The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ นิพนธ์โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

คําศัพท์ในวิชานักธรรมซึ่งการตอบและอธิบายตามแบบแผนมีความสําคัญมากสําหรับผู้เรียนและผู้สอบในระบบนั้น (โดยมากเป็นศัพท์พระวินัย) ในที่นี้มักคัดเอาความหมายและคําอธิบายในแบบเรียนมาลงไว้ด้วย

ความหมายและคําอธิบายหลายแห่งเขียนอย่างคนรู้กันคือผู้มีพื้นความรู้อยู่บ้างแล้วจึงจะเข้าใจชัดเจน และใช้ประโยชน์ได้เต็มที่

อย่างไรก็ตาม ว่าโดยส่วนใหญ่ คนทั่วไปที่สนใจทางพระศาสนาก็ใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by preecha.s, 2021-04-01 23:54:17

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ นิพนธ์โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

คําศัพท์ในวิชานักธรรมซึ่งการตอบและอธิบายตามแบบแผนมีความสําคัญมากสําหรับผู้เรียนและผู้สอบในระบบนั้น (โดยมากเป็นศัพท์พระวินัย) ในที่นี้มักคัดเอาความหมายและคําอธิบายในแบบเรียนมาลงไว้ด้วย

ความหมายและคําอธิบายหลายแห่งเขียนอย่างคนรู้กันคือผู้มีพื้นความรู้อยู่บ้างแล้วจึงจะเข้าใจชัดเจน และใช้ประโยชน์ได้เต็มที่

อย่างไรก็ตาม ว่าโดยส่วนใหญ่ คนทั่วไปที่สนใจทางพระศาสนาก็ใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดี

Keywords: พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์

อดิเรกจวี ร ๕๒๔ อตัมมยตา

- คําถวายพระพรลา (๑ ถาเปนพระองคอน่ื พึงเปล่ยี นไปตาม

ขอถวายพระพร เจริญพระราชสิริ กรณี เชน สมเด็จพระบรมราชนิ ีนาถวา

สวัสดิ์พิพัฒนมงคลพระชนมสุขทุก “จงมีแด สมเด็จบรมบพิตรพระราช

ประการ จงมแี ดสมเดจ็ บรมบพิตรพระ สมภารพระองค สมเดจ็ พระนางเจาสริ กิ ติ ิ์

ราชสมภารพระองค สมเด็จพระนางเจา พระบรมราชินีนาถ”; ๒ ถามิใชพระบาท

สริ ิกติ ิ์ พระบรมราชินนี าถ ผทู รงพระ สมเดจ็ พระเจาอยูหัว หรือมิไดประทับอยู

คุณอันประเสริฐ เวลาน้ีสมควรแลว ในที่เฉพาะหนา ใหเวนคําวา “ขอเดชะ”)

อาตมภาพท้ังปวง ขอถวายพระพรลา อดเิ รกจวี ร ดู อติเรกจีวร
แดสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภาร อดตี ลวงแลว
พระองค ผทู รงพระคณุ อันประเสริฐ. อดีตกาล เวลาทลี่ วงแลว
ขอถวายพระพร อตัมมยตา “ภาวะท่ีไมเนื่องดวยสิ่งนน้ั ”,
นอกจากน้ี เห็นควรนําแบบคาํ ถวาย
“ความไมเกาะเก่ียวกับมัน”, ความเปน
พระพรเทศนา มาแสดงไวดวย ดังน้ี
อสิ ระ ไมติดไมของไมคางใจกบั ส่งิ ใดๆ
คาํ ถวายพระพรเทศนา
ไมมีอะไรยึดถือผูกพันท่ีจะไดจะมีจะ
ขอถวายพระพร เจริญพระราชสิริ
สวัสดิ์พิพัฒนมงคลพระชนมสุขทุก เปนอยางหน่ึงอยางใด ไดแกความ

ประการ จงมีแด สมเด็จบรมบพิตรพระ ปลอดพนปราศจากตัณหา (รวมท้ัง

ราชสมภารพระองค สมเดจ็ พระปรมนิ ทร มานะและทิฏฐิท่ีเนื่องกันอยู), ภาวะไร
ธรรมกิ มหาราชาธริ าชเจา๑ ผทู รงพระคณุ ตัณหา; อตมั มยตา (รวมทั้ง “อตมั มโย”

อันประเสริฐ บัดนี้จักรับพระราชทาน หรืออตัมมัย ทเี่ ปนคณุ ศพั ท) พระพทุ ธ

ถวายวิสชั นาใน . . . ฉลองพระเดชพระ เจาตรสั แสดงไวในพระสตู ร ๔ สตู ร และ

คุณประดับพระปญญาบารมี ถารบั พระ มาในคาํ อธบิ ายของพระสารบี ตุ รในคมั ภรี

ราชทานถวายวิสัชนาไป มิไดตองตาม มหานทิ เทสอกี ๑ แหง พระพทุ ธพจน

โวหารอรรถาธบิ าย ในพระธรรมเทศนา และคาํ อธิบายดังกลาวจะชวยใหผูศึกษา

ณ บทใดบทหนึ่งกด็ ี ขอเดชะ๒ พระ เขาใจความประณีตแหงธรรมที่ปญญา

เมตตาคุณ พระกรณุ าคณุ พระขนั ตคิ ุณ อันรูจาํ แนกแยกแยะจะมองเห็นความย่ิง

ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานอภัย ความหยอน และความเหมาะควรพอดี

แกอาตมะ ผมู สี ติปญญานอย. ถูกผิดข้ันตอนหรือไม เปนตน ในการ

ขอถวายพระพร ปฏิบัติ โดยเฉพาะการปฏิบัติตอการ

๕๒๔

อตถิ ิพลี ๕๒๕ อติเรกจวี ร

ปฏบิ ตั ขิ องตน เชน ทานกลาววา (ข.ุ ม.๒๙/ อ่ืน (เหนอื ขั้นฌานสมาบัตขิ นึ้ ไป เปนข้นั
๓๓๘/๒๒๘) สําหรับอกุศลธรรม เราควร ถงึ ความส้ินอาสวะ ซ่งึ เปนสตั บรุ ษุ อยาง
สลัดละ แตสาํ หรับกศุ ลธรรมทงั้ สามภูมิ เดียว ไมมีอสัตบุรุษ จึงไมมีความ
เราควรมีอตัมมยตา (ความไมติดยึด), สําคัญมั่นหมายอะไรที่จะเปนเหตุใหยก
ในสัปปุริสสูตร (ม.อุ.๑๔/๑๙๑/๑๔๑) พระ ตนขมใครอีกตอไป), ใน อตมั มยสูตร
พุทธเจาตรัสแสดงสัปปุริสธรรม และ (อง.ฺ ฉกกฺ .๒๒/๓๗๕/๔๙๓) ตรสั วา อานสิ งส
อสัปปุริสธรรม ใหเห็นความแตกตาง อยางแรก (ใน ๖ อยาง) ของการตง้ั
ระหวางอสัตบุรุษ กบั สัตบรุ ษุ วา อสตั - อนัตตสัญญาอยางไมจาํ เพาะในธรรมทง้ั
บรุ ุษถือเอาคุณสมบตั ิ การปฏิบัติ หรือ ปวง คือจะเปนผูอตัมมยั ในทงั้ โลก, ใน
ความกาวหนาความสําเร็จในการปฏิบัติ วิสุทธมิ คั ค กลาวถึงอตัมมยตา ทีต่ รสั
ของตน เชน ความมีชาตติ ระกูลสูง ลาภ ในสฬายตนวิภังคสูตร วาเปน วฏุ ฐาน-
ยศ ความเปนพหสู ตู ความเปนธรรมกถกึ คามนิ ีวปิ สสนา (ม.อุ.๑๔/๖๓๒/๔๐๗; วสิ ุทธฺ .ิ
การถือธุดงค มีการอยูปาอยูโคนไม ๓/๓๑๘)
เปนตน จนถึงการไดฌานสมาบัติ มา อติถิพลี การจัดสรรสละรายไดหรือ
เปนเหตุยกตน-ขมผูอื่น สวนสัตบุรุษ ทรัพยสวนหน่ึงเปนคาใชจายสําหรับเอื้อ
จะมีดีหรือกาวไปไดสูงเทาใด ก็ไมถือ เฟอเกื้อกูลกันในดานการตอนรับแขก,
เปนเหตยุ กตน-ขมผอู น่ื เชนนนั้ ในเรอ่ื ง การใชรายไดหรือทรัพยสวนหนึ่งเพื่อ
นี้ มีขอพงึ สังเกตท่สี าํ คญั คือ ในระดับ แสดงนํ้าใจเออื้ เฟอในการตอนรบั ผไู ปมา
แหงคุณสมบัติและการถือปฏิบัติทั่วไป หาสู (ขอ๒ในพลี๕แหงโภคอาทยิ ะ ๕)
สตั บุรษุ “กระทําปฏปิ ทาไวภายใน” (ใจ อติเทพ ดู อดเิ ทพ
อยูกับการปฏิบัติที่ถูกตองเปนหลัก อติมานะ ดูหม่ินทาน, ความถือตัววา
หรือเอาการปฏิบัติที่ถูกตองมาตั้งเปน เหนือกวายิ่งกวาเขา (ขอ ๑๔ ใน
หลักไวในใจ) จึงไมเอาคุณสมบัติใดๆ อปุ กเิ ลส ๑๖); ดู มานะ
มาเปนเหตุใหยกตน-ขมผูอื่น สวนใน อติเรก ดู อดิเรก
ความสําเร็จข้ันฌานสมาบัติ สัตบุรุษ อติเรกจวี ร จีวรเหลอื เฟอ, ผาสวนเกนิ
“กระทาํ อตัมมยตาไวภายใน” (ใจอยูกบั หมายถึงผาที่เขาถวายภิกษุเพิ่มเขามา
อตมั มยตาทตี่ ระหนักรอู ย)ู จึงไมถือการ นอกจากผาทอ่ี ธษิ ฐานเปนไตรจวี ร และ
ไดฌานสมาบัติมาเปนเหตุยกตน-ขมผู มิไดวิกัปไว; ตรงขามกับ จีวรอธิษฐาน;

๕๒๕

อตเิ รกบาตร ๕๒๖ อเทสนาคามินี

อดเิ รกจวี ร กเ็ รยี ก; ดู วกิ ปั , อธิษฐาน ๔ วาดวยคาถาอาคมทางไสยศาสตร การ
อติเรกบาตร บาตรของภิกษุท่ีเขาถวาย ปลุกเสกตางๆ เปนสวนเพ่ิมเขามาตอ
เพิ่มเขามา นอกจากบาตรอธิษฐาน, จาก ไตรเพท; อาถัพพนเวท, อถรรพเวท,

พระพุทธเจาอนุญาตใหภิกษุมีบาตรไว อาถรรพณเวท ก็เขยี น

ใชใบเดียว ซึ่งเรียกวาบาตรอธิษฐาน อทวารรปู ดูที่ รปู ๒๘
หากมหี ลายใบ ตง้ั แตใบท่ี ๒ ขึ้นไป อทินนาทาน ถือเอาสิ่งของท่ีเจาของไม
และมิไดวิกปั ไว เรียกวาอตเิ รกบาตร; ดู ไดใหดวยอาการแหงขโมย, ขโมยสิ่ง
วิกปั , อธิษฐาน
ของ, ลักทรพั ย (ขอ ๒ ในกรรมกิเลส

อตเิ รกปกษ เกนิ เวลาปกษหน่งึ คือเกิน ๔ ในอกุศลกรรมบถ ๑๐)
อทินนาทานา เวรมณี เวนจากการถือ
๑๕ วัน แตยงั ไมถงึ เดอื น

อตเิ รกมาส เกนิ เวลาเดอื นหนึง่ เอาส่ิงของทเ่ี จาของไมไดให, เวนการลกั

อติเรกลาภ ลาภเหลือเฟอ, ลาภสวน ขโมย (ขอ ๒ ในศลี ๕ ศีล ๘ ศลี ๑๐

พิเศษ, ลาภเกินปรกติ กศุ ลกรรมบถ ๑๐)

อติเรกวีสติวรรค สงฆพวกท่ีกําหนด อทสิ สมานกาย กายทีม่ องไมเหน็ , ผมู ี

จํานวนเกนิ ๒๐ รูป กายไมปรากฏ, ไมปรากฏราง, มองไม

อตีตภวงั ค ดู วถิ จี ติ เหน็ ตัว กลาวคือ เปนวิสัยของผูมีฤทธ์ิ

อตีตานาคตังสญาณ ญาณเปนเครื่องรู บางประเภท (วิกพุ พนฤทธ์)ิ อาจทาํ การ

ถงึ เรอ่ื งที่ลวงมาแลว และเรื่องทย่ี ังไมมา บางอยางโดยไมใหผูอ่ืนมองเห็นราง

ถึง, ญาณหย่งั รทู งั้ อดตี และอนาคต กาย; อีกอยางหนึ่ง เปนความเช่ือของ
อตีตังสญาณ ญาณหย่ังรูสวนอดีต, พวกพราหมณวาบรรพบรุ ษุ ท่ตี ายไป มี
ปรีชากําหนดรูเหตุการณที่ลวงไปแลว ถนิ่ เปนทอ่ี ยเู รยี กวา ปตฤโลก ยงั ทรงอยู

อันเปนเหตุใหไดรับผลในปจจุบัน (ขอ ดวยเปนอทสิ สมานกาย ความเชือ่ น้ีคน

๑ ในญาณ ๓) ไทยก็รับมา แตใหบรรพบรุ ุษเหลาน้นั คง

อเตกิจฉา แกไขไมได, เยียวยาไมได อยทู บ่ี านเรอื นเดมิ อยางทเี่ รยี กวา ผเี รอื น
หมายถึงอาบัติมีโทษหนักถึงท่ีสุดตอง อทุกขมสุข (ความรูสึก)ไมทุกขไมสุข,

แลวขาดจากความเปนภกิ ษุ คอื อาบตั ิ ความรูสกึ เฉยๆ (ขอ ๓ ในเวทนา ๓)

ปาราชิก; คกู ับ สเตกจิ ฉา บางทเี รยี ก อเุ บกขา (คอื อเุ บกขาเวทนา)
อถัพพนเพท ช่ือคัมภีรพระเวทลําดับท่ี อเทสนาคามินี ดู เทสนาคามินี

๕๒๖

อโทสะ ๕๒๗ อธิกมาส

อโทสะ ความไมคิดประทษุ ราย, ธรรมท่ี กวารวมได ๓๓ วัน จงึ วางเปนหลกั มา
เปนปฏปิ กษ คอื ตรงขามกับโทสะ ได แตโบราณวา ทกุ ๓ ปจันทรคติ ใหเพมิ่
แก เมตตา (ขอ ๒ ในกุศลมลู ๓) เดอื นแปดข้นึ มาอีกเดอื นหน่งึ (คือเพมิ่
อธรรม ไมใชธรรม, ไมเปนธรรม, ผดิ ข้นึ ๓๐ วนั ) จงึ เปนเดอื นแปดสองหน
ธรรม, ช่ัวราย และเรียกเดือนแปดท่ีเพ่ิมขึ้นมาน้ันวา
อธรรมวาที ผูกลาวสิ่งท่ีมใิ ชธรรม, ผไู ม “อธกิ มาส”, สวนทย่ี ังขาดอีก ๓ วัน ให
พดู ตามหลกั ไมพูดตามธรรม, ผพู ดู ไม กระจายไปเตมิ ในปตางๆ โดยเพิ่มเดอื น
เปนธรรม, ผไู มเปนธรรมวาที ๗ ทเี่ ปนเดอื นขาดมี ๒๙ วนั ใหปนัน้ ๆ
อธกิ มาส “เดือนทีเ่ กนิ ”, เดือนทเี่ พิม่ ขึ้น เปนเดอื นเต็ม มี ๓๐ วัน (มแี รม ๑๕
ในปจนั ทรคติ (คอื ในปนน้ั มีเดือน ๘ ค่าํ เดือน ๗) และเรียกวันที่เพ่มิ ข้นึ ทาย
สองหน รวมเปน ๑๓ เดือน) เดือน ๗ นน้ั วา “อธิกวาร”

การท่ีตองมีอธิกมาสนั้น เนื่องจาก ตามวิธีคาํ นวณทก่ี ลาวมานนั้ สามปมี
เดอื นจันทรคตสิ น้ั กวาเดือนสรุ ิยคติ คือ อธิกมาสครั้งหนง่ึ กค็ ือ ๑๘ ปมอี ธิกมาส
เดอื นจันทรคตมิ ี ๓๐ วัน (เดอื นคูหรือ ๖ ครั้ง (และเหมือนจะตองมอี ธิกวารทุก
เดอื นเตม็ ) บาง มี ๒๙ วัน (เดือนคี่หรือ ป) แตเม่ือคํานวณละเอียด ปรากฏวายงั
เดอื นขาด) บาง รวมปหนง่ึ มี ๓๕๔ วนั , ไมตรงแท เชนวา ปสุรยิ คตมิ ิใชมี ๓๖๕
สวนเดือนสรุ ยิ คตมิ ี ๓๐ วันบาง มี ๓๑ วนั ถวน แตมี ๓๖๕.๒๔๒๑๙๙ วนั (ดัง
วนั บาง (เวนเดอื นกมุ ภาพนั ธทมี่ ี ๒๘ วนั ) ที่ทุก ๔ ป ตองเพ่ิมปสุรยิ คติเปน ๓๖๖
รวมปหนง่ึ มี ๓๖๕ วนั , ดงั นน้ั ปจนั ทรคติ วนั โดยใหเดอื นกุมภาพนั ธเพม่ิ จาก ๒๘
จึงสั้นกวาปสุริยคติ ๑๑ วัน, เมื่อเวลา เปน ๒๙ วนั ), พรอมกันนั้น ปจันทรคติ
ผานไปนานๆ วนั เดอื นปแบบจนั ทรคติ ก็มใิ ชมี ๓๕๔ วนั ถวน แตมี ๓๕๔.๓๖ วัน
ก็จะหางกับวันเดือนปแบบสุริยคติมาก ดังนี้เปนตน, เมื่อจะใหปฏิทินแมนยํา
ขึ้นไปเร่ือยๆ และจะไมตรงกับฤดูกาล มากขน้ึ จึงไดวางหลกั ทซี่ บั ซอนขนึ้ กวา
จนกระทั่งเขาพรรษาก็จะไมตรงฤดูฝน เดิมเปนวา ในรอบ ๑๙ ป ใหมีอธกิ มาส
จึงตองมีวิธีที่จะปรับปจันทรคติใหตรง ๗ คร้ัง (สวนอธิกวารก็หางออกไป
หรือใหใกลเคียงกับปสุรยิ คติ ประมาณ ๕-๗ ป หรอื บางทนี านกวานน้ั
จึงมีครง้ั หนึง่ และถอื เปนหลักวา ไมให
ดวยเหตุท่ีปจันทรคติส้ันกวาปสุริย- เพิ่มอธกิ วารในปอธกิ มาส คอื ปอธกิ มาส
คติ ๑๑ วนั เมือ่ ผานไป ๓ ป กจ็ ะส้ัน
๕๒๗

อธกิ รณ ๕๒๘ อธกิ าร

ตองเปนปกตวิ าร) จันทรคติ (คือในปนั้น เติมใหเดือนเจ็ด

อนึ่ง เมื่อจะเทียบกับปที่มีอธิกมาส เปนเดือนเต็มมี ๓๐ วัน) เพ่ือเสริม

จึงเรียกปปกติที่ไมมีอธิกมาส วาเปน อธิกมาส ในการปรับใหปฏทิ ินจนั ทรคติ

ปกตมิ าส มีฤดูกาลตรงหรือใกลเคียงกับปฏิทิน

อธกิ รณ เรอื่ งท่ีเกิดขน้ึ แลวจะตองจดั ตอง สรุ ยิ คติ แตถอื เปนหลกั วา มใิ หมอี ธกิ วาร

ทาํ , เรอ่ื งทส่ี งฆตองดาํ เนนิ การ มี ๔ อยาง ในปเดยี วกนั กบั อธกิ มาส, เมอ่ื เทยี บกับ
คอื ๑. วิวาทาธกิ รณ การเถยี งกนั เกย่ี ว ปทีม่ อี ธกิ วาร ใหเรยี กปปกตทิ ่ไี มมอี ธกิ -
กับพระธรรมวินัย ๒. อนุวาทาธิกรณ วาร วาเปนปกติวาร; ดู อธกิ มาส
การโจทหรือกลาวหากันดวยอาบัติ ๓. อธิกสรุ ทนิ “วันสุริยคตอิ ันเกิน”, วนั ท่ี
อาปตตาธกิ รณ การตองอาบัติ การปรับ เพิ่มขึน้ ในปสรุ ยิ คติ คอื ในปนั้น เดอื น

อาบัติ และการแกไขตวั ใหพนจากอาบัติ กุมภาพันธมีจํานวนวันเพ่ิมขึ้นวันหน่ึง
๔. กิจจาธิกรณ กิจธุระตางๆ ทสี่ งฆจะ จาก ๒๘ เปน ๒๙ วนั , ทง้ั นี้มีหลกั วา

ตองทาํ เชนใหอุปสมบท ใหผากฐิน, ใน ตามปกติ ๔ ป มอี ธิกสุรทนิ ครง้ั หน่งึ

ภาษาไทยอธิกรณมคี วามหมายเลือนราง โดยมีวธิ ีคํานวณ คือ เอาจาํ นวน ๕๔๓

ลงและแคบเขา กลายเปน คดีความ หักออกจากพทุ ธศักราช ใหเหลอื ตัวเลข

โทษ เปนตน เทากับ ค.ศ. แลวหารดวย ๔ ถาปใด

อธกิ รณสมถะ ธรรมเคร่ืองระงับอธกิ รณ, หารลงตวั ปนั้นมอี ธิกสรุ ทนิ (เชน พ.ศ.

วธิ ดี าํ เนนิ การเพอ่ื ระงบั อธกิ รณ มี ๗ วิธี ๒๕๔๗–๕๔๓ = ๒๐๐๔ ÷ ๔ = ๕๐๑
คือ ๑. สมั มุขาวนิ ัย วธิ ีระงบั ในทีพ่ รอม ลงตัว จงึ เปนปท่ีมีอธกิ สุรทนิ ) แตทง้ั นี้
หนา ๒. สตวิ ินยั วิธรี ะงบั โดยถอื สติเปน ยกเวนตัวเลขท่ีครบเปนหลักรอย (ลง
หลัก ๓. อมูฬหวินัย วธิ ีระงบั สําหรบั ผู ทาย ๐๐) ตองหารดวย ๔๐๐ ลงตัว จึง
หายจากเปนบา ๔. ปฏิญญาตกรณะ การ จะมีอธกิ สุรทิน (เชน พ.ศ.๒๔๔๓–๕๔๓
ทาํ ตามท่ีรับ ๕. ตสั สปาปยสิกา การ = ๑๙๐๐ แมจะหารดวย ๔ ลงตวั แต
ตัดสินลงโทษแกผูผิด (ท่ีไมรับ) ๖. หารดวย ๔๐๐ ไมได กไ็ มมอี ธิกสรุ ทิน)
เยภยุ ยสิกา การตดั สนิ ตามคาํ ของคนขาง อธกิ าร 1. “ตวั การ”, ตัวทําการ, เจาการ,
มาก ๗. ตณิ วตั ถารกวนิ ัย วิธดี ุจกลบไว เจากรณี, เจาของเรอื่ ง, เรื่องหรือกรณที ่ี

ดวยหญา (ประนีประนอม) กําลงั พิจารณา, เรื่องท่ีเกย่ี วของ, เรอ่ื งท่ี

อธิกวาร “วันอนั เกนิ ”, วนั ทเ่ี พิม่ ขน้ึ ในป เปนขอสําคัญ หรือท่ีเปนขอพิจารณา,

๕๒๘

อธคิ ม ๕๒๙ อธิจติ ตสิกขา

สวนหรือตอนท่ีวาดวยเรื่องน้ันๆ เชน ไมมีสมณศักด์ิอยางอื่นวา เจาอธิการ,

“ในอธิการน”้ี หมายความวา ในเร่ืองนี้ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากความในวรรคสุด
หรือในตอนนี้ 2. “การอันย่งิ ” ๑) การทํา ทายของมาตรา ๑๒ แหงพระราชบัญญตั ิ

ความดีท่ียิ่งใหญหรืออยางพิเศษ, บุญ ลกั ษณะปกครองคณะสงฆ ร.ศ. ๑๒๑

หรือคุณความดีสําคัญที่ไดบําเพ็ญมา, วา “อนง่ึ เจาอาวาสท้งั ปวงนน้ั ถาไมได

ความประพฤติปฏิบัติท่ีเคยประกอบไว อยูในสมณศักดิ์ท่ีสูงกวา ก็ใหมีสมณ-

หรือการอันไดบําเพ็ญมาแตกาลกอน ศักด์ิเปนอธิการ” ซึ่งมีเชิงอรรถใต

หรือท่ีไดสั่งสมตระเตรียมเปนทุนไว มาตรา อันเปนพระนิพนธของสมเด็จ

เชน “พระเถระน้นั เปนผูมีอธกิ ารอันได พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณ-
ทาํ ไว ในสมถะและวปิ สสนา” ๒) การ วโรรส กาํ กับไวดวยวา “(๑๕) เจาอาวาส

อนั สาํ คัญหรอื ทที่ าํ อยางจรงิ จงั อันเปน เปนพระอธิการ รองแขวงท่ีเรียกอีก

การแสดงความเคารพรักนับถือหรือ โวหารหนึ่งวาเจาคณะหมวด เปนเจา

เกอื้ กลู ตลอดจนโปรดปราน เชน การบชู า อธิการ ในบดั น้ีพระอุปชฌายะกเ็ ปนเจา

การชวยเหลือที่สําคัญ การทําความดี อธกิ ารเหมอื นกัน”
ความชอบ การใหรางวลั 3. “การทําให อธคิ ม การบรรล,ุ การเขาถึง, ปฏเิ วธ,

เกนิ ”, “การทาํ ใหเพ่มิ ขึน้ ”, การเตมิ คาํ การลผุ ลปฏิบัติ เชน บรรลุมรรคผล
หรือขอความท่ีละไว หรือใสเพมิ่ เขามา อธิคมธรรม ธรรมขั้นบรรลุผลแหงการ

เพือ่ ใหไดความหมายครบถวน, คาํ หรือ ปฏบิ ัติ, อตุ ตริมนุสสธรรม เชน ฌาน
ขอความที่เติมหรือใสเพ่ิมเขามาเชนนั้น, อภญิ ญา มรรค ผล; ดูอตุ ตรมิ นสุ สธรรม
คาํ หรอื ขอความทจ่ี ะตองนาํ ไปเตมิ หรอื ใส อธจิ ิต, อธจิ ติ ต จติ อนั ย่ิง, เรอ่ื งของการ

เพ่ิมในที่นั้นๆ เพื่อใหเขาใจความหมาย เจรญิ สมาธอิ ยางสงู หมายถงึ ฌานสมาบตั ิ

หรือไดกฎเกณฑท่ีจะปฏิบัติใหถูกตอง ทเ่ี ปนบาทแหงวปิ สสนา หรอื แมสมาธทิ ี่

ครบถวน 4. อาํ นาจ, ตาํ แหนง, หนาท,่ี เจริญดวยความรูเขาใจโดยมุงใหเปน

กจิ การ, ภาระ ปจจยั แหงการกาวไปในมรรค; ดูสกิ ขา

มีธรรมเนียมเรียกเจาอาวาสที่ไมเปน อธิจิตตสิกขา เรื่องอธิจิตตอันจะตอง

เปรียญและไมมีสมณศักดิ์อยางอื่นวา ศึกษา, การศกึ ษาในอธิจติ ต, ขอปฏบิ ัติ
พระอธิการ และเรียกเจาคณะตําบล สําหรับฝกอบรมพัฒนาจิตใจอยางสูง

