25
อาจารยว์ า่ จะบวช ท่ไี หนได้ทา่ นบวชไม่ไดห้ รอก นเี่ พอ่ื นวา่ เราไม่เคยได้ยินวา่ ทา่ นจะบวช
เลยบอกเพื่อนว่า “เราจะบวชจริงๆ นะเพื่อน แต่ว่าเพื่อนอย่าไปบอกใครๆ ปิดความลับ
ของเราไว้ ถ้าเพ่ือนปิดความลบั ของเราไว้ได้จรงิ ๆ เราจะให้รางวลั อนั หนงึ่ คือ หมวกใบที่เราใส่อยู่นี้
ราคา ๑๒ บาท* ถ้าเพ่อื นปิดความลบั ไวม้ ิบอกใคร” เพื่อนกร็ ับอาสาว่าจะไม่ปรปิ ากบอกใครๆ เลย
ดังนัน้ นี่ใครๆ ยังไมร่ ู้ และบรขิ ารทจี่ ะอุปสมบท ได้เกบ็ รวบรวมไวแ้ ตเ่ มอ่ื ครง้ั เปน็ มหานกิ าย
ทุกส่ิงทุกอยา่ งแล้ว บาตร กลด มีดโกน ขาดแต่สังฆาฏิ ๒ ชั้นเทา่ นั้น เพราะไม่รูว้ า่ ธรรมยุตบวชสังฆาฏิ
๒ ช้ัน ทีนี้ก็เลยนัดเพื่อนด้วยกันว่า เพื่อนเวลาตอนเย็นเมื่อรับประทานอาหารแล้ว ให้เพ่ือนไปที่
หน้าบ้านเรา แลว้ ก็ร้องเรียกเราวา่ “เพอ่ื น เพื่อนเอย๊ ! ไปเทีย่ วเล่นสาวเถอะ” ใหว้ ่าอย่างนัน้ แล้วเรา
ก็จะตอบเพือ่ นว่า “ยงั กอ่ น แตง่ ตัว หวีผม ทาแปง้ กอ่ น” แล้วให้เพ่อื นน้ันเลด็ ลอดมาใตถ้ นุ บ้านของเรา
มาคอยอย่ทู ่ีหน้าต่าง เราจะยื่นบริขารเครอ่ื งบวชออกให้ ยน่ื ใหเ้ พ่ือน เพอ่ื นก็คอยรบั เอา เม่ือเพ่อื น
คอยรบั เอาหมดแล้ว ใหเ้ พอื่ นเลด็ ลอดไปยืนอยู่ที่เก่า หน้าบา้ น แลว้ ก็ร้องเรียกว่า “ไปเถอะเพ่อื น
เสรจ็ หรือยงั แตง่ ตวั ?” เราก็จะว่า “เสรจ็ แลว้ ก�ำลังจะลงเรือน”
นพี้ อถงึ เวลาเพื่อนก็มาตามนัด แล้วก็ยกสง่ิ ของออกจากตู้ให้เพื่อน แลว้ กพ็ าเพื่อนรีบเดนิ ทาง
ไปตอนกลางคืน เดินไปซุกซ่อนบริขารไว้ที่กลางป่า ห่างบ้านประมาณ ๑ กิโลเมตร ก็เลยบอก
เทวดาวา่ “เทวดาเจ้าภูมิ เจ้าป่าเอ๊ย ! จงรกั ษาบรขิ ารของข้าพเจา้ ไว้ พร่งุ นีข้ า้ พเจา้ จะมาเอาไปบวชเป็น
ธรรมยุต” ดงั นี้ กไ็ มร่ วู้ ่าเทวดาอย่ทู ่ีไหนแหละ กพ็ ดู เปรยปรายไปอยา่ งน้นั แหละ ก็เลยกลับบา้ น
อยมู่ าวนั รงุ่ ขนึ้ วนั หลงั กเ็ ลยนดั แนะเพอื่ นไป เอานำ� บรขิ ารไป ไปมอบใหอ้ าจารย์ อาจารยต์ รวจดู
บรขิ ารยังขาดแตส่ ังฆาฏิ ๒ ชั้น ท่านกเ็ ลยตัดให้ และสั่งใหข้ ้าพเจา้ ไปเยบ็ เอง ทต่ี ลาดในอ�ำเภอน่นั เอง
ซึ่งเปน็ บา้ นลูกหลานของอาจารย์น่ันเอง ข้าพเจ้ากไ็ ปนอนเยบ็ อย่ทู นี่ น่ั หนึง่ คืนจึงสำ� เร็จ แล้วเอาออกมา
ที่วัดให้ท่านตรวจดู ทา่ นว่าใชไ้ ด้ ก็เลยซกั ย้อมบรขิ ารใหไ้ ดส้ ีแลว้ ทา่ นอาจารย์ถามว่า
“การท่เี ธอจะมาบวชนนั้ ได้บอกญาติพ่นี ้องพอ่ แม่แลว้ หรอื ยัง ?”
ขา้ พเจ้าตอบทา่ นว่า “ยงั ครับ”
“ใหก้ ลบั ไปบอกเสียกอ่ น พ่อแม่” แลว้ ท่านกก็ ำ� หนดวนั อุปสมบทอกี เสียด้วย”
* หมวกใบละ ๑๒ บาท ต้องเป็นหมวกอยา่ งดรี าคาค่อนขา้ งแพงมาก เพราะปี พ.ศ. ๒๔๘๔
เงินเดือนข้าราชการหนุ่มสมัยน้ันเดือนละสิบกว่าบาทเท่าน้ัน และการจับจ่ายใช้สอยยังใช้เงินสตางค์
กนั อยู่ โดยก๋วยเตีย๋ วราคาเพยี งชามละ ๕ สตางค์ ซ่งึ ต่างกับสมัยนี้ก๋วยเต๋ยี วราคาชามละ ๓๕ – ๕๐
บาท ตา่ งกนั ถงึ ๗๐๐ – ๑,๐๐๐ เท่า
26
การบวชเป็นพระธุดงคกรรมฐานน้ัน เคร่ืองบริขารจะต้องครบตามพุทธบัญญัติ มิฉะน้ัน
พระอุปัชฌาย์จะไม่บวชให้ เช่น กรณีท่านพระอาจารย์จวนเมอ่ื ออกบวชขาดผา้ สงั ฆาฏิ ๒ ชั้น เปน็ ต้น
เพราะหากบวชไปแล้วเคร่ืองบริขารไมค่ รบ ไมถ่ กู ต้อง จะเกดิ บริขารวิบตั ิ ซงึ่ เมอ่ื ปฏิบัตภิ าวนาไปแล้ว
จะเป็นไปโดยยาก ดังเช่นกรณีของหลวงปู่มั่น เคร่ืองบริขารวิบัติ หลวงปู่เสาร์พาหลวงปู่ม่ันท�ำ
ทัฬหีกรรมบวชซ�้ำ ครบู าอาจารย์ทา่ นไดเ้ มตตาเทศน์เรอ่ื งนไี้ ว้ดงั น้ี
“ขณะบวชโดยสมมุติเห็นไหม อุปัชฌาย์กับอาจารย์เวลาสวด วิบัติ ๔ ส่ิงนี้เป็นวิบัติ บวช
แลว้ เปน็ สงฆ์ไหม เปน็ เปน็ สงฆ์นะ เพราะอะไร เพราะบวชแลว้ โดยเจ้าตัวไมร่ ู้ เจ้าตัวเขา้ สังฆกรรม
เข้าร่วมท�ำทุกๆ อย่างเลย แต่จะขาดต่อเม่ือเรารู้ไง แล้วถ้าเราสงสัยในอุปัชฌาย์ สงสัยในอาจารย์
เหน็ ไหม วบิ ัติ ๔ อุปัชฌายว์ บิ ัติ กรรมวาจาจารยว์ ิบัติ อักขรวบิ ตั ิ สมี าวบิ ัติเห็นไหม สงิ่ ทีเ่ ปน็ ความวิบตั ิ
ดูหลวงปู่มัน่ สิ ในประวัติหลวงปมู่ ่นั เห็นไหม หลวงปูม่ ่ันบวชแลว้ สมัยโบราณ เรื่องบริขารหาได้ยาก
กบ็ วชโดยใช้ผา้ สังฆาฯ (สงั ฆาฏิ) ช้นั เดียว
พอบวชไปแล้ว เพราะหลวงปู่มั่นยังไม่ได้ออกไปปฏิบัติ หลวงปู่มั่นบวชเป็นเณร ๒ พรรษา
แล้วสึกไปช่วยพ่อแม่ท�ำมาหากิน แล้วหลวงปู่เสาร์ไปเอามาบวชใหม่ ขณะที่หลวงปู่ม่ันบวชใหม่
ขณะที่เป็นคฤหัสถ์หลวงปู่มั่นก็ยังไม่รู้อะไร เพราะสมัยนั้นสมัยท่ีบวชใหม่ก็ยังไม่ได้ภาวนาเลย เวลา
บวชแล้วเห็นไหม แลว้ แตว่ า่ สงั คมสงฆจ์ ะท�ำให้ สงฆท์ �ำใหก้ ็จัดบริขารให้ แลว้ บวชให้ แต่บวชออกมา
แลว้ เหน็ ไหม นอนฝนั ฝันวา่ ตวั เองไมไ่ ด้บวช ตวั เองบวชไดแ้ ค่เณร
เณรเพราะอะไร เณรเพราะสังฆาฯ มันช้ันเดียว เห็นไหม อักขรวิบัติ อุปัชฌาย์วิบัติ
กรรมวาจาจารยว์ ิบัติ สีมาวบิ ตั ิ บรขิ ารวิบัติ มันวบิ ัติ ๖ มันวบิ ัติ ๔ แลว้ วิบัติ ๖ เห็นไหม ? ฝนั ว่า
ตวั เองยังเปน็ เณรอยู่ จนไปปรกึ ษาอุปัชฌาย์ อุปชั ฌาย์ยอมรับว่าจัดบริขารให้ไมส่ มประกอบ ถงึ ได้ทำ�
ทัฬหีกรรมบวชซำ้� บวชซ้�ำอีกหนหนึ่งเหน็ ไหม ? หลวงปู่ม่นั เวลานอนแล้ว ฝนั อกี เห็นไหม ? พุทธภมู ิ
ภูมิของหลวงปมู่ ่ัน ปรารถนาเปน็ พุทธภมู ิ เพราะสร้างบญุ ญาธกิ ารมามาก”
แม้ผา้ ไตรจีวร อันประกอบดว้ ย สงั ฆาฏิ ส�ำหรับพาดบา่ หรอื ทาบไหล่ (สำ� หรบั ธรรมยตุ ใช้ผ้า
๒ ชน้ั ) จวี ร สำ� หรับห่ม และ สบง ส�ำหรบั นงุ่ จะตอ้ งตดั เยบ็ ย้อมให้ถกู ต้องทง้ั ขนาดและสี ส�ำหรบั ขนาด
ขนึ้ อยกู่ บั ความอว้ น สงู ใหญ่ สจี วี รทใ่ี ชก้ นั ในวงพระปา่ นน้ั จะออกเปน็ สกี รกั คอื สแี กน่ ขนนุ มสี กี รกั ออ่ น
สกี รกั กลาง และสกี รกั แก่ ซง่ึ เปน็ สที ถ่ี กู ตอ้ ง และตรงตามปฏปิ ทาทพ่ี อ่ แมค่ รอู าจารยพ์ าปฏบิ ตั มิ าแตเ่ ดมิ
บอกลาพ่อแม่ญาติพ่ีน้องจะบวชไม่สึก
เหตุท่ีพระอุปัชฌาย์ถามท่านพระอาจารย์จวนในขณะเป็นฆราวาสว่า “เธอได้ขออนุญาต
บดิ ามารดาหรือยัง” เพราะว่าการอปุ สมบทเปน็ พระภกิ ษุนน้ั พระพุทธเจา้ ได้บญั ญตั ไิ ว้ว่า จะต้องขอ
อนุญาตบิดามารดาผู้ปกครองก่อนจึงจะอุปสมบทได้ ซ่ึงบัญญัติข้อน้ีพระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดาทรง
เป็นผขู้ อประทานพร เมอื่ พระราหุลไดร้ บั การบรรพชาเปน็ สามเณรแล้ว ดังนี้
27
“... พระเจ้าสทุ โธทนะก็ได้ทูลขอพรขอ้ หนึ่งวา่ “ตอ่ ไปเมือ่ พระสงฆ์จะบวชผู้ใด ใหผ้ ้นู นั้ ได้รับ
อนุญาตจากมารดาบิดากอ่ น เพราะได้ทรงปรารภถงึ ความทุกข์ทเ่ี กิดแกพ่ ระองคค์ รงั้ นี้วา่ มากมายนกั
ก็อยา่ ให้ความทุกขเ์ ช่นนี้ เกิดขน้ึ แก่มารดาบิดาอน่ื เลย”
พระพุทธเจ้าก็ทรงอนญุ าตและก็ไดท้ รงสัง่ พระสงฆว์ า่ “ดกู รภกิ ษุท้ังหลาย บุตรท่มี ารดาบิดา
ไม่อนญุ าต ภิกษไุ มพ่ งึ ให้บวช รูปใดใหบ้ วช ต้องอาบตั ิทุกกฏ”
บัญญัตขิ ้อนพี้ ระอปุ ชั ฌายท์ กุ องคไ์ ด้ถอื ปฏิบัตกิ ันมานบั แตบ่ ดั น้ันจนถงึ บัดน”ี้
ท่านพระอาจารย์จวนขณะเป็นฆราวาสจงึ ได้กราบลาพระอปุ ัชฌาย์ แลว้ กลบั บ้านไปบอกลา
พ่อแมญ่ าตพิ ่นี อ้ ง โดยท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ได้เมตตาเทศนเ์ ร่ืองน้ไี วด้ งั น้ี
“จ�ำเปน็ ขา้ พเจ้าก็เลยกลับบา้ น ไปบอกญาติ พี่น้อง พอ่ แม่ นดั กนั มาประชุม เม่อื รับประทาน
อาหารเยน็ เสร็จแลว้ ญาตพิ ี่นอ้ งทัง้ หลายเขาก็มา เขากด็ ใี จว่าข้าพเจ้าจะใหเ้ ขาไปหาสาวให้ น่สี �ำหรบั
ความเขา้ ใจของญาติพีน่ ้อง เพราะเห็นว่าข้าพเจา้ อายใุ นราวขนาดนแี้ ล้วคงจะแต่งงาน เม่ือญาติพนี่ ้อง
มารวมกันหมดแล้ว จงึ ประกาศให้ทราบวา่
“ท่ไี ดน้ ัดชมุ นมุ กัน ประชมุ กันคราวนี้มใิ ชอ่ ื่น เพื่อจะบอกญาตพิ ี่น้องและแม่ใหร้ วู้ ่า ขา้ พเจา้
จะไปบวชเปน็ ธรรมยุต เปน็ พระกรรมฐานในวันพรุง่ น้ี”
แม่ได้ยนิ อย่างน้ันก็เลยทดั ทานขึ้นวา่ “อ้าว ! ไปบวชยังไง กูจะแตง่ งานใหม้ งึ อยู่เน่ยี ” ก็เลย
ถามมารดาวา่ “แตง่ ใครล่ะ ?” “แตง่ สาวทา” “ทาไหน ? ทามี ๒ ทา” มารดาก็เลยตอบขนึ้ ว่า “ทา
หลานก�ำนนั เราน่นั เดะ้ ” “เออ้ ! ทาไหนกไ็ ม่เอาแหละ ผู้หญงิ นเ่ี หมน็ ข้ีมนั ” นพี่ ดู จ�ำไดค้ �ำพูดอันน้ี
เหมน็ ขี้มนั มารดากเ็ ลยพูดขึน้ วา่ “เอ้ย ! เอง็ เห็นของเขาไหม ถึงพดู อย่างน้”ี
ก็เลยพูดตอบมารดาว่า “ไม่เห็นก็ตาม ของใครมันก็เหม็นด้วยกันทั้งสิ้น แม้ของมารดาก็
เชน่ เดียวกัน ถา้ ไมเ่ ชอ่ื กล็ องล้วงมาดสู ิ มาดมดูสิ ถ้าไม่เหม็น” มารดากเ็ ลยวา่ “หยึ ! บักห่านี่เวา่ หยัง
กะเวา่ โพด” พะ่ วะมารดา (“หึย ! ไอห้ า่ น่ี พูดอะไรกพ็ ดู เกนิ ไป” มารดาว่า)
ทีน้ีก็เลยพูดปลอบโยมมารดาว่า “ธรรมดาบุตรผู้จะมีศรัทธาบวชผู้ใดผู้หนึ่ง บิดาหรือมารดา
มาคัดคา้ นมใิ หบ้ วช พระพุทธเจ้าทา่ นว่าบาปมาก ตายไปตกนรก ไมไ่ ดไ้ ปสวรรค์ เพราะลูกจะไปทางดี”
ดงั น้ี
มารดาได้ยินก็เลยใจอ่อนยอมให้บวช อนุโมทนา พร้อมด้วยญาติพี่น้องทั้งหลายอนุโมทนา
ดังน้นั ทางพ่ีสาวเลยถามว่า
“มงึ บวชวัดบ้านแลว้ ท�ำไมมึงจงึ บวชวดั ปา่ อีก ?”
“เพราะอยากบวช”
28
“บวชทีนม้ี ึงไมส่ กึ หรอื ?” พี่สาวถาม
“โยว่ !” วา่ ซ่นั (วา่ งัน้ ) “บวชครั้งนตี้ ัดสินใจแล้ว พจิ ารณาแล้วจงึ ออกบวช ถา้ จะสกึ อยไู่ มบ่ วช
ถ้าบวชแล้วไมส่ กึ ” น่พี ดู กบั พ่ีสาวในท่ีชมุ นมุ ญาตินัน้
พีส่ าวกเ็ ลยพูดขึ้นว่า “เฮอ้ ! บกั อันน่ีมึงคุยหลาย บเ่ ถียงมงึ ดอก มนั สพิ อ ๒ – ๓ พรรษาหยงั
มันก็แลน่ โขดโลด (ว่ิงเตลิด) มาโลดแล้ว” วา่ ซน่ั พ่ีสาววา่ “เออ ! ถา้ อย่างนัน้ กค็ อยดูวา่ ถ้าจะสกึ
อยไู่ ม่บวช ถา้ บวชแล้วไมส่ กึ ”
ออกบวชเป็นพระฝ่ายธรรมยุต
ทา่ นพระอาจารย์จวน กลุ เชฏโฺ ท่านไดอ้ อกบวชเปน็ พระธรรมยตุ เป็นพระธดุ งคกรรมฐาน
ถือธุดงควตั ร เม่ือวนั พธุ ท่ี ๒๔ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๘๖ เวลา ๑๗.๐๐ น. ตรงกับวันแรม ๔ คำ่� เดอื น ๔
ปมี ะเมีย สมเจตนารมณข์ องทา่ นท่ไี ดต้ ง้ั ใจไว้แตว่ ยั เยาว์ โดยทา่ นพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ไดเ้ มตตา
เทศน์เรื่องนี้ไวด้ งั น้ี
“อยู่มาก็เลยบวชนั่นแหละ ก็เลยมาบวชธรรมยุต ท่ีวัดบ้านบุ่ง (วัดส�ำราญนิเวศ) อ�ำเภอ
อ�ำนาจเจรญิ จังหวัดอบุ ลฯ ท่านพระอุปัชฌายะ คอื ทา่ นพระครูทัศนวิสทุ ธิ์ (มหาดุสิต เทวโิ ร)
หลานของท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์) เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาสนั่นเอง
หลานของสมเดจ็ มหาวีรวงศ์ ติสโฺ ส อ้วน น่ันเอง
ซงึ่ ท่านพระครทู ศั นวสิ ทุ ธ์ิ มหาเทวิโร มหาๆ นี่ มหาเทวิโร ท่านเจ้าคณุ อุบาลฯี เอาไปเล้ยี ง
แต่น้อยๆ เป็นหลานของท่าน ที่วัดบรมนิวาส ท่านเลยมาเป็นเจ้าคณะอ�ำเภออ�ำนาจเจริญน่ีแหละ
พอตง้ั อปุ ชั ฌาย์ได้ ๕ วัน ก็มาอปุ สมบทข้าพเจา้ นเ้ี อง
ข้าพเจา้ นเ้ี องเป็นนาคแรก เปน็ ผู้อุปสมบทแรกสดุ ทา่ นจงึ ตัง้ ฉายาว่า “กุลเชฏฺโ” เป็นพ่ชี าย
ของหมขู่ องเพ่อื นในวงศส์ กลุ น้ี คอื เปน็ พีใ่ หญ่ องคท์ ่สี องน้องชาย คือ ทา่ นพระอาจารยส์ ิงหท์ อง
ซ่ึงข้าพเจา้ ไดไ้ ปนงั่ หัตถบาส* อยู่น่ี นี้แหละอนั ดับมา
* หัตถบาส ใช้เรียกการน่ังของพระสงฆ์ในเวลาท�ำสังฆกรรมเพ่ือแสดงความสามัคคี ความ
พร้อมเพรียง โดยน่ังเว้นระยะห่างกัน ตามพระวนิ ยั กำ� หนดอยใู่ นทป่ี ระชุม โดยไม่น่ังแยกกันหรอื ลุกเดนิ
ไปทางโน้นทางนี้ เรียกว่า น่งั หัตถบาส หตั ถบาสมีก�ำหนดระยะหา่ ง ๒ ศอก ๑ คืบ มีวิธีวดั ดงั น้ี
เม่อื ภกิ ษนุ ่ังพับเพยี บอยู่ ให้วดั จากดา้ นหลงั ของเธอมาถงึ หน้าตักของเธอจะได้ระยะ ๑ ศอก แล้ววัด
จากหนา้ ตักของเธอออกไปข้างหนา้ อีก ๑ ศอก ๑ คืบ จะรวมไดเ้ ป็น ๒ ศอก ๑ คบื น้ีคอื ระยะหัตถบาส
29
พระอุปัชฌายะบวชฝ่ายธรรมยุต คือ ท่านพระครูทัศนวิสุทธิ์ (มหาดุสิต เทวิโร)
พระกรรมวาจาจารย์ ท่านพระอาจารยเ์ ก่งิ อธิมุตฺตโก บวชวนั ทเ่ี ทา่ ไหร่ ๒๔ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๘๖”
ท่านสวดปาฏิโมกข์ได้ภายในหน่ึงเดือน
การสวดปาฏิโมกขน์ น้ั เปน็ เร่อื งยากมาก แตท่ ่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ท่านกลับสามารถ
สวดได้ภายในระยะเวลาส้นั ๆ โดยใชเ้ วลาเพียงหนง่ึ เดอื นเทา่ นั้น อนั แสดงออกถงึ ความมุง่ มั่นอตุ สาหะ
พยายาม และความเชอื่ ฟังในครบู าอาจารย์ของทา่ นเป็นอย่างดี โดยทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ
ได้เมตตาเทศน์เรือ่ งน้ไี วด้ ังน้ี
“เม่อื อปุ สมบทแลว้ ก็อยทู่ ีว่ ดั ส�ำราญนเิ วศ อ�ำเภออำ� นาจฯ วดั ในอ�ำเภอนน้ั เอง แล้วอาจารย์
ท่านสัง่ ก�ำชบั บวชทแี รกใหท้ อ่ งปาฏโิ มกข์กบั เจ็ดต�ำนานภายในหน่ึงเดอื นใหจ้ บ
ข้าพเจ้าก็ใช้ความอุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายท่องปาฏิโมกข์และเจ็ดต�ำนานให้ทันก�ำหนด
ทที่ า่ นกำ� หนดไว้ หน่ึงเดือนกเ็ ลยจบพอดี
การใช้เวลาน้ันใช้ตะเกียงกระป๋องนมไส้ด้ายจุดไฟ แล้วก็ท่านให้น้�ำมันก๊าดหนึ่งขวดแม่โขง
ท่านว่าให้จบ ก็เลยใช้อันน้ันแหละตอนกลางคืน ใช้แสงไฟพอริบหร่ี พอมองเห็นตัวหนังสือเท่านั้น
พร้อมอยู่ ทา่ นกำ� หนดเดอื น ๕ ขน้ึ ๑ ค่�ำ ทา่ นบอกวา่ เดือน ๖ ข้นึ ๒ ค่�ำ ใหม้ าสอบนะ ให้มาเล่า
ให้ฟังนะ ใหม้ าว่าใหฟ้ งั ใหม้ าแสดงให้ฟงั นะปาฏิโมกข์ ให้มาสวดใหฟ้ งั นะปาฏโิ มกขก์ บั เจด็ ต�ำนาน
นี่ทา่ นตั้งกตกิ าขอ้ กฎไวใ้ ห้ ขา้ พเจ้าพระจวนก็เลยรีบเรง่ ทอ่ งเอาจนจบภายในหนึง่ เดอื น
คร้นั ถงึ เดือน ๖ ข้นึ ๒ ค่�ำ ทา่ นกเ็ รียกไปใหไ้ ปสวดใหฟ้ งั กเ็ ลยสวดให้ทา่ นถวายให้ท่านฟงั
สวดคล่องแคล่ว แม้เจ็ดต�ำนานก็ได้ ท่สี วดมนต์ ท่านกเ็ ลยออกปากชมว่า
“แหม ! ผมนึกวา่ จะไม่ได้ถงึ เพยี งนี้ แต่ตัวผมเองก็ไมไ่ ดถ้ ึงเพยี งนี้ ที่ผมพดู ไปนั้นลองเชงิ ดู
ต่างหาก”
นตี่ ่อแตน่ ั้นข้าพเจ้าก็เลยสวดมาประจ�ำบอ่ ยๆ ต้ังแตอ่ ปุ สมบทแลว้ เดอื นทสี่ องสวดปาฏโิ มกข์
ล�ำดบั ๆ มา ใช้เวลาสวด ๔๐ นาที หรอื ๔๕ นาทเี ป็นอยา่ งมาก สวดมาจนกระทงั่ ถึง ๑ พรรษา จนถงึ
พรรษา ๒๐ จึงไดล้ ดละบ้าง นั่นแหละ”
การสวดปาฏิโมกข์
การสวดปาฏิโมกข์ หรือ พระวินยั ๒๒๗ ขอ้ เปน็ กจิ ส�ำคญั อยา่ งหนึ่งของสงฆ์ ในพระไตรปฎิ ก
จารกึ ไว้ในหัวข้อ อุโบสถขันธกะ (หมวดว่าดว้ ยอุโบสถ) ดงั นี้
“พระเจ้าพิมพิสารจอมทพั แคว้นมคธ เหน็ นกั บวชลัทธอิ นื่ ประชมุ กันกลา่ วธรรม ในวนั ๑๔ ค่�ำ,
๑๕ ค่�ำ, และ ๘ ค่�ำ แหง่ ปักษ์ มคี นไปฟงั ธรรม มคี วามรัก ความเล่ือมใส ท�ำให้นกั บวชเหล่านน้ั มี
30
ผเู้ ข้าเป็นฝกั ฝ่าย ทรงปรารภจะให้ภกิ ษุในพระพทุ ธศาสนาทำ� อยา่ งนัน้ บ้าง จงึ เขา้ เฝา้ พระผู้มพี ระภาค
กราบทูลพระราชด�ำรินั้น พระผู้มีพระภาคก็ทรงอนุมัติ ประทานพระพุทธานุญาตให้ภิกษุท้ังหลาย
ประชุมกันในวัน ๑๔ ค่�ำ, ๑๕ ค่�ำ และ ๘ ค�่ำ แห่งปกั ษ์
ครัง้ แรกภิกษทุ ัง้ หลายประชุมกนั แต่น่ังนง่ิ ๆ ชาวบ้านจะฟงั ธรรมก็ไมไ่ ดฟ้ งั จงึ ติเตียน พระผู้มี–
พระภาคจึงทรงอนญุ าตใหป้ ระชุมกันเพื่อกลา่ วธรรม
การสวดปาฏิโมกขเ์ ปน็ อุโบสถกรรม พระผูม้ พี ระภาคทรงพระด�ำรวิ า่ สิกขาบททท่ี รงบัญญตั ิ
แกภ่ กิ ษทุ ง้ั หลาย ควรอนญุ าตให้สวดเป็นปาฏิโมกข์นัน้ จกั เป็นอโุ บสถกรรม คือการท�ำอโุ บสถของภกิ ษุ
เหล่าน้ัน จงึ ทรงบญั ญตั ิตามที่ทรงพระดำ� ริน้นั และทรงแสดงวธิ ีสวดปาฏิโมกข์ เริม่ ตงั้ แต่กจิ เบื้องตน้
ขอ้ ก�ำหนดเพมิ่ เตมิ เกยี่ วกบั ปาฏิโมกข์ มมี ากมายด้วยกนั เชน่
๑. ภิกษุท้ังหลายสวดปาฏิโมกข์ทุกวัน ตรัสห้ามและปรับอาบัติทุกกฏแก่ผู้ท�ำเช่นนั้น ทรง
อนญุ าตใหส้ วดเฉพาะวนั อโุ บสถ
๒. ภิกษทุ ้ังหลายสวดปาฏโิ มกข์ ๓ ครงั้ ตอ่ ๑ ปกั ษ์ (ก่งึ เดือน) คือในวนั ๑๔ ค�่ำ, ๑๕ ค�่ำ, และ
๘ ค่�ำ, ตรัสหา้ มและปรบั อาบตั ทิ ุกกฏแกผ่ ู้ทำ� เชน่ น้นั ทรงอนญุ าตใหส้ วดปาฏิโมกขเ์ พียงครัง้ เดียวตอ่
๑ ปักษ์ คือในวัน ๑๔ คำ�่ หรอื ๑๕ ค�่ำ ฯลฯ”
การสวดมนต์บทไหนในพระพุทธศาสนา ไม่มีบทสวดใดจะยากเท่ากับการสวดปาฏิโมกข์
หรือ การสาธยายศีล ๒๒๗ ขอ้ ซง่ึ จะตอ้ งสวดเปน็ ภาษาบาลลี ว้ นๆ ตง้ั แตข่ ้อ ๑ ไปจนกระท่ังจบหมด
ทุกขอ้ และตอ้ งสวดไมใ่ ห้ผดิ อีกต่างหาก โดยมพี ระภิกษผุ ้คู อยตรวจทานไม่ให้สวดผิด หากสวดผดิ
กต็ ้องทักท้วงแก้ไขให้ถกู ต้อง จึงจะสวดต่อไปได้ กว่าจะสวดจนจบ ต้องใช้เวลาไม่นอ้ ย โดยมาตรฐาน
ประมาณ ๔๕ นาที
โดยองคห์ ลวงตาพระมหาบวั าณสมฺปนโฺ น ได้เมตตาเทศนถ์ งึ การสวดปาฏโิ มกข์ ไว้ดงั นี้
“ในระยะขั้นเริ่มแรกแห่งการสวดนี้ถึงจะไม่รวดเร็วอะไรก็ตาม เราไม่ถือเป็นส�ำคัญยิ่งกว่า
การสวดให้ถูกตอ้ งตามอกั ขระฐานกรณ์ เมื่อจำ� ไดแ้ มน่ ย�ำ สวดไดถ้ กู ตอ้ ง ในเบ้ืองตน้ แม้จะสวดชา้
ไปบ้าง แต่เมื่อความเคยชินมีแล้วก็รวดเร็วไปเอง ไม่ใช่เร็วแบบไม่ได้ถ้อยได้ความ เร็วตกตามบท
ตามบาท ที่ไหนท่ีมรี ัสสะมากๆ กเ็ ร็ว ทมี่ ที ฆี ะมากๆ ก็ช้าไปเอง ตามจังหวะของการสวดท่ีมีเสยี งส้นั
เสียงยาว เคยชนิ แล้วเปน็ ไปเอง ความเรว็ กเ็ รว็ ไปเอง เร็วไปตามหลักแหง่ ความถูกตอ้ ง ไมใ่ ช่รวดเรว็
ไปด้วยสักแต่ว่าอย่างน้ันไม่นับเข้าในกฎเกณฑ์น้ี สวดมนต์สวดอะไรก็ตาม ดูสูตรไหน ดูให้ถูกต้อง
แม่นย�ำอย่าให้คลาดเคลื่อน อย่าถือว่าไม่ส�ำคัญ ศาสนาส�ำคัญท้ังพระสูตร ทั้งพระวินัย ทั้งปรมัตถ์
ส�ำคัญหมด สูตรต่างๆ ออกมาจากจ�ำพวกไหน จำ� พวกพระสตู ร หรอื พระวินยั หรอื พระปรมัตถ์ ก็ให้
ถูกต้องตามนน้ั อย่าทำ� มักง่ายไม่ดี”
31
เป็นพระบวชใหม่ต้ังใจภาวนา
ทา่ นพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฺ ท่านมคี วามปรารถนาอย่างแรงกลา้ ม่งุ ตอ่ มรรคผลนพิ พาน
โดยถา่ ยเดยี ว เมอ่ื ทา่ นเป็นพระบวชใหม่เพียงพรรษาแรก ท่านก็มีโชควาสนาอ�ำนวยได้พบกับครบู า–
อาจารย์ท่ปี ฏบิ ัติดี ปฏบิ ัตชิ อบ เช่นเดียวกับกรณีของทา่ นพระอาจารย์สงิ หท์ อง ธมฺมวโร เมือ่ เปน็
พระบวชใหม่เพียงพรรษาแรก ก็ได้พบกบั ทา่ นพระอาจารยบ์ ุญสิงห์ สหี นาโท ศษิ ยอ์ าวุโสองคห์ นง่ึ
ของท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ส่วนท่านพระอาจารย์จวนได้พบกับท่านพระอาจารย์เกิ่ง
อธมิ ตุ ฺตโก ซึ่งเป็นพระศษิ ย์อาวุโสส�ำคัญองคห์ นง่ึ ของทา่ นพระอาจารยม์ ั่น ภูรทิ ตฺตมหาเถร เปน็
พระประเภท “เพชรนำ้� หนง่ึ ” โดยองค์หลวงตาพระมหาบวั าณสมฺปนโฺ น ได้เมตตาเทศนช์ มทา่ น
พระอาจารย์เกิง่ ไวด้ งั นี้
