ปรมตั ถธรรม ๒๒๔ ปรมัตถธรรม
ปญญาภมู ิ หรอื วปิ สสนาภูมิ นนั่ เอง จะวาเบญจขันธ หรือวานามรูป ก็อัน
ตามขอสังเกตและความท่ีกลาวมา เดยี วกนั กด็ แู ตวาวิธีจดั แบบไหนจะงาย
ตอการศึกษาหรือเอ้ือประโยชนท่ีมุง
พึงทราบวา ๑. การแปลขยายศพั ทอยาง หมายมากกวากนั ๓.ในคาถาเร่มิ ปกรณ
ที่แปลปรมัตถะวาปรมัตถธรรมน้ี มิใช (ในฉบับอักษรไทย ผูชําระ คือผูจัดรูป
เปนความผิดพลาดเสียหาย แตเปน คัมภีร ต้ังชื่อใหวา “ปกรณารมฺภคาถา”
เรื่องท่ัวไปที่ควรรูเทาทันไว อันจะเปน แตฉบบั อกั ษรพมาต้งั ช่ือวา “คนถฺ ารมฺภ-
ประโยชนในบางแงบางโอกาส (เหมอื น กถา”) มขี อความทเ่ี ปนบทตงั้ ซง่ึ บอกใจ
ในการอานพระไตรปฎกฉบับแปลภาษา ความทั้งหมดของคัมภีรอภิธัมมัตถ-
ไทย ผูอานกค็ วรทราบเปนพืน้ ไววา คาํ สังคหะ คาถาน้ีจึงสาํ คัญมาก ควรตง้ั อยู
แปลอาจจะไมตรงตามพระบาลีเดิมก็ได ในความเขาใจที่ชัดเจนประจําใจของผู
เชน ในพระไตรปฎกบาลเี ดิมวา พระ ศกึ ษาเลยทเี ดยี ว ในกรณนี ้ี การแปลโดย
พุทธเจาเสดจ็ ออกจากพระวิหาร [คือที่ รกั ษารปู ศพั ท อาจชวยใหชดั ขน้ึ เชนอาจ
ประทบั ] แตในฉบบั แปล บางทที านแปล แปลวา “อภธิ มั มตั ถะ ท่กี ลาวในคําวา
ผานคําอธิบายของอรรถกถาวา พระ ‘อภิธัมมัตถสังคหะ’ น้ัน ทั้งหมดท้ังสิ้น
พุทธเจาเสดจ็ ออกจากพระคันธกฎุ ี) ๒. โดยปรมตั ถ มี ๔ อยาง คือ จิต เจตสกิ
การประมวลอรรถแหงอภิธรรม (โดย รูป นิพพาน” (พึงสงั เกตวา ถาถือเครง
ท่ัวไปก็ถือวาเปนการประมวลธรรมท้ัง ตามตัวอกั ษร ในคาถาเร่มิ ปกรณนี้ ทาน
หมดทง้ั ปวงน่ันเอง) จัดเปนปรมตั ถ ๔ วามอี ภธิ ัมมตั ถะ ๔ สวนในคาถาทาย
(ทเ่ี รียกกนั มาวาปรมัตถธรรม ๔) ตาม ปริจเฉททหี่ ก ทานกลาวถึงปรมตั ถะ ๔
นยั ของอภิธัมมตั ถสังคหะน้ี เปนทย่ี อม แตโดยอรรถ ทงั้ สองนนั้ กอ็ ยางเดยี วกนั )
รับกันวาเปนระบบอันเย่ียม ซึ่งเก้ือกูล โดยเฉพาะคําวาอภธิ ัมมัตถะ จะชวยโยง
ตอการศึกษาธรรมอยางยิ่ง เรียกไดวา พระอภิธรรมปฎกท้ังหมดเขามาสูเรื่องท่ี
เปนแนวอภธิ รรม แตถาพบการจดั อยาง ศกึ ษา เพราะทานมงุ วาสาระในอภธิ รรม-
อนื่ ดงั ที่ยกมาใหดเู ปนตัวอยาง [เปน ปฎกท้ังหมดน่ันเอง ประมวลเขามาเปน
สังขารและนิพพาน บาง เปนอยางที่ ๔ อยางน้ี ดังจะเห็นชัดตั้งแตพระ
เรยี กวาปญญาภูมิ บาง] กไ็ มควรแปลก อภิธรรมปฎกคมั ภีรแรก คือธัมมสังคณี
ใจ พึงทราบวาตางกันโดยวธิ ีจดั เทานน้ั ตลอดหมดท้งั ๒๕๘ หนา ที่แจงกสุ ลตั -
สวนสาระก็ลงเปนอันเดียวกัน เหมอื น
๒๒๔
ปรมตั ถบารมี ๒๒๕ ปรมาตมัน
ติกะ อันเปนปฐมอภิธัมมมาติกา ก็ คัมภีรวิสุทธิมรรคของพระพุทธโฆสา-
ปรากฏออกมาชัดเจนวาเปนการแจง จารย; นยิ มเรียกวา มหาฎีกา
เรื่อง จติ เจตสกิ รปู และนิพพาน นเ้ี อง; ปรมัตถสัจจะ จริงโดยปรมัตถ คือ
ดู ปรมัตถ, อภิธมั มัตถสังคหะ
ความจริงโดยความหมายสูงสดุ เชน รูป
ปรมัตถบารมี บารมยี อดเยี่ยม, บารมี เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ; ตรงขาม
ในความหมายสูงสดุ , บารมที ่ีเต็มความ กบั สมมตสิ ัจจะ จรงิ โดยสมมติ เชน
หมายแทจรงิ , บารมขี น้ั สูงสุด เหนืออุป- สัตว บคุ คล ฉัน เธอ มา รถ นาย ก.
บารมี เชน การสละชวี ติ เพอ่ื ประโยชน นาง ข. เปนตน
แกผอู นื่ เปนทานปรมตั ถบารม;ี ดู บารมี ปรมาตมัน อาตมันสูงสดุ หรอื อตั ตาสงู
ปรมัตถปฏิปทา ขอปฏิบัติมีประโยชน สุด (บรมอาตมัน หรอื บรมอตั ตา) เปน
อันยิ่ง, ทางดาํ เนินใหถึงปรมัตถ, ขอ สภาวะแทจริงและเปนจุดหมายสูงสุด
ปฏิบัติเพื่อใหเขาถึงประโยชนสูดสุดคือ ตามหลักความเช่ือของศาสนาฮินดู
บรรลุนพิ พาน (เดมิ คอื ศาสนาพราหมณ) ซงึ่ ถือวา ใน
ปรมัตถประโยชน ประโยชนอยางย่ิง บุคคลแตละคนน้ี มีอาตมัน คืออตั ตา
(คอื พระนพิ พาน); เปนคาํ พดู กนั มาตดิ ปาก หรอื ตวั ตน สิงสูอยคู รอง เปนสภาวะ
ความจรงิ ปรมตั ถะ แปลวา “ประโยชน เที่ยงแทถาวร เปนผูคิดผูนึกผูเสวย
อยางยง่ิ ” (มีคําวา “อัตถะ” แปลวา เวทนา เปนตน ซ่ึงเปนสวนยอยท่แี บง
ประโยชนรวมอยูในตัว) มีความหมาย ภาคออกมาจากปรมาตมันนนั้ เอง เมื่อ
เตบ็ ครบอยแู ลว พดู วา ปรมตั ถะ หรอื คนตาย อาตมนั นี้ออกจากรางไปสิงอยู
ปรมัตถ ก็พอ ไมตองเติมคําวา ในรางอ่ืนตอไป เหมือนถอดเส้ือผาเกา
ประโยชนตอทายเขาไปอีก เหมอื น ทฏิ ฐ สวมเสื้อผาใหม หรือออกจากเรือนเกา
ธมั มกิ ตั ถะ แปลวา “ประโยชนปจจบุ นั ” ไปอยูในเรอื นใหม ไดเสวยสขุ หรือทกุ ข
และ สมั ปรายกิ ตั ถะ แปลวา “ประโยชน เปนตน สุดแตกรรมที่ไดทาํ ไว เวยี น
เบ้ืองหนา” ก็มกั พดู กนั วา ทิฏฐธมั มิกัตถ วายตายเกิดเรอื่ ยไป จนกวาจะตระหนัก
ประโยชน และ สัมปรายิกัตถ รูวาตนเองเปนอันหนึ่งอันเดียวกับ
ประโยชน” โดยไมจําเปน ปรมาตมนั และเขาถึงความบริสุทธจิ์ าก
ปรมัตถมัญชุสา ชื่อคัมภีรฎีกาที่พระ บาปโดยสน้ิ เชิง จงึ จะไดกลบั เขารวมกับ
ธรรมปาละรจนาขนึ้ เพอื่ อธบิ ายความใน ปรมาตมันดังเดิม ไมเวียนตายเวียน
๒๒๕
ปรหติ ปฏบิ ตั ิ ๒๒๖ ประทุม
เกดิ อีกตอไป; ปรมาตมนั น้ี ก็คอื พรหม หลายในเร่อื งอดตี ของชาดกนน้ั มาเปน
หรอื พรหมัน นน่ั เอง ใครบางในปจจุบันแหงพุทธกาลคือใน
ปรหิตปฏิบตั ิ ดู ปรตั ถปฏบิ ตั ิ เวลาที่พระองคกําลังตรัสเลาเรอ่ื งนั้น
ประคด ผาใชคาดเอวหรอื คาดอกสําหรบั ประณต นอมไหว
พระ (เรียก ประคดอก ประคดเอว) มี ประณม ยกกระพุมมือแสดงความ
๒ อยาง คอื ประคดแผน ๑ ประคดไส เคารพ, ยกมอื ไหว (พจนานกุ รมเขยี น
สกุ ร ๑ ประนม)
ประเคน สงของถวายพระภายในหตั ถบาส, ประณาม 1. การนอมไหว 2. การขบั ไล
สงใหถงึ มือ; องคแหงการประเคนมี ๕ 3. พดู วากดใหเสยี หาย
คอื ๑. ของไมใหญโตหรอื หนกั เกนิ ไป ประณีต ด,ี ดียงิ่ , ละเอียด
พอคนปานกลางคนเดยี วยกได ๒. ผู ประดษิ ฐ ต้ังขึ้น, จัดทาํ ขน้ึ , สรางขึ้น,
ประเคนเขามาอยูในหัตถบาส คือหาง คิดทาํ ข้นึ
ประมาณศอกหนงึ่ ๓. เขานอมของนน้ั ประดิษฐาน ตั้งไว, แตงตั้ง, การตง้ั ไว,
เขามาให ๔. นอมใหดวยกาย ดวยของ การแตงตัง้
เนอ่ื งดวยกาย หรอื โยนใหก็ได ๕. ภกิ ษุ ประเดน็ ขอความสาํ คัญ, หัวขอหลัก
รับดวยกายกไ็ ด ดวยของเนอื่ งดวยกาย ประถมวยั ดู ปฐมวัย
กไ็ ด (ถาผูหญงิ ประเคน ใชผากราบหรือ ประทม นอน
ประทมอนุฏฐานไสยา นอนชนดิ ไมลุก
ผาเชด็ หนาทส่ี ะอาดรบั )
ประจกั ษ ชดั เจน, แจมแจง, ตอหนาตอตา ขึ้นอีก
ประชวร เจ็บ, ปวย ประทกั ษณิ เบ้อื งขวา, การเวยี นขวาคอื
ประชวรพระครรภ ปวดทองคลอดลกู เวียนเลี้ยวไปทางขวาอยางเข็มนาฬิกา
ประชุมชาดก ประมวลความบรรจบเร่อื ง เปนอาการแสดงความเคารพ
ทายชาดก, ตามปกติ เปนคาํ ของอรรถ ประทับ อยู เชนประทบั แรม (ใชแกเจา
กถาท่ีลําดับความในชาดกวา เม่ือพระ นาย); แนบอยู เชน เอาปนประทับบา;
พทุ ธเจาตรสั เลาชาดกเรอ่ื งนนั้ ๆ จบแลว กดลง เชน ประทับตรา
กท็ รงประชมุ ชาดก (ชาตกสโมธาน หรอื ประทาน ให
ขอความในประโยคบาลีวา “ชาตกํ สโม- ประทปี ตะเกยี ง, โคม, ไฟทม่ี เี ปลวสวาง
ธาเนส”ิ ) คือ บอกใหทราบวา บคุ คลทงั้ ประทมุ บัวหลวง
๒๒๖
ประทษุ รายสกุล ๒๒๗ ประสพ
ประทษุ รายสกุล ดู กุลทูสก ความนยิ มเลอื่ มใส ทานแสดงไว ๔ จาํ พวก
ประเทศบัญญัติ บัญญัติจําเพาะถิ่น, คอื ๑. รปู ประมาณ หรอื รปู ปปมาณกิ า ผู
สิกขาบทที่พระพุทธเจาทรงตั้งไวเฉพาะ ถือรูปราง เปนประมาณ ๒. โฆษ-
สาํ หรับมัธยมประเทศ คอื ถน่ิ กลางแหง ประมาณ หรอื โฆสัปปมาณกิ า ผถู อื
ชมพทู วปี เชน สกิ ขาบทท่ี ๗ แหงสุรา เสยี งหรอื ช่ือเสียงเปนประมาณ ๓. ลขู -
ปานวรรค ในปาจิตติยกณั ฑ ไมใหภกิ ษุ ประมาณ หรือ ลูขัปปมาณิกา ผูถือ
อาบนํ้าในเวลาหางกันหยอนกวากึ่ง ความคราํ่ หรือปอนๆ เปนประมาณ ๔.
ธรรมประมาณ หรอื ธมั มปั ปมาณกิ า ผู
เดือน เวนแตสมัย
ประธาน หัวหนา, ผูเปนใหญในชุมนมุ ถือธรรมคือเอาเน้ือหาสาระเหตุผลหลัก
ประนม ยกกระพมุ มือ
การและความถูกตองเปนประมาณ
ประนปี ระนอม ปรองดองกนั , ยอมกัน, ประมาท ดู ปมาทะ
ประมุข ผเู ปนใหญสูงสดุ , หัวหนาใหญ
ตกลงกนั ดวยความไกลเกลี่ย
ประพฤติ ความเปนไปท่ีเก่ียวกับการ ประโยค การประกอบ, การกระทํา, การ
กระทาํ หรอื ปฏบิ ตั ติ น; กระทํา, ทําตาม, พยายาม
ปฏบิ ตั ิ, ปฏิบัติตน, ดาํ เนนิ ชีวิต ประโยชน (เกดิ แตการถอื เอาโภคทรพั ย)๕; ดู
ประพฤติในคณะอันพรอง เปน โภคอาทิยะ ๕
ประการหน่ึงในรัตติเฉท คือเหตุขาด ประลัย ความตาย, ความยอยยับ, ความ
ราตรีแหงมานตั ๔ ประการ หมายถึง สิ้นสลาย
ประพฤติมานัตในถิ่นเชนอาวาสที่มี ประวัติ ความเปนไป, เรื่องราว
ปกตัตตภิกษุไมครบจํานวนสงฆ คือ ประศาสนวธิ ี วธิ กี ารปกครอง, ระเบยี บ
หยอน ๔ รูป การปกครองหมคู ณะ
ประพาส ไปเที่ยว, เทย่ี วเลน, อยแู รม ประสก เปนคําเลือนมาจาก อุบาสก
ประเพณี ขนบธรรมเนยี ม, แบบแผน, พระสงฆครั้งกอนมักใชเรียกคฤหัสถผู
เช้ือสาย ชาย คูกับ สีกา แตบดั นไ้ี ดยนิ ใชนอย
ประมาณ การวดั , การกะ, เครือ่ งวดั , ประสบ พบ, พบเหน็ , เจอะ, เจอ
เกณฑ, การถอื เกณฑ; บุคคลในโลก ประสพ กอ, ทาํ ใหเกดิ , เผลด็ ผล, ไดรบั
แบงตามประมาณคือหลักเกณฑในใจท่ี เปนผลตอบแทน (ปสวติ = นิปฺผาเทติ,
ใชวัดในการท่ีจะเกิดความเชื่อถือหรือ ผลต,ิ อปุ ปฺ าเทต,ิ อปุ จนิ ต,ิ ปฏลิ ภต)ิ
๒๒๗
ประสาท ๒๒๘ ปรารภ
ประสาท 1. เคร่ืองนําความรูสึกสาํ หรบั อัตตัตถสมบัติ หรอื อัตตหติ สมบตั ิ
คนและสตั ว, ในอภธิ รรมวาเปน ประสาท- ปรปั วาท [ปะ-รบั -ปะ-วาด] คาํ กลาวของ
รปู (คาํ บาลวี า ปสาทรปู ) 2. ความ คนพวกอื่นหรือลัทธิอ่ืน, คํากลาวโทษ
เลื่อมใส; ดู ปสาท 3. ยินดีให, โปรดให คัดคานโตแยงของคนพวกอื่น, หลัก
ประสาทรปู รูปคือประสาท
การของฝายอนื่ , ลทั ธภิ ายนอก; คาํ สอน
ประสาธน ทําใหสาํ เร็จ, เคร่ืองประดับ ที่คลาดเคล่ือนหรือวิปริตผิดเพ้ียนไป
ประสิทธิ์ ความสาํ เรจ็ , ทาํ ใหสาํ เร็จ, ให เปนอยางอนื่
ประสทิ ธ์ิพร ใหพร, ทําพรใหสาํ เร็จ ปรัมปรโภชน โภชนะทีหลงั คอื ภิกษุ
ประสตู ิ เกดิ , การเกดิ , การคลอด
รับนิมนตในทีแ่ หงหนึ่งดวยโภชนะทงั้ ๕
ประเสรฐิ ดที ่ีสดุ , ดเี ลิศ, วเิ ศษ อยางใดอยางหนึ่งแลวไมไปฉันในท่ี
ประหาณ ละ, กําจัด; การละ, การกําจดั ; นมิ นตน้นั ไปฉันเสียในท่ีอ่นื ทเ่ี ขานิมนต
เปนรูปที่เขียนอยางสันสกฤต เขียน ทหี ลังซึง่ พองเวลากัน
อยางบาลีเปน ปหาน (บางทีเขียนผิด ปรากฤต ภาษาถิน่ , ภาษาชาวบาน, ภาษา
เปน ประหาร)
พื้นเมืองในอนิ เดยี สบื มาแตโบราณ อัน
ประหาร การต,ี การทุบตี, การฟน, การ ถือวาเปนภาษาสามัญพื้นเดิมสืบกันมา
ลางผลาญ; ฆา, ทาํ ลาย ยังมิไดปรุงแตงขัดเกลาใหมีระเบียบ
ปรัตถะ ประโยชนผูอนื่ , ประโยชนเพอ่ื ประณีต มิใชเปนสันสกฤต; ดู สนั สกฤต,
คนอ่ืน อนั พงึ บาํ เพญ็ ดวยการชวยใหเขา สกา นิรตุ ติ
เปนอยูดวยดี พ่ึงตนเองได ไมวาจะเปน ปราการ กาํ แพง, เครื่องลอมก้ัน
ทิฏฐธัมมิกัตถะ หรือสัมปรายิกัตถะ ปราชญ ผรู ,ู ผูมีปญญา
หรอื ปรมัตถะ กต็ าม; เทยี บ อัตตัตถะ ปรามาส๑ [ปฺรา-มาด] ดถู กู , ดูหมิน่
ปรัตถปฏิบัติ การปฏิบัติเพื่อประโยชน ปรามาส๒ [ปะ-รา-มาด] การจับตอง,
แกผูอื่น เปนพุทธคุณอยางหนึ่ง คือ การยึดฉวย, การจับไวมัน่ , การลูบหรือ
การทรงบําเพ็ญพุทธกิจเพื่อประโยชน เสยี ดสีไปมา, ความยึดมั่น; มักแปลกนั
แกสัตวทั้งหลาย เปนท่ีพ่ึงของชาวโลก วา การลูบคลาํ
(โลกนาถ) ซ่งึ สาํ เร็จดวยพระมหากรุณา ปราโมทย ความบนั เทงิ ใจ, ความราเริง
คณุ เปนสาํ คญั มกั เขียนเปน ปรหิต- เบกิ บานใจ
ปฏิบตั ิ ซึ่งแปลเหมอื นกัน; เปนคกู นั กบั ปรารภ ตงั้ ตน, ดําร,ิ กลาวถงึ
๒๒๘
ปรารมภ ๒๒๙ ปริตต,ปริตร
ปรารมภ เริ่ม, ปรารภ, เรมิ่ แรก, วิตก, จดั เปนหมวดๆ, บท, ตอน; การกาํ หนด
รําพึง, ครนุ คิด แยก, การพจิ ารณาตัดแยกออกใหเห็น
ปราศรัย พดู จาทักทายกลาวคาํ แสดงนํา้ แตละสวน (พจนานกุ รมเขียน ปรเิ ฉท)
ใจ ดวยเมตตา โดยไมตรี หรอื อยาง ปริจเฉทรปู รปู ทกี่ ําหนดเทศะ ไดแก
เปนกันเอง อากาสธาตุ หรอื อากาศ คอื ชองวางเชน
ปราสาท เรอื นหลวง, เรือนชัน้ ชองวางในสวนตางๆ ของรางกาย
ปริกถา คาํ พูดหวานลอม, การพูดใหรู ปริจเฉทากาศ ดู อากาศ ๓, ๔
โดยปริยาย, การพดู ออมไปออมมาเพอื่ ปรจิ ารกิ า หญงิ รับใช, บรจิ ารกิ า ก็วา
ใหเขาถวายปจจัย ๔ เปนการกระทาํ ที่ ปริญญา การกําหนดร,ู การทําความเขา
ไมสมควรแกภกิ ษุ ถาทาํ ปริกถาเพอื่ ให ใจโดยครบถวน มี ๓ คือ ๑. ญาต-
เขาถวายจีวรและบิณฑบาต ช่ือวามี ปริญญา กําหนดรูข้ันรูจัก ๒. ตีรณ-
อาชีวะไมบริสุทธิ์ แตทานวาทําปริกถา ปริญญา กําหนดรูขั้นพิจารณา ๓.
ในเรื่องเสนาสนะไดอยู เชน พูดวา ปหานปริญญา กาํ หนดรถู งึ ขนั้ ละได
“เสนาสนะของสงฆคบั แคบ” อยางไรก็ ปรณิ ายก ผนู ํา, ผูเปนหัวหนา
ตาม ถาถือธุดงคไมพึงทาํ ปริกถาอยาง ปรติ ต, ปริตร 1. [ปะ-ริด] นอย, เลก็
หน่ึงอยางใดเลย นอย, นดิ หนอย, ตาํ่ ตอย, ดอย, คบั
ปรกิ รรมนิมติ นมิ ติ แหงบริกรรม, นิมิต แคบ, ไมสาํ คญั (ตรงขามกับ มหา หรอื
ข้ันตระเตรียมหรือเริ่มเจริญสมถ- มหนั ต) 2. [ปะ-ริด] สภาวะท่ีดอย หรือ
กรรมฐานไดแกส่ิงท่ีกําหนดเปนอารมณ คบั แคบ หมายถงึ ธรรมท่ีเปนกามาวจร,
เชน ดวงกสิณที่เพงดู หรอื พุทธคุณทีน่ ึก พงึ ทราบวา ธรรมทง้ั ปวง หรอื สงิ่ ทงั้ หลาย
วาอยูในใจเปนตน (ขอ ๑ ในนมิ ติ ๓) ประดามนี น้ั นยั หนง่ึ ประมวลจดั แยกได
ปริกปั 1. ความตรึก, ความดําริ, ความ เปน ๓ ประเภท ไดแก ปรติ ตะ (ธรรมที่
คํานึง, ความกําหนดในใจ 2. การ ดอยหรือคับแคบ คือเปนกามาวจร)
มหคั คตะ หรอื มหรคต (ธรรมทถ่ี งึ ความ
กาํ หนดดวยเงื่อนไข, ขอแม
ปริกัมม ดู บริกรรม ยง่ิ ใหญ คอื เปนรปู าวจร หรอื อรูปาวจร)
ปริจฉนิ นากาศ ดู อากาศ ๓, ๔ และ อปั ปมาณะ (ธรรมทป่ี ระมาณมิได
ปรจิ เฉท กาํ หนดตัด, ขอความท่ีกําหนด คือเปนโลกุตตระ); ดู กามาวจร 3.
