒ อยาง คือ ๑. กอววิ าทขึ้นดวย

ด,ี ความพยายามทํากจิ ไมทอถอย (ขอ ความปรารถนาดี เหน็ แกธรรมวินัย มี

๒ ในอทิ ธิบาท ๔, ขอ ๒ ในอินทรีย ๕, จติ ประกอบดวยอโลภะ อโทสะ อโมหะ

ขอ ๒ ในพละ ๕, ขอ ๓ ในโพชฌงค ๗, ๒. กอววิ าทดวยความปรารถนาเลว ทํา

ขอ ๕ ในบารมี ๑๐) ดวยทฏิ ฐมิ านะ มีจติ ประกอบดวยโลภะ

วิริยวาท ผูถือหลักการแหงความเพียร, โทสะ โมหะ
หลกั การแหงความเพียร; ดู กรรมวาท วิวาทมูลกทุกข ทุกขมีวิวาทเปนมูล,
วริ ิยสงั วร สาํ รวมดวยความเพยี ร (ขอ ๕ ทกุ ขเกดิ เพราะการทะเลาะกนั เปนเหตุ
วิวาทาธิกรณ วิวาทท่ีจัดเปนอธิกรณ,
ในสงั วร ๕)

วิริยารมั ภะ ปรารภความเพยี ร คือลงมือ การวิวาทซ่ึงเปนเรื่องท่ีสงฆจะตองเอา

ทําความเพียรอยางเขมแข็งเด็ดเดี่ยว, ธรุ ะดําเนินการพจิ ารณาระงับ ไดแกการ

ระดมความเพียร (ขอ ๔ ในเวสารชั ช- เถียงกนั ปรารภพระธรรมวนิ ัย เชนเถียง

กรณธรรม ๕, ขอ ๗ ในลกั ษณะตัดสิน กันวา ส่ิงนเ้ี ปนธรรม เปนวินัย ส่งิ นไ้ี ม

ธรรมวินัย ๘, ขอ ๕ ในสัทธรรม ๗, ขอ ใชธรรม ไมใชวนิ ัย ขอน้ี พระพุทธเจา

๗ ในนาถกรณธรรม ๑๐) ตรัสไว ขอน้ีไมไดตรัสไว ดงั นีเ้ ปนตน

วริ ิยารัมภกถา ถอยคาํ ทช่ี ักนําใหปรารภ ววิ าหะ การแตงงาน, การสมรส
ความเพียร (ขอ ๕ ในกถาวตั ถุ ๑๐) วิเวก ความสงัด มี ๓ คอื อยูในทส่ี งัด
วริ ฬุ หก ดู จาตมุ หาราช เปนกายวิเวก จิตสงบ เปนจิตตวิเวก
วริ ปู กษ ดู จาตมุ หาราช หมดกิเลส เปนอุปธิวเิ วก
ววิ ฏั ฏ, ววิ ฏั ฏะ ปราศจากวัฏฏะ, ภาวะ วิศวามิตร ครูผูสอนศิลปวิทยาแกพระ

พนวัฏฏะ ไดแก นพิ พาน ราชกุมารสทิ ธัตถะ
ววิ ฏั ฏกปั ดู กัป วิศาขนักษัตร หมูดาวฤกษชื่อวิศาขะ
ววิ ฏั ฏฐายกี ปั ดู กัป
(ดาวคันฉตั ร) เปนหมดู าวฤกษท่ี ๑๖ มี

๔๑๑

วศิ าขบุรณมี ๔๑๒ วสิ าขบชู า

๕ ดวง; ดู ดาวนักษัตร วิสัชชนา คําตอบ, คําแกไข; คาํ ช้แี จง
วิศาขบุรณมี ดู วศิ าขปรุ ณมี
(พจนานุกรม เขียน วสิ ัชนา)

วศิ าขบูชา ดู วสิ าขบชู า วิสญั ญี หมดความรสู ึก, สิน้ สต,ิ สลบ
วศิ าขปุรณมี ดู วสิ าขปุรณมี วิสยั ภมู ิ, พื้นเพ, อารมณ, เขต, แดน,
วศิ าล กวางขวาง, แผไป
ลกั ษณะทเี่ ปนอย,ู ไทยใชในความหมาย

วสิ ภาค มสี วนไมเสมอกัน คอื ขดั กนั เขา วา ขีดข้ันแหงความเปนไปได หรือ

กนั ไมได ไมถูกกัน หรือไมกลมกลืน ขอบเขตความสามารถ

กนั , ไมเหมาะกนั วสิ าขบณุ ม,ี วสิ าขบูรณมี, วิสาขปณุ มี

วสิ มปริหารชา อาพาธา ความเจบ็ ไขท่ี วันเพญ็ เดือน ๖; ดู วศิ าขปรุ ณมี
เกิดจากบรหิ ารรางกายไมสมา่ํ เสมอ คือ วิสาขบชู า (เปนคาํ เรยี กตดั สนั้ คําเตม็ วา
ผลัดเปลยี่ นอิรยิ าบถไมพอด;ี ดู อาพาธ “วิสาขปุณณมีปชู า” หรอื “วิสาขบรู ณมี
วิสสาสะ 1. ความคนุ เคย, ความสนิท บชู า”) การบชู าในวนั เพญ็ เดือน ๖ เพ่อื

สนม การถือวาเปนกันเอง, ในทางพระ ราํ ลกึ ถงึ พระคณุ ของพระพุทธเจา เน่อื ง

วนิ ัย การถือเอาของของผอู น่ื ท่ีจดั วาเปน ในวนั ประสูติ ตรัสรู และปรนิ ิพพานของ

การถอื วสิ สาสะ มีองค ๓ คอื ๑. เคย พระองค

เหน็ กันมา เคยคบกันมา หรือไดพูดกนั วนั วสิ าขบูชา นบั วาเปนวันสาํ คัญทส่ี ดุ

ไว ๒. เจาของยังมีชีวิตอยู ๓. รวู าของ ในบรรดาวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา

เราถือเอาแลวเขาจักพอใจ, บัดน้ีนิยม ท้ังในแงเปนวันเกาแก มีมาแตโบราณ
เขียน วิสาสะ 2. ความนอนใจ ดงั พทุ ธ- และในแงเปนสากล คือเปนที่ยอมรับ

ดํารัสวา “ภิกษุเธอยังไมถึงความสิ้น ท่วั ไป และมีการจัดงานฉลองในประเทศ
อาสวะแลว อยาไดถึง วสิ สาสะ (ความ ทั้งหลายทนี่ บั ถือพระพทุ ธศาสนา

นอนใจ)” ในประเทศไทย การจัดงานฉลองวนั
วิสสาสิกชน คนที่สนิทสนมคนุ เคย, คน วสิ าขบชู า คงจะไดมีมาตั้งแตสมยั สโุ ขทยั
คุนเคยกนั , วิสาสกิ ชน กใ็ ช โดยอาจจะสืบมาจากการติดตอกับลังกา
วิสังขาร ธรรมท่ีปราศจากการปรุงแตง, ทวปี ท่ีมงี านวิสาขบชู ามานานแลว และ

