The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประวัติท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ประวัติท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ

ประวัติท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ

ประวัติท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฺ 

ISBN 978-616-7870-34-2

พิมพค์ ร้งั ท่ี ๑ ตลุ าคม ๒๕๕๙

จำ� นวน ๑๕,๐๐๐ เล่ม

จัดท�ำโดย มลู นธิ ิพระสงบ มนสฺสนโฺ ต
เลขท่ี ๕ หมู่ ๓ บ้านหนองแหน ต.หนองกวาง
อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ๗๐๑๒๐

จดั พมิ พท์ ี่ บริษทั อมรนิ ทรพ์ รน้ิ ตงิ้ แอนดพ์ บั ลชิ ช่งิ จ�ำกัด (มหาชน)
๓๗๖ ถนนชยั พฤกษ ์ (บรมราชชนนี) เขตตลิ่งชนั กรุงเทพฯ ๑๐๑๗๐
โทรศัพท์ ๐-๒๔๒๒-๙๐๐๐ โทรสาร ๐-๒๔๓๓-๒๗๔๒

หนงั สือเล่มน้ีจดั พมิ พ์เพอ่ื เผยแผเ่ ป็นธรรมทาน หา้ มคัดลอก ตดั ตอน หรอื นำ� ไปพมิ พจ์ �ำหนา่ ย
หากทา่ นใดประสงค์จะพมิ พแ์ จกเป็นธรรมทาน โปรดตดิ ต่อ มูลนิธพิ ระสงบ มนสฺสนโฺ ต

www.sa–ngob.com

ค�ำน�ำ
ทา่ นพระอาจารย์จวน กลุ เชฏฺโ ท่านเปน็ พระมหาเถระที่ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงธดุ งควัตร
และทรงขอ้ วตั รปฏบิ ตั ไิ ดอ้ ยา่ งสมบรู ณง์ ดงาม ทา่ นเปน็ ทง้ั นกั รบธรรม นกั บกุ เบกิ และนกั อนรุ กั ษพ์ ฒั นา
โดยองคห์ ลวงตาพระมหาบวั าณสมปฺ นโฺ น ไดย้ กยอ่ งทา่ นเปน็ “เพชรนำ้� หนงึ่ และ โพธธ์ิ รรม” ของ
วงพระธดุ งคกรรมฐาน ทา่ นถอื เปน็ ศษิ ยร์ นุ่ สดุ ทา้ ยของทา่ นพระอาจารยม์ น่ั ภรู ทิ ตโฺ ต เปน็ ศษิ ยอ์ าวโุ ส
ของหลวงปู่ขาว อนาลโย และเปน็ สหธรรมิกกบั ทา่ นพระอาจารย์สิงหท์ อง ธมมฺ วโร
ทา่ นพระอาจารยจ์ วน ทา่ นเปน็ พระอรหนั ตเถรเจา้ ทบ่ี ำ� เพญ็ สาวกบารมญี าณมาอยา่ งเปย่ี มลน้
ทา่ นจึงมรี ูปลกั ษณ์งดงามมากและมบี ารมธี รรมอนั ลำ�้ เลศิ ทา่ นมจี ติ โลดโผนอศั จรรย์ ขณะภาวนามี
นิมติ บอกเหตแุ ละมีธรรมผดุ เป็นบาลีเฉกเชน่ ทา่ นพระอาจารยม์ น่ั เมือ่ บรรลอุ รหัตตผลก็ทรงคณุ วเิ ศษ
อภญิ ญา ๖ และปาฏิหาริย์ ๓ โดยเฉพาะอนสุ าสนีปาฏิหาริย์ ทา่ นเปลง่ บนั ลอื สีหนาทแสดงธรรม
ได้อยา่ งองอาจกล้าหาญ มีไหวพริบปฏภิ าณ มีลีลาเทศนอ์ ริยสจั อสุภะ เป็นเอกลักษณ์ประจ�ำองค์
และเทศนอ์ วยั วะเพศ ซงึ่ ทางโลกตำ� หนิ แตท่ างธรรมถอื เปน็ “ยอดธรรม” นอกจากนที้ า่ นยงั มคี ณุ สมบตั ิ
พเิ ศษประจำ� องค์ คอื มสี ตปิ ญั ญาเปน็ เลศิ อบุ ายภาวนากเ็ ปน็ เลศิ ปฏปิ ทากเ็ ปน็ ปจั เจกเฉพาะองค์ และ
ทส่ี ำ� คญั ท่านมีความทรงจำ� เปน็ เลิศ อ่านพระไตรปิฎกเพยี งครั้งเดยี วกจ็ ดจ�ำไดอ้ ย่างถูกต้องแมน่ ย�ำ
ทา่ นพระอาจารย์จวน ทา่ นมีอริยประวัตชิ วี ติ อันงดงามตลอดอายุขัย เมอื่ เปน็ เด็กก็เรียนเกง่
ใฝ่ปฏิบตั ธิ รรม เมอื่ เปน็ ขา้ ราชการก็อุทิศตวั ต้ังใจทำ� งาน เมอ่ื เป็นพระก็มุง่ ตรงตอ่ วมิ ตุ ติธรรม เพยี ง
พรรษาแรกกอ็ อกธดุ งค์ เมอื่ อยศู่ กึ ษาอบรมกบั ท่านพระอาจารยม์ ่นั กไ็ ด้รับคำ� ชมวา่ “จิตท่านจวนนี้
ลงทีเดียวถึงฐีติจิต” และ “ท่านจวนเป็นผู้มีกายและจิตสมควรแก่วิมุตติธรรม” แม้ท่านเป็น
พระหน่มุ รปู งาม เปน็ ที่ชนื่ ชอบหมายปองของบรรดาอิสตรี ซ่งึ ยากจะตอ่ กรกับกามกเิ ลสและอยใู่ น
พรหมจรรยไ์ ด้ แต่ด้วยขนั ติธรรม อุบายธรรม และบารมธี รรมทบี่ �ำเพ็ญมาแลว้ ดว้ ยดี จึงผา่ นอุปสรรคน้ี
มาไดจ้ นเปน็ คตธิ รรมอนั ลำ�้ คา่ ทา่ นไดบ้ ำ� เพญ็ จรยิ า ๓ โดยบำ� เพญ็ ประโยชนต์ นตามปฏปิ ทาพระธดุ งค–
กรรมฐานสายทา่ นพระอาจารยม์ น่ั จนสมบรู ณแ์ ลว้ ทา่ นจงึ บำ� เพญ็ ประโยชนต์ อ่ ชาติ ศาสนา พระมหา–
กษตั รยิ ์อยา่ งใหญห่ ลวง จนเปน็ พระอรยิ เจา้ องค์หนึง่ ที่พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั และ สมเด็จ–
พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชศรัทธาปสาทะเคารพอย่างสูงสุด แม้ท่านทราบ
ลว่ งหนา้ วา่ จะมรณภาพดว้ ยอบุ ตั เิ หตเุ ครอื่ งบนิ ตก ทา่ นกย็ อมรบั ผลกรรมนนั้ สมกบั ทา่ นเปน็ ศากยบตุ ร
พุทธชิโนรส เป็นสมณะผสู้ ละชีวิตรกั ษาชาติ รกั ษาธรรม สมดงั ธรรมบท “พงึ สละทรัพย์รกั ษาอวยั วะ
พงึ สละอวัยวะรักษาชวี ติ พงึ สละชีวิตรักษาธรรม”

มูลนิธิพระสงบ มนสฺสนโฺ ต
ตลุ าคม ๒๕๕๙

ทา่ นพระอาจารย์มั่น ภรู ิทัตตมหาเถระ
ได้ก�ำหนดจติ ดูท่านจวน

แล้วได้ความเป็นธรรมวา่ …

“กาเยนะ วาจายะ วะเจตะ วิสุทธิยา
ท่านจวนเป็นผ้มู ีกายและจติ สมควรแก่การเป็นอรหนั ต”์

สารบัญ 1
1
ภาค ๑ ปฐมวัยก่อนบวช 4
ชาติก�ำเนิด 4
การสร้างบารมีเป็นพระอรหันต์ 5
ชีวิตปฐมวัยเรียนสอบไล่ได้ท่ี ๑ ทุกช้ัน 7
พบพระธุดงคกรรมฐานและได้หนังสือพระไตรสรณคมน์ 10
กองทัพธรรมพระธุดงคกรรมฐานสร้างคุณูปการท่ีเป็นคุณประโยชน์ 13
หัดภาวนาต้ังแต่เป็นเด็กนักเรียน 14
ออกจากโรงเรียนช่วยผู้ปกครองท�ำงาน 14
ท่านเป็นชายหนุ่มมีคุณสมบัติท่ีดีเลิศ 17
แอบหลงรักสาว – สมัญญา “แพทย์ตรวจขี้” 20
ชีวิตในวัยท�ำงาน เร่ิมแสวงหาธรรม 21
หนังสือ “จตุรารักขกัมมัฏฐาน” 21
ภาค ๒ อุปสมบท 22
ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ อุปสมบทเป็นพระคร้ังแรกในฝ่ายมหานิกาย 23
สึกออกมาประกอบอาชีพ 23
อธิษฐานหายป่วยจะบวชเป็นพระกรรมฐาน 24
ดงมะอี่ 26
พบพระอุปัชฌาย์ 28
บอกลาพ่อแม่ญาติพี่น้องจะบวชไม่สึก 29
ออกบวชเป็นพระฝ่ายธรรมยุต 29
ท่านสวดปาฏิโมกข์ได้ภายในหน่ึงเดือน 31
การสวดปาฏิโมกข์ 33
เป็นพระบวชใหม่ต้ังใจภาวนา 35
ประวัติย่อ ท่านพระอาจารย์เก่ิง อธิมุตฺตโก 35
ภาค ๓ ออกธุดงค์ต้ังแต่พรรษาแรก 36
พรรษา ๑ พ.ศ. ๒๔๘๖ จ�ำพรรษาที่วัดป่าบ้านพอก หนองคอนท้ัง 40
การภาวนาเพียงพรรษาแรกก็เกิดภาพนิมิตแปลกๆ 42
ท่านด�ำเนินตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา
ท่านถือหลักปฏิปทาข้อวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

ท่านถือปฏิปทาอดอยากเดนตาย 45
ออกรุกขมูลตามพระพุทธโอวาท 46
ท่านผจญกับเปรต ผี เทวดา พญานาค และสัตว์ป่า 49
ออกเดินธุดงค์ต้ังแต่พรรษาแรก 52
พระธาตุพนม 53
ธุดงค์เด่ียวได้พิจารณาซากศพอสุภะต้ังแต่พรรษาแรก 54
ท่านนั่งหัตถบาสในงานบวชท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง 56
พรรษา ๒ พ.ศ. ๒๔๘๗ จ�ำพรรษาที่วัดทุ่ง บ้านชาติ หนองอีนิน 57
พรรษา ๓ พ.ศ. ๒๔๘๘ จ�ำพรรษาที่วัดบ้านนาจิก ดอนเมย ต�ำบลหนองปลิง 59
นิมิตเห็นท่านพระอาจารย์ม่ัน 61
ภาค ๔ พบท่านพระอาจารย์ม่ัน ภูริทตฺตมหาเถร 64
ครูบาอาจารย์ผู้สอนภาคปฏิบัติส�ำคัญมาก 64
ท่านตั้งใจถวายตัวเป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น 66
ปลายปี พ.ศ. ๒๔๘๘ พบท่านพระอาจารย์มั่น 67
พรรษา ๔ พ.ศ. ๒๔๘๙ จ�ำพรรษาวัดป่าบ้านหนองผือ 68
ท่านพระอาจารย์มั่นแนะน�ำให้พิจารณากายเป็นส่วนมาก 70
ท่านพระอาจารย์มั่นชอบเทศน์ประวัติพระอัครสาวก 71
ท่านพระอาจารย์มั่นเทศน์เร่ืองการละตัณหาให้ฟัง 72
ท่านพระอาจารย์มั่นแสดงฐีติจิตบ่อย 72
ท่านพระอาจารย์มั่นให้พระท่องปาฏิโมกข์ 73
ท่านคิดทดสอบครู 74
ท่านภาวนาเกิดธรรมผุดเป็นบาลี 75
ธรรมผุด 77
ท่านพระอาจารย์มั่นกล่าวชมท่านพระอาจารย์จวน 78
นิมิตขณะจ�ำพรรษาอยู่กับท่านพระอาจารย์ม่ัน 79
ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ท่านพระอาจารย์ม่ันแนะให้ไปอยู่ถ�้ำยาง 80
ธุดงค์ไปพบศิษย์อาวุโสของท่านพระอาจารย์ม่ัน 81
ท่านพระอาจารย์ทั้งสาม 81
พรรษา ๕ – ๖ พ.ศ. ๒๔๙๐ – ๒๔๙๑ จ�ำพรรษาท่ีเชียงใหม่ 83
อันตรายของภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่ 84
มาตุคาม 85

ผจญกิเลสมารจากมาตุคาม 87
ท่านเกิดนิมิตไม่ดีจึงไม่ไปอินเดีย 90
กลับจากเชียงตุงเข้ากราบท่านพระอาจารย์ม่ัน 91
รายช่ือพระเณรที่อยู่จ�ำพรรษากับท่านพระอาจารย์มั่น ณ วัดป่าบ้านหนองผือ 92
พรรษา ๗ พ.ศ. ๒๔๙๒ จ�ำพรรษาวัดป่าบ้านเหล่ามันแกว โปรดโยมมารดา 94
ประวัติย่อ หลวงปู่ค�ำอ้าย ติ ธมฺโม 95
ท่านโปรดโยมมารดาจนหมดห่วง 95
ท่านมีวาสนาบารมีอยู่ในพรหมจรรย์ตลอดชีวิต 97
ญาติพี่น้องมานิมนต์ขอให้ท่านสึก 97
ปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ท่านประสบความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง 100
พระอรหันต์มีสติทุกลมหายใจ 101
เรื่องโยมมารดาของท่านพระอาจารย์จวน 103
ภาค ๕ ติดตามหลวงปู่ขาว อนาลโย 106
ศาสนทายาทธรรมของท่านพระอาจารย์มั่น 106
ประวัติย่อ หลวงปู่ขาว อนาลโย 107
เสร็จงานฌาปนกิจหลวงปู่ม่ัน ติดตามหลวงปู่ขาว 108
ถ้�ำเป็ด 110
สาเหตุที่หลวงปู่มั่นฝากท่านกับหลวงปู่ขาว 111
การตรวจสอบคุณธรรม 112
พรรษา ๘ พ.ศ. ๒๔๙๓ จ�ำพรรษาที่ถ้�ำพวง 114
กระต่ายน้อยนักภาวนา 115
อุบายวิธีต่อสู้ภัยมาตุคามของครูบาอาจารย์ 115
อุบายเอากระดูกช้างมาแขวนคอเดินจงกรมและภาวนา 118
การพิจารณาอสุภกรรมฐานส�ำคัญมาก 121
นิมิตของท่านพระอาจารย์จวนในพรรษาที่ ๘ 121
ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ศึกษาธรรมกับท่านพระอาจารย์หล้า ขนฺติโก 123
ประวัติย่อ ท่านพระอาจารย์หล้า ขนฺติโก 126
ก่อนเข้าพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ท่านป่วยหนัก 127
พรรษา ๙ พ.ศ. ๒๔๙๔ จ�ำพรรษาภูสะโกฏ บ้านหนองเม็กนามน 127
ผีฝากผีดูแลท่านพระอาจารย์จวน 128
ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๔ เดินทางไปกราบหลวงปู่ขาวท่ีถ�้ำค้อ 128

ประวัติย่อ ท่านพระอาจารย์ค�ำบุ ธมฺมธโร 130
เร่ืองเล่าระหว่างเดินธุดงค์ไปดงหม้อทอง 131
ธุดงค์ดงหม้อทอง หลวงปู่จวนท�ำท่ีพักจากต้นไม้ 132
พรรษา ๑๐ พ.ศ. ๒๔๙๕ จ�ำพรรษาท่ีดอนสะพุง ตีนดงหม้อทอง 132
ภาค ๖ บุกเบิกดงหม้อทอง ถ�้ำจันทน์ ภูสิงห์น้อย 134
ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ส�ำรวจดงหม้อทอง 134
ดงหม้อทอง 135
พรรษา ๑๑ – ๑๓ พ.ศ. ๒๔๙๖ – ๒๔๙๘ จ�ำพรรษาดงหม้อทอง 136
หลวงปู่ขาวเทศน์เตือนพระที่อยู่ร่วมจ�ำพรรษาท่ีดงหม้อทอง 137
หลวงปู่ลี ติ ธมฺโม กราบนมัสการเยี่ยมหลวงปู่ขาวและท่านพระอาจารย์จวน 138
พระอาจารย์จันทา ถาวโร จ�ำพรรษากับหลวงปู่ขาว ท่านพระอาจารย์จวน 138
หลวงปู่จันทาเทศน์โปรดช้างผู้เป็นญาติในอดีตชาติที่ดงหม้อทอง 140
เหตุการณ์สัตว์ป่ามาเยี่ยมระหว่างเข้าพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๗ 141
พระภิกษุณีอรหันต์มาเยี่ยมแสดงสัมโมทนียธรรมในระหว่างเข้าพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๘ 142
พรรษา ๑๔ พ.ศ. ๒๔๙๙ จ�ำพรรษาท่ีภูวัว 143
ภูวัว 146
พรรษา ๑๕ พ.ศ. ๒๕๐๐ จ�ำพรรษาท่ีดงหม้อทองอีก 148
นิมิตโยมบิดามาช่วยรักษาไข้ป่า 148
พรรษา ๑๖ พ.ศ. ๒๕๐๑ จ�ำพรรษาดงหม้อทอง 149
ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ส�ำรวจถ้�ำจันทน์ 150
ถ�้ำจันทน์ 152
ท่านเล่าเร่ืองเสือที่ถ�้ำจันทน์ 152
ปลายปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ท่านดีใจพบพระหนุ่มคนบ้านเดียวกัน 153
พรรษา ๑๗ พ.ศ. ๒๕๐๒ จ�ำพรรษาท่ีถ้�ำจันทน์ 154
คุณหมอประพักตร์ โสฬสจินดา ศิษย์เอกหลวงปู่จวน หลวงปู่ทองพูล 156
ค�ำท�ำนายอันน่าอัศจรรย์ของเณรค�ำ 158
คุณหมอประพักตร์รู้จักหลวงปู่ทองพูลและกราบหลวงปู่จวนคร้ังแรก 160
หลวงปู่ทองพูลเคารพท่านพระอาจารย์จวนเป็นอย่างมาก 162
ประวัติย่อ หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม 163
คุณหมอประพักตร์ เล่าเร่ืองการส่งอาหารที่ถ�้ำจันทน์ 164

ออกพรรษา พ.ศ. ๒๕๐๒ แก้นิโรธของหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ 165
แก้นิมิตความตายของหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ 169
ท่านพระอาจารย์จวนปฏิบัติต่อหลวงปู่บัวละเอียดที่สุด 174
ฤดูแล้งปี พ.ศ. ๒๕๐๓ หลวงปู่บุญจันทร์พบท่านพระอาจารย์จวน 176
พรรษา ๑๘ พ.ศ. ๒๕๐๓ จ�ำพรรษาที่ถ�้ำจันทน์ ถูกป้ายสีว่าเป็นพระคอมมิวนิสต์ 176
ท่ีมาของการถูกป้ายสีเป็นคอมมิวนิสต์ 178
หลวงปู่บัวชมท่านพระอาจารย์จวน 180
ประวัติย่อ หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ 181
ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ธุดงค์เชียงใหม่กับสหธรรมิก 182
วิเวกจังหวัดเชียงใหม่ 183
พรรษา ๑๙ – ๒๐ พ.ศ. ๒๕๐๔ – ๒๕๐๕ จ�ำพรรษาที่ถ�้ำจันทน์ 184
ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองวิเวกถ้�ำจันทน์ 186
พระอรหันต์ท่านหยอกเล่นกัน เพราะท่านรักกันมาก 187
ร่วมงานครบรอบวันเกิดหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโ 188
ร่วมงานถวายเพลิงศพหลวงปู่กงมา จิรปุญฺโ 189
เรื่องเล่าเหตุการณ์จากถ้�ำจันทน์สู่ภูสิงห์น้อย 189
ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ส�ำรวจภูสิงห์น้อย หรือ ภูกิ่ว 191
สระน้�ำภูกิ่วแห้ง ท่านพระอาจารย์จวนอธิษฐานขอน้�ำ 193
พรรษา ๒๑ พ.ศ. ๒๕๐๖ จ�ำพรรษาที่ภูสิงห์น้อย (ภูกิ่ว) 193
ท่านบรรลุธรรม 194
เปรตผีท่ีภูสิงห์น้อย 198
ปืนแตก 199
เจ้าแม่แจ่มจ�ำรัสนิมนต์ท่านให้ไปอยู่ภูทอก 200
ส�ำรวจภูทอก 201
ความผูกพันระหว่างศิษย์กับอาจารย์ 202
ภาค ๗ วิเวกถ�้ำบูชา ภูวัว รักษารอยมือรอยเท้าครูบาอาจารย์ 203
ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๐๖ พักวิเวกถ�้ำบูชา 203
ประวัติวัดถ้�ำบูชา 204
พรรษา ๒๒ – ๒๕ พ.ศ. ๒๕๐๗ – ๒๕๑๐ จ�ำพรรษาถ้�ำบูชา ตาดสะอาม ภูวัว 204
พระพุทธรูปในถ�้ำบูชา – นิมิตเมียในอดีตชาติเกิดเป็นยักษ์ 205

