The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประวัติท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ประวัติท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ

ประวัติท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ

425

• การพิจารณาอสุภกรรมฐาน

“เทศน์ “อสุภกรรมฐาน” เพ่ืออบรมพวกเรา อสุภกรรมฐานนี่พระพุทธเจ้าสรรเสริญย่ิงนัก
ให้พวกเรานกั บวชเขา้ ไปเพ่ง เพราะเปน็ การปรับราคจรติ ใหเ้ บาบางหรอื หมดไป อสุภะท่ีพระพุทธเจา้
สอนใหพ้ วกนกั บวชเข้าไปเพง่ นน้ั คือ อสุภะทีต่ ายแล้ว เชน่ ท่านแสดงไว้ในอสภุ ะ ๑๐ วา่

๑. อุทธมุ าตกอสภุ
๒. วินลี กอสุภ
๓. วิปุพพกอสภุ
๔. วิจฉทิ ทกอสุภ
๕. วกิ ขายิตกอสภุ
๖. วิกขติ ตกอสภุ
๗. หตวิกขติ ตกอสภุ
๘. โลหิตกอสุภ
๙. ปฬุ วุ กอสุภ
๑๐. อัฏฐกิ อสุภ
เป็นอสุภะ ๑๐ ประการด้วยกัน พระพทุ ธเจ้าท่านใหพ้ วกเรา คือ นักบวชเขา้ ไปเพ่ง เราได้ยิน
ข่าวว่าอสภุ ะ คือ ซากศพซากผีทตี่ ายอยูท่ ไ่ี หน ตายเก่าหรอื ตายใหมก่ ็ตามตอ้ งเสาะแสวงหา เมือ่ เวลา
ก่อนจะไปตอ้ งประชมุ สงฆ์ ร�่ำลาสงฆ์ในวดั หรือมฉิ ะนัน้ ไม่มีสงฆก์ ต็ ้องร�่ำลาผู้ใดผู้หน่งึ ให้ทราบเสยี กอ่ น
จงึ ไปเพง่ อสุภะในภายหลงั เพราะถ้าไมบ่ อกไว้ เราไปเพง่ อสภุ ะในป่าชา้ น้นั บางทมี ีอันตรายเกดิ ขึน้
จะไมม่ ีใครรับรองเปน็ สกั ขพี ยาน
เม่ือเราไปเพ่งอสุภะในป่าช้า ถ้าหากพวกโจรปล้นของชาวบา้ นมา หรือลักของชาวบา้ นมา มาถงึ
ปา่ ช้าแลว้ เห็นวา่ เปน็ ที่คนเกรงกลัว โจรน้ันก็เลยซกุ ซ่อนของไว้ทน่ี ้นั แลว้ เขาก็หนไี ป ทนี ้เี จ้าของทรัพย์
ตามมา มาเห็นทรพั ย์ของเขาอยูท่ ่ปี ่าชา้ อยทู่ ปี่ ่าชา้ กไ็ มม่ ีใคร มีแต่ภกิ ษุผเู้ ดียว เมอ่ื เปน็ เช่นน้ีเขาจะ
สงสัยวา่ เจา้ ภิกษุน้ี ไปลกั เอาทรัพยข์ องเขามาซกุ ซ่อนไว้ จะเปน็ เหตใุ ห้ร�ำคาญ ถ้าเราไมม่ พี ยาน ดังน้นั
ท่านจงึ ใหร้ ่�ำลาเสียกอ่ นจึงให้ไปเพ่งอสภุ ะในภายหลัง
เมื่อเราจะไปเพ่งอสุภะ ในขณะทเ่ี ราเดินทางน้ัน พงึ สงั เกตหนทางที่ไป อยา่ ไปเฉยๆ ให้เพง่
ใหส้ ังเกตตามหนทางที่ไปวา่ ต้นไม้ พุม่ ไม้ ตอ จอมปลวก หนิ ศิลา หรอื ขอนไม้ อยูท่ ีไ่ หน อยูอ่ ยา่ งไร
และทิศไหน ให้สังเกตไว้ เหตทุ ี่ใหส้ ังเกตเช่นนี้ เพราะอาศยั ความตื่นเตน้ ในภายหลงั เมอื่ เราเพ่งอสภุ ะ

426

กลับมาแล้ว จติ ใจจะวปิ ลาสตื่นเตน้ วา่ สงิ่ อนื่ เชน่ เป็นผี เป็นต้น ฉะนัน้ ทา่ นจึงใหพ้ ิจารณาหนทางไป
เสยี กอ่ น เมอื่ ไปถงึ ซากอสภุ ะแลว้ เรากอ็ ยา่ พง่ึ รบี เรง่ เขา้ ไปทเี ดยี ว ใหส้ งั เกตเสยี กอ่ นวา่ ลมมนั มาทศิ ไหน
เราตอ้ งไปอยูท่ างเหนือลม อยา่ อยใู่ ตล้ ม และอย่เู ฉยี งสักหนอ่ ย แลว้ ให้สงั เกตซากอสุภะนน้ั ตายเกา่
หรือตายใหม่ เปน็ ซากอสภุ ะผหู้ ญงิ หรอื ผชู้ าย สังเกตให้แน่

การไปเพง่ อสภุ ะเราอยา่ ใหไ้ กลนัก ใหใ้ กล้นกั ใหพ้ อประมาณ ถ้าไกลนกั ซากอสุภะกไ็ มเ่ ห็นถนดั
ใกลน้ กั ก็ไมเ่ ห็นถนัดเหมือนกัน ใหพ้ อประมาณ แลว้ ใหย้ นื เพ่ง หรอื นั่งเพ่งก็ได้ แลว้ แตค่ วามถนัดใจ
แล้วให้ผูกนำ� จติ ไวท้ อ่ี สุภะ แล้วสังเกตซากอสุภะวา่ ทศิ เบ้ืองบน ทศิ เบื้องลา่ ง ทิศเบื้องบนแต่ปลายผม
ลงมาถงึ สะดือ ทิศเบอื้ งล่างแตส่ ะดอื ลงไปถึงปลายเท้า นีเ่ รยี กวา่ ทศิ เบื้องบน เบอ้ื งล่าง ทศิ เบือ้ งขวาง
สถานกลางกใ็ หพ้ ิจารณา และซากอสุภะนน้ั หันศีรษะไปทางไหน เทา้ ไปทางไหน มือไปทางไหนอยา่ งนี้
ก็ให้พิจารณา

แต่ถา้ เปน็ ซากอสุภะที่ตายใหม่ หรือก�ำลังทจ่ี ะพองขึน้ ก็รชู้ ัดวา่ เปน็ ซากของผหู้ ญงิ ผู้ชาย ถ้าเปน็
ซากของผหู้ ญงิ เจา้ ภิกษไุ ปเพง่ เขา้ ไม่ได้ เป็นวสิ ภาคารมณ์ ให้ราคะก�ำเริบเสบิ สานขึน้ ถา้ เปน็ ซากของ
ผู้ชาย ผหู้ ญงิ ไปเพง่ ก็ไมไ่ ด้ เป็นเหตใุ หร้ าคะกำ� เริบเสบิ สานขึน้ ฉะน้ัน ทา่ นจงึ ห้ามไม่ให้เพ่ง เมอื่ เราไปเพง่
อสภุ ะแล้ว เบือ้ งตน้ ก็ลมื ตา ลมื ตาเพ่ง เมือ่ ลืมตาเพ่งแล้วใหห้ ลบั ตา แล้วเพ่งดว้ ยใจข้างใน เมอื่ เพ่งดว้ ย
ใจข้างในแล้วใหล้ ืมตาเพง่ อกี แลว้ ใหห้ ลับตาเอาใจเพ่ง ตาในกบั ตานอก ตาเนือ้ กับตาในคอื ใจใหต้ รงกนั
ใหเ้ ห็นตรงกนั ถ้าตาเนอื้ คอื ตานอกเห็นอย่างไร ตาในกใ็ หเ้ ห็นอยา่ งน้นั ให้ตรงกนั

เมื่อตาเนื้อกับตาในตรงกันได้อย่างนี้ท่านว่า นั่นแหละท่านว่า ได้ส�ำเร็จอุคคหนิมิต คือ
ซากอสุภะเป็นนิมิตติดใจอยู่ไม่หลงลืม เมื่อได้อุคคหนิมิตแล้วอย่างนี้ พึงรักษาไว้ให้ดี ให้มีสติ
ประคบั ประคองไว้ อยา่ ให้อคุ คหนิมติ นัน้ เสอ่ื มเสยี ไปเลย อคุ คหนมิ ิตนแี่ หละเปน็ มูลเหตุท่จี ะให้บรรลุ
คุณงามความดี

ท่านรักษาไว้ให้ดี ให้เหมือนกับนกต้อยตีวิดรักษาฟองไข่ของมัน หรือให้เหมือนกับคนจน
ที่ไม่เคยมีเพชรมีพลอย เมื่อได้เพชรได้พลอยก็รักษาไว้ให้ดี หรือมิฉะนั้นเหมือนกับหญิงท่ีได้ลูกเอก
ลูกผมู้ บี ุญ ลูกผู้ประเสริฐมาเกิดร่วมอุทร ต้องรักษาครรภ์ไว้ให้ดี เม่ือได้อุคคหนิมิตแล้ว พึงมี
สติประคองรักษาไว้ให้ดี อย่าให้เส่ือมทรามฉิบหายไป ต่อจากนั้นเราก็พึงรีบกลับมาที่อยู่ของตน
แล้วกส็ งั เกตหนทางมาตามลำ� ดบั ๆ เมอื่ มาถงึ ทอ่ี ยขู่ องตนแลว้ จงึ เจรญิ อสภุ นมิ ติ ทต่ี นเหน็ ตดิ ตาตดิ ใจน้ัน
น้อมเข้ามาสู่ที่ใจของเรา ให้อสุภนิมิตอยู่ท่ีใจของเรา แล้วพิจารณาอสุภนิมิตน้ันให้แจ่มแจ้งขึ้นไป
ให้เป็นปฏภิ าคนมิ ติ

อสภุ กรรมฐานท้งั ๑๐ ประการนัน้ ท่พี ระองค์ใหพ้ วกนักบวชไปเพ่งนน้ั คือ
อุทธุมาตกอสุภ คือ ซากผีที่ตายแล้วพองขึ้นโดยล�ำดับ นับจ�ำเดิมแต่วันส้ินชีวิตพองบริบูรณ์
เต็มไปด้วยโรค

427

วินีลกอสุภ คอื ซากศพซากผที ต่ี ายแลว้ มสี ตี า่ งๆ เจือกนั คอื มสี ีแดงบ้าง มีสีขาวบา้ ง มีสเี ขียวบ้าง
ทมี่ สี แี ดงประกอบในท่ีมีเน้อื ท่ีมสี ขี าวประกอบในท่ีมนี �้ำหนองน�้ำเนา่ แตก่ ็ตอ้ งมีสีเขียวโดยมากดจุ คลุม
ไปดว้ ยผ้าอนั เขยี ว

วิปุพพกอสุภ คือ ซากศพซากผีท่ีตายแล้ว มีสรีระน�้ำเหลืองไหลน่าเกลียด มีกลิ่นอันเหม็น
อันเน่าอยูต่ ลอดเวลา

วจิ ฉทิ ทกอสุภ คอื ซากผที ีต่ ายแลว้ มมี ืออยขู่ ้างหน่ึง มีศรี ษะอยู่ขา้ งหนง่ึ
วกิ ขายิตกอสุภ คือ ซากผีทต่ี ายแล้ว เป่อื ยหวะอยู่ มหี มสู่ นุ ัขบา้ นและสุนขั ปา่ ทง้ั หลายกดั ทึ้ง
ยอื้ แยง่ กันกินโดยประการต่างๆ
วิกขติ ตกอสุภ คอื ซากผที ่มี มี อื อยูข่ ้างหน่ึง ศรี ษะอยู่ข้างหนงึ่ เทา้ อยขู่ ้างหนึ่ง ไม่ตดิ ตอ่ กนั ยอ่ ม
กระจดั กระจายกันไป
หตวิกขติ ตกอสุภ คือ ซากผซี ากศพ ทบ่ี คุ คลผมู้ ีเวรได้สบั ฟนั ด้วยเครอ่ื งศาสตราอาวุธให้เปน็ ร้ิว
เปน็ รอยอุกกาบาต
โลหติ กอสภุ คือ ซากศพซากผี ที่มโี ลหติ ไหลเอบิ อาบซาบซึมอยู่ มกี ลิน่ อนั เหมน็ อันเน่าอยู่
ตลอดกาลและเวลา
ปุฬวุ กอสภุ คอื ซากศพซากผีท่ีมหี มูก่ มิ ชิ าติ คอื หมหู่ นอนทง้ั หลายคลานเวยี นบ่อนเจาะอยู่
ตามซากอสุภะน้นั ๆ มเี จาะกนิ ตาเนา่ เจาะกนิ หูเนา่ เจาะกินจมูกเนา่ เจาะกินปากกินล้นิ เน่า เจาะกนิ
กายเนา่ เจาะกินแข้งขาอวัยวะทุกสว่ นเนา่ เจาะกินทวารหนกั เนา่ เจาะกินทวารเบาเนา่ เจาะกินหมด
เจาะกินทวารเบาผู้ชาย เจาะกนิ ห�ำกนิ โคยของผชู้ ายเนา่ ทวารเบาของผ้หู ญิง เจาะกินหี เจาะกินแตด
เน่า ทวารหนัก คือ ฮขู ้ี เจาะกินน่นั เจาะกินผมเน่า เจาะกนิ ขนเน่า เจาะกินเล็บเนา่ เจาะกินฟนั เนา่
เจาะกนิ หนังเนา่ เจาะกินเน้อื เน่า เจาะกนิ เอน็ เนา่ เจาะกินกระดูกเน่า เจาะกนิ เย่ือในกระดกู เน่า
เจาะกินม้ามเนา่ เจาะกนิ หัวใจเน่า เจาะกนิ ตับเน่า เจาะกินพงั ผดื เนา่ เจาะกนิ ไตเนา่ เจาะกนิ ปอดเน่า
เจาะกนิ ไส้ใหญ่เนา่ เจาะกนิ ไสน้ อ้ ยเนา่ เจาะกินอาหารใหม่เนา่ เจาะกนิ อาหารเกา่ เน่า เจาะกนิ เยือ่
ในสมองศรี ษะเนา่ เจาะกนิ น�้ำดเี นา่ เจาะกนิ น้�ำเสลดเน่า เจาะกนิ น�้ำเหลอื งเนา่ เจาะกนิ นำ้� เลอื ดเน่า
เจาะกนิ นำ้� เหงอื่ เนา่ เจาะกนิ นำ�้ มนั ขน้ เนา่ เจาะกนิ นำ�้ ตาเนา่ เจาะกนิ นำ้� มนั เหลวเนา่ เจาะกนิ นำ้� ลายเนา่
เจาะกนิ น้�ำมกู เน่า เจาะกินน�้ำมนั ไขขอ้ เนา่ เจาะกนิ น�้ำมูตร คอื นำ้� เยย่ี วเนา่ เจาะกนิ หนา้ เน่า เจาะกิน
นมเน่า เจาะกนิ หมด หนอนเจาะกนิ หมดนี้ ปฬุ วุ กอสุภ คือ ซากศพซากผีที่มีกิมชิ าติ คอื หมูห่ นอน
ทง้ั หลายเป็นบอ่ น (ท)ี่ เจาะกินอยู่ตามซากอสภุ ะนน้ั ๆ
อัฏฐิกอสุภ คือ ซากศพซากผีที่มีแต่ร่างกระดูกหรือท่อนกระดูก ดังที่เขาแขวนไว้ดังต้นเสา
ศาลานี้ เป็นต้น

428

เพราะหนอนทัง้ หลายไปเจาะกนิ หมดแล้ว เนอื้ หนัง เอน็ ยงั แต่ท่อนกระดูก และท่อนกระดูก
ทง้ั หลายนนั้ เม่อื ไม่มีหนัง ไม่มเี นื้อ ไมม่ เี อ็นรัดรึงไว้ มนั กก็ ระจัดกระจายกนั ไป คือ กระดกู มอื ไปอยู่
ทางอ่นื กระดกู เทา้ ไปอยู่ทางอื่น กระดกู แขง้ ไปอย่ทู างอ่นื กระดูกขาไปอย่ทู างอ่ืน กระดูกซีเ่ อวก็อยู่
ทางอื่น กระดูกซีโ่ ครงก็อยทู่ างอืน่ กระดกู อกก็อยู่ทางอื่น กระดกู แขนไปอยูท่ างอ่นื กระดกู ไหลไ่ ปอยู่
ทางอนื่ กระดกู คอไปอยูท่ างอื่น กระดกู คางไปอยทู่ างอื่น กระดกู ฟนั ไปอยู่ทางอนื่ กระดูกกะโหลก
ศีรษะ คอื กระดกู หวั อยูท่ างอนื่ และกระดกู ทง้ั หลายเหล่าน้นั มีสขี าว เปรยี บดว้ ยสังข์ เป็นของพไิ ร
มอี ยใู่ นบรเิ วณภายนอก แลว้ กม็ กี ารเกนิ ปหี นง่ึ ไปบา้ ง สองปสี ามปไี ปบา้ ง แลว้ กระดกู ทง้ั หลายเหลา่ นนั้
นานไปมันก็ผุละเอียดลงสู่สภาพเดิม คือ ดินล้วนๆ ไม่มีอะไรเป็นนิมิตเคร่ืองหมายว่า เป็นสัตว์
เปน็ บุคคล เปน็ ตัวตนเราเขา แม้แต่นิดหน่อยนอ้ ยหน่งึ นดิ ไมม่ ี

มอี สภุ ะท้งั ๑๐ ประการ ท่านใหไ้ ปเพง่ เมอื่ เพง่ แล้วใหน้ ้อมเขา้ มาทก่ี ายของเรา ให้นอ้ มเอา
อสภุ ะภายนอกเข้ามาสู่อสภุ ะภายใน คือ กายของเราให้ได้ แล้วเพง่ พิจารณากายของเราให้เหมือน
กับอสุภะภายนอก เพ่งอสุภะภายนอกน้อมเข้ามาสู่อสุภะภายใน คือ กายของเราให้เหมือนกับ
อสุภะภายนอก เพ่งอสุภะภายใน คือ กายของเราให้เห็นเป็นเหมือนกับอสุภะภายนอก ดังนั้น
ไม่ให้ผดิ แปลกแตกต่างกันเลย น่ที า่ นให้เพง่ อย่างน้ี”

429

ภาค ๑๗ นิทานธรรม

ท่านเมตตาเล่านิทานยอดธรรมให้พ่อซ่นเพ่ือให้พระเณรฟังทีหลัง

ท่านพระอาจารยพ์ วน ชุตินธฺ โร ไดเ้ มตตาเล่าเร่อื งนี้ไว้ดงั น้ี
“มีอบุ าสกคนหน่งึ ทา่ นก็เรียกว่าพอ่ ซ่น เป็นค�ำภาษาอีสาน ซ่นๆๆๆ เป็นช่ือเล่น ชอื่ จริงชื่ออะไร
ไมร่ ู้ เราลืมชื่อทา่ นล่ะ คนท่ีบา้ นนาค�ำแคน เปน็ โยมอยทู่ ่ีหมู่บ้านน่นั แหละ ท่านก็ขนึ้ ไปวดั ตอนเช้าก็มา
ท�ำบุญ เสรจ็ ก็ขน้ึ ไปกบั หลวงป่จู วนทกุ วนั พอ่ ซ่นขนึ้ ไปดแู ล ไปเกบ็ ท�ำความสะอาดท่ีช้ัน ๕ ตอนเยน็
ก็ลงมากลับบ้าน เขามาดูแลอุปัฏฐากทุกวัน หลวงปู่จวนท่านก็เล่าไป พ่อซ่นคนน้ีก็ถาม ท่านก็ตอบ
ตอนน้ันยังไม่มีใครฟังหรอก มีพ่อซ่นคนเดียว แล้วก็อัดเทปไว้ด้วย แล้วมาเปิดให้พระเณรฟังทีหลัง
ตอนทา่ นเล่านทิ านให้พ่อซ่นฟงั มีอวยั วะเพศออกมาเปน็ ยอดธรรม ทา่ นก็พูดความจรงิ เทศน์ใหพ้ ระฟัง
กม็ ีอวยั วะเพศออกมา คล้ายๆ หลวงป่ตู อื้ เทศนย์ อดธรรม”

นิทานเรื่องภิกษุเสพเมถุนกับลิงป่า

จะพูดนทิ านเรอ่ื งหน่งึ ใหฟ้ ังนะ เออ้ ! คือวา่ นิทานเร่ืองหนึ่ง ภิกษอุ งค์หนง่ึ ไปบำ� เพญ็ ภาวนาอยู่
ในป่าองค์เดยี ว ไปผู้เดียว บำ� เพ็ญอยู่นั่นล่ะ พอบ�ำเพ็ญไปบ�ำเพญ็ มาหลายวนั มลี ิงปา่ ลิงปา่ มนั มาก
พวกลิง ทนี ภ้ี กิ ษอุ งค์นน้ั ไปเห็นลงิ เสพกนั เอ้อ ! เห็นลิงเสพกัน เหน็ ไปทุกวนั ๆ กเ็ ลยมคี วามกำ� หนัดใน
ลงิ เสพกนั ต่อมากเ็ ลยคดิ ได้ คิดอยากเสพกับลิง ควยมนั แข็งขึน้ นะ ซน่ (พอ่ ซ่น : ครับ)

ทีนไี้ ปบณิ ฑบาตมา เอากลว้ ยเอาขา้ วลอ่ ลิงแม่ (ลงิ ตัวเมีย) ลอ่ ให้มนั เข้ามากนิ ลอ่ เขา้ ไปทุกวันๆ
มนั ก็คุน้ เคยเขา้ คุน้ เคยเข้า เลยจับมนั ได้ จบั ไดก้ ล็ บู น่นั ลูบน่ี เอาไปเอามาก็เลยเสพมันได้ เสพลิง นนั่ ละ่
ทีนเ้ี ขา้ ไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านเลยโบกมือ “ภกิ ษอุ ลชั ชี อันธพาล อย่ามาสู่สำ� นักเรา
ทา่ นเสพเมถุน” วา่ ง้ัน ทา่ นกเ็ ลยบญั ญัติ “ภิกษุเสพเมถุนธรรม จะเสพมนษุ ยห์ รอื สตั ว์ หรอื อวยั วะ
ส่วนใดสว่ นหนึ่งก็ตาม ถา้ มีไถยจติ คิดจะเสพแล้ว เป็นอาบัตปิ าราชิก ขาดจากภกิ ษุ เป็นผู้พา่ ยแพ้
ยบั เยินยอ่ ยยบั จากมรรค จากผล จากนพิ พาน” วา่ ง้ัน

“เป็นผู้ตดั อปุ นิสยั เจ้าของ” วา่ ง้ัน “ห้ามสวรรค์ หา้ มนพิ พาน” วา่ งัน้ วบิ ากอันนีต้ อ้ งไปตกนรก
ไปเปน็ เปรต วา่ ง้ัน นลี่ ่ะ ถ้าผู้ปฏบิ ตั ทิ ั้งหลาย ไมว่ ่าอย่ทู ไ่ี หน ถ้าตัวเองไมร่ กั ษาตวั ไม่สำ� รวมตัว มัน
เปน็ โทษหมด อยู่ในป่าในเขากต็ าม อย่ใู นถ้�ำในภูก็ตาม อยูใ่ นบ้านในเมืองก็ตาม ถา้ ไม่รกั ษาตวั ละ่
ไม่มกี ารส�ำรวมตวั ไม่ภาวนาเพือ่ ทรมานตนใหพ้ น้ ไปจากทกุ ข์ มนั ตอ้ งเป็นอยา่ งน้แี หละ

430

นิทานเร่ืองภิกษุอวดอุตริ

อีกนิทานเร่อื งหนึ่ง ภกิ ษุองค์นเ้ี ขา้ ไปอยูใ่ นป่าเหมอื นกัน อยใู่ นถ�้ำ ทีนี้กอ็ ยนู่ ั่น อย่นู านปี นานวนั
นานปีไป กิตตศิ ัพท์ชอ่ื เสยี งอันนีก้ เ็ ล่อื งลือข้ึนไป โด่งดงั ข้ึนไป วา่ พระคุณเจ้าองค์นี้เป็นผู้ท่ีวเิ ศษอยู่ป่า
อยถู่ ำ�้ อยูเ่ ขา พวกชาวบา้ นเขาก็เกิดศรทั ธาเลอ่ื มใส เอ้อ ! ภิกษอุ งคน์ ี้กอ็ วดตนว่าตนเก่ง ตนมฤี ทธม์ิ ีเดช
เหาะเหินเดนิ อากาศได้ เอาซะแล้วทนี ้ี เห็นเขายกย่องสรรเสริญนะ เออ้ !

ทนี ้วี นั หนงึ่ พวกทายกทายกิ าเขามามนต์ (นมิ นต์) เขาไปมนต์ มนต์ไปรับไทยทาน ใหไ้ ปพร้อม
เขา ภกิ ษุองคน์ ้ันก็เลยทำ� ท่าอบุ าย “เออ้ ! อุบาสกไปก่อน อาตมาไปทีหลัง ไมย่ าก” ทางมันคดมนั เลี้ยว
เหมือนกับแขนศอก ทีนท้ี างตรงน้ันไมม่ ี มีรากไทรรากหนง่ึ ออกจากถ้�ำ แล้วมนั ตรงลงไปหนทาง เออ้ !
รากเป็นรากไทร เป็นอย่างนั้น พวกโยมก็ไม่ได้สังเกต ทีนี้โยมก็เลยไป โยมน้ันเดินทางคด ทางโค้ง
กว่าจะมาถงึ รากไทรหยอ่ นลงน้นั จึงกนิ เวลานาน

ทีนภ้ี กิ ษอุ งค์นน้ั พอโยมไปพอประมาณแล้ว ภกิ ษอุ งคน์ นั้ กข็ น้ึ รากไทรนนั้ แหละ กเ็ ลยไปลง
รากไทร ไปรออยโู่ นน่ ทนี โ้ี ยมไปกไ็ ปเห็นภิกษุรอท่าอยูน่ ้นั “เอะ๊ !” วา่ งนั้ “พระคุณเจ้าน้มี าทางไหน ?
พวกผมมากอ่ นทำ� ไมถึงทหี ลัง พระคุณเจ้าองคน์ แี้ ปลกแลว้ ” “สมณะนีไ้ ปทางไหนกไ็ ด้ ไมย่ าก” ทา่ นวา่
นะ เออ้ ! “โธ้ ! พระคณุ เจา้ องคน์ ้ีเกง่ มาก” เขาก็ยงิ่ สรรเสรญิ ยิ่งเลอ่ื มใสขึน้ เขาก็ทำ� เขาก็เล่อื มใส
ขน้ึ ไปก็นิมนต์เรอ่ื ยๆ ก็ท�ำแบบน้เี รื่อยๆ ไป

ทีนี้มอี ุบาสกคนหนงึ่ มาสงั เกต “บะ๊ ! พระภกิ ษุองค์น้ีเห็นทีจะโกหก” เลยสงั เกตดู ไป ไปมอง
ดูลับๆ แต่ง (แบง่ ) เพื่อนกันไปมนต์ (นิมนต)์ แล้ว คนนัน้ ไมไ่ ป มองดูอยนู่ ั่นแหละ ลบั ๆ ทีนที้ ีหลงั เหน็
เหน็ ทจุ รติ ภิกขนุ น้ั ขึ้นตามรากไทร ลงตามรากไทร “เออ้ ! ทีนี้” วา่ งนั้ ทนี ้ี ทหี ลังกม็ นต์อกี โยมคนนนั้
แหละเลยไปตดั รากไทรไว้ ซ่น ตดั รากไทรไว้ เอ้อ ! ตดั รากไทรไว้ เอาเชือกนอ้ ยๆ ผุๆ นั่นล่ะตอ่ ไว้ เอ้อ !
แลว้ กม็ คี นดกั อยู่นนั่ อีก แล้วก็แตง่ กันไปมนตพ์ ระ พอดีมนตก์ ็ “ไป ไปกอ่ นโยม อาตมาจะไปทหี ลัง”
ว่านะ (พ่อซน่ : ตามเคยว่าง้ันเถอะ)

ไป เขากไ็ ปกอ่ น แล้วพวกทีด่ ักอยู่นั้นกม็ ี เขากไ็ ปรออยทู่ น่ี ่นั อีก พอดีพระองค์นี้ก็ขน้ึ ไปรากไทร
ขน้ึ ไปๆๆ ตอนลงทีนี้ แลว้ เขาตดั รากไทร เขากก็ ลบใหด้ ีนะ เออ้ ! ไอ้ภิกขโุ กหกน้นั มนั ไม่สังเกต เพราะ
บาปกินหัวมนั (พอ่ ซน่ : บาปมาถึงแลว้ นะทนี )้ี

พอดกี ็ลงมาๆ พ้นรากไทรตรงนั้น กต็ รงท่ีเขาตดั ตอ่ ก็ลงมา มาขาดเลย ขาดก็ฟาดลง เฮิ่ม ! เลย
โอ๋ย ! จนรากเลือดวา่ ง้นั เถอะ ใส่ก้อนหนิ เขาก็เฮใหญ่เลย “นภ่ี กิ ษุโกหก” เขาว่า เขาจบั ได้ ชีห้ นา้
พร้อมวา่ “ทา่ น ท�ำแบบนม้ี นั โกหก สมณะอะไรน”ี่

นี่ล่ะ ไปอย่ปู า่ อยูเ่ ขา อวดดบิ อวดดแี บบน้ี เออ้ ! มันเป็นอยา่ งนนั้ เป็นโทษอยา่ งนี้ล่ะ

431

นิทานเรื่องภิกษุแกล้งเป็นผู้มักน้อย

อีกองค์หนึ่งอกี เหมือนกนั ไปอย่ปู ่าเหมือนกนั ภกิ ษอุ ย่ปู า่ ท�ำท่าเป็นผมู้ กั นอ้ ยสนั โดษ กิตติศัพท์
อันน้กี ็เล่อื งลือไป โยมเขากเ็ ลยเกิดความเลอื่ มใส ปวารณาปจั จยั ๔ เออ้ ! แด่พระคณุ เจ้า “พระคณุ เจา้
ต้องการปจั จัย ๔ อย่างไร ขอร้องเรียกกับโยมได้ทกุ เวลา”

“เฮ้ย ! สมณะตอ้ งการอะไรกบั ปัจจยั นะ สมณะมกั นอ้ ยสนั โดษ ไม่เอาอะไรละ่ ” ว่าน้นั
เอ้อ ! ทีน้ีเขาก็เลยขนของมา มาน้อยไม่เอา สมณะมักน้อย ทีน้ีเขาหากย่ิงมาอีกมามาก
เอาไทยทานมาบูชาหลาย (มาก) เขาว่าเปน็ ผูม้ ักนอ้ ยสันโดษ พอได้เยอะๆ แลว้ จา้ งเกวียนชาวบ้าน
ลากไปเลย ไปขาย (พ่อซน่ : พระองค์น้นั น่ะ ?)
เอ้อ ! เอาทเี ดยี วเลย ไปขายเลย ขายแลว้ กไ็ ดเ้ งิน สกึ ... เออ้ ! สกึ ได้เงินมาก สึกแล้วทนี ้ี เลยไป
เอาลูกเอาเมีย ไปได้แม่มา่ ย แมม่ า่ ยฮี๋โรค (โรคเกีย่ วกับอวัยวะเพศหญงิ ) ไปส้ี (หลบั นอน) แม่มา่ ย
โคย (อวัยวะเพศชาย) ก็เปน็ โรค ขาดนำ� กนั เลย (อวยั วะเพศขาดดว้ ยกันเลย) ฮ๋กี ้กื วกื (ขาด)
(พอ่ ซ่น : โอ๊ย ! เปน็ หลายอย่างเนาะ)
โคยก็ขาดเลยว่างนั้ เถอะ อย่างน้ันละ่ โทษ
(พอ่ ซน่ : โอ๊ ! ของอย่างนี้มนั ถ้าสร้างไมด่ ี มนั เป็นโทษเนาะครบั )
เปน็ โทษ ไปไดแ้ ม่มา่ ย แม่มา่ ยฮ๋ีโรค ฮก๋ี ืก้ วกื เลย บม่ เี ลย ใส่ลงไป โคยกเ็ ป็นโรค โคยกข็ าด
เหมอื นกัน กิน... เขา้ กนิ ถึงหำ� (อวัยวะเพศชาย) น่นู ละ่ เดย๋ี วน้ีไมม่ ีอะไร มแี ต่รเู ย่ียวเทา่ น้ัน เป็น
อย่างนั้นล่ะ ซ่น นทิ าน
นี่ล่ะ ไปอยไู่ หนกเ็ หมือนกนั ละ่ ถ้าไม่ส�ำรวม ว่างน้ั เถอะ เป็นอย่างนี้หมด เปน็ โทษหมด

