The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประวัติท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ประวัติท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ

ประวัติท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ

225

ศาลา พกั วัดบา้ นนน้ั แหละสองวัน แล้วผมกม็ าราชการ แล้วพอวนั ท่ี ๑๓ ละ่ มง้ั ทา่ นข้ึนมา ผมเอามา
วันที่ ๑๒ แล้วพอท่านนอนได้คืนหน่ึง อาจารย์ทองพูลก็มาสมทบ แลว้ ทา่ นกเ็ รม่ิ ข้นึ แตผ่ มไม่อยแู่ ลว้
ผมไปสง่ ป๊บั นึกว่าขึน้ ไมไ่ ด้ ผมกไ็ ปราชการเซกาแล้ว กลบั แหละ พอดกี ็ไดข้ ่าวมันข้ึนได้แลว้ ก็เรมิ่ เข้ามา
แลว้ ที่น”้ี

226

ภาค ๘ พัฒนาและจ�ำพรรษาท่ีภูทอก

ท่านมุ่งมั่นฝึกฝนอบรมสั่งสอนตนเองก่อน

พระธุดงคกรรมฐานศิษย์สายท่านพระอาจารย์เสาร์ ท่านพระอาจารย์มั่น ในสมัยยุคต้นๆ
หรือกองทัพธรรม จะด�ำเนินตามแนวปฏิปทาของท่านพระอาจารย์ใหญ่ท้ังสองที่วางไว้อย่างเคารพ
บูชาและจะปฏิบตั ิตามอย่างเครง่ ครดั คอื ทา่ นจะม่งุ มั่นฝึกฝนอบรมสงั่ สอนตนเองกอ่ น จึงจะอบรม
ส่ังสอนผู้อ่ืน กล่าวคือ หากท่านประพฤติปฏิบัติธรรมไปแล้ว ยังไม่บรรลุอริยธรรมขั้นสูงสุดเป็น
พระอรหันต์ ท่านกไ็ ม่ยอมคลุกคลีเก่ยี วข้องกบั ผอู้ ืน่ ท่านก็ยงั เรง่ รีบบ�ำเพญ็ ความเพยี รอย่างอุกฤษฏ์
ย่ิงยวดตอ่ ไป

เมือ่ ทา่ นประสบผลสำ� เรจ็ สมตามความปรารถนาเปน็ ศาสนทายาทสบื ทอดพระพทุ ธศาสนาแล้ว
ท่านก็ยังคงบ�ำเพ็ญเพียรภาวนาเป็นวิหารธรรมของท่านอย่างไม่ลดละไปตลอดชีวิต จวบจนท่านละ
จากโลกน้ีไป เพื่อรักษาธาตุขันธ์ เพ่อื บำ� เพญ็ ประโยชนแ์ ก่โลก โดยทา่ นจะรับภาระหน้าท่อี บรมส่ังสอน
หมคู่ ณะในวงกรรมฐาน เพือ่ ทดแทนบญุ คณุ ของทา่ นพระอาจารย์ใหญท่ ง้ั สอง ทั้งน้ีเพื่อสร้างศาสน–
ทายาทให้สืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป ท้ังท่านเมตตาสงเคราะห์ส่ังสอนสัตว์โลกโดยเทศนาธรรม
โปรดมนุษย์ เทพยดา อินทร์ พรหม และเป็นเนื้อนาบุญของพุทธบริษัทจะได้บ�ำเพ็ญบุญกับท่าน
ตลอดจนทา่ นได้แผเ่ มตตาอุทศิ สว่ นบญุ ส่วนกุศลใหบ้ รรดาสรรพสตั วท์ ั่วทัง้ สามแดนโลกธาตุ เปน็ ปรกติ
ประจำ� วัน

การฝึกฝนอบรมสงั่ สอนตนเองกอ่ น และการบ�ำเพ็ญประโยชนแ์ ก่โลกมากน้อยของท่านแตล่ ะ
องค์นั้น เปน็ ไปตามนิสัยวาสนาบารมีทีท่ ่านได้บ�ำเพ็ญมาในอดตี ชาติ ถือเปน็ การดำ� เนนิ ตามแนวอรยิ วถิ ี
ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งท่านพระอาจารย์เสาร์ ท่านพระอาจารย์ม่ัน ได้ปฏิบัติ
สืบทอดมาอยา่ งงดงาม

ภายหลังจากท่ีท่านพระอาจารย์จวน ได้บ�ำเพ็ญประโยชน์ตนจนสมบูรณ์ตามหลักปฏิปทา
พระธดุ งคกรรมฐานสายทา่ นพระอาจารย์เสาร์ ทา่ นพระอาจารย์มั่น ทา่ นไดป้ ักหลักอย่จู �ำพรรษาและ
พฒั นาวัดภูทอก หรอื วัดเจติยาคริ วี หิ าร ต้ังแต่เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๑๒ จวบจนถงึ วันมรณภาพดว้ ย
เครือ่ งบนิ ตก เม่ือวนั อาทิตย์ที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ ซึ่งเปน็ การอยู่จำ� พรรษาตดิ ต่อกนั ยาวนาน
ท่สี ดุ นานถึง ๑๑ ปเี ศษ ตลอดระยะเวลาชว่ งนี้ทา่ นไดท้ �ำหนา้ ทศ่ี าสนทายาทสืบทอดพระพทุ ธศาสนา
สืบทอดแนวทางปฏิปทาพระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์เสาร์ ท่านพระอาจารย์ม่ันได้อย่าง
ครบถว้ นสมบูรณ์ นอกจากนที้ า่ นไดส้ งเคราะห์โลกท้งั ทางโลกและทางธรรม ทา่ นไดพ้ ัฒนาภทู อกจน
เป็นท่ีรจู้ ักไปท่ัวทั้งประเทศ ท่านได้ทำ� สาธารณประโยชน์ตา่ งๆ ไวม้ ากมาย และท่านไดร้ บั กิจนิมนต์
ตามงานส�ำคญั ๆ ของครูบาอาจารย์ต่างๆ งานพระราชพิธี ตลอดงานพทุ ธบริษัทตามภาคต่างๆ จวบจน
วันมรณภาพ

227

ต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ท่านมาพักภูทอกคร้ังแรก

ประมาณต้นเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๑๒ ทา่ นพระอาจารย์จวน กลุ เชฏฺโ หลวงป่ทู องพูล
สริ กิ าโม และคณะไดเ้ ดินทางมาพักท่ภี ทู อกเป็นครงั้ แรก โดยท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ไดเ้ มตตา
เทศนเ์ รื่องนีไ้ ว้ดังนี้

“เม่ือออกพรรษา เสรจ็ กิจการงานทางวัดถ้�ำกลองเพลแลว้ ขา้ พเจา้ กน็ มสั การลาหลวงปูข่ าว
กลับไปวิเวกท่ีภูวัวอกี ได้เดนิ ทางมาพกั วิเวกท่ภี วู ัวชั่วคราวประมาณ ๑ เดอื น ตอ่ แตน่ นั้ ก็เดนิ ทางมา
พักวิเวกท่ีภูทอก มาอยู่คร้ังแรกมีข้าพเจ้าและพระครูสิริธรรมวัฒน์ (หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม)
วัดสามคั คีอุปถัมภ์ บงึ กาฬ และกม็ ีผ้าขาวน้อยคนหน่งึ อยู่รว่ มดว้ ย

มาอย่คู รั้งแรกอาศัยถ้�ำตีนเขา ทเี่ ปน็ โรงฉนั ตอ่ กับโรงครวั สมยั นี้ มาอยูค่ รง้ั แรกเป็นป่าทบึ รกชัฏ
มสี ัตวป์ ่านานาชนดิ มีช้าง มีเสือ มหี มี มีงูใหญเ่ ลอ้ื ยไปมาอยตู่ ามถ้�ำนั้น อากาศทึบ และมาอยคู่ ร้งั แรก
ก็ชักจะอดนำ�้ อาศัยนำ�้ ฝนท่ียังคา้ งอยู่ตามอ่างอยู่ เม่ือหมดน�้ำทีอ่ ย่ใู นอ่างหิน กพ็ ากันสะพายกระบอก
ไม้ไผ่ ไปเอาน้�ำทที่ ุ่งนาเขา ไกลประมาณ ๒ – ๓ กโิ ลฯ

สว่ นอาหารการขบฉันสมยั นัน้ อาศยั บา้ นนาค�ำแคน ซงึ่ อพยพไปอยใู่ หม่ๆ ประมาณสกั ๑๐
กว่าหลงั คาเรอื น อาหารการขบฉันกอ็ ยู่ในลักษณะที่วา่ ขาดแคลนมาก ตามมตี ามได้ พอเยียวยาอตั ภาพ
ชีวติ ไปชัว่ วนั หนึ่งๆ นั้น

และมาอยูท่ ่ถี ้�ำตีนเขาภทู อกนี้ พ.ศ. ๒๕๑๒ เมื่อย่างเข้าฤดแู ล้ง ข้าพเจ้ากใ็ หญ้ าตโิ ยมถากถางท่ี
ทึบใหเ้ ตยี นพอไดม้ ีอากาศเข้าไป และก็ให้ญาติโยมเขาปดิ ท�ำนบน�้ำไว้หน่ึงแห่งในปีทีแรก เพ่ือเกบ็ น้�ำไว้

แล้วก็ญาติโยมเขาก็พร้อมเพรียงกัน ปีทีแรกในฤดูแล้ง ในฤดูแล้งปีทีแรกน่ันแหละได้ปลูก
กระต๊อบชว่ั คราว พอได้อาศัยจ�ำพรรษา”

การมาพกั ทภี่ ทู อกครั้งแรก หนังสือประวัติหลวงปู่ทองพลู สริ ิกาโม ไดบ้ ันทกึ เรอ่ื งน้ไี วด้ ังน้ี
“ในปลายปีพุทธศักราช ๒๕๑๑ หลวงปู่จวน กุลเชฏฺโ และ หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม
หลังออกพรรษาแล้ว ท่านทั้งสองได้นัดหมายกันท่ีบ้านนาสะแบง ธุดงค์ขึ้นภาวนาที่ภูทอกตามท่ี
หลวงปู่จวนทา่ นไดน้ มิ ติ ขณะน้ันมบี า้ นเพยี ง ๖ หลังคาเรือน ไกลปืนเทย่ี ง ไมม่ กี ารพัฒนา เป็นบา้ นปา่
คนดง ดว้ ยบารมธี รรมของทา่ นพระอาจารยท์ ง้ั ๒ รปู ทเี่ พยี รปฏบิ ตั ดิ ี ปฏบิ ตั ชิ อบ แมจ้ ะอยใู่ นทหี่ า่ งไกล
แต่ผู้คนเริ่มทยอยเข้ามากราบท่านทีละคนสองคน จากปากต่อปาก จากบุญต่อบุญ จากบุญน้อย
จงึ กลายเป็นบุญใหญ่ จากปากนอ้ ยจึงกลายเป็นปากใหญ่ พดู ทเี ดียวไดย้ นิ ข้ามจังหวดั ”

228

พรรษา ๒๗ – ๓๘ พ.ศ. ๒๕๑๒ – ๒๕๒๓ จ�ำพรรษาภูทอก

ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฺ  ไดเ้ มตตาเทศนเ์ ร่ืองนี้ไวด้ ังน้ี
“มาจ�ำพรรษาทภ่ี ูทอกปี พ.ศ. ๒๕๑๒ น้นั มอี ยู่ ๓ องค์ แลว้ ก็ผ้าขาวน้อย ๑ คน พากนั
จ�ำพรรษาที่นั้น ท�ำความพากความเพยี ร เวลาพลบค่�ำ ข้าพเจ้าก็ปีนข้ึนบนเขา เอาผา้ มดั เอวแลว้ ก็ปีน
ข้นึ ตามเครอื เถา เถาวลั ย์ตามรากไม้ ข้นึ ไปนอนอยู่ชนั้ ที่ ๕ ถ�้ำวิหารพระเด๋ียวน้ี แตก่ ่อนมีป่าทึบมาก
และเป็นถ�้ำทสี่ ตั วอ์ ยู่อาศยั คอื เลยี งผาอยูอ่ าศยั
และในระหว่างกลางพรรษา กเ็ ลยได้พาโยมทำ� บันไดขน้ึ ช้นั ท่ี ๕ ชัน้ ที่ ๖ จนส�ำเร็จ ทำ� บันได
ขึ้นเขา ท�ำประมาณ ๒ เดือนกับ ๑๐ วนั จึงส�ำเร็จ ท�ำให้ไม่ตอ้ งอาศยั รากไมเ้ ถาวัลย์อกี ต่อไป การสรา้ ง
บันไดน้ีส�ำเร็จในกลางพรรษา อาศัยศรัทธาญาติโยมและชาวบ้านใกล้เคียงช่วยกันคนละเล็กละน้อย
ช่วยก�ำลังแรง ส่วนกำ� ลงั ทรพั ยไ์ ม่มี เพราะเขาเป็นคนยากคนจน เป็นคนชนบทไมม่ ีรายได้ มแี ต่ก�ำลัง
ศรัทธาความเชือ่ ถอื ในบุญกุศล ศรัทธาอย่ใู นใจของเขา ทกุ ขย์ ากอยา่ งไร เขากอ็ ตุ ส่าห์มาช่วยการงาน
ของวดั อยู่ตลอดพรรษาดว้ ยน้�ำพกั น้�ำแรงดงั นี้ มาอยู่ภูทอกปีแรกถา้ ไมอ่ ดทนจรงิ ๆ กอ็ ยไู่ ม่ได้ อดอยาก
ขา้ วปลาอาหาร พระเณรเจบ็ ป่วย เปน็ ไข้ปา่  ไม่มยี าจะฉนั  นับว่าล�ำบากมากทีเดยี ว
กลางพรรษาป ี ๒๕๑๒ ทจ่ี �ำพรรษาอยู่ทวี่ ัดเจตยิ าคริ วี ิหาร ภทู อกน้ี ขา้ พเจา้ ไดเ้ กิดสบุ ินนมิ ติ
ว่าข้าพเจ้าได้ไปบิณฑบาตที่ภูทอกใหญ่ตามหน้าผา ข้าพเจ้าได้ครองผ้าห่มผ้าเป็นปริมณฑล แล้วก็
สะพายบาตรอมุ้ บาตร เดนิ เลียบไปตามหน้าผา อ้อมไปเร่ือยๆ เห็นแต่บานหน้าต่างปดิ อยตู่ ามหนา้ ผา
มองไมเ่ ห็นคนเลย ขา้ พเจ้าเดนิ ออ้ มไปอ้อมมา เลยไปหยุดยืนร�ำพงึ อยู่ เอ ! ท�ำไมมแี ต่หนา้ ต่างปดิ
ไมเ่ ห็นคนออกมาใส่บาตรเลย
รำ� พงึ อยอู่ ึดใจหนง่ึ ก็เหน็ คนเปิดหนา้ ต่างออกมาใสบ่ าตรขา้ พเจา้ ดูเหมอื นเขาจะเข้าใจไดถ้ งึ
ความคิดของข้าพเจ้าท่ีตั้งวิตกถามขึ้นว่า เขาเป็นใคร เขาก็ประกาศข้ึนมาเองว่า “พวกผมนี้เป็นพวก
บังบดขอรับ อยกู่ ันทภ่ี ทู อกใหญ่ ภูแจม่ จ�ำรัส” พวกบงั บด คือ พวกภุมมเทวดาที่เขามีศีล ๕ เป็นประจำ�
ช่ือเดิมหรือชื่อจรงิ ของภทู อกใหญ่นเ้ี รียกกนั ว่า ภูแจม่ จำ� รสั เขาอธิบายใหข้ ้าพเจา้ ฟัง “แตก่ อ่ นนม้ี ีพวก
ฤๅษีชีไพรมาบ�ำเพ็ญพรตภาวนากันที่ภูเขาแจ่มจ�ำรัสน้ีมาก” ข้าพเจ้ารอเขาใส่บาตรเรียบร้อยแล้ว ก็
ถามเขาเป็นเชิงคยุ ว่า “ท�ำไมจึงร้วู า่ อาตมามาบิณฑบาต ?” เขาตอบยมิ้ ๆ ทันที “รซู้ ี จะไมร่ ู้ไดอ้ ยา่ งไร”
“ปดิ หนา้ ต่างอยอู่ ย่างนี้ รู้ไดร้ ึ ?” “รูค้ รบั ” เขาวา่ “รู้ดว้ ยอะไร ?” เขาบอกวา่ “รู้ด้วยกลิน่ ถกู กล่ิน
พระผู้เป็นเจา้ ” “กลนิ่ เป็นอย่างไร ?” ข้าพเจา้ ซัก “กลน่ิ หอมขอรับ ถูกกลิ่นพระผ้เู ป็นเจ้า ก็เลยพากัน
เปิดหนา้ ตา่ งมาใส่บาตรพระผู้เป็นเจา้ กนั ”
เขาช้ีแจงให้ข้าพเจ้าฟังด้วยสีหน้าอันเปี่ยมด้วยความเล่ือมใสศรัทธาแล้วก็กล่าวต่อไปอีก อันนี้
จะเป็นเชงิ สรรเสริญหรอื อะไรกไ็ ม่ทราบ เขาบอกวา่ “พระพวกนเ้ี ปน็ พระที่ปฏิบตั ิดีสมควร พวกเรา
จึงพร้อมใจกนั มาใส่บาตร”

229

พอพวกเขาใส่บาตรข้าพเจา้ ก็กลบั พอดีรสู้ ึกตวั ตืน่ ข้ึน พจิ ารณาดูนิมติ น้นั เหน็ แปลก กเ็ ลา่ ให้
หมู่เพื่อนฝูงฟัง ประหลาดที่ว่าเช้าวันนั้นอาหารท่ีบิณฑบาตได้ ขบฉันรู้สึกว่ารสเอร็ดอร่อยเป็นพิเศษ
ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้มีใครอื่นมาใส่บาตรจริงๆ มีแต่ชาวบ้านเท่าน้ัน อาหารก็เป็นอาหารพื้นๆ เป็นปลาร้า
น�้ำพริกอะไรพวกน้นั ตามปกตขิ องเขา แตเ่ มื่อฉันไปกลบั เอรด็ อรอ่ ยราวกับอาหารทิพย์ ทั้งๆ ท่อี าหาร
อันวิจติ รพิสดารทีเ่ ขาถวายนั้นอยใู่ นความฝันต่างหาก

ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้มีหูทิพย์ ตาทิพย์อะไร ฝันเฉยๆ ก็มาเล่าสู่กันฟัง จะเช่ือหรือไม่เชื่อก็ตามใจ
เลา่ ไปตามทเ่ี กดิ ฝันขนึ้ เรียกวา่ ฝนั ในนมิ ิต หรอื นิมิตในฝันกไ็ ด้ ขา้ พเจ้าก็ไมย่ ึดถือว่าเปน็ อะไรหรอก
เปน็ ธรรมดาคนเรานอนก็ฝนั เท่านนั้ เอง ไมฝ่ นั อย่างหนง่ึ  ก็ฝันอกี อยา่ งหนึ่ง จะจริงไม่จริงกย็ กไว้

พรรษาแรกพระเณรเจ็บไข้กันมาก บางองค์ก็บอกว่า เทวดาประจ�ำภูเขามาหลอกหลอน ดึงขา
เรียกปลุกดึงๆ ให้ลุกข้ึนท�ำความเพียร บางทีก็ไล่ให้หนี เพราะมาแย่งวิมานของเขา ข้าพเจ้าก็ได้
นมิ ิตบางประการเหมือนกัน จึงพยายามตักเตือนพระเณรให้มศี ีลบรสิ ุทธ์ิ และบ�ำเพญ็ ภาวนาแผเ่ มตตา
ให้ท�ำความเพยี รอย่าได้ประมาท เพราะศีล สมาธิ ภาวนา นน้ั เปน็ เกราะก�ำบงั ของผบู้ �ำเพ็ญพรต

ภายหลังก็เกิดนิมิต มีพวกเทวดามาหาข้าพเจ้าและบอกว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวาย
ภูเขาลูกนี้ให้แก่พระผู้เป็นเจ้า ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดรับไว้รักษา พวกข้าพเจ้าจะลงไปอยู่ข้างล่าง”
ในนมิ ิตนนั้ เขาได้ขอคำ� มัน่ สญั ญาไว้อกี ว่า เม่อื พวกเขาลงไปอยูช่ น้ั ลา่ งแล้ว ขอใหข้ ้าพเจ้าบอกประกาศ
แก่มนุษยท์ จี่ ะมาเทีย่ วภเู ขาลกู น้ตี ่อไปว่า “ขออย่าไดก้ ล่าวค�ำหยาบ อย่าส่งเสยี งอกึ ทกึ อย่าถม่ นำ้� ลาย
ลงไปข้างลา่ ง อย่าขว้างปาหรอื ทง้ิ เศษขยะไว้ขา้ งบนเขา อยา่ ฆ่าสัตว์ เท่านีเ้ ขากพ็ อใจแล้ว”

ขา้ พเจ้าตนื่ จากฝนั แลว้ กน็ ั่งพิจารณาอยู่ ก็ร้สู ึกวา่ ค�ำขอของพวกเทวดานัน้ แยบคายดี จะเป็น
เรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม แต่ก็น่าจะเป็นข้อท่ีกัลยาณชนทุกคนควรจะปฏิบัติอยู่แล้ว ถึงแม้จะไม่มี
เทวดามาขอรอ้ งเลย มนษุ ย์ผู้เปน็ ผ้ดู มี ีมรรยาทของสงั คมชาวโลกกน็ า่ จะปฏบิ ัตติ าม

อยา่ งไรก็ดี วันน้นั เองระหวา่ งทข่ี า้ พเจ้ายังมิได้ปริปากเล่าอะไรใหใ้ ครฟัง พวกชาวบ้านกม็ าเลา่
ใหฟ้ ังวา่ พวกเขาต่างฝันกนั วา่ มีเทวดามาบอกวา่ จะมอบภูเขาให้ท่านอาจารยจ์ วนรักษา พวกเขาจะลง
ไปอยู่ข้างลา่ งแทน

แปลกเหมือนกัน ท่ีบงั เอิญหลายคนมาฝนั ตรงกัน
เมือ่ ท�ำบันไดเสร็จในพรรษา ๒๕๑๒ น้ัน ทนี ี้เมื่อถึงฤดูแล้งใน พ.ศ. ๒๕๑๓ น้ันแล ไดป้ ดิ ทำ� นบ
๒ ทำ� นบเพิ่มข้นึ เพือ่ เก็บน�้ำ และในพรรษา ๒๕๑๓ น้ันมีศรัทธาทางประเทศลาว คอื นายบุญที ที่อยู่
นครเวยี งจันทน์ ประเทศลาว มศี รัทธาสรา้ งพระประธานไวท้ ีถ่ �้ำวิหารพระ ช้นั ๕ สิ้นเงินประมาณ
๑๐,๐๐๐ บาท และก็มีศรัทธาต่างๆ ทยอยกันมาสร้างโรงฉันและศาลาช้ันที่ ๕ พอเป็นที่ได้อาศัย
หลบฝน

230

ส่วนศาลานั้นพอได้อาศัยฉันจังหันท่ีศาลาข้างล่าง แล้วต่อมาจึงมีศรัทธาจากท่ีต่างๆ เพ่ิมขึ้น
เช่นท่ี บึงกาฬ หนองคาย อดุ รฯ สกลนคร และนครพนม ขอนแกน่ นครราชสีมา ตลอดถึงกรงุ เทพ–
พระมหานคร และอุบลราชธานี จึงได้ขยายศาลาโรงฉันข้างล่างให้กว้างออกไป และได้ขยายศาลา
ช้นั ที่ ๕ ให้กว้างขวางออกไป เพอื่ เวลาประกอบศาสนกิจและสงั ฆกรรมจะได้ปฏิบตั ิได้โดยสะดวก

การสร้างศาลาโรงฉัน ศาลาช้ันบน และกุฏิที่อยู่ของพระน้ัน ข้าพเจ้าได้พยายามท�ำแบบที่ให้
ส่งเสริมธรรมชาติ ใหก้ ลมกลนื กันไปกับธรรมชาติ เช่น บางแห่งก็บูรณะถ้�ำธรรมชาตใิ ห้เปน็ ท่อี ยอู่ าศัย
บางแห่งก็ใชห้ ลังคาสงั กะสตี อ่ เช่อื มกับหินปากถ้ำ�  อาศยั ผนังถ้�ำส่วนหนึง่ เป็นฝา เป็นตน้ นอกจากนั้นได้
สรา้ งศาลา โรงครวั และกฏุ แิ ม่ชเี พิม่ ขนึ้

ปัญหาเรื่องน�้ำใช้บนยอดเขาเป็นสิ่งส�ำคัญ ข้าพเจ้าได้พยายามขุดบ่อน�้ำหลายแห่ง บังเอิญได้
พบบ่อน�้ำซึมผุดขึ้นมาจากซอกหินเปน็ ตาน้ำ� ขนาดแรง จึงไดร้ ว่ มกันสรา้ งบาตรน้�ำมนต์ขนาดใหญ่ไวร้ อง
น�้ำซึมท่ีหยดมาจากยอดเขา และสร้างตั้งถังเก็บน้�ำคอนกรีตเสริมเหล็ก ติดเครื่องสูบน�้ำขึ้นท่ีหลังเขา
เปน็ ถังแรก พรอ้ มกบั สรา้ งสว้ มและหอ้ งน้�ำไวส้ �ำหรับประชาชน 

เมือ่ อยู่มาตามล�ำดบั ๆ มา ครน้ั นบั แต่พรรษา ๒๕๑๒ ไดท้ �ำบนั ได
พรรษา ๒๕๑๓ ไดท้ �ำสะพานรอบเขาชนั้ ที่ ๕
ส่วนพรรษาท่ี ๑๔ ท่ี ๑๕ คือ พรรษา ๒๕๑๔ – ๒๕๑๕ ไมไ่ ด้ท�ำสะพาน ปดิ ทำ� นบน�้ำอีก
เพม่ิ อกี
พ.ศ. ๒๕๑๖ ไดร้ อื้ สะพานชั้นท่ี ๕ เพราะแตก่ อ่ นสะพานช้นั ที่ ๕ น้ี ท�ำไมเ่ สมอกนั มตี ำ�่ มีสูง
กว่ากัน แลว้ กร็ ้อื ยกพืน้ ใหมใ่ หส้ มำ่� เสมอกัน กข็ ยายออกใหก้ วา้ งกวา่ เดิม ท�ำใหแ้ นน่ หนากวา่ เดิม เพิ่มไม้
เขา้ อีกเปน็ สามส่วน ท�ำอยู่ ๓ เดอื นจึงส�ำเร็จ ซ่อมแซมของเก่า และงบประมาณส้นิ เงนิ ๓๐,๐๐๐ บาท
พรรษา ๒๕๑๗ มพี ระจำ� พรรษา ๕ เณร ๕ แลว้ กไ็ ด้พาหมู่คณะท�ำสะพานช้นั ที่ ๖ ทำ� อยู่
๓ เดือน จึงส�ำเรจ็ ส้ินเงินประมาณ ๓๕,๐๐๐ บาท
พอพรรษา พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้ทำ� บันไดตอ่ จากโรงฉนั ขา้ งล่างถึงชนั้ ๔ ส�ำเรจ็ ท�ำอยู่ ๒ เดอื น กบั
๑๕ วัน สนิ้ เงนิ ประมาณ ๓๕,๐๐๐ บาท และสะพานช้นั ที่ ๔ น้ี ทำ� พ.ศ. ๒๕๑๘ แต่ไม่ได้รอบเขา
ทำ� ไปคร่งึ เขา น่ที างทศิ ตะวนั ตก สว่ นสะพานชน้ั ที่ ๔ ทางทศิ ตะวนั ออก ได้จา้ งชาวบา้ นเขาท�ำ สน้ิ เงิน
ประมาณ ๒๐,๐๐๐ บาท ท�ำอยู่ ๒ เดือนเต็มส�ำเรจ็ ต่อข้ึนจากชน้ั ท่ี ๕ ดงั ท่ีปรากฏอยูเ่ ดย๋ี วนี้
พ.ศ. ๒๕๑๙ ไดป้ ดิ ทำ� นบซึง่ เปน็ เขตวดั จา้ งแทรกเตอร์เขา คดิ เป็นเงนิ ๑๖,๐๐๐ บาท
จากปี ๒๕๑๙ เป็นต้นไป ศรทั ธาจากทต่ี า่ งๆ ไดท้ ยอยกนั มามากข้นึ ไดส้ ร้างถงั นำ�้ บนเขาชั้นที่ ๕
อีกหลายถงั เพ่อื ให้พระเณรไดม้ ีน�้ำดมื่ นำ�้ ใช้ตลอดป ี เมอ่ื มีญาติโยมขึ้นไปคา้ งฟังธรรมบนถ�้ำวิหารพระ
บนเขาชั้นท่ี ๕ จงึ ไดส้ ร้างหอ้ งน�้ำ ห้องสว้ ม เพ่มิ อีก ๕ ห้อง พรอ้ มท�ำบา้ นพกั แมช่ ี

231

เดิมทีทพี่ ักพระเณรบนเขา จะหาเส่อื ไปปพู กั ตามถ�้ำเงอ้ื มผา หรอื ใชไ้ ม้ตีก�ำบงั กัน้ ชัว่ คราว พอได้
อาศัยหลบฝน จงึ ได้สรา้ งกฏุ ิถาวรพร้อมทางจงกรม และไดส้ รา้ งกฏุ สิ งฆอ์ าพาธพร้อมห้องน�้ำบนเขา
ช้ันท่ี ๒ เปน็ หลงั แรก สว่ นกุฏิชวั่ คราว ณ เขาชน้ั ท่ี ๒ ท่ีขา้ พเจา้ มาพักครั้งแรกเมอื่ ปี ๒๕๑๒ ไดส้ ร้าง
กฏุ ิถาวรพรอ้ มทางจงกรมอกี หลงั หนึ่ง ตอ่ มาไดส้ ร้างกฏุ อิ ีกหลังหนึ่งบนพลาญหนิ ช้ันท่ี ๒ และในปี
๒๕๒๒ มีศรัทธาจากกรุงเทพพระมหานครได้สร้างกุฏิถวายให้ข้าพเจ้าบนเขาชั้นที่ ๕ โดยจัดสร้าง
ต่อขยายออกไปจากศาลาถ้ำ� วิหารพระ เป็นทีพ่ ัก ๒ ช้ัน

ระยะหลังไดม้ ีศรัทธาจากกรงุ เทพพระมหานครมาค้างท่ีวดั จ�ำนวนมากหลายรอ้ ยคน ตอ้ งอาศัย
แม่ชชี ่วยจัดอาหารเล้ียง จึงสร้างกุฏแิ มช่ เี พ่มิ ขน้ึ และสร้างกุฏิท่พี ักส�ำหรบั พระอาคนั ตุกะบนเขาช้ันท่ี ๕
เปน็ เรือนยาวขนาด ๒ หอ้ ง และต่อมาสร้างกฏุ ิพระเพ่มิ บนโขดหินเขาชน้ั ท่ี ๒ อีก ๒ หลงั

ในปี ๒๕๒๒ เม่อื มีคณะผา้ ป่ามาพรอ้ มกันหลายคณะ ศาลาทพี่ กั บนเขาดคู บั แคบไปไม่พอพัก
จงึ สรา้ งกฏุ ทิ ีพ่ ักบนชะง่อนเขาชน้ั ที่ ๕ อกี ๑ หลัง อากาศปลอดโปร่งโลง่ สบาย เป็นที่หย่อนใจดมี าก

เมอื่ ได้บ�ำรงุ สิง่ กอ่ สร้างในวัดให้เหน็ ประโยชน์แลว้ ก็ไดช้ ่วยท�ำประโยชน์ใหแ้ กช่ าวบ้านละแวก
ใกลว้ ัดด้วย ตงั้ แต่ปี ๒๕๒๑ – ๒๕๒๒ – ๒๕๒๓ ไดส้ ร้างท�ำนบก้ันนำ้� ให้ชาวบา้ น ๖ ท�ำนบ เพอื่ ในการ
เพาะปลูกทำ� ไร่นา ท�ำนบละหม่นื กม็ ี ๒ หมื่นก็มี ๓ หม่นื ก็มี ๕ หมืน่ กม็ ี ท�ำถนนเปน็ ท�ำนบฝายกนั้ น้�ำ
ระหว่างภูทอกน้อยและภแู จ่มจำ� รัสอกี รว่ ม ๒ แสน ท้ังหมดส้นิ เงนิ วัดไป ๔ แสน ๕ แสนแลว้ เฉพาะ
ท�ำนบใหญก่ น้ั เกบ็ น�ำ้ ระหวา่ งภทู อกน้อยและภูแจม่ จำ� รัสนน้ั กรมชลประทานของรฐั บาล เขามาชว่ ย
รบั ช่วงเอาไปปรับปรงุ เสริมสร้างคันทำ� นบให้สูงขึ้นและม่ันคงขน้ึ รฐั บาลใหง้ บประมาณมา ๒ ลา้ นบาท
เดี๋ยวน้ีท�ำเสร็จแล้ว เก็บน้ำ� ได้มาก เกบ็ นำ�้ ได้ลึกถึง ๑๐ กวา่ เมตร สามารถจะใชป้ ระโยชน์ในการเพาะ
พนั ธุ์ปลา และระบายน้�ำให้พวกชาวไร่ชาวนาอย่างสะดวกสบายทเี ดยี ว

พ.ศ. ๒๕๒๓ จะเริ่มท�ำถนนรอบภูเขา ๓ ลูก คือ ภูทอกน้อย ภทู อกใหญ่หรอื ภูแจ่มจ�ำรัสและ
ภสู งิ ห์น้อยซงึ่ ตา่ งเป็นส�ำนกั สงฆข์ องวัด ขา้ พเจา้ ไดใ้ หเ้ กรดทางรอบเขตวดั ไว้แลว้ ถา้ ไมท่ �ำ ชาวบา้ น
บุกรุกเข้ามาถึงเชงิ เขากจ็ ะล�ำบาก ตดั ไม้ เผาไม้ ฆ่าสตั ว์ สัตวอ์ ยูใ่ นเขาก็ยังมอี กี มาก กวาง เกง้ เลยี งผา
หมี ลงิ สกุ รปา่ ยังมีอกี มาก พวกนก พวกกระต่าย ไก่ป่า กย็ ังมีเชน่ กัน สมควรจะสงวนไว้ จงึ ได้จ้าง
รถแทรกเตอร์มาเกรดทางรอบเขาแลว้ ปดิ ท�ำนบน�้ำเสยี ด้วย ทีไ่ หนเป็นห้วยก็พูนดนิ เสริมสร้างเป็นคัน
ท�ำนบเพ่ือใหส้ ัตวป์ า่ ไดอ้ าศัยอาบ อาศยั กนิ ตลอดถึงมนษุ ย์กจ็ ะไดใ้ ช้สอยท�ำไร่นา เพาะปลูกพชื ผลโดย
ไม่อดน�้ำ ไมใ่ หค้ นรุกล�้ำเข้ามาท�ำกนิ ในเขตท�ำนบนำ้� ถา้ น�้ำมีเหลือเฟือกจ็ ะได้ระบายชว่ ยเหลือชาวนา
ชาวไร่โดยไม่ตดิ ขดั นีเ่ รม่ิ ในปี ๒๕๒๓ จ้างรถแทรกเตอรม์ าท�ำงานดังนี้ (เมื่อท่านมรณภาพแล้ว งานน้ี
ยังคา้ งอยู่ ทางวัดกไ็ ด้ทำ� จนเสรจ็  รวมทัง้ สร้างท�ำนบน้�ำแหง่ ใหมใ่ นหมู่บ้านด้วย)

