375
จะไปไวข้ า้ งล่างหรอื ไว้ข้างบน เหตุผล อ้าว ! ทกุ คนมเี หตผุ ล
เหตผุ ล คือ การดูแลลำ� บากขา้ งล่างละ่ นะ แลว้ กศ็ าลามนั กป็ ูดไป มันรว่ั มนั ไม่ดี ข้างบนนะหนึ่ง
ดูแลงา่ ย แล้วกเ็ ป็นทพี่ ักอะไร ศรัทธาญาตโิ ยมกม็ ีทพ่ี กั บา้ นพกั อย่แู ล้ว แต่ข้างลา่ งก็ไม่มีทพ่ี ัก แล้วก็
ศาลาทอี่ ย่พู กั ข้างๆ ท่ีถำ้� ท่ีอาจารย์แยงทำ� ก็ โอโฮ้ ! กลิน่ คา้ งคาวมนั เหมน็ ออกมาละ่ นะ เหมน็ สาบกลน่ิ
คาวนะพอมันจะเข้าหน้าฝนอยู่แล้ว คือไม่สะดวก ไว้ข้างบนเหตุผลคือดูแลง่าย แต่ว่าง่ายส�ำหรับ
พระผู้อยู่ แต่มนั ยากสำ� หรับคนท่ีไปกราบขึ้นล�ำบาก กไ็ มไ่ ดฟ้ ังทางภายนอกหรือทางภายในละ่ นะ
วนั เคล่ือนศพสู่ชนั้ ๕ คอื ตอนเชา้ ๆ กฝ็ นตก เพราะหนา้ ฝนมนั กต็ กอยูแ่ ล้ว ปรกติทางภทู อก
มันตกอย่แู ลว้ นะ เข้าหนา้ ฝนมนั อันตราย ฉนั เชา้ เสรจ็ แลว้ พอฝนหยดุ ตก ข้ึนเขาเลย ขึ้น โอ้โฮ้ ! ขึน้
เหมือนกบั ติดลมเลย มนั เรว็ มากนะ่ ข้นึ แล้วเร็วมาก ทัง้ พระทัง้ โยมขึ้นไป พรบึ ๆ ถงึ แล้วช้ัน ๕ คนยก
โลงศพหลวงปูน่ ี้แนน่ ไปหมด เร็วมาก คอื ใครๆ ก็แยง่ กนั นะ เอาขึ้นไปแลว้ เขากป็ ระดับตกแตง่
พอขน้ึ ไปแลว้ ภายนอกกต็ ำ� หนมิ ากเลยวา่ ไมป่ รกึ ษาผใู้ หญ่ เรากโ็ ดนหลวงปใู่ หญ่ (เจา้ คณุ ธรรม–
ไตรโลกาจารย์) ทอ่ี ยูห่ นองคายนะ ท่านก็ตำ� หนิอาตมาอย่างโน้นอยา่ งน้ี สดุ ท้ายกเ็ ลยไปขอขมาทา่ น
ท้งั เจา้ หน้าท่บี า้ นเมือง ทางคณุ กิมก่ายเขากเ็ ลยต�ำหนวิ ่า ญาตโิ ยมข้ึนไปล�ำบาก จริงผู้อย่นู ะ แต่คนนะ
ทไ่ี ปกราบทา่ นนะ มันไม่สะดวกทจี่ ะไปนัน่ สรุปแลว้ กค็ ือ โดนตำ� หนิ”
ทา่ นพระอาจารย์พวน ชุตนิ ธฺ โร ได้เมตตาเล่าเรื่องนไ้ี ว้ดังน้ี
“ถา้ อยู่ขา้ งล่างมันรักษายาก มันดูแลยาก ถา้ เราเอาขนึ้ ไปไวช้ ้นั ๕ มนั ดูแลรักษาง่าย เออ !
ไมไ่ ด้เกี่ยวกบั เร่อื งขโมยศพนะ”
การประชุมเตรียมงานพระราชทานเพลิงศพ
คุณหมอประพกั ตร์ โสฬสจินดา ไดเ้ มตตาเลา่ เรอ่ื งนี้ไวด้ งั น้ี
“ก�ำหนดการพระราชทานเพลิงศพทา่ นอาจารย์จวน คณุ หญิงสรุ ีพนั ธเุ์ ป็นคนติดตอ่ ตลอดเวลา
เปลี่ยนแปลงเวลาก็เปน็ คนตดิ ต่อ ที่ท่านอาจารย์จวนส่ังใหเ้ ผาศพทา่ นภายใน ๗ วัน แตว่ า่ เวลามนั ท�ำ
มนั ทำ� ไม่ได้ กม็ ีการประชุมหารือกันบนศาลา ผมก็อยดู่ ว้ ย ในทปี่ ระชมุ ก็ถกเถยี งประเด็นหลักกเ็ รอื่ งจะ
เอาศพไปไว้ยังไง ? จะต้ังยงั ไง ? จะท�ำยงั ไง ? จะอะไรนล่ี ่ะ จะสวดก่วี นั ? ทีน้ีเพ่ือความสะดวกของ
พระราชวังก็เหมือนกัน ต้องเอาทางโน้นเปน็ ใหญ่กวา่ เหมาะไหม ว่างไหม อะไรอย่างน”ี้
376
หลวงปู่จวนส่ังเสียก่อนมรณภาพ
หลวงปยู่ งยทุ ธ ติ ธมโฺ ม หรือหลวงปู่โย ได้เมตตาเล่าเรื่องนไ้ี วด้ ังนี้
“ก่อนอาจารย์จวนท่านจะตกเครื่องบิน เขาอัดเทปไว้ ทา่ นจะเทศนเ์ ตอื นหมพู่ วก ทา่ นจะลงมา
งานแลว้ น่ี อาจารยจ์ วน อาจารย์สิงหท์ อง ไปพรอ้ มกนั สององคน์ ี่ ทา่ นพูดว่า “ถา้ ไปคราวนอี้ าจจะ
ไม่ได้กลับ” แล้วก็พดู วา่ “ถา้ ศพเราอย่าเอาไวน้ าน ไฟจะไหม้บ้านพวกเจา้ ” ท่านพดู แบบนน้ั แหละ
“ถ้าเอาไวน้ านน่นั มันเปน็ อะไร พวกหมู พวกววั พวกไก่ มนั กจ็ ะตายด้วย” ทา่ นวา่ ใหร้ บี เอาไปเผา
ทีนที้ ่านกไ็ ปอย่นู ่นั น่ะ พวกโยมนเี่ ถยี งกบั พระ พระกอ็ ยากเอาไปเผา มันยากมันก็นาน มีโยมคนหนงึ่ น่ะ
ขอไว้ คอมมิวนิสตม์ นั มาก เผาอาจารย์จวนกบั อาจารยว์ ัน
อาจารย์จวน ท่านไม่อยากให้เก็บศพไว้นาน ไฟจะไหม้บ้านพวกเจ้า คือ พวกเจ้าจะทุกข์
ทกุ ขเ์ พราะท�ำงานศพ เดย๋ี วก็ไก่ตาย หมตู าย วัวควายตาย พระไปมาก อาหารกต็ อ้ งท�ำมาก มันไกล
ตลาด พูดงา่ ยๆ มนั ไกลตลาดทีเดียว เดีย๋ วนีไ้ ม่เป็นอยา่ งน้ันแลว้ น่ะ ตลาดมนั ท่วั ไปแล้วเด๋ยี วน้ี แตก่ อ่ น
เดินครงึ่ วันจึงถึงวัดทา่ น คือแตก่ อ่ นมตี ลาดมนั อยไู่ กลวดั ทา่ น แล้วก็เลีย้ งวัว เลีย้ งควาย เลี้ยงหมูไวม้ าก
เวลาพระไปเยีย่ มงานศพท่านนะ่ ไปทีน้ี พระท่านก็บอก โอย้ ! ถา้ กินอาหาร เขากจ็ ะท�ำมาถวาย มนั ก็
จะตายตามท่าน พ่อแมเ่ หมือนกนั หลวงตา (หลวงปูโ่ ย) ท�ำอยู่ ถ้าตายให้ไปเผา ทำ� บญุ อุทศิ ให้ทีหลงั
กไ็ ด้ ไปนัน่ มนั เอาไปฆ่า ถ้ามนั ใกล้ตลาดเหมอื นบ้านใกล้อ�ำเภอมนั สบายนะ ไปซอื้ ของตลาดมาท�ำเลย”
พ.ศ. ๒๕๒๓ ท่านพระอาจารย์สอนจ�ำพรรษาภูทอกและเป็นประธานสงฆ์
ท่านพระอาจารย์บุญเลิศ เขมิโย ได้เมตตาเลา่ เร่อื งนไี้ วด้ งั น้ี
“หลวงปู่จวนมรณภาพน่ีปี พ.ศ. ๒๕๒๓ อาตมากอ็ ยูก่ บั หลวงปู่สอน หลวงปสู่ อนอยภู่ ูทอก
อย่จู �ำพรรษาในปีน้ัน เพราะว่าหลวงปจู่ วนท่านมรณภาพเมษาฯ นเ้ี นาะ แล้วก็เข้าพรรษาหลวงปู่สอน
อยู่ดว้ ย พระท่ีอยจู่ �ำพรรษาปนี ้ันกห็ ลวงปู่สอน เปน็ ประธานสงฆ์ องค์ที่สองก็อาตมา (ทา่ นอาจารย์
บญุ เลิศ) แลว้ ก็ท่านอาจารยต์ ุ๊ (เติมศักดิ์) ท่านอาจารยแ์ ยง เปน็ เจ้าอาวาส ทา่ นอาจารย์พวน และ
ทา่ นอาจารยป์ อ๊ ก (ถาวร) ฯลฯ”
สาเหตุเลื่อนงานพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์จวน
ตามปกติพระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์ม่ัน เม่ือมรณภาพแล้วจะจัดงานประชุม
เพลงิ ศพภายในเวลาไม่นานนัก สว่ นใหญภ่ ายใน ๗ วนั อนั เป็นไปตามอริยประเพณี เชน่ พธิ ีถวาย
พระเพลงิ พุทธสรีระภายใน ๗ วันหลังจากพทุ ธปรินิพพาน เวน้ เสยี แตก่ รณชี ว่ งสงครามโลก หรือกรณี
งานส�ำคัญใหญ่ๆ ของครบู าอาจารย์ และกรณงี านพระราชทานเพลิงศพ เชน่ งานประชุมเพลิงศพ
หลวงปู่เสาร์ กนฺตสโี ล ภายใน ๒ ปีเศษ องคท์ ่านมรณภาพ ๓ กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ถวายเพลงิ
377
๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๖ เพราะช่วงน้นั เป็นชว่ งสงครามโลกคร้ังท่ี ๒ งานประชุมเพลงิ ศพหลวงปู่
มั่น ภูริทตโฺ ต ภายใน ๒ เดอื นเศษ องค์ท่านมรณภาพ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ ถวายเพลิง
๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๓ งานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ภายใน ๑ ปเี ศษ องคท์ า่ น
มรณภาพ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๐ พระราชทานเพลิง ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๑
สำ� หรบั กรณที า่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ ภายใน ๑ ปี องคท์ า่ นมรณภาพ ๒๗ เมษายน พ.ศ.
๒๕๒๓ พระราชทานเพลงิ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๔ เดมิ ทที า่ นพระอาจารยจ์ วนสงั่ ใหเ้ ผาศพทา่ นภายใน
๗ วัน แตเ่ มอื่ ทา่ นไดร้ ับพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานเพลิงศพ โดยพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัว
ทรงขอเลือ่ นไปเดอื นพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๓ และจะเสดจ็ พระราชทานเพลิงศพด้วยพระองคเ์ อง
ส่วนสาเหตทุ ี่เล่อื นจากเดือนพฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๒๓ ไปวนั ท่ี ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๔
เล่อื นออกไปอกี ประมาณ ๕ เดือนน้นั กเ็ ป็นไปตามพระบรมราชานเุ คราะห์ เนอื่ งจากเป็นงานใหญแ่ ละ
ส�ำคัญมากของจังหวัด และในช่วงเวลาน้ันก็มีการเตรียมงานพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์
บุญมาและท่านพระอาจารย์วัน ซึ่งทางส�ำนักพระราชวังมีหมายก�ำหนดการพระราชทานเพลิงศพ
ทั้งสามองค์ในเดอื นเดียวกัน
ทา่ นพระอาจารย์เตมิ ศกั ด์ิ ยุตตฺ ตธิ มฺโม ไดเ้ มตตาเล่ากำ� หนดวนั พระราชทานเพลิงศพไว้ดงั นี้
“กำ� หนดวนั พระราชทานเพลงิ หลวงปู่จวนเนยี่ คอื การประชมุ ก็เกย่ี วกบั ทางวังตลอด เพราะ
นางสนองพระโอษฐท์ ่านจะมาดว้ ย คุณหญงิ อะไรไม่รู้ คือใหค้ ุณสรุ พี นั ธ์ตุ ดิ ต่อวา่ ในหลวงท่านจะมาได้
ชว่ งไหนอะไรทำ� นองนี้ คอื กำ� หนดวนั ออกมาแล้ว มันก็ไมไ่ ด้มแี ต่เราอย่างเดียว คือประชมุ ภายใน
เราก็ไมไ่ ดไ้ ปรับฟังกบั เขาดว้ ย ให้คณุ สรุ ีพนั ธุเ์ ป็นตัวแทนจดั การทงั้ หมด เข้าไปประชมุ ข้างในโน่นนะ่
ว่าหลวงปูบ่ ุญมาจะเม่ือไหร่ หลวงปจู่ วนจะเมอ่ื ไหร่ หลวงปวู่ นั จะเมอ่ื ไหร่ ๓ องคน์ ี่ คือ ในหลวงทา่ น
จะมา คอื อาศัยชว่ งทา่ นแปรพระราชฐานมาที่ภูพานเลยจะไดง้ ่าย คือทา่ นมาภูพานเดือนอะไรอยา่ งนี้
เราก็เตรยี มงานเลย ก็เตรียมการทกุ อยา่ งพรอ้ มหมด คอื เราพร้อมทกุ อยา่ งทจ่ี ะท�ำงานตรงน้ี แลว้ ทา่ น
จะมาเมอื่ ไหรก่ แ็ ลว้ แตท่ า่ น ถา้ ทา่ นลงมา เรากต็ อบสนอง ทางจงั หวดั เขากป็ ระชมุ กนั วนั ทก่ี ำ� หนด ในสว่ น
เตรยี มงาน เรากเ็ ตรยี มตลอดละ่ ตอนนัน้ คณุ สุรพี ันธุ์เป็นตวั แทนก็มบี ทบาทมากเลยตรงนี้
เรือ่ งเอกสารตา่ งๆ เกย่ี วกับตดิ ต่องาน มีทา่ นเจ้าคณุ มหาสมศักดิ์ ภูริปญฺโ วัดจันทรสามัคคี
ท่านเป็นเจา้ คณะจงั หวดั หนองคาย เปน็ ผูล้ งนามรับรองหนงั สอื ส่วนท่านเจา้ คณุ ธรรมไตรโลกาจารย์
วัดศรเี มอื ง ทา่ นเป็นเจา้ คณะภาค ๙ แลว้ ”
ท่านพระอาจารย์สอนเป็นหลักชัยในงานได้มามรณภาพ
ระหวา่ งเตรยี มงานพระราชทานเพลงิ ศพทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ มีเหตกุ ารณ์ส�ำคัญ
หนึ่ง คอื ทา่ นพระอาจารย์สอน อตุ ตฺ รปญฺโ ท่านเปน็ พระปฏบิ ัติดี ปฏบิ ัตชิ อบ เปน็ สหธรรมกิ ทีม่ คี วาม
378
สนิทสนมคนุ้ เคยกบั ท่านพระอาจารย์จวนมาก ท่านอาพาธหนักด้วยโรคประจำ� ตัวอยู่แล้ว ท่านตอ้ งมา
รับภาระเป็นประธานสงฆว์ ัดเจติยาคริ ีวหิ าร และเปน็ ประธานในการรบั ผดิ ชอบเตรยี มงานพระราชทาน
เพลงิ ศพ ซง่ึ เปน็ งานใหญม่ ากในสมัยนั้น ในทสี่ ุดทา่ นกถ็ งึ แก่มรณภาพ มีเลือดไหลออกตามรูทวารต่างๆ
แล้วกจ็ ัดประชมุ เพลิงศพทา่ นท่ีวัดใหม่บา้ นตาลก่อนวนั งานพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์จวน
จะเร่ิมตน้ ไม่นาน ภายหลงั ประชุมเพลงิ ศพทา่ นแลว้ เสรจ็ ทางวดั เจติยาคริ ีวหิ ารได้เจาะผนังถ�้ำภทู อก
ช้นั ๕ เพ่อื บรรจอุ ฐั ิของท่าน และตอ่ มาได้อัญเชญิ อฐั ิกลบั ไปวัดบ้านเกิดทา่ น
ทา่ นพระอาจารย์เตมิ ศักดิ์ ยตุ ฺตติธมโฺ ม ไดเ้ มตตาเลา่ เรอื่ งนี้ไว้ดงั นี้
“ทา่ นพระอาจารย์สอน อุตตฺ รปญโฺ กับ ทา่ นพระอาจารย์จันทรเ์ รียน คุณวโร ทา่ นไปวเิ วก
ด้วยกนั ไปไหนก็ไปดว้ ยกัน มาหาหลวงปจู่ วน ทา่ นก็มาดว้ ยกนั ทา่ นไปหาหลวงปู่ชอบก็ไปด้วยกัน
เร่ืองการท�ำงาน หรอื เร่อื งครบู าอาจารย์จากไป ซึ่งหลวงป่สู อนนี่ก็เปน็ ก�ำลังหนึง่ คือวา่ หลวงปู่สอน
ทา่ นกเ็ ป็นพระเถระ เปน็ หลกั ชยั ไมเ้ ทา้ ใหเ้ รา คอื เปน็ กนั ชนให้เราหลายๆ อยา่ ง หมายถึง เมอ่ื มี
พระเถระผ้ใู หญม่ า ท่านกม็ าตอ้ นรับ มาอะไรให้ เรากท็ ำ� งานไปสบายๆ ไมต่ ้องมาน่งั ต้อนรับ ช่วงนั้นก็
พอดเี ราก�ำลังเรง่ ท�ำงานอยู่ งานก็ก�ำลังไปได้ดี หลวงปู่สอนท่านเปน็ หลักให้เรากม็ าเสยี อกี (มรณภาพ)
เหตุทท่ี ่านมรณภาพ คือ แมงคาเรือง ภาษาภาคกลางเขาเรยี ก เขา้ หูท่าน ภาษาอีสานแมงคา
ตวั เล็กๆ ไปเขา้ หูทา่ น ทา่ นไปนอนที่เขา เข้าหแู ล้วมนั ไม่ออก มันกป็ วดๆ มนั ไม่ออก มันด้นิ พอครมึ้ ฟา้
คร้ึมฝนมันก็ด้นิ อยู่ในหนู ั้น ทา่ นก็ปวดๆ ทา่ นกฉ็ นั แตย่ าแก้ปวดตลอด พอท่านไดย้ าแกป้ วดก็ฉนั ทุกวนั
พอมนั หนกั ๆ เขา้ กเ็ ลยกระเพาะทะลุ ท่านไปหาหมอ หมอก็แก้ไขไมไ่ ด้ เพราะว่าเทคโนโลยสี มัยเก่ามัน
ไม่เหมือนสมัยนี้ กล้องส่องอะไรต่างๆ ก็ไม่ชัดเจน มนั ไม่เกง่ มแี ต่ไฟฉายส่องธรรมดา กลอ้ งมันไมม่ ”ี
ท่านพระอาจารย์บญุ เลศิ เขมิโย ไดเ้ มตตาเลา่ สาเหตกุ ารมรณภาพของหลวงปู่สอนไว้ดงั น้ี
“หลวงปสู่ อนป่วยนี่ ท่านไปท�ำประวัติหลวงปจู่ วน เพอื่ จะลงหนงั สือน่แี หละ ไปนนู่ ไปน่ี ไปขึ้น
ภูวัว ไปอะไร ก็ไปยนื มีภาพอยูด่ ว้ ยนะ ทา่ นเปน็ ไขห้ วัด ส่ังน้�ำมูกนม่ี ันเลือดไหลเลยนะ ทา่ นก็ไมไ่ ปไหน
ชวนไปสกลนคร ท่านกเ็ อ้า ! ไปกไ็ ป ชว่ งน้ันลูกศิษยล์ กู หากท็ ำ� ปะรำ� หลวงปู่สอนก็ป่วยอยนู่ ่ี เย็นๆ
ขนาดนี้ข้ึนไปแล้ว ช่วงนั้นพอดีเอาหลวงปู่สอนไปโรงพยาบาลพรรณาฯ เขาไม่รับ เขาว่าเลือดหมด
บริจาคเลือดกันหมด เลยกลับมาวัดป่าอุดมสมพร ไปเยี่ยมท่านขณะอยู่วัดป่าอุดมสมพร โอ้ !
ป่วยหนัก ท่านมรณภาพกอ่ นจะพระราชทานเพลงิ ศพหลวงปจู่ วน มนั เดอื นกมุ ภาฯ นแ่ี หละ แลว้ เผาท่ี
วดั ใหมบ่ า้ นตาล เพราะวา่ หลวงปูล่ อี ยู่นนั่ เปน็ ประธานอย่ทู างโนน้ ท่านก็มาขอแบง่ ทางน้ีมนั หนัก
เกนิ ไป กแ็ บง่ ไปพระราชทานโน่น ลูกศิษย์ลกู หากไ็ ปโน่นละ่ ทีน้ี
เรอื่ งแมลงเขา้ หหู ลวงปสู่ อน มนั นานหลายปแี ลว้ เขาเรยี กแมงคา มาอยทู่ ว่ี ดั นล่ี ะ่ กเ็ ลยพาไปหา
หมอบา้ นเชียงเครือ บา้ นอาจารยพ์ วน หมอนนั่ มันจะเลน่ กล หรือมนั จะอะไร ไปเสกคาถาอะไร มนั กม็ ี
แมลงออกมาอยู่ ใส่ขวดมาดอู ยู่ ท่านกว็ า่ ยงั ปวดอยเู่ หมอื นเดิม ท่านฉันยาแก้ปวดประจ�ำเลยนะ มนั จะ
379
เป็นหวดั เป็นไอประจำ� เลยน่ี ท่านก็ฉันยา เขาก็วา่ มันกัดกระเพาะนนั่ แหละ ปว่ ยกอ่ นเปน็ ปีเลยนะ”
องค์หลวงตาเทศน์เหตุผลที่ไม่ให้เก็บศพนาน
ส�ำหรบั งานพระราชทานเพลงิ ศพ ทา่ นพระอาจารย์สพุ ัฒน์ และ ท่านพระอาจารยสงิ ห์ทอง
องค์หลวงตาพระมหาบวั าณสมปฺ นฺโน ทา่ นเปน็ ประธานฝ่ายบรรพชติ ท่านจงึ ก�ำหนดควบคุมงาน
ต่างๆ เองได้ โดยก�ำหนดวันพระราชทานเพลงิ ท่านพระอาจารยส์ ุพัฒน์ และ ท่านพระอาจารย์สงิ ห์ทอง
เมอ่ื วนั ที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๓ และ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๒๓ ภายในระยะเวลา ๔ วัน และ ๑๐ วัน
ตามล�ำดับ หลงั จากอัญเชิญศพถึงวัดโพธสิ มภรณ์ โดยองคห์ ลวงตาพระมหาบัว ไดเ้ มตตาเทศน์เหตุผล
ความจ�ำเป็นในการรบี จดั งานศพของครูบาอาจารยไ์ ว้ดงั นี้
“ครบู าอาจารย์องค์ไหนตาย ดองเอาไว้ๆ หาเงนิ เขา้ กระเป๋า โห ! ทุเรศจริงๆ นะ ดองไวน้ นั้ ละ่
กสุ ลา ธมมฺ า อกุสลา ธมฺมา อยนู่ ั้นทง้ั วันทั้งคนื ความสงบในวดั ไม่มเี ลย ครบู าอาจารย์องค์ใดตายก็
เป็นตลาดเงินขึ้นมา ความสงบสงดั มีได้ที่ไหน สมเหตสุ มผลไหมกับศาสดาตรัสไว้ สอนไว้
แม้แต่พระสรีระของพระองค์เองท่ีพระอานนท์ทูลถาม เร่ืองการเผาศพของท่าน มายุ่งอะไร
อานนท์ ท่านขนาบเลยทันทนี ะเป็นค�ำเดด็ ๆ ดว้ ย “อานนท์มายงุ่ ท�ำไม ? เรือ่ งนเ้ี ปน็ เรือ่ งของฆราวาส
ญาติโยมเขาจะจัดจะท�ำ พระมีแต่เรือ่ งภาวนาสนใจในอรรถในธรรมเท่านัน้ ” นน่ั เหน็ ไหมข้นึ นเี้ ลย
พระอานนท์ก็เป็นผู้ฉลาดนี่ อ๋อ ! หากว่ามีความจ�ำเป็นพวกญาติโยมเขามาถามจะได้บอกเขาถูกต้อง
จะให้ท�ำยังไงๆ พระสรีระศพของพระองค์เวลาพระองค์ปรินิพพานแล้ว จากนั้นท่านก็ทรงชี้แจง
ให้ทราบ ใหพ้ ันด้วยผ้าขาว ๕๐๐ ช้ัน ทา่ นบอกไว้อยา่ งชดั เจน พระพทุ ธเจา้ รบั สั่งเองนะ เช่นเดยี วกับ
พระเจา้ จักรพรรดิ คอื พระเจา้ จักรพรรดิก็ท�ำทำ� นองเดียวกัน ศพของเราตถาคตนน้ั ท�ำเหมือนศพของ
พระเจ้าจักรพรรดิ ท่านรหู้ มดศพพระเจ้าจักรพรรดทิ �ำยังไงๆ ให้ท�ำแบบเดยี วกัน
ก่อนจะปรินิพพาน จากวันปลงพระชนม์ไปถึงเดือนหกเพ็ญ พระสงฆ์ยุ่งกันใหญ่ พอปลง
พระชนม์ว่าจะปรินิพพานเดือนหกเพ็ญเท่าน้ัน ยุ่งกันเกาะกันเป็นฝูงๆ ว่าง้ันเลย อย่าว่าเป็นคณะๆ
เลย เป็นฝูงๆ คือจิตใจมนั ยงุ่ แตภ่ ายนอก มพี ระติสสะองคเ์ ดยี วไมย่ งุ่ กบั ใคร เข้าอยูใ่ นป่าตลอดๆ ท้งั วนั
ทั้งคืนๆ แล้วพระบ้าเหล่านี้หาว่าพระติสสะไม่มีความจงรักภักดีต่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะ
ปรนิ ิพพานท้งั องค์ พระตสิ สะไม่เห็นมาปรึกษาปรารภอะไรเลย อย่แู ต่ในป่าๆ เขา้ ฟ้องพระพุทธเจา้ วา่
พระติสสะไมม่ คี วามหวงั ดใี นพระพุทธเจา้ ไมม่ คี วามเยื่อใยในพระพุทธเจา้ หลกี ไปอย่แู ต่องคเ์ ดยี วๆ
พระองค์เป็นผู้ทรงเหตุผลอยู่แล้ว รับสั่งพระติสสะมาในท่ามกลางสงฆ์ ไหนว่าไงพระติสสะ
เวลานพี้ วกบา้ นี้ ถา้ เปน็ หลวงตาบวั จะพดู อยา่ งนน้ั “เวลานพี้ วกบา้ นนั่ วา่ เธอไมม่ คี วามจงรกั ภกั ดตี อ่ เรา
ตถาคต ไปแอบอยแู่ ตค่ นเดียวๆ ท้ังวนั ทั้งคนื ไมเ่ ข้ามาเก่ียวข้องมั่วสุมกับหม่เู พื่อนเลย ว่าไงพระตสิ สะ”
รับสั่งถาม “ขา้ พระองค์มีความจงรกั ภกั ดตี ่อพระองคส์ ุดหวั ใจ” นนั่ เวลาตอบ “เทา่ ทข่ี า้ พระองค์ไมไ่ ด้
380
มาเก่ียวข้องกับหมู่กับเพื่อน ก็เพราะเห็นว่า เวลาของพระองค์นั้นก�ำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว จากน้ี
ถึงวันน้ันจะปรินิพพาน ความเป็นไปในจิตของเราเป็นยังไง แล้วรีบเร่งขวนขวายจิตใจของเราให้
ทันการณ์ จะควรบรรลุธรรมก็ให้ได้บรรลุในระยะที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ข้าพระองค์
จึงต้องรีบเร่งขวนขวายทางด้านจิตใจ ไม่ได้เกย่ี วข้องกบั ใครเลยท้ังวนั ทงั้ คนื ” “เออ้ ! ถกู ต้องแลว้
ติสสะ สาธุๆ ถกู ตอ้ งแล้ว” จากน้ันก็ยกขน้ึ เป็นภาษิต ผูใ้ ดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผ้นู ้ันชอ่ื วา่
บูชาเราตถาคต ธมมฺ านธุ มฺมปฏิปตตฺ ิ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผนู้ ้ันชือ่ วา่ บชู าเราตถาคต
ทา่ นไมเ่ หน็ ยงุ่ พระสรรี ะของพระองค์ก็ไมใ่ ห้ยุง่ ให้เปน็ เรื่องญาติโยมเขา อย่างพระตสิ สะท่าน
ทำ� อยา่ งนัน้ พระองคก์ ็ทรงสาธกุ าร นนั่ ละ่ ท่านสงวนธรรมมากขนาดนัน้ ละ่ ทา่ นจงึ ไมใ่ ห้มายงุ่ กับ
สิ่งเหล่าน้ี ซง่ึ เปน็ วตั ถธุ รรมดาๆ เหมอื นวตั ถทุ ่ัวๆ ไป ส่วนธรรมไม่ไดธ้ รรมดาน่ี เป็นของเลิศเลอท่สี ุด
พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาก็เพราะธรรมต่างหาก ไม่ใช่เพราะสรีระเหล่านี้ ไม่ใช่เพราะเร่ืองวัตถุเหล่านี้
นน่ั ละ่ แบบแผนตำ� รับต�ำรามมี าอยา่ งนนั้ แล้วจะให้พูดว่ายังไง ให้พูดตามกเิ ลสหรอื ไม่พูด ก็กเิ ลสเป็น
ขา้ ศึกกันอยแู่ ล้ว พดู ตามธรรมกพ็ ูดอย่างนัน้ แล้ว
วนั นัน้ พระกถ็ ามก�ำหนดเผาศพทา่ นอาจารยบ์ ุญจันทรน์ จี้ ะให้ท�ำยงั ไง ขอให้ครบู าอาจารย์เป็น
ผ้ชู ้ขี าด เราไม่ชเ้ี ราบอกงนั้ เร่อื งกเิ ลสมนั มากต่อมาก เร่อื งธรรมมนี อ้ ย เวลาจะเป็นไปตามประเพณขี อง
กเิ ลสก็ให้เป็นไปเสีย อย่าให้ผมเขา้ มายงุ่ เลย ถา้ ผมเขา้ มาย่งุ แลว้ จะไม่เป็นไปตามกเิ ลสซี จะเป็นไปตาม
อะไรมันกต็ ้องเป็นไปตามธรรมของพระพทุ ธเจา้ ซี ตัดตรงเลย เพราะฉะน้นั อยา่ ใหผ้ มมาย่งุ เด๋ียวจะมา
คิดยกโทษผมอย่างนน้ั อยา่ งนแี้ ล้ว จะไปตกนรกกันทั้งหมด ถ้าผมมายุ่งจะเป็นผลเสีย ไม่ไดเ้ ปน็ ผลดีนะ
ความถูกต้องๆ ท่ีเราท�ำ แต่ความคิดของกิเลสจะเป็นฟืนเป็นไฟข้ึนมาเผาหัวใจคนให้ตกนรกท้ังเป็น
ตกนรกท้ังตายดว้ ย เพราะฉะนัน้ เราจึงไมเ่ ก่ียวข้องแลว้ จะไม่เกิดผลอยา่ งนีข้ น้ึ มา
มอบกลบั คนื ใหพ้ ิจารณากนั เองเถอะ อยา่ ใหผ้ มต้องมายงุ่ ดว้ ยเลย มแี ต่ขอ้ แนะนิดหนึง่ ว่าการ
เกบ็ ดองไว้ดังทเี่ หน็ น่นั ดังทผ่ี มกเ็ คยพูดอย่แู ลว้ การเก็บดองไว้ ไมใ่ ช่ปลารา้ ปลาจ่อมอะไร ดองไว้
ท�ำไม ? พิจารณาให้มากนะ ครบู าอาจารย์องคไ์ หนตายก็ดูเอา อย่างทกุ วนั นศ้ี พยงั มอี ยู่ให้เห็นอยู่น่ี
ย้วั เยยี้ ๆ ทัง้ วันทงั้ คืน ทั้งญาติท้ังโยม ท้งั ไปกิน ท้ังไปเลน่ ทกุ ประเภทมอี ยู่ในนน้ั หมดเลย พระก็
เหมอื นกันมาจากทกุ ทิศทุกทางมาหากิน มากุสลา ครบู าอาจารย์ตายที่ตรงไหน พวกอแี ร้งอีกา
หล่ังไหลมา อดคิดไม่ได้นะ ทเุ รศจริงๆ เรายกตัวอยา่ งมาให้พระฟัง อยา่ งนนั้ ล่ะดูเอาเปน็ ผลดีเหรอ
เพราะฉะนน้ั ท่านจงึ ไมเ่ อาไว้นาน”
381
ถอดเทศน์ท�ำประวัติหลวงปู่จวน
ทา่ นพระอาจารยถ์ าวร อนตุ ตฺ โร ได้เมตตาเลา่ เรื่องนไ้ี ว้ดงั น้ี
“พอดีชว่ งท่หี ลวงปสู่ อนมรณภาพ อาตมาอยบู่ ้านคุณหญงิ สุรพี ันธุ์ มาถอดเทปใหเ้ ขา เอามว้ น
เทศนม์ านะ แตก่ อ่ นมันเปน็ เทปใช่ไหม ไมไ่ ดเ้ ปน็ แผน่ เปน็ เผ่ินอย่างน้ี เวลาถอดเทปนเ่ี อาม้วนเทปมา
แลว้ ก็มีเครือ่ งเสียง แล้วกม็ าถอดทีละตัว กดแล้วก็หยุด... เขยี น กดแลว้ ก็หยดุ ... เขยี น เพื่อทจ่ี ะท�ำ
หนงั สือประวตั หิ ลวงปู่จวน ก็ทั้งเล่มใหญ่เล่มเล็กแหละ ตรวจปรฟู๊ ก็อาตมา กค็ ณุ หญิงเขาเปน็ คนท�ำ
แตอ่ าตมาเปน็ คนถอดเทปก็ทั้งหมดล่ะ ถอดไม่ใช่มาถอดท่นี ่ีนะ ถอดที่ภูทอกกถ็ อดส่วนหนึ่ง ทภ่ี ทู อก
แตก่ ่อนมนั ไม่มีไฟฟา้ มนั ใชถ้ ่านไฟฉาย มันจะเปลอื งมาก ก็เลยมาทำ� ที่บา้ นเรอื นไทย เรอื่ งหาขอ้ มูล
รูส้ ึกจะเป็นอกี กลุ่ม ทชี่ ่วยทำ� หนงั สอื หลวงปจู่ วนน่ีก็มีอาจารยน์ พดล วดั ปา่ ดอยลบั งา ศษิ ย์หลวงตา
มหาบวั ท่ีเคยตรวจปร๊ฟู ตรวจอะไรกนั ทโ่ี รงพมิ พ์แถวประชาชนื่ อาตมากไ็ ปหลายเทยี่ วแลว้ ”
ซ้อนหีบศพเพื่อรักษาศพหลวงปู่จวน
ทา่ นพระอาจารย์เติมศกั ด์ิ ยตุ ตฺ ตธิ มโฺ ม ไดเ้ มตตาเล่าเรือ่ งน้ไี วด้ ังน้ี
“ศพหลวงปจู่ วนเห็นทหี นึง่ เราเปดิ ดูเลยนะ ตอนจะเผาเราดูเลย ช่วงกอ่ นหนา้ มนั ปิดหมดแล้ว
ถงึ เวลาเราไปทำ� อะไรไม่ได้ตอนนั้น ทีนไี้ ปอย่ทู ภี่ ทู อกพอไปสกั พักหนง่ึ มนั อดื หีบมันเบ่งออกมา มีกล่ิน
เพราะศพเขากไ็ มไ่ ด้ฉดี ยา เพราะเสียมันกล่นิ ไม่ดี น�้ำเหลืองไหลออกมา เราก็เลยต้องเปดิ แน่นอนแล้ว
งานน้ี เปดิ เพื่อรักษาศพ
อาตมากเ็ ลยบอกหม่คู ณะ งานนอ้ี ยา่ ไปเก่ียวกบั ในร้ัวในวงั เลย เราท�ำกันเป็นภายในดีกวา่ เพ่อื
รักษาศพหลวงปู่ ก็เลยแก้ไอ้ท่ีเขารัดออกมาแล้วก็เอาโลงซ้อน หีบศพที่ซ้อนใบใหญ่เลย เราซ้อนไว้
ข้างนอก สวมข้างนอก หีบจริงอยู่ขา้ งใน เพราะเราจะไม่แตะหบี ขา้ งใน คือภายในเราไมท่ �ำอะไรนะ
คอื เอาหบี ซอ้ นมาทำ� หบี ซอ้ นกค็ อื ใสถ่ า่ น ใสใ่ บสดี า ใสใ่ บยาสบู ใบชา ทนี่ ำ้� ทไี่ หลออกมาจากศพนะ จะได้
ลงมาตรงน้ีรับหมดได้เลย รับดูดซับ ดูดกลิ่น ดูดท่ีน้�ำเหลืองไหลออกมาจากศพ ก็เลยเปิดดู โอ !
