รวมทั้งเป็นการเสาะแสวงหาทรัพยากรมนุษย์ และสินค้าที่มีความจาเป็นต่อกรุงธนบุรีอีกด้วย ตามพระราชพงศาวดารกรุงกัมพูชาฉบับพระองค์นพรัตน์ ระบุว่า
“ใน พ.ศ. ๒๓๑๒ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้ใช้ให้ข้าหลวงนาศุภอักษรมาทูลพระนารายณ์ราชารามาธิบดี
(พระอุไทยราชา-นักองค์ตน) ณ กรุงกัมพูชา ให้มีพระราชสาส์นพร้อมเครื่องราชบรรณาการดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง ไปถวายแด่พระเจ้าตากสินฯ เพื่อเป็นทางพระราชไมตรีดุจกาลก่อน...”
แต่พระนารายณ์ราชารามาธิบดีไม่ยอมถวายเครื่องราชบรรณาการฯ เป็นการตัดพระราชไมตรีของกรุงธนบุรี แสดงตนเปน็ ปฏปิ กั ษก์ บั พระเจา้ ตากสนิ ฯโดยตรงจงึ ทรงมพี ระราชดา รสั ใหพ้ ระยาอภยั รณฤทธิ์(รชั กาลที่๑)พระยาอนชุ ติ ราชา (กรมพระราชวังบวรในรัชกาลท่ี ๑) ยกทัพมีกาลังพลสองพันคนไปทางเมืองนครราชสีมาทางหนึ่ง และให้ พระยาโกษาธิบดียกทัพมีกาลังพลอีกสองพันคนไปทางเมืองปราจีนบุรีอีกทัพหนึ่ง เพ่ือไปตีเอาเมืองพุทไธเพชร (อุดงฤาชัยราชธานีของกัมพูชา) ให้แก่พระรามราชา (นักองค์นนท์-องค์รามราชา)
ขณะทท่ี พั สยามตไี ดเ้ มอื งพระตะบอง และเสยี มราบ (เขมรออกเสยี งเสยี มเรยี บ) ไดแ้ ลว้ มขี า่ วลอื วา่ พระเจา้ ตากสนิ ฯ เสด็จสวรรคตขณะยกทัพไปตีเมืองนครศรีธรรมราช ทัพไทยจึงถอยกลับกรุงธนบุรีพร้อมกับองค์รามราชา
จากทางสองแพร่งของกัมพูชาสู่ฮาเตียน/บันทายมาศ/พุทไธมาศ
อนุสาวรีย์หมักก่ืว ท่ีเมืองฮาเตียน
ที่มา : https://worldhistoryconnected.press. uillinois.edu/17.3/images/Eng_image_1.jpg
เมืองฮาเตียน (Hà Tiên) น้ีก่อตั้งโดยหมักก่ืว (Mạc Cửu) ชาวจีนกวางตุ้งอพยพมาจากเมืองจีนใน พ.ศ. ๒๒๑๔ โดยไดร้ บั พระบรมราชานญุ าตจากกษตั รยิ ก์ มั พชู าใหส้ รา้ งเมอื งใหมใ่ นบรเิ วณใกลก้ บั เมอื งบนั ทายมาศ และ เมืองท่าชื่อเฟืองแถงห์ คอยดูแลผลประโยชน์การค้าทางทะเลในแถบน้ีให้กัมพูชาด้วย
ในฐานะเจ้าเมืองหมักกื่ว ได้พัฒนาเฟืองแถงห์จนกลายเป็นเมืองท่าสาคัญในอุษาคเนย์ และตระหนักดีว่าอานาจ ของเขา และความอยู่รอดของเมืองนี้ข้ึนอยู่กับดุลอานาจระหว่างสยาม ตระกูลเหงียน (ญวน) และราชสานักกัมพูชา อย่างไรก็ตาม ทางออกหน่ึงก็คือ การดาเนินนโยบายเลือกพึ่งพิงรัฐใดรัฐหนึ่งอย่างจริงจัง และประสานประโยชน์กับ รัฐอื่นอย่างเหมาะสม ทาให้สามารถปกครองตนเองแบบรัฐกึ่งอิสระ ไม่มีการแทรกแซงจากภายนอก
นาวิกศาสตร์ 24 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
เมืองฮาเตียน มีชื่อเดิมว่า เปียม ปรากฏในเอกสารไทยในช่ือ บันทายมาศ หรือ พุทไธมาศ เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเกียนซาง ประเทศเวียดนาม
หลกั ฐานในเอกสารของฝา่ ยเวยี ดนามชวี้ า่ หมกั กว่ื สง่ เครอ่ื งราชบรรณาการไปยงั กรงุ เว้ และไดร้ บั การตอ้ นรบั อยา่ งดี จาก“มญิ เวอื ง”เจา้ ตระกลู เหงยี นซงึ่ มนี โยบายจะขยายอทิ ธพิ ลเขา้ มาในกมั พชู าอยแู่ ลว้ ไดพ้ ระราชทานราชทนิ นามตา แหนง่ ขนุ นางตราตงั้ และชอ่ื “ฮาเตยี น” ใหเ้ มอื งทา่ เฟอื งแถงห์ (ฮาเตยี น ในภาษาเวยี ดนาม หมายถงึ จติ วญิ ญาณแหง่ ลา นา้ ) ต่อมาชื่อนี้ได้เข้ามาแทนคาเขมรเดิมท่ีเรียกมาก่อนคือ “เมืองคา” และ “เมืองเปียม”
นอกจากนี้แล้วยังมีหลักฐานไทย และเวียดนามยืนยันตรงกันว่า พระองค์เจ้าจุ้ย และพระองค์เจ้าศรีสังข์ ราชวงศ์ บ้านพลูหลวง ได้เสด็จหนีจากอยุธยาไปอยู่เมืองฮาเตียน หรือเมืองบันทายมาศอันเป็นเมืองที่มีคนไทยจานวนมาก หนีทัพอังวะไปรวมอยู่ โดยมีการบันทึกไว้ว่า
“เจ้าจุ่ย (เจ้าจุ้ย) และเจ้าสีซวาง (เจ้าศรีสังข์) รัชทายาทของกษัตริย์อยุธยาองค์สุดท้ายกับพระบรมวงศานุวงศ์ ผู้ติดตามอีกประมาณ ๑๐๐ คน เข้ามาลี้ภัยในฮาเตียนผ่านเส้นทางเลียบชายฝั่งทิศตะวันออกของอ่าวสยาม”
“แต่เจ้าศรีสังข์นั้น บาทหลวงชาวฝรั่งเศสพาหลบหนีจากฮาเตียนไปพึ่งบารมีของพระนารายณ์ราชารามาธิบดี (นักองค์ตน) กษัตริย์เขมรท่ีเมืองพุทไธเพชร (บันทายเพชร-อุดงฤาชัย) ราชธานีของกัมพูชาในขณะนั้น”
ตามหลักฐานฯท่ีกล่าวถึงรัชทายาทของกษัตริย์อยุธยาองค์สุดท้าย หมายถึง พระราชวงศ์ที่ไม่ได้ถูกกวาดต้อน ไปกรุงอังวะฯ หลังกรุงแตกคือ พระองค์เจ้าจุ้ย พระราชโอรสของเจ้าฟ้าอภัย ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระเจ้าอยู่หัว ท้ายสระ ส่วนพระองค์เจ้าศรีสังข์นั้น เป็นพระ
ราชโอรสกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (เจ้าฟ้ากุ้ง)
พระราชโอรสในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เจ้าเมืองฮาเตียนในขณะน้ันคือ หมักเทียนต๋ือ
รับตาแหน่งสืบแทนบิดาคือ หมักก่ืว ใน พ.ศ. ๒๒๗๘
ได้ให้การต้อนรับพระองค์เจ้าจุ้ย และผู้ติดตาม
เป็นอย่างดี เจ้าเมืองน้ี ญวนเรียกว่าหมักเทียนตู/ตื๋อ
ภาษาจนี วา่ หมอ่ เทยี นซอื่ แตม่ กั ใชน้ าม“หมอ่ ซอื่ หลนิ ”
ในการตดิ ตอ่ กบั จนี ตา แหน่งในทา เนยี บของกมั พชู าเปน็
“สมเด็จพระโสร์ทศ”ส่วนตาแหน่งในสยาม
เป็นพระยาราชาเศรษฐี เนื่องจากการท่ีฮาเตียน
ส่งบรรณาการฯ ให้ทั้งสยาม ญวน และเขมร เพ่ือความอยู่รอดของตนแต่จะพึ่งพิงญวนเป็นหลัก เม่ือกรุงศรีอยุธยา เสียแก่ทัพอังวะฯ แล้ว หมักเทียนตื๋อ คิดจะขยายอานาจของตนเข้าไปในสยามอย่างน้อยก็เป็นบางส่วน ประกอบกับ มเี จา้ นายชนั้ สงู แหง่ ราชวงศบ์ า้ นพลหู ลวงอยธุ ยามาอยใู่ นอทิ ธพิ ลของตน ยอ่ มจะเปน็ โอกาส และถอื เอาเจา้ นายนนั้ เปน็ พระเจ้าแผ่นดินของสยามต่อไป
ด้วยเหตุนี้จึงได้อาศัยพระนามของพระองค์เจ้าจุ้ยมีหนังสือไปถวายพระเจ้ากรุงจีน รายงานเหตุการณ์ที่เกิดข้ึน ในกรุงศรีอยุธยา พร้อมท้ังกล่าวโทษพระเจ้าตากสินฯ ว่าไม่ใช่รัชทายาทของราชวงศ์บ้านพลูหลวง เป็นเพียงแม่ทัพ และพื้นเพยังเป็นจีนอพยพ ได้ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ซึ่งขัดกับธรรมเนียมจีนท่ีเน้นการสืบทอดราชบัลลังก์โดยสายเลือด
นอกจากนยี้ งั กลา่ วดว้ ยวา่ พระเจา้ ตากสนิ ฯ ไมน่ บั ถอื ราชวงศ์ เพราะวา่ เมอื่ ไปตเี มอื งพมิ าย ไดจ้ บั กรมหมน่ื เทพพพิ ธิ ประหารเสียที่บางกอก (กรมหมื่นเทพพิพิธ “ลูกพระสนม” ในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) ซ้ายังยกทัพไปตีกรุงกัมพูชา อีกด้วยแต่ไม่สาเร็จ พระเจ้าแผ่นดินเขมรได้สัญญาว่าจะให้การสนับสนุนเจ้าจุ้ย และเจ้าศรีสังข์เอากรุงศรีอยุธยา กลับคืนมาฯ
นาวิกศาสตร์ 25 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ต้นฉบับสมุดไทย พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)
พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุว่าพระเจ้าตากสินฯ ทรงรู้จักเมืองฮาเตียนดี โดยในช่วงกลาง พ.ศ. ๒๓๑๐ ขณะที่พระองค์รวบรวมกาลังอยู่ที่เมืองระยอง และจับตาดูท่าทีของพระยาจันทบุรี ได้มีการเจรจาขอความร่วมมือกับผู้ร้ังเมืองระยอง มีศุภอักษรไปขอกาลังจากเมืองฮาเตียนมากู้กรุงศรีอยุธยา พระยาราชาเศรษฐีเจ้าเมือง (ราชทินนามนี้ปรากฏในรายนามขุนนางของอยุธยา) แจ้งว่าจะยกกาลังมาช่วยได้เม่ือหมด ฤดูมรสุมแล้ว
การทพ่ี ระองคเ์ จา้ จยุ้ ลภ้ี ยั มาอยทู่ เี่ มอื งฮาเตยี นนนั้ บนั ทกึ ตระกลู หมกั รวมถงึ หลกั ฐานเวยี ดนามชนิ้ อน่ื แสดงใหเ้ หน็ วา่ หมกั เทยี นตอ๋ื เปลยี่ นนโยบายทางการเมอื งจากดลุ อา นาจของทกุ ฝา่ ย เปน็ เขา้ ไปแทรกแซงอา นาจรฐั ทมี่ ขี นาดใหญก่ วา่ อย่างสยาม โดยมี “แผนลับ” จะเข้าโจมตีกรุงธนบุรี
การเปลี่ยนนโยบายเช่นนี้อาจจะมาจากความมั่นใจของหมักเทียนต๋ือ ท่ีมีบทบาทในการช่วยเหลือ นักองค์สงวน กษัตริย์กัมพูชาให้กลับคืนสู่ราชบัลลังก์อีกครั้ง โดยเป็นคนกลางในการเจรจาระหว่างนักองค์สงวนกับ ราชสา นกั เหงยี นใน พ.ศ. ๒๒๙๖ รวมทงั้ การยกทพั ไปสนบั สนนุ นกั องคต์ น (พระอไุ ทยราชา) ใหข้ นึ้ ครองราชย์ หลงั จาก หลบหนีความวุ่นวายในกัมพูชามาพ่ึงพิงท่ีเมืองฮาเตียน ดังนั้น จึงได้ดาเนินการตามแผนที่วางไว้กล่าวคือ
ใน พ.ศ. ๒๓๑๑ หมกั เทยี นตอื๋ ทา ทเี ปน็ สง่ เรอื บรรทกุ ขา้ วสารมายงั กรงุ ธนบรุ ี เพอื่ แกป้ ญั หาการขาดแคลนขา้ วสาร ซงึ่ เกดิ ขนึ้ กอ่ นหนา้ นี้ แตท่ จี่ รงิ มี “แผนลบั ” ทจี่ ะจบั ตวั พระเจา้ ตากสนิ ฯ ไว้ แลว้ นา ราชวงศบ์ า้ นพลหู ลวงขนึ้ ครองบลั ลงั ก์ กรุงธนบุรีแทน ฮาเตียนจะได้มีอิทธิพลเหนือสยามในเวลาถัดมา
ทว่าแผนน้ีล้มเหลว เพราะว่าพระเจ้าตากสินฯ ได้รับข่าวแจ้งเตือนล่วงหน้ามาจากคนของพระองค์ที่แฝงตัวอยู่ ในเมอื งฮาเตยี น จงึ ทรงสงั่ ใหจ้ บั ลกู เรอื ทงั้ หมดขงั คกุ ไว้ รวมทงั้ ลกู เขยของหมกั เทยี นตอ๋ื ซงึ่ เปน็ ผคู้ วบคมุ เรอื มา หลงั จากนนั้ ก็ประหารชีวิตท้ังหมด
อย่างไรก็ตาม ฮาเตียนยังคงปฏิบัติการเป็นปฏิปักษ์กับกรุงธนบุรีอย่างไม่ลดละ โดยพยายามขัดขวางเรือสาเภา ที่นาข้าวมาขายให้สยาม เน่ืองจากเรือสาเภาที่เดินทางค้าขายทางตะวันออกของอ่าวสยาม ส่วนใหญ่มักแวะพัก ที่เมืองฮาเตียนเป็นประจา
บันทึกตระกูลหมักระบุว่า ใน พ.ศ. ๒๓๑๒ ฮาเตียน ยกทัพไปโจมตีเมืองจันทบุรีและเมืองตราดด้วยเรือรบกว่า ๑๐๐ ลา โดยมพี ระองคเ์ จา้ จยุ้ ไปในกองทพั ดว้ ย เพอื่ เรยี กรอ้ ง การสนับสนุนจากชาวสยามที่ยังคงจงรักภักดีต่อราชวงศ์ บ้านพลูหลวงอยู่ โดยหวังว่าจะให้เกิดกบฏต่อต้าน พระเจ้าตากสินฯ กันเอง ในหลักฐานไทยไม่ได้กล่าวถึง เหตุการณ์น้ี แต่ไปปรากฏในพงศาวดารเขมร จ.ศ. ๑๒๑๗ ให้รายละเอียดว่าใน พ.ศ. ๒๓๑๓ (พ.ศ.ของเขมรจะเร็วกว่า ไทย ๑ ปี) หมักเทียนตื๋อได้นาทัพด้วยตัวเอง
“สมเดจ็ พระโสทตั (หมกั เทยี นตอื๋ ) ผเู้ ปน็ ใหญใ่ นเมอื งเปยี ม
(ฮาเตียน) คิดตามอาเภอใจด้วยโลภเจตนาเหมือนตักกะแตน
เข้าดับเพลิงละเลิงใจ เกณฑ์ไพร่พลในแขวงเมืองบันทายมาศ เมืองตรัง ยกเป็นกองทัพไปจับคนเมืองทุ่งใหญ่ (ตราด) เมืองจันทบุรีจึงยกพวกกองทัพไทยออกมาสู้รบชนะ แม่ทัพแม่กองสมเด็จพระโสทัตแตกหนีกระจัดกระจายถอยกลับ มาเมืองเปียม”
นาวิกศาสตร์ 26 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
เรือสาเภาจีน ท่ีใช้กันในยุคอยุธยา
กองทัพที่รับมือกับกองทัพของฮาเตียนที่จันทบุรีและตราดคือ พระยาพิพิธเจ้าเมืองจันทบุรี ซึ่งเป็นคนจีนแต้จิ๋ว หรอื อาจกลา่ วไดว้ า่ การปะทะกนั ครง้ั นเี้ ปน็ เรอื่ งระหวา่ งจนี แตจ้ วิ๋ กบั จนี กวางตงุ้ โดยเปดิ เผย รวมทง้ั สง่ ผลและแสดงการเปน็ ปรปักษ์ระหว่างฮาเตียนกับกรุงธนบุรีชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“ตราตาแหน่งพิเศษ” คือ ตราโลโต ใช้ประทับพระราชสาส์นของพระเจ้ากรุงสยามที่มีไปถึงราชสานักจีน เป็นตราที่จักรพรรดิจีนพระราชทานต้ังแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
เหตกุ ารณด์ งั กลา่ วเมอ่ื มองไปในระดบั การเมอื งภมู ภิ าคจะเหน็ ความเกยี่ วขอ้ งกบั มหาอา นาจในขณะนนั้ กค็ อื ราชวงศช์ งิ ซึ่งมีนัยสาคัญสาหรับพระเจ้าตากสินฯ เพราะนอกจากฮาเตียนจะเป็นก้างขวางคอเรื่องการค้าแล้ว ยังเป็นภัยต่อ พระราชบัลลังก์ และยังคอยขัดขวางความสัมพันธ์ทางการทูตกับราชวงศ์ชิงแบบไม่ลดละอีกด้วย อันเป็นสาเหตุ ใหข้ า้ หลวงทกี่ วางตงุ้ ปฏเิ สธคา ขอของคณะทตู จากกรงุ ธนบรุ ที พ่ี ระเจา้ ตากสนิ ฯ สง่ ไปขอรบั ตรามหาโลโตคอื ตราประทบั จากราชสานักจีน ยอมรับว่าพระองค์เป็นกษัตริย์สยามจะทาให้กรุงธนบุรีสามารถทาการค้าขายจิ้มก้องแบบเดียวกับที่ อยุธยาเคยทามา เพื่อเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจในสยามใหม่ท่ีพระองค์เพ่ิงจะกอบกู้ขึ้นมา ท้ังนี้ เพราะทางราชสานักจีน เชอื่ ในรายงานเหตกุ ารณฯ์ ของหมกั เทยี นตอื๋ ทส่ี ง่ มาถวายพระเจา้ เฉนิ หลงกอ่ นหนา้ นี้ รวมทง้ั ทา ใหท้ รงมพี ระราชสาสน์ มาตาหนิพระเจ้ากรุงธนบุรีโดยตรง มีข้อความบางตอนดังนี้
“กันเอินซื่อ (พระเจ้าตากสินฯ) เดิมเป็นคนต่าต้อยในประเทศจีน ระหกระเหินไปอยู่แดนโพ้นทะเล ฐานะเป็น ข้าทูลละอองของพระเจ้ากรุงสยาม บัดน้ี ประเทศนั้นระส่าระสาย ถูกตีแตก เจ้าเหนือหัวหายสาบสูญ กลับบังอาจ ฉวยโอกาสทปี่ ระเทศตกอยใู่ นอนั ตรายปน่ั ปว่ นยงุ่ เหยงิ คดิ ตงั้ ตนเปน็ ใหญห่ วงั ไดร้ บั ตราตงั้ โดยมชิ อบ เพอ่ื เปน็ เครอื่ งมอื ต้ังตนเหนือผู้อื่นมิได้สานึกในพระมหากรุณาธิคุณ และพระเมตตาของเจ้านายเก่า อีกทั้งมิได้สืบหาองค์รัชทายาทเพื่อ กอบกู้ชาติแลโจมตีอริศัตรู ถือว่าผิดคุณธรรม จริยธรรม”
สงครามฮาเตียนและกัมพูชา..การศึกเพ่ือความมั่นคงของกรุงธนบุรี
ใน พ.ศ. ๒๓๑๔ พระเจ้าตากสินฯ ทรงสามารถจัดการความเรียบร้อยในลุ่มแม่น้าเจ้าพระยา และทรงรวบรวม อานาจของกรุงธนบุรีให้มีสภาพเหมือนเดิมในสมัยกรุงศรีอยุธยา ประกอบกับท่าทีของราชสานักจีนเปล่ียนแปลงไป มีความเป็นมิตรมากขึ้น เนื่องจากพระองค์ได้ส่งเชลยอังวะระดับแม่ทัพนายกองไปยังเมืองกวางตุ้ง (จีนแพ้สงครามกับ องั วะทางตอนใตข้ องยนู นาน) และเรมิ่ ยอมรบั วา่ พระเจา้ ตากสนิ ฯ เปน็ ผมู้ อี า นาจแทจ้ รงิ ในสยาม รวมทงั้ การทรี่ าชสา นกั จนี วางเฉยตอ่ ฮาเตยี น ดงั นนั้ พระเจา้ ตากสนิ ฯ จงึ เหน็ วา่ ถงึ เวลาแลว้ ทจี่ ะทรงจดั การปญั หาทตี่ กคา้ งในฮาเตยี น และกมั พชู า ให้เรียบร้อย โดยทรงมีวัตถุประสงค์ท่ีสาคัญ ประการแรกคือ กาจัดอิทธิพลของหมักเทียนต๋ือในเมืองฮาเตียน และ เมืองใกล้เคียง ซึ่งมีผลต่อการค้าขายตามเมืองท่าชายขอบอ่าวสยามของกรุงธนบุรี อีกท้ังยังเป็นการควบคุม
นาวิกศาสตร์ 27 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
จุดยุทธศาสตร์อันเป็นปากทางเข้าสู่กรุงกัมพูชาที่อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินได้สะดวกท่ีสุดจากทางทะเล และยุทธศาสตร์ การขยายอิทธิพลสยามเหนือดินแดนแถบน้ี ย่อมดาเนินไปได้อย่างราบรื่น ยังไม่นับว่าน่ีเป็นการกาจัดอิทธิพล ทางการค้าของชาวจีนกวางตุ้งในฮาเตียน คู่แข่งของเมืองจันทบุรีซ่ึงชาวจีนแต้จิ๋วมีอิทธิพลการค้าอยู่ ประการที่สอง เพื่อเป็นการฟื้นฟูอิทธิพลของราชสานักสยามเหนือราชสานักกัมพูชา เนื่องด้วย พระนารายณ์ราชารามาธิบดี (นักองค์ตน-พระอุไทยราชา) ไม่ยอมถวายเครื่องราชบรรณาการฯ ให้พระองค์ในฐานะกษัตริย์สยามองค์ใหม่ และทรงตอ้ งการสถาปนาองคร์ ามราชา (นกั องคน์ นท)์ ทไ่ี ดเ้ ขา้ ถวายตวั กบั พระองคต์ ง้ั แตเ่ สดจ็ ฯ ออกจากกรงุ ศรอี ยธุ ยา แล้วเป็นเจ้ากรุงกัมพูชา และอีกประการหนึ่ง เป็นยุทธศาสตร์ในการขยายขอบเขตปริมณฑลอานาจไปทางตะวันออก และตะวันออกเฉียงเหนือ ปัจจุบันคือพื้นท่ีปากแม่น้าโขง คาบสมุทรอินโดจีนของเวียดนาม กัมพูชา และลาวทั้งหมด รวมท้ังเป็นการเสาะแสวงหาทรัพยากรมนุษย์ (มีความสาคัญมากในสมัยนั้น) และสินค้าในดินแดนเหล่านั้น
ยุทธศาสตร์ทางเรือและแผนการทัพ
จดหมายเหตุรายวันทัพสมัยกรุงธนบุรีคราวปราบเมืองพุทไธมาศ และเขมร เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๔ ให้รายละเอียดว่า วนั พฤหสั บดี เดอื น ๑๑ ขนึ้ ๙ คา่ ปเี ถาะ (จ.ศ. ๑๑๓๓ พ.ศ. ๒๓๑๔) พระเจา้ ตากสนิ ฯ โปรดฯ ใหพ้ ระยายมราช (รชั กาลท่ี ๑) เป็นแม่ทัพบก ถือพล ๑๐,๐๐๐ ยกไปทางเมืองปราจีน ให้ตีเอาเมืองปัตบอง (พระตะบอง) เมืองโพธิสัตว์ ตลอดจน ไปถึงเมืองพุทไธเพชร (อุดงฤาชัย)
คร้ันถึงมหาพิไชยฤกษ์ วันอาทิตย์ เดือน ๑๑ แรม ๑๑ ค่า ปีเถาะ พระเจ้าตากสิน ฯ ทรงเรือพระที่นั่งสาเภาทอง พร้อมด้วยเรือท้าวพระยา ข้าทูลละอองธุลีพระบาท ไทย จีน ฝร่ัง ฝ่ายทหาร พลเรือน ทั้งปวง เรือรบ ๒๐๐ ลา เรือทะเล ๑๐๐ ลา พลทหาร ๑๕,๐๐๐ เศษ ให้พระพิชัยไอศวรรย์เป็นแม่ทัพหน้า แล้วยกพยุหยาตราพลนาวา ทัพหลวงสรรพด้วยเครื่องศัสตราวุธ (องค์รามราชา-นักองค์นนท์ เสด็จไปในทัพหลวงด้วย) จากกรุงธนบุรี ออกปากนา้ สมทุ รปราการ ลดั เลาะไปตามชายฝง่ั ตะวนั ออกของอา่ วสยามได้ ๕ วนั ถงึ เมอื งจนั ทบรู (จนั ทบรุ )ี จงึ โปรดให้ พระยาโกษาธิบดีแยกทัพบก ทัพเรือ ล่วงไปตีเมืองกระพงโสม (กาปงโสม) แล้วทัพหลวงก็เสด็จไปอีก ๖ วัน ณ วัน พฤหัสบดี เดือน ๑๒ ขึ้น ๘ ค่า (๑๔ พฤศจิกายน ๒๓๑๔) ถึงเมืองฮาเตียน/ปากน้าเมืองพุทไธมาศ ประทับ ณ ตึกจีนแห่งหน่ึงทางฝากตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง แล้วตั้งค่ายล้อมเมือง ณ จุดยุทธศาสตร์ที่สาคัญทางด้านตะวันตก ตะวันออก เกาะในแม่น้า และบนฝั่งแม่น้าเซิงแทงห์ (Giang Thanh)
นาวิกศาสตร์ 28 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
การจัดกระบวนทัพเรือ
ยาตราไปยังเมืองฮาเตียน และกรุงกัมพูชา ตามระเบียบกองทัพเรือสมัยกรุงธนบุรี ได้แบ่งเรือทั้งหมดออกเป็น ๘ กองเรือ
กองทัพหน้า
กองท่ี ๑ พระยาพิไชยไอศวรรย์ เป็นแม่ทัพ มีเรือ ๗๓ ลา กาลังพล ๑,๖๘๖ คน กองที่ ๒ พระยาพิพิธ เป็นแม่กอง มีเรือ ๕๐ ลา กาลังพล ๑,๔๘๐ คน
กองที่ ๓ พระศรีราชเดโช เป็นแม่กอง มีเรือ ๒๗ ลา กาลังพล ๙๗๔ คน
กองที่ ๔ พระท้ายน้า เป็นแม่กอง มีเรือ ๔๓ ลา กาลังพล ๑,๑๐๑ คน ทัพหลวง
กองที่ ๕ เจ้าพระยาจักรี (หมุด) เป็นแม่ทัพหน้าของกองทัพหลวง มีเรือ ๑๓ ลา กาลังพล ๖๘๙ คน
