สัปปาณกวรรค ๔๗๔ สัปปุรษุ
สัปปาณกวรรค ตอนท่ีวาดวยเรือ่ งสตั ว ตญั ตุ า รจู กั ประมาณ ๕. กาลญั ตุ า รู
มีชีวิตเปนตน, เปนวรรคท่ี ๗ แหง จกั กาล ๖. ปรสิ ญั ตุ า รูจกั ชมุ ชน ๗.
ปาจิตติยกัณฑในมหาวิภังคแหงพระ ปุคคลญั ตุ า รจู ักบคุ คล; อีกหมวดหนึ่ง
วินัยปฎก มี ๘ ขอ คือ ๑. ประกอบดวย สทั ธรรม
สปั ปายะ สบาย, สภาพเอ้อื , สภาวะที่เก้อื ๗ ประการ ๒. ภกั ดสี ัตบุรุษ (คบหาผูมี
หนนุ , สงิ่ สถาน หรอื บคุ คล ซึง่ เปนท่ี สัทธรรม ๗) ๓. คิดอยางสตั บุรษุ ๔.
สบาย เหมาะกัน เกื้อกูล หรือเอื้อ ปรึกษาอยางสตั บรุ ุษ ๕. พดู อยางสตั -
อํานวย โดยเฉพาะที่ชวยเก้ือหนุนการ บุรษุ ๖. ทําอยางสัตบรุ ุษ (๓, ๔, ๕, ๖
บําเพ็ญและประคับประคองรักษาสมาธิ คอื คิด ปรกึ ษา พดู ทาํ มิใชเพือ่ เบียด
ทานแสดงไว ๗ ขอ คือ อาวาส (ทอี่ ยู) เบียนตนและผูอ่ืน) ๗. มีความเห็น
โคจร (ที่บิณฑบาตหรือแหลงอาหาร) อยางสัตบุรุษ (คอื เห็นชอบวา ทําดมี ีผล
ภัสสะ (เร่ืองพูดคุยที่เสริมการปฏิบัติ) ดี ทําชั่วมผี ลชั่ว เปนตน) ๘. ใหทาน
บคุ คล (ผทู ่เี ก่ียวของดวยแลวชวยใหจติ อยางสัตบุรุษ (คือใหโดยเคารพ เอือ้
ผองใสสงบมัน่ คง) โภชนะ (อาหาร) อตุ ุ เฟอแกของและผูรบั ทาน เปนตน)
(อณุ หภมู แิ ละสภาพแวดลอม) อริ ยิ าบถ; สัปปรุ สิ บัญญตั ิ ขอทท่ี านสตั บุรษุ ต้งั ไว,
ท้งั ๗ ขอน้ี ทเ่ี หมาะกนั เปนสปั ปายะ บญั ญตั ขิ องคนดี มี ๓ คือ ๑. ทาน ปน
(เชนเปน อาวาสสปั ปายะ) ทีไ่ มสบาย สละของตนเพ่ือประโยชนแกผูอื่น ๒.
ปพพัชชา ถือบวช เวนจากการเบียด
เปนอสัปปายะ
สปั ป เนยใส; ดู เบญจโครส เบียนกัน ๓. มาตาปตุอปุ ฏฐาน บาํ รุง
สปั ปโสณฑกิ า ชอื่ เงอื้ มเขาแหงหนึ่งอยทู ี่ มารดาบิดาของตนใหเปนสขุ
สีตวัน ใกลกรุงราชคฤห ณ ทีน่ ีพ้ ระ สปั ปรุ สิ ปู สสยะ คบสตั บรุ ษุ , คบคนด,ี
พุทธเจาเคยทํานิมิตตโอภาสแกพระ ไดคนดเี ปนทพ่ี ง่ึ อาศยั (ขอ ๒ ในจกั ร ๔)
อานนท สปั ปรุ สิ ปู สงั เสวะ คบสตั บรุ ษุ , คบคนด,ี
สปั ปุริสธรรม ธรรมของสัตบรุ ษุ , ธรรม คบทานที่ประพฤติชอบดวยกายวาจาใจ,
ของคนด,ี ธรรมทท่ี าํ ใหเปนสตั บรุ ษุ มี ๗ เสวนาทานผรู ูผูทรงคณุ (ขอ ๑ ในวฑุ ฒิ
ขอ คอื ๑. ธมั มญั ตุ า รหู ลกั หรอื รจู กั เหตุ ๔)
๒. อัตถัญ ตุ า รูความมงุ หมายหรือรู สปั ปุรุษ เปนคําเลอื นปะปนระหวาง สัป-
จักผล ๓. อตั ตญั ตุ า รจู ักตน ๔. มตั ปรุ สิ ทเี่ ขียนอยางบาลี กับ สัตบรุ ษุ ท่ี
๔๗๔
สัพพกามี ๔๗๕ สมั ปชานมุสาวาท
เขยี นอยางสนั สกฤต มคี วามหมายอยาง สคุ ติ ทคุ ติ และทางแหงนิพพาน (ขอ ๓
เดยี วกัน (ดู สัตบรุ ษุ ) แตในภาษาไทย ในทศพลญาณ)
เปนคําอยูขางโบราณ ใชกันในความ สมั ปชัญญะ ความรูตวั ทั่วพรอม, ความ
หมายวา คฤหัสถผูมีศรัทธาในพระ รตู ระหนัก, ความรชู ดั เขาใจชัด ซง่ึ สิง่ ที่
ศาสนา เฉพาะอยางย่ิงผูที่ไปรวมกิจ นึกได; มักมาคกู บั สติ (ขอ ๒ ในธรรมมี
กรรมทางบุญทางกุศล รักษาศีลฟง อุปการะมาก ๒); สัมปชัญญะ ๔ ไดแก
๑.สาตถกสัมปชัญญะ รูชัดวามี
ธรรมเปนประจําท่ีวัดใดวัดหน่ึง บางที
เรยี กตามความผกู พนั กบั วดั วา สปั ปรุ ษุ ประโยชน หรอื ตระหนกั วาตรงตามจดุ
วัดน้นั สัปปรุ ุษวดั นี้ หมาย ๒.สปั ปายสมั ปชญั ญะ รูชัดวา
สพั พกามี ช่อื พระเถระองคหนึง่ ในการก
เปนสัปปายะ หรือตระหนักวาเกื้อกูล
สงฆ ผทู ําสังคายนาครง้ั ท่ี ๒ เปนผูมี เหมาะกัน ๓.โคจรสมั ปชญั ญะ รูชัดวา
พรรษาสงู สดุ และทําหนาท่ีวสิ ชั นา เปนโคจร หรือตระหนักในแดนงานของ
สพั พโลเกอนภริ ตสญั ญา กาํ หนดหมาย ตน ๔.อสมั โมหสมั ปชญั ญะ รชู ดั วาไม
ถึงความไมนาเพลิดเพลินในโลกทั้งปวง หลง หรือตระหนักในตัวสภาวะ ไมหลง
(ขอ ๘ ในสัญญา ๑๐) ใหล ไมสับสนฟนเฟอน
สัพพสังขาเรสุอนิฏฐสัญญา กําหนด การมีสติทันโดยทําความรูตัวทั่ว
หมายถึงความไมนาปรารถนาในสังขาร พรอมมีสัมปชัญญะในการเคลื่อนไหว
ทัง้ ปวง (ขอ ๙ ในสัญญา ๑๐) ทาํ การทกุ อยาง ไมวากาวเดิน การถอย
สพั พัญ ุตญาณ ญาณคอื ความเปนพระ การมอง เหลยี ว คู เหยียด ทรงผา
สัพพัญ ู, พระปรีชาญาณหย่ังรูส่ิงทั้ง สงั ฆาฏิบาตรจีวร กนิ ดื่ม เคี้ยว ล้ิม
ปวง ท้ังท่ีเปนอดตี ปจจุบัน และอนาคต ถายอจุ จาระ ปสสาวะ เดิน ยนื นง่ั
สัพพัญ ู ผูรูธรรมทั้งปวง, ผูรูท่ัวทั้ง หลับ ตน่ื พูด นิ่ง เปนหมวดหนึง่ ของ
หมด, พระนามของพระพุทธเจา กายานปุ สสนาสติปฏฐาน คอื สมั ปชัญญ
สัพพตั ถกกัมมัฏฐาน กรรมฐานทค่ี วร บรรพ เปนบรรพท่ี ๓ ของกายานปุ สสนา
ใชประโยชนในทุกกรณี; ดู กมั มฏั ฐาน สติปฏฐาน; ดู กายานปุ สสนา, สตปิ ฏฐาน
๒; เทยี บ ปารหิ ารยิ กัมมัฏฐาน สัมปชานมุสาวาท รูตัวอยูกลาวเท็จ,
สพั พัตถคามนิ ปี ฏปิ ทาญาณ ปรีชาหยงั่ การพดู เทจ็ ทง้ั ทร่ี ู คอื รคู วามจรงิ แตจงใจ
รูทางที่จะนาํ ไปสูสุคตทิ ัง้ ปวง คือ ทงั้ พูดใหคลาดจากความจริง เพอื่ ใหผูฟง
๔๗๕
สัมปฏจิ ฉนะ, สัมปฏจิ ฉนั นะ ๔๗๖ สัมพันธ
เขาใจเปนอยางอนื่ จากความจรงิ (สกิ ขา- ลักษณะอยางหนึ่งของการสอนท่ีดีตาม
บทที่ ๑ แหงมสุ าวาทวรรค ปาจิตตยิ - แนวพทุ ธจรยิ า (ขอกอนคอื สมตุ เตชนา)
กณั ฑ) สัมปตตโคจรัคคาหกิ รูป ดทู ี่ รูป ๒๘
สัมปฏิจฉนะ, สัมปฏิจฉันนะ ดู วถิ จี ติ สัมปตตวิรัติ ความเวนจากวัตถุอันถึง
สมั ปยุต ประกอบดวย; สัมปยุตต ก็เขยี น เขา, การเวนเมื่อประสบซงึ่ หนาคอื ไมได
สัมปยุตตธรรม ธรรมที่ประกอบอยู สมาทานศีล หรือต้ังใจละเวนมากอน
ดวย, ธรรมที่ประกอบกัน, สภาวธรรมที่ แตเมื่อประสบเหตุอันจะทําใหความช่ัว
เกิดรวมกัน หรือพวงมาดวยกัน หรือละเมิดศีลเขาเฉพาะหนา ก็ละเวน
สมั ปโยค การประกอบกนั ไดในขณะนน้ั เอง ไมลวงละเมิดศลี (ขอ
สัมประหาร การสรู บกัน, การตอสูกนั ๑ ในวิรัติ ๓)
สัมปรายภพ ภพหนา สมั ผปั ปลาปะ พดู เพอเจอ, พดู เหลวไหล,
สัมปรายิกัตถะ ประโยชนภายหนา, พดู ไมเปนประโยชน ไมมเี หตผุ ล ไรสาระ
ประโยชนเลยตาเห็น, ประโยชนข้ันสูง ไมถกู กาลถกู เวลา (ขอ ๗ ในอกศุ ล-
ขึ้นไป อันไดแกความมีจิตใจเจริญงอก กรรมบถ ๑๐)
งามดวยคณุ ธรรมความดี ทําใหชีวิตน้มี ี สัมผัปปลาปา เวรมณี เวนจากพูดเพอ
คาและเปนหลักประกันชีวิตในภพหนา เจอ, เวนจากพูดเหลวไหลไมเปน
ซงึ่ จะสาํ เรจ็ ไดดวยธรรม ๔ ประการ คือ ประโยชน, พูดคําจริง มีเหตุผล มี
๑. สัทธาสมั ปทา ถงึ พรอมดวยศรัทธา ประโยชน ถกู กาลเทศะ (ขอ ๗ ในกศุ ล-
๒. สลี สัมปทา ถึงพรอมดวยศลี ๓. จาค กรรมบถ ๑๐)
สมั ปทา ถึงพรอมดวยการบริจาค ๔. สมั ผัส ความกระทบ, การถกู ตองท่ใี ห
ปญญาสัมปทา ถึงพรอมดวยปญญา เกิดความรูสึก, ความประจวบกันแหง
ธรรม ๔ อยางนเ้ี รยี กเตม็ วา สมั ปรายกิ ตั ถ อายตนะภายใน อายตนะภายนอก และ
สังวัตตนิกธรรม (ธรรมอันเปนไปเพ่ือ วญิ ญาณ มี ๖ เริ่มแต จักขสุ ัมผสั
สมั ผสั ทางตา เปนตน จนถงึ มโนสมั ผสั
สมั ปรายกิ ตั ถะ)
สมั ปหงั สนา การทาํ ใหราเรงิ หรอื ปลกุ ให สัมผสั ทางใจ (เรียงตามอายตนะภายใน
ราเรงิ คอื ทาํ บรรยากาศใหราเรงิ สดชนื่ ๖); ผัสสะ กเ็ รียก
แจมใส เบกิ บานใจ ใหผฟู งแชมชน่ื มคี วาม สัมพนั ธ 1. เกีย่ วของ, ผูกพนั , เนอื่ งกัน
หวงั มองเหน็ ผลดแี ละทางสาํ เรจ็ ; เปน 2. ในทางอักขรวิธภี าษาบาลี หมายถงึ
๔๗๖
สมั พทุ ธะ ๔๗๗ สัมมาทิฏฐิ
มีตางบทมาสนธิเช่ือมเขาดวยกัน เชน ในญาณ ๑๖)
ตุณฺหสิ สฺ หรอื ตุณหฺ สฺส (= ตณุ หฺ ี + สัมมตั ตะ ความเปนถกู , ภาวะทถี่ กู มี
อสสฺ );ในความหมายน้ี ตรงขามกบั ววตั ถติ ะ ๑๐ อยาง ๘ ขอตนตรงกับองคมรรคทั้ง
สมั พทุ ธะ ทานผูตรสั รเู อง, พระพุทธเจา ๘ ขอ เพิม่ ๒ ขอทาย คือ ๙. สัมมา-
สมั ภเวสี ผูแสวงสมภพ; ดู ภตู ะ ญาณ รูชอบ ไดแกผลญาณและปจจ-
สัมภาระ ส่ิงของตางๆ, วัตถุ, วัสดุ, เวกขณญาณ ๑๐. สมั มาวิมตุ ติ หลุดพน
เครือ่ งใช, องค, สวนประกอบ, บรขิ าร, ชอบ ไดแกพระอรหัตตผลวิมุตต;ิ เรียก
ปจจัย, ความดหี รอื ความชัว่ ทป่ี ระกอบ อกี อยางวา อเสขธรรม ๑๐; ตรงขามกบั
มจิ ฉตั ตะ ๑๐
หรือทําสะสมไว; การประชมุ เขา
สัมภตู สาณวาสี ช่อื พระเถระองคหนึง่ ใน สมั มัปปธาน ความเพยี รชอบ; ดู ปธาน,
โพธปิ กขิยธรรม
การกสงฆ ผทู าํ สงั คายนาครงั้ ที่ ๒
สัมโภคนาสนา ใหฉิบหายเสียจากการ สัมมา โดยชอบ, ด,ี ถกู ตอง, ถูกถวน,
กนิ รวม, เปนศพั ทผกู ใหมทส่ี มเด็จพระ สมบูรณ, จริง, แท
มหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส สมั มากมั มนั ตะ ทาํ การชอบ หรอื การงาน
วานาจะใชแทนคาํ วา ทณั ฑกรรมนาสนา ชอบ ไดแก การกระทาํ ทเ่ี วนจากความ
(การใหฉบิ หายดวยทณั ฑกรรม คอื ลง ประพฤตชิ วั่ ทางกายสามอยาง คอื ฆาสตั ว
โทษสามเณรผูกลาวตูพระธรรมเทศนา ลกั ทรพั ย ประพฤตผิ ดิ ในกาม คอื เวน
โดยไลจากสํานัก และไมใหภิกษุทั้ง จากกายทุจริต๓ (ขอ ๔ ในมรรค)
หลายคบดวยตามสกิ ขาบทที่ ๑๐ แหง สมั มาญาณะ รูชอบ ไดแกผลญาณ คือ
สัปปาณกวรรค ปาจิตตยิ กณั ฑ) ญาณอันเปนผลสืบเน่ืองมาจากมรรค-
สมั มติกา กปั ปยภูมทิ ่ีสงฆสมมติ คอื กฎุ ี ญาณ เชน โสดาปตตผิ ล เปนตน และ
ท่ีสงฆเลือกจะใชเปนกัปปยกุฎีแลวสวด ปจจเวกขณญาณ (ขอ ๙ ในสมั มตั ตะ๑๐)
ประกาศดวยญตั ตทิ ตุ ยิ กรรม; ดู กปั ปยภมู ิ สมั มาทฏิ ฐิ ปญญาอนั เหน็ ชอบ คอื เหน็
สัมมสนญาณ ญาณหย่งั รดู วยพจิ ารณา อรยิ สัจจ ๔, เหน็ ชอบตามคลองธรรมวา
นามรปู โดยไตรลกั ษณ, ญาณทพ่ี จิ ารณา ทาํ ดมี ีผลดี ทําช่ัวมผี ลช่ัว มารดาบดิ ามี
หรือตรวจตรานามรูปหรือสังขาร มอง (คือมีคุณความดีควรแกฐานะหน่ึงที่
เหน็ ตามแนวไตรลกั ษณ คอื รวู า ไม เรยี กวามารดาบิดา) ฯลฯ, เห็นถกู ตอง
เทย่ี ง ทนอยไู มได ไมใชตวั ตน (ขอ ๓ ตามที่เปนจริงวาขันธ ๕ ไมเท่ียง
๔๗๗
สัมมาทิฏฐิสูตร ๔๗๘ สัมมขุ าวินัย
เปนตน (ขอ ๑ ในมรรค) (ขอ ๘ ในมรรค)
สัมมาทิฏฐิสูตร พระสูตรแสดงความ สัมมาสังกัปปะ ดําริชอบ คือ ๑.
หมายตางๆ แหงสัมมาทิฏฐิ เปนภาษิต เนกขัมมสังกัปปะ ดาํ ริจะออกจากกาม
ของพระสารีบตุ ร (สตู รท่ี ๙ ในมชั ฌมิ - หรือปลอดจากโลภะ ๒. อัพยาปาท-
นกิ าย มลู ปณณาสก พระสตุ ตันตปฎก) สังกัปปะ ดําริในอันไมพยาบาท ๓.
สมั มานะ ความนับถือ, การยกยอง, การ อวิหิงสาสังกัปปะ ดําริในอันไมเบียด
ใหเกยี รติ; ตรงขามกบั อวมานะ, ดู มานะ เบยี น (ขอ ๒ ในมรรค)
สมั มาปฏิบัติ ปฏิบัติชอบ คือปฏบิ ัติชอบ สัมมาสัมพุทธเจดีย เจดียเกี่ยวเน่ือง
ธรรม, ปฏิบัติถูกทํานองคลองธรรม, ดวยพระสัมมาสัมพทุ ธเจา, เจดยี ที่เปน
ดําเนินในมรรคมีองค ๘ ประการ เคร่ืองเตือนจิตใหระลึกถึงสมเด็จพระ
(ปฏบิ ตั ติ ามมรรค) สัมมาสัมพทุ ธเจา; ดู เจดีย
สมั มาปาสะ “บวงคลองไวมนั่ ”, ความรู สมฺมาสมฺพุทฺโธ (พระผูมีพระภาคเจา
จักผูกผสานรวมใจประชาชน ดวยการ นั้น) เปนผูตรัสรูเองโดยชอบ คือรู
สงเสรมิ อาชพี เชน ใหคนจนกยู ืมทุนไป อริยสัจจ ๔ โดยไมเคยไดเรยี นรจู ากผู
สรางตวั ในพาณิชยกรรม เปนตน (ขอ อื่น จึงทรงเปนผูเริม่ ประกาศสัจจธรรม
๓ ใน ราชสังคหวตั ถุ ๔) เปนผูประดษิ ฐานพระพทุ ธศาสนา และ
สมั มาวาจา เจรจาชอบ คอื เวนจากวจี- จงึ ไดพระนามอยางหนง่ึ วา ธรรมสามี คอื
ทจุ ริต ๔ (ขอ ๓ ในมรรค)
เปนเจาของธรรม (ขอ ๒ ในพทุ ธคณุ ๙)
สัมมาวายามะ เพยี รชอบ คอื เพียรในที่ สัมมาสัมโพธิญาณ ญาณเปนเครื่อง
๔ สถาน ไดแก ๑. สังวรปธาน ๒. ตรสั รเู องโดยชอบ
ปหานปธาน ๓. ภาวนาปธาน ๔. อน-ุ สมั มาอาชวี ะ เลยี้ งชวี ติ ชอบ คอื เวนจาก
รกั ขนาปธาน (ขอ ๖ ในมรรค); ดู ปธาน เล้ียงชีวิตโดยทางที่ผิด เชน โกงเขา
สัมมาวมิ ตุ ติ หลดุ พนชอบ ไดแกอรหตั ต หลอกลวง สอพลอ บบี บังคบั ขูเขญ็ คา
ผลวิมตุ ติ (ขอ ๑๐ ในสมั มตั ตะ ๑๐) คน คายาเสพตดิ คายาพษิ เปนตน (ขอ
สัมมาสติ ระลึกชอบ คือระลกึ ใน สติ- ๕ ในมรรค)
ปฏฐาน ๔ (ขอ ๗ ในมรรค) สัมมุขาวินัย ระเบียบอันพึงทําในท่ี
สัมมาสมาธิ ต้งั จิตม่นั ชอบ, จิตมั่นชอบ พรอมหนา, วธิ ีระงบั ตอหนา ไดแก การ
คือสมาธิที่เจริญตามแนวของ ฌาน ๔ ระงบั อธกิ รณในทพี่ รอมหนาสงฆ (สงั ฆ-
๔๗๘
สัมโมทนียกถา ๔๗๙ สาคตะ
สัมมุขตา คือภิกษุเขาประชุมครบองค กลา, ปรีชาในการบํารุงพืชพันธุ
สงฆ), ในที่พรอมหนาบคุ คล (ปคุ คล- ธัญญาหาร สงเสริมการเกษตรใหอุดม
สมั มขุ ตา คอื บคุ คลทเ่ี กย่ี วของในเรอื่ ง สมบูรณ เปนสังคหวัตถปุ ระการหนง่ึ ที่ผู
นั้นอยูพรอมหนากัน), ในที่พรอมหนา ปกครองบานเมอื งจะพึงบําเพญ็ (ขอ ๑
วัตถุ (วัตถุสัมมุขตา คือยกเรื่องที่เกิด ใน ราชสงั คหวัตถุ ๔)
ขึ้นน้ันวินิจฉัย), ในท่ีพรอมธรรมวินัย สากจั ฉา การพูดจา, การถกถอยสนทนา
(ธัมมสัมมุขตา และวินยสัมมุขตา คอื นาํ สากยิ านี เจาหญิงวงศศากยะ
เอาหลักเกณฑท่ีกําหนดไวตามพระ สาเกต ชือ่ มหานครแหงหนึง่ อยูในแควน
ธรรมวนิ ัยมาใชปฏบิ ตั ิ ไดแกวินจิ ฉัยถูก โกศล หางจากเมอื งสาวตั ถี ๗ โยชน
ธรรม ถูกวินยั ); สัมมุขาวินัย ใชเปน ธนญั ชยั เศรษฐี บดิ าของนางวสิ าขา ได
เครื่องระงับอธกิ รณไดทกุ อยาง รับพระบรมราชานุญาตจากพระเจา
สัมโมทนียกถา “ถอยคําเปนท่ีบันเทิง ปเสนทิโกศล ใหเขาตง้ั ถนิ่ ฐานและสราง
ใจ”, คําตอนรับทักทาย, คําปราศรยั ; ข้ึน เมื่อคราวท่ีทานเศรษฐีอพยพจาก
ปจจุบันนิยมเรียกสุนทรพจนท่ีพระสงฆ เมืองราชคฤหมาอยูในแควนโกศลตาม
กลาววา สมั โมทนียกถา คาํ เชิญชวนของพระองค, ตามทีก่ ําหนด
สมั ฤทธ์ิ ความสาํ เร็จ กันไดในปจจุบัน ที่ต้ังของเมืองสาเกต
สัลลวตี แมน้ําที่ก้ันอาณาเขตมัชฌิม- อยูที่ฝงลางของแมนํ้าฆาฆระ (Ghā-
ghara, สาขาใหญสายหนึ่งของแมน้ํา
ชนบท ดานทิศตะวนั ออกเฉียงใต คงคา) ตรงกบั เมืองอโยธยา (Ayodhya)
สสั สตทฏิ ฐิ ความเห็นวาเทยี่ ง คือความ
เห็นวาอัตตาและโลก เปนส่ิงเที่ยงแท หางจากเมือง Kasia (กสุ นิ ารา) ตรงไป
ยั่งยืน คงอยูตลอดไป เชน เห็นวาคน ทางทิศตะวันตก ประมาณ ๑๗๐ กม.
