475
• พูดเหมือนได้
(๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๒)
หลวงตาน่ีเมื่อก่อนตอนท่ีท่านก�ำลังแรงๆ ท่านจะพูดบ่อยมากเลย “มรรคหยาบฆ่ามรรค
ละเอียด” คำ� พดู คำ� เดียวกันน่แี หละ
แต่ถา้ ค�ำพดู ซ้ำ� แลว้ มนั จะละเอยี ดเขา้ ไปนี่ มนั ลกึ ซง้ึ กว่า มรรคหยาบฆา่ มรรคละเอียด มรรค
เหมือนกนั เห็นไหม มรรค ๔ ผล ๔ โสดาปัตตมิ รรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค
ไมเ่ หมือนกันนะ ไม่เหมอื นกนั ถา้ คนไม่ปฏิบตั กิ ไ็ มร่ ู้ ไม่เหมอื นกันอย่างไร ฉะนน้ั เวลาครูบาอาจารยด์ สู ิ
ดอู าจารยจ์ วนเหน็ ไหม ทุกข์ เหตุให้เกดิ ทุกข์ ทกุ ขด์ บั วิธกี ารดับทกุ ข์ แลว้ พอวนไปนะ ทุกข์ เหตุให้
เกิดทกุ ข์ ทกุ ขด์ ับ วธิ กี ารดับทกุ ข์ ไปฟงั เทศนห์ ลวงปจู่ วนสิ ทา่ นจะวนอยอู่ ย่างน้ี ทุกข์ ทุกข์ดบั นิโรธดบั
วิธีการดบั ทกุ ข์ วนอยู่อย่างน้ันนะ่ เรามาน่งั ฟงั นะ เราคิดในใจเลยนะไอพ้ วกวยั รุ่นมันต้องว่า เอ๊ ! หลวงปู่
นหี่ ลงหรือเปลา่ วะ พูดซ�ำ้ ๆ ซากๆ มันมรรค ๔ ผล ๔ มันคนละมรรค มนั คนละเหตคุ นละผลทัง้ นั้นละ่
หลวงปจู่ วนไปฟงั สิ มอี ยกู่ ัณฑ์หนึง่ ทุกข์ เหตใุ ห้เกิดทกุ ข์ ทกุ ข์ดบั วิธกี ารดับทกุ ข์ นัน่
ขบวนการหน่ึงจบปบ๊ั โสดาบนั ทุกข์ เหตใุ หเ้ กิดทกุ ข์ ทกุ ขด์ บั วธิ ีการดบั ทุกข์ ขบวนการหน่ึงจบนั่น
สกทิ าฯ ขบวนการหน่งึ จบ พระอนาคาฯ ขบวนการหนงึ่ จบ พระอรหันต์ ทกุ ข์ เหตใุ ห้เกิดทุกข์ของ
โสดาบัน ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ของสกิทาฯ ลึกซ้ึงกว่า ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ของอนาคาฯ นะ
พระอนาคาฯ ว่างหมดนะ ท�ำไมมนั ทกุ ข์ละ่ ทกุ ข์ของพระอนาคาฯ เปน็ อยา่ งไร แลว้ พระอนาคาฯ
ไปแล้วน่ะ พระอรหันต์ ทกุ ข์ เหตใุ ห้เกิดทกุ ข์ ทกุ ข์ของอรหตั ตมรรคมันเปน็ อย่างไร จติ เดมิ แท้นผ้ี ่องใส
จติ เดมิ แทน้ ้หี มองไปดว้ ยอุปกเิ ลส
หลวงตาทา่ นใชค้ �ำวา่ เหมอื นกับทกุ ข์แบบไฟสมุ ขอน จติ ใส ใสอยู่อยา่ งนน้ั นะ่ ว่างหมดเลยนะ
แตม่ ันมไี ฟสมุ ขอน มนั มอี ะไรในใจอยู่ แต่มนั ว่างหมดนะ วา่ งๆ อู๊ย ! สุขสบายมากเลย แต่ เอ๊ ! มันมี
อะไรสุมอยู่ในใจ แลว้ อะไรเนี่ย ทุกข์ เหตใุ ห้เกิดทุกข์ แลว้ โสดาบันละ่ ทุกข์ เหตุใหเ้ กดิ ทุกข์ คนละเร่อื ง
เลยนะ คนละเรอ่ื งเลย เวลาเราพูดไปเนย่ี เห็นไหม ? “มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอยี ด” หลวงตาทา่ น
พดู บอ่ ย “มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด” ถา้ เรารดู้ ้วยเหตผุ ลหยาบๆ แล้วเรายดึ ด้วยเหตผุ ลว่าถกู ตอ้ งๆ
เน่ีย มนั จะเกาะอยู่ท่เี หตุผลที่หยาบๆ อยา่ งน้ี แลว้ มันจะไมล่ ะเอยี ดเขา้ ไปเรือ่ ยๆ แลว้ พอมนั ละเอยี ด
เขา้ ไปเร่ือยๆ มันจะคนละชั้น เนี่ยโดยหลัก ถ้าภาวนาเป็นฟังออกหมด แล้วจับหลักได้หมด
• ท�ำไมหลวงปู่จวนแตกฉานในบาลี
(๒๓ สงิ หาคม ๒๕๕๒)
ถาม : ๑. ท�ำไมหลวงปจู่ วนแตกฉานในบาลี ทา่ นไดเ้ รยี นมาหรอื ไม่ ปฏิบัตแิ ล้วรูห้ รือ ?
ตอบ : ใช่ ไอ้อย่างนมี้ ันเป็นจรติ มันเป็นบญุ วาสนา อยา่ งเชน่ หลวงปู่ม่ัน ในวงกรรมฐานมี
476
หลวงปมู่ น่ั กบั หลวงปจู่ วน ทเี่ วลานง่ั จติ สงบแลว้ นมี้ นั จะขน้ึ เปน็ ภาษาบาลี หลวงปมู่ นั่ กเ็ ปน็ บาลเี หน็ ไหม
ตอนท่ีประวัติหลวงปู่มั่นพอข้ึนบาลีปั๊บนี่ “เออ ! เอาไว้ก่อน เอาไว้ฝากมหา” เอาไว้ฝากหลวงตา
พอหลวงตามานะ “อ้าว ! มหามาแลว้ ” ท่านกพ็ ดู บาลอี อกมาเลย บาลที มี่ นั เกดิ จากธรรม เกิดจากสมาธิ
พอสมาธมิ ันลงแลว้ นะ เขาเรียกธรรมเกิด มันจะเกิดเป็นภาษาบาลเี ลย ก็ต้ังบาลีขึน้ มาใหห้ ลวงตาตอบ
หลวงตาท่านรู้ เพราะหลวงตานที้ ่านเป็นพระทม่ี ีคณุ ธรรมแลว้ ท่านปฏิบัติมหี ลกั มีเกณฑใ์ นใจ
ท่านเข้าใจ ท่านเข้าใจว่าหลวงปู่มั่นไม่ได้ถามท่านจริง เพียงแต่หลวงปู่ม่ันเอาไว้ฝากท่าน เอาไว้โชว์
ทา่ นไง พอหลวงตามาก็ “อา้ ว ! ธรรมะเปน็ อย่างนัน้ ” เอาให้หลวงตาตอบ หลวงตาก็นั่งเฉย พอนั่ง
เฉยป๊ับ นห่ี ลวงตาเลา่ เองนะ พอนง่ั เฉยป๊บั หลวงปมู่ ่ันก็ตอบ ผลัวะ ! เลย อูย ! ถึงใจมาก ท่านพูด
เลยนะ ถ้าท่านตอบ ท่านตอบด้วยภูมิมหานะ ท่านก็ตอบเป็นไอ้นั่นนะ เป็นพวกอรรถพยัญชนะ
ก็ตอบเป็นภาษาบาลี แตพ่ อหลวงปูม่ ั่นตอบ มันตอบออกมาจากใจ เห็นไหม
เราถึงบอกว่าอภิธรรมกับการปฏิบัติ มันคนละเร่ือง พอตอบมาจากใจนะ ท่านบอกเลยนะ
อยู ! ฟงั แล้วนะ มันแบบวา่ ท่ิมกลางหัวใจเลย น่เี วลาขนึ้ ขนึ้ เปน็ ภาษาบาลี แล้วมาหลวงปจู่ วนนะ
หลวงปู่จวนก็ข้ึนบาลี หลวงปู่จวนก็แตกฉานเร่ืองบาลีมาก แล้วจิตพวกนี้นะ จิตมีอ�ำนาจมาก
มวี าสนามาก กม็ นี มิ ติ ถงึ หลวงปมู่ น่ั นะ เหน็ เอาหลวงปจู่ วนขนึ้ หลงั นะ แลว้ เอาขน้ึ หลงั เหมอื นเราเลน่
สง่ ม้า เอาหลวงป่จู วนขนึ้ หลงั แลว้ เหาะไป
หลวงปจู่ วนมีวาสนามาก นเี่ สียอยา่ งเดยี วเทา่ น้นั เสียดายท่ีวา่ ท่านมาเคร่ืองบินตกซะกอ่ น
ทา่ นเปน็ พระอรหนั ต์ แลว้ ท่านมีอภญิ ญา รู้ไปหมด พวกน้ีจิตมฤี ทธ์ิ กบั หลวงปู่มนั่ หลวงปูม่ ัน่ กร็ ู้
ไปหมด รูไ้ มใ่ ช่ร้ธู รรมดาดว้ ย รู้แลว้ ยงั เวลาเอามาใช้ประโยชน์ ให้ใชป้ ระโยชน์พอสมควร เพราะพอพดู
ไปแลว้ เขาไมเ่ ช่อื แล้วมนั จะเปน็ การ ถ้าพดู แล้วไม่เชือ่ เขาตอ่ ตา้ นข้ึนมา มันเป็นกรรมเขาไง คอื
ไม่อยากให้คนอืน่ มามีเวรมกี รรม คอื เราเหมือนเราสอนเด็ก เราตอ้ งการให้เดก็ เปน็ คนดี เราไมต่ ้องการ
ให้เดก็ น้ีมันผิดพลาดไปด้วย คอื เด็กนี้มันจะมโี ทษกับมันไง
หลวงปู่ม่ันนะรู้แล้วนะ อย่าดูถูกความน่ิงอยู่ของพระอริยเจ้า รู้ถึงความเป็นจริง รู้ถึงสิ่งท่ี
เกิดขน้ึ แลว้ พูดออกไปนี้ มนั เปน็ โทษหรือเปน็ คุณกบั มันอกี ล่ะ ทัง้ ๆ ทีร่ ูจ้ ริงๆ น่ี พดู ออกไปนะ ถา้ มัน
ไม่เช่ือแล้ว มันดูถูกเหยียดหยามนะ เป็นโทษกับมันอีก ท่านถึงเก็บไว้ไง นี่เรื่องจริง เรื่องจริงคือ
คณุ สมบัติของจิต คำ� วา่ คณุ สมบตั ขิ องจติ คอื การทำ� ดที ำ� ชว่ั ของเราในชาตปิ จั จบุ นั นี้ คณุ สมบตั ขิ องจติ
คอื จติ ไดท้ ำ� ความดมี าตั้งแตอ่ ดีตชาติ ได้สร้างบุญกุศลมามากมหาศาลเลย
อยา่ งเช่น หลวงตาบอกว่าพระสวี ลนี ้ี พระสวี ลีน้ีไดท้ �ำบญุ กศุ ลมาก เป็นหวั หน้าท�ำบญุ กศุ ลมาก
ลาภสกั การะเลยไดเ้ อตทัคคะในเร่ืองลาภสักการะเลย ไปท�ำบุญทีไ่ หน คนจะทำ� บญุ กบั พระสีวลีหมด
เลย เพราะพระสวี ลไี ด้ท�ำบุญไวใ้ นอดตี ชาตมิ หาศาลเลย ไอ้สิ่งทจ่ี ะเกดิ เปน็ อ�ำนาจวาสนาบารมใี นใจน้ี
กค็ อื การกระท�ำมาของจติ ดวงนนั้ นะ จิตดวงนนั้ ไดท้ �ำของท่านมาเอง จิตหลวงป่มู ่ัน จิตครูบาอาจารย์
477
ท่านท�ำมาเอง ไม่มีใครท�ำให้ หรอื ไม่มใี ครจัดการให้ มันเปน็ การท�ำของจิตดวงนนั้ ขน้ึ มาเอง ไม่ต้องไป
ตอ่ รอง ไม่ต้องไปอยากไดอ้ ยากดีอะไรกบั ใครทัง้ สิน้ มันเปน็ ของจติ ดวงน้ัน ดวงนน้ั ไดท้ ำ� ของท่านมา
• ท่านพระอาจารย์จวนพูดยอดธรรม
(๑๐ มกราคม ๒๕๕๓)
คำ� วา่ แรงของเรา เหมือนกบั เราอยู่กับหลวงปู่จวนมา เวลาหลวงปู่จวนทา่ นพูดนะ ท่านพดู ถงึ
เขาเรยี กว่าพูดเหมือนหลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ตอื้ หลวงตาจะบอกวา่ พดู ยอดธรรม น่หี ลวงปจู่ วนท่านก็พดู
ยอดธรรม ยอดธรรมทา่ นจะพูดอย่างที่หลวงตาว่าอยา่ งเร่ืองอวัยวะเพศ อนั น้พี อพูดง้นั ป๊บั พวกพระ
พวกเณรเขาบอกวา่ พวกชีเขาบอกว่า พูดอย่างน้ีมันย่ิงจะไปกระตุ้น ก็จะพยายามขอร้องให้ท่าน
พูดหลีกเล่ียงตรงน้ีหน่อยหน่ึง แต่ทีน้ีพอไปขอร้องให้พูดหลีกเล่ียง ท่านบอกว่า “มันไม่เป็นธรรม”
มันเหมือนกับ ทีน้ีเราก็คุยกับพวกพระด้วยกันเอง พระด้วยกันเองบอกว่า ถ้าเราพูดอะไร เหมือนกับ
เราพูดอะไรที่ไม่เต็มร้อย มันไม่สะใจ มันไม่ออกมาจากหัวใจ ง้ันเวลาท่านพูดอย่างนั้น ท่านพูด
อย่างน้ันจริงๆ
เราอยู่กับท่านนะ มันมีอยู่ทีหนึ่งเราไปธุดงค์กัน แล้วทีน้ีมันมีปลาร้าใช่ไหม มันมีไหปลาร้า
เขาเอาปลาร้ามาต�ำส้มต�ำ มาท�ำน�้ำพริกน่ีแหละ ทีนี้เส้นผมมันตกลงไป พวกแม่ชี อูย ! ท่านเปรียบ
เหมือนอวัยวะเพศเลยว่า รักษาไม่เป็น รักษาไม่ได้ แม้แต่ผมยังจะตกลงไป ท่านพูดอย่างน้ันเลยนะ
ท่านพูดให้คนท�ำมันได้คิด ทีนี้พอพูดอย่างน้ีไปปุ๊บ ไอ้เราฟังแล้วมันก็ดูแรง
• ถ้ามีความจริงจะไปกลัวใคร
(๑๑ เมษายน ๒๕๕๓)
“เราไมใ่ ชพ่ ระป่า เราเปน็ พระบ้าน เพียงแตอ่ ยากปฏิบตั ”ิ เหน็ ไหม จะเปน็ พระบา้ นก็ยังอยาก
ปฏบิ ตั อิ ีกนะ เป็นพระบา้ นมันไม่มศี ักยภาพใช่ไหม เราเปน็ พระบ้านแต่อยากปฏบิ ัติ ฉะนั้น ถา้ ใครอยาก
ปฏบิ ัติใหเ้ ปน็ พระป่า เขาบอกเขาไม่ใชพ่ ระป่านะ แล้วตอนนีบ้ อกวา่ ครูบาอาจารยพ์ ระปา่ ไปหนนุ นี่คือ
ตวั เองไมม่ คี วามมนั่ ใจอะไรเลย ไมม่ คี วามมนั่ ใจ เพราะอะไรรไู้ หม ไมม่ คี วามมน่ั ใจ เพราะไมม่ อี งคค์ วามรู้
ไม่มีความจรงิ ถ้ามคี วามจรงิ จะไปกลัวใคร อาจารย์สิงห์ทอง อาจารยจ์ วนไม่เคยกลัวใครเลย เพราะมี
ความจริง มีองคค์ วามรู้ องอาจกล้าหาญมาก ถา้ ความจรงิ มนั เปน็ อยา่ งนั้น
องอาจกลา้ หาญมนั กลา้ พดู ความจรงิ แตอ่ นั นไ้ี มก่ ลา้ พดู ความจรงิ นะ ไมใ่ ชพ่ ระปา่ ถา้ เปน็ พระปา่
มันก็จะมีครูบาอาจารย์ก็ต้องถือนิสัย มีพระป่าใช่ไหม พระป่าเขาเคารพครูบาอาจารย์กัน เขาเคารพ
ผู้ที่มีคณุ กับเรา แลว้ คนทมี่ ีคุณกับเรา เขาจะรเู้ อง คนทีฝ่ ึกลกู ศิษยล์ กู หามาจะร้วู ่า ลูกศิษย์ลกู หาพวกน้ี
จะมโี อกาสไดห้ รอื ไม่ได้ “ไมใ่ ช่พระป่า เป็นพระบา้ นอยากปฏบิ ตั ”ิ แต่ตอนนบ้ี อกวา่ ครูบาอาจารย์
พระปา่ ท้ังหมดเลยกลบั มาหนุน
478
• ความจริงกับความจริงเป็นอันเดียวกัน
(๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖)
“ผ้ใู ดเห็นธรรม ผู้นั้นเหน็ ตถาคต” องคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าบอกเลย หลวงปู่เสาร์
หลวงปมู่ น่ั บอกวา่ ตอ่ หนา้ องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ กไ็ มถ่ าม เพราะความจรงิ กบั ความจรงิ เปน็
อนั เดียวกนั เราอยู่กับครูบาอาจารย์ตงั้ แตห่ ลวงปจู่ วน หลวงตา หลวงปสู่ ิงห์ทอง หลวงปู่ลี ถูก
ถูกทงั้ นัน้ เลย ไอผ้ ดิ ๆ มันกผ็ ดิ ทัง้ นั้นแหละ ผิดๆ มันกอ็ ยกู่ บั ผดิ ๆ น่ันแหละ สอนกันผิดๆ อย่ใู นสังคม
ผิดๆ พูดภาษาผิดๆ น่ันแหละพูดกันรู้เรื่องไง พูดท่ีถูกไม่ได้ ต้องพูดท่ีผิดๆ มันก็อยู่ในสังคมผิดๆ ไง
เพราะมนั ไมข่ ดั แย้งกนั
• ถ้าจิตมีหลักอยู่ตามป่าตามเขาก็ไม่กลัว
(๒๙ มิถนุ ายน ๒๕๕๖)
นหี่ ลวงปูจ่ วน ประวัตหิ ลวงปู่จวนไปเปิดดไู ด้ นัน่ ท�ำไมท่านไม่กลวั ละ่ ? ทำ� ไมทา่ นไม่กลัว ?
อยใู่ นปา่ ในเขา ถา้ จติ เปน็ ธรรม เวลาภตู ผี ปศี าจ พวกสตั วร์ า้ ยเขา้ มา พวกตา่ งๆ เขามาขอสว่ นบญุ ทำ� ไม
ท่านไม่กลัว ? ถ้าจิตมีหลกั เร่อื งอย่างนี้ไมก่ ลัว เพราะ เพราะมปี ัญญา ไอ้ผตี วั น้นั กับผีตวั น้ีก็มีค่าเท่ากัน
ไอ้เปรตตัวนัน้ ไอ้เปรตตัวนีก้ ็มีค่าเทา่ กนั ไอ้จติ ขา้ งนอกกับจติ ในน้กี ม็ ีค่าเทา่ กนั จิตดวงนี้มันไดพ้ ิจารณา
ของมัน ไดส้ ร้างบญุ กุศลของมนั ข้ึนมา จนจิตดวงนม้ี นั ไดช้ ำ� ระวิจกิ ิจฉา สีลพั พตปรามาส มันไดช้ �ำระล้าง
ส่ิงที่มันเป็นในหัวใจของมัน มันเห็นใจดวงน้ีกับเห็นใจดวงที่เป็นเปรต เป็นผี เป็นต่างๆ มันเห็นใจ
เหมอื นใจ แตใ่ จอนั นั้นมันมเี วรมกี รรมแบกหามมา ใจอันนี้ได้ช�ำระลา้ งมา มันไปกลัวอะไร ?
• การอ่อนน้อมถ่อมตน
(๑๙ ตลุ าคม ๒๕๕๗)
วงกรรมฐานนะ วงกรรมฐานเรามีความมุ่งม่ันแล้ว เราต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน การ
ออ่ นนอ้ มถอ่ มตนถึงจะเข้ากบั ครูบาอาจารยไ์ ด้
เราบวชใหม่ๆ นะ เราไปสรงน�้ำครบู าอาจารย์ทุกองค์ เราไปสรงน�้ำตั้งแต่หลวงปู่จวน เวน้ ไว้แต่
หลวงตา หลวงตาท่านไมใ่ หส้ รง หลวงตาให้แตเ่ ฉพาะผทู้ ี่อปุ ัฏฐาก นไ่ี ปสรงน�้ำ ไปสรงน�ำ้ ท่าน ไปนวด
เส้นทา่ น แล้วเข้าไปคลกุ คลกี บั ท่าน แลว้ ถึงไดถ้ ามท่านวา่ อนั น้ันเปน็ อยา่ งไร อันน้เี ป็นอยา่ งไร แตถ่ ้าเรา
ไมส่ นใจ เราไมส่ นใจ เราไม่ขวนขวาย แลว้ ก็บอกว่า “บวชมาแลว้ ไมเ่ หน็ มีอะไรเลย ครูบาอาจารยไ์ ม่เหน็
สอนอะไรเลย ทำ� ไมครูบาอาจารย์ไม่สอนละ่ ” วทิ ยาศาสตร์คดิ กันอยา่ งน้นั นะ “เออ ! ครูบาอาจารย์
ต้องสอนสิ ครูบาอาจารย์เก่งก็สอนมาสิ”
479
คนนอนหลับนะ โยมจะใหส้ มบตั มิ ันขนาดไหน มนั ก็ไมไ่ ด้หรอก แต่ถ้าคนมันตื่นมามนั ขวนขวาย
ของมนั ได้ นกี่ ็เหมอื นกนั อยกู่ บั ครบู าอาจารยน์ ะพยายามออ่ นนอ้ มถ่อมตนเขา้ ไปใกลช้ ิดท่าน เพราะมนั
ใกลช้ ิดค้นุ เคย และเหน็ วา่ คนนี้เอาจริง คนน้สี นใจจริงๆ ทา่ นจะมีลูกล่อลกู ชนดูว่าเราจริงจังขนาดไหน
แต่ท่านจริงอยแู่ ล้ว เพราะทา่ นวดั ใจเราได้ เพราะภาวนานี่มันรกู้ ัน แลว้ เวลาเข้าไปใกล้ๆ นะ เข้าไป
ถามปัญหา หรือเขา้ ไป สงั เกตไดไ้ หมว่าในวงกรรมฐาน เวลาคนพดู ไอ้ทีเ่ ราพดู ๆ ทำ� ไมเราพูดสิง่ ท่ีคนอ่นื
ไม่คอ่ ยพดู เพราะเขาไมส่ นใจ ครบู าอาจารย์ท่านสอนหมด แตเ่ ขาไม่สนใจ เขาไมเ่ กบ็ เกยี่ ว เขาถึง
ไม่เห็นคุณค่า แต่ถา้ คนสนใจ มันเหน็ คุณค่า มนั เห็นคุณค่า มันเก็บเกย่ี ว แล้วมนั ทำ� ข้ึนมา พอมนั ทำ�
ข้นึ มา นำ้� ตาไหลนะ น�ำ้ ตาไหล เหน็ ไหม คุณธรรมมันเป็นแบบน้ี มนั มีคณุ คา่ จรงิ ๆ
• เรื่องอัฐิแปรเป็นพระธาตุ
(๗ ธันวาคม ๒๕๕๗)
น่ีก็เหมอื นกัน เวลาคณุ ธรรมของเรามันอยู่ในร่างกาย มันฟอกของมนั อยู่ตลอดเวลา แล้วเวลา
ฟอกของมนั ถ้าเป็นเจโตวิมตุ ตหิ รือว่าเปน็ พระอรหันตม์ าตั้งแต่ดง้ั เดิม คอื วา่ เป็นพระอรหนั ต์ตัง้ แต่
อายยุ ังนอ้ ย สง่ิ ท่ีจติ มนั อย่ใู นร่างกายจะเป็นพระอรหนั ต์ไดเ้ ร็ว
เพราะเราอยกู่ ับหลวงปู่จวน หลวงปจู่ วนเผา ๗ วนั เป็นพระธาตุ หลวงปู่ม่นั เหน็ ไหม ต้องก่ปี ี
ถึงจะเห็นเป็นพระธาตุ ของหลวงปู่แหวนกระเด็นออกมาจากกองไฟเลย ของหลวงปู่แหวน น่ีมัน
เผากนั ธรรมดานี่ไง กระดกู แท้ๆ น่แี หละมนั เปน็ พระธาตไุ ดด้ ้วยคุณธรรมในใจ
ฉะน้ัน ถา้ พระอรหนั ต์ กระดกู ท่านเป็นพระธาตุ แล้วจะเป็นชา้ เป็นเร็ว มนั อย่ทู ่ีประเภท
ของพระอรหันต์ เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ถ้าเจโตวิมุตติมันฟอกด้วยก�ำลังสมาธิ ถ้าปัญญาวิมุตติ
พระอรหันต์ ๔ ประเภท แล้วแตล่ ะประเภทสง่ิ ทีท่ �ำ มันหนกั ด้วยก�ำลงั ของจิต หรือหนกั ด้วยก�ำลังของ
ปัญญา คอื กำ� ลังมนั มกี �ำลงั อันน้ัน มนั จะไปฟอก มันจะทำ� ให้เป็นพระธาตชุ ้าหรอื พระธาตเุ ร็ว แต่เป็น
เป็นแน่นอน พระอรหันต์เป็นพระธาตุหมด แต่ช้าหรือเร็ว แล้วร่างกายระหว่างส่วนที่เป็นส่วนบน
สว่ นท่วี า่ จติ มนั จะเป็น ไมเ่ ป็นทีเดียว เปน็ เหมอื นกนั หมด ถา้ เป็นเหมอื นกันหมดมนั ก็เปน็ วัตถุ มันก็
เป็นส่งิ ทีเ่ ป็นธาตไุ ง แตน่ ม้ี นั เป็นโดยก�ำลังของจิต เป็นดว้ ยคุณธรรม
• ต้องศึกษา
(๑๗ มกราคม ๒๕๕๘)
“เราบอกเลยคนทศ่ี กึ ษามาแลว้ แลว้ ปฏบิ ตั ิ ทศ่ี กึ ษาแลว้ ปฏบิ ตั ไิ ดผ้ ล ทเ่ี รายอมรบั นะมหี ลวงตา
เจ้าคณุ เขียน มหาป่ิน แลว้ คนทศี่ กึ ษามา ๙ ประโยค ๑๐ ประโยค เต็มประเทศไทย แลว้ เขาปฏิบัติ
ท�ำไมปฏบิ ัติแล้วในความเห็นสังคมเชื่อ ใครเช่ือกแ็ ล้วแต่ แต่เราไมเ่ ช่อื เราไมเ่ ช่ือเลย นัน่ เขาไดบ้ าลี
480
ท้ังนน้ั เลย ได้บาลีเรายอมรบั ทวี่ ่าปฏิบัติแลว้ เราเหน็ ดว้ ย หลวงตาเปน็ พระมหา เจา้ คณุ เขียน ๙ ประโยค
แล้วกม็ หาปน่ิ นอ้ งหลวงป่สู ิงห์น้ัน ๕ ประโยค
แตท่ ไ่ี ม่ได้เรยี น ไม่ไดบ้ าลี หลวงป่มู ่ัน หลวงปเู่ สาร์ หลวงป่คู �ำดี หลวงปู่ฝั้น อาจารยส์ งิ หท์ อง
หลวงปลู่ ี หลวงปจู่ วน หลวงปผู่ าง หลวงป่เู ยอะแยะเลย หลวงปตู่ ้ือไม่ได้บาลี ไม่ไดบ้ าลี ผา่ นหมดเลย
แลว้ ไดบ้ าลีนะ ทีไ่ ดบ้ าลนี ะเรายอมรับหลวงตา ๓ ประโยค หลวงปเู่ ขียน ๙ ประโยค หลวงปู่มหาป่นิ
นอ้ งหลวงป่สู ิงห์นะต้องย�้ำๆ เพราะมนั มชี ื่อซ�้ำๆ กันเยอะ ได้บาลี ไดบ้ าลมี นั ก็อนั เดียวกบั ท่วี า่ ปฏิบัติ
แลว้ ต้องอา่ นพระไตรปฎิ กไหม ? ได้บาลี ปัญญามันเยอะ ยากนะ การแกไ้ ขน่ีแกไ้ ขยากมาก
ฉะนัน้ เราไม่ได้บาลี แต่คำ� วา่ ไม่ได้บาลี เขาเรยี กว่าไดอ้ รรถกับไดพ้ ยญั ชนะ ไดพ้ ยญั ชนะกับ
ได้อรรถมันต่างกันไหม ? อรรถ คอื เนอ้ื ความ หลวงปู่มน่ั ไมไ่ ดบ้ าลี แต่เวลาหลวงตาท่านได้บาลี
หลวงปู่มัน่ เวลาแปลบาลนี ะ เพราะของอย่างนมี้ ันอยู่ที่ผูท้ ่ปี ฏิบตั ิ เวลาปฏิบัติ เวลาธรรมเกดิ ธรรมเกิด
คอื อ�ำนาจวาสนาบารมี คอื สัจจะเวลาเกดิ จากใจ หลวงตาท่านบอกท่านเกดิ เปน็ ภาษาไทย หลวงป่มู ัน่
ท่านเกิดเป็นภาษาบาลี เวลาหลวงปู่จวนเกิดเป็นบาลี พระท่ีเกิดเป็นบาลี มันเกิดเป็นภาษาบาลี
เวลามนั แปลขยายความ มนั จะกวา้ งมาก แตห่ ลวงตาเวลาทา่ นผดุ ขนึ้ มาเปน็ ภาษาไทย หลายองคม์ าก
เวลาขนึ้ มา”
• ครูบาอาจารย์ส�ำคัญมาก
(๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘)
สมัยท่ีเราบวชใหม่ๆ ครูบาอาจารย์เยอะนะ ครูบาอาจารย์ หลวงปู่สิงห์ทอง หลวงปู่จวน
ครูบาอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ทั้งนั้นแหละ ครูบาอาจารย์มีชีวิตอยู่หมด เราอยู่กับครูบาอาจารย์ที่เป็น
คณุ ธรรม มีคุณธรรมมีชีวติ หมดเลย แลว้ เราไปศกึ ษาพวกนี้ ศึกษา
ไมใ่ ชค่ รบู าอาจารยท์ ่ีเอ่ยชื่อมานะ เราไปศกึ ษาจากพระทีว่ ่าจากเร่ิมต้นบวชใหม่ๆ กพ็ ระทรี่ ะดบั
เดยี วกัน เราโดนหลอกมาเยอะ เราโดนหลอกมาเยอะมาก โดนหลอกจนครั้งแรกเลยทีจ่ ะไมโ่ ดนหลอก
กเ็ ขา้ ไปหาอาจารย์จวน ไอท้ ี่วา่ ความสงบท้ังหมด อวชิ ชาดับมนั ต้องเป็นพระอรหนั ต์ เราก็รูไ้ ม่ไดเ้ ปน็
พระอรหันตห์ รอก แต่พอเข้าสมาธิแล้วอวชิ ชามนั ดับ มันกเ็ รยี กร้องพระอรหนั ต์ กอ็ วิชชามันดบั หมด
แล้ว อวชิ ชาดบั โดยการเข้าสมาธไิ ง กดไวไ้ ง แล้วไปหาใครกต็ อบไมไ่ ดห้ รอก สู้ใครกต็ อบไม่ไดเ้ พราะเรา
เถียงเก่ง
สดุ ท้ายพอไปถงึ อาจารย์จวนนะ “อวชิ ชาอย่างหยาบทา่ นสงบตัวลง” จรงิ ไหม ? จรงิ เพราะ
อวชิ ชามนั สงบจรงิ ๆ น่ีคนเปน็ ไง พอมนั ไม่เปน็ มนั ก็แถไปเรอ่ื ยแหละ แตค่ นเปน็ เห็นไหม ? “อวชิ ชา
อยา่ งหยาบของท่านสงบตวั ลง อวิชชาอยา่ งกลางๆ ในหวั ใจท่านอีกเยอะแยะเลย แลว้ อวชิ ชาอย่าง
ละเอียดในหัวใจทา่ นอกี ท่วมทน้ เลย” โอ๋ย ! มันเถียงไมอ่ อกเลย แต่กอ่ นกจ็ ะหาคนบอกอย่างน้ี แต่มนั
481
ไม่มใี ครบอก บอกกบ็ อกไม่ได้ พอไปเจอหลวงปู่จวนพูดอย่างนีต้ ูมเทา่ นน้ั แหละจบเลยนะ ใช่ อวชิ ชา
ไม่ได้ดบั หรอก ไออ้ ารมณฟ์ งุ้ ซ่านมนั ดบั อวิชชายงั เต็มหวั ใจ
ตั้งแตน่ ั้นมากเ็ ร่มิ ต้นใหม่ ทำ� ความสงบใหม่ สใู้ หม่ ท�ำจนได้เหตุได้ผล เพราะอะไร ? เพราะว่า
คนท่ีเป็นก็ถือปฏักอยู่ ถ้ากิเลสมึงปลิ้นปล้อนมาเอาปฏักสับหัวเลย กิเลสมันกลัวปฏักของอาจารย์
ไมไ่ ด้กลวั เรานะ กลัวปฏักของหลวงปจู่ วน มนั กเ็ ร่ิมภาวนาขึ้นๆ มนั กด็ ขี น้ึ ๆ ดขี น้ึ โอ้โฮ ! มนั กไ็ ปได้นะ
พอเคร่ืองบินตก โอ้โฮ ! คอตกเลยล่ะ พอเครื่องบินตก ท่านก็เสียชีวิต พอเสียชีวิต คิดดูสิคนที่คอย
บอกเราเสียชีวิต เราจะไปไหน หมดท่ีพ่ึงนะ จากโดนหลอกมาน่ีมันเจ็บช้�ำ โดนหลอกมา โอ้โฮ !