ไวเปนตอนๆ, ขอความท่รี วบรวมเอามา [ปะ-หริด] “เคร่ืองคุมครองปองกัน”,
๒๒๙
ปรติ ต,ปรติ ร ๒๓๐ ปรติ ต,ปรติ ร
บทสวดท่ีนบั ถือเปนพระพุทธมนต คือ อาจหว่ันไหว ใหมเี คร่ืองมั่นใจและใหมี
บาลภี าษติ ดงั้ เดมิ ในพระไตรปฎก ซึง่ ได หลักเช่ือมตอท่ีจะชวยพาพัฒนากาวตอ
ยกมาจัดไวเปนพวกหนึ่งในฐานะเปนคํา ไป, ทั้งน้ี ในฝายภกิ ษุ มพี ุทธบัญญตั ิ
ขลัง หรือคาํ ศกั ดสิ์ ิทธิ์ ท่มี ีอานภุ าพคมุ (วินย.๗/๑๘๓-๔/๗๑) หามมิใหเรียนมิให
ครองปองกันชวยใหพนจากภยันตราย บอกตริ ัจฉานวชิ า หากฝาฝน ตองอาบัติ
และเปนสิริมงคลทําใหเกษมสวัสดีมี ทุกกฏ โดยมิไดแสดงขอยกเวนไว สวน
ความสุขความเจริญ (ในยุคหลังมีการ ในฝายภิกษุณี (วินย.๓/๓๒๒-๗/๑๗๖–๑๗๘)
เรียบเรียงปริตรเพ่ิมขึ้นนอกเหนือจาก มีพุทธบัญญัติหามมิใหเรียนมิใหบอก
บาลีภาษิตในพระไตรปฎกบาง พงึ ทราบ ติรัจฉานวิชา หากฝาฝน ตองอาบัติ
ตามคาํ อธบิ ายตอไป และพงึ แยกวา บท ปาจติ ตยี แตมขี อยกเวนวา เรียนหรอื
สวดท่ีมักสวดเพิ่มหรือพวงกับพระ บอกปรติ รเพือ่ คมุ ครอง (แกตนเองหรอื
ปริตรในพธิ หี รือในโอกาสเดยี วกัน มอี ีก แกผูอ่ืนก็ตาม) ไมตองอาบัติ, มีคํา
มาก มิใชมาจากพระไตรปฎก แตเปน อธบิ ายวา ตริ จั ฉานวชิ า คอื วชิ าทาํ รายคน
ของนิพนธข้ึนภายหลัง ไมใชพระปรติ ร อนื่ รวมทงั้ มนตอาถรรพ(อาถรรพณมนต
แตเปนบทสวดประกอบ โดยสวดนําบาง ตามคัมภีรอถรรพเวทของพราหมณ)
สวดตอทายบาง) เชน มนตในการฝงรูปฝงรอย มนต
สะกดคนใหอยูใตอํานาจ มนตแผด
กลาวไดวา การสวดพระปรติ รเปน เผาสรีรธาตุใหเขาผอมแหง มนตชกั ลาก
การปฏิบัติสืบเน่ืองจากความนิยมใน เอาทรพั ยของคนอ่ืนมา มนตทําใหมิตร
สังคมซึ่งมีการสวดสาธยายรายมนต ผดิ ใจแตกกนั ฯลฯ มนตเหลานีภ้ กิ ษุณี
(มนั ตสชั ฌายน, มันตปรชิ ัปปน) ทแ่ี พร จะเรียนหรอื สอนไมได เปนการผดิ พุทธ
ห ล า ย เ ป น ห ลั ก สํ าคั ญ อ ย า ง ห น่ึ ง ใ น บัญญตั ิ แตเรียนหรอื สอนปรติ รเพอ่ื คมุ
ศาสนาพราหมณ แตไดปรบั แกจัดและ ครองตนเองหรือผูอื่นก็ตาม ไมผิด,
จํากัดท้ังความหมาย เนื้อหา และการ นอกจากน้นั หลายคร้ัง พระพทุ ธเจา
ปฏบิ ตั ิ ใหเขากบั คตแิ หงพระพทุ ธศาสนา ทรงแนะนําพระสาวก ใหเจริญเมตตา
อยางนอยเพ่ือชวยใหชนจํานวนมากที่ ตอสัตวทัง้ หลาย เชนตองบู าง ใหทาํ สจั
เคยยึดถือมาตามคติพราหมณและยัง กริ ยิ าคืออางสัจจะอางคณุ ธรรมบาง ให
ไมเขมแข็งมั่นคงในพทุ ธคติ หรืออยใู น ระลึกถึงคุณและเคารพนบนอมพระ
บรรยากาศของคตพิ ราหมณนน้ั และยงั
๒๓๐
ปรติ ต,ปรติ ร ๒๓๑ ปรติ ต,ปรติ ร
รตั นตรัยบาง เปนกาํ ลงั ทีค่ มุ ครองรกั ษา คณุ พระรตั นตรยั (รตนปรติ ร โมรปริตร
แลวพระดาํ รัสนั้นก็ไดรับความนบั ถือจัด ธชัคคปริตร อาฏานาฏิยปริตร) บาง
เปนปรติ รชื่อตางๆ, ท่ีกลาวนี้ พอใหเห็น ปริตรเปนคําสอนหลักธรรมที่จะปฏิบัติ
ความเปนมาของพระปรติ ร ใหชีวิตสังคมเจริญงอกงามและหลัก
ธรรมทเี่ จรญิ จติ เจรญิ ปญญา (มงคลสตู ร
ตอไปนี้ จะสรุปขอควรทราบเกี่ยว โพชฌังคปริตร, โพชฌังคปรติ รนน้ั ทาน
กับพระปริตรไวเปนความรปู ระกอบ นําสาระจากพระสูตรเดิมมาเรียบเรียง
๑) โดยชอ่ื : เรยี กวา “ปรติ ร” ตามความ และเติมคําอางสจั จะตอทายทกุ ทอน)
หมายท่ีเปนเคร่ืองคุมครองปองกันอัน ๓) โดยหลกั การ: ปรติ รเปนไปตามหลัก
ชอบธรรม ซง่ึ ตางจากมนต ทไี่ ดมคี วาม พระพุทธศาสนาที่ถือธรรมเปนใหญสูง
หมายโนมไปในทางเปนอาถรรพณมนต สุด ไมมีการรองขอหรืออางอํานาจของ
ตามลัทธิของพราหมณ อยางทีเ่ รยี กใน เทพเจา (เทพท้ังหลายแมแตทน่ี ับถือวา
บัดน้วี าเปนไสยศาสตร ซ่ึงมกั ใชทําราย สูงสุด ก็ยังทํารายกัน ไมบริสุทธ์ิแท
ผูอ่นื และสนองความโลภ เปนตน และไมเปนมาตรฐานทแี่ นนอน ตองขนึ้
๒) โดยเนอื้ หา: ปรติ รเปนเรื่องของคณุ ตอธรรม มีธรรมเปนตวั ตดั สินในทีส่ ดุ
ธรรมทั้งในเน้ือหาและการปฏิบัติ คุณ เชนวา กอนโนน พราหมณถือวาพระ
ธรรมที่เปนพ้ืนทั่วไปคือเมตตา บาง พรหมเปนใหญ สรางทกุ สิ่งทกุ อยาง แต
ปริตรเปนคําแผเมตตาท้ังบท (เชน ตอมาลัทธินับถือพระศิวะเลาวา เดิมที
กรณียเมตตปริตร และขนั ธปรติ ร) แม พระพรหมมี ๕ พกั ตร กระทั่งคราวหนึ่ง
แตเมื่อจะเร่ิมสวดพระปริตร ก็มีคํา ถูกพระศิวะกร้ิวและทําลายพักตรที่หา
ประพันธที่แตงขึ้นมาใหสวดสําหรับ เสีย จึงเหลอื สพ่ี กั ตร) ปรติ รไมองิ และ
ชุมนุมเทวดากอน ซึ่งบอกใหผูสวดตั้ง ไมเออ้ื ตอกเิ ลสโลภะ โทสะ โมหะเลย เนน
จิตแผเมตตาแตตน อยางท่ีเรียกวามี แตธรรม เฉพาะอยางยงิ่ เมตตาและสจั จะ
เมตตาเปนปุเรจาริก (และคําท่ีเชิญ อยางทกี่ ลาวแลว และอางพทุ ธคณุ หรือ
เทวดามาฟง กบ็ อกวาเชิญมาฟงธรรม) คุณพระรัตนตรัยท้ังหมดเปนอํานาจคุม
คุณธรรมสําคัญอีกอยางหน่ึงท่ีเปนแกน ครองรักษาอาํ นวยความเกษมสวัสดี ใน
ของปริตรคือสจั จะ บางปรติ รเปนคาํ ต้งั หลายปริตรมีคําแทรกเสริม บอกให
สจั กริ ยิ าท้ังบท (เชน อังคุลิมาลปริตร เทวดามีเมตตาตอหมูมนุษย ท้ังเตือน
และวฏั ฏกปรติ ร) บางปรติ รเปนคาํ ระลกึ
๒๓๑
ปริตต,ปริตร ๒๓๒ ปรติ ต,ปริตร
เทวดาวามนุษยไดพากันบวงสรวงบูชา ไดรูสึกเลยวาจะจงใจปลงสัตวเสียจาก
จึงขอใหทําหนาทด่ี ูแลรกั ษาเขาดวยดี ชีวิต ดวยสัจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมี
๔) โดยประโยชน: ความหมายและการ แกทาน ขอความสวัสดีจงมีแกครรภ
ใชประโยชนจากปริตร ตางกันไปตาม ของทานเถิด” พระองคุลิมาลไดปฏบิ ตั ิ
ระดับการพัฒนาของบุคคล ต้ังแตชาว ตาม สตรีนั้นก็คลอดบุตรไดงายโดย
บานทว่ั ไป ทมี่ งุ ใหเปนกาํ ลงั อาํ นาจปกปก สวสั ดี (ม.ม.๑๓/๕๓๑/๔๘๕) คาํ บาลที ก่ี ลาว
รักษาคุมครองปองกัน จนถึงพระ สจั กริ ยิ านก้ี เ็ ปนทน่ี ยิ มนาํ มาใช โดยมชี อ่ื
อรหันตซึ่งใชเจริญธรรมปติ แตท่ียืน วาอังคลุ มิ าลปริตร ถอื วาเปนมหาปริตร
เปนหลักคือ ชวยใหจติ ของผสู วดและผู ทีเดียว, บางทีมีเหตุรายเกิดข้ึน เชน
ฟงเจริญกุศล เชน ศรทั ธาปสาทะ ปติ คราวหน่ึงมีภิกษุถูกงูกัดถึงมรณภาพ
ปราโมทยและความสุข ตลอดจนตั้งมั่น เม่ือทรงทราบ ไดตรัสอนุญาตใหภิกษุ
เปนสมาธิ รวมทัง้ เตรยี มจติ ใหพรอมท่ี ทั้งหลายแผเมตตาจิตไปยังพญางูส่ี
จะกาวสูภูมิธรรมท่ีสูงข้ึนไป คือเปน ตระกูล (วิรูปกข เอราบถ ฉัพยาบตุ ร
กุศลภาวนา เปนจิตตภาวนา กณั หาโคตมกะ) เพอื่ คมุ ครองรกั ษาและ
๕) โดยทมี่ า: แหลงท่มี าของพระปรติ ร ปองกันตัว และไดตรัสคาถาแผเมตตา
ไดแกคําแนะนําสั่งสอนของพระพุทธเจา แกตระกูลพญางูท้ังส่ีน้ัน ตลอดจนแก
กลาวคอื พระสตู ร พทุ ธานญุ าต ชาดก สรรพสตั ว ลงทายดวยคณุ พระรตั นตรยั
เรื่องไหนตอนใดมีเนื้อความซ่ึงไดความ และนมสั การพระพทุ ธเจา ๗ พระองค
หมายตรงตามทต่ี องการ กน็ าํ มาสวดและ (วนิ ย.๗/๒๖/๑๑; อง.ฺ จตกุ กฺ .๒๑/๖๗/๙๔) เปนทม่ี า
นิยมสืบกันมา เชน มหาโจรองคุลิมาล ของขนั ธปรติ ร (คาถาทเี่ ปนปรติ รนม้ี าในขนั ธ-
เมื่อกลับใจมาบวชแลว วันหนึ่งไป ปรติ ตชาดกดวย, ข.ุ ชา.๒๗/๒๕๕/๗๔), หรอื
บณิ ฑบาต พบสตรคี รรภแกคลอดยาก อยางพระพุทธเจาตรัสสอนธรรมโดย
มีอาการทุลักทุเลลําบาก ทานสงสาร ทรงเลาเร่ืองชาดกเปนตัวอยาง แลว
กลับจากบิณฑบาตแลวกม็ าเฝาทูลความ ชาดกบางเร่ืองท่ีมีถอยคําซ่ึงไดชวยให
แดพระผูมีพระภาคเจา พระองคจงึ ทรง บุคคลหรือสัตวในเรื่องรอดพนอันตราย
แนะนําใหทานเขาไปหาสตรีน้ันและ กม็ าเปนปริตร ดังเชน “คาถานกคุม” ท่ี
กลาวคาํ เปนสัจกริ ิยาวา “ดกู รนองหญงิ ลูกนกคุมกลาวเปนสัจกริ ยิ า ทาํ ใหไฟปา
ต้ังแตอาตมาไดเกิดแลวในอริยชาติ มิ ไมลกุ ลามเขามาไหมรงั (ข.ุ ชา.๒๗/๓๕/๑๒ มี
๒๓๒
ปรติ ต,ปริตร ๒๓๓ ปรติ ต,ปรติ ร
คาถาแตไมครบ, มาครบใน ข.ุ จรยิ า.๓๓/๒๓๗/๕๘๘) สวนมากท่ีไมเล่ือมใสเพราะตนเองทํา
ปาณาตบิ าต เปนตน จนถงึ ดม่ื สรุ าเมรยั
ก็มาเปนวัฏฏกปริตร, หรืออยางมงคล- เมอื่ พระผมู พี ระภาคเจาทรงสอนใหงดเวน
สูตร (ขุ.ข.ุ ๒๕/๕/๓; ขุ.สุ.๒๕/๓๑๗/๓๗๖) ทวี่ า กรรมช่ัวเหลาน้ัน จึงไมชอบใจ ทาว
พระพุทธเจา เมื่อเหลาเทวดาทูลขอให มหาราชทรงหวงใยวา มพี ระสาวกทไี่ ปอยู
ตรสั แสดงยอดมงคล แทนทีจ่ ะตรสั ถึง ในปาดงเงียบเปล่ียวหางไกลอันนากลัว
ส่ิงท่ีพบเห็นไดยนิ ดรี ายวาเปนมงคลหรอื จงึ ขอถวายคาถา “อาฏานาฏยิ า รกขฺ า”
ไมเปนมงคลอยางทีค่ นยึดถอื กนั กลบั (อาฏานาฏิยรักขา เรียกงายๆ วา
ทรงสอนหลักความประพฤติปฏิบัติใน อาฏานาฏยิ ารกั ข โดยเรยี กตามชอื่ เทพ-
ชวี ติ และสงั คม เชน การไมคบคนพาล นครอาฏานาฏา ทที่ าวมหาราชประชมุ กัน
การคบบัณฑิต การยกยองเชิดชูคนที่ ประพนั ธอาฏานาฏยิ รกั ขานขี้ ึ้น) โดยขอ
ควรยกยองเชดิ ชู ฯลฯ จนถงึ ความมจี ติ ใหทรงรับไว เพื่อทําใหยักษพวกนั้น
ใจเกษมศานตเปนอิสระไมหว่ันไหวดวย เลอื่ มใส เปนเครอื่ งคุมครองรักษาภิกษุ
โลกธรรม วาเปนอุดมมงคล มงคลสตู ร ภกิ ษณุ ี อบุ าสก อบุ าสิกา ใหอยูผาสกุ
นี้กเ็ ปนที่นยิ มนบั ถอื นาํ มารวมไวในชดุ ปลอดจากการถูกเบียดเบียน แลวทาว
พระปรติ รเตม็ ท้งั พระสตู ร เวสสวัณก็กลาวคําอารักขานั้น เริ่มตน
ดวยคาํ นมสั การพระพทุ ธเจา ๗ พระองค
พระปริตรทช่ี ื่อวา อาฏานาฏยิ ปริตร มพี ระวปิ สสี เปนตน ตอดวยเรอ่ื งของ
จากอาฏานาฏยิ สตู ร (ท.ี ปา.๑๑/๒๐๗/๒๐๘) ทาวมหาราชสี่รายพระองคที่พรอมดวย
นบั วามกี าํ เนดิ แปลกออกไป คอื มใิ ชเปน โอรสและเหลาอมนุษยพากันนอมวันทา
พุทธดํารัสท่ีตรัสเอง แตมีเร่ืองในพระ พระพุทธเจา, เมื่อจบแลว ทาวเวสสวณั
สตู รนน้ั วา ณ ยามดกึ ราตรีหน่ึง ทาว กราบทูลยา้ํ วา คาถาอาฏานาฏิยรกั ขานี้
มหาราชส่ี (จาตมุ หาราช หรอื จตโุ ลกบาล) เพ่ือเปนเครื่องคุมครองรักษาภิกษุ
พรอมดวยบรวิ ารจาํ นวนมาก ไดมาเฝา ภกิ ษณุ ี อบุ าสก อบุ าสิกา ใหอยผู าสุก
พระพุทธเจา ที่เขาคิชฌกูฏ เมือง ปลอดจากการถกู เบยี ดเบียน เม่ือเรียน
ราชคฤห ครน้ั แลว ทาวเวสสวณั ผคู รอง ไวแมนยาํ ดีแลว หากอมนุษยเชนยักษ
ทศิ อดุ ร (ไทยมกั เรยี ก เวสสวุ ณั , มอี กี ชอ่ื เปนตนตนใดมีใจประทุษรายมากล้ํา
หนงึ่ วา กเุ วร) ไดกราบทลู (ในนามของผู กราย อมนุษยตนนั้นก็จะถูกตอตาน
มาเฝาทง้ั หมด) วา พวกยกั ษทไ่ี มเลอ่ื มใส
พระผมู พี ระภาคเจา กม็ ี ทเ่ี ลอ่ื มใส กม็ ี ๒๓๓
ปรติ ต,ปริตร ๒๓๔ ปริตต,ปริตร
และถกู ลงโทษโดยพวกอมนษุ ยทั้งหลาย เตม็ ท่ี (มใิ ชรออาํ นาจศกั ดสิ์ ทิ ธม์ิ าบนั ดาล
หากตนใดไมเชอ่ื ฟง กถ็ อื วาเปนขบถตอ ผลนน้ั ให)
ทาวมหาราชส่ีนั้น กลาวแลวก็พากัน
กราบทูลลากลับไป ครน้ั ผานราตรนี น้ั ไป เร่ืองราวอันเปนที่มาของปริตรท้ัง
แลว พระพทุ ธเจาไดตรสั เลาเรอ่ื งทงั้ หมด หลายตามที่เลาในพระไตรปฎก มีเพียง
แกภกิ ษทุ งั้ หลาย ตรสั วาอาฏานาฏยิ รกั ขา สนั้ ๆ ตรงๆ อยางท่ีกลาวแลว แตท่ีมา
นั้นกอปรดวยประโยชนในการคุมครอง ของบางปริตรปรากฏในอรรถกถาเปน
รักษาดังกลาวแลว และทรงแนะนาํ ให เรือ่ งราวยืดยาวพิสดาร โดยเฉพาะรตน-
เรยี นไว, คาถาอาฏานาฏยิ รกั ขานเี้ องได ปริตร จากรตนสูตร (ข.ุ ข.ุ ๒๕/๗/๕; ขุ.ส.ุ ๒๕/
มาเปนอาฏานาฏยิ ปรติ ร และอาฏานาฏยิ - ๓๑๔/๓๖๗) ซึง่ อรรถกถาเลาวา คราวหนงึ่
ปริตรน้ีนับวาเปนตัวอยางอันชัดเจนท่ี ทเี่ มอื งเวสาลี ไดเกิดทุพภกิ ขภยั ใหญ ผู
แสดงถึงวิธีสอนท่ีนําประชาชนใหฝก คนลมตาย ซากศพเกล่อื นเมอื ง พวก
ศกึ ษาพัฒนาชวี ติ ขนึ้ มาตามลําดบั จาก อมนษุ ยกเ็ ขามา แถมอหวิ าตกโรคซา้ํ อกี
จุดเช่ือมตอกับความเชื่อถือพื้นฐานของ ในทสี่ ดุ กษตั รยิ ลจิ ฉวตี กลงไปอาราธนา
เขา เพ่ือกาวเขามาสูคติแหงพระพุทธ พระพุทธเจา ซง่ึ เวลาน้นั ประทบั ท่เี มือง
ศาสนา คือในแงความเชื่ออํานาจศักดิ์ ราชคฤห (ยังอยูในรัชกาลของพระเจา
สทิ ธิ์ ถอื วาตองเปนอาํ นาจทที่ รงธรรมจงึ พมิ พสิ าร) ขอใหเสดจ็ มา พระพทุ ธองค
จะศักดิ์สิทธิ์จริงจังยั่งยืน และชําระ ประทบั เรอื เสดจ็ มา เมอื่ ถงึ เขตแดน พอ
อํานาจน้ันใหบริสุทธิ์เปนกุศลปราศจาก ยางพระบาทลงทรงเหยยี บฝงแมนา้ํ คงคา
การใชกเิ ลสเชนโลภะและโทสะ ใหอาํ นาจ ฝนโบกขรพรรษก็ตกลงมาจนน้ําทวม
ที่เปนกุศลชนะอํานาจอกุศล และท่ี พดั พาซากศพลอยลงแมนา้ํ คงคาไปหมด
สาํ คัญย่ิงคือไมใหขัดหลักกรรม แตให และเมอื่ เสดจ็ ถงึ เมืองเวสาลี ทาวสกั กะ
สนบั สนนุ ความเพยี รในการทาํ กศุ ลกรรม และประดาเทพก็มาชุมนุมรบั เสดจ็ เปน
โดยมีความหมายในแงคุมครองปองกัน เหตใุ หพวกอมนษุ ยหวาดกลวั พากนั หนี
ใหปลอดโปรงปราศจากสงิ่ ขัดขวางกังวล ไป ครง้ั นน้ั พระพทุ ธเจาไดตรสั รตนสูตร
ทง้ั ภายนอกและในใจ เพอื่ ใหพรอมหรอื ใหพระอานนทเรียนและเดินทําปริตรไป
มั่นใจมีกําลังใจท่ีจะเพียรทํากิจท่ีมุง ในระหวางกําแพงเมืองทัง้ ๓ ชนั้ พระ
หมาย เชน ภกิ ษกุ จ็ ะเจรญิ สมณธรรมได อานนทเรียนรตนสูตรน้ันแลวสวดเพื่อ
เปนปริตร คือเปนเครื่องคุมครองปอง
๒๓๔
ปรติ ต,ปริตร ๒๓๕ ปริตต,ปรติ ร
กนั พรอมท้ังถือบาตรของพระพทุ ธเจา เปนเคร่ืองคุมครองปองกัน ไมใชคาํ วา
ใสน้าํ เดินพรมไปทว่ั ท้งั เมอื ง เปนอนั วา กลาวหรือสวดปริตต ตอมาจึงคอยๆ
ท้งั ภัยแลง ภยั อมนุษย และภัยจากโรค เรียกขอความท่ีสวดหรือบทสวดนั้นเอง
กส็ งบสิ้นไป พระพทุ ธเจาประทบั ท่เี มอื ง วาปริตร แลวปริตรก็มีความหมายวา
เวสาลีครึ่งเดือนจึงเสด็จกลับ มีการ “บทสวดเพอื่ เปนเครอ่ื งคมุ ครองปองกนั ”
ชุมนุมครง้ั ใหญเพ่อื สงเสดจ็ เรียกวา ดงั ทใี่ นบดั นี้ ใชคาํ วา “กลาวปรติ ร” หรือ
“คงโฺ คโรหณสมาคม” (เปนไทย=คงคา- “สวดพระปรติ ร” (ปรติ ตภณนะ) เปนพน้ื
โรหณสมาคม, การชมุ นุมในคราวเสดจ็
ลงแมน้ําคงคาเพ่ือเสด็จกลับสูเมือง ปริตรไดเปนคําเรียกบทสวด โดยมี
ราชคฤห; การชุมนุมใหญอยางน้ีมีอีก รายชื่อปรากฏในคัมภีรชั้นหลังจากพระ
๒ ครั้ง คือ ยมกปาฏิหารยิ สมาคม ไตรปฎก เรม่ิ แตมลิ นิ ทปญหา ซงึ่ ถอื กนั
และเทโวโรหณสมาคม), พระสูตรน้ี วาเกดิ ขนึ้ ประมาณ พ.ศ. ๕๐๐ ในมลิ นิ ท-
แสดงคุณของพระรัตนตรัย จึงเรียกวา ปญหานนั้ มรี ายชอ่ื ๕-๗ ปรติ ร (ฉบบั
รตนสตู ร (ในมลิ นิ ทปญหาบางฉบบั เรยี ก หนง่ึ ทเ่ี ปนอกั ษรพมามี ๗ ปรติ ร คอื
วา สวุ ตั ถสิ ตู ร เพราะแตละคาถาลงทาย รตนสตู ร เมตตสตู ร ขนั ธปรติ ร โมรปรติ ร
วา “สวุ ตฺถิ โหตุ” – ดวยสจั จะนี้ ขอ ธชคั คปรติ ร อาฏานาฏยิ ปรติ ร องคลุ มิ าล-
ความสวสั ดีจงม)ี , เรอ่ื งท่ีอรรถกถาเลาน้ี ปรติ ร, ฉบบั อกั ษรไทยมี ๕ ปรติ ร คอื
นาจะเปนที่มาของประเพณีการเอานํ้าใส ขนั ธปรติ ร สวุ ตั ถปิ รติ ร [=รตนสตู ร] โมร-
บาตรทําน้ํามนต แลวพรมนํ้ามนตเพ่ือ ปรติ ร ธชคั คปรติ ร อาฏานาฏยิ ปรติ ร),
ความสขุ สวัสดี ตอมาในชน้ั อรรถกถา (ถงึ พ.ศ. ๙๐๐
๖) โดยความเปนมา: เดิมนนั้ “ปรติ ต” เศษ) พบรายชอ่ื อยางมาก ๘ ปรติ ร คอื
มคี วามหมายวา “เครอ่ื งคมุ ครองปองกนั ” อาฏานาฏยิ ปรติ ร อสิ คิ ลิ ปิ รติ ร ธชคั ค-
เชนกลาวขอความน้ันๆ เพ่ือเปนปริตร ปรติ ร โพชฌงั คปรติ ร ขนั ธปรติ ร โมร-
หรือใหเปนปริตร (เปนเคร่ืองคุมครอง ปรติ ร เมตตปรติ ร รตนปรติ ร (อง.ฺ อ.