และเม่ือมาอยู่คร้ังแรกที่ถ้�ำตีนเขาน้ัน ฤดูแล้งได้พาญาติโยมตัดทางจากภูทอก ไปถึงบ้าน
ดอนเสียด รถเดินได้สบาย เด๋ียวน้ีก็ยังเป็นเส้นทางอยู่ นี่ตัดทางลัด ต่อแต่นั้นญาติโยมเขาทราบว่ามี
พระมาอยู่ทภี่ ูทอก ญาติโยมถ่นิ ต่างๆ เขากท็ ยอยกนั มาสร้างบา้ น จนเป็นปึกแผ่นแน่นหนา เด๋ยี วนี้ก็

232

๒๐๐ กว่าหลังคาเรือนแลว้
มาอยทู่ ีแรก แล้วก็ไดพ้ าญาตโิ ยมถากถางวัด เพ่ือระบายอากาศใหป้ ลอดโปร่ง บ้านนาค�ำแคนน้ี

มาตัง้ กอ่ นวัด ๒ ปี วัดมาต้งั ภายหลงั บ้านนาค�ำแคนมาตง้ั พ.ศ. ๒๕๑๐ วัดมาตัง้ พ.ศ. ๒๕๑๒ คนท่ี
เข้ามาอยู่โดยมากเป็นคนจังหวัดกาฬสินธุ์ก็มี ขอนแก่นก็มี ร้อยเอ็ดก็มี อุบลราชธานีก็มี อุดรฯ ก็มี
สกลนครก็มี มคี นหลายจังหวัดทเ่ี ข้ามาอยบู่ า้ นนาค�ำแคน

สมยั ก่อนแถวแถบน้ี ภูววั ภสู งิ ห์ ภูทอก แถบน้เี ปน็ ปา่ เป็นดงทึบ มีสัตว์ป่านานาชนดิ มาก ไมใ่ ช่
มีหมูบ่ า้ น คนแต่ก่อนท่อี ยแู่ ถบนเี้ ป็นคนมาจากประเทศลาว โดยมากเป็นพวกเม้ย หรือเปน็ พวกย้อ
เขาแต่ก่อนภูมิล�ำเนาเดิมเขาอยู่ประเทศลาว เขาข้ามมาอยู่เมืองไทยสมัยเมื่อฝรั่งเศสเข้ามาครองลาว
เมอ่ื ฝรง่ั เศสเข้ามาปกครองลาว เขาไมช่ อบลทั ธิการปกครองของฝรั่งเศส เขาจึงอพยพครอบครัวขา้ ม
แมน่ ้�ำโขงมาอยปู่ ระเทศไทย

และลัทธิประเพณีเดิมของเขานั้นเป็นอย่างนี้ ส�ำหรับพวกเม้ย แต่ก่อนเขาเรียกว่า ลาวกอด
ลาวกมุ คำ� วา่ ลาวกอด ลาวกมุ นีเ่ ขาถือกนั จรงิ ๆ คือหมายความวา่ ถ้าเราไปเย่ยี มเขา ไปเยี่ยมบ้าน
เย่ียมเรือนเขา ถ้าเขามีลูกสาวแลว้ ไม่กอด ไมก่ ุม ไมจ่ บู ไม่ดมลกู สาวเขาไม่ได้ เขาวา่ ผิดผี แตจ่ ะทำ�
อะไรไม่ได้ ไดแ้ ต่เพยี งกอด กมุ ดม จูบเทา่ นัน้ ถ้าไมท่ ำ� อย่างนั้นเขาปรบั ไหม ใส่โทษ เพราะมนั ผิดผีเขา
นปี่ ระเพณีลาวกอด ลาวกมุ ของเขา ทีนีเ้ ม่อื เขาข้ามมาประเทศไทย ในสมยั กอ่ นๆ กย็ ังมอี ยู่ แต่เด๋ียวนี้ดู
มันหายไปแลว้

และพระเณรของเขานัน้ ดูไมไ่ ดห้ รอก เขาถอื อะไรกไ็ มท่ ราบ เป็นแตเ่ พียงนงุ่ ผ้าเหลืองแล้วก็
แลว้ กันไป กถ็ ือวา่ เป็นพระเป็นเณรเฝา้ วดั เฝา้ วา เขาจะกนิ ขา้ วค�่ำขา้ วแลง ก็ไมว่ า่ แตโ่ ดยมากทีส่ งั เกต
ดชู อบกินยาฝนิ่ พวกพระเณร แล้วก็พากันแต่งคลอ้ งแต่งครองกัน เวลาสงกรานตก์ ร็ ดน้�ำกันกบั สีกา
กอดกัน กุมกัน เขาไม่ถืออะไร และถ้าเป็นวันพระ เขาก็พากันไปหาล่าเน้ือตามป่า หรือไปหาปลา
กินปลาตามห้วย ตามหนอง ตามบึง น่ีส�ำหรับพวกพระเณรในสมัยนั้น เขาไม่ถือกันเลย จับเงิน
บายทอง ขดุ ดิน ฟนั ไม้ เขาไม่ค�ำนงึ ถึงพระวนิ ยั อย่างไรเลย และญาติโยมกไ็ ม่ถอื

และแถวนั้นแต่ก่อน เขาถือผีกันว่า ถ้าฤดูปีใหม่เขาต้องเล้ียงผีกัน แล้วก็เหยาผีกัน เป็นพิธี
ใหญ่โตรโหฐานทีเดียว ซ่ึงข้าพเจ้าก็เคยได้เห็นเขาอยู่ เขาท�ำอยู่ นี่ลัทธิเดิมของเขา แต่เด๋ียวนี้ ดูมัน
หายไปหมดแล้ว ไม่มี เพราะความเจริญมันร่นไหลเขา้ ไป และทางคมนาคมก็สะดวกไป แต่ก่อนไมม่ ี
หนทางรถ ถ้าเดินไปหากันต้องเดินท้ังนั้น ไปอ�ำเภอต้องนอนคืน นอนค้างกลางทางจึงจะถึงอ�ำเภอ
การศึกษาเล่าเรียน แถบนัน้ ไมม่ ีโรงเรียนเลย อยู่กันอยา่ งป่าๆ คนไม่รหู้ นังสอื อะไรเลย สว่ นเจ้าหนา้ ท่ี
กไ็ ม่ค่อยเข้าไปถงึ เพราะกนั ดารมาก

แต่สมัยน้ที างคมนาคมสะดวก การศึกษาเลา่ เรียนท่วั ถึงกนั แลว้ และแตก่ ่อนสมยั นัน้ การเจ็บไข้
ไดป้ ่วย คือไข้ป่ามากนักชุมนกั คนตายกันปีหน่ึงๆ ไข้ปา่ มากทเี ดยี ว แต่สมยั นดี้ ูลดปรมิ าณลงไป เกือบ

233

จะไมม่ ีเสยี แลว้ เพราะการคมนาคมและการแพทย์สะดวกดีมาก การอยูก่ ารกนิ ก็ลำ� บากยากแค้นมาก
สมยั นน้ั และการเดินไปมาหาส่กู นั ก็ล�ำบาก น่บี ้านเมืองสมยั น้ัน แตส่ มยั นส้ี บาย พวกกรุงเทพฯ ก็ไปถึง
ไปได้ ขรี่ ถทัวร์ รถเล็ก รถใหญ่ ไปได้ ไม่ขัดข้องเลยทีเดียว”

ท่านเล่าชีวิตการเดินธุดงค์

ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ  ได้เมตตาเทศน์เรื่องนี้ไวด้ งั นี้
“สมัยทข่ี ้าพเจา้ อยู่ดงหม้อทอง เวลาออกพรรษาตอ้ งเดนิ หาวเิ วกท้งั น้นั เดินขน้ึ ไปภูวัว ภูทอก
เดินจากดงหม้อทองถึงภูวัว ๓ คืน แล้วก็ไปวิเวกท่ีดงศรีชมภู เดินบางคร้ัง เดินจากดงหม้อทองไป
จงั หวดั เดนิ ๙ คืน เดนิ จากจงั หวดั เลยไปพษิ ณุโลก ไปเชยี งใหม่ ไป เดนิ ไปเชยี งตงุ อย่างน้แี หละ
ชีวิตของพระธุดงคกรรมฐาน เป็นชีวิตท่ียากแค้นล�ำเค็ญเหลือเกิน ต้องบุกป่าฝ่าดงดอน นอนตามป่า
ตามเขา แต่กระน้ัน แม้อาหารการขบฉันจะหอดจะหิว จะอดจะอยาก ก็ใช้ขันติความอดทนเอา
แม้การเดินทางจะล�ำบากยากแค้นกใ็ ชค้ วามอดทนเอา
พิจารณาเรื่องของทุกข์ ว่าเราเกิดมามันต้องทุกข์ ถ้าเรายังเกิดอยู่อย่างน้ี เราก็ต้องทุกข์อยู่
อย่างน้ี ทุกข์เพราะความล�ำบากยากแค้น และทุกข์เพราะกันดารและการเดินไม่ระวัง ทุกข์เพราะ
ความเกดิ แก่ เจ็บ ตายนี้ มันไมร่ แู้ ลว้ ทุกข์เพราะทำ� ความชั่วความเสยี หาย ทำ� บาปทำ� กรรมแก่ตน
ให้ไปตกนรก ไฟเผาเร่ารอ้ นน้มี ันแสนท่จี ะทกุ ขท์ รมาน ท่ีเราเดนิ ไปเที่ยวบ�ำเพญ็ คณุ งามความดี อาศัย
ขันติความอดทนนี้ช่ือว่าเราเดิน เราทุกข์แต่กาย แต่ใจของเราไม่ทุกข์ เพราะเราไม่ได้ท�ำความช่ัว
เราประกอบแต่คณุ ความดี นกี้ ส็ บายใจหนอ่ ย
ถ้าเราไม่พ้นทกุ ข์ คุณความดที เี่ ราได้ตัง้ ใจบ�ำเพ็ญไว้ดว้ ยความบริสทุ ธิ์กาย บริสทุ ธ์วิ าจา บริสุทธิ์
ใจน้ี ก็จะเปน็ คติท่ดี ี เราจะไดไ้ ปส่สู ุคตเิ มอื่ เวลาตาย เปน็ มนุษย์สุข สวรรคส์ ุข พระนพิ พานสขุ หากยัง
ไม่ถึงพระนิพพานสมบัติ คุณความดีที่เราประกอบไว้ด้วยความตั้งใจ ก็จะเป็นอุปนิสัยติดสอยห้อย
ตามเราใหไ้ ดร้ ับความสขุ ความเจริญในคติภพ ก�ำเนดิ ในภพตา่ งๆ จนกว่าจะถงึ พระนพิ พาน
ดงั นี้ เมื่อคดิ แล้ว คดิ ซึง่ ในทางการบ�ำเพญ็ คณุ ความดี ใจก็ชื่นบาน ไมม่ คี วามทุกข์ในใจ ส่วนกาย
นนั้ ทกุ ข์ระก�ำลำ� บากมากทเี ดียว เท้ากเ็ จบ็ ขาก็ปวด หิว ร้อน และหนาว สารพดั แตท่ ีจ่ ะทุกข์ทรมาน
ทางกาย สว่ นทางใจก็พิจารณาเรือ่ งของทกุ ข์ อยแู่ หง่ ไหนพิจารณา
ประวตั ขิ องพระพุทธเจ้าและพระอริยะ พระพทุ ธเจ้าท่านยงิ่ เป็นผู้ท่ีนกั เสยี สละอย่างยอดเย่ยี ม
ไมม่ ีใครเทยี บถึง และท่านกเ็ ป็นกษตั รยิ ์โดยสภาพอีกเสียดว้ ย ทัง้ เป็นกษตั ริยท์ ่สี ุขุมาลชาตอิ นั ละเอียด
บรสิ ทุ ธิ์ ไมม่ กี ษัตริย์ใดในสมยั นน้ั ทท่ี ดั เทียมเสมอหรือย่ิงกว่า ท่านยงั สามารถทส่ี ละราชบลั ลังกแ์ ละ
สมบตั ิออกบรรพชาเพศ แลว้ แสวงหาโมกขธรรม เสดจ็ ไปในทที่ ปี่ า่ การขบฉันหรือปัจจัย ๔ แล้วแต่
จะมจี ะเป็น ทา่ นเสด็จด้วยเท้าทงั้ นนั้ ดว้ ยพระบาทพระองค์ทงั้ นน้ั ข้นึ เขานัน้ ลงเขาน้ี

234

บางคร้ังตามประวัติ ถงึ กบั ทา่ นไดท้ รมานอดอาหาร อดหลบั อดนอน จนสลบตายไปถงึ ๓ คร้งั
อย่างนี้กม็ ี ทา่ นก็ยงั ไมท่ ้อถอย สว่ นตัวเรานีไ้ ม่ถงึ ทา่ น ไปอยู่ไหนจะทอ้ ถอยได้ ทา่ นเป็นนักเสยี สละจรงิ ๆ
ไมเ่ หน็ แกค่ วามตาย ไม่เห็นแก่ชีวติ ทา่ นจงึ พน้ ไปจากทกุ ขไ์ ด้ เม่ือพิจารณาประวตั ิของพระพทุ ธเจ้า
ผเู้ ปน็ ศาสดาเอก มานกึ ถงึ ประวตั ิของทา่ นกท็ �ำใจใหฮ้ กึ เหมิ หา้ วหาญ และชมุ่ ชื่น หายจากความท้อแท้
ของใจ

น้ีถ้าทุกข์หรือความท้อแท้เข้ามาครอบง�ำ ต้องพิจารณาประวัติของพระพุทธเจ้าให้เป็นท่ี
ประทับใจเสมอๆ และพิจารณาค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านให้เป็นนักเสียสละ ในค�ำสอนบทหนึ่ง
ท่านสอนว่า บุคคลผู้จะรักษาไว้ซ่ึงอวัยวะอันประเสริฐ พึงสละเสียซ่ึงทรัพย์น้ัน เพราะทรัพย์
ไม่ประเสริฐเหมอื นอวยั วะ

ข้อน้ีขออธิบาย ค�ำว่า อวัยวะ คือ ร่างกายของเราน้ีเอง ถ้าร่างกายของเรามีโรคก�ำเริบ
เสบิ สานขน้ึ สว่ นใดส่วนหนงึ่ ถา้ เราไม่สละทรพั ย์มาพยาบาลร่างกายนนั้ อาจจะท�ำใหโ้ รคก�ำเรบิ เสิบสาน
เสียอวัยวะร่างกายไป จ�ำเป็นต้องสละทรัพย์เพื่อมาพยาบาลอวัยวะส่วนนั้นให้ดีขึ้น เพราะทรัพย์
ไมป่ ระเสริฐเหมือนอวัยวะ ถ้าอวยั วะสว่ นนัน้ เสยี ก็ขาดความสขุ ความเจริญเท่าน้นั เอง

อกี ตอนทส่ี องวา่ ถา้ ผจู้ ะรกั ษาไวซ้ ง่ึ ชวี ติ อนั ประเสรฐิ พงึ สละเสยี ซงึ่ ของสองอยา่ ง คอื อวยั วะ
และทรพั ยน์ ้ันเสยี เพราะอวยั วะและทรัพย์ไมป่ ระเสริฐเหมอื นชีวิต ดงั น้ี ขอ้ นี้อธิบายวา่ ชีวิตเปน็ ของ
ประเสริฐกว่าอวยั วะและทรพั ย์ ถา้ หากมโี รคภัยไขเ้ จ็บเกิดขนึ้ ในรา่ งกายของเราจะถงึ แก่ชวี ิต จำ� เปน็
เราต้องยอมตัดอวยั วะส่วนท่เี ปน็ โรคน้ันมใิ ห้ติดต่อสว่ นอนื่ ๆ ถ้าไมต่ ัดออกก็จะเป็นเหตใุ หต้ ดิ ตอ่ อวยั วะ
ส่วนอ่ืนก�ำเริบขึ้นและท�ำให้เสียชีวิต ฉะนั้น อวัยวะส่วนที่เป็นโรคนั้นแล ไม่เป็นของประเสริฐ
ต้องสละเสยี ทิ้ง ไมป่ ระเสรฐิ เหมอื นชวี ิต จงึ ว่าผจู้ ะรักษาไว้ซ่งึ ชีวิต พงึ สละเสียซึง่ ของสองอย่าง คือ
อวยั วะและทรัพยน์ ้ันเสยี

บทท่ีสามว่า ผู้ระลึกคิดถึงอยู่เนืองๆ ซึ่งค�ำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นของ
ประเสริฐ พึงสละเสียซึ่งของสามอย่าง คือ ชีวิตหนึ่ง อวัยวะหนึ่ง และทรัพย์หน่ึง เพราะของ
สามอยา่ งนน้ั ไม่ประเสรฐิ เปน็ ของไม่จรี งั ยง่ั ยนื มแี ล้วก็เสือ่ มสิน้ ฉิบหายไป ส่วนคำ� สอนของพระพุทธเจา้
สอนใหพ้ ้นทุกขพ์ น้ ภยั เป็นของทีม่ ีสาระ มีแกน่ สาร ไมเ่ ส่อื ม ไม่โทรม ไมฉ่ บิ หาย คือ หมายความวา่
ผ้ถู ึงธรรมอันแท้จริงแล้ว เปน็ ผู้ไมเ่ ส่ือม ไม่ฉบิ หาย ไม่มว้ ยมรณ์ ดังนี้

เมอ่ื มาพิจารณาค�ำสอนของพระพุทธเจ้าเนืองๆ ใจก็ห้าวหาญ ได้รับความปีติช่มุ ช่ืน เกดิ ศรทั ธา
ความแก่กล้า เกิดขันติ ความอดทน ความเพียร ใจกส็ บายหายจากความเหนด็ ความเหนอ่ื ย หายจาก
ความเดือดร้อนและความทุกข์นานาประการ ท่ีขณะเดินธุดงคกรรมฐานไปในที่ท่ีป่า ไม่ใช่ว่าจะเดิน
เฉยๆ แล้วกม็ ายอ้ นพิจารณาพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าแตล่ ะท่านๆ ละองค์ๆ ท่านปฏบิ ตั ิเพ่ือ
ความพ้นทุกข์จริงๆ ทา่ นไม่เหน็ แก่ความยาก ความล�ำบาก ไมเ่ หน็ แก่ชวี ิต ไม่หวงชีวิต ทา่ นเหน็ ชีวติ

235

เปน็ ของต�ำ่ กว่าธรรม เหน็ ธรรมเปน็ ของมีคุณคา่ มปี ระโยชนม์ หาศาลยงิ่ กว่าชีวิต
ท่านจึงเป็นนักเสียสละ ประพฤติปฏิบัติไม่เห็นแก่ความเกียจ ความคร้าน ท่านไม่ท้อถอย

อย่างประวตั ิสาวกองคน์ ั้น องค์นี้ มีแตเ่ ดด็ เด่ียว นกั เสยี สละทัง้ นนั้ น่ีแหละพระสงฆ์ผทู้ ่านท่จี ะพน้ ไป
จากทกุ ข์ จากความเดอื ดร้อนนั้น ท่านก็เปน็ ผปู้ ฏิบัติดี เป็นผปู้ ระพฤติตรงตอ่ ค�ำสอนของพระพทุ ธเจา้
เปน็ ผู้ปฏบิ ัติเพ่ือความร้ยู ิ่ง เหน็ จริง เพือ่ ออกไปจากทุกข์ เพ่ือความรู้ยิง่ เห็นจรงิ เหน็ อะไร เห็นทุกข์
เห็นเหตใุ หเ้ กิดทกุ ข์ เพอื่ เหน็ ธรรมเป็นทด่ี ับทุกข์ เพ่ือเห็นขอ้ ปฏบิ ัตใิ ห้ถึงธรรมเป็นทีด่ บั ทกุ ข์ ทา่ นเป็น
ผปู้ ฏบิ ัติชอบ ชอบตามธรรมคำ� สอน ปฏบิ ตั ิกายใหช้ อบ วาจาใหช้ อบ ใจให้ชอบ เมือ่ ท่านเป็นผ้ปู ฏบิ ตั ิ
อยใู่ นลกั ษณะน้ี ไม่ท้อถอยยอ่ หยอ่ น ไม่ลดละ ไม่เหน็ แกช่ วี ติ และความลำ� บาก ผลทสี่ ดุ ทา่ นกพ็ ้นไป
จากทกุ ขไ์ ด้ นน่ั

เมอื่ เรามาพจิ ารณาอยู่อยา่ งนี้ กท็ �ำใจให้กลา้ หาญ มีศรัทธาเบกิ บาน มคี วามเพยี รขึน้ มมี านะ
ขันติ ความอดทนเรื่อยๆ นี่แหละชีวิตของพระป่ากรรมฐาน ยากแค้นล�ำเค็ญสักปานใด บางคร้ัง
บางสมัย เมอ่ื เดนิ ปา่ เดินดงหลงหนทางกลางป่ากลางดง กน็ อนกลางปา่ กลางดง เปน็ หม่สู ตั วป์ ่า มี
เป็นบางครั้งบางคราวบางองค์ถึงกับตายกลางป่าก็มี เคยเห็นกระดูกของพระกรรมฐาน และบริขาร
กรรมฐานทต่ี ายอยบู่ นหลงั เขา มี สมยั เรานแ่ี หละ สมยั หลงั ๆ นแ่ี หละ

ท่านจะตายดว้ ยเหตุอะไรไมท่ ราบ เพราะว่าข้าพเจ้าไดส้ ดับมาดังน้ี คอื หลวงปู่กอง เวลานี้
หลวงปูก่ องก็มรณภาพแล้ว ท่านไดไ้ ปอยรู่ ่วมขา้ พเจ้าท่ดี งหมอ้ ทอง ท่านไดเ้ ดินธดุ งค์ไปภเู ขาลูกหนึ่ง
อยูร่ ะหวา่ งจงั หวดั เลย ทา่ นวา่ เดินธุดงค์เขา้ ไป หลงทางไป เลยหมดเวลากน็ อนอยกู่ ลางภูเขา ตน่ื เช้าก็
เดินไปอีก เดินไปเห็นกองกระดูก เมื่อมองไปมองมาเห็นบาตร เห็นกลด แต่ว่ากลดและผ้าน้ันขาด
หมดแล้ว ยังเหลอื แต่บาตร

เมอ่ื เปน็ เช่นนี้ ทา่ นกเ็ ลยอธษิ ฐานวา่ ขอใหร้ จู้ กั หนทาง ถา้ รู้จกั หนทางจะมาพาญาตโิ ยมท�ำบญุ
อุทศิ ให้ ทา่ นก็เลยเดินไป พอดไี ปถงึ ทางคนเดินไปบ้าน ท่านกเ็ ลยเดินเข้าไปตามทางไปถงึ หม่บู า้ น
ครั้นถึงหมู่บ้านประกาศให้ญาติโยมทราบ ท่านก็พาญาติโยมว่าไปท�ำบุญท่ีกองกระดูกนั้น สวดมนต์
กนั อยู่ ๓ คืน ๓ วัน นีแ่ หละพระกรรมฐานตอ้ งเอาชวี ิตเส่ียงตอ่ ความตาย และทา่ นองค์นน้ั จะตาย
ดว้ ยเหตุใดไม่ทราบ ไม่มีใครทราบ จะตายด้วยอดอาหาร หรือทรมานอย่างใด ไม่มีใครทราบ
ดังน้ันนหี่ ลวงปู่กองเล่าใหข้ า้ พเจา้ ฟงั

สมัยท่ีข้าพเจ้าอยู่ดงหม้อทอง ท่านไปอยู่ร่วมด้วย เวลาน้ีหลวงพ่อกองก็มรณภาพไปแล้ว
จะเป็นจริงหรอื อย่างไร ทา่ นเล่าให้ฟังเองนะ ส่วนข้าพเจา้ ไมเ่ หน็ นแี่ หละชวี ติ ของพระธุดงคกรรมฐาน
มันแสนยากล�ำเค็ญอย่างน้ีแหละ แม้ที่ข้าพเจ้ามาอยู่ภูทอกน้ีก็เช่นเดียวกัน ยากมาก ล�ำบากมาก
การสรา้ งภูทอก ท�ำสะพานต้องเสี่ยงตอ่ ความตายจรงิ ๆ ทเี ดียว ถ้าไม่เปน็ ผูก้ ลา้ หาญ หรอื รอบคอบแล้ว
มันก็ไมพ่ น้ อันตราย ต้องเสียชีวิตกันหมด ไม่เหลอื แล

236

ดังน้นั ขอยอ้ นกลา่ วภมู ิหลังท่ีมาอยภู่ ทู อก มาอยูภ่ ทู อกเริม่ แรก พ.ศ. ๒๕๑๒ เปน็ พรรษาท่ี ๒๗
เป็นต้นมา และกไ็ ด้ปรับปรงุ ส่งิ ท่ขี ัดข้องเปน็ ลำ� ดับๆ มา ดงั ท่ีได้พากันดกู ันเห็นอยู่นนั้ แหละ ต่อมากม็ ี
มาตา่ งๆ ทว่ั ประเทศไทยกว็ า่ ได้ ผมู้ าเห็นแลว้ ก็โฆษณากนั ไปเร่อื ยๆ แลว้ กท็ ยอยกันไปชมภูทอกเร่อื ยๆ
ที่ไหนขัดข้อง ทางวัดก็จัดให้สะดวกตามฐานะ ตามสามารถ เช่น น้�ำไม่สะดวก ทางวัดก็ก้ันท�ำนบ
ปิดท�ำนบไว้หลายแหง่ น�ำ้ ใช้น�้ำฉนั ไม่สะดวก สว้ มถา่ ยหรือสว้ มน�้ำ หอ้ งอาบนำ้� ไมส่ ะดวก ก็พยายาม
ปรับปรุงเพ่อื ต้อนรบั แก่ทา่ นผไู้ ปเยือน และกจ็ ะได้ปรับปรงุ พัฒนาไปอกี เร่อื ยๆ

เมื่อตกถึง พ.ศ. ๒๕๒๐ ก็ได้ปรับปรงุ ทาง ท�ำทางไปนำ้� ตกสะแนน ภูวัว เปน็ น�ำ้ ตกท่ีสวยมาก
และก็มีสระน�้ำ มีอ่างน�้ำใหญ่ๆ ลึกๆ มีสัตว์น�้ำ มีปลา มีจระเข้และมีสัตว์ป่า เวลานี้ได้สงวนเป็นท่ี
สัตวป์ ่า คอื สงวนป่าไม้และพนั ธ์ุสตั ว์ และได้สงวนเปน็ วนอทุ ยานแหง่ ชาติ ส�ำหรบั สงวนป่าไมแ้ ละ
สัตวป์ ่าไว้ ทภี่ วู ัวยังมีสัตว์ปา่ อย่มู าก เชน่ ช้างและเสือ กวางหรือเก้ง หมู หมี สัตว์เลก็ พวกนกยูง
กระตา่ ย กระแต กระรอก งู ถ้าทา่ นมีโอกาสก็เชิญไปเทยี่ วชมดู เพอ่ื เปน็ ที่หย่อนอารมณ์

บนหลังภูวัวราบร่ืน ปลอดโปร่ง เดินไปสบาย กว้างขวางมาก มีที่ตากอากาศ มีที่หย่อนใจ
ตามพลาญหนิ เชิญทา่ นไปพักผอ่ นหยอ่ นอารมณ์ หนีความทุกขท์ วี่ ุ่นวายกันบา้ ง บางคร้ังบางเวลาก็ดี
ทภี่ ูววั มีสำ� นักไว้ท่พี ักผ่อน ๓ แหง่ นอกจากทน่ี ำ�้ ตกสะแนนดงั ทก่ี ล่าวมา คือ ๑. ถ้ำ� บูชา ๒. ถำ�้ พระ
ทห่ี ลวงปู่ฝนั้ อาจาโร ได้ไปปรบั ปรุงต้งั แต่ พ.ศ. ๒๔๙๓ ถ้�ำนั้นกเ็ ปน็ สถานทีป่ ลอดโปร่งและรม่ ร่ืน
มีนำ�้ อดุ มสมบูรณ์ดี มที ี่วเิ วก พักผ่อนหย่อนจิตใจหลายแหง่ ในถ้�ำพระ มีพลาญหนิ มรี ่มไม้และมสี ัตวป์ า่
สัตว์น�้ำ สตั วบ์ ก ท่ถี ำ�้ บชู าก็มพี ลาญหินกว้างๆ มีน�้ำตกและมสี ัตวป์ ่า มผี ้ึง ให้ท่านชม

ถ้�ำบชู าเร่ิมปรบั ปรงุ แต่ พ.ศ. ๒๕๐๖ เป็นตน้ มา ไม่เคยขาดพระ มีพระมาจำ� พรรษาอยทู่ ุกๆ ปี
ท่นี ำ�้ ตกสะแนน ได้รเิ ร่มิ ปรับปรุงมาตัง้ แต่ พ.ศ. ๒๕๑๘ เปน็ ตน้ มา พ.ศ. ๒๕๒๐ ไดต้ ดั หนทางเขา้ ไปสู่
น�้ำตกสะแนน ตัดเขา้ ไปถงึ สะพานหนิ ธรรมชาติ ภาษาเราเรียกวา่ ราวหนิ เป็นราวแล้วกเ็ ป็นสะพานข้าม
นำ�้ สะแนน น�้ำไหลลอดพ้นื เป็นเหวลึก และทีเ่ หนอื สะพานหินก็มที �ำนบหินกนั้ น้�ำไว้ เป็นอ่างเปน็ สระลึก
มจี ระเข้ ใตส้ ะพานหนิ กเ็ ป็นสระ มีจระเข้ มถี �้ำสวยงามมาก น้�ำลกึ ใตส้ ะพานหิน สะพานหนิ ธรรมชาติ
นี้รถเดินได้สะดวกสบาย รถชนิดไหนก็ได้ มีธรรมชาติให้ท่านชมเยอะ จะชมธรรมชาติสะพานหิน
ปา่ รม่ รน่ื ดี ชมน้�ำ ชมปลา ชมน้ำ� ตกกไ็ ด้ ห่างจากภทู อก ๑๒ กิโลฯ รถเดินได้สบายไมข่ ัดข้อง

ส่วนภูทอกนี้เป็นที่หย่อนใจดีมาก เท่ียวรอบๆ สะพาน สะพานภูทอกมี ๓ ช้ัน คือช้ันท่ี ๔
ชั้นที่ ๕ ช้นั ที่ ๖ ช้นั ที่ ๗ เปน็ ยอดบนมีป่าทบึ และต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๒๑ จะได้ทำ� ปิดทำ� นบเป็นถนน
เป็นเขตวัดดว้ ย ไปสู่ภูทอกใหญ่ซงึ่ แต่กอ่ นเขาเรยี กวา่ ภูแจม่ จ�ำรสั ห่างจากภูทอกน้อยประมาณไม่ถึง
๒ กโิ ลฯ ในราวๆ ๒๐ เส้นเทา่ น้ัน ถา้ ท�ำถนนคือท�ำนบเสรจ็ แล้ว เราก็ไปอยู่ภูแจม่ จ�ำรัส ได้พระไปอยู่
พักวเิ วก ได้บิณฑบาตสบาย ทีส่ งบสงดั ดมี าก มีถ�้ำเยอะแยะรอบภแู ละบนหลังเขากม็ ถี �้ำเยอะ แลว้ กม็ ี
บอ่ นำ�้ หินทีอ่ ยบู่ นหลงั เขาอีก

237

การท�ำถนนนม้ี ปี ระโยชน์
หน่งึ เปน็ การท�ำถนนเข้าภูแจม่ จ�ำรัสใหร้ ถเดนิ ได้ วางหินลกู รงั
สอง ทำ� เปน็ รัว้ เขตวดั
สาม ทำ� เป็นทำ� นบกน้ั นำ้� ไว้ใชบ้ รบิ รู ณ์
ไดเ้ หมาใหร้ ถแทรกเตอรเ์ ขาท�ำ เขาเอาคา่ รับเหมา ๑๕๐,๐๐๐ บาท บรรดาประชาชนทัง้ หลาย
เม่อื ได้ยนิ ขา่ วก็พากนั มศี รทั ธา ทยอยกนั มารว่ มสร้างปิดท�ำนบนำ�้ และถนน และทั่ววัดขนึ้ สภู่ ูแจม่ จ�ำรสั
คอื ภทู อกใหญน่ ัน่ เอง จะสรา้ งเปน็ ส�ำนักสงฆ์เปน็ วิปสั สนา ผูต้ อ้ งการความสงบสงัดเดด็ เด่ยี วจรงิ จัง
ตอ้ งไปอยู่ที่น้ัน ภาวนาท�ำความพากความเพียรที่นน้ั ดีนัก มรี ม่ ไมร้ ม่ รนื่ ดี อากาศสบาย ตอ่ ไปถ้ามัน
สะดวก มันสบาย กจ็ ะท�ำสะพานรอบภูทอกใหญ่อีก แต่คิดวา่ จะท�ำชัน้ เดียว ชัน้ ทีม่ ถี ้�ำรอบๆ เท่าน้นั
น่ีเปน็ แต่คดิ โครงการไว้ ในอนาคตไกล ถ้าตายแล้วกแ็ ล้วไป ผ้ทู ่ีเขายังอย่ใู นโลก เขากค็ งจะดำ� รแิ ละ
กอ่ สรา้ งต่อไป
มาอยู่ภูทอกน้สี บายนัก อากาศปลอดโปรง่ ดที ัง้ ฤดูแลง้ ฤดูฝน ฤดรู อ้ น มที ่หี ลบหนาวหลบร้อน
หลบฝนได้ทุกเวลา มที ีพ่ ักผ่อนหยอ่ นอารมณ์รอบๆ ภเู ขาทเี ดยี ว ทา่ นผไู้ ม่เห็นกเ็ ชิญไปดสู ิ ไปพกั ผอ่ น
หย่อนจติ ใจใหเ้ บิกบานสกั หนอ่ ยกด็ เี หมอื นกนั หนจี ากความคลกุ คลีตโี มงจากบ้านจากเมืองบา้ งซ”ี

สมัยท่านมาปักกลดภาวนาที่ภูทอกใหม่ๆ

ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ เล่าว่า “เม่ือท่านมาปักกลดภาวนาท่ีภูทอกใหม่ๆ ยังไม่ได้
จัดท�ำบันได ท่านจะอาศัยเถาวลั ยเ์ หล่านี้ปีนขน้ึ มานอนบนเพิงผาชน้ั ๕ ทุกคนื เพราะสภาพปา่ บนเขา
ภทู อกสมยั นนั้ เต็มไปดว้ ยตน้ ไม้หนาทึบและรกเลี้ยวมาก มีสตั ว์ปา่ อยา่ งกวาง กระจง เลยี งผา ชกุ ชมุ
ด้วย”

