The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นาวิกศาสตร์, 2022-11-23 10:14:15

บทความดีเด่น พลเรือเอก กวี สิงหะ

๑๗ มกราคม วันสดุดีวีรชนกองทัพเรือ
พิธีสดุดีวีรชนกองทัพเรือ ในวันท่ี ๑๗ มกราคม ของทุกปี
ณ “อนุสรณ์เรือหลวงธนบุรี” ลานประวัติศาสตร์ ๑๐๐ ปี โรงเรียนนายเรือ
นาวิกศาสตร์ 56 ปีท่ี ๑๐๕ เล่มท่ี ๑ มกราคม ๒๕๖๕


พระบรมราชโองการ พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกาหนดเหรียญกล้าหาญ พุทธศักราช ๒๔๘๔
พุทธศักราช ๒๔๘๕
ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
หนว่ ยทหารทไี่ ดร้ บั พระราชทานเหรยี ญกลา้ หาญใหม้ สี ทิ ธแิ สดงเครอื่ งหมายจา ลองรปู แพรแถบเหรยี ญกลา้ หาญ ที่ยุทโธปกรณ์หลักของหน่วยทหารนั้นได้
(หนังสือ ประมวลกฎหมายเครื่องราชอิสริยาภรณ์)
เรือหลวงธนบุรี ประดับแพรแถบเหรียญกล้าหาญ
นาวิกศาสตร์ 57 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕


คาอธิบายเชิงอรรถ
๑. หอบังคับการ หรือ หอรบ (Conning Tower)
เป็นหอหุ้มเกราะอย่างแข็งแรง ใช้เป็นที่สาหรับผู้บังคับการเรือ นาเรือ และสั่งการในยามสู้รบ เปรยี บเสมอื นมนั สมองของรา่ งกาย เปน็ สว่ นสา คญั ยงิ่ ของ เรอื หลวงธนบรุ ี ทคี่ วบคมุ การเดนิ เรอื และการยงิ ปนื ใหญ่ จากปอ้ มปนื ทงั้ สองถกู กา หนดจากทนี่ ี่ ตวั หอบงั คบั การของ เรอื หลวงธนบรุ ี จงึ มเี กราะหนา ๔ นวิ้ หมุ้ ไว้ ลกู ปนื มอิ าจ ทะลุทะลวงได้ แต่กระสุนนัดดังกล่าว บังเอิญเหลือประมาณที่ทะลุทะลวงห้องโถงนายพลที่อยู่ตอนล่าง เข้ามา ระเบิดด้านใต้พื้นหอบังคับการ นับเป็นคราวเคราะห์โดยแท้
สะพานเดินเรือ
หอบังคับการ
ห้องโถงนายพล
ห้องโถงนายพล หอบังคับการ สะพานเดินเรือ ของ เรือหลวงธนบุรี
๒. เทเลกราฟ (Telegraph)
คอื เครอื่ งสง่ั จกั ร (Engine room Telegraph) เปน็ เครอ่ื งมอื ในการเดนิ เรอื สา หรบั ใชส้ ง่ คา สง่ั หรอื รบั คา สงั่
เพ่ือให้ห้องเครื่องจักรปฏิบัติตาม โดยโยกคันบังคับให้ตรงกับป้ายคาสั่งท่ีต้องการปลายทาง (ห้องเครื่องจักร) จะทราบคาสั่ง และตอบรับทราบคาสั่งจากเข็มชี้
เทเลกราฟของ เรือหลวงธนบุรี เป็นแบบใช้คันหมุน ๓. พังงาถือท้าย (Steering Wheel)
คือ วงล้อท่ีมีด้ามจับ (Spokes) ยื่นออกมาจากขอบวงกลม ส่วนมากจะมีด้ามจับ ๘ ด้าม ทาหน้าท่ีควบคุม หางเสือ ให้เรือแล่นไปทาง ซ้าย-ขวา
ชาวบ้านมักจะเรียกว่า พวงมาลัย
นาวิกศาสตร์ 58 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕


เทเลกราฟ (เครื่องส่ังจักร) พังงาถือท้าย
๔. สะพานเดินเรือ (Wheel House)
เป็นห้องถือท้ายที่ติดตั้งพังงาเรือ สาหรับควบคุมหางเสือ ในเวลาเดินเรือตามปกติ
๕. การสู้รบแบบ ๔ ต่อ ๑
หมายถึง การสู้รบระหว่าง เรือรบไทย ๑ ลา กับเรือรบฝร่ังเศส ๔ ลา เรือรบไทย ๑ ลา ได้แก่ เรือปืนยามฝ่ัง เรือหลวงธนบุรี ๒,๓๕๐ ตัน เรือรบฝรั่งเศส ๔ ลา ได้แก่
เรือลาดตระเวนเบา Lamotte - Picquet ๗,๓๕๑ ตัน
เรือสลุป Amiral Charner ๒,๐๐๐ ตัน เรือสลุป Dumont d’Urville ๒,๐๐๐ ตัน เรือปืน Tahure ๖๐๐ ตัน
๖. สละเรือใหญ่ (Abandon Ship)
เม่ือเรือต้องประสบภัยพิบัติในทะเล มีเหตุฉุกเฉิน เช่น เรือจม ตัวเรือเสียหาย จนไม่สามารถจะดาเนินการ เดินเรือต่อไปได้ จึงมีความจาเป็นต้องทิ้งเรือไปโดยสิ้นเชิง เพ่ือเอาชีวิตรอด ซ่ึงเรียกว่า สละเรือใหญ่
นายทหารเรือท่ีรอดชีวิต ที่มีอาวุโสสูงสุดจะเป็นผู้ออกคาสั่ง สละเรือใหญ่ นิติธรรมชาวเรือในการสละเรือใหญ่ มีอยู่ว่า
“สตรี และเด็กจะต้องจัดให้ได้รับการสละเรือใหญ่ก่อนผู้อื่น”
“ผู้บังคับการเรือ (นายเรือ) จะต้องไปจากเรือเป็นคนสุดท้าย”
สาหรับผู้บังคับการเรือ ถ้าไปจากเรือเมื่อมีเหตุร้ายเกิดข้ึน โดยไม่พากเพียรจนสุดความสามารถใน
อันที่จะทาการแก้ไขเรือให้พ้นอันตราย หรือรู้อยู่ว่ายังมีคนอยู่ในเรือ นอกจากเป็นการผิดนิติธรรมชาวเรือแล้ว ในราชนาวีไทยยังถือว่าเป็นการกระทาผิดต่อกฎหมายอาญาทหารอีกด้วย
นาวิกศาสตร์ 59 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕


เรือรบ ๔ ต่อ ๑
เรือรบของไทย ๑ ลา
เรือหลวงธนบุรี เรือปืนป้องกันชายฝั่ง
เรือหลวงธนบุรี เมื่อเทียบขนาดกับเรือลามอตปิเกต์
เรือลาดตระเวนลามอตต์ปิเกต์ LAMOTTE PICQUET เรือสลุป ดูมองต์ ดูรวิลล์ DUMONT d’URVILLE
เรือสลุป อามิราล ชาร์เนร์ AMIRAL CHARNER เรือปืนตาอูร์ TAHURE
นาวิกศาสตร์ 60 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕




๗. กระดูกงูกันโคลง หรือ ครีบกันโคลง (Bilge Keels)
กระดูกงู (Keel) เป็นโครงสร้างสาคัญของการต่อเรือ กระดูกงูวางตามยาวตรงกลางของท้องเรือ จากทวน
หัวเรือถึงทวนท้ายเรือ ซึ่งกงตั้ง และแผ่นเหล็กตัวเรือประกบอยู่
กระดูกงูกันโคลง (Bilge Keels) เป็นครีบแบนที่ส่วนโค้งภายนอกของตัวเรือเหล็ก วางไปตามยาว
ของตัวเรือ ตอนที่อยู่ใต้ผิวน้าเป็นกระพุ้ง (bilge) ทั้งสองข้างกราบขวา-ซ้าย ของตัวเรือ มีไว้สาหรับลดการโคลง ของเรือ
ภาพถ่ายจาก เรือจาลอง
นาวิกศาสตร์ 62 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕


ด้านหน้า
ด้านหลัง
เหรียญกล้าหาญ
๘. เหรียญกล้าหาญ (The Braverly Medal)
เปน็ เหรยี ญ ประเภท เหรยี ญราชอสิ รยิ าภรณ์ ซง่ึ นบั เปน็ เครอื่ งราชอสิ รยิ าภรณ์ ชนดิ เหรยี ญบา เหนจ็ กลา้ หาญ
ชื่อ เหรียญกล้าหาญ อักษรย่อ ร.ก. มีชั้นเดียว และแบบเดียว (บุรุษ)
พระราชทานแกข่ า้ ราชการ ทหาร ตา รวจ และผกู้ ระทาหน้าทอี่ ย่างทหารหรอื ตารวจ ซงึ่ ได้กระทา การสรู้ บ อยา่ งกลา้ หาญกบั ราชศตั รู ตอ่ มาหากกระทา การอยา่ งกลา้ หาญอกี จะไดร้ บั พระราชทานเครอื่ งหมายรปู ชอ่ ชยั พฤกษ์ ทาด้วยโลหะสีทอง สาหรับติดที่แพรแถบต่อไปครั้งละหน่ึงเครื่องหมาย
สถาปนารัชสมัย พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ พ.ศ. ๒๔๘๔ เหรียญกล้าหาญ มีลักษณะเป็นเหรียญเหล็กกลม รมดา
ด้านหน้า มีพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกาลังทรงทายุทธหัตถีกับราชศัตรู มีอักษรจารึกว่า
“สมเด็จพระนเรศวรมหาราชกู้ชาติ”
ด้านหลัง มีอักษรจารึกว่า “เรากล้ารบ เพื่อเกียรติศักด์ิไทย”
ตัวเหรียญห้อยกับแพรแถบร้ิวแดงขาว กว้าง ๓.๕ เซนติเมตร
ข้างบนมี เข็มโลหะ รมดา รูปคทาจอมพล จารึกอักษรว่า “กล้าหาญ”
(เรยี บเรยี งจากหนงั สอื “ประมวลกฎหมายเครอื่ งราชอสิ รยิ าภรณไ์ ทย” ของสา นกั เลขาธกิ ารคณะรฐั มนตร)ี
นาวิกศาสตร์ 63 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕


๙. นายนาวาโท หลวงพร้อมวีรพันธ์ุ
เดิมชื่อ พร้อม วีระพันธ์ุ เกิดเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๑ ขึ้นทะเบียนประจาการเป็นนักเรียนนายเรือ หมายเลข ๑๔๑ ชุดที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ เข้าศึกษาในโรงเรียนนายเรือ หลักสูตร ๕ ปี สาเร็จการศึกษาออกเป็นนักเรียนทาการนายเรือ ตั้งแต่
วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ รุ่นเดียวกับวิเชียรรัตนกุล (พลเรือโท หลวงวิเชียรนาวา) ล้อม ศรีพยัตต์ (นาวาเอก หลวงศรีพยัตต์) สังวรณ์ สุวรรณชีพ (พลเรือตรี หลวงสังวรยุทธกิจ) นาวาเอก หนู แจ่มผล
บรรดาศักดิ์ หลวงพร้อมวีรพันธ์ุ วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๔ ผู้บังคับการ เรือหลวงธนบุรี วันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๒
เอกสารประกอบการเขียน
๑. หนังสือ “การรบที่เกาะช้าง” พ.ศ. ๒๔๘๔ โดย นาวาโท แซน ปัจจุสานนท์
๒. หนังสือ “เมื่อธนบุรีรบ” โดย พลเรือเอก จิตต์ สังขดุลย์
๓. หนังสือ “๑๗ มกราคม วันสดุดีวีรชนกองทัพเรือ”
๔. อนุสรณ์พิธีงานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือโท เฉลิม สถิรถาวร วันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ ๕. ประวัติ พลเรือโท เฉลิม สถิรถาวร
๖. นาวิกศาสตร์ พฤศจิกายน ๒๕๐๙ “บุคคลที่น่าสนใจ” ชีวประวัตินาวาเอก หลวงพร้อมวีรพันธ์ุ
๗. นาวิกศาสตร์ มกราคม ๒๕๑๔ เรื่อง “การกู้ ร.ล.ธนบุรี และประวัติการณ์บางตอนของ ร.ล.สมุย”
โดย พลเรือตรี ประพัฒน์ จันทวิรัช
๘.นาวกิ ศาสตร์พฤศจกิ ายน๒๕๐๒เรอื่ งเรอื สงขลารบกบั เรอื ลามอตตป์ เิกต์โดยน.นพคณุ (พลเรอื เอกนยั นพคณุ ) ๙. นาวิกศาสตร์ มกราคม ๒๕๑๗ เรื่อง “แด่วีรชนในการรบที่เกาะช้าง” โดย นาวาโท วิชัย เลี่ยมทอง
๑๐. หนังสือ เลือดทหารไทย โดย ป.ปานะดิษฐ์ วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๔
๑๑. หนังสือ “ขนบธรรมเนียมประเพณีทหารเรือ” ของ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ
๑๒. หนังสือ “พจนานุกรม อภิธานศัพท์การเรือ สาหรับบุคลากรฝ่ายปฏิบัติการ อังกฤษ-ไทย” โดย ราจวน นภีตะภัฏ ๒๕๔๒
๑๓. หนังสือ “พจนานุกรมศัพท์ทหารเรือ อังกฤษ-ไทย” โรงเรียนนายเรือ พ.ศ. ๒๕๔๕
๑๔. หนังสือ “ประมวลกฎหมายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย” ของสานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ขอบคุณ
๑. พลเรือเอก วีระพันธ์ บางท่าไม้ ช่วยหาเหรียญกล้าหาญ และภาพประกอบเรื่องให้
๒. โรงเรียนนายเรือ อานวยความสะดวกในการถ่ายภาพประกอบเรื่อง
๓. พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ กองประวัติศาสตร์ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ อานวยความสะดวกในการถ่ายภาพ
ประกอบเรื่อง
นาวิกศาสตร์ 64 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕


๘๐ ปี ยุทธนาวีเกาะช้าง พ.ศ. ๒๔๘๔ กับทฤษฎีสงคราม และการรบทางเรือสมัยใหม่
ตอนที่ ๑ ทาไมทหารเรือไทย-ฝรั่งเศส จึงทายุทธนาวีกันที่เกาะช้าง ?
มูลเหตุทางประวัติศาสตร์ และการเมือง
เหตกุ ารณก์ ารสญู เสยี ดนิ แดนประเทศลาวและกมั พชู า ให้แก่ฝรั่งเศสใน พ.ศ. ๒๔๓๖ (๑๒๘ ปีมาแล้ว) โดยฝร่ังเศสได้ใช้กาลังรบทางเรือบุกรุกเข้ามาในแม่น้า เจา้ พระยา เพอ่ื ดา เนนิ การ “การทตู บบี บงั คบั (Coercive Diplomacy)” หรือ “การทูตด้วยเรือรบเล็กจิ๋ว (Gunboat Diplomacy)” ฝ่ายไทยเรียกว่า “กรณี ร.ศ. ๑๑๒” ไดท้ า ความเสยี ใจ และเจบ็ ใจใหแ้ กป่ ระชาชน คนไทยเป็นอย่างยิ่ง
ต่อมาเม่ือเกิดสงครามโลกครั้งท่ี ๒ ในวันท่ี ๑ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๘๓ ฝรงั่ เศสตอ้ งพา่ ยแพต้ อ่ เยอรมนั เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๓ ต้องตั้งรัฐบาลใหม่ ภายใต้การดูแลของเยอรมันเรียกว่ารัฐบาลวิชี (Vichy ชื่อเมืองทางตอนกลางของฝร่ังเศสท่ีใช้เป็นท่ีทาการ ของรฐั บาลภายใตก้ ารนา ของ จอมพล เปแตง แมท่ พั ฝรง่ั เศส จากสงครามโลกครั้งท่ี ๑) ขณะเดียวกันทางด้านเอเชีย ตะวันออกไกล ญ่ีปุ่นก็เริ่มดาเนินนโยบายขยายอานาจ ทางการทหารไปสู่ดินแดนประเทศอื่น ขั้นแรกได้ยึด แมนจูเรียไปจากจีน ต่อมารบกับจีนโดยตรง และต่อมา ญี่ปุ่นได้ทาความตกลงกับรัฐบาลวิชีของฝร่ังเศส ขอส่ง ทหารจานวน ๒๕,๐๐๐ นาย เข้าไปดูแลสถานการณ์
นาวิกศาสตร์ 8 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕
ในอินโดจีนฝรั่งเศส (ลาว เขมร และญวน) โดย อ้างว่าเพื่อป้องปรามมิให้ จอมพล เจียง ไคเชก (Chiang Kai-Shek) ของจีนคณะชาติ ซึ่งเป็นใหญ่ บนแผน่ ดนิ จนี ในขณะนนั้ สง่ ทหารเขา้ ไปในมณฑลยนู นาน ทางภาคใต้ของจีน และอาจเป็นไปได้อย่างย่ิงท่ี จนี คณะชาตจิ ะสง่ ทหารเขา้ อนิ โดจนี ฝรงั่ เศสดว้ ย สา หรบั ไทยกับฝร่ังเศสนั้น ได้ทา สนธิสัญญาไม่รุกรานกัน แต่สภา ของทั้งสองฝ่ายยังมิได้ให้สัตยาบันกัน การที่รัฐบาลวิชี ของฝรั่งเศสตกลงยอมให้ญี่ปุ่นส่งทหารจานวนมาก ในอินโดจีนฝร่ังเศส สร้างความวิตกให้แก่รัฐบาลไทย (ซ่ึงในขณะน้ันมี พลตรี แปลก พิบูลสงคราม เป็น นายกรฐั มนตร)ี เปน็ อยา่ งยงิ่ เกรงวา่ หากฝรงั่ เศสไมส่ ามารถ รักษาอานาจอธิปไตยเหนืออินโดจีนได้ ลาว เขมร และญวนกอ็ าจตกเปน็ ของญปี่ นุ่ ซง่ึ อาจกระทบความมนั่ คง ของชาติ ดังนั้น เพื่อเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของ ชาติ และป้องกันมิให้ประชาชนชาวอินโดจีนฝรั่งเศส ซ่ึง เดิมเป็นคนไทยจะต้องตกอยู่ในการปกครองของญี่ปุ่น จึงมีการส่งทูต คือ พันเอก หลวงพรหมโยธิน (ต่อมาเป็น แม่ทัพบูรพา) และ พันตรี ไชย ประทีปเสน (ท่านน้ีต่อมา ไดเ้ ปน็ เอกอคั รราชทตู ไทย/ปารสี ใน พ.ศ. ๒๔๙๙-๒๕๐๐ ขณะนั้นผู้เขียนได้ติดตามบิดาซ่ึงไปเป็นรองผู้ช่วย


ทูตทหารเรือที่นั่น) ไปเจรจากับรัฐบาลอินโดจีน ฝรั่งเศสที่ฮานอย ในวันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๓ โดยยื่นข้อเสนอ ๓ ข้อ อันเป็นข้อแม้ว่าจะยินยอมให้ สัตยาบันในสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างไทย-ฝรั่งเศส ถ้าฝรั่งเศสยินยอม
๑) ปักปันเขตแดนระหว่างไทย-ฝรั่งเศส ให้ถือ ร่องน้าลึก (Thalweg) ของแม่น้าโขงเป็นเกณฑ์
๒) ปกั ปนั เขตแดนไทย-ฝรงั่ เศส ใหใ้ ชธ้ รรมชาตแิ บง่ คอื แมน่ า้ โขง ดงั นนั้ ดนิ แดนอนิ โดจนี ฝรงั่ เศสทอี่ ยฝู่ ง่ั ขวา ของแม่น้าโขงตรงข้ามหลวงพระบาง และปากเซ ที่ไทย ใน พ.ศ. ๒๔๕๐ จาต้องมอบให้ฝรั่งเศสหลังกรณี ร.ศ. ๑๑๒ เพื่อแลกกับการท่ีฝร่ังเศสต้องถอนตัวจาก การยึดจันทบุรี-ตราด คืนให้แก่ไทย
๓) ถ้าอินโดจีน (ลาว เขมร และญวนทั้งหมด) ต้องเปลี่ยนอธิปไตยเป็นของญี่ปุ่น ฝรั่งเศสต้องคืนลาว เขมร ให้แก่ไทย (เพราะเคยเป็นของไทยมาก่อน)
ในวนั ที่ ๑๗ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๘๓ ฝรงั่ เศสไดป้ ฏเิ สธ ไทยทงั้ ๓ขอ้ เรยี กรอ้ งโดยอา้ งวา่ สามารถปกปอ้ งอธปิ ไตย ฝรงั่ เศส ทงั้ ยงั สา ทบั วา่ “ยกดนิ แดนทเ่ี คยเปน็ ของสยาม ให้ญ่ีปุ่นดีกว่าคืนให้สยาม” เม่ือฝร่ังเศสมาไม้นี้ และมี การลงข่าวในหนังสือพิมพ์แพร่กระจายไป คนไทยซ่ึงมี ความตนื่ ตวั ตอ่ กระแสชาตนิ ยิ มอนั เปน็ ผลจากการปฏริ ปู วัฒนธรรมไทย จึงแสดงความไม่พอใจ
หลังจากน้ัน ฝรั่งเศสได้เคลื่อนขบวนทหารญวนมา ประชิดเขตแดนไทยทางด้านอรัญประเทศ ปราจีนบุรี ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือได้เคล่ือนพลมาประชิด ชายแดนไทยท่ีป้อมสาโรง จังหวัดเสียมราฐของเขมร ติดกับจังหวัดสุรินทร์ ที่เมืองเก่าตรงข้ามปากเซของลาว ทสี่ วุ รรณเขตของลาวตดิ กบั ชายแดนจงั หวดั อบุ ลราชธานี ที่เขตลาวตรงข้ามมุกดาหาร และที่ท่าแพของลาว
เมอื่ เหตกุ ารณเ์ ปน็ เชน่ นี้ คนไทยไดอ้ อกมาเดนิ ขบวน เรยี กรอ้ งดนิ แดนครงั้ สา คญั เมอื่ วนั ที่ ๘ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๘๓ และรัฐบาลไทยได้ส่งทูตอันประกอบด้วยนายทหารบก ๒นาย(พนั โทประยรู ภมรมนตรีและพนั ตรีไชยประทปี เสน) และนายทหารเรือ ๒ นาย (เรือเอก ชลี สินธุโสภณ
“แผนที่สยามและอินโดจีนใน ค.ศ. ๑๘๑๕ (พ.ศ. ๒๓๙๔ ปีสุดท้ายในรัชสมัย ร.๓) พิมพ์โดยฝรั่งเศส แสดงให้เห็น ดังนี้ สีเขียว แสดงอาณาจักรสยามแท้ ๆ (เหนือสุดแค่พิษณุโลก ตะวันออก
ไปถึงสุวรรณเขต ป่าสัก พระตะบอง)
สีเหลือง แสดงประเทศราชของสยามเดี่ยว ๆ (เชียงใหม่ เถิงเดียนเบียนฟู ปัตตานี หลวงพระบาง เคดะ กลันตัน ตรังกานู นครวัด และเสียมราฐ) สีชมพู แสดงเขตที่ทั้งสยามและญวนร่วมกันเป็นเจ้าประเทศราช (เขมรส่วนใหญ่เกือบท้ังหมดยกเว้น นครวัด เสียมราฐ)
และ เรือเอก สวัสดิ์ คงศิริ) ไปเจรจากับ รัฐบาล เยอรมันที่เบอร์ลิน และผู้บัญชาการทหารเยอรมัน ในการยึดครองกรุงปารีส คณะทูตได้ออกเดินทาง เมื่อวันท่ี ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ในการเจรจากับรัฐบาล เยอรมัน คณะนายทหารไทยได้พบกับ จอมพลอากาศ เกอริง ซ่ึงเกอริงได้ให้ไฟเขียวกับไทยในการเรียกร้อง ดินแดนคืน ขอแต่เพียงให้เป็นดินแดนที่เคยเป็นของไทย เท่าน้ัน เพราะเกรงว่าเร่ืองจะบานปลายขยายแนวรบ ที่เยอรมันไม่อาจช่วยได้ นอกจากนั้น จอมพลอากาศ เกอริง เสืออากาศ เหรียญกล้าหาญ Blue Max
นาวิกศาสตร์ 9 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕


