The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประวัติท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ประวัติท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ

ประวัติท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ

125

ท่านได้ไปศึกษาอบรมธรรมะกับท่านพระอาจารย์หล้า อยู่ประมาณ ๑ เดือน ณ วัดป่าบ้านนาเก็น
อำ� เภอผอื จงั หวัดอดุ รธานี (ปัจจบุ นั คอื วดั ป่าขันตยิ านุสรณ์ ข้นึ กบั อ�ำเภอน้�ำโสม)

โดยท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ  ไดเ้ มตตาเทศนเ์ รื่องนไ้ี ว้ดงั นี้
“ต่อแต่น้ันเม่ือออกพรรษาแล้ว เสร็จกิจการงานทางส�ำนักก็ได้พากันนมัสการร�่ำลาหลวงปู่
ขาว อนาลโย ออกวิเวกไปตามสถานทต่ี ่างๆ ส่วนขา้ พเจา้ กบั พรรคพวกอกี ๒ องค์ ไดเ้ ดินทางจาก
อำ� เภอสวา่ งแดนดิน อดุ รฯ ไปอ�ำเภอหนองบัวฯ และอำ� เภอผอื อ�ำเภอเชียงคาน ไดม้ า ได้เข้าไปพักวิเวก
อาศัยกับทา่ นพระอาจารย์หล้า
พระอาจารยห์ ล้าองคน์ ้ีสำ� คัญมาก ทา่ นอย่วู เิ วกองคเ์ ดยี ว อาศัยพวกชาวป่าชาวดอย ชาวไร่
๓ ครอบครวั ทอ่ี ยบู่ นหลงั ภูพาน ระหว่างอ�ำเภอผอื กบั อำ� เภอเชียงคานตอ่ กนั แตก่ ไ็ ปอยู่กับอำ� เภอผือ
นัน่ เอง ทา่ นจ�ำพรรษาวิเวกอยู่ทน่ี นั้ หลายปี
ประวัติท่านอาจารย์หล้าน้ี ก�ำเนิดของท่านเกิดอยู่ประเทศลาว เวียงจันทน์ เป็นคนลาว
แลว้ ทา่ นก็มีครอบครัว ต่อมาลูกเมียของท่านก็ถงึ แก่อนิจกรรม คือ มรณภาพ ทีนีท้ า่ นกค็ ิดอยากจะ
บวช เลยออกบวช มาบวชธรรมยุตท่ปี ระเทศไทย
ครั้นบวชแล้วก็เลยติดตามท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล เมืองอุบลฯ ไป เป็นผู้อยู่ใกล้ชดิ
อปุ ฏั ฐากทา่ นพระอาจารยเ์ สาร์ประจ�ำ อปุ ฏั ฐากอาจารยเ์ สาร์อยู่ ๙ ปี คอื ๙ พรรษา เม่อื ทา่ น
พระอาจารยเ์ สาร์มรณภาพแล้ว พระอาจารยห์ ล้าได้รับโอวาทคำ� ตกั เตอื นจากพระอาจารย์เสาร์ ตามที่
ท่านเลา่ ให้ฟังวา่ “ทา่ นหลา้ ท่านตอ้ งไปอยู่องคเ์ ดยี ว อยา่ อยปู่ ะปนกับหมูน่ ะ ให้ไปหาวเิ วกภาวนา
อยูอ่ งค์เดียว” สำ� หรบั นสิ ยั ของท่านชอบอย่อู งคเ์ ดยี ว นี้ทา่ นเลา่ ใหฟ้ ัง ท่านอาจารยห์ ล้าเล่าให้ฟงั
ฉะน้ัน เมื่อท่านพระอาจารย์เสาร์มรณภาพแล้ว ท่านอาจารย์หล้าจึงหาหลบหลีกปลีกตัว
อยู่เฉพาะองค์เดียวๆ ในสถานที่ต่างๆ แถวอ�ำเภอผือบ้าง อ�ำเภอหนองบัวฯ และอ�ำเภอท่าบ่อบ้าง
ระยะทีข่ ้าพเจา้ ไปอาศัยน้ัน ท่านอยหู่ ลังภูพาน อาศยั ชาวไร่ ๓ ครอบครัวอยนู่ ้ัน เม่ือข้าพเจ้าไปอาศยั
อยนู่ ้นั ประมาณ ๑ เดอื น ศึกษาธรรมะของทา่ น ฟงั เทศน์ของทา่ น และท่านเล่าให้ฟังว่า
“ผมไมเ่ คยได้เรยี นหนงั สือไทยเลย เกิดมาไม่เคยเรียนหนงั สือไทย เพราะผมอยู่ประเทศลาว”
ขา้ พเจ้ากเ็ ลยถามว่า “ทา่ นอาจารยไ์ มไ่ ดเ้ รียนหนงั สอื ไทย ท�ำไมอา่ นได้ เขยี นได้นี่ ?”
ท่านก็เลยบอกว่า “ที่ผมอ่านหนังสือไทยได้ เขียนหนังสือไทยได้น้ัน เวลาผมนั่งภาวนาไป
จิตมันสงบ ปรากฏภาพนิมิตหนังสือไทยเขียนอยู่ในกระดานด�ำทุกคร้ังๆ ผมก็เลยเรียนหนังสือไทย
ในภาวนาน่นั เอง ในกระดานดำ� ทีข่ ณะนง่ั ภาวนานนั่ เอง ทุกวนั ๆ ก็เลยอา่ นได้ เขยี นได้ จนบดั นผี้ มก็
อ่านหนงั สอื ไทยคลอ่ ง เขียนได้ อ่านไดส้ บาย ไมม่ ตี ิดขดั เลย”

126

นที่ า่ นเล่าใหฟ้ งั เร่อื งของทา่ นพระอาจารยห์ ลา้ ผู้ฟังจะเชื่อหรอื ไม่เช่อื ก็สดุ วสิ ยั เพราะเรื่อง
เปน็ มาแล้ว และกเ็ ปน็ จริงอีกดว้ ย”

ประวัติย่อ ท่านพระอาจารย์หล้า ขนฺติโก

(จากหนงั สอื ปฏิปทาของพระธดุ งคกรรมฐาน สายทา่ นพระอาจารยม์ ่ัน ภูรทิ ตั ตะ)

ทา่ นอาจารยอ์ งคน์ ้ีท่านมคี ณุ ธรรมสงู มาก น่ากราบไหว้บชู า แตท่ ่านเสยี ไปไดร้ าว ๔ – ๕ ปี
แล้ว เวลาทา่ นจะจากขนั ธไ์ ปกท็ ราบวา่ ไม่ให้ใครวุ่นวายกับท่านมากเปน็ กงั วลไม่สบาย ทา่ นขอตาย
อยา่ งเงยี บ แบบกรรมฐานตาย จงึ เปน็ ความตายทเ่ี ต็มภมู ิของพระปฏบิ ตั ิ ไม่เกลื่อนกลน่ วุน่ วาย เวลา
ประชุมเพลงิ ท่าน ก็ทราบวา่ พระผู้ใหญ่ทงั้ หลายไม่คอ่ ยทราบกันเลย เน่อื งจากทา่ นไม่ให้บอกใครให้
ยุ่งไปมาก วุ่นเปล่าๆ ว่นุ กบั คนตาย หมดราคาคา่ งวดแลว้ ไม่ค่อยเกดิ ประโยชน์เหมือนวุ่นกับคนเปน็
ท่านพดู อย่างสบายงา่ ยๆ อย่างน้ีเอง ใครจึงไมก่ ลา้ ขดั ขนื ค�ำทา่ น ประการหนึ่งก็เปน็ ค�ำทา่ นสงั่ เสยี ดว้ ย
ใจจรงิ ด้วย กลัวเป็นบาปถ้าขนื คำ� ทา่ น แมว้ ่าทา่ นยังมีชวี ติ อยู่

ผู้เขียน (องค์หลวงตาพระมหาบัว) ก็เคยได้ไปพักอาศัยอยู่กับท่านในเขาลึกราวคร่ึงเดือน
ที่ท่านพักอยู่เวลาน้ันเป็นป่าเขา อาศัยอยู่กับชาวไร่บิณฑบาตพอเป็นไปวันหนึ่งๆ ทราบว่าท่าน
จ�ำพรรษาที่น้นั หลายพรรษาเหมอื นกัน ทน่ี ้ันผู้เขียนเคยต้ังเวลาดตู อนออกเดินทางกลับ จากทพ่ี ักทา่ น
ออกมาหม่บู า้ นกว่าจะพน้ จากป่ากเ็ ป็นเวลา ๓ ชว่ั โมง ๒๐ นาทพี อดี จนถึงหมูบ่ ้านก็ร่วม ๔ ช่วั โมง

ชื่อท่านว่า ท่านอาจารย์หล้า ภูมิล�ำเนาเดิมอยู่เวียงจันทน์ นับแต่อุปสมบทแล้วท่านเลย
อยู่ฝั่งไทยตลอดมาจนวันมรณภาพ เพราะทางฝั่งไทยมีหมู่คณะและครูอาจารย์ทางฝ่ายปฏิบัติมาก
การบ�ำเพญ็ สมณธรรมท่านมนี ิสยั เดด็ เดี่ยวอาจหาญ ชอบอย่แู ละไปคนเดยี ว อย่างมากกม็ ีตาปะขาว
ไปดว้ ยเพยี งคนเดยี ว ทา่ นมีนิสัยชอบรู้สิง่ แปลกๆ ไดด้ ี คอื พวกกายทิพย์ มีเทวดา เปน็ ตน้ พวกน้ี
เคารพรกั ท่านมาก ทา่ นว่าทา่ นพกั อยทู่ ไี่ หนมกั มพี วกนี้ไปอารกั ขาอยู่เสมอ

ท่านมีนิสยั มกั นอ้ ยสันโดษมากตลอดมา และไมช่ อบออกสงั คมคือหม่มู าก ชอบอยู่แต่ปา่ แตเ่ ขา
กับพวกชาวไร่ชาวป่าชาวเขาเป็นปกติตลอดมา ท่านมีคุณธรรมสูงน่าเคารพบูชามาก คุณธรรมทาง
สมาธิปญั ญาร้สู ึกวา่ ท่านคล่องแคล่วมาก แตผ่ ูค้ นพระเณรส่วนมากไมค่ อ่ ยทราบเร่อื งน้ีมากนกั เพราะ
ทา่ นไม่คอ่ ยแสดงตัว มเี พียงผู้ที่เคยอยู่ใกลช้ ดิ ทา่ นที่ทราบกันได้ดี

ราว พ.ศ. ๒๔๙๓ ทผี่ ู้เขียนไปอาศยั อยู่กับทา่ น ไดม้ โี อกาสศกึ ษาเรียนถามธรรมทา่ น รู้สกึ ว่า
ซาบซึ้งจบั ใจมาก ท่านอธิบายปจั จยาการ คอื อวิชชา ไดด้ ีละเอียดลออมาก ยากจะมผี อู้ ธิบายได้
อย่างท่าน เพราะปัจจยาการเป็นธรรมละเอียดสุขุมมาก ต้องเป็นผู้ผ่านการปฏิบัติภาคจิตตภาวนา
มาอย่างชำ�่ ชอง จึงจะสามารถอธิบายไดโ้ ดยละเอียดถกู ตอ้ ง เน่อื งจากปัจจยาการหรืออวิชชาเปน็ กิเลส
ประเภทละเอยี ดมาก ตอ้ งเป็นวสิ ยั ของปัญญาวปิ สั สนาข้นั ละเอียดเท่าๆ กัน จึงจะสามารถค้นพบและ

127

ถอดถอนตัวปจั จยาการ คอื อวชิ ชาจริงได้ และอธิบายไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง ท่านอาจารย์องคน์ เี้ ปน็ ผูห้ น่งึ ท่ี
อธิบายอวิชชาปัจจยาการได้โดยละเอียดสุขุม เกินความสามารถของผู้เขียนจะน�ำมาอธิบายในที่นี้ได้
จึงขอผา่ นไปด้วยความเสียดาย

ท่านอาจารย์องค์น้ีท่านเร่ิมฉันหนเดียว และเท่ียวกรรมฐานอยู่ตามป่าตามเขากับท่านพระ
อาจารย์มั่น ทา่ นพระอาจารย์เสาร์ มาแตเ่ ร่มิ อุปสมบทจนถึงวันมรณภาพ ไม่เคยลดละขอ้ วัตรปฏิบตั ิ
และความเพียรทางใจตลอดมา นับว่าเป็นอาจารย์ท่ีเหนียวแน่นทางธรรมปฏิบัติที่หายากองค์หน่ึง
ในสมัยปจั จุบนั ควรเป็นคตติ วั อยา่ งแก่ทา่ นผสู้ นใจปฏบิ ัตทิ ้ังหลายได้เป็นอยา่ งดี จงึ ขอยตุ เิ ร่ืองท่านไว้
เพยี งนี้

ก่อนเข้าพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ท่านป่วยหนัก

ท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศนเ์ รอ่ื งนีไ้ ว้ดงั นี้
“เมอื่ พกั วเิ วกอาศยั ทา่ นพระอาจารยห์ ลา้ อยปู่ ระมาณ ๑ เดอื น แลว้ กน็ มสั การลาทา่ น ออกไป
หาเท่ียววิเวก เดินทางออกไปผ่านทางอ�ำเภอท่าบ่อและหนองคาย แล้วก็ลงเรือล่องตามแม่น้�ำโขง
ทอี่ �ำเภอโพนพสิ ยั แล้วกม็ าขึ้นเรือทอี่ �ำเภอบึงกาฬ จงั หวดั หนองคาย กบั หมอู่ กี ๓ องค์ ๔ กบั ขา้ พเจ้า
แลว้ ก็มงุ่ หนา้ เดินทางมาทภี่ สู ิงห์และภูววั เมอ่ื มาถงึ หมบู่ า้ นแห่งหนึ่งก็หมดเวลาพอดี ตื่นเชา้ ก็เลยไมไ่ ด้
เข้าวเิ วกทางภสู งิ ห์ ภวู วั เลยเดินผา่ นไปทางอำ� เภอเซกา อ�ำเภอบา้ นแพง และต�ำบลทา่ บ่อฯ อ�ำเภอ
ศรสี งคราม ไปข้ึนรถท่อี ำ� เภอกุสมุ าลย์ จังหวัดสกลนคร ผ่านนครพนม ลงไปเขตเมอื งอุบลราชธานี
ข่ีรถไปลงระหวา่ งบา้ นนาผอื อำ� เภออ�ำนาจเจริญ แลว้ กล็ งรถท่ีน้นั ก็เดินม่งุ หน้าเข้าไปสูภ่ เู ขาแห่งนนั้
เพ่อื เท่ยี ววิเวก
อันน้ีเป็นเดอื นกรกฎาคม ใกล้จะเข้าพรรษาแลว้ ไปพักวเิ วกอยทู่ ถ่ี ำ้� พู บ้านเชยี งเครือ เม่อื ไปถงึ
ถ้�ำพู บา้ นเชยี งเครือแล้ว กพ็ ากนั พักวิเวกทนี่ น้ั ๗ วนั เกดิ อาการปว่ ยหนัก เม่ือหายป่วยแลว้ กพ็ ากนั
ออกจากถ้�ำนั้น เดินทางมุ่งหน้าเข้าไปสู่จุดดงมะอ่ี ก่ิงอ�ำเภอชานุมาน สมัยน้ันยังไม่เป็นกิ่งอ�ำเภอ
ยังเปน็ บา้ นชานุมาน ขึน้ กับอ�ำเภอมุกดาหาร”

พรรษา ๙ พ.ศ. ๒๔๙๔ จ�ำพรรษาภูสะโกฏ บ้านหนองเม็กนามน

ท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศนเ์ รื่องนี้ไว้ดังนี้
“ใกล้จะเข้าพรรษาจึงไปถึงภสู ะโกฏและกใ็ ห้ญาติโยมปรับปรงุ เสนาสนะพอไดอ้ าศัยหลบฟ้าฝน
จ�ำพรรษา ญาตโิ ยมเขาก็มีศรทั ธาปรับปรงุ ให้ ๒ หลัง เพราะพระมี ๒ องคเ์ ทา่ นั้น หา่ งจากบ้านประมาณ
๑ กิโลฯ ที่นั้นเปน็ ทีส่ งบสงัด อย่ทู ี่ภสู ะโกฏ บา้ นหนองเมก็ นามน อ�ำเภอมกุ ดาหาร สมยั นนั้ เดยี๋ วน้ีเป็น
อ�ำเภอชานมุ าน จังหวดั นครพนม

128

จ�ำพรรษาที่นั้น ทน่ี น้ั แปลกเหมอื นกนั ไดพ้ ากันท�ำความพากความเพยี รจนเต็มความสามารถ
ในพรรษาน้นั เพราะทีน่ ัน้ สงบสงัดดี อากาศกด็ ี ร่มไมด้ ี น�้ำก็บริบรู ณ์ ในพรรษานน้ั เจา้ ภมู ิเจ้าฐาน
เขามาบอกในนิมติ ความฝนั วา่ ให้ข้าพเจา้ ไปเอาพระพุทธรปู ทอี่ ยถู่ �้ำสะโกฏ มจี ำ� นวน ๗ องค์ มาบอก
คืนทีแรกเข้าความฝัน ข้าพเจ้าก็ไม่เช่ือ ไม่ไป คืนท่ีสองมาบอกอีก ข้าพเจ้าก็ยังไม่ไป คืนที่สาม
มาบอกอีก ขา้ พเจา้ กเ็ ลยถามญาตโิ ยมและพระเณรในวดั บา้ นดู ว่า “มจี ริงหรือไม่” เขาว่า “มจี รงิ ”

“รู้จักทอ่ี ยไู่ หม ?”
เณรวัดบ้านวา่ “ผมรู้จักครับ”
“ถา้ อยา่ งน้ันพาเราไปได้ไหม ?”
เณรบอก “ได้ครบั แตว่ ่าผมไม่เอานะ ใหท้ ่านอาจารยเ์ อา ผมกลัวผ”ี นี่เณรวา่
“เออ ! ไม่เปน็ ไร ใหข้ ้าพเจา้ ” เณรกเ็ ลยพาไป
ครั้นพาไปถึงถ�ำ้ นนั้ เณรก็ช้บี อก นีแ่ หละ ข้าพเจ้าดู เหน็ เขาเอากอ้ นหินปิดไว้ ขา้ พเจา้ เลยดงึ
ก้อนหิน งดั ก้อนหินนั้นออก มองเขา้ ไปเหน็ พระพุทธรูป ๗ องค์นอนเรยี งกนั อยู่ ข้าพเจา้ กเ็ ลยล้วงมือ
เขา้ ไปเอามา พระพุทธรปู ทองทัง้ นัน้ ขนาดนว้ิ มอื นิ้วแม่มอื ทุกๆ องค์ ข้าพเจ้าก็เอามาสักการบชู า
ทว่ี ดั เม่อื ออกพรรษาแล้ว ขา้ พเจา้ ก็สัง่ โยมใหเ้ อาไปไว้ทเี่ ดิม ข้าพเจ้าไมถ่ ือเอาไปดว้ ย แตป่ จั จบุ ันน้ี
จะยังอยหู่ รอื ไม่ ไมท่ ราบ”

ผีฝากผีดูแลท่านพระอาจารย์จวน

ท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ได้เมตตาเทศนเ์ รอื่ งน้ไี ว้ดังนี้
“และขณะที่จ�ำพรรษาอยู่ภูสะโกฏ ซ่ึงเป็นพรรษาท่ี ๙ น่ันแหละ ก็เกิดนิมิตอีกปรากฏว่า
พวกเจา้ ที่เจ้าฐาน เจา้ ผีเชียงตงุ ลงมาเยย่ี ม แลว้ กบ็ อกผีมุกดาหาร ดงมะอ่ี วา่ “ให้รักษาพระองคน์ ี้
อยา่ ราวี อยา่ เบียดเบียนพระองคน์ ้นี ะ” ผีเชยี งตงุ สงั่ ผดี งมะอ่ใี หร้ ักษาขา้ พเจ้า ดงั น้ี มีปรากฏในนมิ ติ
ความฝนั จะเป็นจรงิ อย่างไร ขอผู้ฟงั จงพจิ ารณาเอาเอง น่ีเลา่ เรอ่ื งตามนิมติ ของความฝนั
แล้วผีดงมะอ่ีได้รับค�ำบอกของผีเชียงตุงดังนั้น เขาก็ว่าจะรับปฏิบัติรักษาคุ้มครองไว้ไม่ให้มี
อนั ตราย และขา้ พเจา้ อย่ทู น่ี ้นั กไ็ มม่ ีอะไรเกิดขน้ึ ไมม่ กี ารเจ็บปว่ ยไขไ้ ด้พยาธิอะไร อย่สู บายๆ ทเี ดียว”

ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๔ เดินทางไปกราบหลวงปู่ขาวท่ีถ�้ำค้อ

ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ได้เมตตาเทศนเ์ รอ่ื งนีไ้ วด้ ังน้ี

129

“เม่ือออกพรรษาแล้วกพ็ ากันเท่ียววิเวก ตามสมณวสิ ยั ของพระธดุ งคกรรมฐานนัน่ เอง แลว้ ก็
เดนิ ม่งุ หน้าขึน้ ไปสจู่ งั หวดั สกลนคร เมอ่ื ถงึ อ�ำเภอสวา่ งแดนดนิ ได้ยินขา่ วว่าทา่ นหลวงปขู่ าว อนาลโย
ได้ไปอยถู่ ้�ำค้อ ดงหลุบหวาย หลุบเทียน ก็เลยพากนั เดินข้ึนไปนมัสการทา่ น ท่านกอ็ ย่นู ัน้ จ�ำพรรษา
อยูท่ ี่นัน้ ๑ พรรษาแลว้ ไกลจากหมู่บา้ นมาก ประมาณสัก ๓๐๐ เสน้ อาศยั พวกแมช่ ีไปท�ำครัว
ถวายทา่ น และพวกชาวบ้านก็ทยอยสง่ เสบยี งอาหารกนั เรอื่ ยๆ ไปอยู่อาศัยท่านในถ�้ำค้อนั้น ประมาณ
สัก ๒ เดอื น ในถำ�้ ค้อน้วี ิเวกดี มถี ำ้� ดี แต่ห่างหมูบ่ า้ นมาก

และท่านพระอาจารย์หลวงปู่ขาวท่านเล่าว่า เม่ือมาอยู่ครั้งแรกในถ�้ำค้อน้ี ถ�้ำค้อน้ีเป็น
ถ�้ำงูใหญ่ ท่านว่า ถ้�ำที่ท่านอยู่เป็นรูลึกลงไปในพื้นเขา แต่จะลึกเท่าไหร่ไม่ทราบ ท่านไปนั่งภาวนา
อยู่ปากถ�้ำ วันหนง่ึ มีงเู ล้ือยออกมาจากถ�้ำ มาใกลๆ้ ชดิ กับขาของท่าน ทา่ นลืมตาดเู หน็ งูใหญข่ นาด
เลย เทา่ กันกับขาคน ดำ� กรบิ๊ ทแี รกทา่ นว่า ท่านกลัวจนตวั แข็ง และงูนนั้ เมื่อมาถึงทา่ น มนั กน็ ิง่ อยู่
เหยียดตัวอยู่อย่างน้ัน เม่ือท่านได้สติ ท่านก็พิจารณาก�ำหนดความตายและแผ่เมตตา งูน้ันก็เลย
เล้อื ยไป ตามประสาของสตั ว์

น่ที ่านเล่าให้ฟงั ในขณะท่ที า่ นอยูถ่ ้�ำค้อนน้ั เพราะทา่ นไปน่งั เวลางูมนั ออกหากนิ และทถ่ี ้�ำค้อ
นนั้ ในบรเิ วณถ้�ำคอ้ กเ็ ปน็ ดง มสี ตั วป์ ่า มีช้าง มเี สือมากทเี ดยี ว ในสมัยนน้ั แต่เดีย๋ วน้อี าจจะเตียนกันไป
หมดแล้ว แลว้ ไดอ้ าศัยอยู่กับทา่ นประมาณ ๒ เดอื น ก็พากันนมัสการลาหลวงปูข่ าวออกวิเวก เพราะ
เห็นว่าท่ีนั่นถ้าอยู่ด้วยกันมากก็จะล�ำบากในการขบฉัน เพราะไม่มีหมู่บ้านบิณฑบาต จึงได้ออกจาก
ท่านไปหาเท่ียววิเวกในทตี่ า่ งๆ

ระยะน้ีไปกับท่านพระอาจารย์ค�ำบุ ธมฺมธโร มุ่งหน้าเดินทางออกจากถ้�ำค้อ จะไปเขต
อ�ำเภอวานรฯ มงุ่ หนา้ ไปสู่ดงหม้อทอง ซงึ่ เปน็ อ�ำเภอวานรฯ เป็นดิน (เขตแดน) ของอ�ำเภอวานรฯ
เดี๋ยวน้ีเปน็ ดินของอำ� เภอบ้านม่วง เม่อื ไปถงึ ตีนชายดงหม้อทองแลว้ ก็พากันเข้าไป ไปอาศยั หมบู่ ้าน
แหง่ หน่ึงมี ๓ หลังคาเรือน ซึ่งเขาอพยพไปอยูใ่ หม่ๆ เป็นคนจงั หวัดยโสธร แล้วไปอาศัยเขาอยทู่ ่นี ้ัน
พวกญาตโิ ยม ๓ หลังคาเรือนนัน้ เขาก็มีศรัทธาดมี าก เขาก็จดั การกระต๊อบเสนาสนะให้อยูค่ นละหลงั ๆ
ไปในระหวา่ งนั้นเปน็ เดอื นมิถุนายน คือเดอื น ๗

ทีนอี้ ยไู่ ปวันหนึง่ เป็นเวลาตี ๓ ตอนกลางคนื บ่าย ๓ ก�ำลงั นอนดี นอนยงั ไมต่ น่ื วนั นน้ั มี
ฝูงชา้ งฝงู ใหญฝ่ ูงหน่ึง เพราะดงหมอ้ ทองเป็นดงหนาป่าทึบ เปน็ ดงใหญ่ มสี ตั ว์ปา่ นานาชนดิ มีชา้ ง
มีเสอื มหี มีมาก และชา้ งฝงู นน้ั มันตรงเขา้ มาหากฏุ ิ กระท่อมของพระ เมือ่ เข้ามาใกลก้ ระท่อมพระ
ช้างตัวทวนตัวหัวหน้ามันก็เลยบังคับหมู่ให้หลีกออกจากกระท่อมของพระ ให้หมู่ช้างที่เป็นบริวาร
หลีกออกหนีเข้าไปดง ส่วนตัวหัวหน้าใหญ่มันตรงเข้ามาหากระท่อมพระ ยังไม่ถึงกระท่อมพระ
ประมาณสกั ๑๐ กวา่ เมตร ชา้ งใหญ่ตวั นน้ั ก็เลยยนื อยู่ มนั กท็ �ำอาการขู่ค�ำรามด้วยประการต่างๆ
ท�ำเสยี งอึกทึกสะพรึงกลวั

130

ขา้ พเจา้ ต่นื ขึน้ ก็รวู้ ่าช้าง ไมไ่ ด้สติกเ็ ลยเกิดความกลวั ขนพองสยองเกลา้ หำ� หด ใจหด ใจหววิ
ใจกลวั เหงื่อไคลไหลย้อย กลัวจนตัวสน่ั เหมอื นผีเจา้ เข้าทรงทเี ดียว ลุกขึน้ จุดโคม จับโคมไฟและไมข้ ดี
ก็สน่ั แล้วจดุ โคมไฟเสรจ็ แล้วกเ็ ดนิ ออกมาข้างนอก ก็ยงั สน่ั อยู่ คิดวา่ จะกระโดดข้ึนตน้ ไม้ สตไิ มม่ เี ลย
มีแต่ความกลัวอยา่ งเดยี ว ทีนีค้ ิดไปคดิ มา ใจหนึ่งเลยคดิ ข้นึ วา่

“เฮ้ย ! เธอเป็นกรรมฐาน เธอจะไปกลัวท�ำไมช้าง ช้างมันไม่กลัวเรานี่ เราจะไปกลัวท�ำไม
เราเป็นพระธุดงคกรรมฐาน เป็นผู้เสียสละในชีวิตแล้วมิใช่หรือจึงออกเดินธุดงคกรรมฐาน ช้างมัน
ไม่กลวั เรา เราจะไปกลวั ชา้ งทำ� ไม เราน้ีเปน็ มนุษย์และก็เปน็ พระอีกด้วย ชา้ งมนั เป็นสัตว์ เรานี่ไป
กลัวชา้ ง ช้างไม่กลัวเรา เรามันชว่ั กลัวช้างอกี ซะดว้ ย

พระพทุ ธเจ้าทา่ นวา่ ภิกษุ ผเู้ กิดความกลวั ไปอยู่ปา่ กด็ ี เรอื นว่างก็ดี ปา่ ชา้ ก็ดี ป่าชฏั ทีไ่ หนๆ
กด็ ี เมอื่ เกดิ ความกลวั ขนพองสยองเกลา้ อนั ใดมี พวกท่านท้ังหลายพงึ ระลกึ ถงึ เรา คือ พระพุทธคณุ
พระธรรมคณุ สังฆคุณ เมอื่ ระลึกถงึ เราอยอู่ ยา่ งน้ี ระลึกถงึ พทุ ธคุณ ธรรมคณุ สงั ฆคณุ อย่อู ย่างนี้
ความกลัวขนพองสยองเกล้าอันใดมี อันน้ันจักหายไปทั้งน้ัน ท่านลืมหรือยัง ท่านต้องระลึกสิ
พระพุทธเจ้าเป็นนักเสยี สละเนี่ยน่ะ”

พอระลกึ ถงึ พระพุทธคุณ ธรรมคณุ สังฆคณุ ความกลวั ขนพองสยองเกลา้ กห็ ายไป ในขณะนัน้
ข้าพเจ้าก็เลยเข้าไปน่ังอยู่ในกลดในมุ้ง พิจารณาซ่ึงความตายว่า “กลัวก็ตาย ไม่กลัวก็ตาย ผู้กลัว
มันไม่ตาย ผู้ไม่กลัวมันตาย” คือธาตุขันธ์มันไม่กลัวอะไร พิจารณาอย่างน้ี อยู่ที่ไหนก็ต้องตาย
ความตายอันใครๆ หลีกเว้นและผ่านพ้นไปไม่ได้เลย จะตายด้วยเหตุประการใดก็แล้วแต่ ท่านจง
ปลงเสียซึ่งความตาย อย่าไปหวงชีวิต พอพิจารณาความตายอย่างนั้น จิตมันค่อยคลายความกลัว
ลดปริมาณความกลัวลงเร่ือยๆ ค่อยสงบๆ ไป จนความกลัวหายไปจากความตาย คือจนกลัวตาย
หายเลยทีเดยี ว ไมม่ ีความกลัวตายที่เหลอื และค้างแขวนอยใู่ นจติ ช้างก็ไม่กลวั อกี

เม่ือความกลัวตายหายไปแล้ว จิตค่อยสงบเยือกเย็นลงไปๆ หมดความกลัวจากความตาย
จติ กส็ บายเยือกเยน็ เป็นจิตทกี่ ลา้ หาญ ไมส่ ะทกสะท้าน กเ็ ลยพิจารณาหาชา้ ง นึกข้นึ วา่ ช้างตัวน้ี
มันอยู่อย่างไร เลยเพ่งจิตท่ีสงบน่ันแหละไปหาช้าง เห็นช้างยืนอยู่ในกลางคืน พอเพ่งจิตถึงช้าง
เห็นช้างเท่านนั้ ช้างก็เลยรอ้ งออกใหญ่เลย เหมอื นกบั ว่าคนฆา่ คนตมี ัน ร้อง “อ๊ากๆ” ไปใหญ่เลย
วง่ิ เขา้ ปา่ เลย ช้างตัวน้นั ชา้ งใหญต่ วั นนั้ เงียบ ตั้งแต่วนั นัน้ มาไมเ่ ห็นมีชา้ งฝงู และช้างตัวใดตัวหนง่ึ
ผ่านมาในแถวนัน้ เลย ในแถบนน้ั ไมป่ รากฏ ดังน้ัน จะเป็นดว้ ยเหตุอะไรก็ไม่ทราบ ม”ี

ประวัติย่อ ท่านพระอาจารย์ค�ำบุ ธมฺมธโร

หลวงปู่ค�ำบุ ธมฺมธโร วัดป่าสันติวนาราม บ้านเหล่าขวาว ต�ำบลโพนเมืองน้อย อ�ำเภอ
หัวตะพาน จังหวัดอ�ำนาจเจริญ ครูบาอาจารย์พระศิษย์สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต และ

131

หลวงปู่ขาว อนาลโย แห่งวัดถ�้ำกลองเพล ท่านเป็นหลานของหลวงปู่ขาว และท่านเป็นเพื่อน
สหธรรมิกกับท่านพระอาจารย์วัน อุตฺตโม ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ท่านพระอาจารย์
สิงหท์ อง ธมมฺ วโร

หลวงปคู่ ำ� บทุ า่ นเคยจำ� พรรษารว่ มกบั ทา่ นพระอาจารยจ์ วนทภ่ี วู วั ตามทที่ า่ นพระอาจารยม์ น่ั
ได้แนะน�ำ ท่านร่วมกับท่านพระอาจารย์จวน สร้างวัดภูทอก ร่วมกับท่านพระอาจารย์วัน สร้าง
วดั ถ้�ำอภัยด�ำรงธรรม และทา่ นเป็นอาจารยส์ อนกรรมฐานหลวงปู่สรวง วรสุทฺโธ วัดถ�้ำพรหมสวสั ด์ิ
จังหวัดลพบรุ ี ท่านเป็นพระเถระช้ันผใู้ หญท่ ่ีมผี ใู้ หค้ วามเคารพศรทั ธาในศีลาจรยิ วัตรท่านทั่วประเทศ

มีเร่ืองเล่าจากคนเฒา่ คนแกว่ ่า สมัยก่อนเข้าไปลา่ สตั ว์ภายในวัด ปนื ยิงสัตวป์ ่า กระรอก กระแต
ไมอ่ อก เม่อื เดินออกจากเขตวดั ลองยิงจงึ ออก บางคนเข้าไปยิงเห็นไมม่ ีใคร พอยิงแล้วกลับเหน็ หลวงปู่
ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วถามวา่ “เขตอภยั ทานยังมายงิ มนั ยเุ นาะ (อย่นู ะ)” นกี้ ็เปน็ เรือ่ งนา่ แปลก ซงึ่ คนใน
แถบนัน้ ร้ดู ี จนไมม่ ใี ครกล้าทีจ่ ะเขา้ ไปลา่ สัตวภ์ ายในเขตวัดของท่านอีก เพราะเคารพย�ำเกรงในบารมี
ของท่าน

เร่ืองเล่าระหว่างเดินธุดงค์ไปดงหม้อทอง

ทา่ นพระอาจารยส์ อน ชีวสทุ ฺโธ วดั ปา่ บ้านปลวก อำ� เภอสวา่ งแดนดนิ จงั หวดั สกลนคร ทา่ น
ไดเ้ มตตาเลา่ เรอ่ื งน้ีไวด้ ังนี้

“หลวงปู่ค�ำบุ ธมมฺ ธโร เคยพดู ใหฟ้ งั ตอนนัน้ ท่านมาพักที่วัดปา่ แก้วชุมพล อาตมาก็ไปจับ
ไปนวดเสน้ ถวายทา่ น ทา่ นกเ็ ลยเลา่ ใหฟ้ งั ว่า นสิ ัยท่านกบั อาจารย์สิงหท์ องนี่ไม่ตรงกัน เหน็ กนั แล้ว
อดทะเลาะกันไม่ได้ ถ้าเห็นแล้วไม่ได้เลย ก็เลยไม่อยู่ร่วมกัน แต่ว่ากับหลวงปู่จวนนี่นิสัยถูกกันดี
หลวงปคู่ ำ� บทุ า่ นมรณภาพแลว้ ทา่ นอยทู่ อ่ี ำ� เภอหวั ตะพาน เปน็ หลานชายของหลวงปขู่ าว หลวงปคู่ ำ� บุ
นสิ ยั ท่านแปลก ไม่ถกู นสิ ยั กับอาจารย์สิงห์ทอง ท่านเห็นอาจารยส์ ิงหท์ องมา ดูทา่ ทางมาแล้ว ไปทางนี้
ออกหลังวดั ไปเลย คือไม่ถกู กนั อยๆู่ ไม่สนิท ถ้าไม่ถูกแล้วภาวนามนั ไม่ลงกนั นะ กเ็ ลยหลีกกัน แต่วา่
ไมไ่ ดช้ กตอ่ ยอะไรกนั หรอก

หลวงปคู่ �ำบุ เห็นท่านพดู ว่า นสิ ยั หลวงปจู่ วน ทา่ นเปน็ คนเอาจริงเอาจงั มาก แตช่ อบเล่น
ชอบตลก ทา่ นมาพกั ภาวนากบั หลวงปู่ขาวอยูท่ ่ีหวายสะนอยหรอื ไงที่ใกล้ๆ ถำ้� พวงนนั้ ท่านจะเดนิ ลดั
ไปที่ดงหม้อทอง หลวงปู่คำ� บุ หลวงปจู่ วนไปด้วยกนั ทา่ นพูดใหฟ้ ังนะ พอดีตอนบ่ายๆ หนา้ รอ้ นด้วย
หลวงปจู่ วนเห็นพวกโยมผหู้ ญิงเขากำ� ลงั ตักน้�ำอยกู่ ลางทุ่งนา คอื เขาหาบนำ�้ เขาจะเอาน�ำ้ เขา้ ไปบา้ น
สมยั ก่อนน�ำ้ ต้องมาตักท่ไี อ้กลางทงุ่ น่ะ ต้องมาตักเอง ตอ้ งหาบน�้ำเข้าไป หลวงปจู่ วนท่านรอ้ น ทา่ น
อยากสรงน�้ำ ท่านก็เขวี้ยงผ้าจวี รออกเลย หลวงปคู่ ำ� บพุ ูดนะ

“เฮ้ย ! เอาน้�ำมาสรงหนอ่ ยซ”ิ

132

เขาก็ไมร่ จู้ ะวา่ ยังไง แต่ขดั ขืนก็ไม่ได้ พระพูดเฮ้ย เขากเ็ ลยเอาน�้ำมาใหท้ า่ นสรง ทา่ นสรงน�้ำ
เสรจ็ เดินไปอีก ทางจะไปดงหม้อทองเดนิ ผ่านหลายหมบู่ ้านอยู่ พอดีมผี ู้หญิงเขาปลกู พริก เขาก�ำลงั ก้ม
ดายหญ้าอยู่ ท่านก็เลยถามว่า “แม่ออกทางที่จะไปดงหม้อทองนี่ ไปตรงนี้ไหม ?” เขาไม่ได้ยินนะ
ผมปรกหูไง กำ� ลงั ท�ำงานอยู่ ทา่ นกถ็ ามอกี ๒ ครง้ั ๓ ครัง้ กไ็ มไ่ ดย้ ิน หลวงปู่ค�ำบุพูดนะ ทา่ นข้ามรัว้
ไปเลย กม้ ลงไปใกลห้ ูเขา ร้องถาม “แมอ่ อก ! ทางไปดงหมอ้ ทองไปทางไหน ?”

