กิจในอริยสัจจ ๒๔ กลิ าโส
อปโลกนกรรม ญัตตกิ รรม ญัตติทตุ ยิ - เปนกลางๆ ถาเปน “กริ ยิ าพิเศษ” คอื
กรรม ญตั ติจตตุ ถกรรม
กิจในอริยสัจจ ขอท่ีตองทําในอริยสัจจ เปนการกระทําซงึ่ เปนไปดวยเจตนาท่ีกอ
๔ แตละอยาง คือ ปรญิ ญา การกาํ หนด ใหเกิดวิบาก ก็เรียกวา กรรม, การ
รู เปนกจิ ในทกุ ข ปหานะ การละ เปน
กิจในสมุทัย สัจฉิกิริยา การทําใหแจง กระทาํ ซ่งึ เปนไปดวยเจตนาทไ่ี มกอวบิ าก
หรือการบรรลุ เปนกจิ ในนโิ รธ ภาวนา
เชนการกระทาํ ของพระอรหนั ต ไมเรยี ก
การเจริญคือปฏิบัติบําเพ็ญ เปนกิจใน วากรรม แตเปนเพียงกิรยิ า (พดู ใหสน้ั วา
เจตนาที่กอวิบาก เปนกรรม, เจตนาทไ่ี ม
มรรค กอวบิ าก ถามใิ ชเปนวบิ าก กเ็ ปนกริ ยิ า); ดู
กจิ เบอื้ งตน ในการอปุ สมบท หมายถึง กรรม 2. ในภาษาไทย มักหมายถึง
อาการแสดงออกทางกายในเชิงมารยาท
ใหบรรพชา ถือนสิ ยั ถืออปุ ชฌายะ จน บางทใี ชควบคกู นั วา กริ ยิ ามารยาท 3. ใน
ถึงถามอันตรายิกธรรมในท่ีประชุมสงฆ ทางไวยากรณ ไดแกคาํ แสดงอาการหรอื
(คําเดิมเปน บพุ กิจ) บอกการกระทําของนามหรือสรรพนาม,
กิตติศัพท เสยี งสรรเสรญิ , เสยี งเลาลอื ในไวยากรณไทย บางทกี าํ หนดใหใชรปู
ความดี สนั สกฤตวา กรยิ า แตในบาลไี วยากรณ
กินรวม ในประโยควา “ภิกษุใดรอู ยู กนิ โดยท่วั ไป ใชรปู บาลี คอื กริ ิยา
รวมกด็ ี อยูรวมกด็ ี สําเรจ็ การนอนดวย กิรยิ ากติ ตกะ (กิริยากติ ก) เปนชื่อกิริยา-
กันก็ด”ี คบหากนั ในทางใหหรอื รับอามสิ ศัพทประเภทหน่ึงในภาษาบาลี ใชเปน
และคบหากนั ในทางสอนธรรมเรยี นธรรม กิริยาสาํ คัญในประโยคบาง ใชเปนกริ ิยา
กมิ พลิ ะ เจาศากยะองคหน่งึ ออกบวช ในระหวางของประโยคบาง และใชเปน
พรอมกบั พระอนรุ ทุ ธะ ไดสาํ เรจ็ อรหตั คณุ บทบาง เชน ปรนิ พิ พฺ ุโต (ดบั รอบ
และเปนมหาสาวกองคหนงึ่ ในจาํ นวน ๘๐ แลว) ปพฺพชิตวฺ า (บวชแลว) เปนตน
กิริยวาท ผูถือหลักการอันใหกระทํา, กริ ิยาอาขยาต เปนช่ือกิริยาศพั ทประเภท
หลกั การซึง่ ใหกระทาํ ; ดู กรรมวาท
หน่งึ ในภาษาบาลี ใชเปนกริ ยิ าสาํ คญั ใน
กิริยวาที ผูถือหลักการอันใหกระทํา; ดู ประโยค อันแสดงถึงการกระทําของ
กรรมวาท ประธาน เชน คจฉฺ ติ (ยอมไป) ปรนิ พิ พฺ ายิ
กิรยิ า 1. การกระทาํ หมายถึงการกระทํา (ดบั รอบแลว) เปนตน
ใดๆ ทีก่ ลาวถงึ อยางกวางๆ หรืออยาง กลิ าโส โรคกลาก
๒๔
กเิ ลส ๒๕ กเิ ลสวฏั ฏ
กิเลส ส่งิ ทท่ี ําใจใหเศราหมอง, ความชว่ั ที่ (อธิศลี สิกขา) ๒. ปริยฏุ ฐานกิเลส กเิ ลส
แฝงอยใู นความรสู ึกนกึ คิด ทําใหจติ ใจ อยางกลางท่ีพลงุ ขน้ึ มาเรารุมอยใู นจติ ใจ
ขุนมัวไมบริสุทธ์ิ และเปนเครื่องปรุง ดงั เชนนิวรณ ๕ ในกรณที จ่ี ะขมระงับไว
แตงความคดิ ใหทาํ กรรมซง่ึ นาํ ไปสปู ญหา ละดวยสมาธิ (อธจิ ติ ตสกิ ขา) ๓. อนุสย-
ความยุงยากเดือดรอนและความทุกข; กิเลส กิเลสอยางละเอยี ดที่นอนเนือ่ งอยู
กเิ ลส ๑๐ (ในบาลเี ดมิ เรยี กวากเิ ลสวตั ถุ ในสันดานอันยังไมถูกกระตุนใหพลุงข้ึน
คอื สงิ่ กอความเศราหมอง ๑๐) ไดแก มา ไดแกอนสุ ัย ๗ ละดวยปญญา (อธิ-
โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกจิ ฉา ปญญาสกิ ขา); ทงั้ น้ี บางแหงทานแสดง
ถีนะ อทุ ธจั จะ อหิรกิ ะ อโนตตัปปะ; ไวโดยอธิบายโยงกับพระไตรปฎก คือ
กเิ ลสพนั หา (กเิ ลส ๑,๕๐๐) เปนคาํ ทมี่ ี กลาววา อธศิ ลี สกิ ขา ตรสั ไวเปนพเิ ศษ
ใชในคัมภีรรุนหลังจากพระไตรปฎก ในพระวินัยปฎกๆ จึงวาดวยการละ
เริ่มปรากฏในช้ันอรรถกถา ซึ่งกลาวไว วีติกกมกิเลส, อธิจติ ตสกิ ขา ตรัสไวเปน
ทาํ นองเปนตัวอยาง โดยระบุชือ่ ไวมากท่ี พเิ ศษในพระสตุ ตันตปฎกๆ จงึ วาดวย
สดุ เพยี ง ๓๓๖ อยาง ตอมาในคัมภรี ชน้ั การละปรยิ ุฏฐานกเิ ลส, อธิปญญาสิกขา
หลงั มาก อยางธมั มสงั คณอี นฎุ กี า จงึ ตรัสไวเปนพิเศษในพระอภิธรรมปฎกๆ
แสดงวธิ นี บั แบบตางๆ ใหไดครบจาํ นวน จึงวาดวยการละอนุสยกเิ ลส
เชน กเิ ลส ๑๐ อารมณ ๑๕๐ = กเิ ลสกาม กิเลสเปนเหตใุ คร, กิเลสที่ทํา
๑,๕๐๐ (อารมณ ๑๕๐ ไดแก อรปู ธรรม ใหอยาก, เจตสกิ อนั เศราหมอง ชกั ให
๕๗ และรปู รปู ๑๘ รวมเปน ธรรม ๗๕ ใคร ใหรัก ใหอยากได ไดแกราคะ
เปนฝายภายใน และฝายภายนอก ฝาย โลภะ อิจฉา (อยากได) เปนตน
ละเทากัน รวมเปน ๑๕๐) กเิ ลสธลุ ี ธลุ คี อื กเิ ลส, ฝนุ ละอองคอื กเิ ลส
อน่งึ ในอรรถกถา ทานนิยมจําแนก กเิ ลสมาร มารคือกเิ ลส, กเิ ลสเปนมาร
กเิ ลสเปน ๓ ระดับ ตามลาํ ดับขน้ั ของ โดยอาการท่ีเขาครอบงาํ จิตใจ ขัดขวาง
การละดวยสกิ ขา ๓ (เชน วนิ ย.อ.๑/๒๒; ท.ี อ. ไมใหทําความดี ชักพาใหทําความชั่ว
๑/๑๙; สงคฺ ณี อ.๒๓) คือ ๑. วตี กิ กมกเิ ลส ลางผลาญคุณความดี ทําใหบุคคล
กิเลสอยางหยาบ ท่ีเปนเหตุใหลวง ประสบหายนะและความพนิ าศ
ละเมิดออกมาทางกายและวาจา เชน กิเลสวฏั ฏ วนคือกิเลส, วงจรสวนกเิ ลส,
เปนกายทุจริตและวจีทจุ รติ ละดวยศีล หนงึ่ ในวัฏฏะ ๓ แหงปฏิจจสมุปบาท
๒๕
กิเลสานุสยั ๒๖ กณุ ฑลเกสี
ประกอบดวย อวิชชา ตัณหา และ วา ตนไดทาํ ความผดิ อยางนนั้ ๆ แลว
อปุ าทาน; ดู ไตรวฏั ฏ หรือมใิ ช สิง่ ท่ีตนไดทําไปแลวอยางน้นั ๆ
กิเลสานุสยั กิเลสจําพวกอนสุ ยั , กิเลสท่ี เปนความผดิ ขอนีๆ้ เสยี แลวกระมงั
นอนเน่ืองอยูในสนั ดาน จะปรากฏเมอ่ื กุกฺกุจฺจปกตตา อาการท่ีจะตองอาบัติ
อารมณมายั่วยุ เหมือนตะกอนนาํ้ ที่อยู ดวยสงสัยแลวขืนทําลง
กนโอง ถาไมมีคนกวนตะกอนก็นอน กฎุ ี กระทอมท่อี ยขู องนกั บวช เชนพระ
เฉยอยู ถากวนนา้ํ เขาตะกอนกล็ อยขนึ้ มา ภิกษ,ุ เรือนหรือตึกทอ่ี ยูอาศยั ของพระ
กิโลมกะ พงั ผดื ภกิ ษุสามเณร
กสี าโคตมี พระเถรีสําคัญองคหนึ่ง เดิม กุฎมพี คนมที รัพย, คนม่ังคัง่
เปนธิดาคนยากจนในพระนครสาวัตถี กฏุ กะ เครอ่ื งลาดทใ่ี หญ ชนดิ ทมี่ นี างฟอน
แตไดเปนลูกสะใภของเศรษฐีในพระ ๑๖ คนยนื ฟอนราํ ได (เชนพรมปหู อง)
นครนนั้ นางมบี ตุ รชายคนหน่งึ อยมู า กุฏฐงั โรคเรือ้ น
ไมนานบุตรชายตาย นางมคี วามเสยี ใจ กุฏิภัต อาหารท่ีเขาถวายแกภกิ ษผุ อู ยูใน
มาก อุมบุตรที่ตายแลวไปในท่ีตางๆ กุฎีอนั เขาสราง
เพ่ือหายาแกใหฟน จนไดไปพบพระ กุฑวะ ชื่อมาตราตวง แปลวา “ฟายมอื ”
พุทธเจา พระองคทรงสอนดวยอุบาย คือ เต็มอุงมือหนึ่ง; ดู มาตรา
และทรงประทานโอวาท นางไดฟงแลว กุณฑธานะ พระเถระผูเปนมหาสาวก
บรรลุโสดาปตติผล บวชในสํานักนาง องคหนึง่ เปนบตุ รพราหมณในพระนคร
ภิกษุณี วันหนึง่ น่งั พจิ ารณาเปลวประทีป สาวัตถี เรียนจบไตรเพทตามลัทธิ
ท่ีตามอยูในพระอุโบสถ ไดบรรลุพระ พราหมณ ตอมา เมื่อสงู อายุแลวไดฟง
อรหัต ไดรับยกยองวาเปนเอตทคั คะใน พระธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจา เกิด
ทางทรงจีวรเศราหมอง ความเล่ือมใสจึงบวชในพระพุทธศาสนา
กกุ กุจจะ ความราํ คาญใจ, ความเดอื ด ต้ังแตนนั้ มา ก็มรี ปู หญงิ คนหนงึ่ ติดตาม
รอนใจ เชนวา ส่งิ ดงี ามท่คี วรทาํ ตนมิ ตัวตลอดเวลาจนกระท่ังไดบรรลุพระ
ไดทํา สิ่งผดิ พลาดเสียหายไมดีไมงามที่ อรหตั รปู นน้ั จงึ หายไป ทานไดรบั ยกยอง
ไมควรทํา ตนไดทาํ แลว, ความยุงใจ จากพระศาสดาวาเปนเอตทัคคะในการ
กลุมใจ กงั วลใจ, ความรังเกียจหรอื กนิ ถอื เอาสลากเปนปฐม; โกณฑธานะ กว็ า
แหนงในตนเอง, ความระแวงสงสัย เชน กณุ ฑลเกสี ดู ภทั ทากุณฑลเกสา
๒๖
กุปปธรรม ๒๗ กุลบุตร
กุปปธรรม “ผูมีธรรมที่ยังกําเริบได” สามเณรีท่ีจะอุปสมบทเปนภิกษุณีเชนใน
หมายถึงผูท่ีไดสมาบัติแลวแตยังไม คาํ วา “อฉี นั เปนนางสาว (กมุ ารภี ตู า) ของ
ชาํ นาญ อาจเส่ือมได เทยี บ อกุปปธรรม แมเจาชื่อนี้ มีอายุ ๒๐ ปเตม็ มสี ิกขา
กมุ มาส ขนมสด คอื ขนมทเ่ี ก็บไวนาน อันศึกษาแลวในธรรม ๖ ประการ ๒ ป
เกนิ ไปจะบดู เชน ขนมดวง ขนมครก ขอวฏุ ฐานสมมติตอสงฆเจาขา”
ขนมถวย ขนมตาล เปนตน พระพทุ ธเจา กุรุ แควนหนึ่งในบรรดา ๑๖ มหาชนบท
หลังจากเลิกบําเพ็ญทุกรกิริยาก็เสวย แหงชมพูทวปี อยูแถบลุมนา้ํ ยมุนาตอน
ขาวสกุ และกุมมาส บน ราวมณฑลปญจาบลงมา นครหลวง
กุมาร เด็ก, เด็กชาย, เดก็ หนุม ช่ือ อนิ ทปตถ ต้ังอยู ณ บริเวณเมอื งเดลี
กุมารกัสสปะ พระเถระมหาสาวกองค นครหลวงของอนิ เดียปจจบุ ัน
หนึ่ง เปนบุตรธิดาเศรษฐีในพระนคร กุรนุ ที ดูโปราณัฏฐกถา, อรรถกถา
ราชคฤห คลอดเมื่อมารดาบวชเปน กลุ ตระกูล, ครอบครัว, วงศ, หมชู นที่
ภิกษุณีแลว พระเจาปเสนทิโกศลทรง รวมพงศพันธุเดียวกัน, เผาชน; ใน
เล้ียงเปนโอรสบุญธรรม ทารกนั้นได ความหมายท่ขี ยายออกไป หมายถึงหมู
นามวา กัสสปะ ภายหลังเรียกกันวา ชนท่รี วมสังกดั หรอื ขนึ้ ตอการปกครอง
กมุ ารกสั สปะ เพราะทานเปนเด็กสามัญ เดยี วกนั เชนในคําวา “กลุ บด”ี ซ่ึงบางที
แตไดรบั การเล้ียงดูอยางราชกมุ าร ทาน หมายถึงหวั หนาสถาบนั การศกึ ษา
อุปสมบทในสํานักของพระศาสดา ได กลุ ทสู ก “ผูประทุษรายตระกลู ” หมายถึง
บรรลุพระอรหัต ไดรับการยกยองจาก ภิกษุผูประจบคฤหัสถ เอาใจเขาตางๆ
พระบรมศาสดาวาเปนเอตทัคคะในทาง ดวยอาการอันผิดวินัย มุงเพื่อใหเขา
แสดงธรรมวิจิตร ชอบตนเปนสวนตัว เปนเหตใุ หเขาคลาย
กมุ ารี เดก็ หญิง, เดก็ รุนสาว, นางสาว ศรทั ธาในพระศาสนาและเสอื่ มจากกศุ ล-
กุมารีภูตวรรค ช่ือหมวดในพระวินัย- ธรรม เชนใหของกํานัลเหมือนอยาง
ปฎก หมายถึงตอนอันวาดวยกุมารภี ูตา คฤหสั ถเขาทาํ กนั ยอมตวั ใหเขาใช เปนตน
คือสามเณรีผูเตรียมจะอุปสมบทเปน กุลธิดา ลูกหญิงผูมีตระกูลมีความ
ภิกษุณี มีอยูในปาจิตติยกัณฑ ใน ประพฤตดิ ี
ภิกขุนวี ิภังค กุลบุตร ลูกชายผูมีตระกูลมีความ
กมุ ารภี ตู า “ผเู ปนนางสาวแลว” หมายถึง ประพฤตดิ ี
๒๗
กลุ ปสาทกะ ๒๘ กศุ ล
กลุ ปสาทกะ ผูยงั ตระกลู ใหเล่อื มใส ระดบั โลกตุ ตระ มกั ตองมคี าํ ขยายกาํ กบั
กลุ มัจฉรยิ ะ “ตระหนต่ี ระกลู ” ไดแกหวง
แหนตระกูล ไมยอมใหตระกูลอื่นมา ไวดวย เชนวา “โลกตุ ตรบญุ ”, พดู อกี อยาง
หนึ่งวา บุญ มักใชในความหมายที่แคบ
เกี่ยวดองดวย ถาเปนบรรพชิตก็หวง กวา หรอื ใชในขน้ั ตนๆ หมายถงึ ความดที ่ี
ตระกูลอปุ ฏฐาก ไมพอใจใหบาํ รงุ ภกิ ษุ ยงั ประกอบดวยอปุ ธิ (โอปธกิ ) คอื ยงั เปน
อนื่ ; ดู มจั ฉรยิ ะ
กลุ สตรี หญงิ มตี ระกลู มคี วามประพฤตดิ ,ี สภาพปรงุ แตงทกี่ อผลในทางพอกพนู ให
สตรีที่มีคุณความดีสมควรแกตระกูล,
เกดิ สมบตั ิ อนั ไดแกความพรง่ั พรอม เชน
สตรเี จาบาน
กลุ ุปกะ, กลุ ูปกะ “ผูเขาถงึ สกลุ ”, พระท่ี รางกายสวยงามสมบรู ณ และมง่ั มที รพั ย
คุนเคยสนิท ไปมาหาสูประจําของ สนิ แต กศุ ล ครอบคลมุ หรอื เลยตอไป
ถึงนิรูปธิ (ไรอุปธิ) และเนนท่ีนิรูปธิน้ัน
ตระกูล, พระที่เขาอุปถัมภและเปนท่ี
คือมุงทภ่ี าวะไรปรงุ แตง ความหลดุ พน
ปรกึ ษาประจําของครอบครวั
กุเวร ดู จาตุมหาราช, จาตุมหาราชิกา, เปนอสิ ระ โยงไปถงึ นพิ พาน, พดู อยาง
ปริตร งายๆ เชนวา บุญ มุงเอาความสะอาด
กศุ ล 1. “สภาวะทเ่ี กย่ี วตดั สลดั ทงิ้ สง่ิ เลว หมดจดในแงท่ีสวยงามนาชื่นชม แต
รายอนั นารงั เกยี จ”, “ความรทู ท่ี าํ ความชวั่ กศุ ล มงุ ถงึ ความสะอาดหมดจดในแงท่ี
เปนความบริสุทธ์ิ ไมมีอะไรติดคาง
รายใหเบาบาง”, “ธรรมท่ีตดั ความชวั่ อัน
ปลอดโปรง โลง วาง เปนอสิ ระ, ขอใหดู
เปนดจุ หญาคา”, สภาวะหรือการกระทํา ตวั อยางที่ บญุ กบั กศุ ล มาดวยกนั ใน
คาถาตอไปนี้ (ข.ุ อติ .ิ ๒๕/๒๖๒/๒๙๐)
ที่ฉลาด กอปรดวยปญญา หรอื เกดิ จาก
กาเยน กุสล กตวฺ า วาจาย กสุ ล พหุ
ปญญา เกอื้ กลู เออื้ ตอสขุ ภาพ ไมเสยี หาย มนสา กสุ ล กตวฺ า อปฺปมาณ นริ ูปธึ ฯ
ตโต โอปธิก ปุ ฺ กตวฺ า ทาเนน ต พหุ
ไรโทษ ดงี าม เปนบญุ มผี ลเปนสขุ , อ ฺเ ปมจเฺจสทธฺ มเฺม พฺรหมฺ จรเิ ย นิเวสย
ความดี (กศุ ลธรรม), กรรมดี (กศุ ลกรรม) (ทานจงทําใหมาก ท้งั ดวยกาย ดวย
ตามปกติ กศุ ล กบั บญุ เปนคาํ ทใ่ี ชแทน
วาจา และดวยใจ ซง่ึ กุศล อนั ประมาณ
กนั ได แต กศุ ล มคี วามหมายกวางกวา
คอื กศุ ล มที งั้ โลกยิ ะ (กามาวจร รปู าวจร มิได [อปั ปมาณ แปลวา มากมาย กไ็ ด
อรปู าวจร) และโลกตุ ตระ สวน บญุ โดย
ทั่วไปใชกับโลกิยกุศล ถาจะหมายถึง เปนโลกตุ ตระ กไ็ ด] อันไรอุปธิ [นริ ูปธ]ิ
แตนัน้ ทานจงทาํ บญุ อันระคนอุปธิ ให
๒๘
กศุ ลกรรม ๒๙ กุศลวิตก
มาก ดวยทาน แลวจง [บําเพ็ญธรรม เวรมณี เวนจากทาํ ลายชวี ติ ๒. อทนิ นา-
ทาน] ชักจูงแมคนอื่นๆ ใหตง้ั อยูในพระ ทานา เวรมณี เวนจากถือเอาของท่ีเขามิ
ไดให ๓. กาเมสุมจิ ฉาจารา เวรมณี เวน
สทั ธรรม ในพรหมจรยิ ะ)
คาถาน้ี แมจะเปนคําแนะนําแกเทวดา จากประพฤตผิ ดิ ในกาม ข. วจกี รรม ๔
กใ็ ชไดท่วั ไป คอื เปนคาํ แนะนําสาํ หรับผู ไดแก ๔. มุสาวาทา เวรมณี เวนจากพูด
ทจี่ ะอยูเปนคฤหัสถวา ในดานแรกหรอื เทจ็ ๕. ปสุณาย วาจาย เวรมณี เวนจาก
ดานหลกั ใหทํากศุ ล ที่เปนนริ ูปธิ ซ่งึ พดู สอเสียด ๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี
เปนการศึกษาหรือปฏิบัติเพ่ือใหไดสาระ เวนจากพูดคําหยาบ ๗. สมั ผปั ปลาปา
ของชีวิต โดยพัฒนาตนใหเปนอริยชน เวรมณี เวนจากพดู เพอเจอ ค. มโนกรรม
โดยเฉพาะเปนโสดาบนั จากนนั้ อีกดาน ๓ ไดแก ๘. อนภชิ ฌา ไมโลภคอยจอง
หนึ่ง ในฐานะเปนอริยชน ก็ทาํ ความดี อยากไดของเขา ๙. อพยาบาท ไมคดิ
หรือกรรมสรางสรรคตางๆ อันเปนบญุ รายเบียดเบยี นเขา ๑๐. สมั มาทฏิ ฐิ เหน็
ที่มีผลในทางอุปธิ เชน ลาภ ยศ ชอบตามคลองธรรม; เทยี บ อกศุ ลกรรมบถ,
สรรเสริญ และความสขุ ซึ่งเปนไปตาม ดู กรรมบถ
ธรรมดาของมัน และท่ีเปนเร่ืองสามัญ กุศลธรรม ธรรมท่เี ปนกศุ ล, ธรรมฝาย
ในสังคมคฤหสั ถได ไมเสยี หาย เพราะ กุศล ธรรมที่ดี, ธรรมฝายดี
เปนผูมีคุณความดีท่ีเปนหลักประกันให กุศลบุญจรยิ า ความประพฤติทีเ่ ปนบญุ
เกิดแตผลดีทั้งแกตนเองและแกสังคม เปนกศุ ล, การทําความดีอยางฉลาด
แลว; ตรงขามกบั อกศุ ล, เทยี บ บุญ, ดู อปุ ธิ กศุ ลมลู รากเหงาของกศุ ล, ตนเหตขุ อง
2. บางแหง (เชน ข.ุ เถร.๒๖/๑๗๐/๒๖๘) กศุ ล กศุ ล, ตนเหตขุ องความดมี ี ๓ อยาง คอื
หมายถงึ ความเกษม, ความปลอดภยั , ๑. อโลภะ ไมโลภ (จาคะ) ๒. อโทสะ ไม
สวสั ดภิ าพ, ความหวงั ด,ี ความมเี มตตา คดิ ประทษุ ราย (เมตตา) ๓. อโมหะ ไม
กุศลกรรม กรรมดี, กรรมท่เี ปนกศุ ล, หลง (ปญญา); เทียบ อกุศลมลู
การกระทาํ ท่ีดคี ือเกดิ จากกุศลมลู กุศลวัตร ขอปฏิบัตทิ ี่ดี, กิจทพี่ ึงทาํ ทดี่ ี
กศุ ลกรรมบถ ทางแหงกรรมด,ี ทางทาํ ด,ี กุศลวิตก ความตริตรกึ ท่เี ปนกุศล, ความ
ทางแหงกรรมท่ีเปนกุศล, กรรมดีอัน นึกคิดท่ดี งี ามมี ๓ คือ ๑. เนกขัมมวติ ก
เปนทางนําไปสสู คุ ติ มี ๑๐ อยางคอื ก. ความตรกึ ปลอดจากกาม ๒. อพยาบาท-
กายกรรม ๓ ไดแก ๑. ปาณาติปาตา วติ ก ความตรกึ ปลอดจากพยาบาท ๓.