ปองกัน) ยังไมเรียกขอความนั้นเองวา ๒/๒๑๐; นทิ ๑ฺ .อ.๓๓๖), ตอนไี้ ป จะกลาวขอ
ปรติ ร จงึ ใชคาํ วา “ทาํ ปรติ ต” (ปรติ ต- สงั เกตตามลาํ ดบั ดงั นี้
กรณะ) เชนทาํ การแผเมตตา หรอื ทาํ การ ก. ปริตรที่ยืนตัวอยูในทุกรายช่ือต้ังแต
นอมรําลึกหรือนมัสการอยางนั้นๆ ให มิลินทปญหามาจนวิสุทธิมัคคกระทั่งถึง
คมั ภีรแมแตช้นั ฎกี า มเี พียง ๕ คอื
๒๓๕
ปรติ ต,ปรติ ร ๒๓๖ ปรติ ต,ปริตร
รตนปริตร ขันธปริตร ธชัคคปริตร เพยี งบางสวน จงึ เปนอนั ไดเหตผุ ลทนี่ าํ
อาฏานาฏยิ ปรติ ร และโมรปรติ ร มาสวดเขาชดุ ปรติ ร และจดั เปนบทแรก
ข. ตลอดยุคทีก่ ลาวมา รายช่ือหลกั ข้นึ โดยเรียกช่ือคงเดิมวามงคลสูตร, ใน
ตนดวยรตนปรติ ร ซง่ึ บางทเี รยี กชอื่ เดมิ คมั ภรี ขทุ ทกปาฐะแหงพระไตรปฎก ทาน
เปนรตนสตู ร และในรายชอื่ ทกุ บญั ชี ไม เรียงลําดับมงคลสูตรและรตนสูตรไว
มมี งคลสตู รเลย ถัดกัน โดยมีมงคลสูตรเปนสูตรแรก
ค. ไมชัดวามีมงคลสตู รเพมิ่ เขามาในราย อรรถกถาอธบิ ายวาลาํ ดบั นเี้ ขากบั เหตผุ ล
ชอ่ื ปรติ รเมอื่ ใด แตคงเพมิ่ ในยคุ สมยั ที่ วา มงคลสตู รเปนอตั ตรกั ษ (รกั ษาตัว)
ไมนานนกั นาสงั เกตวา ทานเพมิ่ เขามา รตนสูตรเปนปรารกั ษ (รกั ษาผอู น่ื )
โดยจดั เปนปรติ รแรกทเี ดยี วนาํ หนารตน- ง. สวนปรติ รอ่ืนนัน้ ชัดอยแู ลววา ปรติ ร
ปริตร อีกทั้งเปนบทเดียวที่คงเรียกชื่อ ใดเดิมเปนพระสูตร และนํามาใชสวด
เปนสตู รคงทยี่ นื ตวั ไมเรยี กชอื่ วาปรติ ร เต็มทั้งสูตร ปริตรน้ันจะเรียกช่ือเปน
ทัง้ นี้ พอเห็นเหตผุ ลไดชดั วา เน้ือความ สูตร หรือเรียกเปนปรติ ร กไ็ ด คือ รตน-
ในมงคลสูตรไมมีลักษณะเปนปริตรโดย สูตร/ปริตร กรณียเมตตสูตร/ปริตร
ตรง คอื มใิ ชมงุ จะปองกนั ภยั ใดๆ อยาง (บางทีเรียกสัน้ ๆ วา เมตตสตู ร/ปริตร)
ปริตรอ่ืน แตเปนเรื่องของสิริมงคลคือ และธชัคคสตู ร/ปรติ ร, ปริตรนอกนี้ มิ
เปนไปเพ่ือความสุขความเจริญงอกงาม ใชมาจากพระสตู ร (เชน มาจากชาดก)
กวางๆ ครอบคลมุ ทวั่ ไปหมด ถงึ จะไม หรือถามาจากพระสูตร ก็ไมนํามาเต็ม
เปนปริตร ก็ดีมีคุณไมนอยกวาปริตร ทงั้ สตู ร แตคัดตดั มาเฉพาะสวนท่ีเก่ยี ว
และควรเอามาสวดนาํ กอนดวยซา้ํ เพอื่ ของ จึงเรยี กวาปริตรอยางเดยี ว
ใหเกิดสิริมงคลเปนพื้นฐานหรือเปน จ. อาฏานาฏยิ ปรติ ร มาจากอาฏานาฏยิ -
บรรยากาศไวกอน แลวจะแกหรือกัน สตู ร แตนาํ มาใชเฉพาะคาถา “อาฏานาฏยิ า
อันตรายอยางไหนก็คอยวากันตอไป รกขฺ า” ทที่ าวมหาราชสี่ถวาย ไมนํามา
(และในแงเนอื้ ความ มงคลสตู รกค็ รอบ เต็มท้ังสตู ร (คือนาํ มาเพียงเอกเทศของ
คลุมความดีงามสุขสวัสดีทุกประการ พระสูตร) จงึ เรยี กวาปริตรเทานน้ั ไม
โดยมีหลักธรรมที่เหมาะแกทุกบุคคล เรียกวาสตู ร ในแงน้ี อาฏานาฏยิ ปรติ รก็
ครบทกุ ขนั้ ตอนของชวี ติ ) อกี ทงั้ ทานเอา เหมือนกับปริตรอื่นๆ ท่ีเรียกวาปริตร
มาใชเต็มท้ังพระสูตร ไมไดคัดตัดมา อยางเดียว แตแงที่แปลกกวานั้นก็คือ
๒๓๖
ปรติ ต,ปรติ ร ๒๓๗ ปริตต,ปรติ ร
นํามาเฉพาะคาถานมัสการพระพุทธเจา โดยตรง, เรื่องของอาฏานาฏิยปริตร
เจด็ พระองค ๖ คาถา สวนคาถาตอจาก (รวมทงั้ โพชฌงั คปริตร) นี้ นาจะเปนตวั
น้ันซ่ึงวาดวยเร่ืองของทาวมหาราชสี่ อยางใหในยคุ หลงั มกี ารแตงคาถาใหมขนึ้
ทานตัดออก แลวประพนั ธคาถาใหมซึง่ เปนปรติ รชอื่ ใหมๆ โดยนาํ เอาพทุ ธพจน
สวนใหญพรรณนาพระคุณของพระ หรือขอความในพระไตรปฎกมาตั้งเปน
พุทธเจามากมายหลายพระองค นบ แกน กม็ ี ไมมขี อความจากพระไตรปฎก
วันทาพระพุทธเจาเหลาน้ัน ขอใหพระ โดยตรงเลย กม็ ี ไดแก อภยปรติ ร และ
คณุ ของพระองคปกปกรักษา และขอให ชยปริตร ในประมวลบทสวดทีเ่ รยี กวา
ทาวมหาราชท้ังส่ีมารักษาดวย, การที่ “สบิ สองตาํ นาน”
พระโบราณาจารยกระทําอยางน้ี คงเปน ๗) โดยการจดั เปนแบบแผน: ตอมา
เพราะทานเหน็ วา คาถาอาฏานาฏยิ รกั ขา ในบานเมืองที่พระพุทธศาสนาเจริญ
มิใชเปนพระพุทธวจนะ แตเปนคาํ ของ แพรหลาย มคี นทกุ หมูเหลานับถือแลว
เทพเทานั้น เมื่อจะนํามาใชในกิจนอก ความนิยมสวดพระปริตรก็แพรหลาย
พระไตรปฎก ทานจึงแตงเพิ่มและเติม มากข้ึนๆ จนเกิดเปนประเพณีขน้ึ โดยมี
แทนได โดยเฉพาะคาถาทที่ านแตงนนั้ ก็ พิธีกรรมเกี่ยวกับการสวดพระปริตรนั้น
เ ป น ก า ร เ ส ริ ม เ จ ต น า ร ม ณ ข อ ง ท า ว และประเพณีนัน้ ก็พฒั นาตอๆ มา เชน
มหาราชทงั้ สท่ี แ่ี สดงออกใน ๖ คาถาแรก มีการสวดปริตรนี้ในโอกาสน้ัน สวด
ใหปริตรหนักแนนมีกําลังมากยิ่งข้ึน, ปริตรนั้นในโอกาสนี้ มีการสวดปริตร
โพชฌังคปริตรมีลักษณะพิเศษตางออก เปนชุดในงานสําคัญ มีการแยกวาพึง
ไปอีก เน่อื งจากวา เรอ่ื งท่พี ระพุทธองค สวดชุดใดในงานไหนระดับใด ตลอด
เอง พระมหากสั สปะ และพระมหา- จนจัดลําดับในชุดพรอมดวยบทสวด
โมคคัลลานะ สดับคําแสดงโพชฌงค ประกอบตางๆ เปนตน, ในคมั ภรี มลิ นิ ท-
แลวหายจากอาพาธนั้น กระจายอยูใน ปญหา ซงึ่ เลาเรอ่ื งราวเมอ่ื ใกล พ.ศ.๕๐๐
สามพระสูตรตางหากกัน (สํ.ม.๑๙/๔๑๕- แมจะมไิ ดกลาวถงึ พธิ สี วดพระปรติ รโดย
๔๒๘/๑๑๓-๗) พระโบราณาจารยจงึ ใชวธิ ี ตรง แตปญหาหนง่ึ ทพี่ ญามลิ นิ ทตรสั ถาม
ประพันธคาถาประมวลเรื่องสรุปความ พระนาคเสนวา ถาปรติ รทาํ ใหคนพนจาก
รวมไวเปนปรติ รเดยี วกนั โพชฌงั คปรติ ร บวงมจั จรุ าชได จะไมขดั กนั หรือกับคาํ
จึงมิใชเปนบาลีภาษิตจากพระไตรปฎก สอนทวี่ า ถงึ จะเหาะเหนิ ไปในฟากฟา ถงึ
๒๓๗
ปรติ ต,ปริตร ๒๓๘ ปรติ ต,ปรติ ร
จะซอนตวั ลกึ ถงึ กลางมหาสมทุ ร หรอื จะ ควรสวดอาฏานาฏิยปริตรกอน แตพึง
หนไี ปทไี่ หน กห็ าพนจากบวงมจั จรุ าชไป
ไดไม และระบชุ อื่ ปรติ รไวดวยหลายบท สวดเมตตสตู ร ธชคั คสตู ร และรตนสตู ร
(ฉบบั อกั ษรพมาระบไุ ว ๗, ฉบบั อกั ษร
ไทยระบไุ ว ๕ ดงั กลาวขางตน) นแี้ สดง ตลอดสัปดาห ถาผไี มยอมออก จงึ ควร
วา การสวดพระปริตรคงจะเปนทน่ี ยิ ม
ท่ัวไปแลวในชมพูทวีป รวมทั้งแควน สวดอาฏานาฏยิ ปริตร ดงั นเี้ ปนตน
โยนก (โยนกเวลาน้ันขยายกวางตั้งแต
แถบเหนือของอัฟกานิสถานและปากี- ปริตรท่ีจัดเปนหมวดหรือเปนชุด
สถาน มาจนถงึ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ของ
อนิ เดยี ปจจบุ นั ) ตอมา ในลังกาทวีป มี ตอมาก็มีการแยกเปนชุดเล็กและชุด
เร่ืองราวเปนหลักฐานชัดเจนตามคัมภีร
มหาวงส (พงศาวดารลงั กายคุ ตน) วา ใหญ ดังท่ีเรยี กวา “เจด็ ตาํ นาน” (ใชคาํ
ในรชั กาลพระเจาอุปตสิ สะ ที่ ๑ (พ.ศ. บาลเี ปน สัตตปรติ ต) และ “สิบสอง
๙๐๕–๙๕๒) เกดิ ทุพภกิ ขภัย พระองค ตาํ นาน” (ทวาทสปริตต) แตมขี อนา
ไดโปรดใหนิมนตพระสงฆประชุมใหญ สงสยั วา “ตาํ นาน” ในท่นี หี้ มายถงึ เรอ่ื ง
สวดพระปรติ ร แลวฝนตกหายแลง ใน
สมยั หลังตอมา ก็มเี หตุการณเชนนอี้ ีก, ราวเลาขานสบื กันมาใชแนหรอื ไม พอดี
พิธีสวดอยางนี้ นอกจากเปนงานใหญ
แลว ก็กลายเปนประเพณี การสวดบาง วา “ปริตต” คอื เคร่ืองคุมครองปองกันนี้
อยางก็ทําเปนประจําทุกป อยางนอยก็
ทํานองเปนการบาํ รุงขวญั ในบางคมั ภีร มคี าํ บาลที เี่ ปนไวพจนวา รกั ขา ตาณ เลณ
อยางวินยสังคหะ ถึงกับอธิบายวิธีจัด
เตรียมการในการสวดพระปริตรในบาง ทปี ะ นาถ สรณะ เปนตน โดยเฉพาะ
โอกาส เชน เมือ่ ไปสวดใหคนเจบ็ ไขฟง
พงึ ใหเขารบั สกิ ขาบทกอน (เราเรยี กวาให “ตาณ” นน้ั บางทีใชอธบิ ายหรอื ใชแทน
ศลี ) แลวกลาวธรรมแกเขา พงึ ทาํ ปรติ ร
ใหแกผทู ต่ี ัง้ อยูในศลี ถาคนถกู ผีเขา ไม “ปรติ ตฺ ” อยางชัดเจน (เชน ในโยชนา
แหงอรรถกถาวินัยวา ยกฺขปริตฺตนฺติ
ยกเฺ ขหิ สมนตฺ โต ตาณ)ํ จงึ นาสนั นษิ ฐาน
วา อาจเปน “ตํานาณ” ท่ีแผลงจาก
“ตาณ” นเ้ี อง (คอื เปน เจด็ ตาํ นาณ และ
สบิ สองตาํ นาณ) และเม่ือใชเปนแบบ
แผนในพระราชพิธี ก็ไดมีชื่อเปนคํา
ศัพทเฉพาะข้ึนวา “ราชปริตร” เรียก
สัตตปริตตวา จลุ ราชปรติ ร (ปรติ รหลวง
ชุดเล็ก) และเรียกทวาทสปริตตวา
มหาราชปรติ ร (ปรติ รหลวงชุดใหญ)
เจด็ ตํานาน
๑. มงคลสตู ร
๒๓๘
ปรติ ต,ปรติ ร ๒๓๙ ปรติ ต,ปริตร
๒. รตนปรติ ร (มกั เรยี ก รตนสตู ร) บทสวดเสริมประกอบท่ีแตงหรือจัดเติม
๓. เมตตปรติ ร (มกั เรยี กกรณยี เมตตสตู ร)
๔/๐. ขนั ธปรติ ร เพม่ิ ขึน้ มาตามกาลเวลาอกี มาก ใชสวด
๕/๐. โมรปรติ ร
๖/๐. ธชคั คปรติ ร (มกั เรยี ก ธชคั คสตู ร) นาํ กอนกม็ ี สวดแทรกกม็ ี สวดตอทายก็
๗/๐. อาฏานาฏยิ ปรติ ร มี เชน กอนเรม่ิ สวด กม็ กี ารชมุ นมุ
๐/๗. โพชฌงั คปรติ ร มอี งั คลุ มิ าลปรติ รนาํ เทวดา คอื กลาวคาํ เชญิ ชวนเทวดามาฟง
(ลาํ ดบั ทายนี้ อาจเขาแทนลาํ ดบั ใดหนง่ึ ใน ๔-๗) เรียกวามาฟงธรรมหรือมาฟงพุทธวจนะ
สบิ สองตํานาน และเมอ่ื เรม่ิ สวด กอนจะถงึ ตวั พระปรติ ร
๑. มงคลสตู ร กส็ วดตนตาํ นาน ซ่งึ มปี ระมาณ ๔ บท
๒. รตนปรติ ร (มกั เรยี ก รตนสตู ร) แลวจึงสวดตัวตาํ นานคือพระปริตรไป
๓. เมตตปรติ ร (มกั เรยี กกรณยี เมตตสตู ร) ตามลาํ ดบั คร้นั จบปริตรท้ังหมดแลว ก็
๔. ขนั ธปรติ ร มีฉทั ทนั ตปรติ รตาม สวดทายตํานาน ทํานองบทแถมอีก
๕. โมรปรติ ร จํานวนหนงึ่ (อาจจะถงึ ๑๐ บท) เสร็จ
๖. วฏั ฏกปรติ ร
๗. ธชคั คปรติ ร (มกั เรยี ก ธชคั คสตู ร) แลวจงึ เปนอนั จบการสวด
๘. อาฏานาฏยิ ปรติ ร
๙. องั คลุ มิ าลปรติ ร ยิ่งกวานั้น ถามีเวลาท่ีจะสวดอยาง
๑๐. โพชฌงั คปรติ ร
๑๑. อภยปรติ ร (มขี นึ้ ในยคุ หลงั ) เต็มพิธีจริงๆ นอกจากชุมนุมเทวดา
๑๒. ชยปรติ ร (มขี น้ึ ในยคุ หลงั ) (เรียกวาขดั นํา) ตอนจะเร่มิ สวดแลว ใน
ชวงที่สวดตวั ตาํ นาน กม็ กี ารขดั ตํานาน
(พงึ ทราบวา องคฺ ลุ มิ าลปรติ ตฺ และ แทรกค่นั ไปตลอดดวย คอื ระหวางท่ี
โพชฌฺ งคฺ ปรติ ตฺ นนั้ เรยี กเปนภาษาไทย
วา องั คลุ มิ าลปรติ ร หรอื องคลุ มิ าลปรติ ร สวดปริตรหนึ่งจบแลว กอนจะสวด
และโพชฌงั คปรติ ร หรอื โพชฌงคปรติ ร
กไ็ ด ยงั ไมมกี าํ หนดเปนยตุ )ิ ปริตรลาํ ดบั ตอไป กห็ ยุดใหหัวหนา (บัด
๘) โดยเครอื่ งประกอบเสรมิ : อยางที่
ไดกลาววา นอกจากตวั ปรติ รเองแลว มี นี้นิยมใหรูปที่ ๓ ผูขัดนํา คือรูปที่
ชุมนมุ เทวดา) ขดั ตาํ นาน คือสวดบท
แนะนําใหรูจักปริตรบทที่จะสวดตอไป
น้นั (บทขดั ของปริตรใด กเ็ รียกตามชือ่
ของปริตรนั้น เชน บทขัดมงคลสูตร
บทขดั รตนปริตร ฯลฯ ซึง่ บอกใหรวู า
ปริตรนั้นเกิดข้ึนมาอยางไร มีคุณหรือ
อานสิ งสในการสวดอยางไร และเชญิ ชวน
๒๓๙
ปริเทวะ ๒๔๐ ปรินพิ พาน
ใหสวด) ขดั คนั่ อยางนไี้ ปจนจบปริตรท้งั ปรติ รนนั้ ๆ โดยมกี มั มสั สกตาปญญาอนั
หมด, อยางไรก็ตาม ทกุ วันน้ี แมแตใน มองเหน็ ความมกี รรมเปนของตน ซง่ึ ผล
พิธีใหญๆ ก็นอยนักที่จะมีการขัด ที่ประสงคจะสาํ เร็จดวยความพากเพียร
ตํานานในการสวดเจ็ดตํานานหรือสิบ ในการกระทาํ ของตน เมอ่ื มจี ติ ใจโลงเบา
สองตํานาน เพราะจะทาํ ใหการสวดยาว สดชืน่ ผองใสดวยมน่ั ใจในคณุ พระปรติ ร
นานมาก, แตท่ียงั นิยมปฏิบัติกนั อยู ก็ ทคี่ มุ ครองปองกนั ภยั อนั ตรายใหแลว ก็
คือ ในกรณีท่ีมีการสวดบทพิเศษเพ่ิม จะไดมีสติมั่นมีสมาธิแนวมุงหนาทําการ
เขามา เชน สวดธัมมจักกัปปวตั ตนสตู ร น้ันๆ ใหกาวตอไปดวยความเขมแขง็ มี
ในงานทาํ บุญอายคุ รัง้ สําคญั เมอื่ ขดั นาํ กาํ ลังหนักแนนและแจมใสชัดเจนจนถึง
ตาํ นาน คอื ชมุ นมุ เทวดาแลว กต็ อดวย ความสาํ เรจ็ , สาํ หรบั พระภกิ ษุ ตองตงั้ ใจ
บทขัดธัมมจักกัปปวัตตนสูตรติดไปเลย ปฏิบัติในเรอื่ งปรติ รน้ีตอคฤหสั ถดวยจติ
จากนั้นสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เมตตากรุณา พรอมไปกับความสังวร
และเจด็ ตํานานยอไปจนจบ โดยไมมกี าร ระวงั มใิ หผดิ พลาดจากพระวนิ ยั ในแง
ขดั ตาํ นานใดๆ อกี , ทก่ี ลาวมานี้ เปนเรอ่ื ง ดริ จั ฉานวชิ า และเวชกรรม เปนตน; ดู
ของแบบแผนในพิธีที่เพิ่มขยายขึ้นมา ภาณยกั ษ, ภาณวาร
เปนเร่ืองของประเพณีและเน่ืองดวย ปริเทวะ ความร่ําไรรําพัน, ความครํ่า
สงั คม แตผปู ฏบิ ตั ใิ นทางสวนตวั เมอ่ื มงุ ครวญ, ความราํ พนั ดวยเสยี ใจ, ความ
สาระ พงึ กาํ หนดชดั อยทู ต่ี วั พระปริตร บนเพอ
นอกจากแบบแผนพิธีในการสวด ปริเทวนาการ ดู ปรเิ ทวะ
แลว เครอื่ งประกอบสาํ คญั ทรี่ ูกนั ดกี ็คอื ปรนิ พิ พาน การดับรอบ, การดับสนิท
นํ้ามนต และสายสิญจน ซ่ึงมีมาแต 1. ดับกิเลสและทุกขสิ้นเชิง, บรรลุ
โบราณ แตในคมั ภรี ภาษาบาลี ทานเรยี ก อรหัตตผล (ไดแก กเิ ลสปรินพิ พาน) 2.
วา ปรติ โตทก (นาํ้ ปรติ ร) และปรติ ตสตู ร ตาย (ไดแก ขนั ธปรินิพพาน, ใชแกพระ
(สายหรอื ดายปรติ ร) ตามลาํ ดบั พุทธเจาและพระอรหันต; ในภาษาไทย
รวมแลว ในเรอ่ื งปรติ รนี้ ขอสาํ คญั บางทีแยก ใหใชแกพระพุทธเจาวา
อยูท่ีตองมีจิตใจเปนกุศล นอกจากมี ปรินิพพาน และใหใชแกพระอรหนั ตทว่ั
เมตตานําหนาและมั่นในสัจจะบนฐาน ไปวา นพิ พาน แตในภาษาบาลี ไมมกี าร
แหงธรรมแลว ก็พึงรูเขาใจสาระของ แยกเชนนั้น); ดู นิพพาน
๒๔๐
ปรินพิ พานบริกรรม ๒๔๑ ปรวิ าร
ปรินพิ พานบริกรรม การกระทาํ ข้นั ตน ปรยิ ัติสัทธรรม ดู สทั ธรรม ๓
กอนท่ีจะปรินิพพาน, การเตรียม ปริยาย การเลาเรอ่ื ง, บรรยาย; อยาง,
ปรินิพพาน ในพทุ ธประวัติ ไดแก การ ทาง, นยั ออม, แง
ทรงเขาอนปุ ุพพวหิ ารสมาบตั ิกอน แลว ปรยิ ายสทุ ธิ ความบรสิ ทุ ธโิ์ ดยปรยิ ายคอื
เสด็จปรนิ พิ พาน จัดเปนความบริสุทธ์ิไดบางแงบางดาน
ปรินิพพานสมัย เวลาท่ีพระพุทธเจา ยงั ไมบรสิ ทุ ธสิ์ นิ้ เชงิ ยงั มกี ารละ และการ
บาํ เพญ็ อย;ู ตรงขามกบั นปิ ปรยิ ายสทุ ธ;ิ ดู
เสดจ็ ปรินพิ พาน
ปรปิ จุ ฉา การสอบถาม, การซกั ไซ, การ สทุ ธิ
ซกั รอบสอบถามใหไดความชดั เจน, การ ปริยุฏฐานกิเลส ดู กเิ ลส ๓ ระดบั
ปรเิ ยสนา การแสวงหา มี ๒ คอื ๑. อนรยิ -
คนควา, การสืบคนหาความรู;
มักมาคูกับ อุเทศ เมื่ออธิบายสั้นๆ ปริเยสนา แสวงหาอยางไมประเสริฐ
อเุ ทศ ไดแก พระบาลคี ือพทุ ธพจน ที่ยก
ขึ้นเปนบทตั้ง, การบอกพุทธพจน ตนยังมที กุ ข ก็ยงั แสวงหาสภาพท่ีมีทกุ ข
๒. อรยิ ปริเยสนา แสวงหาอยางประเสริฐ
ปรปิ ุจฉา ไดแก อรรถกถา, การเรยี น ตนมีทกุ ข แตแสวงหาสภาพทไ่ี มมที ุกข
ความหมายของพุทธพจนนนั้ ; ดู อเุ ทศ
ปริพาชก นักบวชผูชายนอกพระพุทธ- ไดแกนิพพาน; สาํ หรับคนทว่ั ไป อธบิ าย
ศาสนาพวกหน่ึงในชมพูทวีป ชอบ วา มิจฉาอาชีวะ เปนอนริยปริเยสนา
สัมมาอาชวี ะ เปนอรยิ ปริเยสนา
สัญจรไปในทต่ี างๆ สาํ แดงทรรศนะทาง ปรโิ ยสาน ท่ีสุดลงโดยรอบ, จบ, จบ
ศาสนาปรัชญาของตน เขียนอยางรูป อยางสมบูรณ
เดิมในภาษาบาลีเปน ปรพิ พาชก ปรวิ ฏั ฏ หมนุ เวยี น, รอบ; ญาณทสั สนะ
ปริพาชกิ า ปรพิ าชกเพศหญิง เขียนอยาง มีปริวฏั ฏ ๓ หรอื เวยี นรอบ ๓ ใน
รูปเดมิ ในภาษาบาลเี ปน ปริพพาชกิ า อริยสจั จ ๔ หมายถงึ รูอรยิ สัจจ ๔ แต
ปริภณั ฑ ดู สัตตบรภิ ัณฑ
ปริมณฑล วงรอบ, วงกลม; เรียบรอย ละขอโดยสัจจญาณ กิจจญาณ และกต-
ญาณ รวม ๔ ขอเปน ๑๒ เรียกวา มี
อาการ ๑๒
ปรยิ ตั ิ พทุ ธพจนอันจะพึงเลาเรยี น, สง่ิ ที่ ปรวิ าร คัมภีรท่ี ๕ (เปนเลมที่ ๘) แหง
ควรเลาเรียน (โดยเฉพาะหมายเอาพระ
บาลีคือพระไตรปฎก พุทธพจนหรอื พระ วินัยปฎก เปนคมั ภรี ประกอบหรือคมู อื
ธรรมวนิ ยั ); การเลาเรยี นพระธรรมวินัย บรรจุคําถามคําตอบสําหรับซอมความรู
พระวนิ ัย; ดู ไตรปฎก
๒๔๑
ปรวิ ารยศ ๒๔๒ ปรวิ าส
ปรวิ ารยศ ยศคอื (ความม)ี บริวาร, ความ ต้ังแตเรื่องพ้ืนๆ ไปจนถึงหลักธรรมที่
เปนใหญโดยบริวาร ดู ยศ
ลกึ ซง้ึ เชน อาหารทบี่ รโิ ภคเขาไปแลว มี
ปรวิ าส “อยรู อบ”, อยคู รบ, อยูจบ, อยู ปรวิ าส คือการคางรวมกนั อยใู นทองจน
ปรบั ตวั ใหพรอม, อยพู อจนไดท,่ี บมตวั , ยอยเสร็จ, การอบเครื่องใชหรือที่อยู
อบ, หมกอยู 1. ในพระวนิ ยั แปลกนั มาวา อาศัยดวยกล่ินหอมของดอกไมเปนตน
“อยกู รรม” หรอื อยชู ดใช, เปนชอ่ื วฏุ ฐาน- ก็เปนปรวิ าส, การเรยี นมนตโดยอยูกับ
วธิ ี (ระเบยี บปฏบิ ัตสิ ําหรบั การออกจาก กจิ กรรมทเ่ี กย่ี วกบั มนตนน้ั เชน สาธยาย
ครุกาบัติ) อยางหน่ึง ซ่ึงภิกษุผูตอง พิจารณา ทําความเขาใจ จนจบรอบหรือ
อาบัติสังฆาทเิ สสแลวปกปดไว จะตอง เขาถงึ เรียกวามนตปรวิ าส, ในสมถ-
ประพฤติ เปนการลงโทษตนเองชดใชให ภาวนา ผูเจริญฌาน จะกาวจากอุปจาร-
ครบเทาจํานวนวันทีป่ ดอาบตั ิ กอนท่ีจะ สมาธขิ ึน้ สปู ฐมฌาน หรอื กาวจากฌานท่ี
ประพฤติมานัตอันเปนข้ันตอนปกติของ ต่ํากวาขน้ึ สฌู านช้นั ที่สูงข้ึนไป คอื มอี งค
การออกจากอาบัติตอไป, ระหวางอยู ฌานชน้ั ที่สูงตอข้ึนไปนน้ั ปรากฏ โดยอยู
ปริวาส ตองประพฤตวิ ตั รตางๆ เชน งด จบรอบอปั ปนาสมาธิ (หรือบมอปั ปนา-
ใชสิทธบิ างอยาง ลดฐานะของตน และ สมาธิจนไดท่)ี เรยี กวาอัปปนาปรวิ าส,
ประจานตวั เปนตน; ปริวาส มี ๓ อยาง ในการเจริญวิปสสนา ผูปฏิบัติจะยัง
คือ ปฏิจฉนั นปรวิ าส สโมธานปริวาส มรรคใหเกิดข้ึน โดยอยูจบรอบวปิ สสนา
และ สุทธนั ตปรวิ าส; มปี รวิ าสอกี อยาง (หรือบมวิปสสนาจนไดท่ี) เรียกวา
หนงึ่ สาํ หรบั นกั บวชนอกศาสนา จะตอง วิปสสนาปริวาส, ในการทาํ งานของจติ
ประพฤติ เปนการปรับตัวใหพรอม ซงึ่ ดาํ เนินไปโดยจิตขึน้ สวู ิถีและตกภวงั ค
กอนทจ่ี ะบวชในพระธรรมวินยั เรยี กวา แลวขน้ึ สวู ถิ แี ละตกภวงั ค เปนอยางนีต้ อ
ตติ ถยิ ปรวิ าส ซงึ่ ทานจดั เปน อปฏจิ ฉนั น- เนอ่ื งไปนัน้ ชวงเวลาท่จี ิตอยูในภวังคจน
ปริวาส (เม่ือเทียบกับติตถิยปริวาสนี้ ขึ้นสวู ถิ อี กี เรียกวาภวังคปรวิ าส (บุคคล
บางทีเรียกปริวาสของภิกษุเพื่อออกจาก ท้ังหลายมีภวังคปริวาส หรือชวงพัก
อาบัติสังฆาทเิ สสขางตนนัน้ วา “อาปตติ- ภวังคน้ี ยาวหรือสน้ั เรว็ หรือชา ไม
ปรวิ าส”); ดู ติตถยิ ปรวิ าส 2. ในคัมภีรชน้ั เหมอื นกนั ผูทีม่ ภี วังคปริวาสสน้ั รวดเรว็
อรรถกถาลงมา ทานนําคําวา “ปริวาส” จะรับรูและคดิ การตางๆ ไดแคลวคลอง
ตามความหมายสามัญขางตนมาใช รวดเร็ว จนดูเหมือนวาทําอะไรๆ ได
อธิบายธรรม เพอื่ ชวยใหเขาใจงายขึ้น หลายอยางในเวลาเดียวกัน เชน พระ
๒๔๒
ปรวิ ิตก ๒๔๓ ปลงอาบตั ิ
พุทธเจาทรงมีภวังคปริวาสช่ัววิบแวบ และกิริยาที่จะตองปฏิบัติตอประชุมชน
แมจะมีผูทูลถามปญหาพรอมกันหลาย นนั้ ๆ เชนรจู กั วา ประชมุ ชนนี้ เมอื่ เขาไป
คน ก็ทรงทราบความไดทันท้ังหมด จะตองทํากิริยาอยางนี้จะตองพูดอยางนี้
และทรงจัดลําดับคําตอบไดเหมาะ เปนตน (ขอ ๖ ในสัปปรุ สิ ธรรม ๗)
จังหวะแกทุกคน) ปริสุปฏฐาปกะ ภิกษุผูเปนนิสัยมุตก
ปริวติ ก ความคิดนึก, คํานึง; ไทยใช คอื พนจากการถอื นสิ ยั แลว มคี ณุ สมบตั ิ
หมายความวานกึ เปนทกุ ขหนกั ใจ, นึก สมควรเปนผูปกครองหมู สงเคราะห
หวงใย บรษิ ัทได
ปรสิ ะ บริษทั , ที่ประชมุ สงฆผูทาํ กรรม ปรชี า ปญญาเฉยี บคม, ปญญาสวางชดั
ปรสิ ทูสโก ผปู ระทุษรายบริษัท เปนคน เห็นการกวางไกลท่ีจะแกไขจัดทําดําเนิน
พวกหน่งึ ที่ถกู หามบรรพชา หมายถงึ ผูมี การใหสําเรจ็ , ความรเู ขาใจแจมชดั
รูปรางแปลกเพื่อน เชน สงู หรือเตีย้ จน ปฤษฎางค อวัยวะเบ้ืองหลัง, สวนหลงั ,
ประหลาด ศีรษะโตหรือหลมิ เหลือเกิน ขางหลงั
เปนตน ปลงตก พจิ ารณาเหน็ จรงิ ตามสภาพของ
ปริสวิบตั ิ เสียเพราะบรษิ ัท, วบิ ตั ิโดย สงั ขาร แลววางใจเปนปกติได
บรษิ ทั , บกพรองเพราะบริษทั หมายถึง ปลงบริขาร มอบบริขารใหแกผูอ่ืนใน
เมื่อสงฆจะทําสังฆกรรม ภิกษุเขา เวลาใกลจะตาย เปนการใหอยางขาด
ประชุมไมครบองคกําหนด, หรือครบ กรรมสิทธิไ์ ปทีเดยี วตง้ั แตเวลาน้ัน (ใช
แตไมไดนําฉันทะของผูควรแกฉันทะ สาํ หรับภิกษุผจู ะถึงมรณภาพ เพอื่ ใหถูก
มา, หรือมผี ูคัดคานกรรมทีส่ งฆทํา ตองตามพระวนิ ยั )
ปริสสมบัติ ความพรอมมลู แหงบริษัท, ปลงผม โกนผม (ใชแกบรรพชติ )
ถงึ พรอมดวยบริษัท, ความสมบูรณของ ปลงพระชนมายสุ งั ขาร ดู อายุสังขาร-
ทปี่ ระชุม คอื ไมเปนปริสวิบตั ิ (ตัวอยาง โวสสชั ชนะ
ประชุมภิกษใุ หครบองคกําหนด เชน จะ ปลงศพ เผาผ,ี จดั การเผาฝงใหเสรจ็ สนิ้ ไป
ทํากฐนิ กรรม ตองมีภิกษุอยางนอย ๕ ปลงสงั ขาร ทอดอาลัยในกายของตนวา
รูป จะใหอุปสมบทในมัธยมประเทศ จะตายเปนแนแทแลว
ตองมีภกิ ษุอยางนอย ๑๐ รปู เปนตน) ปลงอาบตั ิ เปลอ้ื งตนใหพนความผดิ ทาง
ปริสัญ ุตา ความเปนผรู จู ักประชุมชน วินัยดวยการเปดเผยความผิดน้ัน, ทาํ
๒๔๓
ปลงอายุสังขาร ๒๔๔ ปลโิ พธ
ตนใหพนจากอาบัติดวยการเปดเผย เปนเหตใุ หใจพะวกั พะวนหวงกงั วล, เหตุ
อาบัติของตนแกสงฆหรือแกภิกษุอื่น, กงั วล, ขอตดิ ของ; ปลโิ พธทผี่ จู ะเจรญิ
แสดงอาบัติเพ่ือใหพนจากอาบัติ, ใช กรรมฐานพึงตัดเสียใหได เพื่อใหเกิด
สําหรับอาบัติท่ีแสดงแลวพนได คือ ค ว า ม ป ล อ ด โ ป ร ง พ ร อ ม ที่ จ ะ เ จ ริ ญ
ถลุ ลจั จยั ปาจติ ตยี ปาฏิเทสนียะ ทกุ กฏ กรรมฐานใหกาวหนาไปไดดี มี ๑๐ อยาง
คอื ๑. อาวาสปลโิ พธ ความกงั วลเกย่ี ว
และทพุ ภาสิต; “ปลงอาบตั ิ” เปนคาํ เกาท่ี กับวัดหรอื ทอ่ี ยู ๒. กลุ ปลโิ พธ ความ
กังวลเกี่ยวกับตระกูลญาติหรืออุปฏฐาก
นยิ มใชกนั มาเปนพื้น แตคาํ ที่ใชในตาํ รา ๓. ลาภปลโิ พธ ความกังวลเก่ยี วกับลาภ
๔. คณปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับ
ซ่ึงเปนคําแปลตามบาลีเดิมวา “แสดง คณะศิษยหรือหมูชนท่ีตนตองรับผิด
อาบตั ”ิ ; ดู แสดงอาบตั ิ ชอบ ๕. กรรมปลิโพธ ความกงั วลเก่ยี ว
ปลงอายสุ งั ขาร ดู อายสุ งั ขารโวสสชั ชนะ กับการงาน เชน การกอสราง ๖.