เขาไม่รู้จะท�ำยังไง ก็พระเนอะ มองเหน็ จะด่าก็ไมใ่ ชท่ ี่ พระครบู าอาจารย์ แล้วคนทต่ี ามไป
หลวงปู่ค�ำบุน่ีหัวเราะอะไรต่ออะไร ท่านพูดให้ฟัง เขาตั้งตัวไม่ติด เขาก็ไม่นึกว่าพระจะมาถามแบบ
น้นั เขาคงจะอยู่ ๒ – ๓ คน หลวงปคู่ �ำบพุ ดู ให้ฟัง นิสยั ท่านตลก แต่ผู้ทจ่ี ะเอาอย่างนั้นไมไ่ ด้ นิสยั
ครูบาอาจารย์ไมเ่ หมือนกัน แต่วา่ ธรรมะท่านเด็ดเดยี่ วมาก”

ธุดงค์ดงหม้อทอง หลวงปู่จวนท�ำที่พักจากต้นไม้

ทา่ นพระอาจารย์สอน ชวี สุทฺโธ ท่านไดเ้ มตตาเล่าเรอ่ื งนี้ไวด้ งั น้ี
“หลวงพ่อค�ำบุท่านเล่าประสบการณ์ว่าไปกับพระอาจารย์จวนน่ีถูกนิสัยกัน ไปกับหลวงปู่
ค�ำบุน่ี ท่านกไ็ ปสร้างท่ดี งหม้อทองใหม่ๆ ทา่ นกม็ ีนสิ ยั แบบวา่ ไปโน้มตน้ ไม้ ตน้ นั้นต้นนี้มา แลว้ กเ็ ชือก
ขงึ ๆๆ ทำ� เปน็ ทอี่ ยู่ พอมีไม้ก็ใช้ไม้ เอาอะไรรดั เขา้ ไป แต่ใช้ต้นไม้เปน็ เสา เป็นท่พี ักเลย ท่านทำ� ของทา่ น
แบบนั้นน่ะ มนี ิสยั แบบนี้ ทา่ นไปอยูด่ งหมอ้ ทองใหม่ๆ ท่านท�ำแบบนนั้ ตน้ ไม้ ๔ ตน้ โน้มเขา้ บางที
มันอย่ใู กล้ๆ กัน ท่านกห็ าวิธที จ่ี ะใชอ้ ะไรมาทำ� เปน็ แครเ่ ปน็ อะไร พออยูไ่ ด้ จะไปใช้ชาวบ้าน บางที
ไม่มคี นนะ่ บางทีก็กลวั พระธดุ งค์ ไปเห็นเขาไมอ่ ยากคุยด้วย เขากลัว กห็ าวธิ แี บบวา่ ไมใ่ หช้ าวบ้าน
เดือดรอ้ นมาก คอื ท�ำกันเองเลยนนั่ ละ่ หลวงปู่ค�ำบุท่านพดู ใหฟ้ งั
ถ้าตน้ ไมม้ นั ห่างมาก มันไดต้ ดั มันตอ้ งใช้มดี ใชเ้ ลอ่ื ยตัด พระทำ� ไมไ่ ด้ ทา่ นกห็ าวิธมี า ใชเ้ ชือก
ใช้อะไร ไม้ที่อยู่แถวนน้ั ทีม่ ันหกั อะไรนั่นน่ะมาขัดๆ กัน จะท�ำเปน็ แคร่นัน่ ล่ะ หาวิธีท�ำเป็นแคร่แล้วก็
ทา่ นจะขึ้นมานั่งตรงน้แี หละ ไมใ่ ชว่ า่ ท่านเอาตน้ ไม้มาแขวนกลด ท่านท�ำเป็นแครข่ น้ึ มาเปน็ ที่น่ังภาวนา
หรืออะไรกไ็ ม่ทราบนะ หลวงปู่ค�ำบุทา่ นพูด หลวงปจู่ วนน่ที า่ นมีนิสัยก่อสรา้ ง ทา่ นถงึ สร้างภทู อกได”้

พรรษา ๑๐ พ.ศ. ๒๔๙๕ จ�ำพรรษาที่ดอนสะพุง ตีนดงหม้อทอง

ทา่ นพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศน์เรอื่ งน้ีไวด้ ังน้ี
“เม่ือเวลาใกล้จะเข้าพรรษา ท่านพระอาจารย์ค�ำบุ ธมฺมธโร ก็ลาข้าพเจ้ากลับคืนมาอยู่
กับหลวงปู่ขาว ยังเหลือแต่ข้าพเจ้าองค์เดียวจ�ำพรรษาท่ีน้ัน ท่ีดอนสะพุง ตีนดงหม้อทองนั่นเอง
จ�ำพรรษาองคเ์ ดียว ในพรรษานน้ั ไม่มผี ้าขาว ข้าพเจา้ องคเ์ ดียว อาศยั ชาวบ้าน ๓ หลงั คาเรือนเล้ียงชีวิต
เขาเป็นคนจน เขาไปอยูใ่ หม่ เขามีศรทั ธามาก เขาเปน็ คนอดคนอยาก หาเชา้ กินค�่ำ

133

ที่ไปอยู่ตีนดงหม้อทอง ดอนสะพุงนั่นแหละ ส�ำคัญมากเพราะที่น่ันเขาถือว่าเป็นที่เข็ดขวง
(เจา้ ที่แรง) ผีมันมาก มนั เปน็ ท่งุ ว้างเวิง้ อยรู่ มิ แมน่ �้ำสงคราม เขาเรยี กว่า ท่งุ หนองอดี อนและทงุ่ โซ่
ทุ่งโซ่นี่เขาว่าเปน็ บ้านโซง่ แตก่ อ่ นเปน็ คนชาวโซ่งชาวปา่ เขามาอยูน่ ั่น ตั้งแต่ครงั้ ไหนไม่ทราบ

ในสมัยน้ันท่ีข้าพเจ้าไปอยู่นั้นเป็นทุ่งว้างเว้ิง แต่ก็มีลักษณะที่ให้สังเกต มีต้นไม้ เช่น ต้น
มะเปรียง หรอื ตน้ มะม่วงยังมีปรากฏอยู่ แสดงว่าตอ้ งเปน็ บา้ นเกา่ แต่ก็เปน็ ท่เี ขาย�ำเกรง เขาถือว่าที่
เขด็ ขวง เม่อื ขา้ พเจ้าไปจ�ำพรรษาท่ีน่ัน เขาวา่ อย่ไู ม่ได้ เพราะท่นี ่ีมนั เขด็ มนั ขวง ผมี ันดุ มันโกรธมาก
ถ้าใครไปอยู่ ผมี นั ทำ� อันตรายใหค้ นเจ็บปว่ ยและตาย เขาว่าอย่างไร ขา้ พเจา้ ก็ตอ้ งอยู่ เพราะต้งั ใจ
ว่าจะอยจู่ �ำพรรษาแลว้

ทนี เ้ี มื่ออยู่ไปกลางพรรษา ได้เกิดนมิ ติ ภาพขนึ้ เกิดปรากฏในนิมติ ความฝันว่า พวกผโี ซ่ท้งั หลาย
นน่ั แหละ พากนั ยกพรรคพวกมาเป็นฝงู ๆ ถือปืน ถือหอก ถอื ดาบ จะมาฆา่ มาฟันมายงิ ขา้ พเจา้ ใหต้ าย
เมือ่ มาถงึ เขาก็เอาปืนยิงเลย ยงิ ข้าพเจา้ ยงิ เทา่ ไหร่ก็ไมอ่ อก เอาหอกพุ่งแทงใส่กไ็ มเ่ ขา้ เอามดี เอาพร้า
ฟันก็ไมเ่ ข้า ท�ำอะไรๆ อยา่ งไรจนสดุ ความสามารถของเขากไ็ มเ่ ข้า

ทีนเี้ ขาก็เลย หวั หน้าผีกเ็ ลยประกาศบรวิ ารผวี า่ “พวกเรามายอมทา่ นเสีย ทำ� อะไรทา่ นไม่ได้”
เลยพากันแต่งขันธ์ดอกไม้มาสมบัดสมมา (ขอขมา) คารวะข้าพเจ้า ยอมอ่อน ยอมข้าพเจ้า ดังนี้
ในนิมิตความฝันนั้น ฉะน้ัน ในสมัยน้ีแถบน้ันจึงท�ำนาได้ และตั้งบ้านได้ไม่เป็นไร พวกประชาชน
คนอดๆ อยากๆ ไม่มีไร่มีนาจึงได้พากันได้จับจองที่นั้นเป็นไร่เป็นนา ท�ำข้าวกล้าบริบูรณ์ เขาได้
ขายข้าว ขายน�้ำ เป็นคนมง่ั ค่ังสมบูรณ์พอสมควร”

134

ภาค ๖ บุกเบิกดงหม้อทอง ถ�้ำจันทน์ ภูสิงห์น้อย

ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ส�ำรวจดงหม้อทอง

การเดนิ ธดุ งค์รกุ ขมลู บกุ เบิก ผจญภยั หาสถานทส่ี ปั ปายะส�ำหรับภาวนานัน้ หากไมน่ ับรวม
ทา่ นพระอาจารยเ์ สาร์ กนฺตสโี ล และ ท่านพระอาจารย์มัน่ ภรู ิทตฺโต แล้ว ทา่ นพระอาจารยจ์ วน
กุลเชฏฺโ เป็นอีกองค์หน่ึงท่ีนับว่าเป็นผู้บุกเบิกและผจญภัยมาก โดยองค์หลวงตาพระมหาบัว
าณสมปฺ นฺโน ไดก้ ล่าวชมทา่ นพระอาจารยจ์ วนไว้ดงั นี้

“สถานที่เหมาะสมๆ ท่านจวนเป็นผู้เสาะแสวงหาได้มากกว่าเพ่ือนกรรมฐานด้วยกัน เช่น
อยา่ งภทู อกกท็ า่ นจวน แล้วถำ�้ จันทน์กท็ า่ นจวน แล้วท่ีไหนอกี นเี่ หมาะทง้ั นั้นนะ”

นบั แตอ่ อกพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ท่านพระอาจารยจ์ วนได้เริ่มบุกเบิกเสาะแสวงหาสถานที่
เหมาะสมในการภาวนา เรม่ิ จากดงหมอ้ ทอง ถำ้� จนั ทน์ ภูสงิ หน์ ้อย ส�ำนกั สงฆส์ ะแนน และสนิ้ สดุ ที่
ภทู อก โดยท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ได้เมตตาเทศน์เรอ่ื งนี้ไว้ดังตอ่ ไปน้ี

“เม่ือออกพรรษาแล้วในพรรษาท่ี ๑๐ นนั่ แหละ เมอ่ื ออกพรรษาแล้วขา้ พเจา้ ได้ปรารภกับ
ญาติโยมแถวนัน้ จะเข้าไปอย่ใู นดงหม้อทอง เพราะไดย้ ินขา่ วว่าดงหม้อทองมถี �้ำใหญๆ่ อยู่มาก และก็
มพี ลาญหนิ สวยงามใชไ่ หม ? ถามญาตโิ ยม ญาตโิ ยมว่า “ใช่ พวกผมเคยเห็น” ก็เลยใหโ้ ยมเขาพาไป
โยมพาไป เดินจากท่ีจ�ำพรรษา ต้ังแต่ฉันเสร็จ เดินตลอดวัน มันรก พวกโยมก็ถางทางไปก่อน
จนตลอดค�่ำจึงถงึ ถำ้� เม่อื ถึงถ�้ำแล้วก็ตรวจดู กน็ ่าอยจู่ รงิ ให้ญาตโิ ยมถากถางและรอื้ หลงั ถ้�ำทีม่ นั รก
มเี ครือเขาเถาวัลย์ปกคลุมอยู่ เลยพกั นอนทน่ี ั่น

ตอนค�่ำมามเี สอื ใหญ่ ในดงมนั เสือมาก ช้างมาก มเี สอื ใหญ่มาร้อง มาคราง ขเู่ ขญ็ ค�ำรามใส่
นค่ี ร้งั แรกที่สดุ ขา้ พเจ้าได้ยินเสียงเสอื ท่ีดงหม้อทองมนั รอ้ ง เสือน่มี ันรอ้ งทแี รก รอ้ งอยา่ งน้ีนะ เท่าท่ี
จ�ำได้ เสือมนั รอ้ ง เสอื ใหญม่ ันรอ้ งขน้ึ ทีแรกตอนหัวคำ่� มันร้องวา่ “อ้ดู อือ้ ๆ” เหมือนกบั เสยี งวัว
“อู้ดอ้อื ๆ” อาตมาไดย้ นิ อย่างนี้กเ็ ลยถามโยม “เอ๊ะ ! โยมทำ� ไมวัวมาร้องทีน่ ี่ ?” โยมเลยวา่ “ไม่ใช่วัว
ครบั ” “อะไร ?” “เสือใหญ่ครับ” “เอ๊ ! เสอื ท�ำไมมันร้องเหมอื นวัว ?” “มันรอ้ งอยา่ งนแ้ี หละครับ
ทแี รกส�ำหรบั สัตวอ์ ันนีม้ ันหลอกสตั ว์ป่ากนิ หลอกวัวกิน ถา้ มันจะหลอกสัตวไ์ หนกิน มนั ต้องร้องเสยี ง
สัตว์นน้ั ”

นี่โยมว่า พวกเขาฉลาดในป่า พวกเขาฉลาดในสตั ว์ปา่ ถา้ มันจะหลอกวัวกิน มันก็ร้องเหมือนววั
ว่าอูด้ ออื้ ๆ ถา้ มันจะหลอกหมา มนั กเ็ หา่ เหมือนหมา ว่าอย่างนั้น ถ้ามนั จะหลอกกวางมนั กร็ อ้ งเหมือน
กวาง ปิบ๊ ๆๆ ถา้ มันจะหลอกไก่กิน มันก็ขนั เหมอื นไก่ว่าซนั่ (ว่าอย่างนนั้ ) นี่โยมพดู ใหฟ้ ัง มันมีหลาย
วธิ ีส�ำหรบั เสอื ทีนบี้ างทีมนั กเ็ สียงเหมอื นคนเว่ากนั พมึ ๆ พำ� ๆ ไป โอ้ ! มนั มีหลายวธิ ี จงึ ร้จู กั อบุ ายของ
สตั วป์ า่ มันเป็นอยา่ งนน้ั

135

ทนี ้ีเมื่อเวลาตอนดกึ มา เสียงที่มันร้องวา่ อูด้ อื้อๆ ก็หายไป ตาน้ี (ทนี )้ี มันออกเสียงบ่าวอื้อๆ
ถ้าเราฟังเผินๆ ก็ม่าวอื้อ ฟังโดยชัดๆ อ่าวอ้ือๆ ตลอดคืนเลยยันรุ่ง เสียงไม่มีหลบ ไม่มีแหบ
เสยี งดีขนาด สัตว์ตวั นี้ อ่าวออ้ื ๆ ตลอดคืนเลย ขา้ พเจา้ ก็เดินจงกรมฟงั อยู่ทนี่ นั่ ฟังชินไปชนิ มากส็ นุกดี
ไมม่ กี ลวั เลย อยากให้มนั มารอ้ งทุกวันทกุ คนื นัน่ แหละ เพราะมันเพราะดี เสียงสัตว์ป่า

เข้าไปดงหมอ้ ทองระหว่างฤดแู ลง้ นัน้ พวกญาตโิ ยมเขาอยากตั้งบา้ น ก็เลยไปทที่ ีต่ ัง้ บา้ นใหเ้ ขา
เขากเ็ ลยถากถางตัง้ บ้าน แล้วก็ได้ยินขา่ วกันไปหลายๆ แห่ง คนท้ังหลายกพ็ ากันทยอยกันมาดทู ี่ตง้ั บ้าน
เห็นว่าที่ดงหม้อทองเป็นที่ท�ำเลท�ำมาหากินสะดวก พวกประชาชนก็เลยอพยพเข้าไปอยู่ ต้ังหมู่บ้าน
เปน็ ปึกแผน่ แน่นหนา ไปทแี รกมีแตค่ นจนท้ังนั้น เม่ือเขาต้งั บา้ นเป็นปกึ แผน่ แนน่ หนาแลว้ เดีย๋ วนเ้ี ขาก็
เปน็ ผู้เปน็ หลักเป็นฐาน มีทรพั ย์สมบตั พิ อสมควร ไมอ่ ดึ (ไม่อด) ไมจ่ น”

ดงหม้อทอง

ดงหมอ้ ทอง ตงั้ อยตู่ �ำบลดงหมอ้ ทองใต้ อ�ำเภอบา้ นมว่ ง จังหวดั สกลนคร มอี าณาเขตติดตอ่ กนั
กบั อกี สามจงั หวดั คอื จงั หวดั หนองคาย จงั หวดั บงึ กาฬ และจังหวดั อดุ รธานี

ดงหม้อทอง ในอดตี เป็นผืนป่าดงดิบหนาทึบ เป็นปา่ ไม้เบญจพรรณ มเี ถาวัลย์ป่าชนิดตา่ งๆ
ข้ึนปกคลุมมากมายรกชัฏ บรรยากาศจึงวิเวกเงียบสงัด ผืนป่าแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ขนาด
ใหญน่ านาพันธ์ุ นอกจากน้ยี ังมถี ้�ำ เงอ้ื มหินผา พลาญหนิ และโขดหิน เป็นทีเ่ จรญิ งอกงามของตะไคร่
เฟิร์น และมอสต่างๆ ใต้พลาญหินและโขดหินจะมีลักษณะเป็นถ้�ำเป็นโพรง จึงมีสัตว์ป่านานาชนิด
อาศัยอยูอ่ ย่างชุกชุม ต้งั แต่สตั ว์ใหญ่ไปถงึ สตั วเ์ ล็ก ไดแ้ ก่ ชา้ ง เสือ หมี หมูป่า ลงิ ค่าง บ่าง ชะนี นกยูง
อเี หน็ กระรอก กระแต ไก่ปา่ ค้างคาว ฯลฯ จนมชี ือ่ เรยี กถ�้ำต่างๆ เหลา่ น้ันวา่ ถ�้ำเสือ ถ้�ำงู และมีโขดหิน
สงู ใหญ่ ใช้เปน็ ท่ีปฏิบตั ิธรรมของพระสงฆท์ ีจ่ าริกธดุ งค์มาจนกลายเป็นถ�้ำพระ เปน็ ต้นน้�ำห้วยหนิ พนา

ดงหม้อทองแห่งน้ีจึงเป็นอีกสถานที่หน่ึงซึ่งข้ึนช่ือในอดีตว่า มีผู้แสวงวิเวกเร้นกายปฏิบัติธรรม
อยู่มาก และในยคุ ตอ่ มาครูบาอาจารยม์ กั จะเคยธดุ งคผ์ า่ นมาทางน้ี

ในสมัยครูบาอาจารยท์ า่ นออกปฏิบัติ ไดแ้ ก่ หลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านพระอาจารย์จวน
กลุ เชฏฺโ ทา่ นพระอาจารย์สอน อุตตฺ รปญโฺ  และ ท่านพระอาจารยจ์ ันทา ถาวโร เป็นต้น ก็ไดม้ า
อาศัยสถานท่ีบริเวณแห่งนี้เพื่อบ�ำเพ็ญเพียรภาวนา ดังมีปรากฏในบันทึกประวัติของพระอาจารย์
ท้ัง ๔ หลายตอนดว้ ยกนั ในปจั จุบัน นบั ต้ังแตส่ มยั ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ  มาพ�ำนกั อยกู่ ็ได้มี
การปรบั ปรงุ เสนาสนะขึ้นเปน็ วดั ป่าสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุตกิ นกิ ายชือ่ วัดปา่ ศลิ าอาสน์ (ดงหมอ้ ทอง)

ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ  ไดเ้ ปน็ ผรู้ เิ รมิ่ บกุ เบกิ ดงหมอ้ ทอง เมอื่ ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๕ –
๒๔๙๖ มีหมูบ่ า้ นชอื่ หม่บู า้ นโพนไผ่ เปน็ หม่บู ้านต้งั ถน่ิ ฐานอยรู่ มิ น้�ำสงคราม มลี กั ษณะเปน็ ป่าชา้ ง
ดงเสือ คอื เป็นป่าหนาทึบเตม็ ไปดว้ ยสัตวป์ า่ ทีด่ ุรา้ ย ในชว่ งน้นั ทา่ นพระอาจารยจ์ วน ได้ธุดงค์

136

ผา่ นมาที่หมู่บ้านโพนไผ่ ท่านได้น่ังสมาธิเห็นอดีตชาติของตนที่เคยอยู่อาศัยกับพ่อแม่ ณ หมู่บ้าน
แหง่ หน่งึ ซงึ่ ปัจจุบัน คือ หมบู่ ้านดงหม้อทอง จึงเดนิ ทางออกธุดงค์ตามทที่ า่ นได้นมิ ิตเหน็ ในนมิ ติ นัน้
ปรากฏโขดหินขนาดใหญ่ ป่าท่ีหนาทึบเต็มไปด้วยสัตว์ท่ีดุร้าย และเป็นบริเวณที่ราบสูงล้อมรอบ
ด้วยแม่น�้ำและมีถ�้ำ จึงได้พาชาวบ้านโพนไผ่ส่วนหนึ่งมาหา และปรากฏว่าได้เห็นสถานที่ตามท่ี
นั่งสมาธิอยู่จริง จากนน้ั ทา่ นก็เลยพาชาวบา้ นอพยพจากบ้านโพนไผ่เข้ามาตัง้ ถิน่ ฐานอย่ทู ีแ่ หง่ น้ี

โดยในระยะแรกมชี าวบา้ นได้ตดิ ตามท่านพระอาจารย์จวน มาเพียงไม่กหี่ ลังคาเรือน ต่อมา
ชาวบ้านได้อพยพเข้ามาอยู่อาศัยกันมากข้ึนๆ จนเป็นหมู่บ้านข้ึนมา จึงต้ังชื่อว่า “บ้านดงหม้อทอง”
ความพิเศษของบ้านนี้ คือ ไม่นับถือผีปู่ตาหรือผีใดๆ นับถือพระอย่างเดียว ท่ีกลางหมู่บ้านมีรูปสลัก
พระอาจารยจ์ วน ทกุ วนั พระ ชาวบา้ นจะน�ำดอกไม้ ธปู เทียน มากราบรูปสลักทา่ นอาจารย์กันทกุ บ้าน

พรรษา ๑๑ – ๑๓ พ.ศ. ๒๔๙๖ – ๒๔๙๘ จ�ำพรรษาดงหม้อทอง

ต้ังแต่พรรษาท่ี ๑๑ จนถึงพรรษาท่ี ๑๓ ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ จ�ำพรรษาอยู่ท่ี
ดงหม้อทองโดยตลอด เพราะเป็นท่ีสงบสงัดดี สภาพของป่าดงดิบหนาทึบที่เต็มไปด้วยไม้ใหญ่ มีถ้�ำ
มีเงื้อมหินผา และพลาญหิน พร้อมท้ังสัตว์ป่าอันดุร้ายที่จะช่วยก�ำราบกิเลสให้อ่อนราบลง เหล่าน้ี
ล้วนเปน็ เครอื่ งช่วยในการภาวนาทั้งนั้น การภาวนาดี จติ สงบ รวมเรว็

ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฺ  ไดเ้ มตตาเทศนเ์ รอื่ งนไี้ วด้ งั น้ี
“และในพรรษาท่ี ๑๑ จ�ำดงหมอ้ ทอง เปน็ พ.ศ. ๒๔๙๖ ในพรรษาที่ ๑๑ นั้น พาญาติโยม
ถากถาง คอื ตดั หนทางผ่านดงหม้อทอง จากบ้านมาย บา้ นดู่ ตัดผ่านดงหม้อทอง ๓ เดือนถงึ ส�ำเร็จ
รถเกวยี นเดินไดส้ ะดวกจนตลอดปจั จุบนั น้ี พรรษาแรกทีม่ าจ�ำดงหมอ้ ทอง พ.ศ. ๒๔๙๖ มพี ระ ๒ องค์
เณร ๑ ทจ่ี �ำพรรษารว่ มด้วย
พอออกพรรษาแล้ว หลวงปขู่ าว ซึง่ จ�ำพรรษาอยูท่ ่ีวดั อรณุ รงั ษี จงั หวดั หนองคาย แตง่ คน
ให้มาหาขา้ พเจา้ ใหไ้ ปรบั ทา่ นออกมาวเิ วก ใหห้ าสถานทท่ี เ่ี หมาะสมกอ่ นแลว้ คอ่ ยไปรบั ทา่ น ระหวา่ งนน้ั
ข้าพเจ้ามีเพื่อนพระภิกษุอีกองค์หน่ึง แต่ท่านเป็นไข้ ระยะแรกดงหม้อทองกันดารมาก จะมีพระ
อยู่มากก็ไม่ได้ เพราะมีบ้านบิณฑบาตเพียง ๓ หลังคาเรือนเท่าน้ัน พอดีท่านพระอาจารย์สอน
อุตฺตรปญฺโ ธุดงค์มาถึง ข้าพเจ้าจึงชวนให้อยู่เป็นเพ่ือน เพื่อช่วยปรนนิบัติหลวงปู่ขาวและช่วย
ท�ำเสนาสนะถวายให้หลวงปู่และหมู่พวกท่ีจะติดตามท่านมา ข้าพเจ้าและท่านพระอาจารย์สอนจัด
เสนาสนะพรอ้ มแลว้ กไ็ ปรบั หลวงปขู่ าวออกมาวเิ วก ท่านพอใจความสงัดเงียบ เงอื้ มถ�้ำและพลาญหนิ
ท่ีดงหม้อทองมาก จึงอยูต่ ่อไปกระท่ังถงึ เวลาเข้าพรรษา
สว่ น พ.ศ. ๒๔๙๗ เปน็ พรรษาข้าพเจ้าที่ ๑๒ ท่านพระอาจารยห์ ลวงปู่ขาว อนาลโย ได้มา
จำ� พรรษารว่ มด้วยในพรรษาน้นั พร้อมดว้ ยพระติดตามอีก ๗ – ๘ องค์ ผา้ ขาว ๒ คน และแม่ชอี กี

137

๔ – ๕ ท่าน ได้ตกลงอธิษฐานพรรษาอยู่ที่ดงหม้อทองด้วยกันท้ังหมด และในพรรษาน้ันก็ได้พากัน
ท�ำความพากความเพยี ร ปรารภความพากความเพยี ร โดยเต็มความสามารถของตน ฉันเสรจ็ ต่างองค์
ตา่ งกแ็ ยกกันไปทำ� ความเพยี ร ประมาณบ่าย ๓ โมง กวาดตาด (กวาดลานวัด) แล้วก็ไปรวมกันสรงน�้ำ
หลวงปู่ เสร็จแล้วต่างสรงน้�ำและฉันน้�ำร้อนแล้วกลับไปเดินจงกรม ต่างองค์ต่างสวดมนต์ ตอนเย็น
ไปรวมกันที่ศาลา ถ้าใครมีปัญหาก็เรียนถามหลวงปู่ บางวันท่านก็เทศน์ บางวันก็ไม่เทศน์ เพียงแต่
สนทนาธรรม แต่ส�ำหรับวันพระนั้น พระ เณร ชี มารวมกันฟังธรรมหลวงปู่หมดทุกองค์ ส่วนอาหาร
ขบฉันก็ได้ชาวบ้านน�ำมาส่งเป็นเสบียง และอาศัยแม่ชีช่วยท�ำถวายเป็นหลักมากกว่าการบิณฑบาต
เพราะระยะน้นั จำ� นวนญาติโยมมนี ้อยกว่าพระมากนัก”

หลวงปู่ขาวเทศน์เตือนพระท่ีอยู่ร่วมจ�ำพรรษาที่ดงหม้อทอง

ในประวตั ิของหลวงปูข่ าว อนาลโย ท่านพดู ถงึ ปที ่ที า่ นจ�ำพรรษาท่ดี งหมอ้ ทอง ว่าอุบายตา่ งๆ
เกดิ ขน้ึ โดยสม�่ำเสมอ และต้องคอยเตือนพระเสมอ ไม่ให้ประมาทในการรกั ษาธดุ งควัตร เพราะ
อย่ใู นท่ามกลางสง่ิ ทีค่ วรระวังหลายอยา่ งตา่ งๆ กัน โดยอาศัยธุดงควตั รเป็นเสน้ ชีวิตจติ ใจ และมี
ธรรมวินัยเปน็ ทีฝ่ ากตาย ใจจึงอยูเ่ ปน็ สุข ไม่หวาดเสยี วสะดุง้ กลวั ต่างๆ

การขบฉันกน็ อ้ ย เพียงเยยี วยาธาตขุ ันธ์ไปวันๆ เทา่ นั้น เพราะศรัทธาญาตโิ ยมมนี อ้ ยและเปน็
บา้ นเพง่ิ ตง้ั ใหมม่ ีไม่กี่หลังคาเรือน ยังไมเ่ ปน็ หลกั ฐานมนั่ คงและเปน็ ความมุ่งหมายของท่านผู้หนกั แน่น
ในธรรมะ จึงพึงฝึกฝนอดทนเพื่อธรรม – ความอยู่สบายภายใน จึงไม่กังวลกับที่อยู่อาศัยและอาหาร
การบิณฑบาตให้มากไป อันจะเป็นอุปสรรคต่อความเพียร ยาแก้ไข้ ก็คือ ความอดทน ต่อสู้ด้วย
ความเพยี รทางสมาธภิ าวนา โดยถือเอาสตั วป์ ่าชนิดตา่ งๆ เป็นเพ่อื นและสักขพี ยานวา่ เขากม็ ิได้เกิดมา
กับหยูกยาชนดิ ต่างๆ และคลอดทโ่ี รงพยาบาล มีหมอและนางพยาบาลคอยรักษาผดงุ ครรภ์ แต่เขา
ยังเป็นสตั ว์ชนิดตา่ งๆ สบื ตอ่ กันมาได้เตม็ ปา่ เตม็ เขา โดยไม่แสดงความโศกเศร้าเสียใจว่าตนขาดการ
บ�ำรุงรักษาดว้ ยยาและนางพยาบาล ตลอดเครอื่ งบ�ำรุงตา่ งๆ