หรือพระอุปชฌาย ทไ่ี มเปนเปรียญและ เพื่อใหเกิดสมาธิ ความเขมแข็งม่ันคง

๕๒๙

อธิฏฐาน ๕๓๐ อธศิ ลี

พรอมท้ังคุณธรรมและคุณสมบัติที่ อธิมุตติ อัธยาศัย, ความโนมเอียง,

เกื้อกูลทงั้ หลาย เชน สติ ขนั ติ เมตตา ความคิดมุงไป, ความมุงหมาย
กรณุ า สดชืน่ เบกิ บาน เปนสขุ ผองใส อธิมุตติกาลกิริยา การสิ้นชีพดวยการ

อันจะทําใหจิตใจมีสภาพที่เหมาะแกการ นอมจิตตกลงใจ; การเกิดอยูในภพสงู ๆ

ใชงาน เฉพาะอยางยิง่ ใหเปนฐานแหง อยางบรรดาเทวโลก ซ่ึงมีอายุยืนยาว

การเจริญปญญา (ขอ ๒ ในสกิ ขา ๓ มาก ทาํ ใหชกั ชาเสยี โอกาสในการบาํ เพญ็

หรือไตรสิกขา) เรียกกันงายๆ วา บารมี พระโพธิสตั วที่เกดิ อยูในภพอยาง
สมาธ;ิ ดู สกิ ขา น้ัน เมื่อไมประสงคจะรอเวลาจนสนิ้ อายุ
อธิฏฐาน ดู อธษิ ฐาน กส็ ามารถนอมจติ ปลงใจส้ินชพี หรือตั้ง
อธบิ ดี ใหญย่งิ , ผเู ปนใหญ, หัวหนา จติ จะไมมชี ีวติ อยูตอไป ซ่ึงสาํ เร็จไดใน
อธิบาย ไขความ, ขยายความ, ชแ้ี จง; บัดน้ันช่ัวเวลาหลับตากะพริบตา แลว

ความประสงค เกิดในมนุษยโลกเพ่ือบําเพ็ญบารมีตอ
อธิปเตยยะ, อธปิ ไตย ความเปนใหญมี ไป อยางนี้เรยี กวาอธมิ ตุ ติกาลกริ ยิ า ซ่ึง
๓ อยาง คือ ๑. อตั ตาธิปไตย ความมี พระโพธิสัตวเทานั้นทําได บรรดาเทพ
ตนเปนใหญ ๒. โลกาธปิ ไตย ความมี อ่นื ทั้งปวงไมอาจทาํ ได เพราะไมเปนวสี
โลกเปนใหญ ๓. ธัมมาธปิ ไตย ความมี (ผูมีอํานาจ) ในจิต และในกรรม อยาง

ธรรมเปนใหญ พระโพธสิ ตั ว (อธมิ ตุ ตกาลกริ ิยา กเ็ รยี ก)

อธิปญญา ปญญาอันย่ิง โดยเฉพาะ อธิโมกข 1. ความปลงใจ, ความตกลงใจ,

วิปสสนาปญญา ที่กําหนดรูความจริง ความปกใจในอารมณ (ขอ ๑๐ ใน

แหงไตรลักษณ; ดู สกิ ขา อญั ญสมานาเจตสิก ๑๓) 2. ความนอม

อธิปญญาสิกขา เรื่องอธิปญญาอันจะ ใจเช่ือ, ความเชื่อสนิทแนว, ความ

ตองศึกษา, การศกึ ษาในอธปิ ญญา, ขอ ซาบซึ้งศรัทธาหรือเลื่อมใสอยางแรงกลา

ปฏิบัติสําหรับฝกอบรมพัฒนาปญญา ซ่ึงทําใหจิตใจเจิดจาหมดความเศรา

อยางสูง เพอ่ื ใหเกิดความรูแจง มองเห็น หมอง (ขอ ๖ ในวิปสสนูปกิเลส ๑๐)
ส่งิ ท้งั หลายตามเปนจริง อนั จะทาํ ใหจติ อธิวาสนขันติ ความอดทนคือความอด

ใจหลุดพนเปนอสิ ระ ปราศจากกเิ ลสและ กล้นั
ความทกุ ข (ขอ ๓ ในสิกขา ๓ หรอื ไตร- อธศิ ีล ศีลอันยงิ่ หมายถึงปาตโิ มกขสังวร-
สกิ ขา) เรียกกนั งายๆ วาปญญา; ดูสกิ ขา ศีล ตลอดลงมาจนถงึ ศลี ๕ ศลี ๘ ศีล

๕๓๐

อธศิ ลี สิกขา ๕๓๑ อธษิ ฐาน

๑๐ ทร่ี กั ษาดวยความเขาใจ ใหเปนเครอ่ื ง เพม่ิ มาอกี หรอื เกนิ จากนน้ั ไปกเ็ ปนอตเิ รก
หนนุ นาํ ออกจากวฏั ฏะ หรอื เปนปจจยั ให เชน เปนอตเิ รกจวี ร, อตเิ รกบาตร, คํา
กาวไปในมรรค; ดู สกิ ขา อธิษฐาน เชน “อิมํ สงฺฆาฏึ อธฏิ ามิ”
อธศิ ีลสิกขา เรือ่ งอธิศลี อันจะตองศึกษา, (ถาอธษิ ฐานของอ่ืน กเ็ ปลี่ยนไปตามช่ือ
การศึกษาในอธิศีล, ขอปฏิบัติสําหรับ ของนั้น เชนวา อุตตฺ ราสงคฺ ,ํ อนตฺ รวาสก,ํ
ฝกอบรมพัฒนาศีลอยางสงู ที่จะใหตงั้ ปตตฺ ํ เปนตน); ดู วกิ ปั , ปจจทุ ธรณ 2.
อยใู นวินัย รูจักใชอินทรยี และมีพฤติ- ความตง้ั ใจม่ัน, การตดั สินใจเด็ดเดยี่ ว,
กรรมทางกายวาจาดงี าม ในการสัมพนั ธ ความต้ังใจมน่ั แนวที่จะทําการใหสําเรจ็ ลุ
ท่ีจะอยูรวมสังคมกับผูอ่ืนและอยูในสิ่ง จุดหมาย, ความต้ังใจหนักแนนเด็ด
แวดลอมตางๆ ดวยดี ใหเปนประโยชน เดย่ี ววาจะทําการน้นั ๆ ใหสําเร็จ และ
เกอ้ื กูล ไมเบยี ดเบยี น ไมทาํ ลาย และให มั่นคงแนวแนในทางดําเนินและจุดมุง
เปนพ้ืนฐานแหงการฝกอบรมพัฒนาจิต หมายของตน เปนบารมอี ยางหนง่ึ เรียก
ใจในอธจิ ิตตสกิ ขา (ขอ ๑ ในสกิ ขา ๓ วา อธษิ ฐานบารมี หรอื อธฏิ ฐานบารมี
หรือไตรสิกขา), เขียนอยางบาลีเปน (ขอ ๘ ในบารมี ๑๐) 3. ธรรมเปนทม่ี น่ั ,
อธสิ ีลสิกขา และเรียกกนั งายๆ วา ศลี ; ในแบบเรียนธรรมของไทย เรียกวา
ดู สกิ ขา อธิษฐานธรรม; ดู อธษิ ฐานธรรม 4. ใน
อธษิ ฐาน 1. ในทางพระวินยั แปลวา ภาษาไทย ใชเปนคาํ กริยา และมักมี
การตัง้ เอาไว ตงั้ ใจกําหนดแนนอนลงไป ความหมายเพย้ี นไปวา ตง้ั ใจมงุ ขอใหได
เชน อธษิ ฐานพรรษา ตงั้ เอาไวเปนของ ผลอยางใดอยางหนึ่ง, ตั้งจิตปรารถนา
เพ่ือการน้นั ๆ หรือต้งั ใจกาํ หนดลงไปวา เฉพาะอยางย่ิง ต้ังจิตขอตอส่ิงที่ถือวา
ใหเปนของใชประจาํ ตวั ชนดิ นน้ั ๆ เชน ได ศักดิ์สิทธิ์ใหสาํ เร็จผลอยางใดอยางหน่ึง;
ผามาผนื หนง่ึ ตงั้ ใจวาจะใชเปนอะไร คอื มีขอสังเกตวา ในความหมายเดิม
จะเปนสังฆาฏิ อุตตราสงค อนั ตรวาสก อธิษฐานเปนการต้ังใจที่จะทํา (ใหสาํ เรจ็
ก็อธษิ ฐานเปนอยางน้ันๆ เม่อื อธิษฐาน ดวยความพยายามของตน) แตความ
แลว ของน้ันเรียกวาเปนของอธิษฐาน หมายในภาษาไทยกลายเปนอธิษฐาน
เชน เปนสงั ฆาฏิอธิษฐาน จวี รอธษิ ฐาน โดยตง้ั ใจขอเพอื่ จะไดหรอื จะเอา เฉพาะ
(นยิ มเรยี กกนั วา จวี รครอง) ตลอดจน อยางยิ่งดวยอํานาจดลบันดาลโดยตน
บาตรอธษิ ฐาน สวนของชนดิ นนั้ ทไี่ ด เองไมตองทํา (บาลี: อธฏิ าน)

๕๓๑

อธษิ ฐานธรรม ๕๓๒ อนตั ตตา

อธิษฐานธรรม ธรรมท่คี วรต้ังไวในใจ, อนติรติ ตะ (อาหาร) ซ่ึงไมเปนเดน (ทีว่ า

ธรรมเปนท่มี น่ั , หลกั ธรรมทใี่ ชต้งั ตวั ให เปนเดน มี ๒ คือเปนเดนภกิ ษุไข ๑

มั่นหรือเปนที่ตั้งตัวใหม่ัน เพ่ือจะ เปนของท่ภี กิ ษุทาํ ใหเปนเดน ๑)
สามารถยึดเอาหรือลุถึงผลสําเร็จท่ีเปน อนธการ ความมดื , ความโงเขลา; เวลา

จดุ หมาย เฉพาะอยางย่งิ พระภกิ ษุใชตง้ั ค่าํ
ตัวเพ่ือจะบรรลอุ รหัตตผล มี ๔ อยาง อนภชิ ฌา ไมโลภอยากไดของเขา, ไมคดิ
คอื ๑. ปญญา ๒. สจั จะ ๓. จาคะ ๔. จองจะเอาของเขา (ขอ ๘ ในกศุ ล-
อปุ สมะ หรือสนั ติ นยิ มเรียกชอื่ เตม็ ของ กรรมบถ ๑๐)
แตละขอวา ๑. ปญญาธิฏฐาน ๒. สัจจา- อนริยปริเยสนา การแสวงหาท่ีไมเปน
ธิฏฐาน ๓. จาคาธิฏฐาน ๔. อุปสมา- อรยิ ะ คอื แสวงหาสงิ่ ทย่ี งั ตกอยใู นชาติ
ธิฏฐาน และเรยี กรวมวา อธิฏฐาน ๔ ชรามรณะ หรือส่ิงที่ระคนอยูดวยทุกข
หรือจตรุ าธฏิ ฐาน ทงั้ นม้ี หี ลกั การปฏบิ ตั ิ กลาวคือ แสวงหาสิง่ อันทาํ ใหติดอยูใน

ตามพทุ ธพจนวา ๑. พงึ ไมประมาท[หมน่ั โลก, สําหรับชาวบานทานวา หมายถึง

ใชหม่ันพัฒนา]ปญญา ๒. พึงรักษา การแสวงหาในทางมิจฉาชพี (ขอ ๑ ใน

[อนรุ กั ษ]สจั จะ ๓. พงึ เพมิ่ พนู จาคะ ๔. ปรเิ ยสนา ๒)
พึงศึกษาสันติ (เรียงคําอยางบาลีเปน อนวิเสส หาสวนเหลือมไิ ด, ไมเหลอื เลย,

สนั ตศิ กึ ษา) ส้นิ เชิง

อธษิ ฐานพรรษา ความต้ังใจกําหนดลง อนังคณสูตร ชื่อสตู รท่ี ๕ แหงมัชฌิม-

ไปวาจะอยูจําพรรษา ณ ที่ใดที่หน่ึง นกิ าย มูลปณณาสก พระสุตตันตปฎก
ตลอดไตรมาส (๓ เดอื น); ดู จาํ พรรษา เปนคําสนทนาระหวางพระสารีบุตรกับ
อธิษฐานอุโบสถ อุโบสถที่ทําดวยการ พระโมคคัลลานะ วาดวยกเิ ลสอนั ยวน

อธิษฐาน ไดแก อโุ บสถทีภ่ ิกษุรูปเดยี ว ใจ และความตางแหงผูมีกิเลสยวนใจ

ทํา กลาวคือ เม่ือในวัดมีภิกษุรปู เดียว กบั ผูไมมกี เิ ลสยวนใจ
ถึงวันอุโบสถ เธอพึงอธิษฐานคือตั้งใจ อนญั ญาตญั ญสั สามตี นิ ทรยี (อนัญญ-
หรอื กําหนดใจวา “อชฺช เม อุโปสโถ” ตัญญัสสามีตินทรยี ก็เขยี น) ดู อินทรีย
แปลวา “วนั นี้อโุ บสถของเรา” เรยี กอกี ๒๒
อยางหนึ่งวา ปุคคลอุโบสถ (อุโบสถ อนตั ตตา ความเปนอนัตตา, ความไม
ของบคุ คล หรอื ทาํ โดยบคุ คล); ดู อโุ บสถ เปนไมมีตัวตน (ขอ ๓ ในไตรลักษณ);

๕๓๒

อนัตตลักขณสตู ร ๕๓๓ อนัตตา

ดู อนตั ตา, อนตั ตลกั ษณะ ทกุ ขลกั ษณะ, อนจิ จลักษณะ
อนัตตลักขณสูตร ชื่อพระสูตรทีแ่ สดง อนัตตสัญญา กําหนดหมายถึงความ

ลักษณะแหงเบญจขนั ธ วาเปนอนัตตา เปนอนัตตาแหงธรรมท้ังหลาย (ขอ ๒

พระศาสดาทรงแสดงแกภิกษุปญจ- ในสัญญา ๑๐)
วัคคีย ภิกษุปญจวัคคียไดสําเร็จพระ อนัตตา ไมใชอตั ตา, ไมใชตัวใชตน, ไม

อรหัต ดวยไดฟงอนัตตลักขณสูตรน้ี เปนไมมีตวั ตน; ส่งิ ทัง้ หลายท้งั ปวง ไม

(มาในมหาวรรค พระวนิ ยั ปฎก และใน เปนไมมีอตั ตา แตเปนสภาวะ ซงึ่ มภี าวะ

สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค พระ ของมนั เอง ท่เี ปนอยเู ปนไปตามธรรมดา

สุตตนั ตปฎก) ของมนั ไมมตี วั ตนอะไรทีจ่ ะเปนเจาของ

อนัตตลักษณะ ลักษณะท่ีเปนอนัตตา, ครอบครอง หรือสงั่ การบัญชา ใหเปนไป

ลักษณะท่ีใหเห็นวาเปนของมิใชตัวตน อยางใดๆ ตามความปรารถนาของใครๆ
โดยอรรถตางๆ เชน ๑. เปนของสูญ คือ “สพฺเพ ธมฺมา อนตตฺ า” ธรรมทั้ง

วางเปลาจากความเปนสัตว บุคคล ตวั ปวง คอื ท้ังสงั ขตธรรมคอื สงั ขาร และ

ตน เรา เขา หรือการสมมติเปนตางๆ อสังขตธรรมคือวิสังขาร เปนอนัตตา

(ในแงสังขตธรรม คือสังขาร กเ็ ปนเพยี ง คือไมเปนไมมตี ัวตน

การประชุมเขาขององคประกอบท่ีเปน ตัวอยางในจําพวกสังขตธรรม เชน

สวนยอยๆ ท้ังหลาย) ๒. เปนสภาพหา คนพูดวาแขนของตน หรือวาแขนของ

เจาของมิได ไมเปนของใครจรงิ ๓. ไม ตัวเขา ดังที่เขาสั่งบงั คบั แขนน้ันใหหยบิ

อยูในอํานาจ ไมเปนไปตามความ ใหยก ใหทาํ อะไรๆ ไดตามปรารถนา

ปรารถนา ไมขนึ้ ตอการบงั คับบญั ชาของ แตแทจริงนั้น แขนนั้นเคลื่อนไหวเปน

ใครๆ ๔. เปนสภาวธรรมท่ดี าํ รงอยูหรือ ไปตางๆ อยางน้ันๆ ได ตามเหตุปจจยั

เปนไปตามธรรมดาของมนั (ในแงสงั ขต- ที่สัมพันธกนั ถาเหตปุ จจัยขาดหายหรอื

ธรรม คือสังขาร กเ็ ปนไปตามเหตปุ จจยั เปนไปอยางอืน่ เชน เสนประสาทหรือ

ขึ้นตอเหตุปจจัย ไมมีอยูโดยลําพังตัว กลามเนื้อเสนเอน็ เสยี หาย แมเขาจะรา่ํ วา

แตเปนไปโดยสัมพันธ อิงอาศัยกันอยู “แขนของฉนั แขนของขา” เขาก็สัง่ บงั คบั

กบั สิง่ อนื่ ๆ) ๕. โดยสภาวะของมนั เองก็ แขนนั้นไมได มันเปนของเขาตามทีถ่ ือ

แยงหรือคานตอความเปนอัตตา มีแต กันหรือยดึ ถือเทานน้ั ไมเปนของเขาจริง

ภาวะที่ตรงขามกับความเปนอัตตา; ดู ใครๆ ก็ไมไดตามใจปรารถนาตอสิง่

๕๓๓

อนัตตานปุ สสนา ๕๓๔ อนาคารยิ วินยั

ท้ังหลายท่ีเขาคิดยึดถือวาเปนตัวเขาเปน อนาคต ยังไมมาถงึ , เรอ่ื งที่ยงั ไมมาถึง,

ของตัวเขา วามันจงเปนอยางน้ี มันจง เวลาทีย่ งั ไมมาถงึ
อยาเปนอยางนั้น เพราะมันเปนตัวเขา อนาคตังสญาณ ญาณหยั่งรูสวน

เปนของตัวเขา ตามที่ยึดถือหรือตกลง อนาคต, ปรีชากําหนดรูคาดผลขางหนา

ยอมรบั กันเทานั้น แตเม่อื เขาตองการให อันสืบเน่ืองจากเหตุในปจจุบันหรือใน

อะไรเปนอยางไร เขาตองเรียนรูเขาใจ อนาคตกอนเวลานนั้ (ขอ ๒ ในญาณ ๓)
เหตุปจจัยที่จะใหเปนอยางน้ัน แลว อนาคามิผล ผลท่ีไดรับจากการละ

ปฏบิ ตั ิจดั ทาํ ทเ่ี หตุปจจัย สังโยชน คือ กามราคะ และปฏิฆะดวย

เมอื่ รูความจรงิ วามนั เปนอนัตตา วา อนาคามิมรรค อันทําใหเปนพระ

มันมีภาวะของมันเองแลว ก็จะไมทกุ ข อนาคามี
เมอื่ สิง่ น้นั ๆ ไมเปนไปตามตัณหาทอ่ี ยาก อนาคามมิ รรค ทางปฏบิ ัตเิ พอ่ื บรรลุผล

ที่ปรารถนา แตรูตรงไปท่ีเหตุปจจัยวา คือความเปนพระอนาคามี, ญาณคือ

แกไขไดหรือไมได และแกไขจัดการที่ ความรูเปนเหตุละโอรัมภาคิยสังโยชน

เหตุปจจยั นน้ั ๆ; ดู อนตั ตลกั ษณะ ไดท้ัง ๕ (คือ ละไดเด็ดขาดอกี ๒ อยาง

อนัตตานปุ สสนา การตามดูมองเห็นใน ไดแก กามราคะ และปฏิฆะ เพ่ิมจาก ๓

สภาพท่ีเปนอนัตตา คือหาตัวตนเปน อยางท่ีพระโสดาบนั ละไดแลว)

สาระแทจรงิ มไิ ด อนาคามี พระอริยบุคคลผูไดบรรลุ

อนันต ไมมีท่ีสิ้นสุด, มากเหลือเกิน, อนาคามิผล มี ๕ ประเภท คอื ๑.
อันตราปรินิพพายี ผูปรินิพพานใน
มากจนนับไมได

อนันตริยกรรม กรรมหนัก, กรรมทเ่ี ปน ระหวางอายุยังไมถึงกึ่ง (หมายถึงโดย
บาปหนกั ท่ีสดุ ตดั ทางสวรรค ตดั ทาง กเิ ลสปรนิ พิ พาน) ๒. อปุ หจั จปรนิ พิ พายี ผู
นพิ พาน, กรรมท่ใี หผลคอื ความเดอื ด ปรินิพพานเมื่อจวนจะถึงสิ้นอายุ ๓.
รอนไมเวนระยะเลย มี ๕ อยางคอื ๑. อสงั ขารปรนิ พิ พายี ผนู พิ พานโดยไมตองใช
มาตุฆาต ฆามารดา ๒. ปตุฆาต ฆาบดิ า ความเพยี รนกั ๔. สสงั ขารปรนิ พิ พายี ผู
๓. อรหนั ตฆาต ฆาพระอรหนั ต ๔. โลห-ิ ปรินิพพานโดยตองใชความเพียรมาก
ตุปบาท ทํารายพระพุทธเจาจนถึงยัง ๕. อุทธังโสโต อกนิฏฐคามี ผูมกี ระแส
พระโลหิตใหหอข้ึนไป ๕. สงั ฆเภท ทํา ในเบื้องบนไปสอู กนิฏฐภพ
อนาคาริยวินัย วินัยของอนาคาริก; ดู
สงฆใหแตกกัน

๕๓๔

อนาจาร ๕๓๕ อนาโรจนา

วินยั ๒ อนาปตติวาร ตอนวาดวยขอยกเวนทีไ่ ม
อนาจาร ความประพฤติไมดีไมงามไม ตองปรบั อาบตั นิ ัน้ ๆ ตามปกตอิ ยูทายคาํ

เหมาะสมแกบรรพชิต แยกเปน ๓ อธิบายสิกขาบทแตละขอในคัมภีรวิภังค

ประเภท คอื ๑. การเลนตางๆ เชน เลน พระวินัยปฎก
อยางเดก็ ๒. การรอยดอกไม ๓. การ อนามัฏฐบิณฑบาต อาหารท่ีภิกษุ

เรยี นดริ ัจฉานวชิ า เชน ทายหวย ทาํ บิณฑบาตไดมายังไมไดฉนั จะใหแกผู

เสนห อื่นที่ไมใชภิกษุดวยกันไมได นอกจาก
อนาณัตติกะ อาบัติที่ตองเฉพาะทําเอง มารดาบิดา
ไมตองเพราะสงั่ คือสั่งใหผอู ืน่ ทําไมตอง อนามาส วัตถุอันภิกษุไมควรจับตอง

อาบตั ิ เชน สังฆาทเิ สส สกิ ขาบทที่ ๑ เชน รางกายและเครื่องแตงกายสตรี

(แตส่งั ใหทําแกตน ไมพนอาบตั )ิ เงินทอง อาวธุ เปนตน

อนาถบิณฑิก อบุ าสกคนสําคัญในสมยั อนาโรจนา “การไมบอก” คือ ไมบอก

พทุ ธกาล เดิมชอื่ สทุ ตั ต เปนเศรษฐอี ยู ประจานตัวแกภิกษุทั้งหลายภายในเขต

ทเ่ี มอื งสาวตั ถี ตอมาไดนบั ถอื พระพทุ ธ- ๒ เลฑฑุบาตจากเคร่ืองลอมหรือจาก

ศาสนา บรรลุโสดาปตติผล เปนผูมี อปุ จารแหงอาวาส ใหรทู ั่วกันวาตนตอง

ศรัทธาแรงกลา สรางวัดพระเชตวัน อาบัติสังฆาทิเสส กําลังอยูปริวาสหรือ

ถวายแดพระพุทธเจาและภิกษุสงฆที่ ประพฤตมิ านตั ; เปนเหตอุ ยางหน่ึงของ

เมอื งสาวตั ถี ซึง่ พระพุทธเจาไดประทับ การขาดราตรีแหงมานัตหรือปริวาส ผู

จาํ พรรษารวมทง้ั หมดถึง ๑๙ พรรษา ประพฤตมิ านัตตองบอกทกุ วนั แตผูอยู

ทานอนาถบิณฑิก นอกจากอุปถัมภ ปรวิ าส ไมตองบอกทกุ วัน ปกตตั ตภิกษุ

บํารุงพระภิกษุสงฆแลวยังไดสงเคราะห รปู ใดยงั ไมไดรับบอก เธอบอกแกภกิ ษุ

คนยากไรอนาถาอยางมากมายเปน รูปน้ันครั้งหน่ึงแลว ไมตองบอกอีก
ประจํา จงึ ไดช่อื วา อนาถบิณฑกิ ซึ่ง ตลอดกาลท่ีอยูในอาวาสหรือในอนาวาส

แปลวา “ผูมีกอนขาวเพื่อคนอนาถา” นั้น แตตองบอกในทายอุโบสถ ทาย

ทานไดรับยกยองเปนเอตทัคคะในหมู ปวารณา เมื่อถึงวันนน้ั ๆ และภกิ ษุใดไดั
ทายกฝายอุบาสก; ดู เชตวนั
อนาถา ไมมีท่พี ึง่ , ยากจน, เข็ญใจ รับบอกแลวออกจากอาวาสหรืออนาวาส
อนาบัติ ไมเปนอาบัติ
น้นั ไปเมอ่ื กลับมาใหมตองไดรบั บอกอกี ;
ดู รตั ตเิ ฉท

๕๓๕

อนาวรณญาณ ๕๓๖ อนทิ สั สนอัปปฏฆิ รูป

อนาวรณญาณ ปรชี าหยง่ั รูทีไ่ มมีอะไรๆ ใคร ไมนาชอบใจ แสดงในแงโลกธรรม

มาก้นั ได หมายความวา รตู ลอด, รูทะลุ ไดแก ความเส่ือมลาภ ความเสอื่ มยศ

ปรโุ ปรง เปนพระปรีชาญาณเฉพาะของ การนินทา และความทุกข; ตรงขามกับ
พระพทุ ธเจา ไมท่ัวไปแกพระสาวก อิฏฐารมณ
อนาวาส ถิน่ ที่มิใชอาวาส คอื ไมเปนวดั อนทิ ัสสนรปู ดูท่ี อนทิ สั สนอัปปฏฆิ รูป,
อนาสวะ ไมมีอาสวะ, อันหาอาสวะมิได รปู ๒๘
อนิจจตา ความเปนของไมเที่ยง, ภาวะที่ อนทิ ัสสนสัปปฏิฆรปู ดูที่ รูป ๒๘
สงั ขารทง้ั ปวงเปนส่ิงไมเทีย่ งไมคงที่ (ขอ อนิทสั สนอปั ปฏิฆรปู รูปทม่ี องไมเห็น