ส�ำนักสงฆ์ภูสิงห์น้อยถูกเผาท�ำลายในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ 207
พ.ศ. ๒๕๐๘ หลวงปู่ลี กุสลธโร เคยมาปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่จวน 207
ถ�้ำบูชาถูกท้ิงระเบิดในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ 208
ท่านพระอาจารย์จวนให้เบอร์แม่น 209
ปี พ.ศ. ๒๕๑๐ หลวงปู่ขาวคราวอาพาธหนัก 211
ท่านพระอาจารย์จวนปฏิบัติต่อหลวงปู่ขาวคราวอาพาธหนัก 212
ประวัติย่อ หลวงปู่ขาน านวโร 214
อานิสงส์ท่ีหลวงปู่ขาวช่วยท�ำปฐมสังคายนาท�ำให้ท่านรอดตาย 216
ผู้ใดจะพึงอุปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นพึงพยาบาลภิกษุอาพาธ 218
ท่านถูกค�ำสั่งให้ออกจากถ้�ำบูชา ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ 219
เหตุการณ์คอมมิวนิสต์ – ท่านอยู่ได้เพราะไม่เคยสร้างศัตรูกับใคร 220
รอดมาได้ บุญอีหลี มีบุญได้พบอีพ่อ 221
พรรษา ๒๖ พ.ศ. ๒๕๑๑ จ�ำพรรษาวัดถ้�ำกลองเพล 222
ท่านพระอาจารย์จวนสร้างโบสถ์ท่ีวัดถ้�ำกลองเพล 223
ท่านอยู่ในบัญชีพระดีของหลวงปู่ฝั้น 223
ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๑๑ วิเวกท่ีภูวัวก่อนพักภูทอก 224
ภาค ๘ พัฒนาและจ�ำพรรษาท่ีภูทอก 226
ท่านมุ่งมั่นฝึกฝนอบรมสั่งสอนตนเองก่อน 226
ต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ท่านมาพักภูทอกคร้ังแรก 227
พรรษา ๒๗ – ๓๘ พ.ศ. ๒๕๑๒ – ๒๕๒๓ จ�ำพรรษาภูทอก 228
ท่านเล่าชีวิตการเดินธุดงค์ 233
สมัยท่านมาปักกลดภาวนาท่ีภูทอกใหม่ๆ 237
ท่านแก้พวกนับถือผี 237
วิธีการสร้างสะพานรอบเขาภูทอก 238
ท่านมีเจตนาพัฒนาภูทอกให้พระเณรภาวนา 242
พัฒนาภูทอกน้อยเพ่ือสงวนท่ีภาวนาภูทอกใหญ่ 243
เมษายน ๒๕๑๓ หลวงปู่สมหมายไปขออยู่กับท่านพระอาจารย์จวน 244
ท่านชวนหลวงปู่จันทาสร้างสะพานรอบภูทอก 245
พ.ศ. ๒๕๑๓ พระเณรท่ีอยู่จ�ำพรรษาภูทอก 245
พ.ศ. ๒๕๑๓ เร่ิมสร้างสะพานรอบช้ัน ๕ 246
หลวงปู่แสวง อมโร เช่ือมพุทธวิหารส�ำเร็จ 246

ไม้บนยอดพุทธวิหาร 247
ท่านคุมท�ำสะพานรอบภูทอก 247
ความอดอยากขาดแคลนยุคบุกเบิกภูทอก 248
ท่านมีปฏิปทาโลดโผน 249
ท่านเทศน์ทุกคืนและเน้นให้พระภาวนาบนเขา 249
ถือเนสัชชิกแล้วหลับ นิมิตคนตัวใหญ่มาบีบคอให้ภาวนา 250
ท่านไม่อนุญาตให้คนมาเอาผึ้ง 250
พ.ศ. ๒๕๑๔ ร่วมงานประชุมเพลิงศพหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโ 251
พ.ศ. ๒๕๑๔ เจ้าแม่วัดป่าสมบูรณ์ธรรมมานิมนต์ดูสถานท่ีสร้างวัด 251
ท่านสอนพระน่ังภาวนาไม่ให้ก�ำหนดเวลา 252
ท่านเยี่ยมพระศิษย์และพาโยมมาขอมันส�ำปะหลัง 252
วงกรรมฐานเหมือนพ่อเหมือนลูก 253
ท่านเป็นที่พ่ึงของพระกรรมฐานท่ีธุดงค์มาป่าเขาแถบบึงกาฬ 253
ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๑๕ หลวงปู่ชอบมารักษาตัวที่ภูทอก 254
ท่านอุปัฏฐากหลวงปู่ชอบด้วยความเคารพเหมือนพ่อ 255
อัญเชิญพระประธานขึ้นภูทอก 256
ก่อนเข้าพรรษาปี ๒๕๑๖ ท่านปรับปรุงศาลา พร้อมท�ำถังน�้ำและรางน้�ำช้ัน ๕ 256
บาตรน�้ำมนต์ 257
พ.ศ. ๒๕๑๖ ท่านไม่ให้พระจ�ำพรรษาที่ภูสิงห์และภูทอกใหญ่ 258
ท่านสอนงานภายในส�ำคัญกว่างานภายนอก 259
ท่านสอนให้ปฏิบัติตามปฏิปทาของพระพุทธเจ้า แน่นอนไม่ต้องสงสัย 259
ท่านเน้นธุดงค์ข้อบิณฑบาตเป็นวัตร 260
เหตุการณ์หน้าแล้งต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๗ แม่ชีบุญมีตกหน้าผา 260
ท่านเตือนแม่ชีท่ีตกเขา สึกออกไปได้ผัวขี้เหล้า 262
ปรจิตตวิชา – ดูแม่ชีมานอนกุฏิพระ 263
ท่านดูแลแม่ชีเหมือนลูก 263
พ.ศ. ๒๕๑๗ รับนิมนต์หลวงปู่เจ๊ียะไปท�ำบุญฉลองพระอุโบสถวัดเขาแก้ว 264
ก่อนเข้าพรรษา หลวงปู่จวนพาพระกราบคารวะหลวงปู่ขาว 264
พ.ศ. ๒๕๑๗ พระเณรท่ีอยู่ร่วมจ�ำพรรษา 265
ปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๗ เจาะภูเขา ท�ำสะพานช้ัน ๖ 265
พ.ศ. ๒๕๑๘ ร่วมงานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) 265

พ.ศ. ๒๕๑๘ พระเณรที่อยู่จ�ำพรรษา 267
ห้ามฉันนม โอวัลติน กระเทียม ห้ามดูหนังสือพิมพ์ 267
อดข้าวภาวนา – ไม่บิณฑบาตไม่ฉันข้าว 267
น้�ำหมากรักษาข้ีกลาก 268
พ.ศ. ๒๕๑๙ สมเด็จพระญาณสังวร พักภาวนาท่ีพุทธวิหาร 268
ห้องน�้ำบนภูทอก 269
พ.ศ. ๒๕๑๙ ท�ำบ้านพักแม่ชี 270
ช่วงเข้าพรรษาปี ๒๕๑๙ ท่านอ่านพระไตรปิฎกแล้วมาเทศน์โดยไม่เปิดหนังสือ 270
พ.ศ. ๒๕๑๙ ภูทอกมีกฐินเป็นปีแรก 271
พ.ศ. ๒๕๑๙ รับนิมนต์ไปอินเดียคร้ังแรก 271
อดีตชาติของท่านพระอาจารย์จวน 273
ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองหยอกล้อท่านพระอาจารย์จวน 274
ภาค ๙ ปัจฉิมวัย ท่านสงเคราะห์โลก 275
ท่านสงเคราะห์ญาติพี่น้องโดยให้ท�ำงานก่อนจึงให้เงิน 275
ท่านพระอาจารย์จวนไม่ได้เป็นอุปัชฌาย์ 275
ท่านดุสอนพระให้ประหยัดน้�ำ 276
ท่านสอนให้ละทิฏฐิมานะ ถ้าสึกไปแล้วจะไปท�ำอะไร 276
ท่านส่ังท�ำห้องน้�ำชั่วคราวรองรับคณะกฐินกรุงเทพฯ 277
ปลายปี พ.ศ. ๒๕๒๐ เสด็จพระราชด�ำเนินกราบนมัสการท่านพระอาจารย์จวนคร้ังแรก 277
สร้างอ่างเก็บน�้ำตามพระราชด�ำริ 279
การอุปัฏฐากหลวงปู่จวนคราวอาพาธปี พ.ศ. ๒๕๒๐ 280
ท่านสงเคราะห์พระและชาวบ้าน 281
มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๑ ท่านร่วมงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ฝั้น อาจาโร 282
ท่านสร้างกุฏิรับรองสมเด็จพระสังฆราชในงานฉลองพระอุโบสถวัดภูกระแต 282
เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๑ ท่านรับนิมนต์เดินทางไปเมตตาโปรดชาวภาคใต้ 283
พ.ศ. ๒๕๒๑ เรื่องฝูงผ้ึงมาคารวะท่านอาจารย์จวน 286
จดหมายสนเท่ห์จะจับหลวงปู่จวนไปเรียกค่าไถ่ 286
หลวงปู่จวนท่ีพ่ึงของชาวบ้าน 289
พ.ศ. ๒๕๒๑ พระเณรท่ีอยู่ร่วมจ�ำพรรษา 289
ปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๑ รับนิมนต์ไปอินเดียครั้งท่ี ๒ 289
พ.ศ. ๒๕๒๒ พระเณรที่อยู่ร่วมจ�ำพรรษา 290

กราบท�ำวัตรในช่วงเข้าพรรษา 291
เรื่องเล่าความเพียรเป็นเลิศของท่านพระอาจารย์จวน 291
พ.ศ. ๒๕๒๒ ท่านปรารภจบพรหมจรรย์ 291
หลวงปู่จวนเป็นไข้ “เจ็บคิง” 292
ปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ กฐินปีสุดท้ายท่ีท่านมีชีวิตอยู่ 293
เหตุผลท่ีท่านต้ังท่านแยงเป็นเจ้าอาวาส 294
๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๒ เสด็จเยือนโครงการอ่างเก็บน้�ำภูทอกตามพระราชด�ำริ 294
๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๒ ท่านกราบคารวะหลวงปู่ขาวและแสดงธรรม 295
ท่านต้ังใจสร้างวัดที่น้�ำตกตาดสะแนน 296
พระชาวต่างประเทศมาภาวนาภูทอก 297
ท่านพระอาจารย์จวนอนุรักษ์ป่าไม้ 297
ท่านจวนเป็นพระอรหันต์ 298
ท่านนิมิตศิษย์แซงหน้าแซงหลัง 298
ในบั้นปลายท่านพาคณะศิษย์ออกธุดงค์ 299
ภาค ๑๐ กิจวัตรประจ�ำวันและความเป็นอยู่ 303
กิจวัตรประจ�ำวัน 303
ปฏิปทาการแจกอาหารของท่านพระอาจารย์จวน 305
ท่านตรวจความเรียบร้อยหลังฉันเสร็จ 306
ท่านรับแขกบนศาลาวิหารช้ัน ๕ เป็นประจ�ำ 307
“มาจากไส” 308
ของใช้ของฉันวางเป็นระเบียบ หากเคลื่อนท่ีท่านจะไม่ใช้เลย 308
รับของประเคนแล้วต้องรายงาน 308
การตากผ้าห้ามเลยเท่ียง 309
ข้อวัตรการปัดกวาด – ตักน้�ำ 309
การซักย้อมผ้าถวายหลวงปู่จวน เตรียมแก่นขนุน 310
ท่านถือปฏิปทาประหยัดมัธยัสถ์ 311
ท่านดัดแปลงของใช้จากธรรมชาติ 312
ท่านไม่สะสมสิ่งของ 313
ท่านพระอาจารย์จวนมีกุฏิแต่ไม่ค่อยพัก 314
มุ้งกลดหลวงปู่จวน การซ่อมบริขาร 315
ปัจจัยสันนิสิตศีล 315

พระเณรที่ภูทอกป่วยเป็นไข้มาลาเรีย 317
ท่านถามพระ “ชอบผู้สาวไหม” “อยากสึกไหม” 317
ภาค ๑๑ มรณภาพด้วยเคร่ืองบินตก 319
การหยั่งรู้วันมรณภาพของครูบาอาจารย์สายวัดป่ากรรมฐาน 319
กรรมนิมนต์ 320
ท่านเร่งคุณหมอประพักตร์เรื่องท�ำล็อกเกตเด๋ียวจะไม่ทันท่าน 321
ท่านประชุมสงฆ์ครั้งสุดท้าย 322
ท่านรู้ล่วงหน้าหรือไม่ว่าความตายรออยู่ 323
ญาณหย่ังรู้ของครูบาอาจารย์ท้ัง ๓ 326
เรื่องเล่าก่อนการมรณภาพด้วยเคร่ืองบินตก 327
สรงน�้ำครั้งสุดท้ายปรารภเร่ืองเดินทางก่อนเคร่ืองบินตก 330
อาหารเช้ามื้อสุดท้ายก่อนเครื่องบินตก 330
ท่านเดินจงกรมก่อนเครื่องบินตก 331
ครูบาอาจารย์พูดคุยกันทางจิตก่อนเคร่ืองบินตก 332
ท่านมรณภาพด้วยเคร่ืองบินตก เมื่อวันท่ี ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ 334
ความฝันของคุณหมอประพักตร์ก่อนเคร่ืองบินตก 335
เร่ืองเล่าสภาพศพครูบาอาจารย์ในที่เกิดเหตุเคร่ืองบินตก 335
เร่ืองครูนภัทร ป้องเทียน 336
นักธุรกิจตายเพราะเครื่องบินตกที่รังสิต 337
ความรู้สึกของพระศิษย์หลังเคร่ืองบินตก 337
ล�ำดับเหตุการณ์จากภูทอกกลับสู่ภูทอก 339
ประมวลเหตุการณ์ พระคณาจารย์ ๕ รูปท่ีมรณภาพพร้อมกันด้วยเหตุเครื่องบินตก 358
หลวงปู่หลุย เล่าเรื่องบุพกรรมเก่าของพระอริยเจ้าท้ัง ๕ องค์ที่เครื่องบินตก 362
พระราชเสาวนีย์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ ถึงหลวงปู่โต๊ะ อินฺทสุวณฺโณ 363
องค์หลวงตากล่าวลักษณะการนิพพานของพระอรหันต์ 365
ความคิดของเด็กชาวบ้านคนหน่ึง 365
เก็บอัฐบริขารบริเวณเคร่ืองบินตก 368
บาตรบุบ 368
กระดูกหน้าผากท่านพระอาจารย์จวน 369
ค�ำท�ำนายโหรหลวง 370
ท่านยอมสละชีวิตเพ่ือประเทศชาติ 371

ภาค ๑๒ งานพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์จวน 374
อัญเชิญศพท่านพระอาจารย์จวนประดิษฐานบนศาลาชั้น ๕ 374
การประชุมเตรียมงานพระราชทานเพลิงศพ 375
หลวงปู่จวนสั่งเสียก่อนมรณภาพ 376
พ.ศ. ๒๕๒๓ ท่านพระอาจารย์สอนจ�ำพรรษาภูทอกและเป็นประธานสงฆ์ 376
สาเหตุเลื่อนงานพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์จวน 376
ท่านพระอาจารย์สอนเป็นหลักชัยในงานได้มามรณภาพ 377
องค์หลวงตาเทศน์เหตุผลที่ไม่ให้เก็บศพนาน 379
ถอดเทศน์ท�ำประวัติหลวงปู่จวน 381
ซ้อนหีบศพเพื่อรักษาศพหลวงปู่จวน 381
อัศจรรย์ศพท่านพระอาจารย์จวนมีกลิ่น แต่ไม่ด�ำ 381
การเตรียมงานพระราชทานเพลิงท่านพระอาจารย์จวน 382
การสร้างเมรุพระราชทานเพลิงศพ 384
การถวายความปลอดภัย 386
การดูแลดอกไม้และสถานท่ีในงาน 386
การเตรียมฟืนและปั้นเตาต้มน้�ำร้อนในงาน 386
อัญเชิญศพลงจากชั้น ๕ เพ่ือเตรียมพระราชทานเพลิงศพ 387
สภาพงานพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์จวน 387
ฝนตกก่อนวันงาน – ร่มเย็นตอนในหลวงเสด็จ 388
สมเด็จพระสังฆราชเสด็จงานพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์จวน 388
บันทึกเหตุการณ์วันพระราชทานเพลิงศพถึงตอนเก็บอัฐิ พิธีสามหาบ 389
ลูกเสือถวายอารักขาเส้นทางเสด็จพระราชด�ำเนิน 392
ปัจจัยในงานพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์จวน 392
เงินค่าสินไหมให้ญาติ ค่าหนังสือ และอื่นๆ 393
ปลื้มใจงานพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์จวน 393
ภาค ๑๓ อัฐิเป็นพระธาตุ 394
เร่ืองพระธาตุ 394
หลวงปู่จวนเผาไม่ถึง ๗ วัน อัฐิเป็นพระธาตุหมดเลย 395
พระธาตุท่านพระอาจารย์จวน 395
พระธาตุจากเส้นเกศาท่านพระอาจารย์จวน 396
จีวรครองตอนถวายเพลิงศพไม่ไหม้ 397

ภาค ๑๔ เจดีย์พิพิธภัณฑ์ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ 398
ถูปารหบุคคล ๔ 398
ความเป็นมาเจดีย์พิพิธภัณฑ์ 398
รูปลักษณะและการตกแต่ง 400
มณฑปพระธาตุ 401
ห้องพิพิธภัณฑ์ 402
ภาค ๑๕ ความมหัศจรรย์แห่งภูทอก 406
ประวัติความเป็นมาของภูทอก 406
วัดเจติยาคิรีวิหาร (วัดภูทอก) และสถานที่วิเวกโดยรอบ 409
เส้นทางไปภูทอกในอดีต 411
ป่าไม้ภูทอกในอดีต 412
ท่านสอนวิธีการจ�ำช่ือภูต่างๆ 412
อัศจรรย์บันไดเวียนภูทอก 413
ธรรมภาษิตภูทอก 413
ภาค ๑๖ โอวาทและเทศนาธรรม 415
โอวาทธรรม 415
ลีลาเทศน์ ลีลาธรรม 417
ท่านเทศน์พระสูตรได้อย่างอัศจรรย์ 417
ท่านเน้นเทศน์ปฏิบัติ มักเทศน์อสุภะ ไม่ทักความคิดพระเณร 418
ท่านพระอาจารย์จวนเทศน์ยอดธรรม 418
ท่านเทศน์เก่งและได้เทศน์ตามงานใหญ่ๆ 419
สาเหตุท่ีเทศนาธรรมของท่านมีจ�ำนวนไม่มาก 420
เทศนาธรรม 420
• เทศน์อริยสัจธรรม 420
• การบ�ำเพ็ญจริยา ๓ 422
• ท่านเทศน์แปลปริศนาธรรมของท่านพระอาจารย์มั่น 424
• การพิจารณาอสุภกรรมฐาน 425
ภาค ๑๗ นิทานธรรม 429
ท่านเมตตาเล่านิทานยอดธรรมให้พ่อซ่นเพ่ือให้พระเณรฟังทีหลัง 429
นิทานเร่ืองภิกษุเสพเมถุนกับลิงป่า 429
นิทานเร่ืองภิกษุอวดอุตริ 430

นิทานเร่ืองภิกษุแกล้งเป็นผู้มักน้อย 431
นิทานเรื่องหลวงตาดากโกน 431
นิทานเรื่องผัวเมียอุตตมะ กับ ผัวเมียหีนะ 433
นิทานเร่ืองพ่อตู้กับแม่ตู้ (พ่อใหญ่กับแม่ใหญ่) 435
นิทานเรื่องพ่อตู้ห�ำยาน 437
นิทานเร่ืองหมาข้ีเร้ือน 438
นิทานเร่ืองตาบอดคล�ำช้าง 441
ท่านเทศน์นิทานตลกโปรดญาติโยม 445
ท่านมรณภาพแล้ว พ่อซ่นบวชเป็นพระตายคาผ้าเหลือง 445
ภาค ๑๘ ครูบาอาจารย์ 446
ครูบาอาจารย์แวะเย่ียมท่านพระอาจารย์จวนท่ีภูทอก 446
การแสดงออกของธรรม 446
หลวงปู่เทสก์ชมท่านอาจารย์จวน ท่านอาจารย์วัน 447
ท่านจวนลูกอาจารย์ชอบ 448
หลวงปู่ชอบพูดถึงท่านพระอาจารย์จวน 448
บันทึกหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร 449
ท่านพระอาจารย์จวนเคารพผูกพันหลวงปู่ขาวมาก 450
องค์หลวงตาพระมหาบัวเทศน์ถึงท่านพระอาจารย์จวน 451
• สิ่งก่อสร้าง – เสือหวงซาก 451
• เรื่องอดีตชาติลบล้างธรรมไม่ได้ 452
• ภูทอกไม่วิเวกแล้ว 452
• ภูทอกแต่ก่อนสงัดดีมาก สัตว์ป่าก็ชุกชุม 453
• บันไดสวรรค์ กับ บันไดนรก 454
• อัฐิเป็นพระธาตุสององค์ 455
องค์หลวงตาพระมหาบัวต�ำหนิเรื่องสร้างเหรียญ – สร้างสะพานภูทอก 456
พระอรหันต์เตือนพระอรหันต์ด้วยกัน 456
ครูบาอาจารย์ท่านเคารพรักกันมาก 457
ครูบาอาจารย์สมัยเดินธุดงค์ด้วยกัน 459
สหธรรมิกท้ังสาม 459
ท่านพระอาจารย์จวนกล่าวถึงหลวงปู่มั่น หลวงปู่ขาว 460
หลวงปู่จวนชมหลวงปู่มั่นเป็นนักปราชญ์ ๘ เหลี่ยม 460

