อปุ ไมย ๖๒๔ อุปสมาธิฏฐาน
ไมหลีกออกจากกาม ยังมีความพอใจ ปรากฏแกพระโพธิสัตวหลังจากทรงเลิก
หลงใหลกระหายกาม ละไมได ถึงจะได ละการบําเพญ็ ทุกรกิริยา
เสวยทุกขเวทนาทเ่ี ผ็ดรอนแรงกลา อัน อุปไมย ขอความที่ควรจะนําส่ิงอ่ืนมา
เกดิ จากความเพยี รก็ตาม ไมไดเสวยก็ เปรียบเทียบ, สิ่งท่ีควรจะหาส่ิงอ่ืนมา
ตาม กไ็ มควรท่ีจะตรสั รู ฉนั น้ัน เปรียบเทยี บ, สิ่งที่ถกู เปรียบเทยี บ
๒. ไมสดชมุ ดวยยาง ตง้ั อยบู นบก อปุ รมิ ทิส “ทิศเบอื้ งบน” หมายถึงสมณ-
ไกลจากนํ้า จะเอามาสีใหเกดิ ไฟ ก็มแี ต พราหมณ; ดู ทิศหก
จะเหนือ่ ยเปลา ฉนั ใด สมณพราหมณท่ี อปุ วาณะ พระมหาสาวกองคหนง่ึ เกดิ ใน
มีกายหลีกออกแลวจากกาม แตยังมี ตระกูลพราหมณผมู ัง่ คัง่ ในนครสาวตั ถี
ความพอใจหลงใหลกระหายกาม ละไม ไดเห็นพระพุทธองคในพิธีถวายวัดพระ
ได ถึงจะไดเสวยทกุ ขเวทนาที่เผ็ดรอน เชตวนั เกดิ ความเลอ่ื มใส จงึ ไดมาบวช
แรงกลา อันเกิดจากความเพียรก็ตาม ในพระศาสนาและไดบรรลุอรหัตตผล
ไมไดเสวยก็ตาม ก็ไมควรท่ีจะตรัสรู ทานเคยเปนอุปฏฐากของพระพุทธองค
ฉนั นัน้ แมในวันปรินิพพานพระอุปวาณะก็
๓. ไมแหงเกราะ ท้ังต้งั อยูบนบก ถวายงานพดั อยเู ฉพาะพระพักตร เรอื่ ง
ไกลจากนา้ํ จะเอามาสใี หเกิดไฟยอมทํา ราวเก่ียวกับทานปรากฏในพระไตรปฎก
ไฟใหปรากฏได ฉนั ใด สมณพราหมณ ๔–๕ แหง เชนเร่ืองที่ทานสนทนากบั
ที่มีกายหลีกออกแลวจากกาม ไมมี พระสารีบุตรเก่ียวกับโพชฌงค ๗
ความพอใจหลงใหลกระหายกาม ละ ประการ เปนตน
กามไดแลว ถงึ จะไดเสวยทุกขเวทนาที่ อุปสมะ ความสงบใจจากสิ่งท่ีเปนขาศึก
เผด็ รอนแรงกลา อันเกดิ จากความเพยี ร แกความสงบ, การทาํ ใจใหสงบ, สภาวะ
ก็ตาม ไมไดเสวยก็ตาม กค็ วรทีจ่ ะตรัส อนั เปนท่สี งบ คือ นพิ พาน (ขอ ๔ ใน
รู ฉนั น้ัน อธิษฐานธรรม ๔)
เมื่อไดทรงพระดาํ ริดังนแ้ี ลว พระ อุปสมบท การใหกุลบุตรบวชเปนภิกษุ
โพธิสัตว จึงไดทรงเร่ิมบําเพ็ญทุกร- หรอื ใหกลุ ธดิ าบวชเปนภกิ ษณุ ,ี การบวช
กิริยา ดังเร่ืองที่มาในพระสูตรเปนอัน เปนภิกษุ หรือภกิ ษุณี; ดู อุปสัมปทา
มาก มีโพธิราชกุมารสูตร เปนตน แต อุปสมาธิฏฐาน ที่ม่ันคือความสงบ,
มักเขาใจกันผิดไปวา อปุ มา ๓ ขอน้ี ธรรมที่ควรต้ังไวในใจใหเปนฐานที่ม่ัน
๖๒๔
อุปสมานุสติ ๖๒๕ อุปสัมปทาเปกขา
คอื สนั ต,ิ ผมู คี วามระงบั กเิ ลสไดใจสงบ อกี ๕ อยางทเี่ หลอื เปนวธิ ที ที่ รงประทาน
เปนฐานทมี่ นั่ (ขอ ๔ ในอธฏิ ฐาน ๔); ดู เปนการพิเศษจําเพาะบุคคลบาง ขาด
อธษิ ฐานธรรม
อุปสมานุสติ ระลึกถึงคุณพระนิพพาน ตอนหมดไปแลวบาง ไดแก (จัดเรยี ง
ซ่ึงเปนท่ีระงับกิเลสและกองทุกข (ขอ ลาํ ดับใหม เอา ขอ ๓. เปนขอ ๘. ทาย
สุด) ๓. โอวาทปฏิคคหณปู สัมปทา การ
๑๐ ในอนุสติ ๑๐) อุปสมบทดวยการรับโอวาท เปนวิธีที่
อปุ สรรค ความขัดของ, สิ่งทีเ่ ขาไปขดั ทรงอนุญาตแกพระมหากัสสปะ ๔.
ปญหาพยากรณปู สัมปทา การอปุ สมบท
ของ, เครื่องกีดก้ัน, สิง่ ขดั ขวาง
อุปสัมบัน ผูไดรับอุปสมบทเปนภิกษุ ดวยการตอบปญหาของพระพุทธองค
หรอื ภิกษุณแี ลว, ผอู ุปสมบทแลว ไดแก เปนวิธีที่ทรงอนุญาตแกโสปากสามเณร
ภกิ ษแุ ละภิกษุณ;ี เทยี บ อนุปสมั บัน ๕. ครธุ รรมปฏคิ คหณูปสมั ปทา (หรือ
อปุ สมั ปทา การบวช, การบวชเปนภิกษุ อัฏฐครุธรรมปฏิคคหณูปสัมปทา) การ
หรอื ภกิ ษณุ ;ี วธิ อี ปุ สมบททงั้ หมด ๘ อยาง อุปสมบทดวยการรับครุธรรม ๘
แตเฉพาะทใี่ ชเปนหลกั มี ๓ อยาง คอื ประการ เปนวิธีท่ีทรงอนุญาตแกพระ
๑. เอหภิ กิ ขุอุปสัมปทา การอุปสมบท นางมหาปชาบดีโคตมี ๖. ทูเตนะ
อุปสัมปทา การอุปสมบทดวยทตู เปน
ดวยพระวาจาวา “จงเปนภิกษุมาเถิด”
เปนวิธที ่พี ระพุทธเจาทรงบวชใหเอง ๒. วิธีที่ทรงอนุญาตแกนางคณิกา (หญิง
ติสรณคมนปู สัมปทา หรอื สรณคมนูป- โสเภณี) ช่ือ อฑั ฒกาสี ๗. อฏั ฐวาจกิ า
สมั ปทา การอปุ สมบทดวยถงึ ไตรสรณะ อปุ สัมปทา การอปุ สมบทมวี าจา ๘ คอื
เปนวิธีที่ทรงอนุญาตใหพระสาวกทําใน ทาํ ดวยญตั ติจตุตถกรรม ๒ ครั้งจาก
ยุคตนพุทธกาล เม่ือคณะสงฆยังไม สงฆท้ังสองฝายคือจากภิกษุณีสงฆครั้ง
ใหญนกั เมอ่ื ทรงอนุญาตวิธที ่ี ๓ แลว หนงึ่ จากภิกษุสงฆครงั้ หนง่ึ ไดแกการ
วธิ ที ่ี ๒ นก้ี เ็ ปลยี่ นใชสําหรับบรรพชา อุปสมบทของภิกษุณี ๘. ญัตติจตุตถ-
สามเณร ๓. ญตั ตจิ ตตุ ถกมั มอปุ สมั ปทา กมั มอุปสมั ปทา (ขอ ๓. เดิม)
การอุปสมบทดวยญัตติจตุตถกรรม อปุ สมั ปทาเปกขะ บคุ คลผเู พงอปุ สมบท
เปนวิธีที่ทรงอนุญาตใหสงฆทาํ ในเมอื่ คอื ผูมงุ จะบวชเปนภิกษุ, ผูขอบวชนาค
คณะสงฆเปนหมใู หญขึ้นแลว และเปน อปุ สมั ปทาเปกขา หญงิ ผเู พงอปุ สมั ปทา
วิธีที่ใชสืบมาจนทุกวันนี้; วิธีอุปสมบท คือผขู อบวชเปนภิกษุณี
๖๒๕
อุปสวี มาณพ ๖๒๖ อุปฏฐาก
อุปสวี มาณพ ศษิ ยคนหน่ึงในจาํ นวน ๑๖ การอุปสมบทในทามกลางภิกษุสงฆ,
คนของพราหมณพาวรี ที่ไปทูลถาม เปนท้ังผูนําเขาหมู และเปนผูปกครอง
ปญหากะพระศาสดา ทป่ี าสาณเจดีย คอยดูแลผดิ และชอบ ทําหนาที่ฝกสอน
อปุ เสนวังคันตบตุ ร พระมหาสาวกองค อบรมใหการศึกษาตอไป; อุปชฌายใน
หน่ึง เปนบุตรพราหมณชื่อ วังคันตะ ฝายภิกษุณี เรยี กวา ปวัตตินี
มารดาชือ่ นางสารี เปนนองชายของพระ อุปชฌายมัตต ภิกษุผูพอจะเปน
สารบี ตุ ร เกดิ ทห่ี มบู านนาลกะ เตบิ โตขน้ึ อุปชฌายได คอื มีพรรษาครบ ๑๐, พระ
เรยี นไตรเพทจบแลว ตอมาไดฟงธรรม ปนู อปุ ชฌาย
มีความเล่ือมใส จึงบวชในพระพุทธ- อปุ ชฌายวัตร ธรรมเนยี มหรอื ขอปฏบิ ตั ิ
ศาสนา หลงั จากบวชได ๒ พรรษา จงึ ที่สัทธิวิหาริก พึงกระทําตออุปชฌาย
สําเร็จพระอรหัต ทานออกบวชจาก ของตน, หนาท่ีตออุปชฌายโดยยอคือ
ตระกูลใหญ มีคนรูจักมากและทั้งเปน เอาใจใสปรนนิบัตริ ับใช คอยศกึ ษาเลา
นกั เทศกทีส่ ามารถ จึงมีกุลบตุ รเลื่อมใส เรยี นจากทาน ขวนขวาย ปองกัน หรอื
มาขอบวชดวยจํานวนมาก ตัวทานเอง ระงบั ความเสื่อมเสีย เชน ความคิดจะ
เปนผูถือธุดงค และสอนใหสัทธิวิหารกิ สึก ความเหน็ ผิด เปนตน รักษานาํ้ ใจ
ถอื ธดุ งคดวย ปรากฏวาทั้งตวั ทานและ ของทาน มีความเคารพ จะไปไหนบอก
บริษัทของทานเปนท่ีเลื่อมใสของคนทั่ว ลาไมเที่ยวตามอําเภอใจและเอาใจใส
ไปหมด จึงไดรับยกยองวาเปน พยาบาลเม่ือทานอาพาธ; เทียบ สัทธิ-
เอตทัคคะในทางทาํ ใหเกิดความเล่อื มใส วหิ ารกิ วัตร
ทั่วทุกดาน (คือไมเฉพาะตนเองนา อปุ ชฌายาจารย อปุ ชฌายและอาจารย
เล่ือมใส แมคณะศิษยก็นาเลื่อมใสไป อปุ ฏฐาก ผบู าํ รงุ , ผูรบั ใช, ผูดแู ลความ
หมด); อปุ เสนะวังคนั ตบุตร ก็เขียน เปนอยู, ผูอุปถัมภบํารุงพระภิกษุ
อุปหัจจปรินิพพายี พระอนาคามีผูจะ สามเณร; ในพทุ ธกาล พระเถระมาก
ปรนิ ิพพานตอเมือ่ อายุพนกงึ่ แลว คือจะ หลายรูปไดเปลี่ยนกันทําหนาท่ีเปนพระ
ปรินิพพาน เม่ือใกลจะส้นิ อายุ (ขอ ๒ อุปฏฐากของพระพุทธเจา จนกระทั่ง
ใน อนาคามี ๕) พรรษาท่ี ๒๐ พระอานนทจงึ ไดรับหนา
อปุ ชฌาย, อุปชฌายะ “ผูเพงโทษนอย ท่ีเปนพระอุปฏฐากประจําพระองค
ใหญ” หมายถึงผูรับรองกุลบุตรเขารับ (อรรถกถาใชคาํ เรียกวา “นิพทั ธุปฏฐาก”)
๖๒๖
อปุ ฏฐานศาลา ๖๒๗ อุปตตเิ หตุ
สบื มา ๒๕ พรรษา จนส้ินพุทธกาล; พระเชตวันขึ้นท่ีเมืองสาวัตถี ในคํา
อปุ ฐากกเ็ ขยี น; ดูนพิ ทั ธปุ ฏฐาก,อานนท บรรยายการสรางวดั พระเชตวนั นนั้ บอก
อุปฏฐานศาลา หอฉัน, หอประชุม, ดวยวาไดสรางอปุ ฏฐานศาลา โดยใชคาํ
อาคารสําคัญในวัด ท่ีกลาวถึงบอยใน พหพู จน (อปุ ฏ านสาลาโย, วินย.๗/๒๓๕/
พระไตรปฎก โดยพนื้ เดิม เปนศาลาโรง ๙๘) ซงึ่ แสดงวาทพี่ ระเชตวนั นนั้ มอี ปุ ฏ-
ฉนั หรอื หอฉัน (โภชนศาลา) และขยาย ฐานศาลาหลายหลงั , นอกจากอปุ ฏฐาน-
มาใชเปนศาลาโรงประชุมหรอื หอประชมุ ศาลาแลว ตามเร่ืองในพระไตรปฎก
(สนั นบิ าตศาลา) ซึ่งภกิ ษุท้ังหลายมาเฝา อาคารอีกชื่อหนึ่งรองลงไป ท่ีภิกษุทั้ง
พระพุทธเจา ฟงพระองคแสดงธรรม หลายมักไปน่ังประชุมสนทนาธรรมกัน
และถกเถยี งสนทนาธรรมกัน ตลอดจน ซึ่งบางครั้งพระพุทธเจาก็เสด็จไปทรงไถ
วินิจฉัยขอวนิ ัยตางๆ เปนสวนประกอบ ถามและทรงชี้แจงอธิบาย ไดแก
สําคัญในวิถีชีวิตของพระสงฆในยุค “มณั ฑลมาฬ” (โรงกลม) ซงึ่ เปนศาลาที่
พทุ ธกาล และเปนทเ่ี กดิ ขนึ้ ของพทุ ธพจน นง่ั พกั หรอื เรยี กอยางชาวบานวาศาลาท่ี
เปนอนั มากในพระธรรมวนิ ยั , อปุ ฏฐาน- นง่ั เลน (นสิ ที นศาลา, อรรถกถาบางแหง
ศาลาเกิดมีข้ึนตั้งแตระยะแรกของ วาเปนอุปฏฐานศาลาเชนกนั ) พระสูตร
พุทธกาล สืบเน่ืองจากพุทธานุญาตให สําคัญบางสูตรก็เกิดขึ้นท่ีศาลาน่ังพัก
พระสงฆมเี สนาสนะเปนทอี่ ยอู าศยั คอื แบบน้ี; ในช้ันอรรถกถา นิยมเรียกท่ี
ในชวงปที่ ๒-๓ แหงพุทธกิจ ขณะ ประชุมฟงพระธรรมเทศนาของพระพทุ ธ
ประทับอยูที่พระเวฬุวัน เมืองราชคฤห เจาวา “ธรรมสภา” ดงั นน้ั อปุ ฏฐานศาลา
คาํ รองขอของเศรษฐีแหงเมอื งราชคฤหที่ ของพระไตรปฎก จงึ มกั ปรากฏในอรรถ-
มีศรัทธาจะสรางวิหารคือกุฎีท่ีพักอาศัย กถา ในชอ่ื วาธรรมสภา ดงั ทอ่ี รรถกถา
ถวายแกภกิ ษทุ งั้ หลาย ไดเปนเหตใุ หทรง บางแหงไขความวา “คาํ วา ‘ในอปุ ฏฐาน-
อนญุ าตเสนาสนะแกภกิ ษทุ งั้ หลาย (วินย. ศาลา’ หมายความวา ‘ในธรรมสภา
๗/๒๐๐/๘๖) ตอจากนน้ั กม็ พี ทุ ธบญั ญตั ิ มณฑป’” (อ.ุ อ.๑๒/๑๐๖); ดู ธรรมสภา
เกย่ี วกบั สง่ิ กอสรางตางๆ ในวดั รวมทงั้ อุปฏฐายกิ า อปุ ฏฐากที่เปนหญิง