และสัตวตายไปแลว รางกายเทานั้น สาขนคร เมืองกิง่ , เมอื งเล็ก
ทรุดโทรมไป สวนดวงชีพหรือเจตภูต สาคตะ พระมหาสาวกองคหน่งึ เกดิ ใน
หรอื มนัสเปนธรรมชาติไมสูญ ยอมถอื ตระกลู พราหมณในพระนครสาวตั ถี ได
ปฏิสนธิในกาํ เนิดอน่ื สบื ไป เปนมจิ ฉา- ฟงพระธรรมเทศนาของพระศาสดามี
ทิฏฐิอยางหน่ึง; ตรงขามกับ อุจเฉททฏิ ฐิ ความเลื่อมใส ขอบวชแลวทําความ
(ขอ ๑ ในทิฏฐิ ๒) เพียรเจรญิ สมาบัติ ๘ ประการ จนมี
สัสสเมธะ ความฉลาดในการบํารุงขาว ความชํานาญในสมาบัติ ทานเปนตน
๔๗๙
สาคร ๔๘๐ สาธุการ
บัญญัติสุราปานสิกขาบท และเพราะ เขา; เขียน สาไถย ก็ได (ขอ ๖ ในมละ
เกิดความสังเวชในเหตุการณที่เกิดกับ ๙, ขอ ๑๐ ในอุปกเิ ลส ๑๖)
ตนคร้ังนี้ จึงเจริญวิปสสนากัมมัฏฐาน สาธก อางตัวอยางใหเห็นสม, ยกตัว
จนไดสําเรจ็ พระอรหัต ไดรับยกยองวา อยางมาอางใหเหน็
เปนเอตทัคคะในทางเตโชธาตสุ มาบตั ิ สาธยาย การทอง, การสวด
สาคร ทะเล สาธารณ ท่วั ไป, ทั่วไปแกหมู, ของสวน
สาคละ ชอื่ นครหลวงของแควน มทั ทะ รวม ไมใชของใครโดยเฉพาะ
ตอมาภายหลังพุทธกาลไดเปนราชธานี สาธารณสถาน สถานท่สี ําหรบั คนทว่ั ไป
ของพระเจามิลนิ ท กษตั รยิ นักปราชญที่ สาธารณสิกขาบท สิกขาบทท่ีท่ัวไป,
ไดโตวาทะกับพระนาคเสน, ปจจุบนั อยู สิกขาบทที่ใชบังคับท่ัวกันหรือเสมอ
ในแควนปญจาป; แควนมัททะนนั้ บาง เหมือนกนั หมายถงึ สิกขาบทสาํ หรับ
คราวถูกเขาใจสับสนกับแควน มัจฉะ ภิกษุณี ท่ีเหมือนกันกับสิกขาบทของ
ทําใหสาคละพลอยถูกเรียกเปนเมือง ภิกษุ เชน ปาราชิก ๔ ขอตนในจาํ นวน
หลวงของแควนมจั ฉะไปก็มี ๘ ขอของภกิ ษุณีเหมอื นกันกับสิกขาบท
สาชีพ แบบแผนแหงความประพฤติที่ดี ของภิกษ;ุ เทยี บ อสาธารณสกิ ขาบท
ทําใหมีชีวติ รวมเปนอันเดยี วกัน ไดแก สาธุ “ดแี ลว”, “ชอบแลว”, คาํ ทพ่ี ระสงฆ
สิกขาบททั้งปวงที่พระพุทธเจาไดทรง เปลงออกมาเพื่อแสดงความเห็นชอบตอ
บญั ญัตไิ วในพระวนิ ยั อันทาํ ใหภิกษทุ ั้ง การกระทาํ ตอเรอื่ งราวทดี่ าํ เนนิ ไป หรอื
หลายผูมาจากถิ่นฐานชาติตระกูลตางๆ ตอกจิ กรรมในพธิ นี นั้ ๆ, โดยนยั หมายถงึ
กัน มามีความเปนอยเู สมอเปนอนั หนงึ่ เปลงวาจาแสดงความชนื่ ชม อนโุ มทนา
อนั เดียวกัน; มาคูกับ สกิ ขา หรอื เหน็ ชอบ, อกี นยั หนง่ึ มกั ใชเปนคาํ
สาณะ ผาทาํ ดวยเปลือกปาน, ผาปาน บอกแกเด็ก เพื่อใหแสดงความเคารพ
สาณตั ตกิ ะ อาบตั ิท่ีตองเพราะสง่ั คือ ส่งั ดวยการทาํ กริ ยิ าไหว (บางทคี าํ กรอนลง
ผูอ่ืนทํา ตัวเองไมไดทํา ก็ตองอาบัติ เหลอื เพยี งพดู สน้ั ๆ วา “ธ”ุ )
เชน ส่งั ใหผอู น่ื ลกั ทรพั ย เปนตน สาธุการ 1. การเปลงวาจาวา สาธุ (แปล
สาฎก ผา, ผาหม, ผาคลมุ
วา “ดแี ลว” “ชอบแลว”) เพอ่ื แสดงความ
สาตรูป รปู เปนท่ชี ่นื ใจ; ดู ปยรปู เห็นชอบดวย ช่ืนชม หรือยกยอง
สาเถยยะ โออวด, ความโออวดหลอก สรรเสรญิ 2. ชอื่ เพลงหนาพาทยเพลง
๔๘๐
สาธุกฬี า ๔๘๑ สามคั คี
หนึ่ง ถอื วามีความสาํ คญั อยางยิ่ง ใช ใจใหระลึกถึงความจริงของชีวิตและคิด
บรรเลงในการเร่ิมพิธี เพื่อบูชาพระ ที่จะไมประมาทเรงสรางสรรคทําความดี
รัตนตรัย เชนในเวลาที่พระธรรมกถึก พรอมทั้งเปนการสักการะบูชาพระผู
ขึ้นสูธรรมาสนเพื่อแสดงธรรม ตลอด ปรินิพพาน
จนใชอัญเชิญเทพเจาและส่ิงศักดิ์สิทธ์ิ สาธุชน คนดี, คนมีศลี ธรรม, คนมี
อนื่ ๆ, มตี าํ นานของไทยเลาสบื มาวา พก- กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม
พรหม (พระพรหมนามวา “พกะ”) ซึ่ง สะอาดบรสิ ุทธ์,ิ คนทีป่ ระพฤตสิ จุ ริต
เดิมเปนผูมีมจิ ฉาทิฏฐิ เมอ่ื พระพุทธเจา สานต สงบ
เสด็จไปโปรดจนละทฏิ ฐนิ ั้นแลว ไดแตง สามเณร เหลากอแหงสมณะ, บรรพชติ
“เพลงสาธุการ” น้ขี ้ึน เพ่อื อัญเชิญพระ ในพระพุทธศาสนาผูยังมิไดอุปสมบท
พุทธเจาในเวลาที่เสด็จลงจากเศียรของ เพียงแตรับบรรพชาดวยไตรสรณคมน
พระพรหมน้ัน (อางอิงเรื่องใน พรหม- ถือสิกขาบท ๑๐ และกิจวตั รบางอยาง
นิมนตนกิ สูตร, ม.ม.ู ๑๒/๕๕๑/๕๙๐) ตามปกติ มอี ายยุ งั ไมครบ ๒๐ ปบรบิ รู ณ;
สาธุกีฬา กีฬาที่ดี, การละเลนที่ดีงาม พระราหุลเปนสามเณรองคแรกในพระ
เปนประโยชน; เปนคําในชั้นอรรถกถา พุทธศาสนา
เฉพาะอยางย่ิงท่เี ลาวา เมอื่ พระพทุ ธเจา สามเณรเปสกะ ภกิ ษุผูไดรับสมมติ คอื
ปรินิพพานแลว มสี าธุกฬี า ๗ วัน ตอ แตงตั้งจากสงฆ ใหทําหนาท่ีเปนผูใช
เนื่องและประสานกับการบูชาพระบรม สามเณร, เปนตําแหนงหน่งึ ในบรรดา เจา
สารีริกธาตุ, แมในการปรินิพพานของ อธกิ ารแหงอาราม
พระปจเจกพุทธเจาและพระอรหันต สามเณรี สามเณรผูหญิง, หญิงรับ
หลายทาน กม็ เี รอ่ื งเลาถงึ การเลนสาธกุ ฬี า บรรพชาในสํานักภิกษุณี ถือสิกขาบท
๗ วนั และการบชู าพระธาต;ุ สาธกุ ีฬามี ๑๐ เหมือนสามเณร
ลักษณะสําคัญคือ มิใชเลนเพื่อความ สามเพท ช่ือคัมภีรที่ ๓ ของพระเวท; ดู
สนุกสนานบนั เทงิ ของตนเอง แตเลนให ไตรเพท
เปนประโยชนแกผูอื่น และไมขัดตอ สามคั คี ความพรอมเพรียง, ความกลม
สัมปรายิกัตถะ (ประโยชนดานจิตใจ เกลียว, ความมีจุดรวมตัวเขาดวยกัน
และปญญา) ใหกอกศุ ลมาก เชนมคี ีตะ หรือมุงไปดวยกัน (โดยวิเคราะหวา
คือเพลงหรือการขับรองที่กระตุนเตือน อคเฺ คน สิขเรน สงคฺ ตํ สมคคฺ ,ํ สมคฺค-
๔๘๑
สามคั คปี วารณา ๔๘๒ สามญั ลักษณะ
ภาโว สามคคฺ )ี , คาํ เสรมิ ทมี่ กั มาดวยกนั ธรรมสําคัญท่ีพระพุทธเจาทรงแสดงไว
กบั สามคั คี คอื สงั คหะ (ความยดึ เหนย่ี ว เพอ่ื ใหสงฆมสี ามคั คเี ปนแบบอยาง ไดแก
ใจใหรวมกนั ) อววิ าท (ความไมววิ าทถอื สาราณยี ธรรม ๖ สวนหลกั ธรรมสาํ คญั
ตาง) และเอกภี าพ (ความเปนอนั หนงึ่ อนั สาํ หรับเสริมสรางสามัคคีในสังคมทั่วไป
เดยี วกนั ); เมอ่ื บคุ คลทเี่ กยี่ วของมารวม ไดแก สงั คหวตั ถุ ๔
ประชุมพรักพรอมกัน เรียกวา กาย- สามัคคีปวารณา กรณีอยางสามัคคี-
สามคั คี (สามคั คดี วยกาย) เมอ่ื บคุ คล อุโบสถน่นั เอง เมอื่ ทําปวารณา เรยี กวา
เหลาน้ันมีความช่ืนชมยินดีเห็นชอบรวม สามัคคปี วารณา และวันทท่ี าํ นนั้ ก็เรยี ก
กนั พอใจรวมเปนอยางเดยี วกนั หรอื วันสามัคคี
อยางภกิ ษุ แมมไิ ดไปรวมประชมุ ทาํ สงั ฆ- สามัคคอี ุโบสถ อโุ บสถท่ีทาํ ขน้ึ เปนกรณี
กรรม แตมอบใหฉนั ทะ เรียกวา จติ - พิเศษเม่ือสงฆสองฝายซ่ึงแตกกันกลับ
สามัคคี (สามคั คดี วยใจ); ความพรอม มาปรองดองสมานกันเขาได สามัคคี
เพรยี งแหงสงฆ คอื สงั ฆสามคั คี เปน อโุ บสถไมกาํ หนดดวยวันท่ีตายตวั สงฆ
หลกั การสาํ คญั ยงิ่ ในพระวนิ ยั ทจี่ ะดาํ รง พรอมเพรียงกันเม่ือใด ก็ทําเม่ือน้ัน
พระพทุ ธศาสนา จงึ มพี ทุ ธบญั ญตั หิ ลาย เรียกวันนั้นวา วนั สามัคคี
อยางเพื่อใหสงฆมีวิธีปฏิบัติในการรักษา สามญั 1. ปรกต,ิ ธรรมดา, ทวั่ ๆ ไป 2.
สงั ฆสามคั คนี น้ั สวนการทาํ ใหสงฆแตก ความเปนสมณะ; มักเขยี นสามัญญะ
แยก กค็ อื การทาํ ลายสงฆ เรยี กวา สังฆ- สามัญญผลสตู ร สูตรท่ี ๒ ในคมั ภรี ทีฆ-
เภท ถอื วาเปนกรรมชว่ั รายแรง ถงึ ขนั้ เปน นกิ าย สีลขนั ธวรรค พระสุตตันตปฎก
อนนั ตรยิ กรรม (ถามีการทะเลาะวิวาท วาดวยผลของความเปนสมณะคือ
บาดหมาง กดี กน้ั กนั ไมเออื้ เฟอกนั ไม ประโยชนท่ีจะไดจากการดํารงเพศเปน
รวมมอื กนั ไมปฏบิ ตั ขิ อวตั รตอกนั ยงั ไม สมณะ หรอื บาํ เพ็ญสมณธรรม
ถอื วาสงฆแตกกนั แตเปนความราวราน สามัญญลกั ษณะ ดู สามญั ลักษณะ
แหงสงฆ เรียกวา สงั ฆราชี แตเมอื่ ใด สามญั ญสโมธาน ดู โอธานสโมธาน
ภิกษุทั้งหลายแตกแยกกันถึงขั้นคุมกัน สามัญผล ผลแหงความเปนสมณะ; ดู
เปนคณะ แยกทาํ อโุ บสถ แยกทาํ ปวารณา สามญั ญผลสูตร
แยกทาํ สงั ฆกรรม แยกทาํ กรรมใหญนอย สามัญลักษณะ ลกั ษณะที่เปนสามัญ คอื
ภายในสมี า เมอ่ื นนั้ เปนสงั ฆเภท); หลกั รวมกันหรือเสมอกัน, ลักษณะรวม,
๔๘๒
สามัญลักษณะ ๔๘๓ สามญั ลักษณะ
ตรงขามกับ ปจจตั ตลักษณะ (ลกั ษณะ กลาวอกี สาํ นวนหนงึ่ วา ทุกอยางท่ี
เฉพาะตัว) เชน ความช่นื ร่ืนฉาํ่ เปน เปนสงั ขตะ เปนสงั ขาร ลวนไมเทย่ี งเสมอ
ลักษณะเฉพาะตัวของ สขุ ความบีบคน้ั
เปนลกั ษณะเฉพาะตัวของ ทกุ ข แตทั้ง เหมอื นกนั ทง้ั หมด, ทกุ อยางทเ่ี ปนสงั ขตะ
สขุ และทุกข เปนเวทนา และในฐานะท่ี
เปนเวทนา จงึ มลี กั ษณะรวมกนั คือ มี เปนสังขาร ลวนคงทนอยูมิไดเสมอ
สภาพเสพรสู กึ , กวางออกไปอีก สภาพ เหมอื นกนั ทง้ั หมด, ทกุ อยางทเ่ี ปนธรรม
เสพรูสึก เปนลักษณะเฉพาะตัวของ ทง้ั สงั ขตะคือสังขาร และอสงั ขตะคอื
เวทนา สภาพจําไดหมายรู เปนลักษณะ
เฉพาะตัวของ สัญญา แตทงั้ เวทนาและ วิสังขาร ลวนไมเปนอัตตา มิใชตน
สญั ญา เปนสงั ขตธรรม และในฐานะท่ี
เปนสังขตธรรม จึงมีลักษณะรวมกัน เสมอกนั ทง้ั สน้ิ
คอื เกิดมีแลวกด็ บั ลับหายไมเท่ยี ง ฯลฯ, ทงั้ น้ี โดยประมวลขน้ั สดุ ทาย ใน
พึงทราบ ปจจัตตลกั ษณะ และ สามัญ-
ลกั ษณะ โดยเทยี บเคียง และขยายออก บรรดาธรรมทงั้ หมดทง้ั สนิ้ นน้ั สงั ขตธรรม
คอื สงั ขารทง้ั ปวง มี สามัญลกั ษณะ ครบ
ไปๆ อยางน้ี ทงั้ ๓ อยาง คอื ทง้ั อนจิ จตา ทกุ ขตา
สามัญลักษณะ ทกี่ ลาวถงึ บอยและรู
และอนตั ตตา แตเมอ่ื รวมอสงั ขตธรรมคอื
จกั กนั มาก ไดแก สามัญลักษณะ ทกี่ วาง
วิสังขารดวยเปนสรรพธรรมแลว มี
ขวางครอบคลมุ ๓ อยาง ซง่ึ มกั มาดวย สามัญลกั ษณะ เพยี งอยางเดยี ว เฉพาะ
กนั เปนชดุ และนยิ มเรยี กวา ไตรลกั ษณ อนตั ตตา
กลาวคอื ๑. อนิจจตา (ความไมเทย่ี ง)
เปน สามญั ลกั ษณะ ของสรรพสงั ขาร คอื พงึ ทราบวา ไตรลกั ษณะกด็ ี สามัญ-
สงั ขตธรรมทง้ั ปวง ๒. ทุกขตา (ความคง ลกั ษณะกด็ ี(รวมทง้ั ปจจตั ตลกั ษณะ)เปน
อยมู ไิ ด) เปน สามัญลักษณะ ของสรรพ คาํ ทเ่ี กดิ มแี ละใชในชนั้ อรรถกถาลงมา
สงั ขาร คอื สงั ขตธรรมทงั้ ปวง ๓.อนตั ตตา
(ความเปนสภาวะมใิ ชตน) เปน สามัญ- สวนในพระไตรปฎก ลักษณะ ๓
ลกั ษณะ ของสรรพธรรม คอื ธรรมทง้ั ปวง
อยางนี้ ปรากฏในพุทธพจนวาดวย
ทงั้ สงั ขตธรรมและอสงั ขตธรรม ธรรมนยิ าม ๓ (ธมมฺ นิยามตา) คอื
ธมฺมนิยามตา ท่ี ๑: สพเฺ พ สงขฺ ารา
อนิจฺจา
ธมมฺ นยิ ามตา ท่ี ๒: สพฺเพ สงขฺ ารา
ทกุ ขฺ า
ธมมฺ นิยามตา ที่ ๓: สพเฺ พ ธมมฺ า
อนตฺตา;
๔๘๓
สามันตราช ๔๘๔ สายสิญจน
สามัญลักษณะ น้ี คูกับ ปจจัตต- “พระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจาทรงยก
ลักษณะ, ดู ไตรลักษณ, ธรรมนยิ าม ข้ึนถือเอาเอง” คือ ทรงเห็นดวยพระ
สามันตราช พระราชาแควนใกลเคยี ง สยัมภญู าณ (ตรสั รเู อง) ไดแกอรยิ สจั จ-
สามษิ , สามสิ เจอื ดวยอามสิ คือ เคร่ือง เทศนา, ตามแบบเรียน แปลวา “ธรรม
ลอ, ตองขน้ึ ตอวตั ถหุ รอื อารมณภายนอก เทศนาที่พระพุทธเจาทรงยกข้ึนแสดง
สามิสสุข สุขเจอื อามสิ , สุขทต่ี องอาศยั เอง” คอื ไมตองปรารภคาํ ถามเปนตน
เหย่ือลอ ไดแกสุขท่ีเกิดจากกามคุณ ของผูฟง ไดแกเทศนาเร่อื งอรยิ สัจจ
(ขอ ๑ ในสขุ ๒) สายโยค สายรดั ใชแกถงุ ตางๆ เชน ที่
สามีจิกรรม การชอบ, กิจชอบ, การ ประกอบกับถุงบาตรแปลกันวา สายโยค
กระทาํ ท่ีเหมาะควร หมายถึง การกระทํา บาตร (บาลีวา อํสวทฺธก); บางแหงแปล
หรืออาการปฏิบัติท่ีแสดงความเคารพ อาโยค คือผารัดเขา หรือ สายรัดเขา วา
นับถือ เออ้ื เฟอ ใหเหมาะสม มกั มาใน สายโยค กม็ ี แตในพระวนิ ยั ปฎก ไมแปล
ชดุ คําวา อภวิ าท (กราบไหว) ปจจุฐาน เชนนนั้ (พจนานกุ รมเขยี นสายโยก)
(ลกุ รับ) อัญชลีกรรม (ประนมมอื ) และ สายสิญจน เสนดายสีขาวท่ีใชโยงใน
สามีจิกรรม (การปฏิบัติที่เหมาะควร) ศาสนพิธีเพ่ือเปนสิริมงคลหรือเพื่อ
โดยท่ีวาสามจี ิกรรมเปนคาํ รวมๆ ความคุมครองปองกัน เปนตน เชนท่ี
ดังมีคาํ อธบิ ายวา สามีจิกรรม คือ พระถือในเวลาสวดมนต และทน่ี าํ มาวง
การปฏิบตั ิทีเ่ หมาะควรอยางอน่ื ๆ นอก รอบบานเรือนหรือบริเวณที่ตองการ
เหนือจากการกราบไหว ลุกรับ และ ความคุมครอง, ตามท่ีปฏิบตั สิ บื กนั มา
อญั ชลี เชน พดั วี จัดนํ้าถวาย ปลู าด ใชดายดบิ นํามาจับทบเปน ๓ หรือ ๙
อาสนะ จัดที่นั่ง จัดที่นอน ลางเทาให เสน, ถาพิจารณาตามรูปศพั ท “สญิ จน”
(ตามทีเ่ หมาะควร) โดยนัยนี้ สามจี กิ รรม คอื การรดนา้ํ ซงึ่ คงหมายถงึ การรดนา้ํ ใน
จึงมักเปนสวนหน่งึ ของการตอนรบั พธิ อี ภเิ ษก สายสญิ จนจงึ อาจจะหมายถึง
สามีจิปฏปิ นฺโน (พระสงฆ) เปนผูปฏิบัติ สายมงคลหรือสายศักดิ์สิทธ์ิ ซ่ึงสืบมา
ชอบ, ปฏิบัติสมควรไดรับสามีจิกรรม จากเสนดายหรือสายเชือกที่ใชในพิธี
คือ ปฏิบัตนิ าเคารพนบั ถอื (ขอ ๔ ใน อภเิ ษก, บางทตี นเดมิ ของสายสญิ จนอาจ
สังฆคณุ ๙) มาจาก “ปริตฺตสุตฺต” (ปรติ ตสูตร-สาย
สามุกกังสิกา แปลตามอรรถกถาวา พระปรติ ร) ในคัมภีรบาลีชั้นหลัง ซึ่ง
๔๘๔
สายณั ห ๔๘๕ สาราณยี ธรรม
หมายถึงเสนดายเพื่อความคุมครองปอง แปลวา “ท่ีพ่งึ ของเหลากวางเน้ือ”)
กัน หรอื เสนดายในการสวดพระปรติ ร; ดู สารมณั ฑกปั ดู กัป
ปริตร, ปริตต สารตั ถทีปนี ช่อื คัมภีรฎีกาอธิบายความ
สายณั ห เวลาเย็น
ในสมนั ตปาสาทกิ า ซง่ึ เปนอรรถกถาแหง
สารกปั ดู กปั พระวินัยปฎก พระสารีบุตรเถระแหง
สารณา การใหระลึก ไดแกกิริยาทีส่ อบ เกาะลังกา เปนผูรจนาในรัชกาลของ
ถามเพื่อฟงคําใหการของจําเลย, การ พระเจาปรกั กมพาหุที่ ๑ (พ.ศ. ๑๖๙๖–
สอบสวน ๑๗๒๙)
สารท 1. “อันเกดิ มีหรือเปนไปในสรท- สารัตถปกาสินี ช่ือคัมภีรอรรถกถา
สมัย”, เชน ดวงจันทรในฤดใู บไมรวง อธบิ ายความในสงั ยตุ ตนิกาย แหงพระ
อนั นวลแจมสดใส 2. เทศกาลทาํ บุญสิน้ สตุ ตนั ตปฎก พระพทุ ธโฆสาจารยเรยี บ
เดอื นสบิ เดิมเปนฤดทู ําบุญดวยเอาขาว เรียงขึ้น โดยอาศัยอรรถกถาเกาภาษา
ท่ีกําลงั ทอง (ขาวรวงเปนน้าํ นม) มาทาํ สงิ หฬทส่ี บื มาแตเดมิ เปนหลกั เมอ่ื พ.ศ.