ธรรมอนั มิใชสงั ขาร คอื พระนพิ พาน หนังสือเรื่องนางนพมาศ ก็เลาเร่ืองพิธี
วสิ ัชชกะ ผจู าย, ผแู จกจาย; ผูตอบ, ผู วนั วสิ าขบูชาในกรงุ สโุ ขทัยไวดวย

วิสชั ชนา ในสมยั อยธุ ยา กเ็ ขาใจวามกี ารฉลอง

๔๑๒

วิสาขบูชา ๔๑๓ วิสาขบชู า

ใหญ ทง้ั งานหลวงงานราษฎร ตลอด ๓ ประเทศพุทธศาสนาในเอเชียตะวันออก
วัน ๓ คืน คร้ันกรงุ แตกแลว ประเพณี เฉยี งใต จัดงานตามปฏิทินจันทรคติ ใน
จึงเส่อื มทรามไป จนมกี ารฟนฟูขน้ึ ใหม วนั เพ็ญเดอื น ๖ แตชาวพทุ ธญีป่ นุ จดั
ในรัชกาลท่ี ๒ แหงกรงุ รัตนโกสินทร งานฉลองวันประสูติของพระพุทธเจา
โดยมพี ระราชโองการ เมอ่ื จ.ศ. ๑๑๗๙ ตามปฏทิ ินสุริยคติ ในวันท่ี ๘ เมษายน
(พ.ศ. ๒๓๖๐) กําหนดใหมีงานสมโภช คนไทยเรียก วสิ าขบูชา ชาวศรีลงั กา
ประจําปเปนการใหญย่ิงกวางานใดอ่นื เรยี กเพยี้ นไปวา วสี ัค หรือ วีซคั (Vesak
หรือ Wesak) ดงั นเ้ี ปนตน แตสาระ
ความในพระราชกําหนดพิธีวิสาข สําคญั ของงานกเ็ ปนอนั หนึ่งอันเดียวกนั
บชู า จ.ศ. ๑๑๗๙ วา ทรงมพี ระทัย
ปรารถนาจะบําเพ็ญพระราชกุศลใหมี โ ด ย ก า ร เ ส น อ ข อ ง ศ รี ลั ง ก า
ผลวิเศษยงิ่ กวาที่ไดทรงกระทํามา จงึ มี สมัชชาสหประชาชาติไดมีมติรับรองวัน
พระราชปุจฉาถามคณะสงฆ มีสมเด็จ วิ ส า ข บู ช า เ ป น วั น สําคั ญ ส า ก ล
พระสังฆราช (ม)ี เปนประธาน ซึ่งได (International recognition of the
ถวายพระพรถึงโบราณราชประเพณีงาน Day of Vesak) เมื่อเดือนธนั วาคม
วสิ าขบชู าดังสมยั พระเจาภาตกิ ราช แหง ๒๕๔๒ จากน้นั ประเทศไทยไดจัดงาน
ลังกาทวีป (ตามคัมภีรมหาวงส วันวิสาขบูชาในฐานะวันสําคัญสากลตั้ง
พงศาวดารลงั กา เลาไว ประมาณ พ.ศ. แต พ.ศ. ๒๕๔๓ ตลอดมาทุกป และใน
๔๒๐) เปนเหตใุ หทรงมพี ระราชโองการ ป ๒๕๔๗ กไ็ ดเร่มิ จัดกจิ กรรมฉลองใน
กําหนดวันพิธีวิสาขบูชานักขัตฤกษใหญ ระดบั นานาชาติ โดยในชวงเดือน พ.ค.-
ครง้ั ละ ๓ วัน สบื มา มิ.ย. นอกจากจัดประชุมผูนําชาวพุทธ
นานาชาติ ณ หอประชุมพุทธมณฑลแลว
อยางไรก็ตาม ครั้นกาลลวงนานมา ก็ไดจัดกิจกรรมเน่ืองในวันวิสาขบูชา
สภาพสังคมเปล่ียนไป งานวนั วิสาขบูชา วันสําคัญสากลของสหประชาชาติ ณ
ก็คอยซบเซาลงอีก สํานักงานใหญ องคการสหประชาชาติ
นครนิวยอรก และในงานฉลองวนั วสิ าข
ส ว น ใ น ว ง ก า ร พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า บชู าโลก พ.ศ. ๒๕๔๘ ที่ประชุมชาว
ระหวางประเทศ วันสาํ คญั ทร่ี ูจกั กนั ทวั่ พุทธนานาชาติ ๔๒ ประเทศ มมี ติเห็น
ไปมเี พยี งวนั เดยี ว คอื วนั วสิ าขบูชา แม ชอบลงนาม (๒๐ พ.ค.) ในแถลงการณ
วาการคํานวณวันเวลาจะแตกตางกัน
และเรยี กชือ่ วันแตกตางกันไปบาง เชน ๔๑๓

วิสาขปรุ ณมี ๔๑๔ วิสทุ ธชนวิลาสินี

รวม ใหพุทธมณฑลเปนศูนยกลางพระ อปุ ถมั ภบาํ รงุ พระภกิ ษสุ งฆอยางมากมาย
พุทธศาสนาโลก; วิศาขบชู า ก็เขียน และไดขายเคร่ืองประดับ เรียกชื่อวา
วสิ าขปุรณมี วันเพ็ญเดอื น ๖, วนั กลาง มหาลดาปสาธน ซ่ึงมคี าสงู ยง่ิ อนั ประจาํ

เดือน ๖, วันขึ้น ๑๕ คํ่า เดือน ๖, ดิถีมี ตัวมาตั้งแตแตงงาน นาํ เงนิ มาสรางวดั
พระจันทรเตม็ ดวง ประกอบดวยวสิ าข ถวายแดพระพทุ ธเจาและภกิ ษสุ งฆคอื วดั
ฤกษ (วสิ าขนกั ษัตร); เขียนตามนยิ มใน บพุ พาราม มคิ ารมาตปุ ราสาท ณ พระนคร

หนงั สือเกา เปน วิศาขปุรณมี บาง, สาวตั ถี นางวสิ าขามีบุตรหลานมากมาย

นอกจากน้ี เขยี นกนั อกี หลายอยาง เปน ลวนมีสุขภาพดแี ทบท้ังน้นั แมวานางจะ

วศิ าขบรุ ณมี บาง วสิ าขบรุ ณมี บาง มีอายุยนื ถงึ ๑๒๐ ป กด็ ไู มแก และเปน
วสิ าขปรุ ณมี บาง, ปจจบุ ัน อาจจะเขยี น บคุ คลทไี่ ดรบั ความนบั ถอื อยางกวางขวาง
วสิ าขบณุ มี หรอื วสิ าขปณุ มี หรอื วสิ าข- ในสงั คม ไดรบั ยกยองจากพระศาสดาวา
บรู ณมี หรอื วสิ าขปรู ณมี
เปนเอตทัคคะในบรรดาทายิกาทั้งปวง;