๒๙
กสุ าวดี ๓๐ เกจิ
อวิหิงสาวิตก ความตรึกปลอดจากการ บรบิ รู ณดแี ลว จงึ กระทาํ พธิ บี ชู ายญั ดวย
เบยี ดเบียน การบรจิ าคทรพั ยทาํ ทานเปนตน ผลของ
กุสาวดี ช่ือเกาของเมอื งกุสนิ ารา นคร พระธรรมเทศนานี้ คอื กฏู ทนั ตพราหมณ
หลวงของแควนมลั ละ เม่อื ครั้งเปนราช- ลมเลิกพิธีบูชายัญของตน ปลอยสัตว
ธานีของพระเจามหาสุทัศน จักรพรรดิ ท้งั หมด และประกาศตนเปนอบุ าสก
ครงั้ โบราณ เกจิ “บางพวก” หมายถงึ อาจารยบาง
กุสิ เสนค่นั ดจุ คนั นายืนระหวางขัณฑกับ พวก (เกจอิ าจารย; ใชวา พระเถระบาง
ขัณฑของจีวร; เทยี บ อฑั ฒกสุ ,ิ ดู จีวร พวก กม็ ีบาง แตนอยแหง), เปนคําท่ี
กสุ นิ ารา เมอื งหลวงแหงหนง่ึ ของแควน กลาวถงึ บอยในอรรถกถาทัง้ หลาย กลาว
มลั ละ (อกี แหงหนงึ่ คอื ปาวา) สมยั พทุ ธ- คือ ในเวลาท่ีพระอรรถกถาจารยอธบิ าย
กาล กุสินาราเปนเมืองเล็กๆ มีมัลล- ความและเลาเรื่องราวตางๆ บางครัง้ ทาน
กษัตริยเปนผูปกครอง พระพุทธเจา ก็ยกมติหรือความเห็นของทานผูอ่ืนมา
เสด็จดบั ขนั ธปรินพิ พานท่ีเมอื งนี้ ใหดดู วย เมอ่ื ไมออกชอื่ เจาของมตเิ หลา
กฏู ทนั ตสตู ร สตู รหนง่ึ ในคมั ภรี ทฆี นกิ าย นน้ั กใ็ ชคาํ วา “เกจ”ิ นี้ (ถายกมติอนื่ มา
สลี ขนั ธวรรค สตุ ตนั ตปฎก พระพทุ ธเจา อกี ตอจาก “เกจิ” กค็ ือ “อปเร” แตบางที
ทรงแสดงแกกูฏทันตพราหมณผูกําลัง มีหลายมติ ก็ตองใชคําอื่นอีก โดย
เตรียมพิธีบูชายัญ วาดวยวิธีบูชายัญ เฉพาะ “เอเก” หรอื “อ ฺเ ” กม็ บี าง) มติ
ตามความหมายในแบบของพระพุทธ- ของเกจอิ าจารยเหลานนั้ ทานยกมาใหดู
ศาสนา ซง่ึ ไมตองมกี ารฆาฟนเบยี ดเบยี น เพราะเปนคําอธิบายท่ีตางออกไปบาง
สัตว มีแตการเสียสละทําทานและการ เพียงเพราะมีแงนาสนใจบาง มบี อยครง้ั
ทําความดอี ่ืนๆ เริม่ ดวยการตระเตรยี ม ท่ีทานยกมาเพ่ือปฏิเสธหรือชี้แจงความ
พิธโี ดยจดั การบานเมอื งใหสงบเรยี บรอย ผิดพลาด และมีบางที่ทานยกมาโดย
กอนตามธรรมวธิ ี มกี ารสงเสรมิ กสกิ รรม แสดงความเหน็ ชอบ, การอางมตขิ องเกจิ
พาณชิ ยกรรม สมั มาชพี และบํารงุ สง อาจารยอยางทวี่ าน้ัน มกั มใี นกรณีอธิบาย
เสรมิ ขาราชการทด่ี ี ซง่ึ จะทาํ ใหประชาชน หลักพระธรรมวินัยที่อาจจะยากสําหรับ
ขวนขวายขะมักเขมนในหนาที่การงาน คนทั่วไป หรือเรอ่ื งทลี่ กึ ซึ้ง แตในทนี่ ้ี
ของตนๆ จนบานเมืองมีความเกษม จะยกตัวอยางท่ีเขาใจงายมาดูสักเรื่อง
ปลอดภยั พลเมอื งมคี วามสขุ ราชทรพั ย หน่ึง ตามความในอรรถกถาชาดก (ชา.อ.
๓๐
เกตมุ าลา ๓๑ เก็บวัตร
๑/๑๒๔) วา เมื่อพระพทุ ธเจาตรสั รูใหมๆ ปญญาและความใสใจในการศึกษาหา
ธิดามารไดมาสาํ แดงอาการยว่ั ยวนตางๆ ความรูเกี่ยวกับพระธรรมวินัยเลือนราง
ทงั้ ปรากฏตวั เปนหญงิ สาว เปนหญงิ วยั หรือถูกกลบบัง โดยลัทธิถือความขลัง
กลาง และเปนสตรผี ใู หญ แตพระพุทธ ศกั ดส์ิ ิทธอิ์ ิทธิฤทธไ์ิ สยศาสตร ๒) “เกจ”ิ
เจามิไดทรงใสพระทัย เม่ือเลาความ ซึ่งเดิมเปนเพยี งผแู ทรกเสรมิ หรอื เปนตวั
ตอนนี้ พระอรรถกถาจารยกลาววา ประกอบ กลายมาเปนตวั หลกั ๓) “เกจ”ิ
“สวนอาจารยบางพวก (เกจิอาจารย) ซง่ึ เดมิ เปนคาํ พหูพจนทไ่ี มระบุตัว กลาย
กลาววา พระผูมีพระภาคเจา คร้ันทรง เปนคําเอกพจนท่ีใชเรียกบุคคลผูมีชื่อ
เห็นธิดามารเหลานั้นเขามาหาโดยภาวะ เสยี งนน้ั ๆ
เปนสตรีผูใหญ จึงทรงอธิษฐานวา เกตุมาลา รศั มีซึ่งเปลงอยเู หนอื พระเศยี ร
‘หญิงเหลานจี้ งเปนผมู ฟี นหัก ผมหงอก ของพระพุทธเจา
อยางนๆ้ี ’ คําของเกจอิ าจารยนนั้ ไมควร เกบ็ ปริวาส ดู เก็บวัตร
เชื่อถือ เพราะพระศาสดายอมไมทรง เกบ็ มานัต ดู เกบ็ วตั ร
กระทาํ การอธษิ ฐานอยางทว่ี านนั้ แตพระ เก็บวัตร โวหารเรียกวินัยกรรมเกี่ยวกับ
ผูมีพระภาคเจาทรงปรารภถึงการละ วุฏฐานวิธีอยางหน่ึง คอื เมอ่ื ภิกษุตอง
กเิ ลสของพระองคเอง ตรสั วา ‘พวกทาน ครุกาบัติข้ันสังฆาทิเลสกําลังอยูปริวาส
จงหลกี ไปเถดิ พวกทานเปนเชนไรจงึ พา ยงั ไมครบเวลาทป่ี กปดอาบตั ไิ วกด็ ี กาํ ลงั
กนั พยายามอยางนี้ ช่ือวากรรมเชนนี้ ประพฤติมานตั ยังไมครบ ๖ ราตรีกด็ ี
พวกทานควรกระทําเบื้องหนาคนทย่ี ังไม เม่อื มีเหตอุ นั สมควร กไ็ มตองประพฤติ
ปราศจากราคะเปนตน แตตถาคตละ ติดตอกันเปนรวดเดียว พึงเขาไปหา
ราคะ โทสะ โมหะเสยี แลว’” ภิกษุรูปหน่ึง ทําผาหมเฉวียงบา น่ัง
ในภาษาไทย เมอ่ื ไมนานนกั นี้ คาํ วา กระหยง ประนมมือ ถาเก็บปริวาส พงึ
เกจิ หรอื เกจอิ าจารย ไดมคี วามหมาย กลาววา “ปริวาสํ นิกฺขิปามิ” แปลวา
“ขาพเจาเกบ็ ปรวิ าส” หรือวา “วตตฺ ํ นกิ ฺข-ิ
เพยี้ นไปจากเดมิ หางไกลมาก กลายเปน ปาม”ิ แปลวา “ขาพเจาเกบ็ วัตร” วาคาํ
หมายถึงพระภิกษุผูมีช่ือเสียงเดนในทาง
ความขลงั (พระขลงั หรอื อาจารยขลงั ) ใดคาํ หนงึ่ กเ็ ปนอนั พกั ปรวิ าส; ถาเกบ็
หรือแมกระทั่งในเชิงไสยศาสตร, ขอ มานตั พงึ กลาววา “มานตฺตํ นิกขฺ ิปาม”ิ
เพยี้ นทสี่ าํ คญั คอื ๑) ความหมายในทาง แปลวา “ขาพเจาเกบ็ มานตั ” หรอื วา “วตตฺ ํ
๓๑
เกษม ๓๒ โกลิยวงศ
นิกขฺ ปิ าม”ิ แปลวา “ขาพเจาเก็บวตั ร” โกนาคมน พระนามพระพุทธเจาองค
ดงั น้ี วาคาํ ใดคาํ หนงึ่ กเ็ ปนอนั พกั มานตั ตอ หน่งึ ในอดตี ; ดู พระพทุ ธเจา ๕
ไปเมอื่ มโี อกาสกใ็ หสมาทานวตั รใหมไดอกี โกมารภจั ดู ชีวก
เกษม ปลอดภยั , พนภัย, สบายใจ โกรัพยะ พระเจาแผนดนิ แควนกรุ ุ
เกษมจากโยคธรรม ปลอดภยั จากธรรม โกละ ผลกะเบา
เครอ่ื งผกู มดั , ปลอดโปรงจากเรอ่ื งทจ่ี ะ โกลังโกละ “ผูไปจากตระกูลสูตระกูล”
ตองถกู เทยี มแอก, พนจากภยั คอื กเิ ลสที่ หมายถึงพระโสดาบัน ซ่ึงจะตองไปเกดิ
เปนตวั การสวมแอก; ดู โยคเกษมธรรม อีก ๒–๓ ภพ แลวจึงบรรลพุ ระอรหตั
เกสา ผม โกลติ ะ ชอื่ เดมิ ของพระมหาโมคคลั ลานะ
เกินพิกัด เกินกําหนดท่ีจะตองเสียภาษี เรยี กตามช่อื หมูบานท่ีเกดิ (โกลติ คาม)
อากร เพราะเปนบุตรของตระกูลหัวหนาในหมู
เกยี รติยศ ยศคือเกียรติ หรอื กิตตคิ ณุ , บานน้ัน สมัยเม่ือเขาไปบวชเปน
ความเปนใหญโดยเกยี รติ; ดู ยศ
ปรพิ าชกในสาํ นกั ของสญชยั ก็ยงั ใชชอื่
แกงได รอยกากบาทหรือขีดเขียนซึ่งคน วา โกลติ ะ ตอมาภายหลงั คือเมื่อบวช
ไมรหู นังสอื ขดี เขยี นลงไวเปนสาํ คัญ ในพระพทุ ธศาสนา จึงเรยี กกันวา โมค-
โกฏิ ชือ่ มาตรานบั เทากับสบิ ลาน คลั ลานะ หรือ พระมหาโมคคลั ลานะ
โกณฑธานะ ดู กุณฑธานะ โกลติ ปรพิ าชก พระโมคคลั ลานะเมอื่ เขา
โกณฑญั ญะ พราหมณหนมุ ทส่ี ดุ ในบรรดา ไปบวชเปนปริพาชกในสํานักของสญชัย
พราหมณ ๘ คน ผทู าํ นายลกั ษณะของ มีชื่อเรียกวา โกลิตปรพิ าชก
สทิ ธตั ถกมุ าร ตอมาออกบวชตามปฏบิ ัติ โกลยิ ชนบท แควนโกลยิ ะ หรือดินแดน
พระสิทธัตถะขณะบําเพ็ญทุกรกิริยา ของกษตั รยิ โกลยิ วงศ เปนแควนหนึง่ ใน
เปนหัวหนาพระปญจวัคคีย ฟงพระ ชมพูทวปี ครั้งพุทธกาล มนี ครหลวงช่ือ
ธรรมเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เทวทหะ และ รามคาม บัดน้อี ยูในเขต
แลวไดดวงตาเห็นธรรม ขอบรรพชา ประเทศเนปาล
อปุ สมบทเปนปฐมสาวกของพระพทุ ธเจา โกลิยวงศ ช่ือวงศกษัตริยขางฝายพระ
มีชื่อเรียกกันภายหลังวา พระอัญญา- พทุ ธมารดา ท่ีครองกรุงเทวทหะ; พระ
โกณฑญั ญะ
นางสิรมิ หามายา พทุ ธมารดา และพระ
โกธะ ความโกรธ, เคอื ง, ขุนเคือง นางพิมพา ชายาของเจาชายสิทธัตถะ
๓๒
โกศล๑,โกสลั ละ ๓๓ โกฬวิ ิสะ
เปนเจาหญิงฝายโกลิยวงศ ทาย) แหงคัมภีรมหาวรรค วินยั ปฎกวา
โกศล๑, โกสัลละ ความฉลาด, ความ ดวยเร่ืองของภิกษุชาวเมืองโกสัมพี
เชีย่ วชาญ มี ๓ คอื ๑. อายโกศล ความ ทะเลาะววิ าทกนั จนเปนเหตใุ หพระพทุ ธ-
ฉลาดในความเจริญ, รอบรูทางเจริญ เจาเสดจ็ ไปจาํ พรรษาในปารกั ขติ วนั ตาํ บล
และเหตขุ องความเจริญ ๒. อปายโกศล ปาริไลยกะ ในทส่ี ุด พระภกิ ษุเหลานัน้
ความฉลาดในทางเสอื่ ม, รอบรทู างเสอื่ ม ถูกมหาชนบีบคั้นใหตองกลับปรองดอง
และเหตขุ องความเส่อื ม ๓. อปุ ายโกศล กัน บงั เกดิ สงั ฆสามัคคีอกี ครัง้ หนึ่ง
ความฉลาดในอบุ าย, รอบรูวธิ แี กไขเหตุ โกสัมพี ช่ือนครหลวงของแควนวังสะ
การณและวธิ ีทจ่ี ะทําใหสําเร็จ ทั้งในการ อยตู อนใตของแมน้ํายมุนา บัดน้ีเรียกวา
ปองกันความเสื่อมและในการสราง Kosam
โกสลั ละ ดู โกศล๑
ความเจรญิ
โกศล๒ ช่ือแควนหน่ึงในบรรดา ๑๖ โกสยิ เทวราช พระอินทร, จอมเทพใน
แควนแหงชมพูทวปี โกศลเปนแควนใหญ สวรรคชน้ั ดาวดงึ ส เรยี ก ทาวโกสยี บาง
มีอํานาจมากในสมัยพุทธกาล กษัตริยผู ทาวสักกเทวราช บาง
ครองแควนมีพระนามวา พระเจาปเสนทิ- โกสยิ วรรค ตอนทว่ี าดวยเรอื่ งขนเจยี มเจอื
โกศล มีนครหลวงชอ่ื สาวัตถี บดั น้เี รยี ก ดวยไหม เปนวรรคท่ี ๒ แหงนิสสคั คยิ -
Sahet-Mahet (ลาสุด ร้ือฟนช่ือในภาษา กณั ฑในพระวนิ ยั ปฎก
สันสกฤตขึ้นมาใชวา śrāvasti คอื ศราวัสต)ี โกเสยยะ, โกไสย ผาทาํ ดวยใยไหม ได
โกสละ ดู โกศล
แก ผาไหม ผาแพร
โกสัชชะ ความเกยี จคราน โกฬิวิสะ ดู โสณะ โกฬิวสิ ะ
โกสมั พกิ ขนั ธกะ ชอ่ื ขันธกะที่ ๑๐ (สดุ
๓๓
ข
ขจร ฟุงไป, ไปในอากาศ เดียว ถาผูขอหลายรูปตั้งแตสองขึ้นไป
ขณิกสมาธิ สมาธชิ ว่ั ขณะ, สมาธิข้ันตน เปลี่ยนเปน “ตมุ เฺ หหปิ ”
พอสําหรับใชในการเลาเรียนทําการงาน คาํ วา “มหาเถเร” เปล่ยี นเปน “เถเร”
ใหไดผลดี ใหจติ ใจสงบสบายไดพกั ช่ัว หรือ “อาจริเย” เปนตน ตามฐานะของผูรับ
คราว และใชเริม่ ปฏิบัตวิ ปิ สสนาได (ขน้ั ขรรค อาวธุ มีคม ๒ ขาง ทีก่ ลางทั้งหนา
ตอไป คือ อปุ จารสมาธิ)
และหลังเปนสนั ดามสัน้
ขณกิ าปติ ความอิ่มใจช่วั ขณะ เมอื่ เกดิ ขราพาธ อาพาธหนกั , ปวยหนกั
ข้ึนทําใหรูสึกเสียวแปลบๆ เปนขณะๆ ขลัง ศักด์ิสิทธิ์, มีกําลังอํานาจท่ีอาจ
เหมือนฟาแลบ (ขอ ๒ ในปติ ๕) บันดาลใหเปนไปอยางน้ันอยางน้ี หรอื
ขนบ แบบอยางที่ภิกษุควรประพฤติใน ใหสําเร็จผลที่ประสงค; ดู เครอ่ื งราง
กาลนั้นๆ ในท่นี ั้นๆ แกบคุ คลนั้นๆ ขลุปจฉาภัตติกังคะ องคแหงผูถือหาม
ขนบธรรมเนยี ม แบบอยางทน่ี ยิ มกัน ภตั ทเ่ี ขานาํ มาถวายภายหลงั คือ เมื่อลง
ขนาบ กระหนาบ
มือฉันแลวมีผูนําอาหารมาถวายอีกก็ไม
ขมา ความอดโทษ, การยกโทษให รบั , คําสมาทานวา “อตริ ิตตฺ โภชนํ ปฏิกฺ-
- คาํ ขอขมา (แบบเกา ไมระบฐุ านะผรู ับ) ขิปาม,ิ ขลุปจฉฺ าภตตฺ ิกงฺคํ สมาทิยาม”ิ
ผูขอ: สพพฺ ํ อปราธํ, ขมถ เม ภนเฺ ต. แปลวา “ขาพเจางดโภชนะอนั เหลือเฟอ
อุกาส ทฺวารตตฺ เยน กต,ํ สมาทานองคแหงผู—” (ขอ ๗ ใน
สพฺพํ อปราธ,ํ ขมถ เม ภนฺเต. ธดุ งค ๑๓)
ผรู บั : อหํ ขมาม,ิ ตยาป เม ขมิตพฺพ.ํ ของขลงั ดู เครื่องราง
ของตองพิกัด ของเขากําหนดที่จะตอง
ผขู อ: อุกาส ขมามิ ภนเฺ ต.
- คาํ ขอขมา (แบบระบฐุ านะของผรู ับ) เสยี ภาษี
ผขู อ: มหาเถเร ปมาเทน ทวฺ ารตฺตเยน กตํ. ขอน ในคําวา “ขณั ฑขอน” คอื ค่ี เชน ๗
สพพฺ ํ อปราธ,ํ ขมตุ โน ภนฺเต. ขัณฑ ๙ ขณั ฑ ๑๑ ขัณฑ
ผรู บั : อหํ ขมาม,ิ ตยาป เม ขมติ พพฺ ํ.. ขอขมา ดู ขมา
ขอนิสยั ดู นสิ ยั
ผูขอ: ขมาม ภนฺเต.