พุทธานุญาตหอฉันคืออุปฏฐานศาลาน้ี อปุ ตตเิ หตุ เหตทุ เ่ี กดิ ขนึ้ , เหตกุ ารณทเ่ี กดิ
(วนิ ย.๗/๒๓๕/๙๘) แลวในเวลาใกลเคยี งตอ เชน ควรเทศนาใหเหมาะแกอปุ ตติเหตุ
จากนนั้ อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐกี ไ็ ดสรางวดั คือ แสดงธรรมใหเขากบั เรอ่ื งท่ีเกดิ ข้ึน;
๖๒๗
อุปตถมั ภกกรรม ๖๒๘ อุปายาส
บัดนี้เขียน อบุ ัตเิ หตุ และใชในความ ความถือม่ันวาทะวาตน; ตามสาํ นวนทาง
หมายทต่ี างออกไป ธรรม ไมใชคาํ วา “ถอื มน่ั ” หรอื “ยดึ มน่ั ”
อปุ ตถมั ภกกรรม กรรมสนบั สนนุ ไดแก กบั ความมน่ั แนวในทางทด่ี งี าม แตใชคาํ วา
กรรมท้ังที่เปนกุศลและอกุศลท่ีเขาชวย “ตง้ั มนั่ ” เชน ตง้ั มน่ั ในศลี ตงั้ มน่ั ในธรรม
สนับสนุนซ้ําเติมตอจากชนกกรรม ตง้ั ม่ันในสจั จะ; ในภาษาไทย มักใช
เหมือนแมนมเล้ียงทารกท่ีเกิดจากผูอ่ืน “อุปาทาน” ในความหมายทแ่ี คบลงมาวา
ถากรรมดีก็สนบั สนุนใหดขี นึ้ ถากรรม ยึดติดอยูกับความนึกคิดเอาเองวาเปน
ชัว่ ก็ซํา้ เติมใหเลวลงไปอกี (ขอ ๖ ใน อยางน้นั อยางนี้ หรอื จะตองเปนไปเชน
กรรม ๑๒) นน้ั เชนนี้
อุปทวะ อบุ าทว, ส่งิ เลวรายทก่ี อความ อุปาทานขันธ ขันธอันเปนที่ตั้งแหง
เดือดรอนหรือกีดก้ันขัดขวางไมใหเปน อปุ าทาน, ขนั ธท่ปี ระกอบดวยอุปาทาน
อยูเปนไปดวยดี, บางทีพูดควบกับ ไดแก เบญจขนั ธ คอื รปู , เวทนา,
อันตราย เปน อุปทวนั ตราย (อปุ ทวะ สัญญา, สังขาร, วิญญาณ ท่ปี ระกอบ
และอนั ตราย) ดวยอาสวะ
อุปสสยะของภิกษุณี สวนท่ีอยูของ อปุ าทายรปู รูปอาศยั , รูปทเ่ี กิดสบื เนื่อง
ภิกษุณี ต้ังอยใู นอาวาสท่มี ีภิกษุอยดู วย จากมหาภตู รูป, อาการของมหาภูตรูป มี
แตอยเู อกเทศ ไมปะปนกับภิกษุ; เรยี ก ๒๔ อยาง; ดู รูป ๒๘
ตามศัพทวา ภิกขุนูปสสยะ (สํานัก อุปาทิ 1. สภาพที่ถกู กรรมกเิ ลสถอื ครอง,
ภกิ ษณุ ี) สภาพทถ่ี กู อปุ าทานยดึ ไวมนั่ , เบญจขนั ธ
อปุ าทาน ความถอื มนั่ , ความยดึ ตดิ ถอื คาง 2. กิเลสเปนเหตุถือมั่น, ความยึดติดถือ
ถอื คาไว (ปจจบุ นั มกั แปลกนั วา ความยดึ มั่น, อุปาทาน
มนั่ ) ไมปลอยไมวางตามควรแกเหตผุ ล อปุ าทินนกสงั ขาร สงั ขารทีก่ รรมครอบ
เน่อื งจากตดิ ใครชอบใจหรือใฝปรารถนา ครอง พูดเขาใจกันอยางงายๆ วา
อยางแรง; ความถือมัน่ ดวยอาํ นาจกิเลส สังขารท่ีมีใจครอง เชน คน สตั ว เทวดา
มี ๔ คอื ๑. กามปุ าทาน ความถอื มัน่ ใน (ขอ ๑ ในสงั ขาร ๒)
กาม ๒. ทิฏ ุปาทาน ความถือมั่นใน อุปาทินนรปู ,อปุ าทนิ นกรปู ดทู ่ีรูป ๒๘
ทิฏฐิ ๓. สลี พั พตปุ าทาน ความถือมนั่ อุปายโกศล ดู โกศล ๓
ในศีลและพรต ๔. อัตตวาทุปาทาน อปุ ายาส ความคบั แคนใจ, ความสน้ิ หวงั
๖๒๘
อุปาลปิ ญจกะ ๖๒๙ อุภยัตถะ
อุปาลิปญจกะ ช่ือตอนหน่ึงในคัมภีร พิเศษ)
อุพภตกสัณฐาคาร ทองพระโรงช่ือ
ปรวิ าร พระวนิ ยั ปฎก
อปุ าลิวงศ ชอ่ื นกิ ายพระสงฆลงั กาทบี่ วช อุพภตก เปนทองพระโรง หรือหอ
จากพระสงฆสยาม (พระอบุ าลเี ปนหวั หนา ประชุมท่ีสรางขึ้นใหมของมัลลกษัตริย
นาํ คณะสงฆไทยไปอุปสมบทกุลบุตรใน แหงเมืองปาวา มัลลกษัตริยทูล
ประเทศลงั กา เมอ่ื พ.ศ. ๒๒๙๖ ในแผน อาราธนาพระพุทธเจาไปประทับพรอม
ดนิ พระเจาอยหู วั บรมโกษฐ สมยั อยธุ ยา ดวยภิกษสุ งฆ เพื่อเปนสิรมิ งคลกอนจะ
ตอนปลาย) เปดใชงาน ณ ที่น้ี พระสารบี ตุ รได
อุปาสกัตตเทสนา การแสดงความเปน แสดงสังคีติสูตร อันเปนตนแบบของ
อุบาสก คือ ประกาศตนเปนอบุ าสกโดย การสังคายนา
ถงึ พระรัตนตรยั เปนสรณะ อภุ โตพยัญชนก คนมที ัง้ ๒ เพศ
อุปาหนา ดู รองเทา อุภโตภาควิมุต “ผูหลดุ พนทัง้ สองสวน”
อุโปสถขนั ธกะ ชือ่ ขนั ธกะท่ี ๒ แหง คอื พระอรหนั ตผูบาํ เพ็ญสมถะมาเปน
คมั ภรี มหาวรรค พระวินัยปฎก วาดวย อยางมากจนไดสมาบัติ ๘ แลว จึงใช
การทําอุโบสถ คอื สวดปาติโมกขและ สมถะน้ันเปนฐานบําเพ็ญวิปสสนาตอไป
เรื่องสมี า จนบรรลอุ รหัตผล; หลดุ พนทงั้ สองสวน
อุโปสถิกะ, อุโปสถิกภัต อาหารที่เขา (และสองวาระ) คอื หลดุ พนจากรูปกาย
ถวายในวันอโุ บสถ คอื วนั พระ ในเดือน ดวยอรปู สมาบตั ิ (เปนวิกขมั ภนะ) หน
หน่งึ สีว่ นั , เปนของจําพวกสงั ฆภตั หรือ หน่ึงแลว จึงหลุดพนจากนามกายดวย
อุทเทสภัตนนั่ เอง แตมกี าํ หนดวนั เฉพาะ อรยิ มรรค (เปนสมุจเฉท) อกี หนหนง่ึ ;
คือ ถวายเน่อื งในวนั อุโบสถ เทียบ ปญญาวมิ ุต
อพุ พาหกิ า กริ ยิ าทถี่ อนนําไป, การเลอื ก อภุ โตสชุ าต เกดิ ดแี ลวทง้ั สองฝาย คอื ทงั้
แยกออกไป, หมายถงึ วธิ รี ะงบั ววิ าทาธกิ รณ ฝายมารดาทง้ั ฝายบดิ า หมายความวา มี
ในกรณีที่ท่ีประชุมสงฆมีความไม สกลุ สงู เปนเชอ้ื สายวรรณะนนั้ ตอเนอ่ื ง
สะดวก ดวยเหตุอยางใดอยางหน่ึง กันมาโดยตลอด ทั้งฝายบิดาและฝาย
สงฆจึงเลือกภิกษุบางรูปในท่ีประชุมนั้น มารดา, เปนคณุ สมบตั ทิ พ่ี วกพราหมณ
ตั้งเปนคณะ แลวมอบเรอ่ื งใหนาํ เอาไป และกษตั รยิ บางวงศถอื เปนสาํ คญั มาก
วินิจฉัย (เปนทาํ นองต้ังคณะกรรมการ อภุ ยตั ถะ ประโยชนทง้ั สองฝาย, ประโยชน
๖๒๙
อมุ มตั ตกสมมติ ๖๓๐ อูเนคเณ จรณํ
รวมกัน, ส่ิงที่เก้ือกูลแกสวนรวมเปน ดวยทงั้ หมด ครนั้ บวชแลวไดฟงเทศนา
คุณแกชีวิตทั้งของตนและของผูอื่น อาทิตตปรยิ ายสูตร จากพระพทุ ธเจา ก็
ชวยใหเปนอยูกันดวยดีพากันประสบ ไดสําเร็จพระอรหัตท้ังสามพ่ีนองพรอม
ทิฏฐธมั มิกัตถะ และสัมปรายกิ ัตถะ ย่ิง ดวยบรวิ ารทง้ั หมดหนง่ึ พนั องค พระอรุ -ุ
ขนึ้ ไป จนถงึ ปรมตั ถะ; ดู อัตถะ เวลกัสสปไดรับยกยองเปนเอตทคั คะใน
อมุ มตั ตกสมมติ การทสี่ งฆสวดประกาศ ทางมบี รษิ ทั ใหญ คอื มบี ริวารมาก
ความตกลงใหถอื ภกิ ษเุ ปนผวู กิ ลจรติ ; ดทู ่ี อรุ เุ วลา ชอื่ ตาํ บลใหญแหงหนงึ่ ในแควน
ปกาสนยี กรรม, อสมั มขุ ากรณยี
มคธ ตง้ั อยู ณ ลมุ แมน้ําเนรัญชรา เปน
อยุ ยานบาล, อทุ ยานบาล คนเฝาอทุ ยาน, ภมู สิ ถานที่สงบนาร่นื รมย พระมหาบุรษุ
เจาหนาทด่ี แู ลรกั ษาอทุ ยาน; ดู อทุ ยาน ทรงเลอื กเปนทบ่ี าํ เพญ็ เพยี ร ไดประทบั อยู
อุรุเวลกัสสป พระมหาสาวกองคหนึ่ง ณ ทน่ี นี้ านถงึ ๖ ป ทรงบาํ เพญ็ ทกุ รกริ ยิ า
เคยเปนนักบวชประเภทชฎิล นับถือ และเปลยี่ นมาทรงดาํ เนนิ ในมชั ฌมิ าปฏปิ ทา
ลัทธิบูชาไฟ ถือตัววาเปนพระอรหันต จนไดตรัสรูอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
สรางอาศรมสั่งสอนลัทธิของตนอยูใกล ภายใตรมพระศรมี หาโพธิ์ ณ รมิ ฝงแมนาํ้
ฝงแมนา้ํ เนรญั ชรา ตําบลอรุ ุเวลา เพราะ เนรญั ชรา ในตาํ บลนี้
เหตุที่เปนชาวกัสสปโคตรและอยู ณ อุสสาวนันติกา กัปปยภูมิท่ีทําดวยการ
ตําบลอุรุเวลา จึงไดชื่อวา อรุ เุ วลกัสสป ประกาศ ไดแก กฎุ ที ภ่ี กิ ษทุ งั้ หลายตกลง
ทานผนู เี้ ปนคณาจารยใหญทช่ี าวราชคฤห กนั แตตนวาจะทาํ เปนกปั ปยกฎุ ี ในเวลา
นบั ถอื มาก มนี องสองคน คนหนงึ่ ชอ่ื ทที่ าํ พอชวยกนั ยกเสาหรอื ตง้ั ฝาทแี รก
นทกี สั สป อกี คนหนึง่ ชื่อ คยากสั สป ก็รองประกาศใหรูกันวา “กปฺปยกุฏึ
ลวนเปนหัวหนาชฎิลต้ังอาศรมอยูถัด กโรม” ๓ หน (แปลวา “เราท้ังหลายทํา
กนั ไปบนฝงแมน้ําเนรัญชรา ไมหางไกล กปั ปยกุฎี”); ดู กัปปยภูมิ
จากอาศรมของพี่ชายใหญ ตอมาพระ อสุ รี ธชะ ภเู ขาทกี่ น้ั อาณาเขตของมชั ฌมิ -
พุทธเจาไดเสด็จมาทรงทรมานอุรุเวล- ชนบทดานเหนือ
กัสสปดวยอทิ ธปิ าฏหิ ารยิ ตางๆ จนทาน อูเน คเณ จรณํ การประพฤติ (วัตร) ใน
ชฎิลใหญคลายพยศ ยอมมอบตัวเปน คณะอนั พรอง คอื ประพฤติในถ่ิน เชน
พทุ ธสาวก ขอบรรพชา ทาํ ใหชฎลิ ผนู อง อาวาส ทม่ี ปี กตตั ตภกิ ษไุ มครบองคสงฆ
ทั้งสองพรอมดวยบริวารออกบวชตาม คือไมถึง ๔ รูป แตทีน่ ิยมปฏิบัตกิ นั มา
๖๓๐
อรู ุ ๖๓๑ เอกเสสนัย
ไมตาํ่ กวา ๕ รูป; เปนเหตอุ ยางหนึ่งของ ในจาํ พวกนนั้ กไ็ ด ในกรณเี ชนนี้ บางที
รตั ตเิ ฉทแหงมานัต; ดู รัตติเฉท ทานกลาวถึงหรือออกชือ่ ไวอยางใดอยาง
อูรุ ขาออน, โคนขา หนงึ่ แตเพยี งอนั เดยี ว ใหผอู านหรอื ผฟู ง
เอกฉันท มีความพอใจอยางเดียวกัน, หมายรอู ีกอยางหน่ึงดวย หรือใหเขาใจ
เหน็ เปนอยางเดียวกันหมด เอาเอง จากขอความแวดลอมวา ในทนี่ น้ั
เอกเทศ ภาคหน่ึง, สวนหนง่ึ , เปนสวน หมายถึงอยางไหนขอใดในชุดหรือใน
หนงึ่ ตางหาก จาํ พวกนนั้ จงึ เรยี กวา เหลอื ไวอยางเดยี ว
เอกพีชี ผูมพี ชื คืออตั ภาพอนั เดยี ว หมาย หรอื เหลอื ไวศพั ทเดยี ว เชน ก) เปนทร่ี ู
ถงึ พระโสดาบันซงึ่ จะเกดิ อีกครง้ั เดยี วก็ กนั ดวี าคพู ระอคั รสาวกคอื ใคร ดงั นนั้ ใน
คาํ สมาสบาลี เมอ่ื ระบนุ ามพระอคั รสาวก
จะบรรลุพระอรหัตตผลในภพที่เกิดขึ้น องคเดยี วแตเปนพหพู จนวา สารปิ ตุ ตฺ า
“พระสารบี ตุ รทง้ั หลาย” กเ็ ปนอนั รวมอกี
(ขอ ๑ ในโสดาบัน ๓, บางแหงทานจัด องคหน่ึงท่ีไมไดระบุดวย จึงหมายถึง
พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ
กลับเปนขอ ๓) ข) ตามสาํ นวนวิธีอธิบายธรรม เชน ใน
เอกภณั ฑะ ทรพั ยสง่ิ เดยี วซง่ึ มีราคาเพยี ง หลกั ปฏจิ จสมปุ บาท คาํ วา นามรปู เปน
พอท่จี ะเปนวัตถแุ หงปาราชกิ เอกเสส หมายถงึ นามหรอื รปู หรอื ทงั้
เอกภตั ติกะ ผูฉันภตั เดียว คือ ฉันวนั ละ นามและรปู คาํ วา สฬายตนะ กเ็ ปน
มอื้ เดยี ว เฉพาะมอ้ื เชา กอนเทยี่ งวนั ; เทยี บ เอกเสส หมายถงึ อายตนะที่ ๖ กไ็ ด