ยาคูและกวนขาวปายาสเลี้ยงพราหมณ ใกลจะถึง ๑๐๐๐; ดู โปราณัฏฐกถา,
เรยี กวากวนขาวทพิ ย สวนผนู ับถือพระ อรรถกถา
พุทธศาสนานําคติน้ันมาใช แตเปล่ียน สารนั ทเจดีย เจดียสถานแหงหนง่ึ ทเ่ี มือง
เปนถวายแกพระภิกษุสงฆ อุทิศสวน เวสาลี นครหลวงของแควนวชั ชี ณ ทีน่ ้ี
กุศลใหแกญาติในปรโลก สาํ หรับชาว พระพุทธเจาเคยทํานิมิตตโอภาสแกพระ
บานทวั่ ไปมกั ทาํ แตกระยาสารท เปนตน อานนท บาลเี ปน สารันททเจดีย
(ตางจาก ศราทธ) สารมั ภะ แขงดี (ขอ ๑๒ ในอปุ กเิ ลส ๑๖)
สารนาถ ชอ่ื ปจจบุ นั ของอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั สาราค ราคะกลา, ความกาํ หนดั ยอมใจ
ใกลนครพาราณสี สถานทพ่ี ระพุทธเจา สาราณียธรรม ธรรมเปนทีต่ ัง้ แหงความ
ทรงแสดงปฐมเทศนา เคยเจรญิ รงุ เรอื งมาก ใหระลึกถึง, ธรรมเปนเหตุใหระลึกถึง
เปนศูนยกลางการศึกษาทางพุทธศาสนา กัน ทําใหมีความเคารพกนั ชวยเหลอื
ท่ีสาํ คญั แหงหนึ่ง มีเจดียใหญสงู ๒๐๐ กนั และสามคั คีพรอมเพรียงกัน มี ๖
ฟุต ถกู ชาวฮนิ ดูทาํ ลายกอน แลวถกู อยาง คือ ๑. ตั้งกายกรรมประกอบดวย
นายทัพมุสลิมทําลายส้ินเชิงใน พ.ศ. เมตตาในเพอ่ื นภกิ ษุสามเณร ๒. ต้ัง
๑๗๓๘ (สารนาถมาจาก สารังคนาถ วจีกรรมประกอบดวยเมตตาในเพื่อน
๔๘๕
สารี ๔๘๖ สารบี ตุ ร
ภกิ ษุสามเณร ๓. ตัง้ มโนกรรมประกอบ ความเลื่อมใสติดตามไปสนทนาขอถาม
ดวยเมตตาในเพอื่ นภกิ ษสุ ามเณร ๔. แบง หลกั คําสอน ไดฟงความยอเพยี งคาถา
ปนลาภทไี่ ดมาโดยชอบธรรม ๕. รักษา เดียวก็ไดดวงตาเหน็ ธรรม กลบั ไปบอก
ศีลบริสุทธ์ิเสมอกับเพ่ือนภิกษุสามเณร ขาวแกโกลิตะ แลวพากันไปเฝาพระ
(มสี ีลสามญั ญตา) ๖. มคี วามเหน็ รวม พุทธเจา มีปริพาชกท่ีเปนศิษยตามไป
กันไดกับภิกษุสามเณรอื่นๆ (มีทิฏฐิ- ดวยถึง ๒๕๐ คน ไดรับเอหิภิกขุ-
สามัญญตา); สารณยี ธรรม ก็เขยี น อปุ สมบทท้ังหมดทีเ่ วฬุวัน เมือ่ บวชแลว
สารี ชื่อนางพราหมณีผูเปนมารดาของ ได ๑๕ วัน พระสารีบุตรไดฟงพระ
พระสารีบุตร ธรรมเทศนาเวทนาปริคคหสูตรท่ีพระ
สารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวาของพระ พทุ ธเจาทรงแสดงแกทีฆนขปริพาชก ณ
พุทธเจา เกดิ ทีห่ มบู านนาลกะ (บางแหง ถ้ําสุกรขาตา เขาคิชฌกูฏ ก็ไดบรรลุ
เรยี กนาลนั ทะ) ไมไกลจากเมอื งราชคฤห พระอรหตั ไดรบั ยกยองเปนเอตทคั คะ
เปนบุตรแหงตระกูลหัวหนาหมูบานน้ัน ในทางมีปญญามาก และเปนพระอัคร-
บิดาชือ่ วงั คันตพราหมณ มารดาช่อื สารี สาวกฝายขวา ทานไดเปนกําลังสําคัญ
จึงไดนามวาสารีบุตร แตเมื่อยังเยาว ของพระพุทธเจาในการประกาศพระ
เรยี กวา อปุ ตสิ สะ มเี พอื่ นสนทิ ชอ่ื โกลติ ะ ศาสนา และไดรับการยกยองเปน พระ
ซ่ึงตอมาคือพระมหาโมคคัลลานะ มี ธรรมเสนาบดี คําสอนของทานปรากฏ
นองชาย ๓ คนชอ่ื จนุ ทะ อปุ เสนะ และ อยูในพระไตรปฎกเปนอันมาก เชน
เรวตะ นองหญงิ ๓ คน ชอ่ื จาลา อปุ จาลา สังคีติสูตร และทสุตตรสตู ร ท่เี ปนแบบ
และสีสุปจาลา ซึ่งตอมาไดบวชในพระ อยางแหงการสังคายนา เปนตน ทาน
ธรรมวนิ ยั ทงั้ หมด เมอื่ อปุ ตสิ สะและโกลติ ะ ปรินิพพานกอนพระพุทธเจาไมกี่เดือน
จะบวชนนั้ ท้งั สองคนไปเที่ยวดมู หรสพ เมื่อจวนจะปรินิพพาน ทานเดินทางไป
ที่ยอดเขาดวยกัน คราวหนึ่งไปดูแลว โปรดมารดาของทานซึ่งยังเปนมิจฉาทิฐิ
เกดิ ความสลดใจ คดิ ออกแสวงหาโมกข- ใ ห ม า ร ด า ไ ด เ ป น พ ร ะ โ ส ด า บั น แ ล ว
ธรรม และตอมาไดไปบวชอยูในสาํ นกั ปรนิ พิ พานทบ่ี านเกดิ ดวยปกขนั ทกิ าพาธ
ของสัญชยั ปรพิ าชก แตกไ็ มบรรลจุ ุดมุง หลังจากปลงศพแลวพระจุนทะนองชาย
หมาย จนวันหนึ่งอุปติสสปริพาชก พบ ของทานนําอัฐิธาตุไปถวายพระบรม-
พระอสั สชเิ ถระขณะทานบิณฑบาต เกดิ ศาสดา พระองคตรสั วาใหกอสถูปบรรจุ
๔๘๖
สารรี กิ ธาตุ ๔๘๗ สารีรกิ ธาตุ
อฐั ิธาตขุ องทานไว ณ พระเชตวัน เมือง พราหมณเจาเมอื ง ๑ รวมเปน ๗
สาวัตถี (อรรถกถาวาทานปรินิพพานใน นคร (คือ ๑. พระเจาอชาตศัตรู เมอื ง
วันเพ็ญเดือน ๑๒ จึงเทากับ ๖ เดอื น ราชคฤห ๒. กษัตริยลจิ ฉวี เมืองเวสาลี
กอนพทุ ธปรินพิ พาน) ๓. ศากยกษัตรยิ เมืองกบิลพัสดุ ๔.
ถลู กี ษตั ริย อัลลกัปปนคร ๕. โกลิย-
พระสารีบุตรมีคุณธรรมและจริยา- กษตั ริย แหงรามคาม ๖. มลั ลกษตั ริย
วตั รท่ีเปนแบบอยางหลายประการ เชน เมืองปาวา ๗. มหาพราหมณ เจาเมือง
เปนผูมีความกตัญ ูสูง ดังไดแสดง เวฏฐทีปกนคร) สงทูตมาขอสวนแบง
ออกเก่ยี วกบั พระอสั สชิ (นอนหันศรี ษะ พระสารรี ิกธาต,ุ หลงั จากเจรจากนั นาน
ไปทางทีพ่ ระอัสสชิพํานักอยู) และราธ- และในท่ีสุดไดฟงสุนทรพจนของโทณ-
พราหมณ (ระลึกถงึ บิณฑบาตหน่งึ ทพั พี พราหมณแลว ทง้ั ๗ เมืองน้นั รวมกับ
และรับเปนอุปชฌายแกราธะ) สมบูรณ มัลลกษตั รยิ แหงเมอื งกุสินารา เปน ๘
ดวยขันติธรรมตอคาํ วากลาว (ยอมรบั พระนคร ไดตกลงมอบใหโทณพราหมณ
คาํ แนะนําแมของสามเณร ๗ ขวบ) เปน เปนผูแบงพระบรมธาตุเปน ๘ สวน
ผเู อาใจใสอนุเคราะหเด็ก (เชน ชวยเอา เทาๆ กัน ใหแกพระนครทัง้ ๘ นั้น
เด็กยากไรมาบรรพชา มสี ามเณรอยใู น เสร็จแลวโทณพราหมณไดขอตุมพะคือ
ความปกครองดูแล ซึง่ เกงกลาสามารถ ทะนานทองท่ีใชตวงพระธาตุไปบูชา,
หลายรูป) และเอาใจใสคอยดูแลภิกษุ ฝายโมริยกษตั รยิ เมอื งปปผลวิ นั ได
อาพาธเปนตน ทราบขาว ก็สงราชทูตมาขอสวนแบง
สารรี กิ ธาตุ สวนสาํ คญั แหงพระพทุ ธสรรี ะ พระสารรี กิ ธาตุ แตไมทนั จงึ ไดแตพระ
ซง่ึ คงอยเู ปนทเี่ คารพบชู า โดยเฉพาะพระ องั คารไปบชู า, พระนครทง้ั ๘ ท่ีไดสวน
อฐั ,ิ กระดกู ของพระพทุ ธเจา และสวน แบงพระสารีรกิ ธาตุ ก็ไดสรางพระสถปู
สาํ คัญอื่นๆ แหงพระสรรี ะของพระองค บรรจุ เปนพระธาตุสถปู ๘ แหง โทณ-
เชน พระเกสา, มักใชวา พระบรม พราหมณก็อัญเชิญตุมพะไปกอพระ
สารีริกธาตุ; เมื่อพระพุทธเจาเสด็จดับ สถูปบรรจุ เปนตมุ พสถูป ๑ แหง โมริย-
ขันธปรินพิ พาน ณ สาลวโนทยาน เมอื ง กษัตริย ก็อัญเชิญพระอังคารไปสราง
กุสินารา และมีพิธีถวายพระเพลิงพระ พระสถูปบรรจุไว เปนพระอังคารสถูป
พุทธสรีระ ทีม่ กฏุ พันธนเจดยี แลว ไดมี ๑ แหง รวมมพี ระสถปู เจดยี สถานใน
กษตั รยิ ผูครองแควนตางๆ ๖ กบั มหา-
๔๘๗
สารปู ๔๘๘ สาสนวงส
ยุคแรกเริม่ ๑๐ แหง ฉะน้ี เหนือจดเทือกเขาเนปาล ทิศตะวนั ออก
นอกจากน้ี คาถาสุดทายแหงมหา- จดแควนกาสี ตอกับแควนมคธ ทศิ ใต
ปรนิ ิพพานสตู ร กลาวความเพมิ่ เติมอกี และทิศตะวันตกจดแมน้ําคงคา; พระ
วา ยังมีพระสารีริกธาตุอีกทะนานหน่ึง นครสาวัตถีเปนศูนยกลางการเผยแผ
ซ่ึงพวกนาคราชบูชากันอยูในรามคาม พระพุทธศาสนาครั้งพุทธกาล เปนท่ีท่ี
พระทาฐธาตุองคหน่ึงอันเทพชาวไตร- พระพุทธเจาประทับจําพรรษามากท่ีสุด
ทพิ ยบชู า (คือในพระจุฬามณเี จดีย) อกี รวมถึง ๒๕ พรรษา, บดั นเี้ รยี ก สะเหต-
องคหน่ึงอยูในคันธารบุรี อีกองคหน่ึง มะเหต (Sahet-Mahet, ลาสุด รอ้ื ฟนชอ่ื
อยูในแควนกาลงิ คะ (คอื องคทีต่ อไปยัง ในภาษาสนั สกฤตขนึ้ มาใชวา śrāvasti คอื
ลงั กาทวีป) และอกี องคหนึ่งพระยานาค ศราวัสต)ี ; ดู โกศล, เชตวนั , บพุ พาราม
บูชากันอย;ู ดู ทาฐธาตุ สาวิกา หญิงผูฟงคําสอน, สาวกหญิง,
สารูป เหมาะ, สมควร; ธรรมเนียมควร ศิษยผหู ญงิ ; คูกบั สาวก
ประพฤติในเวลาเขาบาน, เปนหมวดที่ สาสนวงส ชื่อหนังสือตํานานพระพุทธ-
๑ แหงเสขิยวตั ร มี ๒๖ สกิ ขาบท ศาสนา วาดวยเรอื่ งพระศาสนทตู ๙ สาย
สาละ ไมยืนตนชนิดหน่ึงของอินเดีย ท่ีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระสงไป
พระพุทธเจาประสูติและปรินิพพานใต ประดิษฐานพระพุทธศาสนา ในดินแดน
รมไมสาละ (เคยแปลกันวา ตนรัง) ตางๆ เมอื่ เสรจ็ การสงั คายนาครง้ั ท่ี ๓
สาลคาม ชอ่ื ตําบลหน่งึ ในสกั กชนบท
สาลพฤกษ ตนสาละ ในพระบรมราชูปถัมภของพระเจาอโศก
สาลวโนทยาน สวนปาไมสาละ
สาลวัน ปาไมสาละ มหาราช ประมาณ พ.ศ.๒๓๕, แตงโดย
สาโลหิต สายโลหิต, ผรู วมสายเลอื ด
สาวก ผฟู ง, ผูฟงคาํ สอน, ศษิ ย; คกู บั พระปญญาสามี ในประเทศพมา เมื่อ
สาวิกา
สาวนะ, สาวนมาส เดอื น ๙ จ.ศ.๑๒๒๓ (พ.ศ.๒๔๐๔), ขอที่นา
สาวัตถี นครหลวงของแควนโกศล;
สังเกตเปนพิเศษ คือ สาสนวงสน้ีบอก
วา มหารัฐ ที่พระมหาธรรมรกั ขติ เถระ
ไปประดิษฐานพระพุทธศาสนา คือดิน
แดนใกลสยามรัฐ, อปรันตรัฐ ทพี่ ระ
โยนกธรรมรักขิตเถระ เปนพระศาสน-
แควนโกศลตั้งอยูระหวางภูเขาหิมาลัย ทูตนําคณะไป สาสนวงสวา ก็คือสนุ า-
กบั แมนํ้าคงคาตอนกลาง อาณาเขตทิศ ปรันตชนบท ทพ่ี ระปณุ ณะไดอาราธนา
๔๘๘
สาสวะ ๔๘๙ สกิ ขมานา
พระพทุ ธเจาเสดจ็ ไปในพุทธกาล และวา สํารวม ระมัดระวัง, เหนีย่ วรัง้ , ระวงั
เปนดินแดนสวนหนึ่งในประเทศพมา รกั ษาใหสงบเรียบรอย เชน สํารวมตา,
แถบฝงขวาของแมน้ําอิรวดี ใกลเมือง สํารวมกาย, ครอง เชนสาํ รวมสติ คือ
พุกาม (Pagan) แตนักปราชญบางทาน ครองสติ; ดู สังวร; รวม ประสมปนกนั
อยาง Dr. G.P. Malalasekera เห็นวา เชน อาหารสาํ รวม
สุนาปรันตะนาจะเปนดินแดนทางตะวัน สาํ รวมอนิ ทรยี ดู อนิ ทรียสงั วร
ตกตอนกลางของประเทศอินเดียน่ันเอง สํารอก ทําส่ิงที่ไมตองการใหหลุดออก
แถบรัฐ Gujarat ไปจนถึงแควน มา, นาํ ออก, เอาออก เชน สํารอกสี จติ
Sindh ดานปากีสถาน (สอดคลองกับ สํารอกจากอาสวะ อวิชชาสํารอกไป
เร่อื งในอรรถกถาท่วี า พระพุทธเจาเสด็จ (วริ าคะ)
ไ ป ที่ น่ั น ผ า น แ ม นํ้านั ม ม ท า คื อ สําลาน สีเหลืองปนแดง
Narmada), สวน สวุ รรณภมู ิ สาสนวงส สาํ เหนียก กําหนด, จดจํา, คอยเอาใจใส,
วา ไดแกรามัญรัฐ คือแควนมอญ ต้ัง ฟง, ใสใจคิดที่จะนาํ ไปปฏิบัติ, ใสใจ
แตหงสาวดี ลงมาถึงเมาะตะมะ โดยมี สังเกตพิจารณาจับเอาสาระเพ่ือจะนําไป
ศูนยกลางของสุวรรณภูมิ ท่ีเมืองหลวง ปฏิบัติใหสําเร็จประโยชน (คําพระวา
ช่ือสุธรรมนคร อันไดแกสะเทิม สกิ ขา หรอื ศึกษา)
(Thaton); ดู โมคคัลลบี ุตรติสสเถระ, สกิ ขมานา นางผกู ําลงั ศึกษา, สามเณรีผู
ปุณณสุนาปรันตะ, สวุ รรณภูมิ
มีอายถุ งึ ๑๘ ปแลว อกี ๒ ปจะครบ
สาสวะ เปนไปกับดวยอาสวะ, ประกอบ บวชเปนภิกษุณี ภิกษุณีสงฆสวดให
ดวยอาสวะ, ยังมีอาสวะ, เปนโลกยิ ะ สิกขาสมมติ คือ ตกลงใหสมาทาน
สาหตั ถกิ ะ ทาํ ดวยมอื ของตนเอง หมาย สกิ ขาบท ๖ ประการ ตง้ั แต ปาณาตปิ าตา
ถึงลักดวยมือของตนเอง เปนอวหาร เวรมณี จนถงึ วกิ าลโภชนา เวรมณี ให
อยางหนง่ึ ใน ๒๕ อยาง ทพ่ี ระอรรถกถา- รกั ษาอยางเครงครดั ไมขาดเลย ตลอด
จารยแสดงไวในปาราชกิ สกิ ขาบทที่ ๒ เวลา ๒ ปเตม็ (ถาลวงขอใดขอหนึ่ง
สาฬหะ ชอ่ื พระเถระองคหนงึ่ ในการกสงฆ ตองสมาทานต้ังตนไปใหมอีก ๒ ป)
ผูทาํ สงั คายนาครัง้ ที่ ๒ ครบ ๒ ป ภิกษุณีสงฆจึงทําพิธี
สาํ นอง รบั ผดิ ชอบ, ตองรบั ใช, ตอบแทน อุปสมบทให ขณะท่สี มาทานสิกขาบท ๖
สํานกั อย,ู ทีอ่ ยู, ท่พี ัก, ทีอ่ าศัย, แหลง ประการอยางเครงครัดน้ีเรียกวา นาง
๔๘๙
สกิ ขา ๔๙๐ สิกขาสมมติ
สกิ ขมานา หลักเหตผุ ลถกู ตองอยางสามญั อนั เปน
สกิ ขา การศึกษา, การสําเหนียก, การ กัมมัสสกตาญาณคือความรจู ักวาทกุ คน
เรยี น, การฝกฝนปฏิบตั ิ, การเลาเรยี น เปนเจาของแหงกรรมของตน เปน
ใหรูเขาใจ และฝกหดั ปฏิบัตใิ หเปนคณุ ปญญา, วปิ สสนาปญญาทก่ี าํ หนดรคู วาม
สมบัติที่เกิดมีข้ึนในตนหรือใหทําไดทํา จรงิ แหงไตรลกั ษณ เปนอธปิ ญญา; แต
เปน ตลอดจนแกไขปรบั ปรงุ หรือพัฒนา โดยนยั อยางเพลา กัมมสั สกตาปญญาที่
ใหดียง่ิ ขน้ึ ไปจนถงึ ความสมบรู ณ; ขอที่ โยงไปใหมองเห็นทุกขที่เน่ืองดวยวัฏฏะ
จะตองศกึ ษา, ขอปฏบิ ตั สิ าํ หรบั ฝกอบรม หรือแมกระท่ังความรูความเขาใจที่ถูก
พฒั นาบคุ คล; สกิ ขา ๓ คอื ๑. อธสิ ีล- ตองในการระลกึ ถงึ คณุ พระรตั นตรยั ซง่ึ
สกิ ขา สกิ ขาคือศลี อนั ยง่ิ , อธศิ ีลอันเปน จะเปนปจจัยหนุนใหกาวไปในมรรค ก็
ขอที่จะตองศกึ ษา, ขอปฏิบัติเพอื่ การฝก เปนอธปิ ญญา); สิกขา ๓ น้ี นิยมเรียก
อบรมพฒั นาศลี อยางสูง (ศีล ๕ ศลี ๘ วา ไตรสกิ ขา และเรยี กขอยอยทงั้ สาม
ศีล ๑๐ เปนศลี , ปาติโมกขสังวรศลี งายๆ สน้ั ๆ วา ศลี สมาธิ ปญญา
เปนอธศิ ีล; แตศีล ๕ ศลี ๘ ศีล ๑๐ ท่ี สกิ ขาคารวตา ดู คารวะ
รักษาดวยความเขาใจ ใหเปนเคร่ือง สิกขานุตตริยะ การศึกษาอนั เยีย่ ม ได
หนนุ นาํ ออกจากวฏั ฏะ กเ็ ปนอธศิ ลี ) ๒. แก การฝกอบรมในอธศิ ลี อธิจติ ตและ
อธจิ ติ ตสกิ ขา สกิ ขาคือจติ อันย่งิ , อธจิ ิต อธปิ ญญา (ขอ ๔ ในอนตุ ตริยะ ๖)
อนั เปนขอท่จี ะตองศึกษา, ขอปฏิบตั เิ พ่ือ สกิ ขาบท ขอท่ตี องศกึ ษา, ขอศลี , ขอ
การฝกอบรมพัฒนาจิตใจใหมีสมาธิ วินัย, บทบัญญตั ิขอหนึ่งๆ ในพระวินัย
เปนตนอยางสงู (กศุ ลจติ ทง้ั หลายจนถงึ ท่ีภิกษพุ งึ ศึกษาปฏิบัต,ิ ศลี ๕ ศีล ๘
สมาบตั ิ ๘ เปนจติ , ฌานสมาบตั ทิ เ่ี ปน ศลี ๑๐ ศลี ๒๒๗ ศลี ๓๑๑ แตละขอๆ
บาทแหงวปิ สสนา เปนอธจิ ติ ; แตสมาบตั ิ เรียกวาสกิ ขาบท เพราะเปนขอทจี่ ะตอง
๘ นนั้ แหละ ถาปฏบิ ตั ดิ วยความเขาใจ ศกึ ษา หรอื เปนบทฝกฝนอบรมตนของ
มุงใหเปนเครื่องหนุนนําออกจากวัฏฏะ สาธุชน อุบาสก อุบาสิกา สามเณร
กเ็ ปนอธจิ ติ ) ๓. อธิปญญาสิกขา สกิ ขา สามเณรี ภกิ ษุ และภกิ ษุณี ตามลําดบั
คือปญญาอันยิ่ง, อธปิ ญญาอันเปนขอท่ี สิกขาสมมติ ความตกลงยินยอมของ
จะตองศกึ ษา, ขอปฏบิ ตั เิ พอื่ การฝกอบรม ภิกษุณีสงฆทจี่ ะใหสามเณรีผูมอี ายุ ๑๘
พัฒนาปญญาอยางสูง (ความรูเขาใจ ปเต็มแลว เริ่มรักษาสิกขาบท ๖
๔๙๐
สิขี ๔๙๑ สิบสองตาํ นาน
ประการ ตลอดเวลา ๒ ป กอนทีจ่ ะได แดพระพทุ ธเจาในวันทจ่ี ะปรนิ ิพพาน
อุปสมบท, เม่ือภิกษุณีสงฆใหสิกขา- สิงหนาท ดู สหี นาท
สมมติแลว สามเณรีน้ันไดชื่อวาเปน สงิ หล, สงิ หฬ ชาวสิงหล, ชาวลงั กา, ซ่งึ
สิกขมานา
มีหรืออยูในประเทศลังกา, ชนเชื้อชาติ
สิขี พระนามของพระพุทธเจาพระองค สิงหลหรือเผาสิงหล ท่ีตางหากจากชน
หนึง่ ในอดีต; ดู พระพุทธเจา ๗
เช้ือชาตอิ ื่น มีทมฬิ เปนตน ในประเทศ
สิคาลมาตา พระมหาสาวกิ าองคหน่ึงเปน ศรีลังกา; สหี ล หรือ สีหฬ ก็เรียก
ธิดาเศรษฐีในพระนครราชคฤหเจรญิ วยั สถิ ลิ พยัญชนะทีอ่ อกเสียงเพลา (ถกู ฐาน
แลว แตงงาน มบี ตุ รคนหนงึ่ ชอื่ สิงคาล- ของตนหยอนๆ มีเสียงเบา) ไดแก
กุมาร วันหน่ึงไดฟงธรรมีกถาของพระ พยัญชนะท่ี ๑ ท่ี ๓ ในวรรคทงั้ ๕ คอื
ศาสดา มีความเล่ือมใส (คัมภีรอปทาน ก, ค; จ, ช; ฏ, ฑ; ต, ท; ป, พ; คูกบั
วา ไดฟงสิงคาลกสูตรท่ีพระพุทธเจา ธนติ (เทยี บระดบั เสยี งพยญั ชนะ ดทู ่ี ธนติ )
ทรงแสดงแกบุตรของนาง ซง่ึ วาดวยเรอ่ื ง สิตธัตถกุมาร พระนามเดิมของพระ
อบายมขุ มติ รแท มติ รเทยี ม ทศิ ๖ เปนตน พทุ ธเจา กอนเสดจ็ ออกบรรพชา ทรงเปน
และไดบรรลโุ สดาปตตผิ ล) ขอบวชเปน พระราชโอรสของพระเจาสุทโธทนะและ
ภกิ ษณุ ี ตอมาไดไปฟงธรรมเทศนาทีพ่ ระ พระนางสิรมิ หามายา คาํ วา สิทธตั ถะ
ศาสดาทรงแสดง นางคอยต้ังตาดพู ระ แปลวา “มคี วามตองการสาํ เร็จ” หรือ
พุทธสิริสมบัติดวยศรัทธาอันแรงกลา “สําเร็จตามท่ีตองการ” คือสมประสงค
พระพุทธองคทรงทราบดังนั้น ก็ทรง จะตองการอะไรไดหมด ทรงอภเิ ษกสมรส
แสดงธรรมใหเหมาะกับอัธยาศัยของ กบั พระนางยโสธราเมอ่ื พระชนมายุ ๑๖ ป
นาง นางสงใจไปตามกระแสพระธรรม เสดจ็ ออกบรรพชาเมอื่ พระชนมายุ ๒๙ ป
เทศนาก็ไดบรรลุพระอรหัต ไดรับยก ไดตรสั รเู ปนพระพทุ ธเจาเมอ่ื พระชนมายุ
ยองวา เปนเอตทัคคะในบรรดาศรัทธา- ๓๕ ป ปรนิ พิ พานเมอ่ื พระชนมายุ ๘๐ ป
ธิมตุ คอื ผูมีศรัทธาสนิทแนว; สิคาลก- สินไถ เงินไถคาตัวทาส
มาตา หรือ สงิ คาลมาตา กเ็ รยี ก สินธพ มาพันธดุ ีเกดิ ที่ลุมนา้ํ สินธุ
สิง อย,ู เขาอยู สิน้ พระชนม หมดอายุ, ตาย
สิงคิวรรณ ผาเน้ือเกล้ียงสีดังทองสิงคี สิเนรุ ชอื่ ภาษาบาลขี องภเู ขาเมรุ; ดู เมรุ
บตุ รของมัลลกษัตริย ชอ่ื ปุกกุสะถวาย สบิ สองตาํ นาน “สบิ สองเรอื่ ง” คอื พระ
๔๙๑
สริ ิ ๔๙๒ สมี าวบิ ตั ิ
ปริตรที่มีอํานาจคุมครองปองกันตาม ขัณฑสีมา เพอ่ื มิใหระคนกนั เหมอื นเปน
เรอื่ งตนเดมิ ทเี่ ลาไว ซง่ึ ไดจดั รวมเปนชดุ ชานกน้ั เขตของกันและกันในระหวาง
รวม ๑๒ พระปรติ ร; อกี นยั หนงึ่ วา “สบิ สีมา เขตกําหนดความพรอมเพรยี งสงฆ,
สองปรติ ร” แตตามความหมายนี้ นาจะ เขตชมุ นมุ ของสงฆ, เขตท่สี งฆตกลงไว
เขยี น สิบสองตาํ นาณ คอื สบิ สองตาณ สําหรับภิกษุท้ังหลายที่อยูภายในเขตน้ัน
(ตาณ=ปรติ ต, แผลงตาณ เปนตาํ นาณ); จะตองทําสงั ฆกรรมรวมกนั แบงเปน ๒
ดู ปรติ ร, ปรติ ต ประเภทใหญคือ ๑. พทั ธสมี า แดนที่ผูก
สริ ิ ศรี, ม่ิงขวญั , มงคล, ความนานยิ ม, ไดแก เขตท่ีสงฆกําหนดข้ึนเอง ๒.