คาํ วา “ตยาป” นน้ั สําหรับรบั แกผูขอรปู ขอโอกาส ดู โอกาส
ขัชชภาชกะ ๓๕ ขนั ธปญจก
ขัชชภาชกะ ภิกษุผูไดรับสมมติ คือ ขัตตยิ มหาสาล กษตั ริยผมู ั่งคงั่
แตงต้ังจากสงฆ ใหมีหนาที่แจกของ ขนั ติ ความอดทน คือ ทนลาํ บาก ทน
เคยี้ ว, เปนตําแหนงหนึ่งในบรรดา เจา ตรากตรํา ทนเจบ็ ใจ, ความหนกั เอาเบา
อธกิ ารแหงอาหาร
สู เพ่อื บรรลุจุดหมายท่ีดงี าม (ขอ ๓ ใน
ขณั ฑ สวน ทอน หรอื ช้นิ ทีถ่ กู ตดั ทบุ ฆราวาสธรรม ๔, ขอ ๑ ในธรรมที่ทําให
ฉีก ขาด หกั แตก หรอื แยกกันออกไป, งาม ๒, ขอ ๖ ในบารมี ๑๐)
ของทถี่ กู ตัด ฉกี ขาดเปนสวนๆ เปน ขันติสังวร สาํ รวมดวยขันติ (ขอ ๔ ใน
ช้นิ ๆ เปนทอนๆ; คาํ วา “จีวรมีขัณฑ ๕” สังวร ๕)
หรือ “จีวรหาขัณฑ” หมายถึงจีวรที่ ขนั ธ กอง, พวก, หมวด, หมู ลาํ ตวั ;
ประกอบขึ้นจากแผนผาทต่ี ัดแลว ๕ ชน้ิ ; หมวดหนง่ึ ๆ ของรปู ธรรมและนามธรรม
ดู จวี ร ท้ังหมดทแ่ี บงออกเปน ๕ กอง คือ รูป-
ขัณฑสีมา สีมาเล็กผูกเฉพาะโรงอโุ บสถ ขันธ กองรูป เวทนาขันธ กองเวทนา
สัญญาขนั ธ กองสญั ญา สังขารขนั ธ
ท่ีอยูในมหาสมี า มีสีมนั ตริกค่นั
ขัดบัลลงั ก ดู บัลลงั ก กองสงั ขาร วญิ ญาณขนั ธ กองวญิ ญาณ
ขดั สมาธิ [ขัด-สะ-หมาด] ทานั่งเอาขาขดั เรียกรวมวา เบญจขนั ธ (ขันธ ๕)
กันอยางคนนงั่ เจริญสมาธิ คอื น่งั คูเขา ขนั ธกะ หมวด, พวก, ตอน หมายถงึ
ทงั้ สองขางแบะลงบนพนื้ เอาขาทอนลาง เรอ่ื งราวเกย่ี วกบั พระวนิ ยั และสกิ ขาบท
ซอนทบั กัน; ขดั สมาธมิ ี ๓ แบบ คือ นัง่ นอกปาติโมกข ที่จัดประมวลเขาเปน
ขัดสมาธิโดยเอาขาสอดไขวกันทับลงบน หมวดๆ เรียกวา ขันธกะ, ขันธกะ
เทาขางทต่ี รงขาม (อยางที่นิยมน่งั กันทัว่ หน่ึงๆ วาดวยเร่อื งหน่ึงๆ เชน อุโบสถ-
ไป) เรียกวา ขดั สมาธสิ องชนั้ , น่งั ขัด ขันธกะ หมวดที่วาดวยการทําอุโบสถ
สมาธิโดยวางขาขวาทับราบบนขาซาย จีวรขนั ธกะ หมวดทวี่ าดวยจีวร เปนตน
เรียกวา ขดั สมาธริ าบ, นงั่ ขดั สมาธิโดย รวมทงั้ สิ้นมี ๒๒ ขนั ธกะ (พระวินยั
หงายฝาเทาทั้งสองข้ึนวางบนขาขางท่ี ปฎกเลม ๔, ๕, ๖, ๗); ดู ไตรปฎก
ตรงขาม เรยี กวา ขดั สมาธเิ พชร (ทานัง่ ขนั ธปริตร ดู ปรติ ร
ของพระพุทธรูป เปนแบบท่ี ๒ และ ๓) ขันธปญจก หมวดหาแหงขนั ธ อนั ไดแก
ขัตติยธรรม หลักธรรมสาํ หรับกษัตริย, รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
(นยิ มเรียก ขันธบัญจก); ดู ขนั ธ
ธรรมของพระจาแผนดิน
๓๕
ขันธมาร ๓๖ ขชุ ชุตรา
ขนั ธมาร ขนั ธ ๕ คอื รปู เวทนา สญั ญา ไมครบเวลาที่ปกปดอาบัติไวหรือ
สงั ขาร วญิ ญาณ เปนมาร เพราะเปน ประพฤตมิ านตั อยยู ังไมครบ ๖ ราตรี
สภาพอนั ปจจยั ปรงุ แตงขนึ้ เปนทตี่ งั้ แหง พักปริวาสหรือมานัตเสียเนื่องจากมีเหตุ
ทกุ ข ถกู ปจจยั ตางๆ มอี าพาธเปนตน อันสมควร เม่อื จะสมาทานวัตรใหมเพอ่ื
บีบคั้นเบียดเบียนเปนเหตุขัดขวางหรือ ประพฤติปริวาสหรือมานัตที่เหลือนั้น
รอนโอกาส มใิ หสามารถทาํ ความดงี ามได เรยี กวา ขึน้ วัตร คอื การสมาทานวัตร
เตม็ ที่ หรอื อาจตดั โอกาสนนั้ โดยสน้ิ เชงิ น่ันเอง ถาข้นึ ปริวาสพึงกลาวคาํ ในสํานัก
(ขอ ๒ ในมาร ๕) ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ วา “ปรวิ าสํ สมาทยิ าม”ิ แปล
ขาดสญู ดู สูญ วา “ขาพเจาขนึ้ ปรวิ าส” “วตตฺ ํ สมาทยิ าม”ิ
ขาทนยี ะ ของควรเคย้ี ว, ของขบของเคย้ี ว แปลวา “ขาพเจาข้ึนวัตร” ถาข้นึ มานตั
ไดแกผลไมตางๆ และเหงาตางๆ เชน พงึ กลาววา “มานตตฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา
“ขาพเจาขน้ึ มานตั ” หรอื “วตตฺ ํสมาทยิ าม”ิ
เผือกมัน เปนตน
ขาวสุก ในโภชนะ ๕ อยางคือ ขาวสกุ ๑ แปลวา “ขาพเจาข้นึ วตั ร”
ขนมสด ๑ ขนมแหง ๑ ปลา ๑ เนื้อ ๑ ขุชชโสภิตะ ชื่อพระเถระองคหน่ึงใน
ขาวสุกในท่ีน้ีหมายถึงธัญญชาติทุกชนิด การกสงฆผทู าํ สังคายนาคร้ังท่ี ๒
ทห่ี งุ ใหสกุ แลว เชนขาวเจา ขาวเหนียว ขุชชุตรา อริยสาวิกาสําคัญทานหน่ึงใน
หรอื ทต่ี กแตงเปนของตางชนดิ เชนขาว ฝายอุบาสิกา บางทีเรียกวาเปนอัคร-
มนั ขาวผดั เปนตน อุบาสิกา เนอื่ งจากพระพทุ ธเจาทรงยก
ขิปปาภิญญา รูฉับพลนั ยองวาเปนตราชูของอุบาสกิ าบริษัท (คู
ขีณาสพ ผูมีอาสวะสิ้นแลว, ผูหมด กับเวฬุกัณฏกีนันทมารดา) ทานเปน
กิเลส, พระอรหันต เอตทัคคะในบรรดาอุบาสิกาท่ีเปน
ขีระ นมสด; ดู เบญจโครส พหสู ตู เปนผูมปี ญญามาก ไดบรรลเุ สข-
ขนึ้ ใจ เจนใจ, จําไดแมนยาํ ปฏิสมั ภทิ า (ปฏสิ มั ภทิ าของพระเสขะ),
ขนึ้ ปาก เจนปาก, คลองปาก, วาปาก ตามประวัติท่ีอรรถกถาเลาไว อริย-
เปลาไดอยางวองไว สาวิกาทานน้ี เปนธิดาของแมนมในบาน
ขึ้นวัตร โวหารเรียกวินัยกรรมเก่ียวกบั ของโฆสติ เศรษฐี (อรรถกถาเรยี กเพีย้ น
วุฏฐานวิธีอยางหนึ่ง คือเม่ือภิกษุตอง เปนโฆสกเศรษฐี กม็ ี) ในเมืองโกสมั พี
ครุกาบัติชนั้ สังฆาทิเสสแลวอยูปริวาสยัง ไดชื่อวา “ขุชชตุ รา” เพราะเกดิ มามหี ลัง
๓๖
ขชุ ชตุ รา ๓๗ ขุชชุตรา
คอม (เขียนเตม็ ตามรปู คาํ บาลเี ดิม เปน สามาวดกี ลบั พอพระทยั และพรอมดวย
“ขุชฺชุตตฺ รา” ขชุ ฺชา แปลวา คอม ชือ่ ของ สตรที เี่ ปนราชบรพิ ารทง้ั หมด พากนั ขอ
นางแปลเตม็ วา อุตราผคู อม) ตอมา เมอื่ ใหขชุ ชตุ ราถายทอดธรรม ขชุ ชตุ ราแมจะ
นางสามาวดี ธิดาบุญธรรมของโฆสิต- เปนคนคอนขางพกิ าร แตมปี ญญาดมี าก
เศรษฐีไดรับอภิเษกเปนมเหสีของพระ (สาํ เร็จปฏิสมั ภทิ าของเสขบุคคล) ไดนาํ
เจาอเุ ทนแหงกรงุ โกสัมพี นางขุชชตุ ราก็ ธรรมที่พระพุทธเจาตรัสมาถายทอด
ไดไปเปนผดู ูแลรับใช (เปนอุปฏฐายกิ า, เหมอื นอยางทพ่ี ระองคทรงแสดง ทาํ ให
แ ต อ ร ร ถ ก ถ า บ า ง แ ห ง ใ ช คําว า เ ป น พระนางสามาวดีและสตรีที่เปนราช-
บรจิ าริกา) ขุชชตุ ราไมคอยจะซอื่ ตรงนัก บริพารเขาใจแจมแจงบรรลุโสดาปตติ-
ดังเร่อื งวา เวลาไปซื้อดอกไม นางเอา ผลทง้ั หมด จากนน้ั พระนางสามาวดไี ด
เงนิ ไป ๘ กหาปณะ แตเกบ็ เอาไวเสีย ยกขุชชุตราขึ้นพนจากความเปนผูรับใช
เอง ๔ กหาปณะ ซ้ือจริงเพียง ๔ เ ชิ ด ชู ใ ห มี ฐ า น ะ ดั ง ม า ร ด า แ ล ะ เ ป น
กหาปณะ อยูมาวันหนึ่ง เจาของราน อาจารยท่ีเคารพ โดยใหมีหนาท่ีไปฟง
ดอกไมนิมนตพระพุทธเจาและพระสงฆ พระพุทธเจาแสดงธรรมทุกวัน แลวนํา
ไปฉัน เมื่อขุชชุตราไปที่รานจะซื้อ มาเลามาสอนตอท่ีวงั เวลาผานไป ตอมา
ดอกไม เจาของรานจึงขอใหรอกอน พระนางสามาวดี ถกู พระนางมาคัณฑยิ า
และเชิญใหรวมจัดแจงภัตตาหารถวาย ประทุษรายวางแผนเผาตําหนักสิ้นพระ
ดวย ขุชชุตราไดรับประทานอาหารเอง ชนมในกองเพลิงพรอมท้ังบริพาร แต
และทั้งไดเขาครัวชวยจดั ภัตตาหาร แลว พอดวี า ขณะนนั้ ขุชชตุ ราไปกิจที่อื่น จงึ
ก็เลยไดฟงธรรมท่ีพระพุทธเจาตรัส พนอันตราย
ตลอดทั้งหมดจนถึงอนุโมทนา และได
สําเรจ็ เปนโสดาบนั เมอ่ื เปนอริยบคุ คล พระอรรถกถาจารยกลาววา (อติ .ิ อ.๓๔)
แลว วันน้ันก็จึงซื้อดอกไมครบ ๘ พระสูตรท้ังหมดในคัมภีรอิติวุตตกะ
กหาปณะ ไดดอกไมไปเต็มกระเชา พระ แหงขทุ ทกนกิ ายในพระไตรปฎก จาํ นวน
นางสามาวดีแปลกพระทัย กต็ รสั ถามวา ๑๑๒ สตู ร ไดมาจากอรยิ สาวกิ าขุชชตุ รา
ทําไมเงินเทาเดมิ แตวนั นั้นไดดอกไมมา ทานนี้ กลาวคอื นางขชุ ชุตราไปฟงจาก
มากเปนพเิ ศษ ขุชชุตราเปนอริยชนแลว พระพุทธเจาและนํามาถายทอดท่ีวังแก
ก็เลาเปดเผยเร่ืองไปตามตรง พระนาง พระนางสามาวดีพรอมทั้งบรพิ าร แลว
ภิกษุณีทั้งหลายก็รับไปจากอริยสาวิกา
๓๗
ขทุ ทกนกิ าย ๓๘ เขมา
ขุชชุตรา และตอทอดถึงภิกษุทั้งหลาย พระผูมีพระภาคเจาประทับอยูท่ี…โดย
(พระพทุ ธเจาทรงจาํ พรรษาทเ่ี มอื งโกสมั พี สมัยนั้นแล [บคุ คลนั้นๆ]…)
ในปที่ ๙ แหงพทุ ธกจิ และเมอื งโกสมั พี เรื่องท่ีกลาวมาน้ี นับวาเปนเกียรติ
อยหู างจากเมอื งราชคฤห วดั ตรงเปนเสน คุณของอรยิ สาวกิ า ซงึ่ ไดทาํ ประโยชนไว
บรรทดั ๔๐๕ กม. ไมพบหลกั ฐานวานาง แกพระพุทธศาสนา สมเปนผูทรง
ขุชชุตรามชี ีวติ อยถู งึ พทุ ธปรนิ พิ พานหรอื ปฏสิ มั ภทิ า และไดรับพระพุทธดาํ รัสยก
ไม) ทงั้ นไ้ี ดรกั ษาไวตามทน่ี างขชุ ชตุ รานาํ ยองวาเปนเอตทัคคะในดานเปนพหูสูต;
มากลาวแสดง ดงั ทค่ี าํ เรม่ิ ตนพระสตู รชุด (คําเดมิ วา “ขุชฺชุตตฺ รา”), ดู ตลุ า, เอตทคั คะ
๑๑๒ สูตรนี้ ก็เปนคาํ ของนางขชุ ชุตราวา ขุททกนิกาย นิกายที่ ๕ แหงพระ
“วตุ ตฺ ํ เหตํ ภควตา วตุ ตฺ มรหตาติ เม สตุ ”ํ สตุ ตันตปฎก เปนชมุ นุมพระสตู ร คาถา
(แทจรงิ พระผมู พี ระภาคเจาไดตรสั พระ ภาษิต คาํ อธบิ าย และเร่อื งราวเบ็ดเตล็ด
สูตรนี้ไว ขาพเจาไดสดับมาดังที่พระ ท่ีจัดเขาในส่ีนิกายแรกไมได มี ๑๕
องคอรหนั ตตรสั แลววา…) ซงึ่ พระอานนท คัมภรี ; ดู ไตรปฎก (เลม ๒๕ - ๓๓)
ก็นํามากลาวในท่ีประชุมสังคายนา ณ ขทุ ทกปาฐะ คัมภรี ที่ ๑ แหงขุททก
เมอื งราชคฤห ตามคาํ เดมิ ของนาง (คาํ นิกาย ในพระสุตตันตปฎก; ดู ไตรปฎก
เร่ิมตนของนางมีเพียงเทาน้ี ไมบอก (ในเลม ๒๕)
สถานทตี่ รสั เพราะเปนพระสูตรซึ่งทรง ขุททกาปติ ปตเิ ลก็ นอย, ความอมิ่ ใจ
แสดงทเ่ี มอื งโกสมั พที งั้ หมด และไมบอก อยางนอย เม่ือเกิดข้ึนใหขนชันน้ําตา
วาตรัสแกใคร แตในทุกสูตรมีคําตรัส ไหล (ขอ ๑ ในปติ ๕)
เรยี กผฟู งวา “ภกิ ขฺ เว” บงชดั วาตรสั แก เขต 1. แดนทก่ี นั ไวเปนกาํ หนด เชน นา
ภกิ ษทุ ง้ั หลาย คอื คงตรสั ในทป่ี ระชมุ ซงึ่ มี ไร ท่ดี ิน แควน เปนตน 2. ขอทภี่ ิกษุ
ภกิ ษสุ งฆเปนสวนใหญ) อันตางจากพระ ระบถุ งึ เพื่อการลาสกิ ขา เชน พระพทุ ธ
สตู รอน่ื ๆ ทค่ี าํ เรม่ิ ตนเปนของพระอานนท พระธรรม พระสงฆ เปนตน
เอง ซงึ่ ขนึ้ นาํ วา “เอวมเฺ ม สตุ ํ เอกํ สมยํ เขนง เขาสตั ว, ภาชนะท่ีทาํ ดวยเขา
ภควา [บอกสถานที่ เชน ราชคเห วหิ รติ เขมา พระเถรีมหาสาวิการปู หนึ่ง ประสตู ิ
… และระบบุ ุคคลทเ่ี กี่ยวของ เชน เตน ในราชตระกูลแหงสาคลนครในมัททรัฐ
โข ปน สมเยน ราชา มาคโธ…] …” ตอมาไดเปนพระอัครมเหสีของพระเจา
(ขาพเจาไดสดับมาอยางน้ีวา สมัยหนึ่ง พิมพิสาร มีความมัวเมาในรูปสมบัติ
๓๘
เขฬะ ๓๙ โขมทสุ สนิคม
ของตน ไดฟงพระพุทธเจาแสดงพระ เขาที่ นั่งเจริญกรรมฐาน
ธรรมเทศนาเร่ืองราคะ และการกําจัด เขาพรรษา เริม่ ตนจาํ พรรษา ดวยการ
ราคะ พอจบพระธรรมเทศนากไ็ ดบรรลุ อธิษฐานพรรษา; ดู จําพรรษา
พระอรหตั แลวบวชเปนภิกษุณี ไดรับ เขารตี เปลยี่ นไปถอื ศาสนาอน่ื (โดยเฉพาะ
ยกยองวาเปนเอตทัคคะในทางมีปญญา ศาสนาครสิ ต), ทาํ พธิ เี ขาถอื ศาสนาอนื่
มาก และเปนอัครสาวิกาฝายขวา; ดู ตลุ า, โขมะ ผาทาํ ดวยเปลอื กไม ใชเปลอื กไม
เอตทัคคะ
ทบุ เอาแตเสน แลวนาํ เสนนน้ั มาทอเปนผา
เขฬะ น้ําลาย โขมทุสสนิคม นคิ มหนง่ึ ในแควนสักกะ
๓๙
ค
คงคา แมนํา้ ใหญสายสําคญั ลาํ ดบั ที่ ๑ คณะ คอื ชมุ นุมภกิ ษุ ๒ หรอื ๓ รูป
ในมหานที ๕ ของชมพทู วีป และเปนแม บคุ คล คอื ภกิ ษุรปู เดยี ว; เมอ่ื ใชอยางท่วั
น้ําศักดิ์สิทธิ์อันดับที่ ๑ ในศาสนา ไป แมแตในพระวินยั “คณะ” มใิ ชหมาย
พราหมณ ซ่งึ ศาสนกิ ปรารถนาอยางยิง่ ท่ี ความจําเพาะอยางนี้ เชนในคณโภชน
จะไดไปอาบนํ้าลางบาป อีกทั้งในพิธี คําวาฉนั เปนคณะ หมายถงึ ๔ รปู ข้นึ ไป
ราชาภิเษกกษัตริยในชมพูทวีป และ คณญัตติกรรม การประกาศใหสงฆ
กษัตริยแหงลงั กาทวีป ก็ใชน้าํ ศักดิส์ ิทธิ์ ทราบแทนคณะคือพวกฝายตน ไดแก
ในแมนํ้าคงคาน้ีดวย, แมน้ําคงคามี การท่ีภิกษุรูปหนึ่งในนามแหงภิกษุฝาย
ความยาวประมาณ ๒,๕๑๐ กม. ตามที่ หนง่ึ สวดประกาศขออนุมัตเิ ปนผแู สดง
บันทึกไวในอรรถกถาวา มีตนกําเนิด แทนซ่ึงอาบัติของฝายตนและของตน
จากสระอโนดาต ในแดนหิมพานต ไหล เองดวยติณวัตถารกวิธี (อีกฝายหนึง่ ก็
ไปสมู หาสมุทร จากทศิ ตะวันตกไปทิศ พงึ ทาํ เหมอื นกันอยางนนั้ ); เปนขัน้ ตอน
ตะวันออก ผานเมืองสําคัญมากแหง หน่ึงแหงการระงับอธิกรณดวยติณ-
เชน สังกัสสะ ปยาคะ (เขยี นอยาง วัตถารกวนิ ยั
สนั สกฤตเปน ประยาค ปจจบุ นั คอื เมอื ง คณปูรกะ ภิกษุผูเปนท่ีครบจํานวนใน
Allahabad เปนท่ีบรรจบของแมน้ํา คณะน้นั ๆ เชน สังฆกรรมทต่ี องมีภิกษุ
คงคา กับยมุนา) พาราณสี อุกกาเวลา ๔ รูป หรือยิง่ ขนึ้ ไป เปนผูทาํ ยงั ขาดอยู
(อุกกเจลา ก็วา) ปาตลีบุตร (เมือง เพียงจํานวนใดจํานวนหน่ึง มีภิกษุอ่ืน
หลวงของมคธ ยุคหลังราชคฤห) จัมปา มาสมทบ ทําใหครบองคสงฆในสังฆ-
(เมืองหลวงของแควนอังคะ) และในที่ กรรมน้ันๆ ภิกษุทมี่ าสมทบนั้นเรยี กวา
สุดออกทะเลที่อาวเบงกอล (Bay of คณปรู กะ
Bengal), ปจจุบนั คนท่ัวไปรูจักในชือ่ คณโภชน ฉันเปนหมู คือ ภกิ ษุตงั้ แต ๔
ภาษาองั กฤษวา Ganges; ดู มหานที ๕ รูปขึ้นไป รับนิมนตออกช่ือโภชนะแลว
คณะ กลมุ คน, หม,ู พวก; ในพระวินยั ฉัน; ในหนังสือวินัยมุข ทรงมีขอ
โดยเฉพาะในสังฆกรรม มีกําหนดวา พิจารณาวา บางทีจะหมายถึงการนั่ง
สงฆ คอื ชุมนุมภกิ ษตุ ้งั แต ๔ รูปข้ึนไป ลอมโภชนะฉนั หรอื ฉนั เขาวง
คณะธรรมยตุ ๔๑ คติ
คณะธรรมยุต คณะสงฆที่ต้ังข้ึนใหม คติ 1. การไป, ทางไป, ความเปนไป, ทาง
เม่ือคร้ังพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา ดาํ เนิน, วธิ ,ี แนวทาง, แบบอยาง 2. ท่ี
เจาอยูหัวทรงผนวชเปนภิกษุในรัชกาลท่ี ไปเกิดของสัตว, ภพท่สี ัตวไปเกิด, แบบ
๓ (เรียกวา ธรรมยตุ ตกิ า หรอื ธรรม- การดําเนนิ ชีวิต มี ๕ คอื ๑. นิรยะ นรก
ยุตกิ นกิ าย ก็มี); สมเด็จพระมหาสมณ- ๒. ติรจั ฉานโยนิ กําเนดิ ดริ จั ฉาน ๓.
เปตติวิสัย แดนเปรต ๔. มนษุ ย สตั วมี
เจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ทรงให ใจสงู รคู ดิ เหตผุ ล ๕. เทพ ชาวสวรรค ตง้ั
ความหมายวา “พระสงฆออกจาก
มหานกิ ายน้ันเอง แตไดรับอปุ สมบทใน แตชนั้ จาตมุ หาราชกิ า ถงึ อกนษิ ฐพรหม;
รามญั นกิ ายดวย” (การคณะสงฆ น. ๑๐)
คณะมหานิกาย คณะสงฆไทยเดมิ ทส่ี บื ใชคาํ เรยี กเปนชดุ วา: นริ ยคติ ติรัจฉาน-
มาแตสมัยสโุ ขทยั , เปนชือ่ ท่ีใชเรียกใน
คติ เปตคติ มนุษยคติ เทวคต,ิ ๓ คติ
เม่ือไดเกิดมีคณะธรรมยุตข้ึนแลว; แรกเปน ทคุ ติ (ท่ไี ปเกิดอันชว่ั หรือแบบ
ดําเนินชวี ติ ทไ่ี มด)ี ๒ คตหิ ลงั เปน สุคติ
สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยา (ทไ่ี ปเกดิ อันดี หรือแบบดาํ เนนิ ชวี ิตท่ดี )ี
วชิรญาณวโรรส ทรงใหความหมายวา สําหรับทุคติ ๓ มีขอสงั เกตวา บางที
“พระสงฆอนั มเี ปนพน้ื เมอื ง [ของประเทศ เรียกวา อบาย หรืออบายภูมิ แตอบาย-
ไทย – ผเู ขยี น] กอนเกดิ ธรรมยตุ กิ นกิ าย” ภมู นิ น้ั มี ๔ คอื นรก เปรต อสรุ กาย
(การคณะสงฆ, น. ๙๐) ดริ ัจฉาน, อรรถกถากลาววา (อ.ุ อ.๑๔๕;
คณาจารย 1. อาจารยของหมูคณะ, อติ .ิ อ.๑๔๕) การท่ีมจี าํ นวนไมเทากัน ก็
อาจารยสําคญั มีชือ่ เสยี ง ผูเปนที่นบั ถือ เพราะรวมอสุรกาย เขาในเปตติวิสัย
มีศษิ ยเปนคณะใหญ เชน นคิ รนถนาฏ- ดวย จึงเปนทุคติ ๓; ดู อบาย
บุตรเปนคณาจารยผหู นึง่ 2. ในภาษา คติ ๕ นี้ เมอ่ื จัดเขาใน ภพ ๓ พงึ
ไทย ไดมีการบัญญัติใชในความหมาย ทราบวา ๔ คติแรกเปนกามภพท้งั หมด
ใหมวา คณะอาจารย ประดาอาจารย สวนคติที่ ๕ คอื เทพ มีท้งั กามภพ รปู -
หรืออาจารยทั้งหมดของคณะวิชานั้นๆ ภพ และอรปู ภพ (เทพน้ัน แบงออกไป
(ทาํ นองจะใหตรงกบั คาํ วา Faculty) เปน ก.เทวดาในสวรรค ๖ ช้ัน อยใู น
คณิกา หญิงแพศยา, หญิงงามเมอื ง
คดธี รรม ทางธรรม, คติแหงธรรม กามภพ ข.รปู พรหม ๑๖ ช้นั อยใู นรูป
คดโี ลก ทางโลก, คตแิ หงโลก
ภพ และ ค.อรูปพรหม ๔ ชน้ั อยใู น
อรปู ภพ); เทียบ ภพ
๔๑
คนพันทาง ๔๒ ครธุ รรม
เมือ่ จัดเขาใน ภูมิ ๔ พงึ ทราบวา ๔ อาทิตตปริยายสูตร โปรดภิกษุสงฆ
คตแิ รกเปนกามาวจรภมู ทิ งั้ หมด สวนคติ ปุราณชฎิลทั้งหมดใหสําเร็จพระอรหัตที่
ที่ ๕ คอื เทพ มที งั้ กามาวจรภมู ิ รปู าวจร- ตําบลนี้
ภูมิ และอรปู าวจรภมู ิ (ทํานองเดียวกับ ครรภ ทอง, ลูกในทอง, หอง
ที่กลาวแลวใน ภพ ๓) แตมขี อพิเศษวา ครรโภทร ทอง, ทองมีลูก
ภูมสิ งู สดุ คอื ภูมิที่ ๔ อันไดแก โลกตุ ตร- ครองผา นุงหมผา
ภูมิน้ัน แมวาพวกเทพจะอาจเขาถึงได คราวใหญ คราวที่ภิกษุอยูมากดวยกัน
แตมนุษยคติเปนวิสัยท่ีมีโอกาสลุถึงได บณิ ฑบาตไมพอฉนั (ฉนั เปนหมูได ไม
ดีทสี่ ดุ ; เทยี บ ภูมิ ตองอาบตั ปิ าจติ ตีย)
คนพนั ทาง ดู อาสนะ ครุ เสยี งหนกั ไดแกทฆี สระ คอื อา, อ,ี อ,ู
คมิยภตั ภัตเพื่อผูไป, อาหารทเ่ี ขาถวาย เอ, โอ และสระทีม่ ีพยญั ชนะสะกดซึ่ง
เฉพาะภิกษุผูจะเดินทางไปอยูที่อ่ืน; เรียกวา สังโยค เชน พุทโฺ ธ โลเก อปุ ฺ-
คมิกภตั ก็วา ปนฺโน; คูกับ ลหุ
คยา จังหวัดท่ีพระพุทธเจาเคยเสด็จเมื่อ ครุกกรรม ดู ครุกรรม
ครง้ั โปรดนักบวชชฎลิ และไดทรงแสดง ครุกรรม กรรมหนักท้ังท่ีเปนกุศลและ
พระธรรมเทศนาอาทิตตปริยายสูตรท่ี อกุศล ในฝายกุศลไดแกฌานสมาบัติ
ตาํ บลคยาสีสะในจังหวัดนี้ ปจจุบันตัว ในฝายอกุศล ไดแก อนันตรยิ กรรม
เมืองคยาอยูหางจากพุทธคยา สถานท่ี กรรมน้ีใหผลกอนกรรมอื่นเหมือนคน
ตรสั รขู องพระพทุ ธเจาประมาณ ๗ ไมล อยูบนท่สี งู เอาวัตถตุ างๆ ทิง้ ลงมาอยาง
คยากัสสป นกั บวชชฎลิ แหงกัสสปโคตร ไหนหนักท่ีสุด อยางนัน้ ถึงพ้นื กอน
ต้ังอาศรมอยูที่ตําบลคยาสีสะเปนนอง ครกุ าบตั ิ อาบตั หิ นกั ไดแก อาบตั ปิ าราชกิ
ชายคนเลก็ ของอรุ เุ วลกัสสปะ ออกบวช เปนอาบัตทิ ี่แกไขไมได ภกิ ษุตองแลวจาํ
ตามพีช่ าย พรอมดวยชฎิล ๒๐๐ ท่เี ปน ตองสึกเสีย และ อาบตั สิ งั ฆาทเิ สส อยู
บริวาร ไดฟงพระธรรมเทศนาอาทิตต- กรรมจงึ จะพนได คูกับ ลหกุ าบตั ิ
ปริยายสูตร บรรลุพระอรหัตและเปน ครุธรรม ธรรมอันหนัก, หลักความ
มหาสาวกองคหน่งึ ในอสีตมิ หาสาวก ประพฤติสําหรับนางภิกษุณีจะพึงถือ
คยาสีสะ ชือ่ ตาํ บล ซงึ่ เปนเนนิ เขาแหง เปนเรื่องสําคัญอันตองปฏิบัติดวยความ
หน่งึ ในจังหวดั คยา พระพุทธเจาเทศนา เคารพไมละเมดิ ตลอดชวี ติ มี ๘ ประการ
๔๒
ครุภัณฑ ๔๓ คหบดี
คอื ๑. ภิกษณุ แี มบวชรอยพรรษาแลวก็ ความปรารถนา ของบุคคลในโลกท่ีได
ตองกราบไหวภกิ ษแุ มบวชวนั เดยี ว ๒. สมหมายดวยยาก ๔ อยาง; ดู ทลุ ลภธรรม
ภิกษุณจี ะอยใู นวัดท่ไี มมภี กิ ษไุ มได ๓. ควัมปติ ชื่อกุลบุตรผูเปนสหายของพระ
ภิกษุณีตองไปถามวันอุโบสถและเขาไป ยสะ เปนบตุ รเศรษฐีเมอื งพาราณสี ได
ฟงโอวาทจากภิกษุทุกก่ึงเดือน ๔. ทราบขาววายสกุลบุตรออกบวชจึงบวช
ภิกษุณีอยูจําพรรษาแลวตองปวารณาใน ตามพรอมดวยสหายอีกสามคน คือ
สงฆสองฝายโดยสถานทง้ั ๓ คอื โดย วมิ ล สพุ าหุ ปุณณชิ ตอมาไดสําเรจ็ พระ
ไดเห็น โดยไดยิน โดยรังเกยี จ (รังเกยี จ อรหตั ทง้ั หมด
หมายถึง ระแวงสงสัยหรือเห็นพฤติ- ความคํ้า ในประโยควา “เราจักไมทํา
กรรมอะไรท่ีนาเคลือบแคลง) ๕. ความคา้ํ ไปในละแวกบาน” เดนิ เอามอื
ภิกษุณีตองอาบัติหนัก ตองประพฤติ คํา้ บนั้ เอว นัง่ เทาแขน
มานตั ในสงฆสองฝาย (คอื ท้งั ภกิ ษุสงฆ ความไมประมาท ดู อปั ปมาท
และภิกษณุ สี งฆ) ๑๕ วนั ๖. ภิกษุณี คว่ําบาตร การที่สงฆลงโทษอุบาสกผู
ตองแสวงหาอุปสัมปทาในสงฆสองฝาย ปรารถนารายตอพระรตั นตรยั โดยประกาศ
เพ่อื นางสกิ ขมานา ๗. ภิกษณุ ไี มพึงดา ใหภิกษุทั้งหลายไมคบดวย คือไมรับ
ไมพึงบริภาษภิกษุไมวาจะโดยปริยาย บณิ ฑบาต ไมรบั นมิ นต ไมรบั ไทยธรรม,
ใดๆ ๘. ไมใหภกิ ษุณวี ากลาวภกิ ษุ แต บคุ คลตนบญั ญตั ิ คอื วฑั ฒลจิ ฉวี ซง่ึ ถกู
ภิกษุวากลาวภกิ ษณุ ไี ด สงฆควาํ่ บาตร เพราะโจทพระทพั พมลั ล-
ครุภัณฑ ของหนัก เชน กฎุ ี ทด่ี นิ เตียง บตุ ร ดวยสลี วบิ ตั อิ นั ไมมมี ลู , คาํ เดมิ ตาม
ต่ัง เปนตน; คูกับ ลหภุ ัณฑ บาลวี า “ปตตนกิ กชุ ชนา”; ดูท่ี ปกาสนยี -
ครวุ นา (คะ-ร-ุ วะ-นา) อปุ มา กรรม, อสมั มขุ ากรณีย; คูกับหงายบาตร
ครูทัง้ ๖ ดู ตติ ถกร คหบดี “ผูเปนใหญในเรอื น”, “เจาบาน”,
คฤหบดี ดู คหบดี
มักหมายถงึ ผมู ีอนั จะกิน, ผูม่ังค่ัง, แต
คฤหบดจี ีวร ผาจีวรท่ีชาวบานถวายพระ บางแหงในพระวินัย เชน ในสิกขาบทท่ี
คฤหสั ถ ผูครองเรอื น, ชาวบาน
๑๐ แหงจวี รวรรค นิสสัคคิยปาจิตตยี
คลองธรรม ทางธรรม (วนิ ย.๒/๗๑/๕๙) ทานวา คหบดี (คําบาลี
ควรทาํ ความไมประมาท ในที่ ๔ สถาน; ในทีน่ ีเ้ ปน “คหปตกิ ะ”) ไดแก คนอ่นื ท่ี
ดู อปั ปมาท
นอกจากราชา อาํ มาตย และพราหมณ
๔๓
คหปตกิ า ๔๔ คันธกุฎี
(คือเจาบาน หรือชาวบานท่วั ไป) พุทธเจาในอดีต บางทีเรียกท่ีประทับ
คหปติกา “เรอื นของคฤหบด”ี คือเรือน ของพระพุทธเจาในอดีตน้ันวา คันธกุฎี
อันชาวบานสรางถวายเปนกัปปยกฎุ ;ี ดู (พบ ๔ พระองค คือ พระคันธกุฎีของ
กปั ปยภมู ิ พระปทมุ ุตตรพทุ ธเจา ๑ แหง ๒ ครัง้ ,
คหปตมิ หาสาล คฤหบดีผูม่งั ค่งั หมาย ข.ุ อป.๓๒/๑๘/ ๘๕; ของพระตสิ สพทุ ธเจา ๑
ถึงคฤหบดีผูรํา่ รวย มสี มบตั ิมาก แหง ๑ ครงั้ , ๓๒/๑๗๒/๒๗๒; ของพระผุสส
คัคคภิกษุ ช่ือภิกษุรูปหนึ่งในคร้ัง พุทธเจา ๑ แหง ๑ ครั้ง, ๓๓/๑๓๑/๒๒๐;
พทุ ธกาล เคยเปนบา และไดตองอาบตั ิ ของพระกัสสปพุทธเจา ๑ แหง ๒ คร้ัง,
๓๓/๑๔๐/๒๕๐) และตอนที่วาดวยประวตั ิ
หลายอยางในระหวางเวลานนั้ ภายหลงั ของพระอรหนั ตเถรี (เถรีอปทาน) พบ
แหงหน่ึง เรียกท่ีประทับของพระพุทธ
หายเปนบาแลว ไดมผี โู จทวา เธอตอง เจาพระองคปจจบุ นั วา คันธเคหะ (ขุ.อป.