กองที่ ๖ พระยาโกษา เป็นแม่กอง มีเรือ ๓๔ ลา กาลังพล ๑,๗๐๕ คน (กองนี้แยกไปตีเมืองกาปงโสม และเมืองกาปอด)
กองท่ี ๗ พระยาทิพโกษา เป็นแม่กอง มีเรือ ๑๓ ลา กาลังพล ๔๕๓ คน
กองท่ี ๘ กองหลวง พระเจ้าตากสินฯ ทรงเป็นจอมทัพ ประทับในเรือพระที่นั่งสาเภาทอง มีเรือท้ังหมด ๘๔ ลา กาลังพล ๒,๒๔๒ คน
เรือรบแต่ละลามีปืนหน้าเรือลาละ ๑ กระบอก ปืนรายแคมลาละ ๒ กระบอก ส่วนปืนคาบศิลา และปืนคาบชุด จานวนตามกาลังของพลเรือ สาหรับเรือขนาดใหญ่คงใช้
ปืนใหญ่หน้าเรือกระสุน ๔-๕ นิ้ว (กินดินหนึ่งชั่ง) และ
เป็นเรือใช้เดินในแม่น้าลาคลองได้
นอกจากเรือรบหลวง แล้วยังมีเรือสาเภา เรือรบ เชลยศักดิ์ (เรือที่ไม่ใช่ของหลวง) และเรือที่เกณฑ์มาจาก หัวเมืองชายทะเลทางปักษ์ใต้ และทางฝั่งตะวันออก
สรุปรวมเป็นเรือทั้งหมด ๓๓๗ ลา (เรือสาเภา ๕๘ ลา
เรือรบ และเรืออื่น ๆ ๒๗๙ ลา) ปืนหน้าเรือ ๒๕๔ กระบอก
ปืนรายแคม ๕๑๔ กระบอก ปืนคาบศิลา ๒,๑๖๕ กระบอก
ปนื คาบชดุ ๕๖๗กระบอกรวมปนื ใหญ่ปนื เลก็ ๓,๕๐๐กระบอก ที่มา : https://www.siambusinessnews.com/wp-content/up-
พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ีฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ(เจมิ ) loads/2020/01/FB_IMG_1578632256539.jpg บันทึกว่า
ปืนคาบชุด และปืนคาบศิลา
“วนั พฤหสั บดีเดอื น๑๒ขนึ้ ๘คา่ เถงิ ปากนา้ พทุ ไธมาศ สถิต ณ ตึกจีนฝากตะวันตกเฉียงใต้ จึงได้มีหนังสือ พญาพิชัยไอศวรรย์กองทัพหน้า ให้ญวนมีชื่อ (เชลยญวน) ซึ่งจับได้มานั้น ถือเข้าไปเถิงพญาราชาเศรษฐีว่า สมเด็จ พระพทุ ธเจา้ อยหู่ วั ยกกองทพั บกทพั เรอื มานี้พระราชประสงค์ จะเศกพระองค์รามราชาให้ครองกรุงกัมพูชาธิบดี แล้วจะเอาตัวเจ้าจุ้ย เจ้าเสสังข์ แลข้าหลวงชาวกรุง
เรือรบสมัยอยุธยา
นาวิกศาสตร์ 29 ปีท่ี ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ซึ่งไปอยู่เมืองใด ๆ จงสิ้น ถ้าและพญาราชาเศรษฐีมิได้ภักดีด้วย เห็นว่าต้านทานได้ ก็ให้แต่งการป้องกัน เมืองจงสรรพ ถ้าเห็นว่าจะสู้มิได้ ก็ยังทรงพระกรุณาโปรดอยู่ ให้ออกมากราบถวายบังคมเราจะช่วยทานุบารุง เถิงว่าแก่แล้วมามิได้ ก็ให้แต่งหุเอียบุตรออกมาถวายบังคมจงพลัน ถ้าช้าอยู่จะทรงพิโรธฆ่าเสียให้สิ้น”
สภาพแวดล้อมทางยุทธการ
วันเสาร์ เดือน ๑๒ ข้ึน ๑๐ ค่า (๑๖ พฤศจิกายน ๒๓๑๔) พระเจ้าตากสินฯ ทรงพระอุตสาหะเสด็จด้วยพระบาท ยืนอยู่ฟากตะวันออกตรงป้อมเมืองฝั่งตะวันตก (แหลมเผ่าได๋อยู่ทางตะวันตกของเมืองฮาเตียน) สามารถมองเห็น ตัวเมืองได้ทั้งหมด และเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สาคัญ จากหนังสือ The Prince of Ha-Tien (นิโคลัส เซลเลอร์) ให้ภาพของตัวเมืองฮาเตียนว่า แบ่งเป็นสองส่วนค่ันด้วยแม่น้าเซิงแทงห์ ตัวเมืองฮาเตียนอยู่ด้านเหนือ ดา้ นใตเ้ ปน็ ตวั เมอื งใหม่ กา แพงเมอื งสรา้ งดว้ ยไมไ้ ผบ่ างสว่ นและกา แพงหนิ กา แพงเมอื งภายในทา ดว้ ยหนิ กวา้ ง ๒๐๐ เมตร ยาว ๕๐๐ เมตร ก่อด้วยอิฐสีเทา น่าจะไม่ใช่กาแพงเมืองป้องกันทางทะเล โดยเฉพาะทางตะวันตกตรงแหลมเผ่าได๋ ซ่ึงเป็นจุดยุทธศาสตร์คุมช่องทางเข้าออกปากแม่น้าเซิงแทงห์ (เขมร เรียกว่า แม่น้าขาม) กับอ่าวสยาม
เมื่อพระยาราชาเศรษฐีไม่ออกมาอ่อนน้อม พระเจ้าตากสินฯ โปรดให้พระยาอภัยรณฤทธิ์ไปต้ังค่ายสกัดอยู่ ณ เชิงเขาฝ่ายทิศตะวันออก พระยาพิไชยไอศวรรย์และเรือรบอาสาหกเหล่า กองหน้านั้นให้รออยู่ท้ายเกาะหน้าเมือง ฝ่ายตะวันออก เจ้าพระยาจักรี (หมุด) พระยาทิพโกษา ทาค่ายน้า ๒ ฟาก ไว้หว่างกลาง กว้างประมาณ ๑๐ เส้น จะไดใ้ หเ้ รอื รบซงึ่ มปี นื หนา้ เรอื กนิ ดนิ ชงั่ หนง่ึ คอยรบคมุ ปากแมน่ า้ เซงิ แทงห์ ไมใ่ หเ้ รอื ญวนหนรี อดไปได้ และลาดตระเวน ตรวจดูกาลังฝ่ายข้าศึกว่าเตรียมจัดการตั้งรับไว้อย่างไรด้วย
การวางแผนเข้าตีเมือง
พระเจ้าตากสินฯ ทรงวางแผนเข้าตีเมืองฮาเตียนโดยใช้ทหารกองอาจารย์ (พวกคงกระพันชาตรีกล้าตาย) จา นวน ๑๑๑ คน บกุ นา ในทศิ ทางดว้ ยวธิ กี ารทมี่ พี ระกระแสรบั สงั่ และกา ลงั ทหารทคี่ ดั เลอื กอกี ๒,๔๐๐ คน เตรยี มเขา้ ตี เวลาสองยามวันอาทิตย์ เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๑ ค่า (๑๗ พฤศจิกายน ๒๓๑๔) และจะต้องกระทาให้สาเร็จเด็ดขาด
การจัดกาลังทหารที่ขึ้นบกยกเข้าตีเมืองในครั้งนี้ ทหารกองอาจารย์อยู่ในกองหลวง กาลังทหารอีก ๒,๔๐๐ คน เป็นทหารส่วนหน่ึงของทัพหน้าของพระยาพิชัยไอยศวรรย์ อันมีกองทหารอาสาหกเหล่าซึ่งเป็นทหารช้ันดีรวมอยู่ด้วย มีพระศรีราชเดโช และพระท้ายน้าเป็นผู้บังคับบัญชา ส่วนกองเจ้าพระยาจักรี (หมุด) กองพระยาทิพโกษา ทาหน้าท่ี อยู่ในเรือเป็นทัพหนุน และคอยสกัดจับข้าศึกที่แตกหนีออกมาทางทะเล ส่วนกองมหาดเล็กซ่ึงอยู่ในกองหลวงแบ่งอยู่
นาวิกศาสตร์ 30 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ท่ีมา : https://www.pcf45.com/sealords/hatien/hatien.html
รักษาพระองค์ฯ ออกไปรบสมทบกับทัพหน้าบนบกบ้าง ดังจะเห็นได้จากข้อความในพงศาวดารฯ ท่ีมีพระราช ดารัสแก่แม่ทัพนายกองภายหลังการรบแล้ว ส่วนกองพระยาพิพิธคงจัดไว้เป็นกองหนุนเหมือนกันในเวลาเข้าตีเมือง และมไิ ดก้ ลา่ วไวว้ า่ พระเจา้ ตากสนิ ฯ ทรงอา นวยการรบอยบู่ นบกหรอื อยใู่ นเรอื แตเ่ ขา้ ใจวา่ ทรงอา นวยการรบอยใู่ นเรอื มากกวา่ เพราะเปน็ การสะดวกทจี่ ะเสดจ็ ไปทใี่ ด และมองเหน็ สมรภมู แิ ละภาพเหตกุ ารณไ์ ดท้ วั่ ไป (จากประวตั กิ ารทหารเรอื ไทย พ.ศ. ๒๕๐๘)
นิโคลัส เซลเลอร์ ได้ให้รายละเอียดเพ่ิมเติมว่า “สยามน่าจะโจมตีเมืองเป็น ๒ ระลอก เริ่มด้วยการโจมตี ทางกา แพงเมอื งกอ่ นแลว้ สนบั สนนุ ดว้ ยปนื ใหญ่ และปนื ไฟทนี่ า ขน้ึ ไปบนเนนิ เขาโตเจนิ ซงึ่ เปน็ ภเู ขาลกู ยอ่ ม ๆ สงู ๓๐๐ เมตร จากระดับน้าทะเลปานกลาง สามารถมองเห็นตัวเมืองได้คล้ายกับแหลมเผ่าได๋ซ่ึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สาคัญ” ทัพบก ทัพเรือพรักพร้อมกันหักเอาเมืองได้รุ่งเช้า ไพร่พลเมืองฮาเตียนแตกกระจัดกระจายหนีไป พระยาราชาเศรษฐี (หมักเทียนตื๋อ) หนีลงเรือไปได้ จับตัวพระองค์เจ้าจุ้ย และเจ้าเมืองจันทบุรีคนเก่า (ซึ่งหลบหนีมาเมื่อพระเจ้าตากสินฯ ตีเมืองจันทบุรี) ไปจาขังไว้
เวลาโมงเช้าเศษ พระเจ้าตากสินฯ เสด็จเข้ามาประทับที่จวน พระยาราชาเศรษฐีตรัสส่ังว่า “สัมฤทธ์ิราชการแล้ว ให้มีกฎหมายประกาศแก่นายทัพนายกองไทยจีนท้ังปวง ซ่ึงจีนและญวนไพร่พลเมืองจะเดินทางไปมาค้าขาย ตามถนนหนทางอยา่ ใหจ้ บั กมุ โบยตฆี า่ ฟนั เปน็ อนั ขาด ใหต้ งั้ เกลยี้ กลอ่ มทา มาหากนิ ตามภมู ลิ า เนาดงั แตก่ อ่ น ถา้ ผใู้ ดมฟิ งั บังอาจละเมิดพระราชกาหนดจงลงพระราชอาญาผู้นั้นถึงชีวิต” (เป็นการอนุรักษ์ยุทธวินัยมิให้ทหารข่มเหงพลเมือง ท่ีมิได้ตีโต้อันจะทาให้พลเมืองมีความจงรักภักดีต่อไป)
สิ่งหนึ่งท่ีตรงกับหลักการสงครามสมัยใหม่ก็คือ การทา Lesson Learn หลังเสร็จยุทธการท่ีมีมาต้ังแต่สมัย พระเจา้ ตากสนิ ฯ กลา่ วคอื หลงั จากนนั้ ทรงมรี บั สงั่ สอบถามบรรดาแมท่ พั นายกองถงึ วธิ ปี ฏบิ ตั ใิ นเวลารบทง้ั ฝา่ ยเรอื และ ฝ่ายบก เพื่อจะได้ทรงทราบว่าใครทาถูกทาผิด จะได้เป็นบทเรียนไว้สาหรับการรบในคราวต่อไป เช่น
- มีรับสั่งถามเจ้าพระยาจักรี (หมุด) ว่า เม่ือญวนลงเรือหนีไปทาไมจึงไม่ยิงปืน ในเวลานั้นเจ้าพระยาจักรี (หมุด) กราบทูลว่า เพราะเรือรบในบังคับบัญชาของจม่ืนไวยวรนาถขวางหน้าอยู่ จึงเข้าพระทัยว่าจมื่นไวยวรนาถทาการรบ ไม่เข้มแข็ง รี ๆ รอ ๆ ไม่รีบเข้าตีเรือข้าศึก ทาให้เกะกะไม่เป็นประโยชน์อันใดในการสู้รบ ควรจะต้องลงพระอาญาเฆี่ยน คนละ ๓๐ ที แต่ให้ทุเลาไว้ก่อน และให้ทาการแก้ตัวในการรบครั้งต่อไป
- มรี บั สงั่ ถามหวั หนา้ กองอาจารยว์ า่ คมุ ทหารหกั เขา้ คา่ ยทางดา้ นไหน หวั หนา้ กองอาจารย์ ๓ คน กราบทลู ไมเ่ หมอื นกนั ได้ความจริงว่าไม่เข้าตีตามที่รับสั่งไว้ นับว่ามีความผิด จึงให้ลงพระอาญาเฆี่ยนคนละ ๕๐ ที ไพร่คนละ ๒๐ ที ส่วนความชอบท่ีตีค่ายได้นั้น ก็พระราชทานบาเหน็จรางวัลคนละ ๖ ชั่ง
นาวิกศาสตร์ 31 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ดังน้ี จะเห็นได้ว่าแม่ทัพนั้นจะต้องมีความเด็ดขาด ผู้ใดจะขัดคาสั่งมิได้ ผิดก็ต้องเป็นผิด ถูกก็ต้องเป็นถูก แสดงความเด็ดขาดชัดเจนไปเลย เพราะในราชการทัพนั้นจะอ่อนแอมิได้ ใครทาความดีก็ได้รับความชอบ ใครทาผิด ก ต็ อ้ ง ไ ด ร้ บั โ ท ษ เ พ อ่ ื ม ใิ ห เ้ ป น็ เ ย ย่ ี ง อ ย า่ ง แ ล ะ เ ป น็ ก า ร ผ ด งุ ว นิ ยั อ นั เ ฉ ยี บ ข า ด ข อ ง ก อ ง ท พั แ ล ว้ ท ร ง พ ร ะ ก ร ณุ า จ ดั แ จ ง บ า้ น เ ม อื ง ดงั เกา่ จงึ พระราชทานตงั้ พระยาพพิ ธิ ผชู้ ว่ ยราชการโกษาธบิ ดเี ปน็ พระยาราชาเศรษฐรี งั้ เมอื งปากนา้ พทุ ไธมาศ (ฮาเตยี น)
จากความเป็นไปท่ีกล่าวมาข้างต้น บ่งชี้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าตากสินฯ เป็น “ผู้นาทหาร” ท่ีแท้จริง โดยทรงมี คณุ สมบตั คิ รบถว้ น โดยเฉพาะความเขม้ แขง็ เดด็ ขาด กลา้ ตดั สนิ ใจ รจู้ กั การออ่ นตวั ยดื หยนุ่ ตามสถานการณเ์ ชน่ เดยี วกบั แม่ทัพผู้มีชื่อเสียงของโลกในยุคปัจจุบัน
วันจันทร์ เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๒ ค่า (๑๘ พฤศจิกายน ๒๓๑๔) โปรดฯ ให้เจ้าพระยาจักรี (หมุด) เป็นแม่ทัพหน้า ทรงพระกรุณาพระราชทานเรือพระท่ีนั่งรองลาหน่ึงให้เป็นเกียรติยศ ยกทัพจากเมืองฮาเตียนไปตีเมืองพุทไธเพชร (อดุ งฤาชยั ) ราชธานี กรงุ กมั พชู าธบิ ดี ประกอบดว้ ยกองเรอื พระยาโกษา กองเรอื พระมหาเทพ กองเรอื จมน่ื ไวยวรนาถ กองเรือองค์พระรามราชา รวม ๕ กอง จานวนเรือรบ ๙๗ ลา นาย ไพร่ ๓,๓๐๗ คน สรรพด้วยปืนหน้าเรือ ปืนรายแคม เคร่ืองศัสตราวุธทั้งปวงยกล่วงหน้าไปก่อน เดินทัพไปตามลาน้าเข้าสู่แม่น้าโขง ครั้นยกออกไปถึงปากน้าโพรงกระสัง พบเรือประเจียงญวน ๓ ลา ได้รบกัน แลญวนนั้นแตกหนีไป โดดน้าบ้าง ถูกปืนตายบ้าง จับได้ฟันเสียบ้าง แล้วยกเรือ ขึ้นไปตามลาน้า เพื่อไปตีกรุงกัมพูชาธิบดีต่อไป
วนั พธุ เดอื น ๑๒ ขนึ้ ๑๔ คา่ (๒๐ พฤศจกิ ายน ๒๓๑๔) เพลายา่ ฆอ้ งคา่ ๕ บาท เปน็ มหาพชิ ยั ฤกษ์ พระเจา้ ตากสนิ ฯ เสด็จยกทัพหลวง นาย ไพร่ ๕,๐๐๐ เศษ เรือรบ ๖๐ ลา สรรพด้วยปืนหน้าเรือ ปืนรายแคม ปืนคาบศิลา ๒,๐๐๐ และเครอ่ื งศสั ตราวธุ ทง้ั ปวง ยกออกจากเมอื งฮาเตยี นโดยทางชลมารคขนึ้ ไปตกี รงุ กมั พชู าธบิ ดี ประทบั แรมตามรายทาง จากบ้านปลิงกุ บ้านแหลม ปากน้าโพรงกะสัง และที่บ้านจีนริมน้า จีนมาเฝ้ากราบทูลพระกรุณาว่า เจ้าเมืองกัมพูชา หนีไปแล้ว จึงเสด็จไปประทับ ณ เกาะพนมเพ็ง (บริเวณเมืองพนมเปญ)
กองเรือพระยาโกษาธิบดีที่แยกมาจากกองทัพหลวงตีได้เมืองกัมพงโสมแล้วยกจะตีเอาเมืองกาปอด พระยาปังกลิมา แขกจามเจ้าเมืองยอมอ่อนน้อมมิได้ต่อรบจึงพาตัวข้ึนมาเฝ้า ณ เกาะพนมเพ็ง จึงโปรดฯ ให้พระยาปังกลิมากลับไปอยู่รั้งเมืองกาปอดดังเก่า
หลังจากทรงพระกรุณาพระราชทานเรือแลข้าวปลาอาหารให้แก่พระสงฆ์ไทยที่สมัครจะเข้าไปเมืองธนบุรีแล้ว เสด็จฯ จากเกาะพนมเพ็งมาประทับอยู่ ณ ปากน้าถวายพะแพฟากตะวันตก หนังสือเจ้าพระยาจักรี (หมุด) บอกมา ทูลพระกรุณาเป็นใจความว่า เขมรประมาณ ๑,๐๐๐ เศษ ตั้งค่าย ๒ ฟากคลอง คลองน้ันผูกแพสกัดไว้ได้เข้ารบพุ่ง ติดพันกันอยู่ รุ่งขึ้นวันพฤหัสบดี เดือน ๑๒ แรม ๑๔ ค่า เพลาเช้าเสด็จออกโยธาทหารท้ังปวง ทรงพระกรุณาดารัส เหนอื เกลา้ ฯ สงั่ วา่ บนั ดาจนี ไทยทง้ั ปวงซง่ึ ไดเ้ ขมรเชลยไว้ ใหเ้ อาขนึ้ ทลู เกลา้ ฯ ถวายจะพระราชทานใหเ้ จา้ องคร์ ามราชา ซึ่งอยู่กินเมืองกมั พูชาธิบดี แลกองทัพเจ้าพระยายมราช (รชั กาลที่ ๑) พระยาโกษาใหอ้ ยู่ชว่ ยราชการองค์รามราชากว่า สนบสนดั กอ่ น อนงึ่ เจา้ พระยาจกั รี (หมดุ ) ซงึ่ ไปตคี รวั ณ ปาพนมนนั้ สมั ฤทธร์ิ าชการแลว้ กลบั คนื มายงั ทพั หลวงซงึ่ ตง้ั อยู่ ณ ปากน้าถวายพะแพ เพลาเช้า ๒ โมงเศษ เสด็จฯ ยกพลหยุหทัพเพื่อจะกลับคืนยังเมืองพุทไธมาศ/ฮาเตียน โดย เสด็จฯ มาประทับแรม ณ เกาะปากน้าทางจะไปกัมพูชา คอยโยธาทหารมาพร้อมแล้วจึงทรงวิจารณ์จัดแจงแล้ว รุ่งขึ้น เพลาเช้ายกออกจากเกาะล่องไปประทับอยู่ฟากตะวันตก ณ ปากสองแคว จะไปกัมพูชา จะไปปาสัก
อนงึ่ นายทพั นายกองซงึ่ ทรงพระกรณุ าใหไ้ ปตง้ั อยู่ ณ ปากนา้ แลว้ จงึ ใหไ้ ปเกลย้ี กลอ่ มเมอื งปาสกั มไิ ดต้ ง้ั อยตู่ ามรบั สงั่ ล่วงเข้าไปพบเรือญวนประมาณ ๕๐ ลา รบกัน ลาดทัพถอยมาให้เสียพระสิริสวัสดิ์ (เสื่อมเสียพระเกียรติยศ) เสียคน เสียเรือ ๑๑ ลา แล้วเสด็จฯ มาตั้งค่ายอยู่ ณ ปากน้าโพรงกระสัง บันดาเรือเชลยซึ่งตีได้มานั้นให้ล่วงหน้าไปเมือง
นาวิกศาสตร์ 32 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
พทุ ไธมาศกอ่ น ครนั้ รงุ่ ขนึ้ วนั เสาร์ เดอื นอา้ ย ขนึ้ คา่ หนงึ่ ยกจากคา่ ยปากนา้ โพรงกระสงั ใหเ้ จา้ พระยาจกั รี (หมดุ ) ตงั้ มนั่ อยู่ บา้ นจนิ จง แลนายทพั นายกองทลี่ าดทพั มาแตป่ าสกั ใหส้ มทบอยใู่ นกองนดี้ ว้ ย รงุ่ ขนึ้ ยกออกมาเพลาคา่ นา้ ในคลองนนั้ ตนื้ เรือครัวจะไปนั้นมิได้ ทรงพระมหากรุณาให้ฝีพายทนายเลือก (นักมวยป้องกันพระองค์) ช่วยเข็นเรือ แล้วสั่งให้ทดน้า ทั้งกลางวันกลางคืน เรือรบเรือเชลยใหญ่น้อยท้ังปวงผ่านไปได้ (สิ่งน้ีแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถในการอานวย การทัพในฐานะผู้บัญชาการพ้ืนที่ซึ่งต้องตัดสินใจแก้ไขปัญหาท่ีเกิดข้ึน และเป็นผู้สั่งการในพ้ืนที่เพื่อขจัดอุปสรรค ต่อแผนหลักที่วางไว้) วันจันทร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๓ ค่า เพลาบ่าย ๓ โมง ถึงเมืองพุทไธมาศ สั่งให้พระยาพิชัยไอศวรรย์ แตง่ คนไปเอาขา่ วราชการ ณ กรงุ เทพมหานคร (กรงุ ธนบรุ )ี รงุ่ ขนึ้ เพลาบา่ ย ๔ โมงเศษ พระยาทพิ โกษานา เอาจนี บญุ เสง็ หลวงสงขลา ซึ่งหนีไปน้ันมาทูลเกล้าฯ ถวาย จึงตรัสประภาษ ท้ังสองโทษถึงตาย ทรงพระกรุณาตามที่กราบทูลจะอยู่ ทาราชการสนองพระเดชพระคุณต่อไป
วันพุธ เดือนอ้าย ข้ึน ๕ ค่า เพลา ๒ ยามเศษ เจ้าพระยาจักรี (หมุด) พระยาอภัยรณฤทธ์ิ บอกมาให้กราบทูล พระกรุณาใจความว่า นายทัพนายกองซึ่งไปราชการเมืองปาสัก รบกับญวนเสียคนถูกปืนตายและเรือ ๘ ลา นายและ ไพร่รอดมาได้ ๑๘๖ คน ข้ึนบกเดินตามริมน้ามาถึงบ้านพระยาพิชัยสงคราม เขมรซ่ึงเกลี้ยกล่อมไว้นั้นรับเลี้ยงดูไว้ ว่าจะส่งเข้ามา อนึ่ง พระสงฆ์เขมร ๕ รูป ถือหนังสือพระยาอธิกวงศา เจ้าเมืองปาสัก และพระยาราชาสงคราม มาเถิง นายทัพนายกองท้ังปวง ในใจความว่า จะสวามิภักดิ์สมัครเป็นข้าใต้ละอองฯ แลให้นายทัพนายกองช่วยทานุบารุง เอาเนอื้ ความกราบทลู สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ใหท้ รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ อยา่ ใหม้ คี วามผดิ สง่ิ หนงึ่ สง่ิ ใดเลย พระหลวงขนุ ห ม นื ่ เ ข ม ร จ ะ ไ ด ม้ ชี วี ติ ส บื ไ ป จ ะ ไ ด ท้ า ก า ร ส ง ค ร า ม ม ไิ ด ก้ ล วั แ ก ญ่ ว น เ ล ย ค ร นั ้ ไ ด ท้ ร ง ฟ งั ห น งั ส อื บ อ ก น นั ้ แ ล ว้ จ งึ ต ร สั ป ร ะ ภ า ษ ว า่ เจ้าเมืองปาสักนี้มีความชอบอยู่ ซ่ึงข้าทูลละอองฯ จะอาษาไปตีนั้นให้ยกไว้ จึงทรงพระอักษรไปเถิงเจ้าพระยาจักรี (หมดุ ) ในใจความวา่ ขา้ หลวงซง่ึ ไปราชการเมอื งปาสกั ญวนบงั อาจตแี ตกกระจดั กระจายหนขี น้ึ บกไดน้ น้ั เจา้ เมอื งปาสกั และพระยาราชาสงคราม เขมรรับไว้เลี้ยงดู ให้กินแล้วแต่งคน เรือ เสบียงส่งมานั้น เป็นความชอบใหญ่หลวง ท ร ง พ ร ะ ก ร ณุ า พ ร ะ ร า ช ท า น เ ส อ้ ื ผ า้ ค น ล ะ ส า ร บั เ ง นิ ค น ล ะ ช ง่ ั แ ล ว้ ใ ห เ้ จ า้ พ ร ะ ย า จ กั ร ี ( ห ม ดุ ) ห า ล ง ม า พ ร ะ ร า ช ท า น แ ล ว้ ใ ห ้ หา้ มนายทพั นายกองทงั้ ปวงอยา่ ใหไ้ ปตเี มอื งปาสกั เลย ใหพ้ ระยาอธกิ วงศากนิ เมอื งปาสกั สบื ไป ทรงพระกรณุ าจะฝากฝงั พระองคร์ ามราชา ซงึ่ ครองกมั พชู าธบิ ดี ใหท้ า ราชการยงิ่ ๆ ขนึ้ ไป ถา้ พระยาทงั้ สองจะใครไ่ ปถวายบงั คมพระองคร์ ามราชา ก็ให้ไป ถ้าใคร่จะมาถวายบังคมล้นเกล้าฯ ณ เมืองพุทไธมาศ ก็ให้พาตัวลงมา หนังสือแลสิ่งของพระราชทานนั้น ให้พระยาเดโช เขมร นายแกว่นถือไป (พนักงานมหาดไทย)
วนั พฤหสั บดีเดอื นอา้ ยขนึ้ ๖คา่ เพลาเชา้ ทรงพระอกั ษร๒ฉบบั เปน็ หนงั สอื พระยาโกษาธบิ ดีใหน้ ายวสิ ตู รองไดฉาม ลกั เกยี ด ไพรไ่ ทย ๕ ญวน ๕ ถอื ไปกรงุ อนา กก ในเรอื่ งราวใจความฉบบั หนง่ึ วา่ ใหเ้ สนาบดกี ราบบงั คมทลู พระเจา้ อนา กก ให้ว่าแก่ญวนลูกหนาย (เมืองซาดิงห์/ไซ่ง่อน) ให้ส่งเรือรบ ๘ ลา นายและไพร่ ๑๐๐ เงิน ๑๐๐ ชั่ง ซ่ึงญวนสกัดตีซ่ึง ข้าหลวงราชการเมืองปาสัก โดยทางพระราชไมตรีแลไมตรีมิให้พิโรธแก่กัน
อนึ่ง ตรัสสั่งพระอาลักษณ์ ให้หมายบอกกรมนา จ่ายข้าวสาร ๓ เกวียน แลกัปปิยะ (เคร่ืองใช้สมควรแก่สมณะ) ถวายพระสงฆ์ ๕๐ เณร ๕๐ รวม ๑๐๐ รูป ซึ่งจะได้รับพระราชทานฉัน กว่าจะไปเถิงเมืองธนบุรี