นิทานเรื่องหลวงตาดากโกน

อีกนทิ านเรือ่ งหนึง่ ซน่ อันนเ้ี ปน็ หลวงตา หลวงตานีล้ ะครอบครัวออกบวช แต่ก่อนกเ็ ป็น
อุบาสก เปน็ โยม ไดย้ ินวา่ พระมหาเถระองคน์ ้นั ทา่ นเปน็ ผู้มีคณุ สมบัติอนั ดี ลาภรวยมาก คนเล่ือมใส
ว่างั้น พระเถระองค์น้นั ทา่ นอยู่ปา่ คนเลอ่ื มใสทา่ น คนยกย่องนับถอื ท่านว่าเป็นพระอรหนั ต์ เขาเอา
เครอื่ งสกั การบชู าไปถวายหลาย เหน็ ทา่ นมลี าภแลว้ เลยบวช อยากไดล้ าภเหมอื นทา่ น เออ้ ! พอ่ ออกผนู้ น้ั
กเ็ ลยบวช บวชเขากเ็ รียกว่าเป็นหลวงตา พอบวชได้ ๗ วันล่ะ “บ๊ะ !” วา่ งั้น “พระเถระองค์นั้นคือมคี น
นบั ถือมากจงั ลาภสกั การะทา่ นมากจัง” วา่ งน้ั สบื สาวเรอื่ งราว “โอ๋ ! ท่านอยู่ป่า เราไปอย่ปู า่ ก่อนน้า”

หลวงตาก็เลยเขา้ ไปอย่ปู ่าผเู้ ดยี วบ�ำเพ็ญอยู่ ใหค้ นนับถือตวั ให้คนยกยอ่ งวา่ ตัวเปน็ พระอรหนั ต์
ไปแล้วนน่ั หลวงตาน้นั ไปอยู่ป่า อยูอ่ งค์เดียว เอ้อ ! การไปอยูป่ า่ นั้น แสดงใจกล้าหาญแท้นะ ทำ� ท่าถาม

432

ญาตโิ ยม “ป่าทใี่ ดมันสัตวป์ ่าเยอะๆ ทผี่ เี ก่งๆ ?” โยมก็บอก “ที่น่แี ลว้ ใครไปอยู่กไ็ ม่ได้” ว่างั้น “ผีมัน
ดุมาก ปา่ ที่นนั่ มนั รกนะ”

หลวงตาก็ไป ไปแลว้ กใ็ หโ้ ยมท�ำยกร้าน ยกอะไรให้ ยกแคร่ยกรา้ นน่ะ พอได้นอนเก็บบริขาร
แกกอ็ ยูน่ นั่ แหละหลวงตา “โยมไปเสยี อาตมาไมเ่ ปน็ ไรดอก ไมก่ ลัวดอก มาเลยผนี ่ี สตั วน์ ี่มาเลย”
ไปเลย หลวงตาไป พอหลวงตาไปบ�ำเพญ็ อย่นู ัน่ หลายวันล่ะ บ�ำเพ็ญอยเู่ ป็นเดอื นนะ ไมใ่ ชน่ ้อยๆ นะ
ทีน้ีอยู่มากิตติศัพท์หลวงตาก็ดังขึ้นมา ว่าหลวงตานี้เป็นผู้มักน้อยสันโดษ อยู่ป่า เห็นจะเป็นผู้วิเศษ
ไดบ้ รรลธุ รรม ชาวบา้ นเขากม็ า มานำ� ปจั จยั นำ� มาถวาย หลวงตากท็ ำ� ทา่ สงบเสงย่ี ม แสดงตนสงบเสงย่ี ม
เขาก็เกิดความเล่ือมใสทีน้ี ชาวบ้านกเ็ พมิ่ ปริมาณขน้ึ เรือ่ ยๆ

อยมู่ าวนั หนง่ึ นี่ละ่ สมยั นนั้ โคแก่ คือ วัวแกน่ น้ั เขาไมใ่ ช้งาน เขาปลอ่ ยท้ิงให้อยู่ตามลำ� พงั
เหมอื นกบั คนทวี่ า่ มันคนแกน่ ้นั เขาไม่ใชง้ าน เขาปลดเกษยี ณอยา่ งนี้แหละ ส�ำหรบั สตั ว์ท่ีแก่ๆ เป็นพวก
โคพวกกระบืออย่างน้ี แกๆ่ แล้วเขาไมใ่ ช้งาน เขาปล่อย ทนี ้ีโคแก่กห็ ากินตามลำ� พัง พอคำ�่ เข้ามากเ็ ลย
แวะเข้าไปพักทปี่ า่ กับหลวงตาอยู่ เวลาคำ่� มดื นะ (พอ่ ซ่น : โคตัวนน้ั ) โคตวั นน้ั โคเฒ่าตัวนั้น โคแก่ตัวนน้ั

หลวงตาไมร่ ้ทู ีนี้ กลางคนื นะ คนื เดือนมืด โคนั้นถงึ เวลามนั เคย้ี วเอ้ืองกว็ ่า มันเคยี้ วหญ้านะ
ควาก... ควาก... เสียงมนั ก็ร้องทางคอมนั อือ... ออื ... หลวงตาเขา้ ใจว่าผี ผใี นป่ามา “เอ๊ ! ผีอะไร ผมี ัน
คราง มนั รอ้ งได้อยา่ งนี้ อือ...” ผี ! กลัวแล้วหลวงตา (พ่อซ่น : กลัวผแี ลว้ ) กลวั ผแี ล้ว กเ็ ลยภาวนา ยังไงๆ
โคตัวน้ันกอ็ ือ... หนึง่ มดุ ปา่ ควาก... ควาก... “โอ๊ย ! ผูข้ ้า (ข้าพเจ้า) น้ี หยุดๆ อย่ามาท�ำข้าพเจา้ เลย”
หลวงตาว่า เขา้ ใจวา่ “เปน็ ผี หรอื เป็นเทวดา หรือเปน็ พระอินทรเ์ หรอ มาทดลองเรา ? อยา่ ทำ� ผู้ข้าเลย
ผ้ขู า้ ไมใ่ ชพ่ ระอรหันต์ดอก ผ้ขู ้ามาอยู่เฉยๆ ผู้ขา้ โกหกชาวบ้านว่าเป็นผู้วิเศษอย่างงนั้ อยา่ งงี้ ท�ำทา่ เฉยๆ
ขา้ จะเข็ดจะหลาบแล้ว” ว่าง้ัน

โคนนั้ ก็ อือ... เคีย้ วเออ้ื งอยู่น่นั ละ่ หลวงตากไ็ หวว้ อน ไหว้วอนถงึ พระอนิ ทร์ ขออ่อนขอยอม
ไม่แสดงตนทจุ รติ แบบนีอ้ ีก ว่าง้ัน อวดตวั นะ แสดงตนวา่ ตนเปน็ ผูเ้ ก่ง ไม่กลัว เราเปน็ ผ้หู มดความกลัว
แลว้ เรือ่ งผี เรอ่ื งสตั ว์ วา่ งัน้ แสดงตนว่าเปน็ พระอรหันตน์ ู่นละ่ ทีนไ้ี อ้โคแก่มาทดลอง ฮว่ ย ! หลวงตานี่
ไม่มีทีอ่ ยูเ่ ลย วา่ งน้ั เถอะ ทงั้ คนื เลย ตลอดคนื ไหว้วอนอยนู่ ่นั ละ่

ทีนี้พอถึงเวลาเช้ามา “เอ๊ ! อะไรน่ีมันอยู่ที่นี่ ?” หลวงตาเลยไปดู “ไม่ให้กูได้หลับได้นอน
ตลอดคนื กไู หวว้ อนกไ็ มห่ ยดุ ไมย่ งั้ ” ว่างน้ั ไป... ไปเหน็ โค เหน็ โคแก่ “โฮ้ ! มงึ มึง ไอน้ ่เี องเหรอ” ว่า
ซ่นั “มึงมาหลอกลวงกู หา ! มาทรมานกู ไมใ่ ห้กูหลับกูนอน” ไล่ คอ้ นไลต่ ี ไล่ตโี คแก่ “เก่งจังเลยไอน้ ”่ี
ว่างั้น ไล่ตี โคก็ว่ิงตามทางกลับเข้าบ้าน เป็นอย่างนั้น หลวงตาก็ไล่โคนั่นแล้ว โคก็ว่ิงไปตามทาง
เข้าบ้าน หลวงตากไ็ ล่ตโี คไป ว่ามงึ มาทรมานกแู บบน้ี อยา่ งนนั้ อยา่ งนว้ี า่ ไปแล้ว โกรธใหโ้ ค

ทีน้ีอบุ าสกกำ� ลงั จะมาจงั หัน มาจังหนั หลวงตา พอดเี จอะหลวงตาไลโ่ คอยู่ “หลวงตาท�ำไมมาไล่
ตโี ค ?” อุบาสกว่า “โคนโ้ี คแก่ ไล่ตมี ันทำ� ไม ? อย่าไปไล่มนั ครับ สงสารมนั ไม่เป็นไรดอก อยา่ ไปไล่

433

ตมี นั ” “หา ! โยมจะมาชว่ ยโคเหรอ เข้าข้างโคเหรอ” กไ็ ลต่ ีโยมอกี “โคนม้ี ันทรมานอาตมาน่ี อาตมา
ไมไ่ ดน้ อนตลอดคนื เนย่ี โยมมนั เขา้ ขา้ งโคนี่ หา !” ไลต่ โี ยมอกี ฟาดไลโ่ ยมเลย ตเี ลย เออ้ ! โยมกห็ นเี ขา้
ในบา้ น หลวงตาก็ไล่เข้าตี ท้งั โคทงั้ คนนะเด๋ยี วน้ี ว่าเขา้ ขา้ งโค

อย่างนี้ละ่ ซน่ ต่อแตน่ นั้ มาช่ือเสยี งหลวงตากเ็ ลยหายเลย ซ่น (พอ่ ซ่น : ไม่มีเลย) ไม่มเี ลย เอ๊ !
คนนี้เปน็ ไปหมดนะก็ยงั วา่ ใช่ไหม ? คนกค็ นดากโกนเนาะ คนดากโกน (คนกน้ โพรง ความหมาย
เหมอื นกบั คำ� สภุ าษติ ขา้ งนอกสุกใส ขา้ งในเปน็ โพรง) โอ๊ ! นล่ี ่ะนิทาน มนั เปน็ อยา่ งนีล้ ่ะ ซ่น

นิทานเร่ืองผัวเมียอุตตมะ กับ ผัวเมียหีนะ*

อีกนทิ านเรอ่ื งหน่ึง ซน่ นทิ านเรือ่ งนน้ี ิทานเรอ่ื ง เขาไปหาทรพั ยใ์ นดินสินในนำ้� มา มีผวั เมียคูห่ นงึ่
ผวั เมยี คนู่ ั้นเป็นคนอุตตมะ ถกู ตอ้ งลอ่ งคอกัน เคารพย�ำเกรงกัน ไมท่ ะเลาะเบาะแว้ง ไมผ่ ดิ กนั ก็เลย
ไหวว้ อนถึงเทวดา กลางคนื มาว่า “ผขู้ ้าน้ีทกุ ขย์ ากมาก ขอเทวดามาบอกหนอ่ ย ในความฝัน” ว่าง้นั
“บอกขุมทรพั ยห์ นอ่ ย” วา่ ง้ัน พอไหว้วอนจุดธูปจดุ เทยี นแล้วก็ทงั้ ผัวทัง้ เมยี กลางคนื มากเ็ ทวดามา
มาบอกในความฝนั ผวั เมยี คู่นี้ ซ่น “โย่ว ! ถ้าพวกเจา้ อยากร�่ำอยากรวย อยากได้เปน็ เศรษฐี มหาเศรษฐี
ไม่ยากดอก” วา่ งั้น “พรงุ่ น้ีน้นั พรงุ่ น้ลี ่ะ เชา้ ให้พากันไปในปา่ ในต้นไทรใหญต่ น้ น้นั นะ” ว่างนั้ เทวดา
อยู่น่ันล่ะ (พอ่ ซ่น : เทวดาอยู่ต้นไทร ?)

ออื ไปแลว้ กไ็ ปไหวว้ อนอยนู่ น่ั ละ่ “ผขู้ า้ ขอทรพั ยส์ มบตั ”ิ จดุ ธปู จดุ เทยี นบชู าเทวดานนั้ “แลว้ ทา่ น
จะให้โชคให้ลาภดอก” ว่างน้ั ผัวเมยี ค่นู ี้กพ็ ากันไป ตนื่ เชา้ ก็พากันไป ไปกไ็ ปไหวไ้ ปวอนจดุ ธปู จดุ เทียน
ขึน้ เทวดาอยูน่ ั่นกเ็ ลย... อยู่ต้นไทรก็เลยถาม แตไ่ มใ่ หเ้ หน็ ตัวนะ “พวกเจา้ อยากไดอ้ ะไร ?” ว่างนั้
“โอ๊ย ! ผขู้ ้าอยากไดเ้ งนิ อยากได้คำ� (ทองคำ� ) แลว้ ” วา่ งนั้ “อยากได้มากแค่ไหน ?” ว่างนั้ “เอาแต่
จะโปรดแลว้ ขา้ นอ้ ย” วา่ งน้ั “เอาแตพ่ ระผเู้ ปน็ เจ้าจะโปรดผู้ข้าแล้ว” ว่างัน้ “เอ้อ ! ถา้ อย่างงั้นไมย่ าก
ข้าจะเอาไปใหใ้ นคืนน้ี พากนั กลับไปเสยี ” วา่ ง้ัน เลยพากนั กลับ (พ่อซ่น : กลับมาบ้าน) กลับมาบา้ น

ครั้นกลับมาแลว้ ก็ พอจะนอน กพ็ ากนั จดุ ธปู จุดเทยี นไหว้วอนเทวดาเหมือนเดมิ บูชาเทวดาไว้
เทวดาตามมาดู “โอ๊ ! ผัวเมียคู่น้ดี เี วย้ สมควรจะมที รพั ย์สมบตั ิได้” ก็เลยเอาไหคำ� (ทองคำ� ) ไหหนง่ึ
ไหเงินไหหน่ึง มาส่งให้ ตั้งไว้กลางเรือน สูงเสมอหัวพอดี ซ่น ยืนอยู่พอดีกับเสมอตัวของผัวเมีย
ไหขนาดใหญ่นะ ตุ่ม ตุ่มใหญ่เลย ตุ่มหนึ่งเต็มไปด้วยเงิน ตุ่มหนึ่งเต็มไปด้วยค�ำ เลื่อม (เงา) อยู่
พาบๆๆๆ อยู่ เทวดากห็ นี

* อุตตมะ แปลวา่ สูงสดุ ยงิ่ เลศิ  มากมาย บรบิ ูรณ์ หีนะ แปลว่า เลว ทราม ต่�ำช้า

434

พวกนต้ี ื่นเชา้ มา มาเห็นไห ไหต่มุ ขนาดใหญ่ ๒ ตมุ่ “โฮ้ !” วา่ งน้ั “เทวดาเอาไหเงิน ไหค�ำ มาให้
เราแลว้ ” ว่างัน้ ไปเปิดดู มแี ตไ่ หเงนิ ไหหน่งึ เปิดไหหนึ่งมแี ต่ไหคำ� พากันบชู าเทวดา ยกย่องสรรเสรญิ
ไหวว้ อนเทวดาแล้วพากันร�่ำกนั รวย เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี ผวั เมยี คู่นั้นขึ้นคราวหน่งึ คราวเดียวเลย
เป็นอยา่ งน้นั

คราวนผ้ี วั เมยี คทู่ ี่ ๒ นเ้ี ปน็ สหายกนั เปน็ สหายกนั กบั ผวั เมยี คทู่ ่ี ๑ ไดย้ นิ ขา่ ววา่ สหายของตนเปน็
ผ้มู ่ังค่งั สมบรู ณแ์ ลว้ ไปเย่ียม ไปเย่ียมทางน้นั ก็มีบา้ นมเี รือน มีหอปราสาทราชมณเฑียรข้ึนล่ะนะ เออ้ !
เลยถาม ถามสหายผูน้ ้ัน “ทำ� อย่างไรเพื่อนถึงได้ร่�ำรวยเรว็ แท้ ?” วา่ งนั้ “คือลาภรวยเรว็ แท”้ สหายก็
เลยบอก “ทำ� อยา่ งน้นั ๆ” ผวั เมยี คูท่ ่ี ๒ กเ็ ลยอยากได้ แต่ผัวเมียหนี ะนะ พวกนีไ้ ม่ถกู ตอ้ งลอ่ งคอกนั
พดู อะไร ผวั พูดไวอ้ ย่างหนึ่ง เมยี พูดไว้อยา่ งหน่งึ ทะเลาะเบาะแวง้ กันอยอู่ ย่างนั้น ตื่นขึ้นมากม็ ีแต่
เถียงกนั (พอ่ ซน่ : โฮ้ ! ผวั เมียหีนะเนาะ) ผวั กห็ ีนะ โคยก็โคยนะ (อวยั วะเพศกอ็ ยา่ งเลว) เมยี กห็ ีนะ
ว่างัน้ เถอะ เอ้อ ! เลยต่นื เช้าก็พากันไป ไปก็ไปไหว้วอนเทวดา เทวดากถ็ าม “พวกเจา้ อยากได้อะไร ?”
“อยากไดเ้ งนิ ไดค้ ำ� แล้ว ข้าน้อย” วา่ ง้ัน “อยากไดม้ ากแคไ่ หน ?” “เอาแต่จะให้แลว้ เอาแตจ่ ะโปรด
ขา้ น้อย” วา่ งนั้ “เอ้อ ! ไป คืนนเี้ ราจะเอาไปให”้ วา่ งน้ั นัน่ ทางทีไ่ ปหาเทวดาก็ไม่ใช่ใกลๆ้ นะ เอ้อ !
บกุ ป่าฝา่ เขา้ ไป ทนี กี้ ลบั ผวั เมียคู่นี้กลบั ถงึ บ้านแลว้ พากันกินขา้ วค�่ำข้าวเยน็ แล้วก็ทางผวั วา่ กับเมยี
“ฮว่ ย ! ไปจดุ ธูปจดุ เทียนไหว้วอนเทวดาหนอ่ ยเถอะ ใหท้ า่ นส่งโชคส่งลาภ” “โอ้ย ! ท�ำคนเดียวเถอะ”
วา่ งนั้ เมยี ว่า “ฉันเมือ่ ย เจ้าท�ำเถอะ ฉันเมื่อยไมท่ ำ� ดอก เจ้าท�ำแล้วกแ็ ล้วล่ะ”

เอาซะแล้ว เทวดาตามมานะ “อ้าว ! ผวั เมยี คนู่ ี้ ไม่ถูกต้องลอ่ งคอกนั เวย้ ” ว่างน้ั “ฮว่ ย ! บอกว่า
ทำ� พร้อมกนั ” “ไม่ๆๆ ทำ� ไมพดู ร่�ำไรนกั หนาแท้” ผเู้ มียน่นั (พอ่ ซน่ : เทวดาก็ฟงั อยู)่ ฟงั อยู่ “ฮว่ ย ! รำ่� ไร
ยงั ไง ทำ� ให้มันพรอ้ มกนั เอาเงนิ เอาคำ� ” “ฮ่วย ! มันรวยก็จะรวยเองแหละ เทวดายงั ไง จะไปเอาเงนิ
เอาค�ำมาให้” ยงิ่ พูดไปอีก คนดื้อรัน้ มนั เคยดอื้ รั้น เอ้อ ! “มันจะเอาอะไรมาให้อีก มันเมื่อยจะตาย
นอนแม่มนั แหละ” ว่า “ไมไ่ หวพ้ ระ ไม่ไหว้อะไรล่ะ เทวดาก็ช่าง” ว่าง้นั “เจ้าทำ� เถอะ เจา้ อยากได้เงิน”
ว่าง้ัน นอนเลย ไมส่ นใจเลย ผเู้ มียหนี ะก็ดี ผัวก็ “ทำ� อยา่ งไรดีนอ้ ?” วา่ ผู้เมยี ไม่ท�ำก็ “บ๊ะ ! หแี มม่ ัน
เถอะเว้ย” เลยไม่ท�ำ เพราะคิดวา่ ยงั ไงกไ็ ม่ได้ มนั ไมพ่ รอ้ มกัน “อหี ่าน”ี้ วา่ “มันไมไ่ ดเ้ พราะอย่างนี้ละ่ ”
วา่ งนั้ “โอ้ย ! บักห่ามึงเอย้ ” ว่า ผู้เมยี ก็ดี (พ่อซ่น : พวกหนี ะเนาะน)ี่

พวกหนี ะ ทนี ้ี ซ่น กลางคนื มาเทวดาก็เอาไหมาตง้ั นั่นล่ะ มากต็ น่ื ขึน้ เชา้ ผัวก็ตน่ื ขนึ้ กอ่ นแลว้
รบี มาดู “โฮ้ ! นไี่ งไห เทวดาเอามาแลว้ ไหเงินไหค�ำ” ว่างัน้ “โฮ้ ! จะมอี ะไร ไหกม็ ไี หหัวโคยเจ้า (โคย คือ
อวยั วะเพศชาย) กบั ไหหน่อแตดขา้ (หนอ่ แตด คือ อวยั วะเพศหญิง) นั่นแล้ว” พูดไป ผเู้ มยี พูดค�ำไมด่ ี
ไมเ่ ป็นมงคล เพราะคนมนั เคยดอ้ื เคยรน้ั มากอ่ น (พ่อซ่น : คนเคยเปน็ อย่างน้ัน) ทางผัวกว็ า่ “โอย้ !
อหี ่ามึงเอย้ ” ว่างัน้ “อยา่ ไปพูดอยา่ งนน้ั ” วา่ งั้น ตอ่ ยใสก่ ็อหี า่ เลย หมอนัน่ ก็ดี ผู้เมยี ก็วา่ “โอ้ย !
บักหา่ มงึ ไหมนั จะมีอะไร มีแต่ไหหนอ่ แตดกบั ไหหัวโคยเจ้านั่นแลว้ บกั หา่ มงึ เอย้ ” กว็ ่าไป “โอ้ย ! อหี ่า
มึงเอย้ ” พดู ว่า

435

ทนี ม้ี นั มที งั้ ๒ อยา่ ง ซน่ ไหหนง่ึ ไปเปดิ ดมู แี ตห่ วั โคย เปน็ อนั ๆ อยเู่ ตม็ ไห (พอ่ ซน่ : วา่ หวั โคยมี
หวั โคย) เออ้ ! เพราะความคิดเปน็ อยา่ งนัน้ มนั ไมไ่ กลความคิด หวั โคยเป็นอันๆ อย่เู ต็มไห ลืมตาเลกิ ล่ัก
อย่หู วั โคย กับผหี า่ เต้นไปเต้นมาอยู่ คือการ์ตนู น่ีแล้ว เต้นยอ่ กๆ แย่กๆ อยู่น่นั ผีหา่ มันดา่ มนั แช่ง
ใส่หา่ นะ ไปเปิดดอู กี ไหหนงึ่ มีแตไ่ หหนอ่ แตด น่นั ชอนไชยุบยบั ๆ อยู่ เปดิ เหมน็ เอ้อๆ เลย ซน่ คอื
หนอนน่ลี ่ะ หนอ่ แตดอ้วน “โอ๊ย ! ตายทนี ้”ี วา่ ง้นั “มันเหม็นเนา่ ใสเ่ รือน เรือนน้ัน เรือนเหย้านะ
เป็นอยา่ งไร” วา่ งน้ั “แบก จะพากันแบกไปท้ิง ไปเท เปน็ อย่างนั้น” ไปเทลงหนองปากทางเขา้
หมบู่ ้านน่นั ละ่ ผูเ้ มียแบกไหโคยเสยี ก (โคยถอก) ผผู้ วั แบกไหหน่อแตด มันหนักนะ ซ่น

ไหผีห่าก็มี เต้นไปเต้นมาอยู่นั่นนะ พอไปถึงหนองน�้ำ ผู้ผัวก็เทลงโลด เทไห เทหน่อแตดนั่น
ผู้เมียไปถึงกล็ ้มใสต่ รงนน้ั ฮ่วย ! ใกล้ๆ หนองลม้ ลง ไหหลดุ ลง ครึง่ หน่ึงลงน้�ำ ครง่ึ หนึ่งอยู่โคกนี้ อย่โู คก
มาเกิดเปน็ ตน้ กาเลา หมากกาเลา คือ หัวโคย อนั พวกทล่ี งน�้ำกไ็ ปเปน็ ปลาโคยขา่ หน่อแตดลงน้�ำก็
หมากหอยแตด ต้งั แต่ตอนโนน้ สบื มาจนทุกวันนแ้ี หละ ซน่ (พอ่ ซน่ : มันใช่จริงๆ นะ)

ผีหา่ กเ็ ต้นไปเตน้ มาอยู่ ถึงวา่ คนเรา มนั มแี ต่ผีห่าๆ น่นั แหละ ผีหา่ มากินหวั มัน ผีตายอด
ตายอยากนั่นนา้ ผีห่า ผตี ายอดตายอยาก หา้ มมง่ั ห้ามมี น่นั ล่ะ มันเปน็ อยา่ งน้นั มนั เรยี กแตผ่ ีห่ามา
ห้ามมันอยา่ งนี้ล่ะ นิทาน ซน่ (พ่อซน่ : โอว๊ ! มันเปน็ อยา่ งค�ำพูดจรงิ ๆ) เป็นอย่างค�ำวา่ น่ันแหละ

นทิ านเรอื่ งนผ้ี ้เู ฒ่าพูดให้ฟังแตเ่ ป็นเด็กนอ้ ย เลยจ�ำไว้ โอ๊ว ! เป็นมาอย่างนน้ั จรงิ ๆ ผีห่าเต้นไป
เตน้ มาอยู่ วา่ งน้ั นนั่ นลี่ ะ่ คนทกุ ขค์ นยาก วา่ งน้ั มนั ผหี า่ หา้ มไว้ ไมใ่ หม้ ง่ั ใหม้ ี วา่ งนั้ ทา่ นวา่ (พอ่ ซน่ : มนั มมี า
แต่ก่อนโน้น) มีแต่ก่อน ไหหนอ่ แตดเทลงน้ำ� กเ็ ปน็ บักหอยแตด แลว้ ไหหวั โคยเสยี กน้ันเทลงน้�ำครง่ึ หนึ่ง
มันล้มอย่โู คกครง่ึ หนง่ึ ลงน้�ำก็เปน็ ปลาโคยขา่ อย่โู คกก็เปน็ กกกาเลา (ตน้ กาเลา) กกกาเลาเกดิ มา
เหมือนกันกบั หัวโคยเสียก (พ่อซ่น : เสียกพอ่ วอ่ อยู่ (ถอกบานอย)ู่ ) เสยี กพ่อวอ่ อยู่อย่างน้ันละ่ ซน่ น่ลี ่ะ
นทิ าน ของไม่ดมี นั เปน็ อย่างนี้ละ่ ผีหา่ ก็เต้นไปมาอยู่ตามแถวนนั้ ล่ะ เตน้ อยู่ตามปากตามคนแตก่ อ่ น

นิทานเรื่องพ่อตู้กับแม่ตู้ (พ่อใหญ่กับแม่ใหญ่)

พวกเรานน่ั ล่ะ ทม่ี าบวชเปน็ พระ เปน็ พระ เปน็ เณร เปน็ เถร เป็นชี บวชดว้ ยศรัทธาความเชอื่
ความเล่ือมใสของตน หวังจะได้รับความสุข แล้วไม่พากันประพฤติปฏิบัติตามค�ำสอนพระพุทธเจ้า
มนั จะได้รบั ยงั ไง แล้วมนุษยจ์ ำ� พวกนีแ้ หวกแนวทางค�ำสอนพระพทุ ธเจ้า ก็เรยี กว่า “หมานุษยห์ างกดุ ”
ใชไ่ หมละ่ ซน่ (พอ่ ซน่ : ใชแ่ ลว้ ครบั ) เออ้ ! มนั ชวั่ กวา่ หมา

นลี่ ะ่ ซน่ คนไมร่ โู้ ทษรภู้ ยั แหง่ ความรกั ความชงั แหง่ ความหลง มแี ต่มัวเมาในความรัก ความชัง
ความหลงอยู่ มันกใ็ ห้โทษอย่างนล้ี ่ะ

เหมือนทา่ นพูดมานั่นล่ะ ประวตั ิผูน้ นั่ ผ้นู ี่ ผัวเมยี คนู่ ัน่ คนู่ ี่ เอ้อ ! พอรักมาก็กลมุ้ ใจอยูใ่ นความรกั
ของตน คดิ หนา้ คิดหลังอยูน่ ่ันล่ะ ให้เผาผลาญจติ ใจของตน เลยฆ่าตนเองไม่รสู้ ึกเจา้ ของ เม่อื ความรกั

436

เข้าครอบง�ำใจแล้ว คิดกลุ้มอยู่ในใจ เพลิดเพลินอยู่ในความรัก พอตัวชอบนั่นชอบน่ี อยากได้นั่น
อยากไดน้ ี่ รกั ... อยากไดน้ ี่ อยากให้เป็นอยา่ งนั้นอยา่ งน้ี คือความรักของตน คือความมกั (ชอบ)
ของตนนัน้ นี่ใจมันคิด กเ็ ลยเพลินไปตาม หลงลมื ไปตาม อยากคิดอยากสนกุ ทำ� อย่างนัน้ อย่างนจ้ี ะสนุก
“ดูก่อนน้า” วา่ ง้ัน คิดในใจ แลว้ กห็ ลงเพลนิ ไปตาม ไมร่ ู้โทษรภู้ ัย กเ็ ลยจะทำ� ตามความคิดของตนวา่
จะได้รบั ความสุข

กอ็ ย่างนทิ านเร่ือง “พ่อตกู้ ับแม่ต”ู้ นั่นแลว้ เออ้ ! ซน่ พ่อตกู้ ับแม่ตู้คดิ อยากสนกุ สุขสบายนะ
เออ้ ! เอากนั เป็นผัวหนุ่มเมียสาว ตั้งแตเ่ ป็นผัวหนุ่มเมียสาว เอากันแลว้ ไม่ไดล้ ูก จนเฒ่ามาดว้ ยกนั ทีน้ี
เฒา่ มาแลว้ ทางผวั ตู้ก็อยากได้เมียน้อย ว่า “แมต่ นู้ ี้ผอมโซเหมอื นกบั กบปิง้ จับตรงไหนกเ็ หมือนกับ
กระดูก แขง็ ไม่น่ิมไมน่ วล” ว่างัน้ “นมกเ็ หีย่ วเหมอื นนมหมา ไมม่ ลี ูกนี”่ ว่างน้ั