แผนที่เขตแดนไทยสมัยต้นรัตนโกสินทร์ตามท่ีไทยระบุเอง จากหนังสือ “บุกเขมร” ของนายหนหวย
ของเยอรมนั ในสงครามโลกครงั้ ที่ ๑ ผนู้ า เบอร์ ๒ รองจาก ฮติ เลอร์ ยงั ไดก้ ลา่ ววา่ ยนิ ดชี ว่ ยเหลอื ไทยในการเรยี กรอ้ ง ดินแดนเมืองมะริด และทวาย ที่เสียให้แก่อังกฤษ อย่างไม่เป็นธรรมด้วย
ส่วนการเจรจากับผู้บัญชาการทหารเยอรมันที่ ยึดครองกรุงปารีส ดรีทริซ ฟอน โชลทิช (Dietrich von Choltitz ต่อมานายพลผู้นี้ได้ขัดคาสั่งฮิตเลอร์ไม่ยอม ทาลายกรุงปารีส เมื่อกองทัพพันธมิตรเคลื่อนพลจาก หาดนอรม์ งั ดจี ะเขา้ กรงุ ปารสี ) ใหช้ ว่ ยสงั่ การไปยงั รฐั บาล วชิ ขี องฝรงั่ เศส เพอื่ ชว่ ยยบั ยงั้ ความพยายามทจี่ ะใชก้ า ลงั ทหารตามชายแดนกบั ไทยปรากฏวา่ ไมเ่ปน็ ผลคณะทตู ไทย ได้ถือโอกาสเข้าเย่ียมชมป้อมมายิโนต์ (Maginot Line) ที่สร้างข้ึนตามแนวชายแดนฝรั่งเศส เยอรมัน ด้วย ความคิดจะเอามาใช้ในการป้องกันประเทศฝรั่งเศส จากเยอรมันด้วยป้อมมายิโนต์อันใหญ่โตแข็งแกร่ง จะเปน็ ปราการปอ้ งกนั การบกุ ของเยอรมนั ได้แตเ่ยอรมนั กลับใช้ยุทธวิธีสงครามสายฟ้าแลบ (Blitzkrieg) นารถถังอ้อมเข้าเบลเยี่ยมมาตียึดกรุงปารีสได้เกือบ ทันทีที่ระเบิดฉากการสงคราม ในการเข้าเยี่ยมชม ป้อมมายิโนต์ คณะทูตทหารไทยได้พบคณะนายทหาร
จอมพลอากาศ แฮร์มานน์ เกอริง พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)
อธิบายภาพ จากการท่ีพลตรี (ต่อมาเป็นพลเอก) พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เคยเป็นเพื่อนร่วมรุ่น กับจอมพลอากาศ เกอริง ของนาซีเยอรมัน การประสานงานเพ่ือเจรจาความเมืองจึงเป็นไปอย่างสะดวกราบร่ืน จอมพลอากาศ เกอริง ผู้นี้ เคยเรียนศิลปะมวยไทยจาก พลตรี พระศักดาพลรักษ์ นักเรียนนายร้อยคนดังอื่น ๆ ใน “นายร้อยเยอรมันรุ่นไกเซอร์” น้ี ก็มี จอมพล รอมเมล, พลเอก โตโจ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในสมัยสงครามอินโดจีน และสงครามโลกครั้งที่ ๒
นาวิกศาสตร์ 10 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕


พันโท ประยูร ภมรมนตรี งานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตของไทยที่ไปเยือนกรุงเบอร์ลิน กาลังเจรจากับนายพลเยอรมัน เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๔๘๓ (ถ่ายโดยเรือเอก สวัสดิ์ คงศิริ)
ญี่ปุ่นที่มาชมป้อมน้ีเหมือนกัน จึงทราบว่าญ่ีปุ่นมีแผน ที่จะบุกเอเชียอาคเนย์ในอนาคตอันใกล้
เม่ือการดาเนินการทางการทูต และการเมืองเพื่อ หาสันติวิธีในการตกลงกันมาถึงทางตัน ฝร่ังเศสได้มี การเคลอื่ นไหวอยา่ งคกึ คกั เพอื่ เตรยี มกา ลงั รบ โดยโยกยา้ ย กา ลงั ทหารจากอา่ วตงั เกย๋ี มายงั ชายแดนไทยพรอ้ มอาวธุ ยุทธภัณฑ์ และเสบียงอาหาร บางแห่งวางที่ต้ังปืนใหญ่ หนั ปากกระบอกมายงั ฝง่ั ไทย มกี ารเคลอื่ นไหวทางอากาศ ใชเ้ ครอ่ื งบนิ มาบนิ สอดแนมเขา้ มาในเขตไทยอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ในวันท่ี ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ที่บ้านพร้าว และที่ อาเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย วันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ เครื่องบินทิ้งระเบิดบินเข้ามาเหนืออาเภอ โพนพสิ ยั จงั หวดั หนองคาย วนั ที่ ๒๘ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๘๓ มกี ารบนิ ลา้ แดนเขา้ มาทางกงิ่ อา เภอคลองใหญ่ จงั หวดั ตราด ลึกเข้ามา ๕ กิโลเมตร แล้วบินกลับไปทางทะเล วันที่ ๒๘ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ทหารไทยจบั ทหารฝรงั่ เศสทเี่ ขา้ มา ลาดตระเวนในเขตแดนไทยที่บ้านโคกสูง อรัญประเทศ
วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๓ มีการแต่งตั้ง หนว่ ยสนามโดยพลตรีหลวงพบิ ลู สงครามนายกรฐั มนตรี เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด และแม่ทัพบก พลเรือตรี หลวงสินธุสงครามชัย (นักเรียนนายเรือ หมายเลข ๒๔๗ รุ่น พ.ศ. ๒๔๕๘ จบการศึกษาโรงเรียนนายเรือเดนมาร์ก พ.ศ. ๒๔๗๒) ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นแม่ทัพเรือ นาวาอากาศเอก หลวงอธึกเทวราช รองผู้บัญชาการ ทหารอากาศ เป็นแม่ทัพอากาศ
วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๓ ผู้บัญชาการ ทหารสงู สดุ ไดอ้ อกคา สงั่ จดั ตงั้ กองทพั บกสนามประกอบดว้ ย
กองทพั บรู พา กองทพั อสิ าน กองพลผสมปกั ษใ์ ต้ กองพลพายพั และกองพลผสมกรุงเทพฯ โดยกองทัพบูรพามี พันเอก หลวงพรหมโยธี เปน็ แมท่ พั มภี ารกจิ เขา้ ตดี า้ นประเทศเขมร เพอื่ เขา้ ยดึ กรงุ พนมเปญ โดยรบบรรจบกบั กองทพั อสิ านท่ี พนมเปญ แล้วจะให้ทั้งสองกองทัพกวาดล้างข้าศึกขึ้นไป ตามแนวแม่น้าโขงเพ่ือบรรจบกับกองพลพายัพ กองทัพ บูรพามีการประกอบกาลัง ๕ กองพล โดย ๑ ใน ๕ คือ กองพลจันทบุรี ประกอบกาลังด้วยกองพันนาวิกโยธิน ท่ี ๑ ๒ และ ๓ กองพันทหารม้าที่ ๔ (ม.พัน.๔ ซึ่งมี ท่ีตั้งอยู่ท่ีค่ายตากสิน จังหวัดจันทบุรี ปัจจุบัน) กองพัน ทหารปืนใหญ่นาวิกโยธิน กองทหารข่าวทหารบก
พลตรี หลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด หลังวันท่ี ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ไทยได้รับมณฑลบูรพาคืนจากฝรั่งเศส ได้รับโปรดเกล้าฯ ข้ามข้ัน จากพลตรี เป็นจอมพล (กระทรวงกลาโหมเสนอแค่พลโท)
นาวิกศาสตร์ 11 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕


พลเรือตรี หลวงสินธุสงครามชัย ผู้บัญชาการทหารเรือ และแม่ทัพเรือ ท่านเป็นเจ้าภาพงานมงคลสมรสของบิดา มารดา ผู้เขียนที่ราชนาวิกสภา เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ และเม่ือ พ.ศ. ๒๕๑๗ บดิ าเคยพาไปไหวท้ า่ นทว่ี ดั เครอื วลั ย์ หลงั สา เรจ็ การศกึ ษา
นาวาตรี ทองหล่อ (ทหาร) ขาหิรัญ ผู้บัญชาการกองพลจันทบุรี
เม่ือ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เหล่าทหารนาวิกโยธิน อินทรธนูไม่มี “หูกระทะ” หูกระทะแบบอังกฤษจึงเป็นเครื่องหมายนักรบในทะเล
นาวิกศาสตร์ 12 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕
เรือหลวงช้าง (ลาที่ ๑) เป็นเรือลาเลียง ประจาการตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๗ ถึง พ.ศ. ๒๕๐๕ ต่อจากสก๊อตแลนด์ เคร่ืองยนต์มี ๓ สูบ มี ๔ ช่ือ คือ เดิมช่ือจาเริญ --->บุ๊ก--->วิเทศกิจการ-->ช้าง ในสงครามอินโดจีน เป็นเรือหลักในการลาเลียงนาวิกโยธินและทหารอากาศไปสถาปนา กา ลงั ทจี่ นั ทบรุ ี และปอ้ นเชอื้ เพลงิ เครอ่ื งบนิ ใหท้ หารอากาศ หลงั การรบ ๑๗ มกราคม ๒๔๘๔ เป็นเรือลาแรกที่เข้าไปช่วยเหลือดับไฟ บนเรือหลวงธนบุรี และจูงเรือหลวงธนบุรีมาเกยตื้นท่ีแหลมงอบ
การลาเลียงทหารแห่งกองพันที่ ๑ ๒ และ ๓ นาวกิ โยธนิ จากกรงุ เทพมหานครและสตั หบี ไปสถาปนา กาลังรบที่จันทบุรีและตราด เริ่มตั้งแต่วันที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ไปสิ้นสุดในวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ รวม ๗ เที่ยว โดยเรือหลวงอ่างทอง (ลาที่ ๑ คือ เรือพระที่นั่งจักรี ลาที่ ๒ ที่ปลดจากเรือพระที่นั่งแล้ว) เรือหลวงช้าง (ลาท่ี ๑) เรือหลวงเจ้าพระยา (ลาที่ ๑) เรือหลวงพงัน (ลาที่ ๑) และเรือหลวงคราม (ลาท่ี ๑)
ตลอดเดือนพฤศจิกายน ๒๔๘๓ ฝร่ังเศสได้ เคลอ่ื นพล และยทุ โธปกรณเ์ ขา้ มาประชดิ ตลอดชายแดนไทย และมีการส่งเครื่องบินมาลาดตระเวนตรวจการณ์ อยา่ งตอ่ เนอื่ ง โดยวนั ท่ี ๒๗-๒๙ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๘๓ บินเข้ามาถ่ายภาพ และทิ้งระเบิดพ้ืนท่ีจังหวัดนครพนม วนั ท่ี ๓๐ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๘๓ บนิ เขา้ มาตรวจการณ์
และกองทหารสอื่ สารกองทพั บกสา หรบั ทหารนาวกิ โยธนิ ทงั้ หมดมที ตี่ งั้ ทสี่ ตั หบี จงั หวดั ชลบรุ ีและกรงุ เทพมหานคร การเคลอื่ นทพั ของนาวกิ โยธนิ ไปประจา การรบ ตอ้ งกระทา ดว้ ยการลา เลยี งทางเรอื จากทตี่ งั้ สตั หบี และกรงุ เทพมหานคร กองพลนาวิกโยธินจันทบุรี (กองพลจันทบุรี) มี นาวาตรี ทองหล่อ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นทหาร) ขาหิรัญ (นักเรียนนายเรือ หมายเลข ๒๘๓ รุ่น พ.ศ. ๒๔๖๑) เป็นผู้บัญชาการกองพล


อาเภอศรีเชียงใหม่ อาเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย และในวันท่ี ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. นาวิกโยธนิฝรงั่เศสยกพลมาทางเรอืพยายามทจี่ะขนึ้บก ที่ฝั่งทะเลจังหวัดตราด เม่ือไทยเราทราบ กองบินจังหวัด จันทบุรี จึงส่งเครื่องบินขับไล่โดยมี นาวาอากาศตรี หลวงล่าฟ้าเริงรณ (กิ่ง ผลานุสนธิ) เป็นผู้บังคับฝูง เขา้ ถลม่ กองเรอื นาวกิ โยธนิ ฝรงั่ เศส ทา ใหข้ า้ ศกึ ไมส่ ามารถ ยกพลขนึ้ บกได้ และถอยไปจงั หวดั เกาะกง (เรอ่ื งนท้ี พั เรอื ส่งนายทหารข้ึนไปตรวจสอบแล้วไม่เป็นความจริง -ผู้เขียน)
หน้าท่ีกองทัพเรือ และยุทธศาสตร์ทางเรือของไทย ในสงครามอินโดจีน
ร ฐั บ า ล แ ล ะ ผ บ้ ู ญั ช า ก า ร ท ห า ร ส งู ส ดุ ไ ด ก้ า ห น ด ห น า้ ท ่ ี กองทัพเรือสงคราม ดังน้ี
๑. หาโอกาสใชก้ า ลงั สว่ นใหญท่ า ลายกา ลงั สว่ นยอ่ ย ของข้าศึก ในย่านที่สามารถจะไปดาเนินการได้ ในขณะ เดียวกันต้องออมกาลังไว้เพ่ือเหตุการณ์ฉุกเฉิน
ทหารฝรั่งเศสชักธงขึ้นที่ตราดใน ร.ศ. ๑๑๒ เพื่อเป็นหลักประกัน มิให้สยามบิดพลิ้วไม่ยอมรับเง่ือนไขการชดใช้ค่าเสียหาย (ท่ีไปฆ่า Grosgurin จเรทหารฝรั่งเศสตายเมื่อไปปราบฮ่อ และกา้ วรา้ วยงิ เรอื ฝรง่ั เศสจมเสยี หายเมอื่ บกุ เขา้ มาในแมน่ า้ เจา้ พระยา)
อันสาคัญกว่า ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ในภายหลัง เพราะ สถานการณ์ของโลกกาลังอยู่ในวิกฤตกาล (สงครามโลก ครงั้ที่๒ในยโุรประเบดิขนึ้แลว้ตงั้แตเ่ยอรมนับกุโปแลนด์ เมอื่ วนั ที่ ๑ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ และญปี่ นุ่ บกุ แมนจเู รยี จนี กบั สง่ ทหาร ๒๕,๐๐๐ นาย เขา้ มาในอนิ โดจนี ฝรงั่ เศส แลว้ ) ในระหวา่ งนเี้ ราไมส่ ามารถหากา ลงั เพม่ิ จากทอี่ นื่ ได้ นอกจากน้ันจักต้องออมเชื้อเพลิงไว้สาหรับงานใหม่ ต่อไปเช่นกัน
๒. ทาการรักษาเส้นทางคมนาคมภายในทะเล ไว้สาหรับการลาเลียงทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และยุทธ สัมภาระท่ีประสงค์จะส่งไปยังจุดที่ต้องการ
๓. ป้องกันมิให้ข้าศึกทาการรังควานเส้นทาง คมนาคม หรือมาลาเลียงทหารข้ึนบนดินแดนของเราได้ เพอื่ เปน็ การปอ้ งกนั ปกี และดา้ นหลงั ของกา ลงั ทที่ า การรบ บนบกอย่าให้ต้องชะงักลง
๔. ใหค้ วามอบอนุ่ ใจแกร่ าษฎรชายแดนรมิ ฝง่ั ทะเล
ในการดาเนินการตามหลักท่ีกล่าวมานี้ ให้ทา การรว่ มมอื กบั กองทพั อากาศ นอกจากนนั้ พลตรี พลเรอื ตรี
วันท่ี ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ สยามต้องยกพระตะบอง ศรีโสภณ เสียมราฐ เพื่อแลกเอาตราดและเกาะต่าง ๆ คืน วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๐ ยกไชยะบุรี จาปาศักดิ์ ในลาวเพอื่ แลกเอาจนั ทบรุ คี นื มา (รวม ๑๑ ปี ตอ้ งอยใู่ นอาณตั ฝิ รงั่ เศส)
นาวิกศาสตร์ 13 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕


หลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ยังได้ กล่าวสาทับยืนยันเม่ือวันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๔ หลังเหตุการณ์การรบว่า “กองทัพเรือมีหน้าที่ทาการ รักษาฝ่ัง ไม่ต้องการรุกรานใคร ฉะน้ัน จึงมิได้รับคาส่ัง ให้ทาการล่วงล้าเข้าไปในน่านน้าข้าศึก” และนี่คือ ภาพพจน์ลักษณะสงครามทางเรือที่ผู้บังคับบัญชา ต้องการให้เกิดขึ้น
การกาหนดยุทธศาสตร์ทางเรือเช่นนี้ก็นับได้ว่า มีเหตุผลท่ีดี เพราะไทยต้องเสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้าโขง พ.ศ. ๒๔๔๖ และเสียดินแดนพระตะบอง ศรีโสภณ
และโดยทเ่ี รอื รบทต่ี อ่ ดว้ ยเหลก็ ไทยยงั ไมส่ ามารถตอ่ เองได้ ทั้งยังไม่สามารถหามาเพ่ิมเติมจากท่ีอื่นได้ เรือรบจึงเป็น ทรัพยากรที่มีค่าสาหรับประเทศไทย และเรือรบยังเป็น อาวุธสิ้นเปลืองน้ามันเชื้อเพลิงมาก หากไทยบุกทางเรือ ไปทาการรบในน่านน้าอื่น อาจจะเป็นการเสี่ยงภัยต่อ การป้องกันประเทศได้อย่างอเนกอนันต์ ยุทธศาสตร์ ทางเรือจึงกาหนดให้มีบทบาทแค่การป้องกันฝ่ัง ป้องกัน การถูกตีตลบหลัง ท้ังยังต้องพิจารณาการยุทธ์มิให้มี การเสี่ยงต่อการสูญเสียเรือรบอันมีค่าสาหรับชาติด้วย การยทุ ธท์ างเรอื จงึ ตอ้ งดา เนนิ การแบบถนอมกา ลงั ทเี่ รยี กวา่ “กองเรือคงชีพ (Fleet in Being)” เปรียบเทียบกับ การลงทุนในตลาดหุ้นก็คือ ลงทุนแบบเสี่ยงมากไม่ได้ มิฉะนั้นจะหมดตัว ในขณะเดียวกันอากาศยานรบ ในขณะนั้นมีเทคโนโลยีระดับพี่ ๆ รถจักรยานยนต์ โครงทา ดว้ ยไม้บดุ ว้ ยผา้ ใบกรมชา่ งอากาศไทยผลติ เองได้ จึงสามารถเสี่ยงได้มากขึ้น บุกได้มากขึ้น การสูญเสีย เครื่องบินอาจถือได้ว่าเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว หากเปรียบเทียบ กับการสูญเสียเรือรบ การมอบหน้าที่กองทัพเรือ ในสงครามอนิ โดจนี วา่ “จกั ตอ้ งออมเชอื้ เพลงิ ไวส้ า หรบั งานใหม่ต่อในภายภาคหน้า” ทาให้เรือรบไทยท่ีไป ป้องกันประเทศเป็นด่านหน้า (Forward Defense) ณ บรเิ วณเกาะชา้ ง ไมต่ ดิ ไฟเมอื่ จอดเรอื เรอื ตอรป์ โิ ดใหญ่ เช่น เรือหลวงสงขลา (ลาท่ี ๑) เรือหลวงชลบุรี (ลาท่ี ๑) หากตดิ ไอนา้ กพ็ รอ้ มจะเปลอื งนา้ มนั ชวั่ โมงละ ๑ ตนั หรอื ๑,๐๐๐ลติ รราคานา้ มนั ดเีซลปจั จบุ นั (พ.ศ.๒๕๖๔)ราคา ลติ รละ ๓๐ บาท นนั้ หากเรอื ตอรป์ โิ ดใหญต่ ดิ ไฟพรอ้ มไว้ ตลอดเวลา จะเปลืองน้ามันเชื้อเพลิงเป็นเงินชั่วโมงละ ๓๐,๐๐๐ บาท ถ้าติดไฟตลอดทั้งวัน จะสิ้นเปลือง เชื้อเพลิงวันละ ๗.๒ แสนบาทต่อลา ถ้าเรือทุกลาติดไฟ มีไอน้าพร้อมทุกลา จะเห็นว่าจะต้องหมดเปลืองเงิน เป็นจานวนมากมายนัก แต่การหมดเปลืองเงินยังเป็น ปัญหาน้อยกว่าการไม่มีน้ามันใช้ในสถานการณ์สงคราม มีวิกฤตการณ์ หรือประเทศโดนคว่าบาตร แม้มีเงิน ก็ไม่อาจซื้อน้ามันได้ เพราะเขาไม่ยอมขายให้
การสร้างเครื่องบินเองของกองทัพอากาศไทยยุค พ.ศ. ๒๔๘๔
มณฑลบูรพาในเขมร เนื้อที่ประมาณ ๕๑,๐๐๐ ตาราง กิโลเมตร เพิ่มเติมให้แก่ฝรั่งเศสเพ่ือแลกกับการเอา ดินแดนจันทบุรี-ตราด คืนมาจากฝร่ังเศส จันทบุรี และตราดจึงเป็นดินแดนที่เคยอยู่ภายใต้ธงชาติฝร่ังเศส หากฝรั่งเศสสามารถยกพลขึ้นบกที่จันทบุรี-ตราดได้ ก็อาจยกทัพมายังกรุงเทพฯ หรือบุกตลบหลังกองทัพบก และกองทัพอากาศที่กาลังยาตราทัพเข้าไปในมณฑล บูรพาในเขมรได้โดยง่าย
อีกประการ สงครามโลกในยุโรป เยอรมันกาลัง แผ่ขยายอานาจไปครอบครองดินแดนประเทศอ่ืน อยา่ งกวา้ งขวางการทญ่ี ปี่ นุ่ บกุ แมนจเูรยี และจนี ตลอดจน สง่ ทหารเขา้ มาประจา การในอนิ โดจนี มากถงึ ๒๕,๐๐๐ นาย แลว้ กม็ แี นวโนม้ วา่ การสงครามใหญอ่ าจจะแผข่ ยายมาถงึ ประเทศไทยได้ในไม่ช้า ซ่ึงก็เป็นความจริงในระยะต่อมา คอื ญปี่ นุ่ บกุ ประเทศไทยในวนั ที่๘ธนั วาคมพ.ศ.๒๔๘๔
นาวิกศาสตร์ 14 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕


สถานการณ์การรบทางบก และทางอากาศก่อนเกิด ยุทธนาวีเกาะช้าง
วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ รัฐบาลไทยตัดสินใจ ใชก้ า ลงั ทหารเพอื่ ปกปอ้ งอธปิ ไตยโดยประกาศระดมกา ลงั พล และสงั่ เคลอื่ นกา ลงั ทหารสว่ นใหญเ่ ขา้ ประจา การในพนื้ ที่ ชายแดน เพื่อเข้าตีตอบโต้ด้วยกองทัพบูรพาให้บุกเข้า เขมรตงั้ แตอ่ รญั ประเทศไปจรดฝง่ั ทะเล เขา้ ตตี ามทศิ แนว ถนนอรัญประเทศ ปอยเปต ศรีโสภณ พระตะบอง และ เตรียมรุกเข้าพนมเปญ และอีกทางทาการยุทธ์บรรจบ กับกองทัพอีสานเพื่อเข้ายึดเสียมราฐ นครวัด กาปงทม และพนมเปญ กองพลนาวิกโยธินจันทบุรีได้รับคาสั่งให้ ทาการเข้าตีทางไพลินไปบรรจบกับกองพลลพบุรีของ ของกองทพั บรู พาทพี่ ระตะบองวนั ที่๙และ๑๒ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ มีเหตุการณ์รุกล้าอธิปไตยด้วยกาลัง ทางอากาศหลายแห่ง โดยนครพนมถูกทิ้งระเบิด เกอื บโดนศาลากลางจงั หวดั และการทงิ้ ระเบดิ ทอี่ ดุ รธานี
วันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ เวลา ๑๑.๕๐ น. กองรอ้ ยที่๖กองพนั ทหารราบที่๒นาวกิ โยธนิ ไดป้ ะทะ กบั ขา้ ศกึ ทบี่ า้ นบงึ ชะนงั ทา ใหข้ า้ ศกึ เสยี ชวี ติ และบาดเจบ็ จานวนมาก แต่ฝ่ายเราปลอดภัย วันที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. ข้าศึกกาลังประมาณ ๖๐๐ คน ได้เข้าตีที่มั่นของกองร้อยท่ี ๓ กองพันทหารราบท่ี ๑
พันตรี นิ่ม ชโยดม (ยศครั้งสุดท้าย พันเอก)
วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ทหารไทย ๑ กองพัน นาโดย พันตรี น่ิม ชโยดม มิได้ปฏิบัติตามคาส่ังอย่างเคร่งครัด แต่ปฏิบัติ ด้วยไหวพริบทาให้ได้รับชัยชนะต่อฝร่ังเศสอย่างงดงาม สามารถยึด ธงไชยเฉลิมพลฝรั่งเศสที่ติดเหรียญชัยสมรภูมิฝรั่งเศสได้ (แต่ผู้บังคับ กองพันเกือบจะมีโทษฐานขัดคาสั่ง) ในภาพทางซ้ายคือ นาวาเอก หลวงยทุ ธศาสตรโ์ กศลนนร.หมายเลข๑๓๖รนุ่ ปรี าวพ.ศ.๒๔๕๔–๒๔๕๕ (ต่อมา จอมพลเรือ ผู้บัญชาการทหารเรือ พ.ศ. ๒๔๙๔–๒๕๐๐) หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ จบลงแล้ว ฝร่ังเศสชนะสงครามได้มา ขอธงน้ีคืน
นาวกิ โยธนิ ทบี่ า้ นโปง่ สลาถงึ ขนั้ ตะลมุ บอน และการตอ่ สู้ ในระยะประชิด
วันที่ ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ กองทัพไทยโดย พลตรี หลวงพิบูลสงคราม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้โจมตีฝร่ังเศสทางด้านกัมพูชา นครจาปาศักดิ์ และ ทางด้านลาวที่เวียงจันทร์ และสะหวันนะเขต วันท่ี ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ รัฐบาลไทยตัดสินใจประกาศ สงครามกับอินโดจีน
นาวิกศาสตร์ 15 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕


การตกลงใจทางการเมอื งของฝรงั่ เศสในการตอบโตไ้ ทย
ในวันท่ี ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เม่ือ พลเรือโท ฌ็อง เดอกูซ์ (Jean Decoux) ข้าหลวงใหญ่ฝรั่งเศส ประจาอินโดจีนได้ประจักษ์ชัดว่า กองทัพไทยกาลัง ทาการรบเพ่ือรุกเข้ามายึดครองดินแดนท่ีเคยเสียไป ในอินโดจีนกลับมาคืนให้ได้ เพื่อที่จะสามารถหยุดย้ัง ความก้าวร้าวของไทยน้ีได้ จึงจาเป็นที่จะต้องตีแสกหน้า
และกา ลงั พลประจา เรอื ไทยทงั้ หมดมจี า นวน ๒,๓๐๐ คน ส่วนฝรั่งเศสมีกาลังพลแค่ ๙๕๐ คน สาหรับเรือรบไทย ทั้งหมดฝรั่งเศสพิจารณาแล้วเห็นว่าเกือบทุกลาเป็นเรือ ที่ใหม่และทันสมัยมาก เพราะเพ่ิงเข้าประจาการตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๘-๒๔๘๑ โดยเฉพาะเรือหลวงธนบุรี และ เรือหลวงศรีอยุธยานั้น ฝร่ังเศสจัดเป็นเรือรบประเภท “เรือประจัญบานรักษาฝั่ง” garde-côte cuirassé
พลเรือโท เดอกูซ์ (Decoux) ข้าหลวงใหญ่อินโดจีนฝรั่งเศส ตาแหน่งเทียบเกือบเท่าประธานาธิบดีอินโดจีนฝรั่งเศส
(ลาว เขมร และญวน ซึ่งยอมสวามิภักดิ์เป็นปึกแผ่นกับฝรั่งเศสที่อ้างว่าเป็นผู้คุ้มครอง (protector) ประชาชนลาว เขมร และญวณ ให้รอดพ้นจากภัยของกองทัพสยามที่เคยมีพฤติกรรมในการไปปราบฮ่อ พ.ศ. ๒๔๓๐)
ประเทศไทย โดยการมอบภารกิจ “ค้นหา และทาลาย กองเรอื สยาม (Rechercher et détruire les forces navales de siamoises) ตงั้ แตส่ ตั หบี จนถงึ พรมแดน กมั พชู า” สน้ั ๆ และงา่ ย ๆ แตเ่ ปน็ วลที แ่ี สดงถงึ ผลสา เรจ็ (term of accomplishment) ใหแ้ ก่ พลเรอื ตรี จลู แตโร้ (Jules Terraux) ผู้บัญชาการทหารเรืออินโดจีนฝร่ังเศส (ลาว เขมร และญวน) และ นาวาเอก เรจีส์ เบรองเช่ (Régis Bérenger) ผู้บังคับการเรือลาดตระเวนเบา ลามอตต์ปิเกต์ (La Motte-Picquet)
จากรายงานการรบของนาวาเอกเรจีส์เบรองเช่ ผบู้ งั คบั การเรอื ลามอตตป์ เิ กตก์ ระทา ขน้ึ ภายหลงั ปรากฏวา่ ฝร่ังเศสเห็นว่าไทยมีกาลังรบทางเรือเหนือกว่ากาลังรบ ทางเรืออินโดจีนฝรั่งเศส โดยเมื่อคิดระวางขับน้าของ เรอื รบไทยทงั้ หมดจะมรี ะวางขบั นา้ รวมกนั ถงึ ๑๖,๖๐๐ตนั มากกว่าเรือรบฝรั่งเศสที่มีรวมกันแล้วแค่ ๑๒,๕๐๐ ตัน
นาวิกศาสตร์ 16 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕
ในภาษาฝรั่งเศส หรือเท่ากับ coast guard battleship ทีเดียว ปืนใหญ่ก็มีขนาดใหญ่ถึง ๘ นิ้ว (๒๐๓ มิลลิเมตร) ถึง ๒ ป้อม ๔ กระบอก ใหญ่กว่าปืนของเรือรบฝร่ังเศส ทั้งหมด อินโดจีนฝร่ังเศสน้ัน แม้จะมีเรือธงเป็นเรือ ลาดตระเวนเบาขนาดใหญ่ ระวางขบั นา้ เตม็ ท่ี ๙,๓๕๐ ตนั แต่ก็เป็นเรือเก่า ต่อเสร็จตั้งแต่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๙ และมอี ยลู่ า เดยี ว ทเี่ หลอื กเ็ ปน็ เรอื สพั เพเหระหลากหลาย ประเภทเขา้ มาประสมประสานกนั เปน็ กองทพั เรอื จบั ฉา่ ย (hétéroclité) เพ่ือเป็นการเตรียมการ กองทัพเรือ ฝรง่ัเศสอนิโดจนีไดจ้ดัตง้ั“กลมุ่เรอืปฏบิตักิารตามโอกาส (groupe occasionnel)” ไว้สาหรับเผชิญหน้าและ ปฏิบัติภารกิจตามที่จะได้รับมอบหมายให้ดาเนินการ กับกาลังรบทางเรือสยาม ตั้งแต่วันท่ี ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๓ ประกอบด้วยเรือรบ ๕ ลา คือ


๑) เรือลาดตระเวนเบา “ลามอตต์ปิเกต์ (La Motte-Picquet)” มี นาวาเอก เรจีส์ เบรองเช่ (Régis Bérenger) เป็นผู้บังคับการเรือ และผู้บังคับบัญชาหมู่เรือ
๒)เรอืสลปุ (Aviso)“ดมูอ้งต์ดรูว์ลิล์(Dumontd’Urville)”มีนาวาเอกตสูแซงเดอคเีวรอกรูด์(Toussaintde Quievrecourt) เป็นผู้บังคับการเรือ
๓) เรอื สลปุ (Aviso) “อะมริ ลั ชารเน่ (Amiral Charner)” มี นาวาโท เลอ กลั เวซ (Le Calvez) เปน็ ผบู้ งั คบั การเรอื
นาวิกศาสตร์ 17 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕


๔) เรือสลุป (Aviso) เก่า “มาร์น (Marne)” มี นาวาตรี มาร์ก (Marc) เป็นผู้บังคับการเรือ
๕) เรือสลุป (Aviso) เก่า “ตาอูร์ (Tahure)” มี นาวาตรี แมกกาดิเอ้ (Mercadier) เป็นผู้บังคับการเรือ
นอกจากเรือลาดตระเวนเบาลามอตต์ปิเกต์ และเรือ สลุปอีก ๔ ลา ยังมีเรือปืนขนาดเล็กสาหรับปฏิบัติการ ในแม่น้าอีก ๕ ลา (5 Canonnières fluviales) สารอง ไว้ด้วย แต่ไม่ได้เข้าร่วมปฏิบัติการ อาวุธสาคัญท่ี ฝรั่งเศสมี และเป็นกุญแจสาคัญทางการรบทางเรือท่ี เกาะช้างของฝร่ังเศส คือ เครื่องบินทะเลแบบลัวร์ ๑๓๐ (Loire130)๒เครอื่ งเรอื ลาดตระเวนเบาของฝรงั่ เศสอกี ลา ทม่ี าเยยี่ มไซง่ อ่ น (โฮจมิ นิ ตซ์ ติ ใ้ี นปจั จบุ นั ) ชอื่ “ซฟุ เฟรง” (Suffren) ทงิ้ ไวใ้ ห้ และทฐี่ านทพั เรยี ม ยงั มเี ครอื่ งบนิ แบบ โปเตช๔๕๒(Potez452)อกี ๓เครอื่ งและเครอ่ื งบนิ แบบ กูรดู ๘๓๒ (Gourdur 832) อีก ๓ เครื่อง
นาวิกศาสตร์ 18 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕
เคร่ืองบินทะเลแบบลัวร์ ๑๓๐ กุญแจสาคัญของฝร่ังเศสในการรบที่เกาะช้าง
เครื่องบินโปเตซ ๔๕๒ ของฝรั่งเศส


เคร่ืองบินแบบกูรดู ๘๓๒
การจัดกาลังทางเรือของไทยในกรณีพิพาทอินโดจีน
มีการจัดตั้งหน่วย “ทัพเรือ” โดย พลเรือตรี สินธุ์ กมลนาวิน เป็นแม่ทัพเรือ
เรือหลวงอ่างทอง (ลาท่ี ๑) เป็นกองบัญชาการ ทัพเรือ (เรือธง) มีกองเรือในบังคับบัญชา คือ
๑. กองเรือท่ี ๑ หมวดเรือที่ ๑ ประกอบด้วยเรือ ๖ ลา คือ เรือหลวงศรีอยุธยา เรือหลวงภูเก็ต (ลาท่ี ๑) เรือหลวงปัตตานี (ลาที่ ๑) เรือหลวงสุราษฎร์ เรือหลวง มจั ฉาณุ และเรอื หลวงสนิ สมทุ ร (๒ ลา หลงั เปน็ เรอื ดา นา้ )
กองเรอื ที่๑หมวดเรอื ที่๓ประกอบดว้ ยเรอื ๕ลา คือ เรือหลวงธนบุรี เรือหลวงระยอง เรือหลวงสงขลา (ลา ที่ ๑) และเรอื หลวงบางระจนั (ลา ที่ ๑) (ไมม่ เี รอื ดา นา้ )
๒. กองเรือที่ ๒ หมวดเรือที่ ๒ ประกอบด้วยเรือ ๖ ลา คือ เรือหลวงท่าจีน (ลาท่ี ๑) เรือหลวงตราด เรือหลวงชลบุรี (ลาที่ ๑) เรือหลวงชุมพร เรือหลวงวิรุณ และเรือหลวงพลายชุมพล (๒ ลาหลังเป็นเรือดาน้า)
กองเรอื ที่๒หมวดเรอื ที่๔ประกอบดว้ ยเรอื ๕ลา คือ เรือหลวงแม่กลอง เรือหลวงคลองใหญ่ (ลาที่ ๑) เรือหลวงตากใบ (ลาท่ี๑) เรือหลวงกันตัง (ลาที่ ๑) และเรือหลวงหนองสาหร่าย (ลาที่ ๑)
๓. กองเรือที่ ๓ ประกอบด้วยเรือ ๑๙ ลา คือ เรือหลวงสุโขทัย (ลาที่ ๑) เรือหลวงพระร่วง เรือหลวง เจ้าพระยา (ลาที่ ๑) เรือหลวงสารสินธุ (ลาที่ ๒) เรือหลวงเทียวอุทก เรือหลวงตระเวนวารี (ลาที่ ๑) เรือยามฝั่งตอร์ปิโด ๖ ลา คือ เรือยามฝั่ง ๖ เรือยามฝั่ง ๗ เรอื ยามฝง่ั ๘ เรอื ยามฝง่ั ๙ เรอื ยามฝง่ั ๑๐ เรอื ยามฝง่ั ๑๑ เรือหลวงบริพานพาหน เรือหลวงจวง (ลาที่ ๑) เรือหลวงเสม็ด (ลาที่ ๑) เรือหลวงคราม (ลาที่ ๑)
เรือหลวงช้าง (ลาที่ ๑) สาหรับเรือหลวงรัตนโกสินทร์ เข้าอู่ซ่อมตลอดช่วงเวลาพิพาท
การจดั ดงั กลา่ วเปน็ คา สงั่ หลกั แตใ่ นการปฏบิ ตั งิ านจรงิ ก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงนาเรือบางลาจากกองเรือ หมวดเรืออ่ืน ๆ ไปปฏิบัติงานแทนเรือที่ไม่สามารถ ออกปฏิบัติการได้
สาหรับเรือในหมวดเรือท่ี ๓ กองเรือที่ ๑ ซึ่งออกไป เปล่ียนกาลัง ณ เกาะช้าง กับหมวดเรือท่ี ๑ กองเรือที่ ๑ เมอื่ วนั ที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ มผี บู้ งั คบั การเรอื ดงั น้ี
นาวาโท หลวงพร้อมวีรพันธุ์ (นักเรียนนายเรือ หมายเลข ๒๒๗ รุ่น พ.ศ. ๒๔๕๘) ผู้บังคับการเรือหลวง ธนบุรี
นาวาตรีใบเทศนะสดบั (นกั เรยี นนายเรอื หมายเลข ๓๒๑ รุ่น พ.ศ. ๒๔๖๒) ผู้บังคับการเรือหลวงระยอง
นาวาตรี ชั้น สิงหชาญ (นักเรียนนายเรือ หมายเลข ๒๘๖ รุ่น พ.ศ. ๒๔๖๑) ผู้บังคับการเรือหลวงสงขลา
เรือเอก ประทิน ไชยปัญญา (นักเรียนนายเรือ หมายเลข๔๕๒รนุ่ พ.ศ.๒๔๖๓)ผบู้ งั คบั การเรอื หลวงชลบรุ ี เรือเอก ดาว เพชรชาติ (นักเรียนนายเรือ หมายเลข ๓๗๓รนุ่ พ.ศ.๒๔๖๒)ผบู้ งั คบั การเรอื หลวงหนองสาหรา่ ย เรือเอก สนิธ เวสารัชชนันท์ ผู้บังคับการเรือหลวง
เทียวอุทก
นาวาโท หลวงพร้อมวีรพันธุ์
นาวิกศาสตร์ 19 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕


เรือหลวงธนบุรี
นาวาตรี ชั้น สิงหชาญ ผู้บังคับการเรือหลวงสงขลา (ต่อมา พลเรือโท รองสมุหราชองครักษ์ ๑๘ กรกฎาคม ๒๔๙๕ ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๐๐)
เรือเอก ประทิน ไชยปัญญา ผู้บังคับการเรือหลวงชลบุรี (ภาพวาดนี้มีข้อผิดพลาด ไม่มีรังกาที่ตรวจการณ์บนเสากระโดง ที่พลทหาร ป่อไล้ แซ่เฮง ตกลงมาขาขาด ๒ ข้าง แต่ร้องเชียร์เพื่อนให้รบจนขาดใจตาย)
นาวิกศาสตร์ 20 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕


การเตรียมรบ: ทหารเรือไทย-ฝรั่งเศส ทาอะไรกันก่อน เกิดการรบ ๑๗ มกราคม ๒๔๘๔
เน่ืองจากประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม การรบทางเรือด้วยอาวุธที่เป็นผลิตผลอุตสาหกรรม (Interstate Industrial War) จึงเป็นเร่ืองแปลกใหม่ ไม่มีใครทราบ และชาติตะวันตกมักปกปิดยุทธวิธี ทางเรอื เปน็ ความลบั ชนั้ สงู โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ หลงั ยทุ ธนาวี ท่ีซูชิมา (Tsushima) ค.ศ. ๑๙๐๕ หรือ พ.ศ. ๒๔๔๘ ที่ญี่ปุ่นสามารถคว่าเอาชนะกองเรือรบรัสเซียซ่ึงเป็นชาติ ตะวนั ตกไดอ้ ยา่ งราบคาบ เรอื รบไดก้ ลายเปน็ อาวธุ สา คญั ในการเปรยี บเทยี บกา ลงั รบระหวา่ งประเทศ การเปรยี บเทยี บ เช่นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นการคิดท่ีจะทาสงครามด้วย การยดึ หลกั ของจา นวน ประเภทเรอื รบ อากาศยาน หรอื ที่เรียกว่า Platform Centric Warfare เป็นสาคัญ ซ่ึงต่างกับปัจจุบันท่ีถือว่าจะต้องทาการรบด้วยระบบ เครอื ขา่ ย หรอื Network Centric Warfare เปน็ สา คญั ในอดีตยุค พ.ศ. ๒๔๘๔ การเหนือกว่าด้านกาลังรบ จะดทู จ่ี า นวน ขนาดของเรอื ปนื อากาศยาน หรอื ทเี่ รยี กวา่ ความเหนอื กวา่ ดา้ นจา นวน (Numerical Superiority) เช่น มีเรือหนักกี่หมื่นตัน ปืนใหญ่ขนาดกี่นิ้ว จะมี ความสาคัญเป็นข้อได้เปรียบอย่างย่ิงยวดต่อการรบ ทางทะเล เน่ืองจากเรือรบเหล็ก และยุทธวิธีทางเรือ ยคุ อตุ สาหกรรมเปน็ เรอื่ งใหมส่ า หรบั ไทย จงึ ไมม่ ใี ครทราบ ผู้นายุทธวิธีทางเรือสมัยใหม่เข้ามาในกองทัพเรือไทย
เป็นคนแรกคือ นาวาตรี หลวงสินธุสงครามชัย ผู้จบจากโรงเรียนนายเรือเดนมาร์ก พ.ศ. ๒๔๗๒ (มหาอานาจตอนนั้นไม่รับไทยเข้าเรียนโรงเรียนนายเรือ) ซ่ึงในเดือนพฤศจิกายน ๒๔๘๓ ได้รับยศเป็นพลเรือตรี ผู้บัญชาการทหารเรือ และแม่ทัพเรือในกรณีพิพาท อินโดจีน การเตรียมรบของกองเรือไทยจึงมุ่งไปท่ีการฝึก เป็นสาคัญ โดยมีคาขวัญว่า “ฝึกให้ชานาญจะย้ิมได้ เม่ือภัยมา” นอกจากท่านได้แต่งตาราทางยุทธวิธี ไว้หลายเล่มแล้ว เช่น ตาราปืนใหญ่ สมุดคู่มือเรือ ใช้ตอร์ปิโด พ.ศ. ๒๔๗๙ ท่านยังได้จัดทาเอกสารที่ เรียกว่า “ภาครวม” ไว้อีก ๓ เล่ม คือ “ภาครวม ๑” “ภาครวม ๒” และ “ภาครวม ๓” เอกสารนหี้ ากเปรยี บ กับสมัยปัจจุบันก็คือ ระเบียบปฏิบัติประจา หรือ รปจ. นั้นเอง มีการกาหนดหลักปฏิบัติทางยุทธการ กาลังพล ยุทธการ การส่งกาลังบารุง ในระหว่างการฝึก ตลอดจน ระบุกาหนดข้อมูลต่าง ๆ จากยุทธวิธี เช่น แนวป้องกัน เรอื ดา นา้ นอกจากนนั้ ใน พ.ศ. ๒๔๘๓ กรมเสนาธกิ ารทหาร ได้จัดทา “คู่มือแปรขบวนทัพเรือ ๘๓” ข้ึนมา เปน็ หลกั ปฏบิ ตั อิ กี เลม่ หนงึ่ ดว้ ยการเปน็ ผนู้ า ฝกึ หดั ศกึ ษา ทางยทุ ธวธิ ใี ชง้ านรบตามยทุ ธวธิ ที างเรอื สมยั ใหมด่ งั กลา่ ว ทหารเรือจึงนิยมเรียกท่านว่า “ครู” และยังเป็นการนา คาว่า “ครู” มาเป็นสมญานามเรียกผู้บังคับบัญชา และ นายทหารช้ันผู้ใหญ่ในกองทัพเรือเป็นประเพณีสืบมา จนถึงทุกวันนี้ด้วย
พลเรอื ตรีหลวงสนิ ธสุ งครามชยั (สนิ ธ์ุกมลนาวนิ )รกั ษาราชการผบู้ ญั ชาการทหารเรอื ตงั้ แตว่ นั ที่๑๑มกราคมพ.ศ.๒๔๗๖ถงึ วนั ที่ ๑พฤษภาคมพ.ศ.๒๔๗๗ แ ล ะ ด า ร ง ต า แ ห น ง่ ผ บ้ ู ญั ช า ก า ร ท ห า ร เ ร อื ต งั ้ แ ต ว่ นั ท ี ่ ๒ ๔ ต ลุ า ค ม พ . ศ . ๒ ๔ ๘ ๑ ถ งึ ว นั ท ี ่ ๒ ก ร ก ฎ า ค ม พ . ศ . ๒ ๔ ๙ ๔ ร ว ม ค ร อ ง ต า แ ห น ง่ ร า ว ๑ ๔ ป ี เ ป น็ ผ ร้ ู เิ ร มิ ่ นาเอายุทธวิธีการรบทางเรือสมัยใหม่มาใช้ในกองทัพเรือไทย เป็นแม่ทัพเรือในกรณีพิพาทอินโดจีน ในยุค พ.ศ. ๒๔๘๐ กองทัพเรือไทยมีนายพล อยู่เพียงคนเดียว คือ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในภาพท่านไปกากับดูแลการฝึกทางยุทธวิธีด้วยตัวเองอย่างเข้มงวด พลเรือตรี สินธุ์ กมลนาวิน เป็น ผู้บัญชาการทหารเรือ ท่านเดียวที่เชี่ยวชาญด้านยุทธวิธีทางเรืออย่างยิ่ง
นาวิกศาสตร์ 21 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕


พลเรือเอก หลวงพลสินธวาณัติก์
ผจู้ ดบนั ทกึ โอวาท คา สงั่ การปฏบิ ตั กิ ารทพั เรอื ในยทุ ธการ พ.ศ. ๒๔๘๔
เจตนารมณแ์ มท่ พั เรอื อนมุ านจากโอวาท คา สงั่ ยทุ ธการ
จากบทความ “การปฏิบัติการของกองทัพเรือ ในกรณีพิพาทอินโดจีน” ในวารสาร “นาวิกศาสตร์ ฉบับเดือนพฤศจิกายน ๒๕๐๔” โดย พลเรือเอก หลวงพลสินธวาณัติก์ (เปล่ง พลสินธ์ สมิตเมฆ) นักเรียนนายเรือหมายเลข ๒๔๖ รุ่น พ.ศ. ๒๔๕๘ อดีตผู้บัญชาการทหารเรือ ตั้งแต่ ๒ กรกฏาคม ๒๔๙๔ ถึง ๓๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๔ มีประเด็นสาคัญสรุปได้ดังนี้
ในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๓ แม่ทัพเรือ ได้ออกโอวาทยุทธการเฉพาะที่ ๑ ให้เรือหลวงธนบุรี เรอื หลวงศรอี ยธุ ยา เรอื ดา นา้ ๔ ลา เรอื ตอรป์ โิ ดใหญ่ ๓ ลา
คือ เรือหลวงตราด เรือหลวงภูเก็ต เรือหลวงสุราษฎร์ และเรอื ทนุ่ ระเบดิ เรอื หลวงบางระจนั ไปทา การลาดตระเวน บริเวณเกาะช้าง เกาะกูด และคลองใหญ่ เพื่อป้องกัน การรุกรานของฝรั่งเศสในบริเวณนั้น ในบงั คบั บญั ชาของ นาวาเอก หลวงสังวรยุทธกิจ (นักเรียนนายเรือ หมายเลข ๒๗๖ รุ่น พ.ศ. ๒๔๖๑) ในการปฏิบัติการ ตามโอวาทยทุ ธการนี้ แมท่ พั เรอื ไดส้ งั่ ใหป้ ฏบิ ตั กิ ารภายใน น่านน้าไทยเท่านั้น ทางกองบังคับการทหารสูงสุด ห้ามกองทัพเรือรุกล้าเข้าไปในเขตน่านน้าอินโดจีน เป็นอันขาด และให้ทาการยิงต่อสู้ได้ต่อเมื่อฝ่ายเราถูก โจมตีก่อนเท่านั้น ทั้งน้ี นับว่าเป็นการบังคับให้ทัพเรือ ทางานในเขตจากัด
ในการยาตรากา ลงั ทอ่ี า่ วสตั หบี เมอื่ วนั ท่ี ๒ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ เรือดาน้า เรือหลวงวิรุณ ได้ชนกับเรือหลวง ชลบุรีท่ีบริเวณใกล้แหลมปู่เฒ่า ขณะวิ่งสวนกันในเวลา กลางคืน และต่างพรางไฟมืด (ผู้เขียนได้รับการบอกเล่า จากคณุ ลงุ พลเรอื โท สทิ ธ์ิ สรุ กั ขกะ ผบู้ งั คบั การเรอื หลวง ชลบุรีในขณะนั้นโดยตรงว่า เหล็กเรือดาน้าแข็งแรงมาก เรือหลวงชลบุรีถึงกับหัวพับ)
หลังจากน้ันได้มีการออก “คาส่ังยุทธการ” ให้เรือ ต่าง ๆ ออกลาดตระเวนรักษาด่าน คุ้มกันเรือลาเลียง ทหารนาวกิ โยธนิ ไปขนึ้ บกทที่ า่ แฉลบ ตลอดจนมกี ารสง่ั การ ให้มีการสับเปล่ียนกาลังอีกหลายครั้ง
เกาะง่ามปลายเกาะช้าง มีระดับน้าลึกติดฝั่ง แม่ทัพเรือมีประสงค์จะใช้ที่นี่เป็นฐานทัพหน้าสาหรับ“หน่วยทัพเรือ” ในฉาก “ยุทธนาวีที่เกาะกง”
นาวิกศาสตร์ 22 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕


ในวนั ที่ ๕ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ไดม้ กี ารสง่ นายทหาร คือ นาวาตรี สงวน รุจิราภา และ เรือเอก โกมล สีตะกลิน (ต่อมาคือผู้บัญชาการทหารเรือ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๖) ไปหาขอ้ เทจ็ จรงิ เกย่ี วกบั ขา่ วการยกพลขน้ึ บกของฝรงั่ เศส เมื่อวันท่ี ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ท่ีคลองใหญ่ ปรากฏว่าข่าวนั้นไม่เป็นความจริง เรือฝร่ังเศส ท่ีมาอยู่นอกน่านน้าไทยเข้ามาประชุมราษฎร (ฝร่ังเศส ประชุมราษฎรไทย-แปลกมาก) มีการระบุว่าแมท่ พั เรอื ได้ไปตรวจดูแม่น้าตราด เพื่อใช้เป็นที่ให้เครื่องบิน ทะเลข้ึนลงเมื่อวันท่ี ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ในวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ส่งนายทหารช้ันยศนาวาเอก ๔ นาย ไปตรวจสถานที่ตั้งกระโจมไฟพิเศษ โรงพัก เครื่องบินทะเล สถานีวิทยุ บริเวณเกาะหมาก และ เกาะกระดาด วันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ แม่ทัพเรือ ไปจันทบุรีเยี่ยมนาวิกโยธิน ทหารม้า และทหารอากาศ ทสี่ นามบนิ เขาพลอยแหวนและตกลงเรอื่ งการปฏบิ ตั กิ าร บางอย่างเกี่ยวกับการบินเข้าหากองเรือของเครื่องบิน ในวนั ที่ ๒๘ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ มกี ารออก “โอวาท ยทุ ธการเฉพาะที่ ๒” ใหเ้ รอื สลปุ ๒ ลา (ชน้ั เรอื หลวงแมก่ ลอง) เรอื ตอรป์ โิ ดใหญ่ (ชนั้ เรอื หลวงตราด) และเรอื ตอรป์ โิ ดเลก็ (ช้ันเรือหลวงคลองใหญ่) ออกฝึกหัดลาดตระเวน และ ทาการกวาดทุ่นระเบิดในบริเวณเกาะกูด และเกาะช้าง เพราะมคี วามประสงคจ์ ะใชเ้ ปน็ ฐานทพั หนา้ เพอ่ื ทา การรกุ เข้าไปในเขตอินโดจีนต่อไป เมื่อได้รับคาสั่งจาก กองบงั คบั การทหารสงู สดุ วนั ที่ ๒๘ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ เวลาเย็นได้มีการจัดการลาเลียงเครื่องก่อสร้างที่จะ ไปสร้างที่พักนักบิน คานเรือยามฝั่ง และสถานีวิทยุ ลงเรือหลวงสีชังท่ีสัตหีบ
จาก “โอวาทยุทธการเฉพาะที่ ๒” ออกเมื่อวันท่ี ๒๘ธนั วาคมพ.ศ.๒๔๘๓ใหเ้รอื ปนื เบา(เรอื หลวงสโุขทยั ) เรือปืนหนัก ๒ ลา (ช้ันเรือหลวงธนบุรี) เรือตอร์ปิโดใหญ่ (ช้ันเรือหลวงตราด) เรือดาน้า (ช้ันเรือหลวงมัจฉานุ) ท้ังหมดเดินทางไปรวมกาลังที่เกาะง่าม ให้เรือลาเลียง ๓ ลา (รวมท้ังเรือหลวงอ่างทอง (เรือธง) ต้องมาทาหน้าท่ี
ลาเลียง โดยต้องย้ายกองบัญชาการทัพเรือไปอยู่ที่ เรอื หลวงแมก่ ลองเปน็ การชวั่ คราวดว้ ย) ลา เลยี งนาวกิ โยธนิ ๗๐๐ คน ไปส่งท่ีจันทบุรีเพ่ือเตรียมรุกเข้าอินโดจีน ทางด้านไพลิน และให้ทัพเรือเตรียมรักษาชายฝั่งทะเล ดา้ นตะวนั ออก วนั ที่ ๓๐ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ แมท่ พั เรอื รองเสนาธิการทัพเรือ และผู้บังคับกองโยธาสัตหีบ ขึ้นตรวจเกาะง่าม เพื่อเตรียมทาโรงพักเคร่ืองบิน คานเรือยามฝั่งช่ัวคราว และสถานีวิทยุ การก่อสร้าง เชน่ นี้ เพราะตอ้ งการใชเ้ ครอ่ื งบนิ ลาดตระเวนไกลออกไป ในน่านน้าศัตรู เป็นหูเป็นตาป้องกันการถูกโจมตีจาก ขา้ ศกึ วนั ท่ี ๓๑ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ มกี ารออก “โอวาท ยทุ ธการเฉพาะที่ ๓” เตรยี มการวางสนามทนุ่ ระเบดิ โดยให้ เรอื หลวงบางระจนั เปน็ ผดู้ า เนนิ การ ทงั้ นี้ เพอ่ื เปน็ การฝกึ และปอ้ งกนั กองเรอื ใหญท่ จ่ี อดอยทู่ เี่ กาะชา้ งเปน็ จา นวนมาก วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เรือยามฝั่ง (ร.ย.ฝ.) ๓ ลา เดินทางไปแม่น้าตราด เครื่องบินทะเลหมายเลข ๓ หมายเลข ๔ และหมายเลข ๑ บินมาสมทบที่เกาะง่าม (เรือตรี กระวิน ธรรมพิทักษ์ เรือโท ทวี พุทธินันท์ และ เรือตรี จินต์ จุลชาติ นักบิน) เวลา ๑๖.๐๕ น. เครื่องบิน ทะเลทั้งหมดเดินทางไปลงจอดท่ีแม่น้าตราด (จอดใน แม่น้าปลอดภัยกว่าจอดในทะเล)
เรือยามฝั่ง (ร.ย.ฝ.)
ในวันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้ออก “โอวาท ยุทธการเฉพาะที่ ๔” ให้ นาวาโท หลวงพร้อมวีรพันธุ์ นากองเรือที่ ๑ ไปลาดตระเวนตรวจภูมิประเทศ เพื่อที่จะใช้ท้องถิ่นเกาะช้าง เกาะกูดเป็นฐานทัพหน้า
นาวิกศาสตร์ 23 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕


เครื่องบินทะเลแบบ “วานาตาเบ” หรือ บ.รน.๑ ในภาพหมายเลข ๓ ที่ภูเก็ต
สาหรับส่งทหารเข้ายึดเกาะสะเก็ด ชายฝั่งทางทิศเหนือ ของเกาะกงและหวงั วา่ จะไดท้ า การยทุ ธท์ างเรอื กบั ฝา่ ยศตั รู ในตาบลที่ที่เราประสงค์ เมื่อได้รับคาสั่งจากรัฐบาล ในวันท่ี ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เช่นกันได้ออก “โอวาท ยุทธการเฉพาะท่ี ๕” ให้เรือยามฝั่ง และเรือตอร์ปิโดเล็ก (ชุดเรือหลวงตากใบ กันตัง คลองใหญ่) ไปลาดตระเวน และตรวจภมู ปิ ระเทศทางเหนอื เกาะกง เพอื่ หาความชา นาญ สาหรับการโจมตีฝ่ายศัตรูในเวลาค่าคืน วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เคร่ืองบินทะเลหมายเลข ๔ ทุ่นร่ัว ขณะร่อนลงในแม่น้าตราด เข้าใจว่าถูกซากไม้หัก ทิ่มต้องส่งเรือหลวงตระเวนวารี (เรือโท จวบ หงสกุล ผู้บังคับการเรือ) ไปจัดการกู้เครื่องบิน และสง่ เครอื่ งบนิ ทะเลอกี ๑ เครอ่ื ง ไปลาดตระเวนคน้ หา กองเรือฝ่ายตรงข้ามท่ีบริเวณเกาะกง และเกาะเรียม เวลา ๑๙.๓๐ น. เรือหลวงช้างออกจากกรุงเทพฯ ไปรับ สรรพาวุธ และรางรถที่ป้อม (พระจุลฯ) เพ่ือนามา สร้างคานสาหรับลากเคร่ืองบินข้ึนเก็บบนเกาะง่าม วันท่ี๔มกราคมพ.ศ.๒๔๘๔เวลา๑๕.๐๐น.เรอืหลวง อา่ งทอง (เรอื ธง) เลอ่ื นเรอื จากเกาะหมากไปจอดเกาะกระดาด ด้านเหนือ เพ่ือสารวจท่ีตั้งกระโจมไฟชั่วคราวบนเกาะ และหาที่เก็บน้ามันเชื้อเพลิงต่าง ๆ วันที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เรือหลวงอ่างทอง (เรือธง) ออกเรือจาก เกาะกระดาดไปเกาะงา่ ม เวลา ๒๑.๓๐ น. เรอื หลวงศรอี ยธุ ยา เรือหลวงภูเก็ต เรือหลวงปัตตานี และเรือหลวงสุราษฎร์ เดินทางจากเกาะกูดไปเกาะง่าม ส่วนเรือหลวงธนบุรี เรือหลวงระยอง เรือหลวงสงขลา และเรือดาน้า ๓ ลา เดินทางกลับสัตหีบ จากบันทึกดังกล่าวเราอาจพบว่า เกาะง่ามคือฐานทัพหน้าของ “หน่วยทัพเรือ” ไทยมี
นาวิกศาสตร์ 24 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕
การชุมนุมเรือรบจานวนมากมายรวมท้ังเรือธง ณเกาะนี้เมอื่ วนั ที่๕มกราคมพ.ศ.๒๔๘๔แตอ่ าจจะเปน็ เพราะอปุ สรรคในดา้ นเสบยี งอาหาร และการสง่ กา ลงั บา รงุ ซงึ่ ตลาดเมอื งตราดไมส่ ามารถทจี่ ะสนองความตอ้ งการ ของคนที่มีเพิ่มจากการต้ังทัพเรือท่ีน่ีอย่างปัจจุบัน ทนั ดว่ น หลงั จากวนั ที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ไปแลว้ เรือส่วนใหญ่ของ “หน่วยทัพเรือ” จึงถูกถอนกลับไป สัตหีบจนหมด เหลือแต่เพียงหมู่เรือรักษาการณ์เพียง ๑ หมู่เท่านั้น สาหรับเรือดาน้าในระหว่างที่จอดอยู่ที่ เกาะช้าง ได้เข้าไปลาดตระเวนในน่านน้าอินโดจีน บริเวณเกาะกงหลายครั้ง เพื่อสารวจภูมิประเทศและหา ความชา นาญในนา่ นนา้ ศตั รู เรอื ดา นา้ และเรอื ยามฝง่ั ไมม่ ี เรือพี่เลี้ยง (เรือ tender) ไปด้วย ตามหลักนิยมของชาติ ตะวนั ตก จงึ ไมม่ ที หี่ ลบั ทนี่ อน ทอี่ ยอู่ าศยั ทเ่ี หมาะสม (ไมม่ ี habitability) ในสภาพแวดล้อม พ.ศ. ๒๔๘๔ ท่ีบริเวณ สัตหีบถึงเกาะช้าง เกาะกูด ยังมีแต่ป่าเขา สัตว์ร้าย จึงต้องถอนตัวกลับสัตหีบ ต่อมาในวันที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ กองบัญชาการทหารสูงสุดแจ้งทัพเรือว่า ทัพบกไทยเร่ิมเข้ายึดปอยเปตในกัมพูชาแล้ว กาลัง รุกคืบหน้าไปเร่ือย ๆ และสั่งสาทับมายังทัพเรือว่ามิให้ ดาเนินการอย่างไร ให้คงอยู่ในน่านน้าไทย ถ้าถูกต่อตี จึงให้ทาการต่อสู้ป้องกันตัว คาสั่งอันนี้ทาให้ทหารเรือ วิพากษ์วิจารณ์กันมากว่าไม่เหมาะสม แต่ก็ได้ต้ังใจ ตรงกันหมดว่า ถ้าเห็นศัตรูเราจะดาเนินการรบทันที วนั ที่ ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ กองทพั อากาศสง่ เครอ่ื งบนิ มาประจาที่สัตหีบ ๕ เครื่อง เครื่องบินเหล่าน้ีข้ึนตรง กองทพัอากาศดงันนั้ทพัเรอืจงึไมม่สีว่นทจี่ะใชเ้ครอื่งบนินี้ เข้าทาการร่วมมือด้วย วันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เรอื หลวงภเู กต็ จอดบรเิ วณเกาะหมาก รายงานพบเครอื่ งบนิ ฝรั่งเศส ๒ เครื่อง บินจากเกาะช้างไปเกาะกงท่ีความสูง ๑,๐๐๐ เมตร วันท่ี ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เวลา ๑๕.๓๐ น. เครื่องบินทะเลปีกช้ันเดียวของฝร่ังเศส บินผ่านมาทางสัตหีบ จึงโทรเลขให้ฝูงบินกองทัพอากาศ ที่จันทบุรีขึ้นขับไล่ทาลาย ฝูงบินจันทบุรีส่งเครื่องบิน ๓ เครื่อง เข้าสกัดกั้น พบเคร่ืองบินฝรั่งเศสทางตะวันตก ของเกาะกดู เมอ่ื เวลา ๑๗.๒๐ น. ทา การยงิ แตป่ นื ขดั ขอ้ ง ไม่สามารถสกัดไว้ได้


เครื่องบินตรวจการณ์ลัวร์ ๑๓๐ (Loire130) ของฝรั่งเศส ที่ไปบินตรวจการณ์ที่สัตหีบและที่เกาะช้างในวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ และ ตรวจซ้าในเช้ามืดของวันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นบทบาทกุญแจสาคัญในการรบ เป็นการปฏิบัติการบินเตรียมข่าวกรองก่อนการรบ (IPB) ให้กลุ่มเรือปฏิบัติการตามโอกาสที่ ๗ (groupe occasionnel No7) ในการ์ตูน “ยุทธนาวีเกาะช้างของฝรั่งเศส” มีเสียงนักบินพูดว่า “ยังอยู่ กันเหมือนเดิม, ไม่มีร่องรอยการออกไปลาดตระเวนที่ไหนกันเลย”
การตัดสินใจของฝรั่งเศส
ทางด้านฝร่ังเศส เมื่อ นาวาเอก เบรองเช่ ผู้บังคับการเรือลาดตระเวนลามอตต์ปิเกต์ และ ผู้บัญชาการหมู่เรือปฏิบัติการตามโอกาส(Groupe Occasionnel) ได้รับมอบการกิจจากข้าหลวงใหญ่ อินโดจีนฝรั่งเศสเม่ือวันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ให้ “ค้นหาและทาลายกองเรือสยาม ต้ังแต่สัตหีบไปจนถึง พรมแดนกัมพูชา” แล้ว สิ่งแรกที่ นาวาเอก เบรองเช่ ต้องทาคือ การได้ภาพสถานการณ์กาลังรบทางเรือ ของไทยทงั้ หมดตงั้ แตส่ ตั หบี ไปจนถงึ พรมแดนกมั พชู าวา่ มีอยู่ที่ไหน จานวนเท่าใด และกาลังทาอะไรกันอยู่บ้าง การทจี่ ะไดภ้ าพสถานการณท์ ดี่ ีถกู ตอ้ งครบถว้ นทสี่ ดุ คอื ต้องส่งเคร่ืองบินไปลาดตระเวน
ตามรายงานการรบของ นาวาเอก เบรองเช่ ไดร้ ะบวุ า่
ในการคน้ หาขา้ ศกึ ในชว่ งบา่ ยของวนั ท่ี ๑๖ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๔หน่วยลาดตระเวนทางอากาศซึ่งมีเครื่อง บินทะเล ๒ เครื่อง ซึ่งขึ้นอยู่กับกองเรืออินโดจีนฝร่ังเศส โดยตรง ได้บินไปดูลาดเลาท่ีสัตหีบ ๑ เครื่อง และอีก ๑เครื่องบินไปลาดตระเวนที่เกาะกูดเกาะช้างและ ฝั่งทะเลสยามจนถึงพรมแดน การลาดตระเวนค้นหา ข้าศึกทาให้ นาวาเอก เบรองเช่ มีภาพสถานการณ์ การวางกาลังทางเรือของไทยตามรายงานการรบ ดังนี้
เรอื ทจี่ อดอยทู่ ส่ี ตั หบี เรอื ปนื หมุ้ เกราะ๑ลา (เรอื หลวง ศรีอยุธยา) เรือตอร์ปิโด ๔ ลา เรือดาน้า ๒ ลา เรือขนาด
เบา ๒ ลา และเรือเร็วขนาดใหญ่ ๓ ลา
เรอื ทจ่ี อดอยทู่ างใตข้ องเกาะชา้ งคอื เรอื ประจญั บาน
รักษาฝั่ง ๑ ลา (เรือหลวงธนบุรี) เรือขนาดเบา ๓ ลา (เรอื ตอรป์ โิ ดใหญ)่ และเรอื ตรวจฝง่ั ๑ ลา (เรยี กประเภทเรอื ไม่เหมือนกันเพราะนักบินคนละคน)
จากบทความ “ชยั ชนะทเ่ี กาะชา้ ง” (La Victoire de Koh Chang) ที่ นายจ๊าก มอร์ดัล (Jacques Mordal) เขยี นลงวารสาร “กองทพั เรอื อนิ โดจนี ฝรงั่ เศส” (Marine Indochine) ตีพิมพ์ใน พ.ศ. ๒๔๙๖ ซึ่ง นาวาตรี กฤษฎา เฟื่องระบิล นักเรียนนายเรือ หมายเลข ๒๔๕๔ รุ่น ๖๔ พ.ศ. ๒๕๐๙ ได้นามาแปล และเขียนลงวารสารกระดูกงู ฉบับเดือนมกราคม ๒๕๒๗ ดังน้ี
“วนั ที่๑๖มกราคมพ.ศ.๒๔๘๔เรอื ตรีแปล๊ งแมซอง ( P l a i n e m a i s o n ) ท า ก า ร บ นิ ล า ด ต ร ะ เ ว น บ ร เิ ว ณ เ ก า ะ ช า้ ง พบเรือรบ ๔ ลา รูปลักษณะคล้ายเรือญี่ปุ่น ในเวลา ใกลเ้คยีงกนัเรอืตรีนกูาเรด(Nougarede)ไดร้ายงานวา่ กองเรอื ไทยจา นวนทเ่ี หลอื จอดรวมกนั ทสี่ ตั หบี ฝา่ ยฝรงั่ เศส ได้คาดคะเนใจฝ่ายไทยว่า คงจะไม่คิดผิดสังเกตใด ๆ ที่มเีครอื่งบนิออกมาบินลาดตระเวนเพราะฝรั่งเศสไดส้่ง เคร่ืองบินมาลาดตระเวนอยู่เสมอ ๆ อยู่แล้ว”
การบินเพ่ือลาดตระเวนหาข่าวความเคลื่อนไหว ทางเรอื ของฝรง่ั เศสใน พ.ศ. ๒๔๘๔ ดงั กลา่ ว ปจั จบุ นั เรยี กวา่ Maritime Patrol and Reconnaissance - MPR จะกระทาเพื่อภารกิจสาคัญก่อนทาการรบที่เรียกว่า
นาวิกศาสตร์ 25 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕


การข่าวกรองเพื่อเตรียมยุทธภูมิ (IPB - Intelligence for Preparation of the Battlefield) เพื่อให้ได้มา ซงึ่ พาหะ(Means)สา คญั ทางยทุ ธศาสตรค์ อื ความเหนอื กวา่ ดา้ นความรู้ (Knowledge Superiority) ซงึ่ เปน็ ปจั จยั สาคัญท่ีจะนาไปสู่ชัยชนะในการรบท้ังในอดีต ปัจจุบัน อนาคต
Means, Ways, Ends ของยทุ ธศาสตรท์ างทะเล สหรฐั อเมรกิ าปจั จบุ นั หรอื ตามทซี่ นุ วกู ลา่ วไวเ้ มอื่ ๒,๔๐๐ ปี ก่อนน้ีว่า “ใครก็ตามที่รู้จักตัวเอง และข้าศึก จะไม่มีทาง ที่จะมีความเสี่ยงในยุทธการร้อยครั้ง (He who knows himself and the enemy will never be at risk in a hundred of battles.) หรือ “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” น่ันเอง ความเหนือกว่าในด้านความรู้ (Knowledge Superiority) จะมีความสาคัญยิ่งกว่า ความเหนือกว่าด้านจานวนตัวเลข (Numerical Superiority) ตามที่เคยเชื่อในการรบสมัยเก่าด้วย
เมื่อ นาวาเอก เบรองเช่ เห็นภาพสถานการณ์ การวางกา ลงั รบทางเรอื ของไทย ตงั้ แตส่ ตั หบี จนถงึ พรมแดน กมั พชู าแลว้ จงึ ตดั สนิ ใจรวมกา ลงั ทงั้ หมดของตนเขา้ โจมตี หมวดเรอื ไทยทเ่ี กาะชา้ งเทา่ นนั้ ตามทปี่ รากฏในรายงาน การรบของเบรองเช่ ว่า
“ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจว่าจะเป็นการเสี่ยงอันตราย มากเกินไป หากจะแบ่งเรือในกลุ่มเรือปฏิบัติการตาม
นาวิกศาสตร์ 26 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕
โอกาส (Groupe Occassionel) ออกเป็น ๒ กลุ่ม เพอ่ื แยกกนั เขา้ โจมตเี รอื รบสยามทงั้ ทสี่ ตั หบี และทเ่ี กาะชา้ ง ในเวลาเดียวกัน อีกทั้งการเข้าโจมตีเรือสยามท่ีสัตหีบ จะอยู่ใกล้ฐานทัพท่ีมีอาวุธยุทโธปกรณ์ครบถ้วนดูจะ ลา บาก และมกี ารเสยี่ งภยั มากเกนิ ไป อกี ทงั้ ยงั เปน็ การยาก ที่เรืออีกกลุ่มจะต้องเร่งความเร็วให้ถึงสัตหีบในตอน เช้าตรู่ เพื่อเข้าโจมตีพร้อม ๆ กันกับที่เกาะช้าง ข้าพเจ้า จึงตัดสินใจท่ีจะผนึกกาลังทั้งหมดมุ่งเข้าโจมตีข้าศึกท่ี ทอดสมออยู่ท่ีเกาะช้าง”
การรบทเี่ กาะชา้ งจงึ เกดิ จากการมอบหนา้ ทกี่ องทพั เรอื และการตดั สนิ ใจของ นาวาเอก เบรองเช่ ดว้ ยประการฉะน้ี (จบตอนที่ ๑)
“วันไหน วันดี บานคลี่พร้อมอยู่” ทหารประจาเรือหลวงธนบุรีร่วมกันถ่ายรูปบริเวณท้ายเรือก่อนพ.ศ.๒๔๘๔ ไม่แน่ใจว่าเรือตรีท่ียืนคือใคร (เรือตรี เฉลิม สถิรถาวร ต้นหน ?)


