The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นาวิกศาสตร์, 2022-11-23 10:14:15

บทความดีเด่น พลเรือเอก กวี สิงหะ

นายจอร์จ เอช ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และพลเรือเอก ประเจตน์ ศิริเดช พร้อมด้วยข้าราชการกองทัพเรือท้ังสัญญาบัตร และต่ากว่าสัญญาบัตร ถ่ายภาพร่วมกันเพื่อเป็นท่ีระลึก
นอกจากงานสาคัญดังกล่าวแล้ว นาวาเอกหญิง เดือนฉาย ฯ ยังได้รับโอกาสสาคัญในการปฏิบัติหน้าที่ อีกคร้ังหน่ึง เมื่อครั้งนายจอร์จ เอช ดับเบิลยู บุช ประธานาธบิ ดสี หรฐั อเมรกิ า เดนิ ทางมาเยอื นประเทศไทย ผบู้ ญั ชาการทหารเรอื ในขณะนนั้ คอื พลเรอื เอกประเจตน์ ศิริเดช ได้เรียนเชิญประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามาเยี่ยม กองทพั เรอื เพอื่ รบั มอบเครอื่ งหมายความสามารถนกั บนิ กองทัพเรือ ซ่ึง นาวาเอกหญิง เดือนฉาย ฯ ได้ปฏิบัติ หน้าที่ด้านการประชาสัมพันธ์ เมื่อพิธีมอบเคร่ืองหมาย เสรจ็ สนิ้ เปน็ ทเ่ี รยี บรอ้ ย ประธานาธบิ ดไี ดเ้ รยี กใหน้ ายทหาร ทั้งช้ันสัญญาบัตร และต่ากว่าชั้นสัญญาบัตรทุกนาย ที่เข้าร่วมพิธีเข้าไปถ่ายรูปร่วมกัน ทุกคนในที่นั้นรู้สึก ประทับใจเป็นอย่างยิ่งในเหตุการณ์ครั้งนั้น
งานสา คญั อกี หลายงานทนี่ าวาเอกหญงิ เดอื นฉาย ฯ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการในการจัดงาน รวมทั้ง โครงการสาคัญของประเทศ และกองทัพเรือ ไม่ว่าจะ เป็นกรรมการแข่งขันเรือใบซีเกมส์ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ซง่ึประเทศไทยเปน็เจา้ภาพในการจดัการแขง่ขนัมหกรรม กีฬาระหว่างกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก
นาวิกศาสตร์ 34 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕
เฉียงใต้ โดยในการแข่งขันเรือใบคร้ังน้ี จะมีพิธีกร ทงั้ ภาคภาษาไทย และภาคภาษาองั กฤษ ซง่ึ ทางภาคภาษา องั กฤษ ผบู้ งั คบั บญั ชาไดม้ อบให้ นาวาเอกหญงิ เดอื นฉาย ฯ เปน็ ผคู้ ดั เลอื ก จงึ ไดค้ ดั เลอื กจากอาสาสมคั รทเี่ ปน็ นกั ศกึ ษา จากมหาวทิ ยาลยั ซงึ่ มที งั้ ชายและหญงิ เพยี ง ๑ คน และจาก นายทหารเรอื ของไทยอกี ๑ นาย ซง่ึ ปจั จบุ นั นายทหารเรอื ท่านน้ันคือ พลเรือเอก ธานินทร์ ลิขิตวงศ์ นอกจากนี้ นาวาเอกหญิง เดือนฉาย ฯ ยังได้เป็นกรรมการจัดสร้าง พระอนสุ าวรยี ์ พลเรอื เอก พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ อาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักด์ิ ณ พื้นท่ีสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และสวนสองทะเล จังหวัด สงขลา
สา หรบั งานสา คญั อนื่ ๆทนี่ าวาเอกหญงิ เดอื นฉายฯ ได้มีโอกาสร่วมปฏิบัติงานได้แก่ งานโครงการก่อสร้าง พระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาเขาชีจรรย์ เพ่ือน้อมเกล้าฯ ถวายให้เป็นพระพุทธรูปแกะสลักหินประจารัชกาลที่ ๙ เนอื่ งในพระราชพธิ กี าญจนาภเิ ษกฉลองสริ ริ าชสมบตั คิ รบ ๕๐ปีเม่ือปีพ.ศ.๒๕๓๘โดยได้รับการแต่งต้ังเป็น ผู้ช่วยเลขานุการกรรมการอานวยการ ในการเป็น


ผชู้ ว่ ยเลขานกุ ารกรรมการอา นวยการงานโครงการกอ่ สรา้ ง พระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาเขาชีจรรย์ นาวาเอกหญิง เดอื นฉาย ฯ ไดม้ โี อกาสเขา้ รว่ มประชมุ กบั พระบาทสมเดจ็ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมารในขณะน้ัน) พระบรมวงศานุวงศ์ สา นกั พระราชวงั และกระทรวงตา่ งๆโดยไดเ้รม่ิ ปฏบิ ตั งิ าน ตั้งแต่ไปดูพื้นที่ภูเขา และเริ่มดาเนินการจัดสร้าง จากภารกิจครั้งน้ี นาวาเอกหญิง เดือนฉาย ฯ ยังได้มี โอกาสได้เรียนรู้การทรงงานของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ผู้ทรงริเร่ิม โครงการก่อสร้างด้วยว่า แม้พระองค์ทรงพระประชวร แต่ก็ยังทรงประกอบพิธีด้วยพระองค์เอง
อยา่ งไรกด็ ีระหวา่ งการปฏบิ ตั ภิ ารกจิ นี้นาวาเอกหญงิ เดือนฉาย ฯ จะต้องเดินทางติดตามสามีไปปฏิบัติ ราชการ ณ ประเทศสิงคโปร์เป็นเวลา ๓ ปี เมื่อกลับมา ประเทศไทย กย็ งั ไดม้ โี อกาสไดร้ บั ตา แหนง่ เปน็ นายทหาร ฝ่ายเสนาธิการ ประจาสานักงานเลขานุการกองทัพเรือ จึงได้มีโอกาสเป็นนายทหารประสานงานระหว่าง กองทัพเรือกับสานักพระราชวังและหน่วยงานต่าง ๆ โดยกลับมาปฏิบัติหน้าท่ีเป็นผู้ช่วยเลขานุการ กรรมการอานวยการของโครงการฯอีกครั้งทาให้ เห็นว่า “เมื่อเวลาพร้อม คนพร้อม ทุกอย่างจะเป็นไป โดยราบร่ืน” สิ่งน้ีถือเป็นเกียรติสูงสุดของชีวิต ทหารเรือหญิงที่ได้ปฏิบัติงานถวายแด่พระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลท่ี ๙
ในมมุ มองของนาวาเอกหญงิ เดอื นฉายฯไดใ้หน้ ยิ าม ของคา วา่ “โอกาส”วา่ โอกาสไมไ่ ดเ้ ปน็ สง่ิ ทมี่ าจากฟากฟา้ หรอื โชคชะตากา หนด แตย่ งั ตอ้ งเปน็ การสรา้ งโอกาสใหก้ บั ตนเอง โดยไมต่ อ้ งรอคอยโอกาสจากผอู้ นื่ เทา่ นนั้ เพยี งแต่ บุคคลจะต้องรู้จักใช้ความรู้และความสามารถที่มีน้ัน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งก็เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ ตนเอง จากท่ีกล่าวว่า
“หลายคร้ังที่ครูได้รับโอกาสสาคัญในการปฏิบัติ ราชการเรมิ่ ตน้ จากการคน้ หาจดุ เดน่ ของตวั เองใหพ้ บกอ่ น และแสดงความรคู้ วามสามารถทมี่ อี ยา่ งดที สี่ ดุ เมอื่ ผบู้ งั คบั บญั ชาเลง็ เหน็ จดุ เดน่ ของเรา ทา่ นกจ็ ะมอบหมายภารกจิ ที่เหมาะสมเพื่อให้เราได้แสดงศักยภาพน้ันออกมา ตรงข้าม หากเราไม่รู้จักพัฒนาตนเอง ไม่รู้จักแสวงหา ประสบการณ์ใหม่ ๆ เราก็จะหยุดนิ่งอยู่เท่าน้ัน”
ดังน้ัน ในการรับราชการให้ประสบความสาเร็จ นาวาเอกหญิง เดือนฉาย ฯ เน้นย้าว่า แต่ละคนควรนา ความรู้ความสามารถเฉพาะที่ตนมีมาใช้ โดยรับฟัง ขอ้ เสนอแนะจากผบู้ งั คบั บญั ชาและแสดงจดุ เดน่ ของตนเอง ให้เป็นที่ประจักษ์เพ่ือสร้างโอกาสของตนในการกระทา สงิ่ทด่ีีและสิ่งที่ถูกต้องประสบการณ์ปฏิภาณไหวพรบิ และโอกาสจะทา ใหก้ ารปฏบิ ตั งิ านของตนกลายเปน็ จงั หวะ ชีวิตที่มีคุณค่า ทาให้ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน ผู้ใต้ บังคับบัญชา และประชาชนไว้วางใจในการดารงตนเป็น ขา้ ราชการทดี่ แี หง่ กองทพั เรอื สงิ่ นไี้ ดท้ า ใหน้ าวาเอกหญงิ เดือนฉาย เสขะนันทน์ ได้ดารงตาแหน่งสาคัญไม่ว่า จะเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจาสานักงาน เลขานุการกองทัพเรือ รองเลขานุการกองทัพเรือ และรองเจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารเรือ ซึ่งเป็นผล มาจากหลกั สามประการทยี่ ดึ ถอื ในการรบั ราชการนนั่ เอง
จากใจทหารเรือหญิง
นาวาเอกหญิง เดือนฉาย เสขะนันทน์ ได้ฝากข้อคิด เตือนใจไว้ให้กาลังพลกองทัพเรือทุกนายที่กาลังเดินทาง ในเส้นทางรับราชการปัจจุบัน คือ การดารงตนอย่างมี
นาวิกศาสตร์ 35 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕


เกียรติยศและศักดิ์ศรีด้วยการปฏิบัติราชการอย่างเต็มที่ และเต็มกาลังความสามารถ เพื่อให้สมกับท่ีกองทัพเรือ ได้มอบส่ิงดีงามให้แก่ชีวิต ความว่า
“การรับราชการท่ีกองทัพเรือทางกองทัพเรือได้ให้ สิ่งที่ดีท่ีสุดแก่ชีวิตเรา ท้ังเกียรติยศ ช่ือเสียง เงินเดือน สวัสดิการ การรักษาพยาบาลโดยโรงพยาบาลทหารเรือ ทสี่ ามารถเขา้ ไปรกั ษายามเจบ็ ปว่ ยได้ และยงั มสี ทิ ธติ า่ ง ๆ ทจี่ ะตดิ ตวั ไปตลอดชวี ติ ดงั นนั้ ไมว่ า่ ใครจะอยใู่ นตา แหนง่ อะไร ช้ันยศอะไร ก็ขอให้ทางานอย่างเต็มความสามารถ เพราะทกุ ตา แหนง่ ลว้ นมคี วามสา คญั ไมย่ งิ่ หยอ่ นไปกวา่ กนั สงิ่ นจี้ ะเปน็ การตอบแทนบญุ คณุ ของกองทพั เรอื ไดด้ ที สี่ ดุ เช่นเดียวกัน”
คากล่าวข้างต้นล้วนกล่ันกรองมาจากการสั่งสม ประสบการณ์ในการทางานและการใช้ชีวิตในฐานะ ทหารเรอืหญงิวา่“เพรําะมกีองทพัเรอืจงึมวีนันไี้ด”้ในขณะ เดียวกันก็บ่งบอกความมุ่งมาดปรารถนาอย่างแรงกล้า ของ นาวาเอกหญิง เดือนฉาย ฯ ที่มุ่งหมายจะตอบแทน บุญคุณกองทัพเรือ นับเป็นมุมมองทางความคิดอันทรง คุณค่าที่ควรนามาปฏิบัติและปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อ ตนเอง สังคมและประเทศชาติอย่างเป็นรูปธรรม
นาวาเอกหญิง เดือนฉาย เสขะนันทน์
นาวิกศาสตร์ 36 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕
บทสรุป
การเขา้ รบั ราชการทหารในกองทพั เรอื ไมว่ า่ บคุ คลนนั้ จะมีเพศใด มีความรู้ ความเชี่ยวชาญท่ีแตกต่างกัน เท่าไร แต่หากบุคคลน้ันสามารถใช้ตัวตนที่หลอมรวม มาจากหัวใจรัก ความยึดมั่นผูกพัน และศรัทธาในองค์กร อยา่ งแนบแนน่ ยอ่ มไดช้ อื่ วา่ “ทหํารเรอื แหง่ รําชนําวไี ทย” ตลอดชีวิตการรับราชการของนาวาเอกหญิง เดือนฉาย เสขะนันทน์ ท่ีดารงหน้าที่ของนายทหารเรือหญิง และภริยาผู้ช่วยทูตทหารเรือล้วนบ่งบอกให้เห็นว่า ความเช่ือมั่นในตนเอง ความเชื่อใจในเพ่ือนร่วมงาน และไดร้ บั ความเชอื่ ถอื จากผบู้ งั คบั บญั ชา จนเกดิ เปน็ ภาพ การทา งานทกุ ภารกจิ อยา่ งมงุ่ มน่ั เสยี สละ และบง่ บอกถงึ ความจงรกั ภกั ดตี อ่ สถาบนั ของชาติ จนกลา่ วไดว้ า่ การพสิ จู น์ ตนเองจนเป็นท่ีประจักษ์ในฐานะนายทหารเรือหญิงของ นาวาเอกหญิงเดือนฉายเสขะนันทน์ไม่ได้ฉายให้เห็น แสงแห่งความดี และเกียรติศักด์ิศรีของทหารเรือหญิง เทา่ นน้ั หากแตแ่ สดงใหเ้ หน็ วา่ ทหารเรอื หญงิ คอื ผมู้ สี ว่ น สาคัญท่ีทาให้กิจการของกองทัพเรือบรรลุผลสาเร็จ สร้างภาพลักษณ์อันดีงาม และช่วยดารงองค์กรให้อยู่ อย่างมั่นคงได้ ควรค่าที่จะนาบทแบบดังกล่าวมายึดถือ เป็นแบบอย่าง เพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ตนเอง และสงั คม สมกบั ทเี่ ปน็ ทหารเรอื ผอู้ ยเู่ คยี งคปู่ ระเทศชาติ และประชาชนชาวไทยอย่างยั่งยืนสืบไป...
“หากตะวันคู่จันทรา ย่อมควรค่าแก่การจารึก เรอื่ งราวตลอดเสน้ ทางการรบั ราชการของนาวาเอกหญงิ เดือนฉาย เสขะนันทน์ ไว้ว่า เป็นภาพจาที่แจ่มชัด และตอกย้าชัดเจนว่า ทหารเรือหญิงสามารถปฏิบัติ ภารกิจเคียงคู่ทหารเรือชายได้อย่างสมบูรณ์”


“ยามาโต้” คือนามของเรือประจัญบานญี่ปุ่น ซึ่งถูกจารึกไว้ว่าเป็นเรือประจัญบานที่มีขนาดใหญ่ ที่สุดในโลก ในยุคสมัยของการรบทางทะเลที่เชื่อมั่นใน ยุทธศาสตร์ที่ว่าอานาจกาลังรบ และชัยชนะขึ้นอยู่กับ ขนาดของเรือ อีกทั้ง “ยามาโต้” ยังเป็นเรือที่มี ความหมายต่อจักรพรรดินาวีและชนชาติอาทิตย์อุทัย ชนิดที่ไม่มีเรือรบลาใดเทียบได้
ในช่วงปลายสงคราม ยามาโต้เดินทางไปสกัดกั้น กองทัพเรือสหรัฐอเมริกาท่ีกาลังจะเข้าโจมตีโอกินาวา เพียงลาพัง ด้วยเหตุนี้เอง “จุดจบ” และวาระสุดท้าย ของเรือลานี้ จึงนามาซึ่งคาถามจากอนุชนรุ่นหลังว่า
“เหตุใดบรรพบุรุษของพวกเขาซ่ึงเป็นทหารเรือจึง ได้รับคาส่ังให้นาเรือออกไป “ฆ่าตัวตาย” ในภารกิจ สุดท้าย ด้วยการเผชิญหน้ากับกองเรือข้าศึกซึ่งมีจานวน มากกว่าอย่างเทียบไม่ได้”
ข้อมูลอันน่าสยดสยอง บันทึกไว้ว่าจากจานวน ลูกเรือกว่า ๓,๐๐๐ คน ภายใต้การโจมตีกว่า ๒๐ ช่ัวโมง โดยฝูงบินอเมริกัน นายทหารและลูกเรือของยามาโต้ รอดชีวิต และได้มีโอกาสเห็นสงครามสงบเพียง ๓๐๐ กว่าคน ขณะที่เพ่ือนร่วมนาวีของพวกเขา กว่า ๒,๗๐๐ คน ต้องดับชีพไปท่ามกลางเพลิงนรก อันเน่ืองจากการระเบิดมหาวินาศก่อนท่ีเรือจะพลิกคว่า และจมลงสู่ก้นทะเล
๖๐ กว่าปีต่อมา เมื่อวิทยาการเจริญก้าวหน้า มากยงิ่ ขนึ้ และการสา รวจสง่ิ ใตน้ า้ มใิ ชเ่ รอ่ื งลา บากอกี ตอ่ ไป “ความลับ” ของยามาโต้จึงถูกค้นหาอย่างจริงจัง
ภาพด้านหน้าเรือยามาโต้
หลังถูกจมในสงคราม ยามาโต้เป็นเสมือน “บิสมาร์ค” เรือประจัญบานยักษ์ของเยอรมนีซึ่งมีจุดจบ ในลกั ษณะเดยี วกนั กลา่ วคอื มนั ไดก้ ลายเปน็ “เปา้ หมาย” ของการสา รวจ และคน้ หาเพอื่ ใหไ้ ดข้ อ้ สรปุ แนช่ ดั เกยี่ วกบั วาระสุดท้ายของเรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแง่ที่ว่า เกิดอะไรข้ึนกับเรือลานี้และเหตุใดผู้บังคับบัญชาของ พวกเขาจงึ ออกคา สง่ั ทไ่ี มต่ า่ งอะไรกบั การฆา่ ตวั ตายใหแ้ ก่ ลูกประดู่แห่งจักรพรรดินาวีกว่า ๓,๐๐๐ คน
นอกจากนี้ยังมีอีกประเด็นหน่ึงของการค้นหาท่ี น่าสนใจก็คือ ข้อสงสัยท่ีว่า
ยามาโต้เป็น “เครื่องจักรสงคราม” ทางทะเลท่ี ก้าวหน้าที่สุดในยุคสมัยของมันจริงหรือไม่
บางทีเศษซากเรือขนาดมหึมาท่ีจมอยู่ใต้มหาสมุทร อาจจะทิ้งหลักฐานหลายอย่างที่สามารถไข “ปริศนา”
นาวิกศาสตร์ 37 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕


อันน่าสงสัยที่สุดปริศนาหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่สอง ได้อย่างที่หลายคนปรารถนา
หากจะเปรียบกับทหารเรือคนหน่ึง ยามาโต้คือ ลูกประดู่ท่ีมีบ้านเกิดอยู่ ณ เมืองคูเระ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “เมืองทหารเรือ” ของญ่ีปุ่นจากอดีตมาจนกระท่ังถึง ปัจจุบัน
ทกุ วนั น้ี “คเู ระ” มอี ตู่ อ่ เรอื ขนาดใหญห่ ลายแหง่ และ เปน็ ทยี่อมรับถงึขีดความสามารถในการผลติเรอืพาณชิย์ แห่งหน่ึงของโลก แต่เมื่อประมาณ ๖๐ กว่าปีที่แล้ว อเู่ รอื ใน “คเู ระ” ไดก้ ลายเปน็ ทกี่ า เนดิ ของเรอื ประจญั บาน ท่ีน่าเกรงขามที่สุดของจักรพรรดินาวี
นักประวัติศาสตร์สงครามของญี่ปุ่นหลายคนเคย กล่าวไว้เหมือน ๆ กันว่า
“ยามาโต้คอื เรอื ประจญั บานทมี่ อี นั ตรายมากทสี่ ดุ เทา่ ทเี่ คยมกี ารสรา้ งกนั มา” คา กลา่ วนไี้ มผ่ ดิ ไปจากความจรงิ เพราะยามาโต้มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของเรือ ประจัญบานขนาดใหญ่ที่สุดท่ีสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ มีอยู่ในเวลาน้ัน อีกทั้งป้อมปืนซึ่งเป็นเข้ียวเล็บหลักของ ยามาโตก้ เ็ ปน็ ปนื ทมี่ ขี นาดใหญท่ ส่ี ดุ เทา่ ทเ่ี คยมกี ารตดิ ตงั้ บนเรือประจัญบานทั่วโลก
ลูกเรือยามาโต้หน้าป้อมปืนยักษ์
ด้วยความเป็นไปดังกล่าว ทหารเรือญี่ปุ่นทุกคน จงึ เชอ่ื วา่ ยามาโตค้ อื เรอื ประจญั บานที่ “ไมม่ วี นั จม” และ จะไม่มีเรือข้าศึกลาใดต่อกรได้
ความเชื่อดังกล่าวไม่แตกต่างอะไรกับทหารเรือ เยอรมนีที่เชื่อว่า “บิสมาร์ค” คือเรือประจัญบานท่ีทรง อานุภาพมากที่สุดและเป็นเรือที่ไม่มีวันจมเช่นกัน
นาวิกศาสตร์ 38 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕
ดว้ ยเหตนุ ี้ เรอื ประจญั บานยกั ษซ์ งึ่ สรา้ งในฐานทพั เรอื คเู ระจงึ ไดร้ บั การตงั้ ชอื่ วา่ “ยามาโต”้ ซงึ่ มคี วามหมายถงึ ดินแดนของจักรพรรดิญี่ปุ่นและนั่นจึงทาให้ยามาโต้ เป็นเรือประจัญบานเพียงลาเดียวที่ได้รับการติดตรา สัญลักษณ์ประจาราชวงศ์ รูป “ดอกเบญจมาศ” ไว้ที่ หัวเรือด้านหน้า และด้วยขนาดอันใหญ่โตของมัน ทาให้ ยามาโต้กลายเป็นเรือผิวน้าที่สามารถมองเห็นได้ด้วย ตาเปลา่ ตั้งแต่ระยะไกล
อุเมโอะ ชิมูระ นักประวัติศาสตร์สงครามชาวญี่ปุ่น คนหน่ึงกล่าวว่า
“สมยั กอ่ นพวกทหารเรอื เชอื่ กนั วา่ เรอื รบของพวกเขา เป็นเสมือนตัวแทนของพระเจ้าจักรพรรดิ ดังน้ัน เรือรบเกือบทุกลาจึงมีตราประจาราชวงศ์ของพระองค์ ซึ่งเป็นรูปดอกเบญจมาศติดอยู่บนเรือด้วย ไม่ว่าจะเป็น เรอื ประจญั บานเรอื บรรทกุ เครอ่ื งบนิ หรอื เรอื ลาดตระเวน หนัก
สาหรับเรือยามาโต้ซึ่งได้ช่ือว่าเป็นเรือประจัญบาน ขนาดยักษ์ ตราสัญลักษณ์ประจาพระองค์ท่ีติดอยู่บน เรือ จึงเป็นตราที่มีขนาดใหญ่ที่สุด วัดเส้นผ่าศูนย์กลาง ได้ถึง ๒ เมตร
๖๐ ปีต่อมา เมื่อมีการค้นหาซากเรือยามาโต้ ตราสัญลักษณ์รูปดอกเบญจมาศดังกล่าว คือสิ่งเดียว ที่นักค้นหาสารวจตั้งใจว่าจะใช้มันเป็นหลักฐาน ในการพสิ จู นเ์ อกลกั ษณว์ า่ เศษซากขนาดมหมึ าทจี่ มอยใู่ ต้ ทะเลคือเรือประจัญบานลานี้
ทีมสารวจและค้นหาซากเรือยามาโต้ที่มี “พอล แม็คเลย์” นักดาน้าชาวฝรั่งเศสเป็นหัวหน้าคณะ ได้นาเรือสารวจพร้อมด้วยอุปกรณ์อันทันสมัยเดินทาง ไปยังมหาสมุทรแปซิฟิก พวกเขากาหนดตาบลที่ค้นหา ในทะเลห่างจากตอนใต้ของญ่ีปุ่นประมาณ ๒๐๐ ไมล์ ซึ่งข้อมูลในประวัติศาสตร์ระบุว่ามันเป็น “ตาแหน่ง สดุ ทา้ ย” ทเ่ี รอื ยามาโตไ้ ดร้ บั คา สงั่ ใหเ้ ดนิ ทางเขา้ สภู่ ารกจิ ฆ่าตัวตาย ท้ังนี้แม็คเลย์ได้กล่าวถึงโครงการนี้ว่า
“เรื่องราวของเรือประจัญบานท่ีช่ือยามาโต้แห่ง ราชนาวญี ป่ี นุ่ เปน็ สงิ่ ทนี่ า่ หลงใหล เพราะทกุ คนทมี่ โี อกาส