๓๓/๑๕๘/๓๐๖) ซึ่งก็ตรงกับคําวาคันธกุฎี
อาบตั นิ น้ั ๆ ในคราวทเ่ี ปนบาไมรจู บ พระ นั่นเอง แตคัมภีรอ่ืนทั่วไปในพระไตร-
ปฎก ไมมีที่ใดเรียกท่ีประทับของพระ
พทุ ธองคจงึ ไดทรงมพี ทุ ธานญุ าตใหระงบั พทุ ธเจาในอดีตก็ตาม พระองคปจจุบัน
อธกิ รณดวย อมฬู หวนิ ยั เปนครง้ั แรก ก็ตาม วา “คันธกุฎี” (ในพระไตรปฎก
คณฺโฑ โรคฝ แปลภาษาไทยบางฉบับ ตอนวาดวย
คันถะ 1. กิเลสท่ีรอยรดั มัดใจสัตวใหตดิ คาถาของพระเถระ คอื เถรคาถา มคี ําวา
อยู 2. ตํารา, คัมภรี “คนั ธกฎุ ี” ๒-๓ ครั้ง พึงทราบวาเปน
คันถธุระ ธุระฝายคัมภีร, ธุระคือการ เพยี งคําแปลตามอรรถกถา ไมใชคาํ บาลี
เรียนพระคมั ภีร, การศึกษาปริยตั ิธรรม, เดมิ ในพระไตรปฎกบาลี)
เปนคําที่ใชในช้ันอรรถกถาลงมา (ไมมี ในพระไตรปฎกโดยทว่ั ไป แมแตใน
ในพระไตรปฎก); เทียบ วปิ สสนาธรุ ะ, ดู พระสูตรท้ังหลาย (ไมตองพูดถึงพระ
คามวาสี, อรัญวาสี อภิธรรมปฎก ซ่ึงตามปกติไมกลาวถึง
คันถรจนาจารย อาจารยผแู ตงคมั ภีร บุคคลและสถานท่ี) ทานกลาวถึงที่
คันธกุฎี พระกุฎีที่ประทับของพระพุทธ ประทับของพระพุทธเจาเพียงแคอางอิง
เจา, เปนคําเรยี กทีใ่ ชทว่ั ไปในคมั ภรี ช้นั สั้นๆ วา พระองคทรงแสดงธรรมครง้ั
อรรถกถาลงมา แตในพระไตรปฎก พบ ๔๔
ใชเฉพาะในคัมภีรอปทาน เพียง ๖ ครงั้
ตอนท่ีวาดวยประวัติของพระอรหันต-
เถระ (เถราปทาน) คอื เมื่อกลาวถึงพระ
คนั ธกุฎี ๔๕ คันธกฎุ ี
น้นั เมอ่ื ประทบั อยู ณ ที่ใด เชนวา เม่ือ คันธกุฎีเปนสามัญแลว (พบคํานี้ใน
ประทับทพ่ี ระเชตวนั อารามของอนาถ- คมั ภรี ตางๆ ประมาณ ๕๖๐ คร้งั ) ยังได
บิณฑิก เมืองสาวัตถี, ท่ีพระเวฬุวัน บรรยายเรื่องราวเก่ียวกับพระคนั ธกฎุ ไี ว
สถานที่พระราชทานเหยื่อแกกระแต มากมาย เชน เลาเรอื่ งวา ผมู ที รพั ยคน
เมืองราชคฤห, ที่ภูเขาคิชฌกูฏ เมือง หนึ่งไดสรางพระคันธกุฎีถวายแดพระ
ราชคฤห, ที่โฆสติ าราม เมืองโกสัมพ,ี ที่ วิปสสพี ทุ ธเจา เปนอาคารทง่ี ามสงาอยาง
กฏู าคารศาลา ปามหาวัน เมอื งเวสาล,ี ยง่ิ เสา อฐิ ฝา บานหนาตาง เปนตน
ทน่ี โิ ครธาราม เมืองกบิลพัสดุ แควน แพรวพราวดวยรัตนะทั้ง ๗ มีสระ
ศากยะ ดังน้ีเปนตน นอยนักจะระบุ โบกขรณี ๓ สระ ฯลฯ แลวมาเกดิ ใน
อาคารทป่ี ระทบั (ดงั เชน “กเรริกุฎ”ี ได พทุ ธกาลนี้ เปนเศรษฐชี อ่ื วาโชตกิ ะ อกี
ถูกระบุชอื่ ไวครงั้ หนึ่ง ในคราวประทับที่ เรื่องหน่ึงวา คนรักษาพระคันธกุฎีของ
พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก พระสิทธัตถะอดีตพุทธเจา ทําการอบ
เมืองสาวัตถี, ท.ี ม.๑๐/๑/๑) แมวาในบาง พระคนั ธกฎุ ใี หหอมตามกาลเวลาทเี่ หมาะ
พระสูตรจะเลาเหตุการณท่ีดําเนินไป แลวไมเกดิ ในทคุ ตเิ ลย กอนจะมาจบกจิ
ระหวางการแสดงธรรมที่เปนเร่ืองยาว พระศาสนาในพุทธกาลน้ี และอีกเร่ือง
ซ่ึงมีการเสด็จเขาไปทรงพักในท่ีประทับ หนง่ึ วา บรุ ษุ หนง่ึ เกดิ ในสมยั พระกสั สป
ทานก็เลาเพียงส้ันๆ วา “เสด็จเขาสูพระ พุทธเจา ไดฟงธรรมของพระองคแลว
วหิ าร” “เสดจ็ ออกจากพระวหิ าร” “เสดจ็ เลอ่ื มใส นาํ เอาของหอมทงั้ สชี่ าตมิ าไลทา
ประทบั ณ อาสนะท่ีจัดไวในรมเงาพระ พระคนั ธกฎุ เี ดอื นละ ๘ วนั จากนน้ั เกดิ ท่ี
วหิ าร” เปนตน และคําวา “วิหาร” นแ่ี หละ ใด กม็ กี ลนิ่ กายหอม จนกระทงั่ มาสาํ เรจ็
ที่อรรถกถาไขความวาเปน “คันธกุฎี” อรหตั ตผลในพทุ ธกาลนี้ ตอมากม็ คี ัมภีร
(เชนวา “วหิ ารนตฺ ิ คนฺธกฏุ ”ึ , องฺ.อ.๓/๖๔; ช้ันฎีกาแสดงความหมายของ “คนั ธกฎุ ”ี
“เอกวิหาเรติ เอกคนธฺ กฏุ ยิ ํ”, อ.ุ อ.๓๓๓) วาเปน “กฎุ ซี ึ่งอบดวยของหอม ๔ ชาติ”
(ท.ี อภ.ิ ฏี.๑/๒๕๒; ของหอม ๔ ชาติ ไดแก
คัมภรี รนุ หลังในพระไตรปฎก ทมี่ ใิ ช จันทนแดง ดอกไมแควนโยนก กฤษณา
พุทธพจน ดงั เชนเถราปทาน และคมั ภีร และกาํ ยาน หรือบางตาํ ราวา ดอกไม
ชนั้ อรรถกถาลงมา มลี กั ษณะทีเ่ นนการ แควนโยนก กฤษณา กาํ ยาน และพมิ เสน;
จรรโลงศรัทธาโดยอิงเรื่องวัตถุอลังการ ดอกไมแควนโยนก คือ “ยวนะ” มกั
และยาํ้ การบําเพ็ญทาน นอกจากใชคาํ วา
๔๕
คนั ธกุฎี ๔๖ คนั ธกฎุ ี
แปลกันวา กานพลู) สรางสลฬาคาร สวนอกี ๓ หลังนอกนัน้
คันธกุฎี ที่ประทับของพระพุทธเจา อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐเี ปนผสู ราง; กเรรกิ ฎุ ี
ไดช่ืออยางนัน้ เพราะมีกเรรมิ ณฑป คอื
พระองคปจจุบนั ทก่ี ลาวถงึ ในอรรถกถา
และคมั ภรี รนุ ตอมาทงั้ หลาย โดยทว่ั ไป มณฑปท่ีสรางดวยไมกุมนํ้า ต้งั อยูดาน
หมายถึงพระคันธกุฎีที่อนาถปณฑิก-
เศรษฐีสรางถวาย ทวี่ ัดพระเชตวนั ใน หนาประตู และไมไกลจากกเรรมิ ณฑป
นครสาวตั ถี ซึ่งเปนวดั ทีพ่ ระพทุ ธเจา
ประทบั บาํ เพญ็ พทุ ธกิจยาวนานทสี่ ุด ถงึ น้นั มีศาลาน่งั พัก หรอื หอน่งั เรยี กวา
๑๙ พรรษา เปนทตี่ รัสพระสตู ร และ
บัญญัตพิ ระวนิ ัยสวนใหญ เฉพาะอยาง “กเรริมัณฑลมาฬ” กเรริมณฑปต้ังอยู
ย่ิง สิกขาบทที่เปนสวนเฉพาะของพระ ระหวางศาลาน่ังน้ี กบั พระคันธกุฎ,ี มี
ภิกษุณีแทบท้ังหมดทรงบัญญัติเมื่อ เร่ืองมาในหลายพระสูตรวา ภิกษุท้ัง
ประทบั ที่น่ี (ในคมั ภีรปรวิ าร ทานนบั
สกิ ขาบททีบ่ ญั ญตั ไิ วในวนิ ยั ท้งั สอง คือ หลายมานั่งสนทนาธรรมกันที่ศาลานั่งนี้
ทั้งของภิกษุสงฆ และของภิกษุณีสงฆ
รวมทไี่ มซ้าํ กัน มี ๓๕๐ สิกขาบท ทรง (และทมี่ ณั ฑลมาฬแหงอนื่ ๆ ซง่ึ กม็ ใี นวดั
บัญญัติ ณ พระนคร ๗ แหง แยกเปน
ท่ีสาวตั ถี ๒๙๔ สกิ ขาบท ทร่ี าชคฤห ที่เมืองอืน่ ๆ ดวย) ถามีขอยังสงสยั บางที
๒๑ สิกขาบท ทเ่ี วสาลี ๑๐ สิกขาบท ท่ี
โกสัมพี ๘ สกิ ขาบท ทเ่ี มืองอาฬวี ๖ กพ็ ากันไปเฝากราบทลู ถาม หรอื บางครั้ง
สิกขาบท ในสักกชนบท ๘ สิกขาบท ใน
ภคั คชนบท ๓ สกิ ขาบท, วนิ ย.๘/๑๐๑๖-๘/ พระพุทธเจาก็เสด็จมาทรงสนทนากับ
๓๖๐-๑; ทเี่ มืองสาวัตถีนัน้ แทบไมมที ี่อ่นื ภิกษุเหลานั้นท่ีนั่น, สวนโกสัมพกุฎที ่ี
นอกจากทีพ่ ระเชตวนั ) ไดชื่ออยางน้ัน เพราะมีตนโกสุมพอยู
ในวดั พระเชตวันนน้ั อรรถกถาเลาวา ทางหนาประตู (ตน “โกสุมพ” ในท่ีน้ี
มเี รอื นใหญ (มหาเคหะ) ๔ หลงั คอื กเรร-ิ
กฎุ ี โกสมั พกฎุ ี คนั ธกฎุ ี และสลฬาคาร แปลเลียนศพั ท เพราะแปลกันไปตางๆ
ใน ๔ หลังนี้ พระเจาปเสนทโิ กศลทรง
วาตนสะครอบาง ตนเล็บเหยี่ยวบาง ตน
คาํ บาง ตนมะกอกบาง แมแตคาํ ทเ่ี ขียน
ก็เปน โกสมพฺ บาง โกสมุ ฺพ บาง โกสุมภฺ
บาง ไมเปนท่ียุต)ิ , หลงั ท่ี๔คอื สลฬาคาร
เปนอาคารทส่ี รางดวยไม “สลฬ” ซงึ่ แปล
กนั วาไมสน แตตามฎีกา, ที.ฏี.๒/๑ อธิบาย
วาสรางดวยไมเทพทาโร (“เทวทารุ” - ไม
“ฟนเทวดา”)
พระคนั ธกุฎที ่ีวัดพระเชตวันน้ี บางที
เรยี กวา พระมหาคันธกฎุ ี ทเี่ รียกเชนน้ี
๔๖
คนั ธกฎุ ี ๔๗ คนั ธกฎุ ี
เพราะมีความสําคัญเปนพิเศษ นอกจาก ประกอบเชนวา “อันแมนเทพวิมาน”
เปนพระกุฎีที่ประทับยาวนานท่ีสุดและ อยางไรก็ตาม พระพุทธเจาเสด็จจาริก
คงจะใหญหรือเปนหลักเปนฐานมากที่ ทรงบาํ เพญ็ พทุ ธกจิ ไปท่วั จงึ ประทบั ใน
สดุ แลว กเ็ ปนการใหหมายรแู ยกตางจาก ท่ตี างๆ ทง้ั บานนอกและในเมือง ทั้งใน
เรือนหลังอื่นในพระเชตวัน ท่ีกลาวขาง ถ่ินชุมชนและในไพรสณฑปาเขา ตลอด
ตนดวย เพราะกเรรกิ ฎุ แี ละสลฬาคาร จนถนิ่ กันดาร บางแหงประทบั ยาวนาน
น้ัน บางทีก็เรียกเปนพระคันธกุฎีดวย ถึงจําพรรษา บางแหงประทับชั่วเสร็จ
เมอื่ พระพทุ ธเจาเสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พาน พทุ ธกจิ เฉพาะ ดวยเหตนุ ้ี เมอ่ื อรรถกถา
มีพิธีถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระที่ เรียกที่ประทับของพระพุทธเจาวาพระ
เมอื งกุสนิ าราแลว และพระอรหนั ตเถระ คนั ธกุฎี ในทีส่ ุด ก็กลายเปนวามพี ระ
ทั้งหลายนัดหมายกันวาจะไปประชุม คันธกุฎีมากมาย ทั้งท่ีเดนชัดและที่ไม
สังคายนาทเี่ มืองราชคฤห โดยตางก็เดนิ ชัดเจน เทาทพี่ บ นอกจากพระคนั ธกุฎี
ทางไปสทู ห่ี มายเดยี วกนั น้ัน พระอานนท หลักท่ีพระเชตวันแลว คัมภีรชัน้ อรรถ-
พุทธอุปฏฐาก ไดไปแวะท่ีเมืองสาวัตถี กถาลงมา กลาวถงึ พระคนั ธกฎุ ี ในทอี่ นื่ ๆ
เพื่อเก็บกวาดจัดพระคันธกุฎีท่ีวัดพระ พอจะนับครั้งได (จํานวนคร้ังตอไปน้ี
เชตวัน (เชน วนิ ย.อ.๑/๙; ที.อ.๑/๗) อนั เปน ไมถือเปนเด็ดขาด เพราะวา ในกรณีท่ี
บริโภคเจดยี ที่ประจกั ษเดนชัดเจนแก ตางคัมภีรกลาวทั้งเร่ืองและขอความซ้ํา
พุทธบริษทั ทัง้ ปวง ใหเปนพทุ ธคุณานุ- ตรงกนั อาจจะไมนบั เสียบาง) คอื ที่
สรณสถาน อนั สถิตดังคร้งั เมื่อพระบรม พระเวฬุวนั เมืองราชคฤห (พบ ๑๐ คร้ัง)
ศาสดายงั ดํารงพระชนมอยู เสรจ็ แลวจึง ทก่ี ูฏาคารศาลา ปามหาวนั ใกลเมือง
เดินทางสเู มอื งราชคฤหตอไป เวสาลี (๗ ครงั้ ) ทบ่ี พุ พาราม เมอื งสาวตั ถี
(๓ ครัง้ ) ท่ีนโิ ครธาราม เมอื งกบลิ พัสดุ
ดงั ทก่ี ลาวแลววา คมั ภรี ชนั้ อรรถกถา (๓ คร้งั ) ทเ่ี มทฬปุ นคิ ม แควนศากยะ
ลงมา ไดพรรณนาพระคันธกุฎีของพระ (๓ ครง้ั ) ทป่ี าวารกิ มั พวนั เมอื งนาลนั ทา
พทุ ธเจาในอดีตอยางอลงั การ แมวาจะมิ (๓ ครั้ง) ทช่ี วี กัมพวนั เมืองราชคฤห
ไดบรรยายเร่ืองพระคันธกุฎีของพระ (๒ ครั้ง) ทเ่ี อกนาฬา หมบู านพราหมณ
พุทธเจาพระองคปจจุบันมากอยางนั้น ในทักขิณาคีรีชนบท บนเสนทางจาก
แตบางคร้ังก็กลาวถึงพระคันธกุฎีในวัด ราชคฤหสูสาวัตถี (๒ คร้ัง) ท่ีตําบล
ใหญอยางที่พระเชตวันนี้ โดยมีคํา
๔๗
คนั ธกฎุ ี ๔๘ คนั ธกุฎี
อุรุเวลา บนฝงแมนํา้ เนรญั ชรา เม่ือแรก โดยทางลัดแตกันดารมาก ๓๐ โยชน
ตรสั รู (๑ ครง้ั ) ท่ีภูเขาคิชฌกฏู เมอื ง หรอื ทางดี ๖๐ โยชน (ทานวาเปนพระ
ราชคฤห (๑ คร้ัง) ท่ภี เู ขาอิสคิ ลิ ิ เมือง คันธกุฎีที่พระขทิรวนิยเรวตะนิรมิตข้ึน,
ราชคฤห (๑ คร้ัง) ท่ีตโปทาราม เมอื ง ๓ คร้ัง) และทสี่ นุ าปรันตชนบท ถิน่ ของ
ราชคฤห (๑ คร้งั ) ทีภ่ เู ขาใกลหมูบาน พระปณุ ณะ หางจากสาวตั ถี ๓๐๐ โยชน
อนั ธกวนิ ท ซึง่ อยูหางจากเมืองราชคฤห (พระคันธกฎุ แี หงน้มี ชี ื่อดวยวา “จันทน-
๓ คาวุต (๑ ครั้ง) ท่ีจมั ปานคร แควน มาฬา” เพราะสรางดวยไมจนั ทนแดง, ๑
องั คะ ซงึ่ ขนึ้ ตอมคธ (๑ ครงั้ ) ทไ่ี พรสณฑ ครงั้ , เรียกเปนมณฑลมาฬ ๒ ครง้ั )
ทางทิศตะวันตกนอกเมืองเวสาลี (๑
ครั้ง) ที่คิญชกาวัสถ ในญาติกคาม นาสังเกตวา คัมภีรทงั้ หลายไมกลาว
แควนวัชชี (บางทเี รียกวานาติกคาม, ๑ ถึงพระคันธกุฎีท่ีปาอิสิปตนมฤคทายวัน
คร้ัง) ทีโ่ ฆสิตาราม เมอื งโกสมั พี (๑ ในที่ใดเลย (พบแตในหนังสือชั้นหลัง
คร้ัง, ท่โี กสัมพี ไมระบุท่ีอีก ๑ ครัง้ ) ท่ี มาก ซึ่งอยูนอกสายพระไตรปฎก แตง
จนุ ทอมั พวนั เมอื งปาวา (๑ ครั้ง) ที่ เปนภาษาบาลี ในลงั กาทวปี เปนตํานาน
เมอื งกุสนิ ารา (๑ ครงั้ ) ทสี่ ภุ ควนั ใกล พระนลาฏธาตุ ช่ือวา “ธาตุวสํ ” เลาเปน
เมืองอกุ กฏั ฐา แควนโกศล (๑ ครั้ง) ที่ เร่ืองราววา เมอ่ื พระพุทธเจายงั ทรงพระ
อจิ ฉานังคลคาม แควนโกศล (๑ คร้งั ), ชนมอยู ไดเสดจ็ ไปลงั กาทวปี และหลัง
ท่ีกลาวมานั้นเปนถ่ินแดนในเขตแควนท่ี พุทธปรินิพพาน มีพระเถระนําพระ
พอจะคนุ แตในถิ่นแดนไกลออกไปหรือ นลาฏธาตุไปต้ังบูชาที่พระคันธกุฎีในวัด
ท่ไี มคุน ก็มีบาง ไดแก ที่เมอื งอยุชฌา สําคัญทั้งหลายแหงชมพูทวีป รวมทั้งที่
บนฝงแมน้ําคงคา (เรียกอยางสันสกฤต อสิ ปิ ตนมฤคทายวันดวย กอนจะนําไป
วาอโยธยา, ยังกําหนดไมไดแนชัดวา ประดิษฐานในลงั กาทวปี แต “ธาตุวํส”
ปจจุบันคือท่ีใด แตนาจะมิใชอโยธยา น้ัน ทั้งไมปรากฏนามผูแตงและกาล
เดียวกับท่ีสันนิษฐานกันวาตรงกับเมือง เวลาท่แี ตง เรอ่ื งราวทเี่ ลากไ็ มมหี ลักฐาน
สาเกต, ๑ ครง้ั ) ท่กี ัมมาสทัมมนคิ ม ทจี่ ะอางอิงได) ในแงหนึง่ อาจจะถอื วา
แควนกุรุ (กมั มาสธมั มนคิ ม กเ็ รยี ก, ๒ เมอ่ื ครง้ั พระพทุ ธเจาเสดจ็ ไปโปรดเบญจ-
ครงั้ ) ในปาขทิรวนั ลึกเขาไปบนเสนทาง วคั คยี นัน้ เปนพรรษาแรกแหงพทุ ธกจิ
สูขุนเขาหิมาลัย หางจากเมืองสาวัตถี ยังไมมีพุทธานุญาตเรือนหรืออาคารเปน
ทพ่ี กั อาศัย (ตอมาอีก ๓ เดอื นหลงั จาก
๔๘
คนั ธกฎุ ี ๔๙ คันธกุฎี
เสด็จออกจากปาอิสิปตนะมาจนถึงเมือง เสด็จจาริกไปยังอิสิปตนะ รวมท้ังที่ตรัสที่โคนตน
ราชคฤห เม่ือพระเจาพิมพิสารถวาย
พระเวฬวุ นั จงึ มีพทุ ธานุญาต “อาราม” มุจลินท ๑ สตู รดวย เปนประมาณ ๑๕ สตู ร เชน
คือวัด แกภิกษุท้ังหลาย, วินย.๔/๖๓/๗๑
และตอจากนั้น ระหวางประทับอยูท่ี สํ.ส.๑๕/๔๑๙/๑๕๑) อรรถกถาเลาเร่ืองตอน
เมืองราชคฤห เม่ือราชคหกเศรษฐี น้ี กบ็ อกวา “เสดจ็ ออกจากพระคันธกฎุ ”ี