ปละ [ปะ-ละ] ชอื่ มาตราสาํ หรบั ชงั่ นาํ้ หนกั อัทธานปลโิ พธ ความกงั วลเกยี่ วกบั การ
ประมาณ ๕ ชง่ั มดี งั น้ี เดินทางไกลเนือ่ งดวยกิจธุระ ๗. ญาติ-
ปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับญาติหรือ
๔ เมลด็ ขาวเปลอื กเปน ๑ กญุ ชา (กลอม) คนใกลชิดท่ีจะตองเปนหวงซึ่งกําลังเจ็บ
ปวยเปนตน ๘. อาพาธปลิโพธ ความ
๒ กญุ ชา ” ๑ มาสก (กลา่ํ ) กังวลเก่ยี วกบั ความเจ็บไขของตนเอง ๙.
คันถปลิโพธ ความกังวลเก่ียวกับการ
๕ มาสก ” ๒ อกั ขะ ศึกษาเลาเรียน ๑๐. อทิ ธิปลโิ พธ ความ
กังวลเกี่ยวกับฤทธิ์ของปุถุชนที่จะตอง
๘ อกั ขะ ” ๑ ธรณะ
คอยรักษาไมใหเส่ือม (ขอทายนี้เปน
๑๐ ธรณะ ” ๑ ปละ
ปลโิ พธสาํ หรบั ผจู ะเจรญิ วปิ สสนาเทานนั้ )
๑๐๐ ปละ ” ๑ ตลุ า
ในทางพระวินัยเกี่ยวกับการกราน
๒๐ ตลุ า ” ๑ ภาระ
หนงั สอื เกาเขยี น ปะละ; ดู มาตรา กฐนิ ปลโิ พธ หมายถึงความกงั วลทเ่ี ปน
(มาตราชงั่ ของ) เหตุใหกฐินยังไมเดาะ (คือยังรักษา
ปลา ในโภชนะ ๕ อยางคอื ๑. ขาวสุก
๒. ขนมสด ๓. ขนมแหง ๔. ปลา ๕. เนอื้ อานิสงสกฐินและเขตแหงจีวรกาลตาม
ปลาในที่น้ีหมายความรวมไปถึง หอย ๒๔๔
กงุ และสตั วน้าํ เหลาอนื่ ที่ใชเปนอาหาร
ปลาสะ ตเี สมอ คอื ยกตนเทยี มทาน (ขอ
๖ ในอปุ กเิ ลส ๑๖)
ปลิโพธ เครื่องผูกพันหรือหนวงเหนี่ยว
ปวตั ตมังสะ ๒๔๕ ปวารณา
กาํ หนดไวได) มี ๒ อยางคอื ๑. อาวาส- ภนฺเต สงฆฺ ํ ปวาเรม,ิ ... ตตยิ มปฺ ภนเฺ ต
ปลิโพธ ความกงั วลในอาวาส (ยังอยูใน สงฺฆํ ปวาเรมิ, ...” แปลวา “ขาพเจาขอ
วัดนั้นหรือหลีกไปแตยังผูกใจวาจะกลับ ปวารณากะสงฆ ดวยไดเหน็ ก็ตาม ดวย
มา) ๒. จวี รปลโิ พธ ความกังวลในจีวร ไดยนิ ก็ตาม ดวยนาระแวงสงสัยกต็ าม,
(ยังไมไดทาํ จวี รหรอื ทําคางอยู หรือหาย ขอทานผูมีอายุทั้งหลายจงวากลาวกะ
ขาพเจาดวยอาศยั ความหวงั ดเี อน็ ด,ู เมอื่
เสียในเวลาทําแตยังไมสิ้นหวังวาจะได ขาพเจามองเหน็ จกั แกไข แมครัง้ ที่สอง
... แมครั้งท่ีสาม ...” (ภิกษผุ ูมีพรรษาสงู
จวี รอกี ) ถาสนิ้ ปลโิ พธครบทั้งสองอยาง สุดในทปี่ ระชมุ วา อาวโุ ส แทน ภนฺเต)
จึงเปนอนั เดาะกฐิน (หมดอานสิ งสและ ปวารณาเปนสังฆกรรมประเภท
ญตั ตกิ รรม คอื ทาํ โดยตง้ั ญตั ติ (คาํ เผดยี ง
สนิ้ เขตจวี รกาลกอนกาํ หนด) สงฆ) อยางเดยี ว ไมตองสวดอนุสาวนา
ปวัตตมังสะ เนอ้ื ท่ีมีอยูแลว คอื เนอื้ สัตว (คาํ ขอมต)ิ ; เปนกรรมท่ตี องทําโดยสงฆ
ท่เี ขาขายอยตู ามปกตสิ าํ หรบั คนทั่วๆ ไป ปญจวรรค คอื มภี กิ ษตุ ง้ั แต ๕ รปู ขน้ึ ไป
ไมใชฆาเพ่อื เอาเนื้อมาถวายพระ; ตรงขาม ปวารณา ถาเรียกชื่อตามวนั ท่ที าํ แบง
กับ อุทิสสมงั สะ ไดเปน ๓ อยาง คอื ๑. ปณณรสกิ า
ปวตั ตินี คาํ เรยี กผทู ําหนาทอ่ี ปุ ชฌายใน ปวารณา (ปวารณาที่ทาํ โดยปกติในวัน
ฝายภิกษณุ ี, ภกิ ษุณีทีเ่ ปนอปุ ชฌายของ ข้ึน ๑๕ ค่าํ เดือน ๑๑ คอื วันออก
พรรษา) ๒. จาตทุ ทสิกา ปวารณา (ใน
ภิกษุณีท่ีเปนสหชีวินี, บางทีเรียกวา กรณีที่มีเหตุสมควร ทานอนุญาตให
“อุปชฌายา” (วนิ ย.๓/๓๙๖-๗/๒๑๖); ดู สหชีวินี เล่ือนปวารณาออกไปปกษหน่ึงหรือ
ปวารณา 1. ยอมใหขอ, เปดโอกาสใหขอ เดอื นหนง่ี โดยประกาศใหสงฆทราบ ถา
2. ยอมใหวากลาวตกั เตอื น, เปดโอกาส เลือ่ นออกไปปกษหนง่ึ ก็ตกในแรม ๑๔
คาํ่ เปนจาตุททสิกา แตถาเลื่อนไปเดอื น
ใหวากลาวตักเตือน, ชื่อสังฆกรรมท่ี หนึ่งก็เปนปณณรสิกาอยางขอแรก) ๓.
สามัคคีปวารณา (ปวารณาที่ทําในวัน
พระสงฆทําในวันสุดทายแหงการจํา สามคั คี คือ ในวนั ทส่ี งฆซงึ่ แตกกันแลว
กลับปรองดองเขากันได อันเปนกรณี
พรรษา คือ ในวนั ขนึ้ ๑๕ คํ่า เดือน ๑๑
เรยี กวา วนั มหาปวารณา โดยภกิ ษทุ กุ รปู ๒๔๕
จะกลาวปวารณา คอื เปดโอกาสใหกนั และ
กนั วากลาวตกั เตอื นไดดงั นี้ “สงฆฺ มภฺ นเฺต
ปวาเรมิ, ทฏิ เ น วา สุเตน วา ปรสิ งกฺ าย
วา; วทนฺตุ มํ, อายสฺมนฺโต อนกุ มฺป อุปา-
ทาย; ปสฺสนฺโต ปฏิกริสสฺ ามิ. ทุติยมปฺ
ปวารณา ๒๔๖ ปวารณา
พิเศษ) เตวาจกิ ํ ปวาเรยยฺ ” แปลวา “ทานเจาขา
ถาแบงโดยการก คอื ผูทําปวารณา ขอสงฆจงฟงขาพเจา ปวารณาวันนี้ที่
แบงเปน ๓ อยาง คือ ๑. สงั ฆปวารณา ๑๕ ถาความพรงั่ พรอมของสงฆถงึ ทแ่ี ลว
(ปวารณาท่ที ําโดยสงฆคือ มภี ิกษุ ๕ รูป
ขนึ้ ไป) ๒. คณปวารณา (ปวารณาทที่ าํ สงฆพงึ ปวารณาอยางกลาววาจา ๓ หน”
โดยคณะคอื มภี กิ ษุ ๒–๔ รปู ) ๓. ปคุ คล-
ปวารณา (ปวารณาทท่ี าํ โดยบคุ คลคือมี (ถาเปนวนั แรม ๑๔ คา่ํ หรือวนั สามัคคี
ภิกษุรูปเดยี ว) และโดยนยั น้ี อาการที่ทาํ กพ็ งึ เปลีย่ น ปณฺณรสี เปน จาตทุ ทฺ สี
ปวารณาจึงมี ๓ อยาง คือ ๑. ปวารณา หรอื สามคคฺ ี ตามลาํ ดบั ) ๒. เทวฺ วาจกิ า
ตอท่ีชุมนุม (ไดแก สงั ฆปวารณา) ๒. ญตั ติ คือจะปวารณา ๒ หน ตัง้ ญัตติ
ปวารณากันเอง (ไดแก คณปวารณา) อยางเดยี วกนั แตเปลีย่ น เตวาจกิ ํ เปน
๓. อธษิ ฐานใจ (ไดแก ปคุ คลปวารณา) เทฺววาจิกํ ๓. เอกวาจกิ า ญตั ติ คือ จะ
ปวารณาหนเดยี ว ตงั้ ญตั ตอิ ยางเดยี วกนั
ในการทําสังฆปวารณา ตองต้ัง นน้ั แตเปล่ียน เตวาจกิ ํ เปน เอกวาจกิ ํ
ญตั ติ คอื ประกาศแกสงฆกอน แลว ๔. สมานวัสสกิ า ญตั ติ คือ จัดใหภกิ ษุที่
ภิกษุทั้งหลายจึงจะกลาวคําปวารณา
อยางที่แสดงไวขางตน ตามธรรมเนยี ม มพี รรษาเทากนั ปวารณาพรอมกนั ตัง้
ทานใหปวารณารปู ละ ๓ หน แตถามี ญตั ติกเ็ หมอื น แตเปลย่ี น เตวาจิกํ เปน
อันตรายคือเหตุฉุกเฉินขัดของจะทํา สมานวสสฺ กิ ํ (จะวา ๓ หน ๒ หน หรือ
อยางน้ันไมไดตลอด (เชน แมแตทายก หนเดยี วไดทงั้ นน้ั ) ๕. สพั พสงั คาหกิ า
มาทาํ บุญ จะปวารณารปู ละ ๒ หน หรอื
๑ หน หรอื พรรษาเทากนั วาพรอมกันก็ ญตั ติ คอื แบบตงั้ ครอบทว่ั ไป ไมระบวุ า
ได ทง้ั น้ี จะปวารณาอยางไรกพ็ งึ ประกาศ กหี่ น ตง้ั ญตั ตคิ ลมุ ๆ โดยลงทายวา ...
ใหสงฆรดู วยญตั ติกอน โดยนยั น้ี การ สงโฺ ฆ ปวาเรยยฺ (ตดั คําวา เตวาจิกํ ออก
ตั้งญัตติในสงั ฆปวารณาจึงมีตางๆ กนั เสีย และไมใสคาํ ใดอนื่ แทนลงไป อยาง
ดงั มอี นญุ าตไวดงั น้ี ๑. เตวาจกิ า ญตั ติ
คอื จะปวารณา ๓ หน พงึ ตงั้ ญตั ติวา: นจ้ี ะปวารณากีห่ นกไ็ ด); ธรรมเนยี มคง
“สณุ าตุ เม ภนเฺ ต สงโฺ ฆ, อชฺช ปวารณา
ปณฺณรส,ี ยทิ สงฺฆสฺส ปตตฺ กลลฺ ,ํ สงโฺ ฆ นิยมแตแบบที่ ๑, ๒ และ ๔ และทาน
เรยี กชอ่ื ปวารณาตามนนั้ ดวยวา เตวาจกิ า
ปวารณา, เทฺววาจกิ า ปวารณา, สมาน-
วัสสกิ า ปวารณา ตามลาํ ดบั
ในการทําคณปวารณา ถามีภิกษุ
๓–๔ รปู พงึ ต้งั ญัตตกิ อนวา: “สณุ นฺตุ
๒๔๖
ปวเิ วกกถา ๒๔๗ ปหานปธาน
เม อายสมฺ นโฺ ต, อชชฺ ปวารณา ปณณฺ รส,ี ได คือจะมีภิกษุจากที่อ่ืนมาสมทบ
ยทายสมฺ นตฺ านํ ปตตฺ กลลฺ ,ํ มยํ อ ฺ ม ฺ ปวารณาดวย โดยหมายจะคดั คานผนู น้ั
ปวาเรยฺยาม” แปลวา “ทานเจาขา ทาน ผูน้ีใหเกิดอธิกรณขึ้น หรืออยูดวยกัน
ทั้งหลายจงฟงขาพเจา ปวารณาวันน้ีที่ ผาสุก ถาปวารณาแลวตางกจ็ ะจารกิ จาก
๑๕ ถาความพรอมพรั่งของทานทั้ง กนั ไปเสยี
หลายถงึ ที่แลว เราทัง้ หลายพงึ ปวารณา ปวิเวกกถา ถอยคําท่ีชักนําใหสงัดกาย
กนั เถิด” (ถา ๓ รปู วา อายสมฺ นตฺ า แทน สงัดใจ (ขอ ๓ ในกถาวตั ถุ ๑๐)
อายสมฺ นโฺ ต) จากนั้นแตละรูปปวารณา ปศุสตั ว, ปสสุ ัตว สตั วเล้ียง เชนเปด
๓ หน ตามลาํ ดับพรรษาดงั น:ี้ มี ๓ รูป ไก แพะ แกะ สกุ ร เปนตน
วา “อหํ อาวโุ ส อายสฺมนเฺ ต ปวาเรมิ ปสาทะ ความเล่ือมใส, ความช่ืนบาน
ฯเปฯ วทนตฺ ุ มํ อายสมฺ นฺตา อนุกมปฺ ผองใส, ความเช่ือถือมั่นใจ, ความรสู กึ
อปุ าทาย, ปสสฺ นฺโต ปฏกิ ริสฺสามิ, ทุต-ิ ยอมรับนบั ถือ, ความเปดใจรับ, อาการ
ยมปฺ อาวโุ ส ฯเปฯ ตตยิ มปฺ อาวโุ ส ฯเปฯ ที่จิตเกิดความแจมใสโปรงโลงเบิกบาน
ปฏิกริสฺสามิ” (ถารูปออนกวาวา ปราศจากความอึดอัดขัดของขุนมัว
เปล่ียน อาวุโส เปน ภนเฺต); มี ๔ รปู โดยเกดิ ความรูสึกช่ืนชมนยิ มนับถือ ตอ
เปลยี่ น อายสมฺ นเฺ ต และ อายสมฺ นตฺ า เปน บุคคลหรือสิ่งท่ีพบเห็นสดับฟงหรือ
อายสมฺ นโฺ ต อยางเดียว; ถามี ๒ รปู ไม ระลกึ ถึง; มักใชคูกับ ศรัทธา; ดู สัทธา
ตองตงั้ ญตั ติ คาํ ปวารณากเ็ หมอื นอยางนนั้ ปเสนทิ [ปะ-เส-นะ-ท]ิ พระเจาแผนดิน
เปลย่ี นแต อายสมฺ นเฺ ต เปน อายสมฺ นตฺ ,ํ แควนโกศล ครองราชสมบัติอยูที่พระ
อายสมฺ นตฺ า เปน อายสฺมา และ วทนตฺ ุ นครสาวัตถี, พระนางเวเทหิ มเหสีของ
เปน วทต.ุ
พระเจาพิมพิสารแหงมคธรัฐ พระราช
ถาภกิ ษอุ ยรู ปู เดยี ว เธอพงึ ตระเตรยี ม มารดาของพระเจาอชาตศัตรู เปนพระ
สถานที่ไว และคอยภกิ ษุอ่ืนจนสิน้ เวลา ภคินีของพระเจาปเสนทิโกศล
เมอื่ เหน็ วาไมมใี ครอน่ื แลว พงึ ทาํ ปคุ คล- ปหานะ ละ, กาํ จัด; การละ, การกาํ จดั ;
ปวารณา โดยอธิษฐานคือกําหนดใจวา เชน ละตัณหา, กาํ จดั กเิ ลส, กําจัดบาป
“อชชฺ เม ปวารณา” แปลวา “ปวารณา อกุศลธรรม
ปหานปธาน เพียรละบาปอกศุ ลธรรมท่ี
ของเราวนั น้ี”
เหตุท่ีจะอางเพื่อเล่ือนวันปวารณา เกิดขึน้ แลว (ขอ ๒ ในปธาน ๔)
๒๔๗
ปหานปริญญา ๒๔๘ ปงสุกลู ิกงั คะ
ปหานปรญิ ญา กาํ หนดรถู ึงข้ันละได คือ แรม เดอื นคูมี ๑๕ วัน เดอื นคเี่ รยี กวา
กําหนดรูสังขารวาเปนอนิจจัง ทุกขัง เดอื นขาด มี ๑๔ วนั สลับกันไป (แมจะ
อนัตตา จนถึงขั้นละนิจจสัญญา คํานวณดวยวิธีที่พิเศษออกไป แตวัน
เปนตน ในสงั ขารนน้ั ได (ขอ ๓ ใน เดือนเพ็ญเดือนดับที่ตรงกันก็มาก ท่ี
ปริญญา ๓) คลาดกันก็เพียงวันเดียว); ปกขคณนา
ปหานสัญญา กําหนดหมายเพื่อละ นี้ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลาฯ ทรง
อกศุ ลวิตก และบาปธรรมทัง้ ปวง (ขอ คนคิดวิธีคํานวณขึ้นใชในพระสงฆคณะ
๕ ในสัญญา ๑๐) ธรรมยุต เพื่อเปนเคร่ืองกําหนดวัน
ปะละ ดู ปละ สําหรับพระสงฆทําอโุ บสถ และสําหรบั
ปกขคณนา, ปกษคณนา “การนับ อุบาสกอุบาสิการักษาอุโบสถศีลฟง
ปกษ”, วิธีคํานวณดิถีตามปกษ คือ ธรรม เปนขอปฏบิ ัติของคณะธรรมยุต
คาํ นวณหาวันข้นึ แรมก่ีคํา่ ๆ ใหแมนยาํ สืบมา
ตรงตามการโคจรของดวงจันทรอยาง ปกฺขหตตา ความเปนผชู าไปซกี หน่ึง ได
แทจริง เฉพาะอยางยง่ิ มงุ ใหไดวันพระ แกโรคอมั พาต
จันทรเตม็ ดวงหรอื วันเพญ็ (ขน้ึ ๑๔– ปกขนั ทกิ าพาธ โรคทองรวง พระสารบี ตุ ร
๑๕ คา่ํ ) วันพระจันทรดับหรอื วันดับ นพิ พานดวยโรคนี้
(แรม ๑๔–๑๕ ค่ํา) และวนั พระจันทรกง่ึ ปกขิกะ อาหารที่เขาถวายปกษละครั้ง
ดวง (ขึ้น ๘ ค่ํา และ แรม ๘ คํา่ ) ตรง คือสบิ หาวันคร้ังหนึง่
กับวันทีด่ วงจนั ทรเปนอยางนนั้ จริงๆ ซึ่ง ปกขิกภัต ดู ปกขกิ ะ
บางเดือนขางข้ึนอาจมีเพียง ๑๔ วัน ปกษ ปก, ฝาย, ขาง, ก่งึ ของเดอื นทาง
(วันเพ็ญ เมือ่ ข้ึน ๑๔ ค่ํา) กม็ ี ขางแรม จันทรคติ คอื เดือนหน่ึงมี ๒ ปกษ ขาง
อาจมเี ต็ม ๑๕ วนั ตดิ ตอกันหลายเดอื น ขนึ้ เรยี ก ศกุ ลปกษ (“ฝายขาว” หมายเอา
กม็ ี ตองตรวจดูเปนปกษๆ ไป จงึ ใชคํา แสงเดอื นสวาง) ขางแรมเรยี ก กาฬปกษ
วา ปกษถวน ปกษขาด ไมใชเพยี ง (“ฝายดาํ ” หมายเอาเดอื นมดื ); ชณุ หปกษ
เดอื นเต็ม เดือนขาด เปนวิธีคํานวณท่ี และ กณั หปกษ ก็เรยี ก
สลบั ซับซอน ตางจากปฏทิ ินหลวง หรอื ปคคหะ การยกยอง (พจนานกุ รมเขียน
ปฏิทินของราชการที่ใชวิธีคํานวณเฉลี่ย ปคหะ)
ใหขางขึ้นเตม็ ๑๕ วันเสมอไป สวนขาง ปงสุกูลิกังคะ องคแหงผูถือครองผา
๒๔๘
ปจจนกิ ,ปจนึก ๒๔๙ ปจจยุปบันธรรม
บงั สุกุล, ใชเฉพาะแตผาบงั สกุ ลุ คอื ไม หมายของสง่ิ น้นั อนั จะมีผลเปนการเสพ
รับจีวรจากทายก เที่ยวแสวงหาผา บริโภคอยางพอดี ท่ีเรียกวา โภชเน-
บังสกุ ลุ เชนเศษผาในกองขยะ มาเย็บ มัตตัญ ุตา (เปนปาริสุทธศิ ีล ขอที่ ๔;
ยอมทาํ จีวรเอง, คําสมาทานวา “คหปต-ิ ปจจยั ปฏเิ สวนศลี กเ็ ขียน, ปจจยสนั นสิ ติ
จวี รํ ปฏิกฺขปิ ามิ, ปสกุ ูลกิ งคฺ ํ สมาทยิ ามิ” ศลี กเ็ รยี ก)
แปลวา “เรางดคฤหบดีจีวร สมาทาน ปจจยปจจเวกขณะ การพิจารณาปจจัย,
องคแหงผ—ู ” (ขอ ๑ ใน ธดุ งค ๑๓) พิจารณากอนจงึ บริโภคปจจัย ๔ คือ
ปจจนกิ , ปจนกึ (ปจฺจนกี , ปจจฺ นิก กว็ า) จวี ร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช ไม
อนั เปนขาศกึ , ซ่ึงเปนปฏปิ กษ, ซ่งึ เปน บรโิ ภคดวยตัณหา, เปนปารสิ ทุ ธศิ ลี ขอ
ศัตรู ดังที่ใชในคาํ ตางๆ เชน ปจจนกิ ท่ี ๔ เรยี กเตม็ วา ปจจยสนั นสิ ติ ศลี หรือ
กิเลส ปจจนิกบุคคล ปจจนิกธรรม ปจจยปฏเิ สวนศลี
หรอื ในขอความ เชนในบาลีวา “ธมฺมวาที ปจจยสันนิสิตศีล ศีลทอี่ ิงอาศยั ปจจัย
อธมฺโม จ, อโุ ภ ปจฺจนิกา มย” (ขุ.จรยิ า. ๔ หรือศลี ที่เนือ่ งดวยปจจยั ๔ ไดแก
๓๓/๑๘/๕๗๖; เราทั้งสอง คอื ธรรมวาที พิจารณาเสพใชสอยปจจยั สี่ ใหเปนไป
กบั อธรรม เปนขาศกึ กนั ), นยิ มใชในคํา เพื่อประโยชนที่แทจริงตามความหมาย
วา ปจจนิกธรรม; ดู ปจจนกิ ธรรม ของสิ่งนน้ั ไมบรโิ ภคดวยตณั หา (เปน
ปจจนิกธรรม ธรรมทเ่ี ปนขาศกึ , ธรรม ปารสิ ุทธิศลี ขอที่ ๔; ปจจยั สนั นสิ ติ ศลี ก็
ที่เปนปฏิปกษหรือขัดขวาง เชนวา “กาม เขยี น, ปจจยปฏเิ สวนศลี กเ็ รยี ก)
ฉันทะเปนตน เปนปจจนิกธรรมแหง ปจจยาการ อาการท่ีเปนปจจัยแกกัน,
การเขาถึงฌาน”, “จตุตถฌานนั้น หมายถึง ปฏจิ จสมุปบาท
บรสิ ทุ ธิน์ ัก เพราะหลดุ พนแลวจากปจจ ปจจยปุ บนั (ปจจฺ ยุปปฺ นนฺ ) อนั เกิดข้ึน
นิกธรรม ๙ ประการ กลาวคือ นิวรณ ดวยปจจยั , ซง่ึ เกดิ จากปจจัย, ผล; ดู
๕ วติ ก วิจาร ปติ และสุข” ปจจยั
ปจจยปฏิเสวนศีล ศีลในการเสพใช ปจจยปุ บันธรรม ธรรมอนั เกิดข้ึนดวย
สอยปจจยั ๔ คือ มีพฤตกิ รรมในการ ปจจยั , สภาวะที่เกดิ จากปจจยั ซ่ึงเรยี ก
เสพบรโิ ภคดวยปญญา ไมบริโภคดวย ใหเขาคกู ันวาปจจัยธรรม (ธรรมอันเปน
ตัณหา โดยรูจักพิจารณาที่จะกินใชให ปจจัย) เชนวา อวิชชาเปนปจจัยธรรม
เปนไปเพื่อประโยชนท่ีแทจริงตามความ และสงั ขารเปนปจจยุปบันธรรม; บางที
๒๔๙
ปจจเวกขณญาณ ๒๕๐ ปจจยั
เรยี กวา ผลธรรม; ดู ปจจยั เกิดขึ้น คงอยู หรือเปนไปอยางใดอยาง
ปจจเวกขณญาณ ญาณท่ีพิจารณาทบ หนงึ่ , เหตุ, เงอ่ื นไข, องคประกอบ;