ได้ศึกษาเรื่องราววาระสุดท้ายและจุดกาเนิดของมัน ต่างก็อดไม่ได้ท่ีจะต้องร้องอุทานออกมาว่า ให้ตายเถอะ มีเร่ืองแบบนี้เกิดขึ้นจริง ๆ หรือ”
แมก้ ระทงั่ ชาวญปี่ นุ่ ในยคุ หลงั ซง่ึ ไมเ่ คยมคี วามสมั พนั ธ์ ส่วนตัวกับเรือประจัญบานยักษ์ลานี้ ก็ยังรู้สึกว่ายามาโต้ เป็นส่ิงที่น่าค้นหา ยามาโต้เป็นเรือท่ีมีความลับมากมาย นับต้ังแต่การกาเนิดของเรือจนกระทั่งวาระสุดท้าย
เพอื่ ใหก้ ารทา งานมปี ระสทิ ธภิ าพมากขนึ้ ทมี สา รวจ ได้นายานสารวจใต้น้าขนาดเล็กที่มีความก้าวหน้าที่สุด แบบหนงึ่ ของโลกเขา้ รว่ มในภารกจิ คน้ หาซากเรอื ยามาโต้
ยานดาน้าดังกล่าวสามารถลงไปสู่ใต้ทะเลได้ใน ระดบั ถงึ ๓,๐๐๐ฟตุ ทา ความเรว็ ในการดา ไดถ้ งึ ๑,๒๐๐ฟตุ ต่อชั่วโมง และหุ่นยนต์ท่ีนาไปกับยานก็สามารถเก็บกู้ วัตถุขนาดเล็ก ตลอดจนชิ้นส่วนต่าง ๆ ขึ้นจากพ้ืนทะเล ได้อย่างคล่องแคล่ว
นอกจากน้ีกล้องใต้น้าที่ติดไปกับยาน ก็เป็นกล้อง แบบใหม่ซึ่งสามารถถ่ายภาพในมุมกว้างได้มากกว่า ๑๘๐ องศา
การสา รวจคน้ หาซากเรอื ยามาโต้ แตกตา่ งกบั การคน้ หา ซากเรอื บสิ มารค์ และใชเ้ วลานอ้ ยกวา่ ทง้ั นเ้ี นอื่ งจากขอ้ มลู สุดท้ายของเรือยามาโต้ค่อนข้างชัดเจนมากกว่าข้อมูล สดุ ทา้ ยของบสิ มารค์ เพราะในตอนทคี่ ณะสา รวจซากเรอื บสิ มารค์ ออกคน้ หาเรอื ประจญั บานของเยอรมนี พวกเขา รู้เพียงตาบลที่กว้าง ๆ ซ่ึงเป็นตาแหน่งสุดท้ายท่ีเรือรบ อังกฤษบันทึกไว้ขณะทายุทธนาวีกับบิสมาร์ค
แต่ในกรณีของยามาโต้ กองทัพเรือญ่ีปุ่นใน ปัจจุบันสามารถระบุตาบลที่แน่ชัดของยามาโต้ได้ และ ตาแหน่งสุดท้ายของยามาโต้ก็ถูกนามาใช้ในฉากหนึ่ง ของภาพยนตร์ซึ่งทาสถิติรายได้ถล่มทลายในญี่ปุ่น (แต่ในบ้านเราภาพยนตร์เร่ืองน้ีลาโรงไปอย่างเงียบเชียบ หลังเข้าฉายท่ี “สกาล่า” ซึ่งถูกรื้อท้ิงไปแล้ว)
บรรยากาศในวันที่ทีมสารวจค้นพบยามาโต้ ถูกบันทึกไว้ว่า
“ในความลกึ ๑,๒๐๐ฟตุ คลนื่ โซนารท์ สี่ ะทอ้ นกลบั มาระบุว่ามีกองโลหะขนาดมหึมาสงบน่ิงอยู่บนพื้นทะเล
ยานสา รวจขนาดเลก็ ทง้ั สองลา จงึ ถกู ปลอ่ ยลงสเู่ ปา้ หมาย และภาพทเ่ี ราไดเ้ หน็ กค็ อื บนทอ้ งทะเลเตม็ ไปดว้ ยกระสนุ ปนื ใหญต่ กเรยี่ ราดกระจายอยทู่ วั่ ผนื ทราย มนั เปน็ สงิ่ แรก ท่ีบอกให้รู้ว่าเรากาลังจะเจอกับเรือรบ
อย่างไรก็ตาม น่านน้าบริเวณที่เราทาการสารวจ เคยถูกใช้เป็นยุทธนาวีอันดุเดือดระหว่างกองทัพเรือ สหรัฐอเมริกากับเรือรบญ่ีปุ่นหลายลา ดังนั้น เราจึง ต้องหาข้อพิสูจน์ให้ได้แน่ชัดว่าส่ิงที่เราพบเป็น เรือยามาโต้จริง ๆ”
ทีมสารวจรู้มาก่อนแล้วว่า ตราสัญลักษณ์รูป เบญจมาศของเรือประจัญบานยามาโต้มีขนาดใหญ่ที่สุด ในบรรดาเรือรบลาอื่น ๆ ของญ่ีปุ่น ดังนั้น เม่ือหุ่นยนต์ สารวจใต้น้าของพวกเขาพบซากโลหะท่ีมีตราสัญลักษณ์ ดอกเบญจมาศขนาดใหญ่ติดอยู่ พวกเขาจึงทาการวัด ขนาดของมัน
ทีมสารวจได้บังคับหุ่นยนต์ในการทางาน โดย ให้แขนของมันทาบไปบนตราดอกเบญจมาศท่ีพบบน ซากเรอื เมอื่ ตวั เลขทว่ี ดั ไดร้ ะบคุ วามยาว ๒ เมตร พวกเขา ก็แน่ใจว่ามันเป็นตราสัญลักษณ์บนเรือยามาโต้ อย่างแน่นอน
หัวหน้าทีมค้นหาบันทึกไว้ว่า
“เมื่อพบซากเรือยามาโต้เป็นคร้ังแรก ทุกคนจะเริ่ม คิดถึงทหารเรือของจักรพรรดินาวีที่เคยใช้ชีวิตอยู่บนเรือ ลา นี้ พรอ้ ม ๆ กบั ทคี่ า ถามตา่ ง ๆ ทตี่ ามมาวา่ เกดิ อะไรขน้ึ กับพวกเขา เหตุใดชะตากรรมของพวกเขาจึงเป็นเช่นนี้ มันเป็นความรู้สึกท่ีรุนแรงมาก”
“ซากิฮิโร นิชิฮาตะ” อดีตวิศวกรของกองทัพเรือ ญ่ีปุ่นซึ่งมีส่วนร่วมในการสร้างเรือยามาโต้ และยังคงมี ชีวิตอยู่หลังสงคราม เล่าถึงความหลังว่า
“ในตอนน้ันการต่อเรือประจัญบานท่ีมีขนาดใหญ่ ท่ีสุดและมีอานุภาพมากที่สุดในโลก กระทาอย่างเป็น ความลับ ในเขตเมืองท่าคูเระ มีการวางระบบรักษา ความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และเพื่อปิดบังสายตาไม่ให้ บคุ คลภายนอกมองเหน็ กองทพั เรอื ไดส้ งั่ ใหท้ หารจากฐานทพั คเู ระชว่ ยกนั กางอวนจบั ปลาทม่ี คี วามยาวมากกวา่ หนงึ่ ไมล์
นาวิกศาสตร์ 39 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕


ล้อมรอบอู่แห้งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น” ถึงแม้จะเป็นหน่ึงในทีมงานสร้าง แต่นิชิฮาตะก็ไม่มี
โอกาสเข้าถึงแบบแผนท่ีสมบูรณ์ของโครงสร้างยามาโต้ เขากล่าวว่า
“ในแต่ละวันเม่ือเราสร้างแบบเสร็จ เราจะต้องนา แบบในส่วนน้ัน ๆ ไปส่งคืนให้กับหัวหน้ากองออกแบบ ต่อเรือซึ่งเขาจะเป็นผู้เก็บมันไว้ในตู้เซฟ แบบทุกแผ่นจะ ถูกประทับตราลับท่ีสุดถึงแม้เราจะรู้ว่าเรากาลังสร้าง เรือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่ผมก็แทบจะไม่รู้ข้อมูล โดยรวมของมันอย่างแท้จริง”
ด้วยเหตุที่การกาเนิดของยามาโต้จึงถูกจัดอยู่ ในชนั้ ความลบั อยา่ งยง่ิ ยวด หลกั ฐานทเี่ หลอื อยใู่ นปจั จบุ นั เกี่ยวกับแบบ “ดรออิ้ง” ในการสร้างเรือยามาโต้ จึงมีอยู่ ไม่มากนักและไม่สมบูรณ์เพียงพอ แม้กระท่ังภาพวาด และภาพถ่ายของเรือยามาโต้ ก็ไม่มีใครยืนยันได้ร้อย เปอร์เซนต์ว่ามันมีข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน
“เรมอนด์ แฮคก้ิน” หนึ่งในนักประวัติศาสตร์ ทางทหารที่สืบค้นเรื่องยามาโต้กล่าวว่า ข้อมูลเบื้องต้น ทา ใหเ้ รารวู้ า่ ขนาดเรอื ยามาโตน้ า่ พศิ วง เพราะมนั มรี ะวาง ขับน้าเกือบเป็นสองเท่าของเรือประจัญบานที่ใหญ่ท่ีสุด ของฝ่ายพันธมิตร บนดาดฟ้ามีป้อมปืนขนาดใหญ่ถึง ๓ ป้อม แต่ละป้อมมีน้าหนักมากกว่าเรือพิฆาตอเมริกัน ๑ ลา
ปืนหลักของเรือยามาโต้ถูกออกแบบให้สามารถ โจมตีเป้าหมายด้วยระยะยิงไกลถึง ๒๕ ไมล์ ซ่ึงในยุคน้ัน ไม่มีป้อมปืนของเรือรบชาติใดสามารถยิงได้ไกล เท่าน้ันมาก่อน
อย่างไรก็ตาม ระยะยิงไกลสุด ๒๕ ไมล์ของยามาโต้ ทาให้มันไม่สามารถมองเห็นเป้าหมายได้ด้วยตนเอง ดังนั้น ยามาโต้จึงต้องมีเคร่ืองบินตรวจการณ์ประจาเรือ เพอื่ทาหนา้ทพี่สิจูนท์ราบเปา้และปรบัตาแหนง่กระสนุตก ขณะทเี่ รอื ยงิ อาวธุ ไปยงั เปา้ หมายทอี่ ยนู่ อกระยะขอบฟา้ หรืออาจกล่าวได้ว่าอาวุธยามาโต้ก็คืออาวุธปล่อยนาวิถี ในยุค ๖๐ ปีก่อนนั่นเอง
หลังการสร้างเรือแล้วเสร็จ ยักษ์ทะเล “ยามาโต้” ก็ขึ้นระวางประจาการในกองทัพเรือญ่ีปุ่นอย่างเงียบ ๆ เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๙๑๔ และเพื่อให้การกาเนิด ของยามาโต้เป็นความลับท่ีสุด
จักรพรรดินาวีจึงยินยอมที่จะยกเลิกพิธีการปล่อย เรอื ลงนา้ และเฉลมิ ฉลองการเขา้ ประจา การอยา่ งเปดิ เผย เหมือนที่เคยกระทากับเรือทุกลาท่ีผ่านมา
ในแง่ของการรักษาความลับ กรณีของยามาโต้ ต้องถือว่ากองทัพเรือญ่ีปุ่นประสบความสาเร็จอย่าง น่าพอใจ เพราะถึงแม้หน่วยข่าวกรองของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของกองทัพเรือญ่ีปุ่นมา โดยตลอดกย็ งั ไมร่ อู้ ะไรมากนกั เกย่ี วกบั เรอื ลา นี้ นาวาเอก
ยามาโต้ (ลาล่าง) กับมูซาชิ (ลาบน) เรือคู่แฝดชั้นเดียวกัน
นาวิกศาสตร์ 40 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕


“แจ็คกี้ คอเรย์” อดีตนายทหารประจาหน่วยข่าวของ กองทัพเรือคนหน่ึงกล่าวว่า
“ในตอนน้ัน สานักงานวิเคราะห์ข้อมูลของเรา รู้เพียงว่าญี่ปุ่นมีเรือธงลาใหม่ของกองเรือเฉพาะกิจ และ เรือลานั้นชื่อยามาโต้ เรารู้เพียงแค่ชื่อของมันเท่านั้น แต่ไม่มีข้อมูลใด ๆ เก่ียวข้องกับสมรรถนะและขนาดเรือ แม้แต่น้อย
นอกจากนี้ หลายคนท่ีไม่ได้ติดตามเรื่องราวของ กองทพั เรอื ญปี่ นุ่ และผบู้ งั คบั บญั ชาของพวกเขาอยา่ งใกลช้ ดิ เร่ิมจะเกิดความสับสนระหว่างชื่อเรือประจัญบาน “ยามาโต้” กับชื่อผู้บัญชาการทหารเรือ พลเรือเอก “อโิซโรกุยามาโมโต”้ (ยามาโมโต้คอื ผบู้ ญั ชาการทหารเรอื ของญี่ปุ่นในยุคสงครามโลกคร้ังที่สอง)
หากจะต้ังคาถามว่าเหตุใดญี่ปุ่นจึงต้องสร้างเรือ ประจัญบานขนาดยักษ์ เช่น เรือยามาโต้ คาตอบคงอยู่ท่ี “ยุทธศาสตร์” ของการกาหนดกาลังรบทางทะเลใน ยุคนั้นที่มุ่งเน้นการมีเรือประจัญบานขนาดใหญ่เป็น สัญลักษณ์ของความเป็นมหาอานาจทางทะเล
ในยุคน้ันไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี สหรัฐอเมริกา รวมไปถึงรัสเซีย ทุกชาติต่างเช่ือถือใน หลกั การเดยี วกนั วา่ “เรอื ประจญั บาน” ซงึ่ มอี า นาจการยงิ ทา ลายมหาศาลคอื กลไกสา คญั ทจี่ ะนา ไปสกู่ ารครองทะเล ยทุ ธศาสตรด์ งั กลา่ วมมี าตง้ั แตค่ รงั้ โบราณในยคุ “เรอื ใบ” ก่อนที่จะวิวัฒนาการไปสู่ยุคของเรือกลไฟและไอน้า
ต่อมาเมื่อพี่น้องตระกูลไรท์ประสบความสาเร็จ ในการคิดค้นเคร่ืองบินและนักการทหารได้นามา “ต่อยอด” ก่อให้เกิดเรือบรรทุกเคร่ืองบินในอีกไม่กี่ สิบปีต่อมา ยุทธศาสตร์ของการครองทะเลด้วยการมี เรือประจัญบานขนาดใหญ่จานวนมากจึงเปลี่ยนไป เป็นการครองทะเลโดยอาศัยกาลัง “อากาศนาวี” จากเรือบรรทุกเครื่องบิน
ในช่วงรอยต่อระหว่างสงครามโลกคร้ังที่หน่ึงกับ สงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนหน้าที่จะมีการรบทางทะเล ครั้งใหญ่ด้วยเรือบรรทุกเครื่องบิน เรือประจัญบาน ยังคงเป็นความเชื่อท่ีว่ามันคือปัจจัยที่ช้ีขาดของ ชัยชนะในการรบบนผิวน้า
จุดประสงค์ของการสร้างเรือประจัญบาน คือการมี เครื่องจักรสงครามทางทะเลท่ีมีอานาจการทาลายล้าง ด้วยปืนเรือขนาดใหญ่ที่มีระยะยิงไกล เพราะในยุคนั้น “ระยะยิง” ของปืนเรือ คือปัจจัยช้ีขาดผลแพ้ชนะ
ไม่มีใครปฎิเสธได้ว่าการรบบนผิวน้า หากฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใดสามารถยิงข้าศึกได้ก่อน ในระยะไกลเกินกว่าท่ี ศัตรูจะตอบโต้ได้ ฝ่ายนั้นย่อมเป็นผู้ชนะ
ใน ค.ศ. ๑๙๐๔ เรอื ประจญั บานขนาดใหญท่ ส่ี ดุ ของ สหรัฐอเมริกาสามารถยิงปืนเรือท่ีมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ลา กลอ้ ง ๑๒ นวิ้ ไดไ้ กลถงึ ๗ ไมล์ และนน่ั เปน็ การเรม่ิ ตน้ ของยุค “การทูตเรือปืน” หรือการใช้เรือรบข่มขู่ก่อน การเจรจา
เมื่อพิจารณาจากข้อมูลในประวัติศาสตร์แล้ว ไมม่ใีครปฏเิสธไดว้า่ราชนาวญีป่ีนุ่เปน็หนงึ่ในกองทพัเรอื รุ่นแรก ๆ ของโลกท่ีมีความเข้าใจในเรื่องพลังอานาจของ เรือประจัญบานยุคใหม่อย่างถ่องแท้
หลักฐานหนึ่งที่บ่งช้ีสนับสนุนความเป็นไปดังกล่าว ก็คือในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๐๕ กองเรือญ่ีปุ่นได้ทา สงครามกับกองเรือรัสเซียในช่องแคบ “ทสึชิมา” ซึ่งเป็น ท่ีรู้กันในเวลาต่อมาว่า “การยุทธท่ีช่องแคบทสึชิมา”
ภายใต้การนาของนายพล “โตโจ” แม่ทัพเรือซ่ึงมี นายเรือโท “อิโซโรกุ ยามาโมโต้” เป็นนายธง
กองเรือญี่ปุ่นสามารถจมเรือรบรัสเซียได้ถึง ๑๙ ลา ภายในวนั เดยี วทา ใหก้ องทพั เรอื รสั เซยี พา่ ยแพอ้ ยา่ งยอ่ ยยบั และเป็นคร้ังแรกในประวัติศาสตร์โลกที่มหาอานาจ ตะวันตกต้องพ่ายแพ้แก่ชาติตะวันออก
ผลจากชัยชนะในยุทธนาวีที่ทสึชิมา ทาให้ญ่ีปุ่น ได้รับการยอมรับในหมู่ชาติมหาอานาจที่เริ่มตระหนัก แล้วว่า
“ญี่ปุ่นเป็นชาติในตะวันออกชาติแรกที่มีกองเรือ ยิ่งใหญ่และเข้มแข็ง หรืออาจกล่าวในเชิงเปรียบเทียบ ได้ว่าญี่ปุ่นได้รับการยอมรับให้เป็นสมาชิกของ คลับพิเศษ ของชาติที่เป็นมหาอานาจทางทะเล ถงึ แมว้ า่ ผทู้ จ่ี ะเขา้ เปน็ สมาชกิ ในคลบั ดงั กลา่ วจะตอ้ งจา่ ย ค่าสมัครด้วยราคาแสนแพงก็ตาม”
นาวิกศาสตร์ 41 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕


ในค.ศ.๑๙๒๒มหาอา นาจตะวนั ตกไดล้ งนามรว่ มกนั ในสนธิสัญญาจากัดขนาดของเรือรบผิวน้า และญี่ปุ่นซึ่ง เพงิ่ เขา้ รว่ มภาคดี งั กลา่ วกจ็ า ตอ้ งยอมลงนามถงึ แมจ้ ะไมส่ ู้ พอใจนักก็ตาม
ทเี่ ปน็ ดงั นนั้ กเ็ พราะสหรฐั อเมรกิ าและองั กฤษไดร้ บั อนญุ าตใหม้ เีรอื ประจญั บานไดป้ ระเทศละ๑๕ลา ในขณะที่ ญี่ปุ่นได้รับอนุญาตให้มีเรือประจัญบานได้เพียง ๙ ลา ด้วยเงื่อนไขดังกล่าว ทาให้นักยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่นเริ่ม เปลี่ยนแปลงความคิดที่ว่า ญี่ปุ่นจาเป็นจะต้องมีเรือ ประจัญบานในจานวนเท่ากับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา
แตส่ ง่ิ ทญ่ี ปี่ นุ่ หนั ไปใหค้ วามสา คญั กค็ อื พวกเขาควร จะสร้างเรือประจัญบานขนาดยักษ์ท่ีมีอานุภาพสูงสุด สามารถทาลายล้างเรือประจัญบานข้าศึกได้หลายลา ในคราวเดียว
หรอื พดู งา่ ยๆกค็ อื “จา นวนเรอื ”ไมใ่ชป่ ระเดน็ สา คญั แต่ “อานุภาพ” ในการรบบนผิวน้าต่างหากที่สาคัญกว่า เมื่อถึงจุดน้ันญี่ปุ่นรู้แล้วว่าพวกเขาจะต้องสร้าง เรือประจัญบานท่ีมีสมรรถนะเหนือกว่าเรือประจัญบาน ของชาตมิ หาอา นาจตะวนั ตกและทกุ อยา่ งจะตอ้ งกระทา
ในลักษณะปกปิดเป็นความลับอย่างสุดยอด
เคนจิ โอซาวะ อดีตลูกเรือของยามาโต้ซึ่งเป็น
หนึ่งในจานวน ๒๙๖ คนท่ีรอดชีวิตเล่าว่า
“ตอนท่ีขึ้นไปอยู่บนเรือใหม่ ๆ ความรู้สึกของผม บอกกับตนเองว่ายามาโต้ช่างเป็นเรือประจัญบานท่ีมี ขนาดใหญโ่ ตอะไรถงึ เพยี งน้ี มนั จงึ ไมใ่ ชเ่ รอ่ื งแปลกทที่ กุ คน บนเรือจะต้องเคย หลงทาง เดินกลับไปยังที่พักของ ตนเองไม่ถูก และลูกเรือทั้ง ๓,๐๐๐ คน ก็ไม่อาจรู้จัก คนุ้ เคยกนั ไดท้ งั้ หมด ผมกลา้ รบั รองไดเ้ ลยวา่ ทกุ คนทเี่ ปน็ สมาชิกของยามาโต้ต่างก็เคยเจอกับปัญหากลับท่ีพัก ตนเองไม่ถูกแล้วทั้งสิ้น อีกสิ่งหน่ึงที่ทุกคนมีความรู้สึก เหมือน ๆ กันก็คือ ยามาโต้เป็นเรือประจัญบานท่ี ไม่มีวันจม มันคือเรือรบท่ีเป็นอมตะ โดยเฉพาะชื่อของ เรือซ่ึงหมายถึงประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นทางกองทัพเรือย่อม ไม่มีวันที่จะปล่อยให้เรือลานี้ถูกข้าศึกทาลายล้าง ลงไปได้เลย อีกท้ังตัวเรือก็ถูกสร้างด้วยเหล็กกล้าซึ่งเป็น เหล็กหุ้มเกราะอย่างหนาและดีที่สุดในยุคน้ัน”
นาวิกศาสตร์ 42 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕
ยามาโต้ขณะแล่นในทะเล
ยาโมโต้จึงน่าจะปลอดภัยสาหรับทุก ๆ คนท่ีอยู่ บนเรอื แตถ่ า้ เมอื่ ไหรท่ ยี่ าโมโตจ้ ะถกู จม มนั นา่ จะหมายถงึ ว่าประเทศญี่ปุ่นกาลังจะล่มสลายตามไปด้วย
แต่ไม่ว่าลูกเรือจะมีความเชื่ออย่างไร ในท้าย ที่สุดแล้วภารกิจอันน่าสะพรึงกลัวคร้ังสุดท้ายท่ีเรือ ลานี้ได้รับมอบหมายก็แสดงให้เห็นว่ายุคสมัยของ เรือประจัญบานที่มีอานุภาพในการยิงสูงสุดส้ินสุดลง แล้วและเรือประจัญบานไม่อาจต้านทานการโจมตีจาก ฝูงบินข้าศึกได้
หน่วยข่าวกรองสหรัฐอเมริกาในยุคนั้น เช่ือว่า ยามาโต้เป็นเรือประจัญบานที่มีขนาดเทียบได้กับ เรอื ประจญั บานรนุ่ ใหมข่ องกองทพั เรอื ทง้ั ทใ่ี นความเปน็ จรงิ ยามาโต้มีขนาดใหญ่กว่าเรือประจัญบานที่ใหญ่ท่ีสุดของ อเมริกันถึงสองเท่า
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เน่ืองจากว่ากองทัพเรือญี่ปุ่น ต้องการสร้างเรือท่ีมี “ป้อมปืน” ขนาดใหญ่ท่ีสุดเท่าท่ี จะเป็นไปได้
ดังนั้นดาดฟ้าเรือยามาโต้จึงต้องมีความกว้างมาก เพียงพอที่จะรองรับป้อมปืนเหล่านั้น
“นางามิ อูชิตะ” อดีตลูกเรือผู้รอดชีวิตของยามาโต้ อีกคนหน่ึงเล่าถึงป้อมปืนของพวกเขาว่า
“ในยุคน้ัน เมื่อผู้บังคับการเรือจะส่ังให้ทาการยิง เจ้าหน้าท่ีจะเปิดสัญญาณเตือนก่อน เพ่ือให้ทุกคนได้รู้ว่า แผนกอาวธุ กา ลงั จะใชป้ อ้ มปนื ทมี่ ขี นาดใหญท่ ส่ี ดุ ทตี่ ดิ ตง้ั อยู่บนเรือ เม่ือทุกคนได้ยินสัญญาณน้ัน ส่ิงที่ต้องทาก็คือ