ทางแมต่ กู้ อ็ ยากไดผ้ วั นอ้ ย วา่ “พอ่ ตนู้ ผ้ี อมโซ จบั ดตู รงไหนกแ็ ขง็ กอดตรงไหนกแ็ ขง็ โคย (อวยั วะ
เพศชาย) ก็เหมือนกบั โคยดกั แด้นี่” วา่ งน้ั “อ่อนปวกเปียกเหมอื นโคยเป็ดน่”ี ว่า เอ้อ ! คดิ ไปความหลงั
นู่นล่ะ ตง้ั แต่มนั ตงึ อยู่น่นู ละ่ ซน่ มันเป็นอย่างนัน้ คดิ อยากสนกุ แตว่ า่ ทางพอ่ ตูก้ อ็ ยากไดเ้ มียน้อย
ทางแม่ตู้ก็อยากได้ผัวหนุ่มแรกรุ่น ให้ว่าง้ันเถอะ พ่อตู้นี่จะคิดฆ่าแม่ตู้ให้ตาย พอแม่ตู้ตายแล้วตัวจะ
ไดไ้ ปมีเมียน้อยใหม่ ว่างัน้ แม่ตู้กจ็ ะคดิ ฆ่าพอ่ ตูใ้ หต้ าย พอตายแลว้ ตัวจะไดผ้ ัวน้อย นค่ี ดิ ตามความคดิ
อยากสนกุ เหมอื นแต่เป็นหนมุ่ เป็นน้อย

อยมู่ าวันหน่ึง เลยคดิ ได้อบุ าย พอ่ ตนู้ ั้นจะออกไปไถนา ไปขุดหลุมไว้กลางทางที่แม่ตู้จะไปสง่
อาหารนน่ั ละ่ เออ้ ! เปน็ อย่างนั้น ขดุ ไว้แล้วเอาใบตองกงุ (ใบของตน้ พลวง) หรือใบตองกลว้ ยนัน่ ล่ะ
ปกปากไว้ เอาดินทรายปกไว้น่ัน แม่ตูม้ าแตน่ ู่นเหยยี บนีล่ ่ะ ตกลงหลุมน่ีตาย เอวหกั ว่าง้ัน เอ้อ !
วนั นั้นละ่ ทนี ้ี

สว่ นแมต่ ู้ก็เผอิญเหมือนกัน ตรงกนั วันนน้ั กค็ ิดข้ึน แม่ตู้ก็ดี เออ้ ! ผเู้ ฒา่ “บ๊ะ ! วันนี้จะแตง่ อาหาร
ใส่ยาเบ่อื ก่อนดอก ใส่ง่วน (ยาเบ่ือ) ก่อนดอก” วา่ งน้ั “ให้เฒ่าน่ันกนิ ตายซะ จะได้ผวั น้อยใหม”่ วา่ ง้นั
เอ้อ ! พอแตง่ แลว้ กถ็ ึงเวลากห็ าบอาหาร แล้วพอ่ ตกู้ ็ไถนาอยู่นนู่ ท�ำหลมุ ไว้เสรจ็ แล้ว ไปถึงกลางทางก็
ไมไ่ ด้ใส่ใจว่า มนั จะมหี ลุมมีอะไรละ่ เพราะเคยเดินอยทู่ ุกวนั นะ่ ถึงตรงน้ันกเ็ หยียบใบตองก็ฟาดลงเลย
“เบ้ิม !” ลง หาบอาหารอยขู่ า้ งบน ตกเอวหกั ขึ้นไมไ่ ด้ แม่ต้ตู าย

เอ้อ ! ตายเลย ไม่มีใครรูจ้ กั ทนี ี้ พอ่ ต้กู ็ไถนาเสรจ็ สวยเพลงาย (สายจนเพล) ไมเ่ หน็ “อ้าว !
เห็นจะตายแลว้ ละ่ อีเฒ่าน่ี” ว่างั้น “ไปดูก่อนน้า” วา่ ง้นั คอ่ ยๆ เดนิ ยอ่ งมา หลงั ขด หวั ขาวโพลนมา
รบี มาดหู ลมุ แกละ่ พอมาถงึ หลุมก็เห็นหาบอาหารอยขู่ ้างบน “หา ! ใช่แนแ่ ลว้ ” หัวเราะขึ้น สอ่ งดูเหน็
แม่ตตู้ าย “หา ! ดแี ลว้ ” ว่างั้น ตบมอื “เฮว้ ๆๆ” วา่ งน้ั “เราจะได้เมยี นอ้ ย” วา่ ง้ัน ฟ้อนรอบหลุม
ซะก่อนนะ

437

ทีนีก้ ็มากนิ ขา้ ว แล้วทนี ้ี เอ้อ ! มันหวิ ข้าวนะ่ มันสาย พอกนิ ขา้ วแล้วก็จึงจะไปนาอีก วา่ งัน้
“ตอนเยน็ กจ็ ะไปหาเมียน้อยกอ่ น” วา่ นะ กนิ ข้าว ไปกนิ น�้ำ พอกนิ นำ�้ ขนึ้ พิษของยาเบ่ือนน้ั ยางว่ น
ตีขนึ้ เลย เออ้ ! พอ่ ตู้ก็ตายอยู่ปากหลุมนั่นละ่ ตายอยูน่ ่ัน มนั เป็นอยา่ งนน้ั

ทีน้ี เวลานน่ั มา เด็กน้อยเขาไลว่ ัวไล่ควายออกมา จะไปเลี้ยงวัวเลย้ี งควาย ยามเช้า มาถงึ น่นั ล่ะ
กลางทาง วัวควายตืน่ เดก็ นอ้ ยเลยว่า “ฮว่ ย ! ววั ควายต่ืนอะไร ทกุ วนั ทกุ คนื ไม่เหน็ ตืน่ ?” ว่างัน้ เขาเลย
ไปดู เอ้อ ! เหลยี วดพู อ่ ตู้ตายอยู่บนหลุมนี่ ปากหลมุ อา้ ปากคา้ ง ซ่น ดังโกนจง่ิ ป่ิง (จมกู แฟบ)
ตาเหลอื กถลน

นิทานเร่ืองพ่อตู้ห�ำยาน

อีกนิทานเรอ่ื งหน่งึ ซ่น เออ้ ! เป็นคนละเร่ือง นิทานเรอื่ งนีเ้ รอื่ ง “พ่อตู้ห�ำยาน” พ่อตู้ห�ำยาน
นั้นกบั แม่ตู้ แกอยากสนกุ เหมอื นแต่หนมุ่ แต่น้อย อนั นไ้ี ม่ใชฆ่ ่ากนั ดอก อยากสนุก เอ้อ ! เฒา่ มาแล้ว
เอากันต้ังแต่หนมุ่ แตน่ ้อย จนเฒา่ มาดว้ ยกนั พอเฒ่ามาแลว้ คดิ อยากสนุกเหมอื นต้ังแตเ่ ปน็ บ่าวเปน็ สาว
นนู่ ละ่ เลยพดู กนั วา่ “เฒา่ เอย้ ! คดิ อยากสนกุ ทำ� อยา่ งไรเราจงึ จะสนกุ เหมอื นแตห่ นมุ่ แตน่ อ้ ย ?” วา่ ง้นั
“แตเ่ ป็นบ่าวเปน็ สาว เราจีบกัน” ว่างั้น

ทางแมต่ กู้ เ็ ลยวา่ “โอย้ ! เฒา่ ถา้ อยากสนกุ จะยากอะไร” วา่ งน้ั “กนิ ขา้ วเยน็ แลว้ ใหเ้ จา้ ไปเอาแคน
กบั หนมุ่ นอ้ ยเปา่ มา มาจีบกนั ฉันก็เอาหลาออก เขียนปา้ ยมาเลน่ กันนน่ั แล้ว หยอกกัน จกล้วงกัน มันก็
สนกุ เทา่ นัน้ ละ่ จา่ ยผญาใสก่ นั ” ว่าง้นั “เอ้อ ! ใชล่ ะ่ เวย้ ” วา่ งัน้ พ่อตูว้ ่า พอถงึ ตอนเย็นมา กนิ ข้าวเยน็
แล้วกพ็ อ่ ตูน้ ้นั ก็รบี ลงเรอื นเลย ค่อยๆ เดินยอ่ งไปนนู่ ล่ะ ม่งุ ใสเ่ สียงแคนเขานู่นละ่ ไปถงึ หน่มุ นอ้ ยแล้วก็
“เดก็ นอ้ ยๆ เอาแคนให้กหู นอ่ ยวะ่ ” ว่างั้น “เอาแคนให้กูหนอ่ ยเดก็ น้อย” ว่าง้ัน “จีบสาวกอ่ น” วา่ งน้ั
เดก็ น้อยก็เอาให้ เอาใหผ้ ู้เฒ่า เปา่ แคนมาแล้ว “ตุ่ยหล่ยุ ๆ” เสยี งแคนผเู้ ฒา่ ไมม่ ีลม ฟันไมม่ ี ลมไม่ดี
“สยุ่ หลยุ่ ๆๆ” ไปล่ะ

มาถึงเรอื นแลว้ ก็ “อะฮะแฮ่ม...” วา่ “จบี สาวกอ่ นนา้ ” ว่างน้ั เรือนนัน้ เรือนฟากไม้ไผ่ แม่ตู้ก็
เอาราวมาเขน็ ฝ้าย ฟงั เสียงหลาแม่ตู้ “หลยุ่ ตยุ่ ๆๆๆ” น่นู ละ่ เสียงหลาผูเ้ ฒ่าไมเ่ หมอื นเสียงหลาผ้หู น่มุ
เสยี งหลาผสู้ าวเปน็ อย่างหนงึ่ หมอล�ำพันธเุ์ ฒา่ แกลำ� ใหฟ้ ังแต่เปน็ เด็กนอ้ ย

เสียงหลาผูส้ าวว่า “แวๆ้ แวๆ้ บแ่ ว้น่สี ิไปแวไ้ ส แวๆ้ แว้ๆ บแ่ วน้ ่ีสไิ ปแว้ไส แวๆ้ (แวะๆ ไมแ่ วะนี่
จะไปแวะไหน)” นเี่ สยี งหลาผู้สาว วา่ งนั้ เถอะ พ่อตกู้ เ็ ลยขน้ึ ไป ขึ้นไปแลว้ ก็ไปจีบแม่ตู้ กเ็ ลยไปจบี กนั กบั
แมต่ ู้ พอจีบแล้วกล็ ว้ งนั่นจับนก่ี นั ละ่ สารพดั สารเพแต่จะล้วงกนั ก็ผู้สาวผูบ้ ่าวน่ะ เออ้ ! จับแก้มกนั ก็มี
จับนมกนั ก็มี ลว้ งดากล้วงกน้ กนั กม็ ี วา่ ง้ันเถอะ พ่อต้กู พ็ ลิกไปพลิกมา พ่อต้หู ำ� ยาน พอดีห�ำลอดลงฟาก
ฟากไม้ไผ่หนบี เอา หนบี เอาห�ำพอ่ ตู้ ขยับไปขยับมากไ็ มไ่ ด้

438

พ่อตกู้ ็เลยว่า “โอ้ย ! ฉนั จะตายเด๋ียวนล้ี ่ะ” วา่ งน้ั มนั จะตายฟากหนบี หำ� นะ่ ทางแมต่ กู้ ว็ ่าผหู้ นุ่ม
จะจ่ายผญาใสต่ ัว เอ้อ ! “โอ๋ย ! พอปานตัวน้ขี เ้ี หรข่ นาดนน้ั ไมม่ ใี ครจะตายดว้ ยดอก เหยๆ” ว่าง้นั
พอ่ ตู้ก็พลกิ ไปพลกิ มา กุมเอาฟากออกจากห�ำ เอาห�ำออกจากฟาก “ฮว่ ย ! ฉนั จะตายเดี๋ยวนี้” วา่ งนั้
ทางแม่ตู้ว่า “เหยๆ พอปานตัวน่ีจะตายด้วยดอก” ว่างั้น พอว่าอย่างน้ัน พ่อตู้ก็เลยตาย หาวเข้า
งาบๆๆ เขา้ เลยตาย ฟากหนบี หำ� ตาย แมต่ นู้ นั่ กห็ วั เราะนน่ั แลว้ หวั เราะไมห่ ยดุ ดใี จวา่ พอ่ ตจู้ า่ ยผญาใสต่ วั
สนุกนะ่ ผสู้ าวหัวเราะไป หวั เราะมา คางคา้ ง คางแข็ง งับไมล่ ง อ้าปากคา้ ง หมดลมเลยตาย ผู้เฒา่
เอ้อ ! พอ่ ตกู้ ต็ าย แมต่ ู้ก็ตาย ตายอยูช่ าน ตายสนุกมาก เลน่ กนั สนกุ จนตาย วา่ งั้นเถอะ ไม่รู้สกึ ตวั ตาย
สนกุ มาก

เป็นเพราะราคะ ความรัก ความก�ำหนัด น่ีละ่ มนั สนกุ มากจนตาย เอ้อ ! มันเป็นอยา่ งนัน้ กไ็ มม่ ี
ใครรจู้ กั เลย เพราะตายไมเ่ จบ็ ไมไ่ ข้ ไมห่ นาว หากตนื่ ตอนเชา้ สวยเสนเพลงาย (สายจนเพล) ลกู หลานเขา
“ฮ่วย ! พ่อต้กู ับแม่ตู้อยูไ่ หนไม่เห็นตนื่ หรอื ไปไหน ?” เขาเลยข้ึนมาดู ขนึ้ มาดมู าเหน็ สองเฒ่าตายอยูช่ าน
เหลยี วดพู อ่ ตนู้ น้ั นอนหงายตาย อา้ ปากจอ่ งปอ่ ง (อา้ ปากหวอ) ดงั โกนจงิ่ ปง่ิ (จมกู แฟบ) ตาเหลอื ก
ท่อลอ่ (ถลน) หวั ขาวจอ่ นฝ่อน (โพลน) โคยเสียกมอกลอก (อวัยวะเพศชายถอก) ดากโกนจง่ึ ป่งึ
(ก้นโบ๋ กน้ โหว)่ วา่ งั้นเถอะ ซ่น

ดูแม่ตูก้ ็นอนหงายตายอยู่ อ้าปากจ่างป่าง (อ้าปากคา้ ง) ดังโกนจงิ่ ป่ิง ตาเหลือกทอ่ ล่อ หัวขาว
จอ่ นฝ่อน ฮ๋ีโกนจ่องป่อง (อวยั วะเพศเปน็ รโู บ๋) ดากโกนจึ่งป่ึง อยา่ งนี้ล่ะ ซน่ เอ้อ ! นทิ าน มันมีอยู่
อยา่ งนลี้ ะ่ สนกุ มากจนดากโกนวา่ ง้นั เถอะไป

นี่ล่ะ ความทะเยอทะยานตามราคะ มันก็ให้โทษอย่างน้ีล่ะ ทะเยอทะยานตามโทสะก็
ให้โทษ ตามโมหะกใ็ ห้โทษ มนั เปน็ โทษเปน็ ภยั หมด เหมือนกบั พ่อตูแ้ มต่ ู้ ๒ คู่น้ันล่ะ มนั เป็นอยา่ งนัน้
เออ้ ! นีน่ ิทาน เรอื่ งผมู้ ีความทะเยอทะยานไปตามกเิ ลสตณั หา คอื ราคะ โทสะ โมหะ โลภ โกรธ หลง
อนั น้ี มันต้องใหโ้ ทษประหารตนเองโดยไม่ร้สู กึ ...

นิทานเร่ืองหมาข้ีเรื้อน

น่เี รือ่ งหมาขเ้ี รอ้ื น ข้เี รอ้ื นคอื อะไรล่ะ ขี้เรือ้ นกค็ ือ กิเลสวัฏฏ์ ไดแ้ ก่ ราคะ โทสะ โมหะ ความโลภ
ความโกรธ ความหลง น่เี ปน็ ขเ้ี รือ้ น เขา้ ใจไหมมงึ ? หมาคอื อะไรละ่ หมาคือใจของเรานี้ มันกินอยู่
ทไี่ หนละ่ มันกก็ ินอยทู่ ่ใี จของเรานส่ี ิ มันจะไปกินอยูท่ ไ่ี หนละ่ เอ้อ ! มันอยู่ด้วย มันสิงอยู่ หมาข้เี ร้ือนน่ะ
เกาอย่างไรมนั ก็ไมส่ บาย ไมห่ ายคนั บางคนกค็ ิดว่าขีก้ ลากขีเ้ รอ้ื น เกาแล้วสบายไหมล่ะ หายคนั ไหม ?
นัน่ ถึงจะเกาแรงๆ กไ็ ม่หายคนั นั่น มันไม่มี เปน็ อยา่ งงนั้

อันนี้กเ็ หมือนกนั นั่นแหละ ผูป้ ระพฤตไิ ปตามกเิ ลส คอื ราคะ โทสะ โมหะ หวังว่าจะได้รบั
ความสขุ ความสบาย กเ็ ปรยี บเหมอื นเกานน่ั ล่ะ มันย่ิงก�ำเริบเสิบสานคกึ คักขึ้น เหมือนของรอ้ น ผลทสี่ ุด
มันก็ไมส่ บาย ตกทกุ ข์ไดย้ ากเสวยวบิ ากของกรรมอยู่นัน่ ล่ะ นน่ั ขเ้ี ร้อื นคืออะไร ? ขเี้ รอ้ื น คือ ราคะ

439

โทสะ โมหะ ความโลภ ความโกรธ ความหลง คือตณั หานี่เอง ขี้เรอื้ น คืออวิชชานเี่ อง คอื กรรมน่เี อง
คอื ตัณหานี่เอง คือความยดึ ม่ันถือมัน่ คอื ภพ น่คี อื ตวั ขเี้ รือ้ น

นัน่ หมาคอื อะไร ? หมาคอื วิบาก วิปากวัฏฏ์ คือ วิญญาณ นาม รูป อายตนะ ผัสสะ เวทนานเี้ อง
แนะ่ นั่น กค็ ือใจของเรานี่เอง กายของเราน่เี ป็นหมาขเ้ี รอื้ นอย่แู ลว้ น่นั ทีแรกเม่อื ถูกตัว ตัวเปน็ ขี้เรอื้ น
ถูกเขาตบตีทุบต่อย เห็นว่าพระอาทิตย์สูง ปรารถนาอยากไปเกิดเป็นพระอาทิตย์ ก็เลยไปเกิดเป็น
พระอาทติ ย์ ขอ้ นเ้ี ปรยี บเหมอื นว่า พวกกลุ บตุ รผมู้ ีศรัทธาเห็นโทษของโลก มันชลุ มุนวนุ่ วาย มนั ทกุ ข์
มันยาก น่ัน สร้างโลกมันทุกข์มันยาก ข้ามถนนรถก็... ฟังเขาติฉินนินทา ทุบตีอยู่อย่างนั้นแหละ
เห็นโทษ เบือ่ หนา่ ยในทางโลก

บะ๊ ! อะไรหนออยู่สูงสุด ยงั หนไี ม่ได้ หนีไมไ่ ด้ สบายคอื อะไรหนอ ได้แก่ พากนั หนมี าบวช
กพ็ ากนั มาบวชนั่นแลว้ ล่ะ ก็อย่างพากันมาบวชทกุ วนั นีแ่ หละ ครัน้ บวชแลว้ ก็ไมป่ ระพฤตปิ ฏบิ ัติ ข้เี กยี จ
ขคี้ ร้าน แน่ะ ไมเ่ จริญภาวนา ไมไ่ หวพ้ ระสวดมนต์ ไม่ทำ� ขอ้ วตั รปฏบิ ตั ิ ไม่เดินจงกรม ไม่พิจารณาสังขาร
ร่างกายของตนให้เบื่อให้หน่าย บวชก็บวชเฉยๆ “บวชเฉยๆ เฮฮา กินแล้วก็นอน” เป็นอย่างน้ัน
ไม่มสี ติปัญญานอ้ มเข้ามาพิจารณาสังขารร่างกายของตน ก็ไม่เหน็ อะไร สะสมแต่อารมณ์ของโลกใสใ่ จ
ของตน ผูกพนั ใจของตนอยู่ มันกเ็ หมอื นกันล่ะกับหมาขเ้ี ร้ือนไปเกดิ เปน็ พระอาทติ ย์

เพราะพระอาทิตย์น่ี... เป็นเช้ือสายของโคตมโคตร พระพุทธเจ้าทา่ นวา่ โคตมโคตรคอื เชอ้ื สาย
ของพระอาทิตย์ เพราะอยสู่ ูง พระอาทติ ยน์ ีว่ ่าอยู่สงู พวกนกั บวชนีอ่ ย่สู งู เหตุไฉนท่านจงึ วา่ พระอาทิตย์
เปน็ เชื้อสายของโคตมโคตร เหตไุ ฉนโคตมโคตรจึงวา่ เปน็ เช้ือสายของพระอาทิตย์ เพราะพระอาทิตย์
อยสู่ ูงน้ัน สีของพระอาทิตย์อทุ ัยทีแรกน้นั เหมอื นกบั สีผ้ากาสาวพัสตรย์ อ้ มน�้ำฝาด สผี า้ กาสาวพสั ตร์
ย้อมนำ�้ ฝาดเป็นธงชัยของพระอรหนั ต์ พระอรหนั ต์เคารพยงิ่ นกั

นั่น พวกนักบวชน่อี ยสู่ ูงแลว้ เหมือนพระอาทติ ย์แลว้ ทีแรกบวชมากไ็ ม่ทรมานฝึกฝนอบรมตน
ไม่สำ� รวมอนิ ทรยี ท์ ั้ง ๖ ตา หู จมกู ลิ้น กาย และใจ ไมพ่ ิจารณาเจรญิ สมถกรรมฐาน วปิ ัสสนา
กรรมฐาน ให้รู้แจ้งเห็นจริงตามเป็นจริง ปล่อยจิตใจ ปล่อยอารมณ์ของตน ให้มืดมนอยู่ตามโลภ
ตามราคะ ตามโทสะ โมหะ มันก็เหมือนกันกับหมาขี้เร้ือนตัวนั้นเอง ไปเกิดเป็นพระอาทิตย์แล้ว
มันยงั ส้ขู ี้เมฆไมไ่ ด้ ขเ้ี มฆ คือ ความโมหะ ความหลง ความมืด ถนี มทิ ธะ ความงว่ งเหงาหาวนอน
ความออ่ นแอ ความขเี้ กียจขคี้ รา้ นเขา้ มาครอบงำ�

แนะ่ มนั เป็นอยา่ งนน้ั เขา้ ใจไหม ซ่น เหน็ วา่ ข้ีเมฆดีกว่าตวั ก็มาเปน็ ข้เี มฆ มนั ได้เป็นขเ้ี มฆแลว้
อยมู่ ายงั สูล้ มไมไ่ ด้ ลมมันพดั กระจัดกระจายแตกถึงอนั ตรายถึงผ่านไป นัน่ อะไรล่ะคือลม ? ลมกม็ ไี ว้
กพ็ ดั อทุ ธัจจกกุ กุจจะ ความฟงุ้ ซา่ นร�ำคาญของจิตนั่นแหละ มแี ต่ความฟงุ้ ซ่านร�ำคาญ ไมส่ งบงบเงียบ
ขดั จิตขดั ใจ ก็แตกกระจัดกระจายไปนั่นแหละ แนะ่ เป็นกิเลสน่ันแล้ว ท�ำใหม้ นั พัดจติ ราคะก็พดั ไป
โทสะก็พัดไป โมหะก็พดั ไป แน่ะ มันเป็นอย่างงนั้ เอ้อ ! คร้นั เห็นลมมาพดั แลว้ เรานกึ ว่าเราดีแล้ว สู้ลม
ไม่ได้เปน็ ขเี้ มฆก็มาเกิดเปน็ ลมนั่นน่ะ

440

ครนั้ เกิดเปน็ ลมแลว้ พัดไปพัดมา พดั จอมปลวกกลางนา กส็ จู้ อมปลวกก็ไม่ได้ นั่น มาเกดิ เปน็
จอมปลวก วา่ จอมปลวกดีกวา่ ตัว ปักอยู่กลางนาโดดๆ อย่นู ่นั น่ัน อยเู่ ฉยๆ น่นั อะไรล่ะจอมปลวก ? น่นั
กค็ วามสงสยั นั่นแล้ว มันตัดความสงสัยไม่ได้วา้ อยูม่ าก็ส้คู วายต้ไู มไ่ ด้ ควายตมู้ าชนเอาแหลกละเอยี ด
ก็เห็นว่าควายตดู้ ีกวา่ ตวั ก็มาเกดิ เปน็ ควายตู้ แน่ะ อะไรคือควายตู้ ? ความอจิ ฉาพยาบาท น่ันแลว้
นน่ั มันเป็นอยา่ งนน้ั อย่มู าควายต้นู ั่นแหละ เขาเอาหนังสามเกลยี วมาผูกอยู่ (พ่อซ่น : ไปไหนไมไ่ ด้)
ควายตคู้ ิดวา่ “แหม ! เรานกึ ว่าดยี งั สู้หนังไม่ได้” แนะ่

อยมู่ าไอ้ตกู้ ็มาเกิดเปน็ หนงั สามเกลียว พอตายเสรจ็ แล้วเขาแล่หนังไปท�ำหนังสามเกลยี ว นั่น
ฝนตกมาสง่ กลน่ิ เหมน็ ไอเ้ รอื้ นกก็ นิ เอาหมดเลย แนะ่ มนั เปน็ อยา่ งนั้น ก็เลยมาเกดิ เปน็ หนังนัน่ แหละ
อะไรล่ะคือหนงั นน่ั ? ก็ราคะนั่นแหละ กามราคะน่ันแหละ นนั่ ทฐิ ิในกามนัน่ แหละ หนงั มนั ผูกอยเู่ น่ีย
ผูกจติ ผกู ใจ ผูกตา ผกู หู จมูก ลนิ้ กาย ใจ นั่น เนอ้ื หนงั ทนี ี้หนังมันผกู อยูน่ ะ่ หนงั มนั ก็เน่าน่ันแหละ
ตา หู จมกู ลิน้ กาย ใจ มนั ก็เนา่ เหม็นนนั่ แล้ว น่ัน เป็นอยา่ งนน้ั

เพราะฉะนน้ั ขอใหเ้ ว้นแหละ ใจทีม่ ีราคะ โทสะ โมหะ กช็ อบของเนา่ น่ีแลว้ ละ่ รักกนั อยู่อยา่ งนี้
แลว้ น่นั ทำ� อยา่ งไรล่ะ ซน่ ? นแ่ี หละหมาขเี้ รอ้ื น มันกินอยู่น่ี เป็นอาหารของไอเ้ ร้ือน ไอเ้ ร้อื นชอบของบดู
ของเนา่ ของบูดของเน่าเปน็ อาหารของไอ้เรอื้ น มันกนิ อยูท่ ่ีนี่ มนั ไม่กนิ อยทู่ ไ่ี หน กินอยู่ทใี่ จน้ี กินอยูท่ ี่
กายของเรานี้ นนั่

หมาขีเ้ ร้อื นคืออะไร ? คือ ราคะ โทสะ โมหะ ข้ีเร้อื น คือ ราคะ โทสะ โมหะ หมาคืออะไร ? คอื
ใจของเรา มันกนิ กันอยูท่ น่ี ่ี หนงั เนา่ คืออะไร ? ร่างกายของเราท่ีมันเนา่ มนั เหมน็ นี่ จะกลัวเหมน็ ไหม
เหมน็ ไหม ซ่น ? นน่ั มันชอบไหมล่ะ ชอบของเหมน็ ว่ะ (พอ่ ซน่ : ชอบ) นนั่ มันนอนกนิ อยู่ทน่ี ี่ นอนกรน
อยู่ทน่ี ่ี นอนชม นอนดม นอนจบู นอนลบู นอนคลำ� อย่ทู น่ี ่ี กินอ่ิมแลว้ มันก็นอน นอนเฝา้ นอนเหน็ อยู่
เนีย่ นอนตืน่ ขน้ึ มันอยาก มันก็กิน มนั เปน็ อย่างนน้ั มนั ไมพ่ ิจารณาใหร้ ้เู ห็นตามเป็นจรงิ

นิทานเร่อื งนี้ ทีแรกเปน็ หมาขเี้ ร้อื นใช่ไหม ซ่น ? พอตอนปลายท่สี ุดก็เปน็ หมาขี้เรอ้ื นเหมอื นเดิม
นั่นแหละ ทีแรกเป็นหมาขี้เร้ือน ถูกเขาตบตีทุบต่อยเจ็บปวดร�ำคาญ ไปเกิดเป็นพระอาทิตย์ เป็น
พระอาทิตย์ยังไมแ่ ล้วมาเปน็ ขเี้ มฆ ขเี้ มฆกว็ ่าลมดีกว่าตวั มาเป็นลม พอเปน็ ลมก็ว่าจอมปลวกดีกวา่ ตวั
ก็เป็นจอมปลวก ถา้ วา่ จอมปลวก เปน็ จอมปลวกแลว้ ควายต้ดู ีกว่าตวั ชนเราได้ มาเปน็ ควายตู้ พอเป็น
ควายตแู้ ล้วมนั ห้าว มนั ดื้อ เขาเอาหนงั สามเกลียวมาผกู ว่าหนังดกี ว่าตัว มาเป็นหนงั เออ้ ! วา่ จะดีหรือ
ไม่ดี อยู่มาหนังถกู ฝนส่งกล่ินเหมน็ หมาข้เี ร้อื นได้กลิ่นก็มากนิ หนัง ก็ว่าหมาข้เี รอ้ื นดีกวา่ ตวั กม็ าเปลี่ยน
เป็นหมาขเ้ี ร้อื น

สดุ ทา้ ยก็ไม่พน้ เปน็ หมาขีเ้ ร้อื น ซน่ นแ่ี หละ

441

นิทานเร่ืองตาบอดคล�ำช้าง

จะพูดจะเลา่ จะเลา่ นิทานเรอ่ื งหนึ่ง นทิ านนิยาย เป็นนทิ านปรมั ปราเล่าสบื กันมาในโลกของเรา
ทกุ สมยั นทิ านอนั น้ี ฟงั แลว้ ใหถ้ อื เปน็ คตนิ ำ� ไปพจิ ารณาเอาเอง ใหว้ า่ งน้ั เถอะ คอื วา่ นทิ านเรอื่ งนเ้ี รยี กวา่
นิทานพวกตาบอด ๖ คนไปคลำ� ชา้ ง ตาบอดหมดทุกคน คน ๖ คนนน้ั เออ้ ! ทนี ้ี