ทวน, ญาณหยั่งรูดวยการพิจารณาทบ ปจจยั มีคาํ ท่ีมคี วามหมายใกลเคียง คือ
เหตุ ซึ่งบางทใี ชแทนกนั ได หรือเสรมิ ย้ํา
ทวนตรวจตรามรรคผล กิเลสทีย่ งั เหลอื กนั แตพอแยกความหมายไดวา ปจจยั
เปนคํารวม มีความหมายกวาง มี
อยู และนพิ พาน (เวนพระอรหันตไมมี ลกั ษณะสาธารณะ ไมจําเพาะ โดยเปน
ตัวเอื้อ เปนเง่ือนไข เปนตัวประกอบ
การพิจารณากิเลสทย่ี ังเหลอื อย)ู ; ญาณ เปนตวั สรางโอกาส เปนตน สวน เหตุ มี
ลกั ษณะจาํ เพาะ ไมสาธารณะ คือเปน
น้ีเกดิ แกผูบรรลมุ รรคผลแลว คือ ภาย ปจจัยตัวตรงในการกอผล, อกี ประการ
หลังจากผลญาณ; ดู ญาณ ๑๖ หน่ึง ปจจยั ท่ีวามีความหมายกวางน้ัน
ปจจัตตลักษณะ ลักษณะเฉพาะตน, คือแยกแยะใหรูบรรดาองคประกอบทั้ง
ลักษณะเฉพาะของสิ่งตางๆ เชนเวทนามี หลายในระบบความสัมพันธแหงเหตุ
ปจจัย อันมเี หตเุ ปนปจจัยอยางหนง่ึ คือ
ลกั ษณะเสวยอารมณ สัญญามลี กั ษณะ ปจจยั ตัวจําเพาะในการกอผล แตในการ
จาํ ไดเปนตน; คูกบั สามัญลักษณะ ที่ผลรวมจะเกิดขึ้น มิใชมีแคลําพังตัว
ปจจฺ ตตฺ ํ เวทิตพฺโพ วิ ฺ ูหิ (พระธรรม) เหตุเทาน้ัน แตตองมีปจจัยท่ีเปนองค
อันวิญ ูชนพึงรูเฉพาะตน ผูอ่ืนไม ประกอบพร่ังพรอม เรียกวาเปนปจจยั
สามัคคี ผลท่ีหมายจงึ จะเกดิ ขน้ึ ; เทยี บ เหตุ
พลอยตามรูตามเห็นดวย เหมือนรส
ปจจัย ๒๔ คือ ๑. เหตุปจจยั
อาหาร ผบู รโิ ภคเทานั้นจึงจะรรู ส ผไู ม (ปจจยั โดยเปนเหต)ุ ๒. อารมั มณปจจยั
(ปจจัยโดยเปนอารมณ) ๓. อธิปติ
ไดบริโภคจะพลอยรูรสดวยไมได (ขอ ปจจัย (ปจจัยโดยเปนเจาใหญ) ๔.
อนนั ตรปจจยั (ปจจัยโดยเปนภาวะตอ
๖ ในธรรมคณุ ๖) เน่ืองไมมีชองระหวาง) ๕. สมนันตร
ปจจัตถรณะ ผาปนู อน, บรรจถรณกใ็ ช ปจจยั (ปจจัยโดยเปนภาวะตอเนอ่ื งทันท)ี
ปจจันตชนบท ถ่ินแควนชายแดนนอก
มชั ฌิมชนบทออกไป, ปจจันติมชนบท ๖. สหชาตปจจยั (ปจจัยโดยเกดิ รวมกัน)
ก็ใช
ปจจันตประเทศ ประเทศปลายแดน, ๒๕๐
แวนแควนชายแดน, ถ่ินแดนช้ันนอก,
ถน่ิ ทยี่ งั ไมเจรญิ คอื นอกมธั ยมประเทศ
หรอื มัชฌมิ ชนบท
ปจจัย 1. สภาวะท่เี อือ้ เก้อื หนนุ คา้ํ จนุ
เปนเหตุ หรอื เปนเงื่อนไข ใหสภาวะอ่ืน
ปจจัยปรคิ คหญาณ ๒๕๑ ปจจปุ ปนนงั สญาณ
๗. อัญญมัญญปจจยั (ปจจยั โดยอาศัย ปจจัยปริคคหญาณ ดู นามรูปปจจัย-
ซงึ่ กนั และกนั ) ๘. นสิ สยปจจัย (ปจจัย ปริคคหญาณ
โดยเปนทอ่ี าศัย) ๙. อปุ นสิ สยปจจัย ปจจัยปจจเวกขณะ การพจิ ารณาปจจยั
(ปจจัยโดยเปนเคร่ืองหนุนหรือกระตุน ๔; ดู ปจจยปจจเวกขณะ
เรา) ๑๐. ปเุ รชาตปจจัย (ปจจยั โดยเกดิ ปจจัยสามัคคี ภาวะท่ีปจจัยทั้งหลาย
กอน) ๑๑. ปจฉาชาตปจจยั (ปจจยั โดย สมั พนั ธประสานกันพร่ังพรอมไดท่ี อัน
เกิดทหี ลัง) ๑๒. อาเสวนปจจัย (ปจจัย จะใหผลทห่ี มายเกิดข้ึน; ดู ปจจัย
โดยการซํ้าบอยหรือทําใหชิน) ๑๓. ปจจามติ ร ขาศกึ , ศตั รู
กรรมปจจัย (ปจจัยโดยเปนกรรมคือ ปจจุคมน การลุกขึน้ ตอนรบั เปนการ
เจตจาํ นง) ๑๔. วิปากปจจยั (ปจจัยโดย แสดงความเคารพอยางหนึ่ง; บางทีใช
เปนวบิ าก) ๑๕. อาหารปจจัย (ปจจัย แทนกนั กับ ปจจุฐาน
โดยเปนอาหาร คือเปนเคร่ืองหลอเลย้ี ง) ปจจุฐาน, ปจจฏุ ฐาน การลกุ รับ เปน
๑๖. อินทรยี ปจจัย (ปจจัยโดยเปนเจา การแสดงความเคารพอยางหนง่ึ ; บางที
การ) ๑๗. ฌานปจจัย (ปจจัยโดยภาวะ ใชแทนกันกับ ปจจุคมน
จิตที่เปนฌาน) ๑๘. มรรคปจจัย ปจจุทธรณ ถอนคนื , ยกเลกิ , ถอน
(ปจจัยโดยเปนมรรค) ๑๙. สัมปยตุ ต อธิษฐาน คือ ยกเลิกบริขารเดิมท่ี
ปจจัย (ปจจัยโดยประกอบกัน) ๒๐. อธษิ ฐานไว เชน ไดอธษิ ฐานสบง คือต้ัง
วิปปยุตตปจจัย (ปจจัยโดยแยกตาง ใจกําหนดสบงผืนหน่ึงไวใหเปนสบง
หากกนั ) ๒๑. อตั ถปิ จจัย (ปจจยั โดย ครอง ภายหลังจะไมใชสบงผืนนน้ั เปน
[ตอง]มีอยู) ๒๒. นตั ถิปจจัย (ปจจัย สบงครองอีกตอไป ก็ถอนคืนสบงน้ัน
โดย[ตอง]ไมมีอยู) ๒๓. วิคตปจจัย คือยกเลิกการอธิษฐานเดิมน้ันเสีย
(ปจจัยโดย[ตอง]ปราศไป) ๒๔. อวิคต เรียกวา ปจจทุ ธรณสบง, คาํ ปจจทุ ธรณ
ปจจัย (ปจจัยโดย[ตอง]ไมปราศไป สบงวา “อิมํ อนฺตรวาสกํ ปจฺจุทฺธรามิ”
2. ของสําหรับอาศยั ใช, เครอ่ื งอาศยั (เปล่ยี น อนฺตรวาสกํ เปน สงฺฆาฏ,ึ เปน
ของชวี ติ , สงิ่ จาํ เปนสาํ หรบั ชีวิต มี ๔ อตุ ตฺ ราสงคฺ ํ, เปน ปตฺตํ เปนตน สดุ แตวา
อยาง คอื จวี ร (ผานงุ หม) บณิ ฑบาต จะถอนอะไร); ดู อธิษฐาน
(อาหาร) เสนาสนะ (ที่อยูอาศัย) ปจจุปปนนังสญาณ ญาณหย่ังรูสวน
คลิ านเภสัช (ยาบําบดั โรค)
ปจจุบัน, ปรีชากําหนดรูเหตุปจจัยของ
๒๕๑
ปจเจกพทุ ธะ ๒๕๒ ปจฉิมโอวาท
เร่ืองที่เปนไปอยู รูวาควรทําอยางไรใน ภรรยา; ดู ทิศหก
เม่ือมีเหตุหรือผลเกิดข้ึนในปจจุบัน ปจฉมิ พรรษา ดู ปจฉิมิกา
ปจฉมิ โพธิกาล โพธกิ าลชวงหลงั , ระยะ
เปนตน (ขอ ๓ ในญาณ ๓)
ปจเจกพทุ ธะ พระพุทธเจาประเภทหน่งึ เวลาบําเพ็ญพุทธกิจตอนทาย, ตาม
ซึ่งตรัสรูเฉพาะตวั มิไดสง่ั สอนผอู ่นื ; ดู อธิบายของอรรถกถาวา คอื ๑๕ หรือ
พุทธะ ๑๐ ปสุดทายแหงพุทธกิจ, วาตาม
ปจฉาภตั ภายหลังภัต, เวลาหลังอาหาร หนังสอื เรียนนักธรรม ไดแกระยะเวลา
สําหรับพระภิกษุ โดยทั่วไปหมายถึง ชวงใกล จนถึงปรินิพพาน กําหนด
เวลาเท่ียงไปแลว; เทยี บ ปุเรภตั คราวๆ ตามมหาปรนิ ิพพานสูตร ต้งั แต
ปจฉาสมณะ พระตามหลงั , พระผตู ดิ ตาม ปลงพระชนมายุสงั ขารถึงปรนิ พิ พาน; ดู
เชน พระพุทธเจามกั ทรงมีพระอานนท พุทธประวตั ิ (ตอนทาย)
เปนปจฉาสมณะ เปนศพั ทคูกบั ปุเร- ปจฉิมภพ ภพหลัง, ภพสุดทาย; ดู
สมณะ พระนาํ หนา ปจฉิมชาติ
ปจฉมิ กิจ ธรุ ะทพ่ี งึ ทาํ ภายหลงั , กจิ ท่ีพึง ปจฉิมภวิกสัตว สัตวผูเกิดในภพสุด
ทําตอนทาย เชน ปจฉิมกิจแหง ทาย, ทานผูเกิดในชาตินี้เปนชาติสุด
อปุ สมบทมี ๖ ไดแก วัดเงาแดด, บอก ทาย คอื ผทู ี่ไดบรรลอุ รหัตตผลในชาตนิ ้ี
ประมาณแหงฤดู, บอกสวนแหงวัน, ปจฉิมยาม ยามสุดทาย, ชวงสุดทาย
บอกสงั คีติ (บอกรวบหรอื บอกประมวล แหงราตรี เมอื่ แบงกลางคนื เปน ๓ สวน;
เชน วดั ทบี่ วช อปุ ชฌาย กรรมวาจาจารย เทียบ ปฐมยาม, มัชฌมิ ยาม
และจํานวนสงฆ เปนตน) บอกนสิ ัย ๔ ปจฉมิ วยั วัยหลัง (มีอายรุ ะยะ ๖๗ ป
และบอกอกรณียกิจ ๔ (ท่ีรวมเรียก ลวงไปแลว); ดู วยั
อนุศาสน) ปจฉิมวาจา ดู ปจฉมิ โอวาท
ปจฉมิ ชาติ ชาติหลัง คือ ชาตสิ ุดทาย ไม ปจฉิมสักขิสาวก สาวกผเู ปนพยานการ
มีชาติใหมหลังจากนี้อีกเพราะดับกิเลส ตรัสรูองคสุดทาย, สาวกทที่ ันเห็นองค
ไดสนิ้ เชงิ แลว สุดทาย ไดแกพระสภุ ทั ทะ
ปจฉมิ ทสั สนะ ดคู รงั้ สุดทาย, เหน็ คร้ัง ปจฉิมโอวาท คาํ สอนครัง้ สุดทาย หมาย
สุดทาย ถึง ปจฉมิ วาจา คอื พระดํารสั สดุ ทาย
ปจฉมิ ทิส ทิศเบื้องหลงั หมายถึงบุตร ของพระพุทธเจากอนจะปรินิพพานวา
๒๕๒
ปจฉมิ าชนตา ๒๕๓ ปญจพิธกามคุณ
“วยธมมฺ า สงขฺ ารา อปปฺ มาเทน สมปฺ าเทถ” แรม ๑ คา่ํ เดอื น ๙; อีกนยั หน่ึงทาน
แปลวา “สงั ขารทง้ั หลาย มีความเสอ่ื ม สันนษิ ฐานวา เปนวนั เขาพรรษาในปทมี่ ี
สลายไปเปนธรรมดา ทานทั้งหลายจง อธกิ มาส (เดอื น ๘ สองหน); เทยี บ ปรุ มิ กิ า,
(ยงั ประโยชนตนและประโยชนผูอนื่ ) ให ปรุ มิ พรรษา
ถงึ พรอม ดวยความไมประมาทเถิด” ปจฉิมิกาวัสสูปนายิกา วันเขาพรรษา
ปจฉิมาชนตา ชุมชนทมี่ ใี นภายหลัง, หมู หลัง; ดู ปจฉิมิกา
ชนทจี่ ะเกดิ ตามมาภายหลัง, คนรนุ หลัง; ปญจกะ หมวด ๕
โดยท่ัวไป มาในขอความเก่ียวกับจรยิ า ปญจกัชฌาน ฌานหมวด ๕ หมายถึง
ของพระพุทธเจาและพระอรหันต ที่ รูปฌานที่ตามปกติอยางในพระสตู รแบง
คาํ นึงถึงประโยชนของคนรนุ หลงั หรือ เปน ๔ ขน้ั แตในพระอภธิ รรมนยิ มแบง
ปฏิบัติเพื่อใหคนรุนหลังมีแบบอยางที่ ซอยละเอียดออกไปเปน ๕ ขัน้ (ทานวา
จะยดึ ถือ เชน ทต่ี รัสวา “ภิกษุทง้ั หลาย ทแี่ บง ๕ น้ี เปนการแบงในกรณที ผ่ี ู
เรามองเห็นอาํ นาจประโยชน ๒ ประการ เจรญิ ฌานมญี าณไมแกกลา จึงละวิตก
จึงเสพเสนาสนะอันสงัด คือปาและปา และวิจารไดทีละองค), “ฌานปญจกนัย”
เปลย่ี ว กลาวคอื มองเหน็ ความอยเู ปนสขุ ก็เรยี ก; ดู ฌาน ๕; เทยี บ จตกุ กัชฌาน
ในปจจบุ นั ของตน และจะอนเุ คราะหหมู ปญจขันธ ขนั ธหา คือ รปู ขนั ธ เวทนา-
ชนในภายหลงั ” (อง.ทุก.๒๐/๒๗๔/๗๗) และ ขันธ สญั ญาขันธ สงั ขารขนั ธ วญิ ญาณ-
ท่ีพระมหากัสสปะกราบทูลพระพุทธเจา ขนั ธ; ดู ขนั ธ
ถึงเหตุผลท่ีวา ถึงแมทานจะเปนผูเฒา ปญจทวาราวัชชนะ ดู วถิ จี ติ
ชราลงแลว กย็ งั ขอถอื ธดุ งคตอไป ดงั นว้ี า ปญจปกรณัฏฐกถา ชอื่ คัมภรี อรรถกถา
“ขาแตพระองคผูเจริญ ขาพระองคเล็ง ท่ีอธิบายความแหงหาปกรณ คือ ๕
เหน็ อาํ นาจประโยชน ๒ ประการ…กลาว คมั ภรี ทาย แหงพระอภิธรรมปฎก (ตอ
คือ เล็งเห็นความอยูเปนสขุ ในปจจบุ นั จาก ธมั มสงั คณี และวภิ งั ค) ไดแก ธาตุ
ของตน และจะอนุเคราะหชุมชนในภาย กถา ปุคคลปญญตั ติ กถาวัตถุ ยมก
หลงั ดวยหมายวา ชมุ ชนในภายหลงั จะ และปฏฐาน; ดู อรรถกถา
พงึ ถึงทิฏฐานุคต”ิ (สํ.นิ.๑๖/๔๘๑/๒๓๙); คาํ ปญจพิธกามคณุ กามคุณ ๕ อยางคอื
บาลีเดมิ เปน ปจฉฺ ิมา ชนตา
รูป, เสียง, กลนิ่ , รส, โผฏฐพั พะทีน่ ารกั
ปจฉิมิกา วนั เขาพรรษาหลัง ไดแกวัน ใครนาชอบใจ
๒๕๓
ปญจพิธพนั ธนะ ๒๕๔ ปญญา
ปญจพธิ พนั ธนะ เครือ่ งตรึง ๕ อยาง ปญจังคะ เกาอ้ีมีพนักดานเดยี ว, เกาอ้ี
คือตรึงเหล็กอนั รอนทีม่ อื ท้งั ๒ ขาง ท่ี ไมมีแขน
เทาทง้ั ๒ ขาง และท่ีกลางอก ซ่ึงเปนการ ปญจาละ ชอื่ แควนหนึ่งในบรรดา ๑๖
ลงโทษทน่ี ายนริ ยบาลกระทาํ ตอสตั วนรก แควนใหญแหงชมพูทวีปคร้ังพุทธกาล
ปญจเภสัช เภสัชทัง้ ๕ คอื เนยใส เนย ตั้งอยูทางดานตะวันออกของแควนกุรุ
ขน น้ํามัน นํา้ ผงึ้ นา้ํ ออย มแี มนํ้าภาครี ถี ซ่ึงเปนแควหนงึ่ ของแม
ปญจมฌาน ฌานท่ี ๕ ตามแบบทนี่ ยิ ม นํ้าคงคาตอนบน ไหลผาน นครหลวง
ในอภิธรรม ตรงกบั ฌานที่ ๔ แบบท่วั ชื่อ กมั ปลละ
ไป หรอื แบบพระสตู ร มีองค ๒ คอื ปญญา ความรทู ่วั , ปรชี าหยงั่ รเู หตผุ ล,
อเุ บกขา และเอกคั คตา; ดู ฌาน ๕
ความรูเขาใจชดั เจน, ความรเู ขาใจหยัง่
ปญจมหานที ดู มหานที ๕ แยกไดในเหตุผล ดีชั่ว คุณโทษ
ปญจมหาบริจาค ดู มหาบริจาค ประโยชนมิใชประโยชน เปนตน และรทู ี่
ปญจมหาวโิ ลกนะ ดู มหาวโิ ลกนะ จะจัดแจง จัดสรร จัดการ ดาํ เนนิ การ
ปญจมหาสบุ ิน ดู มหาสุบิน
ทําใหลุผล ลวงพนปญหา, ความรอบรู
ปญจวรรค สงฆพวกทก่ี าํ หนดจํานวน ๕ ในกองสังขารมองเห็นตามเปนจรงิ (ขอ
รปู จงึ จะถือวาครบองค เชนทใี่ ชในการ ๓ ในไตรสกิ ขา, ขอ ๑ ในอธษิ ฐานธรรม
กรานกฐนิ และการอปุ สมบทในปจจนั ต- ๔, ขอ ๕ ในอนิ ทรยี ๕, ขอ ๕ ในพละ
ชนบท ๕, ขอ ๕ ในเวสารัชชกรณธรรม ๕, ขอ
ปญจวัคคีย พระพวก ๕ คอื อัญญา- ๗ ในสัทธรรม ๗, ขอ ๗ ในอรยิ ทรพั ย
โกณฑญั ญะ วปั ปะ ภัททยิ ะ มหานาม ๗, ขอ ๔ ในบารมี ๑๐)
อสั สชิ เปนพระอรหนั ตสาวกรุนแรกของ ปญญา ๓ คอื ๑. จินตามยปญญา
พระพุทธเจา ปญญาเกดิ จากการคดิ พจิ ารณา (ปญญา
ปญจวิญญาณ วิญญาณ ๕ มีจักขุ-
วิญญาณ เปนตน ดู วถิ จี ติ จากโยนิโสมนสิการที่ตั้งขึ้นในตนเอง)
ปญจโวการ, ปญจโวการภพ ดู โวการ ๒. สุตมยปญญา ปญญาเกิดจากการ
ปญจสติกขันธกะ ชื่อขันธกะท่ี ๑๑
สดับเลาเรียน (ปญญาจากปรโตโฆสะ)
๓. ภาวนามยปญญา ปญญาเกิดจาก
แหงจุลวรรค วินยั ปฎก วาดวยเร่ืองการ การปฏิบัตบิ าํ เพญ็ (ญาณอนั เกดิ ขึน้ แกผู
สังคายนาครัง้ ที่ ๑ อาศัยจินตามยปญญา หรือท้ังสุตมย-
๒๕๔
ปญญากถา ๒๕๕ ปญญาจกั ขุ
ปญญาและจินตามยปญญานั่นแหละ สงิ่ ทีไ่ ดเรยี นสดับนนั้ เปนฐาน เขาตรวจ
ขะมักเขมนมนสิการในสภาวธรรมท้ัง สอบชั่งตรองเพงพินิจขบคิดลึกชัดลงไป
หลาย), ตามท่ีพูดกัน มักเรียงสุตมย- เกิดเปนจินตามยีปญญา เมื่อเขาใช
ปญญาเปนขอแรก แตในทน่ี ้ี เรยี งลาํ ดบั ปญญาทงั้ สองนน้ั ขะมกั เขมนมนสกิ ารใน
ตามพระบาลีในพระไตรปฎก ทั้งในพระ สภาวธรรมทงั้ หลาย แลวเกิดญาณเปน
สตู ร(ท.ี ปา.๑๑/๒๒๘/๒๓๑) และพระอภธิ รรม มรรคท่ีจะใหเกิดผลขึ้น ก็เปนภาวนา-
(อภ.ิ ว.ิ ๓๕/๗๙๗/๔๒๒) เรยี งจนิ ตามยปญญา มยีปญญา, นาสังเกตวา ในคัมภีร
เปนขอแรก (แตในเนตตปิ กรณ เรยี งและ วิภังคแหงอภิธรรมปฎก ทานอธิบาย
เรียกตางไปเล็กนอยเปน ๑. สุตมยี- ภาวนามยปญญาวา ไดแก “สมาปนนฺ สสฺ
ปญญา ๒. จินตามยีปญญา ๓. ป ฺ า” (ปญญาของผเู ขาสมาบตั )ิ แตมี
ภาวนามยีปญญา); การที่ทานเรียง คาํ อธบิ ายของคัมภรี ตางๆ เชน ปรมัตถ-
จินตามยปญญากอน หรอื สตุ มยปญญา มัญชุสา วา คาํ อธบิ ายดงั กลาวเปนเพยี ง
กอนนั้น พอจับไดวา ทานมองที่บุคคล การแสดงตวั อยาง โดยสาระกม็ งุ เอาการ
เปนหลัก คือ ทานเร่ิมท่ีบุคคลพิเศษ เห็นแจงความจริงที่เปนมัคคปญญาน่ัน
ประเภทมหาบุรุษกอน วาพระพุทธเจา เอง; ปญญา๓ อกี หมวดหนง่ึ ทน่ี ารู ไดแก
(และพระปจเจกพุทธเจา) ผูคนพบและ ปญญาทมี่ ชี อื่ วา โกศล คอื ความฉลาด ๓
เปดเผยความจรงิ ขน้ึ นน้ั มไิ ดอาศยั ปรโต- อยาง; ดู โกศล, อธปิ ญญาสกิ ขา
โฆสะคอื การฟงจากผอู น่ื แตรูจกั โยนโิ ส- ปญญากถา ถอยคําทชี่ ักนาํ ใหเกิดปญญา
มนสกิ ารดวยตนเอง กส็ ามารถเรียงตอไล (ขอ ๘ ในกถาวตั ถุ ๑๐)
ตามประสบการณทั้งหลายอยางถึงทัน ปญญาขันธ กองปญญา, หมวดธรรมวา
ท่ัวรอบทะลุตลอดหยั่งเห็นความจริงได ดวยปญญา เชน ธรรมวจิ ยะ การเลือก
ทานจงึ เรมิ่ ดวยจนิ ตามยปญญา แลวตอ เฟนธรรม กมั มสั สกตาญาณ ความรวู า
เขาภาวนามยปญญาไปเลย แตเมอ่ื มองที่ สตั วมกี รรมเปนของตัวเปนตน (ขอ ๓
บุคคลท่วั ไป ทานเรม่ิ ดวยสุตมยปญญา ในธรรมขันธ ๕)
เปนขอแรก โดยมคี าํ อธบิ ายตามลาํ ดบั วา ปญญาจักขุ, ปญญาจักษุ จักษุคือ
บุคคลเลาเรียนสดับฟงธรรมแลวเกิด ปญญา, ตาปญญา; เปนคณุ สมบัติอยาง
ศรัทธา นําไปใครครวญตรวจสอบ หนึ่งของพระพุทธเจา พระองคตรัสรู
พจิ ารณา เกดิ เปนสตุ มยปี ญญา อาศัย พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณดวย
๒๕๕
ปญญาธฏิ ฐาน ๒๕๖ ปณฑกุ ะ
ปญญาจักขุ (ขอ ๓ ในจักขุ ๕) ที่ ๑๕ ครั้งที่ ๑๕ หรือวันท่ี ๑๕
ปญญาธฏิ ฐาน ทมี่ น่ั คอื ปญญา, ธรรมท่ี ปญญาสัมปทา ความถึงพรอมดวย
ควรต้ังไวในใจใหเปนฐานที่มั่น คือ ปญญา คือ รจู กั บาป บญุ คณุ โทษ
