175
หลวงปบู่ ัวเกดิ นิมิตความตายแล้วสั่งทำ� โลงศพไวใ้ ห้ทา่ น ดังน้ี
“พระกราบเรยี นถามหลวงปู่ทองพูลอีกว่า “ไปกับหลวงปจู่ วน หลวงพ่อสนิทใจ คือ ลงใจกนั
มากเพยี งใด ?”
หลวงปู่ทองพูลกล่าวว่า “เราสนิทใจและลงใจในสัมมาปฏิบัติของท่านเป็นที่สุด ท่านเป็น
ผู้ละเอียดลออทกุ ด้านทกุ ทาง ท้ังกิจนอกการใน หาข้อบกพร่องต่อพระธรรมวินยั ไม่มเี ลย พูดได้เตม็
ปากว่า “ทา่ นเปน็ พระผลู้ ะเอียดทีส่ ดุ องค์หนึ่ง” ท่านไมพ่ ูดอะไรงา่ ยๆ” ผมจะขอยกตัวอย่างและเล่า
ใหฟ้ งั
“กาลครั้งหน่ึง หลวงปบู่ วั หนองแซง ป่วยเปน็ ไข้มาลาเรียอย่างหนักอยู่ทถี่ ้�ำจนั ทน์ ท่านกลา่ ว
วา่ “เราได้พิจารณาละเอียดแล้วคราวนช้ี ีวติ ของเราไม่รอด”
หลวงปู่จวนท่านกล่าวข้นึ ว่า “รอดไม่รอด... หลวงปกู่ ็อยา่ รีบพูด แล้วแตม่ นั จะเปน็ เถอะ”
“เราได้พิจารณาละเอยี ดแลว้ เราตอ้ งตายคราวน้”ี แลว้ หลวงปู่บวั ทา่ นจึงสงั่ ใหญ้ าตโิ ยมเตรยี ม
เลือ่ ยไม้มะมว่ งป่าไว้ เจาะไวส้ �ำหรบั ท�ำหบี ศพให้ทา่ น
หลวงป่จู วน ท่านคดั คา้ น “อยา่ รีบทำ� หลวงปู่ มันไม่งาม ยังไงเดี๋ยวพวกผมจะจัดการให้เอง”
“เราพิจารณาละเอียดแล้ว” หลวงปู่บัวท่านพูดย้�ำๆ หลวงปู่จวนท่านพิจารณาแล้ว ท่านก็
หา้ มๆ หา้ มไม่ใหท้ า่ นพดู จากนัน้ พวกชาวบ้านก็พากนั ตัดไม้มะม่วงไว้ โดยใช้ขวานสบั ให้เป็นลักษณะ
โลงศพแบบคนจีน (โลงจำ� ปา)
หลวงปู่จวนส่ังให้หมอประพักตร์ เอายาโรคไข้มาลาเรียไปผสมน้�ำ แล้วต้มข้าวอ่อนให้ฉัน
กอ่ นหน้านี้ทา่ นฉันอะไรกไ็ มไ่ ด้เลย ฉันเขา้ ไปเท่าใด อาเจียนออกมาเทา่ น้ัน
วนั หน่ึงลงปาฏิโมกข์ หลวงปจู่ วน ทา่ นกล่าวกบั หลวงปูบ่ วั ว่า “บถ่ งึ คราว บ่เป็นหยังดอก
(ไมถ่ ึงคราว ไมเ่ ป็นอะไรหรอก) หมอเอายาใหก้ นิ ค่อยซมึ ไปทีละนอ้ ย มนั ไปทำ� ลายเช้อื มาลาเรยี ”
จากนั้นองคท์ ่านกด็ ขี ึ้นเป็นลำ� ดบั อยากกนิ นนั่ กินนี่ ดีขึ้น มีเร่ยี วแรงขึ้นมา หามใส่แคร่ไมไ้ ผม่ าลงเรือ
บา้ นอาฮง เอาข้ึนมาวดั โพธิสมภรณ์ จงั หวดั อดุ รธานี นำ� ท่านมาใหห้ มอในเมืองรักษา หลงั จากหามทา่ น
ไปลงเรอื แล้ว หลวงปจู่ วนก็ใหญ้ าติโยมเอาไมม้ ะม่วงท่ที า่ นท�ำโลงศพเอาไว้ เอาไปเผาไฟไม่ใหเ้ หลือซาก
เลย ท่านบอกวา่ อายเขา อย่าใหค้ นมาเหน็
ทวี่ า่ หลวงปูจ่ วนเป็นผลู้ ะเอียด คือทา่ นรูว้ ่าหลวงปบู่ ัวจะยังไม่ตาย แตท่ ่านไม่พูดมาก ทา่ น
ไมพ่ ูดแซงหน้าแซงหลงั ผู้ใหญ่ มันเปน็ หน้าที่ของลูกเตา้ เหล่าหลานเหลน หน้าท่ขี องพระท่ีจะตอ้ งดแู ล
หลวงปู่บวั ให้ดี
176
ในกาลต่อมาหลวงปู่บวั ท่านกก็ ลา่ วว่า “ถา้ เราไมไ่ ดอ้ าจารย์จวน เราคงจะหลงไปเหมือนกัน”
ต่อน้ันมาท่านหายดีแล้ว เราและคณะจึงไปคารวะท่านที่วัดป่าหนองแซง ไปนอนกับท่าน
คืนหนึ่ง ท่านกลา่ วกับเราว่า “โอย้ ! ถา้ เราไม่ได้กินยาหมอประพกั ตร์ลกู ศษิ ย์ของเจา้ ทองพลู เอ้ย !
เราก็คงตายไปแล้ว น่ีเพราะไดก้ นิ ยาของพวกหมอ จากลูกศิษย์ลูกหาเอามาถวาย เราจงึ รอดตาย”
ฤดูแล้งปี พ.ศ. ๒๕๐๓ หลวงปู่บุญจันทร์พบท่านพระอาจารย์จวน
การสนทนาธรรมตามหลักสัลเลขธรรม ท�ำให้พระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์ม่ัน
ทราบสถานท่สี ัปปายะ กรณีถ้�ำจันทนท์ ท่ี ่านพระอาจารย์จวนไปบุกเบิกก็เชน่ กัน จงึ มีครบู าอาจารย์
แวะเวยี นไปเสมอๆ เชน่ หลวงปูบ่ ญุ จันทร์ กมโล แห่งวัดปา่ สันตกิ าวาส อ�ำเภอไชยวาน จงั หวดั อุดรธานี
ท่านเปน็ พระศษิ ย์องค์ส�ำคญั องค์หนึ่งของทา่ นพระอาจารย์มัน่ ท่ีเคร่งครดั ในธุดงควตั ร ทา่ นชอบออก
เดนิ ธุดงค์ และท่านได้พบท่านพระอาจารย์จวนทถ่ี �้ำจนั ทน์ โดยประวัติหลวงปู่บญุ จนั ทร์ บนั ทึกเร่ืองน้ี
ไว้ดังนี้
“ในฤดแู ลง้ พ.ศ. ๒๕๐๓ น้ี หลวงปบู่ ญุ จันทร์ กมโล ไดไ้ ปวิเวกที่ดงศรชี มภู อ�ำเภอบงึ กาฬ
จงั หวดั หนองคาย โดยออกจากวัดปา่ สันติกาวาส อำ� เภอไชยวาน จงั หวดั อดุ รธานี ทงั้ เดิน ทั้งอาศัย
รถพ่อคา้ ข้าวไปถึงอ�ำเภอวานรนิวาส พักค้างคืนกับหลวงปูแ่ ตงอ่อน กลยฺ าณธมฺโม ที่วดั ปา่ วานรนิวาส
(ปัจจบุ ัน คือ วดั ธรรมนเิ วศวนาราม) ๑ คืน แลว้ กเ็ ดนิ ทางดว้ ยเท้าตอ่ ไปท่ี ดานม้าแล่น บา้ นนาค�ำ
อ�ำเภอบึงกาฬ จงั หวดั หนองคาย (ปัจจุบนั เปน็ วัดป่าดานศรสี ำ� ราญ บ้านนาคำ� อำ� เภอพรเจริญ จังหวดั
หนองคาย)
เม่อื พักอยดู่ านมา้ แล่นพอสมควรแลว้ จึงเท่ยี ววเิ วกต่อไปที่ถ้�ำจนั ทน์ หลวงป่บู ุญจนั ทร์ กมโล
ได้พบกบั พระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ พระอาจารยค์ ำ� บุ ธมฺมธโร และ พระอาจารยส์ ีลา อินฺทวํโส
ทีถ่ ้�ำจันทนน์ ้ี ส�ำหรบั พระอาจารยส์ ลี าน้นั เป็นคนอ�ำเภอพนมไพรดว้ ยกนั
หลวงปู่เล่าว่าท่ีถ�้ำจันทน์อากาศดี แต่พอพักอยู่ไม่นาน หลวงปู่จับไข้ จึงได้ออกจากถ้�ำจันทน์
ทง้ั ไขท้ ง้ั เดนิ มากับโยมพ้วั จนมาถึงทุ่งบา้ นหนองตอ จงึ มีเหงอ่ื ออก เอามือลบู ตามแขนตามตวั เหน็ เยอ่ื
บางๆ ลอกออกเปน็ แผน่ ๆ จงึ รวู้ ่าอากาศทถ่ี ำ้� จันทน์ ท�ำใหเ้ กดิ เปน็ แผน่ ปดิ ขุมขน จึงท�ำให้เป็นไข้ เพราะ
ไมม่ ีเหงอ่ื ออก หลวงปกู่ ลบั มาพกั ท่ีดานมา้ แลน่ ระยะหนงึ่ กเ็ ดนิ ทางกลับวัดปา่ สนั ติกาวาส”
พรรษา ๑๘ พ.ศ. ๒๕๐๓ จ�ำพรรษาที่ถ้�ำจันทน์ ถูกป้ายสีว่าเป็นพระคอมมิวนิสต์
เรอ่ื งการกลน่ั แกลง้ ใสร่ า้ ยปา้ ยสอี นั เปน็ โลกธรรม ๘ มีมาแต่ครั้งพุทธกาล องคพ์ ระบรมศาสดา
ถูกโลกธรรม ๘ มากระทบมากที่สุด พระองคท์ รงส่งั สอนพระสาวกเมื่อถกู โลกธรรม ๘ มากระทบให้
อดทนอดกลน้ั โดยยึดพระองค์เปน็ คตแิ บบอยา่ ง ในคร้งั ก่ึงพทุ ธกาลสมยั ท่หี ลวงปเู่ สาร์ กนตฺ สโี ล และ
177
หลวงปมู่ นั่ ภูรทิ ตฺโต ออกเทย่ี วธุดงค์ตามปา่ ตามเขา เพอื่ บุกเบิกฟน้ื ฟธู ุดงควตั รใหม่ๆ น้นั พ่อแม่คร–ู
อาจารย์ทง้ั สองถูกต่อตา้ นขับไลอ่ ยา่ งหนัก ทัง้ ถูกกล่นั แกลง้ นานปั การจากพระฝา่ ยทีไ่ ม่เหน็ ดว้ ย กรณี
ของท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ กเ็ ช่นเดยี วกัน โดยทา่ นพระอาจารย์จวน ได้เมตตาเทศนเ์ ร่อื งน้ี
ไวด้ ังนี้
“ขณะที่อยู่ถ�้ำจันทน์น้ันมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ คือเรื่องนี้พวก
ข้าราชการและพระฝ่ายตรงกันข้าม เขายุแหย่ติฉินนินทาใส่ร้ายป้ายสีว่า เป็นพระคอมมิวนิสต์หรือ
หวั หนา้ คอมมิวนิสต์ เมื่อเปน็ เชน่ นป้ี ระชาชนกต็ นื่ เต้นกนั ไป
วนั หน่งึ ข้าพเจา้ ออกเดินทางจากถ้�ำจนั ทน์ จะไปวิเวกท่ีภูววั ผกู้ �ำกับการอุดรธานีวทิ ยสุ ง่ั ให้พวก
เจ้าหน้าทีฝ่ า่ ยรกั ษาชายแดนประจ�ำอำ� เภอบึงกาฬ สกดั ติดตามขา้ พเจา้ หวงั จะฆ่าให้ตายนั่นเอง ทนี ม้ี ี
เจา้ หนา้ ทค่ี นหนง่ึ ตดิ ตามไปด้วย แต่ไม่ทันข้าพเจ้า เมือ่ ไมท่ นั ขา้ พเจ้า เขาก็เลยกลบั ภายหลงั เขามาเลา่
สู่ฟังวา่ คือเจา้ หน้าทค่ี นติดตามฆา่ นน่ั เองเลา่ สฟู่ ังวา่ “ผมนีเ่ องเปน็ ผู้ตดิ ตามอาจารย์ หวังจะฆ่าอาจารย์
ให้ตายทก่ี ลางทาง แต่ไมท่ ันอาจารย”์ ข้าพเจา้ ถามว่า “ฆ่าเพราะเหตุอะไร ?” “เพราะเหตวุ า่ ผกู้ �ำกับการ
อดุ รฯ ส่งั มาทางวทิ ยุ ให้ผมติดตามฆ่าอาจารย์” ดงั น้ี
ทีนี้เมื่อข้าพเจ้าได้ลงจากภูวัวมาพักท่ีภูกระแต อ�ำเภอบึงกาฬ กับพระครูหนูพูล (หลวงปู่
ทองพลู สิริกาโม) ในขณะที่พกั ตอนกลางคนื เจ้าหน้าที่ ๔ คน นายตำ� รวจ ทหาร เขา้ มาหาข้าพเจ้า
แล้วเขาก็พูดว่า “ท่ีผมมาน้ีได้รับค�ำส่ังจากผู้ก�ำกับการอุดรฯ ให้พวกผมมาสืบอาจารย์ว่าเป็นหัวหน้า
คอมมวิ นิสต์ เขามคี วามสงสยั อาจารยเ์ ปน็ จรงิ ไหม ?” เขาพดู ขึ้น
แล้วอาตมากย็ ้อนถามเขาว่า “ส�ำหรับคอมมวิ นสิ ตเ์ ปน็ อย่างไร ?”
เขาตอบว่า “พวกคอมมิวนสิ ตเ์ ขาไมม่ ีศาสนา ไม่นบั ถือทุกศาสนา ไม่ให้มีคนทกุ ข์ ไม่ให้มคี นมี
ใหม้ เี สมอกนั สว่ นสมบัติไม่ให้เป็นกรรมสทิ ธขิ์ องตน ให้เปน็ ของส่วนกลาง” ดังน้ี
แล้วข้าพเจ้ายอ้ นถามเขาว่า “คอมมิวนสิ ตเ์ ขานุ่งอยา่ งไร ? เขากนิ อย่างไร ? ลูกเมยี เขามีไหม ?”
เขาวา่ “มี เขานุง่ กางเกง นงุ่ ธรรมดาชาวโลกเขา ลูกเมียเขากม็ ี เขาก็กินอาหาร”
“กนิ วันหน่ึงเท่าไหร่ ?”
“๓ ม้ือ ๓ หน” เขาว่า
“แล้วเขามีโกนผมไหม ?”
“ไม่มี”
ออ้ ! ขา้ พเจ้าได้ตอบเขาว่า “เม่อื เป็นเชน่ นค้ี อมมวิ นสิ ต์มนั มลี ูกมีเมีย นงุ่ เสื้อนุ่งกางเกง กิน
อาหาร ๓ มอ้ื หัวไม่โล้น และมศี าสตราอาวธุ นี้ สว่ นอาตมาน้ลี กู เมยี ไม่มี กนิ ข้าวหนเดยี ว หวั ก็โล้น
178
น่งุ ห่มผา้ กาสาวพสั ตร์ จะหาวา่ เปน็ คอมมิวนสิ ต์อย่างไรได”้ น้ีพูดกับเจ้าหน้าท่ใี นขณะนน้ั
“ถ้าคอมมิวนสิ ต์ไมม่ ศี าสนา ไมน่ ับถอื ทกุ ศาสนาแลว้ แตอ่ าตมากเ็ ปน็ พระบวชในพระพทุ ธ–
ศาสนา ปฏบิ ัติตามค�ำสอนของพระพทุ ธเจา้ น้ี ถา้ จะสงสยั ว่าพระธดุ งคกรรมฐาน ผู้ปฏิบัตอิ ยู่ตามป่า
ตามเขาเป็นคอมมิวนิสต์แลว้ จะหาพระท่ไี หนในเมอื งไทย จะเอาพระทกี่ ินขา้ วค�่ำขา้ วเยน็ มลี ูกมเี มีย
น้ันหรือ จึงชื่อว่าเป็นพระไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ถ้ายังสงสัยว่าพวกอาตมาน้ีเป็นพระคอมมิวนิสต์แล้ว
สมเด็จพระสังฆราชย่ิงเป็นตัวใหญ่เป็นคอมมิวนิสต์ใหญ่ อีกพระพุทธเจ้าก็เป็นปู่คอมมิวนิสต์เท่านั้น
คำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ แตล่ ะลว้ นกลายเปน็ คำ� สอนลทั ธขิ องคอมมวิ นสิ ตก์ นั เทา่ นนั้ เอง ไมม่ คี วามหมาย
ใดๆ ในพระพุทธศาสนา” นไี้ ด้พูดกบั เจา้ หน้าท่ี
“เม่ือเปน็ เช่นน้ีกพ็ วกคณุ น่เี อง พวกรฐั บาลนเี้ องเปน็ ตัวคอมมิวนสิ ตใ์ หญ่ มนั หาอบุ ายลม้ ศาสนา
โค่นศาสนาทิง้ ไมต่ ้องสงสัยเลย”
เจ้าหนา้ ทีค่ นหนึ่งพูดสอดขึ้นว่า “โธ่ ! ถ้าอาจารย์พูดอย่างน้ีพวกผมตายหมดไม่มีทพี่ ึ่ง” เขาว่า
อย่างน้ัน
ขา้ พเจา้ เลยว่า “ต้องพูดตามความจริง เพราะความจริงเป็นอยา่ งน้ี ตายหรอื ไม่ตายกไ็ ม่รูแ้ หละ
นอ้ี ย่าไปสงสัยพระธุดงคกรรมฐานเลย”
เรอ่ื งทท่ี ่านพระอาจารยจ์ วนถูกกลา่ วหาวา่ เปน็ หวั หนา้ คอมมวิ นสิ ต์ ในประวัติหลวงปทู่ องพลู
สริ ิกาโม ไดบ้ ันทึกไว้ดังน้ี
“ในสมยั หลวงปจู่ วน และ หลวงปูท่ องพูล มาอยู่ในเขตอ�ำเภอบึงกาฬใหมๆ่ ยังมผี เู้ ขา้ ใจ
คลาดเคลื่อนในเร่อื งน้ีอยูม่ าก ไม่วา่ จะเปน็ พระสงฆ์ ขา้ ราชการ ประชาชน ยังมองการประพฤติปฏบิ ตั ิ
ของท่านทัง้ สองเปน็ นักบวชตา่ งดาว (แปลกประหลาด) พระสงฆ์บางทา่ นถามโยมที่มาส่งภตั ตาหารที่
วดั ว่า
“พระพวกนน้ั พากนั ทำ� อะไร อยอู่ ยา่ งบง้ิ (แมงมมุ ยกั ษ)์ อยา่ งอเี จยี (คา้ งคาว) รึ พอ่ ออก แมอ่ อก”
อยอู่ ย่างคา้ งคาว เอาเทา้ ห้อยกิ่งไมห้ รือหน้าผา ทพี่ ดู อยา่ งนแ้ี สดงว่าไม่ร้เู ร่ือง ไมเ่ ข้าใจเรอ่ื งราว
ของนกั บวชว่า มีจุดมงุ่ หมายความเป็นอยู่อยา่ งไร แมจ้ ะเรียนกเ็ รยี นอยา่ งอนื่ รอู้ ยา่ งอน่ื หรอื เรยี นและ
ร้สู งิ่ เดยี วกนั แตไ่ ม่ร้เู รอื่ งกนั เพือ่ เปน็ การศกึ ษา ไมใ่ ชเ่ รียนเพอ่ื นินทาว่ารา้ ยใคร”
ท่ีมาของการถูกป้ายสีเป็นคอมมิวนิสต์
ปญั หาภยั จากการคกุ คามของลทั ธคิ อมมิวนิสต์ เปน็ ภัยรา้ ยสำ� คญั ทส่ี ุดที่ส่ันคลอนความมน่ั คง
ของประเทศชาติ ช่วงต้นทศวรรษท่ี ๒๕๐๐ การขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชีย–
ตะวนั ออกเฉียงใต้รุนแรงมาก ประเทศเพ่ือนบ้าน ได้แก่ เวียดนามเกิดสงครามกลางเมืองระหว่าง
179
ฝ่ายโลกเสรกี บั ฝา่ ยคอมมิวนสิ ต์ มีการขยายอดุ มการณ์เขา้ มาในประเทศลาว กัมพชู า และประเทศไทย
ต่างประสบปัญหาการแทรกซึมของขบวนการนี้ เฉพาะประเทศไทยครอบคลุมพื้นท่ีหลายจังหวัด
ความรนุ แรงถึงระดบั ปะทะกนั ตอ้ งใช้ก�ำลังกองทพั ปราบปราม ซึง่ กินเวลายาวนานกวา่ สองทศวรรษ
ในช่วงระยะเวลาน้ัน เป็นช่วงของการปกครองแบบเผด็จการของจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์
ต่อด้วยจอมพลถนอม กิตติขจร ภายใต้การปกครองของจอมพลสฤษดิ์ ซ่ึงต่อมาถูกเรียกว่าเป็น
“ยคุ มืด” น้นั ภายใต้กฎอัยการศกึ พระสงฆท์ ่ีไม่ท�ำตามนโยบายของรัฐบาล ไมว่ ่าจะอยูใ่ นเมอื ง หรือ
ชนบท หรอื เป็นพระธุดงค์ และไม่ว่าจะเป็นพระนกิ ายใดกม็ ีโอกาสจะถกู คุกคาม ถกู กลา่ วหาว่าเป็น
คอมมิวนสิ ต์และถกู คมุ ขังโดยไม่มกี ารไตส่ วน
พระสงฆ์อีสานจ�ำนวนหน่งึ ทถี่ ูกอำ� นาจรฐั คุกคาม พระสงฆเ์ หล่าน้เี ป็นพระธดุ งคท์ ่ีปฏบิ ัติธรรม
ตามป่าเขา ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นพระอาจารย์ท่ีมีช่ือเสียงของประเทศ พระธุดงค์ท่ีจะกล่าวถึงเป็น
ท่านแรก คอื ทา่ นพระอาจารย์จวน กลุ เชฏโฺ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ท่านไดเ้ ดินทางไปยงั ถ้�ำจันทน์ อ�ำเภอ
บึงกาฬ จังหวัดหนองคาย เพื่อปฏิบัติธรรม บริเวณถ้�ำท่ีท่านปฏิบัติธรรมเป็นท่ีที่ไม่มีหมู่บ้านตั้งอยู่
ทา่ นพระอาจารย์จวนตอ้ งอาศัยน�ำ้ และผกั ปา่ เปน็ อาหาร เมอ่ื ชาวบา้ นซ่งึ อย่หู า่ งไกลจากสถานท่ีที่ทา่ น
ปฏิบัติธรรมอยู่ทราบข่าวว่า มีพระธุดงค์ยอมอดอาหารเพื่อปฏิบัติธรรม ก็เกิดความเล่ือมใสศรัทธา
จึงนำ� ข้าวปลาอาหารมาถวายสปั ดาหล์ ะครง้ั
ทา่ นพระอาจารยจ์ วน ทา่ นปฏบิ ตั ธิ รรมอยู่ถ�้ำจันทน์จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เม่อื ความนยิ มในหมู่
ชาวบา้ นตอ่ ตวั ทา่ นเพิม่ ขึ้น ไดม้ เี จา้ หน้าทข่ี องรัฐและพระซ่งึ เป็นฝ่ายตรงข้ามกับทา่ นกลา่ วหาว่า ทา่ น
เป็นผนู้ ำ� ของคอมมวิ นิสต์ ทางการไม่เพียงแต่กลา่ วหาเทา่ น้นั หากยงั คกุ คามท่านอีกดว้ ย วนั หน่งึ ขณะที่
ทา่ นเดนิ ทางจากถ�้ำจันทน์ไปยังภวู วั ซงึ่ อยูใ่ นอำ� เภอบงึ กาฬเชน่ เดียวกนั ไดม้ ีตำ� รวจตระเวนชายแดน
(ตชด.) สะกดรอยทา่ น ท่านพระอาจารยจ์ วนสงสยั วา่ ตชด. เหล่านนั้ คงไดร้ ับค�ำสัง่ ใหม้ าสังหารทา่ น
อาศัยความเชย่ี วชาญในภูมิประเทศ ท่านจึงสามารถสลัดพน้ จากการตดิ ตามได้ ในเวลาตอ่ มา หลังจาก
ที่ทา่ นพระอาจารย์จวนได้ย้ายไปยังภกู ระแต ไดม้ ี ตชด. มาสอบสวนวา่ ทา่ นเป็นคอมมวิ นิสต์หรือไม่
นอกจากท่านพระอาจารย์จวนแลว้ ยงั มีพระธุดงค์รูปอืน่ ๆ อกี ทถ่ี ูกทางการคกุ คาม ท่านพระ
อาจารยเ์ พ็ง เตชพโล ซง่ึ ปฏบิ ตั ธิ รรมทภ่ี สู ิงหน์ ้อยในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้ถกู ทหารสั่งใหย้ า้ ยออกจากพนื้ ท่ี
โดยอ้างว่าจะไม่ปลอดภยั เพราะมีกองก�ำลงั ตดิ อาวธุ ของพรรคคอมมวิ นิสต์แหง่ ประเทศไทย (พคท.)