สว่ นพระเปน็ มนุษยชาติและเปน็ ศากยบุตรพทุ ธชาติ ศาสดาองค์ลือพระนามสะเทอื นทั่วไตรภพ
วา่ เปน็ ผ้ทู รงเรยี นจบคัมภรี ไ์ ตรภมู ิดว้ ยพระขันติ วิริยะ พระปญั ญาปรชี าสามารถในทุกทาง ไมม่ ีคำ� ว่า
จนตรอก ออ่ นแอ ท้อถอย แต่พระเราจะถอยหลงั หลงั่ น�้ำตาเพราะความทกุ ขล์ �ำบากเพียงการเจ็บไข้
ได้ป่วย อันเป็นธรรมดาแห่งขันธ์เท่าน้ัน ก็ต้องเป็นผู้ขาดทุนล่มจม จะน�ำตนและศาสนาไปไม่ตลอด
นอกจากเป็นผู้อาจหาญอดทนต่อสภาพความมี ความเป็น ความสัมผัสท้ังหลาย ด้วยสติปัญญา
หยัง่ ทราบไปตามเหตกุ ารณ์ที่มาเก่ียวข้องเทา่ นัน้ ไมม่ ที างอนื่ ทจ่ี ะเอาตัวรอด หวงั จอดในทป่ี ลอดภัยได้

จติ เมอื่ ได้รบั การอบรมในทางที่ถกู ย่อมมีความร่ืนเริงในธรรม พอใจประคองตนไปตามวิถีแหง่
มรรคและผล ไม่มกี ารปลกี แวะ ไมส่ รา้ งความอับจนไวท้ ับถมตวั เอง ปฏิปทากส็ ม่�ำเสมอ ไม่ทอ้ ถอย
นอ้ ยใจวา่ ตนขาดท่ีพ่งึ ทง้ั ภายนอก – ภายใน มีใจกบั ธรรมเปน็ เครอื่ งชโลมหลอ่ เล้ยี งใหเ้ กิดความอบอุ่น

138

เยน็ ใจ อยทู่ ีใ่ ดกเ็ ปน็ “สุคโต” แบบลูกศิษย์ตถาคต ไมแ่ สดงความอดอยากขาดแคลนในทางใจ
พระธุดงคกรรมฐานท่ีมุ่งต่อธรรม ท่านไปอยู่แล้วโดยอาการอย่างนี้ ท่านจึงอยู่ได้ ไปได้

ยอมอดทนล�ำบากหวิ โหยได้อยา่ งสบายหายห่วงกับสง่ิ ทงั้ ปวง มีธรรมเป็นอารมณข์ องจติ ใจ

หลวงปู่ลี ติ ธมฺโม กราบนมัสการเยี่ยมหลวงปู่ขาวและท่านพระอาจารย์จวน

หลวงป่ลู ี ติ ธมโฺ ม วัดเหวลึก อ�ำเภอสวา่ งแดนดนิ จังหวัดสกลนคร ทา่ นเป็นพระศิษยส์ าย
ทา่ นพระอาจารย์ม่นั ทีไ่ ด้เดินทางมาดงหม้อทอง เพ่อื กราบนมสั การเยี่ยมหลวงปขู่ าว และทา่ นพระ
อาจารย์จวน โดยประวัติหลวงปลู่ ี ได้บันทึกไวด้ งั นี้

“พรรษาท่ี ๑๓ (พ.ศ. ๒๔๙๗) กอ่ นเขา้ พรรษานี้ หลวงปู่ลี ติ ธมฺโม และพระอาจารยอ์ ดุ ม
พรอ้ มด้วยคณะศรทั ธาญาตโิ ยมอีกประมาณ ๒๐ คน ได้เดนิ ทางจากกดุ เรือค�ำไปถงึ ดงหมอ้ ทอง เพ่อื
กราบนมัสการเย่ียม หลวงปขู่ าว อนาลโย และท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ซึง่ ทา่ นทง้ั สองได้
มาพกั ท่ีดงหม้อทอง ครั้งที่ยงั เป็นป่าสมบรู ณ์ ไม่เห็นแดด คร้มึ ตลอด มีแตเ่ สยี งหร่ิงเรไรรอ้ ง มีโขลงช้าง
ซึ่งเวลามาที คนกว็ ิ่งแตกต่นื ขนึ้ บนขอนไมใ้ หญ่ กไ็ ปเจอทากเข้าอกี (ภาษาอีสาน เรียกว่า ปลิงโคก)
กว็ ง่ิ หนีกนั จนผ้าผ่อนเปดิ ไม่ไดส้ นใจกนั หลวงป่อู ยูบ่ นกอ้ นหนิ (พลาญหิน) เปน็ ลกู ๆ คลา้ ยโบก้รี ถไฟ
ติดตอ่ กัน ตอ้ งทำ� สะพานเชอื่ มกนั ไว้ ลกู สูงขน้ึ ไปตอ้ งทำ� บันไดขนึ้ เม่อื ขน้ึ ไปแลว้ กช็ กั บันไดขน้ึ ไม่ตอ้ ง
กลัวเสอื ข้างบนมองลงมาเหน็ ช้าง เหน็ เสือ แตม่ นั ข้ึนไปกวนไม่ได ้

หลวงป่ลู ียงั เล่าเพิ่มเตมิ ถึงประวัตขิ องดงหม้อทองอกี วา่ เดมิ มีน�ำ้ ตกลงมาจากที่สงู ลงมาเปน็
อ่างน้�ำ เป็นวังวน ถ้ามุดใตน้ ้�ำเขา้ ไปจะพบถ�้ำ (แอง่ นำ�้ อยหู่ ลงั ถ้�ำ) แล้วจงึ จะพบหมอ้ ทองโบราณอยู่
ภายในถ้�ำ หลวงปเู่ ลา่ ว่า ทีด่ งหม้อทองนท้ี า่ นไมไ่ ดอ้ ยูจ่ �ำพรรษา เพียงแค่ไปกราบเยีย่ มหลวงปขู่ าว กบั
ทา่ นพระอาจารย์จวน พักอยู่หลายวนั จึงเดินทางกลบั ออกมา” 

พระอาจารย์จันทา ถาวโร จ�ำพรรษากับหลวงปู่ขาว ท่านพระอาจารย์จวน

เมื่อคร้ังท่านพระอาจารย์จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย จังหวัดพิจิตร มาฝากตัวเป็นศิษย์
ขออยู่ปฏิบัติท่านหลวงปู่ขาว อนาลโย และท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ท่ีบ้านดงหม้อทองนี้
ทา่ นเลา่ ไวเ้ กยี่ วกบั การอปุ ฏั ฐากรบั ใชท้ า่ นพระอาจารยท์ ง้ั สอง โดยการปฏบิ ตั คิ รบู าอาจารยอ์ ยทู่ นี่ เี่ ปน็ อกี
ระยะหน่งึ ท่ไี ดร้ ับอานสิ งสใ์ หญ่ ดงั ในประวัติกล่าวไว้ดงั น้ี

“คร้นั ออกพรรษา ปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ก็ได้ข่าวว่าทา่ นหลวงปู่ขาว อนาลโย และทา่ นพระอาจารย์
จวน กลุ เชฏฺโ ได้บกุ ปา่ ฝ่าดงใหญ่เข้าไปท�ำความเพียรภาวนาอยู่ใน “ดงหม้อทอง” อ�ำเภอวานรนิวาส
(ในสมยั น้นั ) จังหวดั สกลนคร ซง่ึ เป็นดงหนาปา่ ทบึ มถี ้ำ� ใหญๆ่ อยูม่ าก มีภผู าโขดหนิ และพลาญหิน
สวยงาม ท้ังสตั วป์ า่ ดรุ า้ ยกช็ กุ ชมุ ท้ังเสอื ทงั้ ช้าง เหมาะทจี่ ะช่วยพระกรรมฐานก�ำราบกิเลสใหอ้ อ่ นราบ

139

ลง ท่านพระอาจารย์จันทา ไดเ้ ดนิ ทางไปกราบนมัสการทา่ นหลวงป่ขู าว และ ท่านพระอาจารย์จวน
ขอฝากตัวเป็นศิษยร์ บั การอบรมอย่ดู ้วย

ดงหม้อทองนที้ า่ นพระอาจารย์จวนเพ่ิงมาอย่ไู ด้ ๑ พรรษา (ท่านมาอยู่ปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๕
และจำ� พรรษาแรกในปี พ.ศ. ๒๔๙๖) มพี ระ ๒ องค์และเณร ๑ องค์ ได้ชกั ชวนญาตโิ ยมช่วยกนั ตดั ถนน
ออกจากดงหนาปา่ ทึบแหง่ นมี้ ายังบา้ นดู่ บ้านมาย ใช้เวลา ๓ เดอื น จึงส�ำเรจ็ พอใหเ้ กวยี นและรถผ่าน
เข้าออกได้ จึงเป็นอันว่าพรรษานี้ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ท่านพระอาจารย์จันทาก็ได้อธิษฐานเข้าพรรษา
พร้อมกบั คณะหลวงปขู่ าว พอดที ีด่ งหม้อทอง

วัตรปฏิบัติประจ�ำวัน คือ ฉันม้ือเดียว เสร็จแล้วต่างองค์ต่างก็แยกกันไปท�ำความเพียรตาม
อบุ ายของตนท่เี หน็ วา่ แยบคาย พอถงึ บ่าย ๓ โมงชว่ ยกนั กวาดลานสำ� นัก แล้วจงึ ไปรวมกนั สรงนำ้�
หลวงปูข่ าว จากนั้นพากันไปสรงน�้ำตัวเองใหเ้ บาสบาย แล้วจึงไปฉนั น้�ำร้อน และกลบั ไปเดนิ จงกรม
และตา่ งองคต์ ่างก็สวดมนตอ์ ยูท่ กี่ ุฏขิ องตน ครนั้ ถึงตอนใกล้พลบคำ�่ จงึ ไปรวมกันทศี่ าลา ใครมปี ญั หา
เร่ืองการปฏิบัติธรรมก็เรียนถามหลวงปู่ขาว บางวันหลวงปู่ขาวก็เทศน์ บางวันก็ไม่เทศน์ เพียงแต่
สนทนาธรรม แตใ่ นวนั พระนัน้ พระเณรเถรชีต้องมาหมดเพ่อื ฟังธรรมของหลวงปขู่ าว

ท่านพระอาจารย์จันทาระลึกได้ว่า ในต�ำนานกล่าวถึงพระภิกษุ ๕๐๐ องค์ และสามเณร
๑ องค์ ในสมยั พระพทุ ธเจ้าโกนาคมนน์ น้ั สามเณรนอ้ ยไดค้ อยปรนนบิ ัติรบั ใช้พระสงฆ์ ๕๐๐ องค์
ด้วยความปีติเล่ือมใส ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหน่ือยยากล�ำบาก อานิสงส์น้ันท�ำให้สามเณรน้อยได้
บุญกุศลมากเข้าถึงมรรคผลนพิ พานในกาลตอ่ มา

ดงั นน้ั ท่านพระอาจารย์จนั ทา จึงเอาอยา่ งสามเณรน้อยองคน์ ้ันบา้ ง ดว้ ยการปรนนบิ ตั ริ ับใช้
ทา่ นหลวงป่ขู าว และ ท่านพระอาจารยจ์ วน อย่างเตม็ ที่ ตอนนนั้ ท่านพระอาจารยจ์ ันทา อายเุ พง่ิ
๓๐ ปีเศษ ยงั แขง็ แรงมาก กเ็ อาบนั ไดทอดลงไปในเหวลึกทม่ี ีบอ่ น้�ำใสสะอาด ตักนำ�้ ขนึ้ มาใสต่ ุ่มใส่ถงั
ในส�ำนกั ไว้ วิ่งขึ้นวงิ่ ลงเหวไม่มเี หนอ่ื ย ท�ำอยู่ทุกวนั ไม่ให้น้�ำขาดตุ่มขาดไห ให้แตค่ วามร่มเยน็ แก่ครบู า–
อาจารย์และผ้ทู รงศีลในสำ� นัก

ผลจากการที่อาตมาปรนนิบัติรับใช้ท่านหลวงปู่ขาว และ ท่านพระอาจารย์จวน ด้วย
น้�ำเย็นและน�้ำอนุ่ น้ำ� รอ้ นตลอดเวลา ๕ เดอื น เป็นอานสิ งสใ์ หญ่ในกาลเวลาตอ่ มาภายหลงั คือวา่ เวลา
อาตมาไปไหนมาไหนไม่เคยขาดน้�ำ มีความชุ่มเย็นอยู่เสมอ เวลาเดินธุดงค์หน้าแล้งร้อนมาก ฉันน้�ำ
ครั้งเดยี วในตอนเช้า แลว้ ไม่ต้องฉันอกี ทง้ั วนั ทง้ั คนื ก็ไมร่ สู้ กึ กระหายน�้ำแต่อยา่ งใดเลย จะมาฉันอีกทีก็
เช้าวันรุ่งข้ึน อนั นี้เป็นอานสิ งส์ท่มี หัศจรรย์ เมอื่ ออกพรรษาแลว้ ท่านพระอาจารย์จนั ทาได้กราบลา
ท่านหลวงปูข่ าวและท่านพระอาจารย์จวน ออกแสวงวิเวกตามธรรมเนยี มของพระธดุ งคกรรมฐาน”

140

หลวงปู่จันทาเทศน์โปรดช้างผู้เป็นญาติในอดีตชาติท่ีดงหม้อทอง

หลวงปูจ่ นั ทา ถาวโร ไดเ้ มตตาเลา่ เรอื่ งโขลงชา้ งท่ีดงหม้อทองไวด้ ังน้ี
“สมยั หนงึ่ (ปี พ.ศ. ๒๔๙๗) ไปวเิ วกทด่ี งหม้อทอง อ�ำเภอวานรนวิ าส จังหวัดสกลนคร (ปจั จบุ นั
ขน้ึ กับอ�ำเภอบา้ นม่วง) กับหลวงปูข่ าว อนาลโย และ พระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ และพระอ่นื ๆ อีก
รวมแล้วมพี ระ ๗ – ๘ รูปด้วยกัน คนื หน่งึ ในขณะท่ีเดินจงกรมอยู่ประมาณ ๔ – ๕ ทุ่ม กม็ ชี ้าง
ฝงู ใหญร่ าว ๑๐ ตัวเดินเขา้ มาหาพอหา่ งไดร้ ะยะ ๑ เสน้ (๒๐ วา) จา่ ฝูงกก็ ระทบื ตีน ๓ คร้งั แลว้ ก็
โบกหไู ปมาแลว้ ก็ชงู วงขึ้น
ขณะนั้นอาตมาก็ไม่มีความสะทกสะท้านหรือเกรงกลัวอย่างไรท้ังส้ิน เพราะอ�ำนาจพระธรรม
เกดิ ข้นึ แล้วที่จติ คือความสงบนั้น จงึ ก�ำหนดถามพระธรรมตวั เองขน้ึ ว่า “ช้างเขามาทำ� อะไรกัน ?”
พระธรรมพูดขึ้นว่า “ช้างฝูงน้ีเป็นญาติของเรามาแต่ชาติปางก่อนโน้น เขาอนุโมทนาส่วนบุญกับเรา
จงอุทิศส่วนบญุ ใหเ้ ขาเสีย”
กเ็ ลยตง้ั ใจมนั่ แลว้ แผเ่ มตตาใหว้ า่ “ชา้ ง... พวกทา่ นกับอาตมาเป็นญาติกนั มาแตช่ าติปางก่อน
โน้น มาชาตินกี้ ็ได้มาประสบพบปะกันแล้ว จงอนุโมทนาส่วนบุญนะ จะอทุ ศิ ให้ ปุญฺ ํ อทุ ฺทสิ ฺส ทานํ
สพฺเพ สตตฺ า สขุ ิตา โหนฺตุ ขอใหท้ ่านทั้งหลายจงได้รับส่วนบญุ เถดิ ”
จากน้ันกใ็ หโ้ อวาทแกเ่ ขาวา่ “ขอให้พวกท่านทง้ั หลาย จงนอ้ มเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ไปไว้เป็นท่ีพ่ึงนะ ไหว้พระสวดมนต์ภาวนาประจ�ำชีวิต ไม่ลดละ ท่านท้ังหลายจงต้ังตนอยู่ในศีล ๕
“ปาปก ํ ปาณาตบิ าต” อย่าเพ่งิ ฆา่ สตั ว์ตัดชีวติ มนษุ ย์นะ เปน็ บาป อยา่ เพงิ่ ลักขโมยกนิ ของไรข่ องสวน
เขานะ เปน็ บาป เขาจะฆ่าเอา อยา่ เพิง่ นอกใจซ่ึงกันและกนั นนั่ แหละ อนั นี้เป็นข้อส�ำคญั มนั่ หมาย
เมื่อพวกท่านมพี ระไตรสรณคมน์ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เปน็ สรณะทพ่ี ่งึ แลว้ มีศลี ๕ ประจำ� ชีวติ
อีกกจ็ ะได้ มนุสฺสธมโฺ ม เปล่ียนชาตภิ พจากสตั ว์เดรจั ฉานไปเป็นมนุษย์ เมอ่ื เปล่ยี นชาติภพแล้วจะได้ทำ�
คณุ งามความดเี หมือนอย่างขา้ พเจ้าน่ีแหละ” เขาก็ตั้งใจฟงั จนจบ จากน้ันจ่าฝงู ก็กระทบื เท้า ๓ ครงั้ แล้ว
โบกหพู ึ่บพั่บๆ จากไป
สมัยน้ันที่ดงหม้อทองยังเป็นป่าดงทึบ มีสัตว์ป่ามากมาย ท้ังช้าง ท้ังเสือเหลือง เสือโคร่ง
สง่ เสยี งร้องกันสนัน่ หวนั่ ไหว แต่สัตว์ร้ายเหลา่ นัน้ ก็ไมไ่ ดม้ าทำ� อนั ตรายแตอ่ ย่างใด เพราะอ�ำนาจของ
การประพฤตธิ รรมบันดาลให้เป็นมหาเสน่หม์ หานิยม”

141

เหตุการณ์สัตว์ป่ามาเย่ียมระหว่างเข้าพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๗

ทา่ นพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ได้เมตตาเทศน์เรือ่ งนไ้ี วด้ งั น้ี
“ในพรรษาน้นั มหี มู่ชา้ งและสัตว์ป่านานาชนิด มชี ้างเขา้ มาที่วดั กลางวนั บางวันก็มเี สอื เขา้ มา
กลางคืนก็มีเสอื กดั กัน อยูต่ ามติดกบั กอ้ นหิน เสือใหญ่ เพราะทด่ี งหมอ้ ทองสมัยนัน้ มีชา้ ง เสือมาก และ
งูใหญ่มาก ซง่ึ ก็เคยมาใกลก้ นั บอ่ ยๆ เชน่ วนั หนง่ึ กำ� ลงั ฟงั ปาฏโิ มกขอ์ ยู่ เสือใหญ่พากันมากัดอยู่ทข่ี ้าง
ก้อนหิน พากันฟังเสือกัดกนั อยูอ่ ย่างน้นั
ระหว่างอยู่ดงหม้อทองกับหลวงปู่ขาวน้ี กลางคืนวันหนึ่งได้ลงอุโบสถ ปรากฏว่ามีพวกเสือ
เขา้ มากดั กันข้างก้อนหิน ขา้ งกฏุ ทิ ่ีพระก�ำลงั ลงอโุ บสถ ฟงั จากเสยี งท่กี ัดหยอกลอ้ กนั น้ัน คงจะมีเสอื
หลายตัวอยู่ มันกัดกันเล่นกันตั้งแต่พระเริ่มสวดปาฏิโมกข์ จนกระทั่งสวดปาฏิโมกข์จบ มันก็ยังไม่
เลกิ กัดกนั ยังรอ้ งหยอกล้อตอ่ กนั ต่อเมอ่ื ภายหลงั หลวงปทู่ า่ นคงจะร�ำคาญจงึ ตวาดเอ็ดตะโรออกไป
มนั จึงค่อยสงบลง แต่ก็ครางอู้อีต้ อ่ ไปอีกพกั ใหญ่
อีกวันหนึ่ง ตอนบ่ายเวลาประมาณบ่ายโมง ข้าพเจ้าก�ำลังนั่งพักผ่อนอยู่บนกุฏิ เห็นช้างป่า
โขลงใหญ่พากันยกขบวนเข้ามาหากินในเขตวัด บ้างก็หักก่ิงไม้ดังสน่ัน บ้างก็ลงกินน�้ำในห้วยซึ่งอยู่
เบ้ืองล่างกุฏิของข้าพเจ้า เน่ืองจากข้าพเจ้าและท่านพระอาจารย์สอนได้เลือกชัยภูมิสร้างกุฏิกันเป็น
อย่างดี โดยตา่ งสร้างกุฏิบนหลงั พลาญหนิ ก้อนสงู ใหญ่ ซ่ึงตา่ งมีขนาดสงู ใหญไ่ ลเ่ ล่ยี กนั คือแตล่ ะก้อน
ตา่ งกวา้ งประมาณกวา่ ๕ เมตร ยาวเกอื บ ๒๐ เมตร และสูงถึงกวา่ ๑๕ เมตร พลาญหินท้ังสองกอ้ นที่
ข้าพเจ้าและทา่ นพระอาจารย์สอนตง้ั กฏุ ิอยู่ จงึ เป็นเหมอื นก�ำแพงแทง่ ศลิ าทบึ ยาวเหยยี ด ตั้งขนานกนั
โดยตรงระหว่างกลางมีหว้ ยหนองน้�ำคน่ั อยู่
ซ่ึงมีสัตว์ป่านานาชนิดชอบลัดเลาะเข้ามาหาอาหารและกินน้�ำเป็นประจ�ำ เวลาน่ังบนกุฏิหรือ
เดินจงกรมอย่บู นพลาญหิน จึงสามารถเห็นเกง้ กวาง ช้าง เสอื หมปู ่า หรอื หมี เขา้ มาเดนิ ทอ่ งไพรอยู่
ข้างล่างได้อย่างถนัดตา ส�ำหรับบ่ายวันนั้นช้างฝูงนั้นคงจะส�ำราญใจเต็มท่ี มันจึงเข้ามาเดินเท่ียวกัน
อยา่ งเสรี เท่าทเี่ ห็นดว้ ยตา มันมาอย่ทู ี่เชงิ หินริมหว้ ยก็สิบกว่าตัวแลว้ แต่ท่ยี ังอย่ใู นป่าใกลๆ้ กค็ งจะ
มีอีกเป็นจ�ำนวนไม่น้อย เพราะฟังจากเสียงที่มันหักกิ่งไผ่ กิ่งยาง ท้ังถอนต้นไม้เล็กก็ดังสน่ันไปท้ังป่า
อยา่ งไรกด็ เี สนาสนะในดงหมอ้ ทองนี้ ใชว่ า่ กฏุ ทิ กุ หลงั จะปลอดภยั จากสตั วป์ า่ เสมอไปกห็ าไม่ บางหลงั
อาจจะอยู่ในชัยภูมิท่ีปลอดภัยจากช้าง แต่ก็อาจจะมีเสือเข้ามาเยี่ยมกรายได้ อย่างเช่น กุฏิของ
พระบุญทนั ทา่ นก�ำลังจะออกจากกุฏิ มองออกไปเหน็ เสอื ใหญต่ ัวหนึ่งเข้ามาน่งั จงโคร่งอยู่ตรงบนั ได
ทางข้นึ กฏุ ิของท่าน ท่านต้องรออยูพ่ กั ใหญ่ จนเสอื จากไปแลว้ จงึ สามารถออกจากกุฏไิ ด้
คืนหนึ่งพระเณรฉันอาหารธาตุขันธ์ไม่ถูกกัน ก็จะต้องรีบเข้าส้วม ท่านพระอาจารย์สอนไป
ไม่ทันเณร ซง่ึ วิ่งถลันเข้าไปจบั จองก่อน ธาตุขันธไ์ มย่ อมรอเวลา ท่านจึงตอ้ งเล่ียงเข้าป่าไป ปรากฏมี
เสอื กระโดดข้ามศีรษะทา่ นสอนไปเลย ทา่ นวา่ ทา่ นรสู้ ึกเย็นวาบไปทัง้ ตัว เสือมันกระโจนเข้าไปทางสว้ ม

142

ทเ่ี ณรก�ำลังอยู่ พอรู้ว่าเสือ เณรก็กระโจนแผล็ววิง่ ออกมาป่าราบ เคราะห์ดีทีเ่ จา้ เสอื ตวั นน้ั มันคงผา่ น
เขา้ ปา่ ไปแลว้ เณรจงึ ไม่ตอ้ งประจนั หนา้ กบั มัน

กุฏิของหลวงป่ขู าว อยู่หา่ งจากกฏุ ิของข้าพเจ้าและของทา่ นพระอาจารยส์ อนเขา้ ไปในแนวปา่
อีกด้านหนึ่ง ตั้งอยู่บนพลาญหินเช่นเดียวกัน แต่มิได้เป็นหินก้อนโดดๆ เหมือนเป็นภูเขาลูกย่อมๆ
เช่นของเรา ด้านหนึง่ ของพลาญหินของหลวงป่อู ยตู่ ดิ กับราวปา่ ผ้าขาวทต่ี ิดตามท่านมาปลกู กระต๊อบ
อยู่ลึกเข้าไปในป่าทางด้านนั้น ฉะน้ัน วันหน่ึงช้างจึงเดินเล่นเลยขึ้นมาบนพลาญหินและต่อไปถึง
กระตอ๊ บของผา้ ขาวผนู้ น้ั มันเอางวงหยิบรองเทา้ ออกมาเลน่ และโยนเข้าปา่ ไปถอนบันไดกุฏอิ อกมา
และโยนเข้าป่าไปด้วย มันเอางวงควานหาของเล่นอยู่พักใหญ่ เห็นหมดเคร่ืองกีดหน้าขวางตาแล้ว
กเ็ ตรยี มลาจากไป แต่กย็ งั อดนกึ สนกุ ไมไ่ ด้ มันเอางวงมาดนุ ดุนฝาจนกุฏแิ ทบโยก

ปกติผา้ ขาวเจา้ ของกระตอ๊ บนน้ั เปน็ คนหูหนัก อาจจะไมไ่ ดย้ นิ เสยี งผิดปกติระหวา่ งช้างมันย่ืน
งวงเข้ามาหยิบรองเท้า โยกบันได แต่เม่ือถึงคราวฝากระต๊อบของแกโยก ผ้าขาวก็อดท่ีจะรู้สึกไม่ได้
พอเห็นว่าเป็นช้างป่า แกก็กระโจนหนีไปหาหลวงปู่ท่ีกุฏิทันที ตัวส่ันงันงก พูดไม่ออกไปพักใหญ่
เสยี เวลาซักไซ้ไลเ่ ลียงกนั นานกวา่ จะรู้เรื่องและตัง้ สติได้

การท่ีมีสัตว์ป่าเข้ามาเยี่ยมกรายเราบ่อยๆ นี้ ท�ำให้บรรดาพระเณรพากันระมัดระวังตัว ต้ังอก
ตั้งใจบำ� เพ็ญความเพียรอยา่ งขะมกั เขม้นมิได้ประมาทเลย

และเมือ่ ออกพรรษาที่ ๑๒ ข้าพเจา้ ก็ไดเ้ ดินวเิ วกมาทางภูววั สว่ นหลวงปู่ขาวเมือ่ ออกพรรษา
แลว้ ท่านก็กลับบ้านป่าแก้วชมุ พลเชน่ เดิม ข้าพเจ้าได้มาเท่ยี ววิเวกภวู วั เมื่อกลบั ถงึ ดงหม้อทองไม่เหน็
หลวงปขู่ าว หลวงปูข่ าวกลบั บา้ นป่าแก้วชุมพลแลว้ ”

พระภิกษุณีอรหันต์มาเยี่ยมแสดงสัมโมทนียธรรมในระหว่างเข้าพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๘

เรอ่ื งพระอรหันตสาวกทเ่ี ขา้ สอู่ นุปาทิเสสนิพพานไปแลว้ ได้มาเย่ยี มและแสดงสมั โมทนยี ธรรม
โปรดแก่ครูบาอาจารย์ที่เคร่งครัดในธุดงควัตรและอยู่ปฏิบัติธรรมอย่างอุกฤษฏ์ตามป่าตามเขานั้น
เปน็ เรอ่ื งอัศจรรย์ยิง่ นัก นับแต่หลวงปเู่ สาร์ กนฺตสโี ล หลวงปมู่ ั่น ภูรทิ ตฺโต และพระศษิ ยป์ ระเภท
“เพชรน้�ำหนงึ่ ” เช่น หลวงปชู่ อบ านสโม หลวงปพู่ รหม จริ ปุญโฺ  หลวงป่ขู าว อนาลโย ฯลฯ
ลว้ นประสบเหตอุ ัศจรรย์น้มี าแล้ว ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ก็เปน็ อีกองคห์ นงึ่ ทีป่ ระสบเหตุ
อศั จรรยน์ ี้ โดยท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศนเ์ รื่องน้ีไวด้ ังนี้

“และในพรรษาท่ี ๑๓ อีก ข้าพเจ้าก็จ�ำพรรษาที่ดงหม้อทอง กับหลวงปู่ค�ำอ้าย ซึ่งเป็นคน
เชียงใหม่ เป็นลูกศิษย์ของทา่ นพระอาจารยม์ ัน่ นนั่ เอง ทา่ นพระอาจารยม์ ัน่ เคยแต่งให้ทา่ นมาก�ำกับ
ข้าพเจ้าครั้งหน่ึงแล้ว ระหว่างท่านส่งให้ข้าพเจ้าไปจ�ำพรรษาท่ีวัดป่าบ้านเหล่ามันแกว บ้านเดิมของ
ข้าพเจ้าเมือ่ พรรษาท ่ี ๗

143

ระหวา่ งพรรษาน้ี คนื หน่งึ ไดน้ ิมติ วา่ มภี ิกษุณีองค์หน่งึ มาเทศนใ์ ห้ฟัง ก่อนจะเทศนเ์ มื่อทา่ นมา
ปรากฏองค์ รู้สึกวา่ งามมาก ข้าพเจา้ จงึ ถามวา่ ทา่ นเปน็ ใคร ทา่ นกต็ อบว่าเปน็ ภกิ ษุณอี รหนั ต์และบอก
ช่ือใหข้ า้ พเจ้าทราบด้วย เมือ่ ทา่ นบอกชือ่ แลว้ ทา่ นก็ก้มลงกราบขา้ พเจา้ ข้าพเจา้ ตกใจจะรีบกราบตอบ
เพราะทราบวา่ ท่านเปน็ พระอรหนั ต์ แตท่ า่ นก็ยกมือห้ามทันที ท�ำใหข้ ้าพเจา้ ระลกึ ได้ถึงพระธรรมวนิ ยั
ท่ีสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่า “ภิกษุณี แม้จะเป็นอรหันต์จะต้องกราบภิกษุเสมอ
แม้ภิกษนุ ้นั จะเพงิ่ บวชในวนั นัน้ ก็ตาม”

โอวาทที่ทา่ นเมตตาเทศนใ์ หข้ า้ พเจา้ ฟงั นน้ั มอี รรถรสด่ืมด่�ำ น่าฟังอย่างย่ิง 
เม่ือออกพรรษาแล้วก็ได้ร�่ำลากันพาเที่ยววิเวก ส่วนข้าพเจ้าก็เดินทางมาภูวัวอีก ในระยะนี้
หลวงปู่ขาวไดไ้ ปจำ� พรรษาทีบ่ ้านเล่ือม เมืองอุดรฯ ทศิ ตะวันตกอดุ รฯ เพราะทา่ นเจ้าคณุ ธรรมเจดยี ์
(พนฺธโุ ล จูม) สมยั นน้ั อาราธนานมิ นตท์ ่านให้ไปฉลองศรัทธาบ้านเลื่อม ทา่ นจงึ ได้ไปจ�ำพรรษาที่น่ัน
เมอื่ ออกพรรษาแลว้ ทา่ นกเ็ ลยแตง่ ญาติโยมตดิ ตามข้าพเจ้าถึงภูวัว ใหข้ ้าพเจา้ ไปรับท่านมารบั
จ�ำพรรษาที่ภวู ัวร่วมกัน”

พรรษา ๑๔ พ.ศ. ๒๔๙๙ จ�ำพรรษาที่ภูวัว

ท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ  ไดเ้ มตตาเทศน์เรอื่ งน้ีไว้ดงั นี้
“ในพรรษาท่ี ๑๔ ได้พากันมาจ�ำพรรษาที่ภูวัว ข้าพเจ้าได้ไปรับเอาหลวงปู่ขาวท่ีอุดรฯ มา
พาไปภูวัว กเ็ ลยมาจ�ำพรรษารว่ มกันทภี่ ูวัว ในพรรษาที่ ๑๔ ตัดออกบ้านท่งุ ทรายจก มีพระเณรรวมกนั
ทงั้ หมด ๑๓ องค์ ในพรรษานั้น สมัยน้ันภวู ัว ชา้ ง เสือ มีมาก เข้ามาบอ่ ยๆ ในเขตวดั และในสมยั นนั้
กม็ เี รอื่ งราวแปลกๆ เกิดขึน้ มสี ตั ว์ป่านานาชนดิ มพี วกผปี ีศาจมันยงุ่ ยากมารบกวน พระเณรจะนอน
มันก็มาปลุกให้ท�ำความพากความเพียร บางองค์ไปดึงขาก็มี บางองค์ไปจับขาก็มี ปลุกให้ต่ืนท�ำ
ความพากความเพยี ร แลว้ พระเณรชอบปว่ ยกนั มากในพรรษานน้ั จะเปน็ เหตอุ ากาศหรอื อะไรกไ็ มท่ ราบ
บางครัง้ เสือสัตว์ปา่ กม็ าก เมือ่ เปน็ เชน่ นีห้ ลวงป่ขู าว อนาลโย จงึ ใหข้ า้ พเจ้าน�ำเร่อื งน้ไี ปพิจารณาดู
ขา้ พเจ้าได้ไปพจิ ารณาดไู ดค้ วามเปน็ อรรถเปน็ ว่า “เย สนฺตา” แปลว่า “ผสู้ งบไม่มีความทกุ ข์
ความเดือดร้อน ความทุกข์ความเดือดร้อนกินแหนงแคลงใจภัยอันตรายไม่มีแก่ผู้สงบ” น้ีข้าพเจ้า
แปลได้ วนั ใหม่จึงไปนมสั การกราบเรียนท่าน ทา่ นก็เลยถาม ทา่ นหลวงปถู่ ามวา่
“ได้ความหรือไม่ ?”
ตอบท่านวา่ “ไดค้ วาม”
“ว่าอย่างไร ?” ท่านวา่