อพัทธสมี า แดนท่ไี มไดผกู ไดแกเขตท่ี
ลักษณะดีงามท่ีนําโชคหรือตอนรับเรียก ทางบานเมืองกําหนดไวแลวตามปกติ
มาซง่ึ ความเจรญิ รุงเรือง; ตรงขามกบั กาฬ-
กรรณี ของเขา หรอื ทมี่ อี ยางอน่ื ในทางธรรมชาติ
สิลฏิ ฐพจน คําสละสลวย, คําไพเราะ,
เปนเครื่องกําหนด สงฆถือเอาตาม
ไดแกคําควบกับอีกคําหน่ึงเพ่ือใหฟง กาํ หนดนน้ั ไมวางกําหนดขนึ้ เองใหม
ไพเราะในภาษา หาไดมีใจความพิเศษ สีมามีฉายาเปนนิมิต สมี าท่ที าํ เงาอยาง
ออกไปไม เชน ในคําวา “คณะสงฆ” ใดอยางหนงึ่ มเี งาภเู ขาเปนตน เปนนมิ ติ
คณะ กค็ อื สงฆ ซ่งึ แปลวาหมู หมายถึง (มตสิ มเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยา
หมูแหงภิกษจุ ํานวนหนง่ึ คําวา คณะ ใน วชริ ญาณวโรรสวา สมี าที่ถอื เงาเปนแนว
ที่นเี้ รียกวาเปนสลิ ฏิ ฐพจน ในภาษาไทย นมิ ติ ) จดั เปนสีมาวบิ ัตอิ ยางหนงึ่
เรียกวา คาํ ตดิ ปาก ไมไดเพงเน้ือความ สีมาวิบัติ ความเสยี โดยสมี า, เสียเพราะ
สิสิระ, สิสิรกาล, สิสริ ฤดู ฤดูเยอื ก, เขตชมุ นมุ (ไมถกู ตองหรอื ไมสมบูรณ),
ฤดทู ายหนาว (แรม ๑ ค่ํา เดอื น ๒ ถงึ สมี าใชไมได ทาํ ใหสงั ฆกรรมซ่ึงทาํ ณ ที่
ข้นึ ๑๕ ค่าํ เดือน ๔); ดู มาตรา น้นั วิบตั คิ อื เสียหรอื ใชไมได (เปนโมฆะ)
สกี า คําที่พระภิกษุใชเรียกผูหญิงอยางไม ไปดวย, คัมภีรปรวิ ารแสดงเหตใุ หกรรม
เปนทางการ เลือนมาจาก อบุ าสิกา บดั น้ี เสยี โดยสีมา ๑๑ อยาง เชน ๑. สมมติ
ไดยินใชนอย; ดู ประสก สมี าใหญเกินกาํ หนด (เกิน ๓ โยชน)
สตี ะ เยน็ , หนาว ๒. สมมตสิ มี าเลก็ เกนิ กําหนด (จไุ มพอ
สมี สัมเภท ดู สมี าสัมเภท ภกิ ษุ ๒๑ รปู นงั่ เขาหตั ถบาสกัน) ๓.
สีมนั ตรกิ เขตคัน่ ระหวางมหาสีมา กับ สมมติสมี ามีนมิ ิตขาด ๔. สมมติสีมา
๔๙๒
สมี าสมบัติ ๔๙๓ สมี าสมั เภท
ฉายาเปนนิมติ ๕. สมมตสิ มี าไมมีนิมิต เปนกลางๆ จนกระท่ังคนท่ีเกลียดชัง
เปนศัตรูหรือคนคูเวร เม่ือใดทําใจให
ฯลฯ, สังฆกรรมทีท่ าํ ในที่เชนน้กี เ็ ทากับ เมตตาปรารถนาดีตอคน ๔ กลุมได
เสมอกนั หมด คือ ตอตนเอง ตอคนที่
ทาํ ในทม่ี ใิ ชสมี าน่ันเอง จงึ ยอมใชไมได; รกั ตอคนทเ่ี ปนกลางๆ และตอศัตรคู น
ดู วิบตั ิ (ของสังฆกรรม) คเู วร เม่ือนั้นเรียกวาเปน “สมี าสัมเภท”
สีมาสมบัติ ความพรอมมูลโดยสีมา, (คือเหมือนกําแพงที่กั้นพังทลายใหสี่
ความสมบูรณแหงเขตชุมนุม, สีมาซึ่ง แดนคือคนสี่กลุมน้ันรวมเขามาเปนอัน
หนึ่งอันเดียว) ลุถึงขั้นที่มีจิตเมตตา
สงฆสมมติแลวโดยชอบ ไมวบิ ัติ ทาํ ให เปนตนเสมอกันหมดตอสรรพสัตวท่ัว
สรรพโลก
สังฆกรรมซึ่งทําใหสีมานั้นมีผลสมบูรณ
ในแงการปฏิบัติ เมื่อจติ หมดความ
กลาวคือ สีมาปราศจากขอบกพรอง แบงแยกรวมเรียบเสมอลงได กเ็ กิดเปน
อุปจารสมาธิ และสมี าสมั เภทน่ันเองก็
ตางๆ ท่ีเปนเหตุใหสีมาวิบัติ (ดู สีมา เปนนิมิตสําหรับการเจริญพรหมวิหาร-
ภาวนา
วบิ ัติ) สังฆกรรมซ่ึงทาํ ณ ท่นี นั้ จึงชือ่ วา
ทําในสีมา จึงใชไดในขอน้ี; ดู สมบัติ ผทู เ่ี จรญิ เมตตากด็ ี เจริญกรณุ าก็ดี
(ของสงั ฆกรรม) เจริญมุทิตาก็ดี เม่ือเสพเจริญนิมิตนั้น
สีมาสังกระ สมี าคาบเก่ยี วกนั , เปนเหตุ ไป ในท่ีสุดก็จะเกิดเปนอัปปนาสมาธิ
สมี าวบิ ัตอิ ยางหนง่ึ เขาถึงปฐมฌาน แลวเสพเจรญิ นิมติ น้ัน
สีมาสัมเภท การทําเขตแดนใหระคน ตอไปอกี กจ็ ะเขาถงึ ทตุ ยิ ฌาน และตตยิ -
ปะปนกัน, การทลายขดี คน่ั รวมแดน 1. ฌาน ตามลําดับ ตอจากตติยฌานนัน้
เขาเจรญิ อเุ บกขาภาวนา จนกระทัง่ มจี ิต
ในทางพระวินยั หมายถงึ การท่สี มี ากาย เปนอุเบกขาตอสรรพสัตวเสมอกันได
เปนสีมาสมั เภท และเสพเจรญิ นิมติ แหง
เกยคาบเกย่ี วกนั คือเปนสมี าสังกระ; ดู สีมาสมั เภทนั้นไปจนเกดิ จตุตถฌาน
สีมาสังกระ 2. ในการเจริญเมตตา
ภาวนา (และเจรญิ พรหมวหิ ารขออืน่ ทุก สาํ หรบั บุคคลท่กี ลาวมานี้ เม่ือมจี ติ
ขอ) สมี าสมั เภท เปนขน้ั ตอนสาํ คัญของ เปนอัปปนาแลวตัง้ แตขั้นปฐมฌาน จะมี
ความสําเร็จ กลาวคือ เบื้องตน ผูปฏิบัติ
๔๙๓
เจริญเมตตาตอบุคคลทรี่ กั เคารพเรมิ่ แต
เมตตาตอตนเองเพื่อเอาตัวเปนพยาน
แลวขยายจากคนทร่ี กั มาก (ตอนนไี้ มรวม
เพศตรงขามและคนท่ีตายแลว) ออกไป
ยังคนท่ีรักท่ีพอใจ ตอไปสูคนท่ีเฉยๆ
สีลกถา ๔๙๔ สีลพั พตปุ าทาน
วกิ พุ พนา คอื เพราะจติ สงบปลอดโปรง สลี สมั ปทา ถงึ พรอมดวยศีล คือ ถาเปน
แคลวคลองและเปนจริง ก็จึงสามารถ คฤหัสถ ก็รักษากายวาจาใหเรียบรอย
แผกผนั ปรบั แปรการแผเมตตา เปนตน ประพฤติอยใู นคลองธรรม ถาเปนภกิ ษุ
นั้น ทั้งในแบบท่ัวตลอดไรขอบเขต ก็สาํ รวมในพระปาติโมกข มีมารยาทดี
เปนอโนธโิ สผรณา ทั้งในแบบเจาะจง งาม เปนตน (ขอ ๒ ในสมั ปรายกิ ตั ถ-
จํากัดขอบเขต เปนโอธโิ สผรณา และใน สงั วตั ตนกิ ธรรม ๔, ขอ ๑ ในจรณะ ๑๕)
แบบจาํ เพาะทิศจําเพาะแถบ เปนทสิ า- สลี สามญั ญตา ความเสมอกนั โดยศลี คอื
ผรณา ชอื่ วาเปนผปู ระกอบพรอมดวย รักษาศีลบริสุทธ์ิเสมอกันกับเพื่อนภิกษุ
อปั ปมัญญาธรรม; ดูแผเมตตา,วกิ พุ พนา, สามเณร ไมทาํ ตนใหเปนทนี่ ารงั เกยี จของ
อโนธโิ สผรณา,โอธโิ สผรณา,ทสิ าผรณา หมคู ณะ (ขอ ๕ ในสาราณยี ธรรม ๖)
สีลกถา ถอยคําที่ชักนําใหต้ังอยูในศีล สลี สิกขา ดู อธสิ ีลสิกขา
สลี พั พตปรามาส ความยึดถอื วาบุคคล
(ขอ ๖ ในกถาวตั ถุ ๑๐)
สีลขนั ธ กองศลี , หมวดธรรมวาดวยศลี จะบริสุทธิ์หลุดพนไดดวยศีลและพรต
เชน กายสจุ ริต สัมมาอาชวี ะ อินทรยี - (คือถือวาเพียงประพฤติศีลและพรตให
สังวร โภชเนมตั ตญั ุตา เปนตน (ขอ เครงครัดก็พอที่จะบริสุทธิ์หลุดพนได
๑ ในธรรมขนั ธ ๕) ไมตองอาศัยสมาธแิ ละปญญาก็ตาม ถือ
สลี ขนั ธวรรค ตอนที่ ๑ ใน ๓ ตอนแหง ศีลและพรตที่งมงายหรืออยางงมงายก็
คัมภีรทีฆนกิ าย พระสตุ ตันตปฎก ตาม), ความถอื ศลี พรต โดยสกั วาทาํ
สีลมัย บุญสําเรจ็ ดวยการรักษาศลี , ทํา ตามๆ กนั ไปอยางงมงาย หรอื โดยนิยม
บุญดวยการประพฤติดีงาม (ขอ ๒ ใน วาขลังวาศักดสิ์ ิทธิ์ ไมเขาใจความหมาย
บญุ กริ ยิ าวตั ถุ ๓ และ ๑๐) และความมุงหมายท่แี ทจริง, ความเชอ่ื
สีลวิบตั ิ เสยี ศลี , สาํ หรับภิกษุ คือตอง ถอื ศักดิส์ ทิ ธิ์ดวยเขาใจวาจะมีไดดวยศีล
อาบตั ปิ าราชกิ หรือสงั ฆาทิเสส (ขอ ๑ หรือพรตอยางนี้ลวงธรรมดาวิสัย (ขอ
ในวิบตั ิ ๔) ๓ ในสังโยชน ๑๐, ขอ ๖ ในสงั โยชน
สีลวิสุทธิ ความหมดจดแหงศีล คือ ๑๐ ตามนัยพระอภธิ รรม)
รักษาศีลใหบริสุทธิ์ตามภูมิของตน ซึ่ง สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นศีลและ
จะชวยเปนฐานใหเกิดสมาธิได (ขอ ๑ พรตดวยอาํ นาจกิเลส, ความถอื ม่นั ศลี
ในวสิ ุทธิ ๗) พรต คอื ธรรมเนียมทปี่ ระพฤตกิ ันมาจน
๔๙๔
สีลานุสติ ๔๙๕ สีหไสยา
ชินโดยเชื่อวาขลังเปนเหตุใหงมงาย, ดวยการชี้แจงแถลงเร่ืองราวหรือขอมูล
คัมภีรธัมมสังคณีแสดงความหมาย อยางเปดเผยตวั ฉะฉานชัดแจง และไม
อยางเดียวกบั สีลัพพตปรามาส (ขอ ๓ หวาดหวัน่ คร่ันคราม เชน พระพุทธเจา
ในอปุ าทาน ๔) ทรงบันลือสีหนาท ในกรณีที่มีผูตูหรือ
สีลานุสติ ระลึกถึงศีลของตนท่ีได กลาวราย แลวลมลางคําตูหรือคํากลาว
ประพฤติมาดวยดีบริสุทธิ์ไมดางพรอย รายนน้ั ได สยบผตู ผู กู ลาวรายหรอื ทาํ ให
(ขอ ๔ ในอนุสติ ๑๐) เขายอมรบั และทาํ ใหผศู รทั ธายง่ิ มคี วาม
สีวลี พระมหาสาวกองคหน่ึง เปนพระ มน่ั ใจ, พระสูตรบางเร่อื ง อรรถกถาบอก
โอรสพระนางสุปปวาสา ซึ่งเปนพระ วาเปนพุทธสีหนาททั้งพระสูตร เชน
ราชธดิ าของเจากรุงโกลิยะ ปรากฏวาตง้ั วีมังสกสูตร (ม.มู.๑๒/๕๓๕/๕๗๖) ที่พระ
แตทานปฏิสนธิในครรภ เกิดลาภ พุทธเจาตรัสแสดงวิธีที่สาวกจะตรวจ
สกั การะแกพระมารดาเปนอันมาก ตาม สอบพระองค ใหเหน็ วามีพระคณุ สมควร
ตาํ นานวาอยูในครรภมารดาถึง ๗ ป หรอื ไมทจ่ี ะเขาไปหาเพอื่ ฟงธรรม จะไดมี
พระมารดาเจ็บพระครรภถึง ๗ วนั ครน้ั ศรทั ธาทปี่ ระกอบดวยปญญา, นอกจาก
ประสตู แิ ลวกท็ าํ กจิ การตางๆ ไดทนั ที ตอ การบันลือสีหนาทของพระพุทธเจาแลว
มาทานบวชในสาํ นกั ของพระสารบี ตุ ร ใน พบการบันลือสีหนาทของพระสาวกมาก
วันท่ีบวช พอมีดโกนตัดกลมุ ผมคร้งั ที่ แหง, บางแหงสีหนาทมาดวยกันกับ
๑ ไดบรรลโุ สดาปตติผล ครั้งที่ ๒ ได อาสภิวาจา (เชน พระสารีบุตรเปลง
บรรลสุ กทาคามิผล คร้งั ที่ ๓ ไดบรรลุ อาสภวิ าจาบนั ลอื สหี นาท, ท.ี ม.๑๐/๗๗/๙๖)
อนาคามผิ ล พอปลงผมเสร็จก็ไดสําเรจ็ แตพระสาวกท่ีเปลงอาสภิวาจาน้ัน
พระอรหตั ทานสมบรู ณดวยปจจยั ลาภ ปรากฏนอยนกั เทาทไี่ ดพบคอื พระสารี
และทําใหลาภเกิดแกภิกษุสงฆเปนอัน บตุ ร และพระอนรุ ทุ ธ; สงิ หนาท กใ็ ช; ดู
มาก ไดรับยกยองวาเปนเอตทัคคะใน อาสภวิ าจา
สหี ล, สีหฬ ดู สิงหล
ทางมีลาภมาก
สหี นาท “การบันลอื ของราชสหี ” หรือ สหี ลทวปี “เกาะของชาวสิงหล”, เกาะ
“การบันลืออยางราชสีห”, การสําแดง ลงั กา, ประเทศศรีลังกา
ความจรงิ ประกาศสถานะของตน หรือ สีหไสยา นอนอยางราชสีห คือนอน
ยืนยันหลักการบนฐานแหงความจริง ตะแคงขวา ซอนเทาเหลื่อมเทา มี
๔๙๕
สีหหนุ ๔๙๖ สุขุมรปู
สติสมั ปชญั ญะ กาํ หนดใจถึงการลุกขึ้น ช่ืนรืน่ กายรืน่ ใจ มี ๒ คือ ๑. กายกิ สขุ
สขุ ทางกาย ๒. เจตสกิ สขุ สขุ ทางใจ, อีก
ไว (มคี ําอธิบายเพิ่มอกี วา มือซายพาด หมวดหนึง่ มี ๒ คอื ๑. สามิสสุข สขุ องิ
อามสิ คอื อาศยั กามคณุ ๒. นริ ามสิ สขุ
ไปตามลาํ ตวั มือขวาชอนศีรษะไมพลกิ สุขไมองิ อามิส คือ องิ เนกขัมมะ หรอื
กลบั ไปมา)
สหี หนุ กษตั รยิ ศากยวงศ เปนพระราชบตุ ร
ของพระเจาชยเสนะ เปนพระราชบิดา สุขท่เี ปนอสิ ระ ไมขน้ึ ตอวัตถุ (ทานแบง
ของพระเจาสุทโธทนะ เปนพระอัยกา เปนคๆู อยางนีอ้ กี หลายหมวด)
ของพระพทุ ธเจา สุขของคฤหัสถ สุขอันชอบธรรมท่ีผู
สุกกะ นํ้ากาม, นาํ้ อสุจิ ครองเรือนควรมี และควรขวนขวายให
สกุ โกทนะ กษตั รยิ ศากยวงศ เปนพระ มอี ยเู สมอ มี ๔ อยาง คือ ๑. อัตถสิ ขุ
ราชบุตรองคท่ี ๒ ของพระเจาสีหหนุ สุขเกิดจากความมที รพั ย (ท่ีไดมาดวย
เปนพระอนุชาของพระเจาสุทโธทนะ เรย่ี วแรงของตน โดยทางชอบธรรม) ๒.
เปนพระบดิ าของพระเจามหานาม และ โภคสุข สุขเกิดจากการใชจายทรัพย
พระอนุรทุ ธะ (น้วี าตาม ม.อ.๑/๓๘๔; วินย.ฏ.ี (เล้ียงตน เลี้ยงคนควรเล้ียง และทํา
๓/๓๔๙ เปนตน แตวาตามหนงั สอื เรยี น ประโยชน) ๓. อนณสุข สุขเกิดจาก
เปนพระบิดาของพระอานนท) มีเร่ือง ความไมเปนหน้ี ๔. อนวชั ชสขุ สุขเกิด
ราว (ธ.อ.๖/๑๕๙) ที่แสดงวา เจาสกุ โกทนะ จากประกอบการอันไมมีโทษ (มีสุจรติ
มรี าชธดิ าดวย คอื เจาหญิงโรหณิ ี ทั้ง กาย วาจา และใจ), เฉพาะขอ ๔
สุกขวิปสสก พระผูเจริญวิปสสนาลวน ตามแบบเรียนวา สุขเกิดแตประกอบ
สําเร็จพระอรหัต มิไดทรงคุณวิเศษ การงานทีป่ ราศจากโทษ
อยางอนื่ อีก เชนไมไดฌานสมาบัติ ไม สขุ เวทนา ความรสู ึกสขุ สบาย (ขอ ๑ ใน
ไดอภิญญา เปนตน; ดู อรหันต
เวทนา ๓)
สกุ รขาตา ช่ือถา้ํ อยูทภ่ี ูเขาคิชฌกฏู พระ สขุ สมบตั ิ สมบตั คิ ือความสุข, ความถงึ
นครราชคฤห ณ ที่นพ้ี ระสารีบุตรได พรอมดวยความสขุ
สําเร็จพระอรหัต เพราะไดฟงพระธรรม สขุ าวดี แดนทมี่ คี วามสขุ , เปนแดนสถติ
เทศนาที่พระพุทธเจาทรงแสดงแก ของพระอมิตาภพทุ ธ ฝายมหายาน
ปริพาชกชือ่ ทฆี นขะ; ดู ทีฆนขะ สขุ มุ ละเอยี ด, ละเอยี ดออน, นมิ่ นวล, ซง้ึ
สุข ความสบาย, ความสาํ ราญ, ความฉาํ่ สขุ มุ รปู รูปละเอียด, ในพระไตรปฎก
๔๙๖
สุขุมาลชาติ ๔๙๗ สงุ สมุ ารคีระ
เรยี กวา “อนิทัสสนอัปปฏฆิ รปู ” คือเปน ชอบ กลาวคือ ทรงดาํ เนินรุดหนาไม
รปู ท่มี องไมเห็นและกระทบไมได มี ๑๖ หวนกลับมาสูกิเลสทท่ี รงละไดแลว ทรง
อยาง ไดแก อาโปธาตุ และอุปาทายรูป ดาํ เนนิ สผู ลสาํ เรจ็ ไมถอยหลงั ไมกลับตก
ที่เหลือ เวนปสาทรปู และวิสยั รูป (คือ จากฐานะท่ีลุถึง ทรงดําเนินในทางอัน
เปนมหาภตู รปู ๑ และอปุ าทายรูป ๑๕ ถูกตองคือมัชฌิมาปฏิปทา ไมเฉเชือน
แจกแจงออกไปดังนี้ อาโปธาตุ ๑ ภาว- ไปในทางท่ผี ิด คือ กามสุขลั ลกิ านุโยค
รูป ๒ หทัยรปู ๑ ชวี ิตรูป ๑ อาหารรปู ๑ และอตั ตกลิ มถานโุ ยค เสด็จไปดี เสดจ็
ปรจิ เฉทรูป ๑ วิญญัตตริ ปู ๒ วิการรปู ที่ใดก็ทรงทําประโยชนใหแกมหาชนในท่ี
๓ และลักขณรูป ๔), สขุ ุมรูปเหลานี้ รับ นนั้ เสดจ็ ไปโดยสวสั ดแี ละนาํ ใหเกดิ ความ
รูไมไดดวยประสาททั้ง ๕ แตเปน สวสั ดี แมแตพบองคลุ มิ าลมหาโจรราย
ธรรมารมณ อันรไู ดดวยใจ; ดู รปู ๒๘, ก็ทรงกลับใจใหเขากลายเปนคนดีไมมี
อนทิ สั สนอปั ปฏิฆรูป, ธัมมายตนะ ภัย เสด็จผานไปแลวดวยดี ไดทรง
สุขุมาลชาติ มีพระชาติละเอียดออน, มี บําเพ็ญพทุ ธกจิ ไวบริบูรณ ประดษิ ฐาน
ตระกูลสงู พระพุทธศาสนาไว เพ่อื ชาวโลก ใหเปน
สคุ ต ผเู สด็จไปดีแลว, เปนพระนามของ เครื่องเผล็ดประโยชนแกประชาชนท้ัง
พระพุทธเจา; ดู สุคโต ปวงผูเกิดมาในภายหลัง, ทรงมีพระ
สุคตประมาณ ขนาดหรือประมาณของ วาจาดี หรือตรสั โดยชอบ คอื ตรสั แตคาํ
พระสคุ ต คอื พระพทุ ธเจา, เกณฑหรอื จรงิ แท ประกอบดวยประโยชน ในกาลท่ี
มาตรวัดของพระสุคต ควรตรัส และบคุ คลท่คี วรตรัส (ขอ ๔
สุคตาณัตติพจน พระดํารัสส่ังของพระ ในพทุ ธคณุ ๙)
สคุ ต สุคโตวาท โอวาทของพระสุคต, พระ
สคุ ติ คตดิ ,ี ทางดาํ เนนิ ทด่ี ,ี แดนกาํ เนดิ อนั ดาํ รัสสอนของพระพทุ ธเจา
ดที ส่ี ตั วผทู าํ กรรมดตี ายแลวไปเกดิ ไดแก สคุ นธชาติ ของหอม, เคร่อื งหอม
มนษุ ย และ เทพ; ตรงขามกบั ทคุ ต;ิ ดู คติ สคุ นธวารี น้ําหอม
สคุ โต (พระผูมพี ระภาคเจาน้นั ) “เสด็จไป สุงกฆาตะ ดานภาษี
ดแี ลว” คือ ทรงมีทางเสดจ็ ท่ดี งี ามอันได สุงสุมารคีระ ชื่อนครหลวงแหงแควน
แกอริยมรรค, เสด็จไปสูที่ดีงามกลาว ภัคคะ ท่ีพระพุทธเจาประทับจาํ พรรษาที่
คือพระนิพพาน, เสด็จไปดวยดีโดย ๘; สุงสุมารครี ี กเ็ รียก
๔๙๗
สุจริต ๔๙๘ สุญญตา
สุจริต ประพฤติดี, ประพฤติชอบ, สุญญตา “ความเปนสภาพสญู ” ความวาง
ประพฤติถูกตองตามคลองธรรม มี ๓ 1. ความเปนสภาพท่ีวางจากความเปน
คือ ๑. กายสุจรติ ประพฤติชอบดวยกาย สัตว บุคคล ตัวตน เรา เขา เฉพาะ
๒. วจีสุจริต ประพฤติชอบดวยวาจา ๓. อยางย่ิง ภาวะทข่ี นั ธ ๕ เปนอนตั ตา คอื
มโนสุจริต ประพฤตชิ อบดวยใจ; เทยี บ ไรตัวมิใชตน วางจากความเปนตน
ทุจรติ ตลอดจนวางจากสาระตางๆ เชน สาระ
สชุ าดา อบุ าสกิ าสําคญั คนหนึง่ เปนธิดา คือความเที่ยง สาระคือความสวยงาม
ของผูมีทรัพยซ่ึงเปนนายใหญแหงชาว สาระคอื ความสุข เปนตน, โดยปรยิ าย
บานเสนานคิ ม ตําบลอรุ ุเวลา ไดถวาย หมายถงึ หลกั ธรรมฝายปรมตั ถ ดงั เชน
ขาวปายาส (ในคัมภีรท้ังหลาย นิยม ขนั ธ ธาตุ อายตนะ และปจจยาการ
เรียกเต็มวา “มธุปายาส”) แกพระมหา (อิทปั ปจจยตา หรอื ปฏิจจสมปุ บาท) ท่ี
บรุ ุษในเวลาเชาของวนั ท่จี ะตรสั รู มบี ตุ ร แสดงแตตัวสภาวะใหเห็นความวางเปลา
ชื่อยส ซึ่งตอมาออกบวชเปนพระ ปราศจากสตั ว บุคคล เปนเพียงธรรม
อรหันต นางสชุ าดาไดเปนปฐมอบุ าสกิ า หรอื กระบวนธรรมลวนๆ 2. ความวาง
พรอมกบั ภรรยาเกาของยสะ และไดรบั จากกเิ ลส มรี าคะ โทสะ โมหะ เปนตน
ยกยองวาเปนเอตทัคคะ ในบรรดา ก็ดี สภาวะที่วางจากสงั ขารทั้งหลายกด็ ี
อุบาสกิ าผูถึงสรณะเปนปฐม; ดู ปายาส, หมายถงึ นพิ พาน 3. โลกตุ ตรมรรค ได
มธุปายาส, สูกรมทั ทวะ
ชื่อวาเปนสุญญตาดวยเหตุผล ๓
สุญญตวิโมกข ความหลุดพนโดยวาง ประการ คือ เพราะลุดวยปญญาท่ี
จาก ราคะ โทสะ โมหะ หมายถงึ มอง กาํ หนดพิจารณาความเปนอนัตตา มอง
เห็นความวาง หมดความยึดม่ัน คือ เห็นภาวะท่ีสังขารเปนสภาพวาง (จาก
พจิ ารณาเหน็ นามรปู โดยความเปนอนตั ตา ความเปนสตั ว บุคคล ตัวตน) เพราะวาง
พดู ส้นั ๆ วา หลดุ พนเพราะเหน็ อนัตตา จากกิเลสมีราคะเปนตน และเพราะมี
(ขอ ๑ ในวโิ มกข ๓) สุญญตา คอื นพิ พาน เปนอารมณ 4.