เล่ือมใส ขอสรางท่ีอยูอาศัยถวายแก แลวมาประทบั นงั่ ท่นี ่ัน (ส.ํ อ.๑/๑๓๘/๑๖๒)
ภกิ ษทุ ้งั หลาย จงึ ทรงอนญุ าต “วหิ าร” ถาถือความหมายโดยนัยอยางน้ี ก็
คือเรือนหรืออาคารท่ีอยูอาศัย เปน สามารถกลาววา มพี ระคันธกฎุ ีทป่ี ระทับ
เสนาสนะอยางหนงึ่ ใน ๕ อยางสําหรับ ในคราวโปรดเบญจวคั คยี ทอี่ สิ ปิ ตนะ ใน
พระภิกษ,ุ วินย.๗/๒๐๐/๘๖ แลวตอจากนี้ พรรษาแรกแหงพทุ ธกจิ ดวยเชนกนั แต
จึงมีเรื่องราวของอนาถบิณฑิกเศรษฐีที่ บงั เอญิ วาอรรถกถาไมไดกลาวถงึ , ยงิ่ กวา
สรางวัดทีเดียวเต็มรูปแบบข้ึนเปนแหง น้ัน หลังจากเสด็จจาริกไปประกาศพระ
แรก ซึ่งเปนทั้งอารามและมีวิหารพรอม ศาสนาในทต่ี างๆ แลวตอมา พระพทุ ธเจา
คอื วัดพระเชตวัน ท่ีเมอื งสาวตั ถ,ี วินย.๗/ ก็ไดเสด็จยอนมาประทับท่ีอิสิปตนะน้ี
๒๕๖/๑๑๑) ตามเหตุผลนี้ กอ็ าจถอื วา เมอื่ อีกบาง ดังทใ่ี นพระวนิ ัย ก็มีสกิ ขาบทซ่ึง
ประทับท่อี สิ ปิ ตนะ คร้งั นัน้ ยังไมมีวหิ าร ทรงบญั ญตั ทิ ี่อสิ ิปตนะน้ี ๓ ขอ (วินย.๕/
ที่จะเรียกวาเปนพระคนั ธกุฎี แตในแงน้ี ๑๑/๑๙, ๕๘/๖๙, ๑๕๒/๒๐๖) และในพระสูตร
กม็ ขี อแยงได ดงั ทกี่ ลาวแลววา ในท่ีสดุ ก็มีสูตรท่ีตรัสท่ีนี่ ไมนบั ทตี่ รสั แกเบญจ-
คัมภีรท้ังหลายไดใชคําวา “คันธกุฎี” วคั คยี อกี ประมาณ ๘ สตู ร (เชน ม.อ.ุ ๑๔/
เพียงในความหมายหลวมๆ คอื ไมวา
พระพุทธเจาประทับท่ีไหน ถึงแมในพระ ๖๙๘/๔๔๙; สํ.ส.๑๕/๔๒๔/๑๕๒; สํ.ม.๑๙/๑๖๒๕/
ไตรปฎกจะไมกลาวถึงวิหาร ทานก็
เรียกเปนพระคนั ธกุฎีท้ังน้ัน เชน เมอ่ื ๕๑๒; ไมนบั สตู รทพี่ ระสาวก โดยเฉพาะพระสารบี ตุ ร
ประทบั ท่ีตําบลอรุ ุเวลา ตอนตรัสรใู หมๆ
(“ป มาภิสมฺพุทโฺ ธ”) ในพระไตรปฎกวา แสดง อกี หลายสตู ร) นอกจากนี้ อรรถกถายงั
ประทับที่โคนไมอชปาลนิโครธ ใกลฝง เลาเรอ่ื งทนี่ ายนนั ทยิ ะ คหบดีบุตร มี
แมนาํ้ เนรัญชรา (ทีน่ ีเ่ กิดพระสตู รท่ีตรสั กอน ศรทั ธาสรางศาลาถวาย ณ มหาวหิ ารท่ี
อสิ ปิ ตนะนอี้ กี ดวย (ธ.อ.๖/๑๕๖) แสดงวา
ในคราวทเ่ี สดจ็ มาประทบั ภายหลงั น้ี ไดมี
วดั เปนมหาวหิ ารเกดิ ขนึ้ ทอี่ สิ ปิ ตนะ และ
เม่ือมีมหาวิหาร ก็ถือไดแนนอนตาม
อรรถกถานยั วามพี ระคนั ธกฎุ ี
๔๙
คนั ธกุฎี ๕๐ คนั ธกฎุ ี
ปจจุบันนี้ พระคันธกุฎีอันเปน ท้ังหมดของตน ในการกูพุทธสถานที่
โบราณสถานที่รูจักกันและพุทธศาสนิก- พุทธคยาใหคืนกลับมาเปนทซี่ ่งึ พระสงฆ
ชนนยิ มไปนมสั การมี ๓ แหง คือ ทีภ่ ูเขา ในพระพุทธศาสนาจะไดรับอนุญาตให
คชิ ฌกูฏ ท่ีสารนาถ (คือท่อี ิสิปตนะ) และ เขาไปอยูได และเม่อื กลับไปยังลังกาใน
ที่พระเชตวัน อีกทั้งไดมีคําศัพทใหม เดอื นพฤษภาคม ปนัน้ (1891) กไ็ ดตัง้
เกิดขึ้น คือคาํ วา “มูลคันธกุฎี” (พระ มหาโพธิสมาคม (Maha Bodhi
คันธกฎุ เี ดมิ ) ซงึ่ มักใชเรียกพระคนั ธกุฎี Society) ขึ้นที่กรุงโคลัมโบ (เมอื ง
ท่ีสารนาถ แตก็พบวามีผูใชเรียกพระ หลวงของประเทศศรีลังกาเวลาน้ัน) เม่ือ
คันธกุฎอี ีกสองแหงดวย วันท่ี ๓๑ พ.ค. เพื่อดาํ เนนิ การตามวัตถุ
ประสงคน้ี (ตอมา ตนป 1892 ไดยาย
แทจรงิ นน้ั คาํ วา “มลู คนั ธกฎุ ”ี ไมมใี น สํานักงานมาตั้งที่เมืองกัลกัตตา ใน
คัมภีรภาษาบาลีใดๆ แตเปนคาํ ใหมซึง่ อนิ เดยี จนถงึ ป 1915 จงึ ไดจดทะเบยี น
เพ่ิงพบและนํามาใชเมื่อเร่ิมมีการฟนฟู เปน Maha Bodhi Society of India
พระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ในศตวรรษท่ี และถึงบัดนี้มีสาขามากแหง) ระหวาง
ผานมาน้ี ทั้งน้ี มเี ร่อื งเปนมาวา หลงั จาก ท่ีงานกูพุทธคยาซึ่งมีอุปสรรคมาก ติด
พระพุทธศาสนาสิ้นสลายไปจากชมพู- คางลาชาอยู อนาคาริกธรรมปาละก็
ท วี ป เ มื่ อ ป ร ะ ม า ณ พ . ศ . ๑ ๗ ๔ ๐ ดาํ เนนิ งานฟนพทุ ธสถานทสี่ ารนาถ (คอื ท่ี
(มหาวิทยาลัยพุทธศาสนาท้ังหลาย มี ปาอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั ) ไปดวย งาน
นาลนั ทามหาวหิ าร เปนตน ถกู เผาถกู สําคัญมากอยางหนึ่ง คือการสรางวัด
ทาํ ลายหมดส้ินในราว ค.ศ. 1200 แตป “มูลคนั ธกุฏวี ิหาร” (Mulagandhakuti
ที่กําหนดไดชัดคอื ราชวงศเสนะถกู กอง Vihara)
ทัพมุสลิมเตอรกจากตางแดนยึดเมือง
หลวงไดใน ค.ศ. 1202 คือ พ.ศ. ๑๗๔๕) การสรางวัดมูลคันธกุฏีวิหารน้ัน มี
หลังจากน้ัน เวลาผานมา ๗๐๐ ปเศษ ถงึ เรื่องสืบเน่ืองมาวา ในการขุดคนทาง
ป ค.ศ. 1891/พ.ศ. ๒๔๓๔ ในเดือน โบราณคดีที่สารนาถ ไดพบซากพุทธ
มกราคม อนาคารกิ ธรรมปาละ (ชอ่ื เดมิ วา สถานหน่ึง ซึ่งสันนิษฐานวาสรางขึ้นใน
David Hevavitarne) ไดเดนิ ทางจาก สมยั คปุ ตะ(ราชวงศคปุ ตะ ประมาณ ค.ศ.
ลังกาทวีป มายังพุทธคยาในประเทศ 320–550/พ.ศ. ๘๖๓–๑๐๙๓, คงจะสราง
อินเดีย โดยไดปฏญิ าณวาจะอทุ ศิ ชีวติ ซอนทบั ตรงทเี่ ดมิ ซง่ึ ผพุ งั ไปตามกาลเวลา
๕๐
คนั ธกฎุ ี ๕๑ คันธกฎุ ี
ต อ กั น ม า ต้ั ง แ ต ส มั ย พ ร ะ เ จ า อ โ ศ ก รวมความวา ดงั ไดกลาวแลว ถงึ แม
มหาราชหรอื กอนนนั้ ) เพอื่ เปนอนุสรณ คมั ภรี ทงั้ หลายจะไมกลาวถึง “คนั ธกฎุ ”ี
ตรงท่ีประทับของพระพุทธเจาเม่ือครั้ง ทอ่ี สิ ปิ ตนะ แตกพ็ ดู ไดวามพี ระคันธกุฎี
ทรงจําพรรษาที่นั่นในปแรกของพุทธกิจ ท่ีนั่น ดวยเหตุผล ๒ ประการ คอื หนึง่
อยใู กลกันกับซากธรรมราชิกสถูป และ เรยี กตามความหมายหลวมๆ ท่วี า พระ
ณ ท่ีน้นั ไดพบแผนจารกึ ทีม่ ีขอความ พทุ ธเจาเคยประทับคางแรมที่ใด กเ็ รียก
บอกช่อื ดวยวา “มลู คันธกฏุ ี” อนาคาริก ท่ีนั่นวาเปนพระคนั ธกฎุ ี สอง หลังจาก
ธรรมปาละจึงคิดสรางวัดขึ้นท่ีน่ัน (ได บาํ เพ็ญพุทธกจิ ระยะหนึ่งแลว ไดเสดจ็
ซ้ือท่ีดินในท่ีใกลเคียง มีพิธีวางศิลา มาประทบั ที่อสิ ปิ ตนะอีก มีวดั ใหญเกิด
ฤกษในวันที่ ๓ พ.ย. ๒๔๖๕ ตอมาถกู ขึ้นท่ีน่ันและไดตรัสพระสูตรหลายสูตร
ทางการสั่งระงับ ตองยายที่เลื่อนหาง สวนคาํ วา “มูลคันธกฎุ ”ี ถงึ แมจะไมมีมา
ออกไป แลวสรางจนเสรจ็ ทาํ พธิ เี ปดใน เดิมในคัมภีร แตกไ็ ดเกิดขึน้ นานแลว
วนั เพ็ญเดอื น ๑๒ ตรงกับวันที่ ๑๑ พ.ย. เพื่อใชเรียกพระคันธกุฎีที่ปาอิสิปตน-
๒๔๗๔) และโดยถอื นิมิตจากคาํ ในแผน มฤคทายวันน้ี ในฐานะเปนทปี่ ระทับจํา
จารกึ น้ัน จงึ ต้ังชือ่ วาวดั มลู คนั ธกุฏีวิหาร พรรษาแรกแหงพุทธกิจ ถือไดวาเปน
เปนวัดแรกของยุคปจจุบันท่ีสรางขึ้นใน โบราณมติอนั หนง่ึ ซ่ึงมงุ ใหความสําคัญ
เขตสังเวชนียสถาน (สวนที่พุทธคยา แกพุทธสถานท่ีเปนจุดเร่ิมตนแหงการ
งานกูพุทธสถานยังคงดําเนินตอมาแม ประกาศพระศาสนา
หลังจากอนาคาริกธรรมปาละไดสิ้นชีวิต
ไปแลวใน พ.ศ. ๒๔๗๖ เพิ่งสําเร็จขนั้ ทั้งน้ี ถากลาวเพยี งตามความหมาย
ตอนสําคัญในป ๒๔๙๒ เมื่อรฐั บาลรัฐ ของศพั ท อาจถอื ทปี่ ระทบั หลายแหงเปน
พหิ ารออกรฐั บญั ญตั ิ “Buddha-Gaya มูลคันธกุฎไี ดโดยนยั ตางๆ คอื พระคนั ธ-
Temple Act” ใน ค.ศ. 1949 ซึ่ง กฎุ ซี ่งึ อรรถกถากลาวถงึ ทต่ี าํ บลอรุ เุ วลา
กําหนดใหกิจการของมหาโพธิสถาน ขน้ึ เม่ือตรัสรูใหมๆ (ส.ํ อ.๑/๑๓๘/๑๖๒) เปน
ตอคณะกรรมการจัดการ - “Buddha แหงแรกแนนอน จึงเปนมูลคันธกุฎี,
Gaya Temple Management แตทอ่ี ุรุเวลาน้ัน ประทบั ไมนานและยัง
Committee” ซงึ่ ประกอบดวยกรรมการ มิไดออกบําเพ็ญพุทธกิจ ดังน้ัน พระ
ฝายฮินดู และฝายพุทธ ฝายละเทากนั ) คันธกุฎีท่ีอิสิปตนะหรือสารนาถ ท่ี
ประทับเม่ือออกประกาศพระศาสนาครงั้
๕๑
คันธาระ ๕๒ คนั โพง
แรกและจําพรรษาเปนแหงแรก แม กันกับแควนกัสมีระ โดยเรียกช่ือรวม
คัมภีรจะมิไดกลาวเรียกไว ก็เปนมูล- กันวา แควนกัสมีรคนั ธาระ (ในพระ
คันธกุฎี, แตถานับตอเม่ือมีการสราง ไตรปฎก กัสมีระยงั ไมมชี อื่ ปรากฏ) ซ่งึ
เสนาสนะถวายไดตามพระวนิ ยั กต็ องถอื แสดงวาดินแดนท้ังสองน้ีอยูขางเคียง
วาวิหารตามพระพุทธานุญาตท่ีเมือง ติดตอกันและในยุคนั้นเปนอันเดียวกัน
ราชคฤห (วินย.๗/๒๐๐/๘๖) เปนมูลคนั ธ- ทางการเมอื ง ตอมา คันธาระถกู ทําลาย
กุฎี, แตถาถือตามหลักฐานท่ีชัดเจน แมแตชอ่ื กเ็ ลอื นหายไป เหลอื แตกศั มรี ะ
หลังจากมีพุทธานุญาตที่เมืองราชคฤห (ปจจบุ ันเขียน กศั มีร, รปู สนั สกฤตเดิม
น้นั แลว มกี ารจดั เตรยี มการและกอสราง เปน กศฺมีร, บาลเี ปน กสฺมีร, ในภาษา
อยางเปนงานเปนการโดยมเี รอ่ื งราวเลาไว ไทย บางทีเรียกเพี้ยนเปนแคชเมียร)
แมแตในพระไตรปฎก (วนิ ย.๗/๒๕๖/๑๑๑) ซ่ึงในปจจุบันปรากฏช่ือรวมอยูดวยกัน
ก็ตองถือเอาพระพุทธวิหารท่ีวัดพระ กับแควนชัมมู โดยเรียกช่ือรวมกันวา
เชตวัน เปนมลู คนั ธกฎุ ี ชัมมูและกัศมีร (Jammu and
คนั ธาระ ชอื่ แควนลาํ ดบั ที่ ๑๕ ในบรรดา Kashmir) และเปนดนิ แดนที่เปนกรณี
๑๖ แวนแควนใหญ ทเ่ี รยี กวามหาชนบท พิพาทระหวางอินเดียกับปากีสถาน
แหงชมพทู วปี ตง้ั อยแู ถบลมุ แมนํา้ สินธุ ตลอดมาต้ังแตประเทศทั้งสองน้ันแบง
ตอนเหนือ ปจจุบนั อยใู นเขตปากสี ถาน แยกจากกนั ในป ๒๔๙๐ (ค.ศ. 1947)
เรมิ่ แตแควนปญจาบภาคเหนอื คลมุ ไป กับทั้งจีนก็ไดครอบครองแถบตะวัน
ถึงบางสวนของประเทศอัฟกานิสถาน ออกบางสวนของกัศมีระ เกิดเปนกรณี
รวมทั้งเมืองกันทหาร (Kandahar, พพิ าทกบั อินเดียดวย, สาํ หรับดินแดน
สันนิษฐานวาเลือนมาจากช่ือเดิมของ สวนท่ีเปนของอินเดีย ซ่ึงอยูใตสวนท่ี
แควนน้ี คือ Gandhara) ในพทุ ธกาล พิพาทกันอยนู ้ัน เรียกวา รัฐชมั มูและ
คนั ธาระมนี ครหลวงชือ่ ตักสิลา ซึง่ เปน กัศมรี เปนรัฐเหนือสุดของอินเดยี มี
นครท่ีรุงเรืองดวยศิลปวิทยาตางๆ มี เมืองหลวงชื่อวาศรีนคร (Sri Nagar); ดู
พระราชาปกครอง พระนามวาปกุ กสุ าติ ชมพูทวีป, ตักสิลา
ในพระไตรปฎก คันธาระเปนแควน คันโพง คันช่ังทถ่ี วงภาชนะสาํ หรบั ตักน้าํ
ใหญ มชี ื่อเฉพาะตวั แตเมือ่ ถึงยคุ อรรถ- เพื่อชวยทุนแรงเวลาตักนํ้าข้ึนจากบอ
กถา คันธาระมกั ปรากฏช่อื รวมอยดู วย ลึกๆ (คนั = คันชั่งที่ใชถวง, โพง =
๕๒
คัพภเสยยกสัตว ๕๓ คามวาสี
ภาชนะสําหรบั ตักนํา้ ในบอลึกๆ), เครื่อง คาถาพนั ธ ขอความทผ่ี กู เปนคาถา, คาํ
สําหรบั ตกั นา้ํ หรือโพงนํา้ มีคนั ยาวท่ี ประพันธที่แตงเปนบทรอยกรอง คือ
ปลายเพ่ือถวงใหเบาแรงเวลาตักหรือ คาถา นน่ั เอง; ดู คาถา 1.
โพงนํา้ ข้นึ (โพง = ตัก, วดิ ) คาถาพาหุง ดู ชยมังคลัฏฐกคาถา
คัพภเสยยกสัตว สัตวทอี่ ยูครรภ คือ คาพยตุ ดู คาวตุ
สัตวที่เกดิ เปนตัวตัง้ แตอยูในครรภ คามเขต เขตบาน, ละแวกบาน
คมั ภรี 1. ลึกซึ้ง 2. ตําราท่ีนับถอื วา คามวาสี “ผูอยูบาน”, พระบาน หมายถึง
สาํ คัญหรือเปนของสูง, หนงั สอื สําคญั ท่ี พระภิกษทุ อี่ ยูวดั ในเขตหมูบาน ใกลชมุ
ถอื เปนหลกั เปนแบบแผน เชน คัมภรี ชนชาวบาน หรือในเมือง, เปนคูกับ
ศาสนา คมั ภีรโหราศาสตร อรญั วาสี หรือพระปา ซ่งึ หมายถงึ พระ
คัมภีรภาพ ความลกึ ซ้งึ ภิกษุที่อยูวัดในปา; คําทั้งสอง คือ
คากรอง เครื่องปกปดรางกายที่ทําดวย คามวาสี และอรัญวาสี นี้ ไมมีในพระ
หญา หรือเปลือกไม ไตรปฎก (ในคัมภีรมิลินทปญหา
คาถา 1. คาํ ประพนั ธประเภทรอยกรองใน ประมาณ พ.ศ. ๕๐๐ ก็ยงั ไมม)ี เพงิ่ มใี ช
ภาษาบาลี ตรงขามกบั จณุ ณยิ บท
ในอรรถกถา (กอน พ.ศ. ๑๐๐๐) แตเปน
คาถาหนงึ่ ๆ มี ๔ บาท เชน ถอยคาํ สามญั หมายถงึ ใครก็ได ตัง้ แต
อาโรคยฺ ปรมาลาภา สนตฺ ุฏ ปี รมํ ธนํ พระสงฆ ไปจนถึงสงิ สาราสัตว (มักใช
วิสฺสาสปรมา าติ นิพฺพานํ ปรมํ สขุ ํ ฯ แกชาวบานท่ัวไป) ท่ีอยูบาน อยูใกล
2. พทุ ธพจนท่ีเปนคาถา (ขอ ๔ ใน บาน หรอื อยูในปา, การแบงพระสงฆ
นวงั คสตั ถศุ าสน) เทียบไวยากรณ2. 3. ใน เปน ๒ ฝาย คอื คามวาสี และอรญั วาสี
ภาษาไทย บางทีใชในความหมายวา คาํ เกิดข้ึนในลังกาทวปี และปรากฏชดั เจน
เสกเปาที่ถอื วาศกั ดิ์สทิ ธ์ิ อยางที่เรียกวา ในรัชกาลพระเจาปรักกมพาหุ ท่ี ๑
คาถาอาคม
มหาราช (พ.ศ. ๑๖๙๖–๑๗๒๙) ตอมา
คาถาพนั “คาถาหนงึ่ พนั ” เปนชอ่ื หนง่ึ ทใี่ ช เม่ือพอขุนรามคาํ แหงมหาราชแหงอาณา
เรียกบทประพันธเร่ืองมหาเวสสันดร- จักรสุโขทัย ทรงรับพระพุทธศาสนาและ
ชาดก ซง่ึ แตงเปนคาถาลวนๆ ๑ พนั บท; พระสงฆลังกาวงศ อนั สบื เนอื่ งจากสมยั
การเทศนมหาเวสสนั ดรชาดกทเ่ี ปนคาถา พระเจาปรักกมพาหุน้ีเขามาในชวงใกล
ลวนๆ อยางนเี้ รยี กวา เทศนคาถาพัน พ.ศ. ๑๘๒๐ ระบบพระสงฆ ๒ แบบ
๕๓
คามสีมา ๕๔ คลิ านปจจัย
คอื คามวาสี และอรญั วาสี กม็ าจากศรี คาํ ขอขมา ดู ขมา
ลังกาเขาสูประเทศไทยดวย, พรอมกับ คํารบ ครบ, ถวน, เต็มตามจํานวนท่ี
ความเปนมาอยางนี้ พระคามวาสีก็ได กําหนดไว
เปนผูหนักในคันถธุระ (ธุระในการเลา คาํ ไวยากรณ คาํ รอยแกว; ดู ไวยากรณ 2.