144

ก็เลยเรยี นใหท้ า่ นทราบว่า “เย สนตฺ า แปลวา่ ผู้สงบไมม่ ีทุกขภ์ ัยเดอื ดร้อน ความเดอื ดรอ้ น
ความทุกขไ์ ม่มีแก่ผ้สู งบ” ว่าดังนี้ ข้าพเจ้าแปลถวายท่าน

ท่านแปลว่า “จริง จริง ถูกมาก ถูกมาก” ท่านกเ็ ลยยกบาลขี ้ึนว่า “นตฺถิ สนตฺ ปิ รํ สุขํ สุขอ่ืน
ยิ่งกว่าความสงบไม่มี” ดังน้ี ผู้มีความสงบแล้ว ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อนอะไรเลย ความทุกข์
ความเดือดร้อนไม่มีแก่ผู้สงบ จึงว่า สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี ดังน้ี “จริงทีเดียวไม่ผิด” ท่านว่า
อยา่ งนั้น

และในพรรษาที่ ๑๔ จ�ำพรรษาที่ภูววั น่นั แล มแี ม่ชีซงึ่ เป็นลกู หลานของหลวงปูข่ าวไปอยู่ดว้ ย
และแม่ชคี นหนึง่ กไ็ ปเสยี ชวี ติ มรณภาพทีน่ นั้ ชอื่ ว่าแม่หลอด ไปตายทีน่ ั้น เผาศพท่นี ้นั และปีน้ันอากาศ
และที่ว้างเว้ิงดี ที่สงบสงัดดีมาก ท่ีเที่ยววิเวกดีมาก ตอนกลางคืนเดือนแจ้งพากันไปหาวิเวกตาม
พลาญหิน แล้วตอนเช้าร่งุ สว่างจงึ พากนั กลบั มาวดั แล้วไปบณิ ฑบาต ท�ำอยู่อย่างน้ี

หลวงปู่ท่านพาหมู่คณะลูกศิษย์ไป และขณะท่ีจ�ำพรรษาอยู่ตาดปอ ภูวัวน้ัน บังเอิญข้าพเจ้า
ได้เกดิ เป็นโรคชนิดหนึ่ง เขาเรยี กว่า “โรคฝพี ษิ ” หรอื “ฝหี ัวด�ำ” พิษฝชี นดิ นร้ี า้ ยแรงมาก ปวดกป็ วด
ออกรอ้ นก็ออกร้อน ข้าพเจา้ นอนไมห่ ลบั มันขณะหนึง่ ท่ีมนั ปวด มันออกร้อนมาก นอนไม่หลบั ๓ วนั
๓ คืน ตอนกลางคืนขา้ พเจ้าน่ังภาวนาอย่เู ตยี งพิงหมอนอยู่ และกย็ กมอื ไหว้ มอื น่ีวางลงไม่ได้ ตอ้ งยก
เพราะมันออกร้อนและปวด น่ังภาวนาอยู่อย่างนั้น ก�ำลังจะเคลิบเคล้ิมไป ปรากฏในใจเป็นนิมิต
มีโยมแก่คนหน่ึงขน้ึ ไปหาและถามวา่

“ทา่ นเปน็ อะไร ?”
ไดต้ อบเขาว่า “อาตมาเปน็ ฝีหวั ด�ำ”
เขาเลยดูท่ีนิ้วแม่มอื น้วิ โปง้ มอื เขาเลยเป่าให้ เมือ่ เขาเป่าก็เย็นเลย แลว้ เขาบอกวา่ “พรุ่งนี้
จะเอายามาใส่ใหก้ ็จะหาย” รปู ภาพนน้ั ก็เลยหายไป ข้าพเจา้ กเ็ ลยตืน่ ขน้ึ มองดูไมเ่ หน็
ทีน้ีตอนเชา้ มีโยมชาวบา้ นคนหนง่ึ เขาเป็นเจา้ ผี โยมชาวบา้ นคนนั้นชอื่ ว่าปูถ่ นั เขาเป็นเจา้ ผี
ทภ่ี วู วั เปน็ ผเู้ ลย้ี งผี เปน็ หวั หนา้ เจา้ เลยี้ งผี เขาไดข้ นึ้ ไป ครนั้ ขน้ึ ไป ไปหาขา้ พเจา้ ไปดทู ฝี่ หี วั แมม่ อื ขา้ พเจา้
เขาก็เลยรีบเข้าป่า ไปเอารากยามา มาฝนใส่ ใส่ยานั้นก็เลยหายจริงๆ ในยาน้ันข้าพเจ้าถามเขาว่า
“ยาแกฝ้ ีมพี ิษนั้นคืออะไร ?” เขาว่า “รากลำ� ดวน” รากล�ำดวนต้นก็ได้ รากลำ� ดวนเครอื กไ็ ด้ เป็นยาแก้
ฝีพิษฝีหัวด�ำ นพี่ ากนั จ�ำไว้ ได้ผลดี ที่ข้าพเจ้าเปน็ มาแล้วและได้ใส่มาแลว้
ในระหว่างที่จ�ำพรรษารับการอบรมจากหลวงปู่ขาวท่ีภูวัวนี้ ข้าพเจ้าได้มีนิมิตท่ีควรบันทึกไว้
เพอ่ื ใหป้ ระวัตสิ มบรู ณ์ ๒ คราว คอื  
คราวแรกเมื่อมาอยถู่ ้ำ� แกว้ ใหม่ๆ ไดเ้ กดิ นมิ ติ ว่า มีแมช่ ี ๓ องค์ มาปรากฏกายขน้ึ เมื่อกำ� หนด
จติ ถามวา่ “เปน็ อะไร” ก็ได้รับคำ� ตอบว่า “เป็นพรหม” แม่ชที ั้งสามบอกให้ขา้ พเจ้าทราบถึงชาตกิ �ำเนดิ

145

ที่ขา้ พเจ้าเกีย่ วพนั กบั ท่านพระอาจารย์มนั่ ในชาติกอ่ น และเสรมิ ว่า “ท่านอาจารย์องค์น้ี เวลาท่านไป
หาท่านพระอาจารย์มั่น ทา่ นเหาะไป ท่านพระอาจารย์ม่นั แหงนหน้าดูแล้วพาเหาะด้วยกนั ” ขา้ พเจ้า
ก็ไม่ทราบว่า ท�ำไมแม่ชีท่ีถ�้ำแก้ว จึงได้ทราบนิมิตคร้ังโน้นของข้าพเจ้าท่ีเกิดข้ึนก่อนไปพบท่าน
พระอาจารย์ม่นั

แลว้ แมช่ กี ็พดู กันอีกวา่ “ท่านอาจารย์องคน์ นี้ ่ารักเหมอื นอาจารย์ของเรา คือ ทา่ นอาจารยส์ ุ่ย
คงเป็นอาจารย์ของแมช่ ีมาแตก่ อ่ น นา่ รกั จรงิ ๆ พวกเราต้องปรนนิบตั ทิ า่ น อารกั ขาทา่ น ทา่ นมาแล้ว”

อีกครง้ั หน่งึ ระหว่างภาวนา จติ ถอนกเ็ หน็ เปน็ นิมิตปรากฏข้นึ ว่า ข้าพเจา้ ก�ำลังเดินทางอยใู่ นที่
แห่งหนึง่ พอพ้นจากหมูบ่ า้ นกเ็ ห็นแมน่ ้ำ� กวา้ งสายหนึง่ ขวางหนา้ อยู่ น�้ำในแมน่ ำ�้ ไหลเชีย่ วมาก เป่ยี มฝงั่
คะเนดูคงเป็นแม่นำ�้ ทีล่ กึ มาก ขา้ พเจ้าตง้ั ใจคิดจะข้ามแม่น้�ำให้ไปถึงฝั่งข้างโน้น แตก่ ็ยังไมเ่ หน็ วธิ ีทจี่ ะ
ข้ามอยา่ งไร

ฝ่ังแม่น้�ำนน้ั ลาดเหมอื นฝั่งทะเลค่อยๆ เทลงและชันเขา้ ทฝ่ี งั่ เป็นโคลนตมเละ ขา้ พเจา้ มองดู
โคลนตมน้นั แล้วกค็ ดิ วา่ ถ้าเราลงไปที่นน่ั ก็คงจะจมลงมิดตัวเลย ต้องตกลงมดิ ศีรษะเลย บริเวณฝั่ง
ระยะที่เป็นโคลนตมนัน้ ไม่ใช่ใกล้ กวา่ จะไปถงึ นำ้� ท่ไี หลเชี่ยว ขา้ พเจ้ามองไปอีกที เหน็ รอยเทา้ คนทเี่ พ่งิ
เดินขา้ มไปไดใ้ หมๆ่ ก็มี จึงคดิ ว่า เอ ! เราจะท�ำอยา่ งไรดี จงึ จะขา้ มแมน่ ำ้� ได้ โคลนตมนมี่ นั เหลว ถ้าเรา
เดนิ ข้ามโคลนตมกค็ งจะจมลงไปเลย จะจมดงิ่ ลงไปอยทู่ ่ีไหนก็ไมท่ ราบ คงไม่มวี นั จะโผลข่ ึ้นมาไดเ้ ลย

รำ� พึงแล้วก็เลยหยุดพจิ ารณาและนกึ อธิษฐานขน้ึ อธษิ ฐานทัง้ ๆ ยนื เช่นน้ัน “เออ ! นีถ่ า้ เราจะ
ขา้ มนำ�้ ไปถงึ ฝงั่ โน้นได้ กข็ อใหเ้ ราเดนิ ขา้ มโคลนตมน�ำ้ ไปให้ได้ อย่าใหจ้ มลงเลย อย่างลึกมากทีส่ ุดก็ให้
จมลงในโคลนตมน้ีถึงเพียงแคเ่ ขา่ เทา่ น้นั ถ้าเราจะขา้ มแม่น�้ำน้ใี หไ้ ด้”

อธิษฐานแล้ว ข้าพเจ้าก็เร่ิมหยั่งเท้าค่อยๆ เดินไป ปรากฏว่าโคลนค่อยๆ ลึกเข้าทีละน้อย
พอถึงเพียงแคเ่ ข่าพอดี ก็พน้ จากโคลนตมและมสี ะพานขา้ มน้�ำถงึ ฝัง่ โน้น ข้าพเจ้าจึงขึ้นเดนิ บนสะพาน
ได้ขา้ มถึงฝงั่ โน้น 

พอขนึ้ ฝั่งได้แล้ว กเ็ ห็นมา้ กินหญา้ อยู่บนรมิ ฝัง่ ตัวหนึ่ง สขี าวบรสิ ุทธท์ิ ้ังตวั รปู ร่างพ่วงพี ตัว
สูงใหญ่สวยมาก ม้านั้นสวยมากจริงๆ ท่าทางน่าข่ี ข้าพเจ้าคิดว่าจะข้ึนขี่ม้า พอดีมีคนมาบอกว่า
พระพุทธเจา้ ก�ำลังเสดจ็ ไป ให้รบี ตาม ขา้ พเจ้าไดย้ ินพระนามพระพทุ ธเจ้ากเ็ ลยไมส่ นใจกบั มา้ รีบออก
เดนิ ทางตามรอยพระพทุ ธเจา้ ไปทันที แลว้ จติ กถ็ อนจากนิมติ

จากนนั้ เมือ่ ออกพรรษาแลว้ กไ็ ด้พากันเลกิ รา ส่วนหลวงป่ขู าว อนาลโย กก็ ลบั สำ� นักเดมิ คอื
วัดป่าแกว้ ฯ บ้านชมุ พล เนอ่ื งด้วยญาตโิ ยมลูกหลานของท่านมานิมนตใ์ ห้กลบั คนื สว่ นขา้ พเจา้ ได้รบั
นิมนตท์ างจังหวัดนครเวียงจนั ทน์ ประเทศลาว ใหไ้ ปท�ำฌาปนกิจศพพระอาจารยอ์ อ่ นศรี ข้าพเจ้าก็
เลยเดินทางไป โดยลงจากภวู ัวเดนิ ทางไปตามฝ่งั แม่น้�ำโขง ผ่านบึงกาฬ โพนพสิ ยั และไปขา้ มแม่น�้ำโขง
ทีท่ ่าเด่อื จงั หวัดหนองคาย แลว้ ก็ไปจุดศพ (เผาศพ) ท่านพระอาจารย์อ่อนศรี เสร็จจากนนั้ ก็พากันเดิน

146

วิเวกข้นึ หลงั ภเู ขาควาย ประเทศลาว พอประมาณ แลว้ ก็เดนิ ทางกลับประเทศไทย มุ่งหนา้ มาส่ภู วู วั ”
พระอาจารย์แสวง อมโร วัดเกาะกระทิง จังหวัดฉะเชิงเทรา โยมบิดาเป็นคนเวียงจันทน์

ฝ่งั ลาว และโยมมารดาเปน็ คนจงั หวดั ยโสธร ทา่ นไปบวชกบั หลวงปอู่ อ่ นศรี ท่ีวดั จอมไตร และได้
ตดิ ตามท่านพระอาจารย์จวนจาริกธดุ งคไ์ ปภูเขาควาย อยฝู่ ั่งลาว ๒๐ วนั จงึ ข้ามโขงเขา้ ไทยมาถงึ
อำ� เภอบึงกาฬ จากน้ันก็มาภวู วั แล้วมาจ�ำพรรษาท่ี “ดงหมอ้ ทอง” รวมเปน็ ระยะทางกวา่ ๓๐๐
กิโลเมตร ผา่ นความกันดารมากมาย พระอาจารย์แสวงเล่าว่า ตอนเดนิ ทางออกจากถ้�ำจนั ทน์ เขต
บงึ กาฬ แล้วลดั ตดั เขา้ ดงศรีชมภู ซ่งึ เปน็ ดงกว้างต้นไมใ้ หญข่ น้ึ เรยี งกันเป็นนิว้ มือ เสอื ช้าง งชู กุ ชมุ

ภูวัว

ภวู วั เปน็ เทอื กเขาท่ีทอดยาวสลับซับซอ้ น แผต่ วั ไปในทศิ ท่ีขนานกบั แม่น้ำ� โขง ยาวนับหลาย
สิบกิโลเมตรติดต่อกนั เปน็ อาณาบริเวณกวา้ งขวาง มพี รมแดนใกล้กบั แขวงบริค�ำไชยและภคู วายฝ่งั ลาว
หลังเขาเปน็ พ้ืนทร่ี าบมบี ริเวณกว้าง มีนำ�้ ตกและแอง่ น�้ำ ต้นไมใ้ บหญา้ เขยี วชอุม่ ในฤดแู ลง้ ชาวบ้าน
แถบนนั้ มักตอ้ นววั ขน้ึ ไปเล้ยี งและปล่อยไวบ้ นหลงั เขา พอถึงฤดูฝนจึงขึน้ ไปตอ้ นกลับลงมา

ภูวัว ในสมัยก่อนก็เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์น้อยใหญ่ เนื่องจากท่ีน่ีเป็นเขตป่าหนาทึบ
จงึ ยังคงมสี ตั ว์ป่าดรุ า้ ยอาศยั อยจู่ �ำนวนมาก เช่น ช้างป่า เสือ หมคี วาย งชู นิดต่างๆ และ จระเข้
เปน็ ตน้ สว่ นสัตว์ปา่ ชนดิ อ่ืนๆ ก็ยงั มีกระทิง เก้ง เลียงผา กวาง หมาใน สุนขั จงิ้ จอก หมูป่า กระต่าย
บ่าง อเี ห็น นกเงอื ก ลงิ หมี นกยูง เป็นต้น เมอ่ื ถึงเวลากลางคืนเงยี บๆ จะได้ยนิ เสยี งสตั วป์ ่าเหลา่ น้ี
รอ้ งกันระงมเซง็ แซ่ ฟงั ดวู ิเวกย่งิ นัก

ภูวัว เคยเป็นท่ีซ่ึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์แต่ก่อน เคยไปปลีกวิเวกบ�ำเพ็ญเพียรกันมามากแล้ว
เช่น หลวงปเู่ สาร์ กนตฺ สโี ล หลวงปู่มนั่ ภูริทตฺโต หลวงปูอ่ อ่ น าณสิริ หลวงป่ขู าว อนาลโย
หลวงปู่ฝนั้ อาจาโร หลวงปมู่ หาทองสุก สุจิตฺโต หลวงปู่วัง ติ สิ าโร หลวงปู่จวน กลุ เชฏฺโ
หลวงปู่ลี กุสลธโร เป็นต้น ด้วยครูบาอาจารยท์ ่านเห็นเป็นทีส่ ัปปายะรืน่ รมย์ในธรรม ร่มเย็นสงบสงดั
และมีพลาญหนิ อันกว้างใหญ่ ลำ� หว้ ยซึ่งมนี ้ำ� ตลอดทง้ั ปี เฉพาะบนหลงั ถ้�ำหลงั เขา มีน�้ำซบั เลก็ ๆ ซ่ึงแม้
จะมขี นาดเล็ก แต่กม็ นี �้ำซับไหลรินตลอดทัง้ ปี ไมเ่ คยหมด

ภูวัว ได้มีพระราชกฤษฎีกาก�ำหนดให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เมื่อวันท่ี ๒ พฤษภาคม
พ.ศ. ๒๕๑๘ มพี น้ื ที่ ๑๑๖,๕๖๒ ไร่ หรอื ประมาณ ๑๘๖.๕ ตารางกโิ ลเมตร ครอบคลมุ พืน้ ที่บางสว่ น
ของจงั หวัดหนองคาย และ จังหวัดบงึ กาฬ คอื อำ� เภอบุ่งคล้า อ�ำเภอเซกา และอ�ำเภอบงึ โขงหลง

น้�ำตกถ้�ำพระ เป็นน้�ำตกที่งดงามอยู่ในเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าภูวัว อยู่ในเขตอ�ำเภอเซกา
จังหวดั บึงกาฬ ซงึ่ การเดินทางเพ่อื เขา้ ไปถงึ น้�ำตกถ้�ำพระ ต้องน่งั เรือเลยี บคลองหว้ ยบางบาตร (เพราะ
สมยั ก่อนมพี ระกรรมฐานมาลา้ งบาตรที่น้ี เลยท�ำใหช้ าวบา้ นใช้เรยี กชอื่ คลองนี้) ผ่านป่าหนาทบึ หรือ

147

เดินลัดตามแนวเขา ซึ่งจะมีน้�ำตกไหลเต็มเฉพาะฤดูฝนเท่านั้น ด้านบนเป็นน�้ำตกใหญ่ที่ไหลมาจาก
ยอดภู ผา่ นก้อนหิน ช่องเขาเนินผาท่สี ลบั ซับซอ้ น ผ่านบึงจระเข้ ผา่ นถำ�้ แอร์ มาตกลงสแู่ อง่ นำ�้ ใหญ่
ตนื้ ๆ ซึ่งสามารถเดนิ ลงเล่นนำ้� ได้ ดา้ นขา้ งน�ำ้ ตกเปน็ ผาหินทรายสีแดงโดดเด่น

สว่ นบริเวณรมิ หน้าผาหินทรายสงู ใหญ่ลงมาอกี ด้านหน่งึ มพี ระพทุ ธรปู ประดษิ ฐานอยู่ ๒ องค์
ซึ่งองค์แรก มีพระนามว่า “พระพุทธโคตโม” เป็นพระพุทธรูปบนหน้าผาที่หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
ปั้นพระพุทธรูปด้วยตัวท่านเอง ซ่ึงพระพุทธรูปองค์น้ีจึงเป็นท้ังสัญลักษณ์ของช่ือน�้ำตกถ้�ำพระ และ
ช่ือวดั ถ้�ำพระภวู ัว อกี ท้ังเปน็ พระพุทธรูปทเ่ี ก่าแก่และศกั ดสิ์ ทิ ธ์ปิ ระจ�ำจังหวดั บงึ กาฬ

ถ�้ำพระ ต้ังอยู่ทางทิศตะวันออกของภูวัว เดิมทีบริเวณตรงหน้าผามีพระว่านซึ่งท�ำด้วยครั่ง
องค์เลก็ เปน็ ปูชนียสถานเก่าแก่ เป็นทเี่ คารพของชาวบ้านบริเวณนน้ั มาตง้ั แต่ครัง้ โบราณกาลนานมา
แล้ว วนั สำ� คญั ทางพระพุทธศาสนาชาวบ้านจะเขา้ มาทำ� พิธสี ักการบูชากัน

ต่อมาสมัยองค์หลวงปมู่ น่ั พร้อมด้วยคณะสงฆไ์ ด้ออกจารกิ มาปฏิบตั ิธรรมถงึ วดั ภวู วั (ตามค�ำ
บอกเล่า) ไดอ้ าศยั ถำ้� พระนเ้ี ป็นท่ปี ฏบิ ัติธรรมสบื ตอ่ กนั มา โดยมกี ารผลดั เปลยี่ นเข้าออกตามกาลเวลา

ในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ หลวงปู่วงั ติ สิ าโร (วัดถำ้� ชัยมงคล ภลู ังกา จ.นครพนม) ไดม้ าปฏิบัติธรรม
ภาวนาอยูถ่ ำ�้ พระหลายปี จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๐ จึงยา้ ยออกไปภลู งั กา เน่อื งจากภวู ัวและภูลงั กามี
แนวเขตติดต่อกันไมไ่ กลกนั นกั

และในปี พ.ศ. ๒๔๘๐ นนั่ เอง หลวงปฝู่ ้ัน อาจาโร พร้อมดว้ ยคณะสงฆ์ ๓ – ๔ รูป ได้ธุดงค์
ไปภูลงั กา แล้วไดพ้ บหลวงปู่วัง ท่านได้เล่าเรือ่ งถ้�ำพระภูวัวใหห้ ลวงปู่ฝ้นั ฟงั ว่าเปน็ สถานท่ียอดเยี่ยม
สงบวิเวก เหมาะสมแก่การปฏิบัติธรรมอย่างมาก หลวงปู่ฝั้นจึงได้มาพักปฏิบัติธรรม ชาวบ้านมีจิต
ศรทั ธาได้รว่ มสรา้ งกฏุ ใิ ห้ทา่ นภาวนาอย่างเรียบง่าย

และประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๓ หลวงปูฝ่ นั้ ทา่ นได้เดินทางกลบั มาทีถ่ �้ำพระภูวัวอกี คร้ัง หลังจาก
องค์หลวงปมู่ ั่น ไดเ้ ขา้ สอู่ นุปาทิเสสนพิ พานแล้ว หลวงปู่ฝัน้ ท่านไดก้ ลับมาป้นั องค์พระพทุ ธรปู รมิ ผา
อกี ครั้ง เป็นพระท่หี ลวงปู่ฝน้ั ท่านป้ันเองแตย่ งั ไม่แลว้ เสรจ็ ดี ด้วยการใช้เกสรดอกไม้เผาใหไ้ หมเ้ ปน็ ผง
แลว้ บดชนั ปัน้ ผสมกับนำ้� มนั ยาง ป้ันทเี่ พงิ หิน จนเปน็ ท่มี าของชื่อถ�้ำพระภวู วั

ภายหลงั เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๐ พระศิษย์ของหลวงป่ฝู ้ัน ทา่ นได้เดนิ ทางมาปลกี วเิ วกอยู่
ทถ่ี ้�ำพระภวู ัวแห่งนี้ หลังจากท่ีหลวงปู่ฝั้นได้เข้าสอู่ นปุ าทเิ สสนพิ พานแลว้ และได้เร่ิมสร้างเสนาสนะ
กุฏิ ศาลาเรือนธรรมเป็นศาสนสถาน ศาสนวัตถุต่างๆ จนก่อตั้งเป็นวัดในสังกัดธรรมยุติกนิกาย
ซึ่งวัดถ�้ำพระภูวัวนี้ต้ังอยู่ที่บ้านถ้�ำพระ ต�ำบลโสกก่าม อ�ำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ มีที่ดินต้ังวัด
เนื้อที่ ๔๐๐ ไร่ อยู่ในเขตอนุรักษร์ กั ษาพนั ธ์ุสตั ว์ป่าภวู ัว

148

พรรษา ๑๕ พ.ศ. ๒๕๐๐ จ�ำพรรษาที่ดงหม้อทองอีก

ท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศน์เรอื่ งน้ีไว้ดังนี้
“เมือ่ มาถึงภวู ัวแลว้ พกั วเิ วกภูววั พอสมควรแล้วก็พากันเดนิ ทางกลบั มาจ�ำพรรษาทีด่ งหมอ้ ทอง
เช่นเดมิ ในพรรษาที่ ๑๕ จ�ำท่ีดงหม้อทองอกี ร่วมกับท่านพระอาจารยส์ อน ในพรรษานี้ ตน้ พรรษา
ได้พากนั อธิษฐานไมน่ อนอยู่ ๒ เดือน ทำ� ความพากความเพยี รเดด็ เดยี่ ว บางวันก็พากนั ออกเอาปี๊บคว�่ำ
กลางพลาญหนิ แลว้ เอาอาสนะปูก้นปีบ๊ น่งั ภาวนาตากฝนตลอดวนั ตลอดคืนก็มี ภาวนาจติ สงบดี
ในพรรษานั้นขา้ พเจ้าเกิดอาพาธไข้หนกั ถงึ ๙ วนั เอาหมอมาฉดี ยา ยากบั โรคปะทะกนั เกิด
อาเจียนรากแทบบรรดาตาย เม่ือรากออกหมดแล้ว เกิดธาตุวิปริตตาลิงตาลายไป ตามืดตามัวไป
สวงิ สวายไป แลว้ ก็พูดไม่ไดเ้ รื่อง ไม่รู้ภาษา พูดมะโลโกเกไปชวั่ ขณะหน่ึงก็เลยสงบ ในพรรษาท่ี ๑๕
นั่นเอง พากนั เคารพความพากความเพียรเด็ดเดี่ยว เมื่อออกพรรษาแล้วตา่ งกพ็ ากันทยอยหาวิเวกไป
ในทตี่ า่ งๆ ส่วนขา้ พเจา้ กลบั มานมัสการหลวงปู่ขาว และฟังเทศน์ฟงั ธรรมทา่ นตามเคย เมือ่ ใกลเ้ ข้า
พรรษา ขา้ พเจา้ กบั ทา่ นปลดั เพง็ คอื ทา่ นพระอาจารยเ์ พง็ ซง่ึ เปน็ เจา้ อาวาสวดั ถำ�้ กลองเพลปจั จบุ นั นี้
ได้กลบั มาจำ� พรรษาทด่ี งหม้อทองอกี ”

นิมิตโยมบิดามาช่วยรักษาไข้ป่า

ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ได้เมตตาเทศนเ์ รือ่ งนี้ไว้ดังน้ี
“ทีน้ีในระหว่างที่ยังไข้อยู่นั่นแหละ วันหน่ึงข้าพเจ้าได้นอนภาวนาก�ำหนดจิตอยู่ ก�ำลังจะ
เคลิบเคลมิ้ ไปจะหลบั แหล่ไม่หลบั แหล่ อยู่ในระหว่างคร่งึ กลางของความหลบั บ้างและไมห่ ลบั บา้ ง เลย
ไดน้ ิมติ ภาพในความฝันนน่ั แหละ ปรากฏว่าโยมบิดาของข้าพเจ้าทีท่ า่ นมรณภาพไปแล้วแตข่ า้ พเจ้ายงั
อายุ ๑๖ ปี โยมบดิ านท้ี า่ นเปน็ หมอยาพน้ื บ้านส�ำหรบั พวกชาวบา้ น ชาวบ้านเขานยิ มมาก และปรากฏ
ในนิมิตภาพขณะน้ันวา่ โยมบดิ านั้นแหละได้สะพายถุงยามาหาข้าพเจา้ แล้วถามขา้ พเจา้ ว่า
“คณุ ลกู เปน็ อะไร ?”
ข้าพเจ้าได้ตอบโยมบิดาว่า “ปว่ ยไขป้ ่ามาแลว้ ๑ เดือน ยงั ไมห่ าย ไม่มียากิน” นตี่ อบโยมบิดา
เม่ือได้ตอบโยมบิดาแล้ว โยมบิดากเ็ ลยวา่ “เออ ! จะฝนยาใหก้ นิ เด๋ยี วก็หาย” ว่าอย่างน้นั
แลว้ โยมก็เลยแกถ้ ุงยาออก แลว้ กเ็ อานำ�้ ใส่ขัน ฝนยาใส่ขนั น�้ำ ในขณะท่โี ยมบดิ าฝนยาอยู่น้นั กลิน่ ของ
ยาหอม น่าฉัน น่าดมื่ จริงๆ ทเี ดียว รู้สึกว่าสูดแต่กลิ่นก็พอแล้ว คล้ายๆ กบั วา่ จะมีกำ� ลงั เพ่มิ ข้นึ เลย
เมื่อโยมบิดาฝนยาเสร็จแล้ว ก็เลยยกไปถวายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ฉนั จนหมดนำ�้ ยาท่ใี นขันนัน้ เลย แลว้
ต่อจากฉนั ยาก็ตื่นขนึ้ ก็ดี รสู้ ึกตวั นึกว่าตัวไดฉ้ นั ยาจริงๆ เมื่อมาพิจารณาแลว้ เปน็ เรอ่ื งของนิมติ หรือ
ความฝันต่างหาก

149

ต่อแตน่ นั้ มาวนั ใหม่ อาการของไข้กเ็ ลยลดลงไป จนหายไข้ขาด ไม่มไี ขอ้ ีกต่อไป แล้วรา่ งกายกม็ ี
ก�ำลังข้ึน ฉนั อาหารกไ็ ด้เป็นปกติ ตงั้ แตน่ น้ั มายงั ไมเ่ คยปรากฏการเจ็บป่วยแบบนนั้ ไปอยู่ท่ีไหนๆ รสู้ กึ
ว่าอาการไขไ้ มม่ ี จะเป็นเพราะเหตอุ ะไรก็ไมท่ ราบ จะเป็นเพราะไดข้ บได้ฉันยานนั้ หรือ ก็ไมท่ ราบ แตก่ ็
ไมไ่ ดฉ้ ันดว้ ยจรงิ ๆ ฉันด้วยนมิ ติ ในความฝันตา่ งหาก

เมื่ออาการเจ็บป่วยได้หายแล้ว กเ็ ลยนึกถึงคณุ บดิ ามารดาว่า “ออ้ ! คณุ บดิ ามารดานีม้ ีมหาศาล
หาประมาณไมไ่ ด้ มีบุญคณุ มาก” กเ็ ลยแผอ่ ทุ ศิ บญุ กุศลท่ตี นได้บ�ำเพญ็ มาต้ังแตเ่ ล็กจนตราบเทา่ ตลอด
ชีวิต ขออุทิศให้แก่โยมทั้งสองคือบิดามารดาผู้ล่วงลับไป หากโยมทั้งสองคือบิดามารดาที่ล่วงลับไป
ทา่ น ดวงวิญญาณของท่านจะมอี งิ สิงสถติ อยู่ ณ ที่แห่งหนตำ� บลใด คติใด กำ� เนดิ ใด และภพใด ชนั้ ใด
ขอใหบ้ ุญกุศลท่ีขา้ พเจ้าอุทิศนจี้ งถึงโยมทง้ั สองนน้ั แลว้ ใหโ้ ยมท้ังสองนั้นไดร้ ับสว่ นบญุ กศุ ล เมอื่ ไดร้ บั
แล้ว ขอให้ทา่ นทัง้ สองนัน้ ได้พ้นจากทุกข์ภยั อนั ตราย

ดังนี้แล้ว ต่อจากนนั้ อาการไข้ไปอยทู่ ี่ไหนๆ ก็สงบดที เี ดียว”

พรรษา ๑๖ พ.ศ. ๒๕๐๑ จ�ำพรรษาดงหม้อทอง

ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศนเ์ รือ่ งนีไ้ วด้ งั น้ี
“ในพรรษาที่ ๑๖ มีพระจ�ำพรรษาร่วมกนั ๔ องค์ พากนั ท�ำความพากความเพยี รทด่ี งหมอ้ ทอง
สบายดี อากาศดี แมส้ ัตวป์ ่าคนุ้ เคยสนทิ ชดิ เช้อื กบั พระดีมาก ไมเ่ ป็นขา้ ศกึ แกก่ ันและกัน ในพรรษา
ที่ ๑๖ นั้น พากันท�ำความพากความเพียรจนเต็มความสามารถของตนไม่เก่ียวแก่การก่อสร้างใดๆ
ท้งั หมด”
ทา่ นพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ไดเ้ มตตาเล่าการภาวนาไวด้ งั นี้
“อยู่ดงหม้อทองภาวนาจิตรวมง่าย บางวันรวมตลอดวันตลอดคนื นงั่ แล้วเอาป๊ีบตง้ั ไว้ นั่งบน
ป๊ีบตลอดคืนไม่ลม้ ไมน่ อนตลอด ๒ เดือน ท้ังกลางคืนกลางวนั เหตทุ ี่ท�ำอย่างนั้น เพราะว่าจิตของเรา
ลงไปแลว้ มนั นิง่ ไม่รสู้ ึกตัว รู้ว่าจิตรวม ทีนพี้ อออกพรรษาไปหาทา่ นอาจารย์ (หลวงปู่ขาว) ฟังเทศน์
ทา่ นให้พิจารณาบา้ ง เพราะจติ มันรวมพอแลว้ เราอยา่ ไปพัก ถา้ มีแตพ่ กั มันเปน็ โทษ ปัญญาไมก่ ล้า
ปญั ญาไม่มี เลยกลบั มาถ�้ำจันทน์ ทีน้ไี ม่ใหจ้ ิตมนั ลง มีแต่ค้นอย่างเดียว แต่มันดคี นละฐาน มแี ต่คน้ กาย
เล่นพิจารณากาย ไม่ใหจ้ ติ พกั แตอ่ ยา่ งน้นั มันกอ็ ยากลงอยู่ ความรู้สึกวา่ มนั จะพกั อย่างเดียว เพราะมัน
เคยพักเคยสบายจนติด ตอ้ งแกก้ นั จนหาย”