๘๐ ปี ยุทธนาวีเกาะช้าง พ.ศ. ๒๔๘๔ กับทฤษฎีสงคราม และการรบทางเรือสมัยใหม่
ตอนท่ี ๒ การรบ (ตามรายงานของ นาวาเอก เบรองเช่ และฝ่ายไทย)
กลุ่มเรือปฏิบัติการตามโอกาสที่๗(Groupe Occasionnel/No7)ของฝรง่ั เศสอนั มคี วามหมายตรงกบั “หมู่เรือเฉพาะกิจที่ ๗” ของสหรัฐอเมริกา อังกฤษ หรือไทย ได้มีการจัดต้ัง ตั้งแต่วันท่ี ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๓ เพ่ือปฏิบัติการรบกับกาลังทางเรือสยาม เรอื ในกลมุ่ มคี ณุ ลกั ษณะแตกตา่ งกนั มาก (hétéroclité = จับฉ่าย ไม่มีศิลปะ) แต่เมื่อมาถึงวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้มีความชัดเจนเพิ่มข้ึนว่าจะต้องออก ปฏิบัติการ จึงมีการรวมตัวกันเป็นอย่างดี และได้ ทาการฝึกซ้อมที่ทาให้สามารถปฏิบัติการรบได้ทุก รูปแบบ (เรือรบคือผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหนัก จะไมม่ ที างปฏบิ ตั งิ านจรงิ ไดเ้ ลยหากไมม่ กี ารฝกึ ซอ้ ม) โดย นาวาเอก เบรองเช่ ได้วางหลักการในการปฏิบัติการ บางประการไว้ล่วงหน้าแล้ว
เรือลาดตระเวนลามอตต์ปิเกต์ ออกจากไซ่ง่อน (โฮจิมินห์ซิตี้ ปัจจุบัน) ด้วยความเร็วเต็มฝีจักร ๓๓ นอต เพ่ือไปรวมกาลังกับเรือสลุป (Aviso) ท่ีเหลือที่จอด ทอดสมออยู่ในอ่าวทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะบูโล คอนดอ (Poulo Condore ปัจจุบันเรียกว่า Côn Dào) เกาะปลายแหลมญวน ในเวลา ๒๑.๐๐ น. ของวันท่ี ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ หมู่เรือรบฝร่ังเศสก็เริ่ม ออกเดินทางมุ่งเข้าสู่เกาะช้าง ด้วยความเร็ว ๑๓.๕ นอต
อนัเปน็ความเรว็สงูสดุทเี่รอืสลปุจะทาได้กอ่นออกเดนิทาง ไดม้ กี ารประชมุ เพอื่ เตรยี มการรบทตี่ า บลบางหอ้ ย(Banghoi) เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ กาหนดว่าเคร่ืองบิน ทะเลแบบลัวร์ ๑๓๐ (Loire 130) จะบินไปดูลาดเลา ครงั้ สดุ ทา้ ยเพอื่ ยนื ยนั จา นวน ตา แหนง่ ชนดิ ประเภทของ เรือรบไทยแบบต่าง ๆ ณ บริเวณเกาะช้าง ในตอนเช้าตรู่ ของวนั นดั หมายทจ่ี ะเขา้ โจมตดี ว้ ย ในเชา้ ตรขู่ องวนั ที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ นาวาเอก เบรองเช่ รายงานการรบ วา่ “เวลา ๐๕.๔๕ น. พนกั งานวทิ ยไุ ดต้ งั้ คลนื่ ความถว่ี ทิ ยุ ไว้ที่ ๖๗๕ Hz และได้ยินเสียงเครื่องบินลัวร์ ๑๓๐ เรยี กเรอื ลามอตตป์ เิ กต์ แตเ่ พอ่ื เปน็ การซอ่ นเรน้ การเคลอื่ น กาลังทางเรือเป็นความลับ เราจึงไม่ส่งวิทยุตอบ เคร่ืองบิน”
ยทุ ธการตะบนั หนา้ สยาม (Opération coup de point = act of punch Operation)
คาสั่งของ นาวาเอก เบรองเช่ ไปยังเรือในบังคับ บัญชาให้ยาตรากาลังไปทาลายเรือรบของไทยเมื่อเวลา ๒๑.๐๐ น. เวลาอินโดจีน ของวันท่ี ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ หรือเวลา ๑๔.๐๐ น. ที่กรุงปารีส “ยาตรา กาลังเริ่มใน ๒๑.๐๐ น. เข็ม ๓๒๕o ความเร็ว ๑๓.๕ นอต (ความเร็วสูงสุดของเรือสลุป)”
นาวิกศาสตร์ 5 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕


คาสั่งหมายเลข ๕๐ ให้เรือทุกลาเข้าโจมตีเรือท่ีจอด ทอดสมออยู่ทางใต้ของเกาะช้าง ในเวลารุ่งเช้า ให้ใช้ แผนที่หมายเลข ๒๓๐๗ และ ๒๓๐๘ ให้เรือทุกลา พร้อมที่ตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะคลุ้ม จากน้ันให้ แยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ เพ่ือเตรียมเข้ายิงเป้าหมาย ดังนี้
กลุ่มเรือท่ี ๑ เรือตาอูร์ (Tahure) และเรือมาร์น (Marne) บุกเข้าโจมตีทางช่องระหว่างเกาะช้าง และ เกาะคลุ้ม
กลุ่มเรือที่ ๒ เรือดูม้องต์ ดูร์วิลล์ (Dumont d’ Urville) และเรืออะมิรัล ชารเน่ (Amiral Charner) เข้าโจมตีระหว่างช่องเกาะคลุ้ม และเกาะหวาย
เรอื ลาดตระเวนลามอตตป์ เิกต์(LaMotte-Picquet)
เข้าโจมตีทางช่องระหว่างเกาะจาน และเกาะกระดาด
ใ ห เ้ ร มิ ่ ย งิ ท นั ท ที พี ่ อ จ ะ ม อ ง เ ห น็ พ อ ส ม ค ว ร ( พ ร ะ อ า ท ติ ย ์ ข้ึนเวลา ๐๖.๓๐ น. วันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔
หน้าหนาว) การกาหนดเป้าหมายนั้นจะต้องทาเม่ือถึงยุทธ
บริเวณแล้ว
หยดุ ยงิ เมอ่ื ไดร้ บั สญั ญาณโดยใหเ้ รอื ทกุ ลา แลน่ มงุ่ หนา้
กลบั ทางทศิ ตะวนั ตกเฉยี งใต้ เวลา ๐๕.๔๕ น. เวลาทอ้ งถนิ่ ของวันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ให้เรือทุกลาที่ แล่นมาถึงตาบลท่ีเป็นมุมฉากกับเกาะคลุ้มแล้ว ก็ให้แยก ย้ายกันเข้าโจมตี ๓ ช่องทางตามที่ได้สั่งการไว้
นาวิกศาสตร์ 6 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕


เวลา ๐๕.๔๕ น. เรือลามอตต์ปิเกต์ ชักธงสัญญาณ ให้เรือต่าง ๆ ในกระบวนเรือปฏิบัติการโดยอิสระ (แสดงว่า ๑) พอมีแสงราไรเห็นในระยะใกล้ และ ๒) การบังคับบัญชาการรบเป็นแบบมอบภารกิจ (mission type tactics) ซึ่งจะอธิบายต่อในภายหลัง –ผู้เขียน) จากนั้นเรือลามอตต์ปิเกต์ก็เลี้ยวไปถึงเข็ม ๐๘๕ ระหว่าง เกาะคลุ้ม และเกาะรัง เกาะหมาก เรือสลุปดูม้องต์ ดูร์วิลล์ และเรือสลุปอะมิรัล ชารเน่ แล่นเข้าหาเรือหลวง ชลบรุ ี เรอื หลวงสงขลา และเกาะงา่ มซงึ่ ฝรง่ั เศสคดิ วา่ เปน็ เรอื หลวงธนบรุ หี รอื เรอื หลวงศรอี ยธุ ยา ทางชอ่ งเกาะคลมุ้ และเกาะหวาย เรือสลุปเก่าตาอูร์ และมาร์น แล่นเข้าหา เรือหลวงชลบุรี และเรือหลวงสงขลา ทางช่องระหว่าง แหลมบังเบ้า เกาะช้างกับเกาะคลุ้ม เวลา ๐๖.๑๔ น. เรือต่าง ๆ ของฝร่ังเศสมาถึงจุดที่กาหนดในแผน และ พร้อมที่จะทาการยิง ขณะนั้นเรือลามอตต์ปิเกต์ซ่ึงเป็น เรอื ลา ทเี่ คลอื่ นตวั เขา้ ไปใกลเ้ รอื ไทยมากทสี่ ดุ ยงั คงไมเ่ หน็ เปา้ หมายเพราะเกาะคลมุ้ ยงั บงั อยู่ สา หรบั ขอ้ มลู ฝา่ ยไทย เรอื หลวงสงขลาทเี่ หน็ เครอ่ื งบนิ ลวั ร์ ๑๓๐ มาตรวจการณ์ จึงประจาสถานีรบยิงเครื่องบิน พร้อม ๆ กันนั้นก็เห็น เรือลามอตต์ปิเกต์โผล่ออกมาจากเกาะหวาย (ตอนแรก เขา้ ใจวา่ เปน็ เรอื ธนบรุ )ี คะเนความเรว็ ไดป้ ระมาณ ๒๐ นอต ตอ่ มาจงึ เขา้ ใจวา่ เปน็ เรอื ฝรงั่ เศสชอื่ พลโี มเก้ (Primauquet) เรือพ่ีเรือน้องกับลามอตต์ปิเกต์ เมื่อพิเคราะห์ว่าไม่ใช่ เรือหลวงธนบุรีแต่เป็นเรือฝรั่งเศสแน่นอนแล้ว เรือเอก นัย นพคุณ ต้นเรือทาหน้าที่ต้นปืนจึงสั่งเปล่ียนการยิง จากเปา้ เครอ่ื งบนิ เปน็ เปา้ เรอื ฝรง่ั เศสระยะ ๑๐,๐๐๐ เมตร เป็นการยิงนัดแรกของยุทธนาวี ส่วนเรือลามอตต์ปิเกต์ ได้อาศัยแสงไฟท่ีแวบออกมาจากกระบอกปืนเรือหลวง สงขลาเป็นเป้าหมายในการยิงตอบในตับแรก แต่กระสุน ไปตกท่ีเกาะง่าม ซ่ึงฝร่ังเศสเข้าใจว่าเป็นเรือหลวง ศรีอยุธยาซ่ึงยังไม่ได้กลับไปสัตหีบหลังเปลี่ยนเวรกับ เรือหลวงธนบุรีในวันท่ี ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ในเวลาเดยี วกนั เรอื หลวงสงขลากเ็ รมิ่ เหน็ เรอื สลปุ ดมู อ้ งต์ ดูร์วิลล์ และอะมิรัล ชารเน่ โผล่ออกมาทางช่องระหว่าง เกาะคลุ้มกับเกาะหวาย และเรือสลุปตาอูร์กับมาร์น
โผล่ออกมาทางช่องระหว่างแหลมบังเบ้า เกาะช้างกับ เกาะคลุ้ม เรือหลวงชลบุรีซึ่งไม่มีมุมยิงเรือลามอตต์ปิเกต์ เพราะเรือหลวงสงขลาบัง ให้ปืน ๑ หันมายิงเรือตาอูร์ และเรือมาร์น ส่วนปืนท้ายให้ยิงเรือสลุปดูม้องต์ ดูร์วิลล์ และเรือสลุป อะมิรัล ชารเน่ ท่ีโผล่ออกมาระหว่าง ช่องเกาะคลุ้มกับเกาะหวาย ส่วนเรือหลวงสงขลายังคง ยงิ ตอ่ สกู้ บั เรอื ลามอตตป์ เิ กต์ ปรากฏวา่ กระสนุ ตกตา่ มาก จงึ แกศ้ นู ยเ์ ปน็ ๑๔,๐๐๐ เมตร ซงึ่ สงู เกนิ ไปจงึ ปรบั มาเปน็ ๑๒,๐๐๐ เมตร ซ่ึงเรือหลวงสงขลารายงานว่าถูกเป้าเรือ ลามอตตป์ เิ กต์ แตฝ่ รง่ั เศสบอกไมถ่ กู เลย เวลา ๐๖.๑๕ น. เรือดูม้องต์ ดูร์วิลล์ เริ่มยิงไปยังเรือตอร์ปิโดใหญ่ของไทย ยิงไปแล้วไม่ปรากฏว่าเป้าหมายเคลื่อนไปไหน เวลา ๐๖.๒๓ น. เรอื สลปุ อะมริ ลั ชารเน่ เรม่ิ ยงิ เรอื ตอรป์ โิ ดใหญ่ ส่วนเรือตาอูร์ ผู้บังคับการเรือได้ส่ังยิงว่า “ยิงให้ข้าศึก ประทับใจ และเพื่อให้กาลังพลเรามีขวัญกาลังใจ (Tire pour impressioner adversaire et mettre entrain mon personnel)” เวลา ๐๖.๑๙ น. เรือลามอตต์ปิเกต์ เรมิ่ ยงิ เรอื ตอรป์ โิ ดใหญ่ สว่ นเรอื มารน์ ซงึ่ ยงั ตรวจไมพ่ บเปา้ ไ ด เ้ ร มิ ่ ย งิ เ ว ล า ๐ ๖ . ๒ ๕ น . ใ น ก า ร ย งิ ต บั ท สี ่ า ม ข อ ง เ ร อื ด มู อ้ ง ต ์ ดรู ว์ ลิ ล์ พนกั งานวดั ระยะไดร้ ายงานวา่ “ถกู เปา้ หมายแลว้ ” เวลา ๐๖.๒๔ น. ทหารฝรงั่ เศสสงั เกตเหน็ วา่ เรอื ตอรป์ โิ ดใหญ่ ของไทยเริ่มติดไฟหม้อน้า เรือฝร่ังเศสในหมู่เรือ ดมู อ้ งต์ ดรู ว์ ลิ ล์ และเรอื อะมริ ลั ชารเน่ ทแี่ ลน่ มาทางชอ่ ง เกาะคลุ้มและเกาะหวาย ได้แล่นเข้าทางเรือไทยอย่าง ลาพองใจโดยไม่ได้พะวงเกี่ยวกับทุ่นระเบิดท่ีฝ่ายไทย อาจวางไว้ได้ เรือดูม้องต์ ดูร์วิลล์ ได้แล่นเข้าไปใกล้ เรือตอร์ปิโดใหญ่ของไทยในระยะไม่เกิน ๕,๐๐๐ เมตร และเห็นกลุ่มกระสุนที่ถูกเป้าชัดเจน เรืออะมิรัล ชารเน่ ซึ่งแล่นตามเข้าไปได้ยิงถูกเรือหมายเลข ๓๒ (เรือหลวง ชลบุรี) ชัดเจน ทางด้านเรือลาดตระเวนลามอตต์ปิเกต์ นาวาเอก เบรองเช่ ผู้บังคับการเรือได้เขียนรายงาน การรบตอนนี้ว่า
“สภาวะอากาศและทัศนวิสัย ลมสงบ ท้องฟ้า แจ่มใสเพราะเพิ่งรุ่งเช้า แต่ทัศนวิสัยไม่ดีในทิศที่เรือ จอดอยู่ เนื่องจากเทือกเขายังบังอยู่ทางทิศตะวันออก
นาวิกศาสตร์ 7 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕


พระอาทิตย์จะต้องขึ้นเวลา ๐๖.๔๓ น. แต่พระจันทร์ ยังคงฉายแสงเรือง ๆ อยู่ทางฝากตะวันตกเฉียงใต้”
สว่ นเรอื ของเราซงึ่ แลน่ อยตู่ ดั กบั ขอบฟา้ ไมม่ อี ะไรบงั คงจะเป็นที่เห็นชัดจากเรือข้าศึกที่จอดอยู่
ชาวสยามเรมิ่ ยงิ มายงั เรอื ตา่ งๆของ“หมเู่รอื ปฏบิ ตั กิ าร” เม่ือเวลา ๐๖.๑๔ น. ไม่มีทางระบุได้เลยว่าเรือลาใดท่ียิง การยิงตอบโต้ เกือบจะทันทีทันใดนั้น เรือสลุป
ทั้ง ๒ หมู่ ก็เร่ิมยิงข้าศึกเหมือนกัน
“เวลา ๐๖.๑๙ น. เรือลามอตต์ปิเกต์ได้เร่ิมยิงด้วย
ปนื ใหญข่ นาด ๑๕๕ มลิ ลเิ มตร ชดุ แรกดว้ ยการสอ่ งกลอ้ ง วดั ระยะ และหนั ทศิ ทางไปยงั ทศิ ทมี่ ไี ฟแลบยงิ มาทางเรา ข้าพเจ้าได้ส่งสัญญาณรหัส (เป็นตัวเลข) แจ้งกองทัพเรือ อินโดจีนฝร่ังเศสว่า กลุ่มเรือปฏิบัติการตามโอกาส (groupe occasionnel) ได้เข้าทาการรบท่ีเกาะช้างแล้ว (ข่าวนี้กองทัพเรืออินโดจีนฝร่ังเศสไม่ได้รับ) และข้าพเจ้า ยังได้ส่งข่าววิทยุไปยังกลุ่มเรือทั้งสาม ให้เปล่ียนศูนย์ การยิงอย่างสม่าเสมอเมื่อเรือเคลื่อนไปทางขวามือ”
ตอนนั้น นาวาเอก เบรองเช่ คิดว่าเกาะง่ามที่เห็น เป็นเงา ๆ นั้น คือเรือปืนลาหน่ึงของไทย (เข้าใจว่าเป็น เรอื หลวงศรอี ยธุ ยาทยี่ งั คงอยทู่ เี่ กาะชา้ ง ไมไ่ ดก้ ลบั สตั หบี
หลังเปลี่ยนเวร) จึงสั่งยิงไปที่เกาะง่าม ๓ ลูก นาวาเอก เบรองเช่ ได้เขียนในรายงานว่า
“เวลา ๐๖.๒๐ น. เรือลามอตต์ปิเกต์ได้ยิงตอร์ปิโด ไป ๑ ตบั ๓ ลกู โดยบงั คบั ใหต้ อรป์ โิ ดวงิ่ ใตน้ า้ ๒.๕๐ เมตร ตอร์ปิโดได้ว่ิงไปอย่างเร็ว ไปยังเรือท่ีเราเร่ิมจะเห็นลาง ๆ ว่าจอดอยู่ (แท้จริงแล้วคือเกาะง่าม) และยังยิงปืนขนาด ๗๕ มิลลิเมตร ติด ๆ กันหลายชุดไปยังเรือตอร์ปิโดใหญ่ ของไทยลา หนงึ่ ทยี่ งั ไมส่ ามารถอา่ นหมายเลขขา้ งตวั เรอื ได้ ตอนน้ีข้าพเจ้าสั่งให้เรือลามอตต์ปิเกต์ลอยนิ่งอยู่ปลาย กลุ่มเกาะ ระยะห่างจากกลุ่มเรือข้าศึกประมาณ ๙,๐๐๐ - ๑๐,๐๐๐ เมตร ระหว่างเวลา ๐๖.๒๕ น. ถึง ๐๖.๓๕ น. หลังจากได้เล็งเป้าเรือที่อยู่ทางขวาสุด (เรือหลวงสงขลา) และยิงด้วยป้อมปืนใหญ่ขนาด ๑๕๕ มิลลิเมตร แล้วดู เหมอื นวา่ กระสนุ ปนื จะถกู เปา้ หมายทางทา้ ยเรอื ตอ่ จากนนั้ ทั้งป้อมปืนใหญ่ ๑๕๕ มิลลิเมตร และปืนรองขนาด ๗๕ มิลลิเมตร ก็ได้เล็งยิงไปยังเรือตอร์ปิโดใหญ่ท่ีเห็น ชัดเจน”
(เมื่อเวลา ๐๖.๒๐ น. เรือตอร์ปิโดใหญ่ของไทย (เรือหลวงชลบุรี และเรือหลวงสงขลา) เริ่มติดไฟหม้อน้า ไฟควันพลุ่งข้ึนสูงจากปล่องทาให้หมู่เรือฝรั่งเศสที่แล่น
เรือลาดตระเวนเบาชั้นเดียวกันมี ๓ ลําา เรือลามอตต์ปิเกต์ยิงตอร์ปิโด เรือหลวงสงขลาเข้าใจผิดว่า
ลําาท่ีรบกับตนคือเรือพรีโมเก้ต์
นาวิกศาสตร์ 8 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
นาวาเอก เบรองเช่ ถือกล้อง ๒ ตา


เข้ามาทั้ง ๓ ช่องเกาะ สามารถจับเป้าเรือตอร์ปิโดใหญ่ ได้อย่างชัดเจน)
นาวาเอก เบรองเช่ ได้รายงานการรบต่อไปว่า “ตอร์ปิโด เวลาประมาณ ๐๖.๓๐ น. เรามองเห็น แสงไฟสามสายพงุ่ สงู มาก (ประมาณ ๒๐๐ เมตร) ซง่ึ ทา ให้ เราแน่ใจว่าลูกตอร์ปิโด ๓ ลูกของเราระเบิดเมื่อถึงพื้น หรือเมื่อชนกราบเรือ แสงไฟ ๒ สายออกสีเหลือง ๆ สว่ นสายท่ี๓ขาวมากขา้ พเจา้ มองดว้ ยกลอ้ งสอ่ งทางไกลเหน็ วา่
ลูกตอร์ปิโดระเบิดเมื่อตอนชนกราบเรือลาหนึ่ง”
การยงิ จากเรอื สลปุ ในชว่ งเวลานน้ั เรอื สลปุ ทง้ั ๔ ลา ซง่ึตา่งแลน่เขา้ไปตามชอ่งระหวา่งเกาะทไี่ดร้บัมอบหมาย ก็พยายามแล่นเรือให้เข้าไปใกล้ข้าศึก (เรือตอร์ปิโดใหญ่ ของไทย) ใหม้ ากทสี่ ดุ เทา่ นนั้ จะทา ไดโ้ ดยเตรยี มปนื พรอ้ ม
หมู่เรือฝรั่งเศสรุมยิงเรือไทย
ส่วนหนึ่งของทหารประจําาเรือหลวงสงขลา ท่ีทําาการรบที่เกาะช้างและไม่ได้รับบาดเจ็บ
จากเรอื ลามอตตป์ เิ กตไ์ ดส้ อ่ งกลอ้ งตรวจบนั ทกึ การ ยิงถูกเป้าหมายหลายครั้ง นายทหารควบคุมการยิงดูจะ ไม่มีปัญหาใด ๆ เลยในการจับเป้า
เวลา ๐๖.๓๐ น. กลุ่มเรือดูม้องต์ ดูร์วิลล์ และ เรืออะมิรัล ชารเน่ อยู่ห่างข้าศึกเพียง ๕,๐๐๐ เมตร และ กลุ่มเรือตาอูร์ และเรือมาร์น อยู่ห่าง ๘,๐๐๐ เมตร และ เมื่อเวลา ๐๖.๕๐ น. ได้เคลื่อนเข้าไปใกล้ข้าศึกลึกไปกว่า ๓,๐๐๐ เมตร
เวลา ๐๖.๕๐ น. เรือทุกลาสังเกตเห็นเรือหมายเลข ๓๒ และ ๓๓ มีควันพุ่งข้ึน และเร่ิมมีการตอบโต้ช้าลง ๆ เวลา ๐๖.๕๘ น. ข้าศึก (เรือตอร์ปิโดใหญ่ของไทย) หยดุ ยงิ เรอื สลปุ เหน็ วา่ ลกู เรอื ของเรอื หมายเลข ๓๒ และ ๓๓ ซึ่งยังพอมองเห็นได้ถนัดเริ่มถ่ายลงเรือเล็ก หรือ ว่ายน้า(ในขณะน้ันเรือตาอูร์เตรียมหย่อนเรือบดลงไป ช่วยเหลือ แต่นาวาเอก เบรองเช่ สั่งห้าม และสั่งให้ยิง ทาลายต่อไปจะได้ตายอย่างไม่ทรมาน หรือ coup de gruce –ผู้เขียน) เรือสลุปหยุดยิงชั่วคราวประมาณ
๒–๓ นาที แล้วเริ่มยิงใหม่
เรือตอร์ปิโด ๒ ลา จมหรือระเบิดก่อน ๐๗.๐๐ น.
เล็กน้อย
เวลา ๐๗.๐๐ น. ไม่มีเรือตอร์ปิโดใหญ่ของไทย
จอดให้เห็นต่อไป
กลุ่มเรือสลุป ๒ กลุ่มเข้าประจาตาแหน่งตาบลที่
B2 และ C2
เวลา ๐๖.๔๕ น. เรือหลวงสงขลาสละเรือใหญ่
ห่างไปจากนั้นประมาณ ๓๐๐ เมตร เรือหลวงชลบุรี ถูกยิงที่บริเวณคลังเชื้อเพลิงท้ายเรืออย่างจัง ทาให้เกิด ไฟไหม้ลุกลามไปอย่างกว้างขวาง เรือตาอูร์ได้แล่นเข้าไป ใกล้เรือตอร์ปิโดทั้งสองในระยะ ๓,๗๐๐ เมตร และได้ยิง ปืนใหญ่เข้าใส่อีก เรือสลุปมาร์นก็ได้เข้าไปยิงซ้าเติมอีก ในระยะ ๒,๖๐๐ เมตร เรือหลวงสงขลาเอียงพลิกคว่า ในเวลา ๐๖.๔๓ น. ในขณะน้ันเรือหลวงชลบุรีกาลังจม ปริ่มน้า มีควันลุกไหม้อย่างหนัก การรบระหว่างเรือ ฝรั่งเศสกับเรือตอร์ปิโดใหญ่ของไทยเป็นเพียงฉากแรก ของยุทธนาวีท่ีเกาะช้าง โดยฝร่ังเศสได้กล่าวชมเชยว่า
“เรอื ตอรป์ โิ ดของสยามไดเ้ ขา้ ทา การรบอยา่ งกลา้ หาญ และสู้จนถึงท่ีสุดด้วยจิตใจที่เสียสละ ซึ่งสมควรได้รับ การยกย่องตามประเพณีของนาวีใหญ่ ๆ ในโลก...
นาวิกศาสตร์ 9 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕


เรือหลวงชลบุรีถูกยิงไฟไหม้ควันขึ้นสูง
ยามยอดเสาเรือหลวงชลบุรี ถูกกระสุนปืนของฝ่ายเรา ตกลงมาขาขาด แต่ปากยังร้องเชียร์เพื่อนให้รบจน ขาดใจตาย เราขอคารวะทหารท่านนี้อย่างจริงใจ”
(เรือหลวงชลบุรี และเรือหลวงสงขลา ไม่ได้รับ พระราชทานเหรียญกล้าหาญ อาจจะพิจารณาจากการ ที่เรือจอดทอดสมอเป็นเป้านิ่งไม่ได้แสดงความกล้าหาญ ด้วยการแล่นเรือเข้าใส่ข้าศึก อันท่ีจริงแม้อยู่ในสภาวะ จายอมต้องรบ แต่ก็รบอย่างกล้าหาญไม่แพ้เรือหลวง ธนบุรี -ผู้เขียน)
เพลิงไหม้เรือหลวงสงขลา
ขณะนั้นเรือหลวงธนบุรี ยังจอดทอดสมออยู่อีก ด้านหน่ึงของเกาะช้าง และฝ่ายฝรั่งเศสยังตรวจไม่พบ เนอ่ื งจากตวั เกาะชา้ งบงั อยู่ เมอ่ื เวลา ๐๖.๒๔ น. เรอื สลปุ อะมิรัล ชารเน่ จึงตรวจพบเรือลาหนึ่ง มีปล่องสูงตรง มีป้อมปืนลักษณะน่าเกรงขามโผล่ออกมาจากหลัง เกาะช้าง เวลา ๐๖.๒๙ น. เรือเอก ตุยยีเอ้ (Thuillier)
นาวิกศาสตร์ 10 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
เรือตาอูร์กําาลังยิงปืนใหญ่
นายทหารควบคมุ การยงิ ของเรอื ลาดตะเวนลามอตตป์ เิ กต์ ก็ได้ตรวจพบเรือหลวงธนบุรี แต่ก็มิได้ใส่ใจเพราะกาลัง สาละวนอยู่กับการระดมยิงเรือตอร์ปิโดใหญ่ ต่อมา ภาพเรอื หลวงธนบรุ กี ไ็ ดถ้ กู เกาะตา่ ง ๆ บงั อกี (เกาะไมซ้ ใี้ หญ)่
ฉากท่ี ๒ เรือลามอตต์ปิเกต์ต่อสู้กับเรือหลวงธนบุรี
เวลา ๐๖.๐๕ น. เมื่อเรือหลวงธนบุรีเห็นเคร่ืองบิน ข้าศึกจึงประจาสถานีต่อสู้อากาศยาน เม่ือเคร่ืองบิน บินกลับไปทางเกาะง่ามแล้ว จึงออกคาส่ังให้ห้องเคร่ือง
เรือลามอตต์ปิเกต์ขณะแล่นด้วยความเร็ว ๒๗ นอต ที่เกาะช้าง
ติดเครื่องใหญ่แล้วส่งวิทยุแจ้งไปยังกองบินทหารอากาศ จันทบุรี แต่ปรากฏว่าทหารอากาศไม่ได้รับข่าวน้ี ต่อมา เมอ่ื ไดย้ นิ เสยี งปนื ทางเกาะงา่ มยงิ กนั สนนั่ แตไ่ มม่ กี ระสนุ ระเบดิ ในอากาศ จงึ สนั นษิ ฐานวา่ มกี ารรบทางเรอื เกดิ ขนึ้ จงึ ออกเรอื เพอื่ ไปชว่ ยเหลอื ตอ่ มายามบนสะพานเดนิ เรอื รายงานวา่ เหน็ เรอื ขา้ ศกึ ทางใตเ้ กาะชา้ งตรงชอ่ งระหวา่ ง