ตาบอดคนท่ี ๑ นั้น คนไมม่ ีใบหู ทัง้ บอดทั้งไม่มใี บหู ไม่มีหู ไม่มใี บหู
ตาบอดคนที่ ๒ นั้น ท้งั ตาบอด ทัง้ จมูกแหวง่ คอื จมกู บี้
ตาบอดท่ี ๓ นนั้ ตาบอดพร้อม ปากแหวง่ พร้อม ปากแหวง่
ตาบอดที่ ๔ นน้ั ตาบอดแลว้ ก็แขนกุด กุดเพยี งขอ้ ศอก น่ันละ่
ตาบอดที่ ๕ นัน้ ตากบ็ อดด้วย แล้วขากดุ ข้างหนง่ึ ข้างซา้ ย ว่างั้นเถอะ
ตาบอดท่ี ๖ นนั้ บอดแต่ตา เออ้ ! นอกนน้ั ดีหมด หกู ม็ ี อะไรกม็ หี มดทุกอย่าง พิการแตต่ า
อย่างเดยี ว
นล่ี ะ่ เขาเรยี กว่าตาบอด ๖ คน มีอวัยวะไม่เหมอื นกัน เอ้อ ! สดั สว่ นสมบัติของแตล่ ะคนๆ
ไมเ่ หมอื นกนั ในรา่ งกายน่นั ละ่ แลว้ ก็เปน็ เพราะอะไรมนั จึงไม่เหมอื นกัน ? เอ้อ ! อย่างตาบอดท่ี ๑ น้นั
ตากบ็ อด ไม่มีใบหู แต่หากหูไม่หนวก หูนั้นไม่มีใบหู ตาบอดที่ ๒ น้ัน จมูกแบน จมูกแหวง่ จมกู บ้ี
ตาบอดท่ี ๓ นน้ั ปากแหวง่ ตาบอดท่ี ๔ นั้นแขนกดุ ทางซ้ายเพยี งขอ้ ศอก ตาบอดท่ี ๕ น้ันขากดุ เพยี ง
หัวเข่าทางซา้ ย ตาบอดที่ ๖ นั้นบอดแต่ตา นอกนัน้ ดีหมด
นี่ละ่ เปน็ เพราะอะไร ? นี่เรามาพจิ ารณาดวู า่ ไม่เหมือนกัน คนเรา อยา่ งนนั้ ละ่ ทนี ้ตี าบอด
๖ คนนีเ้ ลยมาพจิ ารณากันว่า “พวกเราได้ยนิ ชื่อแต่ช้าง ไมม่ ผี ู้ใดเคยเห็นช้าง เพราะตาใครกไ็ มด่ ี เขาว่า
ชา้ งตวั ใหญ่ มีงา มงี วง” ว่าง้ัน “ใครวา่ ชา้ งคืออะไร ?” ว่างนั้ “ไม่รูจ้ ะเหมอื นอะไรล่ะ ใครก็ไม่เคยเห็น
เพราะตาบอดหมดทุกคน” เปน็ อย่างนั้น
อนั น้อี ยมู่ า หมอควาญชา้ งนน่ั ละ่ เจ้าของช้างเอาชา้ งมาเลี้ยง เออ้ ! เผอญิ ว่าเลยี้ งทต่ี าบอด
๖ คนน่งั สนทนากนั น่นั ล่ะ อยใู่ กลๆ้ น่ันล่ะ อย่ใู ตร้ ่มมะกอก เวลามะกอกสกุ ว่าง้นั เถอะ เอ้อ ! แล้วทนี ี้
ควาญช้างน้นั ก็เลยลา่ มช้างไว้นน่ั ในบริเวณน้นั ให้กินหญ้ากินอะไร เลยเขา้ ไปถามพวกตาบอด ๖ คน
“พวกเจา้ พากนั ท�ำอะไรอยูน่ ี่ ?” ว่าง้ัน
“โอย้ ! พากันมาหาเลน่ ดอก” ว่าง้นั
เอ้อ ! ตาบอดกเ็ ลยถาม “เจ้าไปท�ำอะไร ?”
“เลย้ี งช้าง”

442

“ฮว่ ย ! ช้างตวั มนั เปน็ ยังไง ?” ว่าง้นั
“เอา้ ! ช้างก็ตัวใหญน่ น่ั แลว้ ”
“พวกเจ้าไม่รู้จักชา้ ง ?”
“ไม่รู้จัก ได้ยินแต่ชื่อ” ว่าง้ัน “ไม่เคยเห็นตัวมันสักที” ว่าง้ัน “เพราะตาบอดมองไม่เห็น
ตาบอด” ว่างนั้
เอ้อ ! “ถา้ ง้ันก็ไปคล�ำดูสิ” วา่ งน้ั นายควาญชา้ งนน้ั บอก “ไปลองคล�ำดว้ ยมือตัวเอง ไป” ว่างัน้
กเ็ ลยผลดั กันไปคล�ำ คนท่ี ๑ ไปคลำ� คนท่ีตาบอดไม่มใี บหไู ปคลำ� ที่ ๑ คลำ� ไปถูก ไปถกู งวงชา้ ง
ถูกมอื ช้าง ชา้ งนัน่ ล่ะ คลำ� ไปๆ นกึ ในใจ “โอ๊ ! ชา้ งนี้คอื ปลิงเวย้ ออ่ นๆ” วา่ งัน้ “ไม่เหมอื นอะไร
เหมอื นปลิง” วา่ งั้น กอ็ อกมา
ตาบอดที ่ ๒ จมูกแหว่ง จมูกแบน ไปคลำ� คล�ำแลว้ กเ็ ลยนึกในใจ ไปคลำ� ถูกงาชา้ ง ไปถกู งาชา้ ง
ลบู ๆ คล�ำๆ “วา้ ! ช้างนเี้ หมอื นกนั กับเคียวเก่ยี วข้าว โคง้ ๆ” วา่ งน้ั ออกมา
ตาบอดท ี่ ๓ ปากแหว่ง ก็ไปคลำ� อีก ไปคล�ำไปถูกหู หูชา้ ง เลยคิดในใจ คล�ำไปๆ “วา้ ! ชา้ งนี้
เหมือนกันกับวี (พดั ) เหมอื นพดั ลม เหมอื นววี ่ะ” แลว้ ออกมา
ตาบอดท ่ี ๔ แขนกุด เขา้ ไปคล�ำอีก เออ้ ! ไปคลำ� ไปถูกขาช้าง คล�ำถกู ขาชา้ ง แล้วคลำ� ไปๆ
“ว้า ! คือสบู ตเี หลก็ เว้ย” วา่ งน้ั ออกมา
ตาบอดท ่ี ๕ ขากดุ เขา้ ไปคลำ� ไปถูกหางช้าง “ฮ่วย ! ช้างเหมอื นกับไมก้ วาดกวาดบา้ น”
ตาบอดที่ ๖ เข้าไปคล�ำ ทีน้ีไปถูกโคยช้าง (อวัยวะเพศช้าง) “โอ๊ ! ช้างน้ีเหมือนกับบั้งทิง
(กระบอกนำ้� ไมไ้ ผ่) พายไปไรไ่ ปนานะ” วา่ งั้น แล้วพากนั ออกมา ทนี ี้
ออกมาก็มาน่ังอย่ใู ต้ร่มมะกอกนั่นล่ะ ยามมะกอกสกุ คล�ำหมดแลว้ ก็หมอควาญชา้ งก็เลยถาม
“หมดหรอื ยังพวกเจา้ ไปคล�ำช้างหมดทกุ คนหรือยงั ?”
“หมดแลว้ ”
“รจู้ กั ตัวมันไหม ทนี ี้ ?”
“โอย๋ ! รจู้ กั ดีที่สดุ ”
“รูจ้ ักดหี มดทุกคนแล้วหรือ ?”
“โอย้ ! รู้จกั ดแี ล้ว” วา่ ง้นั
นายควาญชา้ งก็เลยถามข้นึ วา่ “ไหนพวกเจ้าวา่ ช้างคืออะไร ?” ว่าง้นั

443

หมอที่ ๑ กพ็ ดู ขึน้ “ช้างนี่ ผมไปคลำ� ดดู แี ล้ว ลูบดดู ีย่งิ กวา่ อะไร เหมอื นกันกบั ปลงิ อ่อนๆ”
ว่างั้น “เหมือนจะยาวๆ เหมอื นปลิงออ่ นๆ” ว่างั้น เออ้ หมอไมม่ ีใบหู ตาบอดไม่มใี บหูนี่ ที่ ๑

หมอที่ ๒ ว่า ไอ้จมูกแบน ไอ้จมูกแบนว่านะ (ท่านบีบจมูกแล้วดัดเสียงเหมือนคนจมูกแบน)
“มา่ ยชา่ ย ช้างอะไรมันจะไปเหมือนปลงิ อย่างนั้น” วา่ งน้ั ไอจ้ มูกแบน “มนั ไมใ่ ชด่ อก คล�ำไม่ถูกหมอน”ี่
ว่าแล้ว “ช้างอะไรมันจะเหมือนปลิง กูน้ีคล�ำดูดีแล้ว ช้างมันเหมือนกันกับเคียวเก่ียวข้าว นั่นแหละ”
ว่างั้น เอ้อ ! หมอจมูกแบนนีว่ า่ เพราะหมอนไ่ี ปคลำ� คล�ำถกู งามันนะ ใหว้ า่ งั้นเถอะ

หมอท่ี ๓ ตาบอดปากแหวง่ วา่ ขนึ้ เอ้อ ! ปากวาก ปากแหว่ง (ทา่ นทำ� เสยี งพดู ไมช่ ดั เหมอื น
คนปากแหวง่ ) “มันไมถ่ ูกดอก” ว่างน้ั “ชา้ งอะไรมันจะเป็นอยา่ งนนั้ ” หมอนไ่ี ปคล�ำถูกหูนะ หมอท่ี ๓
ไอ้ปากแหว่ง “ชา้ งมนั จะไปเหมอื นปลิง เหมือนเคียวเก่ยี วขา้ วได้อย่างไร ช้างมันเหมอื นกับพดั นั่นละ่ ”
วา่ ง้นั หมอนี่

หมอท่ี ๔ กฟ็ าดข้นึ อีก เอ้อ ! หมอที่ ๔ นคี้ ล�ำถูกขามนั “มันไมใ่ ชด่ อก ช้างอะไรจะไปเหมอื นพดั
เหมือนเคียวเกี่ยวขา้ ว เหมอื นปลงิ อย่างนนั้ ชา้ งมันเหมือนสูบตเี หลก็ นัน่ แหละ” ว่างนั้

หมอที่ ๕ กค็ ล�ำถูกหางมัน “มนั ไมใ่ ช่ พวกเพ่ือนน่ี” ว่าง้นั “ชา้ งอะไรมนั จะไปเหมือนของ
อยา่ งนั้น ช้างมันก็เหมือนไมก้ วาด นน่ั แหละ” ว่างั้น เพราะคล�ำถูกหางนะ หมอน่ี

หมอที่ ๖ คล�ำถกู โคยมัน “ไมใ่ ชๆ่ เพือ่ น เพือ่ นน่ีพูดผิด ไม่พากนั ไปคล�ำช้างดอก ไปคล�ำอะไร
กไ็ ม่รู้ ?” ว่างนั้ “ชา้ งมันเหมือนกนั นั่นแหละกับกระบอกน้�ำไมไ้ ผ่ พายไปไร่ไปนานัน่ แหละ” ว่างน้ั

พากันเถียงกัน ผู้ใดคล�ำถูกอันใดก็ว่าเหมือนอันน้ัน เลยหมอหนึ่งเลยพูดข้ึน หมอท่ีหน่ึงนั้น
หมอตาบอดไม่มีใบหู “พวกนี้พูดอะไร มันพูดไม่ถูก คล�ำช้างก็คล�ำไม่ถูก มันไม่ใช่คนนะพวกนี้
พดู ไมเ่ หมือนคนน่ี พูดไปอยา่ งนัน้ ละ่ ” ว่าง้ัน ออกปากพดู ไปก็พรวดพราดออกไปเลย “มนั ไม่ใช่คนดอก
คนพวกน้ี เออ้ ! พูดไปมะลำ� มะลอย มะโลโสเส (พูดไปเลื่อนลอย) ไปทว่ั ทิศทว่ั แดนไม่เหมอื นกนั ” วา่ ง้ัน

“ฮว่ ย ! ถ้าวา่ เจา้ เป็นคนน้ัน มนั เปน็ ตัวยงั ไง ?” เพราะมนั ก็ไมเ่ คยเห็นคนสกั ครง้ั นะพวกนี้ เอ้อ !
“มนั มีรูปร่างยังไง ?” ว่าง้ัน

หมอไม่มใี บหทู ่ี ๑ น้ันว่า “โย่ว ! คนมนั ก็ตาบอดไม่มีใบหนู ั่นแล้ว” ว่างัน้
“วา้ ย” ว่ะ หมอจมกู แบนท่ี ๒ “มนั ไมใ่ ชด่ อก คนอะไรจะไปตาบอดไมม่ ใี บหูอย่างนัน้ ” วา่ งน้ั
“คนมนั ก็ต้องตาบอดจมกู แบนนีถ่ ึงจะใชค่ น” วา่ งัน้ หมอน่ี
หมอปากแหวง่ ที่ ๓ ก็ขึ้นไปอกี “มันไม่ใชด่ อก” วา่ หมอนี่ “คนอะไรจะเป็นอยา่ งนน้ั คนก็
ตาบอดปากแหว่งนั่นแหละ” พดู ไปหมอน่ี เอาไปแลว้ ทนี ี้ ว่าไปคนละซอกละมุมอยา่ งนนั้ ล่ะ ซน่

444

หมอที่ ๔ กต็ ดั ขน้ึ อีก “ฮ่วย ! มันไม่ใช่ดอก คนอะไรจะเป็นอย่างนนั้ ” ว่าง้นั “ยงั ไงถ้าง้ัน เจา้ ว่า
คนคืออะไร ?” “คนมนั ก็ตาบอดแขนกุดข้างหนง่ึ นั่นแหละ” วา่ งน้ั

หมอท่ี ๕ “โอ้ย ! มันไมใ่ ชๆ่ หยุดๆๆๆ” ว่าง้นั “พวกน้ีพูดผิดหมด ไมร่ ูจ้ กั คน” วา่ ง้ัน “เจ้าว่า
อย่างไรถ้างน้ั ?” “คนมันก็ตาบอดขากดุ น่นั แหละ” วา่ ง้ัน

ไปอยา่ งนั้นล่ะ ซน่
(พ่อซ่น : เหน็ คนละอย่างเลยว่ากนั ไปคนละอยา่ ง)
หมอที่ ๖ กเ็ ลยว่า “หยุดๆๆๆ มนั ไมใ่ ชด่ อก” วา่ งั้น “เจา้ ว่าอะไรคือคน ?” “คนมันกต็ าบอด
เฉยๆ นั่นแหละ นอกนั้นกม็ คี รบหมดนั่นแหละ”
ตกลงกเ็ ลยไมล่ งรอยกัน ตัง้ แต่ช้างโน่นละ่ ชา้ ง กไ็ มถ่ ูกกัน คล�ำคอ่ ยคลำ� ดแู ล้ว ทนี ีม้ าคล�ำดคู น
กไ็ ม่ถูกกัน ผ้ใู ดมอี นั ใดกว็ ่าคนเหมอื นอันนัน้ นะ เปน็ อยา่ งนนั้ ตกลงก็เถียงกนั ไปเถยี งกันมา สนทนากนั
อยู่นน่ั ล่ะ ช้างตวั นั้นกนิ หญา้ อย่หู ัวเราะไอ้ตาบอด “โอ๊ !” วา่ ง้ัน จนตาหยี หัวเราะตาบอด ๖ คน
สนทนากัน เป็นอย่างนน้ั เอ้อ ! เถยี งกนั ไป เถยี งกันมา ไมล่ งรอยกนั เรอ่ื งช้างกับคนน่ลี ะ่ ซ่น
ไปมามะกอกมันหล่นลงมานะ ถกู หัวคนหนง่ึ “ป๊อก !” “โฮ้ ! มงึ ตีกูเหรอ” ว่างัน้ ก็ตอ่ ยกนั ว่างัน้
ตกี ันวา่ ง้ันเถอะ ต่อยกนั ไป ตอ่ ยกันมา ถูกบา้ ง ไมถ่ กู บา้ ง ซดั ดนิ ซดั หญา้ ไปนัน่ แล้ว ซดั ต้นไม้ไป ฯลฯ
นีล่ ะ่ ทา่ นวา่ ตาบอด ๖ คนคลำ� ชา้ ง ไปคลำ� แลว้ กไ็ มเ่ หมอื นกนั พูดไม่ถกู กนั
อันนี้ เมื่อน้อมเข้ามาก็เรื่องนี่ล่ะ เร่ืองพระธรรมวินัย เร่ืองศีล สมาธิ ปัญญา เรื่องมรรคผล
นพิ พานนัน่ ล่ะ ตา่ งคนตา่ งศึกษาเลา่ เรยี น เอ้อ ! ต่างคนต่างสูตรตา่ งเรยี น ตา่ งคนต่างปฏิบตั ิ ต่างคน
ตา่ งมีความเห็น เออ้ ! ใครภาวนาไปตรงไหน เห็นน่ันกว็ า่ ใช่ธรรมของจรงิ เหน็ อนั น้กี ว็ า่ ใชธ่ รรมของจรงิ
กพ็ ากันหลงอยู่ในความจรงิ น่ันละ่ เมาอยใู่ นความจริงน่ันล่ะ แล้วกม็ าสนทนากันกไ็ มล่ งรอยกนั
อย่างพวกปฏบิ ัติทงั้ หลายก็เหมือนกนั พวกศึกษาเลา่ เรยี นกเ็ หมอื นกนั ไมล่ งรอยกนั เรยี นได้
มากกว็ ่าตัวนีเ่ กง่ มคี วามรู้ เก่ง ผู้นัน้ ก็ว่าตวั เกง่ ไม่รใู้ ครเก่ง ไปมาก็ถกเถยี งทะเลาะเบาะแวง้ กัน ฆ่ากัน
ตกี นั กเ็ ลยไมม่ ผี เู้ กง่ ซะ เกง่ ทางฆา่ กนั ทางตกี นั นนู่ ละ่ แมเ้ รอ่ื งการปฏบิ ตั ภิ าวนากเ็ ชน่ เดยี วกนั ภาวนาไป
ปฏิบัติไป จิตตัวเป็นอย่างน้ัน ความเห็นตัวเป็นอย่างนั้น ถือเอาตามมติความเห็นของตน ก็ว่าตัวรู้
ตัวเหน็ ธรรม ไม่ลงรอยหมู่ เกดิ ทฐิ ิ เกิดมานะขึ้น ถอื ตวั ถอื ตนขน้ึ แนะ่ อยา่ งนนั้ ละ่
พระพทุ ธเจา้ ภาวนา ทา่ นภาวนาใหร้ ้ใู ห้เหน็ ตามเป็นจรงิ อยู่ เช่น “ทุกข์” ท่านเตอื นว่า
“ควรกำ� หนดรู้ดูให้ละเอยี ด ให้มันร้ตู ามเป็นจรงิ ” แน่ะ “สมทุ ัย ตัณหา เหตใุ ห้เกดิ ทุกข์ ควรละ ควรวาง”
“นิโรธ ความดับทกุ ข์ มรรค ควรเจรญิ ใหม้ าก” น่ีล่ะ ถ้าเจรญิ ศีล สมาธิ ให้มากแลว้ มนั ก็ไมต่ ่างกนั ดอก
ถา้ รตู้ ามเปน็ จรงิ แลว้ ไมต่ า่ งกนั รยู้ ง่ิ เหน็ จรงิ แลว้ กเ็ หมอื นกนั รยู้ งิ่ เหน็ จรงิ แลว้ กส็ กั แตว่ า่ รเู้ ฉยๆ ยาวเทว
าณมตตฺ าย เม่ือปัญญาเข้าไปรู้ กำ� หนดรูต้ ามเปน็ จริง รเู้ ห็นตามเปน็ จรงิ ดว้ ยปญั ญาโดยเฉพาะ รตู้ าม

445

เปน็ จรงิ แลว้ วา่ “น่ีทุกข์ นเี่ หตเุ กิดทุกข์ นธี่ รรมเปน็ ท่ีดบั ทุกข์ นีข่ อ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ธรรมเป็นที่ดับทุกข์”
รยู้ งิ่ เห็นจริงตามปญั ญาทกี่ �ำหนดรู้

ท่านเทศน์นิทานตลกโปรดญาติโยม

ท่านพระอาจารยค์ ลาด ครธุ มฺโม ไดเ้ มตตาเล่าเรื่องนี้ไว้ดังน้ี
“หลวงปูจ่ วนทา่ นไปสวดมนต์สวดอะไร ท่านก็พูดตลกออก เลา่ ใหฟ้ ังเรอ่ื งเก่ยี วกับอะไร ไปฉัน
ข้าวบา้ นเขาอะไร เขานิมนต์นะ่ ไปกไ็ ป เขาก็ต้องนิมนตล์ งมาดว้ ย พระอยปู่ า่ เขาเอานมิ นตม์ ารว่ มด้วย
หลวงปจู่ วนก็ไปเทศน์ใหฟ้ งั มเี รอ่ื งข�ำขนั โอ๊ย ! สารพดั ท่านเล่าแปลกๆ หลาย (เยอะ) แตเ่ ลา่ ให้
ญาติโยมฟังนัน่ แหละ หวั (หวั เราะ) จนท้องแขง็
หลวงปู่จวนทา่ นมนี ิสยั ตลก แตว่ ่าสงั คมข้างนอกเขาไม่เหน็ เขาไมใ่ ส่หรอก อนั นี้ต้องฟงั เสียง
จากพระเพอื่ น อาตมาเล่าไม่ได้ อาย ! เก่ียวกับเรอ่ื งผูส้ าวมีหมด เร่ืองตลก เรือ่ งอะไรๆ เร่อื งเมียชอื่ กรรม
ผวั ชือ่ เวร ตอ้ งไปถามอาจารยแ์ ยงนู้น กรรมกบั เวร คนหนึ่งช่อื กรรม คนหนึง่ ช่ือเวร ช่ือผวั เมยี คู่หน่ึง
ทนี ี้อย่า อู๊ย ! พูดมาก พดู จนตลกหัว (หัวเราะ) โอย๊ !
หลวงปจู่ วนเทศน์ในนิทานใหพ้ อ่ ซ่นฟงั นี้ไมอ่ ยากพูดเร่อื งภาวนา ตอนท่านไปฉันในบ้านโยม
เล่าใหโ้ ยมฟัง แลว้ โยมก็หวั เราะ หลวงปจู่ วนท่านจ�ำดมี ากเลยเรอื่ งนี้ เรื่องนิทาน เรอื่ งของท่านมาก
เรอ่ื งภาวนาเน่ียสดุ ยอดแล้ว”

ท่านมรณภาพแล้ว พ่อซ่นบวชเป็นพระตายคาผ้าเหลือง

ท่านพระอาจารยค์ ลาด ครธุ มโฺ ม ไดเ้ มตตาเลา่ เรอื่ งนีไ้ วด้ ังน้ี
“ท่ีพอ่ ซน่ ตดิ ตามนง่ั เฝ้าหลวงปู่จวนเล่านิทานอย่ตู ลอด หลงั จากหลวงปู่จวนเสยี พ่อซ่นได้บวช
อยกู่ ับหลวงพอ่ แยง ก่อนบวชเป็นตาปะขาวฟงั หลวงปพู่ ูดเทศนอ์ ะไร เฝา้ อยนู่ ัน่ นะ่ จะไมก่ ลับบา้ นเลย
คนน้ี เลยบวชไมก่ ลบั บา้ นเลย แลว้ กต็ ายคาผา้ เหลอื ง แตก่ อ่ นพอ่ ซน่ เดนิ ตามหลวงปจู่ วนขน้ึ ภทู อกประจำ�
หลวงปจู่ วนอดั นทิ านกค็ นนอ้ี กี แหละ ไปทำ� ความสะอาดชนั้ ๕ หลวงปเู่ มตตามาก คนนอ้ี ยตู่ ดิ เลย ชอื่ จรงิ
อะไรนา้ ถามหลวงพอ่ แยงนะ นานแล้วลืมช่ือ พอ่ ซน่ ฟงั แล้วซึมซับธรรม สุดท้ายศรัทธาบวชไม่สึก
เสยี นานแลว้ เสยี หลายปแี ลว้ ”

446

ภาค ๑๘ ครูบาอาจารย์

ครูบาอาจารย์แวะเย่ียมท่านพระอาจารย์จวนท่ีภูทอก

ตามอริยประเพณีของครูบาอาจารย์วงกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น เมื่อท่านมีโอกาส
หรือมเี วลา ทา่ นมกั จะแวะเวียนไปเยี่ยมเยียน ไปคารวะ เพอ่ื สนทนาธรรมกนั เสมอๆ ประดุจท่านเปน็
ครอบครวั เดยี วกัน ดังทว่ี งกรรมฐานเรยี กกันว่า “ครอบครวั กรรมฐาน”

เมอ่ื ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฺ  มาบุกเบิกสรา้ งวดั ทภี่ ทู อก กม็ ีครบู าอาจารย์แวะเวียน
มาเยย่ี มเยยี น และมาคารวะเสมอๆ มิได้ขาด เชน่ หลวงปชู่ อบ านสโม หลวงป่หู ลยุ จนทฺ สาโร
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร หลวงปู่ซามา อจุตฺโต หลวงตาพระมหาบัว
าณสมปฺ นฺโน หลวงปถู่ ิร ติ ธมฺโม หลวงปู่เจยี๊ ะ จนุ โฺ ท หลวงปู่สุวจั น์ สวุ โจ ท่านพระอาจารย์วัน
อตุ ฺตโม หลวงปลู่ ี ติ ธมโฺ ม ท่านพระอาจารยส์ ิงหท์ อง ธมมฺ วโร หลวงปสู่ มภาร ปญฺ าวโร หลวงปู่
สภุ าพ ธมมฺ ปญโฺ  ท่านพระอาจารยส์ พุ ฒั น์ สุขกาโม หลวงปอู่ ดุ ม าณรโต หลวงปบู่ ญุ เพง็
เขมาภริ โต หลวงปู่แตงออ่ น กลฺยาณธมฺโม หลวงปลู่ ี กุสลธโร หลวงป่จู นั ทา ถาวโร หลวงปูท่ องพลู
สริ กิ าโม หลวงป่คู �ำตัน ติ ธมฺโม หลวงปขู่ าน านวโร ทา่ นพระอาจารยจ์ นั ทร์เรยี น คุณวโร
ทา่ นพระอาจารยส์ มศรี อตตฺ สริ ิ ฯลฯ รวมท้ัง สมเด็จพระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสังฆราช สกลมหา–
สงั ฆปรณิ ายก (เจรญิ สุวฑฺฒโน) เม่อื ครั้งยงั ไมไ่ ดร้ บั การสถาปนาเป็นสมเดจ็ พระสังฆราช พระองค์
ทา่ นกเ็ คยแวะมาพกั ภาวนาทภ่ี ทู อก เพราะภูทอกสมยั ก่อนนั้นเปน็ สถานท่ีสปั ปายะมาก

การแสดงออกของธรรม

ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ท่านเป็นพระสมบูรณ์แบบ เป็นผู้มีธรรมครองใจ ดังน้ัน
การแสดงออกของทา่ น จงึ เตม็ เปย่ี มไปด้วยธรรม เมือ่ ทา่ นอยูก่ บั ครูบาอาจารย์รุ่นอาวโุ ส ท่านจะมี
ปรกติอ่อนนอ้ มถอ่ มตนอยู่เสมอ กริ ิยาเวลาที่เข้าใกลค้ รูบาอาจารย์รนุ่ อาวโุ ส อยา่ งเช่น หลวงปู่เทสก์
เทสรฺ สํ ี หลวงปอู่ อ่ น าณสิริ หลวงป่ชู อบ านสโม หลวงปหู่ ลยุ จนทฺ สาโร หลวงปขู่ าว อนาลโย
หลวงป่สู ิม พุทธฺ าจาโร หลวงตาพระมหาบัว าณสมปฺ นโฺ น ฯลฯ จะดปู ระหนงึ่ วา่ ท่านเปน็ เด็กน้อย
อ่อนโยนเคารพเช่ือฟังผู้ใหญ่ เวลาพูดคุยสนทนาธรรมกัน ท่านก็จะพนมมือ และก่อนจะพูด ท่านก็
กล่าวขอโอกาสเสมอๆ แมท้ า่ นจะถูกองคห์ ลวงตาต�ำหนิ ทา่ นกน็ ้อมรบั ด้วยใจ ด้วยความเคารพ โดย
ไม่ถกเถยี งแตป่ ระการใด

การแสดงออกของธรรม ของท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ  มเี รอื่ งเล่าดงั นี้
“วันหนงึ่ ท่านพระอาจารย์จวนพาศษิ ย์ไปกราบและถวายยาแด่ หลวงป่อู อ่ น าณสริ ิ เมื่อ
หลวงปู่ถามเรอื่ งยาท่ที ่านนำ� ไปถวาย ท่านกค็ ลานเข่าเขา้ ไปโดยใกล้และน้อมตัวลงต�่ำแทบจะหมอบอยู่

447

ข้างตักหลวงปู่ กิริยาวาจาเมือ่ จะอธบิ ายกราบเรียนวิธใี ช้และสรรพคุณของยานนั้ ท่านจะพดู ด้วยความ
นอบน้อม แสดงออกถึงความรกั ความเคารพและยำ� เกรงอยา่ งสงู สดุ ตอ่ หลวงป”ู่

โดยเฉพาะกบั หลวงปูข่ าว อนาลโย ซงึ่ ปัจจุบนั ชาตหิ ลวงปู่ขาวประดจุ บดิ าทางธรรมของทา่ น
และอดีตชาตหิ ลวงปู่ขาวเคยเป็นบิดาของท่าน ทกุ ครง้ั ที่ท่านไปกราบคารวะ ท่านจะยกเท้าหลวงป่ขู าว
ข้ึนวางบนศีรษะของท่าน อันเปน็ การแสดงความเคารพอย่างสงู สดุ บางทีท่านกจ็ ะแนะพวกลูกศษิ ย์
ผชู้ ายท่ีตามท่านเขา้ ไปคารวะหลวงปู่ขาว ใหข้ อน�ำเทา้ หลวงปขู่ ึ้นวางบนศีรษะดว้ ย ท่านบอกวา่ “เปน็
มงคลอย่างสงู สดุ เชยี วนะ”

ส�ำหรับพระผู้มีพรรษาใกล้เคียงกับท่าน ถ้าอาวุโสกว่าแล้ว ท่านจะแสดงความเคารพอย่าง
นอบนอ้ ม อย่าง ท่านพระอาจารย์วนั อุตฺตโม ซ่งึ สนิทสนมกับทา่ นมากประดจุ คแู่ ฝด แมท้ า่ นมอี ายุ
แก่กว่าทา่ นอาจารยว์ นั ถงึ ๒ ปีเศษ แตท่ ่านมีพรรษาอ่อนกวา่ ๑ พรรษา ทา่ นกแ็ สดงความเคารพ
ทา่ นอาจารยว์ นั อยา่ งสูง ลบั หลังทา่ นกจ็ ะเรยี กว่า “ท่านอาจารย์ใหญ่” เสมอ

ในท่ีซ่ึงนิมนต์มาพร้อมกัน ท่านอาจารย์จวนจะไม่เทศน์ ไม่แย่งสนทนา ปล่อยให้เป็นภาระ
หน้าท่ีของท่านอาจารย์วันองค์เดียว ศิษย์ทางกรุงเทพฯ บางคนไม่เข้าใจ ก็บ่นว่า ท่านไม่รับแขก
แตท่ แี่ ท้เป็นเพราะทา่ นถอื ธรรมเนียม “ไกป่ ่าขนั ตวั เดียว” ตามวสิ ัยพระปา่ คอื จะตอ้ งใหไ้ กต่ วั อาวุโส
เป็นหวั หนา้ หมู่ มใิ ชต่ า่ งตัวตา่ งแยง่ กนั ขนั ทา่ นอธบิ ายว่า “วนิ ัยพระตอ้ งให้ความเคารพผ้แู กพ่ รรษา
กวา่ แม้จะบวชกอ่ นเพียงวนิ าทเี ดียว ก็ต้องแสดงความเคารพ”

สำ� หรบั พระผมู้ พี รรษาอ่อนกวา่ ท่าน เชน่ หลวงปู่ลี กุสลธโร หลวงปู่ทองพลู สิริกาโม หลวงปู่
ขาน านวโร ทา่ นพระอาจารยจ์ นั ทรเ์ รียน คณุ วโร ฯลฯ ทา่ นจะให้ความเมตตา อบอ่นุ จริงใจ และ
ช่วยเหลอื เกือ้ กูลหมคู่ ณะเปน็ อย่างดี จนทา่ นได้รบั การยกย่องสรรเสรญิ