หลวงปู่สมหมาย จติ ฺตปาโล ได้เมตตาเลา่ เร่อื งนไ้ี ว้ดังน้ี
“แต่ก่อนมันเป็นป่าเป็นดง ทากยังมีอยู่ สัตว์ป่าก็ยังมีพวกลิง เลียงผาก็มี ช่วงท่ีท�ำสะพาน
เห็นข้ีมันอยู่ตรงท่ถี ำ้� พระชั้น ๕ หลวงปจู่ วนทา่ นบอกว่าเลยี งผา เอ๊ะ ! มนั ขึ้นมาไดย้ ังไง มันเกง่ แท้
มนั มีปีกรไึ ง เหน็ ขี้มัน แต่ไมเ่ หน็ ตวั มนั หรอก มันอยู่ก่อนแล้ว เลียงผามนั ข้ึนมานอน มนั มาพักอยู่”

ท่านแก้พวกนับถือผี

ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ สมัยที่ท่านธุดงค์บุกเบิกหาสถานที่ภาวนาใหม่ๆ ผู้คนทาง
ภาคอสี านยงั นับถือผี โดยท่านพระอาจารย์พวน ชุตนิ ธฺ โร ได้เมตตาเลา่ เรอ่ื งนไี้ วด้ งั นี้

238

“หลวงปู่จวนท่านแก้เรอื่ งญาติโยมนับถอื ผี กแ็ ก้เปน็ บางคน บางคนก็บอกได้ แก้ไมไ่ ด้ก็ปลอ่ ย
ไปตามกรรมเขา ทีภ่ กู ิ่วก็มี ทกุ ๆ ทกี่ ็มกี ันทุกท่ี พวกถอื ผีถอื อะไร ทา่ นก็แก้อยู่ สมยั หลวงปู่มนั่ ก็แก้ผี
มาตลอด พอมาสมยั หลวงป่จู วนก็ยังมี ท่านกแ็ กโ้ ยมแมข่ องท่านดว้ ย พวกถือผี พวกอะไร เขาเรียกอะไร
ต้งั ศาลกม็ ีทกุ ท่ี มที กุ หมูบ่ า้ น ครบู าอาจารยท์ า่ นก็ต้องแก้ แถวจงั หวดั หนองคาย หลวงปูบ่ วั พาท่านก็
ยงั ต้องตอ่ สู้ ตอ้ งแก้ ทุกวันนก้ี ็มเี หมือนกนั

สมยั หลวงปจู่ วนเยอะมาก ไล่มาตง้ั แตด่ งหม้อทอง ถ�้ำจันทน์ ภูก่ิว จนถึงภูทอก ล้วนเปน็ ท่ที า่ น
บุกเบกิ ครง้ั แรกทงั้ สิ้น โอ้โห ! แต่ละทๆี่ แทบจะเอาชวี ิตไมร่ อด ผกี ต็ ้องเยอะแน่นอน ทา่ นโดนลองวิชา
โดนพวกนเ้ี ขาแกลง้ ปล่อยของปลอ่ ยอะไร ท่านมคี ณุ ธรรมสูง ก็ท�ำอะไรท่านไมไ่ ด้”

วิธีการสร้างสะพานรอบเขาภูทอก

ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฺ  ได้เมตตาเทศน์เรอ่ื งนีไ้ วด้ ังน้ี
“ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ จะเร่ิมสร้างสะพานรอบเขาภูทอกตามหน้าผา หมออนามัยขอนแกน่ ไดเ้ ชญิ
สถาปนิกชาวอเมริกันคนหน่ึงมาส�ำรวจดูท่ีจะสร้างสะพานรอบเขา ได้ขึ้นไปหาข้าพเจ้าท่ีชั้นพระวิหาร
ชนั้ กลาง ข้าพเจา้ ไดข้ อปรึกษาวธิ ที �ำสะพานรอบเขาตามหนา้ ผาชันๆ ว่าจะท�ำอยา่ งไร ขอคณุ นายช่าง
กรุณาแนะวธิ ที �ำให้ด้วย จะเปน็ พระคุณอย่างย่งิ แลว้ กไ็ ดพ้ าไปส�ำรวจตามหนา้ ผาตา่ งๆ เสรจ็ จากการ
สำ� รวจแล้วเขาก็ได้บอกวิธใี ห้วา่ ตอ้ งทำ� นั่งรา้ นเป็นจุดๆ จนรอบเขาก่อนแลว้ จงึ จะท�ำได้ งบประมาณ
การกอ่ สร้าง ๑๑ ล้านบาท จึงจะแลว้ เสรจ็
ขา้ พเจ้าถามเขาว่า “ไม่ใช้วธิ ีน่ังร้าน จะอาศัยไม้ ๒ ล�ำมัดใส่เสาที่ปักไว้ใหแ้ นน่ แล้วนัง่ เจาะหนิ
ใส่เสาเรื่อยๆ ไปไมไ่ ดห้ รือ ?” เขาตอบว่า “ไม่ได้ อนั ตรายมาก เด๋ียวตกตายกนั หมด ถา้ จะท�ำต้องใช้
วิธนี ั่งรา้ นนแี้ หละจะท�ำวธิ ีอนื่ ไมไ่ ด้ เพราะไม่มีหลกั สตู ร ตามหลกั สูตรเขาตอ้ งใชว้ ิธนี ั่งร้านน”้ี เขาว่า
“ผมเองก็เรียนมาตามหลกั สตู รน้จี ะท�ำนอกหลกั สูตรไมไ่ ด้ ไม่มตี ำ� รา” สนทนากนั พอสมควรกเ็ ลกิ กันไป
อยู่มาอีกหลายวันนายช่างไทยได้ข้ึนเที่ยวเขา สนทนาหารือการก่อสร้างสะพานตามหน้าผา
รอบเขา ขอให้นายช่างช่วยแนะน�ำวิธีท�ำสะพานรอบภูเขาให้ฟังบ้าง เขาก็อธิบายให้ฟังว่า “ต้องท�ำ
นั่งร้านเปน็ จดุ ๆ ไปรอบเขาจึงจะท�ำได้ ช่างไทยงบประมาณการก่อสร้าง ๖ ล้านบาทจงึ จะสำ� เร็จ”
ข้าพเจา้ ถามนายช่างว่า “ใช้วธิ ีอ่นื โดยไมท่ ำ� น่ังร้านไม่ไดห้ รอื ? เขาตอบวา่ “ไม่ได้ ไม่มีวธิ ีอ่ืนท�ำไดเ้ ลย
นอกจากวิธีน่ังร้านเท่านั้น” ข้าพเจ้าก็ได้ตอบเขาไปว่า “ที่บอกวิธีนี้ก็เป็นวิธีเดียวกันกับนายช่างฝรั่ง
คนหน่ึงไดบ้ อกไว้ เขาเปน็ ชาวอเมรกิ นั มาอธิบายวิธใี หฟ้ งั ไม่ผดิ กนั เลย” นายชา่ งไทยตอบว่า “ผมก็
เรยี นมาจากฝร่ัง มันก็เป็นวิธเี ดยี วกันซิทา่ น”
ข้าพเจ้าตอบว่า “วิธที แี่ นะน้ีอาตมาท�ำไม่ไดเ้ ลย” เขาถามวา่ “ท�ำไมท่านท�ำไม่ได้ ไม้มันเยอะ
นี”่ ข้าพเจ้าย้อนตอบเขาวา่ “ไม่มีเงิน ๖ ลา้ นบาทจะมาท�ำ มแี ต่เฉพาะล้านเดยี วเท่านัน้ คุณนายชา่ ง

239

เอย” เขาถามว่า “เงินหนึง่ ล้านบาท ท่านเอามาจากไหน ? ท่านอยูใ่ นปา่ ใครให้ทา่ น ?” ขา้ พเจา้ ได้
ตอบเขาตามเป็นจริงวา่ “อาตมาไมม่ ีเงนิ ลา้ น มแี ตล่ ้านเดียว คือ หวั ลา้ น หัวเดียวเทา่ น้นั คณุ นายช่าง
เอย” แลว้ ขา้ พเจ้าจงึ บอกเขาว่า “อาตมาจะท�ำตามแบบของอาตมาทค่ี ิดไว้โดยไม่ตอ้ งทำ� น่งั รา้ นมาแต่
ข้างล่าง คอื อาศยั หลกั ตอสองหลักแล้วใช้ไมส้ องลำ� ผูกใหแ้ น่นยื่นออกไปสกั ๔ เมตร เอาเชือกผกู ปลาย
ไม้ทีย่ น่ื ออกไป แลว้ จึงตรงึ ผกู ใส่เสาทป่ี กั ไวแ้ ล้วไปนัง่ เจาะหลมุ ไดต้ ามสบาย” นายช่างรอ้ งขนึ้ วา่ “ไม่ได้
ทา่ นทำ� แบบนนี้ อกหลกั สูตรวชิ าเขา ขนื ทำ� ไปกต็ ายกนั หมด” ข้าพเจ้าแยง้ เขาว่า “อย่างไรกต็ าม กอ่ น
ลงมอื ทำ� อาตมาต้องทดสอบดว้ ยตนเองเสียกอ่ น เห็นวา่ ปลอดภยั จงึ ลงมือท�ำ แตอ่ าตมาแนใ่ จทีเดยี ววา่
ไม่เป็นไร” เขาตอบว่า “แหม ! ท่านนี้มีความคิดพิสดารเหลือเกิน หากผมมีโอกาสจะมาดูสะพาน
ของท่านท่ที ำ� ตามหน้าผารอบเขา” สนทนากนั พอสมควรก็ลากันกลบั

ระยะต่อมาอีกไม่กี่วัน พวกนักปีนเขาเอาผึ้งตามหน้าผาชันๆ ก็มาหา เขาเป็นพวกเคยเอาผ้ึง
ตามภเู ขาเปน็ อาชีพประจำ� ทุกปี ถงึ ฤดูผ้งึ เขา้ ถ�้ำเร่มิ แต่เดอื นตุลาคมถงึ พฤศจิกายน เปน็ ตน้ ไป ถึงเดือน
มีนาคม โดยเฉพาะท่ีภวู วั ปีหนงึ่ มีเกอื บ ๕,๐๐๐ รัง ภูสงิ ห์ ๓,๐๐๐ ถึง ๔,๐๐๐ รัง ภทู อกใหญ่ประมาณ
๘,๐๐๐ รัง ภูทอกนอ้ ยท่ขี า้ พเจา้ อย่นู ปี้ ระมาณ ๕๐๐ รงั พวกนักเอาผ้ึงเขารดู้ ี พวกเขาประมลู จาก
รฐั บาลปหี นงึ่ ตกหมนื่ บาท

วิธเี อาผ้ึง พวกเขาใชเ้ ชือกหวาย ๔ ถงึ ๖ เส้น ขว้นั ผกู ต่อกันยาว ๒๐๐ เมตรๆ ตามแต่ขนาด
ของหน้าผา เสรจ็ แล้วเอามาเลี่ยน (ฟน่ั ) เปน็ เสน้ ขนานมดั ผกู กันไป แล้วผูกบนั ไดติดใหค้ นไตล่ งไปเอา
ได้ง่าย ท�ำที่ส�ำหรับผู้จะหย่อนลงไปน่ังให้พอเหมาะ จากน้ันก็ข้ึนบนยอดเขา แล้วหย่อนลงไปตาม
หน้าผาท่ีมีผึ้งอยู่ ผู้ท่ีจะลงไปเอาต้องใส่ชุดที่ยัดนุ่นส�ำลีให้ดีกันผึ้งต่อย แล้วค่อยลงไปตามสายบันได
พอถงึ ทพ่ี วกอยขู่ า้ งบนกจ็ ะหยอ่ นคบเพลงิ พรอ้ มดว้ ยกระเชา้ ใสร่ งั ผงึ้ ไปพรอ้ ม พอถงึ เจา้ หมอนน้ั กจ็ ะจบั
คบเพลิงรมท่ีรัง แม่ผ้ึงตัวไหนรักตัวกลัวตายก็บินหนีไป ตัวไหนหวงน้�ำหวานและลูกอ่อนก็ยอมตาย
อยกู่ บั รงั พจิ ารณาดแู ลว้ ไมแ่ ปลกอะไรกบั นกั ปลน้ ฆา่ ชงิ ทรพั ย์ ตวั ทหี่ นกี ม็ าก ตวั ทย่ี อมตายกม็ ากเชน่ กนั
เหน็ แลว้ อดสงสารไมไ่ ด้ เมอ่ื แมผ่ ง้ึ ตายหรอื หนหี มดแลว้ เขากใ็ ชม้ ดี แหยท่ ร่ี งั ใหต้ กลงทอ่ี ทู่ ร่ี องไว้ แลว้ ก็
ร้องให้คนข้างบนดึงขึ้น ท�ำน้�ำหวานต่อไป เขาท�ำเช่นนี้จนกว่าจะหมดรังผ้ึงที่มีอยู่ในเขาแต่ละลูกๆ
ถ้าหากสายบันไดขาด พวกเอาผึ้งกไ็ ม่มหี วังอยูไ่ ด้รอด

ทเี่ อาเรือ่ งคนเอาผึง้ มาเล่าสู่ฟังน้กี ็เพราะพวกเขาทราบว่า ข้าพเจ้าจะจา้ งคนทำ� สะพานรอบเขา
พวกเขาจงึ มาสำ� รวจดเู ผอื่ วา่ พวกเขาอาจจะทำ� ได้ เมอ่ื ไปสำ� รวจดไู ดเ้ หน็ แลว้ พวกเขาไมม่ คี วามสามารถ
จะท�ำได้ มนั ไมเ่ หมือนเอาผงึ้ จะใช้สายบนั ไดหย่อนลงมนั ไม่ถกู ที่ท่ีจะท�ำสะพาน จะหอ้ ยโหนโยนอูแ่ ล้ว
เจาะ มนั ก็ทำ� ไม่ได้ ปรกึ ษาพจิ ารณากันแล้วจงึ ยอมแพ้ ขอลาข้าพเจา้ กลับบ้าน

ใกล้จะเข้าพรรษา ข้าพเจ้าได้ทดสอบดูวิธีท่ีจะท�ำสะพานไปตามหน้าผา ตามทฤษฎีของ
ข้าพเจ้าให้พระเณรและชาวบ้านดู และก็ได้ทราบแน่ว่าทฤษฎีของข้าพเจ้าท�ำได้แน่ๆ เว้นเสีย
แต่ประมาท ต้องเป็นคนกล้าหาญและมีเชาวน์ด้วยจึงจะท�ำได้ คร้ังแรกก็มีคนสมัครท�ำด้วยเพียง

240

๒ – ๓ คน พอท�ำได้ ๒ สว่ นยงั อีกสว่ นหนึง่ จะเสรจ็ เห็นวา่ ท�ำวิธีนี้ไม่มอี ันตรายเกิดขึน้ จึงมคี น
สมคั รทำ� เพ่ิมมากขึ้น โดยเฉพาะแล้วทีห่ นา้ ผาชันๆ โดยมากแลว้ จะเป็นพระเณรเขา้ ท�ำจนส�ำเร็จ
เป็นสะพานรอบเขาไมม่ ีอนั ตรายใดๆ เกดิ ข้นึ ท�ำไปด้วยความสนุกสบาย ไม่มเี หน็ดเหนื่อยเมือ่ ยล้า
ดูหน้าตากล้าหาญ ย้ิมแย้มแจ่มใสใจผ่อง เพราะท�ำอยู่บนอากาศ ลมพัดเย็นเฉ่ือยๆ ไม่เหนื่อย
ไม่ร้อน พกั ผ่อนภาวนาไปพร้อม

ท่ีผาชันๆ พวกฆราวาสโดยมากไม่กล้าท�ำ ถ้าปล่อยให้แต่ฆราวาสท�ำ เขาไม่กล้าเลยต้อง
ถอยกลบั พวกเขากลวั ตายและกลวั สง่ิ ทีเ่ ขาคดิ กลัว คอื สง่ิ ที่ตามองไมเ่ ห็น เขาเลา่ ใหฟ้ งั วา่ “พอมองดู
ในทท่ี ีจ่ ะท�ำสะพานไปมันเกิดขนลุกขนพอง เกดิ กลัวตัวสน่ั หวั หด ใจหววิ ตัวสนั่ ไปหมดเลยเหมอื นจะ
จบั ไข้ หรอื เหมอื นผเี ขา้ เจา้ ทรงเอาเข้าจริงๆ” พวกเขาไม่สามารถท�ำได้ ทีผ่ าชนั ๆ นีต้ อ้ งอาศยั สามเณร
เป็นก�ำลังส�ำคัญ ท่ีหน้าผาชันๆ ส�ำคัญเช่นนี้ปล่อยให้ฆราวาสเขาท�ำไปไม่ได้ ต้องเอาก�ำลังพระเณร
เข้าบกุ จึงจะส�ำเรจ็ ทุกแหง่ ไป ถา้ ทไี่ หนไมส่ ำ� คญั ก็ใหฆ้ ราวาสเขาเจาะหนิ ต่อไป ถ้าหากมีฆราวาสบางคน
เขาสมัครท�ำ ต้องให้พระเณรสอดแทรกไปท�ำด้วย เพราะฆราวาสเขาไม่ค่อยช�ำนาญในการอบรมใจ
ให้เป็นสมาธิเหมอื นกบั พระเณรซง่ึ ได้อบรมเป็นประจำ� กำ� ลงั ใจน้เี ป็นสิ่งส�ำคญั ถ้าย่ิงท�ำให้ใจเป็นสมาธิ
อยา่ งแน่วแน่แลว้ กย็ ง่ิ ทำ� ใหเ้ กดิ มพี ลงั อนั ยงิ่ ใหญห่ าประมาณมไิ ด้ อาจสามารถนำ� ไปทำ� ประโยชนใ์ หส้ ำ� เรจ็
ไดท้ กุ ประการ

เมื่อท�ำสะพานชั้นกลางส�ำเร็จแล้ว ก็ท�ำให้เกิดประโยชน์ได้หลายประการ อาทิเช่น เป็น
สถานที่ทท่ี ำ� วิเวกทำ� ความพากเพยี รเผากิเลสไม่จ�ำกัดเพศ ใชไ้ ด้ทงั้ พระเณรเถรชี เพราะมีท่หี ลบ
ซอ่ นเรน้ แดดรอ้ น ลมพดั ได้อย่างสบาย มที หี่ ลบซอ่ นไปเปน็ แหง่ ๆ จะใช้เปน็ ทีพ่ กั ผ่อนหย่อนอารมณ์
ก็เหมาะสม จะใช้เปน็ สถานทีเ่ ท่ยี วทัศนาจรดูลมชมวิวตามธรรมชาติ ลมพดั เย็นสบายหายเหน่อื ย
แมเ้ ม่อื ยมาท่นี ี่แล้วกห็ าย ไมต่ ้องใชพ้ ดั ลมพดั ไปใหย้ ่งุ ยากเปิดปดิ ใชแ้ อรธ์ รรมชาตพิ ัด อากาศเย็น
สบายหายกงั วล อากาศธรรมชาติทบ่ี ริสุทธย์ิ อ่ มเปน็ ยาโอสถเอกขนานหนงึ่

ตัวอย่างเห็นด้วยตามาแล้ว มีโยมแก่คนหน่ึงแกเป็นโรคหืดมาแล้วหลายปี ย่ิงตอนฤดูฝน
ยิ่งทรมานหนัก แกเข้าโรงพยาบาลเปน็ ประจ�ำ ยายแกเล่าให้ฟงั ว่า ตั้งแต่เปน็ โรคหดื มาแลว้ ได้ ๑๗ ปี
กินยาอะไรก็ไม่เคยหายสกั ที ยิง่ ฤดฝู นย่งิ หายใจล�ำบาก มันข้ึนมาปิดล�ำคอ เวลาเปน็ ขึ้นมาคิดอยากจะ
ให้มนั ตายไปเสีย แต่มันกไ็ ม่ตาย ตอ้ งทรมานทรกรรม เมอื่ ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ยายแกมาพักผ่อนภาวนา
อยู่ทภี่ ูทอก ๑๐ กว่าวนั ไดไ้ ปนงั่ สดู ลมบริสุทธิท์ ี่สะพานตามหน้าผาทกุ เชา้ เยน็ พอแกกลับบ้านแลว้
ภายหลังแกกลับมาเล่าสู่กันฟังว่า “โรคหืดของอีฉันหายเลยท่าน นับตั้งแต่ไปนั่งภาวนาสูดอากาศ
บริสุทธ์ิที่สะพานหน้าผาของท่าน อาการโรคหืดหายเหมือนปลิดท้ิง แม้ขณะน้ีก็ไม่มีโรคหืดปรากฏ
หายสบายดีจริงๆ นะท่าน” คุณยายได้พูดอวดคนท้ังหลายที่แกได้สนทนาด้วยว่า “อยากหายจาก
โรคหืดให้ไปสูดอากาศบริสุทธ์ิที่ภูทอก น่ังวิเวกภาวนาตากอากาศตามสะพานรอบเขา หรือที่แห่งใด
แห่งหนึ่งกห็ าย”

241

คุณยายย้�ำอีกว่า “อากาศที่ภูทอกนี้เป็นอากาศโอสถจริงๆ นะท่าน” ข้าพเจ้าตอบยายว่า
“เร่ืองนี้อาจเป็นจริงไปได้ เพราะอากาศบริสุทธ์ิ อาจเป็นยาโอสถบ�ำบัดโรคได้ชนิดหน่ึงไม่แพ้ยาอื่นๆ
ในขณะเดยี วกนั โยมกเ็ ป็นผ้ตู ้ังใจภาวนาเป็นประจ�ำ อาจจะหมดกรรมหมดเวร โรคหืดกเ็ ลยหายไปเอง
ขอให้คุณโยมตั้งใจปฏิบตั ิไปเร่ือยๆ นีแ่ หละผลของการปฏิบตั ธิ รรม สมกับธรรมช่วยรกั ษาผปู้ ฏิบัติธรรม
ไม่ใหต้ กไปในทีช่ ่วั จงเห็นเป็นตวั อย่างดงั ทโ่ี ยมไดร้ ับอยเู่ ดยี๋ วน้ี”

โยมยายแกได้ฟงั อธบิ ายเลก็ น้อย แกก็ดีใจสาธุอนุโมทนาชักอนจิ จาบงั สกุ ลุ หาโรคหืดไม่ใหก้ ลับ
ฟื้นคืนมาอีกต่อไป จากนั้นแกก็ต้ังใจปฏิบัติภาวนาไปมิให้ขาด ท่านผู้ฟังท้ังหลายขอจงพิจารณาเอา
เองเถดิ จึงจะเปน็ บอ่ เกดิ ของปัญญา

ก�ำลังสร้างสะพานไปอยู่ก็มีเร่ืองแปลกๆ คือเร่ืองนินทาสรรเสริญ พวกที่นินทาหาว่าโง่เง่า
เขลาปัญญาไม่รู้ความตาย หากพลาดตายลงไป ใครเล่าจะว่าดี มีแต่คนเขาจะนินทาด่าว่าเย้ยหยัน
ประการต่างๆ บ้าไม่เข้าเร่ือง อวดดีทีเด่นท�ำสะพานรอบเขา เด๋ียวคนเดินสะพานตกตายจะเป็นโทษ
ผทู้ ำ� สะพานใหค้ นตกตายนะทา่ น นอ่ี ยดู่ ๆี หาเอาเรอื่ งเอาโทษใสต่ นเองไมเ่ ขา้ ทา่ ภาวนาเอาบญุ ไมด่ หี รอื
อยา่ งน้กี ็มี สดุ แท้แต่เขาจะดา่ วา่ จะนินทาไป เพราะเขาไมร่ ้แู ง่ดีอย่างใดอยา่ งหนงึ่

บางรายก็ประกาศกันไปวา่ พวกเราคอยดูไมน่ านหรอก พวกท�ำสะพานจะตกตายแนๆ่ จะได้
ท�ำศพชกั อนิจจงั บงั สุกุล ท�ำให้ยุ่งไมเ่ ขา้ เร่อื ง อยา่ งนกี้ ม็ ี มที ้งั พระเณรเถรชี พวกน้ีไมใ่ หค้ วามสนับสนนุ
เลยแมแ้ ต่นิดหนอ่ ย คอยแต่จะชกั อนจิ จาบงั สุกลุ เท่านน้ั เขายอ่ มไมม่ องเห็นแงเ่ คลด็ ลบั วิธีและความ
สามารถของผ้ทู �ำ คนจ�ำพวกนี้เขา้ ใจวา่ ตนท�ำไม่ได้ คนอ่ืนกท็ �ำไม่ไดเ้ ช่นกันกบั เรา คนจ�ำพวกน้เี ขา้ ใจไป
เช่นนน้ั จึงปนั้ เรือ่ งข้ึนมาโจมตีพวกทำ� สะพานรอบเขาอย่างขนาดหนัก บางพวกกว็ ่าดถี ้าท�ำได้ เพราะวา่
เปน็ ของแปลกทไี่ มเ่ คยเหน็ มาก่อน จะเป็นศลิ ปกรรมของโลก แตจ่ ะอยา่ งไรกด็ ีขา้ พเจา้ ไมย่ นิ ดียินรา้ ย
กบั ค�ำสรรเสริญนินทาของใครๆ ตัง้ ใจท�ำไปกบั พรรคพวก มีพระเณรและญาตโิ ยมผ้สู ามารถจนส�ำเรจ็
เปน็ สะพานรอบเขา ในวนั ส�ำคัญในทางพทุ ธศาสนา พระเณรเถรชี ญาตโิ ยมเดนิ เวียนเทยี นรอบๆ เขา
ไปตามสะพานดว้ ยความสะดวกสบายดีทกุ ๆ อยา่ ง

ในปตี อ่ มาได้ยกพืน้ เกา่ ๆ ทที่ �ำมาแล้วให้ไดร้ ะดับเดียวกันและแนน่ หนาถาวรขนึ้ กว่าเดิม และได้
เพิ่มตวั ไมเ้ ข้าเปน็ จ�ำนวนมากและไดท้ ำ� ทีพ่ กั ผ่อนตามสะพานรอบเขาไปในตัวเลย

เขาลูกน้ถี า้ จะนบั เปน็ ชน้ั ๆ มี ๗ ช้ัน ชนั้ ท่มี สี ะพานมอี ยู่ ๓ ชนั้ คอื ชัน้ ที่ ๔ – ๕ – ๖ แตล่ ะชน้ั ๆ
สงู ห่างกันประมาณ ๒๐ – ๓๐ เมตรกม็ ี ตามภเู ขาและตามธรรมชาตขิ องภเู ขา

การสร้างสะพานที่กล่าวมาแล้วน้ัน ก็ได้สร้างตามแนวธรรมชาติ ไม่เสียธรรมชาติ รักษา
ธรรมชาติ เห็นว่าธรรมชาติที่เป็นเอง เห็นว่าพอที่จะอาศัยวิเวกบ�ำเพ็ญเพียรหลบซ่อนสะดวกสบาย
มอี ยู่ หากเราท�ำสะพานไปตามแนวธรรมชาตทิ ่ีเป็นเอง มีถ้�ำและหน้าผาหลบฝนหลบแดดไปเปน็ แห่งๆ
เพราะเหน็ ประโยชน์และคณุ คา่ หลายอยา่ ง ใจจงึ คิดสร้างสะพานห้อยโหนอยู่หน้าผารอบเขาเปน็ ท่ีอยู่

242

อาศยั วิเวกเจริญสมณธรรมตามประสาของผ้อู ยู่ปา่ อยเู่ ขา พวกอยู่บ้านในเมอื งในกรงุ ก็สร้างอยูใ่ นเมือง
ในกรงุ พวกอยูป่ ่าอยู่เขากส็ รา้ งปา่ สรา้ งเขาเพือ่ ผลประโยชน์ในการอยู่สบายเปน็ รายๆ ไป และชือ่ วา่
ไดร้ ่วมมอื ร่วมใจกันท�ำประโยชน์ใหเ้ กดิ ข้นึ แกพ่ ระศาสนาและแกป่ ระชาชนในถิน่ นน้ั ๆ ทงั้ ในด้านวตั ถุ
และดา้ นจิตใจ รวมความก็คือ ประโยชน์ในปจั จุบนั ประโยชนภ์ ายภาคหนา้ และประโยชนอ์ ยา่ งย่งิ คอื
พระนพิ พาน ประโยชนอ์ ่ืนที่ปลกี ย่อยออกไปกไ็ ม่พน้ ประโยชน์ท้ัง ๓ นี้

สะพานทกุ ชั้นท่ที ำ� ผู้ท�ำก็เล็งเหน็ ประโยชน์ท่ีจะเกิดข้นึ ถา้ คิดวา่ ไมเ่ ปน็ ประโยชนแ์ ล้วจะเสยี
เวลา เสียค่าแรงทำ� ไปทำ� ไม แมส้ ตั วม์ นี ก เป็นตน้ ทม่ี ันท�ำรวงรังอยบู่ นต้นไม้ มนั กเ็ หน็ ประโยชนข์ องมนั
มนั จงึ ทำ� ไม่ว่าสตั วน์ �้ำ สัตวบ์ ก สัตวอ์ ยูถ่ ้�ำ อยรู่ ู ตา่ งกเ็ หน็ ประโยชนแ์ กต่ น พวกพ้องของตนทง้ั น้นั
ส่วนมนษุ ย์เราซงึ่ ได้นามวา่ เป็นสตั วป์ ระเสรฐิ มีปญั ญาวิวฒั นาการกวา่ สัตวท์ กุ ประเภท พระพทุ ธเจา้
ตรัสยกย่องว่าเป็นผู้อยู่ในฐานะอันเลิศ เพราะเหตุว่า มรรคผลนิพพานก็ต้ังอยู่ในหนทางที่มนุษย์
จะพึงได้ ความบริสุทธิ์เศร้าหมองก็อยู่ในหมู่มนุษย์น่ีเอง แต่เลิศท่ีสุดในทางธรรมหมายเอาผู้รู้ตน
ผฝู้ กึ ตนดแี ลว้ ผชู้ นะตน คือท่านผูช้ นะกิเลส ตดั ขาดจากสันดานโดยประการทงั้ ปวงไมต่ อ้ งกลบั มาเกิด
ในโลกนี้อีก สมกับค�ำว่า “ความชนะกิเลสของเราจะไม่กลับมาเป็นแพ้อีก ทุกข์ของเราได้ส้ินสุด
ลงแล้ว บัดนี้ไม่มีทุกข์อีก” ทา่ นผู้เช่นนเ้ี รยี กวา่ ท่านผูต้ ัง้ อยูใ่ นอัครฐานะ สมควรแท้ที่จะเปน็ เนื้อนาบุญ
ของโลก ไมม่ ีนาบุญอ่ืนย่ิงกว่า ท่านผู้เช่นนี้ว่าเป็นผู้ท�ำประโยชน์ขั้นสุดยอดของสัตว์โลกทุกทั่วหน้า
ผู้ท่ีต้องการความสขุ จากทา่ นสมควรแทท้ จ่ี ะแสวงหากบั ทา่ นผูเ้ ชน่ นัน้

ท่านมีเจตนาพัฒนาภูทอกให้พระเณรภาวนา

ท่านพระอาจารยเ์ ตมิ ศักด์ิ ยตุ ตฺ ตธิ มโฺ ม ได้เมตตาเล่าเร่อื งน้ไี วด้ งั น้ี
“ภูทอกยุคแรกๆ หลวงปู่จวนไม่ได้ท�ำไว้ให้คนเท่ียวนะ ท่านท�ำให้พระเณรภาวนา เพราะ
อยู่ข้างล่างมันอากาศทบึ มาก เพราะมันเปน็ ดง ท่านไปอยขู่ า้ งบน ท่านได้รบั ความสบาย เพราะทา่ น
มาอย่กู อ่ นเพ่อื นนะ ท่านกอ็ ยากให้พระเณรสบายไดภ้ าวนาข้างบน ท่านก็เลยพาท�ำ “ให้ไปภาวนาตาม
หน้าผา อากาศมันถา่ ยเทดี มันเป็นสปั ปายะด”ี ท่านว่า คือทวี่ ิเวกดนี ่นั แหละ “ตามหน้าผา เออ ! มันก็
เขา้ ท่า” ทา่ นว่า ทา่ นกไ็ ปท�ำนะ คอื ทแี รกท่านก็ไปอยูช่ นั้ ๕ น่ันแหละ จากชั้น ๕ กไ็ ปท�ำพุทธวหิ าร
ต่อไปทา่ นก็เลยท�ำสะพานรอบ คอื กท็ �ำเลก็ ๆ อยา่ งน้ี เพราะเกย่ี วกับทุนทรพั ย์ เกยี่ วกบั ความสะดวก
แตก่ อ่ นกไ็ มม่ ปี จั จยั อะไรเลยนน่ี ะ ครบู าอาจารยท์ า่ นไมม่ อี ะไรน่ี มอี ะไรทา่ นกท็ ำ� มปี จั จยั มาให้ ญาตโิ ยม
มาถวาย ท่านกท็ �ำไป”
ท่านพระอาจารย์พวน ชุตินฺธโร ไดเ้ มตตาเล่าเรอ่ื งนี้ไวด้ ังนี้
“แต่ก่อนหลวงปู่จวนท่านท�ำนั้นไม่กว้างนะ พอเดินได้ แต่ก่อนมันแคบนิดเดียว ทุกวันน้ี
ทา่ นเจา้ อาวาสทา่ นขยายออกใหม้ นั กวา้ ง ใชไ้ มเ้ นอื้ แขง็ มาตรฐาน ไมต้ ะเคยี นไมเ้ นอ้ื แขง็ ไมพ้ อหาไดอ้ ยู่

243

ในบรเิ วณภูทอก ให้ชาวบา้ นช่วยเลือ่ ย ชาวบ้านไปเลื่อยป๊บั หามมาแบกมา พระ เณร แม่ขาว แมช่ กี ็
ชว่ ยกันแบกข้ึน หามขน้ึ อนั ไหนมันหนกั เกินก�ำลงั กใ็ ชร้ อกชกั ขึน้ ดงึ ขึน้

ท่คี นมาเทีย่ วภูทอก เขามาเห็นสะพาน เจตนาของหลวงปู่จวนทา่ นวา่ ท�ำไว้เปน็ ท่ีไปภาวนา
เปน็ ท่ีเดินจงกรม ทีนีค้ นเข้ามาเท่ียวมาเหน็ เขาว่ามันเปน็ ของแปลกก็เล่าต่อๆ กนั ไป มนั กเ็ ลยเกดิ ดัง
ข้ึนมา ทา่ นไมม่ เี จตนาท่ีจะเป็นท่ีทอ่ งเที่ยวนะ เพราะว่าให้พระเณรไปภาวนา เดนิ จงกรมทำ� ความ
เพยี รกนั ทนี ค้ี นมันมาเท่ียว ทางใกล้ทางไกล ทัง้ ต่างประเทศ แหม ! มันเป็นของแปลก เขาก็เลยไป
เล่าต่อๆ กันไป เน่ยี เขากม็ าดูล่ะซิ ทนี ้ีมันกเ็ ลยกลับกันเลยทนี ้ี ท่านก็เลยอนโุ ลม กลางวันเขาก็มาเทย่ี ว
เด๋ยี วเดยี วแลว้ ก็ไปน้�ำตก แลว้ พระเราหลบเอาๆ ไปอยูภ่ ูทอกใหญใ่ นช่วงกลางวัน แลว้ ตอนเยน็ กม็ า

การภาวนาของพระเณร ท่านก็ไม่ได้บังคับอะไรมาก ท่านก็ว่าเน้น ให้เร่งท�ำความเพียร
ให้ตั้งใจภาวนา ทางจงกรมบนภูทอก ท่านไปหาทางไหนพอท่จี ะเดนิ ได้ ท่านกใ็ ช้โคมไฟแขวนเอาไว้
กเ็ ดนิ มาทำ� ความเพยี รกันตรงน้นั