วสิ าขมาส, เวสาขมาส เดอื น ๖ ดู บพุ พาราม, ตลุ า
วิสาขา ชื่อมหาอุบาสิกาสําคัญในครั้ง วิสามัญ แปลกจากสามัญ, ไมใช

พุทธกาล เปนธิดาของธนัญชัยเศรษฐี ธรรมดา, ไมท่ัวไป, เฉพาะ
และนางสุมนา เกิดท่ีเมืองภัททิยะใน วิสารทะ แกลวกลา, ชาํ นาญ, ฉลาด
แควนอังคะ ไดบรรลุโสดาปตติผลต้ัง วิสาสะ ดู วิสสาสะ
แตอายุ ๗ ขวบ ตอมาไดยายตามบิดา วิสาสกิ ชน คนคนุ เคย; ดู วสิ สาสิกชน
มาอยทู เ่ี มอื งสาเกต ในแควนโกศล แลว วิสงุ คาม แผนกหนง่ึ จากบาน, แยกตาง

ไดสมรสกับนายปุณณวัฒน บุตรชาย หากจากบาน
มคิ ารเศรษฐีแหงเมอื งสาวัตถี และยาย วิสุงคามสีมา แดนแผนกหน่ึงจากแดน

ไปอยูในตระกูลฝายสามี นางสามารถ บาน คือ แยกตางหากจากเขตบาน, ใน

กลับใจมิคารเศรษฐี บิดาของสามี ซง่ึ ท่ีนี้หมายถึง ที่ดินท่ีพระเจาแผนดิน

นบั ถอื นคิ รนถ ใหหนั มานบั ถอื พระพทุ ธ- ประกาศพระราชทานใหแกสงฆ
ศาสนา มิคารเศรษฐีนับถือนางมาก วิสุทธชนวิลาสินี ชื่ออรรถกถาอธิบาย

และเรียกนางวิสาขาเปนแม นางวิสาขา ความในคัมภีรอปทาน แหงพระ
จงึ ไดชอ่ื ใหมอกี อยางหนงึ่ วา มคิ ารมาตา สุตตันตปฎก เรยี บเรยี งขึ้นเปนภาษาบาลี

(มารดาของมคิ ารเศรษฐ)ี นางวสิ าขาได โดยอาศัยนัยแหงอรรถกถาเกาภาษา

๔๑๔

วสิ ุทธิ ๔๑๕ วสิ ุทธมิ รรค, วิสุทธิมัคค

สิงหฬที่สืบมาในลังกาทวีป ไมปรากฏ อทุ ยพั พยญาณท่ีผานพนวิปสสนูปกิเลส

นามทานผูรจนา แตคัมภรี จฬู คนั ถวงส แลว เกดิ เปนพลววิปสสนา เปนตนไป
(แตงในพมา) วาเปนผลงานของพระพทุ ธ จนถึงอนุโลมญาณ) ๗. ญาณทัสสน-
โฆสาจารย; ดู โปราณัฏฐกถา, อรรถกถา วิสุทธิ ความหมดจดแหงญาณทัสสนะ
วิสทุ ธิ ความบริสทุ ธ์,ิ ความหมดจด (ไดแก มรรคญาณ ๔ มโี สดาปตตมิ รรค
วิสุทธิ ๗ ความบรสิ ทุ ธท์ิ ่ีสาํ เร็จดวยการ เปนตน แตละขน้ั ); ดู ปารสิ ทุ ธศิ ีล ๔,
บําเพ็ญไตรสิกขาใหบริบูรณเปนขั้นๆ สมาธิ ๒, วิปสสนาญาณ ๙, ญาณ ๑๖
ไปโดยลําดับ จนบรรลุจดุ หมายคอื พระ วสิ ุทธิเทพ เทวดาโดยความบริสุทธ์ิ ได

นพิ พาน มี ๗ ขนั้ (ในทน่ี ้ี ไดระบุธรรม แกพระอรหนั ต (ขอ ๓ ในเทพ ๓)
ที่มีท่ีไดซึ่งเปนความหมายของวิสุทธิแต วสิ ทุ ธมิ รรค, วสิ ทุ ธมิ คั ค ปกรณพเิ ศษ

ละข้ัน ตามที่แสดงไวในอภิธัมมัตถ อธิบายศีล สมาธิ ปญญา ตามแนว
สังคหะ) คือ ๑. สลี วิสทุ ธิ ความหมดจด วสิ ุทธิ ๗ พระพุทธโฆสาจารย พระ
แหงศีล (ไดแก ปารสิ ทุ ธิศีล ๔) ๒. จติ ต อรรถกถาจารยชาวอินเดียเปนผูแตงท่ี
วสิ ทุ ธิ ความหมดจดแหงจติ ต (ไดแก มหาวิหารในเกาะลงั กา; พระพทุ ธโฆสะ

สมาธิ ๒ คอื อุปจารสมาธิ และอัปปนา หรือท่ีนิยมเรยี กวาพระพทุ ธโฆสาจารยนี้
สมาธิ) ๓. ทฏิ ฐวิ สิ ทุ ธิ ความหมดจดแหง เปนบตุ รพราหมณ เกดิ ทห่ี มบู านหนงึ่ ใกล
ทฏิ ฐิ (ไดแก นามรูปปริคคหญาณ) ๔. พทุ ธคยา อันเปนสถานท่ตี รสั รขู องพระ
กังขาวิตรณวิสุทธิ ความหมดจดแหง พุทธเจา ในแควนมคธเมื่อประมาณ

ญาณเปนเคร่อื งขามพนความสงสัย (ได พ.ศ. ๙๕๖ เรียนจบไตรเพท มคี วาม
แก ปจจยั ปรคิ คหญาณ) ๕. มคั คามคั ค- เชี่ยวชาญมาก ตอมาพบกับพระเรวต-
ญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแหง เถระ ไดโตตอบปญหากัน สูพระเรวต-

ญาณเปนเครื่องรูเห็นวาทางหรอื มใิ ชทาง เถระไมได จึงขอบวชเพ่ือเรียนพุทธ

(ไดแก ตอสมั มสนญาณ ขน้ึ สอู ทุ ยพั พย- วจนะ มีความสามารถมาก ไดรจนา
ญาณ เปนตรณุ วปิ สสนา เกิดวปิ สสนปู - คัมภรี ญาโณทยั เปนตน พระเรวตเถระ

กิเลส แลวรูเทาทนั วา อะไรใชทาง อะไร จงึ แนะนําใหไปเกาะลงั กา เพอื่ แปลอรรถ
มิใชทาง) ๖. ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ กถาสงิ หฬ กลบั เปนภาษามคธ ทานเดนิ

ความหมดจดแหงญาณอันรูเห็นทาง ทางไปที่มหาวหิ าร เกาะลงั กา เมื่อขอ

ดาํ เนนิ (ไดแก วิปสสนาญาณ ๙ นบั แต อนุญาตแปลคัมภีร ถูกพระเถระแหง

๔๑๕

วสิ ทุ ธอิ ุโบสถ ๔๑๖ วหิ าร

มหาวหิ ารใหคาถามา ๒ บท เพอื่ แตง ทพิ ย หรอื อยางเทพ ไดแก สมาบตั ิ ๘)
พรหมวหิ าร (ธรรมเครอื่ งอยอู ยางพรหม
ทดสอบความรู พระพทุ ธโฆสาจารยจงึ คือของผูประเสริฐหรือทานผูมีคุณความ

แตงคําอธิบายคาถาทั้งสองนั้นข้ึนเปน ดยี งิ่ ใหญ ไดแก อปั ปมญั ญา ๔) และ
คัมภีรวิสุทธิมรรค จากนั้นก็ไดรับ อริยวหิ าร (ธรรมเครอื่ งอยขู องพระอรยิ ะ
อนุญาตใหทํางานแปลอรรถกถาไดตาม หรอื อยางอรยิ ะ ไดแก ผลสมาบตั )ิ (ท.ี ปา.