ตรงกะโหลกแตกหมด เอาผา้ พนั ไวเ้ ฉยๆ ตรงขาท่านก็แตก เอาผา้ พนั ไว้ แล้วก็มนี �้ำเยม้ิ เปิดออกมานี่
มีน้�ำเลย ก็เอาพลาสติกรอง แล้วอย่างน้ีมันแตกแล้ว น�้ำไหลซึมมาท่ีหีบข้างนอก โลงนอกนั่นแหละ
พอสบู ออกเสร็จ เรากป็ ดิ ไว้ ปดิ แล้วเอาสังกะสีซ้อนชัน้ นอกอีก”
อัศจรรย์ศพท่านพระอาจารย์จวนมีกล่ิน แต่ไม่ด�ำ
ศพทา่ นพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ เก็บไว้ครึ่งปี เมือ่ มีกลิน่ ออกมาทางคณะศษิ ย์ได้เปดิ โลง
ออกดู ปรากฏวา่ ทา่ นเหมอื นนอนหลับปกติ ผวิ สกี ข็ าวเหมือนตอนทีท่ า่ นยงั มีชวี ิตอยู่ โดย ท่านพระ
อาจารย์แยง สขุ กาโม เจ้าอาวาสวัดเจตยิ าคิรีวิหาร ได้เมตตาเล่าเร่อื งนีไ้ ว้ดังนี้
382
“ศพอาจารยจ์ วนเกบ็ ไว้ปหี น่งึ ข้ึนไปเกบ็ ไวช้ ้นั ๕ แตป่ รากฏวา่ เก็บไวค้ รง่ึ ปี มีกล่ินออกมา
แลว้ กพ็ ากนั แกะกนั เปดิ ทำ� ตสู้ งั กะสใี หม่ ทำ� ตเู้ หลก็ ใหม่ แลว้ กเ็ อาถา่ นไปรอง เอาใบสดี า ใบฝรงั่ มาเพอื่
อบดับกลิ่น ปรากฏวา่ ปนี ้ัน แกะออกมาดูแลว้ ไม่เหมือนคนตายนะ ขาวเลย ปกติต้องดำ� นะ เออ้ ! ขาวนี่
แข้งขานข่ี าวจ๊นู พ้นู (ขาวมาก) หมด หน้าตาน่ีขาว ไมด่ �ำเลย ไม่คล้�ำเลย และมผี มยาวออกมาหนอ่ ย
เหมือนคนยังเปน็ น่ี ดผู ม ดูหนา้ ดูตา ก็ดี เหมอื นคนไมต่ าย มสี สี นั นะ่ ครึง่ ปผี า่ นไปมีกลิน่ น้�ำเหลอื งท่ี
ไหลเปยี กออกมา เอ่อ ! ปกติคนตายจะเนา่ จะเหมน็ สว่ นศพอาจารย์จวนท่านยงั ไมแ่ หง้ สิ ตอนน้ัน
ศพท่านกำ� ลงั อดื อยู่ แต่ไมด่ ำ� น่ะ อัศจรรยม์ าก”
การเตรียมงานพระราชทานเพลิงท่านพระอาจารย์จวน
องค์หลวงตาพระมหาบัว าณสมฺปนฺโน ได้เมตตาเทศน์หลักพระธรรมวินัยในการจัดงาน
ศพพระ ไวด้ ังน้ี
“ถา้ ธรรมดาแลว้ ฆราวาสญาตโิ ยมจะมายงุ่ เกย่ี วกบั พระไมไ่ ด้ เชน่ ศพ อยา่ งศพหลวงพอ่ สงั วาลย์
พระนีม่ คี วามเกยี่ วโยงกันระหวา่ งพระกับพระเท่านนั้ ตามหลกั พระวนิ ัย ท่านจะลว่ งลบั ไป ทา่ นส่ังมอบ
พินัยกรรมให้ใครๆ ส่งั เสยี ใคร อนั นีเ้ ปน็ หลกั พระวินยั โดยตรง เด็ดขาดๆ อยู่กับคำ� ส่งั เสียเรยี บร้อย
ท่านสง่ั ให้ผู้ใดมอบพินยั กรรมใหใ้ คร เชน่ มอบใหพ้ ระ พระองคน์ ั้นกม็ สี ิทธิมีอ�ำนาจเต็มท่จี ะ
จัดการบริขารหรือศพของท่าน ท่ที า่ นมอบใหอ้ ยา่ งเต็มเม็ดเต็มหนว่ ย ถา้ ทา่ นไม่ได้สง่ั ไว้แต่อยา่ งใดเลย
เร่ืองพินัยกรรมไม่มีก็มอบให้สงฆ์ มีแต่ผู้รับพินัยกรรม พินัยกรรมก็คือพระนะ ถ้าไม่มีพินัยกรรม
กม็ อบใหส้ งฆ์ หลกั ธรรมชาติอยู่กับสงฆ์เปน็ ท่ีรวบรวม ถ้าไมม่ พี ินยั กรรมเลยกเ็ ปน็ เรอ่ื งของสงฆล์ ้วนๆ
ไปเลย นี่ระหว่างพระกับพระปฏิบัติต่อกันตามหลักธรรมวินัย ฆราวาสญาติโยมใครจะใกล้ชิดติดพัน
ขนาดไหนก็ตาม นั้นเป็นฆราวาส เป็นคนละฝั่ง เข้ามาเกย่ี วข้องกบั หลกั ธรรมวินัยของพระไม่ได้ นีพ่ ดู
ตามหลกั พระวินยั ”
การเตรยี มงานพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ ท่านพระอาจารยแ์ ยง
สุขกาโม เจา้ อาวาสวัดเจติยาคริ ีวิหาร ได้เมตตาบนั ทกึ ถึงหลวงปู่ทองพลู สริ ิกาโม เป็นหลกั ในการ
ทำ� งาน ไว้ในหนังสอื ประวตั ิหลวงปู่ทองพลู ดังนี้
“สมยั ท่ที ่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฺ มรณภาพ หลวงพอ่ ทองพูลท่านไดใ้ หก้ ารอนุเคราะห์
หลายอย่าง ไดท้ า่ นเปน็ หลกั ในการท�ำงานพระราชทานเพลงิ ศพทา่ นพระอาจารย์จวน หลวงพ่อทองพูล
สิริกาโม ท่านมีปัญญาวางแผนงานละเอียดสุขุม วัดภูทอก วัดภูกระแต ประหนึ่งเป็นวัดฝาแฝด
มอี ะไรกค็ อยช่วยเหลือกัน ถา้ วัดภูกระแตมงี าน เชน่ สอบธรรมสนามหลวง วัดภทู อกก็ช่วยเหลอื จนงาน
สำ� เร็จลุลว่ งดว้ ยดี ถา้ วัดภทู อกมีงาน หลวงพ่อกไ็ ปเป็นประธานชว่ ยงาน ใหค้ �ำแนะนำ� ต่างๆ”
383
ทา่ นพระอาจารย์เติมศักดิ์ ยุตฺตติธมโฺ ม ได้เมตตาเล่าเร่ืองน้ไี ว้ดังน้ี
“ฝา่ ยฆราวาสกค็ อื คณุ สุรพี ันธ์ุนะ ทางฝา่ ยพระกค็ อื ครูบาอาจารย์ทางหลวงปู่อทุ ยั พวกนท้ี า่ น
จะวา่ ยังไง กเ็ ริม่ คุยกนั กล็ ง ช่วงนน้ั ท่านอาจารย์แยงก็ยังประสบการณน์ อ้ ยนะ เราก็ต้องวง่ิ งานตลอด
เวลา เช้าไป – เย็นกลบั บางทีกลับมาดึกๆ
ทางเรากเ็ ตรยี มงาน รวู้ ่าจะท�ำอะไรกอ่ นหนา้ – หลัง เราก็รแู้ ลว้ เพราะมีเวลา อาตมาไปถึงก็
เตรยี มงานเรอ่ื งน้�ำ เตรียมถงั น�้ำ เตรียมท่อจะสูบนำ�้ จะปลอ่ ยนำ�้ มาใชย้ ังไง เราก็เตรียมการเอาไวแ้ ล้ว
เตรียมที่จะรองรับงาน ส่วนงานอื่นๆ ท่ีติดตอ่ ประสานงานจะท�ำยงั ไง จะอะไรน้ันก็ค่อยเป็นเรอ่ื งห้องน�้ำ
จะเพมิ่ เติมกหี่ ้อง เรากท็ ำ� ไปเรื่อยๆ
ทีป่ ระชุมสงฆ์นีก่ ม็ ีแบง่ หน้าท่ี ใครดแู ลประจ�ำ ใครดแู ลภาคสนาม ใครดแู ลเรื่องอะไรก็ว่ากนั ไป
ตอนนั้น หลวงปสู่ อน กบั หลวงป่ทู องพลู เปน็ หลักอยู่พิธี อยขู่ า้ งบนทอ่ี ยกู่ บั ศพ คอื เรือ่ งเกี่ยวกบั
พระเถระมา หรือจะปรึกษาอะไรกนั กย็ กใหท้ า่ น เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ เราอยูภ่ าคสนาม เข้าท�ำงาน
ภาคสนามไป บางคร้งั บางทีเราก็โดนตำ� หนิ ทำ� ไมต้องไปเผือ่ ชาวบ้านด้วยท�ำนองน้ี เราต้องสร้างศรัทธา
ศรัทธาตรงนี้ส�ำคัญ ตอ้ งใหเ้ ขามแี นวส่วนร่วม แนวรว่ มเขาศรัทธาหลวงปูจ่ วนอยแู่ ลว้ เฉพาะชาวบ้าน
ในหมู่บ้านนาค�ำแคนเป็นหลัก ย่ิงระบบประปาเนี่ย อ�ำเภอศรีวิไล บ้านนาค�ำแคนได้ก่อนเพ่ือนเลย
ไดเ้ พราะวดั เป็นเหตุ คอื วัดได้ ชาวบา้ นกไ็ ด้ คือได้ประปาหม่บู ้านใช้กอ่ นเพอ่ื นเลย
วนั งานเราว่นุ จรงิ ๆ นะ ทงั้ ดแู ลพระ เราจดั เครื่องไทยธรรมถวายพระ ตอนในพรรษาเราก็ว่ิงเอา
ของถวายพระ เร่อื งท�ำบาตรถวายพระ ท้งั น้�ำดว้ ย เมรดุ ้วย เมรุกเ็ ปน็ ผู้ชว่ ยเขาจดั หาวสั ด”ุ
งานพระราชทานเพลงิ ศพทา่ นพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฺ ถอื เปน็ งานใหญ่ งานส�ำคญั ระดบั
ประเทศ จงึ ต้องจดั งานกันอยา่ งสมพระเกยี รติ ทางคณะสงฆแ์ ละหน่วยราชการจะตอ้ งเตรยี มงานตา่ งๆ
เพอื่ ถวายการรับเสด็จ และเพื่อรองรบั พุทธบรษิ ทั จำ� นวนมากทีม่ าจากทว่ั ประเทศที่เดินทางมารว่ มงาน
สำ� คญั ในครั้งนี้ พระ เณร จ�ำนวนมากหลายร้อยรปู จากวัดรอบๆ ภทู อกมาช่วยงาน ต่างต้องท�ำงาน
กันอย่างหนักประดจุ กรรมกร เชน่ การสร้างเมรพุ ระราชทานเพลงิ ศพ การสรา้ งพลับพลา ปะร�ำพิธีท่ี
ประทบั ปะรำ� พธิ แี ละเตน็ ทส์ �ำหรบั พอ่ แมค่ รูบาอาจารย์ ตลอดพระภกิ ษุ สามเณร แม่ชี และคฤหสั ถ์
จากทั่วประเทศท่ีเดินทางมาร่วมในงาน การเตรียมสถานที่พัก ท่ีรับรองพระเถระ สถานท่ีจอดรถ
หอ้ งน้�ำ โรงทาน ทั้งกองอำ� นวยการ ฝา่ ยศาสนพธิ ี ฝา่ ยบรจิ าค ฝ่ายจัดหาวัสดุ ฝา่ ยปฏิคมต้อนรับ
ฝ่ายรักษาความปลอดภยั ฝา่ ยไฟฟ้า ประปา เครือ่ งเสียง ฝ่ายสุขาภิบาลรักษาความสะอาด ตลอดจน
ฝา่ ยจัดเตรยี มของทร่ี ะลกึ ถวายพระ เชน่ เครือ่ งไทยธรรม บาตรพร้อมฝาบาตร สบง ฯลฯ
ส�ำหรบั การจัดทำ� หนังสอื ประวตั ิของทา่ นพระอาจารย์จวน (กลุ เชฏฐาภิวาท) เพ่ือแจกเป็น
ทรี่ ะลกึ ด�ำเนินการโดยคณะคณุ หญิงสรุ ีพันธุ์ มณวี ตั และทา่ นพระอาจารย์สอน อุตตฺ รปญฺโ ท่านมี
สว่ นส�ำคัญในการจดั ทำ� ประวตั ิ โดยท่านพระอาจารยค์ ำ� ศรี อปุ สนโฺ ต ไดเ้ มตตาเล่าเร่ืองน้ีไว้ดงั น้ี
384
“หลวงปู่สอนน่นั นะยงั ไม่เผาศพหลวงปจู่ วน ทา่ นกม็ ามรณภาพ ทา่ นก็ไปท�ำหนงั สือประวัติ
หลวงปู่จวน คอื ประวัตหิ ลวงปจู่ วนอย่กู บั หลวงปสู่ อนหมด ตอนไปอยู่ภวู ัว ถ้�ำพระ ถ้�ำบูชาเน่ยี ก็
หลวงปสู่ อนทั้งนนั้ แหละพาไปทำ� ประวตั ิ ใกลเ้ ขตภวู ัว ภกู ่วิ ดงหม้อทองกพ็ าไป กม็ ภี กู ว่ิ ไปจากภกู ่ิว
แลว้ ก็ไปภถู �้ำพระ แล้วไปมาภูถ�้ำบชู า น่ันแหละ”
วัดเจตยิ าคริ ีวหิ าร หรอื ภูทอกในสมยั นน้ั อย่ใู นชนบทหา่ งไกลและทรุ กันดารมาก การเดินทาง
เป็นไปด้วยความยากล�ำบาก การเตรียมงานพระราชทานเพลิงศพจึงเป็นเรื่องยุ่งยากล�ำบากไปด้วย
เชน่ การจดั ซอื้ วัสดุอปุ กรณ์ตา่ งๆ การจดั หาอาหาร น้�ำ และขา้ วของเครือ่ งใช้ เปน็ ต้น แตด่ ้วยความ
เคารพศรัทธาในท่านพระอาจารย์จวน ซ่ึงเป็นครูบาอาจารย์องค์ส�ำคัญ การได้ถวายรับใช้งานท่าน
ในวาระสดุ ท้าย เพอ่ื แสดงความกตัญญกู ตเวที และเพื่อเปน็ กุศลผลบุญ แม้จะมีแดดมฝี นเป็นอปุ สรรค
แมจ้ ะเปน็ งานยากล�ำบากเพยี งใดกต็ าม บรรดาศิษยท์ ้ังพระ เณร แมช่ ี และฆราวาส ตลอดทุกฝา่ ย
ท่เี กยี่ วข้อง ตา่ งกท็ ุม่ เทเสยี สละชว่ ยกนั จัดเตรียมงานกันอย่างเต็มที่ อยา่ งไม่เหน็ แกเ่ หน็ดแกเ่ หนอื่ ย
การสร้างเมรุพระราชทานเพลิงศพ
เมรพุ ระราชทานเพลิงศพของทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ถูกสรา้ งขนึ้ ใหม่อยา่ งช่วั คราว
บรเิ วณหน้าวัดเจตยิ าคิรวี หิ าร อนั เป็นไปตามอริยประเพณี เปน็ การแสดงความเคารพเทิดทนู บูชาอยา่ ง
สูงสดุ คอื เมรพุ ระอรหนั ตสาวกจะถกู สร้างขึน้ เฉพาะ โดยไม่มีศพใดมาเผาซ้�ำ และต่อมาจะสรา้ งเจดีย์
ครอบบริเวณน้นั ทง้ั นเ้ี พือ่ เปน็ การเคารพต่อสถานทแ่ี ละป้องกันการเหยยี บย่�ำเศษเถา้ ทห่ี ลงเหลอื
การสร้างเมรุพระราชทานเพลิงศพในคร้ังน้ี ดร.ภญิ โญ สวุ รรณคีรี เป็นผอู้ อกแบบเมรุ โดย
คร้ังนัน้ ไดอ้ อกแบบพรอ้ มๆ กนั ๓ องค์ คือ ท่านพระอาจารยบ์ ุญมา ติ เปโม ท่านพระอาจารยว์ ัน
อตุ ฺตโม และทา่ นพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ซง่ึ เมรุท้งั ๓ องค์นม้ี ีลกั ษณะคล้ายคลึงกัน โดยมี
คุณธเนศ เอยี สกลุ หรอื คณุ กมิ ก่ายเปน็ เจา้ ภาพหลกั ในการบรจิ าคเงินค่าซื้อวัสดอุ ปุ กรณก์ ่อสร้างตา่ งๆ
และหาช่างฝีมือดมี าจากหนองคายซง่ึ เคยผ่านงานครบู าอาจารย์มา ๒ – ๓ องค์ โดยทา่ นพระอาจารย์
เติมศกั ด์ิ ยุตตฺ ติธมฺโม เป็นฝา่ ยจัดหาวัสดุ เชน่ เสา ไม้ ฯลฯ เพือ่ ทำ� เมรุ โดยมีคณุ สรุ ชัย ธรรมสนุ า
เปน็ ผชู้ ่วยก�ำลงั ส�ำคัญ เปน็ ทัง้ คนขับรถและถอื เงิน นอกจากน้ีท่านยังเป็นผคู้ วบคมุ การลงเวลาท�ำงาน
ของช่างท่มี าสร้างเมรุ
การสร้างเมรตุ ้องเตรียมพน้ื ที่ เช่น การไถเกลย่ี ดินโดยรอบเมรุส�ำหรับรองรบั ผคู้ นจ�ำนวนมาก
และการถมดนิ เพ่ือสรา้ งเมรุ เพ่อื ให้ผู้มารว่ มงานได้เห็นการพระราชทานเพลิงศพโดยท่ัวถงึ โดยใชเ้ วลา
สรา้ งเมรจุ นแล้วเสร็จประมาณ ๑ เดือน
เมรุของท่านพระอาจารย์จวนนั้น ลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมไทยประเพณี ซึ่งมีรูปแบบ
สถาปัตยกรรมเปดิ โลง่ ทั้ง ๔ ด้าน มโี ถงกลางต้ังจติ กาธาน ส�ำหรับวางหีบศพพระราชทาน องคป์ ระกอบ
385
หลังคามีลักษณะเป็นเครื่องยอดทรงมณฑปซ้อนกัน ๒ ช้ัน เชิงกลอนประดับด้วยซุ้มบันแถลงและ
นาคปักท่ีมุมท้ังส่ี ประดบั ตกแต่งชัน้ หลังคาดว้ ยสีแดงสลบั ทอง เหนือขน้ึ ไป ชั้นบัลลงั ก์ และ ปลยี อด
ตกแตง่ ดว้ ยสีขาวสลบั ทอง ยอดสุดประดบั เมด็ นำ้� คา้ งลกั ษณะเป็นดอกบวั ตมู ปิดทอง ผังพ้นื อาคารเปน็
ฐานรูปส่ีเหลยี่ มจัตรุ สั จดั ทำ� เป็น ๒ ระดับ มบี ันไดทอดถึงตลอดท้ัง ๔ ทศิ องคเ์ มรุประดบั ดว้ ยแผง
ราชวัติ ประดับลายประจำ� ยามตกแต่งดว้ ยสีแดงและทอง ทัง้ ๔ ด้านขององคเ์ มรุ และที่โดดเด่นคือ
การประดบั ตกแต่งทม่ี มุ ฐานดว้ ยฉตั รเงิน ฉตั รทอง ฉลลุ ายโปรง่ ๕ ชนั้ องค์เมรทุ งั้ ด้านในและดา้ นนอก
ประดับตกแตง่ โดยใชส้ ีขาวเป็นหลกั และประกอบดว้ ยสแี ดงและทอง ในสว่ นอื่นๆ ลวดลายท่ีตกแตง่
เปน็ ลายไทย ซง่ึ นับเป็นสถาปัตยกรรมทม่ี คี วามเรยี บง่าย แต่มคี วามงดงามและสง่าเป็นอยา่ งยงิ่
ทา่ นพระอาจารยเ์ ตมิ ศกั ด์ิ ยุตตฺ ตธิ มฺโม ไดเ้ มตตาเลา่ เรื่องนี้ไวด้ ังน้ี
“เป็นเมรุพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่บุญมา หลวงปู่วัน และหลวงปู่จวน เป็นเมรุ
พระราชทานเพลิงศพครบู าอาจารยย์ คุ แรกๆ ทใี่ นหลวงพระราชทาน ท่พี เิ ศษ คอื งานเก่ียวกบั ท่าน
เพราะว่าท่านไดน้ ิมนตค์ รูบาอาจารยไ์ ป แล้วทนี ้พี ระราชินที า่ นทรงโปรดพิเศษน่ะ เพราะวา่ ทา่ นเหน็ วา่
เปน็ ความคิดของทา่ น คืออันนี้เราเลา่ จากหลวงปหู่ ลยุ
หลวงปู่หลุยว่า “คือท่าน (พระราชินี) มีความทุกข์มาก คือครูบาอาจารย์ท่านบวชแต่เล็ก
แต่นอ้ ย พอมานมิ นต์ มาในงานของทา่ น แล้วทา่ นมาเสียไปคอื ตกอบุ ัตเิ หตุนี่ เพราะทา่ นเปน็ ต้นเหตุ
ทา่ นกเ็ ลยมคี วามเสียพระทัยมาก” ทา่ นก็มาทีว่ ดั พระศรีฯ ทุกวนั ในพระบรมราชานเุ คราะห์ ๗ วนั
ท่านมาทุกวัน อาตมากอ็ ยู่ในเหตุการณ์ เมือ่ มาสวดรอบดกึ กม็ าอกี นะ รอบดกึ กย็ งั เอาดอกไมม้ าจัดเอง
น่ะ แลว้ กก็ ลับ
เมรอุ อกแบบไดส้ วยงามมาก เขาจะให้ยอดไมเ่ หมือนกันเท่านัน้ เอง กค็ ือคนคนเดียวออกแบบ
คือเจ้าภาพคนเดียวกัน คือคุณกิมก่าย ท่ีหนองคายน่ะ แล้วเกี่ยวกับทางพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่ีตก
เครื่องบิน แลว้ ก็มสี ว่ นที่จะอำ� นวยความสะดวกให้ถวายครบู าอาจารย์ตลอด”
ท่านพระอาจารยพ์ วน ชุตนิ ธฺ โร ได้เมตตาเลา่ เร่ืองน้ไี วด้ งั น้ี
“ครบู าอาจารย์ท่มี ารว่ มงาน ทา่ นพดู กนั อย่วู ่าเมรสุ วยงามมากๆ ส่วนพระ เณร แมช่ ี ศรทั ธา
ประชาชนญาติโยมท่มี ารว่ มงาน ตลอดชาวบา้ นแถวๆ ภทู อกตา่ งก็ทึง่ และตะลึงกับความวิจิตรงดงาม
ของเมรตุ ามๆ กัน ซ่ึงกาลต่อมาเมรพุ ระราชทานเพลงิ ศพท่านพระอาจารยจ์ วน ได้น�ำดนิ มากลบฝงั ไว้
ตรงท่สี รา้ งเจดยี พ์ ิพิธภณั ฑ”์
386
การถวายความปลอดภัย
ทา่ นพระอาจารย์เตมิ ศกั ดิ์ ยตุ ฺตติธมโฺ ม ไดเ้ มตตาเลา่ ช่วงเตรยี มงานนอกจากมฝี นเป็นอุปสรรค
แล้ว ในสมยั นนั้ แถวภทู อกยังมผี ้กู อ่ การรา้ ยคอมมวิ นสิ ต์ หรอื ผกค. ซ่งึ จะตอ้ งถวายความปลอดภยั ดงั น้ี
“งานศพพอ่ แมค่ รูบาอาจารย์ก็เปน็ งานพระราชพิธี ในหลวงเสดจ็ มันเร่อื งเก่ยี วกบั บา้ นเมอื ง
เขา้ มาเกี่ยวข้อง เขาก็ตอ้ งอาศัยฝา่ ยรกั ษาความปลอดภัยอะไรต่างๆ สมัยน้ันก็ยังเปน็ พืน้ ทีส่ แี ดงอยู่
มี ผกค. เขาก็ต้องระวัง พูดอะไร ท�ำอะไรเปิดเผยก็ไม่ได้ เพ่ือความปลอดภัยของพระองค์ท่าน
ทุกอย่างต้องอาศัยความระมัดระวังจากทางเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ฝ่ายของในหลวงก็มาจัดการงานให้
เสร็จ ก็อาศัยว่าช่วงท่านแปรพระราชฐานมาท่ีพระต�ำหนักภูพานฯ ท่านว่างเม่ือไหร่ ท่านจะบอกมา
วันพระราชทานเพลิงศพรสู้ ึกจะทราบล่วงหน้าไม่นาน ในหลวงทา่ นเสดจ็ มาแน่นอน ทีแรกหลวงปจู่ วน
ก่อน มาหลวงปู่บญุ มา แล้วมาหลวงปูว่ นั สดุ ท้าย”
การดูแลดอกไม้และสถานท่ีในงาน
ท่านพระอาจารยถ์ าวร อนุตตฺ โร ไดเ้ มตตาเลา่ เรื่องนีไ้ ว้ดงั นี้
“ระยะทศี่ พหลวงป่จู วนท่านอยนู่ ีน่ ะ อาตมาจะดเู รอ่ื งพวกดอกไม้ เร่ืองเปลี่ยนดอกไม้อะไร
พวกน้ี ต้ังแตศ่ พอยชู่ ัน้ ๕ และดแู ลเร่ืองสถานที่ ช่วงอยู่ชนั้ ๕ แรกๆ กเ็ ปน็ ดอกไมส้ ด หลงั ๆ สมเดจ็ –
พระนางเจา้ ฯ เคารพมาก พระองคท์ า่ นส่งดอกบวั จากศูนยศ์ ิลปาชพี ฯ มาถวายหน้าศพ กจ็ ะคอยท�ำ
ความสะอาดอะไร ก็มีดอกไม้สดเปน็ บางครงั้ บางคราว ส่วนตอนพระราชทานเพลิง ดอกไมป้ ระดบั เมรุ
พวกการไฟฟา้ ฝา่ ยผลติ ฯ เขาไปทำ� ให้ท่าน เปน็ ทางการในงาน”
การเตรียมฟืนและปั้นเตาต้มน�้ำร้อนในงาน
ทา่ นพระอาจารย์ค�ำศรี อุปสนโฺ ต ไดเ้ มตตาเลา่ เรื่องน้ไี วด้ งั น้ี
“ช่วงงานพระราชทานเพลิงศพทา่ น แตก่ ่อนมันได้ต้มน�้ำรอ้ นนะ มนั ไม่มโี รงครัวเหมอื นสมยั น้ี
มาอยู่กับท่านหลวงป่คู ำ� ถ้�ำบชู านแี่ หละ ต้มน�ำ้ รอ้ นดว้ ยกนั อาตมากด็ ูแลท่วั ไป โรงครวั โรงอะไรบา้ ง
ยงั ไม่มฟี ืน อาตมากบั พวกเณรก็ขนฟืนไปให้น่ะ
หลวงปูค่ �ำ หลวงปอู่ ทุ ยั เป็นหัวหนา้ ใหญ่ทดี่ แู ลทุกอยา่ ง ตามปะร�ำอะไร ปะร�ำท่ญี าติโยมจะทำ�
โรงครัวน่ีหลวงปอู่ ทุ ยั จัดการหมด ทา่ นอาจารย์ตุ๊ก็วิ่งหาไม้หาอะไร ทกุ อยา่ งนั่นแหละ สว่ นอาตมาดูแล
เรือ่ งฟนื และกป็ ัน้ เตาไฟ คือเราจะใชฟ้ ืน ไมใ่ ชถ้ า่ นนะ เรากป็ ้ันเตา เราเอาฟืนใส่ขา้ งหม้อนนั่ มนั จะเปน็
เตา เขาเรยี กวา่ สามขาหรอื กอ้ นเส้า เอาอิฐบลอ็ กกับดนิ เหนียวปน้ั น่ันนะ่ แล้วก็เอาฟนื เขา้ ไปใส่ ตง้ั หมอ้
ไดน้ ะ มาตม้ น�้ำร้อนให้พระสรงละ่ น่า ตม้ น้�ำร้อนด้วย คอื มนั ดังไฟ คอื ก่อไฟ ดไู ฟไม่ให้มันขาด ให้มี
น้ำ� ร้อนตลอดๆ ใครมาเอาก็ให้ไดๆ้ ล่ะนะ
387
ก็ท�ำกันอยู่ ๑๕ วัน ช่วงที่เร่ิมงานน่ันแหละ ใกล้งานแล้วก็หนักเอาเลย วันงานก็ไม่ได้หลับ
ไม่ได้นอนล่ะนี่กบั หลวงปคู่ �ำ หลวงปคู่ �ำเป็นหวั หนา้ มีอะไรกบ็ อกลูกนอ้ งไปๆ ทา่ นก็นัง่ อยู่นน่ั แหละ
พระเณรชว่ ยงานตรงโรงต้มนำ�้ ร้อนกเ็ ป็น ๑๐ โนน้ แหละ ทง้ั ฟนื ตอ้ งไปแจกดว้ ย โรงทานก็เยอะ โฮ้ !