สมัยหลวงปู่จวน พระภาวนาภูทอกน้อยเป็นหลัก ส่วนภูทอกใหญ่ ชื่อจริงชื่อภูแจ่มจ�ำรัส
ช่วงนั้นภูทอกใหญ่ยังไม่ได้ท�ำอะไร เป็นป่าดงธรรมชาติยังไม่ได้ท�ำอะไรหรอกแต่ก่อน ยังปล่อยไว้
เปน็ ป่าเปน็ ดง ไมม่ ใี ครกลา้ ไปหรอก แต่ก่อนมนั รก มันน่ากลวั (หวั เราะ) แล้วกไ็ ขป้ า่ ด้วย สัตว์ปา่ ด้วย
แลว้ ภมู ดิ ว้ ยที่ว่าเป็นบังบดกม็ สี ว่ น พระเณรถา้ ไมต่ ้งั ใจภาวนาอย่ไู ม่ไดห้ รอกแตก่ ่อน

ทา่ นบูรณะภูทอกนอ้ ย แต่ภทู อกใหญป่ ล่อยไว้ พระมาปฏิบตั ธิ รรมกม็ าที่ภทู อกน้อย สมัยน้ัน
ภทู อกใหญ่ หลวงป่จู วนมีส่งพระไปภาวนา แตน่ านๆ ที มันรก ยังไม่มีเสนาสนะอะไร ก็ไปอยู่ตาม
พลาญหิน นนั่ ละ่ อยบู่ นเขา เปน็ เนินๆ ขน้ึ ไป แตก่ ่อนไปไมไ่ ด้ มนั รก ไม่ไป ใครจะไป พระอยูภ่ าวนาท่ี
ภูทอกน้อยเปน็ หลกั การสรา้ งสะพาน สรา้ งบนั ได กระทบการภาวนาหรอื ไม่นัน้ มันก็ขนึ้ อยู่แต่ละองค์
ใครจะพจิ ารณาเอา ใครจะพจิ ารณาใหเ้ ปน็ ธรรม มนั ตอ้ งแยกแยะเอา ชว่ งนนั้ พระสว่ นใหญก่ ม็ าชว่ ยงาน
ที่แยกไปภาวนาก็ม”ี

พัฒนาภูทอกน้อยเพื่อสงวนที่ภาวนาภูทอกใหญ่

คุณหมอประพกั ตร์ โสฬสจนิ ดา ได้เมตตาเล่าเร่ืองน้ีไวด้ งั น้ี
“ช่วงแรกๆ ท่ีพัฒนาภูทอกใหม่ๆ ก็ไม่ค่อยมีอุปสรรค เพราะมันมี ๖ หลังคาเรือนใช่ไหม ?
แล้วก็ตอนน้ันเราก็อยู่ขอนแก่นกลับมา คุณหญิงสุรีพันธุ์เร่ิมเข้ามาแล้ว แต่คนท่ีจะมาแท้ๆ ที่ให้
ลูกนอ้ งมาบอ่ ยก็ ดร.เชาวน์ ณ ศีลวนั ต์ องคมนตรี ท่านร้สู กึ จะรจู้ ักพอๆ ผม มีอกี คนหน่ึงที่นา่ สนใจ
แตว่ า่ กลบั ไปเปน็ มาลาเรยี หลวงอดลุ เดชจรสั อธบิ ดกี รมตำ� รวจเกา่ โนน้ เคยมาหา แต่ ดร.เชาวนก์ ม็ าบา้ ง
ไมม่ าบ้าง เพราะว่าใหจ้ �ำลองขบั รถแลนดม์ าส่งพระอาจารย์จวนไปเลย

244

เร่ืองพัฒนาภูทอก ทีแรกผมก็ถามว่าอาจารย์จวน “ถ้าอาจารย์มาท�ำแบบน้ีนี่มันเป็นท่ีเท่ียว
ของคน จะมีปัญหานะ เพราะคนมันเร่ิมเที่ยว มันก็ไม่สงบนะอาจารย์” ท่านเลยบอก “เรารู้แล้ว”
แต่วา่ เปา้ หมายหลัก ท่านจะพัฒนาภูทอกใหญ่ พฒั นาภูทอกน้อยอนั นจ้ี ะดงึ คน เพราะวา่ พวกเด็กมนั มา
เทยี่ ว มันกเ็ ห็นความงาม มันอาจจะไปดงึ พอ่ ดึงแมม่ าวัด เร่มิ ทีแรกเราเห็นแล้ว เอ้ ! ถ้าจดั แบบนตี้ อ่ ไป
มนั เป็นทเี่ ท่ียว มนั จะมปี ัญหาทีหลงั นะอาจารย์ ยากแกก่ ารปฏิบตั ิ เพราะอาจารย์มหาบวั เคยต�ำหนวิ ่า
แต่อาจารยจ์ วนบอกผมว่า “อันน้เี ปน็ เรือ่ งเลก็ เร่อื งใหญค่ อื ภทู อกใหญ่ เพราะความสำ� คญั ต้องอยู่
ภูทอกใหญ”่

ภูทอกใหญ่เป็นทพ่ี กั ส�ำนักสงฆ์ ทีแรกอาจารยน์ ้อยมาพฒั นาทนี่ ีอ่ ยู่ แล้วตอนหลังกพ็ ออาจารย์
น้อยไปพักหน่ึง อาจารย์วิโรจน์หลานอาจารย์แยงก็ไปอยู่เด้นะทีนี้ ลงมาบิณฑบาตแล้วมาฉันท่ีน่ี
(ภูทอกน้อย) ทุกเช้า

ภูทอกใหญน่ ้ีคอื ภแู จ่มจำ� รัสกค็ ือเปา้ หมายพัฒนาตรงน้ี จะสงวนเอาไว้ใหพ้ ระภาวนา พระหนมุ่
จะไปไว้โน่นหมด พระแก่อยู่นี่ได้ เพราะคนมาเท่ียวเยอะ เพราะว่ามันมีสองภู พัฒนาท่ีภูทอกน้อย
แต่ทางโน้นยังไมไ่ ดท้ �ำอะไร

อาจารย์มหาบัวต�ำหนิท่านอาจารย์จวนพัฒนาภูทอกน้อยว่า บันไดนรก บันไดสวรรค์ แต่
เป้าหมายอาจารย์จวนคือท�ำที่นี่เพื่อดึงคน เพราะว่าเด็กมันจะพามาเท่ียว เด็กหนุ่มสาว แล้วมันจะ
ดึงพอ่ ดงึ แม่มา ทา่ นงามแท้ๆ มันจะได้เขา้ วัดทางออ้ ม และภทู อกใหญ่บริเวณกวา้ งขวางกวา่ ภูทอกนอ้ ย
ทา่ นพฒั นาภทู อกน้อยเพื่อเป็นทดี่ งึ ดูดคน แตว่ า่ สงวนภทู อกใหญใ่ ห้พระภาวนา”

เมษายน ๒๕๑๓ หลวงปู่สมหมายไปขออยู่กับท่านพระอาจารย์จวน

หลวงปสู่ มหมาย จิตตฺ ปาโล ได้เมตตาเลา่ เรอื่ งน้ีไว้ดงั น้ี
“หลวงป่จู วนท่านกไ็ มไ่ ด้บอกวา่ ท่านเปน็ พระอรหันต์ ท่านก็วา่ ไปเรือ่ ย ว่าผมเป็นพระอรหันต์
ทา่ นกไ็ ม่เหน็ ว่านะ ถ้าเราภาวนาขาดเหลือ (ติดขดั ) ทา่ นกแ็ นะน�ำในเรื่องภาวนาใหน้ ่ะ สว่ นมากครูบา–
อาจารยท์ ่านกไ็ มบ่ อกหรอก ผมนีเ่ ปน็ พระอรหนั ต์ ท่านกไ็ มเ่ หน็ ว่า เออ้ ! ไมเ่ ห็นว่าสักองค์ อยู่กับ
หลวงปพู่ รหม บา้ นดงเยน็ นะ่ ทา่ นกไ็ มเ่ หน็ บอก คยุ แตด่ า้ นภาวนา แตก่ ารทำ� ความเพยี รทา่ นเกง่ สทู้ า่ น
ไมไ่ ดห้ รอกหลวงปพู่ รหมนี่ เดินจงกรมนี่ โอย๊ ! ต้ังแต่ ๒ ท่มุ จนถึงตี ๑ นู่น
สาเหตทุ ี่ไปอยู่กับหลวงปู่จวน ทีแรกกเ็ ดนิ ธุดงคไ์ ป กไ็ ดข้ า่ วว่าหลวงปูจ่ วนอย่ภู ทู อก ก็อยาก
ไปอย่กู ับท่าน อยากไปฟงั เทศน์ ไปฟังอะไรท่าน ไม่มใี ครแนะน�ำ เดินวเิ วกไป รู้จกั หลวงป่จู วนครงั้ แรก
ตอนนั้นแหละ ตอนท่ีขึ้นไปภูทอกเดือนเมษาฯ ทีแรกว่าท่านมีงานผ้าป่าอะไรเน่ีย อยู่ใกล้ๆ นั่นล่ะ
แถวบ้านดงเกษม ได้ข่าวว่ามีงานผ้าป่าก็เลยไปช่วยงานท่าน ไปก็เลยขออยู่กับท่าน ท่านก็รับ ก็มี
พระเณรมาหลายองคอ์ ยู่”

245

ท่านชวนหลวงปู่จันทาสร้างสะพานรอบภูทอก

หลวงปู่สมหมาย จิตฺตปาโล ไดเ้ มตตาเล่าเร่ืองน้ไี วด้ งั น้ี
“ทีแรกประชุมกนั ตอนน้ันหลวงปู่จนั ทา วดั ปา่ เขานอ้ ย มาวเิ วกภทู อกเดอื นพฤษภาฯ ๒๕๑๓
ก่อนเข้าพรรษา อยู่ราวๆ สักเดอื นหนึง่ นี่แหละ จากนัน้ กก็ ลับถ�้ำกลองเพล พอหลวงปจู่ วนท่านประชมุ
บอกวา่ “ท่านจันทา ผมจะสร้างสะพานทีร่ อบหน้าผาภูทอก หม่พู วกจะเหน็ ดีไหม ?” หลวงปูจ่ นั ทา
บอกว่า “ผมไมเ่ ล่นด้วยหรอกครจู ารย์ ผมจะกลบั ถำ้� กลองเพลแล้ว สรา้ งกส็ ร้างไปสิ ผมไม่เหน็ ดีดว้ ย
หรอก” หลวงปู่จวนว่า “โอ้ย ! ผมจะท�ำให้มันเสร็จในพรรษาน่ีล่ะ” “ท�ำไปเลย ผมไม่ยุ่งด้วยหรอก
ผมไมเ่ ห็นด้วย มนั จะมาตายกองกันนแ่ี หละ กรรมฐาน… หาเร่อื ง” หลวงป่จู นั ทากก็ ลับ ท่านไมช่ อบ
ก่อสร้าง ตอนน้ันท่านก็ยังเร่งความเพียรอยู่ ท่านก็เลยไม่อยากมาท�ำ หลวงปู่จวนท่านก็ไม่ว่าอะไร
แลว้ แต่ตามอธั ยาศยั เพราะวา่ “แคผ่ มมองขึ้นไปเนยี่ ผมเสียวไส้แล้ว จะไปท�ำสะพาน ผมไมเ่ หน็ ด้วย
หรอก” หลวงป่จู นั ทาวา่ ใครจะไปกลา้ กอ่ หอื ตรงนี้ เตรียมของหนีแน่บเลย พอหลวงปจู่ ันทากลบั ไป
แลว้ ท่านก็เลยสง่ั อยู่กฏุ ิ มาอย่ดู ้วยกนั น้ี กุฏิหลวงปูจ่ วนก็อยนู่ ี่
ชว่ งท่ีหลวงปู่จนั ทา ถาวโร ข้นึ ไปอยภู่ ทู อก แล้วกุฏิไมพ่ อ หลวงปูจ่ วนทา่ นกบ็ อกวา่ “ทา่ น
(หลวงปูส่ มหมาย) เป็นพระหนมุ่ นะ ตอ้ งไปอยู่บนเขาพู่นนะ” โอ๊ย ! หลวงปู่จวนทา่ นบอกมา กจ็ �ำเปน็
กต็ ้องย้ายให้ทา่ น เพราะอาจารยจ์ ันทาอาวโุ สกว่า บนนั้นมันมีแคร่อย่ใู กลๆ้ แลว้ รงั ผ้ึงมนั ก็เตม็ อยรู่ งั
แต่มันก็ไม่เป็นไร พวกผ้ึงหลวง พวกผ้ึงมันยังเยอะอยู่ ตอนหลังมามันก็หนีแหละพวกน้ัน ธรรมดา
ตอนแรกมนั ยังอยูห่ ลาย (มาก) แต่มนั ก็ไมท่ �ำอะไรเรา เพราะวา่ เราไม่ได้ท�ำอะไรมัน มันกอ็ ย่ขู องมนั
เราก็อยูน่ นั้ ”

พ.ศ. ๒๕๑๓ พระเณรที่อยู่จ�ำพรรษาภูทอก

หลวงป่สู มหมาย จิตตฺ ปาโล ได้เมตตาเลา่ เหตกุ ารณ์ปี ๒๕๑๓ ไว้ดังนี้
“หลวงปู่ (หลวงปูส่ มหมาย) อย่กู บั หลวงปู่จวนปี พ.ศ. ๒๕๑๓ รนุ่ สรา้ งสะพานชัน้ ๕ ร่นุ แรก
อาจารยแ์ ยงท่านกม็ าพ่ึงหลงั จากหลวงปู่ออกไปเทีย่ วธุดงค์แลว้ ปีนนั้ จ�ำพรรษาท่ชี นั้ ๕ มีพระ ๖ องค์
หลวงปู่จวน หลวงปบู่ ญุ เพ็ง หลวงปู่แสวง แล้วหลวงปู่ อาจารย์ยงค์ อาจารยเ์ ฉลิม อาจารยย์ งค์
สึกไปแล้ว อาจารย์เฉลิมนี่ก็สึกไปแล้ว อยู่แถวภูสว่างแหละ อยู่ด้วยกัน และมีเณร มีผ้าขาวน้อย
ผา้ ขาวน้อยตายแลว้ หลวงปู่อย่กู ับหลวงปจู่ วนประมาณพรรษาหนง่ึ เรม่ิ เข้าไปช่วงเมษายน
ในพรรษานี้ หลวงปจู่ วนท่านไมไ่ ด้เป็นมาลาเรยี มหี ลวงปู่บุญเพง็ เปน็ มาลาเรีย หลวงปกู่ ไ็ ด้
ไปฉดี ยาอะไรให้ หลวงปูไ่ มเ่ ป็น มเี ป็นอาจารย์แสวง อาจารยแ์ สวงกอ็ อกไป ออกพรรษามา เริม่ เปน็
มาลาเรยี หนกั พวกยายขงยายขาวอะไรเป็นทั้งหมดล่ะ ปีนนั้ ไมม่ กี ฐิน”

246

พ.ศ. ๒๕๑๓ เร่ิมสร้างสะพานรอบชั้น ๕

หลวงปสู่ มหมาย จติ ฺตปาโล ไดเ้ มตตาเล่าเรอ่ื งน้ีไวด้ งั นี้
“หลวงปู่จวนเริ่มสร้างสะพานรอบชั้น ๕ ตอนนั้นบันไดยังไม่มี ข้ึนบันไดดินข้ึนไป ช่วงหลัง
ทา่ นมาทำ� บันไดไม้ หลวงปู่ไปเทีย่ วแลว้ น่ี เท่ียวองค์เดยี ว เที่ยวกไ็ มก่ ลบั เดินทางไกลไปเร่ือยๆ ไปทาง
ภาคเหนือ หลวงป่จู �ำพรรษาท่ภี ูทอกพรรษาหนง่ึ ตอนนัน้ ยังไม่มีทางจงกรม แล้วก็สร้างสะพานเป็น
ทางจงกรม เจตนาดง้ั เดมิ ของหลวงปจู่ วนกค็ อื สรา้ งสะพานรอบนนั้ เปน็ ที่ปฏิบัตธิ รรม ขนาดกไ็ ม่
กว้างใหญ่ บางทมี่ ันมไี ม้ปูออกไป ขยายออกไปไกลอยู่ รูส้ ึกจะกว้างแค่สองแผน่ พระเณรเดนิ จงกรม
เดินไปตามนนั้ ล่ะ เรม่ิ ท�ำกนั เดือนมิถุนาฯ โน่น รสู้ กึ ออกพรรษาแลว้ เสรจ็ เวยี นเทยี นได้ ออกพรรษากม็ ี
เวียนเทียนเรมิ่ แรก ท่านก็พาเวียนเทยี นพรรษารอบชัน้ ๕ รอบภูทอก
ไมท้ ี่เอามาท�ำสะพาน ญาติโยมเขาเอาไม้ตะเคยี นมาให้ เขาเรยี กช่ือว่า “ตะเคยี นหิน” มนั มี
ตะเคยี นทอง ตะเคยี นหนิ ตะเคยี นหนิ นจ่ี ะแข็ง เพราะแถวน้ันมนั ดงตะเคียน บา้ นนาค�ำแคน แต่ก่อน
มันตะเคียน เขาก็เอาไปปักท่ีสวนปักทไี่ ร่ หลวงป่จู วนท่านบอกใหเ้ ขาเลอื่ ยมา เอามาขายให้ จ้างเขาเอา
มาให้ เขาเอามาเปน็ แผ่นๆ มาแตง่ ให้ มาสง่ ให้ ไมต้ อนนั้น ไม้หนา้ ๒ หนา้ ๔ หน้าอะไรเขา เออ ! ทา่ น
สั่งเขา เขาเลอ่ื ยด้วยมอื เลอื่ ยเครอื่ งสมัยนัน้ ยังไมม่ ี ดึงกนั สองคน ตดั แลว้ แปรเปน็ แผ่นๆ ใชเ้ ลื่อยมอื
มือกเ็ ขามกี ันสองคนดงึ ไปดงึ มา
ตอนสร้างสะพาน ตอนนั้นมันหวาดเสียวมาก หลวงปู่จวนท่านก็ไม่ได้แสดงอภิญญาอะไร
หลวงปูจ่ วนทา่ นบอกวิธสี กัดหิน ทา่ นบอกวา่ “สมหมาย สว่ิ อยู่โนน้ นา้ ” ทา่ นก็ไปจัดการให้ แล้วก็บอก
วิธี ท้งั สิ่วทั้งคิดวา่ “เอ้ ! มาตายกองกนั เหมอื นอาจารยจ์ ันทาวา่ ” ก็ทา่ นสง่ั แลว้ จะทำ� ยงั ไง ก็ต้องไปทำ�
ออื ! ส่วิ เชด็ เรยี บร้อย ไปก็กราบเรยี นท่านบอกว่า “ผมสิ่วแลว้ นา้ พอ่ แมค่ รอู าจารย”์ เออ ! บอกวิธีท�ำ
แลว้ กเ็ ร่ิมท�ำไปเรือ่ ยๆ ทำ� ไป ทำ� ไปเรอื่ ย มนั ก็คอ่ ยๆ ทำ� ไป หลวงป่จู วนก็มีฆอ้ งใบหนึง่ ตีอยู่นัน่ ก็มแี ต่
พระเณรนีล่ ่ะสกัดหนิ เน่ียขอ้ มือน่ีพังหมด”

หลวงปู่แสวง อมโร เช่ือมพุทธวิหารส�ำเร็จ

หลวงปู่แสวง ท่านได้เป็นผูร้ ว่ มสร้างสะพานไมร้ อบภทู อก แต่มีจดุ หนึ่งที่มสี ะพานหินธรรมชาติ
เชอื่ มไปยังเขาโดดลกู เลก็ ทีม่ ลี ักษณะคลา้ ยเห็ดทแ่ี ยกตัวออกไปจากภูทอก หลวงปูจ่ วนบอกกับลกู ศษิ ย์
ว่า “ใครหาวธิ ีเช่ือมทางเขา ๒ ลูกนไี้ ด้ เราจะให้ผ้าจีวรเนอื้ ดแี กผ่ นู้ ้ัน” หลวงปแู่ สวงก็หาวิธีจนได้ โดย
ทำ� เชอื กผูกเปน็ บ่วง โยนครอ่ มไปทีเ่ ขาลกู นน้ั แล้วหย่อนเชอื กลงไป ให้สามเณรที่ตวั เบาๆ ผูกกบั เอว
แลว้ ค่อยๆ ไต่ขึ้น ทา่ นว่าพวกเณรนัน้ ไมม่ ใี ครกลวั ตา่ งกช็ อบเล่นกันเปน็ ของสนกุ ทง้ั พระทงั้ เณรตา่ ง
ชว่ ยกันสกัดหนิ ทำ� สะพานไมเ้ ชือ่ มตอ่ เขาสองลกู จนส�ำเรจ็ เขาลกู นเ้ี ป็นท่ที ราบกนั ในช่อื ว่า “พทุ ธวิหาร”
ซึ่งอยูบ่ ริเวณชั้นที่ ๕ ของภทู อก ดว้ ยเหตนุ ี้ หลวงปแู่ สวง จึงไดผ้ ้าจวี รเนอื้ ดจี ากหลวงปจู่ วน และไดท้ อด
ผา้ บงั สุกลุ อุทิศสว่ นกุศลใหโ้ ยมพ่อ

247

หลวงปแู่ สวง สอนวา่ “ให้มีสตอิ ยูก่ บั ลมหายใจ ทุกๆ ลมหายใจนะ ให้สู้ทกุ อยา่ ง เสือก็สู้ ผีก็สู้
อาตมาอยู่ภูทอก สู้ตาย เอาสลิงมัดเอวไต่ลงมาสกัดหิน” ท่านพระอาจารย์จวน สอนว่า “ท่านนะ
มสี ตินะ เผลอเมอื่ ไหร่แมลงวันบนิ อย่บู นตัวทา่ นแน่ ขนาดนายพลขบั รถศึกมาต้งั เทา่ ไหร่ ยังมาแพ้ท่ี
ภูทอก เดินขาส่ันอยู่ข้างบน” ท่านพระอาจารย์จวนน่ะ ถ้าในคร้ังพุทธกาลน่ี ถือว่าเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์
ทำ� กนั ตั้งเทา่ ไหร่ ไมม่ ีคนตกมาตายสักคน อยกู่ นั ล�ำบากนะในสมัยน้ัน มอี ยู่ ๓ – ๔ บ้านเท่าน้ันทเ่ี ขา
ใสบ่ าตร มนั ยังเปน็ ปา่ เป็นเขาอยู่ มีแตไ่ อเ้ กง้ ไอก้ วางวิ่งกนั อยทู่ ั่ว เสย่ี งตายกนั ทั้งวัน

ท่านพระอาจารย์จวน ท่านว่า “ใครว่าเก่งให้ดูวาระจิตของตนเอง มาบอกว่าตัวเองเก่งๆ
เปน็ ทหารบก แต่ไมเ่ คยเข้าสนามรบเลย อยา่ มาบอกวา่ ตวั เองเก่ง”

ไม้บนยอดพุทธวิหาร

เรอ่ื งไมท้ อี่ ยบู่ นยอดพทุ ธวหิ าร เปน็ เหตกุ ารณต์ อ่ เนอื่ งกบั การทำ� สะพานไมเ้ ชอ่ื มพทุ ธวหิ ารสำ� เรจ็
การปกั ไม้เปน็ เครื่องหมายแห่งความสำ� เรจ็ โดยครบู าอาจารย์ได้เมตตาเล่าเรื่องนี้ไว้ดงั นี้

“อาจารยเ์ ฉลิม อาจารย์เหลิมทสี่ กึ ไปน่ะ ทา่ นพรอ้ มกบั เพื่อนพระเณรขน้ึ ไปเจาะหินบนยอด
พุทธวิหาร เจาะหนิ เหมือนกับเราเจาะหินทัว่ ไปท�ำสะพาน เจาะแลว้ กเ็ อาเชือกลากเสาไม้ขึ้นไปปกั ไว้

หลวงปจู่ วนไม่ไดม้ อบหมายให้ท่านอาจารยเ์ ฉลิมไปเจาะ ทา่ นขึ้นไปเจาะเอง แลว้ ทา่ นอยาก
เปดิ ว่า เหตุผล คอื เครอ่ื งหมายวา่ ท่านตดิ ธง ข้นึ ไปทา่ นกใ็ ส่ไว้ ไม้ก็ไม้ตะเกรามนั ทนดี ทีแรกก็ไมไ่ ด้
ทาสี ชว่ งหลังทา่ นข้นึ ไปทา คอื สะพานทุกแห่งหลวงปไู่ มไ่ ดเ้ จาะเองหรอก ท่านใชพ้ ระน่ีล่ะนะตอ้ งเข้าใจ
หลวงปู่เปน็ ผูค้ วบคมุ แต่เจาะตรงไหน จะทำ� อะไร ท่านเปน็ ผสู้ ่ัง พวกเรานี่เจาะ

ท่านอาจารย์เฉลิมไปเจาะปักไม้บนยอดพุทธวิหาร ก็ปีท�ำสะพานไม้เช่ือมต่อเขาสองลูกเสร็จ
นั่นน่ะ ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ – ๒๕๑๔ ประมาณน้ี ไม่เลยน้ี ทา่ นสึกไปแลว้ ยังมีชวี ติ อยู่”

ท่านคุมท�ำสะพานรอบภูทอก

คุณหมอประพกั ตร์ โสฬสจนิ ดา ได้เมตตาเล่าเร่ืองนไ้ี วด้ ังนี้
“คือทา่ นอาจารยจ์ วนท�ำทางรอบน่สี ิ เรอ่ื งใหญ่เลย ผมก็มาอยูไ่ ด้ทำ� พอสมควร ส่วนใหญ่เสาร์ –
อาทิตย์กม็ าอยู่นี่ เสาร์ – อาทติ ยก์ ็มักจะมานล่ี ะ่
มีแตถ่ ามกันว่า “ฮว่ ย ! อาจารย์ท่านท�ำไมท�ำเก่งแท้ ?” เพราะว่าอาจารยจ์ วนก่อนจะมาบวช
ท่านท�ำงานกรมทางหลวงมากอ่ น ท่านเกง่ ทางด้านน้ี ทีนีท้ �ำไมถงึ วา่ ทา่ นท�ำได้ กเ็ พราะว่า เวลาเขาท�ำ
กจ็ ะน่งั ควบคุม เวลาทำ� มันก็ทำ� ไม่ยาก พวกผมกเ็ อาแต่พวกสิ่วมาส่ง มันกใ็ ชม้ าก เพราะว่าสมยั เก่า
เหลก็ กไ็ มค่ อ่ ยดีนกั เจาะหินมากๆ กส็ ึกไป ก็พวกลับก็ลับไป พวกเจาะก็เจาะไป ท่านก็นง่ั คุม ผมถามวา่

248

“ท�ำไมไมค่ ุมไม่ได้เหรอ ?” “โอ้ ! ไม่ได้ เขาไม่ทำ� ” ทา่ นกท็ ำ� อย่างธรรมดานี่แหละ ทา่ นกเ็ จาะไปเร่ือย
คมุ ไปเรือ่ ย”

ความอดอยากขาดแคลนยุคบุกเบิกภูทอก

หลวงปู่สมหมาย จิตตฺ ปาโล ได้เมตตาเล่าเรื่องน้ีไวด้ ังน้ี
“สมัยน้ันภูทอก ไฟฟ้าก็ไม่มี กุฏิก็กุฏิก�ำมะลอแหละ แบบมุงหญ้าแล้วก็เอามาปูด้วยไม้ไผ่
สานอีกทหี นง่ึ คลา้ ยๆ แคร่ หลวงปู่ก็กางกลด มนั ไมห่ นาวเท่าไรนะ ยคุ บุกเบิกมันไม่มีอะไร พวกสระ
น่ยี ังไม่มี ฝายมแี ล้ว บางปีฝนมันตกหนกั มันกม็ าตามทางฝายมนั ก็ขาด ตอนนน้ั โหนตลง่ิ กย็ งั รู้ นำ�้ ก็
ขาดแคลน ตอ้ งหามนำ้� ขึน้ ไปบนเขา ใช้ปบี๊ ก็หามปบี๊ นล่ี ่ะหามสองคน หาบไม่ได้ หามสองคนแลว้ ป๊ีบ
อยตู่ รงกลาง หามขึ้นไป กค็ ่อยๆ เดนิ ข้นึ ไป โอ๊ย ! ลำ� บาก ไมเ่ หมือนทุกวนั น้ี ทุกวันน้โี อ๊ย ! สบาย
น�้ำก็ไม่คอ่ ยมี โอ้ ! นำ�้ กก็ ั้นฝาย กน้ั เปน็ คู เอาน�ำ้ ขา้ งล่างข้นึ ไป ข้างบนไมม่ นี ้�ำ ป้นั น้ีกใ็ ช้คนปนั้ เป็นฝาย
ไม่ได้มีแม็คโครเหมือนทุกวันนี้หรอก ปั้นแล้วได้สามปุ้งก๋ีแล้วก็ยกก้ัน พอน�้ำหลากมามันก็ขาดล่ะทีนี้
ปุ้งกีก๋ ระเจงิ เลยทีนี้ ถ้าไม่กน้ั ไวก้ ็ไมไ่ ด้ พอน�ำ้ มันหยุดแลว้ ก็ไม่มนี �้ำจะใชแ้ ลว้
หลวงป่จู วนท่านเป็นผู้รเิ ริม่ ทำ� ฝาย โห ! ตอนหลังมานี้กม็ ีผ้ไู ปกั้นไปอะไร พวกทางการมาชว่ ย
ท�ำดว้ ย แต่ก่อนไมม่ ีอะไร กเ็ ปน็ ห้วยแล้วกเ็ อากนั้ กั้นเป็นขั้นๆ กระแสน้�ำมันไหลลงจากเขา ก็ก้นั ไวใ้ ห้
น�ำ้ มนั อยู่
บิณฑบาต บ้านกม็ อี ยู่ ๑๐ กว่าหลังนีล่ ะ่ บา้ นนาค�ำแคน เดนิ บิณฑบาตประมาณกิโลฯ กวา่
เดีย๋ วนีบ้ ้านมันติดกันหมด เลยบา้ นนาตอ้ ง บา้ นนาค�ำแคน
อาหารการขบฉันสมยั น้นั ก็ไม่มเี ทา่ ไหร่ เร่อื งกบั ข้าวนี้ไมต่ อ้ งพดู ถึงหรอก ชาวบ้านเขาก็หามา
ตามมีตามได้ มีหนอ่ ไม้นล้ี ะ่ หลาย (มาก) กะพอไดฉ้ ัน ฉนั พริกฉนั ผกั ไป เปน็ อาหารพนื้ บ้าน นำ้� พริก
ผกั ตลาดก็ไมม่ ี นำ้� ปานะไม่มหี รอก ตม้ นำ�้ เสอื โคร่งเปน็ หลกั ปรมัตถ์ก็ไม่มีหรอก พวกผา้ ก็ไม่มีหรอก
ขาดแล้วกช็ นุ เอา ผ้าขาดไมไ่ ด้นะตอ้ งปะชนุ ไว้ หลวงปู่จวนท่านกใ็ ชผ้ ้าปะชุนเหมือนกัน
อัฐบริขารก็ไม่ค่อยมีหรอก ญาติโยมก็ยังไม่ค่อยได้เข้ามา การซักฟอกย้อมผ้าก็ต้มแก่นขนุน
แก่นขนุนนะพอมี ย้อมแล้วแช่น้�ำร้อนน่ะ พวกสบู่ก็ไม่มีหรอก ผงซักฟอกก็ไม่มี เวลาล้างบาตรก็ใช้
พวกฟาง ใบตะไครน้ แ่ี หละ เอาไว้ล้างแล้วกด็ บั กลน่ิ ”
ท่านพระอาจารยเ์ ติมศักดิ์ ยุตฺตตธิ มฺโม ไดเ้ มตตาเล่าเรือ่ งท่านพระอาจารยจ์ วนท�ำฝายไวด้ ังนี้
“ฝายตัวแรกอยขู่ ้างกฏุ ิหลวงตาแยงน่ันแหละ ฝายน้�ำน่นั แหละ ทา่ นอาจารย์จวนพาท�ำ ฝาย
ที่สองอยู่ตรงกลางน้ี ฝายที่สามอยขู่ า้ งลา่ ง ตามล�ำดบั คือทา่ นทำ� ทีแรกเป็นฝายก้นั นำ�้ กอ่ นนะ คือถ้ามี
ปัจจัยอะไรท่านกจ็ ้างชาวบา้ นปัน้ ฝายนี่ไง จ้างเอามาปัน้ ดนิ เอาดินมาปัน้ ท�ำชว่ งหลงั มีเครื่องจกั รกล
กเ็ อาเครอ่ื งยนต์มาช่วย”

249

ท่านมีปฏิปทาโลดโผน

หลวงปูส่ มหมาย จิตฺตปาโล ได้เมตตาเล่าเร่ืองนี้ไวด้ งั น้ี
“หลวงปจู่ วน ทา่ นมลี กั ษณะนสิ ัยองอาจกลา้ หาญ มีปฏปิ ทาโลดโผนต้งั แต่ออกปฏิบัติ ตอนอยู่
ที่ภูทอกน่ีโลดโผนกว่านั้น ท่านก็จะน่ังฉันหมากอยู่ริมๆ หน้าผา ตรงช้ัน ๖ ท่านท�ำแคร่ตรงหน้าผา
ส�ำหรบั สวดมนต์ ท่านสวดมนตแ์ นว่ อยู่แคร่นี่ แคร่ใชไ่ หมละ่ ทา่ นกเ็ อาแครห่ ย่อนอยูห่ น้าผา ๒ ขาเนยี่
ให้มนั อยใู่ นอากาศ ไม่ตกไม่หยอ่ น ทางโน้นอีก ๒ ขาก็ใหม้ นั หย่อนอยู่บรเิ วณหนิ ท่านเอาเชือกดึงมัดไว้
ท่านไม่ตก ท่านก็น่ังอยู่ นง่ั สวดมนต์เฉย ท่านชอบ ชอบจริงๆ ปฏิปทาโลดโผนเสยี่ งตาย ท่านท�ำอย่างนี้
เป็นปกติ ทา่ นไม่วา่ อะไรหรอก ท่านกว็ ่าทา่ นชอบ ว่ามันเสยี ว ปีนน้ั ท่านกอ็ ายุ ๕๐ แลว้ นะยังมีปฏิปทา
โลดโผนอยู่ ท่านแข็งแรงมาก การเดนิ ข้นึ เขา – ลงเขา ท่านก็เดนิ ได้ไวมาก”