เอกาสนกิ ะ;ดู ฉนั มอ้ื เดยี ว อายตนะทงั้ ๖ กไ็ ด ดงั นนั้ เมอ่ื พดู วา
เอกวจนะ คาํ กลาวถงึ สิ่งของส่ิงเดยี ว นามรูปเปนปจจัยใหเกดิ สฬายตนะ ถา
เอกโวการ, เอกโวการภพ ดู โวการ พดู ถงึ อรปู ภพ กรณกี บ็ งั คบั ใหตองแปล
เอกสทิ ธิ สทิ ธิพิเศษ, สิทธิโดยเฉพาะ ความวา นามเปนปจจยั ใหเกดิ อายตนะท่ี
เอกเสสนยั อาการกาํ หนดดวยเหลอื ศพั ท ๖ (คอื มโน) ค) ในสาํ นวนนยิ มทางภาษา
เดยี ว, เปนวธิ กี ารอยางหนง่ึ ในไวยากรณ อยางในภาษาบาลี คาํ พดู บางคาํ มคี วาม
หมายกวาง หมายถงึ สง่ิ ของหรอื สภาวะ
บาลี กลาวคอื บคุ คล วตั ถุ หรอื ภาวะ สองสามอยางท่ีถือไดวาเปนชุดเดียวกัน
เชน สคุ ติ หมายถงึ โลกสวรรคกไ็ ด โลก
บางอยาง เปนของควบคูกนั มาดวยกัน
๖๓๑
เสมอ เมอื่ เหน็ อยางหนงึ่ กเ็ ปนอนั รถู งึ อกี
อยางหนงึ่ ดวย หรอื เปนของชดุ เดยี วกนั
จาํ พวกเดียวกัน เมือ่ เรียกช่ืออยางหนงึ่
จะหมายถึงอยางหน่ึงอยางใดในชุดหรือ
เอกอุ ๖๓๒ เอตทัคคะ
มนษุ ยกไ็ ด (สวรรคกบั มนษุ ยอยใู นชดุ ที่ อาสนะเดยี ว คอื ฉันวันละคร้งั เดยี ว ลุก
เปนสุคติดวยกัน) เมื่ออยางหน่ึงในชุด จากทแ่ี ลวไมฉันอีกในวนั นั้น, คาํ สมาทาน
นนั้ มคี าํ เฉพาะระบชุ ดั แลว คาํ ทมี่ คี วาม วา “นานาสนโภชนํ ปฏกิ ฺขิปามิ, เอกา-
หมายกวาง กย็ อมหมายถงึ อกี อยางหนง่ึ สนกิ งฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขาพเจางด
ในชดุ นนั้ ทย่ี งั ไมถกู ระบุ เชน ในคาํ วา การฉนั ณ ตางอาสนะ สมาทานองค
“สคุ ติ (และ) โลกสวรรค” สวรรคกเ็ ปน แหงผู—” (ขอ ๕ ใน ธดุ งค ๑๓)
สคุ ติ แตมคี าํ เฉพาะระบไุ วแลว ดงั นนั้ เอตทคั คะ “นน่ั เปนยอด”, “นี่เปนเลศิ ”,
คาํ วา สคุ ติ ในกรณนี ี้ จงึ หมายถงึ โลก บุคคลหรือส่ิงท่ยี อดเยีย่ ม ดีเดน หรือ
มนุษย ซ่ึงเปนสุคติอยางเดียวที่เหลือ เปนเลิศ ในทางใดทางหน่ึง เชน ในพทุ ธ
นอกจากสวรรค พจน (องฺ.เอก.๒๐/๑๔๖/๓๑) วา “เอตทคคฺ ํ
เอกอุ เลิศ, สงู สุด (ตดั มาจากคาํ วา เอก- ภกิ ขฺ เว มม สาวกานํ ภกิ ขฺ นู ํ รตตฺ ฺ นู ํ
อุดม) ยททิ ํอ ฺ าโกณฑฺ โฺ ”(ภกิ ษทุ งั้ หลาย
เอกัคคตา ความมีอารมณเปนอันเดียว
บรรดาภิกษุสาวกของเราผูรัตตัญ ู
คือ ความมีจิตตแนวแนอยูในอารมณ อญั ญาโกณฑญั ญะน่ี เปนผยู อดเย่ยี ม),
(องฺ.เอก.๒๐/๗๘/๑๗) วา “เอตทคคฺ ํ ภกิ ขฺ เว
อันเดียว ไดแกสมาธิ (พจนานุกรม วฑุ ฒฺ นี ํ ยททิ ํ ป ฺ าวฑุ ฒฺ ”ิ (ภิกษทุ งั้
เขยี น เอกคั ตา); ดู ฌาน
เอกันตโลมิ เคร่ืองลาดที่มีขนตกไปขาง หลาย บรรดาความเจริญทั้งหลาย
เดยี วกนั ความเจริญเพม่ิ พูนปญญาน่ี เปนเย่ยี ม)
เอกายนมรรค ทางอนั เอก คือ ขอปฏบิ ตั ิ (องฺ.นวก.๒๓/๒๐๙/๓๗๗) วา “เอตทคฺคํ
อันประเสริฐท่ีจะนําผูปฏิบัติไปสูความ ภกิ ขฺ เว ทานานํ ยททิ ํ ธมมฺ ทาน”ํ (ภกิ ษุ
บริสทุ ธิห์ มดจด หมดความทกุ ข และ ท้งั หลาย ในบรรดาทานทงั้ หลาย ธรรม
บรรลนุ พิ พาน ไดแก สตปิ ฏฐาน ๔; ทานนเ้ี ปนเลศิ ); ตามปกติ มักหมายถงึ
อยางกวางขวาง เชน ในมหานิทเทส พระสาวกท่ีไดรับยกยองจากพระพุทธ
หมายถึง โพธิปกขยิ ธรรม ดวย เจาวาเปนผูยอดเย่ียมในทางใดทางหน่ึง
เอกาสนิกะ ผฉู ันทนี่ ่ังเดียว คอื ฉนั วนั ละ เชน เปนเอตทัคคะในทางธรรมกถึก
มอื้ เดยี วครง้ั เดยี ว ลกุ จากทแ่ี ลวไมฉนั อกี หมายความวาเปนผูยอดเยี่ยมในทาง
ในวนั นนั้ ; เทยี บ เอกภตั ตกิ ะ;ดู ฉนั มอื้ เดยี ว แสดงธรรม เปนตน
เอกาสนิกังคะ องคแหงผูถือนั่งฉันท่ี พระสาวกท่ีพระพุทธเจาตรัสวาเปน
๖๓๒
เอตทัคคะ ๖๓๓ เอตทคั คะ
เอตทคั คะ ในบรษิ ทั ๔ ปรากฏในพระ โกฬิวิสะ …ใน~ผูปรารภความเพียร,
พระโสณกุฏิกัณณะ …ใน~ผูกลาว
ไตรปฎก (อง.ฺ เอก.๒๐/๑๔๖/๓๑–๑๕๒/๓๓) ดงั น้ี กลั ยาณพจน, พระสวี ลี …ใน~ผูมีลาภ,
๑. ภกิ ษบุ รษิ ทั พระวกั กลิ …ใน~ผูมีศรัทธาสนิทแนว
(ศรทั ธาธมิ ตุ ), พระราหลุ …ใน~ผใู ครตอ
พระอญั ญาโกณฑญั ญะเปนเอตทคั คะ การศกึ ษา, พระรฐั ปาละ …ใน~ผอู อก
ในบรรดาภกิ ษสุ าวกผรู ตั ตญั ,ู พระสาร-ี บวชดวยศรทั ธา, พระกณุ ฑธานะ …ใน~
บตุ ร …ใน~ผมู ปี ญญามาก, พระมหา ผจู บั สลากเปนปฐม, พระวงั คสี ะ …ใน~
โมคคลั ลานะ …ใน~ผมู ฤี ทธ,ิ์ พระมหา ผมู ปี ฏภิ าณ, พระอปุ เสนวงั คนั ตบตุ ร …
กสั สป …ใน~ผถู อื ธดุ งค, พระอนรุ ทุ ธะ ใน~ผทู น่ี าเลอ่ื มใสรอบดาน, พระทพั พ-
…ใน~ผมู ที พิ ยจกั ษ,ุ พระภทั ทยิ ะกาฬ-ิ มลั ลบตุ ร …ใน~ผจู ดั แจกเสนาสนะ, พระ
โคธาบตุ ร …ใน~ผมู ตี ระกลู สงู , พระ ปลนิ ทวจั ฉะ …ใน~ผเู ปนทรี่ กั ใครชอบใจ
ลกณุ ฏกภทั ทยิ ะ ใน~ผมู เี สยี งไพเราะ, ของเหลาเทพยดา, พระพาหยิ ทารจุ รี ยิ ะ
พระปณโฑลภารทั วาชะ …ใน~ผูบันลอื …ใน~ผตู รสั รเู รว็ พลนั , พระกมุ ารกสั สปะ
สหี นาท, พระปณุ ณมนั ตานบี ตุ ร …ใน~ผู …ใน~ผูแสดงธรรมวิจิตร, พระมหา-
เปนธรรมกถกึ , พระมหากจั จานะ …ใน~ โกฏฐติ ะ …ใน~ผบู รรลปุ ฏิสัมภทิ า, พระ
ผจู าํ แนกความยอใหพสิ ดาร, พระจลุ ล- อานนท …ใน~ผูเปนพหูสูต, พระ
ปนถกะ …ใน~ผนู ฤมติ มโนมยกาย (กาย อานนท …ใน~ผมู สี ต,ิ พระอานนท …
อนั สาํ เรจ็ ดวยใจ), พระจลุ ลปนถกะ …ใน ใน~ผมู คี ต,ิ พระอานนท …ใน~ผมู คี วาม
เพยี ร, พระอานนท …ใน~ผเู ปนอปุ ฏฐาก,
~ผูฉลาดทางเจโตวิวฏั ฏ (การคล่ีขยาย พระอรุ เุ วลกสั สปะ …ใน~ผมู บี รษิ ทั ใหญ,
พระกาฬทุ ายี…ใน~ผทู าํ สกลุ ใหเลอ่ื มใส,
ทางจิต คือในดานสมาบัติ หรือเร่ือง พระพกั กลุ ะ …ใน~ผมู อี าพาธนอย, พระ
โสภติ ะ …ใน~ผูระลึกบพุ เพนิวาส, พระ
สมาธ)ิ , พระมหาปนถกะ …ใน~ผฉู ลาด อบุ าลี …ใน~ผทู รงวินยั , พระนนั ทกะ
…ใน~ผโู อวาทภกิ ษณุ ,ี พระนนั ทะ …ใน~
ทางปญญาวิวัฏฏ (การคล่ีขยายทาง ผสู าํ รวมระวงั อนิ ทรยี , พระมหากปั ปนะ
…ใน~ผโู อวาทภกิ ษ,ุ พระสาคตะ …ใน~
ปญญา คอื ในดานวปิ สสนา; บาลเี ปน
๖๓๓
สญั ญาววิ ฏั ฏ กม็ ี คอื ชาํ นาญในเรอ่ื งอรปู -
ฌาน), พระสภุ ตู ิ …ใน~ผมู ปี กตอิ ยไู ม
ของเกยี่ วกบั กเิ ลส (อรณวหิ าร)ี , พระสภุ ตู ิ
…ใน~ผเู ปนทกั ขไิ ณย, พระเรวตขทริ วนยิ ะ
…ใน~ผถู อื อยปู า (อารญั ญกะ), พระกงั ขา-
เรวตะ …ใน~ผบู าํ เพญ็ ฌาน, พระโสณ-
เอตทัคคฐาน ๖๓๔ เอราวัณ
ผชู าํ นาญเตโชธาตสุ มาบตั ,ิ พระราธะ … ประณีต, อคุ คะคหบดี ชาวเมืองเวสาลี
ใน ~ผสู อื่ ปฏภิ าณ, พระโมฆราช …ใน~ …ใน~ผูถวายของท่ี[ตัวผูถวายเอง]ชอบ
ผทู รงจวี รเศราหมอง ใจ, อุคคตะคหบดี …ใน~ผูเปนสังฆ-
๒. ภกิ ษณุ บี รษิ ทั อปุ ฏฐาก, สรู ะอมั พฏั ฐะ …ใน~ผมู ปี สาทะ
พระมหาปชาบดโี คตมี เปนเอตทคั คะ ไมหวนั่ ไหว, ชวี กโกมารภจั จ …ใน~ผู
ในบรรดาภกิ ษณุ สี าวกิ าผรู ตั ตญั ,ู พระ เล่ือมใส[เลือกตัว]บุคคล, นกุลบิดา
เขมา …ใน~ผูมปี ญญามาก, พระอบุ ล- คหบดี …ใน~ผูสนิทคุนเคย
๔. อบุ าสกิ าบรษิ ทั
วรรณา …ใน~ผูมฤี ทธ์ิ, พระปฏาจารา
…ใน~ผทู รงวนิ ยั , พระธมั มทนิ นา … สชุ าดาเสนานธี ดิ า เปนเอตทัคคะ ใน
ใน~ผเู ปนธรรมกถกึ , พระนนั ทา …ใน~ บรรดาอบุ าสกิ าสาวกิ าผถู งึ สรณะเปนปฐม,
ผูบําเพ็ญฌาน, พระโสณา …ใน~ผู วสิ าขามคิ ารมารดา …ใน~ผเู ปนทายกิ า,
ปรารภความเพยี ร, พระสกลุ า …ใน~ผมู ี ขชุ ชตุ รา …ใน~ผเู ปนพหสู ตู , สามาวดี
ทพิ ยจกั ษ,ุ พระภทั ทากณุ ฑลเกสา … …ใน~ผูมีปกติอยูดวยเมตตา, อตุ ตรา
ใน~ผตู รสั รเู รว็ พลนั , พระภทั ทากปลานี นันทมารดา …ใน~ผูบําเพ็ญฌาน,
(ภทั ทกาปลานี กว็ า) …ใน~ผรู ะลกึ บพุ เพ- สปุ ปวาสาโกลยิ ธดิ า …ใน~ผูถวายของ
นวิ าส, พระภทั ทากจั จานา…ใน~ผบู รรลุ ประณตี , สปุ ปยาอบุ าสกิ า …ใน~ผเู ปน
มหาอภิญญา, พระกสี าโคตมี …ใน~ผู คลิ านปุ ฏฐาก, กาตยิ านี …ใน~ผมู ปี สาทะ
ทรงจวี รเศราหมอง, พระสคิ าลมารดา … ไมหวนั่ ไหว, นกลุ มารดาคหปตานี …ใน
ใน~ผมู ศี รทั ธาสนทิ แนว (ศรทั ธาธมิ ตุ ) ~ผูสนิทคุนเคย, กาฬอี บุ าสกิ า ชาว
๓. อบุ าสกบรษิ ทั
กุรรฆรนคร …ใน~ผมู ีปสาทะดวยสดบั
ตปสุ สะและภลั ลกิ ะ สองวาณชิ เปน คาํ กลาวขาน; เทยี บ อสตี มิ หาสาวก
เอตทัคคะ ในบรรดาอุบาสกสาวกผูถึง เอตทัคคฐาน ตําแหนงเอตทัคคะ,
สรณะเปนปฐม, สทุ ตั ตะอนาถปณฑกิ - ตําแหน ง ท่ี ไ ด รั บยกยองจากพระ
คหบดี …ใน~ผเู ปนทายก, จติ ตคหบดี พทุ ธเจาวาเปนเลิศในคุณนน้ั ๆ
ชาวเมืองมัจฉิกาสณฑ …ใน~ผูเปน เอราวัณ ช่อื ชางทรงของพระอนิ ทรในดาว
ธรรมกถึก, หตั ถกะอาฬวกะ …ใน~ผู ดึงสเทวโลก สงู ๑๕๐ โยชน มี ๓๓
สงเคราะหบริษัทดวยสังคหวัตถุ ๔, กระพองซึ่งเปนที่ประทับของ ๓๓
มหานามะเจาศากยะ …ใน~ผูถวายของ เทพบตุ ร ลอมรอบ วัดโดยรอบกระพอง
๖๓๔
เอหปิ สฺสโิ ก ๖๓๕ โอกาส
ละประมาณ ๓ คาวตุ (คอื ๓/๔ โยชน) เอหิภิกษุ ดู เอหิภกิ ขุ
ตรงกลางมีกระพองสําหรับพระอินทร โอกกนั ตกิ าปติ ปตเิ ปนระลอก, ความอมิ่
ใหญ ๓๐ โยชน ช่ือวาสุทศั น ซ่งึ มรี ตั น ใจเปนพักๆ เมื่อเกิดขึ้นทาํ ใหรูสึกซูซา
มณฑพ และกลางมณฑพน้ันมีบัลลังก เหมอื นคลนื่ กระทบฝง (ขอ ๓ ในปติ ๕)
แกวมณีใหญโยชนหน่ึง เปนท่ีประทับ โอกกากราช กษัตริยผูเปนตนสกุลของ
ของพระอินทร (นว้ี าตาม วนิ ย.ฏ.ี ๑/๔๑๔ ซง่ึ ศากยวงศ
ไมตรงกนั นกั กบั ธ.อ.๒/๑๐๔); ดู ดาวดึงส โอกาส ชอง, ทีว่ าง, ทาง, เวลาทีเ่ หมาะ,
เอหปิ สสฺ โิ ก (พระธรรม) ควรเรียกใหมาดู จังหวะ; ในวิธีระงับอนุวาทาธิกรณมี