ท�ำการเคลอ่ื นไหวอยู่ทีภ่ สู งิ หใ์ หญ่ ซง่ึ อยใู่ นเทือกเขาเดยี วกนั
หลงั จากทที่ า่ นพระอาจารยเ์ พง็ ยา้ ยออกจากสถานที่ปฏบิ ตั ิธรรมของทา่ นแลว้ ทหารได้ท�ำลาย
ทุกส่ิงทุกอย่างในวดั พวกเขาเผากุฏิ ท�ำลายต้นล�ำไย มะมว่ ง มะพรา้ ว มะนาว มะละกอ กล้วย
รวมทง้ั พรกิ มะเขือ ตะไคร้ท่ชี าวบา้ นช่วยกันปลกู ไว้รอบๆ วัดจนหมดสิ้น บ่อนำ�้ ของวดั กถ็ กู ถมท�ำลาย
นอกจากน้ที หารยงั เผาสบง จวี ร หนงั สอื ธรรม และเผารปู ของพระพุทธเจ้าด้วย
180
การปฏบิ ตั ธิ รรมของพระธดุ งค์ในป่าแถบสกลนครก็ประสบปญั หาคล้ายกัน ในปี พ.ศ. ๒๕๐๗
ท่านพระอาจารย์วัน อุตฺตโม ซ่ึงปฏิบัติธรรมที่ภูเหล็กอันเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาภูพานในอ�ำเภอ
สอ่ งดาว จงั หวดั สกลนคร ถกู เจ้าหน้าที่ของทางการสงสัยว่าเปน็ ผู้สนับสนนุ คอมมวิ นสิ ต์ โดยท่านไดใ้ ช้
ส�ำนกั ในปา่ ของท่านเป็นแหลง่ สนับสนนุ กองก�ำลังติดอาวธุ ของ พคท. ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๓
ท่านพระอาจารย์วันและสานุศิษย์ของท่านถูกทหารระดมยิงขณะเดินทางกลับจากการท�ำพิธีใน
หม่บู ้าน แตท่ ่านและพระรปู อ่นื ๆ ก็เดินทางตอ่ ไปจนถงึ ส�ำนกั ในป่า
การท่ีพระธดุ งค์อยา่ งเช่น ทา่ นพระอาจารย์วนั และ ทา่ นพระอาจารยจ์ วนถูกทางการเพง่ เล็ง
วา่ เป็นคอมมิวนสิ ต์ เป็นเพราะวา่ สถานท่ีปฏิบัตธิ รรมของพวกท่านอยู่ในเขตปา่ เขาท่ีมกี ารเคลอื่ นไหว
ของ พคท. นอกจากน้ยี ังเปน็ เพราะมชี าวนาจากบา้ นเกดิ ของพระธดุ งค์เหลา่ นน้ั หรอื จากหมู่บ้านที่
อยใู่ นบรเิ วณทสี่ ำ� นกั ของพวกทา่ นตง้ั อยไู่ ดเ้ ข้าร่วมตอ่ สกู้ บั พคท. ทส่ี �ำคัญยิ่งไปกวา่ นนั้ กค็ อื พระธุดงค์
เหล่านถ้ี กู กลา่ วหาว่าเป็นคอมมวิ นิสต์ เพราะวา่ พวกทา่ นเปน็ ทเี่ คารพเล่ือมใสของชาวบ้าน เนื่องจาก
ไดใ้ หค้ วามช่วยเหลือแกช่ าวบ้านในการปรบั ปรงุ ชวี ิตความเป็นอยู่ด้วยความจริงใจ ในขณะทเี่ จ้าหน้าที่
ของรัฐ ไม่ว่าจะเปน็ ทหาร ตำ� รวจ หรือ พลเรอื น กลบั ไม่ได้รบั ความเช่อื ถอื จากชาวบา้ น เพราะพวกเขา
ตา่ งกด็ ถู ูกเหยยี ดหยามและเอารัดเอาเปรียบชาวบา้ น
หลวงปู่บัวชมท่านพระอาจารย์จวน
ท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ได้เมตตาเทศนเ์ รือ่ งนีไ้ วด้ งั นี้
“นี้ขอยอ้ นกลา่ วสมัยท่อี ยู่ถำ�้ จนั ทน์เพอ่ื ใหป้ ระวตั นิ ีบ้ รบิ รู ณต์ ามเปน็ จรงิ
คอื วา่ สมยั ทอี่ ยถู่ ำ�้ จนั ทนร์ ว่ มกบั หลวงปบู่ วั นนั้ ไดส้ นทนาธรรมะเพอ่ื เปน็ การแลกเปลยี่ นความรู้
ซงึ่ กนั และกนั และทา่ นหลวงปทู่ า่ นกน็ ำ� ไปพจิ ารณา จากนนั้ ใกลเ้ ขา้ พรรษา ทา่ นหลวงปกู่ ก็ ลบั สำ� นกั เดมิ
คอื วดั บ้านหนองแซง นน่ั เอง และภายหลงั ทา่ นได้พจิ ารณาตามธัมมสากัจฉาฯ สนทนาซ่ึงกนั และกนั
ทา่ นว่าท่านไดก้ �ำลังมากทส่ี ดุ และตามข่าวทีพ่ ระลกู ศิษย์ของทา่ นมาเล่าให้ฟังวา่ “สมัยท่ีอยถู่ �้ำจนั ทน์
น้นั ดนี กั ถา้ ไม่ไดท้ า่ นจวนอยรู่ ่วมด้วยจะเสยี เลย” ดงั นั้น และกช็ มเชยในธัมมสากัจฉาฯ ซึ่งกนั และกนั
ทา่ นวา่ “ทา่ นหายสงสยั ในธรรมะของพระพุทธเจา้ ” นี้ลกู ศษิ ยท์ ่านไดเ้ ล่าให้ฟงั ข้าพเจา้ ก็พลอย
อนุโมทนาสาธกุ ารยนิ ดกี ับทา่ นด้วย แตข่ า้ พเจา้ ก็ไมม่ ีคณุ ธรรมอะไร ไม่มภี มู ิธรรมอะไร ขา้ พเจ้าก็เป็น
พระปถุ ุชนคนมีกเิ ลสหนาปญั ญาหยาบธรรมดาๆ หนิ ชาติหินชนของคนเรานเี้ อง แต่หากไดจ้ �ำคำ� สอน
ของครูบาอาจารย์ท่ีได้ศึกษาและสดับตรับฟังมา ตามต�ำรับต�ำราและตามครูบาอาจารย์เท่าน้ันมา
สนทนากับทา่ นหลวงปู่ ไมใ่ ช่สมบตั ิของขา้ พเจ้าเลย”
181
ประวัติย่อ หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ
หลวงปูบ่ วั สิรปิ ุณฺโณ ท่านเป็นศิษย์กรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มนั่ ภรู ิทตฺโต ท่สี ำ� คญั
รปู หน่งึ ซ่ึงได้เขา้ สรู่ ่มกาสาวพัสตรใ์ นวัยชรา ทา่ นไดบ้ วชเป็นตาปะขาวถอื ศีล ๘ อยา่ งเครง่ ครดั และ
ติดตามหลวงปอู่ ่อน าณสิริ ออกธดุ งค์ จนได้บรรลุพระอริยบคุ คลช้นั โสดาบนั ตั้งแตย่ งั เปน็ คฤหสั ถ์
ทา่ นมวี ิถจี ติ มงุ่ ส่คู วามหลุดพ้น ท่านพระอาจารยม์ ัน่ ได้กลา่ วท�ำนายไว้ว่า “ในกาลข้างหน้าถึงเวลาบารมี
สุกงอมเตม็ ที่ จะมคี นมาโปรด” ตอ่ มาท่านไดร้ ับอุบายธรรมช้นั สงู จากหลวงตามหาบวั าณสมปฺ นฺโน
ท่วี ดั ปา่ แกว้ ชมุ พล อ�ำเภอสวา่ งแดนดิน จังหวดั สกลนคร ตามค�ำท�ำนายของทา่ นพระอาจารย์มน่ั
หลวงตามหาบัว ท่านแนะน�ำวิธีปฏิบัติให้ในตอนเย็น พอรุ่งเช้าท่านก็จบพรหมจรรย์ เป็น
พระอรหนั ต์องค์หน่ึงในพระพุทธศาสนา ท่านเลา่ วา่ “อวชิ ชาขาดมันรนุ แรงถึงขัน้ กายไหวประหนึง่ ว่า
คานกุฏิที่อยู่ได้ขาดไปด้วย อัศจรรย์พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และอัศจรรย์อุบายธรรมท่ี
ทา่ นอาจารยม์ หาบัวแนะน�ำพร�่ำสอน คนื นนั้ ทั้งคืนจิตต่ืนอยู่ ไม่หลับไม่นอน เสวยวมิ ุตติสุข หาสุขอนื่
ยง่ิ กว่าไมม่ ี”
ท่านเกิดเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๓๑ ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่ี
บา้ นเขืองใหญ่ ตำ� บลหมูมน้ อ�ำเภอธวัชบุรี (โปง่ ลงิ ) จังหวัดร้อยเอ็ด เปน็ บุตรของนายลาด และนางดา
น้อยก้อม มีพ่ีน้องร่วมบิดามารดา ๙ คน ก่อนบวชท่านมีอาชีพเป็นช่างประจ�ำหมู่บ้าน และเก่งใน
วชิ าอาคมทางด้านไสยศาสตร์ ประกอบอาชพี เป็นหมอผีปราบผีสางนางไพร เปน็ ทีน่ ับถือของคนในถ่ิน
แถวน้ัน ท่านยดึ ม่นั ในคณุ ธรรม ๒ ประการ คือ การมีสจั จะและการรักษาศีลอย่างเคร่งครดั
ทา่ นไดอ้ ุปสมบทเป็นพระภกิ ษเุ มอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ขณะมอี ายไุ ด้ ๕๑ ปี ณ วดั บงึ พระลานชยั
อ�ำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด เวลา ๑๕.๑๘ น. โดยมีท่านพระครูคุณสารพินิจ เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอาจารยป์ ลัดแก้ว เปน็ พระกรรมวาจาจารย์ หลังจากอปุ สมบทแล้ว ท่านได้มาจ�ำพรรษาอยู่กบั
พระอาจารย์เพง็ พุทฺธธมโฺ ม ซ่ึงเปน็ พระลกู ชาย ท่วี ัดป่าศรีไพรวัน จังหวดั ร้อยเอด็ ในกลางพรรษาแรก
นั้นเอง ทา่ นมอี าการเจบ็ ในรูหเู ป็นอย่างมาก ไดน้ ง่ั สมาธพิ ิจารณาทุกขเวทนา ใตต้ น้ ลำ� ดวนในบรเิ วณวดั
ติดตอ่ กัน ๓ วัน ๓ คนื จงึ รแู้ จ้งในอรยิ สัจ จึงเอาชนะความเจบ็ ปวดได้
จากน้ันทา่ นได้ถวายตัวเปน็ ศษิ ยก์ ับท่านพระอาจารยม์ ัน่ ภรู ิทตโฺ ต ทวี่ ดั บา้ นหนองผือ อ�ำเภอ
พรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เม่ือไปถึงท่านพระอาจารย์มั่นทักถามทันทีว่า “นั่งอยู่ใต้ต้นล�ำดวน
๓ วัน ๓ คืนน้ันทา่ นไดพ้ จิ ารณาอะไรบ้าง” ทา่ นถึงกบั ตกใจท่ีทา่ นพระอาจารยม์ น่ั สามารถรู้ได้เช่นน้นั
จงึ กราบเรียนทา่ นว่า “ก�ำหนดดูปฏสิ นธติ ง้ั แตเ่ ริม่ แรก พิจารณาการเกดิ ต้งั แตเ่ ขา้ ไปอยูใ่ นครรภ์มารดา
ต่อเนื่องมาจนปจั จบุ นั ”
ทา่ นไดเ้ รียนศกึ ษากบั พระอาจารยม์ นั่ จากนนั้ ท่านได้ออกธุดงค์ ไดถ้ วายตวั เปน็ ศิษย์เพ่อื ปฏบิ ตั ิ
พระกรรมฐานกบั พระอาจารยค์ ณู ธมฺมุตฺตโม ที่วัดป่าพนู ไพบลู ย์ อ�ำเภอเมือง จังหวดั มหาสารคาม
182
ในปพี ุทธศกั ราช ๒๔๙๕ หลวงปบู่ ัว สิรปิ ุณโฺ ณ กับ พระอาจารย์ศรี มหาวโี ร รับนิมนต์จาก
ทา่ นเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จมู พนฺธโุ ล) วดั โพธิสมภรณ์ จังหวัดอดุ รธานี เพอื่ สรา้ งวัดกรรมฐานที่
บา้ นหนองแซง จังหวัดอดุ รธานี ต่อมา คือ วดั ปา่ หนองแซง หรอื วดั ราษฎรสงเคราะห์
หลวงปบู่ วั สริ ิปุณโฺ ณ ได้ละสังขารในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระ–
ปรมินทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช รชั กาลปจั จุบัน สิรอิ ายรุ วม ๘๗ ปี ๓๖ พรรษา
ก่อนวันที่ หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ จะมรณภาพ หลวงตาพระมหาบัว าณสมฺปนฺโน ได้
เดินทางไปเย่ยี มองคห์ ลวงตาพดู ว่า“เอาละ่ ทนี ไี้ มม่ าแลว้ นะจะมากโ็ นน่ แหละถึงวันนั้นแหละจึงจะมา”
แล้วองค์หลวงตากเ็ ดินทางเขา้ กรงุ เทพฯ ไป
เมือ่ ครบ ๓ เดือนตามท่ีหลวงปู่กำ� หนด ท่านก็ไดล้ ะทง้ิ สังขาร คณะศษิ ยไ์ ดป้ รกึ ษาจดั การศพ
หลวงปู่ และลงความเห็นวา่ ควรรอใหอ้ งค์หลวงตาพระมหาบวั ทา่ นมาตัดสิน องค์หลวงตาได้เดินทาง
กลับจากกรุงเทพฯ เพอื่ มาด�ำเนินงานศพของหลวงปู่บวั ตามทไ่ี ด้พดู ไวว้ ่า โดยมอบใหท้ า่ นพระอาจารย์
สงิ หท์ อง ธมฺมวโร เป็นประธานจัดงาน สำ� หรบั สถานทเี่ ผาศพหลวงปู่บรเิ วณต้นหมากเลอ่ื ม ไม่หา่ งจาก
กฏุ หิ ลวงปู่นัก ต่อมาไดส้ ร้างเจดยี ์บรรจพุ ระธาตุ รูปเหมือน พร้อมทัง้ บรขิ ารของทา่ น ไวใ้ ห้ลูกศิษย์
ลูกหาไดก้ ราบไหว้บูชา ไดร้ ะลกึ ถงึ ความดขี องหลวงปตู่ ลอดกาล
ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ธุดงค์เชียงใหม่กับสหธรรมิก
ท่านพระอาจารย์อนุ่ หล้า ติ ธมโฺ ม ไดบ้ ันทกึ ไว้ดังน้ี
“ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ทา่ นพระอาจารย์สิงหท์ อง จำ� พรรษาทีว่ ดั ปา่ บ้านตาด คร้ันออกพรรษาแลว้
ทา่ นก็ได้เดนิ ทางไปยงั วดั ราษฎรสงเคราะห์ (วัดปา่ หนองแซง) ต�ำบลหนองบวั บาน อำ� เภอหนองวัวซอ
จังหวดั อุดรธานี ของ หลวงปู่บัว สริ ิปณุ ฺโณ
ครั้นเมื่อพักวัดราษฎรสงเคราะห์ของ หลวงปู่บัว สริ ิปณุ ฺโณ พอสมควรแล้ว ทา่ นพระอาจารย์
สิงห์ทองกเ็ ดินทางต่อไปยงั วัดถำ้� กลองเพลของ หลวงปู่ขาว อนาลโย ขณะนน้ั ท่านพระอาจารย์จวน
กลุ เชฏโฺ กพ็ ักอยู่ที่นนั่ ”
ท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ และ ท่านพระอาจารยส์ ิงหท์ อง เปน็ เพอ่ื นสหธรรมิกทมี่ ี
อายุใกลเ้ คียงกนั พรรษากใ็ กลเ้ คยี งกัน โดยอายุทา่ นพระอาจารย์จวนแกก่ วา่ ทา่ นพระอาจารย์สงิ หท์ อง
๔ ปี พรรษาก็มากกวา่ ๑ ปี ต่างถกู อธั ยาศัยใจคอซ่ึงกันและกนั จึงมคี วามสนทิ สนมรักใคร่ชอบพอกัน
เป็นพิเศษ เป็นคู่สหธรรมิก “เพชรน้�ำหนึ่ง” อีกคู่หน่ึงในวงกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์ม่ัน
ภรู ทิ ตโฺ ต เช่นเดียวกับคขู่ องหลวงปแู่ หวน สจุ ิณโฺ ณ หลวงปู่ตือ้ อจลธมโฺ ม โดยทา่ นท้ังสองต่างมี
พระอปุ ชั ฌาย์องค์เดยี วกันคือ ท่านพระครทู ศั นวิสุทธิ์ (พระมหาดุสิต เทวิโร) และต่างกม็ พี อ่ แม่
ครูอาจารย์องค์เดียวกัน คือ หลวงปูม่ น่ั ภูรทิ ตฺโต โดยก่อนท่ีหลวงปมู่ นั่ จะมรณภาพ ทา่ นไดม้ อบหมาย
183
ให้หลวงปขู่ าว อนาลโย เปน็ ผอู้ บรมสง่ั สอนและแนะน�ำอุบายการภาวนาใหก้ ับท่านพระอาจารยจ์ วน
ส่วนท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ภายหลังเสร็จงานถวายเพลงิ ศพหลวงปู่มน่ั ท่านไดอ้ อกติดตามและ
อยปู่ ฏิบัติธรรมกบั องค์หลวงตาพระมหาบวั อย่างใกลช้ ดิ
ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กบั ทา่ นพระอาจารยส์ งิ หท์ อง เมอื่ ทา่ นรจู้ กั กนั แลว้ ทา่ นไดส้ นทนาพดู คยุ
ถูกอัธยาศัยใจคอกันเป็นอย่างดี และต่างก็มีเป้าหมายสูงสุดเดียวกัน คือ บวชเพ่ือมรรคผลนิพพาน
เพ่ือการบรรลุอริยธรรมขน้ั สูงสดุ เปน็ พระอรหนั ตใ์ นชาตนิ ้ี ในกาลต่อมาท่านไดไ้ ปธุดงคด์ ้วยกันและ
ไปมาหาสกู่ ัน เมอ่ื มกี ิจนิมนต์ในงานส�ำคญั ๆ จะเห็นทา่ นทัง้ สองไปคกู่ ัน และน่ังเคยี งคู่กนั พดู คยุ เล่น
หยอกล้อกนั เสมอๆ เพราะทา่ นท้งั สองมีความเคารพรักกัน มคี วามสนทิ สนมใกลช้ ิดกันน่ันเอง และเม่ือ
ถึงคราวมรณภาพ ท่านท้งั สองก็รบั นิมนต์เขา้ กรงุ เทพฯ ดว้ ยกัน และมรณภาพพร้อมกัน เพราะอบุ ัตเิ หตุ
เคร่อื งบนิ ตก ซงึ่ ภายหลงั งานพระราชทานเพลิงศพ อฐั ทิ ่านทั้งสองไดก้ ลายเปน็ พระธาตุดว้ ยกนั
วิเวกจังหวัดเชียงใหม่
ทา่ นพระอาจารย์อุน่ หล้า ติ ธมฺโม ได้บันทกึ เหตกุ ารณท์ า่ นพระอาจารย์สิงหท์ องออกเที่ยว
วิเวกจงั หวัดเชียงใหม่คร้งั แรกรว่ มกับสหธรรมิก และมีเรอื่ งขบขัน ดงั น้ี
“เม่ือท่านพระอาจารย์สิงห์ทองพบท่านพระอาจารย์จวนแล้ว ก็เลยชวนกันไปเที่ยวจังหวัด
เชยี งใหม่ ท่ีไปด้วยกันมีทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ ทา่ นพระอาจารย์สงิ หท์ อง ธมฺมวโร ทา่ นพระ
อาจารยเ์ พยี ร วิริโย หลวงพอ่ ไท (ชาวอ�ำเภอนครไท จงั หวดั พิษณโุ ลก) และสามเณรอกี ๑ องค์ช่ือ
สามเณรค�ำสี
ทีแรกท่านก็ได้น่ังรถ ต่อเมื่อหมดค่ารถแล้วก็เดิน ท่านพูดว่าการเดินทางคราวน้ีล�ำบากมาก
เพราะขน้ึ ๆ ลงๆ ตามเขาระหวา่ งเมืองเลยต่อนครไทย เหน็ดเหน่ือยมาก ไมเ่ หมือนเดนิ ตามท่ีราบ และ
เดินทางจนถึงจงั หวัดเชียงใหมโ่ ดยนงั่ รถบา้ ง เดนิ บ้าง ส่วนพระอาจารย์อุ่นหล้าเหน็ ว่ามคี รูบาอาจารย์
ไปเชยี งใหมด่ ว้ ยกันหลายองคแ์ ล้ว จึงขอโอกาสท่านพระอาจารย์สงิ หท์ อง ไมไ่ ปกับคณะ
ก่อนไปเชียงใหม่ ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองก็เป็นห่วงพระอุ่นหล้าว่า จะอดๆ อยากๆ และ
อยู่ไม่ได้ ท่านเลยเอาถุงใส่ด้าย ใส่เข็ม ใส่เศษผ้าให้พระอุ่นหล้าเพื่อใช้ปะชุนผ้า หากผ้าไตรและ
ผา้ บรขิ ารขาด
เมอื่ ถงึ เชียงใหมแ่ ล้วกไ็ ด้ไปดูหลายแห่งและพกั อยู่นานพอสมควร ท่านวา่ ทางเชยี งใหม่นไ้ี ม่เปน็
ท่ีสบายของท่าน ทา่ นก็ไดเ้ ดินทางกลบั อีสานอีกโดยน่ังรถไฟ ตอนท่ีนงั่ รถไฟกลับท่านก็เลา่ เรือ่ งขบขัน
ให้ฟังวา่ มพี ระองค์หนึ่งมาคุยด้วย คุยไปหลายเรือ่ งหลายราว พระองค์นั้นพดู ว่า ทา่ นได้ภาษาทุกภาษา
ท่านพระอาจารยส์ ิงห์ทองคงจะรำ� คาญ หรือท่านคิดจะหยอกเล่นก็ไมท่ ราบ กพ็ ดู ภาษาอันหน่งึ ขน้ึ มา
ส�ำเนยี งเหมือนส�ำเนียงภาษาญวน แตค่ �ำพูดนั้นองคท์ ่านพระอาจารย์เองก็ไมร่ ูจ้ กั เป็นภาษาป่า พอตก
184
ประโยค ท่านพระอาจารย์จวนกข็ ้ึนรับเลย ส�ำเนียงคล้ายๆ กัน โดยทไ่ี มไ่ ดน้ ัดกันเอาไว้ เมื่อพูดแลว้ ก็
หน้าตาเฉย พระองคน์ ้นั มองหน้าเพราะทา่ นตดิ ภาษาปา่ ทา่ นวา่ จ้างมนั ก็ไมร่ ู้ดอก แม้แตเ่ ราคนพูดเอง
ยงั ไมร่ ู้ ทา่ นวา่ ”
หลวงปู่บญุ หนา ธมฺมทนิ ฺโน ไดเ้ มตตาเลา่ เสริมเหตุการณ์ตอนนีไ้ ว้วา่
“ท่านพระอาจารยส์ งิ หท์ อง พอข้ึนไปจังหวัดเชียงใหม่แล้ว ท่านเกิดโรคแพอ้ ากาศหนาว มี
อาการผ่ืนขึ้นตามล�ำตัว และมีน�้ำเหลืองไหลออกมา หลังจากที่ได้พักวิเวกในเขตเชียงใหม่ได้นาน
พอสมควรแล้ว จึงได้พากันกลับภาคอีสานโดยทางรถไฟ จากนั้นได้พากันเข้าพักที่วัดป่าบ้านตาด
กันทั้งหมด และได้พบกับหลวงปู่บุญมีที่นั่นด้วย พักได้ระยะหน่ึงเห็นพอสมควรแล้ว หลวงปู่เพียร
ก็ได้ติดตามท่านพระอาจารย์สิงห์ทองเพื่อไปจ�ำพรรษาท่ีห้วยทราย” (บันทึกการสัมภาษณ์หลวงปู่
บญุ หนา เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒)
อน่ึง ตามปกติของพระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น ท่านมีความเคารพบูชา
ในครูบาอาจารย์ที่มีคุณธรรมและมีความอาวุโสกว่า ดังน้ัน เม่ือท่านพระอาจารย์จวน ท่านพระ
อาจารยส์ ิงหท์ องและคณะ ขึน้ วเิ วกจังหวัดเชียงใหม่ จึงไดพ้ ากนั กราบนมัสการหลวงปู่แหวน สุจิณโฺ ณ
ท่วี ดั ปา่ อรัญญวิเวก และสนั นษิ ฐานว่าได้กราบนมัสการหลวงปู่ต้อื อจลธมโฺ ม ทว่ี ัดป่าอาจารยต์ อ้ื ด้วย
เพราะวดั ปา่ ทัง้ สองอยไู่ มห่ า่ งไกลกันนัก
โดย หลวงปบู่ ญุ หนา ธมฺมทินโฺ น ได้เมตตาเล่าให้ฟังวา่
“ท่าน (หลวงปู่บุญหนา) ได้ไปเที่ยววิเวกแถบอ�ำเภอพร้าว และในวันหน่ึงท่านได้เดินธุดงค์
ลงมากราบนมสั การหลวงปูแ่ หวนที่วดั ป่าอรัญญวิเวก อ�ำเภอแมแ่ ตง เม่ือถึงวดั ในตอนบ่าย ทา่ นสังเกต
เหน็ มกี ฏุ อิ ยู่ ๒ หลัง ไม่มีใครอยู่ แตม่ กี ลดแขวนไว้ จากนั้นไมน่ าน ทา่ นก็ได้พบทา่ นพระอาจารยจ์ วน
ท่านพระอาจารย์สงิ ห์ทอง ซง่ึ เข้าใจวา่ ทา่ นท้งั สองคงเดนิ จงกรมภาวนาอยู่ในป่าภายในบริเวณวัด”
ทา่ นพระอาจารยเ์ ติมศกั ดิ์ ยุตฺตติธมโฺ ม ไดเ้ มตตาเล่าเรอ่ื งน้ีไว้ดงั นี้
“หลวงปจู่ วนไปวเิ วกทางภาคเหนอื จังหวดั เชยี งใหม่ กับหลวงป่สู ิงห์ทองและคณะ ทา่ นเกดิ
อาการเจ็บหัวเขา่ เดินเขาไมไ่ หว หลวงปู่สิงหท์ องก็เลยสะพายบาตรให้ทา่ นนะ”
พรรษา ๑๙ – ๒๐ พ.ศ. ๒๕๐๔ – ๒๕๐๕ จ�ำพรรษาท่ีถ�้ำจันทน์
ท่านพระอาจารย์จวน กลุ เชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศนเ์ ร่อื งน้ีไวด้ งั นี้
“เม่ือจ�ำพรรษาอยู่ถ�้ำจันทน์ได้ ๔ พรรษา แล้วพวกประชาชนก็พากันแตกต่ืนเข้าไปตั้งบ้าน
เพราะที่ถ้�ำจันทน์เป็นท่ีท�ำเลท�ำมาหากินสะดวกดี เมื่อบ้านได้ต้ังเป็นปึกแผ่นแน่นหนาแล้ว ข้าพเจ้า
เห็นวา่ มันจะคลกุ คลี เลยโยกย้ายออกจากถ้�ำจนั ทน์มาวิเวกทภ่ี สู งิ ห์ ส่วนเหตุการณต์ ่างๆ ท่เี ล่ามานั้น
185
มแี ปลกๆ เช่น เขาใส่ร้ายป้ายสวี า่ เป็นคอมมวิ นสิ ต์ หรอื เป็นหัวหนา้ คอมมวิ นิสตน์ ั้น หรือเปน็ หวั หน้า
กอ่ การร้ายน้ัน มีอย่ใู นถ�ำ้ จันทน์ เกดิ ข้นึ ท่ีถำ้� จันทน์
ข้าพเจา้ จำ� พรรษาอยทู่ ่ถี ้�ำจันทนน์ ้ถี งึ ๔ พรรษาเตม็ แต่โดยทปี่ ีแรกทีอ่ อกมาอยถู่ ำ�้ จนั ทนน์ น้ั
เป็นเวลาหลังออกพรรษาที่ ๑๖ ใหม่ๆ ในปี ๒๕๐๑ หลังออกพรรษาก็มาอย่ถู ำ�้ จันทนแ์ ลว้ และออกไป
จากถ�ำ้ จันทน์กเ็ มอื่ ปลายปี ๒๕๐๕ นับจ�ำนวนปีทอ่ี ยูท่ ่ถี �้ำจันทน์จึงเป็นเวลาถึงเกือบ ๕ ปี ไดเ้ ห็นความ
เจริญรงุ่ เรืองของถ้ำ� จันทน์มาก ระยะหลงั ไดม้ ปี ระชาชนชาวบ้านพากนั แตกต่นื เข้าไปต้ังบา้ นเรือนเปน็
จ�ำนวนมาก เพราะเห็นว่าถ�้ำจันทน์เป็นท่ีท�ำเลท�ำมาหากินสะดวกดี ท�ำเลดีเหมาะส�ำหรับจะท�ำการ
เพาะปลูกเปน็ อยา่ งดี น้�ำดดี ินดี ท่ีเคยกลัวเจ้าป่าเจ้าเขา ท�ำนาท�ำสวนไมไ่ ดผ้ ล ว่าผหี ้าม ผีหวง กไ็ มไ่ ด้
กลัวกันอีก กลบั เลา่ ลือกันว่าเวลานี้ไม่วา่ จะเพาะปลกู อะไรก็อุดมสมบรู ณ์ไดผ้ ลดี ผูค้ นจึงหล่งั ไหลกัน
เข้ามาจับจองที่ดนิ หกั รา้ งถางพงเป็นนา เป็นไร่ ตง้ั บา้ นเรือนเป็นปึกแผน่ แน่นหนา
จากที่เดิม เมื่อข้าพเจ้าบุกเข้าไปครั้งแรก กลางดงมีบ้านชาวข่า ๒ ครอบครัว สุดท้ายก็มี
ประชาชนจากท่ีใกลเ้ คียงและจังหวัดอื่นๆ อยา่ งเชน่ รอ้ ยเอด็ นครพนม อบุ ลราชธานี อพยพมาอยดู่ ้วย
นับเป็นพันๆ คน ข้าพเจ้าได้ให้ตั้งหมู่บ้านกันข้ึนท้ัง ๔ ทิศ ของถ�้ำท่ีข้าพเจ้าอยู่ เช่น บ้านค�ำไผ่
บ้านหนองหมู บา้ นคลองเคม็ และบ้านโป่งเปอื ย เปน็ ต้น เมื่อมผี ู้คนมากข้ึน แมว้ า่ การบิณฑบาตขบฉัน
จะสะดวก แต่ข้าพเจ้าก็เห็นว่า บ้านเรือนล้นหลาม มีคนอพยพอยู่อาศัยมาก มันจะเป็นการคลุกคลี
ไม่คอ่ ยสงบ รบกวนตอ่ การทำ� สมาธภิ าวนา จงึ คดิ จะโยกย้ายหาท่ีสงัดวิเวกท�ำความเพยี รตอ่ ไป
ระยะแรกพอชาวบา้ นรู้ข่าว กจ็ ะไม่ยอม ร้องไห้อาลัย ท้ังเกรงว่าตอ่ ไปการเพาะปลูกจะไมไ่ ด้ผล
ข้าพเจ้าได้ชีแ้ จงใหเ้ ขาเข้าใจความจำ� เป็นของพระธุดงคกัมมัฏฐานทต่ี อ้ งการความสงดั เงียบ แสวงหาถำ้�
หาพลาญหิน หาซอกเขา เงื้อมเขาอันสงบสงัด เป็นที่ท�ำความเพียร ส่วนที่เกรงว่า การท�ำไร่นา
เพาะปลูกจะไมไ่ ด้ผลสมบูรณ์ ขาดแคลนนำ้� เพราะฝนฟา้ อาจไมต่ กตอ้ งตามฤดกู าล ไมบ่ ริบูรณ์อยา่ ง
ระยะหลงั ท่ีข้าพเจา้ อย่ดู ้วยกนั ข้าพเจ้าก็ขอให้ผทู้ ่ีคงอย่ชู ว่ ยกันตักเตอื นซ่ึงกนั และกนั ให้ยดึ มัน่ อยู่ใน
ไตรสรณคมน์ ต่อคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อย่าลักขโมยกัน อย่า
ประพฤติผิดลูกเมียเขา อย่าพูดเทจ็ อย่าดม่ื เครอ่ื งดองของเมาอนั จะทำ� ใหเ้ กดิ ความประมาท ให้ขาด
สตสิ มั ปชัญญะ ถ้าชาวบา้ นชว่ ยกันระมดั ระวังให้มศี ีลกนั เป็นปกติวิสยั แล้ว ไมว่ า่ จะอยู่แถบใด ถิน่ ใด
เมืองใด ประเทศใด กจ็ ะพากนั มีแตค่ วามร่มเย็น ไม่ตอ้ งหว่ ง ไม่ตอ้ งสงสยั
เมือ่ พดู จากนั เข้าใจแล้ว ขา้ พเจา้ กไ็ ดอ้ อกมาจากถ้�ำจันทน์”
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ – ๒๕๐๕ นี้เอง หลวงปขู่ าน านวโร ท่านเปน็ พระศิษยอ์ งค์ส�ำคญั องค์หนง่ึ
ของหลวงปขู่ าว อนาลโย และนับเปน็ ศษิ ย์ของทา่ นพระอาจารยจ์ วน ท่านได้มาอยจู่ ำ� พรรษาร่วมกับ
ทา่ นพระอาจารย์จวน ตดิ ตอ่ กนั เปน็ เวลา ๒ พรรษา ขณะนนั้ หลวงปู่ขานยงั เปน็ พระหนุม่ มอี ายุพรรษา
๔ – ๕ พรรษา ส่วนทา่ นพระอาจารย์จวนเปน็ พระผใู้ หญแ่ ล้วมีอายพุ รรษา ๑๙ – ๒๐ พรรษา โดย
ประวัตหิ ลวงปู่ขาน ไดบ้ นั ทกึ เร่ืองราวทา่ นท้งั สองไว้ดงั นี้
186
“หลวงปู่ขาน านวโร ท่านได้อยู่จ�ำพรรษาท่ีวัดป่าแก้วชุมพลในพรรษาท่ี ๔ หลังจากน้ัน