เกาะช้างกับเกาะไม้ซี้ใหญ่ กาลังแล่นเข็ม ๖๕° และ เหน็ ไฟแลบจากปากกระบอกปนื ดว้ ย เมอื่ เรอื หลวงธนบรุ ี ออกเรอื ไปสกั ครโู่ ดยถอื เขม็ ๑๓๕° และประจา สถานรี บแลว้ เม่ือสอบศูนย์เพื่อใช้ยิงจากศูนย์รวบ ปรากฏว่าป้อมท้าย ไม่พร้อม (ยังไม่ได้ synchronize ป้อมกับศูนย์) ผู้บังคับการเรือจึงสั่งหยุดเคร่ืองหางเสือซ้ายหมด เพื่อให้ เกาะไม้ซ้ีใหญ่บังตัวเรืออยู่ก่อน เวลา ๐๖.๔๐ น. เม่ือปืน ๒ ปอ้ มพรอ้ ม เรอื หลวงธนบรุ จี งึ เดนิ หนา้ เตม็ ตวั เขม็ ๑๓๕° และสั่งเตรียมรบกราบขวาที่หมายเรือลาดตระเวนข้าศึก เวลา ๐๖.๔๕ น. เม่ือเรือลามอตต์ปิเกต์โผล่ออกมาจาก ด้านตะวันออกของเกาะไม้ซี้ใหญ่ บนช่องเล็ก ๆ ระหว่าง เกาะไมซ้ ใ้ี หญ่ เรอื หลวงธนบรุ เี รมิ่ ยงิ เขา้ ใสเ่ รอื ลามอตตป์ เิ กต์ กระสุนตกต่าไป ๒,๐๐๐ เมตร และเรือลามอตต์ปิเกต์
แผนที่เกาะช้าง ช่องเล็ก ๆ ที่ลามอตต์ปิเกต์ยิงผ่านช่องเกาะไม้ซี้ใหญ่ และเกาะไม้ซี้เล็ก โดนเรือหลวงธนบุรี ที่หอบังคับการพอดี
ฝร่ังเศสถือว่ายุทธนาวีเกาะช้างเป็นการรบระหว่าง ไทย-ฝร่ังเศส พ.ศ. ๒๔๘๓-๒๔๘๔ ท่ีโลกลืม
ยิงตอบมาทันที กระสุนตับแรก (๔ นัด) ของฝรั่งเศส ตกสูงห่างเรือ ๓๐๐ เมตร ตับที่ ๒ ตกตรง แต่ห่างเรือ ๕๐ เมตร เวลา ๐๖.๔๘ น. เรือหลวงธนบุรีตกอยู่สถานะ “เข้าซ่อม” ของเรือลามอตต์ปิเกต์
เมื่อเวลา ๐๖.๔๘ น. เรือฝรั่งเศสยิงมาแล้ว ๒ ตับ เรือหลวงธนบุรี ได้ยิงตับท่ี ๒ ด้วยป้อมหัวและป้อมท้าย โดยตั้งระยะ ๑๓,๐๐๐ เมตร ฝรั่งเศสบอกว่ากระสุน ปืนไทยตกต่าไป ๒,๐๐๐ เมตร เม่ือเรือหลวงธนบุรีถูก “เข้าซ่อม” แล้ว กระสุนตับที่ ๔ (๔ นัด) ของฝร่ังเศส มีนัดหนึ่งโดนผนังห้องนายพลตรงมุมห้องกราบขวา แล้วระเบิดกลางห้อง อานาจระเบิดนั้นเองทาให้ทะลุ ข้ึนข้างบนตรงพ้ืนของหอบังคับการเรือหลวงธนบุรีพอดี ทาให้ผู้บังคับการเรือหลวงธนบุรี (หลวงพร้อมวีรพันธุ์)
ถ่ายที่ยุทธภูมิเกาะช้างแล่นขนาบด้วยเรือสลุป ดูม้องต์ ดูร์วิลล์ และเรืออะมิรัล ชารเน่ ถ่ายจากเรือตาอูร์
สะพานเดินเรือของเรือลามอตต์ปิเกต์ ขณะกําาลังรบกับไทย
นาวิกศาสตร์ 11 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕


และทหารในหอบังคับการเสียชีวิตและบาดเจ็บ (การยิง โดนเรอื หลวงธนบรุ นี ดั นเี้ ปรยี บไดก้ บั นกั ฟตุ บอลกองหนา้ ฝรั่งเศสชื่อดัง ซีดาน ยิงผ่านแบ็คหลังช่องเล็ก ๆ ระหว่าง เกาะไม้ซี้ใหญ่และเกาะไม้ซี้เล็กเข้าประตูพอดี การท่ี เรอื หลวงธนบรุ ปี อ้ มปนื ทา้ ยไมพ่ รอ้ มโดยขาดพลหนั ปอ้ ม และป้อมปืนไม่ได้ synchronize ให้เข้ามุมกันได้พอดี กับศูนย์รวบ ต้องเสียเวลาปรับแต่ง โดยเรือหลวงธนบุรี ตอ้ งหยดุ เครอื่ งรอบงั อยหู่ ลงั เกาะไมซ้ ใี้ หญ่ เปน็ ชว่ งเวลา นาทีทองของเรือลามอตต์ปิเกต์เหมือนกัน เพราะ สามารถปรับแต่งระยะการเล็งยิงเรือหลวงธนบุรีให้ถูก ตอ้ งแมน่ ยา ไดม้ ากขน้ึ ๆดงั นนั้ พอเรอื หลวงธนบรุ อี อกเรอื จากการบงั ของเกาะไมซ้ ใี้ หญแ่ ลน่ เขา้ มาในชอ่ งเลก็ นดิ เดยี ว ระหวา่ งเกาะไมซ้ ใ้ี หญ่ และเกาะไมซ้ เี้ ลก็ เรอื ลามอตตป์ เิ กต์ จึงได้จังหวะยิงถูกหอบังคับการเรือหลวงธนบุรีอันเป็น จดุ ศนู ยด์ ลุ แหง่ การรบ (Center of gravity) ของเรอื หลวง ธนบุรี และเรือหลวงธนบุรียังเป็น Center of gravity ของกาลังรบทางเรือของไทยท้ังหมดด้วย จึงถือว่าเป็น โชค ๒ ชั้นของฝรั่งเศส และความเสียหาย ๒ ชั้นของไทย -ผู้เขียน)
การถูกยิงคร้ังนี้ของฝร่ังเศสทาให้เกิดไฟไหม้ และ เครื่องถือท้ายในหอบังคับการใช้ไม่ได้ เรือต้องหมุนซ้าย เป็นวงกลมอยู่ ๔ รอบ ด้วยความเร็ว ๑๕ นอต แล่น เข้าไปในบริเวณที่น้าลึกเพียง ๔-๕ เมตร ด้วยต้นหน
(เรอื โท เฉลมิ สถริ ถาวร) ตอ้ งวงิ่ ไปหอ้ งเครอื่ งหางเสอื ทา้ ยเรอื เพอ่ื ใชบ้ งั คบั เรอื ใหแ้ ลน่ ตรงตอ่ ไป แตป่ รากฏวา่ ไมม่ ไี ฟฟา้ จงึ พยายามบงั คบั เรอื ดว้ ยการสงั่ จกั รแตก่ ไ็ มส่ า เรจ็ ตน้ หน จึงเปล่ียนมาถือท้ายเรือด้วยมือโดยตรงซึ่งหนักมาก ตน้ ปนื และผชู้ ว่ ยตน้ ปนื จงึ สงั่ การมาจากหอบงั คบั ยงิ ปนื เบา บนเสากระโดงท่ี ๒ เรือจึงหยุดหมุน และบังคับเรือให้ แล่นตรงได้
ขณะที่เรือหลวงธนบุรีหมุนคว้าง กระสุนอีกลูก ก็ตกลงมาท่ีดาดฟ้ากราบซ้ายริมห้องรับแขกนายพล กระสุนทะลุลงใต้ดาดฟ้า ตัดแป๊ปน้าดับเพลิงขาดจน ใช้การไม่ได้ น้านองไปทั่ว กระสุนได้ระเบิดในห้องพันจ่า กราบขวา ฉีกเน้ือเรือโหว่
กระสนุ นดั ที่ ๓ ตกลงหบี พกั กระสนุ ปนื ๗๕ ระหวา่ ง กระบอก ๑ และ กระบอก ๓ กระสุนได้ระเบิดเข้าห้อง บัญชาการ ทะลุลงใต้ดาดฟ้าตรงห้องต้นปืน ทาให้ นายแพทย์ประจาเรือ (นาวาตรี นายแพทย์อัชฌา พัฒนวิบูลย์) ถูกสะเก็ดระเบิดจนขาขาด ทหารบาดเจ็บ หลายนาย
กระสุนนัดที่ ๔ ถูกเรือหลวงธนบุรีราว ๐๖.๕๐ น. บริเวณแนวน้ากราบขวาท้ายเรือ ได้ระเบิดบนพ้ืนห้อง กะลาสี ๔ ทาให้น้าเริ่มเอ่อเข้าเรือ กระสุนนัดท่ี ๕ ถูกช่องกระจกทางกราบขวาตอนท้ายเรือ ได้ระเบิดที่ ฐานป้อมปืนท้าย ฉีกตะเข็บฐานป้อม ทาให้น้าในห้อง
เคลาเซวิทซ์เป็นผู้กําาหนด จุดศูนย์ดุลแห่งการรบ (Center of gravity) ในทฤษฎีสงคราม
นาวิกศาสตร์ 12 ปีท่ี ๑๐๕ เล่มที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
นาวาตรี นายแพทย์อัชฌา พัฒนวิบูลย์ ถูกกระสุนเสียชีวิต
กระสุนฝรั่งเศสที่ยิงถูกบริเวณ ท้ายเรือหลวงธนบุรี แต่ไม่ระเบิด (พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ)


กะลาสี ๔ ไหลเข้าสู่คลังดิน คลังกระสุน พลทหาร ชุน แซ่ฉั่ว พลลาเลียงกระสุนแขนขาดเพราะถูกเสื้อ หวั กระสนุ กระเดน็ เขา้ ตดั แขน ในหอ้ งกะลาสี ๔ ไฟไดไ้ หม้ เสอ้ื ชชู พี เสอื้ ผา้ ทหาร และพนื้ ยาง ทา ใหค้ วนั ตลบไปหมด ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ โชคดีท่ีกระสุนนัดนี้ไม่ระเบิด ถา้ ระเบดิ ขนึ้ นดั ดนิ อาจทา ใหเ้ รอื ทง้ั ลา ระเบดิ เปน็ จลุ ทนั ที
เวลา ๐๖.๕๕ น. เรือลามอตต์ปิเกต์กลัวจะติดตื้น เลยี้ วหวั กลบั หลงั หนั มาถอื เขม็ ๒๓๐° จงึ พน้ ระยะยงิ และ มองไม่เห็นเรือหลวงธนบุรี เนื่องจาก นาวาเอก เบรองเช่ ไมเ่ หน็ เรอื สลปุ ลกู หมขู่ องตนทง้ั หมดวา่ อยไู่ หน นาวาเอก เบรองเช่ จงึ ตดั สนิ ใจนา เรอื ลามอตตป์ เิ กตไ์ ปทางตะวนั ตก ออ้ มไปใตเ้ กาะใบตง้ั เพอ่ื หาเรอื ลกู นอ้ งจนเจอ จงึ แลน่ วน รอบเกาะใบตง้ั และเลย้ี วฉกาจใตเ้ กาะจานวง่ิ กลบั มาทาง เกาะไม้ซ้ีใหญ่ และเกาะไม้ซี้เล็กอีกครั้ง เวลา ๐๗.๐๐ น. เรือลามอตต์ปิเกต์พบเรือสลุป ๒ ลา เรือดูม้องต์ ดูร์วิลล์ และเรอื อะมริ ลั ชารเน่ ตดิ ตามดว้ ยเรอื มารน์ และเรอื ตาอรู ์ ในเขตปฏบิ ตั กิ ารB3(ในประมวลของพลเรอื โทพนั รกั ษแ์ กว้ ลงว่า เรือสลุปตามเรือลามอตต์ปิเกต์ไม่ทัน เบรองเซ่ จึงสั่งให้เรือทั้ง ๔ แยกขบวนไปถือเข็ม ๒๓๐°) ในการรบ ประจัญบานในช่วงดังกล่าว เรือหลวงธนบุรีอ้างว่าได้ยิง ถูกเรือลามอตต์ปิเกต์ บริเวณสะพานเดินเรือ ๒ นัด เห็นประกายระเบิด และควันพลุ่งขึ้นมาจากบริเวณน้ัน ชัดเจนจนพลประจาป้อมท้ายต่างโห่ร้องไชโย
ลามอตตป์ เิ กตผ์ ละออกจากการรบ เรอื สลปุ เขา้ มาแทน
หลังจากนั้นเสียงปืนจากลามอตต์ปิเกต์สงบลง โดยเรือแล่นออกไปทางเข็ม ๑๓๕° แต่เรือสลุปดูม้องต์ ดูร์วิลล์ และ อะมิรัล ชารเน่ ยังอยู่ โดยรวมกาลังกันทาง ตะวนั ตกของเกาะเหลาใน แลน่ ลงมาทางใตพ้ อผา่ นเกาะ เหลานอกจึงเลี้ยวซ้ายถือเข็มประมาณ ๑๐๐° ระหว่าง เกาะหวายกับเกาะหินลูกหวายนอก ในเวลา ๐๗.๑๒ น. เรอื สลปุ ทงั้ หมดเหน็ เรอื หลวงธนบรุ ตี รงชอ่ งระหวา่ งเกาะงา่ ม และเกาะไม้ซ้ีใหญ่ จึงช่วยกันระดมยิงเรือหลวงธนบุรี ซึ่งเรือหลวงธนบุรีก็ยิงต่อสู้กับเรือสลุป (แต่ฝ่ายไทย
อา้ งวา่ ไมไ่ ดย้ งิ ตอ่ สกู้ บั เรอื สลปุ ยงิ เฉพาะเรอื ลามอตตป์ เิ กต์ ลาเดียว ไม่สนใจลาอื่น)
ตามรายงานการรบของ นาวาเอก เบรองเช่ ระบุว่า เวลา ๐๗.๑๒ น. เรือสลุปเห็นเรือประจัญบานรักษาฝั่ง (เรอื หลวงธนบรุ )ี เรอื ลา ทขี่ า้ พเจา้ ยงิ ใสเ่ มอื่ สกั ครู่ เรอื สลปุ จึงยิงใส่เรือประจัญบานรักษาฝั่ง เม่ือเวลา ๐๗.๑๓ น. พอถงึ เวลา ๐๗.๑๕ น. เรอื ดรู ม์ อ้ งต์ ดรู ว์ ลิ ล์ และเรอื อะมริ ลั ชารเน่ ก็ระดมยิงอย่างหนัก
นาวาเอก เบรองเซ่ รายงานว่า เรือสลุปอะมิรัล ชารเน่ ถูกเรือหลวงธนบุรียิงไฟไหม้
นาวาเอก เบรองช่ รายงานว่า “ข้าพเจ้าสามารถ ส่องทางไกลเห็นว่า วิถีกระสุนของเรืสลุปยิงดีมาก แต่ทว่าเรือประจัญบานรักษาฝั่งก็ยิงตอบโต้ด้วยปืนใหญ่ ๒๐๓ มิลลิเมตร ข้าพเจ้าจึงแล่นเรือลามอตต์ปิเกต์เข้าไป ช่วยเหลือโดยแทรกไปตรงกลางระหว่างเรือสลุปกับ เป้ายิง (เรือหลวงธนบุรี) เรือสลุป (อะมิรัล ชารเน่) เมื่อ ถูกระดมยิงอย่างหนัก และแม่นยาจากเรือประจัญบาน รกั ษาฝง่ั (เรอื หลวงธนบรุ )ี จงึ ทา การทงิ้ วตั ถรุ ะเบดิ ตา่ ง ๆ ลงนา้ (ดา นา้ ดปู ะการงั แถวเกาะชา้ งตอ้ งระวงั -ผเู้ ขยี น) ดังที่เคยนัดแนะกันไว้ เรือลามอตต์ปิเกต์ได้ยิงปืนใหญ่ เข้าใส่เรือหลวงธนบุรีอีกครั้งเมื่อเวลา ๐๗.๒๒ น. ขณะที่ เรือลอยลาอยู่ระหว่างเกาะคลุ้มและเกาะ Bidang (เกาะใบตั้ง) ใกล้ ๆ กันน้ันห่างออกไปทางทิศตะวันตก เรอื สลปุ ดรู ม์ อ้ งต์ ดรู ว์ ลิ ล์ และเรอื อะมริ ลั ชารเน่ ทอี่ ยทู่ าง ด้านเหนือเกาะหวายก็ช่วยระดมยิงเรือหลวงธนบุรีด้วย
ไฟไหม้ลุกลามเรือธนบุรีใต้ดาดฟ้า และดูเหมือนว่า ในช่ัวครู่เดียวป้อมปืนท้ายจะยิงไม่ได้อีกเลย
เวลา ๐๗.๒๕ น. เป้าหมายของเราพยายาม หันเรือเบนไปหลบหลังเกาะไม้ซี้ใหญ่ เรือลามอตต์ปิเกต์ แล่นอย่างเร็วมาทางขวาชิดเกาะจานใกล้เกาะไม้ซี้ใหญ่ เพื่อจะใช้ตั้งหลักยิงอย่างถนัดทางทิศตะวันออก
เ ป า้ ห ม า ย ข อ ง เ ร า ท เี ่ ห น็ ร ะ ห ว า่ ง เ ก า ะ ต า่ ง ๆ น นั ้ ม ที า่ ท ี อยู่ในสภาวะลาบาก ข้าพเจ้าจึงสั่งต้นเรือให้เตรียมพร้อม
นาวิกศาสตร์ 13 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕


ที่จะลั่นระฆังแสดงความดีใจขณะเรือหลวงธนบุรีจมลง แต่แล้วเรือประจัญบานรักษาฝั่งเป้าหมายของเรา ทเี่ อยี งไปทางกราบขวา และมไี ฟไหมบ้ นหอรบ และทอี่ นื่ ๆ อีก ๓ แห่ง กลับหันหัวเรือกลับมาสู้ และยิงมาจาก ป้อมปืนหัว ในขณะท่ีเรือลามอตต์ปิเกต์ก็ยิงเข้าถล่มใส่ต่อ อีกเกือบ ๑๕ นาที จนเรือแล่นเกือบจะเกยตื้น เวลา ๐๗.๑๕ น. ข้าพเจ้าส่งสัญญาณไปยังเรือสลุป ดูม้องต์ ดูร์วิลล์ ให้ยิงเรือประจัญบานรักษาฝั่งลาน้ีให้จมให้ได้ แต่เนื่องจากเรือดูม้องต์ ดูร์วิลล์ เกรงว่าจะติดตื้น
จึงไม่ได้ปฏิบัติตามคาส่ัง
เวลา ๐๗.๔๘ น. ขา้ พเจา้ ตอ้ งเลย้ี วเรอื ลามอตตป์ เิ กต์
ไปทางขวาอยา่งรวดเรว็เพราะใบจกัรเรม่ิพดัเอาดนิโคลน ข้ึนมาบนผิวน้าแล้ว
เวลา ๐๗.๕๐ น. ในขณะที่มุ่งหน้าไปทางเข็ม ๒๓๐° ขา้ พเจา้ ยงั สามารถยงิ ไปทเี่ รอื หลวงธนบรุ ี และยงิ ตอรป์ โิ ด ตั้งความลึก ๒.๕๐ เมตร เข้าใส่เรือหลวงธนบุรีอีกชุด ในขณะทเี่ รอื หลวงธนบรุ วี งิ่ หา่ งออกไปทางทศิ ตะวนั ออก เฉียงเหนือ ข้าพเจ้าได้สั่งการให้เรือทุกลา “ถอนตัวจาก การรบ”
เวลา ๐๘.๐๐ น. ณ ที่จุดสมมุติ A4 ข้าพเจ้า (นาวาเอก เบรองเช)่ ออกคา สงั่ ใหห้ ยดุ ยงิ เนอ่ื งจากเชอื่ มน่ั ว่าไม่มีทางติดตามเรือหลวงธนบุรีได้แล้ว เพราะสภาพ เรือหลวงธนบุรีท่ีถูกบังคับด้วยหมู่เกาะเล็ก ๆ ติดกับ ile du Pic (เกาะแห่งยอดแหลม = เกาะไม้ซ้ีใหญ่) คือ เกาะไม้ซ้ีเล็ก และเกาะฝาละมีใต้ เกาะฝาละมีเหนือ เกาะฝาละมนี อก จงึ เปน็ ไปไมไ่ ดท้ จ่ี ะนา เรอื ลามอตตป์ เิ กต์ และเรือสลุปเข้าไปในเขตน้าตื้นเพื่อท่ีจะเข้าสู้รบ ย่ิงไปกว่านั้นควรจะคาดการณ์ว่าจะมีการโจมตีโต้ตอบ ทางอากาศ ในไม่ช้าภาพสุดท้ายของเรือหลวงธนบุรีที่ ข้าพเจ้า (นาวาเอก เบรองเช่) เห็นคือภาพของเรือท่ีมี ไฟไหม้ลุกลามหลายจุดบน le pond (สะพานเดินเรือ) จุดหนึ่งที่ไฟไหม้เห็นได้ถนัดคือหอบังคับการ ป้อมปืน ท้ายเรือเคลื่อนไหวไม่ได้ และหยุดการยิงไปตั้งแต่ เวลา ๐๗.๒๐ น. ป้อมหน้าซึ่งเคยเล็งยิงอย่างรวดเร็วในตอน แรก ๆ แตพ่ อเวลาผา่ นไปนานเขา้ ชกั จะดเู คลอื่ นไหวไดช้ า้
นาวิกศาสตร์ 14 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
ทาให้คิดว่าต้องใช้กาลังคนหมุน ส่วนท้ายเรือจมลงไป บา้ งแลว้ และสว่ นหวั เรอื เชดิ ขน้ึ มนี า้ เขา้ เรอื ทางกราบขวา เวลา ๐๘.๐๕ น. ข้าพเจ้า (นาวาเอก เบรองเช่) ส่ังให้เรือ ทุกลา “มุ่งหน้าไปที่เข็ม ๒๘๐°” เวลา ๐๘.๓๐ น. เรือทุกลาของ “กลุ่มปฏิบัติการตามโอกาส” บ่ายหัวไป ในทะเลลึก มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก (๒๗๐°)
เรือหลวงธนบุรีถูกเครื่องบินฝ่ายเดียวกันทิ้งระเบิด
ตามข้อมูลประวัติการยุทธของไทยระบุว่า “เวลา ๐๗.๓๐ น. (น่าจะผิดพลาด เวลา ๐๗.๓๐ น. กาลังรบกับ ลามอตตป์ เิ กต์ นา่ จะเปน็ เวลา ๐๘.๓๐ น.) เรอื หลวงธนบรุ ี ได้ยินเสียงและแลเห็นเครื่องบิน๑เครื่อง(น่าจะเป็น เครื่องบินแบบฮอร์ค ๓ ของฝูงบินขับไล่ สนามบิน เนนิ พลอยแหวน จนั ทบรุ )ี บนิ อยเู่ หนอื เรอื ทกุ คนตา่ งดใี จ ว่าเป็นเครื่องบินฝ่ายเรามาทาการช่วยเหลือ แต่กลับเป็น ตรงกันข้าม เสียงระเบิดสนั่นดังข้ึนในเรือ ระเบิด ๑ นัด ไดต้ กลงมาถกู หอ้ งสทู (หอ้ งครวั ) ทา ใหไ้ ฟไหมห้ นกั ขนึ้ อกี ทหารบริเวณน้ันเสียชีวิตทันที ๓ นาย บางคนถูกไฟลวก ตามหน้าและคิ้ว มองเห็นหนังกาพร้าสีขาว บางคนก็ ไหมเ้ กรยี ม คนทไี่ มบ่ าดเจบ็ กถ็ งึ กบั ตะลงึ กนั ไปชว่ั ขณะหนง่ึ
การปฏิบัติการของฝูงบินขับไล่ และฝูงบินตรวจการณ์ ทหารอากาศ
จากบันทึกของ เรืออากาศโท ประสงค์ คุณะดิลก (ต่อมา ยศพลอากาศเอก อดีตเสนาธิการทหารอากาศ) ระบุว่า
กอ่ นทจ่ี ะมกี ารรบทเี่ กาะชา้ ง เมอ่ื วนั ท่ี ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ น้ัน ในตอนเย็นวันที่ ๑๖ เวลาประมาณ ๑๖.๐๐ น. ทางฝูงบินได้รับการติดต่อจากกองทัพเรือว่า มีเคร่ืองบินข้าศึกเข้ามาตรวจการณ์ถึงสัตหีบ และกาลัง บ่ายโฉมหน้าไปทางทิศตะวันออก ขอให้ช่วยสกัด เรืออากาศโทบุญนาสังขภูติ(รองผู้บังคับฝูงบินขับไล่) ได้ขึ้นทาการบินสกัดทันที บินไล่ออกไปในทะเลลึก ตามแนวเกาะชา้ ง เกาะกง ไมพ่ บ จงึ บนิ กลบั ตามแนวเดมิ ถึงแนวเกาะกูด ก็ได้เห็นเครื่องบินข้าศึกกาลังบินกลับ