ท่านพระอาจารย์จวนไปร่วมงานครบรอบวันเกิดหลวงปู่ขาวทุกปี 460
หลวงปู่สิงห์ทองกระโดดกอดหลวงปู่จวน – หลวงปู่จวนสอนพระ 461
ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองและศิษย์ขึ้นภูทอก 461
หลวงปู่สอน หลวงพ่อจันทร์เรียน เคยอยู่ภูทอก 462
หลวงปู่ผาง ปริปุณฺโณ กราบหลวงปู่ขาวและท่านพระอาจารย์จวน 462
หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต 463
หลวงปู่ลีสนิทสนมกับท่านพระอาจารย์จวน 463
หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม เทศน์ถึงท่านพระอาจารย์จวน 464
• หลวงปู่จวนและหลวงปู่หลุย เกิดในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช 464
• หลวงปู่ทองพูลเล่าเรื่องภูทอก 465
• หลวงปู่ทองพูลชมท่านพระอาจารย์จวนมากด้วยปัญญาและบุญกิริยา 467
หลวงปู่แสวง อมโร ติดตามหลวงปู่จวนออกธุดงค์ 467
พระศิษย์เล่าประสบการณ์ช้างที่ภูวัวให้หลวงปู่จวนฟัง 468
หลวงปู่บุญพิน กตปุญฺโ จ�ำพรรษากับท่านพระอาจารย์จวน 468
หลวงปู่ผาง โกสโล เล่าถึงหลวงปู่จวน 469
หลวงปู่สรวง วรสุทฺโธ อยู่จ�ำพรรษากับท่านพระอาจารย์จวน 469
หลวงปู่จรัส ธมฺมธโร เล่าความสัมพันธ์ของหลวงปู่จวนกับหลวงปู่ทองพูล 470
ท่านพระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต เทศน์ถึงท่านพระอาจารย์จวน 471
• เรื่องกรรม เหตุท่ีเครื่องบินตก 471
• ธรรมะส่ือกัน 472
• ท่านพ้นจากกิเลสแล้วยังท�ำประโยชน์กับโลก 472
• เรื่องความคุ้นเคย 473
• อาจารย์เป็นกับอาจารย์ไม่เป็น 474
• ถ้าให้พูดแบบเรียบร้อย ท่านไม่เทศน์ดีกว่า 474
• พูดเหมือนได้ 475
• ท�ำไมหลวงปู่จวนแตกฉานในบาลี 475
• ท่านพระอาจารย์จวนพูดยอดธรรม 477
• ถ้ามีความจริงจะไปกลัวใคร 477
• ความจริงกับความจริงเป็นอันเดียวกัน 478
• ถ้าจิตมีหลักอยู่ตามป่าตามเขาก็ไม่กลัว 478
• การอ่อนน้อมถ่อมตน 478

• เรื่องอัฐิแปรเป็นพระธาตุ 479
• ต้องศึกษา 479
• ครูบาอาจารย์ส�ำคัญมาก 480
ภาค ๑๙ วงพระมหากษัตริย์กับท่านพระอาจารย์จวน 482
สถาบันพระพุทธศาสนาคู่สถาบันพระมหากษัตริย์ 482
ในหลวง ในสายตาพระอริยสงฆ์ 483
พระราชด�ำรัสในโอกาสเสด็จออกทรงผนวช 484
เหตุท่ีในหลวงรู้จักหลวงปู่จวน 484
ท่านเอาเย่ียงอย่างโคผู้สงวนหนัง 484
เร่ืองเล่าในหลวงทรงเยี่ยมนมัสการท่านพระอาจารย์จวนคร้ังแรก 485
ในหลวงนิมนต์ท่านไปฉันเพลในวัง 487
บันทึกตามเสด็จวงพระมหากษัตริย์กับท่านพระอาจารย์จวน 487
บันทึกเหตุการณ์งานพระราชพิธีบรรจุอัฐิและเปิดเจดีย์พิพิธภัณฑ์ท่านพระอาจารย์จวน 490
ภาค ๒๐ ศิษย์ผู้มีศรัทธาหนักแน่น 495
ท่านชมคุณหมอประพักตร์ “ผู้มีศรัทธาหนักแน่น” 495
คุณหมอประพักตร์ศิษย์ผู้เคยร่วมทุกข์ร่วมสุข 495
ท่านพระอาจารย์จวนหย่ังทราบเหตุการณ์ล่วงหน้า 496
ท่านพากราบมอบตัวเป็นศิษย์ครูบาอาจารย์ 498
ท่านให้ความไว้วางใจคุณหมอประพักตร์ 499
ท่านมอบพระพุทธรูปและพระธาตุให้คุณหมอประพักตร์ 499
ท่านฉันใบไม้ประทังชีวิต – เหาะไม่ยาก 500
ไม่ขับถ่ายระหว่างน่ังเรือ ๔ – ๕ วัน 500
การถวายปัจจัยไม่ควรระบุ ควรแล้วแต่ท่าน 501
การตักเตือนสอนศิษย์ที่เพ่ิงเข้าวัดใหม่ 501
การสร้างวัตถุมงคล 502
คุณหมอประพักตร์ฝันถึงหลวงปู่จวน 503
ภาค ๒๑ ปกิรณกะ 504
ท่านเป็นครูบาอาจารย์อารมณ์ดี 504
ท่านได้วิชาสมุนไพรจากโยมพ่อ 504
ท่านไม่อดไม่อยากหมากเพราะบารมีเก่า 504
ท่านไม่ติดญาติโยม 505

ท่านไม่เคยเอ่ยชมพระศิษย์องค์ใดเป็นพิเศษ 505
506
ท่านพระอาจารย์จวนชอบให้ขับรถเร็วๆ 506
ท่านกับภาพปาฏิหาริย์
การถ่ายรูปท่านในอิริยาบถต่างๆ บนเขา 508
509
ท่านก�ำหนดจิตให้เบาเป็นส�ำลี 511
อ�ำนาจจิตของท่านทั้งสอง
ท่านภาวนาเรียกฝน 513
513
คาถาขอฝน 514
อาหารการขบฉันของท่านพระอาจารย์จวน
ข้าวก้นบาตรของท่านพระอาจารย์จวน 515
516
น้�ำปัสสาวะรักษาแม่ชีท้องร่วงก�ำลังจะตาย 516
ความจ�ำของท่าน
ท่านให้ภาวนาท่ีหน้าเหว 517
517
ท่านแจกข้ีเหล็กไหล 518
การสร้างพระธรรมจักร
การเททองหล่อพระประธาน ศาลาเทิดพระเกียรติท่ีภูทอก 518
521
พระศิษย์เล่าความประทับใจในท่านพระอาจารย์จวน 522
เรื่องส�ำนักสงฆ์สะแนน
การจัดงานร�ำลึกวันครบรอบมรณภาพของท่านพระอาจารย์จวน 528
529
การบ�ำเพ็ญจริยา ๓ ของท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ
รายนามพระศิษย์และครูบาอาจารย์ท่ีเคยอยู่ศึกษาอบรมกับท่านพระอาจารย์จวน กลุ เชฏโฺ  531



พระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ  บรรยากาศภายใน วดั เจตยิ าคิรวี หิ าร (ภทู อก)

เจดยี ์พพิ ิธภัณฑ์พระอาจารย์จวน กลุ เชฏฺโ
ท่บี รรจอุ ฐั บรขิ าร รวมท้งั อัฐิธาตุ และรปู ปัน้ เหมือนของท่าน ในทา่ ยืนถอื ไม้เทา้ สงู ๒.๘ เมตร



1

ภาค ๑ ปฐมวัยก่อนบวช

ชาติก�ำเนิด

ทา่ นพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฺ  ท่านมนี ามเดมิ ว่า จวน นามสกุล นรมาส
ท่านเกดิ เม่ือวนั ที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ ตรงกับวนั เสาร์ แรม ๑๐ คำ�่ เดือน ๘ ปีวอก
ซ่ึงตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ในรชั สมยั นีถ้ อื เปน็ ยคุ รุ่งเรอื งอกี ยคุ หนง่ึ เปน็ ยคุ แผ่นดนิ ธรรม แผน่ ดินทอง เพราะมคี รูบาอาจารย์
วงกรรมฐานสายทา่ นพระอาจารยม์ ัน่ ภรู ทิ ตตฺ มหาเถร ประเภท “เพชรนำ�้ หน่ึง” มาถือก�ำเนิดกันมาก
ในรัชสมัยของพระองค์
ทา่ นพระอาจารย์จวน กลุ เชฏโฺ  ไดเ้ มตตาเทศน์ถ่นิ กำ� เนดิ ของทา่ นไว้ดงั นี้
“ขอเล่าประวตั ิ นายจวน นรมาส ประวัติเดมิ ตน้ ก�ำเนิดมดี งั น้ี คือ นายจวน นรมาส นีเ้ กิด
ชาตกิ ำ� เนิดเปน็ ชาตไิ ทย เชอ้ื ชาตไิ ทย เกดิ ท่บี า้ นเหล่ามนั แกว หมทู่ ี่ ๑๒ บา้ นเลขที่ ๑๒ ต�ำบลดงมะยาง
อำ� เภออ�ำนาจเจริญ จงั หวัดอุบลราชธาน”ี
ปจั จุบันบ้านเหล่ามนั แกว ข้ึนกับต�ำบลโคกกลาง อ�ำเภอลืออำ� นาจ จงั หวัดอ�ำนาจเจริญ
ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ทา่ นประดุจเปน็ ผมู้ บี ญุ มาเกิด เป็นผถู้ งึ พรอ้ มด้วยวาสนา
บุญญาธิการอันบ�ำเพ็ญสะสมมาด้วยดีแต่อดีตชาติปางกอ่ น ฉะนนั้ ท่านจึงมรี ปู ร่างหนา้ ตาอันสมส่วน
งดงาม มีผวิ พรรณวรรณะขาวเหลอื งผ่องใส มีสตปิ ญั ญาอันเฉลียวฉลาดเฉยี บคม มนี ิสยั จติ ใจยดึ มัน่
ในพระพุทธศาสนาและยึดมั่นในคณุ ธรรมความดี เป็นคนทมี่ ีน�้ำใจโอบอ้อมอารี มเี มตตาธรรม ถงึ พรอ้ ม
ด้วยความองอาจกลา้ หาญ อดทน ขยนั ขันแขง็ เอาจรงิ เอาจัง รักษาสัจจะวาจา และมกี ริ ิยามารยาท
อ่อนน้อมถ่อมตน พูดจาไพเราะ แต่เป็นคนใจร้อน มีความเคารพเช่ือฟังบิดา มารดา ครูบาอาจารย์
แลดแู ล้วเกิดความเพลินตาเพลินใจ โดยลกั ษณะเด่นเหลา่ นแ้ี สดงใหเ้ ห็นตงั้ แต่ท่านยังอยู่ในวัยเยาว์
ส�ำหรับถ่นิ กำ� เนดิ ของท่านนนั้ คือ เมืองอุบลราชธานี หรอื เมอื งดอกบวั อันได้รับการยกย่อง
ว่าเปน็ เมอื งนักปราชญ์ และถือเปน็ เมอื งครบู าอาจารย์พระธดุ งคกรรมฐาน เพราะเป็นถนิ่ ก�ำเนิดของ
พระปรมาจารยใ์ หญฝ่ ่ายวปิ สั สนากรรมฐานในยคุ ปจั จบุ นั เชน่ ทา่ นเจ้าคุณพระอุบาลีคณุ ปู มาจารย์
(จนั ทร์ สริ จิ นฺโท) ทา่ นพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลมหาเถร ท่านพระอาจารยม์ ั่น ภูริทตตฺ มหาเถร
และเปน็ ถน่ิ ก�ำเนดิ ของพระธุดงคกรรมฐานศิษย์สายทา่ นพระอาจารย์เสาร์ และ ทา่ นพระอาจารยม์ นั่
องค์ส�ำคัญ เช่น หลวงปู่สงิ ห์ ขนตฺ ยาคโม หลวงปมู่ หาป่นิ ปญฺ าพโล หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล
หลวงปู่ขาว อนาลโย ทา่ นพ่อลี ธมมฺ ธโร ทา่ นพระอาจารยช์ า สภุ ทฺโท ท่านพระอาจารย์สงิ หท์ อง
ธมฺมวโร เป็นต้น

2

ท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ  เปน็ พระธดุ งคกรรมฐานอกี องคห์ นง่ึ ในสายท่านพระอาจารย์
เสาร์ กนตฺ สีโล ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ซงึ่ ไดร้ ับการเคารพยกย่องเทิดทนู อย่างสงู สดุ วา่ เปน็
“เพชรน�้ำหนง่ึ ” เป็นพระสาวกบารมญี าณทม่ี รี ปู โฉมงดงาม จนเป็นท่หี มายปองของอสิ ตรเี พศตรงขา้ ม
เฉกเช่นพระมหากัจจายนะ พระอรหนั ตสาวกรปู งามคร้ังพทุ ธกาล

ทา่ นพระอาจารยจ์ วน ทา่ นเปน็ ผมู้ นี สิ ยั วาสนาพระอรหนั ตสาวกรงุ่ เรอื งในจติ ใจ จงึ มคี วามมงุ่ มนั่
ปรารถนาในการออกบวชเพอ่ื ความพน้ ทกุ ขโ์ ดยถา่ ยเดยี ว ตง้ั แตอ่ ยใู่ นวยั เดก็ ขณะเรยี นหนงั สอื อนั แสดง
ถึงการสั่งสมบ�ำเพ็ญบารมีอย่างดีย่ิงถึงพร้อมมาแต่บุพชาติยาวไกลนานแสนกัป เป็นปัจจัยเกื้อหนุน
ให้ท่านมีจิตใจศรัทธาออกบวช เฉกเช่นเดียวกับการสร้างบารมีของพระอรหันตสาวกท้ังหลายที่ต้อง
บ�ำเพ็ญบารมีนานอยา่ งน้อยหนึ่งแสนกัป

เมือ่ ทา่ นออกบวชแลว้ กม็ คี วามเพยี รเปน็ เลศิ โดยเฉพาะด้านการภาวนา ท่านมอี บุ ายภาวนา
อันแยบคายเป็นเลิศ มีนิมติ ภาวนาเกิดข้ึนมากมาย และมธี รรมผุดขณะภาวนาเปน็ ภาษาบาลี เป็นท่ี
อศั จรรย์ใจ เฉกเชน่ ทา่ นพระอาจารย์ม่นั จนทา่ นพระอาจารยม์ นั่ ถงึ กับกล่าวชน่ื ชมว่า “ท่านจวนเปน็
ผูม้ ีกายและจิต สมควรแก่ขอ้ ปฏบิ ตั ธิ รรม”

และก่อนกาลมรณภาพของท่านพระอาจารย์มนั่ ทา่ นพิจารณาด้วยอนาคตงั สญาณแล้วเห็นวา่
ท่านพระอาจารยจ์ วนเป็นศษิ ยอ์ งค์หนง่ึ ทม่ี ีบญุ ญาธิการมากและมศี กั ยภาพมาก ภายภาคหนา้ จะเชดิ ชู
วงกรรมฐาน และจะท�ำหน้าทเ่ี ป็นศาสนทายาทองคส์ ำ� คญั อกี องค์หน่งึ ซงึ่ ทา่ นจะทำ� คณุ ูปการทเ่ี ป็น
คุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวงให้กับพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ ด้วยจิตของท่านพระอาจารย์
จวนนัน้ กเ็ ปน็ จติ ทโี่ ลดโผนแปลกประหลาดอศั จรรยม์ าก ธรรมมกั ผุดขน้ึ เป็นบาลีเสมอๆ จิตก็ชอบออก
ร้เู หน็ เรอ่ื งราวแปลกๆ เช่น เทวดา เปรต ภตู ผี วิญญาณ ฯลฯ ซง่ึ จิตประเภทนใ้ี นวงนกั ปฏิบัติมีจ�ำนวน
น้อยมาก และเปน็ จติ ท่ีส่มุ เสี่ยงต่ออันตรายทจี่ ะเกิดขน้ึ จึงจ�ำเป็นจะต้องมคี รบู าอาจารย์ผู้ร้จู ริงเหน็ จริง
คอยอบรมสัง่ สอน ท่านพระอาจารยม์ ัน่ จึงไดฝ้ ากและมอบหมายให้หลวงป่ขู าว อนาลโย เป็นผู้ดูแล
หลวงปู่ขาวจึงเปรยี บประดจุ บิดาในทางธรรมของทา่ นพระอาจารยจ์ วน

นอกจากน้ี ทา่ นพระอาจารยจ์ วน ทา่ นยังมีคณุ สมบัติทางธรรมละมา้ ยคล้ายคลึงกับหลวงปตู่ อ้ื
อจลธมฺโม คือ ท่านมีวาสนาบารมธี รรมสูงมาก เปน็ ผูม้ อี ภิญญา ๖ มากดว้ ยอิทธิฤทธ์ิ และทา่ นเปลง่
บันลือสีหนาทแสดงอนุสาสนีปาฏิหาริย์ได้อย่างงดงาม ทั้งชอบแสดงธรรมอันเป็นของจริงอย่างชนิด
เข้มข้นเปดิ เผย จนเปน็ ทีก่ ลา่ วขานร�่ำลือ ซงึ่ ทางโลกมักไม่เขา้ ใจทง้ั ต�ำหนิหาวา่ ไมส่ ภุ าพ หยาบคาย และ
กไ็ มย่ อมรบั แต่ทางธรรมเข้าใจและก็ยอมรบั ทัง้ ถือวา่ เป็นยอดธรรม

โยมบิดาของท่านช่อื  นายสา นรมาส โยมมารดาของท่านชอ่ื  นางแหวะ สกุลเดิม วงศ์จนั ทร์
โยมบดิ าเล่าใหฟ้ งั ว่า บรรพบุรุษของทา่ นอพยพมาจากเวยี งจันทน์ เป็นอปุ ฮาด (อุปราช) ของ
เวยี งจันทน์ เมื่อมีภยั สงครามเกิดขึ้น เวียงจันทนแ์ ตก อุปฮาดผเู้ ปน็ ตน้ ตระกูลกพ็ าครอบครวั อพยพมา

3

คร้ังแรกต้ังบ้านเรือนอยู่ที่ต�ำบลหนองบัวล�ำภู ต่อมาก็เคล่ือนย้ายถิ่นฐานบ้านช่อง กระทั่งท้ายท่ีสุด
มาอยู่ทีจ่ งั หวดั อุบลราชธานดี ังกล่าว

โยมบดิ ามอี าชีพท�ำนาและมคี วามรู้ทางดา้ นสมุนไพรมาก เพอื่ นบา้ นในละแวกใกลเ้ คยี ง เวลา
เจบ็ ไข้ไดป้ ว่ ยได้อาศยั ถือเปน็ หมอประจำ� บา้ น เพื่อนบา้ นจงึ รกั ใครน่ ับถือ เมื่อทางการใหม้ กี ารเลอื ก
ผใู้ หญ่บ้าน กค็ ะยนั้ คะยอจะให้โยมบดิ าเป็น โยมบดิ าหนีไปอยู่ในนาเสีย แต่กย็ ังได้รบั เลอื กให้เปน็
ผู้ใหญบ่ า้ นจนได้

ท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ  มีพี่น้องรว่ มบดิ ามารดาเดียวกัน ๗ คนดว้ ยกัน เปน็ หญงิ
๑ คน ชาย ๖ คน ทา่ นเป็นบตุ รคนท่ี ๖ โดยมชี ื่อเรยี งตามลำ� ดับดงั นี้คือ

๑. นายเหยี นรมาส
๒. นายแดง นรมาส
๓. นายโลน นรมาส
๔. นางนอ้ ยแสง หมายสิน (นรมาส)
๕. นายอ่อนจันทร์ นรมาส
๖. นายจวน นรมาส
๗. นายนวล นรมาส
โดยท่ีเดก็ ชายจวนเปน็ น้องเล็ก เกอื บเปน็ คนสุดทอ้ ง มีผิวขาวเหลอื งคลา้ ยมารดา พ่ๆี  จึงรัก
และเอ็นดูมาก โดยเฉพาะพสี่ าวจะดแู ลนอ้ งชายคนนี้เปน็ พเิ ศษ คร้ังหน่งึ เดก็ ชายจวนถูกพสี่ าวดวุ ่าซน
และจะไมใ่ หก้ นิ ข้าว เด็กชายจวนถอื คำ� ดนุ น้ั เป็นจรงิ ก็ไม่กนิ ขา้ ว ออกไปเทยี่ วตอ่ ในนาเสยี พ่ีสาวต้อง
ลงทุนออ้ นวอน แต่ออ้ นวอนเท่าไร น้องชายก็ไม่ยอมกนิ ข้าว เมื่อเห็นวา่ น้องชายไมก่ ินข้าวจรงิ ๆ แลว้
พี่สาวถงึ กับนงั่ รอ้ งไหเ้ พราะสงสารนอ้ งชาย
ปัจจุบันท่านพระอาจารย์จวนถึงแก่มรณภาพแล้ว คงเหลือแต่คุณงามความดีที่ท่านฝากไว้
ท้งั ด้านธรรมท่ีท่านเทศนาไวม้ ากมาย และดา้ นวัตถุ เช่น บันไดและสะพานรอบภทู อกท่ีถูกสร้างขน้ึ
อย่างมหัศจรรย์ สว่ นพี่นอ้ งทกุ คนกถ็ งึ แกก่ รรมหมดแล้ว เหลือแตห่ ลานๆ ของท่าน

4

การสร้างบารมีเป็นพระอรหันต์

ครบู าอาจารยไ์ ด้เมตตาเทศน์การสรา้ งบารมเี ป็นพระอรหนั ต์ไว้ดังน้ี
“ในพระไตรปิฎกบอกวา่ ถา้ พระอรหันตอ์ ย่างน้อยตอ้ งสร้างมาแสนกัป ตอ้ งสร้างมาแสนกัปนะ
อยู่ในอภิธรรม ตอ้ งมีบุญ มวี าสนา มีบารมี ตอ้ งสรา้ งมาเปน็ แสนกัปเลย แล้วพอสรา้ งมาแสนกัป
ต้องพยายามปฏิบตั ิ เอาตวั เองพน้ ให้ไดด้ ว้ ย ถ้าสร้างมาแสนกัปถา้ ยงั ไม่ไดก้ ย็ งั ตอ้ งต่อเน่อื งไป...”
“เราจะรูว้ ่าใครสร้างบุญสร้างกรรมมามากนอ้ ยขนาดไหน ถา้ เราไมร่ วู้ า่ ใครสร้างบญุ สรา้ งกรรม
มามากน้อยขนาดไหน เชาวน์ปัญญานี่แหละมันจะบอก คนที่มีบุญ มันจะมีเชาวน์ มีปัญญานะ
จะฉลาดมาก จะมสี ่ิงทีว่ ินจิ ฉัย ไมเ่ ป็นเหยื่อของใคร คนที่มีเชาวน์ปญั ญา นั่นเพราะเขาสรา้ งอำ�นาจ
วาสนาของเขามา...”