สุญญตสมาธิ สมาธิอันพิจารณาเห็น ความวาง ทเี่ กดิ จากกําหนดหมายในใจ
ความวาง ไดแก วปิ สสนาทใ่ี หถึงความ หรือทําใจเพื่อใหความวางน้ันเปน
หลดุ พนดวยกาํ หนดอนตั ตลักษณะ (ขอ อารมณของจิตในการเจริญสมาบัติ เชน
๑ ในสมาธิ ๓) ผู เ จ ริ ญ อ า กิ ญ จั ญ ญ า ย ต น ส ม า บั ติ
๔๙๘
สญุ ญาคาร ๔๙๙ สุทธันตปริวาส
กําหนดใจถึงภาวะวางเปลาไมมีอะไร พทุ ธเจาท่เี รยี กวานวงั คสตั ถศุ าสน หรือ
เลย; สญุ ตา ก็เขียน ปรยิ ัติ, สุตะเปนคุณสมบตั สิ ําคญั อยาง
สุญญาคาร “เรอื นวาง”, โดยนยั หมายถงึ หนึ่งของผูที่จะเจริญงอกงาม ไมวาจะ
สถานทส่ี งดั ปลอดคน ปลอดเสยี งรบ เปนคฤหสั ถหรอื บรรพชิต โดยเปนเหตุ
กวน, มีพุทธพจนตรัสบอยมากในขอ ปจจัยใหไดปญญา ทีเ่ ปนเบ้อื งตนหรือ
ความเปนชดุ วา “อร ฺ คโต วา รกุ ฺข เปนฐานของพรหมจริยะ และเปนเครอื่ ง
มลู คโต วา สุ ฺ าคารคโต วา” (เชน ท.ี ม. เจริญปญญาใหพัฒนาจนไพบูลย
๑๐/๒๗๔/๓๒๕) (…ไปสูปา กด็ ี ไปสโู คนไม บริบูรณ (ท.ี ปา.๑๑/๔๔๔/๓๑๖) พระพุทธเจา
กด็ ี ไปสสู ญุ ญาคาร ก็ดี…) ซึง่ ทานมกั จึงทรงสอนใหเปนผูมีสุตะมาก (เปน
อธิบายวา สุญญาคาร ไดแก เสนาสนะ พหูสตู หรือมีพาหุสัจจะ) และเปนผูเขา
(อนั สงดั ) ทง้ั ๗ ทน่ี อกจากปาและโคนไม ถึงโดยสุตะ (อง.ฺ จตุกกฺ .๒๑/๖/๙), (ขอ ๓
(เชน วินย.อ.๑/๔๙๘) ในอรยิ วฑั ฒิ ๕); เทียบ ปญญา, ดู พหูสตู ,
เสนาสนะอันสงดั ท่ีตรัสไวมี ๙ ดงั น้ี พาหสุ จั จะ
“อร ฺ รุกขฺ มลู ปพฺพต กนทฺ ร คิรคิ หุ สุตตนบิ าต ชมุ นุมพระสตู รชดุ พิเศษ ซึง่
สุสาน วนปตถฺ อพโฺ ภกาส ปลาลปุ ฺชํ” เปนคาถาลวน หรือมคี วามนาํ รอยแกว
(เชน ที.ปา.๑๑/๒๖/๕๑) (ปา โคนไม ภเู ขา ซอก บาง รวม ๗๑ สตู ร จัดเปนคมั ภีรที่ ๕
เขา ถํ้า ปาชา ปาชัฏ ทแ่ี จง ลอมฟาง) แหงขทุ ทกนกิ าย ในพระสตุ ตนั ตปฎก;
โดยนยั นี้ สุญญาคารจงึ ไดแกเสนาสนะ ดู ไตรปฎก (ในเลม ๒๕)
๗ ตอจากปาและโคนไม คือต้ังแตภูเขา สุตตันตปฎก ดู ไตรปฎก
ถงึ ลอมฟาง, พดู กวางๆ วา ทส่ี งดั จากผู สุตบท คาํ วา สุต, สุตา; ดู ปาติโมกขยอ
คน หรอื ทปี่ ลอดคน (เชน ม.อ.๑/๒๐๘) สตุ พุทธะ ผรู ูเพราะไดฟง, ผรู ูโดยสุตะ
สุตะ “สิ่งสดับ”, ส่งิ ท่ีไดฟงมา, ส่ิงท่ีไดยนิ หมายถงึ บคุ คลที่เปนพหสู ตู ; ดู พุทธะ
ไดฟง, ความรูจากการเลาเรียนหรือรับ สตุ มยปญญา ดู ปญญา ๓
ถายทอดจากผอู น่ื , ขอมลู ความรจู ากการ สทุ ธันตปริวาส ปริวาสทีภ่ กิ ษุผูตองการ
อานการฟงบอกเลาถายทอด; สําหรับผู จะออกจากอาบัติสังฆาทิเสสอยูไปจน
ศกึ ษาปฏบิ ตั ิ “สตุ ะ” หมายถึงความรทู ่ี กวาจะเห็นวาบริสุทธ์ิ หมายความวา
ไดเลาเรยี นสดบั ฟงธรรม ความรูในพระ ภิกษุตองอาบัติสังฆาทิเสสแลวปดไว
ธรรมวินัย ความรูคําสั่งสอนของพระ หลายคราวจนจําจํานวนอาบัติและ
๔๙๙
สุทธาวาส ๕๐๐ สธุ รรมสภา, สุธมั มาเทวสภา
จาํ นวนวันที่ปดไมได หรือจําไดแตบาง พระอัยกาของพระราหุล และเปนพระ
จํานวน ทานใหขอปริวาสประมวล พทุ ธบดิ า พระองคสวรรคตในปที่ ๕ แหง
จํานวนอาบัติและจํานวนวันท่ีปดเขา พุทธกิจ กอนสวรรคต พระพทุ ธเจาได
ดวยกัน แลวอยูใชไปจนกวาจะเห็นวา เสด็จไปแสดงธรรมโปรด ทรงบรรลุ
บรสิ ุทธ์ิ มี ๒ อยางคอื จูฬสทุ ธนั ต- อรหัตผล และไดปรินิพพาน ภายใต
ปริวาส และ มหาสุทธนั ตปริวาส
เศวตฉตั ร
สุทธาวาส ที่อยูของทานผูบริสุทธิ์ท่ีเกิด สธุ รรมภิกษุ ช่อื ภกิ ษุรูปหนงึ่ มคี วามมัก
ของพระอนาคามี ไดแก พรหม ๕ ชั้นที่ ใหญ ไดดาจิตตคฤหบดี และถกู สงฆ
สงู สุดในรปู าวจร คือ อวหิ า อตัปปา ลงปฏสิ ารณยี กรรม ใหไปขอขมาคฤหบดี
สทุ ัสสา สุทสั สี อกนฏิ ฐา นน้ั นบั เปนตนบญั ญตั ใิ นเรอื่ งนี้
สุทธิ ความบรสิ ทุ ธ,ิ์ ความสะอาดหมดจด สุธรรมสภา, สธุ ัมมาเทวสภา ช่ือเทว
มี ๒ คือ ๑. ปรยิ ายสุทธิ บริสทุ ธิโ์ ดย สภา คอื สภาเปนท่ีประชมุ ของเทวดา ใน
เอกเทศ (คอื เพยี งบางสวนบางแง) ๒. สวรรคช้ันดาวดึงส กวางยาวดานละ
นิปปริยายสุทธิ บริสุทธิ์โดยส้ินเชิง ๓๐๐ โยชน สงู ๕๐๐ โยชน (สธุ รรม
(ความบรสิ ุทธ์ิของพระอรหนั ต) เทวสภา หรือสธุ มั มาสภา ก็เรยี ก), เทพ
สุทธิกปาจิตติยะ อาบัติปาจิตตียลวน ชั้นจาตุมหาราชิกาอยูภายใตการบังคับ
คืออาบัติปาจิตตียท่ีไมตองใหเสียสละ บญั ชาของทาวสกั กะ (พระอินทร) ทาว
สิง่ ของ มี ๙๒ สกิ ขาบท ตามปกติเรียก มหาราช ๔ มหี นาทมี่ ารวมประชมุ ใน
กนั เพียงวา ปาจติ ติยะ หรอื ปาจิตตยี สุธัมมาสภาดวย เชน ทาวจาตุมหาราช
สทุ โธทนะ กษตั รยิ ศากยวงศซึง่ เปนราชา เที่ยวตรวจดูโลกเปนประจาํ โดยในวนั
ผคู รองแควนศากยะ หรอื สกั กชนบท ณ ๘ ค่าํ พวกเทพอาํ มาตยบรวิ ารไปเท่ยี ว
นครกบิลพัสดุ มีพระมเหสีพระนามวา ดูกอน แลวในวนั ๑๔ คาํ่ พวกโอรส
พระนางสริ มิ หามายา หรอื เรียกสั้นๆ ของทาวจาตุมหาราชก็ไปตรวจดู คร้ัน
วามายา เมอื่ พระนางมายาสวรรคตแลว ถึงวันอุโบสถ ๑๕ ค่าํ ทาวจาตุมหาราชก็
พระนางมหาปชาบดีโคตมีไดเปนพระ ไปตรวจดูโลกดวยตนเองวา ในหมู
มเหสตี อมา พระเจาสุทโธทนะเปนพระ มนุษยน้ี ผูท่ีเอาใจใสดูแลมารดาบิดา
ราชบุตรองคที่ ๑ ของพระเจาสีหหนุ เก้ือกูลแกสมณพราหมณ เคารพเห็น
เปนพระราชบดิ าของพระสทิ ธัตถะ เปน สําคัญตอผูหลักผูใหญในสกุลองคกร
๕๐๐
สุนทร ๕๐๑ สภุ ทั ทะ
อยูถืออุโบสถ ต่ืนตัว (ทําปฏิชาคร เปนพระบิดาของพระเทวทัตและพระ
อโุ บสถ) ทาํ บุญบาํ เพ็ญกรรมดี ยังมมี าก นางยโสธราพมิ พา
อยหู รอื ไม แลวไปรายงานแกเหลาเทพ สปุ ปารกะ ชอื่ เมอื งทาสําคญั ในชมพูทวีป
ชั้นดาวดึงส ซ่ึงมาประชุมกนั ในสุธัมมา ท่พี อคาเดินเรือไปคาขายทางทะเล มชี อ่ื
สภานี้เปนประจํา (องฺ.ติก.๒๐/๔๗๖/๑๘๐), ปรากฏต้ังแตในพระไตรปฎกเคียงขาง
(อรรถกถาบางแหงบอกวา สธุ มั มาสภา กับภารกุ จั ฉะ ตมั พปณณิ และสุวรรณ
มีในเทวโลกทุกชน้ั และในพรหมโลกก็มี ภมู ิ เปนตน (เชน ขุ.ม.๒๙/๒๕๔/๑๘๘,๘๑๐/๕๐๔)
ดวย, อป.อ.๑/๒๙๔); ดู ดาวดงึ ส อยหู างจากสาวัตถี ๑๒๐ โยชน (ธ.อ.๔/๙๕;
สนุ ทร ดี, งาม, ไพเราะ อ.ุ อ.๘๙; อป.อ.๒/๒๘๙) เปนถ่ินเกดิ ของพระ
สุนทรพจน คําพูดทีไ่ พเราะ, คําพดู ทดี่ ;ี มหาสาวกปณุ ณสนุ าปรนั ตะ พระพาหิย
คําพูดอันเปนพิธีการ, คํากลาวแสดง ทารุจีริยะก็เกิดท่ีนั่น และหลังจากเรือ
ความรูสึกที่ดีอยางเปนพิธีการในที่ แตกกไ็ ดขนึ้ ไปอาศยั อยู กอนมาพบพระ
ประชุม พุทธเจา, เรยี กเต็มวา สปุ ปารกปฏฏนะ
สนุ าปรันตะ ดู ปุณณสุนาปรันตะ อยูในสนุ าปรันตชนบท, ตําราสันนิษฐาน
สุเนตตะ นามของพระศาสดาองคหนึง่ ใน กันวาไดแกถน่ิ ช่ือ Sopara ทางทศิ เหนอื
อดตี มคี ณุ สมบตั คิ อื กาเมสุ วตี ราโค (มี ของเมืองบอมเบย (Bombay) ทบ่ี ดั น้ี
ราคะไปปราศแลวในกามท้ังหลาย) มี เรยี ก Mumbai; ดู ปุณณสุนาปรันตะ,
ศษิ ยจํานวนมาก ไดเจริญเมตตาจติ ถึง ภารุกัจฉะ, สุวรรณภมู ิ
๗ ป แตก็ไมอาจพนจากชาติ ชรามรณะ สพุ าหุ บตุ รเศรษฐีเมอื งพาราณสี เปน
เพราะไมรูอริยศีล อริยสมาธิ อริย- สหายของยสกุลบุตร ไดทราบขาว
ปญญา และอริยวมิ ตุ ติ ยสกุลบุตรออกบวช จึงไดบวชตาม
สปุ ฏปิ นฺโน (พระสงฆ) เปนผูปฏิบัตดิ ี พรอมดวยสหายอกี ๓ คน คอื วมิ ละ
คือ ปฏิบัติตามหลักมัชฌิมาปฏิปทา ปณุ ณชิ และควมั ปติ ไดเปนสาวกรนุ
ปฏิบตั ไิ มถอยหลงั ปฏบิ ตั สิ อดคลองกบั แรกท่ีพระพุทธเจาสงไปประกาศพระ
คําสอนของพระพุทธเจา ดํารงอยูใน ศาสนา
ธรรมวนิ ยั (ขอ ๑ ในสงั ฆคุณ ๙) สุภัททะ ปจฉมิ สกั ขสิ าวก (สาวกผูทนั
สุปปพุทธะ กษตั รยิ โกลยิ วงฆ เปนพระ เห็นองคสุดทาย) ของพระพุทธเจา
ราชบตุ รองคท่ี ๑ ของพระเจาอญั ชนะ เรยี กสั้นๆ วา ปจฉิมสาวก เดิมเปน
๕๐๑
สภุ ทั ทวุฒบรรพชติ ๕๐๒ สภุ ัททวฒุ บรรพชิต
พราหมณตระกูลใหญ ตอมาออกบวช สมณะ (คืออรยิ บุคคลทง้ั ๔) ก็หาไมได
เปนปรพิ าชก อยใู นเมอื งกสุ นิ ารา ในวนั ท่ี ในธรรมวนิ ยั นน้ั อริยมรรคมอี งค ๘ หา
พระพุทธเจาจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ไดในธรรมวินัยใด สมณะก็หาไดใน
สุภทั ทปริพาชกไดยนิ ขาวแลว คิดวาตน ธรรมวินัยนนั้ อรยิ มรรคมีองค ๘ หาได
มีขอสงสยั อยูอยางหน่ึง อยากจะขอให ในธรรมวินัยน้ี ลัทธิอื่นๆ วางจาก
พระพุทธเจาทรงแสดงธรรมเพื่อแกขอ สมณะ และตรัสสรุปวา ถาภิกษุท้ัง
สงสัยน้ันเสียกอนท่ีจะปรินิพพาน จึง หลายเปนอยูโดยชอบ โลกก็จะไมวาง
เดินทางไปยังสาลวัน ตรงไปหาพระ จากพระอรหันตทั้งหลาย เม่ือจบพระ
อานนท แจงความประสงคจะเขาเฝา ธรรมเทศนา สภุ ทั ทปรพิ าชกเลอ่ื มใส ทลู
พระบรมศาสดา พระอานนทไดหามไว ขอบรรพชาอปุ สมบท พระพทุ ธเจาตรสั
เพราะเกรงวาพระองคเหน็ดเหนื่อยอยู ส่ังพระอานนทใหบวชสุภัททะในสํานัก
แลว จะเปนการรบกวนใหทรงลําบาก ของพระองค โดยประทานพทุ ธานญุ าต
สุภัททปริพาชกก็คะย้ันคะยอจะขอเขา พิเศษใหยกเวนไมตองอยูติตถิยปริวาส
เฝาใหได พระอานนทกย็ ืนกรานหามอยู ทานสภุ ทั ทะบวชแลวไมนาน (อรรถกถา
ถงึ ๓ วาระ จนพระผมู พี ระภาคทรงได วาในวันนั้นเอง) ก็ไดบรรลุอรหัตตผล
ยินเสียงโตตอบกันน้ัน จึงตรัสส่ังพระ นบั เปนพทุ ธปจฉมิ สกั ขสิ าวก
อานนทวาสุภัททะมุงหาความรู มิใช สภุ ัททวฒุ บรรพชติ “พระสุภัททะผูบวช
ประสงคจะเบียดเบียนพระองค ขอให เมื่อแก” ซง่ึ เปนตนเหตุแหงการปรารภที่
ปลอยใหเขาเขาเฝาเถิด สุภทั ทปริพาชก จะสงั คายนาครั้งท่ี ๑ กอนบวช เปนชาง
เขาเฝาแลว ทลู ถามวา สมณพราหมณ ตดั ผมในเมอื งอาตมุ า มีบุตรชาย ๒ คน
เจาลทั ธิท่ีมีชอ่ื เสียงท้งั หลาย คือ เหลา ออกบวชแลวคราวหนึ่งไดขาววาพระ
ครูทง้ั ๖ น้นั ลวนไดตรัสรูจริงทงั้ หมด พุทธเจาพรอมดวยสงฆหมูใหญจะเสด็จ
ตามท่ีตนปฏิญญา หรือไดตรัสรูเพียง มายงั เมอื งอาตุมา จึงใหบตุ รท้งั สองเอา
บางสวน หรือไมมีใครตรัสรูจริงเลย เคร่ืองมือตัดผมออกไปเท่ียวขอตัดผม
พระพุทธเจาทรงหามเสียและตรัสวาจะ ตามบานเรือนทุกแหง แลกเอาเครื่อง
ทรงแสดงธรรม คอื หลักการหรือหลกั ปรุงยาคูมาไดมากมาย แลวบัญชาการ
ความจริงใหฟง แลวตรสั วา อรยิ มรรค ใหผูคนจัดเตรียมขาวยาคูไวเปนอันมาก
มีองค ๘ หาไมไดในธรรมวินัยใด เมือ่ พระพุทธเจาเสด็จมาถงึ กน็ ําเอาขาว
๕๐๒
สภุ าพ ๕๐๓ สุภตู ิ
ยาคูน้ันเขาไปถวาย พระพุทธเจาตรัส เกดิ ธรรมสงั เวช) ดาํ รวิ า พระพทุ ธเจา
ถาม ทรงทราบความวาพระสุภัททะได ปรนิ พิ พานเพยี ง ๗ วัน ก็ยังเกดิ เสีย้ น
ขาวนั้นมาอยางไรแลว ไมทรงรบั และ หนามขึ้นแลวในพระศาสนา หากตอไป
ทรงติเตียน แลวทรงบัญญัติสิกขาบท คนชวั่ ไดพวกพองมกี าํ ลงั เติบกลาข้ึน ก็
๒ ขอ คือ บรรพชติ ไมพึงซักชวนคนทํา จะทําพระศาสนาใหเส่ือมถอย ดังนั้น
ในสิ่งทเี่ ปนอกปั ปยะ และภิกษผุ ูเคยเปน หลังจากเสร็จงานถวายพระเพลิงพระ
ชางกัลบกไมพึงเก็บรักษาเครื่องตัดโกน พทุ ธสรีระแลว ทานจงึ ไดยกถอยคําของ
ผมไวประจาํ ตวั จากการทีไ่ ดถกู ติเตียน สภุ ัททวุฒบรรพชิต ซ่งึ เรยี กกันสัน้ ๆ วา
และเสียของเสียหนาเสียใจในเหตุการณ คํากลาวจวงจาบพระธรรมวินัยน้ีข้ึนเปน
คร้ังน้ัน พระสุภัททะก็ไดผูกอาฆาตไว ขอปรารภ ชักชวนพระเถระท้ังหลาย
ตอมา เม่ือพระพุทธเจาเสด็จดับขันธ- รวมกันทําสังคายนาคร้ังแรก; สุภัทท-
ปรนิ ิพพานแลวได ๗ วนั พระสภุ ทั ทะ วฑุ ฒบรรพชติ กเ็ ขยี น (คาํ บาลวี า สภุ ทโฺ ท
รวมอยูในคณะของพระมหากัสสปเถระ วฑุ ฒฺ ปพพฺ ชิโต)
ซ่ึงกําลังเดินทางจากเมืองปาวาสูเมือง สุภาพ เรียบรอย, ออนโยน, ละมุน
กุสินารา ระหวางทางน้นั คณะไดทราบ ละมอม
ขาวพุทธปรินิพพานจากอาชีวกผูหน่ึง สภุ าษิต ถอยคําท่ีกลาวดีแลว, คําพูดท่ี
ภกิ ษทุ ั้งหลายที่ยงั ไมสิ้นราคะ (คอื พระ ถอื เปนคตไิ ด
ปุถุชน โสดาบัน และสกทาคามี) พากัน สุภูติ พระมหาสาวกองคหน่ึงเปนบุตร
รองไหคร่ําครวญเปนอันมาก ในขณะ สมุ นเศรษฐี ในพระนครสาวัตถี ไดไป
นน้ั เอง พระสุภัททวฒุ บรรพชติ ก็รอง รวมงานฉลองวัดเชตวันของทานอนาถ-
หามขน้ึ วา “อยาเลย ทานผมู อี ายุ พวก บิณฑิกเศรษฐี ไดฟงพระธรรมเทศนา
ทานอยาเศราโศก อยารํ่าไหไปเลย พวก ของพระศาสดา มีความเลอื่ มใสบวชใน
เราพนดีแลว พระมหาสมณะน้ันคอย พระพุทธศาสนา ตอมาเจริญวิปสสนา
เบียดเบียนพวกเราวา สิ่งน้ีควรแกเธอ ทําเมตตาฌานใหเปนบาท ไดสาํ เรจ็ พระ
สง่ิ นไี้ มควรแกเธอ บดั นพ้ี วกเราปรารถนา อรหัต พระศาสดาทรงยกยองวาเปน
ส่งิ ใด ก็จักกระทําสงิ่ นัน้ ไมปรารถนาสง่ิ เอตทคั คะ ๒ ทาง คอื ในทางอรณวิหาร
ใด กจ็ กั ไมกระทาํ สง่ิ นนั้ ” พระมหากสั สป- (เจริญฌานประกอบดวยเมตตา) และ
เถระไดฟงแลว (อรรถกถากลาววา ทาน เปนทักขไิ ณยบคุ คล
๕๐๓
สมุ นะ ๕๐๔ สุวรรณภูมิ
สุมนะ ช่อื พระเถระองคหนึ่งในการกสงฆ เมา เปนตน เปนวรรคท่ี ๖ ในปาจติ ตยิ -
ผทู าํ สังคายนาครัง้ ท่ี ๒ กณั ฑ
สุมังคลวิลาสินี ช่ือคัมภีรอรรถกถา สุรามฤต นํ้าที่ทําผูด่ืมใหไมตายของ
อธิบายความในทีฆนิกาย แหงพระ เทวดา, นํ้าอมฤตของเทวดา
สุตตันตปฎก พระพุทธโฆสาจารยเรยี บ สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี
เรียงขึ้น โดยอาศัยอรรถกถาเกาภาษา เวนจากนํ้าเมา คือสรุ าและเมรยั อันเปน
สงิ หฬทส่ี บื มาแตเดมิ เปนหลกั เมอ่ื พ.ศ. ท่ีตั้งแหงความประมาท (ขอที่ ๕ ในศีล
ใกลจะถึง ๑๐๐๐; ดู โปราณัฏฐกถา, ๕ ศลี ๘ และศลี ๑๐)
อรรถกถา สุริยคติ การนับวันโดยถือเอาการเดิน
สเุ มรุ ช่ือหน่งึ ของภเู ขาเมร;ุ ดู เมรุ
ของพระอาทิตยเปนหลัก เชนวนั ที่ ๑,
สุรนาทโวหาร ถอยคําที่ฮึกหาว, คํา ๒, ๓ เดือนเมษายน เปนตน
สรุ ิยุปราคา การจับอาทติ ย คอื เงาดวง
กลาวหาวหาญ
สุรสิงหนาท การเปลงเสียงพูดอยาง จันทรบังดวงอาทติ ย
องอาจกลาหาญ หรือพระดํารัสท่เี ราใจ สุวรรณภูมิ “แผนดนิ ทอง”, “แหลมทอง”,
ปลุกใหตื่นฟนสติข้ึน เหมือนดั่งเสียง ดินแดนที่พระเจาอโศกมหาราชทรง
บันลือของราชสีห เชนท่ีพระพุทธเจา อปุ ถมั ภการสงพระโสณะและพระอตุ ตระ
ตรัสวา “กจิ อยางใด อนั พระศาสดาผู หัวหนาพระศาสนทูตสายที่ ๘ (ใน ๙
เอ็นดู แสวงประโยชน เพื่อสาวกทั้ง สาย) ไปประกาศพระศาสนา ปราชญ
หลายจะพึงทํา กิจนั้นอันเราทําแลวแก สันนิษฐานวาไดแกดินแดนบริเวณ
พวกเธอทกุ อยาง” จังหวัดนครปฐม (พมาวาไดแกเมือง
สุรเสนะ ช่ือแควนหนึ่งในบรรดา ๑๖ สะเทมิ หรอื สธุ รรมนครในประเทศพมา),
แควนใหญแหงชมพทู วีป ตงั้ อยูทางใต สุวรรณภูมิปรากฏในรายช่ือดินแดน
ของแควนกรุ ุ ระหวางแมน้ําสินธุกับแม ตางๆ ในคัมภีรมหานิทเทส แหงพระ
นํ้ายมุนาตอนลาง นครหลวงชื่อมธุรา สุตตันตปฎก เคียงขางกับเมืองทา
แตปจจบุ นั เรยี กมถุรา (Mathura) สําคญั ๆ ของชมพูทวีป เชน สปุ ปารกะ
สุรา เหลา, นาํ้ เมาท่กี ล่นั แลว และภารุกัจฉะ แลวก็มีชวา จนมาถึง
สรุ าบาน การดม่ื เหลา, น้ําเหลา สุวรรณภูมิ ตอดวยตัมพปณณิ (ชว
สุราปานวรรค ตอนท่วี าดวยเรื่องดม่ื น้ํา คจฉฺ ติ … สวุ ณณฺ ภมู ึ คจฉฺ ติ ตมพฺ ปณณฺ ึ
๕๐๔
สู ๕๐๕ สูปะ
คจฉฺ ต,ิ ข.ุ ม.๒๙/๒๕๔/๑๘๘, ๘๑๐/๕๐๔) บาง สุกรออน แตอรรถกถาแปลตางเปน
ชื่อจะตรงกับดินแดนท่ีเขาใจกัน หรือ หลายนัย อรรถกถาแหงหน่ึงใหความ
เปนชื่อพอง หรือตั้งตามกัน ไมอาจ หมายไวถงึ ๔ อยาง (อ.ุ อ.๔๒๗) วา ๑.