เรยี นพระคมั ภีร) และพระอรญั วาสีเปน คชิ ฌกฏู “[ภเู ขา]มียอดดุจแรง”, ชื่อภูเขา
ผูหนักในวปิ สสนาธรุ ะ (ธรุ ะในการเจริญ ลูกหนึ่งในเบญจคีรี (ภูเขาหาลูก คือ
กรรมฐานอันมวี ปิ สสนาเปนยอด), เรือ่ ง ปณฑวะ คชิ ฌกฏู เวภาระ อสิ คิ ลิ ิ และ
น้ี พึงทราบคําอธิบายเพิ่มที่คําวา เวปุลละ ท่ีลอมรอบพระนครราชคฤห)
“อรัญวาส”ี ; คกู บั อรญั วาสี, ดู คนั ถธรุ ะ ซง่ึ ไดช่ืออยางน้ี เพราะคนมองเห็นยอด
คามสีมา “แดนบาน” คือเขตทีก่ าํ หนด เขานนั้ มรี ูปรางเหมอื นแรง (อกี นยั หน่งึ
ดวยบาน, สมี าท่ถี ือกาํ หนดตามเขตบาน วา เพราะมีแรงอยบู นยอดเขานน้ั ), ยอด
เปนอพทั ธสมี าอยางหนงึ่ เขาคิชฌกูฏเปนที่ซ่ึงพุทธศาสนิกชนรูจกั
คารวโวหาร ถอยคาํ แสดงความเคารพ กันมากแมในบัดน้ี เพราะเปนที่ที่พระ
คารวะ ความเคารพ, ความเออ้ื เฟอ, ความ พทุ ธเจาประทับบอย และยังมซี ากพระ
ใสใจมองเหน็ ความสาํ คญั ทจ่ี ะตองปฏบิ ัติ คันธกุฎี ทผ่ี จู าริกมักข้ึนไปสกั การะบชู า
ตอสิ่งนัน้ ๆ ใหถกู ตองเหมาะสม มี ๖ คิมหะ, คมิ หานะ, คมิ หฤดู ฤดรู อน
อยางคอื ๑. พทุ ฺธคารวตา ความเคารพ (แรม ๑ คาํ่ เดอื น ๔ ถงึ ข้ึน ๑๕ คํา่
ในพระพทุ ธเจา ๒. ธมมฺ คารวตา ความ เดอื น ๘); ดู มาตรา
เคารพในพระธรรม ๓. สงฺฆคารวตา คิริพพชะ “[เมือง]ที่มีภูเขาเปนคอก”,
ความเคารพในพระสงฆ ๔. สกิ ขฺ าคารวตา เปนช่ือหน่ึงของเมืองราชคฤห ซงึ่ เรยี ก
ความเคารพในการศกึ ษา ๕. อปฺปมาท- ตามลกั ษณะท่ีอยูในวงลอมของภูเขา ๕
คารวตา ความเคารพในความไมประมาท ลกู คอื ปณฑวะ คชิ ฌกฏู เวภาระ อสิ คิ ลิ ิ
๖. ปฏิสนฺถารคารวตา ความเคารพใน และเวปลุ ละ
ปฏสิ นั ถาร คอื การตอนรบั ปราศรยั คลิ านปจจยั ปจจยั สําหรับคนไข, สิง่ เก้ือ
คาวตุ ชื่อมาตราวดั ระยะทาง เทากบั ๘๐ หนุนคนเจ็บไข, สง่ิ ที่แกไขคนเจ็บไขให
อสุ ภะ หรอื ๑๐๐ เสน (๔ คาวุตเปน ๑ กลับคืนเปนปกติคือใหหายโรค, ยา
โยชน); ดู มาตรา บาํ บดั โรค; ใน ปจจยั ปจจเวกขณ (การ
คาหาปกะ ผูใหรบั คอื ผูแจก
พิจารณาปจจยั ๔) ใชคาํ เตม็ วา “คลิ าน-
๕๔
คลิ านภัต ๕๕ คณุ ธรรม
ปจจัยเภสัชชบริขาร” คอื (คลิ าน+ คีเวยยกะ แผนผาท่เี ยบ็ ทาบเตมิ ลงไปบน
ปจจยั +เภสชั ช) + บรขิ าร แปลวา หยกู ยา จีวรตรงท่ีหมุ คอ, น้ีวาตามคาํ อธิบายใน
เคร่ืองเกื้อหนุนรักษาผูเจ็บไข อันเปน อรรถกถา แตพระมตขิ องสมเดจ็ พระมหา
บริขาร คือเครื่องปกปองชีวิตไวชวย สมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ใน
ปรับเสรมิ ใหชวี ิตเปนไปไดยืนยาว วนิ ยั มขุ เลม ๒ วา ในจวี รหาขณั ฑๆ
คิลานภัต อาหารท่ีเขาถวายเฉพาะภิกษุ กลาง ชอื่ คเี วยยกะ เพราะเมอื่ หมจวี ร
อาพาธ อฑั ฒมณฑลของขณั ฑนนั้ อยทู ค่ี อ; ดู จีวร
คลิ านเภสชั ยาสาํ หรบั ผเู จ็บไข, ยารักษา คืบพระสคุ ต ชอ่ื มาตราวดั ตามอรรถ-
ผปู วย, เภสชั เพ่อื ภกิ ษุอาพาธ กถานยั วา เทากบั ๓ คบื ของคนปานกลาง
คลิ านศาลา โรงพกั คนไข, หอรกั ษาคนไข, คอื เทากบั ศอกคบื ชางไม แตมตนิ ีไ้ มสม
สถานพยาบาล จรงิ ปจจุบันยตุ กิ นั วาใหถือตามไมเมตร
คิลานุปฏฐาก ผปู ฏบิ ัติภกิ ษุไข คือ เทากบั ๒๕ เซนตเิ มตร ประมาณ
คิลานุปฏฐากภัต อาหารท่ีเขาถวาย กันกับคืบชางไม ซ่ึงเปนการสะดวก
เฉพาะภิกษผุ ูพยาบาลไข และถาหากจะส้ันกวาขนาดจริงก็ไมเสีย
คหิ นิ ี หญงิ ผูครองเรอื น, คฤหัสถหญงิ เพราะจะไมเกนิ กําหนด ไมเสยี ทางวนิ ยั
(เขยี นเปน คิหิณี ก็มี) คณุ ของพระรตั นตรยั คุณของรตั นะ ๓
คหิ ปิ ฏิบัติ ขอปฏบิ ตั ิสาํ หรับคฤหัสถ คือ ๑. พระพทุ ธเจา รดู รี ชู อบดวยพระ
คหิ วิ ินัย วนิ ัยของคฤหัสถ, คําสอนทั้ง องคเองกอนแลวทรงสอนผูอื่นใหรูตาม
หมดในสงิ คาลกสตู ร (ท.ี ปา.๑๑/๒๗๒/๑๙๔, ดวย ๒. พระธรรม เปนหลักแหงความ
สคิ าโลวาทสตู ร กเ็ รยี ก) ท่พี ระพุทธเจาตรสั จริงและความดงี าม ยอมรักษาผูปฏิบตั ิ
แกนายสงิ คาลกะ คหบดบี ตุ ร ผกู าํ ลงั ไหว ตามไมใหตกไปในท่ีช่ัว ๓. พระสงฆ
ทิศ บนทางเสด็จจะเขาไปบณิ ฑบาตใน ปฏิบัติชอบตามคําสอนของพระพทุ ธเจา
เมอื งราชคฤห ชื่อวาเปนคหิ ิวนิ ยั มใี จ แลว สอนผอู น่ื ใหกระทาํ ตามดวย
ความวาใหละเวนความชั่ว ๑๔ อยาง คณุ ธรรม ธรรมทีเ่ ปนคณุ , ความดีงาม,
(กรรมกเิ ลส ๔, อคติ ๔, อบายมขุ ๖) สภาพทีเ่ กื้อกลู ; ตามความหมายเดมิ ใน
แลวเปนผปู กแผทศิ ทง้ั ๖ (เวนหางมติ ร ภาษาบาลี คณุ ธรรม คือความดงี าม มี
เทยี ม ๔, คบหามติ รแท ๔, จดั สรรทรพั ย ศีลเปนตน แตตามท่ีใชปจจุบนั ในภาษา
เปนโภควภิ าค ๔, บาํ รงุ ทศิ ๖) ไทย คณุ ธรรม หมายถงึ ความดงี ามใน
๕๕
คณุ บท ๕๖ เคลอื บแฝง
จิตใจ โดยมกั พูดคูกบั จรยิ ธรรม ซง่ึ ใน ใชตามกันท่ัวไป จนบัดน้ีเหมือนวาได
ภาษาไทยปจจุบันหมายถึงความดีงามที่ แทนท่ีคาํ วาเครอ่ื งรางของขลงั แมวาคาํ
แสดงออกเปนพฤติกรรม เปนความ “วัตถุมงคล” จะแปลความหมายได
ประพฤติปฏบิ ัติทปี่ รากฏ, เทียบ จริยธรรม กวางกวาวา สิ่งทีเ่ ปนสิรมิ งคล หรือสง่ิ ที่
คุณบท บททีแ่ สดงคุณ, บทท่ีกลาวถึง นําสิริมงคลคือความดีงามความสุข
คณุ งามความดี, คาํ แสดงคณุ สมบตั ิ ความเจริญมาให แตคนท่ัวไปมักเห็น
คูถภักขา มีคูถเปนอาหาร ไดแกสัตว ความหมายอยางเครื่องรางของขลังเทา
จําพวก ไก สุกร สนุ ัข เปนตน เดมิ ; สาํ หรบั พทุ ธศาสนกิ ชน การนบั ถอื
คบู ัลลังก ดู บลั ลังก พระเครอื่ ง คอื เปนหลกั ยดึ เหนย่ี ว ทสี่ อ่ื
คสู วด พระภิกษุ ๒ รปู ผสู วดกรรมวาจา ใจโยงใหสนทิ แนวในพระพทุ ธคณุ มาจน
เปนคูกัน ในสังฆกรรม เชนการ ถงึ คณุ มารดาบดิ าอปุ ชฌายอาจารย และ
อปุ สมบท แยกเรยี กเปน พระกรรม- ปลกุ ใจใหปสาทะ เกดิ ความชนื่ บาน มนั่
วาจาจารย ๑ พระอนุสาวนาจารย ๑ แนว เขมแขง็ มกี าํ ลงั ทาํ ใหจติ มสี ตแิ ละ
เคร่ืองกัณฑ สิ่งของสําหรับถวายพระ สมาธทิ จี่ ะทาํ การนน้ั ๆ อยางไดผลดเี ตม็ ที่
เทศน; กัณฑเทศน ก็เรียก
และใจสวาง ใชปญญาคิดการไดโปรง
เครอ่ื งตน เคร่ืองทรงสําหรบั กษตั ริย, สิง่ โลง ทําการไดลุรอดและลลุ วงสําเร็จถงึ
ของท่พี ระเจาแผนดินทรงใชและเสวย จดุ หมาย ถาใชถกู ตองอยางนี้ กจ็ ะไมผดิ
เครื่องราง ของทีน่ ับถอื วาเปนเครือ่ งคมุ หลกั กรรม ไมขดั ตอศรัทธาในกรรม คอื
ครองปองกันอันตราย โดยทําใหรอด เช่ือการกระทํา วาจะตองทําเหตุปจจัย
ปลอดภยั เชน พระเครอื่ ง ตะกรดุ ผายนั ต ใหเกิดผลท่ีตองการดวยเรี่ยวแรงความ
มกั เชอื่ กนั ในทางรนุ แรง เชนวา ยิงไม เพียรพยายามของตน และจะเกดิ ผลดี
ออก ฟนไมเขา เปนตน, นยิ มพูดรวม ทง้ั ระยะสนั้ และระยะยาว แตถาไมรจู กั ใช
กบั คาํ “ของขลัง” (ของทีเ่ ชอ่ื กันวาศกั ดิ์ คือใชผิดหลักกรรม ขัดตอศรัทธาใน
สิทธิ์มีอํานาจบันดาลใหสําเร็จผลดัง กรรม ก็จะเกิดความเส่ือมทั้งแกชีวิต
ประสงค เชนนาํ โชคลาภมาให) ควบคูกนั และสงั คม; ดู ปริตร
วา เครอ่ื งรางของขลงั ; เมอ่ื ประมาณ เคลือบแฝง อาการชักใหเปนที่สงสัย,
๒๐–๓๐ ป หลงั พ.ศ. ๒๕๐๐ ไดมีผคู ดิ แสดงความจริงไมกระจางทําใหเปนที่
คําใหมข้นึ มาใชวา วตั ถุมงคล และนิยม สงสัย
๕๖
เคหสถาน ๕๗ โคตรภู
เคหสถาน ที่ตง้ั เหยาเรอื น โคจรคาม หมบู านทอี่ าศยั เทย่ี วภกิ ขาจาร,
เคหสติ เปมะ ความรกั อนั อาศยั เรอื น ได หมบู านท่ีภกิ ษุไปเท่ยี วบณิ ฑบาตประจาํ
แกรักกันโดยฉันเปนคนเนื่องถึงกัน โคจรวิบตั ิ วบิ ตั แิ หงโคจร, เสยี ในเรอ่ื งที่
เปนญาตกิ ัน เปนคนรวมเรอื นเดยี วกนั เท่ียว, ความเสียหายในการไปมาหาสู
ความรักฉนั พอแมลูกและญาตพิ นี่ อง เชน ภกิ ษุไปในทีอ่ โคจรมรี านสุรา หญิง
เคารพ นับถือ, มีคารวะ, ถอื เปนสําคญั ท่ี แพศยา แมหมาย บอนการพนนั เปนตน
จะตองใสใจปฏบิ ตั ใิ หถูกตอง อยางสม โคจรคั คาหกิ รปู ดูท่ี รปู ๒๘
โคณกะ ผาขน มขี นยาวกวา ๔ น้วิ
ควรและจริงจงั
เคาะ ในประโยควา “เหมือนชายหนมุ พดู โคดม, โคตมะ ชื่อตระกูลของพระ
เคาะหญิงสาว” พดู ใหรทู า พุทธเจา มหาชนเรียกพระพุทธเจาตาม
เคาะแคะ พดู แทะโลม, พูดเกีย้ ว พระโคตรวา พระโคดม พระโคตมะ
แคชเมียร ช่ือแควนหนึ่งของชมพูทวีป หรือ พระสมณโคดม
เรียกเพยี้ นมาจาก “กัศมรี ”; ดู กศั มีร, โคตมกเจดีย ชอ่ื เจดียสถานแหงหนงึ่ อยู
คนั ธาระ
ทางทิศใตของเมืองเวสาลี เปนที่ที่พระ
โคจร “ทโ่ี คเทย่ี วไป”, “เทย่ี วไปดงั โค”; 1. พุทธเจาเคยประทับหลายครั้งและเคย
ทซ่ี งึ่ อนิ ทรยี ทงั้ หลาย มตี าเปนตน ทอง ทรงทาํ นิมติ ตโอภาสแกพระอานนท
เทย่ี วไป ไดแก อารมณ (กรรมฐาน บาง โคตมโคตร ตระกูลโคตมะ เปนชื่อ
ครง้ั กเ็ รยี กวา “โคจร” เพราะเปนอารมณ ตระกูลของพระพุทธเจา
ของการเจรญิ ภาวนา) 2. สถานทที่ เ่ี ทย่ี ว โคตมนโิ ครธ ตําบลทพ่ี ระพุทธเจาเคยทํา
ไปเสมอ หรอื ไปเปนประจาํ เชน ทภ่ี ิกษุ นมิ ิตตโอภาสแกพระอานนท อยทู พี่ ระ
ไปเท่ยี วบณิ ฑบาต, บคุ คลหรือสถานท่ที ่ี นครราชคฤห
ไปมาหาสู; เทยี บ อโคจร 3. เทยี่ วไป, แวะ โคตมี ชอื่ เรยี กสตรแี หงโคตมโคตร เชน
เวยี นไป, ดาํ เนนิ ไปตามวถิ ี เชน ดวงดาว พระนางมหาปชาบดี ผูเปนพระแมนา
โคจร; การดาํ เนนิ ไปในวถิ แี หงการปฏบิ ตั ิ ของพระสิทธัตถะ เปนตน
เชน ในการเจรญิ สมาธิ ซงึ่ จะกาวไปดวย โคตร ตระกูล, เผาพันธ,ุ วงศ
ดีได ตองมีสติสัมปชัญญะท่ีจะใหรูจัก โคตรภู ผูตง้ั อยูในญาณซึ่งเปนลําดับท่ีจะ
หลกี เวนธรรมทไี่ มเหมาะไมเออ้ื และเสพ ถึงอริยมรรค, ผูอยูในหัวตอระหวาง
ธรรมอนั เออ้ื เกอ้ื กลู เปนตน ความเปนปถุ ชุ นกบั ความเปนอรยิ บคุ คล
๕๗
โคตรภญู าณ ๕๘ โครส
โคตรภูญาณ “ญาณครอบโคตร” คือ โคนิสาทิกา “กัปปยภูมิอันดุจเปนที่โค
ปญญาท่ีอยูในลําดับจะถึงอริยมรรค จอม” คือเรอื นครัวนอยๆ ท่ีไมไดปกเสา
หรืออยูในหัวตอที่จะขามพนภาวะปถุ ุชน ต้งั อยกู ับที่ ต้ังฝาบนคาน ยกเล่อื นไป
ข้นึ สูภาวะเปนอรยิ ะ; ดู ญาณ ๑๖ จากทีไ่ ด; ดู กปั ปยภมู ิ
โคตรภูสงฆ พระสงฆท่ีไมเครงครัด โคมัย “สิ่งทีส่ ําเร็จโดยโค, สง่ิ ท่โี คทาํ หรือ
ปฏิบัติเหินหางธรรมวินยั แตยงั มีเครอ่ื ง สิง่ ท่เี กิดจากโค”, ข้ีววั (บางแหง เชน องฺ.อ.
หมายเพศ เชน ผาเหลืองเปนตน และ ๒/๒๑๘ วาหมายรวมถึง เยย่ี ววัว ข้แี พะ
ถือตนวายังเปนภิกษุสงฆอยู, สงฆใน ตลอดจนขี้มาดวย ก็มี)
ระยะหัวตอจะสน้ิ ศาสนา โครส “รสแหงโค หรอื รสเกดิ แตโค” คือ
โคธาวรี ชือ่ แมนํา้ สายหนึง่ ระหวางเมอื ง ผลผลติ จากนมโค ซึ่งมี ๕ อยาง ไดแก
อสั สกะกับเมืองอาฬกะ พราหมณพาวรี นมสด (ขรี ะ) นมสม (ทธ)ิ เปรยี ง (ตกั กะ)
ต้ังอาศรมสอนไตรเพทอยูท่ีฝงแมนํ้า เนยใส (สัปป) เนยขน (นวนตี ะ) เรยี ก
สายน้ี (มักเพ้ยี นเปน โคธาวารี ในฝาย รวมวา เบญจโครส
สันสกฤตเขยี นเปน โคทาวร)ี
๕๘
ฆ
ฆฏิการพรหม พระพรหมผูนําสมณ- ฆราวาสสมบัติ สมบัติของฆราวาส,
บรขิ ารมบี าตรและจวี ร เปนตน มาถวาย สมบัติของการครองเรือน, ความพรั่ง
แดพระโพธิสัตวเมื่อคราวเสด็จออก พรอมสมบรู ณของชีวติ ชาวบาน
บรรพชา (มติของพระอรรถกถาจารย) ฆานะ จมูก
ฆนะ กอน, แทง ฆานวิญญาณ ความรูท่ีเกิดขึ้นเพราะ
ฆนสัญญา ความสําคัญวาเปนกอน, กลิ่นกระทบจมกู , กล่นิ กระทบจมกู เกดิ
ความสําคัญเห็นเปนช้ินเปนอัน ซึ่งบัง ความรขู น้ึ , ความรกู ลน่ิ (ขอ ๓ ใน
ปญญาไมใหเห็นภาวะท่เี ปนอนัตตา วญิ ญาณ ๖)
ฆนโิ ตทนะ กษัตรยิ ศากยวงศ เปนพระ ฆานสมั ผัส อาการที่ จมกู กลน่ิ และ
ราชบุตรองคท่ี ๕ ของพระเจาสีหหนุ ฆานวิญญาณประจวบกนั
เปนพระอนุชาองคท่ี ๔ ของพระเจา ฆานสัมผสั สชาเวทนา เวทนาทเี่ กิดขึ้น
สทุ โธทนะ เปนพระเจาอาของพระพทุ ธเจา เพราะฆานสัมผัส, ความรูสึกที่เกิดข้ึน
ฆราวาส การอยูครองเรือน, ชีวิตชาว เพราะการท่ีจมูก กลิ่น และ ฆาน-
บาน; ในภาษาไทย มักใชหมายถึงผู วิญญาณประจวบกนั
ครองเรือน คอื คฤหัสถ โฆสะ พยัญชนะท่ีมีเสียงกอง ไดแก
ฆราวาสธรรม หลกั ธรรมสาํ หรบั การครอง พยญั ชนะที่ ๓ ๔ และ ๕ ในวรรคทง้ั ๕
เรอื น, ธรรมของผคู รองเรอื น มี ๔ อยาง คือ ค ฆ ง, ช ฌ , ฑ ฒ ณ, ท ธ น,
คอื ๑. สจั จะ ความจรงิ เชนซอื่ สตั ยตอกนั พ ภ ม, และ ย ร ล ว ห ฬ รวม ๒๑
๒. ทมะ ความฝกฝนปรบั ปรงุ ตน เชน รู ตวั (นคิ คหติ นกั ปราชญทางศพั ทศาสตร
จกั ขมใจ ควบคมุ อารมณ บงั คบั ตนเอง ถือเปนโฆสะ, สวนนักปราชญฝาย
ปรบั ตวั เขากบั การงานและสงิ่ แวดลอมให ศาสนา ถอื เปนโฆสาโฆสวมิ ุต คือพน
ไดดี ๓. ขันติ ความอดทน ๔. จาคะ จากโฆสะและอโฆสะ); ตรงขามกบั อโฆสะ
ความเสียสละ เผ่อื แผ แบงปน มีนาํ้ ใจ (เทยี บระดบั เสยี งพยญั ชนะ ดทู ี่ ธนติ )
ฆราวาสวิสัย วสิ ัยของฆราวาส, ลกั ษณะ โฆสัปปมาณิกา คนพวกท่ีถือเสียงเปน
ที่เปนภาวะของผูครองเรือน, เรอื่ งของ ประมาณ, คนทนี่ ยิ มเสียง เกิดความ
ชาวบาน เลอื่ มใสศรัทธาเพราะเสียง ชอบฟงเสียง
โฆสติ าราม ๖๐ งมงาย
ไพเราะ เชน เสยี งสวดสรภญั ญะเทศน โฆสิตาราม ช่ือวัดสําคัญในกรุงโกสัมพี
มหาชาติเปนทํานอง เสียงประโคม คร้ังพุทธกาล พระพุทธเจาเคยประทับ
เปนตน; อีกนัยหนึ่งวา ผูถือช่ือเสียง หลายครั้ง เชน คราวท่ีภกิ ษุชาวโกสัมพี
กิตติศัพท หรือความโดงดังเปน แตกกนั เปนตน
ประมาณ เหน็ ใครมชี ่ือเสยี งกต็ น่ื ไปตาม
ง
งมงาย เซอเซอะ, หลงเชือ่ โดยไมมีเหตุ ผล หรอื โดยไมยอมรับฟงผอู ืน่
๖๐
จ
จงกรม เดนิ ไปมาโดยมีสติกาํ กบั เปนตน
จตุกกะ หมวด ๔ จตุรพธิ พร พร ๔ ประการ คอื อายุ
จตุกกัชฌาน ฌานหมวด ๔ คอื รปู ฌาน (ความมอี ายุยนื ) วรรณะ (ความมผี ิว
ทแ่ี บงเปน ๔ ชัน้ อยางท่ีรจู กั กันทั่วไป, พรรณผองใส, มสี งาราศ)ี สขุ ะ (ความ
“ฌานจตุกกนยั ” กเ็ รียก; ดู ฌาน ๔; เทียบ สขุ กายสขุ ใจ) พละ (ความมกี าํ ลงั แขง็
ปญจกชั ฌาน แรง สขุ ภาพด)ี ; ดู พร
จตุตถฌาน ฌานที่ ๔ มอี งค ๒ ละสุข จตุรยคุ ยุค ๔; ดู กัป
เสียได มีแตอุเบกขากบั เอกคั คตา จตรุ วรรค, จตวุ รรค สงฆพวกส,่ี สงฆที่
จตธุ าตวุ วัตถาน การกําหนดธาตุ ๔ คือ กําหนดจํานวนภกิ ษอุ ยางตาํ่ เพียง ๔ รูป
พิจารณารางกายน้ี แยกแยะออกไป เชน สงฆทท่ี าํ อโุ บสถกรรมเปนตน
มองเหน็ แตสวนประกอบตางๆ ที่จัดเขา จตุราธฏิ ฐาน ดู อธิษฐานธรรม
ในธาตุ ๔ คือ ปฐวี อาโป เตโช วาโย จตุรารักขา การเจรญิ ภาวนาที่เปนเคร่อื ง
ทําใหรูภาวะความเปนจริงของรางกายวา รักษาตัวใหมีใจสงบและต้ังอยูในความ
เปนเพียงธาตุ ๔ ประชุมกันเขาเทาน้ัน ไมประมาท มี ๔ อยาง คอื พุทธานุสต-ิ
ไมเปนตวั สัตวบุคคลท่แี ทจริง ภาวนา มรณสตภิ าวนา อสุภภาวนา และ
จตุบริษัท บริษัทส่ีเหลา คือ ภิกษุ
ภกิ ษณุ ี อุบาสก อบุ าสิกา; ดู บริษทั , เมตตาภาวนา, พดู ใหสนั้ วา กรรมฐาน
พุทธบรษิ ัท
จตปุ จจัย เครอ่ื งอาศัยของชวี ิต หรือสงิ่ เปนเครอื่ งรกั ษา ๔ คอื พุทธานสุ ติ
อสภุ ะ เมตตา และมรณสต,ิ ทานจัดขน้ึ
จาํ เปนสําหรบั ชวี ิต ๔ อยาง คอื จีวร
เปนชุดท่ีมีชื่ออยางนี้ในยุคอรรถกถา
(วนิ ย.อ.๓/๓๗๔), เรียกใหสน้ั วา จตรุ ารักข,
บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช ในนวโกวาท เรยี กวา อารกั ขกัมมัฏฐาน
(เครอ่ื งนงุ หม อาหาร ที่อยู ยา) ๔; ดู อารักขกมั มฏั ฐาน
จตุยุค, จตรุ ยุค ยคุ ๔; ดู กัป จตุราริยสัจจ อริยสัจจส่ีประการ คือ
จตุรงคนิ เี สนา กองทพั มกี ําลงั ส่เี หลา คอื ทุกข สมทุ ัย นโิ รธ มรรค ดู อริยสจั จ
เหลาชาง เหลามา เหลารถ เหลาราบ จตโุ ลกบาล ทาวโลกบาลส,่ี ทาวมหาราชสี่
จตรุ บท สตั วสีเ่ ทา มี ชาง มา ววั ควาย ดู จาตมุ หาราช
จตุโวการ, จตโุ วการภพ ๖๒ จริมกจิต
จตุโวการ, จตโุ วการภพ ดู โวการ มพี นื้ จติ หนกั ไปทางทฏิ ฐ)ิ โดยโยงไปถงึ
จรณะ เครือ่ งดําเนนิ , ปฏปิ ทา คือ ขอ หลกั สตปิ ฏฐานวา สตปิ ฏฐานทม่ี ี ๔ ขอนน้ั
ปฏิบตั อิ ันเปนทางบรรลวุ ิชา มี ๑๕ คือ พระพทุ ธเจาทรงแสดงไวไมขาด ไมเกนิ
สีลสัมปทา ความถึงพรอมดวยศีล
อปณณกปฏปิ ทา ๓ สทั ธรรม ๗ และ เพอื่ ใหเกอ้ื กลู เหมาะกนั กบั คน ๔ จาํ พวก
ฌาน ๔ คอื กายานปุ สสนาสตปิ ฏฐาน มอี ารมณ
จรติ ความประพฤติ; บุคคลผมู ีพนื้ นิสัย หยาบ เปนวสิ ทุ ธมิ รรค (ทางแหงวิสุทธ)ิ
หรือพ้ืนเพจิตใจท่ีหนักไปดานใดดาน สําหรับเวไนยสตั วตัณหาจรติ ทม่ี ปี ญญา
เฉ่ือย เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน มี
หน่ึง แตกตางกันไป จําแนกเปน ๖ ตาม อารมณละเอยี ด เปนวสิ ทุ ธมิ รรค สาํ หรบั
จริยา ๖ คือ ๑. ราคจรติ ผมู ีราคะเปน เวไนยสตั วตณั หาจรติ ทม่ี ปี ญญาเฉยี บ
ความประพฤติปกติ (หนักไปทางรัก จติ ตานปุ สสนาสตปิ ฏฐาน ซง่ึ มอี ารมณ
สวยรักงาม มกั ตดิ ใจ) ๒. โทสจรติ ผมู ี แตกประเภทไมมากนกั เปนวสิ ทุ ธมิ รรค
โทสะเปนความประพฤตปิ กติ (หนักไป สาํ หรับเวไนยสตั วทฏิ ฐิจริต ทม่ี ปี ญญา
ทางใจรอนข้ีหงดุ หงดิ ) ๓. โมหจริต ผมู ี เฉอ่ื ย ธมั มานปุ สสนาสตปิ ฏฐาน ซงึ่ มี
โมหะเปนความประพฤติปกติ (หนกั ไป อารมณแตกประเภทมากยง่ิ เปนวสิ ทุ ธ-ิ
ทางเหงาซมึ งมงาย) ๔. สทั ธาจรติ ผมู ี มรรค สาํ หรบั เวไนยสตั วทฏิ ฐจิ รติ ทมี่ ี
ศรทั ธาเปนความประพฤตปิ กติ (หนักไป ปญญาเฉยี บ, นอกจากนี้ ทานนาํ เรอ่ื ง
ทางนอมใจเชอื่ ) ๕. พทุ ธิจริต ผูมีความ ตัณหาจริต และทิฏฐิจริตไปใชอธิบาย
รเู ปนความประพฤติปกติ (หนักไปทาง หลกั อน่ื ๆ อกี มาก เชน ในเรอื่ งปฏจิ จ-
คดิ พจิ ารณา) ๖. วติ กจรติ ผมู ีวติ กเปน สมุปบาทวา อวิชชาเปนสังสารนายิกา
ความประพฤติปกติ (หนักไปทางคิดจับ (ตวั นาํ สงั สาระ) สาํ หรบั คนทฏิ ฐจิ รติ สวน
จดฟุงซาน), ในการท่จี ะเจรญิ กรรมฐาน ตัณหาเปนสังสารนายิกา สําหรับคน
ทานแนะนําใหเลือกกรรมฐานใหเหมาะ ตณั หาจรติ แมถงึ หลกั อรยิ สจั จ ๔ กว็ า
หรือเขากบั จรติ โดยสอดคลองกบั จริยา พระพุทธเจาตรัสโดยสัมพันธกับเรื่อง
ของเขา (จรยิ านุกูล) ตณั หาจรติ และทฏิ ฐจิ รติ น;ี้ ดู จรยิ า
ในการเจริญวิปสสนา บางครั้งทาน จรมิ กจติ จติ ดวงสดุ ทาย ซงึ่ จะดบั ไปเมอ่ื
กลาวถงึ จรติ ๒ คอื ตณั หาจรติ (ผมู พี น้ื พระอรหันตปรินิพพานดวยอนุปาทิเสส-
จติ หนกั ไปทางตณั หา) และทฏิ ฐจิ รติ (ผู นิพพานธาตุ ไดแก ปรินิพพานจิต,
๖๒
จรยิ ธรรม ๖๓ จกั กวัตติสตู ร
จรมิ กวิญญาณ กเ็ รยี ก จรยิ า 1. ความประพฤต,ิ การครองตน,
จริยธรรม “ธรรมคือความประพฤติ”, การดําเนินชีวิต 2. ลักษณะความ
“ธรรมคือการดําเนินชีวิต”, หลักความ ประพฤติหรือการแสดงออกที่เปนพ้ืน
ประพฤต,ิ หลักการดาํ เนนิ ชีวิต ประจําตัว, พื้นจิตพื้นนิสัยของแตละ
1. ในภาษาไทยบดั นี้ จริยธรรม หมาย บุคคลทห่ี นักไปดานนั้นดานนี้ แตกตาง
ถงึ หลกั ความประพฤตดิ งี าม, ศลี ธรรม; กันไป ทานแสดงไว ๖ อยาง (เชน วิสุทธฺ .ิ ๑/
จริยธรรม เปนคํานิยมใชประมาณหลัง ๑๒๗) คอื ราคจรยิ า โทสจริยา โมหจริยา
พ.ศ. ๒๕๐๐ โดยนํามาใชแทนทค่ี าํ วา สทั ธาจรยิ า พทุ ธจิ ริยา และวติ กจริยา,
ศีลธรรม ซึ่งเปนคําเกาที่ใชมานานใน บุคคลมีจริยาอยางใด ก็เรียกวาเปนจริต
สังคมไทย ดงั ทไี่ ดเปนชอื่ วิชาเรยี น เรียก อยางนัน้ เชน ผูมรี าคจริยา ก็เปนราค-
วาวิชาศีลธรรม ในหลักสูตรการศึกษา จริต, ในภาษาไทย นยิ มใชคาํ วา “จรติ ”
ระดบั ตางๆ, การบัญญัตคิ าํ วาจรยิ ธรรม และมักเขาใจความหมายของจริตเปน
ขึ้นมาน้ี เปนเชงิ ใหเปนคาํ แปลสําหรบั คํา จรยิ า
ภาษาอังกฤษวา ethics ซึ่งวาดวยหลกั ทานกลาวไวดวยวา มบี างอาจารยจดั
ความประพฤติ พฤตกิ รรม การแสดง จริยาไวอีกชุดหนึ่งตามกิเลสสาํ คัญ ๓
ออกที่ดงี าม โดยมกั ใชคกู ับคําวาคุณธรรม อยาง (ปปญจะ ๓) เปน จรยิ า ๓ คอื
ซึ่งใหหมายถึง virtue ทีเ่ ปนคณุ สมบัติ ตณั หาจริยา มานจริยา และทฏิ ฐจิ ริยา
หรือความดีงามในจติ ใจ 2. ในพระพทุ ธ แตในคัมภีร ทานไมแสดงไวตางหาก
ศาสนา จริยธรรม แปลวา ธรรมคอื จรยิ ะ เพราะตณั หาจรยิ า และมานจริยา จัด
หรอื หลกั จรยิ ะ คือหลักความประพฤติ เขาในราคจรยิ า และทิฏฐิจรยิ า ก็รวม
หรือหลักการดําเนินชีวิต และจริยะใน อยูในโมหจริยา; ดู จริต, ปปญจะ
คําวา พรหมจริยะ (พรหมจรรย) ซง่ึ แปล จรยิ าปฎก ดู ไตรปฎก (ทายเลม ๓๓)
วา ความประพฤตอิ ันประเสริฐ หรอื การ จวงจาบ พดู จาลวงเกนิ , วาราย, พดู ลบ
ดาํ เนินชีวติ อยางประเสริฐ มีความหมาย หลู, พูดลดคุณคาลบความสําคัญ; ใน
อยางกวางวา ไดแก มรรคมอี งค ๘ คือ หนงั สอื เรยี นพทุ ธประวตั ิ มกั หมายถงึ คาํ
ศีล สมาธิ ปญญา ซ่ึงนอกจากครอบ ท่ี สภุ ทั ทะวฒุ บรรพชติ กลาวแกภกิ ษทุ งั้
คลมุ พฤตกิ รรม และจิตใจแลว ยังรวม หลายเมอ่ื พระพทุ ธเจาปรนิ พิ พานใหมๆ
ถงึ ปญญาดวย; ดู คณุ ธรรม, ศลี ธรรม จกั กวตั ตสิ ตู ร ชอ่ื สตู รที่ ๓ แหงทฆี นกิ าย
๖๓
จกั ขุ ๖๔ จกั ร
ปาฏกิ วรรค พระสตุ ตนั ตปฎก พระพทุ ธ- แบงซอยออกไป และเพิ่มเขามาอกี รวม
เจาตรัสสอนภิกษุทั้งหลายใหพึง่ ตน คือ เปน ๑๒ ขอ เรียกวา จักรวรรดิวัตร
พง่ึ ธรรม ดวยการเจรญิ สตปิ ฏฐาน ๔ ๑๒; พระสตู รน้ถี อื วาเปนคําสอนแสดง
ซึ่งจะทําใหไดชื่อวาเปนผูดําเนินอยูใน หลักวิวัฒนาการของสังคมตามแนว
แดนของตนเองทส่ี บื มาแตบิดา จะมแี ต จริยธรรม กลาวถึงหลักการปกครอง
ความดีงามเจริญข้ึน ไมเปดชองใหแก และหลกั ความสมั พนั ธระหวางเศรษฐกจิ
มาร เชนเดียวกับพระเจาจักรพรรดิท่ี กับจริยธรรม; เรื่อง พระศรีอารย
ทรงประพฤติตามหลักจักรวรรดิวัตร เมตไตรย ก็มตี นเคามาจากพระสูตรน้;ี
อันสืบกันมาแตบรรพชนของพระองค ดู จกั รวรรดิวตั ร ๑๒
ยอมทาํ ใหจกั รรตั นะบงั เกดิ ขนึ้ มาเอง จักขุ ตา, จกั ขขุ องพระพทุ ธเจา มี ๕ คือ
จกั รวรรดวิ ัตร น้ัน มีใจความวา พระ มงั สจกั ขุ ทพิ พจักขุ ปญญาจักขุ พทุ ธ-
เจาจกั รพรรดทิ รงเปนธรรมาธิปไตย ถือ จกั ขุ สมันตจักขุ (ดทู ี่คํานั้นๆ)
ธรรมเปนใหญ แลวทรงปฏบิ ตั หิ นาทีอ่ ัน จักขุวิญญาณ ความรูที่เกิดข้ึนเพราะรปู
เปนวัตร ๔ ขอใหญ คือ ๑. จดั การคมุ กระทบตา, รปู กระทบตา เกดิ ความรู
ครองปองกันโดยชอบธรรมแกชนทุก ข้นึ , การเห็น (ขอ ๑ ในวิญญาณ ๖)
หมูเหลาในแผนดิน ตลอดไปถงึ สัตวท่ี จักขุสมั ผสั อาการที่ ตา รปู และจักขุ
ควรสงวนพันธุทงั้ หลาย ๒. มใิ หมกี าร วญิ ญาณประจวบกัน
อันอธรรมเกิดข้ึนในแผนดิน ๓. ปน จักขุสัมผัสสชาเวทนา เวทนาท่ีเกิดขนึ้
ทรัพยเฉลย่ี ใหแกผไู รทรพั ย ๔. ปรกึ ษา เพราะจักขุสัมผัส, ความรูสึกท่ีเกิดข้ึน
สอบถามการดีชั่ว ขอควรและไมควร เพราะการที่ ตา รูป และจักขวุ ญิ ญาณ
ประพฤติ กะสมณพราหมณ ผูประพฤติ ประจวบกัน
ดี ปฏบิ ัติชอบ อยเู สมอ; จกั รวรรดิวัตร จักร ลอ, ลอรถ, ธรรมนาํ ชีวติ ไปสูความ
๔ ขอ อันมคี วามเปนธรรมาธปิ ไตยเปน เจรญิ รุงเรือง ดุจลอนํารถไปสทู ีห่ มาย มี
ประธานน้ี บางทีนบั เปน ๕ โดยจัด ๔ อยาง คือ ๑. ปฏิรปู เทสวาสะ อยใู น
ความเปนธรรมาธิปไตย ถือธรรมเปน ถ่ินทเี่ หมาะ ๒. สปั ปุรสิ ูปสสยะ เสาะ
ใหญเปนขอ ๑. และการจัดการคุม เสวนาสมาคมกับคนดี ๓. อัตตสัมมา
ครองปองกันอันชอบธรรม เปนขอ ๒. ปณิธิ ตั้งตนไวชอบ ใหถูกทางถกู ที่ ๔.
นอกจากนัน้ สมยั ตอมา อรรถกถาจัด ปพุ เพกตปุญญตา ไดทาํ ความดพี รอมไว
๖๔
จักรธรรม ๖๕ จกั รวรรดิวตั ร ๑๒
กอน ในประเพณีของเมืองไทย ถือเอา
จกั รธรรม ธรรมเปรยี บดวยลอรถ ซ่งึ จะ จํานวน ๑๒ และจาํ กันมาเปนจกั รวรรดิ
นําไปสูความเจริญ หรือใหถึงจุดมุง วัตร ๑๒ ตามทอ่ี รรถกถาแสดงไว คือ
หมาย มี ๔ อยาง; ดู จกั ร ๑. อนฺโตชนสฺมึ พลกายสมฺ ึ คมุ ครอง
จกั รพรรดิ พระราชาธริ าช หมายถงึ พระ
ราชาผูย่ิงใหญ ปกครองแผนดินกวาง สงเคราะหแกชนในพระราชฐานและพยุห
เสนา ๒. ขตตฺ เิ ยสุ แกกษตั รยิ เมืองขึ้น
ใหญมีมหาสมุทรส่ีเปนขอบเขต บาน
หรือผูครองนครภายใตพระบรมเดชานุ
เมืองในปกครองมีความรมเย็นเปนสุข ภาพ ๓. อนุยนฺเตสุ แกกษตั รยิ ทตี่ าม
ปราบขาศึกศัตรูดวยธรรม ไมตองใช เสด็จ คือเหลาเชื้อพระวงศผูเปนราช
บริพาร ๔. พฺราหฺมณคหปติเกสุ แก
อาชญาและศสั ตรา มรี ตั นะ ๗ ประการ พราหมณและคฤหบดีทั้งหลาย ๕.
เนคมชานปเทสุ แกชาวนิคมและชาว
ประจําพระองค คือ ชางแกว มาแกว ชนบท คอื ราษฎรพนื้ เมอื งท้ังหลาย ๖.
สมณพรฺ าหมฺ เณสุ แกเหลาสมณพราหมณ
นางแกว ขุนคลังแกว ขุนพลแกว จกั ร ๗. มคิ ปกขฺ สี ุ แกเหลาเนอ้ื นกอนั พงึ บาํ รงุ
ไวใหมสี บื พนั ธุ ๘. อธมมฺ การปฏกิ เฺขโป
แกว แกวมณี
จักรพรรดริ าชสมบตั ิ สมบตั ิ คือความ หามปรามมใิ หมคี วามประพฤตกิ ารอนั ไม
เปนพระเจาจกั รพรรด,ิ ความพรง่ั พรอม เปนธรรม ๙. อธนานํ ธนานปุ ปฺ ทานํ เจอื
สมบูรณแหงพระเจาจักรพรรดิ จานทรัพยทาํ นุบํารุงแกผูขดั สนไรทรพั ย
จกั รรัตนะ จักรแกว หมายถึงตวั อาํ นาจ ๑๐.สมณพรฺ าหมฺ เณ อปุ สงกฺ มติ วฺ า ป หฺ า-
ของพระเจาจกั รพรรดิ ปุจฺฉนํ ไปสูหาสมณพราหมณไตถาม
จกั รวรรดิวัตร ๑๒ หนาทีห่ รือขอปฏิบัติ อรรถปรศิ นา ๑๑. อธมฺมราคสสฺ ปหานํ
ประจําพระองคของพระเจาจักรพรรดิ
เวนความกําหนัดในกามโดยอาการไม
ซึ่งพระพุทธเจาตรัสแสดงไวในจักกวัตติ เปนธรรม ๑๒. วสิ มโลภสสฺ ปหานํ เวน
สูตร (เรยี กเต็มวา อรยิ จักกวตั ตวิ ตั ต/ โลภกลา ไมเลือกควรไมควร
อารยจกั รวรรดิวัตร, ท.ี ปา.๑๑/๓๕/๖๔) โดย อรรถกถาชแ้ี จงไวดวยวา จกั รวรรดิ
มิไดทรงนับจํานวนระบุตัวเลขไว ตอมา วตั รทนี่ บั ๑๒ น้ี โดยเตมิ ขอ ๑๑ และ
อรรถกถาไดอธิบายไขความโดยนับ ๑๒ เขามา (๒ ขอทายนีไ้ มมใี นพระสูตร)
จํานวนใหดวย โดยในอรรถกถาแหง ๖๕
จกั กวัตติสูตรนนั้ เอง (ที.อ.๓/๓๔) บอกวา
จกั รวรรดวิ ัตรนี้ นบั ๑๐ กไ็ ด ๑๒ ก็ได
จกั ษุ ๖๖ จนั ทรปุ ราคา
ถาไมเตมิ ๒ ขอน้ี กเ็ ปนจกั รวรรดวิ ตั ร ๑๐ ทวั่ ถึง (11), ๕. ปริปจุ ฉา ไมประมาทใน
แตจะนบั ๑๐ นใ้ี หเปน ๑๒ กไ็ ด โดยใน การแสวงธรรมแสวงปญญา โดยพบปะ
ขอ ๔ แยกเอาคหบดอี อกมา และในขอ ๗ สนทนาสอบถามสมณพราหมณ ทานผู
แยกปกษอี อกมา ไดอกี ๒ ขอ แตอรรถ ทรงศีลทรงธรรมทรงปญญา (12); ดู
กถาอนื่ ๆ นยิ มนบั แค จกั รวรรดวิ ตั ร ๑๐ จักกวัตติสูตร
ถาไมตองการเตมิ ๒ ขอใหมของ จกั ษุ ตา, นัยนตา; จักษุ ๕ ดู จักขุ
อรรถกถา แตพอใจถอื จาํ นวนจกั รวรรดิ จกั ษทุ พิ ย ตาทพิ ย คอื ดอู ะไรเหน็ ไดหมด;
วตั ร ๑๒ ตามทนี่ ยิ มสบื มา กส็ ามารถจบั ดู ทพิ พจกั ขุ
เรียงขอตามพุทธพจนเดิมได โดยนับ จงั หนั ขาว, อาหาร (ใชแกพระสงฆ)
เฉพาะหลกั ใหญเปน ๕ รวมกบั รายการ จญั ไร ชวั่ ราย, เลวทราม, เสีย
ยอยของหลักที่ ๒ เปน ๑๒ ดงั น้ี จัณฑปชโชต ราชาแหงแควนอวันตี
๑. ธรรมาธิปไตย ถอื ธรรมเปนใหญ (1), ครองราชสมบัติที่กรุงอุชเชนี เปนพระ
๒. ธรรมกิ ารักขา จดั อารกั ขาท่ีเปนธรรม ราชบิดาของพระนางวาสุลทัตตา ซ่งึ เปน
ชอบธรรม ๑) แกอนั โตชน คนในคอื พระ มเหสีองคหน่ึงของพระเจาอุเทนแหง
ราชวงศและขาราชการในพระองค (2), แควนวังสะ
๒) แกพลกาย คอื กองทัพ (3), ๓) แก จัณฑาล ลูกตางวรรณะ เชนบิดาเปน
ขัตติยะ คือบรรดาผูบริหารผูปกครอง ศทู ร มารดาเปนพราหมณ มลี ูกออกมา
รองๆ ลงมา (4), ๔) แกอนยุ นต คือ เรยี กวา จณั ฑาล ถือวาเปนคนต่ําทราม
เหลาราชบริพารที่ขับเคลื่อนงานสนอง ถูกเหยียดหยามที่สุดในระบบวรรณะ
พระบรมราโชบาย (5), ๕) แกพราหมณ ของศาสนาพราหมณ; ดู วรรณะ
คฤหบดี คอื เหลานักวิชาการ พอคา ผู จนั ทน ไมจันทน เปนไมมีกลิ่นหอมใชทาํ
ประกอบการ (6), ๖) แกเนคมชานปท ยาและปรงุ เครอ่ื งหอม
คือ ชาวนคิ มชนบท (7), ๗) แกสมณ จันทรคติ การนบั วันโดยถือเอาการเดิน
พราหมณ คอื พระสงฆและนักบวช (8), ของพระจันทรเปนหลัก เชน ๑ ค่ํา ๒
๘) แกมิคปกษี คือบรรดาสัตวบกสตั ว คา่ํ และเดอื นอาย เดือนย่ี เดอื น ๓
บนิ (9), ๓. อธรรมการนิเสธนา หามกน้ั เปนตน; คกู บั สุรยิ คติ
การอาธรรม (10), ๔. ธนานุประทาน จนั ทรปุ ราคา การจบั จนั ทร คอื เงาโลกเขา
จัดสรรปนเฉลี่ยแผเพิ่มเสริมทรัพยให ไปปรากฏทด่ี วงจนั ทร ขณะเมอ่ื ดวงจนั ทร
๖๖
จมั ปา ๖๗ จาตรุ งคสันนิบาต
กับดวงอาทิตยอยูตรงกันขามโดยมีโลก จาคานุสสติ ระลึกถึงการบริจาค คือ
อยรู ะหวางกลาง ทเ่ี รยี กวา ราหูอมจันทร; ระลึกถึงทานที่ตนบริจาคแลว และ
คกู บั สรุ ิยปุ ราคา
พิจารณาเห็นจาคธรรมท่ีมีในตน; ดู
จัมปา ชอ่ื นครหลวงของแควนองั คะ ตั้ง อนสุ ติ
อยูบนฝงแมนํ้าจัมปา ไมหางไกลมาก จาตุมหาราช ทาวมหาราชส่,ี เทวดาผู
นกั จากจดุ ท่บี รรจบกับแมน้าํ คงคา รกั ษาโลกในสที่ ศิ , ทาวโลกบาลทง้ั ส่ี คือ
จมั เปยยขนั ธกะ ช่อื ขันธกะที่ ๙ แหง ๑. ทาวธตรฐ จอมภตู หรอื จอมคนธรรพ
ครองทิศตะวันออก ๒. ทาววิรุฬหก
คมั ภรี มหาวรรค วนิ ยั ปฎก วาดวยขอควร จอมกุมภัณฑ ครองทิศใต ๓. ทาว
วิรปู กษ จอมนาค ครองทิศตะวันตก ๔.
ทราบบางแงเก่ียวกบั นคิ หกรรมตางๆ ทาวกุเวร หรือ เวสสวัณ จอมยักษ
จัมมขนั ธกะ ช่ือขันธกะท่ี ๕ แหงคัมภีร
มหาวรรค วินัยปฎก วาดวยเครอื่ งหนงั
ตางๆ มรี องเทาและเครือ่ งลาดเปนตน ครองทิศเหนือ
จาคะ การสละ, การเสียสละ, การทําให จาตุมหาราชกิ า สวรรคช้นั ท่ี ๑ มมี หาราช
หมดไปจากตน, การใหหรอื ยอมใหหรือ ๔ องค เปนประธาน ปกครองประจําทิศ
ปลอยสละละวาง ท่จี ะทําใหหมดความ ทัง้ ๔, ทาวมหาราช ๔ นัน้ อยูภายใต
ยึดตดิ ถอื ม่นั ตัวตน หรอื ลดสลายความ การบังคับบัญชาของทาวสักกะ (พระ
มีใจคับแคบหวงแหน, การเปดใจกวางมี อนิ ทร) เชน มหี นาท่ีรายงานสภาพความ
น้ําใจ, การสละส่ิงท่ีเปนขาศกึ แกความ เปนไปของสังคมมนุษยแกหมูเทพชั้น
จรงิ ใจ, การสละกเิ ลส (ขอ ๔ ใน ดาวดึงสในสุธรรมสภาเปนประจํา ถา
ฆราวาสธรรม ๔, ขอ ๓ ในอธษิ ฐาน- ทัพอสูรรุกผานดานเบ้ืองตนใกลเขามา
ธรรม ๔, ขอ ๖ ในอริยทรัพย ๗) ทาวมหาราช ๔ กท็ าํ หนาท่ีไปรายงานตอ
จาคสัมปทา ถึงพรอมดวยการบริจาค พระอนิ ทร; ดู จาตมุ หาราช, อินทร
ทาน เปนการเฉล่ียสุขใหแกผูอื่น; ดู จาตุรงคสันนิบาต การประชุมพรอม
สัมปรายกิ ัตถะ
ดวยองค ๔ คือ ๑. วันนั้นดวงจันทร
จาคาธฏิ ฐาน ทมี่ น่ั คอื จาคะ, ธรรมทค่ี วร เสวยมาฆฤกษ (เพ็ญเดือนสาม) ๒.