คือ เชิญชวนใหมาชม เหมือนของดี ระเบยี บวา กอนจะกลาวคาํ โจทนาคอื คํา
วเิ ศษที่ควรปาวรองใหมาดู หรอื ทาทาย ฟองข้นึ ตอหนาสงฆ โจทกพงึ ขอโอกาส
ตอจําเลย คําขอโอกาสวา “กโรตุ เม
ตอการพสิ ูจน เพราะเปนของจริงและดี อายสฺมา โอกาสํ, อหนฺตํ วตฺตุกาโม”
จรงิ (ขอ ๔ ในธรรมคุณ ๖) แปลวา “ขอทานจงทําโอกาสแกขาพเจา
เอหิภิกขุ เปนคําเรียกภิกษุท่ีไดรับ
อุปสมบทจากพระพุทธเจาโดยตรงดวย ขาพเจาใครจะกลาวกะทาน” ถาโจทโดย
วิธีบวชท่ีเรียกวา เอหิภิกขุอุปสัมปทา;
พระอัญญาโกณฑัญญะ เปนเอหิภิกขุ ไมขอโอกาส ตองอาบตั ิทุกกฏ คาํ ให
องคแรก โอกาส ทานไมไดแสดงไว อาจใชวา
เอหภิ กิ ขอุ ุปสมั ปทา วิธีอปุ สมบททพี่ ระ “กโรมิ อายสมฺ โต โอกาสํ” แปลวา
“ขาพเจาทําโอกาสแกทาน”; ภิกษุพรอม
พุทธเจาประทานดวยพระองคเองดวย ดวยองค ๕ แมจะขอใหทําโอกาสก็ไม
การเปลงพระวาจาวา “ทานจงเปนภกิ ษุ ควรทํา (คือไมควรใหโอกาส) กลาวคอื
มาเถดิ ธรรมอันเรากลาวดแี ลว ทานจง เปนผูมีความประพฤติทางกายไม
ประพฤติพรหมจรรยเพื่อทําท่ีสุดทุกข บริสุทธิ์ มีความประพฤติทางวาจาไม
โดยชอบเถดิ ” วิธีน้ี ทรงประทานแกพระ บริสทุ ธ์ิ มีอาชีวะไมบรสิ ทุ ธ์ิ เปนผเู ขลา
อญั ญาโกณฑญั ญะ เปนบุคคลแรก ดัง ถูกซักเขา ไมอาจใหคําตอบขอท่ีซัก,
คําบาลที ่ตี รัสวา “เอหิ ภิกขฺ ุ” และตรสั องค ๕ อีกหมวดหนงึ่ วา เปนอลชั ชีเปน
ตอไปวา “สฺวากขฺ าโต ธมฺโม จร พรฺ หฺม พาล มใิ ชปกตตั ตะ กลาวดวยปรารถนา
จริย สมฺมา ทุกฺขสฺส อนฺตกิริยาย” จะกําจัด มิใชเปนผมู ีความปรารถนาใน
(วินย.๔/๑๘/๒๓); ดู อุปสัมปทา อนั ใหออกจากอาบตั ิ
๖๓๕
โอกาสโลก ๖๓๖ โอมสวาท
โอกาสโลก โลกอันกําหนดดวยโอกาส, ขอบเขต เชนวา ขอใหชนชาวเขา จงมี
โลกอันมีในอวกาศ, โลกซ่ึงเปนโอกาส ความสขุ , ขอใหเหลาพอคา จงมคี วามสขุ ,
แกสัตวทง้ั หลายท่ีจะอยูอาศยั , โลกคอื ขอใหเตาปลา จงมคี วามสขุ , บางทเี รยี ก
แผนดินอันเปนที่อยูอาศัยของสัตวทั้ง “โอทสิ สกผรณา” (แผไปเจาะจง); เทียบ
หลาย, จกั รวาล (ขอ ๓ ในโลก ๓) อโนธิโสผรณา, ทสิ าผรณา; ดู แผเมตตา,
โอฆะ หวงน้ําคอื สงสาร, หวงน้ําคือการ วกิ พุ พนา, สมี าสมั เภท
เวียนวายตายเกิด; กิเลสอันเปนดุจ โอปนยิโก (พระธรรม) ควรนอมเขามา
กระแสน้าํ หลากทวมใจสัตว มี ๔ คือ ไวในใจ หรือนอมใจเขาไปใหถึงดวย
กาม ภพ ทฏิ ฐิ อวชิ ชา การปฏิบัติใหเกิดขึ้นในใจ หรือใหใจ
โอฏฐชะ อกั ษรเกดิ ท่รี มิ ฝปาก คือ อุ อู บรรลุถึงอยางนัน้ (ขอ๕ ในธรรมคุณ ๖)
และ ป ผ พ ภ ม โอปปาติกะ สตั วเกิดผุดขึน้ คือ เกิดผุด
โอตตปั ปะ ความกลวั บาป, ความเกรง ข้ึนมาและโตเต็มตัวในทันใด ตายก็ไม
กลวั ตอทจุ รติ , ความเกรงกลวั ความชวั่ ตองมีเช้ือหรือซากปรากฏ เชนเทวดา
เหมือนกลัวอสรพิษ ไมอยากเขาใกล และสตั วนรก เปนตน (ขอ ๔ ในโยนิ ๔);
พยายามหลกี ใหหางไกล (ขอ ๒ ในธรรม บาลีวา รวมท้ังมนษุ ยบางพวก
คมุ ครองโลก ๒, ขอ ๔ ในอรยิ ทรพั ย ๗, โอปกฺกมิกา อาพาธา ความเจ็บไขเกิด
ขอ ๓ ในสทั ธรรม ๗) จากความพยายามหรือจากคนทําให,
โอธานสโมธาน ช่ือปริวาสประเภท เจ็บปวยเพราะการกระทําของคนคือตน
สโมธานปรวิ าสอยางหนงึ่ ใชสาํ หรบั อาบตั ิ เองเพยี รเกนิ กาํ ลงั หรอื ถกู เขากระทาํ เชน
สังฆาทิเสสที่ตองหลายคราวแตมจี าํ นวน ถูกจองจํา ใสขอ่ื คา เปนตน; ดูอาพาธ
วนั ทปี่ ดไวเทากนั เชน ตองอาบตั ิ ๒ คราว โอภาส 1. แสงสวาง, แสงสุกใส ผุดผอง
ปดไวคราวละ ๕ วนั ใหขอปรวิ าสรวม (ขอ ๑ ในวปิ สสนูปกิเลส ๑๐) 2. การ
อาบตั แิ ละราตรเี ขาดวยกนั เพอ่ื อยเู พยี ง ๕ พูดหรือแสดงออกท่ีเปนเชิงเปดชองทาง
วนั เทานน้ั , (แตตามนยั อรรถกถาทานแก หรือใหโอกาส เชนท่ีพระพุทธเจาทรง
วา สาํ หรบั อนั ตราบตั มิ วี นั ปดทปี่ ระมวล กระทาํ โอภาส ณ ที่ตางๆ หลายแหง ซึง่
เขากบั อาบตั เิ ดมิ ); ดู สโมธานปรวิ าส ถาพระอานนทเขาใจ ก็จะทูลขอใหทรง
โอธิโสผรณา “แผโดยมีขอบเขต”, เมตตา ดํารงพระชนมอยูตลอด[อายุ]กัป
ท่ีต้ังใจแผไปตอสัตวท้ังหลายอยางจาํ กัด โอมสวาท [โอ-มะ-สะ-วาด] พดู เสยี ดแทง
๖๓๖
โอรส ๖๓๗ โอวาทปาตโิ มกข
ใหเจ็บใจหรือใหไดความอัปยศ ไดแก เปนโอวาท การสง่ั สอนชแี้ จงตอเนอื่ งไป
การพดู แดกหรอื ประชดกต็ าม ดากต็ าม บอยๆ เรอ่ื ยๆ เปนอนสุ าสนี การสง่ั สอน
กระทบถงึ อกั โกสวตั ถุ ๑๐ ประการ มี วากลาวเมอ่ื เกดิ มเี รอ่ื งราวขน้ึ เปนโอวาท
ชาตกิ าํ เนดิ ชอื่ ตระกลู เปนตน ภกิ ษุ สวนการสง่ั สอนเปนประจาํ อยางเปนแบบ
กลาวโอมสวาทแกภิกษุ ตองอาบัติ แผน เปนอนสุ าสน;ี ดู อนสุ าสนี
ปาจิตตีย แกอนุปสัมบัน ตองอาบัติ โอวาทของพระพทุ ธเจา ๓ คอื ๑. เวน
ทกุ กฏ ตามสกิ ขาบทท่ี ๒ แหงมสุ าวาท จากทุจริต คือไมประพฤติช่ัวดวยกาย
วาจาใจ (=ไมทําความชั่วท้ังปวง) ๒.
วรรค ปาจติ ตยิ กณั ฑ
โอรส “ผเู กิดแตอก”, ลูกชาย ประกอบสุจริต คือประพฤติชอบดวย
โอรัมภาคิยสังโยชน สังโยชนเบ้ืองต่ํา, กายวาจาใจ (=ทาํ แตความด)ี ๓. ทาํ ใจ
กิเลสผูกใจสัตวอยางหยาบ มี ๕ อยาง ของตนใหหมดจดจากเครื่องเศราหมอง
คือ สกั กายทิฏฐิ วจิ ิกจิ ฉา สีลัพพต- มีโลภ โกรธ หลง เปนตน (=ทําจิตต
ปรามาส กามราคะ ปฏฆิ ะ; ดู สงั โยชน ของตนใหสะอาดผองใส) โอวาท ๓ นี้
โอวาท คํากลาวสอน, คําวากลาว รวมอยใู น โอวาทปาตโิ มกข
ตกั เตอื น; “โอวาท” บอยครง้ั มาคเู คยี งกบั โอวาทปาฏิโมกข ดู โอวาทปาติโมกข
คาํ วา “อนสุ าสน”ี หรอื ไมก็ “อนศุ าสน” โอวาทปาตโิ มกข [โอ-วา-ทะ-ปา-ต-ิ โมก]
บางทีรวมเขาเปนคําเดียวกัน เปน หลักคําสอนสําคัญของพระพุทธศาสนา
“โอวาทานสุ าสน”ี และ “โอวาทานศุ าสน” หรือคําสอนอันเปนหัวใจของพระพุทธ
โดยเฉพาะ โอวาท กบั อนสุ าสนี เปนคาํ ศาสนา ไดแก พระพุทธพจน ๓ คาถากง่ึ
คูซ่ึงแสดงหนาท่ีของอุปชฌายและ ทพ่ี ระพทุ ธเจาตรสั แกพระอรหนั ต ๑,๒๕๐
อ า จ า ร ย ต อศิ ษ ย (อุ ปชฌาย ตอ รปู ผไู ปประชมุ กนั โดยมไิ ดนดั หมาย ณ
สทั ธวิ หิ ารกิ และอาจารยตออนั เตวาสกิ ) พระเวฬุวนาราม ในวนั เพญ็ เดอื น ๓ ที่
ตอจากอเุ ทศและปรปิ จุ ฉา รวมเปนวตั ร เราเรียกกันวาวันมาฆบูชา (อรรถกถา
ขอหลักขอแรก และทานอธิบายแยก กลาววา พระพุทธเจาทรงแสดงโอวาท-
ความหมายระหวาง ๒ คาํ น้ีไวบอยๆ ปาติโมกขน้ี แกที่ประชมุ สงฆ เปนเวลา
บางทีวาทั้งสองคํามีความหมายเหมือน ๒๐ พรรษากอนท่ีจะโปรดใหสวด
กนั ใชแทนกนั ได แตบางทกี แ็ ยกวา การ ปาติโมกขอยางปจจุบันนี้แทนตอมา),
ส่ังสอนวากลาวเปนประเดิมเร่ิมเร่ืองข้ึน คาถาโอวาทปาตโิ มกข มีดงั นี้
๖๓๗
โอวาทวรรค ๖๓๘ โอฬาริกรูป
สพฺพปาปสสฺ อกรณํ กสุ ลสฺสูปสมฺปทา มาก กค็ อื ความในคาถาแรกทว่ี า ไมทํา
สจิตตฺ ปรโิ ยทปนํ เอตํ พทุ ธฺ าน สาสนํ ฯ ช่วั ทําแตความดี ทาํ จติ ใจใหผองใส
โอวาทวรรค ตอนทีว่ าดวยเรอ่ื งใหโอวาท
ขนตฺ ี ปรมํ ตโป ตตี ิกขฺ า
นพิ ฺพานํ ปรมํ วทนตฺ ิ พทุ ธฺ า แกนางภกิ ษุณี เปนตน, เปนชอ่ื วรรคที่
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี ๓ แหงปาจิตติยกัณฑ ในมหาวิภังค
สมโณ โหติ ปรํ วเิ ห ยนโฺ ต ฯ พระวนิ ยั ปฎก
อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาตโิ มกเฺ ข จ สวํ โร โอวาทานุสาสนี คาํ กลาวสอนและพรา่ํ
มตตฺ ฺ ตุ าจ ภตตฺ สมฺ ึ ปนตฺ จฺ สยนาสนํ สอน, คําวากลาวตักเตือนและแนะนํา
อธิจติ เฺ ต จ อาโยโค เอตํ พทุ ฺธาน สาสนํ ฯ พร่ําสอน; ดู โอวาท
แปล: การไมทาํ ความชัว่ ทงั้ ปวง ๑ โอษฐ ปาก, รมิ ฝปาก
การบาํ เพญ็ แตความดี ๑ การทาํ จิตต โอสารณา การเรยี กเขาหม,ู เปนชอื่ สงั ฆ-
ของตนใหผองใส ๑ น้เี ปนคาํ สอนของ กรรมจาํ พวกหนึ่ง มที ั้งทีเ่ ปนอปโลกน-
พระพุทธเจาทั้งหลาย กรรม (เชน การรับสามเณรผกู ลาวตู
ขนั ติ คอื ความอดกล้ัน เปนตบะ พระผูมีพระภาคเจาซึ่งถูกนาสนะไปแลว
อยางยิง่ , พระพทุ ธเจาทั้งหลายกลาววา และเธอกลับตัวได) เปนญัตติกรรม
นิพพาน เปนบรมธรรม, ผูทาํ รายคนอืน่ (เชน เรยี กอปุ สมั ปทาเปกขะท่ีสอนซอม
ไมชอ่ื วาเปนบรรพชิต, ผเู บียดเบยี นคน อันตรายิกธรรมแลวเขาไปในสงฆ) เปน
อนื่ ไมช่อื วาเปนสมณะ ญัตตทิ ุตยิ กรรม (เชน หงายบาตรแก
การไมกลาวราย ๑ การไมทําราย คฤหสั ถทกี่ ลบั ตวั ประพฤตดิ )ี เปนญตั ต-ิ
๑ ความสาํ รวมในปาติโมกข ๑ ความ จตตุ ถกรรม (เชน ระงับนิคหกรรมที่ได
เปนผรู จู กั ประมาณในอาหาร ๑ ทีน่ ั่ง ทาํ แกภิกษุ); คกู บั นิสสารณา
นอนอันสงดั ๑ ความเพียรในอธิจิตต ๑ โอฬารกิ รปู ดทู ี่ รปู ๒๘
นี้เปนคาํ สอนของพระพุทธเจาท้งั หลาย
ที่เขาใจกนั โดยท่วั ไป และจํากนั ได
๖๓๘
ผนวก
คาํ นําบูชาในวันสาํ คญั
-•-
คาํ ถวายดอกไมธูปเทียน
วันมาฆบูชา
อชชฺ าย,ํ มาฆปณุ ณฺ มี สมปฺ ตตฺ า, มาฆนกขฺ ตเฺ ตน, ปณุ ณฺ จนโฺ ท ยตุ ฺโต, ยตฺถ
ตถาคโต, อรหํ สมมฺ าสมฺพุทฺโธ, จาตรุ งฺคิเก, สาวกสนฺนิปาเต, โอวาทปาติโมกฺขํ
อุทฺทิสิ.
ตทา ห,ิ อฑฒฺ เตรสานิ ภกิ ฺขสุ ตาน,ิ สพเฺ พสเํ ยว ขณี าสวานํ, สพเฺ พ เต
เอหภิ กิ ขฺ กุ า, สพเฺ พปิ เต อนามนตฺ ติ าว, ภควโต สนตฺ กิ ํ อาคตา, เวฬวุ เน กลนทฺ กนวิ าเป,
มาฆปุณณฺ มยิ ํ, วฑฺฒมานกจฉฺ ายาย, ตสมฺ ญิ ฺจ สนฺนิปาเต, ภควา วสิ ุทฺธุโปสถํ
อกาสิ, โอวาทปาตโิ มกฺขํ อุทฺทสิ .ิ อยํ อมหฺ ากํ ภควโต, เอโกเยว สาวกสนนฺ ิปาโต
อโหสิ, จาตุรงฺคิโก, อฑฺฒเตรสานิ ภกิ ฺขุสตาน,ิ สพเฺ พสเํ ยว ขณี าสวานํ.