“ชลบุรนี ีก้ เ็ ป็นหลวงปู่เกง่ิ ล่ะ หลวงปเู่ กิง่ หลวงปสู่ ีลา เป็นอุปัชฌาย์ทงั้ สององค์ ได้ฟงั เทศน์
หลวงปู่มั่นที่สามผง เกิดความเคารพเล่ือมใส โละหมดเลยที่เป็นอุปัชฌาย์ ญัตติหมดท้ังสองวัด
อาจารย์เก่ิง – ท่านอาจารยส์ ลี า เปน็ อุปชั ฌายท์ ้งั สอง อาจารย์สีลา บ้านวาใหญ่ อากาศอ�ำนวย อาจารย์
เกิ่ง บ้านสามผง พอใจด้วยกันท้ังสองอุปัชฌาย์ เลยยกญัตติหมดเลย หลวงปู่มั่นเราไปพักท่ีนั่นเกิด
ความเคารพเลือ่ มใส กเ็ ป็นลูกศษิ ย์ทา่ นมาตลอด หลวงปเู่ กง่ิ ทราบวา่ อฐั ขิ องทา่ นกลายเป็นพระธาตุนะ
ใจเดด็ เดีย่ วมากท่านอาจารย์เก่ิง ทา่ นไปอยทู่ างเมืองชลฯ ออกจากน้ีทา่ นก็ไปอยู่ทเี่ มืองชลฯ สถานทีน่ ั่น
จึงมีวัดกรรมฐานเยอะนะท่ีจังหวัดชลบุรี ก็จากท่านอาจารย์เกิ่ง เป็นพระท่ีเด็ดเดี่ยว การประพฤติ
ปฏิบตั เิ ครง่ ครดั เด็ดเดยี่ วมากทเี ดยี ว น่าเคารพเล่อื มใส
ท่านก็มาเสียแล้ว ฟังว่าอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ สมควรแล้ว ท่านน่าเคารพเล่ือมใส
มานานแล้ว ไม่ได้สนิทสนมกันนักกับเรา แต่เคยคุยกันเร่ืองอรรถเรื่องธรรมพอสมควร ท่านอยู่
บ้านสามผง เปน็ อุปชั ฌาย์ ยกทั้งวดั ญตั ตใิ หม่หมดเลย เคารพเลอ่ื มใสหลวงปู่ม่นั เรา ท่านอาจารยเ์ กงิ่ น้ี
ออกจากนี้ ท่านลงไปทางจงั หวดั ชลบรุ ี จงึ มวี ดั มวี าเยอะนะทางนนู้ ท่านไปอยทู่ บ่ี างพระทีแรก จากนัน้
กข็ ยายออกไปเรอ่ื ย วัดกรรมฐานทางเมืองชลฯ จึงมเี ยอะ
วดั เขาฉลาก อาจารย์ใชอ่ ยู่ เรากอ็ ดคิดไม่ไดว้ ่านา่ จะไปจากท่านอาจารยเ์ กิ่ง เดด็ เดย่ี วมากนะ
ท่านอาจารย์เก่งิ นิสยั เดด็ เดยี่ วมากทีเดียว เดนิ ตามหลักธรรมหลักวนิ ยั ทราบวา่ ทา่ นมรณภาพแลว้
อฐั ิของท่านกลายเปน็ พระธาตุ น่กี ็ลูกศิษย์ของหลวงป่มู ่นั เรา ลกู ศษิ ย์ขั้นผู้ใหญ่ ท่านอาจารยเ์ กิง่ –
ทา่ นอาจารยส์ ลี า น่เี ป็นอปุ ัชฌาย์มาแล้วนะนี่ เปน็ อุปชั ฌาย์ฝา่ ยมหานิกาย ยกท้งั วดั ญตั ติใหมเ่ ปน็
ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเรา อาจารย์สีลา บ้านวาใหญ่ อากาศอ�ำนวย ท่านอาจารย์เก่ิง บ้านสามผง
ท่านอาจารย์เก่งิ บวชแล้ว ท่านออกจากนแ้ี ลว้ ทา่ นไปอยู่ทางจังหวัดชลฯ จงึ มีวดั กรรมฐานหลายแห่ง
ทางนูน้
32
ลูกศษิ ยห์ ลวงปู่มั่นเราเปน็ ผู้ใหญๆ่ มเี ยอะ ล่วงไปหมด อยา่ งท่านอาจารย์เก่ิง อาจารยส์ ีลา
ลกู ศิษย์ผู้ใหญ่ท่าน ไลม่ าหาทา่ นอาจารยข์ าว ท่านอาจารยฝ์ ั้นมาเร่ือยๆ ร่นุ นนั้ รนุ่ ก่อน อาจารยส์ ีลา –
อาจารยเ์ กิ่ง รุ่นก่อน น้ีเปน็ อปุ ัชฌาย์ท้ังสององค์ ยกท้งั วดั ญตั ติหมดเลย เป็นลูกศิษย์หลวงปมู่ ัน่ ”
ท่านพระอาจารย์เก่ิงได้ปฏิบัติให้ท่านพระอาจารย์จวนดูเป็นแบบอย่าง พร้อมกับได้เมตตา
แนะน�ำส่ังสอนท่านด้วยความเอาใจใส่ ซ่ึงท่านพระอาจารย์จวนก็ถือธุดงควัตรอย่างเคร่งครัดและได้
ต้ังใจปฏิบัติภาวนาอย่างเอาจริงเอาจังนับต้ังแต่พรรษาแรก โดย ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ
ไดเ้ มตตาเทศน์เร่ืองน้ีไว้ดงั นี้
“ตอ่ แตน่ นั้ ท่านพระอาจารย์เกิง่ อธมิ ตุ ฺตโก ท่านเปน็ ผู้เครง่ ครัดในทางธดุ งคแ์ ละปฏบิ ตั ิมาก
ทา่ นว่า “พระใหมน่ ่ี พระบวชใหมน่ เ่ี ดนิ จงกรมมากๆ นะ นั่งมากๆ นะ นอนไมไ่ ด้นะ” ท่านก�ำชบั
“อย่าไปกินอ่ิมนะ” นี่ท่านบอก แล้วข้าพเจ้าพระภิกษุจวน กุลเชฏฺโ ท�ำความเพียรขะมักเขม้น
เดินมาก นง่ั มาก กนิ นอ้ ย บางวนั กฉ็ ัน บางวันกไ็ ม่ฉัน สลับกันไป ทนี ้ีทา่ นพระอาจารย์เกงิ่ ท่าน
เห็นดังน้ัน นานไปกซ็ บู ผอม ท่านเลยว่า “เออ ! พระบวชใหม่อยา่ ไปอดข้าวมากสิ ธาตุมนั จะพิการ
ฉนั เสยี ” กเ็ ลยฉัน น่แี หละ ขา้ พเจา้ อปุ สมบทปีนัน้ ปีจุดศพถวายพระเพลงิ ทา่ นพระอาจารยเ์ สาร์
กนตฺ สีโล น่ันเอง ปนี นั้ แหละ”
งานประชมุ เพลงิ ศพทา่ นพระอาจารยเ์ สาร์ กนฺตสโี ล คณะศษิ ยไ์ ดจ้ ดั ถวาย ณ วดั บูรพาราม
อำ� เภอเมอื ง จังหวัดอบุ ลราชธานี ในวันท่ี ๑๕ – ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๖ โดยมีสมเด็จพระมหา–
วีรวงศ์ (อว้ น ติสโฺ ส) เป็นประธานในงาน และ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เปน็ องค์แสดงธรรม
ในเร่อื งการอดอาหารนัน้ เปน็ อุบายวธิ ีหนงึ่ ท่ชี ่วยในการปฏิบตั ภิ าวนา ซึ่งองคส์ มเดจ็ พระสมั มา–
สัมพุทธเจ้าทรงอนุญาต มีการบัญญัติในบุพพสิกขา โดยองค์หลวงตาพระมหาบัว าณสมฺปนฺโน
ได้เมตตาเทศนไ์ วด้ ังนี้
“การอดอาหารน้ี ท่านมีบอกไวส้ องแง่ คือ ถ้าอดเพื่อโอ้เพ่ืออวดแล้วปรบั อาบัตทิ กุ อิรยิ าบถ
ทุกความเคล่ือนไหว ก็คือหมายความว่า ไม่ให้อด แต่ถ้าอดเพื่ออรรถเพ่ือธรรม เพื่อความพาก
ความเพยี ร อดเถิด เราตถาคตอนุญาต น่มี แี งอ่ ยูอ่ ย่างน้ี ถา้ อดเพอื่ โอเ้ พื่ออวดแลว้ ปรับอาบตั โิ ทษ
ตลอดเวลาทุกความเคลอื่ นไหว แต่ถ้าอดเพื่อประกอบความพากเพียรแลว้ อดเถดิ เราตถาคตอนุญาต
นั่นท่านว่าอยา่ งนัน้ ”
กรณีของท่านพระอาจารย์จวนในระยะนั้น เมื่อท่านพระอาจารย์เก่ิงสั่งด้วยความเป็นห่วง
เชน่ นน้ั ท่านจึงต้องยอมฉันอาหารบา้ ง โดยฉันพอใหไ้ ดเ้ ยียวยาธาตุขนั ธ์
33
ประวัติย่อ ท่านพระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก
ทา่ นพระอาจารยเ์ ก่ิง เกดิ ในสกลุ ทันธรรม เมื่อวนั อาทิตยท์ ่ี ๓๐ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๓๐ ตรงกบั
สมยั รชั กาลท่ี ๕ ที่บา้ นสามผง ต�ำบลสามผง อ�ำเภอศรีสงคราม จังหวดั นครพนม ท่านเปน็ บุตรคนที่ ๓
โยมบดิ ามารดาชอื่ นายทันและนางหนูมั่น ทันธรรม ครอบครวั ประกอบอาชีพท�ำไรท่ ำ� นา
การอุปสมบท ไดอ้ ปุ สมบทเปน็ พระภิกษุฝา่ ยมหานกิ ายทีว่ ดั โพธิช์ ัย บา้ นสามผง ตำ� บลสามผง
อ�ำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐ มีพระอาจารย์ค�ำดี เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอาจารยส์ าย เปน็ พระกรรมวาจาจารย์
เม่ือบวชแล้วท่านก็ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมจนเป็นพระเถราจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นท่ี
เคารพนบั ถอื ของประชาชนแถบลมุ่ แม่นำ�้ สงคราม จนกระทั่งไดเ้ ปน็ เจ้าอาวาสวดั โพธิ์ชัย ทา่ นได้รับ
การแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ เป็นเจ้าส�ำนักเรียนนักธรรมและบาลี และเป็นครูใหญ่ท่านแรกของ
โรงเรยี นประถมศกึ ษาแห่งต�ำบลสามผง ทีต่ ้งั อย่ใู นวดั นีด้ ว้ ย
พ.ศ. ๒๔๖๙ แมท้ า่ นพระอาจารยเ์ กิ่ง จะเป็นพระอาจารยท์ ี่มผี ู้ศรทั ธาเล่ือมใสมากมาย และ
มอี ายพุ รรษาถึง ๑๙ พรรษาแล้ว แตท่ า่ นกย็ งั สนใจทจี่ ะเสาะแสวงหาอาจารย์ท่ีปฏบิ ตั ดิ ี ปฏบิ ัตชิ อบ
ดว้ ยยงั มีข้อข้องใจในการปฏบิ ตั ิธรรมท่ีค้างคาใจอยู่ ในระยะหลังทา่ นกเ็ ริม่ ได้ยินกติ ตศิ ัพท์ช่ือเสียงของ
ทา่ นพระอาจารยเ์ สาร์ และ ทา่ นพระอาจารย์ม่ัน วา่ เป็นผมู้ คี ณุ วิเศษในทางธรรม ก็เกดิ มคี วามสนใจ
คร้นั ตอ่ มา ท่านพระอาจารย์เกง่ิ ไดถ้ วายตวั เป็นศิษย์อยู่ปฏบิ ัตธิ รรมกบั ทา่ นพระอาจารย์มนั่
อยา่ งใกล้ชดิ จนเกดิ ผลประจกั ษ์ทางใจอยา่ งทไ่ี ม่เคยได้สัมผสั รับรู้มาก่อน ในท่สี ดุ ท่านได้ตดั สินใจสละ
ต�ำแหน่งและลาภยศตา่ งๆ ท้ังหมด แล้วขอญัตติเปน็ ธรรมยุต พรอ้ มกบั ท่านพระอาจารย์สลี า รวมท้ัง
ลูกศิษย์พระเณรของพระอาจารย์ทั้งสองก็ขอญัตติตามหมดท้ังวัด รวมประมาณ ๒๐ องค์ และมี
หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ซ่ึงในครั้งนน้ั ยงั เป็นสามเณรรวมอยดู่ ว้ ยรูปหน่งึ
การญัตติธรรมยุต ได้กระท�ำพิธีที่อุทกุกเขปสีมา (โบสถ์น้�ำ) หนองสามผง เมื่อวันท่ี ๑๙
มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๖๙ โดยท่านเจ้าคณุ พระธรรมเจดยี ์ (จมู พนฺธโุ ล) เมื่อครัง้ เปน็ พระครชู ิโนวาทธ�ำรง
เปน็ พระอุปัชฌาย์ ทา่ นพระอาจารยส์ ิงห์ ขนตฺ ยาคโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านพระอาจารย์
มหาปิน่ ปญฺาพโล เปน็ พระอนสุ าวนาจารย์ และทา่ นพระอาจารย์ม่นั นง่ั หตั ถบาสรว่ มอยู่ดว้ ย
หลังจากที่ท่านได้ญัตติเป็นพระธรรมยุตแล้วก็ได้เข้าร่วมกับกองทัพธรรมพระกรรมฐาน
โดยมีท่านพระอาจารย์เสาร์ ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านพระอาจารย์สิงห์ เป็นหัวหน้า คร้ังหนึ่ง
ท่านพระอาจารย์เก่ิงเดินทางไปที่บ้านศรีเวินชัยและบ้านดงน้อย ที่ชาวบ้านยังมีความเชื่อเรื่องผีและ
ไสยศาสตร์ ท่านได้อบรมส่งั สอนและใช้กุศโลบายจนความเช่ือเรื่องผีของชาวบา้ นหมดไป
34
ทา่ นพระอาจารยเ์ กงิ่ ท่านถอื ปฏปิ ทาพระธดุ งคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์เสาร์ ท่าน
พระอาจารยม์ ่ัน อยา่ งเคร่งครัด และทา่ นมงุ่ แต่งานภายในดว้ ยการบ�ำเพญ็ สมถะ – วปิ ัสสนากรรมฐาน
จนท่านเป็นท่ียอมรับและเป็นที่เคารพนับถืออย่างสูงอีกองค์หนึ่งในวงกรรมฐาน โดยองค์หลวงตา
พระมหาบัว าณสมปฺ นฺโน ได้เทศนช์ ืน่ ชมทา่ นในหลายๆ วาระ
ท่านมรณภาพด้วยอาการสงบ เมอ่ื วันท่ี ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ ดว้ ยโรคกระเพาะและ
ล�ำไสเ้ รื้อรงั ท่ีวัดโพธช์ิ ยั บ้านสามผง อ�ำเภอศรสี งคราม จังหวดั นครพนม สิริรวมอายุได้ ๗๘ ปี
๓๙ พรรษา (นับตั้งแต่ญัตติเป็นธรรมยุต)
35
ภาค ๓ ออกธุดงค์ต้ังแต่พรรษาแรก
พรรษา ๑ พ.ศ. ๒๔๘๖ จ�ำพรรษาท่ีวัดป่าบ้านพอก หนองคอนท้ัง
ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฺ ท่านเพงิ่ บวชเปน็ พระปา่ ไดเ้ พยี งพรรษาเดียว ทา่ นเคร่งครัด
ในธดุ งควตั ร แมท้ ่านจะอดอาหารเพอ่ื การภาวนา มขี ้อยกเวน้ ไมต่ ้องไปบณิ ฑบาตก็ได้ แตท่ า่ นกไ็ ม่เคย
ขาดการบณิ ฑบาต เพราะท่านต้องการสนองคุณโยมมารดา โดยบิณฑบาตน�ำอาหารมาเลยี้ งโยมมารดา
และแจกเพื่อนพระเณรทุกวัน ส่วนการปฏิบัติภาวนา ท่านได้ยึดอุบายวิธีภาวนาตามแนวปฏิปทา
พระธุดงคกรรมฐานสายทา่ นพระอาจารย์มั่นอย่างอุกฤษฏ์เขม้ ขน้
โดยท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ได้เมตตาเทศนเ์ รอ่ื งนี้ไว้ดังนี้
“เม่อื อุปสมบทแล้ว พระอาจารยบ์ งั ทจี่ �ำพรรษาอยู่อำ� เภอเลิงนกทา ไมม่ พี ระปาฏโิ มกข์ ก็เลย
มาขอจากอุปชั ฌาย์ อปุ ัชฌาย์กเ็ ลยใหไ้ ปจำ� พรรษาทีอ่ �ำเภอเลงิ นกทา วัดปา่ บ้านพอก หนองคอนทั้ง
น่นั แหละ
พระอาจารยไ์ ด้อบรมในพรรษานนั้ ในพรรษาแรกน้แี หละ โยมมารดาไดไ้ ปบวชเปน็ ชดี ้วย และ
ข้าพเจา้ ก็ได้อธิษฐานฉันเจ ไม่ฉนั เนอื้ ฉันแตผ่ ัก พริกเกลอื ไป น้�ำตาลไปเท่านั้นแหละ ส่วนอาหารท่ี
ไดม้ าคาวหวาน อาหารเนอื้ กส็ ่งให้มารดา ใหโ้ ยมมารดา บางครง้ั บางวัน บางสมัยกอ็ ดข้าวอดอาหาร
ทั้งอดหลับอดนอนระยะ ๔ คืน ๔ วนั ระยะ ๘ วนั ๘ คนื บ้าง อดหลับ อดนอน อดอาหาร แตไ่ ม่ขาด
บณิ ฑบาต ตอ้ งบิณฑบาตทุกวนั เพือ่ มาเลี้ยงโยมมารดา และเพ่อื แจกจา่ ยแก่เพือ่ นสหพรหมจรรยภ์ ิกษุ
สามเณรดว้ ยกัน”
เรอื่ งการอธิษฐานฉนั เจของท่านพระอาจารยจ์ วนในขณะจ�ำพรรษาน้ัน ท่านฉนั เจพรรษาแรก
เพยี งพรรษาเดียวเทา่ นัน้ หลงั จากน้นั ทา่ นไม่ไดก้ ล่าวถึงเลย เรื่องการฉันเจ พระโลกนาถท่อี วดอา้ งว่า
เป็นพระอรหนั ต์ ท่านนิยมการฉันเจ แล้วก็ส่งั สอนใหศ้ ษิ ยฉ์ ันเจตาม สดุ ทา้ ยพระโลกนาถกส็ กึ ไป เร่ืองน้ี
มีพระศิษย์หลวงปู่ม่ันบางองค์หลงผิดไปฉันเจตามพระโลกนาถ แล้วถูกหลวงปู่ม่ันท่านอบรมจนเลิก
ฉนั เจ เพราะประการส�ำคัญ ท่านพระอาจารย์มนั่ ภูรทิ ตตฺ มหาเถร พระปรมาจารยใ์ หญ่ฝา่ ยกรรมฐาน
ทา่ นฉนั เนอ้ื ฉนั ปลาโดยยดึ หลกั พระธรรมวนิ ยั ทา่ นจงึ ไมส่ ง่ เสรมิ การฉนั เจ โดยองคห์ ลวงตาพระมหาบวั
าณสมปฺ นโฺ น ได้เมตตาเทศน์ไว้ดงั น้ี
“อย่างอุตริไม่ฉันเน้ือฉันปลานี้ก็เหมือนกัน พวกน้ีมีแต่พวกท�ำลายทั้งนั้น พระพุทธเจ้าทรง
เหน็ เหตุการณ์ ทรงบัญญตั ิไว้แล้วทุกสิ่งทกุ อย่าง มันยังมาแกใ้ หมไ่ ด้เดยี๋ วน้ี ถา้ ไมใ่ ชเ่ ทวทัตจะเป็นใคร
ก็เทวทัตเปน็ ผู้ขอเอง ขอพร ๕ ประการนี้ จะยกเทวทัตข้นึ มาเหยียบหัวพระพทุ ธเจ้าได้ยงั ไง พจิ ารณาซิ
ห้ามไม่ให้ฉันเนื้อฉันปลานี้ ก็พระเทวทัตไม่ใช่เหรอ ไปขอจากพระพุทธเจ้า พระองค์ก็บอกว่าเรา
หา้ มไมไ่ ด้ โลกเปน็ อยอู่ ยา่ งน้นั จะไปทำ� ไง ก็เหมือนกับเอาฝ่ามือไปกั้นน้�ำมหาสมุทร องคไ์ หนอยากฉัน
36
ก็ฉนั ไมอ่ ยากฉันก็แล้วแต่ แต่สำ� คญั ทีอ่ ุทิสสมังสะ* เนือ้ เจาะจง ๓ ประการ และเน้อื ๑๐ อย่าง
นั้นแนะ่
ทา่ นก็บอกไวแ้ ล้ว เนื้อมา้ เนือ้ หมา เนื้องู เน้ือช้าง เนือ้ ราชสหี ์ เน้ือเสือโครง่ เสอื เหลอื ง
เสอื ดาว เนือ้ หมี เนือ้ มนุษย์ ท่านก็บอกไวแ้ ล้วทีห่ า้ มฉัน ฉนั นน้ั เป็นอาบตั นิ ้นั ๆ ฉนั เนือ้ มนษุ ยเ์ ป็นอาบตั ิ
ถุลลัจจัย ก็บอกไว้หมด จากนัน้ ก็ห้ามเน้ืออทุ สิ สมังสะที่เขาเจาะจงกบ็ อกไวแ้ ล้ว แมเ้ ช่นนัน้ องคไ์ หน
ไม่รู้ไมเ่ หน็ ก็ฉัน ไดบ้ อกไวอ้ ีก เห็นชดั ๆ กนั อย่แู ล้ว มนั ไปร้อื มาท�ำไม เทวทตั ตายไปแลว้ มันอยากแทน
เทวทตั หรอื อวดอะไร สมบัติของเทวทตั เอามาอวดพระพุทธเจ้าท�ำไม แน่ะ ใครจะไปรู้ดรี ู้ชอบเหมาะสม
ยงิ่ กว่าพระพุทธเจา้ ถ้าหากวา่ เทวทตั รู้ดีรูช้ อบยิง่ กว่าพระพทุ ธเจา้ ก็กราบเทวทัตเสยี ซิ จะวา่ พุทฺธํ สรณํ
คจฉฺ ามิ ทำ� ไม กเ็ ทวทัต สรณํ คจฺฉามิ เสียซิ มนั กเ็ ท่าน้ันเอง ใครชอบอะไรก็เอาน้นั จะไปหาคัดคา้ น
ตา้ นทานโลกคือชาวพทุ ธท่ีเขาถือตามพระพุทธเจา้ ท�ำไม
มันเคยเห็นแล้วน่ี พวกน้ีพออดมากๆ แล้ว โอ ! แหมโจมตีใหญ่นะ จะว่าพูดอะไร แม้แต่
ท่านอาจารย์อุ่นน้ีทา่ นกย็ งั เป็น นนั่ ก็พอดกี บั ทา่ นอาจารยก์ งมาทไ่ี ปกรงุ เทพฯ ดว้ ยกนั ทา่ นอาจารย์
กงมาท่านตรงไปตรงมาน่ี ไปบิณฑบาต “ท่านอาจารย์อุ่นอย่าไปนะวันนี้น่ะ” เอาเลยนะ “ถ้าไป
แลว้ แตกหมดเลยกรุงเทพฯ” เขาเอาหมกห่อใสบ่ าตร พวกอาหารอย่างน้ีโยนท้ิงตอ่ หน้าเขา ท่านเอา
ขนาดน้ันนะ ทา่ นอาจารย์กงมาเลยไม่ใหบ้ ิณฑบาต
ทา่ นวา่ พระแรง้ พระกา พระยักษ์ พระผี ไปหมด ไปทไี่ หนต�ำหนแิ ตเ่ รอื่ งพระ สอนมรรคผล
นิพพานใหค้ นไม่ยอมสอน เอาตวั นี้โจมตไี ปทวั่ โลกดนิ แดน ทา่ นอาจารยอ์ นุ่ นท่ี า่ นกย็ งั ดีอันหนงึ่ ท่าน
จากท่านอาจารย์ม่ันไปเสียนาน ก็ไปเป็นความเห็นผิดอย่างฝังจมอย่างน้ีนะ เวลากลับไปหาท่าน
อาจารย์มัน่ เราอยู่หนองผือน่ี ทา่ นก็ใสเ่ อาเสียหนักๆ ก็ดนี ะท่านร้ตู ัวแก้ทันทีเลย นี่น่าชมท่าน”
การภาวนาเพียงพรรษาแรกก็เกิดภาพนิมิตแปลกๆ
การภาวนาแล้วเกดิ ภาพนมิ ติ ตา่ งๆ นน้ั เปน็ ไปในบางราย องค์หลวงตาพระมหาบัวเทศน์ไวว้ ่า
“จริตนิสยั ทจี่ ะชอบรู้สิ่งตา่ งๆ นานาอย่างนี้ ถ้าคดิ เปน็ เปอรเ์ ซน็ ต์แลว้ ก็มีในราวสกั ห้าเปอร์เซน็ ต”์
ในวงกรรมฐานท่ีท่านภาวนาแล้วเกิดนิมิตต่างๆ เช่น ท่านพระอาจารย์ม่ัน ภูริทตฺโต คุณแม่ชีแก้ว
เสียงลำ้� เป็นต้น โดยองค์หลวงตาพระมหาบัว าณสมฺปนฺโน ไดเ้ มตตาเทศนเ์ ร่อื งนิมิตไวด้ ังนี้
* อุทิสสมังสะ เนื้อสัตว์ท่ีเขาฆ่าเจาะจงเพื่อถวายภิกษุ ท่านมิให้ภิกษุฉัน, หากภิกษุฉัน
ท้งั ไดเ้ หน็ ได้ยนิ หรอื สงสยั ว่า เขาฆา่ เพอ่ื ถวายตน ต้องอาบัติทุกกฏ
37
“ภาวนาเกิดความสงบขึ้นมา จะสงบประเภทไหน เราก็รู้ของเราเอง ชื่อนามนั้นเป็นอีก
อย่างหนึง่ เช่น ขณิกะ อุปจาระ อปั ปนา กค็ อื ความละเอียดแห่งความสงบนนั่ เองพดู แล้ว ขณิกะกค็ อื
สงบลงไปช่วั ขณะน้ีแลว้ กถ็ อยออกมาเสีย อุปจาระท่านวา่ รวมเฉียดๆ กห็ ากถูก หรอื นยั หน่งึ กล่าวไว้
ว่ารวมนานกว่าขณิกะ อุปจาระน้ันไม่ใช่เป็นการเรียงล�ำดับของสมาธิจากขั้นต�่ำไปข้ันสูง เช่น ข้ัน
อุปจาระ แล้วไปหาอัปปนา ค�ำวา่ “อุปจาระ” น้ันคอื มนั สงบเข้าไปก็จรงิ แตจ่ ติ มันแฉลบออกไปข้างนอก
พอรวมแล้วไมเ่ ขา้ สู่ภวังค์แหง่ สมาธิ มันแฉลบออกไปรู้เห็นส่ิงตา่ งๆ
อปุ ะ แปลวา่ เข้าไป จาระ แปลวา่ เท่ียว คอื เทีย่ วเห็นน้นั เห็นนี้ รู้นน้ั รนู้ ้ี นี่ก็เปน็ ตามหลักนิสยั
ผทู้ ี่จะรู้ก็รู้เองในวงสมาธิ ไมเ่ คยเรยี นรอู้ ะไรก็ตาม เมอื่ ท�ำสมาธแิ ล้วจริตนสิ ยั อย่างไรจะแสดงตวั ขึน้ มา
ในสมาธินน้ั แล เบื้องตน้ ไม่มใี ครบอกวา่ ใหร้ ู้ส่ิงนน้ั ให้เหน็ ภาพนี้ ถ้าหากวา่ มีนสิ ยั ในทางน้นั แล้ว ไมบ่ อก
กร็ ู้ พอจิตเร่ิมเข้าสู่ความสงบแลว้ อาการเหล่านี้จะแสดงตัวออกมามากนอ้ ยตามจรติ นสิ ยั ของตน ไม่มี
ใครบอก มนั เป็นข้ึนมาเอง
โน่นแหละ ตอนเป็นข้นึ มาแลว้ ไม่ทราบจะปฏบิ ัตอิ ย่างไร การเหน็ เชน่ น้นั ถูกหรือผิด จึงตอ้ ง
เล่าใหค้ รูให้อาจารย์ฟัง ท่านก็แนะอบุ ายวธิ วี า่ ใหป้ ฏิบัตอิ ยา่ งนั้นๆ ส่ิงไหนท่ีไม่ดี ท่านก็บอกใหง้ ด อยา่
ไปรู้อยา่ งนน้ั หรอื ประการหน่งึ ถา้ รูอ้ ย่างน้นั ให้พลิกจติ มาเปน็ อยา่ งน้ี เพ่ือแกน้ ิมติ นั้นใหไ้ ด้ประโยชน์
ถ้าไม่แก้มันก็เป็นโทษ บางอย่างก็ท�ำให้เพลิน เพลินจนลืมเนื้อลืมตัวไป บางอย่างก็ท�ำให้โศกเศร้า
เพราะภาพมันก็เหมือนกับเรามองเห็นด้วยตาน้ีเอง ภาพทางใจ บางสิ่งก็น่ารัก บางส่ิงก็น่าเกลียด
นา่ กลัว นา่ เพลดิ เพลิน มีหลายอยา่ ง นีท่ ่านเรียกว่าภาพ นิมติ ท่ปี รากฏขึ้นในวงอปุ จารสมาธิ อันน้ี
ไม่ค่อยมีในนักปฏิบัติท้ังหลาย มีจ�ำนวนน้อยมากที่ผู้ปรากฏเช่นน้ัน เพราะฉะน้ันเราจึงไม่ควรไป
สนใจกบั ภาพต่างๆ หากจะปรากฏจะเปน็ ขน้ึ มา เป็นข้นึ มาตามหลกั นสิ ัยของเราเอง”
การปฏิบัติภาวนาในพรรษาแรกของท่านพระอาจารย์จวนได้เกิดภาพนิมิตแปลกๆ โดยท่าน
พระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ ได้เมตตาเทศน์เรอื่ งนไ้ี วด้ งั น้ี
“ในพรรษานั้นวันพระวนั หน่ึงในระหวา่ งกลางพรรษา ได้น่งั ก�ำหนดฟงั เทศน์ ท่านพระอาจารย์
ท่านเทศน์อยูบ่ นธรรมาสน์ ข้าพเจ้าพระจวนบวชใหมไ่ ด้ก�ำหนดจิตฟงั แล้วจิตนั้นสงบลง ปรากฏภาพ
รา่ งกายของตนน้ี ปรากฏในจิต เปือ่ ยเน่าเปน็ อสภุ ะไปหมด เหมอื นกบั มองดดู ว้ ยตาเนื้อ แขนขาทงั้ สอง
เปือ่ ยขาดหวะ เป็นอสภุ ะ มีปุพโพโลหิตน�้ำเหลอื งไหลออกเลย นีม้ นั ปรากฏภาพนิมิตในจิต ในขณะท่นี ั่ง
ฟังเทศน์ภาวนาของทา่ นอาจารยอ์ ยู่น้ัน นีใ่ นพรรษานั้น แล้วไปแตง่ ทางจงกรมใหม้ ารดา ปูกระดานเลย
ไมใ่ ห้มารดาเหยียบดนิ ปฏบิ ัติมารดาเพ่อื สนองคุณของทา่ น
และในพรรษานั้นแล เกิดภาพนิมิตแปลกๆ ข้าพเจ้าก็ท�ำความพากความเพียรไม่ลดหย่อน
วันหนงึ่ ในพรรษาน้นั ภาวนาวา่ “พุทโธๆ” จติ มันจะรวม และตอนจติ จะรวมนั้นไดเ้ กิดภาพนมิ ติ ข้ึน
มีแม่ไก่สีลายตัวหนึ่งมาจิกกินอุจจาระ คือข้ีที่ตรงหน้า ก็เลยเอาจิตถามดูว่า “ท่านกินอะไร อันนี้
อะไร ?”