หลวงปไู่ ดจ้ าริกไปทีต่ ่างๆ เชน่ ภกู ระดงึ อุดรธานี หนองคาย โพนพสิ ยั จนมาจำ� พรรษาอย่ปู ฏบิ ัตธิ รรม
กบั หลวงปู่จวน กลุ เชฏโฺ ท่ีถ�้ำจนั ทน์ จังหวัดหนองคาย ในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ – ๒๕๐๕ ท่านไดร้ บั อบุ าย
วธิ ีการปฏิบัตสิ �ำหรับขจัดขัดเกลากเิ ลสจากหลวงปูจ่ วนมากมายตลอดทัง้ ๒ พรรษา
ในช่วงที่หลวงปู่ขานอยู่ที่ถ้�ำจันทน์แห่งนี้ ท่านได้เกิดอาพาธเป็นไข้มาลาเรีย แม้โรคาพาธ
จะเบยี ดเบยี นทา่ นอย่างหนกั ขนาดไหนกต็ าม ทา่ นก็ไมท่ อ้ ถอยยอมต่อพยาธิภยั เลย เรง่ ความเพยี รดว้ ย
จิตใจอนั เด็ดเดยี่ ว การประกอบอาจริยวตั รของทา่ นกม็ ิขาดตก ถวายการอุปัฏฐากรบั ใชห้ ลวงปจู่ วน
อย่างไมบ่ กพรอ่ ง “ธมมฺ รตนํ โอสถํ อุตตฺ มํ วรํ ผู้ปฏบิ ัตซิ ่งึ ธรรมให้เปน็ ท่ีพงึ่ ได้ชือ่ วา่ เปน็ ธรรมโอสถ
อย่างสูง” หลวงปขู่ านทา่ นได้ใช้ธรรมโอสถเยียวยารกั ษาธาตุขนั ธ์จากอาพาธไข้ปา่ ดว้ ยความเพยี ร
สมยั ท่อี ยู่อปุ ฏั ฐากหลวงปู่จวน อยทู่ ีถ่ ำ้� จันทน์น้ัน ท่านได้ข้ึนไปรบั ใชบ้ บี นวดหลวงป่จู วนอยบู่ น
กฏุ ิ กระทั่งเวลาเทีย่ งคืนเห็นจะได้ หลวงปจู่ วนจึงใหท้ ่านกลบั ไปพกั ผอ่ น ชว่ งท่ีท่านเดินลงจากกุฏิ พอดี
เปน็ ช่วงเวลาทีเ่ สือออกมาหากนิ จึงเดินมาประจันหนา้ กันทใี่ ตก้ ุฏหิ ลวงปจู่ วน หลวงปูข่ านทา่ นเลา่ ว่า
ดว้ ยความกลัวและทำ� อะไรไมถ่ กู พลันสตจิ งึ บงั เกดิ ขน้ึ ตกั เตือนวา่ ตอ้ งน่งั สมาธภิ าวนา ทา่ นจงึ ไดน้ ่งั ลง
กับพืน้ ใต้กฏุ ิ และกำ� หนดลมหายใจเข้า – ออก ไมน่ านจิตก็สงบ รวมเปน็ สมาธแิ ล้วน้อมเขา้ มาในกาย
พจิ ารณากายจนท่านไดพ้ บธรรมะอันพระพุทธองค์ทรงบ�ำเพ็ญมาและสอนพระสาวกท้งั หลาย ซง่ึ ธรรม
เหล่านนั้ ไดป้ ระจกั ษ์แจง้ แกใ่ จของหลวงปูเ่ ป็นคร้งั แรก เมือ่ จิตถอนออกมากร็ ่งุ เช้าพอดี เสอื กไ็ มอ่ ยูแ่ ลว้
หลวงปขู่ านท่านอยทู่ ถี่ ำ�้ จันทน์ จังหวัดหนองคาย ถึง ๒ พรรษา คอื พรรษา ๕ และ ๖”
นอกจากหลวงปขู่ าน านวโร จะรกั ษาไขป้ า่ ดว้ ยธรรมโอสถแล้ว ยงั ไดร้ ับการดแู ลจากคณุ หมอ
ประพักตร์ โดยคุณหมอประพักตร์ โสฬสจนิ ดา ไดเ้ มตตาเล่าเร่อื งนีไ้ ว้ดงั น้ี
“หลวงปูข่ าน ใครๆ เคยรู้จักหลวงปู่ขาน เด๋ียวน้ีอยู่ที่บา้ นเหล่า เชียงราย หลวงปู่ขานก็มา
อยกู่ บั ท่านอาจารยจ์ วนพกั หนึ่ง กอ่ น ๒๕๐๖ ก่อนท่านอาจารย์จวนจะไปภูกิว่ หลวงปขู่ านเปน็ ไข้
มาลาเรียป่วยหนัก มานอนปว่ ยอย่นู ี่ ไอโ้ รงเด๋ียวน้ีทเี่ ขาเกบ็ ถ่านล่ะนะ ท่านเปน็ ไข้มาลาเรียข้นึ ผมกไ็ ป
ฉีดยาใหแ้ ลว้ หาย หายก็เลยผูกพนั กนั มาทุกวันน้ี หลวงป่ขู าน บา้ นเหล่า”
ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองวิเวกถ�้ำจันทน์
ทา่ นพระอาจารย์อนุ่ หล้า ติ ธมฺโม ไดบ้ นั ทึกไวด้ ังน้ี
“ในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ – ๒๕๐๕ นี้ ทา่ น (ทา่ นพระอาจารย์สิงห์ทอง) จำ� พรรษาท่ีบา้ นห้วยทราย
เม่อื ออกพรรษาได้เวลาพอสมควรแล้ว ท่านก็ไดเ้ ดนิ ทางมาอดุ รธานีอกี เข้าไปท่ีวัดราษฎรสงเคราะห์
(วัดปา่ หนองแซง) ของ หลวงปูบ่ วั สริ ปิ ุณฺโณ
187
ครั้นพกั อย่ทู ่วี ดั ราษฎรสงเคราะหไ์ ด้นานพอสมควรแลว้ ท่านไดก้ ราบลาหลวงปู่บัว ท่านพา
ขา้ พเจา้ (พระอาจารย์อุ่นหลา้ ติ ธมฺโม) ไปเท่ียววเิ วกทางถ้�ำจันทน์ อ�ำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย
(ปัจจุบนั เปน็ จังหวดั บึงกาฬ) ในระยะน้ันพวกทหารปา่ ผกค. (ผูก้ ่อการร้ายคอมมวิ นสิ ต)์ กำ� ลังเร่ิม
ระบาด พวกทหารคอยสอดส่องดแู ลอยทู่ กุ แหง่ ทถี่ ้ำ� จันทนแ์ ต่กอ่ นน้ันยังคงเป็นดงหนาปา่ ทึบ เมื่อทา่ น
พระอาจารยจ์ วนไปพักอยู่ที่นน้ั กไ็ ดม้ ชี าวบ้านพากันอพยพเข้าไปปลูกบา้ นบุกเบกิ ปา่ ในระยะนนั้ กม็ ี
อยปู่ ระมาณ ๓๐ – ๔๐ ครอบครัว
วนั หน่ึงพอท�ำขอ้ วัตรปัดกวาดเสร็จ ก็สรงนำ�้ อาบน้�ำกนั เสรจ็ แล้ว ก็รวมกนั ฉันน�้ำร้อนและพูดคุย
กนั ไปหนอ่ ย ข้าพเจ้า (พระอาจารย์อุ่นหลา้ ติ ธมโฺ ม) จงึ ออกไปเก็บผา้ อาบนำ�้ ทีต่ ากปไู วก้ บั ลานหนิ
มองเหน็ เคร่ืองบนิ ปกี ตดั บนิ ขา้ มมาจากฝ่ังลาว มองเห็นเครอื่ งบินล�ำนั้นเอียงปีกและบนิ ผ่านเข้ามายัง
วดั ถ้�ำจันทน์ ขา้ พเจา้ ก็เลยกวักมือใสเ่ คร่ืองบนิ ล�ำนน้ั คงจะเปน็ เคร่อื งบนิ ลาดตระเวน พอเครือ่ งบิน
ล�ำนั้นเหน็ ก็เลยบินวนบินเวยี นอยู่นน่ั เขาคงผดิ สงั เกต คงจะเข้าใจว่าเปน็ ทัพของพวก ผกค. จึงได้บิน
อยา่ งน้ัน บินเวียนอยู่จนมืด ได้ประมาณทุม่ เศษๆ แล้วค่อยหนี
ท่านพระอาจารย์จวนก็ได้ใช้ไฟฉาย ๒ กระบอกส่องขึ้นเครื่องบินแล้วเต้นล้อ เคร่ืองบิน
ยิ่งวนเวียนกันใหญ่ไปทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก คิดดูธรรมดาแล้ว มันก็บ้า
ท้ัง ๒ ทางนะ ท้ังทางอากาศและทางดิน พวกเราไม่กลัว เพราะพวกเราไม่มีอะไรน่ี ดีเขาไม่ยิงปืน
ลงมาใส่ ถา้ เขายงิ ปืนลงมาก็จะกลัวอยแู่ หละ เพราะลกู ปนื มันไม่ใช่ญาตพิ ีน่ ้องของใคร”
พระอรหันต์ท่านหยอกเล่นกัน เพราะท่านรักกันมาก
ทา่ นพระอาจารยส์ งิ หท์ อง กับ ทา่ นพระอาจารยจ์ วน เปน็ เพ่อื นสหธรรมกิ ท่ีรกั กันมาก เวลา
ทา่ นเจอกัน ท่านจะหยอกเลน่ กัน โดย ท่านพระอาจารยส์ งบ มนสสฺ นโฺ ต ไดเ้ ทศนไ์ ว้ดงั นี้
“วงกรรมฐานนะ วงกรรมฐาน เห็นไหม ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ หลวงตาท่าน
บอกว่าในวงกรรมฐานเขารู้กันก่อน ในวงกรรมฐาน ในวงพระ ในวงผู้ท่ีปฏิบัติเขาจะรู้กันก่อนว่า
ใครมีจริงและใครไม่มีจริง แล้วถ้าคนเขามีจริงกับมีจริงเขาจะถนอมรักษากัน เช่น หลวงปู่จวนกับ
อาจารย์สิงห์ทอง ท่านเป็นพระอรหันต์ท้ังคู่ อาจารย์สิงห์ทองเป็นพระอรหันต์ หลวงปู่จวนก็เป็น
พระอรหันต์
เวลาท่านเจอกัน ท่านรักกันมาก เวลาท่านรักกันมาก ท่านจะเล่นกัน ท่านจะหยอกกัน
ทุกคนเห็นแล้วตกใจ เวลาเล่นกนั นะ อย่างเช่น หลวงปจู่ วนหรอื อาจารย์สิงหท์ องเป็นผแู้ จกอาหารอยู่
นี่อาจารยจ์ วนหรอื หลวงปูจ่ วนนั่งอยู่ ท่านใชป้ ากคาบจวี รดงึ ไว้เลย ท่านเล่นกนั ทา่ นหยอกกนั ขณะท่ี
แจกอาหารกนั น้ีคอื พระอรหันต์กับพระอรหันต์ทา่ นหยอกเลน่ กัน เพราะ เพราะท่านรกั กนั มาก นี่ทา่ น
รักกันมาก ทา่ นเล่นกัน ท่านสนทิ ชิดเชอ้ื กัน ทา่ นจะระลึกถึงกนั ตลอดเวลา นนั้ คือว่าคนทเี่ ป็นธรรม
188
กบั คนท่เี ปน็ ธรรม เขาจะรกั กัน ลงกนั ในหัวใจอนั ลกึ ๆ นีท่ า่ นถนอมรกั ษากนั เขาจะรกู้ นั ในวงของ
กรรมฐาน”
คณุ หมออมรา มลลิ า ได้เมตตาเลา่ เรอื่ งท่านพระอาจารย์สิงหท์ องแกลง้ ท่านพระอาจารยจ์ วน
ไว้ดังนี้
“คร้ังหนึ่งท่านไปธุดงค์กัน หรือไปอยู่ท่ีวัดไหนวัดหนึ่งน่ะ แล้วท่านอาจารย์จวนก็อยู่ชั้นล่าง
กฏุ ิมนั เป็นสองชัน้ แลว้ ท่านอาจารย์สงิ หท์ องกอ็ ยชู่ น้ั บน แล้วทา่ นกเ็ ช็ดกฏุ ิทา่ น เช็ดกฏุ ทิ ่านแทนที่
ทา่ นจะเอาน้�ำลงมาทิ้งทางบันได ท่านสาดทางหน้าตา่ ง เชอื่ ว่าท่านเจตนา
ท่านเห็นท่านอาจารยจ์ วนเดนิ อย่ทู ถ่ี นนน่ะ ทา่ นสาดลงมา ทา่ นอาจารยจ์ วนกเ็ ปยี กหมดทง้ั ตัว
เลยนะ แต่แทนท่ีท่านอาจารย์จวนจะร้อง กลายเป็นท่านอาจารย์สิงห์ทองที่สาดลงมาแล้วก็ร้อง
โวยวาย ทกุ คนก็นึกวา่ ตาย ทา่ นอาจารย์สงิ ห์ทองเปน็ อะไร ทา่ นบอก “เฮอ้ ! ทา่ นอาจารย์จวนเดนิ มา
ท�ำให้ถกู น�ำ้ ท่ีทา่ นจะท้งิ นะ่ สาดลงมา” เป็นน�ำ้ เช็ดกฏุ นิ ะ่ ๆ ท่านแกลง้ แตท่ ่านบอกวา่ ทา่ นไม่เหน็ ”
“แล้วมีอีกตอนหน่ึง คอื ปกติพอถึงวนั เกดิ หลวงปูข่ าวเนยี่ พระท้ังหลายก็จะไป แล้วทีน้กี ็ท่าน
อาจารยจ์ วนเนี่ยเปน็ องคอ์ าวโุ สท่ีสุด นงั่ เป็นหวั แถวเลย ท่านอาจารย์สิงหท์ องเปน็ องคท์ ี่ ๒ แล้วก็
ตอนนนั้ ท่านหรั่ง (พระอาจารยม์ นตรี คณาโสภโณ) ท่วี ัดถ�้ำผาบ้งิ ท่านยงั เปน็ เณรอยู่ อันนีท้ า่ นหร่งั เล่า
ใหพ้ วกเราฟัง ทา่ นหร่งั ทา่ นก็ไม่เขา้ ใจว่าครบู าอาจารยเ์ ราเน่ีย จริงๆ นะ บริสุทธ์หิ มดแลว้ แต่วธิ ที า่ น
เลน่ กนั นะ่ ทา่ น...ท่านไมไ่ ด้สนนะ่ วา่ ใครจะว่าไง ทา่ นอาจารย์จวนก็จดั บาตร ท่านอาจารยส์ งิ ห์ทองก็จดั
บาตร ทา่ นอาจารยจ์ วนกช็ ูปลาขน้ึ มาอวดทา่ นสงิ ห์ทอง ทา่ นสงิ หท์ องกค็ ้นบ้าง แลว้ กเ็ อาปลาของทา่ น
มาอวด ปรากฏวา่ ปลาทา่ นตัวโตกวา่ ของท่านอาจารยจ์ วน ท่านอาจารย์จวนก็แบมอื ขอ ทา่ นอาจารย์
สิงหท์ องก็เลยี ขา้ งน้ีจบ พลิกเลยี อีกข้างหนงึ่ จนจบ แล้วก็เอาไปใสบ่ าตรทา่ นอาจารย์จวน
แล้วเสร็จแล้ว ท่านหร่ังท่านก็บอกว่า เน่ียท่านก็ ตอนนั้นท่านยังเป็นเณร ท่านก็บอกว่า
โอ๊ย ! ถ้าเกิดท่านเป็นพระผู้ใหญ่แล้วเนี่ยนะ ท่านจะไม่มีวันประพฤติอย่างน้ี ดูซิท�ำอะไรน่าเกลียด
แต่มันนา่ รัก
แล้วปลาตัวนน้ั ทา่ นอาจารยจ์ วนกฉ็ นั ด้วย กเ็ ล่นกันน่ะ แต่ทา่ นเลยี จรงิ ๆ เลยี จริงๆ ถ้าเกดิ เป็น
ของท่เี หลอื อย่างน้ันสคิ ะเปน็ เดน แต่นมี่ ันเปน็ การท�ำปลาชนดิ หนงึ่ กไ็ ม่รู้นะวา่ น้�ำลายตดิ ไหม เพราะ
ท่านหร่ังท่านอยู่ท้ายแถว แต่ท่านเล่า ท่านอาจจะท�ำท่าเลีย แต่ไม่ถึงกับโดน ไม่รู้นะ แต่ใจเราน่ะ
เราคดิ ว่าทา่ นอาจารย์สงิ ห์ทองเลียจรงิ ๆ เพราะความซนของท่านอาจารย์สิงหท์ อง”
ร่วมงานครบรอบวันเกิดหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโ
หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโ ท่านเป็นพระธุดงคกรรมฐาน เป็นหนึ่งในศิษย์อาวุโสองค์ส�ำคัญ
ประเภท “เพชรน้�ำหนึ่ง” ของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต โดยหลวงปู่พรหมท่านเป็นศิษย์หลวงปู่ม่ัน
189
องค์แรกทีไ่ ดบ้ รรลุธรรมเปน็ พระอรหันต์กอ่ นหมคู่ ณะ เมื่อถงึ งานท�ำบญุ ครบรอบวันเกิด ๗๕ ปขี อง
หลวงปูพ่ รหม เมอื่ ต้นปี พ.ศ. ๒๕๐๖ จงึ มพี ระธุดงคกรรมฐานสายหลวงปู่มัน่ ไปร่วมงานสรงนำ�้ เพ่อื
แสดงมทุ ติ าสักการะกันมาก รวมทงั้ ท่านพระอาจารย์จวน ทา่ นพระอาจารย์สงิ หท์ อง พรอ้ มคณะก็ได้
เดินทางไปรว่ มงานน้ี โดยทา่ นพระอาจารยอ์ ุ่นหล้า ติ ธมฺโม ไดบ้ นั ทกึ ไวด้ งั น้ี
“เมือ่ พกั อยทู่ ี่ถ้�ำจนั ทนน์ านพอสมควรแล้ว ท่านก็ไดพ้ ากันมาทางอ�ำเภอสว่างแดนดิน พร้อมท้งั
ท่านพระอาจารย์จวน และพระติดตามของท่านพระอาจารย์จวน ท่านพระอาจารย์ขาน านวโร
พอดีเป็นงานสรงน้�ำท�ำบุญครบรอบวันเกิด ท่านพระอาจารย์พรหม จิรปุญฺโ วัดบ้านดงเย็น
(วดั ประสิทธธิ รรม) ต�ำบลดงเย็น อำ� เภอบา้ นดุง จงั หวัดอดุ รธาน”ี
ร่วมงานถวายเพลิงศพหลวงปู่กงมา จิรปุญฺโ
ทา่ นพระอาจารย์สงิ หท์ อง ท่านพระอาจารยจ์ วน พรอ้ มด้วยพระติดตามได้เดนิ ทางไปร่วม
งานถวายเพลิงศพ หลวงปกู่ งมา จริ ปญุ ฺโ ซงึ่ ก�ำหนดข้ึนเมือ่ วันท่ี ๓ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๐๖ โดยท่าน
พระอาจารย์อนุ่ หลา้ ติ ธมฺโม ได้บันทกึ ไว้ดังนี้
“เมือ่ เสร็จงานท�ำบญุ ครบรอบวันเกิดทา่ นพระอาจารยพ์ รหม จริ ปุญโฺ แลว้ ก็ได้เดินทางตอ่
ไปยังวัดดอยธรรมเจดยี ์ ต�ำบลตองโขบ อ�ำเภอโคกศรสี ุพรรณ จงั หวัดสกลนคร ไปในงานเผาศพของ
ทา่ นพระอาจารย์กงมา จริ ปญุ ฺโ งานเสร็จแลว้ ท่านพระอาจารยจ์ วนและพระติดตาม (พระอาจารย์
ขวญั ) ก็ไดเ้ ดนิ ทางไปวเิ วกแถวอ�ำเภอนาแก ถ้�ำตาฮด (ถ�้ำโพธ์ิทอง) ส่วนทา่ นพระอาจารยส์ งิ ห์ทอง
ทา่ นกลับบ้านศรฐี าน”
เรื่องเล่าเหตุการณ์จากถ�้ำจันทน์สู่ภูสิงห์น้อย
คุณหมอประพักตร์ โสฬสจินดา ไดเ้ มตตาเล่าเหตกุ ารณต์ อนนไ้ี วด้ งั น้ี
“ทีนี้ระยะน้ันก็พอดีเกิดเหตุการณ์บ้านเมืองไม่สงบเท่าไหร่ ทีน้ีท่านอาจารย์จวนท่ีท่านอยู่
ถ้�ำจันทนน์ ่ัน ทา่ นเป็นพระที่คลา้ ยๆ ว่าทา่ นชอบ เรยี กวา่ ขี้ดือ้ ขณะทีผ่ มไปหาทา่ นบอ่ ยๆ นนั่ ท่าน
ก�ำลังกวาดตาดอยทู่ ีพ่ กั ทีถ่ ำ้� จนั ทน์ อาจารย์จวนท่านก็สรา้ งท่ฉี ันอาหาร ศาลาเล็กนน่ั แลว้ หลงั คามันก็
เปน็ สังกะสี มันใหม่เนาะ ทีนเี้ วลาเรือบินเขาจะบินจากอดุ รฯ มาบึงกาฬ เขาก็มาเหน็ ผิดสงั เกต เพราะ
ไมม่ ีในแผนทใี่ ช่ไหม ? เขากบ็ ินวน สมัยนั้นผมอยๆู่ ผมกำ� ลังช่วยทา่ นกวาดตาด ทนี ที้ า่ นอาจารย์จวน
ท่านก็เหน็ เรือบินบินวน ท่านก็กวาดตาด ผมกก็ วาดช่วยทา่ นอยู่ แล้วทา่ นกบ็ อกผมว่า “หมอๆ เรอื บนิ
มันหลงทางแล้วนะ”
“ทำ� ไมรู้ละ่ อาจารย์ ?”
“กม็ นั บนิ หลายรอบแลว้ ”
190
“ไม่ละ่ มง้ั อาจารย”์
อาจารย์จวนทา่ นนึกว่าเรอื บนิ มันหลงทาง ท่านจะเอาไมต้ าดนนั่ “กาฬเด้อ กาฬเด้อ (บงึ กาฬ
นะ)” อย่อู ย่างนเ้ี ร่ือย
“อาจารย์อยา่ ท�ำอยา่ งน้ันนะ เขาจะนกึ วา่ ท�ำอาณัตสิ ญั ญาณแลว้ นะ”
“เฮย้ ! นีม่ นั หลงทางจรงิ ๆ”
ทางตำ� รวจไปรายงานอยทู่ อี่ ดุ รฯ บอกว่า ไปพบวัดวัดหนงึ่ ซึง่ ไมม่ ีอยใู่ นแผนที่ วดั ค�ำไผท่ กุ วนั นี้
นแ่ี หละ เห็นพระให้อาณัติสัญญาณทิง้ ของ ทีนม้ี ันไปเรือ่ งใหญเ่ ลยว่าทีนี้ ไปเรอื่ งคอมมิวนสิ ต์เลยว่าทนี ี้
ผมกไ็ ม่รู้ว่าคอมมิวนิสตค์ อื อะไรทนี ้ี อยนู่ ี่นานจนได้รู้คอื อะไร กว็ ่าทนี ก้ี เ็ อ้ ! เรม่ิ พวั พนั กันแล้วทีนี้ ว่าเอ้ !
เราจะทง้ิ อาจารย์ดีไหมน้อ เพราะว่าบ้านเมอื งเขาก็ว่าอาจารยท์ องพลู นกี่ ็องคห์ นงึ่ ละ่ แล้วก็ผมกถ็ กู
บตั รสนเท่หว์ ่าไมท่ �ำอะไร แบกแต่ปืนพาอาจารย์ทองพลู ไปหดั ยงิ เปา้ อยู่ในดงศรชี มภูอยู่เร่ือย โอย้ !
ผมก็ถูกเร่อื งราว ใหม่ๆ ผมกเ็ สียใจ มาหาครบู าอาจารย์วา่ “ทำ� อย่างไรอาจารย์ พวกเรา” วา่ งัน้ น่ะ
เลยสัญญากันวา่ “พวกเราอยา่ ทอดอย่าทง้ิ กันนะ”
อันนแ้ี หละครับ ผมถงึ วา่ ผมก็ตดิ มาตลอดเลย บา้ นเมืองก็เพ่งเล็งผมอยู่วา่ “โอ้ ! ผมน่พี าพระไป
ยิงปนื จรงิ ๆ เหรอ ?” ผมถามอาจารย์ทองพูล ผมก็ไมเ่ คยพาไปยงิ ปนื สกั ที ทีนอ้ี ยู่มาอยู่ไปนานๆ เข้า
ก็เหตุการณ์มันก็เกิดข้ึนใหม่ๆ เลยซิ บ้านเมืองก็ไม่สงบขึ้นมา ทีนี้มันจะซ้�ำร้ายท่ีสุดก็เพราะว่าเม่ือ
ท่านอาจารย์จวนไปอยทู่ ีน่ ั่น อาจารย์ทองพลู กพ็ าผมไปทุกอาทติ ย์ เกดิ อดขา้ ว คือ บ้านคำ� ไผ่ เขามี
๓ หลงั คาเรือนเทา่ นน้ั บ้านค�ำไผท่ กุ วนั น้เี ป็นบา้ นใหญแ่ ลว้ พวกชาวบา้ นก็นมิ นตใ์ ห้ทา่ นหนเี พราะวา่
มันไมส่ ามารถจะเลย้ี งพระได้ กอ็ ดข้าว
พวกผมกับพวกครูคำ� บากเ็ อาขา้ วน่ลี ่ะ ทุกวันเสาร์เอาไปส่ง ถ้าวนั ไหนไดน้ �้ำตาลทรายไปกโิ ลฯ
นีโ่ อ้ย ! นกี่ ็ดีใจแลว้ วา่ น้ำ� ตาลทรายแต่กอ่ นมันกห็ าไมย่ าก แต่วา่ มนั เอาไปยาก เพราะว่าม่งุ ถวายรับใช้
ท่านน่ี น�้ำตาล ๒ กโิ ลฯ มนั กแ็ ย่แลว้ เพราะมนั เดินเท่านน้ั แต่กอ่ นนำ�้ ปลากไ็ มใ่ สข่ วดพลาสติก มันมี
เป็นไห ตรานกเขา พวกหาบก็หาบ หาบไดไ้ หเดียวกก็ ะจะถงึ ถ�้ำจันทน์
ทีนีอ้ ยไู่ ปอยู่มา อย่ไู ปอยู่มา ทนี ้อี าจารย์จวนก็ตอ้ งการวา่ อยากได้ผา้ ปู ผ้าขาวๆ ลงอุโบสถ
อนั นี้ท่านบอกผมวา่ “หมอเอ้ย !” ว่า “เจา้ อยู่ใกลฝ้ ่ังลาวเดอ้ เจ้าหารม่ ชชู พี มาให้เราหนอ่ ย” ร่มน่ี
กระโดดร่มนแ่ี นะ่ ผมเลยถามบอกวา่ “จะเอาแบบหนาหรอื แบบบาง ถ้าแบบบางมันนี่ ๔๐๐ กว่าบาท
ถ้าแบบหนาน่ถี ูก มนั ส�ำหรับทง้ิ ของ” อาจารยบ์ อกว่า “เอาแบบหนาเดอ้ มนั เปน็ ส่เี หล่ยี มเวลานั่งลง
อโุ บสถแล้ว” ว่างั้นนะ่ ผมกส็ ั่งนางทุมมา ทมุ มานกี่ เ็ ปน็ แม่คา้ ขา้ มขายฝ่ังลาว ก็สง่ ไปใหอ้ าจารย์ ทางการ
ไปเห็นรม่ เข้าก็ฟอ้ งไปอกี บอกว่าไปพบผ้าร่มซึ่งท้ิงอาวุธหนัก เอ้า ! ไปนู่นเลยนะทีน้ี เอา้ ! ยากไปอีก
ผมกไ็ ด้ผา้ ทง้ิ ของทง้ิ อาวุธกจ็ รงิ อยู่ แต่ว่าเขาวา่ มาท้ิงอาวุธท่โี รงถ�้ำจนั ทน์
191
ทนี อ้ี ยูก่ ันไปนานๆ นานๆ เขา้ ทนี ีก้ เ็ ม่อื ราชการเพง่ เลง็ ไป ทางบา้ นค�ำไผก่ ไ็ มม่ ใี นแผนท่ี ก็เลย
ส่งตำ� รวจตระเวนชายแดนมาอย่ทู กุ วนั ทีน้ีมาอยู่ปบ๊ั ใหม่ๆ ก็ประชาชนกข็ ึ้นกบั อาจารย์จวนอยู่ หนง่ึ ...
อย่าฆ่าสัตว์ อย่ายงิ สตั ว์กลางคนื อยา่ ตม้ เหลา้ อยา่ เลน่ การพนัน แตพ่ อราชการเข้าไปอยู่ป๊ับ ! กส็ อนให้
คนคล้ายๆ ไม่เวิร์กๆ มันว่าง ไม่รู้จะท�ำอะไร ก็ต้มเหลา้ บ้าง เลน่ ไพ่บา้ งล่ะทีน้ี อาจารยก์ ค็ วบคุมไม่อยู่
พวกทีเ่ คยเข้าวัดเขา้ วาก็ไม่เข้าละ่ ทีน้ี กลางคนื ก็ยงิ ปนื ยงิ สตั ว์ เพราะมนั สตั วเ์ ยอะ ทถี่ ้�ำจันทน์
ท่านก็เลยว่า “เอ๊ ! อยู่ไปก็เหมือนจะไม่ได้ประโยชน์” ก็เลยถอนตัวออกมา มาพักอยู่ที่นี่
มาปรึกษากนั วา่ “เอาอยา่ งไรพวกเรา ?”
ผมกฝ็ า่ ยส่งก�ำลงั บำ� รุงก็ “เอา้ ! อาจารยจ์ ะไปยังไง มายังไง ?” ว่าง้ันล่ะ
“เราจะไปอยู่ภูกว่ิ ”
ปี ๒๕๐๖ ภูกิ่วทกุ วนั น้ีละ่ “เอ้า ! ไปกไ็ ปล่ะอาจารย์ แต่ถ้าอาจารย์ไปไกลกว่านน้ั ผมไปดว้ ย
ไม่ไดน้ ะ ผมเป็นราชการ”
ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ส�ำรวจภูสิงห์น้อย หรือ ภูก่ิว
ท่านพระอาจารย์จวน กลุ เชฏโฺ ภายหลงั ทา่ นออกจากถ้�ำจันทน์ ท่านได้ชวนหลวงปูท่ องพูล
สิรกิ าโม ข้นึ สำ� รวจภูสิงห์นอ้ ย หรือ ภูกิ่ว โดยประวัตหิ ลวงปูท่ องพูล สิริกาโม ไดบ้ ันทึกเหตกุ ารณ์
ครงั้ น้นั ไว้ดงั น้ี
“น้ีคือจิตสงบคร้ังแรกของเรา หมดความลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
โดยประการท้ังปวง จติ มน่ั คงเชอื่ แน่ไมแ่ ปรผนั จิตของเราได้ก�ำลงั มาต้งั แตค่ รงั้ น้ัน คอื คราวท่ีปฏิบัตทิ ่ี
วดั ถ้�ำขาม เรากร็ กั ษามาไดโ้ ดยตลอด
พระกราบเรียนถามทา่ นวา่ “หลวงพอ่ จิตของหลวงพ่อไปไดห้ ลักใจอันส�ำคญั ที่ไหนอกี นอกจาก
วดั ถำ�้ ขามแลว้ หลวงพ่อโปรดเมตตาเล่าใหพ้ วกข้านอ้ ยฟงั ดว้ ยเถิด ?”
ท่านเมตตาตอบว่า “ต่อมาได้หลักใจอนั สำ� คญั ยิง่ ขน้ึ ไปอกี ทีภ่ สู ิงหน์ ้อย หรือภกู ิ่ว คราวน้ันหลัง
ออกพรรษา หลวงปจู่ วน กุลเชฏฺโ ท่านออกจากถ้�ำจนั ทน์ ทา่ นจึงมาชวนเราดทู �ำเลแถวภกู ่ิว ภกู ่วิ
นอ้ี ย่เู ลยภูทอกไป ต้ังอย่ใู นเขตจงั หวัดบึงกาฬ เป็นภเู ขาลกู ยอ่ มๆ ระหวา่ งภสู ิงหใ์ หญ่และภูทอกใหญ่
(ภแู จ่มจ�ำรัส) เขาลูกน้เี รยี กช่อื วา่ ภูสงิ หน์ ้อย หรือภกู ว่ิ ตามลักษณะคอดก่วิ ของภูเขาน้ัน ยงั เป็นป่าที่
รกมาก มีเงือ้ มหินอนั สงบสงดั มนี ้�ำซบั ตามธรรมชาติ มันมที างเดินลดั มา ลัดออกจากนาสะแบงมาภูกว่ิ
ข้ึนถึงภวู ัวได้แตก่ ่อน
ขน้ึ ไปวนั แรก ฝนก็ตกตงั้ แตห่ ัวค่�ำ ฟ้ามืดลมแรง ไมม่ ีทไ่ี ป ไมม่ อี นั ใดเปน็ ท่พี ง่ึ มีแตพ่ ระธรรม
และมีเพยี งหญา้ คาเพียง ๓ ไพ (อัน) พอได้คุ้มหวั เราพอ ๒ องค์ จงึ เอาหญา้ คามงุ เปน็ กระทอ่ ม ตัวนี้
192
เปียกปอนไปทั้งหมดเหลือแตศ่ ีรษะ ลมแรง อากาศเยน็ จนสะทา้ นสน่ั เทา เพราะเปน็ ฤดูหนาว มวี ิธเี ดยี ว
นงั่ สมาธหิ นั หลังชนกนั กับทา่ น เอาของยัดลงใส่ในบาตร ตา่ งคนตา่ งน่งั เหมอื นประหน่ึงว่าอยู่องค์เดยี ว
ในโลก ทั้งๆ ที่นั่งหลังชนกัน พิจารณาน้อมทุกขเวทนาท้ังหลายท้ังมวล และความเกิดอันเป็นสาเหตุ
แหง่ ทกุ ขท์ ้ังส้ิน จติ รวมใหญเ่ ป็นท่อี ศั จรรย์ทัง้ ๒ องค์ พอออกจากสมาธิกส็ วา่ งออกบณิ ฑบาตพอดี
ทา่ นยำ้� สอนลกู ศิษย์ว่า “เวลาจะได้ธรรม มันยอ่ มไดส้ ถานท่ีในเช่นนี้ จะวา่ ยากก็ไมย่ าก จะว่างา่ ย
กไ็ มง่ ่าย มัชฌมิ าเป็นทางสายกลาง” ภายหลังจึงได้ปลูกเสนาสนะหลงั ยอ่ มๆ อย่เู ป็นการชว่ั คราว”
ต่อมาท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ไดป้ ฏิบตั ิธรรมทภ่ี สู งิ หน์ อ้ ย โดยทา่ นไดเ้ มตตาเทศน์
เรอ่ื งนีไ้ ว้ดงั นี้
“ข้าพเจ้าได้ออกมาจากถ�้ำจนั ทน์แตใ่ นปี ๒๕๐๕ มุง่ หนา้ มายังเขาภูสงิ ห์ ในเขตอ�ำเภอบึงกาฬ
เม่อื ข้าพเจ้าไดม้ าถงึ ภสู งิ หแ์ ลว้ กใ็ หโ้ ยมพาตรวจดสู ถานทีแ่ ห่งหนง่ึ ซ่ึงเป็นเขาลูกย่อมๆ อยรู่ ะหว่าง
เขาภูสงิ หใ์ หญ่ และภทู อกใหญ่ เรียกกนั ว่า ภสู ิงหน์ ้อย หรอื ภูกวิ่ ซง่ึ เป็นการเรียกตามลักษณะของเขา
เพราะอยรู่ ะหวา่ งแนวเขาใหญ่ ๒ ลกู ซึ่งคอดก่ิวมาต่อเชอ่ื มกัน ภสู งิ หน์ อ้ ยนอ้ี ย่ตู รงกลาง อันมีลกั ษณะ
คอดกิ่วจึงกลายเป็นภูกิ่วอีกช่ือหน่ึง เห็นว่าสถานท่ีนั้นเป็นท่ีพอที่จะหลบหลีกปลีกตัวซุกซ่อนวิเวก
อยู่ได้ เพราะมีนำ้� ซับอยูท่ น่ี ้นั มแี อ่งนำ�้ เป็นซบั ธรรมชาตไิ ม่ขาดตลอดฤดู จงึ ตกลงได้วิเวกอยทู่ ภ่ี ูสิงห์
ไปอยู่ทีแรกอาศัยตามร่มไม้ นอนตามร่มไม้ โดยมาตั้งต้นปักกลดอยู่ใต้ต้นไม้ และคุณหมอ
ประพกั ตร์ โสฬสจินดา สมยั น้ันมาประจ�ำอยู่ท่อี นามัยบงึ กาฬตดิ ตามไปดว้ ย ไปนอนอยรู่ ่มไม้ด้วยกนั
และในภสู งิ ห์น้วี ิเวกสงบสงดั ดี ทำ� ความเพียรดมี าก
เมื่อแรกมาถึงภูสิงห์น้อยนั้น ปรากฏว่ายังเป็นป่ารกชัฏ ต้องป่ายปีนตัดเถาวัลย์ข้ึนไปบนเขา