ท่านเทศน์ทุกคืนและเน้นให้พระภาวนาบนเขา

หลวงปสู่ มหมาย จิตฺตปาโล ได้เมตตาเล่าเรื่องนี้ไวด้ ังน้ี
“ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ชว่ งทีห่ ลวงปูอ่ ย่ภู ทู อก หลวงป่จู วนท่านเทศน์ทกุ วัน ตอนค่�ำฉนั น�้ำรอ้ น
น้�ำชาเสร็จแลว้ ทา่ นกเ็ ทศน์ใหฟ้ ัง ทา่ นกเ็ ทศน์ถงึ หลวงป่มู นั่ อยู่ หลวงป่จู �ำไม่ได้หรอก ตอนเทศน์ทา่ น
ก็กล่าวถึงครูบาอาจารย์ กับหลวงปู่ขาวน่ีท่านเคยไปอยู่ด้วย ท่านเทศน์แล้วก็ให้ข้ึนไปอยู่บนเขานู่น
พระหนุ่มเณรน้อยก็หานอนอยู่กุฏิแคบๆ หน้าผานะ ข้ึนอยู่บนเขา ตอนค�่ำให้ขึ้นไปภาวนาบนเขาล่ะ
อยา่ มานอน นอนไม่ได้เร่อื งเน้อ
ตอนกลางวนั หลวงปจู่ วนท่านพาสร้างสะพานแล้ว ท่านก็ยังก�ำชบั พระเณรให้ภาวนา ทา่ นไมใ่ ห้
หยุดหรอก ท�ำสะพานแล้วท�ำอะไร ท�ำภาวนาเข้าไปด้วย ตอนท�ำงานท่านก็ให้อุบาย ท่านก็บอกว่า
“ให้ระวัง ตัง้ สตใิ ห้ดี อย่าประมาท เพราะว่านม่ี นั ถ้าประมาทแลว้ ตายไม่รูเ้ ร่อื งเด้อ (นะ)” ทา่ นก็
บอกห้าม ท่านให้ส�ำรวมระวัง ท�ำงานแล้วภาวนาไปด้วย อย่าไปประมาท ก็ท้ังท�ำงาน ท้ังภาวนา
กลางคืนทา่ นกใ็ ห้ไปเดนิ จงกรม เดินจงกรมอดนอน บางทีวนั พระกอ็ ดนอน สว่ นในทางท�ำงาน ท่าน
ไม่ให้อดข้าว “อดขา้ วมันเสยี กำ� ลงั อดนอนยังไมเ่ สีย” ท่านบอก พอฉนั ขา้ ว ฉันไดอ้ ยู่ ท�ำงานได้อยู่
ท่านเน้นอดนอน แตไ่ ม่เนน้ อดข้าว อดขา้ วมันเหนื่อยน่ี มนั ทำ� งานไม่ได้
ทา่ นพาอดนอนในวนั พระ ทา่ นอดมาแลว้ หลวงป่จู วน ท่านก็ไม่ให้นอน ส่วนมากท่านตาแดง
ไม่มีตาขาวหรอก เร่ืองอดนอนหลวงปู่จวนท่านเก่งมาก ท่านอดนอน ไม่ได้นอน กลางวันไม่ได้นอน
กลางคืนก็ไม่ได้นอน ท่านนอนน้อยเดียว พอฉันจังหันเสร็จแล้ว ท่านก็เดินข้ึนภูทอกและพักผ่อน
จ�ำวัด (นอน) เพยี งเลก็ น้อย จ�ำวัดเสรจ็ แลว้ กข็ ึ้นไปดูงาน ทา่ นกแ็ นะน�ำให้ บอกวา่ อย่างน้ๆี แตต่ ัว
ทา่ นเอง ท่านไมไ่ ดท้ �ำหรอก แตแ่ นะน�ำพระเณรให้ทำ� ไอน้ ู่นไอน้ ่ี ท่านออกแบบให้ อะไรใหว้ า่ ง้นั เถอะ
ท่านคมุ งานอยู่ ถ้าข้ึนไปเขามกี �ำลังใจ ท่านก็แนะน�ำให้ เวลาทา่ นไมอ่ ยู่กไ็ มค่ ่อยจะเอายังไง เพราะว่า
มันเสียว กลัว ทา่ นให้ก�ำลังใจ”

250

ถือเนสัชชิกแล้วหลับ นิมิตคนตัวใหญ่มาบีบคอให้ภาวนา

หลวงปสู่ มหมาย จิตตฺ ปาโล ไดเ้ มตตาเลา่ เรอ่ื งนไี้ วด้ งั น้ี
“ตอนอยู่ภูทอกมอี ย่ชู ่วงหนง่ึ เพราะว่าชว่ งนั้นไปอดนอน อดนอนแล้วก็เลยโงกงว่ ง โงกง่วงแลว้
กไ็ ปพิงหนิ น่ะ เหนือ่ ยนดิ หน่ึงมนั ก็หลับ วา่ จะไมห่ ลับนา้ นง่ั ไปนัง่ มาก็เพลิน เคลิม้ ไป เคลิม้ ไป มนั กห็ ลบั
เออ ! มันเหมือนมอี ะไร คนมาบอกว่า “โอย้ ! มาแอบนอนอยู่นรี่ ”ึ ในนมิ ติ นะ บอกอู้หู ! เวลาน้นั นะ่
ตายแล้ว ฮา้ ! ก็เทา่ นั้นแหละมปี รากฏ มถี ำ้� แถวๆ นนั้ ไม่ใช่เสียงเทวดา คลา้ ยๆ คนหนา้ ตาดำ� ตัวกำ� ย�ำ
ใหญ่นะ ด�ำเม่ียม ล่�ำ เป็นยกั ษห์ รือเปลา่ ไม่รู้ โอ้ ! มอื ใหญ่ๆ บบี คอหลวงปู่ บอก “มาแอบนอนอย่นู ี่
นอนไมไ่ ดน้ ะ” หลวงป่ปู ับ๊ เลย ลกุ ขึ้นเดินจงกรมตอ่ เคยเล่าใหห้ ลวงปจู่ วนฟัง ทา่ นว่า “นนั่ แหละ
มันพากนั ประมาท ถือเนสชั ชกิ ยงั ไปหลับ”
เร่อื งนี้ครบู าอาจารย์ที่เป็นพระศษิ ยข์ องท่านพระอาจารย์จวนได้เมตตาเลา่ สู่กันฟัง ดังนี้
“สมัยก่อนนี่ภูทอกลี้ลับมาก ตอนค�่ำๆ นี่ ท�ำวัตรเสร็จนี่จะคุยกันไม่ได้นะ ถ้าว่าคืนน้ีจะอ่าน
หนังสอื คือทำ� วัตรเสรจ็ คืนน้จี ะอา่ นหนังสือ แล้วไมเ่ ดนิ จงกรม ไมไ่ ดน้ ะ ภมู ิที่ภทู อกเขาไม่ยอม กุฏิไกว
ตอ้ งลงมาเดนิ จงกรมกอ่ น
สมัยหลวงปูจ่ วนน่ี ถ้าพระเณรไมภ่ าวนา ไมเ่ ดนิ จงกรมนี่ ไมไ่ ดน้ ะ กุฏิไกว ครูบาอาจารย์เล่าสู่
กนั ฟัง และหลายองคก์ ็เคยประสบมาด้วย ทา่ นพระอาจารย์พวนน้เี คยโดน ไขม้ าลาเรียจะตายนีก่ ็ตอ้ ง
มาเดนิ จงกรม ตอ้ งได้ลกุ มาภาวนา แม้กระท่ังป่วย ภมู เิ ขาก็ไม่ยอม ยุคหลวงปู่จวนน้ีเข้มข้น โอ้ !
ไม่ได้นะ ตอนค่�ำพระเณรถ้าไปคุยกัน ตอนเช้ามาถ้าหลวงปู่เจอหน้านแี่ ล้วก็โดนด่านะ คยุ เรือ่ งอะไร
จิตไปทางไหน ท่านรู้หมดนะ พระเณรถ้าหนีไปคุยเล่นกันตอนกลางคืนน่ี หลวงปไู่ ม่ยอมละ่ ”

ท่านไม่อนุญาตให้คนมาเอาผึ้ง

หลวงปู่สมหมาย จิตตฺ ปาโล ไดเ้ มตตาเลา่ เรื่องนไี้ ว้ดังน้ี
“น้�ำผึง้ มีโยมเขากเ็ อามาถวายเร่อื ย มาจากภวู ัว น้�ำผึง้ มันยังมากอยู่ มันยังไม่หนี พอตอนหลัง
คนมากเข้า มันก็หนีหมด แต่ก่อนภูทอกเราเนี่ยผ้ึงหลวงเยอะมาก ชาวบ้านเขาก็มาหาผ้ึงกัน เขามี
สมั ปทาน เขาจ่ายภาษีให้แลว้ พอใหส้ มั ปทาน ผ้ึงกค็ อ่ ยๆ หมดไป ช่วงหลงั มาหลวงปจู่ วนท่านมาอยู่
ภูทอกแล้ว ท่านไมใ่ หค้ นมาเอา ทา่ นห้าม ผึ้งกท็ ยอยหนีไปเรือ่ ย มีก็มสี ว่ นน้อย พวกหาผ้ึงกไ็ มไ่ ดม้ า
กวนแล้ว ทา่ นหา้ ม อยา่ มากวน
หลวงปู่จวนทีแรกจะจ้างไอ้พวกหาผึ้งเน่ียมาท�ำสะพาน แต่เขาไม่กล้า จ้างเขาก็มีอยู่ พวกนี้
ส่วนมากเขากล็ �ำเลยี งพวกไม้ พวกอะไรให้ สว่ นมากก็มีแต่พระล่ะทำ� เขาไมก่ ลา้ พวกชาวบ้านเขากลัว
ก็มีทีไ่ หนทีร่ มิ ๆ ทเี่ สยี วๆ พระละ่ ไปทำ� เขาไมก่ ล้า เขากล็ �ำเลยี งไมใ้ ห้”

251

พ.ศ. ๒๕๑๔ ร่วมงานประชุมเพลิงศพหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโ

งานประชมุ เพลงิ ศพหลวงปู่พรหม จริ ปญุ โฺ  เม่ือวนั ที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ เปน็ งานส�ำคญั
อีกงานหน่ึงของพระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งมีครูบาอาจารย์วงกรรมฐานและ
บรรดาศิษย์ไปร่วมงานกนั อย่างเนอื งแน่นคับคงั่ องคห์ ลวงตาพระมหาบัว าณสมปฺ นฺโน ท่านไดไ้ ป
รว่ มงานนแ้ี ละไดส้ งั่ ศษิ ยท์ ไ่ี ปรว่ มงานใหเ้ กบ็ รกั ษาอฐั ธิ าตขุ องหลวงปพู่ รหม เพราะตอ้ งแปรเปน็ พระธาตุ
อยา่ งแน่นอน ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ  ทา่ นกไ็ ดไ้ ปรว่ มงานนแี้ ละได้รบั แบ่งอัฐธิ าตมุ า

โดย คณุ หมอประพักตร์ โสฬสจนิ ดา ไดเ้ มตตาเลา่ เรื่องน้ไี วด้ งั นี้
“อาจารย์จวนเคยเล่าใหผ้ มฟัง ท่านเลา่ วา่ “ทา่ นรู้จักอาจารยพ์ รหม บ้านดงเยน็ ” และทา่ น
เคยให้อฐั ธิ าตุของอาจารย์พรหมแก่ผมมา อาจารยพ์ รหมเรานีแ่ หละ อาจารย์จวนไปเผาอาจารยพ์ รหม
แลว้ ได้อัฐธิ าตุมา แลว้ กใ็ หผ้ มมากราบไหวบ้ ชู า”

พ.ศ. ๒๕๑๔ เจ้าแม่วัดป่าสมบูรณ์ธรรมมานิมนต์ดูสถานท่ีสร้างวัด

คณุ หมอประพกั ตร์ โสฬสจนิ ดา ได้เมตตาเล่าเรือ่ งนีไ้ ว้ดังน้ี
“แล้วกว็ ดั ท่ที า่ นอาจารยส์ มบรู ณ์ กนฺตสโี ล ท�ำ ทีอ่ ย่อู �ำเภอชาติตระการ (วัดปา่ สมบูรณ์ธรรม)
วัดนี้ผมก็ไปดูกับท่านอาจารย์จวน พ.ศ. ๒๕๑๔ ตอนน้ันก็ยังไม่มีวัด มีเป็นหลุม ไอ้หลุมลูกรังของ
กรมทางฯ เพราะผมไปค่�ำท่ีหล่มสัก พอดีไปนอนวัดอยู่ท่ีติดแม่น้�ำหล่มสัก วัดป่า... พอดีเจ้าแม่
วัดอาจารยส์ มบรู ณ์เนย่ี ไปนิมนต์อาจารยจ์ วนทีห่ ล่มสัก
ทนี ี้ผมกไ็ ปนอนน่นั ปับ๊ ! รงุ่ เชา้ ท่านอาจารย์จวนบอก “โอย้ ! หมอเอย้ เมอื่ คืนเขามานมิ นตเ์ รา
ใหไ้ ปดวู ัดแหน่ (หนอ่ ย)” เพราะว่าเราอยูห่ ลม่ สกั เราจะต้องไปนครไทยออกทางชาติตระการ ผมบอก
“ฮว่ ย ! เขามายงั ไง ?”
“เขามานิมนตว์ า่ มื่ออ่นื (พรุง่ น)ี้ นี้ผา่ นไป ใหไ้ ปแวะ” ดูสิจะผกู จะทำ� วดั ได้ไหม ? กไ็ ปถึงทุกวนั
น่ีแหละ แตม่ นั ไมใ่ ช่วัด ก็เลยจอดรถข้างนอก แล้วผมก็เดนิ เอาหมากเอาพลูไปใหอ้ าจารยจ์ วน ไปถึง
แลว้ มันเขา้ ไปลึกหน่อย อาจารยจ์ วนไปเหน็ แล้ววา่ มนั พฒั นาไม่ได้ เพราะวา่ มันเป็นหลุมลูกรัง ไอ้ที่
พวกกรมทางฯ เขาไปขดุ ขายขดุ อะไร มันเปน็ พันๆ หลุมเลย อาจารยบ์ อก “โอย้ ! มนั เฮด็ บ่ได้ (มันท�ำ
ไมไ่ ด้)” สมยั เกา่ มันกไ็ มม่ รี ถแทรกเตอรพ์ อจะไปเกรดไปไถใหม้ นั เสมอใชไ่ หม ? ทา่ นก็เลยไม่ไดพ้ ัฒนา
เปน็ วัด กเ็ ลยไป ไปถึงก่อนจะเข้าล�ำปาง มีวดั ก็นอนนัน่ ละ่ จ�ำไมไ่ ดห้ รอกวัดนั้น
เจ้าแม่ภมู เิ จ้าท่ตี ่างๆ เขาชอบมานมิ นต์ท่านอาจารยจ์ วนไป เขากค็ งจะรู้ว่าท่านจะถนดั ทางชา่ ง
ทางอะไร ทา่ นมีวาสนาบารมีในการบกุ เบิกสถานท่ภี าวนา”

252

ท่านสอนพระน่ังภาวนาไม่ให้ก�ำหนดเวลา

ในปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ท่านพระอาจารย์ส�ำรวย ตายโน ได้เดินธุดงค์มาปฏิบัติธรรมกับท่าน
พระอาจารย์จวน กลุ เชฏฺโ ทภี่ ูทอก ทา่ นไดเ้ มตตาเล่าเรื่องน้ีไว้ดังนี้

“ความเพียรของหลวงปจู่ วนเป็นเลศิ ทา่ นเดินจงกรม แลว้ กน็ ัง่ สมาธิ ทา่ นวา่ นั่งไมใ่ ห้กำ� หนด
เวลา นั่งน่ตี อ้ งเอายันใหจ้ ิตมนั ลงเลย จติ สงบเลย ถา้ ไมล่ งกต็ ้องนงั่ นาน ถา้ น่งั แลว้ จะไมใ่ ห้ก�ำหนดเวลา
เลย น่ังจนไปอีกวันเลย จิตรวมก็มีเวลาอยู่ การปฏบิ ัตทิ �ำเหมอื นกนั ไมไ่ ด้ เปน็ ไปตามนิสัย จิตท่าน
ก็ไม่หว่ันไหวในการท�ำ อยู่ที่นิสัยแต่ละองค์นะ ท่านใดเป็นจริง ก็ได้เอาจริงเอาจัง หลวงปู่จวนท่าน
เดด็ เด่ยี วจรงิ จงั ”

ท่านเยี่ยมพระศิษย์และพาโยมมาขอมันส�ำปะหลัง

ท่านพระอาจารยค์ ำ� ศรี อปุ สนโฺ ต ไดเ้ มตตาเล่าเรอ่ื งนไ้ี ว้ดังนี้
“อาตมาบวชปี พ.ศ. ๒๕๑๔ อย่วู ัดป่าดงเกษม ไม่ไดอ้ ยูจ่ ำ� พรรษากบั หลวงปจู่ วน แตว่ ่าอยู่
ในเขตปกครองขององคท์ า่ น หลวงปู่จวนทา่ นมาเย่ยี มโดยตรงครง้ั หน่งึ อาตมาอยู่องคเ์ ดียว จะนิมนต์
ให้ท่านนั่งศาลา ทา่ นจะไมน่ ่ัง ท่านก็เลยไปนงั่ อยรู่ ่มไม้ ทา่ นพูดว่า “ผมพาญาติโยมมาขอมนั ส�ำปะหลงั
แวะมาพกั ” แค่น้นั ล่ะ แลว้ ก็นั่งเค้ยี วหมาก อาตมากก็ ราบทา่ น ท่านก็ว่า “เอา้ ! ไปธุระทา่ นซะ” บ่ายๆ
ช่วงทา่ นจะกลับ ท่านกบ็ อกวา่ “โยมบอกทา่ นนะ่ แหม่ บอกเอามันทา่ น เวลาจะไปจะไมก่ ราบลาทา่ น
หรอื ?” โยมกเ็ ลยมากราบลา แล้วท่านก็กลบั ภูทอกเลย ทา่ นมาขอมันทีว่ ัด ทา่ นจะไปให้แม่ขาวแมช่ ี
ต้มให้พระฉัน เพราะวา่ สมยั นนั้ อาหารมันกนั ดารมาก กันดารจริงๆ โยมเขาเอามนั มาปลกู ไว้ หลวงปู่
จวนกเ็ ลยมาขอมนั
ชว่ งนนั้ หลวงปจู่ วนมา เห็นมาครั้งเดียว อาตมานึกๆ ดู คอื ท่มี าขอมนั คอื วา่ เจตนาจะมาเยยี่ ม
หลวงปู่ผายกับอาตมานั่นแหละ ท่านก็ไม่ได้คุยธรรมะอะไร ก็มาถามสุขทุกข์ความเป็นอยู่น่ันแหละ
ตอนนัน้ รถมนั ก็อด หายาก อาตมาอยู่องค์เดยี ว ภาวนาองค์เดยี ว อยปู่ าฏิโมกขท์ ี่วดั เลย ครบู าอาจารย์
ท่านนไี้ ปท�ำธรุ ะทางอื่นอยู่ ท่านยงั ไมก่ ลบั มา ตอนนั้นอยูก่ ับหลวงปู่ผาย ช่วงนน้ั พรรษาทา่ นก�ำลังได้
สบิ กวา่ พรรษา กอ็ ่อนกวา่ หลวงป่จู วนนัน่ แหละ ทา่ นเป็นปะขาวอย่กู ับหลวงปจู่ วน ทถี่ ำ้� บูชา ทนี โ้ี ยม
บา้ นดงเกษมขาดพระ เลยไปขอหลวงปู่จวน หลวงปู่จวนกว็ า่ “เอาผา้ ขาวผู้นแี้ หละไปบวชซะ” เลยเอา
หลวงป่ผู ายเขา้ มาบวช มาอยวู่ ดั ปา่ ดงเกษมน่ีแหละ”

253

วงกรรมฐานเหมือนพ่อเหมือนลูก

ท่านพระอาจารย์คลาด ครุธมฺโม ไดเ้ มตตาเลา่ เรือ่ งนี้ไวด้ ังนี้
“อาตมาไปอาศยั อยู่ภูววั กบั อาจารย์คำ� ในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ แลว้ ก่อนน้นั เราไปเยย่ี ม เพราะว่าอยู่
ในสายหลวงปฝู่ ้ันเหมอื นกัน ทนี เี้ ราไปอาศยั ฟังเทศนห์ ลวงป่จู วน ไม่ไดจ้ ำ� พรรษาที่ภทู อก ไปหนา้ แล้ง
๖ – ๗ เดือน เวลาวนั พระ วนั อะไร เดนิ ไปฟงั เทศนห์ ลวงปจู่ วนแล้วก็เดินกลบั จากภวู วั ไปถึงภูทอก
๑๐ กวา่ กโิ ลฯ ช่วงเวลาเทศน์แลว้ แต่ท่านเทศนน์ ะ่ เช้า กลางวนั เยน็ ทา่ นเทศน์ได้ แล้วแตท่ า่ นสะดวก
ไม่ไดค้ า้ ง ถา้ คา้ งก็มงี านกฐนิ มอี ะไร นน่ั แหละถงึ คา้ ง ถ้าไมม่ งี านกฐินก็ไม่ไดค้ า้ ง
อาตมาไปกราบหลวงปู่จวนครั้งแรก ตอนน้ันเขา้ ไปกราบเฉยๆ ท่านก็ไม่วา่ อะไร ทา่ นไม่ได้ถาม
ทา่ นมาจากไหน จากไหน ท่านก็รู้ ทา่ นรู้อย่แู ล้วมาจากไหน จากไหน อยทู่ น่ี ั่นท่ีน่ี ทา่ นกเ็ คยอยู่ที่นั่นท่ีน่ี
ทา่ นก็เคยไปอยูไ่ มน่ าน ท่านสอนเรอ่ื งวธิ ีภาวนา “พระเราไม่มีหลักอะไรอื่น มกี ารภาวนาอย่างเดยี ว
ให้อยู่ ใหส้ งบสุข มาอยู่ทไี่ หนก็แล้วแต่ การภาวนามันดที งั้ นั้น ไมภ่ าวนา มาเล่น มาหวั มาอะไร
ก็ขาดทุนเจ้าของ ขาดทนุ ขาดทุนเจ้าของ เสยี เวลาเจ้าของ มนั ไมม่ อี ะไร” ไปกราบหลวงปจู่ วน
ท่านเทศนเ์ รอื่ งภาวนา และเทศน์สอนเรือ่ งการอยู่ปา่ “อยู่ป่าอยู่เขาการภาวนานแ่ี หละ พระจะอยู่ได้
ด้วยการภาวนา ต้องให้เรง่ ความพากความเพียร อย่าปลอ่ ย อย่าไปนอนเป่าลมเฉยๆ พอเรม่ิ เฉยๆ
กไ็ ม่ได้ หายใจทง้ิ เฉยๆ ภาวนาๆ ทา่ นตอ้ งการภาวนาลกู เดียว” เพราะวา่ งานกเิ ลสส�ำคญั งานส�ำคัญ
ในทน่ี เ้ี รอื่ งภาวนาพน้ ทกุ ข์ ไมใ่ หแ้ วะเวยี นไปอน่ื เพราะวา่ ไมแ่ นช่ วี ติ ของเรา มนั สนั้ นดิ เดยี ว ออกไปแลว้
หายใจออกไปแลว้ ไมเ่ ขา้ กต็ าย เข้าไปแลว้ ไมอ่ อกกต็ าย
พระกรรมฐานสมัยก่อนสนิทสนมกนั อยู่แล้ว พระกรรมฐานน่ีถอื เหมือนพ่อเหมอื นลูก เข้าไปหา
ทา่ นกเ็ มตตาตอ้ นรบั ใหค้ วามอบอนุ่ อยา่ งดี ทา่ นถอื วา่ เปน็ ลกู เขา้ มาหาพอ่ อยา่ งนี้ มนั กส็ นทิ มสี อนอะไร
มีสอนกส็ อนไป ถอื เปน็ ครอบครวั เดียวกนั อยู่แล้ว ความสนทิ สนม อาตมาไดจ้ บั เสน้ ดว้ ย จบั ใหห้ ลวงปู่
จวน ไปพกั ทีน่ นั่ กจ็ บั เสน้ ถวายท่านน่ันน่ะ กลางวนั กลางคืนจับไดห้ มด อาตมาเคยจบั เสน้ หลวงป่จู วน
หลวงป่สู ุวจั น์ หลวงปู่ไหนตอ่ หลวงปู่ไหนจับหมด วงกรรมฐานนี่องคไ์ หนเปน็ หวั หน้า ทา่ นกเ็ ทศน์ไป
อะไรไป ให้ฟัง ไม่ได้ถกเถียง ไม่ได้อะไร ถึงไม่รู้จักกันมาก่อนก็เข้ากันสนิท พระกรรมฐานในสาย
หลวงป่มู ่นั ถอื เปน็ ครอบครัวเดียวกนั ”

ท่านเป็นท่ีพ่ึงของพระกรรมฐานท่ีธุดงค์มาป่าเขาแถบบึงกาฬ

ท่านพระอาจารย์คลาด ครุธมโฺ ม ไดเ้ มตตาเลา่ เรือ่ งนไ้ี ว้ดงั นี้
“หลวงป่จู วนท่านเทศน์ไปไดห้ ลายอยา่ ง ทา่ นความจ�ำดีด้วย ในวนั พระใหญ่อาตมามาฟงั เทศน์
ท่านเฉยๆ ไม่ได้มาลงปาฏโิ มกข์กับทา่ นหรอก เพราะว่าพระกรรมฐานเราน่ตี ้องอาศัยครบู าอาจารย์
ฟังเทศน์ฟังอะไร มีอบุ ายอะไรบ้างท่เี ป็นภาวนา มอี ุบายอะไรกเ็ ลา่ สูก่ ันฟงั กบั ครบู าอาจารย์ ครบู า–

254

อาจารยท์ า่ นก็แก้ให้ ไปได้ ภาวนาจติ เปน็ ยงั ไง สงบเป็นยงั ไง ท่านก็สอน ท่านกส็ อนให้ ให้อบุ าย
ใหเ้ ราไปภาวนาตอ่ ก็ไม่ได้มากหรอก ไมเ่ หมือนอยกู่ ับหลวงปฝู่ ้ัน หลวงป่ฝู ั้นท่านสอนตลอด ชว่ งนั้น
หลวงปฝู่ ้นั ท่านก็ยงั มชี ีวิตอยู่

ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ อาตมาลาหลวงปูฝ่ ้ันมาวิเวกภวู วั ปา่ เขาแถบนั้นกม็ หี ลวงปจู่ วนเป็นพ่อแม่ครู–
อาจารย์หลักในสมัยน้นั ทา่ นดงั มาก ตอนน้ันอาตมาไปองคเ์ ดยี ว หลักใหญ่วงกรรมฐานเวลาไปอยู่ไหน
กเ็ ข้าหาพอ่ แม่ครูอาจารย์ให้ทา่ นอบรม เพราะวา่ หนงั สอื หนงั หาไมค่ ่อยมี เพราะวา่ ต้องอาศัยครบู า–
อาจารยน์ น่ั เพราะท่านได้ภาวนาเป็นยงั ง้นั ๆ ท่านจะแกอ้ บุ ายเรือ่ งภาวนาขดั ขอ้ งของเรา ขัดขอ้ ง
อันใด บางอยา่ งทา่ นเทศนใ์ ห้ฟงั เลย โดยเราไมต่ อ้ งถาม ท่านมปี รจติ ตวชิ า ท่านมีของทา่ นละ่ ท่านเกง่
อยูต่ อนน้นั ท่านเทศนไ์ ด้ท้งั คืน เทศน์นาน โอ้ ! แลว้ แต่ทฟ่ี งั เนือ้ หาของท่านเป็นชว่ั โมงน้ันแหละ บางที
ถ้าวนั มาฆบูชาอย่างนี้ ท่านเทศนจ์ นดึกแล้วนะ เสยี งทา่ นใสขึ้นเรอื่ ย เทศน์ดงั ขึน้ เรอื่ ย พอไปดกึ ๆ แล้ว
ตะโกนด้วย ตะโกนเสียงดงั ลั่นเลยละ่ ถ้าวนั พระ ๑๕ ค�่ำก็ตอ้ งพกั นนั่ แหละ มันเป็นกลางคืน ไม่เดินแล้ว
เสือกินเอา อีกวันหน่งึ ฉันข้าวแลว้ ก็เดินกลับ

เพราะว่าการที่เราติดปัญหาอะไร เราก็ต้องแบกปัญหาไปหาครูบาอาจารย์ เราก็ต้องอาศัย
ครูบาอาจารย์ อยูแ่ ถวไหนก็ตาม ตอ้ งเข้าหาท่าน ทา่ นกแ็ ก้อุบายให้เรากไ็ ม่นาน เราก็ภาวนาไปได้
อีก เรากส็ ะดวก เรอ่ื งน้ีเป็นหลกั ใหญ่ของวงกรรมฐาน อาตมาอยูก่ บั หลวงปฝู่ นั้ มากอ่ น ทา่ นบอกตรงนี้
ให้ฟังวา่ ไปอยูไ่ หนกใ็ ห้พง่ึ ครบู าอาจารย์ตรงนนั้ ๆ เพราะว่าครูบาอาจารย์ท่านสอน องคไ์ หนอยูท่ ไ่ี หน
องค์ไหนส�ำคัญ ท่านเมตตาบอกดว้ ย เหมอื นหลวงตามหาบวั นีท่ ่านจะบอกให้

พระกรรมฐานมาภาวนาอยู่แถวถ�ำ้ พระ กม็ าอาศยั หลวงปจู่ วนนั่นน่ะ มาหาแถวๆ นน้ั แหละ
ชว่ งนน้ั หลวงพ่อทองพลู กย็ ังอยู่ ทา่ นกพ็ ่ึงหลวงป่จู วนน่ันแหละ ท่านสนิทกัน หลวงพ่อทองพลู กม็ าหา
หลวงปูจ่ วนนน่ั น่ะ”

ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๑๕ หลวงปู่ชอบมารักษาตัวที่ภูทอก

เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๑๕ หลวงปู่ชอบ านสโม อาพาธด้วยโรคอัมพฤกษ์ ท่านขยับร่างกายทาง
ซีกขวาไมไ่ ด้ การเคลือ่ นไหวลกุ นง่ั และเดนิ เองไมไ่ ด้ จึงมพี ระอปุ ัฏฐากคอยดแู ลปรนนิบัตอิ ยา่ งใกลช้ ิด
เช่น ประคองอุ้มลุก อมุ้ น่ัง ปอ้ นน้�ำและอาหาร สรงน�้ำ ท้ังอาการพดู ก็พูดไมค่ ่อยได้ ซง่ึ หมอไม่สามารถ
รกั ษาอาการอาพาธของหลวงปู่ใหห้ ายได้ ครบู าอาจารย์ทกุ องค์ตา่ งเปน็ หว่ งเปน็ ใย ต่างพากนั พยายาม
หาทางรกั ษาทุกวิธี รวมทงั้ ท่านพระอาจารย์จวน กลุ เชฏโฺ 

เมอ่ื ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ  กไ็ ด้กราบนมิ นตห์ ลวงปู่ชอบ
ไปรักษาทว่ี ัดเจติยาคิรีวหิ าร หรอื ภทู อก โดยหลวงปู่ชอบยอมใหจ้ ัดยาถวายอยู่ระยะหน่งึ แตแ่ ล้วทา่ น
ก็กลับปฏเิ สธการรักษา ทา่ นบอกแตว่ ่าเป็นกรรมของทา่ น เปน็ กรรมอนั หนกั อยา่ งยง่ิ ไม่มใี ครมบี ารมี

255

พอที่จะชว่ ยทา่ นได้ ในขณะนัน้ หลวงปบู่ ญุ พนิ กตปุญโฺ  ทา่ นได้ตดิ ตามไปภทู อก เพือ่ พบกับหลวงปู่
ชอบท่มี ารักษาตัวอยกู่ ับท่านพระอาจารยจ์ วน ต่อมาหลวงป่ชู อบกลบั ไปวัดปา่ โคกมน

หลวงปูช่ อบ ทา่ นอาพาธด้วยโรคนต้ี ราบจนถึงวันมรณภาพ เมอ่ื วันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๘

ท่านอุปัฏฐากหลวงปู่ชอบด้วยความเคารพเหมือนพ่อ

ท่านพระอาจารย์คลาด ครุธมโฺ ม ไดเ้ มตตาเล่าเร่ืองน้ีไว้ดังนี้
“หลวงป่จู วนทา่ นดูแลหลวงปูช่ อบดีมาก หลวงป่ชู อบมาอย่ภู ูทอกน่ี ทา่ นเอาใจใส่ทุกอย่าง
นะ ดแู ลท้งั พระ ทง้ั อะไร ท่านสงั่ ให้พระมาดแู ลหลวงปูช่ อบ ทา่ นทำ� ตามอาจริยวตั ร ท�ำตามแบบเลย
หยูกยาอะไรทุกอย่าง ถ้าหาได้ก็หามาช่วย อาจารย์สมชายก็หามา ท่านก็ฉันให้หรอกหลวงปู่ชอบ
ฉันให้อยแู่ ต่ไม่นาน ท่านไมเ่ อาหรอก
เรื่องปรุงยาน้ี ท่ีเอายาอะไรรักษานี่มาท้ังสองนั่นแหละ ตอนน้ันอาจารย์สมชายก็มาดูด้วย
หลวงปูจ่ วนด้วย กไ็ มร่ ้ใู ช้ยาอะไร แต่ไอ้เขานอแรดนนั่ อาจารย์สมชายไปเอามาจากเวยี งจนั ทน์ ราคาน้ี
สูงมาก เพอ่ื มารกั ษาหลวงปชู่ อบโดยเฉพาะ ส่วนหลวงปู่จวนมอี ะไรยาเปน็ พเิ ศษยังไมร่ ู้ เพราะวา่ ไป
รกั ษากนั อยู่นาน ๔ เดอื น แล้วเราก็กลบั วดั
หลวงปจู่ วนท่านเคารพหลวงปู่ชอบมากๆ ในฐานะศษิ ยอ์ าวโุ สของหลวงปมู่ ่ัน การดูแลเตม็ ที่
หยูกยาทุกอย่าง อาหาร ปัจจัย ๔ ท้ังหลาย ท่านดูแลหมด หลวงปู่จวนขณะอุปัฏฐากหลวงปู่ชอบ
ทา่ นเหมือนกบั พระหนมุ่ เณรน้อยนแี่ หละ ทา่ นเคารพอาวโุ สเหมอื นกัน ความเคารพของครูบาอาจารย์
ไมเ่ หมอื นกบั พวกเรา ท่านเคารพกนั จริงๆ ด้วย เคารพมากๆ เลย เคารพกนั ถึงจติ ถึงใจ ท่านเคารพ
หลวงปูช่ อบอยา่ งเทดิ ทูนสงู สดุ เหมือนพอ่ คนหนง่ึ คนมีธรรมเป็นอย่างนีแ้ หละ
ชว่ งนนั้ กด็ ูแลกันท่ภี ูทอกประมาณ ๔ – ๕ เดอื น หลวงปู่ชอบก็กลบั ไปจ�ำพรรษาทเี่ มืองเลย
หลวงพอ่ ขนั ตที ีพ่ ามาเปน็ ประธาน มหี ลวงปซู่ ามาท่านมาเย่ียมมาสง่ ท่จี ริงนน้ั หลวงปูซ่ ามา ถา้ อยทู่ าง
โนน้ หลวงปซู่ ามาก็ตอ้ งดูแลน่ะ หลวงป่ซู ามาน่เี ปน็ พระผใู้ หญแ่ ลว้ เปน็ อาจารยใ์ หญ่แล้ว ทา่ นไมไ่ ด้อยู่
ดแู ลหลวงปชู่ อบ ก็มหี ลวงพ่อขนั ตี หลวงปู่บุญพนิ มาช่วยกนั ดแู ล
สาเหตุท่ีหลวงปู่ชอบมารักษาตัวท่ีภูทอก ครั้งแรกอาจารย์สมชายไปนิมนต์มาจากเมืองเลย
จะพามารกั ษาทภ่ี วู ัว ท่านจะได้ภาวนาไปด้วย แลว้ รักษาหลวงปชู่ อบไปดว้ ย หลวงป่จู วนได้ไปรับดว้ ย
พอทา่ นมาถงึ หลวงปชู่ อบ ทา่ นเลยนมิ นตพ์ าแวะเขา้ ไปวดั ภทู อก มาแวะคราวนนั้ แลว้ กเ็ ขาโทรมาบอกวา่
หลวงปู่จวนพาเข้าภูทอกแล้ว ภูวัวมันกันดารมาก พอลงรถแล้วต้องหามไปขึ้นภูขึ้นเขาไปอีก ทีน้ี
หลวงปจู่ วนเหน็ ว่าทีภ่ ทู อกสะดวกกว่า การไปมาของคนสะดวก เลยพาทา่ นมา หลวงปชู่ อบมาภูทอก
ครัง้ แรก ทา่ นพักอยู่ชั้น ๒ เดนิ ข้นึ เขาไปนดิ เดียว แถวบรเิ วณสถานวี ทิ ยเุ สยี งธรรมฯ ปัจจบุ นั น้ี