วนั อาทติ ย์ เดอื นอา้ ย ขนึ้ ๙ คา่ เพลาบา่ ย ๒ โมง ทรงพระอกั ษรดา รสั สงั่ หลวงราชนกิ ลุ ใหไ้ ปเถงิ เจา้ พระยาจกั รี (หมดุ ) เป็นใจความว่า กองทัพพระศรีพิพัฒ ซึ่งไปราชการเมืองปาสัก แตกญวนหนีมา เสียเรือรบ เรือไล่ น้ัน คร้ันจะไม่เอาโทษ ข้าราชการทั้งปวงก็จะดูเยี่ยงอย่างกันสืบไป ครั้นจะเอาโทษเล่า คนมากกว่า ๓๐๐ นั้น ทรงพระราชดาริจะลงโทษให้ ก่อกาแพงเมืองธนบุรี แลให้แต่งคนคุมผู้มีช่ือเป็นหมวดเป็นกองลงมา ณ เมืองพุทไธมาศ จะได้ให้มีนายประกันรับตัว เข้าไปยังเมืองธนบุรี แลให้เจ้าพระยาจักรี (หมุด) แลกองทัพทั้งปวงกลับมา ณ เมืองพุทไธมาศ จะได้จัดแจงแต่งเรือรบ
นาวิกศาสตร์ 33 ปีท่ี ๑๐๔ เล่มท่ี ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
เรอื ไลใ่ หพ้ รอ้ มไว้ เพลาทมุ่ เศษเสดจ็ อยู่ ณ พระตา หนกั เมอื งพทุ ไธมาศ ขนุ วสิ ตู รแลลาวมชี อ่ื กบั หนงั สอื บอกพระยาพชิ ยั (ทองด)ี และหนงั สอื เจา้ พระยาศรธี รรมมาธริ าชเปน็ หลายฉบบั ทรงหนงั สอื บอกในทา่ มกลางราชบรษิ ทั ทงั้ ปวง ในใจความ น้ันว่า พระยาพิชัย (ทองดี) ให้ขุนคลังไปสืบข่าวราชการพะม่า พระยาศรีสุริวงศ์ บอกเน้ือความว่าไปสอดแนมราชการ ณ เมืองแพร่ เมืองน่าน พบนายจุด นายตน นายคามูน ให้การว่า มังมะยุง่วน เจ้าเมืองเชียงใหม่ (ขณะนั้นขึ้นกับพะม่า) ให้กะเกณฑ์พลทหารเป็นหลายบ้านไปพร้อมกัน ณ เมืองเชียงใหม่ กับทัพเมืองเมาะตะมะ เป็น ๒ ทัพ จะยกไปเมืองใด คนมากน้อยเท่าใดมิได้รู้ พระยาพิชัย (ทองดี) เกณฑ์คนเมืองลับแล เมืองฝาง เป็นกองหลวงได้คน ๔๐๐ ตระเตรียมไว้ อน่ึง พระยากาญจนบุรีบอกเข้ามาว่า ได้แต่งคนออกไปตระเวณปลายด่านพบพะม่าแลมอญ จึงยกพวกพลทหาร กา้ วสะกดั ยงิ พะมา่ ตาย ๒ คน พะมา่ แตกพา่ ยไป จงึ ไดห้ มวก เสอ้ื ปนื แลละวา้ (ชาวเขาเผา่ หนง่ึ อยทู่ างตอนเหนอื ของสยาม) ซึ่งพะม่ากวาดเอาไปน้ันคืนมาได้ ๗๐ คน ข่าวว่าราชการในเมืองเมาะตะมะสงบอยู่ แลหนังสือบอกราชการในเมือง ธนบุรี ครั้นทรงอ่านแล้วและทรงซักไซ้ไต่ถามลาวมีช่ือ (เชลยชาวลาว) ด้วยภาษาลาว ก็แจ้งและอนุมานตามกระแส เนื้อความนั้น จึงตรัสแก่บริษัททั้งปวงว่าพะม่าจะยกมาน้ันหามิได้
ความเปน็ ไปขา้ งตน้ นี้ ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ ฯ ทรงใหค้ วามสา คญั เรอื่ ง “ขา่ วกรอง” โดยมกี ารรวบรวม สบื เสาะขอ้ มลู ขา่ วสารของฝา่ ยตรงขา้ มแลว้ นา มาวเิ คราะห์ เพอื่ ประเมนิ ภยั คกุ คามเชน่ เดยี วกบั หลกั การทหารในปจั จบุ นั วันจันทร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๑๑ ค่า เพลาเช้าโมงเศษ พระยาโกษานอกราชการทัพบก ยกลงมาแต่กรุงกัมพูชาธิบดี มาเฝ้ากราบทูลพระกรุณาในเนื้อความว่า เม่ือยกทัพลงมานั้น เขมรป่าพวกละ ๕๐๐ พวกละ ๖๐๐ คน ยกกันมาสกัด ทาอันตราย กลางวันบ้าง เข้าตีปล้นกลางคืนบ้าง ได้รบกันเป็นสามารถ เขมรร้องว่ามึงแตกทัพญวนลงมาแล้วหรือ แลกองทัพพระยาโกษา กองทัพเจ้าพระยาอนุรักษ์ภูธร แลกองทัพขุนหม่ืนข้าหลวงทั้งปวง ได้ไล่ตะลุมบอนฆ่าฟันเขมร ล้มตายเป็นอันมาก ฝ่ายเขมรก็ต่อสู้ยิงกองทัพด้วยธนูหน้าไม้ ถูกไพร่ทหารในกองทัพ ๘๐ คนเศษ แต่จะได้อันตราย ล้มตายแต่สักคนหนึ่งมิได้นั้น จึงทรงพระกรุณาตรัสแก่พระยาโกษาว่า เราคิดเอ็นดูว่าเขมรนี้มิได้แกล้วกล้าในสงคราม เราจึงอดลดไว้ บัดนี้มาทาร้ายแก่ไพร่กองทัพนั้น เห็นว่าแผ่นดินกัมพูชาธิบดียังมิสงบจะไว้ชีวิตมิได้ สั่งให้พระยาโกษา เจ้าพระยาอนุรักษ์ภูธร ยกกองทัพขึ้นไปปราบเขมรเหล่าร้ายให้สงบจงได้ อนึ่ง เพลาทุ่มเศษ ทรงแต่งกฎประกาศ แก่ข้าทูลละอองฯ ฝ่ายทหาร พลเรือนไทยจีน ว่าทางจะไปญวนนั้นขัดสน แลได้มีศุภอักษรไปแก่ญวนแล้วถ้าเป็นไมตรี ต่อแล้วก็แล้วไป ถ้าดื้อดึงอยู่จะยกกองทัพเรือไป แลให้พระยายมราช (รัชกาลท่ี ๑) พระยาโกษาอยู่ช่วยราชการ พระองค์รามราชา ณ เมืองกัมพูชาธิบดี กว่าเขมรจะราบคาบสงบแล้วจึงให้กลับไป เมื่อจะกลับไปนั้น ให้เกณฑ์กัน ต้ังค่ายเป็นทอดไปกว่าจะถึงกรุงฯ อย่าให้เป็นเหตุการณ์อันตราย จะเอานายทัพนายกองเป็นโทษถึงตาย อนึ่งญวน เขมรอ่อนแก่การสงคราม จะตั้งค่ายก็ตั้งแค่ ๓ ด้าน จะรบเรือก็ลอยเรือยิง เรือใหญ่ช่องปืนยิงนั้นจาเพาะแต่ปากปืนนั้น จะยักย้ายมิได้ ล้อรางไม่รวดเร็วอย่างกับเรือรบกรุงฯ ถ้าทแกล้วทหารบุกรุกเข้าไปญวนกระโดดน้าหนีไป ได้เรือ เครอ่ื งศสั ตราวธุ เปน็ หลายแหง่ หลายตา บล แลกองทพั พระศรพี พิ ฒั รบกบั ญวน ญวนลอยเรอื รบยงิ แตไ่ กล มไิ ดย้ กบกุ รกุ จึงเสียคน ๑๐ คน เรือ ๖ ลา และพระอุทัยธรรมมิได้ช่วยกัน ลาดถอยเรือหนีมาให้เสียราชการนั้น จะเอาตัว เปน็ โทษตามโทษานโุ ทษแตน่ ส้ี บื ไปเมอ่ื หนา้ นายทพั นายกองทงั้ ปวงจะรบญวนนนั้ ใหเ้ ขา้ เปน็ กอง ๑๐ ลา บา้ ง ๕ ลา บา้ ง ให้ตีแต่เข้าไปให้ชิดได้แคมได้ข้าง ถึงจะยิงปืนช่องปืนจาเพาะแต่ปากบอก จะยกท้ายขึ้นมิได้ ก็จะพ้นไป เสียทางปืน แล้วญวนก็จะโดดน้าหนี จะได้ชัยชนะมาทูลเกล้าฯ เป็นความชอบนัก แลนายทัพนายกองจะรบด้วยเรือรบญวน ผู้ใด รั้งรอย่อหย่อนอยู่ให้เสียราชศรีสวัสด์ิน้ัน ให้นายทัพผู้ใหญ่ตัดศีรษะเสียบ อย่าได้ดูเยี่ยงอย่างกัน ญวนต้ังค่ายรบเอา เรอื รบ เรอื ลอ่ อยา่ ใหบ้ กุ รกุ เขา้ ไป ถา้ พอจะเอาเรอื รบซอ่ นไวไ้ ด้ กใ็ หซ้ มุ่ ไว้ ใหแ้ ตง่ กองออกลอ่ ใหเ้ สยี กลแลว้ กใ็ หต้ ดั ทา้ ย
ตัดกลางบุกรุกเข้าไป จึงจะได้ชัยชนะด้วยง่าย
นาวิกศาสตร์ 34 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
วันพุธ เดือนอ้าย ขึ้น ๑๒ ค่า เพลาบ่าย ๓ โมงเศษ ฯพฯ ลูกขุน (ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่) ณ ศาลาที่ประทับ ไดเ้ อาหนงั สอื บอกของพระยายมราช (รชั กาลท่ี ๑) นนั้ กราบทลู พระกรณุ าในใจความนนั้ วา่ วนั จนั ทร์ เดอื น ๑๒ ขนึ้ ๕ คา่ ยกกองทัพบกมาถึงบ้านปราสาทเอกไกลเมืองพระตะบองประมาณ ๑๕๐ เส้น ต้ังค่ายมั่นลงแล้ว แต่งให้พระหลวง ขนุ หมนื่ ทแกลว้ ทหารทงั้ ปวง ๑,๐๐๐ เศษ ยกเขา้ ตเี มอื งดกู า ลงั รบกนั เพลาบา่ ยโมงจนเพลาคา่ เขมรยงั รบพงุ่ ตา้ นทานอยู่ คร้ันเพลาประมาณ ๒ ทุ่มเศษ พระอนุชิตราชาและนายทัพนายกองทั้งปวง จึงแต่งคนให้ข้ามน้าวกหลังไปตีเขมร แตกพ่ายไป จึงยกมาตั้งมั่นอยู่ ณ บ้านปลงกะบู แล้วให้พระยากาแหงวิชิต ยกรบัตรทัพอยู่รักษาด่าน กองหลวง กองหน้า กองเกียกกาย กองยกรบัตรทัพ กับนายทัพนายกองท้ังปวง ยกไปตีเขมรที่ค่ายสานักระกา รบพุ่งกันแต่ เพลาเช้า ๒ โมง จนเพลาบ่าย ๒ โมง ตะลุมบอนฟันแทงเขมรตายประมาณ ๑๐๐ คนเศษ เขมรแตกไป จับได้ ๒๗ คน ได้ปืนแกว (ญวน) ๕๐ กระบอก ม้า และเครื่องศัสตราวุธเป็นอันมาก พระวิเศษถูกปืนตาย และทหารบาดเจ็บ ๑๔ คน ตาย ๑ คน แลสืบข่าวได้ว่าเขมรตั้งค่ายรบ ณ บ้านตะพงปรัก ๒ ค่าย จึงให้ฟ้าทะละหะ และนายเงินน้องพระวิเศษ ทาราชการแทนพระวิเศษกองหน้าต่อไป ยกกองทัพเข้าตีเมืองโพธิสัตว์เขมรแตกหนีไป จึงตั้งค่ายพักอยู่หาเสบียง ณ เมืองโพธิสัตว์ ๓ วัน แต่งให้ทหารรักษาเมือง ๒๐๐ คน แล้วให้แยกข้ึนทางเมืองตะคร้อ เมืองขลุง เมืองลารอง เมอื งบรบิ รู ณ์ ตดั ตรงจะเขา้ ตเี มอื งพทุ ไธเพชร ครนั้ ถงึ บา้ นกา แรง จบั เขมรได้ ใหก้ ารวา่ กองทพั หลวงไดเ้ มอื งพทุ ไธเพชร แลว้ จงึ ยกรบี มาตามเสดจ็ ฯ (พระยายมราช รชั กาลที่ ๑ เขา้ พระทยั วา่ พระเจา้ ตากสนิ ฯ เสดจ็ มากบั ทพั หลวง ความจรงิ แลว้ เป็นทัพหน้าของเจ้าพระยาจักรี (หมุด) ที่ตีเมืองพุทไธเพชรได้ก่อนแล้ว) พบพระองค์รามราชาบอกว่าเสด็จฯ กลับไปเมืองฮาเตียน/พุทไธมาศแล้ว แลเมืองพุทไธเพชรน้ัน ข้าวปลาอาหารขัดสน จึงยกมาตั้ง ณ เมืองโพธิสัตว์ เมอื งปตั บอง (พระตะบอง) ขา้ วปลาอาหาร ผคู้ นคอ่ ยมง่ั คงั่ ใหฟ้ า้ ทะละหะอยเู่ กลยี้ กลอ่ มจะไดช้ ว่ ยราชการไปกวา่ จะสงบ
ครั้นได้ทรงฟังในหนังสือบอกนั้นแล้ว จึงทรงฯ ตรัสสั่งว่า ฟ้าทะละหะน้ันให้อยู่เกล้ียกล่อม ณ เมืองโพธิสัตว์ เมืองปัตบอง ที่ข้าวปลาอาหาร ผู้คนมาก และให้มีหนังสือไปเถิงพระองค์รามราชา ว่าได้ให้พระยายมราช (รัชกาลที่ ๑) พระยาโกษาอยู่ช่วยราชการพระองค์รามราชา ถ้าราชการกรุงกัมพูชาธิบดีสงบแล้วจึงให้กองทัพกลับเข้าไปกรุงฯ แลพระราชทานขา้ ว ๑๐๐ เกวยี น ดนิ ประสวิ ๕ หาบ ดบี กุ ๕ หาบ ไวแ้ กพ่ ระองคร์ ามราชาสา หรบั ราชการ อนงึ่ ฟา้ ทะละหะ คร้ันสงบราชการแล้ว ให้คงท่ีเป็นฟ้าทะละหะทาราชการทะนุบารุงแผ่นดินกรุงกัมพูชาธิบดีสืบไป แล้วทรงพระกรุณา พระราชทานขา้ วไวส้ า หรบั เมอื ง ใหพ้ ระองคร์ ามราชา ๑๐๐ เกวยี น พระยาราชาเศรษฐี ๑๐๐ เกวยี น ไวเ้ มอื งพทุ ไธมาศ ถ้าพระองค์รามราชาขัดสนก็ให้แต่งคนลงไปรับเอาต่อพระยาราชาเศรษฐี เมืองปากน้าพุทไธมาศ (ฮาเตียน)
วนั ศกุ ร์เดอื นอา้ ยขน้ึ ๑๔คา่ เพลาเชา้ เสดจ็ ฯออกขนุ นางณตา หนกั เมอื งพทุ ไธมาศตรสั สงั่ เจา้ พระยาสรประสทิ ธว์ิ า่ ณ วันเดือนอ้าย แรม ๓ ค่า จะเสด็จกลับไปเมืองธนบุรี ให้ตั้งพิธีไปแต่วันนี้ ให้เป็นลมว่าว ลมตะวันออก กว่าจะเสด็จฯ กลับไปเถิงเมืองธนบุรี อย่าให้เป็นเหตุการณ์แก่พิริยโยธาทั้งปวง
อนึ่ง เพลาย่าค่าแล้ว ทรงพระอักษรส่งให้นายเล่ห์อาวุธ (มหาดเล็ก) ให้หมาดไทยหมายบอกข้าทูลละอองฯ ฝ่ายทหาร พลเรือน ทแกล้วทหารท้ังปวงในใจความว่า จะเสด็จฯ กลับไปโดยทางชลมารคนั้น ให้ไปเป็นหมวดเป็นกอง อย่าให้พลัดหมวด พลัดกอง มีราชการจะได้หากันสะดวก แลฤดูนี้เป็นเทศกาลลมว่าวพัดด้านข้างเรือ ลมตะวันออก พัดข้างเรือ ห้ามอย่าให้ออกไปไกลฝ่ัง ให้เลียบริมฝ่ังไป ถ้าจะข้ามอ่าว ลมพัดข้างเรือนัก คลื่นใหญ่จะไปมิได้ ให้หยุดอยู่ กว่าคล่ืนจะสงบราบก่อนจึงไป ให้ได้อ่าวอาศัยถ้าเห็นว่าลมเปล่าโปร่งดี ก็ให้ไปทั้งกลางวันกลางคืน อย่าให้หยุดอยู่ที่ใด ท หี ่ น ง่ ึ แ ล ใ ห น้ า ย ท พั น า ย ก อ ง ก า ช บั ว า่ ก ล า่ ว ก นั อ ย า่ ใ ห เ้ ป น็ เ ห ต กุ า ร ณ แ์ ต ส่ งิ ่ ห น ง่ ึ ส ง่ ิ ใ ด ไ ด ้ อ น ง่ ึ ล กู เ ร อื น นั ้ ใ ห ด้ โู ค ม ( ส ญั ญ า ณ ไ ฟ ) นายเรือเป็นสาคัญ ให้ไปเป็นหมวดเป็นกองกันตามรับสั่ง
นาวิกศาสตร์ 35 ปีท่ี ๑๐๔ เล่มท่ี ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ความเปน็ ไปขา้ งตน้ น้ี ชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ พระอจั ฉรยิ ภาพความเปน็ ชาวเรอื ของพระเจา้ ตากสนิ ฯ ทท่ี รงวเิ คราะหค์ าดการณ์ สภาพท้องทะเล และฟ้าอากาศ ซึ่งจะมีผลกระทบโดยตรงต่อการยาตราเรือจานวนมาก
วนั เสาร์ เดอื นอา้ ย ขน้ึ ๑๕ คา่ เพลาเชา้ เสดจ็ ฯ ทรงมา้ พระทน่ี งั่ ไปบา เพญ็ การกศุ ล ณ วดั ญวน ใหส้ งั ฆการธี รรมการ (เจา้ พนกั งานผมู้ หี นา้ ทเี่ กยี่ วกบั สงฆใ์ นงานหลวง) นมิ นตพ์ ระสงฆไ์ ทย จนี และญวน เปน็ อนั มาก มาพรอ้ มกนั ณ วดั ญวน แล้วสวดพระพุทธมนต์ตามภาษา ครั้นจบแล้วถวายไทยทาน แล้วตรัสประภาษให้โอวาทพระสงฆ์ญวนโดยภาษาญวน พระสงฆ์จีนโดยภาษาจีน ในพระราชอธิบายว่าให้ต้ังอยู่ในสังวรศีล (ความสารวมเป็นศีลได้แก่สังวร ๕ อย่าง)
รงุ่ ขนึ้ เพลาบา่ ย ๓ โมงเศษ พระยาพษิ ณโุ ลก เจา้ เมอื งเชงิ กะชมุ พระยาโยธาภกั ดี เจา้ เมอื งมะลกิ นุ พระยาราวโี ยธาธบิ ดี เจา้ เมอื งนครบรุ ีพระยาจกั รี(หมดุ )พามาเฝา้ ทรงพระกรณุ าพระราชทานเสอื้ ผา้ คนละสา รบั พระราชทานปนื ใหญ่๒บอก ให้พระยาพิษณุโลกรักษาค่ายปากน้าโพรงกระสัง ฝากไปพระองค์ราม ปืนใหญ่ ๕ บอก และให้พระยาจักรี (หมุด) มหี นงั สอื ไปถงึ พระองคร์ ามราชา ใจความวา่ ทรงพระกรณุ าพระราชทานปนื ใหญไ่ วส้ า หรบั เมอื ง ๕ บอก และเมอื งซง่ึ ขน้ึ แก่ กัมพูชาธิบดี อย่าเพ่อให้เรียกส่วยไรก่อน ด้วยว่ากองทัพมาย่ายี ผู้คนยังขัดสนอยู่ แลให้โอบอ้อมเกลี้ยกล่อมเอาไว้ใช้ โดยไมตรี อย่าให้เสียน้าใจได้ แล้วให้พระองค์รามราชาสืบดูหนทางจะไปเมืองอนากก เมืองลูกหนาย (เมืองซาดิงห์/ ไซง่อน) ให้สรรพไว้
วันจันทร์ เดือนอ้าย แรม ๒ ค่า เพลาย่าฆ้องค่าแล้วทุ่มเศษ พระองค์รามราชามีหนังสือบอกมากราบทูล พระกรุณาใจความว่า พระองค์อุทัยราชา (นักองค์ตน) เจ้าเสสัง (พระองค์เจ้าศรีสังข์) หนีไปแคว้นเมืองญวนติดตาม ไปไม่ได้ จึงยกทัพกลับมา แลให้ทหารไปเกลี้ยกล่อม พบกองทัพพระองค์อุทัยฯ ได้รบกันแตกหนีไป แลขัดสนด้วยปืน จะขอปืนคาบศิลาซึ่งเบิกไปสาหรับทัพ ๓๐ บอก จะขอใหม่ ๗๐ เป็น ๑๐๐ บอก จะได้เป็นกาลังราชการไป ครน้ั ไดท้ รงฟงั หนงั สอื บอกนนั้ แลว้ จงึ สงั่ ใหพ้ ระราชทานปนื คาบศลิ า ๑๐๐ บอก แลจดั ปนื คาบชดุ ๑๒ บอก พระราชทาน ไปเปน็ ๑๑๒ บอก แลว้ ทรงพระอกั ษรใหเ้ จา้ พระยาจกั รี (หมดุ ) บอกไปเถงิ พระองคร์ ามราชาใจความวา่ ปนื ใหญ่ ๕ บอก ฝากพระยาพิษณุโลกข้ึนไปถึงพระองค์รามราชา แลพระราชทานปืนใหญ่พระยาพิษณุโลก ๒ บอก สาหรับรักษา ค่ายปากน้าโพรงกระสัง ถ้าช้าไปก็ให้พระองค์รามราชาแต่งคนลงมารับเอาต่อพระยาพิษณุโลก อน่ึง ดีบุก ๕๐ หาบ ดินประสิว ๕๐ หาบ ฝากพระยาโกษา (นอกราชการที่โปรดให้ไปอยู่ช่วยราชการ ณ กรุงกัมพูชาฯ) ไปพระราชทาน พระองค์รามราชา ถ้าขัดสนด้วยลูกกระสุนดินประสิว ทรงพระกรุณาพระราชทาน พระยาราชาเศรษฐีไว้เป็นอันมาก ให้พระองค์รามราชาแต่งคนมายืมเอา อน่ึง ข้าวเปลือก ๗๐ เกวียน มอบพระยาราชาเศรษฐีไว้ ถ้าพระองค์รามฯ ขัดสน ด้วยอาหารก็ให้แต่งคน แต่งเกวียนลงไปรับเอา จะเสด็จอยู่ท่ีเมืองพุทไธมาศช้านักมิได้ ด้วยเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช แลขา้ หลวง(ผรู้ กั ษาพระนคร-กรงุ ธนบรุ )ี บอกหนงั สอื สง่ คนขา่ วลาวละวา้ พะมา่ หนา้ ดา่ นมาพะมา่ เสยี แกห่ อ้ (ฮอ่ -จนี )แลว้ แลพม่าแตกต่ืนมาหน้าด่าน จะเสด็จฯ พระดาเนินมายังกรุงธนบุรี จะแต่งกองทัพข้ึนไปจัดแจงเมืองเชียงใหม่ เมืองมัตมะ และเมืองหงสา
วันอังคาร เดือนอ้าย แรม ๓ ค่า ยกโยธาทัพหลวง จากเมืองพุทไธมาศกลับคืนพระนคร เสด็จฯ โดยทางชลมารค มาในท้องทะเลหลวง คลื่นลมสงบ หาอันตรายมิได้ เสด็จฯ มา ๑๓ วัน วันจันทร์ เดือนอ้าย แรม ๑๓ ค่า ถึงเมืองธนบุรี (พระองคเ์ จา้ จยุ้ แลเจา้ เมอื งจนั ทบรุ คี นเกา่ พรอ้ มพวกถกู ประหารสน้ิ สว่ นพระองคเ์ จา้ ศรสี งั ขน์ นั้ ตามพระราชพงศาวดาร กรุงกัมพูชา ฉบับพระองค์นพรัตน์ กล่าวว่า “ลุเดือน ๓ ในปีเถาะ (จ.ศ. ๑๑๓๓ พ.ศ. ๒๓๑๔ นี้ เจ้าเสสัง (ศรีสังข์) ซ่ึงเป็นเจ้านายไทยที่หนีมาจากกรุงศรีอยุธยา คร้ังเม่ือพม่ามาตีเมืองมาอยู่เมืองเขมรน้ันได้สิ้นพระชนม์ลง”)
นาวิกศาสตร์ 36 ปีท่ี ๑๐๔ เล่มท่ี ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
บทสรุป
สยามสามารถกา จดั อทิ ธพิ ลของหมกั เทยี นตอื๋ ไมใ่ หม้ ารบกวนการแผป่ รมิ ณฑลอา นาจของธนบรุ ี และความสมั พนั ธ์ กับราชสานักจีน ตลอดจนการสถาปนากษัตริย์กัมพูชาภายใต้การกากับของธนบุรี แม้จะไม่มีอานาจเหนือกัมพูชา ทั้งหมดก็ตาม นอกจากนี้ ยังเป็นการสิ้นสุดอานาจทางการเมืองของราชวงศ์บ้านพลูหลวงอยุธยาในอุษาคเนย์ และไม่เป็นอุปสรรคต่อการครองบัลลังก์กรุงธนบุรีอีกต่อไป
สาหรับเรือท่ีไปราชการทัพคร้ังนี้ มีจานวนมากประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ ลา คงจะเกณฑ์มาจากหัวเมืองปักษ์ใต้ (รวมทง้ั เรอื ทรี่ บั สง่ั ใหต้ อ่ ใหมค่ ราวยกทพั เรอื ไปตเี มอื งนครศรธี รรมราช) และหวั เมอื งตะวนั ออก รวมทงั้ สา เภาของขนุ นาง ข้าราชการ และลูกค้าจีนทั้งปวง ส่วนปืนเล็กปืนใหญ่นั้น ในพงศาวดารกล่าวว่า
“แขกเมืองตรังกานู และแขกเมืองยักตรา (ปัตตาเวีย/อินโดนีเซีย) นาเอาปืนคาบศิลาเข้ามาทูลเกล้าถวาย ถึง ๒,๒๐๐ กระบอก เป็นพระราชลาภอันวิเศษ”
กับอีกคราวหนึ่ง กล่าวอย่างสั้น ๆ ว่า
“เมืองยักตราถวายปืนใหญ่ ๑๐๐ กระบอก”
ในจดหมายเหตุของฮอลันดามีกล่าวว่า “ฮอลันดาทางเมืองชวาได้จัดส่งปืนมาให้สยามตามที่ต้องการ
ในสมยั กรงุ ธนบรุ ี (นา่ จะเปน็ การคา้ ขาย)” ซง่ึ ทางฝา่ ยฮอลนั ดาคงจะเหน็ แลว้ วา่ เปน็ การทา บญุ คณุ กนั ไว้ ตอ่ ไปภายหนา้ จะไดเ้ ขา้ มาคา้ ขายกบั กรงุ ธนบรุ ไี ดโ้ ดยสะดวก ทงั้ นี้ นบั วา่ สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ ฯ ทรงดา เนนิ นโยบายทางการเมอื งกบั ชาตติ ะวนั ตกไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ซงึ่ แมแ้ ผน่ ดนิ กรงุ ธนบรุ เี ปน็ ราชธานขี องไทยจะมรี ะยะเวลาไมย่ าวนานนกั แตต่ ลอดหว้ งเวลานน้ั ไม่ปรากฏภัยคุกคามจากชาติตะวันตกเลยแม้แต่น้อย
ทั้งนี้ก็ด้วยพระปรีชาสามารถของพระเจ้าตากสินฯ ผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้แก่ปวงชนชาวไทย น่ันเอง