หลวงปู่เทสก์ชมท่านอาจารย์จวน ท่านอาจารย์วัน

“ต่อไปอาตมา (หลวงปเู่ ทสก)์ จะเทศน์ให้ฟังโดยย่อๆ เทศน์มากมนั ไม่ได้ ถ้าอยากจะฟงั มาก
ไปฟังท่านอาจารยจ์ วน อาจารย์วันโน้น เทศน์มาก อาตมาเทศนไ์ ม่ไหวหรอก ทนี เี้ ห็นว่าพวกญาตโิ ยม
มาแตเ่ มืองไกล อตุ ส่าหม์ าประกอบการกุศล ด้วยความคดิ เอน็ ดสู งสาร ปรารถนาอยากจะให้ไดฟ้ ังบา้ ง
จึงมาเทศน์ให้ฟังหรอก แตอ่ าตมาเทศน์มามากมายแลว้ ต้ังแต่บวชมาจนปา่ นนีแ้ หละ กไ็ ม่ทราบจะเอา
อะไรมาเทศน์ให้ฟัง เทศน์ขน้ึ ต้นกน็ ะโมของเก่า ไม่ทราบจะเอาอะไรมาเทศนอ์ กี ผฟู้ งั กค็ นเก่า ผ้เู ทศนก์ ็
คนเกา่ ธรรมะก็ของเกา่ หมดเร่อื ง หมดเทา่ น้ัน ไม่ทราบจะเอาอะไรมาเทศน์อีก”

448

ท่านจวนลูกอาจารย์ชอบ

ในวงพระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์ม่ัน ภูริทตฺโต มักมีเร่ืองราวเกี่ยวกับอดีตชาติ
ของครูบาอาจารย์ต่างๆ มีความผกู พนั เกย่ี วโยงกนั เปน็ ต้นว่า ทา่ นเคยเกิดเป็นพ่อเปน็ ลกู กนั บา้ ง และ
เคยสรา้ งบุญบารมรี ว่ มกันมาบ้าง ดังเช่นกรณหี ลวงปมู่ นั่ ภูรทิ ตโฺ ต กับ หลวงปตู่ อื้ อจลธมโฺ ม และ
องค์หลวงตาพระมหาบวั าณสมปฺ นฺโน กบั ทา่ นพระอาจารยส์ ิงห์ทอง ธมฺมวโร เปน็ ต้น

เรอ่ื งราวในอดีตชาตขิ องทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ  ท่านเคยเกิดเปน็ ลูกชายคนหนงึ่ ของ
หลวงปชู่ อบ านสโม มเี ร่อื งเล่าดงั น้ี

“ประมาณปีพุทธศักราช ๒๕๑๗ พระคุณเจ้าหลวงป่ชู อบ านสโม ซงึ่ อยูใ่ นวัยชราภาพแล้ว
ท่านได้เดินทางไปวัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) บ้านนาค�ำแคน ต�ำบลนาแสง อ�ำเภอศรีวิไล จังหวัด
หนองคาย (ปัจจุบันข้ึนกับจังหวัดบึงกาฬ) เพ่ือไปเย่ียมเยียนสนทนาธรรมกับท่านพระอาจารย์จวน
กลุ เชฏโฺ  อนั เปน็ อรยิ ประเพณขี องพระธดุ งคกรรมฐานสายทา่ นพระอาจารยม์ น่ั และเพอื่ นำ� ตาผา้ ขาว
เกตุ (หลวงปเู่ กตุ วัดภูมะโรง ต�ำบลค�ำเขือ่ นแกว้ อ�ำเภอชานุมาน จังหวดั อ�ำนาจเจริญ) ไปมอบใหท้ ่าน
พระอาจารย์จวน ให้เป็นผู้จัดอัฐบริขารเครื่องบวชให้ ผู้ติดตามองค์หลวงปู่ชอบไปภูทอกครั้งน้ันมี
หลวงปซู่ ามา อจตุ โฺ ต หลวงพอ่ บัวค�ำ มหาวีโร พระอุดม (ไมท่ ราบฉายา) พอ่ ถนิ วงษา

เรอื่ งหลวงปเู่ กตุ วดั ภมู ะโรง หรอื อดตี เสอื เกตุ โคกมน ทา่ นเปน็ หลานชายองคห์ ลวงปชู่ อบ ทอ่ี งค์
หลวงป่ชู อบได้เมตตาไปโปรดเอาจากเสือรา้ ยเปน็ พระธดุ งคกรรมฐาน และเป็นครบู าอาจารย์องค์หน่งึ
ในสมยั ทอี่ งคห์ ลวงปชู่ อบทา่ นยงั มชี วี ติ อยู่ ทา่ นไดท้ รมานหลวงปเู่ กตใุ หเ้ ปน็ ตาผา้ ขาวยาวนานถงึ ๑๐ ปี
พอทา่ นอบรมฝกึ ฝนจนมน่ั ใจวา่ ตาผา้ ขาวเกตมุ อี ปุ นสิ ยั และมคี ณุ สมบตั คิ วรแกก่ ารบวชเปน็ พระธดุ งค–
กรรมฐานแล้ว ท่านจึงน�ำตาผ้าขาวเกตุไปมอบให้ท่านพระอาจารย์จวน (หน่ึงในพระลูกชายใน
อดีตชาติขององค์หลวงปู่ชอบ) เพื่อจัดอัฐบริขารเครื่องบวชให้ เนื่องจากหลวงปู่เกตุในอดีตชาติท่าน
เคยเกดิ เป็นพช่ี ายของทา่ นพระอาจารย์จวน และทา่ นได้จัดอฐั บริขารเครอื่ งบวชให้นอ้ งชาย คือ ทา่ น
พระอาจารย์จวน ในชาตทิ ่หี ลวงปเู่ กตกุ บั ทา่ นพระอาจารย์จวนเป็นพน่ี อ้ งกนั น้นั องค์หลวงปูช่ อบทา่ น
เกดิ เป็น “พ่อ” ของท่านท้งั สอง

ค�ำท่ีครูบาอาจารย์รุ่นใหญ่ องค์หลวงปู่ขาว อนาลโย องค์หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร ว่า
“ทา่ นจวนลูกอาจารยช์ อบ” มอี ดตี มาจากเร่อื งน้ี”

หลวงปู่ชอบพูดถึงท่านพระอาจารย์จวน

หลวงปชู่ อบ านสโม ท่านได้พดู ถึง พระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ สมัยท่านจวนเปน็ พระหนุ่ม
ทา่ นเปน็ คนใจร้อน เวลาใครพูดอะไรผดิ ใจ ท่านจะแสดงออกทนั ที หลวงป่มู น่ั จงึ ฝากหลวงปู่ขาวกับ
ท่าน (หลวงปู่ชอบ) ให้ช่วยกันอบรมพระอาจารย์จวน จนอ่อนลงในธรรม

449

หลวงปูช่ อบบอก “ทา่ นจวนฮักเฮา (รกั เรา) กบั อาจารย์ขาว คือ พอ่ ท่านจวนเปน็ พระที่
พระเจา้ แผ่นดนิ พระราชนิ ี เพ่ินฮกั หลาย (ทา่ นรักมาก) ตอนทา่ นจวนเสีย พระเจา้ แผน่ ดิน พระราชินี
เพ่ินเสยี ใจหลาย”

หลวงปชู่ อบบอก “กอ่ นพระอาจารยจ์ วนทา่ นจะใชก้ รรมชาตสิ ดุ ทา้ ย (เครอ่ื งบนิ ตก) พระอาจารย์
จวนขอให้ท่านกับ หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร อย่าทิ้งภูทอกให้เป็นก�ำพร้า” หลวงปู่ชอบท่านรับปาก
พระอาจารยจ์ วนในเรอื่ งน้ี จงึ ทำ� ใหเ้ ข้าใจวา่ ท�ำไมหลวงปู่ชอบท่านจึงตอ้ งมาภทู อก วัดเจติยาคิรวี ิหาร
ปลี ะสองครง้ั เปน็ อยา่ งน้อย เพราะองคท์ า่ นรบั ปากสัญญากับท่านพระอาจารย์จวนน้ีเอง

ถามหลวงปชู่ อบ ท�ำไมทา่ นพระอาจารย์จวนจึงฝากคณุ แมช่ โี สดาใหห้ ลวงปดู่ ูแล ?
ทา่ นบอก “ผสู้ จิ บั ลิงได่ตอ้ งไวกว่ั ลงิ (ผจู้ ะจับลงิ ไดต้ ้องไวกว่าลงิ ) โสดาจริตโลดโผน จติ โสดาเร็ว
นอกจากท่านจวนกบั เฮาแลว้ ผู้อน่ื กะเอาบอ่ ยู่ (ผ้อู นื่ กเ็ อาไม่อยู่) โสดามวี าสนาธรรมฮ่วมกนั (ร่วมกนั )
กับเฮา กับท่านจวน”
ท่านพระอาจารยพ์ วน ชตุ นิ ฺธโร ไดเ้ มตตากลา่ วถงึ แม่ชโี สดา ไว้ดังน้ี
“แม่ชโี สดา ทา่ นมรณภาพแล้ว ทา่ นเป็นลกู ศิษยส์ �ำคญั ของหลวงปจู่ วน ท่านกม็ าอยู่กับหลวงปู่
ตงั้ หลายปี แม่ชีโสดามาอยู่ภทู อก อาตมาทันท่านอยู่ ทา่ นปฏิบัตดิ ี ปฏบิ ตั ชิ อบ”

บันทึกหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร

ภายหลังทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ  ทา่ นมรณภาพ หลวงปู่หลยุ จนทฺ สาโร ทา่ นไดม้ า
จำ� พรรษาทภ่ี ทู อก ตามคำ� กราบอาราธนานมิ นตข์ องคณุ ธเนศ เอยี สกลุ หรอื เถา้ แกก่ มิ กา่ ย หลวงปหู่ ลยุ
กย็ นิ ดมี าจ�ำพรรษาให้ เถ้าแกก่ มิ ก่ายจงึ สรา้ งกฏุ หิ ลังใหญ่ถวายหลวงปู่ โดยสรา้ งในบริเวณไม่ไกลจาก
ศาลามากนัก สน้ิ เงนิ ค่าก่อสร้างหลายแสนบาท โดยหลวงปู่หลุยได้บันทกึ เร่ืองภูทอกไวด้ งั น้ี

“ภทู อก” ซ่ึงมาอยใู่ หมๆ่ วนั ท่ี ๒๒ ต.ค. ๒๕
ภาวนามชี วี ติ ตอ่ ดี เปน็ สถานทเ่ี ป็นมงคล ภาวนาอวยั วะปรโุ ปร่งดี สงดั วเิ วกดี มเี ทพศกั ดิ์สิทธ์ิ
ประทบั อยู่ บุคคลยงั ภาวนายังไม่เปน็ ไป ยงุ่ อยู่กบั การงานค่าครองชพี ยังไม่เห็นอานสิ งส์ของศาสนา
เตม็ ที่ ขาดครึ่งๆ กลางๆ การกอ่ สรา้ งถาวรมาก เทยี บกบั วดั เอราวัณ ถ�้ำผาปู่ ถ�้ำขาม ถ�้ำผาบง้ิ
“สร้างถาวรมั่นคง ร่งุ เรอื งดี ทันสมัยนยิ ม แม.้ .. สนิ้ เงนิ เป็นล้านๆ ทเี ดยี ว เราเทศน์ไปดูเหมอื น
ไมเ่ ขา้ ใจเท่าไร”
“ตอ่ ไปอนาคตจะเป็นเจดยี ์ท่ีสำ� คัญของประเทศไทย เป็นทีอ่ ัศจรรย์แห่งหนึ่งของประเทศไทย
ทัศนาจรของคนต่างจังหวัด จะหาสมภารเหมือนท่านอาจารย์จวนยากนัก เพราะพุทธศาสนิกชน
เล่ือมใสทา่ นมาก หาเงินก่อสรา้ งและปกครองพระภกิ ษุ เณร ได้ดีย่ิงกว่าเรา”

450

“ภาวนาข้างบน (บนภูเขา) ดี ข้างล่างภาวนาไม่ค่อยดี ที่เราได้ผ่านมาแล้ว ปรากฏเป็น
อศั จรรย์”

“ถำ�้ ผาปู่ ๑ ถำ�้ ขาม ๑ ภทู อก ๑ ถ้�ำเอราวณั ๑ ถ้�ำผาบ้งิ ๑ ถ้ำ� มโหฬาร ๑ ทุ่มเทเงิน
การก่อสรา้ งมากมายของประเทศไทย นา่ อัศจรรย์เปน็ หลกั วัดป่าท่วี เิ วกของประเทศไทย เปน็ ขวัญตา
ขวญั ใจของประเทศไทย ชาวพุทธศาสนิกชนทศั นาการ ตอ้ งคดั เลือกอาจารยท์ ่ีส�ำคัญอยู่ จงึ สมกับฐานะ
ของถ้ำ� ทเี่ ปน็ มงคล”

“ภทู อก เป็นสถานทศั นาจรหลายแหง่ มีสถานท่ีใกลๆ้ กัน สะดวกแกพ่ ระโยคาวจรเจ้าเจริญ
ภาวนา ลว้ นแตบ่ ุคคลเปน็ เศรษฐีการก่อสรา้ งท้ังนั้น”

ท่านพระอาจารย์จวนเคารพผูกพันหลวงปู่ขาวมาก

หลวงปสู่ มหมาย จิตตฺ ปาโล ได้เมตตาเลา่ เร่อื งนี้ไวด้ ังน้ี
“หลวงปู่จวนท่านว่า “ให้เคารพหลวงปู่ขาว” ท่านไม่ค่อยเล่าไปคนอ่ืน เล่าแต่หลวงปู่ขาว
ทา่ นเลา่ ว่า “หลวงปู่ขาวนสิ ัยน่ีเปลยี่ นได้ ทา่ นไปไหนจิตเมตตา ไม่คอ่ ยอะไร มแี ตเ่ มตตา ท่านเมตตา
มาก”
ท่านพระอาจารยถ์ าวร อนตุ ตฺ โร ได้เมตตาเลา่ เร่อื งนไี้ ว้ดังนี้
“หลวงปูจ่ วนทา่ นจะเอย่ แตห่ ลวงปขู่ าวประจำ� ทา่ นบอก “หลวงปูข่ าวเป็นทกุ สิง่ ทุกอยา่ ง
ส�ำหรับตวั ท่าน” หลวงปขู่ าวทา่ นมเี มตตาแล้วก็ให้ขอ้ ธรรมกับทา่ นตลอดมา
สมยั ก่อนหลวงปูจ่ วนใช้รถไอต้ าก้ี เปน็ รถปิคอพั เกา่ ๆ นะ่ มคี ราวหน่งึ ทา่ นไปวัดถ�้ำกลองเพล
หลวงปู่จวนท่านจะเคารพหลวงปู่ขาวมาก ถ้าได้ยินข่าวว่าหลวงปู่ขาวป่วยไม่สบาย แต่ไม่ถึงกับป่วย
หนักนะ ท่านจะไปดูทันที ทนี ว้ี นั นนั้ อาตมาเป็นเณรกไ็ ป คอื ไปเย่ยี มเปน็ ปกติ
สมัยกอ่ นน่ะ ถนนจากพงั โคน กับ บงึ กาฬ ก็เปน็ ทางลกู รังอยนู่ ะ ทีนข้ี ากลับมา รถตากน้ี ีล้ ่ะ
มาทางหนองคาย รถมนั มาเสียอย่ตู รงเลยปากคาดมา ประมาณบา่ ยสาม มนั เปน็ ทางลกู รงั น่ี รถคลัตช์
มนั หมด ทีนี้พวกอาตมากน็ ั่งกระบะข้างหลัง ไมร่ ้จู ะท�ำยงั ไง รถโดยสารมันกไ็ ม่มี สามชว่ั โมงก็ไม่มี
คนั หนง่ึ ก็เลยอาศยั รถมันเขามาทีภ่ กู ระแต หาหลวงพ่อทองพลู น่ี หลวงพอ่ ทองพูลก็เลยใหล้ กู ศิษย์ที่วดั
ข่มี อเตอรไ์ ซค์ไปบอกโยมในบงึ กาฬน่ะ จ�ำไม่ไดว้ า่ เป็นใคร รูส้ ึกจะเป็นตุอ๊ ดี๊ หรอื ใครเอารถกระบะไปรบั
หลวงปู่จวนนะ แลว้ กด็ งึ รถมาซอ่ มทีบ่ งึ กาฬนะ่ สมยั กอ่ นนี่มันท้งั กันดาร ท้งั รถก็หายาก หารถสวนแทบ
ไม่มีเลย”
คณุ หมอประพกั ตร์ โสฬสจินดา ได้เมตตาเลา่ เร่ืองนีไ้ วด้ งั นี้

451

“อาจารยข์ าวกบั อาจารยจ์ วน ทา่ นมีความผกู พนั กนั มาก อาจารยจ์ วนไปกราบคารวะเยีย่ ม
อาจารยข์ าว ทา่ นไปบ่อยๆ ไปเป็นประจ�ำ ทา่ นกต็ ิดต่อกันเปน็ ธรรมดานีแ่ หละ เวลาทา่ นไปธรุ ะอะไร
กรงุ เทพฯ กลบั มาผา่ น ทา่ นกต็ ้องคา้ งท่ีถำ�้ กลองเพล ทา่ นถือเปน็ ลูกเป็นพ่อกนั อาจารยข์ าวพอเหน็
อาจารยจ์ วนกด็ ีใจ มอี ะไรใหร้ ับแขกแทน เวลาเทศน์กใ็ หอ้ าจารยจ์ วนเทศนแ์ ทน ถ้าอาจารยจ์ วนไปอยู่
อาทติ ยห์ นึง่ อยไู่ ด้ ๓ วนั อาจารย์ขาวก็ “เอา้ ! จวนๆๆ ใสเ่ ลยๆ (เทศน์)” นั่นแลว้ ”

ตามปกตแิ ลว้ การเทศนาวา่ การของพอ่ แมค่ รอู าจารยใ์ นสายทา่ นพระอาจารยม์ นั่ ผเู้ ปน็ หวั หนา้
จะแสดงธรรมเอง ดงั เช่นกรณขี ององค์หลวงตาพระมหาบัว าณสมปฺ นฺโน วัดปา่ บ้านตาด แมท้ ่าน
อยู่ในวัยชราภาพมากแล้ว ทา่ นยังเทศน์เอง โดยไม่ได้มอบหมายให้พระศิษยอ์ งคใ์ ดเทศน์แทน

การที่พ่อแม่ครูอาจารย์จะมอบหมายให้พระศิษย์เป็นผู้เทศน์แทนน้ัน ท่านต้องตรวจสอบและ
พจิ ารณาแลว้ ว่า พระศิษยอ์ งค์นัน้ ต้องมีคุณธรรมภายใน ดงั เชน่ กรณีของหลวงปูข่ าว อนาลโย ทา่ น
เมตตาไว้วางใจและมอบหมายใหท้ ่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฺ  เป็นพเิ ศษ ทัง้ การรบั แขกแทนและ
การเทศน์แทนน้นั ยอ่ มหมายถึงหลวงป่ขู าวทา่ นไดต้ รวจสอบทา่ นพระอาจารย์จวนแลว้ ท่านจงึ เชอ่ื ม่นั
และยอมรับคุณธรรมภายในของท่านพระอาจารยจ์ วนเปน็ อยา่ งดี

องค์หลวงตาพระมหาบัวเทศน์ถึงท่านพระอาจารย์จวน

• ส่ิงก่อสร้าง – เสือหวงซาก

(๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๗)
อย่างวัดภทู อกสถานทนี่ ั่นเหมาะสมจริงๆ นเ่ี ราไปว่าให้ท่านจวนนะ นน่ั ยอมรบั ทา่ นจวนมา
ยอมรับทีหลัง คราวแรกก็ยอมรบั ดว้ ยความเคารพ คราวหลังยอมรบั ดว้ ยความเห็นโทษ มาหาเลย
เทยี วว่า “ครูบาอาจารยพ์ ดู นั้นไม่มีอะไรผิดเลย เดยี๋ วนยี้ งุ่ ใหญ”่ “อย่ามา เดี๋ยวสันพรา้ ฟาดหนา้ ผาก”
เราวา่ งน้ั “ทา่ นกเ็ คยอยกู่ บั พอ่ แมค่ รจู ารยม์ นั่ ตำ� รบั ตำ� ราทา่ นกเ็ หน็ เหมอื นกนั นนี่ า ทา่ นไปดนิ้ บา้ อหี ยงั
(อะไร) เพิ่น (ท่าน) สร้างบันไดสวรรค์ มันกลายเป็นบันไดนรกน่ะซิ ใครมาก็ข้ึนๆ มันหาเร่ืองบ้าน่ี
ลองคดิ ประมวลกำ� ลงั วงั ชาสตปิ ญั ญามาดซู ิ ประมวลกำ� ลงั วงั ชาสตปิ ญั ญาทกุ ดา้ นทกุ ทางทเ่ี อามาสรา้ งนี้
เอามาฆ่ากิเลส กิเลสจะตายไปสักกี่ตัว นี่มีแต่กิเลสเสริมตัวข้ึนมามากๆ มันเป็นของดีแล้วเหรอ
สถานทท่ี ่นี ี้เป็นสถานท่เี หมาะสมส�ำหรับการภาวนาลว้ นๆ ไม่ใชเ่ ปน็ สถานทีเ่ หมาะสมกับเร่อื งตลาด
ลาดเลอย่างนีน้ น่ี ะ ท่านมาสร้างหาอะไร ทำ� อะไรคิดบา้ งซิลูกศิษย์กรรมฐานนะ่ ท�ำอะไรไมค่ ิดไดเ้ หรอ”
มายอมทีหลังนี่ ทีหลังมายอมด้วยความเห็นโทษจริงๆ ท่ีเราว่าทีแรกก็ยอมด้วยความเคารพ
ไมพ่ ดู ไมป่ ากอะไร... เงยี บ คราวหลงั น่มี าออกปากเอง ออกปากกา้ กๆๆ เลย ก็อยา่ งนนั้ แล้วดูเอา นีก่ ็จะ
สร้างรีสอรท์ ข้ึนอีกแล้ว ใครไปกใ็ ห้ไปพกั ๆ ฆราวาสกับพระมันไม่เหมือนกนั นี่ เหมอื นกนั ทไ่ี หน ไมง่ ัน้ จะ
เรียกวา่ ฆราวาส เรยี กวา่ พระเหรอ จะเรยี กว่าบ้านวา่ วัดเหรอ ถ้าเหมือนกนั อย่ดู ้วยกนั ก็ไมเ่ หมือนกนั

452

เราจะไปท�ำแบบโลกได้ยังไง เราแบบพระน่นี ะ
ท�ำอะไรไม่ค�ำนึงค�ำนวณ นี่ผิดหลักธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งนั้นแหละ ท�ำอะไรให้คิดอ่าน

ไตร่ตรองก่อนเรียบร้อยแล้วค่อยท�ำ แล้วเอาต�ำรากางไว้เสมอๆ ดูต�ำราเหมือนแปลน แปลนท่านว่า
ยังไง ทา่ นสอนวา่ ยังไง ใหเ้ ดินตามนัน้ ๆ นนั่ เรยี กวา่ ผ้เู ดินตามครู ไอ้แซงหนา้ แซงหลังน่ันซี ไปทีไ่ หน
เร่ืองวัตถขุ ้ึนกอ่ นแล้วยุง่ ก่อนแลว้ มันสมบัติอะไร

• เรื่องอดีตชาติลบล้างธรรมไม่ได้

(๑๐ กนั ยายน ๒๕๔๘)
นีล่ ะ่ พอดีท่านจวนก็อย่ทู ่ีนน่ั ก็ซดั ทา่ นจวน แล้วกล็ งมา ทา่ นจวนยอมรับ แทนท่ีจะยกโทษเรา
แค่นดิ หนึง่ ไมม่ ีนะ “โอย๊ ! หมอบราบยอมรับครูอาจารย์ เราฝา่ ฝนื ดลี ะ่ ทา่ นมาเขกเสียบา้ งอยา่ งนี้
ค่อยเรียกว่าเรามีครมู อี าจารยน์ ะ” ทา่ นก็ยงั ยออยู่นะ ทา่ นมาเขกนแี้ สดงว่าเราผดิ เราพลาด เรามีครู
มีอาจารย์มาเขกยังดีอยู่นะ ท่านว่ายังดี ถ้าอย่างอื่นไม่ลงนะเข้าใจไหม นี่ท่านยังยอมรับว่าเราผิด
เราพลาด มีครอู าจารยม์ าเขกมาสับน้ียงั ดนี ะ ท่านวา่ ยังดีอยู่นะ (แตม่ เี หตทุ ่ีท่านท�ำเหมือนกันนะฮะ
ได้ยินพระเล่าให้ฟังว่า ท่านว่าชาติก่อนนี้ท่านเคยเป็นลูกพญานาค แล้วแม่ท่านท�ำเจดีย์ถวายเป็น
พุทธบูชา แลว้ ท่านไปเล่นหกั เจดีย์นัน่ ลงนะฮะกเ็ ลยแบบยอดดว้ น ทีน้พี อมาชาตนิ ท้ี า่ นกเ็ ลยท�ำใช้ให้)
ก็ทา่ นไม่ไดบ้ อกเรานนี่ ะ่ จะมาแกช้ ว่ ยกนั ไดเ้ หรอ เรากเ็ ข้าช่องนั้นซิ กท็ า่ นไมบ่ อกเรา ถ้าบอก
เราแล้วจะไปแงไ่ หนอีกยังฟงั อกี นะ มันยังจะมีหลายแงอ่ ย่นู ะ ถา้ ว่าผิดก็ใหบ้ อกว่าผิด เราจะยอมรบั
ทันที เพราะเราสอนนี้ด้วยความถูกต้องแม่นย�ำแล้ว จะเอาอดีตอันน้ันอันน้ีเข้ามาลบล้างธรรม
พระพทุ ธเจ้าท่ีสอนไว้อย่างนไี้ มไ่ ด้ เขา้ ใจเหรอ ยอมรบั หรอื ยังทพ่ี ูดนี่ พระพทุ ธเจา้ ไมเ่ หน็ ว่าอะไร ทา่ น
ไปอยู่ในป่านั้นนะ หรือพญานาคเขามาท�ำอะไร อย่าท�ำนะ อย่าไปอยู่นะ ให้ไปอยู่ตลาดกระดูกหมู
กระดูกววั ทีน่ ัน่ ไม่มีพญานาคให้วา่ ง้ันเหรอ มันยงั ไงกัน

• ภูทอกไม่วิเวกแล้ว

(๒๙ ตลุ าคม ๒๕๕๐)
ทา่ นจวน นิสัยทา่ นชอบหาขุดค้นซอกแซกซกิ แซก็ สถานที่แปลกๆ ท่ีสงบสงัดได้ดีหลายแห่งนะ
แต่เวลาน้ีมันก็กลายเป็นแดนนรกไปหมดแล้วล่ะ เช่น ภูทอก เป็นอันดับหนึ่งในการภาวนาของ
พระกรรมฐาน ถ�้ำจนั ทน์ นี่ก็ท่านจวนเปน็ ผู้ไปเสาะแสวงหาได้ในปา่ เด๋ียวนเ้ี ลยกลายเป็นกลางบ้าน
อย่างถำ�้ จนั ทนก์ เ็ ป็นกลางบ้านแล้ว ภูทอกก็เปน็ กลางแดนนรกแล้ว เปน็ อย่างง้นั ทที่ ่านสรา้ งภทู อก
ข้ึนมา ถูกหนังสือพิมพ์เขาโจมตีท่านว่าไปท�ำลายป่าไม้อะไรต่ออะไร ออกทางหนังสือพิมพ์เลยนะ
กระจายทว่ั ประเทศไทย ไม่ทราบว่าใครไปเป็นผใู้ ห้ขอ้ คดิ ทแี รก คงจะเป็นผเู้ ป็นภัยต่อศาสนาอยา่ งมาก

453

เป็นภัยต่อพระกรรมฐานด้วย ถึงโจมตีพระกรรมฐาน เฉพาะอย่างย่ิงท่านจวน หาว่าท่านจวนไป
ท�ำลายปา่ อยใู่ นภเู ขาภทู อกว่างั้น

ทางนนู้ ในหลวงเสด็จนะ เลยพระราชทานเงนิ เดอื น ในหลวงทา่ นเสด็จไปดู ไปท่านชมเชยแน่ะ
อย่างงัน้ นะ ท่านเสด็จไปเอง จะเป็นพระอธั ยาศยั ของท่าน หรือว่าเปน็ เรอ่ื งราวอะไรมาเฉยๆ ทา่ นเสดจ็
ไปทีน่ ั่น ดูเหมือนท่านพระราชทานเงนิ เทา่ ไรใหส้ รา้ งพวกสระนำ�้ คอื ทา่ นจวนท�ำไปแล้ว ถูกตอ้ งแลว้
ดี แต่ทุนทรพั ยไ์ มพ่ อ ทา่ นพระราชทานทนุ ทรพั ย์ให้ เป็นสระใหญอ่ ยู่ในน้ัน อยา่ งง้นั แหละ

นี่เขาโจมตีว่าท่านไปท�ำลายป่า แล้วไปหาที่ไหนว่าท่านท�ำลายป่า ไม่มี อย่างน้ีล่ะพวกปาก
สกปรก ปากอมข้ี หาว่าใหค้ นนน้ั คนนี้ ปากอมขี้ ปากเปราะปากบอน ระวงั นะอยู่ในศาลามเี ยอะนะ
พวกปากเปราะปากบอน ปากอมข้ี แปลบๆ พูดแลว้ ๆ เกบ็ ความร้สู ึก ไดพ้ จิ ารณาทดสอบเหตผุ ลกลไก
ไดเ้ สยี ยงั ไงบา้ ง แลว้ คอ่ ยพูดออกมานนั้ เรียกว่าเป็นผู้มปี ัญญา นิสมฺม กรณํ เสยฺโย พิจารณาใครค่ รวญ
เรยี บร้อยกอ่ นแล้วคอ่ ยพดู ค่อยทำ� ในธรรมทา่ นวา่ อย่างนน้ั แล้วเปาะแปะออกๆ

เพราะฉะนน้ั มนั จงึ กระทบกระเทอื นหรอื ทะเลาะกนั ไดง้ า่ ย เพราะมนั ปากเปราะ เอะอะพดู แลว้
ไมเ่ ก็บความรูส้ กึ ไว้ ทดสอบความรูส้ ึกของเจ้าของเสียกอ่ นวา่ ผิดถกู ประการใด ก่อนทจ่ี ะน�ำออกไปให้
กระทบกระเทือนผู้อื่น คือจะให้ได้อย่างใจเจ้าของ ใจคนท่ัวโลกทั่วแผ่นดินจะให้ได้อย่างใจเจ้าของ
คนเดียว มันได้ยังไง พิจารณาบ้างซิ เจ้าของผู้เป็นอย่างนั้นก็ไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร นอกจากเป็นคน
ปากเปราะ ปากบอน ปากอมข้ี เข้าใจไหมละ่