โดนหลอกเยอะมาก โดนหลอกมาเยอะ แลว้ พอมาเจอของจรงิ ทา่ นก็มาตายซะ ตายจากไป เราถึง
หกั หวั เขา้ บา้ นตาดไง เพราะคนโดนหลอกจนเข็ด
482
ภาค ๑๙ วงพระมหากษัตริย์กับท่านพระอาจารย์จวน
สถาบันพระพุทธศาสนาคู่สถาบันพระมหากษัตริย์
สถาบันพระพุทธศาสนาให้ความส�ำคัญต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างสูงสุด ซึ่งมีมาแต่คร้ัง
พุทธกาล เมื่อคร้งั สมเด็จพระบรมศาสดายงั ทรงพระชนม์ชีพอยู่ กษตั ริย์ตามแว่นแคว้นตา่ งๆ เสด็จมา
กราบทูลขอเข้าเฝ้าและกราบทูลขออาราธนานมิ นตก์ ันอยเู่ นอื งๆ และพระองคท์ รงบญั ญตั พิ ระวนิ ยั ให้
ความสำ� คัญต่อวงกษตั รยิ อ์ ยา่ งมาก เชน่ ภิกษไุ ปเพื่อจะดูเรอื นเป็นทปี่ ระพาสเล่นแห่งพระราชา และ
เรอื นศาลาซง่ึ วิจติ รด้วยลายเขียน และสวนเปน็ ทร่ี น่ื รมย์ และสวนอทุ ยาน และสระโบกขรณี เหล่าน้ี
ซึ่งเป็นท่ีเล่นสนุก เม่อื เดนิ ไป เป็นทุกกฏทุกก้าว หยุดยนื ในทใี่ ดไม่ยกเทา้ ขึน้ แลดแู ม้ซงึ่ ท่ที ้งั ๕ ในท่นี ้ัน
เป็นอาบัติทุกกฏตวั เดียว ถา้ เหลยี วไปดู ในท่นี น้ั ๆ เป็นอาบตั นิ ับด้วยประโยคทเี่ บือนคอไปดู ไมน่ บั ดว้ ย
หลบั ตาแล้วลืมข้นึ มกี จิ เปน็ ต้นว่า สลากภตั แลไปก็ดี แลไปเพราะอนั ตรายก็ดี ไมเ่ ป็นอาบตั ิ
หรอื พระเจา้ แผน่ ดนิ ท่ีเปน็ ชาตกิ ษัตรยิ ์ ไดม้ ูรธาภเิ ษกเป็นพระเจ้าแผ่นดินแลว้ ท้ังพระมเหสี
ด้วยอยู่ในหอ้ งท่ีบรรทมทงั้ ๒ องค์ องค์ใดองคห์ น่งึ ยังไม่เสด็จออก และภกิ ษใุ ดไม่ได้ทูลให้ทรงทราบ
ก่อน ล่วงธรณพี ระทวารหอ้ งพระบรรทมเข้าไป เทา้ ท่ีแรกเปน็ ทกุ กฏ เท้าท่ี ๒ เปน็ ปาจติ ตีย์ หรืออกี
ขอ้ หน่ึง หากสงฆส์ วดอโุ บสถอยู่ พระราชาเสด็จมาสงฆ์หยุดได้ ไมเ่ ป็นอาบัติ โดยท่านพระอาจารย์สงบ
มนสฺสนโฺ ต ไดเ้ มตตาเทศนเ์ รอื่ งนี้ไว้ดังนี้
“ราชาโน เหน็ ไหม ? เวลาในอโุ บสถนะ ถ้าเราสวดอุโบสถอย่นู ี้ ถา้ กจิ กรรมของสงฆไ์ ม่ส�ำเร็จ
ไป ภิกษลุ ุกออกจากสงฆน์ ไี้ ปเป็นอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ เวน้ ไว้ ! งูเข้ามาในสถานทีน่ ้ี เว้นไว้ไฟไหม้ เวน้ ไวแ้ ต่
กษตั ริย์เสดจ็ มา ราชาโนไง เวลากษัตรยิ เ์ สด็จมาสงฆห์ ยดุ ได้ สังฆกรรมนี้ใหพ้ ัก พักเพ่อื ตอ้ นรบั กษตั รยิ ์
กอ่ นเห็นไหม สงั คมท่มี ันรม่ เยน็ เป็นสขุ เพราะอะไร ? เพราะผู้นำ� ที่ดี สงั คมทด่ี ี เห็นไหม สมณะ ชี
พราหมณ์ อยดู่ ้วยความรม่ เย็นเป็นสขุ ”
การพบ “ช้างเผอื ก” และ การบังเกดิ ของ “พระอรหนั ต์” ซ่งึ เป็นเหตกุ ารณท์ เี่ กดิ ขึน้ ไดย้ ากย่ิง
ดังนั้น เม่ือ “ช้างเผือก” และ “พระอรหันต์” ได้เกิดขึ้นภายใต้ร่มเศวตฉัตรของพระมหากษัตริย์
พระองคใ์ ด โดยเฉพาะการบงั เกิดพระอรหนั ต์น้นั ซึ่งยากแสนยากจนไม่อาจน�ำมาเปรยี บเทียบกันได้
จึงย่อมเป็นเคร่ืองยืนยัน และเป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงพระบุญญาธิการอันเปี่ยมล้นยิ่งใหญ่ไพศาล
ของพระมหากษัตริย์พระองค์น้ัน และย่อมบ่งบอกถึงสถาบันชาติเป็นเอกราชเจริญรุ่งเรืองม่ันคงได้
เพราะมสี ถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ คกู่ ับ สถาบนั พระพุทธศาสนา สองสถาบนั หลกั น้ีไดส้ บื ทอดปกป้อง
รักษาสถาบนั ชาติกันมาอยา่ งยาวนานนบั แต่โบราณกาล โดยพระมหากษตั ริย์ทกุ ๆ พระองค์ ล้วนทรง
เป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกของพระพุทธศาสนา ผืนแผ่นดินไทยจึงร่มเย็น
ผาสกุ และอุดมสมบรู ณ์เตม็ เปย่ี มไปดว้ ยภกั ษาหารทางกาย คือ ขา้ วปลาอาหาร และภักษาหารทางใจ
คอื ธรรมะ สบื ตอ่ กันมาจวบจนรชั สมัยปจั จุบนั
483
ความส�ำคญั ของชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ ได้เมตตา
เทศนไ์ วด้ ังน้ี
“ถา้ เปรียบไปแลว้ ชาติเปน็ รา่ งกาย ศาสนาเปน็ เสน้ เลือดหลอ่ เลยี้ ง และพระมหากษัตริย์น้นั
เป็นหวั ใจ ชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์ ท้ังสามประการนต้ี อ้ งอยดู่ ว้ ยกนั ประกอบกัน บ�ำรุงรักษากนั
จะขาดไปส่วนใดส่วนหนึ่งมิได้ คนคิดร้ายท�ำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เป็นคนอัปรีย์จัญไร
ถ้าชาติขาดศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็เหมือนร่างกายมนุษย์ขาดเส้นเลือดหล่อเลี้ยงชีวิต ขาดหัวใจ
จะอยไู่ ดอ้ ย่างไร”
“อยา่ เปน็ คนทำ� ลายโลกขวางโลก ตอ้ งมคี วามสามัคคีปรองดองกนั ไม่แตกแยกกัน รักษาพฒั นา
บ�ำรงุ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ ข์ องตน อย่าไปคดิ โค่นและล้มท�ำลายชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์
มันเปน็ ส่ิงทอี่ ัปรยี ์ เป็นของไมด่ ี ทำ� ความช่ัว ความเสยี หาย เป็นบาป เปน็ กรรม เปน็ โทษแก่ตน”
ในหลวง ในสายตาพระอริยสงฆ์
“พระองค์มัวแตเ่ ป็นห่วงคนอนื่ แต่ไมท่ รงห่วงพระองคเ์ องบา้ งเลย...”
หลวงปแู่ หวน สจุ ิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
“ในหลวงพระองคน์ ้ี ท่านเป็นพระโพธิสตั ว์นะ...”
ท่านเจา้ คุณนรรัตนราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร
“ครูบาขาวปี วัดพระพทุ ธบาทผาหนาม เคยเปน็ ชา้ งนาฬาคิรี ส่วนในหลวงองคป์ ัจจบุ ันเปน็
ชา้ งป่าเลไลยก์นะ...” (ชา้ งป่าเลไลยก์ คือ พระโพธสิ ัตว์)
หลวงปูส่ ิม พุทธฺ าจาโร วดั ถ้�ำผาปลอ่ ง อ.เชยี งดาว จ.เชยี งใหม่
“การดูหมิ่นในหลวง ก็คือโค่นชาติบ้านเมือง เพราะน่ีคือหัวใจของชาติ ไม่ใช่เร่ืองเล็กน้อย
โลกอยไู่ ด้ด้วยของดี คนดี ไม่ใชอ่ ย่ไู ด้ดว้ ยของชว่ั คนช่ัว...
ในหลวงเปน็ คนดีมากที่สดุ เราหาไดท้ ี่ไหนในเมืองไทยเรานี้ พระองค์เสด็จนู้นเสด็จน้ี เราก็เห็น
ไมใ่ ชเ่ หรอ ไมไ่ ด้หยดุ เลย เหมอื นกังหัน เพราะความหว่ งชาตบิ ้านเมือง รักประชาราษฎร เพราะเป็น
ลูกของท่าน
เราจะหาใครไดอ้ ยา่ งในหลวง ท�ำไมไปต�ำหนใิ นหลวงได้ลงคอ คนคนนนั้ (ผดู้ ูหมน่ิ ในหลวง) เปน็
คนประเภทใด พิจารณาดูเถิด พึงบชู าคณุ ของคนดี เคารพ เลือ่ มใส ยินดี จะไปต�ำหนิในจติ เช่นน้ันแลว้
แสดงวา่ คนนนั้ เป็นคนทที่ ำ� ลายโลกได้อย่างรา้ ยแรงมาก เปน็ คนเลวมาก อยา่ ถอื เปน็ คตติ ัวอยา่ ง ไม่ดี”
หลวงตาพระมหาบวั าณสมฺปนโฺ น วัดป่าบ้านตาด อ.เมอื ง จ.อุดรธานี
484
พระราชด�ำรัสในโอกาสเสด็จออกทรงผนวช
โดยทพี่ ระพทุ ธศาสนาเปน็ ศาสนาประจำ� ชาตขิ องเรา ทงั้ ตามความศรทั ธาเชอื่ มน่ั ของขา้ พเจา้ เอง
กเ็ หน็ เปน็ ศาสนาทด่ี ศี าสนาหนงึ่ เนอื่ งในบรรดาสจั ธรรมคำ� สงั่ สอนอนั ชอบดว้ ยเหตผุ ล จง่ึ เคยคดิ อยวู่ า่
ถา้ โอกาสอ�ำนวย ขา้ พเจา้ ควรจกั ได้บวชสักเวลาหนงึ่ ตามราชประเพณี ซง่ึ จักเปน็ ทางสนองพระเดช–
พระคุณพระราชบูรพการีตามคตินิยมด้วย และนับตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ครองราชย์สืบสันตติวงศ์ต่อจาก
สมเดจ็ พระเชษฐาธริ าช ก็ลว่ งมากวา่ สบิ ปแี ล้ว เห็นวา่ นา่ จะถงึ เวลาทคี่ วรจะท�ำความตั้งใจไวน้ นั้ แล้ว
ประการหนงึ่ อนง่ึ การทอ่ี งคส์ มเดจ็ พระสงั ฆราชหายประชวรมาได้ ในคราวประชวรครง้ั หลงั น้ี กอ่ ใหเ้ กดิ
ความปีติยินดีแก่ข้าพเจ้าย่ิงนัก ได้มาค�ำนึงว่า ถ้าในการอุปสมบทของข้าพเจ้า ได้มีองค์สมเด็จ–
พระสังฆราชเปน็ พระอปุ ัชฌาย์แลว้ กจ็ กั เป็นการแสดงออกซ่ึงความศรทั ธาเคารพในพระองค์ทา่ นของ
ขา้ พเจา้ ไดอ้ ย่างเหมาะสมอกี ประการหนง่ึ จ่ึงได้ตกลงใจที่จะบรรพชาอุปสมบทในวนั ท่ี ๒๒ เดอื นนี้
(ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๙๙)
เหตุที่ในหลวงรู้จักหลวงปู่จวน
ทา่ นพระอาจารยเ์ ตมิ ศักดิ์ ยุตฺตติธมฺโม ไดเ้ มตตาเล่าเรอื่ งน้ไี วด้ งั น้ี
“ในหลวงรู้จกั หลวงปู่จวน เรอื่ งเรม่ิ ตน้ คอื ในหลวงท่เี หตนุ ิมนต์เข้าวงั นะ ก็เพราะ ดร.เชาวน์
ณ ศีลวันต์ นเี่ ปน็ ตวั เช่ือม เขาก็เริ่มทางหลวงป่นู ่แี หละ เขาเปน็ ลูกศิษยห์ ลวงปู่ขาวนลี่ ่ะ หลวงปูข่ าว
หลวงปจู่ วนก็เช่อื มโยงไง แล้วกเ็ ขาก็เร่ิมเชือ่ มหลวงตามหาบวั นี่ เพราะคนนเ้ี ขาเป็นพวกลูกศษิ ย์รถไฟ
แล้วก็มาเลอื่ มใสพอ่ แม่ครบู าอาจารย์ พอเขาไปอยใู่ นองคมนตรี เขาก็ไปแนะน�ำในหลวงใหร้ ูจ้ กั ท่าน
แลว้ มานิมนต์ท่านเข้าวัง ดร.เชาวนน์ ี่เอง ตวั เชอ่ื มโยง
ในหลวงเป็นนักพฒั นา หลวงปจู่ วนกเ็ ปน็ นกั พฒั นา คอื หลวงปู่ทา่ นไมไ่ ดเ้ รยี นทางอะไร คือ
เกีย่ วกับระบบบริหารจัดการ แตท่ ่านมจี ิตเมตตาท่จี ะใหช้ าวบ้านมีอยู่ มกี นิ มใี ช้ เรอ่ื งนคี้ ือมีแหลง่ น้�ำ
ให้ชาวบา้ นไดใ้ ช้ ท่านชอบทำ� ตรงนี้ คอื ความหมายคือทา่ นให้ สว่ นใหญ่ทา่ นก็ปั้นฝาย ท�ำอ่างเก็บน้ำ�
ท�ำฝายนำ้� ให้ชาวบ้านได้ใชล้ ะ่ นะ คอื อนั น้ีกเ็ ปน็ เรือ่ งปกติของทา่ น มันก็เชอ่ื มโยงเพราะทา่ น หลวงปู่
ทา่ นกม็ ีเมตตาใหช้ าวบา้ นได้พึง่ พาอาศัย”
ท่านเอาเยี่ยงอย่างโคผู้สงวนหนัง
(จากหนงั สอื กลุ เชฏฐาภิวาท)
ท่านอาจารยจ์ วน เป็นพระปา่ พอใจอยู่แตใ่ นปา่ ในเขาเปน็ ปกตมิ าตัง้ แต่สมยั ยังเป็นพระนอ้ ย
ท่านกล่าวเสมอว่า พระพุทธเจ้าทรงแนะน�ำให้พระภิกษุแสวงหาท่ีวิเวก พึงซ่อนเร้นท�ำความเพียรอยู่
ตามท่สี งัด ปราศจากความคลุกคลี เหมอื นโคท่ีไม่มีหนังหุ้มห่อร่างของมัน มันจะกลวั กา กิ่งไม้ แมลงวนั
485
มาจกิ หรอื ท่มิ เนือ้ มัน มันจะออกหากินในทล่ี ับๆ กะว่าไม่มีอนั ตราย จนกวา่ หนังของมันจะงอกคลมุ รา่ ง
หายเป็นปกติ ฉนั ใด โคไมม่ หี นงั ฉนั นน้ั
พระภกิ ษุในธรรมวินยั ตอ้ งมีสติ ประคบั ประคองตวั เองใหบ้ ริสทุ ธอิ์ ยเู่ สมอ กลัวกา หรือ อีแรง้
คือ รปู เสียง กลิน่ รส โผฏฐพั พะ จะรมุ จกิ กิน ให้ประคับประคองตนปรารภความเพยี ร อย่าประมาท
ย่อมจะถึงทส่ี ดุ ยอดของพระธรรมวินัย คือ พระนิพพานได้ พระพุทธเจ้าจึงแนะน�ำใหภ้ ิกษุเอาเย่ยี งอยา่ ง
โคผู้สงวนหนัง ท่านบำ� เพ็ญตนเย่ียงโคผู้สงวนหนงั ซอกซอนซอ่ นตัวอย่ใู นป่า กบั พวกข่าพวกโซ่ง แทบจะ
ไม่รูจ้ กั โลกภายนอกท่ีเจริญของคนกรุง
ท่านเลา่ วา่ หลวงปอู่ ่อน าณสิริ และ หลวงป่ฝู ้ัน อาจาโร เคยบอกทา่ นว่า ไม่ต้องเขา้ มา
ในเมอื งหรอก อยู่ปา่ รกั ษาเนือ้ รักษาตวั ไปกอ่ น พวกทา่ นจะมาเป็นทัพหนา้ ปะทะพวกในเมืองไวใ้ หเ้ อง
ตอ่ มาภายหลงั เม่ือท่านเริม่ ออกจากป่าดงพงพี มีการสร้างภูทอก กไ็ ดพ้ บผ้มู ีชื่อเสยี งของจังหวดั และ
ของบ้านเมืองบา้ ง แต่รู้สึกว่า ทา่ นไม่ค่อยจะสนิทใจที่จะรบั แขกคนใหญ่คนใดนกั
อธบิ ดีทา่ นโน้น ทา่ นปลัดกระทรวงนน้ั กระทรวงน้ี ผ้วู ่าราชการจงั หวัดนนั้ มาภูทอก ทา่ น
มักจะเลยี่ งหนี ถ้ามากรงุ เทพฯ ก็ถอื ว่า ทา่ นอาจารย์วนั จะเปน็ ผูร้ ับแขกผู้มเี กียรติเหลา่ น้นั โดยตลอด
ทา่ นจะนงั่ เงียบๆ อยูถ่ ัดมา ใครตั้งขอ้ สงั เกต ท่านจะแก้ว่า “ไก่ปา่ ขันตัวเดยี ว” เสมอ
ดงั นนั้ เมอื่ วนั หนง่ึ มขี า่ ววา่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั จะเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ไปทอด
พระเนตรโครงการอา่ งเกบ็ นำ�้ บา้ นนาตอ้ ง ซง่ึ อยใู่ กลภ้ ทู อก และจะเสดจ็ มาทภ่ี ทู อกดว้ ยทา่ นจงึ เตรยี มท่ี
จะเลย่ี ง แตเ่ มอ่ื ทกุ คนยนื ยนั วา่ ไมถ่ กู ตอ้ ง ทา่ นกเ็ รยี กผเู้ ขยี นไปปรกึ ษาวา่ จะทำ� อยา่ งไร ? ทา่ นเปน็ พระปา่
ไมเ่ คยรบั เสดจ็ เจา้ ฟา้ เจา้ แผน่ ดนิ ไมร่ จู้ กั ราชาศพั ท์ เกรงจะผดิ พลาด กราบเรยี นทา่ นวา่ ไมต่ อ้ งเปน็ หว่ ง
เรอ่ื งราชาศพั ท์ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั และ สมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ นี าถ
ทรงเคารพพระทเ่ี ปน็ “พระ” ทรงเขา้ พระทยั “ภาษาใจ” เชน่ พระปา่ เหมอื นกนั
เรื่องเล่าในหลวงทรงเย่ียมนมัสการท่านพระอาจารย์จวนครั้งแรก
(จากหนังสอื กุลเชฏฐาภวิ าท)
… ใกลจ้ ะถงึ กำ� หนด ทราบวา่ ทางการขอนมิ นตใ์ หท้ า่ นไปนงั่ ในปะรำ� รบั เสดจ็ เพราะจะไมเ่ สดจ็
ท่วี ัด ท่านอาจารย์จวนบ่นวา่ “เอ ! เขาจะใหไ้ ปทำ� อะไร ? เขาจะวา่ เป็นพระไปประจบพระราชา
พระเจ้าอยู่หัวท่านไม่ทราบเรื่อง ถ้าเสด็จมาผ่านไป ไม่ทราบว่าพระอะไรมานั่งท�ำไม อาตมาก็เสีย
พระวินัยมีไมใ่ ห้ประจบพระราชา ทา่ นก็จะเสยี วา่ ไม่เคารพพระ ไมด่ ีด้วยกันทัง้ นั้น”
ทา่ นรองผู้วา่ ฯ กราบเรียนช้แี จงว่า ที่ไม่ได้เสดจ็ ที่วดั นน้ั เพราะเวลามจี �ำกัด จะต้องเสด็จไป
เร่ืองโครงการชลประทานถึง ๒ ต�ำบล ทางการจึงนิมนต์ให้ท่านอาจารย์ไปที่ปะร�ำรับเสด็จ เร่ืองท่ี
486
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะไม่ทรงทราบเรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะทางกรุงเทพฯ แจ้งมาว่ามี
พระราชประสงคจ์ ะทรงกราบนมสั การท่านอาจารยจ์ วน
นี่เมื่อครู่น้ีก็มีวิทยุมา ผมเพิ่งรับข่าว รับส่ังถามเร่ืองเครื่องไทยทานที่จะถวายพระอาจารย์
เรียบร้อยไหม ? ถ้าท่านไม่ออกไปพวกผมตายแน่
เม่อื ทราบความแน่นอนว่าจะไม่ผิดพระวนิ ยั แล้ว ท่านก็รบั ว่าจะไปอยใู่ นปะร�ำ แตก่ ็เกดิ ปัญหา
ใหมข่ ึ้น ซึ่งทำ� ให้ทุกคนในที่นัน้ อดอทุ านไมไ่ ด้ ผเู้ ขียนน้นั ตอ้ งรอ้ งอกี ครง้ั หน่งึ “โธ่ ! ท่านอาจารย”์
ปัญหาของท่าน คือ ถ้าเสดจ็ มาจะรไู้ ดอ้ ย่างไรวา่ คนไหน คือ ในหลวง
ท่านย้ิมอายๆ เมื่อเหน็ ทกุ คนหัวเราะขึ้นพร้อมๆ กนั “ก็ไมท่ ราบจรงิ ๆ”
เป็นอันตกลงว่าเวลาเสด็จพระราชด�ำเนิน ท่านรองผู้ว่าฯ จะต้องคอยอยู่ใกล้ชิดท่านอาจารย์
เพอ่ื คอยบอกใหท้ ่านทราบ คงไมม่ ีปัญหา แตป่ ญั หาก็ยังคงมีจนได้ กล่าวคือ เมื่อเสด็จพระราชดำ� เนนิ
มาถงึ ปะร�ำ พวกเราทเี่ ฝา้ ทูลละอองธลุ พี ระบาทอยู่ไม่ไกลนักเห็นถนัดวา่ ทา่ นอาจารยม์ ีการสะดุ้งเม่ือ
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงกราบทา่ น ทรงคกุ พระชานุ มีพระราชปฏสิ นั ถารกับท่านอาจารย์
เป็นเวลานาน และตลอดเวลาท่านอาจารย์ก็กราบทูลอย่างย้ิมแย้มไม่ติดขัด จริงแท้ราชาศัพท์ไม่มี
ความจ�ำเป็นเลย
ต่อเมอื่ เสด็จพระราชด�ำเนนิ กลับแล้ว เราจึงทราบสาเหตขุ องอาการสะดุง้ ของท่าน เพราะทา่ น
ต่อว่าท่านรองผวู้ า่ ฯ “ไหนว่าจะคอยบอกว่าคนไหนเปน็ ในหลวงไง เราเกอื บแยเ่ ลย”
คราวนที้ ุกคนหวั เราะกนั ครนื ใหญ่ ได้ความว่า เวลาขบวนเสด็จใกลจ้ ะมาถึงปะร�ำ ท่านก็ถาม
ทา่ นรองผ้วู า่ ฯ ซำ�้ อกี ทา่ นรองผู้วา่ ฯ อธิบายว่า คนแรกน้ันแหละในหลวง ไมม่ ใี ครกล้าเดินก่อนหน้า
ในหลวงหรอก และทจ่ี ะสังเกตได้อีกประการหนึ่ง คือท่านจะทรงถอื วิทยุในพระหัตถ์ด้วย
ทา่ นอาจารย์กเ็ ช่ือ คอยรออยู่ เหตุนี้เม่อื พล.ต.อ.วสษิ ฐ เดชกญุ ชร เดนิ น�ำมาในฐานะที่เปน็
ตำ� รวจประจ�ำพระราชส�ำนักขณะนัน้ ก็ต้องนำ� เสด็จเป็นปกติ เดินมาเป็นคนแรก แถมในมือถือวิทยุ
ตรงตามข้อสรุปแนะของท่านรองผู้ว่าฯ พอดีท่านอาจารย์จึงสงสัยเม่ือเห็นคุณวสิษฐเดินเลย
ผ่านท่านไป ซ่ึงกเ็ ปน็ ธรรมดาของท่านผูม้ หี น้าทีถ่ วายอารกั ขาจะน�ำเสดจ็ และไปหยุดรอขา้ งหน้า ส่วน
ท่านอาจารยก์ ค็ ิดร�ำพงึ ว่า “เอ ! ทำ� ไมในหลวงเสดจ็ ผา่ นเลยไป”
ดงั นนั้ เมอื่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เสดจ็ มาประทบั เบอ้ื งหนา้ ทา่ น ทรงกราบนมสั การใกล้
จนแทบจะถกู ตักท่านอาจารย์ ซงึ่ ก�ำลงั มองตามคณุ วสิษฐ จงึ สะดุ้งอย่างไมค่ าดคิด
ท่านย้มิ อย่างเขิน เม่อื อธบิ ายวา่ “คดิ ว่าท่านจะแตง่ เคร่ืองแบบ”
487
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ทรงฉลองพระองคแ์ บบเสื้อเบลเซอร์ ในขณะทค่ี ุณวสษิ ฐแตง่
เครอ่ื งแบบ เป็นเรื่องขบขนั ทีเ่ ราแอบนำ� มาเลา่ กันอยู่นานทเี ดียว แต่ความจริงลกึ ๆ ลงไปในใจ เราก็
อดคิดไม่ไดว้ า่ น่ีแหละพระป่า ทา่ นอย่แู ต่ในปา่ ในเขา... ไม่สนใจเรอ่ื งภายนอกกนั จริงๆ
หลังจากเสด็จพระราชด�ำเนินคร้ังน้ัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ส�ำนักพระราชวังมีฎีกา
นมิ นต์ใหท้ า่ นอาจารยไ์ ปในงานพธิ โี อกาสต่างๆ อย่เู ปน็ ปกติ
ในหลวงนิมนต์ท่านไปฉันเพลในวัง
คุณหมอประพักตร์ โสฬสจนิ ดา ไดเ้ มตตาเล่าเรื่องน้จี ากคำ� บอกเล่าของทา่ นพระอาจารย์จวน
ไวด้ ังนี้
“เร่ืองพระเจา้ อยู่หวั เคยนิมนตอ์ าจารย์จวนไปฉันในวงั เคยคุยกนั ถามว่า อาจารยไ์ ปในวังน่ะ
อาจารยไ์ มฉ่ นั เพล ในหลวงมกั จะนมิ นตไ์ ปฉนั เพลเนาะ ฉนั เชา้ ไมค่ อ่ ยมี เอา้ ! อาจารยไ์ ปฉนั ยงั ไงกนั เหรอ
อาจารยไ์ ม่ได้ฉันเพล “เอา้ ! เราก็สะพายบาตรไปอยู่ เรากว็ างบาตร ท่านใส่บาตรมา เราก็ปิดบาตร
แล้วก็เอามาให้ลูกศิษย์ซ่ี” แล้วเราถามว่า “เอ้า ! แล้วในหลวงท่านไม่ว่า” “ท่านรู้อยู่” แต่ต้องมี
บาตรตัง้ ทา่ นก็ใส่ธรรมดา แตอ่ าจารยจ์ วนกไ็ มไ่ ด้ฉันนะ แลว้ ทา่ นก็พูดกับผมว่า “โอ้ ! พระเจา้ อยหู่ วั
ก็เปน็ คนมีความคิดไม่ใชธ่ รรมดาๆ”
เพราะวา่ อาจารยจ์ วนไปทีหน่งึ น่ี เวลาถวายเงิน อาจารย์จวนจะถกู ถวายมากกว่าเพอ่ื น ท่านก็
บอกว่า เวลาพระผู้ใหญ่ สมเดจ็ ทา่ นไปนั่งหนา้ อาจารยจ์ วนจะนั่งอยู่ทา้ ยแถว เพราะวา่ ในหลวงพอไปถงึ
อาจารยจ์ วน จะพดู เบาๆ วา่ “ทา่ นรอกอ่ นนะ” เพราะทา่ นเป็นพระบา้ นนอก ไปทีหลังเขา คือเวลาถวาย
สมมุตวิ า่ องค์นี้ ๕๐,๐๐๐ บาท จะถวายนี่ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ก็ไมไ่ ด้ ทา่ นวา่ เออ ! รอไป ปุบ๊ ป๊ับๆ ถวาย
ทลี ะ ๕๐๐,๐๐๐ บาท ๓๐๐,๐๐๐ บาท แล้วกว็ ่า เออ ! ในหลวงก็รู้จัก ท่านว่า “เราพระบา้ นนอก