256

ขณะหลวงปู่ชอบอยู่ภูทอก ทา่ นไมไ่ ดเ้ ทศนน์ ะ ท่านอยู่รกั ษาตวั ทา่ นชอบวเิ วก มคี ณะมคี น
เสียงดงั เฮฮาๆ มาน่ี ท่าน “โอย !” หามจากศาลาหนเี ลยไปไว้ท่ีอื่น ย้ายทีห่ ลบดา้ นหลังไอถ้ ้�ำนั่นนะ่
แลว้ ก็หลบไปอยู่ข้างใตท้ ขี่ ้างๆ ถ�้ำเขา้ ไปอกี มีซอกเขานะ มาเงยี บๆ เพนิ่ (ทา่ น) ไม่วา่ หรอก ถา้ มาเอะอะ
น่ไี มส่ นใจ ชว่ งนั้นชาวบา้ นญาตโิ ยมเรมิ่ รู้จกั ภูทอก มาเทยี่ ว มาฟงั เทศนห์ ลวงปจู่ วน แตว่ ่ามาคุยกนั
มาเสียงดัง หลวงปู่ชอบให้หนีเลยแหละ เพ่ินจะไม่รับแขกเลย เพิ่นไม่เอาเสียง เพิ่นไม่ชอบเสียง
เพ่นิ ชอบความสงบ หลวงปู่ชอบน่ีชอบความสงบมาก

ปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๕ เราไปวิเวกแลว้ รูว้ า่ หลวงปู่ชอบมาภทู อกกล็ งไปช่วยเปลย่ี นกนั เปลย่ี น
อาจารยข์ นั ตี แลว้ องคห์ น่ึงสกึ แลว้ ชื่ออะไรไม่รรู้ ่นุ ๆ เรา อาจารยข์ ันตีแก่กวา่ เราสัก ๓ – ๔ ปี เราได้
อปุ ัฏฐากกไ็ มน่ านหรอก ไปกไ็ มน่ านหรอก เพราะว่าใครไมด่ ูแลดว้ ย หลวงป่จู วนท่านปรบั อาบัติ ตอน
อปุ ัฏฐาก สรงน�้ำ ป้อนยา หมู่เพ่อื นอย่ใู กล้ชดิ ดูแล คราวไฟไหมป้ ่า มคี วนั ข้นึ ไปภทู อก หลวงป่จู วนให้
พาลงมาไวท้ ศ่ี าลาใต้ พระ ๒ องค์ก็เอามือประสานเข้าแลว้ ก็อ้มุ หลวงปู่ชอบเดนิ ตามสะพานกนั ลงมาแต่
ช้ันที่ ๒ นนู่ น่ะ หลวงปู่จวนวา่ “ระวังใหด้ ี ระวังใหด้ ี” ท่านวา่ ทา่ นกลัวหลวงปู่ชอบตก”

อัญเชิญพระประธานขึ้นภูทอก

ท่านพระอาจารย์คลาด ครุธมฺโม ไดเ้ มตตาเลา่ เรื่องนี้ไวด้ งั นี้
“พระประธานกเ็ อาขน้ึ ช้ัน ๕ ไง ดูยากนะ เขาดงึ กนั โอโ้ หย ! นา่ กลวั นา่ หวาดเสียวเลย
เขาว่าขึน้ แล้ว ดึงกัน ดงึ ขึน้ ใชช้ ักรอกหมนุ กัน หมนุ เคร่ืองอะไรไม่รูห้ รอก พระ เณร ชาวบ้าน
น่ันนะ่ มา เกง่ มากเลย เอาสลิงนั่นเหนยี วขนาดนัน้ พาขนึ้ ได้ ตอนนั้นอาตมามาธรุ ะอะไรไมร่ ู้ มาอย่นู น่ั
กเ็ ลยได้เหน็ ปีทีม่ าเท่ยี ววิเวก พ.ศ. ๒๕๑๕ มาบ่อยๆ นแ่ี หละ ลงมา ตอนขึ้นกไ็ มม่ ีอุปสรรคนะ ราบรื่น
ชาวบ้านเขากด็ ีใจ เขาขน้ึ ได้น่นั แหละ ดไี มม่ ีอนั ตรายอะไร”

ก่อนเข้าพรรษาปี ๒๕๑๖ ท่านปรับปรุงศาลา พร้อมท�ำถังน�้ำและรางน�้ำชั้น ๕

ท่านพระอาจารยเ์ ติมศกั ด์ิ ยุตฺตตธิ มฺโม ได้เมตตาเลา่ เร่ืองนไ้ี วด้ งั นี้
“พอไปอยู่กับหลวงปู่จวนช่วงแรกๆ ก็สมัยก่อนวัดภูทอกไม่มีอะไรนะ ทีนี้เพ่ิงพัฒนา ศาลา
เกา่ ๆ ทา่ นก็ขยายไปเร่อื ย ทีนี้มีพวกญาตโิ ยมเข้ามาเก่ยี วข้อง ทา่ นกเ็ ลยขยาย พออาตมาไปถึงวันแรก
พอวางบาตรไปกราบทา่ น โอ้ ! ทา่ นยม้ิ เลย คอื ครูบาอาจารยท์ ่านมีตาใน ท่านยืนอยู่ “เออ ! ดีแลว้
มาชว่ ยมุงหลังคาหนอ่ ย” ท่านชี้ไปน่ี ทา่ นไล่มงุ หลังคาศาลาช้นั ล่างเลย เรานี่นึกในใจ “ตาย ! เราจะ
หนีจากงาน ยังมาเจองาน” ภาษาโลกเขาวา่ “หนีเสือแลว้ มาปะจระเข”้
พอจวนจะเขา้ พรรษาปี พ.ศ. ๒๕๑๖ หลวงปจู่ วนทา่ นมอบหมายใหห้ ลวงปู่บุญพินพาหมู่คณะ
หล่อถังนำ้� พอฝนตกแลว้ เก็บนำ�้ ฝน เราไปกเ็ ดือน ๖ ไปพักอยนู่ ั่นได้วนั หน่งึ หรอื สองวนั หลวงป่บู ุญพิน

257

ให้เณรมาตามเราไปช่วย ถังนำ�้ ท่หี ล่อขนาด ๑.๕๐ เมตร จำ� นวน ๗ ปลอก แบบของกรมอนามยั เขา
คณุ หมอประพกั ตร์นเี่ อาไปให้ ถังน้�ำอยชู่ น้ั ๕ ปัจจุบันใชไ้ ด้อย่นู ่ะ ทำ� อาทติ ย์กว่าๆ กเ็ สร็จ

จากนั้นกต็ อ่ ท่อรางมาใส่ เพราะแต่ก่อนเอาสังกะสมี าท�ำราง หลวงพ่อค�ำผองน่ะวา่ “อยา่ งน้ี
มนั ก็ลำ� บาก ฝนตกกระเซ็นไปทวั่ น่ะ เปยี กไปหมดทัง้ ศาลาน่ะ” ท่านก็ “จะท�ำรางให”้ ท่านอยากจะให้
เราไปชว่ ย พอไปชว่ ยท่านเห็นวา่ เป็นงาน ทา่ นบอกหาตัวแทน ทา่ นจะไปแล้ว เรากต็ ้องลงมือท�ำอกี แลว้
ทำ� ก็ท�ำให้มันจบซะ เพราะเราก็จะไปเหมือนกัน จะไปจ�ำพรรษาทภ่ี ูววั ก็เลยท�ำใหท้ า่ น

พอหลวงปูจ่ วนเห็นเราทำ� เสร็จ “เออ้ ! ทำ� ฝาปิดบาตรนำ�้ มนตใ์ ห้หนอ่ ยนะ” เพราะวา่ ต้องทำ�
ฝาปิดกนั ใบไมล้ ง ทา่ นเหน็ ว่าเราท�ำไดน้ ะ “เอาสงั กะสีมาทำ� ฝาปดิ บาตรนำ�้ มนตใ์ ห้ด้วยนะ” คอื เราท�ำ
ฝาปิดบาตรนำ้� มนต์ ทีนเี้ หน็ สงั กะสีมันเหลือก็เลยเอามาท�ำเปน็ กระบวยตักน�้ำ

เมื่อหลวงปู่จวนทา่ นต่อชายคาถ้ำ� ชน้ั ๕ จะท�ำรางน้�ำ ทา่ นก็ว่า “เออ ! หาช่างมาท�ำรางนำ้� วัด
ให้หน่อย” เพราะทา่ นหล่อถังน้ำ� นะ่ อาตมาอยชู่ ่วยงานทา่ น เพราะสมัยก่อนน�้ำอดมาก กันดารนำ�้
ใครขึน้ ไปขา้ งบนตอ้ งสะพายหนิ ทรายนะ่ ท�ำเป็นถงุ ผ้าไว้ ทท่ี างข้นึ นะ่ ทา่ นเขียนป้ายว่า ใครขนึ้ ไป
ให้สะพายหนิ ทรายข้ึนไปข้างบนดว้ ย เพอ่ื จะได้เอาทรายหินนีข่ นึ้ ไปเทข้างบนไง สะพายพอสะพาย
ขึน้ ได้แหละ เพราะใหญ่ มันก็หนกั ๆ”

บาตรน�้ำมนต์

นำ้� มนตใ์ นบาตรของหลวงป่จู วน ตอ่ มาเป็นที่พง่ึ ของชาวบา้ น มเี รื่องเลา่ ดังนี้
“สมยั ก่อนนีน่ ะ ตอนหลวงปูจ่ วนอยู่ คนในหมู่บ้านส่วนมาก ถา้ ใครเปน็ ไข้ เป็นอะไร พวกผีเข้า
จะไปเอาน�้ำมนต์ตรงชั้น ๕ มากิน กนิ แล้วกห็ าย เปน็ ไข้ก็หาย สมัยก่อนหาหมอกย็ าก หลวงปู่จวนทา่ น
เขียนตัวยันต์ตรงบาตรไว้ด้วยนะ ท่านพระอาจารย์แยงไม่ให้ล้างออก ถ้าล้างออกไม่เห็นตัวยันต์น่ะ
ตวั ยันตย์ งั อยูใ่ นนัน้ ถา้ สงั เกตดูจะเหน็ เปน็ ลายมอื ของท่านนะ คนในหมูบ่ า้ นโดนผเี ข้าผีอะไร พากัน
ไปกราบเรยี นท่าน ขอให้ทา่ นเมตตาช่วย ทา่ นกช็ ว่ ยเขา แลว้ เขากจ็ ะหาย เรือ่ งพวกนมี้ ีนะ เพราะวา่
แต่กอ่ นลล้ี บั มาก”
ท่านพระอาจารย์พวน ชุตนิ ธฺ โร ไดเ้ มตตาเลา่ เร่อื งนไี้ ว้ดงั น้ี
“เปน็ นำ้� ใสท่ีมันค่อยๆ ไหลซมึ ออกมาจากถ�้ำ ไหลตลอดปี หน้าแล้งมนั ยังไหลออกมา หลวงปู่
จวนท่านก็เลยไปทำ� บาตรเอาไว้ มนั กเ็ ลยเป็นบาตรนำ�้ มนต์ ท่านกว็ ่าเปน็ นำ้� ศักดิ์สทิ ธ์ิ ท่านได้เขียน
ตัวยันต์เอาไว้ที่บาตร ชาวบ้าน คนที่ไปเท่ียว เขาก็ไปเอาไปกิน เอาไปรักษา เป็นความเช่ือว่าเป็น
น้�ำศักดส์ิ ทิ ธ์”ิ

258

พ.ศ. ๒๕๑๖ ท่านไม่ให้พระจ�ำพรรษาท่ีภูสิงห์และภูทอกใหญ่

ท่านพระอาจารยเ์ ตมิ ศักดิ์ ยุตตฺ ตธิ มฺโม ได้เมตตาเลา่ เรอ่ื งน้ีไว้ดงั นี้
“ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ท่ีอยู่ภทู อกนะ มหี ลวงปบู่ ุญพิน กตปุญโฺ  แลว้ ก็หลวงปคู่ �ำผอง กุสลธโร
ลกู ศิษยห์ ลวงปชู่ อบนะ ทา่ นมาพกั มาแวะท่นี น่ั น่ะก่อนเขา้ พรรษา พอมาอยู่สกั พักหนง่ึ ทา่ นกก็ ลบั ไป
จ�ำพรรษาท่ผี าแด่น
หลวงปคู่ ำ� ผองทา่ นตั้งใจว่าจะไปจำ� พรรษาทภี่ ทู อกใหญ่ คอื ไปอย่ภู สู ิงห์มนั ไมส่ ะดวกเลยมาอยู่
ภทู อกใหญ่ หลวงปู่จวนไมใ่ หจ้ ำ� พรรษา “มันไม่สะดวก” ทา่ นวา่ “ใครจะเปน็ อุปถัมภ์ อยบู่ นเขานะ่
ใครจะดูแล มันล�ำบาก มาจ�ำพรรษาด้วยกันซะ” หลวงปู่ค�ำผองท่านเก็บความต้ังใจเลย ต้ังใจว่าจะ
ไปอย่ภู ูสิงหใ์ หญ่ไม่สำ� เรจ็ ทจ่ี รงิ กไ็ ปอยู่ เหมือนท่านจะไปอยถู่ ้�ำจอ้ ง ภสู งิ หใ์ หญ่นี่เริ่มต้นทถ่ี ำ�้ จอ้ งนะ
ตรงน้ันตรงทที่ ่านอาจารย์น้อยไปทำ� พระนอนไว้นัน่
แต่ท่านไปแล้ว ท่านไม่ไปอยู่ที่ถ้�ำจ้อง เพราะว่ามันยังไม่สงบพอ เขาก็ไม่อนุญาตให้ข้ึนไปอยู่
ในถ้�ำต่างๆ ข้างบน เพราะมันเรื่องเกี่ยวกับสหงสหายอะไรยังอยู่นะสมัยนั้น คอมมิวนิสต์ยังอยู่ภูสิงห์
ทา่ นก็เลยไมส่ ะดวก เจา้ หน้าที่กไ็ ม่ใหไ้ ป ทา่ นไม่ใหไ้ ปทางน้ัน
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ พระทีอ่ ย่จู �ำพรรษาที่ภูทอกก็มีหลวงป่จู วน หลวงป่บู ญุ เพ็ง แล้วก็ หลวงปู่
บญุ พนิ อาจารยเ์ ฉลมิ ที่เปน็ ลกู ศิษย์ทา่ น สึกไปแลว้ หลวงพ่อไม้ เณรก็มี เณรมนตรี เจา้ คณุ มนตรี
อยู่ทีว่ ัดบวรฯ ทุกวนั น้ี แลว้ กเ็ ณรลูกศิษยห์ ลวงปสู่ ิงหท์ อง จ�ำชอ่ื เขาไม่ได้ รวมพระ ๕ องค์ เณร ๒ องค์
ส่วนอาตมาไปจำ� พรรษาอยู่ภวู ัว
ในปีน้ีหลวงปู่จวนทา่ นกบ็ รู ณะสะพานชนั้ ๕ แต่ก่อนมี ๒ แผน่ ไปมาล�ำบาก ท่านกเ็ ลยขยาย
ใหก้ วา้ ง ใหไ้ ปมาง่ายๆ ยกระดบั ให้เสมอกัน พอออกพรรษาแลว้ เราก็กลับมาอย่กู บั ทา่ น มาช่วยทา่ น
แล้วก็ไดม้ าชว่ ยดูแลระบบสาธารณปู โภคตา่ งๆ ระบบประปาในวดั เครอ่ื งสูบน�้ำ เครอื่ งอะไรต่างๆ นี่
แต่ก่อนภูทอกไม่มีไฟฟ้านะ เก่ียวกับญาติโยมมา บางทีห้องน้�ำไม่พอก็ท�ำเพิ่มเติม พวกอะไรต่างๆ
ไมม่ ีทเ่ี กบ็ พอญาตโิ ยมไปถวายกห็ นกู ัดหมด เลยท�ำตเู้ กบ็ ของให้ เพราะพน้ื ฐานเรากเ็ ปน็ ช่างอย่แู ลว้
กเ็ ลยไดท้ �ำถวายท่าน
ไฟฟ้าเข้าวดั ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ หลังเสร็จงานพระราชทานเพลงิ ศพหลวงปู่จวน เปน็ ปีท่พี ระราชนิ ี
เสด็จไปภูทอก ทา่ นไปแล้วก็พระราชทานรูปเหมอื นหลวงปจู่ วน ๒ องค์ แลว้ ทา่ นก็เสดจ็ กลับ แต่ทาง
ไฟฟา้ ก็เอาไฟเขา้ ไป เขากเ็ ลยเรง่ ใหม้ ันทนั งานเสดจ็ เราก็เลยรบั อานิสงส์”

259

ท่านสอนงานภายในส�ำคัญกว่างานภายนอก

ท่านพระอาจารย์เตมิ ศักด์ิ ยตุ ฺตติธมโฺ ม ไดเ้ มตตาเลา่ เรื่องน้ีไว้ดังนี้
“หลวงปู่จวนทา่ นให้เรง่ ความพากความเพียรมาก งานภายนอก งานอาศยั ปัจจยั ๔ นี่ ท่าน
ให้ท�ำเท่าที่จ�ำเป็น ทา่ นว่าอย่าไปถอื ความส�ำคญั มาก งานภายใน งานจิตตภาวนาส�ำคญั กวา่ ขอ้ วตั ร
ปดั กวาดเช็ดถู ไหวพ้ ระสวดมนต์ นงั่ สมาธภิ าวนานสี่ �ำคัญ
ทา่ นเนน้ ใหอ้ ดนอน คือทา่ นใหอ้ บุ าย คอื ว่าทา่ นเอาตวั เองเปน็ ตวั อยา่ ง ทา่ นเลิศดา้ นอดนอน
ท่านมอี ุบายของทา่ น คือทา่ นก็พดู ปฏปิ ทาของท่านให้ฟงั นะ “เออ่ ! เราเป็นผปู้ ฏบิ ัตติ าม เราต้อง
รีบเอารีบตัก มาอยูก่ บั ครูบาอาจารย์ เราตอ้ งรบี ศกึ ษา รีบศกึ ษาใหเ้ ขา้ ใจแลว้ นำ� ไปปฏบิ ัติ อย่าให้
มนั ช้าหรืออยา่ ให้เกอ้ เขนิ ถ้าเรามาอยูก่ บั ครบู าอาจารย์แลว้ ไมไ่ ด้อะไรเลยกไ็ มค่ ุม้ ไมม่ ปี ระโยชน์
อะไรเลย เสยี เวลานะ” เราอย่ตู อ้ งให้ได้นะ ไดธ้ รรมะกับทา่ น ได้ปฏิปทากบั ทา่ น เป็นอยา่ งนนั้ “ถ้า
คนมาอยู่แล้ว อยูร่ อ้ ยปกี ไ็ ม่ไดอ้ ะไร จะไปอยู่กบั พระพุทธเจ้ากไ็ ม่ได้อะไร ถา้ ไมท่ ำ� ” ท่านพูดอย่างน้ี
หน้าแล้งท่านให้ไปวิเวกภาวนา อยู่ในพรรษาท่านให้ขึ้นไปวิเวกภาวนาข้างบน อยู่ข้างล่าง
มันทบึ มันอากาศไม่ค่อยดี เป็นไข้กนั ทา่ นกท็ �ำสะพานเพอ่ื ให้พระเณรไปวิเวกภาวนาเทา่ นน้ั เอง ท่าน
สนับสนุนเรอื่ งภาวนานะ เพราะวา่ ทา่ นไดเ้ หน็ โทษในการเวียนวา่ ยตายเกิดนะ เพราะวา่ การเวยี นวา่ ย
ตายเกดิ มันเป็นทุกข์ ท่านว่า ไมม่ สี ้นิ สดุ ท�ำไงให้สบายก็ต้องตั้งหน้าตงั้ ตาประพฤติปฏิบัติให้เหน็ โทษ
ในการเวียนว่ายตายเกดิ ถา้ เราไมภ่ าวนาจะเหน็ ไดไ้ ง ท่านวา่ ”
ท่านพระอาจารย์พวน ชตุ นิ ฺธโร ได้เมตตาเล่าเรอ่ื งน้ไี วด้ งั นี้
“การถือธุดงควัตร อนั น้ีทา่ นก็แลว้ แต่ใครจะถอื ถา้ ในพรรษานะ ในพรรษาแล้วแตใ่ ครจะถอื
ธดุ งค์ ในพรรษาก็ไม่ทุกองค์ แลว้ แตใ่ ครจะสะดวก ท่านไมไ่ ดบ้ ังคับ แตท่ า่ นเนน้ เนน้ การปฏบิ ตั ิ ใหเ้ ร่ง
ท�ำความเพยี ร อันน้ีท่านเน้นมากๆ”

ท่านสอนให้ปฏิบัติตามปฏิปทาของพระพุทธเจ้า แน่นอนไม่ต้องสงสัย

ท่านพระอาจารยเ์ ตมิ ศกั ด์ิ ยตุ ตฺ ตธิ มฺโม ได้เมตตาเล่าเรอ่ื งนไี้ วด้ งั นี้
“เรอื่ งมรรคผลนพิ พานของหลวงปจู่ วนเอง ท่านไม่เลา่ แตว่ า่ เรอ่ื งปฏบิ ตั ทิ า่ นเล่า ทา่ นมแี ต่คุย
เรอ่ื งปฏบิ ตั ิ เรื่องมรรคผลได้ขน้ั นั้นขน้ั น้ี ท่านไมไ่ ด้พูดให้ฟัง ท่านวา่ “ขอให้ปฏบิ ตั ติ ามปฏิปทาของ
พระพุทธเจ้า แน่นอนไม่ต้องสงสยั ” คอื เราขึน้ บันไดกข็ นึ้ ทลี ะข้ัน เราไมก่ ระโดดขน้ึ มากหรอก ถา้ ข้นึ
ตามขั้นถึงแน่นอน หลกั มชั ฌิมาปฏิปทา ท่านช้ีมาตรงน้ี กรรมฐาน ๕ มที ุกคน อย่าทิง้ ตรงน้ี ท่านเน้น
ย้ำ� ตรงนี้

260

ขอให้มกี รรมฐาน ๕ ทใี่ จ ท้งั ปฏิปทาและเคร่ืองด�ำเนนิ มีอยู่ หลวงป่จู วนท่านชี้ชอ่ งทางไวห้ มด
แล้ว เราจะมาปฏิบัติหรือไม่เท่านั้นเอง ถ้าปฏิบัติแล้วถึงแน่นอน อย่าไปสงสัย ท่านบอก “อย่าไป
สงสัยมรรคผลนิพพาน มแี น่นอน มนั ไมม่ ีสำ� หรับคนไมป่ ฏบิ ัติ” ท่านวา่ “ผปู้ ฏบิ ัติมี” เหมือนหลวงปู่
มหาบวั ท่านบอก พรุ่งน้ีมไี หม ? เม่อื วานนมี้ ีไหม ? ทา่ นไมไ่ ดถ้ ามไกล ท่านถามใกล้ๆ หลวงปจู่ วนเทศน์
จะเนน้ หนักตรงน้ี คอื ท่านเน้นในปัจจบุ ัน อยา่ ไปหวังเอาผล ทา่ นบอก “ถ้าปฏิบัตถิ ูกตอ้ งตามหลัก
ธรรมหลกั วนิ ยั แลว้ ผลมีแน่นอน”

หลวงปู่จวนท่านไม่เลา่ มรรคผลใหอ้ าตมาฟัง ท่านไมเ่ ปดิ ให้ แต่ถ้าพูดถึงเรือ่ งมรรคผลนพิ พาน
“ปฏบิ ตั ิตามปฏิปทาองคศ์ าสดาแล้วไม่ตอ้ งสงสัย ไมต่ อ้ งสงสยั ” ท่านย้�ำเหลือเกิน”

ท่านเน้นธุดงค์ข้อบิณฑบาตเป็นวัตร

ท่านพระอาจารยเ์ ตมิ ศกั ด์ิ ยุตตฺ ติธมฺโม ไดเ้ มตตาเล่าเรอ่ื งนไ้ี วด้ งั นี้
“ท่านเน้นธุดงค์ข้อบิณฑบาตเป็นวัตร คือถ้าฉันก็ต้องบิณฑบาต ถ้าไม่ฉันก็ไม่ต้องบิณฑบาต
ทา่ นวา่ ปณิ ฺฑิยาโลปโภชนํ นิสสฺ าย ปพพฺ ชชฺ า ตตฺถ เต ยาวชวี ํ อสุ สฺ าโห กรณโี ย อตเิ รกลาโภฯ น่นี ะ
น่ีคืออุปัชฌายะท่านสอนว่า เมื่อบวชเข้ามาแล้วต้องบิณฑบาตเล้ียงชีพด้วยล�ำแข้ง ของถือด้วยบาตร
ใบนี้”

เหตุการณ์หน้าแล้งต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๗ แม่ชีบุญมีตกหน้าผา

ท่านพระอาจารย์เติมศกั ดิ์ ยตุ ฺตตธิ มฺโม ไดเ้ มตตาเล่าเรอื่ งน้ไี วด้ งั นี้
“หลวงปจู่ วนทา่ นขยายสะพานช้นั ๔ แม่ชเี ขาอยากจะท�ำ พอแม่ชจี ะท�ำ ทา่ นก็อนญุ าตให้ทำ�
ให้ไปเจาะสะพาน พอไปเจาะได้วันหนึ่ง หรือ ๒ วันประมาณน้ี อาตมาก็ท�ำงานอยู่ข้างล่างกับเณร
พอชว่ งบา่ ยๆ เสียงรอ้ งไห้ เสียงอุ้ย ! แมช่ ีบญุ มตี กหนา้ ผา ไปเจาะหิน โอ ! รอ้ งห่มรอ้ งไหก้ นั ลงมา
อาตมากน็ กึ ในใจ “โฮ้ ! ตาย ถ้าตกจะรอดหรือไมก่ เ็ ลยนกึ ถงึ โอย้ ! คงรอดยาก” อาตมากร็ ีบหยุดท�ำงาน
แล้วขน้ึ ไปชว่ ย ไปกก็ ว่าจะเขา้ ไปถงึ ไม่ใช่เรื่องงา่ ยๆ คนเจาะสะพานอยขู่ ้างบนตกลงมาต้ัง ๒๕ เมตร
ชัน้ ๔ น่ีเขาไปเจาะด้วยกนั ๓ คน แม่ชี ๒ คนอยู่ท้งั สองขา้ ง ไอ้คนที่ตกนนั่ น่ะอยตู่ รงกลาง
ไมต้ ะเคยี นมันหกั มันกรอบใช่ไหม มันหกั พรวดปุบ๊ กต็ กเลย น่คี วามรอบคอบเขาน้อย เขาไมไ่ ด้ผกู เอวไว้
คือสมัยก่อนประมาทกันอย่างว่า คือมันหัก แกก็จับเชือกไม่ทัน แม่ชีชมนี่กับแม่ชีสงวนจับเชือกทัน
แล้วแม่ชีบุญมีตกก็ล้มทั้งหงายเลย น่ังไม้เจาะหินอยู่ตรงกลางนะ ล้มทั้งหงายก็จับเชือกไม่ทัน หัวน่ี
ไปโดนกิ่งไมข้ า้ งล่างหวั แตก แลว้ กห็ ลงั นี่ เพราะแรงสูงน่ีไปกระแทกกับเนินดนิ กระดูกสนั หลงั ร้าวตั้ง
๔ เปลาะ กระดกู ไหปลารา้ ไปโดนกิง่ ไม้ก็หกั กส็ ลบไปเลยนะ

261

เขาก็ไปรายงานหลวงปู่จวนว่า “โอ้ย ! แม่ชีบุญมีตก ไม่รู้จะเป็นหรือตาย ตกไปเงียบเลย”
ก็เลยเข้าไปบอก พอหลวงปู่ก็เลยลงมา ท่านก็เพ่งเมตตาให้นะ สักพักหนึ่งเขาก็ฟื้น เพ่งจากสะพาน
ขา้ งบนทีส่ ะพานหกั ทา่ นไมไ่ ดล้ งมาข้างล่าง

เอ้า ! คนอย่ขู า้ งลา่ งจะมาไดย้ งั ไง เพราะตงั้ ๒๕ เมตรกวา่ พอแม่ชีบุญมีไม่ตายกร็ ีบไปช่วย
กว่าคนอื่น กวา่ แมช่ ีจะวง่ิ ลงมาขา้ งลา่ ง กวา่ จะวิ่งเขา้ ไปช่วยกต็ อ้ งบกุ ปา่ เขา้ ไป “โอ้ย ! กว่าจะมาถงึ
โอ้ ! ไม่ทนั การณล์ ะ่ หลวงป่”ู หลวงป่จู วนบอกว่า “ให้พ่อตู้เพ็งลงตามเชอื กนี้เอาน้�ำไปให้แกกนิ ”
ท่านสั่งให้รูดเชือกเอากาน้�ำลงไปให้แกกิน พอให้แกกิน แกก็พอฟื้นมาแกก็ร้องสิ ร้องอยากน้�ำนั่น
อาจจะวา่ เอาน�้ำให้กนิ กพ็ ลังเมตตาของหลวงปูจ่ วน พอฟนื้ ข้ึนมาเขาบอกเขาเจ็บ เจบ็ ๆๆ เนีย่ เจบ็ เอว
เพราะแรงกระแทก

เหตุการณน์ ีเ้ กิดหนา้ แลง้ ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ยังไม่เขา้ พรรษา เสรจ็ แลว้ เขาก็ช่วยกันหามออกมา
เรากไ็ มไ่ ดเ้ ซฟต้ีอะไร การหามยกอะไรกนั กค็ อื กระดูกสันหลงั มนั รา้ ว กย็ งิ่ เจบ็ หนกั ละ่ สิ เขาเอาลงมา
ขา้ งลา่ งชว่ ยกนั เขาก็หามออกมาพยาบาลกันท่ีกุฏิ เผอิญคุณอาปไุ ร ณ บางชา้ ง ภรรยาอธิบดเี อบิ
ณ บางชา้ ง นี่แกไปศรทั ธาหลวงปจู่ วนกเ็ ลยข้นึ ไปดู แกกด็ มู ีความรู้ดา้ นหมอพยาบาลอยบู่ ้าง “โอ !
ท่านอาจารย์ไม่ไหวนะอย่างน้ี ตกจากสูงอย่างน้ี เขาก็เจ็บมาก สงสัยเป็นอะไรก็ไม่รู้ ต้องเอาไป
หนองคายใหไ้ ด้ แต่จะมารกั ษากนั อยา่ งนี้ ไปยา่ งกันอย่างน้ีไมไ่ หว เผอ่ื เป็นอะไร กระดกู หักกระดูกเหิก
เขาก็เจ็บมาก เจบ็ เอวตรงน้ี เอาไปหนองคายเถอะ ไปโรงพยาบาลใหไ้ ด”้ โอย ! กวา่ จะหารถได้ เพราะ
กันดาร แล้วทางก็เป็นทราย กวา่ จะไดก้ ็ ไขก้ ็ มรณภยั ก็...