ก็ไมไ่ ดน้ บั เลย มแี ตท่ �ำกท็ �ำไปเลย แตไ่ มเ่ ทา่ กับทกุ วนั น้มี นั เจรญิ ละ่ เร่ืองการท�ำโรงทานน้เี จริญทส่ี ดุ ”
อัญเชิญศพลงจากชั้น ๕ เพื่อเตรียมพระราชทานเพลิงศพ
ศพของท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ไดอ้ ญั เชิญลงจากช้นั ๕ เพือ่ เตรียมพระราชทานเพลงิ
โดย ท่านพระอาจารย์แยง สขุ กาโม ได้เมตตาเลา่ เรอื่ งนี้ไวด้ ังนี้
“ตอนเอาศพอยู่ชนั้ ๕ ประมาณ ๑๑ เดือน ก็ท�ำวตั รสวดมนต์อยชู่ ัน้ ๕ ทกุ วัน พระ เณร
แม่ชขี น้ึ ไปทำ� วัตรสวดมนตเ์ ยน็ ทกุ วนั แลว้ กเ็ อาศพลงมาต้งั ขา้ งล่างสปั ดาห์หนึ่ง ทีศ่ าลาตรงน้ี ไม่ได้
ท�ำพิธอี ะไรมากมาย มแี ต่ท�ำวตั รสวดมนต์เย็นทุกวนั พระ เณรท�ำวัตรสวดมนต์หมดทุกๆ ค่�ำ และมี
ครูบาอาจารยท์ เ่ี มตตามาเทศน”์
ครบู าอาจารยท์ เี่ มตตามาเทศนก์ อ่ นวนั พระราชทานเพลงิ ศพ ทา่ นพระอาจารยค์ ำ� ศรี อปุ สนโฺ ต
ไดเ้ มตตาเล่าไวด้ งั นี้
“ก็มหี ลวงปเู่ หรียญ วรลาโภ หลวงปสู่ ุวจั น์ สุวโจ หลวงปทู่ ่อน าณธโร หลวงปบู่ ญุ เพ็ง
เขมาภิรโต หลวงปู่จันทา ถาวโร พระมหาสมศักดิ์ ภูริปญฺโ เจ้าคณะจังหวัดหนองคาย ฯลฯ
มาเทศน์ตอนงานนะ”
ทา่ นพระอาจารย์เติมศักด์ิ ยตุ ตฺ ติธมโฺ ม ไดเ้ มตตาเล่าเร่อื งนไี้ ว้ดงั น้ี
“ก่อนงานพระราชทานเพลงิ ศพ อัญเชญิ ศพหลวงปจู่ วนจากชนั้ ๕ ลงมาไว้ทีศ่ าลาอาทิตย์
เดียว แล้วเคลื่อนศพสู่เมรุ ก่อนวันพระราชทานเพลิงหน่ึงวัน เคล่ือนศพตอนเก้าโมงเช้า ฉันเสร็จ
ท่านก็เคลื่อน ญาตโิ ยมก็เต็มสองฝั่ง ก็เตม็ หมดล่ะ อาจจะมบี ้างผู้รอ้ งไหน้ ะ”
สภาพงานพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์จวน
ทา่ นพระอาจารย์เติมศักด์ิ ยุตฺตตธิ มฺโม ได้เมตตาเลา่ เร่ืองนีไ้ ว้ดงั นี้
“ชาวบ้านแต่กอ่ นเขากย็ ากจน ในวันพระราชทานเพลิงศพจึงไมไ่ ดอ้ อกโรงทาน วนั งานโรงทาน
กเ็ ยอะอยู่ แตไ่ ม่เยอะเหมือนสมัยนี้ ถ้าเป็นสมยั น้ี โอโ้ ห ! ไม่มที ี่ว่าง ไมม่ ที ่ีอย่เู ลย แต่น้นั ก็ยงั มา ๒๐ –
๓๐ โรง กม็ ีครัวกลางและเป็นครัวคณุ หญิง แลว้ ก็ครวั คณุ แมช่ .ี .. อยู่วดั ธาตุทอง เปน็ เจ้าภาพหลกั และ
เป็นลกู ศษิ ยห์ ลวงปู่ เขาศรัทธาหลวงปู่ เขาก็มาตง้ั โรงครัวเตม็ ที่เลย แม่ชีอะไรนอ้ มาอปุ ถมั ภ์วดั หลวงปู่
หล้า ภูจ้อกอ้ เขาสึกไปแลว้ ตง้ั นาน เขารวยนะ เขากเ็ ลยมาช่วยงานศพหลวงปู่เต็มทเ่ี ลย บาตรกบั
388
ฝาบาตร ๓๐๐ ชุดน้ีเขารบั เปน็ เจา้ ภาพ ผา้ ไตรบริจาคครบอายขุ องหลวงปจู่ วน ๖๐ ไตร เขาก็มีส่วน
ช่วยอยู่
เร่ืองไฟฟา้ กม็ าทีหลัง ในงานก็ตดิ เครอื่ งป่นั ไฟชว่ ย แลว้ ก็มีไฟตะเกยี งเจ้าพายุช่วย หอ้ งนำ้� นะ่
คนกไ็ มแ่ ออดั แลว้ กไ็ มม่ ากเทา่ ไหรน่ กั อาศยั แตว่ า่ ทำ� ครวั ไวก้ อ่ นแลว้ แลว้ กท็ ำ� เพม่ิ เตมิ ไมม่ ากนกั รองรบั
คนมาประมาณเรอื นหม่นื คอื ไม่มากเหมอื นปจั จบุ ันน้ี ปจั จุบนั นีค้ นมนั มาก การสอ่ื สารมันรวดเร็ว”
ท่านพระอาจารย์พวน ชตุ นิ ฺธโร ได้เมตตาเลา่ เรอื่ งน้ีไวด้ ังน้ี
“การมาคารวะศพ เขาก็มากราบคารวะตามปกติ บางวนั กเ็ ยอะ บางวันก็ไมเ่ ยอะ ตอนงาน
เจ้าภาพญาติโยมช่วยกัน ก็อาศัยเงินท่ีโยมมาบริจาคเป็นหลัก ปะร�ำ ห้องน้�ำก็ช่วยกันท�ำ พระ เณร
ทัง้ ชาวบ้านญาติโยมชว่ ยกนั พระมาชว่ ยงาน โอ้ ! เยอะ เยอะมากๆ พระทมี่ าร่วมงานกม็ ากนะ นำ้� กใ็ ช้
นำ้� บรเิ วณวัด ไฟกไ็ ดเ้ ครื่องปน่ั ชว่ ย เสาไฟฟ้ายังไม่ถึง ตอนนั้นทางวัดกม็ เี งินไมก่ แ่ี สน เงินแสนสมัยนนั้
กน็ บั วา่ เยอะอยู่ ตอนนั้นภทู อกยังไม่มีอะไรมากมาย โอโ้ ห ! ล�ำบากกนั ดาร”
ฝนตกก่อนวันงาน – ร่มเย็นตอนในหลวงเสด็จ
ทา่ นพระอาจารยเ์ ตมิ ศกั ดิ์ ยุตตฺ ตธิ มโฺ ม ได้เมตตาเล่าเรือ่ งนีไ้ วด้ ังนี้
“อศั จรรย์ฝนตก เอ้อ ! ฝนตกเปยี กฉอ็ กแฉ็กเลย แล้ววันนั้นฝนตกลงมาเปยี กมอมแมมหมดเลย
แต่กด็ นี ะ เพราะว่าถา้ ฝนไม่ตก ฝนุ่ มันคล้งุ มากเลย ฝนตกก่อนวันในหลวงเสดจ็ คือตอนพระองค์ท่าน
เสดจ็ มา ตอนบ่ายโมง โอ้โห ! บรรยากาศนคี่ รึ้ม ทา่ นเสดจ็ มา พอเคร่ืองจะลงน่ี โอโ้ ห ! ฟ้าครมึ้ เลย
ร่มเย็น คอื บารมีหลวงปหู่ รอื ในหลวงไมร่ ู้ละ่ แดดเปรย้ี งๆ นน่ั นะ แลว้ ก็ครึ้ม บรรยากาศ
ถ้าฝนไม่ตก โอโ้ ห ! ฝ่นุ น่ี พอฝนตกมันกท็ ุกอย่างเคลยี ร์ เพราะไมต่ ้องไปรดน้�ำนะ แตว่ ่าก็เปียก
มอมแมมดีกวา่ ฝ่นุ เพราะทางลูกรงั ทง้ั นน้ั น่ะ ทางเขา้ ไปตง้ั แตอ่ �ำเภอศรวี ไิ ล ถงึ ท่โี น่นน่ะ ๓๐ กโิ ลฯ
ลูกรงั ท้งั น้ันนะ ถา้ ฝนตก ถนนมันก็ไมม่ ีฝุ่น นล่ี ่ะมันก็ทำ� ให้บรรยากาศวันงาน คือ ไมม่ ฝี นุ่ ถา้ ฝนไม่ตก
โอ้โห ! ท้งั จะเป็นลม ทั้งจะฝนุ่ สารพดั เลย”
สมเด็จพระสังฆราชเสด็จงานพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์จวน
ครัน้ เมื่อถงึ เวลากำ� หนดทีพ่ ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั จะเสด็จไปพระราชทานเพลิงศพทา่ น
พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฺ ในวนั เสาร์ท่ี ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๔ มีหมายรับสงั่ จากส�ำนักพระราชวงั
โดยก�ำหนดวนั ศุกรท์ ่ี ๑๗ เมษายน ๒๕๒๔ เวลา ๑๖.๓๐ น. บ�ำเพญ็ พระราชกุศลพระราชทานในการ
ออกเมรุ พระสงฆ์ ๑๐ รปู สวดพระพุทธมนต์ จบ มพี ระธรรมเทศนากัณฑ์ ๑ พระ ๔ รปู สวดธรรมคาถา
พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม
389
เมื่อถึงวันงานพระราชทานเพลิงศพ องค์สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วาสนมหาเถระ)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก แห่งวัดราชบพิธฯ สมเด็จพระสังฆราชไม่เพียงแต่จะ
เสด็จไปประทานเพลิงเทา่ นั้น แต่เสด็จไปล่วงหนา้ แตค่ นื วนั ศุกรท์ ่ี ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๔ ซงึ่ เปน็
วันบ�ำเพ็ญพระราชกุศลพระราชทานในวันออกเมรุ หมายรับสั่งก�ำหนดเพียงว่า มีพระธรรมเทศนา
กัณฑ์ ๑ โดยไมไ่ ด้ระบุองคแ์ สดง แตใ่ นคนื น้ันสมเด็จพระสงั ฆราชเปน็ ผู้ถวายพระธรรมเทศนากณั ฑน์ น้ั
เน้ือความในพระธรรมเทศนามีปรากฏตอนหน่ึงที่รับสั่งถึงบทพระคาถาของสมเด็จพระบรม–
ศาสดาอยา่ งชดั แจง้ “พระอรหนั ตอ์ ยใู่ นทใี่ ด จะเปน็ บา้ นกต็ าม ปา่ กต็ าม ทล่ี มุ่ กต็ าม ทดี่ อนกต็ าม ทนี่ นั้
ย่อมเปน็ ภมู ิภาคอนั นา่ รน่ื รมยใ์ จ”
บันทึกเหตุการณ์วันพระราชทานเพลิงศพถึงตอนเก็บอัฐิ พิธีสามหาบ
งานพระราชทานเพลงิ ศพท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ เปน็ งานทีย่ ิง่ ใหญ่ทสี่ ดุ ของจังหวัด
หนองคายในสมยั นน้ั ในวนั งานมผี นู้ ำ� ทงั้ ฝา่ ยราชอาณาจกั รและศาสนจกั รเสดจ็ ไปรว่ มงาน โดยพระบาท–
สมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัว เสดจ็ พระราชด�ำเนินพรอ้ มด้วยสมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ ีนาถ สมเด็จ–
พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ เจา้ ฟา้ จฬุ าภรณวลยั ลกั ษณ์ และมี
พระมหาเถระจากฝา่ ยคนั ถธรุ ะหรอื ฝา่ ยปกครอง เชน่ สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ (วาสนมหาเถระ)
สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก วดั ราชบพธิ ฯ ทรงเปน็ องคป์ ระธานในฝา่ ยสงฆ์ พระพทุ ธ–
พจนวราภรณ์ วดั ราชบพธิ ฯ พระธรรมไตรโลกาจารย์ วดั ศรเี มอื ง ตลอดพระราชาคณะ ฯลฯ สว่ นฝา่ ย
วปิ สั สนาธุระ หรอื ฝา่ ยกรรมฐาน เช่น หลวงปู่เหรยี ญ วรลาโภ หลวงตาพระมหาบวั าณสมฺปนฺโน
หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ หลวงป่ลู ี ติ ธมฺโม หลวงป่บู วั พา ปญฺาภาโส หลวงปู่แตงอ่อน กลยฺ าณธมฺโม
หลวงปสู่ มภาร ปญฺ าวโร หลวงปทู่ อ่ น าณธโร หลวงปสู่ ที น สลี ธโน หลวงปอู่ ดุ ม าณรโต หลวงปู่
บญุ เพง็ เขมาภริ โต หลวงปลู่ ี กุสลธโธ หลวงปจู่ ันทา ถาวโร หลวงปูป่ ระสาร สุมโน หลวงปู่บญุ มา
คมฺภรี ธมฺโม หลวงปทู่ องพูล สริ กิ าโม หลวงปูค่ ำ� ตัน ติ ธมฺโม ฯลฯ ตลอดครบู าอาจารย์ พระภิกษุ
สามเณรที่ไปลงทะเบยี นมารว่ มงานกันมากเปน็ พันองค์ และที่ไมม่ าลงทะเบียนอกี จ�ำนวนมาก มากจน
แทบไม่มีทอี่ ยู่ รวมทัง้ แม่ชี ข้าราชการ พอ่ ค้า ประชาชน ไปร่วมงานกันอยา่ งเนืองแนน่ มากเป็น
ประวัติการณ์ วดั เจติยาคิรวี หิ ารซ่ึงมีสถานที่กวา้ งขวาง เตม็ แน่นขนัดแทบจะเบียดเสยี ดกนั นับเป็นวนั
ประวัติศาสตร์อันยงิ่ ใหญ่ของทางวัดท่ีจะต้องจดจารึกไว้อกี นานเท่านาน ยากทจ่ี ะลบเลือน
ท่านพระอาจารยเ์ ติมศักดิ์ ยตุ ตฺ ตธิ มฺโม ไดเ้ มตตาเลา่ เร่ืองนีไ้ วด้ ังนี้
“สมเดจ็ ญาณฯ วดั บวรฯ ท่านไปก่อนงานแลว้ ทา่ นบอกวา่ “วนั งานไม่ได้มา ท่านติดงาน”
สว่ นหลวงตามหาบัวทา่ นไปงาน ท่านถามหาเจ้าอาวาสด้วย เจ้าอาวาสไมไ่ ปหาทา่ นเลย ท่านบอก “เอ้ !
นิมนต์เราไป เจ้าอาวาสเราไม่เคยรู้จักเลย” คือทางคุณหญิงสุรีพันธุ์เป็นคนนิมนต์ท่าน ไปแล้วก็คือ
ต่างคนตา่ งวุ่นงาน อาจารยแ์ ยงกว็ ่นุ งาน พอหลวงตาไปไมม่ ใี ครต้อนรบั ทา่ น มผี อู้ ่นื ไปตอ้ นรับแทน”
390
ท่านพระอาจารย์ประสงค์ จารุธมฺโม ไดเ้ มตตาเลา่ เรอ่ื งหลวงตาพระมหาบัวมารว่ มงานดังน้ี
“หลวงตาบ้านตาดก็มา แต่ท่านมานอนคืนหน่ึง มาคืนเดียวกับท่ีสมเด็จพระสังฆราชเทศน์
หลวงตาทา่ นมาพกั คนื หนึ่ง พอฉันเสร็จท่านกก็ ลับเลย ท่านไมร่ อในหลวง กลางคนื นี่ หลวงตาบา้ นตาด
ไม่ได้เทศน์ วันงานท่านก็ไมไ่ ด้เทศน”์
ส�ำหรบั องคแ์ สดงธรรมในวันงานพระราชทานเพลงิ ศพ เป็นพระราชาคณะฝา่ ยปกครอง
เม่ือถึงวันพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์จวน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ
พระราชด�ำเนนิ ไปทรงเปน็ ประธาน ณ เมรชุ ั่วคราวหนา้ วัดเจติยาคริ วี ิหาร (ภูทอก) ต�ำบลนาสะแบง
อ�ำเภอบงึ กาฬ จังหวัดหนองคาย ดังนี้
“วันเสารท์ ่ี ๑๘ เมษายน ๒๕๒๔ เวลา ๑๔.๑๐ น. พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั และสมเดจ็ –
พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินนี าถ พรอ้ มดว้ ยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ
สมเด็จพระเจา้ ลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลกั ษณ์ เสดจ็ พระราชด�ำเนินโดยเฮลคิ อปเตอร์พระท่ีนั่งจาก
พระต�ำหนักภพู านราชนเิ วศน์ ไปพระราชทานเพลงิ ศพพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ณ เมรวุ ดั เจติยา–
คริ ีวหิ าร (ภทู อก)
คร้ันเสด็จพระราชด�ำเนินถึงบริเวณเชิงภูทอกน้อย ได้ทรงพระด�ำเนินไปยังวัดเจติยาคิรีวิหาร
เสด็จขึ้นประทับ ณ มุขพลับพลา แล้วเสด็จข้ึนเมรุ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จ–
พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ ๑๐ รูปบงั สกุ ลุ ผา้ ไตร ทรงหยิบกระทง
ข้าวตอกดอกไม้จากเจ้าพนักงานพระราชพิธี และทรงวางที่จิตกาธานข้างหีบศพ แล้วทรงหยิบธูป
เทียน ดอกไม้จนั ทน์ แลว้ ทรงจดุ ไฟชนวนพระราชทานเพลงิ เสรจ็ แล้ว เสด็จลงจากเมรไุ ปประทบั
ณ มุขพลับพลา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ
เจา้ ฟ้าจฬุ าภรณวลัยลกั ษณ์ เสดจ็ ขน้ึ เมรุทรงวางดอกไมจ้ ันทน์
เม่ือทุกพระองค์เสดจ็ ฯ ลงจากเมรไุ ปประทับ ณ มขุ พลบั พลา เจา้ พระคุณ สมเด็จพระอริยวง–
ศาคตญาณ (วาสนมหาเถระ) สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดราชบพธิ ฯ ซึ่งเสดจ็ มา
เปน็ องคป์ ระธานฝา่ ยสงฆ์ ทางการจงึ เชญิ เสดจ็ ไปวางดอกไมจ้ นั ทนเ์ ปน็ ลำ� ดบั ถดั มา โดยมพี ระภกิ ษสุ งฆ์
ตามเสด็จขึ้นเมรุวางดอกไม้จันทน์ ซึ่งมีจ�ำนวนนับพันองค์ จากน้ันผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายและ
ขา้ ราชการช้นั ผ้ใู หญ่ ศิษยานศุ ษิ ย์ ประชาชน ได้ข้นึ เมรุวางดอกไม้จนั ทนเ์ ปน็ ล�ำดับถดั มา
ตาม “หมายกำ� หนดการ” เวลา ๑๖.๓๐ น. จะเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ กลบั แตเ่ ยน็ วนั นน้ั ประทบั อยู่
บนมุขพลับพลา โปรดเกล้าฯ ใหศ้ ษิ ย์และเครือญาตทิ า่ นพระอาจารย์จวนเข้าเฝา้ ฯ มีรับส่ังถามทกุ ขส์ ขุ
อย่างทรงพระเมตตา และพระราชทานพระราชด�ำริ เร่อื งควรสรา้ งเจดยี ์บรรจอุ ฐั ขิ องท่านพระอาจารย์
ประทบั รอจนประชาชนทขี่ น้ึ ถวายดอกไมจ้ นั ทนบ์ างเบาลง พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั และสมเดจ็ –
พระนางเจ้าฯ พระบรมราชนิ ีนาถ พร้อมด้วยสมเดจ็ พระเจ้าลูกเธอทัง้ สองกเ็ สด็จฯ ลงเยี่ยมราษฎรต่อ
391
จนเวลามืดค�่ำกวา่ ๒๐.๐๐ น. จงึ ประทับเฮลคิ อปเตอรพ์ ระท่นี ่งั เสด็จพระราชดำ� เนินกลับพระตำ� หนัก
ภพู านราชนิเวศน์
ในการน้ี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้คณะแพทย์พระราชทานเดินทาง
ล่วงหน้าไปต้ังหน่วยแพทย์ชั่วคราว เพื่อท�ำการตรวจรักษาราษฎรท่ีเดินทางมาร่วมงานพระราชทาน
เพลงิ ศพทา่ นพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ดว้ ย”
วัดเจติยาคิรีวิหาร หรือ ภูทอก ในสมัยนั้นยังไม่เดินสายไฟฟ้าเข้าวัด จึงใช้เคร่ืองปั่นไฟช่วย
บรรยากาศในชว่ งมดื คำ�่ ของคนื วนั นนั้ แสงสวา่ งจงึ ไมเ่ พยี งพอ ตอ้ งมกี ารจดุ โคมไฟและใชไ้ ฟฉายตงั้ แบบ
ดวงโคมชว่ ยใหแ้ สงสวา่ ง ภาพเสดจ็ ลงเยย่ี มราษฎรทมี่ าเขา้ เฝา้ กนั อยา่ งเนอื งแนน่ โดยประทบั กบั พน้ื หญา้
อยา่ งไมถ่ อื พระองค์ และทรงรบั สงั่ ตรสั ถามราษฎรในเรอ่ื งนำ�้ เรอ่ื งความเปน็ อยู่ ฯลฯ ดว้ ยพระกริ ยิ า
อนั นมุ่ นวลออ่ นโยน และดว้ ยความห่วงใยทกุ ขส์ ุขของราษฎรอยา่ งสนพระราชหฤทยั ท�ำใหร้ าษฎรตา่ ง
ปลาบปล้ืมปติ ซิ าบซงึ้ ใจอยา่ งหาทส่ี ดุ มไิ ด้ ผทู้ ี่ได้เขา้ เฝ้าฯ ในหลวงและพระราชนิ ีทีเ่ ขารักเทิดทนู บชู า
อยา่ งใกลช้ ดิ ถงึ กบั เอย่ วา่ ชาตนิ ถี้ งึ ตายกไ็ มเ่ สยี ดายชวี ติ และเขาจะจดจารกึ ในใจของเขา และถา่ ยทอด
ใหล้ ูกหลานฟังตราบนานเท่านาน
ท่านพระอาจารย์ประสงค์ จารุธมโฺ ม ได้เมตตาเลา่ เหตกุ ารณต์ อนน้ไี วด้ งั นี้
“ในหลวงท่านก็อยู่จนทมุ่ สองทุ่ม ท่านเยยี่ มพสกนิกรนานมาก ทจี่ รงิ ได้ยินข่าววา่ พวกข้าราช–
บริพาร นางสนองพระโอษฐ์ เชิญในหลวงท่านเสดจ็ กลบั บอกว่า “มนั มืด มันค�่ำแล้ว” เขาหว่ งๆ เขากังวล
แถวพ้นื ทนี่ ีม้ นั เปน็ พนื้ ที่สแี ดงนะ พวกคอมมิวนิสต์ แตค่ นส่วนมากเขารกั ในหลวง เขาไมไ่ ด้ปองรา้ ยดอก
แตข่ ้าราชบริพารกรมวงั หว่ ง ก็เลยบอก พออาทติ ยต์ กนเี่ ขาจะเชิญเสดจ็ กลบั แต่ทา่ นไมก่ ลบั พอ่ หลวง
กบั ราชนิ ีทา่ นไมก่ ลวั ทา่ นเสด็จเยย่ี มราษฎร ราษฎรมาเขา้ เฝ้าเยอะมาก
ชว่ งในหลวงทา่ นเยี่ยมพสกนกิ รนี่ เขากม็ ที หารพวกองครกั ษอ์ ะไรเขาก็มี เขาเตรียมตวั ของเขา
มาอยู่นะ อยา่ งทกี่ ่อนพ่อหลวงจะเสดจ็ มา พวก อส. พวกอะไร หลายหมหู่ ลายคณะเขาก็มานอนมาพกั
อยู่ท่ีวดั ต้งั หลายวัน พวกทหาร พวก อส. พวกต�ำรวจเขามาเคลยี รพ์ ื้นท่ีเยอะมาก”
เมอ่ื ส่งเสด็จกลับแลว้ ทางพระผรู้ ับผดิ ชอบในงาน เตรียมถวายเพลงิ ศพจรงิ ท่านพระอาจารย์
เตมิ ศกั ด์ิ ยุตตฺ ติธมฺโม ไดเ้ มตตาเลา่ เร่อื งนไ้ี วด้ ังน้ี
“ในหลวงทา่ นน่งั ทอดพระเนตร คือวางดอกไม้จันทนเ์ สรจ็ ท่านกไ็ ปเยย่ี มประชาชน ทา่ นเสดจ็
กลับไปแลว้ เขากเ็ ผาเลย พอคำ่� ๆ หนอ่ ยจุดจริง เอาหีบออกมาแล้ว กป็ รากฏว่ามีหีบ ๒ ชนั้ นีซ่ อ้ นไว้
ตอนมกี ล่ินนั้น เสยี เวลาตอนแกะออก ทางวงั กท็ ราบ “อุ๊บ ! มีหีบซอ้ นด้วยหรือ” เพราะเรากลวั เขา
อธิบายวา่ ศพไม่ดี ศพแตก คือเราทำ� อย่างนไี้ ม่ใหใ้ ครเกดิ ความเสยี หาย ขณะเดยี วกันรกั ษาหบี ศพของ
ทางวังซึ่งอยู่ข้างในด้วย เขาก็แกะเอาสังกะสีนั่นออก เราก็ใช้กรรไกรตัดๆๆ พอตัดออกแล้วก็เปิด
เปิดแล้วก็ยกใส่หีบ หีบดึงออกมาแล้วก็ยกข้ึนเผา แล้วก็จุดจริงตอนค่�ำๆ ช่วงน้ีก็ไม่มีเทศน์ กลางคืน
392
เราเหนื่อยเต็มทกี ไ็ ม่ไดไ้ ปเฝา้ เพราะว่าทหารกเ็ ฝ้าตลอด หนา้ ท่ีเราดแู ลศพและเก็บอัฐิหลวงปู่ตลอด”
วนั อาทติ ย์ท่ี ๑๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๔ เวลา ๐๗.๐๐ น. พระราชทานผ้าไตรและภัตตาหาร
สามหาบ องคพ์ จิ ารณาผ้าบังสกุ ลุ ในพิธีสามหาบ ท่านพระอาจารยแ์ ยง สขุ กาโม ไดเ้ มตตาเลา่ เรอ่ื งนี้
ไวด้ ังน้ี
“เราจ�ำได้นะ พระเถระผู้ใหญ่ท่ีมาพิจารณาผ้าบังสุกุลในพิธีสามหาบเก็บอัฐิท่านพระอาจารย์
จวน กลุ เชฏโฺ กม็ ี พระธรรมไตรโลกาจารย์ วดั ศรีเมือง จังหวัดหนองคาย เจา้ คณะภาค ๙ พระมหา
สมศักดิ์ ภรู ิปญฺโ วัดจนั ทรสามัคคี จังหวัดหนองคาย เจ้าคณะจังหวดั หนองคาย พระมหาสมาน
สเุ มโธ (พระธรรมดิลก) วดั ปา่ แสงอรุณ จงั หวัดขอนแก่น”
ลูกเสือถวายอารักขาเส้นทางเสด็จพระราชด�ำเนิน
อาจารยส์ นุ ันท์ ชัยเนตร โรงเรียนบึงกาฬ ท่านได้เลา่ เรื่องนี้ไว้ดังนี้
“วนั พระราชทานเพลิงศพหลวงปูจ่ วน ผมและคณะครูจากโรงเรยี นบงึ กาฬ ได้น�ำคณะลกู เสอื
นกั เรียนมธั ยมปลาย ประมาณ ๓๐๐ คน ยนื อดั แน่นโดยสารรถสิบล้อ ๒ คนั มาร่วมงาน มายนื ถวาย
อารกั ขาความปลอดภยั เพ่มิ โดยต้งั แถว ๒ แถว ตามเสน้ ทางเสดจ็ จากถนนหนา้ วดั เขา้ สู่ปะร�ำพิธี บรเิ วณ
เมรุ ต้งั แตก่ ่อนเสด็จบ่ายโมงถงึ สามทุ่ม ลูกเสอื ก็ไปยืนหนั หลงั ให้พระองคท์ า่ น ยนื คอยกันประชาชน
ไม่ให้เข้ามาในบรเิ วณลาดพระบาท ทุกพระองค์ทา่ นก็เสดจ็ พระราชด�ำเนินตามลาดพระบาทเขา้ ไปใน
มุขพลับพลา ขณะน้ันผมเป็นอาจารย์ผู้น้อยอยู่โรงเรียนบึงกาฬ ซ่ึงเป็นโรงเรียนมัธยมประจ�ำอ�ำเภอ
แหง่ เดียวในสมัยน้ัน คณะครทู ี่มากแ็ ต่งเครอื่ งแบบสขี าว
ตอนในหลวงเสด็จนคี่ อมมิวนสิ ต์ยังรุนแรงอยู่ ก็เลยต้องระวงั ลกู เสอื ทีม่ ายนื ถวายอารักขาเปน็
เด็กนกั เรียนมัธยมปลาย เป็นเด็กหนุ่มโตแลว้ อายุ ๑๗ – ๑๘ ปีแลว้ เขากม็ ีความภาคภูมใิ จที่ได้มายนื
มาแสดงความจงรักภกั ด”ี
ปัจจัยในงานพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์จวน
ท่านพระอาจารยเ์ ตมิ ศักดิ์ ยตุ ตฺ ตธิ มฺโม ไดเ้ มตตาเล่าเรอ่ื งน้ไี วด้ ังน้ี
“เงินบริจาคในงานศพของหลวงปู่จวน ก็เป็นของวัดหมด หลายแสนอยู่แต่ไม่ถึงล้านบาท
เพราะเราบริจาคเอา เงนิ ท่ีมาใชใ้ นงานทง้ั หมดคอื เอาเงินเก่ามาใช้ ก็หมดไป ๒ – ๓ แสน เพราะเอามา
ใชง้ านทัง้ ถวายพระ ทั้งค่าใช้จ่ายนะ ไม่รวมเมรุ เมรุน่เี สยี่ กิมก่ายก็ไม่รู้ว่าเขาหมดเท่าไหร่ แต่เขาเป็น
เจ้าภาพทกุ อย่าง ท้ังหินเกลด็ ทงั้ อะไรตา่ งๆ ท่มี าปู เขาเรียกว่าเอาก่ีรถ บอกเอา ๕ รถ ๖ รถ ก็บอกเขา
เขากส็ ั่งมา เขามาเทๆ ชาวบา้ นมาช่วยเกล่ยี กนั เอง
393
ปะร�ำพิธนี ี่ บางอันก็เชา่ พวกญาตโิ ยมสมัยนน้ั ก็อาศัยปะรำ� ไมไ้ ผ่ หญ้าคา ฝาขัดแตะ กห็ มคู่ ณะ
ชว่ ยกัน เรามหี นา้ ท่ีหาไมไ้ ผ่ หมดแล้วกไ็ ปหา หน้าที่ท�ำเปน็ หน้าท่ขี องหมคู่ ณะมาชว่ ยงาน เราหาวัตถุดิบ
มาใหท้ ่านท�ำ คา่ ใชจ้ า่ ยประมาณ ๒ – ๓ แสนสมัยนนั้
เงินบริจาคก็ไม่ถึงล้านบาท เพราะสมัยน้ันรายจ่ายก็ไม่มาก เพราะคนไม่มากอย่างทุกวันน้ี
บาตรก็มเี จา้ ภาพ ผา้ ไตรมีเจ้าภาพ พอเสร็จงานแล้ว เงินเหลอื กไ็ วใ้ ชจ้ ่ายในวัด คือสมัยน้ันไมม่ าก
การก่อสร้างตา่ งๆ ซอื้ ท่ดี ินบ้าง บูรณะวัดบา้ ง ความเป็นอยชู่ าวบ้านกแ็ ร้นแค้น ไม่ใช้จา่ ยฟุ่มเฟือย
ในงาน ในหลวงทา่ นกพ็ ระราชทานผา้ ไตรตอนพธิ ีหลวง เพราะเราถวายภตั ตาหารอยู่ ในหลวง
ท่านจะถวายปจั จยั เท่าไหร่ไม่ทราบ แต่เรากถ็ วายทา่ นอยู่ พระพธิ ที ่ีนิมนตม์ าตลอดถงึ คา่ สวดถวายท่าน
สมยั น้ันพระสวดถวายองคล์ ะ ๕๐๐ เองนะ ไม่ร้มู าจากไหน ๔ องค์ ถือว่ามาก เขาสวดทางพธิ ีหลวงนะ
สวดค่อยๆ เนบิ ๆ สว่ นพระเถระผู้ใหญ่ทน่ี มิ นตม์ าถวายองค์ละ ๓๐๐ ถ้าพระท่วั ไปถวายองคล์ ะ ๑๐๐
เทา่ นัน้ เอง คอื เอาไปแลกเช็คมานะ พระทว่ั ไปกม็ าเปน็ พนั เลย จริงๆ ท่ถี วายประมาณนี้แหละ”
เงินค่าสินไหมให้ญาติ ค่าหนังสือ และอ่ืนๆ
ทา่ นพระอาจารย์เติมศักดิ์ ยตุ ตฺ ติธมโฺ ม ไดเ้ มตตาเลา่ เรื่องนไ้ี ว้ดงั นี้
“คอื เรือ่ งคา่ ใชจ้ า่ ยเรากม็ ี คอื หลวงปู่จวนทา่ นบอกวา่ ตัวทา่ นไม่มี ยกให้เป็นของวดั หมด แต่
ทา่ นมรณภาพแล้วกไ็ ด้เงินคา่ สนิ ไหมสแ่ี สนบาท ให้ญาติหลวงปู่ไปดเู หมือนจะคร่งึ หนง่ึ คอื ญาตพิ ่นี อ้ ง
ทา่ นกไ็ ม่มีอะไร เราใหท้ า่ นบา้ ง เพราะทางนูน้ มีช่อื อยู่ ทา่ นกไ็ มเ่ คยไปให้เขา สุดทา้ ยแล้วกเ็ อาให้ญาติ
บา้ ง อีกคร่งึ หนึง่ มาจา่ ยคา่ พมิ พห์ นังสือและคา่ ใช้จ่ายอยา่ งอนื่ ดว้ ย เช่น ค่าจัดของ ค่าซอ้ื ของถวายพระ
เพราะค่าพมิ พห์ นังสอื ในงานแพงมาก เขาออกช่วยกนั เขาเอาเงนิ ค่าสนิ ไหมตรงนีเ้ ป็นคา่ หนงั สอื ด้วย
คุณสรุ พี นั ธเ์ุ ขามาพูดกับทางวดั ดว้ ยวา่ ถ้าปัจจัยคา่ พมิ พห์ นงั สือ เขาจะเอาสว่ นนไ้ี ปใช้ดว้ ย”
ปล้ืมใจงานพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์จวน
ท่านพระอาจารย์ค�ำศรี อุปสนโฺ ต ไดเ้ มตตาเลา่ เรอ่ื งน้ีไวด้ ังนี้
“งานเผาหลวงปจู่ วน อาตมาเปน็ พระหนุ่ม มแี ต่ความปล้มื ใจ ดีใจมากเทา่ น้ันแหละ เพราะวา่
เกิดมาไม่เคยเห็น ก�ำลังมาเห็นนี่ “การเผาพระ ก็ยังเห็นว่ามันเป็นงานท่ียิ่งใหญ่ท่ีสุดของจังหวัด”
งานระดบั ประเทศนะ พระเจา้ อยหู่ วั เสดจ็ มา พระมาเยอะ โยมมาเยอะ เมรนุ ก้ี ส็ ดุ ยอดเลยละ่ ทไ่ี มเ่ คยเหน็