๑ ในไตรลักษณ) และกระทบไมได คือรับรูไมไดดวย

อนิจจลักษณะ ลักษณะท่ีเปนอนิจจะ, ประสาทใดๆ ไมวาจะดวยจกั ษุ หรอื ดวย

ลักษณะที่ใหเห็นวาเปนของไมเทย่ี ง ไม โสตะ ฆานะ ชวิ หา และกาย แตเปน
คงที่ ไดแก ๑. เปนไปโดยการเกดิ ข้นึ ธรรมารมณ อนั รดู วยใจ, ไดแกสขุ มุ รปู

และสลายไป คอื เกดิ ดับๆ มแี ลวก็ไมมี ๑๖

๒. เปนของแปรปรวน คอื เปลย่ี น รปู ในชดุ ทใ่ี กลเคยี ง และตรงขาม อนั

แปลงแปรสภาพไปเรื่อยๆ ๓. เปนของ พงึ ทราบไวดวยกนั คอื
ชว่ั คราว อยูไดชวั่ ขณะๆ ๔. แยงตอ สนทิ ัสสนรูป รูปซ่ึงมองเห็นได คอื ตา

ความเทีย่ ง คือ โดยสภาวะของมันเอง มองเห็น มี ๑ ไดแกรปู ารมณ (หมายถึง
ก็ปฏิเสธความเทย่ี งอยูในตัว; ดู ทกุ ข- วณั ณะ คือสี), คกู ับ อนทิ สั สนรปู รปู ซง่ึ
ลักษณะ, อนัตตลกั ษณะ
อนิจจสัญญา กําหนดหมายถึงความไม มองไมเหน็ มี ๒๗ ไดแกรปู อนื่ นอกจาก

เท่ยี งแหงสังขาร (ขอ ๑ ในสัญญา ๑๐) นนั้ (มหาภตู รปู ๔ และอปุ าทายรปู อกี ๒๓)
อนิจจงั ไมเทย่ี ง, ไมคงที่, สภาพท่เี กดิ มี สัปปฏิฆรปู รูปซึง่ มีการกระทบได คือ
ข้ึนแลวก็ดับลวงไป; ดู อนิจจลักษณะ,
ไตรลักษณ รบั รูทางประสาททง้ั ๕ ทต่ี รงคูกนั มี ๑๒
อนิฏฐารมณ อารมณท่ีไมนาปรารถนา,
ไดแกปสาทรปู ๕ และวิสยั รูป ๗ (๗ คอื

นับโผฏฐัพพะเปน ๓ ไดแก ปฐวี เตโช
และวาโย), คูกับ อัปปฏิฆรูป รูปซึ่ง

สิ่งที่คนไมอยากไดไมอยากพบ แสดง กระทบไมได อนั รบั รไู มไดทางประสาททงั้

ในแงตรงขามกับกามคณุ ๕ ไดแก รปู ๕ มี ๑๖ ไดแกรปู ทเ่ี หลอื จากนนั้ (คอื สขุ มุ
เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ ทไ่ี มนารกั รปู ๑๖ นนั่ เอง); ดู สขุ มุ รปู ,รปู ๒๘

๕๓๖

อนนิ ทรียรปู ๕๓๗ อนตุ ตรยิ ะ

อนนิ ทรียรปู ดทู ่ี รูป ๒๘ รุนตอๆ ไป

อนปิ ผนั นรปู ดูท่ี รูป ๒๘ อนุชา ผูเกดิ ทีหลงั , นอง
อนมิ ิตตวิโมกข หลุดพนดวยไมถอื นมิ ติ อนุญาต ยินยอม, ยอมให, ตกลง
คือ หลุดพนดวยพิจารณาเห็นนามรูป อนุฎีกา ปกรณท่ีพระอาจารยทั้งหลาย

เปนอนจิ จะ แลวถอนนิมิตได (ขอ ๒ แตงแกหรืออธิบายเพ่ิมเติมฎีกา; ดู

ในวิโมกข ๓) อรรถกถา

อนิมิตตสมาธิ สมาธิอันพิจารณาธรรม อนุฏฐานไสยา “การนอนที่ไมมีการลกุ

ไมมีนิมิต คือ วิปสสนาท่ีใหถึงความ ขน้ึ ”, การนอนคร้งั สดุ ทาย โดยท่ัวไป

หลุดพนดวยกาํ หนดอนจิ จลกั ษณะ (ขอ หมายถึง การบรรทมครั้งสุดทายของ

๒ ในสมาธิ ๓) พระพุทธเจา ในคราวเสด็จดับขันธ-

อนิมิสเจดีย สถานท่ีพระพุทธเจาเสด็จ ปรินพิ พาน
ยืนจองดูตนพระศรีมหาโพธ์ิดวยมิได อนุตตฺ รํ ปุ ฺ กเฺ ขตตฺ ํ โลกสฺส (พระ

กระพรบิ พระเนตรตลอด ๗ วัน อยูทาง สงฆ) เปนนาบุญอนั ยอดเยยี่ มของโลก

ทิศอีสานของตนพระศรีมหาโพธิ์; ดู เปนแหลงปลูกเพาะและเผยแพรความดี

วิมตุ ติสุข อยางสงู สดุ เพราะพระสงฆเปนผบู รสิ ทุ ธ์ิ

อนิยต ไมแน, ไมแนนอน เปนชอ่ื อาบัตทิ ่ี เปนผฝู กฝนอบรมตน และเปนผเู ผยแพร

ยังไมแน ระหวางปาราชกิ สังฆาทิเสส ธรรม ไทยธรรมทถ่ี วายแกทาน ยอมมผี ล

หรือปาจิตตีย ซึ่งพระวินัยธรจะตอง อาํ นวยประโยชนสขุ อยางกวางขวางและ

วนิ จิ ฉยั ตลอดกาลยาวนาน เหมือนผนื นาดนิ ดี
อนิยตสิกขาบท สิกขาบทที่วางอาบตั ิไว พืชที่หวานลงไปยอมเผล็ดผลไพบูลย

ไมแน คือยังไมระบุชัดลงไปวาเปน (ขอ ๙ ในสังฆคณุ ๙)

ปาราชกิ หรอื สงั ฆาทเิ สส หรอื ปาจติ ตยี , อนุตตริยะ ภาวะที่ยอดเยยี่ ม, สิ่งทย่ี อด
เยีย่ ม มี ๓ คือ ๑. ทัสสนานุตตรยิ ะ
มี ๒ สกิ ขาบท

อนึก กองทพั คือ ชาง มา รถ พลเดนิ ที่ การเห็นอนั เย่ียม คอื เหน็ ธรรม ๒.
ปฏิปทานุตตริยะ การปฏิบัติอันเย่ียม
จัดเปนกองๆ แลว

อนุเคราะห เออื้ เฟอ, ชวยเหลือ; ความ คอื มรรคมอี งค ๘ ๓. วมิ ตุ ตานตุ ตรยิ ะ

เอ้ือเฟอ, การชวยเหลือ การพนอนั เยี่ยม คอื พนกเิ ลสและกอง

อนชุ น คนท่ีเกดิ ตามมา, คนรุนหลงั , คน ทุกข; อนุตตรยิ ะ อีกหมวดหน่ึงมี ๖ คอื

๕๓๗

อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ ๕๓๘ อนปุ ยอัมพวัน

๑. ทัสสนานุตตริยะ การเห็นอันเยี่ยม อนบุ ุพพกิ ถา ดู อนุปพุ พกิ ถา
๒. สวนานุตตริยะ การฟงอันเย่ียม ๓. อนบุ รุ ุษ คนรนุ หลงั , คนท่เี กิดทีหลงั
ลาภานุตตรยิ ะ ลาภหรือการไดอนั เยยี่ ม อนปุ สมั บัน ผยู ังมิไดอุปสมบท ไดแก
๔. สิกขานุตตริยะ การศึกษาอันเย่ียม คฤหสั ถและสามเณร (รวมทัง้ สิกขมานา
๕. ปารจิ รยิ านตุ ตริยะ การบาํ รงุ อนั เยยี่ ม และสามเณร)ี , ผูมใิ ชภกิ ษุหรือภกิ ษณุ ี;
๖. อนสุ สตานตุ ตรยิ ะ การระลกึ อนั เยยี่ ม เทยี บ อุปสมั บนั
อนุปาทินนกสังขาร สังขารที่กรรมไม
(ดคู าํ อธบิ ายทค่ี าํ นน้ั ๆ)

อนุตตฺ โร ปุรสิ ทมฺมสารถิ (พระผูมพี ระ ยดึ ครอง แปลกันงายๆ วา “สังขารที่ไม

ภาคเจาน้ัน) ทรงเปนสารถี ฝกคนทค่ี วร มใี จครอง” เชน ตนไม ภเู ขา เปนตน

ฝกได ทยี่ อดเย่ยี ม โดยทรงรจู กั ใชอบุ าย (ขอ ๒ ในสงั ขาร ๒)
ใหเหมาะแกบคุ คล สอนเขาไดโดยไมตอง อนุปาทินนรูป, อนปุ าทนิ นกรูป ดูท่ี รูป
ใชอาชญา และทาํ ใหเขาบรรลผุ ลทพ่ี งึ ได ๒๘
เตม็ ตามกาํ ลงั ความสามารถของเขา (ขอ อนปุ าทเิ สสนพิ พาน นพิ พานไมมอี ปุ าทิ

๖ ในพทุ ธคณุ ๙) เหลือ, ดับกิเลสไมมีเบญจขันธเหลือ

อนทุ ูต ทูตตดิ ตาม, ในพระวินยั หมาย คือ สนิ้ ทัง้ กิเลสและชีวติ หมายถึง พระ

ถึงภิกษุท่ีสงฆสมมติใหเปนตัวแทนของ อรหันตสิ้นชีวิต, นิพพานในแงท่ีเปน
สงฆ เดินทางรวมไปกับภิกษุผูถูกสงฆ ภาวะดับภพ; เทียบ สอปุ าทเิ สสนิพพาน
ลงโทษดวย ปฏิสารณียกรรม ใหไปขอ อนุปาทิเสสบุคคล บุคคลผูไมมีเชื้อ

ขมาคฤหัสถ ในกรณที ่เี ธอไมอาจไปตาม กิเลสเหลอื , ผหู มดอุปาทานสิ้นเชิง ได

ลําพัง อนุทูตทําหนาท่ีชวยพูดกับ แก พระอเสขะ คอื พระอรหนั ต; เทียบ
คฤหัสถน้ันเปนสวนตนหรือในนามของ สอปุ าทเิ สสบุคคล
สงฆ เพื่อใหตกลงรับขมา เมื่อตกลงกัน อนุปยนิคม นิคมแหงหน่ึงของมัลล-

แลว รับอาบัติที่ภิกษุนั้นแสดงตอหนา กษตั ริย ในแขวงมัลลชนบท อยทู างทศิ

เขาแลวจึงใหขมา ตะวนั ออกของเมอื งกบลิ พสั ดุ

อนบุ ญั ญตั ิ บญั ญตั เิ พ่ิมเตมิ , บทแกไข อนุปยอัมพวนั ชือ่ สวน อยูในเขตอน-ุ

เพ่ิมเติมท่ีพระพุทธเจาทรงบัญญัติเสริม ปยนคิ ม แขวงมลั ลชนบท เปนทพ่ี ระ

หรือผอนพระบัญญัติท่ีวางไวเดิม; คูกับ มหาบรุ ุษเสดจ็ พักแรม ๗ วนั หลงั จาก

บัญญัติ หรอื มลู บัญญตั ิ เสดจ็ ออกบรรพชาใหมๆ กอนเสดจ็ ตอไป

๕๓๘

อนุปพุ พปฏิปทา ๕๓๙ อนพุ ยญั ชนะ

สเู มอื งราชคฤห ในแควนมคธ และตอมา หัตถ แลนิ้วพระบาทกลมดุจนายชาง
กลึงเปนอันด,ี ๔. พระนขาทง้ั ๒๐ มีสี
เปนทเ่ี จาศากยะ มอี นรุ ทุ ธะ และอานนท อันแดง, ๕. พระนขาทัง้ ๒๐ นั้นงอน
งามชอนขึ้นเบ้ืองบนมิไดคอมลงเบ้ืองต่ํา
เปนตน พรอมดวยอบุ าลี ออกบวช ดุจเล็บแหงสามัญชนทง้ั ปวง, ๖. พระ
อนุปุพพปฏิปทา ขอปฏิบัติโดยลาํ ดับ, นขานนั้ มพี รรณอันเกลีย้ งกลมสนทิ กันมิ
การปฏบิ ัตติ ามลําดับ ไดเปนริ้วรอย, ๗. ขอพระหัตถและขอ
อนปุ พุ พวิหาร ธรรมเปนเครอ่ื งอยโู ดย พระบาทซอนอยูในพระมังสะมิไดสูงข้ึน
ลําดบั , ธรรมเครอ่ื งอยูทป่ี ระณีตตอกัน ปรากฏออกมาภายนอก, ๘. พระบาท
ข้นึ ไปโดยลาํ ดับ มี ๙ คือ รปู ฌาน ๔ ทั้งสองเสมอกันมิไดยอมใหญกวากัน
อรปู ฌาน ๔ และ สัญญาเวทยิตนิโรธ มาตรวาเทาเมล็ดงา ๙. พระดาํ เนินงาม
(สมาบัติทีด่ ับสัญญาและเวทนา) ดจุ อาการเดินแหงกญุ ชรชาติ, ๑๐. พระ
อนุปุพพิกถา เทศนาที่แสดงไปโดย ดําเนนิ งามดจุ สีหราช, ๑๑. พระดําเนนิ
ลําดับ เพื่อฟอกอัธยาศัยของสัตวให งามดุจดําเนินแหงหงส, ๑๒. พระ
ดําเนินงามดจุ อุสภราชดําเนนิ ๑๓. ขณะ
หมดจดเปนชน้ั ๆ จากงายไปหายาก เพอื่ เม่ือยืนจะยางดําเนินน้ัน ยกพระบาท
เบ้ืองขวายางไปกอน พระกายเย้ืองไป
เตรียมจิตของผูฟงใหพรอมที่จะรับฟง เบ้ืองขวากอน, ๑๔. พระชานมุ ณฑล
อริยสัจจ มี ๕ คือ ๑. ทานกถา เกลี้ยงกลมงามบริบรู ณ บมไิ ดเหน็ อฏั ฐิ
พรรณนาทาน ๒. สลี กถา พรรณนาศลี สะบาปรากฏออกมาภายนอก, ๑๕. มี
๓. สัคคกถา พรรณนาสวรรค คือ ความ บุรุษพยัญชนะบริบูรณคือมิไดมีกิริยา
สขุ ท่พี รง่ั พรอมดวยกาม ๔. กามาทีนว- มารยาทคลายสตรี ๑๖. พระนาภีมไิ ด
กถา พรรณนาโทษของกาม ๕. เนกขัม- บกพรอง กลมงามมิไดวิกลในที่ใดท่ี
มานิสังสกถา พรรณนาอานิสงสแหง หนง่ึ , ๑๗. พระอทุ รมสี ณั ฐานอันลึก,
การออกจากกาม อนุปุพพกี ถา กม็ ีใช ๑๘. ภายในพระอุทรมีรอยเวียนเปน
อนุพยัญชนะ ลักษณะนอยๆ, พระ ทกั ขณิ าวัฏฏ, ๑๙. ลาํ พระเพลาทงั้ สอง
ลักษณะขอปลีกยอยของพระมหาบุรุษ กลมงามดจุ ลําสวุ รรณกัททลี ๒๐. ลํา
พระกรทั้งสองงามดุจงวงแหงเอราวัณ
(นอกเหนือจากมหาบุรุษลักษณะ ๓๒)
๕๓๙
อีก ๘๐ ประการ คอื ๑. มนี ิว้ พระหัตถ

และนวิ้ พระบาทอันเหลืองงาม, ๒. น้ิว

พระหัตถแลน้ิวพระบาทเรียวออกไป

โดยลําดับแตตนจนปลาย, ๓. น้วิ พระ

อนพุ ยัญชนะ ๕๔๐ อนพุ ยญั ชนะ

เทพยหัตถ,ี ๒๑. พระองั คาพยพใหญ ลายพระหตั ถมีรอยอันยาว ๔๐. ลาย
นอยทั้งปวงจาํ แนกเปนอันดี คอื งาม พระหัตถมีรอยอันตรง บมิไดคอมคด
พรอมทุกสิ่งหาที่ตําหนิบมิได, ๒๒. ๔๑. ลายพระหัตถมีรอยแดงรุงเรือง,
พระมงั สะทีค่ วรจะหนาก็หนา ที่ควรจะ ๔๒. รศั มีพระกายโอภาสเปนปริมณฑล
บางก็บางตามท่ที ่ัวท้งั พระสรรี กาย, ๒๓. โดยรอบ ๔๓. กระพุงพระปรางทั้งสอง
พระมังสะมิไดหดหูในที่ใดที่หนึ่ง ๒๔. เครงครัดบรบิ รู ณ ๔๔. กระบอกพระ
พระสรีรกายทั้งปวงปราศจากตอมและ เนตรกวางแลยาวงามพอสมกัน ๔๕.
ไฝปานมูลแมลงวันมิไดมีในท่ีใดที่หนึ่ง, ดวงพระเนตรกอปรดวยประสาททง้ั ๕
๒๕. พระกายงามบริสุทธิ์พรอมสมกนั มีขาวเปนอาทผิ องใสบรสิ ุทธ์ิทั้งส้ิน ๔๖.
โดยตามลําดับท้ังเบ้ืองบนแลเบ้ืองลาง, ปลายเสนพระโลมาทั้งหลายมิไดงอมิได
๒๖. พระกายงามบริสุทธิ์พรอมส้ิน คด ๔๗. พระชิวหามีสัณฐานอันงาม
ปราศจากมลทินท้ังปวง, ๒๗. ทรงพระ ๔๘. พระชิวหาออนบมิไดกระดาง ๔๙.
กําลังมาก เสมอดวยกําลังแหงกุญชร- พระกรรณท้ังสองมีสัณฐานอันยาวดุจ
ชาติ ประมาณถึงพันโกฏิชาง ถาจะ กลีบปทุมชาติ ๕๐. ชองพระกรรณมี
ประมาณดวยกําลังบุรุษก็ไดถึงแสนโกฏิ สณั ฐานอันกลมงาม ๕๑. ระเบยี บพระ
บรุ ุษ, ๒๘. มพี ระนาสิกอันสงู , ๒๙. เสนทั้งปวงน้ันสละสลวยบมิไดหดหูในที่
สณั ฐานพระนาสกิ งามแฉลม ๓๐. มี อันใดอันหนึ่ง ๕๒. แถวพระเสนทั้ง
พระโอษฐเบื้องบนเบ้ืองตํ่ามิไดเขาออก หลายซอนอยูในพระมงั สะทงั้ สนิ้ บมไิ ด
กวากัน เสมอเปนอันดี มพี รรณแดงงาม เปนคล่ืนฟูขึ้นเหมือนสามัญชนทั้งปวง
ดุจสผี ลตําลงึ สกุ , ๓๑. พระทนตบริสทุ ธ์ิ ๕๓. พระเศียรมสี ณั ฐานงามเหมอื นฉัตร
ปราศจากมูลมลทิน, ๓๒. พระทนตขาว แกว ๕๔. ปริมณฑลพระนลาฏโดย
ดจุ ดังสีสงั ข, ๓๓. พระทนตเกลี้ยงสนทิ กวางยาวพอสมกนั ๕๕. พระนลาฏมี
มไิ ดเปนรวิ้ รอย, ๓๔. พระอนิ ทรยี ทงั้ ๕ สัณฐานอันงาม ๕๖. พระโขนงมีสณั ฐาน
มีจักขุนทรียเปนอาทิงามบริสุทธ์ิทั้งส้ิน, อันงามดุจคันธนูอันกงไว ๕๗. พระ
๓๕. พระเขีย้ วท้งั ๔ กลมบริบรู ณ, ๓๖. โลมาท่ีพระโขนงมเี สนอันละเอยี ด ๕๘.
ดวงพระพักตรมีสณั ฐานยาวสวย ๓๗. เสนพระโลมาที่พระโขนงงอกขึ้นแลวลม
พระปรางคท้ังสองดูเปลงงามเสมอกัน, ราบไปโดยลาํ ดบั ๕๙. พระโขนงนนั้ ใหญ
๓๘. ลายพระหตั ถมรี อยอันลึก, ๓๙. ๖๐. พระโขนงนนั้ ยาวสดุ หางพระเนตร

๕๔๐

อนุพทุ ธะ ๕๔๑ อนุโยค

๖๑. ผวิ พระมงั สะละเอยี ดทว่ั ทง้ั พระกาย สัมมาสัมพทุ ธเจาทรงสอน ไดแก พระ
๖๒. พระสรรี กายรงุ เรอื งไปดวยสริ ิ ๖๓. อรหันตสาวกท้งั หลาย; ดู ตรัสรู, พุทธะ
พระสรีรกายมิไดมัวหมอง ผองใสอยู อนุพุทธปวัตติ ประวัติของพระสาวกผู
เปนนิตย ๖๔. พระสรรี กายสดชน่ื ดจุ ตรัสรูตามพระพุทธเจา; เขียนสามัญ
ดวงดอกปทมุ ชาติ ๖๕. พระสรรี สัมผัส เปน อนพุ ทุ ธประวัติ
ออนนุมสนิทบมิไดกระดางทั่วท้ังพระ อนมุ ตั ิ เหน็ ตาม, ยินยอม, เห็นชอบตาม
กาย ๖๖. กลิน่ พระกายหอมฟุงดุจกลิน่ ระเบียบทีก่ าํ หนดไว
สุคนธกฤษณา ๖๗. พระโลมามีเสน อนมุ าน คาดคะเน, ความคาดหมาย
เสมอกันท้ังส้ิน ๖๘. พระโลมามีเสน อนมุ านสตู ร สตู รท่ี ๑๕ ในมชั ฌมิ -
ละเอยี ดทวั่ ทง้ั พระกาย ๖๙. ลมอัสสาสะ นิกาย มูลปณณาสก พระสตุ ตนั ตปฎก

ปสสาสะลมหายพระทัยเขาออกก็เดิน เปนภาษิตของพระมหาโมคคัลลานะ

ละเอยี ด ๗๐. พระโอษฐมสี ณั ฐานอนั งาม กลาวสอนภิกษุท้ังหลาย วาดวยธรรม

ดจุ แยม ๗๑. กลน่ิ พระโอษฐหอมดจุ กลนิ่ อันทําคนใหเปนผวู ายากหรอื วางาย การ

อบุ ล ๗๒. พระเกสาดาํ เปนแสง ๗๓. แนะนําตักเตือนตนเอง และการ

กล่ินพระเกสาหอมฟุงขจรตลบ ๗๔. พจิ ารณาตรวจสอบตนเองของภกิ ษุ
พระเกสาหอมดุจกล่ินโกมลบุปผชาติ อนุโมทนา 1. ความยนิ ดีตาม, ความยนิ
๗๕. พระเกสามีสณั ฐานเสนกลมสลวย ดีดวย, การพลอยยินดี, การแสดง

ทุกเสน ๗๖. พระเกสาดําสนทิ ทั้งสิ้น ความเห็นชอบ; เห็นดวย, แสดงความ

๗๗. พระเกสากอปรดวยเสนอัน ชื่นชมหรือซาบซ้ึงเห็นคุณคาแหงการ

ละเอยี ด ๗๘. เสนพระเกสามไิ ดยงุ เหยงิ กระทาํ ของผอู น่ื (บดั นี้ บางทีใชในความ
๗๙. เสนพระเกสาเวยี นเปนทกั ขณิ าวฏั ฏ หมายคลายคําวา ขอบคุณ) 2. ในภาษา
ทกุ ๆ เสน ๘๐. วจิ ติ รไปดวยระเบยี บ ไทย นิยมใชสําหรับพระสงฆ หมายถงึ

พระเกตุมาลา กลาวคือถองแถวแหง ใหพร เชนเรียกคาํ ใหพรของพระสงฆวา
พระรศั มอี ันโชตนาการขน้ึ ณ เบอ้ื งบน คําอนุโมทนา (มีความหมายรวมอยู
พระอุตมังคสิโรตมฯ นิยมเรียกวา ดวยในตัววา ช่นื ชมยนิ ดีเหน็ ชอบในการ
อสีตยานพุ ยัญชนะ; ดู มหาบุรุษลักษณะ ทําบุญทาํ ความดขี องทายกหรือเจาภาพ)
อนุพุทธะ ผูตรัสรูตาม คือ ตรัสรดู วยได อนุโยค ความพยายาม, ความเพียร,
สดับเลาเรียนและปฏิบัติตามท่ีพระ ความประกอบเนอื งๆ

๕๔๑

อนุรักขนาปธาน ๕๔๒ อนศุ าสน

อนรุ ักขนาปธาน เพยี รรกั ษากุศลธรรม อนุโลม 1. เปนไปตาม, คลอยตาม, ตาม

ที่เกดิ ข้ึนแลวไมใหเสอ่ื ม และบําเพ็ญให ลาํ ดับ เชน วาตจปญจกกรรมฐานไป
ตามลาํ ดบั อยางนี้ เกสา โลมา นขา ทนั ตา
เจริญยิ่งขน้ึ ไปจนไพบูลย (ขอ ๔ ใน ตโจ; ตรงขามกับ ปฏโิ ลม 1. 2. สาวออกไป

ปธาน ๔) ตามลําดบั จากเหตุไปหาผลขางหนา เชน
อนรุ ักษ รกั ษาและเสรมิ ทวี, รักษาส่งิ ที่

เกิดมีข้ึนแลวและทําสิ่งท่ีเกิดมีข้ึนแลว อวิชชาเปนปจจยั สงั ขารจงึ มี, สังขาร

นั้นใหงอกงามเพิ่มทวียิ่งข้ึนไปจน เปนปจจยั วญิ ญาณจงึ มี เปนตน ตรงขาม

ไพบูลย; ในภาษาไทย ใชในความหมาย กบั ปฏโิ ลม 2. 3. จัดเขาได, นบั ไดวาเปน
อยางนั้น เชน อนโุ ลมมสุ า
วา รกั ษาใหคงเดิม

อนุราธ ชื่อเมืองหลวงของลังกาสมัย อนุโลมมุสา ถอยคําท่ีเปนพวกมุสา,
โบราณ; เรยี กกนั วา อนรุ าธปรุ ะ บาง ถอยคาํ ที่จัดไดวาเปนมสุ า คือ พูดเทจ็
อนุราธบรุ ี บาง อนวุ ตั ทาํ ตาม, ประพฤตติ าม, ปฏบิ ตั ติ าม;
อนุรทุ ธะ พระมหาสาวกองคหนง่ึ เปน บางแหงเขียน อนุวัตน, อนุวรรต,
เจาชายในศากยวงศ เปนโอรสของเจา อนุวรรตน, อนุวัตร, หรือ อนุวตั ิ ก็มี
สุกโกทนะ (นวี้ าตาม ม.อ.๑/๓๘๔; วนิ ย.ฏี. อนุวาต ผาขอบจวี ร; ดู จีวร
๓/๓๔๙ เปนตน แตวาตาม อง.ฺ อ.๑/๑๗๑ และ อนุวาท การโจท, การฟอง, การกลาวหา

พทุ ธฺ .อ.๘๕ ซง่ึ ขัดกับทอี่ น่ื ๆ และวาตาม กนั ดวยอาบตั ิ
หนังสือเรียนนักธรรม เปนโอรสของเจา อนุวาทาธิกรณ การโจทที่จัดเปน