150

ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ส�ำรวจถ�้ำจันทน์

ท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ  ไดเ้ มตตาเทศนเ์ ร่ืองนี้ไว้ดังน้ี
“เม่ือออกพรรษาแล้วท่านอาจารย์ปลัดเพ็ง ถ้�ำกลองเพล ก็เลยกลับไปหาหลวงปู่ขาว
ส่วนข้าพเจ้าก็กลับตาม มาฟังเทศน์ฟังธรรมท่าน แล้วก็ลาท่านข้ึนไปวิเวกที่ดงศรีชมภู ถ�้ำจันทน์
องคเ์ ดียว ไปที่จังหวัดหนองคาย ไปลงเรือที่จังหวัดหนองคาย ไปข้ึนเรือที่บึงกาฬ แล้วก็เข้าไปถึง
หมู่บ้านหน่ึง บ้านใหม่หนองดินดำ� กใ็ ห้ญาตโิ ยมพาไปดสู ถานที่ถ�้ำจันทน์ ญาติโยมเขาก็พาไปดู
ในวนั แรกเม่ือเขาพาไปสำ� รวจดแู ล้ว เหน็ วา่ ที่ถ�้ำจนั ทนเ์ ปน็ ทีเ่ หมาะสมดี จงึ ให้เขาปลกู รา้ นให้
เล็กๆ แลว้ เขาบอกวา่ จากถำ้� จันทน์ไปถึงบา้ นหนง่ึ มี ๓ หลังคาเรอื น ประมาณสัก ๑๐๐ เสน้ แตท่ างท่ี
จะบณิ ฑบาตตอ้ งไปตามดา่ นหิน หรือไปตามทางชา้ ง กวา่ จะถึงทางเกวียนของคนมนั กไ็ กลประมาณสกั
๒๐ เสน้ ตอ้ งเดนิ ไปตามทางช้าง เขาบอกอยา่ งนัน้ แล้วเขาก็ปลกู ร้านเสร็จ เมอื่ เขาปลกู รา้ นเสร็จแล้ว
มโี ยมคนหน่งึ เรียกไป ไปเห็นถ้ำ� เสอื แม่ลกู ออ่ นอยูใ่ กลๆ้ ถ�้ำท่ีข้าพเจา้ จะอยู่นน้ั ประมาณห่างกันคร่ึงเสน้
โยมเลยว่านี้เป็นถ�้ำเสือ มนั นอนทุกวนั ๆ
ข้าพเจา้ ไดย้ นิ “เอ้อ ! เสือก็ช่างเถอะ เสอื ก็สตั ว์ เรากส็ ัตว์ อยรู่ ่วมกันมันไม่เปน็ ไร” เมอ่ื พลบคำ่�
โยมเขาก็กลับบ้านทุกคน ยังแต่ข้าพเจ้าองค์เดียวอยู่ท่ีนั้น เม่ือตอนพลบค่�ำเสือก็มาร้องมาครางใส่
อย่แู ถวนน้ั แหละ บางทีมันก็มาใกลๆ้ แต่ไมม่ องเหน็ ตัวมนั มันก็หากินไปตามภาษาของสตั วป์ ่า
ถ�้ำจันทน์นีส้ ำ� คญั มาก ไปอยู่ทีแรกในกลางคนื แปลกเหมอื นกัน บางคนื คลา้ ยๆ กบั เสียงคนที่
เดินพดู กนั ไปมาตามพลาญหิน บางวันจวนสวา่ งได้ยินเสียงไหว้พระท�ำวัตรกม็ ี ดงั นก้ี ็มี และในสถานท่ี
ถ�้ำจนั ทน์น้นั มีของแปลกๆ มาก มพี ระโบราณฝงั อยใู่ นดิน พากันผุดอยู่ตามถ�้ำ พบแขนพระ พบพระ
เศยี รพระ และตัวของพระ แตเ่ ปน็ พระเกสรโดยมาก และที่ถำ�้ จนั ทนน์ ้นั สมัยนัน้ มสี ตั ว์ปา่ มชี ้าง มีเสือ
มากทีเดียว พวกงูใหญ่ งูจงอางกม็ าก มาบ่อยๆ พวกช้างมาใกล้ๆ ที่ถ้�ำจนั ทนน์ ้นั น่ันเอง หากนิ อาหาร
อยู่ตามบริเวณนน้ั เพราะในสมัยน้นั ทถี่ �้ำจนั ทน์เปน็ ท่อี ยู่ของพวกสัตว์ปา่ ไม่มีหมบู่ า้ น หา่ งจากหม่บู ้าน
มากทีเดียว
เม่ือข้าพเจ้าไปอยู่ครั้งแรกต้องอาศัยบิณฑบาตกับพวกชาวข่า ซ่ึงเขาอพยพไปอยู่นา ห่างจาก
ถ�้ำจันทน์ประมาณ ๑๐๐ เส้น เดินทางไปตามพลาญหินและทางช้าง กว่าจะถึงทางเกวียนก็ต้อง
หลายเส้นทีเดยี ว บางวนั ก็เจอะหมู่ช้างทกี่ ลางทาง บางวันกเ็ จอะพวกหมกี ม็ ี ดงั นแี้ ล
ชีวติ ของพระธดุ งคกรรมฐานเสย่ี งต่อความเป็นความตายจรงิ ๆ ไมเ่ หน็ ตอ่ ความตาย ไม่เหน็
แกช่ วี ิต เห็นธรรมเปน็ ของมคี ณุ คา่ มากกวา่ ชีวิต เห็นชีวติ เป็นของทต่ี ำ�่ กว่าธรรม
แล้วไปบิณฑบาตที่บ้านข่านั้นโดยมากข้าพเจ้าไปฉันที่บ้านเขา เพราะทางไกลกว่าจะกลับมา
ก็สาย ท่อี ยู่ถำ�้ จันทน์นน้ั ภาวนากด็ ี อากาศกด็ ี อยู่คนเดียวในฤดูแล้งในปพี รรษาที่ ๑๗ ในฤดูแล้งที่อยู่

151

องค์เดียวน่ันแลที่ถ�้ำจันทน์ เกิดอาพาธไข้ป่าอาการหนักอยู่องค์เดียว หยูกยาไม่มีฉัน ปล่อยตาม
ธรรมชาตขิ องมนั เลยทีเดยี ว พอเวลาบา่ ยกลางวนั ไข้จบั สัน่ ขึ้น เวลาพลบค่�ำไขก้ ห็ าย ครัน้ หายแล้วก็ไป
กรองเอานำ้� ท่ีตีนเขา กวา่ จะถงึ ที่พักกม็ ดื ไข้ประมาณ ๑ เดอื น ไมม่ ียาฉันเลย เพราะอยู่องค์เดยี ว

ถ�้ำจันทน์เป็นสถานท่ีซึ่งสัปปายะในการภาวนาอย่างยิ่ง อากาศดีมาก จิตรวมเร็ว คิดค้นดี
ค้นในกายของเราอยา่ งไมล่ ดละ สามารถภาวนาบ�ำเพญ็ ความเพยี รไดอ้ ยา่ งเต็มท่ี เพราะไดอ้ ยคู่ นเดียว
โดยตลอด”

เม่ือท่านพระอาจารย์จวนล้มป่วยเป็นไข้ป่ามาลาเรียจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ท่านได้ผ่านพ้น
ด้วยดี โดยการใชธ้ รรมโอสถเพอ่ื รักษาโรคและรกั ษาใจ โดยองค์หลวงตาพระมหาบวั าณสมปฺ นฺโน
ไดเ้ มตตาเทศนเ์ รอ่ื งธรรมโอสถไวด้ งั น้ี

“ทใ่ี ห้ว่า สกกฺ ตวฺ า พทุ ธฺ ธมฺม สงฆฺ รตนํ อนั นี้เอง แต่เราไม่ได้นำ� ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงเปน็
ในพระองค์เองแล้วมาสอนโลกด้วยความจริงนะ เราเป็นไปด้วยความจ�ำ เรียนความจ�ำมาก็ไม่ถึงใจซิ
สกกฺ ตฺวา พุทฺธรตนํ ธมมฺ รตนํ สงฆฺ รตนํ โอสถํ อตุ ฺตมํ วร ํ พระพทุ ธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ เปน็ โอสถ
อยา่ งยิ่ง ไม่ทราบว่าเปน็ โอสถอะไร จามฟิกก็ว่ิงหาหมอแลว้ วิ่งหาธรรมไมม่ ีแล้ว จะเอาประโยชน์อะไร
จากธรรม เม่อื ใจไมส่ นใจในธรรม

น่ีไดเ้ คยฟดั กันมาแล้วนะถงึ ไดพ้ ดู อยา่ งอาจหาญ ส่งิ เหลา่ นีเ้ คยมาแล้วทั้งนน้ั ไมใ่ ชไ่ ม่เคยแลว้
มาพดู โมอ้ ยา่ งน้ัน มียาติดตวั เม่ือไรเข้าในป่าในเขา ไมม่ ีละ่ กรรมฐานแตก่ ่อน ยาเม็ดหนึง่ ก็ไม่ได้ติดยา่ ม
เปน็ มาก็หวั ชนกันเลย เอากนั เลย จติ ใจกลา้ หาญเสยี อยา่ งเดียวเท่านนั้ โรคภยั ไขเ้ จบ็ ก็เปน็ ส่วนของธาตุ
ของขนั ธ์อยู่ใตอ้ ำ� นาจของจติ จิตเหนือมนั อยูแ่ ล้วจะเปน็ อะไรไป

น่ีเคย ย่ิงไขม้ าลาเรียน่แี หม ! หนกั มาก เวลามันหนาว หนาวสะบน้ั ตัวสน่ั ห่มอะไรไมอ่ ุน่ ห่มก็
หนกั เฉยๆ หนาวไข้จับสั่นนี้ เราอยา่ เข้าใจวา่ เอาผ้ามาหม่ จะอ่นุ นะ ไมไ่ ดอ้ นุ่ หนักเฉยๆ มันหนาวสะบั้น
อย่ภู ายในใจ อย่ภู ายในรา่ งกายของเรา ไมไ่ ดเ้ ปน็ อย่างผวิ เผิน เพราะฉะน้นั หม่ อะไรมนั จงึ ไม่อุ่น ไม่ได้
หม่ ละ่ เปลือ้ งออกหมดหม่ ผนื เดยี ว ให้มนั เทา่ นนั้ จะเป็นขนาดไหนกใ็ หเ้ ทา่ น้ี พอพลิกจากหนาวเปน็
ร้อนกเ็ ป็นไฟอกี ไม่เอาออกผ้าพันไว้นั้น เปยี กหมดเลย ไขจ้ บั สั่น เขาเรยี กไข้มาลาเรียขนึ้ สมองเป็นบา้
นัน่ แตเ่ ราไม่ขึน้ หรอื ขึน้ ก็ไมร่ ู้แหละ มันหากฟัดกันตลอดนะ เลยไม่ทราบอันใดขน้ึ สมอง อันใดลงสมอง

ไขห้ นกั เท่าไร จิตยิ่งหนกั ถอยกนั ไม่ได้เลย น่ันล่ะสกู้ นั ให้มนั เหน็ สกกฺ ตวฺ า พทุ ฺธ ธมฺม สงฆฺ รตนํ
ให้มันเห็นประจักษ์ ถอนกนั เวกิ ออกๆ จติ หมุนเขา้ ๆ ธรรมะตีออกๆ อันนน้ั กระจายออกๆ ใหม้ นั เหน็ ชัด
อย่ใู นหัวใจ น่ลี ่ะของจรงิ ไม่ใช่ของจำ� นะ เอาของจรงิ มาใช้ เป็นก็เป็นจริงๆ รจู้ ริงๆ เหน็ จริงๆ ก�ำจัด
ได้จริงๆ ธรรมะพระพทุ ธเจ้าพระองคท์ รงทดลองแล้วถึงได้มาสอน ไมไ่ ดม้ าสอนแบบปาวๆ”

152

ถ้�ำจันทน์

ถำ�้ จันทน์ ต้ังอยทู่ ่ีบา้ นคำ� ไผ่ หมู่ที่ ๓ ตำ� บลศรชี มภู อ�ำเภอโซพ่ สิ ยั จงั หวดั บึงกาฬ
วดั ถำ้� จนั ทน์ สร้างเม่ือ พ.ศ. ๒๔๔๒ ตามประวัตกิ ลา่ วว่ามพี ระธดุ งค์องค์หน่งึ ไดเ้ ดนิ ทางมา
วปิ สั สนาอยทู่ ่ีถำ้� แหง่ น้ี ได้เห็นสิ่งต่างๆ โดยรอบเตม็ ไปดว้ ยไม้นานาพันธ์ุ สิ่งท่ีประจักษแ์ กใ่ จมากท่สี ุด
คอื ตน้ จนั ทน์ จงึ ไดข้ นานนามวา่ วัดถ้�ำจันทน์
ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ  ไดม้ าอยู่บุกเบกิ และเป็นเจา้ อาวาส
องค์แรก จากประวตั ทิ ่านพระอาจารยจ์ วน ได้บนั ทึกถ�้ำจันทน์เปน็ สถานทสี่ ำ� คญั มาก
ตอนท่านพระอาจารย์จวนออกจากดงหม้อทองนั้นมุ่งหน้าสู่กลาง “ดงศรีชมภู” เขตอ�ำเภอ
โซ่พสิ ยั จังหวัดหนองคาย (ปัจจุบนั ขึ้นกับจังหวดั บึงกาฬ) ท่านได้พบสถานที่ ทคี่ ลา้ ยซากเมืองเก่า
แหง่ หนงึ่ มลี านหนิ ยาวคลา้ ยกบั ถนนคอนกรตี เปน็ ระยะทางเกอื บ ๒๐ กโิ ลเมตร บางแหง่ กเ็ ปน็ ทรงกลม
คล้ายกับสนามม้าในกรุงเทพฯบางแห่งเปน็ คล้ายๆ กับปราสาทราชวัง มคี วามสงู หลายช้นั ได้หกั พงั ลง
มากองทบั ถมกันอยู่ คนแถบนเี้ รียกว่า “ถ�ำ้ จันทน”์ เพราะบริเวณแหง่ นีเ้ ต็มไปดว้ ยตน้ จนั ทนน์ านาพนั ธ์ุ
ในสมัยก่อนถ�้ำจนั ทน์ มสี ภาพเป็นปา่ เป็นดงท่ีอุดมสมบรู ณ์ มสี ตั ว์ปา่ สัตว์ร้ายชกุ ชมุ มาก และ
มีบรรยากาศเงยี บสงดั เปน็ สถานทีส่ ปั ปายะเหมาะกับการภาวนา ดังนั้น ครบู าอาจารยพ์ ระธดุ งค–
กรรมฐานสายทา่ นพระอาจารย์มัน่ จงึ มักไปธุดงคภ์ าวนา แต่ปัจจบุ ันถ�้ำจนั ทนอ์ ยู่กลางบ้าน มีสภาพ
เปลีย่ นไปตามกาลเวลา เพราะมีชมุ ชนเกิดข้ึนมากมาย

ท่านเล่าเร่ืองเสือที่ถ้�ำจันทน์

ท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ  ไดเ้ ลา่ เร่อื งเสอื ท่ีถำ้� จนั ทนใ์ ห้หลวงตาพระมหาบวั ฟัง โดย
หลวงตาพระมหาบวั ไดเ้ มตตาเทศนเ์ รือ่ งนไ้ี ว้ดังน้ี

“ถ�้ำจันทน์เด๋ียวน้ีมันอยู่กลางบ้านเขาแล้วแหละ แต่ก่อนท่านจวนไปถ้�ำจันทน์น่ีนะ เป็นดง
หมดนะแตก่ ่อน ดงท้ังหมดเลย อย่กู ลางดง ท่านจวนไปพักท่ีน่นั เรากไ็ ปดูถ�้ำจนั ทน์ ไมส่ ูง แต่มันไปอยู่
ทางบา้ นเขาสร้างบา้ นครอบไปหมดแล้ว ตอนเป็นดงเป็นป่า แต่กอ่ นที่ทา่ นจวนไปอยู่หมดสภาพไปแลว้
เราไปดู ท่านเล่าให้ฟังถึงเร่ืองว่าเสือ ถ�้ำน้ีล่ะเราข้ึนไปดู ก็เหมาะกับเสือมันโดดขึ้นถึงพอดี เสือดาว
พวกเสอื ดาวนห้ี ากนิ หมา คนอยู่ทไ่ี หน เสอื ดาวน้ีจะแอบไป ไปกนิ หมากบั คน ถา้ ไป ไปดูๆ ไมม่ ีหมาแล้ว
มนั ก็หนนี ะ ถ้ามหี มาแลว้ จะแอบเอาจนได้ ทีน้ีวนั นั้นทา่ นจวนไปพกั อย่ทู ่ีนั่น ก็พอดปี ่วยเปน็ ไขม้ าลาเรีย
ทา่ นก็เลยนอนอยถู่ �้ำนนั้ ล่ะ

มนั ไมส่ ูง ดูจะขนาดนี้ล่ะม้งั ขนาดไฟฟา้ กบั พน้ื น่ี เสอื มนั โดดข้ึนไดน้ เ่ี สอื ดาว ท่านนอนตะแคง
อยทู่ างน้ี ก่อไฟข้นึ ผิงไฟ เพราะตามธรรมดาพระวนิ ัยหา้ มนะ ก่อไฟผิงไมไ่ ด้ เว้นแตป่ ว่ ยท่านว่า ถา้ ปว่ ย
แล้วผิงไฟได้ ก่อไฟผงิ ได้ ถ้าไม่ป่วย ก่อไฟผิงไม่ได้ ปรับอาบัติ มีในพระปาฏิโมกข์ด้วย ทีนี้ทา่ นก็นอน

153

อยู่น้ัน กอ่ ไฟไว้ทนี่ ่ี ท่านก็นอนไขม้ าลาเรีย อยๆู่ ไอเ้ สอื มันกไ็ ม่รูเ้ รอ่ื งวา่ คนนอนอยู่บนถำ้� กองไฟอยูน่ ้ี
ท่านนอนอยูน่ ้ัน เสอื โดดข้นึ มาน้ี กก๊ึ ข้ึนมานีเ้ ลย มนั โดดขึน้ มา ก๊กึ ข้ึนมา พอดีมาเจอกับคน เจอตากนั
พอดีตามันตาเราจ้อๆ กันอยู่น้ัน สายตามันมีแต่ท่าจะเปิด ไม่มีท่าสู้ ท่านก็ เอ้า ! มันขึ้นมาหาอะไร
นกึ ในใจ

พอว่างน้ั ท่านกจ็ บั เอาผ้า ตุ๊บตบ๊ั โดดลงป๋ึงไปเลย มันข้นึ ไปเสือดาว เดยี๋ วนี้เป็นกลางบ้านแลว้
ไมม่ ีเสอื ท่วี ่าถำ�้ จนั ทนม์ ีแตช่ อ่ื วา่ ถำ�้ จนั ทน์”

หลวงปู่สมหมาย จติ ตฺ ปาโล ได้เมตตาเลา่ เร่ืองนไ้ี วด้ ังนี้
“หลวงปูจ่ วนทา่ นไม่กลัวเสอื ทา่ นเล่าให้ฟงั ท่านกบั เสอื นอนกนั คนละถ�้ำ ท่านก็นอนไดอ้ ยู่
กไ็ ม่เห็นเป็นอะไร มันไมท่ ำ� อะไร ถา้ เราไม่ทำ� อะไรใหม้ ันเจ็บ มันไมเ่ ป็นอะไรหรอก พวกสัตว์ ถา้ หากไป
ท�ำให้มันเจ็บ เอาเร่อื งเลย กอ็ ย่างพวกชา้ งนกี่ เ็ หมือนกนั ถ้าหากมันเจบ็ นเ่ี อาเรอ่ื ง ถา้ มันไมเ่ จบ็ มนั ก็
ไม่ทำ� อะไร”

ปลายปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ท่านดีใจพบพระหนุ่มคนบ้านเดียวกัน

ปลายปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ  ไดพ้ บพระหนุ่มคนบ้านเดียวกัน มาขอ
อยู่ปฏิบตั ธิ รรม ตามประวัติหลวงปู่สรวง วรสทุ โฺ ธ แห่งวัดถำ้� พรหมสวัสด์ิ จังหวดั ลพบรุ ี ได้บนั ทึกไว้
ดังนี้

“ในชว่ งปลายปี ๒๕๐๑ นน้ั เอง หลวงปสู่ รวงกไ็ ดเ้ ดนิ ทางไปถงึ ถำ�้ จนั ทน์ อำ� เภอโซพ่ สิ ยั จงั หวดั
หนองคาย (ปัจจุบันอ�ำเภอโซ่พิสัย ข้ึนกับจังหวัดบึงกาฬ) อันเป็นท่ีซ่ึงท่านพระอาจารย์จวนก�ำลัง
จ�ำพรรษาอยู่ ซงึ่ ส�ำหรบั ท่านพระอาจารยค์ ำ� บนุ น้ั เม่ือได้ส่งหลวงปู่เรียบร้อยแล้วก็ได้แยกเดินทางไป
จ�ำพรรษา ณ วัดพระธาตุฝุ่น อ�ำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร

หลวงป่เู ลา่ ว่า เมอ่ื ท่านไดพ้ บกับท่านพระอาจารย์จวนเป็นครงั้ แรก ทา่ นก็ถามวา่ “เป็นยังไง
มายังไง อยู่ท่ีไหน ?” หลวงปู่จึงกราบเรียนไปว่า “มาจากบ้านโพนเมืองน้อย หัวตะพาน เป็นลูก
พอ่ ใหญส่ าร จะมาขออย่ฝู กึ ปฏบิ ตั ธิ รรมกับท่านอาจารย์” พอพูดเพยี งเท่านี้ ทา่ นพระอาจารย์จวนก็
ดีใจใหญ่ว่า “เป็นคนบ้านเดียวกัน” ท้ังยังได้ยินช่ือว่า “พ่อใหญ่สาร” โยมบิดาเพียงเท่านั้น ก็ท�ำให้
ท่านพระอาจารยจ์ วนรับหลวงปไู่ ว้ทนั ที

ทั้งน้ีเพราะเมื่อสมัยก่อน โยมบิดาของหลวงปู่นั้น ท่านเคยบวชและเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่
บ้านเหล่ามันแกว ซ่ึงเป็นบ้านของท่านพระอาจารย์จวน และท่านพระอาจารย์จวนเองก็เคยเป็น
เด็กวัดคอยดแู ลอุปฏั ฐากโยมพ่อของหลวงปู่อยู่ในสมัยนั้น กอ่ นท่ีโยมพ่อของทา่ นจะได้ลาสิกขาออกมา
แตง่ งานกับโยมแมท่ ีบ่ ้านนอ้ ยนาเวนิ ในภายหลัง ซึ่งทา่ นพระอาจารยจ์ วนไดก้ ล่าวกับทา่ นว่า “ลกู ซาย
กะไดพ้ อ่ นอ่ ” (ลูกชายกเ็ หมือนพอ่ ออกบวชเหมอื นกนั )

154

ในตอนน้ันหลวงปู่บวชเป็นพระสังกัดมหานิกาย ท่านพระอาจารย์จวนจึงให้เดินทางไปหา
ท่านพระอาจารยค์ �ำบุ ธมฺมธโร เพอ่ื ใหท้ า่ นพระอาจารยค์ ำ� บุพาไปญัตติใหม่เปน็ พระธรรมยุต หลวงปู่
จึงออกเดนิ ทางไปพบทา่ นพระอาจารย์ค�ำบทุ ว่ี ัดพระธาตุฝุ่นทนั ที ซ่ึงหลังจากทที่ ่านพระอาจารยค์ �ำบุ
ได้สั่งสอนเก่ียวกับข้อวัตรปฏิบัติของพระกัมมัฏฐานฝ่ายธรรมยุต ตามท่ีท่านพระอาจารย์ใหญ่ม่ันได้
อบรมสง่ั สอน และท�ำการพิจารณาอยู่หลายวัน ทา่ นจงึ ได้พาหลวงปไู่ ปญตั ตใิ หม่ ณ วดั ประชานิยม
ตำ� บลคอ้ ใต้ อ�ำเภอสวา่ งแดนดนิ จงั หวัดสกลนคร”

พรรษา ๑๗ พ.ศ. ๒๕๐๒ จ�ำพรรษาท่ีถ้�ำจันทน์

ในครั้งพุทธกาล พระพทุ ธเจ้าและพระสาวกเคยประสบความอดอยากจากภตั ตาหารการขบฉัน
ตลอดพรรษา ๓ เดอื น ซ่ึงพระองค์และพระสาวกกช็ นะอปุ สรรคนนั้ มาได้ จนเป็นคติอนั เลิศเลอจวบจน
สมยั ปจั จุบัน

ในพรรษาท่ี ๑๗ ของท่านพระอาจารย์จวน กลุ เชฏฺโ ทา่ นและคณะ กต็ ้องประสบความ
อดอยากขาดแคลนในเร่ืองอาหารการขบฉัน จนชาวบ้านวิงวอนร้องขอนิมนต์ให้ท่านหนี แต่ท่านมี
ความตั้งใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ จึงไมย่ อมหนี โดยท่านพระอาจารย์จวน ได้เมตตาเทศนเ์ ร่อื งน้ไี วด้ ังน้ี

“และอยู่ต่อมาใกล้จะเข้าพรรษา มีเณรหนึ่ง พ่อขาวเฒ่าคนหน่ึง ซ่ึงเป็นญาติของข้าพเจ้า
แล้วก็แม่ชีแก่คนหนึ่งมาอยู่ด้วย และใกล้จะเข้าพรรษา อีก ๗ วันเท่านั้น โยมผู้อุปัฏฐากทั้ง
๓ ครอบครัวเรอื นน้นั แหละ ๒ ครัวเรือนนัน้ ได้มานมิ นตข์ า้ พเจ้า ไมใ่ หอ้ ยู่จ�ำพรรษาท่ีถ�้ำจนั ทน์ เพราะ
เขาเหน็ ว่า เขาเป็นคนจน คนอด ไม่มขี า้ วกนิ กลัวจะเลี้ยงพระเณรไมไ่ หว กลวั พระเณรจะอดข้าวตาย
เขาด�ำริอย่างน้ี จึงพร้อมกันทั้ง ๒ คนมานิมนต์ให้ข้าพเจ้าหนีไปจ�ำพรรษาที่อื่น ไม่ให้จ�ำพรรษาที่
ถำ้� จันทน์

ข้าพเจ้ากเ็ ลยตอบโยมทัง้ สองไปว่า “เดย๋ี ววนั น้ีกจ็ วนจะหมดเวลาแลว้ พรุ่งนีจ้ ึงคอ่ ยพจิ ารณากนั
ให้ปรึกษาพวกเณร ผา้ ขาว ดูกอ่ น” แลว้ ชาวบ้าน ๒ คนเขาก็กลับบ้าน

ตอนพลบค่�ำเวลากลางคืน ข้าพเจ้าก็ประชุมพวกเณร ผ้าขาว และแม่ชีว่า “ศรัทธาท่ีเล้ียง
พวกเรา อุปฏั ฐากพวกเรา เขานมิ นตใ์ หพ้ วกเราหนี เพราะเขาไมม่ ขี า้ วให้พวกเรากนิ กลวั วา่ พวกเรา
จะอดข้าวตาย เขาไม่ให้จ�ำพรรษาที่นี้ ใหไ้ ปจำ� พรรษาทอี่ น่ื พวกเราจะวา่ อยา่ งไร ?”

ยายชีแก่ไดย้ นิ ดังนนั้ แกพูดขึ้นวา่ “เออ ! ดี เขานิมนต์ให้หนีก็หนสี ิ เขาไม่มขี า้ วใหก้ ินจะอยู่
ทำ� ไม” นย่ี ายชีแก่แกว่า “ต้ังแตเ่ ขาไมน่ มิ นตก์ ว็ ่าจะหนอี ยู่แลว้ ” วา่ ดังนน้ั และถามเณร เณรก็วา่ จะไป
ถามผา้ ขาวเฒา่ ผา้ ขาวเฒ่าก็วา่ จะไป

ขา้ พเจา้ กเ็ ลยถามวา่ “จะไปวันไหน ?”

155

“ไปวันพรงุ่ น้”ี
“จะไปจ�ำพรรษาที่ไหน ?”
เขาบอกวา่ “ไปจ�ำพรรษาทีบ่ ้านขเ้ี หล็ก ที่ดงหมอ้ ทอง”
“เออ ! พากันไปเสีย” วา่ อย่างนั้น
ทีนย้ี ายชีแกแ่ กเลยยอ้ นถามขา้ พเจา้ ว่า “อาจารยไ์ ม่ไปหรือ ?”
ข้าพเจ้าตอบยายชีแก่ว่า “ส�ำหรับอาตมาไมไ่ ปแลว้ เพราะอาตมาตัง้ ใจจะจ�ำพรรษาทถี่ �้ำจนั ทน”์
ยายชีแก่วา่ “จ�ำอยา่ งไร เขาไมม่ ีขา้ วให้กนิ จะกินอะไร ?”
ข้าพเจ้าตอบยายชีว่า “ไม่มีข้าวก็ไม่กิน กินแต่น้�ำ เพราะว่าข้าวก็ได้เคยกินมาแล้วต้ังแต่
วันเกิดจนถึงวันน้ี เมื่อกินข้าวอยู่มันภาวนาไม่เป็น ทีนี้มันไม่มีข้าว กินก็ไม่กินมัน จะอดอยู่อย่างน้ัน
กนิ น้�ำเอา” และขา้ พเจ้าก็วา่ “ฉนั ใบเมา่ ”
โยมชแี ก่วา่ “ใครเอาใบเม่าให้ ?”
“ไม่มกี ก็ ินน�ำ้ จะขอจ�ำพรรษาทนี่ ี้ ไม่ไปแล้ว ถงึ จะอดขา้ ว ไม่มขี ้าวกนิ ก็ยอมตาย ในพรรษานี้
ไม่ถอย จะประกอบแต่ความพากความเพยี ร คณุ งามความดีเทา่ น้นั ให้ตายอยู่ในคุณงามความดี ไม่ไป
เป็นเดด็ ขาด พวกแม่ขาว พอ่ ขาว เณรจะไปก็ไปเถอะ ส่วนขา้ พเจ้าไม่ไป ตายกใ็ หม้ ันตายเสีย ตายดว้ ย
การท�ำความพากความเพยี ร แลว้ จะไดเ้ ป็นประวตั สิ บื ต่อไปว่าพระธุดงคกรรมฐานเปน็ ผู้ที่มใี จเดด็ เด่ียว
ไม่มีข้าว ไม่มีอาหารกิน อดข้าว อดอาหาร อุตส่าห์จ�ำพรรษาที่ถ�้ำจันทน์ ท�ำความพากความเพียร
จนตาย เพ่ือให้เป็นตวั อยา่ งแก่วงศค์ ณะปฏิบัติตอ่ ไป ไม่ไปแลว้ ”
เมื่อข้าพเจ้าประกาศอย่างนั้นว่าไม่ไป พวกเณร พวกผ้าขาว และยายชีแก่ก็ว่า “ถ้าอาจารย์
ไมไ่ ป พวกผมก็ไม่ไป อาจารย์ตายกต็ ายดว้ ย” ตกลงกเ็ ลยได้จ�ำพรรษารว่ มกนั ในพรรษานนั้ ตั้งอกต้งั ใจ
ท�ำความพากความเพียรโดยสะดวกสบายทเี ดยี ว
รุ่งข้นึ ตอนเชา้ ขา่ (ชาวขา่ ) ๒ คนนนั้ ได้ร้องไหม้ าถวายจังหนั  ก็ถามว่า “โยมรอ้ งไหท้ �ำไม ?”
ตอบวา่  “รอ้ งไหเ้ พราะเสยี ใจ เมอ่ื คืนนผ้ี มนอนไมห่ ลบั ตลอดคืนเลย ที่นิมนตอ์ าจารยห์ นี ไมใ่ ห้
จ�ำพรรษา ผมไม่สบายใจเลย ไดร้ ับความเดือดร้อนตลอดคนื พวกผมขอนมิ นต์อาจารย์ใหม่ ขออภยั
จากอาจารย์ด้วย อยา่ ใหเ้ ป็นบาปเปน็ กรรมต่อไป พวกผมขอนิมนตอ์ าจารยใ์ ห้จ�ำพรรษาอย่ทู ่ีนี่โปรด
พวกผมดว้ ย ถา้ หากไมม่ ีข้าวกนิ พวกผมจะยอมตายกอ่ นอาจารย์ ไม่ให้อาจารย์ตายเลย ควายของผม
มอี ยู่ ๒ ตวั ผมจะขายควายน่แี หละ ซือ้ ข้าวเลี้ยงอาจารยใ์ หต้ ลอดพรรษา”

156

ข้าพเจ้าได้ฟังก็อนุโมทนาในศรัทธาของเขา แม้เขาจะเป็นคนจนยากแค้นแสนสาหัสเพียงใด
แต่จติ ใจกฝ็ กั ใฝ่ใครต่ ่อการท�ำบญุ ยอมสละแทบจะสมบตั เิ ครอ่ื งมือทำ� กินทั้งหมดทีม่ ี เพ่อื บ�ำเพญ็ ทาน
นา่ สรรเสริญในจติ ใจของเขายงิ่ นัก จึงบอกปลอบใจเขาวา่ “ไม่เป็นไรหรอกโยม อย่าลำ� บากถงึ กบั ต้อง
ขายควายเลย ทุกสิง่ ทุกอย่างกค็ งจะเปน็ ไปเอง ดไี ปเอง ไม่ตอ้ งกงั วล” 

อนุโมทนาและใหก้ ำ� ลงั ใจเขาแลว้  โยม ๒ คนกม็ ีสหี นา้ ชนื่ ขึ้นทันที ด้วยความอ่ิมอกอิม่ ใจและ
ลากลบั บ้านไป