กม็ าเห็น เมรุพระราชทานเพลงิ ศพหลวงปฝู่ ้ันกับหลวงปจู่ วนเป็นคนละแบบ หลวงปู่ฝ้ันนะเป็นพนู ดิน
ข้นึ อีก เป็นภูแบบภถู ำ้� ขาม อาตมากข็ ึ้นไปดเู วลาเขาเผานั้น แต่ของหลวงปจู่ วนนีแ้ นวทางวัง หลวงปฝู่ น้ั
กเ็ ผาแบบวังล่ะนะ”
394
ภาค ๑๓ อัฐิเป็นพระธาตุ
เร่ืองพระธาตุ
หลวงตาพระมหาบัว าณสมฺปนฺโน ได้เมตตาเทศน์เรอ่ื งพระธาตุ เมอื่ วนั ท่ี ๕ กรกฎาคม
พ.ศ. ๒๕๕๒ จติ ของผู้บริสทุ ธเิ์ ท่านั้นถงึ จะกลายเป็นพระธาตไุ ด้ ดังน้ี
“ถ้าลงกลายเป็นพระธาตุแล้วตีตราไว้เลย ไม่ต้องถามใครก็ทราบว่าถึงท่ีสุดแล้ว ถึงที่สุดของ
ธรรม ถงึ ทส่ี ดุ ของกเิ ลส นั่นละ่ ต่างกนั ท่านจวน ทา่ นสิงห์ทอง ทา่ นเพียร เพียงแค่น้ีกอ่ นนะ จะเป็น
เตม็ ยศนัน่ แหละ และอาจารย์คำ� ดีที่เร็วๆ นีเ้ ปน็ พระธาตุๆ ท้งั น้ัน
คือคำ� วา่ เป็นพระธาตุเพราะเหตุไร คนอ่นื ใดๆ กจ็ ะไม่เขา้ ใจว่าอวยั วะต่างๆ ถกู เผาลงไปแลว้
กลบั กลายมาเป็นพระธาตุ นั้นก็คอื ว่าทุม่ อยู่กบั จิต คอื จติ ชำ� ระจนกระทงั่ บริสุทธเิ์ ตม็ ท่แี ลว้ จิตทบี่ ริสทุ ธ์ิ
นลี่ ะ่ ทเี่ ปน็ เจา้ ของรา่ งกาย มนั กแ็ ผร่ ศั มอี อกมาเปน็ ความสะอาด แลว้ แผอ่ อกมา ยง่ิ เรอ่ื งภาวนาดว้ ยแลว้
เป็นอนั ดบั หนึ่งเลย น่ังภาวนาจิตเขา้ นี้หมด น่ันล่ะซกั ฟอกธาตขุ ันธ์ทเ่ี ปน็ ส่วนหยาบใหก้ ลายเปน็ สว่ น
ละเอยี ดขน้ึ มา เช่น เปน็ พระธาตุ เป็นต้น ถ้าธรรมดาแลว้ มนั เปน็ ไม่ได้
คือใจท่ีบรสิ ทุ ธ์แิ ล้วครองรา่ ง ครองนานเท่าไรก็ย่งิ เปน็ ได้เร็ว เร็วกบั ชา้ อยกู่ ับความชา้ นาน
ของจติ เชน่ อย่างไปรวดเร็วปุบปบั ส�ำเร็จไปแลว้ น้กี ลายเปน็ พระธาตชุ า้ นะ ทเ่ี ปน็ มานานอยา่ งน้ี
กลายเป็นพระธาตุได้เร็ว อย่างของแม่ชีแก้วเป็นเรียบร้อยแล้วนะ อัฐิกลายเป็นพระธาตุ แม่ชีแก้ว
คนหนึง่ อันนสี้ วยงามอยู่ พระธาตอุ นั นก้ี ด็ ี
นัน่ ละ่ ธรรมพระพทุ ธเจา้ ทา่ นสอนไวท้ ี่ตรงไหน ไม่มีผิด มนั ผดิ แต่ผู้ปฏบิ ตั ติ าม ออกนอกลู่
นอกทางไป มนั กไ็ มเ่ ขา้ รอ่ งรอยแหง่ ธรรม ถ้ามันเข้าร่องรอยแหง่ ธรรมเตม็ ท่แี ลว้ ถงึ ขนั้ ของจติ บรสิ ุทธ์ิ
แล้ว ทว่ี ่าอฐั กิ ลายเป็นพระธาตุ มาจากใจนั่นละ่ มาจากไหน ใจบรสิ ทุ ธ์ิแลว้ ซกั ฟอกธาตุขนั ธใ์ ห้เป็น
ธาตขุ นั ธท์ สี่ ะอาดเขา้ ไปอกี ขนั้ หนง่ึ นะ จติ สะอาดเรยี บรอ้ ยแลว้ ครองรา่ งอยู่ กซ็ กั ฟอกรา่ งกายทคี่ รองรา่ ง
จิตท่ีบริสุทธิ์นั่นล่ะซักฟอกร่างกายที่เป็นส่วนหยาบให้ธาตุขันธ์บริสุทธิ์ จากน้ันกลายเป็นพระธาตุได้
มันเปน็ อย่างนั้นนะจติ
คือจิตน่ีส�ำคัญมากนะ จิตท่ีบริสุทธ์ิควรท่ีอัฐิจะกลายเป็นพระธาตุได้ นอกนั้นไม่ปรากฏ
ในต�ำรากไ็ ม่มี ในต�ำราบอกอย่างเดยี วทีว่ า่ จิตของทา่ นผู้บรสิ ทุ ธิ์ถึงทส่ี ดุ แหง่ ธรรมแล้ว อฐั ิท่านจะ
กลายเป็นพระธาตุมี ในตำ� ราบอก แตธ่ รรมดาทั่วๆ ไปไม่มี นี่ของท่านสมัยปัจจุบันน้กี ็มหี ลายองค์นะ
ทีเ่ ราทราบไดช้ ดั เจนกอ็ ย่าง หลวงปขู่ าว หลวงป่ฝู นั้ อยา่ งนีน้ ะ แลว้ ก็เร่ือยมาจนกระทัง่ ถึงทกุ วนั น้มี ี
เป็นพระธาตุๆ อย่างของทา่ นสิงห์ทองตกเคร่อื งบนิ ลงมา กระดกู เอาไปเผาเหมือนกนั แต่กระดกู ของ
ทา่ นสงิ ห์ทองกับกระดูกท่านจวนกลายเปน็ พระธาตสุ ององค์ ตกเครือ่ งบนิ เปน็ อยา่ งนน้ั นะ มนั ขน้ึ อยู่
กับใจ”
395
หลวงปู่จวนเผาไม่ถึง ๗ วัน อัฐิเป็นพระธาตุหมดเลย
ทา่ นพระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต ได้เมตตาเทศน์เร่ืองนีไ้ ว้ดังนี้
“เราอย่กู บั หลวงปู่จวนนะ่ หลวงปู่จวนเผาไมถ่ งึ ๗ วนั เปน็ หมดเลย
ทั้งๆ ท่ีเราก็เปน็ พระนะ เรากเ็ ป็นพระ เอ๊ ! เรากค็ ดิ ว่ามนั จะจรงิ หรอื ท้ังๆ ท่ีเราเป็นลกู ศษิ ย์นะ
เรากเ็ ชอื่ มัน่ เราเช่อื ม่นั หลวงปูจ่ วนมากว่าต้องเป็นพระอรหันตแ์ น่นอน ต้องเป็นพระธาตแุ นน่ อน แต่
มันเร็วมาก มันเรว็ มากนะ พอมันเรว็ มากเนี่ย เอ๊ ! เพราะเวลาเป็นพระธาตเุ นีย่ พระเขาคยุ กันแล้ว เนี่ย
เขาต้ังบนโต๊ะไว้ที่ช้ัน ๕ เน่ีย แล้วเขาก็เอาพระธาตุของอาจารย์จวนเนี่ยใส่ตลับไว้เต็มเลย แล้วก็มี
ไอ้นน่ั น่ะ อะไรนะไอท้ ่สี อ่ งนะ่ แวน่ น่ะ
เราขน้ึ เลย เพราะเพอ่ื นกัน ครูบาพวน (ท่านพระอาจารยพ์ วน ชตุ ินธฺ โร) น่ะก็เป็นอุปัฏฐาก
หลวงปู่อาจารย์จวน เขาถอื กญุ แจอยู่ไง “พวน เอากญุ แจมาเปิด จะดูหนอ่ ย” พอเปิดขึ้นมาเน่ียนะ
โอโ้ ฮ ! เป็นแก้วหมดเลย ๗ วนั น่ะ ๗ วนั เผา ๗ วันเป็น หลวงป่แู หวนนะ่ ขณะเผาเลย”
ทา่ นพระอาจารยพ์ วน ชุตินธฺ โร ได้เมตตาเล่าเร่อื งน้ไี ว้ดังนี้
“ก็ประมาณ ๗ วันน่ีแหละ เร็ว ก็ช่วงน้ันมันก็ไม่มีใครอยู่ เราก็ต้องดูแล ต้องเก็บรักษา
แล้วพระกม็ ีน้อยชว่ งน้ัน”
อน่ึง การเก็บรักษาอฐั ิธาตุหลวงปู่จวน เมอื่ มีการสร้างกุฏถิ วายหลวงปหู่ ลยุ ทภี่ ูทอก ในโอกาส
ทีห่ ลวงปูเ่ มตตามาจ�ำพรรษาในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ เม่ือหลวงป่กู ลบั ไปวัดของท่านแลว้ ทา่ นพระอาจารย์
เติมศกั ดไิ์ ดเ้ ข้าอยูก่ ุฏหิ ลังน้ีแทน ต่อมาไดอ้ ญั เชิญอฐั ิธาตหุ ลวงปู่จวนลงมาจากบนเขาชนั้ ๕ เก็บรักษาไว้
ทีก่ ุฏิหลวงปูห่ ลุย ก่อนทีจ่ ะบรรจใุ นเจดีย์พพิ ธิ ภัณฑ์ โดยทา่ นพระอาจารยเ์ ติมศกั ดิ์เป็นผูด้ ูแลรักษา
พระธาตุท่านพระอาจารย์จวน
นอกจากอฐั ขิ องท่านพระอาจารยจ์ วนจะแปรเปน็ พระธาตแุ ลว้ น้�ำล้างกระดกู เถ้าองั คาร ก็
แปรเป็นพระธาตุ โดยคุณหมอประพักตร์ โสฬสจินดา ได้เมตตาเล่าเรื่องพระธาตุท่านพระอาจารย์
จวนไวด้ งั น้ี
“พระธาตุอาจารยจ์ วน โอ้ ! ได้อยู่ ปรากฏมันเปน็ แก้วสชี มพู ตอนพระราชทานเพลงิ วันน้ัน
ตอนคุณหญิงพยายามไม่ให้เอา ไอส้ ี (พอ่ สี อย่สู ุข) ลงไปแอบ เราเห็นอย่ขู า้ งลา่ ง เหน็ อา้ ว ! เหน็ ใส่
กระเปา๋ ฮว่ ย ! พอขน้ึ มาแลว้ จบั กนั เลย “ฮว่ ย ! เอาออกมา ยังเอาไมไ่ ด”้ แลว้ สอนว่าไอส้ ี
ตอนนัน้ อาจารยแ์ ยงก็ยงั เกรงใจทางนีอ้ ยู่ พอพวกกรุงเทพฯ เขาไดน้ ้�ำลา้ งกระดูกไปแลว้ มันไป
เปน็ พระธาตุ ทีแรก ตชด. ก็คมุ หมดไม่ให้เขา้ ใกล้ ทีนี้ไอถ้ าดเหลก็ ทีข่ า้ งล่างทีเ่ ปน็ ฝนุ่ อันนัน้ มนั เป็นเรว็
396
ท่ีพวกน้ีก็ล้างน�้ำ ทีนี้พวกรถทัวร์ไปก็ขอกราบไหว้ ไม่ได้อะไรเลยก็เอาน้�ำล้างถาดน่ีแหละ พวกน้ัน
ไปเปน็ พระธาตกุ ่อน เพราะมนั ละเอยี ดกวา่ มันเปน็ เรว็ กว่าใชไ่ หม พอไปถึงก็เป็น ลกั ษณะท่ีเปน็
มันแล้วแต่
พอทีนไ้ี อ้เรากพ็ อรกู้ รงุ เทพฯ เปน็ เฮ้ย ! เราก็มาน่เี ลย ไดข้ ่าวกลับมาอกี กลับมาถึงขึน้ ไปหา
อาจารย์แยงนีแ่ หละทีช่ ัน้ ๕ พออาจารยแ์ ยงมา อาจารยแ์ ยงท่านก็พระลกู วัด ท่านกเ็ กรงใจกันอยเู่ นาะ
ผมบอก “ฮว่ ย ! มาเอาเรอ่ื งน้ันแล้วนอ้ ” กเ็ ลยเอากระสอบท้ังหมดมันมี ๗ – ๘ กระสอบที่บรรจุทง้ั องั สะ
อะไร บังเอญิ โชคไม่ดไี ปเจอกระสอบที่เป็นเถา้ องั คาร ไอ้ทเ่ี ปน็ กระดูกแทๆ้ นัน้ มนั อยู่อีกกระสอบหนึ่ง
จ�ำกันไม่ได้ ผมก็เอาผา้ ขาวมาเท สองคนกบั ทา่ น ท่านบอก “อู๊ย ! ท�ำไมหมอท�ำกับเราขนาดนี้” “โอ้ย !
เอาเลย ผมอยากได้” กไ็ ดเ้ ก็บมาไดน้ ดิ ๆ หน่อยๆ แค่นนั้ ไม่ไดเ้ ยอะ เสร็จแล้วเดย๋ี วน้ีนน้ั ก็บรรจุอยู่บน
ยอดเจดยี ์
ทีแรกก็ได้เป็นเถ้าอังคาร มันจะรวมเป็นเม็ดถว่ั เขยี วก่อน พอเมด็ ถ่ัวเขยี วแล้วกจ็ ะกลายเปน็ ผลึก
สชี มพเู ป็นพระธาตุ บูชาอยู่ทบี่ ้านผมน่ี โอ้ ! นานกวา่ จะแปร อยกู่ ับเรานานอยู่ มนั กอ็ ยู่ทเ่ี รานะ มันเปน็
แท่งๆ อยู่ แตข่ องเฒา่ สนี ่ี ผมมาเหน็ แล้ว โอย้ ! แกได้ไปไม่รหู้ ายหรอื ไปแจกลูกหมดแล้วม้ัง อนั นนั้ เป็น
ท่อนเหมอื นหนิ ออ่ นน่ะ วนั ที่หนาวจดั ๆ วนั ทงี่ านอาจารย์จวน ไอ้เราหนาวไปนอนบา้ นเฒ่าสีแล้วขอดู
อู้ ! เหมือนไอห้ นิ อ่อนปลอมของไอ้วิทยาศาสตรน์ ั่นน่ะ แปรหลายสี ส่วนเกศาท่ีผมได้ไปไม่คอ่ ยแปร
แตว่ า่ ทสี่ วยทส่ี ดุ ระยะนีท้ ่เี หน็ กม็ ขี องอาจารย์จวนเปน็ สีชมพู พระธาตขุ องท่านทบ่ี ้านผมไมเ่ สด็จมาเพมิ่
ไม่หนีกบ็ ุญแล้ว”
พระธาตุจากเส้นเกศาท่านพระอาจารย์จวน
เส้นเกศาของบรรดาพอ่ แมค่ รูอาจารย์สายทา่ นพระอาจารย์มั่นหลายๆ องค์ เชน่ หลวงปชู่ อบ
านสโม หลวงป่ขู าว อนาลโย หลวงปู่แหวน สุจณิ โฺ ณ หลวงตาพระมหาบัว าณสมปฺ นโฺ น ฯลฯ
มผี นู้ ำ� ไปกราบไหวบ้ ูชาแล้วแปรสภาพเปน็ พระธาตุ เส้นเกศาของทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ก็
เชน่ เดยี วกัน ไดแ้ ปรเปน็ พระธาตตุ งั้ แต่ทา่ นพระอาจารยจ์ วนยังมชี วี ิตอยู่
พระธาตุจากเส้นเกศาของท่านพระอาจารย์จวน รายแรกเป็นของคุณแม่ชีโสดา โสสุด
ปัจจุบนั ท่านมรณภาพไปแล้ว คณุ แมช่ โี สดาเล่าว่า “ไดเ้ กศาของท่านพระอาจารย์จวนมากราบไหวบ้ ูชา
ที่กุฏิ โดยเก็บเส้นเกศาของท่านไว้ในขวด ต่อมาเส้นเกศาขมวดรวมเป็นก้อนกลมๆ และกลายเป็น
พระธาตุองค์เล็กๆ ลักษณะเปน็ พระธาตสุ นี วล” คุณแม่ชีโสดาไดก้ ราบเรยี นท่านอาจารยจ์ วนตงั้ แต่ทา่ น
ยงั มชี ีวิตอยู่ ทา่ นไดเ้ มตตาไปดทู ีก่ ฏุ ิ และท่านสั่งใหเ้ ก็บรักษาไวใ้ ห้ดเี ป็นมงคล
พอ่ สี อยสู่ ุข ผูอ้ ุปัฏฐากทา่ นพระอาจารย์จวนอย่างใกลช้ ดิ เป็นอีกผ้หู น่งึ ที่ได้รับเกศาของท่าน
พระอาจารยจ์ วน ไปกราบไหวบ้ ชู าท่ีบา้ นและต่อมาได้แปรเป็นพระธาตุ โดยคณุ ประเสริฐ (กี้) อยู่สุข
ลกู ชายของพอ่ สี ไดเ้ ล่าเรื่องน้ไี วด้ งั น้ี
397
“ทแี รกคุณพ่อไดเ้ ส้นเกศาของหลวงปูจ่ วนมาจ�ำนวนหน่ึง ก็บรรจใุ สข่ วดเล็กๆ และได้อญั เชญิ
ไปกราบไหว้บชู าบนหง้ิ พระที่บ้าน ผมก็นานๆ มาดคู รัง้ หนึง่ เส้นเกศากจ็ บั กนั เป็นกอ้ นเปน็ ลูกกลมๆ
มันก็เปลี่ยนแปลงไป เปล่ียนจากเส้นมาเป็นใสๆ จากแต่ก่อนก็เป็นกลมๆ ก็มี เส้นผมเหมือนกัน
และกก็ ลายเป็นก้อนกลมๆ เป็นเม็ดเล็กกว่าเม็ดมะขามเล็กน้อย ผา่ นไปอกี ระยะหนึ่ง ไมท่ ราบว่านาน
แค่ไหน ผมก็น�ำมาชมอีก ปรากฏว่ากลายเปน็ พระธาตเุ มด็ เลก็ ๆ แตว่ า่ ไมเ่ หมอื นอฐั ิ มีลักษณะสีนวลๆ
ขาวๆ ใสๆ”
จีวรครองตอนถวายเพลิงศพไม่ไหม้
ท่านพระอาจารย์พวน ชุตนิ ฺธโร ได้เมตตาเล่าเรอื่ งนไี้ วด้ ังน้ี
“จีวรผ้าไหมพื้นบ้านที่พระอาจารย์สรวงตัดเย็บถวายหลวงปู่จวนเก็บเอาไว้ที่เจดีย์พิพิธภัณฑ์
ตอนพระราชเพลิงศพได้เปลย่ี นจีวรครองเป็นผา้ ไหมอกี ผืนหนึง่ ระหวา่ งถวายเพลิงศพ จวี รส่วนใหญ่
เผาไม่ไหม้และได้เก็บเอาไว้ท่ีเจดีย์น่ันแหละ ท่านมีจีวรอยู่ ๒ ผืน เป็นผ้าไหมมาจากอินเดียผืนหน่ึง
ท่านไมค่ ่อยจะไดค้ รองหรอก”
398
ภาค ๑๔ เจดีย์พิพิธภัณฑ์ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ
ถูปารหบุคคล ๔
ท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ ควรแกก่ ารบรรจุอฐั ิธาตใุ นสถูปเจดีย์ ตามหลกั การก่อสรา้ ง
เจดยี ์ ท่พี ระพุทธเจ้าตรสั กบั พระอานนท์ เร่ือง ถปู ารหบุคคล ดงั นี้
“อานนท์ บคุ คลผูค้ วรแก่การประดษิ ฐานในสถปู เรยี กวา่ ถูปารหบคุ คล มี ๔ ประเภท คือ
พระตถาคตอรหนั ตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑
พระปจั เจกพุทธเจา้ ๑
พระสาวกอรหนั ต์ ๑
พระเจา้ จกั รพรรดิ ๑
บุคคลพเิ ศษทัง้ ๔ นี้ ควรทบ่ี รรจุอัฐธิ าตไุ วใ้ นสถปู เพ่ือเปน็ ทีส่ กั การบูชากราบไหว้ ด้วยความ
เลอ่ื มใส ดว้ ยสามารถเปน็ พลวปจั จัย น�ำให้ผกู้ ราบไหว้เขา้ ถึงสุคตโิ ลกสวรรคต์ ามก�ำลงั ศรัทธาเลอ่ื มใส”
ความเป็นมาเจดีย์พิพิธภัณฑ์
(จากหนงั สอื กุลเชฏฐาภวิ าท)
อนสุ นธวิ นั พระราชทานเพลงิ ศพ ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ ซง่ึ เคยเปน็ ประธานสงฆอ์ ยทู่ ่ี
วัดเจตยิ าคิรวี หิ าร (ภูทอก) กิ่งอำ� เภอศรวี ิไล จงั หวดั หนองคาย (ปจั จบุ นั อ�ำเภอศรีวิไล จงั หวดั บงึ กาฬ)
เมอื่ วันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๔ ซง่ึ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว ได้เสด็จพระราชด�ำเนนิ ไปเป็น
องค์ประธาน พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกมุ ารี และ สมเดจ็ พระเจา้ ลูกเธอ เจา้ ฟ้าจุฬาภรณวลยั ลกั ษณ์ ระหว่างพระราชทาน
พระมหากรุณาธิคุณให้ญาติสนิทและศิษย์เข้าเฝ้าเบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระราชปรารภวา่
“อัฐขิ องทา่ นพระอาจารย์จวนน้ัน ไมค่ วรจะแบง่ แยกกนั ออกไป ควรจะเกบ็ รวมกนั ไว้ ณ ที่วัด
ทเี่ ดยี วกนั เพอ่ื ให้บรรดาศิษย์และประชาชนไดม้ าเคารพสกั การะได้ทว่ั กนั ” และทรงมพี ระราชด�ำรัส
ถามว่า “ท่านพระอาจารยไ์ ดเ้ คยสั่งเกีย่ วกับอัฐิของท่านไว้ประการใดบา้ ง”
ทงั้ ศษิ ย์และญาตสิ นทิ ของท่านต่างกราบบังคมทูลตรงกันว่า “ทา่ นเคยส่งั วา่ เขาภูทอกนี้เปน็
เสมือนเจดยี ์ใหญ่อยู่แล้ว อาตมาตายไม่ตอ้ งทำ� อะไร ใหเ้ จาะเขาขา้ งบนน�ำกระดกู ไปฝังไวก้ ็พอแลว้ หรือ
ถ้าเกรงจะเป็นภาระ จะโยนท้งิ เหวไปก็ได้”
399
เม่ือทรงฟงั คำ� กราบบงั คมทูลประโยคสดุ ทา้ ย ก็ทรงพระสรวล และทรงพระกรณุ าพระราชทาน
พระราชดำ� ริว่า
“ถา้ เชน่ นั้นก็ควรจะสร้างเจดียบ์ รรจุอัฐิของท่านไวบ้ นยอดเขา... และจะมาชว่ ยสร้างด้วย”
พระราชด�ำรัสน้ีเป็นที่น่าอนุโมทนา เป็นที่ปล้ืมปิติ และเป็นพระมหากรุณาธิคุณ แก่บรรดา
คณะสงฆว์ ดั เจติยาคริ ีวหิ าร เครอื ญาตแิ ละศิษยานศุ ิษย์อยา่ งหาท่สี ุดมิได้ จงึ ไดค้ ดิ เตรยี มการสรา้ งเจดีย์
ตามพระราชด�ำริ โดยกราบเรยี นเชิญ พระคุณเจา้ หลวงปู่หลยุ จนฺทสาโร เป็นประธานคณะกรรมการ
ฝ่ายสงฆ์ และมี ท่านพระอาจารยไ์ พบลู ย์ สมุ งคฺ โล เป็นทปี่ รกึ ษา ส่วนฝา่ ยฆราวาสมอบให้ นายเกษม
จาตกิ วณชิ เปน็ ประธานคณะกรรมการการด�ำเนนิ งานก่อสรา้ ง
คณะกรรมการได้ประชุมกันหลายครั้ง เห็นพ้องกันว่า ควรสร้างเป็นเจดีย์พิพิธภัณฑ์ โดย
นอกจากจะบรรจอุ ฐั ธิ าตขุ องท่าน ซ่งึ ส่วนหน่ึงก�ำลังแปรสภาพเปน็ พระธาตจุ �ำนวนมากแล้ว ควรจะให้
เป็นพิพิธภัณฑ์อัฐบริขารของท่านด้วย ส�ำหรับสถานที่สร้างเจดีย์ ซึ่งก�ำหนดจะสร้างบนยอดเขาตาม
พระราชด�ำรินัน้ เม่ือใหฝ้ า่ ยวิศวกรฐานรากส�ำรวจโดยละเอียด ปรากฏวา่ สภาพบนยอดเขามีลักษณะ
เป็นโพรงมาก และหนิ ก็เป็นหินทรายไม่แขง็ แรงเพียงพอ ควรจะก�ำหนดสถานที่สรา้ งเจดีย์ใหม่
การทั้งน้ีท่านพระอาจารย์ไพบูลย์ กรุณาให้ความเห็นว่า เมื่อจ�ำเป็นจะต้องเปล่ียนสถานท่ี
สรา้ งเจดยี ์ ก็ควรเลือกทลี่ านหนา้ วดั โดยให้มีจุดศนู ยก์ ลาง ณ จุดซง่ึ เป็นท่ีพระราชทานเพลิงศพของ
ท่าน เพราะจุดซึ่งถวายเพลงิ พระผู้ทรงศีลวิสุทธนิ ั้น ควรจะตอ้ งสร้างถาวรวัตถคุ รอบไว้อยูแ่ ลว้ เปน็ การ
ป้องกันมิให้มกี ารเหยียบทบั อฐั ธิ าตุท่ีอาจจะหลงเหลอื อยู่ จะเป็นบาปแก่ผู้ไมร่ ู้
อีกประการหน่ึง ครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ขณะน้ีล้วนมีอายุ หากจะมาอนุโมทนาและชมเจดีย์
ถ้าสร้างที่ข้างล่างก็จะไม่เป็นการล�ำบากยากแก่สังขารของท่านผู้มีอายุ ส�ำหรับการก�ำหนดสถานท่ี
สร้างเจดีย์ใหม่นี้ก็ดี รวมทั้งรูปแบบเจดีย์ ตลอดถึงการก่อสร้างก็ดี ควรปรึกษาด�ำเนินการกันไปเอง
กอ่ น เพอ่ื มใิ หเ้ ปน็ การรบกวนเบอ้ื งพระยคุ ลบาท ทท่ี รงมพี ระราชภาระในงานแผน่ ดนิ อยา่ งอเนกอนนั ต์
ต่อเม่ือการก่อสร้างเจดีย์ใกล้จะส�ำเร็จลุล่วงแล้ว จึงค่อยกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทรงทราบ และ
ขอพระราชทานอัญเชญิ เสด็จพระราชด�ำเนนิ ทรงประกอบพิธีเปดิ เจดียพ์ ิพธิ ภณั ฑ์ในภายหลัง
คณะศิษยานุศิษย์เห็นด้วยกับค�ำแนะน�ำของท่าน และได้มอบให้ นางไขศรี ตันศิริ และ
นายสนั ติ ชยสมบตั ิ เปน็ สถาปนิกผู้ออกแบบเจดียพ์ พิ ธิ ภณั ฑ์ โดยองคป์ ระธานและทา่ นพระอาจารย์ที่
ปรกึ ษาฝา่ ยสงฆ์ ไดเ้ มตตาใหข้ ้อคดิ แก้ไข ตชิ มโดยละเอยี ด
หลังจากไดด้ ำ� เนนิ การจดั หาทนุ มาระยะหน่งึ ก็สามารถเริ่มการกอ่ สร้างได้ตง้ั แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๒๙
โดยได้ซื้อท่ีดินส�ำหรับบริเวณฐานและลานเจดีย์ และต่อมาได้จัดซื้อเพิ่มเติมอีกเพ่ือจัดท�ำเป็นถนน
ทางเขา้ และสวนปา่ ด้านหนา้ ครน้ั ถมดินเปน็ เนินเจดยี ์ ปรับพ้ืนทบ่ี รเิ วณเรยี บรอ้ ยแลว้ ก็เริ่มลงมอื
กอ่ สร้าง ซง่ึ ก้าวหน้ามาโดยล�ำดบั จนปัจจบุ ันนี้นบั ไดว้ า่ การกอ่ สร้างทัง้ หมดไดเ้ สรจ็ สมบูรณแ์ ล้ว
400
สิน้ ค่าใชจ้ ่ายในการสร้างเจดยี ์ รวมท้งั คา่ ทด่ี นิ ค่าทดแทนตน้ ไมแ้ ละส่ิงปลูกสรา้ ง การจัดท�ำสวนเจติยา–
คิรีวนั เพื่อให้อาณาบริเวณโดยรอบและแวดล้อมเจดีย์มีทัศนียภาพอันสง่างาม สงัดและสงบร่มเย็น
เป็นเงินรวมทงั้ สิ้น ๑๙ ล้านบาท
การสรา้ งเจดียถ์ อื กนั ว่าเป็นยอดแห่งบุญ เป็นการสร้างอนสุ รณยี วัตถุฝากไว้ในพระพทุ ธศาสนา
ใหม้ หาชนได้กราบไหว้บชู าสืบต่อพระศาสนา โดยเฉพาะเจดียไ์ ด้ออกแบบใช้วสั ดุ และวิธกี ารวิศวกรรม
การสร้างอย่างมน่ั คงถาวร ใช้ระบบเขม็ เจาะเพ่ือความมน่ั คงของฐานราก องค์เจดยี แ์ ละลานเจดยี เ์ ป็น
คอนกรตี เสรมิ เหลก็ โดยตลอด คงจะยนื ยงประกาศพระเกยี รตคิ ณุ แหง่ ศาสนาขององคส์ มเดจ็ พระบรม–
ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไปช่ัวกาลนาน ผู้มีส่วนร่วมในการบุญนี้ ย่อมได้ผลานิสงส์อย่างมหาศาล
ติดตัวไปทุกภพทุกชาติ ยอดเจดีย์อันสูงแหลม แลลิ่วขึ้นไปในฟากฟ้า ย่อมจะนิมิตหมายให้ผู้ร่วม
การบุญ ไดบ้ รรลฐุ านะอนั สงู ส่งประดุจยอดแหง่ เจดีย์ ตามควรแก่กรรม คณุ ความดีทไี่ ดบ้ �ำเพญ็ ไว้
ยง่ิ กว่าน้ัน ในเม่อื การสร้างเจดีย์น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายองค์พระประมุขแหง่ ชาติ ผูท้ รง
พระมหากรณุ าพระราชทานพระราชดำ� ริ เปน็ ปฐมเหตใุ หท้ กุ คนไดม้ สี ว่ นบำ� เพญ็ บญุ อนั ยง่ิ ใหญน่ ้ี เปน็ การ
เฉลิมพระเกียรติในวโรกาสปีมหารัชมังคลาภิเษก ที่ทรงเจริญพระชนมายุ สถิตสถาพรในเศวตฉัตร
ยาวยืนนานยง่ิ กวา่ พระมหากษตั ราธริ าชเจ้าพระองคใ์ ดในประวัติศาสตรช์ าตไิ ทย ผลบุญอนั บังเกดิ ขน้ึ
ย่อมมากมลู เพ่มิ พนู เปน็ ทบทวหี าประมาณมไิ ด้
ท่านพระอาจารย์พวน ชุตินธฺ โร ไดเ้ มตตาเลา่ เรื่องนีไ้ วด้ งั นี้
“เรอื่ งสร้างเจดยี พ์ พิ ิธภัณฑ์หลวงปจู่ วน คุณหญิงฯ ดำ� ริจะไปสร้างเจดยี บ์ นหลังเขาชนั้ ๗ โนน่
ทีน้หี ลวงป่หู ลยุ ท่านเมตตาแนะน�ำว่า “มันสงู เกินไป คนทุกวันน้ีมนั นุ่งผา้ ถงุ นุ่งอะไร มันนุง่ ส้นั ข้นึ ไป
มันไม่สมควร” คุณหญิงฯ ท่านถงึ ได้ยอมมาสร้างข้างลา่ ง ขา้ งบนมันสรา้ งไม่ได้ ข้างบนมันแคบนดิ เดียว
หลงั เขามันจะกว้างอะไร หนิ ภทู อกมนั เป็นหนิ ทรายดว้ ย แต่ละปีมนั ขาดลงพังลง โอโ้ ห ! มนั นา่ กลวั
จรงิ ๆ มนั จะอยถู่ งึ ได้ก่ีปี ภทู อกขา้ งล่าง ฐานมนั กว้างอยู่ แตข่ ้างบนมนั แคบๆ ข้นึ ไป มนั สึกกร่อนไป
มันไมเ่ หมอื นภูทอกใหญ่ ถา้ ภูทอกใหญ่ขา้ งบนมนั กว้าง อันนัน้ เหมาะที่สุด ถา้ ไปสรา้ งท่ีภทู อกใหญ่
สวยมากๆ เลย ถา้ จะทำ� ทำ� ไดน้ ะ
ตอนเริ่มสร้างเจดีย์ ดินท่ีมาถมก็เอาอยู่ท่ีวัดนั่นแหละ ท่านขุดตรงหน้าเจดีย์ ขุดตรงน้ันแล้ว
ก็ถมตรงนนั้ สระน�้ำ โหย ! ลึกมาก ถมข้นึ ต้ังดเู หมอื นตั้ง ๗ เมตรน่นู ความสงู ได้ทงั้ สระน้�ำและดิน
มาถมสร้างเจดยี ์”
รูปลักษณะและการตกแต่ง
องคเ์ จดยี ์ สูง ๓๐ เมตร ต้งั บนเนินดินถมสูง ๗ เมตร รวมมีความสงู จากระดบั พ้นื ดนิ เดิมถงึ ยอด
๓๗ เมตร มีความหมายถึงโพธิปกั ขิยธรรม ๓๗ หรือ ธรรมเพ่อื การตรสั รู้ ๓๗ ประการ
401
สัณฐาน เป็นรูป ๘ เหลี่ยม ทรงกรวย
สว่ นลา่ ง เปน็ ฐาน หมายถึง ทาน ศีล ภาวนา กวา้ ง ๑๐.๕ เมตร
สว่ นกลาง มี ๘ ชน้ั แสดงสัญลกั ษณ์ของ มรรค ๘
ส่วนยอด หมายถึง นพิ พาน
การตกแต่งฐาน ส่วนล่าง ประดับด้วยหินแกรนิตสีด�ำ มีภาพปั้นลายประติมากรรมดินเผา
ด่านเกวยี น (ลายป้นั เป็นประวัตยิ ่อของท่าน)
สว่ นกลาง ประดบั ดว้ ยโมเสกแกว้ สีชมพูอมแดง สีเดยี วกับสหี นิ ของภูทอก
สว่ นยอด ประดบั ดว้ ยโมเสกแกว้ เชน่ เดยี วกนั แตเ่ ปน็ สชี มพสู วา่ งเรอื งแหง่ การหลดุ พน้ ไปสนู่ พิ พาน
การตกแตง่ ผนังตกแต่งดว้ ยหินออ่ นแกว้ (Onyx) เปน็ ลายยาวดุจมา่ นแก้ว พนื้ เจดยี ป์ ูดว้ ยหนิ
แกรนิตแกว้ สดี ำ� เหลือบมุก ผนังดา้ นหลงั ตอนกลาง เป็นแท่นหินอ่อนแกว้ ทปี่ ระดษิ ฐานรูปปัน้ เหมอื น
ของทา่ นพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ในท่ายนื สงู ๒.๘ เมตร มีภาพประตมิ ากรรมดินเผาด่านเกวียน
เป็นฉากเบ้ืองหลงั โดยรอบเปน็ ตู้แสดงอฐั บรขิ าร
มณฑปพระธาตุ ตั้งอยู่ภายในองค์เจดีย์ ณ ตรงจุดศูนย์กลางแห่งเจดีย์ ซึ่งตรงกับจุดที่ตั้ง
จติ กาธาน บนเมรุที่ถวายเพลิงเผาสรรี ะรา่ งของทา่ น เปน็ มณฑปรูป ๘ เหล่ยี มท�ำดว้ ยหนิ แกรนติ สีเทา
ไม่ขัดมัน สว่ นยอดปดิ ทอง
ประตเู จดีย์ บานประตูเปน็ ไมป้ ระดแู่ ผ่นเดียว แกะสลักดว้ ยลายทีเ่ รยี บงา่ ย ปดิ ทองและกระจก
เพื่อรักษาเน้ือไม้ กลางประตูด้านในเป็นรูปนกยูง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ถึงคาถายูงทองของท่านพระ
อาจารยม์ ั่น ภูริทตฺตมหาเถร ทศ่ี ิษยข์ องทา่ นทกุ องค์ระลกึ ถึงด้วยความเคารพและสวดสาธยายเป็น
ประจำ� “นโม วมิ ตุ ตฺ านํ นโม วิมุตตฺ ยิ า”
เหนอื ซ้มุ ประตู รบั พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญอกั ษรย่อพระปรมาภไิ ธย “ภ.ป.ร.”