38
“ข”้ี แมไ่ ก่ตอบ
ก็เลยถามแมไ่ กว่ ่า “ท่านเป็นอะไร ?”
แม่ไกต่ อบว่า “ดูก่อนผเู้ ปน็ เจ้า ขา้ พเจ้าเปน็ เทวดา”
ก็เลยถามจติ ก็เลยนึกในจติ ถามแม่ไกว่ า่ “เทวดาท�ำไมกนิ ขเี้ ลา่ ?”
แมไ่ ก่เลยตอบว่า “ดกู ่อนผ้เู ป็นเจา้ มนษุ ยเ์ ราทุกชาติทกุ ภาษาต้องกนิ ข้กี ันอย่างน้แี ล ไม่พ้นจาก
ความกินข้ไี ปได้เลย” นีแ่ มไ่ ก่ตอบ แล้วแมไ่ ก่นั้นก็หายไป
ขา้ พเจา้ จงึ นอ้ มเอาคำ� ตอบของแมไ่ กน่ มิ ติ นน้ั มาพจิ ารณาวา่ “ตวั คนเรานตี้ อ้ งกนิ ขก้ี นั ทง้ั หมดเลย
ก็เลยมาพิจารณาเรื่องของข้ี ว่าเรากินข้ีจริงไหม ?” พิจารณา “ถ้ามันจะเป็นข้ียังไง ผักจะเป็นขี้ยังไง
เน้ือปลาจะเปน็ ขี้ยังไง เพราะมันเป็นเน้ือเป็นปลา”
ก็เลยมาพิจารณาในขณะน้นั “อ้อ ! เกิดจากข้ที ัง้ หมด ข้าวก็เกดิ จากข้ดี นิ ผกั กเ็ กิดจากขดี้ ิน
เนอื้ ปลา ทกุ สิง่ ทุกอย่างทีเ่ ราบริโภคขบฉันลงไปน้ี ล้วนแต่กินขเ้ี ขาทั้งหมด”
“ขอี้ ะไร ?” ถามย้�ำลงไปอีก
จติ หนง่ึ ไดต้ อบขึน้ มา “มนั ก็ขี้ ขีห้ ี ข้คี วยเขานัน่ เอง ก้อนน้�ำแวน่ (อสจุ )ิ เขานน่ั เองวะ อ๋อ !”
ก็เลยพดู ขนึ้
เรื่องน้ีข้าพเจ้าน�ำเอาเร่ืองนี้ไปกราบเรียน ไปได้กราบเรียนท่านอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต
ที่ขณะอยู่ร่วมกบั ท่านในภายหลัง ท่านรบั รองวา่ “จรงิ ๆๆๆ แหม !” ทา่ นว่า “ไมม่ ีอะไร กนิ ข้ีกัน
ทงั้ หมด” ทา่ นรบั รองอยา่ งนน้ั ”
ทา่ นพระอาจารย์จวน กลุ เชฏฺโ ทา่ นเป็นพระภกิ ษุหน่มุ ผ้มู ากลน้ ดว้ ยวาสนาบารมีธรรมและ
มีปัญญามาก เพียงพรรษาแรกทา่ นได้พจิ ารณาสงั ขารธรรม อาหารท่ีกนิ เป็นสิ่งปฏกิ ลู ตามธรรมค�ำสอน
ขององค์สมเดจ็ พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า โดยทา่ นพระอาจารย์จวนไดเ้ มตตาเทศน์เรอ่ื งนี้ไวด้ ังนี้
“ให้เธอน้นั มีสตปิ ญั ญาน้อมเขา้ มาพจิ ารณาสงั ขารร่างกายของเราน้ีแหละว่า สังขารธรรม คือ
รา่ งกายของเรานแี้ หละ มีความแปรปรวนอยเู่ ปน็ นิจ เป็นทุกขอ์ ยูเ่ ปน็ นิจ เปรียบเหมือนดว้ ยของยมื ผอู้ น่ื
เขามา เป็นไข้อยู่เป็นนิจ สังขารธรรมน้ีเป็นของปฏิกูลพึงเกลียดโดยประการทั้งปวง มีกลิ่นอันเหม็น
อนั เนา่ อนั สาบอันสางอยเู่ ป็นนจิ สังขารธรรมน้ีเปน็ วัตถอุ นั ชัว่ เปน็ ของชว่ั ยิ่งกวา่ ของท้งั ปวง เปน็ ของ
ปฏิกูลพึงเกลียด เป็นของสกปรกโสโครกอยู่เองเต็มท่ีแล้ว มิหน�ำซ้�ำยังน�ำเอาสิ่งอื่นท่ีสกปรกโสโครก
ตามลงไปอกี ด้วย สิ่งทีน่ ำ� ลงไปแตล่ ะล้วนแล้วเป็นของสกปรกโสโครก
เช่น อาหารการบรโิ ภค ขบฉัน ทเ่ี ราน�ำลงไปนนั้ แต่ละลว้ นแล้วเปน็ ของสกปรกโสโครกทง้ั หมด
เลย อาหารทเ่ี ราจะบริโภคหรือรับประทาน เมอ่ื เรายงั ไม่ได้รับประทาน อยูภ่ ายนอกก็พอดูได้ พอดมได้
39
พอจับพอต้องได้ แต่เม่ือผสมกับร่างกายของเรา ถ่ายทอดออกมาแล้วเป็นของน่าเกลียด จะกลืน
เขา้ ไปอกี กไ็ ม่ได้ น่จี ึงว่าสังขารธรรมน้ี มันน�ำเอาสง่ิ ท่ีสกปรกโสโครกลงไป และอาหารท่ีเราบริโภค
และรับประทานลงไปน้ัน กเ็ ป็นของสกปรกโสโครกอย่เู ตม็ ทีแ่ ลว้ เมอื่ ไปผสมกับเสมหะบ้าง เสลดบ้าง
นำ้� เลือด น้�ำเหลืองบ้าง กย็ ิง่ เปน็ ของสกปรกโสโครก ไฟธาตเุ คย่ี วเขา้ ฟองฟูดบดู เน่าอยู่ในล�ำไสใ้ หญ่
กเ็ ป็นของสกปรกโสโครกยง่ิ กว่าภายนอกอีก และอาหารทเ่ี ราบรโิ ภคและรบั ประทานเขา้ ไปนน้ั ทา่ นว่า
แบง่ ออกเปน็ ๕ สว่ น
ส่วนหนง่ึ เป็นอาหารของหนอน เรารบั ประทานเขา้ ไป ๔ – ๕ คำ� แรก น้ีเป็นอาหารของหนอน
หนอนท้ังหลายทป่ี ระจำ� อยใู่ นล�ำไส้ใหญ่ พากันฟอนมารับอาหารที่บริโภคลงไปในระหวา่ ง ๔ ค�ำ หรือ
๕ คำ� ครัง้ แรกตอ้ งเป็นอาหารของหนอน หนอนจำ� พวกนเ้ี กดิ ในท่นี ่ี แกท่ ่นี ี่ ตายอยใู่ นที่นี่ ตอ้ งมปี ระจ�ำ
อยใู่ นรา่ งกายของเราทกุ ๆ ท่าน ทุกคน ร่างกายของเราน้ีเป็นเรือนมตู ร เรือนคูถของหนอน เปน็
ชานเรอื นของหนอน เป็นที่อย่ขู องหนอน เปน็ ทีถ่ ่ายอุจจาระ ปสั สาวะ ของหนอน
สว่ นที่ ๒ อาหารส่วนท่ี ๒ เปน็ อาหารใหม่ หนอนประจำ� อยใู่ นลำ� ไสใ้ หญ่
สว่ นที่ ๓ สง่ ไปเลีย้ งอวัยวะตามร่างกายตา่ งๆ
ส่วนท่ี ๔ เพลงิ ธาตุ ไฟธาตุ เผาใหไ้ หมใ้ หเ้ กรยี มสูญหายละลายเปน็ ไอระเหยไปเลย
สว่ นท่ ี ๕ เปน็ อาหารเก่า ถ่ายทอดออกมาตามทวารตา่ งๆ เรยี กวา่ ขท้ี ง้ั หมด ถ่ายทอดออกมา
ตามตา ขตี้ า ขหี้ ู ขี้มกู ขี้ปาก ขี้ฟนั ข้ีเหง่ือ ขี้ไคล ถ่ายทอดมาทางทวารเบา ระดอู ันเหมน็ อนั เนา่
ทางทวารหนัก ตด และข้ี ไม่ดีทั้งหมด แต่ละล้วนแล้วเป็นของปฏิกูลพึงเกลียด ร่างกายของเราน้ี
ถา้ ไมป่ ระดบั กป็ ราศจากงาม ขจดั จากงามเพราะเหตทุ ไี่ มป่ ระดบั ถา้ ไมช่ ำ� ระสะสาง ไมป่ ระดบั ประดาแลว้
หาความงามไมไ่ ด้ รา่ งกายของเราน้เี ป็นของปฏิกูลพงึ เกลยี ด โดยประการท้งั ปวง ทัง้ ภายในภายนอก
ท้งั เบ้อื งบนเบ้ืองลา่ ง
สังขารธรรมนี้เป็น อจินไตย จะว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอนไม่ได้เลยเป็นอันขาด เพราะเป็นไป
ตามอ�ำนาจวิสยั แห่งตนตามถนัดตน ตามล�ำพังตน ไม่มีใครตักเตอื นวา่ กลา่ วสัง่ สอนได้เลย และสงั ขาร–
ธรรมน้ีไมม่ ผี ู้ใดใครผูห้ นง่ึ จะพึงเป็นใหญ่ ย่�ำยี ขู่ข่ี ขู่เขญ็ ได้เลยเปน็ อนั ขาด ถึงแมท้ า่ นผู้มอี �ำนาจอาชญา
จะปราบปรามปจั จามติ ร คอื ข้าศกึ ศตั รูไปไดท้ ัว่ ทกุ ทศิ ตลอดถึงพื้นปฐพีมณฑลนนั้ กต็ าม แต่จะมา
ปราบปรามสงั ขารธรรมอันน้ี มใิ หเ้ หมน็ มใิ ห้เน่า ปราบปรามมิใหเ้ ฒ่า มิใหแ้ ก่ มใิ หเ้ จบ็ มิใหต้ ายนนั้
จะปราบปรามไม่ได้เลยเปน็ อนั ขาด”
ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ ท่านเหน็ ภาพนิมิตตัง้ แต่พรรษาแรก แตท่ า่ นกไ็ มส่ ำ� คญั ตน
โดยทา่ นพระอาจารย์จวนเทศนเ์ ร่ืองนี้ไว้ดงั น้ี
40
“น่ีแหละ ก็เลยเกิดความสลดสังเวชในพรรษาน้ันว่าตนกินขี้ และในพรรษาน้ันพอรุ่งเช้า
เมือ่ ท�ำภัตกิจเสร็จคือฉนั เสร็จ จะกลับข้ึนไปกฏุ ิ ก�ำลังทจี่ ะเก็บบริขารพบั ซ้อนไวใ้ ห้เรียบรอ้ ย พอดี
ข้าพเจ้าพระจวนนั่นเองได้มองหน้าไปทางหน้าจ่ัวทิศตะวันออกของกุฏิ ได้เห็นหญิงคนหน่ึงยืนอยู่ท่ี
หนา้ จั่วนงุ่ สีลาย เคร่ืองนุ่งกล็ าย เส้ือกล็ าย มผี มยาว ถือตะกร้าหมากยนื อยทู่ ห่ี น้ากฏุ ิ ขา้ พเจา้ มองดเู ปน็
หญิงมรี ปู สวยมาก และก็นกึ ในใจว่า “อะไรนี่ ?” ใจหนงึ่ ตอบข้ึนมาว่า “นแ่ี หละเทวดา”
“เอ๊ ! เทวดาท�ำไมมายืนอยูน่ ”่ี ขา้ พเจา้ กเ็ ลยเก็บบรขิ ารเรอ่ื ยๆ ไป
คร้งั ท่ี ๒ ตาเหลือบข้ึนไปกย็ งั เหน็ ภาพเทวดาอยทู่ เี่ ก่า ยังไมห่ ายไปไหน ทนี ขี้ ้าพเจ้าเลยเหลียว
ไปทางอืน่ พรอ้ มกบั คดิ ว่า “เอ ! ท�ำไมเทวดาตนนีจ้ งึ ยงั ปรากฏให้เหน็ อย่อู กี ?” แลว้ กต็ ัง้ ใจเกบ็ ส่งิ ของ
เครอ่ื งบรขิ ารของตนใหเ้ รยี บรอ้ ย ตง้ั ใจระวงั รกั ษาจติ มใิ หฟ้ งุ้ ซา่ น เพราะรอู้ ยวู่ า่ “อนั ความงามนนั้ มกั มี
สง่ิ ทีไ่ มง่ ามซอ่ นอยู่เบือ้ งหลงั เสมอ”
ครั้งที่ ๓ เลยมองไปดูเพื่อทดสอบว่า รูปท่ีปรากฏด้วยตานั้นจะยังเห็นอยู่หรือหายไปแล้ว
พอมองไปคร้งั ท่ี ๓ รปู น้ันกเ็ ลยอันตรธานหายไป เม่ืออันตรธานหายไปมองไมเ่ หน็ ในขณะนัน้ จติ ก็เลย
นกึ ขึน้ ในใจวา่
“ออ๋ ! อยา่ งนีห้ นอ พวกภาวนาเหน็ ภาพนิมิตตา่ งๆ ท่ปี รากฏในขณะทตี่ นภาวนานัน้ คอื เหน็
รปู ภาพต่างๆ ขึน้ มาปรากฏน่นั เอง เขา้ ใจเอาว่าตนได้ญาณ หรือได้หูทพิ ย์ ตาทพิ ย์ และได้ลว่ งรู้จติ ใจ
ของบุคคลอ่นื ”
พวกนเี้ ม่อื เหน็ ภาพนมิ ิตอยา่ งน้กี น็ อ้ มใจเชอ่ื ในภาพนิมติ ที่ปรากฏขึน้ ว่าตนได้บรรลุธรรมวิเศษ
มมี รรคผล เป็นต้น เลยเกิดทิฏฐิมานะ อวดดบิ อวดดี ผลท่สี ุดพวกน้กี เ็ ลยเส่ือมไป ไม่ไดร้ บั ประโยชน์
อันแท้จริงในธรรมะ เร่ืองน้เี คยปรากฏแกพ่ วกนกั ภาวนา นกั ปฏิบตั มิ าเปน็ หลายราย มีความปรากฏ
เกดิ ข้นึ ในใจในขณะน้ัน
และในพรรษาที่ ๑ น้ันแหละ ข้าพเจ้าก็ได้ท�ำความพากความเพียรโดยขะมักเขม้น มีการ
อดหลบั อดนอน อดอาหาร สลบั ซบั ซ้อนกันไปตลอดพรรษา สว่ นด้านจติ ใจกม็ ีความฝกั ใฝ่ในการภาวนา
ยังบริกรรมอยู่ พุทโธๆ เป็นพ้ืน บางคร้ังก็มีการพิจารณาร่างกายของตนที่เคยปรากฏว่าเป็นอสุภะ
ของเปอ่ื ยเนา่ ”
ท่านด�ำเนินตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา
การออกเดนิ ธุดงคต์ ามป่าตามเขาของพระธุดงคกรรมฐาน จำ� เป็นอย่างยิง่ ที่จะตอ้ งด�ำเนินตาม
หลักศีล สมาธิ ปญั ญา หรอื อริยมรรคทัง้ ๘ ประการอยา่ งเคร่งครัด เพราะเมือ่ เขา้ ไปอย่ใู นปา่ ในเขา
อนั เป็นสถานท่ีสงบสงัดแลว้ แม้มศี ีลค้มุ ครองแลว้ ก็ตาม แตจ่ ิตใจจะสงบสงดั เองกห็ าไม่ หากไมไ่ ดต้ ง้ั ใจ
บ�ำเพญ็ ภาวนาอยา่ งเอาจริงเอาจัง จติ ใจยอ่ มไมส่ งบสงดั และสมาธิธรรม ปัญญาธรรมย่อมไมเ่ กิด
41
ทา่ นพระอาจารย์เสาร์ และ ทา่ นพระอาจารย์มนั่ ทา่ นจึงให้ความส�ำคญั หลักของศลี สมาธิ
ปญั ญา และเน้นสอนพระศิษยใ์ ห้ด�ำเนนิ ตาม ทงั้ น้เี พอ่ื ใหผ้ ลการปฏบิ ตั ธิ รรมของพระศษิ ย์จะไดม้ คี วาม
กา้ วหน้า ท่านพระอาจารย์จวน กลุ เชฏฺโ ท่านได้ดำ� เนนิ ตามหลักศลี สมาธิ ปัญญา ตัง้ แตเ่ รม่ิ บวช
พรรษาแรกๆ เชน่ เดียวกบั พอ่ แมค่ รูอาจารย์ทัง้ หลาย เพราะศีล สมาธิ ปัญญา แยกออกจากกันไม่ได้
เปน็ ธรรมเคร่อื งหนุนกันไปตามล�ำดบั โดยองคห์ ลวงตาพระมหาบวั าณสมฺปนฺโน ไดเ้ มตตาเทศนไ์ ว้
ดังน้ี
“พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้ในต�ำรับต�ำรา พระน้ีได้ฟังทุกองค์ในอนุศาสน์ ๘ นิสสัย ๔
อกรณียกิจ ๔ จะยกมาแสดงเพียงนิสสัย ๔ ท่ีพระองค์ทรงส่ังสอน แล้วก็มาสรุปเอาตอนน้ีเลยว่า
ท่านสอนพระในผลแห่งการไปอยู่ตามป่าตามเขา รุกขมูลร่มไม้บ�ำเพ็ญเพียรในป่าในเขา ด้วยธรรม
๓ ประเภท คอื บ�ำเพ็ญศลี สมาธิ ปญั ญา ให้เกิดใหม้ ีในใจของตนจากสถานทีเ่ หมาะสมเชน่ นน้ั เชน่
รกุ ขฺ มูลเสนาสนํ ใหไ้ ปอยู่ในปา่ ในเขาซึ่งเป็นทีส่ งบงบเงียบ สะดวกแกก่ ารบ�ำเพญ็ สมณธรรมไดเ้ ปน็
อยา่ งดี
และผลของการไปบ�ำเพญ็ ในทเ่ี ชน่ น้นั ทา่ นกย็ กศลี สมาธิ ปญั ญาขึน้ ไปอยูใ่ นทเี่ ช่นน้ันกค็ อื
ไปรักษาศีลใหส้ มบรู ณ์บริบรู ณ์ ไปบ�ำเพ็ญสมาธิ คือ ความสงบเย็นใจ ความแนน่ หนามน่ั คงทั้งหลาย
ภายในใจ ปัญญาความรู้แจ้งแทงทะลุ บกุ เบกิ กิเลสตัณหา ตวั มดื ตวั บอด ปดิ ตนั ทางเดินของเราออก
ใหม้ องเหน็ บญุ เหน็ บาป เหน็ ดี เห็นชัว่ ใหเ้ หน็ ทั้งความฟุ้งซ่านท่กี เิ ลสสรา้ งขึ้นมา และความสงบ
ซ่ึงธรรมสร้างข้ึนมาในตัวของเราแต่ละรายๆ ท่านแสดงไว้เป็นอานิสงส์ คือ ผลประโยชน์อันดีงาม
ตลอดถึงผลประโยชน์อันดงี ามถงึ ผลประโยชน์อันสุดยอด ไวว้ ่า
สลี ปรภิ าวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานสิ โํ ส พระบวชแลว้ ทา่ นทรงสอนไว้แลว้ นะ สมาธเิ มอ่ื
ศีลอบรมแลว้ ยอ่ มมผี ลมาก อานสิ งสม์ าก แปลตามภาษาปริยตั ินะ ถ้าแปลตามภาคปฏิบัติ มนั แปลได้
สองนยั แปลดว้ ยพยญั ชนะก็ได้ แปลโดยอรรถก็ได้ แปลโดยอรรถเอาแตเ่ น้ือความปึง๋ เลย
สมาธิเมอื่ มศี ลี อบรมแลว้ ยอ่ มมผี ลมาก คือ ศลี เป็นท่ีอบอุ่น ให้จติ ใจไมว่ อกแวกคลอนแคลน
โดยส�ำคัญว่าศีลของตนด่างพร้อยหรือขาดทะลุอะไร แล้วเกิดความระแวงแคลงใจเป็นนิวรณ์ ทีน้ี
ศีลรักษาดีเรียบร้อยแล้ว มันก็อบอุ่นแล้วบ�ำเพ็ญสมาธิ จิตก็ไม่วอกแวกคลอนแคลนไปตามอารมณ์ที่
เคลือบแคลงสงสยั ในศลี ของตน แล้วสมาธิก็สงบได้งา่ ย
ทนี ้ีสมาธปิ รภิ าวิตา ปญฺ า มหปผฺ ลา โหติ มหานสิ ํสา ปัญญาเมือ่ มสี มาธิเปน็ เครือ่ งหนุน
แล้วย่อมมีความแกล้วกล้าสามารถ หรือเดินได้คล่องตัว แต่ท่านแปลตามปริยัติว่า ย่อมมีผลมาก
มีอานิสงสม์ าก สมาธิอบรม สมาธิ ไดแ้ ก่ จติ ใจท่มี ันอม่ิ อารมณ์ อ่ิมทางรูป ทางเสยี ง ทางกล่นิ ทางรส
เครอื่ งสมั ผสั ต่างๆ อยากคิดอยากปรุงอย่างน้นั อย่างน้ีมันหิวมันโหย พอจติ มสี มาธิแล้วระงบั ดบั อารมณ์
เหล่านั้นมา เรยี กว่า จติ อ่ิมอารมณ์
42
เมื่อจติ อ่มิ อารมณแ์ ล้วทนี ้ใี ห้ด�ำเนินทางดา้ นปญั ญา พิจารณาคล่ีคลาย เกสา โลมา นขา ทันตา
ตโจ เข้าไปภายในภายนอกให้มันแหลกแตกกระจายไปหมด น้เี รียกว่าปัญญา เวลาสมาธิหนนุ ปญั ญา
ปัญญายอ่ มเดนิ ไดค้ ลอ่ งตวั
ท่านชี้อีกว่า ปญฺาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ จิตเมื่อปัญญาอบรม
หรือซักฟอกแล้วย่อมหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ น่ีล่ะอนุศาสน์ท่ีท่านสอนพระบวชมาทุกองค์
ทา่ นสรุปในธรรมเหล่านี้ พวกศลี สมาธิ ปัญญา บวชแลว้ ให้เสาะแสวงหาอย่างน้ี พากนั เข้าอกเข้าใจ”
ในเรือ่ งศีลของสงฆ์ ทา่ นถือพระวนิ ัยจากสิกขาบท ๒๒๗ ข้อ ในพระปาฏิโมกขเ์ ปน็ หลักใหญ่
ต้องรกั ษาใหบ้ รสิ ุทธิ์ ไม่ใหด้ ่างพรอ้ ย ไม่ลว่ งละเมิด เพราะจะน�ำพาพระไปส่คู วามบรสิ ทุ ธิ์ สรา้ งความ
สามัคคใี นหมู่สงฆ์ และถา้ ศลี บรสิ ทุ ธิแ์ ลว้ ในการภาวนาจติ ก็สงบลงไดเ้ รว็
ท่านถือหลักปฏิปทาข้อวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
ทา่ นพระอาจารย์จวน กลุ เชฏฺโ ท่านถือหลกั ปฏปิ ทาขอ้ วัตรปฏิบัตขิ องพระธุดงคกรรมฐาน
สายท่านพระอาจารย์ม่ัน ภูริทตฺตมหาเถร อย่างเคร่งครัด เช่นเดียวกับพ่อแม่ครูอาจารย์ประเภท
“เพชรน�ำ้ หน่ึง” ทงั้ หลาย ซึ่งทา่ นถือนับแต่วันออกบวชเป็นพระธดุ งคกรรมฐานพรรษาแรกตราบจน
วันถงึ แกม่ รณภาพ โดยองคห์ ลวงตาพระมหาบัว าณสมฺปนฺโน ได้เมตตาเรยี บเรยี งหลักปฏปิ ทา
ข้อวัตรปฏิบัติไว้ในหนังสือปฏิปทาพระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์ม่ัน ส�ำหรับความหมาย
หลกั ปฏิปทา ท่านไดก้ ลา่ วไวด้ ังน้ี
“เรื่องปฏปิ ทา คือ ข้อปฏิบัติทีท่ ่านพระอาจารย์ม่นั พาคณะลูกศิษย์ด�ำเนินมาเป็นล�ำดบั จนถงึ
ปจั จุบัน การปฏบิ ตั ิตามปฏิปทานรี้ สู้ กึ ลำ� บาก เพราะเป็นการทวนกระแสโลกท้ังทางกาย ทางวาจา
และทางใจ หลักปฏิปทากม็ ีธดุ งค์ ๑๓ ขนั ธวตั ร ๑๔ มอี าคันตกุ วัตร เป็นตน้ เป็นเครือ่ งบ�ำเพ็ญ
ทางกายโดยมาก และมกี รรมฐาน ๔๐ เป็นเครอ่ื งบ�ำเพ็ญทางใจ สมั พนั ธ์เก่ยี วเน่ืองกนั ไปตามอริ ยิ าบถ
ต่างๆ ของความเพียร”
“พระอรยิ เจ้าทกุ ประเภทไปจากธดุ งควัตรน้ที ้ังนน้ั เพราะธุดงคเ์ ป็นธรรมเคร่อื งท�ำลายกเิ ลส
ได้ทกุ ประเภท ธดุ งควตั รจงึ เปน็ ทางเดินเพอ่ื อรยิ ธรรม อริยบคุ คล”
ธดุ งควตั ร ๑๓ คือ ข้อวตั รปฏบิ ตั ทิ ี่ใชข้ ัดเกลากิเลส ช่วยส่งเสริมใหเ้ กิดความมกั นอ้ ย สนั โดษ
มขี อ้ ปฏิบัติอยู่ ๑๓ อย่าง คือ
๑. ใชผ้ ้าบงั สุกุลเป็นวตั ร (ผา้ บงั สุกลุ คอื ผ้าท่ถี กู ทิง้ แลว้ หรือผา้ พันซากศพ)
๒. ใช้ผ้าสามผนื เปน็ วตั ร (นุ่งห่มเพยี ง ๓ ผนื คือ สบง จวี ร สงั ฆาฏ)ิ
๓. ไปบณิ ฑบาตเป็นวตั ร
43
๔. บิณฑบาตไปตามล�ำดับเป็นวตั ร (งดการเท่ยี วบิณฑบาตไปตามใจอยาก)
๕. น่งั ฉนั อาสนะเดียวเป็นวตั ร (ฉนั วนั ละม้อื เดยี ว ลกุ จากท่แี ลว้ ไม่ฉนั อีก)
๖. ฉนั เฉพาะในบาตรเป็นวตั ร (ไม่ใชภ้ าชนะใบที่ ๒)
๗. ไมฉ่ นั อาหารทถ่ี วายภายหลังเป็นวตั ร (ฉนั เฉพาะอาหารทไ่ี ดจ้ ากการบณิ ฑบาต)
๘. อยู่ปา่ เป็นวตั ร
๙. อยูโ่ คนไม้เป็นวัตร
๑๐. อย่ทู ีแ่ จ้งเปน็ วัตร
๑๑. อยปู่ ่าช้าเปน็ วัตร
๑๒. อยใู่ นเสนาสนะตามแต่เขาจะจดั ใหเ้ ป็นวตั ร
๑๓. ไมน่ อนเปน็ วตั ร (เว้นนอน อยู่ดว้ ยเพียง ๓ อิรยิ าบถ คือ ยนื เดนิ น่งั )
ขันธวัตร ๑๔ คือ ระเบียบวิธีปฏิบัติต่างๆ ในสังคมความเป็นอยู่ของภิกษุ อันส่งเสริมให้
การบำ�เพญ็ สมณธรรมดำ�เนนิ ไปดว้ ยดแี ละเรียบรอ้ ย มีขอ้ ปฏิบัติอยู่ ๑๔ อย่าง คือ
๑. อาคนั ตุกวตั ร หนา้ ทข่ี องอาคันตุกะผู้เข้าไปสูอ่ าวาสอนื่ ต้องมคี วามเคารพตอ่ สถานท่แี ละ
ประพฤติตัวให้เหมาะสม เช่น ถอดรองเท้า หบุ ร่ม หม่ เฉวยี งบา่ เดนิ ไปหาภกิ ษุผู้อยูใ่ นอาวาส ท�ำความ
เคารพท่าน ถามถึงทพี่ กั ห้องนำ้� หอ้ งส้วม น้�ำใชน้ ้�ำฉัน ทำ� ความสะอาดท่ีพกั อาศยั และประพฤติตน
ตามกฎกติกาของวัด เป็นต้น
๒. อาวาสิกวัตร หน้าท่ีของเจ้าอาวาสท่ีจะต้องปฏิบัติต่อพระอาคันตุกะ เช่น หากภิกษุ
อาคันตุกะพรรษาแก่กว่ามา ให้ปูอาสนะ ต้ังน้�ำล้างเท้า ลุกไปรับบาตร จีวร ถวายน�้ำฉันน้�ำใช้
กราบไหว้ บอกเร่อื งตา่ งๆ เช่น ห้องนำ�้ ห้องส้วม โคจรบิณฑบาต และ กตกิ าสงฆ์ ฯลฯ
๓. คมกิ วตั ร หนา้ ท่ขี องผเู้ ตรยี มจะไปทอ่ี นื่ ก่อนออกเดินทางพึงเกบ็ เครอื่ งใชส้ อย เชน่ เตียง
เกา้ อี้ เส่อื หมอน ผ้าห่ม เปน็ ตน้ ไว้ให้ดี ปิดประตหู น้าต่าง ฝากหรอื คืนเสนาสนะใหภ้ ิกษุสามเณร
อบุ าสก หรือ คนของวดั (ให)้ ช่วยดูแล แลว้ จึงเดินทาง ฯลฯ
๔. อนุโมทนวัตร วิธีอนุโมทนา ให้ภิกษุผู้เป็นเถระอนุโมทนา หากทายกนิมนต์ภิกษุหนุ่มให้
อนุโมทนา ต้องบอกหรอื ขอโอกาสพระเถระกอ่ น ในขณะภิกษอุ ืน่ อนโุ มทนาอยู่ หากมเี หตุจำ� เป็น เช่น
ปวดอุจจาระ ถา้ จะลุกไป ต้องลาภิกษผุ ูน้ ง่ั ใกลก้ อ่ น ฯลฯ
๕. ภตั ตคั ควัตร ธรรมเนียมในโรงฉนั หรอื เมื่อไปฉันในบา้ น ต้องนุ่งห่มให้เรียบร้อย เดนิ ไปตาม
ลำ� ดบั อาวโุ ส ไมเ่ บยี ดกนั ปฏบิ ตั ติ ามเสขยิ วตั รทกุ ขอ้ ไมน่ งั่ ชดิ พระเถระ นอกจากทา่ นอนญุ าตจงึ นง่ั ฯลฯ
44
๖. ปิณฑจาริกวัตร ระเบียบประพฤติในเวลาออกบิณฑบาต ให้ปฏิบัติตามเสขิยวตั ร เชน่ นุ่งหม่
ให้เรียบร้อย ซ้อนผ้าสังฆาฏิ ห่มคลุมกลัดรังดุม กลอกบาตร ถือบาตรในจีวร ก�ำหนดทางเข้าออก
ไม่ยืนใกลห้ รอื ไกลจากผใู้ ห้นกั อยา่ มองหนา้ ผถู้ วาย รูปใดกลบั กอ่ นปอู าสนะ ตั้งน้�ำล้างเทา้ ต้งั น้�ำใช้
น้�ำฉัน ฯลฯ
๗. อารัญญิกวัตร ระเบียบของผู้อยู่ป่า ก่อนออกบิณฑบาต เก็บเครื่องใช้สอยไว้ในกุฏิ
ปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย จัดหาน้�ำใช้น้�ำฉันมาเตรียมไว้ เรียนรู้ทิศต่างๆ และการเดินทางของ
ดวงดาวเพือ่ ปอ้ งกันการหลงทาง ฯลฯ
๘. เสนาสนวัตร วิธดี แู ลทอี่ ยู่อาศยั ใหท้ ำ� ความสะอาดอย่เู สมอ ให้เคลื่อนย้ายบริขารดว้ ยความ
ระมดั ระวัง อย่าใหก้ ระทบครูดสพี น้ื ประตู หน้าต่าง ถ้ากฏุ ิเกา่ ให้ซ่อมแซม หากมลี มฝนแรงต้องปดิ
ประตหู น้าตา่ ง ฯลฯ
๙. ชนั ตาฆรวัตร ข้อปฏบิ ตั ิในเรือนไฟท่ีอบกายระงบั โรค ท�ำความสะอาด ต้ังน�ำ้ ไมน่ ง่ั เบยี ดชดิ
พระเถระ ไมก่ ดี กันอาสนะภิกษุหนมุ่ บีบนวดและสรงน�้ำแกพ่ ระเถระ ฯลฯ
๑๐. วจั จกฎุ วี ัตร ระเบยี บปฏบิ ตั ใิ นเวลาเข้าส้วม ถ่ายอจุ จาระปสั สาวะแล้วตอ้ งท�ำความสะอาด
สว้ มให้เรียบร้อย เข้าหอ้ งส้วมตามลำ� ดับท่มี าถงึ กอ่ นหลงั พาดจวี รไวท้ ่ีราวขา้ งนอก อยา่ เลิกผา้ เข้าไป
อย่าเบง่ แรง อย่าเลิกผ้าออกมา นุ่งหม่ เรียบรอ้ ยแลว้ จึงออก ถ้าสว้ มสกปรกใหท้ �ำความสะอาด ตกั น้�ำใส่
ไว้ให้เต็ม ฯลฯ
๑๑. อปุ ัชฌายวัตร วิธีปฏบิ ัตขิ องสทั ธิงวิหาริก (ลูกศิษย)์ ตอ่ อุปัชฌาย์ เขา้ ไปรบั ใชถ้ วายน�้ำลา้ ง
หน้า บ้วนปาก ชว่ ยน่งุ ห่มจีวรให้ ซกั ผา้ ลา้ งบาตร ท�ำความสะอาดกฏุ ิ รับยา่ ม ถ้าเดินทางร่วมกับท่าน
ไมค่ วรเดินใกลห้ รอื ไกลเกินไป ไม่พูดสอดแทรกขณะทา่ นพูดอยู่ จะท�ำอะไรต้องถามทา่ นก่อน จะไป
ไหนตอ้ งกราบลา ปอ้ งกนั อาบัติใหท้ ่าน เอาใจใส่ยามอาพาธ ฯลฯ
๑๒. สัทธงิ วหิ าริกวตั ร ขอ้ ท่อี ุปัชฌาย์จะพงึ มตี อ่ ศิษย์ เช่น อนุเคราะห์ด้วยพระธรรมวนิ ยั อบรม
สั่งสอนอยู่เนืองๆ ให้บริขารเคร่ืองใช้ ถ้าศิษย์อาพาธให้อุปัชฌาย์ปฏิบัติต่อศิษย์ดังในอุปัชฌายวัตร
เช่นกนั เป็นต้น
๑๓. อาจริยวัตร วิธีปฏิบัติต่ออาจารย์ อันเตวาสิก (ศิษย์) ผู้ถือนิสัยอยู่ด้วยอาจารย์
พึงปฏบิ ัติต่ออาจารยด์ งั อุปัชฌายวัตร
๑๔. อันเตวาสิกวัตร วิธีปฏิบัติต่อกันอันเตวาสิก (ศิษย์) อาจารย์ผู้ให้นิสัยพึงปฏิบัติชอบ
สงเคราะห์ศิษยด์ งั สัทธงิ วิหารกิ วัตรทกุ ประการ
วัตร ๑๔ น้ี หากภิกษุไม่เอ้ือเฟื้อ ไม่ท�ำตาม เป็นอาบัติทุกกฏ ในขณะตั้งใจว่าจะไม่ท�ำ
ขอ้ วัตรนัน้ ในขอ้ ใดทเ่ี ป็นคำ� ปฏเิ สธห้าม วา่ “อย่า” หรือ “ไม”่ หากภิกษุขนื ท�ำในข้อน้นั ๆ เปน็ อาบตั ิ
45
ทกุ กฏในขณะเมื่อล่วงละเมิดขอ้ ห้ามน้นั
ท่านถือปฏิปทาอดอยากเดนตาย
ปฏปิ ทาของทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ เปน็ ปฏิปทาอดอยาก และเปน็ ปฏปิ ทาเดนตาย
นบั แต่เปน็ พระธดุ งคกรรมฐานพรรษาแรก ทา่ นเปน็ นกั รบธรรมอกี องค์หนึ่งท่มี ีความเดด็ เดีย่ ว องอาจ
กล้าหาญ พร้อมท่ีจะต่อสู้เผชิญกับทุกข์น้อยใหญ่ท้ังหลายอย่างชนิดไม่เกรงกลัว แม้ชีวิตท่านก็ยอม
สละได้เพอื่ แลกกบั วิมตุ ติธรรม ดงั พุทธศาสนสภุ าษติ บทที่ว่า
จเช ธนํ องฺควรสสฺ เหตุ
องคฺ ํ จเช ชวี ิตํ รกขฺ มาโน
องคฺ ํ ธนํ ชวี ิตญจฺ าปิ สพพฺ ํ
จเช นโร ธมฺมมนุสสฺ รนโฺ ต.
“พึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะเพ่ือรักษาชีวิต พึงสละทรัพย์ อวัยวะ
และแมช้ ีวติ ทุกอยา่ งเพอ่ื รกั ษาธรรม” เพราะว่าธรรมะหรอื สจั ธรรมนั้น แมแ้ ตอ่ งค์สมเด็จพระสัมมา–
สมั พทุ ธเจา้ ผู้เปน็ องค์พระบรมศาสดา คร้นั ทรงสละทรัพย์สมบตั ทิ กุ อย่าง แมก้ ระทงั่ ชีวิต แล้วไดต้ รัสรู้
ธรรมก็ยังเคารพนับถือธรรมะที่ได้ตรัสรู้ เพราะผู้ที่ยึดถือธรรมะไว้เป็นที่พึ่งแล้วอยู่เป็นสุขตลอดไป
อนั เป็นปฏิปทาพระธดุ งคกรรมฐานสายทา่ นพระอาจารยเ์ สาร์ ทา่ นพระอาจารย์มน่ั ที่บรรดาพ่อแม่
ครอู าจารย์ประเภท “เพชรน้ำ� หน่ึง” ทง้ั หลายไดย้ ึดถือจนเปน็ อริยปฏปิ ทา
เมื่อท่านพระอาจารย์จวน ได้บวชเป็นพระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น ผู้เป็น
พระอาจารย์ใหญ่ของท่าน ท่านเป็นอีกองค์หน่ึงที่ได้ด�ำเนินตามอริยปฏิปทาข้ออดอยากเดนตายนี้
อย่างเคารพเคร่งครัดและเด่นชัด โดยการออกเดินเท้าธุดงค์แสวงหาท่ีเงียบสงัดวิเวกตามป่าตามเขา
เพอ่ื ปกั กลดบ�ำเพญ็ สมณธรรม ซ่ึงสถานที่ทา่ นธุดงคไ์ ปน้ัน ในทางโลกแล้วไมต่ อ้ งการ แต่ในทางธรรม
กลับยนิ ดีต้องการ เพราะสถานทีเ่ ชน่ นั้นลว้ นเปน็ สถานท่ีทุรกันดารเปลา่ เปลย่ี วเงยี บเหงาน่ากลัว ไม่มี
ถนนทางรถยนต์ ห่างไกลบ้านเรอื นและผคู้ นสญั จรไปมา ฉะน้ัน ปัจจยั ๔ จึงอัตคดั ขดั สนขาดตก
บกพร่อง แตท่ า่ นพระอาจารย์จวนกลับยนิ ดใี นสถานทเ่ี ชน่ นนั้ เพราะทา่ นจะไดเ้ รง่ บ�ำเพ็ญภาวนาอย่าง
เต็มที่ ไมม่ ีใครมารบกวน
สว่ นการฝึกจิตทรมานใจของท่านก็เปน็ ไปอยา่ งอกุ ฤษฏ์เดนตายนบั แต่พรรษาแรก เชน่ อบุ าย
วธิ ใี นการอดนอน อดอาหาร ผ่อนอาหาร เพอื่ การภาวนา การอยตู่ ามปา่ ชา้ การอยูต่ ามป่าตามเขา
ท่เี ต็มไปดว้ ยไขป้ า่ และสตั วป์ า่ สตั ว์รา้ ย เช่น เสือ หมี เปน็ ต้น
46
โดยองคห์ ลวงตาพระมหาบวั าณสมปฺ นโฺ น ไดเ้ มตตาเทศนเ์ ร่อื งอบุ ายวธิ ีการภาวนาไวด้ งั น้ี
“ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจภาวนา การภาวนานี่เห็นผลประจักษ์ แต่อุบายวิธีการภาวนานี้มี
หลายแง่หลายกระทงนะ อุบายวิธีการท่ีจะเป็นเคร่ืองสนับสนุนภาวนาของเราให้สะดวก ได้ผลเร็ว
กวา่ ปกติ กวา่ วธิ ีการทั้งหลายคอื อะไรบ้าง นอี่ ันหน่ึงนะ เชน่ อดนอนเปน็ ยังไง ทา่ นแสดงไวใ้ นเนสัชชิ
(จดั อยูใ่ นธุดงควตั ร ขอ้ ๑๓) อดนอนเป็นคืนๆ เป็นยงั ไง สงั เกตดู ท้งั ๆ ทเี่ ราต้งั สตภิ าวนาอยู่ดว้ ยดี
มีการเสริมเข้ามาดว้ ยการอดนอน
อดนอนนานเข้าไปเป็นยงั ไง ดู ผอ่ นอาหารเปน็ ยงั ไง อดอาหารเป็นยงั ไง กับฉันอิ่มๆ น้ีเป็นยังไง
ทั้งๆ ท่เี ราภาวนาอยู่ด้วยกนั คอื ฉนั อมิ่ หนำ� สำ� ราญกภ็ าวนา ผอ่ นอาหารกภ็ าวนา อดอาหารก็ภาวนา
ดใู จของเรา มันมคี วามสง่างาม มคี วามผ่องใส แยบคายอยา่ งไรบ้าง ใหด้ ูวิธีการ ไม่ใช่สักแตว่ า่ ทำ� สักแต่
วา่ ท�ำ ไมไ่ ด้เรือ่ งนะ ท่านจงึ มวี ธิ กี ารหลายอย่าง เดนิ มากเปน็ ยังไง เดินนอ้ ยเปน็ ยังไง น่ังมากน่งั นอ้ ย
เป็นยงั ไง ท้ังๆ ทีต่ ้งั สติอย่ดู ว้ ยกนั ผลปรากฏอย่างไรบา้ ง ควรสังเกตวิธกี ารของตัวเอง องคห์ น่ึงคนหนง่ึ
หากจะถกู ตามนสิ ยั ของตัวเองไปในแง่ต่างๆ
ส่วนมากกรรมฐานของเรามักจะถกู ทผ่ี อ่ นอาหาร ทา่ นจงึ ใหฉ้ ันพอประมาณ ไมใ่ หฉ้ นั เลยเถิด
อ่ิมมากมนั ขเี้ กยี จขคี้ ร้านมาก เสริมราคะตณั หามาก คอื อาหารน่เี ป็นเคร่ืองส่งเสรมิ ธาตขุ ันธ์ ธาตขุ ันธ์
เป็นเครื่องมือของกิเลส มีกามกิเลสเป็นส�ำคัญ ถ้ามีอาหารหวานคาวมากๆ แล้วกินมาก นอนมาก
ข้ีเกยี จมาก ความคดิ เร่อื งราคะตัณหา จะเดน่ ขน้ึ เรือ่ ยๆ นบี่ อกอยา่ งงัน้ มนั ไมถ่ ึงกับแสดงอวัยวะนะ
มันยิบแยบ็ ขน้ึ ภายในใจเทา่ นน้ั ก็รแู้ ลว้ วา่ สิง่ เหลา่ นเี้ ป็นภัย ใครจะไปยอมใหม้ ันคดิ เม่อื ไม่ยอมใหค้ ิด
ยงั ไง จะตัดมันใหน้ อ้ ยลงๆ จนกระทัง่ มันขาดไปน้ี ท�ำไมจะไมค่ ดิ ไม่พยายามคนเรา ต้องพยายาม
ด้วยเหตนุ ้เี องจึงตอ้ งใช้วิธีการหลายอย่าง การผอ่ นอาหารมักจะถูก ไมม่ ากนักก็ขอให้มกี ารผ่อน
อาหาร สติจะค่อยดขี ึน้ ๆ ถ้าอิ่มๆ แล้วสติไมไ่ ด้เร่ืองนะ ตั้งป๊บั น่ีมันเผลอไปตลอดเวลา พอผ่อนอาหาร
ลงไปๆ หรอื อดอาหารบ้าง ต้งั สตเิ ป็นยังไง มันจะรูน้ ะ เม่ือมนั รแู้ ลว้ โอ้ ! วธิ กี ารน้ถี ูกต้องดแี ลว้ มนั ก็
ตอ้ งพยายามคนเรา พยายามอด พยายามผ่อนอยงู่ ้นั เพือ่ ผลประโยชนท์ างดา้ นธรรมะ ซึ่งมคี ณุ คา่ มาก
ยิง่ กว่าการกนิ กนิ นก้ี ินเม่ือไรมนั ก็อ่ิม หวิ มาแทบเป็นแทบตายกนิ ปบ๊ั ๆๆ มันกอ็ ม่ิ ทนั ที เหน็ ผลประจักษ์
แต่จิตใจหิวโหยในอรรถในธรรมนี้ไม่ได้อ่ิมง่ายๆ นะ เพราะฉะน้ันจึงต้องพยายามฟื้นข้ึนด้วยวิธีการ
ตา่ งๆ”
ออกรุกขมูลตามพระพุทธโอวาท
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จน�ำเวไนยสัตว์ออกเที่ยวธุดงคกรรมฐานเป็นพระป่า
พระองค์แรกของโลก ทรงเป็นต้นสกุลแห่งพระป่าทั้งหลาย ทรงบ�ำเพ็ญเพียรจนกระทั่งถึงขั้น
สลบไสลถึง ๓ ครั้ง แต่ไม่มีค�ำว่าย่อท้ออ่อนแอและท้อพระทัย
47
เม่ือพระองค์ตรัสรู้ในป่าท่ีร่มไม้ใต้ร่มโพธ์ิ ทรงเห็นความส�ำคัญและประโยชน์ของการอยู่ป่า
โดยทรงถือว่าป่าเป็นมหาวิทยาลัยของพระพุทธศาสนา ดังที่เรียกกันว่า “มหาวิทยาลัยป่า” ทรง
บัญญัติธุดงควัตรอันเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส ประทานไว้ให้พระสงฆ์สาวกผู้มุ่งแสวงหาธรรม หาทาง
พ้นทุกข์ จะได้ก้าวด�ำเนินตามรอยข้อวัตรปฏิปทาของพระองค์ และทรงประทานพระพุทธโอวาท
อันเอกอุไว้ส�ำหรับกุลบุตรผู้เข้ามาบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ซ่ึงพระอุปัชฌาย์ทุกองค์
จะต้องสอนพระพุทธโอวาทส�ำคัญข้อน้ีกับพระผู้บวชใหม่ทุกรูปโดยมิได้ยกเว้น และถือเป็นหน้าท่ี
โดยตรงของพระอุปัชฌาย์ ถา้ ไมไ่ ด้สอนพระพุทธโอวาทขอ้ นีถ้ อื ว่าผดิ และปลดจากอุปชั ฌายไ์ ด้ คือ
“รุกขฺ มลู เสนาสนํ นสิ สฺ าย ปพฺพชฺชา ตตถฺ โว ยาวชวี ํ อุสสฺ าโห กรณโี ย” โดยองค์หลวงตาพระ
มหาบัว าณสมฺปนฺโน ได้เมตตาเทศน์เร่ืองนี้ไว้ดังน้ี
“ไปทไ่ี หนท่ีอดอยากขาดแคลนเปน็ ทน่ี า่ กลวั แลว้ ย่ิงภาวนาดนี ะ เพราะฉะนน้ั ท่านถึงไล่พระเข้า
อย่ใู นป่า พอบวชแลว้ ก็บอกวา่ รุกขฺ มลู เสนาสนํ นสิ สฺ าย ปพฺพชชฺ า ตตถฺ โว ยาวชีวํ อสุ ฺสาโห กรณีโย
บรรพชาอปุ สมบทแลว้ ใหท้ า่ นไปเท่ยี วอย่ใู นรกุ ขมลู ร่มไมใ้ นปา่ ในเขา ตามถำ�้ เง้อื มผา ปา่ ช้าปา่ รกชฏั
ท่แี จง้ ลอมฟาง เปน็ สถานที่เหมาะสมแก่การภาวนา ไม่มใี ครรบกวน แล้วจงอตุ สา่ หพ์ ยายามบำ� เพ็ญ
อยู่ในสถานทีเ่ ชน่ น้ันตลอดชวี ิตเถดิ นน่ั พระพุทธเจ้าสอน ขอ้ นเี้ ป็นขอ้ ส�ำคญั บวชแลว้ ก็รุกขมูลไล่เขา้
ปา่ เลย พระสงฆ์สาวกทอ่ี อกมาเป็นสรณะของพวกเราน้ีสว่ นมากมักจะส�ำเร็จอยู่ในปา่ ๆ ออกจากสกลุ
ต่างๆ สกุลพระยามหากษัตริย์ออกมาแลว้ เข้าปา่ หายเงยี บๆ เลย เวลาออกมาก็เปน็ สรณะของตวั เอง
มาพร้อมแล้ว ก็มาเปน็ สรณะของผูอ้ นื่ ได้เปน็ อย่างดี ท่านภาวนา คอื หาธรรมหาจริงๆ เวลาหา ไม่สนใจ
กับใคร เปน็ ตายไม่ร้ลู ะ่ มุ่งแตอ่ รรถแตธ่ รรมอยา่ งเดยี ว”
สมัยท่ีท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ได้ออกบวชเป็นพระป่าสังกัดธรรมยุติกนิกายน้ัน
เป็นยุคท่ีพระพุทธศาสนาได้กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกคร้ังตามพระพุทธท�ำนาย โดยกองทัพธรรม
พระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์เสาร์ ท่านพระอาจารย์มั่น ได้ออกเผยแผ่แนวทาง
ปฏิปทาพระธุดงคกรรมฐาน และแนวทางการสร้างวัดป่า เกิดเป็นวัดธรรมยุตจ�ำนวนมากมายไปท่ัว
ประเทศไทยแล้ว โดยเฉพาะทางภาคอีสาน ส่วนการธุดงค์ตามป่าตามเขาของพระธุดงคกรรมฐาน
ซึ่งแต่ก่อนท�ำให้ชาวบ้านแตกต่ืนและกลัวกันมาก ก็กลับกลายเป็นท่ีเคารพศรัทธาและเป็นท่ียอมรับ
ในสังคมชาวพุทธ
ท่านพระอาจารย์จวน เม่ือท่านเป็นพระป่าธรรมยุตและเป็นพระธุดงคกรรมฐานในสาย
ท่านพระอาจารย์เสาร์ ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านก็เป็นอีกองค์หนึ่งที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย
และธุดงควัตร นับแต่ท่านยังเป็นพระหนุ่มมีอายุพรรษาเพียงพรรษาเดียว ท่านก็ได้ออกรุกขมูล
เดินเท่ียวธุดงค์ปฏิบัติธรรมตามป่าตามเขาด�ำเนินตามรอยองค์พระบรมศาสดา โดยปฏิบัติตาม
พระพุทธโอวาท “รุกฺขมูลเสนาสนํฯ” และด�ำเนินรอยตามข้อวัตรปฏิปทาพระธุดงคกรรมฐานสาย
ท่านพระอาจารย์เสาร์ ท่านพระอาจารย์มั่น อย่างเคร่งครัดตลอดชีวิต ส�ำหรับสถานที่ท่านพักและ
48
อยู่จ�ำพรรษาล้วนเป็นวัดปา่ เปน็ เสนาสนะปา่ ทีเ่ งยี บสงัด โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ท่านชอบถ�้ำและภูเขา
ซ่งึ สถานท่เี หลา่ นัน้ ลว้ นเหมาะกับการบำ� เพ็ญภาวนา โดยท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ ไดเ้ มตตา
เทศนเ์ ร่ืองน้ไี ว้ดงั น้ี
“นี่แหละปฏิปทาที่พระองค์จะไดต้ รสั รู้พ้นไปจากทุกข์ได้ กเ็ พราะพระองคไ์ ดเ้ ดินธุดงคม์ าเปน็
ลำ� ดับๆ ในเบือ้ งต้นการประสูติของพระองคก์ ็เรยี กว่าเป็นธดุ งค์ได้ การออกบวชของพระองค์กบ็ วช
ในปา่ และแสวงหาโมกขธรรมเม่อื บวชแล้ว แสวงหาโมกขธรรมอยูถ่ งึ ๖ พระพรรษา คือ ๖ ปี พระองค์
กอ็ ยใู่ นปา่ ซกุ ซ่อนอยตู่ ามป่าตามเขา ตรสั รู้ก็ตรัสรู้ในปา่
เมื่อทา่ นตรัสรู้แล้ว แม้แสดงธรรมโปรดสตั วท์ ้งั หลายในเบือ้ งตน้ คอื ปฐมเทศนากแ็ สดงในปา่
แล้วก็ปรินิพพาน ท่านก็ปรินิพพานในป่า เมื่อเป็นเช่นนี้ป่าจึงเป็นส่วนที่ส�ำคัญในทางวิมุตติท�ำความ
หลดุ พน้ น่ัน จึงเป็นของสำ� คญั เมือ่ พวกเราปฏบิ ัติอยใู่ นป่าอย่างน้ีก็ช่ือว่าด�ำเนนิ ตามปฏปิ ทาร่องรอย
ของพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ผเู้ ปน็ พทุ ธบดิ าของพวกเรา ดงั น้ี พงึ พากันปลมื้ ปตี ยิ ินด.ี ..”
“... ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงแนะน�ำให้พระภกิ ษุแสวงหาทีว่ ิเวก อยูต่ ามปา่
ตามรม่ ไม้ ตามเรือนว่างเปลา่ และถ้�ำเงอื้ มหนิ ใหเ้ ธอพึงซอ่ นเร้นอยใู่ นทสี่ งบสงัดปราศจากความคลกุ คลี
เว้นจากธรรมารมณ์ รูป เสียง กลนิ่ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ให้แสวงหาความวเิ วกอยูต่ ามทสี่ งัด
ต่างๆ ท�ำความเพียรเหมือนโคท่ีไม่มีหนังหุ้มห่อร่างของมัน มันจะกลัวอันตรายมากมาย เช่น กา
กิ่งไม้ แมลงวัน เป็นต้น จะมาจิกหรือทิ่มเนื้อมัน มันจึงเอาตัวของมันไปหลบซ่อนอยู่ตามเงื้อมผา
เปน็ ตน้ เวลามนั ออกหากนิ กจ็ ะออกหากินในทลี่ บั ๆ กะว่าจะไมม่ อี นั ตราย จนกวา่ หนงั ของมันจะงอก
หายเปน็ ปกติ จึงจะหากินในท่ีแจ้งโดยเปดิ เผย แต่ถงึ อยา่ งไรมนั ก็หากินด้วยความระมดั ระวงั
แมฉ้ ันใด ภิกษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ ใหพ้ วกเธอพึงถอื เอาเหมือนโครกั ษาหนังอย่าประมาท ความ
ประมาทเป็นช่องทางของความไหลมาแห่งความฉิบหายฉะนั้น ท่านจึงว่าความประมาทเป็นทางแห่ง
ความตาย ความไม่ประมาทเท่าน้ันที่จะน�ำไปสู่ความเจริญ จงเป็นผู้มีสติประคับประคองตัวเองให้
บริสทุ ธอิ์ ยเู่ สมอ กลัวกาหรืออแี ร้ง คอื รปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ จะรุมจิกกิน ประคบั ประคองตน
ปรารภความเพยี รอย่าประมาท ย่อมจะถงึ ท่สี ุดยอดของพระธรรมวินยั คือ พระนิพพานไดใ้ นที่สุด
เพราะฉะน้ัน พระพทุ ธเจ้าจึงแนะน�ำใหภ้ ิกษุเอาเยยี่ งอยา่ งโคผสู้ งวนหนังดังกล่าว ถา้ หากการ
อาศัยอย่ตู ามปา่ ตามเขาเปน็ ภยั อันตรายแกภ่ ิกษผุ ู้บวชไวว้ า่ ดูกรภกิ ษุทง้ั หลายผูบ้ วชแลว้ อยา่ พากัน
เข้าป่าเน้อ เพราะป่าเป็นข้าศึกกับผู้เจริญสมณธรรม พวกเธออย่าอยู่ป่า อย่าอยู่ถ้�ำ อย่าอยู่ป่าช้า
อย่าอยเู่ รอื นวา่ ง เพราะจะเป็นอันตรายแกพ่ วกทา่ น แต่นีพ่ ระพทุ ธองค์ท่านสอนตรงกนั ข้าม คือ ใหอ้ ยู่
ป่าเจรญิ สมณธรรม ให้อาศัยธรรมชาตแิ ล้วจะกอ่ ใหเ้ กดิ ปญั ญา ขออภยั ท่านผฟู้ งั ดว้ ยที่พระโงอ่ ยูป่ ่าเชน่
ข้าพเจา้ ได้อธบิ ายไปเท่าที่จะรแู้ จ้งดว้ ยตนเองมาเลา่ สกู่ นั ฟัง”
49
ท่านผจญกับเปรต ผี เทวดา พญานาค และสัตว์ป่า
การออกธุดงคกรรมฐานของท่านพระอาจารย์จวนนั้น ท่านก็ผจญกับพวกเปรต ผี ยักษ์
พวกกายทิพย์ เทวดา พญานาค ชาวเมืองลับแล และ สตั วป์ ่า เชน่ เสอื โคร่ง หมปี า่ ชา้ งปา่ งพู ษิ
เปน็ ต้น ชวนใหน้ ่าหวาดกลวั ชนิดขนพองสยองเกล้า เช่นเดยี วกบั ที่พอ่ แมค่ รูอาจารย์ทง้ั หลายท่ีท่าน
ไดผ้ จญภัยมา ทา่ นพระอาจารย์จวนกเ็ ปน็ อกี องค์หนงึ่ ท่ีเส่ียงเป็นเส่ยี งตายตามป่าตามเขา ทา่ นไดผ้ ่าน
เหตุการณ์เหล่านั้นไปด้วยดีโดยไม่มีภัยอันตรายใดๆ มากล้�ำกราย ซ่ึงเป็นเพราะท่านรักษาศีลด้วย
ความบรสิ ทุ ธเ์ิ คร่งครัด ไม่ยอมให้ศีลดา่ งพรอ้ ยทะลุ และมกี ารบ�ำเพ็ญสมถะ – วปิ สั สนากรรมฐาน โดย
องค์หลวงตาพระมหาบัว าณสมฺปนฺโน ได้เมตตาเทศน์เร่ืองพระธุดงคกรรมฐานอยู่ในป่าในเขา
ต้องสมบูรณด์ ้วยศีล หากเริม่ ตน้ ฝึกหดั ใหมๆ่ จิตใหม้ ีสตติ ดิ แนบกับคำ� บรกิ รรม เมื่อจติ อยใู่ นขน้ั ปญั ญา
ใหอ้ อกใช้ปัญญา ดังนี้
“พอพูดอย่างนี้ก็ระลึกถึงในเวลาท่ีอยู่ในป่าในเขา ไปสถานท่ีน่ากลัว มันกลัวจริงๆ กลางคืน
ก็กลวั กลางวันก็กลัว เพราะไปอยู่ในท่ามกลางสัตว์ ทา่ มกลางเสอื เสือนีส่ �ำคัญ ไปอยู่ในทด่ี ัดสนั ดาน
อยา่ งนัน้ เอาอะไร เราไม่มีปนื ผาหน้าไม้ เอาธรรม เฉพาะอยา่ งยิ่งศีลท่บี ริสทุ ธิ์แลว้ เอา ตายเมอื่ ไรตาย
กล้าหาญชาญชัย อยู่ในป่าในเขาจิตใจสงบเย็นได้สบายๆ น่ีล่ะเรื่องศีลเร่ืองธรรมเข้าสู่จิตแล้ว จิตจะ
สงบร่มเย็นเลย รักษาศีลแนว่ แนแ่ ล้วชมุ่ เย็น ไปไหนไมส่ ะทกสะท้าน ในปา่ ในเขากไ็ มเ่ คยสะทกสะท้าน
ตายแลว้ ศีลมีกับตัวของเรา
ศลี ไม่เคยพาสัตวโ์ ลกใหล้ งนรก ศลี ดงึ ข้ึนสสู่ วรรคน์ พิ พานท้งั นัน้ เรายดึ ศลี ไว้แลว้ อย่างน้อย
ตายแล้วต้องไปสวรรค์ จะช้ันใดๆ ก็ตาม สูงกว่านั้นพรหมโลก หรือศีลของผู้มีจิตบริสุทธ์ิถึงนิพพาน
นี่ล่ะศลี ธรรมไม่เคยฉดุ ลากใครลงทางตำ่� นะ มีแต่ฉดุ ขึน้ ทางสูงๆ ท้งั น้นั ไอ้สว่ นกิเลสท่วี า่ เรื่องสกปรก
มันดงึ ลงๆ อยู่ในใครก็ดึงลง อยู่ในชุมนมุ ใดกด็ ึงลง ของช่วั ไปทไ่ี หนดึงลง เร่อื งศลี เรื่องธรรมแล้วดงึ ขน้ึ
ท้ังนน้ั
น่ีเราพูดถึงเรื่องอยู่ในป่าในเขา มันชุมไปด้วยเสือด้วยสัตว์ต่างๆ พวกหมี พวกเสือน่ีน่ากลัว
ไปกลางคนื ก็ระวงั ตลอด แตร่ ะวงั นัน้ พระทา่ นระวังคือจิตกบั ธรรมประจ�ำใจตามขั้นของจิต ถ้าผทู้ เี่ ริ่ม
ฝกึ หดั อบรมใหมๆ่ คำ� บรกิ รรม คือจะพทุ โธ ธัมโม หรือสงั โฆ บทใดก็ได้ตามแต่ความถนดั ให้ติดกบั ใจ
สติติดแนบเอา เข้าไปในท่ามกลางสัตว์เสือเนื้อร้าย ไปอย่างอาจหาญนะ ถ้าไม่ปล่อยธรรมเสีย
อยา่ งเดียว จติ ใจกลา้ หาญขึ้นโดยล�ำดบั ๆ นลี่ ะ่ ธรรมเขา้ สูจ่ ิต จติ มีความกล้าหาญชาญชยั อย่ทู ่ไี หน
สบายๆ และเปน็ ขน้ั ๆ ของจิต ถา้ จติ มีภูมสิ ูงเขา้ ไปเทา่ ไร ภมู ิสงู ภูมสิ มาธิ จิตอยู่กบั สมาธมิ คี วามสงบ
เยน็ อยู่นน้ั สตจิ บั อย่ทู ่ีความสงบ จุดแหง่ ความสงบทเี่ รียกว่าสมาธิ แน่นหนามัน่ คงดว้ ยความสงบอยูน่ น้ั
จิตอย่นู ี้
50
ถา้ จิตขนึ้ ขนั้ ปัญญา พิจารณาเร่ืองปัญญา เปน็ สัตว์เสือเน้อื รา้ ย มนั กธ็ าตุ ๔ ดิน นำ�้ ลม ไฟ
เหมอื นกันกบั เรา กลวั มนั หาอะไร นน่ั ละ่ ปญั ญา แยกธาตแุ ยกขนั ธ์ของเสอื ตวั นนั้ มันมีอะไร ถา้ วา่ กลัว
เขีย้ วมัน เขี้ยวเรากม็ ีกลัวมันอะไร นีป่ ัญญาแกต้ วั เอง กลัวตา ตาเราก็มกี ลวั มนั ท�ำไม หรอื กลัวขนมัน
เหรอ ขนเรากม็ กี ลวั มันท�ำไม ถามหมดอวัยวะของเรากับมนั พอๆ กนั ทกุ อยา่ ง สกู้ นั ไดๆ้ มนั ไม่กลวั
เราก็ไม่กลวั สิ่งเหลา่ นท้ี เ่ี รากลัวอยู่กบั มัน มนั ไมเ่ หน็ กลวั เราไปกลวั อะไร ทีน่ ีค่ ำ� วา่ หู มันมหี ู เราก็มหี ู
กลัวมนั ทำ� ไม
ไลเ่ ขา้ ไปจนตรอก ไปถงึ หาง หรือกลวั หางมันเหรอ ทีนี้จะจนตรอกนะ เราไมม่ หี าง เสือมีหาง
ได้เปรยี บเรา แก้ปุ๊บเดยี ว กลวั หางมนั เหรอ ทนี ้ีเราไม่มีหางจะแพม้ นั ตรงน้ี เราพลิกปั๊บกลวั หางมนั เหรอ
ตั้งแต่ตัวมันไม่เห็นกลัว หางมัน เราไปกลัวมันท�ำไม น่ัน ตัวมันเองไม่เห็นกลัว กลัวมันท�ำไม น่ัน
ทา่ นว่าปัญญา ใช้ทางด้านปัญญา ให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลายได้ทราบ นี้คือการก้าวเดินเพ่ือรักษาจิตให้มี
ความแนน่ หนามน่ั คงและสวา่ งกระจ่างแจง้ ไปตามภูมอิ รรถ ภูมิธรรม ภูมสิ ติปัญญาของตน
พอถึงข้ันแยกธาตอุ อกหมดแลว้ จิตมันจะสวา่ งไสวทน่ี ่ี รูปเหล่านไ้ี มม่ ี ดงั ทวี่ ่าพวกสตั วพ์ วกเสอื
วา่ กลวั มัน กลัวหาอะไร มันเป็นอากาศธาตไุ ปด้วยกนั หมด จติ ว่างไปหมด ไม่วา่ จะกลัวอะไร กลัวอากาศ
ชอ่ งจมกู เรากม็ ีอากาศ กลวั หาอะไร มนั พิจารณาทางดา้ นปญั ญา จากนัน้ แลว้ กห็ มดสภาพ มองเหน็
ตัวเสือแล้วปรุงขึ้นมานี้ เสือที่น่ากลัวแต่ก่อนปรุงแพล็บเหมือนฟ้าแลบ ปรุงแพล็บปรากฏเสือพับ
ดับปุ๊บๆ จะแยกธาตแุ ยกขนั ธห์ รอื จะทำ� ใหก้ ลวั ไม่ทัน มนั เกิดแล้วดบั ๆ นีล่ ะ่ ปญั ญาพจิ ารณา จนกระท่งั
มนั ว่างไปหมด ในจิตใจวา่ ง จะกลัวอะไร อะไรๆ ทจี่ ะเปน็ อันตรายไมม่ ี จติ มนั วา่ งหมดแลว้ เร่อื ยๆ ไป
จนกระทง่ั ว่างภายในจติ ล้วนๆ
ว่างภายนอก จิตยงั ไม่วา่ ง นั่นเปน็ อกี ขน้ั หนึ่ง พิจารณาวา่ งภายนอก อะไรก็ว่างหมดๆ
ยงั ไมว่ ่างอยู่ภายใน คือ จิตยงั หลงตวั เอง ยดึ ตวั เองอยู่ พิจารณาเข้าไปตรงน้ี รู้ตรงนี้ ปลอ่ ยตรงน้ี
ว่างหมดเลย สุญฺโต โลกํ อเวกฺขสสฺ ุ โลกนเี้ ป็นโลกสญู เปลา่ วา่ งไปหมด นน่ั การพจิ ารณาทางดา้ น
ปัญญานักปฏิบตั ใิ หพ้ จิ ารณา”
การปฏิบัตธิ รรมของท่านพระอาจารยจ์ วน นบั แต่ดา้ นสมาธิธรรม จนถงึ ด้านพิจารณาทางด้าน
ปญั ญาธรรม เพอื่ ถอดถอนกิเลสออกจากใจ กเ็ ปน็ ไปอยา่ งรวดเรว็ ก้าวหน้า ท�ำใหเ้ กิดเปน็ อ�ำนาจธรรม
ท่ีคอยปกป้องคุ้มครองรักษาท่านในขณะออกเที่ยวธุดงคกรรมฐานได้เป็นอย่างดี สมดังบทธรรม
“ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารํ”ิ ธรรมย่อมรกั ษาผู้ประพฤติธรรม โดยท่านพระอาจารย์จวน กลุ เชฏฺโ ได้
เมตตาเทศนไ์ ว้ดังน้ี
“จะเล่าให้ฟังมีนิทานอยู่เรื่องหน่ึงตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้า มีอุบาสกคนหน่ึงเขาเป็นหัวหน้า
พ่อค้าเกวียน มีเกวียนเป็นบริวาร ๕๐๐ เล่ม อุบาสกคนนั้นเขามีนิสัยมีวาสนาบารมีจะได้บรรลุ
พระโสดาบัน แต่ยังไม่ได้ส�ำเร็จ เมื่อขณะท่ีเขาไปค้าขายเอาสินค้าบรรทุกเกวียนไป ๕๐๐ เล่ม
51
พวกเทวดาก็ปรึกษากันว่าพวกเราต้องตามไปรักษาพ่อค้าคนน้ี เพราะว่าพ่อค้าคนน้ีเขามีนิสัยท่ีจะได้
บรรลโุ สดาบนั ต้องตามรกั ษาเพื่อไมใ่ ห้พ่อคา้ น้ันเกิดอนั ตราย ถ้าเราไม่ตามไปรกั ษา แล้วมอี ันตราย
เกิดข้ึน ศีรษะของเราจะแตกออกเป็นเจ็ดเสี่ยง เทวดาจึงต้องตามไปรักษาให้ความปลอดภัยทุกสิ่ง
ทุกอย่างจนตลอดทาง ครั้นเมื่ออุบาสกคนน้ันกลับมาบ้าน ได้มาฟังเทศน์พระพุทธเจ้า จึงได้ส�ำเร็จ
โสดาบนั นี่อย่างน้ีแหละ พวกมนี ิสยั เทวดาต้องตามรักษาเสมอ ไมถ่ ึงคราวถงึ กาลไมเ่ ป็นไร
พทุ ฺธํ สรณํ คจฉฺ ามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฆฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ
บุคคลใดยดึ ถอื พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นทพี่ งึ่ บุคคลนนั้ ย่อมไปสู่สคุ ตติ ลอดแสนกัป
เมอ่ื ละอตั ภาพร่างกายของมนุษยไ์ ปแล้ว จะไดเ้ ปน็ ผถู้ ือวา่ มีกายทพิ ย์ กายเทวดา กายเทพบุตร และ
บุคคลผู้น้ันเป็นผู้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยความม่ันแม่นแล้ว ส�ำหรับอันตรายต่างๆ
เป็นตน้ ว่า ยาพษิ ศาสตราวุธ หรอื ไฟไหม้ บุคคลนน้ั จะไม่ตายเพราะสตั ว์กัดต่อยหรอื สงคราม ไมต่ าย
ด้วยยาพษิ ยาเบอ่ื เวน้ เสียแต่ผลกรรมของบุคคลผนู้ ัน้ ซงึ่ ท�ำไว้แตส่ มัยกอ่ นจะตามมาทนั เอง นัน่ เปน็
ส่ิงทีเ่ หลือวสิ ยั ถา้ ตายไปแล้วกไ็ ปเกิดบนสวรรค์ ถ้ากลบั มาเกดิ เปน็ มนุษยอ์ ีกก็เปน็ มนุษยท์ ี่ดี มตี าดี
มีหูดี ปากดี จมูกดี ลิน้ ดี กายดี ใจดี และบำ� เพญ็ คณุ งามความดใี ห้เกิดขึ้น บำ� เพ็ญทาน ศีล ภาวนา
ใหเ้ กิดขึ้น มนี ิสัยบารมสี รา้ งไว้ บ�ำเพญ็ ไปเรือ่ ยๆ พอแก่กล้ากส็ �ำเร็จพระนพิ พาน
ผู้มศี รทั ธาความเชื่อ ความเลื่อมใส บำ� เพญ็ ทาน ศีล ภาวนา ผนู้ ัน้ จะไดบ้ ญุ ไดก้ ศุ ล ถา้ ตายไป
แลว้ บุญกศุ ลจะให้เกดิ ความสขุ แกผ่ นู้ ั้นให้ไปสสู่ ุคติ มนุษยส์ ุข สวรรค์สขุ นิพพานสุข
ถา้ ยงั ไมถ่ งึ พระนพิ พาน บญุ กศุ ลทตี่ นเองไดท้ ำ� ไวก้ จ็ ะเปน็ อปุ นสิ ยั ทต่ี ามรกั ษาคมุ้ ครองบคุ คลนน้ั
ให้ประสบแตค่ วามสุขความเจริญในสุคติ มมี นษุ ย์สุข สวรรคส์ ขุ นิพพานสุข
ถา้ บคุ คลผู้น้นั หมัน่ ขยันเพียรบำ� เพญ็ ไม่หยุดหย่อน อาจถึงนิพพานสมบตั ใิ นชาติปจั จบุ ัน หรือ
ในชาตติ อ่ ๆ ไป
เพราะฉะนนั้ ผู้บ�ำเพญ็ บุญกศุ ล บำ� เพ็ญคณุ งามความดี ท่านจึงวา่ มีเทวธรรม เทวดาคอยอภบิ าล
รักษาให้อยู่เย็นเป็นสุข ให้ปราศจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวง “ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม”
ไมใ่ หม้ ีอันตราย ไม่ใหต้ กไปในทีช่ ั่ว ผู้ประพฤติปฏบิ ตั ธิ รรมไปอยูท่ ีไ่ หนยอ่ มไมม่ อี นั ตราย ปลอดภยั
ดังน้ัน เราจึงไม่ควรสงสัยเร่ืองเทวดาตามมาอภิบาลรักษาหรือไม่ ? คุณงามความดีของเรา
นีแ่ หละ เป็นเทวดารกั ษาเรา เทวดาคุม้ ครองเรา เทวดากค็ ุม้ ครอง เทวธรรม คืออะไร ?