ประสงค เม่อื ทาํ งานเสร็จส้ินแลว ทานก็ ๑๑/๒๒๘/๒๓๒; ท.ี อ.๓/๒๐๒)

เดนิ ทางกลบั สชู มพทู วปี พระพทุ ธโฆสา- เมอ่ื ครง้ั พระพทุ ธเจาทรงจาํ พรรษาอยู

จารยเปนพระอรรถกถาจารยผยู ่ิงใหญที่ พระองคเดยี ว ครน้ั ออกพรรษาแลว ตรสั

สดุ มผี ลงานมากที่สดุ แกเหลาภกิ ษวุ า ทรงจาํ พรรษาอยมู ากดวย
วิสุทธิอุโบสถ อุโบสถที่ประกอบดวย อานาปานสติสมาธิ และตรัสวาอานา
ความบริสุทธ์ิ หรืออุโบสถที่ทําโดยท่ี ปานสติสมาธิน้ี จะเรียกวาเปนอริย
วหิ าร เปนพรหมวหิ าร เปนตถาคตวิหาร
ประชมุ สงฆซ่งึ มคี วามบรสิ ทุ ธ์ิ หมายถงึ กไ็ ดทง้ั นน้ั (ส.ํ ม.๑๙/๑๓๖๖/๔๑๒)

การทําอุโบสถซึ่งท่ีประชุมมีแตพระ ในคัมภีรสายเนตติปกรณแสดง
วหิ าร ๔ คอื ทพิ พวิหาร (ไดแก รปู าวจร
อรหนั ตลวนๆ เชน กลาวถึงการประชุม สมาบตั ิ ๔) พรหมวิหาร (ไดแก อปั ปมญั
ญา ๔) อรยิ วหิ าร (ไดแก ผลสมาบตั ิ ๔)
พระอรหันต ๑,๒๕๐ รูป คราวจาตุรงค- และ อาเนญชวิหาร (ไดแก อรปู สมาบตั ิ
๔), แตทแ่ี สดงวหิ าร วามี ๓ นน้ั ทานวา
สันนบิ าต วาทําวิสุทธอิ โุ บสถ รวมอรูปสมาบัติอยูในทิพพวิหารดวย
วสิ ตู ร มาน
วิหค “ผูไปในอากาศ”, นก แลว (เนตตวิ ภิ า.ฏ.ี ๓๒๔; ม๑๑.ฏ.ี ๕๔)
วหิ าร ทอี่ ยู 1. ทอี่ ยขู องพระสงฆ, กฎุ ;ี วดั
2. (ในภาษาไทย) อาคารทป่ี ระดษิ ฐานพระ ในอรรถกถา-ฏีกาทั่วไป กลาวถึง

พทุ ธรปู มกั คกู บั โบสถ 3. การพกั ผอน, วิหารอีกอยางหนึ่ง ซึ่งเปนธรรมเคร่ือง
ครองชวี ติ พนื้ ฐาน ไดแก อริ ิยาบถวหิ าร
การเปนอยหู รอื ดาํ เนนิ ชวี ติ 4. การครอง คอื อริ ยิ าบถ ๔ อนั เปนเครอ่ื งบรหิ ารอตั

ชีวิตจิตใจ, ธรรมอันเปนที่อยูท่ีพักของ ภาพ ประกอบวหิ ารขออนื่ ทกุ อยาง (ดเู ชน

ชวี ติ จติ ใจ, ธรรมเครอื่ งอย,ู ธรรมประจาํ วนิ ย.ฏ.ี ๑/๓๑๔)

ใจ, ธรรมทใ่ี ชครองชวี ติ จติ ใจ ๔๑๖
วหิ าร คอื ธรรมเครอ่ื งอยคู รองชวี ติ

จติ ใจนี้ แสดงไวในพระสตู ร ๓ อยาง คอื
ทพิ ยวิหาร,ทพิ พวหิ าร (ธรรมเครอ่ื งอยู

วิหารธรรม ๔๑๗ วุฑฒิ

โดยนยั นี้ จงึ รวมมวี หิ าร ทแ่ี สดงไว ๕ ออกจากอาบัตสิ ังฆาทิเสส เปนตน
อยาง คือ อิริยาบถวิหาร ทิพพวิหาร วฏุ ฐานคามินี 1. วิปสสนาทใ่ี หถงึ มรรค,
พรหมวิหาร อริยวหิ าร และ อาเนญช วิปสสนาท่ีเจริญแกกลาถึงจุดสดุ ยอดทาํ
วิหาร ใหเขาถงึ มรรค (มรรคช่ือวา วุฏฐานะ
วหิ ารธรรม ธรรมเปนเคร่อื งอย,ู ธรรม โดยความหมายวาเปนท่ีออกไปไดจาก

ประจําใจ, ธรรมท่ีเปนหลักใจในการ ส่ิงที่ยึดติดถือม่ัน หรือออกไปพนจาก

ดําเนนิ ชวี ิต สงั ขาร), วิปสสนาที่เชอ่ื มตอใหถงึ มรรค

วหิ ารวัตถุ พน้ื ท่ีปลูกกุฎี วหิ าร 2. “อาบัติทีใ่ หถงึ วฏุ ฐานวิธี” คือ อาบตั ทิ ่ี

วิหิงสา การเบียดเบียน, การทําราย จะพนไดดวยอยูกรรม หมายถึงอาบัติ
วหิ งิ สาวติ ก ความตรกึ ในทางเบยี ดเบยี น, สังฆาทเิ สส; เทียบ เทสนาคามนิ ี
ความคิดในทางทําลายหรือกอความ วุฏฐานวิธี ระเบียบเปนเคร่ืองออกจาก