วิง่ มาทีอ่ �ำเภอศรวี ิไล มาหาเถ้าแกเ่ ลิศ เถา้ แกเ่ ลศิ มีปิคอพั คนั เดยี ว กเ็ ลยเอารถปิคอัพเขา้ ไปเอา
กวา่ จะไปถงึ โห ! ชว่ งบา่ ยมันตก ไปยังไงก็ถงึ ค�่ำ พอค�ำ่ ก็ แกก็วิง่ จากวดั เน่ีย กใ็ หห้ ลวงป่นู ่ังข้างหนา้
เขานั่งข้างหลังนะ คุณอาปุไรก็น่ังข้างหลังกับคนไข้ ก็เอามาทุลักทุเลมาถึงหนองคายไปโรงพยาบาล
กเ็ ผอิญเถ้าแก่กมิ กา่ ย เอา้ ! รู้จกั หลวงปู่อกี แลว้ ก็สมยั ก่อนไมม่ โี ทรศพั ท์ เขาไปถึงแลว้ เขาไปบอก
คุณกิมกา่ ยนะ่ ว่าให้ช่วยจดั การดแู ลหนอ่ ย คณุ กิมก่ายก็รับเป็นภาระก็ไปบอกโรงพยาบาล นางพยาบาล
เขากอ็ �ำนวยความสะดวก แต่วา่ เขาวา่ เคร่ืองไมเ้ คร่อื งมอื ไมม่ ที น่ี ี่ เอกซเรย์ก็ไมท่ ันสมยั แตก่ ่อนไมม่ มี าก
ต้องเขา้ กรุงเทพฯ

อย่างนั้นก็คุณอาปุไรก็ติดตอ่ ทางโนน้ เลย ทางอธบิ ดีกรมอนามัย นายแพทยเ์ อบิ ณ บางชา้ งนะ
เขาก็โทรหากัน อย่างง้ันก็เอามาเลย ก็เลยท่านให้เอาข้ึนรถไฟมาเลยนะ พอวันหลังก็ย้ายจาก
โรงพยาบาลทีห่ นองคาย เขาเลยเอาข้นึ รถไฟ คนไขเ้ ขาให้นอน เพราะวา่ เจบ็ แตก เจบ็ มากขยับไม่ได้
ก็เอาขนึ้ ทางหน้าต่างเลยนะ ยกเตยี งขึน้ หน้าต่างเลย เพราะว่าเปิดประตูไม่ได้

แม่ชีบญุ มีตอนตกเขาอายุประมาณ ๒๓ เพราะเกิดปเี ดยี วกับอาตมานี่ ก�ำลังแขง็ แรง เสรจ็ แลว้
เขากเ็ อาขึ้นรถไฟมา คณุ อาปุไรก็มาดว้ ย แลว้ ก็ฝากฝงั กนั เขา้ โรงพยาบาลศริ ิราชเลย แลว้ ก็มารกั ษา

262

หมอกไ็ มไ่ ด้ถามวา่ เปน็ ไร ท�ำอะไร เขาไม่ถามว่าตกทส่ี งู ทีต่ ่�ำ เขากไ็ ม่ถามนะ เขาไปเอกซเรย์ดู โอโ้ ห !
กระดูกสันหลังรา้ ว ๔ เปลาะ หวั แตกไม่เปน็ ไร เพราะมันแตกนดิ หนอ่ ย ต้องใหน้ อนอยา่ งเดียว นอนนิ่ง
นอนแลว้ เอาดึง ตามหลักคือเอาอะไรขึงคอใหก้ ระดกู สนั หลงั มันยดื นะ ไมใ่ หม้ นั ติดกนั แลว้ กเ็ อาเหลก็
ถว่ งขาไว้ ให้นอนนิง่ ๆ เฉยๆ ๑ เดอื น แกจะอึจะถา่ ยก็นอนอึนอนถา่ ย ข้าวก็ปอ้ นเอา ก็มีแม่ชคี นหนึ่ง
ไปดูแล พอครบ ๑ เดอื น หมอกใ็ ห้ลุกน่งั ใหข้ ยบั ตามวธิ ีการรกั ษาของแพทยห์ มอเขาล่ะ

พอหลวงปจู่ วนไปอยทู่ างโนน้ สกั พกั หนงึ่ กม็ อบใหค้ ณุ อาปไุ ร ณ บางชา้ ง ดแู ล ทงั้ อาหารการกนิ
ดูแลทุกอย่างทีเ่ ก่ียวกับพยาบาล เพราะเขาเปน็ ภรรยาอธิบดี มนั งา่ ยอย่แู ล้ว กเ็ ลยได้รับความสะดวก
จากบารมหี ลวงปู่ แลว้ ก็ดูแลจนเสร็จ แมช่ บี ุญมีก็อยอู่ ยา่ งนน้ั ประมาณสกั ๒ เดือน กวา่ จะได้ขึน้ มา
กห็ าย ต้องหายเปน็ ระยะ เส้นทางตรงนั้นพอจะท�ำงาน ใน ๑ ปไี ม่ใหท้ �ำงานหนัก ภายใน ๖ เดือน
ต้องดามขา้ งหลัง เว้นไว้แต่นอน เขากด็ ีเลย เขากย็ งั แข็งแรง คอื พอแกหายดีก็มาจ�ำพรรษาดว้ ยกันที่
ภูทอก ตอนนี้แม่ชีสกึ ไปแลว้ แกยงั มีชวี ติ อยู่

เร่ืองแม่ชีตกเขานี้ก็โดนวิจารณ์ไปทางลบและทางบวก ทางลบก็คือญาติพ่ีน้องเขาไม่พอใจว่า
ตกแล้วท�ำไมไม่ชดเชยค่าเสียหายอะไรท�ำนองนี้ แต่เขาก็ไปพูดไปบ่นกันข้างนอก แต่ไม่กล้ามาหา
หลวงปู่หรอก หลวงปู่ก็ดูแลจนเขาหาย ค่ารักษาพยาบาลอะไรต่างๆ ค่าใช้จ่ายด�ำเนินการทุกอย่าง
หลวงปู่กร็ ับผดิ ชอบหมดน่ะ อันนก้ี ็ส่วนดนี ะ เขารอดชีวติ มาได้นะ ปลอดภยั หลวงปู่ท่านกเ็ ปน็ หลวงปู่
ท่านก็ดูแลจนจบนะ

คณุ แมช่ ที ่ตี กเขาเป็นคนบา้ นดงเกษม ตำ� บลนาแสง อำ� เภอศรวี ไิ ล จงั หวัดบึงกาฬ ทางเข้าภูทอก
น่แี หละ ในหมู่บ้านเขามแี ต่วงศ์ญาตนิ ดิ ๆ หนอ่ ยๆ ท่วี ิจารณ์ แต่ส่วนมากก็ไม่มีอะไรนะ ความศรัทธา
ในการมาทำ� ก็ยงั เขม้ ขน้ เหมือนเดมิ ๆ แตห่ ลวงปู่ไมใ่ ห้ผู้หญงิ ท�ำเทา่ นั้นเอง คอื ผู้หญิงไมร่ อบคอบ ทา่ นก็
ใหห้ ยุด ให้แตพ่ ระและโยมผชู้ ายไปท�ำ”

ท่านเตือนแม่ชีที่ตกเขา สึกออกไปได้ผัวขี้เหล้า

ท่านพระอาจารยเ์ ตมิ ศักด์ิ ยตุ ตฺ ตธิ มโฺ ม ได้เมตตาเลา่ เรอ่ื งน้ีไว้ดังนี้
“แม่ชีบุญมีที่ตกเขานั่นนะ กระแสจิตหลวงปู่จวนมาช่วย คือหลักเมตตาธรรมน้ันเอง คนเรา
ไมถ่ ึงทตี่ าย มันก็มีกรรมดมี าชว่ ย เพราะเขาก็สรา้ งสง่ิ ทีด่ ี คอื เขาทำ� มาเพ่ือเปน็ บญุ เปน็ กุศล จรงิ ๆ
อายขุ ัยเขายังช่วยอยู่ กเ็ ขายังไมถ่ ึงที่ บญุ บารมีของหลวงปแู่ ผเ่ มตตาธรรมมาชว่ ย แล้วมนั กห็ ลายอยา่ ง
เข้ามาผสมผสานประดังประเดเข้ามา ก็ท�ำให้ทางนี้รอดชีวิตมาอยา่ งปาฏิหาริยไ์ มน่ า่ รอด
พอแม่ชแี กหายดแี ลว้ แกก็มาจ�ำพรรษาด้วยกนั เพราะอาตมากอ็ ยทู่ ่ีภูทอก นกี่ ็ถอื วา่ กรรมเขาดี
มนั ยังมีอยู่ แตก่ รรมไม่ดคี ือบบี ค้ันเขา คอื ให้สกึ ไป หลวงปู่จวนว่า “โอย้ ! มันจะไปสึกท�ำไม สึกไปกไ็ ด้
ผัวข้ีเหล้าละ่ นะทนี ”้ี

263

เออ ! จริงๆ นะ ปรากฏวา่ ท่านทกั ล่วงหนา้ ด้วย แตแ่ ม่ชีก็ยังสึกอยู่ สึกไปนะ มันก็ได้ผัวข้เี หลา้
ละ่ ทีนี้ ก็ได้จรงิ ๆ น่ะ ไปก็ไปสกึ ไปก็อยู่กบั ฆราวาส เขาก็ละนสิ ยั นะ ก็นานอยู่ รูส้ กึ เปน็ ปีเหมอื นกนั
สึกไป ๒ ปี เขาก็ได้ผัว ได้ผัวก็ว่าเบื้องต้นก็ว่าดีนั่นแหละ นานไปก็แก่วัด สิ่งไม่ดีมันออกมา มันก็
ความคุ้นเคยและเคยชนิ มนั ออกมา มนั ก็หน่าย แล้วมันก็กินแตเ่ หล้า งานการไม่คอ่ ยจะท�ำ แกกท็ �ำ
ฝ่ายเดียวละ่ ทนี ี”้

ปรจิตตวิชา – ดูแม่ชีมานอนกุฏิพระ

ทา่ นพระอาจารย์เติมศักด์ิ ยุตตฺ ติธมฺโม ไดเ้ มตตาเลา่ เรือ่ งนไี้ ว้ดังนี้
“หลวงปู่จวนท่านแสดงปรจติ ตวชิ า เรดาร์ทา่ นก็ดอี ยแู่ ลว้ หลวงปู่ ไม่ตอ้ งบอกอะไรทา่ นเลยนะ
คดิ เรื่องอะไรๆ คดิ เรือ่ งนอกลู่นอกทาง นท่ี า่ นก็เตือนนะ แต่เราก็อยูใ่ นกรอบของสมณะ แตเ่ ราบางคร้ัง
บางทมี ันกพ็ ล้งั เผลอคนหนุ่ม บางครั้งบางทีพวกแมช่ ชี อบไปนอนกุฏอิ าตมานะ เพราะกฏุ ิอยู่ชั้น ๕ นะ
เราจะบอกฟอ้ งก็จะหาวา่ เราจะฟ้อง เราก็ไม่ไปนอนดกี ว่านะ หนีไปนอนชัน้ ๖ เพราะแมช่ ีขนึ้ ไปภาวนา
แล้วเราไปภาวนาอยชู่ น้ั ๖ เหน็ วา่ เราไม่มากุฏิ ไปยดึ พ้นื ทีซ่ ะเลยทนี ่ี เขาก็ไปอยกู่ ันเยอะๆ ละ่ นะ
เพราะทโี่ นน้ ไม่มีกุฏิ พทุ ธวิหารขา้ งนอกนะ มนั กว้างเย็นดีใช่ไหม ? เขากน็ ่ังสมาธภิ าวนาอยู่นนั้ เหน็ วา่
พระไม่อยู่ ยึดเอาพ้นื ทเ่ี ลย บางทีเราก็ปวดทอ้ งจะมาฉนั ยานะ ตาย ! นอนเตม็ เพยี บอยู่น้ี กต็ ้อง
ปลกุ เขาตน่ื ! ตื่น ! เราจะฉันยา เราปวดท้อง
หลวงปู่จวนท่านก็เลยเตอื นแม่ชีว่า “เออ ! แมช่ ี ท�ำไมไปนอนกฏุ ิพระละ่ ? ทพ่ี ทุ ธวิหารมัน
ไม่เหมาะนะอยา่ งงัน้ อยา่ งง้ี เวลากลางค่�ำกลางคืนทา่ นจะมาไม่สะดวก” แต่เราไม่ได้ฟอ้ งนะ ทา่ นเตอื น
แมช่ เี อง โอย๊ ! แม่ชีสาวๆ ทั้งนน้ั แหละ ท่านจะไปดอู ะไร เรดาร์จบั เอาเลย ก็คอื ถา้ อยู่ในวัด ท่านจะรู้
หมดเลย ถา้ คนเข้าใจนะ ท่านดู ท่านจับของทา่ นได้”

ท่านดูแลแม่ชีเหมือนลูก

ท่านพระอาจารย์สอน ชีวสุทโฺ ธ ไดเ้ มตตาเลา่ เรือ่ งนไ้ี ว้ดงั น้ี
“แมช่ ีมาอย่กู บั หลวงปู่จวนมี ๑๐ กวา่ คน ส่วนมากมีแตแ่ ม่ชีรุน่ ๆ นะอยู่กบั ท่าน แต่ว่าหลังจาก
ท่หี ลวงปจู่ วนเสียแล้ว พวกนี้ก็สึกหาลาเพศไป เพราะว่าตอนอย่กู บั ท่าน เหมอื นทา่ นจะดูแลเหมอื นลกู
ท่านจะมาดูแล เดินดูหมดเลยว่า แม่ชีอยู่อย่างไร ไปอย่างไร มีความปลอดภัย มีอะไรไหมอย่างนี้
ท่านดูแลหมด แตท่ า่ นพูดน้ี แบบวา่ กระโชกโฮกฮากน่ี แตเ่ ขาก็ไมห่ ลกี หนีนะ เขากไ็ มไ่ ดถ้ อื นะ ทา่ นพูด
ยอดธรรม พดู เกี่ยวกบั อวยั วะเพศ พูดแบบวา่ อยู้ ! ฟังไม่ได้เลยล่ะ แต่ถอื เปน็ ธรรมะ การเคล่ือนไหว
ไปมานท้ี ่านจะเน้น

264

แมช่ รี ่นุ ๆ ก็ไมอ่ าย เขาก็ไมม่ นี ะ เออกแ็ ปลก มแี ตร่ ุน่ ๆ ล่ะอย่กู บั ท่านนะ่ หลวงปจู่ วนทา่ นพดู
ตรงๆ ท่านใส่เลย ใส่เปร้ียง แต่ว่าเวลาท่านช่วยเหลืออะไร ก็คงจะมีท่ีเขาประทับใจ เขาลืมไม่ได้นะ
พอท่านมรณภาพปุ๊บน่ี สึกไปมาก ไปอยู่แถวบ้านข่าท่ีหลวงปู่ต้ือน่ะ เคยไปได้ยินเขาว่าวัดบ้านข่านี้
ศรทั ธาดีมาก หลวงพอ่ ก็เลยไปลองดูนะ ไปบณิ ฑบาตดู โอ้ ! คนเยอะจรงิ ๆ แล้วกไ็ ปเห็นแมช่ ที เ่ี ขาสกึ ไป
ก็เลยวา่ “เมือ่ ก่อนก็บวชอยกู่ บั หลวงปู่จวน อา้ ว ! สึกท�ำไมละ่ ?” “โอย๊ ! ไมม่ ที ี่พ่งึ ท่าน พ่อแม่ครบู า–
อาจารยเ์ สยี ไปแล้วกว็ า้ เหว่ ตอนอยู่กับทา่ นนน้ั อบอุ่น” มนั อบอุ่น พอเขาพูดน่ะ กเ็ ลยโอ๋ ! ธรรมดา
แมช่ ไี ปอยวู่ ัดนี้จะยากมากเลย หลวงปู่เปน็ ทพ่ี ่ึงของเขานนั่ แหละ”

พ.ศ. ๒๕๑๗ รับนิมนต์หลวงปู่เจ๊ียะไปท�ำบุญฉลองพระอุโบสถวัดเขาแก้ว

ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฺ  ตามปกติแลว้ ทา่ นจะรับนมิ นตง์ านที่ส�ำคญั และจ�ำเป็นเทา่ นั้น
โดยเฉพาะงานของครูบาอาจารย์องค์ส�ำคัญ ครั้งหนึ่งท่านรับนิมนต์งานฉลองพระอุโบสถของหลวงปู่
เจยี๊ ะ จุนโฺ ท ทจ่ี งั หวัดจนั ทบุรี เพราะทา่ นพระอาจารยจ์ วนมคี วามเคารพและมคี วามสัมพันธส์ นทิ สนม
คุ้นเคยกับหลวงป่เู จ๊ียะ โดยประวตั ิหลวงปูเ่ จ๊ยี ะไดบ้ นั ทึกไวด้ ังน้ี

“ท่านพระอาจารย์เจ๊ียะ ท่านปฏิบัติพัฒนาวัดเขาแก้วจนเจริญรุ่งเรือง โดยสร้างเสนาสนะ
ในวัดเขาแกว้ บรบิ ูรณ์ทกุ อย่าง ในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ท่านจึงจดั งานท�ำบุญฉลองพระอุโบสถ โดยกราบ
อาราธนานมิ นตห์ ลวงป่ตู ื้อ อจลธมโฺ ม มาเปน็ ประธาน และพระกรรมฐานทัง้ หลายกม็ าร่วมงานนน้ั
เป็นจ�ำนวนมาก เช่น หลวงป่ชู อบ านสโม หลวงปู่หลยุ จนทฺ สาโร ทา่ นพระอาจารยว์ นั อุตฺตโม
ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฺ  ทา่ นพระอาจารยส์ ิงหท์ อง ธมฺมวโร ฯลฯ”

ก่อนเข้าพรรษา หลวงปู่จวนพาพระกราบคารวะหลวงปู่ขาว

ท่านพระอาจารยเ์ ตมิ ศกั ดิ์ ยตุ ฺตติธมโฺ ม ได้เมตตาเล่าเร่อื งนไี้ วด้ งั น้ี
“แต่กอ่ นคือหลวงปจู่ วนทา่ นไม่พาไปในพรรษานะ กอ่ นเข้าพรรษาทา่ นจะพาไป คือสมัยก่อน
มันทางคมนาคมไม่สะดวก แต่ทุกวันน้ีเขาก็ไปในพรรษา แต่ก่อนไม่มี ก่อนเข้าพรรษาไปคารวะแล้ว
ก็จบ ท่านก็จะนิมนต์ให้หลวงปู่ขาวเทศน์ให้ฟัง หลวงปู่ขาวท่านเทศน์เรื่องวงกรรมฐานไปถึงข้อวัตร
ปฏิบัติให้ลูกศิษย์ฟัง ท่านเคารพพระพุทธเจ้า ทีน้ีท่านว่า เป็นอย่างไรบ้างหลวงปู่เทศน์นานแล้ว
เหนือ่ ยม้ังกน็ มิ นตใ์ ห้ท่านไปพกั ผ่อน เพราะเทศนน์ านมนั เหนื่อย แต่ว่าท่านเทศน์ตดิ ลมโว้ หลวงปกู่ ็เอา
โว้ๆ นะ เทศนไ์ ม่นาน แต่เสยี งทา่ นแรง พอทา่ นเทศนเ์ ข้าได้อารมณ์ โอ้ ! เสียงแรงหลวงปนู่ ะ เทศนก์ ็
ไมถ่ งึ ชัว่ โมง เพราะคนแก่ คนอายุมาก แต่ท่านเทศน์เรมิ่ เสียงดัง คอ่ ยๆ ทีแรก พอได้ทแ่ี ล้วเขม้ ข้นนะ”

265

พ.ศ. ๒๕๑๗ พระเณรที่อยู่ร่วมจ�ำพรรษา

ท่านพระอาจารย์เติมศกั ด์ิ ยุตตฺ ตธิ มโฺ ม ไดเ้ มตตาเล่าเรอื่ งนีไ้ วด้ ังน้ี
“พระจ�ำพรรษาท่ีภทู อก ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ กม็ ี หลวงปจู่ วน หลวงปบู่ ุญเพ็ง อาตมา (ทา่ นพระ
อาจารยเ์ ติมศักด์ิ) แลว้ กท็ ่านสมพงษ์ คนยโสธร และหลวงตาไม้ แล้วกเ็ ทา่ น้ันแหละ พระ ๕ เณร ๕
เณรก็มีเณร เณรมนตรี เณรชมภู เณรแดง เณรพนั ธ์ุ แล้วก็เณรเฉลิม เณรมนตรี ทา่ นมนตรี เจ้าคุณ
มนตรีท่อี ยู่วดั บวรฯ ในปัจจุบนั นี้ อยู่ทีว่ ดั สมเด็จพระญาณสงั วร กห็ ลวงปู่จวนฝากใหต้ ัง้ แตเ่ ปน็ เณร
ไปเรยี นหนังสือที่นั่น”

ปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๗ เจาะภูเขา ท�ำสะพานช้ัน ๖

ท่านพระอาจารย์เตมิ ศักด์ิ ยตุ ฺตติธมฺโม ได้เมตตาเล่าเรือ่ งน้ไี ว้ดังน้ี
“พอปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๗ หลวงปจู่ วนท่านก็ท�ำชน้ั ๖ คอื ท่านปรารภมานานแลว้ วา่ จะท�ำชัน้ ๖
ทา่ นพอท�ำชัน้ ๕ เสรจ็ ทา่ นตั้งใจจะบูรณะสะพานช้ัน ๖ คือจะเจาะภูเขา ทชี่ ั้น ๖ มนั จะชนั มาก แล้ว
ก็ท�ำยากมาก อาตมาก็มีสว่ นตรงนี้ เพอื่ ไดช้ ่วยท่าน เพราะว่าเราได้เป็นคนช่วยหาไม้ ดูแลคนงาน
หาเล่อื ยไม้ เพราะเล่อื ยไม้สมยั ก่อนใช้มือ ไม่ได้ใชเ้ ครอ่ื งจกั รผา่ เหมอื นปัจจบุ ันน้ี เลอ่ื ยมันยาวประมาณ
๒ เมตรกว่า ใช้ ๔ คนตดั ท่ีดึงๆ ยดึ ไปยึดมานั่นนะ
ไมก้ ็เอาไมเ้ นือ้ แข็ง คอื ไม้ตะเคยี น แตว่ า่ ไปแล้วเอามากใ็ ชไ้ ม้พอสมควร ตามนโยบายพอ่ แม–่
ครูบาอาจารย์ ไม้ทีม่ าท�ำสะพานภทู อกเป็นไมบ้ รจิ าค ไปหาขอตามไรต่ ามนาเขา เขาบริจาค เขาให้กเ็ อา
สมัยก่อนนะ มันขอใครก็ได้ ไมม้ นั เยอะ คือไมย้ างน้เี ขาเผาทิ้งเลยนะ เขาไมเ่ สียดายเลย เผาทิ้งนะ
เพราะไมต้ ะเคยี นมนั เยอะ”

พ.ศ. ๒๕๑๘ ร่วมงานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร)

สมเด็จพระมหาวรี วงศ์ (พมิ พ์ ธมมฺ ธโร) วัดพระศรมี หาธาตุ บางเขน กรงุ เทพฯ ทา่ นเป็น
พระผู้ใหญ่ฝ่ายปกครองส�ำคัญรูปหน่ึง เป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งครูบาอาจารย์
วงกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น ให้ความเคารพเทิดทูนอย่างสูง โดยองค์หลวงตาพระมหาบัว
าณสมฺปนโฺ น ให้ความเคารพยกยอ่ งสมเด็จพระมหาวรี วงศ์ เปน็ อาจารย์ฝ่ายปริยตั ิของทา่ น และเป็น
พระยอดนักเสยี สละรปู หนึง่

เมอื่ คราวพระราชทานเพลงิ ศพสมเด็จพระมหาวรี วงศ์ เมอ่ื วนั ที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๘
จึงมีพระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์ม่ันมาร่วมงานคารวะศพกันอย่างคับค่ัง เช่น หลวงปู่
เทสก์ เทสฺรํสี หลวงตาพระมหาบัว าณสมฺปนฺโน ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ท่านพระ
อาจารย์สิงหท์ อง ธมฺมวโร ทา่ นพระอาจารยท์ องพูล สิรกิ าโม ฯลฯ

266

โดยเฉพาะท่านพระอาจารย์จวน ท่านเป็นครูบาอาจารย์อีกองค์หนึ่งที่ได้เดินทางไกลมาร่วม
งานส�ำคัญในคร้ังนี้ เพราะท่านคุ้นกับสมเด็จฯ แม้ท่านจะอยู่ถึงภูทอก อันเป็นถิ่นทุรกันดารห่างจาก
กรุงเทพฯ ถงึ ๘๐๐ กโิ ลเมตร และการเดนิ ทางก็ยากล�ำบาก เพราะสมัยนนั้ ถนนจากอ�ำเภอพงั โคนผ่าน
อ�ำเภอวานรนวิ าส ไปอำ� เภอบงึ กาฬ ยงั เปน็ คันดินไมไ่ ด้ลาดยาง กว่าจะถงึ ภูทอกมแี ต่ฝุ่นดินแดง แต่
ท่านก็ต้งั ใจเดนิ ทางมารว่ มงานโดยรถทวั รโ์ ดยสารประจ�ำทาง

ท่านพระอาจารยเ์ ตมิ ศักด์ิ ยุตฺตติธมโฺ ม ได้เมตตาเล่าความยากล�ำบากในการเดินทางไวด้ ังน้ี
“หลวงปจู่ วนกค็ ณุ กมิ ก่ายส่วนใหญพ่ าไปสง่ พาไปรับ ถา้ เขานมิ นต์ผา่ นคุณกมิ กา่ ย คุณกมิ กา่ ย
เขาใหล้ กู นอ้ งแกมาเอารถมารับมาส่ง พอดโี ยมเลศิ ไปส่ง เพราะหลวงปนู่ ี่ทา่ นกไ็ มไ่ ด้มอี ะไร สมยั ก่อน
ท่านนั่งรถโดยสารไปนะ
ปกติครบู าอาจารย์ท่านไปกจิ นมิ นต์ ท่านก็น่งั รถโดยสารไป ไปถึงทห่ี มาย เขากไ็ ปรอดกั ท่าน
คอื ตา่ งองคต์ า่ งไป เขานมิ นตท์ า่ นมา บางทเี ขากส็ ง่ จดหมาย บางทเี ขากม็ านมิ นตท์ า่ นเอง คอื วนั นนั้ วนั น้ี
เขานิมนต์ไปทำ� บญุ ทโ่ี น่นท่นี ่ี แตเ่ ขาไมม่ ีรถมารบั ปกติตามหมู่บา้ นกม็ ที ีด่ ักข้ึนรถก็มานั่งตรงชาวบ้าน
เขานั่งยังไงก็ไปน่ังรออยูท่ ีน่ น่ั ข้ึนรถโดยสารไปกบั เขา กเ็ ปน็ รถ ๖ ลอ้ อีซูซรุ นุ่ เก่า ครูบาอาจารยก์ ็นง่ั
เบาะหน้าข้างคนขับเท่านั้นเองถือว่าพิเศษ สองแถวหลังแต่ก่อนไม่มีเบาะอย่างน้ี เป็นเบาะไม้ยาว
นั่งรวมเรียงกัน ไปถึงก็ไปค้างที่วัด อย่างท่ีไปท�ำบุญที่อุดรฯ บางทีก็ค้างวัดบ้านจิก บางทีก็วัดโพธิฯ
ไปกไ็ ปรวมกนั ที่พอ่ แมค่ รบู าอาจารยต์ า่ งองค์ต่างไปกไ็ ปพรอ้ มกับลกู ศิษย์ ลกู ศษิ ย์ถอื ปัจจยั ให้ บางที
กม็ ีเณรตามไปดว้ ย แต่ลูกศิษยท์ ไ่ี มข่ าดคือคนถอื ปจั จัย
หลวงปจู่ วนเคยไปสำ� นกั สงฆ์ กม. ๒๗ แต่ไมเ่ คยค้าง เพราะสมยั กอ่ นยงั ไม่มอี ะไรนี่ คือเขาสรา้ ง
ให้หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่ชอบก็ไปอยู่ช่วงหลังเท่านั้นเอง งานส่วนใหญ่นี้คุณหญิงสุรีพันธุ์นิมนต์ท่าน
ไปอยูท่ ่ีบา้ นเรอื นไทย เพราะแต่กอ่ นหลวงป่จู วนท่านก็ไปพักท่ีวัดพระศรฯี กบั สมเดจ็ ฯ (สมเดจ็ พระ–
มหาวีรวงศ์) ทา่ นคนุ้ กบั สมเดจ็ ฯ ดี ท่านพกั ท่นี ี่ ก็ตง้ั แต่คุณหญงิ สรุ ีพันธน์ุ ล่ี ่ะมารจู้ กั กับทา่ น กต็ อนมี
งานศพสมเดจ็ ฯ น่นั แหละ กเ็ กีย่ วข้องกนั มาตลอด
งานพระราชทานเพลงิ ศพสมเดจ็ พระมหาวีรวงศ์ ทีแรกพอ่ แมค่ รูบาอาจารย์ทา่ นจะไปงานศพ
หลวงปจู่ วนท่านก็เลยลงไปดว้ ย ทา่ นน่ังรถโดยสารเขา้ กรุงเทพฯ ปกติทา่ นกไ็ ปกับลกู ศิษย์ เพราะเป็น
คนถอื ปจั จยั ค่าโดยสารและที่ญาติโยมเขาถวาย ช่วงน้ันพอ่ สที ้งั สองไปกบั ทา่ น พอ่ สี อยสู่ ุข อยู่ภูทอก
นี่เป็นโยมติดตาม และกพ็ ่อสี จ�ำนามสกลุ เขาไม่ได้ คนบ้านข่ามาอยทู่ ภ่ี ูทอก แกตายไปแลว้ สเี หมอื นกัน
ตสู้ ี สคี นละสี”

267

พ.ศ. ๒๕๑๘ พระเณรท่ีอยู่จ�ำพรรษา

ท่านพระอาจารยถ์ าวร อนตุ ตฺ โร ได้เมตตาเล่าเร่ืองน้ไี วด้ งั นี้
“ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ มีพระ ๕ – ๖ องคน์ ่ลี ะ่ อยจู่ �ำพรรษากบั หลวงปจู่ วน มี ท่านอาจารยเ์ ฉลิม
ทา่ นอาจารย์ยงค์ ทา่ นอาจารยส์ มควร ครบู าอ�ำนวย สกึ ไปแลว้ ท่านอาจารยพ์ ินจิ ทา่ นอาจารย์
บุญช่วย ส�ำหรบั เณรก็ ๕ – ๖ องคม์ ี เณรแดง เณรตกิ๊ เณรป๊อก (ทา่ นพระอาจารย์ถาวร)
เณรเฉลมิ เณรจอห์นน่ี สึกออกไปก็ตาย และเณรมอ คนบา้ นดอนเสียด เณรใหญ่เหมอื นกนั นะ
แบกทราย แบกไม้ แบกปนู
จรงิ ๆ แต่กอ่ นภูทอก ภูกระแต เณรนม่ี าก อย่างภกู ระแตเณรเป็นร้อย สอบนกั ธรรมทีเป็นร้อย
หลวงปจู่ วนท่านจะให้ไปสอบนกั ธรรม เรยี นนักธรรมตรี นักธรรมโท นกั ธรรมเอก ใหไ้ ปสมคั รสอบ
สอบที่ภกู ระแต วัดหลวงพ่อทองพลู แตไ่ มไ่ ด้ไปเรยี นหนงั สือนะ ใหอ้ า่ นหนังสอื แลว้ กไ็ ปสอบ ช่วงหลังๆ
จะไมค่ ่อยมีเณรแลว้ ทางกระทรวงศกึ ษาฯ มภี าคบังคับใหเ้ รียนหนังสือ ยุคก่อนน้ไี ม่มภี าคบงั คับ เณร
เลยเยอะ ก็อาศยั วา่ ไปอยกู่ ับวัดไดร้ บั การอบรม ได้เรียนหนังสือ หลวงป่จู วนกไ็ มถ่ งึ กับสง่ สมัครสอบ
นกั ธรรม ยุคน้นั ท่านเนน้ ภาวนา ท่านไมไ่ ด้พูดถงึ ปรยิ ตั ิอะไรเลย แลว้ หนงั สือพิมพท์ ่านกไ็ มใ่ หอ้ ่าน”

ห้ามฉันนม โอวัลติน กระเทียม ห้ามดูหนังสือพิมพ์

ท่านพระอาจารย์ถาวร อนุตตฺ โร ไดเ้ มตตาเลา่ เร่อื งนไ้ี วด้ ังน้ี
“หลวงป่จู วนที่ทา่ นหา้ มพระฉันพวกนม พวกโอวลั ตนิ พวกกระเทยี ม พวกอะไรนี่ โดยเฉพาะ
พระหนมุ่ ๆ ท่านห้ามหมดเลย เป็นเรอ่ื งกามราคะ ฉันได้ แต่ทา่ นไม่ให้ฉนั ทภ่ี ูทอกนะ นอกจากทา่ น
ลงมาไม่ให้ฉัน ส่วนมากเขากจ็ ะยอมรบั ท่านห้ามเลย หา้ มเด็ดๆ แม้ทำ� งานหนักๆ ก็หา้ ม หนกั พัก
หนักก็มอี ะไร มีแต่ตม้ เสอื โคร่ง ต้มไอเ้ ถาวัลย์อะไร เครอื ไมพ้ วกยาสมนุ ไพร ก็มีน้�ำตาล แตว่ า่ โกโกน้ กี้ ็
ยังไม่มกี ิน มีอยู่แต่พวกหมากเม่ียงนะ่ ชาก็มีชาตราสามม้า เป็นหอ่ กระดาษนะ แตก่ อ่ นกันดาร แลว้ ก็
ทำ� งานหนักทกุ วัน พวกนมกระป๋องสมัยกอ่ นมันกน็ มตรามะลิ นมตราหมนี ่ี เอามาชงกบั โอวลั ตินนะ่
ทา่ นจะไมใ่ ห้ฉนั หนงั สอื พิมพไ์ ม่ใหอ้ า่ น วิทยโุ อ้ย ! มันไม่มี ทวี ตี ดั เลย พวกนี้ไม่มี ไม่มไี ฟฟ้า ไม่มอี ปุ กรณ์
ไฟฟา้ ”

อดข้าวภาวนา – ไม่บิณฑบาตไม่ฉันข้าว

ท่านพระอาจารยถ์ าวร อนุตฺตโร ไดเ้ มตตาเล่าเรอ่ื งน้ไี วด้ งั นี้
“สมัยกอ่ นพระเณรน่เี ขาจะชอบอดขา้ วกนั ต้องอด อยา่ งมีพระ ๑๐ กว่าองคน์ ะ จะลงมาฉนั
ไม่คอ่ ยครบ คืออดข้าว ๓ วนั ๕ วนั ๗ วัน ๑๕ วนั ก็มี กจ็ ะสับเปลี่ยนกนั ไป อดข้าวคอื ไมล่ งมาฉนั นะ
กต็ อ้ งท�ำงาน แล้วทา่ นฉนั พวกนำ�้ รอ้ น กน็ ้�ำตาลอะไรพวกน้ี คอื ท่ภี ทู อกนี่ หรอื ไมภ่ ทู อก ทีไ่ หนก็

268

เหมือนกนั สมัยกอ่ นนพ่ี ระ ถ้าไมบ่ ณิ ฑบาตนี่ ท่านจะไม่ฉนั ข้าวเลยนะ ไมใ่ หฉ้ นั ข้าวเลย บางทที �ำงาน
เหนื่อยๆ ก็ต่ืนสาย ฝนตก เวลาตืน่ ขน้ึ มาตะวันขึน้ แลว้ ถงึ เวลาออกบณิ ฑบาตแลว้ กว็ ิง่ ลง ทำ� เวลาลง
เดยี๋ วเดยี วถึงเลยนะ”

น้�ำหมากรักษาขี้กลาก

ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฺ  ทา่ นเป็นพระเถระอกี องค์หนง่ึ ที่ชอบฉันหมากพลู ทา่ นเค้ียว
หมากพลูคำ� ตอ่ คำ� คร้งั หนึง่ ทา่ นใช้นำ้� หมากของท่านรกั ษาขก้ี ลากของสามเณร โดยคณุ อ�ำนวย ม่ันยืน
ซึง่ เคยบวชจ�ำพรรษากับท่านพระอาจารย์จวน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ และเคยจับคู่กับทา่ นพระอาจารย์
แยงท�ำสะพานภูทอก เปน็ ผ้ถู า่ ยทอดเหตกุ ารณน์ ไ้ี ว้ดังน้ี

“ท่านพระอาจารย์องค์หนึ่ง สมัยท่านยังเป็นสามเณร ศีรษะท่านเป็นขี้กลาก มีอาการคัน
รักษาอย่างไรก็ไม่หาย เวลาสามเณรเดนิ ไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ยังไม่สดุ หมบู่ ้าน ตอ้ งรบี เดินกลับวดั
เวลาเดินบณิ ฑบาตมีอาการคันศรี ษะ เดนิ ไปก็เกาไป เกาอย่างไรกไ็ มห่ าย พอความทราบถึงท่านพระ
อาจารย์จวน ท่านไดเ้ มตตาสงเคราะห์สามเณรด้วยการพน่ น้�ำหมากแดงๆ ของทา่ น และท่านก็ละเลง
น้�ำหมากของทา่ นทว่ั ศีรษะสามเณร ปรากฏว่า น้�ำหมากของทา่ น ท�ำใหอ้ าการคนั ศรี ษะของสามเณร
ดขี ้ึน ซ่งึ ต่อมาขีก้ ลากของสามเณรก็หายเป็นปกติ สาเหตุส�ำคัญเนื่องมาจากท่านพน่ เสกน�้ำหมากให้
และน้�ำหมากเองก็มีสภาพเป็นกรด มสี รรพคณุ ไปทำ� ลายเช้อื โรคบนหนงั ศรี ษะ”