“หิร”ิ คือ ความละอายสิง่ ทช่ี ัว่ สิ่งท่ีเปน็ บาป
“โอตตัปปะ” คือ ความสะดุ้งกลัว ความเกรงกลัวในสิ่งที่ชั่ว สิ่งท่ีเป็นบาป เมื่อเราไม่ท�ำ
ความชั่ว คุณงามความดีของเรานั่นแหละรักษา ภายในเรามีคุณงามความดีรักษา ภายนอกเราก็มี
เทวดารกั ษา เหมือนนทิ านทเี่ ลา่ มานน่ั เอง เราไม่ตอ้ งสงสยั ”
52
ประวัตขิ องท่านพระอาจารยจ์ วน ขณะเปน็ พระภิกษุหนุ่มพรรษาไมม่ ากออกเทย่ี วธุดงคว์ เิ วก
แสวงหาโมกขธรรมตามป่าตามเขา ตามป่าชา้ ป่ารกชัฏ แสดงออกถึงความเดด็ เด่ียวกล้าหาญ ทรหด
อดทน เดนตาย สมกบั ทา่ นเป็นนกั รบธรรมท่รี อดตายมาและไดธ้ รรมอัศจรรย์มาครองใจ ท่านจงึ เปน็
เจ้าของเกียรตปิ ระวัติอันทรงคณุ คา่ นา่ เคารพยกยอ่ ง น่าเทดิ ทูนบชู าอีกองค์หนึง่ เปรยี บประดุจเป็น
เพชรน�้ำหนง่ึ เพชรน�ำ้ งาม ประดับไว้เปน็ เกยี รตยิ ศศกั ดศ์ิ รีของพระพทุ ธศาสนา ฉะนน้ั จึงสมควรอย่าง
ทีส่ ุดท่ีจะจดบันทกึ เกยี รตปิ ระวัตอิ นั เลิศเลองดงามนีไ้ ว้ เพอื่ เปน็ คตแิ บบอยา่ งใหก้ ับอนุชนร่นุ หลังจะได้
ศึกษาและน้อมน�ำไปปฏิบัติตาม
ออกเดินธุดงค์ต้ังแต่พรรษาแรก
ท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ กับ ท่านพระอาจารยส์ ิงหท์ อง ธมฺมวโร เป็นเพ่ือนสหธรรมกิ
ซง่ึ เคารพรักใครส่ นทิ สนมกนั มาก ทา่ นทง้ั สองตา่ งศึกษาภาคปริยตั ิเพยี งนกั ธรรมตรี นักธรรมโท เท่านนั้
แต่ในภาคปฏิบัติแล้ว ซึ่งเป็นภาคที่ส�ำคัญที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรรเสริญและทรง
ส่งเสรมิ ใหพ้ ทุ ธบริษัทปฏบิ ตั ิธรรม ทา่ นท้งั สองก็ไดฉ้ ายแววแห่งความเด็ดเด่ยี วกล้าหาญ ทรหดอดทน
มคี วามมุง่ ม่ันเพือ่ ความพน้ ทกุ ข์ ตั้งแตเ่ ป็นพระหนมุ่ อายุไมม่ าก เมือ่ ตา่ งออกบวชได้เพยี งพรรษาเดยี ว
เท่านัน้ ก็ออกเดนิ เทา้ ธุดงค์เสี่ยงเป็นเส่ยี งตายปฏิบัตธิ รรมมุ่งท�ำลายกเิ ลสตัณหาตามปา่ ตามเขากันแล้ว
โดยทา่ นพระอาจารย์จวน กลุ เชฏโฺ ไดเ้ มตตาเทศน์เร่ืองน้ีไวด้ ังน้ี
“การเดนิ ธุดงคท์ กุ ครง้ั ทุกคราว ทุกสมยั ของพระพุทธเจ้า พระอรยิ เจา้ ท่ีทา่ นปฏบิ ตั ิมา
ท่านมุง่ อย่างเดยี วเทา่ นน้ั คือ ม่งุ หวังทำ� ลายกิเลสตณั หาทั้งนั้น ไม่มุ่งอย่างอืน่ แม้ท่านจะประสบภัย
อนั ตรายภายนอก เชน่ ผี ปศี าจ สตั วร์ ้าย กไ็ ม่สะทกสะท้าน ไม่เกรงกลัวสัตวร์ ้าย ผีร้ายเหลา่ น้ัน ทา่ นไม่
เกรงกลวั เหมือนกเิ ลสตัณหา อันเปน็ สัตวร์ า้ ย ผีร้าย ทีน่ ่ากลวั ทีส่ ดุ ทเี ดยี ว ซง่ึ ท�ำใหต้ ้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย
เปน็ ทุกขอ์ ยรู่ �ำ่ ไปไม่มีที่สิ้นสดุ
อาวุธของทา่ นมพี รอ้ ม คอื ศลี สมาธิ ปญั ญา ปราบปรามสตั ว์รา้ ย คอื กิเลสทงั้ หลายใหห้ มด
ไปจากใจของท่าน ถา้ ผู้มีอาวุธดี มีคาถาดี คอื ศลี สมาธิ ปญั ญา แลว้ ค้มุ กนั ภยั อนั ตรายภายในและ
ภายนอกได้ ไมเ่ ปน็ ผู้สะทกสะท้านหวนั่ ไหว ไมเ่ ป็นผ้กู ลัว ไม่เป็นผหู้ นี เปน็ ผู้องอาจแกลว้ กล้าตอ่ ธรรม
ส่วนผู้มจี ติ ยังหยงั่ ไมถ่ ึงศีล สมาธิ ปัญญา กย็ งั เป็นผู้กลัว สะทกสะท้านหวั่นไหว ง่อนแงน่ คลอนแคลน
อยู่นน่ั เอง ฉะน้นั การถือธุดงค์ ปฏบิ ตั ธิ ดุ งค์ พงึ พากันมุง่ ท�ำลายกิเลสตณั หาอยา่ งเดยี ว จงึ จะเป็น
บญุ กุศลอยา่ งย่งิ พ้นทุกขไ์ ปได้ มีอานิสงส์มาก เปน็ การปฏิบตั ิบูชาอยา่ งยิ่งดังนีแ้ ล พงึ เขา้ ใจ”
ในการเดินเท้าธุดงค์ทางไกลครั้งแรกของท่านพระอาจารย์จวน แสดงถึงความทรหดอดทน
ของท่านได้เป็นอย่างดี โดยระยะทางจากวัดท่ีจ�ำพรรษา คือ วัดป่าบ้านพอก หนองคอนทั้ง อ�ำเภอ
เลิงนกทา จงั หวดั อุบลราชธานี (ปัจจุบันข้ึนกับจังหวดั ยโสธร) ถงึ พระธาตุพนม อำ� เภอธาตุพนม จงั หวดั
นครพนม ระยะทางไกลและทรุ กันดารมาก ประมาณ ๒๐๐ กวา่ กิโลเมตร โดยทา่ นพระอาจารย์จวน
53
กุลเชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศน์เร่ืองนีไ้ ว้ดงั นี้
“เม่อื ออกพรรษาแลว้ โยมมารดาทบี่ วชเปน็ ชี กก็ ลับบา้ นไปอยู่กบั ลูกหลาน สว่ นขา้ พเจ้าเลย
ตรึกแลว้ ก็เลยอยากจะเดินธดุ งค์ จึงได้เพือ่ นคอื สามเณรองคห์ นึง่ เป็นเพ่ือน ออกเดินธุดงคจ์ ากสำ� นกั ที่
จ�ำพรรษา เดินท้ังน้ัน เดินดว้ ยเทา้ ทง้ั นั้น สมัยนัน้ ไม่มีรถ มแี ต่ทางเกวียนและทางคน การคมนาคม
ในสมัยน้นั รสู้ กึ วา่ ล�ำบากมาก
เดินจากอ�ำเภอเลงิ นกทา จังหวัดอุบลราชธานี เพอื่ จะไปนมัสการพระธาตพุ นม ซ่งึ ข่าวเลา่ ลือ
ว่าเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า ก็เลยพากันเดินกับสามเณร เดินข้ามดงมะอี่ ผ่าน
หมบู่ ้านต่างๆ ไป คอื ระยะค่อยเดินธดุ งค์เรือ่ ยๆ ไป ถึง ๗ วนั ๗ คนื จึงถงึ พระธาตุพนม และก็นมัสการ
พระธาตพุ นมพอสมควรแล้วก็เลยเดินธุดงค์ไปทเ่ี มอื งเรณนู คร
ไปพักอยู่ท่ีนั้นประมาณสัก ๒ เดือน ก็เลยเดินทางกลับอุบลราชธานี ขากลับ กลบั องคเ์ ดียว
กลับผูเ้ ดียว สว่ นสามเณรนัน้ ไม่กลบั ดว้ ย เดินธุดงคอ์ งค์เดียวจากเรณูฯ ถงึ อุบลราชธานี ผา่ นดงมะอี่
องคเ์ ดียว”
พระธาตุพนม
พระธาตุพนม เป็นเจดีย์ศักด์ิสิทธ์ิส�ำคัญและเป็นเจดีย์คู่บ้านคู่เมืองแห่งหน่ึงของประเทศไทย
ตง้ั อยู่อ�ำเภอธาตุพนม จงั หวัดนครพนม
ตามตำ� นานกลา่ วไว้ว่า พระมหากัสสปะ พระอรหนั ตสาวกองค์ส�ำคญั ผู้เป็นเอตทัคคะเลศิ ด้าน
ธดุ งควัตร ไดเ้ ป็นผู้นำ� ก่อสรา้ งพระธาตพุ นมข้นึ พรอ้ มกบั อญั เชิญพระอรุ ังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก)
ขององคส์ มเดจ็ พระสัมมาสมั พทุ ธเจ้ามาประดษิ ฐานในองค์พระเจดยี ์
พระธาตพุ นม เปน็ สถานท่ีสำ� คญั อีกแหง่ หน่งึ ซ่ึงท่านพระอาจารยเ์ สาร์ ทา่ นพระอาจารยม์ ั่น
ได้เดินเท้าธดุ งค์มาปฏบิ ตั ธิ รรมกนั และได้ค้นพบพระธาตพุ นม ซงึ่ ในสมยั นั้นไมม่ ีการดูแล พระธาตพุ นม
จึงถูกปกคลุมไปด้วยป่าไม้หนาทึบและมีเถาวัลย์ต่างๆ ขึ้นปกคลุมจนรกรุงรัง ท่านพระอาจารย์เสาร์
เป็นผนู้ �ำชกั ชวนชาวบ้านเร่ิมบูรณะสถานท่แี ห่งนข้ี ้ึนจนสะอาดสะอา้ น พอ่ แมค่ รอู าจารยท์ ั้งสองไดเ้ ห็น
พระบรมธาตุลอยเสด็จไปมาเปน็ แสงสว่างแลดสู วยงามในยามค�่ำคนื จนมน่ั ใจวา่ ภายในองคพ์ ระเจดยี ม์ ี
การประดิษฐานพระอรุ งั คธาตุจริงตามตำ� นานทีเ่ ล่าลือกนั สืบต่อๆ กันมา ตอ่ มาภายหลงั ได้มกี ารบรู ณะ
ซ่อมแซมพระธาตพุ นมขนึ้ และมคี รูบาอาจารย์พระศิษย์สายทา่ นพระอาจารยเ์ สาร์ ทา่ นพระอาจารย์
ม่นั นยิ มเดินเทา้ ธุดงคม์ ากราบสกั การะและอยูป่ ฏิบตั ธิ รรม
ในเดือนสามของทกุ ปี พทุ ธบริษทั จากทั่วประเทศ โดยเฉพาะชาวอีสานนยิ มเดนิ ทางมากราบ
สกั การะพระธาตพุ นมจนกลายเป็นประเพณี
54
ธุดงค์เดี่ยวได้พิจารณาซากศพอสุภะตั้งแต่พรรษาแรก
ท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ ได้เมตตาเทศน์เรอ่ื งนไี้ ว้ดงั นี้
“เม่อื พ้นจากดงมะอม่ี าถงึ ชายดงมะอ่ี ระหว่างอ�ำเภอเลิงนกทา เขตอ�ำเภอเลิงนกทา บ้านไร่กบั
บา้ นหนองยาง ขน้ึ ตามกัน ระหวา่ งน้ันยงั เปน็ ป่าเป็นดง พอเดนิ มาถึงนั้นได้กลิ่นเหม็นทกี่ ลางดงมาก
ก็เลยคดิ วา่
“เอะ๊ ! กล่นิ อนั นี้ กล่ินนกี้ ลิ่นเหมน็ นี่ ไมใ่ ช่กลนิ่ ของสตั ว์ กลิน่ ของสตั ว์ไมเ่ หมน็ อย่างน้”ี
ก็เลยสำ� รวจดู สบื ดู ตามกลิ่นน้ัน ก็เลยไปพบซากอสภุ ะ คอื ซากศพคนตายอยู่ขา้ งทาง รา่ งตก
อยู่ในร่องทาง นอนตายอย่นู ้ันก็เลยละ่ เมอ่ื ขา้ พเจ้าเข้าไปส�ำรวจดู เลยนึกขึ้นในใจวา่
“แหม ! เราเดนิ มาพบขุมทรัพยอ์ นั ประเสรฐิ แลว้ ยากท่ีจะพบจะเห็นได้ เม่อื เป็นเชน่ นี้ เราควร
จะเพ่งอสภุ ะนี้ใหไ้ ด”้
เมือ่ คิดอยา่ งนจี้ ึงไปวาง คือ ปลงบรขิ ารไว้ร่มไม้แหง่ หน่ึง แล้วกเ็ ตรยี มตัวมาเพ่งอสภุ ะ ซากศพ
ซากผี ทีน่ อนตายอย่กู ลางป่า อยรู่ อ่ งทางรถท่ีเขาท�ำมาใหม่ๆ เพ่งดู พนิ จิ พิจารณาดซู ากอสภุ ะนัน้
ซากอสภุ ะ ซากศพอันนี้อาจจะตายไดห้ ลายวนั แลว้ ๕ หรือ ๖ วัน หรอื ๗ วันน่ีแหละ สังเกตดู
ในร่างซากอสุภะนัน้ เป่อื ยหวะเลย สว่ นตบั ไตไส้พุงมแี ต่หนอนเจาะไชกินหมด หรือแรง้ กาเอาไปกิน
สว่ นนยั น์ตาก็มีแตห่ นอน ในปากกม็ แี ต่หนอน ขาท้งั สองก็มีแต่หนอน ในขณะนน้ั เพง่ แล้วก็ได้น้อมเข้า
มาสตู่ นของตนวา่
“เรากจ็ ะเปน็ อย่างน้ี ไมล่ ว่ งพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้”
ในขณะท่เี พง่ อยู่อย่างนนั้ แหละ ใจหนึ่งเลยคิดข้ึนว่า “แหม ! ซากอสภุ ะนเี่ ปน็ ของทีน่ า่ อจุ าด
เราควรจะเผาเสียใหห้ ายอจุ าด เพราะทา่ นว่าการเผาซากศพซากผที คี่ นตายได้บุญไดก้ ศุ ลมาก”
ใจคดิ อยากจะไดบ้ ุญมาก เลยลืมเรอ่ื งสตั ว์ที่อยู่ในซากอสภุ ะนัน้ ตกลงวา่ จะเผากเ็ ลยไปหาเก็บ
เอาฟนื ทไ่ี มต้ ายอย่ใู นปลายดงมากองไว้ขา้ งๆ อสภุ ะ พอไปเกบ็ เอาฟืนมาแลว้ ใจหนึง่ นึกขึน้ ว่า
“อ้าว ! เราเป็นพระ เราจะมาเผาซากอสุภะได้อยา่ งไร เพราะหญ้ามันยังเขียวสดอย่นู นี่ ะ่ และ
ในซากอสภุ ะกย็ งั มตี วั สัตวอ์ ยูน่ ีเ่ ยอะแยะ ถ้าเราเผานม้ี นั ก็เปน็ โทษ เปน็ อาบตั ิปาจิตตยี ์ ฆ่าสตั ว์ และ
ทำ� ลายพืชสดของเขยี วมิใชห่ รือ ท�ำคณุ ก็ไดโ้ ทษ ทำ� บญุ กไ็ ดบ้ าปนะน่ี”
นี้ใจหน่ึงคิดข้ึนก็เลยปลงใจไม่เผา เลยมาพิจารณาซากอสุภะน้ัน เห็นหมู่หนอนทั้งหลาย
คลานกนั บ่อนเจาะไชกันกินอย่ตู ามซากอสุภะนัน้ ๆ ในปากกเ็ ต็มไปด้วยหนอน ตาท้งั สองกเ็ ต็มไปด้วย
หนอน ในซี่โครงในอกหน้าอกก็เต็มไปดว้ ยหนอน ขาท้งั สองกเ็ ตม็ ไปด้วยหนอน ทวารหนัก ทวารเบา
เตม็ ไปด้วยหนอนหมด ไม่มอี ะไรเลย มีกลิ่นอันเหมน็ ขา้ พเจา้ เพง่ อย่นู ้ัน
55
มาถึงซากอสภุ ะ เดนิ มาถึงซากอสภุ ะนัน้ ประมาณเท่ยี งวัน ไดเ้ พง่ ซากอสุภะอยูน่ ั่น ๓ ชั่วโมง
บ่ายสามโมง ทีแรกคดิ วา่ จะนอนเพ่งอย่ทู นี่ นั่ นอนค้างคนื พักคา้ งคนื อยู่ทีน่ ่ัน เพราะในขณะน้นั ไมค่ ดิ ถงึ
ความกลวั เลย คิดแตอ่ ยากจะเพง่ ซากอสภุ ะให้ได้ ใหร้ ู้ ใหเ้ หน็ สว่ นความกลวั ไม่คดิ เห็นเลยในขณะนั้น
จะเป็นด้วยเหตอุ ะไรไมท่ ราบ แตป่ ลงใจว่าจะนอนเพ่งอสภุ ะอยทู่ นี่ น้ั ท�ำความพากความเพยี รอยูท่ ่นี น้ั
ปลงใจวา่ จะไมห่ ลับไม่นอนเลย
พอบ่ายสามโมงมีชาวบ้านสองคนเดินมาด้อมๆ มองๆ มา มาสู่ซากอสุภะ ข้าพเจ้ามองเห็น
ก็เลยไปถามเขาดู ออกจากซากอสุภะไปถามเขาดูว่า “ซากศพ ซากคนที่มาตายน้ี มันตายด้วยเหตุ
อะไร ?” ถามชาวบ้านสองคนนั่น
ชาวบ้านสองคนก็ตอบว่า “คนท่ีมาตายน้ีเป็นคนอนาถา คนทุกข์คนยาก เขาตายเพราะ
เขาหอดเขาหวิ เขาจงึ มาตายทน่ี ี”่
“แล้วพวกโยมมาท�ำไม ?” ถามเขา ถามพวกโยมนั่น
เขาตอบวา่ “พวกผมมาเพราะเจ้านายใช้ใหม้ าตรวจดูซากอสุภะ มาเฝา้ มารกั ษาซากอสภุ ะนี้
เพราะซากอสุภะนี้ทางเจา้ หนา้ ท่เี ขายงั ไม่ไดม้ าชนั สูตรดู เขาจงึ ใหม้ าเฝ้ารกั ษาไว”้
ข้าพเจ้าก็เลยถามเขาว่า “อาตมามาเห็นซากอสุภะน้ีแล้ว คิดอยากจะอยู่เพ่งซากอสุภะนี้
สักคนื หนึ่งจะไดไ้ หม ?”
ชาวบา้ นสองคนเขากต็ อบว่า “ไมไ่ ด้ครบั เพราะซากอสุภะ ซากศพนี้ยังไม่ไดช้ ันสูตรถกู ต้องตาม
กฎหมาย ถ้าท่านมาเฝ้าอยทู่ น่ี ี่ เดี๋ยวเจ้าหนา้ ท่ีเขาจะสงสัยหาว่าฆ่าคน ขอนมิ นตท์ า่ นหลกี ออกไปเสีย
ใหพ้ ้นจากซากอสภุ ะนี”้
ข้าพเจา้ ก็เลยถามเขาอีกวา่ “ส�ำหรับสงิ่ ของที่อย่ใู นซากอสุภะน้ี มีครุ กระแป๋ง เสอื้ ผา้ พรา้ โต้
เล่มหนง่ึ อาตมาคิดว่าจะชักบังสกุ ลุ เพอื่ ส่งบุญอทุ ิศให้แก่ผ้ตู ายจะได้ไหม ?”