อมโิ ตทนะ) เปนอนชุ าของเจามหานามะ อธิกรณ คือ การโจทกันดวยอาบัติ,
ภายหลังออกบวชพรอมกับเจาชาย เรอื่ งการกลาวหากัน; ดู อธกิ รณ
อานนท เปนตน เรียนกรรมฐานใน อนุศาสน การแนะนาํ ส่งั สอน, คําพรา่ํ
สํานักของพระสารีบุตร ไดบรรลุพระ สอน; ดู อนุสาสน,ี โอวาท

อรหตั ทป่ี าปาจนี วงั สทายวนั ในแควนเจตี คําสอนตามพทุ ธบญั ญตั ิ ที่อปุ ชฌาย

พระศาสดาทรงยกยองวาเปนเอตทัคคะ หรือกรรมวาจาจารยบอกแกภกิ ษใุ หมใน
เวลาอปุ สมบทเสรจ็ ประกอบดวย นสิ สัย
ในทางทิพยจักษุ ๔ และ อกรณยี ะ ๔ ทานเรียกรวมวา
อนุรุทธาจารย ดู อภธิ มั มัตถสงั คหะ
อนรุ ูป สมควร, เหมาะสม, พอเพยี ง, “อนุศาสน” บางทกี เ็ รยี กบอกจํานวนดวย
วา “อนุศาสน ๘” (อกรณยี หรือ อกรณยี ะ
เปนไปตาม

๕๔๒

อนศุ าสน ๕๔๓ อนศุ าสน

๔ นยิ มเรยี กกนั วา อกรณยี กิจ ๔) ปสกุ ูลจวี ร นิสสฺ าย ปพฺพชฺชา ตตถฺ
นสิ สัย ๔ คอื ปจจยั เครื่องอาศัยของ เต ยาวชวี อสุ ฺสาโห กรณีโย. อติเรก-
ลาโภ โขม กปปฺ าสกิ โกเสยฺย กมฺพล
บรรพชิต ๔ อยาง ไดแก ๑. เท่ยี ว สาณ ภงคฺ .
บณิ ฑบาต ๒. นงุ หมผาบังสกุ ลุ ๓. อยู
โคนไม ๔. ฉนั ยาดองดวยนา้ํ มตู รเนา รกุ ฺขมูลเสนาสน นสิ สฺ าย ปพฺพชชฺ า
(ทานบอกไวเปนทางแสวงหาปจจยั ๔ ตตถฺ เต ยาวชีว อสุ ฺสาโห กรณีโย.
พรอมทัง้ อตเิ รกลาภของภิกษ)ุ อตเิ รกลาโภ วหิ าโร อฑฒฺ โยโค ปาสาโท
หมมฺ ิย คหุ า.
อกรณยี ๔ (นยิ มเรยี กวา อกรณยี กจิ ๔)
ขอทไ่ี มควรทาํ หมายถงึ กจิ ทบ่ี รรพชติ ทาํ ปตู มิ ุตตฺ เภสชฺช นิสฺสาย ปพพฺ ชฺชา
ไมได ๔ อยาง ไดแก ๑. เสพเมถุน ๒. ตตถฺ เต ยาวชีว อุสฺสาโห กรณโี ย
ลกั ของเขา ๓. ฆาสัตว (ที่ใหขาดจาก อตเิ รกลาโภ สปฺป นวนตี เตล มธุ
ความเปนภิกษุ หมายเอาฆามนุษย) ๔. ผาณติ ํ.
พดู อวดคณุ วเิ ศษทไี่ มมีในตน
[พระนวกะกลาวรับวา “อาม ภนฺเต”]
คาํ บอกนสิ สยั ๔ และ อกรณยี ะ ๔ ๒. คาํ บอกอกรณียะ ๔
(เรยี กรวมวาคาํ บอกอนศุ าสน) นี้ ถอื ตาม
พทุ ธบญั ญตั ใิ นมหาขนั ธกะ แหงวนิ ยั ปฎก อปุ สมฺปนฺเนน ภิกฺขุนา เมถโุ น ธมฺโม
(วนิ ย.๔/๑๔๓–๑๔๔/๑๙๒–๑๙๕) โดยมคี าํ เกรน่ิ นาํ น ปฏิเสวติ พโฺ พ อนตฺ มโส ตริ จฺฉาน-
ทโ่ี บราณาจารยแตงไว ดงั น้ี คตายป. โย ภิกฺขุ เมถนุ ธมมฺ ปฏเิ สวติ
– คําเกร่นิ นํา อสสฺ มโณ โหติ อสกยฺ ปุตตฺ ิโย. เสยฺยถาป
นาม ปุรโิ ส สีสจฺฉินฺโน อภพโฺ พ เตน
อนุ ฺ าสิ โข ภควา อปุ สมปาเทตฺวา สรรี พนธฺ เนน ชีวติ ุ, เอวเมว ภิกขฺ ุ เมถนุ
จตตฺ าโร นิสสฺ เย จตตฺ าริ จ อกรณียานิ ธมฺม ปฏิเสวิตฺวา อสฺสมโณ โหติ
อาจกิ ฺขิตุ. อสกยฺ ปุตตฺ ิโย. ตนเฺ ต ยาวชีว อกรณีย.
๑. คําบอกนิสสยั ๔
อุปสมปฺ นฺเนน ภิกฺขนุ า อทนิ นฺ เถยฺย-
ปณฺฑยิ าโลปโภชน นสิ สฺ าย ปพฺพชชฺ า สงขฺ าต น อาทาตพพฺ อนตฺ มโส ตณิ -
ตตฺถ เต ยาวชีว อุสสฺ าโห กรณโี ย. สลาก อุปาทาย. โย ภกิ ฺขุ ปาท วา
อติเรกลาโภ สงฺฆภตฺต อุทฺเทสภตฺต ปาทารห วา อตเิ รกปาท วา อทินนฺ ํ
นิมนฺตน สลากภตฺต ปกฺขกิ อโุ ปสถิก เถยฺยสงฺขาต อาทิยติ อสสฺ มโณ โหติ
ปาฏิปทิกํ. อสกฺยปตุ ฺติโย. เสยฺยถาป นาม ปณฺฑุ-

๕๔๓

อนศุ าสน ๕๔๔ อนศุ าสน

ปลาโส พนฺธนา ปมุตฺโต อภพฺโพ [พระนวกะกลาวรับวา “อาม ภนเฺ ต”]
หรติ ตตฺ าย, เอวเมว ภิกขฺ ุ ปาท วา – บอกกจิ แหงชวี ติ ของภิกษุ คอื ไตรสิกขา

ปาทารหํ วา อตเิ รกปาทํ วา อทินนฺ เมื่อบอกนิสสยั ๔ และอกรณียะ ๔

เถยยฺ สงฺขาต อาทิยติ ฺวา อสสฺ มโณ โหติ ตามพทุ ธบญั ญตั ิ ใหรูวาภิกษจุ ะเปนอยู

อสกฺยปุตฺติโย. ตนเฺ ต ยาวชวี อกรณยี . อยางไรแลว มีธรรมเนียมใหบอกไตร

อปุ สมปฺ นฺเนน ภิกฺขนุ า ส จฺ ิจจฺ ปาโณ สิกขาเปนการย้ําเตือนใหภิกษุใหมแมน

ชวี ิตา น โวโรเปตพฺโพ อนตฺ มโส กนุ ฺถ- ใจท่ีจะเจริญไตรสิกขาเปนกิจประจํา

กปิ ลลฺ ิก อปุ าทาย. โย ภกิ ขฺ ุ ส จฺ ิจจฺ ชวี ติ ของตนสบื ไป ดังนี้

มนสุ สฺ วคิ ฺคห ชวี ิตา โวโรเปติ อนตฺ มโส อเนกปรยิ าเยน โข ปน เตน ภควตา

คพฺภปาตน อุปาทาย อสฺสมโณ โหติ ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมมฺ าสมฺพุทเฺ ธน

อสกฺยปตุ ตฺ ิโย. เสยยฺ ถาป นาม ปุถุสิลา สีลํ สมมฺ ทกขฺ าตํ สมาธิ สมฺมทกฺขาโต

ทฺวธิ า ภินฺนา อปฺปฏสิ นฺธกิ า โหติ, ป ฺ า สมมฺ ทกฺขาตา, ยาวเทว ตสฺส

เอวเมว ภกิ ขฺ ุ ส จฺ ิจฺจ มนุสฺสวคิ ฺคห มทนมิ ฺมทนสสฺ ปปาสวนิ ยสฺส อาลย-

ชีวิตา โวโรเปตฺวา อสฺสมโณ โหติ อสกฺย- สมุคฺฆาตสฺส วฏฏปจเฺ ฉทสฺส ตณหฺ ก-ฺ

ปุตฺติโย. ตนเฺ ต ยาวชวี อกรณยี . ขยสฺส วิราคสสฺ นโิ รธสสฺ นพิ ฺพานสฺส

อปุ สมปฺ นเฺ นน ภกิ ขฺ นุ า อตุ ฺตรมิ นสุ ฺส- สจฉฺ กิ ริ ิยาย.

ธมฺโม น อุลฺลปตพฺโพ อนฺตมโส ตตฺถ สีลปรภิ าวิโต สมาธิ มหพฺพโล

สุ ฺ าคาเร อภริ มามตี ิ. โย ภกิ ฺขุ โหติ มหานิสํโส, สมาธิปริภาวติ า ป ฺ า

ปาปจฺโฉ อิจฺฉาปกโต อสนฺต อภูตํ มหพฺพลา โหติ มหานิสสํ า, ป ฺ า-

อตุ ตฺ รมิ นสุ ฺสธมมฺ อลุ ฺลปต,ิ ฌาน วา ปรภิ าวติ ํ จิตฺตํ สมมฺ เทว อาสเวหิ

วโิ มกฺข วา สมาธึ วา สมาปตตฺ ึ วา มคคฺ วิมจุ จฺ ติ, เสยฺยถีทํ กามาสวา ภวาสวา

วา ผล วา, อสสฺ มโณ โหติ อสกยฺ ปตุ ตฺ โิ ย. อวชิ ฺชาสวา.

เสยยฺ ถาป นาม ตาโล มตฺถกจฺฉินฺโน ตสฺมาตหิ เต อิมสมฺ ึ ตถาคตปฺเวทเิ ต

อภพโฺ พ ปุน วิรฬุ หฺ ิยา, เอวเมว ภกิ ขฺ ุ ธมมฺ วนิ เย สกกฺ จจฺ ํ อธิสีลสิกฺขา

ปาปจฺโฉ อิจฺฉาปกโต อสนตฺ อภูตํ สกิ ฺขติ พฺพา, อธิจิตฺตสิกขฺ า สิกขฺ ิตพฺพา,

อุตฺตริมนุสฺสธมฺม อลุ ลฺ ปตวฺ า อสฺสมโณ อธิป ฺ าสกิ ขฺ า สกิ ฺขิตพพฺ า. ตตฺถ

โหติ อสกยฺ ปตุ ตฺ ิโย. ตนฺเต ยาวชวี อปฺปมาเทน สมฺปาเทตพฺพ.ํ

อกรณียํ. (หากบอกแกภกิ ษุใหม ๒ รปู ขึน้ ไป

๕๔๔

อนุศาสนี ๕๔๕ อเนญชาภสิ งั ขาร

เปลยี่ น เต เปน โว, ตนเฺ ต เปน ตํ โว) อนุสัย กิเลสท่ีแฝงตัวนอนเนื่องอยูใน
อนศุ าสนี ดู อนสุ าสนี สันดาน มี ๗ คือ ๑. กามราคะ ความ
อนุศาสนีปาฏิหาริยะ ดู อนุสาสนี- กําหนัดในกาม ๒. ปฏิฆะ ความ
ปาฏหิ ารยิ หงุดหงดิ ๓. ทฏิ ฐิ ความเหน็ ผดิ ๔.
อนุสติ ความระลึกถึง, อารมณท่ีควร วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ๕. มานะ
ระลกึ ถึงเนืองๆ มี ๑๐ อยางคือ ๑. ความถอื ตวั ๖. ภวราคะ ความกาํ หนัด
พุทธานุสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธ- ในภพ ๗. อวชิ ชา ความไมรจู ริง
เจา ๒. ธมั มานุสติ ระลกึ ถึงคณุ ของพระ อนุสยกเิ ลส ดู อนุสัย, กิเลส ๓ ระดบั
ธรรม ๓. สังฆานุสติ ระลกึ ถึงคณุ ของ อนุสาวนา คําสวดประกาศตอจากญัตต,ิ
พระสงฆ ๔. สลี านสุ ติ ระลึกถงึ ศีลที่ตน คําประกาศความปรึกษาและตกลงของ
รักษา ๕. จาคานุสติ ระลึกถงึ ทานท่ตี น สงฆ, คาํ ขอมต;ิ อนสุ าวนานเี้ ปนกรรมวาจา
บริจาคแลว ๖. เทวตานสุ ติ ระลึกถงึ คณุ ทต่ี อจากญตั ติ คอื เมอื่ ตง้ั ญตั ตแิ ลว จงึ
ท่ีทําคนใหเปนเทวดา ๗. มรณัสสติ ประกาศขอมต;ิ ดู กรรมวาจา, ญตั ติ
ระลึกถึงความตายที่จะตองมีเปน อนสุ าสนี คาํ สง่ั สอน, คาํ แนะนาํ พราํ่ สอน;
ธรรมดา ๘. กายคตาสติ ระลกึ ทั่วไปใน (บาล:ี อนสุ าสนี; สันสกฤต: อนศุ าสน)ี ;
กายใหเห็นวาไมงาม ๙. อานาปานสติ “อนสุ าสนี” กบั “อนศุ าสน” (อนสุ าสน)ํ
ตั้งสติกําหนดลมหายใจเขาออก ๑๐. โดยทั่วไป ถอื ไดวามคี วามหมายเหมอื น
อุปสมานุสติ ระลึกธรรมเปนที่สงบ กัน และสองคาํ นั้นบางทีมาดวยกันกับ

ระงบั กเิ ลสและความทกุ ข คอื นพิ พาน; “โอวาท” จึงมีทงั้ “โอวาทานุสาสนี” และ

เขียนอยางรูปเดิมในภาษาบาลีเปน “โอวาทานศุ าสน” ดู โอวาท
อนุสสติ อนุสาสนีปาฏิหาริย ปาฏิหาริยคือ
อนุสนธิ การติดตอ, การสืบเนือ่ งความ อนสุ าสน,ี คาํ สอนเปนจริง สอนใหเหน็

หรอื เรอ่ื งท่ีตดิ ตอหรือสบื เนอื่ งกนั มา จริง นําไปปฏิบัติไดผลสมจริง เปน
อนุสสตานุตตริยะ การระลึกอันเย่ียม อัศจรรย (ขอ ๓ ใน ปาฏหิ าริย ๓)
ไดแก การระลึกถึงพระตถาคต และ อเนกนยั นัยมิใชนอย, หลายนัย
ตถาคตสาวก ซ่ึงจะเปนไปเพื่อความ อเนญชาภิสังขาร สภาพท่ีปรุงแตงภพ

บริสุทธิ์ลว งพนทุกขได (ขอ ๖ ใน อนั มนั่ คง ไมหวนั่ ไหว ไดแกภาวะจติ ท่ี

อนุตตรยิ ะ ๖) ม่ันคงแนวแนดวยสมาธิแหงจตุตถฌาน

๕๔๕

อเนสนา ๕๔๖ อบายมขุ

(ขอ ๓ ในอภสิ ังขาร ๓); ตามหลักเขยี น เรียก อโนธิโสผรณา วา “อโนทิสสก-
อาเนญชาภสิ งั ขาร ผรณา” (แผไมเจาะจง); เทียบ โอธิโส-
อเนสนา การหาเลย้ี งชพี ในทางทไ่ี มสมควร ผรณา, ทสิ าผรณา; ดู แผเมตตา, วกิ พุ พนา,
แกภกิ ษ,ุ เลยี้ งชวี ติ ผดิ สมณะ เชน หลอก สมี าสมั เภท
ลวงเขาดวยการอวดอุตตริมนุสสธรรม อโนมา ช่ือแมน้ําก้ันพรมแดนระหวาง

ทําวิญญัติคือออกปากขอตอคนที่ไม แควนสกั กะกบั แควนมลั ละ พระสทิ ธตั ถะ

ควรขอ ใชเงินลงทุนหาผลประโยชน ตอ เสดจ็ ออกบรรพชา มาถงึ ฝงแมนาํ้ อโนมา

ลาภดวยลาภ คือใหแตนอยเพื่อหวัง ตรัสส่ังนายฉันนะใหนํามาพระที่นั่งกลับ

ตอบแทนมาก เปนหมอเวทมนตเสกเปา คืนพระนคร ทรงตดั พระเมาลีดวยพระ

เปนตน ขรรค อธิษฐานเพศบรรพชิต ณ ฝงแม
อโนธิโสผรณา “แผไปโดยไมมีขีดขั้น” นํ้าอโนมานี้
หมายถึงเมตตาที่แผไปตอสัตวท้ังปวง อบท สตั วไมมีเทา เชน งู และไสเดอื น

อยางไมจํากัดขอบเขต (อยางในคาํ แผ เปนตน

เมตตาทนี่ ยิ มนาํ มาใชกนั ทว่ั ไปวา “สพเฺ พ อบาย, อบายภูมิ ภมู ิกาํ เนดิ ทป่ี ราศจาก
สตฺตา อเวรา โหนตฺ ุ … สุขี อตฺตานํ ความเจริญ มี ๔ อยาง คือ ๑. นริ ยะ
ปรหิ รนฺตุ”) แตถาต้งั ใจแผเมตตานั้นโดย นรก ๒. ตริ จั ฉานโยนิ กาํ เนดิ ดิรจั ฉาน
จาํ กดั ขอบเขต เชนวา “ขอใหเหลาอารย ๓. ปตตวิ ิสยั ภูมิแหงเปรต ๔. อสุรกาย
ชนจงเปนสุข” “ขอใหประดาสัตวปาจง พวกอสุรกาย; ดู คต,ิ ทคุ ติ
อยดู มี สี ุข ไมถูกเบยี ดเบียน” ฯลฯ ก็ อบายมุข ชองทางของความเสื่อม, เหตุ
เปนแบบจํากดั เรยี กวา “โอธโิ สผรณา” เคร่ืองฉิบหาย, เหตุยอยยับแหงโภค-
(แผโดยมีขอบเขต), นอกจากนั้น ถาแผ ทรพั ย, ทางแหงความพินาศ มี ๔ อยาง

ไปตอสัตวเฉพาะในทิศน้ันทิศน้ี ยัง คือ ๑. เปนนกั เลงหญงิ ๒. เปนนักเลง
เรียกตางออกไปอีกวา “ทิสาผรณา” สุรา ๓. เปนนกั เลงการพนนั ๔. คบคน
(แผไปเฉพาะทิศ), ไมเฉพาะเมตตาเทา ชว่ั เปนมติ ร; อีกหมวดหนงึ่ มี ๖ คือ ๑.

นั้น แมพรหมวิหารขออื่นๆ ก็มีทั้ง ติดสุราและของมึนเมา ๒. ชอบเท่ยี ว

อโนธโิ สผรณา โอธโิ สผรณา และทสิ า- กลางคืน ๓. ชอบเท่ียวดูการเลน ๔.
ผรณา, อนึ่ง บางทเี รยี ก โอธโิ สผรณา เลนการพนัน ๕. คบคนชว่ั เปนมิตร ๖.
วา “โอทิสสกผรณา” (แผเจาะจง) และ เกียจครานการงาน; ดู คหิ วิ ินัย

๕๔๖

อปจายนมัย ๕๔๗ อปรหิ านิยธรรม

อปจายนมยั บุญสําเรจ็ ดวยการประพฤติ พรอมเพรียงกันเลิก และพรอมเพรียง
ออนนอมถอมตน (ขอ ๔ ในบุญกริ ิยา ชวยกันทาํ กิจที่สงฆจะตองทํา ๓. ไม
บัญญัติสิ่งท่ีพระพุทธเจาไมบัญญัติข้ึน
วตั ถุ ๑๐) ไมถอนสิ่งท่ีพระองคบัญญัติไวแลว
อปฏิจฉันนาบัติ อาบัติ (สังฆาทิเสส) ที่ สมาทานศึกษาอยูในสิกขาบทตามที่พระ
ภิกษุตองแลวไมไดปดไว องคทรงบญั ญตั ไิ ว ๔. ภกิ ษเุ หลาใด เปน
อปทาน ดู ไตรปฎก (เลม ๓๒–๓๓) ผใู หญเปนประธานในสงฆ เคารพนบั ถอื
อปมาโร โรคลมบาหมู ภิกษเุ หลานน้ั เชอ่ื ฟงถอยคาํ ของทาน ๕.
อปรกาล เวลาชวงหลงั , ระยะเวลาของ ไมลอุ าํ นาจแกความอยากทเี่ กดิ ขนึ้ ๖. ยนิ
เร่ืองทีม่ ขี ้ึนในภายหลงั คือ หลงั จากพระ ดีในเสนาสนะปา ๗. ต้ังใจอยูวา เพ่ือน
ภกิ ษสุ ามเณรซง่ึ เปนผมู ศี ลี ซงึ่ ยงั ไมมาสู
พทุ ธเจาปรนิ ิพพานแลว ไดแกเรือ่ งถวาย อาวาส ขอใหมา ทมี่ าแลวขอใหอยเู ปนสขุ

พระเพลงิ และแจกพระบรมสารรี กิ ธาตุ อปรหิ านยิ ธรรมทต่ี รสั แกกษตั รยิ วชั ชี
จนถงึ สงั คายนา; ดู พทุ ธประวตั ิ (วัชชีอปรหิ านยิ ธรรม) สาํ หรบั ผูรับผิด
อปรณั ณะ ดู ธัญชาต;ิ เทียบ บุพพัณณะ ชอบตอบานเมอื ง มอี กี หมวดหนงึ่ คอื ๑.
อปรนั ตะ, อปรนั ตกะ ชอื่ รฐั ทพ่ี ระโยนก- หมั่นประชุมกันเนืองนิตย ๒. พรอม
ธรรมรักขิตเถระ เปนพระศาสนทูตไป เพรียงกันประชุม พรอมเพรียงกันเลิก
ประชมุ พรอมเพรยี งกนั ทาํ กจิ ทพ่ี งึ ทาํ ๓.
ประดิษฐานพระพุทธศาสนา เม่ือเสร็จ ไมถอื อาํ เภอใจบญั ญตั สิ ง่ิ ทม่ี ไิ ดบญั ญตั ไิ ว
ไมลมลางสงิ่ ทไี่ ดบญั ญัติ ถือปฏบิ ตั มิ นั่
การสังคายนาคร้ังที่ ๓ ราว พ.ศ. ๒๓๕; ตามวชั ชธี รรม ๔. ทานเหลาใดเปนผใู หญ
ดู โมคคลั ลบี ตุ รติสสเถระ, สาสนวงส ในชนชาววชั ชี เคารพนบั ถอื ทานเหลานนั้
อปราปริยเวทนียกรรม กรรมที่เปน เหน็ ถอยคาํ ของทานวาเปนสงิ่ อนั พงึ รบั ฟง
กุศลกด็ ี อกุศลกด็ ี ซึง่ ใหผลในภพตอๆ ๕. บรรดากลุ สตรกี ลุ กมุ ารที งั้ หลายมใิ ห
อยูอยางถูกขมเหงรังแก ๖. เคารพ
ไป (ขอ ๓ ในกรรม ๑๒) สกั การะบชู าเจดยี ของวชั ชี ทงั้ ภายในและ
อปริหานิยธรรม ธรรมไมเปนท่ีตั้งแหง ภายนอก ไมละเลยการทาํ ธรรมกิ พลี ๗.
ความเสอื่ ม, ธรรมทท่ี าํ ใหไมเสอ่ื ม เปน จัดใหความอารักขาคุมครองปองกันอัน

ไปเพอ่ื ความเจรญิ ฝายเดยี ว มี ๗ ขอที่ ๕๔๗
ตรสั สาํ หรบั ภกิ ษุ (ภกิ ขอุ ปรหิ านยิ ธรรม)
ยกมาแสดงหมวดหนงึ่ ดงั น้ี ๑. หมน่ั

ประชมุ กนั เนอื งนติ ย ๒. เมอ่ื ประชมุ ก็

พรอมเพรยี งกนั ประชมุ เมอื่ เลกิ ประชมุ ก็

อปโลกน ๕๔๘ อภยคิริวิหาร

ชอบธรรมแกพระอรหันต (หมายถึง พิจารณาแลวเวนเสีย เชน สุราเมรัย

บรรพชติ ทเ่ี ปนหลกั ใจของประชาชน) ตง้ั การพนัน คนพาล ๔. ของอยางหนึง่

ใจใหทานที่ยังมิไดมาพึงมาสูแวนแควน พิจารณาแลว บรรเทาเสยี เชน อกศุ ล-

ทมี่ าแลวพงึ อยโู ดยผาสกุ วติ กตางๆ

อปโลกน บอกเลา, การบอกเลา, การ อปายโกศล ดู โกศล ๓
บอกกลาวแกที่ประชุมเพื่อใหรับทราบ อปญุ ญาภสิ ังขาร สภาพทป่ี รุงแตงกรรม

พรอมกนั หรอื ขอความเหน็ ชอบรวมกัน ฝายช่ัว ไดแก อกศุ ลเจตนาท้งั หลาย

ในกจิ บางอยางของสวนรวม, ใชใน อป- (ขอ ๒ ในอภิสงั ขาร ๓)
โลกนกรรม อพยาบาท ความไมคดิ ราย, ไมพยาบาท
อปโลกนกรรม กรรมคือการบอกเลา, ปองรายเขา, มเี มตตา (ขอ ๙ ในกศุ ล-

กรรมอันทําดวยการบอกกันในที่ประชุม กรรมบถ ๑๐)
สงฆ ไมตองตงั้ ญตั ติ คอื คําเผดียง ไม อพยาบาทวิตก ความตรึกในทางไม
ตองสวด อนสุ าวนา คือประกาศความ พยาบาท, การคิดแผเมตตาแกผูอ่ืน

ปรึกษาและตกลงของสงฆ เชนประกาศ ปรารถนาใหเขามีความสุข (ขอ ๒ ใน

ลงพรหมทัณฑ นาสนะสามเณรผกู ลาว กศุ ลวิตก ๓)
ตูพระพุทธเจา อปโลกนแจกอาหารใน อพัทธสีมา “แดนท่ไี มไดผกู ” หมายถงึ

โรงฉัน เปนตน เขตชุมนุมสงฆท่ีสงฆไมไดกําหนดขึ้น

อปณณกปฏปิ ทา ขอปฏบิ ตั ทิ ไ่ี มผดิ , ทาง เอง แตถือเอาตามเขตที่เขาไดกําหนดไว
ดาํ เนนิ ทไ่ี มผดิ มี ๓ คอื ๑. อนิ ทรยี สังวร ตามปรกติของบานเมอื ง หรือมีบัญญตั ิ
การสาํ รวมอนิ ทรยี ๒. โภชเนมตั ตญั ตุ า อยางอืน่ เปนเคร่ืองกาํ หนด แบงเปน ๓
ความเปนผูรูจักประมาณในการบริโภค ประเภท คือ ๑. คามสีมา หรอื นคิ ม-
๓. ชาคริยานุโยค การหมั่นประกอบ สีมา ๒. สัตตพั ภนั ตรสีมา๓. อุทกกุ เขป
อภยคิริวิหาร ชื่อวัดท่ีพระเจาวัฏฏ-
ความตืน่ ไมเห็นแกนอน