ปญญา, ผมู ปี ญญาเปนฐานทม่ี นั่ (ขอ ๑ ประโยชน มใิ ชประโยชน และเขาใจชวี ติ
ในอธิฏฐาน ๔); ดู อธษิ ฐานธรรม นี้ตามความเปนจริง ท่ีจะไมใหลุมหลง
ปญญาภาวนา ดู ภาวนา มวั เมา (ขอ ๔ ในธรรมทเี่ ปนไปเพอ่ื
ปญญาภมู ิ ธรรมทเี่ ปนภมู ขิ องปญญา; ดู สมั ปรายิกตั ถะ ๔)
วปิ สสนาภมู ิ 2. ปญญาสกิ ขา สิกขา คือ ปญญา, ขอ
ปญญาวิมุต “ผูหลุดพนดวยปญญา” ปฏิบัติสําหรับฝกอบรมปญญา เพื่อให
หมายถงึ พระอรหนั ตผสู าํ เรจ็ ดวยบาํ เพญ็ เกดิ ความรเู ขาใจเหตผุ ล รอบรูสิง่ ที่เปน
วปิ สสนาโดยมไิ ดอรปู สมาบตั มิ ากอน ประโยชน และไมเปนประโยชน ตลอด
ปญญาวิมุตติ ความหลุดพนดวย จนรแู จงสภาวะของสงิ่ ทง้ั หลายตามความ
ปญญา, ความหลุดพนท่ีบรรลดุ วยการ เปนจรงิ ทถี่ กู ตองเขยี น อธปิ ญญาสกิ ขา
กาํ จัดอวชิ ชาได ทําใหสําเร็จอรหัตตผล ปญหา คําถาม, ขอสงสัย, ขอตดิ ขดั อัด
และทําใหเจโตวิมุตติ เปนเจโตวิมตุ ตทิ ี่ อ้ัน, ขอท่ีตองคดิ ตองแกไข
ไมกําเรบิ คอื ไมกลับกลายไดอีกตอไป; ปฏฐาน ชอื่ คมั ภรี ที่ ๗ แหงพระอภิธรรม
เทียบ เจโตวิมุตติ
ปฎก ซง่ึ อธิบายปจจัย ๒๔ โดยพิสดาร
ปญญาสมวาร วาระท่ี ๕๐, ครัง้ ที่ ๕๐; แสดงความสัมพันธอิงอาศัยเปนปจจัย
ในภาษาไทย นิยมใชในประเพณที าํ บุญ แกกันแหงธรรมทั้งหลายในแงดาน
อุทิศแกผูลวงลับ โดยมีความหมายวา ตางๆ ธรรมทที่ านอธิบายคอื ขอธรรมที่
วันท่ี ๕๐ หรอื วนั ทค่ี รบ ๕๐ เชน ในขอ มีในมาตกิ า (แมบท หรอื บทสรปุ ธรรม)
ความวา “บําเพ็ญกุศลปญญาสมวาร”, ซ่ึงกลาวไวแลวในธรรมสังคณี แต
ทัง้ นี้ มีคาํ ท่มี กั ใชในชุดเดียวกันอีก ๒ อธิบายเฉพาะ ๑๒๒ มาติกาแรกทเ่ี รียก
คํา คือ สัตมวาร (หรือสัตตมวาร, วนั ท่ี วา อภิธรรมมาตกิ า; เรียกอีกชือ่ หน่ึงวา
๗ หรอื วันท่คี รบ ๗) และ ศตมวาร มหาปกรณ; ดู ไตรปฎก (เลม ๔๐–๔๕,
(วันที่ ๑๐๐ หรอื วันท่ีครบ ๑๐๐), อนึง่ อภิธรรมปฎก เลม ๗–๑๒)
คําวา “ปญญาสมวาร” นี้ ไมพงึ สบั สน ปณฑกะ บัณเฑาะก, กะเทย
กับคําวา “ปณรสมวาร” ท่ีแปลวา วาระ ปณฑกุ ะ ชอ่ื ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ อยใู นพวกภกิ ษุ
๒๕๖
ปณฑุปลาส ๒๕๗ ปพพาชนียกรรม
เหลวไหลท้ัง ๖ ที่เรียกวาฉัพพัคคีย ปตตวรรค หมวดอาบัติกําหนดดวย
(พระพวก ๖ ที่ชอบกอเรือ่ งเสยี หาย ทาํ บาตร, ชอ่ื วรรคที่ ๓ แหงนสิ สัคคิย-
ใหพระพทุ ธเจาตองทรงบัญญตั สิ ิกขาบท ปาจิตตยี
หลายขอ) ปตตอุกกชุ ชนา การหงายบาตร; ดู หงาย
ปณฑปุ ลาส ใบไมเหลือง (ใบไมแก); คน บาตร, ปกาสนียกรรม
ปตตานุโมทนามัย บุญสําเร็จดวยการ
เตรียมบวช, คนจะขอบวช
ปณณเภสัช พืชมีใบเปนยา, ยาทําจากใบ อนโุ มทนาสวนบญุ , ทาํ บญุ ดวยการยนิ
พืช เชน ใบสะเดา ใบมูกมัน ใบ ดีในการทาํ ดขี องผูอนื่ (ขอ ๗ ในบุญ-
กระดอม ใบกะเพรา เปนตน กิรยิ าวัตถุ ๑๐)
ปณณตั ติวัชชะ อาบัตทิ เี่ ปนโทษทางพระ ปตตทิ านมยั บุญสําเรจ็ ดวยการใหสวน
บญั ญตั ิ คอื คนสามญั ทาํ เขาไมเปนความ บุญ, ทําบุญดวยการเฉล่ียสวนแหง
ผดิ ความเสยี หาย เปนความผดิ เฉพาะแก ความดใี หแกผอู ่ืน, ทําความดโี ดยใหผู
ภิกษุ โดยฐานละเมิดพระบัญญัติ เชน อื่นมีสวนรวมในการทําความดีน้ันดวย
ฉนั อาหารในเวลาวิกาล ขุดดิน ใชจีวรที่ (ขอ ๖ ใน บญุ กริ ิยาวัตถุ ๑๐)
ไมไดพินทุ นั่งนอนบนเตียงต่ังท่ีไมได ปปผาสะ ปอด
ตรึงเทาใหแนน เปนตน; เทยี บ โลกวัชชะ ปพพชาจารย อาจารยผูใหบรรพชา;
ปตตคาหาปกะ ภิกษุผูไดรับสมมติคือ เขียนเต็มรูปเปน ปพพัชชาจารย จะ
แตงต้ังจากสงฆใหมีหนาที่เปนผูแจก เขียน บรรพชาจารย กไ็ ด
บาตร ปพพชาเปกขะ กลุ บตุ รผเู พงบรรพชา, ผู
ปตตนิกกุชชนา การคว่าํ บาตร; ดู ควาํ่ ตงั้ ใจจะบวชเปนสามเณร, ผขู อบวชเปน
บาตร, ปกาสนยี กรรม สามเณร; เขียนเต็มรูปเปน ปพพัชชา-
ปตตปณฑิกังคะ องคแหงผูถือฉัน เปกขะ
เฉพาะในบาตร คอื ถอื การฉันเฉพาะใน ปพพัชชา การถือบวช, บรรพชาเปน
บาตร ไมใชภาชนะอน่ื , คําสมาทานวา อุบายฝกอบรมตนในทางสงบ เวนจาก
“ทุติยภาชนํ ปฏกิ ขฺ ปิ ามิ, ปตตฺ ปณฑฺ ิกงฺคํ ความชั่วมีการเบียดเบียนกันและกัน
สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขาพเจางดภาชนะที่ เปนตน (ขอ ๒ ในสปั ปรุ สิ บญั ญัติ ๓);
สอง สมาทานองคแหงผู—” (ขอ ๖ ใน ดู บรรพชา
ธุดงค ๑๓) ปพพาชนียกรรม กรรมอันสงฆพึงทํา
๒๕๗
ปสสทั ธิ ๒๕๘ ปาฏิโมกข
แกภิกษุอันพึงจะไลเสีย, การขับออก เรียกกนั สน้ั ๆ วา ปาจิตตยี อกี ๙๒
จากหมู, การไลออกจากวัด, กรรมนี้ ภิกษลุ วงละเมดิ สิกขาบท ๑๒๒ ขอเหลา
สงฆทําแกภิกษุผูประทุษรายสกุลและ นย้ี อมตองอาบตั ปิ าจติ ตยี เชน ภกิ ษพุ ดู
ประพฤติเลวทรามเปนขาวเซ็งแซหรือ ปด ฆาสตั วดริ จั ฉาน วายนาํ้ เลน เปนตน
แกภกิ ษุผเู ลนคะนอง ๑ อนาจาร ๑ ลบ ตองอาบตั ปิ าจิตตยี ; ดู อาบัติ 2. ดู ไตร
ลางพระบัญญัติ ๑ มิจฉาชพี ๑ (ขอ ๑ ปฎก
ปาจีน ทางทิศตะวันออก, ชาวตะวัน
ในนิคหกรรม ๖)
ปสสัทธิ ความสงบกายสงบใจ, ความ ออก; ดู ชาวปาจีน
สงบใจและอารมณ, ความสงบเย็น, ปาจีนทศิ ทศิ ตะวนั ออก
ความผอนคลายกายใจ (ขอ ๕ ใน ปาฏลีบุตร เมืองหลวงของแควนมคธ
โพชฌงค ๗) สมัยพระเจาอโศกมหาราช
ปสสาวะ เบา, เย่ียว, มูตร ปาฏิเทสนยี ะ “จะพงึ แสดงคืน”, อาบตั ทิ ่ี
ปสสาสะ ลมหายใจออก
จะพึงแสดงคืน เปนช่ือลหุกาบัติ คือ
ปาง ครั้ง, คราว, เม่อื ; เรียกพระพทุ ธรูป อาบัติเบาอยางหนึ่งถัดรองมาจาก
ท่ีสรางอุทิศเหตุการณในพุทธประวัติ ปาจิตตีย และเปนช่อื สิกขาบท ๔ ขอซึง่
เฉพาะคร้งั น้ันๆ โดยมรี ปู ลักษณเปน แปลไดวา พงึ ปรบั ดวยอาบตั ปิ าฏเิ ทสนยี ะ
พระอิริยาบถหรือทา ที่สื่อความหมาย เชน ภิกษุรับของเคีย้ วของฉัน จากมือ
ถงึ เหตกุ ารณเฉพาะครัง้ นนั้ ๆ วาเปนปาง ของภิกษุณีท่ีมิใชญาติ ดวยมือของตน
ช่อื นนั้ ๆ เชน พระพุทธรปู ปางหามญาติ มาบริโภค ตองอาบตั ปิ าฏเิ ทสนียะ; ดู
พระพทุ ธรปู ปางไสยาสน อาบตั ิ
ปาจิตติยุทเทส หมวดแหงปาจิตติย- ปาฏบิ ท วนั ขนึ้ คาํ่ หนง่ึ หรอื วนั แรมคาํ่ หนงึ่
สกิ ขาบท ทยี่ กขนึ้ แสดง คอื ที่สวดใน แตมกั หมายถงึ อยางหลงั คอื แรมคา่ํ หนง่ึ
ปาติโมกข ปาฏบิ ุคลกิ ดู ปาฏปิ คุ คลกิ
ปาจิตตยี 1. “การละเมดิ อนั ยงั กุศลให ปาฏปิ ทกิ ะ อาหารถวายในวันปาฏิบท
ตก”, ชือ่ อาบัติจําพวกหนึ่ง ในจําพวก ปาฏิปคุ คลิก เฉพาะบคุ คล, ไมทั่วไป,
อาบัติเบา (ลหกุ าบตั ิ) พนไดดวยการ ถวายเปนสวนปาฏิปุคคลิก ถือถวาย
แสดง; เปนชอื่ สกิ ขาบท ไดแกนสิ สคั คยิ เจาะจงบคุ คลไมใชถวายแกสงฆ
ปาจติ ตีย ๓๐ และสทุ ธกิ ปาจิตตยี ซงึ่ ปาฏโิ มกข ดู ปาติโมกข
๒๕๘
ปาฏิหารยิ ๒๕๙ ปาติโมกข
ปาฏิหาริย สง่ิ ท่ีนาอศั จรรย, เรือ่ งท่นี า กบั หลงั พรรษาอกี ๑ เดอื น, อกี มตหิ นง่ึ
อศั จรรย, การกระทาํ ท่ใี หบังเกิดผลเปน วารกั ษา ๓ เดอื น คอื เดอื น ๘ เดอื น ๑๒
อัศจรรย มี ๓ คอื ๑. อิทธิปาฏหิ ารยิ และเดอื น ๔, อกี มตหิ นง่ึ วาคอื ๔ วนั
แสดงฤทธไ์ิ ดเปนอศั จรรย ๒. อาเทศนา- กอนและหลังวันอุโบสถปกติ ไดแกวัน
ปาฏหิ าริย ทายใจไดเปนอศั จรรย ๓. ๑๓ ๑ ๗ และ ๙ คาํ่ มตทิ ายนก้ี ลายเปน
อนุสาสนีปาฏิหาริย คําสอนมีผลจริง มวี นั รบั -วนั สง ซงึ่ จะสบั สนกบั ปฏชิ าคร-
เปนอศั จรรย ใน ๓ อยางนี้ ขอสุดทาย อโุ บสถ), ปาฏหิ ารยิ ปกษนบ้ี างทกี เ็ รยี กวา
ดเี ย่ียมเปนประเสรฐิ ปาฏิหาริยอุโบสถ ซ่ึงเปนอยางหนึ่งใน
ปาฏิหาริยปกษ “ปกษทพี่ งึ หวนกลบั ไป อโุ บสถ ๓ ประเภท ของคฤหัสถ; ดู
นํามารักษาซ้ําทุกปๆ”, เปนช่ือวิธีรักษา อโุ บสถ 2.๓.
อุโบสถแบบหนึ่งสําหรับคฤหัสถ เรียก ปาฏิหาริยอโุ บสถ ดู อโุ บสถ 2.๓.
ตามกําหนดระยะเวลาท่ีต้ังไวสําหรับ ปาฐา ชอื่ เมอื งหน่ึงในมัธยมประเทศครง้ั
รกั ษาประจาํ ป แตระยะเวลาทกี่ าํ หนดนน้ั พุทธกาล ภิกษุชาวเมืองน้ีคณะหนึ่ง
อรรถกถาท้ังหลายมีมติแตกตางกันไป เปนเหตุปรารภใหพระพุทธเจาทรง
หลายแบบหลายอยาง จนบางแหงบอกวา อนุญาตการกรานกฐิน; พระไตรปฎก
พึงเลือกตามมติที่พอใจ เพราะความ บางฉบับเขยี นเปน ปาวา
สาํ คญั อยทู กี่ ารตง้ั ใจรกั ษาดวยจติ ปสาทะ ปาณาติบาต ทําชีวิตสัตวใหตกลวงไป,
ใหเตม็ อม่ิ สมบรู ณ (เชน มตหิ นงึ่ วาคอื ฆาสตั ว
อโุ บสถท่รี กั ษาประจาํ ตอเนอื่ งตลอดไตร- ปาณาตปิ าตา เวรมณี เวนจากการทาํ
มาสแหงพรรษา ถาไมสามารถ กร็ ักษา ชวี ิตสตั วใหตกลวง, เวนจากการฆาสัตว
ตลอดเดือนหนึ่งระหวางวันปวารณาท้ัง (ขอ ๑ ในศีล ๕ ฯลฯ)
สอง คอื ตงั้ แตแรม ๑ คา่ํ เดอื น ๑๑ ถงึ ปาตลีบุตร ชื่อเมืองหลวงของพระเจา
ขน้ึ ๑๕ คา่ํ เดอื น ๑๒ ถาไมสามารถ ก็ อโศกมหาราช; เขียน ปาฏลีบุตร กม็ ี
รักษาครึ่งเดือนถัดจากวันปวารณาแรก ปาตาละ นรก, บาดาล (เปนคาํ ท่พี วก
คอื ตงั้ แตแรม ๑ คา่ํ เดอื น ๑๑ เปนตนไป พราหมณใชเรยี กนรก)
ตลอดกาฬปกษ คือตลอดขางแรม, แต ปาติโมกข ชื่อคัมภีรท่ีประมวลพุทธ-
มติหนงึ่ วารกั ษา ๕ เดือน คือตัง้ แตกอน บญั ญตั อิ นั ทรงตงั้ ขนึ้ เปนพทุ ธอาณา ไดแก
พรรษา ๑ เดอื น ตลอดพรรษา ๓ เดอื น อาทพิ รหมจรยิ กาสกิ ขา มพี ระพทุ ธานญุ าต
๒๕๙
ปาตโิ มกขยอ ๒๖๐ ปาติโมกขสังวร
ใหสวดในทปี่ ระชมุ สงฆทกุ กง่ึ เดอื น เรยี ก คาํ วา สุต ทปี่ ระกอบรปู เปน สุตา ตาม
กนั วา พระสงฆทาํ อโุ บสถ, คมั ภรี ทร่ี วม ไวยากรณ ทั้งน้ียกเวนนิทานุทเทสซึ่ง
วินัยของสงฆ สาํ หรบั ภิกษุ เรยี ก ภิกขุ-
ปาตโิ มกข มสี กิ ขาบท ๒๒๗ ขอ และ ตองสวดใหจบ)
สาํ หรบั ภกิ ษณุ ี เรยี ก ภกิ ขนุ ปี าติโมกข
สมมติวาสวดปาราชิกุทเทสจบแลว
มสี กิ ขาบท ๓๑๑ ขอ; ปาติโมกข ๒ คอื
๑.อาณาปาตโิ มกข ปาติโมกขท่ีเปนพระ ถาสวดยอตามแบบทท่ี านวางไวจะไดดงั น:ี้
“สตุ า โข อายสมฺ นเฺ ตหิ เตรส สงฆฺ าทเิ สสา
พุทธอาณา ไดแก ภกิ ขุปาตโิ มกข และ ธมมฺ า, สตุ า โข อายสมฺ นเฺตหิ เทวฺ อนยิ ตา
ภิกขุนีปาติโมกข ๒.โอวาทปาติโมกข ธมมฺ า, ฯเปฯ ลงทายวา เอตตฺ กํ ตสฺส
ภควโตฯเปฯสกิ ขฺ ติ พพฺ ”ํ
ปาติโมกขที่เปนพระพุทธโอวาท ไดแก แบบทวี่ างไวเดมิ น้ี สมเดจ็ พระมหา-
พทุ ธพจน ๓ คาถากงึ่ ดงั ทไ่ี ดตรสั ในท่ี สมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ไม
ประชุมพระอรหนั ต ๑,๒๕๐ องค ในวัน ทรงเหน็ ดวยในบางประการ และทรงมพี ระ
มาฆปณุ มี หลังตรสั รูแลว ๙ เดือน, มตวิ าควรสวดยอดงั นี้ (สวดปาราชกิ ทุ เทส
อรรถกถากลาววา พระพุทธเจาทรง จบแลว สวดคาํ ทายทเี ดยี ว): “อทุ ทฺ ฏิ ํ โข
แสดงโอวาทปาติโมกขในที่ประชุมพระ อายสมฺ นโฺ ต นทิ าน,ํ อทุ ทฺ ฏิ า จตฺตาโร
สงฆเปนประจาํ ตลอด ๒๐ พรรษาแรก ปาราชกิ า ธมมฺ า, สตุ าเตรสสงฆฺ าทเิ สสา
ตอจากนนั้ จงึ ไดรบั สง่ั ใหพระสงฆสวด ธมฺมา, ฯเปฯ สุตา สตฺตาธิกรณสมถา
อาณาปาติโมกขกันเองสืบตอมา; (เขยี น ธมฺมา, เอตฺตกํ ฯเปฯ สิกฺขิตพฺพํ”; ดู
ปาฏโิ มกข กม็ )ี ; ดู โอวาทปาตโิ มกข อันตราย ๑๐
ปาติโมกขยอ มีพุทธานุญาตใหสวด ปาตโิ มกขสงั วร สาํ รวมในพระปาติโมกข
ปาติโมกขยอได ในเม่ือมีเหตุจําเปน เวนขอท่ีพระพุทธเจาหาม ทาํ ตามขอท่ี
อยางใดอยางหนงึ่ ในเหตุ ๒ อยาง คือ พระองคอนญุ าต ประพฤตเิ ครงครดั ใน
๑. ไมมภี กิ ษจุ าํ ปาตโิ มกขไดจนจบ (พงึ สกิ ขาบททงั้ หลาย (ขอ ๑ ในปารสิ ทุ ธศิ ลี ๔,
สวดเทาอเุ ทศทจ่ี าํ ได) ๒. เกดิ เหตฉุ กุ เฉนิ ขอ ๑ ในสังวร ๖, ขอ ๑ ในองคแหง
ขัดของที่เรียกวาอันตรายอยางใดอยาง ภกิ ษใุ หม ๕), ท่ีเปนขอ ๑ ในปาริสุทธิศีล
หนงึ่ ในอนั ตรายทงั้ ๑๐ (กําลังสวดอเุ ทศ ๔ นัน้ เรยี กเตม็ วา ปาตโิ มกขสงั วรศลี
ใดคางอยู เลกิ อเุ ทศนน้ั กลางคนั ได และ (ปาฏโิ มกขสงั วรศลี กเ็ ขียน) แปลวา ศลี
พงึ ยอตง้ั แตอุเทศนัน้ ไปดวยสุตบท คือ คอื ความสํารวมในพระปาตโิ มกข
๒๖๐
ปาทกุ า ๒๖๑ ปานะ
ปาทกุ า รองเทาประเภทหนง่ึ แปลกันมา ลกู ตาล มะพราว ขนนุ สาเก (“ลพชุ ”
แปลกนั วา สาเก บาง ขนนุ สาํ มะลอ บาง)
วา “เขยี งเทา” เปนรองเทาทีต่ องหามทาง นาํ้ เตา ฟกเขยี ว แตงไทย แตงโม ฟกทอง
พระวนิ ยั อนั ภกิ ษไุ มพึงใช; ดู รองเทา และพวกอปรณั ณะ เชน ถว่ั เขยี ว ทานจดั
ปานะ เคร่อื งดมื่ , นํา้ สําหรับดม่ื โดย อนุโลมเขากับธัญผล เปนของตองหาม
ดวย; จะเห็นวา มะซางเปนพชื ทีม่ ขี อ
เฉพาะท่ีคั้นจากลกู ไม (รวมทง้ั เหงาพืช จํากัดมากสกั หนอย น้ําดอกมะซางน้ัน
ตองหามเลยทีเดียว สวนนาํ้ ผลมะซาง
บางชนิด), นา้ํ ค้ันผลไม (จดั เปนยาม จะฉนั ลวนๆ ไมได ตองผสมนา้ํ จงึ จะควร
ทง้ั นเ้ี พราะกลายเปนของเมาไดงาย
กาลกิ ); มีพทุ ธานุญาตปานะ ๘ อยาง
(นยิ มเรยี กเลยี นเสยี งคาํ บาลวี า อฏั ฐบาน วธิ ีทาํ ปานะท่ีทานแนะไว คือ ถาผล
หรอื นาํ้ อฏั ฐบาน) พรอมท้งั นํา้ คน้ั พืช ยงั ดบิ ก็ผาฝานห่นั ใสในนา้ํ ใหสกุ ดวย
แดด ถาสกุ แลว กป็ อกหรอื ควาน เอา
ตางๆ ดังพทุ ธพจนวา (วินย.๕/๘๖/๑๒๓) ผาหอ บิดใหตงึ อดั เนือ้ ผลไมใหคายนํ้า
“ภกิ ษทุ งั้ หลาย เราอนญุ าตปานะ ๘ อยาง ออกจากผา เติมนาํ้ ลงใหพอดี (จะไม
คือ ๑. อมพฺ ปานํ นํ้ามะมวง ๒. ชมฺพุ- เตมิ นาํ้ กไ็ ด เวนแตผลมะซางซึง่ ทานระบุ
ปานํ นาํ้ ชมพหู รือนํา้ หวา ๓. โจจปานํ วาตองเจือน้ําจึงควร) แลวผสมน้ําตาล
นํา้ กลวยมีเมด็ ๔. โมจปานํ นาํ้ กลวยไม และเกลอื เปนตนลงไปพอใหไดรสดี ขอ
มเี มด็ ๕. มธกุ ปานํ นาํ้ มะซาง ๖. มทุ ทฺ กิ - จาํ กดั ทพี่ งึ ทราบคือ ๑. ปานะนีใ้ หใชของ
ปานํ นาํ้ ลกู จนั ทนหรอื องนุ ๗. สาลกุ ปานํ สด หามมใิ หตมดวยไฟ ใหเปนของเยน็
นาํ้ เหงาอบุ ล ๘. ผารสุ กปานํ นา้ํ มะปราง หรือสุกดวยแดด (ขอนี้พระมติสมเด็จ
หรอื ลนิ้ จี,่ …เราอนุญาตนาํ้ ผลไม (ผลรส) พระมหาสมณเจา กรมพระยา
วชริ ญาณวโรรสวา ในบาลไี มไดหามนา้ํ สกุ
ทกุ ชนดิ เวนนาํ้ ผลธญั ชาต,ิ …เราอนญุ าต แมสกุ กไ็ มนารงั เกยี จ) ๒. ตองเปนของท่ี
นา้ํ ใบไม (ปตตรส) ทกุ ชนดิ เวนนํ้าผกั อนุปสัมบันทํา จึงควรฉันในเวลาวิกาล
ตม, …เราอนุญาตน้ําดอกไม (บปุ ผรส) (ถาภิกษุทํา ถือเปนเหมือนยาวกาลิก
เพราะรับประเคนมาท้ังผล) ๓. ของ
ทุกชนิด เวนนํ้าดอกมะซาง, …เรา ประกอบเชนน้าํ ตาลและเกลอื ไมใหเอา