มยนฺทาน,ิ อิม,ํ มาฆปุณฺณมี-นกฺขตฺตสมย,ํ ตกฺกาลสทสิ ํ, สมปฺ ตฺตา,
สจุ ริ ปรินพิ พฺ ตุ มฺป,ิ ตํ ภควนฺตํ อนสุ สฺ รมานา, อมิ สมฺ ึ, ตสฺส ภควโต, สกฺขภิ เู ต
เจติเย, อเิ มห,ิ ทปี ธูปปปุ ผฺ าท-ิ สกฺกาเรหิ, ตํ ภควนฺตํ, ตานิ จ, อฑฺฒเตรสานิ
ภิกขฺ สุ ตานิ, อภิปชู ยาม.
สาธุ โน ภนฺเต ภควา, สสาวกสงโฺ ฆ, สจุ ริ ปรินิพฺพุโตปิ, คเุ ณหิ ธรมาโน, อิเม
สกฺกาเร, ทคุ คฺ ตปณณฺ าการภเู ต, ปฏิคฺคณหฺ าตุ, อมฺหาก,ํ ฑีฆรตฺตํ, หิตาย,
สุขาย.
คาํ แปล
วนั น้ี มาถงึ มาฆปณุ ณมี ดถิ พี ระจนั ทรเพญ็ ประกอบดวยมาฆฤกษ ตรงกบั วนั ทอี่ งค
พระตถาคต อรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา ไดทรงแสดงโอวาทปาตโิ มกข ในทป่ี ระชมุ สงฆ
สาวก พรอมองคสป่ี ระการ
คร้งั นั้นแล พระภกิ ษุ ๑,๒๕๐ องค ลวนแตขณี าสพอรหันต อปุ สมบทดวยเอหิ
ภกิ ขุอุปสมั ปทา มิไดมีผใู ดนัดหมาย ไดมายังสํานกั พระผูมีพระภาค ณ พระอาราม
เวฬุวัน เวลาตะวนั บาย ในวันมาฆปณุ ณมี ณ ทีป่ ระชมุ น้นั พระผมู ีพระภาคเจาได
ทรงกระทําวสิ ทุ ธิอุโบสถ ทรงแสดงโอวาทปาตโิ มกข การประชมุ พระสงฆสาวกพรอม
ดวยองค ๔ ของพระผมู ีพระภาคเจาแหงเราท้งั หลาย ไดมีเพียงคร้ังเดยี วนี้เทานนั้
ภกิ ษุผเู ขาประชุม ๑,๒๕๐ องคนั้น ลวนเปนพระขีณาสพอรหนั ต
บดั น้ี เราท้ังหลาย มาถงึ มาฆปุณณมนี กั ขัตตสมัย คลายวันสาวกสนั นิบาตนั้น
แลว มาระลกึ ถึงพระผมู พี ระภาค แมปรนิ ิพพานนานแลว ขอนอมบชู าพระผมู ีพระ
ภาค กบั ท้งั ภิกษสุ งฆสาวก ๑,๒๕๐ องคนน้ั ดวยเครื่องสักการะทั้งหลาย มีธูปเทียน
ดอกไม เปนตน เหลานี้ ณ พระพุทธเจดีย ซึง่ เปนสักขีพยาน แหงพระผูมีพระภาค
เจาพระองคน้นั
ขาแตพระผูมีพระภาคเจาผูเจริญ ขอพระผูมีพระภาคเจา พรอมทง้ั พระสงฆ
สาวก แมปรนิ พิ พานนานนักแลว แตโดยพระคุณทงั้ หลายยังคงดํารงอยู จงทรงรับ
เครื่องสกั การะเหลานข้ี องขาพเจาทั้งหลาย เพ่อื ประโยชนและความสขุ แกขาพเจาทงั้
หลาย สน้ิ กาลนาน เทอญฯ
๖๔๑
คําถวายดอกไมธูปเทยี น
วันวสิ าขบชู า
ยมมฺห โข มย,ํ ภควนฺตํ สรณํ คตา, โย โน ภควา สตถฺ า, ยสสฺ จ มยํ,
ภควโต ธมมฺ ํ โรเจม, อโหสิ โข โส ภควา, มชฺฌเิ มสุ ชนปเทส,ุ อรยิ เกสุ มนุสฺเสสุ
อุปปฺ นฺโน, ขตตฺ โิ ย ชาตยิ า, โคตโม โคตเฺ ตน, สกยฺ ปตุ ฺโต, สกฺยกุลา ปพพฺ ชโิ ต,
สเทวเก โลเก, สมารเก สพรฺ หมฺ เก, สสฺสมณพรฺ าหฺมณิยา ปชาย,
สเทวมนสุ สฺ าย, อนตุ ฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ, อภสิ มฺพุทฺโธ.
นิสฺสสํ ยํ โข โส ภควา, อรหํ สมฺมาสมพฺ ทุ โฺ ธ, วิชชฺ าจรณสมฺปนฺโน, สคุ โต,
โลกวทิ ,ู อนุตตฺ โร ปรุ สิ ทมมฺ สารถ,ิ สตฺถา เทวมนสุ ฺสาน,ํ พทุ โฺ ธ ภควา.
สวฺ ากฺขาโต โข ปน, เตน ภควตา ธมโฺ ม, สนฺทิฏฺฐิโก, อกาลิโก,
เอหปิ สสฺ ิโก, โอปนยโิ ก, ปจฺจตฺตํ เวทติ พโฺ พ วิญฺญูหิ.
สุปฏิปนโฺ น โข ปนสสฺ , ภควโต สาวกสงฺโฆ, อชุ ุปฏิปนโฺ น ภควโต สาวกสงโฺ ฆ,
ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ, สามีจปิ ฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงโฺ ฆ, ยททิ ํ
จตฺตาริ ปรุ ิสยคุ าน,ิ อฏฐฺ ปุริสปุคฺคลา, เอส ภควโต สาวกสงโฺ ฆ, อาหุเนยโฺ ย,
ปาหเุ นยฺโย, ทกฺขิเณยฺโย, อญฺชลีกรณีโย, อนุตฺตรํ ปญุ ฺญกเฺ ขตตฺ ํ โลกสสฺ .
อยํ โข ปน ปฏิมา (ถโู ป), ตํ ภควนฺตํ อุททฺ ิสฺส กตา (กโต), ยาวเทว ทสสฺ เนน,
ตํ ภควนตฺ ํ อนสุ สฺ รติ วฺ า, ปสาทสเํ วคปฏลิ าภาย.
มยํ โข เอตรห,ิ (อิมํ วิสาขปุณณฺ มีกาลํ, ตสฺส ภควโต, ชาตสิ มโฺ พธินพิ ฺพาน-
กาลสมฺมต)ํ ปตวฺ า, อิมํ ฐานํ สมปฺ ตฺตา, อเิ ม, ทปี ธปู ปุปผฺ าทิ-สกฺกาเร,
คเหตวฺ า, อตตฺ โน กายํ, สกฺการุปธานํ กรติ วฺ า, ตสสฺ ภควโต, ยถาภจุ เฺ จ คเุ ณ,
อนสุ สฺ รนตฺ า, อมิ ํ ปฏมิ าฆรํ (ถูปํ), ติกฺขตฺตุํ, ปทกฺขิณํ กริสฺสาม, ยถาคหิเตหิ,
สกฺกาเรหิ, ปูชํ กรุ มุ านา.
สาธุ โน ภนฺเต ภควา, สุจริ ปรนิ พิ พฺ ุโตปิ, ญาตพฺเพหิ คุเณหิ,
อตีตารมมฺ ณตาย, ปญฺญายมาโน, อิเม, อมฺเหหิ คหเิ ต, สกกฺ าเร,
ปฏคิ ฺคณฺหาต,ุ อมหฺ ากํ, ฑฆี รตตฺ ํ, หติ าย, สุขาย.
๖๔๑
๖๔๒
คาํ แปล
เราทงั้ หลายถึงพระผูมีพระภาคพระองคใด วาเปนทพี่ ึ่งทีร่ ะลกึ พระผมู พี ระภาค
พระองคใด เปนศาสดาของเราทง้ั หลาย ก็เราทงั้ หลายชอบใจธรรม ของพระผูมีพระ
ภาคพระองคใด พระผูมพี ระภาคเจา พระองคนน้ั แล เสด็จอุบัติแลวในมชั ฌิมชนบท
ในหมแู หงมนุษยชาวอริยกะท้ังหลาย พระองคเปนกษัตรยิ โดยพระชาติ เปนโคดมโดย
พระโคตร เปนสกั ยบุตร บรรพชาแลวจากสกั ยตระกูล ไดตรัสรแู ลวซงึ่ อนุตตรสัมมา
สมั โพธญิ าณ
โดยไมมีที่สงสยั แล พระผมู พี ระภาคพระองคนนั้ เปนพระอรหนั ต ตรสั รูชอบ
ดวยพระองคเอง ทรงถึงพรอมดวยวิชชาปญญาตรัสรูแจงชัด และจรณะขอปฏิบัติ
เครือ่ งดาํ เนินถึงวชิ ชานน้ั ครบครัน เสดจ็ ไปดแี ลว เปนผรู ูแจงโลก เปนสารถฝี กบรุ ุษที่
ควรฝกได ไมมผี ใู ดย่งิ ไปกวา เปนศาสดาของปวงเทพแลมนษุ ยทง้ั หลาย เปนผรู ู ผตู ่ืน
ผูเบกิ บานแลว ทรงมีพระคณุ ความดีเปนทีน่ ับถือเลศิ ลน
ธรรมอันพระผมู ีพระภาคเจาน้ันแล ตรัสไวดีแลว อนั ผูปฏบิ ตั จิ ะพึงเหน็ ชัดดวย
ตนเอง ไมตองรอกาลเวลาที่จะใหผล เปนของดีจรงิ แท ควรจะเชิญชวนใหมาดู แล
ควรจะนอมเขามาในตน เปนธรรมทวี่ ญิ ูชนจะพงึ รเู ฉพาะตน ตองทําจงึ เสวยผลได
พระสงฆสาวกของพระผูมพี ระภาคเจา เปนผปู ฏบิ ัตดิ ี เปนผปู ฏบิ ตั ติ รง เปนผู
ปฏบิ ตั ิควรแกเหตผุ ล เปนผูปฏบิ ตั ินาเคารพนับถือ พระสงฆสาวกน้ี คือคูบุรษุ สีค่ ู นับ
เรยี งตวั ตามลําดับอรยิ มรรคอริยผล เปนแปดบุคคล หมสู าวกของพระผมู ีพระภาคเจา
น้ี เปนผูควรแกของทบ่ี คุ คลนํามาบชู า เปนผูควรแกสกั การะเคร่อื งตอนรับ เปนผคู วร
แกทานท่ีบุคคลบรจิ าคถวาย เปนผูควรแกการทําอัญชลปี ระนมมือไหว เปนนาบุญของ
โลก ไมมีบญุ เขตอ่ืนย่งิ ไปกวา
ก็พระปฏิมา(พระสถูป)น้ีแล ไดสรางอุทิศเฉพาะตอพระผูมีพระภาคพระองคน้ัน
เพอื่ ใหไดเหน็ เปนทร่ี ะลกึ ถงึ พระคณุ ของพระองค จะไดเกดิ ความเลอ่ื มใสและเปนเครอ่ื ง
กระตนุ เตอื นใจ
๖๔๒
๖๔๓
บดั นี้ มาถึง (วนั วิสาขปณุ ณมีเพ็ญเดือนหก อนั เปนทีร่ ูวาคือกาลเปนที่ประสูติ
ตรสั รู และปรินิพพาน ของพระผูมีพระภาคพระองคน้ัน) เราทง้ั หลายจึงมาพรอมกัน
ยังสถานทีน่ ้ี ไดถอื เคร่ืองสักการะเหลาน้ี มีธปู เทยี นดอกไม เปนตน ทาํ กายของตนให
เปนดงั ภาชนะรองรับเครอ่ื งสักการะ นอมราํ ลกึ ถึงพระคณุ ท้งั หลายตามทีเ่ ปนจริง ของ
พระผูมีพระภาคพระองคนั้น จะทาํ ประทักษิณพระปฏมิ า(พระสถูป)น้ี สิ้นวาระสาม
รอบ กระทาํ การบชู า ดวยเครอ่ื งสกั การะทง้ั หลายตามที่ถือไวน้ี
ขาแตพระผมู ีพระภาคผเู จรญิ ขอพระผูมพี ระภาคพระองคนั้น แมปรินิพพาน
แลวสนิ้ กาลนาน แตโดยพระคณุ ทั้งหลายยงั ปรากฏอยู อันบุคคลพงึ รโู ดยความ
เปนอตตี ารมณ จงทรงรับซึ่งเครื่องสกั การะ อันขาพเจาทงั้ หลายถอื ไวแลวน้ี เพอื่
ประโยชนและความสุข แกขาพเจาทั้งหลาย ส้ินกาลนาน เทอญฯ
หมายเหต:ุ ถาเวยี นรอบเจดีย ใชคาํ วา ถูโป, กโต, ถูปํ อยางในวงเลบ็
ถาเวียนรอบโบสถ ใชอยางที่ใหไวนอกวงเลบ็
อน่งึ ถาเปนเวียนเทยี นในวันอัฏฐมี เปลยี่ นขอความยาวในวงเล็บเปน “วิสาขปณุ ฺณมโิ ต
ปร,ํ อฏฐฺ มีกาล,ํ ตสฺส ภควโต, สรรี ชฺฌาปน-กาลสมฺมต”ํ และเปลย่ี นคําแปลเปน
“บัดนี้ เราทงั้ หลายอยมู าถงึ วนั อฏั ฐมี ซ่งึ ตอหลงั จากวนั วิสาขปุณณมี สมมติวา
เปนวนั ปลงพระสรีระของสมเดจ็ พระผูมีพระภาคเจานัน้ ”
๖๔๓
๖๔๔
คําถวายดอก ไม ธูป เทยี น
วนั อาสาฬหบชู า
ยมมฺห โข มยํ, ภควนฺตํ สรณํ คตา, โย โน ภควา สตถฺ า, ยสสฺ จ มย,ํ
ภควโต ธมฺมํ โรเจม. อโหสิ โข โส ภควา, อรหํ สมฺมาสมพฺ ุทฺโธ, สตฺเตสุ,
การุญฺญํ ปฏิจฺจ, กรณุ ายโก หเิ ตสี, อนกุ มปฺ ํ อปุ าทาย, อาสาฬหฺ ปณุ ณฺ มิย,ํ
พาราณสิยํ, อิสปิ ตเน มิคทาเย, ปญฺจวคฺคยิ านํ ภิกขฺ นู ,ํ อนตุ ตฺ รํ ธมฺมจกฺกํ,
ปฐมํ ปวตเฺ ตตวฺ า, จตตฺ าริ อริยสจจฺ าน,ิ ปกาเสส.ิ
ตสฺมญิ ฺจ โข สมเย, ปญฺจวคฺคยิ านํ ภิกขฺ นู ํ, ปมโุ ข, อายสฺมา
อญฺญาโกณฑฺ ญฺโญ, ภควโต ธมมฺ ํ สตุ วฺ า, วิรชํ วีตมล,ํ ธมมฺ จกขฺ ,ํุ ปฏลิ ภติ วฺ า,
ยงกฺ ญิ ฺจิ สมทุ ยธมมฺ ,ํ สพพฺ นตฺ ํ นโิ รธธมมฺ นตฺ ,ิ ภควนตฺ ,ํ อปุ สมปฺ ทํ ยาจติ วฺ า,
ภควโตเยว สนตฺ เิ ก, เอหภิ กิ ขฺ อุ ปุ สมปฺ ท,ํ ปฏลิ ภติ วฺ า, ภควโต ธมฺมวนิ เย,
อรยิ สาวกสงฺโฆ, โลเก ปฐมํ อปุ ปฺ นโฺ น, อโหสิ.
ตสมฺ ญิ จฺ าปิ โข สมเย, สงฆฺ รตน,ํ โลเก ปฐมํ อปุ ฺปนฺนํ, อโหสิ,
พทุ ฺธรตนํ, ธมมฺ รตน,ํ สงฆฺ รตนนฺติ, ติรตนํ สมฺปุณณฺ ํ อโหสิ.
มยํ โข เอตรห,ิ อมิ ํ อาสาฬฺหปณุ ณฺ มีกาล,ํ ตสสฺ ภควโต, ธมฺมจกฺกปปฺ วตฺตน-
กาลสมฺมตํ, อริยสาวกสงฺฆ-อุปฺปตฺติกาลสมฺมตญฺจ, รตนตฺตยสมฺปุณฺณ-
กาลสมมฺ ตญจฺ , ปตฺวา, อิมํ ฐานํ สมปฺ ตตฺ า, อเิ ม สกกฺ าเร คเหตวฺ า,
อตตฺ โน กาย,ํ สกกฺ ารปุ ธานํ กรติ ฺวา, ตสฺส ภควโต, ยถาภุจเฺ จ คุเณ,
อนุสฺสรนฺตา, อมิ ํ พทุ ธฺ ปฏิมํ (ถปู ํ), ตกิ ฺขตตฺ ํุ, ปทกขฺ ณิ ํ กริสฺสาม,
ยถาคหิเตหิ สกกฺ าเรห,ิ ปูชํ กุรุมานา.