อปสเสนธรรม ธรรมทีเ่ ปนทพี่ ่ึงท่พี าํ นกั คามณอี ภยั ไดสรางถวายพระตสิ สเถระ

ดจุ พนกั พงิ มี ๔ คอื ๑. ของอยางหนึ่ง ในเกาะลงั กา ซ่งึ ไดกลายเปนเหตุใหสงฆ

พิจารณาแลวเสพ เชน ปจจยั ส่ี ๒. ของ ลังกาแตกแยกกัน แบงเปนคณะมหา

อยางหน่งึ พจิ ารณาแลวอดกลน้ั ไดแก วิหารเดิมฝายหน่ึง คณะอภยคิริวิหาร
อนิฏฐารมณตางๆ ๓. ของอยางหนงึ่ ฝายหน่งึ ; มักเรียก อภยั ครี ี

๕๔๘

อภพั ๕๔๙ อภิณหปจจเวกขณ

อภพั ไมควร, ไมอาจ, ไมสามารถ, ไมอาจ มสี ตปิ ฏฐาน ๔ เปนตน
เปนไปได, เปนไปไมได (บาล:ี อภพพฺ ; อภิฐาน ฐานะอยางหนกั , ความผดิ สถาน
ไทยเพี้ยนเปน อาภัพ); ดู อาภพั หนกั มี ๖ อยาง คอื ๑. มาตฆุ าต ฆา
อภพั บุคคล บุคคลผไู มสมควร, มีความ มารดา ๒. ปตฆุ าต ฆาบดิ า ๓. อรหนั ต-
หมายตามขอความแวดลอม เชน คนที่ ฆาต ฆาพระอรหันต ๔. โลหิตปุ บาท

ไมอาจบรรลุโลกตุ ตรธรรมได คนท่ขี าด ทํารายพระพุทธเจาใหถึงหอพระโลหิต
คุณสมบัติ ไมอาจใหอุปสมบทได ๕. สงั ฆเภท ทาํ สงฆใหแตกกนั ๖. อญั ญ-
เปนตน สตั ถุทเทส ถอื ศาสดาอืน่
อภัยทาน ใหความไมมีภัย, ใหความ อภิณหปจจเวกขณ ขอท่ีควรพิจารณา

ปลอดภยั เนอื งๆ, เรอื่ งทค่ี วรพจิ ารณาทกุ ๆ วนั มี

อภชิ ฌา โลภอยากไดของเขา, ความคดิ ๕ อยาง คอื ๑. ควรพจิ ารณาทกุ วนั ๆ วา

เพงเลง็ จองจะเอาของของคนอน่ื (ขอ ๘ เรามีความแกเปนธรรมดา ไมลวงพน

ในอกุศลกรรมบถ ๑๐) ความแกไปได ๒. วาเรามคี วามเจบ็ ไข

อภิชฌาวิสมโลภ ละโมบไมสม่ําเสมอ, เปนธรรมดา ไมลวงพนความเจบ็ ไขไป

ความโลภอยางแรงกลา จองจะเอาไมเลอื ก ได ๓. วาเรามคี วามตายเปนธรรมดา ไม

วาควรไมควร (ขอ ๑ ในอปุ กเิ ลส ๑๖) ลวงพนความตายไปได ๔. วาเราจะตอง
อภิญญา ความรยู ่ิง, ความรูเจาะตรงยวด พลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น
ยิง่ , ความรูช้ันสงู มี ๖ อยางคอื ๑. ๕. วาเรามกี รรมเปนของตวั เราทาํ ดจี กั
อทิ ธวิ ธิ ิ แสดงฤทธติ์ างๆ ได ๒. ทพิ พ- ไดดี เราทาํ ชวั่ จกั ไดชวั่ ; อกี หมวดหนง่ึ
โสต หทู พิ ย ๓. เจโตปริยญาณ ญาณที่ สําหรับบรรพชิต แปลวา “ธรรมที่
ใหทายใจคนอน่ื ได ๔. ปพุ เพนวิ าสานสุ ติ บรรพชติ ควรพจิ ารณาเนอื งๆ” มี ๑๐
ญาณท่ีทําใหระลึกชาติได ๕. ทพิ พจกั ขุ อยาง (ปพพชติ อภณิ หปจจเวกขณ) คอื
ตาทพิ ย ๖. อาสวกั ขยญาณ ญาณทําให ๑. บรรพชติ ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา บดั

อาสวะสน้ิ ไป, ๕ อยางแรกเปนโลกยิ - นี้ เรามเี พศตางจากคฤหสั ถแลว ๒. วา

อภญิ ญา ขอสดุ ทายเปนโลกตุ ตรอภญิ ญา การเลี้ยงชีพของเราเนื่องดวยผูอื่น ๓.
อภิญญาเทสิตธรรม ธรรมที่พระพุทธ วาเรามอี ากปั กริ ยิ าอยางอน่ื ทจ่ี ะพงึ ทาํ ๔.

เจาทรงแสดงดวยพระปญญาอันยิ่ง วาตัวเราเองยังติเตียนตัวเราเองโดยศีล

หมายถงึ โพธปิ กขิยธรรม ๓๗ ประการ ไมไดอยหู รอื ไม ๕. วาเพอื่ นพรหมจรรย

๕๔๙

อภธิ รรม๑ ๕๕๐ อภธิ รรม๒

ผเู ปนวญิ ู ใครครวญแลว ยงั ตเิ ตยี น วา “อภิธรรม” บางทีหมายถึงพระ
เราโดยศลี ไมไดอยหู รอื ไม ๖. วาเราจะ อภธิ รรมปฎก บางทหี มายถึงคาํ สอน
ตองพลัดพรากจากของรักของชอบใจทง้ั ในพระอภิธรรมปฎกนั้น ตามทีไ่ ดนาํ

สน้ิ ๗. วาเรามกี รรมเปนของตน เราทาํ ดี มาอธบิ ายและเลาเรยี นกนั สบื มา เฉพาะ

จกั ไดดี เราทาํ ชว่ั จกั ไดชวั่ ๘. วาวนั คนื อยางยง่ิ ตามแนวที่ประมวลแสดงไวใน

ลวงไปๆ บดั นเ้ี ราทาํ อะไรอยู ๙. วาเรา คมั ภรี อภิธมั มัตถสงั คหะ, บางที เพือ่ ให
ยินดีในท่ีสงัดอยูหรือไม ๑๐. วาคุณ ชัดวาหมายถึงพระอภิธรรมปฎก ก็พดู
วเิ ศษทเ่ี ราบรรลแุ ลวมอี ยหู รอื ไม ทจ่ี ะทาํ วา “อภิธรรมเจ็ดคัมภรี ”; ดู อภิธรรม-
ใหเราเปนผูไมเกอเขิน เม่ือถูกเพ่ือน ปฎก, อภิธัมมัตถสังคหะ, อภวิ นิ ัย
บรรพชติ ถามในกาลภายหลงั (ขอ ๑. อภิธรรม๒ ธรรมอนั ย่ิง, ธรรมเหนอื ข้ึน

ทานเตมิ ทายวา อาการกริ ยิ าใดๆ ของ ไป; ในพระวินยั ปฎก และพระสตุ ตันต

สมณะ เราตองทาํ อาการกริ ยิ านนั้ ๆ ขอ ปฎก มคี าํ วา “อภธิ รรม” มาดวยกันเปน

๒. เตมิ วา เราควรทาํ ตวั ใหเขาเลย้ี งงาย คูกบั คําวา “อภวิ นิ ยั ” บอยมาก เชนใน
ขอ ๓. ทานเขยี นวา อาการกายวาจา วนิ ัยวา “ภกิ ษทุ ั้งหลาย ภกิ ษพุ รอมดวย

อยางอื่นท่ีเราจะตองทําใหดีข้ึนไปกวาน้ี องค ๖ จงึ ควรใหอุปสมบท ควรให

ยงั มอี ยอู กี ไมใชเพยี งเทาน)ี้ นสิ สัย ควรใหสามเณรอปุ ฏฐาก คอื ๑.
อภิธรรม๑ ธรรมอนั ยงิ่ ทัง้ ยงิ่ เกิน (อภ-ิ สามารถใหอันเตวาสิกหรือสัทธิวิหาริก

อติเรก) คือมากกวาธรรมอยางปกติ ศึกษาในสิกขาอันเปนอภิสมาจาร ๒.

และยง่ิ พิเศษ (อภวิ เิ สส) คอื เหนอื กวา สามารถฝกนํา ในสิกขาที่เปนเบื้องตน

ธรรมอยางปกติ, หลักและคําอธิบาย แหงพรหมจรรย ๓. สามารถฝกนําใน

ธรรมทเ่ี ปนเน้ือหาสาระแทๆ ลวนๆ ซง่ึ อภิธรรม ๔. สามารถฝกนําในอภิวินยั

จัดเรียงอยางเปนระเบียบและเปนลําดับ ๕. สามารถเปลื้องความเหน็ ผดิ ท่ีเกดิ ขนึ้

จนจบความอยางบรบิ รู ณ โดยไมกลาวถงึ ไดโดยธรรม ๖. มพี รรษา ๑๐ หรือเกิน
ไมอางองิ และไมขน้ึ ตอบคุ คล ชมุ ชน ๑๐” (วินย.๔/๙๙/๑๔๒), ในพระสตู ร เชน

หรือเหตุการณ อันแสดงโดยเวน (ในนาถกรณธรรม ๑๐ ขอ ๖) “…ภิกษุ

บญั ญัตโิ วหาร มงุ ตรงตอสภาวธรรม ท่ี เปนผูใครธรรม (ธมมฺ กาโม) รจู ักฟงรจู ัก

ตอมานิยมจัดเรียกเปนปรมัตถธรรม แสดงธรรมอยางนารัก มีปราโมทยเปยม

๔ คอื จิต เจตสิก รูป นิพพาน, เมอื่ พดู ลนในอภิธรรม ในอภวิ ินัย...ขอนี้ก็เปน

๕๕๐

อภธิ รรมปฎก ๕๕๑ อภิธรรมปฎก

ธรรมทที่ าํ ใหเปนที่พง่ึ ได” (องฺ.ทสก.๒๔/๑๗/ คําวา “อภธิ รรม” มาโดดเดยี่ ว ไมมี
๒๖), (ในธรรมท่พี ระปา/อารัญญกะพึงถอื “อภวิ นิ ยั ” มาดวย ดงั ทต่ี รัสในกนิ ติสูตร

ปฏบิ ตั ิ ๑๗ ขอ ๑๕) “ทานผมู อี ายุทง้ั (ม.อุ.๑๔/๔๔/๔๒) วา “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ดังที่วา

หลาย อนั ภกิ ษุผถู ืออยปู า (อารญั ญกะ) นั้น พวกเธอมคี วามดําริในเราอยางนีว้ า

ควรเพียรประกอบในอภิธรรม ในอภิ พระผูมีพระภาคทรงมีพระทัยเก้ือ

วินยั ...ถาภิกษผุ ูถอื อยปู า ถูกถามปญหา การณุ ย ทรงใฝหาประโยชนให จงึ ทรง

ในอภิธรรม ในอภิวินัยแลว ตอบใหพอ แสดงธรรมดวยอาศัยพระกรณุ า เพราะ

แกความไมได ก็จะมีผพู ูดแกเธอไดวา ฉะนัน้ แล ธรรมเหลาใด อนั เราแสดง

ทานผนู ถี้ กู ถามปญหา ในอภธิ รรม ใน แลวดวยความรยู ง่ิ แกเธอท้ังหลาย คือ

อภวิ นิ ัยแลว ก็ตอบใหพอแกความไมได สตปิ ฏฐาน ๔ สมั มปั ปธาน ๔ อิทธิบาท

จะมีประโยชนอะไรดวยการอยูเสรีในปา ๔ อนิ ทรีย ๕ พละ ๕ โพชฌงค ๗

แกทานผูอยูผูเดียวเปนอารัญญกะ...” อริยมรรคมีองค ๘ เธอทั้งปวงพงึ เปนผู

(ม.ม.๑๓/๒๑๘/๒๑๙) พรอมเพรียงกนั ยินดตี อกัน ไมววิ าท

“อภิธรรม” และ “อภิวินยั ” ในกรณี กัน ศึกษาในธรรมเหลานนั้ ; ภกิ ษุทง้ั

อยางน้ี มคี วามหมายอยางไร อรรถกถา หลาย ก็เม่อื พวกเธอนั้นพรอมเพรียงกนั

แสดงไว ๒ นยั (เชน ท.ี อ.๓/๒๔๗; อง.ฺ อ.๓/ ยินดตี อกนั ไมวิวาทกนั ศกึ ษาอยู หาก
๓๒๓) นยั หนึง่ วา ธรรม หมายถึง พระ จะมีภิกษุสองรูปมีวาทะตางกันใน
สุตตนั ตปฎก อภธิ รรม หมายถึง เจด็ อภธิ รรม;…” (ธรรมที่ทรงแสดงดวย

พระคมั ภีร (สตั ตัปปกรณะ คืออภิธรรม ความรยู งิ่ คอื ทรงแสดงดวยพระปญญา
เจด็ คัมภีร), วนิ ยั หมายถงึ อภุ โตวภิ งั ค รูเหน็ ประจกั ษ = อภิญญาเทสิตธรรม
(คอื มหาวิภังคและภกิ ขนุ วี ภิ งั ค) อภิ อนั ไดแก โพธิปกขยิ ธรรม ๓๗ ประการ
วนิ ยั หมายถึง ขันธกะ และปริวาร มีสติปฏฐาน ๔ เปนตน ดังทต่ี รสั ไวน้นั )

อีกนัยหน่ึง ธรรม ไดแกท้ังพระ ตรงนี้ อรรถกถา (ม.อ.๔/๑๘) ไขความวา
สุตตันตปฎก ท้ังพระอภิธรรมปฎก อภธิ รรม ก็คือโพธิปกขิยธรรม ๓๗
อภธิ รรม หมายถงึ มรรคผล, วนิ ยั ได ประการท่ตี รสั ขางตนนนั้ เอง
แกวินัยปฎกทัง้ หมด อภวิ นิ ยั หมายถึง อภธิ รรมปฎก ช่อื ปฎกทส่ี าม ในพระไตร

การทํากเิ ลสใหสงบระงับไปได ปฎก, คาํ สอนของพระพุทธเจา สวนท่ี

อยางไรกต็ าม ในพระสตู รบางแหงมี แสดงพระอภิธรรม ซงึ่ ไดรวบรวมรกั ษา

๕๕๑

อภธิ มั มัตถวภิ าวินี ๕๕๒ อภนิ ิเวศ,อภินิเวส

ไวเปนหมวดท่ีสาม อันเปนหมวดสุด ชวงระหวาง พ.ศ. ๑๕๐๐–๑๖๕๐; ดู

ทายแหงพระไตรปฎก ประกอบดวย ปรมตั ถธรรม, พทุ ธโฆสาจารย
คมั ภรี ตางๆ ๗ คัมภีร (สตั ตัปปกรณะ, อภินเิ วศ, อภินเิ วส (บาล:ี อภินิเวส)

สดบั ปกรณ) คอื สงั คณี (หรอื ธมั ม- การยึดถอื , การจบั เอา, การควาไว 1. ใน
สังคณ)ี วภิ งั ค ธาตกุ ถา ปคุ คลบญั ญตั ิ พระไตรปฎก โดยท่วั ไปมาเดย่ี วๆ เปน
กถาวตั ถุ ยมก และ ปฏฐาน; ในอรรถ- คําโดด แปลวา ความยึดมั่น, ความยึด

กถา (เชน สงคณ.ี อ.๒๐/๑๖) มีความเลาวา ตดิ ถือมัน่ . ความมนั่ หมาย เชนในพุทธ

พระอภิธรรมเปนพระธรรมเทศนาท่พี ระ พจนวา “สพฺเพ ธมมฺ า นาลํ อภินิเวสาย”

พุทธเจาทรงแสดงโปรดพระพุทธมารดา (องฺ.สตฺตก.๒๓/๕๘/๙๐; ธรรมทั้งปวงไมควร

ตลอดพรรษา ณ ดาวดงึ สเทวโลก ในป ยดึ ม่ัน, สิ่งทง้ั ปวงไมอาจยดึ ม่ันเอาไวได)

ที่ ๗ แหงการบําเพ็ญพุทธกิจ; ดู มักมาในฐานะเปนไวพจนของทฏิ ฐิ หรอื

อภธิ รรม, ไตรปฎก มิจฉาทิฏฐิ เชนเดียวกับ ปรามาส

อภธิ มั มตั ถวภิ าวนิ ี ชอ่ื คมั ภรี ฎกี า อธบิ าย อุปาทาน เปนตน และอรรถกถา-ฏีกา

ความในคัมภรี อภธิ มั มัตถสงั คหะ พระ อาจไขความใหดวยวาเปนความยึดถือ

สมุ งั คละผเู ปนศษิ ยของพระอาจารยสารี- ดวยตัณหาและทิฏฐิ หรือเต็มท้ังชุดวา

บุตร ซ่ึงเปนปราชญในรัชกาลของพระ ตัณหามานะและทฏิ ฐิ (อภนิ เิ วสท่ีใชใน

เจาปรักกมพาหทุ ่ี ๑ (พ.ศ. ๑๖๙๖– ความหมายอื่นมีบางนอยแหง เชน องฺ.

๑๗๒๙) รจนาขึ้นในลังกาทวปี ฉกฺก.๒๒/๓๒๕/๔๑๒ อภินิเวสหมายถึง

อภิธัมมัตถสังคหะ คัมภีรประมวล ปริมณฑลท่ีกิ่งกานของตนไมแผคลุม)

ความในพระอภิธรรมปฎก สรปุ เนอื้ หา 2. ในคัมภรี ชน้ั หลังตงั้ แตอรรถกถา มี

สาระลงในหลักใหญท่ีนิยมเรียกกันวา การใชอภินิเวสในความหมายวาจับเร่ิม

“ปรมตั ถธรรม ๔” พระอนรุ ุทธาจารย ประเดิม ลงมือทํา เขาสูการปฏิบัติ

แหงมูลโสมวิหารในลังกาทวปี รจนา แต (อารัมภ, อนุปเวส, ปฏปิ ตฺต)ิ ดังทีว่ า
ไมปรากฏเวลาชัดเจน นักปราชญ อภินเิ วส มี ๒ คือ สมถาภนิ เิ วส การ

สันนิษฐานกันตางๆ บางทานวาในยุค เขาปฏบิ ตั ดิ วยสมถะ, การจบั เอาสมถะ
เดยี วกนั หรอื ใกลเคยี งกบั พระพทุ ธโฆสา- เปนทางปฏิบัติ และวิปสสนาภินิเวส

จารย แตโดยทวั่ ไปยอมรับกนั วาแตงขน้ึ การเขาปฏบิ ตั ิดวยวิปสสนา, การจบั เอา

ไมกอน พ.ศ.๑๒๕๐ และวานาจะอยูใน วปิ สสนาเปนทางปฏิบตั ิ (ป จฺ .อ.๕๒; แต สํ.อ.

๕๕๒

อภนิ ิหาร ๕๕๓ อภิสงั ขารมาร

๓/๓๑๕ วา ๒ คอื สัทธาภนิ ิเวส และวิปสสนาภนิ ิเวส); อภธิ รรม ท่ีมาคูกันน้นั ; ดู อภธิ รรม๒
และในวิปสสนาก็มีการใชอภินิเวสใน อภิเษก การรดนา้ํ , การแตงตงั้ โดยการทาํ

ความหมายวาปรเิ คราะหคือกาํ หนดรู จับ พธิ ีรดน้าํ , การไดบรรลุ
พลิกหมุนตรวจดู พิจารณา (ปริคคหะ, อภิสมาจาร ความประพฤติดีงามที่

สมั มสนะ) ประณตี ยิ่งข้นึ ไป, ขนบธรรมเนียมเพ่อื

อภนิ หิ าร อาํ นาจแหงบารม,ี อาํ นาจบุญท่ี ความประพฤติดีงามย่ิงขึ้นไปของพระ

สรางสมไว ภิกษุ และเพื่อความเรียบรอยงดงาม

อภเิ นษกรมณ การเสดจ็ ออกเพ่อื คุณอัน แหงสงฆ; เทยี บ อาทพิ รหมจรรย
ย่งิ หมายถึง การออกบวช, ผนวช อภิสมาจาริกวัตร วัตรเก่ียวดวยความ
อภบิ าล เลี้ยงด,ู ดแู ล, บํารุงรกั ษา, ปก ประพฤติอันดี, ธรรมเนียมเกี่ยวกับ

ปกรกั ษา, คุมครอง, ปกครอง มรรยาทและความเปนอยทู ีด่ งี าม

อภิรมย รืน่ เริงยงิ่ , ยินดีย่งิ , พกั ผอน อภิสมาจาริกาสิกขา หลักการศึกษา
อภิลักขิตกาล, อภิลักขิตสมัย เวลาที่ อบรมในฝายขนบธรรมเนียมที่จะชักนํา

กําหนดไว, วันกําหนด ความประพฤติ ความเปนอยูของพระ

อภิวันทน, อภิวาท, อภิวาทน การ สงฆใหดีงามมคี ุณยิ่งข้ึนไป, สิกขาฝาย
อภสิ มาจาร; เทยี บ อาทพิ รหมจรยิ กาสกิ ขา
กราบไหว

อภวิ นิ ัย๑ ในพระวินัยปฎก บางแหง มคี าํ อภิสังขาร สภาพท่ีปรุงแตงแหงการ

วาวินัย มาคูกับคาํ วาอภวิ นิ ัย ในกรณี กระทาํ ของบคุ คล, เจตนาทเี่ ปนตวั การใน
การทาํ กรรม มี ๓ อยางคอื ๑. ปุญญา-
อยางนี้ มีคําอธิบายในพระวินัยปฎก ภสิ งั ขาร อภสิ งั ขารทเ่ี ปนบญุ ๒. อปญุ ญา-
(เชน วินย.๘/๒/๒, ๕๑๒/๑๓๗) วา วนิ ยั หมาย ภสิ งั ขาร อภิสงั ขารทเ่ี ปนปฏปิ กษตอบญุ
ถงึ พระบัญญตั ิ (คือตวั สิกขาบท) อภวิ นิ ยั คอื บาป ๓. อาเนญชาภสิ งั ขาร อภสิ งั ขาร

หมายถึงการแจกแจงอธิบายความแหง

พระบญั ญัติ ทีเ่ ปนอเนญชา คือ กศุ ลเจตนาที่เปน
อภิวนิ ยั ๒ วนิ ยั อันยิ่ง, วนิ ยั เหนือขน้ึ ไป; อรูปาวจร ๔; เรยี กงายๆ ไดแก บญุ

ในพระวินัยปฎก และพระสุตตันต บาป ฌาน
ปฎก มีคําวา “อภิวนิ ยั ” มาดวยกันเปน อภิสังขารมาร อภสิ ังขารเปนมารเพราะ

คกู บั คาํ วา “อภิธรรม” บอยมาก พึง เปนตวั ปรงุ แตงกรรม ทําใหเกดิ ชาติชรา

ทราบคําอธิบายดังไดแสดงในคําวา เปนตน ขดั ขวางไมใหหลุดพนจากทุกข

๕๕๓

อภสิ ัมพทุ ธคาถา ๕๕๔ อภสิ มั พทุ ธคาถา

ในสงั สารวัฏฏ (ขอ ๓ ในมาร ๕) ชางโขลงใหญผานมา แมนกไสเขาไปยืน
อภิสมั พุทธคาถา “คาถาของพระองคผู ขวางหนาและกลาว (เปนคาถา) วา “ฉนั
ตรัสรูแลว”, คาถาที่ตรัสเมื่อตรัสรูเปน ขอไหวทานพญาชางผสู งู วยั อายถุ งึ ๖๐
พระพุทธเจาแลว (แยกตางหากจาก ป มกี าํ ลงั ออนถอยลง แตเปนเจาโขลง
คาถาท่ีตรัสเมื่อยังเปนพระโพธิสัตว), ยงิ่ ใหญแหงแดนปา ฉนั ขอทาํ อญั ชลี
เปนคําท่ีแทบไมพบในที่อื่นนอกจาก ทานดวยปกทัง้ สอง โปรดอยาฆาลกู
อรรถกถาชาดก (พบในอรรถกถาเปต ออนตวั นอยๆ ของฉนั เสยี เลย” ชาง
วัตถุ ๑ คร้งั ) ทัง้ น้เี พราะในชาดกน้นั
พระพุทธเจาทรงเลาเรื่องอดีตครั้งทรง โพธิสัตวฟงแลวก็สงสาร เขามายืน
เปนพระโพธสิ ัตว และตรสั คาํ สอนของ
พระองคเชนคติที่พงึ ไดจากเรื่องอดีตน้ัน ครอมบังลกู นกทงั้ หมดไว จนโขลงชาง
ดวย ดังนั้น คาํ พูดในเรื่องจึงมีทงั้ คาํ
ของพระโพธิสัตวในอดีตเม่ือยังไมตรัสรู ผานเลยไป และลูกนกปลอดภยั แตตอ
มีทั้งคําของบุคคลอ่ืนที่โตตอบในเร่ือง
นน้ั และมพี ระดาํ รัสของพระพุทธเจาที่ มา ชางรายตัวหนงึ่ ซ่ึงเท่ยี วไปลาํ พังผาน
ตรัสคตหิ รือขอสรุปไว คําของทกุ บคุ คล
ในเรื่องมาดวยกันในพระไตรปฎกตอน มา แมนกไสก็เขาไปยืนขวางหนาและ
นน้ั และตามปกตเิ ปนคาถาทงั้ นน้ั บาง กลาววา “ฉนั ขอไหวทานพญาชางผจู ร
ครั้งพระอรรถกถาจารยจะใหเราแยกได เดยี่ วแหงแดนปา เทยี่ วหาอาหารตาม
จึงบอกใหรวู าในเร่อื งน้ันๆ คาถาตรงนี้ๆ ขนุ เขา ฉนั ขอทาํ อญั ชลที านดวยปกทง้ั
เปนอภิสัมพุทธคาถา คือเปนคาถาที่ สอง โปรดอยาฆาลกู ออนตวั นอยๆ ของ
พระองคตรัสเอง ไมใชของบคุ คลอืน่ ใน ฉนั เสยี เลย” แตเจาชางพาลไมปรานี กลบั
เรื่อง และไมใชของพระโพธิสตั วในเรื่อง พดู แสดงอาํ นาจวา “แนะนางนกไส ขา
จะฆาลกู นอยของเจาเสยี เจาไมมกี าํ ลงั
ดังตัวอยางในชาดกเร่ืองแมนกไส จะมาทาํ อะไรขาได อยางพวกเจานใี่ ห
ตรัสเลาวา แมนกไส (นกชนิดน้วี างไข รอยตัวพันตวั ขาจะเอาเทาซายขาง
บนพ้ืนดิน) มีลูกหลายตัวเพิ่งออกจาก เดยี วขยใ้ี หละเอยี ดไปเลย” วาแลวกเ็ อา
ไข ยังบนิ ไมได และพอดีอยูบนทางที่
ชางเท่ียวหากิน วันน้ัน ชางโพธิสตั วนํา เทาเหยียบขยี้ลูกนกแหลกละเอียดทั้ง