เดอื ดรอนแกผอู นื่ (ขอ ๓ ในอกศุ ลวติ ก ๓) อาบตั ิ หมายถงึ ระเบยี บวธิ ปี ฏบิ ตั สิ าํ หรบั
วิเหสกกรรม กรรมที่จะพึงกระทําแก ภิกษุผูจะเปลื้องตนจากอาบัติหนักขั้น
ภิกษุผูทําสงฆใหลําบาก คือ ภิกษุ สงั ฆาทเิ สส, มที ง้ั หมด ๔ อยางคอื ปรวิ าส
ประพฤติอนาจาร สงฆเรียกตัวมาถาม มานตั อพั ภานและ ปฏกิ สั สนา
นิ่งเฉยเสยี ไมตอบ เรยี กวาเปนผทู าํ สงฆ วุฏฐานสมมติ มติอนุญาตใหออกจาก
ใหลําบาก, สงฆยกวิเหสกกรรมขน้ึ คือ ความเปนสิกขมานาเพื่ออุปสมบทเปน

สวดประกาศการทเี่ ธอทาํ ตวั เชนนนั้ ดวย ภิกษณุ ,ี นางสกิ ขมานาผูสมาทานสิกขา-

ญัตติทุติยกรรม เมอ่ื สงฆสวดประกาศ บท ๖ ขอ ต้ังแต ปาณาตปิ าตา เวรมณี

แลวเธอยังขืนทําอยางน้ันอยูอีก ยอม ถงึ วิกาลโภชนา เวรมณี โดยมไิ ดขาด

ตองอาบตั ิปาจติ ตยี (สิกขาบทที่ ๒ ใน ครบเวลา ๒ ปแลวจึงมสี ทิ ธิขอวฏุ ฐาน

ภตู คามวรรคท่ี ๒); คกู บั อญั ญวาทกกรรม สมมติ เพอ่ื อปุ สมบทเปนภกิ ษุณีตอไป
วีติกกมะ การละเมิดพระพุทธบัญญัติ, วฑุ ฒิ ธรรมเปนเครอ่ื งเจริญ, ธรรมเปน
เหตใุ หถึงความเจริญ มี ๔ อยางคอื ๑.
การทําผิดวินยั

วตี กิ กมกเิ ลส ดู กิเลส ๓ ระดับ สัปปรุ ิสสังเสวะ คบหาสตั บุรษุ ๒. สัท-
วีสติวรรค สงฆพวกที่กําหนดจํานวน ธัมมัสสวนะ ฟงสัทธรรม ๓. โยนโิ ส-
๒๐ รปู (ทาํ อัพภานได); ดู วรรค มนสกิ าร ทาํ ในใจโดยแยบคาย ๔. ธมั มา-
วุฏฐานะ การออก เชน ออกจากฌาน นุธัมมปฏิปตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก

๔๑๗

วุฒชน ๔๑๘ เวชกรรม

ธรรม, เรยี กและเขยี นเปน วุฒิ บาง เวชกรรม “กรรมของหมอ”, “การงานของ
วฑุ ฒธิ รรม บาง วุฒิธรรม บาง, ในบาลี แพทย”, การบําบดั โรครกั ษาคนเจบ็ ไข,
เรียกวา ธรรมที่เปนไปเพื่อปญญาวฑุ ฒิ อาชพี แพทย, การทําตวั เปนหมอปรุงยา
หรือ ปญญาวุฒิ คือเพือ่ ความเจรญิ แหง ใชยาแกไขโรครกั ษาคนไข; การประกอบ

ปญญา เวชกรรม ถือวาเปนมิจฉาชีพสําหรับ
วุฒชน ผูเจรญิ , ผูใหญ, คนท่ีเปนวุฑฒะ พระภิกษุ (เชน ที.ส.ี ๙/๒๕/๑๕; ข.ุ จู.๓๐/๗๑๓/
หรือมวี ฒุ ;ิ ดู วุฒิ ๓๖๐) ถึงแมจะไมทาํ เพ่ือการเลี้ยงชพี หรอื
วฒุ บรรพชติ ผบู วชเมอื่ แก จะหาลาภ ก็เสี่ยงตออาบัติในขอตติย-
วฒุ ิ ความเจรญิ , ความงอกงาม, ความเปน ปาราชิก (วินย.๑/๒๑๕/๑๕๘-๙) หรือไมก็เขา
ผูใหญ; ธรรมใหถึงความเจริญ; ดู วุฑฒิ ขายกลุ ทสู กสิกขาบท (สังฆาทิเสส ขอ ๑๓,

วฒุ ิ คือ ความเปนผูใหญ ๓ อยาง วินย.๑/๖๒๔/๔๒๖ เรียกเวชกรรมวา ‘เวชชิกา’)

ที่นิยมพูดกันในภาษาไทยนั้นมาใน อยางไรก็ตาม ทานก็ไดเปดโอกาสไว
คัมภีรช้นั อรรถกถาและฎกี า ไดแก ๑. สําหรับการดูแลชวยเหลือกันอันจําเปน
ชาตวิ ุฒิ ความเปนผใู หญโดยชาติ คือ และสมควร ดังที่มีขอสรุปในคัมภีรวา
เกดิ ในชาตกิ ําเนดิ ฐานะอนั สูง ๒. วัยวุฒิ ภกิ ษไุ มประกอบเวชกรรม แต (มงคล.๑/
ความเปนผูใหญโดยวยั คือเกิดกอน ๓. ๑๘๙ สรปุ จาก วินย.อ.๑/๕๗๓-๗) พึงทาํ ยาให
คณุ วฒุ ิ ความเปนผูใหญโดยคุณความดี แกคนทที่ านอนญุ าต ๒๕ ประเภท คือ
บคุ คล ๑๐ (สหธรรมกิ ๕ คือ ภกิ ษุ
หรอื โดยคณุ พเิ ศษท่ไี ดบรรลุ (ผลสาํ เรจ็

ทด่ี งี าม) (อนง่ึ ในคมั ภรี ทานมไิ ดกลาวถงึ ภิกษณุ ี สิกขมานา สามเณร สามเณรี,

ภาวะแตกลาวถึงบุคคล คือไมกลาวถึง ปณฑุปลาสคือคนมาอยูวัดเตรียมบวช
วุฒิ แตกลาวถงึ วฑุ ฒะ หรือ วฒุ เปน ไวยาวัจกรของตน มารดา บดิ า อปุ ฐาก
ชาตวิ ุฒ วยั วฒุ คณุ วฒุ ; นอกจากน้ัน ใน ของมารดาบิดา) ญาติ ๑๐ (พี่ชาย นอง

อรรถกถาแหงสตุ ตนบิ าต ทานแบงเปน ๔, ชาย พห่ี ญงิ นองหญงิ นาหญงิ ปา อา
โดยเพิ่มปญญาวุฒ ผูใหญโดยปญญา ชาย ลงุ อาหญงิ นาชาย; อนุชนมีบตุ ร

เขามาอกี อยางหนึ่ง และเรียงลําดบั ตาม นัดดาเปนตนของญาติเหลานั้น ๗ ช่วั

ความสําคัญในทางธรรม เม่ือเปลี่ยน เครือสกุล ทานก็จัดรวมเขาในคําวา

วฒุ เปน วฒุ ิ จะไดดังน้ี ๑. ปญญาวฒุ ิ “ญาติ ๑๐” ดวย) คน ๕ (คนจรมา โจร
๒. คุณวุฒิ ๓. ชาติวุฒิ ๔. วยั วุฒิ)
คนแพสงคราม คนเปนใหญ คนทญี่ าติ