เราพดู ถงึ เรอื่ งสถานทวี่ เิ วก เวลานภี้ ทู อกกไ็ มเ่ ปน็ ทวี่ เิ วกแลว้ แหละ เขาปลกู บา้ นปลกู เรอื นเขา้ ไป
จนกระท่ังถึงตีนถ�้ำ แถวนั้นเป็นท�ำเลคนทั้งหมด เลยหาที่สงัดไม่ได้ แต่ก่อนที่ท่านจวนไปอยู่ที่นั่น
เป็นป่าจริงๆ เป็นภูเขา มีเสือ มีอะไรเต็มอยู่น่ัน เสือมันไปกัดเก้งอยู่ในนั้นล่ะ ท่านไปไล่มันกลางวัน
เสือมันมากัดเก้ง คือเสือมันก็มีอยู่แถวนั้น สัตว์ป่าก็มีอยู่แถวนั้น ท่านจวนน้ีเสาะแสวงหาซอกแซก
ดีนะ ถำ�้ จนั ทนก์ ็ดีแต่กอ่ น อยู่ข้ันดมี ากดว้ ยกนั กับภทู อกนี้แห่งหน่ึง ทท่ี า่ นจวนเป็นผู้เสาะแสวงหา
เดีย๋ วนี้มนั เปน็ ทำ� เลตลาดไปหมดแล้วละ่

• ภูทอกแต่ก่อนสงัดดีมาก สัตว์ป่าก็ชุกชุม

(๒๙ กันยายน ๒๕๕๑)
วันหน่ึงเราถอื โอกาสไปภูทอกทท่ี า่ นจวนอยแู่ ต่ก่อน แตก่ อ่ นสงดั ดีมาก ไปอยเู่ ริ่มแรกทา่ นจวน
ไปอนั ดบั หนง่ึ เราไปอนั ดบั ทสี่ อง สงดั ดมี าก พวกสตั วพ์ วกเนอ้ื อยใู่ นนนั้ เสอื กอ็ ยใู่ นนนั้ อยใู่ นบรเิ วณภเู ขา
ลกู นนั้ มากินเกง้ อย่นู น่ั พวกเสือ ไปไล่กนั เก้งมานอนหมกปา่ อย่นู ั่นละ่ เสือมนั มาอยา่ งไรไมร่ ู้ไปกดั เก้ง
ตอ้ งไปไลข่ นาบเอา เสือหนไี ป เอาเกง้ มา พอเท่ยี งคืนก็ตาย

454

วนั นั้นพระไมไ่ ด้นอนนะ กลัวเสือจะมาเอาเกง้ ตัวน้ันไปกนิ อกี เอามาไว้ทีใ่ ต้ถนุ กฏุ ิแลว้ กไ็ ม่แน่ใจ
กลวั ว่ามันจะมาเอา เลยเฝ้าเก้งตัวนั้น พอดีหกทุ่มเก้งก็ตาย เสือไปไหนไม่รู้ มันมาเอาอยู่ในภูทอก
สตั ว์กม็ ี เสอื กม็ อี ยูท่ นี่ ัน่ มนั มากดั เก้งตัวหนงึ่ เลยตายนะเกง้ ตัวนัน้ ตอ้ งไปไล่ออก เสือก็เปดิ เอาเกง้ มา
พอดหี กทมุ่ เก้งกต็ าย เพราะมันแหลกหมด มนั กดั เอาแถวน้ีแหลกหมดเลย เกง้ เลยตาย

• บันไดสวรรค์ กับ บันไดนรก

(๔ เมษายน ๒๕๕๒)
สถานทีเ่ หมาะสมๆ ทา่ นจวนเป็นผูเ้ สาะแสวงหาไดม้ ากกว่าเพื่อนกรรมฐานดว้ ยกัน เชน่ อย่าง
ภทู อกกท็ ่านจวน แลว้ ถ�้ำจนั ทน์กท็ ่านจวน แลว้ ทไี่ หนอีก นเ่ี หมาะท้ังนน้ั นะ ทีแรกก็เหมาะ คร้นั ต่อมา
เป็นส้วมเป็นถานไปหมด เดี๋ยวนเ้ี ปน็ ส้วมใหญถ่ านใหญ่ทีภ่ ูทอก ถ�้ำจนั ทน์ไมม่ แี ล้วเดย๋ี วนี้ ดูว่าถ�้ำจนั ทน์
เปน็ ทเ่ี งยี บสงดั บา้ นคนรอบไปหมด อนั นน้ั เปน็ ทำ� เลหรอื สนามเลน่ ของคนกไ็ ดถ้ ำ้� นนั้ ทา่ นจวนทา่ นชอบ
เสาะแสวงหาในที่สงัดๆ ภูทอกก็ท่านไปเจอแล้วเคยอยู่ ภูทอกน้ีสวยงามมาก แล้วถ้�ำจันทน์เท่าที่เรา
ทราบมา ท่านจวนไปเจอถำ�้ จันทน์กบั ภูทอก แต่เดี๋ยวน้ถี �ำ้ จนั ทน์หมดสภาพแล้ว คนลอ้ มเขา้ ไป ภูทอก
เป็นท�ำเลคน เราไปดูแล้ว เมือ่ เรว็ ๆ น้ีละ่ ไปดู
แลว้ เปน็ เหตุทา่ นเป็นผู้สง่ เสรมิ แล้วทา่ นน้ันล่ะเป็นผทู้ ำ� ลาย คอื ทแี รกทา่ นหาที่สงบสงัดดีก็คือ
ภทู อกนล้ี ะ่ เหมาะท่สี ดุ คร้นั แลว้ ทา่ นก็ไปทำ� บันไดสวรรคข์ ึน้ ทน่ี นั่ ซี บันไดสวรรค์ กบั บันไดนรก มันก็
เข้ากันได้ เราไปเห็นแล้ว เรายิ้มแย้มแจม่ ใส พอเข้าไปแล้วไปดู ดไู ม่ไดเ้ ลย แตท่ ่านกเ็ ป็นธรรมนะ คือ
เราว่าเป็นธรรม เราวา่ เด็ดจริงๆ ท่านจะวา่ อยา่ งไรให้ท่านตอบรบั มา ฝ่ายธรรมกับฝ่ายกเิ ลสฟดั กนั อยู่
ลกึ ๆ ในใจนะ เอาแรงอยู่นะเรา ท�ำไมถึงสร้างอย่างนี้ พระพุทธเจ้าพาสร้างอะไร อยู่ในป่าในเขามี
ต�ำรบั ต�ำรา แตม่ าสร้างนรกสวรรค์ขนึ้ ท่ีน่ี ใครบอกท่าน คนท�ำบันไดสวรรค์ โอ๋ ! แหลกทัง้ วนั ทั้งคืน
โป้กเปก้ ๆ เสยี มากนะ ท่านท�ำไมไม่คดิ บ้างนะ เทา่ นี้นะ
เด๋ียวนี้เลยกลายเป็นที่ว่าล่ะ ท�ำเลเล่นของคน กลางคืนกลางวันร้องโว้กว้ากๆ ขึ้น เขาเรียก
บันไดสวรรค์ข้นึ เขานี่ละ่ ภูทอก เลยไมเ่ ปน็ ทา่ คดิ ทแี รกกด็ วู า่ ดี อยูใ่ นภูเขา แล้วเวลาไปท�ำบนั ไดสวรรค์
มันเปน็ บันไดนรก ทีน้ีเลยกลายเปน็ บนั ไดนรกตลอด ทงั้ วนั ทง้ั คืนเสียงโวก้ เว้กๆ แล้วหาความสงดั ไมไ่ ด้
ไม่มสี ถานทสี่ งดั ในภทู อก เวลานไ้ี ม่มี มนั เป็นอย่างนน้ั นะ ทีแรกกน็ ่าดู ไปอยูท่ ่ีภูทอกเหมาะสม แต่เวลา
ท่านไปทำ� บนั ไดน่ขี ึ้นไป คนอยู่เสยี ตรงน้ีละ่ ว่าท่านบ้าง
เราว่าด้วยอรรถด้วยธรรม เจ็บก็เป็นธรรม แสบก็เป็นธรรม หวานก็เป็นธรรม เราว่าจริงๆ
เพราะทา่ นจวนกับเราสนิทกันมาแต่ไหนแต่ไร อยูห่ นองผอื ก็อยู่ด้วยกนั มา
“ทา่ นทำ� ไมเวลาท่านมาอยูใ่ นภูเขาลูกน้ี ทา่ นมาอยไู่ ด้ ทา่ นเสาะแสวงหาอย่างไร ท่านถึงได้มา
อยู่ได้ในที่เหมาะสมอย่างนี้ แต่เวลาท่านท�ำบันไดนรกนี่ ท่านท�ำไมไม่คิดบ้าง” นี่ล่ะเอากันตรงนี้ล่ะ

455

วา่ เอาจรงิ ๆ นะ เราไม่ใชธ่ รรมดานะ แตท่ า่ นเปน็ ธรรมนะ ทา่ นยอมรบั ถ้าไมเ่ ปน็ ธรรมกจ็ ะโมโหให้เรา
เพราะเราพูดดว้ ยความเปน็ ธรรม ทา่ นไม่โมโห ทา่ นยอมรับ ถกู อยา่ งทา่ นว่าท้ังวนั ทัง้ คืน “ความคดิ
สตปิ ญั ญา ศรทั ธา ความพากความเพยี ร รวมหวั มาสรา้ งสถานทนี่ ี่ จะมธี รรมโผลข่ นึ้ มาทห่ี วั ใจขนาดไหน
แตส่ รา้ งฟืนไฟมาเผาหัวอกทงั้ พระ ทั้งเณร ประชาชนนเี้ ปน็ ความเสียหายมากนอ้ ยเพียงไร ท่านทำ� ไม
ไม่คิด” เราวา่ อย่างน้ัน เดี๋ยวน้เี ลอะละ่ ทว่ี ดั ภทู อกเลอะ เลอะเทอะ หาความสงดั ไม่มี เราไปเมื่อเร็วๆ
ประมาณสักสองเดือนล่ะมัง เราผ่านรถเข้าไปเลย ไม่จอดรถนะ มันยั้วเยี้ยๆ เต็ม ผ่านแล้วเข้าไปดู
ออกหนเี ลย แสดงวา่ หมดสภาพแล้วท่ีจะอยู่เปน็ สุขในการภาวนาของพระ ไมม่ ี

สมณะเราเปน็ เพศท่ีสุขมุ เป็นเพศที่เกบ็ ความรู้สกึ ไว้ได้ดี เป็นเพศที่พนิ ิจพจิ ารณา ไมใ่ ช่
พูบพาบๆ หมดสภาพแลว้ ภูทอก หมด ไปดแู ลว้ เลอะเทอะไปหมดเลยแถวนนั้ หมดสภาพไปแห่งหนึง่
ทท่ี า่ นจวนไปหาไดเ้ หมาะๆ นะทแี รก ตอ่ มาทำ� บนั ไดสวรรค์ บนั ไดนรกขนึ้ ตรงนนั้ ซี มนั กไ็ หลเขา้ มาเลย
กลายเปน็ บนั ไดนรกไปหมด ทำ� ไมไม่คิดบ้างท่านเป็นอยา่ งไร เราถามจริงๆ เพียงท่านคดิ สักนิด ท่านคดิ
ไม่ได้ ทา่ นจะคิดหามรรคผลนิพพานที่ไหน ยอมรบั นะ ยอมรบั เรา พดู ให้ฟังทกุ กทิ กุ กี ทุกแง่ทกุ มมุ แห่ง
ความคิดความอา่ นไตร่ตรอง ความขวนขวายทกุ ดา้ นประมวลมาเพือ่ ธรรม แต่ได้ธรรมทางไหน เวลานี้
เป็นแต่สรา้ งนรกเผาหัวอก วดั หรือพระอยไู่ ม่ได้เดีย๋ วนี้เห็นไหม ว่าอย่างนัน้ นะ มันยั้วเยี้ยๆ ทา่ นไปทำ�
บนั ไดนรกขึน้ ท่นี ั่น ไมค่ ดิ ไมอ่ า่ นบา้ งเลยนะ

• อัฐิเป็นพระธาตุสององค์

(๔ กรกฎาคม ๒๕๕๒)
ทา่ นสงิ หท์ องตายเสยี กอ่ น ทา่ นสงิ หท์ องกอ็ ยมู่ านานเหมอื นกนั ทา่ นตายเสยี กอ่ น ทา่ นสพุ ฒั น์
ก็ตกเครื่องบินตาย ท่านสิงห์ทองก็ตกเครื่องบินนะ ท่านสิงห์ทองนี้อัฐิกลายเป็นพระธาตุนะ
ทา่ นจวนอัฐกิ ลายเปน็ พระธาตเุ หมือนกนั น่ีบ่งบอกแล้ว จะตายด้วยกันกีค่ นท่ตี กเครื่องบนิ ตายด้วยกนั
แลว้ แยกออกมาแล้ว มที อี่ ัฐิกลายเป็นพระธาตุเพียงสองราย คือ ท่านจวน – ท่านสิงหท์ อง นบ่ี ง่ บอก
แลว้ อฐั ลิ งได้กลายเปน็ พระธาตแุ ล้วคอื เป็นพระอรหนั ต์ลว้ นๆ ตกเครอื่ งบินตอนน้นู มีสององค์นะ (ทอ่ี ัฐิ
เปน็ พระธาต)ุ
หมดไปๆ ละ่ วงกรรมฐานเรา ผนู้ ำ� ทดี่ งี ามนะหมดไป การแนะนำ� สง่ั สอน ผสู้ อนตอ้ งแมน่ ยำ� ความรู้
ในข้ันไหนกส็ อนไปถึงข้นั น้นั เลยนน้ั ไปก็ไมแ่ น่นัก ลบู ๆ คล�ำๆ ถา้ อยใู่ นภูมธิ รรมท่ีเจ้าของรู้แล้ว
สอนไปตรงไหน ถกู ต้องไปตรงนน้ั ท่านสิงหท์ องก็อัฐกิ ลายเปน็ พระธาตุ ท่านจวนก็เหมือนกนั มีอยู่
สององค์ ทา่ นจวนตกเคร่อื งบนิ ท่านสิงหท์ องตกเครื่องบิน อัฐกิ ลายเป็นพระธาตสุ ององค์

456

องค์หลวงตาพระมหาบัวต�ำหนิเรื่องสร้างเหรียญ – สร้างสะพานภูทอก

ทา่ นพระอาจารย์ประสงค์ จารธุ มโฺ ม ได้เมตตาเลา่ เร่อื งน้ีไว้ดงั นี้
“หลวงปู่จวนท่านบอกว่า เรื่องท�ำเหรียญท�ำอะไรหนา หลวงตาบ้านตาดไปเห็น ท่านด่าเอา
ดุเอา “หลวงปู่มั่นไม่เห็นได้สอน เร่ืองท�ำหรงท�ำเหรียญนะ จะไปท�ำท�ำไมเหรียญนี่” มีแต่หลวงตา
บ้านตาดดุเอาเรื่องนี้ทา่ นวา่ ส่วนเรอื่ งบันได อย่างหลวงตาบา้ นตาดทา่ นมา ท่านกม็ าเดินดูอยู่ขา้ งล่าง
ท่านไม่ข้นึ ไปหรอก ทา่ นบอกวา่ “เหน่อื ย” หรอื อะไรน่ลี ะ่ ท่านชราด้วย ทา่ นเหนือ่ ย เรือ่ งกอ่ เร่อื งสรา้ ง
ทา่ นกต็ �ำหนิอยู่ เพราะลักษณะภทู อกเป็นท่ีท่องเท่ียวทศั นาจรของคนท่ัวไป ถึงใครมาอยู่มนั ก็สบายไป
ตอนทหี่ ลวงตาท่านต�ำหนิ หลวงปจู่ วนท่านไมไ่ ด้แยง้ ท่านก็วา่ ท่านหมายถึงวา่ “หลวงตา
บา้ นตาดเป็นพ่ี เราเปน็ น้อง พกี่ ับนอ้ งต�ำหนิตโิ ทษกันมนั ก็ไมเ่ ป็นไร ก็ถือเป็นธรรมดา”
เร่ืองการก่อการสร้างหรืออะไร หลวงตาบ้านตาดท่านจะยึดหลวงปู่ม่ันนะ หลวงปู่ม่ันท่าน
ไม่ก่อสร้าง ทีนี้พอหลวงปจู่ วนมาอยภู่ ูทอก สรา้ งนูน่ สรา้ งน่ี สร้างสะพานรอบ มนั เลยผิด แบบว่า
ผิดแบบหลวงปมู่ นั่ นะ ในระยะแรกๆ ท่านท�ำเพอ่ื เป็นทภ่ี าวนาของพระเณร แต่ช่วงหลงั ๆ มา คนมนั
ก็อยากมาเทีย่ ว มาชม มาเดินดู มาอะไร”

พระอรหันต์เตือนพระอรหันต์ด้วยกัน

องค์หลวงตาพระมหาบวั และทา่ นพระอาจารยจ์ วน ตา่ งกเ็ ปน็ พระอรหันต์ดว้ ยกัน กรณอี งค์
หลวงตาเทศน์เตอื นทา่ นพระอาจารยจ์ วนเรื่องสรา้ งบันไดภูทอกนั้น แลว้ ทา่ นพระอาจารยจ์ วนยอมรับ
“คราวแรกกย็ อมรบั ด้วยความเคารพ คราวหลงั ยอมรับด้วยความเห็นโทษ” หรือกรณอี งคห์ ลวงตาดุ
หลวงปู่ลี กุสลธโร ซ่ึงท่านกเ็ ปน็ พระอรหนั ต์ด้วยกัน แลว้ หลวงปู่ลีกย็ อมรบั ว่า “เหตุผลของท่าน
เหนือเรา ทา่ นก็ยังดุเราได้อย่”ู

เรอื่ งเตอื นกนั ของพระอรหนั ตม์ มี าแตค่ รง้ั พทุ ธกาล ในครงั้ นน้ั องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
ทรงเตือนพระอรหนั ตสาวกทคี่ ิดจะไม่ลงอโุ บสถด้วยพระองคเ์ อง ดงั น้ี

“... กโ็ ดยสมัยน้นั แล ทา่ นพระมหากปั ปนิ ะพกั อยู่ ณ มัททกจุ ฉมิ ฤคทายวัน เขตพระนคร
ราชคฤห์ คราวหนึ่งท่านไปในทสี่ งดั หลกี เร้นอยู่ ไดม้ คี วามปริวิตกแหง่ จิตเกดิ ข้ึนอยา่ งนีว้ ่า เราควรไป
ท�ำอุโบสถหรือไม่ควรไป ควรไปท�ำสังฆกรรมหรือไม่ควรไป โดยท่ีแท้เราเป็นผู้หมดจดแล้วด้วย
ความหมดจดอย่างยิ่ง

ทีน้ัน พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตของท่านพระมหากัปปินะด้วยพระทัย
ของพระองค์ แลว้ ไดท้ รงหายพระองคไ์ ปในคชิ ฌกฏู บรรพตมาปรากฏอยตู่ รงหนา้ ทา่ นพระมหากปั ปนิ ะ
ณ มัททกุจฉิมฤคทายวัน เปรยี บเหมอื นบุรุษมีกำ� ลงั เหยียดแขนท่ีคู้ หรอื คแู้ ขนท่ีเหยียด ฉะนัน้ แล้ว

457

พระองคป์ ระทับนัง่ เหนือพทุ ธอาสนะทเ่ี ขาจัดถวาย
ฝา่ ยทา่ นพระมหากัปปนิ ะถวายบังคมพระผมู้ พี ระภาคแล้วนั่ง ณ ทคี่ วรสว่ นขา้ งหนงึ่
พระผู้มีพระภาคจงึ ได้ตรสั ค�ำนี้กะทา่ นพระมหากปั ปินะ ผูน้ ่งั ณ ทีค่ วรส่วนข้างหน่ึงวา่ ดกู ร

กปั ปนิ ะ เธอไปในทสี่ งดั หลกี เรน้ อยู่ ไดม้ คี วามปรวิ ติ กแหง่ จติ เกดิ ขนึ้ อยา่ งนว้ี า่ เราควรไปทำ� อโุ บสถ หรอื
ไม่ควรไป ควรไปทำ� สังฆกรรมหรอื ไม่ควรไป โดยท่แี ทเ้ ราเปน็ ผูห้ มดจดแลว้ ด้วยความหมดจดอย่างยิง่
ดังนี้มใิ ช่หรอื ?

ท่านพระมหากปั ปินะทลู รบั วา่ เปน็ อย่างน้นั พระพทุ ธเจ้าข้า
พระผู้มพี ระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ทัง้ หลาย ถ้าพวกเธอไม่สักการะ ไมเ่ คารพ ไมน่ ับถือ
ไมบ่ ชู า ซึง่ อุโบสถ เมือ่ เปน็ เช่นนใี้ ครเลา่ จักสกั การะเคารพนับถือบูชา ซ่ึงอโุ บสถ
ดูกรพราหมณ์ เธอจงไปท�ำอุโบสถ จะไม่ไปไม่ได้ จงไปท�ำสังฆกรรม จะไมไ่ ปไมไ่ ด้
ท่านพระมหากปั ปินะรับสนองพระพทุ ธพจนว์ า่ อยา่ งนน้ั พระพทุ ธเจา้ ข้า
ลำ� ดบั นน้ั พระผูม้ พี ระภาคทรงชี้แจงให้ทา่ นพระมหากปั ปินะเหน็ แจ้ง สมาทาน อาจหาญรา่ เริง
ด้วยธรรมีกถา แลว้ ไดท้ รงหายพระองคไ์ ปในที่ตรงหนา้ ท่านพระมหากัปปินะ ณ มทั ทกจุ ฉมิ ฤคทายวนั
มาปรากฏ ณ คิชฌกูฏบรรพต โดยรวดเร็ว เปรียบเหมือนบุรุษมีก�ำลัง เหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนท่ี
เหยียด ฉะนนั้ ”

ครูบาอาจารย์ท่านเคารพรักกันมาก

ทา่ นพระอาจารยเ์ จยี๊ ะ จนุ โฺ ท ทา่ นเปน็ พระสำ� คญั แตค่ นโดยสว่ นมากไมร่ ู้ ดจู ากภายนอกไมเ่ หน็
ความหมายดเี ด่นอะไร แต่สิง่ ทป่ี รากฏเปน็ ระยะๆ อนั เปน็ สง่ิ แปลกมาก ก็คอื พระอาจารยอ์ งคส์ ำ� คญั ๆ
เช่น หลวงปู่ชอบ หลวงปู่หลุย หลวงปู่ตื้อ ท่านอาจารย์พระมหาบัว ท่านพระอาจารย์สุวัจน์
ท่านพระอาจารย์วัน ท่านพระอาจารย์จวน ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง หลวงพ่อพุธ และสาย
พระป่าองค์สำ� คัญๆ อีกมากมาย มักจะเดนิ ทางมาเยี่ยมและกราบเย่ียมท่านเสมอ

โดยเฉพาะท่านพระอาจารยว์ ัน อุตตฺ โม มาเยย่ี มบอ่ ยเปน็ พเิ ศษ มาแตล่ ะครง้ั จะแสดงความ
เคารพนอบนอ้ มตอ่ ท่านพระอาจารย์เจยี๊ ะมาก ในชว่ งระยะนั้นท่านพระอาจารยว์ นั ทา่ นโด่งดังมาก
เดินทางมาทมี ีลกู ศิษย์น่งั รถเบนซต์ ดิ ตามเป็นแถว

เมอื่ ท่านพระอาจารย์วันเข้ามาเจอทา่ นพระอาจารยเ์ จี๊ยะ ทา่ นพระอาจารยว์ นั จะแสดงกิรยิ า
ประดุจเณรนอ้ ยๆ คลานเข้าไปกราบทา่ นพระอาจารย์เจยี๊ ะใกล้ๆ ถามอย่างนัน้ อยา่ งนี้ ทกุ ๆ ครัง้ ท่ถี าม
พดู จะยกมอื พนมเสมอ ส่วนทา่ นพระอาจารยเ์ จี๊ยะกส็ บายๆ ไม่คลมุ จวี รใสแ่ ต่องั สะน่งั สบายเฉยๆ

458

ท่านพระอาจารยเ์ จี๊ยะถามท่านพระอาจารย์วนั ขน้ึ วา่  “วนั โวย้ ! ท�ำไมถึงดงั วะ”
“มันถึงคราวมนั ครบู าอาจารย”์ ท่านพระอาจารยว์ ันกราบเรียนแล้วกเ็ อามอื นวดแขง้ นวดขา
ใหท้ ่านพระอาจารยเ์ จีย๊ ะ
มีอยคู่ ราวหนง่ึ ในงานพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารยฝ์ ้นั อาจาโร ทางวดั นมิ นตพ์ ระ
มาสวดมนต์ฉันเช้า ๙ รปู ท่านพระอาจารย์วันเป็นหนง่ึ ใน ๙ รูปน้นั ทา่ นพระอาจารย์วันนง่ั ฉัน
ในปะร�ำพิธีท่ีสูงกว่า มองเห็นท่านพระอาจารย์เจ๊ียะนั่งฉันปะปนกับพระหนุ่มเณรน้อยอยู่ด้านล่าง
พอฉันเสรจ็ ท่านพระอาจารยว์ ันกเ็ ข้ามาขอขมาตอ่ ทา่ นพระอาจารย์เจย๊ี ะว่า “ครูบาอาจารย์ เกล้าฯ
ขอขมาทีน่ ั่งสงู กว่า” ท�ำเอาพระเณรท้ังหลายตกใจกันใหญ่
อีกคร้ังหน่ึงในงานฉลองพระใหญ่ วัดพระบาทภูพานค�ำ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งท่านเจ้าคุณ
พระราชวรคุณ (ส�ำรอง คุณวุฑฺโฒ) อดีตเจ้าอาวาสวัดอโศการามไปสร้างไว้ ต่อมาท่านได้รับ
พระราชทานสมณศกั ดเ์ิ ปน็ พระเทพโมลี ทา่ นไดน้ มิ นตท์ า่ นพระอาจารยว์ นั และทา่ นพระอาจารยจ์ วน
ไปรว่ มงาน ในงานท่านพระอาจารย์วันข้ึนนง่ั บนแท่นใหญ่ในพิธี ส่วนทา่ นพระอาจารย์เจีย๊ ะน่ังขา้ งลา่ ง
พอทา่ นพระอาจารยว์ ันเหน็ เข้า ท่านรีบลงแทน่ มาขอขมา ท่านพระอาจารย์เจย๊ี ะบอกวา่ “วัน... ไปๆ
ไม่เป็นไร”
พอตกดึกๆ สงัดจากผูค้ น ท่านพระอาจารย์วนั กเ็ ดนิ เขา้ มากราบสนทนาธรรมะกบั ทา่ นพระ
อาจารย์เจยี๊ ะเป็นเวลาชวั่ โมงๆ เมื่อท่านพระอาจารยเ์ จย๊ี ะพดู ธรรมะ ท่านพระอาจารย์วันจะน่งั นิ่งฟัง
ทา่ นพระอาจารย์เจ๊ียะ ถามว่า “วัน... ถึงไหน พจิ ารณาอยา่ งไร ?”
ทา่ นพระอาจารย์วัน กราบเรยี นวา่  “ถงึ ตรงน้นั พจิ ารณาอยา่ งนนั้ เพราะเหตุนัน้ ”
ทา่ นพระอาจารยเ์ จี๊ยะก็ขงึ ขงั ข้นึ มาทันทวี ่า “มันตอ้ งอย่างนน้ั ซิวนั เรื่องนิพพานกับเรือ่ ง... นี้
มนั ต้องพิจารณาอย่างน้นั นะ กามราคะ มานะ อทุ ธจั จะ อวิชชา ต้องตีใหก้ ระจยุ กระจาย” ท่านพระ
อาจารยเ์ จยี๊ ะพูดซ�้ำๆ อยู่อยา่ งนนั้ ท่านพระอาจารย์วนั นั่งนงิ่ เงียบ
กับท่านพระอาจารยส์ งิ หท์ อง ธมฺมวโร กเ็ หมอื นกัน เวลาท่ีทา่ นพระอาจารย์เจี๊ยะมโี อกาส
เดินทางไปภาคอีสาน ท่านให้ลูกศิษย์ที่ติดตามหอบห้ิวหัวปลาแห้งไปฝากท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง
ท่านพระอาจารย์เจี๊ยะจะพดู ถึงท่านพระอาจารยส์ ิงห์ทองเสมอว่า “ทอง ! มนั ขเ้ี ล่นวะ่ แตม่ นั เฉียบ
มันหมดแล้วนะ (กิเลส) มันเฉียบ ! แต่มันข้ีเล่นไปหน่อย เดี๋ยวเอาหัวปลาไปฝากมันหน่อยว่ะ
มนั ชอบว่ะ”
สมยั ก่อนครูบาอาจารยท์ ่านเคารพรกั กันมาก เหน็ แลว้ เข้ากนั สนิทด้วยคณุ ธรรม ไม่เหมอื น
สมยั นแ้ี ซงหนา้ แซงหลัง

459

ทา่ นพระอาจารย์สงิ หท์ อง ทา่ นทราบว่าท่านพระอาจารย์เจี๊ยะชอบหิน ไปเทีย่ วที่ไหนเห็นหนิ
สวยๆ ตามปา่ ตามเขากจ็ ะพาท่านพระอาจารยเ์ จีย๊ ะไปดู บางทีก�ำลงั น่งั คุยกบั ญาติโยมอยู่ เม่อื พูดเรื่อง
หนิ ท้งิ ญาตโิ ยมไปกันเลย ไมส่ นใจ

ท่านพระอาจารย์วัน ท่านพระอาจารย์จวน ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง เคารพรักท่าน
พระอาจารย์เจี๊ยะมาก เมื่อมาหาท่านพระอาจารย์เจ๊ียะที่วัดเขาแก้ว จะคุยกันเฮๆ ไม่คุยกับใครอื่น
เหมือนวา่ ไมไ่ ดเ้ จอกันมานมนาน ทงั้ ๆ ทีเ่ พ่ิงจะพบกนั มา

ครูบาอาจารย์สมัยเดินธุดงค์ด้วยกัน

ทา่ นพระอาจารยบ์ ุญเลิศ เขมิโย ได้เมตตาเล่าทมี่ าของภาพเขยี นครูบาอาจารย์ทั้ง ๗ ท่ีภทู อก
ซ่ึงภาพเขียนนอ้ี ยูท่ ี่ศาลาชน้ั ลา่ ง ไวด้ งั นี้

“สมยั หนุ่ม หลวงปู่วนั อุตฺตโม หลวงปู่ลี ติ ธมฺโม หลวงปจู่ วน กุลเชฏโฺ  หลวงปูส่ ิงห์ทอง
ธมมฺ วโร หลวงปสู่ พุ ัฒน์ สุขกาโม หลวงปูส่ ุภาพ ธมมฺ ปญฺโ หลวงปู่ทองพลู สิริกาโม ท่านไปเทย่ี ว
เดนิ ธดุ งค์ด้วยกัน ออกพรรษาอยา่ งนีก่ พ็ ากนั ไปธุดงคน์ ะ สมยั ก่อนน่นู ยังไม่ไดม้ าอยู่ภูทอก สมยั ท่าน
เทยี่ วอย่นู ่นู น�ำมาลงประวัตไิ ว้ วาดตอนท่ีหลวงปูจ่ วนท่านมรณภาพแลว้ เอาภาพเอาอะไรสารพดั มา
ตอนมชี ีวิตอย่ยู งั ไม่มดี อกอันนี่ ทง้ั ๗ องคน์ ที้ า่ นเคยธุดงคด์ ว้ ยกนั แตภ่ าพวาดท่ีภทู อกจ�ำลองข้นึ มา
ทา่ นสนิทกัน มอี ะไรก็ไปดว้ ยกัน มอี ะไรกฉ็ ันดว้ ยกัน มีนำ้� ผงึ้ กฉ็ ันด้วยกนั นะ ไปธุดงคน์ ่ี หนุม่ ๆ กไ็ ป
ด้วยกนั เคยธดุ งค์ดว้ ยกัน เขาวาดไวเ้ ปน็ อนุสรณ”์