วนิ จิ ฉัยใหเด็ดขาดได; ในช้ันอรรถกถา มหาอัฏฐกถาซึ่งเปนอรรถกถาโบราณ
มีเรื่องราวเกี่ยวกับคนลงเรือเดินทะเล บอกไววาเปนเนื้อหมู ทนี่ ุมรสสนทิ ๒.
จากชมพูทวีป ท่ีเมืองสุปปารกะ (ฝง อาจารยบางพวกวาเปนหนอไม ท่ีหมู
ทะเลดานตะวันตก) บาง ท่ตี ามลิตติ ชอบไปดุดย่าํ ๓. อาจารยอีกพวกหนึ่ง
(ฝงทะเลดานตะวันออก) บาง ไปยัง วาเปนเหด็ ซึง่ เกดิ ในบริเวณที่หมูดดุ ยา่ํ
สวุ รรณภมู ;ิ ดู ตัมพปณณ,ิ ภารกุ จั ฉะ, และ ๔. ยังมอี าจารยพวกอืน่ อีกวาเปน
สปุ ปารกะ, ตามลติ ติ ยาอายุวฒั นะขนานหนงึ่ สวนอรรถกถา
สู ทาน อีกแหงหน่ึง (ที.อ.๒/๑๗๒) บอกความ
สูกรมัททวะ ชื่ออาหารซึ่งนายจุนทะ หมายไว ๓ นยั วา เปนเนื้อหมูตัวเอกทไ่ี ม
กมั มารบตุ ร แหงเมอื งปาวา ถวายแด ออนไมแกเกินไป บางวาเปนขาวท่ีนุม
พระพุทธเจา ในวันเสด็จดับขันธ- นวลกลมกลอม ซ่ึงมีวิธีปรุงโดยใช
ปรนิ พิ พาน เปนบณิ ฑบาตมอ้ื สุดทายท่ี เบญจโครส (ผลผลติ จากนํา้ นมโค ๕
พระพุทธเจาเสวยกอนจะเสด็จดับขันธ- อยาง คอื นมสด นมเปรยี้ ว เปรยี ง เนย
ปรินิพพาน ซึ่งพระพุทธเจาตรัสวาเปน ใส เนยขน) บางวาเปนยาอายุวฒั นะ; ดู
บิณฑบาตที่มีผลเสมอกับบิณฑบาตที่ พทุ ธปรนิ พิ พาน
พระองคเสวยแลวไดตรสั รูสมั มาสมั โพธิ สูญ วางเปลา, หายสน้ิ ไป; ในทางธรรม
ญาณ และบณิ ฑบาต ๒ ครัง้ น้ีมีผลมี “สญู ” มีความหมายหลายแงหลายระดับ
อานิสงสมากย่ิงกวาบิณฑบาตครั้งอ่ืนใด พึงศกึ ษาในคาํ วา สญุ ญตา, และพงึ แยก
ทั้งสิ้น (ที.ม.๑๐/๑๒๖/๑๕๘; บิณฑบาตที่ จากคาํ วา “ขาดสญู ” ซง่ึ หมายถงึ อจุ เฉทะ
เสวยในวนั ตรัสรู คอื ขาวมธปุ ายาสทีน่ าง ซง่ึ พงึ ศกึ ษาในคาํ วา อจุ เฉททฏิ ฐิ
สชุ าดาถวาย), หลังจากเสวยสกู รมัททวะ สูตร พระธรรมเทศนาหรือธรรมกถาเร่ือง
แลว พระพุทธเจาก็ประชวรหนัก และ หนึง่ ๆ ในพระสตุ ตนั ตปฎก แสดงเจือ
เม่ือเสด็จถึงเมืองกุสินาราแลว ก็เสด็จ ดวยบุคคลาธษิ ฐาน, ถาพูดวา “พระสตู ร”
ดบั ขันธปรนิ พิ พานในราตรนี ้นั มกั หมายถงึ พระสตุ ตนั ตปฎกทง้ั หมด
“สูกรมัททวะ” นี้ มกั แปลกันวาเนือ้ สปู ะ แกง; คูกับ พยัญชนะ 2.
๕๐๕
เสกขสมมต ๕๐๖ เสนาสนะ
เสกขสมมต ผูไดรับสมมติเปนเสขะ ตองศกึ ษา
หมายถึงครอบครัวที่สงฆประชุมตกลง เสขิยวัตร วัตรท่ีภิกษุจะตองศึกษา,
แตงต้ังใหเปนเสขะ ภิกษุใดไมเจ็บไข ธรรมเนียมเกี่ยวกับมารยาทที่ภิกษุพึง
และเขาไมไดนมิ นตไว ไปรับเอาอาหาร สําเหนยี กหรือพึงฝกฝนปฏิบตั ิ มี ๗๕
จากครอบครัวนั้นมาขบฉนั ตองอาบตั ิ สกิ ขาบท จาํ แนกเปน สารปู ๒๖, โภชน-
เปนปาฏเิ ทสนยี ะสิกขาบทท่ี ๓ ปฏิสังยุต ๓๐, ธัมมเทสนาปฏิสังยุต
เสกขสมมติ สังฆกรรมที่สงฆประกาศ ๑๖ และปกณิ กะคอื เบ็ดเตลด็ ๓, เปน
ความตกลงต้ังสกุลคือครอบครัวท่ียิ่ง หมวดท่ี ๗ แหงสกิ ขาบท ในบรรดา
ดวยศรทั ธาแตหยอนดวยโภคะ ใหเปน สกิ ขาบท ๒๒๗ ของพระภกิ ษุ ทานให
เสกขสมมต คอื ใหถอื วาเปนเสขะ เพ่อื มิ สามเณรถือปฏิบตั ดิ วย
ใหภิกษุรบกวนไปรบั อาหารมาฉนั นอก เสตกัณณิกคม นิคมท่ีก้ันอาณาเขต
จากไดรบั นมิ นตไวกอน หรืออาพาธ; ดูท่ี มัชฌมิ ชนบท ดานทิศใต
ปกาสนยี กรรม, อสมั มุขากรณยี เสโท, เสท นาํ้ เหง่อื , ไคล
เสขะ ผูยังตองศึกษา ไดแก พระ เสนา กองทัพ ในครัง้ โบราณหมายถึงพล
อรยิ บุคคลท่ียังไมบรรลุอรหตั ตผล โดย ชาง พลมา พลรถ พลเดนิ เทา เรยี กวา
พิสดารมี ๗ คือ ทานผูตั้งอยใู นโสดา- จตุรงคนิ ีเสนา (เสนามอี งค ๔ หรอื เสนา
ปตติมรรค ในโสดาปตติผล ใน สี่เหลา)
สกทาคามิมรรค ในสกทาคามผิ ล ใน เสนานิคม ช่ือหมูบานในตําบลอุรุเวลา
อนาคามิมรรค ในอนาคามผิ ล และใน นางสุชาดาผูถวายขาวปายาสแดพระ
อรหตั ตมรรค, พดู เอาแตระดบั เปน ๓ มหาบรุ ษุ ในวนั ทจี่ ะตรสั รู อยทู ห่ี มบู านนี้
คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระ เสนามาตย ขาราชการฝายทหารและพล
อนาคามี; คูกับ อเสขะ
เรอื น
เสขบุคคล บุคคลทีย่ งั ตองศึกษาอย;ู ดู เสนามาร กองทพั มาร, ทหารของพระยา
เสขะ มาร
เสขปฏิปทา ทางดําเนินของพระเสขะ, เสนาสนะ เสนะ “ท่นี อน” + อาสนะ “ท่ี
ขอปฏบิ ตั ขิ องพระเสขะ ไดแก จรณะ๑๕ นง่ั ” หมายเอาที่อยูอาศยั เชน กฏุ ิ วิหาร
เสขภูมิ ภมู ขิ องพระเสขะ, ระดับจิตใจ และเครื่องใชเกย่ี วกับสถานที่ เชน โตะ
และคุณธรรมของพระอริยบุคคลท่ียัง เกาอ้ี แมโคนไม เม่ือใชเปนทีอ่ ยอู าศยั
๕๐๖
เสนาสนะ ๕ ๕๐๗ เสละ
กเ็ รียกเสนาสนะ เครือ่ งอาศัยของชีวติ คือท่ีอยู เปนอยาง
เสนาสนะ ๕ ท่อี ยอู าศยั ๕ อยาง ทท่ี รง หน่ึงในปจจยั สี่
อนญุ าต คอื วิหาร (เรือนทีอ่ ย,ู กฎุ ี) เสนาสนปญญาปกะ ผแู ตงต้ังเสนาสนะ
อัฑฒโยค (เรือนมุงแถบเดยี ว) ปราสาท หมายถงึ ภกิ ษุผไู ดรับสมมติ คือ แตงต้ัง
(เรอื นชั้น) หมั มิยะ (เรอื นโลน) คุหา จากสงฆ ใหเปนผูมีหนาทจี่ ัดแจงแตงตัง้
(ถํ้า) จดั เปนอดิเรกลาภ (รุกขมลู คือ ดูแลความเรียบรอยแหงเสนาสนะ
โคนไม จึงเปนเสนาสนะ ใน นิสสัย ๔) สําหรับภิกษุทั้งหลายจะไดเขาพักอาศัย,
เสนาสนะ ๙ หมายถงึ เสนาสนะอนั สงดั เปนตําแหนงหนึ่งในบรรดา เจาอธิการ
(ววิ ติ ตเสนาสนะ) ๙ อยาง ทตี่ รัสไวดังน้ี แหงเสนาสนะ
“อร ฺ รกุ ขฺ มลู ปพฺพต กนทฺ ร คริ คิ ุห เสนาสนวัตร ธรรมเนียม หนาท่ี หรอื ขอ
สสุ าน วนปตถฺ อพโฺ ภกาส ปลาลปุ ชฺ ํ” ท่ภี ิกษุควรปฏิบัติเกย่ี วกับเสนาสนะ เชน
(เชน ท.ี ปา.๑๑/๒๖/๕๑) (ปา โคนไม ภเู ขา ซอก ไมทําเปรอะเปอน รกั ษาความสะอาด จัด
เขา ถํ้า ปาชา ปาชฏั ทแ่ี จง ลอมฟาง), วางของใหเปนระเบยี บเรยี บรอย ใชสอย
บอยครงั้ ตรสั เพยี ง ๓ คาํ คอื อรญั ระวังไมทําใหชํารุดและเก็บของใชไมให
รกุ ขมลู และสญุ ญาคาร ซึ่งอรรถกถาไข กระจดั กระจายสบั สนกบั ทอ่ี นื่ เปนตน
ความวา สญุ ญาคาร (เรือนวาง) หมาย เสนาสนะปา เสนาสนะอันอยูไกลจาก
ถงึ ๗ อยางตอจากปาและโคนไม คือต้ัง บานคนอยางนอย ๒๕ เสน
แตภเู ขา ถงึ ลอมฟาง; ดู สุญญาคาร เสพ บริโภค, ใชสอย, อยอู าศัย, คบหา
เสนาสนขนั ธกะ ชอื่ ขนั ธกะที่ ๖ แหงจุล เสพเมถนุ รวมประเวณ,ี รวมสงั วาส
วรรคในพระวินัยปฎก วาดวยเรื่อง เสมหะ เสลด, เมอื กท่อี อกจากลําคอหรอื
เสนาสนะ ลําไส
เสนาสนคาหาปกะ ผูใหถือเสนาสนะ เสมหฺ สมฏุ านา อาพาธา ความเจ็บไข
หมายถึงภกิ ษุผูไดรบั สมมติ คอื แตงต้งั มีเสมหะเปนสมฏุ ฐาน; ดู อาพาธ
จากสงฆ ใหเปนผูทําหนาที่จัดแจก เสละ พระมหาสาวกองคหน่ึง เกิดใน
เสนาสนะของสงฆ วาจะใหภิกษุรูปใด ตระกลู พราหมณ ในองั คุตตราปะ เรียน
เขาอยูที่ไหน, เปนตาํ แหนงหนง่ึ ในบรรดา จบไตรเพท เปนคณาจารยสอนศิษย
เจาอธิการแหงเสนาสนะ ๓๐๐ คน ไดพบพระพุทธเจาทีอ่ าปณ-
เสนาสนปจจัย ปจจัยคือเสนาสนะ, นคิ ม เห็นวาพระองคสมบูรณดวยมหา-
๕๐๗
แสโทษ ๕๐๘ แสดงอาบัติ
ปุริสลักษณะครบถวนและไดทูลถาม ผแู สดง: อาม อาวุโส ปสฺสาม.ิ (ครับ ผมเห็น)
ปญหาตางๆ เมื่อฟงพระดํารสั ตอบแลว ผรู บั : อายตึ ภนฺเต สวํ เรยยฺ าถ. (ทานพงึ
มคี วามเล่อื มใส ขอบวช ตอมาไมชาก็ได
บรรลุพระอรหตั สาํ รวมตอไป เถดิ ครบั )
แสโทษ หาความผดิ ใส, หาเร่ืองให
แสดงอาบัติ แสดงอาบัติของตนเพื่อให [คําวา “อิตถฺ นนฺ าม” พึงเปลยี่ นไป
พนจากอาบัตินนั้ , เปลอ้ื งตนจากอาบตั ิ ตามช่ืออาบตั ิท่ีตอง เชนเปน “ปาจติ ฺตยิ ํ”
ดวยการเปดเผยอาบัติของตนแกสงฆ “ทุกฺกฏํ” เปนตน และเปลีย่ นใช “อาวุโส”
หรอื แกภกิ ษอุ ืน่ , ใชสําหรบั อาบัติทแี่ สดง “ภนเฺ ต” ไปตามที่เปนผแู กหรือออน]
แลวพนได คอื ถลุ ลจั จยั ปาจติ ตยี ปาฏิ-
เทสนยี ะ ทกุ กฏ และทุพภาสติ ใ น ก ร ณี ที่ ยั ง ส ง สั ย ว า ต น ไ ด ต อ ง
อาบตั ิ กพ็ งึ ปฏิบตั คิ ลายอยางนีด้ วย แต
ในอโุ บสถขนั ธกะ (วินย.๔/๑๘๖/๒๔๕) มี ผแู สดงกลาวฝายเดียว ดังน้ี
วิธแี สดงอาบตั ิท่ีตรัสสอนไว ตามเรอ่ื งวา ผแู สดง: อห อาวโุ ส อิตถฺ นฺนามาย อาปตฺตยิ า
ภิกษุรูปหน่ึงตองอาบัติในวันอุโบสถ
เธอคดิ วา พระผมู พี ระภาคทรงบัญญัติ เวมตโิ ก, ยทา นพิ เฺ พมติโก ภวสิ ฺสาม,ิ
ไววา ภิกษุมีอาบัติติดตัว ไมพึงทํา ตทา ต อาปตฺตึ ปฏกิ ริสฺสามิ. (แนะเธอ
อโุ บสถ เราตองอาบตั แิ ลว จะพึงปฏิบตั ิ ผมมีความสงสยั ในอาบตั ชิ ่ือนี้ จกั หมด
อยางไร จงึ บอกเรื่องน้นั แกภกิ ษุทั้งหลาย สงสยั เมื่อใด จักทาํ คนื อาบัตนิ นั้ เม่อื น้ัน)
ซ่ึงไดกราบทลู แดพระผูมีพระภาค พระ เมอ่ื ปฏิบัตอิ ยางนแี้ ลว กท็ ําอุโบสถได
องครับสงั่ วา ภกิ ษนุ นั้ พึงเขาไปหาภิกษุ
รูปหนงึ่ หมผาอุตราสงคเฉวยี งบา นง่ั อยางไรกด็ ี ตามท่ีปฏิบตั ิกันมากใน
กระโหยง ประคองอญั ชลี แลวกลาววา… บัดน้ี แสดงอาบัตติ ามแบบ ดังน้ี
ก) ผูแสดงมีพรรษาออนกวา
ถอยคาํ ตามพระบาลีนี้ เม่ือนาํ มาใช
มีการเติมคําอาลปนะเขาไปใหครบ ดังนี้ ผูแสดง: สพฺพา ตา อาปตฺตโิ ย อาโรเจมิ. (3 หน)
ผูแสดง: อห อาวุโส อิตฺถนนฺ าม อาปตตฺ ึ สพฺพา ครลุ หกุ า อาปตฺตโิ ย อาโรเจมิ. (3 หน)
อหํ ภนเฺ ต สมฺพหลุ า นานาวตฺถกุ าโย
อาปนโฺ น ต ปฏิเทเสมิ. (แนะเธอ ผม อาปตฺตโิ ย อาปชฺชึ ตา ตมุ หฺ มูเล
ปฏิเทเสม.ิ
ตองอาบตั ชิ ื่อนี้ ผมแสดงอาบตั ิน้ัน)
ผูรับ: ปสฺสสิ อาวุโส ตา อาปตตฺ ิโย.
ผูรบั : ปสสฺ ถ ภนเฺ ต? (ทานมองเหน็ หรอื ครบั ) ผูแสดง: อุกาส อาม ภนเฺ ต ปสสฺ ามิ.
ผูรบั : อายตึ อาวุโส สํวเรยฺยาสิ.
ผแู สดง: สาธุ สฏุ ุ ภนเฺ ต สํวรสิ ฺสาม.ิ
ทุตยิ ฺมป สาธุ สุฏ ุ ภนฺเต สํวริสฺสามิ.
๕๐๘
แสนยากร ๕๐๙ โสณโกฬวิ ิสะ
ตติยมปฺ สาธุ สฏุ ุ ภนเฺ ต สวํ รสิ ฺสาม.ิ อุตตรเถระ) ที่พระโมคคัลลีบุตรติสส-
น ปุเนวํ กรสิ ฺสามิ. เถระ สงเปนพระศาสนทูตมาประกาศ
น ปเุ นวํ ภาสิสสฺ ามิ. พระศาสนา ในดินแดนสวุ รรณภูมิ เมื่อ
น ปุเนวํ จนิ ตฺ ยสิ ฺสาม.ิ เสร็จส้ินการสังคายนาครั้งที่ ๓
ข) ผูแสดงมพี รรษาแกกวา (ประมาณ พ.ศ. ๒๓๔) นับเปนสายหนึ่ง
ผูแสดง: สพฺพา ตา อาปตฺติโย อาโรเจมิ. (3 หน) ในพระศาสนทตู ๙ สาย
สพฺพา ครุลหกุ า อาปตตฺ ิโย อาโรเจม.ิ (3 หน) โสณกุฏิกัณณะ พระมหาสาวกองคหนง่ึ
อหํ อาวโุ ส สมพฺ หุลา นานาวตฺถุกาโย เปนบุตรของอบุ าสกิ า ช่ือ กาฬี ซงึ่ เปน
อาปตฺติโย อาปชฺชึ ตา ตมุ หฺ มเู ล
พระโสดาบัน เกิดท่บี านเดิมของมารดา
ปฏเิ ทเสมิ.