๔๑๘

เวชยันต๑ ๔๑๙ เวทนานปุ สสนา

ท้ิงจะไปจากถิ่น) ถาเขาเจ็บปวยเขามา สนจักรพรรดิราช ในมหาสุทัสสนสูตร

วดั พงึ ทํายาใหเขา ทงั้ น้ี มรี ายละเอียด (ท.ี ม.๑๐/๑๘๕/๒๒๗); ดู ดาวดึงส
ในการท่ีจะตองระมัดระวังไมใหผิด เวท, พระเวท ดู ไตรเพท
พลาดหลายอยาง ขอสําคัญคอื ใหเปน เวทนา ความเสวยอารมณ, ความรูสกึ ,
การทําดวยเมตตาการุณยแทจริง มิใช ความรูสกึ สุขทุกข มี ๓ อยาง คอื ๑. สุข-
หวังลาภ ไมใหเปนการรับใชหรือ เวทนา ความรสู กึ สขุ สบาย ๒. ทกุ ขเวทนา
ความรสู กึ ไมสบาย ๓. อทกุ ขมสขุ เวทนา
ประจบประแจง
เวชยันต๑ ชือ่ ปราสาทของพระอนิ ทร ใน ความรสู กึ ไมสุขไมทกุ ข คือ เฉยๆ เรยี ก

ดาวดงึ สเทวโลก ตามเร่ืองทพี่ ระอินทร อกี อยางวา อุเบกขาเวทนา; อกี หมวด
เลาแกพระมหาโมคคัลลานะวา เม่อื ฝาย หน่งึ จัดเปนเวทนา ๕ คือ ๑. สขุ สบาย
เทวดามีชัยในสงครามกับอสูร พระ กาย ๒. ทกุ ข ไมสบายกาย ๓. โสมนัส
อินทรกลับจากสงคราม ไดสรางเวช สบายใจ ๔. โทมนสั ไมสบายใจ ๕.
ยันตปราสาทข้นึ ซ่งึ มี ๑๐๐ หอมุขๆ อุเบกขา เฉยๆ; ในภาษาไทย ใชหมาย

หนึ่งๆ มี ๗๐๐ กูฏาคารๆ หนึ่งๆ มี ความวาเจ็บปวดบาง สงสารบาง ก็มี
อัปสร ๗ นางๆ หนึ่งๆ มี ๗ บรจิ าริกา เวทนาขนั ธ กองเวทนา (ขอ ๒ ในขนั ธ ๕)
(ม.มู.๑๒/๓๒๖/๔๖๖), แตในอรรถกถาบอกวา เวทนานุปสสนา การมีสติทันโดยรูชัด

เม่ือพระอินทรชนะสงครามกับอสูรมา เวทนาทเี่ สวยอยู ตามท่ีมนั เปนสุข เปน

แลว ขณะประทับยนื อยกู ลางพระนคร ทุกข หรือไมสุขไมทุกข อาศัยอามิส

เวชยนั ตปราสาทนซี้ ึง่ สูง ๑,๐๐๐ โยชน หรอื ปลอดอามิส มองเห็นความกอเกดิ

ก็ผุดตระหงานขึ้นมา และไดช่ือวา ข้ึนมาและความเสื่อมสลายไปในเวทนา

“เวชยันต” เพราะเกดิ ขนึ้ เมอ่ื จบไดชัยชนะ ตระหนักตอเวทนาสภาวะท่ีมีอยู แครู

(วิชย+อนั ต) (เชน อป.อ.๒๙๓; แตบางแหง เชน เทาสตทิ นั ไมตดิ อิง ไมยดึ เอา; (ตาม
วินย.ฏี.๑/๔๑๔ วาสงู ๗๐๐ โยชน); ดู ดาวดึงส แบบเรียนวา: สติกําหนดพิจารณา
เวชยนั ต๒ 1. ช่อื รถทิพยของพระอนิ ทร เวทนา คอื สขุ ทุกข และไมสขุ ไม

ในดาวดงึ สเทวโลก ยาว ๑๕๐ โยชน ทุกข เปนอารมณวาเวทนานี้ก็สักวา

หองทป่ี ระทับกลางรถ ๕๐ โยชน เทียม เวทนา ไมใชสัตว บคุ คล ตัว ตน

มา ๑,๐๐๐ ตัว มมี าตลเี ทพบตุ รเปน เรา เขา เรียกเวทนานปุ สสนา); (ขอ ๒
สารถี 2. ชอื่ ราชรถของพระเจามหาสทุ ัส ใน สตปิ ฏฐาน ๔)

๔๑๙

เวทนาปรคิ คหสูตร ๔๒๐ เวสารชั ชญาณ

เวทนาปริคคหสตู ร ดู ทฆี นขสตู ร งาม เวลาจะเสวยทุกขตองออกจาก

เวทมนตร คําที่เช่ือถือวาศักดิ์สิทธ์ิ วิมานไป และรางกายก็กลายเปนนา

บริกรรมแลวใหสําเร็จความประสงค เกลยี ดนากลัว

เวทัลละ ดทู ่ี นวงั คสัตถศุ าสน เวยยาวัจจมัย บุญสําเร็จดวยการชวย
เวเนยยสัตว ดู เวไนยสัตว
ขวนขวายในกิจท่ีชอบ, ทําดีดวยการ

เวไนยสัตว สัตวผคู วรแกการแนะนําสงั่ ชวยเหลือรับใชผูอืน่ (ขอ ๕ ในบญุ -
สอน, สัตวทพ่ี ึงแนะนําได, สัตวทพ่ี อดัด กิริยาวตั ถุ ๑๐); ไวยาวัจมยั กเ็ ขยี น
เวร ความแคนเคอื ง, ความปองรายกนั ,
ไดสอนได

เวปลุ ละ ความไพบูลย, ความเต็มเปยม, ความคิดรายตอบแกผูทําราย; ในภาษา
ความเจรญิ เต็มท่ี มี ๒ อยาง คอื ๑. ไทยใชอีกความหมายหนึ่งดวยวาคราว,
อามสิ เวปลุ ละ อามสิ ไพบลู ย หรอื ความ รอบ, การผลัดกันเปนคราวๆ, ตรงกับ
ไพบูลยแหงอามสิ หมายถงึ ความมาก วาร หรือ วาระ ในภาษาบาลี
มายพร่ังพรอมดวยปจจัย ๔ ตลอดจน เวสสภู พระนามของพระพุทธเจาพระ
วัตถุอํานวยความสุขความสะดวกสบาย องคหนงึ่ ในอดีต; ดู พระพุทธเจา ๗
ตางๆ ๒. ธัมมเวปลุ ละ ธรรมไพบูลย เวสสวณั , เวสสวุ ณั ดู จาตมุ หาราช, จาต-ุ
หรือความไพบูลยแหงธรรม หมายถึง มหาราชกิ า, ปริตร
ความเจริญเต็มเปยมเพียบพรอมแหง เวสารชั ชกรณธรรม ธรรมทําความกลา