แต่โดยท่พี อมถี �้ำมีเง้ือมหินอันสงดั มีน้ำ� ซบั ตามธรรมชาติ นำ�้ ดี นำ้� สะอาด และนำ้� มรี สอร่อยดี ก็เลย
พากนั ปลกู เสนาสนะหลงั ย่อมๆ อยชู่ วั่ คราว โดยอาศยั ญาตโิ ยมจากบ้านนาสะแบงบา้ ง บา้ นนาค�ำภูบ้าง
มายกกระตอ๊ บอยู่ ปลูกเสนาสนะเป็นหยอ่ มๆ พากันอาศยั ท�ำความพากความเพยี รอยู่ทีน่ ั้น ปรากฏวา่
ทำ� ความเพยี รดมี าก เพราะเปน็ ทสี่ งบสงดั และอากาศปลอดโปรง่ ดี รม่ ไมก้ ด็ ี ตน้ ไมย้ งู ยางยงั อดุ มสมบรู ณ์
สตั วป์ า่ ก็มีมาก การบณิ ฑบาตก็ไม่ใกลไ้ ม่ไกล พอไปพอมา อาหารขบฉันกพ็ อเปน็ ไป ไม่ใช่ขาดแคลน
แต่กไ็ มใ่ ช่ร�ำ่ รวย พอเยยี วยาชีวติ ให้ยืนไปวันหน่ึงๆ เทา่ นั้น”
ณ ยอดหนา้ ผาภสู งิ หน์ ้อย ท่านพระอาจารยจ์ วนเลา่ ว่า มีเสยี งเทพร้องลงมาเสียงดัง ล้อท่าน
เม่อื ทา่ นเพงิ่ ธุดงคไ์ ปถงึ ใหมๆ่ และยังไมท่ นั สรา้ งห้องน้�ำ เปน็ ผลใหท้ ่านตอ้ งรบี สัง่ สรา้ งห้องน้�ำทันที
193
สระน้�ำภูกิ่วแห้ง ท่านพระอาจารย์จวนอธิษฐานขอน้�ำ
คณุ หมอประพกั ตร์ โสฬสจินดา ไดเ้ มตตาเล่าเร่ืองนี้ไว้ดังน้ี
“ภูกวิ่ น่มี ันจะเน้นหนักไปทางพวกไอท้ ีไ่ ม่เห็นตวั บงั บดนะ่ มนั เยอะ มาทนี ้ีพอ ๒๕๐๖ ไปอยู่
ท่ีทางภกู วิ่ พวกเรากจ็ ะรมู้ ั้งวา่ ความส�ำคญั ของภูกวิ่ น่ี ผมจะเล่าให้ฟังว่ามันมีเหตุการณ์ทีเ่ กิดขึ้น ผมก็
ไม่เคยเห็นแบบน้ัน ท่ีภูกิ่วมันมี พอไปถึงภูกิ่วปั๊บ มันจะมีสระน�้ำอยู่สระหน่ึง โรงครัวจะอยู่ฝั่งหนึง่
เดี๋ยวนี้มันไมเ่ หมือนเกา่ แลว้ ที่ผมเลา่ นป่ี ี ๒๕๐๖ ทนี ้ีผมไปเห็นสระน�้ำของท่านอาจารย์จวนนัน่
สระลักษณะกลมๆ ความกว้าง ความลึกมันไมม่ าก ขา้ งๆ สระมันจะเป็นตน้ ข่าโคม ขา่ นอ้ ยๆ เรานี่น่ะ
ผมกไ็ ปดู โอย้ ! ใบยางมันก็ตกเปอื้ น แบบนี้น้�ำก็จะฉนั ไมอ่ ร่อยนะ่ สิ ผมก็เลยชวนครูค�ำบาไปทำ� ความ
สะอาด ผมลงไปในสระเอาครถุ ังไปกวนขี้ตม (โคลน) แล้วกเ็ อามาเทท้ิง ขโ้ี คลนทม่ี นั ของเก่า ใบไมท้ มี่ นั
เคยร่วงเคยเน่า ชว่ ยกนั กวาดท�ำความสะอาด ทำ� ใหม้ ันเรียบร้อย
พอรุ่งเช้าปั๊บ ! อาจารย์จวนมาหาผมแต่เช้าเลย “โอ้ย ! หมอเอ้ย” ว่าง้ันนะ “ผิดเขาแล้ว”
วา่ ง้ันนะ “ผิดยงั ไง ?” ผมวา่ “พวกเจ้าไปทำ� บ่อนำ้� ไมบ่ อกเขา ไม่ได้ขออนญุ าตเขา เขาจะไม่ใหน้ ้�ำล่ะ
ตอ่ ไปน้ี” วา่ งน้ั นะ “เอ้า ! ใชจ่ รงิ ๆ เหรออาจารย์ ?” ผมวา่ “มนั เปน็ ไปไดข้ นาดนน้ั เลยเหรอ ?” ผมก็
แปลกใจ เพราะผมเรยี นหนงั สอื มา คอื แบบไมเ่ ชอ่ื ทางนเ้ี ท่าไหร่ ผมกไ็ ดเ้ ชือ่ เรอ่ื งนเี้ ลย ทง้ั ทไ่ี มเ่ ห็นกบั ตา
ทีนี้ผมถาม “ฮ่วย ! อาจารย์จะท�ำอย่างไร ?” “ฮ่วย ! ถ้าคืนนี้เราขอน�้ำเขาไม่ได้น่ี พรุ่งนี้พวกเราต้อง
กลับเดอ้ ว่ะ เราอยูด่ ้วยกนั ไมไ่ ดแ้ ล้ว โต (เจ้า) อยา่ พ่ึงกลบั บึงกาฬเนาะ” เพราะวา่ พระทางธรรมยตุ นี่
ขาดนำ�้ ใชน้ �ำ้ สอยไมไ่ ด้ ขาดนำ�้ ไมไ่ ด้ ผมกเ็ สยี ใจอยวู่ ่า “โอ๊ ! เราไดเ้ จตนาดีแล้วว่า อารักษ์ (เทพารกั ษ)์
ท�ำไมคดิ ไม่เทย่ี งธรรมแท้ คอื ยงั ไง ?” คดิ ในใจ ผมกด็ า่ อารักษ์ในใจ ไมร่ ้มู นั เคยตวั ก็ด่าซะด่าซายไป
(ดา่ แบบเหมารวม) เพราะว่าก็เชือ่ ครงึ่ ไม่เช่อื ครง่ึ
พอดกี ลางคนื มา ท่านอาจารยจ์ วนคารวะแลว้ ขอโทษเขาหรอื ยังไงไม่ทราบ รงุ่ เชา้ อาจารยจ์ วน
มาแตเ่ ช้า มาบณิ ฑบาต มาหาผมบอกว่า “เอย้ ! ไมไ่ ดไ้ ปดอกเรา เขาใหน้ ้�ำแล้ว แตเ่ ขาบอกวา่ เจา้ อย่า
ท�ำอยา่ งนอ้ี ีกเด้อ” ท่านว่า ผมกห็ ลาบปานตอนแมว (เข็ดยงั กับท�ำหมันแมว) ไมท่ �ำอยา่ งน้ันอกี เลย
เด๋ียวถ้าเข้าไปภูกิ่วจะเหน็ สระลกู นั้นอยู่ แตว่ า่ มนั ไมเ่ ป็นสระแล้ว มันอยูค่ อื ทางซ้าย”
พรรษา ๒๑ พ.ศ. ๒๕๐๖ จ�ำพรรษาท่ีภูสิงห์น้อย (ภูก่ิว)
ท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ได้เมตตาเทศนเ์ รื่องนีโ้ ดยการสรรเสรญิ ภสู ิงหน์ อ้ ยเป็นพิเศษ
ดังนี้
“เมอ่ื ถึงเวลาจะเขา้ พรรษาปี ๒๕๐๖ ขา้ พเจา้ จงึ ตกลงใจจ�ำพรรษาทีภ่ ูสงิ หน์ ้อย ในฤดพู รรษา
มีพระจ�ำพรรษาด้วยกันสององค์ เณรหน่ึง แล้วก็ผ้าขาวเฒ่าคนหนึ่ง พระ คือ ตัวข้าพเจ้า และ
ท่านพระอาจารยส์ อน อตุ ตฺ รปญโฺ ส่วนผ้าขาวเฒา่ นนั้ เวลานี้เขากม็ รณภาพไปแลว้ ไปบิณฑบาต
194
ท่ีบ้านนาค�ำภู ต�ำบลโคกก่อง อ�ำเภอบึงกาฬ ระยะทางไม่นับจากท่ีพัก บนเขาลงมายังไม่ราบล่าง
กว่าจะถงึ หมบู่ า้ นกป็ ระมาณ ๓ กโิ ลเมตร
ข้าพเจา้ ไดเ้ พ่อื นสหธรรมกิ ดี ตา่ งองคต์ า่ งแยกกนั อยู่ ขะมกั เขม้นพากนั ปรารภความเพยี รอย่าง
ยง่ิ ยวด มิไดม้ ีความนอนใจเลย ตา่ งค้นคว้าพิจารณากัมมัฏฐานของตน พิจารณากายคตานสุ ติ ไมใ่ ห้
พลง้ั เผลอตลอดกาลพรรษา
ระหว่างปีนั้น กลางพรรษา ฝนตกชุกมากน�้ำท่วมทางบิณฑบาตหมด ไปบิณฑบาตไม่ได้
ชาวบา้ นกม็ าสง่ อาหารไม่ได้ เหมือนถูกปล่อยเกาะน�้ำท่วมเจ่ิงไปหมด เณรตอ้ งตม้ ขา้ วสาลีท่ีปลกู ในวัด
ต้มข้าวสาลีและผกั ปา่ อาศัยฉนั ไปวนั หนึ่งๆ จนกว่าน�้ำจะแหง้ กเ็ ปน็ เดือนๆ ทีเดียว
ในพรรษาที่อยู่ภูสิงห์น้อยน้ี ได้พากันเร่งบ�ำเพ็ญภาวนากัมมัฏฐานอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ตามความสามารถของตนๆ ไม่เป็นผู้ท่ีย่อท้อต่อการท�ำความพากเพียร ในพรรษาน้ีการท�ำความ
พากเพยี รสะดวกมากนกั เพราะไมม่ กี ารงานอะไร มีแตต่ ง้ั หนา้ ท�ำความพากเพียรพิจารณากมั มัฏฐาน
เท่าน้ัน เพราะเป็นสถานที่ ทีส่ งบสงัด หลกี เรน้ จากผู้คน วิเวกดมี าก
ถา้ จะเปรียบกับสถานทตี่ า่ งๆ ทผี่ ่านมาแลว้ ท่ีภูสิงหน์ ้อยนี้กน็ บั เปน็ ท่ีสัปปายะท่ีสุดแกก่ าร
บำ� เพญ็ เพียรภาวนาของข้าพเจา้ คอื ท่ีดงหม้อทองจติ รวมง่าย แต่ปัญญาไมแ่ กก่ ลา้ ท่ีถ้�ำจันทน์
จิตรวมดเี ช่นกนั ไดค้ ดิ ค้นในกายเร่อื ยมา กระจา่ งมาเปน็ ล�ำดบั ๆ พอมาถงึ ภสู ิงหน์ ้อยปัญญากำ� ลัง
ท่ีสะสมมาก็ได้ใช้เต็มท่ีในครั้งนี้ ข้าพเจ้าเร่งท�ำความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ เพราะคิดว่าจิตพักมา
พอเพียงแล้ว คอยระวังรักษามิให้จิตพัก ใช้อุบายปัญญาทุกอย่าง เหมือนนักมวยไทยต้องใช้
อาวุธในกายทุกอยา่ งทีม่ ีทงั้ ศอก ทง้ั เข่า ทง้ั เท้า ทง้ั กำ� ป้นั อาศยั แยบคายอบุ ายปัญญาทกุ ประการ
ทเ่ี กิดข้นึ เพ่อื จะพยายามนอ็ กเอาตค์ ู่ต่อสู้ คอื กิเลสให้ล้มควำ�่ ลงใหไ้ ด”้
ท่านบรรลุธรรม
จากท่ีท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ท่านเทศน์ประวัติของท่านเร่ือยมา ท่านสรรเสริญ
ภูสงิ ห์น้อยหรอื ภูก่ิวเปน็ พเิ ศษ กอปรกับเทศน์เล่าผลการปฏบิ ตั ธิ รรมในพรรษานเ้ี ปน็ พิเศษ ซงึ่ เป็นธรรม
ขนั้ วิปสั สนา ออกพิจารณาทางดา้ นปัญญาทำ� ลายกิเลสโดยถ่ายเดยี ว จากนัน้ การเทศนป์ ระวัติของท่าน
ท่านไม่ได้เทศน์เล่าผลการปฏิบัติธรรมใดๆ อีกเลย อันหมายถึงงานภายในของท่านได้สิ้นสุดลงแล้ว
วุสติ ํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณยี ํ พรหมจรรยไ์ ด้อยู่จบแลว้ กิจทีค่ วรท�ำกค็ อื การแกก้ ิเลส ฆ่ากิเลสไดท้ �ำเสรจ็
แล้ว กจิ อนื่ ทีจ่ ะย่งิ กวา่ การแกก้ ิเลสนี้ไม่มี
เพราะฉะนน้ั จึงสรุปไดว้ า่ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฺ อายุนบั ได้
๔๓ ปี พรรษา ๒๑ ท่านไดบ้ รรลวุ ิมุตตธิ รรมเสวยวิมุตติสขุ ทภ่ี ูสงิ หน์ ้อย เป็นสังฆรัตนะอบุ ตั ขิ ึน้ ในโลก
และเป็นเพชรน้�ำหน่ึงน�้ำงามอีกองค์หน่ึงของวงกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น จากนั้นท่านก็ได้
195
ออกธุดงค์เท่ยี ววเิ วกทถ่ี ำ�้ บูชา ภูววั และทา่ นไดน้ ิมติ เหน็ ภูทอก ซึง่ ตอ่ มาท่านไดม้ าสำ� รวจและมาอยู่
จ�ำพรรษาท่ภี ูทอก ตราบจนวาระสุดท้ายของทา่ น
เร่ืองการบรรลุธรรมของท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ท่านได้เล่าให้ศิษย์ฟังว่า “การ
ท�ำความเพยี รประหารกิเลส ไดม้ ีชัยกนั ณ ที่นี้ (ภูสงิ ห์น้อย)” และกาลต่อมาเมอ่ื สรา้ งเจดยี พ์ พิ ธิ ภัณฑ์
ทา่ นพระอาจารย์จวน ผนังโดยรอบเจดยี ์ดา้ นนอก มภี าพประตมิ ากรรมดนิ เผา ศลิ ปะดา่ นเกวยี น แสดง
ชีวประวัตขิ องท่านพระอาจารย์จวน ก็มีภาพการบรรลุธรรมของท่านท่ภี สู งิ หน์ อ้ ยในปี พ.ศ. ๒๕๐๖
ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศนเ์ รือ่ งพระนิพพานไวด้ งั นี้
“ดังพระพทุ ธเจา้ ไดเ้ ทยี บความรู้ความเห็นของบคุ คล ๔ จ�ำพวก เรือ่ งของพระนิพพาน มคี วามรู้
ความเหน็ ตา่ งกันในบุคคล ๔ จ�ำพวกนี้ ดังจะนำ� มาแสดงใหฟ้ งั เพอื่ เป็นเครอื่ งเปรยี บเทียบ และเป็น
ทิฏฐานคุ ตแิ กพ่ วกเรา
สมัยหนง่ึ พระผู้มีพระภาคเจา้ ของเรา พระองคไ์ ด้ตรสั เตอื นภกิ ษุท้งั หลายวา่
“ดูก่อนภกิ ษุทง้ั หลาย บคุ คล ๔ จำ� พวก เห็นพระนิพพานน้ไี ม่เหมือนกัน คือจ�ำพวกที่ ๑
บคุ คลปุถุชน เปน็ ผโู้ งเ่ ขลาเบาปัญญา มกี ิเลสตัณหามาก แม้เขาจะได้ศกึ ษาเล่าเรยี นในคัมภีรแ์ ตกฉาน
มากมายสักปานใดก็ตาม หรือเขาจะได้ยินได้ฟังธรรมของสัปบุรุษและอริยบุคคลก็ตาม เม่ือเขาไป
พิจารณาแลว้ บคุ คลจ�ำพวกท่ี ๑ น้ี เมื่อเขาก�ำหนดรพู้ ระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพานแลว้ เขา
ย่อมส�ำคัญพระนิพพาน ย่อมส�ำคัญในพระนิพพาน ย่อมส�ำคัญความเป็นพระนิพพาน ย่อมส�ำคัญ
พระนพิ พานวา่ เปน็ ของเรา ยอ่ มยินดพี ระนิพพาน
ข้อน้ีขออธิบายย้�ำเพ่ือให้เข้าใจอีก ค�ำว่าเขาก�ำหนดรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน
แลว้ เขายอ่ มส�ำคญั พระนพิ พาน คอื ยอ่ มสำ� คัญจิตว่างหรอื จิตสูญนั้นเป็นพระนิพพาน ย่อมสำ� คญั
พระนิพพานว่าจติ ว่าง เขายอ่ มส�ำคญั ในพระนิพพาน เขายอ่ มสำ� คญั ความเป็นพระนิพพาน เขายอ่ ม
สำ� คญั พระนิพพานวา่ เปน็ ของเรา เขาย่อมยินดใี นพระนิพพาน คอื ยอ่ มยินดีพระนพิ พาน คอื ยอ่ มยินดี
จิตวา่ งวา่ เปน็ พระนิพพาน ย่อมยินดีพระนพิ พานวา่ จิตวา่ ง ข้อนัน้ เพราะเหตุอะไร ?
ดูก่อนภกิ ษทุ ั้งหลาย เรากลา่ วว่าเพราะเขาไมไ่ ด้ก�ำหนดรู้ ดูให้ละเอยี ด ใหร้ ้เู ห็นตามเป็นจริง
เขาจงึ มีความส�ำคญั มน่ั หมาย ลบความส�ำคญั ไมไ่ ด้ ทำ� ลายความส�ำคญั ไมไ่ ด้ ความสำ� คญั กเ็ ป็นกิริยา
คือ ตวั สมมุติ ตวั บญั ญัติ เป็นทฏิ ฐวิ ิปลาสความส�ำคญั ผิด เขาลบความส�ำคัญไมไ่ ด้ ลบตวั สมมุติ ตัวกิรยิ า
ตัวสมมุติ ตวั บัญญตั ไิ มไ่ ด้ มีความส�ำคญั เป็นอย่างน้นั คอื เกิดเป็นทิฏฐิ เมอื่ เกดิ เปน็ ทฏิ ฐิวปิ ลาส ก็เกิด
เป็นมานะ การถือตนถือตัวเท่านน้ั ถอื ในความส�ำคัญมั่นหมายเท่านน้ั นบ้ี คุ คลจำ� พวกท่ี ๑ คอื ปถุ ุชน
เรอื่ งความเหน็ พระนพิ พาน
196
อีกบคุ คลจ�ำพวกท่ี ๒ คอื พระเสขบคุ คล ได้แก่ พระโสดา พระสกทิ าคา อนาคา ความรู้
ความเหน็ ในพระนพิ พานนนั้ ดงั น้ี ทา่ นเหลา่ นเี้ มอื่ ไดก้ ำ� หนดรพู้ ระนพิ พาน โดยความเปน็ พระนพิ พานแลว้
อย่าส�ำคัญพระนิพพาน น่ัน ท่านอย่าส�ำคัญ อย่าส�ำคัญในพระนิพพาน อย่าส�ำคัญความเป็น
พระนิพพาน อย่าส�ำคัญพระนิพพานว่าเป็นของเรา อย่ายินดีในพระนิพพาน อย่ายินดีพระนิพพาน
คอื อย่ายินดีจิตวา่ งวา่ เป็นพระนิพพาน อย่ายินดพี ระนพิ พานว่าเป็นจติ ว่าง นค้ี วามรขู้ องพระเสขะของ
พระโสดา สกิทาคา อนาคา ข้อนั้นเพราะเหตอุ ะไร ภกิ ษุทง้ั หลาย ?
ดกู ่อนภิกษุท้งั หลาย เรากลา่ วว่า เพราะทา่ นเหล่านน้ั ควรกำ� หนดรู้ดใู ห้ละเอยี ด ยงั ไม่ถงึ ทีส่ ดุ
คือยังลบกิริยา ลบสมมุติบัญญัติ ลบความส�ำคัญไม่ได้ ท่านจึงไม่ส�ำคัญ เพียงแต่อย่าอยาก น้ีเป็น
ความรู้บคุ คลจำ� พวกท่ี ๒ คอื พระเสขบคุ คล
ความรู้จำ� พวกที่ ๓ คอื พระอเสขะ ได้แก่ พระอรหันต์ขีณาสวะเจา้ ทา่ นได้รู้เมอ่ื ก�ำหนดรู้
พระนิพพานโดยการเป็นพระนิพพานแลว้ ไม่สำ� คัญพระนพิ พาน ไม่สำ� คัญในพระนพิ พาน ไม่ส�ำคญั
ความเปน็ พระนิพพาน ไมส่ �ำคญั พระนิพพานวา่ เปน็ ของเรา ไมย่ ินดใี นพระนิพพาน คือไม่ยนิ ดจี ิตวา่ ง
วา่ เป็นพระนิพพาน ไม่ยนิ ดพี ระนิพพานว่าเปน็ จติ ว่าง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร ?
ดกู อ่ นภิกษทุ ั้งหลาย เรากลา่ วว่า เพราะทา่ นเหล่านัน้ เป็นผู้สิ้นจากราคะ สนิ้ จากโทสะ
สิน้ จากโมหะแลว้ พน้ จากความเคลือบแคลงสงสัยหมายมัน่ ส�ำคญั อะไรทง้ั หมด พ้นจากกเิ ลสตณั หา
ดับหมดแลว้ ดับสมมตุ บิ ัญญัติ ดับกิรยิ าแล้ว ท่านจึงไมม่ คี วามส�ำคัญม่ันหมายอะไรๆ น้ีเป็นความรู้
ของพระขีณาสวะเจ้า คือ พระอรหนั ต์ เรอื่ งของพระนพิ พาน
ความร้ขู องบคุ คลจ�ำพวกที่ ๔ คอื พระตถาคตอรหันตสัมมาสมั พทุ ธเจา้ เรื่องพระนิพพาน
พระอรหันตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทา่ นไดก้ ำ� หนดรูพ้ ระนพิ พาน โดยความเป็นพระนิพพานแล้ว ไม่สำ� คัญ
พระนิพพาน ไม่ส�ำคัญในพระนิพพาน ท่านไม่ส�ำคัญความเป็นพระนิพพาน ท่านไม่ส�ำคัญ
พระนิพพานวา่ เปน็ ของเรา ทา่ นไม่ส�ำคัญ ไมย่ ินดใี นพระนพิ พานว่าเป็นของเรา คอื ไม่ยนิ ดใี นจิตวา่ ง
ว่าเป็นพระนพิ พาน ไมย่ นิ ดพี ระนพิ พานว่าเปน็ จิตว่าง เปน็ ของเรา ขอ้ น้ันเพราะเหตอุ ะไร ?
ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย เราตถาคตกลา่ วว่า เพราะเราตถาคตได้กำ� หนดรู้ ดูให้ละเอยี ดแล้ว
ดไู ม่มีความส�ำคัญม่นั หมายอะไรๆ เราได้ทำ� ลายกริ ิยา ท�ำลายสมมุติ ทำ� ลายบัญญัติ ท�ำลายความ
ส�ำคัญม่ันหมายท้ังหมด ไมม่ เี ลย เราลบกริ ยิ า เพราะพระนพิ พานเปน็ อกริ ยิ า เปน็ สิ่งท่เี หนอื สมมตุ ิ
เหนือบญั ญัติ เหนอื ความสำ� คัญม่นั หมายใดๆ ท้งั หมด ดังนี้แล
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสแก่ภิกษุท้ังหลายให้ไปพิจารณาเอาในเรื่องความรู้ความเห็น
พระนิพพาน ท่านเทียบเคียงความรู้ความเห็นเร่ืองพระนิพพานของบุคคล ๔ จ�ำพวก ให้ภิกษุ
ท้ังหลายฟัง เม่ือพวกเราได้ยินได้ฟังแล้ว พึงพากันถือเอาเป็นคติเป็นนิสัย นั่น มันเป็นอย่างน้ัน
โดยมากพระปฏิบัติท้ังหลายนั่น เมื่อภาวนาไปถ้าจิตว่างแล้ว ก็พากันส�ำคัญในจิตว่างของตน
197
นั่นแหละว่าเป็นพระนิพพาน นั่นมันเป็นอย่างซั่น ส�ำคัญพระนิพพานน่ันแหละว่าจิตว่าง เมื่อมี
ความส�ำคญั อยู่ มนั จะวา่ งอย่างไร ความส�ำคัญนนั่ มนั ไมว่ ่าง มันหมดความสำ� คัญมนั ซี ส่ิงท่ีว่าว่าง
อันนี้มันมีความส�ำคัญอยู่ มันกย็ ังไม่ว่างเทา่ นั้นเอง
น้ีพระพุทธเจ้าท่านตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย เม่ือภิกษุท้ังหลายได้ฟังแล้วก็พากันโอนภาษิตของ
ทา่ นพระผู้มีพระภาคเจ้า บางองค์ก�ำหนดความรู้ตามกไ็ ด้ส�ำเรจ็ อรยิ มรรคอริยผล”
อนง่ึ ตามประวตั ิทา่ นพระอาจารย์มน่ั ภรู ิทตตฺ มหาเถร ในขณะทที่ า่ นบรรลธุ รรมอัศจรรย์นน้ั
ยงั แสดงขณะมธี รรมผุดเป็นบาลขี น้ึ มากมาย โดยองคห์ ลวงตาพระมหาบัว าณสมปฺ นฺโน ไดเ้ มตตา
บันทึกไว้ดังนี้
“ทา่ นพระอาจารย์มน่ั ทา่ นมีนสิ ัยผาดโผนมาดัง้ เดมิ นบั แตเ่ ริม่ ออกปฏิบตั ิใหมๆ่ ดังทเ่ี รียนแลว้
แม้ขณะจิตจะเข้าถึงจุดอันเป็นวาระสุดท้าย ก็ยังแสดงลวดลายให้องค์ท่านเองระลึกอยู่ไม่ลืมถึงกับ
ได้น�ำมาเลา่ ใหบ้ รรดาลูกศิษย์ฟังพอเป็นขวญั ใจ คือ พอจติ พลกิ คว่�ำวัฏจักรออกจากใจโดยส้ินเชงิ แล้ว
ยงั แสดงขณะเป็นลักษณะฉวัดเฉวยี นเวียนรอบตวั วิวัฏจติ ถงึ สามรอบ
รอบท่ีหนง่ึ สน้ิ สุดลงแสดงบทบาลขี ึน้ มาวา่ ‘โลโป’ บอกความหมายขน้ึ มาพรอ้ มว่า ขณะใหญ่
ของจติ ท่ีท�ำหนา้ ท่ีส้นิ สุดลง นัน้ คอื การลบสมมตุ ทิ ง้ั สิ้นออกจากใจ
รอบท่ีสองส้ินสุดลงแสดงค�ำบาลีขึ้นมาว่า ‘วิมุตฺติ’ บอกความหมายว่า ขณะใหญ่ของจิตท่ี
ท�ำหน้าทส่ี ้นิ สดุ ลง น้นั คอื ความหลดุ พ้นอยา่ งตายตวั
รอบท่ีสามสิ้นสุดลงแสดงค�ำบาลีข้ึนมาว่า ‘อนาลโย’ บอกความหมายข้ึนมาว่า ขณะใหญ่
ของจติ ท่ีทำ� หน้าทสี่ ้ินสุดลง นั้นคอื การตดั อาลยั อาวรณ์โดยสน้ิ เชิง เป็นเอกจติ เอกธรรม จติ แทธ้ รรมแท้
มีอันเดียว ไม่มีสองเหมอื นสมมุติทง้ั หลาย
น่ีคือ วิมุตติธรรมล้วนๆ ไม่มีสมมุติเข้าแอบแฝง จึงมีได้เพียงอันเดียว รู้ได้เพียงครั้งเดียว
ไม่มีสองมีสามมาสืบตอ่ สนบั สนุนกนั ”
ดว้ ยวาสนาบารมขี องทา่ นพระอาจารยจ์ วน จิตของท่านจงึ มีนสิ ัยผาดโผน ต้ังแตเ่ ริ่มแรกออก
ปฏบิ ัติ ทา่ นก็มีนมิ ติ อัศจรรย์มากมาย แม้ธรรมผดุ ก็เปน็ บาลเี สมอๆ เชน่ เดยี วกับท่านพระอาจารย์มนั่
ทัง้ ทา่ นได้นมิ ิตอศั จรรยแ์ สดงถงึ วาสนาบารมีอนั เต็มเปีย่ มถึง ๒ วาระ คอื นิมิตทา่ นพระอาจารยม์ ่นั
ให้ท่านข่ีหลังแล้วพาเหาะขึ้นบนอากาศ และนิมิตท่านพระอาจารย์ม่ันยื่นหนังสือให้ท่านและบอกว่า
“เอ้า ! หนังสอื นท่ี า่ นจวนเอา เพราะท่านจวนดแู ล้วเข้าใจดี ผมดไู ม่เข้าใจดเี ท่าไร แตท่ า่ นดแู ล้วเข้าใจ
ดี” ดังน้ัน ในขณะที่ท่านบรรลุธรรมอัศจรรย์นั้น ย่อมแสดงขณะคล้ายกับของท่านพระอาจารย์ม่ัน
เพราะภายหลังท่านพระอาจารย์จวนได้อ่านพระไตรปิฎกแล้วมาเทศนาให้พระศิษย์ฟัง เนื้อหาธรรม
กเ็ ป็นภาษาบาลที ี่คอ่ นขา้ งยาก ท้ังๆ ที่ท่านไมไ่ ด้เรยี นเปน็ มหาเปรียญ แตท่ า่ นอ่านแล้วเข้าใจดแี ละ
198
ทา่ นมีความจำ� เป็นเลิศ ท่านจึงเทศนไ์ ดอ้ ย่างคลอ่ งแคลว่ โดยเฉพาะการเทศน์อริยสจั ๔ ทา่ นเทศนไ์ ด้
อย่างชำ� นาญ อยา่ งผู้รู้จริงเห็นจริง และมสี �ำนวนเป็นเอกลักษณ์ประจ�ำองค์ท่าน คือ “ทกุ ข์ เหตุให้เกิด
ทกุ ข์ ธรรมเป็นท่ีดบั ทกุ ข์ ขอ้ ปฏิบตั ใิ ห้ถึงธรรมเปน็ ทด่ี บั ทุกข์” และท่านเปน็ พระที่ทรงอภิญญา ๖
เชน่ เดยี วกับท่านพระอาจารย์มั่น คอื มีฤทธ์ิ มีญาณหยั่งทราบเหตุการณ์ลว่ งหน้า และมีปรจิตตวชิ าที่
รวดเร็ว เช่น ท่านเทศนส์ อนและตอบปัญหาลูกศษิ ยซ์ ึ่งมคี ำ� ถามอย่ใู นใจ โดยที่ยงั ไมไ่ ด้กราบเรยี นถาม
และทา่ นพยากรณ์เหตกุ ารณล์ ่วงหนา้ ว่าแม่ชสี กึ ไปแลว้ ได้สามีขี้เหล้า เป็นตน้
เปรตผีที่ภูสิงห์น้อย
พระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์ม่ัน เมื่อท่านไปธุดงค์ปฏิบัติธรรมตามป่าตามเขาที่
เงยี บสงัดวิเวกวังเวงและการคมนาคมไปไม่ถึงนั้น แทบทกุ องค์ท่านล้วนเผชิญกบั สิ่งที่นา่ หวาดกลวั ชนดิ
ขนพองสยองเกลา้ เช่น พบเปรต ผี วิญญาณกนั เปน็ ปรกตธิ รรมดา เชน่ เดยี วกบั พระสงฆส์ าวกในคร้ัง
พทุ ธกาล อนั เปน็ การฝึกสติ ฝกึ ทดลองจิตใจให้แก่กล้า เปน็ การเตือนใหห้ มนั่ เพยี รภาวนาไม่ใหป้ ระมาท
และเป็นการพิสูจน์ว่า ท่านรักษาศีลอย่างบริสุทธิ์เคร่งครัดหรือไม่ ท่านตั้งใจบ�ำเพ็ญสมถวิปัสสนา
อย่างจริงจังหรือไม่ และท่านมอบชวี ติ เพอื่ พระรตั นตรัยอยา่ งแท้จรงิ หรือไม่
เรื่องเปรต ผี วิญญาณ เป็นเรื่องจริงและเป็นเรื่องดั้งเดิม ซึ่งไม่อาจจะปฏิเสธและไม่อาจจะ
ลบลา้ งได้ ทภี่ สู งิ หน์ อ้ ยสมยั ทท่ี า่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ อยจู่ ำ� พรรษากเ็ ชน่ กนั มเี ปรต ผี วญิ ญาณ
ท่านพระอาจารย์จวน และ ท่านพระอาจารย์สอน อุตฺตรปญฺโ ท่านก็ได้เผชิญเปรตร่วมกัน ส่วน
ผ้าขาวเฒ่าเผชญิ ผีหัวขาด โดยท่านพระอาจารย์จวน กลุ เชฏโฺ ได้เมตตาเทศน์เร่อื งนีไ้ ว้ดงั น้ี
“ในภูสิงหพ์ ากนั ปรารภความพากความเพยี รโดยเต็มความสามารถของตนๆ และอยใู่ นระหวา่ ง
กลางพรรษาน้ัน มีแปลกๆ ในภูสิงห์นั้น คือวันหนึ่งได้พากันเดินจงกรมเวลาพลบค่�ำ ถูกกลิ่นเหม็น
กลิ่นน้ีผดิ ปกติ เหม็น ขม เดินจงกรมกลบั ไป – กลับมา กถ็ ูกกล่ินอนั เหมน็ อยู่ เลยทักวติ ก ทักถามจิต
ข้นึ ว่า “กลนิ่ อะไร” แลว้ จิตหนึ่งผุดขนึ้ ว่า “นเ้ี ขาเรยี กว่ากลิน่ เปรต” แลว้ ก็แผ่อทุ ศิ บญุ กศุ ลไปให้เขา
จากนั้นก็หาย
ครั้นหายแล้ว ทา่ นพระอาจารยส์ อนทา่ นกไ็ ดก้ ลิน่ เช่นเดียวกนั พอตอนเชา้ ไดม้ าเล่าให้กนั ฟงั
แลว้ ท่านก็ว่า “ผมก็ได้กลิน่ เช่นเดยี วกัน เหม็นเหมอื นกนั ” ทนี รี้ ะยะตอนกลางคืนแปลก นิมติ ฝันเหน็
ผหู้ ญิงสองคน คอื พี่กับน้องน่ังอยู่ที่หนา้ ผาภสู ิงห์ ปรากฏว่าขา้ พเจา้ ไดม้ องเหน็ ชดั ก็เลยเข้าไปถามเขา
วา่ “พวกเธอมาอยูน่ ี้ทำ� ไม ?”
เขาว่า “พวกเขานั้นเป็นเปรตมาอยู่นี้” มีแต่ผ้านุ่งเบื้องล่าง ส่วนเบ้ืองบนไม่มีผ้าปิดกายเลย
เปลอื ยกาย เป็นผหู้ ญงิ ท้งั สองคน
ข้าพเจ้าเลยยอ้ นถามเขาอกี วา่ “เปน็ เปรตเพราะเหตุไร ?”
199
“เป็นเปรตเพราะว่าสมัยเมื่อเป็นมนุษย์ พวกข้าพเจ้าพี่น้องท้ังสองนี้พากันเอาหม่อนเอาไหม
มาต้ม แลว้ กส็ าวเอาไหมไปท�ำผา้ ดว้ ยบพุ กรรมอนั นน้ั จงึ ให้มาเป็นเปรต”
ขา้ พเจ้าเลยถามวา่ “ชอื่ อะไรแต่กอ่ นทเ่ี ปน็ มนุษย์ ?”