พ.ศ. ๒๕๑๙ สมเด็จพระญาณสังวร พักภาวนาที่พุทธวิหาร

ท่านพระอาจารย์เติมศักด์ิ ยุตตฺ ติธมโฺ ม ไดเ้ มตตาเล่าเร่อื งน้ีไว้ดังนี้
“เรอ่ื งหอ้ งน้�ำมนั ขาดแคลนอยแู่ ล้ว คอื ปีสร้างสะพานเสร็จนั่นละ่ ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ หนา้ แล้ง
คราวหนงึ่ สมเดจ็ พระญาณสงั วร วดั บวรนิเวศ ขณะยงั ไมไ่ ดร้ ับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสงั ฆราชฯ
ท่านไปพกั ดว้ ยอาทิตย์หน่งึ กไ็ ปพกั กุฏิไม้พทุ ธวหิ าร ท่านก็ขน้ึ ไป ท่านก็ “เอ้อ ! ท่านอาจารย์ (หลวงปู่
จวน) ผมไม่ลงนะ ผมจะฉนั ท่ีนี่ ผมอยากภาวนานะ”
พอสมเดจ็ ฯ ทา่ นขน้ึ ไปแล้วก็ ทา่ นอยากพกั วเิ วกสักอาทติ ย์หนง่ึ ทา่ นกเ็ อารถไปจอดไว้ข้างล่าง
ครบู าทเ่ี คยไปพักอยภู่ ทู อก อากาศดกี ็เลยพาไป จ�ำชื่อท่านไม่ได้ คนวดั บวรฯ น่ันละ่ พาไป ๑ สปั ดาห์
ทีนเี้ วลาสรงน�ำ้ เราก็เอาน้�ำไปถวายท่านท่ีพุทธวหิ ารนั่น เอาน�้ำหามไป นำ�้ มนั อดนะสมยั ก่อน ทา่ นวา่
“ประหยัดน�้ำ เอาแชมพใู ส่ในน�้ำไปเลย” แชมพทู ส่ี รงน้�ำไปด้วย อาบไปด้วย ก็ท�ำถวายตามเจตนาทา่ น
พอท่านอาบเสรจ็ แล้ว เราเอาน�้ำทีไ่ มใ่ สแ่ ชมพูถวายท่านอกี ครั้ง กะละมังหน่งึ นะ ท่านกล็ ้างตวั ท่านเสร็จ
ท่านประหยดั ทนี ี้วนั แรกท่านไปทา่ นว่า “ท่านอาจารย์ ห้องน�้ำดีกวา่ นไี้ มม่ หี รือ ?” “ไมม่ ี มแี ต่อย่างงี้”
ทา่ นก็อย่างงีล้ ่ะ คือไปน่ังถ่ายลงเหวนะ่ บนภทู อกทางวัดเขาห้ามบ้วนน้�ำลาย ห้ามถา่ ย หา้ มปสั สาวะ

269

แต่เพราะเหวตรงนน้ั มนั เหวหอ้ งน�้ำอยู่แลว้ ท่านใชก้ นั มานานแลว้ นนั่ คือเป็นชอ่ งประจ�ำห้องน�้ำอย่แู ล้ว
เด๋ยี วน้ที ำ� ดีอย่ชู อ่ งเหว หอ้ งนำ�้ ไม่มีอะไรมุงบัง มแี ต่สงั กะสเี ลก็ ๆ สมเด็จฯ ทา่ นไป ทา่ นกถ็ อดจวี รก้นั ไว้

ช่วงนี้สมเด็จฯ กับหลวงปู่จวนไม่ได้สนทนาธรรมกัน สมเด็จฯ ท่านมาวิเวก ไม่รบกวนใคร
ไม่รบกวนอะไร คือ “ท่านอาจารย์ตามสบายนะ ผมอยากอยู่กุฏิของผม” ถึงเวลาฉัน ท่านก็ฉันท่ี
กฏุ ไิ ม้พุทธวหิ าร คือเอาขึน้ ไปถวายทา่ นทนี่ น่ั ทา่ นไมล่ งมา เพราะทา่ นขน้ึ ไมไ่ หว ลงไม่ไหว เพราะ
ทา่ นขน้ึ ต้องหยุดพกั ตั้ง ๒ – ๓ ครงั้ จึงถึง แตก่ ่อนบันไดมืด ตรงสะพานเก่าล่ะนะ ที่มันชนั ตอนนั้น
อายสุ มเด็จฯ ก็ ๖๐ กวา่ แลว้

สมเด็จฯ ท่านกลา่ วกับหลวงปจู่ วนเรอ่ื งสะพาน ท่านกว็ ่า “เอ้ ! ท�ำไมท�ำได้ ท�ำไมกล้าทำ� ”
ประมาณนี้ “ไมม่ นี ่งั รง้ นงั่ ร้านท�ำไมทำ� ได้” ท่านก็ถาม ก็อธบิ ายให้ท่านฟัง ทา่ นกโ็ อ้ ! บอกวา่ “กล้าทำ�
ไมก่ ลัวตาย”

ห้องน้�ำบนภูทอก

เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ บนเขาชนั้ ที่ ๕ มหี อ้ งน้�ำเลก็ ๆ อยู่เพียง ๒ หอ้ ง ส�ำหรับท่านพระอาจารย์
จวนหอ้ งหนึ่ง ซ่งึ ลอ็ คกญุ แจไว้ และ อกี หอ้ งหนึง่ ส�ำหรบั กรณฉี กุ เฉนิ การเครง่ ครดั เปิดหอ้ งน�้ำเช่นนี้
เพราะพระเณรท่านต้องแบกหามน�้ำข้ึนไปจากเขาชั้นล่าง ต่อมาเมื่อมีคนข้ึนไปภาวนากันมาก ท่าน
พระอาจารย์จวน ท่านจึงด�ำริทจ่ี ะสร้างหอ้ งน้�ำให้บนเขาชัน้ ท่ี ๕

ท่านพระอาจารย์เติมศกั ดิ์ ยุตฺตติธมโฺ ม ได้เมตตาเล่าเรือ่ งนีไ้ ว้ดังนี้
“หลวงปจู่ วนทา่ นไม่อยากท�ำหอ้ งน�ำ้ ตรงชนั้ ๕ เพราะน�้ำคอื ปัญหา คือมีหอ้ งน�้ำ มันต้องใชน้ ำ้�
ไมใ่ ชน้ ้�ำกไ็ ม่ได้ เพราะน้�ำช้นั ๕ มนั ล�ำบาก ถา้ จะใชถ้ งั น้�ำอย่างเดียวไมพ่ อ เพราะญาติโยมมาเกี่ยวข้อง
กบั วดั ทุกวัน โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ เมือ่ เขารู้จกั จะไปห้ามเขาใช้ห้องน�้ำไดห้ รือ ? เพราะห้องน�้ำข้างบนก็มี
แล้ว โดยเฉพาะน้�ำทใ่ี ช้ล้าง น้�ำจึงเป็นตวั แปรส�ำคญั
ห้องน้�ำท่ีสมเด็จพระญาณสังวรใช้น้ัน เดี๋ยวน้ีท�ำดีแล้ว หลายปีค่อยมาท�ำ เพราะสมัยก่อน
ไมม่ เี งนิ คือความจรงิ หลวงปู่จวนท่านมคี วามคดิ ทีจ่ ะท�ำอยู่ แต่วา่ มันขาดปัจจยั พอขาดปจั จัย ท่าน
จะไปเร่ยี ไรใคร มีมาทา่ นกท็ �ำ ตามเหตุปจั จัยนัน่ คอื เขาถวายมา ถา้ ไม่พอ ทา่ นกไ็ ม่ทำ� ถา้ พอหรอื มีคน
จงใจว่าหลวงพอ่ ท�ำห้องนำ�้ ใหห้ น่อยนะ ทา่ นกท็ �ำให้ ถา้ มนั อาศัยปจั จยั ท่ีมันรว่ มๆ บางทีพอ ทา่ นก็ใช้
เวลา เพราะน�้ำส�ำคญั กวา่ แลว้ ท่านเอาน้�ำกอ่ น เพราะถังน�้ำน่สี ำ� คญั เพราะขนึ้ ไปคนต้องใช้น้�ำ ทา่ นก็
ตอ้ งพยายามเก็บ เร่มิ ท�ำน�้ำกอ่ น”

270

พ.ศ. ๒๕๑๙ ท�ำบ้านพักแม่ชี

ท่านพระอาจารย์บุญเลศิ เขมโิ ย ได้เมตตาเล่าเร่ืองนไ้ี ว้ดงั น้ี
“อาตมาอยกู่ บั หลวงปจู่ วน ตัง้ แต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ จนทา่ นมรณภาพนู่นแหละ ปี พ.ศ. ๒๕๑๙
อยจู่ �ำพรรษากับทา่ น ช่วงท่ีอาตมาอยกู่ บั หลวงปู่จวน ไมไ่ ด้ไปกราบคารวะครูบาอาจารยต์ ามวดั นะ โฮ้ !
แต่กอ่ นภทู อกมันกไ็ ปไม่ไดน้ ะ มันไมเ่ หมือนทุกวันน้ีนะ ทางมนั ก็โอย้ ! เป็นดงอะไรเยอะแยะ ไปไม่ได้
มแี ตค่ รบู าอาจารย์มางานน่ะ ภาวนาบนภทู อกมนั กด็ ี โฮ้ ! ถือวา่ สมยั แต่ก่อนมันก็ดี ป่ามนั ยงั เยอะอยู่
บ้านกย็ งั ไมใ่ หญ่เท่าทุกวนั น้ี เพราะว่าความเจริญมนั ก็ไม่มเี นอะ มีแตภ่ ัย เรอ่ื งอดอยาก โธ้ ! ไมต่ อ้ งวา่
กันนะเร่ืองนี้ ในพรรษานที้ า่ นท�ำทพี่ กั ใหแ้ ม่ชี บา้ นพักแมช่ ีอยูข่ ้างลา่ งนะ อยู่ทางตะวันตก ทีเ่ ราไป
อยซู่ า้ ยมอื เยน็ กท็ ำ� วัตรสวดมนตน์ ี่ หลวงปจู่ วนท่านจะท�ำวตั ร ๖ โมงเยน็ เพราะว่าอาตมาท�ำบา้ นพกั
แมช่ ี ขนึ้ ไปก็ฟังเทศนเ์ ลย ส่วนมากทา่ นจะท�ำกอ่ น หมคู่ ณะไปแล้วท่านจะเทศน์
พระที่อยจู่ �ำพรรษาปนี นั้ ก็ ๙ องค์ มนั ก็ โฮ้ ! มนั สึกไปเกือบหมดแล้วนะ อาจารยเ์ หลมิ น้ีอยู่
ต�ำบลดอนเขือง วดั บ้านหลวงป่สู มัยนี้ก็สึกไปแล้ว พอออกพรรษาหลวงปจู่ วนท่านกไ็ ปอนิ เดยี ”
พระเณรทจ่ี ำ� พรรษากับหลวงป่จู วนในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ท่านอาจารยบ์ ญุ เลศิ หลวงตาแยง
ท่านอาจารย์วา หลวงตาพินิจ มรณภาพไปแล้ว คือรนุ่ ทอี่ ยูป่ ระจำ� สว่ นมากจะสกึ หมด อาจารยเ์ ฉลิม
กเ็ ป็นพระเถระ อาจารย์ยงคก์ เ็ ป็นพระเถระ ครูบาสมควรน่ีกส็ ึก ชุดเณรก็มเี หมือนเดมิ เณรแดง
เณรติ๊ก เณรปอ๊ ก (ท่านพระอาจารย์ถาวร) เณรเฉลมิ และเณรมอ”

ช่วงเข้าพรรษาปี ๒๕๑๙ ท่านอ่านพระไตรปิฎกแล้วมาเทศน์โดยไม่เปิดหนังสือ

ท่านพระอาจารยบ์ ญุ เลศิ เขมโิ ย ได้เมตตาเล่าเร่ืองนไ้ี วด้ งั นี้
“ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ อาตมาอย่จู �ำพรรษากบั หลวงปู่จวน โอ้ ! คนไมไ่ ปหานะ เชา้ จนเย็นจนสรงน้�ำ
ไม่มีใครเลย มนั ไม่เหมอื นทุกวันนี้ ฉันเช้าเสรจ็ หลวงป่จู วนท่านกเ็ อาหนงั สือพระไตรปฎิ กขน้ึ ไปสองเลม่
ตอ่ วันนะ ท่านอ่านเสรจ็ ในวนั นนั้ ไปถึงทา่ นก็พักผอ่ นนดิ หน่อย ท่านก็อา่ นประจำ� ทกุ วนั เลย ดชู ่วงนั้นก็
ไม่มีการสร้างอะไรแลว้ การสรา้ งๆ ทา่ นก็ไม่ได้ท�ำ ใหล้ กู ศษิ ย์ท�ำ
หลวงปู่จวนทา่ นจ�ำแมน่ นะ ดหู นงั สือพระไตรปฎิ กน่ี โอ้ย ! เดด็ สมยั นั้นหนงั สือพระไตรปฎิ ก
มนั ยอ่ เลม่ ใหญ่เขา้ มานะ ถา้ ใหม้ ันถูกต้อง ๑๒๐ เล่ม ยังไมไ่ ด้ออกพรรษาอา่ นจบแลว้ นะ จำ� ไดด้ ้วย
หน้าทเ่ี ท่านนั้ หนา้ ที่เท่านี้ ตอนกลางคนื มาท่านกเ็ ทศน์ ถ้าใครจนใจยงั ไง ให้ไปเปดิ ดูถา้ ไมเ่ ช่ือ ทา่ นก็พูด
อยา่ งน้ัน เพราะว่าพระองค์นั้นๆๆ มรณภาพอย่นู ั่นๆๆ ตามไปเปิดดแู ลว้ มันแม่นเลยนะ ความจำ� ท่าน
แม่นนะหลวงปู่จวน ตอนเทศน์นี่ทา่ นกไ็ มไ่ ด้เปิดหนงั สือ โอ้ ! จำ� เกง่ หลวงป่จู วนนี่ หนังสอื ปาฏิโมกข์
น่เี ดือนหนงึ่ ก็ทอ่ งจบ ไดส้ วดปาฏิโมกข์ อนั นเี้ ปน็ คุณสมบตั พิ เิ ศษของท่านก็ได”้

271

พ.ศ. ๒๕๑๙ ภูทอกมีกฐินเป็นปีแรก

ท่านพระอาจารยบ์ ญุ เลศิ เขมิโย ได้เมตตาเลา่ เร่ืองนี้ไวด้ ังนี้
“ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ อาตมาจ�ำพรรษาท่ีภูทอกกม็ กี ฐนิ เปน็ ปแี รก ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ จนปีหลวงปู่
จวนมรณภาพ พวกสรุ พี นั ธนุ์ แ่ี หละจองกฐินนี่ ปที หี่ ลวงปู่จวนมรณภาพ ทา่ นไม่ได้สงั่ อะไร หลวงป่สู อน
ทา่ นเป็นประธานรบั กฐนิ กฐินเปน็ ผ้าขาวมานะ ก็เย็บเป็นผ้าสบง เย็บใหเ้ สร็จนะ เยบ็ เสร็จแล้วกย็ อ้ ม
ตอนเยน็ มากก็ ราน เพราะวา่ มนั มพี ระวินัยนน่ั นะ เยบ็ แล้วก็ต้องกรานให้เสรจ็ ในวันนั้นนะ หลวงปจู่ วน
กฉ็ ลองผา้ กใ็ ชใ้ ห้อยู่ กอ่ นหน้ากม็ ีผา้ ป่าอยู่ มันมีประจำ� หรอกผ้าปา่ กฐนิ นะไมม่ ี เพราะวา่ ภทู อกมัน
กนั ดารเนาะ ทางมันสะดวกนีห่ น่อย แลว้ ก็สุรีพันธเุ์ ขากจ็ องทอดกฐิน”
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เมื่อคุณสุรีพันธุ์กราบเรียนท่านพระอาจารย์จวนว่าจะทอดกฐินที่ภูทอก
ด้วย ท่านกห็ ้ามทนั ที “ไมต่ ้องหรอก วัดอาตมาไม่ต้องการใช้เงนิ อะไร ทา่ นอาจารย์วัน ท่านกำ� ลงั
สร้างศาลาและโบสถ์ ใช้เงินมาก ถวายท่านทั้งหมดเถอะ” ท่านปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ท่านไม่สนใจ
ลาภสักการะและทา่ นเมตตาถามวา่ “กฐนิ จะทอดวนั ไหน อาตมาจะไปดว้ ย”
เมอ่ื ถงึ วนั ทอดกฐินและผา้ ป่า ท่านพระอาจารยจ์ วนไดจ้ ัดรถจากภูทอก พาพระและชมี าชว่ ย
งานกฐินถงึ ๒ คนั รถ และชว่ ยงานครวั อยถู่ ึง ๒ วัน โดยสมยั นนั้ คุณพ่อสี อยูส่ ขุ เปน็ คนขบั รถถวาย
พร้อมดว้ ยรถในหมบู่ า้ นอกี หนงึ่ คนั ท่านไปรอรบั คณะกฐนิ คณุ สรุ ีพนั ธ์ุ ท่ีวดั ถ้�ำกลองเพล ซ่ึงเปน็ วัดแรก
ทไ่ี ปถึง ทา่ นเมตตาพาเข้าไปกราบคารวะหลวงปู่ขาว แลว้ ก็มากับขบวนกฐนิ ทวี่ ดั ถ�้ำอภยั ดำ� รงธรรม
วัดท่านพระอาจารย์วัน เพื่อทอดกฐิน และถวายผ้าป่าของวัดภูทอก เสร็จแล้วก็ไปทอดผ้าป่าท่ี
วัดป่าแก้วชุมพล วัดท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง และวัดป่าอุดมสมพร วัดหลวงปู่ฝั้น ส�ำหรับกฐิน
ภูทอกในปนี น้ั เกือบจะไม่มี ชาวบ้านเขาเห็นว่าไมม่ คี นมาจองกฐินก็เลยน�ำผ้ามาทอดถวาย

พ.ศ. ๒๕๑๙ รับนิมนต์ไปอินเดียครั้งแรก

เมอื่ เดอื นพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๙ ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ รบั นิมนต์เดินทางไป
ประเทศอนิ เดยี คร้งั แรก เพ่อื ไปสกั การะสังเวชนยี สถานทงั้ ๔ และสถานท่สี �ำคญั ทางพระพทุ ธศาสนา
เช่น พระคันธกุฎี ที่ประทับพระพุทธเจ้าบนยอดเขาคิชฌกูฏ ที่ถ้�ำสุกรขาตา สถานท่ีซ่ึงพระสารีบุตร
พระอคั รสาวกเบอ้ื งขวาบรรลธุ รรม ถ้�ำปปิ ผลวิ ัน ทพี่ กั ของพระมหากัสสปะ เปน็ ต้น โดยไปพรอ้ มกบั
ท่านเจ้าคุณพระพุทธพจนวราภรณ์ (ทองเจอื จนิ ฺตากโร) วัดราชบพธิ ฯ ท่านพระอาจารย์วัน อตุ ฺตโม
ทา่ นเจ้าคุณราชวรคณุ วดั อโศการาม ฯลฯ

เมอ่ื ครูบาอาจารย์และศิษย์ไปถงึ สังเวชนยี สถานทง้ั ๔ ตา่ งก็ปฏบิ ัตบิ ชู าด้วยการเดนิ จงกรมและ
นงั่ สมาธิภาวนา อันเปน็ การบชู าอย่างสูงสุด ซ่ึงองค์พระบรมศาสดาทรงยกย่องสรรเสรญิ

272

การไปอินเดียคราวน้ัน มีผู้คนศรัทธาได้ถวายส่ิงของเครื่องใช้ต่างๆ ให้ท่านพระอาจารย์จวน
เช่น กระติกนำ้� นาฬกิ า ผ้าห่มขนสตั ว์ ฯลฯ พอใกล้เวลาเดนิ ทางกลบั กรุงเทพฯ ถึงสารนาถ พทุ ธคยา
ท่านก็แจกของเหล่าน้ันจนหมด รวมท้ังปัจจัยท่ีมีผู้มาถวาย ท่านก็ถวายให้พระไทยที่อยู่ทางโน้น
จนหมด อันเป็นปรกตินิสัยของท่าน ซึ่งไม่ชอบสะสมสิ่งของ จนท่านพระอาจารย์วันล้อว่า “เอ้า !
ท่านอาจารย์จวนแจกหมด เหลือแต่ยา่ มใบเดยี วแลว้ นะ”

ส่วนเรือ่ งไปอินเดียชมถ้�ำอชันตา ถ�้ำเอลโลรา แล้วมาสรา้ งสะพานรอบภูทอก ทา่ นพระอาจารย์
เติมศักด์ิ ยตุ ตฺ ตธิ มโฺ ม ไดเ้ มตตาเล่าเรอ่ื งน้ีไว้ดังน้ี

“ทีจ่ รงิ ถ้ำ� อชนั ตา ถ้ำ� เอลโลรา ทา่ นไปทีหลงั สรา้ งสะพานเสรจ็ แลว้ หลวงปู่จวนถงึ ไปอินเดีย
เร่มิ ต้นสรา้ งสะพานตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ และสรา้ งต่อในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ๒๕๑๗ ๒๕๑๘ นสี่ ะพานเสร็จ
หมดแลว้ เร่งสรา้ งสะพานกับหลวงปจู่ วนนั่น ท่ีจริงน้ันสะพานนน่ั เสรจ็ ตัง้ ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ๒๕๑๘ แลว้
หลวงปู่ไปชมถ�้ำอชันตา ถำ้� เอลโลรา ครงั้ แรกปี พ.ศ. ๒๕๑๙ และครั้งที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๒๑”

การไปอินเดียครง้ั น้ี ทำ� ให้ทราบว่า ท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ  ในอดตี ชาตทิ ่านเคยเป็น
ศษิ ยข์ องพระมหากัสสปะ ดงั น้ี

“ถำ้� ปปิ ผลวิ นั ซงึ่ เปน็ ทพี่ กั ของพระมหากสั สปะ การไปชมถำ�้ นนั้ อยบู่ นเนนิ สงู ไมม่ ใี ครคดิ จะใช้
ความพยายามปีนขึ้นไปชมถ้ำ� โดยใกล้ แตท่ ่านอาจารยจ์ วนและทา่ นอาจารย์วนั ท่านท้ังสองพร้อมใจ
กันปีนขึ้นไปชม เมื่อมีลูกศิษย์ตามข้ึนไปทัน ทันใดก็ได้ยินเสียงท่านอาจารย์จวนท่ีเดินวนพิจารณา
ถ�้ำหินอยู่รอบๆ ท่านพูดพึมพ�ำกับท่านอาจารย์วันว่า “เอ ! เปล่ียนไปมากนะ” ลูกศิษย์ก็ช่างซัก
จึงท�ำใหท้ ราบว่า ท่านอาจารย์จวนอดตี ชาตเิ คยเป็นศษิ ย์ท่านพระมหากัสสปะ และเคยอยู่ถ้�ำปปิ ผลวิ ัน

ทา่ นพระอาจารย์จวน กลุ เชฏโฺ  เคยพดู เสมอวา่ “ทา่ นเปน็ ศษิ ย์พระมหากัสสปะ”
พระมหากสั สปะ ท่านเปน็ พระอสีตมิ หาสาวกองคห์ นงึ่ ซ่ึงพระพทุ ธองคท์ รงประทานต�ำแหนง่
เอตทคั คะเลศิ ด้านธุดงควตั ร ท่านมีนิสัยชอบอยู่ตามป่าตามเขา และถือธดุ งควตั รดว้ ยความเครง่ ครดั
และทา่ นเปน็ องคป์ ระธานครัง้ สงั คายนาพระไตรปฎิ กครง้ั แรกทถ่ี ้�ำสตั ตบรรณคูหา
ท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ในอดีตชาตทิ ่านเคยเป็นศษิ ย์พระมหากัสสปะ จึงมนี สิ ยั ชอบ
อยู่ตามป่าตามเขาและถือธุดงควัตรด้วยความเคร่งครัดเช่นเดียวกับพระมหากัสสปะ ฉะน้ัน สถานท่ี
สัปปายะของทา่ น คือ บนเขา เนอ่ื งเพราะเงียบสงดั และอากาศเยน็ สบาย วดั ท่ีทา่ นพึงพอใจภาวนาเปน็
ประจ�ำ เชน่ ท่ี ถำ้� พวง ภูสะโกฏ ดงหม้อทอง ถ�้ำจันทน์ ภสู ิงหน์ อ้ ย ถำ้� บูชา ภูวัว ภทู อก ลว้ นมลี ักษณะ
เปน็ ถ้�ำอยบู่ นเขาทงั้ สน้ิ ”

273

อดีตชาติของท่านพระอาจารย์จวน

ท่านพระอาจารย์บุญเลศิ เขมโิ ย ได้เมตตาเล่าเร่ืองอดีตชาตขิ องทา่ นพระอาจารยจ์ วนไวด้ งั นี้
“เรอ่ื งหลวงป่จู วนประกาศเป็นพระอรหนั ต์ สว่ นมากครูบาอาจารย์จะไมพ่ ดู เรื่องน้ี มแี ตท่ า่ น
พูดแต่ว่า เกิดมาชาติน้ันเป็นนั้น ชาติน้ีเป็นนี้เท่าน้ัน ท่านพูดอยู่อันนี้ แต่ก่อนท่านเคยเป็นหมีขาว
อยู่แถวภูทอก ภูวัว ตัวใหญ่หลายร้อยกิโลฯ เพราะว่าภูทอกผ้ึงมันเยอะนะ มากินผึ้งอยู่นี่ พวกนาย
พรานก็มายงิ เอา ตายเกิดเปน็ คน กลับมาอยู่ภทู อกอกี
ทา่ นเล่าเกือบทุกๆ ครงั้ ทา่ นว่า “ทา่ นจะ เอา้ ! อายจุ ะแก่อะไร” จะคล้ายออกเปดิ อดีตชาติ
ท่านว่า เปน็ ยงั ไงๆๆ กจ็ ะเปดิ มัน ทา่ นพูดอยา่ งนัน้ เปดิ อดตี ชาติ ท่านเกดิ เป็นหมขี าว เออ ! ก็ยาวนนู่
เนาะ ก็ไดย้ นิ นี้บอ่ ย เกิดเป็นอะไรอกี ก็ไมเ่ ห็น ทา่ นกไ็ มพ่ ดู เป็นเทวดา อินทร์ พรหม ทา่ นกไ็ มพ่ ดู ถงึ
อดตี ชาติท่ีทา่ นบำ� เพ็ญมา ทา่ นกไ็ มพ่ ดู ทา่ นว่า “ท่านจะพูดแคน่ ั้นล่ะทีนี้ ทนี ีเ้ วลามรณภาพไปลกู ศิษย์
ลูกหาก็แต่งเพิ่มเติมเข้าไป” เป็นอย่างน้ัน ไม่ว่าอยู่องค์ไหนๆ องค์ไหนๆ ก็เหมือนกัน จะแต่งไป
อยา่ งนน้ั หมด”
จากหนังสอื กลุ เชฏฐาภิวาท ไดบ้ ันทึกเรอ่ื งน้ีไวด้ งั นี้
“ส�ำหรับศิษย์บางคนท่ีมีนิสัยการภาวนาในแบบที่ท่านเรียกกันว่า “โลดโผน” ออกรู้โน่น รู้น่ี
ทา่ นจะตกั เตือนเปน็ พิเศษ มใิ ห้หลงฟนั่ เฝือไปในสิ่งท่ีออกรู้น้ัน “ตามไปจะเป็นบา้ ” แตท่ ่านก็ไม่ปฏิเสธ
บอกวา่ ถ้าเขามีนสิ ัยวาสนาอบรมอยา่ งนีม้ าเกา่ (มีนิสยั มาแต่ชาติก่อนๆ) มันก็เป็นอยา่ งนี้ อย่าให้หลง
อยา่ ใหต้ ิดกแ็ ล้วกนั วชิ าพวกนี้มไี ด้ แตพ่ ระพุทธเจา้ ไมท่ รงสรรเสริญ
ศิษยผ์ ูภ้ าวนา “ร”ู้ มานี้ บางครง้ั เม่ือภาวนาไป ทราบถึงเรอื่ งภพเรือ่ งชาตขิ องครูบาอาจารย์เขา้
ก็กราบเรียนเล่าเร่ืองถวาย เพื่อสอบทานการภาวนาของตน กรณีเช่นนี้บางทีท่านก็ยอมรับ ท่านว่า
เขารอู้ ยู่แล้ว
ท่านเคยอธบิ ายวา่ การภาวนานน้ั บางคนท�ำไปมันจะปรากฏข้ึนเอง เห็นตัวเราเคยเกดิ เปน็
อะไร เปน็ สตั ว์ เปน็ เสอื เป็นช้าง เปน็ กษตั รยิ ์ อยู่ท่ีโน่นทน่ี ่ี เมอื่ รแู้ ลว้ กเ็ ท่านั้น มนั จะจริงหรือไม่จริง
ก็ช่างมัน ถ้าจริงก็นึกแต่ว่า น่ีแหละความไม่เท่ียง เกิดเป็นกษัตริย์แล้วก็กลับเป็นสัตว์เดรัจฉานได้
น่าสลดสังเวชอย่างย่งิ ใหน้ กึ รงั เกยี จกลวั ภพกลวั ชาตทิ ่จี ะต้องเวยี นมาเกดิ มาแก่ มาเจบ็ มาตายอกี
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้ว ท่ีเราตายไปนั้นกระดูกกองเป็นภูเขาเลากา ที่เราเคยร้องไห้
เช็ดน้�ำตามาน้นั มากกวา่ น�ำ้ ในมหาสมทุ รอกี เรายงั อยากจะกลับไปเช็ดน้�ำตาอีกหรอื ? ใหน้ กึ อย่างน้ัน
ไมใ่ ชพ่ อ “ร”ู้ เข้า ก็ไปนกึ โอะ๊ ! เราเคยเปน็ กษตั รยิ ์ เคยเปน็ จักรพรรดิเชียวนะ เรานเ่ี ก่ง เรานยี่ อด
หลงเพอ้ อย่กู บั อดตี อยา่ งนน้ั บา้ แลว้ ”

274

ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองหยอกล้อท่านพระอาจารย์จวน

ท่านพระอาจารย์สอน ชีวสุทฺโธ ได้เมตตาเล่าเร่ืองท่านพระอาจารย์สิงห์ทองหยอกล้อกับ
ทา่ นพระอาจารย์จวน ไว้ดงั นี้

“ทา่ นข้ีเลน่ พอปีนนั้ หลวงพ่อวัน หลวงพอ่ จวนท่านไปอินเดยี ไปอินเดียทแี รกวา่ จะจ�ำพรรษา
ท่ีอินเดีย เตรียมบริขารไปนะหลวงพ่อจวน ไปแล้วมันไม่เหมือนท่ีคิด กลับตาลปัตร กลับมา พอดี
คณุ หญิงสุรีพนั ธ์กุ เ็ ลยท�ำผ้าปา่ มาที่วัดป่าแก้วฯ (ทศี่ าลาหลังเกา่ ) แลว้ นิมนต์หลวงพ่อวนั หลวงพ่อจวน
มาทีว่ ดั ปา่ แก้วฯ มาทอดผ้าป่า พอดี (เป็นช่วงบา่ ย) หลวงพ่อสงิ หท์ องทา่ นกพ็ ดู หยอกลอ้ กันถามให้
ทแี รกก็คุณหญิงสรุ ีพันธุถ์ ามก่อน “ท่านอาจารย์ไปทีอ่ นิ เดยี ไดอ้ ะไรมาฝากลูกศษิ ย์ลูกหาบา้ ง ?”

หลวงพอ่ จวน ทา่ นเคยี้ วหมากนะ เฉย ก�ำลงั เค้ียวหมากอยู่ ยงั ไม่ไดพ้ ดู นะ หลวงพ่อสงิ ห์ทอง
แซงพดู ข้นึ มากอ่ น “เฮย้ ! ท่านจะไดอ้ ะไร ท่านกไ็ ด้หวั ล้านทา่ นนะ่ ” นัง่ ติดกันนะทง้ั สาม หลวงพอ่ วัน
หลวงพ่อจวนนงั่ กอ่ น หลวงพ่อสงิ หท์ องนงั่ ถัดมา

เอามือลบู หลวงพอ่ สิงห์ทองนะเอามอื ลูบหัวล้านหลวงปจู่ วน หลวงปจู่ วนเฉย ไมม่ ีปฏกิ ิรยิ า
ไม่มีอะไร ไม่ดไุ ม่ดา่ เฉย คนมองดขู �ำ อดหัวเราะไม่ได้ โอ้ ! ทา่ นหยอกลอ้ กนั ตอ่ หนา้ โยมอยู่ในศาลา
อาตมาก็เห็น โอโ้ ฮย ! ตอนผา้ ป่า แต่หลวงพอ่ วนั ก็ลงมานะ หลวงพอ่ วนั ทา่ นเฉย หลวงพอ่ สิงห์ทอง
ทา่ นก็... แต่ว่าหลวงพอ่ จวนอุปชั ฌายเ์ ดียวกันก็เลย ทา่ นลอ้ เลน่ กันนะ ทแี รกกไ็ ม่เคยเหน็ ได้ยินแต่วา่
สององคน์ ี้ท่านหยอกลอ้ กนั ”

ประกาศให้ทราบรว่ มกนั
สรา้ งส�ำนกั สงฆว์ ดั เจตยิ าคริ ีวิหาร ภทู อก

โปรดพากันต้ังใจฟัง เพ่ือเป็นคติน�ำไปพิจารณา ค�ำน�ำที่ได้เขียนประวัติการก่อสร้างส�ำนักสงฆ์
วัดเจตยิ าคริ ีวิหาร (ภทู อก) ขน้ึ ไว้ ข้าพเจ้าเองก็ไม่นกึ อยากจะเขียนเลย แตก่ ็เนอื่ งด้วยศรัทธาประชาชน
และบุคคลส�ำคัญท่านผู้ใหญ่ ที่ได้ไปเห็นด้วยตา ได้อ้อนวอนให้เขียนประวัติการก่อสร้างไว้ เพ่ือ
ประโยชน์แก่ผู้สนใจ การเขียนก็ยังมีขาดตกบกพร่องอยู่เป็นธรรมดา ถ้าจะเขียนความแนวแบบ
การก่อสร้างทกุ อย่าง เห็นว่าไมจ่ ำ� เป็น จงึ เวน้ ไวเ้ ปน็ บางอัน ฉะน้ัน ขออภัยจากทา่ นผฟู้ ังท้ังหลายดว้ ย

อน่ึง หากหนังสือนี้จะเกิดประโยชน์บ้างแล้ว บางรายผู้มีศรัทธาเจตนาดีจะพิมพ์แจกจ่ายเพ่ือ
บญุ กศุ ลแลว้ ข้าพเจา้ อนุโมทนาและยินดดี ว้ ย แต่ถา้ พมิ พ์จ�ำหนา่ ยเพือ่ อาชพี การหากนิ ขอสงวนลิขสิทธิ์
ขอความสุขสวัสดีด้วยอายุ วรรณะ โภคะ สุขะ พละ จงบังเกิดมีแก่ท่านผู้ฟังทุกทิพาราตรีกาล
ตลอดชว่ั กลั ปาวสานตราบเทา่ เขา้ สู่พระนิพพานเทอญ

ภกิ ษุ กลุ เชฏโฺ  จวน ผู้เรียบเรยี งและเจ้าของผกู้ ่อสรา้ งสำ� นกั สงฆ์วัดเจตยิ าคิรีวิหาร ภูทอก


Click to View FlipBook Version