เม่ือออกไป ตกลง ข่าวอันน้ีแหละ ข่าวที่ว่าพระอดข้าวอดน�้ำ เขานิมนต์หนี ได้ยินไปตาม
หมู่บ้านท่ีรอบๆ หมู่บ้านรอบๆ เขาก็มาสืบดู เห็นว่าถ้�ำจันทน์กันดารมาก ตกลงพวกหมู่บ้านท่ีรอบ
อยู่ไกลๆ นนั้ เขาก็เลยแตง่ กันให้ส่งอาหาร ๗ วนั ต่อครง้ั ๗ วันตอ่ ครงั้

ทีนี้ข่าวน้ีได้ยินไปถึงอ�ำเภอบึงกาฬสมัยน้ัน หมอประพักตร์ โสฬสจินดา ซึ่งเป็นหมออนามัย
เป็นหัวหนา้ หมออนามยั อยู่ ประจำ� อยู่อ�ำเภอ ไดย้ นิ กไ็ ปสืบดู เหน็ ว่าที่ถ้�ำจันทน์กันดารมาก ก็เลยแตง่
คนใหไ้ ปสง่ อาหาร ๗ วันส่งครั้ง ๗ วนั ส่งคร้ัง ตกลงว่าในพรรษานัน้ การขบฉนั อาหารก็อดุ มสมบรู ณด์ ี
พอสมควร ไมอ่ ดไม่อยาก ไม่ขาดไม่เขนิ ไม่หวิ ไม่หอด นีจ้ ะเป็นเพราะขนั ติ อานิสงส์แหง่ ความอดทน
อยา่ งนี้กเ็ ปน็ ไดน้ แี่ หละ”

คุณหมอประพักตร์ โสฬสจินดา ศิษย์เอกหลวงปู่จวน หลวงปู่ทองพูล

คณุ หมอประพกั ตร์ โสฬสจนิ ดา ท่านเปน็ ศษิ ย์เอกของทา่ นพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฺ  และ
หลวงปู่ทองพลู สริ ิกาโม ทา่ นเปน็ ผทู้ ที่ า่ นพระอาจารย์จวนเมตตากลา่ วถึงอย่บู ่อยๆ ดงั บทสมั ภาษณ์
ของพระศิษย์ทา่ นพระอาจารยจ์ วน เม่อื ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้ยกยอ่ งคณุ หมอประพกั ตร์ ไวด้ ังน้ี

“พระ : ศษิ ยเ์ อกของหลวงปจู่ วน หลวงปู่ทองพูลนะ ยกยอ่ งทา่ นเต็มทแ่ี ลว้ วันนี้ ศิษยเ์ อกเลย
ท่านจะไดพ้ ูดอะไรดๆี อยใู่ นถำ้� ในรู ทา่ นกจ็ ะพดู ใหพ้ วกเจา้ ฟังละ่ วนั นี้ ถ้าทำ� ได้เหมอื นท่านน่ีกห็ ายาก
นะศษิ ย์ผพู้ ี่ นอกจากนน้ั อาตมาไมก่ ล้าจะแนะน�ำ ใหท้ า่ นนน่ั เลยแนะน�ำ มีอะไรอยใู่ นใจทา่ น ระบาย
ออกมาเพื่อบชู าคณุ ครบู าอาจารย์ท้ังอดตี ท้ังปจั จบุ นั หลากหลาย ไม่ใชแ่ ต่เฉพาะหลวงป่จู วน หลวงปู่
ทองพูล หลวงปูต่ ัน (หลวงปคู่ �ำตนั ติ ธมฺโม) ทว่ั ประเทศล่ะ ทา่ นสมั ผัสนั่นนะ่ หลากหลาย เพราะ
ท่านย้ายไปหลายแห่ง ไปอยู่ขอนแก่นก็หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต ซึ่งเป็นเกจิอาจารย์ผู้มีฤทธ์ิอภิญญา
ทา่ นกไ็ ดส้ มั พันธส์ มั ผสั ท่าน

เพราะฉะน้ัน แมแ้ ต่อาตมาบวชเกอื บ ๔๐ ปี ในเรอื่ งบางเร่ืองไม่เคยสมั พนั ธ์ ลกึ ๆ ท่านได้
สัมพนั ธ์กับครูบาอาจารย์ เพราะฉะนั้นอาตมากไ็ ม่พดู มาก ใหท้ า่ นพดู เลย ยกให้ท่าน ทา่ นถนัด ท่าน
ยนื ก็ให้ยืน ท่านเมอ่ื ยกน็ ัง่ แลว้ แต่ทา่ นสะดวก นอกจากน้ันก็จะได้ท�ำประวัตศิ าสตรเ์ อาไว้ โดยเฉพาะ
ประวัติหลวงพอ่ ทองพูล อาตมาก็ยังเจาะได้ไม่ลึก อยู่กบั ทา่ นอยู่แต่ก็ไม่ลึก คร้ังนก้ี เ็ ปน็ ประวตั ิศาสตร์

157

อันหนึง่ เอา ! ขอเชิญ
คุณหมอประพกั ตร์ : ขอโทษเถอะครบั ผมคือมาอยูอ่ สี านนาน คือบางทมี นั พูดภาษาภาคกลาง

กบั ภาคเรา (อีสาน) นีม่ ันสับกนั ฉะน้นั บางทีหลุดออกไปกไ็ ม่รเู้ ร่ือง ก็ขอโทษดว้ ยก็แลว้ กนั
ผมแนะน�ำเสียกอ่ น ผมประพกั ตร์ โสฬสจนิ ดานะฮะ ผมสำ� เรจ็ การศึกษาจากมหาวิทยาลยั

แพทยศาสตร์ คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ จากกรุงเทพฯ เมื่อปี ๒๔๙๗ เดย๋ี วนอี้ ายุ ๗๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๔๕)
ใครก็อายุมากกว่าผมในน้ีลองยกมือข้ึนดูสิครับ ผมอายุ ๗๓ ท่านอาจารย์ทองพูลก็ ๗๓ ผมเป็น
พี่เดือน อาจารย์ทองพูลเป็นน้องเดือน หลังจากส�ำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์แล้ว
ผมก็เดินทางมารบั ราชการทจี่ ังหวัดสกลนคร

พ้ืนฐานเดมิ นั้นคณุ พ่อเปน็ คนกรงุ เทพฯ แม่เปน็ คนสระบรุ ี แตเ่ มียเป็นคนบึงกาฬ ตอนน้ีมาอยู่
อีสานทำ� งานนานจนกระทง่ั ว่าภาษาพูดนี่เขาเรียกวา่ “หยอ่ สกลฯ” (หยอ่ หมายถึง ย่น หรอื ย่อ)
เพราะผมมาอยสู่ กลฯ ๒ ปี ระยะนั้นประมาณปี ๒๔๙๙ – ๒๕๐๐ ผมมาเป็นผชู้ ่วยสาธารณสุขจงั หวดั
อยูส่ กลนคร ๒ ปี ทีนีด้ ว้ ยเหตุอะไรก็ไมท่ ราบ ผมอยากไปเรยี นตอ่ ทก่ี รุงเทพฯ ก็ไดท้ �ำหนังสือถึงทาง
กระทรวงบอกว่า ผมอยากไปเรียนตอ่ ท่กี รงุ เทพฯ แตส่ กลฯ นีม่ นั ไกล ถา้ จะใกลก้ รงุ เทพฯ ก็ใหใ้ กล้เสีย
เลย ถา้ ให้ไกลกใ็ หไ้ กลทสี่ ุดเลย พอไม่ถึง ๒ เดอื นเขายา้ ยผมมาอยอู่ ำ� เภอบึงกาฬ ผมก็ไม่รบู้ ึงกาฬเป็น
ลักษณะไหน ไมร่ ู้

เมือ่ ปี ๒๕๐๐ ผมก็มา มาก็บึงกาฬ ขณะนน้ั การเดนิ ทางมาบึงกาฬน่ี มันเดินไดท้ างเดียว คือ
ทางน้�ำเทา่ นน้ั เอง เมอื่ เดอื นธนั วาฯ ๒๔๙๙ ผมก็มาติดอยู่หนองคายต้งั ๗ วนั เพราะมันมาไม่ได้ มนั บุญ
แขง่ เรอื ผมก็เลย พอสุดแข่งเรอื แลว้ ผมกม็ า มากม็ าขน้ึ อ�ำเภอบึงกาฬเราน่ีแหละ ผมมาอยบู่ ึงกาฬได้ป๊บั
เท่านัน้ ผมไดข้ ่าววา่ เณรค�ำละ่ ทนี ี้ คอยฟงั นะเร่อื งเณรค�ำ ใครอาจไมค่ ่อยได้ยินเรอ่ื งเณรค�ำ ผมไมเ่ หน็
เณรคำ� แต่รู้ว่าคนต่นื เต้นมากเณรคำ� คนแห่มาดเู ปน็ ร้อยเปน็ หมนื่ เลย เดนิ จากหอค�ำมาดเู ณรค�ำ

แต่ผมมาไมท่ ัน ระยะนน้ั รู้สกึ วา่ เณรค�ำจะมาบงึ กาฬประมาณปี ๒๔๙๙ หรือ ๒๔๙๘ แต่
ผมมา ๒๕๐๐ ไม่ทนั ทไ่ี มท่ ันก็ไม่เป็นไร พอผมมาอยู่ปี ๒๕๐๐ ปับ๊ ผมก็ไปรจู้ กั ครูคำ� บา คือ ณรงค์
เทศประสิทธิ์ แกเปน็ ลกู ศษิ ย์เณรคำ� กไ็ ด้ศกึ ษาว่าเณรค�ำคืออะไร พวกเรากจ็ ะสนใจวา่ เณรค�ำ เดีย๋ วนก้ี ็
ยังมีคำ� พงั เพยว่าเณรค�ำ”

เณรคำ� เปน็ ผูท้ ำ� นายเรอื่ งทจี่ ะเกิดขึ้นทบ่ี ึงกาฬได้อย่างถกู ต้องแมน่ ย�ำราวกบั ตาเห็น

158

ค�ำท�ำนายอันน่าอัศจรรย์ของเณรค�ำ

(จากหนังสอื ประวตั ิหลวงปทู่ องพลู สริ ิกาโม)
“ก่ึงพทุ ธกาล พุทธศักราช ๒๕๐๐ ทจ่ี งั หวดั บงึ กาฬมีขา่ วลือหนาหถู ึงคำ� ท�ำนายของ “ตาปะขาว
เณรคำ� ” ขออธิบายคำ� ว่าเณรค�ำ เณรคำ� เป็นค�ำเฉพาะทีค่ นทางภาคอสี านและทางประเทศลาวเรียกคน
ที่บวชเขา้ มาในพระพทุ ธศาสนา เครง่ ครัดในธรรมวินยั มีวาจาสทิ ธิ์ มอี ภนิ ิหาร และทส่ี �ำคญั เปน็ บคุ คล
ลึกลับ แมบ้ วชเปน็ พระหรือสกึ เปน็ ตาปะขาวแล้ว เขาก็ยังเรยี กว่าเณรค�ำๆ อาจมหี ลายองค์ไม่จำ� เพาะ
วา่ จะเปน็ ใคร เป็นชอ่ื เรยี กบคุ คลผ้ศู ักดิ์สิทธ์ิ
ตาปะขาวเณรค�ำ ที่จังหวัดบึงกาฬ เป็นคนท่ีเคยบวชแล้วสึกออกมา แล้วก็ถือศีล ๘ อายุ
ประมาณ ๔๐ กวา่ จะใชส้ ัญลักษณ์ใชผ้ า้ เหลอื งพันคอ ทำ� เหมอื นเป็นสายสร้อยสงั วาลเปน็ คนคลา้ ยๆ
สตไิ ม่คอ่ ยดี แตว่ า่ ดว้ ยความลึกๆ แลว้ เปน็ คนที่ถอื ศีล ๘ เป็นประจำ�
เริ่มด้วยข่าวลือท่ีว่ามี “ตาปะขาวเณรค�ำ” มาปรากฏตัวขึ้นท่ีบึงกาฬ เป็นผู้ทรงศีล แต่ก็
เคยบวชสามเณรมาก่อน ตาปะขาวเณรค�ำได้ท�ำนายไว้กับครูณรงค์ เทศประสิทธ์ิ ไว้ว่า “จากนี้ไป
หลงั ก่ึงพุทธกาล จะมีเหตกุ ารณเ์ กิดขึน้ ในอนาคต ๓ ประการ ที่เมืองบึงกาฬ
๑. จะมพี ระวัดใตผ้ ูกคอตาย
๒. จะมีพระรูปหนงึ่ ชือ่ ทองพลู เปน็ ญาตกิ บั ครณู รงค์ เทศประสทิ ธ์ิ จะมาจากบ้านเดอื่ จงั หวัด
สกลนคร แล้วจะมาเผาศพพระที่ผกู คอตายแลว้ จะไม่กลับ จะตั้งวดั ทีบ่ งึ กาฬ วดั นน้ั จะกลายเปน็ วัดให้
พุทธศาสนิกชนได้มากราบไหว้บูชาตอ่ ไป
๓. จะมีพระองค์หน่ึงชื่อ พระอาจารย์จวน ขณะน้ีอยู่ดงหม้อทอง เป็นพระสุปฏิปันโนองค์
ส�ำคัญ เปรียบเสมือนพ่ีชายใหญ่ของพระอาจารย์ทองพูล ท่านจะย้ายมาอยู่ถ�้ำจันทน์ ทั้ง ๒ รูป
จะเกอ้ื กลู กนั เปน็ หนอ่ เนือ้ พระชินสหี ์ จกั เปน็ ศักดิ์เป็นศรแี ห่งเมืองบึงกาฬ
ด้วยความท่ีครูณรงค์ไม่เชื่อเรื่องพระเท่าไรนัก จึงถามตาปะขาวเณรค�ำว่า “มันจะเจริญไหม
ในกาลต่อไป” ตาปะขาวเณรค�ำตอบว่า “วัดน้ตี อ่ ไปจะเจรญิ รงุ่ เรือง” ครูณรงคแ์ กก็เชื่อบา้ ง ไมเ่ ช่อื บ้าง
เพราะเรอื่ งที่พูดกัน ยังไมเ่ กิดขึน้ จึงเชอื่ บา้ งไม่เชือ่ บ้าง ฟังๆ ดๆู กนั ไปไมล่ บหลู่
คำ� ท�ำนายนกี้ ็โจษขานกนั ไปในหม่บู คุ คลผู้ค้นุ เคย ลามไปทกุ หวั เมืองทา้ ยเมืองบึงกาฬ ผคู้ นต่นื
คำ� ท�ำนายเหมอื นคราวท่ตี น่ื ผีบุญทีเ่ มืองโคราช”
ซง่ึ กาลตอ่ มาคำ� ท�ำนายดงั กลา่ วลว้ นเปน็ ความจรงิ ข้ึนมา โดยคณุ หมอประพักตร์ โสฬสจนิ ดา
ไดเ้ มตตาเลา่ ไวด้ งั น้ี

159

“พอดพี อผมมารับราชการอยู่ประมาณสกั ไม่กเ่ี ดอื น พระวดั ใต้ผูกคอตายจรงิ ๆ ทีนี้ เพราะวา่
เปน็ โรคหดื แตก่ อ่ นโรคหดื มนั กไ็ มม่ ียารักษา สูบแตย่ าใบมะเขือบ้า กต็ าย ตาย ผมกเ็ อ้ ! เรอื่ งเณรค�ำ
ท�ำนายอาจจะเปน็ จริงแล้ว พอพระตายไปไดป้ ีเดยี วปั๊บ พอสอง ปี ๒๕๐๑ จดั การเผาศพ อาจารย์
ทองพูลน่บี วชได้ ๕ พรรษา มาจากบา้ นเด่ือศรีคนั ไชย กม็ าเผาศพทว่ี ัดใต้ พอเผาศพป๊ับ อาจารย์
ทองพลู กไ็ มก่ ลับ เพราะว่าเณรค�ำได้ทำ� นายบอกครคู ำ� บา ช่อื จริง ครณู รงค์ เทศประสิทธิ์ ไวว้ า่

“พ่นี อ้ งเจ้า ช่อื หนพู ูล เทศประสทิ ธิ์ ท่านจะมาเผาศพ แล้วไม่นานจะตง้ั วัด”
ก็เลยถามกันวา่ ต้ังทางไหนทีไร ชไี้ ปทางสนามบนิ คอื โรงพยาบาลทุกวนั นีก้ ็เปน็ สนามบิน
เณรค�ำบอก “ไมใ่ ช”่ กช็ มี้ าทางภูกระแตน่แี หละ
ทีน้เี หตุการณ์กเ็ กิดขน้ึ ผมก็แอบสังเกตดู เอ้ ! มนั จะใชไ่ หมหนอ ?
พอท่านอาจารย์ทองพูลมาเผาศพที่อ�ำเภอบึงกาฬปั๊บ ก็กลับเป็นจริงทีนี้ ก็มาหาเลือกไป
เลอื กมา เลือกไปเลือกมา กช็ ้ีมาตั้งทีภ่ ูกระแตทุกวันนีแ้ หละ แล้วต่อไปครณู รงคก์ เ็ ลยถามว่า “เมือ่ ต้งั
วดั เสร็จแลว้ เนยี่ วัดน่จี ะเจริญไหม ?” บอก “เจริญ” แล้วทีน้ีก็ ครณู รงค์กถ็ ามเล่นถามหวั ไปว่า “เออ !
ภาคอีสานในขณะนี้เนยี่ พระในอสี านเราเนย่ี ใครที่นา่ นับถือกราบไหวไ้ ด้สนทิ ใจ” เณรค�ำก็ไดพ้ ดู กบั
ครณู รงค์ว่าชอื่ “จวน” ครูณรงค์ก็เกิดมาไมเ่ คยเหน็ อาจารย์จวน ไอ้เรากเ็ กดิ มากไ็ ม่เคยเห็นอาจารย์
จวนเหมอื นกนั ใชไ่ หม ? อาจารยจ์ วนระยะนั้นอยู่ดงหม้อทอง แล้วกม็ าพดู กบั ครูณรงค์ บอกว่า “อยาก
รูจ้ ักอาจารยจ์ วนไหม ?” ครูณรงคก์ ็บอกว่า “อยากร้จู ัก” “เออ ! ถา้ อาจารยจ์ วนเข้ามาบึงกาฬเมื่อไหร่
จะอยากให้ครณู รงค์เห็นเป็นคนแรก” 
ทีน้ีถามครูณรงค์ว่า ท�ำไมถึงเชื่อเณรค�ำ ? ก็ครูณรงค์ที่เชื่อเณรค�ำก็เพราะว่า คือพูดเหมือน
คนวกิ ลจริต แต่ว่าเป็นความจริง สมมตุ ิวา่ วันน้ใี ครจะมาอยา่ งนนั้ อยา่ งนี้ หรอื อยา่ งไงอยา่ งนี้ มันจะ
ตรงปั๊บๆ เลย แต่ไอ้พวกลูกศิษย์นี่ก็เชื่อบ้าง ไม่เช่ือบ้าง เหมือนเราถามกันอย่างนี้แหละ เพราะมัน
เหตุการณย์ งั ไม่เกดิ ใชไ่ หม เขาคงจะเปน็ เรอ่ื ง มญี าณของเขาละ่ มงั้  เรากไ็ มร่ ้นู ะ 
มวี นั หนงึ่ ครณู รงคเ์ ลา่ ใหฟ้ งั วา่ ตำ� รวจจบั เณรคำ� จบั เพราะวา่ ไปไหนคนมนั แหไ่ ปเยอะ คนตน่ื คน
ก็เหมือนอย่างนี้พวกข้าราชการก็นึกว่า พวกน้ีไปตามคนบ้าท�ำไม เพราะว่าไปเป็นบ้าน ไปกลางวัน
กลางคืนก็เป็นฝูง พอดีต�ำรวจไปจับ พอจับปั๊บ แล้วก็พอดีแต่ก่อนต�ำรวจเราข้ึนกับนายอ�ำเภอ
นายอ�ำเภอกไ็ ปราชการจงั หวัดหนองคาย พอคนื นนั้ นายอ�ำเภอกลบั มา แต่เณรค�ำบอกกบั พวกลูกศษิ ย์
วา่ “ยงั ไม่ต้องตกใจ สกั สามท่มุ ถ้านายอ�ำเภอมา เราจะถูกปล่อยเอง” ไอ้พวกน้นั ก็ไมค่ ่อยเช่ือ น่ีพอดี
นายอ�ำเภอมาถึงปั๊บ พวกตำ� รวจกไ็ ปรายงานว่า อย่นู ี้ไดจ้ ับคนท่ชี อ่ื เณรคำ� ไว้แล้ว นายอ�ำเภอกบ็ อก
ไปปล่อย ไปจับคนบ้ามาทำ� ไม พวกนัน้ ลูกศษิ ยก์ ด็ ใี จ อู้ย ! ท่านทายแมน่ เว้ย วา่ นายอำ� เภอมาจะเปน็
คนสั่งปล่อย นายอำ� เภอไม่ได้ศรัทธา แต่เข้าใจว่าเป็นคนบา้ ก็เลยปล่อย 

160

ทีน้ีก็พอดีครูค�ำบาเล่าให้ผมฟังว่า ท่านจะให้ครูค�ำบาว่า “เออ ! ถ้าอาจารย์จวนมาบึงกาฬ
จะให้ครูณรงคร์ ู้จกั คนแรกเลย ตอนน้พี อดไี อโ้ รงเรียนทา่ ไคร้กับทา่ โพธิ์มนั อยู่ติดกัน ท่าไคร้ บึงกาฬ
น่ีแหละ พอดีครณู รงค์กเ็ ปน็ ครใู หญ่อยบู่ า้ นทา่ ไคร้ นโ้ี รงเรยี นแกก็รอ้ื ครงึ่ หนง่ึ อกี ครึ่งหนงึ่ รอื้ สงั กะสี
แลว้ เลยเอานักเรียนไปสอนทบี่ า้ นทา่ โพธ์ิ แกบอกเยน็ วนั หนง่ึ กลับมา มาเห็นผ้าเหลืองตาก ตากอยู่
โรงเรยี นแก แกก็ด่าไอห้ วั โลน้ ไหนมาเอาโรงเรียนกอู ีกแล้ว แกก็เข้าไปถึง ไปถาม มนั มีเณร กม็ ากับ
เณร “เณรๆ พระองค์น้ันชอ่ื อะไร” “ชื่อจวน” แกกน็ ึก เอ๊ะ โอ้ ! วา่ เณรคำ� ไดท้ �ำนายไว้ถูกต้องแลว้ วา่
“มีพระองคห์ นง่ึ ว่าในอีสานวา่ ทีห่ นึง่ ชอ่ื จวน ถ้ามาบงึ กาฬจะให้ร้จู ักเปน็ คนแรก” แกกร็ ีบกลบั บา้ น
ไปเอากุญแจมา เพื่อจะไขส่วนหนึ่งที่ยังไม่ได้รื้อหลังคาให้อาจารย์จวนมานอน เออ ! แล้วพอดีไป
มันไม่ทัน อาจารยจ์ วนเอากลดลงซะกอ่ น เณรเลยบอกว่า “ทา่ นเอากลดลงแลว้ ท่านไมร่ บั แขกแลว้ ”
พอดรี งุ่ เช้าแกจะมาจงั หนั เช้า ตื่นไม่ทนั อาจารยจ์ วนเลยไปเวียงจนั ทน์ 

ตอนนัน้ ผมกไ็ ม่ไดเ้ ขา้ วัดเข้าวาเลยเท่าไหร่ แตผ่ มเชือ่ เณรค�ำแลว้ ทง้ั ๆ ไม่เหน็ เณรค�ำได้สงั่ ไวว้ ่า
“เราจะมาปรากฏตวั บอ่ ยๆ เดอ้ ถา้ เจา้ มเี รอ่ื งมรี าว แต่ว่าเราจะมาในลกั ษณะรปู ตา่ งไป เป็น
หนมุ่ ก็ได้ อายุมากก็ได้ แต่วา่ แผลเป็นขา้ งซา้ ยนเี่ ราเปล่ยี นไมไ่ ด้” ว่าอยา่ งนัน้
แต่ทีนี้มายงั เปล่า ผมกไ็ ม่รูน้ ะ ผมกไ็ ม่รเู้ หมอื นกัน เณรค�ำจะมาอีกหรือเปล่า ทีน้ีกเ็ อ้ ! เรามาคิด
ดวู ่า เอ้ ! เณรคำ� ก็คอื (ทาย) แมน่ แท้วะ ทายไวห้ ลายอยา่ งกเ็ ลยถกู ”

คุณหมอประพักตร์รู้จักหลวงปู่ทองพูลและกราบหลวงปู่จวนครั้งแรก

คณุ หมอประพกั ตร์ โสฬสจินดา ไดเ้ มตตาเลา่ ไว้ดงั น้ี
“ทีน้ีมีอยู่วันหน่ึงตอนนั้นอาจารย์ทองพูลก็มาต้ังภูกระแตน่ี ท่านมาชี้ตั้ง วันหน่ึงมันเป็น
วนั พระหรอื วันอะไร ฝนตกหนักแลว้ คนปว่ ยที่โรงหมอมันมาก ผมก็เบือ่ ว่า “เอ้ ! เราไมไ่ ด้พกั ผอ่ นเลย”
ผมก็เลยเอามุ้ง เพราะได้ขา่ วว่ามพี ระธรรมยตุ มาตัง้ วดั อย่ทู ่นี ่ี ผมกข็ ้ึนมา ก็มาสวนกนั กบั ทา่ นอาจารย์
ทองพูลก�ำลังลงไปพอดี ประมาณบา่ ยหา้ โมงเยน็ ถามวา่
“อาจารยจ์ ะไปไหนนน่ั ?”
“เราจะกลับบา้ นเดื่อ” ท่านว่า
ผมบอก “โอ้ย ! รถบึงกาฬมันมตี อนเช้าคันหนง่ึ ตอนเช้าออกมาจากอดุ รฯ คนั หน่งึ มีเท่านน้ั ละ่
ครับ อาจารยไ์ ปไม่ไดด้ อก” เอา้ ! อาจารยเ์ ลยบอก “ไปไม่ได้ เอา้ ! ขนึ้ มาคุยกัน” จนมีความผูกพัน
กับทา่ นอาจารยท์ องพูลมาต้ังแต่ปี ๒๕๐๑ ตอนน้นั เข้าวดั เขา้ วาแล้ว เขา้ แบบธรรมดา คดิ วา่ เออ้ !
เรานี่มนั บวชไมไ่ ดน้ ้อ เมือ่ บวชไม่ได้น่ี เราไมม่ ปี ญั ญาบวชดว้ ย เรากไ็ มม่ บี ุญวาสนาเรื่องบวชด้วย
เราควรจะสง่ เสรมิ คนบวช ไดค้ ดิ เท่านน้ั เอง ไมไ่ ดค้ ดิ มาก มนั กด็ ีละ่ ครบั เอ้ ! เราคิดยังไงนอ้ วา่ บางคนก็

161

ว่าเราต้องไดม้ าบวช บอกวา่ “โอย้ ! มันจะบวชได้หรือ มนั จะไมส่ กึ หรือ ?”
มาอยู่ไป อยูไ่ ป อยไู่ ป กเ็ อ้ ! เห็นวา่ พระ แต่วา่ เหตกุ ารณ์คร้งั นั้นมนั เกดิ ขนึ้ มันไมเ่ หมือนทกุ วันนี้

พระแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรยี กฝา่ ยทางพระบ้าน เรยี กวา่ พระบา้ น พระวัดปา่ อย่างนี้เรยี กวา่
พระปา่ ทา่ นวา่ พระน่ไี มด่ หี รอก ชอบอยแู่ ต่ป่าชา้ ไม่ชอบอยู่ในเมือง ท�ำลายป่า วา่ อยา่ งนั้นนะ่

ทนี ที้ างผมกม็ ารว่ มทางนป้ี ระมาณ ๓ – ๔ คน กเ็ ลยแบง่ กนั เปน็ สองพรรคสองพวก ทางนาเหนอื
ก็มาวัดนี้ ทางบ้านกลาง บ้านเหนือ ก็ไมค่ ่อยมาเทา่ ไหร่ เพราะไม่กล้ามา เพราะถ้ามาป๊ับ ทางนี้จะถาม
เลยว่า “โอ้ ! อรหันต์แลว้ นอ้ ” ทา่ นวา่ ว่าพวกมาท�ำบุญทางนี้ คอื จะอรหนั ต์ไวแทๆ้ นะ ก็เกิดความอาย
กันอยพู่ กั หน่งึ ตอนน้ันพระธรรมยุตนี่พระปฏิบัติ เปน็ พระทค่ี ล้ายยงั ไม่เผยแพร่มาทางน้มี าก

ทีน้ีอยู่มา อยู่มา อยู่มาผมก็เอ้ ! ทุกวันพระผมก็ขึ้นมาวัด ตอนนั้นของที่ติดมาก็ว่าน�้ำตาล
กาแฟ กาแฟมนั ไม่เหมือนสมัยนี้ สมยั นี้รู้สึกชงทไี่ หนกไ็ ด้ สมัยนนั้ มนั เป็นกาแฟผง ตอ้ งมีถุงมาน�ำมาชง
อาจารยท์ องพลู ก็อยู่น่ีแลว้ มีเณรอยู่ ๓ องค์ ๔ องค์

ถ้าใครรู้จกั อาจารย์ผาง (หลวงป่ผู าง โกสโล) เดี๋ยวน้ี ทอี่ ย่วู ดั หินแตก ที่ก�ำลงั มีชอื่ เสยี งโดง่ ดงั นนั่
แตก่ อ่ นกบ็ วชเป็นผา้ ขาวอยูน่ ่ี แกงแซบ้ แซบ (อร่อยมาก) ทา่ นแกงออ่ มเกง่ เมอื่ ปี ๒๕๐๐ ทา่ นก็อยู่
นี่แหละ อาจารยผ์ าง ใครๆ กจ็ ะร้จู กั หรอก ผาง ถำ้� ผาแตก อยพู่ รรณานคิ มเดยี๋ วน้ี ท่านอยู่นก่ี ่อน ทีน้ี
อยู่ไปๆ ผมก็ขึ้นมาทกุ วันพระ ตอนนั้นก็มาแบบธรรมดาว่า “โอ้ ! เราเนาะ พระทา่ นอดอยาก” แลว้ กม็ า

พอดปี ี ๒๕๐๒ ละ่ ทีนป้ี ี ๒๕๐๒ เกิดเร่ืองใหญ่ มีพระจากอุดรฯ ท่านมาอยูก่ บั ท่านอาจารย์จวน
ทบี่ ้านคำ� ไผ่ ที่ถำ้� จนั ทนท์ กุ วนั นแี้ หละ ทีน้ีอาจารยท์ องพลู ก็ถามผมบอกว่า

“อยากไปไหม จะพาไปนมสั การพระผใู้ หญ่ ทา่ นช่ือจวนนั่นนะ่ ทา่ น ๑๗ พรรษาแลว้ ”
ผมก็ไปอีก เดินทางจากน่ีประมาณโมงเช้า (๐๗.๐๐ น.) มันจะถึงถ�้ำจันทน์นี่ประมาณบ่าย
๕ โมงเย็น เพราะว่าไอด้ งศรีชมภนู ี่มันจะเป็นทางช้างทัง้ หมด เราจะเดินไปลกู เดียว มันไม่มที างอน่ื
หนา้ แลง้ กไ็ ดแ้ ตข่ ี่จกั รยานไปบ้าง กวา่ จะไปถึงบ้านค�ำไผ่กป็ ระมาณท่มุ หนงึ่ ๕ โมงเย็นนีแ่ สดงว่าสะดวก
แล้ว อาจารยท์ องพูลกพ็ าผมไปหาท่านอาจารยจ์ วน
เอ้อ ! ผมหาอาจารยจ์ วนทีแรก “โอ๋ ! ทำ� ไมท่านรปู หล่อมากนะ ?” เพราะพระอาจารย์จวนเปน็
พระท่ีตอนนนั้ ลักษณะทา่ นกง็ ดงามเลยนะ ผมก็เอ้ ! พระอาจารย์จวนนี่ ท�ำไมรูปงามแท้ ? ย้อมหมาก
ปากแด๊งแดง น่ังอยูโ่ ขดหิน ผมกไ็ ปกราบ กราบก็พดู กนั นดิ ๆ หนอ่ ยๆ ผมก็พดู ทางพระทางเจา้ กไ็ มเ่ ป็น
ระยะนั้นกเ็ ป็นแต่ไดเ้ พยี งแต่ว่าใครชวนไปเร่อื งน้กี ไ็ ป กเ็ ลยติดสอยห้อยตามท่านมาตลอดๆ”

162

หลวงปู่ทองพูลเคารพท่านพระอาจารย์จวนเป็นอย่างมาก

ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๒ หลวงป่ทู องพูล สิริกาโม แหง่ วดั ภูกระแต หรอื วดั สามคั คอี ุปถัมภ์
ไดเ้ ดนิ ทางมากราบนมัสการท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ทถี่ ำ้� จันทน์ โดยประวัติหลวงปทู่ องพลู ได้
บนั ทกึ ไวด้ งั น้ี

“หลงั จากท่ีสร้างวดั ภกู ระแตไดไ้ มน่ านกไ็ ด้ทราบขา่ ววา่ หลวงปูจ่ วน กลุ เชฏฺโ มาพักอยู่ที่
ถำ�้ จนั ทน์ หลวงปูท่ องพลู จงึ นำ� คณะศิษย์ทางบึงกาฬ ออกเดนิ ทางเพือ่ นมสั การหลวงป่จู วนท่ีถ้�ำจันทน์
จากภูกระแตไปยงั ถ�้ำจันทน์ ใช้เวลา ๑ วัน เช้าจรดเยน็ เดินไปตามทวิ ป่า ญาตโิ ยมก็ห่อขา้ วหอ่ ปลา
ไปรับประทาน มีผตู้ ดิ ตามท่าน ๓ คน เดนิ ผ่านดงศรชี มภูไปถึงถ้�ำจนั ทน์ประมาณบา่ ย ๕ โมงเย็น