เขาก็ตอบวา่ “ข้าพเจา้ ผพู้ ช่ี ือ่ วา่ นางสาวทา ผู้นอ้ งชอ่ื ว่านางสาวส”ี
แลว้ ต่อจากน้ันก็เลยตืน่ จากนมิ ติ รูปน้ันกเ็ ลยหายไป ขา้ พเจา้ มาพจิ ารณาวา่ “โอ้ ! การทำ� ลาย
สตั วน์ ี้มันเป็นบาปจริง” น่ันแหละในขณะทีอ่ ยู่จ�ำพรรษาท่ภี ูสิงห์นนั้ มีแปลกๆ บางครั้ง บางวัน ผา้ ขาวที่
อย่ดู ว้ ย แกมาเลา่ ให้ฟงั ว่า “เวลากลางคนื ผมเดินจงกรม เห็นเปน็ เงาคนไม่มีหัว มีแตค่ อ เหมือนคน
คอขาด เดนิ เคยี งผมไปกม็ ี บางคร้ังมาตบฝากุฏใิ ส่ผมกม็ ี ผมได้ต่นื ข้ึน มองดูไม่เห็น ถ้าไปเดินจงกรมก็
เปน็ เงาตะคุม่ ๆ เดนิ เคยี งไปด้วย” นีผ่ า้ ขาวเฒ่าเล่าใหฟ้ งั จะเปน็ จริงหรอื ไม่ แกก็เล่าไปตามความเหน็
ของแกนนั่ เอง อันเปน็ การเร่งเตือนมิให้ประมาท เณรและผ้าขาวจะโดนกนั อยู่เป็นประจ�ำ”
ปืนแตก
วัดป่า เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของพระผู้ทรงศีลและเป็นเขตอภัยทาน สัตว์ป่าจึงย่อมคุ้นกับ
พระ คนุ้ กบั ผ้ากาสาวพสั ตร์เปน็ อย่างดี จึงไดเ้ ขา้ มาอาศัยหากิน หรอื เขา้ มาหลบภยั ภายในวัด
เรื่องปืนแตกเกิดจากคนมาลา่ สัตว์ภายในวัด โดยเอาปนื ไลย่ ิงสัตว์แลว้ ไมล่ ั่น แตก่ ลับปนื แตกใส่
คนยิงจนบาดเจบ็ ซ่งึ เร่อื งนมี้ ักเกดิ ตามสถานทป่ี ฏิบัตธิ รรมตา่ งๆ ท่มี ีครบู าอาจารย์ปฏิบัติดี ปฏบิ ัตชิ อบ
ท่านไปธุดงคบ์ ำ� เพ็ญภาวนา และเรื่องปนื แตกน้ีกไ็ ดเ้ กดิ กบั ท่านพระอาจารย์จวน กลุ เชฏโฺ โดยท่าน
ได้เมตตาเทศนเ์ ล่าประสบการณ์เรื่องน้ขี องทา่ นไว้ดงั นี้
“ครงั้ หนง่ึ ข้าพเจ้าก�ำลงั นั่งท�ำสมาธอิ ยทู่ ่ถี �้ำแห่งหนงึ่ ไดย้ นิ เสียงปืนดงั เปรยี้ งๆ ๒ นดั อยูห่ ่างๆ
ไม่นานก็เห็นกวาง ๒ ตัว วิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดยืนท�ำตาอ่อนละห้อยอยู่ข้างหน้าถ้�ำเบ้ืองหน้า
ข้าพเจ้า คล้ายๆ จะมาขอฝากเน้ือฝากตวั หลบภัยใหช้ ว่ ยเหลอื ตอ่ จากน้นั สักประเดีย๋ วก็ไดย้ ินเสยี งปนื
ระเบดิ ดงั ลนั่ ไมห่ า่ งจากท่ขี ้าพเจา้ นั่งอยูน่ กั และสักอึดใจต่อมาก็ได้ยินเสยี งรอ้ งครวญครางขอความ
ช่วยเหลอื “โอย ! ช่วยดว้ ย... ชว่ ยดว้ ย” ข้าพเจ้าจงึ ลกุ ข้ึนไปดู กเ็ หน็ ชายคนหนงึ่ ถกู ปืนนอนร้องอยู่
มีเพื่อนอีกสามคนชว่ ยประคองอยู่ขา้ งๆ ในมือ เน้ือตัวและเสอื้ ผ้ามีเลอื ดอาบแดงฉาน ถามไดค้ วามว่า
พวกเขามาล่าสัตว์ เข้ามาในเขตวดั เหน็ กวาง ๒ ตัว ผัวเมีย กเ็ อาปนื ยิงทงั้ คู่ แตป่ รากฏว่าพลาด
ท้ังสองนัด เขาไล่ตามมา เห็นกวางทั้งสองมาหยุดอยู่ตรงหน้าถ�้ำ เขาตามมาทันจึงยกปืนยิงมันอีก
แต่ปืนยงิ ไมอ่ อก สบั ถงึ สองครงั้ ครั้งที่สามยงิ ได้แต่กลบั ปนื แตก กระทอ้ นมาถูกผยู้ ิงเอง ตามมือและ
เน้ือตวั เปน็ แผลเหวอะหวะหมด
ขา้ พเจา้ ไปดใู กล้ๆ ปรากฏวา่ นว้ิ มอื ของชายนัน้ ขาดไปสามน้วิ ฝ่ามือทะลเุ ปน็ แผลเหวอะหวะ
เลอื ดโชกพร้อมท้งั แก้มขา้ งขวาก็มแี ผลทะลุใหญ่มาก จงึ ช่วยเชด็ แผลใหจ้ นเลือดหยุดและก็เตือนใหเ้ ขา
200
นกึ ถงึ บาป บญุ คณุ โทษ ในการทตี่ งั้ ใจจะทำ� ลายชวี ิตผอู้ ื่นโดยเฉพาะในเขตวดั ซงึ่ ถือวา่ เป็นเขตร่มเยน็
อาศยั ได้ สัตวย์ ่อมเขา้ มาพง่ึ พงิ ด้วยคิดว่ามีความปลอดภยั ชีวติ ทุกชวี ติ ยอ่ มกลัวตาย พวกเขาท�ำอะไร
ลงไปย่อมเป็นกงเกวียนกรรมเกวียน สักวันหนึ่งก็อาจจะต้องมาสนอง อย่างท่ีเขาก�ำลังประสบด้วย
ตนเองน้ี เขาคิดจะฆ่ากวาง แต่เขาเองกลับถูกกรรมอันนั้นตอบสนองให้เจ็บปวดอยู่นี้ ต่อจากน้ีไป
อย่าคิดฆ่าสัตวต์ ัดชีวิตอีกเลย
ข้าพเจ้าให้เขาปฏิญาณรับศีล ๕ แล้วก็ให้เขากลับบ้านและเขาก็พูดเล่าลือกันต่อไป ไม่ให้ไป
ลว่ งเกินสตั ว์ในเขตวัด อาจจะมีอนั ตราย ความจรงิ ข้าพเจา้ ก็ไมไ่ ด้ท�ำอะไร อาจจะเปน็ เหตบุ ังเอญิ แตก่ ็
เปน็ การดีอย่างหน่งึ คอื ทำ� ใหส้ ตั ว์ท้ังหมดอย่ดู ว้ ยความสงบสุขขนึ้
พูดถงึ เรอ่ื งปนื แตกนี้ มอี ยูค่ รงั้ หน่งึ ทีถ่ ้�ำจนั ทน์ วนั นน้ั ขา้ พเจา้ ออกไปบณิ ฑบาตและไดย้ ินเสยี ง
“โอ๊ย !” เรียกให้ช่วย ก็ปรากฏว่า มีชายคนหนึ่งถูกปืนของตัวเองลั่นใส่ตัวปากกระบอกแตก ข้าพเจ้า
ช่วยเหลือเยียวยาเขาและต่อมาเขาก็มาขอขมาข้าพเจ้า ได้ความว่า เขามองเห็นสีเหลืองของจีวร
ข้าพเจ้ารำ� ไรในหมูไ่ ม้ เขานึกว่าเป็นกวาง เปน็ เก้ง ก็กดปืนยิงเปรี้ยงเข้าให้ บงั เอิญปนื กลบั แตก ลน่ั ถูก
ตัวเองบาดเจ็บดังกลา่ ว เขาวา่ เขาผิดพลาด ๒ กระทง กระทงแรก คือ มายิงสัตวใ์ นเขตวดั กระทงสอง
มาลว่ งเกนิ ยงิ ขา้ พเจ้าผูเ้ ปน็ พระภิกษุ เขาจงึ ได้รับผลของกรรมนัน้
คราวน้นั กเ็ ชน่ เดยี วกับคร้ังน้ี ขา้ พเจา้ กไ็ ด้สอนให้เขาร้จู ักบาป บุญ คุณ โทษของการฆ่าสตั ว์
ตดั ชีวิต ใหน้ ึกถงึ กรรม ผลของกรรม ซ่งึ จะตดิ ตามตวั เราเหมือนรอยเกวยี นที่ติดตามเท้าโค ฉะนั้น”
เจ้าแม่แจ่มจ�ำรัสนิมนต์ท่านให้ไปอยู่ภูทอก
คุณหมอประพกั ตร์ โสฬสจินดา ไดเ้ มตตาเลา่ เรอื่ งไวด้ ังน้ี
“ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ตอนที่มาอยภู่ ูสงิ หน์ ้อยหรอื ภกู ว่ิ แลว้ กก็ ลางพรรษา คือพอกลางพรรษาแล้ว
ผมมาเอาขา้ วมาส่งบ้าง มาคุยกันอยา่ งน้ี แล้วท่านอาจารยจ์ วนกบ็ อกวา่ “เจา้ แมแ่ จ่มจำ� รัส” เจ้าแม่นะ
อารักษท์ อ่ี ยภู่ เู ขาลกู ใหญน่ ่ันน่ะ มานิมนตใ์ หไ้ ปอย่ภู ูทอกใหห้ นอ่ ย
นิมนตใ์ ห้อย่ทู ง้ั ภทู อกใหญ่ (ภแู จม่ จ�ำรัส) และภทู อกนอ้ ย (ท่ีสรา้ งบนั ไดและสะพานเวียน) อันนี้
ก็นิมนต์ครั้งแรก ท่านอาจารย์จวนพดู กบั ผม ผมก็ไม่อยากมา ตอนหลังกท็ นท่านไม่ได้ ก็เลยไป เจ้าแม่
แจม่ จ�ำรัสเขามานิมนต์ ๒ ครง้ั แลว้ แลว้ เขาบอกว่าอยากใหพ้ ฒั นาภทู อกทงั้ สองภูนี้ ถ้าเจริญเมือ่ ไหร่
จะเริ่มให้ของดี พวกวัตถุมงคล พวกพระพุทธรูปเยอะ ใจว่า หรือท่านจะเอาพระพุทธรูปหลอกเรา
ก็ไม่ร้วู ่า เราเองจะชอบพระหรอื เปล่า กไ็ มร่ นู้ โยบายกนั มานพี้ อท่านบอกว่าไป เราจะพามาดู เพราะวา่
เขามานิมนต์ ๒ ครง้ั แล้วก็ไปใหเ้ ขาหนอ่ ย”
201
ส�ำรวจภูทอก
คุณหมอประพกั ตร์ โสฬสจนิ ดา ไดเ้ มตตาเลา่ เรอ่ื งไว้ดังน้ี
“ทนี ี้ขณะท่ีอยู่ ๒๕๐๖ ปบั๊ ! อาจารย์จวนท่านนมิ ติ เรื่องภทู อกนะทนี ้ี พอ ๒๕๐๖ ตื่นเช้ามา
อาจารยจ์ วนบอกว่า “ไป... เราจะพาไปดขู องดี” ว่าง้ัน ไอ้ค�ำวา่ ของดีน่ี ผมกน็ ึกว่าเป็นพระพุทธรูปละ่
พอฉนั ขา้ วเสรจ็ เรยี บร้อย ผมก็ห่อขา้ วแลว้ ถือตะเกียง เพราะว่าท่านใหถ้ อื ตะเกียงรว้ั มา จะพาเข้าถ้�ำ
ถำ้� ทแี รก ทา่ นกช็ อ้ี นั นเ้ี ปน็ ภกู วิ่ อนั นภ้ี ทู อกแจม่ จำ� รสั ทา่ นวา่ “ถำ้� มนั อยนู่ ี่ พระเยอะ” ทา่ นกใ็ หผ้ มสะพาย
ตะเกยี ง ปีนต้นไม้ขน้ึ ไปนะ มนั ไปได้ ๒ ทา่ นสะพายยา่ ม แลว้ ทา่ นเอาผา้ เชด็ ตัวคลมุ หัวเดนิ ไปเลย
ทา่ นหัวล้านนะ ศีรษะไม่มีผม คือวา่ “หวั ล้านย่าน (กลวั ) บาป” ทา่ นไม่มผี ม ผมกส็ ะพายตะเกยี ง ผมว่า
“เอาตะเกยี งไปทำ� อะไร ?” “เราจะพาไปดูพระพทุ ธรปู อยู่วัดนแี้ หละ” ว่าง้นั นะ พอปนี ขน้ึ ไป แตก่ ่อน
มนั มตี ้นไม้ ไมเ่ หมือนอยา่ งนี้ เดย๋ี วนีม้ ันโล้นหมดแล้ว ผมไปยนื ดูยงั ไมร่ ู้ว่าต้นไมอ้ ย่ไู หน
พอขน้ึ ไป ทา่ นก็ข้ึนก่อน ผมก็ขนึ้ ไป ท่านกช็ ีบ้ อกวา่ “เขาอยตู่ รงนี้เดอ้ ” ว่า “ลกู กับพอ่ ล่ะ
กองกนั เอเ้ ล่ (พระพุทธรูปกองกันพะเนิน)” วา่ ง้นั นะ “พอ่ คือองค์ใหญ่ ลกู คอื องค์เลก็ ” ผมก็ “บ๊ะ ! ทีนี้
จะไดด้ ูพระพุทธรูปละ่ ” นึกในใจ ให้มันเปน็ ขวญั ตาเรื่องพระทองค�ำน่ี พอข้นึ ไปถึงปั๊บ ! “อย่าเพิง่ ดูนะ
เราไปภทู อกด้วยกนั ซะก่อน”
ปี ๒๕๐๖ ภทู อกยงั ไม่มีแม้แตห่ ลังคาเรอื นเดยี ว ยงั ไมม่ ีหรอก ผมก็ขนึ้ ไปกับท่าน ไปภทู อกใหญ่
ทุกวนั น้ี ไปถึงปั๊บ ! พอไปถึงครึ่งทางนีม่ นั มแี ห่งหน่งึ ท่านเอาตนี ลบู ๆ แลว้ ก็บอกผมว่า “อนั นีส้ �ำคญั เด้อ
เจ้าดใู ห้ดีๆ” ผมก็เอามอื ลบู โฮ้ ! เหมอื นสเี ขยี ว ผมถามวา่ “อะไร ?” ทา่ นว่า “เหล็กไหล” วา่ งนั้ นะ
แต่ว่าเราตอนนน้ั กค็ ิดว่าของศกั ด์ิสิทธนิ์ ่มี ี แต่ไม่ร้วู า่ คืออะไร ตอนนพ้ี อท่านชีใ้ ห้ผมดแู ลว้ ผมกเ็ ลยขัด
ใหม้ นั ข้ึนเงา แตง่ ใหม้ นั งามนอ้ สเี ขยี วเหมอื นปีกแมลงทับ ใหญ่ประมาณสกั หัวนิ้วโปง้ เท้า ฝงั อยกู่ บั หิน
โผล่ความกว้างมนั เท่านิว้ โปง้ เท้า ผมกเ็ อามือขัด ขดั เพราะว่าเราเหน็ ว่าเปน็ ของแปลก เรามคี วามผกู พนั
โอ้ ! สีมันคอื งามแท้ น่ันนะ่ เขยี วปกี แมลงทบั “เอา้ ! เหล็กไหลท�ำไมเป็นอยา่ งนี้ ?” ผมว่ากด็ ี “เอ๋า !
เจา้ อย่าถาม ไปอีกซะก่อน” ว่าง้นั นะ ผมก็ไป ไปก็ไปลงภทู อกใหญ่ แล้วกข็ ึน้ ไปภูทอกนอ้ ย ทา่ นไปตาม
ความฝนั ของทา่ นนะทีน้ี ผมก็สะพายห่อข้าว ท่านไม่ฉันข้าว ท่านกส็ ะพายน้�ำ ผมก็สะพายเอาแตข่ า้ ว
ผมขาดไมไ่ ดห้ ิวข้าวเนาะ เราก็ดีเป็นฆราวาส ไปถึงป๊บั ! ไปขน้ึ ไมถ่ งึ ช้ัน ๕ หรอก มนั ไปอีกไมไ่ ด้ มันไป
ติดถ้�ำนนั่ พอดี ไปตดิ อยู่ชั้น ๔ เพราะขึ้นชั้น ๕ ไมไ่ ด้ เพราะมันไมม่ ีทางขน้ึ แล้ว เพราะมนั ชนั กเ็ ลยพัก
กนิ ข้าว “เอ้อ ! โตกนิ ขา้ วเสียให้เรียบรอ้ ยเถอะ” จากนน้ั ท่านก็ “ไป... กลับเถอะพวกเรา” วา่ ง้ันนะ
ตอนขากลับ พอมาถึงจะมาดไู อเ้ หล็กไหลเทา่ น้นั ละ่ ไม่รวู้ า่ ฟา้ กับฝนมาจากไหนนะทนี ี้ แลบ
ท่ไี หนก็จะผ่าเลย ผมกแ็ น่บเร่อื ย ว่ิงไปเร่ือย เพราะว่ามนั กว้าง เวลาฟ้ามนั มาปับ๊ ! มนั จะแลบท่ีไหน
มันคล้ายมนั อยบู่ นหวั เรานี่ล่ะ โอย้ ! ผมกว็ ิง่ สะพายตะเกียงจนจะแตก เลยไมไ่ ดด้ อู ะไรสกั อย่างเลย
ถงึ วดั มับ (ทันท)ี เลย ผมยังคดิ ไดเ้ สียใจ “วา้ ! ดัน (รน้ั ) ไปดูเสยี ตอนนน้ั ผมจะไดเ้ ห็นพระพทุ ธรูปเยอะ
202
อย”ู่ แต่วา่ เมอื่ เชอื่ ทา่ นวา่ “โอย้ ! ไปหน้ากอ่ น ไปหนา้ ก่อน (ไปขา้ งหนา้ ก่อน)” วา่ งั้น มนั ก็ไปเรื่อย
ผมวา่ อภนิ หิ ารนะเนย่ี เดี๋ยวนใี้ หผ้ มไปดูวา่ ตรงนนั้ อยู่ตรงไหนนี่ ผมอาจจะไม่รู้ เพราะเรอื่ งตงั้ แต่ ๒๕๐๖
อนั น้เี มือ่ ๒๕๔๕ เรื่องนี้ประมาณ ๓๙ ปนี ้ี ผมก�ำลังเล่าน”ี่
ความผูกพันระหว่างศิษย์กับอาจารย์
คุณหมอประพกั ตร์ โสฬสจนิ ดา ไดเ้ มตตาเลา่ เรื่องไว้ดังน้ี
“ผมกล็ งมา เกิดข้าวยากหมากแพง เพราะวา่ ไทยค�ำภูนน่ั มาใส่บาตรพระธรรมยตุ ไมเ่ ป็นนะทีนี้
นำ้� กเ็ กิดทว่ มนาศรวี ไิ ล (อ�ำเภอศรวี ไิ ล) ระยะนั้นปี ๒๕๐๖ ศรีวิไลไม่มบี ้านแมแ้ ตห่ ลงั คาเดยี ว มที พ่ี กั
คนโดยสารหนงึ่ หลงั เทา่ นน้ั เอง ศรีวไิ ลเราน่ีทุกวันนี้ เราจะเดินไปจากศรีวไิ ลไปหาภกู วิ่ นมี่ ันก็ครง่ึ วัน
ทนี ้พี ออาจารย์จวนสง่ ข่าวมาวา่ “โอย้ ! อดข้าวแล้ว” วา่ งน้ั นะ ไทยค�ำภูตอนน้ันใส่บาตร
พระธรรมยุตไม่เปน็ คอื ไมร่ ้จู ะใส่แบบไหน บางทีใส่มาแบบไมไ่ ดท้ �ำ เวลาใสบ่ าตรกม็ กั จะเอาอาหารสด
เพราะเขาไมส่ ามารถจะเดนิ ทางมาวดั ได้ เขาก็ใสบ่ าตรมาเลย ท่านก็ฉันไม่ได้ โอ้ย ! เพราะมันของสด
ไม่มีใครมาทำ� ให้ กฉ็ ันข้าวเปลา่ บา้ ง ไม่ได้ฉนั บ้าง ตลอดพรรษาไปเลย คลา้ ยๆ วา่ ไมม่ ใี ครอบรมพวกนี้
เนาะ ปลาร้าก็ใส่สดๆ มาอยา่ งงั้น อะไรก็สดๆ เนาะ เพราะว่าทางนท้ี ่านฉันของสกุ
ผมกเ็ ลยพาครคู �ำบานี่เอาขา้ วไปสง่ เดินไปกม็ ือหน่ึงก็ถอื ไม้เรอ่ื ย เพราะว่างมู ันเยอะนะ เราก็
เคาะไปเรือ่ ยอยา่ งนล้ี ่ะ ไปถึงอาจารย์จวนบางทตี ี ๒ ภกู ่วิ น่ีน่ะ ตี ๒ ผมยงั “เอ๊ ! เราเหมอื นบา้ แท้
มาเรอื่ งอะไรนอ้ ?” แตก่ อ่ นพอฝนตกปบ๊ั นำ้� จะทว่ มระหวา่ งภกู วิ่ ไปหานาสะแบงนี่ มนั จะแคน่ เ้ี ลย (แคอ่ ก)
แล้วจากบ้านนาสิงหไ์ ปหาบา้ นศรีวิไล พอแคอ่ กนเ้ี หมือนกันเลย เรอื กไ็ มม่ ี ผมกก็ างเกงเทินหวั ของใคร
ของมนั พวกผ้าซนิ่ พวกผหู้ ญงิ กเ็ ทนิ นำ้� ท่วมถึงขนาดนนั้ ก็ไป คดิ ในใจ “มันไปเพราะความรักผูกพัน
นเ่ี อง ไมไ่ ด้ไปเพราะวา่ สนิ จา้ ง”
ตอนน้นั มันจะเป็นความผกู พนั ระหวา่ งความรกั ระหวา่ งครบู าอาจารยแ์ บบนี้ มันไมใ่ ช่ผกู พัน
แบบว่า โอ้ย ! เรานงั่ สมาธแิ ล้วอรหนั ตน์ ้อ หรอื เห็นแจ้งเห็นจรงิ เหน็ นางสาวมาฟอ้ น มันไมใ่ ช่อย่างน้นั
มันเป็นเร่ืองความผูกพันว่า “โอ๊ ! ท่านบวชได้ เราบวชไม่ได้ เราต้องสนับสนุน” มันจะมุ่งเร่ืองน้ี
เร่ืองเดียว เรามีแต่ว่ารับใช้ลูกเดียว ไม่ใช่มุ่งว่านั่งสมาธิ ท่านก็สอนอยู่ แต่เอาไม่ได้ดอก เราเป็น
คนทำ� งานใชไ่ หมครบั ท�ำไม่ได้ ท�ำอย่างไรกท็ �ำไมไ่ ด้
ทีน้ีพออยู่ปั๊บ ! ๒๕๐๖ ท่านก็เดินทางไปถ้�ำบูชา ไปตั้งถ้�ำบูชาใหม่ ๒๕๐๗ เอาอีกแล้วทีน้ี
ผมวา่ “ฮว่ ย ! อาจารย์ ถ้าไปยาวกว่านั้น ผมไปอกี ไมไ่ ดน้ ะ” วา่ ง้นั “เออ ครง้ั สดุ ทา้ ย เราจะไปแคน่ ลี้ ะ่
แล้วเราจะไมไ่ ปไกลกวา่ น้นั อีก” ว่าง้นั นะ ก็ไปต้ังถ้�ำบูชาดว้ ยกนั ๒๕๐๗ ทา่ นอาจารยท์ องพูลนก่ี เ็ ป็น
ลกู ศิษยอ์ าจารย์จวน กไ็ ปรมุ กันเรอ่ื ยอย่างนล้ี ่ะ”
203
ภาค ๗ วิเวกถ้�ำบูชา ภูวัว รักษารอยมือรอยเท้าครูบาอาจารย์
ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๐๖ พักวิเวกถ้�ำบูชา
ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฺ ได้เมตตาเทศนเ์ รอ่ื งนไี้ ว้ดังนี้
“จากน้นั เม่อื จำ� พรรษาภสู ิงห์เสร็จแลว้ ออกพรรษา ท่านอาจารยส์ อน ทา่ นก็ไปหาวิเวก ส่วน
ข้าพเจ้ากบั เณรหน่ึง พวกญาตโิ ยมบา้ นดอนเสยี ด ภูววั นมิ นตใ์ หไ้ ปอยถู่ ้�ำบชู า ขา้ พเจา้ ก็เลยไปกับเณร
ไปส�ำรวจดูสถานที่ภูวัว ไปดูท่ีถ�้ำพระ ท่ีหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ท่านได้สร้างพระไว้ เห็นว่าเป็นท่ียัง
ไมเ่ หมาะสม แลว้ ขา้ พเจา้ จงึ เดนิ ทางไปตรวจดทู ถ่ี ำ�้ บชู า เหน็ วา่ ถำ�้ บชู าเหมาะดกี วา่ ถำ้� พระ จงึ ไดต้ กลงใจ
พกั วิเวกอยทู่ ี่น้ัน
ทีแรกไปอยู่ ยากทจ่ี ะบิณฑบาตถงึ เพราะถ้�ำบชู ากับหม่บู ้านดอนเสียด ซง่ึ เปน็ หมบู่ า้ นท่ใี กล้
ทส่ี ุด หา่ งกนั ประมาณ ๗ กิโลฯ และกไ็ ม่มีหนทางเดินอีกดว้ ย ตอ้ งบกุ ป่าฝ่าดงดอน ไปตามทางสัตว์
นัน่ เอง กวา่ จะถึงหมู่บ้านต้องกนิ เวลา ๒ ช่วั โมงหรอื ๓ ชั่วโมง ดงั น้ัน เม่อื ข้าพเจ้าไปอยู่ทแี รก ครัง้ แรก
บนหลงั ถ้�ำบชู ากับเณรหนึง่ บณิ ฑบาตไม่ได้ พวกชาวบ้านเขาต้องส่งเสบียงอาหาร คือเขาล�ำเลียงกัน
ส่ง ๗ วันตอ่ ครั้งหนง่ึ แลว้ กใ็ หเ้ ณรหุงต้ม เอาผกั ป่านน่ั แหละเป็นอาหาร มพี รกิ มีปลารา้ คลุกเคลา้ กัน
แล้วก็หาเก็บผักหนาม เก็บยอดข่า หรือยอดหวาย มาต้ม มาแกง ฉันพอเยียวยาอัตภาพชีวิตไป
ช่ัววนั หน่ึงๆ
ทีน้ตี อ่ มาเมื่อญาตโิ ยมเขาเสร็จกิจในการงานเขา คอื เกบ็ เกีย่ ว เก็บข้าวเสร็จแล้ว กเ็ ลยพา
ญาติโยมตัดทางจากบ้านดอนเสียดข้ึนภูววั ถ้�ำบชู า ให้รถและเกวียนเดินได้สะดวก พากันบุกเบิกทาง
อยู่ ๓ เดอื นจงึ สำ� เร็จ รถข้ึนได้ จนเปน็ ทางเดนิ ไดส้ ะดวกตลอดปจั จุบนั เดี๋ยวน้ี”
คณุ หมอประพักตร์ โสฬสจินดา ไดเ้ มตตาเลา่ เรื่องทา่ นพระอาจารย์จวนพาญาติโยมบกุ เบกิ
ท�ำถนนไปถ้�ำบชู า ไว้ดังนี้
“ทนี ้กี ็แต่ก่อนน่ีถำ�้ บชู า มันไปได้แหง่ เดียว ขนึ้ ไปทางบ้านทงุ่ ทรายจกน่ีแลว้ เดินประมาณ
๖ ช่ัวโมงจะไปถ้�ำบชู า บ้านดอนเสียดน่ที า่ นอาจารยจ์ วนพ่งึ ตัดทางลงมาประมาณ ๒๕๐๙ ขาออกนี่
แตก่ อ่ นมันไมไ่ ด้ แตก่ ่อนมนั ข้นึ ทางเดยี วทางบา้ นทุง่ ทรายจก บา้ นทงุ่ ทรายจกน่ี ผมกเ็ ดนิ วนั หนึ่งกับ
คืนหนึ่งบางที บางทีกไ็ ปค่�ำตรงบ้านทุ่งทรายจก ทุ่งทรายจก นีเ่ ด้อ ทางขึ้นตรงกอ่ นจะถงึ บา้ นดอนชมภู
นี่เด้อ ออกไปนี่ นี่ก็บา้ นตอ้ ง พอบา้ นต้องกเ็ ลี้ยวซา้ ยกถ็ งึ บา้ นท่งุ ทรายจก
บ้านดอนเสยี ดนม่ี าท�ำถนนทีหลงั ๒๕๐๙ ท่จี �ำได้น่ีเพราะวา่ ตอนที่ผมย้ายไปอยูข่ อนแก่นแล้ว
กผ็ มบอกทา่ นอาจารย์จวนวา่ “ให้รีบตัดถนนมา ผมจะเอารถยนตข์ ้ึนไปเป็นคนั แรกของประเทศไทย”
ผมกเ็ อารถยนต์เอาไปจอดไว้ขา้ งบนเปน็ คันแรกของประเทศ”
204
ประวัติวัดถ้�ำบูชา
วัดถ�ำ้ บชู า (ภวู วั นำ้� ตก ๗ สี) อำ� เภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ นัน้ เปน็ สถานที่สปั ปายะอีกแหง่ หน่งึ
ทคี่ รูบาอาจารยพ์ ระปา่ ผ้ปู ฏิบตั ดิ ี ปฏบิ ตั ิชอบหลายรปู ได้มาพักปฏิบัติบ�ำเพ็ญเพียรภาวนาจ�ำพรรษา
ตลอดจนถงึ อยู่ปกครองดแู ลเปน็ เจา้ อาวาส คอยอบรมสั่งสอนธรรมใหแ้ กพ่ ระ เณร และชาวบา้ นผมู้ ี
ใจใฝ่ในธรรม น�ำพาปฏิบัติไปในแนวทางท่ีถูกท่ีควร โดยมีท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ท่านได้
เดินธุดงค์ปฏิบัติธรรม ต้ังแต่เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๔๒ จากน้ันมามีพระธุดงคกรรมฐานศิษย์สาย
พระอาจารย์ม่ัน ผลดั กนั เดนิ ธดุ งค์มาปฏบิ ตั ธิ รรมและบ้างกอ็ ยู่จ�ำพรรษา เช่น หลวงปูอ่ อ่ น าณสริ ิ
หลวงปฝู่ ้ัน อาจาโร ทา่ นพระอาจารย์มหาสีทน กาญฺจโน ทา่ นพระอาจารยม์ หาทองสุก สุจิตฺโต
(พระครอู ุดมธรรมคุณ) หลวงป่วู ัง ติ สิ าโร หลวงตาพระมหาบัว าณสมปฺ นฺโน ทา่ นพระอาจารย์
จวน กลุ เชฏฺโ ทา่ นพระอาจารยส์ อน อุตฺตรปญฺโ ฯลฯ
บริเวณถ้�ำบูชาอยู่บนผาภูวัว ด้านล่างเป็นน�้ำตก ด้านหลังวัดเป็นสถานท่ีท่ีในอดีตหลวงปู่มั่น
ภรู ทิ ตฺโต เคยปฏิบัตธิ รรม บริเวณยอดภวู วั มีศาลากรรมฐานและทางเดินจงกรม ดา้ นหนา้ ศาลาสามารถ
มองเหน็ น้�ำตกเจด็ สี
บรเิ วณพื้นทหี่ นา้ วดั มี พระรตั นเจดีย์ รูปแบบสถาปตั ยกรรมอีสาน บรรจุพระบรมสารีรกิ ธาตุ
ซึ่งได้รับพระกรุณาจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกทรง
ประทานให้ สามารถมองเห็นเจดีย์ได้จากด้านหน้าทางเข้าวัดและจากทางขึ้นน้�ำตกเจ็ดสีอย่างชัดเจน
พร้อมกันน้ีดา้ นขา้ งของพระเจดยี ย์ งั มศี าลาอเนกประสงค์ เพอ่ื อำ� นวยความสะดวกสำ� หรบั ผมู้ าสกั การะ
องค์พระเจดยี แ์ ละปฏิบตั ิธรรม
ปัจจบุ นั มีท่านพระอาจารย์ทองค�ำ กาจนวณโฺ ณ เป็นเจา้ อาวาส
พรรษา ๒๒ – ๒๕ พ.ศ. ๒๕๐๗ – ๒๕๑๐ จ�ำพรรษาถ้�ำบูชา ตาดสะอาม ภูวัว
ท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ได้เมตตาเทศนเ์ ร่อื งน้ไี ว้ดงั น้ี
“แม้ระยะที่มาอยู่ถ�้ำบูชา บนหลังตาดสะอามตอนต้นๆ จะรู้สึกล�ำบากมาก เพราะเสนาสนะ
ท่ีอยู่อาศัยไม่มี ต้องอาศัยถ้�ำ อาศัยร่มไม้โดยตลอด เวลาอยู่รุกขมูลหรือร่มไม้ ฝนตกหนัก พายุแรง
เพราะเปน็ ทแี่ จ้ง เวิง้ ว้าง กลดมงุ้ จะถกู พัดกระเจิง ถ้าเก็บอัฐบริขารไมท่ นั กเ็ ปียกหมด ตัวเราก็โชกไป
ทงั้ ตวั เวลาอยถู่ ำ�้ อาศยั กนั ลมได้ แตบ่ างครง้ั ฝนตกกระหนำ่� กส็ าดเขา้ ไปในถำ�้ เปยี กหมดเชน่ กนั แตค่ วาม
ลำ� บากทางกายเรานี้กม็ ไิ ด้ท�ำใหย้ ่อท้อ การบำ� เพ็ญภาวนาสะดวกสบาย เป็นท่ีสัปปายะมากอกี แห่งหนึ่ง
และพวกชาวบ้าน ญาตโิ ยมกม็ ีศรทั ธาดี ถงึ วันพระจะขึน้ มาฟงั ธรรมกนั อย่างไมเ่ ห็นแก่ความล�ำบาก
นา่ เห็นใจและอนุโมทนาในความเสยี สละต้งั ใจจริงของเขา ดงั นน้ั ข้าพเจ้าจงึ ตกลงใจอยู่จ�ำพรรษาโปรด
พวกเขาและไดจ้ ำ� พรรษาอยถู่ ึง ๔ พรรษาดว้ ยกนั ต้งั แต่ พ.ศ. ๒๕๐๗ ตลอดไปจนถงึ พ.ศ. ๒๕๑๐
205
สมัยไปอยูภ่ ูววั น่กี ็ถูกฝ่ายเจา้ หนา้ ทีส่ อดแนมอยู่บ่อยๆ เขายงั ไม่ไว้ใจสนิท และขา้ พเจ้าตกลงก็
จ�ำพรรษาทถ่ี ำ้� บูชา ภูววั (ปี พ.ศ. ๒๕๐๗) จ�ำพรรษาปีทแี รกถ�้ำบชู า ภูวัวน้ี มพี ระอยู่ ๕ องค์ สามเณร
๑ องค์ เทา่ นน้ั และภูสิงหก์ ม็ ีพระอยอู่ งค์หนงึ่ ตา่ งองคต์ า่ งแยกย้ายกันหาท่ีวเิ วกตามถำ้� ตามร่มไม้
ตามที่ถูกจริตนิสัยของตน ไม่ข้องแวะกนั มาพบกันเฉพาะเวลาฉันเทา่ นัน้ ปรารภความเพียรกันอยา่ ง
ไม่ประมาท ไดส้ ร้างโรงครัว ศาลาโรงฉันข้างล่าง และชวนพระเณรท�ำบนั ไดขึ้นหนา้ ผา ขนึ้ บนหลัง
ตาดสะอาม เพราะขา้ งบนน้ันเปน็ ชยั ภมู ทิ ีด่ ี เหมาะแก่เปน็ ที่วเิ วกรุกขมูล”
พระพุทธรูปในถ้�ำบูชา – นิมิตเมียในอดีตชาติเกิดเป็นยักษ์
ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศนเ์ ร่ืองนไี้ วด้ ังน้ี
“ถำ้� บูชานี้ แตก่ ่อนมีวัตถุโบราณ มีพระพทุ ธรูปโบราณ ชาวบ้านไปคน้ พบ ก็จะนำ� ไปออกขาย
บ่อยๆ มขี า่ วเลา่ ลอื กนั วา่ แมพ้ ระพุทธรปู ทองค�ำก็ยงั หลงเหลืออยู่ในถ�้ำในเขตภูววั น้ี เพราะพวกพราน
พวกชาวบ้านป่าสมัยโบราณได้เคยหลงทางเข้าไปพบเห็นกันมาแล้ว แต่ไม่มีใครกล้าน�ำออกมา ด้วย
เกรงต่ออำ� นาจเทพารักษ์ทบี่ ำ� รงุ รกั ษาสถานที่เหล่าน้ัน จึงเพยี งโจษขานเล่าให้ลูกหลานฟังตอ่ ๆ กันมา
พวกญาติโยมสมัยนีก้ อ็ ยากจะได้เห็น ได้กราบบชู า จึงมารบเรา้ ขา้ พเจา้ พวกเขาเองช่วยกันค้นหากนั
เทา่ ไรจนเตม็ สตปิ ัญญาแล้วไมเ่ หน็ พบ ขอให้พระ ใหเ้ ณร ช่วยหาดว้ ยกไ็ ม่พบ
วันหนึ่งระหว่างข้าพเจ้าภาวนา ได้นิมิตไปว่าก�ำลังค้นหาพระแต่ไม่เห็น ปรากฏไปเห็นยักษ์
ตนหนง่ึ เป็นยกั ษผ์ ูห้ ญิงรูปรา่ งสูงใหญม่ าก ตัวด�ำสนทิ ผมยาวรุงรงั มีแตผ่ ้าน่งุ เปลอื ยกายทอ่ นบน
ตลอดอกยานใหญ่ ใหญ่จรงิ ๆ ทอ้ งกอ็ ้วนใหญ่ ยืนตระหงา่ นอยทู่ ี่นำ�้ ตกสะอาม ขา้ พเจ้าเห็นยักษ์กเ็ ดนิ
เข้าไปถาม
“ทา่ นมายืนอยู่ท่ีนีท่ ำ� ไม ?”
เขาตอบว่า “ขา้ พเจา้ เป็นยกั ษ์ อยู่ทนี่ ้�ำตกสะอามนี่ ทอ่ี ยู่ข้าพเจ้าอยทู่ ี่น่ี”
“ทำ� ไมจึงเปน็ ยักษม์ าอยู่ท่นี ี่ ?”