ธรรม ดวยการฝกอบรมปลูกฝงใหมใี น หาญ, ธรรมเปนเหตใุ หกลาหาญ, คณุ ธรรม

ตนจนเต็มบริบูรณ หรือดวยการ ท่ที าํ ใหเกิดความแกลวกลา มี ๕ อยาง

ประพฤติปฏิบัติกันในสังคมจนแพร คือ ๑. ศรัทธา เชอ่ื สิ่งทค่ี วรเชื่อ ๒. ศลี
มีความประพฤติดีงาม ๓. พาหุสัจจะ
หลายท่วั ไปทัง้ หมด

เวภารบรรพต ชื่อภูเขาลูกหน่ึงในภูเขา ไดสดับหรือศึกษามาก ๔. วิรยิ ารัมภะ
หาลกู ทเี่ ปนดจุ คอกลอมกรงุ ราชคฤห เพยี รทาํ กจิ อยอู ยางจริงจัง ๕. ปญญา รู
เวมานิกเปรต เปรตอยูวมิ าน ไดเสวยสุข รอบและรชู ดั เจนในสง่ิ ที่ควรรู
และทุกขสลับกันไป บางตนขางแรม เวสารัชชญาณ พระปรชี าญาณอันทาํ ให

เสวยทุกข ขางขึน้ เสวยสขุ บางตนกลาง พระพุทธเจาทรงมีความแกลวกลาไม

คืนเสวยสขุ กลางวนั เสวยทุกข เวลา ครั่นคราม ดวยไมทรงเห็นวาจะมีใคร

เสวยสุขอยใู นวิมาน มรี างเปนทิพยสวย ทวงพระองคไดโดยชอบธรรมในฐานะ

๔๒๐

เวสาลี ๔๒๑ โวการ

ทัง้ ๔ คือ ๑. ทานปฏิญญาวาเปน เวหาสกฎุ ี “กุฎลี อยฟา”, ทีอ่ ยทู น่ี อนซอน

สัมมาสมั พทุ ธะ ธรรมเหลานี้ทานยังไมรู ชน้ั โดยทําเปนรานพาดหรือซอนขนึ้ ขาง

แลว ๒. ทานปฏญิ ญาวาเปนขณี าสพ บน คือ ต้ังเปนโครงข้ึนในวิหารทีอ่ ยู

อาสวะเหลานี้ของทานยังไมสิ้นแลว ๓. อาศัย ปกเสาตอมอขึน้ แลววางรอดบน

ทานกลาวธรรมเหลาใดวาทําอันตราย น้นั สงู พอศีรษะไมกระทบพ้ืน ถาไมปู

ธรรมเหลาน้ันไมอาจทําอันตรายแกผู พ้ืนขางบน ก็เอาเตยี งวางลงไป ใหพื้น

สองเสพไดจรงิ ๔. ทานแสดงธรรมเพอ่ื เตียงคานรอดอยู ขาเตียงหอยลงไป ใช

ประโยชนอยางใด ประโยชนอยางน้ันไม อยไู ดทง้ั ขางบนขางลาง ขางบนเรียกวา
เปนทางนําผูทําตามใหถึงความส้ินทุกข เวหาสกุฎี เปนของตองหามตามสิกขาบท

โดยชอบไดจริง ท่ี ๘ แหงภูตคามวรรค ปาจิตตยี

เวสาลี ช่ือนครหลวงของแควนวชั ชี ตัง้ เวฬกุ ณั ฏกนี นั ทมารดาดูนนั ทมารดา1.
อยูบนฝงทิศตะวันออกของแมน้ําคงคา เวฬวุ ะ ผลมะตมู
สวนท่ีปจจุบันเรียกชื่อเปนอีกแมนา้ํ หน่ึง เวฬวุ คาม ช่ือตําบลหนงึ่ ใกลนครเวสาลี

ตางหากวา แมนํา้ คนั ทัก (Gandak) ซ่ึง แควนวัชชี เปนที่พระพุทธเจาทรงจํา

เปนสาขาใหญสาขาหนึ่งของแมนํ้าคงคา พรรษาในพรรษาท่ี ๔๕ นับแตไดตรัสรู

น้ัน และเมื่อไหลลงมาจากเวสาลีอีก คือพรรษาสุดทายท่ีจะเสด็จปรินิพพาน;
ประมาณ ๔๐ กม. ก็เขารวมกบั แมน้ํา เพฬวุ คาม ก็เรยี ก
คงคาทจ่ี ดุ บรรจบ ซง่ึ หางจากเมอื งปฏนา เวฬวุ นั ปาไผ สวนทป่ี ระพาสพกั ผอนของ

(Patna, คอื ปาตลีบุตร ในอดีต) ไป พระเจาพมิ พิสาร อยไู มใกลไมไกลจาก

ทางตะวันออกเฉียงเหนือเพียงประมาณ พระนครราชคฤห เปนท่รี มรื่นสงบเงียบ

๕ กม., ท่ตี ้งั ของเมืองเวสาลี อยเู หนอื มีทางไปมาสะดวก พระเจาพิมพิสาร

เมืองปาตลีบุตรน้ันข้ึนไป วัดตรงเปน ถวายเปนสังฆาราม นับเปนวัดแรกใน

เสนบรรทดั ประมาณ ๔๓.๕ กม., เวสาลี พระพุทธศาสนา

เปนคําภาษาบาลี เรยี กอยางสันสกฤตวา เวิกผา ในประโยควา “เราจักไมไปใน
ไวศาลี หรือ ไพศาลี
ละแวกบานดวยทั้งเวกิ ผา” เปดสขี างให

เวหา ทองฟา, อากาศ, กลางหาว เห็น เชนถกจวี รขึน้ พาดไวบนบา

เวหายส ทองฟา, อากาศ โวการ “ความแผกผัน”, “ภาวะหลาก
เวหาส ทองฟา, อากาศ
หลาย”, เปนคําที่นิยมใชในพระอภธิ รรม

๔๒๑

โวฏฐัพพนะ ๔๒๒ ไวยาวจั กร

และคมั ภรี อรรถาธิบาย เชน อรรถกถา คลายกนั , คําสําหรับเรียกแทนกัน เชน
เปนตน ในความหมายวา ความหลาก คาํ วา มทนิมมฺ ทโน เปนตน เปนไวพจน
หลายหรือความเปนไปตางๆ แหงขนั ธ ของ วริ าคะ คาํ วา วิมุตติ วสิ ุทธิ สันติ
หรือขันธที่ผันแปรหลากหลายเปนไป อสงั ขตะ ววิ ฏั ฏ เปนตน เปนไวพจนของ
ตางๆ โดยนยั หมายถงึ ขันธ นั่นเอง, นพิ พาน ดังนี้เปนตน
มกั ใชแสดงลกั ษณะของ “ภพ” ซงึ่ จาํ แนก ไวยากรณ 1. ระเบียบของภาษา, วชิ าวา
ไดเปน ๓ ประเภท คอื เอกโวการภพ ดวยระเบยี บแหงภาษา 2. พทุ ธพจนที่