ผูรับ: อุกาส ปสฺสถ ภนเฺ ต ตา อาปตฺตโิ ย. ในเมืองราชคฤหแลวกลับไปอยูใน
ผแู สดง: อาม อาวุโส ปสสฺ าม.ิ ตระกูลบิดาท่ีแควนอวันตีทักขิณาบถ
ผรู บั : อายตึ ภนฺเต สํวเรยยฺ าถ. พระมหากัจจายนะใหบรรพชาเปน
ผูแสดง: สาธุ สุฏ ุ อาวุโส สํวรสิ สฺ าม.ิ สามเณรแลวรอตอมาอกี ๓ ป เมอื่ ทาน
ทตุ ยิ ฺมป สาธุ สุฏ ุ อาวโุ ส สํวรสิ สฺ ามิ. หาภกิ ษุได ๑๐ รูปแลว จึงใหอปุ สมบท
ตตยิ มปฺ สาธุ สุฏ ุ อาวโุ ส สํวรสิ สฺ ามิ. เปนภิกษุ บวชแลวไมนานก็สาํ เร็จพระ
น ปเุ นวํ กรสิ ฺสาม.ิ อรหตั ตอมา ทานไดเดนิ ทางมาเฝาพระ
น ปุเนวํ ภาสสิ ฺสามิ. ศาสดาทเ่ี มอื งสาวัตถีพรอมท้งั นาํ ความท่ี
น ปเุ นวํ จนิ ฺตยิสฺสามิ. พระอุปชฌายส่ังมากราบทูลขอพระ
แสนยากร หมูทหาร, กองทพั พทุ ธานุญาตดวยรวม ๕ ขอ ทําใหเกดิ มี
โสกะ ความโศก, ความเศรา, ความมีใจ พระพุทธานุญาตพิเศษสําหรับปจจันต-
หมนไหม, ความแหงใจ, ความรูสึก ชนบท เชน ใหสงฆมภี กิ ษุ ๕ รูปให
หมองไหมใจแหงผาก เพราะประสบ อุปสมบทได ใหใชรองเทาหนาหลายช้นั
ความพลัดพรากหรือสูญเสียอยางใด ได ใหอาบนาํ้ ไดตลอดทุกเวลา เปนตน
อยางหนึง่ (บาลี: โสก; สนั สกฤต: โศก) ทานแสดงธรรมมีถอยคํางดงามไพเราะ
โสกาดรู เดอื ดรอนดวยความโศก, รองไห ชดั เจน จงึ ไดรบั ยกยองจากพระศาสดา
วาเปนเอตทคั คะ ในทางกลาวกลั ยาณพจน
สะอกึ สะอืน้ พระเถระรูปหน่ึงใน โสณโกฬิวิสะ พระมหาสาวกองคหน่ึง
โสณะ, โสณกะ
จํานวน ๒ รปู (อกี รปู หนึง่ คือ พระ เดมิ เปนกลุ บตุ รชอื่ โสณะ ตระกลู โกฬวิ สิ ะ
๕๐๙
โสณทัณฑพราหมณ ๕๑๐ โสดาบนั
เปนบุตรของอุสภเศรษฐี แหงวรรณะ แตงงาน มบี ตุ รชาย ๑๐ คน ซ่ึงลวนมี
แพศย ในเมืองกาฬจัมปากะ แควน รปู รางงามสงา ตอมา สามพี รอมทงั้ บตุ ร
อังคะ โสณกุลบุตรมีลักษณะพิเศษใน ท้ังสิบนั้นออกบวช ตัวทานชราลงแลว
รางกาย คอื มฝี ามือฝาเทาออนนุม และ เหน็ วาไมควรอยเู ดียวดาย จึงออกบวช
มีขนออนข้ึนภายใน อีกทั้งมีความเปน เปนภิกษณุ ี มคี วามเพียรแรงกลา เจริญ
อยูอยางดี ไดรับการบํารุงบําเรอทุก วปิ สสนา ไดบรรลุพระอรหตั ไดรบั ยก
ประการ อยใู นปราสาท ๓ ฤดู จงึ ได ยองวาเปนเอตทคั คะในทางปรารภความ
สมญาวาเปน สุขมุ าลโสณะ ตอมาพระ เพยี ร; อยางไรก็ดี ประวตั ินี้ เลาตาม
เจาพิมพิสารทรงสดับกิตติศัพท จึงรับ เร่ืองในคมั ภรี อปทาน (ในเถรคี าถา ก็
สั่งใหโสณะเดินทางไปเฝาและใหแสดง เลาไวคลายกัน แมจะส้นั กวามาก) แต
ขนท่ีฝามือฝาเทาใหทอดพระเนตร ในอรรถกถาแหงเอกนิบาต อังคุตตร-
คราวน้ันโสณะมีโอกาสไดไปเฝาพระ นกิ าย ทานเลาเรอื่ งตางออกไปวา กอน
พทุ ธเจา ไดสดบั พระธรรมเทศนา เกิด บวช พระโสณามบี ตุ รและธิดามาก เมื่อ
ความเลื่อมใสขอบวช ทานทําความ บุตรธิดามีครอบครัวแยกออกไปแลว
เพียรอยางแรงกลาจนเทาแตกและเริ่ม ตอมา มีอาการแสดงออกที่ขาดความ
ทอแทใจ พระพุทธเจาจึงทรงประทาน เคารพตอทาน ทาํ ใหทานไมเหน็ ประโยชน
โอวาทดวยขออุปมาเรื่องพิณสามสาย ที่จะอยูครองเรือนตอไป จึงออกบวช
ทานปฏิบัติตาม ไมชาก็ไดสําเร็จพระ และเปนที่เรียกขานกันวา “พระโสณา
อรหัต พระศาสดาทรงยกยองวาเปน เถรผี ูมีลกู มาก” จนกระทั่งตอมา ทาน
เอตทคั คะในทางปรารภความเพยี ร บําเพ็ญเพียรและไดบรรลุอรหัตตผล
โสณทณั ฑพราหมณ พราหมณช่ือโสณ- แลว จึงเปนท่ีรูจักกันในนามใหมวา
ทัณฑะ เปนผูที่พระเจาพิมพิสารให “พระโสณาเถรผี เู พียรมุงมัน่ ”
ปกครองนครจมั ปา โสดาบัน ผูถึงกระแสที่จะนําไปสูพระ
โสณทณั ฑสตู ร สูตรที่ ๔ ในคมั ภรี ทีฆ- นิพพาน, พระอรยิ บุคคลผูไดบรรลุโสดา
นกิ าย สีลขันธวรรค พระสุตตันตปฎก ปตตผิ ล มี ๓ ประเภทคอื ๑. เอกพชี ี
เกดิ อกี คร้งั เดียว ๒. โกลงั โกละ เกดิ อกี
ทรงแสดงแกโสณทณั ฑพราหมณ
โสณา พระมหาสาวกิ าองคหน่ึง เปนธิดา ๒–๓ ครงั้ ๓. สตั ตกั ขตั ตปุ รมะ เกิดอกี
ของผูมีตระกูลในพระนครสาวัตถี ได ๗ ครัง้ เปนอยางมาก
๕๑๐
โสดาปตติผล ๕๑๑ โสภิตะ
โสดาปตติผล ผลคือการถึงกระแสสู โสภณเจตสิก เจตสิกฝายดีงาม มี ๒๕
นพิ พาน, ผลทไ่ี ดรับจากการละสกั กาย- แบงเปน ก. โสภณสาธารณเจตสิก
ทิฏฐิ วิจิกิจฉา สลี ัพพตปรามาส ดวย (เจตสิกที่เกิดท่ัวไปกับจิตดีงามทุกดวง)
โสดาปตติมรรค ทําใหไดเปนพระ ๑๙ คือ ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ
อโลภะ อโทสะ ตตั รมัชฌัตตตา (ความ
โสดาบัน เปนกลางในอารมณนน้ั ๆ=อเุ บกขา) กาย-
ปสสทั ธิ ความคลายสงบแหงกองเจตสกิ )
โสดาปตติมรรค ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุ จติ ตปสสทั ธิ (แหงจติ ) กายลหตุ า (ความ
ผล คอื ความเปนพระโสดาบัน, ญาณ เบาแหงกองเจตสิก) จิตตลหตุ า(แหงจิต)
คอื ความรูเปนเหตลุ ะสังโยชนได ๓ คือ กายมทุ ตุ า (ความนมุ นวลแหงกองเจตสกิ )
สักกายทฏิ ฐิ วิจกิ จิ ฉา สีลัพพตปรามาส จิตตมทุ ตุ า (แหงจติ ) กายกมั มญั ญตา
โสต ห,ู ชองหู (ความควรแกงานแหงกองเจตสกิ ) จติ ต-
โสตถยิ ะ ช่อื คนหาบหญาท่ถี วายหญาแด กมั มญั ญตา (แหงจติ ) กายปาคญุ ญตา
พระมหาบุรุษในวันท่ีจะตรัสรู พระองค (ความคลองแคลวแหงกองเจตสกิ ) จติ ต-
รับหญาจากโสตถิยะแลวนําไปลาดตาง ปาคุญญตา (แหงจิต) กายชุ กุ ตา (ความ
บัลลังก ณ ควงตนพระศรีมหาโพธิ์ ซอ่ื ตรงแหงกองเจตสกิ ) จติ ตชุ กุ ตา (แหง
ดานทิศตะวันออก แลวประทับนั่งขัด
สมาธิผินพระพักตรไปทางทิศตะวนั ออก
จนกระทัง่ ตรัสรู จติ ) ข. วรี ตเี จตสกิ (เจตสกิ ทเี่ ปนตวั งด
โสตถวิ ดี ช่ือนครหลวงของแควนเจตี เวน) ๓ คอื สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ
โสตวิญญาณ ความรูท่ีเกิดขึ้นเพราะ สัมมาอาชีวะ ค. อัปปมัญญาเจตสิก
(เจตสิกคอื อปั ปมัญญา) ๒ คือ กรณุ า
เสียงกระทบหู, เสียงกระทบหู เกิด มทุ ติ า (อกี ๒ ซ้ํากบั อโทสะ และตัตร-
ความรขู ้ึน, การไดยิน (ขอ ๒ ใน
วญิ ญาณ ๖) มัชฌัตตตา) ง. ปญญินทรียเจตสิก ๑
โสตสัมผสั อาการที่หู
เสยี ง และโสต- คือ ปญญินทรีย หรอื อโมหะ เกิดใน
โสภติ ะ พระมหาสาวกองคหน่งึ
วญิ ญาณประจวบกนั เกิดการไดยิน
โสตสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดข้ึน ตระกูลพราหมณ ในพระนครสาวัตถี
ไดฟงพระธรรมเทศนาของพระศาสดา
เพราะโสตสัมผัส, ความรูสึกท่ีเกิดข้ึน
มคี วามเลอื่ มใส ขอบวช ไมชากบ็ รรลพุ ระ
เพราะการท่ีหู เสียง และโสตวิญญาณ
อรหัต ไดรับยกยองวาเปนเอตทัคคะใน
กระทบกัน ทางปพุ เพนวิ าสานสุ สตญิ าณ
๕๑๑
โสมนสั ๕๑๒ ไสยาสน
โสมนสั ความดีใจ, ความสขุ ใจ, ความ โสโส โรคมองครอ (มเี สมหะแหงอยูใน
ปลาบปลม้ื ; ดู เวทนา
ลาํ หลอดปอด)
โสรัจจะ ความเสงยี่ ม, ความมอี ัธยาศยั โสฬสญาณ ญาณ ๑๖ (เปนศพั ทที่ผูก
งาม รักความประณีตหมดจดและสงบ ข้ึนภายหลัง); ดู ญาณ ๑๖
เรยี บรอย (ขอ ๒ ในธรรมทําใหงาม ๒) ไสยา การนอน (บาล:ี เสยยฺ า)
โสวจสั สตา ความเปนบคุ คลทพี่ ดู ดวยงาย, ไสยาวสาน การนอนครง้ั สุดทาย, การ
ความเปนผวู างายสอนงาย รจู กั รบั ฟงเหตุ นอนครงั้ ทสี่ ดุ
ผล (ขอ ๔ ในนาถกรณธรรม ๑๐) ไสยาสน นอน (เปนคําเพ้ยี น ถาเขยี น
โสสานิกงั คะ องคแหงผูถืออยปู าชา คอื เปนคาํ บาลี กเ็ ปน “เสยฺยาสน” ซง่ึ แปล
อยูแรมคืนในปาชาเปนประจํา, คํา วา การนอนและทีน่ ่งั แตไมมีที่ใช คาํ ที่
สมาทานวา “อสุสานํ ปฏกิ ขฺ ปิ ามิ, ใชจรงิ คือ “เสนาสน” ซึ่งแปลวา ทน่ี อน
โสสานิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา และทีน่ ่งั , ตามปกติ เม่อื จะวานอน ก็ใช
“ขาพเจางดที่มิใชปาชา สมาทานองค เพยี งวา “ไสยา” ซ่งึ มาจาก “เสยยฺ า”)
แหงผ—ู ” (ขอ ๑๑ ใน ธุดงค ๑๓)
๕๑๒
ห
หงสบาท “เทาหงส” หมายถงึ สคี ลายเทา ๕. เพือ่ ความไมสันโดษ ๖. เพอ่ื ความ
หงส คือ แดงปนเหลอื ง หรือแดงเรอ่ื , คลกุ คลใี นหมู ๗. เพือ่ ความเกียจคราน
บางที ทานอธิบายวา สีเหมือนดอกเซง ๘. เพื่อความเลย้ี งยาก, ธรรมเหลาน้ี
หรอื หงอนไก; ดู ฉัพพรรณรังสี พงึ รูวาไมใชธรรม ไมใชวินัย ไมใชสตั ถุ
หงายบาตร การระงับโทษอุบาสกซงึ่ เคย ศาสน; ข. ธรรมเหลาใดเปนไป ๑. เพื่อ
ปรารถนารายตอพระรัตนตรัย สงฆ ความคลายหายตดิ ๒. เพื่อความไม
ประกาศควํ่าบาตรไวมิใหภิกษุท้ังหลาย ประกอบทกุ ข ๓. เพอื่ ความไมพอกพูน
คบหาดวย ตอมาอบุ าสกนั้นรสู กึ โทษตน กิเลส ๔. เพอ่ื ความมักนอย ๕. เพ่อื
กลับประพฤติดี สงฆจึงประกาศระงับ ความสันโดษ ๖. เพอื่ ความสงดั ๗.
โทษนนั้ ใหภกิ ษทุ ง้ั หลายคบกบั เขาไดอกี เพ่ือการประกอบความเพยี ร ๘. เพอื่
เชนรบั บณิ ฑบาต รบั นมิ นต รบั ไทยธรรม ความเลี้ยงงาย, ธรรมเหลาน้ีพึงรูวา
ของเขาได เปนตน การทส่ี งฆประกาศ เปนธรรม เปนวนิ ัย เปนสตั ถศุ าสน
ระงบั การลงโทษนน้ั เรยี กวา หงายบาตร, หลิททวสนนิคม นคิ มหนง่ึ อยใู นโกลยิ -
คาํ เดิมตามบาลวี า “ปตตอุกกุชชนา” ดทู ่ี ชนบท
ปกาสนยี กรรม, อสมั มุขากรณยี ; คูกบั หัตถ, หัตถะ 1. มือ 2. ในมาตราวดั คอื
ควํา่ บาตร
๑ ศอก
หทัย หัวใจ หัตถกรรม การทาํ ดวยฝมือ, การชาง
หน ทิศ เชน หนบูร (ทิศตะวันออก) หัตถกะอาฬวกะ อริยสาวกสําคัญทาน
หฤทยั หัวใจ
หนง่ึ ในฝายอุบาสก เปนอนาคามี ถือกนั
หลักกําหนดธรรมวินัย หลักตัดสิน วาเปนอคั รอบุ าสก เนื่องจากเปนผูทพี่ ระ
ธรรมวินัย หรือลักษณะตัดสินธรรม พุทธเจาทรงยกยองวาเปนตราชูของ
วนิ ัย ๘ อยาง ที่ตรัสแกพระมหาปชาบดี อบุ าสกบริษัท (คูกับจติ ตคฤหบดี) ทาน
โคตมี คือ ก. ธรรมเหลาใดเปนไป ๑. เปนเอตทัคคะในบรรดาอุบาสกที่
เพื่อความยอมใจติด ๒. เพ่ือความ สงเคราะหบริษทั ดวยสงั คหวตั ถุ ๔
ประกอบทุกข ๓. เพื่อความพอกพูน อริยสาวกทานนี้มีตํานานประวัติ
กิเลส ๔. เพ่ือความมักมากอยากใหญ ตามท่อี รรถกถาเลาไววา เปนโอรสของ
หัตถกะอาฬวกะ ๕๑๔ หตั ถกะอาฬวกะ
พระเจาอาฬวกะ ราชาแหงแควนอาฬวี พรอมท้งั กบั แกลมวันละ ๑ คน ตอน
เมือ่ ประสตู ิ ไดนามวา อาฬวกกมุ าร ตอ แรกก็สงนักโทษประหารไปให ตอมา
มา ไดมีคํานําหนานามเดิมเพิ่มข้ึนวา นกั โทษหมด ตองใชวธิ ีลอคนโดยใหเอา
“หัตถกะ” โดยมีความเปนมาวา แตเดมิ เงินหลวงไปทิ้งไวตามถนนหนทาง ใคร
มา กอนอาฬวกกมุ ารประสตู ิ ตามปกติ หยิบหรอื แมแตจบั ตอง กต็ ้ังขอหาแลว
ราชาอาฬวกะทรงนํากองทหารเสดจ็ ออก จบั ตัวมาสงใหอาฬวกยักษ พอคนรกู ัน
ปาลาสัตวเปนประจําทุกสัปดาห เพื่อ ก็ไมมีใครจบั ตองเงินหลวงน้นั ในขัน้ สุด
เปนการหามปรามโจรผูราย และปองกัน ทาย เมื่อไมมีคนท่ีจะจบั ได ก็วางกติกา
อริราชศัตรู พรอมทั้งซอมกําลังทัพไว ใหจบั เดก็ ทนี่ อนหงายสงไป ทําใหแมลูก
คร้งั หนงึ่ ทรงต้งั กติกากบั เหลาทหารวา ออนและสตรีมีครรภพากันหนีไปอยูใน
ถาเนอื้ ว่ิงหนีออกไปทางขางของผใู ด ให ตางแควนจนเด็กโต จึงพากลับเขามา
เปนภาระของผูนั้นที่จะไปจับเน้ือมา เวลาลวงไป ในทส่ี ดุ หาเดก็ ไมได อาฬวก-
จําเพาะวาเนื้อหนีออกไปทางขางของ ราชถงึ กบั ตองยอมใหสงโอรสคอื อาฬวก-
พระองค จึงทรงไลตามเน้ือน้ันไปเปน กุมารสงไปใหแกอาฬวกยักษ ครั้งน้ัน
หนทาง ๓ โยชน จนเน้ือนั้นหมดแรง พระพุทธเจาทรงมองเห็นอุปนิสัยของ
ยืนน่ิงแชนํ้าอยู ก็ทรงจับมันฆาเสียได อาฬวกกุมารท่จี ะบรรลุอนาคามผิ ล และ
แตแมการจะสาํ เรจ็ ก็ทรงเหนด็ เหนอ่ื ย จงึ ข อ ง อ า ฬ ว ก ยั ก ษ ที่ จ ะ เ ป น โ ส ด า บั น
แวะเขาไปประทับน่ังพักใตรมไทรใหญ พรอมทั้งประโยชนที่จะเกิดแกมหาชน
ตนหนง่ึ บดั นนั้ เทวดาซง่ึ สงิ สถติ ทนี่ นั่ ก็ จึงเสด็จออกจากพระเชตวัน ทรงดาํ เนิน
เขามาจับพระหตั ถไว และบอกวาตนคอื ดวยพระบาทแตลําพังพระองคเดียว
อาฬวกยักษ ไดรับพรจากทาวมหาราช ผานหนทาง ๓๐ โยชน จนมาถึงทีอ่ ยู
(คือทาวโลกบาล) วา สัตวใดก็ตามท่ี ของอาฬวกยักษ และเสด็จเขาไป
ลวงล้ําเขตซึ่งเงาตนไมนั้นตกในเวลา ประทับขางในขณะท่ีอาฬวกยักษไมอยู
เท่ียงวนั เขาไป ใหจบั กนิ ได อาฬวกราช เม่ือยักษกลับมาและขับไลพระองคดวย
จึงจะตองเปนอาหารของตน พระราชา อาการหยาบคายและรนุ แรงตางๆ ก็ได
ทรงหาทางรอด ในทส่ี ดุ อาฬวกยกั ษ ทรงใชวิธีออนโยนและขันติธรรมเขา
ยอมปลอยโดยมีเงือ่ นไขวา อาฬวกราช ตอบ จนอาฬวกยักษมีใจออนโยนลง
จะทรงสงมนุษยไปใหอาฬวกยักษกิน ทายสุดเปล่ียนเปนถามปญหา ซ่ึงพระ
๕๑๔
หัตถบาส ๕๑๕ หนิ ยาน,หนี ยาน
องคกท็ รงตอบตรงจุด ทําใหอาฬวกยกั ษ สวนสุดดานหลังของผูเหยียดมือออกไป
เกิดความเขาใจแจมแจงเห็นธรรมบรรลุ (เชนถายนื วดั จากสนเทา, ถานง่ั วดั จาก
โสดาปตติผล การทรงผจญและสอน สดุ หลงั อวยั วะทน่ี งั่ , ถานอน วดั จากสุด
ยักษดําเนินไปตลอดคืนจนอาฬวกยักษ ขางดานทนี่ อน) ถึงสวนสุดดานใกลแหง
บรรลธุ รรมตอนรงุ สวาง กพ็ อดีราชบุรุษ กายของอีกคนหน่ึงน้ัน (ไมนับมือท่ี
นําอาฬวกกุมารมาถึง เมื่ออาฬวกยักษ เหยยี ดออกมา), โดยนยั น้ี ตามพระมติ
ไดรบั มอบอาฬวกกมุ ารมา กถ็ วายกมุ าร ท่ที รงไวในวนิ ยั มขุ เลม ๑ และ ๒ สรปุ
น้ันแดพระพทุ ธเจา และพระพุทธเจาก็ ไดวา ใหหางกนั ไมเกนิ ๑ ศอก คอื มี
ทรงมอบอาฬวกกุมารคืนใหแกพวกราช ชองวางระหวางกนั ไมเกนิ ๑ ศอก
บุรุษทน่ี ํามา พรอมทั้งตรัสวา ใหพวก หายนะ ความเสอื่ ม
เขาเล้ียงราชกุมารน้ันจนเติบโตแลวจึง หติ านหุ ติ ประโยชนเก้อื กูลนอยใหญ
คอยนํามาถวายแดพระองคใหมอีก หินยาน, หีนยาน “ยานเลว”, “ยานท่ี
และดวยเหตุท่ีอาฬวกกุมารนั้นเหมือน ดอย” (คาํ เดมิ ในภาษาบาลแี ละสนั สกฤต
เดินทาง ผานจากมือของราชบุรุษสูมือ เปน ‘หนี ยาน’, ในภาษาไทย นยิ มเขยี น
ยักษ จากมือยักษสูพระหัตถของพระ ‘หนิ ยาน’), เปนคําทนี่ กิ ายพุทธศาสนาซึง่
พทุ ธเจา และจากพระหตั ถของพระพทุ ธ เกดิ ภายหลัง เมอื่ ประมาณ พ.ศ.๕๐๐–
เจา วนกลบั สมู อื ของราชบรุ ษุ อกี อาฬวก- ๖๐๐ คิดขึ้น โดยเรียกตนเองวา
กมุ ารกจ็ งึ ไดมคี าํ วา “หตั ถกะ” มานาํ หนา มหายาน (ยานพาหนะใหญมีคณุ ภาพดี
ชอ่ื เปนหตั ถกะอาฬวกะ เหตกุ ารณนเ้ี ปน ที่จะชวยขนพาสัตวออกไปจากสังสารวฏั
เครอื่ งเชือ่ มโยงใหหัตถกะอาฬวกะ เมอ่ื ไดมากมายและอยางไดผลด)ี แลวเรยี ก
เจรญิ วยั ขึ้นมา กไ็ ดมาใกลชดิ พระพทุ ธ พระพุทธศาสนาแบบอ่ืนที่มีอยูกอนรวม
กันไปวาหีนยาน (ยานพาหนะตํ่าตอย
เจาและพระสงฆ และไมชาไมนานนัก ก็
ไดบรรลุอนาคามผิ ล; ดู ตลุ า, เอตทัคคะ ดอยคุณภาพท่ีขนพาสัตวออกไปจาก
หตั ถบาส บวงมอื คอื ทใี่ กลตวั ชวั่ คนหนง่ึ
สังสารวัฏไดนอยและดอยผล), พุทธ-
(นงั่ ตวั ตรง) เหยยี ดแขนออกไปจบั ตวั อกี ศาสนาแบบเถรวาท (อยางทบ่ี ัดนน้ี บั ถือ
คนหนง่ึ ได อรรถกถา (เชน วนิ ย.อ.๒/๔๐๔) กนั อยูในไทย พมา ลังกา เปนตน) กถ็ กู
อธบิ ายวา เทากบั ชวงสองศอกคบื (๒ เรียกรวมไวในช่ือวาเปนนิกายหินยาน
ศอก ๑ คบื หรอื ๒ ศอกครงึ่ ) วดั จาก ดวย
๕๑๕
หิมพานต ๕๑๖ หริ ัญญวดี
ปจจุบัน พุทธศาสนาหินยานท่ีเปน ถายอมรบั คาํ วามหายาน และหนิ ยาน
นิกายยอยๆ ทง้ั หลายไดสญู สน้ิ ไปหมด แลวเทยี บจาํ นวนรวมของศาสนกิ ตาม
(ตัวอยางนิกายยอยหน่ึงของหินยาน ที่ ตัวเลขในป ๒๕๔๘ วา มีพุทธศาสนกิ
เคยเดนในอดตี บางสมยั คอื สรวาสตวิ าท ชนทั่วโลก ๓๗๘ ลานคน แบงเปน
หรอื เรยี กแบบบาลวี า สพั พตั ถกิ วาท แต มหายาน ๕๖% เปนหนิ ยาน ๓๘%
กส็ ูญไปนานแลว) เหลือแตเถรวาทอยาง (วัชรยานนับตางหากจากมหายานเปน
เดียว เม่ือพูดถึงหินยานจึงหมายถึง ๖%) แตถาเทียบระหวางประดานิกาย
เถรวาท จนคนทวั่ ไปมกั เขาใจวาหนิ ยาน ยอยของสองยานนัน้ (ไมนบั ประเทศจนี
กบั เถรวาทมีความหมายเปนอันเดียวกัน แผนดินใหญที่มีตัวเลขไมชัด) ปรากฏ
บางทีจึงถือวาหินยานกับเถรวาทเปนคํา วา เถรวาทเปนนิกายที่ใหญมีผูนับถือ
ท่ีใชแทนกันได แตเมื่อคนรูเขาใจเร่ือง มากทีส่ ุด; บางทเี รยี กมหายานวา อุตร-
ราวดขี นึ้ บดั นจี้ งึ นยิ มเรยี กวา เถรวาท นิกาย เพราะมีศาสนิกสวนใหญอยูใน
ไมเรยี กวา หินยาน แถบเหนือของทวีปเอเชีย และเรียก
เนื่องจากคําวา “มหายาน” และ หนิ ยานวา ทกั ษณิ นกิ าย เพราะมศี าสนกิ
“หินยาน” เกิดข้ึนในยุคที่พุทธศาสนา สวนใหญอยใู นแถบใตของทวีปเอเชยี ; ดู
แบบเดมิ เลอื นรางไปจากชมพทู วปี หลงั เถรวาท, เทยี บ มหายาน
พทุ ธกาลนานถงึ ๕-๖ ศตวรรษ คาํ ทงั้ หมิ พานต มหี ิมะ, ปกคลมุ ดวยหมิ ะ, ชื่อ
สองนี้จึงไมมีในคัมภีรบาลีแมแตรุนหลัง ภูเขาใหญท่ีอยูทางทิศเหนือของประเทศ
ในชนั้ ฎกี าและอนฎุ กี า, ปจจบุ นั ขณะท่ี อินเดีย บัดน้เี รียกภูเขาหมิ าลัย, ปาที่อยู
นิกายยอยของหินยานหมดไป เหลือ รอบบรเิ วณภูเขานี้ กเ็ รยี กกันวา ปาหิม-
เพียงเถรวาทอยางเดียว แตมหายาน พานต; หมิ วนั ต กเ็ รยี ก
กลับแตกแยกเปนนิกายยอยเพ่ิมข้ึน หิมวนั ต ดู หมิ พานต
มากมาย บางนิกายยอยถึงกับไมยอม หริ ญั ญวดี แมนา้ํ สายสดุ ทายทพ่ี ระพทุ ธ-
รับท่ีไดถูกจัดเปนมหายาน แตถือตนวา เจาเสดจ็ ขาม เมอื่ เสด็จไปเมอื งกุสินารา
เปนนิกายใหญอีกนิกายหน่ึงตางหาก ในวนั ที่จะปรนิ ิพพาน สาลวโนทยานของ
คอื พทุ ธศาสนาแบบทเิ บต ซง่ึ เรียกตน มัลลกษตั ริย ท่ีพระพทุ ธเจาปรินพิ พาน
วาเปน วัชรยาน และถอื ตนวาประเสรฐิ อยูริมฝงแมน้ําน้ี, ปจจุบันเรียกแมนํ้า
คัณฑกั นอย (Little Gandak) อยูหางจาก
เลศิ กวามหายาน
๕๑๖
หิริ ๕๑๗ ใหโอกาส
แมนา้ํ คณั ฑกั ใหญไปทางตะวนั ตกประมาณ และสงั ขาร, ผลในปจจบุ นั คอื วญิ ญาณ
๑๓ กิโลเมตร และไหลลงไปบรรจบ นามรปู สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา, เหตุ
ในปจจบุ ันคอื ตณั หา อปุ าทาน ภพ, ผล
แมน้าํ สรภู ซง่ึ ปจจุบันเรียก Gogrā
หิริ ความละอายแกใจ คือละอายตอ ในอนาคต คือชาติ ชรา มรณะ); เทยี บ
ความช่วั (ขอ ๑ ในธรรมคุมครองโลก ผลเหตุสนธิ
๒, ขอ ๓ ในอริยทรพั ย ๗, ขอ ๒ ใน เหน็ ชอบ ดู สัมมาทิฏฐิ
เหมกมาณพ [เห-มะ-กะ-มา-นบ] ศิษย
สัทธรรม ๗)
เหฏฐมิ ทิส “ทศิ เบอ้ื งต่ํา” หมายถงึ บาว คนหนึ่งในจํานวน ๑๖ คน ของ
คือคนรบั ใชหรอื คนงาน; ดู ทศิ หก
พราหมณพาวรี ท่ีไปทูลถามปญหากะ
เหตุ ส่งิ ทใ่ี หเกดิ ผล, เคามูล, ส่งิ ที่กอเรอ่ื ง, พระศาสดา ท่ปี าสาณเจดีย
ตวั การกอผล; เหตุ มคี ําทีม่ ีความหมาย เหมนั ต, เหมนั ตฤดู ฤดหู นาว (แรม ๑
ใกลเคียง คอื ปจจัย ซงึ่ บางทใี ชแทน ค่ํา เดือน ๑๒ ถงึ ข้นึ ๑๕ คาํ่ เดอื น
กันได หรือเสริมยํ้ากัน แตในความ ๔); ดู มาตรา
หมายที่เครงครัด เหตุ มีลักษณะ ใหกลาวธรรมโดยบท สอนธรรมโดยให
จาํ เพาะ ไมสาธารณะ คือเปนตวั ตรงใน วาพรอมกนั กบั ตน คอื วาขนึ้ พรอมกนั จบ
การกอผล สวน ปจจัย มีลักษณะ ลงพรอมกัน (สิกขาบทท่ี ๓ แหง
สาธารณะ ไมจําเพาะ โดยเปนตวั เอ้อื มุสาวาทวรรค ปาจติ ติยกัณฑ)
เปนเง่อื นไข เปนตวั ประกอบ เปนตวั ใหทานโดยเคารพ ต้งั ใจใหอยางดี เอ้ือ
สรางโอกาส เปนตน; เทยี บ ปจจยั
เฟอแกของทต่ี ัวใหและผูรบั ทาน ไมทาํ
เหตุผลสนธิ “ตอเหตเุ ขากบั ผล” หมายถงึ อาการดจุ ท้งิ เสีย
หัวเงื่อนระหวางเหตุในอดีตกับผลใน ใหนิสยั ดู นิสัย
ปจจุบัน หรือหัวเง่ือนระหวางเหตุใน ใหลาํ บาก ดู วิเหสกกรรม
ปจจุบัน กับผลในอนาคต ในวงจร ใหโอกาส ดู โอกาส
ปฏิจจสมปุ บาท (เหตุในอดตี คอื อวชิ ชา
๕๑๗
อ
อกนิษฐ รูปพรหมชั้นสูงสุดในพรหมสิบ ก็ไดรับผลเม่อื น้นั ไมเหมอื นผลไมท่ใี ห
หกชั้น และเปนสุทธาวาสภูมิช้ันสูงสุด ผลตามฤดู, อีกอยางหน่งึ วา เปนจรงิ อยู
(ขอ ๕ ในสุทธาวาส ๕); ดู ภวคั ค, ภวัคร อยางไร ก็เปนจริงอยูอยางน้ันเร่ือยไป
อกรณียะ กจิ อนั บรรพชิตไมควรทํา ๔ (ขอ ๓ ในธรรมคณุ ๖)
อยาง ทําแลวขาดจากความเปนภิกษุ อกิริยทิฏฐิ ความเห็นวาไมเปนอันทํา,
คอื ๑. เสพเมถนุ ๒. ลักของเขาตง้ั แต เห็นวาการกระทําไมมีผล อธบิ ายอยาง
๕ มาสกขนึ้ ไป ๓. ฆามนษุ ย ๔. อวด งาย เชน ทําช่ัว หากไมมีคนรู คนเหน็
คณุ พเิ ศษ (อตุ ตริมนุสสธรรม) ทไี มมีใน ไมมีคนชม ไมมคี นลงโทษ ก็ชอื่ วาไม
ตน (สําหรบั ภกิ ษณุ ี มี ๘); ดู อนศุ าสน เปนอนั ทาํ เปนมิจฉาทฏิ ฐริ ายแรงอยาง
อกปั ปยะ ไมควร, ไมสมควรแกภกิ ษจุ ะ หนง่ึ (ขอ ๑ ในทิฏฐิ ๓)
บริโภคใชสอย คอื ตองหามดวยพระ อกุปปธรรม ผมู ธี รรมทีไ่ มกาํ เริบ คือผทู ่ี
พุทธเจาไมทรงอนุญาตใหภิกษุใชหรือ เม่ือไดสมาบัติแลว สมาบัตินั้นจะไม
ฉนั , สิ่งที่ตรงกนั ขามกบั กัปปยะ เสื่อมไปเลย ไดแกพระอริยบุคคลทั้ง
อกปั ปยวตั ถุ สงิ่ ทไ่ี มเหมาะไมควร คือ หมด; เทียบ กปุ ปธรรม
อกุศล “ไมฉลาด”, สภาวะทีเ่ ปนปฏิปกษ
ภกิ ษไุ มควรบรโิ ภคใชสอย
อกปฺปเย กปฺปยส ฺ ติ า อาการท่ีจะ หรอื ตรงขามกบั กศุ ล, บาป, ชว่ั , ความชว่ั
ตองอาบตั ดิ วยสําคญั วาควร ในของทไี่ ม (อกศุ ลธรรม), กรรมชวั่ (อกศุ ลกรรม);
ควร เทยี บ กุศล
อกาละ เวลาอนั ไมควร อกศุ ลกรรม กรรมทเ่ี ปนอกุศล, กรรม
อกาลจวี ร จวี รทเ่ี กดิ ขน้ึ นอกเขต จวี รกาล ชั่ว, บาป, การกระทําท่ไี มดี คือ เกดิ
จาก อกศุ ลมูล; ดู อกศุ ล, กรรม
นอกเขตอานิสงสกฐนิ
อกาลิโก (พระธรรม) ไมประกอบดวย อกศุ ลกรรมบถ ทางแหงกรรมชวั่ , ทาง
กาล, ใหผลไมจาํ กัดกาล คือไมขึ้นกับ แหงกรรมท่ีเปนอกุศล, กรรมชวั่ อันเปน
กาลเวลา ไมจํากดั ดวยกาล ใหผลแกผู ทางนําไปสทู คุ ติ มี ๑๐ อยาง คอื ก.