สหธรรมิกท้ังสาม

ทา่ นพระอาจารยว์ นั อตุ ตฺ โม วดั ถำ�้ อภยั ดำ� รงธรรม ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ  วดั เจตยิ า–
คิรีวหิ าร (ภทู อก) และท่านพระอาจารยส์ งิ ห์ทอง ธมมฺ วโร วดั ปา่ แก้วชุมพล ตา่ งถวายตวั เปน็ ศษิ ย์ของ
ท่านพระอาจารย์มนั่ ภูรทิ ตฺตมหาเถร ที่วัดปา่ หนองผือนาใน ท่านท้ังสามนบั เปน็ ศิษยร์ ุน่ สุดทา้ ยทท่ี นั
ท่านพระอาจารยม์ น่ั

ด้วยท่านท้ังสามมีอายุและพรรษาใกล้เคียงกันมาก โดยท่านพระอาจารย์วัน มีอายุพรรษา
มากกว่าทา่ นพระอาจารยจ์ วน และ ทา่ นพระอาจารยส์ ิงหท์ อง และตา่ งกเ็ คยได้รับความเมตตาอบรม
สั่งสอนจากท่านพระอาจารย์ม่ัน ท่านท้ังสามจึงเป็นเพ่ือนสหธรรมิกที่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกัน
รักใคร่กันมากไปไหนมาไหนมกั ไปด้วยกัน

ทา่ นพระอาจารย์จวนเคยปรารภว่า “อาตมาคงจะตายใกลๆ้ กบั ท่านพระอาจารย์วัน” และ
ทา่ นพระอาจารยส์ งิ หท์ องกบ็ อกวา่ “อาตมาจะตายพรอ้ มกบั หลวงตาโนน่ ” ทา่ นวา่ แลว้ กบ็ ยุ้ ใบช้ ไี้ ปทาง
ทา่ นพระอาจารยจ์ วน พลางหัวเราะ เปน็ ทท่ี ราบกันดใี นวงกรรมฐานและหมู่ศษิ ยว์ า่ ทา่ นพระอาจารย์

460

สิงห์ทองสนิทสนมใกล้ชิดและชอบหยอกล้อกับท่านพระอาจารย์จวนมากที่สุด เม่ือได้ยินท่านพูดกัน
เช่นนั้น ก็คิดว่าท่านได้พูดเล่น และท่านก็มรณภาพไปพร้อมกันจริงๆ ท้ังสามองค์คราวเครื่องบินตก
เมอื่ วันอาทติ ย์ท่ี ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓

คณุ หมออมรา มลลิ า ได้เมตตาเลา่ เร่อื งสหธรรมกิ ทง้ั ๓ องค์ ดงั นี้
“ท่านอาจารยจ์ วน กับ ท่านอาจารยส์ ิงหท์ อง อดตี ชาตคิ งตอ้ งเคยเป็นพีน่ ้องกนั มา แล้วก็ตาม
กันมา รวมหลวงปวู่ ันดว้ ย สามองค์น้ี ท่านจะไปไหนมาไหนดว้ ยกันอยู่เสมอ”

ท่านพระอาจารย์จวนกล่าวถึงหลวงปู่ม่ัน หลวงปู่ขาว

ท่านพระอาจารยเ์ ติมศกั ดิ์ ยตุ ฺตตธิ มโฺ ม ได้เมตตาเล่าเรอื่ งนี้ไว้ดงั น้ี
“หลวงปจู่ วนกลา่ วถงึ คณุ ธรรมของหลวงปมู่ นั่ หลวงปขู่ าว ทา่ นยกยอ่ งปฏปิ ทาหลวงปมู่ นั่ กค็ อื
“เสมอต้นเสมอปลาย คือเป็นตวั อยา่ งทด่ี ีแกล่ ูกศษิ ย”์ ปฏิปทาหลวงปู่ม่ันนี้ ท่านบอกวา่ “สดุ ๆ เลย”
สว่ นหลวงปูข่ าวนี้ “ท่านเปน็ พระทีเ่ มตตาธรรมสงู แต่ทา่ นมนี สิ ยั ทางโทสจริต”
หลวงปจู่ วนท่านเป็นเมตตานะ ทา่ นเมตตามาก ทา่ นไม่มโี ทสจริต ท่านไม่มนี ะ ท่านไมเ่ กบ็
อารมณ์นะหลวงปนู่ ะ หลวงปู่จะไม่คา้ งอารมณไ์ ว้นะ ท่านเป็นคนสบายๆ ท่านเป็นคนสบาย หลวงปู่
ท่านไมเ่ กบ็ อารมณ์ ท่านจะดไู ด้ วูบๆ วาบๆ แล้วทา่ นก็วางละ่ เออนะ”

หลวงปู่จวนชมหลวงปู่มั่นเป็นนักปราชญ์ ๘ เหลี่ยม

ทา่ นพระอาจารย์ถาวร อนตุ ตฺ โร ได้เมตตาเลา่ เร่ืองน้ีไว้ดังน้ี
“หลวงปู่จวนกล่าวถึงหลวงปู่ม่ัน อันน้ีท่านพูดบ่อยๆ ส่วนมากจะเป็น เรื่องข้อวัตรปฏิบัติ
ความเข้มงวด เรอื่ งระเบยี บวนิ ัย หลวงปูจ่ วนท่านวา่ “หลวงปู่มั่นท่านเปน็ นักปราชญ์ ๘ เหลย่ี ม”
ความหมายคอื รอบทศิ เลยนี่ ปัญญาหลวงปูม่ ่ันทา่ นไวมาก อยา่ งในประวตั ิ หลวงปู่มน่ั ทา่ นเดนิ จงกรมน่ี
นกบนิ อย่ใู นท้องฟ้ายงั คุยกันได้ หลวงป่มู ัน่ มีพลงั จติ วาระจิต ปรจติ ตวิชา ละเอียด คอื จติ ไว จิตละเอียด
๘ เหล่ยี ม คอื รอบหมดเลย เบือ้ งบน เบือ้ งลา่ งท่วั หมดเลย ครูบาอาจารยร์ นุ่ ไหน ไม่มีองคไ์ หนปฏิเสธ
หลวงปูม่ ่นั เลย เปน็ ทีย่ อมรบั ไมม่ ที ่ีตอิ ะไรเลยหลวงปูม่ ่ัน หลวงปู่จวนท่านกช็ มมาก ไม่มที ต่ี ิ”

ท่านพระอาจารย์จวนไปร่วมงานครบรอบวันเกิดหลวงปู่ขาวทุกปี

ทา่ นพระอาจารย์บญุ เลศิ เขมิโย ไดเ้ มตตาเล่าเรื่องน้ีไว้ดงั น้ี
“หลวงปู่ขาวครบรอบวันเกดิ นะ่ ไปทกุ ปี อาตมาไปกบั หลวงปู่จวนนะ ไปนอนวดั ถ้�ำกลองเพล
คนื หนงึ่ แลว้ กก็ ลับ ไปทุกปี รถกมิ ก่ายน่ะมารับ หลวงป่จู วนบางปกี เ็ ทศน์ บางปีก็ไมไ่ ดเ้ ทศน์ สว่ นมาก

461

จะไม่ได้เทศน์ หลวงปู่ถิรบ้านจิกเทศน”์

หลวงปู่สิงห์ทองกระโดดกอดหลวงปู่จวน – หลวงปู่จวนสอนพระ

ท่านพระอาจารย์เติมศักดิ์ ยุตตฺ ตธิ มโฺ ม ได้เมตตาเลา่ เร่ืองนี้ไว้ดังน้ี
“หลวงปจู่ วนพอไปหาหลวงปูส่ งิ ห์ทองน่ี ทา่ นสนิทกันมากเลย หลวงป่จู วนทา่ นไม่หยอกเยา้
หรอก แต่หลวงปู่สงิ ห์ทองเน่ยี หยอกเย้าหลวงปจู่ วนเน่ยี โห ! บางครัง้ บางทีเน่ยี ข้ึนกอดขีค่ อ ขก่ี นั เลย
อู้ย ! หลวงปู่สิงห์ทองทา่ นกลา้ ท�ำนะ่ โดดกอดคอเลย ทัง้ ทห่ี ลวงปจู่ วนท่านก็ไมไ่ ด้ท�ำนะ
แต่วา่ เรื่องธรรมะ หลวงปูส่ ิงห์ทองทา่ นเด็ดเดยี่ วมาก กับพระเณรนี่ ทา่ นไปแอบดทู �ำอะไรกัน
ถา้ ภาวนาท่านก็เฉย ถา้ ไมภ่ าวนา ไม่เดินจงกรมภาวนาน่ี ไปคุยกันเร่อื งไรส้ าระ โอ้ ! ไมไ่ ด้ ท่านดุน่ะ
ถ้าพระเณรไม่ภาวนาน่ี ปฏิปทาไมด่ ี ขีเ้ กียจภาวนาไมไ่ ด้ ทา่ นไลห่ นเี ลย แต่กับหม่คู ณะขา้ งนอกน่ี โอ้ !
เหมอื นกบั ทา่ นไมเ่ ปน็ อะไรเลยแหละ รกๆ เรก้ ๆ ฮา่ ๆๆ แตว่ า่ เวลาเขา้ ไปในวดั ทา่ น โอโ้ ห ! เปน็ คนละเรอื่ ง
ท่านไมแ่ สดงออกกับคนภายนอก แต่ถา้ ภายในวดั โอโ้ หย ! เพียบเลย พระเณรเพียบเร่ืองขอ้ วตั รปฏิบตั ิ
เร่อื งเทศนาธรรม ทา่ นสงู มาก สว่ นหลวงปจู่ วน ทา่ นก็เปน็ ปกติเฉยๆ เร่อื งปฏบิ ัตทิ า่ นไม่จีแ้ บบหลวงปู่
สิงหท์ อง แตท่ ่านเหน็ วา่ ไมเ่ ข้าทา่ คอื ไปผ่านเรดารท์ า่ น ท่านกเ็ ทศนเ์ ตอื น”

ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองและศิษย์ข้ึนภูทอก

ท่านพระอาจารยส์ ิงหท์ อง ธมมฺ วโร เทศนเ์ ลา่ เร่อื งท่านและศิษยข์ ึน้ ภทู อก ดังน้ี
“ปี พ.ศ. เท่าไร พวกอุดรฯ พวกหม่บู า้ นขาม พวกนี้เขาไปทอดผา้ ป่า เขามารบั ไป แต่วา่
ท่านอาจารยจ์ วน (ภทู อก) ในเบื้องตน้ คือมีคนมานมิ นต์ให้ไปมาหลายครั้งหลายหนนะ แต่ถึงวนั นัด
จริงจัง เขาก็ไม่ได้มารับ ก็เลยไม่ได้ไปสักที ตอนน้ันมันยังวิเวกอยู่ คนยังไม่ค่อยสนใจไปเท่ียว
เหมือนสมัยน้ี ไปกนั หลายคนั รถ ทางอุดรฯ ทางหมู่บ้านตา่ งๆ ไป
เณรมันก็น�ำเท่ียว (ภูทอก) คงจะนัดแนะเอาไว้ ว่าเรามันจะแค่ไหน คงจะคิดแบบนั้นมั้ง
ทา่ นอาจารยจ์ วนคงวางแผน วางแผนใหเ้ ณรนำ� เทยี่ ว พอไปถงึ เหวที่ลกึ ๆ มันกย็ นื ดนั เราอยนู่ นั่ แหละ
จะใหเ้ รากลวั หยึ ! (หลวงป่หู วั เราะ) ใครพากันวางแผนแบบนี้ เทย่ี วรอบไปรอบมา กเ็ ลยตอนนเ้ี ราก็
กลบั ลงมาพักขา้ งลา่ ง คนไปมาก
ตอนเช้าพวกนั้นก็ไป พวกหมูบ่ ้านขามน้นั ไป ไปเท่ยี ว พวกผู้หญงิ ผู้ชายหลายคน พวกทยี่ ัง
ไม่ไดข้ ้นึ เท่ยี วไปก็คุยกนั ไป เพลินเร่อื ยไป ไมไ่ ดด้ หู น้าดหู ลังอะไร พอเดนิ ไปไกลพอสมควร กถ็ ึง
คอ่ ยมองดูเหว สะพาน เขามองดมู ันเสยี วขาออ่ น รอ้ งไห้ จะกลับกก็ ลับไมไ่ ด้ จะไปข้างหน้าก็ไป
ไม่ไหว ต้องอาศยั คนอ่นื พยงุ ไป

462

เฮ้อ ! ขายหนา้ หลวงตาน่ีหว่า (หัวเราะ) คอื ว่าใจมันเสียวมันอ่อนแลว้ กข็ ามนั กอ็ อ่ นไปดว้ ย กเ็ ลย
เดินไม่ไหว ถา้ หากใจคดิ อยา่ งนน้ั ถอื ว่าไปธรรมดา มนั กไ็ ม่เป็นไร ทมี่ นั ก็กว้างสบาย กว้างพอสมควรอยู่
เท่ยี วรอบนั้น เม่ือปีกลาย – ปีซนื (กอ่ นปกี ลาย) น้ี กฐนิ ท่าน เขาก็มารบั ไป”

หลวงปู่สอน หลวงพ่อจันทร์เรียน เคยอยู่ภูทอก

ทา่ นพระอาจารย์ถาวร อนุตฺตโร ได้เมตตาเลา่ เรื่องนไ้ี วด้ ังนี้
“กม็ ีหลวงปสู่ อน อุตฺตรปญโฺ  องค์หนึ่งที่หลวงปจู่ วนท่านไปมาหาสู่กันตลอด แลว้ หลวงพอ่
จนั ทร์เรยี น คุณวโร (วัดถ�้ำสหายธรรมจันทร์นิมติ อำ� เภอหนองแสง จงั หวัดอดุ รธาน)ี ทา่ นกไ็ ปภทู อก
แตก่ ่อนก็หลวงพอ่ จันทรเ์ รียนดแู ลหลวงป่สู อนอยู่ ท่านจะเคารพหลวงปูส่ อนมาก แตไ่ มร่ ู้ท่านเกยี่ วขอ้ ง
อะไรกับหลวงปสู่ อน
หลวงปู่สอนน่ีเวลาชว่ งเข้าพรรษา ทา่ นจะกลับมาทางเมืองเลย วดั สวนกลว้ ย บา้ นหมากแข้ง
แตช่ ว่ งออกพรรษานี่ทา่ นจะไปอยู่กับหลวงปู่จวนทภ่ี ูทอก อยู่จนกอ่ นเขา้ พรรษา ช่วงทห่ี ลวงปู่สอนอยู่
หลวงพ่อจนั ทร์เรยี นท่านจะไปอยภู่ ทู อกเปน็ เดอื น แตท่ ่านไม่เคยจำ� พรรษา ท่านกค็ ุ้นกบั หลวงปู่จวน
หลวงพ่อจันทร์เรียนท่านเคารพหลวงปู่จวนมาก สมัยก่อนน่ีครูบาอาจารย์ท่านจะเคารพองค์ที่เป็น
อาวโุ สมาก ทา่ นจะไม่ค่อยแสดง ไมค่ ่อยเสนอ ไม่ค่อยอะไร”

หลวงปู่ผาง ปริปุณฺโณ กราบหลวงปู่ขาวและท่านพระอาจารย์จวน

หลวงปู่ผาง ปริปณุ โฺ ณ ทา่ นเปน็ พระธดุ งคกรรมฐานสายท่านพระอาจารยม์ ่นั อีกองค์หนงึ่ ท่ไี ด้
รับการยกย่องว่าเป็น “เพชรน�้ำหน่ึง” ท่านเคยอยู่ปฏิบัติธรรมร่วมกับหลวงปู่ขาว อนาลโย และ
ท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ โดยประวัติหลวงปผู่ าง ได้บันทกึ ไว้ดังน้ี

“พรรษาที่ ๖ พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้พักจำ� พรรษาท่ีวัดผดุงธรรม บ้านดงเย็น อำ� เภอบ้านดุง จังหวัด
อดุ รธานี หลงั จากออกพรรษาแลว้ ไดล้ าองค์หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโ ปลีกวเิ วกไปยงั จงั หวดั สกลนคร
ได้ไปพกั ปฏบิ ัตธิ รรมกบั หลวงปู่ฝน้ั อาจาโร ทอ่ี �ำเภอพรรณานคิ ม ตอ่ จากน้ันไดว้ ิเวกกลับมาที่อ�ำเภอ
สว่างแดนดิน เพื่อกราบนมสั การหลวงปพู่ ร สุมโน และได้พักอยูก่ ับหลวงปพู่ ร สมุ โน ระยะหนงึ่ จึงกลบั
ไปบา้ นดงเยน็ เพือ่ มากราบเย่ยี มหลวงปูพ่ รหม จริ ปญุ โฺ  ชึง่ เป็นครบู าอาจารยข์ องท่านเสมอมไิ ด้ลมื
และได้พกั ปรนนบิ ตั ิหลวงปู่พรหมระยะหนึ่ง จงึ ไดก้ ราบลาหลวงปู่พรหมออกวิเวกไปยงั อำ� เภอส่องดาว
จังหวัดสกลนคร กบั สามเณรโสกา เยน็ อารญั (ปจั จบุ นั ท่านไดอ้ ุปสมบทเป็นพระภิกษุทวี่ ัดโนนพอก
บา้ นดงเยน็ ) ณ สถานทแ่ี ห่งน้ี ได้พบกับหลวงป่ขู าว อนาลโย ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ 
หลวงปบู่ ญุ เพง็ เขมาภริ โต ทบี่ ้านนาไทรน้อย ไดพ้ กั อยู่ดว้ ยกนั เป็นเวลา ๑ อุโบสถ (ครึ่งเดอื น) โดย
หลวงปูผ่ าง เป็นผู้สวดพระปาฏโิ มกข์ถวายหลวงปูข่ าว อนาลโย ภายหลงั ท่านไดอ้ อกธดุ งคต์ ดิ ตาม
หลวงป่ขู าว มาปฏบิ ตั ิภาวนายังวัดถำ้� กลองเพล จงั หวดั หนองบัวล�ำภ”ู

463

หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต

หลวงปู่ผาง จติ ตฺ คุตโฺ ต วัดอดุ มคงคาคีรีเขต (ดูน) ตำ� บลนางาม อำ� เภอมัญจาคีรี จังหวดั
ขอนแก่น ทา่ นเป็นพระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารยม์ ่ัน ภรู ทิ ตโฺ ต ประเภท “เพชรน�ำ้ หนง่ึ ”
ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็น “พระอริยเจ้าผู้เป็นท่ีพ่ึงของเหล่าพวกกายทิพย์” ท่านมักรู้เรื่องอะไร
แปลกๆ ทตี่ าคนทว่ั ไปมองไม่เหน็ คอื ท่านมีตาทิพย์

หลวงปู่ผาง ท่านมีอายุมากกว่าท่านพระอาจารย์วัน ท่านพระอาจารย์จวน เกือบย่ีสิบปี
ทา่ นอปุ สมบทในฝ่ายมหานิกาย ๓ คร้งั และได้ญัตตเิ ป็นพระฝา่ ยธรรมยุตในปี พ.ศ. ๒๔๙๑ ทา่ นจึงมี
พรรษาน้อยกว่าท่านพระอาจารย์วัน ท่านพระอาจารย์จวน

เม่ือทางวดั มีงานสำ� คัญตา่ งๆ กไ็ ดอ้ าราธนานิมนตค์ รบู าอาจารย์มารว่ มในงาน ดังเชน่ งานสวด
เจริญพระพุทธมนตส์ รา้ งเหรียญและพระกรง่ิ หลวงปูผ่ าง ในเดือนกมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๙ ทางวัดกไ็ ด้
นิมนตท์ า่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ท่านก็เดนิ ทางไปรว่ มสวดในงานดงั กล่าว

หลวงป่ผู าง ทา่ นเปน็ พระมหาเถระอกี องค์หนึ่งที่พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู ัวใหค้ วามเคารพ
โดยมีเหตุการณ์คร้ังส�ำคญั ดงั น้ี

ในวนั เสาร์ท่ี ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๐ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู ัว สมเดจ็ พระนางเจ้าฯ
พระบรมราชนิ ีนาถ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สมเดจ็ พระเจ้าลูกเธอ
เจา้ ฟ้าจุฬาภรณวลยั ลกั ษณ์ฯ เสดจ็ พระราชดำ� เนินพร้อมกันท้ัง ๕ พระองค์ เพ่อื ปิดทองฝงั ลกู นมิ ติ
พระอุโบสถ วัดป่าธรรมวิเวก และเททองสร้างรูปเหมือนหลวงปู่ผาง โดยในวันนั้นหลวงปู่ผางได้
เดินทางมารบั เสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวดว้ ย นบั ได้วา่ เป็นเกียรตปิ ระวัติครงั้ ส�ำคญั ย่ิงของชาว
อ�ำเภอชนบท คณะศิษยานศุ ิษย์ของหลวงปผู่ าง และชาวจังหวัดขอนแกน่ ท้ังมวล

และตอ่ มาเมือ่ วันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ อนั เป็นวันงานพระราชพิธบี ำ� เพญ็ พระราชกุศล
ในวโรกาสครบรอบ ๓๐ ปี วันบรมราชาภิเษกสมรส ซึ่งคณาจารย์พระกรรมฐานประสบอุบัติเหตุ
ดว้ ยเคร่ืองบินตกมรณภาพพร้อมกัน ทางส�ำนักพระราชวังก็มีฎีกานิมนต์หลวงปู่ผางมาร่วมงานด้วย
แต่ท่านไม่ไดม้ าร่วมงานดงั กลา่ ว

หลวงปู่ลีสนิทสนมกับท่านพระอาจารย์จวน

ทา่ นพระอาจารย์อทุ าน จารุธมฺโม วดั ป่าภผู าแดง ไดเ้ มตตาเล่าเร่ืองทา่ นพระอาจารยจ์ วน
กลุ เชฏโฺ  สนิทสนมกบั หลวงป่ลู ี กุสลธโร ไวด้ งั นี้

464

“หลวงปู่ลที า่ นเลา่ สู่อาตมาฟงั ตอนไปอยู่กับหลวงปจู่ วนทภ่ี ูทอกน่ี หลวงป่จู วนบอกใหเ้ ณรไป
เอาน�้ำผงึ้ แทท้ ่รี งั มนั หลวงปู่จวนก็พูดกับเณรว่า “เฮย้ ! ไปเอานำ้� ผ้ึงมาใหธ้ รรมลีกนิ หน่อย ตอ่ ไปธรรมลี
จะไม่ได้กินนะ” หลวงปลู่ กี ็ไปกบั เณร ไปดวู ธิ เี อานำ้� ผึง้ จากรงั ท่านว่า “อยไู่ ส (อยไู่ หน)” เณรว่า “อยรู่ ัง”
“ฮ่วย ! ใหไ้ ปนำ� แหน่ (ขอไปด้วยสิ)” ทีนไี้ ปกไ็ ป ไปถึงเณรกบ็ อกผึง้ “ขอน�้ำผ้งึ ให้ทา่ นอาจารยห์ น่อย”
แลว้ กเ็ อาไมอ้ อ้ ไปแหย่ ไมอ้ อ้ ปลอ้ งมนั ทะลุ เขาจะตดั ปลายมนั เอาไปแหยใ่ สร่ งั มนั คลา้ ยเอาหลอดกาแฟ
ไปเสยี บรงั มนั แหยๆ่ ตรงหวั นำ�้ หวาน นำ้� ผงึ้ มนั กไ็ หลลงมา เอาใสข่ วด ใสจ่ อกบา้ ง เอาๆ ไมไ่ ดเ้ อาหมดนะ
พระเราบอกวา่ จะเอาครง่ึ หนงึ่ เรากบ็ อกวา่ เอาครง่ึ หนง่ึ นะ เอาตามความสตั ยค์ วามจรงิ มนั กไ็ หลลงมา
พอไดค้ ร่งึ หน่ึงเรากห็ ยดุ แล้วก็ดงึ ไมอ้ อก “โอ้ ! อร่อย” ท่านวา่ “นำ้� ผงึ้ แท้ โอ้ย ! กินจากรังเลย”

สมยั หลวงปลู่ ที า่ นไปอยกู่ ับท่านอาจารยจ์ วน แต่ท่านไมไ่ ด้บอกวา่ อยนู่ านไม่นาน ทา่ นไม่ได้
พดู ท่านกพ็ ดู กินนำ้� ผง้ึ แท้ อยู่กับท่านอาจารย์จวนสบายดี ทัง้ สององค์ท่านสนิทสนมกัน ต้ังแตส่ มัยอยู่
ภทู อกนะ ท่านอาจารย์จวน ทา่ นอาจารยว์ นั นัน่ นา หลวงปลู่ ีท่านก็ไม่ไดเ้ ลา่ อะไร ท่านกพ็ ดู เรอื่ งน�้ำผึ้ง
ทห่ี ลวงปูจ่ วนสั่งให้เณรไปเอาที่รังผ้ึง หลวงป่ลู ที ่านไปอยู่กภ็ าวนาทน่ี ่ัน จากน้นั ทา่ นก็ไปถ�้ำบชู า ไปภวู วั

น้ีหลวงปลู่ ที า่ นเลา่ เองไปอยกู่ ับหลวงปู่จวน หลวงปู่จวนก็สงเคราะห์ท่านนะ “อาจารย์ลีนี่ๆ”
ปีท่ที า่ นไปอยู่ โอ๊ย ! มันล�ำบาก อยู่ภทู อกนั่นลำ� บากมาก สมัยหลวงปูล่ ีอยู่ ไมไ่ ด้เหมอื นทกุ วันนี้”

หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม เทศน์ถึงท่านพระอาจารย์จวน

หลวงปทู่ องพลู สริ กิ าโม กบั หลวงปจู่ วน กลุ เชฏโฺ  ทา่ นทง้ั สองไดร้ จู้ กั คนุ้ เคยกนั มาตง้ั แต่
สมยั หลวงปจู่ วนยังอยวู่ ดั ดงหมอ้ ทองแล้ว เวลาหลวงปจู่ วนจะเดินทางไปเย่ียมบา้ นของทา่ นทจี่ ังหวัด
อบุ ลราชธานี ไมว่ า่ ไปหรอื กลับ ทา่ นจะแวะพักทวี่ ัดศรีไพรวลั ยก์ บั หลวงปทู่ องพูลเปน็ ประจ�ำ

เมอื่ อาจารย์ทงั้ ๒ มาอยู่ทบ่ี งึ กาฬแล้ว กไ็ ด้ไปมาหาสูก่ นั เสมอ ในระหวา่ งทหี่ ลวงปทู่ องพูลก�ำลงั
สร้างวัดใหม่ๆ หลวงปจู่ วนท่านกแ็ วะเวียนมาพกั ใหค้ �ำแนะนำ� ใหก้ �ำลังใจ โดยเฉพาะโครงการกอ่ สรา้ ง
ท่ีวัดภูกระแต คราวสำ� คัญๆ ทา่ นได้มีสว่ นร่วมให้ค�ำปรึกษาแนะน�ำ ช่วยเหลือเกอื บทกุ ๆ ครง้ั เชน่ การ
สรา้ งศาลา สร้างสะพานขา้ มหนองบัว สร้างถนนไปบ้านค�ำไผ่ ทำ� ร้ัวรอบวัด สรา้ งอุโบสถ เป็นต้น

• หลวงปู่จวนและหลวงปู่หลุย เกิดในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช

หลวงปู่ทองพูล สิรกิ าโม ได้เมตตาเล่าเร่อื งนี้ไวด้ ังน้ี
“พระเรียนถามหลวงปู่ทองพูลอีกว่า “พระรุ่นเก่าท่ีเป็นศิษย์หลวงปู่ม่ัน ที่เคยเกิดประเทศ
อินเดีย มาเกดิ บนแผน่ ดินไทย มีบ้างไหม ? มีท่านรูปใดบา้ ง ?”
ทา่ นบอกว่า “มีส”ิ ในคราวท่ไี ปประเทศอินเดียกนั หลวงปูห่ ลยุ จนทฺ สาโร หลวงปู่จวน ถูก
พวกแขกลักขโมยถุงย่าม เราก็ไปในคร้ังนัน้ ไปเดินจงกรมทลี่ านเจดีย์ เดินไปประมาณชว่ั โมง ลงมาน่ัง

465

ประมาณ ๔๐ นาที หลวงปหู่ ลยุ จนทฺ สาโร ท่านเรียกหลวงป่จู วนเข้ามาหา กล่าวขึ้นว่า “ทา่ นจวน !
ท่านรหู้ รือไมว่ า่ เราเคยมาสรา้ งเจดยี ์น้ี สมัยพระเจา้ อโศกมหาราช กะเกณฑ์ใหพ้ วกชาวบา้ นชาวช่อง
เอากอ้ นหินทราย พวกเราได้มาขนหนิ ชว่ ยพระเจ้าอโศกสร้างเจดยี ์นี้ พวกเรา ๒ คนลกั ขโมยของแขก
แขกมันถึงได้มาลกั ขโมยยา่ มของเรา ก็พวกเราไปขีล้ ักขขี้ โมยของเขาก่อน

เราเคยเกดิ เคยตายอยอู่ ินเดียนะ เคยสร้างเจดยี ์อยู่ ๕ เจดยี ์ เจดยี พ์ ระพุทธเจา้ อยู่ตรงกลาง
ของพระโมคคัลลานะอยทู่ างน้ี พระสารบี ตุ รอยตู่ รงนี้ พระโมคคลั ลบี ุตรตสิ สเถระอยทู่ างนี้ พระนาง
สงั ฆมิตตาเถรลี งมา ข้างเจดยี ใ์ หญ่ ๕ เจดยี ์ มันเรียงกันลงมา เปน็ ๔ ทิศ เจดีย์ใหญ่ คล้ายๆ เจดยี ์
นครปฐม มันเป็นสถปู ลงมา เดนิ วนขึ้นไปได้ มที างเดินจงกรม ขา้ งบนข้นึ ไปตามเจดีย์”

หลวงปู่หลยุ ความรู้ภายในทา่ นเรว็ ทา่ นนัง่ เคี้ยวหมาก ตา่ งคนต่างน่งั นัง่ อยูเ่ มืองพาราณสี
ประมาณ ๒ ช่วั โมง นง่ั อยูใ่ นเจดีย์ ยาม (ขณะ) เขาลงไปกนิ ข้าว พระเรากเ็ ขา้ ไปน่งั สมาธิ จติ สงบเร็ว”