หมดและรองแปรแปรนวง่ิ แลนไป ฝาย
แมนกไสแคนนัก ฮึดข้ึนมาในใจวา “มิ
ใชวาใครมกี าํ ลงั แลวจะทาํ อะไรกไ็ ดไป
ทว่ั ทงั้ หมด กาํ ลงั ของคนพาลนแ่ี หละ มี
ไวฆาคนพาล เจาชางใหญเอย ใครฆา

๕๕๔

อมนุษย ๕๕๕ อมาวสี

ลกู ออนตวั นอยๆ ของขา ขาจกั ทาํ ให ปศาจ แตในภาษาบาลี หมายถงึ ยักษ
มนั ยอยยบั ” ผกู ใจวาจะไดรูกันระหวาง หรอื เปรต บอยครง้ั หมายถงึ เทวดา บางที
กําลังรางกายกับกําลังปญญา แลวแม หมายถงึ ทาวสกั กะ คอื พระอินทร (เชน

นกไสกค็ ดิ วางแผน และไปขอความรวม ชา.อ.๑๐/๑๓๔)
มือจากสตั วเล็กอน่ื อีก ๓ ตวั คอื กา อมร, อมระ ผูไมตาย เปนคาํ เรียกเทวดา

กบ และแมลงวนั หวั เขยี ว เร่ิมดวยกาหา ผูไดด่มื นาํ้ อมฤต
จังหวะจิกลูกตาท้ังสองขางของเจาชาง อมฤต เปนชอ่ื น้ําทิพยทท่ี าํ ผูด่ืมใหไมตาย

พาล แลวแมลงวนั หัวเขยี วกม็ าไขใสลกู ตามเรื่องวา เทวดาท้ังหลายคิดหาของ

ตาทีบ่ อด พอถูกหนอนชอนไชตา ชาง เครือ่ งกนั ตาย พากันไปถามพระเปนเจา

เจ็บปวดมาก และกระหายเทย่ี วหานํ้าท้งั พระเปนเจารับส่ังใหกวนมหาสมุทร

ที่ตามองไมเห็น ถึงทกี บกข็ ้นึ ไปรองบน เทวดาทั้งหลายก็ทําตามโดยวิธีใชภูเขา

ยอดเขา ชางนกึ วามีน้าํ ทนี่ นั่ ก็ขึน้ ไป กบ รองขางลางลูกหนง่ึ วางขางบนลกู หนึง่

ก็ลงมารองท่ีหนาผา ชางมงุ หนามาหานาํ้ ที่กลางมหาสมุทร ลักษณะคลายโม

ถึงหนาผาก็ล่ืนไถลตกลงไปตายอยูท่ีเชิง สาํ หรับโมแปง เอานาคพนั เขาทภ่ี เู ขาลูก

เขา แมนกไสกบ็ ินลงมาเดนิ ไปมาบนตัว บนแลวชวยกันชกั สองขาง อาศยั ความ

ชางดวยความสมใจดใี จ เรอื่ งจบลงโดย รอนท่ีเกิดจากความหมุนเวียนเบียด
พระพุทธเจาตรัสวา “จงดเู ถดิ แมนกไส เสียดแหงภูเขา ตนไมทั้งหลายที่เปน
กา กบ และแมลงวนั หวั เขยี ว สตั วทงั้ สี่ ยาบนภเู ขา ไดคายรสลงไปในมหาสมทุ ร
นรี้ วมใจกนั ฆาชางเสยี ได ทานจงดคู ติ จนขนเปนปลักแลว เกิดเปนน้ําทิพยขึน้
ของคนมเี วรทท่ี าํ ตอกนั เพราะฉะนน้ั แล ในทามกลางมหาสมุทร เรียกวา น้ํา
ทานทง้ั หลาย ไมควรกอเวรกบั ใครๆ ถงึ อมฤต บาง น้ําสรุ ามฤต บาง; ทง้ั หมดนี้
จะเปนคนทไี่ มรกั ไมชอบกนั ” ในชาดกน้ี เปนเรอื่ งตามคตขิ องศาสนาพราหมณ
มคี าํ กลาว ๕ คาถา จะเหน็ ชัดวา ๔ คาถา อมฤตธรรม ธรรมที่ทําใหไมตาย, ธรรม

แรกเปนคาถาของบุคคลอนื่ ในเรือ่ ง แต ซ่ึงเปรียบดวยน้ําอมฤตอันทําผูด่ืมใหไม

เฉพาะคาถาท่ี ๕ เปนอภิสัมพทุ ธคาถา ตาย หมายถงึ พระนพิ พาน
อมนษุ ย ผูมิใชมนุษย, ไมใชคน, มัก อมาตย ขาราชการ, ขาเฝา, ขนุ นาง, มัก

หมายถึงสัตวในภพที่มีฤทธิ์มีอํานาจนา เรียก อํามาตย
กลัว อยางที่คนไทยเรียกวาพวกภูตผี อมาวสี ดถิ เี ปนที่อยรู วมแหงพระอาทติ ย

๕๕๕

อมติ า ๕๕๖ อรติ

และพระจนั ทร, วันพระจนั ทรดบั หรอื เม่ือเธอหายบาแลวมีผูโจทดวยอาบัติ

วันดับ คือวันสิ้นเดือนทางจันทรคติ ระหวางเปนบาน้ันไมรูจบ ทานใหสงฆ

(แรม ๑๕ หรอื ๑๔ ค่าํ ) สวดกรรมวาจาประกาศความขอนี้ไว

อมิตา เจาหญงิ ศากยวงศ เปนพระราช- เรียกวา อมูฬหวินัย ยกฟองโจทเสีย

บุตรีของพระเจาสหี หนุ เปนพระกนฏิ ฐ- ภายหลังมีผูโจทดวยอาบัติน้ัน หรือ

ภคินขี องพระเจาสุทโธทนะ เปนพระเจา อาบัติเชนน้ัน ในคราวท่ีเปนบา ก็ให

อาของพระพุทธเจา มีโอรสซ่ึงออก อธิกรณเปนอันระงับดวยอมูฬหวินัย

ผนวชนามวา พระติสสเถระ (ตาม (ขอ ๓ ในอธิกรณสมถะ ๗)
คัมภีรมหาวงส วาเปนมเหสีของพระเจา อโมหะ ความไมหลง, ธรรมท่ีเปน

สุปปพุทธะ จึงเปนพระมารดาของพระ ปฏิปกษตอโมหะ คือ ความรจู ริง ไดแก

เทวทัตและเจาหญิงยโสธราพมิ พา) ปญญา (ขอ ๓ ในกุศลมลู ๓)
อมิโตทนะ กษตั รยิ ศากยวงศ เปนพระ อยกู รรม ดู ปรวิ าส
ราชบตุ รองคท่ี ๓ ของพระเจาสีหหนุ อยูปรวิ าส ดู ปริวาส
เปนพระอนุชาองคที่ ๒ ของพระเจา อยูรวม ในประโยควา “ภกิ ษใุ ดรูอยกู นิ

สทุ โธทนะ เปนพระเจาอาของพระพทุ ธ- รวมกด็ ี อยูรวมก็ดี สาํ เร็จการนอนดวย

เจา เปนพระบิดาของพระอานนท (น้วี า กันกด็ ี” รวมอโุ บสถสังฆกรรม
ตาม ม.อ.๑/๓๘๔; วินย.ฏี. ๓/๓๔๙ เปนตน อโยนิโสมนสิการ การทําในใจโดยไม

แตวาตาม องฺ.อ.๑/๑๗๑ และ พทุ ธฺ .อ.๘๕ ซงึ่ แยบคาย, การไมใชปญญาพิจารณา,

ขัดกับท่ีอ่ืนๆ และวาตามหนังสือเรียน ความไมรูจักคิด, การปลอยใหอวิชชา

เปนพระบิดาของพระมหานามะ และ ตณั หาครอบงาํ นาํ ความคดิ ; เทยี บ โยนโิ ส-
มนสิการ
พระอนุรุทธะ)

อมูฬหวินัย ระเบยี บทใ่ี หแกภกิ ษุผหู าย อรดี ธิดามารคนหน่งึ ใน ๓ คน อาสา

เปนบาแลว, วิธีระงับอธิกรณสําหรับ พระยามารผูเปนบิดา เขาไปประโลม

ภกิ ษุผหู ายจากเปนบา ไดแก กริ ิยาที่ พระพุทธเจาดวยอาการตางๆ ในสมัยที่

สงฆสวดประกาศใหสมมติแกภิกษุผู พระองคเสด็จอยูที่ไมอชปาลนโิ ครธภาย

หายเปนบาแลว เพอ่ื ระงบั อนวุ าทาธกิ รณ หลงั ตรัสรใู หมๆ (อีก ๒ คน คอื ตณั หา

อธิบายวา จําเลยเปนบาทําการลวง กบั ราคา)
ละเมดิ อาบตั ิ แมจะเปนจรงิ กเ็ ปนอนาบตั ิ อรติ ความข้งึ เคยี ด, ความไมยนิ ดดี วย,

๕๕๖

อรรค ๕๕๗ อรรถกถา

ความริษยา พทุ ธพจน คอื พระดาํ รสั ของพระพทุ ธเจา
อรรค ดู อัคร นั่นเอง ซง่ึ เปนพระดาํ รัสทตี่ รัสประกอบ
อรรคสาวก สาวกผูเลศิ , สาวกผยู อด เสริมขยายความในเร่ืองท่ีตรัสเปนหลัก
เยีย่ ม, ศิษยผูเลิศกวาศิษยอ่ืนของพระ ในคราวน้ันๆ บาง เปนขอท่ีทรงชี้แจง
อธิบายพุทธพจนอื่นที่ตรัสไวกอนแลว
พุทธเจา หมายถึง พระสารีบุตร และ บาง เปนพระดํารัสปลีกยอยท่ีตรัส
พระมหาโมคคลั ลานะ; ดู อัครสาวก อธบิ ายเรื่องเลก็ ๆ นอยๆ ทาํ นองเร่ือง
อรรถ ความหมาย, ความมุงหมาย, เนอ้ื เบ็ดเตล็ดบาง ดังที่ทานยกตัวอยางวา
ความ, ใจความ, ประโยชน, ผล เมื่อพระพุทธเจาทรงไดรับนิมนตเสด็จ
อรรถ ๒, ๓ ดู อัตถะ ไปประทบั ใชอาคารเปนปฐม ในคราวท่ี
อรรถกถา “เครื่องบอกความหมาย”, เจาศากยะสรางหอประชมุ (สันถาคาร)
ถอยคําบอกแจงชี้แจงอรรถ, คําอธิบาย เสรจ็ ใหม ในพระไตรปฎกกลาวไวเพยี ง
วาไดทรงแสดงธรรมกถาแกเจาศากยะ
อตั ถะ คอื ความหมายของพระบาลี อนั อยจู นดกึ เม่อื จะทรงพกั จงึ รบั สัง่ ให
พระอานนทแสดงธรรมเร่ืองเสขปฏิปทา
ไดแกพุทธพจน รวมทั้งขอความและ แกเจาศากยะเหลานนั้ และในพระสูตร
นั้นไดบันทึกสาระไวเฉพาะเรื่องท่ีพระ
เรื่องราวเก่ียวของแวดลอมที่รักษาสืบ อานนทแสดง สวนธรรมกถาของพระ
พุทธเจาเองมีวาอยางไร ทานไมไดรวม
ทอดมาในพระไตรปฎก, คัมภรี อธบิ าย ไวในตัวพระสูตรนี้ เรื่องอยางน้ีมบี อยๆ
แมแตพระสูตรใหญๆ กบ็ ันทกึ ไวเฉพาะ
ความในพระไตรปฎก; ในภาษาบาลี หลักหรือสาระสําคัญ สวนท่ีเปนพระ
เขยี น อฏ กถา, มคี วามหมายเทากบั คาํ ดํารัสรายละเอียดหรือขอปลีกยอย
วา อตฺถวณณฺ นา หรอื อตถฺ สวํ ณณฺ นา ขยายความ ซึ่งเรียกวาปกิณกเทศนา
(คัมภีรสัททนีติ ธาตุมาลา กลาววา (จะเรียกวาปกิณกธรรมเทศนา ปกิณก-
ธรรมกถา ปกิณกกถา หรือบาลีมุต-
อรรถกถา คือเคร่ืองพรรณนาอธิบาย ธรรมกถา ก็ได) แมจะไมไดรวมไวเปน
สวนของพระไตรปฎก แตพระสาวกก็
ความหมาย ทดี่ าํ เนนิ ไปตามพยญั ชนะ
๕๕๗
และอตั ถะ อนั สมั พนั ธกบั เหตอุ นั เปนที่

มาและเรอื่ งราว)

อรรถกถามีมาเดิมสืบแตพุทธกาล

เปนของเน่อื งอยูดวยกนั กับการศกึ ษาคาํ

สอนของพระพุทธเจา ดังท่ีเขาใจงายๆ

วา “อรรถกถา” กค็ อื คาํ อธบิ ายพทุ ธพจน

และคาํ อธบิ ายพทุ ธพจนนน้ั กเ็ รมิ่ ตนที่

อรรถกถา ๕๕๘ อรรถกถา

ถือวาสําคัญย่ิง คือเปนสวนอธิบาย อันเปนทย่ี อมรับนับถือเปนหลกั กไ็ ดรบั
ขยายความที่ชวยใหเขาใจพุทธพจนท่ี การถายทอดรักษาผานการสังคายนาสืบ
บันทึกไวเปนพระสูตรเปนตนนั้นไดชัด ตอมาดวย
เจนขน้ึ พระสาวกทัง้ หลายจงึ กาํ หนดจด
จําปกิณกเทศนาเหลาน้ีไวประกอบพวง คําอธิบายท่ีเปนเรื่องใหญบางเร่ือง
คูมากับพทุ ธพจนในพระไตรปฎก เพ่ือ สําคัญมากถึงกับวา ท้ังที่เรียกวาเปน
เปนหลักฐานท่ีชวยใหเขาใจชัดเจนใน อรรถกถา กจ็ ดั รวมเขาเปนสวนหน่ึงใน
พระพุทธประสงคของหลักธรรมท่ีตรัส พระไตรปฎกดวย ดงั ที่ทานเลาไว คือ
ในคราวน้นั ๆ และเฉพาะอยางยิ่งจะได “อัฏฐกถากัณฑ” ซ่ึงเปนภาคหรือคัมภีร
ใชในการชี้แจงอธิบายหลักธรรมในพุทธ ยอยที่ ๓ ในคมั ภรี ธมั มสงั คณี แหงพระ
พจนน้ันแกศิษยเปนตน พระปกิณก- อภิธรรมปฎก (พระไตรปฎก เลม ๓๔,
เทศนานแี้ หละ ท่เี ปนแกนหรอื เปนท่ีกอ อฏั ฐกถากณั ฑนมี้ อี กี ชอ่ื หนง่ึ วา “อตั ถทุ -
รูปของสิ่งท่ีเรียกวาอรรถกถา แตใน ธารกณั ฑ” และพระไตรปฎกฉบบั สยาม
ขณะทส่ี วนซงึ่ เรยี กวาพระไตรปฎก ทาน รัฐไดเลือกใชช่ือหลัง) ตามเรื่องท่ีทาน
รักษาไวในรูปแบบและในฐานะท่ีเปน บนั ทกึ ไววา (สงคฺ ณ.ี อ.๔๖๖) สัทธิวิหาริกรปู
หลัก สวนท่ีเปนอรรถกถาน้ี ทานนาํ สืบ หน่ึงของพระสารีบุตรไมสามารถกําหนด
กันมาในรูปลักษณและในฐานะที่เปนคํา จับคําอธิบายธรรมในภาคหรือคัมภีร
อธิบายประกอบ แตกถ็ ือเปนสาํ คญั ยิ่ง ยอยท่ี ๒ ทช่ี อื่ วานกิ เขปกณั ฑ ในคมั ภรี
ดังท่ีเมื่อสังคายนาพระไตรปฎก อรรถ- ธมั มสงั คณนี น้ั พระสารบี ตุ รจงึ พดู ใหฟง
กถาเหลานี้ก็เขาสกู ารสงั คายนาดวย (ดู ก็เกิดเปนอัฏฐกถากัณฑหรืออัตถุทธาร-
กณั ฑนนั้ ข้นึ มา (แตคัมภีรมหาอัฏฐกถา
ตวั อยางท่ี ม.ม.๑๓/๒๕/๒๕; ม.อ.๓/๖/๒๐; วนิ ย.ฏ.ี กลาววา พระสารีบุตรพาสทั ธวิ ิหาริกรูป
น้ันไปเฝาพระพุทธเจา และพระองค
๒/๒๘/๗๐; ท.ี ฏ.ี ๒/๑๘๘/๒๐๗) ทงั้ นี้ มเิ ฉพาะ ตรสั แสดง), คัมภรี มหานทิ เทส (พระ
พระพุทธดํารสั เทาน้นั แมคาํ อธบิ ายของ ไตรปฎก เลม ๒๙) และจฬู นิทเทส
พระมหาสาวกบางทานก็มีทั้งท่ีเปนสวน (พระไตรปฎก เลม ๓๐) ก็เปนคําอธบิ าย
ในพระไตรปฎก (อยางเชนพระสูตร ของพระสารีบุตร ที่ไขและขยายความ
หลายสูตรของพระสารีบุตร) และสวน แหงพทุ ธพจนในคมั ภรี สุตตนบิ าต (พระ
อธิบายประกอบที่ถือวาเปนอรรถกถา ไตรปฎก เลม ๒๕, อธิบายเฉพาะ ๓๒
คําอธิบายท่ีสําคัญของพระสาวกผูใหญ
๕๕๘

อรรถกถา ๕๕๙ อรรถกถา

สูตร ในจํานวนท้งั หมด ๗๑ สตู ร) อฏั ฐสาลนิ ใี นคราวนนั้ ดวย แตไมสมจรงิ
อรรถกถาทั้งหลายแตคร้ังพุทธกาล เพราะอฏั ฐสาลนิ อี างวสิ ทุ ธมิ คั ค และอาง
สมนั ตปาสาทกิ า มากมายหลายแหง จงึ
น้ัน ไดพวงมากับพระไตรปฎกผานการ คงตองแตงทหี ลงั ) เสรจ็ แลวเรม่ิ จะเรยี บ
สงั คายนาทงั้ ๓ ครง้ั จนกระทง่ั เมอื่ พระ เรยี งอรรถกถาแหงพระปรติ รขน้ึ อาจารย
มหินทเถระไปประดิษฐานพระพุทธ- ของทาน ซงึ่ มชี อื่ วาพระเรวตเถระ บอก
ศาสนาในลงั กาทวปี เมอื่ พ.ศ. ๒๓๕ ก็ วา อรรถกถามีอยบู รบิ รู ณในลงั กาทวปี
นาํ อรรถกถาเหลานน้ั ซง่ึ ยงั เปนภาษาบาลี เปนภาษาสงิ หฬ และใหทานไปแปลเปน
พวงไปกบั พระไตรปฎกบาลดี วย แตเพื่อ ภาษาบาลีแลวนาํ มายังชมพทู วปี
ใหพระสงฆตลอดจนพุทธศาสนิกท้ัง
หลายในลังกาทวีปนั้น สามารถศึกษา พระพุทธโฆสไดเดินทางไปยังลังกา-
พระไตรปฎกซ่ึงเปนภาษาบาลีไดสะดวก ทวีปในรัชกาลของพระเจามหานาม
พระพุทธศาสนาจะไดเจริญม่ันคงดวย (พ.ศ.๙๕๓–๙๗๕; ปท่ที านไป หลกั ฐาน
หลักพระธรรมวนิ ยั คมั ภรี เลาวา พระ บางแหงวา พ.ศ.๙๕๖ แตบางแหงวา พ.ศ.
มหินทเถระไดแปลอรรถกถาจากภาษา ๙๖๕) พระพทุ ธโฆสพาํ นักในมหาวหิ าร
บาลใี หเปนภาษาของผเู ลาเรยี น คอื ภาษา เมืองอนรุ าธปุระ ไดสดบั อรรถกถาภาษา
สงิ หฬ ซ่ึงเรียกกันตอมาวา “มหาอฏั ฐ- สงิ หฬครบทง้ั มหาอฏฐกถา มหาปจจฺ รี
กถา” และใชเปนเครื่องมือศึกษาพระ (มหาปจจฺ รยิ กเ็ รยี ก) และกรุ นุ ทฺ ี (อรรถ-
ไตรปฎกบาลสี บื มา ตอแตนนั้ อรรถกถา กถาเกากอนเหลาน้ี รวมทง้ั สงฺเขปฏ -
ทง้ั หลายกส็ บื ทอดกนั มาในภาษาสงิ หฬ กถาซง่ึ เปนความยอของมหาปจจรี และ
อนฺธกฏ กถาท่ีพระพุทธโฆสไดคุนมา
ตอมา พระพุทธศาสนาในชมพูทวปี กอนน้ันแลว จัดเปนโปราณัฏฐกถา)
เส่ือมลง แมวาพระไตรปฎกจะยงั คงอยู เม่ือจบแลว ทานกไ็ ดขอแปลอรรถกถา
แตอรรถกถาไดสญู สน้ิ หมดไป ครง้ั นัน้ ภาษาสงิ หฬ เปนภาษามคธ แตสงั ฆะแหง
มพี ระภกิ ษรุ ปู หนงึ่ ออกบวชจากตระกลู มหาวิหารไดมอบคาถาพุทธพจนใหทาน
พราหมณ เลาเรยี นพระไตรปฎกแลว มี ไปเขียนอธิบายกอน เปนการทดสอบ
ความเชย่ี วชาญจนปรากฏนามวา “พุทธ- ความสามารถ พระพุทธโฆสไดเขียน
โฆส” ไดเรียบเรยี งคมั ภรี ชือ่ วาญาโณทยั ขยายความคาถานัน้ โดยประมวลความ
(คัมภีรมหาวงสกลาววาทานเรียบเรียง ในพระไตรปฎกพรอมท้ังอรรถกถามา
อรรถกถาแหงคัมภีรธัมมสังคณี ช่ือวา
๕๕๙

อรรถกถา ๕๖๐ อรรถกถา

เรียบเรียงตามหลกั ไตรสกิ ขา สําเรจ็ เปน แกน ขอความทย่ี ดื ยาวกลาวซาํ้ ๆ กจ็ บั
คัมภีรวิสุทธิมัคค ครั้นเห็นความ เอาสาระมาเรียบเรียง แปลเปนภาษา
สามารถแลว สังฆะแหงมหาวิหารจึงได มคธ โดยเกบ็ เอาวาทะ เรอื่ งราว และขอ
วินิจฉัยของพระเถระสิงหฬโบราณ ถึง
มอบคมั ภรี แกทาน พระพทุ ธโฆสเรม่ิ งาน พ.ศ.๖๕๓ มารวมไวดวย

แปลใน พ.ศ.๙๗๓ ต้ังตนที่อรรถกถา พระพุทธโฆสาจารยเปนผูเริ่มตนยุค
อรรถกถาที่กลับมีเปนภาษาบาลีข้ึนใหม
แหงพระวินัยปฎก (คือสมันตปาสาทกิ า, แมวาพระพุทธโฆสจะมิไดจัดทําอรรถ-
กถาข้ึนครบบริบูรณ แตในระยะเวลา
คาํ นวณปจาก วนิ ย.อ.๓/๖๓๕) เมอ่ื ทาํ งานแปล ใกลเคียงกันน้ันและตอจากนั้นไมนาน
ก็ไดมีพระอรรถกถาจารยรูปอ่ืนๆ มา
เสร็จพอควรแลว ก็เดินทางกลับไปยัง ทาํ งานสวนทยี่ ังขาดอยจู นเสร็จสนิ้

ชมพทู วปี รายชื่ออรรถกถา พรอมท้งั นามพระ
เถระผูรจนา (พระอรรถกถาจารย)
งานแปลของพระพทุ ธโฆสนน้ั แทจรงิ แสดงตามลําดับคัมภีรในพระไตรปฎก
ท่ีอรรถกถานนั้ ๆ อธบิ าย มีดงั น้ี (พฆ.
มใิ ชเปนการแปลอยางเดยี ว แตเปนการ หมายถงึ พระพทุ ธโฆสาจารย)

แปลและเรียบเรียง ดังท่ีทานเองเขียน ก.พระวนิ ัยปฎก (ท้ังหมด) สมันต-
ปาสาทิกา (พฆ.) ข.พระสตุ ตันตปฎก
บอกไววา ในการสังวรรณนาพระวินัย ๑.ทฆี นิกาย สุมังคลวลิ าสินี (พฆ.)
ทานใชมหาอรรถกถาเปนเนื้อหาหลัก ๒.มชั ฌมิ นิกาย ปปญจสทู นี (พฆ.)
(เปนสรรี ะ) พรอมทง้ั เกบ็ เอาอรรถะทค่ี วร ๓.สงั ยุตตนกิ าย สารตั ถปกาสินี (พฆ.)
๔.อังคตุ ตรนกิ าย มโนรถปูรณี (พฆ.)
กลาวถึงจากขอวินิจฉัยท่ีมีในอรรถกถา ๕.ขทุ ทกนกิ าย ๑.ขทุ ทกปาฐะ ปรมตั ถ-
มหาปจจรี และอรรถกถากรุ นุ ที เปนตน โชตกิ า (พฆ.) ๒.ธรรมบท ธมั มปทัฏฐ-
(คือรวมตลอดถึงอันธกัฏฐกถา และ กถา (*) ๓.อุทาน ปรมัตถทปี นี (พระ
สังเขปฏฐกถา) อธิบายใหครอบคลุม ธรรมปาละ) ๔.อติ ิวตุ ตกะ ปรมัตถทปี นี
ประดาเถรวาทะ (คือขอวนิ จิ ฉัยของพระ (พระธรรมปาละ) ๕.สตุ ตนบิ าต ปรมตั ถ-

มหาเถระวนิ ัยธรโบราณในลังกาทวปี ถึง ๕๖๐

พ.ศ.๖๕๓), แตในสวนของพระ

สุตตันตปฎกและพระอภิธรรมปฎก

อรรถกถาโบราณ (โปราณัฏฐกถา) ภาษา
สิงหฬ มีเพยี งมหาอรรถกถาอยางเดียว
(มมี หาอรรถกถาในสวนของคมั ภรี แตละ