อยู่ไกล จตุปัจจัยมคี วามส�ำคญั ”
บันทึกตามเสด็จวงพระมหากษัตริย์กับท่านพระอาจารย์จวน
เมอื่ วนั ท่ี ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พรอ้ มด้วยสมเดจ็ –
พระนางเจ้าสิริกติ ์ิ พระบรมราชนิ นี าถ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จ–
พระเจ้าลกู เธอ เจ้าฟ้าจฬุ าภรณวลยั ลักษณ์ อัครราชกุมารี เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ บา้ นนาต้อง ต�ำบล
โคกก่อง อ�ำเภอบึงกาฬ ในครั้งนนั้ ไดท้ รงมพี ระราชด�ำรัสกบั พระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ แห่งวัดภูทอก
(วัดเจตยิ าคิรวี ิหาร) ทรงถวายยาชดุ และผ้าหม่ แก่พระอาจารยจ์ วนดว้ ย นบั เปน็ วาระแรกทีท่ รงเยี่ยม
นมัสการพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ และทรงมีพระราชด�ำรัสทางธรรมะด้วย นับแต่น้ันมาก็ทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ใหน้ ิมนต์มาในงานพระราชพธิ แี ละงานพธิ ีต่างๆ เป็นปกติประจ�ำ
488
เม่ือวนั ท่ี ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๒ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นมิ นต์
ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ พร้อมด้วยทา่ นพระอาจารย์วัน อตุ ฺตโม ทา่ นพระอาจารยส์ งิ หท์ อง
ธมมฺ วโร ท่านพระอาจารยส์ พุ ฒั น์ สุขกาโม เน่ืองในวนั พระราชสมภพ
เมื่อวนั ที่ ๑๑ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๒๒ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัว พรอ้ มด้วยสมเด็จ–
พระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชนิ นี าถ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี และสมเดจ็ –
พระเจ้าลูกเธอ เจา้ ฟา้ จฬุ าภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จพระราชด�ำเนินเยอื นอ่างเกบ็ น้�ำภทู อก
เสด็จพระราชด�ำเนินทรงเย่ยี มนมสั การทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ อกี วาระหนึ่ง
เมื่อวนั ท่ี ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี นิมนต์
ท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ พรอ้ มดว้ ยท่านพระอาจารยว์ ัน อุตฺตโม อีกวาระหนง่ึ เนอ่ื งในวัน
พระราชสมภพ
เมอ่ื วันท่ี ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ เม่ือทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ประสบอบุ ัตเิ หตุ
เครื่องบนิ ตกถึงแก่มรณภาพ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน
พระบรมราชานุเคราะห์ บ�ำเพ็ญพระราชกุศลพระราชทานตลอด ๗ วัน ณ วัดพระศรีมหาธาตุ–
วรมหาวิหาร กรุงเทพฯ
เมอ่ื วนั ที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัว พรอ้ มด้วยสมเด็จ–
พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้เสด็จพระราชด�ำเนินทรง
บ�ำเพ็ญพระราชกุศล ๗ วัน พระราชทานศพพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ และพระคณาจารย์
ณ ศาลาตสิ สเถระ วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวหิ าร กรงุ เทพฯ
ระหวา่ งตั้งศพบำ� เพญ็ กุศล ณ ศาลาติสสเถระ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินนี าถ มาทรง
กราบคารวะศพ ทรง “รว่ มทกุ ข์” พระราชทานพระราชวโรกาสให้ศษิ ยานศุ ษิ ยไ์ ดเ้ ฝ้าแหนโดยใกล้ชดิ
เกือบทุกคืน เกือบทุกคืนเชน่ กันเมื่อเสดจ็ พระราชด�ำเนินกลบั แล้ว และคนบางตาลงจะเสดจ็ ยอ้ นกลบั
มาอกี เพอ่ื ทรงจัดดอกไม้หน้าศพถวายเพ่มิ เตมิ ด้วยพระองคเ์ อง และทรงฉีดน�้ำใหด้ อกไม้ทท่ี รงจัดแลว้
เมอื่ วนั ที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๔ ในวันพระราชทานเพลงิ ศพทา่ นพระอาจารยจ์ วน
กุลเชฏโฺ ณ เมรชุ ่วั คราวหนา้ วัดเจตยิ าคิรวี หิ าร (วัดภทู อก) ซึง่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ไดเ้ สดจ็
พระราชด�ำเนินมาเป็นองคป์ ระธาน พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิรกิ ิติ์ พระบรมราชินีนาถ สมเดจ็ –
พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี และ สมเด็จพระเจ้าลกู เธอ เจา้ ฟา้ จุฬาภรณวลัยลกั ษณ์
อัครราชกุมารี
489
เม่ือวนั ท่ี ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ สมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินนี าถ พระราชทาน
รปู ปัน้ เหมอื นท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ
เม่อื ราษฎรในเขตจงั หวัดหนองคาย นครพนม สกลนคร อดุ รธานี และจังหวดั ใกล้เคยี งร�ำพงึ
รำ� พันกนั ถึงความวา้ เหวข่ าดท่ีพ่งึ ทางใจ เมือ่ มิไดม้ ีทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ ประจ�ำอยทู่ วี่ ดั
ภทู อกอีก ความทราบถงึ พระเนตรพระกรรณ
สมเดจ็ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินนี าถ ทรงพระมหากรุณาพระราชทานรปู ปัน้ เหมอื นท่าน
พระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ใหแ้ ก่วัดเจตยิ าคิรวี ิหาร ส�ำหรบั เป็นทส่ี ักการบูชาของมหาชนสืบตอ่ ไป
โดยได้เสด็จพระราชด�ำเนินมาทรงพระสุหร่ายและพระราชทานรูปปั้นทั้งสององค์ ปัจจุบันได้อัญเชิญ
ประดิษฐาน ณ ศาลาเฉลมิ พระเกยี รติเชงิ เขา และ ณ ทีซ่ ง่ึ ทา่ นพระอาจารย์จวน เคยนงั่ เป็นประจ�ำ
บนศาลาวหิ ารเขาชัน้ ท่ี ๕
ในระหว่างเสด็จพระราชด�ำเนิน ได้มีการจัดน�ำพระบรมสารีริกธาตุลักษณะและวรรณะต่างๆ
พระธาตทุ า่ นพระอาจารยม์ น่ั ภรู ทิ ตตฺ มหาเถร และพระธาตขุ องบรรดาสานศุ ษิ ยข์ องทา่ นพระอาจารยม์ นั่
รวมทงั้ พระธาตุของทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ถวายให้ทอดพระเนตรดว้ ย ทรงถวายสกั การะ
และทอดพระเนตรด้วยความสนพระทยั และพระราชศรทั ธาปสาทาธกิ ารเป็นเวลานาน
ระหว่างเสด็จพระราชด�ำเนินไปพระราชทานรูปปั้นเหมือนท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ
ทรงทราบว่า หลวงปูห่ ลยุ จนฺทสาโร ซงึ่ เป็นประธานการสรา้ งเจดียพ์ พิ ิธภัณฑ์ทา่ นพระอาจารย์จวน
กุลเชฏฺโ อยู่ในบรเิ วณพธิ ี สมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินนี าถ กเ็ สด็จมาทรงกราบด้วยพระราช
ศรทั ธาปสาทาธิการ
เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะทรงพระสุหร่าย เมฆที่ด�ำมืดบังพระอาทิตย์
อย่นู ้ันได้แหวกแยกออก เหมือนมา่ นสองไขถกู รดู ออกจากกนั เห็นดวงอาทิตย์ทรงกลดอยตู่ รงกลาง
ลิบขอบเมฆด�ำเป็นสีทอง เป็นภาพท่ีงามประหลาดมาก ได้กลิ่นดอกไม้โชยมาอ่อนๆ ตลอดเวลา
มผี สู้ งั เกตเหน็ ไดก้ ราบบังคมทลู ใหท้ รงทราบ ทรงเงยพระพกั ตรข์ ้นึ ทอดพระเนตร รับสงั่ วา่ “งามมาก
เปน็ บารมขี องท่านอาจารย”์ แล้วทรงแนะใหผ้ เู้ ฝา้ ทลู ละอองธลุ ีพระบาทอยโู่ ดยใกลช้ ิดชมดว้ ย
หลังจากเสด็จพระราชด�ำเนินเยี่ยมราษฎรท่ีมาเฝ้ารับเสด็จ จนเวลาพลบค่�ำแล้วยังมิได้เสด็จ
กลับ หากเสด็จย้อนกลับมานมัสการหลวงปู่หลุยอีกวาระหนึ่ง ทรงสดับธรรมและทรงธรรมสากัจฉา
ด้วยความสนพระราชหฤทยั ย่ิง
เมอ่ื วันท่ี ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั สมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินนี าถ พร้อมดว้ ยสมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี เสด็จพระราชด�ำเนิน
ทรงประกอบพิธีบรรจุอัฐิธาตุและทรงเปิดเจดีย์พิพิธภัณฑ์ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ณ วัด
เจตยิ าคิรีวหิ าร
490
เจดีย์พิพิธภัณฑ์นี้ คณะศิษยานุศิษย์ท่านพระอาจารย์จวน สร้างถวายเป็นพุทธบูชาและ
น้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ในวโรกาสปีรัชมงั คลาภิเษก ทีท่ รงครองราชย์มานาน
ยง่ิ กวา่ พระมหากษัตราธริ าชเจ้าในประวัติศาสตรช์ าตไิ ทย
ระหวา่ งทจ่ี ะทรงบรรจอุ ฐั แิ ละพระธาตขุ องทา่ นพระอาจารยจ์ วน ลงในเจดยี จ์ ำ� ลองหนิ ออ่ นทจี่ ะ
อญั เชญิ ขนึ้ ไปไวบ้ นยอดเจดยี ใ์ หญ่ เจา้ หนา้ ทเี่ ขา้ เฝา้ กราบบงั คมทลู พระกรณุ า ถวายรายงานรายละเอยี ด
ของพระธาตุท่านพระอาจารยจ์ วน ในลักษณะพรรณและสณั ฐานตา่ งกัน
หลงั จากทรงบรรจอุ ฐั แิ ละพระธาตลุ งในเจดยี จ์ ำ� ลองแลว้ พนกั งานเจา้ หนา้ ทเ่ี ชญิ เจดยี จ์ ำ� ลองมา
ทม่ี ณฑลพิธี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั ทรงชกั สายวสิ ตู ร เชิญเจดีย์จ�ำลองทบ่ี รรจอุ ฐั แิ ละพระธาตุ
ขน้ึ บนยอดเจดยี พ์ ิพิธภณั ฑ์
บันทึกเหตุการณ์งานพระราชพิธีบรรจุอัฐิและเปิดเจดีย์พิพิธภัณฑ์
ท่านพระอาจารย์จวน
เรยี บเรียงจากบันทึกของพระอปุ ัฏฐากหลวงปชู่ อบ านสโม
งานสำ� คัญในครัง้ น้ี องค์หลวงปูช่ อบ านสโม องค์หลวงตาพระมหาบัว าณสมฺปนฺโน
องค์หลวงปสู่ ุวัจน์ สุวโจ และวงกรรมฐาน ตลอดจนญาตโิ ยมไปรว่ มงานคร้งั นี้กนั มาก ดงั นี้
“เชา้ วันที่ ๒๘ พฤศจกิ ายน ๒๕๓๓ องคท์ า่ นหลวงปู่ชอบและลูกศิษย์ตดิ ตามมาฉนั ภตั ตาหาร
ท่บี ้านลกู ศษิ ยท์ บี่ ้านแพง หลงั ฉันภตั ตาหารแลว้ หลวงปู่ทา่ นพกั จนถงึ เวลาเท่ยี ง พอไดเ้ วลาเดนิ ทางไป
วัดเจตยิ าคริ ีวหิ าร (วัดภทู อก) รถว่งิ มากอ่ นจะถึงอำ� เภอศรีวไิ ล จ่ๆู หลวงปทู่ ่านบอกเปลี่ยนแผนเดินทาง
ทา่ นบอกอย่าพึง่ เข้าไปภูทอกตอนน้ี ใหแ้ วะพกั ข้างทางกอ่ น ลกู ศษิ ย์จึงพาหลวงปแู่ วะพกั ฉนั นำ้� ท่ีบา้ น
ลกู ศิษยใ์ กลต้ ลาดอ�ำเภอศรีวไิ ล
ระหว่างพกั ฉันนำ้� เรียนองคท์ า่ นวา่ ท�ำไมหลวงป่ไู มเ่ ขา้ ไปวัดภูทอกทเี ดยี วเลย จะได้พกั ผอ่ น
รอเวลาอยู่ทน่ี น่ั จะสะดวกดกี วา่ ถ้าเราเข้าไปช้า เจา้ หน้าทตี่ �ำรวจทหารเขาจะปิดถนนเพ่ือความสะดวก
ในการรบั เสดจ็
หลวงปูท่ ่านบอก “ทเี่ ราไมเ่ ข้าไปตอนนเี้ พราะทา่ นมหาบัวเดินทางมาถงึ วดั ภทู อกแลว้ มหาบวั
ท่านจะแสดงธรรม เราบ่ (ไม่) อยากไปรบกวนเวลาคนฟังธรรม ถา้ เข้าไปตอนน้พี ระเณรญาติโยมก็จะ
พากนั แห่มาห้มุ ลอ้ มเราเฉยๆ มนั ไม่เกิดประโยชน์กบั ตัวเขา ใหเ้ ขาไดฟ้ งั ธรรมท่านมหาบัวดีกวา่ จะได้
เกดิ ประโยชนป์ ัญญากับพระเณรญาตโิ ยม”
บรรดาพระศิษย์ตลอดฆราวาสไมม่ ีใครทราบว่าองคห์ ลวงตามหาบวั ทา่ นมาเทศน์ในงาน
491
จงึ ถามหลวงปู่ “หลวงตามหาบวั ทา่ นมาแท้บค่ รบั (มาจริงไหมครบั )” องคท์ า่ นบอก “ตอนน้ี
มหาบัวทา่ นก�ำลงั แสดงธรรมอยู่ ถา้ อยากรู้ไปถึงวัดแลว้ คอ่ ยถามท่านแยงดู”
บา่ ยสองโมงครงึ่ หลวงปู่ทา่ นบอก “ออกเดนิ ทางไปวดั ภทู อกไดแ้ ลว้ มหาบวั ทา่ นเดนิ ทางกลับ
บา้ นตาดแล้ว”
พอรถมาจอดท่ีหน้าศาลาวัดภูทอก อุ้มหลวงปู่พาท่านขึ้นไปพักผ่อนท่ีศาลาวัดภูทอก ครูบา–
อาจารย์ พระภิกษุ สามเณร ตลอดทั้งญาติโยมพากนั มากราบหลวงปู่จ�ำนวนมาก จนเกอื บเต็มศาลาวัด
ภูทอก เห็นภาพแบบน้ีแล้วไม่ว่าจะไปที่ไหนกับองค์ท่าน พระเณรผู้คนจะมารุมล้อมช่ืนชมบารมีธรรม
ขององค์ทา่ นประจ�ำแบบน้ี เห็นแล้วก็ชื่นตาช่นื ใจไปกบั ทกุ ทา่ น อดคดิ ไมไ่ ด้ว่าบารมธี รรมขององค์ท่าน
หลวงปูช่ อบนีย้ ิ่งใหญจ่ ริงๆ
ท่านอาจารย์แยง เจ้าอาวาสวดั ภทู อกกราบเรียนองค์ท่านวา่ “ขา้ น้อยนกึ วา่ หลวงปู่จะไมม่ า
พระเณรญาติโยมก็ถามหาหลวงปแู่ ตกแซวๆ ว่าหลวงปชู่ อบท่านจะมาหรอื ไม่มา”
หลวงปชู่ อบท่านวา่ “ถา้ เรารบั ปากว่ามา ก็คอื มา เม่อื วานไปพักโปรดสตั ว์อยภู่ ลู ังกา มาถงึ
ศรีวิไลก็เลยยัง้ รออยู่กอ่ น กะให้มหาบวั ท่านแสดงธรรมจบแล้วถึงจะเข้ามา”
หลวงตาแยงท่านว่า “หลวงตามหาบัวทา่ นพึ่งกลบั ไปไดไ้ ม่นาน ข้าน้อยนิมนต์ท่านใหอ้ ยจู่ น
เสรจ็ พธิ กี ่อนค่อยกลับ ทา่ นก็ไม่อยู่ ท่านบอกหลวงปู่ชอบเป็นประธานกเ็ ลิศเลอพอเพยี งแลว้ เรามา
เทศน์สงเคราะห์พระเณรญาติโยมเท่านนั้ ” ทา่ นวา่ คนเยอะวุ่นวาย หลวงตาบวั ทา่ นก็เลยเดินทางกลับ
บ้านตาด หลวงป่ทู า่ นฟังอาจารยแ์ ยงพูด ท่านก็ยม้ิ รับ
เร่อื งองคท์ ่านหลวงตามหาบัวมาเทศนใ์ นงานตอนนเ้ี ฉลยแล้ว ก็เลยไม่ถามท่านอาจารย์แยง
จากนั้น หลวงปสู่ ุวจั น์ สวุ โจ และพระเณรถวายการนวดเส้นองคท์ า่ นหลวงปชู่ อบ หลวงปู่
บญุ เพ็ง เขมาภริ โต ทา่ นกราบเรียนองคท์ า่ นหลวงปชู่ อบว่า “วันน้พี ระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั กับ
สมเดจ็ พระราชนิ ฯี ทา่ นจะเสดจ็ มาเปน็ ประธานในงานพธิ บี รรจอุ ฐั ธิ าตขุ องทา่ นพระอาจารยจ์ วน นมิ นต์
หลวงปู่เมตตาให้ก�ำลังใจพระองค์ท่านท้ังสองด้วยขอรับ กระผมขอกราบนิมนต์พ่อแม่ครูอาจารย์ให้
ก�ำลังใจพระเจ้าแผ่นดินกับพระราชินีขอรับ พระองค์ท่านทั้งสองจะได้หายเหน่ือย ท่านทั้งสองจะได้
มกี �ำลังใจดูแลไพรฟ่ า้ ประชาชนของพระองค์ใหผ้ าสกุ แม่เจา้ หลวงพระราชนิ เี พน่ิ กะวา่ (ทา่ นกว็ ่า) ได้
กราบพระคุณเจา้ หลวงปู่ชอบแลว้ ชมุ่ เยน็ ใจ เวลาหลวงปู่ยิม้ อรยิ ะสดใสพระองคท์ า่ นปลมื้ ปิต”ิ
หลวงปบู่ ุญเพ็ง ท่านกราบเรยี นองค์ทา่ นหลวงป่ชู อบเมตตาใหก้ �ำลงั ใจแก่พระองค์ทา่ นทงั้ สอง
องคท์ ่านหลวงปูช่ อบวา่ “เฮา (เรา) วา่ ค�ำราชาศพั ท์บ่เป็น (ไมเ่ ปน็ )”
หลวงปู่บุญเพ็งบอก “หลวงป่กู พ็ ดู ธรรมดาน่ีแหละ พระเจ้าแผน่ ดิน พระราชนิ ี ท่านฟงั เขา้ ใจ
อย่ดู อก”
492
หลวงปูช่ อบทา่ นยม้ิ องคท์ ่านว่า “เพง็ เฮาเว้า (เราพูด) ภาษาไทยบเ่ ป็นเด้ (ไม่เปน็ นะ) เฮาเวา้
เปน็ แตภ่ าษาลาว พระเจา้ แผน่ ดนิ เพิน่ (ท่าน) จะฟังรู้เร่ืองบ่ (ไหม) ให้ท่านเพ็งเว้า (พดู ) กับเพิน่ แทน
เฮาดีกว่า เฮาบค่ ่องทางนี้ (เราไมถ่ นัดทางนี)้ ”
หลวงปบู่ ุญเพง็ วา่ “ขา้ นอ้ ยพดู กบั พระองคท์ ่านทงั้ สอง กบ็ ่เท่า (ไมเ่ ทา่ ) พอ่ แม่ครบู าอาจารย์
พดู เอง บารมีธรรมลูกศิษย์กับบารมธี รรมของครบู าอาจารยไ์ มเ่ หมอื นกัน ถา้ หลวงปใู่ ห้พรพระองคท์ า่ น
ทงั้ สองแล้ว พระองคท์ ่านทง้ั สองจะเจริญอายมุ งคลหมั่นยืนเด้”
องคท์ ่านบอกหลวงปบู่ ญุ เพ็ง “เฮาจะให้พรเป็นก�ำลังใจพ่อเจา้ แผ่นดิน แม่เจา้ แผ่นดิน”
พอใกล้เวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และ
สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี จะเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ มาถงึ วดั ภทู อก ทางเจา้ หนา้ ที่
ฝา่ ยประสานงานไดม้ ากราบนมิ นตอ์ งค์ทา่ นหลวงปูช่ อบไปทีป่ ะร�ำพิธีของทางฝา่ ยสงฆ์ ซึ่งอยู่ตดิ กันกับ
พลับพลาท่ีประทบั ชั่วคราวของพ่ออยู่หัวและแมอ่ ย่หู วั ท้ังสองพระองค์ท่าน
ตลอดเส้นทางที่เข็นรถองค์ท่านหลวงปู่ชอบออกจากศาลาวัดภูทอกมาท่ีปะร�ำพิธี ระยะทาง
ประมาณร้อยเมตร ญาติโยมพสกนิกรท่ีนงั่ อยสู่ องฟากฝง่ั ทาง เมื่อเห็นองค์ทา่ นหลวงปชู่ อบนง่ั รถเขน็
ผา่ นมา ตา่ งพากนั พนมมอื เปลง่ ค�ำสาธๆุ ๆ ตลอดทางทอี่ งค์ทา่ นผ่าน ญาติโยมเอาผา้ เชด็ หน้า ผ้าแพร
วางลงกบั พน้ื ดนิ เพอ่ื อยากใหล้ อ้ รถเขน็ ของหลวงปเู่ หยยี บประทบั รอย ผบู้ นั ทกึ ขนหวั ลกุ เมอ่ื ไดย้ นิ เสยี ง
คนหลายหมืน่ คนเปลง่ คำ� สาธุๆๆ รบั กนั เป็นทอดตลอดทาง
ภมู ใิ จในชีวิตเกดิ มา ๒๑ ปที ่ีได้สัมผัส ได้อยู่รว่ มในเหตกุ ารณ์มงคลของแผ่นดนิ ไดเ้ ห็นบญุ บารมี
ความย่งิ ใหญข่ องผเู้ ลิศเลอทางธรรมศาสนจักร
ได้เห็นบญุ บารมีของพระองคท์ า่ นผู้เปน็ ภมู พิ ลังแผน่ ดนิ
ได้เห็นทา่ นผ้มู ีบุญท้งั ทางโลกและทางธรรมในเวลาวาระเดียวกนั
เป็นมงคลกับชวี ิตทีไ่ ด้เกิดมาบนแผ่นดนิ ไทย ภายใต้ศาสนจักร และ ราชอาณาจักรท่ที รงธรรม
คู่กนั หาไม่ไดอ้ กี แลว้ ชีวิตน้ี เข็นรถหลวงปูผ่ า่ นไปใจก็เกิดปีตขิ ้นึ มา
องค์ทา่ นหลวงปู่ชอบน่ังอยแู่ ถวหน้าในฐานะประธานสงฆ์
เวลา ๑๖.๐๐ น. พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู ัว สมเดจ็ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินนี าถ และ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทั้งสามพระองค์ท่านเสด็จมาถึงบริเวณงาน พอ
ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายกล่าวรายงานกับพระองค์ท่านแล้ว ในหลวงกับพระราชินีท่านทราบว่า
องคท์ า่ นหลวงปชู่ อบอยใู่ นปะรำ� พธิ สี งฆ์ พระองคท์ า่ นทงั้ สองไมเ่ ขา้ พลบั พลาทป่ี ระทบั ในทนั ที พระองค์
ทา่ นทง้ั สองและสมเดจ็ พระเทพฯ เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ เขา้ มากราบองคท์ า่ นหลวงปชู่ อบและครบู าอาจารย์
พระภิกษสุ ามเณรท่ีในปะรำ� พธิ สี งฆ์
493
ระหว่างทั้งสามพระองค์ท่านเสดจ็ พระราชด�ำเนนิ ผา่ นพสกนิกรทม่ี าเฝา้ รอรบั เสดจ็ พสกนกิ ร
ทัง้ หลายพนมมือเปลง่ ค�ำว่า “ทรงพระเจรญิ ๆๆ” ไดย้ ินแลว้ ตน้ื ตันใจขนหวั ลุก เปน็ ครง้ั แรกทต่ี นเองได้
ชมพระบารมขี องพระองคท์ ่านท้งั สามแบบใกล้ตา คิดในใจถา้ ไมไ่ ดอ้ ย่กู บั องค์ท่านหลวงปูช่ อบ เราคง
ไมม่ ีวาสนาได้ชื่นชม “พระบารมี” ของพระองคท์ า่ นใกล้ๆ แบบน้หี รอก
ในหลวงท่านพนมมือไหวห้ ลวงปชู่ อบ พระองค์ทา่ นถามหลวงปูว่ า่ “ท่านพระอาจารย์สบายดี
ไหมขอรบั ?” หลวงปู่ทา่ นนงิ่ ไมต่ อบ
หลวงปบู่ ญุ เพ็งท่านจึงถามองค์ท่านหลวงป่ชู อบวา่ “หลวงปู่ พระเจ้าแผ่นดินเพิ่น (ทา่ น) ถาม
หลวงปูว่ ่า สบายดีอยู่บต่ อนนี้ ?”
หลวงปทู่ า่ นยมิ้ แลว้ ตอบวา่ “สบายดีอย”ู่
ในหลวงทา่ นตรัสถามองคท์ า่ นหลวงป่ชู อบ “ปนี ี้ทา่ นพระอาจารยอ์ ายุเท่าไรแล้วขอรับ ?”