ประดิษฐานเหนือซ้มุ ประตูทั้ง ๓ ดา้ น
ลานเจดยี ์ ลานรอบองค์เจดีย์ เปน็ รูป ๘ เหล่ยี มเชน่ กนั กว้าง ๓๔ เมตร ปูกระเบอื้ งแผ่นเรยี บ
สเี ทาอมเขียว ผนังของส่วนยกพน้ื รอบลานใชก้ รวดลา้ ง พืน้ มา้ นง่ั โดยรอบใช้หินออ่ นแกว้
มณฑปพระธาตุ
มณฑปพระธาตทุ ่านพระอาจารย์จวน กลุ เชฏโฺ ตั้งอยู่ ณ จุดศูนยก์ ลางของเจดีย์ ซ่ึงศูนยก์ ลาง
ของเจดีย์ ซึง่ ตรงกบั จดุ ท่เี คยต้ังจิตกาธานบนเมรุทพ่ี ระราชทานเพลิงศพของท่าน เม่อื วันท่ี ๑๘ เมษายน
พ.ศ. ๒๕๒๔
402
ท่านผู้รู้กลา่ วกนั วา่ จุดซ่งึ ถวายเพลิงพระผทู้ รงศีลวสิ ทุ ธิหมดสน้ิ อาสวกเิ ลสแลว้ นั้น ควรจักต้อง
สร้างถาวรวัตถุครอบไว้ให้เป็นที่สักการบูชา เป็นการป้องกันมิให้มีการล่วงเกินเหยียบทับอัฐิธาตุ ซึ่ง
อาจจะยังหลงเหลอื อยูใ่ นพืน้ ดนิ อันจะเป็นการบาปแกผ่ ูไ้ มร่ ู้ ในการสรา้ งเจดยี ์พพิ ิธภณั ฑน์ ี้ จงึ ได้
พยายามระมัดระวงั ดูแลบริเวณตรงกับจดุ ถวายเพลงิ สรรี ะรา่ งของท่าน นมี้ าแต่แรกเรม่ิ โดยระหวา่ ง
การกอ่ สร้างกบ็ อกเลา่ ใหท้ กุ คนท่ีเก่ียวข้องทราบเร่ือง ตั้งจติ ขอขมาหากจ�ำเป็นจะตอ้ งลว่ งเกินเขา้ ไปใน
บรเิ วณนี้ ซงึ่ เปน็ การหลกี เลยี่ งไมไ่ ดเ้ พราะการกอ่ สรา้ ง และครน้ั การกอ่ สรา้ งไดเ้ สรจ็ สมบรู ณแ์ ลว้ กจ็ ดั ให้
เป็นที่ประดิษฐานมณฑปแสดงพระธาตขุ องทา่ น เพอ่ื ให้สาธชุ นผ้กู ราบไหวบ้ ชู าเจดีย์ไมล่ ่วงลำ้� เข้าไปใน
บรเิ วณ ไดเ้ คารพทง้ั สถานที่จดุ ถวายเพลงิ และบูชาพระธาตุของทา่ นในเวลาเดียวกัน
พระธาตุของท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ที่จัดน�ำมาให้สักการะ เพื่อเจริญพุทธานุสติ
ธมั มานุสติ และสังฆานุสตินี้ ไดจ้ ัดตง้ั บนแทน่ แก้วลกั ษณะ ๘ เหลย่ี ม เช่นลกั ษณะขององคม์ ณฑปและ
ลกั ษณะของเจดีย์ มดี อกบวั แกว้ เจียระไนวางคู่ต่างดอกไม้บูชาพระธาตุอันศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิด้วยเศยี รเกลา้
พระธาตุน้นั ได้แยกตามลกั ษณะสณั ฐานและสเี ปน็ ๖ กลุ่ม
กลุ่ม ๑ พระธาตุ – ลักษณะเป็นแก้วใสประดุจเพชรรวมทงั้ องค์ทเ่ี ป็นผลกึ แกว้ แต่ยังไม่ใสดุจ
เพชรเตม็ ท่ี
กลมุ่ ๒ พระธาตุ – ลักษณะดงั เมลด็ ขา้ วโพด มีสีขาว และสหี ม้อใหม่ ลักษณะเปน็ เงามนั
สมบูรณแ์ ลว้ และบางองคท์ ย่ี งั เปน็ สีขาว เทา ผวิ ยังขรุขระบ้าง แต่รูปลักษณะเห็นชัดว่า เป็นรูปเมลด็
ขา้ วโพด คงจะเป็นเงา มนั สมบรู ณ์ในเวลาไม่นานนกั
กล่มุ ๓ พระธาตุ – ลักษณะสีดำ� เปน็ มนั เลอื่ มและมีสีเทาแกซ่ ่งึ คงจะแปรสภาพเปน็ สดี �ำต่อไป
กลมุ่ ๔ พระธาตุ – จากเส้นเกศาและเส้นเกศาซึง่ ก�ำลงั รวมตัวจะเปน็ พระธาตุ
กลมุ่ ๕ พระธาตุ – ลักษณะคงสภาพตามรปู ของอฐั ิและอัฐทิ กี่ �ำลังแปรสภาพจะเป็นพระธาตุ
กลมุ่ ๖ พระธาต ุ – ลกั ษณะและสนี านาชนดิ มที งั้ ลกั ษณะกลม รี ยาว ดงั่ เมลด็ ขา้ วโพด เปน็ เงา
มนั เลื่อมดง่ั มกุ ดา ใสดจุ แกว้ ขุ่นทึบ สขี าว เขียวไขน่ กการเวก ด�ำ เทา เหลอื งอ�ำพนั และชมพู เป็นอาทิ
นอกจากบนส่วนยอดของเจดีย์ ซง่ึ เป็นทบ่ี รรจุอฐั ิธาตแุ ละองั คารของท่านแล้วมณฑปน้ี อาจจะ
ถอื ไดว้ ่าเป็นส่วนที่ส�ำคัญที่สดุ สว่ นหน่ึงของเจดยี ์พิพิธภัณฑ์ทา่ นพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ
ห้องพิพิธภัณฑ์
เจดยี พ์ ิพิธภณั ฑ์ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ นี้ นอกจากการจดั สรา้ งข้นึ เป็นอนุสรณีย–
สถาน และเปน็ ที่บรรจุอฐั พิ ระธาตุของทา่ นแลว้ ไดจ้ ดั ส่วนหน่งึ ภายในองคเ์ จดยี ์เป็นพิพิธภัณฑป์ ระวตั ิ
บุคคล (Memorial Museum) ดว้ ย โดยจดั แสดงเร่ืองราวเก่ยี วกบั ประวตั ิและอัฐบรขิ ารขา้ วของ
403
เครือ่ งใช้ของท่าน แบ่งเร่ืองราวและการจัดแสดงออกเป็น ๒ ส่วน ตามลักษณะของห้องจัดแสดง
ภายในองค์เจดยี ์
หอ้ งพิพธิ ภัณฑ์ที่ ๑ ประวตั แิ ละเกียรตคิ ุณอันเปน็ ท่ีสรรเสริญ
หวั เรื่องใชช้ ื่อว่า พระจวน กลุ เชฏฺโ อนั เปน็ ลายมือของทา่ นเอง นำ� มาขยายและพ่นดว้ ย
สที อง ภายในหอ้ งแสดงเรอื่ งราวประวัติชีวิตและเหตุการณส์ �ำคญั ตา่ งๆ ในชีวิต เป็นภาพวาด ภาพถ่าย
ตามวาระและเหตกุ ารณท์ ่เี กดิ ขึ้นประกอบคำ� อธบิ าย รวมหนังสอื ธรรมะ และหนงั สืออนุสรณช์ ีวประวตั ิ
ปฏิปทาและธรรมเทศนา
จุดเดน่ ในห้องนี้ คือ ภาพวาดสนี ำ�้ มนั ขนาดใหญ่ เป็นภาพวาดทา่ นพระอาจารยจ์ วนขณะนง่ั
สำ� ราญอริ ยิ าบถ “ปลอ่ ยวาง” บนเพงิ ผาภทู อก เปน็ ภาพเขยี นจำ� ลองจากภาพถา่ ย หากเนน้ โทนสนี ำ�้ ตาล –
เหลอื ง และแสงเงา ระหวา่ งความมืดและความสว่างทส่ี อ่ งมากระทบใหแ้ ลดเู อบิ อ่ิมลึกล้�ำ เหมือนท่าน
จะหลดุ ลอยออกไปสแู่ ดนอวกาศแหง่ นพิ พาน กรอบรูปวาดเปน็ กรอบทองอย่างดี แตเ่ ปน็ แบบเรยี บงา่ ย
อันเป็นลักษณะของกมั มฏั ฐาน หากทรงคุณค่าอันสงู ย่งิ
ข้างใตภ้ าพ เชิญวาทะของ ทา่ นพระอาจารย์ม่นั ภรู ิทตตฺ มหาเถร ท่ีกล่าวถึงทา่ นพระอาจารย์
จวนมาลงไว้ ระหว่างนัน้ ท่านไปอยจู่ �ำพรรษากบั ทา่ นพระอาจารยม์ นั่ ณ วดั ปา่ บ้านหนองผอื อำ� เภอ
พรรณานิคม ได้เร่งท�ำความเพียรอย่างไม่ลดละ เพ่ือความบริสุทธ์ิหลุดพ้น กระท่ังวันหนึ่ง ท่าน
พระอาจารย์ม่ันกล่าวชมวา่ ท่านไดก้ �ำหนดจติ ดูทา่ นจวนแล้ว ได้ความเป็นธรรมว่า “กาเยนะ วาจายะ
วะเจตะ วิสุทธิยา ทา่ นจวนเปน็ ผู้มกี ายและจิตสมควรแกข่ อ้ ปฏิบตั ิธรรม”
ภาพพระราชกรณียกิจเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรม–
ราชนิ ีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ สมเดจ็ พระเจา้ ลูกเธอ เจา้ ฟา้ –
จุฬาภรณวลัยลักษณ์ เสด็จพระราชด�ำเนินและเสด็จพระด�ำเนินไปทรงเย่ียมราษฎร และนมัสการ
ทา่ นพระอาจารย์จวน ณ ภูทอก ในวาระแรกๆ ภาพพระราชกรณียกจิ เหล่าน้ี เปน็ ภาพท่ีทรงพระ–
มหากรณุ าโปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ มพระราชทาน หรอื อดั ขยายเพ่อื ใหไ้ ด้ขนาดส�ำหรบั จะจดั ต้งั แสดง
จากภาพทีท่ รงพระมหากรุณาโปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ มพระราชทาน
ภาพถา่ ย ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กับ หลวงปูข่ าว อนาลโย ซ่งึ แสดงถึงความเคารพรัก ผกู พนั
ทท่ี ่านมตี อ่ หลวงปู่ กอ่ นทท่ี ่านพระอาจารยม์ ัน่ จะมรณภาพ ทา่ นไดฝ้ ากฝังทา่ นพระอาจารยจ์ วนไว้กับ
หลวงปู่ขาว ซง่ึ เป็นศษิ ย์รุ่นอาวุโสของทา่ นพระอาจารย์มั่น “ใหช้ ่วยก�ำกับดูแลรักษา” ทา่ นพระอาจารย์
จวนจึงกลา่ วเสมอว่า นอกจากท่านพระอาจารยม์ ่ันแล้ว หลวงปูข่ าวเป็นประดจุ พ่อแม่ของท่าน เปน็
พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่ที า่ นเคารพรกั เทดิ ทนู อยา่ งสูงสุด
ในห้องพิพิธภัณฑน์ ้ีไดจ้ ดั แสดงรวมถงึ ลายมือของท่าน หนังสือตา่ งๆ ทรี่ วบรวมจัดพมิ พ์ขึน้ เปน็
เร่ืองเกีย่ วกับองค์ท่าน
404
ดา้ นหนา้ สดุ เปน็ “อนสุ รณ”์ ลายพระหตั ถ์ สมเดจ็ พระอริยวงศาคตญาณ (วาสนมหาเถระ)
สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปริณายก แหง่ วดั ราชบพิธสถิตมหาสมี าราม และ “คุณานุสสต”ิ
พระนพิ นธ์ สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก แหง่ วดั บวรนเิ วศวหิ าร
ท่ีประทานไว้แต่เมื่อยังทรงด�ำรงสมณศักด์ิเป็นที่สมเด็จพระญาณสังวร ซึ่งท้ัง “อนุสรณ์” และ
“คณุ านุสสต”ิ น้ี สมเดจ็ พระสังฆราช สกลมหาสงั ฆปริณายก ท้ังสองพระองค์ ไดท้ รงประทานเป็น
สมั โมทนียกถา ใหเ้ ปน็ เกยี รติ เป็นสริ ิ แก่หนังสอื ชวี ประวตั ิทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ซง่ึ จดั พิมพ์
เปน็ อนุสรณ์ในวโรกาสเสดจ็ พระราชด�ำเนนิ พระราชทานเพลงิ ศพท่าน เมอ่ื วนั ที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ.
๒๕๒๔
อัฐบริขารทแี่ สดงภายในหอ้ งนี้ เปน็ อฐั บริขารที่อนุญาตไว้ในพระธรรมวินยั และเครอ่ื งใชอ้ ่ืนๆ
ที่เป็นบริขารอาศัยของท่านพระอาจารย์จวน ลักษณะรูปแบบที่น�ำออกจัดแสดง ได้แยกออกเป็น
๒ กล่มุ ใหญๆ่ กล่าวคอื
กลุ่มแรก แสดงอฐั บรขิ ารและเครือ่ งใชท้ ีส่ ัมพันธก์ บั เหตกุ ารณท์ ีเ่ กดิ ขนึ้ ในวาระสุดท้ายแห่งชวี ิต
เช่น สบง จีวร สังฆาฏิ อังสะ บาตร ถลกบาตร ที่รองบาตร ย่าม รองเท้า เป็นอาทิ ส่งิ เหลา่ น้ี เมอ่ื ทา่ น
มรณภาพแล้ว ได้ติดตามพบกระจัดกระจายอยู่ที่บริเวณทุ่งนา ต�ำบลคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
อันเป็นจุดบริเวณท่ีเคร่ืองบินตก โดยที่เวลาเกิดเหตุมีฝนตกหนัก ส่ิงของต่างๆ นอกจากฉีกขาด
ยังเปื้อนโคลนตมดว้ ย ตอ้ งน�ำมาท�ำความสะอาด บางช้นิ พอท�ำความสะอาดได้บ้าง แตบ่ างชน้ิ ก็เสยี หาย
เชน่ รองเท้าเหลือเพยี งขา้ งเดียว บาตรบบุ ยบุ เขา้ ไปท้งั ตัวบาตรและฝาบาตร ไดเ้ ก็บรักษาและน�ำมา
แสดงไว้เป็นประวัติศาสตร์สว่ นหนึง่
กลมุ่ ที่สอง แสดงอัฐบรขิ าร และบรขิ ารอาศยั ในชีวติ ประจ�ำวนั ของทา่ น
อัฐบรขิ ารทน่ี �ำมาแสดงในกล่มุ น้ี สว่ นใหญ่เป็นรายการทซ่ี �้ำกับกลุ่มแรก ทแ่ี สดงบริขารตดิ องค์
อยูเ่ มือ่ เครอื่ งบนิ ตกแล้ว ควรเรยี กวา่ เปน็ อัฐบริขารทีท่ ่านเคยใช้มากกว่า เพราะไดส้ ละไปแล้ว ใหแ้ ก่
พระภกิ ษรุ ปู อื่นๆ ปกติทา่ นเป็นพระปา่ ท่สี มถะและเคร่งในวัตร ถอื ครองผา้ ๓ ผนื ท่านจะไมม่ ีสบง จีวร
หรือสงั ฆาฏิเกินกวา่ อย่างละ ๑ ผนื แต่เนอ่ื งจากการจดั หอ้ งพพิ ิธภณั ฑ์น้ตี ง้ั ใจจะจดั แยกเปน็
กล่มุ หน่งึ แสดงภาพประวัติศาสตรถ์ งึ สภาพส่ิงของเคร่อื งใช้เมื่อเครื่องบินตก
และอกี กล่มุ หนึง่ แสดงภาพสงิ่ ของเคร่ืองใชอ้ ันเปน็ ชวี ติ ปกติของพระธุดงคกัมมฏั ฐาน
คณะผูด้ �ำเนินงานจัดทำ� พิพธิ ภัณฑ์ จึงตอ้ งขอคนื อฐั บริขารบางช้ินจากผู้ทไี่ ด้รบั บริจาคจากท่าน
ไปแลว้ ท�ำให้สามารถนำ� มาจัดแสดงได้ เพราะท่านเหล่าน้ันแม้จะรักและหวงแหนสงิ่ เหลา่ นนั้ เพียงไร
แตเ่ พ่ือใหต้ นได้สามารถมีส่วนแหง่ บุญดว้ ย ต่างขอน�ำมาถวายคืนใหแ้ สดงในพพิ ิธภัณฑ์กันแทบท้ังนนั้
405
หอ้ งพพิ ธิ ภณั ฑท์ ่ี ๒ ชวี ติ ประจ�ำวนั และเครือ่ งใชใ้ นชีวิตประจ�ำวนั
ภาพทต่ี ้งั แสดงแยกเป็น ๒ กลมุ่
กลมุ่ แรก เป็นภาพแสดงชีวติ อนั ปกติวสิ ยั ของพระธุดงคกัมมัฏฐาน เชน่ ทา่ นก�ำลังธุดงค์ หรือ
เทศนโ์ ปรดศษิ ย์ ระหวา่ งธุดงคอ์ ยู่กลางป่า ภาพถา่ ยของท่านกบั ยอดภหู ินผาแห่งภทู อก เป็นอาทิ
อกี กลุ่มหนึ่ง เป็นภาพพระราชกรณยี กิจของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว สมเดจ็ พระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินนี าถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี เสดจ็ พระราชด�ำเนนิ พร้อมดว้ ย
สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ เจา้ ฟา้ จุฬาภรณวลัยลักษณ์ ไปในพธิ ีพระราชทานเพลงิ ศพท่านพระอาจารย์
จวน หรอื ภาพพระราชกรณยี กิจสมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ ีนาถ ระหว่างเสดจ็ พระราชด�ำเนนิ
ไปพระราชทานรปู ปนั้ เหมอื นของทา่ นพระอาจารยจ์ วนให้แกว่ ัดเจตยิ าคิรีวหิ าร และทอดพระเนตรอัฐิ
พระธาตุของท่าน อย่างเปี่ยมด้วยพระราชสัทธาปสาทาธกิ ารในท่านพระอาจารย์ และ ฯลฯ
เชน่ เดียวกนั กบั ในหอ้ งพพิ ิธภณั ฑท์ ี่ ๑ ภาพพระราชกรณียกจิ เป็นภาพทที่ รงมหากรุณาธิคุณ
โปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ มพระราชทาน
ในห้องน้ี ได้มีการจัดตง้ั อาสนะ หมอนขวาน ปผู า้ นสิ ที นะ* จ�ำลองภาพในลกั ษณะท่ีท่านพระ
อาจารยจ์ วนเคยนัง่ อยเู่ ปน็ ประจำ� ณ ศาลาวิหารบนเขาช้นั ที่ ๕ ขา้ งๆ มีแสป้ ัดยุง เชยี่ นหมาก ทใ่ี ส่
ชานหมาก กระโถน แวน่ ตา กานำ�้ กระบอกน้�ำ ไม้สฟี ันของพระกรรมฐาน ร่ม กระตกิ น้�ำ ฯลฯ
เคร่ืองใช้ต่างๆ เหล่าน้ี ก็ด้วยเหตุผลเดียวกันกับในห้องพิพิธภัณฑ์แรก หากมีเกินกว่าหน่ึง
เพราะทา่ นเจ้าของผไู้ ด้รบั บริจาคจากทา่ นไปแล้ว ขอถวายคนื ใหม้ าแสดงในพิพิธภณั ฑ์
* ผา้ นสิ ที นะ (ศน.) น. ผ้าปรู องนั่งสำ� หรบั ภกิ ษุ มีพระพุทธบัญญัตใิ ห้พระรู้จกั รกั ษาไตรจีวร
ใหส้ ะอาด โดยลาดผ้านสิ ีทนะกอ่ นแล้วจึงน่ัง ห้ามมใิ หน้ งั่ กบั พืน้ โดยไม่มผี า้ ปู ผา้ นสิ ที นะเปน็ บรขิ ารที่
ไม่ส้จู �ำเปน็ นกั อาจไมม่ ีสกั ชว่ั ระยะหน่ึงกไ็ ด้ แต่ตอ้ งไมเ่ กิน ๔ เดือน ผ้านิสีทนะขนาดมาตรฐาน
ยาว ๒ คืบ กว้างคบื คร่งึ ชายคืบหนึ่ง
406
ภาค ๑๕ ความมหัศจรรย์แห่งภูทอก
ประวัติความเป็นมาของภูทอก
ภูทอก ในภาษาอสี านแปลวา่ ภเู ขาท่ีโดดเดย่ี ว เปน็ ทต่ี ั้งวดั เจตยิ าคริ ีวหิ าร (วัดภูทอก) อยใู่ น
อาณาเขตบา้ นนาคำ� แคน ตำ� บลนาแสง อำ� เภอศรีวิไล จงั หวัดบึงกาฬ ภทู อกมี ๒ ลูก คอื ภูทอกใหญ่
และภทู อกนอ้ ย สว่ นทนี่ กั แสวงบญุ และนกั ทอ่ งเทย่ี วทวั่ ไปสามารถชมไดค้ อื ภทู อกนอ้ ย สว่ นภทู อกใหญ่
อยู่หา่ งออกไป เปน็ สถานที่สัปปายะมาก ทางวดั สงวนไวเ้ ปน็ ทีป่ ฏิบัติภาวนา
ในอดตี อาณาบรเิ วณนีเ้ คยเปน็ ปา่ ทบึ มสี ตั ว์ปา่ อาศยั อยมู่ ากมาย ต่อมาทา่ นพระอาจารย์จวน
กุลเชฏฺโ ได้เริ่มเข้ามาบุกเบิกพัฒนาเป็นแหล่งบ�ำเพ็ญเพียร เพ่ือให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติธรรม
เนือ่ งจากเปน็ สถานทเ่ี งยี บสงบ เหมาะแก่การบ�ำเพญ็ สมณธรรมของภกิ ษุ สามเณร และพุทธศาสนิกชน
ทว่ั ไป
บันไดขึ้นภทู อก
การข้นึ ภทู อกนนั้ ทา่ นพระอาจารยจ์ วนเริม่ กอ่ สร้างบนั ไดไม้ส�ำหรบั ไตข่ นึ้ ไปในปี พ.ศ. ๒๕๑๒
ซ่งึ มที ้ังหมด ๗ ชั้น มีความยากลำ� บากมาก ใชเ้ วลานานถึง ๕ ปีเต็ม เริม่ ตงั้ แต่ปี ๒๕๑๒ – ๒๕๑๘
โดยเวน้ ปี ๒๕๑๔ – ๒๕๑๕ โดยบันไดทัง้ ๗ ชั้น มีลกั ษณะแตกตา่ งกันดงั นี้
ชัน้ ท่ ี ๑ เมอ่ื นักแสวงบญุ เดนิ ผา่ นประตูทางเข้าไป แมจ้ ะไมม่ ปี า้ ยบอก แตก่ ถ็ ือว่าเขา้ มาอยใู่ น
อาณาบรเิ วณชั้นที่ ๑ แลว้ ช้ันท่ี ๑ นีน้ ักแสวงบญุ จะได้สัมผสั กับตน้ ไมใ้ บหญา้ หลากชนดิ นานาพนั ธุ์
ช้นั ท ่ี ๒ เป็นบนั ไดไมย้ าวทอดรบั จากชนั้ ท่ี ๑ เมื่อเดินตามสะพานไม้ไปเรื่อยๆ จะเห็นสถานี
วทิ ยุชมุ ชนของวัดอยดู่ ้านขวามือ ช้ันที่ ๑ และ ๒ มีทศั นียภาพท่ีไมต่ ่างกันมากนกั เป็นบนั ไดสู่ชั้นที่ ๓
ชั้นท ่ี ๓ เป็นสะพานเวียนรอบเขา สภาพเป็นป่าเขามืดคร้มึ มีโขดหนิ ลานหิน สดุ ทางช้นั ท่ี ๓
มที างแยกสองทาง ทางซ้ายมอื เป็นทางลดั ผ่านชั้น ๔ ไปสชู่ ้ันท่ี ๕ ได้เลย ซึง่ เป็นทางคอ่ นขา้ งชนั
ผ่านซอกหนิ ที่มลี กั ษณะเหมือนอุโมงค์ สว่ นทางขวามอื เป็นทางข้ึนส่ชู ัน้ ที่ ๔ แลว้ วกขน้ึ ชั้นที่ ๕ เป็น
ทางอ้อม (ขอแนะน�ำว่าควรข้ึนทางนี้ แลว้ ลงทางน้ัน (ทางลดั ))
ช้ันท ี่ ๔ เป็นสะพานลอยไต่เวียนรอบเขา มองไปเบอ้ื งลา่ งจะเห็นเนินเขาเตยี้ ๆ สลับกนั เรียกวา่
“ดงชมภู” ทศิ ตะวันออกจรดกับภูลงั กา เขตอำ� เภอเซกา ซึง่ มสี ภาพเปน็ ป่าดิบ มีแม่น�้ำล�ำธารหลายสาย
ไหลผ่าน มีสัตว์ป่ามากมายอาศัยอยู่ โดยเฉพาะมีฝูงกามาอาศัยอยู่มาก จึงเรียกกันว่า ภูรังกา แล้ว
เพยี้ นมาเปน็ ภูลงั กาในท่สี ดุ ช้นั ที่ ๔ น้จี ะเป็นที่พักของแม่ชี รอบช้ันมีระยะทางประมาณ ๔๐๐ เมตร
มีที่พักผอ่ นระหว่างทางเปน็ ระยะๆ
407
ช้นั ท่ี ๕ หรอื ชน้ั กลาง เปน็ ชั้นทสี่ �ำคัญที่สดุ แต่ไม่ไดส้ วยทส่ี ุด (สวยทส่ี ุดคือชน้ั ๖) มศี าลากลาง
และกุฏิทอี่ าศยั ของพระ และเคยเป็นที่เก็บศพของทา่ นพระอาจารยจ์ วนไว้ดว้ ย ตามชอ่ งทางเดินจะมี
ถ�้ำอยู่หลายถำ้� เชน่ ถำ้� เหล็กไหล ถ้�ำแกว้ ถ�้ำฤาษี ฯลฯ ตลอดเสน้ ทางส่ชู ั้นท่ี ๖ มที ่ีพกั เปน็ ลานกวา้ ง
อยู่ราว ๒๐ แห่ง มีหน้าผาช่อื ต่างๆ กนั เช่น ผาเทพนิมิตร ผาหวั ช้าง ผาเทพสถติ ฯลฯ ถา้ มาทาง
ด้านเหนือจะมองเห็นสะพานหินธรรมชาติทอดสู่พุทธวิหาร อันเป็นท่ีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ด้วย
มองออกไปจะเหน็ แนวของภทู อกใหญ่อยา่ งชดั เจน และมบี นั ไดเวียนขน้ึ สชู่ ัน้ ที่ ๖
พทุ ธวิหาร น้ันเปน็ สถานทศ่ี ักดส์ิ ิทธ์ทิ ่สี ุดแหง่ หนง่ึ ของภทู อก มผี ู้เหน็ แสงสว่างดวงกลมโตลอย
ออกจากท่นี ี้เปน็ ประจำ� โดยเฉพาะวนั พระข้ึน ๑๕ ค่�ำ หลวงปู่ขาว อนาลโย ทา่ นพจิ ารณาแล้วว่าเปน็
ทีพ่ ระปจั เจกพุทธเจา้ มาปรินิพพาน ณ ท่นี ้ี พระธาตขุ องทา่ นยงั มีหลงเหลอื อยู่ จึงเสด็จแสดงปาฏิหารยิ ์
ให้เห็นประจักษ์ ผู้ท่ีเข้าไปในเขตบริเวณสถานที่นั้นจะต้องส�ำรวมระวัง แสดงความเคารพนอบน้อม
ท้ังกายอนิ ทรีย์ วาจา และใจ
สมเดจ็ พระญาณสงั วร ขณะนน้ั ทา่ นยงั มไิ ดร้ บั สถาปนาขนึ้ เปน็ สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ –
พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เวลาท่านเสดจ็ มาท่ภี ทู อกจะประทับภาวนาอยู่ที่พุทธวิหารเสมอ
พทุ ธวิหาร แปลว่า สถานท่พี กั ผ่อนของท่านผู้ตรัสรแู้ ลว้ เปน็ สถานทเี่ ก็บพระบรมสารีริกธาตุ
และเปน็ ทีพ่ ระอรยิ เจา้ หลายองค์มาพักผอ่ นและละสงั ขารทน่ี ่ี มีลักษณะที่แปลกและนา่ อัศจรรย์ท่ีสดุ
คล้ายกับพระธาตุอนิ ทร์แขวนที่ประเทศพม่า
ในอดตี กอ่ นทจี่ ะมกี ารสรา้ งสะพานไมเ้ ชอ่ื มตอ่ บคุ คลธรรมดาไมอ่ าจขา้ มมาทพี่ ทุ ธวหิ ารได้ เพราะ
มีหุบเหวขวางกั้น แต่มีบุคคลอยู่ประเภทหน่ึงท่ีสามารถปรากฏตัวที่พุทธวิหารได้ คือพระอรหันต์
และทา่ นผทู้ รงอภญิ ญา ทา่ นเหลา่ นีจ้ ะมาพักผ่อนทพี่ ทุ ธวหิ ารเอง โดยการเดินบนอากาศ หรอื เหาะ