เขาวา่ “ไม่ได้ เพราะซากศพนยี้ งั ไมช่ นั สูตรถกู ตอ้ งตามกฎหมาย ถา้ ไปชกั บงั สกุ ุลเอา เขาจะหา
ว่าฆา่ คน จะผิดกฎหมาย ขอนมิ นตท์ ่านหลกี ออกไปให้พน้ เสีย”
น่ชี าวบา้ นเขาวา่ และในซากศพน้ันยงั มผี า้ มอี ีโป้ คือ ผ้าขาวมา้ ผนื หนงึ่ ในเชิงผ้าขาวม้าน้ันมี
ขอด (ขมวดปม ผ้าหอ่ ของแบบใชข้ มวดปม) หอ่ อะไรไม่ทราบ เมอ่ื ชาวบา้ นเขาวา่ ดังน้นั ข้าพเจา้ กเ็ ลย
เดนิ ทางตอ่ ไป จนไปถึงบา้ นโนนหนามแทง่ ใกล้อ�ำเภออ�ำนาจเจรญิ (ปัจจบุ นั คอื จงั หวดั อ�ำนาจเจริญ)
หมดเวลาพอดี กเ็ ลยพกั ปักกลดทรี่ มิ ป่าชา้ ตน้ ไมแ้ ห่งหนึง่ พอจะบณิ ฑบาตถงึ ขา้ พเจา้ อาบน�้ำชำ� ระกาย
แล้ว ถึงเวลาพลบค�่ำก็เข้าท่ีไหว้พระท�ำวัตรสวดมนต์ตามประเพณี แล้วก็น่ังภาวนาพิจารณาซากศพ
ซากผี ซากอสภุ ะท่เี คยเพง่ พจิ ารณาทีต่ นเห็นมาแลว้ ตอนกลางวัน นอ้ มเข้ามาสู่ตนของตน
56
เมื่อพิจารณาอยู่ ในขณะท่ีภาวนาพิจารณาซากอสุภะอยู่น้ันแหละ ปรากฏในใจว่าซากอสุภะ
นั้นเต็มไปหมด ในบริเวณที่นั่งแทบจะกระดิกกระดุกขาไม่ได้เลย เต็มไปเลย นี้ปรากฏในจิต ถ้าเรา
หลับตาลงตอ้ งปรากฏข้นึ เลย นเ่ี ปน็ อย่างนนั้ ในสมยั นนั้ แลว้ ก็น้อมเขา้ มาสรู่ า่ งกายของตน ว่าร่างกาย
ของเราน้กี จ็ ะเป็นอย่างน้ี ล่วงความเป็นอยา่ งน้ีไมไ่ ด้ เกดิ ความสลดสังเวชในชีวติ ของตนทเี่ กดิ มาว่า
เราจะตอ้ งมีความตายอย่างนี้ รูส้ ึกวา่ ในคืนนน้ั จิตใจสงบและเยือกเย็นสบายมาก ไมม่ กี ระดุกกระดิก
เลย นง่ั ภาวนาต้งั แต่ปฐมยาม จนถึงตสี อง พจิ ารณาซากอสภุ ะอยู่อยา่ งน้ัน
ทีน้เี มอ่ื ถงึ ตีสองเผอิญเกดิ ฝน เกดิ ลม เกดิ พายุ เพราะในระหว่างน้นั เป็นเดอื นพฤษภาฯ ฟ้าใหม่
ฝนใหม่ก�ำลังคะนอง ท้ังฝน ทั้งลม กลดและมุ้งที่กางไว้ปลิวซะว่อน ข้าพเจ้าก็เลยลดมุ้ง พับให้ดี
ผา้ สังฆาฯ ยดั ใสบ่ าตร ฝาปดิ ให้ดี แลว้ ก็เอามอื ประคองกลด จบั กลดไว้ พนั กลดไวใ้ หแ้ นน่ กนั ฝน
นงั่ ภาวนาอยู่อยา่ งนนั้ ฝนและลมกต็ กอยู่อยา่ งน้นั นง่ั ภาวนาไปเร่อื ยๆ ใจกส็ บาย ใจก็เยน็ ฝนก็เย็น
ลมก็เยน็ เปน็ อยู่อยา่ งน้ัน ฝนตกประมาณสักชว่ั โมงกวา่ ๆ ก็เลยหายไป
พอตืน่ รุ่งเช้าไปบิณฑบาตตามชาวบ้านมาฉนั ฉันเสรจ็ แลว้ กเ็ ดินทางตอ่ ไป ถงึ บา้ นเดิมไปเยี่ยม
โยมมารดา โยมมารดาไดส้ กึ ลาสกิ ขาจากแม่ชไี ปอยกู่ ับลูกหลาน ตอนนข้ี ้าพเจา้ ไปพกั อยูบ่ ้านชว่ั คราว
เกดิ ความปว่ ยขน้ึ อาการไข้ จบั ไข้ ไขด้ งมะอ่ี จับไขส้ น่ั ไข้ปา่ ทนี ใ้ี กล้จะเขา้ พรรษา ท่านอาจารย์บุ
พระครูทัศนประกาศ ซ่ึงท่านเป็นเจ้าคณะอ�ำเภออ�ำนาจเจริญ อดีตเจ้าอาวาส อดีตเจ้าคณะอ�ำเภอ
อ�ำนาจเจริญ ท่ีท่านมรณะไปแล้วนั้น ท่านเลยแต่งโยม (ส่ังโยม) ให้ไปรับข้าพเจ้าไปจ�ำพรรษาท่ี
บ้านชาติ หนองอีนิน คอื บ้านของทา่ น”
ท่านน่ังหัตถบาสในงานบวชท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง
ปี พ.ศ. ๒๔๘๗ กอ่ นวันเขา้ พรรษา ๗ วัน ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ได้รว่ มงานอปุ สมบท
ทา่ นพระอาจารยส์ งิ หท์ อง ธมมฺ วโร ซงึ่ เป็นเพ่ือนสหธรรมกิ ทีร่ ักใครส่ นทิ สนมกนั มาก ดงั น้ี
เมื่อทา่ นพระอาจารยส์ ิงหท์ อง ช่วยบิดา – มารดาท�ำนาจนอายคุ รบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ทา่ นได้
อุปสมบทเป็นพระภกิ ษุ เม่อื วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๗ ก่อนเข้าพรรษา ๗ วัน
ตรงกับวันข้นึ ๘ ค่�ำ เดอื นแปดหลัง (๘๘) ปีวอก ณ พทั ธสีมาวัดป่าส�ำราญนิเวศ ตำ� บลบา้ นบุ่ง
อำ� เภออ�ำนาจเจรญิ จังหวัดอบุ ลราชธานี ปจั จุบนั ขน้ึ กับอ�ำเภอเมือง จงั หวดั อ�ำนาจเจริญ
โดยมี ท่านพระครทู ัศนวสิ ุทธิ์ (พระมหาดสุ ิต เทวิโร) เป็นพระอปุ ชั ฌาย์ ซ่งึ เป็นพระอุปชั ฌาย์
เดยี วกนั กบั ท่านพระอาจารย์จวน กลุ เชฏฺโ วดั เจตยิ าคิรีวหิ าร (ภทู อก) อ�ำเภอศรวี ิไล จังหวัดบงึ กาฬ
โดยพระอุปัชฌาย์บวชให้ท่านพระอาจารย์จวนเป็นองค์แรก และบวชให้ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง
เปน็ องค์ที่สอง ซ่งึ งานอุปสมบทของท่านพระอาจารยส์ งิ หท์ องในคร้งั นัน้ ท่านพระอาจารยจ์ วนไดน้ งั่
หัตถบาสอยู่ในงานน้ดี ว้ ย
57
พรรษา ๒ พ.ศ. ๒๔๘๗ จ�ำพรรษาท่ีวัดทุ่ง บ้านชาติ หนองอีนิน
ในพรรษาที่ ๒ น้ี ท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ได้พจิ ารณาซากศพสตรเี ป็นอสภุ ะซ�้ำอีก
เป็นศพท่ี ๒ แลว้ เกดิ ความอิดหนาระอาใจ เกดิ ความสลดสังเวชใจ จนจิตใจเกดิ ความเบอ่ื หนา่ ยมาก
โดยทา่ นพระอาจารย์จวน กลุ เชฏฺโ ได้เมตตาเทศนเ์ ร่ืองนี้ไวด้ ังนี้
“เมอ่ื โยมไปรับเอา ข้าพเจา้ ก็รบั ค�ำนิมนต์ของทา่ นอาจารยท์ ีแ่ ต่งโยมมารับเอา เลยไปจ�ำพรรษา
ท่บี ้านของทา่ นอาจารย์ วัดทงุ่ บ้านชาติ หนองอีนิน ในพรรษาท่ี ๒ กับท่านพระอาจารยเ์ กง่ิ ซ่งึ เปน็
เจ้าอาวาสอยูท่ ี่นน้ั ในกลางพรรษาน้นั กท็ �ำความพากความเพียรพอสมควร และในกลางพรรษานั้นได้
เกิดเผอิญอีก แปลกๆ น่จี ะขอเล่าให้ฟงั เพอ่ื ความสมบูรณ์
ในจงั หวะที่ผ่านมา คอื สมยั นน้ั พรรษาที่ ๒ นน้ั เห็นหญิงคนหนึ่ง หญงิ คนน้ี แต่สมัยกอ่ นเมือ่ ครงั้
ขา้ พเจา้ ไดท้ �ำราชการ คอื ทำ� งานกรมทางหลวงแผน่ ดนิ นนั่ เอง ที่ท�ำประจำ� อย่สู ายอบุ ลฯ – นครพนม
สมัยเปน็ หน่มุ เปน็ ปฐมวยั เห็นหญิงคนนเ้ี ขาเปน็ สาวแก่ เห็นเขาเดนิ ตามทาง เดนิ ไปเมอื งอบุ ลฯ แลว้ ก็
เดินกลบั ขน้ึ มาบา้ น เพราะบ้านเขาอยเู่ ขตอำ� เภออ�ำนาจฯ ขา้ พเจ้าจ�ำได้ แต่ไม่ร้วู า่ เขาอยู่บ้านไหน ไมไ่ ด้
ถามเขา เห็นเขาเดนิ ไปเดนิ มาอยบู่ อ่ ย
ทีน้ีเมือ่ ขา้ พเจา้ ได้บวชมาจ�ำพรรษาท่บี ้านชาติ หนองอีนนิ จงึ เหน็ หญงิ คนนรี้ ู้ว่าแต่กอ่ นเขาเคย
เดนิ ไปเมืองอุบลฯ กลับไปกลบั มา หญงิ คนน้ี ทนี ีเ้ ม่ือตอนท่ีขา้ พเจา้ บวช เขาเปน็ คนแก่แล้วประมาณ
อายุ ๔๐ ปี นี่แหละ นตี้ อนทขี่ า้ พเจา้ จำ� พรรษาทีว่ ัดทุง่ บา้ นชาติ หนองอนี ิน นนั่ แหละ เห็นหญิงคนนี้
ถือหมอ้ ยา ผอมมาก ออกจากบ้านหนองอีนนิ มาอาศัยอยู่วัด อยูล่ านวดั ใต้ร่มไม้ฉ�ำฉาติดอยลู่ านวัด
ซง่ึ เป็นญาติของทา่ นอาจารยน์ ่นั เอง เปน็ ญาตขิ องอาจารย์เจา้ วัดนน่ั เอง เพราะทา่ นกอ็ ยบู่ า้ นนนั้ แลว้
ท่านก็รู้ดี แล้วหญิงคนนั้นก็มานอนอยู่ท่ีร่มฉ�ำฉาน่ันแหละ ต้มยากิน อยู่มาหลายวันหญิงคนนั้นก็
เลยตาย ตายอยรู่ ม่ ไมฉ้ �ำฉา อยู่ลานวัด ทางน้ีกต็ ายกลางคนื เพราะตื่นเชา้ เหน็ นอนอยนู่ ี่
อันทีนี้พวกญาติโยมที่มาวัด มาจังหันพระ เห็นหญิงคนน้ันนอนไม่ลุก โยมทิดสรวง ซ่ึงเป็น
ญาติของหญงิ คนน้นั เลยไปปลกุ พอไปปลุกไปดูทไ่ี หนได้ มันแข็งแล้ว มนั ตายแล้ว โยมทิดสรวงนัน้ ก็
เลยมาเรยี กหม่ใู หไ้ ปดู หมู่ก็เลยไปดู ครนั้ ไปดูก็เปดิ ผ้าขนึ้ ผา้ ทห่ี ่มพอเปดิ ข้นึ มแี ต่หนอนเต็มไปหมด
เหม็นข้ึนเลย น่นั ทวารเบาเตม็ ไปด้วยหนอน หนอนบางตนบางตัวมขี นก็มี เจาะไชกนิ อยู่ทวารเบา
ของหญิงนนั้
ข้าพเจ้าได้ยินแล้วก็อยากจะไปเพ่งดู ก็เลยคิดสภาพเห็นศพท่ีตนเพ่งนั้น มาผสมกันกับศพนี้
เกดิ ความอดิ หนาระอาใจ เกดิ ความสลดสงั เวชใจ คดิ เบอ่ื คดิ หน่าย จิตใจดิ้นรนในความเบอ่ื ความหน่าย
มาก เปน็ อยา่ งนนั้
อันน้ีฝา่ ยญาตพิ นี่ อ้ งของหญิงคนน้ัน เขาพูดกนั ว่า “อย่างน้ีละ่ มนั เปน็ แม่จ้าง (โสเภณี) มัน
เป็นโรคบุรษุ กามโรคกนิ มนั มนั เที่ยวเดนิ ไปเมืองอุบลฯ ไปให้เขาสี้ เขาเซงิ (ให้เขารว่ มประเวณี) แล้ว
58
มันกต็ ดิ โรคมาใหล้ กู หลานปวั (รักษา) บ่มไี ผปวั (ไมม่ ีใครรักษา) มึงมาตายในวดั ในวา น่ลี ่ะตายทกุ ข์
ตายยาก” เขาว่า ทางญาตเิ ขาว่า “หนอนเจาะหีมัน ไชกนิ หีมัน” นพ้ี วกญาติเขารู้ประวตั ิหญงิ คนนี้ดี
เขาเลา่ เขาพูดกนั ข้าพเจา้ จ�ำได้
ต่อแต่น้ันเขาก็เลยเอาไปเผาท่ีป่าช้า นี่พรรษาที่ ๒ เหตุเผอิญเห็นซากศพ ซากผี ที่ตายอยู่
ในวัด น่ันแหละเป็นคร้งั ทีส่ อง เกดิ ความสลดสังเวชใจยิง่ นกั หนา คดิ เบอ่ื คดิ หนา่ ย คิดระอา
เม่ือออกพรรษาแล้ว ได้เข้าไปปรับปรุงวัดใหม่ เห็นว่าวัดที่อยู่กลางทุ่งน่ันไม่ดี ไม่เหมาะ
เลยเขา้ ไปปรับปรงุ วดั ใหมท่ ี่ดอนเมย เพราะดอนนนั้ เขาเรยี กวา่ ดอนเมย ดอนเจา้ ผี ดอนเจา้ ปู่ ดอนเจ้า
ปู่ตาของเขา เขาถือวา่ เป็นดอนท่ศี กั ดส์ิ ทิ ธิ์ เขายำ� เกรงมาก คนในบา้ นน้นั ในแถบนั้น มตี ้นไมใ้ หญ่ๆ
เปน็ ดง มสี ัตวป์ า่ มพี วกเต่า มพี วกตะกวดมาก พวกงมู าก
ข้าพเจ้าก็เลยพาหมู่พวกเข้าไปธุดงค์ในท่ีนั้น ร่มรื่นดี ต้นไม้ใหญ่ๆ มีร่ม มีอะไรดี โอ้ย !
อากาศดี เป็นอยา่ งน้ัน เลยตง้ั วดั ตงั้ วาข้ึนทนี่ น้ั ก็เลยเปน็ วดั เป็นวามาจนปจั จบุ ันเดีย๋ วน้ี เขาเรยี กวา่
วัดบ้านนาจกิ ดอนเมย ไปอยูใ่ หม่ไดใ้ หโ้ ยมเขาขุด ท่หี น่ึงมันเป็นที่สูง ขุดไปๆ ไดแ้ ขนพระพทุ ธรูปกม็ ี
ไดข้ องโบราณฝังดนิ อยู่ลกึ มี ! ดอนนนั้ สำ� คัญ เขาเรียกวา่ ดอนเมย น่ันแหละ”
เร่ืองท่านพระอาจารย์จวนพิจารณาซากศพคนตาย หรือเรื่องพอมีคนตายแล้วนิมนต์พระไป
สวดศพ มมี าแต่ครงั้ พทุ ธกาล โดยองค์หลวงตาพระมหาบวั าณสมปฺ นฺโน ไดเ้ มตตาเทศน์ทมี่ าของ
เรือ่ งนี้ไวด้ ังนี้
“พดู ถึงเรอ่ื งนี้ก็เหน็ ไหม พระผู้มีอปุ นิสัย ในตำ� รานะ นางสริ มิ าสวยงามมากทีเดียว เปน็ หญิง
แพศยานะ คือนางสิริมาน้ีส�ำเร็จเป็นพระโสดา แต่ละกามกิเลสยังไม่ได้ พระโสดายังมีครอบครัว
เหย้าเรือนเหมือนโลกทั่วๆ ไป แตค่ วามหย่งั ในบุญในกรรม ในศีลในธรรมน้เี ป็นอจลศรัทธา ไมม่ อี ะไร
จะมาถอนขนึ้ ไดแ้ ลว้ นฝี่ ง่ั ลกึ แตน่ กี้ เ็ ปน็ หญงิ แพศยา เขามาจา้ งคนื หนง่ึ ๆ ตง้ั เปน็ พนั กหาปณะ กหาปณะ
น้ีเท่าไร เราไม่รู้นะ พันกหาปณะ ๔๐๐ – ๕๐๐ กหาปณะ เขามานอนกับหญิงแพศยาให้เป็นรางวัล
คนื หนง่ึ ๆ
สวยงามมาก ทีน้ีเวลาป่วยหนักเข้าก็เลยให้ไปนิมนต์พระมา เลี้ยงพระ แกจวนจะตายแล้ว
แกบอกว่าจะไปไม่รอดแล้วจะตาย เห็นไหมความเช่ือ ความเล่ือมใส แกถอนเม่ือไร แล้วไปนิมนต์
พระมาฉันทบ่ี ้าน เวลามาฉันท่บี ้าน ถงึ เวลาแล้วกเ็ ชญิ แกออกมา แกออกมาไมไ่ ด้ ตอ้ งได้พยงุ ออกมา
อมุ้ ออกมาวาง แลว้ รปู แกสวยงามขนาดไหน
พระผบี ้าองคห์ นงึ่ ไปอยู่นั่น ไมท่ ราบวา่ ก่ีองค์ เราไม่ไดน้ บั แตย่ ังไงตอ้ งหน่ึงหลวงตาบัวเขา้ ใจ
ไหม หลวงตาบวั แฝงอย่ใู นน้ัน ไปฉนั ในบ้านเขาแทนทีจ่ ะฉันอาหารในบ้านเขามาถวาย นู่นนะ่ ไปจอ่
กับนางสริ มิ านัน่ โอย๋ ! ขนาดเจบ็ ไข้ไดป้ ว่ ย ถึงขนาดทีม่ าไมไ่ ด้ อุ้มมาอย่างนี้ก็ยงั สวยงามขนาดนนี้ ะ
นี่ถ้าหากว่าแกไมไ่ ดป้ ว่ ยนีจ้ ะเป็นยังไง เทวดาชน้ั ดาวดงึ สส์ ไู้ ม่ได้ พระองคน์ ้ันเลยสลบ ฉนั จังหันไม่ได้
59
หมู่เพอ่ื นฉนั จงั หันอ่มิ หนำ� สำ� ราญมา อตี าบวั ฉันจังหันไม่ได้ ไปหลงนางสิรมิ า พอไปถงึ วดั ก็งกๆ งันๆ
เป็นบา้ อยู่ในนั้น “เปน็ อะไร ?” “หยู ! ไมท่ ราบเปน็ ยังไง พดู ก็น่าอาย” “มันเป็นอะไรว่าไปซิ” “กไ็ ปรัก
นางสิรมิ าละ่ ซิ ฉันจังหันไมไ่ ด้ เปน็ อารมณ์ทัง้ วนั เลยจะตาย”
พอตกตอนบา่ ยนางสริ มิ าก็เสยี น่พี ระพุทธเจ้ารบั สั่งใหไ้ ป ไป พระไปปลงกรรมฐาน คอื เอา
พระองค์นเี้ ปน็ ต้นเหตุ เอาอีตาบัวนเ่ี ปน็ ต้นเหตเุ ข้าใจไหม ไปเอาอีตาบัวเปน็ ต้นเหตุ มนั เก่งนะอตี า
บัวนนี่ ะ่ แต่ก่อนเขาคงไมม่ ีอะไรถือกันแหละ ประการหน่ึงเปน็ พระพุทธเจ้ารบั สั่งดว้ ย ประการทสี่ อง
ก็คงเขาไม่ถือกัน เวลานางสิริมายังมีชีวิตอยู่น้ีคืนหน่ึงต้ังพันกหาปณะ ค่าจ้างนะ คร้ันประกาศขาย
นางสิริมา ราคาเท่าน้ันๆ ประกาศออกขายทั่วเมืองนั้นเลย ต้ังแต่ราคาพันกหาปณะ ลดลงมาจน
กระท่ังกหาปณะเดียวก็ไมม่ ีใครซื้อ เพราะตายแลว้ มนั เน่าเฟะแลว้ ใครจะซ้อื แต่ก่อนคนื หนึ่งต้งั พนั
ทีนี้ก็ไม่ซื้อเรื่อยไปเลย ประกาศโฆษณาให้พระไปปลงกรรมฐาน ไปดูเป็นยังไง แต่ก่อนเขามีรูปร่าง
สดสวยงดงามขนาดพันกหาปณะต่อคืน เวลานี้ประกาศขายให้ใคร แม้กหาปณะเดียวก็ไม่มีใครซ้ือ
เปน็ ยังไง
พระองคน์ ั้นกไ็ ปดว้ ยไปพจิ ารณา พระอีตาบัวน่นั น่ะ กม็ าปลงกรรมฐาน พระองคน์ นั้ เอาอนั นน้ั
มาเป็นคตเิ ครื่องสอนใจ เลยบรรลุข้ึนเป็นพระอรหันตเ์ ลยไมใ่ ชธ่ รรมดานะ นี่เหน็ ไหมอุปนสิ ยั ขนาดนนั้
ยังถูกกามกเิ ลสครอบหัวได้ จนถึงขนาดไมฉ่ นั จงั หันเลย พระองคน์ น้ั ท่านมอี ุปนสิ ัยใจคอดีอยนู่ ะ ท่าน
ไปเห็นอย่างนั้น ท่านยังส�ำเร็จอรหันต์ แต่อีตาบัวมันจะหันไปแบบไหนไม่รู้นะ นั่นน่ะเอามาเป็นคติ
เคร่อื งเตือนใจ
นี่ล่ะท่ีพอคนตายแล้วนิมนต์พระไปกุสลามาติกา แล้วเอาอันน้ันเป็นแบบฉบับมา ให้ไปปลง
กรรมฐานต่างหากนะ ไม่ไดไ้ ป กสุ ลา ธมมฺ า กลว้ ยหอมอยทู่ ่ีไหนนา ไมไ่ ดว้ ่าอยา่ งน้ีนะ เดี๋ยวน้ี กุสลา
ธมฺมา กลว้ ยหอมอยู่ท่ีไหนนา กล้วยไข่อยู่ที่ไหนนา มันไปอยา่ งนั้นนะ แต่ก่อนไปกสุ ลาพิจารณาอสุภะ
อสภุ ัง เพ่ือปลง ทุกฺขํ อนจิ จฺ ํ อนตตฺ า ถอนจิตหลุดพ้นไปได้ นค่ี ตติ วั อย่างมมี าดัง้ เดิมจนมาถงึ
ทุกวันนี้ พากันเข้าใจเอานะ ถ้ายังไม่เข้าใจว่า กุสลา ธมฺมา เป็นมาอย่างไร อันหนึ่งก็เร่ืองของ
พระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าทรงโปรดพระมารดาเทศน์สอนอภิธรรม น้ันเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า
ต่างหาก ไม่ได้ถือมาเป็นคติแบบอันน้ี เหมือนที่นิมนต์พระไปพิจารณากรรมฐานอย่างทุกวันน้ี อันน้ี
ออกมาจากนน้ั เปน็ แบบเลยนะ ใหพ้ ากนั เขา้ ใจนะ ต้นเหตมุ าจากไหน”
พรรษา ๓ พ.ศ. ๒๔๘๘ จ�ำพรรษาท่ีวัดบ้านนาจิก ดอนเมย ต�ำบลหนองปลิง
ในพรรษาท่ี ๓ น้ี ทา่ นพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฺ ท่านมงุ่ ม่นั ประกอบความพากความเพียร
อย่างมาก โดยทา่ นตง้ั ใจไม่นอนตลอดพรรษา แต่เกิดอาการวปิ รติ ทางธาตุขันธ์ จึงจำ� เปน็ ตอ้ งพักผอ่ น
นอนหลับบ้างเล็กน้อย เพื่อถนอมรักษาธาตุขันธ์ไว้ใช้ในการประกอบความพากความเพียร เพ่ือการ
บรรลุธรรมขั้นสูงสดุ ตอ่ ไป โดยทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ ไดเ้ มตตาเทศนเ์ ร่อื งนี้ไว้ดังนี้
60
“พรรษาท่ี ๓ ได้จ�ำพรรษท่ีวัดบ้านนาจิก* ดอนเมย ซึ่งเป็นบ้านของพระอาจารย์บุนั่นเอง
ในพรรษานอ้ี ธษิ ฐานจะท�ำความเพยี รไม่หลับไมน่ อนตลอดพรรษา พอทำ� ไปๆ ในระยะเขา้ พรรษา ก็เลย
อธษิ ฐาน พร้อมด้วยประกาศหมูค่ ณะครูบาอาจารยใ์ ห้ทราบวา่
“ในพรรษานจ้ี ะไม่นอน จะตั้งอกตงั้ ใจท�ำความพากความเพียรไปจนตลอดพรรษา”
เมื่ออธษิ ฐานแลว้ กต็ ัง้ ใจทำ� ความพากความเพยี ร ในระยะนี้ยังใชค้ �ำบรกิ รรมเปน็ พื้นตลอด และ
ก็มีการพิจารณาบ้างเล็กน้อย แต่ก็ใช้ค�ำบริกรรมว่า “พุทโธๆ” เป็นส่วนมาก เม่ือท�ำไป อดนอนไป
ระยะครึ่งพรรษาก็เลยเกิดอาการวปิ รติ ทางธาตุ คอื ธาตุขนั ธไ์ ม่อ�ำนวย มมี ันสมองคอื น้�ำมนั สมองไหล
ออกมาจากทางจมูกเป็นนำ้� เหลือง ได้เอามือ ฝา่ มือรองดเู ปน็ สีเหลือง มันยอ้ ยหยดลงจากมนั สมอง
มาตามชอ่ งจมกู เป็นอย่อู ยา่ งนไ้ี ปนานวนั ก็เลยกราบเรียนท่านพระอาจารย์ผู้เป็นเจา้ อาวาสใหท้ ราบ
ท่านเลยมาสงั เกตดู ตาของข้าพเจา้ เหลอื ง เปน็ ตาเหลืองไปหมด เหมอื นกับตานกเคา้ หรือ
ตาแหลว หรือตาเหยยี่ ว ท่านอาจารยเ์ ห็นอาการวปิ รติ ผิดปกติอยา่ งนนั้ ทา่ นกเ็ ลยออ้ นวอนใหห้ ลับ
ให้นอน ให้พักผ่อนบ้าง มิให้อดนอนไปตลอด ระยะที่ท่านอาจารย์อ้อนวอน แนะน�ำให้พักผ่อน
หลบั นอนบา้ ง ยงั ไม่ท�ำตามคำ� แนะน�ำของทา่ น ยงั อดหลับอดนอนอยูอ่ ยา่ งเดิม
ตอ่ ไปตากเ็ หลอื งเข้า ทา่ นกเ็ ลยทำ� การขูเ่ ขญ็ ค�ำราม ใหห้ ลบั ให้นอน “ถ้าไม่หลบั ไม่นอนไมไ่ ด้นะ
ท่านจวนน้ี ท�ำแบบนี้ใช้ไม่ได้ เด๋ยี วตาบอด ตาเสียเนี่ย” จ�ำเป็น ขา้ พเจา้ ก็เลยพกั ผอ่ นการหลบั นอนบ้าง
เล็กนอ้ ย แล้วกย็ งั ไม่เลกิ ละทำ� ความพากความเพียร ตง้ั ใจอยู่ แตก่ ็มกี ารพักผ่อนหลับนอนปะปนกนั ไป”
เรอื่ งการถอื เนสชั ชิ หรือถืออิริยาบถ ๓ เดนิ ยนื นงั่ ไมน่ อน เปน็ ธดุ งควัตรข้อหนึง่ ในครัง้
พุทธกาล พระจักขุบาล พระอรหันตสาวกองค์หนึ่งได้ถือเนสัชชิอย่างอุกฤษฏ์เคร่งครัด โดยการ
อดนอนตลอดพรรษา เพราะในระยะนั้นปัญญาพิจารณาธรรมของพระจักขุบาล เป็นปัญญาธรรม
ข้นั อัตโนมตั แิ ลว้ เป็นมหาสติมหาปัญญาพร้อมท่จี ะท�ำลายอวชิ ชาใหข้ าดสะบ้นั ลง ใกล้จะบรรลธุ รรม
ขนั้ สูงสุดแลว้ ซ่ึงต่างกบั กรณที า่ นพระอาจารย์จวน ซงึ่ เปน็ พระหนุ่มบวชใหม่เข้าสพู่ รรษา ๓ เพง่ิ เริ่ม
ปฏบิ ัติภาวนาใหม่ๆ ภมู จิ ติ ภมู ิธรรมของท่านยงั ไมเ่ ปน็ ปญั ญาธรรมข้ันอัตโนมัติ จึงจ�ำเป็นตอ้ งถนอม
ธาตุขันธไ์ ว้
และเป็นกรณีเดียวกับหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโ ช่วงแรกๆ ที่หลวงปู่พรหมได้มาพบและ
ปฏบิ ัติธรรมใกลช้ ดิ หลวงปมู่ ่ันที่ปา่ เมี่ยงขนุ ปั๋งนั้น หลวงปูพ่ รหมตง้ั ใจทุ่มเทเร่งความเพยี รโดยถอื เพยี ง
อิรยิ าบถ ๓ คือ ยนื เดนิ และนั่ง เวน้ การนอน ไม่ยอมใหห้ ลังแตะพน้ื ตลอดช่วงเข้าพรรษาโดยถือคติ
ว่า “ธรรมอยฟู่ ากตาย ถ้าไมร่ อดตายกไ็ มเ่ หน็ ธรรม” เพราะการเสย่ี งตอ่ ชีวิตจติ ใจอันเก่ยี วกบั ความ
เป็นตายน้ัน ผู้มีจิตใจมุ่งมั่นต่ออรรถธรรมแดนหลุดพ้น เป็นหลักยึดของพระผู้ปฏิบัติพระกรรมฐาน
จรงิ ๆ แมแ้ ตพ่ นื้ กฏุ ิ หลวงปพู่ รหมกต็ อ้ งการใหร้ อื้ ออกเพอื่ จะไดไ้ มต่ อ้ งนอน ทา่ นวา่ “ถา้ อยากจะนอน
ก็ไมจ่ �ำเปน็ ตอ้ งดน้ั ด้นมาถึงเชียงใหม่ใหล้ ำ� บาก จะหลับจะนอนท่ีไหนกไ็ ด้”
61
หลวงปู่มั่นจึงกล่าวให้สติท่านว่า “ท่านพรหม อย่าไปท�ำอย่างน้ันเลย จะท�ำให้เป็นทุกข์
เดือดร้อนแก่หมู่คณะ เพราะสังขารจะต้องพักผ่อนนอนหลับ ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยจะท�ำให้ล�ำบากแก่
หมคู่ ณะ ในการปฏิบตั ธิ รรมเพือ่ หลดุ พน้ นั้น อุปสรรคตา่ งๆ ย่อมได้พบอยู่เสมอ ดงั ครบู าอาจารย์
หลายๆ องค์ ถ้าแม้จิตใจไม่แน่วแน่ม่ันคงจริงๆ ก็จะท�ำไม่ได้ บางคราวผู้อดหลับอดนอนมากๆ
สูญประสาท เสียจริตไปก็มี บ้างก็เดินชนต้นไม้ใบหญ้าให้วุ่นวาย หรือไม่เวลาออกบิณฑบาต
เทยี่ วตะครบุ ผู้คนก็มี เพราะเดินหลับใน เกดิ อาการตึงเครยี ด ไมส่ ามารถทรงสตติ นเองได้ อยา่ งไร
กต็ าม ครูบาอาจารย์ทา่ นแนะน�ำให้ปฏิบัติเพ่ิมสตกิ �ำลงั ใหแ้ ก่กล้าจรงิ ๆ จงึ จะท�ำได้ เม่อื ถงึ คราวเร่ง
ความเพยี รก็ย่อมจะไดพ้ บความส�ำเร็จโดยไม่ยาก”
หลวงปู่มั่นแนะน�ำหลวงปู่พรหม ให้เดินจงกรมและนั่งสมาธิให้มาก เพ่ือฝึกจิตเสียก่อน
เม่อื กำ� ลงั จิตแกก่ ล้าแลว้ จงึ คอ่ ยเรง่ ความเพียรอยา่ งหนกั หน่วงตามความตั้งใจของทา่ น ผลยอ่ มบงั เกิด
ขนึ้ อย่างแน่นอน
กรณีพระจักขุบาล ท่านตั้งสัตย์ถือเนสัชชิตลอดพรรษา แล้วเกิดโรคตา น�้ำตาไหลออกจาก
ตาทั้งสองข้างตลอดเวลา หมอทมี่ ารกั ษาท่านได้ประกอบยาหยอดตาอย่างดีมาถวาย โดยนอนหยอด
ตาเพียงครั้งเดียวก็หาย แต่ท่านไม่ยอมนอน แม้หมอมาวิงวอนขอร้องให้ท่านนอนหยอดตา ท่านก็
ยนื กรานไมย่ อมนอน จนหมอเลกิ รกั ษาทา่ น ในทสี่ ุดนยั นต์ าท่านก็บอดสนทิ ทั้งสองขา้ ง และท่านก็ได้
บรรลุธรรมเปน็ พระอรหนั ตใ์ นคนื น้ัน ดังน้ี
“บัดนี้หมอไดบ้ อกเลิกรกั ษาเสียแล้ว ขอให้มนั่ คงในสัจจปฏญิ าณ อยา่ ละท้ิงอุดมคตนิ นั้ เสีย