หลวงปูต่ อบพระองค์ท่านว่า “อายยุ า่ งเขา้ ๙๐ ปี”
ในหลวงทา่ นตรัสวา่ “ปีน้สี มเดจ็ ยา่ ปีน้ีท่านก็อายคุ รบ ๙๐ ปี”
พระราชนิ ที า่ นตรสั ถงึ เรอ่ื งหลวงปชู่ อบไปประเทศสหรฐั อเมรกิ า หลวงปทู่ า่ นไปเมตตาฟา้ หญงิ –
อบุ ลรัตนฯ์ เวลาท่ีพระราชินที า่ นตรัส พระองค์จะแยม้ พระสรวลอยู่ตลอด ดูแลว้ งดงามตา
ในหลวงทา่ นตรสั กบั หลวงปชู่ อบวา่ “ขอนมิ นตท์ า่ นพระอาจารยอ์ ยดู่ ำ� รงธาตขุ นั ธน์ านๆ นมิ นต์
ทา่ นพระอาจารยเ์ มตตาประชาชนชาวไทยใหไ้ ดร้ ับความสุขสงบรม่ เยน็ โดยทัว่ หนา้ กัน”
องคท์ ่านหลวงปชู่ อบน่งั นงิ่ มองพระพักตรใ์ นหลวงอย่พู กั หนง่ึ กิรยิ าน้ขี ององคท์ า่ น คือ หลวงปู่
ทา่ นก�ำลังแผ่เมตตาใหก้ บั ในหลวง ครบู าอาจารย์ในปะร�ำพธิ ตี อนนัน้ พากันนิ่งเงียบตามหลวงปู่กันหมด
หลวงปู่บุญเพ็งท่านพูดขึ้นมาว่า นิมนต์หลวงปู่เมตตาพระเจ้าอยู่หัวกับพระราชินีแหน่ขอรับ
องคท์ า่ นวา่ “เฮา (เรา) เมตตาเพิน่ (ทา่ น) แล้ว” หลวงปบู่ ญุ เพ็งทา่ นกราบเรยี นองคท์ า่ นหลวงปูช่ อบ
ตามประสาสนทิ ศิษยอ์ าจารย์
หลวงป่บู ุญเพ็งทา่ นว่า“หลวงปูเ่ มตตาอยู่ในจติ ในใจพระเจ้าแผ่นดินกบั พระราชนิ ีเพน่ิ บ่ได้ยิน
น�ำ (พระองค์ท่านไมไ่ ด้ยิน) นิมนตห์ ลวงปู่ให้พรเพน่ิ แหน่ (พระองค์ทา่ นหนอ่ ย) เพนิ่ สิได้ (พระองค์ทา่ น
จะได)้ มีก�ำลงั ใจ”
องค์ทา่ นหลวงปชู่ อบน่ิงอยู่พกั หนึง่ จากนนั้ องค์ทา่ นกลา่ วค�ำให้พรในหลวงกบั พระราชนิ ีวา่
“เป็นสุขๆ อายุ วัณโณ สุขัง พลัง” ท้ังสองพระองค์ท่านพนมมือก้มรับพรจากองค์ท่าน
หลวงป่ชู อบ พระราชนิ ที า่ นจะแย้มพระสรวลตลอดเวลาท่ีหลวงปูท่ า่ นใหพ้ ร
494
พระแมห่ ลวงตรสั วา่ “ได้กราบ ไดเ้ หน็ องค์ทา่ นหลวงปชู่ อบแลว้ ชืน่ ใจ”
ก่อนท้ังสองพระองค์จะกราบลาองค์ท่านหลวงปู่ชอบ เพื่อไปประกอบพระราชพิธี และ
เยยี่ มเยียนพสกนิกรของพระองค์ ในหลวงและพระราชินไี ดถ้ วายปจั จยั องค์ท่านหลวงปูช่ อบ เปน็ เงิน
จำ� นวน ๓๐,๐๐๐ บาท เปน็ เงินใบละ ๑๐๐ ท้ังหมด
ก่อนกราบลา ในหลวงท่านขออนุญาตองค์ท่านหลวงปู่ชอบถ่ายรูป โดยพระองค์ท่านเป็น
ผฉู้ ายรปู หลวงปชู่ อบดว้ ยพระองคเ์ อง จากนนั้ ทงั้ สามพระองคท์ า่ นกราบลาหลวงปชู่ อบและครบู าอาจารย์
เสด็จไปประกอบพระราชพธิ ีธรรมตามหมายก�ำหนด
ก่อนงานพระราชพิธีบรรจอุ ฐั ธิ าตุและทรงเปิดเจดยี ์พิพธิ ภณั ฑท์ ่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ
เวลาประมาณ ๑๓.๐๐ น. องค์หลวงตาพระมหาบัว าณสมปฺ นโฺ น ได้เมตตามาแสดงพระธรรม
เทศนาโปรดพทุ ธบรษิ ัททีเ่ ดนิ ทางมาร่วมงาน โดยเทศน์ถึงทา่ นพระอาจารยจ์ วน ดงั นี้
“วันน้ีได้มีโอกาสมาเยี่ยมพี่น้องลูกหลานท้ังหลาย ท้ังฝ่ายพระ และฝ่ายอุบาสก อุบาสิกา
ฆราวาส เก่ียวกบั การบรรจุอฐั ขิ องท่านอาจารยจ์ วน ซึ่งเปน็ พระปฏบิ ัตดิ ี ปฏบิ ตั ชิ อบ เป็นลกู ศษิ ย์ของ
หลวงปู่ม่ันเราเหมอื นกนั และเคยจำ� พรรษาด้วยกนั ที่บา้ นหนองผือนาใน นอกจากนัน้ ก็ไปมาหาสกู่ นั
อยู่โดยสม�่ำเสมอเร่ือยมา จนกระท่ังท่านมาสถานท่ีนี่แล้วมรณภาพลงไป บรรดาท่านผู้มีจิตศรัทธา
ทงั้ หลายมคี ณุ สรุ ีพันธุเ์ ป็นประธาน ไดข้ วนขวายก่อสรา้ งเจดียท์ งั้ หลาย เพอื่ บรรจุอัฐิธาตุของทา่ นไวใ้ ห้
สาธุชนผู้เคารพเลื่อมใสในศาสนาและในท่านเอง ได้กราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจตลอดไปไม่มีที่
ส้นิ สุด…
เวลานี้ก็หมดไปๆ ครูบาอาจารย์ท่ีเป็นท่ีเคารพเลื่อมใส เป็นท่ีตายใจได้ ก็ยังเหลือแต่เรา
อตตฺ า หิ อตตฺ โน นาโถ กใ็ หพ้ ยายามน�ำมาใช้ส�ำหรับตวั ของเรา จะพ่ึงแต่ท่านทกุ แง่ทุกมมุ เรากเ็ คยพึ่ง
มาแลว้ อยูก่ บั ครูบาอาจารยม์ าดว้ ยกัน ทนี เี้ วลาน้จี ะมาเปน็ ตัวของตัวดว้ ยความพากความเพียร เปน็ ตวั
ของตัวดว้ ยความรู้ความเหน็ ในอรรถในธรรม เป็นตัวของตวั ด้วยมรรค ด้วยผล ด้วยศีล ดว้ ยสมาธิ
ดว้ ยปญั ญา ด้วยวิมตุ ติหลดุ พน้ ภายในจติ ใจนี้ ทำ� ไมจะเป็นไปไม่ได้ เพราะธรรมสอนเพ่อื เปน็ ตวั ของตัว
แทๆ้ ตัวเองพึ่งตวั เอง พง่ึ อย่างนี้ ไดร้ บั ค�ำส่งั สอนจากครูจากอาจารย์มาแล้วกน็ �ำมาประพฤติปฏิบัติ
หนักก็ตาม เบาก็ตาม ขึ้นชื่อว่ากิเลสนี้มักจะหนักอยู่เสมอ แต่ความเพียรเรามักจะอ่อนข้อ
ยอ่ หยอ่ นอยเู่ สมอ น่ลี ะ่ มันถงึ ไมท่ ันกัน แลว้ สดุ ทา้ ยกส็ รา้ งนั้นสร้างน้ี ยุ่งนั้นยงุ่ นี้ นไ้ี มใ่ ชท่ างของศาสดา
ท่ีพาสาวกท้ังหลายด�ำเนินมา ท่านพาสาวกทั้งหลายด�ำเนินมาจนเป็น สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา
จนกระทง่ั ทุกวนั นี้ ท่านด�ำเนนิ ด้วยวธิ ธี ุดงคกรรมฐาน เดนิ จงกรม นัง่ สมาธิภาวนา โดยถือธรรม
๑๐ ประการ (สลั เลขธรรม ๑๐ ประการ) นเ้ี ปน็ รากฐานอนั ส�ำคญั ในหวั ใจและขอ้ ปฏบิ ตั ิ ทา่ นจงึ เปน็
ผทู้ รงมรรคทรงผล… ”
495
ภาค ๒๐ ศิษย์ผู้มีศรัทธาหนักแน่น
ท่านชมคุณหมอประพักตร์ “ผู้มีศรัทธาหนักแน่น”
ท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ทา่ นพดู ชมเชยคุณหมอประพักตร์วา่ “ขา้ ราชการในอำ� เภอ
บึงกาฬน่ี หมอประพักตร์เข้าก่อนหมู่ เข้าหาพระกรรมฐาน” โดยท่านพระอาจารย์พวน ชุตินฺธโร
ไดเ้ มตตาเล่าเรอ่ื งน้ีไว้ดังนี้
“หลวงปจู่ วน ทา่ นกลา่ วถึงหมอประพักตร์วา่ “เปน็ ผู้มศี รัทธาหนกั แนน่ ” กบั หลวงปจู่ วน
ไมท่ อดท้งิ ได้ยนิ ขา่ วอยไู่ หนก็ไปหา ถ่ินทรุ กันดารอย่างไรกแ็ ล้วแตไ่ ม่ท้อถอย เปน็ ลกู ศิษยก์ น้ กฏุ ิกว็ า่ ได้
นอกจากหมอประพกั ตรแ์ ลว้ หลวงปจู่ วนไมช่ มใครเลย สมยั นน้ั โดดเดน่ มากกค็ อื หมอประพกั ตรค์ นเดยี ว
แม้ทา่ นเป็นข้าราชการเงนิ เดือนนอ้ ย แถมมคี รอบครัว ทา่ นกใ็ ชจ้ า่ ยอย่างประหยดั แลว้ ก็บางทีไมม่ เี งนิ
แต่กเ็ ปน็ ผูม้ ศี รัทธาหนกั แนน่ ไมท่ ้อถอย”
ปจั จบุ นั (พ.ศ. ๒๕๕๙) คุณหมอประพักตร์ โสฬสจนิ ดา ท่านยังมีชีวติ อยู่ มีอายุ ๘๖ ปี
ท่านเปน็ คนอารมณ์ดี ย้มิ แยม้ แจม่ ใส มเี มตตา สุขภาพร่างกายของทา่ นกแ็ ขง็ แรง ยังเดนิ ลกุ นงั่ ไดด้ ี
การพูดคยุ กค็ ล่องแคล่ว นำ�้ เสียงกแ็ จม่ ชัด และมคี วามจ�ำที่ดมี าก ทา่ นจะมาร�ำลึกวนั ครบรอบมรณภาพ
ของท่านพระอาจารยจ์ วนที่ภทู อกเปน็ ประจำ� ทกุ ปี โดยพาคณะมาออกโรงทานแจกอาหารและน�้ำ
คุณหมอประพักตร์ศิษย์ผู้เคยร่วมทุกข์ร่วมสุข
คุณหมอประพกั ตร์ โสฬสจนิ ดา ได้เมตตาเล่าเร่ืองนไี้ ว้ดงั น้ี
“ทา่ นอาจารยจ์ วนไมเ่ คยเลา่ เกย่ี วกบั พวกเสอื พวกงอู ะไร ทา่ นจะรวู้ า่ คนไหนชอบทางนี้ ทา่ นก็
จะเลา่ ทางนนั้ ไอ้เราไมไ่ ด้ชอบทางนั้นเทา่ ไร ชอบอยู่ แต่วา่ เรากไ็ ม่อยากไปถามทา่ นอยา่ งน้นั เพราะวา่
มนั ได้ไปมาหาสกู่ นั แล้ว เรากก็ ลวั เหมอื นกนั แตข่ องผมถกู ชา้ งไลห่ ลายครัง้ อยู่ ตอนเช้าๆ ลกู ชา้ งมันจะ
ออกมาเลน่ น�้ำคา้ งก็ต้องวิง่ หนี คิดวา่ อยนู่ านๆ มนั จะไมค่ ่อยกลวั หรอก เพราะว่ามนั ช�ำนาญแล้วเนาะ
ทางด้านอภินิหารทางเราก็ไมค่ ่อยไดย้ งุ่ เพราะทางผมโดยมากจะเป็นเรื่องทุกข์ – สุข เออ้ ว่า
“พรงุ่ นจี้ ะไปฉนั ขา้ วทไ่ี หนดี ?” เออ้ ! อยา่ งนนั้ อยา่ งน้ี บางทเี ราเหน็ รองเทา้ ขาดเหลอื ครง่ึ หนงึ่ “จะไปหา
ไหนมาเปลย่ี นดีนอ้ ?” แลว้ ก็ได้ แลว้ บางทีกม็ าสง่ กนั กลางทาง แยกกันกก็ ราบลากนั น่บี นโคกบนอะไรๆ
บางทีเราก็อดรอ้ งไหไ้ ม่ได้ว่า จะตอ้ งลากันเนาะ “โอ๊ย ! เฮาไปแลว้ เด้อโต เมอื ดๆี เดอ้ (เราไปแลว้ นะ
หมอ เดนิ ทางกลบั ดีๆ นะ)” อยา่ งนี้แหละ
เพราะตอนนนั้ ทา่ นอาวโุ สนอ้ ย ลกู ศษิ ยก์ ไ็ มค่ อ่ ยมี กเ็ หมอื นพวกเราเปน็ ขา้ ราชการผนู้ อ้ ยไปไหน
กไ็ มม่ ีใครตามเทา่ ไหร่ ไอค้ นตามก็ตามจนตาย คนไมต่ ามก็คือไมต่ ามล่ะจะเป็นลกั ษณะน้นั ตอนหลัง
496
พอทา่ นมีชอื่ มีเสยี งขนึ้ คนก็ “โฮ้ ! โฮ้ ! โฮ้ ! แสดงวา่ ลกู ศิษยท์ า่ นจะคกั (สดุ ยอด) เนาะ” มันกไ็ มค่ กั
มนั กเ็ ทา่ เกา่
ทีนที้ ผี่ มมาได้ทกุ วันน้ี ทกุ อาจารยน์ ่ี กเ็ พราะว่ากอ่ นท่านอาจารยจ์ วนมรณภาพ ประมาณปี
หรือเดอื นหนง่ึ ทา่ นจะสั่งผมไวแ้ ทบทกุ องค์วา่ “ถา้ เฮา (เรา) ตายไป โต (หมอ) อยา่ ท้งิ วดั ทง้ิ วา มาดู
เฮาบา้ งเดอ้ ” เปน็ เหตใุ หผ้ มมาทกุ ปี แต่กอ่ นแขง็ แรงอยกู่ ็ ๕ คร้ังต่อปี ทีนี้ตั้งแต่เร่ิมน่ี เริ่มเหลอื ๓
เหลอื ๒ แลว้ เพราะวา่ อายุ ๘๖ แลว้ เนาะ แลว้ กเ็ พงิ่ ผา่ ตดั เปลยี่ นกระจกตา ๒ ขา้ งได้ ๑๐ กวา่ วนั มาตดิ
เร่ืองงานครบรอบมรณภาพของอาจารยจ์ วนนีเ้ ลยกอ็ ยากมา แต่กอ่ นกป็ ีใหม่ เมษาฯ วันครบรอบอะไร
๕ ครงั้ ต่อป”ี
ท่านพระอาจารย์จวนหย่ังทราบเหตุการณ์ล่วงหน้า
คณุ หมอประพกั ตร์ โสฬสจนิ ดา ได้เมตตาเล่าเรอ่ื งนไี้ ว้ดงั นี้
“โอ้ ! ทา่ นอาจารยจ์ วนหยง่ั ทราบเหตกุ ารณล์ ว่ งหนา้ มี มหี ลายตอน ตอนทท่ี า่ นอาจารยจ์ วนอยู่
ถ�้ำจนั ทน์น่ะ ผมเอาผ้าป่าไปทอด รสู้ ึกจะเปน็ ปี พ.ศ. ๒๕๐๔ – ๒๕๐๕ นี่แหละ ไปด้วยกันหลายคน
ผูห้ ญงิ ก็ประมาณ ๘ คน ผชู้ ายก็ประมาณ ๑๒ คน ไปแตป่ ระมาณโมงกวา่ ๆ นไ้ี ป ปรากฏวา่ บา่ ยกวา่ ๆ
ไปหลงกันกลางป่าดงศรีชมภู ระหว่างภกู ระแต – นาป่าน ไปถำ�้ จันทน์ นีเ่ ดนิ หลงกนั เพราะทางมนั โค้ง
คดเคี้ยว มันเป็นทางช้าง เพราะว่าเราบอกกันแล้ว “อย่าท้ิงกันนะ” พวกนั้นก็คนไหนเดินเร็วก็ไปเร็ว
คนไหนเดนิ ชา้ กช็ า้ กไ็ ปหลงกนั อยกู่ ลางดงใหญเ่ ลยละ่ ดงศรชี มภู ทนี หี้ ลงปบ๊ั ตอนนต้ี อนจะบา่ ย ๔ โมง
จะถงึ ถำ�้ จนั ทน์ แลว้ กไ็ ปรวมกลุ่มกันว่า พวกเราใครอยทู่ ไี่ หนบ้าง ขาดคนไป ๕ คน เป็นผ้หู ญงิ ๓
ผชู้ าย ๒ ไอเ้ ราก็ เอ๊ ! เป็นเจา้ ของผา้ ปา่ กไ็ ม่สบายใจ ก็เลยบอกพวกผา้ ป่า บอกวา่ “เออ ! มาถงึ
ขนาดนแี้ ลว้ พวกคณุ นำ� ผ้าป่าไปหาอาจารยก์ ่อน พบกันที่ถ้�ำจันทน์ ผมจะเดินทางกลับบงึ กาฬ”
กอ่ นจะถงึ บงึ กาฬ ถงึ บา้ นนาปา่ นก็ ผมกไ็ ปเอาผใู้ หญบ่ า้ นมาแตง่ คน (จดั คน) แลว้ กม็ ฆี อ้ งมอี ะไร
ตใี นดงไลไ่ ปเรื่อย เรยี กไปเหมือนธรรมดา มนั ไม่มเี คร่ืองขยายเสียงนะ ก็เรียก “โอ๊ โอ๊ โอ๊” ไปเรอ่ื ย เอ๊ !
เอาไปเอามาไมเ่ จอกัน พอไม่เจอกนั ปั๊บ กลวั มนั จะค่�ำ แลว้ บา่ ย ๕ ล่ะ ผมก็เลยตดั สินใจ เอ๊ ! เราอยู่
บงึ กาฬกไ็ ม่เจอพวกหาย เราไปหาอาจารยด์ กี วา่ แลว้ ไวพ้ ดู กนั ใหม่ ผมเดินทางกลบั ไป แตผ่ มส่ังพวกท่ี
เอาผา้ ป่าไปก่อนวา่ “ถา้ ไม่พบผมท่มุ หนงึ่ ถึงล่ะก็ พรงุ่ นีเ้ ช้าไมเ่ หน็ ผมแล้วกท็ อดผ้าป่าแทนเลย” อนั นี้
ตอนมันมาใชค้ นไปเรียกในดงน่ี ผมก็ เอ๊ ! เรานอนอยู่น่ีก็ไมไ่ ดป้ ระโยชน์ เขากจ็ ะรอเรา เราเปน็ เจา้ ของ
ผา้ ป่าเนาะ ผมก็เลยเดนิ ทาง เอาผูใ้ หญ่บา้ นคนหนง่ึ พาผมไป ผมกก็ ลวั เหมือนกนั มนั กลางคนื เนาะ
ไปถงึ โน้น ๓ ทุม่
ไอพ้ วกท่ีไปกอ่ น ไปถงึ ถ้�ำจนั ทนป์ ๊ับ ก็ร้องห่มร้องไห้ เพราะว่าไอ้คนหลงทางกเ็ ปน็ ลูกเปน็ หลาน
เขาใช่ไหม หากนั ไม่เหน็ ใช่ไหม ดงศรชี มภู ไม่เหน็ ใครกนิ ข้าว ไปตายท่ไี หนกไ็ ม่รู้นะ ? ทีนไ้ี ดข้ ่าวว่า
497
ประมาณจะทุ่มหนึ่ง อาจารย์จวนก็ลงมาบอกพวกนั้นว่า “โอ๊ย ! ไม่ต้องร้องหรอก ใจเย็นๆ
เดย๋ี วพระอาทิตยต์ กดินประมาณทุ่มหนึ่งเป็นต้นไปนี่จะกลายเป็นเร่ืองดีหมด” ไอ้พวกน้ันก็ไม่ร้อง
ไอ้เราสิจะตาย เพราะเราไม่รู้ว่าเหตุการณ์จะเกิดข้ึน เราก็เป็นห่วง เพราะสมัยนั้นมันจะมีพวกเสือ
พวกอะไรทกุ อยา่ ง แลว้ มนั เปน็ ดงปา่ หมดเลย
อาจารย์จวนเลยบอกวา่ “อาตมารู้แตเ่ มอื่ คืนนีแ้ ล้ว” พูดกับพวกนนั้ นะ “อย่ารอ้ งห่มรอ้ งไห้
กนิ ขา้ วกนิ ปลากนั ซะ เดยี๋ วทมุ่ หนงึ่ ไปจะกลายเปน็ เรอื่ งด”ี ขณะนกี้ ำ� ลงั จะยงุ่ ละ่ กเ็ ลยเลา่ ใหพ้ วกนนั้ ฟงั วา่
“เมื่อคืนท่านฝันว่างูกัด” มันหลงไป ๕ คนพอดี งูกัดมือ แล้วท่านก็เลยบอกว่า “พอกัดเสร็จปั๊บ
ท่านมาหาผมท่ีโรงหมอบึงกาฬ” แล้วท่านบอกว่า “หมอ งูกัดขอยาใส่หน่อย” แต่ผมตอบท่านว่า
“ไมม่ ยี า” ท่านบอกวา่ “เออ ! ไมม่ กี ็แลว้ ไป” ท่านบอก “ถ้าผมมียาเทา่ นน้ั เหตนุ ี้จะไมเ่ กดิ ขน้ึ ” แต่
พอดีผมปฏเิ สธวา่ “ไม่มียาใสห่ รอกอาจารย”์
พวกนนั้ กท็ ัง้ ร้องหม่ ร้องไห้กนิ ข้าวไปดว้ ย เพราะวา่ พ่นี ้องพวกเขาไปหลง ปา่ นน้ที มุ่ กวา่ ยงั ไม่
เจอกัน พอดีสกั ทุ่มกว่าๆ พวกนั้นก็พวก ๕ คน พวก ๕ คนหลงไปถึงเกือบถงึ ปากคาดโน่น ทีน้พี วกนี้มนั
หลงทางไปเจอเขาเลย้ี งควายอยู่เลยถามวา่ “เอ้า ! น้ีมันทางไปถำ้� จันทนใ์ ช่ไหม ?” “โอย๊ ! ถ้�ำจันทนม์ นั
อยู่ทิศโน่นน่ะ” พวกน้ันก็มา มาพอดีโชคดีว่า แต่ก่อนเราผ้าป่า ไอ้ปี๊บน�้ำมันก๊าดนี่เราเอากระดาษสี
เขาเรยี ก “เอ”้ ตบแตง่ ใหม้ ันงาม ตอนหาบไปหนามมันมาก มันก็เกาะหนาม พวกกระดาษสีเกาะเป็น
ทางไป พวกนนั้ กต็ ามทางไป ถา้ ไม่ไดไ้ อน้ ่ตี ายเลย
พวกน้นั กต็ ามมากบั หนาม “อู้ ! น่กี ระดาษสนี ม่ี นั เกาะหนาม” ตอนทีเ่ ขาหาบไปด้วยกัน ไม่งัน้ ...
แล้วก็พวกถัง พวกตมุ่ ขา้ วตุ่มเข้ิว เรากเ็ อากระดาษสแี ตง่ มนั ไปเกย่ี วกบั หนาม หนามมันหลาย แลว้ เดิน
ตามไป ไฟฉายกไ็ มม่ ี กค็ �่ำแล้วก็เทา่ กบั ไปตามมตี ามเกิด ก็พอพลบคำ�่ ๆ พอดีน้แี หละ เขาถงึ ทุ่มกวา่ ๆ
ผมถงึ ๓ ทมุ่ ไปถึงเรากโ็ มโหวา่ ดไุ อพ้ วกนนั้ “บอกแล้วว่า ถา้ มาแบบน้มี นั เปน็ ดง ไอท้ างไหนที่เรยี บๆ
อย่าไปเป็นเด็ดขาด” เพราะมนั ทางช้าง เพราะช้างเวลามนั ไปมันกเ็ อางวงมันเป่า เพราะมนั กลัวหนาม
ใชไ่ หม ? ไอพ้ วกนกี้ น็ กึ วา่ เดินดี ตามไปเร่ือย มนั ไปใหญเ่ ลยหลงไปคนละทิศจริงๆ”
คุณหมอประพักตร์ โสฬสจินดา ได้เมตตาเล่าเรื่องท่านพระอาจารย์จวนทราบเหตุการณ์
ลว่ งหนา้ ไว้อีกเรอ่ื งหน่ึงดังน้ี
“ทา่ นอาจารย์จวนนี่ทกุ ครั้งเลย จะไป อาจารย์จะบอกวา่ “เตรยี มเดอ้ นี่เขาจะเดินทางมาแล้ว
เอ้อ ! ตม้ นำ้� ตม้ ทา่ ไว”้ เด๋ยี วเรา (คณุ หมอประพกั ตร)์ มา เราจะอยา่ งงั้นอยา่ งงล้ี ะ่ นะ ต้องรอ เพราะว่า
โดยมากกาแฟก็จะอยกู่ ับเรา กาแฟสมยั เก่ากใ็ ชก้ าแฟผง มนั ต้องมีถงุ ชงใช่ไหม ? เออ ! บางทีทา่ นกจ็ ะ
ไม่ได้ฉนั กาแฟเปน็ อาทิตย์บ้าง อะไรบา้ ง กไ็ ด้แตเ่ รานี่ ทา่ นจะสง่ั พระต้มน้�ำรอ สักทุ่มหน่ึงจะฉนั ”
498
ท่านพากราบมอบตัวเป็นศิษย์ครูบาอาจารย์
คณุ หมอประพกั ตร์ โสฬสจนิ ดา ได้เมตตาเลา่ เร่อื งนี้ไวด้ ังนี้
“ทีน้ีพอมาอยูก่ บั พระอาจารยท์ องพูล พระอาจารยท์ องพลู กพ็ าไปรจู้ กั อาจารย์จวน กม็ อบตวั
เป็นศิษย์ ทา่ นเป็นพระทกี่ ราบได้บริสทุ ธใิ์ จนะ ได้รกั ษาอาพาธทา่ นอาจารยข์ าน ทภ่ี ูกระแต จากน้นั
อาจารย์ทองพลู กพ็ าไปกราบอาจารย์ค�ำตัน และพบท่านอาจารย์บุญจันทร์ กมโล ท่วี ัดปา่ ดานศรี–
ส�ำราญ แลว้ กอ็ าจารย์จวนก็พาไปรจู้ ัก อาจารย์เทสก์ เข้ามอบเป็นลกู ศิษย์ สมยั ก่อนเข้ามอบไมย่ าก
พอกราบปับ๊ คนน้ีชือ่ นัน่ ๆ “ไว้ใจได”้ เขาใชค้ �ำนเี้ ท่านั้นพอ ไมใ่ ช่สมยั นถี้ วายเงนิ มากๆ ถงึ รู้จัก
ท่ีเราอยู่ได้ก็เพราะว่า เราไม่ได้เข้าวัดเพราะเงิน ทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน จนก็จนด้วยกันมา
ใช่ไหม นเี้ มื่อท่านเจรญิ แลว้ ท่านจะทิ้งเราไมไ่ ด้ ถ้าทิ้งก็ท้ิงไปมนั คนละเรอ่ื ง เพราะทา่ นก็ท้ิงเราไมไ่ ด้
กเ็ คยขกู่ ันเลน่ เอาไว้ ถา้ เจรญิ มาเมอื่ ไหร่ทิง้ ผมนะ มเี ร่ืองนะ กข็ ูเ่ ลน่ กันอยา่ งนอ้ี ยู่
พอไปเจออาจารยจ์ วนแลว้ ยง่ิ ไปใหญเ่ ลยทนี ี้ ทา่ นอาจารยจ์ วนกพ็ าไปหาอาจารยเ์ ทสก์ เทสรฺ สํ ี
ยิ่งสนิทกนั ใหญ่เลย อาจารย์ชอบ หลวงปสู่ มิ ถ�้ำผาปลอ่ ง พวกอาจารย์แหวน ผมไปตอนน้ัน ไปเพือ่
อาจารย์จวนไปเหยียบโรงพยาบาลคุณหมอวรวุฒิ ท่ีล�ำปาง ไปกับอาจารย์วัน อาจารย์วันไปทาง
เครือ่ งบินไปลง... จ�ำไมผ่ ิด ร้สู กึ ปี ๒๕๑๔ – ๒๕๑๕
ทไี่ ปกบั ผมน่ีกเ็ พราะวา่ หมอวรวฒุ ินี่กอ่ นเปน็ แพทย์อยู่โรงพยาบาลกลาง แล้วไปลาออกมาตั้ง
โรงพยาบาลตวั เองอยู่ลำ� ปาง กเ็ ลยนมิ นต์อาจารยว์ ันกับอาจารยจ์ วนไปเหยยี บโรงพยาบาล ผมกเ็ อา
รถมารับอาจารย์จวนจากนไี่ ปเหยยี บโรงพยาบาล จ้างคนเหมารถเขาไปเลย ไป ๓ วันถงึ จะถงึ ล�ำปาง
แล้วกพ็ าไปคารวะอาจารยแ์ หวน ดอยแม่ปั๋ง อาจารยส์ ิม ถ�้ำผาปล่อง ไปเละเลย ไปน่นั แหละ ทา่ นขึน้
ไปเชยี งใหม่นี่ อาจารย์จวนยังดา่ ไอห้ นู (พระอาจารยห์ นู) อย่างง้ันอย่างงี้ เพราะว่าไอ้หนูพยายามหวง
ไม่ใหเ้ ขา้ พบอาจารยแ์ หวน
ที่ท่านอาจารย์จวนไปกราบคารวะประจ�ำๆ เช่น หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ขาว
หลวงปฝู่ ้นั คือพระผ้ใู หญ่ แต่อาจารย์มหาบัวกไ็ มค่ อ่ ยได้ไป ทีอ่ าจารยจ์ วนไปเยี่ยม เชน่ อาจารย์วัน
อาจารยส์ งิ หท์ อง หลวงปบู่ วั กพ็ รรษานอ้ ยกวา่ ทา่ น อาจารยท์ ยี่ งั อยกู่ ็ อาจารยบ์ ญุ มา อาจารยส์ มภาร
อาจารยอ์ ุดม นไ่ี งถกู กัน โอ้ ! พอๆ กนั ไปมาหาสกู่ นั อยู่ การไปคารวะเยี่ยมเยียน ทา่ นอาจารยจ์ วนไป
องคเ์ ดียว กอ็ ยากไปหลายองคอ์ ยู่ แต่ตอนน้นั มันไม่มีใครมาอยู่ดว้ ยหรอก วัดนี้อย่างมากก็ ๒ – ๓ องค์
เทา่ ทเ่ี ลา่ มานต่ี อ้ งองคร์ กั และเคารพรกั ผกู พนั อาจารยจ์ วนกแ็ บบวา่ ผมพาไป กไ็ ปสองคนกบั ผม
สรุปแล้วตอนที่ท่านก�ำลังจะเริ่มดงเร่ิมดังๆ พระไม่มีรถหรอก มันทุกข์ยาก ไม่เหมือนสมัยนี้ สมัยนี้
วัดมันมี ๓ – ๔ คนั แลว้ แต่จะใช้ สมยั นน้ั ต้องมีลูกศิษยร์ ้จู กั วา่ งกม็ ารับเอาไป รบั มาส่งคนื แลว้ ก็รีบไป
ท�ำงาน แล้วอาทิตยห์ น่ึงมาหาใหม่ เปน็ ลกั ษณะนี้”
499
ท่านให้ความไว้วางใจคุณหมอประพักตร์
คณุ หมอประพกั ตร์ โสฬสจินดา ไดเ้ มตตาเล่าเร่อื งน้ีไวด้ ังนี้
“ทา่ นอาจารยจ์ วนเห็นลูกศษิ ย์ ท่านกด็ ใี จ “เออ ! อาทิตย์หน้าวนั น้ันเจา้ ว่างไหม ? ถา้ ว่างเจา้
มาหาเราด้วยนะ” ถา้ ท่านจะไปน่ันไปน่ี ถ้าเราวา่ ง เรากบ็ อก “วา่ งครับ” เราก็มารบั ก็ไป เวลาไปไหน
มีท่านไปองคเ์ ดยี ว แตอ่ าจารยจ์ วนไม่มีรถนะ รอผมคนเดียว จนถึงปี ๒๕๒๓ อาจารย์จวนกไ็ มม่ ีรถ
กจ็ ะมคี นมาถวายเยอะรถใหมๆ่ รอผม ให้ผมเปน็ คนเลือก ทา่ นอยากให้ผมลาออกซะก่อน ลาออกแลว้
ให้รบี มา มนั ไมใ่ ชไ่ ม่มคี นขบั มันไมม่ ใี ครไวใ้ จกนั ได้
ตอนนน้ั รถกไ็ ม่แพงหรอก แสนกวา่ ๆ มนั ก็งามแล้วเนาะ ใหม่เนาะ แต่ว่าพอจะมอบใหว้ ดั เอ !
ใครจะดูแล ? ใครจะอะไร ? มนั กต็ อ้ งมเี งนิ เดือน คนเสยี สละใครล่ะ มันก็ยาก ยากหลายอยา่ ง ไวว้ างใจ
ใคร และผมก็วาดภาพไว้ ถา้ ผมลาออกมา ทา่ นจะให้ลาออกอายุ ๕๕ มาซอ้ื ผมคดิ ในใจว่า รถจะพน่
เป็นภูทอกงามๆ และก็ตรงที่ท่านนั่งก็จะเอากระโถนทองเหลืองสวยๆ เคี้ยวหมากเสร็จให้วางไว้นี่
แลว้ ใครมากแ็ จก มาเสยี ใจว่าจะถามอะไร ? จะเอาอะไร ? ก็ได้แล้ว เมอ่ื ไหรก่ ็ได้ พอสดุ ท้าย ท่านก็
เสียไปโดยอะไรกไ็ ด้”
ท่านมอบพระพุทธรูปและพระธาตุให้คุณหมอประพักตร์
คุณหมอประพกั ตร์ โสฬสจินดา ได้เมตตาเล่าเร่อื งอยูก่ บั อาจารยจ์ วน ท่านไดใ้ หอ้ ะไรบา้ ง
ดงั นี้
“อยกู่ ับอาจารย์จวนไดอ้ ะไรบา้ ง ท่ีท่านให้ผม ก็ตอนน้ันเหตกุ ารณบ์ า้ นเมืองไม่ค่อยสงบ ไอเ้ รา
ก็กลัวตายกม็ าหา “อยุ๊ ! อาจารย์” ผมกอ็ ย่างงนั้ ๆ ว่า ทา่ นก็เลยให้พระพทุ ธรูปมาองคห์ นึง่ ขนาดเทา่
หวั แมม่ อื องคใ์ หญห่ นอ่ ย แลว้ เสรจ็ แลว้ ตอนทที่ า่ นนง่ั อยนู่ ะ มนั มลี กู แกว้ ลกู แกว้ นอี้ ยชู่ น้ั ๗ มง้ั เปน็
ลกู แกว้ ดำ� ๆ ไมร่ อู้ ยไู่ หนเดย๋ี วน้ี อาจารยแ์ ยงทา่ นไมค่ อ่ ยสนใจ มนั วางอยผู่ า้ แดงตรงขา้ งอาสนะทา่ นนงั่
ตอนนนั้ ผมไป ผมกก็ ราบ ก็ไมม่ ีเรื่องคยุ ผมก็ถามวา่ “อาจารย์ ไอ้ลูกด�ำๆ นม่ี นั อะไร ?” “อุ๊ย ! พระธาต”ุ
แล้วถาม “พระธาตุอะไร ?” “โอ๊ย ! เขาเสด็จไปมาระหว่างถ�้ำบูชากับภูทอก วันไหนส�ำคัญเขาไปมา
หาสกู่ นั อย”ู่ ไอต้ วั แกว้ ล่ะใหญ่ แต่ตัวรูนี่ขนาดเท่าน้วิ กอ้ ย ลูกขนาดนีแ้ หละ ลูกแก้วธรรมดานี่แหละ
แตไ่ ม่ใชแ่ กว้ ตวั นั้นเสด็จมานะ แตข่ องท่ีเสดจ็ มันอยู่ข้างใน
ผมก็ถามวา่ “ในนน้ั มีอะไรไหม ?” “มี” วา่ งั้น ผมกเ็ ข้าไปถึงกเ็ ขย่า โอ้ ! มันดังกอ๊ กแก๊กๆๆ
“ฮว่ ย ! อาจารย์ มนั มีหลายอยู่เด้ (มากอยู่นะ)” “เอ้า ! โต (เจา้ ) ลองเทมาดูแม้ (ดูสิ)” ผมก็เอาผา้ ขาวปู
พอเทมามันมีอยู่ ๙ องค์ ขนาดเทา่ เม็ดขา้ วสาร
อันน้กี ็เอาวางไว้ “อาจารย์ มนั มี ๙ องค์ นีผ่ มเอาหมดนะ” “เอาไปโลด” ท่านว่า “เพราะว่า
เดีย๋ วเขากม็ าอกี คอื เก่า (เหมือนเดมิ )” วา่ งัน้ นะ ไอเ้ ราก็ เอ๊ ! สนั ดานโลภมากปานน้ันหรอื เอาก็เอาหมด
500
ผมก็เลยคดิ กเ็ ลยว่า “โอ้ ! อาจารย์เหลอื เอาไว้ใหค้ นอืน่ หน่อย ผมกจ็ ะเอาแค่ทผี่ มชอบนีล่ ะ่ ” “เอา !