ข้ามมา เพราะตอ้ งการปลีกวิเวกและไมใ่ ห้ใครมารบกวนได้ ดังน้นั หนิ ประหลาดกอ้ นนจ้ี ึงถกู เรยี กวา่
พุทธวิหาร ปัจจบุ ันมสี ะพานไม้เช่อื มต่อระหวา่ งสะพานหนิ กบั พทุ ธวิหาร
ความอศั จรรย์ของพทุ ธวหิ าร คือ หินกอ้ นนแ้ี ยกตัวออกมาจากหนิ กอ้ นใหญแ่ ลว้ แตไ่ มต่ กลงมา
เพราะต้ังอย่ไู ด้ฉากกับพนื้ โลกพอดี ขอ้ น้ีนักท่องเท่ยี วสว่ นใหญไ่ ม่รู้ เพราะไมค่ ่อยสงั เกต หากอยากเห็น
ชัดๆ ใหเ้ ดนิ มาทฐ่ี านของพทุ ธวหิ าร จะเห็นไดช้ ดั หรือสงั เกตดูทภี่ าพถา่ ยกไ็ ด้ การทพี่ ุทธวหิ ารตง้ั อยู่ได้
โดยไมต่ กลงมาถอื ได้ว่า น่าอัศจรรยพ์ อๆ กนั กับพระธาตุอินทร์แขวน
สะพานหิน ยาวทอดตัวออกมาจากภูทอก ย่ืนออกมาทางพุทธวิหาร เม่ือยืนบนสะพานหิน
จะสามารถมองเหน็ ภทู อกใหญแ่ ละมองเหน็ ทศั นียภาพสองฟากฝ่ังได้อยา่ งชดั เจน รวมทั้งไดส้ ดู อากาศ
ท่ีบรสิ ุทธิ์ด้วย คลา้ ยกบั อยบู่ นสรวงสวรรคก์ ม็ ิปาน
สะพานไม้ มีความยาวประมาณ ๑๐ เมตร เป็นสะพานที่เช่ือมต่อระหว่างสะพานหินและ
พุทธวิหาร เป็นดุจส่ิงที่เช่ือมต่อโลกสวรรค์และแดนนิพพานเข้าด้วยกัน เม่ือยืนอยู่บนสะพานไม้แล้ว
408
มองลงไปดา้ นล่าง จะเหน็ แต่ตน้ ไม้และหบุ เหวทล่ี ึกสดุ หยัง่ จะท�ำใหท้ ราบว่า บคุ คลท่ีสามารถข้ามจาก
สะพานหนิ เพอ่ื ไปบำ� เพญ็ เพียรหรือพกั ผอ่ นที่พทุ ธวหิ ารได้ ต้องมใิ ช่บคุ คลธรรมดา
เม่อื มาถึงชนั้ ที่ ๕ แลว้ ตอ้ งมาทส่ี ะพานหิน สะพานไม้ และข้ามมาที่พุทธวหิ ารให้ได้ ไม่เช่นนัน้
จะถือวา่ มาไมถ่ ึงภูทอก
ชนั้ ท่ี ๖ เปน็ ช้ันสุดท้ายของบันไดเวียนรอบเขา มีความยาว ๔๐๐ เมตร เป็นชั้นทีน่ กั ทอ่ งเท่ยี ว
สามารถเดนิ ชมทศั นยี ภาพรอบๆ ภูทอกไดด้ ีที่สดุ และสวยท่สี ุด สิง่ น่าชมทีส่ ดุ ของช้นั น้คี อื ปากทางเขา้
เมืองพญานาคซ่ึงอยู่หลังพระปางนาคปรก มีจุดให้สังเกตคือมีรอยสีขาวขูดติดกับหินปูน ซ่ึงชาวบ้าน
เชือ่ กันว่าเป็นรอยถลอกที่เกดิ จากทอ้ งพญานาคสัมผสั กบั หิน และมบี ่อน้ำ� เล็กๆ ขงั อย่เู กอื บตลอดปี
การถ่ายภาพพุทธวหิ ารให้ไดภ้ าพงดงามทส่ี ดุ ต้องถา่ ยซูมจากชนั้ ที่ ๖
ชัน้ ที่ ๗ จากชนั้ ที่ ๖ ขนึ้ มาชน้ั ท่ี ๗ จะมบี นั ไดไมพ้ าดข้ึนมา เมอ่ื เดินขึ้นบันไดผ่านมาแลว้ จะเจอ
ทางแยก ๒ ทางเพอื่ ขน้ึ ไปบนดาดฟ้าช้นั ๗ ทางแรกเป็นทางชัน ตอ้ งเกาะเกย่ี วก่งิ และรากไม้โหนตัว
ขึ้นดา้ นบน นกั ท่องเท่ียวจะได้ความสนกุ ผจญภัยดจุ ขึ้นเขาคิชฌกฏู (จันทบุร)ี อีกทางหนงึ่ เป็นทางออ้ ม
ตอ้ งเดินเวียนไปทางขวามอื แต่จะมาบรรจบกนั ด้านบน ทางน้เี หมาะส�ำหรับคนแรงน้อย คนเฒ่าคนแก่
และเด็กๆ ส�ำหรับชน้ั ท่ี ๗ บนดาดฟา้ นนั้ มีเนือ้ ท่ปี ระมาณ ๕ ไร่ เปน็ ชั้นมหัศจรรย์อีกชน้ั หนงึ่
หมายเหตุ ชนั้ ๓ – ๖ สามารถเดนิ เวียนรอบได้ ส่วนชนั้ ที่ ๕ – ๗ เปน็ ดจุ แดนสวรรค์ เคยเป็น
ทอ่ี ยขู่ องเทวดา นกั แสวงบญุ หรอื นกั ท่องเท่ียวต้องส�ำรวมระวงั กาย วาจา และใจให้มาก ถา้ จะใหด้ ีกวา่
นนั้ หรือถ้ามาเป็นหมู่คณะ ควรรวมกลุม่ กันสวดมนต์สรรเสรญิ พระรตั นตรัย
ข้อควรปฏบิ ตั ิก่อนขนึ้ เขา เนอ่ื งจากวดั ไม่ใชส่ ถานทีท่ อ่ งเที่ยวหรอื แหล่งทัศนาจร หากแตเ่ ปน็
สถานท่ยี ดึ เหนี่ยวทางดา้ นจติ ใจของชาวพทุ ธเปน็ ส�ำคัญ ผเู้ ขา้ เยีย่ มชมกราบไหว้ ควรปฏิบัตติ ามกฎที่
ทางวดั ตั้งไว้อย่างเคร่งครัด คือ
๑. ห้ามน�ำสุรา – อาหารไปรับประทานบนยอดเขาโดยเดด็ ขาด
๒. หา้ มสง่ เสยี งดังรบกวนพระ – เณรท่ีก�ำลงั ภาวนา
๓. หา้ มขดี เขยี นสลักข้อความลงบนหนิ
๔. หา้ มท�ำลามกอนาจารฉันทช์ สู้ าวและควรแต่งกายใหส้ ภุ าพ
(อสภุ าพสตรี แปลว่า สตรีทแ่ี ต่งกายไมส่ ภุ าพ นุ่งน้อยห่มนอ้ ย – เสอื้ – กระโปรง – กางเกงสน้ั
หา้ มขึ้นโดยเดด็ ขาด)
409
วัดเจติยาคิรีวิหาร (วัดภูทอก) และสถานที่วิเวกโดยรอบ
วัดเจตยิ าคิรวี ิหาร (วดั ภูทอก) เปน็ วดั ปา่ กรรมฐานสายทา่ นพระอาจารย์มั่น ภูรทิ ตฺโต โดย
ท่านพระอาจารย์จวน กลุ เชฏโฺ เป็นผ้สู รา้ งวดั นข้ี ึ้นมา และทา่ นเป็นเจา้ อาวาสองค์แรก ภูทอกมี
ธรรมชาตอิ นั สงบเงียบ ปัจจบุ นั เปน็ สถานทท่ี อ่ งเท่ยี วที่ส�ำคัญแห่งหน่ึงของจังหวดั บึงกาฬ มีประชาชน
ท้งั ชาวไทยและชาวตา่ งประเทศ เดินทางไปท่องเท่ียวเปน็ จ�ำนวนมาก
สมยั กอ่ นภทู อกไมม่ ใี ครรจู้ กั เพราะภทู อกอยใู่ นปา่ ดงลกึ ลบั และอยใู่ นชนบทหา่ งไกลความเจรญิ
สภาพภูทอกในอดีตอุดมสมบูรณ์ไปด้วยผืนป่ามีต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นปกคลุมหนาแน่น ฉะนั้น จึงเต็ม
ไปดว้ ยไขป้ า่ มาลาเรยี อาหารกเ็ ปน็ ไปอยา่ งอตั คดั ขาดแคลน นำ�้ กไ็ มเ่ พยี งพอตอ่ การอปุ โภคบรโิ ภค ระบบ
สาธารณปู โภคตา่ งๆ กไ็ มม่ ี แมแ้ ตท่ างเดนิ ในปา่ กไ็ มม่ ี เมอื่ ทา่ นพระอาจารยจ์ วนมนี มิ ติ เหน็ ภทู อก จงึ ได้
เดนิ ทางมาสำ� รวจและบกุ เบกิ พฒั นา ตอ่ มาภทู อกจงึ ไดเ้ จรญิ ขน้ึ ตามลำ� ดบั ในราวปา่ ทรี่ กรงุ รงั เรมิ่ ปรากฏ
แนวทางเดนิ จากแนวทางเดนิ ทจ่ี ะตอ้ งหาบหามกนั เขา้ ไปเปน็ วนั ๆ กเ็ ปน็ ทางคนั ดนิ ทรี่ กพอจะเดนิ ไปได้
จากการบุกป่าข้ามห้วย หนอง คลอง บึง ก็มีสะพานท่อนไม้กลมๆ ให้ความสะดวกแก่รถโดยสาร
ชีวติ ความเปน็ อยขู่ องชาวบ้าน จากความล�ำบากยากจน อดอยากขาดแคลนในปัจจยั ๔ กค็ ่อยๆ ดขี นึ้
เรม่ิ มีผลผลติ เพม่ิ มากขนึ้ ท�ำใหม้ ีรายได้และมีคณุ ภาพชวี ติ ที่ดขี น้ึ จากบ้านเพียงไมก่ ี่หลงั คาเรอื นก็เพ่มิ
เป็นรอ้ ยๆ หลงั คาเรอื น
ในปัจจบุ ัน วัดเจตยิ าคริ ีวหิ าร หรอื วัดภทู อก มีความเจรญิ มคี วามสะดวกสบายกว่าในอดีต
มากมาย ปจั จัย ๔ เชน่ อาหาร จีวร เคร่อื งนุ่งห่ม กฏุ ิ ศาลา เสนาสนะต่างๆ และยารักษาโรคก็สมบูรณ์
เพียงพอ บันไดขนึ้ เขา สะพานรอบเขา กุฏิ ทพี่ กั ทป่ี ฏิบัตธิ รรม ห้องน�้ำบนเขา ก็ถูกสรา้ งข้นึ อยา่ งถาวร
ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น ประปา ไฟฟ้า ถนน สะพาน ฯลฯ ก็ถูกพัฒนาข้ึนจนสะดวกสบาย
ฝาย สระน�้ำ อ่างเก็บนำ้� ก็ถกู สรา้ งขึ้นเป็นแหล่งน้�ำท่อี ุดมสมบูรณม์ นี ้�ำตลอดปี
วัดภูทอก เป็นส�ำนักปฏิบัติธรรมอันสงบเงียบและเป็นแหล่งท่องเท่ียวเชิงพุทธรักษ์ คือการ
ท่องเท่ียวในเชิงการแสวงบุญหรือธรรมจาริก นักท่องเที่ยวจะได้ประโยชน์จากการเท่ียวชมธรรมชาติ
ขุนเขาล�ำเนาไพรและได้ศึกษาพระพุทธศาสนา ได้กราบสักการะพระธาตุท่านพระอาจารย์จวนซ่ึง
ประดิษฐานในมณฑปภายในเจดีย์พิพิธภัณฑ์ พร้อมได้อ่านศึกษาประวัติและได้ชมเคร่ืองอัฐบริขาร
ของทา่ นพระอาจารยจ์ วนแล้ว ย่งิ ท�ำใหเ้ กดิ ความเคารพเล่อื มใสศรัทธาในพระธดุ งคกรรมฐานสายทา่ น
พระอาจารย์ม่นั และยิ่งทำ� ใหเ้ ชอ่ื ม่นั ในมรรคผลนพิ พานวา่ ยงั สดๆ ร้อนๆ ยังไม่เคยครึเคยล้าสมยั
สว่ นชาวบา้ นโดยรอบวดั ภูทอก เม่ือทา่ นพระอาจารยจ์ วนและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั
สรา้ งอา่ งเกบ็ น�้ำแล้ว กม็ ีน้ำ� อดุ มสมบูรณต์ ลอดปี ผลผลติ ทางการเกษตรกด็ ีขึ้น ท�ำใหช้ ีวติ ความเป็นอยู่
ของชาวบา้ นดีขน้ึ จากบา้ นหลังเลก็ ๆ เพียงไมก่ ี่หลังคาเรือน ก็กลายเป็นบ้านหลังใหญ่ขน้ึ มาและเป็น
หมูบ่ า้ นใหญ่ท่ีมีความเจริญ มีสาธารณูปโภคครบครัน ซึ่งปัจจุบันโดยรอบวัดมีสวนยางของชาวบ้าน
410
เกิดข้ึนมากมาย นอกจากนี้เมื่อนกั ท่องเทยี่ วมาทัศนาจรภูทอก ชาวบา้ นกไ็ ด้ประโยชน์จากการจำ� หนา่ ย
สินค้า อาหาร ของท่ีระลึก และมีบริการให้เช่าท่ีพัก โดยบริเวณหน้าวัดกลายเป็นแหล่งจ�ำหน่าย
สมุนไพรตา่ งๆ โดยเฉพาะยาก�ำลังเสอื โคร่งทีม่ ีชือ่ เสียงมาก
บรรดานกั ทอ่ งเท่ยี วทัง้ ในประเทศและต่างประเทศจ�ำนวนมาก พากนั มาเทยี่ วทศั นาจรหย่อน
จิตใจท่ีภทู อกเป็นประจ�ำทกุ ปี โดยเฉพาะชว่ งเทศกาลสงกรานต์ และมีนักปฏิบัติธรรมไปพักผอ่ นหยอ่ น
จติ ใจไปภาวนา บางครั้งกเ็ ดินธดุ งคไ์ ปภวู ัวบ้าง ไปภสู งิ หบ์ ้าง เปน็ การเปลี่ยนบรรยากาศ ธรรมชาติ
อนั งดงามของภูเขา ป่าไม้ ต้นนำ�้ เปน็ สมบัติส�ำคญั ของชาติ ซึง่ ทกุ คนต้องชว่ ยกนั สงวนรักษาสมบตั ิ
ธรรมชาตเิ หลา่ นี้ไว้ ถ้าทกุ คนไม่ชว่ ยกันรักษาไว้ มันกฉ็ บิ หายหมด ท้ังปา่ ไม้และภูเขากจ็ ะเตียนไปหมด
กจ็ ะเกิดภัยพบิ ัติแหง้ แลง้ ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล และเกดิ ความอดอยากกนั เทา่ น้ันเอง
ฉะน้ัน ท่านพระอาจารย์จวนท่านเห็นภัยมหันตข์ องการตัดไมท้ �ำลายป่าท่จี ะเกดิ ขนึ้ ท่านจงึ
รีบเร่งจ้างรถแทรกเตอรเ์ ข้าขดี เสน้ เขตบริเวณวัดไวร้ อบเขาทงั้ ๓ ลกู คอื ภูทอกน้อย (ท่ีตง้ั วัดภูทอก)
ภแู จ่มจำ� รัสหรือภทู อกใหญ่ และภสู งิ ห์น้อย (ภกู ว่ิ ) ก�ำหนดเขตวัดไว้ เพ่อื สงวนปา่ ไม้และสตั ว์ปา่ ไว้
ไม่ใหม้ นุษยเ์ ข้าไปทำ� ลายบกุ รุก เขา้ ไปทำ� มาหากินในเขตวัด พร้อมท้ังปดิ ปา้ ยลอ้ มรอบไว้ ห้ามตัดไม้
ทำ� ลายสตั วใ์ นบริเวณวดั ในเขตวัด
การปฏบิ ตั ิภาวนาในภเู ขาทงั้ ๓ ลูก คอื ภทู อกนอ้ ย ภูทอกใหญห่ รอื ภแู จ่มจำ� รัส ภูสงิ หน์ อ้ ย
น้ีดีมาก เพราะล้วนเป็นสถานที่สัปปายะ อากาศปลอดโปร่งดี ไปหาวิเวกภาวนาหลบซ่อนอยู่ตาม
ถ�ำ้ เง้อื มผา ตามเง้อื มหนิ ตามซอกเขา ตามพลาญหิน จะอยู่ขา้ งล่างกไ็ ด้ อย่ชู ัน้ กลางก็ได้ อยูช่ ั้นบนกไ็ ด้
มที ีอ่ ยูเ่ ยอะแยะ หลบรอ้ นก็ได้ หลบฝนกไ็ ด้ หลบหนาวกไ็ ด้ อยูไ่ ดท้ ุกฤดูกาล
การขึน้ ชมภูทอก ต้องเดินข้ึนทางบนั ได เดินโดยสำ� รวมระวงั ไม่พูดคุยสง่ เสียงดังและไม่รบี ร้อน
คอ่ ยๆ เดนิ ข้ึนไปดว้ ยความมสี ติ เดนิ ไปด้วย ภาวนาไปด้วย โดยบริกรรมภาวนาพทุ โธ ธัมโม สังโฆ ในใจ
ไปเรื่อยๆ โดยไมค่ �ำนงึ ถงึ ความเหนด็ เหน่อื ยเมื่อยลา้ ไมค่ �ำนงึ ถึงความเจ็บแข้งเจบ็ ขา ใหบ้ ริกรรมภาวนา
พุทโธ ธัมโม สงั โฆ ไปตลอด และให้คดิ เสมอว่า ความอดทนอดกล้นั น่ีแลเป็นหนทางบนั ไดข้ึนสสู่ วรรค์
และนพิ พาน บุคคลจะลว่ งพน้ จากทุกข์ได้เพราะความเพยี รเปน็ ส�ำคญั
เม่อื ขน้ึ ไปบนภูทอกไปถงึ ช้ัน ๔ ชั้น ๕ ชนั้ ๖ แล้วมองลงมายังเบือ้ งลา่ ง จะเห็นอา่ งเกบ็ นำ�้
พระราชทานขนาดใหญ่เหมือนทะเลสาบ ซึ่งเกิดจากการท�ำถนนคันกั้นน�้ำระหว่าง ภูทอกน้อย และ
ภูทอกใหญ่หรือภูแจ่มจ�ำรัส ผืนป่าธรรมชาติบริเวณภูเขาทั้งสองอันเขียวชอุ่มจรดอ่างเก็บน�้ำตัดกับ
ผนื นำ�้ ผืนใหญแ่ ลดสู วยงามมาก
นอกจากที่ภูทอกน้อย วัดเจติยาคิรีวิหาร ภูแจ่มจ�ำรัสหรือภูทอกใหญ่ และภูสิงห์น้อยแล้ว
สถานที่สัปปายะส�ำคัญอีกแหง่ หนง่ึ ซง่ึ เหมาะกับการบำ� เพญ็ ภาวนาคอื ที่ภวู ัว ภูววั มธี รรมชาติอนั งดงาม
เงียบสงบ สถานที่กวา้ งขวาง มีป่าไมอ้ ุดมสมบรู ณ์ และมีสัตว์ป่า เชน่ ช้าง งู ฯลฯ เหมาะสมท่จี ะเป็น
411
ท่ีวเิ วกอย่หู ลายแห่งดว้ ยกัน ซึง่ ลว้ นเป็นสถานทที่ ีค่ รูบาอาจารย์สายทา่ นพระอาจารย์มนั่ มักเดินธุดงค์
มาปฏิบตั ิภาวนา ปัจจบุ ันมสี �ำนักสงฆ์อยู่ ๓ แห่ง คือ
๑. ถ�ำ้ พระ เปน็ ทซ่ี ่งึ ทา่ นพระอาจารยฝ์ ้ัน อาจาโร มาสร้างพระพทุ ธรูปไว้ทห่ี น้าผา มีพระ
จ�ำพรรษาอยตู่ ลอด ปจั จบุ ันเปน็ วดั ถำ�้ พระ มีทา่ นพระอาจารยเ์ สถยี ร คณุ วโร เปน็ เจา้ อาวาส
๒. ถ�้ำบูชา เปน็ ที่ซ่ึงทา่ นพระอาจารย์จวนเคยอยู่จำ� พรรษาหลายปี มีพระจ�ำพรรษาอยู่ตลอด
ปจั จุบัน คอื วดั ถ้�ำบูชา มีทา่ นพระอาจารยค์ �ำ กาจนวณโฺ ณ เปน็ เจา้ อาวาส
๓. น้ำ� ตกสะแนน ปจั จบุ นั ช่ือ นำ�้ ตกชะแนน “ตาดสะแนน” ตาดเป็นภาษาอสี าน ภาษาลาว
แปลว่า “ทซ่ี ึง่ มีนำ�้ ไหล” หรอื “น�้ำตก” ส่วน “สะแนน” แปลว่า “สงู สุดยอด” หรือ “เย่ยี มยอด” เป็นที่ซ่งึ
ท่านพระอาจารย์จวน เคยเดินธุดงค์มาปฏิบัติธรรม และต้ังใจจะสร้างเป็นส�ำนักปฏิบัติธรรม แต่
ทางการไม่อนุญาต ปัจจุบันพระจากวัดป่าบ้านตาดได้ไปสร้างเป็นส�ำนักสงฆ์ในบริเวณใกล้ท่ีท�ำการ
หนว่ ยชะแนน
แตล่ ะแหง่ ลว้ นเงยี บสงบสงัดงดงาม มีธารน�้ำ มีน�้ำตก มแี อ่งนำ�้ มีพลาญหิน มถี ้�ำ มโี ขดเขา
มีชะง่อนผาและหบุ เหว เหมาะสมท่ีจะเป็นทีบ่ ำ� เพญ็ สมณธรรมดว้ ยกันทั้งนน้ั
ส�ำหรบั ทหี่ ลงั ถำ้� แก้ว ตาดปอนัน้ เปน็ ทซ่ี ง่ึ หลวงป่ขู าว อนาลโย ได้เคยมาอยจู่ ำ� พรรษา กเ็ ปน็
ท่สี ปั ปายะอีกแห่งหน่ึง มนี ้�ำอดุ มสมบูรณ์ มีถ้�ำ มหี ลบื หิน มีทหี่ ลบซ่อนภาวนาอยา่ งดี เหมาะส�ำหรบั
จะเปน็ ทีเ่ จริญภาวนาเชน่ กนั
เม่อื ภาวนาอยูใ่ นแถบภวู ัวจนคุน้ เคยกบั สถานท่แี ล้ว กอ็ าจจะตอ่ ไปท่ภี ูลงั กา ซ่งึ เป็นสถานท่ี
สปั ปายะอีกแห่งหนง่ึ เปน็ ที่ซึ่ง หลวงปู่บุญมี ปริปณุ ฺโณ ได้มาปรับปรงุ และเคยอยจู่ �ำพรรษา โดยอาศยั
บารมขี อง องค์หลวงตาพระมหาบัว าณสมปฺ นโฺ น แหง่ วัดปา่ บา้ นตาด หรอื มิฉะนัน้ กท็ ีด่ งศรีชมภู
อีกที่ถ้�ำจันทน์และที่ดงหม้อทอง เป็นที่ซ่ึง ท่านพระอาจารย์จวน ได้มาบุกเบิกพัฒนาและเคยอยู่
จำ� พรรษา ปจั จบุ นั คอื สำ� นกั สงฆถ์ ำ้� จนั ทน์ และ วดั ปา่ ศลิ าอาสน์ (ดงหมอ้ ทอง) แมป้ า่ ไมแ้ ละสตั วป์ า่
ลดน้อยถอยลงไปมาก และความสงบสงดั ไม่เหมอื นในอดีต เพราะชาวบา้ นเพม่ิ ขน้ึ มาก จากบา้ นไมก่ ่ี
หลังคาเรือนเปน็ หมบู่ ้านใหญ่ แตก่ ็ยังมบี รรยากาศร่มรื่น ถ้�ำ ขุนเขา ยงั อยู่เชน่ เดมิ นอกจากนน้ั ก็ยงั มี
สถานทอ่ี ่ืนๆ อีกมากมาย เช่น ทีด่ านม้าแลน่ บา้ นนาคำ� เปน็ ท่ซี งึ่ หลวงปูค่ �ำตนั ติ ธมโฺ ม ไดม้ าบกุ เบิก
พัฒนาและสร้างเปน็ วัด ปัจจุบัน คือ วดั ป่าดานศรีส�ำราญ เป็นต้น
เส้นทางไปภูทอกในอดีต
ภทู อก มีระยะทางไกลห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ ๘๐๐ กิโลเมตร ในอดตี เม่ือ ๓๐ กว่าปกี อ่ น
ภทู อกต้งั อยู่ทา่ มกลางป่ากนั ดารล�ำบากมาก เส้นทางไปภูทอกในอดตี ถนนสายหลักจากอ�ำเภอพังโคน
จงั หวดั สกลนคร ไปกง่ิ อ�ำเภอศรีวไิ ล จังหวดั หนองคาย ยงั เป็นทางพนู ดิน ฝนตกหนัก ถนนจะเป็น
412
ดนิ โคลนลน่ื แฉะ ขบั รถไม่ระวงั จะท�ำให้รถไถลลงขา้ งทางได้โดยง่าย ส่วนถนนระหว่างหมบู่ ้านเป็นทาง
แดงลูกรัง ช่วงหน้าแล้งถนนแห้ง ขับรถวิ่งไปจะเกิดฝุ่นฟุ้งตลบ และบางเส้นก็เป็นทางรอยรถแหวก
ไปในพงหญา้ สองข้างทางมีก่ิงไม้ยืน่ ระเกะระกะ ขณะรถว่งิ ไปตอ้ งกระทบกับกง่ิ ไม้ตลอดทาง
ทา่ นพระอาจารยพ์ วน ชุตนิ ธฺ โร ไดเ้ มตตาเลา่ เร่ืองนไ้ี วด้ ังนี้
“อู้หยู ! การเดนิ ทางมาภทู อกลำ� บากมาก ไม่ต้องพดู ถึง ทางแดงเนาะ ทางลกู รัง สะพานกเ็ ป็น
ไมก้ ลมๆ เอาไปวางเรยี งๆๆๆ โอ้ ! มันล�ำบากจรงิ ๆ อย่างอน่ื ไม่ต้องพูดหรอก พวกชาวบา้ นเขาไปมา
หาสูก่ นั เขาก็เดินไป ตอนนน้ั บึงกาฬมนั ยังไมไ่ ดแ้ ยกจากหนองคาย ไม่มีรถประจ�ำทาง โอ้ ! มนั จะหา
ที่ไหน ไม่ม”ี
ป่าไม้ภูทอกในอดีต
ทา่ นพระอาจารยพ์ วน ชุตินฺธโร ได้เมตตาเล่าเรือ่ งนไี้ วด้ งั น้ี
“สภาพภทู อกในอดตี เลย โอ้โฮ้ ! ป่าไมม้ ันกร็ ก ตน้ ไม้ใหญร่ ม่ รน่ื ดี เราก็ไปกนั เยน็ ๆ นะ มแี ต่
เสยี งนกอะไรมนั รอ้ งเจยี๊ วจา๊ วๆ สตั วป์ า่ แตก่ อ่ นมนั มเี ยอะอยู่ ทกุ วนั นี้ โอย้ ! หมดแลว้ พวกนายพรานไลย่ งิ
แถวขา้ งลา่ งแถวทส่ี รา้ งเจดยี แ์ ตก่ อ่ น โอโ้ ฮ้ ! ตน้ ไมเ้ ปน็ ปา่ เปน็ ดงหมดจนถงึ หนา้ วดั เปน็ ไมย้ าง ไมต้ ะเคยี น
ไม้อะไร โอ้ ! ใหญ่ ต้นใหญๆ่ รฐั บาลในอดีตสง่ั ตดั หมด ทวี่ ดั ภทู อกก็โดนตัด หมดน่นั แหละ ถา้ วา่ ตอนน้นั
ตดั หมด คงจะเอาไปขายหรอื จะยังไง เราไม่รู้ละ่ รฐั บาลใหเ้ งินชว่ ยเหลือชาวบา้ นอยู่ ตน้ ละไมก่ ่ีรอ้ ย
จรงิ ๆ มนั ไม่คมุ้ หรอก ไมร่ ปู้ ีไหนทีเ่ ขาสง่ั ตัด ตัง้ แตส่ มัยจอมพลสฤษดิเ์ ปน็ นายกฯ เร่ิมตัดไม้ใหญ่ๆ”
ท่านสอนวิธีการจ�ำช่ือภูต่างๆ
ภสู ิงห์ใหญ่ ภสู งิ หน์ อ้ ยหรอื ภกู ว่ิ ภูทอกใหญห่ รอื ภูแจ่มจำ� รสั ภูทอกนอ้ ยหรอื ภูทอกอนั เปน็ ทีต่ งั้
วดั เจตยิ าคิรวี หิ ารหรอื วัดภทู อก ภเู ขาทง้ั ๔ ลกู มีขนาดแตกตา่ งกันอย่างชัดเจน มที ี่ตงั้ อย่ใู นแนว
เดยี วกัน โดยทอดเรยี งลำ� ดับติดต่อกนั ยาวหลายสบิ กิโลเมตร ผู้ท่ีไปภูทอกในระยะแรกน้ัน ส่วนใหญ่
จะจดจ�ำชื่อภเู ขาท้ัง ๔ ไมค่ อ่ ยได้ มักจำ� ชื่อและท่ตี ้งั ของภตู า่ งๆ สบั สนกันไปหมด
ท่านพระอาจารย์จวน ท่านได้เมตตาสอนวิธีการจดจ�ำช่อื ภูตา่ งๆ ให้อยา่ งง่ายๆ วา่ ภเู ขาทัง้ ๔
ทอดตวั เรียงต่อกันเหมือนขบวนรถไฟ ภูทอกนอ้ ย คือ หัวรถจกั ร ภูทอกใหญ่ คอื ต้รู ถการ์ด ภูสงิ ห์ใหญ่
คือ ขบวนรถโดยสาร ส่วนฉิมและภูสิงห์น้อย (ภูกิ่ว) คือ กุญแจต่อระหว่างรถจักรกับโบกี้รถต่างๆ
จากนน้ั มาการจดจ�ำชอื่ และท่ตี ้ังของภตู ่างๆ ก็งา่ ยขึ้น
413
อัศจรรย์บันไดเวียนภูทอก
เจ้าพระคณุ สมเด็จพระอรยิ วงศาคตญาณ (วาสนมหาเถระ) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหา–
สงั ฆปรณิ ายก วัดราชบพิธฯ พระลิขิตอนุสรณ์วา่
“พระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ วดั เจติยาคริ ีวิหาร (ภูทอก) จังหวดั หนองคาย ได้ท้งิ ปริศนา
ข้อคดิ ไวใ้ หศ้ ิษยานุศษิ ย์ ตลอดผูเ้ คารพนับถือ ได้พจิ ารณาหาประโยชน์แก่ตนเอง เชน่ สะพานขน้ึ เขา
ภทู อก เปน็ สง่ิ นา่ อศั จรรยข์ องสถาปนกิ ทงั้ หลาย แสดงวา่ ใครอยา่ ทะนงวา่ ตนฉลาดสามารถมาก เพราะ
ยงั มีความฉลาดสามารถที่เหนอื กวา่ อย่อู ีกเสมอไป ทั้งเด็กผู้ใหญ่ ชายหญงิ คนโง่คนฉลาด เศรษฐเี ข็ญใจ
ลว้ นด�ำเนินชวี ิตไปสู่ความตายเหมอื นกนั หมด จึงควรสรา้ งอนสุ าวรีย์คุณธรรมของชีวิตไวแ้ ต่บดั น.้ี ..”