นอกจากนแี้ ลว้ สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราชทรงมพี ระปรชี าสามารถในการทา สงครามอยา่ งดยี งิ่ ทงั้ ศาสตรแ์ ละ ศิลป์ ดังเห็นได้จากทรงวางแผนการทัพในการพิชิตเมืองฮาเตียน และกรุงกัมพูชาอย่างเป็นระบบ โดยส่งกองทัพบก ไปทางปราจนี บรุ ี สว่ นพระองคย์ กทพั เรอื เปน็ ทพั หลวงไปตเี มอื งฮาเตยี น และเมอื่ กองเรอื ไปถงึ เมอื งจนั ทบรุ ไี ดท้ รงสงั่ ให้ กองเรือของพระยาโกษาแยกไปตีเมืองกาปงโสม และเมืองกาปอด เมื่อทัพหลวงไปถึงเมืองฮาเตียนแล้วทรงสารวจ ภมู ปิ ระเทศโดยเสดจ็ ดว้ ยพระบาทยนื อยบู่ นแหลมเผา่ ได๋ ซงึ่ สามารถมองเหน็ ตวั เมอื งไดท้ งั้ หมด และเปน็ จดุ ยทุ ธศาสตร์ สาคัญ จากนั้นทรงวางแผนเข้าตีเมืองอย่างเป็นระบบ หลังจากการรบแล้วทรงตรัสถามท้ังกาลังทางบกและทางเรือ วา่ ไดด้ า เนนิ การตามทไี่ ดท้ รงรบั สงั่ ไวห้ รอื ไม่ เพอื่ เปน็ บทเรยี นในการรบครง้ั ตอ่ ไป รวมทงั้ มกี ารลงโทษผไู้ มป่ ฏบิ ตั ติ ามรบั สงั่ และปูนบาเหน็จให้ด้วยหลังจากทรงจัดการบ้านเมืองให้เรียบร้อยแล้วด้วยการออกกฎหมายประเทศ ไม่ให้ทหาร ทา อนั ตรายตอ่ พลเมอื งผไู้ มเ่ กย่ี วขอ้ งกบั การรบ แลว้ ทรงวางแผนขน้ั ตอ่ ไป โปรดใหเ้ จา้ พระยาจกั รี (หมดุ ) เปน็ แมท่ พั หนา้ ยกทัพไปตเีมืองพทุไธเพชร(อดุงฤาชยั)กองเรอืขององคร์ามราชารวมอย่ดูว้ยยกลว่งหนา้ไปก่อนทพัหลวงโดยเดนิทพั ไปตามลาน้า ซึ่งจะเป็นการประสานสอดคล้องกับทัพบกท่ียกมาอีกทางหนึ่ง
การดาเนินการทางด้านการทูตนั้น พระองค์ทรงกระทาควบคู่กันไปด้วย เช่น มีศุภอักษรถึงเจ้าเมืองฮาเตียน ใหอ้ อกมายอมแพก้ อ่ นถงึ จะเขา้ ตเี มอื ง รวมทง้ั เมอื่ ไดเ้ มอื งพทุ ไธเพชรแลว้ ทรงใหม้ ศี ภุ อกั ษรไปถงึ เจา้ อนา กก (ทเ่ี มอื งเว)้ เป็นทางพระราชไมตรีมิให้พิโรธแก่กัน ด้วยจะแบ่งแผ่นดินกัมพูชาเป็น ๒ ภาค
ในทางดา้ นยทุ ธศาสตรแ์ ลว้ การทท่ี รงขยายขอบเขตปรมิ ณฑลอา นาจมาทางตะวนั ออกนนั้ เปน็ การปอ้ งกนั ในเชงิ ลกึ เพื่อไม่ให้ญวนใช้เขมรเป็นฐานในการบุกรุกสยามได้ รวมทั้งการมีแผนท่ีจะกลับไปจัดการกับหัวเมืองเหนือ (ล้านนา) ซึ่งพม่าใช้เป็นแหล่งสะสมเสบียง และกาลังคนในการตีอยุธยามาแล้ว
นาวิกศาสตร์ 37 ปีท่ี ๑๐๔ เล่มท่ี ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ส่วนในทางยุทธวิธี พระองค์ทรงมีความรอบรู้เป็นอย่างดีในการใช้ปืนใหญ่เรือ และทรงแนะนาจุดอ่อนการใช้ ปนื ใหญฝ่ า่ ยญวน นอกจากนกี้ ารเสดจ็ กลบั กรงุ ธนบรุ โี ดยทางชลมารค ไดท้ รงตรสั แนะนา วธิ กี ารในการเดนิ เรอื โดยละเอยี ด เพอื่ มใิ หเ้ กดิ เหตกุ ารณแ์ กพ่ ริ ยิ โยธาทงั้ ปวง สา หรบั กองทพั บกในสว่ นทใี่ หพ้ ระยายมราช (รชั กาลท่ี ๑) และพระยาโกษา อยชู่ ว่ ยราชการพระองคร์ ามราชาจนกวา่ บา้ นเมอื งสงบแลว้ จงึ ใหก้ องทพั กลบั ไปกรงุ ธนบรุ นี นั้ ทรงรบั สงั่ ถงึ รายละเอยี ด ในการถอนกองทัพเป็นขั้นเป็นตอน
นอกจากนี้ในด้านส่งกาลังบารุง ทรงจัดข้าวสาร กระสุนดินดา ตลอดจนยุทโธปกรณ์มอบให้เมืองฮาเตียน องค์รามราชา และแม่ทัพที่รักษาเมืองอื่น ๆ อย่างเพียงพอ
เอกสารประกอบการเขียน
๑. กรมศิลปากร. ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๖. (จดหมายรายวันทัพสมัยกรุงธนบุรี คราวปราบเมืองพุทธไธมาศและ เขมร พ.ศ. ๒๓๑๔) ในอนสุ รณง์ านพระราชทานเพลงิ ศพ นาวาตรี หลวงจกั รวธิ านสนั ทดั (กมล อากาศวภิ าต). พ.ศ.๒๕๐๓. ๒. แชน ปัจจุสานนท์, พลเรือตรี. ประวัติการทหารเรือไทย. พ.ศ. ๒๕๐๘.
๓. ดารงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. ตานานเรือรบไทย. อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นาวาเอก พระประพิณพนยุทธ์ (พิณ พลชาติ). พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์. ๒๔๙๖.
๔. พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ). พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ: จดหมายรายวนั ทพั , อภนิ หิ ารบรรพบรุ ษุ และเอกสารอื่น. กรุงเทพฯ: ศรีปัญญา, ๒๕๕๑.
๕. สุเจน กรรพฤทธ์ิ. ศึกชิง “กัมพูชา” และ “ฮาเตียน” ระหว่างราชสานักสยามและตระกูลเหงวียนช่วงปลาย ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๘ ถงึ ตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ ๑๙. ใน วารสารประวตั ศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ฉบบั ที่ ๑ (ม.ค .- ม.ิ ย. ๒๕๖๑). หน้า ๑๑๗ - ๑๗๕
๖. สานักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร. ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๒, ๓ และ ๑๒. กรมศิลปากร, ๒๕๔๙
๗. Sellers, Nicholas. The Prince of Ha-Tien, (1983).
๘. Sakurai, Yumio. Ha-Tien or Banteay Meas in The Time of The Fall of Ayutthaya, (1999).
นาวิกศาสตร์ 38 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
นาวิกศาสตร์ 39 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
จากเหตกุ ารณร์ บทางเรอื ในวกิ ฤตการณ์ร.ศ.๑๑๒เมอ่ื วนั ท่ี๑๓กรกฎาคมพ.ศ.๒๔๓๖เหตกุ ารณส์ น้ิ สดุ ดว้ ยการที่ ประเทศไทยตอ้ งถกู ปรบั และสญู เสยี ดนิ แดนบางสว่ นไป นบั วา่ เปน็ บทเรยี นอนั มคี า่ สา หรบั ประเทศไทยทจี่ ะตอ้ งรบี เรง่ ปรับปรุง และพัฒนาประเทศ เพื่อไม่ให้ประเทศมหาอานาจใช้เป็นข้ออ้างในการเข้ารุกรานประเทศไทย ดังนั้น ใน พ.ศ. ๒๔๓๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงส่งพระราชโอรสหลายพระองค์ไปศึกษาวิชา ด า้ น ก า ร ป ก ค ร อ ง ก า ร ท ห า ร บ ก แ ล ะ ก า ร ท ห า ร เ ร อื ณ ป ร ะ เ ท ศ ใ น ท ว ปี ย โุ ร ป เ พ อื ่ จ ะ ไ ด น้ า อ ง ค ค์ ว า ม ร ม้ ู า ป ร บั ป ร งุ พ ฒั น า ป ร ะ เ ท ศ ให้เจริญรุ่งเรืองทัดเทียมอารยประเทศ โดยได้ทรงส่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ไปศึกษา วิชาการทหารเรือ ณ ประเทศอังกฤษ ซ่ึงเป็นมหาอานาจทางทะเลประเทศหนึ่งในขณะน้ัน หลังจากพระองค์ได้จบ การศึกษา พระองค์ได้รับราชการในกองทัพเรือ และได้ทรงวางรากฐานให้กองทัพเรือพัฒนาในหลาย ๆ ด้าน เช่น ทรงใหก้ า เนดิ แผนปอ้ งกนั ประเทศทางทะเลฉบบั แรกของประเทศไทยทเี่ รยี กวา่ “โครงการเสรมิ สรา้ งกา ลงั ทางเรอื ร.ศ.๑๒๙”ประกอบดว้ ยแนวคดิ ในการใชก้ า ลงั ทางเรอื และความตอ้ งการกา ลงั รบทางเรอื ซงึ่ กค็ อื แผนการทพั (Campaign Plan)ในการปอ้ งกนั ประเทศทางทะเลฉบบั แรกของประเทศไทยโดยวสิ ยั ทศั นข์ องพระองคเ์ปน็ แนวคดิ ยทุ ธศาสตรท์ ะเล (Maritime Strategy) คอื การมองเขตแดนทางทะเลเปน็ เสมอื นแผน่ ดนิ ทตี่ อ้ งมอี า นาจอธปิ ไตย และการทปี่ ระเทศตอ้ ง รักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลเช่นเดียวกับการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางบก และความขัดแย้งระหว่างรัฐ สามารถขยายอานาจจากทะเลขึ้นสู่ฝั่ง และยึดครองพื้นที่ทางบกต่อไปได้ ดั่งเช่น วิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ สงคราม ฝรงั่ เศส-สยาม ซงึ่ ฝรงั่ เศสใชก้ ารทตู เเบบเรอื ปนื นา เรอื ละเมดิ อธปิ ไตยของไทยโดยมกี ารสรู้ บกนั ทปี่ อ้ มพระจลุ จอมเกลา้ และฝรั่งเศสได้ทาการปิดอ่าวไทยบริเวณเกาะสีชัง และเข้ายึดจังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด กดดันจนทา ให้รัฐบาล ไทยตอ้ งยอมเสยี ดนิ แดนฝง่ั ซา้ ยแมน่ า้ โขง และการนา วทิ ยาการสมยั ใหมเ่ ขา้ มาปรบั ใชใ้ นหลกั สตู รการเรยี นของโรงเรยี น นายเรือ โดยครั้งเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้แต่งตั้งให้นายพลเรือตรี พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ รองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ทาการในตาแหน่งเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ พระองค์ จงึ ไดท้ รงวางหลกั สตู รโรงเรยี นนายเรอื ใหม่ ทรงรบั หนา้ ทเี่ ปน็ ครใู นบางวชิ าทที่ รงเชยี่ วชาญ คอื ตรโี กณมติ ิ ดาราศาสตร์ วิชาการเรือ และอุทกศาสตร์ เช่นเดียวกับนายทหารเรืออีกหลายท่าน ซึ่งต้องแบ่งเวลาทา งานมาช่วยกันสอนวิชาที่ตน มีความชานาญ การศึกษาในโรงเรียนนายเรือจึงก้าวหน้ายิ่งขึ้น
ภาพที่ ๑ เหตุการณ์รบทางเรือในวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒
ที่มา http://www.navyhistory.navy.mi.th/index.php/today/detail/content_id/3133
นาวิกศาสตร์ 40 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ภาพที่ ๒ โรงเรียนนายเรือ
ใน พ.ศ. ๒๔๔๙ (ร.ศ. ๑๒๕) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จมาทรงเปิดโรงเรียนนายเรือ โดยใชช้ อื่ วา่ “โรงเรยี นนายเรอื ร.ศ. ๑๒๕” ไดท้ รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานลายพระราชหตั ถเลขา ไวใ้ นบนั ทกึ สมุดเยี่ยม โรงเรียนนายเรือไว้ว่า
ภาพที่ ๓ พระราชหัตถเลขาในบันทึกสมุดเยี่ยมโรงเรียนนายเรือ
“วันที่ ๒๐ พฤษจิกายน รศ ๑๒๕ เราจุฬาลงกรณ์ ปร ได้มาเปิดโรงเรียนนี้ มีความปลื้มใจซึ่งได้เหนการ
ทหารเรือมีรากหยั่งลงแล้ว จะเปนที่มั่นสืบไปในภายน่า”
โดยพระราชหัตถเลขานี้เอง วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันท่ีรากฐานการทหารเรือได้หยั่งลงแล้ว จึงถือว่า เป็นวันกองทัพเรือสืบมาจนถึงทุกวันน้ี และจากการท่ีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงได้เป็น ผู้วางรากฐานการบริหารงานของกองทัพเรือในทุก ๆ ด้าน ดังน้ัน ใน พ.ศ. ๒๕๔๔ กองทัพเรือได้มีประกาศกองทัพเรือ ขนานพระนามพระองคว์ า่ “องคบ์ ดิ าของทหารเรอื ไทย” และจากพระกรณุ าของพระองคท์ มี่ ตี อ่ ทหารเรอื “ดงั่ พอ่ กบั ลกู ” พระองค์ทรงได้รับการเชิดชูในหมู่ทหารเรือเรียกขานพระองค์ว่า “เสด็จเตี่ย” โดยหม่อมราชวงศ์ จิยากร อาภากร เสสะเวช ประธานมูลนิธิราชสกุลอาภากร ในพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักด์ิ ได้อธิบาย ไว้ถึงที่มาของคาเรียก “เสด็จเต่ีย” ในงานครบรอบ ๑๔๐ ปี วันคล้ายวันประสูติของพระองค์ท่านไว้ว่า
นาวิกศาสตร์ 41 ปีท่ี ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
“พระองค์ท่านทรงให้ความเป็นกันเองกับทหารเรือทุกคน เพราะทรงเห็นว่าทหารเรือก็คือลูกหลานของพระองค์ ดังนั้น เพื่อให้ไม่เกิดความห่างไกลกันจึงทรงให้เรียกพระองค์ท่านว่า “เตี่ย” ซึ่งเป็นคาจีนที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี และ ทาให้เกิดความใกล้ชิดกันมากขึ้นค่ะ เมื่อทหารเรือเรียกพระนามพระองค์ท่านว่าเตี่ยก็จึงเติมคาว่าเสด็จนาหน้าด้วย ต่อมาคนทั่วไปก็จึงเรียกพระนามพระองค์ว่า “เสด็จเตี่ย” ไปโดยปริยาย”
และด้วยลักษณะนิสัยของพระองค์ท่านผู้เปรียบเสมือนพ่อ หรือเสด็จเตี่ยที่รักเหล่าทหารเรือดั่งพ่อกับลูก จึงมี เรื่องเล่าถึงพระกรุณาต่อทหารเรือในทุกระดับชั้น เช่น เรื่องการจัดตั้งกิจการฌาปนกิจกองทัพเรือ ตามจดหมาย หลวงรักษาราชทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาต) ลง ๑๕ ธันวาคม ๒๔๙๖ ดังนี้
“พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสด็จไปตรวจดู เรอื ราชพธิ ที โี่ รงเกบ็ เรอื คลองบางกอกนอ้ ย ครนั้ เวลาเสดจ็ กลบั ผา่ นมาทางหลงั ปา่ ชา้ วดั ระฆงั โฆสติ าราม ถนนบา้ นขมนิ้ มีงานเผาศพ เรือตรี แพ เสด็จในกรมฯ เห็นศพตั้งอยู่เชิงตะกอนอย่างสามัญชนมีทหารและญาติ ๑๐ กว่าคน ทรงพิจารณาอยู่รู้สึกเศร้าสลดพระทัยจึงสั่งห้ามยังไม่ให้เผา และทรงเขียนคาสั่งด้วยดินสอลงบนกระดาษให้ เรือตรี เล่ คนใช้ของเสด็จในกรมฯ ไปให้เจ้าหน้าที่ต่าง ๆ มีใจความว่า ๑) ให้กองพันพาหนะจัดเต็นท์มากาง เอาเก้าอี้มาตั้ง ๒) ใหก้ องตงั้ เครอื่ ง กรมพสั ดุ จดั นา้ รอ้ นนา้ ชา และเครอื่ งดมื่ มาเลยี้ ง ๓) ใหน้ ายทหาร และพลทหารในเรอื รบ เรอื ชว่ ยรบ ที่ไม่ได้อยู่เวรมาร่วมพิธีศพ ๔) ให้กองพันจัดทหาร และแตรเป็นกองเกียรติยศไปเป่า และเคารพศพเวลาเผา”
วันนั้นงานศพของ เรือตรี แพ จึงเป็นงานศพที่มีเกียรติยศ มีทหารไปร่วมงานเต็มวัด โดยมีเสด็จในกรมฯ ทรงเป็นประธานพระราชทานเพลิงศพ แล้วเสด็จกลับ ในวันต่อมาทรงอนุญาตให้ตั้งแผนกการกุศลฌาปนกิจขึ้นใน ราชนาวิกสภาอีกแผนกหนึ่ง และโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งแผนกการกุศลฌาปนกิจ จึงถือได้ว่าการฌาปนกิจสงเคราะห์ แห่งราชนาวีกาเนิดขึ้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา โดยเสด็จในกรมฯ ทรงเป็นสมาชิกหมายเลข ๑๕ ต่อมาได้มีการตรา กฎหมายเป็นพระราชบัญญัติฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๑๗ และปัจจุบันมีการแก้ไขเป็นพระราชบัญญัติ การฌาปนกจิ สงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕
ภาพที่ ๔ “หมอพร”
นอกจากพระกรุณาธิคุณที่มีต่อกองทัพเรือแล้ว พระกรุณาที่มีต่อประชาชนผู้ได้รับความเจ็บป่วย ผู้ยากจน และ
คนในทุกหมู่เหล่า ทาให้พระองค์ได้รับความนับถือยกย่องในฐานะ “หมอพร” อีกด้วย โดยเสด็จในกรมฯ ได้ไปศึกษา วิชาแพทย์แผนโบราณจากหัวหน้าหมอหลวงแห่งราชสานัก และได้ออกรักษาประชาชนผู้ยากไร้โดยไม่คิดทั้งค่ารักษา และค่ายา โดยเปิดวังของพระองค์เป็นโรงพยาบาลเล็ก ๆ บางครั้งพระองค์ก็ทรงนุ่งโสร่งแดง ไม่ใส่เสื้อ มีผ้าขาวม้า พาดบา่ ออกรกั ษาคนไข้ ทรงตรวจโรคดว้ ยเครอื่ งมอื สมยั ใหมม่ กี ารตรวจเลอื ด และใชก้ ลอ้ งตรวจโรคแตใ่ หย้ าแพทยแ์ ผนไทย พระองค์ไม่ประสงค์ให้ใครเรียกว่า “เสด็จในกรมฯ” แต่โปรดให้เรียกว่า “หมอพร”
นาวิกศาสตร์ 42 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ตราบจนเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ กองทัพเรือไทยจึงได้ถือเอา วันที่ ๑๙ พฤษภาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของพระองค์เป็น “วันอาภากร”
ภาพที่ ๕ พระตาหนัก พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ จังหวัดระยอง
ความศรัทธาสักการะจากผู้คนมากมายไม่จากัดอยู่เพียงบรรดาทหารเรือเท่านั้น ประชาชนผู้ศรัทธาในพระองค์ ทา่ นจงึ ไดม้ กี ารรวบรวมปจั จยั จดั สรา้ งศาล และพระอนสุ าวรยี ์ พลเรอื เอก พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ อาภากร เกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หลายร้อยแห่งทั่วประเทศไทย คงเป็นหนึ่งในข้อบ่งชี้ถึงความดีงาม แห่งพระชนม์ชีพอันทรงเคยดารงพระองค์ให้ประจักษ์ไว้เป็นแบบอย่าง และเป็นมรดกตกทอดถึง “ลูกทหารเรือ ของพระองค์ทุกนาย” ให้ผูกพันกับประชาชน
“มรดกในบทกลอน คาสอนของเสด็จเตี่ย” บทกลอนในที่น้ีผู้เขียนหมายถึง ลายพระหัตถ์ พระดาริ ตลอดจน พระนพิ นธร์ อ้ ยกรอง และบทเพลงพระนพิ นธท์ ไี่ ดข้ า้ มกาลเวลาสง่ ตอ่ ใหเ้ ปน็ มรดกของทหารเรอื ทตี่ อ้ งอญั เชญิ ไวเ้ หนอื เกลา้ เหนอื กระหมอ่ ม จารกึ ไวใ้ นดวงจติ หรอื ประทบั ไวบ้ นหนา้ อก “เปน็ ลายสกั มรดกในดวงจติ ร.ศ. ๑๑๒” ถงึ ความหมาย ในพระดาริ และคาสอนของเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรฯ “องค์บิดาของทหารเรือไทย” ที่ได้ทรงรับสั่งมอบให้เป็น มรดกใหก้ บั ทหารเรอื ในทกุ ยคุ ทกุ สมยั เพอื่ สบื ตอ่ ไวซ้ งึ่ อดุ มคติ และเจตนารมณใ์ นการรกั ชาติ และรกั ษาแผน่ ดนิ ไทย บ้านเกิดเมืองนอนนี้ไว้ด้วยเลือดเนื้อและชีวิต ซึ่งหวังว่าทหารเรือทุกนายจะปฏิบัติตนตามอย่างเสด็จเตี่ย “กรมหลวงชุมพรฯ” ในการปกป้องประเทศชาติ สถาบัน และประชาชนไว้ด้วยชีวิตสืบไปเช่นกัน
บทที่ ๑ มรดกจากลายพระหัตถ์ และพระดารัสของเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ
พระคุณลักษณะของกรมหลวงชุมพรฯ โดย พลเรือเอก ประพัฒน์ จันทวิรัช อดีตผู้บัญชาการทหารเรือ
ไดแ้ สดงความเหน็ ประกอบการคน้ ควา้ ของทา่ นไวว้ า่ “... ผมเขา้ ใจวา่ ลายพระหตั ถ์ และพระดา รสั ของเสดจ็ ในกรมหลวง ชุมพรฯ ซึ่งผมได้อัญเชิญมาโดยคงรูป ถ้อยคา สานวน และอักขระวิธีไว้ตามต้นฉบับนี้ คงจะทาให้เพ่ือนทหารเรือเข้าใจ แนวความคดิ ยทุ ธศาสตรข์ องพระองคไ์ ดช้ ดั เจนโดยไมต่ อ้ งอธบิ ายเพมิ่ เตมิ อกี เพราะสา นวนของพระองคส์ น้ั ชดั เจน และ เด็ดขาด ซึ่งผมรู้สึกว่าแม้ในสมัยน้ีก็จะหาผู้เสมอเหมือนพระองค์ได้ยาก”
บทความเรื่อง แง่คิดชีวิตงามตามแนวพระดาริในกรมหลวงชุมพรฯ โดย นิธิ วติวุฒิพงศ์ และ ฑิตยา ชีชนะ
ได้วิเคราะห์แนวพระดาริของกรมหลวงชุมพรฯ ไว้ว่า “...ด้วยพระคุณลักษณะที่ทรงชัดเจน แน่วแน่ เด็ดเด่ียว และ “ทาอะไร ทาจริง” ตามความหมายในพระคาถาประจาพระองค์” จึงอาจกล่าวได้ว่า ความทรงมุ่งม่ันที่จะพัฒนา
นาวิกศาสตร์ 43 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ส ย า ม ป ร ะ เ ท ศ ใ ห เ้ จ ร ญิ ก า้ ว ห น า้ ต า ม บ ท บ า ท ห น า้ ท ี ่ แ ล ะ ข ดี ค ว า ม ส า ม า ร ถ ท จี ่ ะ ก ร ะ ท า ไ ด น้ นั ้ ค ง จ ะ เ ป น็ พ ร ะ ป ณ ธิ า น ท ี ่ พระองค์ทรงยึดมั่นอยู่ในพระทัยเสมอมา ส่งผลให้พระกรณียกิจทุกอย่างทั้งในและนอกราชการทหารเรือ ล้วนผ่านการทรงไตร่ตรองถึงผลประโยชน์สูงสุดอันจะเกิดแก่สังคมวงกว้าง ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงกล้าที่จะ แสดงความคิดเห็นอันแน่วแน่ต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อทรงแสดงออกซึ่งเจตจานงของพระองค์ ดังเช่น ลายพระหัตถ์ กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลงวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๕ ระหว่างทรงอานวยการ จัดตั้งหน่วยฝึกที่บางพระ เพื่อเรียกพลทหารจากจังหวัดชายทะเลภาคตะวันออกมารับการฝึก ความตอนหนึ่งว่า
“... มีทหารแล้วไม่สอนให้มีความรู้ ก็เลวกว่าไม่มีเลย ...”