แผนท่ียุทธบริเวณยุทธนาวีที่เกาะช้าง ๑๗ มกราคม ๒๔๘๔ ตามรายงานของ นาวาเอก เบรองเช่ จัดทําาโดย พลเรือเอก กฤษฎา เฟ่ืองระบิล
เห็นชัดเพราะว่าทาสีขาว ในทางยุทธวิธีได้เปรียบข้าศึก ทกุ อยา่ ง อยสู่ งู กวา่ หา่ งฝง่ั กวา่ (มองกลบั เขา้ ฝง่ั จะเหน็ ชดั ) ด้วยความดีใจและตื่นเต้น จึงบินเข้าหาท่ีหมายทันที เม่ือได้ระยะ และเล็งศูนย์หน้าศูนย์หลังดีแล้วก็ลั่นไก ปล่อยกระสุนชุดแรก แต่กระสุนเฉียดไปท้ายเป้าหมาย จึงแก้เล็งดักหน้า แล้วยิงชุดที่ ๒ แนวกระสุนเฉียดไป หน้าข้าศึก จึงเลื่อนเส้นเล็งเข้ามาเล็กน้อยแล้วปล่อย ชดุ ๓ โชคดขี องขา้ ศกึ และโชครา้ ยของเรา คอื สายอา นวยการ
ยิงขาด หากลั่นกระสุนไปเร่ือย ๆ จะถูกใบพัดเครื่อง ตัวเองขาด จึงบินกลับผ่านเกาะช้าง เห็นเรือรบของเรา จอดอยใู่ นอา่ วแคบ ๆ ของเกาะชา้ งทางตะวนั ออกฉยี งใต้ ๔ ลา
และแล้วในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ๑๗ มกราคม ๒๔๘๔ ขณะยังมืดอยู่ประมาณ ๐๕.๐๐ น. เศษ พวกเราก็ต้องตกใจต่ืนเพราะได้ยินเสียงปืนดังพรึม ๆ ติดต่อเนื่องกันไม่ขาดระยะ ก็ได้แต่คิดในใจว่ากองเรือ
นาวิกศาสตร์ 15 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕


ของเราซึ่งจอดอยู่ที่อ่าวเกาะช้างคงถูกเรือข้าศึกจู่โจม ทาการยิงแน่ และคงอยู่ในฐานะเสียเปรียบอย่างมาก ทงั้ ๆ ทไ่ี มไ่ ดร้ บั การตดิ ตอ่ ขอความชว่ ยเหลอื จากกองทพั เรอื แตท่ างฝงู บนิ กม็ คี วามเหน็ วา่ จะตอ้ งออกไป ผทู้ า การแทน ผู้บังคับฝูงบินขับไล่ได้ส่ังให้ พันจ่าอากาศเอก อนันต์ พุทธจริยะวงค์ นาหมู่แรกไปทาการทิ้งระเบิดเรือข้าศึก โดยติดลูกระเบิดขนาด ๕๐ กิโลกรัม เรืออากาศโท ประสงค์ ยังนึกอยู่ว่าผู้ทาการแทนผู้บังคับการฝูง น่าจะส่ังให้ตนเองไปเป็นหมู่แรกจะดีกว่า เพราะเม่ือวาน ไดไ้ ปลาดตระเวน รทู้ ต่ี งั้ ของกองเรอื เราดี และอาจคาดคะเน วา่กองเรอืขา้ศกึควรอยบู่รเิวณใดและใหค้วามเหน็วา่ควร ติดระเบิดขนาด ๒๕๐ กิโลกรัม เพราะท้ิงระเบิดเรือรบ จะเป็น พันจ่าอากาศเอก อนันต์ หรือลูกหมู่ของ พันจ่าอากาศเอก อนันต์ จาไม่ได้แน่ ถามว่าจะไปท่ีไหน เรืออากาศโท ประสงค์ ก็ได้บอกว่าให้ไปที่บริเวณ เกาะช้างเพราะกองเรือของเราอยู่ที่เกาะช้าง
ในตอนนน้ั รสู้ กึ วา่ มกี ารชลุ มนุ กนั บา้ ง ฝงู ตรวจการณ์ กส็ ง่ั ใหไ้ ปทงิ้ ระเบดิ ฝงู ขบั ไลก่ จ็ ะไปทงิ้ ระเบดิ ตา่ งฝงู ตา่ งสงั่ ไม่มีการประสานงานกัน หัวหน้าหมู่บางคนก็อาจไม่รู้ว่า กองเรือเราอยู่ที่ไหน และกองเรือข้าศึกท่ีจู่โจมกองเรือ ของเรานา่ จะอยทู่ ใี่ ด (ทส่ี นามบนิ เนนิ พลอยแหวน จนั ทบรุ ี มฝี งู บนิ ทหารอากาศประจา การอยู่ ๒ ฝงู คอื ฝงู บนิ ขบั ไล่ อิสระ ใช้เครื่องบินรบแบบ ๑๗ (ฮอร์ค ๓) ซึ่งมีสมรรถนะ ดีเย่ียมในสมัยนั้นกับฝูงบินตรวจการณ์ที่ ๓๒ จาก
กองบนิ๒(บน.๒)โคกกระเทยีมจงัหวดัลพบรุีใชเ้ครอ่ืงบนิ โจมตแี บบ ๑ คอรแ์ ซร์ ทง้ั ฝงู บนิ ขบั ไลแ่ ละฝงู บนิ ตรวจการณ์ ต่างก็เป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกัน ถึงแม้จะอยู่ร่วมกันใน สนามบินเดียวกัน แต่ต่างฝูงก็ต่างปฏิบัติหน้าที่ของตน จนกระทั่งการรบท่ีเกาะช้างผ่านไปแล้ว ท้ังสองฝูงบิน จึงได้รวมกันเป็นกองบินน้อย (บน.) ผสมพิเศษจันทบุรี มี นาวาอากาศตรี หม่อมหลวงประเวศ ชุมสาย เป็น ผบู้ งั คบั การ (จาก “บทบาทของกองทพั อากาศในการรบที่ เกาะชา้ ง” ดร.วชิ ติ วงศ์ ณ ปอ้ มเพชร รงุ้ หลายสี เลม่ ท่ี ๔)
บันทึกของ เรืออากาศโท ประสงค์ คุณะดิลก ยังระบุว่าฝูงบินอิสระจันทบุรีนี้มีหน้าที่หลักคือทาการ ร่วมรบกับกองทัพเรือ ฝูงบินนี้มีหน่วยต่าง ๆ สามารถ ช่วยตัวเองได้ หน่วยซ่อม หน่วยอาวุธ น้ามันเชื้อเพลิง ตอ้ งสง่ ทางเรอื ไปขนึ้ ทที่ า่ แฉลบ การตดิ ตอ่ กบั กองทพั เรอื และกองทัพอากาศใช้วิทยุได้ทั้งสัญญาณและคาพูด ต้ังแต่ไปอยู่สนามบินจันทบุรี ผู้บัญชาการทหารเรือและ แม่ทัพเรือ (พลเรือตรี หลวงสินธุสงครามชัย) และคณะ ไดไ้ ปเยยี่ มสนามบนิ ครงั้ หนงึ่ และไดม้ อบหนงั สอื สา คญั คอื หนงั สอื รปู เรอื รบฝรงั่ เศสขนาดตา่ ง ๆ และหนงั สอื รหสั ของกองทัพเรือ ตลอดเวลาได้มีการติดต่อกันอยู่เสมอ ท่ีเป็นรหัสก็มาก ฝูงบินน้ีได้ทาการบินลาดตระเวน หรือ บินรักษาเขตอยู่เสมอ บางครั้งยังได้พบเรือดาน้าของเรา เคยโฉบลงไปดูเพ่ือให้แน่ใจ และโบกไม้โบกมือกัน
นักบินฝูงบินขับไล่จันทบุรี
นาวิกศาสตร์ 16 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
นักบิน ๒ ฝูงเมื่อรวมกันเป็นกองบินน้อยพิเศษจันทบุรี แต่งกายทั้งขาสั้นและขายาว


เครื่องบินขับไล่แบบ ๑๗ ฮอร์ค ๓ เก็บล้อได้แบบแรกในโลก
ต่อมาฝูงบินจันทบุรีโจมตีทิ้งระเบิดกลุ่มเรือรบ ฝรั่งเศสอีกครั้งขณะเดินทางกลับ ตามรายงานการรบ ของนาวาเอก เบรองเซ่ ตามรายงานการรบฝรั่งเศส ระบุว่า: เวลาประมาณ ๐๘.๔๕ น. เรือทุกลาภายใต้ การบังคับบัญชาของข้าพเจ้า แล่นมุ่งหน้าไปทางเข็มทิศ ตะวันตกเฉียงใต้ (ทิศ ๒๒๕°) ซึ่งเป็นเส้นทางต้ังฉากกับ ชายฝั่งทะเลตราด ซ่ึงข้าพเจ้า (นาวาเอก เบรองเซ่) เลือกใช้เพื่อท่ีจะตีจากข้าศึกอย่างเร็วที่สุดเท่าท่ีจะ กระทา ได้ โดยทง้ิ ใหข้ า้ ศกึ เดายากวา่ เราตงั้ ใจจะปฏบิ ตั กิ าร อยา่ งไรในภายภาคหนา้ (หลอกฝา่ ยไทยใหต้ ดิ ตามผดิ ทศิ แต่นักบินของฝูงบินจันทบุรีไม่หลงกล การลวงเป็นหลัก การสงครามของซุนวู -ผู้เขียน)
เรือสลุป ๔ ลา แล่นด้วยความเร็ว ๑๓ นอต (เรือดูม้องต์ ดูร์วิลล์ แจ้งว่ากระบอกลูกสูบร้าว ทาให้ แลน่ เรว็ กวา่ นไ้ี มไ่ ด)้ เรอื ลามอตตป์ เิ กตต์ อ้ งรกั ษาความเรว็ ๒๕ นอต และแล่นแยกเด่ียวออกจากกลุ่ม เรือที่เหลือ อยู่ภายใต้การนาของเรือดูม้องต์ ดูร์วิลล์ ซ่ึงได้สั่งการ เม่ือเวลา ๐๙.๐๐ น. ให้เรือทุกลาแยกขบวน เพื่อมีอิสระ ในการป้องกันตนเอง เนื่องจากเกรงว่าจะมีเรือดาน้า อยู่แถบนั้น ขณะเดียวกันเรือทุก ๆ ลาทาการเตรียมการ รับการโจมตีทางอากาศ
เวลา ๐๘.๕๘ น. เคร่ืองบินปีกสองชั้นแบบคอร์แซร์ เข้าโจมตีแบบดิ่งลงมาที่เรือลามอตต์ปิเกต์ เนื่องจาก พระอาทิตย์ขึ้นสูงแล้วจึงมองไม่เห็นเรือบินในตอนแรก เคร่ืองบินทิ้งลูกระเบิด ๑ ลูก ห่างจากกราบเรือด้านซ้าย ไป ๕ เมตร และระเบิดอีกลูกตกที่ท้ายเรือ (แต่ไม่ระเบิด)
เครื่องบินตรวจการณ์ทิ้งระเบิดแบบ ๒๓ คอร์แซร์ (โจมตีแบบที่ ๑ - จ๑) คอร์แซร์ หัวถาด
เครื่องบินลาที่สองบินมาติด ๆ (จ่าอากาศโท จารัส) ทิ้งระเบิด ๒ ลูกห่างท้ายเรือประมาณ ๒๐๐ เมตร
จากรายงานของ นาวาเอก เบรองเซ่ ตรงกับบันทึก ของ จ่าอากาศโท จารัส ม่วงประเสริฐ (ยศคร้ังสุดท้าย นาวาอากาศโท ปลดเกษียณ) นักบินฝูงบินตรวจการณ์ ทิ้งระเบิดที่ ๓๒ จันทบุรี ดังนี้
(หลงัจากทเ่ีครอื่งบนิขบัไลแ่บบ๑๗ฮอรค์ ๓เวร เตรียมพร้อมของฝูงบินขับไล่ออกไปปฏิบัติการบริเวณ เกาะช้างตามด้วยหมู่บินในบังคับบัญชาของ เรืออากาศ ตรี ประสงค์ คุณะดิลก รวม ๓ เครื่อง บินลับไป ๓๐ นาที และกลบั มาโดยปราศจากระเบดิ และรายงานวา่ พบเรอื ธนบรุ ี ถกู ขา้ ศกึ ยงิ ไฟไหมแ้ ลว้ ผบู้ งั คบั ฝงู ตรวจการณจ์ งึ สงั่ การให้ เครื่องบินโจมตีตรวจการณ์ออกไปท้ิงระเบิดข้าศึกบ้าง -ผู้เขียน)
ตอ่ มาไดร้ บั คา สง่ั จากเรอื อากาศเอกถนอมบณิ ฑแพทย์ ผบู้ ญั ชาการฝงู บนิ ตรวจการณ์๓๒ให้พนั จา่ อากาศเอกอจั น์ สรุ โิ ยธนิ เปน็ หวั หนา้ หมู่ จา่ อากาศโท จา รสั มว่ งประเสรฐิ เปน็ หมายเลข ๒ บนิ หมไู่ ป ๒ เครอื่ ง ตรวจการณค์ น้ หา ข้าศึก เมื่อพบเห็นก็ให้ท้ิงระเบิดทาลายทันที เครื่องบิน ติดระเบิดเคร่ืองละ ๒ ลูก ๆ ละ ๕๐ กิโลกรัม ซ้าย ขวา
ลูกระเบิดที่ติดไปที่หัวลูกระเบิด เข็มแทงชนวน เป็นชนิดแหลม ใช้ท้ิงระเบิดบนพื้นดิน ไม่ใช่หัวเข็ม แทงชนวนแบบดอกจอกสาหรับท้ิงระเบิดในน้า ท่ีเป็น เช่นน้ีเพราะกาลังอลม่านในการติดลูกระเบิด เพราะ มาติดเอายามฉุกเฉินเลยลืมคิดถึงเข็มแทงชนวนที่ จะไปกระทบดนิ ระเบดิ (การทงิ้ ใสท่ า้ ยเรอื ลามอตตป์ เิ กต์
นาวิกศาสตร์ 17 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕


จงึ ไมร่ ะเบดิ ความผดิ พลาดจากการทา การอยา่ งฉกุ ละหกุ ในการรบมีได้เสมอ เพราะมนุษย์ก็คือมนุษย์) ในขณะที่ เรือลามอตต์ปิเกต์โผล่ออกมาด้านตะวันออกของเกาะ ไม้ซ้ีใหญ่ และเริ่มยิงเรือหลวงธนบุรีทันทีท่ีระยะ ๑๒,๐๐๐ เมตร เมอ่ื เวลา ๐๖.๔๕ น. ปนื เบาทางกราบขวา ของเรือหลวงธนบุรีลืมต้ังศูนย์ใหม่ (ตั้งศูนย์เก่าไว้เพียง ๘,๐๐๐ เมตร) พลประจาปืนได้ยินคาส่ังผิดคิดว่าสั่งให้ เริ่มยิง จึงเป็นเหตุให้เสียกระสุนไปเปล่า ๆ ๒๐ นัด -ผู้เขียน)
เวลาประมาณ ๐๙.๐๐ น. นาวาเอก เบรองเซ่ ระบวุ า่ ระเบดิ ลกู หนงึ่ ตกหา่ งจากกราบเรอื ดา้ นซา้ ยของเรอื อะมิรัล ชาร์เน่ เวลา ๐๙.๑๒ น. เรามองเห็นเครื่องบิน ฝ่ายสยาม ๒ ลา พร้อมที่จะเข้าโจมตี (บินย้อนแสงแดด เข้ามา) แต่ถูกยิงตอบได้อย่างหนักหน่วงจากปืน ๗๕ และปนื กลของเรอื ลามอตตป์ เิ กต์ ทา ใหเ้ ครอื่ งบนิ ๒ ลา น้ี ดิ่งลงมาทิ้งระเบิดไม่ได้ จึงบินวนกลับไป
เวลาประมาณ ๐๙.๒๐ น. เรือดูม้องต์ ดูร์วิลล์ มองเห็นลูกระเบิดตกลงมาห่างจากเรือลามอตต์ปิเกต์ เป็นพัน ๆ เมตร และเห็นเรือลามอตต์ปิเกต์หันเรือ ออกขวางลากับทิศทางมาของข้าศึก
คําาสั่งประจําาวันของเรือลามอตต์ปิเกต์ วันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔
นาวิกศาสตร์ 18 ปีที่ ๑๐๕ เล่มท่ี ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
เวลา ๐๙.๒๘ น. เครื่องบินลาท่ี ๕ บินอยู่เหนือ เรอื ลามอตตป์ เิ กตร์ ะยะสงู ประมาณ ๓,๐๐๐ เมตร แตถ่ กู ระดมยิงจาก D.C.A. (Directeur Contre Avion = ศูนย์ควบคุมต่อสู้อากาศยาน) เลยรีบบินห่างออกไป
เวลา ๐๙.๔๐ น. เครื่องบินอีกหนึ่งเครื่องซ่ึง อาจเป็นลาเมื่อสักครู่ก็ได้ ทาท่าบินด่ิงลงมาที่เรือดูม้องต์ ดูร์วิลล์ และเรืออะมิรัล ชาร์เน่ แต่ไม่ได้รบกวนอยู่นาน เทา่ ใด เพราะเรอื สลปุ ๓ ลา ระดมยงิ โตต้ อบ จงึ รบี บนิ หนไี ป
หลังจากที่บินดิ่งลงมาได้ครึ่งทางก็รีบเบนหัวออก กลับอย่างรวดเร็ว เรือมาร์น (Marne) เห็นว่าเคร่ืองบิน ลาน้ีปล่อยระเบิดลงมา ๒ ลูก ซ่ึงตกห่างจากกลุ่มเรือ ของเราไปทางดา้ นหลงั ประมาณ ๕,๐๐๐ เมตร ตอ่ จากนนั้ ก็ไม่มีการโจมตีใด ๆ
ในวนั ที่๑๘มกราคมพ.ศ.๒๔๘๔นาวาเอกเบรองเซ่ ได้ออกคาสั่งประจาวัน (ordre de jours) ของเรือ ลามอตต์ปิเกต์ ขณะที่เรือแล่นกลางทะเลกาลังกลับเข้า ไซ่ง่อน (โฮจิมินห์ซิตี้) มีใจความโดยสรุปว่า
เหตกุ ารณร์ บระยะเวลาประมาณ๑ชวั่ โมง๔๐นาที ที่จบลงในตอนเช้าของวันท่ี ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เปน็ ชยั ชนะทไ่ี มม่ กี ารปฏเิ สธไดน้ นั้ เกดิ จากความรว่ มมอื
๒ เสืออากาศไทยท่ีเคยร่วมรบท้ิงระเบิดใส่ข้าศึก (ซ้าย) พลอากาศเอก ประสงค์ คุณะดิลก (ขวา) นาวาอากาศโท จําารัส ม่วงประเสริฐ


กันอย่างแน่นแฟ้นของเรือรบทุกลาในบังคับบัญชาของ ข้าพเจ้า ทาให้เรือข้าศึกต้องจมลงก้นทะเล เหลือแต่ ที่จอดเรือท่ีว่างเปล่ามีแค่ลาควันมหึมาพุ่งสูงข้ึนบนฟ้า เรือประจัญบานรักษาฝั่ง แม้จะต้องพยุงสังขารหลบไป ที่น้าต้ืนทาให้เราไม่สามารถติดตามไปโจมตีได้ แต่ก็ควร ได้รับความเคารพจากการปฏิบัติการ (อันกล้าหาญ) ของเรือลาน้ี
ผลสาเร็จอันประเสริฐนี้ก่อให้เกิดเกียรติยศ
เร่ืองต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย หากขาดความยึดเหน่ียวร่วมแรงร่วมใจกันต่อสู้ (Cohésion) ความพยายาม และวินัยของทหารทุกคน ภายใตก้ ารโจมตที ง้ิ ระเบดิ ของเครอ่ื งบนิ ขา้ ศกึ ทหารทกุ คน ได้ทาการรบด้วยความกล้าหาญ (qui s’est battu avec vaillance) ตามตัวอย่างของบรรพบุรุษของเรา ข้าพเจ้า (นาวาเอก เบรองเซ่) ศรัทธาในตัวท่าน ฝรั่งเศส จงเจริญ
นาวาเอก R. BÉRENGER ผู้บังคับการเรือลาดตระเวนลามอตต์ปิเกต์
เรือสลุปแล่นเข้าไซ่ง่อน โดยมีกองเกียรติยศทําาความเคารพต้อนรับ
แถวทหารฝรั่งเศสจากเรือรบทั้งหมู่เรือ เดินแถวข้ึนจากเรือ
หลงั จากการรบไดม้ กี ารมอบเหรยี ญกลา้ หาญใหฝ้ า่ ยไทย และเหรียญเกียรติยศ (Légion d’ Honneur) ให้ฝ่าย ฝร่ังเศส
พิธีมอบเคร่ืองรัฐอิสริยาภรณ์
โดย พลเรือตรี แตโร้ (Terreaux) คนซ้าย ผู้บัญชาการทหารเรืออินโดจีนฝร่ังเศส คนขวา นาวาเอก เบรองเช่ (Bérenger) ถือกระบี่หน้าป้อมปืน
พลเรือโท เดอกูซ์ (Decoux) ข้าหลวงใหญ่อินโดจีนฝรั่งเศส กําาลังติดเหรียญตราให้แก่ นาวาเอก เบรองเช่ ซ่ึงกําาลังทําาท่าวันทยาวุธ (วางอาวุธ มอบอาวุธ) ด้วยกระบี่ เมื่อเมษายน ๒๔๘๔
ชะตากรรมของเรือรบ และนักรบฝรั่งเศส-ไทย หลังยุทธนาวีที่เกาะช้าง
เม่ือใกล้จะสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๒ อินโดจีน ฝรงั่ เศสมที หารญปี่ นุ่ ประจา อยู่๘๐,๐๐๐นายไดก้ ลายเปน็
นาวิกศาสตร์ 19 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕


รัฐเหยียบเรือ ๒ แคม เช่นเดียวกันกับรัฐบาลไทย ในสมยั นนั้ หนา้ ฉากกท็ า ตวั เปน็ มติ รกบั ญปี่ นุ่ แตห่ ลงั ฉาก ก็เป็นมิตรกับสหรัฐอเมริกา อังกฤษ (ที่มีฝรั่งเศสพลัดถิ่น โดยนายพลเดอโกล พานักอยู่) ญ่ีปุ่นท่ีพอจะทราบ ระแคะระคายของการทรยศของอินโดจีนฝรั่งเศส ไดจ้ ดั งานเลย้ี งขน้ึ เมอ่ื ๙ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ทโ่ี รงแรมโตวา เมอื ง Lang-son เวยี ดนามเหนอื โดยเชญิ นายพลฝรง่ั เศส ชื่อ เลอมองนิเอ้ (Lemonnier) ไปร่วมงาน แต่ไม่ได้ไป ให้ลูกน้องไปแทน เวลา ๒๐.๐๐ น. ใกล้สิ้นสุดงาน ทหารญปี่ นุ่ ประกาศยดึ อา นาจจบั ตวั ทหารฝรง่ั เศสทง้ั หมด และบุกยึดกองทหารฝรั่งเศสทั่วอินโดจีนฝร่ังเศสทุกค่าย นายพลเลอมองนิเอ้ ซึ่งไม่ไปงาน ต่อสู้ในที่ล้อมจน กระสุนหมด และไม่มีน้ากิน ต้องถูกญ่ีปุ่นจับได้ในท่ีสุด ญี่ปุ่นบังคับให้ลงนามในเอกสารยอมแพ้ แต่เลอมองนิเอ้ ไม่ยอม จึงถูกนาไปท่ีถ้า Kylua บังคับให้เลอมองนิเอ้ ขุดหลุมฝังศพตัวเอง แล้วบังคับให้เลอมองนิเอ้ลงนาม ในเอกสารยอมแพอ้ กี ครงั้ แตเ่ ลอมองนเิ อป้ ฏเิ สธอกี จงึ ถกู สั่งให้คุกเข่าเอามือไขว้หลังแล้วถูกตัดหัว ญี่ปุ่นเรียก ปฏบิ ตั กิ ารนวี้ า่ “ยทุ ธการเดอื นเพญ็ (Meigogukusen)” สว่ น นาวาเอก เบรองเช่ หลงั การรบทเี่ กาะชา้ งแลว้ ไดร้ บั ตาแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือฝร่ังเศสอินโดจีน แทน พลเรือตรี แตรโร่ (Terreaux) ท่ีเกษียณอายุ ได้รับ เลื่อนยศเป็นพลเรือโท ใน พ.ศ. ๒๔๘๖ ในยุทธการ เดือนเพ็ญถูกญ่ีปุ่นจับขึ้นไปกล่าวหน้าแถวบนเรือ ลามอตตป์ เิ กตใ์ หท้ กุ คนยอมแพ้ พวกนกั บนิ ไมย่ อมกอ่ กบฏ และบินหนีไปทางจีนคณะชาติ พลเรือโท เบรองเช่ กลายเป็นเชลยสงครามของญี่ปุ่นจนสิ้นสุดสงคราม เดือนสิงหาคม ๒๔๘๘ จึงถูกปล่อยตัว ต่อมาถูกนาตัว ขึ้นศาลทหารแต่ได้รับการพิจารณาว่าไม่มีความผิด ปจั จบุ นั กลางกรงุ ปารสี มถี นนสายหนงึ่ มชี อ่ื วา่ “Avenue de général Lemonnier” และที่เมือง Dinard ใกล้ ๆ หาดนอร์มังดีที่สัมพันธมิตรยกพลข้ึนบกฝรั่งเศส มีถนน สายหนึ่งชื่อ Rue Amiral Béranger (ถนนนายพลเรือ เบรองเช่) เบรองเช่ถึงแก่กรรม พ.ศ. ๒๕๑๔
สาหรับเรือลาดตระเวนลามอตต์ปิเกต์ ๘ เดือน
นาวิกศาสตร์ 20 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
หลงั ยทุ ธนาวเี กาะชา้ ง ญป่ี นุ่ นา เรอื ไปซอ่ มทเี่ มอื งโอซะกะ ต่อมาถูกจากัดบทบาทลง และถูกปลดอาวุธเป็นเรือฝึก ของจักรวรรดิญี่ปุ่น ตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ในวันท่ี ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ปลายสงครามโลก ครงั้ ท่ี ๒ ถกู จมในแมน่ า้ ไซง่ อ่ น จากลกู ระเบดิ ของเครอื่ งบนิ รบ ของกองกาลังเฉพาะกิจท่ี ๕๘ ของสหรัฐอเมริกา
เรือลามอตต์ปิเกต์กําาลังจม
เรือตาอูร์
เรือสลุปตาอูร์ (Tahure) ซึ่งมีลักษณะคล้ายเรือ สนิ คา้ แตต่ ดิ ปนื ใหญข่ นาดหนกั ๑๓๘ มลิ ลเิ มตร (๕.๕ นว้ิ ) ถึง ๒ กระบอก เป็นเรือที่แล่นเฉียดเข้าใกล้เรือหลวง สงขลา และเรือหลวงชลบุรีมากท่ีสุด (๒,๘๐๐ เมตร) ในยุทธนาวีเกาะช้าง เกือบจะปล่อยเรือช่วยชีวิตลงน้า ไปช่วยลูกเรือไทยแต่ถูกห้าม ใน พ.ศ. ๒๔๘๗ เรือตาอูร์ ขณะทก่ี า ลงั คมุ้ กนั เรอื สนิ คา้ ชอื่ ซองเชยี งโก (Song Giango) ซึ่งแล่นตามขอบฝ่ังเวียดนาม ถูกยิงด้วยตอร์ปิโดจากเรือ ดาน้าญี่ปุ่น ๑ ครั้ง แต่ลูกตอร์ปิโดพลาดเป้าหมายหมด ต่อมาในวันท่ี ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๗ ก็ถูกเรือดาน้า อเมริกันชื่อ “USS Flasher” ยิงด้วยตอร์ปิโดหลายลูก ลกู หนงึ่ ถกู คลงั กระสนุ ทา ใหเ้ กดิ ระเบดิ เรอื หกั เปน็ สองทอ่ น และจมลง ลกู เรอื ตายเกอื บทงั้ หมด รวมทงั้ ผบู้ งั คบั การเรอื


ชอื่ นาวาตรีแมกาดเิอ้(Mercadier)-การเมอื งนก๒หวั เหยียบเรือสองแคม เรือตาอูร์ จึงกลายเป็นเป้าหมาย ของญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา
อีก ๑๐ ปีหลังยุทธนาวีที่เกาะช้าง ได้เกิดกบฏ “แมนฮัตตัน” ขึ้น ระหว่าง ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๔- ๓กรกฎาคมพ.ศ.๒๔๙๔โดยการรเิรม่ิ ของนายทหารเรอื ชั้นผู้น้อย หลังเหตุการณ์ พลเรือเอก สินธุ์ กมลนาวิน ผบู้ ญั ชาการทหารเรอื และนายธง นาวาโท เฉลมิ สถริ ถาวร อดีตต้นหนเรือหลวงธนบุรีถูกจับ หลังจากนั้น พลเรือเอก สินธุ์ กมลนาวิน ถูกปลดออกจากราชการ แต่นาวาโท เฉลิม สถิรถาวร ยังคงรับราชการต่อจนได้เป็นพลเรือตรี เจ้ากรมพลาธิการทหารเรือ และถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๔ ในช้ันยศพลเรือโท ท่านผู้นี้เป็นนักเขียน คนสา คญั ของนติ ยสารนาวกิ ศาสตร์ ในยคุ พ.ศ. ๒๕๐๐-๒๕๐๙
ผลทางการเมืองจากการรบในอินโดจีน และยุทธนาวี ท่ีเกาะช้าง
ยุทธนาวีท่ีเกาะช้าง พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นการสงคราม
ทเ่ี กาะชา้ ง ทา ใหเ้ กดิ เหตกุ ารณท์ างการเมอื ง คอื นา ญปี่ นุ่ เข้ามาแทรกแซงทางการเมือง ให้ไทยและฝรั่งเศสมาทา สัญญาพักรบกันบนเรือลาดตระเวนญ่ีปุ่นช่ือนาโตริ หน้าอ่าวเมืองไซ่ง่อน (โฮจิมินห์ซิตี้) เวียดนาม เม่ือวันท่ี ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ต่อมาได้มีการเจรจาสันติภาพ และปรบั ปรงุ เขตแดนระหวา่ งไทย-อนิ โดจนี ทกี่ รงุ โตเกยี ว ตงั้ แตว่ นั ที่ ๗ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ถงึ วนั ที่ ๑๑ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ผลการเจรจาปรากฏวา่ ฝรงั่ เศสยอมยกดนิ แดน ฝั่งขวาแม่น้าโขงของลาว และแคว้นจาปาศักดิ์ในเขมร คนื ใหไ้ ทย โดยไทยจะตอ้ งเสยี เงนิ ๖ ลา้ นเปยี สตร์ (เงนิ อนิ โดจนี ) ให้ฝร่ังเศสชดเชยค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ เช่น ทางรถไฟ ท่ีฝรั่งเศสสร้างให้เขมรและลาว ซึ่งทาให้คนไทยโห่ร้อง ยินดีกันทั่วหน้า ดินแดนลาว เขมรท่ีไทยได้รับกลับคืนมา ได้รับการตั้งช่ือใหม่ว่าจังหวัดพระตะบอง พิบูลสงคราม นครจาปาศักดิ์ และจังหวัดลานช้าง อนุสัญญาโตเกียวน้ี ประกาศใชเ้ มอื่ วนั ที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ทา ใหไ้ ทย ได้รับดินแดนคืนประมาณ ๙๐,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร อกี ๕ ปตี อ่ มา เมอ่ื ญปี่ นุ่ แพส้ งครามโลกครง้ั ท่ี ๒ ไทย-ฝรงั่ เศส
การนามสัญญาพักรบไทย-ฝรั่งเศส บนเรือลาดตระเวนนาโตริ ๒๗ มกราคม ๒๔๘๔ แม่น้ําาไซ่ง่อน
ธงชาติไทย ธงชาติญี่ปุ่น ถูกชักข้ึนคู่กันหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม ๑๒-๑๔ มีนาคม ๒๔๘๔ รวม ๓ วัน
การลงนามอนุสัญญาสันติภาพ ไทย-ฝรั่งเศส ณ กรุงโตเกียว ๑๑ มีนาคม ๒๔๘๔
ทางเรอื เพอื่ ทา ลายกา ลงั รบของฝา่ ยตรงขา้ ม หรอื ทเี่ รยี กวา่ Attrition Warfare เพอื่ ใหไ้ ดม้ าซงึ่ วตั ถปุ ระสงคท์ างการเมอื ง (end) ของฝร่ังเศส คือ การดารงรักษาอินโดจีนให้เป็น ของฝรั่งเศสต่อไป และวัตถุประสงค์ทางการเมืองของไทย คือ การให้ได้มาซ่ึงดินแดนสยามเก่าในเขมร และลาว ท่ีเสียให้แก่ฝร่ังเศสอย่างไม่ชอบธรรม ให้กลับมาเป็น ของไทยตามเดิม การรบที่บ้านพร้าว และยุทธนาวี
ต้องมาทาอนุสัญญาวอชิงตัน คืนดินแดน ๙ หมื่น ตารางกิโลเมตรน้ีกลับไปเป็นของฝรั่งเศสเหมือนเดิม (แต่เงิน ๖ ล้านเปียสตร์อินโดจีน ไทยไม่ได้คืน เสียเงิน ฟรีอีกแล้ว)
อยา่ งไรกด็ กี ย็ งั เปน็ ทกี่ งั ขาวา่ ยทุ ธนาวเี กาะชา้ งท่ี พลเรอื โท เดอกูซ์ (Decoux) ข้าหลวงใหญ่อินโดจีน นายทหารเรือ รเิ รมิ่ มอบภารกจิ ให้ นาวาเอก เบรองเช่ (Bérenger) กระทา
นาวิกศาสตร์ 21 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕


แผนท่ีประเทศไทยแสดงอาณาเขตลานช้าง พระตะบอง พิบูลสงคราม จําาปาศักด์ิ ที่ไทยได้คืนมา ๕ ปี (พ.ศ. ๒๔๘๔-๒๔๘๙)
“ยุทธการต่อยหน้าสยาม (coup de point)” นั้น มีความถูกต้องเพื่อวัตถุประสงค์ (end) ทางการเมือง ท่ีดีแก่ฝรั่งเศสหรือไม่ หรือต้องการให้มียุทธนาวีน้ี เพ่ือความสาแก่ใจเท่านั้น จึงทาให้เสียดินแดน คืนไทย เช่นกันหากญี่ปุ่นไม่มาแทรกแซงให้สงบศึก เสียก่อน ทหารเรือไทยก็อาจคิดแก้แค้น หรือแก้ตัว ดว้ ยการเตรยี มโจมตกี องเรอื ฝรงั่ เศสกลบั ดว้ ย “ยทุ ธการ ฮาเตียน” ซ่ึงหากดาเนินการไปก็อาจจะเป็นแค่ยุทธการ เพื่อความสาแก่ใจท่ีไม่มีผลทางการเมืองเช่นกัน
การรบทางทะเลสมัยใหม่ในปัจจุบัน
การรบทางเรือในยุทธนาวีท่ีเกาะช้างเป็นสงคราม Attrition Warfare ตอ้ งการทา ลายกา ลงั รบฝา่ ยตรงขา้ ม เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมืองตามหลักทฤษฎี สงครามของเคลาเซวิตซ์ ยุทธนาวีเกาะช้างเป็นการรบ ดว้ ยอาวธุ อตุ สาหกรรมหนกั ทา่ มกลางธรรมชาตอิ นั รม่ เยน็ ของเกาะช้างยามปลายฤดูหนาว เซ็นเซอร์ (Sensors) อปุ กรณก์ ารตรวจจบั ทส่ี า คญั คอื สายตา (Visual) การวดั ระยะ
นาวิกศาสตร์ 22 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
การยิงกระทาด้วยการปรับระยะกระสุนตก แม้กระนั้น ก็ดี ก็ยังมีการยิงผิดหรือทิ้งระเบิดใส่ฝ่ายเดียวกันท่ีเรียกว่า friendly fire ไปยังเรือหลวงธนบุรี ซึ่งบางคนอาจนึก ประณามว่าเป็นความผิดพลาดที่โง่เขลาไม่น่าเป็นไปได้ และไม่น่าให้อภัย แต่ในความเป็นจริง friendly fire เป็นเรื่องจริงที่ต้องมีเกิดขึ้นในการรบแทบทุกครั้ง ฝูงบิน ทหารอากาศจนั ทบรุ ที รี่ บี ออกไปทงิ้ ระเบดิ กด็ ว้ ยจติ ใจรกั แห่งความเป็นพี่เป็นน้องกับทหารเรือ แต่ด้วยทัศนวิสัย ทเี่ ลว และไมท่ ราบสถานการณก์ ารรบทแี่ ทจ้ รงิ ทา ใหเ้ กดิ ข้อผิดพลาด ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ สหรัฐอเมริกา บุกยกพลขึ้นบกที่เกาะซิซิลี (Sicily) อิตาลี จากฝรั่ง อาฟรกิ าในคนื วนั ที่๑๑กรกฎาคมพ.ศ.๒๔๘๕เมอื่ กา ลงั รบ ทขี่ นึ้ ไปอยบู่ นฝง่ั แลว้ มเี ครอื่ งบนิ จา นวนมากบนิ เหนอื หวั บรรดาเรอื สหรฐั อเมรกิ าคดิ วา่ เปน็ เครอ่ื งบนิ เยอรมนั แบบ “ชตกู า้ (Stuka)” กา ลงั เขา้ โจมตพี วกตน จงึ ระดมยงิ เขา้ ใส่ อยา่ งหนกั ปรากฏวา่ แทจ้ รงิ เครอื่ งบนิ เหลา่ นนั้ คอื เครอ่ื งบนิ ลาเลียง C-47 และ C-54 ของสหรัฐอเมริกาเองที่กาลัง นาเอาพลร่มไปโดดหลังแนวรบ ทาให้เคร่ืองบินถูกยิงตก โดยฝ่ายเดียวกันจานวนมาก เป็นผลให้มีทหารบาดเจ็บ เสยี ชวี ติ ถงึ ๓๘๐ นาย เปน็ การสญู เสยี ดว้ ย friendly fire คร้ังยิ่งใหญ่ ปัจจุบันอาวุธและอุปกรณ์การตรวจจับ (Sensor) เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย ต้องมีระบบ GPS ชว่ ยการยงิ อาวธุ เปน็ แบบระยะไกลมาก (Stand off) และ มีความแม่นยาสูงมาก (Precision) ทั้งอาจมีการบังคับ หกั เลยี้ ว (Way Point) สงิ่ กดี ขวางตา่ ง ๆ หรอื บนิ เลาะเลย้ี ว ไปตามภูมิประเทศท่ีสูงต่า ขึ้น ๆ ลง ๆ ได้โดยอัตโนมัติ โดยมนุษย์ไม่ต้องไปปรับแต่งอะไรเลย อาวุธมันจะแต่ง ของมนั เองดงู า่ ย ๆ แตท่ ยี่ ากคอื การพจิ ารณาลอ็ คเปา้ หมาย ในตอนแรก ท่ีจะต้องเป็นการวินิจฉัยของมนุษย์ ซึ่งต้องนามาพิจารณาสัญญาณ (Signature) ต่าง ๆ ทาง อิเล็กทรอนิกส์ และเสียงใต้น้าท่ีอุปกรณ์ตรวจจับเป้า (Sensor) รับได้มาวิเคราะห์ ซึ่งอาจมีการ Hack การลวง IO การสร้างภาพเสมือนจริง Virtual Reality-VR ประกอบเขา้ ไปดว้ ย ความผดิ พลาดจงึ อาจเกดิ ไดง้ า่ ยกวา่ อดตี มากมายหลายเทา่ อกี ประการหนงึ่ ขอ้ มลู Data Base


ของการแพรค่ ลนื่ มกั ถกู ปดิ เปน็ ความลบั ทา เนยี บกา ลงั รบ อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Order of Battle) สา หรบั การรบผวิ นา้ และทา เนยี บกา ลงั รบคลนื่ เสยี งใตน้ า้ (Acoustic Order of Battle) ท่ีถูกต้องทันสมัย จงึ จดั ทา ไดย้ าก เรอื รบผวิ นา้ และเรอื ดา นา้ หากปราศจาก ๒ สงิ่ นี้ กจ็ ะรบไมไ่ ดใ้ นสงครามทางเรอื สมยั ใหม่ และเสยี่ ง ท่ีจะฆ่าฟันกันเอง
เรอื ดา นา้ ทแี่ ลน่ ใตน้ า้ ถงึ แมจ้ ะชกั ธงชาติ ธงราชนาวี
ก จ็ ะ ไ ม ม่ ใี ค ร ส า ม า ร ถ ต ร สั ร ไ้ ู ด ว้ า่ เ ป น็ เ ร อื ด า น า ้ ไ ท ย แ ต ก่ า ร แ พ ร ่ คลื่นเสียงอันเป็นอัตลักษณ์ของตัวเรือ (Acoustic Signature) ที่วิ่งมาใต้น้าจะเป็นตัวบ่งบอกว่าเป็น เรอื ดา นา้ ของใคร ชาตไิ หน ซงึ่ อาจผดิ พลาดไดง้ า่ ยมาก เชน่ เรอื ดา นา้ ทตี่ อ่ จากจนี กจ็ ะมกี ารแพร่ Acoustic Signature เป็นเรือจีน ทั้ง ๆ ท่ีอาจไม่ใช่เรือจีน ศูนย์สงคราม อิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Warfare Center) และ ศูนย์สงครามเสียงใต้น้า (Acoustic Warfare Center)
Network Centric Warfare
นาวิกศาสตร์ 23 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕


จึงเป็นกุญแจสาคัญในการสร้างทาเนียบกาลังรบทาง สัญญาณ การลาดตระเวนหาข่าวทางอิเล็กทรอนิกส์ (ELINT-ElectronicsInteilligence)และการลาดตระเวน หาขา่ วเสยี งใตน้ า้ (Acoustic Intelligence) จงึ มบี ทบาท สาคัญในการเสาะแสวงหาความเหนือกว่าด้านความรู้ (Knowledge Superiority) ในการรบสมัยใหม่และ การขา่ วกรองเพอื่ เตรยี มยทุ ธภมู ิ (IPB) หากไมม่ ี Data Base ทถี่ กู ตอ้ งทนั สมยั การใชอ้ าวธุ แมจ้ ะแมน่ กจ็ ะเปน็ ไปอยา่ ง สะเปะสะปะ ตัวอย่างผิดพลาดท่ีเห็นบ่อย ๆ คือการยิง เครื่องบินโดยสารพาณิชย์
เคร่ืองบินโดยสารมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบินท่ี MH17 ถูกยิงตกเหนือยูเครน เมื่อวันท่ี ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ผู้เสียชีวิต ๒๙๘ ศพ และก่อนหน้านั้น เรือลาดตระเวน USS Vincennes (CG-49) ของ สหรฐั อเมรกิ าไดย้ งิ เครอื่ งบนิ โดยสารอหิ รา่ นเทย่ี วบนิ ที่ ๖๕๕ ตกเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ เหนือช่องแคบ
Crafting a new maritime strategy การร่างยุทธศาสตร์ทะเลของสหรัฐอเมริกาข้ึนมาเป็นคร้ังแรก
อาวุธนําาวิถีโทมาฮอว์ก
นาวิกศาสตร์ 24 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
ฮอร์มูซ (Strait of Hormuz) สงครามยุคปัจจุบันเป็น
สงครามท่ีเกิดขึ้นในถิ่นที่อยู่อาศัยของคนจานวนมาก (War among People) หากมียุทธนาวีท่ีเกาะช้าง ยคุ พ.ศ. ๒๕๖๔ อาจมกี ารยงิ อาวธุ นา วถิ ฮี ารป์ นู ผา่ นเลาจน์ โฮมสเตย์ โรงแรม บาร์ ร้านค้าบนเกาะ ทิ้งสมอจอดเรือ ก็อาจเกี่ยวกับสายเคเบิลใต้น้า มนุษย์ในโลกทวีจานวน มหาศาลมากข้ึน แต่มนุษย์ก็มีค่ามากขึ้น มีระบบสิทธิ มนุษยชน กฎหมายทางทะเล กฎหมายระหว่างประเทศ ศาลทะเล ศาลอาชญากรรมสงคราม สหประชาชาติ อาเซียน เป็น regime ที่เกิดขึ้นมากมาย หากมีการใช้ อาวธุ ผดิ พลาดกจ็ ะกอ่ ผลเสยี หายทงั้ ทางทหาร ทางการเมอื ง เศรษฐกิจ สังคมอย่างที่เราคาดไม่ถึง
Death of Naval Strategy การตายของยุทธศาสตร์ทางเรือ
เนอื่ งจากอาวธุ (Effector)และอปุ กรณก์ ารตรวจจบั สัญญาณ (Sensors) มีระยะไกลถึงกันหมดทั้งทางบก ทางเรอื และทางอากาศการรบเดยี่ วๆโดยกองทพั เดยี ว จึงไม่อาจทาได้อย่างเหมาะสมต่อไป การรบสมัยใหม่ ที่มีประสิทธิภาพคือ การรบร่วม (Joint Operation) หรือการรบผสม (Combined Operation) ระหว่างชาติ สาหรับสหรัฐอเมริกาได้ยกเลิกยุทธศาสตร์ทางเรือ (Naval Strategy) ไปตั้งแต่หลังสงครามอ่าว ครงั้ ที่ ๑ ค.ศ. ๑๙๙๑ (พ.ศ. ๒๕๓๔) และจดั ตงั้ ยทุ ธศาสตร์ ทางทะเล (Maritime Strategy) สาหรับการรบร่วม ทุกเหล่าทัพข้ึนมาแทน


ตอนที่ ๓ ความมดื มวั สบั สน (Fog) และอปุ สรรคผนั แปร (Friction) ของสงครามในยทุ ธนาวเี กาะชา้ ง
เคลาเซวิตซ์ (Clausewitz) นักรบ นักคิด นักสังเกตการณ์รบ และนักวิพากษ์วิจารณ์การรบ ชาวปรสั เซยี น-เยอรมนั ราวยคุ สมยั ธนบรุ แี ละรชั กาลที่ ๑ ได้บรรยายเกี่ยวกับ Fog และ Friction ไว้ในหนังสือ OnWarวา่ “อนั ทจ่ี รงิ แลว้ สงครามการยทุ ธก์ เ็ปน็ เรอื่ งของ Fog กบั Friction ทงั้ นนั้ ” ปจั จบุ นั การรบมปี กี ทางไซเบอร์ (Cyber flank) เทคโนโลยีต่างกับการรบในรัชสมัย รชั กาลที่๑ลบิ ลบั แต่Fogกบั Frictionกค็ อื เรอ่ื งประจา ทตี่ อ้ งมใี นการรบเสมอ ยทุ ธนาวเี กาะชา้ งเปน็ เหตกุ ารณเ์ ดยี ว ทสี่ ามารถแสดงเรอื่ งนใี้ นการรบทางเรือไทยอย่างเด่นชัด
เคลาเซวติ ซ์ (Clausewitz) ใชค้ า ศพั ท์ Fog of War (Nebels des Krieges ในภาษาเยอรมัน) มาบรรยาย ความพร่ามัวในสถานการณ์การรบ และความไม่แน่นอน ในการรบ การสงคราม ท้ังปัจจุบันยังหมายถึง ความไม่น่าเชื่อถือของการข่าวสารในสงครามด้วย ส่วนคาว่า อุปสรรคผันแปร (Friction) เคลาเซวิตซ์ หมายถึงเร่ืองง่ายแบบปอกกล้วยเข้าปากในยามปกติ แต่ในการรบกลับทาได้ยากมาก
นาวิกศาสตร์ 5 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๕


Fog กับ Friction ท่ีทาให้การรบของไทยมีความเสียเปรียบอย่างอเนกอนันต์ในยุทธนาวีเกาะช้าง ดังน้ี
ภาพเรือหลวงธนบุรีตอนถูกยิง “เข้าซ่อม”
(“เข้าซ่อม” เป็นศัพท์ทหารเรือโบราณ หมายถึง กระสุนยิงคร่อมเป้าหมายแล้วจึงสามารถยิงเร็วหวังผลได้)
๑. รบไม่ได้เหมือนอย่างท่ีฝึก การฝึกทานองยุทธ์เรือตอร์ปิโดใหญ่ให้วิ่งแปรขบวนเข้าต่อตีข้าศึก แต่ในการรบจริง ทเี่ กาะชา้ งถกู Surprise ขณะเรอื จอดทอดสมอทบ่ี า้ นอา่ วลกึ เกาะชา้ ง หนั หวั เขา้ เกาะหนั ทา้ ยเขา้ หาขา้ ศกึ ทา ใหย้ งิ ตอรป์ โิ ด ไม่ได้ เรือปืน เรือหลวงธนบุรีถูกฝึกให้ยิงเป็นตับเพื่อวัดระยะ เมื่อกลุ่มกระสุน “เข้าซ่อม” จึงยิงหวังผล ในการรบจริง เรอื หลวงธนบรุ ยี งิ เปน็ ตบั ไมไ่ ด้ เพราะใชค้ นบรรจลุ กู ปนื ๘ นว้ิ ทหี่ นกั และชา้ จงึ ยงิ ไดท้ ลี ะ ๒ นดั สว่ นเรอื ลามอตตป์ เิ กต์ มีการวัดระยะที่ดี แม่นยา ยิงเป็นตับได้เร็ว จึงยิงหวังผลได้รวดเร็ว
๒. Fog กับ Friction อันเกิดจากป้อมปืนท้ายไม่ได้ปรับ (Synchronize) การหันป้อมให้ตรงกับหอควบคุม การยิงทุกประการ
เรือโท จิตต์ สังขดุลย์ นายป้อมท้ายเรือหลวงธนบุรี
นาวิกศาสตร์ 6 ปีที่ ๑๐๕ เล่มท่ี ๓ มีนาคม ๒๕๖๕
พลเรือเอก จิตต์ สังขดุลย์ ในงานวิวาห์ของผู้เขียน เม่ือ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๔


Click to View FlipBook Version