หมวดนน้ั ๆ ซง่ึ ถอื วาเปนมลู ฏั ฐกถา) พระ
พุทธโฆสจึงใชมหาอรรถกถานั้น เปน

อรรถกถา ๕๖๑ อรรถกถา

โชติกา (พฆ.) ๖.วมิ านวัตถุ ปรมัตถ- พระปาติโมกข) ซงึ่ กเ็ ปนผลงานของพระ
ทีปนี@ (พระธรรมปาละ) ๗.เปตวัตถุ พุทธโฆส, อรรถกถาแหงเนตติปกรณ
ปรมัตถทปี นี@ (พระธรรมปาละ) ๘.เถร- เปนผลงานของพระธรรมปาละ]
คาถา ปรมัตถทปี นี (พระธรรมปาละ) ๙.
เถรคี าถา ปรมตั ถทปี นี (พระธรรมปาละ) เนื้อตัวแทๆ ของอรรถกถา หรือ
๑๐.ชาดก ชาตกฏั ฐกถา (*) ๑๑.นทิ เทส ความเปนอรรถกถา ก็ตรงกบั ช่ือท่ีเรยี ก
สทั ธัมมปชโชติกา (พระอุปเสนะ) ๑๒. คือ อยทู ่ีเปนคาํ บอกความหมาย หรือ
ปฏสิ มั ภิทามคั ค สทั ธัมมปกาสินี (พระ เปนถอยคําชี้แจงอธิบายอัตถะของศัพท
มหานาม) ๑๓.อปทาน วสิ ทุ ธชนวลิ าสนิ ี หรือขอความในพระไตรปฎก เฉพาะ
(**) ๑๔.พทุ ธวงส มธรุ ตั ถวลิ าสินี (พระ อยางย่งิ คอื อธิบายพทุ ธพจน เชน เรา
พทุ ธทตั ตะ) ๑๕.จริยาปฎก ปรมตั ถ- อานพระไตรปฎก พบคาํ วา “วิริยสฺส
ทปี นี (พระธรรมปาละ) ค.พระอภธิ รรม- สณฺ านํ” กไ็ มเขาใจ สงสัยวาทรวดทรง
ปฎก ๑.ธัมมสังคณี อัฏฐสาลินี (พฆ.) สณั ฐานอะไรของความเพยี ร จึงไปเปด
๒.วภิ งั ค สมั โมหวโิ นทนี (พฆ.) ๓.หา ดูอรรถกถา กพ็ บไขความวา สณั ฐานใน
คมั ภรี ทเ่ี หลอื ปญจปกรณฏั ฐกถา (พฆ.) ทน่ี หี้ มายความวา “ ปนา อปปฺ วตตฺ นา…”
ก็เขาใจและแปลไดวาหมายถึงการหยุด
[พงึ ทราบ: @ ปรมตั ถทปี นี ทเี่ ปน ย้งั การไมดาํ เนินความเพียรตอไป ถา
อรรถกถา แหงวิมานวตั ถุ และเปตวัตถุ พูดในขั้นพ้ืนฐาน ก็คลายกับพจนานุ-
มอี กี ชื่อหนงึ่ วา วมิ ลวลิ าสนิ ;ี (*) คอื กรมที่เราอาศัยคนหาความหมายของ
ธัมมปทัฏฐกถา และชาตกฏั ฐกถา นั้น ศพั ท แตตางกันตรงทว่ี าอรรถกถามใิ ช
ที่จริงก็มีช่ือเฉพาะวา ปรมัตถโชติกา เรียงตามลําดับอักษร แตเรียงไปตาม
และถือกันมาวาพระพุทธโฆสเปนผู ลําดบั เนื้อความในพระไตรปฎก ย่ิงกวา
น้ัน อรรถกถาอาจจะแปลความหมายให
เรียบเรียงคัมภีรทั้งสองนี้ แตอาจเปนได ท้งั ประโยค หรอื ท้งั ทอนท้งั ตอน และ
ความที่ทานช่ําชองในพระไตรปฎก ก็
วาทานเปนหัวหนาคณะ โดยมผี อู น่ื รวม อาจจะอางอิงหรือโยงคําหรือความตอน
งานดวย; (**) วสิ ทุ ธชนวลิ าสนิ ี นั้น นัน้ ไปเทยี บหรือไปบรรจบกบั ขอความ
นามผรู จนาไมแจง แตคมั ภรี จฬู คนั ถวงส เร่ืองราวที่อืน่ ในพระไตรปฎกดวย นอก
เหนือจากนี้ ในกรณเี ปนขอปญหา หรือ
(แตงในพมา) วาเปนผลงานของพระ
๕๖๑
พทุ ธโฆส; มอี รรถกถาอ่นื ท่พี ึงทราบอกี
บาง คือ กงั ขาวติ รณี (อรรถกถาแหง

อรรถกถา ๕๖๒ อรรถกถา

ไมชัดเจน ก็อาจจะบอกขอยุติหรือคํา อธิบายเนื้อหาในพระไตรปฎก ซึง่ กค็ ือ
วินิจฉัยที่สังฆะไดตกลงไวและรักษากัน ตองการตวั อรรถกถาแทๆ นนั่ เอง และ
มา บางทีก็มกี ารแสดงความเหน็ หรอื มติ ก็ตรงกันกับหนาที่การงานของอรรถกถา
ของพระอรรถกถาจารยตอเรื่องที่กําลัง อันไดแกการรักษาสืบทอดคําบอกความ
พจิ ารณา และพรอมนนั้ กอ็ าจจะกลาวถงึ หมายที่เปนอัตถะในพระไตรปฎก สวน
มติที่ขัดแยง หรอื ที่สนบั สนุน ของ “เกจิ” อน่ื นอกเหนอื จากนี้ เชนเรอ่ื งราวเลาขาน
(อาจารยบางพวก) “อ ฺเ ” (อาจารย ตางๆ เปนเพยี งเครอื่ งเสรมิ ประกอบ ท่ี
พวกอ่ืน) “อปเร” (อาจารยอกี พวกหนึ่ง) จรงิ มันไมใชอรรถกถา แตเปนสิง่ ทีพ่ วง
เปนตน นอกจากนัน้ ในการอธิบายหลกั มาดวยในหนังสือหรือคัมภีรที่เรียกวา
หรอื สาระบางอยาง บางทีก็ยกเร่อื งราว อรรถกถา
มาประกอบหรือเปนตัวอยาง ประเภท
เร่ืองปนอิทธฤิ ทธิป์ าฏหิ ารยิ บาง เรอ่ื งใน เนื่องจากผูอานพระไตรปฎกบาลี
วิถีชีวิตและความเช่ือของชาวบานบาง ตองพบศัพทที่ตนไมรูเขาใจบอยครั้ง
ตลอดจนเหตุการณในยุคสมยั ตางๆ ซ่ึง และจงึ ตองปรกึ ษาอรรถกถา คลายคน
มากทีเดียวเปนเรื่องความเปนไปของ ปรึกษาพจนานุกรม เมอื่ แปลพระไตร-
บานเมืองในลังกาทวีป ซ่ึงในอดีตผาน ปฎกมาเปนภาษาไทย เปนตน จึงมัก
ยุคสมัยตางๆ ระหวางที่พระสงฆเลา แปลไปตามคําไขความหรืออธิบายของ
เรียนกัน คงมีการนําเอาเรอ่ื งราวในยคุ อรรถกถา พระไตรปฎกแปลภาษาไทย
สมัยนั้นๆ มาเลาสอนและบันทึกไวสืบ เปนตนน้ัน จึงมีสวนท่ีเปนคําแปลผาน
กันมา จึงเปนเร่อื งตํานานบาง ประวตั -ิ อรรถกถา หรือเปนคําแปลของอรรถ
ศาสตรบาง แหงกาลเวลาหลายศตวรรษ กถาอยเู ปนอนั มาก และผูอานพระไตร-
อันเห็นไดชดั วา พระอรรถกถาจารยดัง ปฎกแปลก็ไมรูตัววาตนกาํ ลังอานอรรถ-
เชนพระพุทธโฆสาจารย ไมอาจรไู ปถึง กถาพรอมไปดวย หรอื วาตนกาํ ลังอาน
ได นอกจากยกเอาจากคัมภีรท่เี รยี กวา พระไตรปฎกตามคําแปลของอรรถกถา
โปราณัฏฐกถาข้ึนมาถายทอดตอไป
มีขอพงึ ทราบอกี อยางหน่ึงวา เวลาน้ี
สําหรับผูท่ีเขาใจรูจักอรรถกถา สิ่ง เม่ือพูดถึงอรรถกถา ทุกคนเขาใจวา
สําคญั ทเ่ี ขาตองการจากอรรถกถา ก็คอื หมายถึงอรรถกถาภาษาบาลีทพี่ ระพุทธ-
สวนที่เปนคําบอกความหมายไขความ โฆสาจารย เปนตน ไดเรียบเรยี งขน้ึ ใน
ชวงระยะใกล พ.ศ.๑๐๐๐ แตดังไดเลา

๕๖๒

อรรถกถาจารย ๕๖๓ อรรถกถานัย

ใหทราบแลววา พระอรรถกถาจารยรุน พระอาจารยธรรมปาละ ซง่ึ เปนพระ

ใหม พ.ศ.ใกลหนึ่งพนั น้ี ไดเรียบเรยี ง อรรถกถาจารยสาํ คัญท่ีเรียบเรียงอรรถ-

อรรถกถาภาษาบาลีขึ้นมาจากอรรถกถา กถาไวมาก รองจากพระพทุ ธโฆส ได

เกาภาษาสิงหฬ ท่ีถูกเรียกแยกออกไป เรียบเรียงฎีกาสําคัญ ซ่ึงอธิบายอรรถ-

ใหเปนตางหากวา “โปราณัฏฐกถา” ขอท่ี กถาท่ีพระพุทธโฆสไดเรียบเรียงไวอีก
ควรทราบอันสําคัญก็คือ ในอรรถกถา ดวย คอื ลีนตั ถปกาสนิ ี (เปนฎีกาซ่ึง

ภาษาบาลีที่เปนรุนใหมน้ี ทานอางอิง อธบิ ายอรรถกถาแหงนกิ ายทง้ั ส่ี คอื ทฆี -

โปราณฏั ฐกถาบอยๆ โดยบางทกี อ็ อกชอ่ื นกิ าย มชั ฌมิ นกิ าย สงั ยตุ ตนกิ าย และ

เฉพาะของอรรถกถาเกานั้นชัดออกมา อังคุตตรนิกาย และอธิบายอรรถกถา

แตบางทีก็กลาวเพียงวา “ในอรรถกถา แหงชาดก) นอกจากนนั้ กย็ งั ไดเรยี บเรยี ง
กลาววา…” คาํ วาอรรถกถา ทีอ่ รรถกถา ปรมตั ถทปี นี (ฎกี าอธบิ ายอรรถกถาแหง

ภาษาบาลกี ลาวถงึ นน้ั โดยทวั่ ไป หมายถงึ พทุ ธวงส ทพ่ี ระพทุ ธทตั ตะเรยี บเรยี งไว)
อรรถกถาเกา หรอื โปราณฏั ฐกถา ทเี่ ปน และปรมัตถมัญชุสา (ฎีกาแหงวิสุทธิ-

ภาษาสงิ หฬ (พระอรรถกถาจารยรนุ ใหม มคั ค ทเ่ี รยี กกนั วามหาฎกี า), ฎกี าจารย
น้ี บางทานยังไมพบวาไดเรยี กงานท่ที าน ทานหนง่ึ ชอื่ พระวาจสิ สระ รจนา ลนี ตั ถ-
เองทาํ วาเปนอรรถกถา) พดู สนั้ ๆ วา คน ทีปนี (ฎีกาอันอธิบายตอจากอรรถกถา

ปจจบุ นั พดู ถงึ อรรถกถา หมายถงึ อรรถ- แหงปฏสิ มั ภทิ ามคั ค); นอกจากน้ี มฎี กี า

กถาภาษาบาลที เ่ี กดิ มใี นยคุ พ.ศ.๑๐๐๐ อกี ๒ เรอ่ื ง ทคี่ วรกลาวไวดวย เพราะ

แตอรรถกถาภาษาบาลีนั้นเอยคําวา กําหนดใหใชเลาเรียนในหลักสูตรพระ

อรรถกถา โดยมกั หมายถงึ อรรถกถาเกา ปริยตั ธิ รรมแผนกบาลขี องคณะสงฆไทย

ภาษาสงิ หฬ คอื สารตั ถทปี นี (ฎกี าแหงวนิ ยฏั ฐกถา)

ตอจากอรรถกถา ยังมีคัมภีรที่ ผแู ตงคอื พระอาจารยชอ่ื สารีบตุ ร (ไมใช
อธิบายรุนตอมาอีกหลายชั้นเปนอันมาก พระสารบี ตุ รอคั รสาวก) และ อภธิ มั มตั ถ-
เริ่มแต “ฎีกา” (ฏีกา) แจงไขขยายความ วภิ าวนิ ี (ฎกี าแหงอภธิ มั มตั ถสงั คหะ) ผู
ตอจากอรรถกถา “อนุฎีกา” แจงไข แตงคอื พระสุมังคละ; ดู โปราณฏั ฐกถา
ขยายความตอจากฎีกา แตในท่นี จี้ ะไม อรรถกถาจารย อาจารยผแู ตงอรรถกถา
กลาวถึง เวนแตจะขอบอกนามทานผู อรรถกถานัย เคาความในอรรถกถา,

แตง “ฎกี า” ท่ีสําคัญ พอใหทราบไว แนวคําอธิบายในอรรถกถา, แงแหง

๕๖๓

อรรถคดี ๕๖๔ อรหันต

ความหมายที่แสดงไวในอรรถกถา คาํ เดมิ เปน อรหัตต
อรรถคดี เรื่องที่ฟองรองกันในโรงศาล, อรหัตตผล ผลคือการสําเร็จเปนพระ

ขอทีก่ ลาวหากัน อรหนั ต, ผลคอื ความเปนพระอรหันต,

อรรถรส “รสแหงเน้ือความ”, “รสแหง ผลที่ไดรับจากการละสังโยชนทั้งหมด

ความหมาย” สาระทตี่ องการของเนอื้ ความ, อันสืบเน่อื งมาจากอรหตั ตมรรค ทําให

เนอ้ื แทของความหมาย, ความหมายแทที่ เปนพระอรหันต
ตองการ, ความมงุ หมายทแี่ ทรกซมึ อยใู น อรหัตตมรรค ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุผล

เนือ้ ความ คลายกับท่ีมักพูดกันในบัดน้ี คือความเปนพระอรหันต, ญาณคือ

วา เจตนารมณ (พจนานกุ รมวา “ถอยคาํ ความรเู ปนเหตลุ ะ สงั โยชน ไดท้งั ๑๐
อรหัตตวิโมกข ความพนจากกเิ ลสดวย
ทท่ี าํ ใหเกิดความซาบซ้ึง”)

อรรถศาสน คาํ สอนวาดวยเรอื่ งประโยชน อรหตั หรือเพราะสาํ เรจ็ อรหตั คอื หลดุ
๓ อยาง คือ ๑. ทิฏฐธัมมิกัตถะ พนข้ันละกิเลสไดส้ินเชิงและเด็ดขาด
ประโยชนในปจจบุ นั ๒. สมั ปรายกิ ตั ถะ สําเร็จเปนพระอรหนั ต
ประโยชนทจี่ ะไดในภายหนา ๓. ปรมตั ถะ อรหันต ผูสําเร็จธรรมวเิ ศษสูงสดุ ในพระ

ประโยชนอยางยง่ิ คือพระนิพพาน พุทธศาสนา, พระอริยบุคคลช้ันสูงสุด
อรหํ (พระผูมพี ระภาคเจาน้ัน) เปนพระ ผูไดบรรลุอรหตั ตผล, พระอรหนั ต ๒

อรหันต คือ เปนผูไกลจากกเิ ลสและ ประเภท คอื พระสกุ ขวปิ สสก กบั พระ

บาปธรรม ทรงความบริสทุ ธิ์, หรือเปนผู สมถยานกิ ; พระอรหนั ต ๔ คือ ๑. พระ

กาํ จัดขาศึกคอื กเิ ลสสน้ิ แลว, หรอื เปนผู สกุ ขวปิ สสก ๒. พระเตวชิ ชะ (ผูได

หกั กาํ แหงสังสารจักร อันไดแก อวิชชา วิชชา ๓) ๓. พระฉฬภญิ ญะ (ผไู ด

ตณั หา อุปาทาน กรรม, หรือเปนผูควร อภิญญา ๖) ๔. พระปฏสิ ัมภทิ ปั ปตตะ

แนะนาํ สง่ั สอน เปนผคู วรรบั ความเคารพ (ผบู รรลปุ ฏิสมั ภทิ า ๔); พระอรหันต ๕

ควรแกทักษิณา และการบูชาพิเศษ, คอื ๑. พระปญญาวิมตุ ๒. พระอุภโต-

หรือเปนผูไมมีขอเรนลับ คือไมมขี อเสีย ภาควิมตุ ๓. พระเตวชิ ชะ ๔. พระฉฬ-

หายอันควรปกปด (ขอ ๑ ในพทุ ธคุณ ๙) ภิญญะ ๕. พระปฏิสมั ภทิ ัปปตตะ; ดู
อรหตั ความเปนพระอรหันต, ชอ่ื มรรค อรยิ บุคคล

ผลข้ันสูงสุดในพระพทุ ธศาสนา ซง่ึ ตัด พระอรรถกถาจารยแสดงความ
กิเลสในสนั ดานไดเด็ดขาด; เขยี นอยาง หมายของ อรหันต ไว ๕ นัย คอื ๑.

๕๖๔

อรหนั ตขณี าสพ ๕๖๕ อรญั วาสี

เปนผไู กล (อารกะ) จากกเิ ลส (คอื หาง เสนาสนะปา (รวมทงั้ วดั ปา) มกี ําหนดใน

ไกลไมอยูในกระแสกิเลสที่จะทําใหมัว พระวนิ ยั (วนิ ย.๒/๑๖๖/๑๔๖; ๗๙๖/๕๒๘) วา
หมองไดเลย) ๒. กําจัดขาศึก (อริ+หต) “เสนาสนะทชี่ อ่ื วา ปา มรี ะยะไกล ๕๐๐

คอื กเิ ลสหมดส้นิ แลว ๓. เปนผหู ักคือ ชวั่ ธนู (=๕๐๐ วา คอื ๑ กม.) เปนอยาง
รอ้ื ทาํ ลายกํา (อร+หต) แหงสังสารจกั ร นอย”; เทยี บ วนะ
เสร็จแลว ๔. เปนผคู วร (อรห) แกการ อรญั ญิกธุดงค องคคณุ เครือ่ งขจัดกเิ ลส

บูชาพิเศษของเทพและมนุษยท้ังหลาย ของผูถืออยปู ระจําในปา ไดแกธดุ งคขอ
๕. ไมมที ีล่ บั (น+รห) ในการทาํ บาป อารัญญกิ งั คะ
คือไมมีความช่ัวความเสียหายท่ีจะตอง อรญั ญกิ วัตร ขอปฏบิ ัติสาํ หรบั ภิกษุผอู ยู

ปดบงั ; ความหมายทง้ั ๕ นี้ ตามปกติ ปา, ธรรมเนียมในการอยปู าของภิกษ;ุ ดู

ใชอธิบายคาํ วา อรหนั ต ทเ่ี ปนพทุ ธคุณ อารัญญกวตั ร
ขอท่ี ๑; ดู อรหํ อรญั วาสี “ผอู ยปู า”, พระปา หมายถงึ
อรหนั ตขณี าสพ พระอรหนั ตผสู น้ิ อาสวะ พระภิกษุท่ีอยูวัดในปา, เปนคูกับ
แลว ใชสําหรับพระสาวก, สําหรบั พระ คามวาสี หรอื พระบาน ซง่ึ หมายถึงพระ
พทุ ธเจา ใชคาํ วา อรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธ- ภิกษุท่ีอยูวัดในบานในเมือง; ใน
เจา พระอรหนั ตผูตรสั รชู อบเอง
พทุ ธกาล ไมมีการแบงแยกวา พระบาน

อรหันตฆาต ฆาพระอรหันต (ขอ ๓ ใน -พระปา และคาํ วา คามวาสี-อรัญวาสี ก็

อนนั ตรยิ กรรม ๕) ไมมีในพระไตรปฎก เพราะในสมัย

อรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา พระอรหันต พุทธกาลนั้น พระสงฆมีพระพุทธเจา

ผตู รัสรชู อบดวยพระองคเอง หมายถงึ เปนศูนยรวม และมีการจาริกอยูเสมอ

พระพุทธเจา โดยเฉพาะพระพุทธองคเองทรงนําสงฆ

อรัญ, อรญั ญ ปา, ตามกาํ หนดในพระ หมูใหญจาริกไปในถิ่นแดนทั้งหลายเปน

วินยั (วินย.๑/๘๕/๘๕) วา “ที่เวนบาน (คาม) ประจํา ภิกษุทั้งหลายท่ียังไมจบกิจใน

และอปุ จารบาน นอกนน้ั ชอ่ื วาปา (อรญั )” พระศาสนา นอกจากเสาะสดบั คําสอน

และตามนยั พระอภธิ รรม (อภ.ิ วิ.๓๕/๖๑๖/ ของพระพุทธเจาแลว ก็ยอมระลึกอยู

๓๓๘; ซง่ึ ตรงกบั พระสตู ร, ขุ.ปฏ.ิ ๓๑/๓๘๘/๒๖๔) เสมอถึงพระดํารัสเตือนใหเสพเสนาสนะ

วา “คาํ วา ปา (อรญั ) คอื ออกนอกหลกั อันสงัดเจริญภาวนา โดยทรงระบุปา

เขตไปแลว ทที่ งั้ หมดนนั้ ชอื่ วา ปา”; สวน เปนสถานที่แรกแหงเสนาสนะอันสงัด

๕๖๕

อรญั วาสี ๕๖๖ อรญั วาสี

นัน้ (ทีต่ รสั ท่ัวไปคอื “อิธ ภิกขฺ เว ภกิ ขฺ ุ ตามคติน้ี การไปเจรญิ ภาวนาในปา
อร ฺ คโต วา รุกฺขมูลคโต วา สุ ฺ า- เปนขอพึงปฏิบัติสําหรับภิกษุทุกรูป
คารคโต วา…” – ภิกษุทั้งหลาย ภิกษใุ น เสมอเหมอื นกนั ไมมกี ารแบงแยก ดงั นนั้
ธรรมวนิ ยั นี้ ไปอยใู นปากด็ ี โคนไมก็ดี จึงเปนธรรมดาที่วา ในคัมภีรมิลินท-
เรอื นวางก็ดี…; ทต่ี รัสรองลงไปคือ “… ปญหา (ประมาณ พ.ศ.๕๐๐) กย็ ังไมมี
ววิ ิตตฺ เสนาสน ภชติ อร ฺ รกุ ฺขมูล คําวา คามวาสี และอรญั วาสี (พบคําวา
ปพฺพต กนฺทร คริ คิ ุหํ สสุ าน วนปตถฺ “อร ฺ วาสา” แหงเดยี ว แตหมายถึง
อพฺโภกาส ปลาลปุ ชฺ …” – [ภิกษนุ ้นั ] ดาบสชาย-หญงิ ) แมวาตอมาในอรรถกถา
…เขาหาเสนาสนะอันสงัด คือ ปา โคนไม (กอน จนถงึ ใกล พ.ศ.๑๐๐๐) จะมคี าํ วา
ภเู ขา ซอกเขา ถาํ้ ในเขา ปาชา ดงเปล่ยี ว คามวาสี และอรัญวาสี เกดิ ขน้ึ แลว แต
ท่แี จง ลอมฟาง…) แนวทางปฏบิ ัติเชนน้ี กใ็ ชเปนถอยคาํ สามญั หมายถึงใครกไ็ ด
ทานถอื แนนแฟนสบื กนั มา แมวาสาระจะ ต้ังแตพระสงฆ ไปจนถึงสิงสาราสัตว
อยทู ม่ี เี สนาสนะอนั สงดั แตปาซง่ึ ในอดีต (มกั ใชแกชาวบานท่วั ไป) ทอ่ี ยูบาน อยู
มพี รอมและเปนที่สงัดอนั แนนอน ก็เปน ใกลบาน หรืออยูในปา มิไดมีความ
ที่พึงเลือกเดนอันดบั แรก จึงนับวาเปน หมายจําเพาะอยางทเี่ ขาใจกนั ในบัดน้ี
ตัวแทนที่เต็มความหมายของเสนาสนะ
อันสงัด ดังปรากฏเปนคาถาทกี่ ลาวกนั พระภิกษุท่ีไปเจริญภาวนาในปานั้น
วาพระธรรมสังคาหกาจารยไดรจนาไว อาจจะไปอยชู ัว่ ระยะเวลาหน่งึ ยาวบาง
อันเปนทอี่ างองิ ในคมั ภรี ท้ังหลาย ต้ังแต สั้นบาง และอาจจะไปๆ มาๆ แตบางรปู
มลิ นิ ทปญหา จนถึงวสิ ทุ ธิมคั ค และใน ก็อาจจะอยูนานๆ ภกิ ษทุ อ่ี ยปู านัน้ ทาน
อรรถกถาเปนอนั มาก มคี วามวา เรยี กวา “อารญั ญกะ” (อารญั ญกิ ะ กเ็ รยี ก)
และการถอื อยปู า เปนธดุ งคอยางหนง่ึ ซงึ่
ยถาป ทีปโก นาม นลิ ียติ วฺ า คณหฺ ตี มเิ ค ภิกษุจะเลอื กถอื ไดตามสมคั รใจ กับทัง้
ตเถวาย พทุ ฺธปตุ โฺ ต ยุตตฺ โยโค วิปสสฺ โก จะถือในชวงเวลายาวหรือสั้น หรือแม
อร ฺ ปวสิ ติ วฺ าน คณฺหาติ ผลมุตฺตมํ ฯ แตตลอดชวี ติ กไ็ ด

(พุทธบุตรน้ี ประกอบความเพียร สันนิษฐานวา เมือ่ เวลาลวงผานหาง
เจรญิ วปิ สสนา เขาไปสูปา จะถือเอาผล พุทธกาลมานาน พระภิกษุอยูประจําที่
อนั อดุ ม [อรหตั ตผล] ได เหมือนดังเสือ มากข้ึน อีกทงั้ มีภาระผูกมัดตัวมากขึน้
ซมุ ตัวจบั เนอื้ ) ดวย โดยเฉพาะการเลาเรยี นและทรงจาํ

๕๖๖

อริ ๕๖๗ อริยชาติ

พุทธพจนในยุคท่ีองคพระศาสดา พาหุนี้เขามาในชวงใกล พ.ศ.๑๘๒๐

ปรินิพพานแลว ซึ่งจะตองรักษาไวแก ระบบพระสงฆ ๒ แบบ คอื คามวาสี

คนรุนหลังใหครบถวนและแมนยาํ โดยมี และอรัญวาสี ก็มาจากศรีลังกาเขาสู
ความเขาใจถกู ตอง อีกท้งั ตองเก็บรวบ ประเทศไทยดวย; คูกับ คามวาสี, ดู
รวมคําอธิบายของอาจารยรุนตอๆ มา วิปสสนาธุระ
ทมี่ ีเพม่ิ ข้นึ ๆ จนเกดิ เปนงานหรือหนาที่ อริ ขาศกึ , ศตั ร,ู คนท่ไี มชอบกนั
ที่เรียกวา “คันถธรุ ะ” (ธุระในการเลา อริฏฐภิกษุ ช่ือภิกษุรูปหนึ่งในคร้ัง
เรียนพระคมั ภีร) เปนภาระซ่ึงทาํ ใหรวม พุทธกาล เปนบุคคลแรกที่ถูกสงฆลง

กันอยูที่แหลงการเลาเรียนศึกษาในชุม อกุ เขปนียกรรมเพราะไมสละทิฏฐิบาป
ชนหรือในเมือง พรอมกนั นัน้ ภิกษผุ ไู ป อรยิ ะ เจรญิ , ประเสริฐ, ผไู กลจากขาศกึ
เจริญภาวนาในปา เมือ่ องคพระศาสดา คือ กเิ ลส, บุคคลผบู รรลธุ รรมวเิ ศษ มี
ปรินิพพานแลว ก็อิงอาศัยอาจารยท่ี โสดาปตตมิ รรคเปนตน; ดู อริยบคุ คล
จําเพาะมากขึ้น มีความรูสึกที่จะตอง อริยกะ คนเจริญ, คนประเสริฐ, คนได
ผอนและเผ่ือเวลามากขึ้น อยูประจําท่ี รับการศึกษาอบรมดี; เปนชื่อเรียกชน