หรอื อกี ครงั้ ระหวา่ งเสดจ็ ไปทรงซอื้ เรอื หลวงพระรว่ ง ทรงมลี ายพระหตั ถล์ งวนั ที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ กราบทลู จอมพลเรือ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ผู้กากับราชการกระทรวงทหารเรือ ระหว่างประทับ ณ โฮเต็ลรูเบนซ์ กรุงลอนดอน ความตอนหนึ่งว่า
“... การที่เดินทางผิด ให้โทษยิ่งกว่าไม่เดินเลย ...”
นอกจากพระอปุ นสิ ยั เดด็ เดยี่ ว ไมท่ รงเกรงกลวั ทจี่ ะกราบทลู พระดา รติ อ่ ผบู้ งั คบั บญั ชาแลว้ พระดา รติ า่ ง ๆ ของพระองค์ ยังสะท้อนถึงแนวทางการดารงพระองค์ในแง่มุมอื่น ๆ อีกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความมัธยัสถ์ คานึงถึงความคุ้มค่า คิดหาหนทางสร้างคุณประโยชน์สูงสุดจากทรัพยากรที่จากัด (Force Multiplier) ดังเช่น พระดาริที่ประชุมสภา บัญชาการกระทรวงทหารเรือ ครั้งที่ ๔ วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๕
“... ในการที่กล่าวว่า คนไม่พอ ไม่พอนั้น หมายความว่า อัตราเท่าใดจะต้องได้คนเท่านั้นมิใช่หรือ อัตรานั้น ตอ้ งเขา้ ใจวา่ อปุ มาเหมอื นงบประมาณ เราตงั้ งบประมาณเงนิ ไวใ้ ชจ้ า่ ย ใชว่ า่ จะตอ้ งใชจ้ า่ ยเงนิ ใหห้ มดไปตามจา นวน น นั ้ เ ม อื ่ ไ ห ร ่ ... ฯ ล ฯ ... อ ตั ร า ค น ก เ็ ช น่ เ ด ยี ว ก นั เ ร า ไ ม จ่ า เ ป น ต อ้ ง เ ก ณ ฑ ค์ น ใ ห เ้ ต ม็ จ า น ว น ต า ม อ ตั ร า ถ า้ จ ะ เ อ า เ ต ม็ อ ตั ร า ที่จะไม่มีให้อยู่ จะเปลืองค่าใช้จ่ายอย่างอื่นอีกมาก ... ฯลฯ ... การเกณฑ์คนเข้ามามาก ๆ นั้นเปนการเดือดร้อน แก่ไพร่บ้านพลเมืองโดยใช่เหตุ เวลานี้คนก็มากพออยู่แล้ว นอนกินอยู่เสมอ ต้องคิดถึง Economic Point หลักแห่งการประหยัดทรัพย์บ้าง ...”
อีกมุมหนึ่งในพระดาริ แสดงถึงว่าพระองค์จะทรงมีพระอุปนิสัยเด็ดเดี่ยว และชัดเจนในสิ่งที่ตั้งพระทัยเพียงใด แต่ก็ มไิ ดท้ รงทะนงยดึ มนั่ ในองคค์ วามรเู้ ดมิ ๆ ทเี่ คยทรงศกึ ษา แตก่ ลบั ทรงสนพระทยั ทจี่ ะแสวงหาความรใู้ หม่ ๆ อยเู่ สมอ และทรงกล้าที่จะแสดงออกถึงข้อบกพร่องของพระองค์เองโดยไม่ปิดบัง เช่น ในลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๒ กราบทูลเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ขออนุมัติเสด็จพระราชดาเนินไปต่างประเทศเพื่อจัดหาเรือรบ และทรงศึกษาความก้าวหน้าในวิทยาการทหารเรือเพิ่มเติม
“... โดยรู้สึกว่า มาบัดนี้เปนเสนาธิการทหารเรือเหมือนงมมืดแปดด้าน เฉพาะสรรพาวุธยุทธวิธีทางเรือตั้งแต่ ได้เริ่มการมหาสงครามมาจนบัดนี้ได้เปลี่ยนแปลงมากมายเหลือที่จะพรรณนา ได้แต่สังเกตตามข่าวการต่อเรือ ประจา สถานี เดาทางตามหลงั วา่ การรบทางทะเลเปลยี่ นแปลงมาเปนดงั นนั้ ดงั นี้ แตก่ เ็ หมอื นตาบอดจงึ ทา ประโยชน์ สนองพระเดชพระคุณได้โดยลาบากใจอย่างที่สุด จนแม้แต่จะแนะนาสิ่งใดสาหรับกระทรวงทหารเรือก็เปนอย่าง โบราณเสียโดยมาก ถ้ามิฉะนั้นเป็นการเดาทั้งสิ้น ...”
นอกจากนี้ยังมีลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจา้ อยหู่ วั ชแี้ จงเหตผุ ลทขี่ อพระราชทานพระบรมราชานญุ าตเสดจ็ ไปทอดพระเนตรกจิ การทหารเรอื ในตา่ งประเทศ ซงึ่ สะท้อนถึงพระคุณลักษณะในการทรงแสวงหาความรู้แบบ “เรียนรู้ตลอดชีวิต” รวมทั้ง พระจริยวัตร “กินอยู่ง่าย ไม่ถือตัว” ของพระองค์ไว้อย่างแจ่มชัด
นาวิกศาสตร์ 44 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
“... ด้วยความมืดมนของข้าพระพุทธเจ้าที่มิได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของยุทธวิธีการทางเรือซึ่งในคราวนี้ ได้เปลี่ยนแปลงมากมาย ไม่อาจกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ถูกต้องได้ ... ถ้าแม้จะรับราชการสนองพระเดชพระคุณ ในตา แหนง่ เสนาธกิ ารทหารเรอื ตอ่ ไป กจ็ า เปนจะตอ้ งขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสกราบถวายบงั คมลาออก ไปตรวจการเปลี่ยนแปลงที่อุบัติขึ้นใหม่ เพื่อจะได้เป็นทางดาริสาหรับวางระเบียบการในเบื้องหน้า ให้เหมาะกับ พระราชประสงค์ และถกู ยทุ ธนยิ มทกุ ประการ กบั ทงั้ จะไดไ้ มใ่ หเ้ ปลอื งพระราชทรพั ย์ ในเรอื่ งการดา เนนิ การผดิ ทาง และต้องย้อนกลับหาทางใหม่ ...”
การทรงถอื “ประโยชนข์ องประเทศชาต”ิ เปน็ หลกั ยงั ไดส้ ะทอ้ นผา่ นลายพระหตั ถก์ ราบบงั คมทลู พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉบับลงวันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ เป็นช่วงเวลาทรงมีพระประชวร และประทับอยู่ที่ โรงพยาบาล ณ ประเทศสิงคโปร์ ระหว่างทางเสด็จไปทรงซื้อเรือหลวงพระร่วง
ภาพที่ ๖ เรือหลวงพระร่วง ที่มา ชุมพรภาพเก่าย้อนวันวาน
“... ขา้ พระพทุ ธเจา้ ไดเ้ คยไดย้ นิ อยมู่ ากถงึ คา กลา่ ววา่ มที า ไมทหารบก ? มที า ไมทหารเรอื ? ซอื้ ทา ไมเรอื ? เปนการ นา่ พศิ วงจรงิ หนอทมี่ บี คุ คลเชน่ นอี้ ยมู่ าก ซา้ จะมากขนึ้ อกี ดว้ ย จะเปนการเเสดงวา่ เลอื ดไทยจดื ลงกระมงั การทา มาหากนิ การค้าขายก็ตกอยู่ในมือชาวต่างประเทศเกือบหมดหรือทั้งหมดก็ว่าได้ ยังเหลือแต่การป้องกัน การทามาหากิน ตอ่ ไปนดี้ ถู า้ จะกรอ่ ยลงไปทกุ ทโี ดยมอี ปุ สรรคตา่ ง ๆ ในทสี่ ดุ หากนิ กจ็ ะไมห่ า ปอ้ งกนั กจ็ ะไมป่ อ้ งกนั เลอื ดไทยจะสญู หรอื บางทีก็จะเปนได้ ถึงกรุงสยามคงเปนสยามอยู่ แต่สยามไม่ใช่เปนของคนไทย สูญพืช สูญพันธุ์เพราะหมดยาง หมดทนุ หมดมานะหมดอตุ สาหะแมม้ อี ปุ สรรคนดิ หนอ่ ยกท็ อดอาลยั หมดความพยายาม......ถา้ บคุ คลจา พวกใด เปนเช่นนี้ จาพวกนั้นจาเปนต้องสูญหมด หมดทางไชยชนะ หมดชาติ ...”
ซงึ่ เปน็ หลกั ฐานทสี่ ะทอ้ นใหเ้ ราในปจั จบุ นั ไดเ้ หน็ วา่ สงิ่ ทพี่ ระองคท์ รงยดึ มนั่ ถอื มนั่ ทจี่ ะพฒั นาประเทศ และกจิ การ ทหารเรือให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมประเทศตะวันตกเพื่อป้องกันประเทศจากการรุกรานของต่างชาติ คงจะเป็นหัวใจ สาคัญที่พระองค์ทรงยึดถือมาตลอดระยะเวลาแห่งพระชนม์ชีพนั่นเอง
บทที่ ๒ มรดกจากตราประจาพระองค์ และพระนิพนธ์ “กยิรา เจ กยิราเถน”
จากพระอจั ฉรยิ ภาพ และความสนใจในพทุ ธศาสนา ซงึ่ พระองคเ์ ปน็ ลกู ศษิ ยข์ องหลวงปศู่ ขุ วดั ปากคลองมะขามเฒา่ กรมหลวงชุมพรฯ ทรงได้นาพระคาถาจากพระบาลีในพระไตรปิฎกเล่ม ๑๕ ที่ว่า “กยิรา เจ กยิราเถน ทฬฺหเมน ปรกฺกเม สิถิโล หิ ปริพฺพาโช ภิยฺโย อากิรเต รช” แปลว่า “ถ้าบุคคลจะพึงทาความเพียร พึงทาความเพียรนั้นจริง ๆ
นาวิกศาสตร์ 45 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
พงึ บากบนั่ ทา ความเพยี รนนั้ ใหม้ นั่ เพราะวา่ การบรรพชาทปี่ ฏบิ ตั ยิ อ่ หยอ่ น ยงิ่ เรยี่ รายโทษดจุ ธลุ ”ี นา มาเปน็ ตราประจา พระองค์ว่า “กยิรา เจ กยิราเถน จะทาสิ่งไร ควรทาจริง” และพระองค์ยังได้ทรงนามานิพนธ์เป็นโคลงเพื่อเป็นคติให้
พระโอรส และพระธิดาของพระองค์ด้วย ดังนี้
จงทา เล่นแท้ เป็นสุข
Work while you work Play while you play That is the way
To be cheerful and gay
ทางานทาจริงเจ้า ระหว่างเล่นควรจา หนทางเช่นนี้นา ก่อให้เกิดรื่นเริงแม้
นับถือ ทวีคูณ พระนิพนธ์ “จะทาสิ่งไร ควรทาจริง
กยิรา เจ กยิราเถน” แสดงถึงคติพระนิสัยใน พระองค์ว่า ทรงเป็นคนจริง มีสัจจะ มีความ ตั้งมั่นว่าจะทาสิ่งไร ควรทาจริง คือมีความมุ่งมั่น
ทุ่มเท ต้ังใจในการทางานจนสุดความสามารถ ทาให้ ผลงานออกมาดีสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับ ประเทศชาติ ซึ่งหลักการทรงงานนี้ก็คือ หลักอิทธิบาท
๔ “หลักชัยในการปฏิบัติกรรมฐานในพุทธศาสนา
และองค์ประกอบความสาเร็จของทางโลกนั่นเอง”
อิทธิบาท ๔ ประกอบด้วยแนวปฏิบัติ ๔ ข้อ ได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อันเป็นแนวทางสาหรับ การใชช้ วี ติ ใหป้ ระสบความสา เรจ็ โดยเฉพาะในการทา งาน หากสามารถเชอื่ มโยงกระบวนการทงั้ ๔ ขอ้ ไดผ้ ลสา เรจ็ ก็อยู่ไม่ไกลเกินเอ้ือม ดังนี้
ฉันทะ การมีใจรัก ศรัทธา และเช่ือม่ันต่อสิ่งท่ีทา
“กยิรา เจ กยิราเถน – จะทาส่ิงไร ควรทาจริง” ภาพท่ี ๗ ตราประจาพระองค์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่มา: พระนิพนธ์เร่ือง “ยุทธศาสตร์ทะเล” ของ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักด์ิ ซ่ึงได้ทรงเรียบเรียงทูลเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือวันที่
๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๖ ตอนจบพระนิพนธ์ได้ลงท้ายว่า “........จะทาสิ่งไร ควรทาจริง กยิรา เจ กยิราเถน”
Where there is the will, there is the way. ที่ใดมี
ความปรารถนาอันแรงกล้า ที่นั่นย่อมมีหนทางเสมอ การสร้างฉันทะ ที่ต้องพิจารณาแล้วว่ามีผลดีต่อตัวเอง ต่อผู้อื่น ต่อสังคม และประเทศชาติด้วย หากพิจารณาแล้วว่าเกิดผลดีต่อทั้งหมดน้ี จึงมุ่งมั่นทาด้วยความต้ังใจ หากทุกคนมุ่ง มั่นทางานด้วยความเช่ือมั่นศรัทธาที่ดี ย่อมเกิดผลสาเร็จที่ดีต่อประเทศชาติ
วริ ยิ ะความเพยี รความมงุ่ มนั่ ทมุ่ เทหมายถงึ ความเพยี รพยายามอยา่ งสงู ทจี่ ะทา ตามฉนั ทะหรอื ศรทั ธาของตวั เอง วริ ยิ ะนม้ี าคกู่ บั ความอดทนอดกลนั้ เปน็ ความรสู้ กึ ไมย่ อ่ ทอ้ ตอ่ ปญั หา และมคี วามหวงั ทจี่ ะเอาชนะอปุ สรรคทง้ั ปวง โดยมีศรัทธาเป็นเคร่ืองยึดเหนี่ยวจิตใจ นาใจ และเตือนใจ ความวิริยะอุสาหะ จึงเป็นวิถีทางของบุคคลที่กล้าท้าทาย ต่ออุปสรรคทั้งปวง เพื่อเป้าหมายคือความสาเร็จนั่นเอง
จิตตะ ใจที่จดจ่อ และรับผิดชอบ เมื่อมีใจที่จดจ่อแล้วก็จะเกิดความรอบคอบตาม ที่สาคัญคือความรับผิดชอบ เมื่อกระทาการสิ่งใดด้วยจิตจดจ่อแล้ว ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทาด้วย จึงเรียกว่าเป็นผลสาเร็จดี งามตามแบบอย่าง ของคุณธรรม ตามหลักศาสนา และจริยธรรมของสังคม
วมิ งั สา การทบทวนปรบั แกไ้ ขตวั เองใหด้ ยี งิ่ สงิ่ ทที่ า อนั เกดิ จากการมใี จรกั ศรทั ธา (ฉนั ทะ) แลว้ ทา ดว้ ยความมงุ่ มนั่ (วิริยะ) อย่างใจจดใจจ่อและรับผิดชอบ (จิตตะ) โดยใช้วิจารณญาณอย่างรอบรู้และรอบคอบ สุดท้ายคือ วิมังสา คือ
นาวิกศาสตร์ 46 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
การทบทวนปรบั แกไ้ขตวั เองใหด้ ยี งิ่ เปรยี บเทยี บไดก้ บั กระบวนการPlan-Do-Check-Actหรอื PDCAวงจรบรหิ ารงาน คุณภาพ อันประกอบไปด้วยการวางแผน-ปฏิบัติ-ตรวจสอบ-และปรับปรุง โดยเป็นกระบวนการที่ใช้ปรับปรุง การทา งานขององคก์ รอยา่ งเปน็ ระบบ โดยมเี ปา้ หมายเพอื่ พยายามแกป้ ญั หาในทกุ ระดบั โดยปรบั กลยทุ ธอ์ ยตู่ ลอดเวลา เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องอย่างยั่งยืนนั่นเอง
บทที่ ๓ มรดกจากบทเพลงพระนิพนธ์ “เพลงเดินหน้า” เพลงเดินหน้า
... เกิดมาทั้งที มันก็ดีอยู่แต่เมื่อเป็น อีกสามร้อยปี ก็ไม่มีใครจะเห็น ใครจะนึกใครจะฝัน เขาก็ลืมกันเหมือนตัวเล็น นานไปเขาก็ลืม ใครหรือจะยืมชีวิตให้เป็น ใครจะเห็นก็เห็นแต่น้าใจ
จาได้แต่ชื่อ ว่าตัวเราคือทหารเรือไทย ตายแต่ตัว ชื่อยังฟุ้ง ทั่วทั้งกรุงก็ไม่ลืมได้ ทั้งเซาธ์ ทั้งเวสต์ ทั้งนอร์ธ ทั้งอีสต์ จะคิดถึงตัวเราใย จะต้องตายทุกคนไป ส่วนตัวเราตาย ไว้ยืนแต่ชื่อ ให้โลกทั้งหลายเขาลือ ว่าตัวเราคือทหารเรือไทย ...