ตงั้ ไวในใจใหเปนฐานทมี่ น่ั คอื จาคะ, ผมู ี พระสงฆ ๑๒๕๐ รูปมาประชุมกันโดยมิ
การใหการสละละวางเปนฐานทม่ี น่ั (ขอ ไดนัดหมาย ๓. พระสงฆเหลานั้นท้ัง
๓ ในอธิฏฐาน ๔); ดู อธษิ ฐานธรรม หมดลวนเปนพระอรหนั ตผไู ดอภญิ ญา ๖
๖๗
จาบจวง ๖๘ จิต, จิตต
๔. พระสงฆเหลานนั้ ทงั้ หมดลวนเปนเอหิ เดอื น ๘ เรยี กวา ปรุ มิ กิ า วสั สูปนายกิ า,
ภิกขุ; ดู มาฆบชู า
จาบจวง ดู จวงจาบ วันเขาพรรษาหลังคอื แรม ๑ ค่าํ เดือน
จาย ในประโยควา “ภกิ ษใุ ดมีบาตรมีแผล ๙ เรยี กวา ปจฉมิ กิ า วสั สูปนายิกา
หยอน ๕ ใหจายบาตรใหม” ใหจายคือ
คาํ อธษิ ฐานพรรษาวา “อมิ สฺมึ วหิ าเร
ใหขอบาตรใหม อมิ ํ เตมาสํ วสสฺ ํ อเุปม;ิ ทุติยมฺป อมิ สฺมึ
จาร เขียนตัวหนังสือหรือเลขลงบนใบ วหิ าเร อมิ ํ เตมาสํ วสสฺ ํ อเุปม;ิ ตติยมฺป
อิมสฺมึ วหิ าเร อมิ ํ เตมาสํ วสสฺ ํ อเุ ปม”ิ
ลาน เปนตน โดยใชเหล็กแหลมขีด, ใช แปลวา “ขาพเจาเขาอยจู าํ พรรษาตลอด ๓
เดือนในวัดน้ี” (วิหาเร จะเปลยี่ นเปน
เหลก็ แหลมเขียนตัวหนงั สือ อาวาเส กไ็ ด);
จารกิ เท่ยี วไป, เดินทางเพ่ือศาสนกจิ
จารีต ธรรมเนียมท่ีประพฤติกันมา, อานิสงสการจาํ พรรษามี ๕ อยาง คอื
ประเพณี, ความประพฤตทิ ดี่ ี ๑. เทยี่ วไปไมตองบอกลา ๒. จารกิ ไปไม
จารกึ เขียน, เขยี นเปนตัวอักษร, เขียน ตองเอาไตรจวี รไปครบสาํ รบั ๓. ฉนั คณ-
รอยลกึ เปนตัวอักษรลงในใบลาน หรือ โภชนและปรัมปรโภชนได ๔. เก็บ
ลงแผนศลิ า แผนโลหะ อดเิ รกจวี รไดตามปรารถนา ๕. จีวรอนั
จาํ นาํ พรรษา ดู ผาจํานาํ พรรษา เกิดขึ้นในที่น้ัน เปนของไดแกพวกเธอ
จําเนียรกาล เวลาชานาน อานิสงสทั้งหาน้ีไดช่ัวเวลาเดือนหนึ่ง
จําปา ชื่อเมืองในมัธยมประเทศ ท่ีถูก นบั แตออกพรรษาแลวคอื ถงึ ขน้ึ ๑๕ คาํ่
เขียน จมั ปา เดอื น ๑๒ นอกจากน้ันยงั ไดสทิ ธิทจ่ี ะ
จําพรรษา อยูประจําวัด หรือประจาํ ที่ใน กรานกฐิน และไดรบั อานสิ งส ๕ นั้น ตอ
ท่ีเหมาะสม ตลอดไตรมาส คอื สามเดอื น ออกไปอีก ๔ เดือน (ภิกษุผูเขาพรรษา
ในฤดูฝน ตง้ั แตแรม ๑ คา่ํ เดอื น ๘ ถึง หลัง ไมไดอานิสงสหรอื สทิ ธิพเิ ศษเหลา
ขึ้น ๑๕ คํา่ เดอื น ๑๑ (อยางนเ้ี รยี ก น)้ี ; ดู วันเขาพรรษา, สตั ตาหกรณียะ
ปรุ ิมพรรษา แปลวา “พรรษาตน”) หรือ จําวัด นอนหลับ (ใชแกภกิ ษแุ ละสามเณร)
ตง้ั แตแรม ๑ คา่ํ เดือน ๙ ถึงขน้ึ ๑๕ คา่ํ จาํ ศีล อยรู ักษาศีล, เขาอยถู อื ศีลประจาํ
เดอื น ๑๒ (อยางนีเ้ รยี ก ปจฉมิ พรรษา ตลอดเวลานนั้ ๆ
จาํ หลัก แกะสลักทาํ ใหเปนลวดลาย
แปลวา “พรรษาหลงั ”)
วนั เขาพรรษาตน คอื แรม ๑ คาํ่ จติ , จติ ต ธรรมชาติทรี่ ูอารมณ, สภาพที่
๖๘
จติ กา,จิตกาธาน ๖๙ จติ ตสนั ดาน
นกึ คดิ , ความคดิ , ใจ; ตามหลกั ฝาย บัญญตั ปิ ฏิสาราณยี กรรม คอื การลงโทษ
อภิธรรม จาํ แนกจิตเปน ๘๙ (หรือ ภกิ ษผุ ดู าวาคฤหสั ถทไ่ี มมคี วามผดิ ดวย
พสิ ดารเปน ๑๒๑) แบง โดยชาติ เปน การใหไปขอขมาเขา; ดู ตลุ า, เอตทัคคะ
อกศุ ลจติ ๑๒ กศุ ลจติ ๒๑ (พสิ ดารเปน จติ ตชรูป ดทู ี่ รปู ๒๘
๓๗) วปิ ากจติ ๓๖ (๕๒) และ กริ ยิ าจติ จิตตปาคุญญตา ความคลองแคลวแหง
๒๐; แบง โดยภมู ิ เปน กามาวจรจติ ๕๔ จิต, ธรรมชาติที่ทําจิตใหสละสลวย
รปู าวจรจติ ๑๕ อรปู าวจรจติ ๑๒ และโล คลองแคลววองไว (ขอ ๑๗ ในโสภณ-
กตุ ตรจติ ๘ (พสิ ดารเปน ๔๐)
เจตสกิ ๒๕)
จติ กา, จิตกาธาน เชงิ ตะกอน, ทเ่ี ผาศพ จติ ตภาวนา ดู ภาวนา
จิตตะ เอาใจฝกใฝในสิ่งนั้นไมวางธุระ, จติ ตมาส เดือน ๕; ดู มาตรา (มาตราเวลา)
ความคิดฝกใฝไมปลอยใจฟุงซานเล่ือน จติ ตมทุ ตุ า ความออนแหงจติ , ธรรมชาติ
ลอย, ความมจี ติ จดจออทุ ศิ ตวั อทุ ศิ ใจตอ ทาํ จติ ใหนมุ นวลออนละมุน (ขอ ๑๓ ใน
สงิ่ นน้ั (ขอ ๓ ในอทิ ธบิ าท ๔) โสภณเจตสกิ ๒๕)
จิตตกัมมัญญตา ความควรแกการงาน จติ ตลหตุ า ความเบาแหงจิต, ธรรมชาติ
แหงจิต, ธรรมชาติที่ทาํ จิตใหเหมาะแก ท่ีทําใหจิตเบาพรอมท่ีจะเคล่ือนไหวทํา
การใชงาน (ขอ ๑๕ ในโสภณเจตสกิ ๒๕) หนาท่ี (ขอ ๑๑ ในโสภณเจตสิก ๒๕)
จติ ตกา เครอ่ื งลาดทําดวยขนแกะ ทป่ี ก จติ ตวิสทุ ธิ ความหมดจดแหงจติ คอื ได
หรอื ทอเปนลวดลายตางๆ ฝกอบรมจิตจนเกิดสมาธิพอเปนบาท
จติ ตคฤหบดี ช่อื อุบาสกสาํ คัญทานหนง่ึ ฐานแหงวิปสสนา; ดู วสิ ุทธิ ๗ (ขอ ๒)
เปนพระอนาคามี มีปญญาสามารถใน จิตตสังขาร 1. ปจจัยปรงุ แตงจติ ไดแก
การแสดงธรรม พระพุทธเจาทรงยกยอง สัญญาและเวทนา 2. สภาพทีป่ รุงแตง
วาเปนเอตทัคคะในบรรดาอุบาสกธรรม- การกระทําทางใจ ไดแกเจตนาที่กอให
กถึก กับท้ังทรงยกยองวาเปนตราชู เกดิ มโนกรรม; ดู สังขาร
(ตุลา) ของอุบาสกบรษิ ัท จึงไดชอื่ วาเปน จิตตสันดาน การสืบตอมาโดยไมขาด
อัครอุบาสก (คูกับหัตถกะอาฬวกะ), สายของจิต; ในภาษาไทย หมายถงึ พืน้
จิตตคฤหบดีไดสรางวัดหน่ึงชื่อวา ความรูสึกนึกคิดหรืออุปนิสัยใจคอท่ีฝง
อัมพาฏการาม; ทานผูน้เี คยถกู ภกิ ษุชอ่ื อยูในสวนลึกของจิตใจมาแตกําเนิด
สุธรรมดา เปนเหตุใหพระพุทธเจาทรง (ความหมายนยั หลงั นี้ มใิ ชมาในบาลี)
๖๙
จิตตสามคั ค,ี จิตสามคั คี ๗๐ จวี ร
จติ ตสามัคค,ี จติ สามัคคี ดู สามคั คี จติ ตปุ บาท [จิด-ตุบ-บาด] ความเกิดข้ึน
จติ ตสิกขา ดู อธิจติ ตสิกขา
แหงจิต หมายถึงจิตพรอมท้ังเจตสิกท่ี
จติ ตานปุ สสนา การมสี ติทันโดยรชู ัดจติ ประกอบอยูดวย ซึ่งเกิดข้ึนคร้ังหน่ึงๆ,
ตามสภาพทมี่ นั เปนอยู เชน จติ มรี าคะ กร็ ู การเกิดความคิดผดุ ขนึ้ , ความคดิ ที่ผุด
ชดั วาจติ มรี าคะ จติ มโี ทสะ กร็ ชู ดั วาจติ มี ขนึ้
โทสะ จติ มโี มหะ กร็ ชู ดั วาจติ มโี มหะ จติ จิตรลดาวัน ช่ือสวนสวรรคของพระ
ปราศราคะ โทสะ โมหะ กร็ ชู ดั วา จติ อนิ ทร ในดาวดึงสเทวโลก ๑ ใน ๔
ปราศราคะ โทสะ โมหะ จิตหอเหี่ยว กร็ ู แหง คอื นันทนวนั จติ รลดาวัน มสิ สก
วาจติ หอเหยี่ ว จติ ฟงุ ซาน กร็ ูวาจิตฟงุ วัน และปารุสกวนั (นนั ทนวัน บาง
ซาน จติ เปนมหรคต ก็รูวาจิตเปนมหรคต คมั ภรี เรยี ก นันทวนั , ปารุสกวนั คมั ภรี
จิตไมเปนมหรคต กร็ ูวาจติ ไมเปนมหรคต อักษรอื่นเรียก ผารสุ กวัน)
จิตยังมีจิตอ่ืนเหนือ ก็รูวาจิตมีจิตอื่น จติ ประภสั สร ดู ภวงั คจติ
เหนอื จิตเปนอนตุ ระ ก็รวู าจติ เปนอนตุ ระ จินตกวี นักปราชญผูชํานาญคิดคํา
จติ เปนสมาธิ ก็รวู าจติ เปนสมาธิ จติ ไม ประพนั ธ, ผสู ามารถในการแตงรอยกรอง
เปนสมาธิ ก็รูวาจิตไมเปนสมาธิ จิต ตามแนวความคดิ ของตน
หลุดพน ก็รวู าจิตหลุดพน จติ ไมหลดุ จนิ ตามยปญญา ดู ปญญา๓
พน ก็รวู าจติ ไมหลุดพน มองเหน็ ความ จีวร ผาที่ใชนุงหมของพระภิกษุในพระ
กอเกิดข้ึนมาและความเส่ือมสลายไปใน พทุ ธศาสนา ผนื ใดผืนหน่ึง ในจาํ นวน
จติ ตระหนกั ตอจิตสภาวะทมี่ อี ยู แครู ๓ ผืนท่ีเรียกวา ไตรจีวร คือผาซอน
เทาสตทิ นั ไมตดิ องิ ไมยดึ เอา; (ตาม นอกหรอื ผาทาบซอน (สังฆาฏ)ิ ผาหม
แบบเรียนวา: สติกําหนดพิจารณาใจที่ (อตุ ราสงค) และผานุง (อันตรวาสก),
เศราหมอง หรอื ผองแลว เปนอารมณ แตในภาษาไทย นยิ มเรียกเฉพาะผาหม
วาใจนีก้ ็สักวาใจ ไมใชสัตว บุคคล ตวั คืออุตราสงค วาจีวร; จีวรมีขนาดที่
ตน เรา เขา เรยี กจิตตานุปสสนา); (ขอ กําหนดตามพุทธบัญญัติในสิกขาบทที่
๓ ใน สติปฏฐาน ๔) ๑๐ แหงรตนวรรค (ปาจิตตยี ขอที่ ๙๒;
จติ ตชุ กุ ตา ความซอ่ื ตรงแหงจติ , ธรรมชาติ วนิ ย.๒/๗๗๖/๕๑๑) คือ มิใหเทาหรือเกนิ
ท่ีทําใหจิตซื่อตรงตอหนาท่ีการงานของ กวาสุคตจีวร ซงึ่ ยาว ๙ คบื กวาง ๖ คบื
มนั (ขอ ๑๙ ในโสภณเจตสิก ๒๕) โดยคืบพระสุคต, ผาทําจีวรท่ีทรง
๗๐
จวี ร ๗๑ จวี ร
อนุญาตมี ๖ ชนิด ดังที่ตรัสวา มณฑล อฑั ฒมณฑล วิวัฏฏะ อนวุ วิ ัฏฏะ
คีเวยยกะ ชังเฆยยกะ พาหันตะ ทง้ั นี้
(วินย.๒/๑๓๙/๑๙๓) “ภิกษุทงั้ หลาย เรา เม่ือเปนผาท่ีถูกตัด ก็จะเปนของเศรา
อนุญาตจีวร ๖ ชนดิ คอื โขมะ จีวรผา หมองดวยศัสตรา คือมีตําหนิ เสียรูป
เปลอื กไม ๑ กปั ปาสกิ ะ จีวรผาฝาย ๑ เสียความสวยงาม เสอ่ื มคา เสยี ราคา
โกเสยยะ จวี รผาไหม ๑ กมั พละ จวี ร สมควรแกสมณะ และพวกคนทป่ี ระสงค
ผาขนสตั ว (หามผมและขนมนษุ ย) ๑ รายไมเพงจองอยากได
สาณะ จวี รผาปาน ๑ ภงั คะ จวี รผาของ
ในหาอยางน้นั เจือกนั ๑”; สีตองหาม มีพุทธบัญญัติวา (วินย.๕/๙๗/๑๓๗)
สําหรับจีวร คอื (วนิ ย.๕/๑๖๙/๒๓๔) นลี กะ จวี รผืนหนึ่งๆ ตองตัดเปนปญจกะ (มี
ลวน (สีเขียวคราม) ปตกะลวน (สี สวนประกอบหาชนิ้ หรือหาผืนยอย, ช้ิน
เหลือง) โลหติ กะลวน (สีแดง) มญั - ใหญหรือผืนยอยน้ี ตอมาในชัน้ อรรถ-
เชฏฐกลวน (สบี านเย็น) กัณหะลวน กถา เรยี กวา “ขัณฑ” จงึ พดู วาจีวรหา
(สดี ํา) มหารงครตั ตลวน (สีแดงมหา- ขัณฑ) หรอื เกนิ กวาปญจกะ (พดู อยาง
รงค อรรถกถาอธิบายวาสีอยางหลัง อรรถกถาวา มากกวา ๕ ขัณฑ เชน
ตะขาบ แปลกนั มาวาสแี สด) มหานาม- เปน ๗ ขัณฑ ๙ ขัณฑ หรือ ๑๑ ขัณฑ)
รัตตลวน (สีแดงมหานาม อรรถกถา
อธบิ ายวาสแี กมกนั อยางสใี บไมเหลอื ง ตามพุทธบญั ญัติเดิมนนั้ จีวรทั้ง ๓
(คอื สงั ฆาฏิ อตุ ราสงค และอันตรวาสก)
บางวาสีกลีบดอกปทมุ ออน แปลกันมา ตองเปนผาทถี่ กู ตดั เปนช้ินๆ นาํ มาเย็บ
ประกอบกันขนึ้ อยางที่กลาวขางตน แต
วาสีชมพู) ทงั้ นี้ สที ร่ี บั รองกนั มา คอื สี ภกิ ษุบางรปู ทําจีวร เมอื่ จะใหเปนจีวรผา
ตดั ทุกผืน ผาไมพอ จึงเปนเหตปุ รารภ
เหลืองเจือแดงเขม หรือสีเหลืองหมน ใหมีพุทธานุญาตยกเวนวา (วินย.๕/๑๖๑/
๒๑๙) “ภิกษทุ ้งั หลาย เราอนุญาตจีวรผา
เชนสียอมแกนขนนุ ทเี่ รยี กวาสีกรัก ตดั ๒ ผืน จีวรผาไมตัด ๑ ผนื ” เมื่อผา
ยงั ไมพอ กต็ รสั อนญุ าตวา “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย
จีวรน้ัน พระพุทธเจาโปรดใหพระ เราอนญุ าตจวี รผาไมตดั ๒ ผนื จวี รผา
ตัด ๑ ผืน” ถึงอยางนั้น ก็มีกรณที ี่ผายัง
อานนทออกแบบจัดทําตามรูปนาของ ไมพออกี จึงตรัสวา “ภิกษทุ ง้ั หลาย เรา
ชาวมคธ (วินย.๕/๑๔๙/๒๐๒) ทําใหมีรูป ๗๑
ลักษณเปนระเบียบแบบแผน โดยทรง
กําหนดใหเปนผาทีถ่ กู ตัดเปนช้ินๆ นาํ มา
เย็บประกอบกันข้ึนตามแบบที่จัดวางไว
ชน้ิ ทั้งหลายมีช่ือตางๆ เปน กสุ ิ อฑั ฒกุสิ
จวี ร ๗๒ จีวร
อนุญาตใหเพิ่มผาเพลาะ แตผาไมตัด แตละขัณฑมีชื่อเรียกเฉพาะตางกันไป
เลยหมดทุกผืน ภิกษุไมพึงใช รูปใดใช (ตามคําอธิบายของอรรถกถา วนิ ย.อ.๓/๒๓๖) คอื
ขัณฑกลาง ชือ่ ววิ ฏั ฏะ (แปลตามศพั ทวา
ตองอาบตั ทิ ุกกฏ” คลข่ี ยายออกไป), ขัณฑทีอ่ ยขู างววิ ฏั ฏะ
ทั้งสองดาน ชื่ออนุวิวัฏฏะ (แปลตาม
ในสมยั ตอมา นยิ มนําคําวา “ขณั ฑ” ศัพทวาคล่ีขยายไปตาม), ขัณฑท่ีอยู
ขอบนอกทง้ั สองขาง ชอื่ พาหนั ตะ (แปล
มาใชเปนหลักในการกําหนดและเรียก วาสุดแขน หรอื ปลายพาดบนแขน) น้ี
ชือ่ สวนตางๆ ของจีวร ทาํ ใหกําหนดงาย สาํ หรบั จวี ร ๕ ขณั ฑ, ถาเปนจีวรท่มี ี
ขน้ึ อกี ดังไดกลาวแลววา จวี รมีอยาง ขัณฑมากกวาน้ี (คือมี ๗ ขณั ฑข้ึนไป)
นอย ๕ ขณั ฑ คือ จวี รทม่ี ีรูปสี่เหล่ยี ม ขัณฑทุกขัณฑที่อยูระหวางวิวัฏฏะกับ
ผนื ผาผืนหน่งึ นี้ เมอ่ื คลแี่ ผออกไปตาม พาหันตะ ชื่อวาอนวุ ิวัฏฏะทงั้ หมด (บาง
ยาว จะเห็นวามีขณั ฑ คอื ผาผืนยอย ทีเรยี กใหตางกันเปน จฬู านุววิ ัฏฏ กบั
ขนาดประมาณเทาๆ กนั ยาวตลอดจาก มหานวุ ิวัฏฏ); นอกจากนี้ มีแผนผาเยบ็
บนลงลาง ๕ ผนื เรยี งตอกนั จากซายไป ทาบเติมลงไปตรงที่หุมคอ เรียกวา
คเี วยยกะ และแผนผาเย็บทาบเติมลง
สุดขวา ครบเปนจีวร ๑ ผืน; ขณั ฑทงั้ ไปตรงท่ีถกู แขง เรยี กวา ชงั เฆยยกะ (นี้
วาตามคําอธิบายในอรรถกถา แตพระมติ
๕ น้ี แตละขัณฑมสี วนประกอบครบใน
ของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยา
ตวั คอื มี ๒ กระทง ไดแก กระทงใหญ
เรียกวามณฑล กบั กระทงเลก็ (ราวครง่ึ วชริ ญาณวโรรส ในหนงั สอื วนิ ยั มขุ เลม ๒
ของกระทงใหญ) เรียกวา อฑั ฒมณฑล, วา ในจวี รหาขณั ฑๆ กลาง ชอื่ คเี วยยกะ
ระหวางมณฑลกับอัฑฒมณฑล มีเสน เพราะเมอ่ื หมจวี ร อฑั ฒมณฑลของขณั ฑ
คั่นดุจคันนาขวาง เรียกวาอัฑฒกุสิ,
มณฑล กับอัฑฒมณฑล และอัฑฒกุสิ นน้ั อยทู คี่ อ, ขณั ฑถดั ออกมาทงั้ ๒ ขาง
รวมเปนขัณฑหนึ่ง โดยมีเสนค่ัน ชอ่ื ชงั เฆยยกะ เพราะอฑั ฒมณฑลของ
ระหวางขณั ฑนัน้ กบั ขณั ฑอ่นื อยสู อง ๒ ขณั ฑนนั้ อยทู แ่ี ขงในเวลาหม, ขณั ฑ
ขางของขัณฑ ดจุ คนั นายนื เรียกวา กสุ ,ิ ถดั ออกมาอกี ทง้ั ๒ ขาง ชอื่ พาหนั ตะ
เมื่อรวมเปนจีวรครบผืน (นิยมเรียง เพราะอฑั ฒมณฑลของ ๒ ขณั ฑนนั้ อยู
ขัณฑท่ีตอกัน ใหดานมณฑลกับดาน ทแี่ ขนในเวลาหม); ตอมา มีเหตุการณอัน
อฑั ฒมณฑลสลบั กัน) มีผาขอบจีวรทั้งสี่ ๗๒
ดาน เรยี กวา อนวุ าต (แปลวาพลิ้วตาม
ลม, อนุวาตก็เปนกสุ อิ ยางหน่งึ ); ขัณฑ
จีวรกรรม ๗๓ จุณณยิ บท
เปนกรณีตางหาก ซ่ึงเปนขอปรารภให จวี รปลโิ พธ ความกงั วลในจีวร คอื ภกิ ษุ
ทรงอนุญาตลูกดมุ (คัณฐิกา) และรงั ดมุ ยงั ไมไดทาํ จวี ร หรอื ทาํ คางหรือหายเสยี
(ปาสกะ) (วนิ ย.๗/๑๖๖/๖๕); ดู ไตรจีวร, ในเวลาทํา แตยังไมสิ้นความหวังวาจะ
ขณั ฑ ไดจวี รอีก
จวี รกรรม การทําจีวร, งานเกีย่ วกับจีวร จีวรภาชก “ผูแจกจีวร”, ภิกษุที่สงฆ
เชน ตดั เย็บ ยอม เปนตน สมมติ คือแตงตัง้ ใหเปนเจาหนาท่แี จก
จีวรการสมัย คราวทีพ่ ระทาํ จวี ร, เวลาท่ี จีวร, เปนตําแหนงหนึ่งในบรรดา เจา
อธกิ ารแหงจีวร
กาํ ลงั ทาํ จีวร
จีวรกาล ฤดถู วายจวี ร, ฤดถู วายผาแก จีวรมรดก จีวรของภิกษุหรือสามเณรผู
พระสงฆ; ดู จวี รกาลสมัย
ถึงมรณภาพ (มตกจีวร) สงฆพึงมอบให
จีวรกาลสมัย สมัยหรือคราวที่เปนฤดู แกคิลานปุ ฐาก (ผพู ยาบาลคนไข) ดวย
ถวายจีวร; งวดหนึง่ สาํ หรับภกิ ษุทมี่ ิได ญตั ตทิ ตุ ยิ กรรม อยางไรกต็ าม อรรถกถา
กรานกฐนิ ตง้ั แตแรมคํา่ หนง่ึ เดอื น ๑๑ แสดงมติไววา กรณีเชนน้ีเปนกรรมไม
ถึงเพ็ญเดือนสิบสอง (คือเดือนเดียว), สาํ คญั นกั จะทาํ ดวยอปโลกนกรรม กค็ วร
อกี งวดหนง่ึ สาํ หรบั ภิกษุทีไ่ ดกรานกฐิน จวี รลาภ การไดจีวร
แลว ตงั้ แตแรมคาํ่ หน่ึงเดอื น ๑๑ ไปจน จีวรวรรค ตอนทว่ี าดวยเรอ่ื งจวี ร เปน
หมดฤดูหนาว คอื ถึงขึ้น ๑๕ คํา่ เดือน วรรคท่ี ๑ แหงนิสสัคคิยกัณฑ
๔ (รวม ๕ เดือน) จีวรอธิษฐาน จีวรครอง, ผาจํากัด
จีวรทานสมัย สมัยที่เปนฤดูถวายจีวร จํานวน ๓ ผนื ทอ่ี ธษิ ฐาน คอื กําหนดไว
ตรงกบั จวี รกาลสมยั ใชประจําตัวตามท่ีพระวินัยอนุญาตไว;
จวี รนิทหกะ “ผเู กบ็ จีวร”, ภกิ ษทุ สี่ งฆ ตรงขามกบั อตเิ รกจวี ร
สมมติ คือแตงตั้งใหเปนเจาหนาที่เก็บ จีวรกั ขนั ธกะ ช่ือขนั ธกะท่ี ๘ แหงคมั ภรี
รักษาจีวร, เปนตําแหนงหน่ึงในบรรดา มหาวรรค วนิ ยั ปฎก วาดวยเร่ืองจีวร
เจาอธกิ ารแหงจีวร จุณณ ละเอียด
จีวรปฏคิ คาหก “ผรู บั จวี ร”, ภิกษุทสี่ งฆ จณุ ณยิ บท คาํ รอยแกว, ขอความรอยแกว
สมมติ คือแตงตั้งใหเปนเจาหนาท่ีรับ ที่กระจายความออกไป ตรงขามกับคํา
จีวร, เปนตําแหนงหน่ึงในบรรดา เจา ประพันธที่ผูกเปนคาํ รอยกรอง ซ่ึงเรียก
อธิการแหงจีวร วา คาถาพันธ หรอื คาถา; ในการจดั
๗๓