“เพราะแตก่ ่อนเคยท�ำบาป”
“เคยทำ� บาปอะไร ?” ข้าพเจ้าซกั
เขาเลยตอบวา่ “ตัง้ แตช่ าติกอ่ น นานมาแล้ว ชาติไหนไม่ทราบ ขา้ พเจ้าไม่มีญาณระลกึ ชาติได้
ชาติน้ันขา้ พเจ้าเกดิ เป็นมนษุ ย์ ข้าพเจ้าเป็นภรรยาของพระคุณเจา้ ข้าพเจ้าเปน็ ผูท้ จุ รติ ประพฤตผิ ิด
มิจฉากาม มีจิตใจนอกรีตนอกรอย ไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี คือ พระคุณเจ้า เป็นคนเล่นชู้ไปคบชายอื่น
นอกใจสามี เป็นคนเกเร และเมื่อเวลาสามีจบั ทจุ รติ ได้ ก็เลยลอ่ ลวงสามี ปกปิดไวว้ า่ ไม่ไดท้ ำ� ไมไ่ ด้ลว่ ง
ประเวณี ดว้ ยบาปอกศุ ลกรรมอันน้ัน ท�ำให้ข้าพเจา้ ตอ้ งมาเกดิ เปน็ ยักษ์อยู่ ณ ทีน่ ้ี”
206
ข้าพเจ้านิ่งฟังด้วยความสลดสังเวชใจในบุพกรรมเก่าของสัตว์โลก เวลานั้นมัวแต่นึกสลดใจ
เลยเผลอไปไมท่ ันคดิ จะถามวา่ เขาตอ้ งใชก้ รรมมาเกิดเป็นยักษ์นานมาเท่าใดแลว้ ไดแ้ ตค่ ดิ ถามเร่อื งท่ี
ญาตโิ ยมรบเร้า
“ทนี่ ่ี ทีถ่ ้�ำสะอามนี้ เขาวา่ มีพระพุทธรปู โบราณอยใู่ ชไ่ หม มีใชไ่ หม ?”
เขาบอกวา่ “มี มีอย่”ู
“ทา่ นรูจ้ กั ไหม ทีอ่ ยูข่ องพระพุทธรูป ?”
เขาบอกวา่ “รูจ้ กั ”
“ถ้างนั้ ชว่ ยบอกได้ไหม ?”
เขาส่ันหนา้ “ไม่บอก”
“ท�ำไมไมบ่ อก ?”
“เพราะข้าพเจา้ เกลยี ดชงั ทา่ น”
“เกลียดชังเราท�ำไม ?”
“เกลยี ดชงั เพราะทา่ นละข้าพเจ้า หยา่ จากข้าพเจ้าไปในคร้งั น้นั ” เขาบอก “พระพทุ ธรปู มอี ยู่
แต่ไมใ่ ห้เห็นหรอก”
ความจริงจะเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ แต่ในนิมิตคร้ังน้ัน ยักษ์ตนนั้นได้บอกข้าพเจ้าเช่นน้ัน
ขา้ พเจา้ ต่นื ขึ้นพจิ ารณาถงึ นิมิตดว้ ยความสลดสงั เวชใจ เลยแผ่ส่วนบญุ ส่วนกศุ ลไปใหเ้ ขา ตงั้ แตน่ ั้นมา
ก็ไมป่ รากฏนมิ ติ เห็นเขาอกี เลย เขาจะพ้นทกุ ข์ไปแลว้ หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ
ส�ำหรับเรือ่ งพระพทุ ธรปู ทองค�ำนั้น ขา้ พเจา้ เลยบอกญาติโยมทกี่ �ำลงั วนุ่ วายไม่เป็นอันท�ำอะไร
นอกจากคอยไปค้นท่ถี ำ้� โนน้ คอยมาคน้ ท่ีถ�ำ้ นว้ี า่ อย่าไปหาเลย ไม่เหน็ หรอก
เขาไม่ใหเ้ หน็ เขาเชื่อกนั หรือไม่กไ็ มท่ ราบ แต่ถึงจะหากนั แทบล้มประดาตายกันอย่างไรก็ตาม
กห็ าไม่เห็นจริงๆ
นเ่ี ปน็ เหตกุ ารณร์ ะหว่างพรรษาทอ่ี ยตู่ าดสะอาม ถ�้ำบูชา จะจรงิ ไม่จรงิ อย่างไร กเ็ ปน็ นิมติ ฝนั
ต่างหากมาเลา่ สกู่ นั ฟงั ”
207
ส�ำนักสงฆ์ภูสิงห์น้อยถูกเผาท�ำลายในปี พ.ศ. ๒๕๐๘
ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ได้เมตตาเทศน์เลา่ เหตุการณ์น้ีไว้ดงั นี้
“ในพรรษาท่ี ๓ ภูสงิ ห์ ท่านพระอาจารย์เพง็ ไปอยู่ ข้าพเจ้าไปอยทู่ ถ่ี �้ำบชู า เป็น พ.ศ. ๒๕๐๖
นี่แหละ มาอยูภ่ ูสงิ ห์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แล้วก็โยกย้ายไปภูววั ถ�้ำบูชา พ.ศ. ๒๕๐๖
ในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๗ มเี หตุเผอิญขึ้นอกี ในภูสงิ ห์ นถ่ี ้าไมเ่ ลา่ กป็ ระวตั จิ ะไม่สมบูรณ์ จงึ ขอ
เล่าเรือ่ งเหตบุ ังเอญิ ในภสู งิ หใ์ หฟ้ ัง คือ ใน พ.ศ. ๒๕๐๗ – ๒๕๐๘ ตอ่ กนั แล้วกท็ ่านพระอาจารยเ์ พง็
เตชพโล เวลานีท้ ่านก็มรณภาพแล้ว ทา่ นอย่ทู ่นี นั้ ในฤดแู ลง้ ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๘ ท่านวา่ จะอยู่
จำ� พรรษาทภี่ ูสิงห์ ทา่ นอยนู่ ั่น
ทีนี้ในสมัยน้ัน ที่ภูสิงห์ใหญ่ ข่าวเล่าลือว่ามีพวกก่อการร้ายมาซ่องสุมอยู่ท่ีภูสิงห์ใหญ่ ทีนี้
ภสู งิ ห์น้อยกบั ภูสิงห์ใหญต่ ิดกัน ฝา่ ยเจา้ หนา้ ทบ่ี า้ นเมืองเขาก็เลยกลัววา่ พระจะเปน็ อันตราย เขาเลย
นมิ นตใ์ หพ้ ระลงจากภสู ิงห์นอ้ ย ไปจ�ำพรรษาทอี่ ืน่ จ�ำเปน็ ท่านพระอาจารยเ์ พ็งกเ็ ลยลงไปจ�ำพรรษา
ร่วมขา้ พเจา้ ท่ีถ�ำ้ บชู า
เมอื่ พระอาจารย์เพ็งลงไปไมก่ ่ีวัน ประมาณ ๔ – ๕ วัน พวกเจ้าหนา้ ทฝี่ ่ายบา้ นเมอื งของเรา
นีเ่ อง ขึ้นไปสำ� รวจท่สี �ำนกั สงฆอ์ ยูจ่ ำ� พรรษามาแล้ว ๒ ปี เห็นว่า ที่กุฏิพระ คือ กระทอ่ มพระจะเป็น
ท่อี าศัยของพวกกอ่ การรา้ ย ตกลงพวกเจ้าหน้าท่ีฝา่ ยบ้านเมืองของเรานแ่ี หละ พวกลาดตระเวนสมยั น้นั
ก็เลยเอาไฟจุดกุฏิพระหมดทุกหลัง แม้โอ่งน�้ำก็ทุบทิ้ง แม้พวกพืชผลที่ปลูกไว้ในวัด เช่น มะม่วง
ล�ำไย และมะนาว มะพร้าว ตลอดถึงกลว้ ยและตน้ มะละกอ หวาย พรกิ เราน่แี หละ เขาทำ� ลายหมด
ตดั ทง้ิ หมด แมแ้ ต่น�ำ้ บ่อเขาก็ถมและท�ำลายอกี ด้วย
ส่วนกุฏิพระท่อี าศยั เขาก็เผากันหมด ท�ำลายกันหมดไม่มเี หลือหลอ แม้บริขารของพระยังไม่ไป
เก็บเอา เชน่ ผ้าไตรจีวร และหนังสือ ตลอดถงึ พระพุทธรปู ก็ถกู ไฟเผา ในสมัยน้นั แลว้ กท็ ราบขา่ วจาก
ชาวบ้านวา่ พวกทหารฝา่ ยบา้ นเรานีเ่ องมาเผา ดังน้นั แล้วกเ็ ร่อื งน้ี ข้าพเจ้ากไ็ มเ่ อาเรื่องอะไร ปลอ่ ยให้
เป็นไปตามหนา้ ที่ของเขา แล้วก็แล้วกนั เท่าน้ัน เพราะบาปแก่ผู้ท�ำ กรรมแก่ผกู้ ่อขน้ึ ต่างหาก เราไม่มี
เรือ่ ง อยา่ ไปกอ่ ความเดือดรอ้ นและวุน่ วายให้แก่ใครๆ”
พ.ศ. ๒๕๐๘ หลวงปู่ลี กุสลธโร เคยมาปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่จวน
คณุ หมอประพักตร์ โสฬสจนิ ดา ได้เมตตาเลา่ เรื่องหลวงปูล่ ี กสุ ลธโร วัดปา่ ภผู าแดง อำ� เภอ
หนองวัวซอ จังหวดั อุดรธานี เคยอยู่รว่ มปฏิบตั ธิ รรมกบั ทา่ นพระอาจารย์จวน กลุ เชฏฺโ ดังนี้
“มนั มอี งค์ทยี่ ังเหลอื อยู่ คอื หลวงป่ลู ี ถ�้ำผาแดง ท่เี คยอยู่รว่ มปฏิบัติธรรมกับทา่ นอาจารยจ์ วน
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ผมก็มาสนิทกับหลวงปลู่ ี ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ นีล่ ่ะ จนทุกวันน้ี ปีนัน้ ท่านพรรษาน้อยอยู่
208
ฉันข้าวเสรจ็ ก็คยุ กันธรรมดา เพราะวา่ ต่างคนกต็ า่ งใหม่ พอวา่ งเจอกันก็ชงน�้ำร้อนน้�ำอะไรใหท้ า่ นฉนั
ท่านก็ว่า “ปีนี้โต (เจ้า) ไปเย่ียมเราหนอ่ ยเด้อ (นะ)”
ถ�้ำบูชาถูกท้ิงระเบิดในปี พ.ศ. ๒๕๐๙
ท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศน์เลา่ เหตกุ ารณน์ ี้ไว้ดังนี้
“การมาจ�ำพรรษาที่ถ�้ำบชู า ภูววั น้ี ดงั ได้กล่าวแล้วว่า ข้าพเจ้าออกมาแตเ่ มื่อออกพรรษาของ
ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ อยวู่ เิ วกตามถ�้ำตามเง้อื มเขา และรม่ ไม้พอดพี อสมควรแล้ว จึงเร่ิมท�ำเสนาสนะ ยกแคร่
สร้างกระท่อม กฏุ เิ ป็นทีอ่ าศัย มโี รงครวั โรงฉัน เพิม่ ขึ้นเป็นลำ� ดับ พระเณรกม็ าอยจู่ �ำพรรษาเพิม่ ขนึ้
โดยเห็นเป็นที่สงัดเงียบอยู่ในป่าดงพงลึก เหมาะแก่การบ�ำเพ็ญภาวนากรรมฐาน ไม่เป็นท่ีคลุกคลี
พลุกพล่าน ถงึ กาลอนั ควรพวกศรัทธาญาตโิ ยมกจ็ ะมาฟังเทศน์ รบั การอบรม สว่ นเวลาปกตธิ รรมดา
พระเณรกม็ เี วลาเพอ่ื การปฏบิ ัติธรรมบำ� เพญ็ ความเพียร ตามโอกาสวาสนาของตน มีความสงบสันตกิ ัน
มาโดยตลอด
เม่อื จ�ำพรรษาท่ภี ูวัว เริ่มแต่ พ.ศ. ๒๕๐๖ พรรษา พ.ศ. ๒๕๐๘ – ๒๕๐๙ ชักจะมอี นั ตราย
ข้ึนเสยี แล้ว คอื พรรษา พ.ศ. ๒๕๐๙ นเี่ อง ปีท่นี �้ำท่วม แมน่ �้ำโขงข้ึนมาท่วม ปนี ั้นฝรั่งมันไปโยนระเบดิ ที่
ถำ�้ บูชา ๖ ลกู ระเบดิ ทำ� ลาย ข้าพเจ้าวดั โดยตรงเมตรยส่ี บิ วดั โดยยาวเมตรยี่สบิ ในลูกระเบดิ ท�ำลายน้ัน
ซง่ึ ไมห่ ่างจากถ้�ำบชู า และไม่หา่ งจากโรงฉนั
ในคนื วนั นน้ั ฟา้ ฝนตกและฟ้ากค็ ะนอง มีลม เขาทิ้งลง แตกแต่ลกู หนึง่ เปน็ ลกู ระเบิดไฟ
ส่วนลูกระเบิด ๕ ลูกท�ำลายน้ันไม่แตกสักลูก และก็ไม่มีใครได้ยินเสียงในขณะน้ัน ไม่รู้ว่าเขาทิ้ง
ลกู ระเบิด อยู่มา ๓ วนั ตดิ กันน่นั แหละ โยมข้ึนไปจงั หนั และฤดนู ้ันเป็นฤดูท่ีฝนก�ำลงั จะเรมิ่ ตก จะเป็น
เดอื นมิถุนายน หรือเดอื น ๗ โยมเขาไปหาเกบ็ เหด็ กเ็ ลยไปเห็นลูกระเบดิ เมอื่ โยมเหน็ ลกู ระเบดิ เขาจึง
มาแจ้งให้พระทราบ พระกเ็ ลยไปตรวจดู ก็รวู้ ่าเป็นระเบิดท�ำลาย มอี ยู่ ๕ ลูก
พบคร้ังแรกเป็นลูกระเบิดเพลิง ๑ ลูก ระเบิดแล้ว ส่วนอีก ๓ ลูก เป็นลูกระเบิดท�ำลาย
ขนาดใหญ่ยังไม่ระเบดิ เขาจะมาวาง มาปลดทิง้ เพ่อื สิง่ ใดไมท่ ราบ แลว้ ขา้ พเจา้ ก็ให้ผ้ใู หญบ่ า้ นเขา
รายงานไปทางอำ� เภอ ทางอ�ำเภอกร็ ายงานไปถึงจงั หวดั และรายงานไปถึงกรมทหารท่อี ุดรฯ ให้ฝรง่ั
ทหารอเมรกิ นั ผมู้ าท้งิ ระเบิดทราบ ให้ฝรัง่ เขามาท�ำลาย วันหลงั กพ็ บอีก ๒ ลูก เปน็ ลูกระเบดิ ท�ำลาย
ขนาดเดียวกันและยงั ไม่ระเบดิ เหมือนกัน ทางวัดกไ็ ดร้ ายงานไปตามล�ำดบั เชน่ เดยี วกัน
ผลสุดท้ายทางทหารที่อุดรฯ และฝรั่งทหารอเมริกันก็เดินทางมาส�ำรวจดู ฝร่ังเขามานอน
ทำ� ลายลูกระเบิดท้ัง ๕ ลกู นัน้ นอน ๒ คนื ทีถ่ ำ้� บชู า เขาเอาเฮลคิ อปเตอรไ์ ปลงท่ีบนพลาญหินหลัง
ถ้�ำบูชาน่ันเอง จึงได้จัดการน�ำเอาลูกระเบิดท่ียังไม่ระเบิดเหล่านั้นขึ้นมาท�ำลายได้หมด เวลาจะให้
ระเบดิ ท�ำลาย เขาตอ้ งให้พระเณรหลบไปในถำ�้ นอนราบกบั พืน้
209
ข้าพเจ้าไมไ่ ด้ไต่ถามวา่ “เขามาโยนมาปลดทิ้งระเบิดกนั ทำ� ไม ?”
แต่ได้ยินพวกขา้ ราชการพูดกนั วา่ “ธรรมดาเม่อื เครอ่ื งบินอเมริกนั ไปทิ้งระเบิดทเ่ี วียดนามเหนอื
ถา้ มีลกู ระเบดิ เหลือติดเคร่ืองบินอยู่ กจ็ ะต้องสลดั ทิ้งตามปา่ เขาให้หมด มฉิ ะนั้นจะมอี นั ตรายเวลาน�ำ
เครอ่ื งบินลงสู่สนามบนิ ทตี่ ้ังฐานทัพ” เขาคงจะคิดว่า ปา่ แถวภวู วั เป็นท่ีท่ีไมม่ ผี ู้คนอาศยั ก็ได้ จงึ ไดส้ ลดั
ลกู ระเบดิ ลง สว่ นท่ีลกู ระเบิดทำ� ลายท้ัง ๕ ลกู ไม่แตกระเบิด เมอ่ื ตกลงมาถงึ พื้นดิน เพราะเหตใุ ดน้ัน
ข้าพเจ้ากไ็ ม่ทราบเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะอ�ำนาจคณุ พระรัตนตรยั คุ้มครองกไ็ ด้
หลังจากนั้นก็ได้รับค�ำเตือนกันเนืองๆ ว่าท่ีภูวัวไม่เป็นที่ปลอดภัย ควรจะอพยพโยกย้ายหนี
ไปจ�ำพรรษาที่อ่ืน แต่พระเณรก็ยังคงปฏิบัติสมณธรรมไปตามสมณเพศวิสัย เร่งความเพียรกันตาม
สติปัญญาความสามารถของแตล่ ะคน”
ท่านพระอาจารย์จวนให้เบอร์แม่น
คณุ หมอประพักตร์ โสฬสจินดา ได้เมตตาเล่าเรอ่ื งนไี้ ว้ดังนี้
“คือตอนทไี่ ปรจู้ กั ครั้งแรกทถี่ �ำ้ จนั ทน์ ที่หลอกเอาพวกน้นั ไปว่าจะถามเบอร์ โอ้ ! ทา่ นดา่ ผม
ผมเกือบไม่ไปอกี เลยนะ แต่กอ่ นเขาลอื วา่ ท่านท่ีหนง่ึ เลย จากท่ีวนั ไปน้นั พอดีก็สะกิดละ่ “ถามแหน”่
ทา่ นว่า ไอ้เราก็ถาม “โอ้ ! อาจารยน์ ิมติ ดบี ้างหนอ ?” โอ้ ! ทา่ นดา่ เราน่ี ทา่ นว่า “คุณหมอ ทีค่ ณุ หมอ
มาน้ี อาตมานกึ ว่าคณุ หมอจะมาดงึ อาตมาขน้ึ มาจากบ่อนำ้� กลบั มาถีบลงซะ”
อู้ ! เรา จ๊ๆุ ๆ ตายล่ะ แต่ใจจรงิ ตอนนัน้ กไ็ ม่มเี ร่อื งน้เี ลย แตเ่ พอื่ เขา กพ็ วกนมี้ ันหาบของมาน่ี
เดินเปน็ วนั ต้องมอี ะไรล่อ ถงึ จะไดใ้ ช่ไหม ยงั มาจากศรีวไิ ล พากนั เดนิ มาถ�้ำบูชานวี้ นั หน่ึงเต็มๆ น่ี
มันตอ้ งมอี ะไร บอกไปวา่ “ขากลับ ท่านจะใหค้ วามฝัน (เบอร)์ อย่างง้นั อยา่ งงี้” เราก็บอก เพราะว่า
ท่านอาจารย์จวนทา่ นก�ำลงั จะทำ� ศาลา ตอ้ งการคนมาตดั เสา ก็บอกไป บึงกาฬเรากเ็ อาคนมาทีละ
๑๐ – ๒๐ คนใชไ่ หมล่ะ มาลงเป็นฝูง
พอพวกนนั้ ไปนอนป๊บั นะ เราเลยกราบทา่ น เราบอก “อาจารย์ ผมมาหาอาจารย์ ผมไม่มี
ความคดิ ถึงเรื่องนเี้ ลย ทำ� เพื่อคนอ่ืน” กเ็ ลยพูดไปเรอ่ื งอืน่ ท่านกอ็ วดเก่งไปกว่าเกา่ ยิ่งกวา่ ละ่ ทีนี้
“โอย๊ ! หมอเอย๋ วะ” ถา้ เป็นสมัยเกา่ นะ บัตรเบอรม์ นั ออกแลว้ ใสต่ ลับ เหมือนจับย่ีกีละ่ เนาะ แขวนไว้
“ถ้าทายผิดทีละงวด เอาไปฆ่าทิ้งเลย” เราถึง อู้ ! มันของจริง แต่ก่อนมันออกทุกวันเนาะ ไอ้ท่ี
หวย กข ล่ะเนาะ ทา่ นบอกว่า “ถา้ ทายผิดกเ็ อาไปฆา่ เลยน่ะ”
ไอเ้ ราก็กราบปั๊บ สาบานเลย “ตอ่ ไปนี้ผมจะไมข่ อเรือ่ งนีก้ บั ท่านอีกเลยครับ” ถงึ แมท้ ่านจะ
บอกผม ผมก็จะไม่เอาเลย เพราะวา่ ความผูกพันท้งั น้นั เรากพ็ อไปตดิ กบั อาจารย์กงมา ทา่ นก็เคย
พูดอยา่ งน่ี แต่เราก็ไม่อยากยงุ่ แตว่ ่านายกเทศมนตรีท่านก็ชอบเล่นบตั รเบอรอ์ ยู่ ท่ีเอาผมไปนะ
อาจารย์กงมาล่ะน่า ผมกไ็ ป เราเลยสาบานว่า “อาจารย์ ถึงอาจารยบ์ อกผม ผมกจ็ ะไม่เอาละ่ น่ะ”
210
ต้ังแต่ทา่ นด่าผมอยา่ งนน้ั ล่ะ
พอทีน้ี พอสดุ ทา้ ยอดไม่ได้ ตอนท่จี ะจากกนั น้ีแหละ ผมกเ็ ล่นเบอร์ (คณุ หมอหวั เราะ) ตอน
ปี ๒๕๐๙ เรากอ็ ยากจะย้ายเขา้ กรุงเทพฯ ล่ะเนาะ มาลา คนสมัยเก่าขา้ ราชการนี้ พอยา้ ยปั๊บ มนั ตัด
เงินเดือนไปกอ่ นเลย โอย๊ ! หา่ งกนั สามสี่หา้ เดอื น เราก็ไมม่ เี งนิ ใชไ่ หม ? ไม่ร้เู งนิ เดอื นไปอยไู่ หนหมดน่ี
สมยั เกา่ พอยา้ ยข้าราชการปั๊บ เงินเดือนมนั ตดั ไปส่วนกลางนนู่ เลย ไปเบกิ อยทู่ ี่กรงุ เทพฯ เรากไ็ อห้ ่า
ตาย กูตายเลย กูตายพอดี ชะงกั เลย ก็เลยตัดสนิ ใจมาลา มาลาที่ถ้�ำบชู านี่
ทีน้ีผมก็เสยี ใจอยอู่ ยา่ งเดยี วว่า ทำ� ไมถงึ ยา้ ยหนไี ปจากท่าน เพราะวา่ ตอนผมมาอยู่นีป้ ี ๒๕๐๓
เงินเดือนมนั เต็มแลว้ เต็มอยู่ตง้ั ๕ ปี ทนี ี้แตก่ อ่ นถ้าไม่ได้ชัน้ โท เงนิ เดอื นก็ไมข่ ึน้ ตอ่ ไป กเ็ ลยหนีไป
ไปถงึ ก็กราบ “อาจารย์ ผมมาลาอาจารยแ์ ล้วนะ” ว่า “เอ้า ! หมอจะไปไหน” “ผมกอ็ ยากจะย้ายเขา้
กรงุ เทพฯ ล่ะครับผม” “เอ้า ! อยู่กบั เราละ่ เป็นอยา่ งไรล่ะทนี ้ี ร่�ำรวยมันไมใ่ ช่เรอื่ งยากดอก” ทา่ นวา่
เราบอก “อู้ ! อยู่ไม่ได้ล่ะอาจารย์ รุ่นเดียวกันน่ีเขาเงินเดือนไปไกลกว่าผมนี้ ผมนี่เงินเดือนเดิม
มาตงั้ แต่ปี ๒๕๐๓ น้ี ๒๕๐๙ ยงั เท่าเก่า รบั มา ๑,๑๖๐ บาทอยู่” ผมก็ว่า “โอ๊ย ! ไม่ไหวละ่ อาจารย์
ผมไปละ่ ทนี ”้ี ก็เลยวา่ “แลว้ หมอจะเล่นไหมละ่ ” “ผมจะเล่นเบอรล์ ะ่ นี่”
“เอ้า ! หมอมเี งนิ เทา่ ไรจะเลน่ ” “ถ้าผมมเี งนิ สกั ๒๐๐ กว่าบาท ผมสจิ ะเลน่ ” เออ ! ทา่ น
ถามวา่ “หมอจะซอ้ื เทา่ ไร ?” “ครงั้ แรก ผมสิเอาสักตัวละ ๑๐๐ กว่าบาทก็พอ ไม่เอามากละ่ อาจารย์
กลัวมนั จะไม่ถกู ” พอดที ่านเดินไปปบั๊ มนั เป็นพน้ื ทรายละ่ นะ จากเนินฉนั ขา้ งลา่ งไปขา้ งบน ถำ้� สะอาด
เนาะ ท่านก็ถอดรองเท้าออกใช้หัวน้ิวโป้งเขียนพื้น ๕๐ อันนี้ท่านเขียน “อย่าบอกใครนะ” เออ !
ท่านฝันไว้ต้ังแต่กลางคืนล่ะ วันนี้พอเดินไปหน่อย เราเอ๊ะ ! “อาจารย์ ๒ ตัวน้ีมันลงทุนมากนะ
อาจารย์ ๓ ตัวมนั ได้มากกว่านะอาจารย”์ ท่านกเ็ ขยี น ๙๕๐ แล้วกล็ บปบ๊ั “อย่าบอกใครนะ” อยู๊ !