สมเด็จพระญาณสังวร ขณะนั้นทา่ นยังมิไดร้ ับสถาปนาข้ึนเป็น สมเด็จพระญาณสงั วร สมเด็จ–
พระสังฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก พระลิขติ คณุ านสุ สตวิ ่า
“ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ วัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) จังหวัดหนองคาย เป็นพระ
อาจารย์ฝา่ ยวปิ ัสสนาธุระรปู หน่ึง ซง่ึ มผี ู้เคารพนบั ถอื เปน็ อนั มาก ทั้งท่านไดส้ ร้างเขาภทู อกให้มีสะพาน
เวียนขึ้นไปโดยรอบ เป็นชน้ั ๆ ขนึ้ ไปจนถงึ ยอด ทำ� ใหภ้ ูทอกเป็นรมณยี ภูมิส�ำหรบั ผมู้ งุ่ ไปปฏิบตั ธิ รรม
และพักผ่อนชม ดูชมได้ทุกทิศทางของภูเขา ท�ำให้ภูทอกเป็นที่รู้จักกว้างขวางควบคู่ไปกับองค์
ท่านอาจารยเ์ องดว้ ย...”
บรรยากาศภายในวัดเจติยาคิรีวิหาร หรือวัดภูทอก สิ่งมหัศจรรย์ท่ีสุดในบรรดาส่ิงก่อสร้าง
ท้ังหลายเป็นวัดของท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ (พระผู้เป็นอรหันต์สร้าง) วิศวกรยังยอมแพ้
ในการก่อสร้าง ว่าท่านพระอาจารย์จวนสร้างบันไดเวียนวนไปมารอบภูทอก ๗ ช้ัน ได้อย่างไร ?
แปลกเหลอื เกนิ น้นั เป็นเพียงแค่สมาธธิ รรม บารมีอภญิ ญาท่านในการกอ่ สร้าง คนธรรมดาก่อสร้าง
ไมไ่ ด้แนน่ อน
ธรรมภาษิตภูทอก
ทา่ นพระอาจารยป์ ระสงค์ จารธุ มโฺ ม ไดเ้ มตตาเล่าเรอ่ื งนไี้ ว้ดงั นี้
“หลวงปู่จวน บางทที ่านก็ลงมาจะไปบิณฑบาต ทา่ นก็นึกๆ ภาษติ ท่านลงมา ทา่ นจะบอกเลย
มันจะมชี ว่ งออกพรรษาใหม่ๆ บางทที ่านอาจจะคิดกลางคนื แล้วทา่ นจ�ำลงมา คอื ทา่ นจะเดนิ เดินบางที
ท่านจะคดิ อยู่ช้นั ๕ ทา่ นคิดได้ พอลงมาถงึ ศาลาท่านกราบพระเสร็จ ทา่ นก็หันหน้าออกนอกศาลา
ไปบณิ ฑบาตแลว้ ทา่ นกป็ รารภ พระองคท์ เี่ ขยี นกเ็ อาสมดุ มาจดเอา ยกตวั อยา่ ง อยา่ งทา่ นปอ๊ ก ตอนนน้ั
กม็ ีทา่ นสมควร คนหนองคาย แตเ่ ขาสึกไปล่ะ เขาเขียนหนงั สือเปน็ พวกน้ี เขียนปา้ ยไวต้ ิดตามต้นไม้
ตดิ ตามสะพานทางขนึ้ ไป เหมือนกับว่าใหค้ นเดนิ ข้ึนไปอา่ นนะ บางคนกจ็ ดเอา ไม่ใช่อา่ นเฉยๆ โฮ้ !
414
ติดไว้หลาย (เยอะ) ติดไวต้ ามศาลากเ็ ยอะ ทา่ นคิดเอาเองเลย มนั กถ็ กู ของท่าน คอื คำ� ภาษติ ภทู อกน่มี ี
ความหมายมากและไมเ่ หมอื นที่อื่นนะ ทีอ่ ืน่ มนั ยงั ทั่วไป ทน่ี ี่คมมาก เช่น “ผแู้ บกโลกอยตู่ �ำ่ ผคู้ ้�ำโลก
อย่กู ลาง ผู้วางโลกอย่สู งู ผู้จงู โลกยงุ่ รงุ รงั ” ท่านวา่ ท่านคดิ เองเปน็ องค์แรก
ธรรมภาษิต
“สตเิ ป็นตา ปญั ญาเปน็ แสงสว่าง”
“ร้ดู ีรู้ชว่ั คือ ตวั ปญั ญา รยู้ ึดรู้ตดิ ผดิ ทางพ้นทกุ ข์
รลู้ ะร้วู าง ถกู ทางปญั ญา รู้ไม่ยดึ ไมต่ ดิ จิตหลุดพน้ คือ พุทโธ”
“อาวุธปราบมาร คือ กรรมฐานห้า อาวุธปราบบ้า คอื สมั มาทฏิ ฐิ
อาวุธปราบอวด คือ สติปัฏฐาน ทางสนู่ ิพพาน คือ อรยิ มรรค”
“สติจางแสงสว่างไม่พอ เหมือนตารอฝา้ ฟาง ย่อมเหน็ วปิ รติ จติ พกิ าร
สตกิ ลา้ ปัญญาสวา่ ง ร้จู ักทางถกู ผิด จิตสงบพบสันตสิ ุข ร้ทู ุกขเ์ พราะสติปญั ญา”
“รู้อน่ื หม่นื แสนยังไมแ่ ม้นเทา่ รูต้ น รอู้ ่ืนหมื่นล้านยังไม่พน้ พาลเหมอื นดีตน
ชนะอน่ื หมืน่ โกฏิยังไม่พ้นโทษเหมอื นชนะตน รูต้ นดี ตนชนะตน น้นั ยอดคนผชู้ นะด”ี
415
ภาค ๑๖ โอวาทและเทศนาธรรม
โอวาทธรรม
“ผแู้ บกหนกั ผูผ้ ลกั เบา ผเู้ อาเปน็ ทกุ ข”์
“ธรรมใด จติ ใด หรือสมาธใิ ด ที่พระอริยเจา้ สรรเสริญยกยอ่ ง ธรรมนัน้ จิตนัน้ คือ อริยธรรม
อรยิ จติ อริยสมาธิ อรยิ ปฏปิ ทา”
“ใหด้ ปู จั จบุ ันน้ี รักษาใจของเราให้มนั ดใี นปจั จุบนั นี้ ปล่อยทกุ ขใ์ หห้ มด วางทกุ ขใ์ หห้ มด อย่าไป
พะวกั พะวงขา้ งหนา้ และข้างหลัง”
“การบ�ำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ถ้าไม่มุ่งหวังที่จะท�ำลายกิเลสตัณหาให้หมดไป
ใหส้ ิ้นไปแลว้ กไ็ ม่มีทางพน้ ไปจากทกุ ข์ พ้นไปจากโลกน้ีได”้
“ผ้แู บกโลกอยู่ต�ำ่ ผคู้ ้�ำโลกอยกู่ ลาง ผู้วางโลกอยสู่ งู ผจู้ งู โลกยุ่งรุงรัง จะอยู่ต่�ำ จะอย่กู ลาง หรอื
จะอยูส่ ูง หรอื จะยอมย่งุ รงุ รัง ก็ใชป้ ัญญาพิจารณาด”ู
“ผู้เช่ือกรรม ผู้เช่ือผลของกรรม ผู้เช่ือต่อวิบากของกรรม ผู้เช่ือต่อพระปัญญาตรัสรู้ของ
พระพุทธเจ้าอยา่ งนี้ ท่านไมท่ �ำบาปทั้งในท่ีลบั และท่ีแจง้ โดยเด็ดขาด”
“ครบู าอาจารย์ทงั้ หลายท่านจงึ ต้องสอน เอาความโง่ของพวกเราออก เอาความดมี าใส่แทนให้
เราก็จงรบั ไปปฏบิ ัตซิ ี เอามาแล้วกเ็ อามาวางไว้เฉยๆ มนั จะได้ประโยชน์อะไรเลา่ ”
“ความตายน้ี ท่านเปรียบอุปมาดุจภูเขาอันมีศิลาเป็นแท่งหนึ่งแท่งเดียว เบ้ืองบนจรดจน
นภากาศ กลง้ิ มาแล้วแลเวียนไปในทัง้ สท่ี ศิ บดเสยี ซง่ึ สรรพวตั ถุทงั้ ปวง บม่ ไิ ด้เลือกสตั วแ์ ละสังขารนน้ั
อันจะต่อยทุ ธด้วยพญามัจจุราช คอื ความตายนนั้ ใช่วสิ ยั ที่จะต่อยทุ ธได”้
“สิง่ ท่ภี ิกษคุ วรศกึ ษามี ๓ อยา่ ง คำ� วา่ ศึกษากห็ มายความว่าเรยี นรูใ้ หเ้ ข้าใจ สิง่ ท่ีภกิ ษุควรศกึ ษา
ควรส�ำเหนยี ก ควรศึกษาใหเ้ ข้าใจมี ๓ อยา่ ง ศีล คือ การรกั ษากาย วาจา ให้เรียบรอ้ ย สมาธิ คือ
ความตงั้ ใจมน่ั ปญั ญา คอื ความรอบรใู้ นกองสงั ขารทง้ั หลาย ๓ อยา่ งนบี้ รรพชติ ควรศกึ ษาใหร้ ู้ ใหเ้ ขา้ ใจ”
“ในรา่ งกายของเรามีอสภุ ะทกุ ส่ิงทกุ อยา่ งครบบริบรู ณ์ไมบ่ กพร่อง ความแก่ ความเจ็บ ความ
ตายก็เป็นอสุภะ ส่ิงที่ไม่เท่ียงในร่างกายของเราก็เป็นอสุภะ สิ่งท่ีเป็นทุกข์ก็เป็นอสุภะ สิ่งท่ีไม่ใช่ตน
ไม่ใช่ของตน ไม่ใช่ของแห่งตนก็เป็นอสุภะ ในร่างกายของเราน่ีเป็นตัวอสุภะ เป็นของไม่สวยไม่งาม
ท้ังน้นั ทา่ นใหม้ ีสตนิ อ้ มเขา้ มาเพ่งร่างกายของเรานี้ใหเ้ ห็นชดั ตามเปน็ จรงิ ”
416
“อย่าพากันถือทิฏฐิมานะ ให้ฆ่าให้ช�ำระทิฏฐิมานะออกจากใจของตนให้หมด ความโลภก็
เป็นเหตุให้ถือทิฏฐิมานะ ความโกรธก็เป็นเหตุให้ถือทิฏฐิมานะ ความหลงก็เป็นเหตุให้ถือทิฏฐิมานะ
อันทิฏฐิมานะท่ีจะเกิดข้ึนก็เพราะกิเลสเหล่านี้ คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ท่ีฝังอยู่ในใจ
ของตนนีน้ ่ีเอง อนั สตั ว์ทง้ั หลายทจี่ ะพากนั ไดร้ ับทกุ ขใ์ นอบาย คอื นรก เปรต อสุรกาย สัตวเ์ ดรจั ฉาน
กเ็ พราะอกุศลกรรมเหลา่ น้ี”
“อย่าพากันไว้ใจในชวี ิตของตน ชีวิตเป็นของไมเ่ ที่ยง ไมแ่ นน่ อน วันน้เี รามชี วี ติ อยู่ หายใจอยู่
วันหลังมาชีวิตจะเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ ชีวิตของเราน้ันวันหลังจะเป็นอย่างไร ในพรรษาน้ีพวกเรา
ทั้งหลายเช่ือหรือชีวิตของเราจะตลอดพรรษา เพราะความตายเป็นของไม่มีกาลเวลา จิตมันจะตาย
เวลาไหนก็ไม่รู้ เพราะชีวิตเป็นของไม่เที่ยง สุดแท้แต่มันจะเป็นไป เมื่อเรามีชีวิตอยู่ อย่าพากัน
ประมาท จงพากนั รบี บำ� เพญ็ ความดี ใหเ้ กดิ ใหม้ ีขึ้นในดวงจิตในความคดิ ของเรา”
“พระพทุ ธเจา้ ของเรา ท่านบญั ญตั ิทางออกจากทุกขไ์ ว้ สรุปแล้วมอี ยู่ ๓ ทาง คอื ศลี หนึ่ง
สมาธหิ นงึ่ ปญั ญาหนง่ึ เรยี กวา่ ทางอนั ประเสรฐิ ทางอน่ื ท่อี อกจากทกุ ข์บ่มี ไม่มี มีศีล สมาธิ ปญั ญา
เทา่ นี้ ทางทอ่ี อกจากทกุ ข์ ออกจากเหตุใหเ้ กิดทกุ ข์ ทางเป็นที่ดบั ทุกข์ และทางคอื เปน็ ขอ้ ปฏบิ ตั ดิ ำ� เนิน
ใหถ้ ึงธรรมเป็นทด่ี บั ทกุ ข์ มศี ลี มสี มาธิ มปี ัญญา เทา่ นี้ ทางอน่ื ไม่มที างท่ีจะออก”
“ในมัชฌมิ าปฏปิ ทาทางสายกลางนซี้ ่ึงเป็นทางอนั ประเสริฐ พระองคไ์ ดร้ บั รองวา่ เป็นทางทไ่ี ป
จากข้าศึก คอื กเิ ลส เป็นทางทอี่ อกไปจากทุกข์ได้แน่นอน ในมชั ฌมิ าปฏิปทาทางสายกลางน้ี พระองค์
ได้ยกปัญญาสมั มาทิฏฐิ ความเหน็ ชอบ ความรู้ชอบ และสมั มาสังกปั โป เป็นต้นทาง ได้ยกศลี เปน็ กลาง
และพระองค์ได้ยกสมาธิเป็นที่สุด คือ เป็นปลายทาง แต่ในข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นท่ีดับทุกข์ คือ
ในอริยสจั น้ัน พระองคไ์ ด้ยกศลี เป็นตน้ ยกสมาธิทา่ มกลาง ยกปัญญาเปน็ ที่สดุ ”
“โยนต�ำราเผาไฟท้ิงเสียก่อน ทางพระกัมมัฏฐานทา่ นสอนใหป้ ฏบิ ัติไป ภาวนาไป วันหนึง่ ก็รู้เอง
เหน็ เอง มัวไปคาดว่าอยา่ งโนน้ คาดวา่ อยา่ งนี้ ร้กู ่อนเกดิ มันกเ็ ลยไมเ่ กดิ สกั ที พวกเรียนมามากตามต�ำรา
แต่ไมป่ ฏิบัติ กบั พวกปฏิบัตแิ ตไ่ ม่ไดเ้ รยี นตำ� รา มันก็เปรยี บเหมอื น คนหนง่ึ พดู เรอ่ื งเชยี งใหม่ อ่านแต่
เรือ่ งเชียงใหม่ ภมู ิประเทศเป็นอย่างไร ผู้คนเป็นอย่างไร ใหเ้ ขยี นกีเ่ ลม่ สมุดไทยก็ได้ แตก่ ็เปน็ ตามต�ำรา
ไมเ่ หมอื นอีกคนหน่ึงไมต่ อ้ งอ่านตำ� รา ออกมุ่งหนา้ เดินทางไปเชียงใหม่ ไปถึงก็เหน็ เองรูจ้ ักเอง พบกับ
คนท่ีอย่เู ชยี งใหมด่ ว้ ยกัน ก็พดู กนั รู้เรอ่ื ง เชียงใหมเ่ ปน็ อยา่ งไร”
“ท่านอาจารยใ์ หญม่ ่ัน ทา่ นเคยเทศนไ์ ว้ “แกใ้ หต้ กเนอ้ ถ้าแกไ้ ม่ตก คาพกเจา้ ไว้ แกบ้ ่ได้
แขวนคอตอ่ งแตง่ แกบ้ พ่ น้ คาก้นยา่ งยา้ ย คาย่างยา้ ยเวียนตายเวยี นเกิด เอาก�ำเนิดในภพท้ังหลาย
ภพทั้งสามเป็นเฮือนเจ้าอย”ู่
พกไวท้ ่ีไหนละ่ พกไว้ทจี่ ติ ทใ่ี จ อารมณต์ ่างๆ ถ้าพกไว้ทีน่ ่ี มันกแ็ ขวนคอต่องแต่ง และ “คาก้น
ย่างยา้ ย” ไปมากล็ ำ� บาก หว่ งน่ัน หว่ งน่ี “ยา่ งย้าย” แปลวา่ พะรุงพะรัง “เชือกผกู คอ ปอผกู ศอก
417
ปลอกผูกขา” เวียนตายเวียนเกิด เอากำ� เนดิ ทั้งสาม เกิดในกามภพ รปู ภพ อรปู ภพ ภพทง้ั สาม
เลยเปน็ เรอื นให้อยตู่ ลอดไป เกดิ แลว้ ตาย ตายแลว้ เกิด วนเวียนอยอู่ ยา่ งนี้ ไปไหนไมไ่ ด้
เพราะความห่วง เปน็ เชือกผูกคอ ความรักเป็นเชือกผูกคอ ความชงั เป็นเชือกผกู คอ ความหลง
เปน็ เชอื กผกู คอ เปน็ ปอผูกศอก เปน็ ปลอกผูกขา ย่งุ อนี งุ ตงุ นงั ไปหมด มันก็ไปไหนไม่ได”้
ลีลาเทศน์ ลีลาธรรม
ทา่ นพระอาจารย์จวน กลุ เชฏฺโ การแสดงธรรมของท่านนัน้ ทา่ นมักเทศน์ถงึ อริยสจั ๔ คอื
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค โดยมสี �ำนวนลีลาเทศน์ ลลี าธรรม อันเป็นเอกลกั ษณป์ ระจ�ำองคท์ ่าน ดังน้ี
“ทกุ ข์ เหตุให้เกิดทกุ ข์ ธรรมเป็นทด่ี บั ทกุ ข์ ขอ้ ปฏิบตั ใิ ห้ถึงธรรมเปน็ ทด่ี ับทกุ ข์”
“นท้ี ุกข์ นี้เหตุใหเ้ กิดทกุ ข์ น้ีธรรมเป็นท่ีดับทุกข์ นค้ี ือขอ้ ปฏิบตั ใิ ห้ถงึ ธรรมเปน็ ที่ดับทุกข์”
“พจิ ารณาทกุ ข์ พิจารณาเหตุใหเ้ กดิ ทกุ ข์ พิจารณาธรรมเปน็ ทด่ี บั ทกุ ข์ พิจารณาข้อปฏิบตั ิให้ถึง
ธรรมเป็นทีด่ ับทุกข”์
“ใหร้ ทู้ ุกข์ ให้รเู้ หตใุ ห้เกดิ ทุกข์ ให้รธู้ รรมเปน็ ที่ดบั ทุกข์ ใหร้ ู้ข้อปฏิบตั ิให้ถงึ ธรรมเป็นที่ดับทกุ ข”์
“เห็นทุกข์ เห็นเหตุใหเ้ กิดทุกข์ เหน็ ธรรมเป็นที่ดับทกุ ข์ เหน็ ขอ้ ปฏิบตั ิใหถ้ งึ ธรรมเปน็ ทด่ี บั
ทุกข”์
“รู้เหน็ ทุกข์ รู้เห็นเหตใุ หเ้ กิดทกุ ข์ รู้เหน็ ธรรมเปน็ ท่ดี ับทกุ ข์ รเู้ หน็ ขอ้ ปฏิบัติใหถ้ ึงธรรมเป็นที่
ดบั ทกุ ข”์
“การเพ่งฌานในทางพระพทุ ธศาสนา กไ็ ดแ้ ก่ การเพง่ สตปิ ฏั ฐานฌาน คือเพง่ ให้รู้ตามหลัก
ธรรมชาติสัจธรรมของจรงิ ทม่ี ีอยู่ เพง่ ใหร้ ้เู หน็ วา่ น้ที ุกข์ คอื ความเกดิ แก่ เจบ็ ตาย มนั เป็นทุกข์ เพ่งใหร้ ู้
ใหเ้ ห็นวา่ น้คี ือตวั เหตใุ หเ้ กิดทุกข์ ได้แก่ ตณั หา คอื ความอยาก เพง่ ให้รใู้ ห้เห็นตัวเหตใุ หเ้ กดิ ทุกข์ คอื
ตัวสมุทัย เพ่งให้รู้ใหเ้ หน็ ธรรมเป็นทดี่ บั ทุกข์ คือ ความทำ� ตณั หานีใ้ หส้ นิ้ ไป เพ่งให้รูใ้ ห้เห็นข้อปฏบิ ัติ
ให้ถึงธรรมเปน็ ท่ดี ับทกุ ข์ คอื ศีล สมาธิ ปญั ญา การเพ่งฌานตอ้ งเพง่ อย่างน้ี ในทางพระพุทธศาสนา”
ท่านเทศน์พระสูตรได้อย่างอัศจรรย์
การเทศน์อธบิ ายพระสตู รของท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ เช่น ธมั มจักกปั ปวัตตนสูตร
หรือ มหาสติปัฏฐานสูตร ซ่ึงเป็นพระสูตรท่ีค่อนข้างยาวและท่องจ�ำได้ยาก เพราะท่านมีความ
ทรงจ�ำเป็นเลิศ ท่านจึงเทศน์ทั้งบาลีและค�ำแปลได้อย่างถูกต้องแม่นย�ำโดยไม่ได้เปิดต�ำรา ซึ่งเป็น
เรื่องอัศจรรย์ ท่านเคยพูดว่า “หนงั สือนนั้ อ่านผา่ นตาเพยี งครั้งเดยี วก็เหมือนจะจ�ำได้ เพยี งทบทวนก็
จำ� ได้หมด” โดยทา่ นพระอาจารยพ์ วน ชุตนิ ฺธโร ได้เมตตาตอบขอ้ สงสัยเร่อื งนีไ้ ว้ดังนี้
418
“บางครั้งท่านกเ็ ปิดต�ำราเทศน์ ทา่ นเทศนไ์ ด้แมน่ ยำ� ท้ังๆ ท่ีไม่ได้เรียนมหาเปรียญ ทา่ นก็อา่ น
พระไตรปฎิ กแลว้ มาเทศน์ ท่านมีความทรงจ�ำทเ่ี ลศิ มาก อา่ นเท่ียวสองเท่ียว ท่านจ�ำได้ ท่านดูพระสตู ร
ดูแล้วทา่ นกเ็ อามาอธิบาย อันน้มี นั เป็นของท่าน เรยี กวา่ “มันเป็นสมบัติของท่าน”
ท่านเน้นเทศน์ปฏิบัติ มักเทศน์อสุภะ ไม่ทักความคิดพระเณร
หลวงปสู่ มหมาย จิตตฺ ปาโล ได้เมตตาเล่าเรอื่ งน้ีไวด้ ังน้ี
“หลวงป่จู วนทา่ นบอกวา่ ถา้ ไปทักน่ี ท�ำให้พระเณรร้อน ท่านกไ็ มไ่ ด้ทกั หรอก ท่านจะสอนไป
อสุภะน่ีแหละ ไปทกั วา่ อยา่ งงัน้ อย่างนี้ ท่านไมท่ ัก ไปทักโนน่ ทักน่ี ไปจี้นั่นละ่ รอ้ น พระเณรอยู่ไม่ได้
ท่านสอนให้ละ ใหว้ าง ใหป้ ล่อย ใหภ้ าวนา ไม่เห็นทา่ นทกั อย่างโนน้ อย่างนี้ ไมม่ ”ี
ทา่ นพระอาจารยบ์ ญุ เลศิ เขมโิ ย ได้เมตตาเลา่ เรอ่ื งนีไ้ ว้ดงั น้ี
“หลวงปจู่ วนทา่ นกเ็ ทศนใ์ หภ้ าวนาทกุ ๆ วนั นะ่ ใหท้ �ำทกุ วัน ท่านกอ็ บรมประจ�ำ เทศน์อบรม
พระ เณร ประจ�ำทุกวันเลยนะ ไมข่ าดอันน้ี ข้อวัตรประจ�ำทกุ วันๆ เลย สามทมุ่ นูน่ แลว้ ถงึ ได้เลิกกัน
ครง้ั ละ ๒ ชัว่ โมงน่ีแหละ ช่วงน้ันกพ็ ระก็ไมม่ ากหรอก สมยั ก่อนไม่มพี ระนะ ๘ – ๙ องค์ มากท่ีสุดก็
๙ องค์ ท่านกเ็ ทศน์เรือ่ งภาวนานีแ่ หละ ให้พน้ ทุกข์น่แี หละ ภาวนาให้พิจารณาอนจิ จัง ทกุ ขัง อนัตตา
นนั่ แหละ”
ท่านพระอาจารยเ์ ตมิ ศักด์ิ ยุตฺตติธมฺโม ได้เมตตาเล่าเร่ืองนี้ไว้ดงั นี้
“เทศน์ของหลวงปู่จวน คอื ท่านเนน้ แตป่ ฏบิ ัติ ท่านเน้นปฏิบัติ พูดถงึ อปุ มาของครบู าอาจารย์
ของหลวงปู่จวนกับหลวงปู่วันนี่ล่ะ ถ้าเป็นอุบายก็คือหลวงปู่วันท่านก็เทศน์ให้ข้อคิด ท่านไม่ได้
บอกหมด หลวงปจู่ วนนถ่ี ้าเวลากล้วยนี่ เอา้ ! คุณกนิ กลว้ ยล่ะนะ ท่านฉกี ใสป่ ากใหก้ ิน แตห่ ลวงปวู่ นั
เอ้า ! นะ กล้วยกินเข้าไป ไมก่ นิ กไ็ ม่ได้แกะให้ อบุ ายทา่ นแปลก ครบู าอาจารยท์ ่านแตกต่างกัน
คอื กบั หลวงป่จู วนกม็ าอยู่ไมน่ าน เพราะเวลาเราอยู่กบั ท่านนี่ เวลาจะไปอยใู่ กล้ๆ ทา่ น ไปนวด
ถวายท่าน ทา่ นก็เทศน์ให้ฟงั เราไม่มโี อกาสได้ซักไซ้ คือ เทศน์ๆ ท่านก็ใสม่ าตลอดนะ่ เรากร็ บั ฟงั ๆๆ
เออ ! ท้งั อสภุ ะ ทง้ั ขอ้ วัตรปฏปิ ทา ทั้งการเขา้ สมาธิอะไรต่างๆ กค็ ือการปฏบิ ัติ ปฏปิ ทาท่านกท็ า่ นเรง่
ตรงน้ี ท่านจะให้ไปกนั ไม่มาก ทา่ นเทศน์พิเศษล่ะนะ ซึ่งเราถงึ ใจมาก ซง้ึ มาก เวลาท่านเทศนร์ วมๆ นะ
คือเรอื่ งเทศน์สอนท่วั ๆ ไป แตถ่ ้าเทศนเ์ ฉพาะ โฮ้ ! เอาหนกั เลย เป็นช่ัวโมงๆ”
ท่านพระอาจารย์จวนเทศน์ยอดธรรม
ท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ ทา่ นเป็นครูบาอาจารยส์ �ำคญั อกี องคห์ นงึ่ ในวงกรรมฐานท่ี
ท่านเทศน์สอนดว้ ยยอดธรรม คือ เทศนถ์ ึงอวัยวะเพศของชายหญิงอย่างเปิดเผย ทา่ นเทศนอ์ ย่างถงึ ใจ
419
เช่นเดียวกับหลวงปู่ต้อื อจลธมโฺ ม โดย ทา่ นพระอาจารย์สอน ชวี สทุ ฺโธ ได้เมตตาเล่าเร่อื งนไ้ี วด้ ังนี้
“เรือ่ งอุบายสอนแบบยอดธรรม ทา่ นอาจารย์ตุ๊ (พระอาจารยเ์ ติมศักดิ์ ยตุ ฺตตธิ มโฺ ม) เคยอยู่
แลว้ บางทที า่ นจะเจอหลวงปจู่ วนจอ้ี ยา่ งงนั้ ๆ ใหเ้ ลย เพราะวา่ เคยถามแมช่ ี มพี ระพดู ใหฟ้ งั อยู่ ถามแมช่ ี
“เออ้ ! หีเหม็นไหม ?” ถามอยา่ งน่ีเลยนะ พระเณร อู้ อูย้ ! ไม่ ไม่หวั เราะหรอก เขากว็ ่า “เหม็น”
หลวงปจู่ วนชใ้ี ส่พระหนมุ่ เลย “เปน็ ยังไงพวกน้ี ได้ยินไหมนี”่ อบุ ายสอน เออ ! ใส่เลย ใส่พระหนุ่ม
พวกนนั้ ก็ โอ๊ย ! มองหนา้ กนั ไม่ได้ ทา่ นสอนเอาแบบน้นั เลยนะ คือเอาอนั นัน้ นะมาสอน เอาของจริง
มาสอน สอนไป อยู้ ! แตว่ ่าเขาไมไ่ ด้รงั เกียจทา่ นนะ เปน็ ทวี่ า่ พ่อแมค่ รบู าอาจารย์สอนลกู คือสอนดีๆ
มันไม่ถึงใจมนั
ถ้าเปน็ การส่ังสอนหลวงป่จู วนท่านบอก ใส่เลย... ทา่ นสอนตรงๆ กรรมฐานตรงๆ ไม่ใชว่ ่าสอน
สวยหรู ออ่ นหวาน หรือทางโลกเราว่าสภุ าพอะไรอย่างน้ี จริงๆ แล้วไม่ใช่ จริตหลวงปู่จวนอกี อย่างหนึ่ง
เหมือนหลวงปู่ตือ้ นนั่ แหละ หลวงปู่ต้ือน้ีก็เหมือนกนั ทา่ นบอกวา่ ทา่ นพดู แบบ “มนั ไมถ่ ึงใจคน” เออ !