คณุ คา่ ในเชงิ วรรณศลิ ปจ์ ากความเหน็ ของ ผศ.ดร.รงั สพิ นั ธ์ุ แขง็ ขนั ผวู้ จิ ยั วทิ ยานพิ นธเ์ รอื่ ง “การศกึ ษาบทเพลง ทหารเรือในพระนิพนธ์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ กล่าวไว้ว่า
“... ถา้ เราจะพจิ ารณาในแงส่ นุ ทรยี ภาพจากเพลงพระนพิ นธข์ องทา่ น จะเหน็ วา่ มพี ระปรชี าสามารถในทางกวี หรอื ในทางวรรณศิลป์ เช่น บทเพลง “เดินหน้า” มีท่อนหนึ่งที่น่าสนใจคือ “ดีเคยพบ ชั่วเคยเห็น จนเคยเป็น มีเคยได้” ถา้ เราพจิ ารณา ๔ วลที วี่ า่ นี้ นคี่ อื การนา สา นวนไทยทวี่ า่ “ชวั่ ดมี จี น” มาใชร้ ว่ มกบั วลวี า่ “เคยพบเคยเหน็ เคยเปน็ เคยได”้ หรอื “วนั นเี้ คราะหด์ ี พอถงึ พรงุ่ นจี้ ะเปน็ อยา่ งไร” คอื ทบี่ อกวา่ “วนั นยี้ อ พรงุ่ นดี้ า่ ไมใ่ ชข่ ขี้ า้ ขปี้ ากของใคร” กแ็ ปลไดว้ า่ พระองคท์ า่ นอาจจะทรงนา หลกั ธรรมในการไมย่ ดึ ตดิ และการปลอ่ ยวาง เอามาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการดา เนนิ พระชนมช์ พี ของท่าน และถ่ายทอดให้ผู้รับฟังไปพิจารณาในหลักธรรมข้อนี้ด้วย”
“เกิดมาทั้งที มันก็ดีอยู่แต่เมื่อเป็น อีกสามร้อยปี ก็ไม่มีใครจะเห็น” และ “ส่วนตัวเราตาย ไว้ยืนแต่ชื่อให้โลก ทั้งหลายเขาลือ ว่าตัวเราคือทหารเรือไทย”
ข้อความในบทเพลงน้ีมีความหมายทั้งในแง่วรรณกรรม และหลักธรรมการทาความดีหากจะเปรียบเทียบแล้ว มีความสอดคล้องกับพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๐๖ ที่ว่า “การทาความดีคือ การปิดทองหลังพระ” ดังนี้
“การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจาเป็นก็ต้องปิด ว่าที่จริงแล้วคนโดยมากไม่ค่อยชอบปิดทอง หลังพระกันนัก เพราะนึกว่าไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได”้
จึงสามารถสรุปได้ว่า “วรรณศิลป์สไตล์กรมหลวงชุมพรฯ” คือ การสอดแทรกแง่คิดคาสอนจากค่านิยม
นาวิกศาสตร์ 47 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
อุดมคติที่พระองค์ทรงยึดถือเพื่อส่งต่อให้ทหารเรือ และผู้สนใจได้นาไปพินิจพิเคราะห์ยึดเป็นแนวทางในการดารงชีวิต และการปฏิบัติงานต่อไป
บทที่ ๔ มรดกจากบทเพลงพระนิพนธ์เพลง “ศีลแปดสาหรับทหาร”
เพลง “ศีลแปดสาหรับทหาร”
เกิดเป็นชายฝ่ายชลพลรบ มีแปดบทจดจาให้ชานาญ
อันข้อความตามที่มีในบท ข้อหนึ่งต้องกล้าหาญจิตทานทน
แต่ไม่ควรหาญกล้าในท่าผิด ไม่ควรการหาญตนไปจนตาย
สองข้อห้ามตามที่มีในบท ถึงทาผิดไซร้สิ่งไม่ควร
ข้อสามอย่าคิดจิตโลภละโมบมาก เราเป็นทหารชาญศึกนึกคะนึง
ข้อสี่ผู้มีคุณการุณรัก
กตัญญูต่อนายจนวายปราณ
อีกบ้านเกิดเมืองนอนบิดรนี้ ทั้งรู้จักรกั ชาตอิ าตมา
ข้อห้าสาหดให้อดทน ทั้งลาบากยากแค้นแสนทวี
เราเป็นทหารชาญศึกนึกประจญ
กระทาหน้าที่ให้ตลอดจนวอดวาย
ข้อหกบาบัดระมัดจิต ทั้งกิริยาดีพร้อมละม่อมงาม
ข้อเจ็ดห้ามขาดอย่าอาจหาญ
อันทรัพย์สินเงินทองใช่ของตน
อย่าลักลอบของท่านเป็นการผิด
อีกลูกเขาเมียเขาอย่าลอบรักอย่าลักพา
ข้อที่แปดชี้แจงแสดงอรรถ
ให้มีจิตเมตตาคิดปรานี
รวมแปดข้อเท่านี้มีกาหนด
ควรทหารทุกคนต้องบ่นจา
ต้องรู้จบในหัวใจฝ่ายทหาร จะเป็นการรู้สึกได้ฝึกตน โดยกาหนดบทสอนสุนทรผล สู้ศึกจนชีวาตม์ขาดทาลาย กระทาผิดกิจจริงสิ่งทั้งหลาย เป็นน่าอายอดสูดูไม่ควร มิได้ปดปกปิดทาผิดผวน รับโดยด่วนเสียดีกว่าอย่าดื้อดึง ถึงจนยากอย่างพึ่งคิดพินิจถึง หาแต่ซึ่งน้านวลให้ควรการ จงรู้จักคุณท่านหมั่นสมาน คิดหักหาญแต่ไพรีที่บีฑา สาคัญที่ควรจะรักให้หนักหนา คิดตั้งหน้าพรักพร้อมสามัคคี ถึงอับจนอย่าเป็นทุกข์ให้สุขี ถึงโรคีป่วยไข้ไม่สบาย มิได้บ่นออกปากว่ายากหลาย คงเป็นชายขึ้นชื่อให้ลือนาม ประพฤติกิจสุภาพไม่หยาบหยาม ไม่ลวนลามประมาทชาติบุคคล ประพฤติการผิดเช่นไม่เป็นผล ของบุคคลหวงห้ามอย่านามา ประพฤติกิจโจรกรรมทามิจฉา เสพกามาผิดเล่ห์ประเพณี มนุษย์สัตว์ได้ทุกข์ไม่สุขี ไม่เลือกที่รักชังทั้งประมวญ ตามแบบบทที่คิดไม่ผิดผวน ทุกเช้าค่าให้ระลึกนึกถึงเอย
พระนพิ นธบ์ ทนี้ เนอื้ หาและการสอื่ สารทชี่ ดั เจนวา่ มพี ระประสงคจ์ ะประทานขอ้ คดิ เตอื นใจบรรดาทหาร ผา่ นทาง วรรณศิลป์ตามสไตล์ของพระองค์ แต่ใครจะปฏิเสธได้ว่าเนื้อหาสาระอันปรากฏอยู่ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นแง่งามสาหรับ การดาเนินชีวิตของคนทุกสาขาอาชีพได้กระทั่งจนถึงทุกวันนี้
นาวิกศาสตร์ 48 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
บทที่ ๕ มรดกจากบทเพลงพระนิพนธ์ “ดาบของชาติ” เพลงดาบของชาติ
“ดาบของชาติ เล่มนี้คือชีวิตเรา ถึงจะคมอยู่ดีลับไว้
สาหรับสู้ไพรีให้ชาติเรานา ให้มิตรให้เมียให้ลูกแล้ชาติไทย” ขออัญเชิญลายพระหัตถ์นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่ได้ทรงกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลงวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๕ ที่ว่า
“... ข้าพระพุทธเจ้าเป็นทหาร ถึงจะตายลงไป ก็คงจะต้องฉลองพระเดชพระคุณ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จนสิ้นชีวิตร ...”
บทเพลง “ดาบของชาติ” เป็นบทเพลงอมตะ ซึ่งทหารเรือทุกนายจะใช้เป็นบทเพลง/เป็นคาปฏิญาณถวาย ตอ่ หนา้ พระพกั ตรก์ รมหลวงชมุ พรฯ ณ ศาลกรมหลวงชมุ พรเขตอดุ มศกั ดิ์ ยอดเขาแหลมปเู่ จา้ ฐานทพั เรอื สตั หบี จงั หวดั ชลบุรี เวลาต้องออกปฏิบัติราชการ หรือในงานพิธีสาคัญ โดยบทเพลง “ดาบของชาติ” เป็นบทเพลงที่มีความหมาย ลกึ ซงึ้ ถงึ จติ วญิ ญาณทหารเรอื ทไี่ ดส้ ง่ ตอ่ มรดก และภารกจิ จากรบั สงั่ ของเสดจ็ เตยี่ “กรมหลวงชมุ พรฯ” ใหล้ กู หลาน กองทัพเรือต้องรักษา และปกป้องประเทศชาตินี้ไว้ด้วยชีวิต ซึ่งแม้ว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์ชีพไปแล้วเป็นเวลา ถึง ๙๘ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๔) แต่ประชาชนคนไทย และเหล่าทหารเรือเราก็ยังคงเชื่อมั่นว่าดวงพระวิญญาณของพระองค์ ทรงคมุ้ ครองประเทศชาติ ประชาชน และลกู ๆ ทหารเรอื ของพระองค์ และหวงั วา่ ใหพ้ วกเราทกุ นายจะทา หนา้ ทสี่ บื สาน พระปณิธานของพระองค์ต่อไป
จากมรดกสุดท้ายจากบทเพลงพระนิพนธ์ “ดาบของชาติ” และลายพระหัตถ์คงจะเป็นเครื่องยืนยันถึง พระคุณลักษณะของพระองค์ “พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์” ในความจงรักภักดี ถือประโยชน์ของ ประเทศชาติเป็นหลัก โดยมุ่งหวังให้ประเทศไทย และกองทัพเรือ มีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศ จากพระอุปนิสัย พระวิริยะอุตสาหะของพระองค์ในการปฏิบัติราชการ ทหารเรอื และพระเมตตาในการชว่ ยเหลอื ประชาชนตลอดหว้ งพระชนมช์ พี ของพระองค์ ทา ใหเ้ รอื่ งราวแหง่ พระประวตั ิ ของพระองคย์ งั คงเปน็ ทเี่ ลา่ ขานขา้ มกาลสมยั และเปน็ แบบอยา่ งอนั นา่ ยดึ ถอื ควรคา่ แกก่ ารเทดิ พระเกยี รตเิ คารพสกั การะ ของผู้คน และเหล่าทหารเรือจากอดีตจวบจนปัจจุบัน และสืบไปสู่อนาคตสมัยต่อไป
บทสรุป
“มรดกในบทกลอน คาสอนเสด็จเตี่ย” เป็นเพียงเรื่องราวบางส่วนของพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ซึ่งผู้เขียนพยายามวิเคราะห์เจตนารมณ์ของพระองค์ ที่ทรงถ่ายทอดผ่านการทรงงานของพระองค์รวบรวมให้เป็นมรดกตกทอดของเหล่าทหารเรือ และผู้ที่สนใจสืบต่อไป สิ่งที่หวังคือ เพื่อให้เหล่าทหารเรือได้ตระหนักและมีสัจจะของชายชาติทหารว่าเราเป็นลูกเสด็จเตี่ยแล้ว เราจึงควรต้องมีอุดมการณ์ในความรักชาติ และสถาบันต้องอยู่เหนือชีวิต เช่นเดียวกับพระองค์ท่าน จึงควร ต้องสารวจการกระทา หรือความประพฤติในงานความรับผิดชอบของตนเองอยู่สม่าเสมอ ว่าต้องตั้งอยู่บน ผลประโยชน์ของส่วนรวม กองทัพเรือ และประเทศชาติเป็นหลัก ในการปฏิบัติงานตามภารกิจของหน่วย ในขอบเขตอานาจหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเองที่ได้รับมอบหมายอย่างสม่าเสมอ ซึ่งจะส่งผลดีให้กับ ประเทศชาติ และกองทัพเรือสามารถบรรลุเป้าหมายตามภารกิจหน้าที่ตามกฎหมายในการเป็นหน่วยงานหลัก ด้านความมั่นคงของประเทศในการป้องกันราชอาณาจักร การคุ้มครอง และรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล การสนับสนุนการพัฒนาประเทศ และช่วยเหลือประชาชนเพื่อส่งมอบ “คุณค่าของกองทัพเรือ” นี้ให้กับสังคม
นาวิกศาสตร์ 49 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ดั่งคาที่ว่า “กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่น และภาคภูมิใจ” สมดั่งปณิธานของ พลเรือเอก สมประสงค์ นิลสมัย ผู้บัญชาการทหารเรือ ซึ่งได้ประกาศเจตนารมณ์ และมอบนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือ ประจาปีงบประมาณ ๒๕๖๕ แก่กาลังพลกองทัพเรือ ณ หอประชุมกองทัพเรือ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่ว่า
“รวมใจภักดิ์ รักษ์ชาติ ราษฎร์ศรัทธา" “ให้ปฏิบัติงานในหน้าที่รับผิดชอบอย่างเต็มกาลังความสามารถ ด้วยความจงรักภักดี ด้วยสติรู้ตัว ปัญญารู้คิด สุจริตจริงใจ และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าประโยชน์ส่วนอื่น”
เอกสารอ้างอิง (Reference)
๑. ผศ.ดร.รังสิพันธุ์ แข็งขัน, (พ.ศ. ๒๕๔๐). “การศึกษาบทเพลงทหารเรือในพระนิพนธ์ พลเรือเอก พระเจ้า บรมวงศเ์ธอกรมหลวงชมุ พรเขตอดุ มศกั ด”ิ์ วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าวฒั นธรรมศกึ ษามหาวทิ ยาลยั มหิดล .
๒. นิธิ วติวุฒิพงศ์ และ ฑิตยา ชีชนะ แง่คิดชีวิตงาม ตามแนวพระดาริในกรมหลวงชุมพรฯ, แหล่งข้อมูล https://hrh- abhakara-120anv-homecoming.com/hrh-prince-abahakara-quotes/. สืบค้นเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๔.
๓. พลเรือเอก ประพัฒน์ จันทวิรัช พระประวัติและพระกรณียกิจในสมัยรัชกาลที่ ๕ ของ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
๔. กรมยุทธการทหารบก, ๒๕๔๑ “การจัดตั้งโรงเรียนนายเรือในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” หนังสือการทหารของไทยในรัชสมัยพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.
๕. รังสิพันธุ์ แข็งขัน, ทาไมทหารเรือรักกรมหลวงชุมพรฯ การศึกษาบทบาทเพลงทหารเรือในพระนิพนธ์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์. แหล่งข้อมูล https://www.silpa-mag.com/history/ article_34451. สืบค้นเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๔.
๖. พิสุทธิ์ศักดิ์ ศรีชุมพล, ผลการศึกษาแนวทางการใช้กาลังทางเรือตามโครงการเสริมสร้างกาลังทางเรือ ร.ศ. ๑๒๙ ของกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ฯ เพื่อการปรับปรุงแผนป้องกันประเทศทางทะเลของกองทัพเรือ. แหล่งข้อมูล https://ache-pko.blogspot.com/2019/ สืบค้นเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๔.
๗. แนวหน้าวาไรตี้, บทสัมภาษณ์ของ ดร.เฉลิมชัย ยอดมาลัยกับ หม่อมราชวงศ์ จิยากร อาภากร เสสะเวช ประธาน มูลนิธิราชสกุลอาภากรฯ ในวาระครบรอบ ๑๔๐ ปี วันคล้ายวันประสูติในพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า อาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์. แหล่งข้อมูล https://www.naewna.com/lady/549062/ สืบค้นเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๔.
นาวิกศาสตร์ 50 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
beult1t1 flu beueJi''1bFTif ii'1flu;ibn1ti1'1
GIe1u r
II
ev1r;i aruu,
๑. ขอบอก
เรือรบไทย กับ เรือรบฝรั่งเศส ยิงกันที่เกาะช้าง
ตอน โหด มัน ฮา พลเรือตรี กรีฑา พรรธนะแพทย์ ถ้าไม่อ่านก็ไม่รู้หรอกว่า โหดยังไง มันยังไง ฮายังไง
ประมาณ ๓๒ ปีมาแล้วคือในปี พ.ศ.๒๕๓๒ ผมได้หนังสือมาเล่มหน่ึง เป็นหนังสือที่กองประวัติศาสตร์ กรมยุทธศึกษาทหารเรือท้ิงแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นหนังสือเล่มเล็ก ๆ บาง ๆ แถมยังเก่าและขาดเว้า ๆ แหว่ง ๆ อีกด้วย แต่ปกของหนังสือเล่มน้ีสะดุดตาผมมาก ตรงท่ีหน้าปกมีรูปเรือรบ เครื่องบิน รูปทหารเรือ ทหารอากาศ และมชี อื่ หนงั สอื วา่ “เลอื ดทหารไทย” เมอื่ เกบ็ เอามาดแู ลว้ จงึ รวู้ า่ รปู เรอื รบนนั้ คอื ร.ล.ธนบรุ ี เครอื่ งบนิ เปน็ เครอื่ งบนิ ของกองทพั อากาศไทย ทหารเรอื คอื นาวาโท หลวงพรอ้ มวรี พนั ธ์ ทหารอากาศ คอื เรอื อากาศเอก ศานติ นวลมณี ผู้รวบรวมและเรียบเรียงหนังสือ “เลือดทหารไทย” คือ ป.ปานะดิษฐ์ หนังสือพิมพ์ที่โรงพิมพ์เจริญกิจ ๑๘๕๒ ถนนมหาไชย พระนคร นายเจริญ สุวรรณสุข ผู้พิมพ์โฆษณา เม่ือวันท่ี ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๔ ปกพิมพ์ ๓ สี ท่ีโรงพิมพ์นิยมกิจ สี่แยกวัดตึก นายแสง เหตระกูล ผู้พิมพ์โฆษณา ราคาหนังสือเล่มละ ๑๕ สตางค์
หนังสือ “เลือดทหารไทย” มีอายุ ๘๐ ปีแล้ว (นับถึง พ.ศ.๒๕๖๔) ตอนที่พิมพ์จาหน่าย ผมมีอายุได้ ๘ ขวบ อยู่ในระหว่างสงครามไทยกับอินโดจีน - ฝรั่งเศส
ป.ปานะดษิ ฐ์ ไดเ้ ขยี นถงึ เรอื่ ง “วกิ ฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒” (พ.ศ.๒๔๓๖) “การเรยี กรอ้ งดนิ แดนคนื ” พ.ศ.๒๔๘๓ การปฏิบัติการรบของ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ผมขอนาเอาเรื่องท่ี ป.ปานะดิษฐ์ เขียนถึงการรบ ของกองทัพเรือไทย คือ “การรบที่เกาะช้าง” มาเล่าสู่กันฟัง
ขอบอกเสยี แตแ่ รกวา่ เรอื่ ง การรบทเี่ กาะชา้ ง ของ ป.ปานะดษิ ฐ์ น้ี ไมเ่ ปน็ ความจรงิ เลย แตท่ า่ นเขยี นมาดว้ ย เลือดรักชาติท่ีแรงมาก รักทหารเรือของชาติ เร่ืองราวจึงเป็นไปด้วยความต่ืนเต้น สนุกสนาน เร้าใจ สะใจ ดุเดือด เลือดพล่าน ถึงใจพระเดชพระคุณ ขนาดคุณครูพลเรือตรี แชน ปัจจุสานนท์ คุณครูนาวาเอก สวัสด์ิ จันทนี คุณครูพลเรือเอก นัย นพคุณ คุณครูพลเรือตรี ดาว เพชรชาติ คุณครูพลเรือเอก จิตต์ สังขดุลย์ รวมท้ัง พลเรือโท พัน รักษ์แก้ว หน่ึงเดียวท่ีรู้เรื่องการรบท่ีเกาะช้างดี ซ่ึงยังหลงเหลืออยู่ เป็นผู้ที่เคยเขียนเรื่อง “การรบท่ี เกาะช้าง” มาแล้ว ถ้าท่านท้ังหลายเหล่านี้ได้อ่าน “การรบที่เกาะช้าง” ฉบับนี้แล้วจะต้องร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า อย่างน้ีก็มีด้วย
การรบทเี่ กาะชา้ ง เกดิ ขน้ึ เมอื่ วนั ท่ี ๑๗ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๔ อกี ๖ เดอื นตอ่ มา เลอื ดทหารไทย กพ็ มิ พเ์ ผยแพร่ ออกมาเมื่อวันท่ี ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๔
ท่านผู้อ่านอาจจะทักท้วงว่า “เร่ืองไม่จริงแล้วเอามาลงทาไม” ผมก็ขอเรียนให้ทราบว่า ทหารเรือเขียนเรื่อง การรบที่เกาะช้าง ลงในนาวิกศาสตร์มาแล้วหลายตอน หลายคร้ังที่เพี้ยน เพี้ยน ก็มีมากต่อมาก ยังลงได้ แลว้ กไ็ มบ่ อกวา่ มนั เพยี้ นยงั ไง เพยี้ นตรงไหน เขยี นมาผดิ ๆ เพยี้ น ๆ แลว้ ยงั ไมบ่ อก แตส่ า หรบั เรอื่ ง “การรบทเี่ กาะชา้ ง ฉบบั โหด – มนั - ฮา” น้ี ผมบอกไวแ้ ตแ่ รกแลว้ วา่ เปน็ เรอ่ื งทไี่ มเ่ ปน็ ความจรงิ อยา่ เอาไปอา้ งองิ ขอใหอ้ า่ นกนั เลน่ ๆ ไมเ่ ครยี ด เพอ่ื ความสนกุ สมกบั ทต่ี งั้ ชอื่ โหด - มนั - ฮา แตเ่ รอื่ งนอี้ าจไมเ่ หมาะสา หรบั คนทไ่ี มม่ อี ารมณ์ “ฮา” ขอบอก
ดังนั้น นาวิกศาสตร์ก็ไม่น่าจะรังเกียจ ใจไม้ไส้ระกา ดาเป็นตอตะโก จนถึงกับถอน (BAN) เรื่องน้ีไม่ยอมลงให้ แต่ถ้ายอมลงให้แล้ว ถ้าท่านอ่านจบแล้วก็ขอให้ทาใจเสียว่า อย่างน้ีก็มีด้วย
นาวิกศาสตร์ 70 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
๒. การรบที่เกาะช้างตอนโหด - มัน - ฮา
ผมขอคัดลอกเอามาเพียงนิด ๆ หน่อย ๆ ดังนี้
ธนบุรี ชลบุรี สงขลา ป้องกันอ่าวไทย
การป้องกันอ่าวไทยของประเทศไทยในยามสงครามครั้งนี้ กองทัพเรืออันมี พลเรือตรี หลวงสินธุสงครามชัย เปนแมท่ พั ไดม้ คี า สงั่ ใหเ้ หลา่ ทหารเรอื ของประเทศไทย ออกไปทา การลาดตระเวนในอา่ วไทยเพอื่ ปอ้ งกนั สตั รทู จี่ ะมา ทา การตอ่ สใู้ นนา่ นนา้ เพอื่ ความปลอดภยั ของประชาชน ไดใ้ หเ้ รอื ตอรป์ โิ ดของเราสองลา ไปประจา อยจู่ งั หวดั ตราด ซึ่งมีเรือสงขลา และชลบุรี เปนผู้ออกลาดตระเวนครั้งแรก
เสยี งครางกระหมึ่ มาบนฟา้ นภากาศ นแี่ หละเปนเครอื่ งบนิ ของสตั รู ทไี่ ดบ้ นิ นา ทางมาสง่ เสยี งครา่ ครวญบนเวหา ชลบุรีกับสงขลาต่างสอดสายตามองหาเหยื่อของปืนต่อสู้อากาศยานอย่างไม่รอ ท้ังสองก็แลเห็นเครื่องบินของสัตรู ซงึ่ เปนผนู้ า ไมค่ อ่ ยถนดั นกั ชลบรุ เี สอื แหง่ การตอ่ สกู้ ท็ า การยงิ ดว้ ยปนื ปราบอากาศยาน กระทา ใหเ้ ครอื่ งบนิ ทะเลสขี าว โดยมีการบอกลักษณะตัวเลขที่แพนหาง ๑๙ ก็โผเข้าทาการทิ้งระเบิดมายังเรือชลบุรี แต่หาได้ถูกจุดที่หมายไม่ โดยความขขี้ลาดของฝรงั่เศสและประกอบดว้ยควนัหมอกปกคลมุอยา่งหนาทบึ ตา่งฝา่ยตา่งกม็องไมเ่หน็ซงึ่กนัและกนั ผลที่ได้ก็คือ ทิ้งระเบิดลงน้าในท้องทะเลไปเฉย ๆ
ระยะตอ่ มาเสอื นา้ กค็ อื สงขลานนั่ เอง กใ็ ชป้ นื ตอ่ สอู้ ากาศยานสง่ ขนึ้ ไปยงั เครอ่ื งบนิ ทะเลของสตั รู เสยี งปนื คา ราม สนั่นออกไป ถูกจุดที่หมายเข้าอย่างจัง โอ้อ้ายเจ้าเหยี่ยวทะเลกระทาอย่างนกปีกหัก ถลาลงมาจากกลางหาว ปักหัวเจ้าเหยี่ยวทะเลลงสู่ท้องมหาสมุทร์อย่างไม่มีวันจะคืนมาได้ โธ่ นี่หรือเจ้าเสืออากาศ มาจากเราไปเสียแล้ว