สาธุ โน ภนเฺ ต ภควา, สจุ ริ ปรนิ พิ พฺ โุ ตป,ิ ญาตพเฺ พหิ คเุ ณห,ิ
อตตี ารมมฺ ณตาย, ปญญฺ ายมาโน, อเิ ม, อมฺเหหิ คหเิ ต, สกฺกาเร,
ปฏิคคฺ ณฺหาต,ุ อมหฺ าก,ํ ทฆี รตตฺ ,ํ หิตาย, สุขาย.
๖๔๔
๖๔๕
คาํ แปล
เราทัง้ หลายถงึ ซึ่งพระผูมพี ระภาคพระองคใดแล วาเปนที่พึง่ ท่รี ะลกึ พระผมู ี
พระภาคพระองคใดเปนพระศาสดาของเราทั้งหลาย อนึ่ง เราท้ังหลายชอบใจซึ่งธรรม
ของพระผูมีพระภาคพระองคใด พระผูมีพระภาคเจาพระองคน้ัน เปนพระอรหันต
ตรสั รชู อบดวยพระองคเอง ทรงอาศยั ความการญุ ในสตั วทงั้ หลาย ทรงพระกรุณาแสวงหา
ประโยชนเกื้อกูล ทรงอาศัยความเอ็นดู ไดยงั พระธรรมจกั รอันยอดเยีย่ มใหเปนไป
ทรงประกาศอริยสัจ ๔ เปนครั้งแรก แกพระภิกษุปญจวัคคีย ท่ีปาอิสิปตน
มฤคทายวนั ใกลกรุงพาราณสี ในวันอาสาฬหปณุ ณมี
อนึง่ ในสมยั นนั้ แล ทานพระอญั ญาโกณฑัญญะ ผูเปนหัวหนาของพระภกิ ษุ
ปญจวัคคีย ฟงธรรมของพระผูมีพระภาคแลว ไดธรรมจักษุอันบริสุทธิ์ปราศจาก
มลทนิ วา สิง่ ใดส่งิ หนง่ึ มีความเกดิ ข้นึ เปนธรรมดา สง่ิ ท้งั ปวงนั้น มีความดบั ไปเปน
ธรรมดา จึงทูลขออปุ สมบท กะพระผมู ีพระภาคเจา แลวไดเปนพระอรยิ สงฆสาวก ใน
ธรรมวินัยของพระผูมพี ระภาคเจา เปนองคแรกในโลก
อนง่ึ ในสมยั แมนัน้ แล พระสังฆรตั นะไดบงั เกดิ ขึน้ เปนคร้งั แรก พระรตั นตรยั
คือ พระพทุ ธรตั นะ พระธรรมรตั นะ พระสังฆรตั นะ ไดสมบรู ณแลวในโลก
บัดน้ี เราทั้งหลายแล มาประจวบมงคลสมยั อาสาฬหปุณณมี วันเพญ็
อาสาฬหมาส ทร่ี ูพรอมกันวา เปนวนั ที่พระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้นทรงประกาศ
พระธรรมจกั ร เปนวนั ท่ีเกดิ ขนึ้ แหงพระอรยิ สงฆสาวก และเปนวนั ทพี่ ระรตั นตรยั สมบรู ณ
คือ ครบ ๓ รตั นะ จึงมาประชุมกันแลว ณ ทนี่ ี้ ถือเคร่อื งสักการะเหลาน้ี ทาํ กายของ
ตนใหเปนดังภาชนะรองรับเครื่องสักการะ ระลกึ ถึงพระคณุ ตามเปนจริงทงั้ หลายของ
พระผูมีพระภาคเจาน้ัน จักทําประทักษิณส้ินวาระสามรอบ ซึ่งพระพุทธปฏิมา(พระ
สถปู )น้ี บชู าอยูดวยสกั การะตามทถี่ ือไวแลว
ขาแตพระองคผูเจรญิ ขอพระผมู ีพระภาคเจาแมเสด็จปรนิ ิพพานนานแลว แต
โดยพระคุณยงั ทรงดํารงอยู อนั ขาพระพุทธเจาทัง้ หลาย จะพึงรูโดยความเปนอตีตารมณ
จงทรงรับเครอื่ งสกั การะ อนั ขาพระพทุ ธเจาทั้งหลายถือไวแลวนี้ เพ่ือประโยชน เพื่อ
ความสขุ แกขาพระพทุ ธเจาทั้งหลาย สิน้ กาลนาน เทอญฯ
๖๔๕
๖๔๖
แถลงการจดั ทําหนังสอื ประกาศพระคุณ ขอบคณุ และอนโุ มทนา
หนงั สือนีเ้ กิดขนึ้ ในเวลาเรงดวน แตสําเร็จไดดวยความรวมแรงรวมใจของผูรวมสํานักและดวยการใชวธิ ลี ัด
คือ ขอใหพระเปรียญ ๔ รปู แหงสํานักวดั พระพเิ รนทร นําคําศัพทท้งั หลายในหนงั สือ ศพั ทหลกั สูตรภาษาไทย
สาํ หรบั นักธรรมชั้นตรี ชน้ั โท และ ช้ันเอก รวม ๓ เลม ไปเรียงลาํ ดับอกั ษรมา แลวผูจัดทําปรงุ แตงขยายออกเปน
พจนานุกรมพุทธศาสน เลมน้ี
หนงั สอื ศพั ทหลกั สตู รภาษาไทย ๓ เลมนน้ั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ไดจดั พมิ พขนึ้ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๐๓ ใน
คราวทค่ี ณะสงฆเพม่ิ วชิ าภาษาไทยเขาในหลกั สตู รนกั ธรรมทง้ั สามชน้ั หนงั สอื แตละเลมแบงออกเปน ๓ ภาค ตามวชิ า
เรยี นของนกั ธรรม คอื พทุ ธประวตั ิ (อนพุ ทุ ธประวตั ิ และพทุ ธานพุ ทธประวตั )ิ ธรรม และวนิ ยั รวม ๓ เลม เปน ๙ ภาค
มศี พั ทจาํ นวนมาก แตคงจะเปนเพราะการจดั ทาํ และตพี มิ พเรงรบี เกนิ ไป หนงั สอื จงึ ยงั ไมเขารปู เทาทคี่ วร ประจวบกบั ทาง
คณะสงฆไดยกเลกิ วชิ าภาษาไทยเสยี อกี หนงั สอื ชดุ นจ้ี งึ ทง้ั ถกู ทอดทงิ้ และถกู หลงลมื เหตทุ ผี่ จู ดั ทาํ มานกึ ถงึ หนงั สอื นี้ ก็
เพราะระหวางนี้ กาํ ลงั เขยี น สารานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั กลาง คางอยู จงึ มคี วามเกยี่ วของกบั หนงั สอื จาํ พวกประมวล
ศพั ทและพจนานกุ รมอยบู อยๆ เมอ่ื ปรารภกนั วาจะพมิ พหนงั สอื เปนทร่ี ะลกึ ในงานพระราชทานเพลงิ ศพทานพระครปู ลดั
สมยั กติ ตฺ ทิ ตโฺ ต เจาอาวาสวดั พระพเิ รนทร เวลาผานลวงไปกย็ งั ไมไดหนงั สอื ทจ่ี ะพมิ พ ผจู ดั ทาํ นร้ี ตู วั วาอยใู นฐานะทจ่ี ะ
ตองเปนเจาการในดานการพมิ พ จงึ ไดพยายามมาแตตนทจี่ ะหลกี เลยี่ งการพมิ พหนงั สอื ทต่ี นเขยี นหรอื มสี วนรวมเขยี น
ครน้ั เหน็ จวนตวั เขา คดิ วาหากนาํ หนงั สอื ศพั ทหลกั สตู รภาษาไทย ๓ เลม ๙ ภาคนม้ี าปรบั ปรงุ ตกแตงเพยี งเลก็ นอย กจ็ ะ
ไดหนงั สอื ทม่ี ปี ระโยชนพอสมควร และขนาดเลมหนงั สอื กจ็ ะพอเหมาะแกงาน เมอื่ นาํ มาหารอื กนั กไ็ ดรบั ความเหน็ ชอบ
จงึ เรม่ิ ดาํ เนนิ การ เมอ่ื แรกตกลงใจนน้ั คดิ เพยี งวา นาํ ศพั ททงั้ หมดมาเรยี งลาํ ดบั ใหมเขาเปนชดุ เดยี วกนั เทานนั้ กค็ งเปน
อนั เพยี งพอ จากนนั้ โหมตรวจเกลาอกี เพยี ง ๔–๕ วนั กค็ งเสรจ็ สน้ิ ทงั้ ตนเองกจ็ ะหลกี เลย่ี งจากความเปนผเู ขยี นไดดวย
แตเมอื่ ทาํ จรงิ กลายเปนใชเวลาปรงุ แตงเพมิ่ เตมิ อยางหนกั ถงึ คอนเดอื นจงึ เสรจ็ จาํ ตองทาํ ตนฉบบั ไป ทยอยตพี มิ พไป
ขนาดหนงั สอื กข็ ยายจากทกี่ ะไวเดมิ ไปอกี มาก ศพั ทจาํ นวนมากมายในศพั ทหลกั สตู ร ทซ่ี า้ํ กนั และทเ่ี ปนคาํ สามญั ในภาษา
ไทย ไดตดั ทง้ิ เสยี มากมาย คาํ ทเ่ี หน็ ควรเพมิ่ กเ็ ตมิ เขามาใหมเทาทท่ี าํ ไดทนั คาํ ทมี่ อี ยแู ลวซง่ึ เหน็ วามขี อควรรอู กี กเ็ สรมิ
และขยายออกไป กลายเปนหนงั สอื ใหมขน้ึ อกี เลมหนงึ่ มลี กั ษณะแปลกออกไปจากของเดมิ หลกี เลย่ี งความเปนผเู ขยี น
หรอื รวมเขยี นไมพน อยางไรกต็ าม เนอ้ื หาในศพั ทหลกั สตู รนนั้ กย็ งั คงเปนสวนประกอบเกอื บครึ่งตอครง่ึ ในหนงั สอื เลมน้ี
เนอ้ื หาทม่ี าจากหนงั สอื ศพั ทหลกั สตู รเหลานนั้ แยกตามแหลงไดเปน ๓ พวกใหญ คอื พวกหนง่ึ เปนความหมายและคาํ
อธบิ ายทคี่ ดั จากหนงั สอื แบบเรยี นนกั ธรรม มี นวโกวาท และ วนิ ยั มขุ เปนตน ซง่ึ สวนใหญเปนพระนพิ นธของ สมเดจ็
พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส พวกทสี่ องไดแกคาํ ไทยสามญั หรอื คาํ เกยี่ วกบั ภาษาและวรรณคดี ซง่ึ คดั คาํ
จาํ กดั ความหรอื ความหมายมาจาก พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ พวกทสี่ ามคอื นอกจากนนั้ เปนคาํ
อธบิ ายของทานผรู วบรวมและเรยี บเรยี งหนงั สอื ศพั ทหลกั สตู รเหลานนั้ เอง สวนครงึ่ หนง่ึ ทเี่ พม่ิ ใหม คดั หรอื ปรบั ปรงุ จาก
พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ของพระราชวรมนุ ี (ประยทุ ธ ปยตุ โฺ ต) คอื ผจู ดั ทาํ นเี้ องบาง ปรงุ ขน้ึ ใหมสาํ หรบั คราวนี้ ซงึ่ บาง
สวนอาจพองกบั ใน สารานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั กลาง อนั เปนวทิ ยาทานทจี่ ะพมิ พออกตอไปบาง ไดจากแหลงอน่ื ๆ รวม
ทงั้ แบบเรยี นนกั ธรรมทกี่ ลาวมาแลวบาง
หนงั สอื นเี้ รยี ก พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ใหตางจาก พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ทไี่ ดจดั ทาํ และตพี มิ พไปกอนแลว
เพราะ พจนานุกรมพุทธศาสตร แสดงเฉพาะขอทเ่ี ปนหลกั หรือหลกั การของพระพุทธศาสนา อนั ไดแกคําสอนทีเ่ ปน
สาระสําคัญ สวนหนังสอื เลมนรี้ วมเอาสงิ่ ท้งั หลายทเ่ี รียกกันโดยนามวาพระพทุ ธศาสนาเขามาอยางทัว่ ไป มีทัง้ คําสอน
ประวตั ิ กจิ การ พิธีกรรม และแมสิง่ ท่ีไมเก่ียวกบั พระพุทธศาสนาโดยตรง อยางไรก็ตาม แม พจนานกุ รมพทุ ธศาสน
นี้จะมขี อบขายกวางขวางกวา พจนานกุ รมพุทธศาสตร แตก็หยอนกวาในแงความลกึ และความละเอยี ด เพราะเขยี น
๖๔๖
๖๔๗
แคพอรู ตลอดจนมีลักษณะทางวิชาการนอยกวา เชน ไมไดแสดงที่มา เปนตน การที่ปลอยใหลกั ษณะเหลานข้ี าดอยู
นอกจากเพราะเวลาเรงรดั และขนาดหนงั สอื บงั คบั แลว ยงั เปนเพราะเหน็ วาเปนลกั ษณะทพี่ งึ มใี น สารานกุ รมพทุ ธศาสน
ฉบบั กลาง หรอื แม ฉบับเลก็ ท่ีทําอยกู อนแลว แตยังไมเสรจ็ อยางไรกด็ ี ดวยเนอ้ื หาเทาที่มีอยูน้ี หวังวา พจนานกุ รม
พุทธศาสน คงจักสาํ เร็จประโยชนพอสมควร โดยเฉพาะแกครแู ละนกั เรยี นนกั ธรรม สมตามชือ่ ท่ไี ดตงั้ ไว
การทหี่ นงั สือนสี้ ําเรจ็ ได นอกจากอาศัยคัมภีรภาษาบาลที ใี่ ชปรกึ ษาคนควาเปนหลกั ตนเดมิ แลว ยงั ไดอาศยั
อุปการะแหงแบบเรียน ตํารา และความชวยเหลอื รวมงานของผเู ก่ียวของหลายทาน ดังไดกลาวแลว ณ โอกาสนี้
จึงขออนสุ รพระคุณแหง สมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซงึ่ ไดทรงพระนพิ นธแบบ
เรียนนักธรรมไว อันอํานวยความหมายและคาํ อธิบายแหงศัพทตางๆ ที่เกีย่ วกับพระธรรมวินัย จํานวนมาก มที ัง้ ท่ี
ทรงวางไวเปนแบบ และทรงแนะไวเปนแนว
ขออนุโมทนาตอคณะกรรมการชําระปทานกุ รม ซึง่ ทําใหเกดิ มี พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ.