ปฏิบัติทุกเวลา ทกุ โอกาส บรรลเุ มื่อใด กายกรรม ๓ ไดแก ๑. ปาณาตบิ าต การ
อกศุ ลจิตตปุ บาท ๕๑๙ องค
ทําลายชวี ิต ๒. อทนิ นาทาน ถือเอาของ อกศุ ล
ที่เขามิไดให ๓. กาเมสุมิจฉาจาร อกุศลมลู รากเหงาของอกุศล, ตนเหตุ
ประพฤตผิ ิดในกาม ข. วจีกรรม ๔ ได ของอกุศล, ตนเหตุของความชั่ว มี ๓
แก ๔. มุสาวาท พูดเทจ็ ๕. ปสณุ าวาจา อยาง คอื โลภะ โทสะ โมหะ
พดู สอเสียด ๖. ผรสุ วาจา พดู คาํ หยาบ อกุศลวิตก ความตริตรึกที่เปนอกุศล,
๗. สัมผัปปลาปะ พูดเพอเจอ ค. ความนกึ คดิ ทไ่ี มดี มี ๓ อยาง คอื ๑.
มโนกรรม ๓ ไดแก ๘. อภชิ ฌา ละโมบ กามวิตก คดิ แสไปในทางกาม หาทาง
คอยจองอยากไดของเขา ๙.พยาบาทคดิ ปรนปรือตน ๒. พยาบาทวติ ก คดิ ใน
รายเขา ๑๐.มจิ ฉาทฏิ ฐิ เหน็ ผดิ จากคลอง ทางพยาบาท ๓. วหิ งิ สาวิตก คดิ ในทาง
ธรรม; เทยี บ กศุ ลกรรมบถ, ดู กรรมบถ เบียดเบียนผอู นื่
อกุศลจิตตุปบาท จิตอกุศลเกิดข้ึน, อคติ ฐานะอันไมพึงถึง, ทางความ
ความคดิ ชวั่ ประพฤติทผ่ี ดิ , ความลําเอียง มี ๔ คอื
อกศุ ลเจตนา เจตนาทเ่ี ปนอกศุ ล, ความ ๑.ฉนั ทาคติ ลาํ เอยี งเพราะรกั ๒.โทสาคติ
ลาํ เอยี งเพราะชงั ๓. โมหาคติ ลาํ เอยี ง
ตงั้ ใจชั่ว, ความคิดช่ัว
อกุศลเจตสกิ เจตสกิ อันเปนอกศุ ล ได เพราะเขลา ๔.ภยาคติ ลาํ เอยี งเพราะกลวั ;
แก ความชัว่ ทเี่ กดิ ขึ้นภายในใจ แตงจติ ดู คหิ วิ ินยั
ใหเปนบาป มี ๑๔ อยาง แยกเปน ก. อโคจร บคุ คลและสถานทอี่ ันภกิ ษุไมควร
สพั พากุศลสาธารณเจตสิก (เจตสิกทเี่ กิด ไปมาหาสู มี ๖ คอื หญงิ แพศยา หญงิ
ทวั่ ไปกับอกศุ ลจิตทกุ ดวง) ๔ คอื โมหะ หมาย สาวเท้ือ ภิกษุณี บณั เฑาะก
อหิรกิ ะ (ไมละอายตอบาป) อโนตตปั ปะ (กะเทย) และรานสุรา
(ไมกลัวบาป) อทุ ธัจจะ ข. ปกิณณก- อโคจรัคคาหิกรปู ดทู ี่ รปู ๒๘
อกุศลเจตสิก (อกุศลเจตสิกท่ีเกิดกับ อโฆสะ พยญั ชนะทีม่ เี สยี งไมกอง ไดแก
อกศุ ลจติ เรยี่ รายไป) ๑๐ คอื โลภะ ทฏิ ฐิ พยัญชนะท่ี ๑ และ ๒ ในวรรคทงั้ ๕
มานะ โทสะ อสิ สา (รษิ ยา) มัจฉรยิ ะ คือ ก ข, จ ฉ, ฏ , ต ถ, ป ผ, และ ส
กกุ กจุ จะ (เดือดรอนใจ) ถีนะ (หดห)ู รวม ๑๑ ตวั ; ตรงขามกับ โฆสะ (เทยี บ
ระดบั เสยี งพยญั ชนะ ดทู ่ี ธนติ )
มิทธะ (ซมึ เซา) วจิ ิกจิ ฉา
อกุศลธรรม ธรรมทเ่ี ปนอกศุ ล, ธรรม องค 1. สวน, ภาค, ตวั , อวยั วะ, ลกั ษณะ,
ฝายอกศุ ล, ธรรมทีช่ วั่ , ธรรมฝายชั่ว; ดู คณุ สมบัต,ิ สวนประกอบ 2. ลักษณ-
๕๑๙
องคฌาน ๕๒๐ อจิตตกะ
นามใชเรียกภิกษุสามเณร นักบวชอ่ืน อน่ื คือ ไมยกตน ไมเสยี ดสขี มขผ่ี อู ่นื
บางพวก และส่ิงท่เี คารพบชู าบางอยาง องคแหงภกิ ษใุ หม ๕ คือ ๑. ปาติโมกข-
ในทางศาสนา เชน พระพุทธรูป ๒ องค สังวร สํารวมในพระปาติโมกข ๒.
พระเจดีย ๔ องค, สาํ หรับภกิ ษสุ ามเณร อนิ ทรียสงั วร สํารวมอินทรยี ท้ัง ๖ ๓.
ในภาษาเขยี นทานใหใช รูป ภสั สปริยันตะ พูดคุยมีขอบเขต ไมเอิก
องคฌาน (บาลี วา ฌานงคฺ ) องคประกอบ เกริกเฮฮา ๔. กายวูปกาสะ อยูใน
ของฌาน, องคธรรมท้งั หลายทีป่ ระกอบ เสนาสนะอันสงัด ๕. สัมมาทสั สนะ ต้งั
กนั เขาเปนฌานข้นั หนึ่งๆ เชน ปติ สขุ ตนไวในความเหน็ ชอบ
เอกัคคตา รวมกันเรียกวา ฌานท่ี ๒ องคุลิมาล พระมหาสาวกองคหนึ่งของ
หรือทุติยฌาน; องคฌานทั้งหมดใน พระพุทธเจา เคยเปนมหาโจรโดงดัง
ฌานตางๆ นบั แยกเปนหนวยๆ ไมซาํ้ เปนบุตรของภัคควพราหมณ ผูเปน
กนั มีทงั้ หมด ๖ อยาง คอื วติ ก ความ
ตรกึ วจิ าร ความตรอง ปติ ความอ่ิมใจ ปุโรหิตของพระเจาโกศล มารดาชอ่ื นาง
สขุ ความสขุ อุเบกขา ความมจี ิตเรียบ มันตานีพราหมณี เดิมช่ืออหิงสกะ
สมดลุ เปนกลาง และ เอกคั คตา ความมี (แปลวา “ผไู มเบยี ดเบียน”) ไปศึกษา
อารมณหน่งึ เดยี ว; ดู ฌาน
องคมรรค (บาลี วา มคฺคงฺค) องค ศลิ ปศาสตรในสาํ นกั อาจารยทศิ าปาโมกข
เมืองตักสิลา มีความรูและความ
ประพฤติดี เพื่อนศษิ ยดวยกนั รษิ ยา ยุ
ประกอบของมรรค, องคธรรม ๘ อยาง อาจารยใหกาํ จัดเสีย อาจารยลวงอุบาย
มีสัมมาทิฏฐิเปนตน ที่ประกอบกันเขา ใหไปฆาคนครบหน่ึงพันแลวจะมอบวิชา
เปนมรรค หรอื ที่เรียกชือ่ เต็มวา อรยิ -
อัฏฐังคกิ มรรค; ดู มรรค 1. วเิ ศษอยางหนึ่งให จงึ กลายไปเปนมหา
องคแหงธรรมกถึก ๕ คือ ๑. แสดง
โจรผูโหดรายทารณุ ตดั น้ิวมือคนท่ีตน
ธรรมไปตามลําดับไมตัดลัดใหสับสน
ฆาตายแลว รอยเปนพวงมาลยั จงึ ไดชอื่
วา องคลุ มิ าล (แปลวา “มีน้ิวเปนพวง
หรือขาดความ ๒. ชแี้ จงยกเหตผุ ลมา มาลัย”) ภายหลังพระพุทธเจาเสด็จไป
แสดงใหผูฟงเขาใจ ๓. สอนเขาดวย โปรดกลับใจได ขอบวช ตอมาก็ได
เมตตา ตัง้ จิตปรารถนาใหเปนประโยชน สาํ เร็จพระอรหตั ทานเปนตนแหงพทุ ธ-
แกผฟู ง ๔. ไมแสดงธรรมเพราะเหน็ แก บญั ญัติไมใหบวชโจรทีข่ นึ้ ชือ่ โดงดงั
ลาภ ๕. ไมแสดงธรรมกระทบตนและผู อจิตตกะ ไมมีเจตนา เปนช่อื ของอาบตั ิ
๕๒๐
อจริ วดี ๕๒๑ อชิตมาณพ
พวกหนึ่ง ทีเ่ กิดขึ้นโดยสมฏุ ฐานทแี่ มไม เปนของอนื่ มากกด็ ี ดนิ ทไ่ี ฟเผาแลวกด็ ี
มีเจตนา คือ ถึงแมไมจงใจทําก็ตอง กองดนิ รวน หรอื กองดนิ เหนยี วทฝ่ี นตก
อาบตั ิ เชน ฉันอาหารในเวลาวกิ าล ด่ืม รดหยอนกวา ๔ เดอื นกด็ ี
นํา้ เมา เปนตน อชาตศัตรู กษัตรยิ แควนมคธ โอรสของ
อจิรวดี แมน้าํ ใหญสายสาํ คญั ลําดบั ท่ี ๓ พระเจาพมิ พิสาร กับพระนางโกศลเทวี
ในมหานที ๕ ของชมพูทวีป ไหลผาน (พระนามวาเวเทหิ พระเจาอชาตศัตรูจงึ
เมอื งสาํ คัญ คือ สาวตั ถี เมอื งหลวงของ ไดพระนามวาเวเทหบิ ตุ ร) ขณะพระนาง
แควนโกศล, เมือ่ พระเจาวฑิ ฑู ภะยกทพั โกศลเทวีทรงครรภ ไดแพพระครรภ
ไปกําจัดเจาศากยะเสร็จแลวกลับมาพัก อยากเสวยโลหิตของพระเจาพิมพิสาร
ต้ังคายคางแรมอยูที่ริมฝงแมนํ้านี้ ถงึ พระเจาพิมพิสารทรงทราบจึงใชพระ
ราตรี นาํ้ ไดขน้ึ ทวมพดั พาพระเจาวฑิ ฑู ภะ ขรรคแทงพระชานุ (เขา) รองพระโลหติ
พรอมทั้งกองทัพไปถึงความพินาศแทบ ใหพระนางเสวย โหรทํานายวา พระ
หมดสน้ิ , ปจจบุ ัน อจิรวดเี ปนแมน้าํ ทีไ่ ม โอรสที่อยูในครรภเกิดมาจะทําปตุฆาต
สําคัญอะไรนัก มีชือ่ ในภาษาอังกฤษวา พระนางโกศลเทวีพยายามทําลายดวย
Rapti; ดู มหานที ๕
อเจลก ชีเปลือย, นักบวชไมนุงผา การใหแทงเสยี แตไมสําเรจ็ ในทีส่ ุดคิด
อเจลกวรรค ตอนท่วี าดวยเรอ่ื งเกี่ยวกบั
จะรีด แตพระเจาพิมพิสารทรงหามไว
ชีเปลือย เปนตน, เปนชอื่ หมวดอาบัติ
เมื่อครบกาํ หนดประสูติเปนกุมาร จึงตัง้
พระนามโอรสวา อชาตศัตรู แปลวา
ปาจิตตยี วรรคท่ี ๕ “เปนศัตรูตั้งแตยังไมเกิด” ในท่ีสุดเจา
อชฏากาศ ดู อัชฏากาศ ชายอชาตศัตรูก็คบคิดกับพระเทวทตั ฆา
อชปาลนิโครธ ตนไทรเปนท่ีพักอาศัย พระราชบิดาตามที่โหรทํานายไวและได
ของคนเลี้ยงแพะ, ชื่อตนไมท่พี ระพุทธ- ขึ้นครองราชสมบตั ิแควนมคธ ณ กรุง
เจาประทบั น่งั เสวยวมิ ุตติสุขเปนเวลา ๗ ราชคฤห แตทรงสาํ นึกและกลบั พระทยั
วนั อยทู ศิ ตะวนั ออกของตนศรมี หาโพธ;ิ์ ได หันมาทรงอุปถัมภบํารุงพระศาสนา
ดู วิมตุ ตสิ ขุ และไดเปนพุทธศาสนูปถัมภก ในการ
อชาตปฐพี ปฐพีไมแท คอื ดนิ ท่ีเปนหนิ สงั คายนาครงั้ ที่ ๑ (คาํ อชาตศตั รู บาง
เปนกรวด เปนกระเบอ้ื ง เปนแร เปน ทานแปลใหมวา “มไิ ดเกดิ มาเปนศัตรู”)
ทรายลวน หรอื มดี นิ รวนดนิ เหนยี วนอย อชิตมาณพ หัวหนาศิษย ๑๖ คนของ
๕๒๑
อชนิ ปเวณิ ๕๒๒ อดิเรก
พราหมณพาวรี ท่ีไปทูลถามปญหากะ ถงึ ตอนถวายอดิเรก ตองใชพัดยศ โดย
พระศาสดา ทป่ี าสาณเจดยี วางพัดรองไว แลวตง้ั พัดยศตอนถวาย
อชนิ ปเวณิ เครอ่ื งลาดทท่ี าํ ดวยหนงั สตั ว อดเิ รกทุกรปู และใชพัดยศไปจนจบการ
ชอ่ื อชนิ ะ มขี นออนนมุ จดั เปนอจุ จาสยนะ สวดอนุโมทนา) เมื่อจับพัดยศตั้งข้ึน
มหาสยนะอยางหน่ึง และสวดอนุโมทนามาตามลาํ ดับ พอจบ
อญาณตา อาการที่จะตองอาบตั ดิ วยไมรู บทสุดทาย กอนจะขึ้น “ภวตุ สพฺพ-
อณ,ุ อณู ส่งิ เล็กๆ, ละเอยี ด มงฺคลํฯ” ก็หยุดใหหัวหนาถวายอดิเรก
อดิเทพ, อติเทพ เทพผูยิ่งกวาเทพทั้ง และเมอ่ื หวั หนาถวายอดเิ รกจบ พระเถระ
หลาย, เทพเหนือเทพ หมายถึงพระ รปู ท่ี ๒ ตองรบั “ภวตุ สพพฺ มงคฺ ลฯํ ”,
จากนั้น ถาเปนพิธใี นพระราชฐาน เม่ือ
อรหันต เฉพาะอยางยิง่ พระพุทธเจา, สวดจบอนุโมทนา ลง “ภวนฺตุ เต” แลว
บางแหง หมายถงึ จอมเทพ คอื ทาวสกั กะ รปู ท่ี ๒ กลาวถวายพระพรลา แลวพระ
สงฆลงจากที่ออกไป แตถามใิ ชในพระ
(พระอนิ ทร) ราชฐาน ก็ส้นิ สดุ แคจบอนโุ มทนา ไม
อดเิ รก 1. เกินกวากําหนด, ยิ่งกวาปกต,ิ ตองถวายพระพรลา
สวนเกิน, เหลือเฟอ, สวนเพ่ิมเติม,
(มีขอที่ปฏิบัติมาอนั พึงทราบพเิ ศษวา
สวนเพ่มิ พิเศษ 2. ถวายอติเรก หรอื ในการถวายอดเิ รก และถวายพระพรลา
ตองใชพัดยศพระราชาคณะ ตั้งแตชั้น
ถวายอดิเรก คือ พระสงฆถวายพระพร สามญั ข้นึ ไป และในขณะนนั้ รปู อ่นื ๆ ท่ี
ที่เปนสวนเพิ่มพิเศษ แดพระบาท มพี ดั ยศ กต็ ง้ั พดั ยศ ถาไมมี ใหประณม
มอื หามใชพดั รอง; ในการทรงบาํ เพญ็
สมเด็จพระเจาอยูหัว และหรือสมเด็จ พระราชกศุ ลบางอยาง แมมไิ ดเสดจ็ ดวย
พระองค เพียงพระราชทานไทยธรรม
พระบรมราชินี ทายพระราชพธิ ีบําเพ็ญ มอบผูใดผูหนึ่งไปแทนพระองค เชน
พระราชกุศล ในระหวางอนุโมทนา ถา กฐินพระราชทาน และการทรงบําเพ็ญ
พระราชกศุ ลอทุ ศิ แกผลู วงลบั กต็ องใช
กลาวในพระราชฐาน ตองตอทายดวย พดั ยศ และถวายอดเิ รก)
ถวายพรลา, เรียกอยางนีเ้ พราะขึ้นตนวา คําถวายอดิเรก และคําถวายพระพร
“อติเรกวสสฺ สตํ ชวี ตฯุ ”
๕๒๒
เปนธรรมเนียมวา เม่ือถวาย
อนโุ มทนาสาํ หรับ ๒ พระองคดังท่กี ลาว
นนั้ ตองถวายอดเิ รกดวย โดยใชพดั ยศ
(ในงานหลวงท่ีมีการพระราชทานพัด
รอง เวลาอนุโมทนาใหใชพดั รอง แตพอ
อดิเรก ๕๒๓ อดเิ รก
ลา ท่ใี ชเปนแบบในบดั น้ี ดังน้ี ทีฆายโุ ก โหตุ อโรโค โหต.ุ
ทีฆายโุ ก โหตุ อโรโค โหตุ.
แบบท่ี ๑ เฉพาะพระบาทสมเดจ็ พระเจา สุขโิ ต โหตุ ปรมินทฺ มหาราชา สราชนิ .ี
สทิ ธฺ ิกิจจฺ ํ สิทธฺ กิ มฺมํ สิทธฺ ลิ าโภ ชโย นิจจฺ ํ.
อยหู วั พระองคเดียว ปรมนิ ทฺ มหาราชวรสสฺ ราชนิ ยิ าสหภวตุสพพฺ ทา.
- คําถวายอดเิ รก
ขอถวายพระพร
อติเรกวสฺสสตํ ชวี ต.ุ
อตเิ รกวสฺสสตํ ชีวตุ. - คําถวายพระพรลา
อตเิ รกวสสฺ สตํ ชีวต.ุ ขอถวายพระพร เจริญพระราชสิริ
ทีฆายโุ ก โหตุ อโรโค โหตุ.
ทีฆายุโก โหตุ อโรโค โหต.ุ สวัสดิ์พิพัฒนมงคลพระชนมสุขทุก
สขุ โิ ต โหตุ ปรมนิ ทฺ มหาราชา.
สิทธฺ ิกจิ จฺ ํ สทิ ฺธิกมฺมํ สทิ ธฺ ลิ าโภ ชโย นิจจฺ ํ. ประการ จงมแี ดสมเดจ็ บรมบพิตรพระ
ปรมนิ ทฺ มหาราชวรสสฺ ภวตุ สพพฺ ทา.
ราชสมภารเจาทงั้ ๒ พระองค ผทู รง
ขอถวายพระพร
พระคณุ อันประเสริฐ เวลานสี้ มควรแลว
- คําถวายพระพรลา
อาตมภาพทั้งปวง ขอถวายพระพรลา
ขอถวายพระพร เจริญพระราชสิริ
แดสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจา
สวัสดิ์พิพัฒนมงคลพระชนมสุขทุก
ท้ัง ๒ พระองค ผูทรงพระคุณอัน
ประการ จงมีแดสมเด็จบรมบพิตรพระ
ประเสริฐ.
ราชสมภารพระองค สมเดจ็ พระปรมนิ ทร
ขอถวายพระพร
ธรรมกิ มหาราชาธริ าชเจา ผทู รงพระคณุ
แบบท่ี ๓ เฉพาะสมเดจ็ พระบรมราชนิ ี
อนั ประเสรฐิ เวลาน้ีสมควรแลว อาตม- - คําถวายอดเิ รก
ภาพท้ังปวง ขอถวายพระพรลา แด อติเรกวสสฺ สตํ ชีวต.ุ
อติเรกวสสฺ สตํ ชวี ต.ุ
สมเดจ็ บรมบพติ รพระราชสมภาร พระ อตเิ รกวสฺสสตํ ชีวตุ.
ทฆี ายุกา โหตุ อโรคา โหตุ.
องค ผูทรงพระคุณอนั ประเสรฐิ . ทีฆายกุ า โหตุ อโรคา โหต.ุ
สุขิตา โหตุ สริ ิกติ ฺติปรมราชนิ .ี
ขอถวายพระพร สทิ ธฺ ิกิจจฺ ํ สิทฺธกิ มฺมํ สทิ ธฺ ิลาโภ ชโย นิจจฺ .ํ
สริ ิกติ ฺติปรมราชนิ ยิ าภวตุ สพพฺ ทา.
แบบที่ ๒ สําหรบั ๒ พระองค
- คําถวายอดเิ รก ขอถวายพระพร
อตเิ รกวสสฺ สตํ ชวี ตุ. ๕๒๓
อตเิ รกวสสฺ สตํ ชีวตุ.
อตเิ รกวสสฺ สตํ ชวี ต.ุ