เมื่อไปถึง ท่านก็แนะน�ำให้ญาติโยมมอบถวายตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่จวน องค์ท่านแสดง
คารวะเคารพตอ่ หลวงป่จู วนเป็นอย่างมาก ผู้ทอี่ ยู่ในเหตุการณไ์ ด้เลา่ ว่า “ดูท่านทง้ั สองเหมือนมคี วาม
สนิทสนมผูกพันกันมาหลายภพชาติ” ทา่ นพระอาจารย์จวนกล่าวกับพระอาจารย์ทองพลู ว่า “จะต้ัง
หลกั บำ� เพ็ญภาวนาทถ่ี ้ำ� จนั ทนต์ อ่ ไป”

สมัยนน้ั ยงั ไม่มหี มู่บ้าน ยังเป็นปา่ ดงดบิ มแี ตห่ ม่บู ้านชา้ ง หมู่บ้านเสอื หมบู่ ้านสตั วป์ า่ นานา
ชนดิ ทพ่ี ดู เช่นน้ีเพราะมันอยูก่ ันเป็นฝูงและมีเป็นจ�ำนวนมาก อยากพบเสือพบชา้ งง่ายกวา่ พบคน ผู้คน
หายากกว่าเสือกว่าช้าง มีบ้านพวกชาวข่าซึ่งอพยพมาจากฝั่งลาวมาอาศัยท�ำไร่สวนอยู่กลางดง คน
พวกนเ้ี ขาไมก่ ลัวช้าง ไม่กลัวเสือ ทีเ่ รยี กว่า บ้านนาตบั เต่า ก็มีบา้ นอยเู่ พยี ง ๒ หลงั เท่าน้ัน แต่กเ็ รยี กว่า
หมู่บา้ น เรียกกนั โก้ๆ ไปอยา่ งนั้นเอง

ถ้�ำจันทนน์ ้ีดดู มี ีเสน่ห์ เพราะพระมหาเถระท่มี ีความส�ำคญั มาบ�ำเพญ็ เพยี รภาวนาหลายรปู เช่น
ทา่ นพระอาจารย์สิงหท์ อง ธมฺมวโร หลวงปูข่ าน านวโร เท่าที่ทราบพระอรหันตท์ บี่ รรลุโสดาบัน
ต้งั แต่ยังไม่บวช คอื หลวงปูบ่ วั สริ ปิ ณุ ฺโณ วดั ป่าหนองแซง ทา่ นไดม้ าร่วมจำ� พรรษากับหลวงปจู่ วน
ด้วย นอกจากนัน้ ยังเปน็ มงคลสถานของพระกรรมฐานหลายองค์ ท่านมาไดห้ ลักใจ ณ ทน่ี ้เี ช่นกนั

หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม แลเห็นปฏิปทาของหลวงปู่จวนที่ท่านปฏิบัติเอาเป็นเอาตาย
ก็ย่ิงก่อให้เกิดศรัทธาปสาทะในอันท่ีจะปฏิบัติตามพุทธโอวาทให้ตลอดรอดฝั่งภายในภพชาติเดียว
ไมอ่ ยากเสยี เวลาไปอีกนาน หวังลดธงปลงภาระให้จบภายในวันนี้พรุ่งนี้ เห็นโทษภัยของกเิ ลสว่าเป็น
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าเห็นช้างเสืออันเป็นสัตว์ตัวดุร้ายเสียอีก ท่านอยากละอวิชชาตัณหาให้มันขาดไป
ในบัดเด๋ียวนั้น ไม่ปรารถนาภพใหม่อันเป็นเรื่องยุ่งเหยิง อยากถอนเสาร้ัวของกิเลสที่เป็นด่ังกงล้อ
ใหก้ ระเจิง คือ ชาตแิ ละสงสาร ไม่อยากมี ไม่อยากเปน็ ไมอ่ ยากต่อรองขอเวลาอกี ตอ่ ไป

ท่านจึงเร่งความเพียรไล่เพ่ือตามไปให้ทันหลวงปู่จวนและพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เมื่อถึงแดน
นพิ พานก็สดุ ปลายไม่มีทปี่ นี ปา่ ยต่อ ทา่ นคดิ ว่า “ถ�้ำจนั ทน์นี่แหละ จะเปน็ สนามรบกบั กิเลสน้อยใหญ่
ทขี่ ึน้ ข่ีหวั ใจมาช้านาน” ทา่ นไม่ลงั เลในปฏปิ ทาทางดบั ทุกข์ หมัน่ พิจารณากายท�ำอยา่ งจรงิ จัง ไม่ลูบๆ

163

คลำ� ๆ มงุ่ ตรงช�ำระศีลและทิฏฐิให้บริสทุ ธ์ิ ตัดทางอบายทัง้ มวล คอื ทางท่ีจักเกดิ ราคะ โทสะ โมหะ
ในระหว่างท่ีพกั อยู่ถ�ำ้ จนั ทน์ ทา่ นวา่ ท่านหม่นั เพียรไม่ลดละ หวังชัยชนะ ไมห่ วงั เดนิ ทางมา

พ่ายแพ้ ท่านอยากจะพักท่ีถ�้ำจันทน์น้ีกับหลวงปู่จวนนานๆ แต่เห็นว่าอดอยากล�ำบากเหลือเกิน
อยนู่ านอาจเป็นภาระใหห้ ลวงป่จู วนลำ� บากก็เป็นได้ ท่านจึงลากลบั มาวดั ภกู ระแต

ดว้ ยความท่หี ลวงปู่ทองพลู ทา่ นนึกถึงบญุ คุณและเห็นความล�ำบากของท่านพระอาจารยจ์ วน
เหลือหลาย ท่านจึงให้ญาติโยมน�ำข้าวปลาอาหารไปส่งที่ถ้�ำจันทน์เสมอ บางคราวก็น�ำผ้าป่าและ
จตุปจั จัยไปทอดถวายทวี่ ัดถำ�้ จันทน์ด้วย

จากนนั้ เป็นต้นมาทา่ นท้งั สองก็ได้ไปมาหาสูก่ นั ตั้งแต่น้นั มาอยา่ งสม�่ำเสมอมิได้ขาด ประหนึ่งว่า
เปน็ อวยั วะเดียวกัน ถ้าสว่ นไหนเดือดร้อนก็กระเทอื นถงึ กันหมดทุกส่วน”

ประวัติย่อ หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม

หลวงปู่ทองพูล สิรกิ าโม ท่านเป็นพระกรรมฐานสายทา่ นพระอาจารย์ม่ัน ภรู ทิ ตตฺ มหาเถร
ท่านกบั ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ มีความสนิทสนมกนั มาก

นามเดิมทา่ นชอ่ื หนูพูล นามสกลุ เอนไชย ท่านเกิดตรงกบั วันศกุ ร์ท่ี ๒๔ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๗๕
ทีบ่ ้านเด่ือศรีคันไชย อำ� เภอวานรนิวาส จงั หวัดสกลนคร

บิดาชื่อ นายเคน มารดาชื่อ นางสุภี เป็นบตุ รคนท่ี ๕ ในจ�ำนวนพีน่ อ้ งทงั้ หมด ๗ คน
ต้งั แตว่ ยั เด็ก ทา่ นมลี ักษณะนิสยั สุขุมเยือกเย็น พดู นอ้ ย อ่อนนอ้ มถ่อมตน อยูใ่ นโอวาทของ
พอ่ แมญ่ าติพ่ีนอ้ ง มีจิตเมตตา ท่านเคยพดู เสมอว่า “อดีตครัง้ ทเี่ ป็นฆราวาสอยนู่ นั้ มันไม่นา่ ศึกษาอะไร
เลย มนั มีแต่บาป มนั มแี ตก่ รรม ทำ� ดีสว่ นนอ้ ย ทำ� ชั่วเสียสว่ นมาก แล้วจะเอาไปท�ำไม ก็ศกึ ษาเอาตอน
เปน็ พระ ตอนที่มีธรรมะบ้างแลว้ ในใจนะ่ เอาไปเถดิ รับรองเปน็ ปฏิปทาด�ำเนินไดน้ ะ” 
ทา่ นไดบ้ รรพชาอปุ สมบทครง้ั แรกเปน็ พระในฝา่ ยมหานกิ ายทวี่ ดั ทา่ เดอื่ ตอ่ มาทา่ นไดส้ ดบั รบั ฟงั
ธรรมเทศนาจากหลวงปู่สีโห เขมโก แล้วท่านก็รู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในปฏิปทาของพระมหากัสสปะ
และของหลวงปู่สโี ห จึงไดฝ้ ากตวั เปน็ ศิษยข์ อปฏบิ ัติธรรมตง้ั แตบ่ ดั น้ันเป็นต้นมา
ญัตติเป็นธรรมยุต ในปีน้ันเป็นช่วงเข้าพรรษา ท่านได้อยู่อบรมปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่สีโห
เขมโก หลังจากออกพรรษาแล้ว ท่านทั้งสองจึงได้ออกวิเวกมาจังหวัดอุดรธานี จากนั้นเม่ือวันที่
๗ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ ทา่ นได้ญัตตเิ ปน็ ธรรมยตุ โดยมที า่ นเจ้าคณุ ธรรมเจดยี ์ (จมู พนฺธุโล) เปน็
พระอุปัชฌาย์ พระครูสมหุ ส์ วสั ด์ิ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ไดร้ บั ฉายาว่า “สิริกาโม”
จากน้นั หลวงปูท่ องพลู ได้ตง้ั จติ แนว่ แน่ในการปฏบิ ัติธรรมตามค�ำส่ังสอนของพระพุทธเจา้ และ
ถึงขั้นท่ีเรียกได้ว่ามอบกายถวายชีวิต โดยการออกธุดงค์หาสถานที่วิเวกเพื่อเร่งความเพียร บ�ำเพ็ญ

164

ภาวนา เพยี งพรรษาแรกท่านได้ถือเนสชั ชธิ ดุ งค์ คือการไมน่ อน ไมย่ อมใหห้ ลงั แตะกับพื้นตลอดพรรษา
และอดอาหารควบคู่กันไป ท่านยังป่วยอาพาธเป็นไข้มาลาเรียอย่างหนัก แต่ท่านอาศัยธรรมโอสถ
ขันตธิ รรมเพ่งเวทนาทเ่ี กดิ ข้ึนจนไขม้ าลาเรยี หายไปเอง

ศึกษาธรรมอย่กู ับหลวงป่ฝู ัน้ อาจาโร ในครง้ั แรกนน้ั หลวงปู่สีโห เขมโก ไดพ้ าท่านไปกราบ
คารวะหลวงปูฝ่ ้นั ทีถ่ ้�ำขาม เม่ือไปถงึ หลวงปฝู่ ัน้ กไ็ ดใ้ ห้ปฏบิ ัติอย่างหนกั คอื นงั่ สมาธิ เดินจงกรม
ฟงั อุบายธรรม ตลอดถงึ ขอ้ วัตรปฏบิ ตั ิอยา่ งเคร่งครดั เลยทีเดียว ทา่ นเอาจริงเอาจังหลายปี พจิ ารณาตน
จนเห็นชัดว่า นีค่ ือรงั ของโรค เพราะเหตนุ ้เี องท่ี หลวงป่มู ัน่ ภรู ทิ ตโฺ ต จึงไดพ้ ยายามส่ังสอนลูกศษิ ย์
ท้ังหลายให้เอากายน้ีแหละมาพิจารณา มองกายของเราแล้ว กายคนอื่นก็รู้หมด เกิดเบื่อหน่าย
คลายความกำ� หนัด

ในขณะฟงั การอบรมกรรมฐานจากหลวงปฝู่ ั้น อยนู่ ้ัน จติ ใจของทา่ นเกดิ ความสงบนิ่ง เยอื กเย็น
เหลอื จะกล่าว มนั มีความสุข จิตใจเบาโปรง่ ไปหมด เลยไดต้ ้งั จติ อธิษฐานว่า

“ขอให้ข้าพเจ้า จงพ้นเสียจากความทุกข์โดยเร็วไวในชีวิตน้ี ข้าพเจ้าขออุทิศถวายแด่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขออย่าได้มีอุปสรรคมาขดั ขวางทางดำ� เนินมรรคผลของข้าพเจา้ เลย”

ส�ำรวจภูทอก หลวงปู่ทองพูลให้ความเคารพเลื่อมใสในคุณธรรมของท่านพระอาจารย์จวน
และทา่ นเป็นหน่ึงในพระผู้รว่ มบุกเบิกภทู อกกบั หลวงปู่จวน ท่านไดช้ ว่ ยหลวงป่จู วน กุลเชฏฺโ พฒั นา
ภทู อก ต่อมาจงึ ได้มกี ารจดั สรา้ งสะพานไมว้ นรอบเขา มบี ันไดขน้ึ ไปถ�้ำ เง้ือมผา เปน็ ทีบ่ �ำเพญ็ เพียรของ
พระกัมมฏั ฐาน

ส�ำหรับวดั สามคั คีอปุ ถัมภ์ หลวงปทู่ องพูลไดเ้ ดินทางมาในชว่ ง พ.ศ. ๒๕๐๒ ทา่ นได้พฒั นาวัด
จนเจริญรุง่ เรอื งเร่ือยมาจวบจนถึงปัจจบุ นั

ท่านได้ละสังขารดว้ ยอาการอาพาธภาวะปอดอกั เสบ เม่อื วันที่ ๑๒ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๕๘
เวลา ๑๘.๕๙ น. สิริรวมอายุได้ ๘๓ ปี ๖๓ พรรษา 

คุณหมอประพักตร์ เล่าเรื่องการส่งอาหารท่ีถ�้ำจันทน์

คุณหมอประพกั ตร์ โสฬสจินดา ไดเ้ มตตาเลา่ เร่ืองการส่งอาหารท่ถี ำ้� จันทน์ไว้ดงั น้ี
“เวลาไปส่งอาหารกไ็ ปเปน็ ทีม มีแมบ่ า้ นและกต็ �ำรวจ พวกเมียต�ำรวจหลายคน นี่พวกศาสนา
เนย่ี พวกชอบมาดว้ ยกันน่ีแหละ ประมาณทกุ สปั ดาห์ ไปเสาร์ – อาทิตย์ ไปคา้ งคนื หน่งึ เพราะมันไกล
ตอนน้ันอยู่บึงกาฬ ไปเชา้ วนั เสาร์ถึงนั่นเย็นก็ค้างคนื หนง่ึ เช้าวันอาทิตย์ก็กลบั
ทีน้พี ดู ถึงเรอื่ งคนหาบของ ท่พี ูดเรื่องน้ีกเ็ พราะว่าเวลาไป เรากก็ ลัวช้าง กลวั เสือ บางทเี รากเ็ อา
คนไป ๓ – ๔ คน หาบพวกน้�ำปลงนำ้� ปลาไป เราก็ตอ้ งบอกพวกนี้ เพราะพวกนชี้ อบเล่นบตั รเลน่ เบอร์

165

(หวย) ใชไ่ หม ? เอ้อ ! แล้วอาจารยจ์ วนก็มกี ติ ติศัพทว์ า่ ทา่ นบอกเบอรแ์ ม่น ก็ต้องบอกวา่ พวกนี้ก็ต้อง
ซักกบั เราวา่ ไปถงึ ต้องถามค�ำฝนั ให้ดว้ ยนะ เรากเ็ ออ ไมย่ าก ไมย่ าก หาบของก็แล้วกนั โอ้ย ! ของเยอะ
เราเกรงล�ำบาก เพราะน�้ำปลาก็ต้องหาบเป็นไห ไปล้มแตกก็แล้วเลย ไหตรานกเขาในนี่นะ มันไม่ใช่
ถุงพลาสตกิ ถืออยา่ งมากก็ได้น้ำ� ตาลทราย ๒ กิโลฯ กาแฟถงุ หนง่ึ กแ็ ยแ่ ล้ว

พวกนเ้ี ขาอยากได้เลขจากอาจารย์จวน เพราะเขารูว้ า่ ผมสนิทกันนะ ผมก็เออ้ ไป ไปก็ พอไปปั๊บ
บางทีกไ็ ปคนเดียว บางทีกไ็ ปกบั คณุ ณรงค์ ตอนนีก้ ็ไดข้ า่ ววา่ อาจารยจ์ วนอดขา้ วละ่ เพราะวา่ ระยะน้นั
บา้ น ๔ หลังคาเรือน เขาก็ไม่ได้ทำ� นาใช่ไหมล่ะ เขากห็ ากินเอาของมาขายแถวบึงกาฬ ผมก็เริ่มส่งขา้ ว”

ออกพรรษา พ.ศ. ๒๕๐๒ แก้นิโรธของหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ

ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ได้เมตตาเทศน์เร่ืองน้ีไวด้ งั นี้
“เมอ่ื ออกพรรษาแลว้ พวกแม่ขาว แมช่ ี พวกพระ เณร เขากก็ ลับ หนไี ปบ้านเขา ทีนยี้ ังเหลอื
ขา้ พเจ้าอยู่น้ันอีก อย่มู าหลวงป่บู ัว ทอ่ี ยอู่ ุดรฯ วดั บา้ นหนองแซง ทา่ นกม็ าอยู่รว่ มดว้ ยในฤดแู ลง้
ขณะที่หลวงปู่บัวมาอยู่นั้น ท่านว่าท่ีถ�้ำจันทน์นี้สมเด็จทองว่าภาวนาดี ก็เลยมุ่งหน้าไปท่ีถ้�ำจันทน์
เมื่อไปแล้วท่านก็ตั้งอกตัง้ ใจทำ� ความเพยี ร ท�ำความพากความเพียรอยทู่ ่ีนน้ั ตงั้ แต่เดอื นธนั วาฯ จนถงึ
เดอื นกรกฎาฯ
ขณะท่อี ยรู่ ว่ มกนั กบั หลวงปูบ่ ัว ระหว่างฤดแู ล้งทีถ่ ้�ำจันทน์นัน่ แหละ ได้ปฏบิ ตั ริ ว่ มกนั และก็ได้
สนทนาปราศรยั ฝา่ ยปฏบิ ัตธิ รรมทง้ั ดา้ นภายนอกและภายใน เพ่ือเป็นการแลกเปล่ียนความร้คู วามเหน็
ของกันและกันในทางปฏิบัติธรรม หลวงปู่บัวท่านได้เล่าประวัติของท่าน คือความเป็นมาในการ
ปฏบิ ัติธรรมและการภาวนาของท่าน เล่าใหข้ า้ พเจ้าฟัง ข้าพเจา้ จ�ำได้วา่ “สมยั ท่ีท่านยงั อยวู่ ัดหนองแซง
อุดรฯ น้นั ทา่ นไดเ้ ขา้ นิโรธสมาบัติ ก�ำหนด ๓ วนั บ้าง ๗ วนั บา้ ง จงึ ออกจากที่ภาวนา” ท่านวา่ อย่างนั้น
และข้าพเจา้ กย็ ้อนถามทา่ นว่า “วธิ ีเข้านโิ รธ เข้าอย่างไร ?”
ทา่ นว่า “เม่อื พิจารณาไป หรอื บริกรรมไป จติ มนั วางอารมณ์ มันรวมอย่เู ฉพาะจิต ใสบริสุทธ์ิ
หมดจดอยู่อย่างนั้น มันวางเวทนา ไม่มีเวทนา ไม่ปรากฏเวทนาทางกาย ทางธาตุ ทางขันธ์เลย
จิตออกจากธาตุ อยูเ่ ฉพาะจติ ล้วนๆ บริสทุ ธิ์ ใสสะอาด อยอู่ ยา่ งน้นั มีความสุขมาก” ทา่ นว่าอย่างนั้น
นท่ี ่านเขา้ นิโรธ
เวลาออกมา ข้าพเจา้ เลยถาม “เวลาจติ ถอนจากขณะเป็นอย่างไร ?”
“เวลาจติ ถอนจากขณะกเ็ บากาย เบาใจ ท�ำให้กายและใจสบายดี มีความเบกิ บานกายและใจ
ชมุ่ ชื่นอย่ตู ลอดเวลา” ท่านวา่
“ทนี ีเ้ วลาปกติอยูด่ ้วยอะไร ?” เรียนถามทา่ น

166

เวลาปกตทิ ่านว่า “กอ็ ย่ดู ้วยความสงบ และก็มคี วามปตี ิยินดีตอ่ จิตของตนทร่ี วมลงส่ภู วังค์ หรือ
ฐตี จิ ิตนัน้ ๆ” ท่านว่าอยา่ งนนั้

ขา้ พเจา้ กเ็ ลยย้อนถามหลวงป่วู า่ “นิโรธแปลวา่ ความดับทกุ ข์ ตัวนีห้ รือเปน็ ตัวดบั ทกุ ข์ ?”
ทา่ นวา่ “ใช่ ตัวนี้แหละดับทุกข์ เพราะเวลาเข้าไปไมม่ ีทกุ ขเวทนาอะไรเจบ็ ปวดรวดร้าว แมแ้ ต่
นิดหนอ่ ยก็ไม่ปรากฏในขณะน้นั ” น่ที ่านอธิบายเรือ่ งนโิ รธ
ข้าพเจ้าเลยยอ้ นถามเลยวา่ “เมอ่ื เปน็ เชน่ นี้ นโิ รธทา่ นแปลว่าผดู้ ับทกุ ข์ คอื ไม่มที กุ ข์ ก็แปลวา่
ดบั หมด กเ็ ปน็ พระนิพพานเทา่ น้นั ตวั น้หี รอื เป็นตวั พระนิพพาน นิโรธนีห่ รอื ?”
ท่านวา่ “ใชแ่ หละ อยา่ งน้นั ”
แลว้ สนทนาแลกเปลยี่ นความรซู้ งึ่ กนั และกนั ในทางภาวนา ซงึ่ ขา้ พเจา้ กไ็ มเ่ คยไดเ้ ขา้ นโิ รธชนดิ นี้
สักทีเลย ในสมบัติของข้าพเจ้าไม่มีอะไร เมื่อสนทนากันแล้วก็เลิกกันไป และข้าพเจ้าก็เลยลองไป
พิจารณาดเู ร่ืองนโิ รธของหลวงป่วู า่ เปน็ อยา่ งไร วนั หนง่ึ ข้าพเจา้ ไดน้ �ำไปพิจารณา พิจารณาไปจิตค่อย
สงบลง สงบลง เลยจิตหน่งึ พูดข้นึ ว่า
“นิโรธนี้ยังเป็นสังขารอยู่ ท�ำไมยังเป็นสังขาร ?” ข้าพเจ้าทักดู “เพราะเหตุว่านิโรธน้ียังมี
การเกิดและการดับ คือมีการเข้าและการออกอยู่ ไม่ขาดจากเหตุและปัจจัยอันเป็นเหตุให้เกิด คือ
ตวั สังโยชน์ ตัวสมทุ ยั ตัวตณั หา ตัวอาสวะ ตวั กิเลส เพราะจติ ชนิดนีถ้ า้ เข้าไปรวมแล้วก็เหมอื นกับว่า
ไมม่ ีกเิ ลส เมื่อถอนออกมาก็เป็นจติ ธรรมดา เป็นนิโรธที่ไว้ใจไมไ่ ด”้
และข้าพเจ้าก็เลยนึกถึงค�ำท่ีท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺตมหาเถร ได้เล่าเรื่องของ
ทา่ นพระอาจารยก์ เู่ ขา้ นโิ รธใหฟ้ งั ในขณะทขี่ า้ พเจา้ จำ� พรรษารว่ มกบั ทา่ นพระอาจารยม์ น่ั นนั้ ในพรรษา
นั้น ท่านได้ประกาศให้บรรดาสานุศิษย์ท้ังหลายทราบทุกๆ องค์ ว่าในสมัยหนึ่งท่านพระอาจารย์กู่
ทา่ นเข้าไปนมัสการทา่ นพระอาจารยม์ ั่น แล้วทา่ นพระอาจารย์มั่นถามท่านพระอาจารย์กู่วา่ “ทา่ นกู่
จากกนั ไปนาน เปน็ อยา่ งไรภาวนา ?” น่ีท่านพระอาจารยม์ ่ันถามท่านพระอาจารยก์ ู่ จ�ำได้
ท่านพระอาจารย์กู่เลยตอบถวายท่านพระอาจารย์ม่ันว่า “กระผมภาวนาน้อมจิตเข้านิโรธ”
นีท่ ่านพระอาจารยก์ ู่ว่า
ทา่ นพระอาจารย์มั่นเลยยอ้ นถามว่า “ถ้านอ้ มจติ เขา้ นโิ รธ น้อมจิตเข้าอยา่ งไร ?” ทา่ นอาจารย์
มั่นถาม
ทา่ นพระอาจารยก์ ่ตู อบถวายท่านวา่ “นอ้ มจติ เข้านโิ รธ คือทำ� ให้จติ สงบแล้วก็น่ิงอยู่ โดยไม่ให้
จติ น้นั นกึ คดิ ไปอย่างไร ใหส้ งบและรวมอยอู่ ย่างนั้น เรยี กว่าการนึกน้อมจติ เข้านิโรธ”
“แลว้ เปน็ อย่างไรเข้าไป ?”

167

ท่านอาจารย์กูเ่ ลยตอบวา่ “มันสบาย ไมม่ ีทุกขเวทนา”
“เวลามนั ถอนเปน็ อย่างไร ?”
“เวลามนั ถอนกส็ บาย ท�ำให้กายและจติ เบา”
ตอนน้ที ่านได้ประกาศให้ทราบทัว่ กนั บรรดาสานุศษิ ย์ ทา่ นอาจารย์ม่ันกเ็ ลยอธิบายเรอ่ื ง นิโรธ
ว่า “นโิ รธะ แปลว่า ความดบั คอื ดบั ทุกข์ ดบั เหตุ ดับปัจจยั ซ่งึ เป็นเหตุเป็นปัจจยั ให้เกดิ ทกุ ข์ท้ังหลาย
คอื ดับอวชิ ชาตณั หานั่นเอง จงึ เรียกว่าเป็นนโิ รธ จะไปถอื เอาว่าจติ ทไี่ ปรวมลงสภู่ วงั ค์หรือฐตี ิจิตเดมิ นนั้
เป็นนโิ รธ มันใชไ้ ม่ได้”
ท่านวา่ “จิตชนดิ นัน้ ถ้าขาดสตปิ ญั ญาพิจารณาทางวปิ ัสสนาแล้ว จะไม่ขาดจากสังโยชน์ ยงั มี
สังโยชน์คลมุ เครืออยู่ เม่อื ถอนมาก็เปน็ จติ ธรรมดา เมอื่ กระทบกับอารมณต์ า่ งๆ นานเขา้ กเ็ ป็นจติ ที่
ฟงุ้ ซา่ นและเสอ่ื มจากความสงบหรอื ความรวมชนิดนัน้ ” นีท้ า่ นอาจารยม์ ่ันทา่ นถาม
และท่านอาจารย์มั่น ท่านก็เลยประกาศให้ทราบว่า “ผมก็เลยไปพิจารณาดูนิโรธของ
พระอรยิ เจ้าดู” ทา่ นวา่ อย่างน้นั พิจารณาดูได้ความว่า “นโิ รธะ แปลวา่ ความดบั ดบั เหตุ ดบั ปจั จยั ให้
เกดิ ทกุ ขท์ ัง้ หลาย คอื ท�ำตณั หาให้สิ้นไป ดับตณั หาโดยไม่ให้เหลือนน้ั นั่นเอง ความละตณั หา ความวาง
ตณั หา ความปลอ่ ยตณั หา ความสละสลัดขาดจากตัณหา น้จี ึงเรยี กว่านิโรธ นิโรธของพระอรยิ เจา้ น้ัน
เปน็ อกาลิโก คือเปน็ นโิ รธการดับทุกขอ์ ยูต่ ลอดเวลา ไม่อา้ งกาล ไม่อ้างเวลา ไม่เหมอื นนิโรธของพวก
ฤๅษีชีไพรภายนอกศาสนา
ส่วนนโิ รธพวกฤๅษชี ไี พรภายนอกศาสนานน้ั มีความม่งุ หมาย เพราะอยากแต่จะให้จิตของตน
รวมอย่างเดยี ว สงบอย่างเดยี ว วางอารมณ์อยา่ งเดียว แลว้ เมอื่ จิตถอนจากอารมณแ์ ลว้ ก็ไมน่ ึกนอ้ มเขา้
มาใหร้ เู้ ห็นสัจธรรม คอื ทกุ ข์ เหตุใหเ้ กิดทุกข์ ธรรมอันทด่ี ับทุกข์ ในข้อปฏิบตั ิใหถ้ งึ ธรรมเป็นทด่ี ับทกุ ข์
ยินดีเฉพาะแต่จติ ที่สงบหรือรวมอยเู่ ทา่ นั้นวา่ เปน็ ทีส่ ุดของทุกข์ เมื่อจิตถอนก็ยนิ ดีเออ้ื เฟอื้ อาลัยในจติ
ท่ีรวม ตกลงก็เลยส่งจติ ของตนให้ยึดในเร่อื งอดีตบ้าง อนาคตบ้าง และปจั จุบันบา้ ง สว่ นกิเลสตณั หาน้ัน
ยงั อยู่ ยังเป็นอาสวะนอนน่งิ อยูใ่ นหวั ใจน่นั เอง”
ท่านว่าอยา่ งนนั้ นี่ท่านแสดง ท่านก็เลยอธิบายเรื่องนิโรธของพระอรยิ เจ้า พระพุทธเจ้าวา่
“นโิ รธ คือ ความดบั ทุกขข์ องพระอริยเจา้ นัน้ ตอ้ งเดนิ ตามมชั ฌิมาปฏิปทาทางสายกลาง คอื
ความเห็นชอบ ดำ� ริชอบ วาจาชอบ ทำ� งานชอบ เลยี้ งชีพชอบ เพยี รชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจไวช้ อบ
นจี้ ึงจะถงึ นโิ รธ คือ ความดับทกุ ข์ ดับเหตใุ ห้เกิดทกุ ข”์ ทา่ นวา่ อย่างนัน้ “นโิ รธของพระอรยิ เจา้ นั้น
ทา่ นจงึ เป็นนิโรธอยูต่ ลอดกาลเวลา ไม่อา้ งกาล ไมอ่ ้างเวลา ไมใ่ ช่วา่ กาลน้นั จึงจะเขา้ นโิ รธ กาลนี้จงึ จะ
ออกจากนิโรธ ไม่เหมอื นนิโรธของพวกฤๅษชี ไี พรภายนอกพระพุทธศาสนา” น้ที า่ นพระอาจารย์ใหญ่
มนั่ ภูรทิ ตตฺ มหาเถร ท่านแสดงไว้ ข้าพเจ้าก็เลยจ�ำความนั้นได้

168

ทีนี้เมื่ออยู่ร่วมกันในฤดูแล้งกับหลวงปู่บัวนั้น ได้สนทนาธรรมะแลกเปล่ียนความรู้ความเห็น
ซง่ึ กนั และกนั ซึง่ เป็นท่ีพออกพอใจของกนั และกนั แลว้ อย่มู าสมัยหนงึ่ ขณะน้นั แหละ หลวงปู่บวั ทา่ น
เคยเขา้ นิโรธ ทา่ นก็เลยเขา้ ทีถ่ ำ้� จันทน์ ท่านเขา้ อยู่ ๓ วนั แล้วจงึ ออกบณิ ฑบาต ข้าพเจา้ ไปเรยี นถาม
ท่านว่า “เปน็ อยา่ งไรเขา้ นิโรธ ?”