๒๔๙๓ ทีอ่ าํ นวยความหมายแหงคําศพั ททีม่ ใี ชในภาษาไทย
ขออนโุ มทนาขอบคณุ คณะผจู ดั ทาํ หนงั สอื ศพั ทหลกั สตู รภาษาไทย ของมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั คือ
อาจารยแปลก สนธิรักษ ปธ. ๙ อาจารยสวสั ด์ิ พินจิ จันทร ปธ. ๙ อาจารยสิริ เพช็ รไชย ปธ. ๙ และพระมหาจาํ ลอง
ภูรปิ ฺโ (สารพดั นึก) พธ.บ., M.A. ผูเกบ็ รวบรวมศพั ทและแสดงความหมายของศพั ทไวไดเปนจํานวนมาก
พระเปรยี ญ ๔ รปู คอื พระมหาอนิ ศร จนิ ตฺ าป โฺ พระมหาแถม กติ ตฺ ภิ ทโฺ ท พระมหาเฉลมิ าณจารี และ
พระมหาอัมพร ธีรป โฺ เปนผูเหมาะสมที่จะรวมงานนี้ เพราะเคยเปนนักเรยี นรนุ พิเศษแหงสํานกั วดั พระพเิ รนทร
ซงึ่ ไดมาเลาเรยี นตง้ั แตยงั เปนสามเณร และไดอยใู นความดแู ลรบั ผดิ ชอบอยางใกลชดิ ของพระครปู ลดั สมยั กติ ตฺ ทิ ตโฺ ต
ในฐานะทที่ านเปนอาจารยใหญแหงสํานกั เรียน ทั้งสีร่ ูปนี้ นอกจากเปนผจู ดั เรยี งลาํ ดับศพั ทในเบ้อื งตนแลว ยงั ได
ชวยตรวจปรูฟ และขวนขวายในดานธุรการอ่ืนๆ โดยตลอดจนหนังสือเสร็จ ช่ือวาเปนผูรวมจัดทําหนังสือ
พจนานกุ รมพุทธศาสน น้ี
คณะวดั พระพเิ รนทร ทง้ั ฝายพระสงฆและศษิ ย ไดชวยสนบั สนนุ ดวยการบรจิ าครวมเปนทนุ คาตพี มิ พบาง กระทาํ
ไวยาวจั การอยางอนื่ บาง โดยเฉพาะในเวลาทาํ งานเรงดวนทต่ี องอทุ ศิ เวลาและกาํ ลงั ใหแกงานอยางเตม็ ทเ่ี ชนน้ี ทางฝาย
พระสงฆ พระภกิ ษถุ วลั ย สมจติ โฺ ต และทางฝายศษิ ย นายสมาน คงประพนั ธ ไดชวยเออื้ อาํ นวยใหเกดิ สปั ปายะเปนอยาง
มาก แมทานอนื่ ๆ ทม่ี กี ศุ ลเจตนาสนบั สนนุ อยหู างๆ มพี ระภกิ ษฉุ าย ป ฺ าทโี ป เปนตน กข็ ออนโุ มทนาไว ณ ทนี่ ดี้ วย
ขออนุโมทนาตอทางโรงพิมพรงุ เรืองธรรม ทตี่ ั้งใจตีพมิ พหนงั สือเลมนี้ โดยฐานมีความสัมพันธกบั วดั พระ
พเิ รนทรมาเปนเวลานาน และมีความรูจกั คนุ เคยกบั ทานพระครปู ลัดสมยั โดยสวนตัว จึงสามารถตพี มิ พใหเสร็จทัน
การ แมจะมีเวลาทํางานจาํ กดั อยางยงิ่ ท้งั นี้ ขออนุโมทนาตลอดไปถึงผูทํางานทง้ั หลาย มชี างเรยี ง เปนตน ทมี่ ีนํ้าใจ
ชวยแทรกขอความที่ขอเพ่มิ เติมเขาบอยๆ ในระหวางปรฟู โดยเรียบรอย ท้งั ท่เี ปนเรอ่ื งยุงยากสาํ หรบั งานทเี่ รง
ทางฝายการเงินแจงวา ทุนทีม่ ีผูบริจาคชวยคาตีพมิ พหนังสือยงั มไี มถงึ ๑๐,๐๐๐.๐๐ บาท (หนงึ่ หมน่ื บาท)
“ทุนพมิ พพทุ ธศาสนปกรณ” ไดทราบจึงมอบทนุ ชวยคาตีพมิ พเปนเงนิ ๒๐,๐๐๐ บาท (สองหมื่นบาท)
ทนุ พมิ พพทุ ธศาสนปกรณนัน้ เกิดจากเงนิ ทพ่ี ทุ ธศาสนกิ ชนชาวไทยในสหรฐั อเมริกา (สวนมาก คอื เมือง
นิวยอรค ชิคาโก ฟลาเดลเฟย และบางเมอื งในนวิ เจอรซี) บริจาคเพื่อเปนคาเดินทางและคาใชจายสวนตวั ของผจู ัดทาํ
หนงั สือนี้ในโอกาสตางๆ และผูจัดทําไดยกต้ังอุทิศเปนทนุ พมิ พหนงั สอื ทางพระศาสนาซึ่งคิดวาจะเปนประโยชนมาก
กวา การนําทุนน้ันมาชวยคาพิมพหนังสือเลมนี้ แมเปนเร่ืองฉุกเฉินนอกเหนือจากโครงการ แตก็ยังอยูในวัตถุ
ประสงค จึงขออทุ ิศกุศล ขออาํ นาจบุญราศอี นั เกดิ จากการจดั ทําและจัดพมิ พหนังสอื นี้ จงเปนพลวปจจัย อํานวยให
ทานพระครปู ลดั สมัย กิตฺตทิ ตโฺ ต ประสบสุขสมบตั ิในสัมปรายภพ ตามควรแกคติวสิ ัย ทุกประการฯ
ผจู ัดทาํ
๖๔๗
ความเปนมาของ พจนานกุ รมพุทธศาสตร
เมือ่ พ.ศ. ๒๕๐๖ พระมหาประยุทธ ปยตุ โฺ ต ไดจัดทาํ พจนานุกรมศพั ทพระพุทธศาสนา ไทย–บาล–ี
องั กฤษ เลมเลก็ ๆ เลมหนึง่ เสรจ็ ส้นิ (เปนฉบับที่มงุ คําแปลภาษาอังกฤษ ไมมีคาํ อธบิ าย ตอมาไดเริม่ ขยายใหพิสดาร
ใน พ.ศ. ๒๕๑๓ แตพิมพถงึ อักษร ฐ เทานั้นกช็ ะงกั ) และในเดอื นกนั ยายน ปเดียวกันน้ัน ก็ไดเริม่ งานจัดทาํ
พจนานุกรมพระพทุ ธศาสนา ท่มี คี ําอธบิ าย ๒ ภาษา คอื ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พรอมทัง้ หมวดธรรม แตเม่ือทํา
จบเพียงอักษร บ ก็ตองหยุดคางไว เพราะไดรับการแตงต้ังโดยไมรูตัวใหเปนผูชวยเลขาธิการมหาจุฬาลงกรณ-
ราชวิทยาลัย แลวหันไปทุมเทกําลังและอุทศิ เวลาใหกบั งานดานการศกึ ษาของมหาวทิ ยาลัยสงฆ จนถึง พ.ศ. ๒๕๑๕
จึงไดหวนมาพยายามรอ้ื ฟนงานพจนานกุ รมขนึ้ อกี
คราวนน้ั พระมหาสมบรู ณ สมปฺ ณุ โฺ ณ (ตอมาเปนพระวสิ ทุ ธสิ มโพธิ ดาํ รงตาํ แหนงรองเลขาธกิ ารมหาจฬุ าลงกรณ-
ราชวทิ ยาลัย) มองเหน็ วางานมีเคาทีจ่ ะพิสดารและจะกินเวลายาวนานมาก จงึ ไดอาราธนาพระมหาประยทุ ธ (เวลานนั้
เปนพระศรีวิสุทธิโมลี และตอมาเล่ือนเปนพระราชวรมนุ ี) ขอใหทาํ พจนานุกรมขนาดยอมขึน้ มาใชกนั ไปพลางกอน
พระศรวี สิ ทุ ธโิ มลี ตกลงทาํ งานแทรกนนั้ จนเสรจ็ ใหชอ่ื วา พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร มลี กั ษณะเนนเฉพาะการรวบรวม
หลกั ธรรม โดยจดั เปนหมวดๆ เรยี งตามลาํ ดบั เลขจาํ นวน และในแตละหมวดเรยี งตามลาํ ดบั อกั ษร แลวไดมอบงานและ
มอบทนุ สวนหนงึ่ ใหมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั จดั พมิ พเผยแพร จาํ หนายเกบ็ ผลประโยชนบาํ รงุ การศกึ ษาของพระภกิ ษุ
สามเณร เรม่ิ พมิ พตง้ั แต พ.ศ. ๒๕๑๕ จนถงึ พ.ศ. ๒๕๑๘ จงึ เสรจ็
ตอมา พ.ศ. ๒๕๒๒ กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ขออนุญาตพมิ พแจกเปนธรรมทาน ๘,๐๐๐ เลม
นอกจากนน้ั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ไดจดั จาํ หนายเพมิ่ ขน้ึ และผเู รยี บเรยี งเองจดั แจกเปนธรรมทานเพม่ิ เตมิ บาง
เปนรายยอย หนังสือหมดสิน้ ขาดคราวในเวลาไมนาน
สวนงานจัดทาํ พจนานุกรมพุทธศาสนา ฉบับเดิม ยังคงคางอยูสืบมาจนถงึ พ.ศ. ๒๕๒๑ ผจู ดั ทาํ จึงมี
โอกาสร้ือฟนข้ึนอกี คราวนีเ้ ขยี นเร่ิมตนใหมทง้ั หมด เนนคําอธบิ ายภาษาไทย สวนภาษาอังกฤษมเี พยี งคาํ แปลศพั ท
หรอื ความหมายสนั้ ๆ งานขยายจนมลี ักษณะเปนสารานกุ รม เขียนไปไดถึงอกั ษร ข มเี นื้อความประมาณ ๑๑๐ หนา
กระดาษพิมพดีดพับสาม (ไมนับคาํ อธิบายศพั ทจาํ พวกประวตั ิ อีก ๗๐ หนา) กห็ ยดุ ชะงกั เพราะในป พ.ศ. ๒๕๒๑
นน้ั เอง มเี หตุใหตองหนั ไปเรงรดั งานปรบั ปรุงและขยายความหนังสือพุทธธรรม ซ่งึ กนิ เวลายดื เยอ้ื มาจนถงึ พิมพเสร็จ
รวมประมาณสามป งานพจนานกุ รมจึงคางอยเู พียงน้ันและจงึ ยงั ไมไดจัดพมิ พ
อกี ดานหน่งึ เม่อื วดั พระพเิ รนทรจดั งานรับพระราชทานเพลงิ ศพ พระครปู ลัดสมยั กติ ตฺ ิทตโฺ ต เจาอาวาส
วัดพระพเิ รนทร ใน พ.ศ. ๒๕๒๒ พระราชวรมนุ ี ไดจดั ทาํ พจนานกุ รม ประเภทงานแทรกและเรงดวนข้นึ อีกเลมหนง่ึ
เปนประมวลศัพทในหนังสือเรียนนักธรรมทกุ ช้นั และเพม่ิ ศัพทท่คี วรทราบในระดบั เดยี วกนั เขาอีกจาํ นวนหน่ึง ตง้ั ช่ือ
วา พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบับครู นกั เรยี น นกั ธรรม มีเน้อื หา ๓๗๓ หนา เทาๆ กนั กบั พจนานุกรมพุทธศาสตร
(๓๗๔ หนา) เสมือนเขาชุดเปนคูกัน เลมพิมพกอนเปนท่ีประมวลธรรมซึ่งเปนหลกั การหรอื สาระสาํ คญั ของพระ
พทุ ธศาสนา สวนเลมพมิ พหลงั เปนทปี่ ระมวลศพั ททว่ั ไปเกย่ี วกบั พระพทุ ธศาสนา อธิบายพอใชประโยชนอยางพืน้ ๆ ไม
กวางขวางลึกซึ้ง
ใน พ.ศ. ๒๕๒๕ มที านผศู รทั ธาเหน็ วา พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ขาดคราว จงึ ขอพมิ พแจกเปนธรรมทาน
มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ไดทราบ กข็ อรวมสมทบพมิ พดวย เพอ่ื ไดทาํ หนาทส่ี งเสรมิ วชิ าการทางพระพทุ ธศาสนา กบั ทง้ั
จะไดเกบ็ ผลกาํ ไรบาํ รงุ การศกึ ษาในสถาบนั และไดขยายขอบเขตออกไปโดยขอพมิ พ พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ครู
นักเรยี น นักธรรม ดวย แตผเู รียบเรียงประสงคจะปรบั ปรงุ แกไขเพ่ิมเติมหนงั สือทั้งสองเลมนัน้ กอน อีกท้ังยังมีงาน
อ่นื ยุงอยูดวย ยังเริม่ งานปรับปรงุ ทันทไี มได จึงตองรงั้ รอจนเวลาลวงมาชานาน ครนั้ ไดโอกาสกป็ รบั ปรุงเพ่มิ เติม
๖๔๙
พจนานุกรมพทุ ธศาสตร กอนจนเสรจ็ แลวเร่ิมดาํ เนินการเก่ยี วกับการจดั พิมพ ระหวางนน้ั มีงานอื่นแทรกอยูเรื่อยๆ
ตองรอโอกาสท่ีจะปรบั ปรุงอีกเลมหนงึ่ ทเ่ี หลืออยู และไดตง้ั ใจวาจะพมิ พตามลาํ ดบั เลมท่ีปรบั ปรงุ กอนหลงั
ในการพมิ พ พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร มขี อพจิ ารณาทจ่ี ะตองตดั สนิ ใจและปญหาทจี่ ะตองแกไขหลายอยาง รวม
ทง้ั การทดลองและตรวจสอบเก่ียวกบั ความสามารถในการพมิ พดวย ซ่ึงลวนเพ่มิ ความลาชาใหแกการจดั พิมพ โดย
เฉพาะคือการพมิ พภาษาบาลดี วยอกั ษรโรมัน ซึง่ ในการพมิ พครง้ั ใหมน้มี ตี ัวบาลโี รมันเพมิ่ ข้ึนเกนิ เทาตัว หลงั จากผาน
พนเวลาชานานในการปรึกษาสอบถามและศกึ ษางานกับโรงพิมพใหญโตบางแหงแลว ก็พอยตุ ไิ ดวา ในประเทศไทย
คงมีโรงพิมพเพยี ง ๒ แหงเทานนั้ ที่มีอุปกรณครบครนั พอจะพิมพอักษรบาลโี รมนั ไดตรงตามแบบนิยมอยางแทจรงิ
แตกต็ ิดขัดปญหาใหญวาแหงหนงึ่ ตองใชทุนพมิ พอยางมหาศาล อกี แหงหนง่ึ คงจะตองพมิ พอยางชาเปนเวลาแรมป
เมอ่ื ไดพยายามหาทางแกปญหาตอไปอกี ระยะหนง่ึ กม็ าลงเอยทท่ี างออกใหม คอื สงั่ ซอื้ อปุ กรณประกอบดวย
จานบนั ทกึ และแถบฟลมตนแบบสาํ หรบั ใชพมิ พอกั ษรบาลโี รมนั จากบรษิ ทั คอมพวิ กราฟค สนิ้ เงนิ ๒๔,๐๐๐ บาท และ
สน้ิ เวลารออกี ๒ เดอื นเศษ อปุ กรณจงึ มาถงึ ครนั้ ไดอปุ กรณมาแลวกป็ รากฏวายงั ใชงานไดไมสมบรู ณ ตองใหนกั เรยี ง
พมิ พผสู ามารถหาวธิ ยี กั เยอ้ื งใชใหสาํ เรจ็ ผล สนิ้ เวลาพลกิ แพลงทดลองอกี ระยะหนง่ึ และแมจะแกไขปญหาสาํ เรจ็ ถงึ ขนั้ ท่ี
พอนบั วาใชได กย็ งั เปนการเรยี งพมิ พทยี่ ากมาก นกั เรยี งพมิ พคอมพวิ กราฟคสวนมากพากนั หลกี เลย่ี งงานนี้ แมจะมี
นกั เรยี งพมิ พทชี่ าํ นาญยอมรบั ทาํ งานนดี้ วยมใี จสู กย็ งั ออกปากวาเปนงานยากทสี่ ดุ ทเี่ คยประสบมา ตองทาํ ดวยความ
ระมดั ระวงั ตงั้ ใจเปนพเิ ศษ และกนิ เวลามากถงึ ประมาณ ๓ เทาตวั ของการเรยี งพมิ พหนงั สอื ทวั่ ๆ ไป
ระหวางระยะเวลาเพยี รแกปญหาขางตนน้ี ในชวงเดอื น เมษายน – มิถนุ ายน ๒๕๒๗ มูลนิธิ “ทนุ พระพุทธ-
ยอดฟา” ในพระบรมราชูปถัมภ ณ วดั พระเชตพุ น ไดขอพมิ พหนังสอื Thai Buddhism in the Buddhist World
ของพระราชวรมนุ ี ในงานพระราชทานเพลงิ ศพ พลตาํ รวจเอกประเสริฐ รจุ ริ วงศ หนังสือเลมนีม้ เี นอ้ื หาทีต่ องใชอกั ษร
พิมพบาลีแบบโรมนั กระจายอยูทั่วไป แมจะไมมากมายนัก แตกไ็ ดกลายเปนดังสนามทดสอบและแกปญหาในการใช
อุปกรณท่ีสงั่ ซอื้ มานี้ เปนสนามแรก และนับวาใชไดผลพอสมควร
พอวาหนงั สอื Thai Buddhism สาํ เรจ็ แตยงั ไมทนั เสรจ็ สนิ้ กถ็ งึ ชวงท่ี ดร. สจุ นิ ต ทงั สบุ ตุ ร ตดิ ตอขอพมิ พ
พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ครู นกั เรยี น นกั ธรรม ในงานพระราชทานเพลงิ ศพ อาจารยจติ ร ทงั สบุ ตุ ร ผเู ปนบดิ า เวลา
นน้ั พจนานกุ รมเลมหลงั นไ้ี ดเคยปรบั ปรงุ เพม่ิ เตมิ ไวบางแลวเลก็ นอย แตยงั ไมถงึ เวลาทจี่ ะปรบั ปรงุ จรงิ จงั ตามลาํ ดบั ใน
โครงการ จงึ ตกลงวาจะพมิ พตามฉบบั เดมิ โดยใชวธิ ถี ายจากฉบบั พมิ พ พ.ศ. ๒๕๒๒ แกไขแทรกลงบางเทาทจ่ี าํ เปน แต