เราก็ดใี จ “บะ๊ ! กลับไปคงจะรวยตาย” นึกในใจนะ
กลางคืนท่านนมิ ติ อกี วา่ เอาธนูน่ีให้ผม ๕๐ ลกู ไปยิงคนอดุ รฯ กับคนสกลฯ น้ี ตายหมด
ทัง้ เมืองเลย ร่งุ เชา้ มา เอาแลว้ นะทนี ี้ ประกาศเลยวา่ “แลว้ พระบอกอะไรอย่าไปเชื่อนะ ไม่ถูก แท้ๆ
มัน ๔๖ นะ” ท่านวา่ ไอเ้ ราไม่ไปลา ท่านถาม “หมอ ท�ำไมไม่ไปลา ?” “ไมๆ่ ๆ ผมกลัวเปลีย่ นเลข”
หวยในงวดน้นั ไม่มีใครถกู เพราะซอ้ื เลข ๔๖ มีคณุ หมอประพกั ตร์ถกู คนเดียว ถกู หวยเลข ๙๕๐
และ ๕๐ ต้องได้เงินหมน่ื กว่าบาท แตถ่ ูกโกงไปสว่ นหนงึ่ จงึ โมโหเอาเงนิ ทถ่ี ูกส่วนหน่ึงไปซือ้ ของท�ำบุญ
ถวายวดั และท่านพระอาจารยจ์ วนก็สง่ั วา่ “โอ้ ! หมอได้โชคพอดี ยังไมไ่ ดเ้ นาะ ต่อไปหมอเลิกนะ
อยา่ เลน่ ต่อไป เพราะหมอไมม่ โี ชคทางนด่ี อก”
211
ปี พ.ศ. ๒๕๑๐ หลวงปู่ขาวคราวอาพาธหนัก
เรื่องหลวงปูข่ าว อนาลโย คราวปว่ ยอาพาธหนัก องคห์ ลวงตาพระมหาบัว าณสมปฺ นฺโน
ได้เมตตาบนั ทกึ เรอ่ื งนไ้ี ว้ดงั นี้
“เมื่อหลวงปู่ขาวท่านเริ่มอาพาธ และผลท่ีเกิดจากการอาพาธของท่านต่อวัดถ้�ำกลองเพล
เร่มิ แตว่ นั ท่ี ๑๘ มกราคม ๒๕๑๐ หลวงปเู่ ริ่มปว่ ย ข้ันเริม่ แรกกเ็ ปน็ ไข้หวัด แต่อาการของหวดั นน้ั
ผันแปรไปในแง่ต่างๆ ท่ีจะยังโรคอื่นๆ ให้แทรกซ้อนและก�ำเริบรุนแรงไปตามๆ กัน หนักเข้าจนฉัน
ไม่ได้ เรมิ่ แรกเป็นไข้หวดั ใหญท่ ยี่ งั ไมแ่ ปรเปน็ โรคอนื่ ๆ หลายชนดิ ในธาตขุ ันธน์ ัน้ ท่านยังอุตสา่ ห์ลงไป
ฉนั จังหนั ร่วมพระเณรในวัดท่ีหนา้ ถ้�ำกลองเพลไดต้ ามปกติ ในสายตาคนภายนอกก็อาจคิดวา่ ท่านมไิ ด้
เป็นอะไร นอกจากโรคชราประจ�ำคนแก่อย่างเดียวเท่าน้ัน แต่เพราะโรคก�ำเริบแปรเป็นอย่างอ่ืนไป
ไม่มีสน้ิ สุด ก�ำลังธาตขุ ันธก์ ็ทรุดลงทกุ วนั เวลา จนไมส่ ามารถไปฉันร่วมหมคู่ ณะทถี่ ำ�้ ได้ ท่านยังยอมอด
ยอมทน และฝืนฉัน แม้จะได้เล็กๆ น้อยๆ ที่กุฎีท่านเอง จนฉันไม่ได้ ก�ำลังอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
การพลิกแพลงอวัยวะจ�ำต้องมีพระเณรคอยดูแลอุปฏั ฐากตลอดเวลา
ข่าวคราวความไม่สบายของหลวงปู่กระจายไปถึงไหน คลื่นมนุษย์ ประชาชน พระ เณร
มาถงึ นนั้ อยา่ งรวดเรว็ เพราะตา่ งคนตา่ งมจี ติ ใจใฝฝ่ นั ยดึ มน่ั ในองคท์ า่ นเปน็ ทฝี่ ากเปน็ ฝากตายภายในใจ
อยา่ งแนบสนทิ อยแู่ ลว้ เมอ่ื ทราบขา่ ววา่ ทา่ นไมส่ บาย กจ็ ำ� ตอ้ งสะเทอื นใจอยา่ งหนกั ราวกบั ฟา้ ดนิ ถลม่
ข้ัวหัวใจจะขาดหายไปจากร่างในเวลานั้นจนได้ นับแต่ข่าวนั้นผ่านเข้าความรู้สึก ต่างก็หล่ังไหลมา
ทุกทศิ ทุกทาง ท้งั ประชาชน ทั้งพระเณรจากทศิ ต่างๆ ทั้งใกล้และไกล ต่างหลั่งไหลมาเย่ียมอาการ
ของทา่ นดว้ ยความกระหาย อยากพบ อยากเห็น อยากกราบไหว้บูชา เปน็ ขวัญตาขวญั ใจ ในขณะท่ี
เข้ามากราบไหว้ท่าน
วัดถ้�ำกลองเพลในช่วงท่ีท่านป่วยนั้น จึงเป็นเหมือนมีงานในวัด แออัดไปด้วยผู้คนหญิงชาย
พระ เณร แลฆราวาสที่มาจากที่ต่างๆ จนทางวัดไม่อาจรับรองได้ทั่วถึง ท้ังท่ีพักหลับนอน อาหาร
การบริโภค ต่างให้ชว่ ยตัวเองบ้าง ช่วยกนั เองบ้าง ในเวลาขาดแคลนจ�ำเป็น เพราะวัดก็เปน็ สถานที่อยู่
ของนกั บวช ผ้ขู อทานชาวบา้ นมาฉัน มใิ ชส่ ถานท่ีอยู่ของมหาเศรษฐี ซง่ึ ต่างก็ทราบกนั อย่แู ล้ว แต่ก็
ดอี ยา่ งหนึ่ง ทวี่ ัดถำ�้ กลองเพลมบี รเิ วณอันกวา้ งขวาง และเต็มไปดว้ ยปา่ ดว้ ยเขา รม่ ไม้ เงอ้ื มผาต่างๆ
การพักอยู่หลับนอนจึงสะดวก โดยยึดเอาป่าเขาร่มไม้ในบริเวณวัดเป็นที่พักผ่อนหลับนอนเลยทีเดียว
อยา่ งสบายหายห่วง เปน็ ความสะดวกทงั้ พระ เณร และประชาชนจ�ำนวนมาก ท่ีมาพักเย่ยี มอาการทา่ น
ชั่วคราว
เฉพาะอาหารการบิณฑบาตส�ำหรับพระ เณร และประชาชน แทนท่ีจะอดอยากขาดแคลน
เพราะคนมากด้วยกัน แต่ก็มีอุดมสมบูรณ์ แต่ต้นชนปลายท่ีท่านป่วยซ่ึงเป็นเวลา ๔ เดือนกว่า
ไมบ่ กพรอ่ งขาดเขนิ เลย นบั ว่าเปน็ เร่อื งอศั จรรย์ในบญุ วาสนาบารมีของหลวงปู่ท่านคุ้มครอง แม้ผูค้ น
212
พระเณรจ�ำนวนมากท่ีมาคละเคล้ากัน ก็เป็นประหนึ่งลูกของพ่อแม่เดียวกัน หรือเป็นเหมือนอวัยวะ
อันเดียวกัน อยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุข ไม่มีอธิกรณ์หรือเร่ืองราวใดๆ เกิดขึ้นเลย ต่างมีใบหน้า
ย้มิ แย้มแจม่ ใส พบปะทักทายกนั อย่างนมุ่ นวลออ่ นหวาน ราวกับเคยพบเหน็ และสนทิ สนมกนั มาเปน็
เวลานานปี
เร่ิมแรกท่ีท่านป่วย ทางวัดและครูอาจารย์ทั้งหลายปรึกษากันไว้เกี่ยวกับผู้คนพระเณรมามาก
อาจเกิดความไม่สงบขึ้นได้ พร้อมกับความเข้มงวดกวดขันพระเณรที่ก้าวเข้ามาในวัด เพ่ือรักษา
ความสงบในหมู่คณะท่ีเข้าเก่ียวข้อง กันไว้ไม่ประมาท เรื่องราวก็ผ่านไปด้วยความสงบราบร่ืนดีงาม
ทุกประการ น่าอนุโมทนาอย่างย่ิง ไม่น่าจะหลงลืมได้ลงคอในชีวิตของผู้เขียน (องค์หลวงตา) และ
ทา่ นผู้เคยไดพ้ บเหน็ เหตุการณน์ ้ดี ว้ ยกัน
หลวงปฉู่ ันไมไ่ ด้และทอดลงโดยล�ำดบั ประชาชนพระเณรย่ิงหลง่ั ไหลมาทุกทศิ ทกุ ทาง ระยะท่ี
ท่านป่วยนับแต่เร่ิมต้นป่วยหนัก ผู้เขียนก็มาอยู่กับท่านเป็นประจ�ำ หลายวันจะกลับไปค้างวัดสักคืน
สองคืนก็ตอ้ งรบี กลบั มา ท้งั นี้เพราะเป็นหว่ งทา่ นมาก และเพ่ือความสงบเรียบร้อยในด้านอ่นื ๆ แต่ก็
เดชะบารมีของหลวงปทู่ ่านคุม้ ครองรักษา สถานการณ์ทกุ ด้านสงบเรียบร้อยดี”
ท่านพระอาจารย์จวนปฏิบัติต่อหลวงปู่ขาวคราวอาพาธหนัก
พระญาณสทิ ธาจารย์ หรือ หลวงปทู่ องพลู สิรกิ าโม ได้เมตตาเลา่ ถึงความละเอยี ดลออที่
หลวงป่จู วน กลุ เชฏโฺ ปฏิบัตติ ่อหลวงปขู่ าว อนาลโย ผเู้ ปน็ พ่อแม่ครูอาจารยข์ องทา่ น ในคราว
อาพาธหนกั ไวด้ งั น้ี
“เราจะขอเล่าถึงความละเอยี ดที่หลวงปู่จวนปฏบิ ตั ติ อ่ พอ่ แม่ครอู าจารย์ ณ วัดถ�้ำกลองเพล
ตอนที่หลวงปขู่ าวอาพาธหนกั พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๐ เช้าวันหนึง่ โยมพ่อตัน บารมี มาถวายฉนั จังหนั
ท่านหลวงปู่จวนท่ีวัดถ้�ำบูชา เสร็จจังหันแล้ว จึงกราบเรียนหลวงปู่จวนว่า “ขอโอกาสท่านอาจารย์
พระครูบาอาจารย์ มีหลวงพ่อเพ็ง หลวงพ่อจันทา ให้มารับท่านอาจารย์ไปวัดถ�้ำกลองเพลด่วน
หลวงป่ขู าวคงจะไม่รอดแลว้ ”
ท่านก็กล่าวว่า “เรายังไม่ได้สั่งลาญาติโยม จะไปได้ยังไง เขาเอาข้าวมาให้กิน ไม่บอกเขา
มันไม่สมควร ให้เขาขึ้นมาซะก่อนวันพรุ่งน้ี จะได้สั่งมอบหมายให้เขาทราบ ของมันก็มีอยู่ในศาลา
เขามาทงิ้ ไวใ้ ห้พ่อขาวท�ำกับขา้ วให้ มเี กลอื พรกิ ปลารา้ พรุง่ น้บี อกลาเขาก่อนจงึ จะไป”
คอื ท่ีทา่ นใจเยน็ อยู่ เพราะทราบภายในวา่ หลวงป่ขู าวจะยงั ไม่ละสังขาร สมัยกอ่ นระยะทาง
๘ กโิ ลเมตร เฉพาะทางเดนิ ลอดปา่ ลอดดงไป ถ้�ำบชู านที้ ่านและญาตโิ ยมมาถางเอาใหม่หมด ค่อยทำ�
คอ่ ยเซาะ คอ่ ยสร้าง เดนิ มามีแต่ลอดปา่ ลอดดงไป บางแห่งต้องลอดขอบ เดินบณิ ฑบาตก็มาเจอช้าง
เอากระบอกไม้ไผม่ าเปา่ ใหเ้ กดิ เสยี งดัง (เปา่ โหวด) ชา้ งมนั จะหลีกทางไป จนไปบอกพวกอุปฏั ฐาก
213
ผ้ดู แู ล ยามวนั พระเขากห็ าบขา้ วสารข้ึนไปไว้ พริก เกลอื ปลาร้า ไปทิ้งไวใ้ นครัว มแี ต่ตาปะขาว
เณรก็ไมม่ ี ถึงมกี ็หนหี มด ไขต้ ายหลายองค์แลว้ ตายไป ๒ องคท์ ่ถี �้ำบชู า พระอาจารยส์ ุพัฒน์ สุขกาโม
กม็ าเปน็ ไข้มาลาเรียเกอื บตายอยทู่ น่ี ่ี
พอรงุ่ เชา้ อีกวัน หลวงปู่จวนจึงส่งั ญาตโิ ยมวา่ “อาตมาจะไดไ้ ปอปุ ถมั ภ์อปุ ฏั ฐากหลวงปู่ขาว
หลวงปู่ขาวอาพาธหนกั โยมเขามารบั เอา”
โยมพ่อตัน บารมี จึงกราบเรียนหลวงปู่จวนว่า “หลวงปูส่ ง่ั ให้เขาเตรียมโลงไว้แล้ว หลวงพ่อ
เพ็ง (หลวงปูบ่ ุญเพ็ง เขมาภิรโต) ครบู าอาจารย์หลายองคต์ า่ งลงมตใิ ห้เลอ่ื ยไมไ้ ว้ท�ำโลงศพ แลว้ ให้
ตาชาลีเอาลงแล็กเกอร์เอาไว้หลังศาลา เวลาท่านหมด (มรณภาพ) ก็จัดการโลด หลวงพ่อขาน
(หลวงปขู่ าน านวโร) กอ็ ยูน่ ัน่ ทา่ นก็ไมไ่ ด้ว่าอะไร บดั น้พี วกหนึง่ กล็ งมตวิ า่ จะเอามาเขา้ โรงพยาบาล
คณะสงฆ์ คณะลูกศิษย์ลูกหาให้เอามาโรงพยาบาลอุดรฯ มติสงฆ์บอกว่า รอหลวงปู่จวนมาก่อน
ถา้ หลวงปจู่ วนลงมตเิ ห็นด้วยกเ็ อาหามข้นึ ใส่รถไปโรงพยาบาลเลย”
เม่ือหลวงปู่จวนท่านทราบเร่ืองเป็นอย่างดีแล้ว ท่านจึงเดินจากถ�้ำบูชามาถึงอ�ำเภอศรีวิไล
มืดค�่ำแลว้ ไม่มีทางรถ มานอนวัดหลวงป่โู ก้ วดั ศรีวิไล (วัดศรีชุมภพู รญาณสงั วราราม) ตื่นมาตอนเชา้
จงึ เดนิ ทาง ทา่ นเหมารถปคิ อัพสองแถวนอ้ ย มาถึงวัดถ้�ำกลองเพลบ่าย ๔ โมง เขา้ ลงมติในท่ปี ระชมุ
หลวงปู่จวน ทา่ นก็กล่าวว่า
“โอย้ ! ท่านเหลือแต่ลมแล้วจะเอาไปยงั ไง อย่าให้ท่านทรมานมาก เราขอคดั ค้านไมใ่ ห้เอาไป
ให้เอาไว้ท่ีถ�้ำกลองเพล ไม่ให้เอาไป” ท่ีประชุมจึงมีมติถาม ถามองค์น้ันองค์น้ี ก็ให้เอาไป เอาไป
สว่ นมากใหเ้ อาไปเกอื บทง้ั หมด พระองคอ์ นื่ ใหเ้ อาไปหมด ยงั เหลอื อกี รปู หนงึ่ ทเี่ หน็ ดว้ ยกบั หลวงปจู่ วน
คอื หลวงพ่อขาน านวโร ทา่ นกล่าววา่
“โอ้ ! ไมค่ วรเอาไป ท่านเกือบแล้ว เต็มทีแ่ ล้ว รกั ษาจนหมดความสามารถทำ� ยังไง ก็ใหอ้ ยใู่ น
ถำ้� กลองเพลนแ่ี หละ”
และหลวงปู่จวนทา่ นบอกยำ�้ ชดั ว่า “ไมเ่ อาไป ถ้าท่านรอดมาได้กเ็ ปน็ บญุ กศุ ล รอดไมร่ อด
กค็ วรเอาไว้ หบี ศพทที่ ำ� ไว้แลว้ นนั้ ให้เอาซอ่ นไวก้ ่อน อย่าเอามาโชว์ไว้นี่” หลวงปู่จวนทา่ นกลา่ วขนึ้
เสยี งดังฟงั ชัดในที่ประชมุ ท่านหลวงปู่บุญเพง็ เขมาภิรโต จึงกล่าวขนึ้ ว่า
“ไมไ่ ด้ๆ โลงศพทำ� ไวด้ แี ล้ว”
ประชุมกันไปมาหลายรอบ หลวงปู่อ่อน าณสิริ จึงเดินทางมาเย่ียม ท่านเอายามาลาเรีย
มาละลายใสน่ ้�ำหยอด หลวงปขู่ าวอาการดีขน้ึ ๆ คราวนน้ั มีพระเถระองคส์ �ำคญั หลายรูปมาอปุ ฏั ฐาก
หลวงปู่ขาวอาพาธ เช่น หลวงปู่เจย๊ี ะ จุนโฺ ท หลวงปู่ลี กุสลธโร กอ็ ยู่
214
หลวงปู่เจย๊ี ะ ทา่ นคอยดูแลนำ�้ ปรับปรุงสระนำ้� ทห่ี ลงั กุฏิเกา่ หลวงป่เู จย๊ี ะ เปน็ หัวหนา้ ใหญ่
ชอบตีสกดั หนิ ทา่ นตีหินแล้วมีพวกญาตโิ ยมมาขนเอาไปทิง้ พวกเจาะก็เจาะ พวกทง้ิ กท็ ้ิง หลวงปจู่ นั ทร์
เขมปตโฺ ต ภเู วียงก็อยูน่ ั่น มพี ระเถระหลายองค์ ท่านกค็ อ่ ยๆ ดีข้ึน
หลวงปจู่ วนว่า “เราพูดแล้ววา่ ท่านยังไมท่ นั หมดบุญ”
หลวงปูข่ าน ก็ว่า “เรากพ็ ูดแลว้ ว่า ท่านยงั ไม่หมดบญุ เราถึงคดั คา้ น”
หายป่วยคราวน้ันหลวงปู่ขาวก็ยังทรงสังขารขันธ์มาจนถึงอายุ ๙๖ ปี ไม่ป่วยอีกสักครั้ง
จากนั้นมาจนกระท่งั เขา้ สแู่ ดนนพิ พาน”
คราวที่หลวงปู่ขาวอาพาธหนัก ครูบาอาจารย์พระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น
ตลอดจนศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย ต่างก็เป็นห่วงเป็นใยในอาการอันไม่น่าไว้วางใจ และต่างก็ปรารถนา
ให้ท่านหายจากอาพาธ ตามปกติธรรมดาของชาวพุทธ โดยเฉพาะศิษย์วงกรรมฐานย่อมเช่ือมั่นใน
อ�ำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและเช่ือมั่นในบุญญาบารมีของหลวงปู่ม่ัน ต่างก็พากันไหว้พระสวดมนต์
ปฏิบัติภาวนา อธิษฐานจิตและอาราธนาอัญเชิญพระศรีรัตนตรัยและหลวงปู่มั่นเพื่อเป็นสรณะท่ีพ่ึง
และเพอื่ ชว่ ยดลบนั ดาลรกั ษาหลวงปู่ขาว จนในที่สุดหลวงปู่ขาวหายจากอาพาธหนกั ในคราวน้นั
อนึ่ง หลวงปู่จวน กลุ เชฏฺโ และ หลวงปู่ขาน านวโร ในชว่ งนัน้ ทา่ นท้ังสองตา่ งได้บรรลุ
อริยธรรมข้ันสูงสุดเป็นพระอรหันต์แล้ว และต่างก็มีคุณวิเศษ มีญาณหยั่งทราบ จึงทราบเหตุการณ์
ล่วงหนา้ วา่ หลวงปู่ขาวทา่ นยังไมห่ มดบญุ
ประวัติย่อ หลวงปู่ขาน านวโร
นามเดมิ ทองขาน สขุ า ท่านเกดิ เมื่อวันเสารท์ ่ี ๑๕ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ตรงกับวนั ข้ึน
๑๔ ค่�ำ เดอื น ๗ ปกี ุน ณ บ้านโนนปอแดง ตำ� บลโนนสงั อำ� เภอโนนสงั จงั หวดั อดุ รธานี (ปัจจุบนั ขึน้ กับ
จังหวดั หนองบวั ล�ำภ)ู
บดิ าชือ่ นายนู มารดาช่อื นางหอ่ น นามสกลุ สุขา ทา่ นมีพ่นี อ้ ง ๑๐ คน ท่านเปน็ บตุ รคนท่ี ๙
ชวี ิตในชว่ งวยั เยาว์ ท่านศกึ ษาเลา่ เรยี นจบช้ันประถมศกึ ษาปีที่ ๔ จึงได้ออกช่วยบดิ ามารดา
ประกอบสมั มาชีพ ท�ำงานตามท้องไรท่ อ้ งนา
ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม ได้บรรพชา เม่อื อายุ ๑๕ ปี และอปุ สมบท เมอ่ื อายุ ๒๒ ปี
เมือ่ วันอาทิตย์ท่ี ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ณ พัทธสีมา วดั ปา่ ชะบาวนั บ้านกดุ ฉิม ต�ำบลบ้านคอ้
อ�ำเภอโนนสัง จังหวัดหนองบัวล�ำภู โดยมีพระครูศาสนูปกรณ์ วัดโยธานิมิต เป็นพระอุปัชฌาย์
หลวงปู่อุน่ ชาคโร วดั ดอยบันไดสวรรค์ เปน็ พระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการเพง็ อติ ิโสภโณ เป็น
พระอนสุ าวนาจารย์ ได้รับฉายาวา่ “านวโร” แปลวา่ ท่ตี ง้ั อนั ประเสริฐ
215
พ.ศ. ๒๕๐๐ พรรษาแรก หลวงปูข่ าน จำ� พรรษา ณ วดั ปา่ โคกส�ำโรง ซ่ึงมีหลวงพ่อชม โฆสิโก
เปน็ เจ้าอาวาส พอออกพรรษาท่านไดอ้ อกธดุ งค์เดนิ ทางไปปฏิบตั ธิ รรมกับหลวงปูข่ าว อนาลโย
พ.ศ. ๒๕๐๑ – ๒๕๐๒ พรรษาที่ ๒ – ๓ จำ� พรรษา ณ วดั ถ�้ำกลองเพล จ.หนองบัวล�ำภู
หลวงปูข่ าว ได้ใหอ้ ุบายธรรมแกท่ ่านมากมายจนปลาบปลม้ื อันเป็นก�ำลงั ใจในการปฏิบัติธรรม ท่าน
ได้ปฏิบตั ิภาวนาอยา่ งเข้มขน้ ท้งั กลางวนั กลางคืน ทัง้ อดอาหาร อดนอน มีสติอย่ดู ้วยอิรยิ าบถท้ัง ๔
ยืน เดิน นงั่ และนอน บางคราวก็ถอื เนสัชชิอยู่ในอิรยิ าบถ ๓ ไมย่ อมให้หลังติดพ้ืน มุง่ มนั่ ท�ำความเพยี ร
อยู่อย่างสันโดษตามถ้�ำ ตามผา ตามโขดหิน พลาญหินบ้าง โคนไม้บ้าง ไม่คลุกคลีอยู่กับหมู่คณะ
จากน้นั ทา่ นไดก้ ราบลาหลวงปู่ขาวออกไปแสวงหาโมกขธรรมตอ่ ไป
พ.ศ. ๒๕๐๓ พรรษาที่ ๔ จำ� พรรษา ณ วัดป่าแกว้ ชมุ พล จ.สกลนคร หลงั จากนนั้ หลวงปู่ขาน
ได้จาริกไปที่ต่างๆ เชน่ ภูกระดงึ อดุ รธานี หนองคาย โพนพิสัย
พ.ศ. ๒๕๐๔ – ๒๕๐๕ พรรษาที่ ๕ – ๖ จ�ำพรรษา ณ ถ้�ำจันทน์ จ.หนองคาย ปฏบิ ัตธิ รรมกบั
หลวงปจู่ วน กลุ เชฏโฺ ท่านได้รับอบุ ายวธิ ีภาวนาสำ� หรับขจัดขดั เกลากิเลสจากหลวงป่จู วนมากมาย
พ.ศ. ๒๕๐๖ พรรษาท่ี ๗ จ�ำพรรษา ณ ถ้�ำพระนาผักหอก อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ปฏบิ ตั ธิ รรม
กบั หลวงปูล่ ี กุสลธโร หลวงปขู่ านไดพ้ บกบั วมิ ุตตธิ รรมอนั ประเสริฐ อันเป็นเครือ่ งยตุ ิการเดนิ ทางใน
สามโลกธาตุ ภพชาติตา่ งๆ ของทา่ นไดส้ ้นิ สุดลง คนื หนึง่ หลงั หลวงปู่ขานไดพ้ บวิมุตติธรรมในขณะที่
กำ� ลงั ภาวนาอยู่นั้น ท่านได้นมิ ิตเหน็ นางอบุ ลวรรณาเถรมี ายนื อยู่เบอ้ื งหน้า และกล่าวอนุโมทนาแก่
หลวงปู่ถึงผลของการบ�ำเพ็ญเพียรภาวนาจนได้พบกับวิสุทธิธรรม และสามารถเอาชนะกิเลสช�ำระให้
หมดไปจากใจได้ รุ่งเช้าหลวงปูถ่ อนออกจากสมาธิ และเขียนไว้บนผนังหน้าถ�้ำวา่ “ถ�้ำโลกวทิ ู” อันมี
ความหมายว่า “ร้แู จ้งโลก” แม้หลวงปู่จะมีธรรมแล้วก็ตาม ท่านกไ็ มไ่ ดล้ ะท้งิ การบ�ำเพ็ญภาวนา
พ.ศ. ๒๕๐๗ – ๒๕๐๘ พรรษาท่ี ๘ – ๙ จ�ำพรรษา ณ วัดถ�้ำกลองเพล กราบนมัสการและอยู่
ปฏบิ ัตอิ าจริยวัตรถวายหลวงปู่ขาว อนาลโย อย่างเต็มก�ำลงั
พ.ศ. ๒๕๐๙ – ๒๕๑๑ พรรษาที่ ๑๐ – ๑๒ จำ� พรรษา ณ วดั ปา่ ชะบาวัน จ.หนองบัวลำ� ภู
อยู่ร่วมกับหลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร พอออกพรรษาจึงกราบลาหลวงปู่มหาบุญมี ออกจาริกไปทาง
ภาคเหนือพรอ้ มพระอาจารย์ตา่ งๆ ๑๑ รูป ไดแ้ ก่ หลวงปู่หวนั จุลปณฑฺ โิ ต หลวงป่จู รัส ธมมฺ ธโร
เป็นต้น คณะของหลวงปไู่ ดห้ ยุดพำ� นกั ปักกลดอยูท่ ่ดี อยน้ำ� ตกพัฒนา
ส�ำหรับวัดป่าบ้านเหล่าหรือดอยกู่แก้ว ท่านได้เดินธุดงค์มาภาวนาและพิจารณาเห็นถึงความ
สงบสงัดเหมาะแก่การปฏิบัติสมณธรรม จึงเกิดความชอบใจและได้ตัดสินใจจ�ำพรรษาอยู่ที่ดอยกู่แก้ว
ในพรรษาที่ ๑๓ ตอ่ มามผี ้ศู รัทธาถวายท่ดี นิ บรเิ วณดอยกูแ่ กว้ แกท่ า่ น ท่านจงึ สร้างเป็นวัดปา่ บา้ นเหลา่
มีชือ่ ทางการว่า “วดั วชิรทรงธรรมพัฒนา” และอยอู่ บรมธรรมแก่ลกู ศษิ ย์ตั้งแต่พรรษาท่ี ๑๓ – ๕๐ คือ
ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ จนถึงปีแห่งมรณกาลของท่าน คอื ปี พ.ศ. ๒๕๔๙
216
ปฏิปทา หลวงปู่สอนพระเณรใหร้ จู้ กั พ่ึงตนเอง มคี วามอดทน และท�ำเปน็ ตวั อย่างมากกว่าสอน
ดว้ ยปากเปล่า ท่านไม่รับนิมนตก์ ิจทีไ่ หนไกลจากบ้านเหลา่ เลย ท่านเป็นพระท่ีมีขันตธิ รรม แมป้ ว่ ยก็
ไม่บ่น ไม่แสดงอาการอ่อนแอใหใ้ ครเหน็ เลย ส่วนข้อวตั รปฏิบตั ิ ทา่ นจะเครง่ ครัดมากและปฏบิ ัติอย่าง
สมำ่� เสมอไม่เคยขาด เพราะขอ้ วตั รน้นั คือกจิ ของพระภกิ ษุท่ีพึงกระท�ำ มใิ หข้ าดตกบกพร่อง
การมรณภาพ หลวงปู่มรณภาพด้วยอาการไตวายเรื้อรังภายในกุฏิของท่าน เมื่อวันที่ ๓๑
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ เวลา ๒๑.๓๔ น. สิรอิ ายุรวม ๗๑ ปี ๑ เดือน ๑๗ วนั พรรษา ๕๐ คำ� ส่งั ของ
หลวงปู่ขาน คือ “อยา่ เกบ็ ไว้เกนิ ๓ วนั ให้จดั แบบเรยี บงา่ ย ไมต่ ้องมีสวดอภธิ รรม” และงานถวาย
เพลิงสรรี ะสังขารหลวงปู่ขาน านวโร เมอ่ื วันอาทิตยท์ ี่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ในงานมีลูกศษิ ยแ์ ละ
ประชาชนร่วมงานจ�ำนวนมาก ต่อมาอัฐทิ า่ นได้กลายเป็นพระธาตุ
อานิสงส์ท่ีหลวงปู่ขาวช่วยท�ำปฐมสังคายนาท�ำให้ท่านรอดตาย
พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม) ได้เล่าเร่ืองน้ีต่อไปอีกว่า พอหลวงปู่ขาว
อนาลโย พระผเู้ ปน็ ดงั่ เพชรนำ�้ หนง่ึ ในวงกรรมฐานทา่ นดขี นึ้ มา รา่ งกายกระปรก้ี ระเปรา่ ทา่ นจงึ กลา่ ววา่
“เป็นเพราะอานิสงส์ท่ีเราท�ำแต่ชาติปางก่อน” หลวงปู่ขาวท่านเข้าไปอยู่ในสมาธิ เข้าไประงับเวทนา
ระลึกชาติได้ ภาพนิมิตปรากฏขึ้นมาว่า “ชาติก่อนท่านเคยช่วยท�ำปฐมสังคายนา ในสมัยพระเจ้า
อชาตศัตรปู ระกาศสงั คายนา อยู่ถำ้� สัตตบรรณคหู าอยู่ที่ภเู ขาเวภารบรรพต”
จุดประสงค์ส�ำคัญท่สี ุดของการสงั คายนา คือ การรวบรวมพระธรรมวนิ ยั ของพระพทุ ธเจ้า เพอ่ื
ธ�ำรงรักษาพระธรรมวินัยเอาไว้ไม่ให้สูญหายหรือวิปลาสคลาดเคล่ือนไป เพราะพระธรรมวินัยนั้นคือ
หลักของพระพุทธศาสนา หากปราศจากค�ำสอนแล้วพระพุทธศาสนาก็ด�ำรงอยู่ไม่ได้ ดังพุทธวจนะ
ในคราวจะเสด็จดบั ขันธปรินิพพานวา่
“โย โว อานนทฺ มยา ธมฺโม จ วนิ โย จ เทสโิ ต ปญฺ ตโฺ ต โส โว มมจจฺ เยน สตฺถา.”
ดกู รอานนท์ ธรรมแลวนิ ยั ใดทีเ่ ราไดแ้ สดงแลว้ และบัญญัตแิ ลว้ แก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวนิ ัย
น้ันจักเปน็ ศาสดาของเธอท้งั หลาย ในเมือ่ เราล่วงลับไป
พระเถระทั้งปวงเห็นความส�ำคัญของพระธรรมวินัย ซ่ึงจะสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไปใน
ภายหน้า หากละเลยปล่อยไว้กระท่ังพระธรรมวินัยเกิดความคลาดเคล่ือนไป จะเป็นอันตรายต่อ
พุทธศาสนา จึงได้เร่ิมสังคายนารวบรวมพระธรรมค�ำสอนขึ้นเป็นหมวดหมู่ภายหลังพุทธปรินิพพาน
ไปแล้ว ๓ เดือน
การประชุมสังคายนาพระธรรมวนิ ัยคร้งั แรกข้นึ ทีถ่ ้�ำสัตตบรรณคูหา โดยพระอรหนั ต์ ๕๐๐ รปู
ทป่ี ระชุมไดต้ กลงกนั มอบหมายให้พระมหากสั สปเถระเปน็ ประธาน ท�ำหนา้ ทส่ี อบถามพระธรรมวินยั
ให้พระอบุ าลเี ถระผู้เป็นเอตทคั คะในดา้ นพระวินัย ทำ� หนา้ ที่วสิ ชั นาในเรื่องที่เก่ยี วกับพระวนิ ัย
217
ใหพ้ ระอานนทพ์ ทุ ธอนชุ า ผูไ้ ด้ชือ่ ว่าเป็นคลังแห่งพระสทั ธรรม เพราะทรงจำ� คำ� สอนของพระ–
ศาสดาไวไ้ ดม้ าก เป็นผวู้ สิ ชั นาพระธรรม ทงั้ พระสตู รและพระปรมตั ถาภิธรรม และตกลงใหส้ งั คายนา
พระวินัยก่อนเป็นอันดับแรก เพราะพระวินัยเป็นแก่นหรือเป็นรากแก้วของพระศาสนา แล้วจึง
สงั คายนาพระสุตตาภิธรรม เม่ือสังคายนาแต่ละปิฎกจบลง พระสงฆส์ งั คตี ภิ าณกาจารยไ์ ดท้ ่องจ�ำและ
สังวัธยายปิฎกนั้นๆ โดยมุขปาฐะ การสงั คายนาครงั้ นั้นได้กระทำ� ดว้ ยวธิ นี ้ี เปน็ เวลา ๗ เดือน จึงจบสิ้น
หลวงปขู่ าว อนาลโย ท่านเลา่ วา่
“ในชาตนิ นั้ เราเกิดเป็นคนบ้านนอก พระเจ้าแผน่ ดนิ ประกาศให้เอาต้นไมไ้ ผ่ หญา้ คา ไม้เครอ่ื ง
มาท�ำเป็นที่พกั สงฆป์ ระชมุ สงั คายนา ๕๐๐ อนั เราอย่บู า้ นนอกขนของ ชกั ชวนญาตพิ ี่น้องมาท�ำบุญ
ด้วยอปุ นสิ ัยในทกุ วนั อุโบสถ เราเอาข้าวสารอาหารแห้งไปให้โรงทาน เพื่อเป็นอาหารถวายทาน
แกพ่ ระท่ที ่านมารว่ มท�ำสงั คายนา กว่าจะแล้วพรรษาหนง่ึ ๓ เดือน ในชาตนิ ้ัน สนกุ กินสนุกทาน เราจึง
เป็นคนไม่มอี ด ไมม่ อี ยาก ด้วยอานสิ งส์น้นั จงึ เปน็ เหตทุ ำ� ใหเ้ ราไดม้ าเกิดเป็นมนุษย์อีกครัง้ ก็มศี รทั ธา
พระพทุ ธศาสนาเลย ท่ีเราไมต่ ายกด็ ้วยเหตอุ ันนน้ั อานิสงส์ช่วยมาได้”
หลวงปู่ทองพูลท่านย้�ำว่า น้ีคือความละเอียดของผู้อยู่ในสมาธิ คือ ความละเอียด มันเกิด
ระลกึ ชาติขึน้ มาได้ มันผดุ ขึ้นมาชดั เจน นส่ี ังขารท่ีเทีย่ งตรง มันมสี ังขารแลว้ จึงเกิดฌาน คอื ความ
ระลกึ ชาตไิ ด้
หลวงปู่จวน หลวงป่เู จี๊ยะ ถามเวลาท่านหายปว่ ย “เปน็ อยา่ งไรบ้าง หลวงปู่ ?”
หลวงปู่ขาวท่านกล่าวอย่างอาจหาญเหมือนคนไม่เคยป่วยมาเป็นร้อยชาติว่า “เราอยู่ในฌาน
เราถึงได้ระลึกชาตไิ ด้ ฌานละเอยี ดมนั เลยรรู้ ายละเอียด มสี ังขารแลว้ สงั ขารไมเ่ ปล่ยี นแปลง สงั ขารท่ี
ตรงแลว้ สงั ขารท่จี ะรจู้ ริงเห็นจรงิ แลว้ ไมไ่ ด้ปรงุ แต่ง มนั เปน็ จรงิ แล้ว”
พระลูกศิษย์ท่ีน่ังฟังหลวงปู่ทองพูลเล่าเกิดนึกสนุกข้ึนมา เพราะเพลิดเพลินกับการบรรยาย
เร่ืองราวพิสดารของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ได้ฟังแล้วเพลิดเพลิน ลืมวันคืนปีเดือน เหมือนนั่งเฝ้า
พระอรหันต์องค์เป็นๆ จึงเรียนถามท่านว่า “สมมุติว่าเลยปุยนุ่นไปสมมุติดับ ดับไป มันไปถึงทุ่งโล่ง
ย้งั อย่นู นั้ เสยี ก่อนไหมครับ ?”
“มันหยงั่ ขึน้ มา มันละเอยี ดแล้ว มันจะเกิดญาณขึ้นมา สงั ขารที่เท่ยี งตรงเป็นวิสังขารแล้ว”
หลวงปขู่ าวทา่ นวา่
หลวงปู่จวนท่านสนทนากันในคราวนั้น มันเท่ียงตรงแล้ว ไม่เปลี่ยนแปลงได้ มันเป็น
วิสังขารแล้ว ถ้าเปน็ สังขารธรรมดา มันเปลย่ี นแปลงได้ มันยังไม่เท่ยี งตรงแท้ ถ้าเป็นวิสังขารแล้ว
มนั ละเอยี ด ทัง้ บุญเกา่ บญุ ใหม่มนั พ่วงกันอยู่ บญุ เก่ากล็ ะเอยี ด บญุ ใหมก่ ล็ ะเอยี ด มนั เป็นวิสงั ขารแลว้
ถ้ายังไมเ่ ปน็ วิสังขาร มนั ยังไม่เทยี่ ง ไมต่ รง ถา้ เป็นวสิ ังขารมนั ไมป่ รงุ แต่ง รูต้ ามเปน็ จรงิ สอุปาทเิ สส–
218
นพิ พาน อนปุ าทิเสสนพิ พานจบ
สอปุ าทเิ สสะ คอื ยงั ปรงุ แตง่ อยู่ อนปุ าทเิ สสะ คอื ไมต่ อ้ งปรงุ แตง่ มนั ละกนั ไป ญาณประเภทไหน
กล็ ะไปแล้ว ความรู้ความเหน็ ละทิ้งไปหมด
พระเรียนถามทา่ นว่า “พอจติ เข้าสู่จดุ นีแ้ ล้ว จติ มันต่นื อยู่ ?”