เอาหมดก็ได้ เด๋ยี วมือ้ อน่ื (วันหลัง) เขาก็จะมาใหม”่ ไอเ้ รา เอ๊ ! ลกู ขข้ี อบ่ โคตรพ่อโคตรแม่กด็ ีเนาะ
อะไรกเ็ อาหมด เราก็คดิ ในใจว่า ว่าเราจะเปน็ อย่างนั้น ผมกเ็ ลยขอท่านมา ๒ องค์ เลือกเอาลกู ทมี่ นั
เหมอื นกัน แฝดกนั เปน็ ลกั ษณะเหมอื นเม็ดขา้ วสาร
วนั นั้นอาจารยส์ มบรู ณ์ (วัดปา่ สมบรู ณ์ธรรม) มาเหน็ ก็ขอแบง่ ผมอยากให้อยู่ค่กู นั ก็หาอุบาย
ไปบอกอาจารย์สมบรู ณว์ ่า ให้ไมไ่ ด้หรอก เลยไม่ได้ให้ไป
พระธาตุ ๙ องค์น้ัน เสดจ็ มาจากถำ้� บชู าหมด เขาไปๆ มาๆ หาสกู่ นั วันส�ำคัญ ทา่ นก็บอกกบั ผม
วา่ มันจะเปน็ แสง เรากไ็ ม่กล้าถามวา่ แสงสเี ขียวหรอื เปล่า สีแดงหรือเปลา่ มนั กล็ กึ ลับเนาะ ก็ไมม่ ีใคร
กล้าถามอย่างน้นั หรอก เพราะว่าเหน็ แสงกอ็ ัศจรรยใ์ จแล้ว บนชั้น ๕ น่มี ีเหตอุ ศั จรรย์เยอะมาก”
ท่านฉันใบไม้ประทังชีวิต – เหาะไม่ยาก
คณุ หมอประพกั ตร์ โสฬสจนิ ดา ไดเ้ มตตาเล่าเรื่องนไ้ี วด้ งั น้ี
“ผมกถ็ ามทา่ นวา่ “อาจารย์ไปดงไปปา่ เวลาอดขา้ วมานก่ี ินอย่างไร เขาลือว่าเสกข้าว เสกใบไม้
เป็นขา้ วได้ จรงิ ไหม ?” ท่านบอก “มนั ไม่ใช่ มนั กเ็ ป็นใบไมน้ ่ีแหละ” แต่ท่านท�ำจติ ให้มองเปน็ วา่ เปน็
เมด็ ขา้ ว วนั น้ีจะกลนื เขา้ ไปได้ คนอืน่ ก็จะต้องมองเห็นเปน็ ใบไมน้ ี่แหละ แต่ทา่ นต้องเหน็ เปน็ ข้าว ฉันก็
เพอ่ื ประทงั ชวี ติ ไอพ้ วกขา้ งนอกก็ อู้ ! ทา่ นเสกใบไมเ้ ปน็ ขา้ วได้ แตค่ วามจรงิ ไอพ้ วกทด่ี กู ค็ อื ใบไมน้ แ่ี หละ
ไอ้เรื่องข้าวน่ีทา่ นอาจารย์จวนก็วา่ ท่านเคยทำ� มาหลายครัง้ แลว้ เพราะอดจริงๆ น่ี ท่านกเ็ อาใบเม่า
มาแล้วก็ใส่บาตรน่ี แตท่ า่ นเพ่งภาวนาวา่ มนั เป็นขา้ ว เวลาทา่ นกนิ ท่านก็กนิ เหมอื นกินขา้ ว แต่คนดู
มันก็เปน็ ใบไม้ โอ๋ ! ท่านเกง่ กนิ ใบไม้แทนขา้ วกไ็ ด้ยังไงนะ ความจรงิ มนั เปน็ วธิ เี รอ่ื งจติ ชนิดหนง่ึ
สรปุ แลว้ ผมวา่ อาจารยจ์ วนมเี กง่ หลายอยา่ งนะ แตเ่ รากต็ อ้ งผกู พนั แบบเหมอื นเรารจู้ กั กนั อยา่ งนี้
แหละ แลว้ กถ็ งึ เวลาทา่ นใชเ้ รากไ็ ป ไมใ่ ชเ้ รากไ็ มไ่ ป เปน็ ลกั ษณะนน้ั ตอนหลงั มาทา่ นกว็ า่ ทา่ นอายมุ ากขน้ึ
ช่ือเสียงโด่งดังขึ้น เราเร่ิมมีความส�ำคัญ วู้ ! อาจารย์เราเก่ง แต่ที่อยู่ด้วยกันก็คือธรรมดาอยู่เร่ือย
เรื่องเหาะได้ก็เคยถาม ผมกถ็ ามว่า “ฮ่วย ! อาจารย์ เขาลอื กันว่าอาจารย์เหาะไดจ้ ริงไหม ?” ท่านก็บอก
“ไอ้เหาะน่ะมันไม่ยาก มนั เดินผดิ ปกตเิ ฉยๆ” ท่านว่า การกา้ วน้ัน ก้าวหน่งึ ของทา่ นนั่น คนขา้ งลา่ ง
อาจจะดนู ึกวา่ ก้าวเดยี ว แตข่ ้างบนน่นั มันกา้ วยาวกว่าน้นั ทา่ นว่าแคน่ ั้น”
ไม่ขับถ่ายระหว่างน่ังเรือ ๔ – ๕ วัน
คุณหมอประพกั ตร์ โสฬสจนิ ดา ได้เมตตาเล่าเรอ่ื งน้ไี ว้ดงั น้ี
ไปในเรอื ดว้ ยกนั เหมอื นกนั ลอ่ งจากบงึ กาฬขนึ้ ไปหนองคาย กวา่ จะถงึ หนองคายนี่ ๔ – ๕ คนื
ท่านไม่ข้ีไม่เย่ียวเลย ผมยังถามเลย ถามว่า “อาจารย์ พวกผมน่ีขี้เยี่ยวกันหลายครั้งแล้ว อาจารย์
501
ท�ำไมไม่ขไี้ มเ่ ยย่ี วเลย ?” ท่านบอก “ทุกอย่างถา้ เราบังคับไมไ่ ด้ มันจะอยู่กบั เราไมไ่ ด้” เพราะฉะนน้ั
เรื่องข้เี รอ่ื งเย่ยี วนที่ ่าน ถงึ เวลาขล้ี งนำ�้ เยี่ยวลงนำ�้ น่เี ป็นบาปใช่ไหม ?
ตอนข้นึ น่ี ธรรมดาถ้าหน้านำ้� จากบงึ กาฬไปก็ ๔ คนื กับ ๕ วนั ถึงจะถึง ฉนั ก็ฉันในเรือ แต่ไม่ยอม
ขบั ถ่าย เพราะผิดพระวนิ ยั พระเคร่งจะเป็นอยา่ งงั้นละ่ โอ้ ! ผมต้องไปถามท่าน ทา่ นวา่ “ของทกุ อยา่ ง
ถ้ามันอยูก่ บั เรา เราต้องบังคับได้ ถ้าบงั คับไม่ได้ อย่ามาอย่กู ับเรา” ตอนน้ันทา่ นไปหนองคาย ท่านก็
จะไปเวียงจันทนล์ ่ะมั้ง ผมไปราชการ ไปทางจนั ทบรุ ี ไปก็นอนอยูใ่ นเรอื ด้วยกันนีแ่ ล้ว ทา่ นนอนขา้ งบน
แตส่ งั เกตทา่ นไมข่ ีไ้ มเ่ ย่ียว เลยถาม
ถ้าจะฉันน้อยละ่ ก็ กำ� หนดไวก้ ไ็ ด้เนาะ เรื่องเยยี่ วนี้ โอ้ ! แนน่ อน เพราะท่านไมเ่ ยี่ยวลงน�้ำ ไอ้นี่
สบายอยู่ มันเป็นปกติ แตก่ ็เหมอื นวางไดข้ นาดนัน้ มันกเ็ หมอื นไม่มีอะไรใหม่ ๔ – ๕ คืน อศั จรรย์มาก
ทา่ นจัดระบบของท่านได้ เรากเ็ ยย่ี วหลายที ขหี้ ลายที เลยถามท่าน ท่านก็ “โห้ย ! ไอเ้ รือ่ งนสี้ บาย”
เพราะเปน็ เรอื่ งของท่าน ท่านบอก ท่านว่า “ของทั้งหมดถ้าเราไม่อนุญาต มนั ออกไม่ได้หรอก” แต่ท่าน
กจ็ ะเร้นลับมากกว่าน้นั หรอื ทา่ นตอบเอางา่ ยๆ ใหพ้ วกเราไดฟ้ งั เนาะ”
การถวายปัจจัยไม่ควรระบุ ควรแล้วแต่ท่าน
คุณหมอประพกั ตร์ โสฬสจนิ ดา ไดเ้ มตตาเล่าเร่ืองน้ีไว้ดังน้ี
“ที่ตอนถวายเงิน ถวายค�ำ ผมก็ได้จากท่านอาจารย์จวนน่ันแหละ วันหนึ่งรู้สึกจะกลับจาก
บา้ นโยมผหู้ ญงิ คนหนง่ึ ทส่ี ขุ มุ วทิ รสู้ กึ เขาจะถวายเงนิ มาวนั นน้ั วา่ “ทา่ นอาจารย์ ถวายคา่ ใชจ้ า่ ยเดนิ ทางนะ่ ”
เออ ! มาน้ผี มกเ็ ป็นคนเก็บเงนิ เนาะ เอ๊ะ ! มาด้วยกนั ๒ คน ๓ คนนะ คอื ไปที่ไหนกใ็ หเ้ ราสัง่ กว๋ ยเตยี๋ ว
หลายแท้ (เยอะมาก) กนิ ไม่หมด เรากเ็ ปน็ ที่สงสัย พอจะเข้าวัดเทา่ ไหร่ “ยงั เหลอื เงนิ เทา่ ไหรห่ มอ ?”
“เงนิ เหลือเท่าน้นั ” “ส่งั ก๋วยเตย๋ี วมา ๒๐ ชามมาใหน้ ั่น” ทา่ นว่า “เอ้า ! อาจารย์ สง่ั ยังไง เรามา ๓ คน
คนที่วัดเขากก็ นิ หมดแลว้ เนาะ” “เอาเถิดนะ !” ท่านว่า พอเสร็จแลว้ กถ็ งึ บอกทหี ลงั วา่ “คนปวารณานะ
เขาไมร่ จู้ กั ปวารณาวา่ ใหใ้ ชก้ ลางทาง มนั กเ็ ลยตอ้ งใชใ้ หห้ มด” ตอนหลงั เราถงึ จำ� ไดว้ า่ เวลาจะถวายพระ
แล้วแต่ทา่ นจะใช้ ไม่ควรระบุ จ�ำเอาไว้อยา่ งนี้เด้อ ถ้าไปบอก “นี่ค่าเดินทางนะ” หมดเลย น่งั ทไี่ หนก็
สงั่ แตก่ ว๋ ยเต๋ียว สง่ั หมด สงั่ ๒๐ ชามล่ะนะ หมด”
การตักเตือนสอนศิษย์ท่ีเพ่ิงเข้าวัดใหม่
คุณหมอประพกั ตร์ โสฬสจนิ ดา ไดเ้ มตตาเล่าเร่อื งนี้ไวด้ ังนี้
“ทนี สี้ �ำหรับโยมผู้หญงิ คนหนงึ่ นะนนั่ เวลานัง่ รถไปดว้ ยกนั กบั อาจารยจ์ วน เขาจะรู้สกึ คลา้ ยๆ
วา่ “เอะ๊ ! นไี่ ด้กลน่ิ หมากพลูอาจารย์ขาวแล้วนะ” ไอเ้ ราก็พยายามไม่อยากตอ่ เติม เขาก็จะบอก
“นน่ั ๆๆ ไดก้ ลิ่นแล้ว ไดก้ ลน่ิ แล้ว” ผมเคยกระซบิ บอกอาจารยจ์ วน “อาจารย์ดงึ เขาไว้หน่อย มนั ไมใ่ ช่
502
หรอกอย่างนัน้ ” อาจารย์จวนบอก “อู้ ! ไมไ่ ด้ เขาเพิ่งเข้าวดั ใหม่ เราไปดงึ อยา่ งนนั้ เดยี๋ วปะทะกันแลว้
ก็เกดิ ความไมเ่ ช่ือถอื ” เพราะฉะน้ันเวลาจะตงิ กนั แบบน้ี ตอ้ งติงคนท่สี นทิ เพราะโยมผู้หญิงคนน้ันเวลา
น่งั รถไปดว้ ยกนั จะบอก “เอ๊ะ ! ไดก้ ล่นิ หมากพลทู า่ นอาจารยข์ าวแลว้ ” แกคดิ อยา่ งน้ี
เราจะตอ้ ง “เอ๊ ! ใชห่ รือ ?” เราก็บอก “เอ๊ ! ใชห่ รอื ?” โยมผ้หู ญิงคนนนั้ ทา่ นบอก “ใช่”
แล้วทา่ นกจ็ ะยำ้� อาจารยจ์ วนเรอื่ ย “ใชไ่ หมอาจารย์ ?” อาจารยจ์ วนบอก “เอ๊ ! เราไมร่ นู้ ะ” ทา่ นกย็ ำ�้ ใส่
เราเรอ่ื ยนะ เราบอก “เอ๊ ! คล้ายๆ” เราจะบอกไมใ่ ช่ มันกก็ ลัว มนั ลงไปจากรถด้วยกันไม่ทนั ไปท�ำ
ศรัทธาเขาถอย เราเลยบอกไปเตือนอาจารย์จวน “ไอเ้ รือ่ งน้อี ยากใหด้ ึงโยมผ้หู ญงิ คนนน้ั ไว้บา้ ง”
“โอ้ ! ยงั ดงึ ไมไ่ ด้ หมอ เพราะวา่ รอซะก่อน เพราะว่ายังไมไ่ ดฝ้ ังรากเลย ถา้ ไปดึงนะ เปน็
คนละเรอื่ งไปเลย ไมไ่ ด้ อาจเปน็ ศตั รทู างออ้ ม” ทา่ นเลยพดู ถกู นะ เพราะวา่ จะดงึ กนั ไดต้ อ่ เมอื่ ศรทั ธาแลว้
มปี ญั ญาแล้ว เขาจะรเู้ องว่าอนั นีจ้ รงิ ไม่จรงิ อันน้คี วรจะพูด ไม่ควรพดู เขาจะรู้ของเขาเอง แตถ่ า้ ไปดึงน่ี
เสยี คนเลย เสยี เขาจะไม่ยอมรบั เร่อื งน้ีเลย อย่างหลายครง้ั ท่นี งั่ รถไปดว้ ยกันไปคารวะหลวงปู่ขาว
โยมผู้หญิงคนนนั้ จะพูดออกมาเลยวา่ “เอ๊ะ ! ไดก้ ล่นิ หมากพลขู องท่านอาจารยข์ าวนะ”
การสร้างวัตถุมงคล
คณุ หมอประพกั ตร์ โสฬสจนิ ดา ไดเ้ มตตาเล่าเรอื่ งน้ไี ว้ดังน้ี
“อาจารย์จวนแทๆ้ เหรยี ญของท่านแท้ๆ ทา่ นสรา้ งกบั อาจารยท์ องพลู ๕๐๐ อัน เปน็ งิ้วด�ำ
มี ๕๐๐ องค์เท่าน้ัน นอกน้ันเป็นของเจ้าคณะจังหวัดหนองคาย ท่านเจ้าคุณธรรมไตรโลกาจารย์
วดั ศรเี มอื งเปน็ คนสรา้ ง แลว้ เอามาใหท้ า่ นพทุ ธาภเิ ษก ทา่ นอาจารยจ์ วนอนญุ าตสรา้ งเหรยี ญไวห้ ลายรนุ่
แลว้ วัดบา้ นค�ำไผก่ ็มา หลายวดั อยู่
เจตนาการสร้างพระง้ิวด�ำ ตอนนั้นรสู้ ึกวา่ อาจารย์จวนกบั อาจารย์ทองพลู ร่วมกนั วา่ เอ๊ ! เรา
ลองดซู ิ ท่านไดง้ ิ้วด�ำมาพอดี ทา่ นก็มาท�ำเปน็ ผงแลว้ กบ็ ด ท่านกป็ ้นั อนั นี้มีพระพทุ ธเจา้ นัง่ บนลกู โลก
องคแ์ ทๆ้ เปน็ ไม้ แตท่ า่ นวา่ ทา่ นจะใหท้ ำ� เปน็ ผงกอ่ น ทา่ นทำ� กบั อาจารยท์ องพลู แลว้ ลองฝมี อื อาจารย์
ทองพลู ทา่ นเก่งเร่อื งนีอ้ ยู่ ลองซิวา่ เราจะใช้วิชานไี้ ดไ้ หม ท�ำอย่างละ ๕๐๐ พระพุทธเจ้านง่ั บนลกู โลก
เขาเรียกวา่ พทิ ักษ์โลก”
ปัจจบุ ัน พระผงรนุ่ พิทักษโ์ ลก ได้อัญเชญิ วางแสดงไว้ในเจดยี ์พิพิธภณั ฑ์
ตอนทีอ่ าจารยท์ องพูลสร้างโบสถ์ขึน้ ที่วัดปา่ สามัคคอี ปุ ถมั ภ์ หรอื ภูกระแต ซง่ึ ทางวดั จะตอ้ งใช้
ทุนทรพั ย์จ�ำนวนมาก ทางวดั ไดอ้ อกวัตถุมงคลเพื่อให้บชู า คณุ หมอประพักตร์ โสฬสจนิ ดา ได้เมตตา
เลา่ เรอื่ งน้ไี ว้ดงั นี้
503
“อาจารย์จวนท่านก็อนุญาตให้ท�ำรูปเหมือนของท่าน ดูเหมือนปี พ.ศ. ๒๕๑๕ อาจารย์วัน
กท็ �ำ อาจารยท์ องพูลเป็นคนไปขออนุญาตอาจารยว์ นั ขออนญุ าตอาจารยจ์ วน ขออนุญาตอาจารยผ์ าง
(จิตฺตคุตโฺ ต) ขออนุญาตอาจารยผ์ างนผี่ มพาไป”
คุณหมอประพักตร์ฝันถึงหลวงปู่จวน
คณุ หมอประพักตร์ โสฬสจินดา ได้เมตตาเล่าเรอ่ื งน้ไี ว้ดังน้ี
“เรากม็ าเสยี ใจนวี่ ่า หลังจากท่ีท่านอาจารยจ์ วนมรณภาพไปแล้ว ถึงว่า อยู้ ! ตอนทเี่ ราอยู่นี่
เราใกลเ้ กลอื กินดา่ งเกนิ ไป เพราะว่ามนั คอื ๑. มนั รจู้ กั กนั โดยบงั เอญิ คือ ๒. มนั พวั พนั กันไป กเ็ ลย
เป็นอะไรก็ได้งี้นะ แต่ไม่ใช่ทางละลาบละล้วงท่านนะ ทางว่า อู้ย ! เม่ือไหร่ก็ได้ๆ เมื่อไหร่ก็ได้
อยู่อย่างน่แี หละ
พอท่านเสยี ไปแล้ว เราก็เสียใจนะ วา่ ท่านเวลาตายท�ำไมไปหาคนอนื่ ได้ เราทำ� ไมไมไ่ ปหา แต่
พอท่านตายไป เสียชวี ิตไปประมาณสัก ๕ – ๖ เดอื น หรอื ๒ เดือนน่ี ผมฝนั ถงึ ทา่ น ฝนั ก็ฝนั ไม่มาก
ฝันถึงท่านวา่ ทา่ นนงั่ เคี้ยวหมากอยกู่ ลางศาลาน�้ำ แล้วท่านก็กวกั มอื เรียกผม ผมกไ็ ปไม่ได้ เพราะว่า
ไอ้ถนนท่ที �ำไป น�้ำมนั สูงขนาดนี้ (แขง้ ) ผมก็กลวั ตกสะพาน แสดงวา่ เรานี่ไม่เป็นทา่ แลว้ นกึ ในใจนะ
ทา่ นก็ยนื เคยี้ วหมาก เขา้ ไปกก็ วักมือเรียก “มาๆๆ เข้ามา” ผมก็ “อู๊ ! ไม่ได้เวย้ ” ไอ้เราก็กลัวลน่ื ใชไ่ หม
เพราะว่าถนนน่ีมันไป มันจมน้�ำมา เวลามีอะไร แล้วท่านก็ยิ้ม ศาลากลางน้�ำในฝัน ไม่ใช่ที่ภูทอก
ทท่ี ่หี นึง่ ผมบอก “ผมไปไมไ่ ดห้ รอก” คือมองๆ ดู ข้ามๆ ว่า โอ้ ! ไอเ้ ราไมเ่ ป็นทา่ ล่ะ ถา้ ภาวนาอาจจะ
ไม่เปน็ ท่า ตอนนัน้ เนาะ ว่าเอ๊ ! ไม่ไหว ท่านกย็ มิ้ เค้ียวหมาก
นอกนนั้ เวลาตอนรบั ราชการอยบู่ า้ ง อะไรทีม่ ันเข้าด้ายเขา้ เข็มก็เคยพดู กับท่าน บอก “โอ๊ย !
ช่วยผมหน่อยเดอ้ ” อย่างงนั้ อย่างงี้ก็ดี ดกี ลายเป็นรา้ ย ร้ายกลายเป็นดี ก็คละกนั ไปอยู่ แต่กไ็ มย่ ึดมนั่
ว่าอยา่ งงน้ั อยา่ งงี้นะ”
504
ภาค ๒๑ ปกิรณกะ
ท่านเป็นครูบาอาจารย์อารมณ์ดี
หลวงป่จู วน ท่านเป็นครูบาอาจารยอ์ ารมณด์ ี ทา่ นไปงา่ ย นง่ั ง่าย อยงู่ ่าย เค้ยี วหมากค�ำตอ่ ค�ำ
หอ่ หมากถุงใหญ่เวลาเทศนท์ ่านก็เทศน์เข้มข้นเวลาเดินธุดงคท์ า่ นเดินเร็วพระติดตามสะพายบาตรเดิน
ไม่ทัน ตอ้ งแอบยึดหอ่ หมากของท่านเอาไวเ้ ป็นหลักประกนั ถา้ ห่อหมากทา่ นอยู่ แสดงว่าท่านยังจะไม่
ไปไหน ทา่ นเป็นพระสบาย เดนิ ไปเจอดนิ ทราย ทา่ นกเ็ อามอื ของทา่ นโกยดินทรายท�ำเป็นกองถมตวั
เหลอื ไว้แตค่ อ แล้วทา่ นก็นอนแบบสบาย
พระเรียนถามทา่ นว่า “หลวงปู่ท�ำไมทำ� อย่างนัน้ ?”
ทา่ นตอบวา่ “มันเยน็ สบายด”ี
สว่ นหลวงปทู่ องพลู ได้แต่น่ังอมยิ้ม
ทา่ นพระอาจารย์สอน ชวี สทุ โฺ ธ ได้เมตตาเล่าเร่อื งน้ไี ว้ดงั นี้
“เวลาหลวงปจู่ วนทา่ นไปภาวนา ทา่ นก็เวลารอ้ นๆ กลางคืนเดินจงกรมมันร้อนมาก ทา่ นกต็ อ้ ง
เอาผา้ องั สะอะไรออก นอนเลย นอนกบั ทราย กลางคืนมนั เย็น ทรายมันจะเย็นๆ ท่านนอน นอนกลิง้ ไป
กล้ิงมา แลว้ ก็มพี ระเณร “เอ๊ ! อาจารยท์ �ำอะไรนอนกล้ิงไปกลิ้งมา ?” แล้วเอาพวกจงิ้ หรีดมาชน มาท�ำ
อะไร อ้า ! หลวงป่จู วนท่านทำ� แตเ่ วลาทา่ นท�ำอยา่ งนัน้ ท่านไม่ให้ใครท�ำนะ ไปทำ� กบั ท่านไมไ่ ด้ นิสัย
ท่านเปน็ แบบนนั้ อยู่ด้วย คุณงามความดขี องทา่ นดีมาก มีหลักมีเกณฑ์ด”ี
ท่านได้วิชาสมุนไพรจากโยมพ่อ
ทา่ นพระอาจารย์พวน ชตุ ินฺธโร ไดเ้ มตตาเลา่ เรอื่ งนไ้ี วด้ งั นี้
“หลวงปจู่ วนทา่ นไดว้ ชิ าสมนุ ไพรจากโยมพอ่ ทา่ นรสู้ มนุ ไพร เพราะโยมพอ่ ทา่ นเปน็ หมอรกั ษา
ชาวบา้ นท่บี า้ นเหล่ามันแกว ใครป่วย ใครเป็นอะไร ทา่ นจะไปรกั ษา ทา่ นกเ็ ลยไดว้ ชิ าต�ำรายาสมนุ ไพร
ติดตวั มา”
ท่านไม่อดไม่อยากหมากเพราะบารมีเก่า
หลวงปยู่ งยทุ ธ ติ ธมโฺ ม ไดเ้ มตตาเลา่ เรื่องน้ีไว้ดงั นี้
“หลวงปจู่ วนท่านทำ� เล่นก็ได้นะ ทำ� อุบายเล่นกบั สตั ว์กบั อะไร กับคนกบั หมพู่ วก ท่านท�ำได้
ท�ำจริงๆ กท็ �ำได้นะ หลวงป่จู วนนี่ ถา้ อยากพูดความจรงิ พดู ไปเลย หลวงป่จู วนมีนโยบาย ภาวนาเกง่
505
ถา้ จะพูด แต่วา่ ทา่ นเก่งไปทกุ ด้านนน่ั ล่ะ
ไปเท่ยี วธุดงคก์ ับทา่ น ท่านจะทำ� ได้หมด แตบ่ ารมที า่ นสรา้ งมาแล้วแตช่ าตกิ อ่ นโนน้ มาชาติน้ี
มนั บนั ดาล ไปอยกู่ บั มา่ น มา่ น คอื คนจนี นล่ี ะ่ พวกแมว้ พวกมา่ น อยหู่ ลงั เขาโนน่ เดนิ ทงั้ วนั จงึ ถงึ หลงั เขา
ไมร่ จู้ ักภาษากนั พวกล้อื ท่านฉนั หมาก แบบอาจารยอ์ งค์นลี้ ะ่ (หลวงป่สู มหมาย) โอย๊ ! ท�ำยังไงถงึ จะ
ไดฉ้ ันน้อ คิดอยู่ มีผู้หวิ หมาก ไมร่ เู้ ขาไปหามายงั ไง มาถวาย แลว้ ท่านก็ฉนั หมาก ไปรบั ศลี เขากไ็ ม่ได้
บอกลื้อ รับศลี ยามวนั พระน่ัน อาตมาพดู อย่างไรให้พูดตามนะ ทา่ นวา่ เขากผ็ งกหัว ลื้อเขากส็ ง่ ภาษา
ให้กนั พดู ไปๆ พุทธงั ธมั มัง สังฆงั นีล่ ะ่ พูดดังๆ หน่อยสิ พดู ดงั ๆ”
ท่านไม่ติดญาติโยม
ทา่ นพระอาจารย์เตมิ ศักดิ์ ยตุ ตฺ ตธิ มฺโม ไดเ้ มตตาเลา่ เรอื่ งน้ีไวด้ งั น้ี
“หลวงปจู่ วนทา่ นรูปงามมากๆ ท่านมีอะไรแปลกๆ ท่านไมใ่ หค้ นตดิ ทา่ นหาอุบายไมใ่ ห้คนติด
ทา่ นมอี บุ ายของทา่ น คอื โยมผหู้ ญงิ คนหนง่ึ นร่ี อ้ งไหเ้ พราะหลวงปนู่ ไ่ี มร่ กู้ ค่ี รง้ั ทา่ นไมด่ หุ รอก แตว่ า่ เหน็
รอ้ งไหก้ ็แลว้ กนั บางทโี ยมผหู้ ญงิ คนนน้ั ขออย่างงัน้ อย่างงี้ “หลวงปคู่ ะ หลวงปคู่ ะ” ทา่ นก็เฉยๆ นานเข้า
ลุกหนีไปเลย “โอ๊ย ! ร้องไห้” น้อยใจว่าหลวงปู่นี้ ท�ำไมไม่พูดกับเขา เขาอุตส่าห์มาอย่างงี้ๆ ล่ะนะ
ทา่ นมวี ธิ ี ทา่ นกล็ กุ หนขี นึ้ พรบึ จะขนึ้ เขาไปกฏุ นิ น่ั นะ ทางนกี้ ไ็ มส่ นใจ แกทำ� ทำ� ไปสิ ทา่ นไมส่ นใจ ทง้ั ๆ ที่
เขาตั้งใจท�ำใหท้ ่านนะ โอย๊ ! ทา่ นพระอาจารย์ทำ� ไมทำ� อย่างงีก้ ับเขานะ
ตอนนัน้ เขาจะทำ� เรื่องผ้าปา่ กฐนิ อะไรท�ำนองนีล้ ่ะ ไปกราบเรียนอย่างโน้นอยา่ งนีน้ ะ คือ
ตามข้ันตอนเขาน่ันนะ คอื ชักแม่นำ�้ ท้ัง ๕ นัน่ แหละ ท่าน “อ้าวๆ ไปกินขา้ วๆ ซะ” พอเขาเดินไปกินขา้ ว
ท่านกข็ ึ้นเขาไปเลย พอหันหนา้ พรบึ โอย้ ! ทางนั้นร้องไห้ โยมผหู้ ญิงอกี คนท่เี ขาเลอ่ื มใสหลวงปู่จวน
มาก แตก่ ่อนเขาท�ำงานอยู่ กทม. อยู่ฝา่ ยบรหิ ารโรงพยาบาล เสร็จแล้วเขากต็ ามขน้ึ ไป “ทา่ นอาจารย์
ท่านอาจารยพ์ ูด โยมผหู้ ญิงคนนัน้ ร้องไหใ้ หญเ่ ลย” คอื ท่านมอี บุ าย ท่านมีกรรมฐานมาตลอดนะ คือ
“โยมจะติดทา่ น แตท่ า่ นไมต่ ิดโยม” ทา่ นมอี ุบายตลอด ท่านไม่ติดโยม”
ท่านไม่เคยเอ่ยชมพระศิษย์องค์ใดเป็นพิเศษ
ในบน้ั ปลายของหลวงปมู่ น่ั ภรู ทิ ตโฺ ต ทา่ นชมหลวงปขู่ าว อนาลโย กบั องคห์ ลวงตาพระมหาบวั
าณสมฺปนฺโน เป็นพิเศษ ส่วนกรณีของท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ท่านไม่ได้ชมพระศิษย์
องคใ์ ดเป็นพเิ ศษ โดยท่านพระอาจารย์พวน ชตุ ินธฺ โร ไดเ้ มตตาเลา่ เรื่องน้ไี วด้ ังน้ี
“เรอื่ งนี้ทา่ นไมเ่ คย ไมพ่ ดู เร่อื งทายาทของทา่ น ท่านไมไ่ ดเ้ อย่ ไม่ได้พูด หลวงปไู่ มเ่ อย่ ”
506
ท่านพระอาจารย์จวนชอบให้ขับรถเร็วๆ
คณุ ประเสริฐ อยูส่ ขุ หรอื พอ่ ก้ี บตุ รชายของพ่อสี อยูส่ ุข ไดเ้ ลา่ เร่อื งนีไ้ วด้ งั นี้
“ผมเรมิ่ ขบั รถถวายหลวงป่จู วน ต้ังแต่สมัยผมยังเปน็ เดก็ ขณะเรยี นอย่มู ัธยมศกึ ษาปที ่ี ๑ แล้ว
กข็ บั ไปเร่ือยๆ ผมขบั รถตง้ั แตร่ ถสงิ หส์ ยามนนั้ นู้นนะ รถสิงหส์ ยามทเี่ ขาไม่มปี ระตู ไมม่ กี ระจกหมนุ นะ
เป็นรถแบบปคิ อัพแบบใสก่ ลอนขา้ งๆ นน้ั นะ หลวงปกู่ น็ ัง่ หนา้ คูก่ บั ผม ช่วงนั้นไม่มใี ครตดิ ตามหรอก
ทา่ นเปน็ คนท่รี ีบรอ้ น เร็ว ชอบให้ขบั รถเร็วๆ ท่านบอก “ให้เหยยี บไปเลย”
หลวงปจู่ วนทา่ นเมตตาเอน็ ดเู ดก็ มาก ทา่ นชอบหยอกลอ้ เดก็ ทา่ นชอบเอามอื เขกหวั เดก็ ผมโดน
บ่อยมาก เหรยี ญหลวงปูน่ ั้น ผมกเ็ คยไดอ้ ยู่ สมัยผมเรยี นหนังสอื ผมจะไปโรงเรยี น ผมจะไปพกั อยูท่ ่ี
วัดภกู ระแต บึงกาฬน่ี วันอาทติ ยช์ ว่ งเย็นนี่ ผมจะมากราบลาทา่ นก่อนที่วัดภูทอก ท่านกพ็ ่นหมากใส่
ผมก็ไป ผมก็รูส้ ึกสบายใจ บางครัง้ ขณะผมขับรถ ท่านก็เอามะเหงกเขกหวั เย็นวันศกุ ร์กก็ ลับมา ถา้ ไม่มี
อะไรทางวดั ภกู ระแตนะ เวลาท่านมาบิณฑบาต ถา้ เปน็ วันเสาร์ วันอาทติ ย์ ถา้ ผมมาบา้ น ผมกเ็ อารถไป
รบั เอาท่านขน้ึ มาวดั บิณฑบาตเสร็จในหมบู่ า้ น ก็ขึ้นรถกลับมาส่งทีศ่ าลา”
ท่านกับภาพปาฏิหาริย์
(จากหนังสือกุลเชฏฐาภิวาท)
ชุดแสงรงั สีปาฏหิ าริย์นั้น คณุ อรุณทิพย์ พรหมประสิทธิ์ ผ้ถู า่ ยเป็นช่างกล้องสมคั รเลน่ เธอรว่ ม
ไปในขบวนทีเ่ ดินทางไปทอดผ้าปา่ หลายวดั ด้วยกัน กเ็ กบ็ ภาพเหตกุ ารณข์ องแตล่ ะวดั ไวด้ ้วยกนั เมอื่
ล้างฟิล์มอัดภาพออกมา เข้าใจว่าภาพของตนเสียมาบ่นกับเพื่อนว่า ฟิล์มม้วนเดียวกันถ่ายมาทุกวัด
ดีหมด ท�ำไมมาเสยี ทีภ่ ทู อกแห่งเดียว เจา้ ของจะโยนภาพทง้ิ แต่เพอื่ นขอน�ำมาให้ผูเ้ ขยี นดู
ผู้เขียนพิจารณาแล้ว ก็เห็นประหลาดอยู่ ด้วยมีล�ำแสงประหลาดพุ่งจากพระประธานบ้าง
จากองค์ท่านอาจารย์จวนบ้าง และมลี �ำแสงฉวดั เฉวียนในอากาศบ้าง แสงสว่างเป็นเส้นสขี าวนวลบ้าง
สีเหลืองบา้ ง และสีฟ้าบ้าง รูปลักษณะของแสงแตกต่างกัน ผ้ถู ่ายก็ดี ผอู้ ยใู่ นภาพก็ดี มิไดเ้ ห็นแสงใด
หรอื อะไรผิดปกติเลย
ภาพชดุ นมี้ ีอยู่ ๘ ภาพ เป็นภาพมีแสงประหลาด ๗ ภาพ อกี ภาพหน่งึ เปน็ ภาพธรรมดา นอกจาก
ภาพหนึ่งซ่ึงแสดงภาพโดดแลว้ สว่ นท่ีเหลือดูจะแสดงเป็นคใู่ ห้เปรียบเทยี บกัน เปน็ ๓ คู่ ผทู้ มี่ ีรปู ตนเอง
ปรากฏในภาพแตล่ ะคู่ แทบจะอย่ใู นอริ ิยาบถเดิม หรอื เปล่ียนแปลงน้อยท่ีสุด แสดงว่าการถ่ายภาพ
แต่ละคู่ กระท�ำในเวลาห่างกนั ไมก่ ่ีวนิ าที แตแ่ สงทป่ี รากฏในภาพแตล่ ะคู่ มีลักษณะต่างกนั มาก
ภาพคแู่ รก เป็นภาพถา่ ยพระประธาน ณ ศาลาวิหาร ชัน้ ที่ ๕
507
ภาพหนึ่ง เห็นแสงจากแขนของพระประธาน ขนานตรงมา ๓ เส้น และหกั มุมวนกลับไปทางซ้าย
ของภาพ ดเู ผินๆ จะเขา้ ใจว่า ได้ตงั้ กระถางธปู ไวต้ รงนน้ั และแสงจากแขนพระประธานเป็นเทยี นไฟฟ้า
แต่เมื่อดูอีกภาพหน่ึงที่เป็นคู่กันซ่ึงถ่ายในเวลาไม่ก่ีวินาทีต่อมาจะเห็นได้ว่า ไม่มีกระถางธูปหรือเทียน
ไฟฟา้ อะไรเลย
แสงท่เี ป็นเสน้ ตา่ งๆ เบอ้ื งหน้า ไมม่ ใี ครทราบวา่ เกิดขึ้นอยา่ งไร ทา่ นอาจารย์บอกวา่ ทา่ นได้
บรรจพุ ระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุทา่ นพระอาจารย์เสาร์ กนตฺ สีโล และพระธาตุท่านพระอาจารย์
มนั่ ภรู ทิ ฺตโต ไว้ในพระประธาน
ครัง้ แรกทผ่ี ูเ้ ขยี นน�ำภาพชดุ น้ีมากราบเรยี นถามท่าน ทา่ นไมอ่ ธิบายวา่ อยา่ งไร แต่ถามผเู้ ขยี นว่า
เราคดิ เชน่ ไร ผเู้ ขียนพิจารณาอยูค่ รู่หน่ึงกเ็ รยี นวา่ แสงเปน็ สายยาวนั้นคงคล้ายกบั การถ่ายภาพรถยนต์
เมอ่ื ก�ำลงั ว่ิงในเวลากลางคนื กล้องอยกู่ บั ท่ี รถแลน่ ไป ความเรว็ ของรถท�ำใหแ้ สงโคมไฟหน้ารถจะเปน็
ล�ำแสงขาวเชน่ นัน้ การถ่ายภาพเหล่านีค้ งเปน็ การบงั เอญิ ทกี่ ลอ้ งสามารถจบั ภาพ “รงั สี” ของท่าน
ทอ่ี ยใู่ นอกี ภพหนง่ึ ซงึ่ เราไม่อาจเห็นได้ด้วย “ตา” ของสามัญชนธรรมดา และการเคล่ือนไหวของ
“ทา่ น” เหล่านัน้ คงรวดเรว็ มาก รังสีของทา่ น จงึ เหน็ เป็นเพียงล�ำแสงปรากฏเปน็ เสน้ และเวลาต่างกัน
เพยี งอดึ ใจเดยี วก็เปน็ ภาพแสงตา่ งกนั มาก ไมท่ ราบวา่ คดิ เชน่ นีผ้ ดิ ถูกประการใด
ทา่ นอาจารย์จวนฟังแล้วก็น่งิ อยู่ หากทว่าภายหลงั มผี มู้ ารบเร้าซักถามทา่ นมากๆ และอยูใ่ น
ระหว่างการเรียนซกั ถามธรรมในหม่นู กั ปฏบิ ัติ ทา่ นอาจารยห์ นั มาทางผู้เขยี นบอกว่า “ไหนช่วยอธบิ าย
ให้เขาฟงั ทีซ”ิ แลว้ ทา่ นก็ลุกหนีไป
บางภาพมี “เสน้ ” แสงสฟี ้า ดูคล้าย “เศยี ร” พญานาค
ผู้ทีเ่ คยเห็นภาพชดุ “พเิ ศษ” ถา่ ยในคนื วันพระราชทานเพลงิ ศพ หลวงปูข่ าว อนาลโย ที่ผู้เขียน
น�ำมาลงพิมพ์ในหนังสอื “อนาลโยปชู า” จะเห็นล�ำแสงสีฟา้ ลักษณะขาดเปน็ ชว่ งๆ เชน่ นี้มาก รวมทัง้
“เศยี ร” พญานาคทก่ี ำ� ลงั ชคู อแผพ่ งั พานอยหู่ ลายตวั อาจจะนำ� มาเทยี บเคยี งกนั ได้ อาจเปน็ เครอ่ื งยนื ยนั
ไดห้ รอื ไมว่ า่ เมอ่ื ทา่ นผทู้ รงคณุ ธรรมเฉกเชน่ น้ี อยใู่ นทใี่ ด ยอ่ มแวดลอ้ มดว้ ย “ทา่ น” ผศู้ กั ดส์ิ ทิ ธิ์ มฤี ทธา–
นุภาพมาพิทกั ษร์ ักษาหรือกราบคารวะ
เมอ่ื ทา่ นอาจารยจ์ วนยังมีชวี ิตอยู่ ผู้เขียนได้น�ำภาพ “พิเศษ” ไปถวายให้ครูบาอาจารย์หลาย
องค์ดู ทา่ นกลา่ วว่า คงเป็นรังสีของเทพ เฉพาะหลวงป่ขู าว ได้กล่าวเพม่ิ วา่ ท่านจวนเปน็ ทิพยแ์ ลว้
อะไรเก่ียวกับท่านกเ็ ปน็ ทพิ ย์
ภาพปาฏหิ ารยิ ไ์ ดเ้ คยนำ� มารวมพมิ พใ์ นประวตั ขิ องทา่ นไวค้ รงั้ หนง่ึ แลว้ เพอ่ื เปน็ หลกั ฐานใหท้ า่ น
ผู้รศู้ กึ ษาคน้ ควา้ กนั ต่อไป ว่าในโลกนี้ ยังมี “สงิ่ ” หรอื “พลงั ” ทเ่ี ราไมอ่ าจเห็นได้ดว้ ยตาอีกมากมายนัก
508
การถ่ายรูปท่านในอิริยาบถต่างๆ บนเขา
(จากหนงั สือกลุ เชฏฐาภิวาท)
ภาพ “ท่านอาจารย์จวน กลุ เชฏโฺ ” ชุดบนเขานี้ถา่ ยระหวา่ งเม่ือทา่ นเมตตาน�ำคณะศษิ ย์ชม
สะพานรอบเขา ชนั้ ที่ ๕ และ ๖
ขณะที่ทุกคนเดินตัวส่นั ตามทา่ นไปตามสะพานอนั แคบเล็ก เหมอื นลอยอยบู่ นอากาศ ฟากหนึ่ง
เป็นหินผาอนั สงู ชัน อีกฟากหน่ึงเป็นเหวลกึ ล่วิ ลงไปอย่างนา่ สยองใจ ศิษย์ผู้หนึ่งเกดิ ความคิด ใครข่ อ
ถ่ายภาพท่านอาจารย์กับซอกเขา หรือโขดหินไว้บูชา สมมติต่างได้บูชาพระพุทธรูปท่ีต้ังประดิษฐาน
กลมกลืนกบั ธรรมชาติ บนโขดหินบา้ ง ในซอกผาบา้ ง บนแทน่ ศิลาบ้าง
เฉพาะภาพในซอกผานนั้ ขณะชจี้ ุดขอนิมนต์ใหท้ า่ นขน้ึ ไปยนื บนน้ัน ศษิ ยอ์ ้างว่า เพอ่ื จำ� ลอง
ภาพ พระอัฏฐารส ทก่ี รุงสุโขทยั
ไม่ว่าจะช้ีโขดหินจุดไหน ซอกผามุมใด สูงลิ่วข้ึนไปเพียงใด นิมนต์นั่งบนโน้น หินก้อนโน้น
นมิ นต์ยืนบนโขดหินก้อนสีเขียวนั้น
ไม่ว่าจะน่าหวาดเสียวเพียงใด ท่านอาจารย์จะรับนิมนต์อย่างเมตตาโดยตลอด ท่านก้าวเดิน
ขึ้นไปช้าๆ ตามไหล่เขาอันชันเกือบตั้งฉากเหล่านั้นด้วยใบหน้าสงบ สีหน้าเกล่ือนด้วยรอยยิ้มอย่างรู้
เท่าทนั ศษิ ย์
เคารพก็เคารพท่านอาจารย์เต็มหัวใจดอก แต่วิสัยมนุษย์ท่ีจิตอดซุกซนไม่ได้ กึ่งกล้ากึ่งใคร่
ลองดูคุณทา่ นอาจารย์ ทา่ นจะบน่ สกั ค�ำไหมนา้ วา่ “ให้ขน้ึ ไปได้อยา่ งไร เขามนั ชนั เรยี บอยา่ งนี้” คิดว่า
ทา่ นจะปฏิเสธ แตไ่ ม่มสี กั ครง้ั ทที่ ่านจะปฏิเสธ
“ให้น่งั ตรงไหน ? ตรงนห้ี รือ ? ให้ยืนตรงไหน ? บนหนิ ก้อนนี้หรือ ? เอา้ ! พอใจหรอื ยัง ?”