เมอ่ื ตนฉบบั ถงึ โรงพมิ พ โรงพมิ พอางวา ฉบบั เดมิ ไมชดั พอทจ่ี ะใชวธิ ถี าย จะตองเรยี งพมิ พใหม จงึ กลายเปนเครอื่ งบงั คบั
วาจะตองพยายามปรบั ปรงุ เพมิ่ เตมิ ใหเสรจ็ สน้ิ ไปเสยี ในการพมิ พคราวนท้ี เี ดยี ว เพอื่ หลกี เลย่ี งการลงทนุ ลงแรงและเปลอื ง
เวลาซาํ้ ซอนหลายคราว พอดเี กิดขอยุงยากตดิ ขัดทางดานโรงพมิ พเปนอนั มาก จนหนงั สอื เสรจ็ ไมทนั งานและตอมา
เจาภาพตองเปลยี่ นโรงพมิ พ กลายเปนโอกาสใหรบี เรงงานปรบั ปรงุ เพมิ่ เตมิ แขงไปกบั กระบวนการพมิ พ แมจะไมอาจทาํ
ใหสมบรู ณเตม็ ตามโครงการ แตกส็ าํ เรจ็ ไปอกี ชน้ั หนงึ่ และทาํ ใหเปลยี่ นลาํ ดบั กลายเปนวาเลมทกี่ ะจะพมิ พทหี ลงั กลบั มา
สาํ เรจ็ กอน
นอกจากนนั้ การพมิ พของเจาภาพครง้ั น้ี ไดกลายเปนการอปุ ถมั ภมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ไปดวย เพราะได
ลงทนุ สาํ หรบั กระบวนการพมิ พขนั้ ตนและขนั้ กลางเสรจ็ สนิ้ ไปแลว เมอ่ื พมิ พใหมไมตองเสยี คาเรยี งพมิ พและคาทาํ แผน
แบบพมิ พใหมอกี ลงทนุ เฉพาะขน้ั กระดาษขน้ึ แทนพมิ พและทาํ เลม เปนการประหยดั คาใชจายลงไปเปนอนั มาก
อน่ึง ในการพมิ พครัง้ น้ี ไดมีขอยุติทสี่ าํ คัญอยางหน่ึงดวย คอื การปรบั ปรงุ ชอื่ ของพจนานุกรมท้งั สองให
เรยี กงาย พรอมท้งั ใหแสดงลกั ษณะทีแ่ ตกตางกนั พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบบั ครู นักเรยี น นกั ธรรม เปลี่ยนเปน
พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท สวน พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร เรยี กใหมวา พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ฉบบั
ประมวลธรรม
๖๔๙
๖๕๐
งานปรับปรงุ และจัดพิมพ พจนานุกรมพทุ ธศาสตร ฉบับประมวลธรรม ผานเวลามาถึงบดั นี้ ๑ ปเศษแลว
กะวาจะเสรจ็ ส้นิ ในระยะตน พ.ศ. ๒๕๒๘ ระหวางนี้ หนงั สอื อ่นื ๆ แมแตเลมทนี่ บั วาพมิ พยาก ดังเชนเลมที่ออกชื่อ
แลวขางตน กส็ ําเร็จภายในเวลาอนั สมควร ไมตองนับหนงั สอื ที่งานพิมพอยูในระดบั สามัญ ซง่ึ ปลอยงานใหผทู ่ขี อ
พมิ พรับภาระเองได เวนแตตามปกตจิ ะตองขอพิสูจนอักษรเพ่อื ความม่นั ใจสักเท่ยี วหนง่ึ
งานพมิ พระดับสามัญที่ผานไปในชวงเวลานี้ รวมทง้ั การพิมพซาํ้ ธรรมนญู ชีวิต ประมาณ ๑๒ ครั้ง สมาคม
ศษิ ยเกามหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั พมิ พซาํ้ ชาวพทุ ธกบั ชะตากรรมของสงั คม ธรรมสถาน จฬุ าลงกรณมหาวิทยาลัย
พมิ พซา้ํ (๒ ครงั้ ) พทุ ธธรรมฉบบั ปรบั ปรงุ และขยายความ มลู นธิ โิ กมลคมี ทอง รวบรวมพมิ พ ลกั ษณะสงั คมพทุ ธ และ
สถาบันสงฆกับสังคมไทย สาํ นักพิมพเทยี นวรรณพมิ พ คานิยมแบบพุทธ และ รากฐานพุทธจรยิ ศาสตรทางสงั คม
เพื่อสังคมไทยรวมสมัย ซ่ึงวีระ สมบูรณ แปลจากขอเขียนภาษาอังกฤษของพระราชวรมนุ ี ทีต่ อมา CSWR
มหาวทิ ยาลยั ฮารวารด นําลงพมิ พในหนังสือ Attitudes Toward Wealth and Poverty in Theravada
Buddhism (ในชุด CSWR Studies in World Religions) ซึง่ จะพิมพเสรจ็ ในตนป ๒๕๒๘
ความท่กี ลาวมาน้ี เปนเครอ่ื งแสดงใหเห็นการเกิดข้ึนของ พจนานุกรมพทุ ธศาสตร ทามกลางงานคเู คยี งและ
งานแทรกซอนทง้ั หลาย พรอมทงั้ ความยากและความละเอยี ดซบั ซอนของงานพมิ พพจนานกุ รมน้ี ทตี่ างจากหนงั สอื เลม
อน่ื ๆ
แมวาพจนานกุ รมทง้ั สองน้ี จะเปนผลงานธรรมทาน อทุ ศิ แดพระศาสนา เชนเดยี วกบั หนงั สอื อน่ื ทกุ เลมของ
ผเู รยี บเรยี งเทาทเ่ี คยพมิ พเผยแพรมาแลว ผปู ระสงคสามารถพมิ พไดโดยไมมคี าลขิ สทิ ธห์ิ รอื คาตอบแทนสมนาคณุ ใดๆ
กจ็ รงิ แตผเู รยี บเรยี งกม็ ไิ ดสละลขิ สทิ ธท์ิ จ่ี ะปลอยใหใครๆ จะพมิ พอยางไรกไ็ ดตามปรารถนา ทง้ั นี้ เพอื่ จะไดมโี อกาส
ควบคมุ ดแู ลความถกู ตองเรยี บรอยของงาน ซง่ึ ผเู รยี บเรยี งถอื เปนสาํ คญั อยางยงิ่
ไมวาการพิมพจะยากลาํ บากและลาชาปานใด เมอ่ื ดําเนนิ มาถึงเพยี งน้ี ก็ม่นั ใจไดวาจะสาํ เร็จอยางแนนอน
เจาภาพท้งั หลายผมู ศี รทั ธาจดั พมิ พเผยแพร ก็ไดสละทุนทรัพยบาํ เพญ็ กศุ ลธรรมทานใหสําเร็จ เปนอันลลุ วงกิจโปรง
โลงไป คงเหลอื แตเพยี งมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัยเทานน้ั ท่ีมีเคาจะประสบปญหาและกลายเปนปญหา เนือ่ งจาก
ไดแจงขอพมิ พพจนานุกรมท้งั สองนน้ั อยางละ ๑๐,๐๐๐ เลม ทง้ั ทีต่ ามความเปนจรงิ ยงั ไมมีทุนทรัพยทจ่ี ะจายเพือ่
การน้เี ลย ทัง้ นีเ้ พราะเหตุวา แมแตเงนิ ทุนสําหรับใชจายในการดาํ เนินการศกึ ษาทีเ่ ปนงานหลักประจําในแตละวนั ก็ยงั
มไี มเพยี งพอ การทีต่ กลงใจพมิ พพจนานกุ รมจาํ นวนมากมายเชนนน้ั ก็เปนเพียงการแสดงใจกลาบอกความปรารถนา
ออกไปกอน แลวคอยคดิ แกปญหาเอาทีหลัง
๖๕๐
ทุนพมิ พพจนานกุ รมพุทธศาสน
เมอื่ เดอื นมกราคม พ.ศ. ๒๕๒๗ พระราชวรมนุ ไี ดเพยี รพยายามครงั้ ลาสดุ ในการหาโรงพมิ พทสี่ ามารถพมิ พ พจนานกุ รม
พทุ ธศาสตร แตกป็ ระสบปญหาเกยี่ วกบั ราคาคาพมิ พทส่ี งู เกนิ ไปบาง การพมิ พภาษาบาลีดวยอกั ษรโรมนั ใหสมบรู ณไมไดบาง ในทส่ี ดุ จงึ
หาทางออกดวยการใหสงั่ ซอ้ื อปุ กรณสาํ หรบั เรยี งพมิ พคอมพวิ กราฟคชุดท่ีพอจะพิมพอักษรโรมนั ไดมาเปนกรณพี ิเศษ (ประกอบดวย
จานบันทึกและแถบฟลมตนแบบ)
ชวงเวลานน้ั ประจวบเปนระยะทค่ี ณุ หญงิ กระจางศรี รกั ตะกนษิ ฐ บงั เอญิ ไดทราบเรอ่ื งราวเกย่ี วกบั พระราชวรมนุ ี และดวยความมี
นา้ํ ใจศรทั ธาใฝอปุ ถมั ภพระศาสนาและเกอ้ื กลู แกพระสงฆ กไ็ ดมาถวายกาํ ลงั ในการบาํ เพญ็ ศาสนกจิ ดวยการอปุ ถมั ภเกยี่ วกบั ภตั ตาหารและยาน
พาหนะเปนตนอยเู นอื งนติ ย ครน้ั ไดทราบเรอ่ื งทพี่ ระราชวรมนุ เี พยี รแกปญหาอยู จงึ ไดขวนขวายชวยเหลอื ทกุ อยางเทาทโี่ ยมอปุ ถมั ภจะทาํ ได
โดยเฉพาะดวยการชวยตดิ ตอกบั โรงพมิ พ และอาํ นวยความสะดวกในการเดนิ ทาง ครนั้ ไดทราบตอไปอกี วา มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ซงึ่
เปนหนวยทข่ี อพมิ พพจนานกุ รมนน้ั มเี พยี งกาํ ลงั ใจทจี่ ะขอพมิ พหนงั สอื แตยงั ไมมที นุ ทรพั ยทจ่ี ะใชพมิ พ คณุ หญงิ กระจางศรี รกั ตะกนษิ ฐ กไ็ ด
เออื้ อาํ นวยความอปุ ถมั ภในเรอื่ งนแี้ กมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ดวย
เบอื้ งแรก คณุ หญงิ กระจางศรี รกั ตะกนษิ ฐ ไดแสดงจาคเจตนาทจี่ ะจดั หาทนุ มาชวยบางสวนหนง่ึ ซง่ึ คงจะพอเปนทนุ สาํ หรบั จาย
คาอปุ กรณสาํ หรบั ชวยการเรยี งพมิ พอกั ษรบาลแี บบโรมนั ทไ่ี ดขอใหบรษิ ทั อสี ตเอเชยี ตคิ จาํ กดั สงั่ ซอ้ื จากประเทศสหรฐั อเมรกิ า มลู คา
๒๔,๐๐๐ บาท แตตอมาอกี เพยี งสองสามวนั คอื ในวนั ท่ี ๒ กมุ ภาพนั ธ ๒๕๒๗ ทานกไ็ ดขยายความอปุ ถมั ภออกไปอกี โดยไดแจงแกผู
เรยี บเรยี งคอื พระราชวรมนุ ี วาจะขอรบั ภาระดาํ เนนิ การรวบรวมทนุ จดั พมิ พ พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ใหทงั้ หมด ภายในวงเงนิ ๓๐๐,๐๐๐
บาท โดยทานจะทาํ หนาทเ่ี ปนผปู ระสานงานบอกกลาวกนั ในหมญู าตมิ ติ รและผสู นทิ สนมคนุ เคยใหรวมกนั บรจิ าคดวยวธิ จี ดั เปนทนุ ราม
๓๐๐ ทนุ ๆ ละ ๑,๐๐๐ บาท พระราชวรมนุ จี งึ ไดนดั หมายพระเถระทางฝายมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ไปรบั ทราบกศุ ลเจตนานน้ั และจดั
เตรยี มอนโุ มทนาบตั รใหสาํ หรบั มอบแกผบู รจิ าค
คณุ หญงิ กระจางศรี รักตะกนิษฐ ไดบอกกลาวเชิญชวนทานผูศรัทธาในวงความรูจักของทาน ขอความที่ทานใชบอกกลาว
เชญิ ชวนตอนหนง่ึ วา “นบั วาเปนโอกาสอนั ดขี องเราทง้ั หลาย ท่ีจะไดมสี วนเปนผูพมิ พหนังสอื ทางวชิ าการท่ีสาํ คัญเลมน้ี ฝากไวเปน
อนสุ รณในพระพทุ ธศาสนา เปนเครือ่ งบูชาพระรัตนตรัยรวมกนั อนั จะยังประโยชนใหเกดิ อานิสงสทางปญญาบารมี แกตัวผบู รจิ าค
เองและบุตรหลาน ทั้งยังเปนการชวยสงเคราะหพระเณรใหไดมีหนงั สือทจี่ าํ เปนยิ่งนไ้ี วใชโดยเร็ว นอกจากน้ันผลท่จี ะตามมาก็คือ
รายไดจากการจําหนายหนงั สือน้ี ก็จะไดใชประโยชนในการบาํ รุงการศึกษาของพระเณร ...”
การเชญิ ชวนบรจิ าคทนุ สรางพจนานกุ รมฯ นี้ คณุ หญงิ กระจางศรี รกั ตะกนษิ ฐ ไดเรมิ่ บอกกลาวในหมญู าตมิ ติ รสนทิ กอน ปรากฏ
วามผี ศู รทั ธาในงานบญุ นม้ี ากเกนิ คาด การเชญิ ชวนจงึ ขยายวงกวางออกไปจนไดเงนิ เกนิ กวาทก่ี าํ หนดไวในเวลาอนั รวดเรว็
อนงึ่ ในระหวางเวลารอคอยการพมิ พ พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ฉบบั ประมวลธรรม น้ี มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัยก็ไดขอ
พิมพ พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบับประมวลศัพท เพมิ่ เขามาอกี และกย็ งั ไมมที นุ ทจ่ี ะพมิ พฉบับหลังนี้อีกเชนกัน ผูเชญิ ชวนและรวบ
รวมทุนเห็นเปนโอกาสอนั ดีทท่ี านผมู ีศรทั ธาบริจาคทงั้ หลายจะไดบญุ กศุ ลจากการนี้กวางขวางยง่ิ ข้นึ จึงไดเสนอพระราชวรมุนีขอให
ใชเงินบรจิ าคซึง่ มีจาํ นวนมากพอนีเ้ ปนทนุ พิมพ พจนานุกรมฯ ฉบับประมวลศพั ท มอบใหมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย เพือ่ จาํ หนาย
หาผลกาํ ไรบาํ รงุ กจิ การของมหาวทิ ยาลัยอกี เลมหนึง่ ดวย และถาหากยงั คงมีเงินเหลืออยบู าง ก็ขอใหเก็บไวในบัญชีเดมิ นเี้ พือ่ สมทบ
เปนทนุ พมิ พในคราวตอๆ ไป
อนง่ึ ทนุ พมิ พพจนานกุ รมฯ นี้ ผรู วบรวมทนุ ไดแสดงความประสงคทจี่ ะใหเกบ็ ไวเปนทนุ สาํ รองถาวร ของมหาจฬุ าลงกรณ-
ราชวทิ ยาลยั สําหรบั พมิ พ พจนานกุ รมฯ ทัง้ สองเลมนี้โดยเฉพาะ เพือ่ จะไดมที ุนพรอมที่จะพมิ พเพิ่มเติมไดโดยไมขาดระยะ ฉะน้นั
จึงไดขอความรวมมือจากมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัยใหชวยสงวนรกั ษาทนุ นไ้ี ว โดยในการจดั จาํ หนาย ขอใหหักตนทนุ หนงั สอื ทุก
เลมทีจ่ ําหนายไดสงคืนเขาบัญชี “ทุนพิมพพจนานุกรมพุทธศาสน” ซงึ่ ไดเปดอยแู ลวทธี่ นาคารกรงุ ศรอี ยธุ ยา สาํ นกั งานใหญ ดงั กลาว
ขางตน สวนผลกาํ ไรทั้งหมด มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ก็จะไดนาํ ไปใชในกิจการของมหาวิทยาลัยตามตองการ ทั้งน้ผี รู วบรวมได
ขออาราธนาพระราชวรมุนี ซ่ึงการทาํ งานของทานไดเปนเหตุใหผรู วบรวมเกดิ ความดําริท่ีจะต้ังทุนนี้ ใหโปรดเปนหลักในการรักษา
บญั ชีรวมกบั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั สบื ตอไป
“ทนุ พมิ พพจนานกุ รมพุทธศาสน” นี้ เปนผลแหงความเสียสละและความสามคั คี อันเกดิ จากความมจี ติ ศรัทธาในพระ
พทุ ธศาสนา และธรรมฉนั ทะที่จะสงเสริมความรูความเขาใจในธรรมใหแพรหลาย ซึ่งจะใหสําเร็จเปนธรรมทานอนั อํานวยประโยชน
แกชนจํานวนมาก ขอกุศลเจตนาและบุญกิริยาท่ีกลาวมานี้จงเปนปจจยั ดลใหผรู วมบรจิ าคทุกทาน เจริญงอกงามในธรรมย่ิงๆ ขน้ึ ไป
เพอื่ ไดประสบแตความสุขและสรรพพร และขออคั รทานคือการใหธรรมแจกจายความรแู ละเผยแพรความดีงามครัง้ นี้ จงเปนเครื่อง
คํ้าชสู ทั ธรรมใหดํารงม่นั และแผไพศาล เพอ่ื ชักนํามหาชนใหบรรลปุ ระโยชนสุขอนั ไพบลู ยตราบชัว่ กาลนาน