ไมถ่ งึ ใจ ทา่ นใสเ่ ปรีย้ งเลย แตท่ ่านมวี ิธพี ลิกแพลงนะ
คนฟังก็รักหลวงปู่ต้ือกับหลวงปู่จวนน่ันแหละ หลวงปู่ต้ือท่านมีวิธีพลิกแพลงค�ำพูดของท่าน
โอ๋ ! ทีแรกฟังไม่ได้ คุณหญิงคณุ นายน้ฟี ังไมไ่ ด้เลย โอโ้ ห ! พระอะไรพดู ค�ำหยาบนี่ ก็วา่ เสยี ๆ หายๆ
เหมอื นกัน พอท่านพลกิ เป็นคุณปบุ๊ ! มา “หเี ป็นของดี หีเป็นแดนบ่อเกิดของพระอรหันต”์ โอโ้ ห !
ดีใจอยา่ งนน้ั นะ่ คนฟังกด็ ใี จ ใช่ไหม”
ท่านเทศน์เก่งและได้เทศน์ตามงานใหญ่ๆ
ทา่ นพระอาจารยส์ �ำรวย ตายโน ไดเ้ มตตาเล่าเรือ่ งน้ีไวด้ ังน้ี
“อาจารยจ์ วน ทา่ นมีนสิ ยั เด็ดเด่ียวจรงิ ใจ เอาจริงเอาจงั สอนให้ลกู ศิษย์เอาจริงเอาจงั ไม่ให้
ท�ำเลน่ ๆ ฝกึ ก็ฝึกใหเ้ ต็มท่ี ทา่ นมปี ฏภิ าณไหวพรบิ ในการเทศน์ เทศน์คล่องแคลว่ เทศนเ์ รว็ และเปล่ียน
กณั ฑ์เทศน์ ท่านเทศนด์ ีน่ันน่ะ อาตมาเจอทา่ นเรื่อย ไปเทศน์งานนน้ั งานนี้ก็เคยเจอ เทศนต์ ามงาน
ใหญๆ่ เช่น งานประจำ� ปหี ลวงปู่ฝ้ัน วัดปา่ อดุ มสมพร ตรงกบั วนั เพญ็ เดือนยี่ ท่านก็เทศน์ บางทกี ็งาน
หลวงปู่มัน่ วัดหนองผือนาใน ท่านกไ็ ด้ไปเทศน์ งานประจ�ำปีวัดป่าสทุ ธาวาส ท่านกเ็ คยไปเทศน์
สมัยนนั้ ท่านจะดังมาก มอี าจารย์จวน อาจารย์วนั อาจารยส์ งิ หท์ อง อาจารย์สพุ ฒั น์ ท่ตี ก
เครื่องบนิ น่ะ จะไปกรงุ เทพฯ นี่ จะไปด้วยกนั น่ะ ๓ – ๔ องค์ ตอนตกเครอื่ งบนิ หลวงปู่บญุ มา ติ เปโม
กไ็ ปดว้ ย อาจารย์จวนทา่ นดังมาก แล้วก็เทศนเ์ กง่ แล้วกม็ คี วามเพียรเลศิ ทปี่ ระทบั ใจทา่ นมากกค็ ือ
“เทศน์น่มี ันถงึ ใจ” เวลาเทศน์สนั้ ๆ เทศน์อสภุ ะมากท่สี ดุ ใหเ้ บ่อื หน่าย ท่านเทศน์เน้นอสภุ ะ”
420
สาเหตุที่เทศนาธรรมของท่านมีจ�ำนวนไม่มาก
ท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ เม่ือทา่ นมาจ�ำพรรษาท่ีภทู อกต้ังแตป่ ี พ.ศ. ๒๕๑๒ ทา่ นจะ
เมตตาเทศน์อบรมพระทุกวัน เว้นแต่ติดกิจนิมนต์ สาเหตุที่เทศนาธรรมของท่านพระอาจารย์จวนมี
จ�ำนวนไม่มากนัน้ เพราะสมยั นน้ั ยงั ไม่มกี ารอัดเทป โดยหลวงปูส่ มหมาย จติ ตฺ ปาโล ไดม้ าชว่ ยบุกเบิก
และอยจู่ �ำพรรษาในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ทา่ นได้เมตตาเล่าวา่ “สมยั ก่อนภูทอกกันดารมาก ไฟฟ้าก็ไมม่ ี
ทา่ นพระอาจารย์จวนจะเมตตาเทศน์ทกุ คืน หลงั จากฉันน�้ำปานะเสรจ็ ซึ่งสมยั นั้นมแี ตน่ �้ำยาเสอื โครง่ ”
ต่อมามีเคร่อื งอดั เทป ดว้ ยทางวดั ไมม่ ีไฟฟา้ จึงใชถ้ า่ นไฟฉาย ดังนนั้ การอัดเสยี งก็ไม่สม�่ำเสมอ
โดยทา่ นพระอาจารย์พวน ชุตินฺธโร ทา่ นได้มาอย่ภู ทู อกตง้ั แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๒๐ และได้ท�ำหน้าท่เี ป็น
พระอุปัฏฐากทา่ นพระอาจารยจ์ วน ไดเ้ มตตาเล่าเร่อื งนี้ไวด้ งั นี้
“หลวงปจู่ วนทา่ นเทศนท์ กุ คนื แตก่ อ่ นมนั เทปใชถ้ า่ นไฟฉาย แตก่ อ่ นไฟฟา้ เขา้ ไมถ่ งึ เปน็ ไฟปน่ั
เขาจะใช้ถ่าน น้ีถา่ น กว่าถ่านจะออ่ น เราก็ไมร่ ู้ เสยี งก็เลยเสียงต�่ำ เสียงสงู เสยี งไม่สม่�ำเสมอ ใชถ้ ่าน
แต่ก่อนไฟฟา้ มันยงั ไม่เขา้ มาถงึ ”
ท่านพระอาจารยถ์ าวร อนตุ ตฺ โร ได้เมตตาเล่าเรอ่ื งนไ้ี ว้ดงั นี้
“ตอนหลวงป่จู วนท่านมชี วี ติ นะ เวลาทา่ นเทศน์ บางทีท่านจะไมเ่ ทศน์ทีศ่ าลา บางทีท่านกอ็ า่ น
เชน่ ปฏิจจสมุปบาท เรอ่ื งธัมมจักฯ เร่ืองอนัตฯ เร่ืองอะไรพวกน้ี ทา่ นจะไปเทศนต์ ามถ�้ำ ถ�้ำเหลก็ ไหล
ทีอ่ ยู่ทางด้านหลงั นะ บางทีมนั มนี กรอ้ ง นกปา่ มนั ร้องใสด่ ว้ ยนะ กลางวนั ก็จะถอื เทปไปใหท้ ่านไวอ้ ัด
คือสมยั กอ่ นมนั อดั ถ่านไฟฉายนะ บางทถี า่ นมนั ออ่ น มนั กเ็ สยี งมันกด็ งั แบบอะไรล่ะ เทปมันยดื ข้ึนไป
เนี่ย ทีนี้เวลาเอามาถอดเทปนี่มันต้องกดลอ็ ก กดลอ็ ก กดล็อก มนั เลยยดื ส่วนหน่ึงกเ็ สยี ไป ไม่ไดท้ �ำ
มาสเตอรต์ ้นฉบับไว้ มนั กไ็ ม่มีทนุ ด้วยแตก่ ่อน มันไมม่ ีปัจจัย คือมาทำ� จริงๆ เขาใหท้ �ำถอดเทปก็คอื ถอด
อย่างเดียว”
เทศนาธรรม
• เทศน์อริยสัจธรรม
ส่ิงใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ส่ิงท้ังปวงนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ดังน้ี
นแ้ี สดงวา่ ท่านเปน็ ผู้มีปรีชาปัญญาอันลกึ ลำ�้ หย่งั รูห้ ยง่ั เห็นอริยสจั ธรรมทงั้ ๔ ว่า นท้ี ุกข์ น้ีเหตุให้
เกดิ ทกุ ข์ นคี้ ือธรรมอันท่ดี บั ทกุ ข์ นค้ี อื ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ ึงธรรมอนั ท่ีดับทุกข์
ค�ำวา่ นที้ กุ ข์ คือ ความเกดิ ความแก่ ความเจบ็ ความตาย เปน็ ทุกข์ และทุกข์เหล่านที้ จ่ี ะ
ปรากฏขึ้น จะเกดิ ข้ึนกเ็ พราะตัวเหตุตวั ปจั จัย คือ ตวั สมุทยั ไดแ้ ก่ ตณั หา คอื ความอยากนีเ้ ป็นตวั เหตุ
421
ใหเ้ กิดทุกข์ นี้ท่านหย่ังรหู้ ยัง่ เห็น จึงว่า ส่ิงใดสิ่งหนึง่ มีความเกิดขึน้ เป็นธรรมดา ส่ิงท้ังปวงน้ันมคี วามดบั
ไปเป็นธรรมดา เมอ่ื มเี หตุมีปัจจัยเกิดอยู่ มันกม็ กี ารเกดิ การดบั อยูเ่ ป็นธรรมดาน้นั นัน่ เอง ถา้ หมดเหตุ
หมดปจั จัย คือ หมดตัวสมทุ ยั หมดตวั ตัณหาแลว้ กไ็ ม่มกี ารเกดิ การดบั อยูเ่ ป็นธรรมดา หมดเกิด หมดดับ
หมดทกุ ข์ เพราะหมดเหตุให้เกิดทกุ ข์ นปี้ ญั ญาของทา่ นพระโสดาบนั ท่านละ ท่านมีปรีชาปญั ญาอันลกึ
อนั ปราศจากธลุ ี ปราศจากมลทนิ ได้หยงั่ รูห้ ยงั่ เหน็ สจั ธรรมทง้ั ๔ ตามเปน็ จริงวา่ น้ที ุกข์ นเี้ หตใุ ห้
เกดิ ทกุ ข์ และกร็ ู้ว่านี้คอื ธรรมอันทดี่ บั ทุกข์ นีค้ ือขอ้ ปฏิบตั ใิ ห้ถงึ ธรรมอนั ทดี่ บั ทุกข์
นีท้ กุ ข์ ทา่ นก็รวู้ ่า ทกุ ข์ทง้ั หลาย คือ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย จะปรากฏข้ึน
จะมีข้นึ เพราะอะไร ทา่ นรตู้ วั เหตตุ ัวปจั จยั ทกุ ขท์ ้งั หลายทจี่ ะปรากฏขนึ้ ในก�ำเนดิ ๔ ในคติ ๕ ในภพ
ทงั้ ๓ ในวิญญาณฐติ ิ ๗ ในสัตตาวาส ๙ นั้น เทียวเกิดเทียวตายไมร่ ไู้ ม่แลว้ น้นั เพราะตวั เหตุตัวปัจจัย
คือ ตัวกรรมวัฏฏ์ กิเลสวัฏฏ์
ตวั กรรมวฏั ฏ์ กิเลสวัฏฏ์ ทีเ่ รียกวา่ ตัวเหตุตัวปัจจัยนี้ กค็ ือ ตัวสมทุ ัยตณั หา คอื ความอยากน้ี
นี่เอง ซึง่ เป็นตวั เหตตุ ัวปจั จยั เปน็ เหตุใหเ้ กดิ ทุกข์อกี คือ เป็นเหตใุ หเ้ กิดในก�ำเนิด ๔ ในคติ ๕ ในภพทัง้ ๓
ในวญิ ญาณฐติ ิ ๗ ในสัตตาวาส ๙ ให้เป็นทุกขอ์ ยูร่ �ำ่ ไป หาต้นหาปลายมไิ ด้ เปน็ วัฏวน เกดิ มาในชาตไิ หน
ภพไหน ในคตไิ หน ก็มีแต่ความลุ่มหลงในภพน้ัน ในชาตนิ ัน้
นที้ ่านพระอรยิ โสดาบัน ทา่ นมปี รีชาญาณหยงั่ รูห้ ย่งั เหน็ ทุกข์ หยั่งรหู้ ยงั่ เหน็ เหตใุ ห้เกดิ ทกุ ข์ คือ
ตณั หาความอยากน้ี ความไมร่ ้ตู ัว ความไม่รทู้ ุกข์ ไมร่ ู้เหตใุ ห้เกดิ ทกุ ข์ ท่านก็เรียกว่าอวิชชา เปน็ ผู้หลง
หลงอยูใ่ นทกุ ข์ หลงอยใู่ นเหตใุ ห้เกิดทุกข์ ท่านหย่งั รูห้ ย่ังเห็นทุกข์ หย่งั ร้หู ยงั่ เห็นเหตใุ ห้เกดิ ทกุ ข์ คือ
ตณั หาความอยาก เมอ่ื ทา่ นเหน็ ทกุ ขก์ เ็ หน็ เหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ ทนี เ้ี มอ่ื เหน็ ทกุ ขแ์ ลว้ เหน็ เหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ขแ์ ลว้
ทา่ นกลัวทกุ ข์ ไม่อยากมาเกดิ อีก คือ ไมอ่ ยากเกิดในก�ำเนดิ ในภพตา่ งๆ ใหเ้ ปน็ ทุกข์ ทา่ นกม็ าทำ� ตวั เหตุ
ตัวปจั จัย คอื ตวั ตัณหานี้ ทำ� ตัวตณั หา คอื ความอยากนีใ้ ห้ส้นิ ไปให้ดับไป โดยไม่ใหเ้ หลอื นนั้ นน่ั เทยี ว
เมอ่ื ทำ� ตวั ตณั หาให้หมดไปแล้ว ทกุ ข์ทง้ั หลายก็ไม่ปรากฏข้ึนในก�ำเนดิ ๔ ในคติ ๕ ในภพทงั้ ๓
ในวิญญาณฐิติ ๗ ในสตั ตาวาส ๙ ไมต่ อ้ งทอ่ งเท่ยี วเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปในภพน้อยภพใหญ่ให้เป็นทกุ ข์
อย่รู ำ�่ ไปอีก เพราะดบั ตัวเหตตุ ัวปจั จยั คือ ตัวตณั หาความอยากนใ้ี หห้ มดส้นิ แล้วโดยไม่ใหเ้ หลอื เศษ
และทา่ นกร็ ู้ข้อปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ธรรมอนั ทดี่ บั ทกุ ข์
ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันท่ีดับทุกข์ น่ีก็คือศีล คือสมาธิ คือปัญญาเท่านั้น เพราะศีล สมาธิ
ปัญญา เป็นเคร่ืองระงับดับกิเลสตัณหาให้หมดไป ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติตามศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว
ก็ไม่มีทางที่จะระงับดับกิเลสตัณหาได้ ศีล สมาธิ ปัญญานี้แล เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันท่ีดับทุกข์
คอื เปน็ เครื่องมือหรอื เป็นเคร่ืองซกั ฟอกระงับดับกิเลสตณั หา ซ่ึงเป็นตัวเหตตุ วั ปัจจยั ทใี่ หเ้ กดิ ให้แก่
ใหเ้ จ็บ ใหต้ ายในวัฏสงสาร ให้สนิ้ ไป ให้ดับไป โดยไมเ่ หลอื นน้ั นั่นเทยี ว...
422
• การบ�ำเพ็ญจริยา ๓
คนเราเกดิ มาถา้ ไม่ท�ำประโยชน์ มนั กไ็ มใ่ ชม่ นุษย์ เขาเรยี กว่า หมานุษย์ พระพทุ ธเจา้ ทา่ นให้ทำ�
ประโยชน์ทัง้ ๓ ประการ คอื ประโยชนป์ จั จบุ ัน และประโยชน์ภายภาคหนา้ ประโยชนอ์ ย่างยง่ิ คือ
พระนิพพาน ใหไ้ ตร่ตรองกบั ชีวิตท่ยี ังเปน็ ๆ สดๆ อยู่
โลกัตถประโยชน์ ให้ทำ� ประโยชน์แกโ่ ลก คอื แก่ส่วนรวม สิง่ ใดท่เี ปน็ ประโยชน์ก็ใหพ้ ากัน
ปรับปรุงพัฒนาขึ้นในวัตถุนั้นสิ่งน้ัน ทั้งด้านวัตถุและด้านจิตใจ ด้านวัตถุก็ให้เป็นประโยชน์แก่โลก
ด้านจิตใจก็ใหเ้ ป็นประโยชนแ์ ก่โลก อย่าเป็นคนทำ� ลายโลก ขวางโลก
ญาตัตถประโยชน์ ประโยชนญ์ าติพน่ี อ้ ง คอื สงเคราะหซ์ ึ่งกันและกนั อันมนษุ ยเ์ ราเกิดมารว่ ม
ชาติ รว่ มศาสนา รว่ มพระมหากษัตรยิ ์อนั เดยี วกนั ตอ้ งเป็นญาตสิ นิทมิตรสหายกนั ท้งั นน้ั ต้องมกี าร
สงเคราะห์บำ� รุงซึ่งกนั และกัน ด้วยกายสงเคราะห์ วาจาสงเคราะห์ ใจสงเคราะห์ มีการแบง่ สนั ปันสว่ น
ซงึ่ กนั และกัน มคี วามเหน็ พรอ้ มเพรยี งกัน มีทิฏฐเิ สมอกัน มีความสามคั คีปรองดองกนั ไมแ่ ตกแยกกัน
รกั ษาพัฒนาปรับปรงุ บ�ำรงุ ชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริยข์ องตน อยา่ ไปคิดคน้ และท�ำลายชาติ ศาสนา
พระมหากษัตรยิ ์ มนั เป็นส่งิ ทอ่ี ัปรยี ์ เปน็ ของไม่ดี ทำ� ความชั่วความเสยี หาย เป็นบาปเป็นกรรม เป็น
โทษแกต่ น
อัตตตั ถประโยชน์ ให้ทำ� ประโยชน์แกต่ น สิ่งใดท่ีเปน็ ประโยชนแ์ กต่ นก็ท�ำขน้ึ ซี บาปมนั เปน็ โทษ
มนั มีโทษ มนั ไม่มปี ระโยชน์ ทำ� แล้วมนั เปน็ โทษ เป็นทุกข์ เป็นภยั เปน็ อนั ตราย คณุ ความดี บญุ กศุ ล
มันเป็นคณุ เป็นประโยชน์ พึงพากันหมน่ั บำ� เพญ็ กระท�ำข้ึน สิง่ ใดทผี่ ดิ กฎหมายบา้ นเมอื งและศีลธรรม
ทางพระพทุ ธศาสนา จงพากันเลกิ ละหลีกเวน้ อย่าพากนั ด�ำริตรติ รกึ นึกคิดข้ึน มนั เปน็ โทษ มนั ทำ� ลาย
ประโยชนข์ องชาติ ของศาสนา ของพระมหากษัตรยิ ์
ประพฤติตนใหเ้ ป็นประโยชน์แกช่ าติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ ์ คอื ทำ� ตนใหเ้ ปน็ คนพลเมอื งดี
ท�ำมาหากนิ โดยซอ่ื สตั ย์สจุ ริต ไม่ผดิ กฎหมายบ้านเมอื ง เป็นผูป้ ระกอบแต่การงานที่ปราศจากโทษ เวน้
การงานท่ีมีโทษ หมั่นประกอบการงานทมี่ ีประโยชน์ หมัน่ รักษาทรัพย์สมบตั ิของตน ท่ตี นแสวงหามา
ได้ด้วยความหมั่นในทางทช่ี อบ อย่าพากนั เปน็ คนสรุ ุย่ สุร่าย ใช้จ่ายทรัพยไ์ ม่เป็นประโยชน์
พงึ พากนั เวน้ เช่น การด่มื นำ�้ เมา เหลา้ กญั ชา ยาฝนิ่ เฮโรอีน อนั เป็นทต่ี ัง้ แห่งความประมาท
เนืองๆ เปน็ เหตฉุ ิบหายแห่งโภคสมบัติเหล่าน้ี พงึ พากันหลีกละเลิกเว้น อย่าพากนั ท�ำ การเทย่ี วกลางคืน
ในตรอกมืดให้ผิดเวลาเนืองๆ หรือเท่ียวล่าสัตว์ในป่าในดงในกลางคืน อันน้ีก็เป็นเหตุฉิบหายแห่ง
โภคสมบัติ พึงพากนั เลิกละหลกี เว้น อย่าพากันสรรเสริญเยินยอ หรือนยิ มเทยี่ วดูการเลน่ ตา่ งๆ เหล่าน้ี
กเ็ ป็นเหตฉุ บิ หายแห่งโภคสมบตั ิ พึงพากันละเลกิ หลกี เวน้ ประกอบการเล่นพนนั ทกุ ประเภท อันเป็น
ท่ีตั้งแห่งความประมาทเนืองๆ เหล่านี้ก็เป็นเหตุฉิบหายแห่งโภคสมบัติ พึงพากันหลีกเว้น อย่านิยม
ชมชอบคบคนช่ัวเป็นมิตรเหล่าน้ี แต่ละล้วนแล้วเป็นเหตุน�ำมาแห่งความฉิบหายของโภคสมบัติทั้งสิ้น
423
เปน็ คนเกยี จคร้าน คอื ประกอบความเกยี จครา้ นไว้เนอื งๆ เหลา่ น้ีกเ็ ปน็ เหตฉุ บิ หายแห่งโภคสมบตั ิ
ด้วยกันท้ังนั้น จงพากันหลีกเว้น ให้เลี้ยงชีวิตในทางท่ีชอบ อย่าพากันประกอบประพฤติเล้ียงชีวิต
ในทางท่ผี ดิ มนั ไมด่ ี เปน็ บาปเปน็ โทษ พึงคบมติ รทดี่ ี คบเพื่อนทีด่ ี อยา่ คบคนชว่ั เปน็ มิตร คบแต่คนท่ี
ซ่อื สตั ย์สจุ ริต มเี มตตาอารี สามัคคีปรองดองซงึ่ กนั และกัน
นค้ี ือประโยชนป์ จั จุบัน ในชวี ิตทเ่ี ปน็ อยู่ พงึ พากนั ประพฤติปฏิบตั ิกระท�ำข้นึ ถ้าเราเป็นผู้ที่
อยากไดค้ วามสุขความเจริญ อยากไดร้ บั ประโยชน์ อยาไดร้ ับคณุ ต้องประพฤติปฏบิ ัติขนึ้ เอาซี
ประโยชนภ์ ายภาคหน้าคอื นบั แตก่ ายใจแตกแล้วตอ้ งมีคตเิ พราะยังมีกรรมท่านจึงให้บ�ำเพญ็ ประโยชน์
ไว้สำ� หรับเปน็ ทีพ่ ึง่ ของเราเมื่อตายไป ถา้ เราไม่บ�ำเพญ็ ประโยชน์ไว้ มนั ก็เป็นคนตายทกุ ข์ตายยาก
ตายลำ� บาก ตายหอดตายหวิ ตายกอดตายกมุ ตายคุมตายขัง ตายอดตายอยาก ตายไปกเ็ ปน็ ทกุ ข์
เป็นยาก เพราะตนไมไ่ ดบ้ �ำเพ็ญประโยชน์ไว้ในภายภาคหน้า
ประโยชนภ์ ายภาคหนา้ คือ ให้มศี รัทธาความเช่ือความเลือ่ มใสในพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์
ในทาน ศลี ภาวนา ในบญุ เช่ือในบญุ ในบาป น่ีล่ะรกั ษาศลี เว้นสิ่งที่เปน็ บาป ประกอบแตส่ ง่ิ ท่ี
เป็นบุญเปน็ กศุ ล พึงพากนั เปน็ นักเสียสละ บ�ำเพ็ญทานการกุศล สงเคราะห์ซึ่งกนั และกัน สาธารณกศุ ล
ท่วั ๆ ไปกด็ ี พึงพากนั หมัน่ สดับตรับฟงั คำ� สอนของพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้า พึงมปี ัญญารอบรู้ในบาปบุญ
คุณโทษ ทเ่ี ปน็ ประโยชนแ์ ละมใิ ชเ่ ปน็ ประโยชน์ พจิ ารณาสงั ขารรา่ งกายของตนใหเ้ หน็ เปน็ ของไมเ่ ทยี่ ง
เปน็ ทกุ ข์ ให้เห็นเป็นของไม่ใช่ตน ประเด๋ียวเดียวมันก็ร่วงหล่นตายไป ดับไป หายไป ไม่มีอะไร
ท่ีจะเหลืออยู่ ท่ตี ดิ ตัวของเราก็มแี ต่บาปกับบุญเทา่ นั้น
ฉะนน้ั ท่านจึงใหเ้ ลกิ บาป บ�ำเพ็ญบุญ ถ้าเราท�ำแต่บาป เกิดมาตายไปเราก็ไปอยทู่ คุ ติ นรก
เปรต อสุรกาย สตั ว์เดรัจฉาน ถ้าเราท�ำบญุ ให้ทาน รักษาศีล เจรญิ ภาวนาอยู่ ตายไปเรากไ็ ปสสู่ ุคติ
มนษุ ย์สุข สวรรคส์ ขุ นิพพานสุข มีประโยชน์ภายภาคหนา้
ประโยชนอ์ ย่างยิง่ คอื พระนิพพาน นิพพานดบั กิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลง อยา่ ให้
มอี ยู่ท่ีใจของเรา ถ้าเราดบั กิเลสราคะ โทสะ โมหะ เหลา่ น้ีหมดแลว้ ก็ถงึ พระนพิ พานเท่านั้น ไม่มีความ
สงสยั เลย
ดงั นน้ั พวกเราทเี่ กิดมาเปน็ มนุษย์พบพระพุทธศาสนาแล้ว อยา่ ปล่อยชีวติ ของตนให้ล่วงเลย
จากประโยชน์เปลา่ ๆ เกดิ มาต้องท�ำประโยชน์ จึงเป็นมนุสสธรรม ถา้ ไม่ทำ� ประโยชน์เหล่านี้ เขาไมเ่ รียก
ว่ามนษุ ย์ เขาเรยี กว่า หมานษุ ย์ สตั วเ์ ดรัจฉานไม่มีสรณะ ไมม่ ีทพ่ี งึ่ ตายไปกท็ กุ ขย์ ากปากหมอง ตายทุกข์
ตายยาก ตายล�ำบาก เพราะไมไ่ ดท้ �ำคุณงามความดไี ว้ ตายอดตายอยาก เพราะไมไ่ ด้บำ� เพญ็ ทานไว้
ตายกอดตายกมุ ตายคมุ ตายขงั ตายมหี นมี้ สี นิ ตายมโี ทษ เพราะไมไ่ ดร้ กั ษาศลี ใหพ้ ากนั เขา้ ใจ ดงั นแี้ ล”
424
• ท่านเทศน์แปลปริศนาธรรมของท่านพระอาจารย์มั่น
ท่านพระอาจารยม์ นั่ ภูรทิ ตฺโต ไดแ้ สดงปรศิ นาธรรมไวว้ า่ “ไม้ซกงกหกพันงา่ กะปอมกา่ แล่น
ขน้ึ มือ้ ละฮ้อย กะปอมนอ้ ยแล่นขึ้นมอื้ ละพนั ตวั ใดม๋ าบ่ทัน แลน่ ขึน้ น�ำคมู่ ้อื ๆ” โดยท่านพระอาจารย์
จวน กุลเชฏโฺ ไดเ้ มตตาเทศน์แปลขยายความไวด้ งั นี้
“ภกิ ษุท้ังหลาย จิตนเี้ ล่อื มประภัสสรแจง้ สว่างมาเดิม แตอ่ าศยั อปุ กิเลสเครอื่ งเศร้าหมองเป็น
อาคนั ตกุ ะสญั จรมาปกคลุมหมุ้ หอ่ จึงท�ำใหจ้ ติ มสิ ่องแสงสวา่ งได้ ขอ้ น้เี ปรยี บเหมือนวา่
ไม้ ๖ กิ่ง กะปอม คือ กเิ ลสทงั้ หลายน่ันแหละ ใน ๖ กง่ิ น้นั เปรียบเหมอื นทวารท้ัง ๖ น่นั เอง
อันทวารทัง้ ๖ นี้เปน็ ที่มาของกะปอม คือ กิเลส กเิ ลสทงั้ หลายทยี่ ังไม่มากม็ าอยเู่ ร่อื ยๆ และไปมา
อยทู่ ุกวนั ๆ กเ็ ร่ิมเขา้ มาทกุ วันๆ น่นั เอง ถ้าเราไม่มสี ตปิ ญั ญาท�ำลายของปลอม คอื กเิ ลสแลว้ กเิ ลส
ทง้ั หลายก็ดนั กนั เขา้ มา แลว้ ทำ� ความเดือดร้อนกนิ แหนงแคลงใจใหแ้ ก่เราเทา่ น้ันเอง
กเิ ลสทงั้ หลายไมใ่ ชข่ องจรงิ เปน็ สงิ่ ของปลอมเขา้ มาในทวารทง้ั ๖ นบั ดว้ ยรอ้ ยดว้ ยพนั มไิ มใ่ ชแ่ ต่
เท่านั้น กเิ ลสทั้งหลายที่ยงั ไม่เกดิ มขี น้ึ กจ็ ะมีทวีนย่ี ิ่งข้นึ ทกุ ๆ วนั ในเม่ือไม่แสวงหาทางแก้ ธรรมชาตขิ อง
จิตเปน็ ของผอ่ งใสยง่ิ กว่าอะไรๆ ทง้ั หมด แตอ่ าศยั ของปลอม กล่าวคือ อปุ กิเลส ผูส้ ัญจรเข้ามาปกคลุม
จงึ ท�ำให้หมดรัศมี ดจุ พระอาทติ ย์เม่อื เมฆมาบดบงั ฉะนนั้ อยา่ เพงิ่ เข้าใจว่าพระอาทิตยเ์ ข้าไปหาเมฆ
เมฆไหลมาบดบังพระอาทิตยต์ ่างหาก
ฉะนั้น ผูบ้ ำ� เพ็ญเพียรท้งั หลาย เมอื่ รู้โดยปรยิ ายน้แี ลว้ พงึ ก�ำจดั ของปลอมจากกเิ ลส โดย
การพิจารณาใหแ้ ยบคายในกายคตาสติ ในกายคตาสตขิ องตน ในกรรมฐานของตนนัน้ นน้ั เอง ดังที่
อธิบายมาแลว้ นัน้ ก็จะสามารถก�ำจดั ของปลอม คอื กิเลสได้ เมื่อก�ำจดั ของปลอมกเิ ลสไดแ้ ลว้ จิตน้ัน
จึงจะสงบ ความสุขจงึ จะเกดิ ขึน้ เม่อื ท�ำลายของปลอมได้แลว้ จิตมันก็ลงถงึ ฐีติจิต จิตลงแล้ว เมอ่ื จติ
ลงถงึ ฐีติจิตเพือ่ ท�ำลายของปลอมให้หมด ซงึ่ รู้วา่ ของปลอมยอ่ มไมเ่ ขา้ ถึงฐตี จิ ิต เพราะสะพานเชือ่ มตอ่
ถูกท�ำลายขาดสะบ้ันฉะน้นั แม้ยังตอ้ งท่องเทย่ี วหรอื เกย่ี วข้องกบั อารมณข์ องโลกอยู่ กย็ อ่ มเปน็ ดุจน�้ำ
กลงิ้ บนใบบวั ฉะนน้ั
ผทู้ ท่ี ำ� ลายของปลอมนน้ั ก็ไดแ้ ก่ ขันธ์ท่ที �ำลายของปลอมคือกิเลสนัน้ กไ็ ดแ้ ก่ มลู กรรมฐานท้ัง ๕
ท่ีได้อธิบายมาแล้วน้ัน หรือได้แก่ กายคตาสติ ให้พิจารณากาย กายอันน้ีแลเป็นฐาน เป็นสมรภูมิ
เป็นชัยภูมิท่ีดีเลิศส�ำหรับเป็นฐานท�ำลายกิเลส วิชาอาคมหรือดาบท่ีจะฟาดฟันกิเลสให้ขาดสะบั้นน้ัน
ได้แก่ สติปญั ญา นัน่ มนั เป็นอย่างนั้น ใหม้ สี ติปัญญา นอ้ มเขา้ มาพิจารณากายของตนน้ี กรรมฐาน
ของตนนีจ้ งึ จะก�ำจดั ของปลอม คือ กเิ ลสได”้