แนนอนมากข้ึน เพ่ืออุทิศตัวแกกิจใน ชาติหน่ึงท่ีอพยพจากทางเหนือเขาไปใน

การเจริญภาวนา ซ่งึ กลายเปนงานหรือ อินเดียตั้งแตกอนพุทธกาล ถือตัววา

หนาท่ีทเี่ รียกวา “วปิ สสนาธรุ ะ” (ธุระใน เปนพวกเจริญ และเหยยี ดพวกเจาถ่นิ
การเจริญกรรมฐานอันมีวิปสสนาเปน เดิมลงวาเปนมลิ กั ขะ คือพวกคนปาคน
ยอด) โดยนยั นี้ แนวโนมท่ีจะแบงเปน ดอย, พวกอริยกะอพยพเขาไปในยโุ รป
พระบาน-พระปาก็ชัดเจนข้นึ เร่ือยๆ ดวย คือ พวกทเ่ี รียกวา อารยนั

การแบงพระสงฆเปน ๒ ฝาย คือ อริยกชาติ หมูคนท่ีไดรับการศึกษาอบ
คามวาสี และอรัญวาสี เกดิ ขน้ึ ในลงั กา รมดี, พวกท่มี ีความเจริญ, พวกชนชาติ

ทวปี และปรากฏชดั เจนในรชั กาลพระเจา อรยิ กะ
ปรกั กมพาหุ ท่ี ๑ มหาราช (พ.ศ. ๑๖๙๖ อริยชาติ “เกดิ เปนอรยิ ะ” คือ บรรลุ
–๑๗๒๙) ตอมา เมือ่ พอขุนรามคาํ แหง มรรคผล กลายเปนอรยิ บุคคล เปรียบ

มหาราชแหงอาณาจักรสุโขทัย ทรงรับ เหมือนเกิดใหมอีกครั้งหน่ึง ดวยการ

พระพุทธศาสนาและพระสงฆลังกาวงศ เปลี่ยนจากปุถุชนเปนพระอริยะ, อีก

อันสืบเน่ืองจากสมัยพระเจาปรักกม- อยางหน่งึ วา ชาติอริยะ หรือชาวอรยิ ะ

๕๖๗

อริยทรัพย ๕๖๘ อริยวฑั ฒิ,อริยาวัฒิ,อารยวัฒิ

ซึ่งเปนผูเจริญในทางพระพุทธศาสนา เปน ๗ คอื สทั ธานสุ ารี ธมั มานุสารี
หมายถงึ ผกู ําจดั กเิ ลสได ซ่งึ ชนวรรณะ สัทธาวิมุต ทิฏฐิปปตตะ กายสักขี
ไหน เผาไหน กอ็ าจเปนได ตางจาก ปญญาวิมตุ และ อภุ โตภาควมิ ุต (ดูคํา

อริยชาติ หรืออริยกชาติท่ีมีมาแตเดิม นนั้ ๆ)

ซงึ่ จํากดั ดวยชาติคือกาํ เนิด อรยิ ปรเิ ยสนา การแสวงหาทป่ี ระเสรฐิ คอื

อริยทรัพย ทรัพยอันประเสริฐเปนของ แสวงหาสิ่งที่ไมตกอยูในอํานาจแหงชาติ

ติดตัว อยภู ายในจิตใจ ดีกวาทรพั ยภาย ชรามรณะ หรอื กองทกุ ข โดยความได

นอก เชนเงินทอง เปนตน เพราะโจร แกแสวงหาโมกขธรรมเพอ่ื ความหลดุ พน

หรือใครๆ แยงชิงไมได และทาํ ใหเปน จากกิเลสและกองทุกข, ความหมาย

คนประเสรฐิ อยางแทจรงิ มี ๗ คอื ๑. อยางงาย ไดแก การแสวงหาในทาง
ศรทั ธา ๒. ศีล ๓. หริ ิ ๔. โอตตัปปะ ๕. สมั มาชพี (ขอ ๒ ในปรเิ ยสนา ๒)
พาหสุ จั จะ ๖. จาคะ ๗. ปญญา อริยผล ผลอันประเสริฐ มี ๔ ช้ัน คือ
อริยบุคคล บุคคลผูเปนอรยิ ะ, ทานผู โสดาปตตผิ ล สกทาคามผิ ล อนาคามผิ ล

บรรลุธรรมวิเศษมีโสดาปตติมรรค และอรหัตตผล
เปนตน มี ๔ คอื ๑. พระโสดาบนั ๒. อริยมรรค ทางอนั ประเสรฐิ , ทางดาํ เนนิ

พระสกทาคามี (หรอื สกทิ าคาม)ี ๓. พระ ของพระอริยะ, ญาณอนั ใหสําเร็จความ

อนาคามี ๔. พระอรหนั ต; แบงพสิ ดาร เปนพระอริยะ มี ๔ คือ โสดาปตต-ิ

เปน ๘ คอื พระผตู งั้ อยใู นโสดาปตต-ิ มรรค สกทาคามมิ รรค อนาคามมิ รรค

มรรค และพระผตู งั้ อยใู นโสดาปตตผิ ลคู และอรหัตตมรรค; บางทีเรียกมรรคมี
๑, พระผตู งั้ อยใู นสกทาคามมิ รรค และ องค ๘ วา อริยมรรค ก็มี แตควรเรยี ก
พระผตู งั้ อยใู นสกทาคามผิ ล คู ๑, พระผู เตม็ วา อริยอฏั ฐงั คิกมรรค
ตง้ั อยใู นอนาคามมิ รรค และพระผตู งั้ อยู อรยิ วงศ ปฏิปทาที่พระอรยิ บุคคลผเู ปน

ในอนาคามผิ ล คู ๑, พระผตู ง้ั อยใู น สมณะ ปฏิบัติสืบกันมาไมขาดสาย,

อรหัตตมรรค และพระผูต้ังอยูใน อรยิ ประเพณี มี ๔ คือ ๑. สันโดษดวย

อรหตั ตผล คู ๑ จีวร ๒. สันโดษดวยบิณฑบาต ๓.

อรยิ บคุ คล ๗ บคุ คลผเู ปนอรยิ ะ, บุคคล สันโดษดวยเสนาสนะ ๔. ยนิ ดใี นการ

ผปู ระเสริฐ, ทานผบู รรลุธรรมวิเศษ มี บาํ เพญ็ กุศล ละอกุศล
โสดาปตตมิ รรค เปนตน นยั หนง่ึ จาํ แนก อริยวัฑฒ,ิ อรยิ าวฒั ,ิ อารยวัฒิ ความ

๕๖๘

อรยิ วิหาร ๕๖๙ อรูปราคะ

เจริญอยางประเสริฐ, หลักความเจริญ มรรค เปนตน 2. สาวกของพระอรยิ ะ

ของอารยชน, ความเจริญงอกงามที่ได (คือของพระพุทธเจาผเู ปนอริยะ)
สาระสมเปนอรยิ สาวกอรยิ สาวกิ ามี ๕ คอื อริยสาวิกา สาวิกาที่เปนพระอริยะ,
๑.ศรทั ธา ความเชอื่ มเี หตผุ ล ความมนั่ ใจ อรยิ สาวกหญงิ
ในพระรัตนตรัย ในหลักแหงความจริง อริยอัฏฐังคิกมรรค มรรคมีองค ๘
ความดีงาม และในการท่ีจะทํากรรมดี ประการอนั ประเสริฐ; ดู มรรค
๒. ศีล ความประพฤตดิ ี มวี นิ ยั เลยี้ งชพี อรุณ เวลาใกลอาทติ ยจะขึ้น มีสองระยะ
สจุ รติ ๓. สตุ ะ ความรหู ลักธรรมคําสอน คือมีแสงขาวเรือ่ ๆ (แสงเงิน) และแสง

และใฝใจเลาเรียนสดับฟงศึกษาหา แดง (แสงทอง), เวลาย่ํารุง
ความรู ๔. จาคะ ความเผอื่ แผเสยี สละ มี อรูป ฌานมอี รปู ธรรมเปนอารมณ ไดแก

นํ้าใจและใจกวาง พรอมที่จะรับฟงและ อรูปฌาน, ภพของสัตวผูเขาถึงอรูป

รวมมือ ไมคับแคบเอาแตตัว ๕. ปญญา ฌาน, ภพของอรูปพรหม มี ๔ คอื ๑.
ความรอบรู รคู ดิ รพู จิ ารณา เขาใจเหตุ อากาสานัญจายตนะ (กําหนดท่วี างหาท่ี
ผล มองเหน็ โลกและชวี ิตตามเปนจริง สุดมิไดเปนอารมณ) ๒. วิญญาณัญ-
อรยิ วหิ าร ธรรมเครอ่ื งอยูของพระอรยิ ะ; จายตนะ (กําหนดวิญญาณหาทส่ี ดุ มิได
ดู วหิ าร เปนอารมณ) ๓. อากิญจัญญายตนะ
อรยิ สัจ ความจรงิ อยางประเสรฐิ , ความ (กาํ หนดภาวะทไ่ี มมอี ะไรๆ เปนอารมณ)
จริงของพระอรยิ ะ, ความจริงท่ีทาํ คนให ๔. เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ (ภาวะมี
เปนพระอรยิ ะ มี ๔ อยาง คอื ทุกข สัญญาก็ไมใช ไมมีสญั ญากไ็ มใช)
(หรอื ทกุ ขสจั จะ) สมทุ ยั (หรอื สมทุ ยั - อรูปฌาน ฌานมีอรูปธรรมเปนอารมณ
สัจจะ) นิโรธ (หรอื นโิ รธสัจจะ) มรรค มี ๔; ดู อรูป
(หรอื มคั คสจั จะ) เรียกเตม็ วา ทุกข- อรูปพรหม พรหมผูเขาถึงอรูปฌาน,
[อริยสจั จ] ทกุ ขสมทุ ยั [อรยิ สจั จ] ทกุ ข- พรหมไมมีรปู , พรหมในอรปู ภพ มี ๔;
นโิ รธ[อรยิ สจั จ] และ ทกุ ขนโิ รธคามินี- ดู อรูป
ปฏิปทา[อริยสจั จ] อรูปภพ โลกเปนทอี่ ยขู องพรหมไมมีรูป;
อรยิ สัจจ ดู อรยิ สัจ ดู อรูป
อริยสาวก 1. สาวกผูเปนพระอริยะ, อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม,

สาวกผูบรรลุธรรมวิเศษ มีโสดาปตติ- ความติดใจในอารมณแหงอรูปฌาน,

๕๖๙

อรปู าวจร ๕๗๐ อวัสดา

ความปรารถนาในอรูปภพ (ขอ ๗ ใน ๒. ชงิ หรือว่งิ ราว ๓. ลักตอน ๔. แยง

สงั โยชน ๑๐) ๕. ลักสบั ๖. ตู ๗. ฉอ ๘. ยักยอก ๙.

อรูปาวจร ซึ่งทองเท่ียวไปในอรูปภพ, ตระบัด ๑๐. ปลน ๑๑. หลอกลวง ๑๒.

อยูในระดับจิตชั้นอรูปฌาน, ยังเกี่ยว กดขี่หรอื กรรโชก ๑๓. ลกั ซอน

ของอยูกบั อรปู ธรรม; ดู ภพ, ภูมิ อวตั ถรุ ปู ดทู ี่ รูป ๒๘
อลังการ เครอ่ื งประดับประดา อวนั ตี ชอ่ื แควนหนง่ึ ในบรรดา ๑๖ แควน
อลชฺชิตา อาการท่ีตองอาบัติดวยไม ใหญแหงชมพูทวีป ต้งั อยูทางตะวนั ตก

ละอาย เฉียงใตของแควนวงั สะ มนี ครหลวงชอ่ื
อลัชชี ผไู มมีความละอาย, ผูหนาดาน, อชุ เชนี ราชาผคู รองอวนั ตใี นพทุ ธกาล มี
ภิกษุผูมักประพฤติละเมิดพุทธบัญญัติ พระนามวาพระเจาจณั ฑปชโชต; เดมิ นน้ั

โดยจงใจละเมิด หรอื ทาํ ผิดแลวไมแกไข แควนอวนั ตมี เี มอื งหลวงเกาชอ่ื มาหษิ มตี
อเลอ แปลง, ทอ่ี เลออ่นื คอื ที่แปลงอน่ื (นาจะไดแกเมอื ง Godarpura ในบดั น)ี้
อโลภะ ความไมโลภ, ไมโลภอยากได ซ่ึงต้ังอยูท่ีฝงแมนํ้านัมมทา ตอมาจึง

ของเขา, ธรรมที่เปนปฏิปกษกับความ ยายข้ึนเหนือมาต้ังที่อุชเชนี, ในคัมภีร

โลภ คือ ความคิดเผ่ือแผเสียสละ, บาลีบางท่ี มีคําเรียกอวันตวี า “อวนั ต-ี

จาคะ (ขอ ๑ ในกุศลมลู ๓) ทักขิณาบถ” ถาถือแมนํ้าคงคาเปนเสน

อวตาร การลงมาเกดิ , การแบงภาคมาเกดิ , แบง ท้งั แควนอวนั ตีก็อยูในทักขณิ าบถ

เปนความหมายในศาสนาพราหมณหรือ แตถาถือแมน้ํานัมมทาเปนเสนแบง

ฮนิ ดู เชน พระนารายณอวตาร คอื แบง อวันตีก็มีทั้งสวนท่ีเปนอุตราบถ และ

ภาคลงจากสวรรคมาเกิดเปนมนุษย สวนท่เี ปนทกั ขณิ าบถ คือ แถบที่ตงั้ ของ

เปนตน มาหิษมตีเมืองหลวงเกาลงไป เปน

อวมานะ การดถู กู เหยยี ดหยาม, การลบ ทักขณิ าบถ
หลู; ตรงขามกับ สมั มานะ, ดู มานะ อวนั ทนียกรรม สงั ฆกรรมที่ภิกษุณีสงฆ
อวสาน ทีส่ ดุ , ทจ่ี บ
มีมติประกาศใหถือภิกษุผูแสดงอาการ

อวสานกาล เวลาสุดทาย, คร้ังสดุ ทาย อันไมนาเล่ือมใส วาเปนผูที่ภิกษุณีท้ัง
อวหาร การลัก, อาการทถ่ี ือวาเปนลกั หลายไมพึงไหว; ดูที่ ปกาสนียกรรม,
ทรัพย ในอรรถกถาแสดงไว ๒๕ อยาง อสัมมขุ ากรณีย
พึงทราบในที่น้ี ๑๓ อยาง คือ ๑. ลัก อวัสดา ฐานะ, ความเปนอย,ู ความ

๕๗๐

อวชิ ชา ๕๗๑ อโศกมหาราช

กําหนด, เวลา, สมัย รูปธรรมชุดนี้อยูเปนอยางนอย, คุณ-
อวชิ ชา ความไมรจู ริง, ความหลงอนั เปน
เหตไุ มรจู ริง มี ๔ คือความไมรอู ริยสจั จ สมบัติพื้นฐานท่ีมีอยูเปนประจําในวัตถุ,
มี ๘ อยาง คอื ปฐวี (ภาวะแผขยาย
๔ แตละอยาง (ไมรทู กุ ข ไมรเู หตุเกิด หรือรองรับ) อาโป (ภาวะเอบิ อาบเกาะ
กุม) เตโช (ภาวะรอน) วาโย (ภาวะ
แหงทุกข ไมรูความดบั ทกุ ข ไมรูทางให เคลอื่ นไหวเครงตงึ ) วณั ณะ (ส)ี คนั ธะ
(กล่ิน) รสะ (รส) โอชา (อาหารรปู ); ใน
ถึงความดับทุกข) อวิชชา ๘ คือ อวชิ ชา

๔ นน้ั และเพิ่ม ๕. ไมรอู ดีต ๖. ไมรู

อนาคต ๗. ไมรทู งั้ อดีตท้ังอนาคต ๘. ๘ อยางน้ี สอี่ ยางแรกเปนมหาภตู รปู หรือ

ไมรูปฏิจจสมุปบาท (ขอ ๑๐ ใน ธาตุ ๔, สีอ่ ยางหลังเปนอุปาทายรปู ; รปู

สังโยชน ๑๐ ตามนยั พระอภิธรรม, ขอ ท่ีเหลอื จากนี้ ๒๐ อยาง เปน วินพิ โภค-

๗ ในอนุสัย ๗) รูป (รปู ทีแ่ ยกจากกันได); ดู รูป ๒๘

อวิชชาสวะ อาสวะคอื อวิชชา, กิเลสท่ี อวิหิงสาวิตก ความตริตรึกในทางไม

หมักหมมหรือดองอยใู นสนั ดาน ทําให เบียดเบียน, ความตรึกดวยอํานาจ

ไมรตู ามความเปนจรงิ (ขอ ๓ ในอาสวะ กรณุ า ไมคิดทําความลําบากเดอื ดรอน

๓, ขอ ๔ ในอาสวะ ๔) แกผูอื่น คิดแตจะชวยเหลือเขาใหพน

อวญิ ญาณกะ พสั ดทุ ไ่ี มมวี ญิ ญาณ เชน จากทกุ ข (ขอ ๓ ในกุศลวติ ก ๓)
เงิน ทอง ผานุงหม และเครื่องใชสอย อศภุ ดู อสภุ
เปนตน; เทยี บ สวิญญาณกะ อโศกมหาราช มหาราชแหงชมพูทวีป
อวทิ ยา ความไมร,ู อวชิ ชา
ซึ่งเปนราชาผูย่ิงใหญท่ีสุดพระองคหนึ่ง

อวิทูเรนิทาน “เรอื่ งไมไกลนกั ” หมายถึง ในประวัติศาสตรโลก และเปนพุทธ

เร่ืองราวความเปนไปเก่ียวกับพระพุทธ ศาสนูปถัมภกที่สําคัญยิ่ง เปนกษตั รยิ

เจา ตั้งแตจุติจากสวรรคชนั้ ดสุ ิตจนถงึ พระองคที่ ๓ แหงราชวงศโมรยิ ะ ครอง

ตรสั รู; ดู พทุ ธประวตั ิ ราชสมบตั ิ ณ พระนครปาฏลีบุตร ใน

อวนิ พิ โภครปู “รูปท่แี ยกออกจากกนั ไม พ.ศ.๒๑๘-๒๖๐ เมื่อครองราชยได ๘

ได”, รปู ทม่ี อี ยดู วยกนั เปนประจาํ เสมอไป พรรษา ทรงยกทพั ไปปราบแควนกลงิ คะ

อยางขาดมิไดเลยในส่ิงที่เปนรูปทุก (ปจจบุ นั คอื ดนิ แดนแถบแควน Orissa)

อยาง กลาวคือในส่ิงท่ีเปนรูปทุกอยาง ท่เี ปนชนชาติเขมแขง็ ลงได ทาํ ใหอาณา-

แมแตปรมาณูที่เล็กท่ีสุดก็จะตองมี จักรของพระองคกวางใหญท่ีสุดใน

๕๗๑

อโศการาม ๕๗๒ อสทิสทาน

ประวัติชาติอินเดีย แตในการสงคราม พุทธไทยแตเดิมมามักเรียกพระองควา
นัน้ มผี ูคนลมตายและประสบภัยพบิ ัติ พระเจาศรีธรรมาโศกราช; เมอ่ื อนิ เดยี
มากมาย ทําใหพระองคสลดพระทัย เปนเอกราชพนจากการปกครองของ
พอดีไดทรงสดับคําสอนในพระพุทธ องั กฤษใน พ.ศ.๒๔๙๐ แลว กไ็ ดนําเอา
ศาสนา ทรงเล่ือมใส ไดทรงเลิกการ รูปพระธรรมจักร ซึ่งทูนอยูบนหัวสิงห
สงคราม หนั มาถอื หลัก “ธรรมวิชยั ” คอื ยอดเสาศิลาจารึกของพระเจาอโศก
ชนะใจดวยธรรม มงุ ทาํ นบุ าํ รุงพระพุทธ มหาราช ท่ีสารนาถ (ปาอิสิปตนมฤค-
ศาสนา สรางสรรคประโยชนสุขของ ทายวนั ทท่ี รงแสดงปฐมเทศนา) มาเปน
ประชาชน และความเจริญรุงเรืองของ ตราสญั ลกั ษณทก่ี ลางผนื ธงชาติ และใช
ประเทศในทางสันติ โปรดใหเขียนสลัก รปู สงิ หทง้ั สท่ี ท่ี นู พระธรรมจกั รนนั้ เปน
ศลิ าจารึก (เรยี กวา “ธรรมลปิ ” คอื ลาย ตราแผนดนิ สบื มา
สือธรรม หรือธรรมโองการ) ไวในที่ อโศการาม ชอื่ วัดสาํ คัญท่พี ระเจาอโศก
ตางๆ ท่ัวมหาอาณาจักร เพอื่ สื่อพระราช มหาราชทรงสรางในกรุงปาฏลีบุตรเปน
กรณยี กิจ พระบรมราโชบาย และสอน ทที่ ํา สงั คายนา คร้ังที่ ๓
ธรรมแกขาราชการและประชาชน ทรง อสงไขยกปั ดู กปั
สรางมหาวิหาร ๘๔,๐๐๐ แหง เปนศนู ย อสทสิ ทาน “ทานอนั ไมมอี นื่ แมนเหมอื น”,
กลางการศึกษา ทรงอุปถัมภการ เปนคําในช้ันอรรถกถา หมายถึงการ
สังคายนา ครง้ั ที่ ๓ และการสงศาสนทูต บาํ เพ็ญทานถวายแดพระพุทธเจาพรอม
ออกไปเผยแพรพระพุทธศาสนาใน ดวยภกิ ษสุ งฆ ครง้ั ใหญทส่ี ดุ ซง่ึ ไมมใี คร
นานาประเทศ เชน พระมหินทเถระไป สามารถทาํ เทยี มเทาไดอกี ไดแก ทานท่ี
ยังลังกาทวีป และพระโสณะพระอุตตระ พระเจาปเสนทโิ กศลจดั ถวาย ตามเรอ่ื ง
มายังสวุ รรณภมู ิ เปนตน, กอนทรงหัน วา ครงั้ หนง่ึ พระเจาปเสนทโิ กศลถวาย
มานับถือพระพุทธศาสนา ทรงปรากฏ ทานแดพระพทุ ธเจาพรอมดวยภิกษสุ งฆ
พระนามวา จัณฑาโศก คือ อโศกผูโหด และใหชาวเมืองสาวัตถีมาชมดวย ชาว
ราย ครั้นหันมาทรงนับถือพระพุทธ เมืองเห็นแลว ก็ไปจัดถวายทานใหดี
ศาสนาและดําเนินนโยบายธรรมวิชัย เหนอื กวา พระองคจงึ จดั ถวายครงั้ ใหม
แลว ไดรับขนานพระนามใหมวา อกี ใหเหนอื กวาชาวเมอื ง แตชาวเมอื งก็
ธรรมาโศก คอื อโศกผทู รงธรรม ชาว แขงกับพระองคโดยจัดใหเหนือกวาอีก

๕๗๒

อสมานาสนกิ ๕๗๓ อสัมมขุ ากรณีย

เปนเชนนถี้ งึ ๖ ครงั้ เปนเหตใุ หทรงทกุ ข ไมมีการชักนํา ใชแกจิตที่คิดดีหรือช่ัว

พระทัยเกรงวาจะทรงพายแพแกราษฎร โดยเร่ิมขน้ึ เอง มิใชถกู กระตนุ หรือชกั จงู

แตในท่ีสดุ ทรงไดรับคาํ ทูลแนะนาํ ของ จากภายนอก จงึ มกี าํ ลงั มาก ตรงขามกบั
พระมเหสี คอื พระนางมลั ลกิ า จงึ ทรง สสงั ขารกิ
สามารถถวายทานที่ชาวเมืองไมสามารถ อสังสคั คกถา ถอยคําท่ชี ักนําไมใหคลุก

จดั แขงได ซง่ึ ไดชอ่ื วาเปนอสทสิ ทาน สน้ิ คลีดวยหมู (ขอ ๔ ในกถาวัตถุ ๑๐)
พระราชทรพั ยไปในวนั เดยี วถงึ ๑๔ โกฏ,ิ อสงั หารมิ ะ ซ่งึ นาํ เอาไปไมได, เคลือ่ นท่ี

ในพุทธกาลหน่ึงๆ คือในสมัยของพระ ไมได, ของติดท่ี ขนเอาไปไมได เชน ที่

พทุ ธเจาพระองคหนง่ึ ๆ มอี สทสิ ทานครง้ั ดนิ โบสถ วหิ าร เจดีย ตนไม เรือน

เดยี ว (เรอ่ื งมาใน ธ.อ.๖/๕๑) เปนตน; เทยี บ สังหารมิ ะ

อสมานาสนกิ “ผูมีอาสนะไมเสมอกนั ”, อสังหาริมทรพั ย ทรัพยเคลื่อนที่ไมได

“ผูไมรวมอาสนะ” ไดแก ภิกษุผูมี ไดแก ทดี่ ินและทรพั ยซึง่ ตดิ อยกู บั ทเี่ ชน
พรรษาออนแกกวากนั ตั้งแต ๓ พรรษา ตึก โรงรถ เปนตน; คกู บั สังหาริมทรัพย
ขนึ้ ไป และบรรดาอนปุ สมั บนั นงั่ อาสนะ อสญั ญีสตั ว สัตวจําพวกไมมีสญั ญา ไม

คอื เตยี งตัง่ ดวยกัน ๒ บคุ คล ไมได เสวยเวทนา (ขอ ๕ ในสัตตาวาส ๙)
(แตน่ังอาสนะยาวดวยกันได เวนแต อสัทธรรม 1. ธรรมของอสัตบรุ ุษ มี

บณั เฑาะก สตรี และอภุ โตพยญั ชนก); หลายหมวด เชน อสัทธรรม ๗ คือที่ตรง

เทยี บสมานาสนกิ ; ดู อาสนะ ขามกับ สทั ธรรม ๗ มีปราศจากศรทั ธา
อสังขตะ ธรรมท่ีปจจัยมิไดปรุงแตง, ปราศจากหริ ิ เปนตน; 2. ในคําวา “ทอด

ธรรมท่ีไมเกิดจากเหตุปจจัย ไดแก กายเพ่ือเสพอสัทธรรมก็ดี” หมายถึง

พระนพิ พาน; ตรงขามกบั สังขตะ เมถนุ ธรรม คอื การรวมประเวณี

อสงั ขตธรรม ธรรมอนั มิไดถูกปรุงแตง อสัมปตตโคจรคั คาหกิ รปู ดทู ่ี รูป ๒๘
ไดแก นพิ พาน (ขอ ๒ ในธรรม ๒); ตรง อสัมมขุ ากรณีย สังฆกรรมซ่ึงไมตองทาํ
ขามกบั สงั ขตธรรม
ในทตี่ อหนา (หรอื พรอมหนา) บคุ คลทถ่ี กู

อสังขารปรนิ ิพพายี พระอนาคามี ผจู ะ สงฆทาํ กรรม มี ๘ อยาง คอื ๑.ทเู ตนุ-
ปรินิพพานดวยไมตองใชความเพียร ปสัมปทา (การอุปสมบทภิกษุณีโดยใช
ทูต) ๒.ปตตนกิ กชุ ชนา (การคว่ําบาตร)
มากนกั (ขอ ๓ ในอนาคามี ๕)

อสงั ขารกิ “ไมเปนไปกบั ดวยการชกั นาํ ” ๓.ปตตอุกกุชชนา (การหงายบาตร) ๔.

๕๗๓


Click to View FlipBook Version