ชีวิตปฐมวัยเรียนสอบไล่ได้ที่ ๑ ทุกช้ัน

การจัดการศึกษาเลา่ เรยี นของภาคอีสาน ไดเ้ รม่ิ ต้นในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ในรชั สมยั ของสมเด็จ–
พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอย่หู วั รชั กาลที่ ๕ โดยมที ่านเจา้ คุณพระอบุ าลีคุณปู มาจารย์ (จันทร์ สิรจิ นฺโท)
เปน็ ก�ำลังสำ� คญั โดยท่านเจา้ คุณอบุ าลฯี ไดเ้ ริม่ จดั การศึกษาเปน็ ครง้ั แรก โดยการจดั ต้ังโรงเรยี นสอน
หนงั สอื ไทยแลภาษามคธ ขน้ึ ทว่ี ดั สปุ ฏั นารามวรวหิ าร หรอื วดั สปุ ฏั นฯ์ อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั อบุ ลราชธานี
อันเปน็ วดั ธรรมยตุ แห่งแรกของภาคอีสาน จากนั้นการจดั ตั้งโรงเรยี นจึงคอ่ ยๆ ขยายสู่ต�ำบลต่างๆ ใน
จังหวัดอบุ ลราชธานี และขยายส่จู งั หวัดต่างๆ ในภาคอสี าน

การศึกษาเล่าเรียนของชาวชนบทสมัยน้ันถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ เพราะเป็นระยะเริ่มต้นของ
การจัดการศึกษา การจัดต้งั โรงเรยี นในสมัยนน้ั กเ็ ปน็ ไปดว้ ยความยากล�ำบาก เพราะชนบทบา้ นนอก
ทุรกนั ดารมาก การคมนาคมก็ไมส่ ะดวก บางแห่งก็ไมม่ คี รูสอน บางแหง่ ก็หานักเรยี นไมไ่ ด้ โรงเรยี น
ตามต่างจงั หวัดจงึ มจี �ำนวนนอ้ ย

ทีบ่ ้านเกดิ ของเด็กชายจวนสมยั น้นั กเ็ ช่นกนั ต�ำบลดงมะยางมโี รงเรยี นเพียงแหง่ เดียว เฉพาะ
ที่บา้ นดงมะยางอนั เป็นบา้ นตำ� บลเทา่ นั้น การไปเรียนหนังสือจงึ ล�ำบากมาก ตอ้ งเดินไปดว้ ยเทา้ ทงั้ ไป
และกลับ ตอนเช้ากว่าจะถึงโรงเรียน และตอนเย็นกว่าจะกลับถึงบ้าน ก็เหนื่อยแย่เต็มที เพราะ
ระยะทางไกลมาก ต่อมาโรงเรียนได้ขยับขยายเข้ามาใกล้บ้านประมาณ ๒๐๐ เสน้ (๘ กิโลเมตร)
โรงเรยี นได้มาตั้งอยใู่ นวัดบ้านกดุ สนิ ตำ� บลดงมะยาง อ�ำเภออำ� นาจเจรญิ เมือ่ เรยี นขนึ้ ชัน้ ประถมศกึ ษา
ปที ่ี ๓ ปที ี่ ๔ ปีท่ี ๕ และปีท่ี ๖ โรงเรยี นไดย้ ้ายมาต้งั อยทู่ วี่ ดั เจรญิ จติ บ้านโคกกลาง ติดกบั บา้ นเกดิ
ต�ำบลดงมะยาง อ�ำเภออำ� นาจเจรญิ ซง่ึ เด็กชายจวนไดเ้ รยี นอยตู่ ลอดมาจนจบออกจากโรงเรยี น

ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ  ได้เมตตาเทศนช์ ีวิตในวัยเรียนของท่าน ไว้ดังน้ี

5

“เม่อื เดก็ ชายจวนเกดิ ขึ้นมาแลว้ เจรญิ เติบโตขน้ึ มาพอรูเ้ ดียงสา เดก็ ชายจวนอายปุ ระมาณ ๙
หรอื ๑๐ ปนี ้แี หละ ไดเ้ ข้าโรงเรยี นประชาบาล วดั เจริญจติ บา้ นโคกกลาง ต�ำบลดงมะยาง อ�ำเภอ
อำ� นาจเจริญ จังหวดั อุบลราชธานี

สมยั น้ันการศกึ ษาเล่าเรียนกนั ดารมาก และมโี รงเรยี นนอ้ ยทีส่ ุด ตามชนบทบ้านนอก นกั เรียน
สมยั นนั้ ต้องเกณฑ์เขา้ โรงเรียนอายุ ๙ ปี หรอื ๑๐ ปี จงึ จะเข้าโรงเรียนได้ เพราะการเดินทางไกล
ไปเรียนล�ำบากไม่เหมือนสมัยนี้ ต้องเดินด้วยเท้า ต�ำบลหน่ึงมีโรงเรียนหนึ่งหรือสองโรงเรียนเป็น
อย่างมาก มีเท่านั้นแหละ ตามหมู่บ้านต้องมาเรียนรวมกันในโรงเรียนน้ัน ต่อมาสมัยนี้การศึกษา
เล่าเรยี นจงึ ขยายกวา้ งขวางออกไปมที ุกหมู่บ้าน และการคมนาคมกส็ ะดวก

เมื่อเด็กชายจวน คอื นายจวนได้เขา้ ศกึ ษาเลา่ เรียนแลว้ กต็ ั้งอกต้ังใจเรยี น มจี รรยามารยาทดี
ประพฤติตัวดีในโรงเรียน และไม่เคยขาดการศกึ ษาเลา่ เรียน เวน้ เสยี แต่จำ� เป็น คือ การเจบ็ ป่วยหรือ
ชว่ ยกิจธุระของผปู้ กครอง เสรจ็ จากการเรียนแลว้ มธี รุ ะอะไรก็ไปช่วยผ้ปู กครองตามฐานะ

เด็กชายจวนในขณะที่เรียนอยูใ่ นโรงเรยี นนนั้ นบั แตเ่ รียนประถมปที ี่ ๑ จนถึงประถมปีที่ ๖
ซ่งึ เปน็ ประถมบริบรู ณใ์ นสมยั น้นั ส�ำหรับโรงเรยี นตามชนบท เดก็ ชายจวนสอบไลไ่ ด้ที่ ๑ ชัน้ ทกุ ชนั้
ไมม่ ีได้ที่ ๒ เพราะเป็นผ้ขู ยนั ในการเรยี นดี นบั แตช่ น้ั ประถมปที ่ี ๑ จนถึงชน้ั ประถมปีที่ ๖ สอบไล่ได้
คะแนนเอก คอื รางวลั ที่ ๑ ได้ที่ ๑ ของเพ่ือนนักเรยี นทุกๆ ชั้น และบางคร้ังบางคราวครยู ังใหส้ อน
นกั เรียนด้วยกันอกี เช่น ประถมปที ่ี ๑ ปี ๒ ปี ๓ ปี ๔ ถงึ ปี ๕ ซึง่ เดก็ ชายจวนเคยช่วยสอนเพื่อนนกั เรียน
ดว้ ยกัน”

ชีวติ ในวยั เรียนของท่านพระอาจารยจ์ วน แสดงถึงความเปน็ เด็กนกั เรียนทีข่ ยนั เรยี น เรียนเกง่
มคี วามประพฤตดิ ี กริ ยิ ามรรยาทดี เป็นเดก็ กตัญญรู ู้คุณ รจู้ กั เสยี สละโอบอ้อมอารี รู้จักท�ำตนให้เปน็
ประโยชน์ โดยทา่ นได้สนองคุณบิดามารดาและคณุ ครบู าอาจารย์ โดยรู้จกั แบง่ เวลาเรยี น แบง่ เวลา
ชว่ ยผู้ปกครองท�ำงาน และแบ่งเวลาชว่ ยครูสอนเพอื่ นนกั เรียนด้วยกนั โดยไมเ่ ห็นแกเ่ หน็ดแก่เหนื่อย
ดงั น้นั ชวี ติ ในวัยเรียนของเด็กชายจวน จึงเปน็ ทรี่ ักใครช่ ื่นชอบของผู้ปกครอง พ่นี ้อง ครู ตลอดจนเพ่ือน
นกั เรยี น นบั เปน็ ชวี ิตแบบอยา่ งที่งดงามดีเลิศ ซึง่ เดก็ นักเรยี นทั้งหลายควรถือปฏิบตั ิตาม

พบพระธุดงคกรรมฐานและได้หนังสือพระไตรสรณคมน์

ในสมัยที่ทา่ นพระอาจารยจ์ วนยังเปน็ เด็กนนั้ พระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารยเ์ สาร์
กนตฺ สลี มหาเถร และ ทา่ นพระอาจารย์ม่ัน ภูรทิ ตฺตมหาเถร เปน็ ทีย่ อมรบั ในสังคมชาวพุทธแลว้
ซ่ึงก่อนหน้านั้นการเดินธุดงค์ของพระธุดงค์นุ่งห่มจีวรสีคล้�ำๆ เดินแบกกลด สะพายบาตร ไปตาม
ทอ้ งทงุ่ นา ตามปา่ ตามเขา เปน็ เรอื่ งแปลกใหมใ่ นสงั คม ดงั นนั้ เมอื่ พระธดุ งคเ์ ดนิ ไปไหน ผคู้ นจงึ แตกตน่ื
กลัวและพากนั ว่งิ หนี

6

ทา่ นพระอาจารย์เสาร์ และ ทา่ นพระอาจารยม์ น่ั สองบูรพาจารยใ์ หญว่ งพระธุดงคกรรมฐาน
ได้บุกเบกิ ธดุ งควัตรและปฏิบตั ภิ าวนาอย่างจรงิ จัง จากน้ันได้อบรมส่งั สอนชาวภาคอีสานออกบวชเป็น
พระป่ากนั มากมาย และได้กำ� เนดิ กองทัพธรรมพระธุดงคกรรมฐานขน้ึ เพื่อสง่ั สอนให้ชาวภาคอสี าน
เลิกนบั ถอื ผี หนั มาถอื พระรตั นตรัย และหนั มาปฏบิ ัตภิ าวนาด้วยการเดินจงกรม นัง่ สมาธิ จากนัน้
การปฏบิ ตั ิภาวนาจงึ เริ่มเป็นทน่ี ยิ ม และมกี ารปฏบิ ตั ิกนั อย่างจรงิ จังไปท่ัวท้งั ภาคอีสาน

ในกาลตอ่ มาปี พ.ศ. ๒๔๗๔ พระศิษย์อาวุโสองค์สำ� คญั ของท่านพระอาจารย์เสาร์ และ ทา่ น
พระอาจารยม์ น่ั คอื ท่านพระอาจารย์สงิ ห์ ขนตฺ ยาคโม และ ทา่ นพระอาจารยม์ หาป่ิน ปญฺาพโล
ได้เรียบเรยี งหนังสือ แบบถงึ พระไตรสรณคมน์ กับ แบบวิธีนัง่ สมาธภิ าวนา ตามท่คี ุณหา บญุ มาไชย์
ปลดั ขวาอ�ำเภอพระลับ จงั หวัดขอนแกน่ ไดก้ ราบอาราธนาให้เรยี บเรยี ง

ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๗๗ – ๒๔๗๘ ขณะทท่ี ่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ เป็นเดก็ อายุ
ประมาณ ๑๔ – ๑๕ ปี ทา่ นได้พบพระธุดงคกรรมฐานเป็นครัง้ แรก เดก็ ชายจวนไดเ้ ขา้ ไปปรนนิบตั ิ
รบั ใช้พระธดุ งค์ดว้ ยความเลอ่ื มใส ทำ� ให้ชีวิตของเดก็ ชายจวนเกิดการเปลยี่ นแปลงอย่างใหญห่ ลวงและ
ส่งผลให้ท่านฝกึ หดั ปฏิบัติภาวนาดำ� เนนิ ตามรอยครูบาอาจารย์ โดยทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ 
ไดเ้ มตตาเทศน์เรื่องนไี้ วด้ งั น้ี

“ขณะทน่ี ายจวนอย่ใู นการศกึ ษาเล่าเรียนน้ันแหละ ยังไมอ่ อกจากโรงเรียน จ�ำไดว้ า่ เรยี นอยู่
ในประถมปีที่ ๕ อายุราว ๑๔ หรอื ๑๕ ปีนี้แหละ มพี ระธุดงคกรรมฐานองค์หนงึ่ ท่านพกั อยทู่ ่ที งุ่ นา
ทม่ี ชี ายปา่ แลว้ กเ็ ดก็ ชายจวนเหน็ ดงั นน้ั จงึ ไปตกั นำ้� ทบ่ี อ่ ไปถวายทา่ น ใหท้ า่ นไดอ้ าบ ไดด้ ม่ื นำ้� ไดฉ้ นั นำ�้
เพราะคิดว่าในสมยั น้ันอยากจะไดข้ องขลงั คอื พระและตะกรดุ คาถาจากพระธุดงค์ จึงมีความพอใจ
ไปตักน�้ำจากนำ�้ บ่อ หาบไปถวายทา่ น เพื่อท่านจะได้ให้ตะกรดุ คาถา หรือของรางของขลัง

เมอ่ื นายจวนได้ไปตักนำ�้ ถวายพระธดุ งค์ ทา่ นก็รับสรงและกรองฉนั ทา่ นจึงถามว่า
“หนูเขา้ โรงเรียนชั้นไหน เวลานี้ ?”
เลยตอบท่านวา่ “เขา้ อยชู่ ั้นประถมปีท่ี ๕ ครับ”
“เออ ! หนนู ่ีน่ารักนะ ถา้ ออกโรงเรยี นแล้ว เราจะเอาไปบวช จะบวชไหม ?”
“บวชครบั ผมคดิ จะบวชอย่คู รับ” ตอบท่าน
ทา่ นเลยพูดวา่ “ถ้าไปบวชกับเรา เราจะใหเ้ ปน็ ดี”
อย่างนยี้ ิ่งมีใจอยากจะบวช เพราะอยากจะได้เป็นดี กไ็ มร่ วู้ ่าจะเป็นดีอะไร ยงั ไม่สนใจ ยังไมร่ ู้
วา่ จะเป็นดีอะไร ท่านกเ็ ลยมอบหนงั สือพระไตรสรณคมน์ ทีท่ ่านพระอาจารย์สงิ ห์ใหญ่ ขนตฺ ยาคโม
วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา ที่ท่านแต่งไว้เรียกว่า “หนังสือพระไตรสรณคมน์” มอบให้ข้าพเจ้าคือ
เด็กชายจวน แลว้ กท็ า่ นแนะนำ� วธิ ีให้ภาวนา บรรดาพระปฏิบตั ติ ามหนังสือนนั้ ”

7

กองทัพธรรมพระธุดงคกรรมฐานสร้างคุณูปการที่เป็นคุณประโยชน์

ก่อนจะเข้าสู่เน้ือหาประวัติของท่านพระอาจารย์จวนในตอนต่อไปน้ัน เพื่อเป็นการระลึกถึง
พระคุณอันย่ิงใหญ่ล้นพ้นและไม่มีประมาณของกองทัพธรรมพระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระ
อาจารยเ์ สาร์ กนฺตสลี มหาเถร และ ท่านพระอาจารยม์ ่ัน ภูรทิ ตฺตมหาเถร ซึง่ ท่านได้บำ� เพญ็ ประโยชน์
อย่างยิง่ ใหญ่ตอ่ พระพทุ ธศาสนา ทำ� ให้สถาบนั พระพุทธศาสนาเจริญรุง่ เรอื ง ซึ่งย่อมสง่ ผลท�ำให้สถาบนั
ชาติ และ สถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ มนั่ คงเขม้ แข็งไปด้วย จงึ ขอกลา่ วถงึ คณุ ปู การที่เปน็ คุณประโยชน์
อันใหญ่หลวงของกองทัพธรรมฯ ทท่ี า่ นไดจ้ าริกเดนิ เท้าธดุ งคธ์ รรมยาตรา ยอมสละชวี ิต ยอมอดทน
ทกุ ขย์ ากล�ำบาก เส่ียงเป็นเส่ียงตายตามป่าตามเขา ในถิ่นทุรกันดารห่างไกล การคมนาคมเข้าไม่ถึง
เพ่อื ประกาศเผยแผพ่ ระสทั ธรรมค�ำสอนขององค์พระบรมศาสดา ดงั น้ี

การออกเดินเท้าจาริกธุดงค์ปักกลดตามป่าตามเขาของกองทัพธรรมพระธุดงคกรรมฐานสาย
ทา่ นพระอาจารยเ์ สาร์ กนตฺ สโี ล และ ท่านพระอาจารยม์ ัน่ ภูริทตฺโต ในสมัยยคุ แรกๆ มปี ระโยชน์
อย่างมากมายมหาศาล เพราะพระธุดงคกรรมฐานในสมัยน้ันท่านเคร่งครัดในพระธรรมวินัยและ
ธดุ งควัตร ท่านมุ่งมน่ั ฝกึ ฝนอบรมตนเองกอ่ น ตามทอี่ งคพ์ ระบรมศาสดาทรงสง่ั สอนไว้ทกุ ประการ
โดยท่านมุ่งแตง่ านภายในเท่านน้ั ด้วยการบ�ำเพญ็ สมถะ – วิปัสสนากรรมฐาน เดินจงกรม นง่ั สมาธิ
ภาวนา จนเปน็ เน้อื นาบญุ เป็นสังฆรัตนะอันยงิ่ ใหญข่ องชาวพทุ ธ ซง่ึ เป็นประโยชน์ท้งั ตอ่ ตัวท่านเอง
ต่อประเทศชาติ และพระพทุ ธศาสนา ท้ังเปน็ ประโยชนต์ อ่ บรรดาทวยเทพ นาค ครฑุ มนษุ ย์ และ
สรรพสัตว์น้อยใหญ่ในสามแดนโลกธาตุ ซึ่งได้รับกระแสแห่งความเมตตาอันอบอุ่นฉ่�ำเย็นที่ท่าน
ได้แผ่เมตตาเป็นประจ�ำวันทุกเช้าค�ำ่ ผใู้ ดแม้เพียงได้พบเห็นท่านแลว้ มจี ติ ใจเล่อื มใสก็เปน็ บญุ เปน็ กุศล
เป็นทัสนานุตริยะอันอุดมมงคล และหากผู้ใดได้มีโอกาสบ�ำเพ็ญบุญ ได้ถวายการรับใช้ท่านก็ได้
อานิสงสอ์ นั ไพบลู ย์ยงิ่ ซงึ่ กศุ ลผลบุญน้นั ยอ่ มจะส่งผลใหท้ ้ังโลกน้แี ละโลกหน้า

การออกเดนิ ธดุ งคข์ องพระธุดงคกรรมฐานในสมัยน้นั นอกจากท�ำใหส้ งั คมชาวพทุ ธ โดยเฉพาะ
ทางภาคอีสานเลิกนับถือผี หันมานบั ถือพระไตรสรณคมน์ หนั มาเข้าวดั เข้าวา ไหว้พระสวดมนต์ ปฏิบตั ิ
ภาวนาด้วยการเดินจงกรม น่งั สมาธอิ ยา่ งจริงจังกันแลว้ ยังเปน็ การสรา้ งบคุ ลากรรองรับ เพ่อื เปน็
ศาสนทายาท เพราะท�ำให้กุลบตุ รกุลธิดาได้ติดตามบิดามารดาบำ� เพ็ญบุญ หากเด็กชายคนไหนมีจิตใจ
ช่ืนชอบ กไ็ ดเ้ ขา้ ไปปรนนิบัตริ บั ใชพ้ ระธดุ งคอ์ ย่างใกล้ชดิ และต่อมาหากเกิดความเล่อื มใสศรัทธาก็ได้
ออกบวชเปน็ พระธุดงค์

ซึ่งสมัยนั้นเมื่อชายหนุ่มมีอายุครบบวชก็ได้ออกบวชเป็นพระธุดงค์กันมากมาย จนกลายเป็น
ประเพณีอันดีงามของครอบครัวชาวภาคอีสาน บางองค์บวชแล้วมีวาสนาบารมีเต็มเปี่ยมถึงพร้อม
ก็ตงั้ ใจบวชไม่สึก ไดอ้ อกประพฤตปิ ฏิบัติธรรมตามปา่ ตามเขา ตามรอยองคพ์ ระบรมศาสดาและครูบา–
อาจารย์ จนบรรลุอริยธรรมข้นั สูงสุดเป็นพระอรหันตสาวก และได้ท�ำหน้าท่เี ปน็ ศาสนทายาทสืบทอด
ข้อวัตรปฏปิ ทาธดุ งควตั ร ท�ำใหพ้ ระธดุ งคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์เสาร์ ท่านพระอาจารยม์ ่ัน

8

เป็นท่ีเคารพศรัทธา เป็นท่ีรู้จักไปทั่วประเทศและต่างประเทศ อันส่งผลดีท�ำให้พระพุทธศาสนา
กลบั มาเจรญิ รงุ่ เรืองม่ันคงสถาพรอีกครั้ง ดังเช่น กรณีท่านพระอาจารยจ์ วนในวยั เดก็ พบพระธุดงค์
ซึง่ ตอ่ มาทา่ นก็ได้ออกบวชเปน็ พระธดุ งค์ ออกเที่ยวรกุ ขมูลปฏิบตั ธิ รรม จนบรรลุธรรมเป็นพระอรหนั ต์
และท่านไดเ้ ปน็ ศาสนทายาทองคส์ ำ� คญั อกี องค์หนึ่งของทา่ นพระอาจารยม์ นั่ ทีม่ ีคณุ ธรรมและช่ือเสยี ง
เป็นท่ีเลื่องลือ รวมทั้งกรณีโยมมารดาของท่านพระอาจารย์จวนก็ได้เลิกนับถือผี หันมานับถือ
พระรตั นตรัย และได้ออกบวชเป็นแม่ชปี ระพฤติปฏิบัติธรรมจนวาระสุดท้ายแหง่ ชวี ติ