อยา่ นอน ยอมใหต้ าแตก แตอ่ ย่าท�ำลายความต้งั ใจ ดวงตาหาได้งา่ ยกวา่ ค�ำสอนของพระพุทธเจ้า
นานคร้งั พระพทุ ธเจ้าจึงจะอุบตั ิข้นึ สักองคห์ นึง่ แต่การเกิดของเราพร้อมด้วยดวงตาน้นั มีนบั ครัง้
ไมถ่ ้วน”
ท่านตกลงกับตนเอง แล้วคงท�ำความเพียรด้วยอิริยาบถ ๓ ต่อไปไม่ยอมนอน พอเวลาล่วง
มัชฌิมยามไป (เลยตีสองไปแล้ว) ดวงตาของท่านก็แตกไปพร้อมกับความดับโดยสิ้นเชิงแห่งกิเลส
ท้ังปวง ทา่ นเป็นพระอรหันต์สกุ ขวิปัสสกผูห้ น่งึ ”
นิมิตเห็นท่านพระอาจารย์ม่ัน
แม้ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ท่านได้ตั้งใจบวชและปฏิบัติธรรมอย่างอุกฤษฏ์จนล่วง
เขา้ สู่พรรษาท่ี ๓ แล้วกต็ าม แต่จติ ใจของท่านกย็ ังมกี เิ ลส ท่านเกดิ ปฏิพทั ธร์ กั ใครห่ ญิงสาว จึงอธิษฐาน
หากบรรลุคุณธรรมขอให้มีนิมิตเห็นท่านพระอาจารย์ม่ัน โดยท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ได้
เมตตาเทศนเ์ รอ่ื งนี้ไวด้ ังน้ี
62
“ในระยะพรรษาที่ ๓ นแี่ หละ เลยเกดิ เหตปุ ฏพิ ทั ธ์รกั ใครก่ ับหญงิ สาวคนหนึง่ ท่ีเขาเคยเขา้ วดั
มาจังหันบ่อยๆ เกดิ ปฏิพทั ธร์ กั ใคร่ มคี วามรกั ความก�ำหนัด แตก่ ็ท�ำความพากความเพียรไม่หยดุ หยอ่ น
แต่กไ็ ม่ปรปิ ากบอกใครๆ ใหท้ ราบ รกั แต่อยู่ในใจ นใี้ นพรรษาที่ ๓
ในพรรษานี้ก็เลยคิดขึ้นได้ เลยอธิษฐานถึงท่านพระอาจารย์ม่ัน ภูริทตฺตมหาเถร เพราะ
สมยั น้ันขา้ พเจา้ ไดย้ ินแตช่ ่อื ท่าน ยังไมไ่ ด้พบเหน็ ทา่ นเลย คำ� อธษิ ฐานวา่
“ถ้าข้าพเจ้ายังจะมีบุญวาสนา เจริญอยู่ในพรหมจรรย์ ถ้าข้าพเจ้าได้บรรลุคุณธรรม ขอให้มี
นิมติ เหน็ ท่านพระอาจารย์มั่น ไปได้กราบ ได้ไหวท้ า่ น หรือไดส้ นทนาฟังธรรมเทศนาของทา่ น พอเปน็
ที่พอใจ ถ้าข้าพเจ้าไมม่ ีบุญวาสนาแล้ว ขออยา่ ได้บรรลธุ รรม หรอื อยา่ ไดน้ มิ ติ เห็นทา่ นพระอาจารย์มัน่
เลย ให้นมิ ิตหรอื ฝันเห็นสิ่งทีล่ ามกซ่งึ เป็นสง่ิ ท่ไี มป่ รารถนา”
พออธษิ ฐานก็ทำ� ความพากความเพียรไป ระยะหา่ งกัน ๓ วันเท่านัน้ จากค�ำอธษิ ฐาน ขณะท่ี
พกั ผอ่ นกเ็ ลยนมิ ติ วา่ ขา้ พเจา้ นแี่ หละไดเ้ ดนิ ทางไปสสู่ ำ� นกั ของทา่ นพระอาจารยม์ น่ั เขา้ ไปสวู่ ดั ของทา่ น
พอดีได้เจอะท่าน พบท่านอยู่กลางลานวัด พอมองเห็นท่านก็รู้ขึ้นในใจว่า “น่ีท่านพระอาจารย์ม่ัน”
เหมอื นกบั ไดอ้ ยรู่ ว่ มทา่ นมาแลว้ นยั ว่า พอทา่ นเหลอื บตามาเหน็ ข้าพเจ้า ท่านก็ทักข้ึนเลยว่า “ท่าน
จวนมาแล้ว” ดงั นี้
แล้วข้าพเจา้ กเ็ ดินเขา้ ไปจะไปกราบนมสั การท่าน ท่านก็เลยโกง่ หลังให้ข้าพเจา้ ข่ี ข้าพเจา้ ไม่ข่ี
ท่านกบ็ อกใหข้ ่ี อ้อนวอนให้ขี่ ข้าพเจา้ ไมข่ น้ึ ขหี่ ลังทา่ น กลัวจะเป็นบาป ท่านกเ็ ลยใชก้ ารขเู่ ขญ็ ค�ำราม
ใหข้ ี่ ข้าพเจา้ กจ็ ำ� เป็นก็เลยขึน้ ข่หี ลังทา่ น เหมือนกบั ขีม่ ้า พอป้าย (กา้ ว) กระโดดขึน้ หลงั ท่านเท่านน้ั
ท่านกเ็ ลยพาเหาะขึ้นบนอากาศจนลิบเมฆทเี ดียว นปี้ รากฏในนมิ ติ ความฝนั
เมอื่ เหาะข้นึ ไปบนอากาศจนลบิ เมฆแล้ว ทา่ นก็พาลงระหว่างกลางภเู ขาลูกหน่งึ ทา่ นเลยออก
อทุ านว่า “เอาละ่ ปานนี้ พอดี พอควร” ท่านว่าอย่างนัน้ จากน้นั กเ็ ลยตืน่ จากหลับคือนมิ ิต ขา้ พเจ้า
มาพิจารณาดใู นนิมติ นนั้ เกิดความปตี ิยนิ ดีในนมิ ติ วา่ ตนอาจจะมีวาสนาบารมีอยู่ในพรหมจรรย์ แลว้ ก็
ท�ำความพากความเพียรไป”
การทที่ ่านพระอาจารยจ์ วนไดอ้ ธษิ ฐานถงึ ทา่ นพระอาจารยม์ ่นั นัน้ เพราะในสมัยนนั้ ชือ่ เสียง
กิตติศัพท์ กิตติคุณของท่านพระอาจารย์ม่ันนั้นโด่งดังมากที่สุด ท่านเป็นพระบูรพาจารย์ใหญ่ฝ่าย
วิปัสสนากรรมฐาน เป็นที่เคารพเทิดทูนบูชาของพระเป็นอย่างดี โดยองค์หลวงตาพระมหาบัว
าณสมปฺ นฺโน ได้เมตตาเทศน์ไวด้ งั นี้
“ไดพ้ ระเพียงองคเ์ ดยี วเทา่ นัน้ เหน็ ไหมหลวงปูม่ ่นั เราเวลานกี้ ระเทือนทว่ั โลกไมใ่ ช่ธรรมดานะ
นั่นล่ะโรงงานอันใหญห่ ลวงท่ีสดุ คือ หลวงปู่ม่นั เรา ครบู าอาจารย์ท้งั หลายมีจ�ำนวนมากน้อยทเ่ี ป็น
ครูอาจารย์มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นเพชรน้�ำหน่ึงๆ ทั่วประเทศไทยก็ว่าได้เวลานี้ ไปจากไหน ไปจาก
63
หลวงปมู่ ัน่ หลวงปมู่ ่ันเป็นผู้ประสิทธิป์ ระสาทธรรมะเหลา่ น้ี ทา่ นเหล่านัน้ ก็ไปศกึ ษาอบรมได้เต็มเม็ด
เต็มหนว่ ยแลว้ ออกมากเ็ ป็นครูเปน็ อาจารย์เร่อื ยมา เช่นอย่างหลวงป่ฝู นั้ หลวงปู่ขาวเหล่านี้เป็นตน้ นะ
นับแต่โน้นนะ อาจารย์แหวน ลงมา นี้มีตั้งแต่ลูกศิษย์ หลวงปู่มั่น ท้ังน้ัน นี่เรียกว่า โรงงานใหญ่
ทา่ นผลิตอรรถผลติ ธรรมใส่หัวใจพระๆ พระต้ังใจประพฤติปฏิบัติ ได้ศึกษาอบรมเต็มเม็ดเต็มหน่วย
แล้วออกมาก็เป็นครูเป็นอาจารย์สอนทั่วไปหมดทุกภาคในเมืองไทยเรา มีตั้งแต่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น
ทั้งนั้น น่ีจึงเรียกวา่ โรงงานอันใหญโ่ ตท่ีสดุ คอื หลวงปมู่ ่ัน สำ� หรบั ทา่ นเอง ทา่ นไมเ่ ก่ยี วกบั ผู้คนนะ
เพราะท่านอยู่ในปา่ ในเขาล้วนๆ มาเลย ท่านไมไ่ ด้ออกมาข้างนอก อยใู่ นป่าในเขาลึกๆ
ทีน้ีพระท่ีมุ่งหน้ามุ่งตาจริงๆ ก็เข้าหาท่านเลย พระไปอยู่กับท่าน ท่านก�ำหนดเอง ไม่ให้อยู่
หลายองค์ ให้อยู่ท่ีน่ันบ้างที่นี่บ้าง เข้ามาศึกษาอบรมในป่าในเขาเป็นประจ�ำนะ เรื่องของท่านจึงมา
ปรากฏโดง่ ดังขึ้นตอนประวตั ขิ องท่านน้ีแหละ คอื เราเขียนเองนะ แตก่ อ่ นเงียบเลย ทา่ นเป็นโรงงาน
ใหญโ่ ต ช่อื เสยี งทา่ นจงึ ดังมาตัง้ แตน่ ั้นจนกระทัง่ ป่านนี้ ใครไปลมื หลวงปู่มัน่ ไมไ่ ด้นะ นัน้ ล่ะโรงงาน
อันใหญ่หลวงท่สี ุดแหง่ อรรถธรรม ที่ทำ� ความร่มเย็นใหแ้ กโ่ ลกอยู่ทกุ วันนีม้ าจากหลวงปมู่ นั่ วา่ อย่างน้ี
เลย เปน็ อันดับแรก ไปอยทู่ ่ไี หนถาม องค์นน้ั มาจากไหนๆ มีแตอ่ อกจากหลวงปมู่ ั่นล่ะ”
64
ภาค ๔ พบท่านพระอาจารย์ม่ัน ภูริทตฺตมหาเถร
ครูบาอาจารย์ผู้สอนภาคปฏิบัติส�ำคัญมาก
พระพุทธศาสนาจะสมบูรณ์และเจริญรุ่งเรืองม่ันคงได้นั้น จะต้องมีทั้งภาคปริยัติ ภาคปฏิบัติ
และ ภาคปฏิเวธ ในครงั้ พุทธกาลถอื ภาคปฏบิ ัตเิ ป็นเยีย่ ม เพราะพระสงฆส์ าวกได้เรยี นปริยัติ คือ
การศึกษาเล่าเรียน โดยการฟงั ธรรมจากพระโอษฐข์ องพระพุทธเจ้า เม่ือศกึ ษาเลา่ เรยี นปริยตั มิ าเป็นท่ี
เข้าใจแลว้ ก็ออกไปประพฤตปิ ฏิบัตติ ามเข็มทศิ ทางเดนิ ของธรรมทไ่ี ดเ้ รียนมา โดยการออกเดนิ ธุดงค์
บ�ำเพ็ญเพียรตามปา่ ตามเขา จากน้นั จึงบังเกิดผล คอื ปฏเิ วธ คอื ความรู้แจง้ แทงตลอดไปเปน็ ล�ำดบั ๆ
กระทง่ั รูแ้ จ้งแทงตลอดโดยท่วั ถึง เปน็ พระอรหนั ตสาวก เปน็ ธมฺโม ปทโี ป ประดบั เปน็ เกยี รตยิ ศ
ศักดศิ์ รใี นพระพุทธศาสนา
การเรียนภาคปริยัติ ส�ำนักเรียนและครูบาอาจารย์ผู้สอนมีมากมาย ทั้งต�ำรับต�ำราภาคปริยัติ
ก็มีมากมายและหาได้ง่าย ซึ่งแตกต่างกับภาคปฏิบัติ โดยในครั้งพุทธกาลเน้นภาคปฏิบัติเป็นส�ำคัญ
แตใ่ นสมัยกงึ่ พุทธกาลเน้นภาคปรยิ ัติ และการออกธดุ งคกรรมฐานมนี ้อยมาก เริม่ มมี ากขนึ้ ในสมยั ท่ี
ทา่ นพระอาจารยเ์ สาร์ และ ท่านพระอาจารยม์ ่นั ไดบ้ ุกเบิกฟ้ืนฟธู ุดงควตั รและออกธดุ งคกรรมฐาน
จนเปน็ ทยี่ อมรบั ในสังคมชาวพุทธแล้ว ดงั นนั้ ครูบาอาจารยผ์ ้สู อนภาคปฏิบตั ทิ ร่ี จู้ ริงเห็นจริง จงึ มี
นอ้ ยมากและหาไดย้ ากยิ่ง
ภาคปฏิบัตใิ นด้านจิตตภาวนา การศึกษาค้นควา้ เรือ่ งของจติ ซง่ึ เปน็ เรอ่ื งทล่ี กึ ลบั ยาก และ
มหัศจรรย์มาก จึงจ�ำเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องมีครูบาอาจารย์ที่รู้จริงเห็นจริงคอยเมตตาอบรมสั่งสอน
ช้ีแนะ และเป็นที่ปรารถนาของพระธุดงคกรรมฐานท่ีหวังความพ้นทุกข์ท้ังหลาย ซึ่งจะคอยติดตาม
เสาะแสวงหาครบู าอาจารยก์ นั ดงั เชน่ คร้ังพทุ ธกาล องคพ์ ระบรมศาสดา เสดจ็ ออกธุดงคกรรมฐาน
เป็นพระป่าองค์แรกของโลก ก็ทรงแสวงหาครูบาอาจารย์ ครั้งก่ึงพุทธกาล ท่านพระอาจารย์เสาร์
ทา่ นพระอาจารยม์ ัน่ กเ็ ดินธดุ งคแ์ สวงหาครบู าอาจารยเ์ ช่นกัน ฉะน้ัน ครูบาอาจารย์ผู้ส่ังสอนอบรม
ภาคปฏิบัติจึงส�ำคัญมาก โดยองค์หลวงตาพระมหาบัว าณสมปฺ นฺโน ไดเ้ มตตาเทศน์ไว้ดังนี้
“เร่ืองครูบาอาจารย์จึงเป็นของส�ำคัญมาก เม่ือได้เห็นท่านพาด�ำเนิน แม้แต่เดินจงกรมเท่านี้
เราก็เห็นแล้ว อ๋อ ! นี่เดินจงกรม ท่านเดินกันอย่างนี้ ประจักษ์แล้ว ทั้งๆ ที่ในต�ำรามีอยู่ไม่น้อย
เต็มไปหมด เรื่องเดินจงกรมของพระสาวก นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาทรงเดินจงกรมและเดินจงกรม
น่ังสมาธิภาวนาก็มใี นต�ำรับตำ� ราเตม็ ไปหมด แต่เราเม่อื ไมเ่ ห็นวิธีการท่ที า่ นพาด�ำเนนิ ท้ังท่ีเราก็เรยี น
จ�ำมาได้ ว่าเดนิ จงกรม ว่านั่งสมาธิ แตเ่ รากท็ �ำไมเ่ ป็น วา่ เดินจงกรมเดินยงั ไง เดนิ วธิ ใี ด น่ังสมาธนิ ้นั
นั่งอย่างไร นั่งวิธีใด การสำ� รวมจิตในเวลาต่างๆ อริ ยิ าบถตา่ งๆ ส�ำรวมอย่างใด เราไมเ่ คยรไู้ มเ่ คยเห็น
เป็นแต่ไดย้ นิ ได้ฟังจากต�ำรบั ต�ำรา
65
ต่อเม่ือมาได้ยินได้ฟังจากครูจากอาจารย์ว่า การตั้งสติ การระมัดระวังจิตใจของตนท่ีจะคิด
จะปรุงไปในแง่ตา่ งๆ ใหม้ สี ติระมัดระวงั อย่างน้นั ๆ ไมว่ า่ แตเ่ พยี งอิริยาบถ ทกุ เวลาของจิตที่เคล่อื นไหว
เพราะความเคล่ือนไหวของจิต เคล่ือนไหวออกสู่ความเป็นกิเลส น�ำกิเลสเข้ามาเผาผลาญจิตใจ
เพราะฉะนน้ั จึงต้องได้มคี วามเพียร ทเ่ี รยี กวา่ สติธรรม ปญั ญาธรรม วิรยิ ธรรม เขา้ ต่อกรกนั อยู่โดย
สม่�ำเสมอ จึงจะปรากฏเป็นความจริงขึ้นมาแล้วหายสงสัยไปเป็นพักๆ น่ีเรียกว่าการศึกษาเล่าเรียน
จากครูจากอาจารยต์ อ่ หนา้ ต่อตา ไดเ้ หน็ ไดย้ ิน
เอ้า ! การเดินบิณฑบาต ท่านเดินอย่างไร นี่เราก็เห็น ทุกส่ิงทุกอย่างอันเป็นอุบายแก้ไข
ถอดถอนกิเลส เราได้เหน็ ด้วยตาของเรา ในบรรดากิริยาทพ่ี อจะสมั ผสั ทางตา ในบรรดาเสยี งทจ่ี ะสมั ผสั
ทางหู ท่านแสดงว่าอย่างไร เพราะออกมาจากความจรงิ ของท่านทเ่ี คยพาดำ� เนนิ มา เราก็น�ำความจรงิ
อันนั้น น�ำเหตุผลหรือเน้ือความอันน้ันเข้ามาสู่ใจของเรา เป็นท่ีเข้าใจแล้วหายสงสัย น่ีล่ะเรียกว่า
ภาคปฏิบตั ิ เปน็ อยา่ งน้ี จงึ ตอ้ งมคี รมู ีอาจารยค์ อยแนะนำ� ส่งั สอน
อย่างครูบาอาจารย์สมัยปัจจุบันนี้ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นก็ล่วงลับไปแล้ว ผู้ได้ศึกษาอบรม
กับท่านก็ได้ยึดมาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ทั้งภายนอก คือ ข้อวัตรปฏิบัติ หลักธรรมหลักวินัย
ทัง้ ภายใน คอื การประกอบความพากเพียร เพอ่ื ศีล เพอ่ื สมาธิ เพอ่ื ปญั ญา เพอื่ วมิ ตุ ติหลุดพ้น
ทา่ นกพ็ าดำ� เนนิ และไดช้ แ้ี จงแสดงใหพ้ วกเราทง้ั หลายไดย้ นิ ไดฟ้ งั จนเปน็ ทพี่ อใจเปน็ ทจี่ ใุ จ แลว้ นำ� มา
แจกจ่ายซึ่งกันและกันจนกระทัง่ ปจั จุบนั นี้ จึงเปน็ ที่แน่ใจในปฏปิ ทาของทา่ นท่ีพาด�ำเนินมา”
และองค์หลวงตาพระมหาบัว าณสมฺปนฺโน ได้เมตตาเรียบเรียงเร่ืองพระธุดงคกรรมฐาน
เคารพรักครูบาอาจารย์มาก ไว้ในหนังสอื ประวตั ิทา่ นพระอาจารยม์ ่ัน ภูรทิ ตั ตเถระ ดงั นี้
“พระธุดงคกรรมฐานผ้หู วงั ในธรรมอยา่ งย่ิง ทา่ นรูส้ กึ ล�ำบากอยู่ไม่นอ้ ยในการอยู่ การบำ� เพญ็
การเดนิ ทาง และการแสวงหาครูอาจารยผ์ ู้อบรมโดยถกู ต้องและราบรื่นชน่ื ใจ เช่น ท่านอาจารย์มน่ั
มาพบเห็นท่านแล้วดีอกดีใจ เหมือนลูกเล็กๆ เห็นพ่อแม่เราดีๆ น่ีเอง ท้ังรัก ท้ังเคารพ ท้ังเลื่อมใส
และอะไรๆ รวมเป็นความไว้วางใจหมดทกุ อยา่ ง หรอื จะเรียกว่าหมดชวี ิตจิตใจรวมลงในท่านองคเ์ ดยี ว
กถ็ กู เพราะนสิ ยั พระธดุ งคกรรมฐานมคี วามเชอื่ ถอื และเคารพรกั อาจารยม์ าก ขนาดสละชวี ติ แทนไดโ้ ดย
ไมอ่ าลยั เสยี ดายเลย แม้จะแยกยา้ ยกนั ไปอยใู่ นท่ีตา่ งๆ กต็ าม แต่ทา่ นมีความผูกพันในอาจารยม์ าก
ผิดธรรมดา
การอยู่ การบ�ำเพ็ญ หรอื การไปมา แม้จะล�ำบาก ทา่ นพอใจท่ีจะพยายาม ขอแต่มีครูอาจารย์
คอยให้ความอบอุ่นกพ็ อ ความเปน็ อยู่หลับนอน การขบฉนั ท่านทนได้ อดบา้ ง อิม่ บา้ ง ท่านทนได้
เพราะใจท่านมุ่งต่อธรรมเป็นส�ำคัญกว่าส่ิงอื่นใด บางคืนท่านนอนตากฝนทั้งคืน ทนหนาวจนตัวสั่น
เหมอื นลูกนก ทา่ นก็ยอมทน เพราะความเหน็ แก่ธรรม”
66
ครูบาอาจารย์ผู้สอนภาคปฏิบัติ สอนวิปัสสนากรรมฐานในภาคอีสาน ที่มีกิตติศัพท์ช่ือเสียง
โดง่ ดงั มากและเปน็ ที่ยอมรับอย่างกวา้ งขวาง ในสมัยท่ีท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ ไดเ้ ร่ิมออก
ธุดงคกรรมฐานน้ัน คือ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตมหาเถร พระปรมาจารย์ใหญ่กองทัพธรรม
ทา่ นเปน็ พระผบู้ กุ เบกิ ฟน้ื ฟธู ดุ งควตั รและออกปฏบิ ตั กิ รรมฐานรว่ มกบั ทา่ นพระอาจารยเ์ สาร์ กนตฺ สลี –
มหาเถร
ท่านต้ังใจถวายตัวเป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น
ทา่ นพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ท่านมีความมงุ่ มั่นตงั้ ใจปรารถนาอยา่ งแรงกลา้ ทจ่ี ะพ้นทุกข์
เพราะเม่ือท่านออกบวชเป็นคร้ังที่สองนั้น ท่านได้ลาโยมมารดาญาติพ่ีน้อง โดยตั้งใจจะบวชไม่สึก
จะขออยู่ในสมณเพศครองพรหมจรรย์เป็นพระธุงคกรรมฐาน ท่านจึงออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมต้ังแต่
พรรษาแรก ดังนั้น การปฏิบัติธรรมในระยะแรกของท่านนั้น จึงเป็นไปอย่างอุกฤษฏ์ดังท่ีกล่าวมา
ซ่ึงนอกจากท่านจะไม่ประสบผลตามที่ต้ังใจแล้ว ท่านยังประสบอุปสรรคทางกาย คือ ธาตุขันธ์
ไม่เออื้ อ�ำนวย และอปุ สรรคทางใจ คือ ท่านเกดิ ปฏพิ ัทธร์ ักใคร่หญงิ สาว ท่านเคยไดย้ ินชอ่ื เสียงกติ ตศิ ัพท์
ของทา่ นพระอาจารยม์ ่นั ภูริทตตฺ มหาเถร จงึ อธิษฐานขอให้นมิ ิตเห็นท่านพระอาจารย์มั่น และท่าน
ต้ังใจจะกราบนมัสการถวายตัวเป็นศิษย์ โดยจะขออยู่จ�ำพรรษา เพ่ือขอเข้ารับการศึกษาอบรมและ
รับฟังโอวาทจากท่านพระอาจารย์ม่ัน ซ่ึงเป็นพระปรมาจารย์ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานและเป็นครูบา–
อาจารย์ภาคปฏบิ ตั อิ งคส์ ำ� คัญแห่งยุค
ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตมหาเถร ท่านมีกิตติศัพท์ กิตติคุณ ชื่อเสียงคุณธรรม
อันเล่ืองลือเก่ียวกับปฏิปทาที่เด็ดเด่ียว กล้าหาญ มีศีลาจารวัตรอันงดงามมาก ท่านได้เมตตา
ส่ังสอนอบรมประสิทธิ์ประสาทวิชาให้พระศิษย์ของท่าน จนเป็นพระแท้ประเภท “เพชรน�้ำหน่ึง”
มากมาย โดยองค์หลวงตาพระมหาบัว าณสมฺปนฺโน ได้เมตตาเทศน์ยกย่องไว้ว่า “ท่านพระ
อาจารย์มั่น คือ โรงงานใหญ”่
ตามปฏิปทาของทา่ นพระอาจารย์ม่นั ในสมัยทที่ ่านออกธดุ งคน์ ้ัน ท่านจะไม่พกั ประจ�ำอยู่ที่ใด
นานๆ ทา่ นจะไมต่ ิดสถานที่ แต่จะธุดงค์ตามป่าตามเขาไปเรอ่ื ยๆ และท่านจะไมต่ ดิ ญาตโิ ยม ไม่คนุ้ เคย
กับพระเณรและญาติโยม
ปฏิปทาของหลวงปู่ม่ัน การไม่พักประจ�ำอยู่ในท่ีใดนานๆ ในระยะท่ีท่านยังออกเดินธุดงค์
บ�ำเพ็ญสมณธรรมตามป่าตามเขา เพราะเม่ืออยู่ท่ีใดนานๆ ย่อมไม่ส่งผลดีต่อความพากเพียรในการ
ประพฤติปฏิบัติธรรม
ประการแรก จะท�ำให้คุ้นเคยกับสถานท่ีนั้นๆ ท�ำให้จิตไม่ตื่นกลัวเหมือนธุดงค์ไปยังสถานที่
ใหม่ๆ ซง่ึ มบี รรยากาศ สภาพแวดล้อม ท่ีน่าหวาดกลวั แตกต่างกนั ออกไป สถานท่เี ชน่ นัน้ จะช่วยให้จติ
67
ตื่นกลัวไม่ประมาทนอนใจ อนั เป็นการฝึกสติไดเ้ ป็นอยา่ งดี
ประการที่สอง จะท�ำให้คุ้นเคยกับญาติโยม ซึ่งจะท�ำให้เสียเวลาในการปฏิบัติธรรม เพราะ
ญาตโิ ยมจะเข้ามาหาพูดคยุ สนทนา และอาจจะแวะเวยี นมาเทีย่ วส่งเสยี งดัง มาทำ� ลายความสงบของ
สถานทป่ี ฏิบตั ิ
ปฏิปทาการไม่พักประจ�ำอยู่ในที่ใดนานๆ น้ัน เป็นปฏิปทาที่เด่นและส�ำคัญข้อหนึ่ง ถือเป็น
อริยปฏิปทาของพระธุดงคกรรมฐานท้ังหลาย นับแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดจน
พระอริยสงฆ์สาวกในสมัยครั้งพุทธกาล ซ่ึงท่านพระอาจารย์เสาร์ และ ท่านพระอาจารย์มั่น
พระบูรพาจารย์ใหญ่ของพระธุดงคกรรมฐาน ไดบ้ ุกเบิกฟ้ืนฟูและเจรญิ รอยถือปฏบิ ตั ิตามอรยิ ปฏิปทา
ข้อนี้อย่างชัดเจนเด่นชัดตลอดอายุขัยของท่านทั้งสอง ฉะน้ัน บรรดาครูบาอาจารย์พระศิษย์สาย
ทา่ นพระอาจารยเ์ สาร์ และ ทา่ นพระอาจารย์ม่นั ทย่ี งั ออกธุดงคแ์ สวงหาโมกขธรรม ท่านจงึ ได้ยดึ ถือ
และปฏิบัติสืบต่อกันมาจวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้ รวมทั้งท่านพระอาจารย์จวน ในขณะออกธุดงค์
แสวงหาโมกขธรรมก่อนจะมาอยู่ประจ�ำท่ีภูทอก หรือต่อมาเป็นวัดเจติยาคิรีวิหารน้ัน ท่านก็ได้ถือ
ปฏิปทาขอ้ น้ดี ้วยความเคร่งครัด โดยท่านพระอาจารย์เติมศกั ดิ์ ยุตตฺ ติธมโฺ ม ไดเ้ มตตาเล่าเร่ืองนี้ไว้ดังนี้
“คือหลวงปู่จวนนิสัยท่าน พอบ้านเมืองเจรญิ ทา่ นหนี มอี ยู่วา่ ภูทอกไม่หนี ท่อี ื่นท่านอยพู่ อจะ
เจรญิ พอชาวบ้านเขาจะพ่งึ พาตัวเองได้ ทา่ นไปแลว้ ทลี่ �ำบากๆ พระท่านไปอย่อู าศยั พอเขาไดท้ พี่ ง่ึ
พอสมควร พอจะอยู่ลืมตาอา้ ปากไดท้ ่านหนี”
ในสมัยท่ีท่านพระอาจารย์จวนเข้าไปกราบนมัสการถวายตัวเป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น
นั้น ทา่ นพระอาจารย์มัน่ อยใู่ นปัจฉมิ วัยแลว้ ท่านไมไ่ ดอ้ อกเดินธุดงคเ์ หมอื นแต่กอ่ น โดยปลายปี พ.ศ.
๒๔๘๗ ทา่ นได้ออกเดนิ ธุดงคม์ าวดั ป่าบา้ นหนองผอื หรือ วัดปา่ ภรู ิทัตตถริ าวาส อ�ำเภอพรรณานิคม
จงั หวดั สกลนคร ตามคำ� กราบอาราธนานิมนต์ของชาวบา้ นหนองผือ และท่านไดอ้ ย่จู ำ� พรรษาทว่ี ดั ป่า
บ้านหนองผือ อนั เปน็ วัดสุดท้ายทที่ า่ นอยู่จ�ำพรรษา และท่านไดอ้ ยู่นานตดิ ต่อกันถงึ ๕ ปี นบั แตป่ ลายปี
พ.ศ. ๒๔๘๗ ถึงปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ก่อนการมรณภาพ ซ่ึงในขณะนั้นท่านอาจารย์พระมหาบัว
าณสมปฺ นโฺ น ไดเ้ ปน็ พระอุปฏั ฐากใกล้ชิดท่านพระอาจารยม์ ่ัน
ปลายปี พ.ศ. ๒๔๘๘ พบท่านพระอาจารย์ม่ัน
ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ หลังจากอธิษฐานจิตถึงท่านพระอาจารย์มั่นแล้ว ท่านได้
เกดิ นมิ ติ เหน็ ท่านพระอาจารย์มนั่ และเม่ือออกพรรษาแล้ว ๕ วัน ซึ่งตรงกับวันศุกรท์ ่ี ๒๖ ตลุ าคม
พ.ศ. ๒๔๘๘ ท่านได้พบกับท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธาร (มหาเส็ง ปุสฺโส) ศิษย์อาวุโสองค์หนึ่ง
ของท่านพระอาจารย์มั่น และท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธารก็ได้พาท่านไปกราบท่านพระอาจารย์ม่ัน
คร้ังแรกท่วี ัดป่าบา้ นหนองผือ โดยท่านพระอาจารย์จวน กลุ เชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศน์เร่ืองนี้ไวด้ งั นี้
68
“เมอื่ ออกพรรษาแล้วได้ ๕ วัน ทา่ นเจา้ คุณพระอรยิ คุณาธาร (มหาเสง็ ปุสโฺ ส) สมัยนน้ั
เป็นผู้ช่วยเจ้าคณะภาค ท่านมาตรวจการคณะสงฆ์ทางภาคอีสาน ท่านมาแวะเย่ียมตรวจดูท่ีวัดป่า
บ้านนาจิก ดอนเมย เลยเห็นขา้ พเจ้า ขา้ พเจา้ ก็เลยขอไปกบั ทา่ นว่าจะไปอยรู่ ว่ มท่านพระอาจารยม์ ั่น
ท่านก็มีความยินดี เลยเอาไปด้วย เอารถมารับไปด้วย จนไปถึงท่านพระอาจารย์มั่น เมื่อถึง
ท่านพระอาจารยม์ น่ั ดูลกั ษณะกิรยิ าตา่ งๆ รูปร่างเหมือนกับนมิ ติ ความฝันท่ีปรากฏเหน็ ในพรรษานัน้
ไมผ่ ิดแปลกเลย
ท่านพระอาจารย์ม่ันพอเห็นหน้าข้าพเจ้า ท่านก็ทักทายอย่างอารมณ์ดี “เออ ! มาแล้วรึ
ลูกศิษย์ท่านเจา้ คุณอริยฯ มาจากไหน ?”
“จากอุบลฯ ครับผม”
“อ�ำเภอไหน ?”