ภพท่ีมีขันธเดียว ไดแก อสัญญีภพ (มี เปนขอความรอยแกว คือเปนจณุ ณยิ -
รูปขนั ธเทานนั้ ) จตโุ วการภพ ภพที่มสี ่ี บทลวน ไมมีคาถาเลย (ขอ ๓ ในนวังค-
ขันธ ไดแก อรูปภพ (มแี ตนามขันธ ๔ สตั ถุศาสน); เทยี บ คาถา 2.; ดู จณุ ณิยบท
คอื เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ) ไวยาวจั กร “ผทู ําการขวนขวายชวยเหลอื /
ปญจโวการภพ ภพทม่ี หี าขันธ ไดแก รับใช”, ผจู ดั ทําธุระให, คฤหัสถผชู วย

กามภพ และรปู ภพทน่ี อกจากอสญั ญภี พ เหลือรบั ใชพระ, คฤหสั ถผูทํากิจธุระแทน

(ในพระสุตตันตปฎก มีเฉพาะนิทเทส ภิกษุหรือแทนสงฆ, คฤหัสถผูทําหนาที่

และปฏิสัมภิทามคั ค เทานัน้ ทใ่ี ชคาํ วา เปนตัวแทนของวัดในการจัดการทรัพย

โวการ หมายถงึ ขนั ธ) สินของวัด

โวฏฐพั พนะ ดู วถิ จี ติ ในพระวนิ ยั ไวยาวัจกร หมายถึง

โวทาน ความบริสทุ ธ,ิ์ ความผองแผว, คฤหัสถผูชวยเหลือรับใชหรือทํากิจธุระ

การชําระลาง, การทําใหสะอาด, ธรรมท่ี ใหแกภิกษุหรือภิกษุณี ดังเชนคนวัด

อยูในวเิ สสภาค คือในฝายขางวเิ ศษ ได หรืออุบาสกที่ภิกษุบอกแสดงหรือชี้ตัว

แกธรรมจําพวกท่ีทําใหเจริญงอกงามดี วาเปนไวยาวัจกร ซ่ึงบุคคลผูประสงค

ยิ่งข้ึนไปจนปลอดพนจากประดาส่ิงมัว จะไดมอบทรัพยสําหรับจายคาจีวรใหไว

หมองบริสุทธ์ิบริบูรณ เชน โยนิโส- เพ่ือภิกษุนั้นจะไดบอกแจงใหจัดจีวร

มนสกิ าร กุศลมูล สมถะและวิปสสนา ถวายเม่อื ตองการ (สกิ ขาบทที่ ๑๐ แหงจวี รวรรค

ตลอดถงึ นพิ พาน; ตรงขามกบั สงั กิเลส นิสสัคคิยปาจิตตีย, วินย.๒/๗๐/๕๗) ภิกษุณีตม

โวหาร ถอยคาํ , สาํ นวนพูด, ชน้ั เชิง หรอื ยาคู หงุ ขาว ปรุงของขบเคย้ี ว ซักผานงุ

กระบวนแตงหนงั สือหรือพดู ผาหม ผาโพก ใหแกไวยาวัจกรของตน

ไวพจน คาํ ทม่ี รี ปู ตางกนั แตมคี วามหมาย ไดรับยกเวน ไมตองอาบัติตามพระ

๔๒๒

ไวยาวจั จะ ๔๒๓ ไวยาวจั มัย

บญั ญตั ทิ ีว่ า ภกิ ษณุ ีใดทําการขวนขวาย น้ัน ขอ ๗ กําหนดวา ในการแตงตัง้

รบั ใชคฤหัสถ เปนปาจติ ตีย (สกิ ขาบทที่ ๔ ไวยาวัจกรของวัดใด ใหเปนอาํ นาจหนาที่

แหงจติ ตาคารวรรค ปาจิตตีย, วินย.๓/๓๐๕-๖/๑๖๙) ของเจาอาวาสวัดนั้นปรึกษาสงฆในวัด

ในทางกฎหมาย ไวยาวัจกร มีคํา พิจารณาคัดเลือกคฤหัสถผูมีคุณสมบัติ

จํากดั ความตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี ตามความในขอ ๖ (เชน เปนชาย มีอายุ

๑๘ (พ.ศ. ๒๕๓๖) วาดวยการแตงตงั้ ไมตาํ่ กวา ๒๕ ปบรบิ ูรณ) เม่อื มีมตเิ หน็

ถอดถอนไวยาวจั กร ขอ ๔ วา: ในกฎ ชอบในคฤหัสถผใู ด กใ็ หเจาอาวาสแตง

มหาเถรสมาคมนี้ “ไวยาวจั กร” หมาย ตง้ั คฤหสั ถผูนั้น เปนไวยาวจั กร โดย

ถึง คฤหัสถผูไดรับแตงต้ังใหมีหนาที่ อนุมัติของเจาคณะอําเภอ ในการแตง

เบิกจายนิตยภตั และจะมอี าํ นาจหนาท่ี ตั้งไวยาวัจกร ตามความในวรรคตน

ดูแลรักษาจัดการทรัพยสินของวัดได เพ่ือความเหมาะสม จะแตงตั้ง

ตามท่ีเจาอาวาสมอบหมายเปนหนงั สือ ไวยาวจั กรคนเดยี ว หรอื หลายคน กไ็ ด

กฎมหาเถรสมาคมฉบับน้ี ตราขึ้น ในกรณีท่ีมีไวยาวัจกรหลายคน ใหเจา

ตามความในมาตรา ๒๓ แหง พ.ร.บ. อาวาสมอบหมายหนาท่ีการงานตามขอ

คณะสงฆ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซ่ึงกาํ หนดวา การ ๔ แกไวยาวัจกรแตละคนเปนหนงั สือ

แตงตงั้ ถอดถอนไวยาวจั กร ใหเปนไป บทบญั ญตั ิเกี่ยวกับไวยาวจั กร มใี น

ตามหลักเกณฑและวิธีการที่กาํ หนดในกฎ กฎกระทรวง ฉบบั ที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๑๑)

มหาเถรสมาคม และตามความในมาตรา ออกตามความใน พ.ร.บ. คณะสงฆ

๔๕ แหง พ.ร.บ. คณะสงฆ พ.ศ. ๒๕๐๕ พ.ศ. ๒๕๐๕ ดวย พงึ ดใู นทน่ี ้ัน
นน้ั ไวยาวจั กร เปนเจาพนกั งานตามความ ไวยาวัจจะ การขวนขวายชวยทาํ กจิ ธรุ ะ,

ในประมวลกฎหมายอาญา การชวยเหลอื รบั ใช

ในกฎมหาเถรสมาคม ฉบบั ที่ ๑๘ ไวยาวจั มัย ดู เวยยาวจั จมัย

๔๒๓


Click to View FlipBook Version