หลวงป่ทู องพูลท่านตอบวา่ “จติ ท่ีละเอยี ดแลว้ มันไมม่ ีค�ำวา่ ตนื่ มันละไดห้ มดแล้ว มนั ละได้
ละเอียดแลว้ มนั ถงึ รู้ข้นึ มาได้ ถา้ อยากรู้ อยากเหน็ มนั ยงั ไม่เปน็ ”
หลวงปู่จวน หลวงปเู่ จ๊ยี ะ จึงเรยี นถามหลวงปู่ขาวตอ่ ไปอกี ว่า “หลวงปู่ ลูกหลานขอโอกาส
เรยี นถาม จติ เปน็ อยา่ งไรบ้าง เวลามนั เขา้ ไปแล้ว ?” ทา่ นตอบด้วยความเมตตาวา่
“จิตมันละ มันเกดิ ญาณ เรียกวา่ บรรลุ “ปพุ เพนิวาสานสุ สติญาณ” คือ ทรงระลกึ ชาตใิ นอดตี
ทัง้ ของตนเองและผอู้ น่ื
บรรลุ “จตุ ูปปาตญาณ” คือ การรูแ้ จง้ การเกิดและดบั ของสรรพสตั ว์ทงั้ หลาย
บรรลุ “อาสวักขยญาณ” คือ รู้วธิ ีก�ำจัดกิเลสด้วยอริยสจั ๔ คือ ทกุ ข์ สมทุ ัย นโิ รธ มรรค
ทง้ั หมดทั้งสิ้นท่กี ลา่ วมานแี้ ล มนั เป็นบารมเี กา่ มาประสานเชอ่ื มกนั คือเจา้ ของสร้างไว้ มีเชอ้ื
แหง่ ความดี มนั ถงึ ไดไ้ มไ่ ปทำ� บาป มนั ละได้ แทนท่ีจะท�ำบาป มนั ก็ไม่ท�ำ มันละได้ เชอ้ื เก่าเรยี กว่า
บุพเพนิสยั ปโยคนสิ ยั คือ ความเพยี รความพยายาม บพุ เพนิสัยมาแลว้ แตช่ าติกอ่ น มาถงึ ชาตปิ ัจจบุ ัน
กเ็ ปน็ เคร่อื งหนนุ ให้พ้นทกุ ข”์
ผู้ใดจะพึงอุปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นพึงพยาบาลภิกษุอาพาธ
เมือ่ คราวหลวงปขู่ าว อนาลโย อาพาธหนกั ครบู าอาจารยส์ ายทา่ นพระอาจารยม์ น่ั ภูรทิ ตฺโต
และพระศิษย์หลวงปู่ขาว ล้วนเป็นห่วงเป็นใยกัน ต่างต้ังใจแวะเวียนกันมาเฝ้าปรนนิบัติดูแลรักษา
พยาบาลอาการอาพาธของหลวงปู่ขาวด้วยความเทิดทูนเอาใจใส่อย่างทุ่มเทใกล้ชิด โดยไปรวมกัน
๕๐ – ๖๐ องค์ ซ่งึ ในระยะน้ันถอื วา่ มาก เชน่ หลวงปูอ่ ่อน าณสิริ หลวงปู่ฝ้นั อาจาโร หลวงตา
พระมหาบัว าณสมปฺ นโฺ น หลวงปูบ่ ญุ จนั ทร์ กมโล หลวงปูเ่ จย๊ี ะ จุนฺโท หลวงปู่บวั สริ ปิ ุณโฺ ณ
ท่านพระอาจารย์วัน อุตฺตโม หลวงปู่จันทร์โสม กิตฺติกาโร ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ
ท่านพระอาจารยส์ งิ ห์ทอง ธมมฺ วโร ฯลฯ
การพยาบาลดูแลกนั ในวงพระธดุ งคกรรมฐานนน้ั มีตัวอยา่ งอันเลศิ เลอล�้ำค่า โดยเริม่ แต่คราว
ท่านเจ้าคุณอบุ าลีคุณปู มาจารย์ (จนั ทร์ สิริจนโฺ ท) อาพาธหนกั พระศิษย์ของท่าน รวมทง้ั หลวงปู่
แหวน สจุ ิณโฺ ณ ได้ไปอุปัฏฐาก คราวหลวงปเู่ สาร์ กนตฺ สีโล อาพาธหนัก พระศิษยข์ องทา่ น รวมทง้ั
หลวงปเู่ จย๊ี ะ จนุ ฺโท ได้ไปอุปัฏฐาก และคราวหลวงปู่ม่นั ภูริทตโฺ ต พระศิษยข์ องทา่ น โดยเฉพาะ
219
องค์หลวงตาพระมหาบัว าณสมฺปนฺโน ไดอ้ ยู่อปุ ัฏฐากอย่างใกล้ชิด จนเปน็ อรยิ ประเพณีอนั งดงาม
สืบทอดกันมา และเป็นไปตามพระพุทธโอวาท การพยาบาลภิกษุอาพาธ ภกิ ษตุ ้องพยาบาลกันเอง ดงั น้ี
“ดูกรภิกษทุ ้งั หลาย พวกเธอไมม่ ีมารดา ไมม่ ีบดิ า ผู้ใดเลา่ จะพงึ พยาบาลพวกเธอ ถา้ พวกเธอ
จักไมพ่ ยาบาลกันเอง ใครเล่าจกั พยาบาล ดูกรภิกษทุ ั้งหลาย ผใู้ ดจะพงึ อปุ ัฏฐากเรา ผนู้ ้นั พงึ พยาบาล
ภิกษอุ าพาธ ถา้ มอี ปุ ัชฌายะ อุปัชฌายะพึงพยาบาลจนตลอดชวี ิต หรอื จนกว่าจะหาย ถา้ มอี าจารย์
อาจารย์พึงพยาบาลจนตลอดชีวิต หรือจนกว่าจะหาย ถ้ามีสัทธิวิหาริก สัทธิวิหาริกพึงพยาบาล
จนตลอดชวี ติ หรือจนกวา่ จะหาย ถา้ มอี ันเตวาสกิ อันเตวาสิกพึงพยาบาลจนตลอดชวี ิต หรือจนกวา่
จะหาย ถ้ามีภิกษุผู้ร่วมอุปัชฌายะ ภิกษุผู้ร่วมอุปัชฌายะพึงพยาบาลจนตลอดชีวิต หรือจนกว่า
จะหาย ถ้ามีภิกษุผู้ร่วมอาจารย์ ภิกษุผู้ร่วมอาจารย์พึงพยาบาลจนตลอดชีวิต หรือจนกว่าจะหาย
ถา้ ไม่มีอปุ ชั ฌายะ อาจารย์ สัทธิวหิ ารกิ อนั เตวาสิก ภิกษุผรู้ ว่ มอุปัชฌายะ หรอื ภิกษุผรู้ ว่ มอาจารย์
สงฆ์ต้องพยาบาล ถา้ ไมพ่ ยาบาล ต้องอาบตั ิทกุ กฏ”
ท่านถูกค�ำสั่งให้ออกจากถ�้ำบูชา ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑
คุณหมอประพักตร์ โสฬสจนิ ดา ไดเ้ มตตาเล่าเรื่องไว้ดังนี้
“ทนี ้พี ออยไู่ ปนานๆ ไป พอ ๒๕๐๘ ๒๕๐๙ ๒๕๑๐ ทางราชการนมิ นต์ท่านอาจารย์จวน
ลงจากภูวัว ท่านนายอ�ำเภอวิกรม ผาสุก ไปพบผมตอนที่น้�ำท่วมหนองคาย ๒๕๐๙ บอกผมว่า
“หมอ... อาจารย์จวนเปน็ คอมมวิ นิสต์นะ” ท่านวา่ ผมบอก “พูดจะบาปตายนะ นายอำ� เภอวะ่
ท่านนายอ�ำเภอว่าอาจารย์ผมเป็นคอมมิวนิสต์ นายอ�ำเภอต้องเขียนรายงานนี่ไปหาเจ้าคณะจังหวัด
แล้วให้คนพดู กันเอง นายอำ� เภอพูดไมไ่ ด้” ผมวา่ อย่างน้ีนะ นายอ�ำเภอบอก “จริงๆ นะ” ท่านว่า
ผมวา่ “มนั จะเปน็ จริงไดย้ งั ไง ?” เพราะเขาฟ้องไปว่า “ท่านอาจารย์จวนนบ่ี ณิ ฑบาตเลยี้ งพวก
คอมมวิ นิสตท์ ้งั ภวู วั ” “มันจะไปเลี้ยงได้ยังไง ? ทา่ นพระองคเ์ ดียว สององค์นี่ จะไปเลี้ยงคนตั้งห้าสิบ
ตั้งรอ้ ย มันเป็นไปไม่ได้” ผมวา่ ผมกเ็ ถียงนายอำ� เภอ สดุ ทา้ ยแท้นายอำ� เภอ นายอ�ำเภอกท็ �ำหนังสอื
แต่เวลาเขานมิ นต์ เดี๋ยวนห้ี นงั สอื ฉบบั นน้ั ยังอยู่กับผม ผมยงั ไวบ้ ้าน เขาบอกวา่ “เนือ่ งจากทา่ น
อาจารย์จวนเป็นพระผ้ใู หญ่ เมอื่ อยไู่ ปนานๆ เข้าปบั๊ การระวังรกั ษาทา่ นมนั ยากมาก ขอนิมนตล์ ง”
ท่านอาจารย์จวนก็เขียนจดหมายถึงผม “เอ้ย ! หมอเอ้ย ! เราจะท�ำอย่างไร ?” ว่างั้นนะ
“เขานมิ นตใ์ ห้เราลงซะนะ” “ฮ่วย ! อาจารย์ มนั จะใกลเ้ ข้าพรรษา จะไปไหนถ้าอยา่ งน้นั นะ่ ” “บ๊ะ !
เราอยากเจรญิ เติบโตตะพึดตะพอื หรอก” บอก “ไม่ได้นะอาจารย์” “เอ้า ! อยา่ งน้ันทำ� อย่างไร ?”
“ไปถ้�ำกลองเพลนล่ี ่ะก่อน” ผมวา่ ก็เลยไปอยู่กับท่านหลวงปขู่ าวถ�้ำกลองเพล”
ท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศนเ์ รื่องน้ีไวด้ ังน้ี
220
“ต่อแตน่ ้นั มากลางปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ขา้ พเจา้ กเ็ ลยได้รับรายงาน (หนงั สอื ) จากเจา้ คณะจงั หวดั
หนองคาย วา่ ให้พระทอ่ี ยถู่ ้�ำบชู า ภูววั โยกย้ายหนจี ากภวู ัว เพราะเวลาน้ที างบา้ นเมืองเกิดความฉุกเฉิน
กลวั จะเป็นอันตรายแก่พระเจา้ พระสงฆ์ ฉะนั้น จึงขอนิมนตใ์ หพ้ วกทา่ นหนีจากถ้�ำบูชา อยา่ อยู่ ให้ลง
ไปจ�ำพรรษาท่ีแห่งอ่ืน แล้วก็ลงนามเจ้าคณะจังหวัดหนองคาย สมัยนั้นเป็นท่านเจ้าคุณเทพบัณฑิต
ขา้ พเจา้ ก็เลยพรอ้ มหมู่คณะและแมช่ ี ลงจากถ้�ำบูชาในเดือนกรกฎาคม”
ขณะท่ีท่านพระอาจารยจ์ วนอยู่ถ�้ำบูชานี้ นอกจากมเี รือ่ งลกู ระเบดิ ด้านแลว้ ยงั มีเรือ่ งแปลก
อีกเร่อื งหน่ึง คือ ในวันธรรมสวนะ หรือวนั พระใหญ่ ตอนกลางคืนมีการสวดปาฏิโมกข์กนั บนพลาญหิน
พระเณรท่ีอยถู่ ำ�้ บชู าทกุ องคต์ อ้ งมานั่งฟงั สวด บริเวณน้ันมีกระตา่ ยปา่ อาศัยอยู่ มันกระโดดเขา้ มานง่ั
ฟงั ดว้ ย ทแี รกมนั ก็กลวั ไม่กล้าเขา้ ใกล้ แต่เมอ่ื เห็นพระเณรนง่ั น่งิ ฟงั สวด มนั กค็ อ่ ยเขยิบเขา้ มาจนใกล้
แลว้ ก็น่ังน่ิงตาม กระตา่ ยป่าอกี ตัวหนึง่ เหน็ เขา้ มันก็กระโดดตามเข้ามานง่ั ฟังดว้ ย ท้ัง ๒ ตวั ตา่ งก็นง่ั
สงบน่ิงหลับตาพริ้มต้ังใจฟังสวดเช่นเดียวกับพระเณร เม่ือมันน่ังฟังปาฏิโมกข์จนจบแล้ว จึงกระโดด
หายเข้าไปในป่า เปน็ เรื่องอศั จรรย์แกพ่ ระเณรผ้พู บเหน็ เพราะแม้มันเป็นสัตว์ป่า แต่มันก็แสนรูร้ าวกบั
มันทราบว่าการสวดและฟังปาฏโิ มกข์มคี วามส�ำคญั มากๆ
เหตุการณ์คอมมิวนิสต์ – ท่านอยู่ได้เพราะไม่เคยสร้างศัตรูกับใคร
คุณหมอประพกั ตร์ โสฬสจินดา ได้เมตตาเลา่ เรื่องนไ้ี ว้ดังน้ี
“เหตุการณ์เรื่องคอมมิวนิสต์ เร่ิมดีตอนท่ีเขามอบตัวบ้างแล้ว น่ีล่ะก็ค่อยน่ีแล้ว แล้วตอน
๒๕๒๓ หรือตอนอะไรมา คล้ายๆ เขาประกาศว่าให้เข้ามารายงานตัว เป็นคนดีประมาณนี้ มัน
ระแวงกนั มากกวา่ เพราะวา่ ไอป้ ี ๒๕๐๖ ปที จ่ี อมพลสฤษดติ์ าย ๒๕๐๖ ผมยงั ไปอบรม กรป. กลาง
(กองอำ� นวยการกลางรกั ษาความปลอดภัยแหง่ ชาติ) ยังไมไ่ ดอ้ ยู่บา้ นดอนยา่ นาง ตอนเขาเผาแรงๆ
๒๕๐๙ ผมออกไปแลว้ ยุคน้นั คอื มนั เป็นการเข้าใจผิด ขนาด ๒๕๐๔ ผมไปเปน็ สาธารณสุขอ�ำเภอ
เซกา พวกนายอำ� เภอยงั ประชมุ กับพวกเราเลยว่า “นีถ่ า้ เขามายดึ เซกา เราจะเข้าทางไหน” พดู ซะก่อน
พูดสมมตุ เิ อา เพราะมนั มีระหว่างพวกป่ากบั พวกรฐั บาล
พวกป่า คือ คอมมิวนิสตเ์ ขา้ มายึด เราจะเขา้ ทางไหน ? เลยตกลงกนั วา่ “ใครมากอ่ นเขา้ ทาง
คนนนั้ ” เพราะเราอยอู่ ยา่ งโดดเดย่ี วเหมอื นกนั ใชไ่ หม ? พวกนายอ�ำเภอ พวกปลดั พวกสาธารณสุขก็
วา่ งๆ ก็ประชุมกันอยา่ งนแ้ี หละ “แล้วพวกเราว่ายังไงเน่ยี เม่ือคนื เขามาปลน้ ทน่ี ัน่ เขากว็ ่าพวกนั้นปล้น
จ๊กั (ไม่ร้)ู ใช่ ไม่ใช”่ “แลว้ พวกเราเอายงั ไงละ่ นไ่ี ดข้ ่าววา่ เขาฆา่ กนั ทนี่ นั่ แลว้ นะนี่ เอาไงละ่ พวกเรา ?”
สรปุ ก็เลยวา่ “ใครมากอ่ นก็เข้าคนนน้ั ”
แถวๆ ภวู ัว ถ�ำ้ บูชา ถ้าเป็นสมัยนนั้ เปน็ พน้ื ที่สีแดง เอ๊ ! ตัวแท้ๆ ก็มี แตต่ วั แทๆ้ เขาก็อยู่บ้าน
นาทรายนี้นะ นาทรายก็เลยนาสงิ หอ์ อกไปนี่ไง แล้วเรากพ็ ดู กันไวว้ ่า “กลางวันให้ขา้ ราชการอยู่ได้
221
กลางคืนต้องให้ข้าราชการกลับที่สังกัด” ช่วยกันกลับ บ้านนาทรายเลยข้ึนต้น เขาก็มาอยู่น่ีแหละ
นาสิงห์นาทรายน่นี ้า
ท่านอาจารย์จวนเสียสละไปอยู่กับแถวนั้นนะ เพราะว่าท้ังภัยจากสัตว์ป่า ภัยคอมมิวนิสต์
ภยั ตำ� รวจ ท่ีเราอย่ไู ดก้ ็เพราะวา่ คนสว่ นใหญ่ที่เขามีหัวรนุ แรงน่ี มันเป็นพวกอยู่ทางนี้ รู้จกั เราภายใน
แตเ่ ราไมร่ ู้จกั เขาเฉยๆ เขาก็ไม่ทำ� ลายพระ กไ็ ม่แนถ่ า้ พระสองหัว เขาก็อาจจะฆา่ ทง้ิ กไ็ ด้ มนั อยู่ยาก
แล้วท่านอยู่ได้ ท่านก็คิดว่า ท่านไม่เคยสรา้ งศตั รกู ับใครนีแ่ ล้วเนาะ ทา่ นเกง่ แท้นะ บารมีท่านกม็ าก
ยคุ นัน้ คอมมิวนิสต์มันแรง ได้ข่าวขนาดพระธุดงค์ยงั ถกู ฆา่ เลย เทวดาอารกั ขาท่านมาก บ้านเมืองกย็ าก
ถ้าเขาตาย ทางนนั้ ก็วา่ ทางเราฆา่ เออ้ ! ทางเราตาย เรากบ็ อกทางโนน้ ฆ่า ไปๆ มาๆ ไมร่ ู้ใครฆา่
แต่เรารู้อยู่อย่างเดียวว่า พวกคอมมิวนิสต์เขานี่จะท�ำใคร ? เรารู้อย่างเดียวว่า เขาจะท�ำใคร
เขาตอ้ งกล่ันกรองพอสมควร เพราะเขาตอ้ งการมวลชน เออ้ ! ถ้าพวกนัน้ ไมเ่ คยท�ำเดอื ดร้อนใหค้ นเลย
เขาก็ไม่ยงิ มนั เป็นเร่อื งอุดมการณ์”
รอดมาได้ บุญอีหลี มีบุญได้พบอีพ่อ
ท่านพระอาจารย์จวน กลุ เชฏโฺ ขณะถกู กล่าวหาเป็นคอมมวิ นิสต์และถูกไลล่ งจากถ้�ำบชู าน้นั
ท่านมี พระญาณสิทธาจารย์ หรอื หลวงปทู่ องพูล สริ ิกาโม วัดป่าสามคั คีอุปถมั ภ์ (วัดภูกระแต)
คอยดูแลเอาใจใสท่ า่ นเป็นอย่างดี
หลวงปู่ทองพลู ท่านออกเทย่ี วธดุ งคก์ บั ท่านพระอาจารย์จวนด้วยกนั บอ่ ยครงั้ เมอื่ มเี หตกุ ารณ์
คบั ขัน ทา่ นท้ังสองก็ร่วมทุกข์รว่ มสุขกนั ไมท่ อดท้งิ กนั และมกั ปรึกษาหารือกัน ช่วยเหลอื กนั อย่เู สมอๆ
เช่น เมื่อคราวท่านพระอาจารย์จวนถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ท่านก็ลงมาจากถ้�ำจันทน์มาพัก
กบั หลวงปู่ทองพลู ทวี่ ัดภูกระแต เม่ือท่านไปวิเวกตั้งหลกั ใหม่ทีภ่ สู ิงหน์ ้อย หรือภูกวิ่ หลวงปทู่ องพูลก็
พาท่านไปสง่ เมือ่ ท่านพระอาจารยจ์ วนไปอยูถ่ �้ำบชู า หลวงปู่ทองพลู ก็เอาอาหารขน้ึ ไปส่งทุกสัปดาห์
แมว้ ่าระยะทางไกลจะตอ้ งใชเ้ วลาเดนิ ทางด้วยเทา้ เปล่า ตง้ั แต่ ๙ โมงเช้าถึงตอนมืดค่�ำ ๓ ทุ่มก็ตาม
พวกทห่ี าบไหปลารา้ ลื่นพลาญหิน ไหปลาร้าแตกหลายใบ เพราะสมยั กอ่ นมันไม่มีถนนหนทาง หรือเมอื่
ทา่ นถกู ทางอำ� เภอเซกาและทางเจา้ คณะจงั หวัดสัง่ ให้ท่านลงมาจากถ้�ำบูชา หลวงป่ทู องพลู กม็ ีส่วนไป
ดูแลเอาใจใสท่ ่านอยา่ งใกลช้ ิดสม่�ำเสมอ
ในคราวทหี่ ลวงปูจ่ วนถกู ขบั ไล่จากถ้�ำบชู านนั้ คุณหมอประพกั ตร์ลูกศษิ ย์ใกล้ชิดเปน็ คนทม่ี า
คอยรับท่านที่อ�ำเภอศรีวิไล แม้ว่าท่านเป็นพระอรหันต์มีลูกศิษย์ลูกหามาก ประวัติของท่านก็เคยถูก
ขับไล่คล้ายๆ กับกรณีของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่ีถูกพระฝ่ายปกครองขับไล่ โดยทางการและ
พระผู้ใหญม่ ีจดหมายมาถึงท่านอ้างว่า “ทา่ นเปน็ พระผ้ใู หญไ่ ม่สามารถจะดแู ลทา่ นได”้
222
ท่านพระอาจารย์จวนท่านเดินลงมาถ�้ำบูชาพร้อมหมู่คณะและแม่ชี ช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าฝน
ใกลว้ ันเข้าพรรษา คณะของทา่ นต้องเดนิ บกุ ปา่ ลุยน�ำ้ ลยุ โคลนอยา่ งทุลักทเุ ล รองเท้าของทา่ นก็เห้ียน
สึกกร่อนเหลือเพียงคร่ึงเดียว หูรองเท้าท่านก็เอาเครือไม้ผูกไว้ จีวรท่ีท่านครองก็แลดูเปรอะเปื้อน
เศร้าหมอง บา่ สองขา้ งกส็ ะพายบาตรแบกกลดดูพะรงุ พะรัง มองดูทา่ นทุกข์ยากล�ำบากมาก แต่ก่อน
ท่านรอดมาได้บุญอีหลี ไมเ่ หมือนทุกวันน้กี รรมฐานสง่าผา่ เผย แล้วทา่ นก็พูดขึน้ เหมอื นน้อยใจมากว่า
“พระผู้ใหญ่ได้ยินข่าวแบบนี้ น่าจะสอบเราเสียก่อนว่ามันเป็นไง ไม่ใช่เอะอะอะไรก็เช่ือทางราชการ
มันจะเข้าพรรษาไม่กี่วันน้”ี
คณุ หมอประพกั ตรเ์ รียนถามท่านว่า “ทา่ นอาจารย์ ! จะเอายงั ไงกบั ชวี ติ ?”
“เราจะไปจ�ำพรรษากบั อพี อ่ ”
“อา้ ว ! พ่ออาจารย์จวนกต็ ายแล้ว ทีบ่ า้ นเหล่ามนั แกว จังหวัดอุบลฯ แลว้ ท่านอาจารย์จะไป
ซุกอกพอ่ ท่ีไหน ?”
ทา่ นตอบส้ันๆ ว่า “อีพ่อเรา คอื หลวงปขู่ าว อนาลโย วัดถ�ำ้ กลองเพล”
คุณหมอประพกั ตร์ โสฬสจนิ ดา ไดเ้ มตตาเลา่ เสริมตอนนไี้ ว้ดังนี้
“เพราะวา่ ท่านอาจารย์จวนน้ี ทา่ นหลวงปมู่ น่ั เคยพดู ไว้กบั ท่านอาจารย์ขาวไวว้ ่า “ขาวเอ้ย !
มีพระองค์หนึ่งช่ือ “จวน” เด้อว่า ชาติก่อนเป็นลูกของท่าน ถ้าเจอท่ีไหน ก็ให้ท่านเลี้ยงไว้ด้วย”
เพราะฉะน้ัน ทา่ นอาจารยข์ าวจะเรยี กอาจารยจ์ วนว่า “ลกู ” ทกุ ค�ำ”
พรรษา ๒๖ พ.ศ. ๒๕๑๑ จ�ำพรรษาวัดถ�้ำกลองเพล
ท่านพระอาจารย์จวน กลุ เชฏโฺ ไดเ้ มตตาเทศน์เร่อื งนไ้ี วด้ งั นี้
“ต้นเดอื นกรกฎาคม ใกล้จะเขา้ พรรษา พากนั บกุ น้�ำ บกุ ตม บกุ โคลนไปเลย แล้วข้าพเจา้ ก็ไป
จ�ำพรรษาทถ่ี ำ้� กลองเพลรว่ มกบั หลวงปขู่ าว ใน พ.ศ. ๒๕๑๑ เมือ่ จ�ำพรรษาถ�้ำกลองเพลก็ได้ฟังเทศน์
ฟังธรรม สนทนาปราศรัยจากหลวงป่ขู าว อนาลโย ทีว่ ดั ถ้�ำกลองเพล ในระหว่างกลางพรรษาก็ท�ำบุญ
ฉลองอายุของหลวงป”ู่
ซ่ึงตอ่ มาเมอ่ื วันที่ ๒๙ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ ซ่ึงเป็นวนั คลา้ ยวนั เกิดของหลวงปขู่ าว ทางวดั มี
การจัดงานใหญพ่ ร้อมกนั ในวันน้ัน คอื งานท�ำบญุ ฉลองอายุครบรอบ ๘๐ ปขี องหลวงปขู่ าว งานฉลอง
พระเจดยี ์ วัดถ�้ำกลองเพล รวมท้งั งานฉลองหายจากอาพาธใหญข่ องหลวงปู่ ซงึ่ ในงานมคี รบู าอาจารย์
สายทา่ นพระอาจารยม์ ่นั ภรู ิทตโฺ ต และศิษยานุศิษย์ ตลอดฆราวาสญาติโยมไปรว่ มงานส�ำคญั คร้ังน้ี
กันอย่างเนอื งแน่นคับค่ัง ซึ่งงานสำ� คญั คร้ังนีศ้ ษิ ยฝ์ ่ายฆราวาสไดจ้ ัดท�ำเหรียญหลวงป่ขู าว เพื่อแจกเป็น
ทรี่ ะลกึ เป็นสงั ฆานสุ ตแิ ก่ผทู้ ม่ี ารว่ มในงานดงั กลา่ ว
223
ท่านพระอาจารย์จวนสร้างโบสถ์ที่วัดถ�้ำกลองเพล
คณุ หมอประพกั ตร์ โสฬสจนิ ดา ไดเ้ มตตาเลา่ เร่อื งน้ไี วด้ ังนี้
“ผมไปสนทิ กับอาจารย์สงิ ห์ทอง ๒๕๑๑ อาจารย์จวนไปอยูถ่ ้�ำกลองเพล แล้วอาจารย์จวน
เปน็ คนท�ำโบสถถ์ �ำ้ กลองเพล พออาจารย์จวนไปอยนู่ ่ันพรรษาหน่งึ พอไปอยู่น่นั ป้ับ ทา่ นกเ็ ริม่ พฒั นา
เป็นคนแรกเลยที่พาท�ำ อาจารย์ก็พัฒนาเทคอนกรีตให้มันเขาต่อเขาติดกัน สร้างเป็นโบสถ์ตรงนั้น
แต่ก่อนมันแยกกัน อาจารยจ์ วนท่านเปน็ ชา่ ง กอ่ นบวชท่านเปน็ ชา่ ง ท�ำงานกรมทางฯ
อาจารยจ์ วนเปน็ หัวหน้าทำ� แตค่ นมาออกเงนิ ท�ำ พระองคห์ น่ึง พระแกๆ่ เขาเรยี กนายฮอ้ ยๆ
คนรวยมาจากบ้านไผ่ บวชเป็นพระออกเงินค่าใช้จ่ายหินกรวดทราย อาจารย์จวนเป็นแม่งาน แล้ว
ท่านกเ็ อาไม้ไผ่ เอามาสับฟาก ท�ำเป็นแบบร่างใชไ่ หม ? ก็พากนั ท�ำ เสรจ็ ไดฉ้ ลองพรอ้ มกฐนิ ประมาณ
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๑ ส่วนพื้นนีย่ งั ไม่ไดท้ �ำเท่าไหร่ ท�ำแตห่ ลังคาข้างบน และก็ตบแต่งมาเรอื่ ย
ผมอยขู่ อนแก่น ก็ไปนอนนั่นวันเสาร์ – อาทติ ย์ เยน็ วันศกุ รก์ ็ไปแลว้ กบั ครอบครัว ไปต�ำมะละกอ
ไปแกง ผมท�ำอาหารเลี้ยงพระและพวกคนแรงงานทมี่ าช่วยท�ำนะ เพราะพระท�ำงานน่ีหนักนะ ที่นัน่
มันมแี กงหนอ่ ไม้ เพราะถ้�ำกลองเพลมีหนอ่ ไม้มาก ผมกไ็ ปสนทิ กับอาจารย์ขาว อาจารย์เพง็ ท่นี ั่นละ่
ตอนนน้ั ทา่ นอาจารย์เจ๊ยี ะกอ็ ยวู่ ดั ถำ้� กลองเพล ท่านไปท�ำบ่อนำ้� ให้ทา่ นอาจารยข์ าว ทา่ นอาจารยเ์ จย๊ี ะ
กับทา่ นอาจารยจ์ วนสนิทกัน แตผ่ มไมส่ นทิ กับอาจารย์เจยี๊ ะ”
ท่านอยู่ในบัญชีพระดีของหลวงปู่ฝั้น
ท่านพระอาจารย์จวน กลุ เชฏโฺ ถกู กล่าวหาเป็นคอมมิวนสิ ตน์ นั้ ภายหลังทางการได้ไปกราบ
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร และหลวงปู่ฝั้นได้รับรองว่าท่านพระอาจารย์จวนเป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
ต่อมาเหตกุ ารณต์ ่างๆ กค็ ลคี่ ลายดขี ึ้น โดยทา่ นพระอาจารย์คลาด ครธุ มฺโม ไดเ้ มตตาเลา่ เร่อื งนีไ้ ว้ดังนี้
“หลวงปู่ฝั้นท่านทราบว่า หลวงปู่จวนเป็นหลักเป็นครูบาอาจารย์ได้ เพราะว่าหลวงปู่จวน
อยู่ในครอบครัวของท่าน อยู่ในบัญชีท่าน สมัยก่อนนี้หลวงปู่จวนกับหลวงปู่ฝั้น คืออยู่ด้วยกันน่ันน่ะ
เท่ียวไปมาหาสู่กัน เพราะว่าเหมือนบัญชีเดียวกัน เหมือนอยู่ในครอบครัวเดียวกัน เป็นครอบครัว
กรรมฐานเดยี วกัน ตอนนนั้ มันมพี วกคอมมิวนสิ ต์ หลวงปู่จวนทา่ นก็ลงมาจากภวู วั มาอยูน่ น้ั เพราะว่า
ตามแผนเขา หลวงปู่จวนน่ีเป็นคอมมิวนิสต์ยุ่งกับเขาน่ันแหละ ที่จริงไม่หรอก หลวงปู่จวนท่าน
เป็นพระแท้ๆ พระดี ถ้าหลวงปจู่ วนเปน็ คอมมิวนิสต์แลว้ หมดเลย พระเลก็ พระใหญ่ในประเทศไทย
นจ่ี ะหมด ไมม่ พี ระดีหรอก ท่านไมไ่ ด้ยุ่งกบั เขา เขาหาเร่ืองใส่กนั เพราะว่าอยใู่ นแผนในหน่วยของเขา
แล้วนี่ว่าเอาหลวงปจู่ วนนี่ ทนี ีท้ างการหลงมาหาหลวงป่ฝู ั้น หลวงปู่ฝั้น “เอา้ ! นอ่ี ยใู่ นบัญชีเรานี่
อยเู่ ปน็ ครอบครวั เราน่ี อาจารย์จวนทา่ นไม่ไดเ้ ปน็ คอมฯ ทา่ นเปน็ พระทดี่ ี พระปฏบิ ัติดี ปฏบิ ตั ชิ อบ
เปน็ พระหายาก” เออ้ ! ทางการเลยเลิกกันไป”
224
ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๑๑ วิเวกที่ภูวัวก่อนพักภูทอก
ท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศน์เร่อื งนไ้ี ว้ดงั น้ี
“เม่อื ออกพรรษา เสร็จกจิ การงานทางวัดถ้�ำกลองเพลแล้ว ขา้ พเจ้าก็นมัสการลาหลวงปูข่ าว
กลับไปวเิ วกทภี่ วู วั อกี ดว้ ยได้ทราบวา่ อนั ตรายจากผู้กอ่ การร้ายเบาบางลงแลว้ ข้าพเจ้าไดเ้ ดนิ ทาง
มาพักวิเวกทีภ่ วู วั ชัว่ คราวประมาณ ๑ เดือน คนื วนั หนึ่งขณะก�ำลังนงั่ สมาธิบ�ำเพญ็ ความเพยี รอยนู่ น้ั
ได้เกดิ นมิ ิตขน้ึ มาวา่
ไดม้ ีปราสาท ๒ หลัง หลงั หนงึ่ เลก็ อกี หลังหน่ึงใหญ่โตมาก ปราสาทท้ัง ๒ หลงั นสี้ วยงาม
วิจติ รพสิ ดารมาก สถานทตี่ ้ังอยู่ คือ ทางดา้ นเขาภูทอกนอ้ ยและเขาภทู อกใหญ่ ซงึ่ เวลามองจากเขา
ภูววั บรเิ วณหลงั ถำ�้ บูชาจะเห็นปรากฏชดั อยู่ทุกวนั ในนิมิตนน้ั ปรากฏวา่ ข้าพเจา้ ไดเ้ หาะข้ึนไปบน
ปราสาทน้ัน แตพ่ อขนึ้ ไปๆ จะเขา้ ไปในปราสาทนนั้ บังเอญิ ประตทู างเขา้ ปดิ อยู่ ทำ� ให้ไมส่ ามารถจะ
เขา้ ไปในปราสาทได้ จึงได้ตั้งอธษิ ฐานว่า หากบุญบารมแี รงกลา้ ขอให้ประตเู ปิดออกเข้าไปได้ ทนั ใด
นั้นประตูปราสาทหลงั เลก็ ก็เปดิ ออก ข้าพเจา้ จึงเขา้ ไปในปราสาทนั้นปรากฏว่า ห้องหอภายในวจิ ิตร
พิสดารงดงามยิ่งนัก เป็นที่น่าเพลิดเพลินเจริญใจเป็นอย่างยิ่ง เห็นหญิงมีรูปสวย ๔ คนเฝ้าอยู่ใน
ปราสาทน้ัน และจากที่ยืนอยู่ในปราสาทหลังเล็ก จะมองไปเห็นปราสาทหลังใหญ่ได้อย่างเด่นชัด
หญิง ๔ คนนนั้ ไดน้ ิมนตข์ ้าพเจา้ ใหอ้ ยรู่ ่วมดว้ ย ขา้ พเจา้ ไม่ตกลง เพราะเป็นพระจะอยู่รวมผูห้ ญงิ ไมไ่ ด้
ขา้ พเจา้ จงึ ไดล้ งจากปราสาทน้นั ไป
พอจติ ถอนออกแลว้ นิมิตนัน้ ยงั จำ� ตดิ ตาไดอ้ ยา่ งเด่นชดั พร้อมทัง้ จำ� ทางขน้ึ ลงไดอ้ ย่างแม่นย�ำ
เพ่ือพิสูจน์ตามนิมิตน้ัน ข้าพเจ้าเดินทางออกจากภูวัวไปยังภูทอกน้อย พอไปถึงก็ได้เดินทาง
ขึ้นไปบนเขาตามทางในนิมิตน้ันทุกประการ ได้ส�ำรวจดูเขาชั้นต่างๆ ท่ีเห็นเป็นโตรก เป็นซอก เป็น
ถ้ำ� เป็นหินผาอันสงู ชัน ก็เหน็ วา่ เปน็ ภมู ิประเทศทเ่ี หมาะสมทจ่ี ะบรู ณะให้เป็นสถานท่รี มณียสถานอัน
รน่ื รมย์ ใหพ้ ระเณรได้บ�ำเพญ็ พรตภาวนาตอ่ ไปได้ จงึ ตกลงใจเข้าบรู ณะและต้งั เปน็ วดั ไดแ้ รงนิมนตข์ อง
ชาวบ้านนาคำ� แคน บ้านนาตอ้ ง อาราธนาใหอ้ ยู่โปรดเปน็ หลกั ยดึ เหน่ยี วแก่พวกเขาอีกแรงหน่งึ ด้วย”
คุณหมอประพกั ตร์ โสฬสจินดา ไดเ้ มตตาเลา่ เหตุการณ์ตอนนีไ้ ว้ดังน้ี
“ออกพรรษา ทา่ นอาจารยจ์ วนกบ็ อกผมว่า “เดอื นธันวาฯ มารบั เราหนอ่ ยเด้อ” พอรบั กฐิน
เสรจ็ ผมก็เอารถไปรับ ไปรบั ก็รับทา่ นอาจารยท์ องพลู น้ีด้วย ผมไปรบั ไมว่ นั ที่ ๑๐ วันที่ ๑๑ ธนั วาฯ
๒๕๑๑ นแ่ี หละ ที่มามันขนึ้ ภทู อกไม่ได้
ตอนน้นั อาจารยท์ องพูลกอ็ ยากไดอ้ าจารยจ์ วน อาจารย์จวนก็อยากไดอ้ าจารย์ทองพลู ไปมา
ข้ึนนีด่ ว้ ยกัน ก็เลยอาจารย์ทองพูลบอกว่าพรุง่ น้ีจะตามมา น้ผี มก็มาถงึ วดั นาสะแบง ตอนน้นั จ่าบุญ
อยู่นัน่ เขาห้ามข้ึนภทู อก ใหข้ ออนุญาตกองทพั ภาคที่ ๒ สกลนครซะก่อน ผมเลยเอาอาจารยจ์ วนไวท้ ่ี