ทา่ นจะถามอยา่ งนีเ้ สมอ
ดงั นัน้ เราจึงไดภ้ าพชุดนมี้ าอย่างงดงามและทุลักทุเล งดงามดว้ ยความงามของธรรมชาติ และ
เหนือสงิ่ อนื่ ใด คือ ภาพทา่ นอาจารย์ในอริ ิยาบถซ่งึ ลว้ นก�ำลังยิม้ เจริญเมตตาให้กับคณะศิษย์
ทลุ กั ทุเลด้วยแตล่ ะคน ทั้งคนช้ี คนเชยี ร์ คนถา่ ยภาพ ต่างขาสน่ั ใจส่นั หวิว กลวั ความสูงกันท่ัว
ถว้ นหน้า ทง้ั ๆ ทเ่ี รากย็ ืนเลยี บชดิ เขา มรี าวสะพานก้นั กันอยู่ทุกคนท้ังนั้น เห็นจะไมจ่ ำ� เป็นทีจ่ ะต้อง
สารภาพไว้ ณ ที่น้ีเลยว่า ศิษยต์ ้นคดิ ผ้มู ีจิตซุกซน ก่งึ กลัวก่ึงกล้า ใครล่ องรู้พระคุณของท่านนัน้ เป็นใคร
แตก่ ็ใคร่บนั ทึกให้สน้ิ สงสัยว่า ผลจากการถา่ ยภาพชดุ น้ี ซึ่งความจริงยังมอี กี หลายภาพที่ไม่ได้
น�ำมาลงพมิ พ์ เช่น เม่ือถ่ายภาพนนั้ เสร็จแลว้ ทา่ นก�ำลังเดนิ ลง (หนั หนา้ ออก) ตามหน้าผาอันสงู ชนั นัน้
ก็นมิ นต์ให้ท่านชะงกั อยู่
509
“ขอถา่ ยรูปตอนนอ้ี ีกหนอ่ ยเจ้าคะ่ ”
ใหท้ า่ นหยดุ ยืน เทา้ แตะเขาอันเกือบตั้งฉากน้ันคา้ งอยู่
หลงั จากการถา่ ยภาพชดุ น้ี วนั ตอ่ มาท่านอาจารยจ์ ึงได้เลา่ ใหฟ้ งั ถึงเร่อื งเมอื่ ทา่ นเปน็ พระผ้นู ้อย
บวชได้ไม่กี่พรรษา อวดกล้าไปทดลองจิตท่านพระอาจารย์ม่ัน ถูกทรมานเสียจนจิตต้องอ่อนยอม
ศิโรราบทา่ นพระอาจารย์มัน่
เราฟงั กันตัวลบี ด้วยความรูส้ ึกหนาวๆ ร้อนๆ อย่างบอกไมถ่ กู ท่านรทู้ นั เราตลอด ว่าอวดด้ือ
ไปลองดีท่าน แตท่ ่านไมพ่ ูดเท่าน้นั เอง
ท่านก�ำหนดจิตให้เบาเป็นส�ำลี
เร่ืองก�ำหนดให้ตัวเบาเปน็ ส�ำลนี ี้ เปน็ เหตกุ ารณ์ทท่ี า่ นพระอาจารย์จวน กลุ เชฏโฺ พาคณะ
ศิษยจ์ ากกรุงเทพฯ ไปธุดงค์ทน่ี ำ้� ตกสะแนน ในช่วงวนั หยดุ ก่อนจะเขา้ พรรษาปี พ.ศ. ๒๕๒๐ โดย
หนังสอื กลุ เชฏฐาภิวาทบันทกึ เร่ืองนีไ้ ว้ดงั น้ี
“ทา่ นอาจารยไ์ มไ่ ดห้ ยดุ ฟงั เสยี งอทุ านชมความงามธรรมชาตขิ องพวกศษิ ย์ คงนำ� หนา้ ไตไ่ ปตาม
โขดหินทีร่ าบเรยี บและลื่นอยา่ งยิ่ง เพือ่ นำ� เราขนึ้ ไปดูบนยอดเขา ซ่ึงทา่ นว่าเป็นเหมอื นทร่ี าบบนสันเขา
มีสระน้�ำท่ีน่าจะเรียก สระมุจลินท์ สมัยก่อนท่านเคยปักกลดภาวนา และต่อมาได้สร้างกุฏิชั่วคราว
วเิ วกอยูบ่ นน้ัน กลางคืนมเี สอื มชี ้างมาเยย่ี มกรายบ่อยๆ แมเ้ วลานี้พระที่ไปอยบู่ นกุฏิบนเขานั้น ตน่ื เช้า
ขน้ึ มาก็ยงั เห็นรอยเทา้ และขชี้ า้ งรอยใหม่ๆ อยู่ข้างกุฏกิ ็มี
ได้ยินเช่นนั้น พวกเราก็ตื่นเตน้ ขอขึน้ ไปดบู นยอดเขาบ้าง ท่านใหพ้ ระพาพวกเราเดินอ้อมไป
ในทางท่ีไม่สลู้ นื่ หรือชันนัก แต่เฉพาะทา่ นจะข้ึนตัดตรงไป มลี กู ศษิ ย์ใจกลา้ ขอตามทา่ นไป ๒ – ๓ คน
หนิ ตอนน้ัน แทบจะไมม่ ตี ้นไม้ให้ยึดเลย น้�ำไหลแรง บางตอนเป็นตะไคร่ ล่นื อยา่ งย่งิ ทุกคนต้องถอด
รองเทา้ อาศัยกำ� ลังใจอยา่ งมากทจี่ ะทรงตัวปนี ป่ายขน้ึ ไป เพราะท้ังความลืน่ ของหิน ความลนื่ ของ
ตะไครน่ �้ำ และความลื่นของน้�ำที่ก�ำลังไหลแรง มีอยู่ตอนหนึ่งที่ท่านอาจารย์น�ำไปข้างหน้า ได้ล่ืน
ไถลลงมาตามสายนำ้� ตกลงกระแทกหินขา้ งล่างเสียงดังสน่ัน พวกเราตกใจกันหมด คิดว่าท่านคง
จะเจบ็ มาก แต่ทา่ นลกุ ข้ึนตะโกนย้อนกลบั มาให้เราทราบวา่ อนั ตรายลืน่ มาก อย่าตามมา โบกมือไล่
ใหเ้ รากลับย้อนตามพวกเพื่อนดีกว่า แตต่ วั ท่านองค์เดยี วคงขึน้ ตอ่ ไปทางนน้ั
ผลสุดท้าย เราก็ตามข้ึนมาจนได้ โดยเส้นทางซ่ึงอ้อมไปอีกทางหนึ่ง ได้เรียนถามท่านด้วย
ความห่วงใย เพราะการตกลงมาสงู เช่นน้ัน เสยี งดังอย่างน้นั ทา่ นคงตอ้ งเจบ็ แน่ แตท่ า่ นก็ยืนยันว่า
ทา่ นไม่เจบ็ ไม่เป็นอะไร และเราสงั เกตเห็นว่า ทา่ นยังคงน�ำเราไปอยา่ งคล่องแคลว่ วอ่ งไว ไมม่ ีทีทา่ ว่า
จะเจ็บปวดอย่างไร จึงคอ่ ยคลายความวิตกลงบ้าง
510
กลบั มาภูทอก พวกศิษยช์ ่างซักได้เรยี นถามท่าน ทา่ นก็ตอบวา่ ไมเ่ ปน็ ไร เดีย๋ วคนน้ีเรยี นถาม
เด๋ียวคนโน้นเรียนถาม ถามกันอยู่น่ันแหละ จนท่านเอ็ดว่า “บอกว่าไม่เจ็บ ก็ไม่เจ็บซี” เห็นเรา
หนา้ จอ๋ ยกัน ทา่ นจึงอธิบายเสริมว่า “ถ้าต้งั สตใิ หท้ นั กไ็ มเ่ ปน็ ไรหรอก”
ระหวา่ งนั้นเป็นเวลากำ� ลังเตรียมท�ำหนงั สือประวัติทา่ นพระอาจารยฝ์ ้ัน อาจาโร เพือ่ แจกเปน็
อนสุ รณ์ในงานเสด็จพระราชด�ำเนินพระราชทานเพลงิ ศพ เดมิ ผูเ้ ขยี นไดร้ บั มอบหมายใหเ้ ป็นผู้รวบรวม
เขียนและจัดทำ� (ภายหลงั ได้มีกิจธรุ ะจำ� เป็น จงึ ลาออกจากหนา้ ทนี่ ี้ และกไ็ ด้มผี ู้อื่นรบั ภาระไป)
คุณสุพล น�ำชม ผู้ใกลช้ ิดท่านพระอาจารยฝ์ ้ันได้นำ� ต้นฉบับประวัติ และประสบการณ์สว่ นท่ี
เก่ยี วข้องมามอบใหผ้ ูเ้ ขยี น จึงได้อา่ นพบความตอนหนง่ึ ทท่ี ่านอาจารยฝ์ ้ันก�ำลงั ธดุ งค์อยู่ท่ภี ูวัวและล่นื
ตกเขา ทา่ นไดต้ อบศษิ ยว์ า่ “อาการกเ็ หมอื นสำ� ลตี กลงบนหนิ นนั่ แหละ” ซง่ึ หมายความวา่ ขณะทก่ี ำ� ลงั
ล่ืนลม้ ก่อนศรี ษะฟาดลานหนิ ท่านจะสามารถก�ำหนดจติ ภายในช่วั พรบิ ตาใหต้ ัวเบาเป็นส�ำลี อ่านแล้ว
กเ็ กิดความเข้าใจถึงเรือ่ งการล่นื ตกเขาของทา่ นอาจารยจ์ วนทันที
วนั หลงั ได้ไปภูทอกกเ็ รยี นถามท่านเรอื่ งนี้ แนน่ อน ผ้เู ขียนก็ตอ้ งใช้วธิ ีอ้อมค้อมหนอ่ ย โดยเกรน่ิ
ถึงประวตั ทิ า่ นอาจารยฝ์ นั้ ทคี่ ุณสุพลเลา่ ไปเรือ่ ยๆ แล้วสรุปวา่
“ท่านอาจารยเ์ คยวา่ จติ ทเี่ ปน็ สมาธจิ ะตอ้ งเปน็ สมาธิอยู่ตลอดเวลา ไมอ่ ้างกาล ไม่อ้างเวลา
วา่ เวลานนั้ จะเขา้ สมาธิ เวลานจ้ี ะออกสมาธิ ไมเ่ ลอื กวา่ จะเปน็ เดนิ ยนื นงั่ นอน ทกุ เวลา จติ จะตอ้ ง
มีสติพร้อมอยู่เสมอใช่ไหมเจ้าคะ จิตท่ีฝึกดีแล้ว ย่อมมีสติพร้อมทุกเวลา ท่านอาจารย์ฝั้น
ท่านทำ� จิตได้ ก�ำหนดจิตได้ ทา่ นตกเขากไ็ มเ่ จบ็ ซีเจ้าคะ”
“ใช”่ ทา่ นตอบ
“ถ้าเชน่ น้ัน ผู้ที่ตกเขาเสียงดังโพละ แต่ไมเ่ จ็บ ท่านผ้นู ั้นกต็ อ้ งกำ� หนดจิตใหก้ ายเบาเป็น
ส�ำลีไดซ้ เี จ้าคะ”
ทา่ นก็วา่ “ใช”่ อกี
ผ้เู ขยี นวกกลบั ไปถงึ เรอื่ งองคท์ า่ นอาจารยจ์ วนเอง ทตี่ กเขาท่สี ะแนน “ท่านอาจารยก์ �ำหนด
จิตใหเ้ บาเป็นส�ำลี ใช่ไหมเจ้าคะ”
ท่านโบกมือ “ไป ไป เลิกกนั ไปพกั ผ่อน”
เปน็ ทีท่ ราบกนั ดีว่า เวลาพวกศษิ ย์เรยี นถามอะไร ซ่งึ เป็นเรอ่ื ง “เกนิ เลย” ไปแล้ว ทา่ นจะตัดบท
ไลใ่ หเ้ ราไปพักผ่อนเสมอ บางครั้งท่านอยู่ด้วยกนั กบั ทา่ นอาจารยว์ ัน กจ็ ะหนั ไปคยุ กันวา่
“จะท�ำยังไง เขารกุ เราจนแล้วน่”ี
511
ภายหลัง เวลาท่านเพลินๆ เราก็มกั จะแอบท�ำหน้าซอื่ ถามข้ึนมา “เอ ! ท่านอาจารย์เจา้ คะ
ท�ำอยา่ งไรที่ก�ำหนดจติ ใหก้ ายเบาเปน็ ส�ำลี แบบที่สะแนนน่ะเจ้าคะ”
ท่านจะโบกมอื ร�ำคาญหนักเขา้ กอ็ าจจะว่า
“ก็เร่งปฏบิ ตั เิ ข้าซี วันหนึง่ กร็ ูเ้ อง ไมต่ ้องมาถามอกี ”
อ�ำนาจจิตของท่านท้ังสอง
(จากหนงั สอื กลุ เชฏฐาภวิ าท)
เกี่ยวกับอ�ำนาจจิตนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นของมีได้เป็นได้ในจิตของพระอริยเจ้าระดับนี้ทุกองค์
ซง่ึ เร่ืองของอำ� นาจจติ หรือพลังจติ กเ็ ปน็ เร่อื งยากจะอธบิ ายหรอื พสิ ูจน์ได้ คงปรากฏเปน็ รปู ของปรศิ นา
ทไี่ มอ่ าจคลคี่ ลายออกมาเสมอ อยา่ งเชน่ ครง้ั หนงึ่ คณุ หญงิ สรุ พี นั ธ์ุ มณวี ตั ไดน้ มิ นตท์ า่ นพระอาจารยว์ นั
อตุ ตฺ โม และ ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ ไปภาคใต้ ซง่ึ ในระยะนน้ั ทา่ นทง้ั สองจะไปดว้ ยกนั แทบจะ
เป็นคู่แฝด การไปภาคใต้ครั้งนนั้ ไปถึงหัวหนิ และนับเป็นครงั้ แรกของท่านพระอาจารยจ์ วน มเี หตุการณ์
๒ เรื่องท่แี สดงถงึ อ�ำนาจจิตของท่านทั้งสอง ดงั นี้
“เร่อื งแรก เราแวะเพชรบรุ ี เจ้าของโรงงานสบั ปะรดกระปอ๋ งแห่งหนง่ึ ทราบเร่อื ง ขอนิมนต์ให้
ทา่ นอาจารยท์ ง้ั สอง (ทา่ นอาจารยว์ นั และ ทา่ นอาจารยจ์ วน) แวะเยย่ี มโรงงานใหเ้ ปน็ มงคล เจา้ ของนำ�
ทา่ นดกู ารผลติ ในโรงงานทกุ ขน้ั ตอน ตัง้ แต่การปอกสบั ปะรด เอาไสอ้ อก ตดั เปน็ แว่น บรรจลุ งกระปอ๋ ง
ซงึ่ ทกุ อยา่ งทำ� ดว้ ยเครอื่ งจกั รโดยตลอด ทงั้ สององคม์ องดภู าพกระปอ๋ งสบั ปะรดทเ่ี รยี งตวั เคลอื่ นไปตาม
สายพานอยา่ งสนใจ ชมว่า “เกง่ จรงิ ๆ เคร่อื งจกั รน่”ี แตท่ ่านอาจารย์จวนเสริมเบาๆ “ใช้เครื่องจกั รหมด
อีกหน่อยคนอีสานจะมงี านท�ำหรอื ?” รู้กนั ว่าคนทางภาคอสี านออกมาหางานท�ำภาคกลาง ภาคใตก้ นั
อย่มู าก ทา่ นอดหว่ งคนทางอสี านของท่านไม่ได้
ทา่ นเดนิ ผา่ นๆ กนั ไป จุดสดุ ทา้ ยเปน็ การท�ำงานของเคร่ืองจกั รท่ีท�ำตวั กระป๋องส�ำหรบั บรรจุ
สบั ปะรด ต้ังแต่ตดั เหลก็ วลิ าสเป็นแผ่นยาวขนาดส�ำหรับกน้ กระป๋องเคล่ือนตัวม้วนเป็นวง บัดกรสี ่วน
แผน่ กลมติดขา้ งลา่ งเคร่ืองม้วนขอบดา้ นล่าง ฯลฯ จดุ นี้ทา่ นอาจารยจ์ วนสนใจมาก หยุดอยูน่ านจน
ตอ้ งกลับมาเร่งวา่ ทา่ นอาจารยว์ นั ไปรออยขู่ า้ งหน้า เจา้ ของเขาจะขอใหท้ า่ นทัง้ สองเจมิ เครือ่ งจกั รให้
ท่านเดินออกมาร�ำพงึ เบาๆ “อมื ! มันท�ำอยา่ งไรนะ” ผเู้ ขียนกลบั มาเร่งท่าน เดินตามท่านอยู่
จงึ ได้ยนิ ค�ำรำ� พงึ ของท่าน
ขาดคำ� ทท่ี ่านว่า “ทำ� อยา่ งไรนะ” กไ็ ดย้ นิ เสียงกราวใหญ่ลั่นอย่ขู า้ งหลัง เคร่ืองจกั รหยดุ ชะงกั
แผ่นเหล็กวิลาศกระป๋องเปล่าที่เดินแถวเรียงกันเป็นล�ำดับน้ันดีดออกจากสายพาน เห็นกระป๋อง
แผ่นเหล็กวิลาศกลง้ิ และกระจัดกระจายเตม็ ไปหมด เสียงกระปอ๋ งกระทบพืน้ ยังดงั ไมห่ ยุด
512
ผู้เขียนมองหน้าท่าน ท่านท�ำท่าเหมือนเด็กถูกจับได้ รีบเดินไปสมทบกับท่านอาจารย์วัน
ซ่งึ เมอื่ ได้ยนิ เสียงก็เหลียวมาดูเหตกุ ารณ์ และมองยิม้ ๆ ไปทท่ี ่านอาจารย์จวน
วันหลังเม่ือท่านอาจารย์สอนเร่ืองการท�ำจิตให้สงบ สงบให้ถึงขนาด (ถึงขนาดน่ีเป็นส�ำนวน
ทา่ น) จติ จะกล้ามีพลัง มอี านุภาพ แล้วท่านก็ยกตวั อยา่ งเรอ่ื งทา่ นอาจารยฝ์ ้นั หยดุ รถยนต์ เพยี งสงสยั
ว่ารถยนตม์ ันเดินได้อย่างไร จติ ของท่านไปพจิ ารณาเคร่อื งจกั ร รถยนตห์ ยดุ ทนั ที
ผเู้ ขยี นปากอยู่ไมส่ ุขพูดขึน้ ค่อยๆ “ก็อยา่ งท่โี รงงานสบั ปะรดกระป๋องทีห่ วั หนิ วนั นัน้ กระปอ๋ ง
กระจายเลย”
ท่านร้อง จุ.๊ .. ทำ� ตาดมุ องหนา้ ผูเ้ ขยี น ส่ันหนา้ หา้ มไมใ่ ห้พูดตอ่ แล้วท่านก็รีบชวนทุกคนคุย
เรือ่ งอ่ืนตอ่ ไป
สว่ น เรือ่ งที่สอง ทีห่ ัวหิน น้นั คอื มผี ้นู มิ นต์ไปฉันจังหันท่บี า้ น ผ้นู มิ นต์บริบูรณด์ ้วยทรพั ย์
ศฤงคารและรสนิยมอนั ดี ไม่แต่อาหารทจี่ ะจดั มาหลากชนดิ อยา่ งประณีต งดงามแลว้ ภาชนะเครื่องใช้
ท่ใี สอ่ าหารกเ็ ปน็ ชุดกระเบื้องพอร์ซเลน หรอื แกว้ เจียระไนอย่างงดงามดว้ ย
แม้เจ้าของบา้ นจะพยายามอธิบายวา่ น่คี ือ ออรเ์ ดิร์ฟ ขอให้ฉนั กอ่ นเพอ่ื เรียกน�้ำยอ่ ย นเี่ ปน็ ซุป
นเี่ ปน็ อาหารหลกั เกอื บทกุ อยา่ งมเี ครอ่ื งเคยี ง เครอ่ื งจมิ้ เปน็ บรวิ าร อยา่ งนนั้ ตอ้ งคกู่ บั นำ�้ จม้ิ อยา่ งน้ี ซง่ึ มี
๓ ถ้วยเลก็ อยา่ งโนน้ ต้องฉนั พรอ้ มเครอ่ื งเคยี งอกี ๕ อยา่ ง อะไรท�ำนองนี้
ท่านอาจารย์ท้ังสองกไ็ ม่ฟงั คงรบั ประเคน แบ่งใส่บาตร ปนเปกันหมด เจ้าภาพหญิงจะเป็น
ลมตาย อาหารของเขาจดั มาอย่างสวยงาม แต่ละอยา่ งรสโอชา ประณตี ย�ำ แกงเผ็ด หฉู ลาม รงั นก
ลงไปคลุกเคล้ากัน แถมยงั ขนมต่างๆ ลอยแกว้ กระทอ้ น ขา้ วเหนยี วน้�ำกะททิ เุ รียน ฝา่ ยเจ้าบ้านกม็ ิรู้
จะท�ำอย่างไร ไดแ้ ตม่ องท่านฉันจงั หนั กันอยา่ งท้อแท้ใจ
ทนั ใดนน้ั ทกุ คนกต็ อ้ งสะดงุ้ กนั หมด ดว้ ยเสยี งทา่ นอาจารยว์ นั ดงั เปรย้ี งขน้ึ มา เหมอื นฟา้ ผา่ โดย
ไม่มเี มฆฝน
“ท�ำไมไปวา่ พระท่านโง่ ท่านไม่รู้ ท่านก็ถาม ไปวา่ ท่านโงไ่ ด้อย่างไร ฉนั รวมในบาตรอยา่ งนี้
เปน็ วัตรของทา่ นท่ีท่านต้องปฏิบตั ิ ต้องท�ำ ไปว่าท่านโง่ ไมถ่ กู ประมาทท่านว่าโง่ บาปน่ี”
ทุกคนน่งิ เงียบเหมือนถูกสะกด ไม่ทราบวา่ ใคร เจ้าบ้านชายหรอื หญงิ หรอื บริวารคนใด บคุ คล
นน้ั คงคดิ ประมาทในใจ คำ� ประมาทลว่ งเกนิ นน้ั คงรนุ แรง ไปกระทบจติ ทา่ นอยา่ งแรง ทา่ นอาจารยว์ นั
จงึ ออกปากออกมาเสยี งดงั เชน่ นนั้ และปกตทิ า่ นอาจารยว์ นั เป็นผพู้ ูดชา้ เนิบ ออ่ นโยน เราคนุ้ เคยกับ
เสยี งเช่นนั้นของทา่ นมาโดยตลอด ครั้นมาประสบเสยี งดุดัง แสดงอ�ำนาจเด็ดขาดเชน่ นี้จงึ แทบสลบ
บาปท่ีเกิดขึ้นเนื่องจากล่วงเกินพระอย่างท่านทั้งสองน้ันคงจะต้องน่ากลัว มิฉะน้ันท่านคงไม่
เมตตา “สอน” ด้วยวิธีใช้เสยี งรุนแรงดังน้ี”
513
ท่านภาวนาเรียกฝน
การบนั ดาลฝนมมี าแตค่ ร้ังพทุ ธกาล เช่น เมอื งไพศาลเี กดิ ขา้ วยากหมากแพงฝนไม่ตกตอ้ งตาม
ฤดูกาล ข้าวกล้าแหง้ เห่ยี วตาย เกดิ ทุพภกิ ขภยั ใหญ่ และมีโรคระบาด พวกคนยากคนจนอดอยาก
ลม้ ตายลงเป็นจ�ำนวนมาก ซากศพถูกน�ำไปทิ้งไว้นอกเมืองก็ส่งกลิ่นเหม็นตลบ พวกอมนุษย์ก็พากัน
เข้าเมอื ง คนยง่ิ ลม้ ตายกนั มากขน้ึ เกดิ อหวิ าตกโรคตามมา พระพทุ ธเจา้ รบั อาราธนานมิ นตเ์ สดจ็ ไปโปรด
บนั ดาลใหฝ้ นตกลงมาอยา่ งหนกั นำ้� ฝนไหลนองทว่ มพดั พาเอาซากศพลอยลงแมน่ ำ้� คงคาไปหมด ทำ� ให้
ภาคพ้นื ดินบริสทุ ธิส์ ะอาด และทรงสอน “รัตนสตู ร” แก่พระอานนท์ พระอานนท์ไดเ้ จริญพระปริตร
ไปท่ัวเมอื ง จนภยั ตา่ งๆ สงบเรยี บร้อยจึงเสด็จกลบั
เมอื่ เกิดภัยพบิ ัตฝิ นแล้ง ซ่ึงประชาชนตา่ งพากนั เดอื ดรอ้ น ครบู าอาจารยท์ ่านได้สงเคราะห์โดย
ด�ำเนนิ ตามพุทธจรยิ าที่มมี าแต่ครง้ั พุทธกาล เชน่ ท่านเจา้ คุณอุบาลีคุณปู มาจารย์ (จนั ทร์ สิริจนโฺ ท)
เมื่อครง้ั จ�ำพรรษาท่ีวัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชยี งใหม่ เกิดฝนแล้ง ฝนฟ้าไมต่ กตอ้ งตามฤดกู าล ท่านได้
เดินจงกรมภาวนาแล้วอธษิ ฐานบันดาลฝนให้ตกท่ัวเชียงใหม่
กรณขี องทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ กเ็ ชน่ เดยี วกนั เมอ่ื ชาวบา้ นแถวภทู อกประสบปญั หา
ฝนไม่ตก ขาดแคลนน้�ำ ก็มากราบเรียนท่านว่า ฝนแล้ง ข้าวและพืชพันธุ์ต่างๆ เริ่มจะเห่ียวแห้ง
ใบเหลอื ง ทา่ นกจ็ ะออกมายนื ภาวนาก�ำหนดจิตสงบน่ิงบริเวณระเบียงของศาลาวหิ ารชน้ั ๕ ซ่งึ เปน็
บรเิ วณท่ที า่ นกวาดตาด และไมน่ านนัก ไม่เกนิ คร่ึงวัน ฝนกม็ ักจะใหบ้ งั เอิญตกลงมาอยา่ งชุ่มฉ�่ำ ในกรณี
ถังน�้ำฝนบนยอดเขาก็เช่นกัน เม่ือน้�ำใกล้จะหมดถัง พระเณรจะต้องรีบมากราบเรียนท่าน ท่านก็
ภาวนาขอฝน ฝนมักจะตกลงมามใิ ห้วัดขาดน�้ำไดเ้ ช่นเดียวกัน
คาถาขอฝน
(จากหนงั สอื กุลเชฏฐาภวิ าท)
วนั นน้ั นมิ นตท์ า่ นไปเขอื่ นจฬุ าภรณ์ ขากลบั ผา่ นมาทางถนนสายเลย – อดุ รฯ ซงึ่ เปน็ ถน่ิ ทท่ี า่ นเคย
ธดุ งคม์ าอยา่ งโชกโชน ทา่ นอาจารยก์ ำ� ลงั อารมณด์ ี ทา่ นกเ็ ลยชใี้ หด้ บู รเิ วณซง่ึ กอ่ นนนั้ เปน็ ทซ่ี ง่ึ เรยี กตาม
สำ� นวนของทา่ นวา่ “ทข่ี ดั ทขี่ วง ทผ่ี หี วง” ปลกู อะไรไมข่ นึ้ ดำ� นาปกั กลา้ ลงไปในวนั น้ี รงุ่ ขน้ึ จะเหยี่ วแหง้
ตายหมด หรอื บางครง้ั “แรง” ถงึ ขนาดวา่ ถอนตน้ กลา้ ทง้ิ หมดเลย จะวา่ เปน็ ฝมี อื มนษุ ย์ ใครจะสามารถ
ถอนต้นกลา้ ไดใ้ นคืนเดียว เป็นเนื้อทส่ี บิ ๆ ไร่ หลังจากทท่ี ่านมาเจริญภาวนา แผ่เมตตา ท่เี หล่าน้นั
กก็ ลายเป็น “ท่เี ปดิ ” ใหช้ าวบ้านเข้ามาทำ� มาหากนิ กันไดอ้ ยา่ งสะดวก มีความอุดมสมบูรณท์ นั ตาเห็น
ท่านเล่าว่าเวลามีปัญหาท่ีไหน หลวงปู่ขาวจะเรียกให้ท่านไปจัดการ จนสุดท้ายหลวงปู่ขาวก็
ให้สมญาทา่ นอย่างลอ้ ๆ วา่ “ป่ปู ราบผี” ท่านว่า ชื่อนีต้ อ่ มา ทา่ นไดถ้ ูกครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่เรยี กเป็น
สมญามาอีกนาน
514
ผทู้ ม่ี อี ำ� นาจอยใู่ นบรเิ วณดนิ แดนแถบจงั หวดั อดุ รฯ เลย ชยั ภมู ิ สกลนคร ฯลฯ แถบนที้ า่ นอาจารย์
บอกวา่ มีนามวา่ “ปู่หลุบ” เปน็ ผมู้ ีอ�ำนาจบริวารครอบคลุมไปท่วั สดุ ทา้ ยก็พาบริวารมายอมออ่ นน้อม
ตอ่ ทา่ น แลว้ แตท่ า่ นจะเมตตาเรยี กใช้ ปหู่ ลุบไดถ้ วายคาถาขอฝนแก่ท่านไว้ดว้ ย
“คาถาว่าอะไร เจา้ คะ ?” “คาถาวา่ อย่างไรครับ ?”