อนญุ าตน้ําออยสด (อจุ ฉรุ ส)”
๒๖๑
พึงทราบคําอธิบายเพม่ิ เติมวา นา้ํ ผล
ธญั ชาตทิ ต่ี องหาม ไดแกนา้ํ จากผลของ
ธญั ชาติ ๗ เชน เมลด็ ขาว (นาํ้ ซาวขาว,
นา้ํ ขาว) นอกจากนนั้ ผลไมใหญ (มหาผล)
๙ ชนดิ (จาํ พวกผลไมทท่ี าํ กบั ขาว) ไดแก
ปาปโรโค ๒๖๒ ปาริเลยยกะ
ของท่ีรับประเคนคางคนื ไวมาใช (แสดง สุชาดาถวายแกพระมหาบุรุษในเวลาเชา
วามุงใหเปนปานะท่ีอนุปสัมบันทําถวาย ของวันทพี่ ระองคจะไดตรัสรู, ในคมั ภรี
ดวยของของเขาเอง) ทั้งหลาย นิยมเรียกเตม็ วา “มธุปายาส”;
ในมหานิทเทส (ขุ.ม.๒๙/๗๔๒/๔๔๙) ดู สชุ าดา, สกู รมัททวะ
ทานแสดงปานะ๘(อฏั ฐบาน)ไว๒ชดุ ๆ ปาราชิก เปนชื่ออาบัติหนักท่ีภิกษุตอง
แรกตรงกับท่ีเปนพุทธานุญาตในพระ เขาแลวขาดจากความเปนภิกษุ, เปนชือ่
วนิ ยั สวนชดุ ท่ี ๒ อนั ตางหาก ไดแก นาํ้ บุคคลผูท่ีพายแพ คือ ตองอาบัติ
ผลสะครอ นาํ้ ผลเลบ็ เหยย่ี ว นา้ํ ผลพทุ รา ปาราชิกท่ีทําใหขาดจากความเปนภิกษุ,
ปานะทาํ ดวยเปรยี ง ปานะนา้ํ มนั ปานะ เปนชื่อสิกขาบท ที่ปรับอาบัติหนักข้ัน
นา้ํ ยาคู (ยาคปุ านะ) ปานะนาํ้ นม (ปโย- ขาดจากความเปนภกิ ษุมี ๔ อยางคอื
ปานะ) ปานะนา้ํ คน้ั (รสปานะ), ในพระ เสพเมถุน ลกั ของเขา ฆามนุษย อวด
วินัย เคยมีเร่ืองท่ีพราหมณผูหนึ่งจัด อุตตริมนสุ สธรรมทไี่ มมใี นตน
ถวายปโยปานะ คอื ปานะนา้ํ นม แกสงฆ ปารจิ รยิ านตุ ตริยะ การบําเรออนั เย่ยี ม
(ในเรอื่ งไมแจงวาเปนเวลาใด) และภกิ ษุ ไดแก การบํารุงรับใชพระตถาคตและ
ทั้งหลายดื่มน้ํานมมีเสียงดัง “สุรุสุรุ” ตถาคตสาวก อันประเสรฐิ กวาการทจี่ ะ
เปนตนบัญญัติแหงเสขิยวัตรสิกขาบทท่ี บชู าไฟหรอื บํารงุ บาํ เรออยางอื่น เพราะ
๕๑ (วนิ ย.๒/๘๕๑/๕๕๓) ชวยใหบริสุทธ์ิหลุดพนจากทุกขไดจริง
ปาปโรโค คนเปนโรคเลวราย, บางทีแ่ ปล (ขอ ๕ ในอนตุ ตรยิ ะ ๖)
วา “โรคเปนผลแหงบาป” อรรถกถาวาได ปาริฉัตตก “ตนทองหลาง”, ชือ่ ตนไม
แกโรคเรื้อรัง เชน ริดสีดวงกลอน ประจําสวรรคชั้นดาวดึงส วาสูงรอย
เปนตน เปนโรคท่ีหามไมใหรบั บรรพชา โยชน อยใู นสวนนันทนวันของพระอนิ ทร
ปาปสมาจาร ความประพฤติเหลวไหล พระแทนบัณฑุกัมพลศิลาอาสนท่ีพระ
เลวทราม ชอบสมคบกับคฤหัสถดวย อินทรประทับนั่ง ตั้งอยูที่โคนตนปาริ
การอนั มชิ อบ ทเ่ี รยี กวาประทษุ รายสกลุ ; ฉตั ตกน;ี้ ปารฉิ ตั ร หรอื ปารชิ าต กเ็ ขยี น;
ดู กลุ ทสู ก ดู ดาวดงึ ส, บณั ฑุกมั พลศลิ าอาสน
ปาพจน “คาํ เปนประธาน” หมายถงึ พระ ปาริเลยยกะ ชื่อแดนบานแหงหนึ่งใกล
พุทธพจน ซึ่งไดแก ธรรม และวนิ ยั เมืองโกสัมพีที่พระพุทธเจาเสด็จเขาไป
ปายาส ขาวสกุ หุงดวยนมโค เชนท่นี าง อาศัยอยูในปารักขิตวันดวยทรงปลีก
๒๖๒
ปาริวาสิกขันธะ ๒๖๓ ปารสิ ุทธอิ ุโบสถ
พระองค จากพระสงฆผูแตกกนั ในกรงุ ปาติโมกขได ก็ใหภิกษุสองหรอื สามรูป
โกสมั พ;ี ชางทป่ี ฏบิ ตั พิ ระพทุ ธเจาทปี่ านน้ั นั้น “บอกปาริสุทธิ” คือบอกความ
กช็ อ่ื ปารเิ ลยยกะ; เราเรยี กกนั ในภาษา บริสุทธ์ิแกกัน แทนการสวดปาติโมกข
ไทยวา ปาเลไลยก กม็ ี ปาเลไลยก กม็ ี (คํา “บอกปารสิ ทุ ธิ” ดู ปาริสุทธอิ โุ บสถ)
ควรเขยี น ปารไิ ลยก หรอื ปาเรไลยก ปารสิ ทุ ธศิ ลี ศลี เปนเครอื่ งทาํ ใหบรสิ ทุ ธ,์ิ
ปารวิ าสิกขนั ธะ ช่อื ขนั ธกะที่ ๒ แหง ศีลเปนเหตุใหบริสุทธิ์ หรือความ
จุลวรรค ในพระวินัยปฎก วาดวยเรอ่ื ง ประพฤตบิ รสิ ทุ ธทิ์ จี่ ดั เปนศลี มี ๔ อยาง
คือ ๑. ปาติโมกขสังวรศีล ศีลคอื ความ
ภิกษอุ ยูปริวาส
ปาริวาสิกภิกษุ ภิกษุผูอยูปริวาส; ดู สาํ รวมในพระปาติโมกข เวนจากขอหาม
ปริวาส
ปาริวาสิกวัตร ขอปฏิบัติที่เปนธรรม ทาํ ตามขออนญุ าต ประพฤตเิ ครงครดั ใน
สิกขาบทท้ังหลาย ๒. อินทรียสังวรศีล
เนียมความประพฤติของภิกษุผูอยู ศีลคือความสํารวมอินทรีย ระวังไมให
ปรวิ าส บาปอกุศลธรรมครอบงํา เมื่อรับรู
ปารสิ ุทธิ ความบรสิ ทุ ธ์ิของภิกษ;ุ เปน อารมณดวยอนิ ทรียทั้ง ๖ ๓. อาชีว-
ธรรมเนียมวา ถามีภิกษุอาพาธอยูใน ปาริสุทธิศีล ศีลคือความบริสุทธ์ิแหง
สีมาเดียวกัน เม่ือถึงวันอุโบสถไม อาชีวะ เลี้ยงชีวิตโดยทางสุจริตชอบ
สามารถไปรวมประชมุ ได ภกิ ษผุ อู าพาธ ธรรม เชน ไมหลอกลวงเขาเลยี้ งชีพ ๔.
ตอง “มอบปารสิ ทุ ธ”ิ แกภิกษุรูปหนง่ึ มา ปจจยสันนิสิตศีล ศีลอันเน่ืองดวย
แจงแกสงฆ คือใหนําความมาแจงแก ปจจัย ๔ ไดแกปจจัยปจจเวกขณ คือ
สงฆวาตนมีความบริสุทธิ์ทางพระวินัย พิจารณาใชสอยปจจัยส่ี ใหเปนไปเพือ่
ไมมอี าบัติติดคาง (คํา “มอบปารสิ ทุ ธิ” ประโยชนตามความหมายของสง่ิ นั้น ไม
ดู ฉนั ทะ 3); หรอื ในวันอโุ บสถ ถาภกิ ษุผู บรโิ ภคดวยตัณหา
ชุมนุมอยูสวดปาติโมกขจบแลว มภี ิกษุ ปารสิ ทุ ธอิ โุ บสถ อโุ บสถทภ่ี กิ ษทุ าํ ปารสิ ทุ ธิ
อื่นมา ภกิ ษุทีม่ าใหมพงึ “บอกปาริสุทธ”ิ คือแจงแตความบริสุทธิ์ของกันและกัน
ในสํานักภิกษุที่ชุมนุมสวดปาติโมกข ไมตองสวดปาตโิ มกข ปารสิ ทุ ธอิ โุ บสถนี้
แลวนน้ั ; หรอื ในวนั อโุ บสถ มีภกิ ษอุ ยู กระทาํ เมอื่ มภี กิ ษอุ ยใู นวดั เพยี งเปนคณะ
เพียงสองหรือสามรูป (คือเปนเพียง คอื ๒–๓ รปู ไมครบองคสงฆ ๔ รปู
คณะ) ไมครบองคสงฆท่ีจะสวด ถามภี กิ ษุ ๓ รูปพงึ ประชมุ กันใน
๒๖๓
ปาริหาริยกัมมฏั ฐาน ๒๖๔ ปาหเุ นยฺโย
โรงอุโบสถแลว รูปหนึ่งต้ังญัตติดังนี้: ปารุสกวนั ช่ือสวนสวรรคของพระอินทร
“สณุ นฺตุ เม ภนเฺ ต อายสฺมนฺตา, อชชฺ -ุ ในดาวดึงสเทวโลก ๑ ใน ๔ แหง คอื
โปสโถ ปณฺณรโส ยทายสฺมนฺตานํ นนั ทนวัน จติ รลดาวนั มิสสกวนั และ
ปตฺตกลฺลํ, มยํ อ ฺ ม ฺ ปาริสุทฺธิ- ปารสุ กวัน (นนั ทนวนั บางคมั ภรี เรียก
อุโปสถํ กเรยยฺ าม” แปลวา: “ทานทั้ง นันทวัน, ปารุสกวัน คัมภรี อกั ษรอนื่
หลาย อโุ บสถวนั นท้ี ี่ ๑๕ ถาความพรอม เรยี ก ผารสุ กวนั )
พรัง่ ของทานถึงท่แี ลว เราทั้งหลายพงึ ทาํ ปาวา นครหลวงของแควนมัลละ คกู ับ
ปาริสุทธิอุโบสถดวยกัน” (ถารูปที่ต้ัง กุสินารา คือนครหลวงเดิมของแควน
ญตั ตแิ กกวาเพอ่ื นวา อาวโุ ส แทน ภนเฺต, มัลละชื่อกุสาวดี แตภายหลังแยกเปน
ถาเปนวัน ๑๔ ค่ํา วา จาตทุ ฺทโส แทน กุสินารา กบั ปาวา
ปณฺณรโส) ภกิ ษผุ เู ถระพงึ หมผาเฉวยี ง ปาวาริกมั พวนั ดู นาลันทา
บาน่ังกระหยงประนมมือบอกปาริสุทธิ ปาวาลเจดีย ช่ือเจดียสถานอยูที่เมือง
วา: “ปรสิ ุทฺโธ อหํ อาวุโส, ปรสิ ุทฺโธติ เวสาลี พระพุทธเจาทรงทาํ นมิ ิตตโอภาส
มํ ธาเรถ” (๓ หน) แปลวา: “ฉนั บริสุทธ์ิ คร้ังสุดทายและทรงปลงพระชนมายุ
แลวเธอ ขอเธอทั้งหลายจงจําฉันวาผู สงั ขาร ณ เจดียนี้ กอนปรินพิ พาน ๓
บรสิ ุทธแ์ิ ลว” อีก ๒ รปู พงึ ทําอยางเดียว เดือน; ถาเขียนตามพระไตรปฎกฉบับ
กนั นนั้ ตามลาํ ดบั พรรษา คาํ บอกเปล่ยี น อกั ษรพมา เปน จาปาลเจดยี
เฉพาะ อาวโุ ส เปน ภนฺเต แปลวา “ผม ปาสราสสิ ูตร ช่อื สตู รท่ี ๒๖ ในคัมภีร
บริสุทธิ์แลวขอรับ ขอทานทัง้ หลายจงจํา มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก พระ
ผมวาผูบริสุทธ์ิแลว” สุตตันตปฎก; เรียกอกี ชื่อหนง่ึ วา อรยิ -
ถามี ๒ รูป ไมตองตัง้ ญตั ติพึงบอก ปรเิยสนาสตู ร เพราะวาดวย อรยิ ปรเิ ยสนา
ปารสิ ุทธแิ กกัน ผแู กวา: “ปรสิ ุทโฺ ธ อหํ ปาสาณเจดีย เจดียสถานแหงหนึง่ อยใู น
อาวุโส, ปรสิ ุทโฺ ธติ มํ ธาเรหิ” (๓ หน) แควนมคธ มาณพ ๑๖ คนซ่ึงเปนศษิ ย
ผอู อนกวาวา: “ปรสิ ทุ โฺ ธ อหํ ภนเฺ ต, ปร-ิ ของพราหมณพาวรี ไดเฝาพระศาสดา
สุทโฺ ธติ มํ ธาเรถ” (๓ หน); ดู อโุ บสถ และทลู ถามปญหา ณ ที่น้ี
ปารหิ ารยิ กมั มฏั ฐาน กรรมฐานทจ่ี ะตอง ปาสาทกิ สตู ร ชอ่ื สตู รท่ี ๖ ในคมั ภรี ทฆี -
บรหิ าร; ดู กมั มฏั ฐาน ๒; เทยี บ สพั พัตถก- นิกาย ปาฏกิ วรรค พระสตุ ตันตปฎก
กัมมัฏฐาน ปาหุเนยฺโย (พระสงฆ) เปนผูควรแกของ
๒๖๔
ปงคิยมาณพ ๒๖๕ ปตุฆาต
ตอนรบั คอื มคี ณุ ความดนี ารักนาเคารพ ๓ ใน ธุดงค ๑๓)
นับถือ ควรแกการขวนขวายจัดถวาย ปณโฑลภารทวาชะ พระมหาสาวกองค
ของตอนรับ เปนแขกที่นาตอนรับ หรอื หนงึ่ เปนบตุ รพราหมณมหาศาล ภารทวาช-
เปนผูท่ีเขาภูมิใจอยากใหไปเปนแขกที่ โคตร ในพระนครราชคฤห เรียนจบ
เขาจะไดตอนรบั (ขอ ๖ ในสังฆคณุ ๙) ไตรเพท ออกบวชในพระพุทธศาสนา
ปงคิยมาณพ ศิษยคนหนึ่งในจํานวน ไดสาํ เร็จพระอรหัต เปนผูบรบิ รู ณดวย
๑๖ คนของพราหมณพาวรี ทไ่ี ปทูลถาม สติ สมาธิ ปญญา มกั เปลงวาจาวา “ผใู ด
ปญหากะพระศาสดา ทป่ี าสาณเจดยี มีความเคลือบแคลงสงสัยในมรรคก็ดี
ปฎก ตามศัพทแปลวา “กระจาด” หรือ ผลก็ดี ขอผูนั้นจงมาถามขาพเจาเถิด”
“ตะกราอันเปนภาชนะสําหรับใสของ พระศาสดาทรงยกยองวาเปนเอตทัคคะ
ตางๆ” เอามาใชในความหมายเปนที่ ในทางบันลือสีหนาท, ทานเปนตน
รวบรวมคําสอนในพระพุทธศาสนาที่จัด บัญญตั ิแหงสิกขาบท ซึ่งหามภิกษุ มิให
เปนหมวดหมแู ลว มี ๓ คอื ๑. วนิ ยั ปฎก แสดงอิทธิปาฏิหาริย อันเปนอุตตริ-
รวบรวมพระวนิ ัย ๒. สตุ ตนั ตปฎก รวบ มนสุ สธรรม แกคฤหสั ถทง้ั หลาย และ
รวมพระสตู ร ๓. อภธิ รรมปฎก รวบ สกิ ขาบท ซ่ึงหามภิกษุ มใิ หใชบาตรไม
รวมพระอภิธรรม เรียกรวมกันวาพระ (ทง้ั สองสกิ ขาบทน้ี ทรงบญั ญตั ใิ นโอกาส
ไตรปฎก (ปฎก ๓) ดู ไตรปฎก เดียวกัน โดยทรงปรารภกรณีเดยี วกนั
ปณฑปาติกธุดงค องคคุณเครื่องขจัด วนิ ย.๗/๓๓/๑๖); ดู ยมกปาฏิหารยิ
กิเลสแหงภิกษุเปนตนผูถือการเท่ียว ปตตฺ สมุฏ านา อาพาธา ความเจ็บไขมี
บณิ ฑบาตเปนวตั ร หมายถงึ ปณฑปาต-ิ ดเี ปนสมุฏฐาน; ดู อาพาธ
กงั คะ นน่ั เอง ปตตะ นา้ํ ด,ี นาํ้ สเี ขยี วขนมรี สขม ออก
ปณฑปาติกังคะ องคแหงผูถือเที่ยว จากตบั มที เี่ กบ็ เรยี กวาถงุ นาํ้ ดี ซง่ึ ชวย
บิณฑบาตเปนประจํา คอื ไมรบั นิมนต ยอยอาหารจาํ พวกไขมนั
หรือลาภพิเศษอยางอ่ืนใด ฉันเฉพาะ ปตตวิ สิ ยั แดนเปรต, ภมู แิ หงเปรต (ขอ ๓
อาหารที่บณิ ฑบาตมาได, คาํ สมาทานวา ในทคุ ติ ๓, ขอ ๓ ในอบาย ๔); เปตตวิ สิ ยั
“อตเิ รกลาภํ ปฏิกฺขิปาม,ิ ปณฺฑปาติกงคฺ ํ กเ็ รยี ก; ดู เปรต,ทคุ ติ, อบาย
สมาทิยามิ” แปลวา “ขาพเจางด ปตฆุ าต ฆาบิดา (ขอ ๒ ในอนันตรยิ -
อตเิ รกลาภ สมาทานองคแหงผ—ู ” (ขอ กรรม ๕)
๒๖๕
ปปผล,ิ ปปผลมิ าณพ ๒๖๖ ปุกกุสะ
ปปผล,ิ ปปผลมิ าณพ ช่อื ของพระมหา- ในพระพทุ ธศาสนา เจรญิ วิปสสนาแลว
กัสสปเถระ เมื่อกอนออกบวช; สวน ไดบรรลุอรหัตตผล ตอมาไดรับยกยอง
กสั สปะ เปนชือ่ ท่เี รยี กตามโคตร วาเปนเอตทัคคะในทางเปนท่ีรักของ
ปปาสวินโย ความนําออกไปเสียซึ่ง พวกเทวดา
ความกระหาย, กาํ จดั ความกระหายคอื ปลินทวจั ฉคาม ชอื่ หมบู านของคนงาน
ตัณหาได (เปนไวพจนของวริ าคะ) วัดจาํ นวน ๕๐๐ ท่พี ระเจาพมิ พสิ ารพระ
ปยรปู สาตรูป สภาวะทน่ี ารักนาชืน่ ใจ ราชทานใหเปนผูชวยทําท่ีอยูของพระ
มุงเอาสวนที่เปนอิฏฐารมณซึ่งเปนบอ ปลนิ ทวัจฉะ
เกิดแหงตณั หามี ๑๐ หมวด หมวดละ ปสณุ าย วาจาย เวรมณี เวนจากพูด
๖ อยาง คอื อายตนะภายใน ๖ อายตนะ สอเสียด, เวนจากพูดยุยงใหเขาแตก
ภายนอก ๖ วญิ ญาณ ๖ สมั ผสั ๖ ราวกนั (ขอ ๕ ในกศุ ลกรรมบถ ๑๐)
เวทนา ๖ สัญญา ๖ สัญเจตนา ๖ มี ปสณุ าวาจา วาจาสอเสยี ด, พูดสอเสยี ด,
รปู สญั เจตนา เปนตน ตณั หา ๖ มรี ปู - พูดยุยงใหเขาแตกราวกัน (ขอ ๕ ใน
ตัณหา เปนตน วิตก ๖ มีรูปวิตก อกุศลกรรมบถ ๑๐)
เปนตน วิจาร ๖ มีรูปวิจาร เปนตน ปหกะ มาม (เคยแปลกันวา ไต) ดู วกั กะ
ปยวาจา วาจาเปนท่ีรัก, พดู จานารกั นา ปติ ความอม่ิ ใจ, ความดม่ื ดาํ่ ในใจ มี ๕ คอื
นิยมนับถือ, วาจานารกั , วาจาที่กลาว ๑. ขุททกาปติ ปติเลก็ นอยพอขนชนั นาํ้
ดวยจิตเมตตา, คําที่พูดดวยความรัก ตาไหล ๒. ขณกิ าปติ ปตชิ ว่ั ขณะรสู กึ
ความปรารถนาดี เชน คาํ พดู สภุ าพออน แปลบๆ ดจุ ฟาแลบ ๓. โอกกนั ตกิ าปติ
โยน คาํ แนะนําตักเตือนดวยความหวังดี ปตเิ ปนระลอกรูสกึ ซูลงมาๆ ดุจคล่นื ซัด
(ขอ ๒ ใน สงั คหวตั ถุ ๔) ฝง ๔. อพุ เพคาปติ ปติโลดลอย ใหใจฟู
ปยารมณ อารมณอนั เปนที่รกั เปนทน่ี า ตัวเบาหรืออทุ านออกมา ๕. ผรณาปติ
ปรารถนา นาชอบใจ เชน รูปที่สวยงาม ปติซาบซาน เอิบอาบไปท่ัวสรรพางค
เปนตน เปนของประกอบกบั สมาธิ (ขอ ๔ ใน
ปลินทวัจฉะ พระมหาสาวกองคหน่ึง โพชฌงค ๗)
เกิดในตระกูลพราหมณวัจฉโคตร ใน ปฬกะ พพุ อง, ฝ, ตอม
เมอื งสาวัตถี ไดฟงพระธรรมเทศนาของ ปุกกสุ ะ บตุ รของกษัตริยมลั ละ เปนศิษย
พระพทุ ธเจา มศี รัทธาเลอื่ มใสออกบวช ของอาฬารดาบส กาลามโคตร ไดถวาย
๒๖๖
ปคุ คลบญั ญัติ ๒๖๗ ปุณณสนุ าปรันตะ
ผาสิงคิวรรณแดพระพุทธเจาในวัน ปุณณชิ บตุ รเศรษฐเี มอื งพาราณสี เปน
ปรินิพพาน สหายของยสกุลบุตร ไดทราบขาว
ปคุ คลบญั ญัติ ชือ่ คมั ภรี ที่ ๔ แหงพระ ยสกุลบุตรออกบวช จึงไดบวชตาม
อภิธรรมปฎก วาดวยบัญญัติความ พรอมดวยสหายอีก ๓ คน คอื วมิ ละ
หมายของชือ่ ท่ีใชเรียกบคุ คลตางๆ ตาม สุพาหุ และควัมปติ ไดเปนองคหน่งึ ใน
คุณธรรม เชนวา โสดาบัน ไดแก อสตี มิ หาสาวก
บุคคลผูละสงั โยชน ๓ ไดแลว ดังนี้ ปณุ ณมันตานบี ตุ ร พระมหาสาวกองค
เปนตน; ดู ไตรปฎก (ในเลม ๓๖, ใน หนงึ่ ไดช่ืออยางน้ี เพราะเดิมช่ือปณุ ณะ
อภธิ รรมปฎก เลม ๓) เปนบุตรของนางมันตานี ทานเกิดใน
ปุคคลสัมมุขตา ความเปนตอหนา ตระกูลพราหมณมหาศาลในหมูบาน
บุคคล, ในววิ าทาธกิ รณ หมายความวา พราหมณชอื่ โทณวัตถุ ไมไกลจากเมอื ง
คูวิวาทอยูพรอมหนากัน; ดู สมั มุขาวินยั กบลิ พัสดุ ในแควนศากยะที่เปนชาตภิ ูมิ
ปคุ คลญั ตุ า ความเปนผรู จู กั บคุ คล คอื ของพระพุทธเจา เปนหลานของพระ
รูความแตกตางแหงบุคคล วาโดย อัญญาโกณฑัญญะ ไดบรรพชาเม่ือพระ
อัธยาศัย ความสามารถ และคุณธรรม เถระผเู ปนลงุ เดนิ ทางมายงั เมอื งกบลิ พสั ดุ
เปนตน เปนอยางไร ควรคบควรใชควร บวชแลวไมนานก็บรรลุอรหัตตผล เปน
สอนอยางไร (ขอ ๗ ในสปั ปรุ สิ ธรรม ๗) ผูปฏบิ ัตติ นตามหลกั กถาวัตถุ ๑๐ และ
ปคุ คลิก ดู บคุ ลิก สอนศิษยของตนใหปฏิบัติเชนน้ันดวย
ปุคคลิกาวาส ทอ่ี ยทู เี่ ปนของบคุ คล, ที่ ทานไดรับยกยองเปนเอตทัคคะใน