“อ�ำเภออ�ำนาจเจริญครับผม” ขา้ พเจ้าตอบ
“อา้ ว ! อยูท่ างเดียวกนั ”
ทา่ นวา่ อยา่ งเมตตา และเมือ่ เห็นข้าพเจ้ามผี ิวขาวนกั ทา่ นก็ทักวา่ คงเปน็ ลูกจนี ความจริงการที่
ข้าพเจ้ามีผิวขาวน้ี ทำ� ให้หมพู่ วกตา่ งพากันคดิ ทง้ั นน้ั ว่า ข้าพเจ้าไม่ใชล่ าว คงเป็นลูกจีนแนน่ อน ขา้ พเจา้
ตอ้ งอธิบายว่า ขา้ พเจา้ ไมใ่ ชล่ กู จีน ขา้ พเจา้ เปน็ ลกู ชาวนา และเปน็ ลกู ชาวอุบลฯ เตม็ ตัว”
พรรษา ๔ พ.ศ. ๒๔๘๙ จ�ำพรรษาวัดป่าบ้านหนองผือ
ในพรรษาท่ี ๔ ของท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ท่านได้อยู่จ�ำพรรษาร่วมกับท่าน
พระอาจารย์ม่ัน สมดังความต้งั ใจ โดยท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศน์เรอ่ื งนไี้ ว้ดังนี้
“ขา้ พเจ้าก็อย่ศู กึ ษาอบรมกับทา่ นพระอาจารย์ม่นั จ�ำพรรษาอยู่ร่วมทา่ น ตอนทขี่ ้าพเจา้ ได้ไป
อยกู่ บั ท่านพระอาจารยม์ ่ันน้ี นยั วา่ ทา่ นพระครูทศั นวิสทุ ธิ์ (มหาดสุ ิต เทวิโร) ซ่งึ เปน็ อุปัชฌายะของ
ขา้ พเจ้า ท่านไดฝ้ ากฝงั กับทา่ นเจ้าคณุ พระอริยคุณาธารไวว้ ่า
“ขอฝากคณุ จวนไปอยู่กบั ท่านอาจารยม์ น่ั ”
ดังน้ัน ท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธาร จึงน�ำข้าพเจ้าไปฝากฝังไว้กับท่านพระอาจารย์ม่ันท่ี
บ้านป่า ที่วัดป่าบ้านหนองผือ อ�ำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร จึงได้อยู่ร่วมท่าน เมื่ออยู่ร่วม
ท่านในฤดแู ลง้ และในพรรษานัน้ คือ ตลอดฤดูแลง้ ตลอดพรรษา ฟงั โอวาทของท่านพระอาจารย์มนั่
โดยมากทา่ นแนะน�ำให้ปฏิบตั ทิ างวนิ ยั ให้เครง่ ครัดและธดุ งค์”
69
ในพรรษานี้องค์หลวงตาพระมหาบัวได้อยู่จ�ำพรรษาด้วย โดยองค์หลวงตาฯ ท่านได้เมตตา
เทศน์ไวเ้ มื่อวันที่ ๑๔ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ ดังนี้
“อย่างท่านจวน ท่านสิงห์ทอง เหล่าน้ีก็อยู่กับท่านมาแล้วทั้งน้ัน ท่านจวนก็เคยจ�ำพรรษา
ดว้ ยกนั ทหี่ นองผือ ทา่ นสงิ ห์ทองไมไ่ ดจ้ �ำ แตอ่ ย่ใู กล้ๆ ๒ กโิ ลฯ ๓ กิโลฯ คอื มนั แนน่ เข้าไม่ได้
ท่านรับพระไม่ได้มากนักนะ พระที่อยู่บริเวณรอบๆ น้ีเต็มไปหมด อย่างท่านสิงห์ทองไม่ได้เข้าไป
จ�ำพรรษากับทา่ นก็ตาม ถึงวันประชมุ นี้ก็มาประชุม ฟังธรรมะแลว้ กก็ ลับไปคา้ งทีว่ ัดๆ ในพรรษากม็ า
อยู่อย่างน้ี มนั ก็เหมือนกับอยูใ่ นวัดนน่ั แหละ ทา่ นสิงหท์ องนี้องค์หนง่ึ ”
ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ท่านมุ่งเน้นสอนพระศิษย์ทุกองค์ที่เข้ามาศึกษาอบรมให้
เครง่ ครัดในพระธรรมวนิ ยั และธุดงควตั ร โดยองคห์ ลวงตาพระมหาบวั าณสมฺปนฺโน ท่านไดเ้ ทศน์
และได้บนั ทกึ ในหนงั สอื ปฏปิ ทาของพระธดุ งคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มน่ั ภรู ทิ ตั ตเถระ ดังน้ี
“หลักปฏิปทาท่ีพ่อแม่ครูอาจารย์ม่ันได้พาด�ำเนินมา เป็นปฏิปทาที่ราบร่ืนดีงามสม�่ำเสมอ
มาก หาที่ต้องติไม่ได้ เพราะท่านด�ำเนินตามหลักธรรมหลักวินัยอย่างแท้จริง หลักธรรมหลักวินัย
เครือ่ งดำ� เนนิ และการดำ� เนนิ ตามหลักธรรมหลกั วนิ ยั น้แี ล เปน็ การตะลอ่ มจติ ใจเข้าสูท่ างเพ่ือมรรคผล
นิพพาน ถา้ นอกเหนือไปจากนแี้ ล้วก็ยากท่จี ะเป็นไปได้ เหมอื นเราข้ามน�้ำมหาสมทุ ร ต้องอาศยั เรือ
เท่านน้ั เป็นส�ำคญั ไม่เห็นสงิ่ อ่ืนใดดยี งิ่ ไปกว่าเรือ นนั่ แหละจะถงึ ฝั่งด้วยความปลอดภยั
การด�ำเนินปฏิปทาตามหลักธรรมหลักวินัย ที่พระพุทธเจ้าทรงด�ำเนินและเห็นผลเป็นที่พอ
พระทัยมาแล้วได้สั่งสอนไว้น้ีแล เป็นทางท่ีราบร่ืนดีงามต่อความพ้นทุกข์โดยไม่ต้องสงสัย ผลที่จะ
พึงได้รับไปตามกาลตามเวลา ที่ประกอบความดีท้ังหลายนั้น ก็เป็นเคร่ืองสนับสนุนกันไปโดยล�ำดับ
ส�ำหรับผู้ต้องการความหลุดพ้นโดยถ่ายเดียวเท่าน้ัน ย่อมเห็นศาสนธรรมและการด�ำเนินตามเป็น
สง่ิ สำ� คัญย่งิ กว่าส่งิ อ่นื ใด แม้จะพดู ว่าในโลกนี้ก็ได้ว่า ไม่มสี ง่ิ ใดทีจ่ ะแนะแนวทางให้ตรงแนว่ ตอ่ ความ
พ้นทุกขไ์ ด้เหมือนหลักธรรมหลกั วนิ ัยน้ีเลย
หลักธรรมหลักวินัยน้ีพระองค์ทรงด�ำเนินหรือบ�ำเพ็ญมาแล้ว ผลที่ได้ถึงความเป็นศาสดาเอก
ของโลก กอ็ อกมาจากการดำ� เนนิ ตามนีไ้ มผ่ ดิ เพีย้ น จงึ ไดส้ งั่ สอนสัตวโ์ ลกด้วยความแนพ่ ระทยั และเป็น
สวากขาตธรรม ตรสั ไวช้ อบแล้วทุกแงท่ กุ มุม ผ้อู ยากจะเห็นการด�ำเนินของพระศาสดาพงึ ดูหลักธรรม
หลกั วนิ ยั อนั เปน็ พระอาการแหง่ ความเคลอ่ื นไหวของการกา้ วไปและการดำ� เนนิ เพอ่ื สาธารณประโยชน์
ของโลก มีหลักธรรมหลักวินัยน้ีแลเป็นเครื่องยืนยันพระอากัปกิริยาแห่งการด�ำเนินของพระพุทธเจ้า
ไม่วา่ จะด�ำเนนิ เพื่อความสวยงามทว่ั ๆ ไปในวงพระศาสนาและความเป็นศาสดาก็ตาม และไม่ว่ากรณี
ใดก็ตาม นับต้ังแต่สั่งสอนสัตว์โลกในขั้นพ้ืนๆ จนกระทั่งถึงขั้นวิมุตติหลุดพ้น ย่อมเป็นไปตาม
พระโอวาททที่ รงแสดงออกแล้วนที้ ้งั นั้น”
70
“หลักปฏิปทาท่ีพ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นพาด�ำเนินมา ซ่ึงได้สืบทอดมาถึงพวกเราเวลาน้ี
เปน็ ปฏปิ ทาทถี่ ูกต้องแม่นย�ำ ไม่มเี งอ่ื นจะให้สงสัยแมแ้ ต่นอ้ ย เพราะท่านดำ� เนินตามแบบฉบบั ของ
ศาสดาทีม่ ไี ว้แลว้ ในตำ� ราจริงๆ ไมใ่ ช่แบบแอบๆ แฝงๆ หรือแผลงๆ ไป ดังท่ีเหน็ ๆ กนั ทัว่ ๆ ไปน้ี
มลี กั ษณะอยากเดน่ อยากดงั ไมเ่ ขา้ รอ่ งเข้ารอยอย่างนน้ั ไม่มี สำ� หรบั ของหลวงป่มู ่ันเป็นปฏิปทา
ด้วยความเป็นธรรมลว้ นๆ จงึ ไม่มีแงใ่ ดท่นี า่ สงสัย…
วธิ ดี ำ� เนินทางดา้ นจติ ตภาวนา ท่านก็ไมไ่ ดพ้ าบำ� เพญ็ หรือปฏบิ ัติใหน้ อกเหนอื ไปจากหลกั ธรรม
ที่พระองค์ทรงสั่งสอนไว้แล้วนั้นเลย เช่น สอนพุทโธ หรือ สอนอานาปานสติ หรืออาการ ๓๒
นบั แต่กรรมฐาน ๕ ขน้ึ ไป จนกระทงั่ ถงึ อาการ ๓๒ เหลา่ นี้มีในต�ำรับต�ำราโดยสมบูรณอ์ ย่แู ลว้ ไมเ่ ปน็
ขอ้ สงสัย ไม่เปน็ ท่ใี หเ้ กดิ ความระแวงอะไรทั้งสิน้
ท่ีท่านพาด�ำเนินมาไม่ได้มีบทแปลกๆ ต่างๆ และเป็นส่ิงท่ีผูกขาดบ้าง หรือเป็นอะไรขลังๆ
บา้ ง อย่างนไ้ี ม่ปรากฏ ถา้ ขลงั ก็ขลงั ด้วยความเปน็ ธรรมจรงิ ๆ คือเอาจริงเอาจงั ประหนึ่งวา่ ขลงั ไมใ่ ช่
ขลังแบบโลกๆ ขลังด้วยความเปน็ ธรรม ขลงั ดว้ ยความแน่ใจตัวเอง และท�ำความอบอนุ่ แก่ตนเองดว้ ย
ความขลังนัน้ จรงิ ๆ นีค่ ือปฏิปทาที่พอ่ แม่ครอู าจารย์มน่ั พาดำ� เนนิ มา...
แนวทางดำ� เนนิ ในสายทา่ นพระอาจารยม์ นั่ กรรมฐาน ๕ (เกศา – ผม โลมา – ขน นขา – เลบ็
ทันตา – ฟนั ตโจ – หนงั โดยอนโุ ลมปฏโิ ลม) และธดุ งค์ ๑๓ ทา่ นถอื เป็นส�ำคญั มาก จะเรยี กว่าเปน็
เส้นชีวิตของพระธดุ งคส์ ายของท่านกไ็ ม่ผดิ ใครเข้าไปรับการอบรมกบั ทา่ น ท่านตอ้ งสอนกรรมฐาน
และธดุ งควตั รใหใ้ นเวลาไมน่ านเลย...”
ท่านพระอาจารย์ม่ันแนะน�ำให้พิจารณากายเป็นส่วนมาก
เมื่อท่านพระอาจารย์จวนไปอยู่จำ� พรรษากบั ทา่ นพระอาจารยม์ น่ั ทา่ นก็ได้เมตตาแนะนำ� การ
ภาวนาใหท้ ่านพระอาจารย์จวน โดยท่านสอนใหท้ �ำสมถะ – วิปัสสนากรรมฐาน และใหพ้ ิจารณากาย
เปน็ ส่วนมาก หรือท่เี รียกวา่ “กายคตาสต”ิ เช่นเดียวกบั ท่พี ระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลายทรงสัง่ สอนพระสาวก
โดยทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ได้เมตตาเทศนไ์ ว้ดงั นี้
“การภาวนา ท่านแนะน�ำให้พิจารณากายเป็นส่วนมาก คือให้มีสติน้อมเข้ามาพิจารณากาย
สว่ นใดส่วนหนง่ึ ตามที่ถูกจรติ นสิ ัยของตน หรือถา้ หากจติ มนั ไมส่ งบ มีความฟุ้งซ่าน ทา่ นกใ็ ห้มกี าร
นึกน้อมด้วยความมีสติ ระลึกค�ำบริกรรมวา่ “พุทโธๆๆ” ไป เม่ือจติ สงบแลว้ ทา่ นก็ให้พกั พุทโธไว้
ให้อยู่ดว้ ยความสงบ แตก่ ต็ อ้ งใหม้ ีสติ ให้ช�ำนชิ �ำนาญ เมื่อช�ำนาญดว้ ยการบริกรรม หรอื ช�ำนาญด้วย
ความสงบแล้ว ทา่ นกใ็ หม้ สี ติน้อมเข้ามาพิจารณากายสว่ นใดส่วนหนึง่ ทถ่ี กู จรติ นิสัยของตนดว้ ยความ
มสี ติ เมื่อพิจารณาพอสมควรกใ็ หส้ งบ เม่อื สงบพอสมควรก็ใหพ้ จิ ารณาดว้ ยความมสี ตทิ ุกระยะ มใิ ห้
พลง้ั เผลอ เม่อื จติ มนั รวมก็ให้มีสตริ ะลึกรู้วา่ จิตของเรารวมอยูเ่ ฉพาะจติ หรืออิงอามิส คือองิ กรรมฐาน
71
หรอื องิ อารมณ์อันใดอนั หน่ึง ก็ให้รู้ ใหม้ ีสติรู้ และอย่าบังคบั จิตใหร้ วม เป็นแต่ให้มสี ติรู้อยวู่ ่าจติ รวม
เมื่อจิตรวมอยู่ก็ให้มีสติรู้ และอย่าถอนจิตที่รวมอยู่ ให้จิตถอนเอง เมื่อจิตถอนให้มีสติน้อมเข้ามา
พิจารณากายส่วนใดส่วนหนึ่งที่ตนเคยพิจารณาที่ถูกกับจริตนิสัยของตนน้ันๆ อยู่เรื่อยไป ด้วยความ
มสี ติ มิให้พลง้ั เผลอ
ส่วนนิมิตต่างๆ ท่ีเกิดข้ึน เป็นนิมิตแสดงภาพภายนอกก็ตาม หรือนิมิตภายในซึ่งเป็นธรรมะ
ผุดขึ้นก็ให้น้อมเข้ามาเป็นอุบายของกรรมฐาน ของวิปัสสนา คือน้อมเข้ามาสู่ไตรลักษณ์ให้เห็นเป็น
อนิจจฺ ํ ทุกฺขํ อนตตฺ า ดว้ ยกนั ท้งั หมด คือให้เห็นว่า
“ส่ิงใดส่ิงหนึ่งมคี วามเกิดขนึ้ เป็นธรรมดา สง่ิ ท้งั ปวงยอ่ มมีความดบั ไปเปน็ ธรรมดา” ดงั น้ี
ด้วยความมีสติอยู่เสมอๆ อย่าพล้ังเผลอหรือเพลิดเพลินลุ่มหลงไปตามนิมิตภายนอกท่ีแสดง
ภาพมา หรือนิมติ ภายในท่ีปรากฏผดุ ขนึ้ เปน็ อุบาย เปน็ ธรรมะกด็ ี อยา่ เพลดิ เพลินไปตาม
แล้วให้มีสติน้อมเข้ามาพิจารณากาย ให้เห็นเป็นของไม่สวยไม่งาม ให้เห็นเป็นไตรลักษณ์
คอื ไมเ่ ท่ียง เป็นทุกข์ เป็นอนตั ตา มใิ ชต่ น มิใช่ของตน มใิ ช่ของแห่งตน ดว้ ยความมีสติอยูอ่ ยา่ งนน้ั
เมอื่ พิจารณาพอสมควรกใ็ ห้พกั สงบ เม่อื สงบพอสมควรก็ใหพ้ ิจารณาด้วยความมสี ตอิ ย่อู ย่างนี้ น้เี ป็น
โอวาทค�ำสอนของท่านพระอาจารย์ม่ัน โดยมากท่านแนะน�ำโดยวิธีน้ี แล้วข้าพเจ้าก็ต้ังอกต้ังใจ
ท�ำความพากความเพียรไปตามค�ำแนะน�ำของท่าน”
ท่านพระอาจารย์มั่นชอบเทศน์ประวัติพระอัครสาวก
เมือ่ ท่านพระอาจารย์จวนจำ� พรรษาอย่กู บั ท่านพระอาจารยม์ ่นั นัน้ ทา่ นพระอาจารย์ม่นั ชอบ
เทศน์เรอื่ งพระอคั รสาวกท้งั สอง โดยทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ทา่ นได้เมตตาเทศนเ์ รอ่ื งนไ้ี ว้ดังน้ี
“ท่านอาจารยใ์ หญ่มน่ั สมัยท่จี �ำพรรษาอย่กู บั ท่าน ท่านเคยเทศนเ์ รอ่ื งย่อๆ ทา่ นก็ยกประวัติ
พระอคั รสาวกทัง้ ๒ คอื พระมหาสารบี ุตร พระมหาโมคคลั ลาน์ สมัยเมื่อยังเปน็ ปรพิ าชกยังไมบ่ วช
ต่างคนต่างแสวงหาโมกขธรรมถงึ ทางพน้ ทุกข์ ไปศึกษากับอาจารยต์ า่ งๆ จนจบลัทธอิ าจารย์นน้ั ๆ ก็ยงั
ไมแ่ นใ่ จวา่ เปน็ โมกขธรรม ... ทา่ นอาจารย์ใหญ่ ท่านชอบแสดงบอ่ ยๆ”
เนือ้ เรอ่ื งโดยยอ่ อปุ ติสสะสารบี ุตร กับ โกลิตะโมคคลั ลาน์ เปน็ สหายรักใคร่สนทิ สนมกันมาก
ต่างก็มุ่งแสวงหาโมกขธรรม ไปศึกษาในส�ำนักสัญชัยปริพาชก เรียนจนจบก็พบว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์
กเ็ ลยนดั แนะกนั พากนั ไปดลู ะครในเมอื งราชคฤห์ วนั นนั้ ใจไมร่ นื่ เรงิ บนั เทงิ ไมย่ นิ ดตี อ่ ละคร ปลงธรรม–
สงั เวชกเ็ ลยพากันหนี ท่านทั้งสองคดิ ตรงกนั คิดวา่ ฝงู ชนท่ีเลน่ ในฝูงชนทม่ี าดูนน้ั ลว้ นตกอยใู่ นอ�ำนาจ
แหง่ ความตายทั้งหมด พากันมัวเมา ไมค่ ิดหาทางทีห่ ลีกจากความตาย เกิดความสลดสังเวชในชีวติ
ของตนและของบุคคลอ่นื คดิ ตรงกนั กเ็ ลยสัญญากันทนี ้ี แยกย้ายกันแสวงหาโมกขธรรม ถา้ ใครได้พบ
ได้เหน็ แลว้ อยา่ ลมื กนั จงมาบอกกนั ต่างคนกต็ า่ งแยกกนั ไป
72
ในท่ีสุดอุปติสสะสารบี ุตรไดพ้ บพระอสั สชิ พระอสั สชิทา่ นถอ่ มองคแ์ ละแสดงว่า “สงิ่ ทงั้ ปวง
เกดิ จากเหตุ เมื่อดับ ดบั เพราะเหตุ พระสมณโคดมทา่ นแสดงอยา่ งนี”้ พออปุ ติสสะสารบี ุตรไดย้ ิน
ดังนั้น ได้ส�ำเร็จพระอริยบุคคลเป็นพระโสดาบันเต็มภูมิ ท่านก็เลยเรียนพระอัสสชิว่า “ขอนิมนต์
พระคุณเจ้ากลบั ก่อน ขา้ พเจา้ จะไปตามสหายกอ่ น เพราะได้นดั แนะกันไว้ เวลานี้พระสมณโคดมผเู้ ป็น
ศาสดาจารยข์ องเรา ท่านประทบั อยทู่ ีไ่ หน ?” พระอสั สชกิ เ็ ลยตอบว่าพักอยทู่ นี่ ัน้ ๆ อุปติสสะสารีบุตร
กอ็ อกตามหาโกลติ ะโมคคัลลาน์จนพบกัน
อุปติสสะสารีบตุ รก็ไดแ้ สดงแกโ่ กลติ ะโมคคัลลาน์วา่ “ส่งิ ทั้งปวงเกดิ จากเหตุ ดับเพราะเหตุ
พระสมณโคดมแสดงอยา่ งน”ี้ โกลติ ะโมคคลั ลานไ์ ดย้ นิ ดงั นน้ั ไดส้ ำ� เรจ็ พระโสดาบนั เตม็ ภมู ิ ทา่ นทง้ั สอง
กไ็ ดช้ กั ชวนกนั ไปพรอ้ มดว้ ยบรวิ าร ได้ฟังเทศนข์ องพระพุทธเจ้าแล้วบวชอปุ สมบท ตอ่ มาท่านทั้งสอง
สำ� เร็จเปน็ พระอรหนั ต์ และพระพุทธเจา้ ทรงประทานต�ำแหนง่ พระอัครสาวกเบ้อื งซา้ ยและเบอ้ื งขวาให้
ท่านพระอาจารย์มั่นเทศน์เรื่องการละตัณหาให้ฟัง
ทา่ นพระอาจารย์จวน กลุ เชฏฺโ ได้เมตตาเทศน์เรอื่ งนไ้ี ว้ดงั น้ี
“ครั้งหนึ่ง ท่านอาจารย์มั่น ท่านเคยเทศน์เร่ืองการละตัณหาให้ฟัง เป็นเรื่องในสมัย
พระพทุ ธเจา้ มพี ระภกิ ษุแกอ่ งคห์ น่ึงมาบวช ไดฟ้ งั เทศนข์ องพระพุทธเจา้ แต่ไมเ่ ข้าใจ ภกิ ษุองคน์ ัน้
จงึ ทลู ขอพระพุทธเจา้ ว่า พระพุทธเจา้ เทศนม์ าก เมื่อเวลาทา่ นเทศนจ์ บแลว้ ขอนมิ นต์พระองคเ์ ทศนใ์ ห้
ขา้ พระองคฟ์ งั โดยย่อๆ อีกครงั้ เพราะขา้ พระองคเ์ ป็นคนแก่จำ� ไม่ได้ พระพทุ ธเจ้าจึงวา่ “ใหท้ า่ นละเสยี
ซง่ึ ตณั หา ละเสยี ซึง่ ตณั หา อยา่ ไปหา ให้น้อมออกมา มนั จงึ จะออก ผูห้ านะ่ คอื ตวั ของเรา เพราะมันยัง
หลงอยู่ มันจงึ หา ถา้ ไมห่ ลง มนั ก็ไมห่ า คอื มนั รไู้ มช่ ัด” ภิกษแุ กน่ ัน้ ไดฟ้ งั อุบาย กน็ �ำไปนอ้ มพิจารณา
ไปนัง่ บ�ำเพ็ญ จนส�ำเรจ็ อรหนั ต์
นีแ่ หละยงิ่ หา ยง่ิ หลง และทา่ นกลับคำ� “ตัณหา” เป็น หา – ตณั ตัณหาน้นั … ย่ิงหาก็ย่ิงตนั
ย่งิ หายิ่งตนั ยง่ิ มืด”
ท่านพระอาจารย์มั่นแสดงฐีติจิตบ่อย
ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศน์เรือ่ งน้ไี วด้ งั นี้
“พระพุทธเจ้าท่านไม่เอาเลย พอจิตของท่านรวมลง ถ้าพูดภาษาของเราก็เรียกว่า “ตทังค–
วมิ ุตติ พ้นไปหมดแล้ว” ไม่ใชส่ มจุ เฉท สมุจเฉทขาดไปแลว้ เพราะจิตของทา่ นลงหมดแล้ว ไมใ่ ชล่ งถึง
ภวังคน์ ะ ภวังค์ขาดสติ ถ้าจิตลงถึงภวงั ค์ขาดสติ ไมม่ ีปัญญาไม่มสี ติเป็นอย่างนนั้ ภวังค์ เพราะภวังค์เปน็
ภพของจติ อนั นถี้ งึ ฐีตจิ ิต เรยี กว่า อปั ปนาสมาธิ
73
อัปปนาสมาธิ ฐีติจิต ต้องมสี ติมีปญั ญาบริบรู ณ์ รกั ษาพ้ืนฐานไว้ นีแ้ หละ พระองค์ก็ไมร่ บกวน
จติ ปลอ่ ยใหจ้ ติ ของทา่ นรวมอยนู่ ัน้ ให้รวู้ ่าจิตของเรามารวมอยู่นี้ มาพกั เอากำ� ลัง ไม่รบกวนจิต แต่มีสติ
รเู้ ต็มเปีย่ ม จิตรไู้ มเ่ ผลอ นปี้ ระวัติของท่านนะ
นที้ า่ นอาจารย์ใหญ่ม่นั ทา่ นแสดงไว้บอ่ ยเลย หลักสตู รน้ีแหละ ทา่ นว่ามนั ไม่ผิดแปลกไปจาก
หลกั สูตรนี้ แลว้ ก็ไม่รบกวนจิต ไม่ถอนจิต จิตจะพักชา้ กต็ าม เรว็ ก็ตามเรื่องของจิต แตม่ สี ติ น้จี ติ พัก
พอสมควร จติ พลิกขณะ พลิกขณะจากการรวม จากฐีติจิต ต่ืนขึน้ เหมอื นกบั เรานอนแลว้ ต่นื ขึ้น พอจิต
ของทา่ นพลกิ ขณะ ทา่ นกม็ สี ตบิ รบิ ูรณห์ มด น้อี ิทธิบาทของท่านบรบิ ูรณห์ มด
ฉันททิ ธิบาท มคี วามพอใจดว้ ยความมีสติรจู้ ิตอยูต่ ลอดทกุ ลมหายใจ ไม่พล้งั เผลอ มีวริ ิยิทธิ–
บาท มีความเพยี รดว้ ยความมสี ติ รจู้ ติ รู้ใจกบั ลมหายใจ จิตตทิ ธิบาท เอาใจฝักใฝด่ ว้ ยความมีสตริ ูจ้ ติ
อยู่กับลมหายใจทุกประโยค วิมังสิทธิบาท ท่านก็หมั่นค้นคว้าด้วยความมีสติรู้จิต จิตของท่านก็
รวมใหญ่ ทีส่ �ำคัญ คอื จติ ท่านปล่อยวางจากธาตุจากขนั ธ์ คร้ันจติ ปลอ่ ยวางจากธาตจุ ากขนั ธ์ เพราะ
ทา่ นมสี ติบริบรู ณ์แลว้ น้ีประวัตขิ องพระองค์
ทีนี้เมื่อจิตพลิกขณะขึ้นมาจากการรวม จิตที่รวมนั้นเป็นจิตที่ละเอียด ค้นไม่ได้ไม่เห็นอะไร
จะไปวิปัสสนาไม่ได้ หมายความวา่ ไมเ่ ห็นอนิจจงั ทกุ ขงั อนัตตา ไม่เห็นสัจธรรม มันเลยไปแลว้
มันละเอียด ไมม่ ีเวทนาใหค้ ้นแล้ว ค้นก็ไม่เห็น เหมือนคนเราท่ีวา่ อยดู่ สี บายไม่มเี วทนาเกิดขนึ้ เราก็
ไมเ่ หน็ ทุกข์ ถ้าเราไม่หิว เราก็ไม่รจู้ ักร้ือค้น อย่างน้นั ละ่ ”
ท่านพระอาจารย์ม่ันให้พระท่องปาฏิโมกข์
ทา่ นพระอาจารย์บุญเลิศ เขมโิ ย ไดเ้ มตตาเล่าเรื่องน้ีไวด้ ังน้ี
“หลวงปู่จวนมีกลา่ วถงึ หลวงป่มู ่ันบอ่ ยอยู่ จ�ำไม่ไดล้ ะ่ นะ อันน้นี านมาก จ�ำได้แตว่ ่าท่านเคย
จ�ำพรรษาบา้ นหนองผอื หลวงปู่มัน่ ทา่ นใหพ้ ระทอ่ งปาฏโิ มกขเ์ ทา่ นนั้ ล่ะ เพราะวา่ ออกพรรษาอย่างนี่
เนาะ กม็ แี ต่ไปท่องไปหดั ปาฏโิ มกข์ ก็ ๑๕ ค่�ำมาที มาฟงั เทศนล์ งอโุ บสถ ท่านจะมาสวด ๑๕ วนั มาสวด
คร้งั หนงึ่ หลวงปมู่ ั่นเทศนแ์ ลว้ กไ็ ปปฏิบัติ ทา่ นก็พูดอย่างนั่น
ปาฏิโมกข์ หลวงปู่จวนท่านเรียนได้ ๗ วนั นะ ท่านได้เลย ๗ วนั เดอื นหน่ึงทา่ นก็ทวนไดห้ มด
ท่านสวดได้แต่พรรษาแรก ความจ�ำน่ี หลวงป่จู วนนที่ ่านจ�ำแม่นกวา่ ทกุ ๆ องค์ จ�ำตามทา่ นพูด ตามคร–ู
อาจารย์ทา่ นพูดเหมอื นกนั ขณะทที่ า่ นจ�ำพรรษาบ้านหนองผอื ๑ พรรษา ตอนลงอุโบสถ ท่านได้สวด
ปาฏิโมกข์”
74
ท่านคิดทดสอบครู
ท่านพระอาจารย์ม่ัน ภูริทตฺตมหาเถร ท่านเป็นพระมหาเถระท่ีวงการพระธุดงคกรรมฐาน
ด้วยกนั ใหก้ ารยอมรับว่า ท่านทรงภูมจิ ิตภมู ิธรรมขนั้ สงู สดุ เปน็ พระอรหันต์ ประเภทปฏสิ ัมภิทาญาณ
และทรงอภญิ ญา ๖ มีปรจติ ตวิชารวู้ าระจติ รวดเร็วมาก
เมื่อพระศิษย์เข้าไปกราบไปพบท่านพระอาจารย์ม่ันครั้งแรก พระศิษย์บางองค์ก็เช่ือม่ันว่า
ทา่ นพระอาจารยม์ ่ันเป็นพระอรหนั ต์ แต่ก็มบี างองค์ไม่เช่ือและนกึ ประมาทในใจกม็ ี เรอื่ งนีพ้ ระศิษย์
ผูเ้ คยได้อยู่ปฏบิ ตั ธิ รรมกับทา่ นพระอาจารยม์ ัน่ ไดเ้ ล่าความในใจสบื ทอดต่อๆ กนั มา พอเป็นอบุ ายใหม้ ี
การส�ำรวมกาย วาจา ใจ ในขณะเข้าพบครูบาอาจารย์ ดังเช่นกรณี หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโ
วดั ประสิทธิธรรม บ้านดงเยน็ อ�ำเภอบ้านดงุ จังหวัดอุดรธานี
“... ขณะท่หี ลวงปพู่ รหมมองเหน็ หลวงปมู่ ่นั เป็นคร้ังแรก ท่านกน็ ึกประมาทอย่ใู นใจวา่ “พระ
องค์เลก็ ๆ อย่างนนี้ ะหรือ ทผ่ี คู้ นเขาร่�ำลอื ว่าเกง่ นกั ดูแล้วไมน่ า่ จะเกง่ กาจอะไรเลย” ทา่ นเพยี งแต่
นกึ อยู่ในใจของทา่ นเทา่ น้นั คร้ันพอสบโอกาส หลวงป่พู รหมก็เขา้ นมสั การ ค�ำแรกท่ีหลวงปมู่ นั่ ท่าน
กล่าวข้ึน หลวงปู่พรหมถึงกับสะด้งุ เพราะวา่ หลวงปู่มัน่ ทา่ นไดก้ ลา่ วท�ำนองทว่ี ่า “การด่วนวินจิ ฉัย
ความสามารถของคนโดยมองดูแตเ่ พยี งร่างกายเทา่ น้ันไม่ได้ จะเป็นการตงั้ สติอยใู่ นความประมาท”
คำ� พูดของหลวงปู่มน่ั นเี้ องทำ� ความอัศจรรยใ์ ห้เกิดขึ้น บงั เกดิ ศรัทธาอยา่ งแรงกลา้ ท่จี ะต้องให้
ความเคารพนับถอื น้ีเพยี งแต่นึกคิดในใจอยเู่ ท่านัน้ หลวงปมู่ ่นั ก็สามารถทายใจได้ถูกเสยี แล้ว หลวงปู่
พรหมกไ็ ดถ้ วายตวั เป็นศษิ ยต์ ัง้ แตบ่ ดั น้ันเปน็ ตน้ มา”
กรณีของท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ก็เช่นเดียวกัน เม่ือท่านได้อยู่จ�ำพรรษาร่วมกับ
ท่านพระอาจารยม์ นั่ ท่านยงั เป็นพระผ้นู ้อยและยงั เปน็ พระปถุ ุชน ทา่ นจึงคิดอบุ ายทดสอบท่านพระ
อาจารย์มั่นด้วยความเคารพคร้ังแล้วครั้งเล่าว่า “ท่านพระอาจารย์ม่ัน ท่านเป็นพระอรหันต์จริง
หรอื ไม่ ? ท่านรู้วาระจติ จรงิ หรอื ไม่ ?” จนท่านยอมสยบในภูมจิ ติ ภูมธิ รรมของทา่ นพระอาจารยม์ น่ั
อยา่ งศิโรราบ ดงั เร่ืองท่คี รบู าอาจารย์เลา่ สบื ต่อกันมา ดงั น้ี
“เมือ่ ทา่ นพระอาจารย์จวนไปอยกู่ ับทา่ นพระอาจารย์มัน่ ทว่ี ดั ป่าบ้านหนองผอื ใหมๆ่ ท่านก็
คดิ ทดสอบครบู าอาจารยข์ องทา่ นว่า ท่ีเขาร่�ำลอื กันวา่ “ท่านอาจารยข์ องเราเป็นพระอรหนั ต”์ เปน็ จริง
หรือไม่ เรากไ็ มอ่ าจทราบได้ ถ้าเป็นพระอรหนั ตจ์ รงิ คนื น้ีขอใหม้ ีปาฏหิ าริย์ปรากฏใหเ้ หน็ ดว้ ย ในคนื
วันนั้นเอง พอท่านนั่งสมาธิภาวนา ก็ปรากฏนิมิตเห็นท่านพระอาจารย์มั่นเดินจงกรมอยู่บนอากาศ
และแสดงปาฏิหาริย์เหาะข้ึนลงอยู่ตลอดเวลา และเวลานอนหลับก็ยังฝันเห็นท่านเดินจงกรมอยู่บน
อากาศเช่นเดียวกัน ทา่ นจึงยอมเชอื่ พรอ้ มยกมือไหวท้ ่าน
เมื่อท่านพระอาจารย์จวนอยู่ในส�ำนัก ก็ได้ยินพระศิษย์ด้วยกันเล่าว่า ท่านพระอาจารย์มั่น
รู้วาระจติ ศิษย์จะนกึ คิดอะไรที่ไมถ่ กู ต้อง ท่านจะเทศนต์ ักเตอื นทันที ทา่ นพระอาจารย์จวนกอ็ ยาก