ซ่งึ กรณใี นวยั เด็กของทา่ นพระอาจารย์จวนนนั้ กค็ ลา้ ยๆ กับครบู าอาจารยอ์ กี หลายองคท์ ีเ่ กดิ
ความเลอ่ื มใสศรัทธาแลว้ ออกบวช เพราะมพี ระธุดงคกรรมฐานศิษย์ของทา่ นพระอาจารยม์ น่ั เมตตา
ไปโปรดถงึ หมบู่ า้ นอนั เปน็ ถน่ิ ก�ำเนดิ เชน่ กรณหี ลวงปู่เทสก์ เทสฺรสํ ี ในวยั เดก็ กม็ ที า่ นพระอาจารย์
สิงห์ ขนตฺ ยาคโม เมตตาไปโปรด และกรณีหลวงปู่ชอบ านสโม ในวยั เด็กก็มีทา่ นพระอาจารยพ์ า
อริยวํโส เมตตาไปโปรด ซึ่งในขณะนั้นท้ังหลวงปู่เทสก์ และ หลวงปู่ชอบ ต่างก็อยู่ในวัยเด็ก
มอี ายเุ พียง ๑๐ กวา่ ขวบ ท่านทัง้ สองมบี ุญวาสนามาตั้งแตเ่ ด็ก จึงได้มโี อกาสเขา้ ไปปรนนิบตั ริ บั ใช้
ครบู าอาจารย์อยา่ งใกลช้ ดิ จากน้ันกไ็ ดข้ ออนญุ าตบิดามารดา เพ่ือบวชเป็นผา้ ขาวนอ้ ยออกติดตาม
ครูบาอาจารย์เดินธุดงค์รอนแรมตามป่าตามเขา บิดามารดาของท่านท้ังสองแม้เป็นห่วงเป็นใยมาก
เพียงไรก็ตาม แตท่ า่ นกไ็ มข่ ดั ข้อง เนื่องจากความเคารพเลือ่ มใสศรทั ธาและความไวว้ างใจในพระธุดงค์
ทงั้ มีความปรารถนาให้ลกู ชายเตบิ ใหญ่เป็นคนดี เป็นพระดี ซ่ึงบิดามารดากจ็ ะไดร้ ับอานิสงส์ผลบญุ
มหาศาลจากการบวชของลูกชายนานถึง ๑๖ กัป และในกาลต่อมาท่านท้ังสองก็ได้ออกบวชเป็น
พระธดุ งคกรรมฐานสายท่านพระอาจารยม์ นั่ เปน็ ครูบาอาจารย์ที่เลือ่ งลอื รจู้ กั กนั ไปทั่วทงั้ ประเทศและ
ตา่ งประเทศ

ภาพชีวิตของพระธุดงคกรรมฐานปกั กลดตามป่าตามเขาชายหมู่บา้ น เพอื่ บำ� เพญ็ สมณธรรม
และออกเดนิ บณิ ฑบาตโปรดศรทั ธาญาติโยมตามหมบู่ ้านหา่ งไกล โดยมีเดก็ ชายตวั นอ้ ยวยั ใสซือ่ สะอาด
นา่ รัก น่าเอ็นดู ไดเ้ ลื่อมใสศรทั ธาคอยติดตามเฝา้ ปรนนบิ ัติรบั ใชท้ ่านอย่างใกลช้ ิดถงึ ที่พกั ภาพการ
สนทนาพูดคุยกันระหว่างพระธุดงคกรรมฐานกับเด็กชายตัวน้อย และภาพพระธุดงคกรรมฐานคอย
เมตตาอบรมส่งั สอนการท�ำข้อวตั รปฏบิ ัตติ ่างๆ และการปฏิบตั ภิ าวนาใหก้ บั เด็กชายตัวน้อย ตลอดจน
ภาพพระธดุ งคกรรมฐานแบกกลดสะพายบาตรออกเดนิ ธดุ งค์รอนแรมตามปา่ ตามเขา ซ่งึ ปกคลมุ ไป
ด้วยดงหนาป่าทบึ เตม็ ไปดว้ ยสัตวป์ ่า ความมืดมดิ และเตม็ ไปดว้ ยภัยอนั ตรายตา่ งๆ นานปั การ โดยมี
ผา้ ขาวเดก็ น้อยจากครอบครัวอนั แสนจะอบอนุ่ เป็นศิษยต์ ัวน้อยท่คี อยเดินติดตามและปักกลดคา้ งแรม
ในปา่ ซ่ึงพักอยูไ่ ม่ห่างไกลกนั มากนัก ภาพชวี ิตเหล่านี้นบั เปน็ ภาพชีวติ ทีส่ ะทอ้ นถึงความสมั พนั ธฉ์ ันท์
อาจารย์กบั ศิษย์ไดอ้ ยา่ งงดงามมาก แตแ่ ฝงไวด้ ว้ ยความนา่ ตื่นเตน้ หวาดกลัวเปน็ อยา่ งมาก และเป็น
ภาพที่หาดูไดย้ ากย่ิงในสมยั ปัจจบุ นั

9

ฉะน้ัน จงึ ควรคา่ แกก่ ารจดจารกึ ถึงพระคณุ อันใหญ่หลวงของกองทัพธรรมพระธดุ งคกรรมฐาน
สายทา่ นพระอาจารยเ์ สาร์ ท่านพระอาจารย์ม่นั ท่ีท่านได้เสียสละชีวติ ออกเดนิ ธดุ งคบ์ �ำเพญ็ ตามปา่
ตามเขาแสวงหาโมกขธรรมเพือ่ ตามรอยองคพ์ ระบรมศาสดา และจากน้นั กไ็ ดอ้ อกเดนิ ธดุ งคป์ กั กลดไป
ทว่ั ทกุ ภาคของประเทศ เพอื่ เผยแผป่ กปอ้ งรักษาพระธรรมวนิ ยั และฟ้นื ฟูธุดงควตั ร จนพระพุทธศาสนา
กลับมาเจริญรุ่งเรืองสูงสุดอีกคร้ัง โดยกองทัพธรรมฯ ได้สร้างคุณูปการท่ีเป็นคุณประโยชน์ต่อ
ประเทศชาติและพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ไพศาลและอย่างแท้จริง เพราะในสมัยน้ันมีทั้งภัยจาก
สงครามอินโดจีน สงครามโลกครัง้ ท่ี ๒ และสงครามเยน็ ระหว่างค่ายตะวันตกกับค่ายคอมมิวนสิ ต์

ภัยอันตรายจากสงครามใหญ่และภัยอันตรายจากการท�ำลายของต่างศาสนาและต่างลัทธิ
ความเช่ือในสมัยนั้น ซ่ึงเผยแพร่ค่อนข้างหนักหน่วงและรุนแรงมาก กองทัพธรรมฯ ได้มีส่วนส�ำคัญ
ท�ำให้สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รอดพ้นภัยอันตรายเหล่าน้ันมาได้โดยตลอด ท�ำให้
ชาติไทยเป็นปึกแผ่นคงความเป็นเอกราชมั่นคง และอยู่กันอย่างสงบสันติสุขภายใต้ร่มเงาแห่งธรรม
ของพระพทุ ธศาสนาจวบจนปัจจุบนั น้ี

พ่อแมค่ รูอาจารยก์ องทพั ธรรมพระธดุ งคกรรมฐานในสมยั นนั้ นอกจากท่านจะเป็นท่พี ึง่ ทางใจ
โดยการเทศนาว่าการใหก้ ำ� ลงั ใจ และสอนให้ยึดมน่ั ในพระรัตนตรัยแล้ว ทา่ นยังเปน็ ที่พ่งึ ทางกายของ
บรรดาพุทธบริษัทได้เปน็ อย่างดี ตวั อย่างเช่น

ในช่วงบาทหลวงเผยแพร่ลัทธิศาสนาทางภาคเหนอื ท่านเจ้าคณุ อุบาลคี ุณปู มาจารย์ (จนั ทร์
สิรจิ นโฺ ท) และ ทา่ นพระอาจารย์ม่ัน ภรู ิทตฺโต ตลอดจนบรรดาพระศิษยอ์ าวโุ สรุน่ แรกๆ ไดอ้ อกเดนิ
จาริกธดุ งคต์ ามป่าเขาดอยสงู เพ่ือเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านได้เมตตาส่งั สอนอบรมชาวป่าชาวดอย
จนเกิดความศรัทธามั่นคง ไมห่ วัน่ ไหวคลอนแคลนในการนบั ถือพระพุทธศาสนา อันเป็นการสกดั กนั้
การเผยแพร่ของลัทธติ า่ งศาสนาไดเ้ ปน็ อย่างดี

ในชว่ งสงครามอนิ โดจีน มเี ครอ่ื งบนิ มาท้ิงระเบิดในเมอื งอุบลราชธานี ท่านพระอาจารย์เสาร์
กนฺตสีโล ท่านกไ็ ม่ยอมหลบหนีภยั ออกนอกวัด ทา่ นนั่งสมาธิภาวนาอยใู่ นโบสถว์ ดั บรู พาราม เพือ่ ให้
ก�ำลงั ใจและความอบอุน่ ใจกับศรัทธาญาตโิ ยม

ในชว่ งสงครามโลกคร้งั ที่ ๒ เครือ่ งอปุ โภคบริโภคเกิดความอดอยากขาดแคลนเป็นอย่างมาก
ชาวบา้ นไมม่ ผี ้า ท่านพระอาจารย์มัน่ ท่านได้เมตตาให้พระศษิ ยข์ นผา้ น�ำออกแจกศรทั ธาญาตโิ ยม และ
เพือ่ สงเคราะหช์ าวบ้านให้รอดพ้นจากอันตราย ทา่ นไดเ้ มตตาเขียนตะกรุดยนั ต์ เมือ่ มีทหารเอาปนื ไป
ทดลองยิงหลายนดั ปรากฏวา่ ปนื ไมล่ ั่น เสยี งแชะ แชะ แชะ พอยกปืนยงิ ข้ึนฟา้ เสียงปงั ดงั สนนั่

ต่อมา บางคนที่ได้ทราบข่าวน้ีก็พากันไปขอของดีจากท่านพระอาจารย์ม่ันที่วัด ส่วนมาก
จะได้เปน็ แผน่ ผ้าลงอกั ขระคาถาตวั ยนั ต์ ส�ำหรับตะกรุดแผ่นทองน้นั ไม่ค่อยมี เพราะแผ่นทองสมยั นน้ั
หายากมาก ตอ่ มาไม่นานทา่ นพระอาจารย์ม่นั คงเห็นว่ามากไป จนเกินเลย จงึ บอกให้เลิก ทา่ นบอกว่า

10

“สงครามเขาจะสงบแลว้ ไม่ตอ้ งเอาก็ได้ พวกตะกรดุ ยันต์ ผ้ายนั ตเ์ หล่านน้ั เปน็ ของภายนอก
ส้เู อาคาถาบทนีไ้ ปบรกิ รรมแนบกับใจไมไ่ ด้ ให้บรกิ รรมทุกเช้าคำ�่ จนขน้ึ ใจ แลว้ จะปลอดภยั อันตราย
ตา่ งๆ จะไม่มากล�้ำกรายตัวเราไดเ้ ลย”

คาถาบทน้ันว่าดังน้ี “นโม วิมุตฺตานํ นโม วิมุตฺติยา” มีความหมายว่า “ขอนอบน้อม
ทา่ นผู้หลดุ พน้ แลว้ (จากกิเลส) ท้งั หลาย ขอนอบนอ้ มวิมุตตธิ รรม (ธรรมอันหลดุ พน้ คอื พระนพิ พาน)”

ตั้งแต่น้ันมา ชาวบ้านหนองผือก็ไม่กล้าไปขอของดีจากท่านอีก และเป็นความจริงตามที่
ทา่ นพระอาจารยม์ นั่ พดู ไม่ถงึ ๗ วัน กไ็ ดท้ ราบขา่ วว่า เครอ่ื งบนิ ทหารอเมริกนั ไปทิ้งระเบดิ ปรมาณู
ใสเ่ มอื งฮิโรชิม่าและเมอื งนางาซากิ ประเทศญีป่ ุน่ ยอ่ ยยับ จนในทีส่ ุดประเทศญี่ป่นุ ประกาศยอมแพ้
สงคราม และสงครามโลกก็สงบจบส้ินลง

และในช่วงภัยลัทธิคอมมิวนิสต์ เจ้าหน้าท่ีบ้านเมืองป้ายสีท่านพระอาจารย์จวน กล่าวหา
ว่าท่านเป็นหัวหน้าคอมมิวนิสต์ ท่านได้เมตตาเทศน์อบรมตอบข้อสงสัยต่างๆ จนเจ้าหน้าที่ที่ติดตาม
จะฆา่ ทา่ น เกิดความเข้าใจพระธดุ งคกรรมฐานอยา่ งถูกตอ้ งและได้กราบขอขมาท่านในทีส่ ดุ ส�ำหรบั
ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ท่านได้ช่วยชาวบ้านชุมพลท้ังหมู่บ้านรอดตายจากการถูกวางยาพิษจาก
ฝีมือของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ และให้ชาวบ้านเข้ามาหลบภัยที่วัด เพราะชาวบ้านที่เปลี่ยนใจ
เลิกเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งตามกฎของคอมมิวนิสต์จะต้องถูกฆ่าแล้วจับน่ังยางเผาจนเหลือแต่เศษข้ีเถ้า
ท่านก็ได้ช่วยจนเหตกุ ารณท์ ุกอย่างคลค่ี ลายสงบลง เป็นตน้

หัดภาวนาตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียน

ชวี ติ ในวยั เดก็ ของท่านพระอาจารย์จวน แตกต่างจากเด็กท่วั ๆ ไปในหมู่บา้ น ที่สว่ นใหญพ่ ากนั
ว่ิงเลน่ สนกุ สนานตามท้องไร่ทอ้ งนา ตามประสาเด็กๆ ลกู ชาวนาในชนบท ยงั ไมร่ ู้จกั การปฏบิ ัตภิ าวนา
นับเป็นวาสนาบารมีของเด็กชายจวน ท�ำให้ได้มีโอกาสพบและรับใช้พระธุดงค์ต้ังแต่เยาว์วัย เมื่อ
เด็กชายจวนได้รับหนังสือ “พระไตรสรณคมน์” จากพระธุดงค์องค์นั้นแล้ว จึงได้หัดภาวนาตาม
หนังสือเลม่ นน้ั ตั้งแตเ่ ป็นเดก็ นกั เรียนอยา่ งจริงจงั โดยทา่ นพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฺ  ได้เมตตาเทศน์
เรอื่ งนี้ไวด้ ังนี้

“เม่ือเด็กชายจวนได้รับแล้ว กลับบ้านก็ไปตรวจดูหนังสือ แล้วก็ท่องเอาที่ในหนังสือ
พระไตรสรณคมน์น้ันมกี ารบอกไวด้ งั นี้ คือ กอ่ นท่จี ะภาวนา ใหท้ �ำวัตรไหว้พระโดยยอ่ แล้วให้แผ่
เมตตาตน เมตตาสตั ว์ ระลึกถงึ คณุ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา คณุ ครบู าอาจารยห์ รือ
ท่านผูม้ ีคณุ แลว้ ตอ่ ไปทา่ นให้นง่ั ต้ังกายให้ตรง นั่งขดั บลั ลงั กส์ มาธิ คือ เอาขาขวาทับขาซ้าย มอื ขวาทบั
มอื ซ้าย ตั้งกายใหต้ รง ดำ� รงสติไว้เฉพาะหนา้ คอื ใจ แล้วท่านใหน้ ึกในใจบริกรรมว่าพทุ โธ ธมั โม สังโฆ
ตอนน้ีตอ้ งพนมมอื ไวเ้ พยี งหวั ใจ

11

เมื่อว่าเม่ือนึกว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ๓ จบแล้วให้เอามือลง เอามือขวาวางทับมือซ้าย
แลว้ ตัง้ กายให้ตรง ด�ำรงสตไิ ว้เฉพาะหน้า คอื ใจ ใหร้ ะลึกแตพ่ ุทโธๆ อยรู่ ่�ำไป ไม่มีก�ำหนดกคี่ รงั้ ก่ีหน
ให้มีสติก�ำกบั อยดู่ ้วยพุทโธอยา่ งเดียว ไม่ใหจ้ ติ แส่ส่ายฟุ้งซ่านไปจากพุทโธ

นี้ในหนังสือท่าน อธิบายเร่ืองการภาวนาพุทโธ ไม่ให้จิตฟุ้งซ่านไปอ่ืนจากพุทโธ ให้มีแต่
อารมณ์เดยี ว คอื พทุ โธอย่างเดียวอยู่กบั ใจ ใหใ้ จอยกู่ ับพทุ โธ ให้พทุ โธอยกู่ ับใจ มีสติรู้อยู่ ให้เอาสติ
เปน็ ผู้ปลูกจติ อยู่ในคำ� บรกิ รรมท่ีว่าพุทโธๆ ให้พทุ โธกับจิตเป็นอันเดยี วกนั เจอื กนั เป็นอันเดยี วกัน
คือ พทุ โธอยา่ งไร จิตก็อย่างน้นั จิตอยา่ งไร พทุ โธก็อยา่ งนน้ั นที้ า่ นแนะตามหนังสอื น้ัน และ
เมอ่ื ภาวนานกึ พุทโธๆ ไป เม่ือจิตมนั สงบลงกใ็ หม้ สี ตริ ู้ ตลอดถึงขณะท่ีบริกรรมนกึ พทุ โธๆ กใ็ ห้มสี ติ
รอู้ ยูก่ บั คำ� บรกิ รรมวา่ พุทโธๆ มิให้พล้งั เผลอ สว่ นสตนิ ้ีทา่ นมิใหพ้ ลง้ั เผลอเป็นเดด็ ขาดทีเดยี ว ตอ้ งก�ำกบั
อย่เู สมอ

นายจวนเมื่อตรวจดูหนังสือน้ันแล้ว ก็ไปปฏิบัติตามหนังสือนั้นแหละ และในหนังสือ
พระไตรสรณคมน์ทา่ นยงั อธบิ ายไว้ยืดยาวอกี ว่า เมื่อภาวนาพุทโธๆ อยู่ ถา้ จติ มนั สงบก็นึกพทุ โธๆ อยู่
หรือเมื่อจิตมนั รวมลงสู่ภวังค์ หมายความวา่ มนั วางอารมณท์ ่บี รกิ รรม โดยเฉพาะจิต ทา่ นว่าใหม้ ีสตริ ู้
และเมอ่ื จิตรวมลงแล้วกใ็ หร้ วู้ า่ จติ ของเรามันรวม จิตน้ันจะวางค�ำบรกิ รรมว่าพุทโธๆ ในเม่อื จติ รวมแลว้
แตอ่ ย่าไปรบกวนจติ ที่รวมอยู่ ปล่อยให้จติ รวมอย่อู ยา่ งนนั้ แต่ใหม้ ีสตริ ใู้ นขณะทจี่ ิตรวม

น่ใี นหนงั สอื นั้น เมื่อเวลาจิตถอนจากการรวม พลกิ ขณะขึน้ กใ็ หม้ ีสติระลกึ บริกรรมว่าพทุ โธๆ
อย่อู ยา่ งนั้น มิให้พลั้งเผลอจากพุทโธ และเมื่อจิตมันสงบคือรวมลง กว็ างค�ำบรกิ รรมคอื พทุ โธเสีย
ให้จติ รวมสงบอย่อู ยา่ งนนั้ ใหป้ ฏบิ ตั โิ ดยวธิ นี ้ไี ปเร่ือยๆ นีใ่ นหนังสือกล่าวไว้

และอีกอนั หน่งึ ท่านยงั แสดงย้�ำไว้อีกวา่ ในขณะทเ่ี ราบรกิ รรมวา่ พุทโธๆ กอ่ นจติ ท่ีจะรวม
ถา้ เกดิ นิมิตภาพตา่ งๆ แทรกขึ้น กอ็ ยา่ ไปคำ� นงึ ถึงนมิ ติ ภาพน้นั จะเป็นนมิ ิตประเภทไหนๆ กต็ าม
นมิ ิตนอกหรอื นิมติ ในกต็ าม นมิ ติ นอกแสดงภาพมา มกี ารเห็นโนน้ เห็นนี่ ท่เี รานงั่ หลบั ตาภาวนาอยู่
เหมือนกบั เหน็ ดว้ ยตาเนื้อ เชน่ เห็นสัตว์ หรอื เห็นผี ภตู ปศี าจ เหน็ เป็นรูปเทวบตุ ร เทวดามา หรือเห็น
เปน็ รปู มนุษยท์ ี่คนุ้ เคยกัน ให้ปรากฏเห็นอย่างน้ี อยา่ ไปค�ำนึง ให้นกึ บรกิ รรมมีสตอิ ยเู่ ฉพาะพทุ โธๆ
เท่านน้ั หรอื จะเห็นปีติ เปน็ ปีตเิ กิดขนึ้ ก็ตาม หรอื เห็นแสงสวา่ งอะไรๆ ก็ตาม ทแี่ ทรกขนึ้ ในขณะจิต
ที่จะรวมนน้ั แตย่ งั ไม่รวม ก็อย่าไปค�ำนงึ ถงึ นิมติ ภาพทีป่ รากฏข้นึ นนั้ ให้บรกิ รรมแต่พทุ โธๆ เทา่ นั้น
มสี ตอิ ย่แู ตพ่ ุทโธๆ เท่านน้ั

นี่ส�ำหรบั นมิ ติ ภายนอกมหี ลายอย่างหลายประการ บางทเี หน็ เป็นรปู นิมิต บางทไี ดย้ ินเสียงโนน้
เสยี งน้ี มีในหนงั สอื ทา่ นมใิ หค้ �ำนงึ ถงึ นมิ ิต สว่ นนมิ ติ ในที่เกิดแตใ่ จนัน้ ได้แก่ ธรรมารมณ์ คือ อารมณ์
ท่ีมนั ผุดขึ้น เมื่อจิตมันจะรวมลง ทา่ นวา่ บางทีมอี ารมณต์ า่ งๆ มธี รรมะตา่ งๆ แทรกขน้ึ วา่ นค่ี อื มรรค
คือผล หรือความรตู้ า่ งๆ แทรกขึน้ ก็อยา่ ไปกังวลกับนมิ ิตภายใน ความรูอ้ ันแทรกขนึ้ นนั้ ใหม้ สี ติ