ดูจะเปน็ เสยี งถามใหร้ ะเบ็งเซ็งแซ่
ท่านยอมบอกให้ แต่บอกว่า ตอนหลังนี้ “ปู่หลุบ” ได้มาลาท่านว่าถึงเวลาจะไปเกิดแล้ว
ไมท่ ราบว่าคาถานจี้ ะได้ผลเหมือนกอ่ นไหม แตเ่ ดิมนน้ั ในเขตอสี านใชไ้ ด้ผลทกุ ครัง้
ศิษย์คนหนึ่งมีบ้านอยู่ทางคลองวาฬ ประจวบคีรขี ันธ์ บอกว่า แถบนนั้ แลง้ ฝนมาถงึ ๙ เดือน
เดอื ดร้อนมาก อยากจะขอน�ำคาถาไปใช้ ทา่ นวา่ เปน็ เขตนอกไปจากอีสาน ไม่ทราบว่าใช้ไดห้ รอื ไม่
แต่เม่ือเดอื ดร้อน กน็ า่ จะลองดู พร้อมกันนน้ั ท่านก็ให้คาถาฝนหยุดกำ� กบั ไปดว้ ย บอกวา่ รูแ้ ตข่ อฝน
อยา่ งเดียว อนั ตราย ศษิ ยผ์ นู้ น้ั มารายงานผลในภายหลังว่า ไดภ้ าวนาคาถานัน้ ทั้งคนื ฝนตกถงึ ๓ วัน
๓ คืน น�้ำนองเจ่ิงไปหมด ท�ำใหไ้ ด้ใช้คาถาใหฝ้ นหยดุ ของท่านดว้ ย
ความจริงเร่ือง “คาถา” ต่างๆ นี้ ท่านเมตตาให้เราจดกันหลายครั้ง แม้แต่คาถา “เรียก
พญานาคมา” ทา่ นก็ให้ ท่านวา่ “ถา้ เขามาจริงๆ อยา่ กลัวก็แลว้ กนั ” แล้วท่านกใ็ หค้ าถาส�ำหรบั ให้
พญานาคไปดว้ ย
อาหารการขบฉันของท่านพระอาจารย์จวน
ทา่ นพระอาจารย์พวน ชุตินธฺ โร ได้เมตตาเล่าเรือ่ งน้ไี ว้ดงั นี้
“อปุ ฏั ฐากไมม่ อี ะไรมากมาย จะไปมอี ะไร มอี ยเู่ รอ่ื งอาหารกต็ อ้ งระวงั อนั ไหนทม่ี นั ไมถ่ กู กบั ทา่ น
ก็ปัดมันไปเลย ตอนน้ันเราเป็นพระภัตตุเทศก์ ท่ีท่านแสลงพวกของดอง พวกของดองมาเล่ือน
เลื่อนส่งไปเลย แต่ท่านก็มีอาหารของท่านต่างหาก แม่ชีเขาใส่ปิ่นโตมาถวายต่างหาก ส่วนตัว
ของทา่ น แม่ชีท่วี ดั เขาทำ� ป่นิ โตถวายประจำ� อันนคี้ อื เกย่ี วเนือ่ งสุขภาพ เกีย่ วเนอ่ื งอาหารที่ถูกธาตุขันธ์
ชว่ งนนั้ ท่านไมไ่ ด้ฉนั ยาอะไร สุขภาพปกตดิ ี ทา่ นเคยผา่ นวกิ ฤตไิ ข้ปา่ มาลาเรยี แตก่ อ่ นโนน้ จริง แถวน้ี
ไข้ป่าเยอะ แต่พอท่านอยู่ภทู อกนี้ท่านสุขภาพดี ไมไ่ ดฉ้ ันยา ไมค่ ่อยมยี า
อาหารท่ีทา่ นฉนั ก็มแี ต่ของจืดๆ อาหารจืดๆ อาหารพ้ืนบ้าน ท่ีโปรดเป็นพเิ ศษก็พวกเหด็ แล้วก็
น่ึงเห็ด พวกเห็ดต้องน่ึง เป็นเห็ดบด เห็ดอะไรท่ีมันขึ้นตามป่า มันจะเป็นดอกๆ เขาเรียกเห็ดบด
เป็นดอกเล็กๆ น�ำมานึ่ง ท่านจะไมฉ่ นั เผด็ อาหารเผด็ ทา่ นไมเ่ อา”
515
ทา่ นพระอาจารย์ถาวร อนตุ ตฺ โร ไดเ้ มตตาเล่าเร่อื งน้ไี ว้ดงั น้ี
“หลวงปจู่ วนท่านชอบพระมีไหวพรบิ การยกการประเคนอาหารเหมอื นกันนะ อาหารอะไรท่ี
ทา่ นไมเ่ อา กค็ อื ยกขา้ มไปเลย ใหส้ งั เกตสายตาทา่ น ไมใ่ หไ้ ปถาม คอื ลกั ษณะจะมพี ระอปุ ฏั ฐากอยู่ ๒ องค์
เวลาประเคนอาหารนง่ั ซ้าย – ขวา องค์หนึง่ ก็รับประเคน องค์หนึง่ ก็ยน่ื สง่ ใหท้ า่ น แลว้ กส็ ่งต่อๆ กนั ไป
ถ้าอันไหนไม่เอาก็คือต้องผ่านไปเลย อย่าไปถามท่าน ท่านจะชอบพระที่มีไหวพริบ มีอะไรต้องตอบ
ของท่ีท่านไม่น่ี เราก็รู้จักอยู่ว่าท่านไม่ฉัน แต่ก่อนอาหารมันก็ไม่มีอะไรหรอก มีแกงข้ีเหล็ก มีแกง
หน่อไม้ มีอะไรพวกนี้ ของปา่ ๆ น้ี ทา่ นเปน็ พระท่ีละเอยี ด”
ข้าวก้นบาตรของท่านพระอาจารย์จวน
เรอ่ื งขา้ วกน้ บาตรของครบู าอาจารย์ ท่ีมคี นรับประทาน หรอื สัตว์ เชน่ สนุ ขั ไปกนิ แลว้ มีเร่ือง
อัศจรรย์ เป็นต้นวา่ มคี นอธษิ ฐานกินข้าวกน้ บาตรแลว้ หายป่วยก็มี มีคนไปยิงสนุ ัขท่ีกนิ ขา้ วกน้ บาตร
แลว้ กระสนุ ไม่ลั่นกม็ ี บรรดาศษิ ย์จงึ ต่างรอข้าวก้นบาตรของครูบาอาจารยเ์ พอ่ื รับประทานเปน็ สริ มิ งคล
ข้าวก้นบาตรของท่านพระอาจารย์จวนก็เช่นกัน ดังเร่ืองเล่าในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ฝั้น
อาจาโร ดงั นี้
“ทุกเช้าแม้พระภิกษุสามเณรจะเพ่ิมจ�ำนวนจนเป็นพัน พุทธบริษัททั้งหลายก็ใส่บาตรกันจน
ลน้ บาตรไปทกุ รปู โดยเฉพาะอย่างย่งิ ในเชา้ วันงานพระราชทานเพลงิ ศพ คอื วนั ท่ี ๒๑ มกราคม พ.ศ.
๒๕๒๑ แม้พระภิกษสุ ามเณรจะเพิม่ จ�ำนวนเปน็ ๒,๐๐๐ กว่ารปู เขา้ ไปแล้ว แต่ละรูปก็ยังล้นบาตรอยู่
เชน่ เดิม เพราะพทุ ธบรษิ ทั ทีไ่ ปใส่บาตรไดท้ วีจ�ำนวนขึน้ เป็นเงาตามตัว
ย่ิงไปกว่านน้ั ก่อนลงมอื ฉันในโรงฉัน พุทธบริษทั อกี จำ� นวนไมน่ อ้ ยยังถวายภตั ตาหารพิเศษในท่ี
ฉนั อาหารอกี ดว้ ย ภตั ตาหารของแตล่ ะรปู ทวี่ างอยตู่ รงหน้าจงึ มากมายก่ายกอง จนเปน็ ทีก่ งั วลของทัง้
ฝา่ ยพระและฝา่ ยฆราวาสไปดว้ ยกัน ฝ่ายพระน้นั จ�ำต้องฉนั ให้ถ้วนท่วั ทกุ อยา่ ง ใหส้ มแกศ่ รัทธาของฝ่าย
ฆราวาส ฝา่ ยฆราวาสน้ันเลา่ ต่างกเ็ ฝ้าดูมิให้คลาดสายตา ว่าพระท่านฉันภตั ตาหารท่ีตนไดถ้ วายไปแล้ว
หรือยัง ท่านหลงลืมไปบ้างหรือเปล่า เพราะพระภิกษุบางรูปมีภัตตาหารรวมท้ังนอกบาตรในบาตร
เปน็ จ�ำนวนมากมายไมน่ อ้ ยกวา่ ๓๐ อยา่ ง เมื่อใดพระทา่ นฉันภัตตาหารท่ตี นไดถ้ วายไปแลว้ แม้เพยี ง
คำ� เดียว ผู้ถวายกโ็ ล่งอกและปลาบปลมื้ จนสุดทจี่ ะพรรณนา
ส�ำหรบั ข้าวกน้ บาตรของพระภิกษุองคส์ �ำคัญบางรปู เช่น ทา่ นพระอาจารยส์ มิ พทุ ฺธาจาโร
วัดถ�้ำผาปลอ่ ง ท่านพระอาจารยว์ ัน อตุ ฺตโม วดั ถำ�้ อภัยดำ� รงธรรม (ภูเหล็ก) ท่านพระอาจารยจ์ วน
กุลเชฏฺโ วัดเจตยิ าคริ ีวหิ าร (ภทู อก) ฯลฯ บรรดาลกู ศษิ ยล์ กู หาและพทุ ธศาสนิกชนสว่ นหนึ่งจะพากนั
เฝา้ แหนไวเ้ ปน็ พเิ ศษ เมอื่ ใดท่านฉันเสรจ็ เมือ่ นั้นก็จะขอจากทา่ นไปแบง่ รบั ประทานทั่วๆ กัน เพื่อเป็น
สริ ิมงคล”
516
ทา่ นพระอาจารยพ์ วน ชตุ นิ ฺธโร ไดเ้ มตตาเล่าเรอื่ งนไี้ วด้ ังนี้
“เมอ่ื ทา่ นฉนั เสร็จ ข้าวกน้ บาตรของทา่ น ก็มโี ยมมาเอาไปกินเปน็ ปกติ”
น�้ำปัสสาวะรักษาแม่ชีท้องร่วงก�ำลังจะตาย
ทา่ นพระอาจารยส์ อน ชวี สุทฺโธ ไดเ้ มตตาเล่าเรอ่ื งน้ีไวด้ ังนี้
“เพราะว่าท่านอยู่มานาน ท่านอาจจะให้ข้อคิดธรรมะอะไรที่แปลกๆ หลวงปู่จวนน้ีท่านมี
วิธีการของท่านมากเลยทีเดยี ว คือไอแ้ ม่ชนี ี่ เขาฉันแกงเห็ดน่ะ มันเบ่อื เห็ดไง ฉันแลว้ มนั ทอ้ งรว่ งนะ่
ขี้ราดเลยล่ะ มนั เบ่ือ มนั เมา มันจะตายน่ะ เพราะวา่ เห็ดมนั เปน็ พษิ ไง หลวงปู่จวนทา่ นก็บอก “เว้ย !
หายาให้กนิ มันจะไปยากอะไรยา เอา้ มา !” ท่านก็เอาขันมา แล้วกห็ ันหน้าเขา้ หน้าผาเยี่ยวให้แมช่ ีกิน
แม่ชกี ็เหน็ ท้ังไดย้ ินเอาออกมา “เอา้ ! กนิ ” บงั คับให้กินเลย ไมใ่ ชส่ ัง่ ธรรมดา “กินซะนี่ ยานะน”ี่ แมช่ ีก็
จ�ำใจดื่ม แม่ชีก็ด่มื ทงั้ ขันแล้วแมช่ กี อ็ ว้ กออกมาหมดไส้หมดพุงเลยหายเลยทีนี้
เรื่องนจ้ี �ำไม่ไดน้ ะคนเลา่ ไมท่ ราบคนเลา่ แต่มนั ได้ยนิ มันมีพระหลายร่นุ ทเ่ี คยอย่กู บั ทา่ นน่ะ
ทา่ นเอาของจริงมาพูด ไมไ่ ดเ้ อาในต�ำรับต�ำรา คือเอาของที่นนั้ มาใช้เลย ของจริงๆ มาใช้ละ่ นี่ โอย๊ !
หลวงปู่จวนนี่ท่านมีวิธีการให้แม่ชีกิน คือแม่ชีมันจะตายแล้ว คงสมัยน้ันหรือจะไปหาหมอหาอะไร
รถอะไรมนั ไมค่ ่อยมี รถมันไมม่ นี ะ จะไปหาทไี่ หนล่ะ ท่านก็ใช้วิธนี ้ีก็หายละ่ นะ ดีนค่ี รบู าอาจารยใ์ ช้
อุบายแก้ไขให้แมช่ ีรอดตายมาได้ เออ ! รอดตายมาได้ไง เขาคงจะ โอ๊ย ! ยกมือท่วมหวั เลย”
หลวงป่ยู งยทุ ธ ติ ธมฺโม ทา่ นเป็นอกี องค์หน่งึ ท่ไี ด้เมตตาเล่าเร่อื งน้ไี ว้ดังน้ี
“พระอาจารยจ์ วนท่านไม่ได้ทำ� ใหใ้ ครส่มุ ส่สี ุ่มห้านะ คือจิตท่านมันเป็นสมาธิแล้ว มนั เป็นสมาธิ
แลว้ มนั เป็นอะไร จติ เปน็ สมาธทิ �ำได้หมดทกุ อย่าง อทิ ธฤิ ทธ์ิของจิตน่นั มนั มี แลว้ สมาธิเป็นมิจฉาสมาธิ
กม็ ไี ด้มันก็เห็นผิด ถา้ เป็นสัมมาสมาธมิ ันกเ็ หน็ ถกู ท�ำอะไรมันส�ำเรจ็ ได”้
ความจ�ำของท่าน
(จากหนงั สอื กุลเชฏฐาภิวาท)
เร่อื งความจำ� ของท่านนั้น เป็นที่กลา่ วขวญั กนั ในหมู่ศษิ ย์ เมอ่ื เร่ิมไปสัมภาษณ์ท�ำประวตั ิทา่ น
ในปี ๒๕๑๙ เรียนถามวา่ จำ� พรรษาทไ่ี หน ปอี ะไร ท่านจะบอกทันที พรรษา ๑ ที่... พรรษา ๒ ที่... เรว็
จนจดแทบไม่ทัน ปีหลังๆ เรียนถามอีก ทา่ นก็จะบอกอยา่ งไม่เคยหยุดคดิ พอจดแลว้ มาเทยี บกบั ท่เี คย
จดไว้เมอื่ ๓ ปกี ่อน วันเดือนปีไมเ่ คยผดิ เพี้ยนกัน แต่เร่อื งน้ีก็ไมแ่ ปลกมากนกั เพราะเป็นประสบการณ์
ของทา่ น
517
เมอื่ ๓ – ๔ ปหี ลงั มผี มู้ าทำ� บญุ ทอดผา้ ปา่ กฐนิ มากขนึ้ ทางผแู้ ทนธนาคารหลายแหง่ กม็ าขอรบั
เงนิ ฝาก ทา่ นก็ให้แบง่ ๆ กันไป กลายเปน็ มเี งินฝากตามธนาคารต่างๆ เหลา่ นัน้ หลายแหง่ ตอนกลางปี
๒๕๒๒ ทา่ นปรารภใหผ้ ู้เขียนเตรียมแบ่งเงินจดั ท�ำเปน็ มูลนธิ ิ ๓ ประเภท คอื
สว่ นแรก เพื่อจดั หาดอกผลสำ� หรับบรู ณะเสนาสนะและส่ิงกอ่ สร้างทภี่ ูทอก
ส่วนทีส่ อง เพอื่ จัดหาดอกผลสำ� หรับเปน็ คา่ อาหารส�ำหรบั พระ เณร ชี ในภทู อก
ท่านว่า ท่ีภูทอกน้ีเวลาเข้าพรรษา บางทีฝนตกหนัก น้�ำท่วม ภูทอกแทบจะถูกปล่อยเกาะ
พระอดกันเป็นเวลานานทีเดียว บางครั้งเกือบตลอดพรรษา จะอาศัยชาวบ้าน เขาเองก็อดเหมือนกัน
เวลาเช่นนช้ี าวบ้านมาอาศยั วัดดว้ ยซ�้ำ
ส่วนท่สี าม เพอื่ จัดหาดอกผลสำ� หรบั บ�ำรงุ วัดธรรมยตุ ในเขตอ�ำเภอบงึ กาฬและเซกา
ใหผ้ ้เู ขียนลองคดิ ดวู า่ ควรจะแบ่งอย่างไร ผเู้ ขยี นเรียนถามว่า เงนิ ทุกบญั ชีมปี ระมาณเทา่ ไร เพื่อ
ประมาณวงเงินได้ถกู ว่าควรเสนอแบง่ มูลนิธไิ หนเท่าไร คดิ วา่ ทา่ นจะเรียกพระผ้รู กั ษาบญั ชีมา แต่ทา่ นก็
ตอบทนั ควนั ละเอยี ดไปจนกระท่ังถงึ เศษสตางค์ ทา่ นเห็นผเู้ ขียนท�ำหนา้ งง ทา่ นกเ็ ขยี นใส่เศษกระดาษ
สง่ ให้ ละเอียดไปจนถงึ เศษสตางค์เช่นเดียวกัน เป็นยอดรวมของเงินคงเหลือในบญั ชเี งนิ ฝากทกุ แห่ง
รวมแมแ้ ตย่ อดในสมดุ บัญชเี ลม่ หนงึ่ ซึง่ ใหผ้ เู้ ขยี นไปจดั น�ำเงนิ ฝากและทางธนาคารเพ่ิงค�ำนวณดอกเบี้ย
มาให้ใหม่ และยังมิได้เรียนใหท้ า่ นทราบเลยด้วย
ท่านให้ภาวนาท่ีหน้าเหว
บนระเบียงของศาลาวิหารชั้นท่ี ๕ ขณะเม่ือยังไม่ต่อเติมหลังคา เบื้องล่างของระเบียงน้ี
เป็นหุบเหวเว้ิงว้างชวนให้สยองใจ ในตอนเช้าและกลางคืน ท่านแนะศิษย์ให้ออกมานั่งภาวนาท่ีน่ี
มีผู้ประสบความอัศจรรย์ใจบอ่ ยครั้ง ณ บริเวณนเ้ี ชน่ เดยี วกนั
ท่านแจกข้ีเหล็กไหล
ทา่ นพระอาจารยค์ ลาด ครุธมโฺ ม ได้เมตตาเล่าเร่ืองนี้ไว้ดังน้ี
“หลวงปู่จวนท่านแจกขเ้ี หล็กไหลล่ะนะ ขี้เหลก็ ไหลเป็นกอง ท่านเอามาจากไหนไมร่ ู้ มาให้
อาตมา อาตมาแจกหมด เอามาเป็นก�ำนะแจก เอามาเมด็ กลมๆ แรกๆ มันมาเหมือนกันเลย เร่ือง
เหลก็ ไหลเราไม่รู้ แต่ว่าใหข้ ีเ้ หลก็ ไหลเปน็ หินเหมือนก้อนเล็กๆ สวย ! สวย กลม ยาว ขนาดเลก็ ๆ
สรรพคุณของข้ีเหล็กไหลเราไม่รู้ แตว่ ่าเป็นของขลัง ใครมาหามากราบอาตมากแ็ จกไปอีก แจกไมเ่ หลอื
แจกไมเ่ หลือเลย ขี้เหล็กไหลของท่านน่ะเป็นถงุ ๆ นา ไม่รู้ใครเอามาจากไหนนะ เอามาใหท้ า่ น”
518
การสร้างพระธรรมจักร
ราวตน้ ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ คณุ สรุ พี นั ธ์ุ มณวี ตั และบรรดาศิษยน์ อ้ ยใหญ่ก็เหน็ พอ้ งต้องกันวา่
สะพานลอยรอบเขา “ภูทอก” ภูมหัศจรรย์แห่งนี้ จ�ำเป็นต้องได้รับการบูรณะเสริมสร้างให้มั่นคง
แขง็ แรงขน้ึ ดว้ ยสรา้ งมาต้ังแตป่ ี พ.ศ. ๒๕๑๒ ย่อมมคี วามทรดุ โทรมเป็นธรรมดา และเม่อื ใดที่มีผไู้ ป
แสวงบุญเป็นจ�ำนวนมาก ศาลาวิหารบนเขาช้ันที่ ๕ ก็จะพลันคับแคบถนัดใจ สมควรจะขยายให้
กว้างขวางขนึ้ อกี ทัง้ ถังนำ�้ ฝนและระบบประปาภายในวดั ก็ควรปรบั ปรงุ ดังนัน้ คณะศษิ ย์จงึ จัดกฐนิ ข้นึ
ปกตคิ ณุ สรุ พี นั ธเ์ุ องกจ็ ดั กฐนิ มาตง้ั แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๑๙ ไมป่ รากฏมวี ตั ถมุ งคล ดว้ ยรอู้ ยวู่ า่ พระสายนี้
ไม่นิยม ทวา่ ปนี น้ั เกดิ นกึ อยากทำ� ของที่ระลึกแจกจา่ ยให้แก่กรรมการท่ีมารว่ มจองกฐิน เลยด�ำริทำ�
“พระธรรมจักร” เป็นพุทธานสุ รณ์ โดยอาศัยเค้าจากพระพทุ ธรปู สลกั หิน อายุ ๑,๔๐๐ ปี ซึง่ ขดุ พบ
ทเี่ มอื งสารนาถ ประเทศอนิ เดยี อันเป็นพระพทุ ธรูปปางปฐมเทศนา มีพุทธลกั ษณะทงี่ ดงาม ยิ่งบล็อก
พระเคร่ืองชุดนี้แกะโดยกองกษาปณ์ กรมธนารักษ์ จึงมีความสวยงามมาก ด้านหลังขององค์พระ
แกะเปน็ รปู “บริโภคเจดยี ์” ท้งั ๓ คอื สถานทท่ี พ่ี ระพทุ ธองค์ทรงใชส้ อยเม่อื ครง้ั ยงั ทรงพระชนม์ชพี อยู่
ไดแ้ ก่ สถานท่ปี ระสูติ ตรัสรู้ และปรินพิ พาน
คณะกรรมการไดจ้ ดั สร้างพระธรรมจักร จ�ำนวน ๔๐,๐๐๐ องค์ โดยแบ่งส�ำหรบั แจกผู้ร่วม
ท�ำบุญประมาณ ๒๐,๐๐๐ องค์ จัดท�ำชดุ พิเศษ ลงรักปิดทอง ส�ำหรับทลู เกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จ–
พระเจ้าอยหู่ ัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชนิ ีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทกุ พระองค์ และ
ไดจ้ ัดท�ำเน้อื พเิ ศษอกี ๑,๐๐๐ องค์ เพ่อื ทลู เกล้าฯ ถวายพระราชทานแกข่ า้ ราชบริพารท่ีใกล้ชิด ส่วนที่
เหลอื ไดน้ �ำถวายท่านพระอาจารย์จวน ท่านก็เอามาแจกพระ เณร ญาตโิ ยม
นกึ ถงึ “ค่าของเงิน” ว่า พระธรรมจกั ร เวลาน้ันปี ๒๕๒๐ ทำ� บญุ เพียงองคล์ ะ ๒๐ บาท และ
ชดุ “จตุรงค์ ๔ สี” ประกอบด้วย สีเขยี ว แทนวาระประสตู ิ สีขาว แทนวาระตรัสรู้ สชี มพู แทนวาระ
ปฐมเทศนา สดี �ำ แทนวาระปรินพิ พาน จดั ท�ำจำ� นวน ๒,๑๐๐ ชดุ ท�ำบญุ ชุดละ ๑๐๐ บาท
การเททองหล่อพระประธาน ศาลาเทิดพระเกียรติท่ีภูทอก
(จากหนังสอื กุลเชฏฐาภิวาท)
ศาลาเทดิ พระเกยี รติสมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ ีนาถ ในวาระทที่ รงเจรญิ พระชนมายุ
ครบ ๖๐ พรรษา สร้างขึ้นเพ่ือคู่เคยี งกับเจดียพ์ ิพธิ ภัณฑ์ท่านพระอาจารยจ์ วน ซ่ึงสร้างเสร็จและท�ำ
พิธเี ปดิ ไปกอ่ นหนา้
ศาลาเดิมของภูทอก ซึ่งอยู่ห่างมาอีกฟากหนึ่งของสระน�้ำมีสภาพทรุดโทรม สร้างมาแต่สมัย
ท่านพระอาจารยจ์ วน ผา่ นการต่อเติมมาหลายตอ่ หลายครงั้ แตเ่ ปน็ การต่อเตมิ ช่วั คราว ตวั หลังคาก็
ช�ำรุดเสียหาย ฝนตกทไี รนำ้� ร่ัวอยตู่ ลอดกเ็ ลยปรกึ ษากัน ควรจะรื้อถอนแล้วสรา้ งใหมใ่ หม้ ีสภาพสงา่ งาม
519
รับกบั เจดยี ค์ ูเ่ คียงกัน ขณะเมอ่ื เริม่ สรา้ งศาลา กด็ ำ� ริว่าควรมพี ระประธานทศี่ าลานี้
เรอื่ งสรา้ งพระประธาน คณุ หญิงสุรีพันธ์ุ มณีวัต ได้บันทึกไว้ดงั นี้
“เราไดย้ ินมาว่า พระพทุ ธชนิ ราชทเ่ี ขาว่ากันว่าเปน็ พระพทุ ธรปู ทงี่ ามนัก ตามตำ� นานกลา่ วว่า
ผทู้ ห่ี ลอ่ ไมใ่ ชม่ นษุ ยธ์ รรมดา หากเปน็ พระอนิ ทรเ์ สดจ็ ลงมา โดยกอ่ นหนา้ นน้ั เขาวา่ เททองทไี ร เบา้ กแ็ ตก
ทกุ ที จนสดุ ทา้ ยพระอนิ ทร์ลงมาชว่ ย โดยแปลงกายเป็นผา้ ขาวมาชว่ ยในการหลอ่ เม่อื ส�ำเร็จแล้วท่าน
กห็ ายไป จนมตี �ำบลหน่งึ เรียกวา่ ต�ำบลผา้ ขาวหาย
เราจงึ สงสัยใครร่ วู้ ่า พระอนิ ทรม์ าสร้างจริงไหม ?