การวง่ิ เขา้ หาทกี่ า บงั แลว้ ยกมอื อดุ หู ใครกต็ ามทอี่ าจหาญ ยืนอยู่บนดาดฟ้าเปิดโล่ง ๆ จะมีสภาพไม่ต่างอะไรกับ เศษไม้ท่ีปลิวกระเด็นไปไกลในวินาทีที่ป้อมปืนของ ยามาโต้ปล่อยกระสุนออกไป”
การยิงกระสุนปืนใหญ่ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ลากล้องถึง ๑๘ นิ้ว และโคจรด้วยความเร็วเหนือเสียง ทาให้บังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวกับฟ้าถล่ม
คนรนุ่ หลงั อาจไมเ่ ชอ่ื วา่ กระสนุ ของยามาโตแ้ ตล่ ะนดั มนี า้ หนกั มากเทา่ กบั “รถยนต”์ หนง่ึ คนั ทแ่ี ลน่ อยบู่ นถนน และดว้ ยความใหญโ่ ตของกระสนุ ทกี่ ลา่ วมา อา นาจในการ “ทะลทุ ะลวง” ของมนั จงึ สามารถเจาะเกราะหนาไดเ้ กอื บ สองฟุตดังนั้นเพ่ือรองรับน้าหนักของป้อมปืนและแรง สะท้อนของปืนอันเกิดจากการยิง เรือยามาโต้จึงจาเป็น จะต้องถูกออกแบบให้มีความกว้างเป็นพิเศษ
เม่ือเปรียบเทียบกับเรือประจัญบานของ อเมริกันแล้ว ถึงแม้ว่ายุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา จะต้องเตรียมเรือเพื่อทาการรบสองมหาสมุทรคือใน “แปซิฟิก” และ “แอตแลนติก” แต่ความกว้างของเรือ ประจัญบานอเมริกันจะถูกจากัดด้วยความกว้างของ “คลองปานามา” ซึ่งเป็นช่องทางเดียวท่ีอเมริกันจะนา เรือรบของพวกเขาข้ามไปมาระหว่างสองมหาสมุทรได้
ดว้ ยเหตทุ คี่ ลองปานามามคี วามกวา้ ง๑๑๐ฟตุ ดงั นน้ั เรือประจัญบานที่มีขนาดใหญ่ท่ีสุดของอเมริกันจึงมี ความกว้างมากท่ีสุดเพียง ๑๐๘ ฟุต กับ ๖ นิ้ว เพื่อให้ มันสามารถแล่นผ่านคลองปานามาไปได้
ตรงกันข้ามกับเรือยามาโต้ซ่ึงเป็นของกองทัพเรือ ญี่ปุ่น ประเทศท่ีมีลักษณะภูมิศาสตร์เป็นเกาะล้อม รอบด้วยทะเล เรือประจัญบานของญ่ีปุ่นจึงไม่จาเป็น ต้องอาศัย “คลอง” ในการออกเดินทางสู่ท้องทะเล นักออกแบบของกองทัพเรือญี่ปุ่นจึงสามารถกาหนด ความกว้างให้กับเรือยามาโต้ได้ตามความพอใจโดยให้ สอดคล้องกับการติดตั้งปืนขนาดยักษ์ รวมทั้งการติดตั้ง แผ่นเกราะที่ “หนาที่สุด” เท่าที่เคยมีการสร้างมา
อยา่ งไรกต็ าม การมคี วามกวา้ งมากเกนิ ไปในแงข่ อง การออกแบบแล้วจะทาให้เกิด “แรงต้าน” จากคลื่นมาก
ขึ้นไปด้วยเมื่อต้องแล่นในทะเล ดังนั้นเพื่อแก้ไขจุดอ่อน ดังกล่าว ฝ่ายออกแบบของกองทัพเรือจึงกาหนดให้ ยามาโต้มี “โดม” หัวเรือขนาดใหญ่ยื่นออกไปข้างหน้า ยาวประมาณ ๓ เมตร ทั้งนี้ก็เพ่ือให้คลื่นท่ีเกิดจากโดม หัวเรือเป็นตัวปะทะกับคล่ืนขนาดใหญ่ ซ่ึงจะเป็นแรง ต้านการขับเคล่ือนของเรือ
การคานวณของนักออกแบบเป็นไปอย่างถูกต้อง เพราะโดมหัวเรือยามาโต้ช่วยลดแรงต้านจากคล่ืน ในทะเลอยา่ งไดผ้ ล ทา ใหม้ นั สามารถแลน่ ไดเ้ รว็ ถงึ ๒๘ นอต แมว้ า่ ตวั เลขความเรว็ ดงั กลา่ ว อาจจะทา ใหห้ ลายคนไมร่ สู้ กึ ตื่นเต้นแม้แต่น้อย แต่หากพิจารณาถึงระวางขับน้าของ ยามาโตซ้ง่ึมรีะวางขบันา้ถงึ๖๙,๑๐๐ตนัลองคดิดเูถอะวา่ มันเป็นเร่ืองท่ีน่าอัศจรรย์ใจแค่ไหน ที่เรือขนาดมหึมา สามารถทาความเร็วได้มากถึงเพียงน้ี
ความใหญ่โตของเรือประจัญบานยามาโต้คิดเป็น ประมาณ ๑.๕ เท่า ของเรือประจัญบาน “มิสซูรี” แห่งสหรัฐอเมริกาที่มีระวางขับน้า ๔๕,๐๐๐ ตัน และ เรอื ประจญั บาน “บสิ มารค์ ” ของเยอรมนี ซงึ่ มรี ะวางขบั นา้ ถึง ๔๒,๐๐๐ ตัน
สา หรบั ทหารเรอื ญป่ี นุ่ แลว้ ยามาโต้ คอื ความภาคภมู ใิ จ ของจักรพรรดินาวี ผู้เป็นเจ้าของเรือประจัญบานยักษ์ ที่มีขนาดความกว้าง ๒๕๐ เมตร ตัวเรือติดเกราะป้องกัน ตอร์ปิโดหนาถึง ๘ น้ิว
อยา่ งไรกต็ าม ในความภาคภมู ใิ จนน้ั นกั ประวตั ศิ าสตร์ สงครามยุคหลังได้ตั้งข้อสังเกตและวิจารณ์ว่า
“กองทัพเรือญี่ปุ่นไม่เคยนาเรือยามาโต้ออกปฏิบัติ ภารกจิ อยา่ งแทจ้ รงิ นบั ตงั้ แตม่ นั ถกู สรา้ งขนึ้ มา ทเ่ี ปน็ ดงั นนั้ เนื่องจากว่าพวกเขาไม่ยอมเสี่ยงต่อการสูญเสียเรือรบ ซ่ึงเป็นเสมือนสมบัติมูลค่ามหาศาลที่ไม่อาจหาสิ่งใด มาทดแทนได้อีก”
ในความหมายนนั้ กค็ อื เมอ่ื สงครามเกดิ ขนึ้ แลว้ ญปี่ นุ่ ยอ่ มไมม่ โี อกาสทจี่ ะสรา้ งเรอื ประจญั บานยกั ษแ์ บบยามาโต้ ขึ้นมาได้อีกอย่างแน่นอน ข้อมูลหน่ึงซึ่งยืนยัน ความเป็นไปที่ว่ายามาโต้ถูกใช้อย่าง “ไม่คุ้มค่า” ก็คือ นับตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๙๔๒ จนกระทั่งถึง
นาวิกศาสตร์ 43 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕


เดอื นพฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๔๓ เรอื ยามาโตไ้ ดอ้ อกปฏบิ ตั กิ าร ในทะเลเพียง “วันเดียว” เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้นายทหารและกาลังพลประจาเรือจึงมัก จะถกู ลอ้ เลยี นจากเพอ่ื นทหารเรอื อยเู่ สมอวา่ พวกเขาเปน็ กาลังพลประจา “โรงแรมลอยน้า” ที่มีชื่อว่า ยามาโต้
“เอกิ นามูระ” ผู้รอดชีวิตอีกคนหนึ่งกล่าวว่า
“ตอนที่อยู่เรือยามาโต้ ผมทาตัวตามสบาย และ มคี วามสขุ กบั อาหารการกนิ เราไดก้ นิ ขา้ วสวยรอ้ นๆและ มีเหล้าสาเกให้ดื่มฟรีอีกต่างหาก ไม่เหมือนกับทหารเรือ ทปี่ ระจา อยกู่ บั เรอื ลา อนื่ ซงึ่ ตอ้ งกนิ ขา้ วในปรมิ าณทจี่ า กดั ”
เรือประจัญบานยามาโต้เป็นเสมือน “ช้างเผือก” ที่กองทัพเรือญี่ปุ่นภาคภูมิใจมากที่สุดและมันถูก มอบหมายให้ทาหน้าที่ “เรือธง” หรือเรือบัญชาการของ จักรพรรดินาวี จนกระทั่งเมื่อสถานการณ์สงครามใน แปซิฟิกพลิกผัน กองทัพเรือญี่ปุ่นเริ่มตกเป็นฝ่ายถอยร่น พร้อมกับการสูญเสียท้ังเรือรบและกาลังพลจานวนมาก ยามาโต้จึงถูกนามาใช้ในฐานะ “อาวุธลับ” ชิ้นสุดท้ายที่ เชื่อว่าสามารถยับยั้งการบุกของข้าศึกไว้ได้
การล่มสลายของจักรพรรดินาวีมีจุดเริ่มต้นมาจาก การยุทธที่มิดเวย์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๔๒ ซึ่ง ถอื เปน็ การรบระหวา่ งเรอื บรรทกุ เครอื่ งบนิ ตอ่ เรอื บรรทกุ เครื่องบินเป็นครั้งแรกของโลก
ในตอนนั้นญี่ปุ่นมุ่งหวังที่จะทาลายเกาะมิดเวย์ ซึ่งเป็นฐานทัพของฝ่ายอเมริกันที่ใหญ่ที่สุดในแปซิฟิก กองเรือบรรทุกเคร่ืองบินของญี่ปุ่นพร้อมด้วยเรือคุ้มกัน จานวนมากถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจดังกล่าว แต่โชคไม่ เข้าข้างจักรพรรดินาวี เพราะฝ่ายอเมริกันสามารถ ถอดรหสั การตดิ ตอ่ ทางวทิ ยขุ องญปี่ นุ่ ได้ทา ใหพ้ วกเขารวู้ า่ เป้าหมายของกองเรือญี่ปุ่นอยู่ที่มิดเวย์
นายพลเรือนิมิตซ์จึงนากองเรือบรรทุกเคร่ืองบิน ออกสกัดก้ันและส่งอากาศยานจากเรือบรรทุกเครื่องบิน เข้าโจมตีกองเรือบรรทุกเครื่องบินของญี่ปุ่น ในขณะท่ี ฝ่ายญ่ีปุ่นยังไม่รู้ด้วยซ้าว่ากองเรือบรรทุกเคร่ืองบินของ ศัตรูอยู่ท่ีไหน
จนกระท่ังเมื่อการรบเปิดฉากขึ้น ทั้งสองฝ่ายจึงส่ง
นาวิกศาสตร์ 44 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕
เคร่ืองบินเข้าต่อตีซ่ึงกันและกันหลายระลอก แต่ฝ่าย อเมริกันได้เปรียบกว่าจึงสามารถทาลายเรือบรรทุก เคร่ืองบินได้ถึง ๔ ลา ในเวลาเพียง ๒๔ ช่ัวโมง
พลเรือเอกนิมิตซ์ แม่ทัพเรือสหรัฐอเมริกา
แม่ทัพเรือสหรัฐอเมริการ่วมกันวางแผนการรบ
ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นทาให้กาลังอากาศนาวีที่ แข็งแกร่งท่ีสุดของญี่ปุ่นกว่า ๓๓๐ เครื่อง รวมทั้งนักบิน ฝีมือดีท่ีเคยเปิดยุทธการโจมตีฐานทัพเรือเพิร์ลฮาร์เบอร์ ในช่วงต้นสงครามมาแล้วถูกทาลายย่อยยับ นับจาก บัดนั้นเป็นต้นมา กาลังทางเรือของจักรพรรดินาวีก็ อ่อนแอลงและไม่เคยฟ้ืนคืนตัวขึ้นมาอีกเลย
ระหว่างการยุทธท่ีมิดเวย์ เรือประจัญบานยามาโต้ ถูกใช้เป็นศูนย์บัญชาการและติดตามสถานการณ์อยู่ห่าง


จากเส้นขอบฟ้าไกลจากแนวรบเกือบ ๓๐๐ ไมล์ มันจึงไม่ได้มีโอกาสที่จะยิงปืนแม้แต่นัดเดียว เพราะยามาโต้อยู่นอกรัศมีทาการของเครื่องบินอเมริกัน ทจ่ี ะเขา้ โจมตี ผลกระทบสา คญั ทส่ี ดุ ซง่ึ เกดิ จากเรอื ยามาโต้
หลังการยุทธที่มิดเวย์ก็คือ
เรอื ประจญั บานยกั ษซ์ งึ่ เปน็ “เรอื ธง”ของกองทพั เรอื
ญี่ปุ่นไม่มีกาลังคุ้มกันทางอากาศที่แข็งแกร่งอีกต่อไป ท้ังน้ีเนื่องจากการสูญเสียเรือบรรทุกเครื่องบินถึง ๔ ลา ในยุทธนาวีครั้งนั้นเอง
ยามาโต้จึงได้รับคาสั่งให้ถอนตัวออกจากฐานทัพ เข้าสู่พื้นท่ีปลอดภัยและการทาศึกระหว่างเรือ ประจัญบานกับเรือประจัญบานอย่างท่ีลูกเรือยามาโต้ หลายคนเคยฝันไว้ก็ไม่เคยเกิดขึ้น เอกิ นามูระ ผู้รอดชีวิตคนหนึ่งของยามาโต้กล่าวถึงเหตุการณ์ ในช่วงนั้นว่า
“ตอนท่ีกองเรือของเราไปทาศึกท่ีมิดเวย์ ผมและ เพ่ือนทหารอีกหลายคนคาดหวังว่าเรือของเราคงได้มี โอกาสปะทะกับเรือประจัญบานของข้าศึกสักคร้ังเพ่ือท่ี เราจะได้จมมันลงไปใต้ทะเลให้สมกับความย่ิงใหญ่ ของเรือท่ีเราประจาการอยู่
ผมเฝ้าภาวนาขอให้สิ่งน้ันเป็นจริงแต่มันก็ไม่เคย เกิดขึ้นและเรารู้สึกแปลกใจที่ยามาโต้ต้องเดินทางกลับ ฐานทัพ พร้อมกับข่าวลือในหมู่ทหารว่ากองเรือของเรา เป็นฝ่ายเพล่ียงพล้าต่อข้าศึกในการรบท่ีมิดเวย์”
มนั เปน็ ความจรงิ ทวี่ า่ ยคุ สมยั ของสงครามทางทะเล
ที่เรือประจัญบานจะแล่นเข้าดวลปืนกันกาลังจะหมดไป การยทุ ธทเี่ กาะมดิ เวยเ์ ปน็ “จดุ เรมิ่ ตน้ ” ของการพลกิ ผนั โฉมหน้าของสงครามทางทะเลให้ก้าวสู่ของยุคการต่อสู้ กันด้วยเรือบรรทุกเคร่ืองบินและผู้ท่ีมีกาลังอากาศนาวีท่ี แข็งแกร่งกว่าจะเป็นผู้ชนะ
หากมองยอ้ นกลบั ไปในชว่ งตน้ ของสงครามญปี่ นุ่ เอง น่าจะเป็นชาติแรกท่ีค้นพบความเป็นไปในข้อนี้ เพราะ ฝูงบินของญี่ปุ่นสามารถโจมตีเรือประจัญบาน “ปรินซ์ ออฟ เวล” ซงึ่ ถอื เปน็ เรอื ธงของราชนาวอี งั กฤษทถี่ กู สง่ มา ประจา การในสงิ คโ์ ปรจ์ นไดร้ บั ความเสยี หายอยา่ งยอ่ ยยบั และจมลงสู่ก้นทะเล สร้างความตกตะลึงให้แก่กองทัพ อังกฤษเป็นอย่างมาก
ในตอนนั้นญี่ปุ่นควรจะรู้แล้วว่าเครื่องบินติด ตอร์ปิโดและเคร่ืองบินดาท้ิงระเบิดจานวนมากสามารถ จมเรือประจัญบานขนาดใหญ่ได้ในเวลาเพียงไม่ก่ีช่ัวโมง ของการโจมตี
แต่แทนท่ีกองทัพเรือญ่ีปุ่นจะนาชัยชนะในคร้ังน้ัน มากาหนดยุทธศาสตร์ของตนเอง พวกเขากลับคงความ ม่ันใจอยู่เช่นเดิมว่ายามาโต้เป็นเรือประจัญบานยักษ์ที่ ไม่มีวันจมและอานุภาพการยิงจากปืนต่อสู้อากาศยาน จานวนมหาศาลทต่ีดิตง้ัอยบู่นเรอืจะชว่ยปอ้งกนัเรอืยกัษ์ ให้รอดพ้นจากการโจมตีของเครื่องบินได้
ปลายเดือนมีนาคม ค.ศ.๑๙๔๕ ช่วงสุดท้ายของ สงครามโลกครงั้ ทสี่ องในดา้ นแปซฟิ กิ ใกลเ้ ขา้ มา พรอ้ ม ๆ กับที่หัวเมืองใหญ่ของญี่ปุ่นตกเป็นเป้าการโจมตีแบบ
ยามาโต้ก่อนเข้าสู่สงครามช่วงสุดท้าย
นาวิกศาสตร์ 45 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕


รายวันของกองบินท้ิงระเบิดพันธมิตรสร้างความพินาศ ย่อยยับให้แก่ดินแดนอาทิตย์อุทัยอย่างมาก
กาลังรบที่เคยยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่นซึ่งเคยรุกรานไป ยังดินแดนอันห่างไกล บัดนี้ต้องถอยร่นกลับมาต่อสู้กับ ขัดขวางกองทัพข้าศึกซึ่งกาลังรุกคืบใกล้เข้าสู่บ้านเกิด ของพวกเขาทุกขณะ
แต่ทางการพยายามปกปิดความจริงไม่ให้พลเรือน ในแนวหลงัรวู้า่กองทพัสหรฐัอเมรกิาสามารถรกุคบืเขา้มา ยังเกาะทิเนียน ไซปัน และอิโวจิมา ได้อย่างเป็นขั้นตอน จนสามารถขยายระยะในการโจมตที างอากาศตอ่ เปา้ หมาย บนแผ่นดินใหญ่ของญ่ีปุ่นได้อย่างต่อเน่ือง
ในเดือนเมษายนปีนั้นเอง หลังจากยึด “อิโวจิมา” ไดแ้ ลว้ กองทพั สหรฐั อเมรกิ ามงุ่ เขา้ ใกลเ้ กาะโอกนิ าวาซงึ่ อยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ญ่ีปุ่นเพียง ๓๐๐ ไมล์
เกาะโอกินาวาอยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ของญ่ีปุ่น เพียง ๓๐๐ ไมล์ ตกเป็นเป้าหมายสุดท้ายที่อเมริกัน เคล่ือนเข้ายึดครองก่อนที่จะยกพลขึ้นบกสู่แผ่นดินใหญ่ ของญี่ปุ่น
ดว้ ยเหตนุ ้ี ญป่ี นุ่ ตอ้ งทา ทกุ วถิ ที างเพอื่ รบยดื เยอื้ เพอ่ื ตรึงการบุกเกาะโอกินาวาไว้ให้ได้นานท่ีสุด
แต่เนื่องจากกองทัพญี่ปุ่นกาลังอ่อนแอ และ ขาดแคลนยทุ โธปกรณไ์ มเ่ หมอื นกบั ในชว่ งตน้ ของสงคราม เหล่าผู้บัญชาการของญ่ีปุ่นจึงตัดสินใจใช้ “อาวุธลับ” เขา้ ตอ่ สกู้ บั ขา้ ศกึ และอาวธุ ทวี่ า่ นนั้ กค็ อื ฝงู บนิ “กามกิ าเซ” นั่นเอง
เจมส์อ.ี สเวทอดตี นกั บนิ เฮลแคทของอเมรกิ นั ทไี่ ดร้ บั “เมดัล ออฟ ออนเนอร์” จากการยิงเคร่ืองบินข้าศึกตก ๗ เคร่ืองในวันเดียวและเคยเผชิญกับการโจมตีของ กามิกาเซในช่วงการรบใกล้เกาะโอกินาวาเล่าว่า
“กามกิ าเซเปน็ การโจมตแี บบฆา่ ตวั ตายอยา่ งบา้ คลงั่ ของพวกญี่ปุ่นมันเหมือนกับการทาฮาราคีรีทางอากาศ ในความพยายามอย่างสิ้นหวังที่จะทาลายกองเรือ ของเรา”
“ครั้งแรกที่ผมเจอกับกามิกาเซ ผมกาลังนา เครื่องร่อนลงจอดทางดาดฟ้าท้ายของเรือ ขณะที่ผม
นาวิกศาสตร์ 46 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕
กาลังบังคับเคร่ืองมุ่งสู่ลงทางวิ่งตามข้ันตอนของการ ลงจอด ทันใดน้ันกามิกาเซเครื่องหนึ่งก็พุ่งปราดเข้ามา อย่างรวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน”
“ผมรบี บงั คบั เครอ่ื งใหเ้ บนออกจากตา แหนง่ เดมิ แลว้ เหน่ียวไกยิง เพื่อขัดขวางไม่ให้กามิกาเซเคร่ืองนั้นพุ่งชน เป้าหมายได้ ขณะท่ีปืนต่อสู้อากาศยานบนเรือก็ระดมยิง ข้ึนมาทาให้กามิกาเซระเบิดขาดเป็นเส่ียง ๆ ช้ินส่วนของ มันปลิวกระจายกระเด็นตกลงมาบนดาดฟ้าเรือทาให้ พวกลูกเรือหวาดกลัวกันมาก”
เจมส์ อี. สเวท ต้องเผชิญกับกามิกาเซอีกคร้ังหนึ่ง เม่ือเขาย้ายไปประจาการบนเรือบรรทุกเครื่องบิน “บังเกอร์ฮิลล์” ซึ่งถูกกามิกาเซพุ่งชน ๒ เคร่ืองจนได้รับ ความเสียหายอย่างหนัก แต่เขาได้เป็นผู้นาในการย้าย เครื่องออกไปจากดาดฟ้าได้ก่อนท่ีเรือจม
“กามิกาเซเป็นส่ิงท่ีน่ากลัวในแง่ของจิตวิทยา เราต้องยอมรับว่าลูกเรือจานวนมากเสียขวัญ และ เกรงขามต่อปฏิบัติการฆ่าตัวตายในลักษณะนั้นมาก พวกเขาไม่อยากเชื่อเลยว่านักบินญ่ีปุ่นจะยอมเอาชีวิต ของตนเข้าแลกถึงเพียงนั้น”
แต่หากมองย้อนกลับไปยังฝ่ายญี่ปุ่น สถานการณ์ ในตอนนั้นบีบบังคับพวกเขาให้ทาทุกวิถีทางเพื่อทาลาย เรือบรรทุกเครื่องบินของอเมริกันด้วยทุก ๆ ส่ิงที่ พวกเขามีอยู่
เม่ืออาวุธขาดแคลน ส่ิงที่เหลืออยู่และสามารถ หาได้อย่างไม่จากัดก็คือ “ชีวิตมนุษย์” ท่ีพร้อมจะ ยอมตายเพื่อชาติ
ในยุคของสงคราม ส่ิงที่อเมริกันไม่อาจทาลายล้าง ได้ก็คือ ความรู้สึกร่วมมือร่วมใจในการต่อสู้เพ่ือชาติ ของชาวญี่ปุ่น มันเป็นการผสมผสานกันระหว่างการถูก ปลุกระดมให้รักชาติอย่างบ้าคลั่งกับสานึกความเป็น ชายชาตรีของชาวอาทิตย์อุทัยที่ถูกสอนมาแต่ครั้ง บรรพบุรุษว่า
“พวกเขาจะต้องปกป้องครอบครัว ปกป้องพ่อแม่ พส่ี าว นอ้ งสาว และลกู หลานใหพ้ น้ จากเงอ้ื มมอื ของศตั รู ให้ได้”


รูปวาดของยามาโต้ วาดให้เห็นลักษณะที่ปรากฏประมาณ ค.ศ. ๑๙๔๕
เมื่อนักบินซ่ึงเป็นทหารโดยแท้ถูกฆ่าตายหมดไป เรอื่ ยๆนกั บนิ อาสาสว่ นใหญท่ ถ่ี กู คดั เลอื กเขา้ อยหู่ นว่ ยบนิ กามิกาเซจึงกลายไปเป็นพวกที่มาจากนักศึกษา มหาวิทยาลัยไปจนกระท่ังถึงเด็กหนุ่มที่เพ่ิงพ้นจาก โรงเรียนมัธยมมาได้ไม่นาน
หนังสือพิมพ์ในญ่ีปุ่นเร่ิมยกย่องหน่วยบินกามิกาเซ และสรา้ งใหพ้ วกเขาเปน็ “วรี ชน” ทไี่ ดร้ บั การยกยอ่ งบชู า จากผคู้ นทงั้ ประเทศ มนั เปน็ วธิ กี ารทนี่ า่ ตนื่ เตน้ และทา ให้ นักบินกามิกาเซพร้อมท่ีจะตายโดยไม่รู้สึกหวาดกลัว
ขณะที่กามิกาเซออกปฏิบัติการอย่างต่อเน่ือง เรือยามาโต้จอดอยู่ห่างจากสมรภูมิโอกินาวาประมาณ ๔๐๐ ไมล์ทางด้านทิศเหนือ เรือประจัญบานยักษ์สงบนิ่ง อยู่ในฐานทัพเรือคูเระ รอคอยคาสั่งสุดท้ายในการออก ปฏิบัติภารกิจ
เคนจิ โอซาวะ อดีตลูกเรือของยามาโต้เล่าว่า
“ในตอนน้ันเรารู้แล้วว่า นักบินกามิกาเซกาลังออก ปฏบิ ตั กิ ารในการบนิ แบบเทยี่ วเดยี ว หลายครงั้ ทผ่ี มไดย้ นิ คาประกาศทางเครื่องขยายเสียงว่าหน่วยบินกามิกาเซ ระลอกใหม่กาลังจะเข้าโจมตีข้าศึก
เราได้ยินแม้กระทั่งเสียงของนักบินที่ถ่ายทอดทาง วิทยุจากเครื่องบินของเขาว่าผมกาลังดาลงสู่เป้าหมาย จากนั้นเสียงของเขาก็เงียบหายไป ผมได้แต่ภาวนา สวดมนต์ขอให้วิญญาณของเขาไปสู่สุคติ”
(ติดตามต่อตอนที่ ๒)
นาวิกศาสตร์ 47 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕


ใบหัว ช้างบนยอดกาฟฟ์จะนา
“จะบินขึ้นไหมน่ี” นายทหารจัสแม็กชาวอเมริกันถามผู้เขียนขณะ
รับราชการในกรมข่าวทหารเรือ วันหน่ึงใน พ.ศ. ๒๕๓๒ กล่าวคือ ผู้เขียนได้ติดตามผู้บังคับบัญชาท่ีท่านจะไป เย่ียมชมศูนย์ส่ือสารทหารของสหรัฐอเมริกาที่อยู่ใน จงั หวดั หนงึ่ ของภาคอสี าน โดยไปขน้ึ เครอื่ งบนิ ทหารเรอื ไทย ทสี่ นามบนิ ดอนเมือง เครื่องบินมีเครื่องหมายธงราชนาวี ท่ีแพนหางเคร่ือง ซ่ึงนายทหารจัสแม็กเห็นรูปช้างในธง ราชนาวกี เ็ ลยเปรยใหฟ้ งั วา่ โดยมากทเี่ ครอ่ื งบนิ นานาชาติ ไมว่ า่ จะเปน็ เครอื่ งบนิ โดยสารเครอื่ งบนิ ทหารหรอื เครอื่ งบนิ อนื่ ใดมกั มรี ปู สตั วป์ ระดบั ลา ตวั เครอ่ื งบนิ ทส่ี ว่ นใหญเ่ ปน็ รปู นกบา้ งเปน็ สตั วบ์ กอยา่ งเสอื จงิ โจ้ ไมม่ หี รอื ไมเ่ คยเหน็ รปู สตั วน์ า้ แตท่ เี่ ปน็ รปู ชา้ งเหน็ จะมที เ่ี ดยี วคอื ทเี่ ครอื่ งบนิ ทหารเรือไทย? ซ่ึงช้างเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ น้าหนักมาก จงึ เปน็ ทม่ี าของคา ถามเยา้ ๆ วา่ “จะบนิ ขน้ึ ใหมนี่ ?” เพราะ มชี า้ งในธงราชนาวี อนั เปน็ ตราบนเครอ่ื งบนิ ทหารเรอื ไทย มองไปรอบ ๆ เมืองไทยว่า หน่วยงานใดมีรูปช้างอยู่ใน ตราของหนว่ ยงานบา้ ง กแ็ ทบไมม่ เี ลยนอกจากหนว่ ยงาน เอกชนที่มีตราช้างกันบ้าง เคยเห็นแว่บ ๆ ในวงการทตู ก็ไม่แน่ใจว่ามีช้างอยู่บ้างหรือไม่ ช้างเป็นสัตว์บกที่น่าจะ เหน็ บอ่ ย ๆ ในตราหรอื สญั ลกั ษณข์ องหนว่ ยงานทงั้ หลาย แตก่ ลบั เหน็ ไดบ้ อ่ ย ๆ ทหี่ นว่ ยงานทหารเรอื -ทธ่ี งราชนาวี
นาวิกศาสตร์ 48 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕
กล่าวกันว่า มีการใช้ธงกันต้ังแต่โบราณกาล เป็นธง หลากสี หลายรปู รา่ ง เพอื่ ใชบ้ อกหมวดหมวู่ า่ ใครเปน็ ใคร ในพวกพอ้ งหรอื กองทหารการเดนิ เรอื ของนานาชาตกิ จ็ ะมี ธงประจา เรอื บอกวา่ เปน็ เรอื ชาตใิ ด ตามตา นานบอกวา่ เรอื ใบ สนิ คา้ ในรชั สมยั รชั กาลที่ ๓ ทกี่ ารคา้ รงุ่ เรอื ง เรอื สนิ คา้ ไทย ใชธ้ งสแี ดงสเี่ หลย่ี มผนื ผา้ แสดงสญั ชาตไิ ทย ตอ่ มาเหน็ วา่ ส แี ด ง โ ล น้ ๆ ซ งึ ่ ไ ม ไ่ ด บ้ อ ก ค ว า ม เ ป น็ ไ ท ย อ ะ ไ ร เ ล ย ก เ็ พ มิ ่ ร ปู ช า้ ง รปู กงจกั ร ลงบนธงสแี ดงใชก้ นั ทง้ั ทางราชการ และชาวบา้ น บางทชี กั ธงเอาชา้ งหงายทอ้ งกม็ ี ทงั้ นกี้ เ็ พราะวา่ ชา้ งเปน็ สตั ว์ ท่ีมีบุญคุณต่อชาติไทย ทั้งทางการสงคราม ทางเศรษฐกิจ และทางสังคม ถือเป็นนิมิตเอาช้างไว้ในธงด้วยโดยท่ีช้าง เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ และน้าหนักมากช้างในการสงคราม โบราณจึงมีสถานะเสมือนรถถังในปัจจุบัน ที่สามารถ ทะลุทะลวงแนวทหารข้าศึกได้ ดังเช่น ช้างของสมเด็จ พระนเรศวรมหาราชในการรบกบั กองทพั พมา่ ที่สพุ รรณบรุ ี เมื่อต้น พ.ศ. ๒๑๒๓ ได้วิ่งฝ่าไพร่พลทหารพม่าจน ประจัญหน้ากับพระมหาอุปราชของพม่า แล้วกระทา ยทุ ธหตั ถกี นั ดงั ทท่ี ราบกนั ดี สว่ นรถถงั นน้ั ในสงครามโลก ครง้ั ท่ี ๒ ทหารเยอรมนั ใชย้ ทุ ธวธิ ี “สายฟา้ แลบ” (Blitzkrieg) ดว้ ยกองพลรถถงั เปน็ หวั หอกรกุ คบื ทางตะวนั ตก ยดึ ครอง เนเธอรแ์ ลนด์ เบลเยยี ม และฝรงั่ เศสจรดชอ่ งแคบองั กฤษ เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรตอบโต้ยกพลขึ้นบกท่ีฝร่ังเศสแล้วถึง พรมแดนเยอรมัน เพื่อบารุงขวัญประชาชน และป้องกัน


พรมแดน ในปลายปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ฝ่ายเยอรมันได้ส่ง กองพลรถถงัลยุเบลเยยีมรกุเขา้ยดึพน้ืทเี่หมอืนกระเพาะ ในทอ้งคนเกดิการยทุธทเี่รยีกวา่“BattleoftheBulge” (มีการสร้างภาพยนตร์การยุทธน้ีในช่ือภาษาไทยว่า “รถถังประจัญบาน”) ดังนั้น ช้างจึงเป็นสัตว์สาคัญ ที่ศักด์ิสิทธ์ิ และมีบารมีท่ีเอามาประดับบนธงชาติไทย ในสมัยก่อน ซึ่งเม่ือเปลี่ยนเป็นธงไตรรงค์กลับไม่มีช้าง แต่ยังมีช้างท่ีธงราชนาวีดังทุกวันนี้
เ ม อื ่ เ ก ดิ ส ง ค ร า ม โ ล ก ค ร งั ้ ท ่ ี ๑ ใ น ย โุ ร ป พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด จ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ ๖ ทรงนา ประเทศไทย เข้าร่วมกับสัมพันธมิตร และจัดส่งกองทหารไปยังยุโรป ท่ีธงชาติไทยจะต้องชักข้ึนร่วมกับธงชาติสัมพันธมิตร ในพธิ กี ารตา่ ง ๆ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ ฯ ไดท้ รง เหน็ ธงของชาตอิ น่ื ๆ นนั้ ชา้ งเขาไมค่ อ่ ยจะทา เหมอื นแบบ ของไทยเรา จนตรัสว่า “บางทีเหมือนหมูมากกว่าช้าง” ก็เลยทรงเปลี่ยนธงชาติ แต่แรกเป็นธงแดงที่มีขีดขาว สองขีด ต่อมาไม่ช้าโปรดให้เปล่ียนตรงกลางท่ีกว้างกว่า ขีดแดงข้างบน ข้างล่างเป็นสีน้าเงินแก่ ซึ่งก็เป็นธงชาติ ของเรามาจนบัดน้ี และสาหรับทหารเรือมี “ธงราชนาวี” ซึ่งมีรูปช้างเผือกทรงเคร่ืองในวงกลมสีแดงตรงกลาง ชาติไทยที่ไม่ทราบว่าเป็นความคิดของท่านใด
ธงชาติ และธงราชนาวี
โดยพระราชบัญญัติธงในรัชสมัยรัชกาลท่ี ๖ ระบุว่า ธงระดับชาติคือ ธงชาติ และธงราชนาวี ธงชาติน้ันแสดง ชาตอิ ยา่ งเดยี ว สว่ นธงราชนาวแี สดงชาติ และกองทพั เรอื
ทหารเรือบางชาติ เช่น สหรัฐอเมริกา ใช้ธงชาติเป็น
ธงกองทพั เรอื ดว้ ย แตบ่ างชาตอิ ยา่ งองั กฤษ และประเทศ ที่เคยเป็นอาณานิคมอังกฤษญ่ีปุ่นฯลฯธงชาติกับธง กองทัพเรือมีรูปแบบ และมีความหมายแตกต่างกันด้วย ซง่ึ ธงราชนาวแี ตกตา่ งกบั ธงชาตดิ งั ทเี่ หน็ กนั เราอาจจะเคย เหน็ ภารโรงของโรงเรยี นในชนบทบางแหง่ สวมกางเกงตวั เดยี วชกั ธงชาตลิ งจากยอดเสา เวลา ๑๘.๐๐ น. อยา่ งเงยี บ ๆ แต่สาหรับธงราชนาวีนั้นไม่ได้ ต้องมียามเกียรติยศหรือ “ยามใหญ่” อย่างน้อย ๖ คน กับคนชักธง ๒ คนในพิธี “ธงลง” เปา่ นกหวดี เปา่ แตรเพลง “ธงลง” เปน็ พธิ รี ตี อง กว่าธงชาติ หรืออย่างถ้าเรือรบไปเยือนต่างประเทศ แล้วมีบุคคลสาคัญของประเทศนั้น ๆ มาเยี่ยมท่ีเรือ จะยิงสลุตให้ หากท่านผู้มาเยี่ยมมีธงประจาตาแหน่ง และทางเรือมีธงน้ัน ก็จะชักธงนั้นเวลายิงสลุต ถ้าผู้มาเยี่ยมไม่มีธงประจาตาแหน่ง ก็จะชักธงชาตินั้น ๆ ขณะยิงสลุต แต่หากจะยิงสลุตให้แก่ประเทศท่ีเรือ ไปเยอื นจะชกั ธงราชนาวี หรอื ธงกองทพั เรอื ของประเทศนน้ั ในการยิงสลุต เพราะเป็นการยิงสลุตให้แก่ทั้งชาติ และราชนาวี หรือกองทัพเรือของประเทศนั้น ตามจารีตประเพณีทหารเรือสากล เม่ือครั้งเรือหลวง จอดเรียงรายริมฝั่งแม่น้าบริเวณบางนา และบางจาก ที่มีเรือสินค้าลาใหญ่น้อย ทั้งเรือไทย เรือต่างชาติ ซึ่งเรือชักธงชาติของตนอยู่แล่นเข้า-ออกท่าเรือ กรุงเทพฯ เรือเหล่าน้ีจะลดธงชาติของตน “สลุตธง” ให้แก่ธงราชนาวีของเรือหลวง ที่ต้องมียามคอย “รับสลุตธง” ตามที่ยามสะพานตะโกนบอกมา อันเป็นประเพณีของชาวเรือ และแสดงสถานะ อันศักด์ิสิทธิ์ของธงราชนาวี หรือธงกองทัพเรือ ที่กระทากันท่ัวโลก เรือหลวงในปัจจุบันคงไม่ค่อยพบ เรืออื่นสลุตธงให้ธงชาติที่ใช้กันอย่างเป็นทางการ และ ไม่เป็นทางการนั้น เช่น รั้วของวัดที่จัดงานวัดประจาปี อาจปกั ธงชาตเิ ปน็ ทวิ แถวทงั้ วนั ทงั้ คนื จนกวา่ งานจะจบสน้ิ แต่จะกระทาเช่นน้ันกับธงราชนาวี หรือธงกองทัพเรือ หาไดไ้ ม่ เพราะตอ้ งมพี ธิ แี ละเวลา “ธงขน้ึ เวลา ๐๘.๐๐ น. กับธงลงเวลาดวงอาทิตย์ตกดินหรือทะเล” ทหารเรือ ทว่ั โลกกระทา กนั เชน่ นนั้ ดงั นนั้ เรอื หลวงกช็ กั ธงราชนาวี
นาวิกศาสตร์ 49 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕


หรือธงกองทัพเรือเพียงธงเดียว เพราะธงแสดง ทงั้ ชาติ และราชนาวี ดงั นนั้ เมอื่ ธงราชนาวปี รากฏขนึ้ ณ ทใี่ ด กไ็ มต่ อ้ งมธี งชาตมิ าปรากฏคกู่ นั กบั ธงราชนาวอี กี ท่ีบางทีเห็นบนเวทีกิจกรรมต่าง ๆ เอาธงมาคู่กันแถมเอา ธงชาติไว้ทางขวาของธงราชนาวีด้วยอันไม่ควรจะเป็น เช่นนั้น
ธงราชนาวขี น้ึ เวที ไมต่ อ้ งมธี งชาตมิ าประกอบอกี
อน่ึง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๕ ได้ทรงส่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอหลาย พระองค์ ไปศึกษาวิชาต่าง ๆ ในยุโรป สาหรับวิชาทหาร ทอี่ งั กฤษ ทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ มเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช ทรงศึกษาวิชาทหารบก และสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ศึกษาวิชาทหารเรือ แต่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ถึงแก่ทิวงคต รัชกาลที่ ๕ จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธเปล่ียนการศึกษาจาก วิชาทหารเรือเป็นวิชาทหารบกแทน ทั้งท่ีเวลาน้ัน สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธกาลังศึกษาในโรงเรียน ท่ีคล้ายกับโรงเรียนเตรียมนายเรือ โดยทรงโปรดปราน สงั คมทหารเรอื ทที่ หารเรอื องั กฤษเปน็ “เหลา่ ทพั อาวโุ ส” (Senior Service ทาอะไรจะนาหน้าเหล่าทัพอื่น เช่น การเดินสวนสนาม) เน่ืองจากโบราณกาล กองทัพ ชาวเดนมาร์กได้ข้ามน้าข้ามทะเลมาโจมตีเกาะอังกฤษ โดยทางอังกฤษป้องกันตัวได้ แล้วคิดว่าหากมีกาลัง ทางเรือไว้ต่อสู้ข้าศึกในทะเลก่อนข้าศึกข้ึนบุกจะเป็น การดีกว่า ซ่ึงเมื่อพระเจ้าเอ็ดการ์ (Edgar) ขึ้นครองราชย์ ค.ศ. ๙๕๙ ทรงสร้างกองเรือจานวนราว ๕,๐๐๐ ลา
นาวิกศาสตร์ 50 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕
ประจาการรอบ ๆ เกาะอังกฤษ ถือว่าเป็นการเริ่มสร้าง กองทัพเรือที่ปกป้องเกาะอังกฤษตลอดมา (A History of the Royal Navy: A. Cecil Hampshire)
ถึงแม้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จะทรงเป็นทหารบกโดยการศึกษาแต่ก็โปรดปราน ราชนาวเี ปน็ อยา่ งมาก เสดจ็ ออกทะเลเพอื่ ทอดพระเนตร การซอ้ มรบทางทะเลบอ่ ย ๆ เทา่ กบั การซอ้ มรบทหารบก แลว้ ฉลองพระองคด์ ว้ ยเครอื่ งแบบทหารเรอื บอ่ ย ๆ ดว้ ย ระหวา่ งสงครามโลกครงั้ ที่ ๑ มหี นว่ ยงานเอกชนจดั หาเงนิ เพื่อซื้อเรือรบได้รับพระราชทานนามหน่วยนั้นว่า “ราชนาวสี มาคม” อนั เปน็ กา เนดิ ของคา วา่ “ราชนาว”ี ทกุ วนั นี้และทรงใหน้ ายทหารเรอื ใชอ้ กั ษรร.น.ส.(ราชนาวี สยาม-R.S.N.) ต่อท้าย ยศ และชื่อด้วย เรือจากราชนาวี สมาคม คือ เรือหลวงพระร่วง เรือพิฆาตตอร์ปิโดจาก อังกฤษ
ช่วงเวลายุคโควิด-๑๙ ระบาด ผู้คนไม่ท่องเที่ยวกัน แหล่งท่องเท่ียวกิจกรรมขาดคนเยี่ยมชม ช้างอดอยาก ประกาศขายชา้ งกนั ราคาตวั ละไมถ่ งึ ๑ลา้ นบาทตวั มงิ่ ขวญั (mascot) ของทหารเรือไทยคือ ช้างอย่างแน่นอน มีช้างยืน และปรากฏตัวท่ีกองบัญชาการกองทัพเรือ ท่ีงานพิธีใกล้เคียงกองบัญชาการ ท่ีกิจกรรม เช่น กีฬา กองทพั เรอื มชี า้ งเดนิ นา กองทหารสวนสนาม ฯลฯ แปลก และโกด้ ี เหลา่ ทพั อนื่ เลยี นแบบไดย้ าก เพราะไมม่ นี มิ ติ ของ ชา้ งตอ่ กองทพั นอกจากทยี่ อดธงกาฟฟแ์ ลว้ ทหารเรอื ไทย นาช้างมาเป็นมงคลได้ทุกหนทุกแห่งทุกกาลเวลา
เลย้ี งเปน็ ตวั มง่ิ ขวญั (mascot) ของกองทพั สกั ตวั ?


ใบกลาง ว่าตัวเราคือ ทหารเรือไทย
นายทหารผู้บังคับกองทหารเกียรติยศใช้เสื้อ คอพับสีขาว ทหารในแถวใช้เสื้อกะลาสีสีขาว คือ ปกติขาวไม่เท่าเทียมกัน นายทหารควรใสเ่ สอื้ นอกดว้ ย ทหารมีผ้าพันคอทับเสื้อนอตอันเป็นส่วนหนึ่งของ เคร่ืองแบบบางชาติ เช่น ทหารสหรัฐอเมริกาใช้เสื้อยืด สีขาวเป็นเสื้อชั้นในที่เป็นเสื้อทั่วไป จึงมีผ้าพันคอ เพอ่ื ความสวยงาม เสอื้ กะลาสสี ขี าวอยใู่ นกางเกงทั้งที่ตัว เสื้ออยู่ในฐานะเสื้อนอกที่ชายเสื้ออยู่นอกกางเกงเสมอ
ชดุ กะลาสใี ชไ้ ดต้ ง้ั แตง่ านระดบั ชาตถิ งึ งานระดบั หนว่ ย
เพื่อความเท่าเทียมกันของเคร่ืองแบบจ่า และ พลทหารควรมีเสื้อคอพับสีขาวเช่นเดียวกับเส้ือ ของนายทหารท่ีเรียกว่าชุด “ขาวน้อย”
ชุดกะลาสีเป็นสัญลักษณ์สากลของทหารเรือ และ ชาวเรือ (Service Dress) ท่ัวโลก ในการทางานปกติ (Working Uniform) ควรเป็นเครื่องแบบท่ีใช้ง่าย และประหยัด เช่น เสื้อคอพับธรรมดา บางชาติ เช่น ญี่ปุ่นเป็นเสื้อโปโลสวมศีรษะ เอวปล่อย โดยใช้แทน เสื้อกะลาสีสีกากีที่การสวมใส่ยุ่งยากกว่าเสื้อคอพับ ซึ่งเคยเห็นทหารในชุดกะลาสีสีกากี เมื่อเดินพ้นหน่วย
ผา้ พนั คอบงั เสอื้ นอต เสอื้ กะลาสใี นกางเกง
กห็ าทที่ างเปลยี่ นเปน็ เสอื้ คอพบั อยา่ งชาวบา้ นกนั เลย ชดุ เสอื้ คอพับสีกากีนี้ยังคงใช้หมวกกะลาสี เว้นจ่าที่ติดยศจ่า เกิน ๗ ปี ก็ใช้หมวกหนบี ไดด้ งั เดมิ เสอื้ คอพบั นจ้ี ะใชไ้ ด้ ต้ังแต่เป็นพลทหารถึงเป็นจ่าอาวุโส ลดจานวนชุด เครื่องแบบลงได้ เครื่องแบบทหารเรือสากลนั้น คือ สีขาวเมืองร้อน ดังนั้น การให้กองทหารเกียรติยศ รับแขกเมือง การแต่งกายชุดสีดาอาจทาให้แขกเมือง แปลกใจวา่ มาถงึ ฟนิ แลนด์ หรอื ไทยแลนด์ ทหารเรือไทย ในเมืองไทยแต่งกายด้วยเครื่องแบบสีดาพอไปได้ ในลักษณะแฟนซี เช่น การแสดงดนตรี
เหน็ ชดุ กฬี าสเี มอื งหนาว มาถงึ ไทยแลนด์ หรอื ฟนิ แลนด?์
นาวิกศาสตร์ 51 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕


ขาวนอ้ ยญป่ี นุ่
ความเป็นทหารเรือของทหารเรือทั่วโลกเป็นสากล ก็เพราะทะเลเป็นหนทางเดียวตั้งแต่ยุคโบราณท่ีผู้คน เดนิ ทางไปไดท้ ว่ั โลกและเครอื่ งแบบกะลาสกี ร็ กู้ นั ทวั่ โลกวา่ คนในเสื้อกะลาสีเป็นชาวเรือ และทหารเรือไม่ว่าจะแต่ง ท่ีเชียงใหม่ หรือกรุงปารีส ชุดนายพลเรือท่ีเชียงใหม่อาจ ถูกมองเป็นศุลกากรตรวจคนเข้าเมือง ฯลฯ ก็เป็นได้ ภมู หิ ลงั ของทหารเรอื กค็ อื เรอื และทะเล ขนบธรรมเนยี ม จารีตประเพณีก็มาจากเรือ และทะเลนั่นเอง กองทหาร เกียรติยศตามภาพข่าวใส่รองเท้าคอมแบทตกน้า ตายเปลา่ แทนทจี่ ะใชส้ นบั แขง้ กบั รองเทา้ หมุ้ ขอ้ ตามวสิ ยั ทหารเรือสากล
ขาวนอ้ ยมาเลเซยี (มเี ขม็ ขดั ) ขาวนอ้ ยใชส้ วนสนาม กองเกยี รตยิ ศนอ้ ยดว้ ย
เสอื้ ญปี่ นุ่ เอวปลอ่ ย (ไมใ่ ชเ้ ขม็ ขดั )
ชดุ กะลาสเี ตม็ ยศ (ตดิ เหรยี ญตรา)
ชายเสอื้ กะลาสนี อกกางเกง (เปน็ เสอ้ื นอก) ใชส้ นบั แขง้
หมวกทรงแตงโม ผา้ พนั คอ รองเทา้ คอมแบทตกนา้ ตายเปลา่
นาวิกศาสตร์ 52 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕


ในสมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มกี ารยกทพั เรอื ไปทา ศกึ ทง้ั ในประเทศ และนอกประเทศ คาว่า “ทัพเรือ” จึงเป็นตานานที่มีมานานไม่เรียก “ทพั นา้ ” หรอื “ทพั ทะเล” โดยภมู ปิ ระเทศการทา งานอยา่ ง
“ทัพบก” และไม่เรียกทหารเรือว่า“ทหารน้า” หรือ “ทหารทะเล” ดังน้ัน ผู้กาหนดพิธีการ หรืองานต่าง ๆ ตอ้ งสา นกึ วา่ “ตวั เราคอื ทหารเรอื ไทย” เปน็ ทหารเรอื ทุกข้ันตอน และแต่งกายทหารเรือท่ีมีภูมิหลังมาจากเรือ และทะเล จงเปน็ ตวั ของตวั เอง
นาวิกศาสตร์ 53 ปีท่ี ๑๐๕ เล่มท่ี ๔ เมษายน ๒๕๖๕
ชดุ กะลาสรี ะดบั ชาติ ไมต่ อ้ งเพมิ่ เตมิ ผา้ พนั คอ หรอื อะไรอกี
เสอื้ กะลาสเี ทา่ กบั เสอื้ นอก ไมม่ กี ารใสเ่ สอ้ื ไวใ้ นกางเกง


ใบท้าย คนป่วยหาหมอ อาคาร?
ภายหลังอาหารเช้าในเรือหลวง จ่ายามจะ เปา่ นกหวดี เรอื ประกาศ“คนปว่ ยหาหมอ”เรอื เลก็ แตล่ ะลา อาจไม่มีหมอ หรือนายแพทย์ประจาเรือ ส่วนมากจะมี นายทหารพยาบาลหรือจ่าพยาบาลเท่านั้นเรือที่ท่าเรือ หรือฐานทัพ หากคนป่วยมีอาการเกินกาลัง พยาบาล ก็จะส่งตัวขึ้นไปยังโรงพยาบาลบนบก เรือในทะเลจะมี หมอประจาเรือหรือไม่สุดแต่ภารกิจ และสถานการณ์ ตามความจาเป็น เรือท่ีเป็นหมู่เรือ หรือลาเดียวในทะเล หา่ งไกล อาจมหี มออยใู่ นเรอื ดว้ ย มเี รอื่ งเลา่ วา่ ในกาลครงั้ หนงึ่ เรือภารกิจเปลี่ยนก๊าซกระโจมไฟ และทุ่นไฟในทะเล อนั ดามนั “ราชการครงั้ นป้ี ระมาณ๖๐วนั ”หมอประจา เรอื ขอลาออกจากราชการเมื่อเรือจบราชการ หมอคงเบื่อ หรืออย่างไรไม่ทราบ โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล ตามจงั หวดั ชายทะเลในอา่ วไทย และอนั ดามนั ในปจั จบุ นั ชว่ ยเหลอื คนปว่ ยในทะเลไดม้ าก ประกอบกบั การสอ่ื สาร สมยั ใหม่ และเรอื บางลา มเี ฮลคิ อปเตอรอ์ า นวยใหค้ นปว่ ย ถงึ มอื หมอบนฝง่ั ถา้ จา เปน็ ไดด้ ขี นึ้ แตถ่ า้ เรอื หา่ งไกลฝง่ั มาก และหมอ “เอาไม่อยู่” เพราะสถานะคนไข้ร้ายแรงเกิน ขดี ความสามารถทางการแพทยใ์ นเรอื ผบู้ งั คบั บญั ชาหนว่ ยเรอื ก็ต้อง “ถึงไม่รู้ก็ต้องเดินไป” ตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในการฝกึ ภาคทางทะเลของหมเู่รอื ฝกึ นกั เรยี นนายเรอื (มฝ.นนร.) ในฤดรู อ้ น พ.ศ. ๒๕๑๕ ประกอบดว้ ยเรอื ๓ ลา เปน็ การเดนิ ทางตา่ งประเทศ ๔๐ วนั ผเู้ ขยี นขณะยศนาวาโท เปน็ ผบู้ งั คบั การเรอื หลวงประแส อนั เปน็ เรอื ธงของ พลเรอื ตรี ประพฒัน์จนัทวริชั(ตอ่มาทา่นเปน็ผบู้ญัชาการทหารเรอื) ผู้บัญชาการโรงเรียนนายเรือ ขณะหมู่เรือเดินทาง จากโกตากีนาบาลูของมาเลเซียตะวันออก ไปยัง เมืองเกาสงของไต้หวัน ทางขวาแลเห็นเกาะใหญ่ ปาลาวัน (Palawan) ของฟิลิปปินส์ไกล ๆ เรือลูกหมู่ ลาหน่ึงส่งวิทยุมาแจ้งว่านักเรียนคนหนึ่งมีอาการ ปวดท้องมาก ครูประพัฒน์สั่งให้หมอประจาหมู่เรือ เรือเอก วีระจิตต์ ชูจินดา (เกษียณอายุราชการยศ พลเรือเอก) ไปตรวจคนไข้ด้วยวิธีไฮท์ไลน์หมอไปยังเรือ ทค่ี นไขอ้ ยู่ เวลานนั้ คลน่ื ลมแรงพอสมควร หมอกระเดง้ ๆ อยู่ในกระเช้าท่ีแขวนอยู่กับเชือกระหว่างเรือสองลา ท่ีแล่นคู่ขนานกัน แล้วหมอส่งข่าวมายังเรือธงว่า “ไส้ติ่ง อักเสบครับ การผ่าตัดในเรือกระทาไม่ได้” ดูเหมือน หมอวีระจิตต์จะเป็นหมอศัลยกรรม เป็นอุทาหรณ์ว่า หมอราชการทะเลควรเปน็ หมอศลั ยกรรม ยงิ่ ถา้ เรอื ไปรบ มีการบาดเจ็บล้มตาย ต้องการการศัลยกรรมแน่นอน
ไฮทไ์ ลนค์ นปว่ ยหาหมอ
นาวิกศาสตร์ 54 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕


ตามกา หนดการทแี่ จง้ เกาสงไว้อกี ๒วนั จงึ จะถงึ เกาสง แต่รอไม่ได้ ครูประพัฒน์ส่ังให้ไฮท์ไลน์นาคนป่วย มายังเรือประแส แล้วเรือประแสที่มีความเร็วเดินทาง ดกี วา่ เรอื อกี ๒ ลา ใชค้ วามเรว็ สงู สดุ ไปยงั เกาสงพรอ้ มกบั ขออนุญาตทางเกาสงให้เรือเข้าก่อนกาหนด ๑ วัน และกรุณาเตรียมการรับคนไข้ที่ท่าเรือด้วย ขณะนั้น ประเทศไทยได้รับการรับรอง และมีสัมพันธไมตรีกับ ไตห้ วนั แตย่ งั ไมม่ กี บั จนี แผน่ ดนิ ใหญ่ ทางเกาสงไดจ้ ดั การให้ เรือประแสเทียบท่า และรับคนป่วยให้ไปโรงพยาบาล ตามทเี่ รารอ้ งขอ ซงึ่ เมอื่ เรอื ลกู หมู่ ๒ ลา ตามมาในวนั รงุ่ ขนึ้ ทหารเรอื ไตห้ วนั กจ็ ดั พธิ ตี อ้ นรบั หมเู่ รอื อยา่ งเปน็ ทางการ นอกจากนี้ยังจัดเครื่องบินรับผู้บังคับหมู่เรือฝึกนักเรียน นายเรือ ผู้บังคับการเรือ และนายทหารประจาหมู่เรือ เดนิทางจากเกาสงไปเยยี่มคานบัผใู้หญก่ระทรวงกลาโหม ท่ีกรุงไทเป และไปท่ีโรงเรียนนายเรือไต้หวันในเกาสง ท่ีจัดการสวนสนามเป็นเกียรติแก่หมู่เรือ สังเกตได้ว่า ไดร้ บั การรบั รองเปน็ อยา่ งดจี ากไตห้ วนั เพราะประเทศไทย ไม่มีสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนในขณะน้ัน และ มฝ.นนร. เปน็ เรอื รบไทยชดุ สดุ ทา้ ยทเ่ี ยย่ี มเยอื นไตห้ วนั เพราะตอ่ มา ไทยเรมิ่ มสี มั พนั ธไมตรกี บั จนี แทนไตห้ วนั ใน พ.ศ. ๒๕๑๖ ภายหลังเรือหลวงเยือนเกาสงเพียงปีเดียว
จากเกาสง หมเู่ รอื เดนิ ทางลงใตม้ ายงั บรไู นตามแผน ขณะเรือผ่านเกาะใหญ่ของฟิลิปปินส์ทางซ้าย เรือลูกหมู่ อีกลารายงานยังเรือธงว่า “จ่าช่างกลปวดท้องมาก” ครูประพัฒน์ สั่งหมอวีระจิตต์ ไฮท์ไลน์ไปดูอาการ ก็เหมือนกรณีเรือไปเกาสง เรือประแสแยกขบวนเรือ ใช้ความเร็วถึงบรูไนเวลาตีสองทันส่งคนป่วยเข้ารับ การรักษาอย่างทันท่วงที การนาเรือเข้าเทียบท่าเรือ บรูไนยามดึก ระทึกใจเพราะนาร่องชาวบรูไนไม่คุ้นกับ เรือเครื่องจักรใหญ่ไอน้าให้ทางเรือนาเรือเอง หลังจาก ไฮท์ไลน์สองกรณี หมอวีระจิตตบ์ อกว่า “ต้องให้เหรียญ กล้าหาญผมนะ”
ผู้เขียนเร่ิมพบหมอทหารเรือเมื่อต้องตรวจสุขภาพ จะเข้าเป็นนักเรียนเตรียมนายเรือขณะอายุ ๑๖ ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ โรงพยาบาลทหารเรอื ในขณะนนั้ ในกรงุ เทพฯ
ดเู หมอื นจะมแี หง่ เดยี วทค่ี ลองมอญ นายแพทยใ์ หญท่ หารเรอื ทค่ี งเทยี บเทา่ เจา้ กรมแพทยท์ หารเรอื เปน็ ผรู้ บั รองการตรวจ สุขภาพว่า “ใช้ราชการได้” เป็นนักเรียนเตรียมนายเรือ ๒ ปี ในโรงเรียนไม้ข้างพระราชวังเดิม ไม่ได้เป็นคนป่วย หาหมอเลย แต่เม่ือขึ้นเป็นนักเรียนนายเรือ ซึ่งโรงเรียน อยู่ท่ีเกล็ดแก้ว อาเภอสัตหีบ ต้องหาหมอนอนโรงหมอ ด้วยไข้มาลาเรีย หมอรักษาไข้ด้วยยาน้าควินิน เป็นน้าใส อมสนี า้ เงนิ วบั ๆอนั นา่ สะพรงึ กลวั เพราะยาขมมากตอ้ งตง้ั สมาธิก่อนกินยา เพ่ือน ๆ เป็นไข้ชนิดนี้กันหลายคน ข ณ ะ อ ย ท่ ู เ่ ี ก ล ด็ แ ก ว้ ๒ ป ี โ ร ง เ ร ยี น ไ ด ย้ า้ ย ม า อ ย ท่ ู ี ่ ต า บ ล ป า ก น า้ จังหวัดสมุทรปราการ จึงพ้นภัยไข้มาลาเรียกันมาได้ อย่างไรก็ตามเม่ือไปเรียนหลักสูตร “ทหารร่มและ การรบพิเศษ” พ.ศ. ๒๕๐๕ ขณะเป็นเรือเอกอยู่ในป่าท่ี ลาน้าเข็กน้อยจังหวัดเพชรบูรณ์ปัญหาการฝึกสุดท้าย ๗๒ ชวั่ โมง เดนิ ออกมาจากปา่ ตามรายการฝกึ ไปขน้ึ รถไฟ ที่สถานีพิษณุโลก เพ่ือเดินทางกลับจังหวัดลพบุรี ฝืนเดินจนข้ึนไปนอนบนรถไฟ มีนายสิบเสนารักษ์ ใช้ผ้าชุบน้าเช็ดตัวเช็ดหน้าให้จนถึงลพบุรี เข้านอน ในโรงพยาบาลเพราะไข้มาลาเรีย เคราะห์ดีที่ไข้กิน เม่ือจบหลักสูตรพอดี ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๒๒-๒๕๒๕ ขณะเป็นนาวาเอก ในฐานะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร และฝ่ายทหารเรือณสถานเอกอคัรราชทตูกรงุนวิเดลี ประเทศอินเดีย ไข้มาลาเรียกินอีกครั้งหน่ึงก็ต้อง หาหมอแขก ดีที่ว่าการแพทย์อินเดียคุ้นเคยกับไข้ ชนิดนี้เหมือนเมืองไทย เลยรอดตัวไป เล่ากันว่า ฝรั่งอังกฤษคนหน่ึงอยู่ที่อินเดียติดไข้มาลาเรียแล้วกลับ อังกฤษไปรักษาไข้แต่ก็ตายไป
สาหรับการรับราชการในวัยหนุ่มไม่ต้องหาหมอ มากนักเพราะภูมิคุ้มกันดี แต่เม่ือแก่ตัวขึ้นก็หาหมอ มากข้ึน รู้จักหมอมากคนข้ึน บางโอกาส “หมอมาหา” เช่น ก่อนเกษียณอายุราชการ ๑ ปี ได้รับเชิญร่วมพิธี เปิดตึกกองบังคับการกรมแพทย์ทหารเรือหลังใหม่ใน พ.ศ. ๒๕๓๕ ภายหลังพิธีเปิดมีการบรรเลงเพลงประโคม โดยวงดนตรไี ทยของนกั เรยี นพยาบาลทหารเรอื แลว้ ผรู้ ว่ มพธิ ี ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกันที่โต๊ะอาหาร ผู้เขียน
นาวิกศาสตร์ 55 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕


คุยกับหมอดิเรก ภักดี (เกษียณราชการยศพลเรือเอก) ผู้เคยเรียนท่ีโรงเรียนเสนาธิการทหารเรือ และวิทยาลัย การทพั เรอื มาดว้ ยกนั วา่ “เมอื่ กว้ี งดนตรบี รรเลงเพลงมหาชยั ” หมอดิเรกว่า “ไม่ใช่น่า” หมออานวย ชูโต ท่ีคุ้นเคยกันดี พดู วา่ “เดยี๋ วๆผมเคยเดนิ ผา่ นโรงเรยี นพยาบาลทหารเรอื ได้ยินเขาซ้อมดนตรีเป็นเพลงมหาชัยเหมือนกัน”
ท่ีมีความรู้สึกระลึกเรื่องเพลงน้ีก็เพราะเมื่อเป็น ผู้บังคับการเรือหลวงประแส ยิงสลุตให้ จอมพล ถนอม กติ ตขิ จร ทจี่ ะมาขนึ้ เรอื ในโอกาสทที่ า่ นมาเยยี่ มเยอื นสตั หบี เปดิ ขอ้ บงั คบั วา่ ดว้ ยการยงิ สลตุ และถา้ มกี ารบรรเลงเพลง เป็นเกียรติแก่ท่านด้วย ต้องเป็นเพลง “มหาชัย” สาหรับ นายทหารยศจอมพล เพลง “มหาฤกษ”์ สา หรบั นายทหาร ยศอื่น แล้วก็จาเรื่องเพลงน้ีตลอดมา อย่างไรก็ดีจะเป็น เพลงใดกต็ าม กเ็ ปน็ ทงั้ “ฤกษ”์ และ “ชยั ” แกต่ กึ หลงั ใหม่ ของการแพทย์ทหารเรือไทยท่ีอยู่ในอาณาบริเวณของ โรงพยาบาลสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้ พร.ทสี่ า เหร่ เมอื่ ไปหาหมอท่ี
นาวิกศาสตร์ 56 ปีที่ ๑๐๕ เล่มท่ี ๔ เมษายน ๒๕๖๕
โรงพยาบาลตามระยะเวลาทห่ี มอนดั กเ็ หน็ อาคารเกดิ ใหม่ เพ่ิมข้ึนตลอด โดยมีชื่ออาคารตามนิมิตท่ีเกิดขึ้น เช่น อาคารเฉลมิ พระเกยี รตฯิ อาศรมหมอพร อาคารทเี่ ปน็ ชอื่ อดีตผู้บังคับบัญชากองทัพเรือ ฯลฯ แต่อาคารหลังใหญ่ สง่างามริมถนนใหญ่ไม่มีชื่ออาคาร มีแต่ช่ือโรงพยาบาล ถามไถ่คนของโรงพยาบาลว่าอาคารน้ีชื่ออะไร? เขาตอบ ชอ่ื เปน็ ภาษาแขก กค็ ดิ วา่ นา่ จะเปน็ ภาษาไทย และนกึ ถงึ เรือ คนเรือ ทะเล และจ่ายามเป่านกหวีดประกาศ “คนปว่ ยหาหมอ” คา ประกาศนม้ี มี าตงั้ แตส่ มยั ใด ใครคดิ ขนึ้ ไมท่ ราบได้ ทอี่ าจมมี าตงั้ แตค่ รงั้ หมอฝรงั่ เปน็ นายแพทยใ์ หญ่ ทหารเรอื กเ็ ปน็ ได้ แตค่ นคดิ คา นคี้ งเปน็ คนไทยแนน่ อน โดย เอาคา ไทย ๆ เขา้ ใจงา่ ย และกะทดั รดั หากเอาคา อนื่ มาใช้ เ ช น่ “ ค น ป ว่ ย ห า แ พ ท ย ”์ ก ฟ็ งั แ ป ร ง่ ๆ ไ ม เ่ น ยี น ห ู อ า ค า ร เ ด น่ เปน็ สงา่ เปน็ ดา่ นหนา้ รบั คนไขข้ องโรงพยาบาลทส่ี า เหรช่ อื่ “อาคารคนป่วยหาหมอ” ดีไหม? ปล. เรื่องนี้เปลี่ยนช่ือ “ชักใบให้เรือเสีย” ก็เป็นได้
อาคารคนปว่ ยหาหมอ


เรอื่ งทเี่ปน็ กระแสรอ้ นแรงทสี่ ดุ เรอื่ งนี้เมอื่ิ ปี๒๕๖๔นอกจากสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของเชอื้ ไวรสั โคโรนา๒๐๑๙ หรือโควิด-๑๙ แล้ว คงหนีไม่พ้นการยึดอานาจของกลุ่มตาลีบันในประเทศอัฟกานิสถาน ในบทความนี้จะขอสรุป เหตุการณ์อย่างสั้น ๆ ว่า มีจุดเริ่มต้นอย่างไร แล้วทาไมสหรัฐอเมริกาที่คอยสนับสนุนด้านต่าง ๆ มาตลอดเกือบ ๒๐ ปี ต้องถอนกา ลังทหารออกไป จนทาให้กลุ่มตาลีบันกลับมายึดอา นาจประเทศอัฟกานิสถานได้อีกครั้ง
อัฟกานิสถานเป็นประเทศที่มีภูมิประเทศที่มีลักษณะเด่นคือ มีภูเขาสูงสลับซับซ้อนกระจายทั้งประเทศ เคยมี ประเทศมหาอานาจหลายประเทศสามารถใช้กาลังเข้ายึด และควบคุมรัฐบาลได้ภายในเวลาอันสั้น แต่จะยึด หรอื ควบคมุ ไดค้ รอบคลมุ ทงั้ ประเทศนนั้ กระทา ไดย้ าก นอกจากนี้ ในดา้ นการพฒั นาประเทศกท็ า ไดย้ ากเชน่ กนั เนอื่ งจาก ภูมิประเทศที่มีภูเขาสูงสลับซับซ้อนกระจายทั้งประเทศ ทาให้การคมนาคมเข้าถึงค่อนข้างลาบาก ความเจริญและ การพัฒนาจึงกระจายได้ไม่ทั่วถึง ทาให้ผู้คนมักอยู่กันเป็นกลุ่มก้อน หรือลักษณะชนเผ่าที่เชื่อฟังหัวหน้าเผ่า (Warlord) ไม่ได้มีความรู้สึกร่วมกันในฐานะประเทศมากนัก แต่ในอีกด้านหนึ่งการมีภูมิประเทศลักษณะนี้ทาให้ประชาชนกลับมี พื้นฐานที่ค่อนข้างแข็งแกร่งทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ เนื่องจากต้องร่วมกันต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของเผ่า หรือ กลมุ่ อฟั กานสิ ถานเคยมกี ษตั รยิ ป์ กครองมากอ่ นชอื่ ราชวงศ์
บารคั ไซ (Barakzai) ราชวงศน์ มี้ กี ารคอรร์ ปั ชนั คอ่ นขา้ งมาก
ทาให้ประชาชนต่อต้าน จนทาให้เกิดการโค่นล้มราชวงศ์ใน
ค.ศ.๑๙๗๓โดยกลมุ่ พรรคคอมมวิ นสิ ตอ์ ฟั กานสิ ถานและได้
นรู ์มฮู มั หมดั ตะรากี(NurMuhammadTaraki)นกั สงั คมนยิ ม
ขนึ้ มาเปน็ ผนู้ า ทมี่ แี นวความคดิ โนม้ เอยี งไปทางสหภาพโซเวยี ต
ซงึ่ ขณะนนั้ ตอ้ งการแผล่ ทั ธคิ อมมวิ นสิ ต์ แตไ่ มน่ านภายในกลมุ่
ก็ทะเลาะกันจนเกิดการแตกแยกกันเอง รวมถึงมีการกดขี่
ชาวบา้ นจนประชาชนเรติ่ อ่ ตา้ น และมกี ารฆา่ กนั ไปมาจนได้
ผนู้ า คนใหมค่ อื ฮาฟซิ ลุ ลาห์ อามนิ (Hafizullah Amin) ทมี่ ี
แนวคดิ ชาตนิ ยิ ม และตอ่ ตา้ นแนวทางลทั ธคิ อมมวิ นสิ ตข์ องสหภาพโซเวยี ต ทา ใหส้ หภาพโซเวยี ตตัดสินใจส่งกาลังทหาร เข้ามาในอัฟกานิสถาน ซึ่งใช้เวลา ๓ วันเท่านั้นก็สามารถยึดอานาจรัฐบาลได้สาเร็จ
เมื่อสหภาพโซเวียตเข้ามาก็ได้สังหาร ฮาฟิซุลลาห์ อามิน แล้วตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดขึ้น แต่ยังคงทิ้งกา ลังทหารไว้เพื่อ คานอานาจรัฐบาลอัฟกานิสถาน ตอนนั้นสหภาพโซเวียตก็ค่อนข้างให้ความสนใจกับประเทศอิหร่านด้วย เนื่องจาก
นาวิกศาสตร์ 57 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕


แผนที่แสดงลักษณะภูมิประเทศของประเทศอัฟกานิสถาน
มกี ารปฏวิ ตั อิ สิ ลามอหิ รา่ น ซง่ึ มกี ารลม้ ราชวงศท์ น่ี ยิ มตะวนั ตกมาเปน็ รฐั บาลอสิ ลามทตี่ อ่ ตา้ นสหรฐั อเมรกิ า ทา ใหช้ าวมสุ ลมิ ทว่ั ตะวนั ออกกลางมคี วามรสู้ กึ รว่ มและมองวา่ ไมจ่ า เปน็ ตอ้ งใหก้ ษตั รยิ ท์ คี่ อ่ นขา้ งกดขปี่ ระชาชนและรา่ รวยอยกู่ ลมุ่ เดยี ว ข้ึนปกครองประเทศ ชาวบ้านก็สามารถปกครองได้ จึงเกิดกระแสอยากจะปกครองตัวเองโดยการใช้กฎหมายอิสลาม แทนกษัตริย์ตะวันออกกลางบ้าง ทาให้ใน ค.ศ. ๑๙๗๙ ประชาชนอัฟกานิสถานส่วนหนึ่งที่ไม่ต้องการถูกยึดครองโดย สหภาพโซเวียต ได้จัดตั้งทหารแบบกองโจรขึ้นมาในชื่อกลุ่มมูจาฮีดีน (Mujahedin) หรือกลุ่มผู้ต่อสู้เพื่อศาสนา
เม่ือกลุ่มมูจาฮีดีนได้รวบรวมคนที่มีแนวความคิดต่อต้านสหภาพโซเวียตที่ปกครองค่อนข้างโหดร้าย และผิดหลัก อิสลามข้ึนมา สหรัฐอเมริกาก็เห็นโอกาสท่ีจะทาให้สหภาพโซเวียตต้องเปิดแนวรบในสงครามตัวแทนเพ่ิมอีกหนึ่งแห่ง เพอื่ ใหส้ หภาพโซเวยี ตพงั จากภายใน เชน่ เดยี วกบั ทส่ี หรฐั อเมรกิ าตอ้ งสญู เสยี สภาพคลอ่ งทางเศรษฐกจิ และความนยิ ม ของประชาชนจากสงครามเวียดนาม จึงสนับสนุนกลุ่มมูจาฮีดีนในอัฟกานิสถานเพื่อโค่นล้มกองกาลังสหภาพโซเวียต ในอัฟกานิสถาน
กระแสในอฟั กานสิ ถานทา ใหเ้ กดิ กระแส ญิฮาดสากล (Jihad) ที่มองว่ามุสลิมนั้น ยิ่งใหญ่ แต่ที่ผ่านมามักจะแตกคอกัน จนถูกประเทศอื่นปกครอง การรวมเป็น หนึ่งเดียวกันจะนาพามุสลิมหลุดพ้น จากการถูกกดขี่ และกลับมายิ่งใหญ่ได้ ซง่ึ แทจ้ รงิ แลว้ เปน็ การบดิ เบอื นหลกั ศาสนา มาเพอ่ื ผลทางการเมอื ง แตก่ ท็ า ใหม้ สุ ลมิ รวม กนั และเขา้ ไปชว่ ยเหลอื มสุ ลมิ ดว้ ยกนั เองจน สาเร็จ ในกรณีนี้คือในอัฟกานิสถาน
นาวิกศาสตร์ 58 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕
กลุ่มมูจาฮีดีนได้รับการสนับสนุนอาวุธต่อสู้อากาศยานแบบประทับบ่า (Stinger) จากสหรัฐอเมริกา


แม้ว่าสหภาพโซเวียตได้ใช้กาลังทหารปราบปรามอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่สามารถรบชนะได้อย่างเบ็ดเสร็จ แม้จะรู้ ทตี่ งั้ หนว่ ยของมจู าฮดี นี วา่ อยใู่ นหบุ เขา และไดส้ ง่ กา ลงั ทหารหนว่ ยรบพเิ ศษเขา้ ไปกไ็ มส่ ามารถตนี กั รบมจู าฮดี นี ใหแ้ ตกได้ ซึ่งกลุ่มมูจาฮีดินในอัฟกานิสถานนี้เองได้ทาให้ อุซามะฮ์ บิน ลาดิน (Osama Bin Laden) ซึ่งเป็นชาวซาอุดิอาระเบีย เริ่มสร้างชื่อเสียงขึ้น เพราะเขาได้เดินทางเข้ามาช่วยอัฟกานิสถานรบกับสหภาพโซเวียต ซึ่งสหรัฐอเมริกาก็ได้ให้การ สนับสนุนเขาเช่นกัน
สงครามในอัฟกานิสถานทาให้สหภาพโซเวียตเศรษฐกิจทรุดลงไปมากเนื่องจากสถานการณ์บานปลาย และ ไม่มีท่าทีจะสาเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ได้วางไว้ ทาให้ต้องใช้งบประมาณในการดารงสภาพกาลังทหารค่อนข้างมาก จนประธานาธิบดี มิคาเอล กอบาชอฟ (Mikhail Gorbachev) ตัดสินใจถอนกาลังทหารโซเวียตออกจากอัฟกานิสถาน ใน ค.ศ. ๑๙๘๙ ก่อนที่สหภาพโซเวียตจะล่มสลายใน ค.ศ. ๑๙๙๑ รัฐบาลอัฟกานิสถานก็ไม่ได้รับการสนับสนุน จากสหภาพโซเวียต หรือรัสเซียอีกเลยนับจากนั้น รัฐบาลอัฟกานิสถานจึงยอมถอย และเชิญผู้นากลุ่มมูจาฮีดินขึ้นมา เป็นประธานาธิบดี แต่หลังจากนั้นมูจาฮีดินก็แตกแยกกันเองเป็นหลายกลุ่มตามแต่แนวทางความเชื่อของตัวเอง บางกลมุ่ อยากใหป้ ระเทศเจรญิ เหมอื นชาตติ ะวนั ตก แตบ่ างกลมุ่ กอ็ ยากใหก้ ลายเปน็ รฐั อสิ ลามอยา่ งเครง่ ครดั จนทา ให้ อัฟกานิสถานในยุคนี้กลายเป็นยุคที่กลุ่มต่าง ๆ รบกันเอง
ใน ค.ศ. ๑๙๙๔ กลุ่มติดอาวุธ “ตาลีบัน” ถูกก่อตั้งขึ้นมาโดยคนตั้งกลุ่มมีชื่อว่า มุลเลาะห์ โมฮัมเหม็ด โอมาร์ (Mullah Mohammed Omar) หนงึ่ ในทหารมจู าฮดี นี ทที่ นการกดขโี่ ดยเฉพาะประเพณกี ารขม่ ขนื เดก็ ชาย (Bacha bazi) ไม่ได้ และมองว่าการปกครองของรัฐบาลอัฟกานิสถานนั้นมีการกดขี่ เอาเปรียบประชาชน และปฏิบัติตัวไม่ถูกต้อง ตามหลักศาสนาอิสลาม จึงก่อตั้งกลุ่มที่นิยมอิสลามอย่างเคร่งครัดซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประชาชนค่อนข้างมาก เนื่องจากประชาชนเบื่อหน่ายรัฐบาล โดยตาลีบันเริ่มก่อตั้งจากเมืองกันดะฮาร์ (Kandahar) และสามารถยึด ๑๒ จงั หวดั ภาคใตไ้ ดอ้ ยา่ งรวดเรว็ โดยแทบไมต่ อ้ งรบ เพราะตาลบี นั ดกี บั ชาวบา้ นมากกวา่ พวกกลมุ่ มจู าฮดี นี และทา ให้ ตาลีบันสามารถรบจนยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ของอัฟกานิสถานได้
แต่เมื่อปกครองประเทศแล้วตาลีบันมีแนวคิดเคร่งศาสนาอิสลามและชาตินิยมสูง แต่ค่อนข้างเอาใจชาติพันธุ์ บางชาติพันธุ์มากเกินไป ตาลีบันใช้กฎที่เคร่งครัด ห้ามมีโรงหนัง ห้ามมีสิ่งบันเทิง ห้ามติดรูปที่บ้าน ผู้หญิงเป็นพลเมือง ชั้นสองที่ห้ามมีบทบาททางสังคม กดขี่มุสลิมชีอะห์ที่เป็นนิกายตรงข้าม เลือกปฏิบัติกับผู้นับถือศาสนาอื่นที่ต้องติด สัญลักษณ์ระบุศาสนาซึ่งไม่ต่างจากชาวยิวในยุคสงครามโลก และมีตารวจศาสนาคอยปราบปราม ทาให้ประชาชนเริ่ม ไม่สนับสนุนตาลีบัน
ไม่เพียงแค่ตีกรอบเพศหญิงอย่างเข้มงวด เทา่ นนั้ แตผ่ ปู้ กครองทเี่ ปน็ ผชู้ าย ถา้ หากควบคมุ ลูกสาวของตัวเองไม่ได้ ก็จะมีบทลงโทษด้วย ตัวอย่างเช่น พ่อของเด็กหญิงวัย ๑๕ ปีคนหนึ่ง ที่ปล่อยให้ลูกสาวไปโรงเรียน ปรากฏว่าพ่อ คนดงั กลา่ วโดนกลมุ่ ตาลบี นั บกุ มาสงั หารถงึ บา้ น เนื่องจากมองว่าขัดต่อคาสั่งของตาลีบัน
ใน ค.ศ. ๑๙๙๖ กองทหารตาลีบันบุกยึด กรงุ คาบลู ไดส้ า เรจ็ พรอ้ มประกาศจะเปลย่ี นชอื่ ประเทศอัฟกานิสถาน เป็น อิสลามิคเอมิเรตส์
การแต่งกายของผู้หญิงในยุคตาลีบันปกครอง
นาวิกศาสตร์ 59 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕


(Islamic Emirate of Afghanistan) จากนั้น กฎหมายอสิ ลามอนั เขม้ งวดกเ็ รมิ่ ถกู ใชต้ งั้ แตว่ นั นนั้ ส่วนในอีกด้านหนึ่ง อุซามะฮ์ บิน ลาดิน (Osama Bin Laden) ที่เคยร่วมกับกลุ่ม มูจาฮีดีนรบชนะอัฟกานิสถานมา ได้ก่อตั้ง กลุ่มอัลกออิดะฮ์ (Al-Qaeda) เพื่อต่อสู้ เพื่อมุสลิมที่ถูกกดขี่ ได้เดินทางไปหลาย ๆ ที่ เพื่อปลดปล่อยมุสลิมที่ถูกกดขี่ และเรม่ิ ตอ่ ตา้ น สหรัฐอเมริกา เพราะมองว่าสหรัฐอเมริกา จรงิ ๆแลว้ เปน็ ผรู้ า้ ยของโลกและใหก้ ารสนบั สนนุ อิสราเอลมากดขี่ชาวมุสลิมจึงมีแนวความคิด
การยึดกรุงคาบูลของตาลีบัน ค.ศ. ๑๙๙๖
ที่จะสร้างประเทศอิสลามขึ้นมาใหม่ และทาลายเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเพ่ือให้สหรัฐอเมริกาล่มสลายเหมือนที่ สหภาพโซเวียตได้เคยล่มสลาย จนทาให้สหรัฐอเมริกาต้องถอนตัวออกจากตะวันออกกลางซ่ึงวิธีการท่ีใช้ คือการก่อการร้าย เนื่องจากเป็นการลงทุนท่ีน้อยแต่ได้ผลทางจิตวิทยาสูง และสามารถกระทาได้ในหลายพ้ืนที่ เพื่อให้สหรัฐอเมริกา แบ่งกาลังหลายฝ่ายเข้ามาจัดการ ซ่ึงจะใช้งบประมาณมากจนเศรษฐกิจพัง และจะฉวยโอกาส ในการสร้างรัฐอิสลามขึ้นมา โดยมีเหตุการณ์ 9/11 หรือการจ้ีเคร่ืองบินเพ่ือพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (World Trade Center) และเพนตากอน (Pentagon) เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นซ่ึงหลังจากน้ันก็เป็นจริงตามท่ี อุซามะฮ์ บิน ลาดิน ได้วางแผนไว้เพราะสหรัฐอเมริกาต้องส่งกาลังทหารเข้าสู้รบในหลาย ๆ สมรภูมิท่ีเกี่ยวข้องกับ การก่อการร้าย
โดยหลงั จากเกดิ เหตกุ ารณ์ 9/11 บนิ ลาดนิ ไดห้ ลบหนมี าซอ่ นตวั อยทู่ อี่ ฟั กานสิ ถาน ภายใตก้ ารคมุ้ ครองของตาลบี นั โดยมีการวิเคราะห์กันว่ากลุ่มอัลกออิดะฮ์กับตาลีบันมีความสัมพันธ์ต่อกันในฐานะกองทหารอิสลาม (Islamist Militant Group) เมื่อสหรัฐอเมริกาสืบทราบว่า บิน ลาดิน อยู่ในอัฟกานิสถาน จึงประกาศให้ตาลีบันส่งตัว บิน ลาดิน มาให้ แต่ตาลีบันปฏิเสธทาให้ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช (George Walker Bush) ประกาศชัดเจนว่า “ตาลีบันต้องชดใช้กับเร่ืองนี้”
วันท่ี ๗ ตุลาคม ค.ศ. ๒๐๐๑ สหรัฐอเมริการ่วมกับสหราชอาณาจักร บุกโจมตีตาลีบันอย่างรวดเร็ว มีการใช้เคร่ืองบินทิ้งระเบิด ทาลายท่ีม่ันของตาลีบันท่ัวประเทศ และสุดท้ายใช้ระยะเวลาการรบแค่ ๑ เดือนเท่าน้ัน ตาลีบันก็แตกพ่าย ขณะที่ บิน ลาดิน ก็หนีออกจากอัฟกานิสถานไปกบดานที่ปากีสถานแทน
เมื่อตาลีบันแตกพ่ายแล้ว สหรัฐอเมริกาได้ช่วยประคองให้อัฟกานิสถานมีรัฐบาลใหม่ขึ้นมาได้ ก่อนที่จะ ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ได้สาเร็จใน ค.ศ. ๒๐๐๔ และมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นโดย นายฮามิด คาร์ไซ (Hamid Karzai) ได้ข้ึนมาเป็นประธานาธิบดีปกครองประเทศแทน
สถานการณ์บ้านเมืองก็เดินหน้าต่อไป เมื่อสงครามยุติอัฟกานิสถานก็ทามาค้าขายมีเงินเข้าประเทศมากข้ึน รายงานใน ค.ศ. ๒๐๐๔ ระบุว่าเศรษฐกิจโตข้ึนถึง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ หากเทียบจากปีก่อน และทิศทางมีแนวโน้มว่า จะดีขึ้นเร่ือย ๆ
อย่างไรก็ตาม ตาลีบันที่แตกพ่ายไปนานแล้วได้รวมตัวกันอีกครั้งเพื่อสร้างอาณาจักรของตัวเอง โดยมีจุดประสงค์ ที่จะนาประเทศปกครองด้วยแนวทางอิสลามบริสุทธ์ิ (Pure Islamic Society) ให้ได้ ไม่มีรายงานว่าพวกเขาสามารถ
นาวิกศาสตร์ 60 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕


นาวิกโยธินสหรัฐอเมริกา ขณะปฏิบัติภารกิจในอัฟกานิสถาน ค.ศ. ๒๐๐๑
นาวิกโยธินสหรัฐอเมริกา ขณะฝึกให้กับทหารอัฟกานิสถาน
สะสมอาวธุ ไดจ้ ากประเทศใด หรอื กลมุ่ ใดไดใ้ หก้ ารสนบั สนนุ ทางทหาร แตก่ ลมุ่ ตาลบี นั มอี าวธุ ครบมอื มากขนึ้ พรอ้ มทงั้ มกี ระบวนการฝกึ ทหารอยา่ งเปน็ รปู เปน็ รา่ ง และเมอื่ ไดก้ องกา ลงั ทแี่ ขง็ แกรง่ มากพอแลว้ กลมุ่ ตาลบี นั จงึ เรมิ่ ทา สงคราม กับรัฐบาลอัฟกานิสถาน
ตาลบี นั พยายามปน่ั ปว่ นอฟั กานสิ ถานอยเู่ ปน็ ระยะ ๆ เพอื่ ยดึ ครองประเทศใหไ้ ด้ แตพ่ วกเขายงั สามารถทา ไดล้ า บาก เนื่องจากอัฟกานิสถานยังมีสหรัฐอเมริกาคอยหนุนหลังอยู่ด้วยพลังอาวุธที่เหนือชั้นกว่ากันมาก ทาให้การยึดครอง ของตาลีบันไม่เป็นผล ได้แต่สร้างความปั่นป่วนอยู่เรื่อย ๆ เป็นเวลาหลายปี
สาหรับประชาชนทั่วไปก็ไม่ได้ชื่นชอบตาลีบันนักโดยเฉพาะเพศหญิง เพราะรู้ว่าถ้าตาลีบันได้มีโอกาสกลับมา ปกครองประเทศสทิ ธสิ ตรจี ะหายไปทนั ทีโดยมลู นธิ เิอเชยี (AsiaFoundation)เคยไปสอบถามประชาชนอฟั กานสิ ถานวา่ เหน็ ดว้ ยกบั แนวทางของตาลบี นั หรอื ไม่มถี งึ ๘๕เปอรเ์ซน็ ต์ทรี่ ะบวุ า่ ไมอ่ ยากใหต้ าลบี นั ขน้ึ มาปกครองประเทศแตต่ าลบี นั ใช้กลยุทธ์ในการต่อสู้คือ การก่อกวนในระยะยาว พวกเขายื้อไปเรื่อย ๆ เก็บสะสมกองกาลังทหารของตัวเองเอาไว้ รอสักวัน ฝั่งอัฟกานิสถานอ่อนแรงเมื่อไหร่ก็พร้อมบุกโจมตีในคราวเดียว
นาวิกศาสตร์ 61 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕


สหรัฐอเมริกาก็พยายามพัฒนาประเทศอัฟกานิสถานในแบบสหรัฐอเมริกา มีการวางโครงสร้างการเมือง การเลือกตั้ง การศึกษา แต่สหรัฐอเมริกาก็ยังขาดความเข้าใจประชาชน ยิ่งไปกว่านั้นรัฐบาลที่ได้จัดตั้งขึ้นก็มี การคอร์รัปชันค่อนข้างมาก รวมถึงมีการกดขี่ประชาชน ทาให้ประชาชนไม่ค่อยสนับสนุน เมื่อรัฐบาลพยายามปรับ นโยบายเพื่อซื้อใจหัวหน้าชนเผ่าต่าง ๆ แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นเสริมกาลังให้เผ่าต่าง ๆ เข้มแข็งขึ้นมาทัดเทียม รฐั บาล ทา ใหแ้ ทนทจี่ ะเกดิ การรวมชาตกิ ลบั กลายเปน็ แบง่ แยกกนั และไมม่ ใี ครเชอื่ มนั่ รฐั บาลกลาง รฐั บาลสหรฐั อเมรกิ า จึงประเมินว่าภารกิจความสงบในอัฟกานิสถานนั้นยากที่จะประสบความสาเร็จ และเริ่มคิดว่าไม่คุ้มค่าที่จะทาสงคราม
ต่อไปในที่สุดวันนั้นก็มาถึง ประชาชนสหรัฐอเมริกาเริ่มไม่เข้าใจว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะพยายามคอยอยู่สร้าง สันติภาพในอัฟกานิสถานไปถึงไหน ในช่วงระหว่าง ค.ศ. ๒๐๐๑-๒๐๒๐ สหรัฐอเมริกาใช้เงินไปกับสงครามครั้งนี้ ทั้งปกป้องคนอัฟกานิสถาน และต่อสู้กับตาลีบัน รวมแล้วเป็นเงิน ๘๑๕,๗๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และใช้ เงินสาหรับสร้างสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ที่โดนทาลายจากสงคราม เป็นเงินอีก ๑๓๐,๕๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมแล้วเป็นเงิน ๙๔๖,๒๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถ้าแปลงเป็นเงินไทยก็เท่ากับ ๓๑ ล้านล้านบาท ซึ่งทั้งหมดนี้ คือภาษีของคนสหรัฐอเมริกา และไม่ใช่แค่เงินยังมีทหารในสหรัฐอเมริกาท่ีเสียชีวิตที่อัฟกานิสถานอีกจานวน ๒,๓๕๕ นาย
นาวิกโยธินสหรัฐอเมริกา ในขณะปฏิบัติภารกิจยิงสนับสนุนด้วยปืนใหญ่สนามแบบ M777 ณ เมือง Heral
คา ถามจงึ เกดิ ขนึ้ กบั ประชาชนวา่ ในเมอื่ สหรฐั อเมรกิ าสามารถสงั หาร บนิ ลาดนิ ไดแ้ ลว้ และกอ็ ยชู่ ว่ ยอฟั กานสิ ถาน มาเกือบจะ ๒๐ ปีแล้ว จาเป็นต้องช่วยปกป้องไปอีกนานแค่ไหน ต้องใช้ทรัพยากรทั้งเงิน ทั้งคน ไปกับอัฟกานิสถาน อีกทาไม ในเมื่อไม่ได้ประโยชน์อะไรกลับมาสู่ประเทศ
สิ่งที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกากังวลคือ ถ้ากองทัพสหรัฐอเมริกาถอนตัวออกไปจากอัฟกานิสถานแล้ว กาลังทหารของ อัฟกานิสถานจะไม่สามารถต้านทานตาลีบันได้เลย เพราะในขณะที่รัฐบาลอัฟกานิสถานพยายามพัฒนาประเทศใน ด้านต่าง ๆ แต่ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันภายในได้ทาให้โครงสร้างด้านความมั่นคงต่าง ๆ อ่อนแอไม่สามารถป้องกัน ตนเองได้ ทหารอยใู่ นสภาพไมพ่ รอ้ มรบ ในขณะทกี่ ลมุ่ ตาลบี นั ไดม้ กี ารเตรยี มกา ลงั สะสมอาวธุ ตา่ ง ๆ โดยมที หารพรอ้ มรบ มากกว่า ๘๕,๐๐๐ คน คือ ถ้าถอนตัวออกไปก็ไม่ต่างอะไรกับการรอเวลาให้อัฟกานิสถานถูกยึด
นาวิกศาสตร์ 62 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕


อยา่ งไรกต็ าม ในตอนทมี่ กี ารหาเสยี งเลอื กตงั้ ประธานาธบิ ดสี หรฐั อเมรกิ านนั้ นายโจ ไบเดน (Joseph Robinette Biden, Jr.) ได้ประกาศไว้อย่างชัดเจนตอนหาเสียงว่า เขาจะจบสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด (End the forever wars) ซึ่งเมื่อชนะการเลือกตั้ง ไบเดนก็ได้ทาตามที่พูดไว้โดยในวันที่ ๑๔ เมษายน ค.ศ. ๒๐๒๑ ไบเดนได้กล่าวว่าจะถอน ทหารสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศนาโต้ทั้งหมดออกจากอัฟกานิสถานภายในวันที่ ๑๑ กันยายน ค.ศ. ๒๐๒๑ จากนนั้ กเ็ ปน็ ภาระหนา้ ทขี่ องอฟั กานสิ ถานทจี่ ะตอ้ งดแู ลตวั เอง แตท่ า่ ทขี องนายไบเดนในเรอื่ งนไี้ มไ่ ดท้ า ใหใ้ ครตอ้ งแปลกใจ เพราะตั้งแต่ดารงตาแหน่งรองประธานาธิบดีในสมัยของประธานาธิบดี บารัค โอบามา (Barack Hussein Obama) นายไบเดนย้ามาตลอดว่าควรจากัดขอบเขตการทาสงครามอยู่แค่ภารกิจที่ต้องทาเท่านั้น รวมถึงสมัยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald John Trump) ก็ได้มีการลดกาลัง และมีแผนที่จะถอนกาลังจากอัฟกานิสถานไว้แล้ว จึงแค่สานต่อแนวทางที่ไปในทางเดียวกัน
การวางกาลังของทหารชาติต่าง ๆ ในอัฟกานิสถานก่อนถอนกาลัง
แผนของสหรัฐอเมริกาคือ ถอนทหารออกไปเรื่อย ๆ จนออกจากอัฟกานิสถานหมดทุกคนในวันที่ ๑๑ กันยายน ค.ศ. ๒๐๒๑ และเมื่อสหรัฐอเมริกาและหน่วยทหารจากกลุ่มนาโต้ต่าง ๆ ได้ทยอยถอนกาลังออกไปบางส่วนแล้วนั้น ทา ใหต้ าลบี นั ฉวยโอกาสนน้ี า กองทพั บกุ ยดึ เมอื งตา่ ง ๆ ทไี่ มม่ กี า ลงั ทหารตา่ งชาตคิ มุ้ ครองไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ โดยทรี่ ฐั บาล อัฟกานิสถานไม่สามารถต่อต้านใด ๆ ได้เลย
วันที่ ๑๓ สิงหาคม ค.ศ. ๒๐๒๑ เมืองกันดะฮาร์ (Kandahar) เมืองใหญ่อันดับ ๒ ของอัฟกานิสถานได้ถูกยึด วันรุ่งขึ้นเมืองมาซาร์-อี-ชาริฟ (Mazar E Sharif) เมืองใหญ่อันดับ ๔ ได้ถูกยึด และวันต่อมาเมืองหลวงคาบูลก็ถูกยึด ตามมา เทา่ กบั วา่ กลมุ่ ตาลบี นั ใชเ้ วลาเพยี งไมก่ ว่ี นั เทา่ นนั้ หลงั จากทท่ี หารสหรฐั อเมรกิ าเรมิ่ ออกจากประเทศ โดยไลบ่ กุ ยดึ ทุกเมืองท่ีสาคัญ ๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นาวิกศาสตร์ 63 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕


ขณะทปี่ ระธานาธบิ ดีอชั ราฟกานี(AshrafGhani)ของอฟั กานสิ ถานทมี่ าจากการเลอื กตงั้ ไดบ้ นิ หนอี อกนอกประเทศ ไปแลว้ เชน่ เดยี วกบั ประชาชนนบั แสนคนทมี่ รี ายงานวา่ ตอ้ งการหนอี อกจากประเทศเชน่ กนั เพราะไมต่ อ้ งการอยภู่ ายใต้ การปกครองของตาลบี นั โดยสหรฐั อเมรกิ าไดส้ ง่ กา ลงั ทหารกลบั เขา้ มาในอฟั กานสิ ถานในภารกจิ รกั ษาความปลอดภยั ในการอพยพกาลังทหาร และประชาชนออกจากประเทศอัฟกานิสถาน ซึ่งปรับแผนใหม่เป็นการอพยพจะเสร็จสิ้น ภายใน ๓๑ สิงหาคม ๒๐๒๑
นาวิกโยธินสหรัฐอเมริกาถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจในการอพยพกาลังพลและประชาชนหลังจากตาลีบันยึดกรุงคาบูล
ทางด้านโฆษกของตาลีบันได้รายงานว่า จะขอรับรองความปลอดภัยของประชาชน เพราะตาลีบันในยุคปัจจุบัน ไมเ่ หมอื นในอดตี อกี แลว้ อยา่ งไรกต็ ามมรี ายงานออกมาเชน่ กนั วา่ เรม่ิ มคี า สงั่ ใหบ้ รษิ ทั ตา่ ง ๆ ไลผ่ หู้ ญงิ ออกจากตา แหนง่ งานต่าง ๆ แล้ว
ล่าสุดเมื่อวันท่ี ๒๖ สิงหาคม ที่ผ่านมา ได้มีการก่อเหตุความรุนแรงโดยผู้ก่อเหตุใช้ระเบิดพลีชีพโจมตีสองคร้ัง ด้านนอกสนามบินระหว่างประเทศ กรุงคาบูลซึ่งเป็นพื้นท่ีขนถ่ายผู้อพยพ ทาให้ทหารสหรัฐอเมริกาเสียชีวิต ๑๓ นาย ประชาชนชาวอัฟกานิสถาน
๖๐ คน ภายหลังกลุ่มติดอาวุธ
ISIS-K (Islamic State of Iraq andSyriaKhorasan)หรอื กลมุ่ รฐั อสิ ลามจงั หวดั โคราซานไดอ้ อกมา อ้างว่าเป็นผู้ก่อเหตุ โดยต้องการ ตอบโต้ท้ังฝ่ายตาลีบัน และฝ่าย สหรัฐอเมริกา และได้กล่าวหา ตาลีบันว่าตาลีบันได้ละทิ้ง ญิฮาด และสนามรบเพอื่ ไปเจรจาสนั ตภิ าพ กับชาติตะวันตก
นาวิกศาสตร์ 64 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕
สภาพพื้นที่หลังจากเหตุการณ์ระเบิดบริเวณทางเข้าสนามบิน


กลมุ่ ตดิ อาวธุ ISIS-K เปน็ กลมุ่ ตดิ อาวธุ ทอ้ งถนิ่ ซงึ่ เปน็ แนวรว่ มกบั กลมุ่ ไอซสิ เคลอื่ นไหวอยใู่ นประเทศอฟั กานสิ ถาน และปากีสถาน และเป็นกลุ่มที่ได้ชื่อว่าสุดโต่ง และรุนแรงที่สุดในบรรดากลุ่มติดอาวุธญิฮาดทั้งหมดในอัฟกานิสถาน
สาหรับสถานการณ์การเมืองโลกขณะนี้เป็นที่จับตาว่า ประชาคมนานาชาติจะเลือกอยู่ฝั่งเดียวกับรัฐบาล อัฟกานิสถานเดิมที่โดนโค่นล้มไปแล้ว หรืออยู่กับรัฐบาลตาลีบัน โดยหนึ่งในประเทศที่เข้ามาอย่างรวดเร็วคือจีน โดยหวังอี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีนถ่ายรูปคู่กับ อับดุล ฆานี บาราดาร์ (Abdul Ghani Beradar) ผู้นากลุ่มตาลีบัน ที่กรุงเทียนจิน แสดงให้เห็นถึงจุดยืนของจีนที่จะไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของอัฟกานิสถาน
หวังอี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ถ่ายรูปคู่กับ อัลดุล กานี บาราดาร์ ผู้นากลุ่มตาลีบัน
และอีกหนึ่งประเด็นสาคัญที่ยังถูกพูดถึงคือ การตัดสินใจเอากองทัพออกมาจากอัฟกานิสถานของสหรัฐอเมริกา เปน็ เรอื่ งทถี่ กู ตอ้ งแลว้ หรอื ไม่ เพราะเมอ่ื สหรฐั อเมรกิ าเอากองทพั ออกมา ประชาชนอฟั กานสิ ถานกอ็ าจโดนตาลบี นั กดขี่ อีกครั้ง แต่ในอีกมุมถ้า โจ ไบเดน ไม่ยอมเอาสหรัฐอเมริกาออกมา คาถามคือ แล้วสหรัฐอเมริกาต้องใช้ภาษีประชาชน ตัวเองช่วยเหลือพวกเขาต่อไปอีกนานแค่ไหน
ณ เวลานี้ สถานการณจ์ งึ เขา้ สคู่ วามไดเ้ ปรยี บของฝง่ั ตาลบี นั ทกุ อยา่ ง และตอ้ งตดิ ตามกนั ตอ่ ไปวา่ ตาลบี นั จะเปลยี่ น อฟั กานสิ ถานใหก้ ลายเปน็ รฐั อสิ ลามทเี่ ครง่ ครดั โดยสมบรู ณแ์ บบตามทตี่ งั้ ใจไวต้ งั้ แตว่ นั แรกทกี่ อ่ ตงั้ กลมุ่ หรอื กลมุ่ ตาลบี นั จะเดินตามสมัยนิยมให้สิทธิความเท่าเทียมกับเพศหญิงเหมือนประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก และคาถามที่ฝ่ายสหรัฐอเมริกา ไม่ค่อยเปิดเผยคือ เกือบ ๒๐ ปี ที่อัฟกานิสถาน สหรัฐอเมริกาได้อะไรไปบ้าง ก็ยังเป็นเรื่องที่น่าค้นหาและติดตามต่อไป
ที่มา:
Afghanistan: Evacuations enter final stage in aftermath of deadly airport attacks - BBC News Islamic State of Iraq and the Levant - Wikipedia Afghanistan: Why can't the UK hold Kabul airport without the US? - BBC News
US troop death toll now at 13, with 18 wounded, in HKIA attack: CENTCOM (militarytimes.com)
นาวิกศาสตร์ 65 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕


ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทหารเรือไทย ที่ได้มี สว่ นรว่ มในการฝกึ ผสมASEAN-RussiaNavalExercise (ARNEX21) ระหว่าง ๒๘ พ.ย.-๓ ธ.ค. ๖๔ บรเิ วณทะเล ด้านเหนือของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีระยะทางรวมท้ังสิ้น ๖๕๑ ไมล์ทะเล การฝึกผสม ดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการรักษา ความมนั่ คงทางทะเล มงุ่ เนน้ การปอ้ งกนั และปราบปราม การกระทาผิดในทะเล รวมทั้งเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ ระหว่างกองทัพเรืออาเซียน โดยมีประเทศอินโดนีเซีย เปน็ เจา้ ภาพจดั การฝกึ สา หรบั การฝกึ ผสมในครงั้ นน้ี อกจาก กองทัพเรือในกลุ่มประเทศอาเซียนแล้ว ยังมีกองทัพเรือ ของสหพันธรัฐรัสเซียได้จัดเรือเข้าร่วมการฝึกด้วย แสดงให้เห็นถึงความสาคัญในการร่วมมือกัน และ เป็นการแสดงถึงศักยภาพความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ของกองทัพเรือในภูมิภาคอาเซียน
เรือ PANTELEYEV (ประเทศรัสเซีย)
นาวิกศาสตร์ 66 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕
เส้นทางเดินเรือทั้งหมดในการการฝึกผสม ASEAN–Russia Naval Exercise (ARNEX21)
สาหรับกาลังท่ีเข้าร่วมการฝึกนั้น ทางกองทัพเรือ ตา่ ง ๆ ในอาเซยี นไดจ้ ดั เรอื เขา้ รว่ มฝกึ ไดแ้ ก่ KRI I GUSTI NGURAH RAI (ประเทศอินโดนีเซีย) PANTELEYEV (ประเทศรัสเซีย) RSS VIGOUR (ประเทศสิงคโปร์) LY THAI TO (ประเทศเวียดนาม) KDB DARUTTAQWA (ประเทศบรูไน) KD LEKIU (ประเทศมาเลเซีย) และ UMS KING KYAN SIT THAR (ประเทศเมียนมา) โดยกองทัพเรือไทยได้มอบหมายให้ทัพเรือภาคที่ ๓


จัดเรือหลวงกระบุรีเข้าร่วมการฝึก เนื่องจากเป็นชุด เรือฟริเกตติดอาวุธปล่อยนาวิถี มีการติดต้ังระบบอาวุธ ที่ทันสมัย และสามารถปฏิบัติการร่วมกับอากาศยานได้ จงึ ทา ใหม้ คี วามเหมาะสมในการจดั เขา้ รว่ มการฝกึ ในครงั้ น้ี นอกจากนี้ยังมีกาลังทางอากาศจาก ๓ ประเทศเข้าร่วม การฝึกด้วย ได้แก่ AS565 (ประเทศอินโดนีเซีย) KA27 (ประเทศรัสเซีย) และ SUPER LYNX (ประเทศมาเลเซีย)
ก่อนการฝึกผสมจะเร่ิมขึ้นทางประเทศเจ้าภาพ (อินโดนีเซีย) ได้ดาเนินการจัดการประชุมวางแผนขั้นต้น (IPC) และการประชุมวางแผนขั้นสุดท้าย (FPC) ระหว่าง กองทัพเรือต่าง ๆ ที่เข้าร่วมการฝึกผสม วัตถุประสงค์ หลักของการจัดประชุมวางแผนก่อนการฝึกน้ัน เพ่ือให้ กองทัพเรือประเทศต่าง ๆ ได้ทราบถึงแนวทางท่ี กองทัพเรือประเทศเจ้าภาพมุ่งหวังไว้ในการฝึกร่วมผสม แลกเปลี่ยนข้อมูลการติดต่อระหว่างกองทัพเรือแต่ละ ประเทศ แบง่ มอบหนา้ ทรี่ บั ผดิ ชอบในลา ดบั การฝกึ ตา่ ง ๆ หาข้อตกลงใจร่วมกันเพ่ือป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายจาก ความสับสนในการปฏิบัติ และเพื่อให้กองทัพเรือแต่ละ ประเทศสามารถปฏิบัติได้ไปในแนวทางเดียวกัน
ภาพการประชุมก่อนการฝึก ASEAN–Russia Naval Exercise (ARNEX21)
การฝึกผสม ASEAN-Russia Naval Exercise (ARNEX21) นนั้ มกี า หนดการฝกึ และรปู แบบการฝกึ แบง่ ออกเปน็ ๒ ชว่ ง คอื ๑) การฝกึ ในทา่ เรอื (Harbor Phase) ระหว่าง ๒๘-๒๙ พ.ย. ๖๔ และ ๒) การฝึกในทะเล (Sea Phase) ระหว่าง ๓๐ พ.ย.-๓ ธ.ค. ๖๔ แต่เนื่องจาก สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส
โคโรนา-๒๐๑๙ (Covid-19) เพื่อเป็นการรักษา ระยะห่าง และลดการสัมผัสระหว่างกาลังพลของ กองทัพเรือไทยกับกาลังพลของกองทัพเรือในประเทศ อาเซยี นนนั้ ทา ใหก้ องทพั เรอื ไทย ไมไ่ ดเ้ ขา้ รว่ มชว่ งการฝกึ ในทา่ เรอื (Harbor Phase) แตส่ ามารถเขา้ รว่ มชว่ งการฝกึ ในทะเล (Sea Phase) เพราะช่วงการฝึกดังกล่าวไม่ได้มี การติดต่อหรือสัมผัสกันระหว่างบุคคล โดยช่วงการฝึก ในทะเล (Sea Phase) หัวข้อการฝึกท่ีสาคัญได้แก่
๑. การกระทาอันเป็นโจรสลัดและการปล้นเรือ ในทะเล (Sea Robbery and Piracy)
๒. การลักลอบขนยาเสพติดทางทะเล (Drug Trafficking)
๓. การลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายทางทะเล (Illegal Migration)
๔. การปฏบิ ตั กิ ารตอ่ อบุ ตั กิ ารณใ์ นทะเล (Maritime Incidents Operation)
ในการฝึกคร้ังนี้ ทัพเรือภาคที่ ๓ ได้จัดตั้งหน่วยเรือ ฝึกผสม ASEAN-Russia ทัพเรือภาคที่ ๓ (นรฝ.ทรภ.๓) ร่วมไปกับเรือหลวงกระบุรีด้วย เพื่อประสานงานและ อานวยการด้านธุรการและยุทธการต่าง ๆ โดยเรือหลวง กระบรุ เี รมิ่ ออกเดนิ ทางจากทา่ เทยี บเรอื ฐานทพั เรอื พงั งา ทัพเรือภาคที่ ๓ ใน ๓๐ พ.ย. ๖๔ ไปยังพื้นที่การฝึก บริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอ่าวเบอลาวัน (BELAWAN PORT) เกาะสุมาตรา เพื่อไปจอดเรือ ทอดสมอเตรียมพร้อมสาหรับร่วมพิธีเปิดการฝึกผสม ASEAN-Russia Naval Exercise (ARNEX21)
พิธีเปิดการฝึกร่วมผสม ASEAN-Russia Naval Exercise (ARNEX21)
นาวิกศาสตร์ 67 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕


สาหรับพิธีเปิดการฝึกผสมถูกจัดขึ้นใน ๑ ธ.ค. ๖๔ ที่ฐานทัพเรือเบอลาวัน (Belawan Naval Base) โดยมีตัวแทนจากประเทศต่างๆ ในอาเซียนเข้าร่วม พิธีเปิดที่ฐานทัพเรือ อีกทั้งผ่านทางช่องทางการ ประชุมออนไลน์ (VTC) หลังจากพิธีเปิดเสร็จส้ิน กต็ อ่ ดว้ ยพธิ กี ารตรวจพลทางเรอื (Admiral Inspection) โดยผู้บัญชาการกองเรือที่ ๑ ของประเทศอินโดนีเซีย ร่วมกับคณะผู้แทนของประเทศต่าง ๆ ที่เข้าร่วมการฝึก
การตรวจพลทางเรือ (Admiral Inspection)
การฝึกธงสัญญาณ (FLAGHOIST)
นาวิกศาสตร์ 68 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕
สาหรับการฝึกในทะเล (Sea Phase) จะใช้ระยะเวลา ประมาณ ๒ วัน โดยแบ่งช่วงการฝึกออกเป็น ๒ ช่วง คือ ๑. ช่วงทอดสมอบริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของอ่าวเบอลาวัน (BELAWAN PORT) เกาะสุมาตรา ใน ๑ ธ.ค. ๖๔ มลี า ดบั การฝกึ ตา่ ง ๆ ดงั นี้ การตดิ ตอ่ สอ่ื สาร (COMMUNICATION CHECK) การฝึกธงสัญญาณ (FLAGHOIST) การฝึกเปิดบรรณสาร (PUBEX) และ
การฝึกโคมไฟบังคับทิศ (FLASHEX)
การฝึกเปิดบรรณสาร (PUBEX)
๒.ชว่ งระหวา่ งทางจากจดุ ทอดสมอของอา่ วเบอลาวนั (BELAWAN PORT) เกาะสุมาตราไปยังพื้นที่การ ฝึกบริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอ่าวซาบัง (SABANG PORT) ระยะเวลาตั้งแต่ ๒-๓ ธ.ค. ๖๔ มีลาดับการฝึกต่าง ๆ ดังน้ี การฝึกแปรกระบวนและ เดนิ เรอื แบบฉาก(SCREENEX)การฝกึ แปรกระบวนสา หรบั ถ่ายภาพ (PHOTOEX) การฝึกนาเรือแล่นขนานแบบ จาลอง (RASAP) การฝึกการรายงานและติดตามเป้า พื้นน้า (SEA SURFEX) การฝึกปฏิบัติการสกัดก้ันทาง ทะเล (MIO EX) การฝึกผู้นาเรือ (OOW MAN) การฝึก ป้องกันความเสียหาย (DCEX) การฝึกโคมไฟบังคับทิศ (FLASHEX) การฝึกเปิดบรรณสาร (PUBEX) การฝึก รับ-ส่งอากาศยาน (HELO DLP) การฝึกค้นหาและกู้ภัย (SAREX) พิธีปิดการฝึก (CLOSING EXERCISE) และพิธี อาลาระหว่างเรือ (FAREWELL PASS)


การฝึกผู้นําาทางเรือ (OOW MAN)
เมื่อเสร็จสิ้นการอาลากันในพิธีอาลาระหว่างเรือ (FAREWELL PASS) ใน ๓ ธ.ค. ๖๔ เรือต่าง ๆ ในประเทศอาเซียน และเรือของสหพันธรัฐรัสเซีย ได้แยกกระบวนโดยอิสระ เพ่ือเดินทางกลับไปประเทศ ของตนเอง สว่ นเรอื หลวงกระบรุ เี ดนิ ทางกลบั ถงึ ทา่ เทยี บเรอื ฐานทัพเรือพังงา ทัพเรือภาคท่ี ๓ ใน ๔ ธ.ค. ๖๔
จากการทก่ี องทพั เรอื ไทยไดส้ ง่ เรอื หลวงกระบรุ เี ขา้ รว่ ม การฝกึ ผสมASEAN-RussiaNavalExercise(ARNEX21) ทาให้กาลังพลประจาเรือของเรือหลวงกระบุรีได้รับ
การฝึกนําาเรือแล่นขนานแบบจําาลอง (RASAP)
ประสบการณ์ต่าง ๆ มากมายท่ีเป็นประโยชน์ สามารถ นาไปประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงานในภายภาคหน้าได้ และยังชี้ให้เห็นถึงความสาคัญในการฝึกผสมร่วมกัน ระหว่างประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน เพื่อให้นานาประเทศ ประจักษ์ถึงความมีสัมพันธไมตรีอันแน่นแฟ้นท่ีมีต่อกัน ในอาเซียน และแสดงออกถึงศักยภาพของกองทัพเรือ อาเซียนว่ามีความสามารถทัดเทียมกับชาติมหาอานาจ
พิธีอําาลาระหว่างเรือ (FAREWELL PASS)
นาวิกศาสตร์ 69 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕


พลเรือตรี กรีฑา พรรธนะแพทย์
ยุคนี้สมัยนี้เรามักจะได้พบวิสัยทัศน์ คติพจน์ คติเตือนใจ คําขวัญ ข้อคิด ฯลฯ ของหน่วยต่าง ๆ ของบ๊ิกบ๊ิก อยู่มากมายจนจาไม่ไหว บ้างอ่านแล้วอ่านอีกก็ยังไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร บ้างก็เป็นอย่างฝรั่งปนไทย บ้างก็เป็น ฝรั่งแท้ จนทาให้เผลอไปว่า เรากาลังอยู่เมืองนอก ไม่ได้อยู่เมืองไทย บ้างเกิดข้ึนมาแล้วก็ตํายไปในเวลาอันรวดเร็ว หมดยุคบ๊ิกนี้แล้วบิ๊กใหม่ก็คิดขึ้นมาใหม่ ได้พบได้เห็นแล้วก็อ่อนใจ
สมยั จอมพล ป.พบิ ลู สงคราม เปน็ สมยั ทปี่ ลกู ฝงั ความรกั ชาตใิ หก้ บั คนไทยเปน็ อยา่ งดี มรี ะเบยี บทหําร ท่ี ๒/๑๐๕๕๒ ๒๔๘๕
วํา่ ดว้ ยกํารฝกึ กํา ลงั ใจ วนั ที่ ๒๘ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๘๕ จอมพล ป.พบิ ลู สงคราม เปน็ รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงกลาโหม ได้ส่ังให้ทหารกล่าว“คํากล่ําววํา่ด้วยกํารฝึกกําลังใจ”ซ่ึงไม่ใชค่ําปฏิญําณไม่ใชค่ําสําบํานเพื่อให้ทหารเป็นนักรบ ทดี่ ี มกี า ลงั ใจ เขม้ แขง็ ทรหด อดทน กลา้ หาญ เดด็ เดย่ี ว ยอมตายกบั หนา้ ที่ รกั เกยี รติ รกั ประเทศชาติ เครง่ ครดั วนิ ยั นบั วา่ เปน็ คา กลา่ วของทหารทอ่ี ยยู่ งั้ ยนื ยง เปน็ ผลงานของทา่ นที่เขํา้ ทํา่ เปน็ ของเกา่ แกท่ ยี่ อมรบั กนั ตอ่ มาจนถงึ ปจั จบุ นั คํากล่ําวว่ําด้วยกํารฝึกกําลังใจ มีดังนี้
*ตํายในสนํามรบเป็นเกียรติของทหําร
*พวกเรําต้องระลึกถึง และยึดให้มั่นในสิ่งเหลํา่ นี้คือ ชําติ เกียรติ วินัย กลํา้ หําญ
*ตํายเสียดีกว่ําที่จะทิ้งหนํา้ ที่
นอกจากคากล่าวของ จอมพล ป. แล้ว ยังมีคา กล่าวของ พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ อีกด้วย ดังนี้
*ชําติของเรํา เป็นไทยอยู่ได้ จนถึงตัวเรําคนหนึ่งน้ี เพรําะบรรพบุรุษของเรํา เอําเลือด เอําเนื้อ เอําชวี ติ และควํามลํา บํากยํากเขญ็ เขํา้ แลกไว้ เรําตอ้ งรกั ษําชําติ เรําตอ้ งบํา รงุ ชําติ เรําตอ้ งสละชพี เพอื่ ชําติ ทุกวันนี้ คา กลา่ วทงั้ หลายน้ี พวกเราชํายชําตทิ หํารและหญงิ ชําตทิ หําร ตอ้ งกลา่ วกนั เปน็ ประจา มาโดยตลอดตราบจน
นอกจากน้ี บรรดาเรือหลวง (เรือรบ) ของราชนาวีไทยยังได้นา เอาส่วนหนึ่งของคากล่าวคือ ชําติ เกียรติ วินัย กล้ําหําญ จารึกไว้ในแผ่นทองเหลืองติดไว้ท่ีป้อมปืนบ้าง ที่สะพานเดินเรือบ้าง
เมื่อเกิดคากล่าวขึ้นมาต้ังแต่ พ.ศ. ๒๔๘๕ ก็มีคนบางพวกได้แปลงคากล่าวเหล่าน้ี เท่าท่ีผมจาได้ ขอนามาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้
นาวิกศาสตร์ 8 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕


*ตํายในสนํามรบเป็นเกียรติของทหําร
มันก็แปลงไปว่า
ตํายในสนํามรบเป็นศพของทหําร
คากล่าวท่ีว่า
*ไทยเป็นชําติสะสมมรดกไว้ให้ลูกหลําน
มันก็แปลงไปว่า
ไทยเป็นชําติสะสมหนี้สินไว้ให้ลูกหลําน
สมยั กอ่ นโนน้ เมอื งไทยมี ยวุ ชน ยวุ ชนทหําร ยวุ ชนนํายทหําร เพอื่ ปลกู ฝงั เยาวชนไทย ใหเ้ ปน็ นกั รบ มเี ลอื ดนกั สู้ หน้าหมวกของยุวชนจะมีคาขวัญ รักชําติ ย่ิงชีพ ถ้าเป็นหน้าหมวกทหารจะมีคาว่า สละชีพ เพื่อชําติ ก็มีคาขวัญ เกิดข้ึน คือ
*ไทยเป็นนักรบช้ันเยี่ยม *ยุวชนช่วยฉันส้ํางชําติ
คา วา่ สํา้ งเปน็ ภาษาไทยยคุ จอมพลป.ทตี่ ดั พยญั ชนะและสระออกหลายตวั และเปลยี่ นแปลงการใชภ้ าษาเขยี น
ขนึ้ ใหม่
มันก็ดันแปลงไปจนได้ว่า *ยุวชนช่วยฉันล้ํางชาติ
ท้ังนี้ ก็เพราะว่าคาว่า ส้ําง ถ้า ส.เสือหํางด้วนไป ก็กลายเป็น ล.ลิง ส้ํางชําติ ก็เป็น ล้ํางชําติ ด้วยประการฉะน้ี
วันหนึ่งผมกาลังทาหนังสืองานศพของนายทหารผู้ใหญ่ ใหญ่มาก ๆ คนหน่ึง เพื่อเป็นการให้เกียรติผู้ตาย ผมจึงใช้ คาว่า ตํายแต่ตัวช่ือยังฟุ้ง เอาไว้ในหน้าปกหนังสือ ไอ้ตัวแสบตัวหน่ึงมาเห็นเข้า มันบอกว่า ไม่ถูก ที่ถูกต้อง คือ ตํายแตต่ วั ชื่อเหม็นฟุ้ง เอากะมันซิ
ผมฝอยออกนอกเร่ืองมาค่อนข้างยาว แต่คิดว่าเป็นเร่ืองที่คนรุ่นใหม่ (THE NEW) น่าจะรับรู้ไว้บ้าง เรื่องน่ารู้ ที่อยากจะเล่ามีอีกมาก แต่ขอกลับเข้าสู่เรื่อง คําคมของเสด็จเต่ีย กรมหลวงชุมพรฯ เสียที คือ มีลูกศิษย์ลูกหา ลูกน้องหลายคนมาถามผมเกี่ยวกับพระดํารัสของเสด็จเตี่ย ที่มีความหมายกินใจ มีความสาคัญเป็นอมตะวําจํา สมควรท่ีจะนาไปอ้างอิงตามกาลเทศะ เป็นเช่นน้ีบ่อยเข้า ผมจึงมีความคิดว่า น่าจะรวบรวมพระดํารัสหรือวําทะ ของพระองคท์ า่ นเอาไวใ้ นทเี่ ดยี วกนั แลว้ พมิ พเ์ ผยแพรใ่ หเ้ ปน็ เรอื่ งเปน็ ราวไวเ้ ปน็ หลกั ฐาน พรอ้ มทจี่ ะหยบิ ยกขนึ้ มาอา้ ง ได้ทันทีอย่างถูกต้อง โดยไม่ต้องมาถามผมอีก ผมขอเรียกง่าย ๆ ว่า คําคมของเสด็จเตี่ย ก็แล้วกัน แล้วใครจะเอาไปใช้ ทั้งหมด หรือเอาไปเฉพาะบางส่วน บางตอนก็สุดแล้วแต่จะพิจารณาเห็นสมควร เพ่ือให้สั้นและกะทัดรัด ข้อสาคัญ อย่าลืมบอกว่าเป็นคําคมของเสด็จเตี่ย นะจะบอกให้
คําคมของเสด็จเตี่ย นั้น ง่ําย ชัดเจน คม เฉียบขําด กินใจ เข้ําใจง่ําย โดยไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย ไม่ต้องแปล ฝรั่งเป็นไทย ไม่ต้องมาอธิบายกันอีก
นึกไม่ถึงว่าจะหาคาคมของเสด็จเตี่ยได้ถึง ๑๙ คําคมพอดี ซึ่งพ้องกับ เลข ๑๙ ของพระองค์ท่าน ประสูติวันที่ ๑๙ธนั วาคมพ.ศ.๒๔๒๓สนิ้ พระชนมว์ นั ที่๑๙พฤษภาคมพ.ศ.๒๔๖๖วนั ท่ี๑๙พฤษภาคมของทกุ ปีเปน็ วนั อําภํากร
นาวิกศาสตร์ 9 ปีท่ี ๑๐๕ เล่มที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕


คําคมที่ ๑
“เร่ืองที่แต่งนี้ก็เป็นเรื่องสูงสุดของทหาร ข้าพระพุทธเจ้าเกรงด้วยเกล้าฯ อยู่เหมือนกันว่า ความรู้ของ ข้าพระพุทธเจ้านี้น้อยนัก ไม่พอสาหรับเร่ืองใหญ่เช่นนี้ ทั้งโวหารภาษาไทยของข้าพระพุทธเจ้าก็เคยทราบ ใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทอยู่แล้วว่าเลวอย่างที่สุด ถ้าแม้ข้าพระพุทธเจ้าจะพลาดพล้ังในความเห็นและโวหาร ประการใดพระราชอาญาไม่พ้นเกล้าฯ ขอเดชะพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานอภัยแก่ข้าพระพุทธเจ้า ผู้มีสติปัญญาน้อย”
ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมขอเดชะ
(พระนพิ นธ์ยทุ ธศําสตรท์ ะเลในกรมหมนื่ ชมุ พรเขตรอดุ มศกั ดิ์ทลู เกลา้ ฯถวายพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั รัชกาลท่ี ๖ ในวันขึ้นปีใหม่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๖)
คําคมท่ี ๒
พระนิพนธ์เรื่อง “ยุทธศาสตร์ทะเล” ตอนท่ี ๔ สงครามทะเล
“ตามธรรมดา เมอื่ ประจญั บานในทะเลแลว้ มกั จะเขา้ ใจกนั เสยี วา่ ฝา่ ยชนะไดอ้ า นาจอนั สทิ ธขิ าดในทนั ที แตท่ จ่ี รงิ
ไม่ว่าทัพเรือจะโตใหญ่เท่าใด จะยึดเอาอานาจอันสิทธิขาดทีเดียวไม่ได้เป็นอันขาด จะได้แต่เฉภาะเปนแห่งๆ เท่าน้ัน ไม่มีใครจะยึดเปนเจ้าของทะเลได้ตลอด”
นาวิกศาสตร์ 10 ปีท่ี ๑๐๕ เล่มที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕


คําคมที่ ๓
พระนิพนธ์เรื่อง “ยุทธศาสตร์ทะเล” ตอนท่ี ๘ พิชัยสงครามด้วยทัพเรือน้อย
“การทม่ี กี องทพั เรอื กา ลงั นอ้ ยนนั้ จะนอ้ ยสกั เทา่ ใดกด็ ี ถา้ ดา เนนิ ทพั ใหถ้ กู ยทุ ธศาสตรแลว้ ขา้ ศกึ คงจะตอ้ งเปนหว่ ง
ลังเลอยู่เสมอ”
คําคมที่ ๔
พระนิพนธ์เร่ือง “ยุทธศาสตร์ทะเล” ตอนที่ ๑๐ รวมความ
“การสร้างกองทัพเรือก็มิใช่ง่าย ล้วนแต่แพงทั้งสิ้น เพราะฉน้ันจาต้องเปนการนานยืดยาวกว่าจะพร้อม แต่การ
ฝึกหัดควรจะให้ดาเนินให้ถูกตามความต้องการในท่ีสุดเสมอ โดยไม่เสียดาย เช่น การยิงเป้า แลซ้อมตอร์ปิโด เปนตน้ ถงึปนืจะสกึหรอกไ็ดค้วามชานาญปนืซอ้ืใหมไ่ด้แตค่วามชานาญซอื้ขายกนัไมไ่ด้ทงั้การตอปโิดกเ็หมอืนกนั”
นาวิกศาสตร์ 11 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕


คําคมที่ ๕
พระนิพนธ์เรื่อง “ยุทธศาสตร์ทะเล” ตอนที่ ๑๐ รวมความ
“ขอเตือนว่า จะเตรียมหรือฝึกหัดการรบก็มีอยู่แต่เวลาน้ี ซ่ึงเปนเวลาอยู่ในระหว่างไม่มีศึก ถ้าผัดการไปวันหน่ึง
ก็เท่ากับยกวันน้ัน ให้เปนกาไรของข้าศึก การเสียเวลาให้โทษแก่ชาติของเราอย่างย่ิง เวลานี้และเปนเวลาของ ยุทธศาสตรแท้ การบกพร่องสิ่งใด จะไปเพ่ิมเติมในที่รบไม่ได้เลยเปนอันขาด การเดินทางผิดก่อนศึก เมื่อตั้งต้น เข้ารบแล้วจะถอนกลับเข้ารอยไม่ได้ เพราะฉนั้นจะทาสิ่งไร ควรทาจริง”
กยิรา เจ กยิราเถน
หมํายเหตุ คําคมท่ี ๒ – ๕
พลเรือตรี กรีฑา พรรธนะแพทย์ คัดลอกจากต้นฉบับลายมือ เรื่อง “ยุทธศําสตร์ทะเล” พระนิพนธ์ใน กรมหม่ืนชุมพรเขตรอุดมศักด์ิ ไม่ทราบว่าเป็นลายมือใคร แต่ไม่ใช่ลายพระหัตถ์กรมหลวงชุมพรฯ แน่นอน มีคนเขียนเร่ืองเกี่ยวกับพระนิพนธ์ “ยุทธศาสตร์ทะเล” แล้วบอกว่าเป็นลํายพระหัตถ์ ของพระองค์ท่าน ลองเอาไปเปรยี บเทยี บกบั ลายพระหตั ถภ์ าษาไทยของพระองคด์ กู ไ็ ด้ ตามตวั อยา่ งลายพระหตั ถ์ จากพระรปู ทปี่ ระทานแก่ หม่อมเจ้าหญิง จารุพัตรา อาภากร (ท่านหญิงใหญ่) พระธิดาองค์โต คราวที่เสด็จไปนาเรือพระร่วงจากประเทศอังกฤษ กลับสู่กรุงสยาม ดังนี้
ยทุ ธศําสตรท์ ะเล เปน็ พระนพิ นธใ์ นกรมหมนื่ ชมุ พรเขตรอดุ มศกั ดทิ์ ลู เกลา้ ฯ ถวายหนงั สอื ฉบบั นแี้ ดพ่ ระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๖ ซ่ึงตรงกับวันข้ึนปีใหม่ในสมัยน้ัน
นาวิกศาสตร์ 12 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕


คําคมที่ ๖
“ปนื หรอื ตอรปโิ ด ไมไ่ ดท้ า การรบไดโ้ ดยลา พงั ตวั เอง คนตา่ งหากเปน็ ผทู้ ที่ า การรบ... นายทหารทกุ คนตอ้ งควร จาฝังไว้ในใจเสมอว่าหลักของยุทธวิธีต้องอยู่ท่ีคน หาได้ตกอยู่ท่ีเรือหรืออาวุธท่ีดีเท่านั้นไม่”
(คาบรรยายเรื่อง ยุทธวิธี โดย นายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหม่ืนชุมพรเขตรอุดมศักด์ิ จเรทหารเรือ ณ ราชนาวิกสภา วันพฤหัสบดีที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๐ นายนาวาตรี หลวงเริงกลางสมร (ทองดี สุวรรณพฤกษ์/ นาวาเอก พระยาวิชิตชลธี จดบันทึก)
คําคมที่ ๗
“ในส่วนป้องกันอ่าวหรือท้องทะเล เครื่องที่จะทาให้กองทัพใหญ่หวาดเสียวอย่างดีที่สุดก็คือ เรือดาน้า”
คําคมท่ี ๘
“ถา้ กรงุ สยามมเี รอื ดา นา้ จะเปน็ เครอื่ งปอ้ งกนั สา คญั มาก หรอื จะนบั วา่ เปน็ เครอื่ งปอ้ งกนั อยา่ งดที สี่ ดุ กว็ า่ ได”้
(พระดาริเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และกาลังทางเรือ ในลายพระหัตถ์ นายพลเรือโท กรมหมื่นชุมพร เขตรอุดมศักด์ิ เสนาธิการทหารเรือ กราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๖ เพื่อชี้แจง เหตุผลท่ีขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตไปดูกิจการทหารเรือ ในยุโรป พ.ศ. ๒๔๖๒)
คําคมท่ี ๙
“หวังด้วยเกล้าฯ ทุกคนว่า เร่ืองเรือพระร่วงคงเปนการสาเหร็จเรียบร้อย และคลังคงจะไม่ด้ือดันไม่เข้าเรื่อง ให้ทหารเรือจาเปนต้องงอมืองอเท้าเปลืองพระราชทรัพย์หาผลไม่ได้ ถ้าจะไม่ซ้ือเรืออีกต่อไป ก็ควรจะยกเลิก ทหารเรือเสียเลย การไม่ให้เรือ แต่มีกระทรวงทหารเรือ เปนการเปลืองอย่างที่สุด และไม่เข้าเร่ืองด้วย ถ้าจะให้เปน เชน่ นแี้ ลว้ เกลา้ ฯ เหน็ วา่ ทหารเรอื ทงั้ หมดไมค่ วรจะดา้ นหนา้ อยรู่ บั ราชการโดยไมม่ หี วงั ผลสา เหรจ็ อยา่ งใดอยา่ ง ๑ เลยเช่นน้ี”
(ลายพระหัตถ์ นายพลเรือโท กรมหม่ืนชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เสนาธิการทหารเรือ ระหว่างประทับในเรือโซบรําล เดินทางระหว่าง สิงคโปร์-โคลัมโบ ลงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๒ กราบทูลจอมพลเรือ สมเด็จฯ เจ้าฟ้า กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ)
คําคมท่ี ๑๐
“ในทางดาริห์ ข้าพระพุทธเจ้ากราบบังคมทูลพระกรุณาได้ว่าไม่เคยรู้จักเรือใต้น้าเลย เพราะที่มีใช้ได้จริง ๆ กเ็ กดิ ขนึ้ ภายหลงั การเลา่ เรยี นของขา้ พระพทุ ธเจา้ กบั ทงั้ ไมม่ โี อกาศทจ่ี ะไดเ้ หน็ ตวั จรงิ นอกจากรปู ภาพ.........มผี บู้ อกขาย เรือใต้น้า ๒ ลา ต่อข้าพระพุทธเจ้าว่า ลงน้าอยู่เสร็จแล้ว........แต่ข้าพระพุทธเจ้าไม่กล้านาเสนอ และแนะนาอย่างไร เพราะไม่เข้าใจเลยประดุจคนป่า”
(ลายพระหตั ถ์นายพลเรอื โทกรมหมนื่ ชมุ พรเขตรอดุ มศกั ด์ิเสนาธกิ ารทหารเรอื ลงวนั ท่ี๒มนี าคมพ.ศ.๒๔๖๒ กราบบงั คมทลู พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ ๖ ชแี้ จงเหตผุ ลทขี่ อพระราชทาน พระบรมราชานญุ าต ไปดูกิจการทหารเรือในต่างประเทศ)
นาวิกศาสตร์ 13 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕


คําคมที่ ๑๑
“.....การป้องกันตนเปนอุปนิสัยของสิ่งมีชีวิตทั่วไป ตลอดจนถึงธรรมชาติต้นไม้ซ่ึงไม่มีความคิดเลย ถ้าแม้มนุษย์ ท่ีเปนสัตว์ประเสริฐที่สุดจะหมดหวังความพยายาม ก็เปรียบได้ว่า เลวกว่าตะไคร่น้าที่เกาะอยู่ในที่อุลามกที่สุดน้ัน เสียอีก ความหวังในส่วนป้องกันตัว ถึงแม้ว่าจะเปนว่าป้องกันไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังหวังต่อไปถึงการป้องกันพืชพันธุ์ ถา้ จะสละเสยี สนิ้ ปลอ่ ยใหเ้ ปนไปเอง กน็ บั วา่ ผนู้ นั้ หมดอายอุ ยา่ งทเ่ี รยี กวา่ หมดยาง.....เกลา้ กระหมอ่ มเคยไดย้ นิ อยมู่ าก ถงึ คา วา่ มที า ไมทหารบก ? มที า ไมทหารเรอื ซอื้ ทา ไมเรอื ? นา่ พศิ วงจรงิ หนอทมี่ บี คุ คลเชน่ นอ้ี ยมู่ าก ซา้ มากขนึ้ ดว้ ย จะเปนการแสดงว่าเลือดไทยจืดลงกระมัง การทามาหากิน การค้าขาย ก็ตกอยู่ในมือชาวต่างประเทศเกือบหมด หรือ ทั้งหมดก็ว่าได้ ยังเหลือแต่การป้องกัน การทามาหากิน ในที่สุดหากินก็จะไม่หากิน ป้องกันก็จะไม่ป้องกัน เลือดไทย จะสูญหรือ บางทีก็จะเปนไปได้ ถึงสยามคงเปนสยาม แต่สยามไม่ใช่ของคนไทย สูญพืชสูญพันธ์เพราะหมดยาง หมดทุน หมดมานะ หมดอุตสาหะ แม้แต่อุปสรรคนิดหน่อยก็แบมือแบเท้าหมดความพยายาม.....ถ้าบุคคลฝูงใด เปนเช่นนี้ ฝูงน้ันจาเปนต้องสูญหมด หมดทางไชยชนะ หมดชาติ....”
(ลายพระหัตถ์ นายพลเรือโท กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักด์ิ เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ลงวันท่ี ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ กราบทูลจอมพลเรือ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ)
คําคมที่ ๑๒
“อนึ่งเกล้าฯ ได้นึก ๆ อยู่เหมือนกันในเรื่องเรือดาน้า เพราะได้เห็นแล่นผ่านไปทางสิงคโปร์ ๓ ลา เกล้าฯ อยากจะทราบว่า ถ้าเรือพระร่วงไม่สาเร็จ เรือดาน้าจะเอาหรือไม่เอา ราคาลาละ ๖๐๐,๐๐๐ บาท เกล้าฯ รับอาสา จะเอาเข้ามาให้ได้”
(ลายพระหัตถ์ นายพลเรือโท กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เสนาธิการทหารเรือ ลงวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๓ ทรงพระดาริเร่ือง เรือดาน้า ในระหว่างการเดินทางไปยุโรป กราบทูล จอมพลเรือ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ วรพินิต เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ)
นาวิกศาสตร์ 14 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕


คําคมที่ ๑๓
“การถูกแพง ถ้าแม้เราจะสร้างเรือ หรือถ้าแม้เราจะป้องกันชาติแล้ว เกล้ากระหม่อมเห็นว่าเปนปัณหาที่ ๒ เพราะปัณหาท่ี ๑ ต้องตกลงอยู่ว่าจะใช้อย่างไรในทางยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีให้เหมาะกับกาละเทศะ ถ้ายังไม่มีเงินพอ ก็งดการทาไว้ก่อนจนกว่าจะมีเงินพอ ดีกว่าไปซื้อของท่ีไม่เหมาะกับกาละเทศะ แลไม่เข้ากับยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี จานวนเงินเท่านั้นเท่าน้ีจากัดลงไป การที่เดินทางผิดให้โทษย่ิงกว่าไม่เดินเลย เพราะฉน้ันต่อไปข้างน่า การสร้าง, ซื้อทุกอย่าง จาเปนต้องวินิจฉัยโดยยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีให้แน่นอน ถ้าไม่มีเงินรอไว้ ถ้ามี ทาให้ตรงทาง ที่จะเอาอื่น มาแทนเพื่อให้ถูกอัฐนั้น ไม่ควรเป็นอันขาด...”
(พระดาริเก่ียวกับการซ้ือเรือและอาวุธในลายพระหัตถ์ นายพลเรือเอก กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักด์ิ เสนาธิการ ทหารเรือ จาก โฮเต็ล รูเบนส์ ลอนดอน (Hotel Rubens, London) ลงวันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ กราบทูล จอมพลเรือ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ผู้กากับราชการกระทรวงทหารเรือ)
หมํายเหตุ
โฮเต็ล รูเบนส์ ลอนดอน (Hotel Rubens, London) เป็นโรงแรมเก่าแก่ของประเทศอังกฤษ เปิดกิจการมา
ตง้ั แต่ ค.ศ. ๑๗๐๓ (พ.ศ. ๒๒๔๖) ปจั จบุ นั อายไุ ด้ ๓๑๘ ปี ตง้ั อยทู่ ถี่ นนบคั กงิ แฮม (Buckingham) ใกลส้ ถานรี ถไฟใตด้ นิ Victoria กรุงลอนดอน (London) เจ้าของกิจการคนแรกคือ John Sheffield ต่อมาเป็น Earl of Mulgrave และ ได้รับตาแหน่งสุดท้ายเป็น Duke of Buckingham ปัจจุบันยังคงตั้งอยู่ท่ีเดิม และได้ปรับปรุงกิจการใหม่
โรงแรมรูเบนส์ เป็นโรงแรมสาหรับรับรองเจ้านายเสด็จมาประทับที่นี่ เสด็จเตี่ย (กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์) ประทับ ณ โรงแรมแห่งน้ีเมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๔๖๓ แสดงว่าโรงแรมรูเบนส์ ถวายพระเกียรติยศพระองค์ท่าน ในฐานะทรงเป็นเจ้านายแห่งสยาม
นาวิกศาสตร์ 15 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕


คําคมที่ ๑๔
“มาบดั นเ้ี ปน็ เสนาธกิ ารทหารเรอื เหมอื นงมมดื แปดดา้ น เพราะสรรพาวธุ ยทุ ธวธิ ที างเรอื ตง้ั แตเ่ รม่ิ การมหาสงคราม มาจนบัดนี้ ได้เปล่ียนแปลงมากมายเหลือที่จะพรรณา ได้แต่สังเกตถามข่าวการต่อเรือและวางเรือประจาสถานี เดาทางตามหลังว่า การรบทางทะเลเปล่ียนแปลงมาเปนดังนั้นดังน้ี แต่ก็เหมือนคนตาบอด จึงทาประโยชน์ สนองพระเดชพระคุณได้โดยลาบากใจอย่างท่ีสุด”
(ลายพระหตั ถ์นายพลเรอื เอกกรมหมน่ื ชมุ พรเขตรอดุ มศกั ด์ิเสนาธกิ ารทหารเรอื ลงวนั ที่๑๓มกราคมพ.ศ.๒๔๖๓ กราบทูลเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ)
คําคมที่ ๑๕
“เรื่องแต่งหนังสือจัดลักษณะปรุงกองทัพเรือเพื่อป้องกันพระราชอาณาจักร์สยามเป็นเรื่องที่แต่งยากมาก เคยต้องแต่งมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อต้นรัชกาลนี้ (สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์วรพินิต ทูลเกล้าฯ ถวายพร้อมกับ รายงานกิจการกระทรวงทหารเรือ เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ร.ศ. ๑๒๙) คราวนั้นมีกรรมการล้วนแต่นายทหารที่เคยไป เล่าเรียนมาจากประเทศยุโรปทั้งนั้น หลวงอาจ (หลวงอาจณรงค์/กรุด ธันวานนท์/นาวาเอก พระยาพัศดุการบดี) เป็นเลขานุการ แต่การประชุมในเมืองไทยก็ตามเคย ไม่สาเร็จ ข้าพเจ้าจึงได้รับไปร่างเสียเอง ได้วานหลวงจักร์ (หลวงจักรยานานุพิจารณ์, มหาคอน, คอน บุนนาค, พลเรือโท พระยาดารงค์ราชพลขันธ์) เป็นผู้เรียบเรียงให้ เป็นภาษาไทยให้ถูกอักขระวิธีวะจีอักษรต่าง ๆ เพราะในทางหนังสือข้าพเจ้าไม่เป็นเสียเลย เม่ือเสร็จแล้วได้นาไปอ่าน ในทป่ี ระชมุ กม็ แี กไ้ ขบา้ งเลก็ ๆ นอ้ ย ๆ เพยี งคา พดู ไมต่ อ้ งแกไ้ ขทางดา รหิ เ์ ลย การแตง่ หนงั สอื เชน่ นี้ ถา้ ใครไมเ่ คยแตง่ ก็ไม่เห็นอกว่าเป็นการยากลาบากเพียงไร...”
(ลายพระหัตถ์ นายพลเรือเอก กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ทรงเรียบเรียง “กํารจัดทําโครงกํารป้องกันทํางเรือ” ร.ศ. ๑๒๙ ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๖ เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๓)
คําคมท่ี ๑๖
“ธรรมดามีเรือแล้ว ต้องซ่อมได้เอง เป็นหลักของยุทธศาสตร์ ถ้าซ่อมไม่ได้เองก็ไม่ควรมี เพราะจะแจ้งให้ผู้อื่น เขาทา ใหเ้ ราในเวลาสงครามนนั้ ไมไ่ ด้ ถา้ คดิ วา่ ทหารเรอื สา หรบั การรบแลว้ ตอ้ งคดิ ถงึ เวลาสงครามทจ่ี ะเอาความสะดวก ในเวลาสันติภาพมาเป็นหลักสาหรับเวลาสงครามนั้นไม่ได้เป็นอันขาด ทาเองได้แค่ไหนก็ควรต้องทาแค่นั้น ถ้ามี เกินกว่ากาลังที่ควรจะซ่อมได้แล้วต้องคิดถึง SCRAP การที่ต้องการให้แล้วเร็วนั้น ทาได้ ๒ อย่าง ซ่อมให้แล้ว อย่างหนึ่ง แลจมเสียก็เป็นการเร็วอีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน....”
(พระดารัสของนายพลเรือเอก กรมหม่ืนชุมพรเขตรอุดมศักด์ิ เสนาธิการทหารเรือ ทรงแถลงในที่ประชุม สภาบัญชาการกระทรวงทหารเรือ คร้ังท่ี ๔ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๔)
นาวิกศาสตร์ 16 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕


คําคมที่ ๑๗
“ไมใ่ ชส่ กั แตว่ า่ เปน็ กระทรวงแลว้ กใ็ หม้ หี นา้ ทม่ี ากมายใหส้ มกบั ชอ่ื กระทรวง หมายความวา่ คอื ตอ้ งตงั้ กองทพั เรอื เป็นหลักแล้วจัดกระทรวงเข้าหา และจักต้องราลึกไว้ในหัวใจให้เสมอทีเดียวว่า กองทัพเรือเป็นหลักไม่ใช่กระทรวง คือมีกระทรวงเพราะมีเรือ หาใช่มีเรือเพราะมีกระทรวง”
(นายพลเรือเอก กรมหม่ืนชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เสนาธิการทหารเรือ ทรงเสนอ “สกีมของกระทรวงทหารเรือ” (นโยบายกองทพั เรอื ) ตอ่ ทปี่ ระชมุ สภาบญั ชาการกระทรวงทหารเรอื ครงั้ ที่ ๑๑ /๕ เมอื่ วนั ที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๕)
คํา คมที่ ๑๘
“ส่ิงที่ควรต้องมอง และดูเป็นที่น่าอดสูที่สุดนั้น-คือ จานวนเรือรบกับจานวนนายพลที่มีอยู่ ถ้าแม้เทียบกัน เขา้แลว้ จะเป็นส่ิงขายหน้าอยา่งที่สดุ เป็นการควรละหรอืทจี่ะมีนายพลเรอืเอกเชน่ข้าพเจา้ในกองทพัเรืออย่างน”้ี (พระดา รสั ของนายพลเรอื เอก กรมหมนื่ ชมุ พรเขตรอดุ มศกั ด์ิ เสนาธกิ ารทหารเรอื ทไ่ี ดท้ รงแถลงใหส้ ภาบญั ชาการ
กระทรวงทหารเรือ ทราบในท่ีประชุมเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๕)
คําคมที่ ๑๙
“ยทุ ธศาสตรใ์ นทางฝา่ ยทหารเรอื ทค่ี ดิ ปอ้ งกนั นนั้ -คอื เราตอ้ งเตรยี มกองทพั เรอื มเี รอื มากเทา่ ไรยงิ่ ดี แตท่ จ่ี ะบอก ว่าต้องการกี่ลานั้น ก็คงอยู่ในฐานที่อยากได้มากเสมอไป”
(พระดา รสั ของนายพลเรอื เอก กรมหมนื่ ชมุ พรเขตรอดุ มศกั ดิ์ เสนาธกิ ารทหารเรอื ทไี่ ดท้ รงแถลงใหส้ ภาบญั ชาการ กระทรวงทหารเรือ ทราบในท่ีประชุม เมื่อวันท่ี ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๕)
คําคมของเสด็จเตี่ย ยังมีอีกมากในเพลงพระนิพนธ์ และบทกวีพระนิพนธ์ แต่จะขอกล่าวถึงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต่างหาก”
เอกสํารประกอบกํารเขียน
๑. พระนิพนธ์ เรื่อง ยุทธศาสตร์ทะเล ของ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักด์ิ วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๖
๒. หนังสือ “อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ” นาวาโท พระฤทธิ์ศักด์ิชลเขตต์ (คา ปุณทริกาภา) เรื่อง “พระดาริของเสด็จในกรมฯ” โดย นาวาเอก ประพัฒน์ จันทวิรัช
๓. นิตยสารนาวิกศาสตร์ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๑
เรื่อง “การสร้างกาลังทางเรือในสมัยราชาธิปไตย” โดย นาวาเอก ประพัฒน์ จันทวิรัช
๔. นิตยสารนาวิกศาสตร์ เมษายน ๒๕๑๑
เร่ือง พระดาริของเสด็จในกรมฯ โดย นาวาเอก ประพัฒน์ จันทวิรัช
๕. นิตยสารนาวิกศาสตร์ พฤศจิกายน ๒๕๒๕
เร่ือง “คานึงวันนาวี” โดย พลเรือเอก ประพัฒน์ จันทวิรัช
๖. นิตยสารนาวิกศาสตร์ พฤศจิกายน ๒๕๒๖
เรื่อง “เรือดาน้า กับกองทัพเรือไทย” โดย พลเรือเอก ประพัฒน์ จันทวิรัช
๗. หนงั สอื พระประวตั แิ ละพระกรณยี กจิ ในสมยั รชั กาลท่ี ๕ ของ พลเรอื เอก พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงชมุ พร เขตอดุ มศกั ดิ์ รวบรวมจากเอกสารราชการ โดย พลเรอื เอก ประพฒั น์ จนั ทวริ ชั ผบู้ ญั ชาการทหารเรอื ๘ สงิ หาคม ๒๕๒๗
นาวิกศาสตร์ 17 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕
๒๔๖๕


เมื่อ ๑๔๑ ปีที่ผ่านมา ซ่ึงตรงกับวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๔ เป็นวันประสูติของ จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า บริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๓๓ ในพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และองค์ที่ ๒ ในสมเดจ็ พระปติ จุ ฉาเจา้ สขุ มุ าลมารศรีพระอคั รราชเทวี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมมาลมารศรี พระอัครราชเทวี
นาวิกศาสตร์ 18 ปีที่ ๑๐๕ เล่มท่ี ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕
พระตาหนัก
สวนกุหลาบ ใช้เป็นโรงเรียน นายทหารมหาดเล็ก และโรงเรียน พระตาหนัก สวนกุหลาบ
เมอื่ พระชนั ษา ๘ ปี ทรงเขา้ ศกึ ษาในโรงเรยี นพระตา หนกั สวนกุหลาบ และโรงเรียนราชกุมารในพระบรมมหาราชวัง
ทรงรับพระสุพรรณบัตร เป็นกรมขุนมไหสูริยสงขลา


๒ มกราคม ๒๔๓๔ ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ ดลิ กจนั ทรนภิ าพงษ์มหามกฏุ วงษน์ ราธริ าชจฬุ าลงกรณน์ าถ ราชวโรรส อดุลยยศอุภโตพงษพิสุทธิ นรุตมรัตน ขัตติย ราชกุมาร กรมขุนมไหสูริยสงขลา
ก่อนโสกันต์
พิธีโสกันต์
หลงั จากพธิ โี สกนั ต์ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว ก็โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนมไหสู ริยสงขลาเสด็จไปทรงศึกษาต่อในยุโรป ดังเช่น พระเจ้า ลูกยาเธออีกหลายพระองค์ ทั้งน้ี ด้วยทรงเห็นว่า กรณีพิพาทกับประเทศฝรั่งเศส ในปี ๒๔๓๖ ก่อนท่ีจะมี พิธีโสกันต์ของพระองค์เพียงปีเดียวนั้น สยามไม่สามารถ ป้องกันประเทศได้ ทาให้ต้องสูญเสียดินแดนฝ่ังซ้ายของ แม่น้าโขงทั้งหมด รวมทั้งเสียค่าปรับให้ประเทศฝรั่งเศส เพื่อรักษาไว้ซ่ึงเอกราชของประเทศ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงต้องหันมาดาเนินพระบรม ราโชบายทางการทูตมากกว่าการทหาร ขณะเดียวกัน ก็ปรับยุทธวิธีการรบตามแบบสมัยใหม่ พร้อมกับบารุง กาลังทหารของประเทศให้มั่นคงด้วยเหตุนี้ ใน ๓๑ มีนาคม ๒๔๓๗ ในชั้นแรก จึงโปรดฯ ให้สมเด็จฯ เจา้ ฟา้ มหาวชริ าวธุ เรมิ่ ศกึ ษาวชิ าทหารบกทปี่ ระเทศองั กฤษ ส่วนสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนมไหสูริยสงขลาได้ย้าย จากประเทศอังกฤษไปเรียนวิชาทหารบกที่ประเทศ เยอรมันนี และสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิศณุโลกประชานารถ ศึกษาวิชาทหารบกที่ ประเทศรัสเซีย
นอกจากการทที่ รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหบ้ รรดา พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าหลายพระองค์ไปทรงศึกษา ในโรงเรียนนายร้อยของประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ซึ่ง เสมือนหนึ่งว่าบรรดาพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าเหล่านั้น ทรงเป็นผู้แทนจากราชสานักสยามแล้ว เพื่อเชื่อม ความสมั พนั ธท์ มี่ นี ใี้ หก้ ระชบั แนน่ มากขน้ึ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงตัดสินพระทัยเดินทางไป สร้างสัมพันธไมตรีด้วยพระองค์เอง โดยเสด็จประพาส ยโุ รปครง้ั แรกในเดอื นเมษายน ๒๔๔๐ นบั วา่ เปน็ พระเจา้ แผ่นดินไทยพระองค์แรกที่เสด็จไปไกลถึงยุโรป
ในเดือนเมษายน ๒๔๓๙ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรม ขุนมไหสูริยสงขลาได้เข้าศึกษาในโรงเรียนนายร้อย ช้ันประถมท่ีเมืองปอร์ตสดัม ประเทศเยอรมันนี ประทับ อยู่ปีเดียวก็ย้ายไปศึกษาต่อท่ีโรงเรียนชั้นมัธยมท่ี กรงุ เบอรล์ นิ และในเดอื นมนี าคม ๒๔๔๒ กท็ รงสอบไลไ่ ด้ ตามหลักสูตรชั้นแฟนริช ทหารราบช้ันสัญญาบัตร
นาวิกศาสตร์ 19 ปีท่ี ๑๐๕ เล่มท่ี ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕


มีประเพณีในกองทัพบกเยอรมันนีที่อนุญาตให้ นายทหารเชอื้ พระวงค์ และบตุ รผดู้ มี ตี ระกลู ไดร้ บั โอกาส ให้ได้ศึกษาวิชาการราชสานักไปด้วยระหว่างรับราชการ ประจา ดังน้ัน พระองค์จึงได้ทรงรับโอกาสน้ีเช่นเดียวกัน คือ ได้ไปประจาอยู่ในกองร้อยที่ ๑๑ กรมทหารรักษา พระองค์ท่ี ๔ ในสมเด็จพระนางเจ้าเอากุสตา พระบรม ราชชนนีไดร้ บั พระราชทานยศนายรอ้ ยตรีเหลา่ ทหารราบ แห่งกองทัพบกเยอรมันนี
นายร้อยชั้นประถม
นาวิกศาสตร์ 20 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕
นายร้อยช้ันมัธยม


สมเด็จพระจักรพรรดิไกเซอร์ วิลเฮล์มท่ี ๒
ต่อมาในเดือนตุลาคม ๒๔๔๓ สมเด็จฯ เจ้าฟ้า กรมขุนมไหสูริยสงขลาเข้ารับการศึกษาในโรงเรียน เสนาธกิ าร KRIEGS SCHULE เมอื ง KASSEL จนถงึ เดอื น พฤษภาคม ๒๔๔๔ ก็ทรงสอบไล่ได้ตามหลักสูตร และ ได้รับคะแนนยอดเยี่ยม จนได้รับประกาศนียบัตร ชมเชยพิเศษของสมเด็จพระจักรพรรดิไกเซอร์ วิลเฮล์มท่ี ๒ และเม่ือทรงสาเร็จการศึกษาทรงได้รับ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เสด็จนิวัติประเทศ สยามเปน็ การชว่ั คราว ถงึ กรงุ เทพฯ เดอื นตลุ าคม ๒๔๔๔
เม่ือเสด็จถึงกรุงเทพฯ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนมไห สรู ยิ สงขลาไดเ้ สดจ็ ไปเฝา้ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ซง่ึ ขณะนน้ั อยรู่ ะหวา่ งแปรพระราชฐานไปประทบั ณ เมืองนครสวรรค์ ในเวลาต่อมาจึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้เปล่ียนพระนามทรงกรมจากเดิม “กรมขุนมไหสูริย สงขลา” มาเป็น “กรมขุนนครสวรรค์วรพินิต” แทน เมอื่ วนั ท่ี๒๒พฤศจกิ ายนพ.ศ.๒๔๔๔ดว้ ยทรงมพี ระดา รวิ า่ “...เพราะการท่ีใช้คาอ่ืนขึ้นนาชื่อ มีแต่เจ้าคนเดียว ไม่เข้าที คิดจะเปล่ียนเป็นนครสวรรค์ซึ่งเป็นเมือง ลูกหลวงเก่า ที่แท้ได้เปนเมืองหลวงคู่ผลัดกันกับเมือง สุโขทัยนี้ด้วย...”
ในเดือนมีนาคม ๒๔๔๕ ได้เสด็จกลับไปศึกษาต่อ ที่เยอรมันนี เพื่อเร่งรัดให้ทรงเรียนวิชาการที่สาคัญ ๆ ให้จบภายใน ๑ ปี ถึงแม้ว่าทางฝ่ายเยอรมันนีเห็นว่า ควรจะได้ฝึกหัดและทรงศึกษาต่ออีก ๒-๓ ปี ก็จะเป็น ประโยชน์มากก็ตาม ในที่สุดก็ทรงเลือกเข้าศึกษาใน หลักสูตรต่าง ๆ ได้แก่
- โรงเรียนแม่นปืน เมืองสะบันดา หลักสูตรสาหรับ ทหารช้ันนายพัน
- โรงเรียนปืนใหญ่ เมืองยีเตอร์บอร์ด หลักสูตร สาหรับนายทหารช้ันนายพล
- วิทยาลัยการสงคราม (KRIEGS AKADEMIE) หลักสูตรการยุทธศาสตร์และยุทธวิธี
ตลอดจนร่วมสมทบการฝึกหัดนาทัพในสนามรบ กเ็ พอ่ื เปน็ การเพมิ่ เตมิ ความรเู้ กยี่ วกบั รฐั ศาสตรก์ ารปกครอง การเศรษฐกิจ ทรงเข้าฟังการบรรยายเก่ียวกับเศรษฐกิจ กฎหมายธรรมเนียมระหว่างประเทศ วิธีการปกครอง อาณานิคมที่มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน ๑ ภาคการศึกษา ในระหว่างนั้นก็ยังทรงรับราชการทหารในกรมทหาร รักษาพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าเอากุสตาที่ ๔ และ ในเดือนมีนาคม ๒๔๔๖ พระองค์ก็ได้รับพระราชทาน เลอ่ื นยศเปน็ นายรอ้ ยเอกในกรมทหารรกั ษาพระองคแ์ หง่ น้ี เม่ือทรงมีเวลาว่างส่วนพระองค์ ทูลกระหม่อมโปรดที่จะ ทรงศกึ ษาวชิ าการดนตรดี า้ นประสานเสยี ง (HARMONY) และการประพันธ์เพลง (COMPOSITION) จนทรงเป็น วาทยกร (CONDUCTOR)
ในการเสดจ็ ไปศกึ ษาครงั้ หลงั นี้ แมว้ า่ จะทรงตดั ทอน และเลือกเอาแต่วิชาท่ีจาเป็นจะต้องใช้เมื่อเสด็จกลับมา รบั ราชการกต็ าม แตก่ ย็ งั ใชเ้ วลานานถงึ ๑ ปี เมอื่ รวมเวลา ที่ทรงศึกษาอยู่ในต่างประเทศ รวมประมาณ ๘ ปี ในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะปรับปรุงกองทัพบกให้เป็น กาลังหลักของประเทศ ดังจะเห็นได้จากตอนหนึ่ง ในลายพระหัตถ์ของพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ที่มีประทานไปถึงสมเด็จฯ เจ้าฟ้า กรมขุนนครสวรรค์วรพินิต ในขณะที่ทรงกาลังศึกษาอยู่
นาวิกศาสตร์ 21 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕


Click to View FlipBook Version