12

บรกิ รรมแตพ่ ทุ โธๆ อยา่ งเดียว เพราะเหตไุ ฉน จงึ มิให้ไปยงุ่ กบั เรอื่ งนมิ ติ นอก นมิ ิตใน เพราะเหตุว่า
ในเวลาน้นั จติ ของเรา ปัญญาของเรายงั ออ่ น อนิ ทรยี ์ของเรายงั อ่อน ท่านว่าอย่างนั้น

ทนี ้เี มือ่ จิตมันรวม วางอารมณ์ วางค�ำบรกิ รรม ก็ใหม้ สี ตริ ู้ เพราะจิตทีร่ วมนั้น ท่านแสดงใน
จิตลงสู่ภวังค์น้ันเป็นจิตที่ขาดจากอารมณ์ทั้งหมด สงบรวมลงจนไม่รู้สึกความเจ็บปวดเมื่อยขบ
แต่ประการใดๆ ภายในอารมณ์ของใจก็ไม่มี เป็นจิตท่ีบริสุทธ์สิ ว่างไสวอยูอ่ ย่างนั้น จะหาความสขุ อะไร
มาเปรยี บเทยี บมิไดเ้ ลย ทีน้ีเมอ่ื จติ มนั รวมอยกู่ ็อย่าไปรบกวนจติ ใหถ้ อนข้ึน น่หี นงั สือน้ันทา่ นแสดงไว้
เมือ่ จิตถอนข้นึ แลว้ ก็ให้มีสติ บริกรรมวา่ พุทโธๆ อย่อู ย่างน้นั

ทนี เี้ มอื่ มนั ชำ� นชิ ำ� นาญในการบรกิ รรมและในการรวมของจติ ตอ่ ไปฝกึ หดั ใหม้ สี ตปิ ญั ญาแกก่ ลา้
ข้นึ ไป ทา่ นให้น้อมจิตเข้ามาคิดพิจารณากายของตนนี้ใหเ้ ห็นเป็นของปฏกิ ูลพึงเกลียด เป็นของสกปรก
โสโครก ทา่ นแสดงการพจิ ารณากายโดยย่อๆ วา่ ให้พจิ ารณาขน ผม เลบ็ ฟัน หนงั เหล่านีใ้ หเ้ ห็นเป็น
ของสกปรกโสโครก เหน็ เปน็ ของปฏกิ ลู พงึ เกลยี ด ใหเ้ ห็นเปน็ ซากศพ ซากผี ให้เหน็ เปน็ ของไมเ่ ท่ียง
เป็นทกุ ข์ เปน็ ของมใิ ช่ตน มใิ ช่ของตน มิใช่ของของตน ดังนี้ และต่อไปก็จะเกิดความเบ่อื ความหน่าย
คลายเสยี ซ่งึ ความรกั ความก�ำหนดั ความยินดีในอัตภาพร่างกายของตน นี่ท่านแสดงโดยย่อๆ

เม่ือข้าพเจ้านายจวนได้รับหนังสือจากพระธุดงคกรรมฐานนั้นแล้ว ก็ไปตรวจดู ไปอ่านดู
ไปท่องท�ำวตั รยอ่ เมตตาตน เมตตาสตั ว์ไดแ้ ลว้ ก็เลยทดสอบท�ำตามหนงั สอื นนั้ อธบิ ายไว้ ในขณะท่ี
ยังเป็นเดก็ อยู่ เปน็ เด็กนกั เรียนอยู่ เวลากลางคืนเม่ือรบั ประทานอาหารแลว้ ถึงตอนเวลาจะเขา้ ทนี่ อน
เขา้ ที่นอนแล้ว นายจวนก็ไหว้พระ ทำ� วตั รยอ่ เมตตาตน เมตตาสัตว์ เสร็จแลว้ ก็นงั่ สมาธิภาวนา
นึกบริกรรมพทุ โธๆ ในใจ บางคร้ังบางสมัยปรากฏวา่ รา่ งกายของตนน้นั พองขึ้น พองข้ึน แตจ่ ะเปน็
อะไร นายจวนกไ็ ม่คำ� นงึ ถงึ ความพองของร่างกาย มใี จนกึ อยูแ่ ต่พทุ โธๆ เทา่ นัน้

บางคร้งั เหมอื นกับตนจะลอยขนึ้ บนอากาศ บางคร้งั ท�ำให้ร่างกายของตนปรากฏวา่ เห่ียวแห้ง
หรอื ยุบลง ยุบลง ยุบลง บางคร้งั ท�ำให้จิตใจรบิ หร่ี ริบหร่ีลง แล้วเข้าไปอยใู่ สบริสทุ ธิ์เฉพาะใจ อยา่ งน้ี
นายจวนก็ไมค่ �ำนงึ มแี ต่บรกิ รรมอยา่ งเดียว

บางครั้งกเ็ กดิ แสงสว่างซดั ผา่ นมา คล้ายๆ กับว่าเรามองตาเหน็ แล้วก็ผา่ นเขา้ ไปในทางใจ
นายจวนกไ็ มค่ �ำนึงถึงนิมิตภาพเหลา่ นนั้ มีแต่นกึ บริกรรมพุทโธๆ อย่รู ่�ำไป เป็นอะไรกไ็ ม่รู้ บางทที �ำให้
กายสะทา้ นหว่ันไหวซาบซ่านไปเลย สำ� คญั ว่า ผเี ข้าเจ้าทรง แตว่ า่ ท�ำใหร้ า่ งกายน้นั สบายและจิตใจ
ปลอดโปรง่

นายจวนปฏบิ ัตอิ ยู่อยา่ งนี้ ทงั้ เปน็ นกั เรียน ไมเ่ คยละ ไมเ่ คยวาง และจะเป็นอย่างไร นายจวน
น้นั ก็ไม่วางค�ำบริกรรม พุทโธๆ อยเู่ รือ่ ยไป ร่�ำไป นใ่ี นขณะท่ีเปน็ นักเรยี นเรมิ่ แรกทสี่ ดุ ”

13

ออกจากโรงเรียนช่วยผู้ปกครองท�ำงาน

ท่านพระอาจารย์จวน ขณะอยูใ่ นวัยเด็ก ท่านเป็นเด็กดมี ีความกตัญญูกตเวที รู้จกั รับผดิ ชอบ
ช่วยงานผูป้ กครอง โดยทา่ นไดช้ ว่ ยงานผปู้ กครองตงั้ แตข่ ณะเรียนหนงั สือ เม่อื เรยี นจบช้ันสงู สดุ ของ
โรงเรียน ทา่ นออกจากโรงเรยี นแล้ว ท่านก็ยงั อยูช่ ่วยผปู้ กครอง โดยทา่ นพระอาจารย์จวน กลุ เชฏฺโ
ไดเ้ มตตาเทศน์เรือ่ งนี้ไว้ดงั นี้

“เมอื่ ออกจากโรงเรยี นแล้ว อายุ ๑๖ ปี ออกจากโรงเรียนแล้ว ก็ประกอบกจิ การงานชว่ ย
ผ้ปู กครองตามฐานะ ผปู้ กครองของเด็กชายจวนอาชพี มกี ารท�ำนาเป็นประจ�ำ”

ในขณะเรียนหนงั สือ เด็กชายจวนไดช้ ว่ ยผู้ปกครองตามหน้าท่ีของลกู ชาวนาหมาเต่า (ยากจน)
โยมบิดาของท่านมีหน้าที่เป็นผู้ใหญ่บ้านปกครองหมู่บ้านเหล่ามันแกว เม่ือเด็กชายจวนอ่านออก
เขียนได้ดีแล้วก็ช่วยโยมบิดาท�ำงานในหน้าท่ีผู้ใหญ่บ้านไปด้วย เช่น งานส�ำมะโนครัว เป็นต้น เมื่อ
เดก็ ชายจวนออกจากโรงเรยี น เพราะเรยี นจบช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี ๖ อนั เป็นช้ันเรยี นสูงสดุ เดก็ ชาย
จวนก็ยงั ช่วยงานผู้ปกครอง

โยมบดิ าเปน็ ผใู้ หญบ่ า้ นเหล่ามนั แกวอยูน่ านตดิ ต่อกนั ถงึ ๘ ปี เพราะโยมบิดาเปน็ หมอสมนุ ไพร
ชอบช่วยเหลอื รักษาชาวบ้านเวลาเจ็บไข้ไดป้ ่วย ชาวบ้านจงึ ให้ความรกั ความนบั ถือ และไวว้ างใจมาก
เม่ือโยมบิดาได้ถึงแก่กรรม โยมมารดาก็ปกครองทรัพย์สมบัติและเล้ียงดูลูกทุกคนมาด้วยความรัก
ความอุตสาหะ ซ่ึงขณะนน้ั เด็กชายจวนมอี ายไุ ด้ ๑๖ ปแี ลว้ จำ� ไดว้ ่าชาวบา้ นรักและอาลัยโยมบิดามาก
หนา้ ทง่ี านสำ� มะโนครวั ของเด็กชายจวนจงึ เป็นอนั ยตุ ิไปปริยาย สว่ นการท�ำนาอนั เป็นอาชีพหลักของ
ครอบครวั น้นั เด็กชายจวนกย็ ังอยชู่ ว่ ยครอบครัวต่อไป

กรณีขอ้ สงสัยวา่ ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ  จบชน้ั ประถมปที ่ี ๖ นนั้ ทา่ นได้ยนื ยนั ดงั นี้
“ตามประวตั ิ เมอื่ ทา่ นพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ กลา่ วว่า ทา่ นจบช้นั ประถมปที ่ี ๖ อาจ
จะมผี สู้ งสัย เพราะในสมัยน้นั การศกึ ษาทางกรงุ เทพฯ มชี ้ันประถมปีท่ี ๓ เปน็ ช้ันสงู สุด เพิง่ จะเรมิ่
เปลยี่ นเป็นมชี น้ั ประถมปที ี่ ๔ ต้ังแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ เปน็ ปแี รก ผ้นู �ำประวตั ขิ องทา่ นไปเขียนบางคน
จงึ ใส่ไปวา่ ทา่ นจบช้นั มัธยมปที ี่ ๖ ซง่ึ ทา่ นยืนยนั แนน่ อนวา่ “ท่านจบชัน้ ประถมปีที่ ๖ ตา่ งหาก”
เร่ืองน้ีภายหลัง ท่านเจ้าคุณพระอุดมสังวรวิสุทธิเถระ (วัน อุตฺตโม) ก็เล่าถึงการศึกษา
ของทา่ นเช่นกนั วา่ ทา่ น “เรียนจบชัน้ ประถมปีที่ ๔ เพราะประถมปีที่ ๕ และ ๖ เพิง่ จะเลกิ ”
หมายความว่า ทส่ี กลนคร กม็ ีระบบประถมปที ี่ ๕ และ ๖ อยู่เหมอื นกันและเพ่งิ จะเลิกไป”

14

ท่านเป็นชายหนุ่มมีคุณสมบัติที่ดีเลิศ

ตามปกตขิ องชายหนมุ่ รปู งามผวิ พรรณดี เรียนหนงั สอื เก่ง ความประพฤติดี มนี สิ ัยจติ ใจงดงาม
นยิ มชนื่ ชอบแสวงหาความสขุ ทางธรรม ชายหนมุ่ ทมี่ คี ณุ สมบตั ทิ ด่ี เี พยี บพรอ้ มเหลา่ นน้ี บั วา่ หาไดย้ ากยงิ่
หากมใี นชายคนใดแลว้ ชายคนนนั้ ย่อมจะเป็นที่หมายปองของสาวๆ ทง้ั หลาย ดว้ ยความปรารถนา
อยากได้เป็นคู่ครองที่ดี ไว้ฝากเป็นฝากตายซ่ึงกันและกัน หากเกิดเป็นบุตรหลานของตระกูลใด
ตระกูลนัน้ ยอ่ มจะมคี วามภาคภูมิใจในบุตรหลานของตน ด้วยความปรารถนาบตุ รหลานจะรักษาและ
น�ำชอ่ื เสียงมาสวู่ งศ์ตระกลู หากได้เป็นศษิ ยใ์ นส�ำนักอาจารย์ใด ส�ำนกั อาจารยน์ ัน้ ยอ่ มจะเจริญกา้ วหนา้
ด้วยความปรารถนาศษิ ย์จะรักษาส�ำนักให้ดำ� รงอยู่อยา่ งมัน่ คง

ทา่ นพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ในวัยหนุ่มทา่ นมีคุณสมบัติท่ีดีเลิศถงึ พรอ้ มดว้ ยกาย วาจา ใจ
ดงั กล่าว ท่านจึงเป็นชายหนมุ่ ทม่ี สี าวๆ ชืน่ ชอบหมายปอง แตท่ า่ นกลับไมไ่ ด้ชนื่ ชอบสาวคนใด ทา่ น
จึงไมเ่ คยสัญญาจะแตง่ งานอยู่กินมคี รอบครวั กบั หญงิ สาวคนใด ซ่ึงแตกตา่ งกับชายหนุม่ ท่วั ไป เพราะ
ฆราวาสวสิ ัยแลว้ ย่อมปรารถนาทจ่ี ะแต่งงานมคี รอบครัวอนั อบอุน่

ด้วยทา่ นเป็นอภชิ าตบตุ ร เป็นบตุ รทีด่ มี ีคณุ ธรรมสูงกว่าบิดามารดา เป็นบุตรชนั้ สูง สรา้ งความ
เจรญิ แก่วงศต์ ระกลู เปน็ บตุ รอันเลิศประเสรฐิ เกง่ ย่ิงกว่าบิดามารดา ทา่ นจึงรักบิดามารดา อยู่กับ
บดิ ามารดา และช่วยงานบิดามารดา อกี ท้งั ทา่ นมีนสิ ัยวาสนาโนม้ เอียงมาทางธรรมตง้ั แตอ่ ยู่ในวยั เด็ก
ขณะเรยี นหนังสือ ท่านจึงไม่ปรารถนาไปมคี รอบครัว แมก้ ระนน้ั ก็ตามกอ่ นบวช ครงั้ หนง่ึ ในชวี ติ
ของทา่ น ด้วยทา่ นยังเป็นปถุ ชุ นคนธรรมดา ทา่ นจงึ เคยแอบไปหลงรักสาว

แอบหลงรักสาว – สมัญญา “แพทย์ตรวจข้ี”

สมเดจ็ พระผูม้ ีพระภาคเจ้าได้ตรสั เรอ่ื งการครอบงำ� รัดตรึงใจของบรุ ุษและสตรไี วด้ งั นี้
“ดกู อ่ นภกิ ษทุ งั้ หลาย อายตนะภายในหก คอื ตา หู จมกู ลน้ิ กาย และใจ อายตนะภายนอกหก
คือ รูป รส กลน่ิ เสียง โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ เปน็ ของร้อน รอ้ นเพราะไฟ คอื ราคะบา้ ง โทสะบา้ ง
โมหะบ้าง
ภกิ ษุทั้งหลาย เราตถาคตไมพ่ จิ ารณาเหน็ รปู เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะใดๆ ท่จี ะครอบงำ�
รดั ตรงึ ใจของบรุ ุษได้มากเทา่ รูป เสยี ง กลนิ่ รส และโผฏฐพั พะแห่งสตรี
ภิกษุท้งั หลาย เราไมพ่ จิ ารณาเห็นรปู เสยี ง กลิ่น รส โผฏฐพั พะใดๆ ท่สี ามารถครอบงำ� รัดตรึงใจ
ของสตรีได้มากเท่ารปู เสียง กลน่ิ รส และโผฏฐพั พะแห่งบุรษุ ”
ดงั เช่น เรือ่ งพระนนั ทะหลงรกั ความงามของนางชนบทกลั ยาณี โดยองคห์ ลวงตาพระมหาบัว
าณสมฺปนฺโน ได้เทศน์ไว้ดังน้ี

15

“เมื่อเวลาพระองค์ไดฝ้ ึกฝนทรมานพระนนั ทะ เน่ืองจากพระองคท์ ราบอุปนสิ ยั ของพระนันทะ
โดยสมบูรณ์แล้ววา่ จะไดบ้ รรลธุ รรมอยา่ งแนน่ อน จงึ ต้องไดแ้ ยกจากสิ่งเหลา่ นนั้ ออกมา ถึงจะเสยี ดาย
ก็ตาม เสยี ดายขนาดไหนก็ตาม รกั ขนาดไหนกต็ าม เรื่องเหล่าน้ีมันเคยรกั เคยชัง เคยเสียดายมาแลว้
ขนาดไหน มันวิเศษขนาดไหน นี่พดู งา่ ยๆ วา่ พระพุทธเจา้ ท่านทรงทราบหมดแล้ว และธรรมเหลา่ น้ี
พระนันทะเคยทราบแลว้ เหรอ ซ่ึงเป็นของวิเศษน้ี เพราะฉะนน้ั จงึ แยกพระนนั ทะออกมาจากความรกั
ความชอบใจในนางชนบทกลั ยาณที ีว่ า่ งามในโลก นั่น

งามขนาดไหน รักชอบขนาดไหน ท้งั ๆ ที่จะแตง่ งานกันอยูส่ ดๆ รอ้ นๆ ในขณะนน้ั พระองค์
ก็เหน็ ว่าสง่ิ เหล่าน้ีเคยผ่านมาแลว้ เคยเปน็ มาแลว้ มันพาโลกพาสงสาร พาใครใหว้ เิ ศษท่ไี หน มนั ก็
คอื เรือ่ งของการจมในวฏั ฏะนั่นเอง ส่วนทจี่ ะพรากพระนันทะออกไปบวช เพ่อื ไดส้ ลดั สิ่งเหลา่ นอี้ อก
จากใจถึงพระนพิ พานสดๆ รอ้ นๆ ทั้งเป็นท้งั ตายอันเปน็ ของวเิ ศษมากน้ี มันวิเศษย่งิ กว่าน้ันเป็นไหนๆ
เพราะฉะน้ันจึงไม่อาลยั เสียดาย”

ทา่ นพระอาจารยจ์ วนในวัยหนมุ่ ก่อนออกบวชกเ็ ชน่ กนั ทา่ นเคยแอบหลงรกั สาว แต่ดว้ ยท่าน
มีปญั ญามาก ท่านใช้ปญั ญาพจิ ารณาจึงรอดพน้ ได้ โดยท่านพระอาจารย์จวน กลุ เชฏโฺ  ได้เมตตาเทศน์
เร่อื งน้ไี ว้ดังน้ี

“ต่อแต่นนั้ ออกจากโรงเรยี นอายุ ๑๖ ปี เมื่ออายุ ๑๘ ปี กไ็ ดเ้ ขา้ ท�ำงานราชการกรมทางหลวง
แผน่ ดนิ สายอบุ ลราชธานแี ละจงั หวัดนครพนม ทำ� อยู่ ๔ ปี จงึ ได้ออกจากกรมทางฯ และในขณะที่
นายจวนอยฆู่ ราวาสอายุราว ๑๘ ปนี น่ั เอง กำ� ลงั อย่ใู นวยั คะนอง คอื ปฐมวัย วัยรนุ่ สมัยนัน้ ขณะนนั้
นายจวนไม่เคยรักหญิงสาวคนหนงึ่ เพราะหญิงสาวคนนนั้ เขาก็เปน็ คนไม่มีรปู รา่ งสวยอะไร ธรรมดา
แต่กไ็ ม่ใชว่ า่ เปน็ คนขี้รา้ ยขเ้ี หรอ่ ะไร ก็เป็นธรรมดาๆ นี่ หญิงสาวคนน้ันเขาอายุราว ๑๖ ปี ขา้ พเจา้
นายจวนอายุ ๑๘ ปี และแต่ไหนแต่ไรมาไมเ่ คยเกิดความรัก ความก�ำหนดั ความยินดีในหญงิ คนน้ัน
วา่ เขาเป็นคนสวยคนงามอย่างใดเลย

อย่มู า สมัยนัน้ แหละ หญิงสาวคนน้นั เขาจะออกไปถ่ายอจุ จาระท่ีนอกบา้ น ทใี่ นป่าตามชายปา่
นอกบ้าน ปา่ ละเมาะท่ตี ามชายบ้าน และหนทางเขาจะเดนิ ผ่านกผ็ ่านหนา้ บา้ นของนายจวนนน่ั เอง
และบา้ นของนายจวนกต็ งั้ อยู่ริมทางนนั่ เอง ผินหน้าบา้ นไปทศิ ทางนนั่ เอง หญงิ คนนน้ั ตอนเชา้ เขาเดนิ
ผา่ นหน้าบ้านของนายจวนไปถา่ ยอจุ จาระท่ปี า่ ละเมาะตามชายบ้าน นายจวนเหน็ เขาทุกวนั ๆ และ
หญงิ สาวคนน้นั เขาไมน่ ุ่งเสือ้ ไม่ถอื แพรปกปดิ กายเบอื้ งบนเลย ปลอ่ ยไวเ้ ลย มีแตเ่ ครือ่ งน่งุ เทา่ นัน้
สว่ นอวยั วะตั้งแตส่ ะดอื ขน้ึ ไปถงึ ศีรษะของเขาเหน็ หมด เขาปล่อยโล่งไปหมดเลย ไม่มอี ะไรปดิ คลมุ ไว้

นายจวนตอนเช้าลุกข้ึนล้างหน้า ลุกข้ึนล้างหน้าทุกวันๆ แล้วก็เห็นหญิงสาวคนนั้นเดินผ่าน
หน้าบา้ นไปถา่ ยอุจจาระที่ป่าละเมาะทกุ วนั ๆ เหน็ วนั แรกใจกไ็ ม่ปฏิพทั ธ์รักใคร่กับหญงิ คนนัน้ เลย เม่อื
เห็นเข้าหลายวันๆ เลยนึกขึ้นในใจว่า “แหม ! หญิงสาวคนนี้นมมันงาม เต็มอกเลย สวยจริงๆ”
น่ีธรรมดาหญงิ สาวขน้ึ ใหมอ่ ายุราวขนาด ๑๖ – ๑๗ ปีนี้ สสี นั วรรณะตอ้ งผอ่ งใสทีเดยี ว นายจวนก็

16

เลยไปถือว่านมของเขางาม เกิดความรักความพอใจในนมของเขาวันแรก ต่อมาหลายวันเลยงาม
ไปหมดทั้งตัวของเขาเลย งามไปหมดท้ังข้ี ท้ังขน ท้ังตนตัวของเขาว่างามไปหมด เกิดความรัก
ความพอใจในตวั ของเขาหมด ไม่มีเหลอื เลย