ไชโย ไชโย เสียงพลทหารเรือที่ประจาปืนร้องดังก้อง เอา ยิงมันให้สบั้น มาซิมาอีกเท่าไรมา กาลังน้าใจของ ทหารเรอื ไทยแขง็ ปานกบั หนิ ในขณะนดี้ ชู ลบรุ ี และสงขลาตา่ งกน็ า เรอื ทงั้ สองคอยผะเชญิ กบั สตั รอู ยา่ งปลาบปลมื้ ใจ เรือรบของฝรั่งเศส ซึ่งประจาน่านน้าตะวันออกไกลโผล่มาจากขอบฟ้า โดยมีเรือลาดตระเวนขนาดหนัก
ชื่อลามอตต์ปิเก้ท ซึ่งมีทั้งปืนและฝีตีนดีกว่าของเรา เรียงหน้าเข้าใส่เรือตอร์ปิโดของเราเข้า---มา---เข้ามา
ฝา่ ยสตั รทู า การเปดิ ฉากยงิ ฝา่ ยเราดว้ ยปนื ขนาด ๑๓.๘ ซ.ม. กอ่ น กระสนุ ขา้ มทา้ ยเรอื สงขลาไประเบดิ อยใู่ นนา้ ฝรงั่ เศสมนั เขา้ ใจวา่ เรอื สงขลาและชลบรุ เี ลก็ กวา่ มนั ไหนเลยจะสมู้ นั ได้ หาไดเ้ ฉลยี วใจไมว่ า่ นคี่ อื เสอื ตวั ยงของอา่ วไทยละ
กอดคอกันตายเถิดเพื่อน
ทนั ใดนนั้ ผบู้ งั คบั การเรอื ตอรป์ โิ ดของเสอื ตวั ยงในอา่ วไทย กพ็ รอ้ มใจกนั อยา่ งเดด็ ขาดวา่ จะไมย่ อมหนมี นั ไปเลย จากพื้นท้องสมุทร์ ถ้าชีวิตของพวกเราตายนั่นแหละสัตรูเอ๋ย จึงมาทาลายเพื่อนของเราได้
อ่าวไทยเปนฉากสงครามเสียแล้ว ไชโย พวกเรา - พวกเรา - พร้อมใจ นี่เปนเสียงอันประจาของเหล่าทหารที่ได้ ผะเชิญอยู่ในบัดนี้ ฉากแห่งการต่อสู้ก็เปิดขึ้นอย่างฉกาจฉกรรจ์ ถ้าเราจะเปรียบ ก็ไม่ผิดอะไรกับลูกแกะถูกล้อม ด้วยสุนักข์ป่า นี่คือความกล้าหาญของเสือชลบุรีและสงขลา
นาวิกศาสตร์ 71 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
เกดิ เปนไทย ตายเพอื่ ไทย เมอื่ ฝา่ ยสตั รไู ดข้ ยายวงยงิ มาอยา่ งหา่ ฝน ดปู ระกายไฟแลบออกมาจากกระบอกปนื แทบประหนึ่งพายุพัด เสือแห่งเรือตอร์ปิโดชลบุรีและสงขลาได้หวาดหวั่นกลัวเกรงต่ออานาจเหล่านี้ไม่ คนไทย ทหารเรือไทย ไม่เคยหนีใคร ไม่ยอมแพ้ใคร อย่าว่ามีมาแต่เท่านี้เลย ให้มันมาทั้งประเทศก็ไม่เห็นกลัวอะไร ไทย ทหารไทยจะยอมสจู้ นตายคาทอ้ งมหาสมทุ รข์ องไทยเพอื่ ความเปนไทยของประเทศชาติไชโยเพราะเราเกดิ เปนไทย มหารัฐในอนาคต จะสู้จนเลือดหยดสุดท้าย ถึงแม้จะสู้ไม่ได้ก็ดี - ต้องเปนไทยนักสู้อยู่จนตายคามือ
เสียงตะโกนกู่ก้อง ดังมาจากหอบังคับการ เอา ยิง - เอายิง ยิงให้สบั้นไม่กลัว ทันใดนั้นตอร์ปิโดขนาด ๑๘ นิ้ว คู่ชีวิตประจาเรือก็ถูกปล่อยลงสู่พื้นน้าทางท่อ
ในระยะตอ่ มา เสยี งกกึ กอ้ ง สะทา้ นทวั่ มหาสมทุ รข์ องอา่ วไทย ดฤู ทธขิ์ องตอรป์ โิ ดขนาด ๑๘ นวิ้ ทยี่ งิ ไปจากฝง่ั เรา ถูกเรือสลุบของฝรั่งเศสลาหนึ่งชื่อ “ดาวินดูมองท์” ถูกทาลายเสียงดังก้องคล้าย ๆ ฟ้าถล่ม ดูเถิด เพลิงไหม้เปนควัน ทั่วบริเวณในการยุทธของเรา เศษเหล็กเศษไม้ปลิวว่อนขึ้นสู้อากาศอยู่ไปมา เหล่าทหารประจาเรือต่างร้องโวยวาย ผิดกับทหารของประเทศเรามาก วิ่งกันไปมาสับสน กลัวความตายแท้ ๆ โธ่ ทหารฝรั่งเศสเอ๋ยช่างใจน้อยแท้ ๆ หนอ และยังอวดว่าเปนนักรบอีก ไอ้ขี้เท่อ
ตูม ตูม นเี่ ปนเสยี งปนื ของขา้ ศกึ ยงิ มา แตบ่ งั เอญิ ลกู กระสนุ ของขา้ ศกึ ทยี่ งิ มา ตกลงกลางลา ถกู เสาวทิ ยขุ อง เรือชลบุรีดูเสียหายเล็กน้อยเท่านั้น แม้แต่ลาเรือชลบุรีเองก็ยังรู้สึกว่าลาเรือของชลบุรีหาได้หวาดหวั่นสะท้านไม่ เมื่อถูกกระสุนปืนของข้าศึก กลับตัดสินใจพุ่งลาเรือฝ่ากระสุนฝ่ายข้าศึกยิงสกัดมา อย่างเม็ดฝนเข้าหาสัตรูอย่างไม่ กลัวตาย
ชลบรุ เี สอื ประจา แนวลาดตระเวนของอา่ วไทยยงั มนั่ ใจเสมอวา่ จะพรอ้ มใจกนั สกู้ บั สตั รใู หต้ ายคามอื โดยไมค่ ดิ ชวี ติ ตอร์ปิโดที่มีประจาท่ออีกเพียงคู่สุดท้าย ชลบุรีเสือนักสู้ชลบุรีจาเปนจะต้องขอฝากตอร์ปิโดคู่นี้ไว้ เปนพยานของ ทหารเรือไทย ให้โลกและประชาชนรู้ลายนักรบของไทย ประจักษ์เปนพยานในบัดนี้ ว่าไทยมีน้าใจเปนเลือดนักรบ อันแท้จริง พร้อมด้วยการรบยุทธ และหน้าที่ ที่รักเกียรติยศของชาติไทยเพียงไร โดยผู้บังคับการของเราที่มีน้าใจ เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ พร้อมด้วยเหล่าทหารประจาเรือ ซึ่งจะรอความหวังที่จะมาทางอื่นมาแก้นั้นอาจสายเกินไป เลอื ดนกั รบของเหลา่ นาวไี ทย จงึ ตดั สนิ ใจยอมสจู้ นเยบ็ ตาเพราะชวี ติ ของเราพรอ้ มกนั พรอ้ มแลว้ ทจี่ ะกอดคอกนั ตาย ตายเพื่อประเทศชาติ และพี่น้องของเรา ตายอย่างสมเกียรติยศของเรา มาซิ ใครเก่งก็เข้ามา
เรือหลวงธนบุรีมาแล้ว
ธนบุรีออกหาเหยื่อกินตามนิสสัยของเรือปืน
พอเสยี งแตรเดยี่ วดงั มาจากเรอื ธนบรุ ี แจง้ ใหเ้ รอื ตอรป์ โิ ดรตู้ วั วา่ บดั นธี้ นบรุ ไี ดม้ าถงึ แลว้ และกา ลงั จะหาอาหาร ใหล้ กู กระสนุ ปนื กนิ เพราะกา ลงั หวิ อยา่ งกระหาย เพราะลกู กระสนุ ทกุ ๆ นดั จะตอ้ นรบั ชาวผวิ ขาวใหส้ มคา่ ทไี่ ดก้ ระทา ไปแล้ว
นาวิกศาสตร์ 72 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
เรือหลวงธนบุรี โดยมีนายนาวาเอกหลวงพร้อมวีรพันธุ์เปนผู้บังคับการ ท่านผู้นี้นิสสัยใจคอเยือกเย็น และ โอบอ้อมอารีย์ต่อทหารเรือที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านเปนอันมาก ในขณะที่ท่านได้นาเรือธนบุรีออกลาดตระเวน และได้รับสัญญาณจากวิทยุ ท่านพยายามปลอบปลุกใจเหล่าทหารในเรือของท่านเปนอันดี
ธนบุรีแล่นไปบนพื้นน้า ดูประหนึ่งคล้ายเสือซึ่งคอยตะครุบเหยื่อมาเปนอาหาร ดูทหารหนุ่มของเรือธนบุรี ต่างสนุกครึกครื้นร่าเริงบรรเทิงใจ สมกับเปนเลือดนักรบหนุ่มแท้ ๆ เพราะทหารทุก ๆ คนมีหัวใจบึกบึนอดทน ทุก ๆ คน ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวที่จะบ่นว่าลาบากยากเข็ญประการใด มีแต่พูดกันว่าอยากพบแต่สัตรูคู่อาฆาต ของธนบุรีเท่านั้น เพราะเขากระหายอยากพบอยากเจอ ในที่สุดความหวังของเขาก็มาถึงโดยมิได้นึกฝัน
โครม-ตูมกระสนุปนืของขา้ศกึทยี่งิมาตกขา้งเรอื กระทาใหน้า้แตกกระเซน็เปนฝอยเมอื่ผบู้งัคบัการเหน็ เหตุการณ์เกิดขึ้นโดยกระทันหัน จึงสั่งให้ทหารทุก ๆ คนประจาหน้าที่ทาการยิงอย่างเลือดนักรบ
เมื่อฝรั่งเศสได้นาเรือเข้ามารุกรานประเทศไทยของเราถึงเกาะช้าง พร้อมด้วยเรือปืนและตอร์ปิโดถึง ๖ ลา น้าหนักเรือลาหนึ่งๆ นับเปนจานวนตั้ง ๗.๕๐๐ ตัน และมีปืนตั้ง ๑๙ กระบอก และเรือสลุต ๓ ลา และเรือตอร์ปิโด อีก ๓ ลา พร้อมด้วยเครื่องบินทะเลอีก ๒ เครื่อง แปรขะบวนตัวที เข้าทาการโจมตีเรือธนบุรีของเรา
ฉากการต่อสู้ทางน้าโดยไม่ทันรู้ตัวของเหล่าลูกนักรบนั้นดูมันชั่งเสียเปรียบ และด้อยกว่าเท่ากันทั้งนั้น แต่กาลังใจของนักรบไทย แข็งปานกับอะไร ๆ สุดที่จะเปรียบ
กระสุนปืนของธนบุรีนัดแรกได้ลั่นถูกจุดหมาย คือ เรือสลุตของข้าศึกเกิดอับปางค่อย ๆ จมลงในกระแสร์น้า ทีละน้อย ภาพเหล่านี้น่าสลดใจ แต่ฝ่ายเขาน่าดีใจแก่ฝ่ายเราทีเปนเหยื่อลูกกระสุนของปืนธนบุรี เจ้าเรือสลุตเอ๋ย มาจากเราไปโดยเรายังไม่รู้เลยว่าเจ้าจะไปสู้กับฝูงปลาในทะเลอีก
ผู้บังคับการเรือธนบุรี และเหล่าลูกเรือเสือธนบุรีต่างก็เข้าต่อสู้ด้วยความกล้าหาญ ข้าศึกได้พยายามใช้เรือ ทุก ๆ ลาเข้ารุมเรือของฝ่ายเรา ซึ่งมีแต่เพียงธนบุรีลาเดียว และยังแถมใช้เครื่องบินอีก ๒ เครื่องเข้าโจมตี ทิ้งบอม ใส่เรือเรา ตามจุดยุทธศาสตร์ของฝรั่งเศสที่มีชะนิดนี้มานาน ฝ่ายเราได้ยิงโต้ตอบไปอย่างไม่คิดชีวิตของนักรบ ที่กล้าหาญประจาเรือธนบุรี แต่ข้าศึกใช้เครื่องบินเครื่องหนึ่ง โจมตีโดยทิ้งระเบิดถูกตรงหัวเรือธนบุรี กระทาให้ เกิดเพลิงไหม้ พวกเลือดนักรบได้พยายามกระทาการดับได้ลงในทันท่วงที แต่กระทาให้เกิดผลเสียหายเล็กน้อย ถึงแม้ว่า ธนบุรี เรือปืนจะถูกข้าศึกทิ้งระเบิดแล้ว กลับเปนการปลุกหรือกล่อมขวัญให้กระหายมากขึ้น ปืน ป.ต.อ. ได้แผดเสียงคารามไปตอบแทน เครื่องบินทิ้งระเบิดของข้าศึก กระทาให้เจ้าบินทะเลเปนเหยื่อของ ป.ต.อ. อีกอย่าง หวาน ๆ นี่หรือพ่อบินทะเลมาซิมาทิ้งอีก จะได้ให้รอง ป.ต.อ. ของธนบุรีอย่างนี้ทุก ๆ ที่ บินทะเลของข้าศึก ก็ต้องล่วงลงมาในอากาศอย่างไม่มีท่า ถึงแก่ต้องเปนเหยื่อของท้องทะเลอีกหนึ่งเครื่อง
ลูกกระสุนปืนของข้าศึกที่ยิงมาจากเรือทุก ๆ ลาดูประหนึ่งห่าฟ้าฝนที่เทลงมา ดูต้นไม้ใหญ่น้อยบนเกาะช้าง ลม้ ระเรระนาดมากมายเพยี งไร ทหารของธนบรุ ที กุ ๆ คนหาไดพ้ ากนั สทกสทา้ นกลวั เดชตอ่ กระสนุ ปนื ไม่ กลบั ภมู ใิ จ ที่ได้ประสพ เพราะความพยาบาทซึ่งแค้นอยู่เปนเวลา ๔๗ ปีนั้นรุกเหิมขึ้นไม่ขาดระยะลมหายใจ ธนบุรีทั้งลา พร้อมด้วยทหารทุก ๆ คนกลับพร้อมใจที่จะต่อสู้อย่างชีวิตเลือดลูกผู้ชาย
นาวิกศาสตร์ 73 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ตูม - โครม กระสนุ ปนื ของขา้ ศกึ ไดฝ้ า่ มาในอากาศกระทบตอนทา้ ยของเรอื ธนบรุ ี หกั เลก็ นอ้ ย กระทา ใหธ้ นบรุ ี ไม่พอที่จะใช้ความสามารถถือท้ายได้ ต้องลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเลในขณะต่อสู้กับสัตรู แต่ธนบุรีหาหมดความ พยายามไม่ กลับมานะกัดฟันต่อสู้อีกอย่างไม่คอยให้เสียเวลา ผู้บังคับการเรือธนบุรีขบฟันแน่น โดดเข้าไปยืนอยู่ เบื้องหลังพนักงานตอร์ปิโด อานวยการยิงด้วยตนเอง กระสุนปืนของธนบุรีลูกนี้มันช่างสาแดงฤทธิ์เดชหล่นตูม ลงกลางลา ลามอตตป์ เิ กต์ ทหารเรอื ของฝรงั่ เศสตอนหวั เรอื ถกู กวาดลงพนื้ ทะเลไปทงั้ แถบ นายนาวาเอก แบรย์ วั แบร์ ซึ่งยืนบัญชาการรบอยู่ทางขวา ถูกสะเก็ดระเบิดล้มฟุบอยู่ตรงนั้น ดูควันไฟมันตระหลบไปทั้งหมดทั่วบริเวณ
อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเรือธนบุรีได้ลอยคว้างอยู่กลางทะเล เมื่อถูกลูกปืนเข้าที่ตอนท้ายที่ข้าศึกยิงมา พอท้ายเรือ ของธนบุรีเสือนาวีได้ประจบที่หมาย พอเหมาะกับกระบอกปืนธนบุรีก็ปล่อยปืนคารามออกไปให้ข้าศึกดู การยิง ออกไป ปรากฏผลที่เลือดนักรบประจาธนบุรีให้เรือปืนชุดฟรานซิสกานิเวอร์ ถึงกับพินาศลงอีกในท้องทะเล ท้ายเรือค่อย ๆ จมลงอย่างแช่มช้า ภายใต้ท้องทะเลที่มีสีเขียวคราม โธ่เอ๋ย เจ้าเรือปืนไปสู่ก้นทะเลเสียอีกแล้วหรือ
เหยี่ยวอากาศออกช่วย
เคร่ืองบินกองทัพอากาศ ๖ เครื่อง ได้ถลาร่อนลงจากท้องฟ้าแปรขะบวนเข้าโจมตีข้าศึกอย่างฉกาจฉกรรจ์ ลูกระเบิดของนักบินผู้กล้าหาญได้ทิ้งถูกเรือลามอตต์ปิเกต์อย่างแม่นยา ถึงแม้จะใช้ ป.ต.อ.ยิงก็หาได้เกิดผลไม่ ด้วยอานาจคือ คุณพระรัตนไตรของประเทศชาติปกปักรักษานักรบที่กล้าหาญชาญชัยประสพผลอย่างงาม ลามอตต์ปิเกต์แทบจะกระอักเลือดออกมา ในขณะเห็นเหยี่ยวอากาศของไทยมาโจมตีได้ผลอย่างไม่นึกถึง นี่เลือด แห่งความแค้นของพี่น้องชาวไทย
ต่อมาเมื่อความกล้าหาญของธนบุรี ที่ถูกฝ่ายสัตรูทาลายเสียหายเล็กน้อย กระทาให้เรือลามอตต์ปิเกต์ ต้องเสียขวัญ ด้วยความกล้าหาญของเสือธนบุรีที่ออกทาการหาเหยื่อสมประสงค์ ที่ได้ใช้กระสุนปืนทุก ๆ นัด และ ตอร์ปิโดทุก ๆ ลูก ทาให้เกิดผลแก่ข้าศึกเกรงกลัว ผู้บังคับการเรือลามอตต์ปิเกต์ส่งสัญญาณให้กองเรือรบล่าถอยไป อย่างไม่เปนขะบวน ดูซิมันเก่งทั้งปืนและน้าหนัก ดูมันมีตั้ง ๖ ลา ยังหนีได้ โธ่ ไอ้--อวดดีก็ไม่ต้องหนีซีมาสู้กันอีก ในที่สุดโชคดี คือความมีชัยของเหล่าทหารที่ได้ทาการยุทธนาวีประสพชัยชะนะอย่างน่าชื่นชม ไชโย
ต่อจากเรือหลวงที่ได้ยิงกันหนักๆ
ฉากของการต่อสู้ของเรือหลวงธนบุรี เรือหลวงชลบุรีและสงขลา ได้ทาการต่อสู้กับสัตรูฝรั่งเศสในอ่าวไทย ขอ้ นมี้ นั ชา่ งเรา้ หวั ใจของเลอื ดทหารหาญยงิ่ นกั โดยการตอ่ สขู้ องเรอื รบอนั เปนเสอื ทะเลของอา่ วไทย ประจา ประเทศชาติ มีการต่อสู้ชะนิด ๒ ต่อ ๗ และ ๑ ต่อ ๗ ทั้งนั้นนี่สิมันเปนประวัติการณ์ของเลือดนักรบไทย อันมีเกียรติที่ได้กระทา เพื่อต่อสู้ประเทศชาติและพี่น้องของเราอย่างทรหดอดทน การต่อสู้ระหว่างเรือรบของเรากับฝรั่งเศส มันช่างผิดกัน ไกลตลอดทงั้ ปนื และเรอื การตอ่ สกู้ นั ตวั ตอ่ ตวั นคี่ อื ฝรงั่ เศสเหน็ เลอื ดทหารไทยของเราเปนขนมปงั ของมนั แตท่ ไี่ หนได้ ขนมปงั ของไทยแขง็ จนตอ้ งกระทา ใหฟ้ นั ของฝรงั่ เศสเคยี้ วไมไ่ ดถ้ งึ กบั ฟนั ตอ้ งหลดุ ออกจากปากของมนั และไมอ่ ยาก จะลองชิมอีก
นาวิกศาสตร์ 74 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
ฉากนี้ การรบกันในระหว่างเรากับฝรั่งเศส ย่อมเปนการเสียเปรียบในการที่มันรุมเอาอย่างสุนักข์หมู่ และ การน้าใจและไหวพริบมันสู้เราไม่ได้ ถึงแม้เลือดทหารหาญจะเสียไปบ้างเล็กน้อยก็รู้ว่า นี่เปนเลือดของนักรบ ของประเทศอันมีเกียรติ ที่จะดังก้องอยู่กับพี่น้องชาวไทยไปจนชั่วประวัติศาสตร์ของประเทศ
๓. สรุป
อย่างนี้ก็มีด้วย ฮา !
เรือหลวงธนบุรี
นาวิกศาสตร์ 75 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
นาวิกศาสตร์ 76 ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
๑. ตายแต่ตัวช่ือยังฟุ้ง
เรือรบไทย กับ เรือรบฝรั่งเศส ยิงกันที่เกาะช้าง
ตอน โหด ไม่ ฮา เร่ืองเล่าจากหอบังคับการ เรือหลวงธนบุรี เป็นเรื่องจริงไม่อิงนิยาย
ต้องอ่าน จึงจะรู้ว่า ของจริงโหดยังไง
วันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เวลา ๐๖๕๐
เปรี้ยง กระสุนตับที่ ๔ ของลามอตต์ปิเกต์ (LAMOTTE PICQUET) เรือรบฝรั่งเศส ขนาด ๖ นิ้ว นัดหน่ึงได้ถูก เ ร อื ห ล ว ง ธ น บ รุ ตี ร ง ท สี ่ า ค ญั แ ล ะ เ ป น็ จ ดุ อ อ่ น เ จ า ะ ท ะ ล เุ ข า้ ไ ป ใ น ห อ้ ง โ ถ ง น า ย พ ล ร ะ เ บ ดิ ข นึ ้ แ ล ว้ ท ะ ล ทุ ะ ล ว ง ข นึ ้ ไ ป ข า้ ง บ น เจาะพื้นหอบังคับการ๑ทางกราบขวา ตรงเทเลกราฟ๒ขวา ทาให้ทหารในหอบังคับการล้มทับกันระเนระนาด มีควันตระหลบไปท่ัวจนมองไม่รู้ว่าใครเป็นใคร นายนาวาโท หลวงพร้อมวีรพันธ์ุ (พร้อม วีระพันธุ์) ผู้บังคับการเรือ ซ่ึงกาลังสั่งการรบอยู่ ล้มทับ จ่าเอก ทองมี เสตะจันทร์ จ่าประจาพังงาถือท้าย๓ หลวงพร้อมวีรพันธุ์ ถูกสะเก็ด ของกระสนุ ตดั ขาซา้ ยขาด กระเดน็ ไปอยตู่ รงประตทู างเขา้ หอบงั คบั การเสยี ชวี ติ ในเวลาตอ่ มาเลก็ นอ้ ย จา่ เอก ทองมี ซ่ึงกาลังถือท้าย ขาขาดทั้งสองข้างเสียชีวิตทันที พันจ่าเอก เทียน เหมือนสุวรรณ พันจ่าคุมเข็มถือท้าย ถูกสะเก็ด กระสนุ ทข่ี าทง้ั สองขา้ ง ขาขวากระดกู แหลกถงึ โคนขา ไปเสยี ชวี ติ ทโี่ รงพยาบาลจนั ทบรุ ี จา่ เอก จนั่ ตงิ่ สขุ ซงึ่ ทา หนา้ ที่ ตดิตอ่คาสง่ัทที่่อพดูบาดเจบ็สาหสัก้นหวะเปน็แผลลกึพลทหารตี๋ขวัญประเสรฐิประจาเทเลกราฟขวาถกูไฟลวก ตามหน้า และร่างกาย บาดเจ็บสาหัส นายนาวาตรี อัชฌา พัฒนวิบูลย์ นายแพทย์ประจาเรือ ถูกสะเก็ดกระสุนท่ีขา ทั้งสองข้างเดินไม่ได้ จ่าโท เอื้อน สายสุวรรณ ได้อุ้มไปยังห้องพยาบาล และเสียชีวิตในห้องพยาบาลนั้น
นอกจากนี้แล้ว กระสุนนัดนี้ยังทาให้เครื่องถือท้ายเกิดขัดข้องข้ึนอีกด้วย นายเรือโท เฉลิม สถิรถาวร ตน้ หน เรอื หลวงธนบรุ ี ซงึ่ เดนิ ตามผบู้ งั คบั การเรอื ลงจากสะพานเดนิ เรอื ๔เขา้ ประจา ในหอบงั คบั การ ถกู สะเกด็ ระเบดิ ได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าข้างขวา ศีรษะด้านหลัง และตามร่างกายเลือดไหลโทรมกาย ทาให้นายเรือโท เฉลิม เซลม้ ลง ถงึ กบั หมดความรสู้ กึ ไปชว่ั ขณะหนงึ่ เมอื่ ไดส้ ติ และกลบั ฟน้ื ขนึ้ มาแลว้ จงึ ไดต้ รงเขา้ สงั่ การ และนา เรอื แทน ผบู้ งั คบั การเรอื เขา้ สตู้ อ่ ไปโดยทนั ที ถงึ แมว้ า่ เครอื่ งถอื ทา้ ยจะขดั ขอ้ งอยกู่ ต็ าม เรอื หลวงธนบรุ ี ซงึ่ กา ลงั เดนิ หนา้ เตม็ ตวั ๒ เครื่อง ด้วยความเร็ว ๑๔ นอต ขาดการบังคับเรือช่ัวขณะ เรือจึงเร่ิมหมุนซ้ายเป็นวงกลม และเกิดไฟไหม้เรือ หลายแห่ง
นายเรอื โท เฉลมิ ฯ ตอ้ งออกจากหอบงั คบั การ ฝา่ กระสนุ ปนื และการระเบดิ ตลอดจนเพลงิ ไหมเ้ รอื ไปยงั ทา้ ยเรอื เพื่อจัดการใช้เคร่ืองถือท้ายอะไหล่ที่ท้ายเรือ
๑. หอบังคับการ ๒. เทเลกราฟ
๓. พังงาถือท้าย ๔. สะพานเดินเรือ
นาวิกศาสตร์ 42 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕
นาวิกศาสตร์ 43 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕
นายนาวาโท หลวงพร้อมวีรพันธ์ุ ผู้บังคับของเรือหลวงธนบุรี เสียชีวิตที่นี่ ระหว่าง พังงาถือท้าย กับ เทเลกราฟขวา
ด้านขวา พังงาถือท้าย เทเลกราฟขวา
ด้านซ้าย เทเลกราฟซ้าย พังงาถือท้าย
นาวิกศาสตร์ 44 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕
ภายในหอบังคับการของเรือหลวงธนบุรี
ด้านหน้า เทเลกราฟซ้าย พังงาถือท้าย เทเลกราฟขวา
ด้านหลัง เทเลกราฟขวา ประตู ท่อพูด เทเลกราฟซ้าย
นาวิกศาสตร์ 45 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕
ภาพวาด นายนาวาโท หลวงพร้อมวีรพันธ์ุ ผู้บังคับการเรือหลวงธนบุรี
ภายในห้องโถงนายพล เรือหลวงธนบุรี นายนาวาโท หลวงพร้อมวีรพันธ์ุ ไม่ได้เสียชีวิตในห้องนี้
นาวิกศาสตร์ 46 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕
๒. เรือหลวงธนบุรี อาการหนัก
เรือหลวงธนบุรี ในขณะนี้ได้แล่นหมุนเป็นวงกว้างอยู่ถึง ๔ รอบ เมื่อใช้เครื่องถือท้ายอะไหล่ได้แล้ว จึงได้กลับ แล่นไปในทิศทางเดิมตามความต้องการ แต่กระนั้นก็ดี การที่จะบังคับเรือให้อยู่ในทิศทางตามต้องการก็ไม่สู้ จะทาได้คล่องแคล่วนัก เรือต้องแล่นส่ายไปส่ายมาเพราะการบังคับเรือยาก การกระทาของนายเรือโท เฉลิม ทา ให้เรอื หลวงธนบรุ ีรอดพน้ จากการตกเปน็ เปา้ ปนื ใหญข่ องขา้ ศกึ แตฝ่ า่ ยเดยี วและทา ให้เรอื หลวงธนบรุ ีทา การรบกบั ขา้ ศกึ ที่มีจานวนมากกว่า และมีอาวุธที่เหนือกว่า ๕