ท่านวา่ “สบายดี จิตมนั รวมดี ไม่มีความเจบ็ ความปวดอะไรๆ ท่ปี รากฏขึ้น”
“เวลาถอนออกมาเป็นอยา่ งไร ?” ขา้ พเจ้าถาม
“เวลาถอนมา จิตก็สบาย ใจกส็ บาย กายก็สบาย มกี ายเบาจิตเบาสบายด”ี ท่านว่าอย่างนั้น
ทนี อ้ี ยมู่ า ข้าพเจา้ กเ็ ลยไดน้ ิมติ เก่ียวกับทา่ น ในนิมติ ของขา้ พเจ้านั้นวา่ ปรากฏเหน็ หลวงป่บู วั
น่ังอยู่ในกลดในมุ้ง นงั่ ภาวนาหลบั ตานิง่ อยู่ ข้าพเจ้ากเ็ ลยเข้าไปหาทา่ น เปดิ มุ้งออก แล้วกท็ กั ท่านวา่
“เฮ้ย ! หลวงพ่อ มแี ตน่ ่ังอย่างเดยี ว นัง่ สงบอย่างเดยี ว ไมเ่ ปล่ยี นอิริยาบถ เดย๋ี วเปน็ โรคเหน็บชาและ
อัมพาตตายนะ ตอ้ งออกไปเดินจงกรมเปลี่ยนอริ ยิ าบถบา้ งซิ” นีข่ า้ พเจ้าทกั ทา่ นในขณะนน้ั พอทา่ น
ได้ยิน ทา่ นก็ลกุ จากท่ีไปเดินจงกรม
แลว้ ขา้ พเจา้ ได้พจิ ารณาเรือ่ งนมิ ติ น้ี ไดค้ วามเปน็ สองนยั คือนัยหนง่ึ ไดค้ วามว่าถา้ หลวงป่นู ้ี
ปว่ ย ป่วยมากแทบประดาตาย แตไ่ ม่ถึงตาย
นัยสอง ถา้ ภาวนาได้บรรลคุ ณุ ธรรม เป็นท่ีพอใจ นับวา่ หายสงสัยทเี ดียว นพ่ี จิ ารณาในนิมิตนัน้
รุง่ เชา้ ก็พากันไปบิณฑบาต คร้นั ไปบิณฑบาตขณะทเ่ี ดนิ ร่วมกนั บณิ ฑบาต ขา้ พเจา้ กเ็ ลยเรยี น
ใหท้ า่ นทราบว่า คืนวันน้ี คือคืนท่ีแลว้ นผี้ มได้นมิ ิตของหลวงพ่อ ท่านย้อนถามว่าได้นมิ ิตอะไร กเ็ ลย
เรียนท่านว่า ผมเห็นหลวงพอ่ น่งั ภาวนาอยใู่ นม้งุ หลับตานง่ั นิง่ อยู่อย่างเดียว ผมเลยไปทกั วา่ หลวงพ่อ
อยา่ นง่ั มาก อย่าสงบมาก ลุกออกเดินบ้าง เด๋ียวเปน็ โรคเหน็บชาอัมพาต พอหลวงพอ่ ไดย้ ินผมทกั
อยา่ งน้ัน หลวงพ่อก็เลยออกไปเดินจงกรม
ท่านว่า “ทา่ นพิจารณาไดค้ วามอย่างไร ?”
ก็ไดเ้ รียนท่านวา่ “ได้เป็นสองนัย นัยหน่งึ ถา้ หลวงพอ่ ป่วย ปว่ ยมากแทบประดาตาย แตไ่ ม่ตาย
นัยที่สอง ถ้าภาวนาจะหายสงสัยในเรื่องของธรรมะ” ดงั น้ี
อยู่มาอีก ๓ วันน่ันแหละ ห่างจากการสนทนากัน ๓ วัน ท่านก็เลยมีอาการเจ็บป่วยขึ้น
เม่อื ท่านเจบ็ ป่วยขึ้น ทา่ นกเ็ ขา้ นโิ รธอีกตามเดมิ เพ่อื ระงบั อาการป่วยนนั้ ให้หายไป ทา่ นเข้าอยู่ ๓ วัน
จงึ ออกจากนิโรธ เมือ่ ออกจากนิโรธ อาการไข้ อาการปว่ ยกย็ ังไม่หาย ขา้ พเจา้ เลยไปเรียนถามท่านวา่
“เปน็ ยงั ไงหลวงพอ่ ไข้” ทา่ นตอบว่า “เวลาจิตมันไปรวม มันก็ไม่มไี ข้ ไมม่ ีโรค อยูส่ บาย แต่เวลาจิต
ถอนจากการรวมออกมาแล้ว โรคภยั ไขเ้ จบ็ ยังคอื เก่า ไม่ลดละจากธาตขุ นั ธ์” น้ที ่านว่า

169

ขา้ พเจ้าเรียนถามว่า “เมอื่ เปน็ เช่นนจ้ี ะทำ� อย่างไร ?”
ท่านไดต้ อบวา่ “เมอื่ เปน็ เช่นน้ีกต็ ้องเขา้ นโิ รธบ่อยๆ เพื่อดับเวทนา”
ข้าพเจ้าเลยย้อนตอบท่านว่า “นิโรธอย่างน้ีก็เป็นนิโรธที่ว่าหลบหลีกจากเวทนา ไม่พิจารณา
เวทนาสิ” นี้ตอบกนั สนทนาแลกความรคู้ วามเหน็ ซ่ึงกนั และกันในขณะนน้ั ”

แก้นิมิตความตายของหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ

ท่านพระอาจารย์จวน กลุ เชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศนเ์ รือ่ งนี้และเทศน์เนน้ ย้ำ� เรอ่ื งการแกน้ ิโรธของ
หลวงปู่บัวไว้ดงั นี้

“และอยมู่ าวันหลังอกี ทา่ นวา่ “คืนวันนีผ้ มไดน้ มิ ิต ได้ความวา่ พจิ ารณาสงั ขารรา่ งกายอายุของ
ผมป่วยคราวนจ้ี ะถึงแกค่ วามตายแนน่ อนทเี ดยี ว” น้ีท่านว่า ทา่ นไดค้ วามในนิมติ ของท่าน ข้าพเจ้าก็
เลยย้อนถามทา่ นวา่ “จรงิ หรือ ?” “จรงิ ” ทา่ นว่า

ข้าพเจ้ากเ็ ลยอธิบายท่านให้ฟังวา่ “เร่อื งความตายมีสองนัย นยั หนงึ่ ธาตขุ ันธ์มันตาย ขาดจาก
ลมหายใจ นยั สองกเิ ลสมนั ตาย ตายนยั ไหน ?” ทา่ นวา่ “ตายนยั ทหี่ นงึ่ คอื ธาตขุ นั ธ์ มนั ตายขาดจากลม”
ก็เลยเรยี นใหท้ า่ นพจิ ารณาอกี ย้�ำอีกว่า จะจรงิ หรอื ไม่ คนื หลงั มาท่านกพ็ ิจารณาย�้ำอีก ทา่ นว่า “จรงิ ”

ข้าพเจ้าก็เลยเรยี นถวายทา่ นวา่ “ผมไดเ้ รยี นให้หลวงปู่ทราบแล้ววา่ เรือ่ งน้ถี า้ ป่วย ปว่ ยถงึ แทบ
ประดาตาย แต่ไม่ตาย ถา้ ตายธรรมะ จะไดต้ ัดความเคลือบแคลงสงสัยในธรรมะตอ่ ไป”

ขา้ พเจ้าได้คัดคา้ นท่านว่า “ไมเ่ ปน็ ไรครบั ไม่ตาย” ทา่ นวา่ “แนน่ อน” ขอใหห้ ลวงพ่อย�้ำอีก
เป็นวาระท่ี ๓ ท่านก็แน่ว่าตายจริงๆ ต่อจากนั้นท่านก็เลยตัดสินว่าท่านจะตาย ขาดจากชีวิตจริงๆ
เลยสั่งให้ข้าพเจ้าและญาติโยมท�ำหีบศพ ในเร่ืองน้ีท่านก็สั่งก�ำชับให้ส่งข่าวถึงท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์
(พนธฺ โุ ล จูม) ทว่ี ัดโพธสิ มภรณ์ อดุ รธานี วา่ ท่านจะตายแล้ว เพราะทา่ นปลงอายสุ งั ขาร ขา้ พเจ้ากเ็ ลย
สง่ ไปตามที่ท่านส่งั เบ้ืองตน้ ไม่อยากจะท�ำหีบท�ำศพ แตท่ า่ นกข็ เู่ ข็ญค�ำราม จ�ำเปน็ กต็ ้องท�ำ

เม่ือท�ำเสร็จแล้ว เอามาไว้ข้างๆ ให้ท่านดู และอาการป่วยก็เลยลดหย่อนลงไป ตามล�ำดับๆ
ผลที่สดุ กห็ ายขาด เมื่ออาการป่วยหายขาดขึน้ แล้ว ท่านมาพจิ ารณาเร่ืองนมิ ิต และที่ท่านปลงสงั ขารได้
ประกาศไปน้นั วา่ จะตาย บ่นพมึ ๆ พ�ำๆ บา้ ง วา่ มนั จะตายไมต่ าย เป็นยังไงนี่ ทา่ นวา่ เมอ่ื ขา้ พเจ้าเหน็
อาการอย่างนัน้ ขา้ พเจ้าไดช้ อ่ งก็เลยเขา้ ไปสนทนากบั ทา่ นใหอ้ บุ ายทา่ นว่า “อย่างน้ีแหละ โบราณทา่ น
ว่า ฟาน (เก้ง) ต่ืนข้เี จ้าของ คอื ฟานมันข้อี อกแลว้ มนั ตื่นข้ีมนั เขา้ ใจว่ามนุษย์ขว้างคอ้ นใส่หรอื ยิงปืนใส่
มนั ก็ต่ืนข้มี นั มันก็เลยร้องกระโดดโลดเตน้ วิ่งหนไี ปเพราะมนั ตน่ื ”

ในระหวา่ งที่สนทนากนั น้ัน จงึ วา่ ไดต้ อบท่านเปน็ สองนัย “นัยหนึ่ง ถ้าหลวงปปู่ ่วย ปว่ ยมาก
แต่ไมถ่ งึ ตาย เกือบตาย นัยสอง ถา้ พดู ถึงด้านธรรมะภาวนา หลวงปู่นจี้ ะเป็นผู้ได้บรรลธุ รรมเป็นท่ี

170

พอใจ อาจจะถึงที่สุด” ดังน้ี ข้าพเจ้าได้เรียนถวายท่าน ท่านก็เลยพิจารณา อยู่มาอีก ๓ วัน
อาการป่วยของท่านกม็ ีข้นึ เม่อื อาการป่วย ท่านก็เขา้ นโิ รธสมาบตั ิ เพื่อดบั ความปว่ ยความเวทนา
เข้าอยู่ ๓ วันไม่ออกจากนโิ รธ พอออกมาแล้วอาการปว่ ยยังมี

ทนี ้เี มือ่ ถึง ๓ วัน ขา้ พเจา้ ก็เลยเข้าไปหาทา่ น ท่านออกจากนโิ รธ ท่านก็เลยพดู วา่ “ผมพจิ ารณา
ดอู ายุสงั ขารของผมในคราวน้ี เห็นทีจะดับเสียแลว้ เพราะพิจารณาไป ชวี ติ ของผมเห็นจะมาถึงเพียง
แคน่ ี้ ผมอาจจะตายในคราวนี”้ นีท้ า่ นวา่

และข้าพเจ้ากเ็ ลยยอ้ นถามทา่ นวา่ “เป็นอย่างไร จึงว่าอยา่ งนน้ั ?”
ทา่ นตอบว่า “เพราะว่าผมพิจารณาดชู วี ิตวา่ อาจจะตายในคราวน”้ี
ขา้ พเจ้าถามทา่ นว่า “จรงิ หรือ ?”
“จรงิ ”
เลยอธิบายเร่อื งความตายถวายท่าน “ความตายมี ๒ ประเภท หนง่ึ ตายขาดจากลมหายใจ
สองกิเลสมนั ตาย หมายเอาความตายประเภทไหน ?”
ทา่ นวา่ “หมายเอาความตายประเภทท่ีขาดจากลมหายใจ”
“เหตไุ ฉนหลวงพ่อจึงทราบ ?” ขา้ พเจ้ายอ้ นถาม
“ทราบสิ เวลาผมเข้านโิ รธสมาบัติ จติ ถอนออกมา พจิ ารณาชวี ิตสงั ขารของตนเหน็ วา่ จะดบั
จะมว้ ยมรณ์” นที้ ่านตอบตามความเห็นของท่าน
“แล้วหลวงปู่เคยเช่ือไหม ?”
“เคยเชื่อ” ท่านว่าอย่างน้ัน “เพราะผมเคยพิจารณาอย่างน้ี ได้ผลและรู้เห็นตามเป็นจริงมา
ทกุ ราย” ท่านว่าอยา่ งนน้ั และก็ย้อนถามท่านอกี ว่า “เวลาหลวงปู่เขา้ นิโรธนนั้ มันเปน็ อย่างไร ?”
ทา่ นว่า “มนั สบาย สบาย ไม่มีทกุ ขเวทนา”
“เวลาออกมาแล้วเปน็ อย่างไร ?”
เวลาออกมาทา่ นวา่ “มันมีแต่ทุกข์ มีแต่รอ้ น ทกุ ข์มาก ผมไมอ่ ยากออกเลย อยากเขา้ อย่นู น้ั
จนตลอดไหนๆ เลย มันแสนสบาย” ท่านว่าอย่างนั้น
ขา้ พเจา้ กเ็ ลยย้อนตอบท่านว่า “นโิ รธท่ีหลวงปู่เขา้ น้ัน เปน็ นโิ รธทดี่ บั เวทนาไม่ได้ ดบั ได้แตเ่ วลา
มันเขา้ ไป แต่เม่อื เวลามนั ไปรวมอยู่ ถ้าพิจารณาโดยละเอยี ดแลว้ ไม่ใช่ดับเวทนา เพราะมนั หลบหลกี ไป
ตา่ งหาก มนั ไม่สู้เวทนาตา่ งหาก นโิ รธแบบนี้ เปน็ นิโรธที่ขาดสติ ขาดปัญญา” นอี้ ธบิ ายใหท้ ่านฟงั

171

แล้วก็เลยยกเร่ืองนิมิตท่ีได้กราบเรียนท่านฟัง สมัยเม่ือไปบิณฑบาตด้วยกันว่า “ส�ำหรับผมนี้
ยงั ไม่เห็นด้วยวา่ หลวงป่จู ะตายในครง้ั นี้ ผมไดก้ ราบเรยี นใหห้ ลวงป่ทู ราบแล้ววา่ ผมได้นมิ ติ กับหลวงปู่
และก็อธิบายเป็นสองนัย

นัยหนึ่ง ถ้าหลวงปู่ปว่ ย ปว่ ยหนัก แตไ่ มถ่ ึงกบั ความตาย แทบประดาตาย น้ีเปน็ นยั ทห่ี นง่ึ
นัยท่ีสอง ถ้าด้านภาวนาหลวงปู่จะได้บรรลุคุณธรรมสูง อาจจะสูงสุด น้ีเคยได้เรียนถวายตอน
บิณฑบาตด้วยกนั หลวงปูจ่ ำ� ได้ไหม ?”

“จำ� ได้ครบั ” นห่ี ลวงปู่ตอบ
“ผมว่าไม่เป็นไรครับ ไมต่ าย แตห่ ลวงป่นู ้ีปว่ ยหนกั แตว่ ่าไม่ตาย กิเลสมนั จะตายต่างหากหรอก
ครับ อยา่ วิตกวิจารณเ์ ลย” น้สี นทนากัน “และขอใหห้ ลวงพ่อหลวงป่พู จิ ารณาอีกในคนื วันน”ี้ แล้วก็
เลิกกนั ไป
เมื่อเลิกกันไป วันหลังมาข้าพเจ้าเข้าไปในตอนเช้า ท่านว่า “แน่นอนทีเดียวต้องตายแน่ๆ
ไม่เหลือแหล” ท่านว่า “ในชีวิตน้ี” แล้วก็เลยส่ังให้ข้าพเจ้ากับพวกโยม ฟันหีบฟันศพรอไว้ เรื่องนี้
ได้ประกาศกันไปถึงอุดรฯ แล้ว ถึงเจ้าคุณธรรมเจดีย์แล้ว เพราะท่านให้ส่งข่าวไปให้ท่านเจ้าคุณ
ธรรมเจดยี ์ทราบวา่ “หลวงปจู่ ะตายแล้ว ปลงอายสุ ังขารแล้ว” น่ีทา่ นประกาศ ท่านให้สง่ ขา่ ว
ข้าพเจา้ ก็ดนั ท่าน คัดคา้ นท่าน คดั ค้านอยา่ งไร ท่านกไ็ มฟ่ ังเสียง จำ� เปน็ ตอ้ งข่เู ข็ญค�ำรามให้
ทำ� หบี ท�ำศพให้ได้ ขา้ พเจา้ พรอ้ มด้วยญาตโิ ยมจ�ำเปน็ กเ็ ลยพากันท�ำ เมื่อทำ� หีบศพเสร็จแล้ว เอามาไว้
ขา้ งเตียงทา่ น ใกล้ๆ ท่าน ให้ท่านดู ใหท้ า่ นเหน็ พอท�ำหีบเสร็จ อาการของการปว่ ยกห็ าย ทุเลาลงไป
เรือ่ ยๆ จนหายหมดทีเดียว
ทีนเ้ี มื่ออาการป่วยหายแล้ว ข้าพเจ้ากเ็ ลยเข้าไปสนทนากบั ท่าน ท่านกบ็ น่ พึมๆ พำ� ๆ เร่อื ง
อาการป่วย เรือ่ งท่านเข้านโิ รธสมาบัติ ไดน้ มิ ติ ได้ความวา่ มันจะตาย ไม่ตาย ท�ำไมมนั พูดอยา่ งนี้ ท�ำไม
มันหลอกลวง ทา่ นบ่นพมึ ๆ พ�ำๆ อยู่ ดูเหมอื นจะตน่ื นิมติ หรอื ญาณของตน ชกั จะเกดิ ความกระดาก
ไปเสยี แล้ว
เมื่อได้ช่องดังนั้นข้าพเจ้าก็เลยถือโอกาสพูดอุบายให้ท่านฟังว่า “อย่างนี้แหละโบราณท่านว่า
ฟานหรือเก้งมันขี้แล้ว มันตื่นข้ีของมัน มันร้อง ข้ีตกออกจากก้นจากตูดของมันแล้ว มันร้องมันตื่น
เขา้ ใจว่าเปน็ คนขวา้ งคอ้ นหรอื ลูกปืนใส่ ตื่นกระโดดกระเดดโลดเตน้ หนีทอี่ น่ื หลวงปนู่ ่ตี นื่ นมิ ติ ของตน”
นั่นผมไดเ้ รียนใหท้ ราบแล้วว่า “ถ้าป่วย ป่วยหนกั แทบประดาตาย แต่ไมต่ าย นเ้ี ปน็ ฝ่ายป่วย ถ้าเปน็
ฝา่ ยภาวนา ฝ่ายธรรมะ ต้องไดบ้ รรลุธรรมอยา่ งเป็นทพ่ี อใจ
เพราะวา่ ในขณะท่ีผมนิมิตเหน็ หลวงปู่นงั่ มแี ต่นง่ั ภาวนาอย่างเดียวน้ัน น้หี มายความว่าหลวงปู่
มีแต่พักความสงบอย่างเดียว ใช้แตค่ วามสงบอย่างเดียว อยดู่ ว้ ยความสงบอยา่ งเดียว ชมแตค่ วามสงบ

172

อย่างเดยี ว แล้วบงั คับหรอื บริกรรมใหแ้ ต่จิตรวมอยา่ งเดยี ว เมอ่ื จิตรวมก็มคี วามชมเชยยินดีในจติ รวม
เมอ่ื ถอนจากการรวมกไ็ ปยดึ ถือเอาจิตทีร่ วมนั้นเปน็ อารมณ์ อยู่อย่างน้นั นี่ไปยดึ ถอื เรอื่ งอดตี อนาคต
แน่ะ ไม่เห็นปรากฏวา่ จิตของหลวงปูน่ ัน้ ตัดสงั โยชน์ตอนไหน แลว้ ถอื ว่าจติ รวมนัน่ แหละเปน็ นโิ รธ
มนั เป็นอยา่ งนัน้ ถา้ หลวงปูท่ ำ� อย่างนี้ มนั ก็ตกอยใู่ นสงั ขารน่นั เอง มันไมพ่ น้ ไปจากทกุ ข์ เวลาจติ ถอน
ขึ้นมาก็โดนทกุ ขอ์ ยูน่ ้นั มันละไม่ได้ แลว้ ก็มาปลงสงั ขาร ปลงชวี ิตวา่ จะตายเทา่ น้นั เอง

ส่วนนโิ รธของพระอรยิ เจา้ น้ัน หาเปน็ เชน่ น้ันไม่ เม่ือจิตของทา่ นลงสฐู่ ตี จิ ิต ถอนจากฐตี ิจติ แล้ว
ท่านก็พิจารณาสาวหาเหตุและปจั จัยของธรรมทัง้ หลาย พิจารณาทุกข์ พจิ ารณาเหตใุ ห้เกิดทุกข์ แลว้
มนั กร็ ูเ้ ร่ืองกันเท่านั้น ท่านกด็ ับทกุ ข์ ดบั เหตุให้เกิดทุกข์ ไดเ้ ทา่ นน้ั นน่ี ิโรธของพระอรยิ เจ้า

ผมได้ฟังพระโอวาทของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตมหาเถร ท่ีขณะจ�ำพรรษาร่วมท่าน
ท่านได้เล่าเรื่องนิโรธสมาบัติ เหตุที่ท่านเล่า เพราะท่านพระอาจารย์กู่ ในสมัยน้ันท่านไปนมัสการ
ท่านพระอาจารยใ์ หญ่มน่ั แลว้ ท่านพระอาจารย์กูไ่ ด้เล่าเรือ่ งนโิ รธของท่านถวายพระอาจารยม์ ัน่ ฟังว่า
เหตุทท่ี า่ นพระอาจารยก์ ูเ่ ล่าเรอ่ื งนิโรธของตนฟังน้นั

ทา่ นพระอาจารย์ใหญม่ ่ันถามเสยี กอ่ นว่า “ท่านกู่ ภาวนาเป็นอยา่ งไร ?” นีเ้ บือ้ งต้น
พระอาจารย์กู่ก็เลยตอบถวายท่านพระอาจารย์มั่นว่า “ผมภาวนาเข้านิโรธอยู่เสมอๆ” น้ี
พระอาจารยก์ ตู่ อบทา่ นพระอาจารยม์ ่นั
พระอาจารยม์ ั่นถามพระอาจารย์กู่อีกว่า “เขา้ อย่างไรทา่ นกู่ เข้านโิ รธ ?”
พระอาจารย์กู่เลยเรียนถวายว่า “ผมน้อมจิตเข้าสู่นิโรธ เวลาจิตลงสู่นิโรธน้ันไม่มีทุกขเวทนา
อยา่ งนี้ เวลานัน้ สบายแสนสบาย ผมน้อมจติ เขา้ ส่นู ิโรธเลย” น้ีท่านพระอาจารย์กู่ ทา่ นพระอาจารย์มน่ั
ท่านเล่าใหฟ้ งั
“เวลาถอนออกมาเปน็ อย่างไร ?” นที้ า่ นอาจารยม์ น่ั ถาม
“เวลาถอนออกมาก็มีทกุ ขเวทนาเป็นธรรมดา”
“กิเลสเปน็ อย่างไร ?”
“กิเลสมนั กส็ งบอยู่เปน็ ธรรมดา บางครง้ั ก็สงบ บางครงั้ กม็ ีก�ำเรบิ ขึ้น”
นีท้ า่ นอาจารย์มั่น ทา่ นอธบิ ายเลา่ เร่ืองของพระอาจารย์กู่
แล้วทา่ นพระอาจารยม์ ัน่ เลยอธบิ ายเรื่องนโิ รธของพระอาจารย์กวู่ า่ “นโิ รธแบบนีน้ โิ รธสมมุติ
นโิ รธบญั ญตั ิ เพราะเปน็ นโิ รธทนี่ อ้ มเขา้ เอา ไมม่ ตี วั อยา่ งของพระอรยิ เจา้ นอ้ มจติ เขา้ นโิ รธ ใครจะไปนอ้ ม
เข้าได้ เม่ือจติ ที่ยงั หยาบอย่จู ะไปน้อมเข้านิโรธอนั ละเอยี ดไมไ่ ด้” ทา่ นว่าน่นั “เหมอื นกบั บุคคลที่ไลช่ ้าง
เขา้ รูปู ใครจะไลเ่ ขา้ ได้ รปู มู นั รเู ล็กๆ หรอื เหมอื นบุคคลทเ่ี อาเชอื กเสน้ ใหญ่ๆ ไปแหยเ่ ขา้ รูเขม็ มนั จะ

173

แหยไ่ ดไ้ หม ?” ท่านว่า “เพราะนิโรธเปน็ ของที่ละเอยี ด จิตท่ยี ังหยาบอยู่จะไปน้อมเข้าไปส่นู โิ รธไมไ่ ด้
เป็นแต่นโิ รธน้อม นโิ รธสมมุติ นโิ รธบัญญตั ิ นิโรธแบบนี้นโิ รธสังขาร นิโรธหลง” ท่านวา่ อยา่ งนั้น

ทีนที้ ่านพระอาจารยม์ ั่น ทา่ นก็เลยอธบิ ายนโิ รธตอ่ ไปว่า ทา่ นพระอาจารย์มัน่ ทา่ นว่า “ท่านได้
เข้านิโรธลองดู พจิ ารณานโิ รธลองดู” ทา่ นว่าอยา่ งนนั้ ทา่ นว่า “เมอ่ื พิจารณาดูแลว้ นิโรธ คำ� วา่ “นโิ รธ”
แปลว่า ความดับทกุ ข์ ดบั เหตใุ ห้เกิดทกุ ข์” ท่านวา่ “นิโรธ คือ ความดับทุกข์ คอื ความดับตณั หาให้
สิ้นไป คอื ความท�ำตัณหาใหส้ น้ิ ไป ความดบั ตัณหาโดยไมใ่ ห้เหลือนนั้ นั่นเทยี ว ความละตัณหา ความ
วางตัณหา ความปล่อยตัณหา ความสละสลัดตัดขาดจากตณั หา อนั เปน็ ธรรมเป็นเหตใุ หเ้ กิดทกุ ขน์ ั่น
ใหห้ มดไปนัน้ นัน่ เทียว โดยไมใ่ ห้เหลือจากใจของเรา อนั นเี้ รียกวา่ นโิ รธ เป็นนโิ รธอยตู่ ลอดกาลและ
เวลา ไม่อา้ งกาล อ้างเวลา เป็นอกาลโิ ก” ทา่ นวา่ อยา่ งน้ัน “ไมม่ กี ารเขา้ ไมม่ ีการออก ไมม่ ีต้น กลาง
ปลาย สม�่ำเสมอเลย หากาลหาเวลาไมไ่ ด้ ไมม่ ีการเข้านิโรธ ไม่มีการออกนโิ รธ เพราะตดั สงั โยชน์
ท�ำเหตุให้เกิดทุกข์ส้ินไปดับไปแน่แล้ว หมดแล้ว ก็เช่ือว่า เป็นนิโรธะความดับทุกข์อยู่ตลอดกาลและ
เวลาอย่เู ทา่ น้นั ” นี้ส�ำหรับทา่ นพระอาจารย์มั่นอธบิ าย

ทา่ นว่า “นิโรธนี้เปน็ นิโรธท่ดี ับสังขาร ไม่มสี งั ขารแลว้ พน้ จากทุกขน์ ี้จะเรียกวา่ นพิ พานกไ็ ด้”
ท่านวา่ “วิสุทธธิ รรมก็ได้ อมตธรรมก็ได้ เป็นธรรมทไ่ี ม่มว้ ยมรณค์ อื ไมต่ าย เปน็ ธรรมทอี่ ยเู่ หนือโลก
พ้นโลก หมดสมมตุ ิ หมดบัญญตั ิ หมดกิริยา เปน็ อกิรยิ า ไม่มกี ารไปการมา น้เี รยี กว่านิโรธ สมกับที่ว่า
พราหมณ์ผู้มีเพียรเป็นเครื่องอยู่ เห็นอยู่ปรากฏอยู่ซึ่งธรรม แต่พราหมณ์ผู้มีเพียรเป็นเคร่ืองอยู่นั้น
ด้วยปัญญา คือ ดว้ ยความมีสติ ด้วยปัญญา ซ่ึงมคี วามเพียรเปน็ เครอื่ งอยดู่ ้วยความมสี ติ ด้วยความมี
ปญั ญา ปรากฏอยู่เหน็ อยซู่ ึง่ ธรรมทั้งหลาย แก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเปน็ เครื่องอยู่ ว่าธรรมทัง้ หลาย
ย่อมรู้ว่าธรรมทง้ั หลายเกิดแต่เหตุ และยอ่ มรเู้ หตุและปจั จยั ของธรรมท้งั หลาย

เมื่อธรรมทั้งหลายปรากฏรู้อยู่ เห็นอยู่ แก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเป็นเครื่องอยู่ด้วยความมีสติ
ปญั ญาอนั ละเอยี ดเชน่ น้ีวา่ รู้วา่ ธรรมทง้ั หลายเกดิ แตเ่ หตุ และมารูค้ วามส้ินไปแหง่ เหตุและปัจจัยของ
ธรรมทั้งหลายน้นั แกพ่ ราหมณ์ผมู้ เี พียรเปน็ เครื่องอยู่ ดงั นี้ พราหมณ์ทัง้ หลายน้นั ย่อมหายจากความ
สงสัย ย่อมเปน็ ผูม้ สี ติปญั ญาสวา่ งโรอ่ ยอู่ ย่างนนั้ ยอ่ มกำ� จดั มารและเสนามาร คอื มารและเสนามาร
ได้แก่ กิเลสมารดำ� รงอยไู่ มไ่ ด้ ดจุ พระอาทติ ยท์ อี่ ทุ ยั ข้ึนย่อมกำ� จัดมืดให้อากาศสว่างฉะนัน้

เม่อื เป็นเช่นนี้ นิโรธะ คือ เป็นผดู้ บั เหตุ ดับปจั จยั ทีเ่ ปน็ เหตุให้เกิดทุกข์ ท�ำเหตุท�ำปัจจยั ทเ่ี ป็น
เหตุให้เกิดทุกข์ทั้งหลายให้สิ้นไป ดับเหตุดับปัจจัยอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ทั้งหลายโดยไม่ให้เหลือนั้น
นั่นเทียว ละเหตลุ ะปจั จัย วางเหตวุ างปัจจัย ปล่อยเหตุปล่อยปจั จยั สละเหตุสละปจั จัยแหง่ ธรรม
ทัง้ หลายที่เปน็ เหตุให้เกดิ ทกุ ข์ คือ ตณั หานน้ั

พราหมณ์น้ันเป็นผู้มีความเพียรเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ ด้วยความมีสติ ด้วยความมีปัญญา
มาก�ำหนดรชู้ ัดว่าธรรมทัง้ หลายเกดิ แตเ่ หตุและปัจจัย แล้วกท็ ำ� เหตุและปัจจัยของธรรมท้งั หลายทีเ่ ปน็
ตัวสังขาร เปน็ ตวั วัฏฏะ เปน็ ตวั สังขารจักรใหเ้ สือ่ มไป ให้ส้นิ ไป ใหห้ มดไป ให้สนิ้ ไปโดยไม่ใหเ้ หลือ

174

ดับเหตุดับปัจจัยโดยไม่ให้เหลือนั้นน่ันเทียว วางเหตุวางปัจจัยโดยไม่ให้เหลือนั้นนั่นเทียว ละเหตุ
ละปจั จยั ปล่อยเหตุปล่อยปัจจยั น่ัน สละเหตุสละปจั จยั แห่งธรรมทั้งหลายท่เี ปน็ เหตุใหเ้ กดิ ทกุ ขน์ ้ัน
โดยไมใ่ หเ้ หลอื นัน้ นน่ั เทียว นี้เรยี กวา่ นโิ รธ คอื ความดบั ทุกข์ ดับเหตุดับปจั จยั ใหเ้ กดิ ทุกข์

เมือ่ เป็นเช่นน้พี ราหมณผ์ ู้มคี วามเพียรเปน็ เครอ่ื งอยู่ รู้อยู่เหน็ อย่ซู ึ่งเหตุและปจั จัย และความ
ส้ินไปจากเหตแุ ละปัจจยั ของธรรมทั้งหลายท่เี ป็นเหตุให้เกิดทุกขเ์ ปน็ ตัววฏั ฏะน้นั พราหมณ์ทัง้ หลาย
นั้นยอ่ มเปน็ ผูก้ �ำจดั มารและเสนามารคือกิเลส มารและเสนามารยอ่ มด�ำรงอย่ไู มไ่ ด้ เหมือนพระอาทิตย์
ที่อุทัยข้ึนย่อมก�ำจัดมืดให้อากาศสว่างฉะนน้ั ไมม่ คี วามสงสัยเลย”

ฉะน้ัน ท่านจึงว่า เมอื่ เวลาจติ ลงไปพัก คอื จติ รวมอยสู่ งบอยู่ พกั อยู่ กอ็ ย่าไปรบกวนจิต ให้มี
สติร้อู ยู่ วา่ จติ ของเรามาพักมารวม เมื่อจติ พักรวม เวลาจะถอนกอ็ ย่าบงั คับจิตให้ถอน ใหถ้ อนเอง
และให้มีสติ เมื่อจิตถอนจากการรวมคือจากฐีติจิตเดิมทุกขณะข้ึน ท่านก็ให้มีสติปัญญาน้อมเข้ามา
พิจารณาเหตุและปัจจัยแห่งธรรมทั้งหลายเท่านั้น มันก็ท�ำลายเหตุปัจจัยแห่งธรรมทั้งหลายที่เป็น
ตัวเหตุให้เกิดทกุ ข์ได้เทา่ นน้ั แลว้ ก็เปน็ นิโรธกันเทา่ นนั้ จะไปนอ้ มจิตเข้าสู่นิโรธไดอ้ ย่างไร เม่ือไมม่ ี
ปัญญาร้ชู ัดเหตุปัจจยั ของธรรมท้ังหลายแลว้ มนั กเ็ ป็นนิโรธที่เดา หรอื เปน็ นโิ รธที่สมมตุ ิบัญญัตเิ ทา่ น้ัน
ผิดจากหลกั แหง่ สัจธรรม

ดังนัน้ เมือ่ ได้สนทนาปราศรัยกันไป ซึ่งเป็นการแลกเปล่ียนอบุ ายและความรู้ หู ตา ปัญญาของ
กันและกัน ต่อแต่นน้ั ทา่ นก็นำ� ไปพจิ ารณา ภายหลังทราบขา่ ววา่ ทา่ นได้รู้ดีเหน็ ดแี ละมีความหายสงสัย
ในเรอื่ งธรรมทัง้ หลาย”

คุณหมอประพักตร์ โสฬสจนิ ดา ได้เมตตาเลา่ เรอ่ื งนี้เพม่ิ เตมิ ไว้ดังนี้
“เออ ! หลวงปูบ่ ัวกไ็ ปเสยี อยทู่ น่ี ั่นละ่ ภาวนาไปนึกวา่ ตวั ส�ำเร็จ ไปอยกู่ ับเทวดาเลยเร่ืองยุ่งอกี
อูย ! ทา่ นกข็ น้ึ ไป ท่านว่า เดยี๋ วน้ที า่ นไปสร้างไวข้ องทา่ นแล้วอยา่ งนัน้ อยา่ งนี้ ไปแลว้ ไมย่ อมฉนั ขา้ ว
หลงวา่ บรรลุ ภาษาเรานเี่ รียกวา่ หลงผดิ
แลว้ สดุ ทา้ ยทีท่ า่ นรอดมาได้ เพราะว่าไปถามทา่ นที่บา้ นหนองแซง “ฮ่วย ! หลวงปู่คงจะไดด้ ”ี
ท่านก็บอกผมว่า ได้อาจารย์มหาบัวท่านไปทางนิมิต ไปยืนด่าท่ีถ�้ำจันทน์ว่า “ท�ำทุกวันนี้ผิด ขอให้
พรุ่งนี้ลุกข้นึ มาบิณฑบาตฉนั ขา้ ว” พอดีลกุ ขนึ้ แลว้ กไ็ ปฉันขา้ ว ไดเ้ ขา้ ท่ี ทนี อ้ี าจารย์จวนก็เลยรีบเอา
ท่านลงเรือ กลัวจะมาเป็นแบบนั้นอีกอยู่ที่ถ้�ำจันทน์ เด๋ียวพวกญาติโยมที่เคารพจะ “วู้ ! ไม่ดูแล
พระผใู้ หญ่” ท่านอาจารยก์ ็กลวั จะเสยี ช่ือ”

ท่านพระอาจารย์จวนปฏิบัติต่อหลวงปู่บัวละเอียดท่ีสุด

พระญาณสิทธาจารย์ หรอื หลวงปทู่ องพลู สริ กิ าโม แหง่ วดั ปา่ สามัคคีอปุ ถัมภ์ อ�ำเภอเมอื ง
จงั หวดั บึงกาฬ ได้เมตตาเล่าเร่อื งท่านพระอาจารยจ์ วนปฏบิ ตั ิตอ่ หลวงป่บู ัว สริ ิปณุ โฺ ณ เมื่อคราวที่


Click to View FlipBook Version