ทนี ี้นายจวนก็เลยมาคิดว่า “แหม ! แตก่ ่อนเราไมเ่ คยรักหญงิ สาวคนนเ้ี ลย มาบดั นีท้ �ำไมรักเขา
ว่าเขาสวยเขางาม เพราะเหตุอะไร นายจวนพจิ ารณาเลยรวู้ ่า เพราะเหตเุ ราไปดนู มเขา เมอื่ ดูนมเขา
เห็นวา่ นมเขางาม ตอ่ มามนั ก็งามไปหมด เพราะเหตุนแ้ี หละ”

เม่อื เปน็ เชน่ นี้ อยู่มาสมัยหนึ่ง หรอื วนั อ่นื นายจวนจึงนกึ คดิ ข้ึนในใจว่า “เยด็ แหม่มนั นเ่ี วย้ !”
(ทา่ นดา่ ตัวเอง) ว่าซ่ัน (ว่างัน้ ) “เราจะไปดอ้ มมองดูอจุ จาระของหญงิ สาวคนน้ีซิ มันสวย มันงาม มันมี
ข้ีไหม ? ข้มี นั สวย มันงามไหม ?” น่ีนึกขน้ึ ในใจ

พอวันใหม่รุ่งเช้า รุ่งเช้าขึ้นหญิงคนน้ันก็ไปถ่ายอุจจาระตามเคย เมื่อหญิงคนน้ันไปแล้ว
นายจวนกด็ ้อมมองไปข้างหลัง เม่อื หญิงคนนน้ั เขา้ ปา่ ถา่ ยอุจจาระออกมา นายจวนกร็ ีบเขา้ ไปดอู ุจจาระ
ของเขา แต่วนั แรกไม่ทนั สุกร คือ หมกู นิ อุจจาระของหญิงสาวคนน้นั เสียหมด ไมใ่ หเ้ หลอื หลอเลย
หมูกินเสยี หมดในวันน้นั นายจวนกห็ มดท่าหมดหวัง กลบั ออกมาเปลา่ ๆ ไม่ได้อะไรเลย

วนั หลังมา วันใหม่มา นายจวนตัง้ กติกาปฏิบตั ิตัวใหม่ วา่ วนั น้เี ราต้องไปก่อนหมู ไปคอยดัก
หมูไว้ มิให้หมูมากินก่อน เมื่อวันใหม่หญิงคนนั้นรุ่งเช้าก็ไปถ่ายอุจจาระที่ป่าละเมาะเหมือนตามเคย
เม่อื เหน็ หญงิ คนนน้ั ไป นายจวนกเ็ ข้าทางใหม่ ไปสกดั หมูไว้ มใิ ห้หมูมากนิ อจุ จาระของหญิงสาวคนน้นั
เม่ือหญิงสาวคนนั้นเขาถ่ายอุจจาระเรียบร้อยแล้ว เขาก็ออกจากป่า ซ่ึงเขาเองไม่รู้ว่าข้าพเจ้าไปดัก
ไปคอยอยทู่ ่ีนั่นเลย คอื ไมใ่ ห้เขารู้สกึ ตวั และหนอ่ ยหน่งึ หมกู ็มา ขา้ พเจ้ากส็ กดั ตีหมไู ว้ ไล่หมูไว้

เม่ือเขาออกจากป่าแล้ว ข้าพเจ้าจึงไปดูอุจจาระของเขา อุจจาระของหญิงสาวคนน้ันเหลวๆ
แล้วกส็ ีเหลอื ง แลว้ กม็ ตี ัวตดื ตวั แป (พยาธติ วั แบน) แลว้ กต็ ัวตดื ตัวเส้นดา้ ยเตม็ อจุ จาระเลย นายจวน
ยนื เพ่งดู เลยบอกตนเองว่า

“เอาสิ ทา่ นชอบเขาไหมเล่า ? วา่ เขาสวยเขางาม”
ใจก็เลยบอกขน้ึ ว่า “ฮึ ! ฮึ ! ไมเ่ อา”
ว่า “ท�ำไมไมเ่ อา ทา่ นรกั เขาเนย่ี ต้องรกั ทั้งขที้ ง้ั ขนสิ อย่าไปรกั เผินๆ ส”ิ น้นี ายจวนว่า
ให้เอากไ็ ม่เอา
ให้จับเอา “ฮึ ! ไม่เอา”
ใหด้ ม “ฮึ !” จิตมนั บอก “ไม่ดม”
ใหเ้ อาใสก่ ระเป๋ากางเกง “ฮึ ! มนั สกปรกมนั เปื้อน”

17

ใหก้ นิ “ฮึ ! มนั ไม่กนิ ”
นั่น เมื่อเป็นเช่นนี้ นายจวนเพ่งพิจารณาดูอุจจาระของหญิงสาวนั้นแล้ว เลยออกมาจากป่า
กลับบ้าน ครั้นกลับบ้านแล้ว นายจวนก็เลยมาพิจารณาว่า “คนเราน้ีถึงจะมีรูปสะสวยอย่างไรก็ตาม
มันตอ้ งมีข้ี มันตอ้ งมขี ี้อย่างนแ้ี หละ”
อีกครั้งที่สอง นายจวนไปตรวจดูอุจจาระของหญิงสาวคนหน่ึง อุจจาระของหญิงสาวคนน้ีท่ี
เขาถ่ายในป่า ไม่มีตัวตดื แตม่ มี ูกตดิ อยู่ นายจวนเลยมาเล่าเรอื่ งเหลา่ น้ใี หห้ ญิงสาวทั้งหลายฟัง เขาเลย
ตง้ั ขา้ พเจา้ ให้นามสมัญญานายจวนว่า “แพทย์ตรวจขี”้ ดังนี้ น่ีแหละ จากนัน้ มา นายจวนก็เลยคลาย
ความรกั จากหญิงสาวคนน้ันมาเป็นลำ� ดับๆ จนหมด ไมม่ เี หลือเลย
จะเป็นเหตุเผอิญ เผอิญอย่างไรไม่ทราบ ในขณะนั้นจึงนึกคิดไปดูอุจจาระของเขา แล้วมา
พจิ ารณาดูในสมยั นี้ สมกบั คตทิ ่ที ่านว่า
“เหน็ รูปงาม คนทรามปัญญา รปู น้มี ขี ้ี ไม่ดเี บอ้ื งหลงั
อนิจจงั ทกุ ขัง อนัตตา เบ้อื งหนา้ ปลงปญั ญาดจู ะรู้เหน็ ตามเป็นจริง”
ดังนี้ อาจจะเป็นจริงดังคติธรรมท่ีท่านว่าไว้ เม่ือพวกเราได้ฟังแล้ว โปรดพากันน้อมเข้าไป
พิจารณารปู ร่างกายของเราสิ ดว้ ยความมีสติ ดว้ ยความมีปญั ญา อาจจะตัดความเคลอื บแคลงสงสัย
ได้ วา่ มันสวยมนั งามอยทู่ ีไ่ หน เม่ือมปี ญั ญาเกิดข้ึนกจ็ ะร้เู ห็นตามเปน็ จรงิ ละวางความรกั ความก�ำหนัด
ความยินดใี นร่างกายอันนไี้ ด้ ไม่มีความสงสยั เลย ตอ่ แต่นัน้ นายจวนก็หายจากความรักในหญงิ สาว
คนน้นั ”
เร่ืองอุบายตรวจขี้ของหญิงสาว ท่านพระอาจารย์เติมศักดิ์ ยุตฺตติธมฺโม ได้เมตตาเล่าเรื่อง
หลวงป่ขู าว อนาลโย ชมท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ  ไวด้ งั นี้
“หลวงปูจ่ วนน่ีอยา่ งผู้หญงิ เนย่ี มนั มมี า ทา่ นมอี ุบายละเอียดออ่ นมาดี มใี ครทีจ่ ะไปพิจารณา
อสุภะอยา่ งน้นั ตั้งแตเ่ ปน็ โยม ? อบุ ายไปตรวจข้เี ขานนั่ แหละ พอหลวงปู่ขาวร้เู รื่องประวตั ิหลวงปู่จวน
ไปตรวจขี้น่ีนะ ทา่ นวา่ “โอ้ย ! ทา่ นจวนน่ีเปน็ พระแต่ยงั ไมบ่ วชเลย” ท่านมีอบุ ายแกไ้ ข มกี รรมฐาน
ตง้ั แต่ยังไมบ่ วชเลย ยงั ไม่มีใครเปน็ อปุ ัชฌายะสอนเลย คอื มนี สิ ยั มากอ่ นไง”

ชีวิตในวัยท�ำงาน เริ่มแสวงหาธรรม

ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ  ขณะเป็นฆราวาสอย่ใู นวยั ท�ำงานนัน้ ทา่ นได้เขา้ รับราชการ
ที่กรมทางหลวงแผ่นดนิ เป็นเวลา ๔ ปี ประวตั ิชวี ติ ในการท�ำงานราชการ ดว้ ยอุปนิสัยใจคอของทา่ น
ทา่ นเป็นคนดี คนเก่ง หนา้ ตาดี ผวิ พรรณดี เปน็ คนใจบุญ มีศีลธรรม เฉลยี วฉลาด ขยนั ขนั แขง็ เอาจรงิ
เอาจงั ฯลฯ ทำ� ให้เชื่อมั่นไดว้ ่า ในขณะทที่ ่านเป็นขา้ ราชการท�ำงานอยนู่ ้ัน ท่านต้องประกอบหนา้ ท่ี

18

ราชการดว้ ยความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ มวี นิ ยั ตรงตอ่ เวลา ซอ่ื ตรง อดทน มคี วามรบั ผดิ ชอบในหนา้ ทก่ี ารงาน
ทั้งทุ่มเทเสียสละอุทิศตนท�ำงานอย่างขยันขันแข็งเต็มก�ำลังความสามารถ มีน้�ำใจ เอ้ือเฟื้อเผ่ือแผ่
ช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน และรักษาผลประโยชน์ของทางราชการเป็นอย่างดี ท่านต้องเป็นตัวอย่าง
ของข้าราชการที่ดีคนหนึ่งในสมัยนั้นอย่างแน่นอน และท่านย่อมเป็นที่ไว้วางใจและเป็นที่รักใคร่ของ
ผูบ้ งั คับบญั ชาและเพ่ือนข้าราชการทง้ั หลาย รวมท้งั เป็นขวญั ใจและเป็นทชี่ น่ื ชอบหมายปองของเพ่ือน
สาวๆ ในสมัยนน้ั หวงั ใหท้ า่ นเปน็ คูค่ รองฝากเป็นฝากตายกนั

และกิจวัตรส�ำคัญอย่างหนึ่งท่ีท่านท�ำเป็นประจ�ำก่อนนอนทุกคืน ต้ังแต่สมัยเป็นเด็กนักเรียน
คือ การไหวพ้ ระ ทำ� วัตรย่อ เมตตาตน เมตตาสตั ว์ เสร็จแลว้ กน็ ั่งสมาธภิ าวนานึกบรกิ รรมพทุ โธๆ ในใจ
กเ็ ชอื่ มน่ั ว่าในวัยทำ� งาน ทา่ นได้น่ังสมาธิภาวนาอย่างตอ่ เนื่อง

ชีวติ ในวัยทำ� งานของคนหนมุ่ โดยทั่วไปส่วนใหญ่ เม่อื มเี งินมที องแลว้ ตา่ งก็ไม่ได้ด�ำเนินตาม
หลักธรรมค�ำสอนของพระพุทธศาสนา ต่างก็ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ มักจะหลงมัวเมาในอบายมุข
อันเปน็ โลกยี สุขที่ไร้สาระ สว่ นชวี ติ ในวยั ท�ำงานของท่านพระอาจารย์จวน กลุ เชฏโฺ  นั้น ทา่ นกลับ
ใชช้ ีวติ แตกตา่ งกบั คนหน่มุ ทั่วๆ ไปอย่างส้นิ เชิง ท่านรจู้ ักบาปบญุ คณุ โทษ โดยท่านยึดหลกั การใช้ชีวิต
ตามหลกั ธรรมค�ำสอนของพระพทุ ธศาสนาอยา่ งครบถว้ นสมบรู ณ์ โดยท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ
ได้เมตตาเทศนไ์ ว้ดงั น้ี

“เมื่ออายุย่างเขา้ ๑๘ ปี นายจวนได้ทำ� งานราชการกรมทางหลวงแผน่ ดินสายจงั หวัดอุบลฯ –
นครพนม ท�ำอยูเ่ ปน็ เวลา ๔ ปี

เมื่อนายจวนท�ำราชการการงานอยตู่ งั้ แต่อายุ ๑๘ ปี เมอ่ื ออกจากราชการแล้วอายุ ๒๑ ปี
พอดีออก นายจวนนั่นแหละ ในระหว่างที่อยู่ในฆราวาสไม่เคยเล่นการพนันทุกประเภท การพนัน
ทุกประเภทไมม่ ีนิสัยชอบ แม้การลกั จกตกห่อ ลกั ล้อฉ้อคนอนื่ ก็ไม่มนี สิ ยั ในทางน้นั

ขา้ พเจา้ ได้ท�ำราชการกรมทางฯ ตง้ั แตอ่ ายุ ๑๘ ปี จนอายุ ๒๑ ปีเต็ม จึงลาออก ในระหว่าง
เป็นฆราวาส นิสัยไม่ชอบทางสร้างบาปสร้างกรรม แม้แต่เข็มเล่มเดียวก็ไม่เคยหยิบฉวยของใคร
การพนันทุกประเภทไม่เคยเล่น ไม่เคยชอบ เพื่อนมาชวนเล่นการพนันเท่าไร ก็ไม่ยอมเล่นด้วย
จนกระทัง่ วนั จะออกบวช เหน็ เพือ่ นเล่นโบก เลยอยากทดลองเล่นดบู า้ ง เป็นการสง่ ท้ายชีวิตฆราวาส
ว่าการพนนั เปน็ อย่างไร ? เกดิ มาไมเ่ คยเล่นกบั เขา ลงเงนิ ไป ๕ สตางค์ แต่เสียถงึ ๑๐ สตางค์ เลย
เหน็ โทษของการพนนั และนึกอธิษฐานว่า “ถา้ ข้าพเจา้ จะเกิดมาอกี ขออยา่ ใหม้ ีนสิ ัยเลน่ การพนัน
ทุกประเภทเลย”

เปน็ คนหนกั ในทางศรทั ธาจรติ เช่น เมอ่ื เปน็ เด็ก พส่ี าวได้บอกวา่ “จวนเอย๊ ! ผู้เฒา่ โบราณ
ทา่ นวา่ ถ้าไปเลน่ มาแล้ว เวลาจะข้นึ บ้าน ให้กราบบันได ๓ หน แล้วใหไ้ ปกราบก้อนเส้าที่โรงครัว
อีก ๓ หน แล้วจงึ เขา้ ไปท่นี อน ให้ไปกราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และคุณบดิ ามารดา ๓ หน

19

แล้วจึงนอน โบราณผ้เู ฒา่ วา่ ถา้ ทำ� ได้ดังน้ันจะมคี วามสขุ ความเจรญิ คดิ อะไรกส็ มประสงค์ ทำ� อะไร
กจ็ ะเจริญงอกงาม” ขา้ พเจ้าฟงั แลว้ ก็เชอ่ื และปฏิบตั ติ าม โดยไมส่ งสยั ดือ้ ดงึ อะไร

ต่อมาพีส่ าวก็สอนอกี ว่า “จวนเอย๊ ! เงนิ ไม่มพี อหมน่ื อยา่ กนิ แกงหมากแดง เงนิ ไมม่ ีพอแสน
อย่ากินแกงหนอ่ ไม้” กเ็ ลยไมก่ นิ แกงหนอ่ ไม้ ไมก่ ินแกงหมากแดงเลย เพราะเห็นวา่ ตนไมม่ เี งนิ พอหมื่น
ไม่มเี งินพอแสน

อยมู่ าพ่สี าวก็บอกอีก “จวนเอ๊ย ! อยา่ กินของดิบนะ ใหก้ นิ ของสกุ เพราะโบราณวา่ ถ้ากิน
ของดิบจะเป็นยกั ษ์ เปน็ เปรต เปน็ ผ”ี ฉะน้ัน ขา้ พเจา้ ก็เลยหยดุ การกนิ ของดิบ การกนิ ลาบ กนิ กอ้ ย
กนิ ปลาร้าดบิ เพราะกลวั เปน็ ยักษ์ เปน็ เปรต เปน็ ผี อย่างพ่ีสาวว่า

พี่สาวสอนอกี “จวนเอ๊ย ! อย่าไปผดิ ลกู ผิดเมียเขานะ อยา่ ไปผิดลกู สาวเขานะ เวลาใหญแ่ ลว้
ไม่ดี จะเสยี หนา้ เสยี ตา จะเสยี ช่ือ เสียเสยี ง เสียโคตร เสียวงศ์ ทำ� ใหเ้ ขามีลูกมีเต้าไม่ได้ อบั อาย
ขายหนา้ เสียเงนิ เสียทองของพ่อแม”่ ข้าพเจ้าก็จ�ำไว้ และไมไ่ ดป้ ระพฤติล่วงเกินลูกเมยี ใครเลย

นับวา่ เปน็ เดก็ เชอื่ ง่าย งมงาย ไมม่ เี หตผุ ล
ในภายหลัง ไดร้ บั หนงั สือ “จตุรารกั ขกมั มัฏฐาน” ของท่านพระอาจารยเ์ สาร์ กนตฺ สีโลด้วย
ทา่ นได้แสดงใหค้ นเรารู้จักระลกึ ถงึ คุณพระพทุ ธเจา้ คือ
ใหเ้ จริญพทุ ธานุสติ ๑
ใหเ้ จรญิ เมตตานุสติ ๑
ใหเ้ จริญอสุภานสุ ติ ๑
ใหเ้ จรญิ มรณานุสตอิ ีก ๑
รวมเป็นลักษณะ ๔ ประการด้วยกนั ของมนุษยผ์ ู้เจรญิ
เมอื่ อา่ นหนังสือจตรุ ารักขกัมมัฏฐานและตรวจไปถึงมรณานุสติ จติ สังเวชว่า เรานีต่ ้องมตี าย
อยนู่ ่ันเอง ท่านพระอาจารย์เสาร์ไดย้ ำ�้ เร่ืองของกรรมว่า คนเราน้ยี อ่ มมีกรรมเป็นของของตน มกี รรม
เป็นผใู้ หผ้ ล มีกรรมเป็นท่พี ่ึงอาศยั เราท�ำกรรมอันใดไวเ้ ปน็ บญุ หรอื บาป เมือ่ ยังมชี วี ติ อยู่ กรรมนั้น
จักเป็นทายาท ใหเ้ ราไดร้ ับผลของกรรมน้นั สบื ต่อๆ ไป คอื หมายความว่า กรรมน้ีแหละย่อมจำ� แนก
แจกสตั ว์ใหเ้ ป็นไปตา่ งๆ นานา ใหเ้ ลว ให้ดี ให้ชว่ั ใหป้ ระเสริฐก็เพราะผลของกรรมทที่ �ำไว้
เมอ่ื อา่ นถงึ ตอนนี้แล้ว ก็บังเกิดความเบ่อื หน่าย สลดสงั เวชใจอย่างยงิ่ นกึ ข้ึนมาว่า คนเราน้ี
เกดิ มา ถา้ ไมป่ ระกอบคุณงามความดี กไ็ ม่มีประโยชนแ์ ก่ชีวิตของตน และไมม่ ปี ระโยชนอ์ ันจะรับ
ความสุขต่อๆ ไปในชาตหิ นา้ อกี เกดิ ความเชือ่ ความเลอื่ มใสอยา่ งนนั้ แต่ปัญญากย็ งั อ่อนอยู่

20

ระหวา่ งอายุ ๒๐ ปี เม่ือไดอ้ ่านหนังสือของทา่ นพระอาจารยเ์ สาร์ กนฺตสีโล เรอื่ ง จตรุ ารกั ข–
กมั มัฏฐาน และทา่ นยำ�้ เรือ่ งกรรมนี้ก็เลยมีจิตศรทั ธาเป็นเจา้ ภาพสรา้ งมหากฐินคนเดียว เพราะเลื่อมใส
ศรทั ธาว่า การทำ� บญุ ยอ่ มไดบ้ ุญ การทำ� บาปย่อมไดบ้ าป บญุ เมื่อท�ำแล้วยอ่ มเปน็ ทีพ่ ง่ึ พาอาศยั
ของสตั ว์ในโลกหน้า ขา้ พเจา้ จึงมีศรัทธาสละเงนิ ทไี่ ดร้ ับระหว่างท�ำงานอยูก่ รมทางหลวงแผ่นดิน ๔ ปี
เกบ็ หอมรอมริบไวเ้ ป็นเจา้ ภาพสร้างมหากฐนิ คนเดียว และสรา้ งพระประธานสร้างเสรมิ ในวัดเจริญจติ
บ้านโคกกลาง จนหมดเงิน เรียกวา่ เปน็ ผมู้ ีศรัทธาจริตมาก แต่ปญั ญาก็อ่อนมากเช่นเดียวกนั ”

หนังสือ “จตุรารักขกัมมัฏฐาน”

หนังสือ “จตุรารักขกัมมัฏฐาน” นิพนธโ์ ดย สมเดจ็ พระวนั รตั (พุทฺธสิริเถร ทับ) เมอ่ื ทา่ น
พระอาจารย์เสาร์ได้อ่านแล้วเกิดความพอใจท่ีจะเผยแผ่ธรรมในจตุรารักข์น้ี เพื่อให้ศิษย์บรรพชิต
และฆราวาสผู้ใฝ่ธรรมทราบหลักการปฏิบัติกัมมัฏฐาน ดังปรากฏในค�ำน�ำในการจัดพิมพ์หนังสือของ
หลวงแก้วกาญจนเขตร์ (ม.ร.ว.คอย อรุณวงศ)์ เมือ่ วนั ท่ี ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๒