อยทู เ่ี ปนของสวนตวั ; เทยี บ สงั ฆิกาวาส บรรดาพระธรรมกถึก หลักธรรมเรื่อง
ปจุ ฉา ถาม, คาํ ถาม
วิสุทธิ ๗ กเ็ ปนภาษิตของทาน
ปุญญาภิสังขาร อภิสังขารที่เปนบุญ, ปุณณมาณพ คือพระปณุ ณมันตานีบตุ ร
สภาพที่ปรุงแตงกรรมฝายดี ไดแก เมอ่ื กอนบวช
กุศลเจตนา (เฉพาะทเี่ ปนกามาวจรและ ปณุ ณสนุ าปรนั ตะ, ปณุ ณสนุ าปรนั ตกะ
รปู าวจร) (ขอ ๑ ในอภิสงั ขาร ๓) พระมหาสาวกองคหน่ึง ในอสีติมหา
ปุณณกมาณพ ศิษยคนหน่ึงในจํานวน สาวก ชอ่ื เดมิ วา ปณุ ณะ เกดิ ในแควน
๑๖ คนของพราหมณพาวรี ทไ่ี ปทลู ถาม สุนาปรันตะ ทเี่ มอื งทาชอื่ สปุ ปารกะ ซึ่ง
ปญหากะพระศาสดา ทป่ี าสาณเจดีย อยูหางจากเมืองสาวัตถี ๑๒๐ โยชน
๒๖๗
ปุณณสนุ าปรันตะ ๒๖๘ ปณุ ณสนุ าปรนั ตะ
เมื่อเติบโตขึ้น ไดประกอบการคาขาย ตรัสถามทานวาจะไปอยูในถ่ินใด ทาน
รวมกบั นองชาย ผลดั กันนาํ กองเกวยี น ทูลตอบวาจะไปอยูในแควนสุนาปรันตะ
๕๐๐ เลม เท่ียวคาขายตามหัวเมือง ตรัสถามวาชาวสุนาปรันตะเปนคนดุราย
ตางๆ คราวหนึง่ นองชายอยเู ฝาบาน ถาเขาดาวาทานจะวางใจตอคนเหลาน้ัน
ปุณณะนํากองเกวียนออกคาขายผาน อยางไร ทูลตอบวา จะคิดวายังดีนัก
เมอื งตางๆ มาจนถงึ กรงุ สาวัตถี พกั กอง หนาท่เี ขาไมตบตี ตรัสถามวา ถาเขาตบ
เกวียนอยูใกลพระเชตวัน รับประทาน ตีจะวางใจอยางไร ทลู ตอบวา จะคดิ วา
อาหารเชาแลวก็น่ังพักผอนกันตาม ยังดีนักหนาท่ีเขาไมขวางปาดวยกอนดิน
สบาย ขณะน้นั เอง ปุณณะมองเหน็ ชาว ตรสั ถามวา ถาเขาขวางปาดวยกอนดิน
พระนครสาวัตถแี ตงตัวสะอาดเรียบรอย จะวางใจอยางไร ทลู ตอบวา จะคิดวายัง
พากันเดินไปยังพระเชตวันเพ่ือฟงธรรม ดนี กั หนาทเ่ี ขาไมทบุ ตีดวยทอนไม ตรัส
ไตถามทราบความก็ดีใจ จึงพาบริวาร ถามวา ถาเขาทบุ ตดี วยทอนไมจะวางใจ
เดินตามเขาเขาไปสูพระวิหาร ยืนอยู อยางไร ทูลตอบวา จะคิดวายังดีนัก
ทายสุดที่ประชุม ไดฟงพระธรรม- หนาท่ีเขาไมฟนแทงดวยศัสตรา ตรัส
เทศนาของพระพุทธเจาแลวเลื่อมใส ถามวา ถาเขาฟนแทงดวยศสั ตราจะวาง
อยากจะบวช วนั รงุ ขน้ึ ถวายมหาทานแด ใจอยางไร ทูลตอบวา จะคิดวายงั ดนี กั
พระสงฆมีพระพุทธเจาเปนประมุขแลว หนาที่เขาไมเอาศัสตราอันคมฆาเสีย
มอบหมายธุระแกเจาหนาที่คุมของใหนาํ ตรัสถามวา ถาเขาเอาศัสตราอันคมปลดิ
สมบัติไปมอบใหแกนองชาย แลวออก ชพี เสียจะวางใจอยางไร ทลู ตอบวา จะ
บวชในสํานักพระศาสดา ต้ังใจทํา คดิ วา มสี าวกบางทานเบือ่ หนายรางกาย
กรรมฐาน แตก็ไมสําเร็จ คิดจะไป และชีวิตตองเที่ยวหาศัสตรามาสังหาร
บําเพ็ญภาวนาที่ถิ่นเดิมของทานเอง จงึ ตนเอง แตเราไมตองเทยี่ วหาเลย กไ็ ด
เขาไปเฝาพระพทุ ธเจา กราบทูลขอพระ ศัสตราแลว พระผูมีพระภาคประทาน
โอวาท ดังปรากฏเนื้อความในปุณโณ- สาธุการ และตรัสวาทานมีทมะและ
วาทสูตร พระผูมีพระภาคเจาประทาน อุปสมะอยางน้ี สามารถไปอยูในแควน
พระโอวาทแสดงวิธปี ฏิบตั ิตอรปู เสยี ง สุนาปรันตะได พระโอวาทและแนวคดิ
กลิ่น รส โผฏฐพั พะ และธรรมารมณ ของพระปุณณะน้ีเปนคติอันมีคาย่ิง
โดยอาการที่จะมิใหทุกขเกิดข้ึน แลว สําหรับพระภิกษุผูจะจาริกไปประกาศ
๒๖๘
ปณุ ณสนุ าปรันตะ ๒๖๙ ปณุ ณสนุ าปรันตะ
พระศาสนาในถน่ิ ไกล ถวายพระพุทธเจา ศาลานั้นเรียกวา
พระปณุ ณะกลบั สแู ควนสนุ าปรนั ตะ จนั ทนศาลา เมอื่ ศาลาเสรจ็ แลว พระ
ปุณณะไดไปทูลอาราธนาพระพุทธเจา
แลว ไดยายหาที่เหมาะสําหรับการทํา เสด็จมายังแควนสุนาปรันตะพรอมดวย
กรรมฐานหลายแหง จนในทส่ี ดุ แหงที่ ๔ พระสาวกจาํ นวนมาก ระหวางทางพระผู
ไดเขาจาํ พรรษาแรกทวี่ ัดมกฬุ การาม ใน มีพระภาคทรงแวะหยุดประทับโปรด
พรรษานั้น นองชายของทานกับพอคา สัจจพันธดาบส ท่ีภูเขาสัจจพันธกอน
รวม ๕๐๐ คน เอาสนิ คาลงเรือจะไปยัง แลวนาํ พระสจั จพนั ธ ซงึ่ บรรลอุ รหตั ตผล
ทะเลอ่ืน ในวันลงเรือ นองชายมาลา แลวมายังสุนาปรันตะดวย ทรงแสดง
และขอความคมุ ครองจากทาน ระหวาง ธรรมโปรดชาวสนุ าปรนั ตะ และประทับ
ทางเรือไปถึงเกาะแหงหน่ึง พากันแวะ ที่จนั ทนศาลา ในมกฬุ การาม ๒–๓ วนั
บนเกาะพบปาจนั ทนแดงอนั มคี าสงู จึง เสด็จเท่ียวบิณฑบาตในหมูบาน แลว
ลมเลิกความคิดท่ีจะเดินทางตอ ชวย ทรงเดินทางกลับ ระหวางทางเสด็จถึง
กันตัดไมจันทนบรรทุกเรือจนเต็มแลว ฝงแมน้ํานัมมทา ไดแสดงธรรมโปรด
ออกเดินทางกลับถิ่นเดิม แตพอออก นัมมทานาคราช นาคราชขอของทีร่ ะลกึ
เรอื มาไดไมนาน พวกอมนษุ ยทส่ี ิงในปา ไวบูชา จึงประทับรอยพระบาทไวท่ีริม
จันทนซงึ่ โกรธแคน ไดทําใหเกดิ ลมพายุ ฝงแมน้ํานัมมทานนั้ จากนน้ั เสด็จตอไป
อยางแรงและหลอกหลอนตางๆ นอง ถึงภเู ขาสัจจพนั ธ ตรสั ส่ังพระสจั จพนั ธ
ชายของพระปุณณะระลึกถึงพระพี่ชาย ใหอยูสั่งสอนประชาชน ณ ที่น้ัน พระ
พระปุณณะทราบ จึงเหาะมายืนอยูท่ี สัจจพนั ธทลู ขอส่งิ ท่ีระลกึ ไวบูชา จงึ ทรง
หนาเรือ พวกอมนษุ ยกพ็ ากันหนไี ป ลม ประทับรอยพระบาทไวที่ภูเขาน้ันดวย
พายกุ ส็ งบ อันนับวาเปนประวัติการเกิดข้ึนของรอย
พระพทุ ธบาท
พวกพอคาทง้ั ๕๐๐ คน กลับถึง
ถิ่นเดิมโดยสวัสดีแลว ไดพรอมท้ัง เหตุการณท่ีเลาน้ีเกิดข้ึนในพรรษา
ภรรยาพากันประกาศนับถือพระปุณณะ แรกท่ีพระปุณณะกลับมาอยูในแควน
และถึงพระรัตนตรัยเปนสรณะ แลว สุนาปรันตะ และทานเองก็ไดบรรลุ
แบงไมจันทนแดงสวนหนึ่งมาถวายทาน อรหัตตผลในพรรษาแรกนั้นเชนกัน
พระปุณณะตอบวาทานไมมีกิจที่จะตอง ทานพระปุณณเถระบําเพ็ญจริยาเพ่ือ
ใชไมเหลาน้ัน และแนะใหสรางศาลา
๒๖๙
ปุณมี ๒๗๐ ปุรมิ กิ า
ประโยชนสุขแกประชาชนสืบมาจนถึง กอน(ขอ ๓ ในพลี ๕ แหงโภคอาทิยะ ๕)
ปรนิ ิพพาน ณ แควนสุนาปรันตะนั้น ปุพพัณณะ ดู บุพพัณณะ, ธญั ชาติ
กอนพุทธปรนิ ิพพาน; ดู สุปปารกะ ปุพเพกตปุญญตา ความเปนผูไดทํา
ปุณมี ดู บุณมี
ความดีไวในกอน, ทําความดีใหพรอม
ปุตตะ เปนชื่อนรกขุมหนึ่งของลัทธิ ไวกอนแลว (ขอ ๔ ในจกั ร ๔)
พราหมณ พวกพราหมณถือวาชายใดไม ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ความรูเปน
มลี ูกชาย ชายน้ันตายไปตองตกนรกขมุ เครือ่ งระลึกไดถึงปพุ เพนิวาส คอื ขนั ธที่
“ปุตตะ” ถามีลูกชาย ลูกชายนัน้ ชวย เคยอาศยั อยใู นกอน, ระลกึ ชาติได (ขอ
ปองกนั ไมใหตกนรกขมุ น้นั ได ศัพทวา ๑ ในญาณ ๓ หรอื วชิ ชา ๓, ขอ ๔ ใน
บุตร จึงใชเปนคําเรียกลูกชายสืบมา อภญิ ญา ๖, ขอ ๖ ในวิชชา ๘, ขอ ๘ ใน
แปลวา “ลูกผูปองกันพอจากขุมนรก ทศพลญาณ), ใชวา บพุ เพนวิ าสานสุ ติ-
ปุตตะ” ญาณ กม็ ,ี เขยี นเตม็ อยางรปู เดมิ ในภาษา
ปุถชุ น คนทห่ี นาแนนไปดวยกเิ ลส, คนที่ บาลเี ปน ปพุ เพนวิ าสานุสสตญิ าณ
ยงั มกี ิเลสมาก หมายถงึ คนธรรมดาท่ัวๆ ปุรณมี วนั เพญ็ , วนั พระจันทรเต็มดวง,
ไป ซึ่งยังไมเปนอริยบุคคลหรือพระ วนั ขนึ้ ๑๕ ค่ํา
อรยิ ะ; บถุ ชุ น ก็เขยี น ปุรัตถิมทิส “ทิศเบื้องหนา” หมายถึง
ปนุ ัพพสุกะ ชื่อภิกษรุ ูปหนึ่งอยูในภิกษุ มารดาบิดา; ดู ทิศหก
เหลวไหล ๖ รปู ทเี่ รยี กวาพระฉพั พคั คยี ปรุ าณจีวร จีวรเกา
ปุราณชฎลิ “ชฎิลเกา” หมายถึง พระ
คูกับพระอสั สชิ
ปุปผวิกัติ ดอกไมท่ีแตงเปนชนิดตางๆ เถระสามพี่นองพรอมดวยบริวาร คือ
เชน รอยตรึง รอยคมุ รอยเสยี บ รอย อุรเุ วลกสั สป นทีกัสสป คยากัสสป ซึง่
ผกู รอยวง รอยกรอง เปนตน เคยเปนชฎิลมากอน; ดู ชฎิลกสั สปะ
ปพุ พเปตพลี การทาํ บญุ อทุ ศิ ใหแกผตู าย, ปุริมกาล เร่อื งราวในพุทธประวัตทิ ่ีมขี ้นึ
การจดั สรรสละรายไดหรอื ทรพั ยสวนหนงึ่ ในกาลกอนแตบาํ เพญ็ พทุ ธกิจ; ดู พทุ ธ-
เปนคาใชจายสาํ หรบั บชู าคณุ หรอื แสดงนาํ้ ประวตั ิ
ใจตอญาตทิ ลี่ วงลบั ไปกอนดวยการทาํ บญุ ปรุ ิมพรรษา ดู ปุริมิกา
อทุ ศิ ให, การใชรายไดหรอื ทรพั ยสวนหนง่ึ ปรุ มิ กิ า พรรษาตน เรม่ิ แตวนั แรมคาํ่ หนงึ่
เพื่อบาํ เพ็ญบุญอุทิศแกญาติที่ลวงลับไป เดอื นแปด ในปทไ่ี มมอี ธกิ มาสเปนตนไป
๒๗๐
ปุริสภาวะ ๒๗๑ โปราณัฏฐกถา
เปนเวลา ๓ เดอื นคอื ถึงขน้ึ ๑๕ คํา่ ปจฉาสมณะ พระตามหลัง
เดือน ๑๑; เทียบ ปจฉิมกิ า, ปจฉมิ พรรษา ปุโรหิต พราหมณผูเปนที่ปรึกษาของ
ปุรสิ ภาวะ ความเปนบุรุษ หมายถงึ ภาวะ พระราชา
อันใหปรากฏมีลักษณะอาการตางๆ ท่ี ปุสสมาส เดือน ๒, เดอื นย่ี
แสดงถึงความเปนเพศชาย; คกู บั อิตถี- ปูชนียบุคคล บุคคลท่ีควรบชู า
ภาวะ; ดู อปุ าทายรปู ปชู นยี วัตถุ วตั ถุทคี่ วรบูชา
ปุริสเมธ ความฉลาดในการบํารุงขา ปูชนยี สถาน สถานท่คี วรบูชา
ราชการ รูจักสงเสริมคนดีมีความ ปูรณมี ดู บณุ มี
สามารถ เปนสงั คหวตั ถปุ ระการหนง่ึ ของ เปตตวิ ิสยั ดู ปตตวิ สิ ยั ,เปรต
ผูปกครองบานเมือง (ขอ ๒ ในราช- เปตวัตถุ เรื่องเปรตเลากรรมช่ัวในอดีต
สงั คหวัตถุ ๔) ของตน เปนคาถาลวน รวม ๕๑ เรอ่ื ง
ปรุ สิ สัพพนาม คําทางไวยากรณ หมาย จดั เปนคัมภีรที่ ๗ แหงขทุ ทกนกิ าย ใน
ถึงคําแทนช่ือเพ่ือกันความซํ้าซาก ใน พระสุตตนั ตปฎก; ดู ไตรปฎก (ในเลม
ภาษาบาลหี มายถงึ ต, ตมุ หฺ , อมหฺ , ศัพท ๒๖)
ในภาษาไทย เชน ฉัน, ผม, ทาน, เธอ, เปรต 1. ผลู ะโลกน้ไี ปแลว, คนทีต่ ายไป
เขา, มัน เปนตน
แลว 2. สตั วจําพวกหนึ่งซ่งึ เกดิ อยใู น
ปเุ รจารกิ “อนั ดาํ เนนิ ไปกอน”, เปนเครอื่ ง อบายชน้ั ทเ่ี รยี กวาปตตวิ สิ ยั หรอื เปตต-ิ
นาํ หนา, เปนตวั นาํ , เปนเครอื่ งชกั พาให วสิ ยั (แดนเปรต) ไดรบั ความทุกขทรมาน
มงุ ใหแลนไป เชน ในคาํ วา “ทาํ เมตตาให เพราะอดอยาก ไมมจี ะกนิ แมเมอื่ มี กก็ นิ
เปนปุเรจาริก แลวสวดพระปริตร”, ไมได หรอื กนิ ไดโดยยาก; ดู อบาย, ทคุ ติ
“ความเพยี รอนั มศี รทั ธาเปนปเุ รจารกิ ” เปสละ ภกิ ษผุ มู ีศลี เปนทรี่ กั , ภกิ ษผุ มู ี
ปเุ รภัต กอนภัต, กอนอาหาร หมายถงึ ความประพฤติดีนานยิ มนับถอื
เวลากอนฉันของภิกษุรูปใดรูปหน่ึงก็ได เปสญุ ญวาท ถอยคาํ สอเสยี ด; ดู ปสณุ า-
แตเมอ่ื พูดอยางกวาง หมายถึง กอน วาจา
หมดเวลาฉนั คอื เวลาเชาจนถึงเท่ยี ง โปกขรพรรษ ดู โบกขรพรรษ
ซึ่งเปนระยะเวลาท่ีภิกษุฉันอาหารได; โปตลิ นครหลวงของแควนอัสสกะ อยู
เทียบ ปจฉาภัต
ลมุ นาํ้ โคธาวรี ทศิ เหนอื แหงแควนอวนั ตี
ปเุ รสมณะ พระนาํ หนา เปนศพั ทคกู บั โปราณฏั ฐกถา อรรถกถาเกาแก, คมั ภรี
๒๗๑
โปราณัฏฐกถา ๒๗๒ โปราณฏั ฐกถา
หรือบันทึกคําอธิบายความในพระไตร- พระเถระอนื่ อกี ประมาณ ๔ รปู มพี ระ
ปฎก ทใี่ ชในการศกึ ษาและรกั ษาตอกนั ธรรมปาละ เปนตน จดั ทาํ ขน้ึ ดวยวธิ กี าร
มาในลงั กาทวปี เปนภาษาสงิ หฬ อนั ถอื คลายคลงึ กนั จนจบครบตามคมั ภรี ของ
วาสืบแตคร้ังพระมหินทเถระพรอมดวย พระไตรปฎก ในชวงเวลาไมหางจากพระ
คณะพระสงฆเดนิ ทางมาประดษิ ฐานพระ พทุ ธโฆสาจารยมากนกั
พุทธศาสนาในลังกาทวีป ซ่ึงไดนําพระ
ไตรปฎกและอรรถกถามาตั้งไวเปนหลัก เม่ืออรรถกถาที่เปนภาษาบาลีเกิดมี
แตอรรถกถาเดิมท่ีนํามาน้ัน เปนภาษา ขน้ึ ใหมอกี กช็ วยเปนหลกั ในการศกึ ษา
บาลี จงึ สบื ตอกนั มาเปนภาษาสงิ หล เพอ่ื พระไตรปฎกสบื ตอมา ไมเฉพาะในลงั กา
ใหชาวเกาะลงั กาสามารถใชเปนสอื่ ในการ ทวปี เทานนั้ แตขยายออกไปในประเทศ
ศึกษาพระไตรปฎกท่ีตองรักษาไวอยาง อน่ื ๆ กวางขวางทวั่ ไป ตอมา เมอื่ พดู ถงึ
เดมิ เปนภาษาบาลี ตอมา ในกง่ึ ศตวรรษ อรรถกถา กเ็ ขาใจกนั วาหมายถงึ อรรถ-
สดุ ทายทจี่ ะถงึ พ.ศ.๑๐๐๐ พระพทุ ธ- กถาภาษาบาลรี นุ ประมาณ พ.ศ.๑๐๐๐ ท่ี
ศาสนาในชมพทู วปี เสอ่ื มลงมากแลว แม กลาวมาน้ี บางทถี งึ กบั เรยี กกาลเวลาของ
พระไตรปฎกบาลจี ะยงั คงอยู แตอรรถ- พระศาสนาชวงน้ี วาเปนยคุ อรรถกถา ซง่ึ
กถาไดหมดสน้ิ ไป พระพทุ ธโฆสาจารย แทจริงน้ัน เน้ือตัวของอรรถกถาก็เปน
ไดรบั มอบหมายจากพระเรวตเถระผเู ปน ของทมี่ สี บื ตอมาแตเดมิ
อาจารย ใหเดนิ ทางจากชมพทู วปี มายงั
ลงั กาทวปี เพอื่ แปลอรรถกถาจากภาษา สวนอรรถกถาเกาแกของเดิมใน
สงิ หฬเปนภาษามคธ ทจ่ี ะนาํ ไปใชศกึ ษา ภาษาสิงหล ทีพ่ ระพุทธโฆสาจารยและ
ในชมพทู วปี สบื ไปไดอกี พระพทุ ธโฆสา- พระอรรถกถาจารยอ่ืนในเวลาใกลเคียง
จารย เมอ่ื ผานการทดสอบความรคู วาม กัน ไดใชเปนหลักและเปนแนวในการ
สามารถและไดรบั อนุญาตจากสงั ฆะแหง เรียบเรียงอรรถกถาภาษาบาลีขึ้นใหม
มหาวหิ ารใหทาํ งานทป่ี ระสงคไดแลว ก็ ก็จึงหมายรูกันโดยใชคําเรียกวาเปน
ไดเรยี บเรียงอรรถกถาจากของเดมิ ทเ่ี ปน “โปราณฏั ฐกถา” (อรรถกถาโบราณ,
ภาษาสงิ หฬ ขน้ึ มาเปนภาษาบาลี จนเกอื บ อรรถกถาของเกา) ซง่ึ มชี อื่ ที่อางองิ หรือ
ครบบรบิ รู ณ ขาดแตบางสวนของขทุ ทก- กลาวถึงในอรรถกถาภาษาบาลีบอยคร้ัง
นกิ าย แหงพระสตุ ตนั ตปฎก ซงึ่ กไ็ ดมี โดยเฉพาะ มหาอัฏฐกถา มหาปจจรี
กรุ นุ ที สงั เขปฏฐกถา อนั ธกฏั ฐกถา
โปราณฏั ฐกถาสาํ คญั ทสี่ ดุ คอื มหา-
๒๗๒
โปสาลมาณพ ๒๗๓ โปสาลมาณพ
อัฏฐกถา ซ่ึงเปนอรรถกถาท่ีอธิบาย ของสงั ฆะดวย
ตลอดพระไตรปฎกทง้ั หมด และเกาแก พงึ ทราบดงั ทกี่ ลาวแลววา เวลาน้ี เมอื่
ท่ีสุด ถือวาเปนอรรถกถาเดิมที่พระ พดู ถึงอรรถกถา เราหมายถงึ อรรถกถา
มหินทเถระนํามาจากชมพูทวีป และ ภาษาบาลีท่ีพระพุทธโฆสาจารยเปนตน
ทานไดแปลเปนภาษาสิงหลดวยตนเอง ไดเรยี บเรยี งไว และเราใชกนั อยู แตพงึ
เพ่ือใหชาวลังกาทวีปมีเครื่องมือที่จะ ทราบตอไปอีกข้ันหน่ึงวา ในอรรถกถา
ศกึ ษาพระไตรปฎกไดโดยสะดวก เมื่อ ภาษาบาลนี นั้ เอง เมอ่ื มกี ารกลาวอางถงึ
พระพุทธโฆสาจารยเรียบเรียงอรรถกถา อรรถกถา เชนบอกวา “ในอรรถกถา
ภาษาบาลีข้ึนใหมนั้น ก็อาศัยมหา- ทานกลาววา ‘…’ ดงั น”้ี คาํ วา “อรรถกถา”
อัฏฐกถานเ่ี องเปนหลกั ดังท่ที านกลาว ท่ีคัมภีรอรรถกถาภาษาบาลีกลาวถึงน้ัน
ถึงการจัดทําอรรถกถาแหงพระวินัย มักหมายถึงโปราณัฏฐกถาภาษาสิงหล
ปฎก (คอื สมนั ตปาสาทิกา) วาทานนาํ เฉพาะอยางยง่ิ มหาอฏั ฐกถานเ้ี อง; ดู
เอามหาอฏั ฐกถานนั้ มาเปนสรรี ะ คอื อรรถกถา
เปนเนอ้ื หาหลัก หรอื เปนเนื้อเปนตวั ของ โปสาลมาณพ ศิษยคนหนึ่งในจํานวน
หนังสอื ใหมทจี่ ะทาํ พรอมทัง้ ปรึกษา ๑๖ คน ของพราหมณพาวรี ทไี่ ปทลู ถาม
โปราณัฏฐกถาและมติหลักท่ีถือกันมา ปญหากะพระศาสดา ท่ปี าสาณเจดีย
๒๗๓