เรอื หลวงธนบรุ ี ตอ้ งทา การรบกบั เรอื รบฝรงั่ เศส ๔ ลา เปน็ การสรู้ บแบบ ๔ ตอ่ ๑ เรอื หลวงธนบรุ ี มไิ ดส้ ะทกสะทา้ น ตอ่ สอู้ ยา่ งทรหด แมว้ า่ จะถกู ยงิ หนกั จากเรอื รบฝรงั่ เศสทงั้ ๔ ลา และโดนระเบดิ จากเครอื่ งบนิ เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ไฟไหม้ ทั่วไปบริเวณกลางลา และน้าเข้าเรือจนแปล้น้า เรือลามอตต์ปิเกต์ก็ถูก เรือหลวงธนบุรี ยิงจนบอบช้าหมดสภาพ จึงต้องล่าถอยไปในที่สุด
เมอื่ เรอื ขา้ ศกึ ไดล้ า่ ถอยไปแลว้ เรอื หลวงธนบรุ ีกา ลงั ไฟไหมอ้ ยู่เรอื หลวงชา้ งจงึ ไดเ้ขา้ ไปทา การชว่ ยเหลอื โดยเขา้ เทยี บ เรอื หลวงธนบรุ ที างกราบขวาและไดช้ ว่ ยกนั ดบั ไฟแตไ่ มไ่ ดผ้ ลมากนกั เรอื หลวงชา้ งจงึ เขา้ ทา การจงู เรอื หลวงธนบรุ ีซงึ่ ขณะนนั้ มีอาการหนัก มีน้าเข้าเรือมาก เรือเอียงทางกราบขวามากขึ้น มีสภาพอย่างหมดหนทางที่จะทาการแก้ไข จึงให้ เรือหลวงช้าง จูงไปจนถึงหน้าแหลมงอบเพื่อเกยตื้น
เมื่อเวลา ๑๑๐๐ นายเรือเอก ทองอยู่ สว่างเนตร (พลเรือโท ทแกล้ว สว่างเนตร) ต้นเรือ เรือหลวงธนบุรี ซึ่งทาการแทนผู้บังคับการเรือสั่งสละเรือใหญ่๖ ธงราชนาวียังคงอยู่ที่เสากาฟจนวาระสุดท้าย แต่แล้วก็ตกลงมา โดยไฟไหมเ้ ชอื กขาด ทหารประจา เรอื ไดป้ ฏบิ ตั ติ ามคา สงั่ จา เปน็ ตอ้ งจาก เรอื หลวงธนบรุ ี ทรี่ กั ทหารทกุ คนเปลง่ เสยี ง ไชโยพร้อม ๆ กัน ๓ ครั้ง เป็นการอาลาเรือที่รัก และทาความเคารพผู้บังคับการเรือ พร้อมด้วยหยาดน้าตา ไหลลงสู่ใบหน้า
เวลา ๑๖๔๐ เรือหลวงธนบุรี ซึ่งเกยตื้นอยู่นั้น ได้เริ่มตะแคงทางกราบขวามากขึ้นทุกที กราบขวาเริ่มจมน้า จนกราบตักน้า เสาทั้งสองเอนลงน้า กราบซ้ายและกระดูกงูกันโคลง๗ โผล่อยู่พ้นน้า
๓. ทหารเรือเขารบกันอย่างนี้
* “ทหารสองคนถูกไฟไหม้ทั้งตัว เนื้อแดง ดิ้นจนขาดใจตาย”
* “บางคนแขนหักที่ปลายทั้งสองข้าง ห้อยรุ่งริ่ง ดูน่าเวทนาเป็นที่สุด”
* “ทหารนายหนึ่งถูกอานาจระเบิด และสะเก็ดกระสุน ไฟลวกตัวดาเกรียม ปลายแขน และปลายขาขาด
นอนตายอยู่ในท่าโก้งโค้ง”
* “ทหารคนหนึ่งถูกอานาจระเบิดตัวขาด ๒ ท่อน อีกคนหนึ่งขาขาดเป็น ๓ ท่อน ตายคาที่ทั้ง ๒ คน”
* “พลฯ ชนุ ซงึ่ มหี นา้ ทลี่ า เลยี งกระสนุ อยใู่ นหอ้ งลา เลยี งกระสนุ ขา้ งลา่ ง กา ลงั ไตบ่ นั ไดขนึ้ มายงั หอ้ งปนื ขา้ งบน
แขนขวาของ พลฯ ชุน หักห้อยร่องแร่งใต้ข้อศอกลงไป ตอนที่หักติดอยู่ด้วยหนังกาพร้า เห็นเนื้อตอนที่ขาด แดงเหมือนเนื้อหมู แต่ พลฯ ชุน ก็ใจเด็ดทาการเลื่อนกระสุนต่อไปด้วยมือซ้ายที่ใช้การได้เพียงข้างเดียว”
๕. การสู้รบแบบ ๔ ต่อ ๑ ๖. สละเรือใหญ่
๗. กระดูกงูกันโคลง
นาวิกศาสตร์ 47 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕
* “ทหารถูกกระสุนปืนบาดเจ็บ โลหิตไหลโชกตัว บางคนจาไม่ได้เพราะถูกไฟลวกหน้า และตามตัวจนพอง ไปหมด ผมเกรียมเกือบติดหนังศีรษะ”
* “กระสนุ นดั แรกทถี่ กู เรอื หลวงชลบรุ ี นนั้ ทา ใหเ้ สาหวั หกั สะบนั้ โคน่ ฟาดลงมาบนสะพานเดนิ เรอื ยามยอดเสา ร่วงติดลงมากับรังกา ขาขาดทั้งสองข้าง เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ประมาณ ๕ นาที หลังจากบาดเจ็บ ก่อนตาย เขาพูดกับทหารที่ทาการพยาบาลเขาว่า สู้ต่อไปเถิดพวกเราต้องชนะ”
* “ทหารคนหนึ่งที่ถูกระสุนปืน และไฟลวก ล้มคว่าในท่าที่มือทั้งสองอยู่ในท่าบรรจุกระสุนปืน ตรงปืนเบา กระบอก ๑ ใบหน้าของเขาแสดงอาการคล้ายกับว่าได้พยายามในครั้งสุดท้ายที่จะส่งกระสุนนัดนั้นเข้าลากล้อง แต่หากกระสุนของข้าศึกได้ปลิดชีวิตของเขาเสียก่อน ไฟได้ลวกเขาจนผมเหลือเพียงกระจุกเดียวบนศีรษะ และ หงิกงอ”
* “พลทหารซงึ่ มหี นา้ ทลี่ า เลยี งลกู ปนื เบาจากทลี่ า เลยี งลกู ปนื ไปยงั ปนื เบา ไดถ้ กู กระสนุ ของขา้ ศกึ ทรี่ ะเบดิ ขนึ้ ที่ลาเลียงนั้น ตามร่างกายถูกไฟลวก และถูกสะเก็ดกระสุนฝังที่ไหล่ ที่ปลายแขนทั้งสองข้างหักห้อยตรงใต้ข้อศอก ครงั้ หลงั ทสี่ ดุ ถกู นา ไปพกั อยทู่ างทา้ ยเรอื พลทหารยงั กวกั มอื อนั หกั หอ้ ยนนั้ พรอ้ มกบั ตะโกนรอ้ งหนนุ วา่ พวกเราสมู้ นั พวกเราสู้มัน”
* “ข้อที่น่าละอายในความทารุณผิดอารยธรรมและประเพณีการรบทางเรืออย่างที่สุด ซึ่งทหารเรือฝรั่งเศส ไดก้ ระทา ลงไปกค็ อื เมอื่ เรอื ทงั้ สอง (เรอื หลวงสงขลา และ เรอื หลวงชลบรุ )ี จมมดิ นา้ หายไปแลว้ แทนทขี่ า้ ศกึ จะเขา้ มา ทาการช่วยเหลือชีวิตทหารเรือไทยเมื่อลอยคออยู่ในทะเล ฝ่ายฝรั่งเศสกลับนาเรือเข้ามาระยะใกล้ และใช้ปืนใหญ่ ปนื กลยงิ กราดมายงั ทหารซงึ่ ขณะนนั้ อยใู่ นเรอื เลก็ และทวี่ า่ ยนา้ เขา้ หาฝง่ั และลอยคออยใู่ นทะเลมองเหน็ แตศ่ รี ษะดา ๆ”
* “ควันไฟและควันระเบิดได้กระจายลงไปถึงห้องเครื่องจักรใหญ่ เครื่องจักรช่วย และห้องไฟฟ้า ชั้นแรกก็มี เพยีงเลก็นอ้ยตอ่มากม็ากขนึ้ตามลาดบัจนมองแทบไมเ่หน็ตวักนัถนดั ทหารพรรคกลนิทปี่ระจาอยใู่นหอ้งเครอื่งจกัร เหล่านี้ แทบว่าจะไม่มีอากาศหายใจ ซ้าการระเบิดของกระสุนมีกลิ่นเหม็นเป็นพิษแก่การหายใจ และต่างรู้สึก แสบตาจนลืมตาไม่ขึ้น ทหารพรรคกลินผู้น่าสงสารในห้องไฟฟ้า จานวน ๘ นาย ไม่มีอากาศหายใจจะหนีขึ้นมา บนดาดฟา้ กไ็ มไ่ ด้ เพราะไฟไหมอ้ ยทู่ ปี่ ากชอ่ งทางขนึ้ ลงสะกดั ทางไว้ ในทสี่ ดุ เขาเหลา่ นนั้ กไ็ ดเ้ สยี ชวี ติ ไป แตเ่ ครอ่ื งไฟฟา้ ในความควบคุมของเขายังคงเดินเป็นปกติตลอดจนถึงที่สุด”
* “พอสิ้นเสียงระเบิด และหมดเปลวระเบิด ช้ินส่วนร่างกายของทหารที่เสียชีวิต แขวนติดอยู่กับราวลวด ข้างเรือ”
* “ไม่สามารถจะจาได้ว่าเป็นใคร เพราะร่างกายขาดเป็นชิ้นเนื้อไปหมด อีกคนหนึ่งตัวเต็มไปด้วยขี้เถ้า สักประเดี๋ยวก็ขาดใจ”
* “พวกเราทเี่ สยี ชวี ติ ไปนนั้ นบั วา่ เขาเหลา่ นนั้ ไดถ้ งึ เวรกรรมของเขาแลว้ รา่ งกายของพวกทหารทไี่ ดเ้ สยี ชวี ติ นนั้ บัดนี้ได้จมอยู่ในทะเลสมกับเป็นเลือดทะเลโดยแท้”
ตายในสนามรบเป็นเกียรติของทหาร
นาวิกศาสตร์ 48 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕
ภาพถ่ายจาก เรือหลวงช้าง
ขณะเข้าไปช่วยทาการดับไฟ ซ่ึงกาลังลุกไหม้อยู่บนเรือหลวงธนบุรี บริเวณดาดฟ้าปืนเบา หน้าห้องนายพล
ขณะที่เรือหลวงธนบุรี ไฟสงบลงชั่วคราว แลเห็นด้านกราบขวาไปทางท้ายเรือ ก่อนที่ไฟจะลุกกระพือขึ้นอีก ทาให้ต้องสละเรือใหญ่ ที่บริเวณแหลมงอบ จังหวัดตราด
นาวิกศาสตร์ 49 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕
๔. สดุดีการรบ
ในทส่ี ดุ เรอื หลวงชา้ ง ไดน้ า ทหารของเรอื ทง้ั สามลา ทรี่ อดตายจากการรบทเ่ี กาะชา้ งออกจากจนั ทบรุ ี เดนิ ทางไปสถานี ทหารเรอื สตั หบี ไปพกั อยบู่ นเรอื หลวงอา่ งทอง(เรอื พระทน่ี ง่ั มหาจกั รลี า ท่ี๒ลา เดมิ )บนเรอื หลวงอา่ งทองทหารทงั้ หมด ท่ีรอดตายมาจากการรบท่ีเกาะช้าง ได้ไปรวมกันอยู่ท่ีดาดฟ้าท้ายเรือ พลเรือเอก สินธุ์ กมลนาวิน แม่ทัพเรือ ได้ปราศรัยสดุดีการรบของทหารเรือไทยท่ีเกาะช้าง และไว้อาลัยแก่บรรดาผู้เสียชีวิตด้วยเสียงที่สั่นเครือ
พอจบคา ปราศรยั ทา่ นแมท่ พั เรอื ไดค้ วกั ผา้ เชด็ หนา้ ออกมาจากกระเปา๋ กางเกงขน้ึ มาปดิ หนา้ แลว้ เดนิ จากไป ๕. การรบท่ีเกาะช้างไม่ใช่ยุทธนาวีท่ีเกาะช้าง
การยทุธเปน็การรบใหญซ่ง่ึในสงครามทางเรอืมกัจะไมม่บีอ่ยนกั บางสงครามอาจไมม่เีลยกไ็ด้โดยทใี่นสงคราม ทางเรือนั้น กาลังทางเรือของทั้งสองฝ่ายย่อมต้องเคล่ือนที่ไปมา และสัมพันธ์กันอยู่ตลอดเวลา หาได้ตั้งมั่น หรือ ประชิดกันอยู่อย่างเช่นสงครามทางบกไม่ เมื่อเช่นนี้แล้วจึงอาจเป็นเพียงกองเรือหน้าได้ปะทะกันเท่านั้นก็ได้ กองเรือใหญ่นั้นเมื่อไม่จาเป็นจึ่งไม่ต้องเข้าร่วมทาการด้วย เพราะในการยุทธนั้นต่างฝ่ายต่างจะเสียหายลงฝ่ายละ มาก ๆ ทั้งจานวนเรือ อาวุธ และชีวิตทหารทั้งนายและพล และโดยปกติ การนี้ยอมนับเอาหน่วยเรือประจัญบาน เป็นสาคัญในการที่ได้เข้าทาการต่อสู้กัน ส่วนเรือในทัพเรือทั้งสองฝ่ายทุกชนิด ก็จะต้องมีส่วนเข้าร่วมด้วย และ จะต้องมีการเดินทาง เดินทัพ และแปรกระบวนเข้ารบกันตามหลักยุทธวิธีทางเรือ ผลของการแพ้ชนะอาจเป็น การตัดสินผลของสงครามได้
การรบ ในสงครามคราวหนึ่ง ๆ อาจมีการรบย่อยเกิดขึ้นได้เสมอ ผลของการรบย่อยย่อมมีความเสียหาย ใหเ้ กดิ ขนึ้ เหมอื นกนั แตน่ อ้ ยกวา่ การยทุ ธ และตามปกตนิ บั เรอื ทเี่ ขา้ กระทา การ เพยี งชนั้ เรอื ทตี่ า่ กวา่ เรอื ประจญั บาน ผลของการรบครั้งเดียว หรือน้อยครั้ง ไม่ถือว่าเป็นสิ่งสาคัญที่จะแสดงผลเด็ดขาดตัดสินสงครามแต่ประการใด
ในการที่กาลังทางเรือส่วนน้อยอันเป็นหน่วยรักษาการณ์ หรือหน่วยลาดตระเวนหน้าของไทยเรา ซึ่งมี จานวนเรือเพียง ๓ ลา ได้พบกับกาลังทางเรือส่วนใหญ่ของอินโดจีนฝรั่งเศสที่ด้านใต้เกาะช้าง เมื่อเช้าวันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ นั้น จึงไม่ถือว่าเป็นการยุทธเพราะกาลังส่วนใหญ่ยังมิได้พบกัน และเรียกได้แต่ว่าการรบ เท่านั้น
(จากหนังสือ “การรบที่เกาะช้าง” โดย นายนาวาโท แชน ปัจจุสานนท์)
๖. กู้ เรือหลวงธนบุรี
หลงั จากที่ เรอื หลวงธนบรุ ี จมแลว้ กองทพั เรอื กม็ ไิ ดน้ งิ่ นอนใจ และไดด้ า เนนิ การทจี่ ะกู้ เรอื หลวงธนบรุ ี ขนึ้ มาซอ่ ม ใช้ราชการต่อไปอีก กองทัพเรือได้ติดต่อกับบริษัทมิตซุย บุซซันไกชา ซึ่งเป็นตัวแทนบริษัทคาวาซากิ ผู้สร้าง เรือหลวงธนบุรี โดยตลอด
บรษิ ทั มติ ซยุ ฯ ไดส้ ง่ เรอื กมู้ โิ ฮมารจู ากประเทศญปี่ นุ่ มาทา การกู้ เรอื หลวงธนบรุ ี ทเี่ กาะชา้ ง งานกเู้ รอื ไดด้ า เนนิ ไป ตามลาดับ
เริ่มต้นด้วยการเป่าดินโคลนออกจากเรือ ตรวจอุดรูทะลุต่าง ๆ ในเรือ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔
วนั ที่ ๑๔ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เรมิ่ ดงึ เรอื หลวงธนบรุ ี ใหพ้ ลกิ ตงั้ ตรง พอพลกิ ได้ ๔๐ องศา เรอื กเ็ ลอื่ นไปสดู่ นิ ออ่ น ต้องหยุดดึงเรือเพื่ออุดรูทะลุ และสูบน้าภายในเรือออกให้เรือมีกาลังลอยมากขึ้น
วนั ที่ ๑๗ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เรอื หลวงธนบรุ ี พลกิ ลา โผลน่ า้ ครบ ๗ เดอื น วนั ทเี่ รอื จมพอดี เมอื่ เรอื พลกิ ตงั้ ตรง และหอบังคับการโผล่พ้นน้าแล้ว ต่อมาจึงล้างโคลนออกจากส่วนที่โผล่พ้นน้า
นาวิกศาสตร์ 50 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕
ได้พบศพนายนาวาโทหลวงพร้อมวีรพันธุ์ผู้บังคับการเรอื หลวงธนบุรีอยู่ในหอบังคับการศพเปื่อยเน่า เหลือแต่กระดูก แต่พิสูจน์ได้จากฟันเลี่ยมเงินซึ่งยังอยู่เรียบร้อย นอกจากนั้นยังได้พบศพทหารอื่นๆ เช่น จ่าเอก ทองมี เสตะจันทร์ จ่าเรือ และจ่าพรรคกลิน ๘ นาย ในห้องเครื่องไฟฟ้า
เมอื่ ไดช้ ว่ ยกนั ทา ความสะอาดแลว้ กไ็ ดน้ า ศพทพี่ บทงั้ หมดขนึ้ ไปตงั้ บา เพญ็ กศุ ลสวดพระอภธิ รรม ทวี่ ดั แหลมงอบ วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ พลิกเรือให้ตั้งตรงได้
วนั ที่ ๒๕ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เรอื หลวงธนบรุ ี ยงั ไมล่ อยตวั เตม็ ทเี่ พราะไดพ้ บรทู ะลใุ หญต่ อนทา้ ยเรอื กราบขวา
และที่อื่น ๆ ซึ่งจะต้องอุดปะอีกมาก เวลานั้น เรือหลวงธนบุรี ได้ระดับ และหัวเรือพ้นน้าแล้ว แต่ท้ายเรือยังนั่งดินอยู่ เมื่อได้อุดปะรูทะลุตอนท้าย และสูบน้าออกจนเรือลอยลา และแต่งให้มีความทรงตัวดีพอสมควรแล้ว ก็ได้เริ่ม จงู เรอื หลวงธนบรุ ี จากเกาะชา้ งในวนั ที่ ๒ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๘๔ เวลา ๑๑๐๐ ถงึ สตั หบี วนั ที่ ๓ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๘๔
เวลา ๑๒๐๐ ๘ ๗. เหรียญกล้าหาญ
เมอื่ วนั ที่๗กนั ยายนพ.ศ.๒๔๘๔เรอื หลวงธนบรุ ีไดร้ บั พระราชทานเหรยี ญกลา้ หาญในพธิ ปี ระดบั เหรยี ญกลา้ หาญ ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยจอมพล หลวงพิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้ประดับ เหรียญกล้าหาญแก่ธงฉานประจา เรือหลวงธนบุรี
นายนาวาโท หลวงพรอ้ มวรี พนั ธ์ุ ผบู้ งั คบั การ เรอื หลวงธนบรุ ี ผเู้ สยี ชวี ติ ในการรบทเี่ กาะชา้ ง ไดร้ บั พระราชทาน เลื่อนยศเป็นนายนาวาเอก และได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญ
ต่อไปนี้เป็นข้อความตอนหนึ่งของประกาศผลปฏิบัติการรบของผู้กล้าหาญ ซึ่งได้อ่านในท่ามกลางชุมนุม พิธีประดับเหรียญกล้าหาญ เมื่อวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๔ ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า
“.........นายนาวาเอก หลวงพรอ้ มวรี พนั ธ์ุ ไดอ้ า นวยการรบดว้ ยความองอาจกลา้ หาญ อยปู่ ระจา ที่ พรอ้ มกบั ปลกุ ใจทหารในบงั คบั บญั ชาใหท้ า การรบอยา่ งกลา้ แขง็ จนในทสี่ ดุ ตนเองกถ็ กู กระสนุ ขา้ ศกึ สนิ้ ชวี ติ ลงในเรอื นเี้ อง เรือรบเป็นวัตถุที่ไม่มีวิญญาณ การที่จะแสดงความกล้าหาญเป็นเกียรติประวัติได้นั้น ย่อมขึ้นอยู่ที่ ผบู้ งั คบั การเรอื เปน็ สา คญั หรอื วา่ จะเปน็ สมองบงั คบั การกไ็ ด้ เพราะฉะนนั้ การที่ เรอื หลวงธนบรุ ี ไดร้ บั เกยี รตปิ ระวตั ิ แหง่ ความกลา้ หาญคราวนี้ จงึ นบั วา่ นายนาวาเอก หลวงพรอ้ มวรี พนั ธ์ุ ผบู้ งั คบั การเรอื เปน็ ผอู้ งอาจแกลว้ กลา้ และมนี า้ ใจทรหดมนั่ คงอยา่ งแทจ้ รงิ สมควรไดร้ บั ความยกยอ่ งสรรเสรญิ แกบ่ รรดาทหารผกู้ ลา้ หาญตลอดไป..”
๘. เหรียญกล้าหาญ
นาวิกศาสตร์ 51 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕
จอมพล หลวงพิบูลสงคราม กาลังประดับเหรียญกล้าหาญ ให้แก่ธงฉาน ประจาเรือหลวงธนบุรี เมื่อวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๔
(ธงฉานประจาเรือหลวงธนบุรี ที่ประดับเหรียญกล้าหาญ อยู่ที่ไหน?)
นาวิกศาสตร์ 52 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕
เหรียญกล้าหาญ เหรียญชัยสมรภูมิประดับเปลวระเบิด ทหารท่ีได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญ ในกรณีพิพาทกับอินโดจีนฝร่ังเศส
แถวยืน จ่าเอก นาค เจริญศุข จ่าเอก วงศ์ ชุ่มใจ จ่าตรี ชาญ ทองคา
แถวนั่ง พันจ่าเอก ทองอยู่ ไทยวิชัย พันจ่าเอก ซุน แซ่ฉั่ว เรือเอก เฉลิม สถิรถาวร
พันจ่าเอก เอ่ง แซ่ลิ้ม พันจ่าเอก เพื่อน สุดสงวน
ประดับเหรียญกล้าหาญ และเหรียญชัยสมรภูมิสงครามอินโดจีนประดับเปลวระเบิด
นาวิกศาสตร์ 53 ปีที่ ๑๐๕ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕
เรือหลวงธนบุรี เข้าเทียบท่ากรมอู่ทหารเรือ ตรงปั้นจั่นสามขา ในวันที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เรือหลวงธนบุรี ดูดาทะมึนเพราะชโลมน้ามันไว้ และไม่มีท้ังเสาหัวและเสาท้าย
คณะทหารเรือหลวงธนบุรี ซึ่งได้เข้าทาการรบที่เกาะช้าง เม่ือวันท่ี ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔
นาวิกศาสตร์ 54 ปีที่ ๑๐๕ เล่มท่ี ๑ มกราคม ๒๕๖๕
๘. ปลดระวางประจาการ
วันท่ี ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๔ กระทรวงกลาโหมได้ออกคาสั่งปลด เรือหลวงธนบุรี ออกจากประจาการ
วนั ที่ ๓๐ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๘๔ เรอื กมู้ โิ ฮมารเู ดนิ ทางกลบั ญป่ี นุ่ กองทพั เรอื ไดส้ งั่ ใหจ้ งู เรอื หลวงธนบรุ ี จากสตั หบี เขา้ กรงุ เทพมหานคร เมอ่ื วนั ที่ ๔ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เขา้ เทยี บทา่ กรมอทู่ หารเรอื ตรงปน้ั จนั่ สามขา ในวนั ที่ ๕ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๘๔
เรือหลวงธนบุรี ดูดาทะมึนเพราะชโลมน้ามันไว้ และไม่มีทั้งเสาหัวและเสาท้าย
วนั ท่ี ๖ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๘๔ กองทพั เรอื ไดน้ า พวงมาลาไปวางเคารพดวงวญิ ญาณของ นาวาโท หลวงพรอ้ มวรี พนั ธ์ุ ผู้บังคับการเรือ และทหารที่เสียชีวิต โรงเรียนนายเรือได้นานักเรียนนายเรือไปวางพวงมาลาโดยเดินแถวไปจาก โรงเรียนนายเรือ พระราชวังเดิม
ในหอบงั คบั การ มพี วงมาลาวางอยเู่ กอื บเตม็ แทบไมม่ ที างเดนิ มองเหน็ รทู กี่ ระสนุ ปนื ขา้ ศกึ ทะลผุ า่ นหอ้ งนายพล เข้ามาระเบิดใต้หอบังคับการตรงที่ผู้บังคับการเรือยืนอยู่
นายนาวาโท หลวงพร้อมวีรพันธ์ุ ผู้บังคับการเรือหลวงธนบุรี
๙. ลูกผู้ชายช่ือหลวงพร้อมวีรพันธ์ุ
วาทะก่อนตายของนายนาวาโท หลวงพร้อมวีรพันธุ์
เช้ามืดของวันท่ี ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เมื่อได้ยินเสียงปืนใหญ่ยิงโต้ตอบกัน ระหว่างเรือตอร์ปิโดใหญ่
๒ ลา ของเรากบั เรอื รบของขา้ ศกึ นายนาวาโท หลวงพรอ้ มวรี พนั ธ์ุ ผบู้ งั คบั การ เรอื หลวงธนบรุ ี จงึ ไดส้ ง่ั ประจา สถานรี บ และออกเรอื เพอ่ื ไปชว่ ยเหลอื เมอื่ เรอื หลวงธนบรุ ี แลน่ พน้ ทจี่ อดเรอื มาไดเ้ ลก็ นอ้ ย ยามบนสะพานเดนิ เรอื กต็ ะโกนรายงาน มาวา่ เหน็ เรอื ขา้ ศกึ ทางทา้ ยเกาะไมซ้ ใี้ หญ่ นายนาวาโท หลวงพรอ้ มวรี พนั ธ์ุ จงึ เอากลอ้ งสอ่ งดเู มอ่ื ปรากฎวา่ เรอื ทเ่ี หน็ เป็นเรือลาดตระเวนลามอตต์ปิเกต์ ท่านก็ตัดสินใจเข้าทาการต่อสู้ในทันที ช้ีมือไปที่เรือข้าศึกแล้วพูดสั้น ๆ ว่า “เรือลามอตต์ปิเกต์น่ันไง เอามัน”
๙
๙. นายนาวาโท หลวงพร้อมวีรพันธุ์
นาวิกศาสตร์ 55 ปีที่ ๑๐๕ เล่มท่ี ๑ มกราคม ๒๕๖๕