สมเด็จพระวนั รัต (พทุ ฺธสริ เิ ถร ทับ) ป.ธ. ๙ (พ.ศ. ๒๓๔๙ – ๒๔๓๔) ทา่ นเปน็ เจ้าอาวาส
องคแ์ รกของวัดโสมนัสวหิ าร กรุงเทพฯ และเป็นหน่งึ ในคณะพระมหาเถระทง้ั ๑๐ องค์ ท่รี ว่ มกับ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เมื่อครั้งทรงด�ำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จ–
พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ ในรชั กาลท่ี ๓ ทีท่ รงผนวชเป็นพระภกิ ษุ มีพระนามในพทุ ธศาสนา
ว่า “พระวชริ ญาโณ” หรอื พระวชิรญาณเถระ ทรงกอ่ ตง้ั วงศ์ธรรมยุตขนึ้ ในประเทศไทย

สมเด็จพระวันรัต เป็นผู้แตกฉานในพระไตรปิฎก ท่านเคร่งครัดต่อพระธรรมวินัยและ
การปฏิบัตกิ มั มฏั ฐานเปน็ อยา่ งยิง่ มีความช�ำนาญและเขา้ ใจสมถะและวิปสั สนากมั มฏั ฐานอยา่ งลึกซึ้ง
หนังสือธรรมจ�ำนวนมากท่ีท่านนิพนธ์น้ัน มีท้ังด้านปริยัติและการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน เช่น
หนังสือ จตรุ ารักขกมั มัฏฐาน เปน็ ตน้

21

ภาค ๒ อุปสมบท

ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ อุปสมบทเป็นพระคร้ังแรกในฝ่ายมหานิกาย

ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ท่านโชคดีท่ีได้เกิดมาในครอบครัวชาวนาชนบทห่างไกล
ความเจริญ เป็นครอบครัวสัมมาทิฏฐิ เช่นเดียวกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ในวงกรรมฐานหลายๆ องค์
โอกาสในการออกบวชจึงมีมาก ซ่ึงครูบาอาจารย์ท่านได้เมตตาเทศน์เรื่องท�ำไมพ่อแม่ครูบาอาจารย์
สว่ นใหญเ่ กดิ เป็นลูกหลานชาวนาในชนบทไวด้ งั นี้

“หลวงปู่มั่นท่านพูดของท่านเองว่า ท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ หลวงปู่ม่ันท่านต้องมี
ต้นทุนของทา่ นมา ทา่ นตอ้ งสร้างพันธกุ รรมทางจิตของทา่ นตอ้ งดมี ากมา

หลวงปู่ฝัน้ ครบู าอาจารย์พนั ธุกรรมทางจติ มนั ดมี าหมด แล้วเวลามาเกดิ มาในปจั จุบนั เวลา
เขาพูดว่าท�ำไมครูบาอาจารย์เราเกิดเป็นลูกชาวนา ไปเกิดบ้านนอกคอกนา ถ้าเกิดเป็นลูกเศรษฐี
มันก็ไม่ไดบ้ วชสิ ตอ้ งเกิดเปน็ ลกู ชาวนา เพราะชาวนาเขาสนใจในเรือ่ งศาสนา มนั มีโอกาสได้บวชไง
แล้วบวชข้นึ มามันปพู ืน้ ฐาน แตเ่ ขามองแตค่ วามทกุ ข์ยาก ยากจนในชาตปิ จั จบุ ัน

เขาไม่มองว่าพันธุกรรมท่ีจิตท่ีมันสร้างมา ว่าหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่มั่นท่านสร้างมา ท่านเป็น
จกั รพรรดิ เปน็ มหาอ�ำมาตย์ ทา่ นเปน็ มาเยอะ คนไม่เห็น คนไมร่ ู้ ถา้ ไม่มตี รงนัน้ ไม่มีอะไร จิตใจไมเ่ ปน็
อย่างน้ี หลวงปู่มั่นกับหลวงปเู่ สาร์

หลวงปูเ่ สาร์ ดผู ู้อุปฏั ฐากสิ ราชนกิ ุลทั้งนนั้ เลยนะหลวงปู่เสาร์ ดสู ิ เจ้าคณุ อุบาลฯี เหน็ ไหม
ใครอุปัฏฐาก ราชนกิ ุลท้งั น้ัน พวกในวังทั้งนั้นเลย แลว้ ถ้าไม่มบี ารมี เขาจะเคารพนับถอื ไหม ?”

“นที่ ำ� ไมครูบาอาจารยเ์ ราสังเกตไดไ้ หม อาจารย์มหาบวั หลวงป่มู ่ัน ครบู าอาจารย์ทุกองค์เลย
ท�ำไมไปเกิดในภาคอีสาน แล้วไปเกิดอยเู่ ป็นลกู ชาวนา เพราะอะไร ? เพราะเกิดในประเทศอันสมควรไง
พอเกดิ ในเมอื ง เขาก็สง่ เรยี นปริญญาโท ปริญญาเอก ก็เป็นดอกเตอร์ เปน็ ผ้บู ริหารไงก็บวชไม่ได้
ไปเกิดชายท่งุ ชายป่าน่นู น่ะ ไปเกิดที่พ่อแม่ศรทั ธาในศาสนา เกดิ มากบ็ วชต้งั แตเ่ ณรเห็นไหม ? นี่เราไป
ดวู ่าการเกดิ แลว้ เกิดในกองสมบัติมากๆ อนั น้นั มีวาสนา แต่ไมไ่ ดบ้ อกวา่ ไปเกดิ ในประเทศอนั สมควร
เกดิ ในพอ่ แม่ทเี่ ปน็ สมั มาทฏิ ฐิอยู่ในหลักของศาสนา เกิดมากพ็ าลกู เข้าวัด นี่ปูพื้นฐานไว้แล้ว ลูกไปเห็น
พระกอ็ ยากศกึ ษา นบ่ี ญุ บารมี ไปเกดิ ในประเทศอันสมควรทีจ่ ะได้มาประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์ไง
จะไดไ้ ปหาโมกขธรรมไง”

ความคิดอยากจะออกบวชอยู่เสมอๆ ของทา่ นพระอาจารย์จวนน้นั มมี าตัง้ แต่ในสมยั ท่ที า่ น
ยงั อยู่ในวยั เดก็ ขณะมอี ายไุ ด้ ๑๕ ปี ซึ่งขณะน้นั เด็กชายจวนไดพ้ บพระธุดงคกรรมฐานคร้ังแรกแล้ว
เกิดความเลื่อมใสในปฏิปทาของพระธุดงคกรรมฐาน และต่อมาความคิดนั้นได้กลายเป็นความจริง
ขึน้ มา กลา่ วคือ ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ เม่ือทา่ นอายคุ รบ ๒๑ ปีบรบิ รู ณ์ ทา่ นได้ขออนุญาตมารดาออกบวช

22

ซึ่งสมัยนั้นในละแวกต�ำบลดงมะยางอันเป็นถิ่นก�ำเนิดของท่านน้ันยังไม่มีวัดป่าในฝ่ายธรรมยุต ดังน้ัน
ในการออกบวชเปน็ พระครง้ั แรกของทา่ น จงึ บวชวัดบ้านท่ตี ง้ั อยไู่ ม่ห่างไกลหมบู่ า้ นมากนกั ท่านเปน็
พระบา้ นในฝ่ายมหานกิ าย ไดร้ ับฉายา กลยฺ าณธมฺโม โดยท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ  ได้เมตตา
เทศน์เรือ่ งน้ีไวด้ งั นี้

“เมอื่ นายจวนอายุครบ ๒๑ ปแี ล้ว ไปบวชเปน็ พระมหานิกายวัดบ้าน นายจวนเมอื่ ยงั ไมบ่ วช
กค็ ิดอยากจะบวชอยเู่ สมอๆ ตอนบวชเป็นพระมหานกิ ายทวี่ ดั บา้ นนน้ั อายุ ๒๑ ปีบรบิ รู ณ์

การอุปสมบท คือ บวชที่วัดเจริญจิต บ้านโคกกลาง ต�ำบลดงมะยาง อ�ำเภออ�ำนาจเจริญ
จงั หวัดอบุ ลฯ อปุ ชั ฌายะ ชื่อ บุ พระกรรมวาจาจารย์ช่ือ พระมหาแจง้ ฉายาวา่ “กลฺยาณธมโฺ ม”

เมอื่ อปุ สมบทแล้ว ท่านก็ศกึ ษาเล่าเรยี นนกั ธรรมตรสี อบไลไ่ ด้ในปีนั้น แล้วพระจวนนน่ั แหละ
ในขณะทีบ่ วชอยูว่ ดั บ้าน คดิ อยากจะออกธุดงค์ อยากมาญตั ตธิ รรมยตุ ไปลาอุปชั ฌาย์ อุปัชฌาย์ไมใ่ ห้
ไปญัตติ ถา้ จะญตั ตใิ ห้สึกเสียก่อน ตกลงเลยตดั สนิ ใจสึกช่ัวคราว เพอื่ รอญัตติธรรมยุต”

สึกออกมาประกอบอาชีพ

ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ภายหลังท่านพระอาจารยจ์ วนบวชเรียนเป็นพระบา้ นได้ ๑ พรรษาแลว้
ท่านตัง้ ใจญตั ตเิ ปน็ ธรรมยตุ แต่ดว้ ยพระอปุ ชั ฌายไ์ มอ่ นุญาต และทา่ นเองกไ็ ม่ทราบวา่ จะญตั ติที่วดั ป่า
แห่งใด เนื่องจากในสมัยนั้นวัดป่าธรรมยุตในภาคอีสานยังมีจ�ำนวนน้อยมาก เพราะเป็นยุคแรกๆ
ทกี่ องทัพธรรมพระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารยเ์ สาร์ ทา่ นพระอาจารย์มั่น ออกเทีย่ วธดุ งค์
เผยแผแ่ นวทางข้อวัตรปฏิปทาธดุ งควัตร ทา่ นจงึ จำ� เปน็ ต้องสึกออกมาเปน็ ฆราวาสตามทพี่ ระอุปชั ฌาย์
ส่ังไว้และได้กลับมาใช้ชีวิตฆราวาสอีกครั้ง เพื่อรอการบวชเป็นพระในฝ่ายธรรมยุต เป็นพระป่าออก
เทยี่ วธดุ งคกรรมฐานตามเจตนาเดิมต่อไป โดยท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ  ได้เมตตาเทศน์เร่อื งน้ี
ไว้ดังน้ี

“เมื่อสึกออกไปแลว้ นายจวนกป็ ระกอบอาชพี พอสมควรแก่เวลารอญตั ติธรรมยุต ก็มีการ
ค้าขาย รับจา้ ง เย็บจักรเยบ็ ผา้ แลว้ ไปซ้ือผา้ แพร ในสมยั นัน้ ผ้าแพรพน้ื บา้ นเปน็ ราคา สมยั สงคราม
อินโดจีนระหว่างฝรั่งเศสกับไทยตีกันรบกัน ก็ไปซื้อผ้าแพรตามบ้านนอกมาขาย สมัยน้ันทาง
ภาคกลางยังยอมนุ่งกระสอบป่านต้ัว (นะ) มันอดมันอยากถึงขนาดน้ันล่ะสมัยนั้น เออ ! ผ้าอีโป้
ผา้ ขาวม้าผนื หนง่ึ ๆ มรี าคามาก”

กรณกี ารขอญตั ตเิ ปน็ พระธรรมยตุ ของทา่ นพระอาจารยจ์ วน กเ็ ชน่ เดยี วกบั กรณคี รบู าอาจารย์
ในสมยั ก่อนซึง่ ส่วนใหญท่ ่านบวชในฝ่ายมหานกิ าย จากน้นั เมอื่ มาถวายตัวเป็นศษิ ย์ท่านพระอาจารย์
เสาร์ ท่านพระอาจารย์มนั่ กเ็ กิดความเลื่อมใสศรัทธาในข้อวตั รปฏปิ ทาของพระธุดงคกรรมฐาน จึง
ได้หันมาขอญัตตเิ ป็นพระธรรมยตุ ในภายหลงั และทไี่ ดร้ ับการญตั ตกิ ม็ มี าก เช่น หลวงปูเ่ กง่ิ อธิมตุ ฺตโก

23

หลวงปสู่ ลี า อิสฺสโร หลวงปูด่ ี ฉนฺโน หลวงปหู่ ลยุ จนฺทสาโร หลวงปขู่ าว อนาลโย หลวงปฝู่ ัน้
อาจาโร หลวงปูแ่ หวน สุจณิ โฺ ณ หลวงปู่ตอ้ื อจลธมโฺ ม ฯลฯ สว่ นทไ่ี ม่ไดร้ ับการญตั ติ เชน่ หลวงปมู่ ี
าณมุนี หลวงปูท่ องรตั น์ กนฺตสีโล หลวงปู่กินรี จนทฺ ิโย หลวงป่ชู า สภุ ทโฺ ท ฯลฯ

อธิษฐานหายป่วยจะบวชเป็นพระกรรมฐาน

การอธษิ ฐานน้นั จดั อยู่ในบารมี ๓๐ ทัศ หมายถึง การตั้งม่ันในความปรารถนา การตดั สนิ ใจ
เด็ดเด่ยี ว การวางจุดหมายแห่งการกระท�ำของตนไว้อย่างแนน่ อน และการด�ำเนนิ ตามนั้นอย่างแน่วแน่
เมือ่ ตง้ั จิตอธษิ ฐานจะบ�ำเพ็ญความดใี นประการใดแล้ว กใ็ หไ้ ดป้ ระสบสงิ่ นนั้ สมดังความมุ่งหมาย โดย
สิง่ ใดทเ่ี ปน็ อปุ สรรคขัดขวางในขณะนัน้ ขอให้มลายหายไป

ในกรณขี องทา่ นพระอาจารยจ์ วนขณะเปน็ ฆราวาสกป็ ่วยเชน่ เดียวกัน โดย ท่านพระอาจารย์
จวน กุลเชฏโฺ  ไดเ้ มตตาเทศน์เรื่องน้ีไว้ดังน้ี

“น้ีเม่ือไปซ้อื ผา้ ผ่านดงมะอ่ี ดงมะอ่ี กลบั มา ๘ วนั ป่วยไขป้ ่าจับ (ไขม้ าลาเรยี ) กินยาอะไร
ก็ไม่หาย มันเป็นอยา่ งนั้น ก็เลยอธษิ ฐาน “ถ้าขา้ พเจ้าจะมีบญุ วาสนาบวชในพระพุทธศาสนา ขอให้
หายป่วย เม่อื หายปว่ ยเมอ่ื ไร กจ็ ะเดนิ ทางไปบวชเมอ่ื นนั้ ”

ก็พอดีไขก้ ็เลยหายมาเป็นล�ำดบั ๆ จนหมด จึงไดเ้ ดินทางออกมาญตั ตพิ ระธรรมยุต แลว้ กไ็ ม่รู้ว่า
อาจารยพ์ ระกรรมฐานฝ่ายธรรมยุตอยู่ที่ไหน ได้ยนิ แต่ชือ่ กเ็ ลยเดินทางออกมาทางอ�ำเภอ พอดีเจอะ
เพอื่ นคนหนึง่ เขาคนุ้ เคยกับวดั ปา่ ก็เลยถามเขาว่า “พระธรรมยตุ กรรมฐานในอ�ำเภอนี้มีไหม ?”

เขาบอกว่า “มี”
“ถ้าอยา่ งนน้ั เพอ่ื นจะพาเราไปหาทา่ นได้ไหม ?”
เขาบอกวา่ “ได้” เพือ่ นกเ็ ลยพาไป”

ดงมะอี่

ดงมะอ่ี มีสภาพเป็นป่าดงผนื ใหญ่ มาจากค�ำว่า ดงบังอี่ ภาษาชาวบา้ นเพย้ี นเป็น ดงบกั อี่ หรอื
ดงหมากอ่ี ทางราชการโดยกรมป่าไม้ แปลลาวเป็นไทยกลาง จากดงบกั อ่ี เป็น ดงมะอี่

องค์หลวงตาพระมหาบัว ทา่ นเรยี กดงนว้ี า่ ดงหมากอ่ี ดังนี้
“ท่านสิงหท์ องต้งั แต่เดก็ ข้ดี อ้ื โตมานสิ ยั อนั นัน้ กย็ งั มอี ยู่ ดอื้ พดู หยอกพูดเล่น พอดตี ัวเธอเอง
นั่นแหละขึ้นรถมาจากอุบลฯ จะมานครพนม ท่านนั่งรถโดยสารมา แต่ก่อนรถโดยสารก็อย่างว่า
พอมาถงึ ดง เขาเรยี กดงหมากอ่ี จากมกุ ดาหารไปอุบลฯ ไปทางอำ� นาจเจรญิ น่ลี ่ะดงใหญ่ เขาเรยี ก
ดงหมากอ่”ี

24

ปา่ ดงบงั อ่ี เปน็ แหลง่ ตน้ น�้ำส�ำคญั ของภาคอีสานดา้ นทศิ ตะวนั ออก ล�ำน้�ำส�ำคัญของดงบังอ่ี
ได้แก่ ลำ� นำ้� ยงั ลำ� นำ�้ ก�ำ่ ลำ� น�ำ้ อนู หว้ ยบังมกุ หว้ ยบงั ทราย (บางทราย) หว้ ยบงั อี่ ล�ำเซบก ล�ำเซบาย

คนเฒา่ คนแกใ่ นแถบนไี้ ดอ้ ธิบายขอ้ มูลความเปน็ มาของดงบงั อีไ่ วว้ า่ ปา่ ดงบงั อ่ใี นอดีตเปน็ ปา่
ผนื ใหญ่ผืนหน่ึงของภาคอสี าน ต้งั อยทู่ างทศิ ตะวันออกของภาค มอี าณาเขตกว้างขวางครอบคลุมหลาย
จงั หวดั ด้านทศิ ตะวันตกของป่าดงบงั อ่ตี ิดกบั ลำ� น�้ำยงั ในเขตจงั หวัดร้อยเอ็ด ทิศเหนือมอี าณาเขตขา้ ม
เทอื กเขาภูพานไปยงั เขตจังหวดั นครพนม ทศิ ตะวันออกจรดแมน่ ้�ำโขง ทศิ ใตม้ อี าณาเขตตั้งแต่อ�ำเภอ
นิคมค�ำสรอ้ ย จงั หวัดมุกดาหาร ลากผา่ นไปยงั อำ� เภอเลิงนกทา จังหวดั ยโสธร ไปจรดลำ� นำ้� ยงั ของ
จังหวัดร้อยเอ็ด

สมเด็จกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ได้เล่าถึงป่าดงบังอ่ี ในคราวเสด็จเย่ียมมณฑลอีสาน
เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๔๙ โดยท่านเดนิ ทางจากจังหวัดมกุ ดาหาร ไปยงั จงั หวดั ยโสธร ไว้วา่

“พอถึงปากดงก็แลเห็นแต่ต้นยางสูง สูงใหญ่ สะพร่ังไปทุกด้าน ริมต้นไม้ใหญ่ก็มีต้นไม้เล็ก
และกอหนามรกชัฏ พอเข้าไปรู้สึกเยือกเย็น เห็นแสงสว่างท่ีทางเดินเล็กน้อยเท่าเดือนหงาย เห็น
พระอาทติ ย์เพียงเท่ยี ง สกั ครูม่ ลี �ำหว้ ยใหญก่ ลางดง เรียกห้วยบงั อ่ี เห็นจะเป็นชอ่ื ของดงน้ี พระยา–
นครราชสีมา (ภาค สิงหเสนี) จางวางเมอื งนครราชสมี า เคยบอกขา้ พเจ้าวา่ เป็นดงใหญก่ ว่าดงอ่ืนๆ
๓ มณฑลน้ัน และว่าเปน็ ดงที่มีชา้ งเถื่อนชมุ พวกโพนช้างชอบเสาะชา้ งดงบังอี่ ด้วยถือว่าเปน็ ชา้ งทม่ี ี
กำ� ลงั มาก พอเหน็ กต็ ระหนกั ใจว่าเปน็ ดงทึบมาก ผดิ กบั ดงไหนๆ ที่ข้าพเจา้ เคยเหน็ มามากแล้ว”

พบพระอุปัชฌาย์

ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ เม่ือคราวท่านเป็นฆราวาสมีความประสงค์ออกบวชเป็น
พระธรรมยุตกรรมฐาน เพื่อนของท่านได้พาทา่ นไปพบทา่ นพระครทู ัศนวิสทุ ธ์ิ (พระมหาดุสติ เทวิโร)
ทว่ี ัดป่าส�ำราญนิเวศ อำ� เภออำ� นาจเจริญ จงั หวัดอุบลราชธานี ซ่ึงต่อมาขึ้นกบั อำ� เภอเมือง จังหวัด
อ�ำนาจเจริญ ในขณะนน้ั ท่านพระครทู ัศนวสิ ทุ ธเิ์ พิง่ ได้รบั การแต่งตั้งเปน็ พระอุปัชฌาย์

ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ได้เมตตาเทศน์เร่ืองพบพระอุปัชฌายไ์ วด้ ังน้ี
“นใี้ นวนั แรก คร้นั ไปถึงแลว้ กเ็ ลยเข้าไปนมัสการทา่ น เลา่ เร่ืองให้ท่านฟัง ท่านกม็ ีความยนิ ดี
ต้อนรับ ขา้ พเจ้าเลยตัดสนิ ใจว่าจะมาบวชเปน็ ธรรมยุต ทา่ นก็มีความยนิ ดรี บั เต็มใจ แล้วทา่ นกบ็ อกวธิ ี
ฝึกหัดนาค คือ เรียนมคธภาษา ทา่ นมอบหนังสอื วิธีอปุ สมบทธรรมยุตให้ แล้วก็บอกการเปลี่ยนตัวมคธ
ข้าพเจ้าเรยี นอยนู่ ้ันพอประมาณแลว้ กก็ ลับ ลาท่านกลับบา้ น
ส่วนเพื่อนทีไ่ ปนน้ั ไม่รูค้ วามนัยกับข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจา้ ไปพูดกบั ท่านอาจารย์ เพอื่ นจึงได้ยนิ
วา่ จะบวช แล้วออกพากนั ออกมาจากวดั เพ่อื นทัง้ ๒ คนนน้ั แหละ ก็รมุ วา่ ขา้ พเจ้าไปปด ไปหลอกลวง


Click to View FlipBook Version