พอสบโอกาสได้ไปภทู อก จงึ กราบเรยี นทา่ นพระอาจารยจ์ วนถึงเรื่องท้งั ปวง รวมทัง้ เร่ืองอยาก
ทราบว่า พระอินทร์ลงมาสร้างพระพุทธชินราชหรือไม่ และมีนิมิตพระพุทธชินราชงดงามมาปรากฏ
ท่านอาจารย์ว่าพอจะเชื่อตามต�ำนานปรมั ปราน้ันไดไ้ หม ?
ทา่ นพระอาจารย์จวนแทนท่จี ะตอบว่าจรงิ หรอื ไม่ ทา่ นกลบั พูดวา่
“อ้าว ! ไม่รู้หรอกหรือ ก็พระอนิ ทรส์ ร้างน่ะซี”
ได้ความว่า ท่านเคยเกิดเป็นลูกพระอินทร์ ท่านถึงได้ทราบความข้อนี้ ท่านปรารภกับผู้เขียน
ตอ่ ไปวา่ “วัดเราน่ี ยงั ไม่มีพระพทุ ธชินราชเลยนะ สรุ พี นั ธ์ุควรจะสร้างไว้”
ผ้เู ขียนถามทา่ นว่า “จะให้สร้างมาเป็นพระประธานไวท้ ี่วหิ ารช้นั ๕ ใช่ไหม ?”
ทา่ นก็บอกว่า “ไม่ได้ ทวี่ ิหารช้นั ๕ มีพระประธานอยแู่ ลว้ ทา่ นศกั ดส์ิ ิทธิ์ด้วย อาตมาได้
บรรจพุ ระบรมสารีรกิ ธาตุ พระธาตุพระนางพมิ พา และพระธาตุอนื่ อีกมากมาย รวมทง้ั พระธาตุ
ท่านอาจารยเ์ สาร์ ท่านอาจารย์มั่นด้วย”
“อ้าว ! แล้วทา่ นอาจารยจ์ ะให้เอาไว้ทีไ่ หน ทชี่ ัน้ ๔ หรอื เจ้าคะ ?”
ท่านกบ็ อกว่าไม่ไดอ้ ีก เพราะจะอยูบ่ นเขาลูกเดยี วกันไม่ได้ จึงซกั ถามทา่ นอีกวา่ “ถา้ อยา่ งน้ัน
จะเอาไปต้ังไว้ทไี่ หนดี ?”
ท่านตอบวา่ “ถงึ เวลาแล้ว จะรู้เอง”
ระหว่างกำ� ลังสรา้ งเจดีย์พพิ ธิ ภัณฑ์ทา่ นพระอาจารย์จวน ก็คดิ ว่า เห็นทจี ะไดส้ รา้ งพระพุทธ–
ชินราชแลว้ เมือ่ หลวงปเู่ ทสกเ์ รียกผเู้ ขยี นไปบอกว่าธรรมดาเจดียท์ ั้งหลายควรตอ้ งมีพระพทุ ธรปู อยู่ใน
เจดยี ์นัน้ ด้วย ผเู้ ขียนกราบเรยี นทา่ นว่า โดยท่เี จดียน์ ี้เปน็ เจดยี ์ทา่ นพระอาจารยจ์ วน คงจะต้องบรรจุ
อัฐพิ ระธาตขุ องทา่ นบนยอดเจดีย์ พระพทุ ธรูปทที่ ่านวา่ จะให้เปน็ พระประธานในเจดยี น์ ั้น คงจะเปน็
พระพุทธชนิ ราชทท่ี า่ นอาจารยจ์ วนส่งั ไวน้ านแล้วใหส้ ร้าง แต่การประดิษฐานไวใ้ นพระเจดยี ์ คงจะต้อง
อยทู่ ่ชี ้ันล่างของเจดีย์ แล้วเสริมว่า
520
“คงไม่เป็นไรมังคะ ที่พระพุทธรูปจะอยู่ข้างล่าง เพราะท่านพระอาจารย์ ท่านเป็น
พระอรหนั ตแ์ ลว้ อัฐิธาตุน่าจะอยู่ข้างบนได้”
หลวงปกู่ ็บอกวา่ “ไมไ่ ด”้
ผู้เขียนสงสัย ถามท่าน “ท�ำไมถึงไม่ได้เจ้าคะ ในเมื่อพระพุทธรูปเป็นเพียง อิฐ ปูน หรือ
ทองเหลอื ง ส่วนอฐั ธิ าตุเปน็ ขององค์ทา่ นจรงิ ๆ ไม่ใชอ่ ิฐ ไมใ่ ชป่ ูน”
ท่านกอ็ ธบิ ายวา่ “ไมไ่ ด้ ส่ิงใดก็ตามทถ่ี ือเป็นสญั ลกั ษณ์ของพระพุทธเจา้ ถึงแม้จะสร้างจาก
อิฐ ปูน ทองเหลือง หรือเอาเศษไม้มาแกะสลกั ก็ตาม หากเรานบั ถือเปน็ พระพุทธรูปแลว้ ท่านก็ตอ้ ง
อยสู่ ูงกว่าทง้ั หมด”
เป็นอันว่า แม้ในเจดีย์ท่านพระอาจารย์จวนจะมีพระพุทธรูป แต่พระพุทธชินราชคงจะอยู่
ในเจดีย์ไม่ได้ จึงหาทางแก้ไข ไปกราบเรียนปรึกษาท่านพระอาจารย์แยง สุขกาโม ท่านเจ้าอาวาส
วัดภูทอกว่าเราคงจะตอ้ งหาพระพทุ ธรูปองคเ์ ล็ก เชญิ ไปประดษิ ฐานไว้บนยอดเจดยี ์ เวลาเชิญอฐั ิธาตุ
ท่านอาจารยจ์ วนขน้ึ ไปขา้ งบน กใ็ ห้ประดิษฐานไว้ตำ�่ กว่าพระพทุ ธรูปนัน้
เมอื่ กลบั ไปกราบเรียนหลวงปเู่ ทสก์ตามน้ี ท่านก็พอใจ บอกวา่ “ดีแลว้ ”
ทา่ นยืนยันว่า “บรรดาเจดยี ท์ ้งั หลาย ยอดที่สงู สุดของเจดียจ์ ะต้องเปน็ พระพุทธรปู เสมอ”
ทีน้ีมาคิดว่า เม่ือเราท�ำศาลา ก็น่าจะได้มีโอกาสสร้างพระพุทธชินราชได้แล้ว จึงกราบเรียน
ทา่ นอาจารยแ์ ยงวา่ ถา้ มใี ครมาขอบรจิ าคพระประธานทศี่ าลากข็ ออยา่ รบั ตวั ผเู้ ขยี นจะสรา้ งเอง ตามที่
รับปากกบั ท่านพระอาจารย์จวนเอาไว้
อนงึ่ ระหวา่ งการทำ� ศาลาภทู อก หลวงปเู่ ทสกไ์ ดม้ เี มตตามาชว่ ยดแู ลใหท้ งั้ หมด เพราะผเู้ ขยี นได้
สญั ญากับทา่ นว่าจะไม่จดั กฐิน ท่านเกรงเงนิ จะไมพ่ อ จงึ ชว่ ยดูแลจัดหาช่างในราคาทพี่ อเหมาะพอควร
มาให้ ทา่ นสงั่ ใหผ้ เู้ ขยี นไปนมิ นตห์ ลวงปชู่ อบ มาเปน็ ประธานในพธิ หี ลอ่ พระ หลวงปเู่ ปน็ พระทเ่ี ทวดารกั
หากนิมนต์ท่านเป็นประธาน คงไม่ตอ้ งสงสัยเลยวา่ ในงานตอ้ งมที า่ นเบอ้ื งบนลงมากนั เต็มไปหมด ไม่ว่า
จะเปน็ พระอินทร์ พระพรหม ยม ยักษ์ นาค ครุฑ เพ่อื มารว่ มอนโุ มทนาบุญนี้ พระพุทธรูปที่หล่อน้ีก็
จะเป็นพระพุทธรปู ทศี่ ักดิ์สทิ ธ์ิเป็นหลกั ของบา้ นเมือง... ”
การสรา้ งพระพทุ ธชนิ ราชจำ� ลอง เพอื่ เปน็ พระประธานทศี่ าลาเทดิ พระเกยี รตฯิ มพี ธิ เี ททองหลอ่
เมื่อวันท่ี ๒๓ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยองค์หลวงป่ชู อบ านสโม เมตตาเปน็ องค์ประธาน
521
พระศิษย์เล่าความประทับใจในท่านพระอาจารย์จวน
หลวงปู่สมหมาย จติ ฺตปาโล ไดเ้ มตตาเล่าเร่อื งนไ้ี ว้ดงั นี้
“ประทบั ใจตอนชว่ งท่านออกแบบสะพานภูทอกได้ นี่อัศจรรยๆ์ และ ทา่ นอดนอนเก่ง”
ทา่ นพระอาจารย์บุญเลศิ เขมโิ ย ไดเ้ มตตาเล่าเร่อื งน้ไี ว้ดังนี้
“คือคนอยู่ดว้ ยกันเนาะ มนั กธ็ รรมดาเหมอื นพอ่ เหมอื นลกู นั่นล่ะ ความผกู พันนก่ี ท็ �ำเหมือนพ่อ
เหมือนลูกนั่นล่ะ ทราบข่าวหลวงปู่จวนตกเคร่ืองบิน อาตมาก็อยู่อ�ำนาจเจริญนั่นนะ อาจารย์ค�ำ
(ท่านพระอาจารยค์ ำ� ศรี อปุ สนโฺ ต) วดั ป่าดงเกษม ทา่ นกม็ าพักอยู่วัดพระใหญ่ อยู่อ�ำนาจเจริญนะ
ท่านก็จะข้ึนมาภูทอกนั่นนะ ท่านมาก่อน ท่านก็นอนอยู่น้ัน อาตมาก็ไปถึง อาจารย์ค�ำก็พูดขึ้นว่า
“หลวงปเู่ ราตกเครอ่ื งบนิ ” วา่ อยา่ งง้ัน เราต่นื เช้ามาให้เดก็ เขาไปซ้อื หนงั สอื พิมพม์ าดูหนอ่ ย ครัน้ ได้ก็ย�้ำ
เลยแล้ว ความรู้สกึ เรากโ็ อ้ ! เรามนั กไ็ ม่มที ่ีพึง่ เนาะ สิน้ หลวงปู่จวน เราก็ไปอยูก่ บั หลวงปหู่ ลยุ ”
ท่านพระอาจารย์เติมศกั ด์ิ ยตุ ฺตติธมโฺ ม ไดเ้ มตตาเลา่ เร่ืองนไี้ วด้ ังน้ี
“ความรสู้ ึกคอื “ทา่ นเหมอื นพอ่ เรา” ท้งั เมตตา ทงั้ ให้ธรรมะ ให้หลายๆ อยา่ ง ไมเ่ ฉพาะเรา
ความประทบั ใจทส่ี ดุ ตอนในงานพระราชทานเพลงิ ศพทา่ น คอื เราไดท้ ำ� แตง่ านสนองพอ่ แมค่ รบู าอาจารย์
เราไมค่ ดิ ถงึ ความเหนด็ เหนอื่ ย บางครง้ั บางทอี ปุ สรรคมนั กเ็ กดิ ขนึ้ ความเหนอ่ื ย ความทอ้ มนั กท็ อ้
แตไ่ มถ่ อย ในวงั เราไมไ่ ดเ้ กยี่ วนะ หลวงปจู่ วนแลว้ ในหลวงมาเมตตามาทกุ อยา่ ง เปน็ บารมขี องหลวงปู่
ครบู าอาจารย์ เราเปน็ พระผนู้ อ้ ย จะไปเทยี บอะไรกบั ทา่ นไมไ่ ด้ กเ็ ลยไปสนองงานใหท้ า่ น ใหม้ นั เสรจ็ ลลุ ว่ ง
ไปดว้ ยดเี ทา่ นนั้ เอง คอื จะใหท้ ำ� ไงทจี่ ะสรา้ งแนวรว่ มได้ ใหช้ าวบา้ นนม้ี ารว่ มกบั ทางวดั เมอื่ บา้ นกบั วดั น้ี
ไปดว้ ยกนั ได้ พอ่ แมค่ รูบาอาจารยถ์ ึงจะจากไป แต่คุณงามความดขี องท่านน้ันยงั อยู่ นเ่ี ห็นถงึ พระคณุ
ตรงนี้ มนั กเ็ ปน็ อยา่ งนั้นน่ะ เพราะทกุ วันน้กี ็ยงิ่ มีแต่เกีย่ วแนน่ มากขนึ้ ๆๆ ภูทอกนีก้ ็มีแนน่ ขนึ้ ๆ ชาวบา้ น
กไ็ มห่ า่ งเลย คณุ คา่ ตรงนมี้ นั กม็ มี ากมายสำ� หรบั เขา อนั นนั้ กค็ อื ความกลมกลยี วกนั แมแ้ ตง่ านครบรอบ
วนั มรณภาพหลวงปู่จวนนี้ โอโ้ ห ! เพียบเลยโรงทาน คอื ชาวบา้ นนะเขาไปตั้งเป็นกลมุ่ ๆ ของเขาน่ะ”
ทา่ นพระอาจารย์ค�ำศรี อปุ สนโฺ ต ได้เมตตาเลา่ เรอ่ื งนไ้ี วด้ ังน้ี
“มนั ก็เร่อื งธรรมะทา่ น ทา่ นจะพดู เรอ่ื งอสภุ ะ อสภุ ะน่ี ท่านจะไม่ทิง้ ทางเร่ืองอสุภะนี่ จะมีแค่
นแี้ หละ เน้นเรือ่ งอสภุ ะ ท่านพูดเรอื่ งนั้นจบ ทา่ นกเ็ อาเรื่องอสุภะๆ ท่านถึงจบ”
ท่านพระอาจารย์พวน ชตุ ินฺธโร ไดเ้ มตตาเลา่ เร่ืองนไ้ี ว้ดังน้ี
“ท่านเปน็ พระทป่ี ฏิบตั ิดี ปฏบิ ัติชอบนะ เปน็ พระทส่ี งา่ งาม ประทบั ใจขอ้ วัตรของท่าน ข้อวตั ร
บณิ ฑบาตไมไ่ ดข้ าด ยกเว้นไมส่ บาย ลงจากภูเขา โอย๊ ! กล็ งมา เชา้ กล็ งมาแล้ว ก็เดนิ ลงมาจากศาลา
หลงั เก่าหลังเดมิ เสร็จแล้วก็ขนึ้ ทกุ วัน ข้ึนไปแลว้ ใครจะมานมิ นตท์ า่ นลงมา ไมส่ น ไม่สน ก็ตอ้ งขึน้ ไป
พบทา่ น ทา่ นท�ำวตั รสวดมนตเ์ ยน็ ทุกวัน”
522
เรื่องส�ำนักสงฆ์สะแนน
(จากหนงั สอื กลุ เชฏฐาภวิ าท)
เรอ่ื งสำ� นกั สงฆ์สะแนนน้ี ไดม้ ผี ู้พูดกันไปตา่ งๆ นานา เช่นว่า ท่านอาจารย์จวนเข้าไปจดั ตัง้
ส�ำนักสงฆ์ในเขตรกั ษาพันธส์ุ ตั ว์ป่าภูววั ซอ้ นติดอยู่กบั ท่ที ำ� การของเขตรักษาพนั ธสุ์ ตั วป์ า่ อย่ใู นบรเิ วณ
ใกล้น้�ำตกสะแนน อันเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีประชาชนพลุกพล่านไม่เหมาะสม ฯลฯ และเมื่อท่าน
มรณภาพแลว้ ทางจังหวดั ก็ได้มหี นังสือที่ น.ค. ๐๙/๑๓๐๖๒ ลงวนั ที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๓
อ้างสาเหตุดงั กลา่ ว ขอให้สำ� นักสงฆ์สะแนนดำ� เนินการยา้ ยออกมา
โดยทเี่ ปน็ เวลาระหวา่ งปวารณาเขา้ พรรษา และทางวดั กม็ ภี าระเรอ่ื งจดั การเรอ่ื งศพทา่ นอาจารย์
ไมม่ ีเวลาจะเรยี นชแ้ี จงข้อเทจ็ จริงประการใด เพื่อมิให้ขัดแยง้ กับทางกฎหมายบา้ นเมือง วัดจงึ ได้ปฏบิ ัติ
ตามค�ำส่ังของทางการไปพลางก่อน แต่กระนั้นก็ยังมีผู้กล่าวไปในท�ำนองไม่สมควรอีกหลายประการ
ผเู้ ขียนในฐานะทท่ี ราบเรื่องน้ดี ีมาแต่ตน้ รู้สกึ สลดใจอย่างยิง่ จงึ เห็นควรจะบนั ทกึ เร่อื งเหตกุ ารณต์ ามที่
ผเู้ ขยี นเกีย่ วขอ้ งไว้ เพื่อใหท้ า่ นผสู้ นใจได้ทราบเรอ่ื งราวตามความเป็นจริง
วนั ทผ่ี เู้ ขยี นไดร้ จู้ กั ชอ่ื นำ�้ ตกสะแนนเปน็ ครง้ั แรกนนั้ เปน็ เวลาเพง่ิ เสรจ็ สงกรานตป์ ี ๒๕๑๙ ผเู้ ขยี น
ได้ไปพักร้อนทภี่ ทู อก ทา่ นอาจารย์ทา่ นมวี ิธีล่อใจเรา ถ้าใครภาวนาดี จะพาไปเที่ยวชมภมู ปิ ระเทศ
สวยงามรอบๆ ซึง่ ตา่ งเปน็ การบุกป่า ฝกึ หัดธุดงคก์ ลายๆ เชน่ ไปฉมิ ไปภูทอกใหญ่ เป็นตน้ ท�ำใหม้ ี
ก�ำลงั ใจในการนงั่ ภาวนา วนั หน่งึ หลงั จากเรยี นผลการปฏบิ ัติภาวนาตอนกลางคืนแลว้ ท่านกว็ ่า “วนั นี้
ฉนั จงั หนั แลว้ จะพาไปตาดสะแนน” เราก็ไม่รจู้ กั ว่า ตาดสะแนน คืออะไร
ท่านอธิบายว่า เปน็ สถานทว่ี เิ วก ซึ่งท่านไปสร้างกุฏิช่ัวคราวไว้ มลี านหนิ เปน็ ชน้ั ลดหลนั่ กนั
มนี ำ้� ตก มถี ำ�้ มสี ะพานหิน สมัยท่านจ�ำพรรษาอยู่ดงหม้อทอง ถำ้� จันทน์ พอออกพรรษาก็มักจะมาวเิ วก
ทบี่ รเิ วณภูวัวเสมอ สะแนนอย่ใู นเขตภูวัว ใกลก้ บั ภูทอกที่สุด บริเวณสวย อากาศสงดั ดีมาก พวกสตั วป์ า่
อยา่ งเสอื ชา้ ง หมี กวาง เกง้ ยงั พอมอี ยู่ การไปสะแนนจะเทา่ กบั เปน็ การหดั ทดลองธดุ งคบ์ ทตน้ ๆ ไปดว้ ย
โดยเวลาเดนิ ป่า ให้ภาวนาพทุ โธตลอดเวลา
การไปคราวนนั้ มชี าวบา้ นขอติดตามไปอกี ๒ คนั รถ รถไปสง่ ไดเ้ พยี งระยะหน่งึ ส่วนทเี่ หลือ
ตอ้ งเดินบกุ ไปในปา่ พวกเราเดนิ ไปมแี ตก่ ระติกน�้ำเฉพาะตวั เราเอง แตช่ าวบา้ นนอกจากกระตกิ น้�ำของ
เขาแล้ว ยงั หอบอาหารกลางวนั ของเขากันไปด้วยทง้ั น้นั ผใู้ หญ่บ้านท่งุ ทรายจก และผู้ใหญบ่ ้านค�ำภู
ก็ร่วมไปด้วย เมื่อถึงป่าทึบซ่ึงไม่มีหนทางเดินต่อไป ก็ต้องให้พวกชายฉกรรจ์ซ่ึงเดินหน้าตัดฟันกิ่งไม้
กงิ่ ไผ่ และเถาวัลยแ์ หวกทางไปให้เรา
กว่าจะไปถงึ สะพานหินจุดแรก พวกชาวกรงุ ก็เหนอื่ ยแทบขาดใจ ท่เี รยี กวา่ สะพานหินนน้ั มองดู
ภายนอกกเ็ หมือนแท่งหินอันราบเรียบขนาดใหญ่ ๓ กอ้ นเรียงขนานกัน เฉพาะแท่งกลาง ซง่ึ เป็นเหมอื น
สะพานใหญ่กว้างขนาด ๗ – ๘ เมตร รถ ๒ คนั แลน่ สวนกนั ได้อย่างสบาย ยาวก็ประมาณหลาย ๑๐ เมตร
523
หนาทบึ ประดจุ กำ� แพงศลิ า สูงถึง ๗ – ๘ เมตร ความประหลาดของสะพานหินนี้คอื ถ้าปีนลงไปตาม
ซอกหนิ ระหว่างหนิ ๒ แทง่ นัน้ จะมีทางวกวนไปในถ้�ำใต้สะพานหนิ ได้ ภายในถ้�ำใตส้ ะพานนนั้ เป็นท่ี
ล�ำน้�ำสะแนนไหลผ่านลอดไป คราวหนึ่งขาไปเรายังลงเที่ยวถ�้ำใต้สะพานอยู่ แต่ขากลับฝนตกหนัก
พอกลับมาถึงสะพานหิน น�้ำป่ามากลายเป็นสะพานน�้ำตก เสียงน�้ำดงั กึกก้อง ท่วมถ้�ำข้างใตห้ มด
จดุ ต่อไปทที่ ่านนำ� เราไปดู คอื อา่ งเก็บน�้ำซง่ึ เป็นทร่ี องรับน�้ำตกชั้นล่าง ทา่ นอาจารยเ์ รยี กวา่
สระอโนดาตเม่ือปีนโขดเขาข้ึนไปบนยอดเขาชน้ั ต่อไปจะเห็นพลาญหนิ อันกวา้ งใหญ่เปน็ แผน่ ราบเรยี บ
ประดจุ ลานคอนกรีต หนา้ ฝนน�้ำจะไหลบ่าทว่ มพลาญหิน มองดูเว้งิ ว้าง กระแสนำ้� กัดกร่อนหินเป็นแอง่
ขนาดและรูปรา่ งต่างๆ กัน หา่ งกนั เปน็ ระยะๆ บา้ งตืน้ พอมนษุ ยล์ งนัง่ แชต่ ัวได้ บ้างก็ลึกถงึ จมมิดศีรษะ
บางอ่างจะมแี ท่นหินใต้น้�ำลดหล่ันกัน ให้เป็นท่นี ัง่ สระสนานอย่างส�ำราญใจ เปน็ ทีน่ า่ พิศวงในความงาม
ของธรรมชาติยงิ่ นกั
จากแทน่ ลานหินทีอ่ ุดมดว้ ยอ่างน�้ำธรรมชาติ ซ่ึงท่านเรียก สระโบกขรณี นี้จะเป็นทางเดนิ ไป
ตามพลาญหนิ ลัดเลาะไปจนถึงอา่ งนำ�้ ตกอกี ชัน้ หนึ่ง อ่างนกี้ ว้างใหญม่ าก ทา่ นให้ชือ่ วา่ สระมจุ ลินท์
ริมอ่างน้�ำมีหาดทรายเม็ดขาวละเอียดประดุจทรายแก้วงามมาก มีเถาต้นย่านลิเภาขึ้นประปราย แม้
จะเป็นเวลากลางเดือนเมษายน แต่เนื่องจากฝนตกหนักมาก่อนหน้าน้ัน จึงมีน้�ำตก ตกลงมาเป็น
มา่ นผืนใหญ่ ดงู ามตาอย่างประหลาด
นำ้� ตกทางภูววั มลี กั ษณะพเิ ศษแตกตา่ งกวา่ น้�ำตกทางภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ ที่
ผเู้ ขยี นเคยเหน็ มา อยา่ งทแ่ี มส่ า แมก่ ลาง ดอยอนิ ทนนท์ สารกิ า สตลู สงขลา สมยุ ซงึ่ มกั จะเปน็ นำ�้ ตกจาก
เขาสงู โจนลงมายงั ทตี่ �ำ่ แตท่ ี่ภูววั นี้ บนยอดเขามีลกั ษณะตัดเปน็ ที่ราบอนั กวา้ งใหญ่ เหมอื นภูกระดงึ
ต่อมาผ้เู ขียนได้มโี อกาสกลับมาในเดือนกรกฎาคม ซ่ึงเปน็ เวลาหนา้ ฝน ท่ตี าดสะแนนจะยิ่งเพม่ิ
ความงามขน้ึ คือมิไดม้ ีแต่เพยี งน�้ำตกอยา่ งเดยี ว แตม่ ีหญา้ มอสนมุ่ เปน็ ก�ำมะหย่ีสเี ขียวคลุมตามโขดหิน
ดว้ ย มดี อกไม้ป่าบานสะพร่ังเปน็ ดงเปน็ ดาน ทง้ั มว่ ง ทั้งเหลอื ง ทัง้ แสด ทั้งชมพู ดาดแตม้ อยตู่ าม
ลานหินเหมอื นจิตรกรทำ� สีมาหกเลอะไว้เปน็ หยอ่ มๆ ท่อี ดุ มทส่ี ดุ คือ ดอกไมป้ ่าสแี ดงเล็กๆ น่ารัก ท่ี
ท่านอาจารย์เรียกว่า กหุ ลาบหิน แมแ้ ต่ใบไม้ทถี่ ูกฝนกง็ อกออกมาจากตะป่มุ ตะป�่ำหิน กเ็ ป็นสีเขียว
สวยประหลาดอย่างไมเ่ คยเห็นทไี่ หนมาก่อน
เขาสวย พลาญหนิ สวย อ่างนำ�้ สวย ต้นไม้สวย ใบไม้สวย นำ้� ตกสวย หาดทรายสวย ดอกไมป้ ่า
สวย และดอกหญา้ สวย
เราเรียนท่านวา่ ไม่เคยเหน็ ที่ใดในเมืองไทย จะงดงามเพียบพร้อมเชน่ นี้
ถ้าได้จัดเปน็ ที่ทอ่ งเทย่ี วพกั ผ่อนหย่อนใจ ก็คงจะดีมาก แต่นา่ เสยี ดายว่าจะท�ำให้ความวิเวก
ของสถานท่สี ้ินไป เพราะแม้ว่ากุฏพิ ระจะอยู่บรเิ วณรมิ แมน่ �้ำสะแนนต่อจากสะพานหินห่างจากน้�ำตก
เกือบ ๒ กิโลเมตร แต่กเ็ ป็นปากทางเข้า คงจะท�ำใหพ้ ลกุ พลา่ นบ้าง
524
ท่านบอกว่า ความคิดเรื่องจะบูรณะให้เป็นท่ีท่องเที่ยวนั้น ท่านก�ำลังคิดอยู่แล้ว โดยคิดว่า
จะตัดถนนจากปากทางเข้ามาให้จนถึงสะพานหนิ เป็นระยะทางประมาณ ๗ – ๘ กโิ ลเมตร สว่ นการ
เกรงว่าจะมาท�ำใหค้ วามสงบวเิ วกเสียไปนน้ั ไม่ตอ้ งหว่ ง เพราะคนมาเทยี่ วก็มกั จะมาแตก่ ลางวัน ซงึ่
เวลานั้นพระกจ็ ะหลบไปในปา่ กลบั มาคนมาเท่ยี วกจ็ ะกลับไปหมด พระกอ็ ยู่สว่ นพระ คนมาเทีย่ วก็
อยู่สว่ นคนมาเที่ยว ประโยชนไ์ ม่ขดั กนั
ท่านปรารถตอ่ ไปวา่ พวกชาวบา้ นรอบๆ ภูทอกน้นี ่าสงสารนัก แทบทุกครอบครวั ปหี นง่ึ ๆ จะ
ไมเ่ คยจับเงินเกินกว่า ๑๐๐ บาท ทม่ี อี ยู่ มีกนิ ก็ไดป้ ลกู ขา้ ว ปลูกถว่ั ปลกู มนั อดม้อื กินมื้อไปตามเพลง
ถ้าหากบรู ณะใหค้ นมาเทีย่ วตาดสะแนน ก็จะท�ำให้เขามีรายได้เพิ่มขนึ้ ทั้งจากการตั้งรา้ นอาหาร และ
ขายพืชผลจากไร่ เช่น กลว้ ย มะพรา้ ว หรือของปา่
ขณะน้นั เถาไมท้ ีเ่ รยี กว่า ยากำ� ลงั เสอื โคร่งของภทู อก ก�ำลงั เริม่ แพร่หลาย ใครมาเทยี่ วภูทอกก็
ซ้ือกลบั ไปมดั ละ ๑๐ บาท ต้มชงน้�ำร้อน แบบนำ�้ ชา ดม่ื ครัง้ แรกจะมรี สขมนิดๆ แต่แลว้ จะหวานชมุ่ คอ
มสี รรพคณุ วา่ แกค้ วามดันโลหิตสูง ไม่เป็นเบาหวาน ไม่ท้องผกู ไมเ่ ป็นหวัด ขอ้ ส�ำคญั ว่ามีก�ำลงั ดนี กั
ดแู ตท่ ่านอาจารย์และพระภูทอกฉันยากำ� ลงั เสอื โครง่ แทนน�ำ้ ท่านขึน้ ลงเขากนั เป็นวา่ เลน่ ใครๆ มา
ภูทอกก็ตอ้ งซอื้ กนั ทั้งนัน้ ถ้ามคี นมาเท่ียวนำ้� ตกตาดสะแนน ชาวบ้านก็จะมีรายไดด้ ขี ้นึ
ทา่ นเป็นคนใจร้อน เรากลับกรงุ เทพฯ เพยี ง ๒ สัปดาห์ ทา่ นกส็ ง่ ขา่ วมาว่าบดั นี้ไดท้ �ำถนนไปถงึ
สะพานเรียบร้อยแลว้ เปน็ ระยะทางประมาณ ๗ กิโลเมตร ให้บอกเพ่อื นๆ ด้วย ต่อไปจะไปเท่ียวน�้ำตก
ตาดสะแนนจะไมต่ อ้ งเดินมากอย่างน้ันอีก เมือ่ ท่านมรณภาพแลว้ ได้พบบันทกึ ลายมอื ทา่ น บนั ทกึ วัน
เริม่ สร้างถนนไปสะแนนดังนี้
“เรมิ่ ลงมือท�ำทางไปสะพานหนิ สะแนนนำ�้ ตก วนั ที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๙ ตรงกับวันแรม
๑๔ ค่�ำ เดือน ๕ วันแรกมพี ระ ๒ องค์ สามเณร ๒ รปู คอื พระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ พระอาจารย์
สอน สามเณรเปง้ สามเณรจอหน์ น่ี โยม ๕ คน บา้ นท่งุ ทรายจก”
ท�ำถนนไปตาดสะแนนสะดวกผู้ไปเท่ียวโดยแท้ ส�ำหรับพระท่านเคยชินต่อการเดินบิณฑบาต
ไกลๆ อยู่แลว้ ทาง ๓ – ๗ กโิ ลเมตรน้ี เป็นเรอ่ื งธรรมดาของพระธดุ งค์
ต่อมาได้มีการตดั ไม้ ทำ� ลายปา่ เผาปา่ กนั มากขึน้ รอบๆ ภูทอก เฉพาะบรเิ วณวดั เท่านน้ั ทย่ี งั
คงสภาพป่าสมบูรณ์อยู่ ท่านบน่ วา่ เขาตัดไม้ลากผ่านวัดไปทุกวันๆ พระจะหา้ มกท็ ำ� ไม่ได้ ถ้าปล่อยไป
เร่อื ยๆ ต้นน�้ำลำ� ธารถกู ท�ำลาย บ้านเมอื งอสี านซ่ึงแห้งแลง้ อยแู่ ล้ว ก็จะล�ำบาก (ความทำ� นองน้ี ท่านได้
กล่าวไวใ้ นประวตั ติ อนหลงั บ่อยๆ) ทา่ นเทศนา กไ็ ด้ฟังแตช่ าวบา้ น แต่ท่ีเห็นน้นั มันรถใหญๆ่ เขาไมม่ า
ฟงั เทศนอ์ าตมา และถึงฟงั เขากไ็ มเ่ ชื่อ พวกสตั วถ์ ูกพรานมาฆ่า เลียงผาซ่ึงเคยกระโดดใหเ้ หน็ ก็จะ
หมดไปแล้ว