• หลวงปู่ทองพูลเล่าเร่ืองภูทอก

หลวงปูท่ องพูล สิรกิ าโม ไดเ้ มตตาเล่าเร่ืองภูทอก การสรา้ งสะพานภูทอก ไว้ดงั น้ี
“พออยู่ไปกเ็ ริ่มพฒั นา เรือ่ งท�ำสะพานก็ท�ำไปเร่ือย คนเกง่ มากมายเข้ามาช่วยกนั เรมิ่ มีผ้าป่า
เข้ามาทอดถวาย เร่ิมสรา้ งแท็งกน์ ำ้� ดา้ นบน ท่านจา้ งคนขนซเี มนตข์ นึ้ กระสอบละ ๕ บาท เขามัดใส่เอว
เอาข้ึนไปบนภทู อก
ในแต่ละปีก็มีป่าเขาให้เท่ียววิเวก เป็นท่ีเพลิดเพลินใจ พระกรรมฐานส่วนใหญ่ก็เหมือนภมร
มักบนิ ร่อนไปหาช่อดอกไม้ พระปา่ กม็ กั บินเข้าป่า เพอ่ื หาส่ิงที่เปน็ คณุ ปา่ เปน็ ป่าแท้ เดินไปในกลางวนั
แทบมองไม่เห็นแสงแดด ไม้ขีดจุดไฟจุดยังไงก็ไม่ติด ชื้นตลอดท้ังปี ดงหม้อทอง ดงพระเจ้าก็
เช่นเดียวกนั ”
พระเรียนถามทา่ นอกี ว่า “หลวงพ่อมอี าการไข้ป่าปางตายเหมอื นองคอ์ ื่นบา้ งไหม ?”
ท่านตอบว่า “เราเป็นไข้หนักจนผมบนหวั แทบไมเ่ หลอื หลวงป่มู า (หลวงปบู่ ญุ มา คมฺภรี ธมโฺ ม
วัดปา่ สีห์พนม อ�ำเภอสวา่ งแดนดิน จังหวัดสกลนคร) หลวงปู่สอน อุตฺตรปญฺโ ก็เหมือนกัน สรุปคือ
เป็นไขท้ ุกรปู ไขจ้ นกระทง่ั นอนดูกนั เอง เพราะไม่มใี ครจะมาเหลียวแล คนป่วยดคู นป่วย กินผลหมาก
รากไม้อยู่ในป่า ยารักษา คือ ต้มนางพญามือเหล็ก ต้มให้มีควัน ต้นควินิน เคี่ยวลงน�้ำ ๓ ส่วน
ต้มรอ้ นๆ ซด อาการไขก้ ็ทุเลา ไข้มาลาเรยี เหมือนจะหายแตไ่ ม่หาย มันจะเลอ่ื นไปเรอ่ื ยๆ จากเวลาเชา้
มาใกลเ้ ที่ยง จากใกล้เที่ยงไปคำ่� มนั คอ่ ยลดมาเรอื่ ย จนกว่าจะหาย ต้นควนิ ินเอามาจากวัดปา่ สุทธาวาส
หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ท่านเอามาปลูกไว้ เป็นควินินพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ วัดทุกวัดต้องเอาควินินจาก
วัดปา่ สทุ ธาวาส”

466

พระเรียนถามทา่ นวา่ “หลวงพอ่ เวลาเจอชา้ งทำ� อย่างไร เคยโดนมันทำ� อะไรสักครงั้ ไหม ?”
ท่านตอบวา่ “ถา้ เราเจอช้างกจ็ งเปดิ ฝากาน้�ำ แลว้ เอาฝาเคาะตัวกาน�้ำใหเ้ กิดเสียงดงั ๆ ถ่ีๆ แรงๆ
เจอเสอื ก็ท�ำเหมอื นกัน สัตว์ปา่ มันรจู้ กั พระ มันไมท่ �ำอะไรนะ เสอื จดั เปน็ สัตว์นกั ล่าที่มีความสง่างาม
ในตวั เองและดนู า่ เกรงขาม แต่ในขณะเดียวกันก็เกดิ ความหวาดหว่นั เกรงขามในพละก�ำลังและอ�ำนาจ
ภายในตัวของพวกมนั
ตอนเช้าทภี่ ทู อก เราออกบิณฑบาต กม็ าเจอชา้ ง เอาฝาบาตรเคาะใหม้ เี สียง มันก็เหลยี วหา
มองหนา้ มองหลงั แล้วมนั ก็ไป ต้องให้สัญญาณมัน ชา้ ง เสอื ธรรมดามนั กก็ ลวั คนอยู่แลว้ เสอื แม่ลกู ออ่ น
ช้างแมล่ ูกออ่ นอนั ตราย ตอ้ งระวงั ไว้อยา่ เข้าไปใกล้ เสอื ตัวผู้ต้องใหส้ ญั ญาณมัน ถา้ ไม่มีอะไรก็เป่ามอื
เปา่ เหมอื นพรานชา้ งเขาเปา่ มนั กก็ ลวั ชา้ งตวั ใหญม่ นั ชนกฏุ เิ ณรจนพลกิ กลบั ดา้ น กฏุ ติ งั้ อยบู่ นพลาญหนิ
เอาเครือหวายมัดให้แน่น เณรกลัวจนข้ีเยี่ยวแตก ช้างนับเป็นสัตว์บกท่ีมีขนาดใหญ่ท่ีสุดในปัจจุบัน
ใช้เวลาการต้ังครรภ์ถึง ๒๒ เดือน ซ่ึงนับว่านานที่สุดในบรรดาสัตว์บกทุกชนิด บางทีมันไปกินของ
ชาวบ้านชาวสวน เขาเป่าโหวดไล่ มันก็กลัว ช้างมันกลัวพวกควาญช้างไปไล่คล้อง สมัยก่อนเขา
ไมย่ ิงช้าง พวกยิงชา้ งฆ่าช้างเปน็ บาปทนั ตาเห็น ชา้ งเปน็ สตั วม์ ีคุณ
มตี าคนหนึ่งอย่บู ้านดอนเสียดเปน็ นักลา่ ช้าง เด๋ยี วนกี้ เ็ ลยกลายเป็นคนเบลอๆ ไป ลูกออกมา
ก็เปน็ คนป้�ำๆ เปอ๋ ๆ ความเปน็ มาเปน็ ไปท่แี กจะไดก้ ลายมาเป็นพรานชา้ งบา้ นดอนเสยี ด คือ แกไป
ปลกู ขา้ วทไี่ ร่ เกยี่ วขา้ วแลว้ เอามาไวใ้ นชะลอมมงุ เทบิ ไว้ (คลมุ ปดิ ไวพ้ อกนั แดดกนั ลมได)้ เชญิ ญาตพิ นี่ อ้ ง
ในไรม่ าลงแขก เอาชาวบา้ นไปหาบไดข้ ้าวมากปนี ัน้
พอตกกลางคืนช้างมาเอาขา้ วไปกนิ จนเกลย้ี ง ต้งั แตบ่ ัดน้นั แกจึงโกรธ ต้ังปฏิญาณไวว้ า่ “กจู ะ
ตามฆ่าชา้ งฝงู น้ีให้จงได้” แกตามหาช้างจากภวู ัวถึงถ้�ำจันทน์ ไลช่ ้างบ้านไทขา่ ตามไปฆา่ ชา้ ง ช้างมนั
ก็ล่องไปเรอื่ ย ลดั ขา้ มดงป่าไป ไมเ่ จอก็กลับลงมาอีก เลยไมไ่ ด้ฆ่ามัน อาฆาตกนั ... พวกคล้องชา้ งไลช่ ้าง
ไปเข้าคอก แลว้ คลอ้ งเอาเหมอื นคล้องววั ควาย คลอ้ งไดแ้ ลว้ ก็เอามาฝึกๆ ไดแ้ ลว้ กเ็ อาไปตที ะเบียนที่
อำ� เภอ ได้ก่ีตวั เอาไปเสยี ภาษีซะกอ่ น
พวกพรานผ้งึ ต้องไปหาดผู ึ้งตามถ�้ำ ถ�้ำน้ีมกี ่ีรัง ๒๐ – ๓๐ หรอื ๑๐๐ ไปดซู ะกอ่ น แล้วค่อยไป
เสยี ภาษี อยู่ถ�ำ้ บูชามเี ยอะมาก กว่า ๘๐๐ รงั จบั เป็นตบั ๆ ตามหนา้ ผา ใช้ไม้แหยๆ่ เฉยๆ ก็ได้ เม่อื ก่อน
เยอะมาก ภูทอกกม็ ีกว่า ๓๐ รงั ภูทอกอากาศชนื้ กไ็ ปส�ำรวจดกู ่อน ทง้ั เสอื ทัง้ จงอาง ไปส�ำรวจแลว้ ก็
ลงมา หนทางจะไปยงั ไงๆ อาศัยเครอื ต้นไฮทีห่ ย่อนลงมา กเ็ อาไมไ้ ปมดั ใส่เครอื ต้นไฮ ไมท้ ี่มนั ยอ้ ยลงมา
ก็เหมือนบันไดลงิ ไต่หาช่องข้นึ เอาเครือมดั ซะก่อน เครือก็ตอ้ งเป็นคนชำ� นาญหาเครือ เครือเขาปอกกบั
เครอื แสนพนั เครือเขาปอกเหนยี วกว่า ทบุ ๆ แลว้ เอามาแช่น้�ำไว้ หลวงป่คู �ำตัน ติ ธมฺโม ช�ำนาญวิธมี ัด
ทา่ นเคยท�ำกฏุ โิ ดยใชเ้ ครือเขาปอกมัด ไม่มกี ารตตี ะปู

467

หลวงปคู่ �ำตนั ท่านเปน็ คนอำ� เภอคำ� ชะอี มคี รอบมีครวั แลว้ เมียท่านตาย ก็เลยไปเขา้ นาคกับ
หลวงตามหาบัว าณสมฺปนฺโน วัดป่าบ้านตาด ท่านมีลูกสาว ๒ คน ท่านเป็นคนพูดจาไพเราะ
ท่านรู้จักวธิ ที �ำเชอื กจากเครือไม้ ใชเ้ ครือน้นั เครือนม้ี ามดั ทา่ นเปน็ ช่างมดั มดั แลว้ โยกไปโยกมา มนั ก็
เคลอื่ นไมไ่ ด้ หามไปต้ังได้ จะใชอ้ ะไรไปผลักไปไสก็ไมเ่ คลื่อน ช่วงแรกที่พวกเราไปสรา้ งภูทอก หลวงปู่
คำ� ตนั ท่านก็มาชว่ ยไปท�ำเพงิ พักหนา้ ศาลา สมัยกอ่ นใชพ้ ระถาก ไม่มีไฟฟา้ ใช้เทียนไข เครือ่ งเจาะก็ไม่มี
เจาะหนิ กค็ นตอกปอ๊ กๆๆ”

พระเรียนถามท่านว่า “สะพานลอยฟา้ รอบภูทอก สร้างกนั อย่างไร ?”
ท่านตอบวา่ “ทำ� อย่างน้ี คอื ตอกเสาให้มนั ดซี ะก่อน ตอกให้แนน่ ทำ� คอกไว้ ป้องกนั ไมใ่ หต้ ก
ตอกแน่นตวั นี้ ก็เลอื่ นไปเรื่อย อาศยั ตวั เก่า แล้วกเ็ จาะไปทางนี้ เวลาแนน่ กเ็ ล่อื นไปเรอ่ื ย ขยับไปเรื่อย
ท�ำอยู่ ๒ ปี จึงสำ� เร็จ ฉันจงั หนั แล้วทา่ นหลวงปจู่ วนสะพายถุงหมากน�ำหนา้ ออกไปท�ำงานก่อนแลว้ ”

• หลวงปู่ทองพูลชมท่านพระอาจารย์จวนมากด้วยปัญญาและบุญกิริยา

หลวงปู่ทองพลู สริ กิ าโม เจ้าอาวาสวัดสามัคคอี ปุ ถมั ภ์ (ภกู ระแต) จังหวดั บงึ กาฬ หนง่ึ ในพระ
ผรู้ ่วมบกุ เบิกภูทอกกบั ท่านพระอาจารยจ์ วน มศี ิษย์ถามถงึ ท่านพระอาจารยจ์ วน ทา่ นไดต้ อบเบาๆ ว่า

“มากด้วยปญั ญาและบญุ กริ ิยา” 
ทา่ นย้ิมและไม่พูดอะไรอกี ค�ำว่า “มากด้วยปัญญา” หมายถงึ ฉลาดล้�ำเลิศ ส่วน “บุญกิริยา”
หมายถึง บญุ กิรยิ าวัตถุ ๑๐ หลวงปทู่ องพูล ท่านสอน
“ให้หม่ันท�ำบุญบอ่ ยๆ คอ่ ยๆ สะสมไป พระพุทธเจา้ สอนไวว้ ่าให้ท�ำบญุ ๑๐ อย่าง”

หลวงปู่แสวง อมโร ติดตามหลวงปู่จวนออกธุดงค์

หลวงปู่แสวง อมโร วดั ปา่ ชยั วารินทร์ อ�ำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแกน่ ไดเ้ มตตาเลา่ เรื่อง
ทา่ นพระอาจารย์จวน กลุ เชฏโฺ  พาเดนิ ธุดงค์ และเรื่องสรา้ งสะพานไมร้ อบภูทอก ดงั นี้

“สมยั กอ่ นทา่ นพระอาจารยจ์ วนพาเขา้ ปา่ เข้าเขารกชัฏ เดินบณิ ฑบาตไป ขาไปกม็ องไม่เหน็
เสอื เวลาเดินกลบั มาจากบณิ ฑบาตเห็นรอยเทา้ เสือ เสือมันเดนิ ตามเราอย่ทู กุ วัน

เม่ือก่อนไข้มาลาเรียมันเยอะ อะไรจะฉันมันก็ไม่มี หยูกยาก็ไม่มี เดินธุดงค์ที่บึงกาฬอยู่
๗ วัน ๗ คนื ขอโทษนะน�้ำจะฉันมนั กไ็ มม่ ี ตอ้ งปสั สาวะกินไปแทนน้�ำ ทุกขแ์ สนสาหัสมาก มแี ต่ช้าง
แต่สัตว์ป่า เวลานอนก็นอนใครนอนมัน แยกย้ายไป มีแต่พิจารณาความตาย ตายในการ
ปฏิบัตธิ รรมมันเป็นนักรบท่ีแทจ้ รงิ ประเสริฐนัก ช่วงนนั้ ทา่ นพระอาจารยจ์ วนเปน็ ไข้ปา่ เราตอ้ งไป
หามท่านอยู่ ๓ กโิ ลฯ หามท่านลงมาจากเขา อย่างไรกต็ ้องหามทา่ นลงมาใหไ้ ด้ ไมอ่ ย่างน้ันท่านอาจ

468

ตายได้ ท่านพระอาจารย์จวนท่านถึงรักเรา เดินธุดงค์จากศรีวิไล ไปบึงกาฬ สมัยก่อนมันนานนะ
มันไกล ไม่เหมือนสมัยปัจจุบัน นง่ั รถจากกรุงเทพฯ ไม่ก่ชี ่วั โมงก็มาถงึ แล้ว มันรวดเรว็ ไปหมด”

พระศิษย์เล่าประสบการณ์ช้างท่ีภูวัวให้หลวงปู่จวนฟัง

ท่านพระอาจารยบ์ ุญเลิศ เขมโิ ย ไดเ้ มตตาเลา่ เรื่องนไ้ี วด้ ังนี้
“หลวงพอ่ แสวง บา้ นไผ่นี่ วัดป่าชัยวารนิ ทร์ หมากไฟ (มะไฟ) มนั สกุ เนาะ ไปหาเก็บหมากไฟ
อาตมาก็เลยวา่ “โอ๊ย ! อย่าไปพูดนะว่ะ มนั กนิ ไดห้ มดเลยนะ ช้างน่ีวะ่ ” “โอ๊ย !” ท่านวา่ “ผมอยากดู
มนั อยู”่ วา่ งน้ั “ฮ่วย ! ตอนช้างมามนั จก (ล้วง) กนิ ถงั มันเหยียบแบนเลยนะถงั ” ชา้ งมากินหมากไฟ
กินหมดเลยแหละ มาพดู ให้หลวงปจู่ วนฟัง หลวงปู่จวนวา่ “โหย ! ว่าซนั่ (ว่างั้น) ไปพดู เขาอยา่ งนน้ั
เขาก็ดี เขาไม่พงั กุฏทิ ้งิ ”
หลวงปูจ่ วนอยู่ภูทอกน้ี ท่านไปอยูภ่ วู วั เนาะ โห ! ช้างภูวัวแตไ่ หนแต่ไรมา เท่าๆ ทกุ วนั นแ้ี หละ
เออ ! แสนรนู้ ะ รคู้ วามคดิ ด้วย พอพระอยากเห็นนี่ มนั จะมาใหเ้ หน็ เลยนะ พดู กนั อยู่อย่างนแ้ี ล้ว มันจะ
มาใหเ้ ห็นเลยนะ ช้างโขลงใหญ่นะ มนั ก็ไมม่ ากหรอก สิบกวา่ เชอื ก ประมาณนนั้ ล่ะ”

หลวงปู่บุญพิน กตปุญฺโ จ�ำพรรษากับท่านพระอาจารย์จวน

หลวงป่บู ุญพิน กตปุญฺโ วัดผาเทพนิมิต ตำ� บลนคิ มน้�ำอนู อำ� เภอนิคมนำ�้ อนู จงั หวัดสกลนคร
ในพรรษาที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๑๕) หลวงป่บู ญุ พินจำ� พรรษาท่ีวัดบ้านสานตม ปนี ห้ี ลวงปู่ชอบป่วยเป็น
อัมพฤกษ์ หมอจากโรงพยาบาลกรุงเทพฯ ได้นมิ นตห์ ลวงปูช่ อบขึ้นเคร่อื งไปรักษาทีก่ รุงเทพฯ พรรษาน้ี
หลวงปบู่ ุญพินต้องเปน็ หัวหนา้ พาหม่คู ณะอยู่จ�ำพรรษา พอออกพรรษา ลาญาตโิ ยม มอบวดั ให้อาจารย์
ทิวา อาภากโร ดูแลแทน หลวงปู่ได้ออกธุดงค์กลบั มาทบี่ า้ นเกิดเพอ่ื ดแู ลโยมแม่ที่ป่วยอยู่

พอโยมแมห่ ายป่วยเป็นปกตแิ ล้ว ไดล้ าโยมแม่ออกธุดงคไ์ ปภทู อก เพื่อพบกับหลวงปู่ชอบทีม่ า
รกั ษาตวั อยกู่ บั หลวงปู่จวน ตอ่ มาหลวงปู่ชอบกลับไปวัดโคกมน หลวงปจู่ วนไดช้ วนหลวงปู่บญุ พิน
จ�ำพรรษาท่ีวดั ภทู อก ดงั นั้น พรรษาท่ี ๑๙ (พ.ศ. ๒๕๑๖) หลวงปบู่ ุญพนิ จ�ำพรรษาทภ่ี ูทอกกับหลวงปู่
จวน กุลเชฏฺโ ตลอดพรรษาได้ทำ� บันไดขนึ้ ภทู อก ในระหวา่ งพรรษามคี นื หนึ่งขณะที่ท�ำสมาธภิ าวนา
จติ สงบเกดิ นมิ ติ กอ้ นหนิ ตรงกฏุ ทิ หี่ ลวงปพู่ กั อยลู่ อยไปลอยมา จากนนั้ จติ ไดถ้ อนออกจากสมาธเิ ปน็ ปกติ
พอออกพรรษา บนั ไดท่ที ำ� ขนึ้ ภทู อกยังไม่เสร็จ หลวงปูจ่ วนได้พาญาติโยมเวยี นเทียนในวนั ออกพรรษา
พอรบั กฐนิ เสรจ็ ได้กราบลาหลวงปู่จวนไปหาอาจารยศ์ รนี วล ขนฺติธโร ท่ีวดั ศรรี ัตนนิมติ ร จงั หวดั
อุดรธานี

469

หลวงปู่ผาง โกสโล เล่าถึงหลวงปู่จวน

หลวงปผู่ าง โกสโล วัดภหู ินปนู ทา่ นบวชเมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ไดเ้ ข้าฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่
ค�ำตนั ติ ธมฺโม อยทู่ ี่วดั ปา่ ดานศรีสำ� ราญ อยู่ ๕ พรรษา จากน้ันจงึ ได้ออกวิเวกไปในที่ตา่ งๆ กอ่ นไป
ทา่ นเลา่ ว่า หลวงป่คู �ำตันก็หา้ มไมอ่ ยากให้ไปไหน อยากใหอ้ ยูภ่ าวนาเสยี ดว้ ยกนั ท่านว่าหลวงปู่ผาง
เคยเกดิ เปน็ ลกู ท่านอยใู่ นอดตี ชาติ หลวงปู่ผางได้เคยไปอบรมธรรมกบั หลวงปู่จวน กลุ เชฏโฺ  ทา่ นว่า
หลวงปจู่ วนเป็นพระท่ีดุดัน เอาจรงิ เอาจัง 

ท่านเลา่ วา่ สมยั หน่งึ หลวงปู่จวนมาเยี่ยมหลวงปคู่ �ำตัน มาก็ไมพ่ ูดอะไรกนั มองกันนง่ิ เงยี บ
ก่อนจากกป็ รารภธรรมกนั เพยี งไมก่ ่ธี รรม กเ็ ป็นทร่ี ้กู นั หลวงปู่ผาง ทา่ นสงสยั จงึ ได้กราบเรยี นไต่ถาม
หลวงปูจ่ วนได้ยินเขา้ จงึ ดุ “หา ! ของอย่างนถ้ี ามกนั ได้เหรอ ? อยากได้อยากรกู้ ็ปฏิบัตเิ องสิ ถา้ ถามกนั
แล้วได้ อย่างนีเ้ ขากเ็ ปน็ เศรษฐีกนั ทั่วโลกแล้วสิ”

หลวงปู่สรวง วรสุทฺโธ อยู่จ�ำพรรษากับท่านพระอาจารย์จวน

หลวงปู่สรวง วรสุทโฺ ธ เลา่ ถึงการอยู่จำ� พรรษาและการออกธุดงค์กบั ท่านพระอาจารย์จวน
โดยประวัติหลวงป่สู รวง ไดบ้ นั ทึกเรอ่ื งนี้ไวด้ ังน้ี

“ในระหว่างออกพรรษาของแตล่ ะปี ตง้ั แต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๒ หลวงป่สู รวงทา่ นจะออกเดนิ ธุดงค์
ไปหาครบู าอาจารย์ และติดตามท่านไปจนถึงช่วงใกลเ้ ขา้ พรรษาจึงเดินทางกลับ

การเดนิ ธดุ งคใ์ นสมยั นน้ั สว่ นมากหลวงปจู่ ะมคี รบู าอาจารยท์ รี่ ว่ มเดนิ ทางดว้ ยกนั รวม ๔ รปู คอื
ทา่ นพระอาจารย์จวน ทา่ นพระอาจารย์วัน ท่านพระอาจารย์ค�ำบุ และท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง
ส�ำหรบั ทา่ นพระอาจารยส์ ิงหท์ องน้นั ทา่ นไดพ้ าหลวงปู่เดินธุดงค์ไปดว้ ยกันโดยตลอด ในหนา้ แล้งของ
ทุกๆ ปี และในบางคร้งั ทา่ นก็เดนิ ธุดงคร์ ว่ มกบั ทา่ นพระอาจารยว์ ัน เพียง ๒ รูปเท่าน้ัน

ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๕๐๗ เป็นตน้ มา หลวงปู่จะจำ� พรรษาอยู่กับทา่ นพระอาจารย์จวนโดยตลอด
และในช่วงออกพรรษาทุกๆ ปี ท่านพระอาจารย์จวนก็จะพาเดินธุดงค์ไปในท่ีต่างๆ บางครั้งก็ให้ไป
องค์เดียว ตรงไหนผีดุๆ เข็ดๆ น่ากลัว ท่านพระอาจารย์จวนท่านมักจะพาไปแล้วก็ทิ้งให้อยู่คนเดียว
เพ่ือจะได้เป็นการฝึกตนทรมานกิเลสและสร้างขันติธรรม ซ่ึงหลวงปู่ก็มักจะได้ข้ออรรถข้อธรรมจาก
สถานทเ่ี หลา่ นนั้ มาเลา่ ถวายทา่ นพระอาจารยจ์ วนอยเู่ สมอๆ สว่ นมากแลว้ ทา่ นพระอาจารยจ์ วนจะบอก
ให้ไปอยู่ถ�้ำน้ัน ถ้�ำนี้ เขาลูกนั้น เขาลูกนี้ ตลอดเวลาท่ีร่วมเดินธุดงค์กัมมัฏฐานด้วยกัน แล้วจะ
นัดแนะกันว่าเดือนหนา้ ค่อยพบกันตรงนน้ั ตรงนี้ แล้วทา่ นกจ็ ะจากไป

ทา่ นพระอาจารย์จวนไม่ค่อยสอนธรรมะอะไรมากมาย สอนนดิ ๆ หนอ่ ยๆ ในบางเรือ่ งท่สี งสัย
และก็ให้ไปประพฤติปฏิบัติเอาเอง ส่วนมากจะให้ไปอยู่อบรมฟังธรรมะและศึกษาข้อวัตรปฏิบัติกับ
หลวงปขู่ าว อนาลโย ทีว่ ัดถ้�ำกลองเพล แทบทกุ ปใี นชว่ งออกพรรษาตลอดฤดูแล้ง พอใกล้เขา้ พรรษา

470

กก็ ลบั มาจำ� พรรษากบั ทา่ นพระอาจารย์จวน ทถ่ี ำ�้ จันทน์ อ�ำเภอบึงกาฬ เช่นเคย เหตเุ พราะหลวงปู่
ชอบอยูเ่ งยี บๆ ไม่ชอบความวุ่นวาย เพราะที่วดั ถ�้ำกลองเพลสมยั น้ันมพี ระเณรประมาณ ๔๐ – ๕๐ รูป
อีกทั้งแม่ชีด้วย จึงไม่เป็นที่สัปปายะส�ำหรับหลวงปู่ สมัยก่อนน้ันท่านพระอาจารย์จวนยังไม่ได้ขึ้นไป
อยูท่ ่ีภทู อก ท่านสรา้ งวดั อยู่ทีถ่ �้ำจนั ทน์ อำ� เภอบงึ กาฬ

ในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ท่านพระอาจารย์จวนชวนไปเทยี่ ววิเวกเทศน์โปรดญาตโิ ยมทเ่ี ขา้ กับพวก
คอมมิวนิสต์ท่ีบ้านสอ่ งดาว อยู่ชว่ ยเทศนาสง่ั สอนชาวบา้ นกบั ทา่ นพระอาจารย์วนั ท่ีบ้านส่องดาว จน
เป็นผลส�ำเร็จคือพวกท่ีเข้ากับคอมมิวนิสต์พากันกลับใจ จนภายหลังได้ก่อตั้งให้เป็นอ�ำเภอส่องดาว
ปรากฏมาจนเท่าปัจจุบนั น้ี อยู่ท่ีบ้านส่องดาวน้ันไมไ่ ดฉ้ นั ข้าวตง้ั ๓ วัน สบื เนอื่ งมาจากญาติโยมเข้าใจ
ว่า หลวงปู่ ทา่ นพระอาจารยว์ นั ทา่ นพระอาจารย์จวน พระ ๓ รปู น้เี ปน็ คอมมวิ นิสต์

หลวงป่กู ล่าวกบั ท่านพระอาจารยจ์ วนว่า “อยู่ก็ไมไ่ ดฉ้ ันขา้ ว เราควรจะปลีกหนีนะอาจารย์”
ท่านพระอาจารย์จวน กล่าวว่า “หนีไม่ได้ ต้องใช้หนี้เขาก่อน เราเป็นพระจะกลัวอะไร
ตอ้ งแสดงความบริสทุ ธิข์ องเราใหเ้ ขาเหน็ ”
คร้ันเวลาผ่านไป ๓ วัน ญาติโยมก็เข้าใจว่าพวกท่านเป็นพระแน่นอน จึงยอมใส่บาตรให้
หลงั จากไดท้ ำ� ความเข้าใจกันเปน็ ทเ่ี รียบร้อยแลว้ จงึ ได้ออกธดุ งคต์ อ่ ไป”

หลวงปู่จรัส ธมฺมธโร เล่าความสัมพันธ์ของหลวงปู่จวนกับหลวงปู่ทองพูล

หลวงปู่จรัส ธมฺมธโร (พระครูวิสุทธิธรรมโชติ) วัดดอยน้�ำตกพัฒนา หมู่ท่ี ๗ ต�ำบล
ทุง่ ก่อ อำ� เภอเวียงเชียงรุง้ จังหวดั เชียงราย เป็นศิษยผ์ หู้ นึ่งทีไ่ ดอ้ ยกู่ ับหลวงปูท่ องพูล ในยคุ เรม่ิ ตน้
ทา่ นได้เล่าวา่

“ได้มาอย่กู บั หลวงป่ทู องพูล ตง้ั แต่ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๐๗ ทา่ นอยเู่ พยี งรปู เดียว ทา่ นมีนสิ ัย
สมถะ ไมช่ อบขอ มอี ย่างใดกใ็ ชอ้ ยา่ งนั้น ท่านยินดีตามมตี ามได้ เป็นพระผู้สนั โดษเป็นอย่างยิง่ คือ ท่าน
ยนิ ดีพอใจในสงิ่ ทีม่ ีท่ีได้มาดว้ ยเรย่ี วแรง เป็นผู้ไม่เกนิ เลย คอื รู้จักพอเป็น อ่มิ เป็น และยังได้แบง่ ปนั สว่ น
ท่มี ีไปเอ้อื เฟ้อื ผอู้ นื่ ตามสมควร ดังคำ� กล่าวทว่ี ่า “รู้จกั พอกอ่ สขุ ทุกสถาน”

ปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๐๘ ผมกม็ าเป็นนาคกอ่ น พออย่แู ล้วทีแรกวา่ จะบวชคนเดยี ว แตก่ ็มีนาคเฒา่
คนหนง่ึ ชอื่ “พ่อหอม” มาจากบ้านค�ำไผ่ เปน็ คนู่ าคกัน หลวงปทู่ า่ นฝกึ นาคใหแ้ ล้วทา่ นไม่ยอมบวชให้
งา่ ยๆ จนกระทงั่ หลวงปู่จวนท่านลงมาจากภู ท่านก็วา่ “บวชซะ” พวกนาคถึงได้บวชกนั

หลวงปทู่ องพลู หน้าแลง้ ท่านจะไม่อยู่วดั ท่านออกธรรมยาตราไปเทศน์ธรรมทตู ทา่ นปลอ่ ย
ให้แต่พวกเราอยู่เฝ้าวัด ใกล้หน้าเข้าพรรษา ท่านถึงได้หันกลับมาวัดภูกระแต เม่ือองค์ท่านไม่อยู่
หลวงป่จู วนกล็ งจากภเู ขามาเทศน์มาอบรมพระแทน

471

ทแี รกหลวงปจู่ วนทา่ นออกจากถำ�้ จนั ทนใ์ หมๆ่ แลว้ ทา่ นขนึ้ ไปอยภู่ สู งิ ห์ ภกู ว่ิ พอทา่ นออกจาก
ภูกว่ิ แล้ว ท่านจึงปนี ขน้ึ ภวู วั หลวงปู่ทองพลู ชอบไปกับหลวงปจู่ วน ไปโนน่ นีน่ ่ันด้วยกนั ”

ท่านพระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต เทศน์ถึงท่านพระอาจารย์จวน

• เร่ืองกรรม เหตุท่ีเครื่องบินตก

(๒๑ มีนาคม ๒๕๔๑)
ฉะนั้น เราถึงท�ำของเรามา เราท�ำตามความจริงของเรา โลกไง ความเป็นสมมุติ ฉะนั้น
มันถึงว่าเวลาเกิดข้นึ มา อนั น้ีเปน็ วตั ถุ ร่างกายนี้เปน็ วตั ถุ เหน็ ไหม รถคว�่ำ รถคว�่ำไปแล้ว (ทา่ นอาจารย์
พระมหาบัวประสบอุบตั เิ หตรุ ถควำ่� เม่อื วันที่ ๑๗ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๔๑) แล้วอยา่ งนค้ี นจะคดิ กันมาก
แลว้ ดอู ย่างที่อาจารยจ์ วน อาจารยส์ ิงหท์ อง แลว้ อาจารย์วัน ตอนเครือ่ งบนิ ตก พระอรหนั ตไ์ ม่รหู้ รือ ?
พระอรหนั ต์ไม่ร้หู รือ ? ท�ำไมเปน็ อย่างน้ัน พระอรหันต์ไมร่ ้หู รือ ? อาจารย์มหาบวั เทศน์เลย เทศนใ์ น
งานศพของอาจารยส์ ิงหท์ องดว้ ย
“มนั เปน็ สมมตุ ิไง ลิงนี่ ใจของพระอรหันต์ไม่ใช่ใจของลิง เปน็ ใจท่มี ั่นคงแล้ว ใจของลิงน่กี ระโดด
เกาะไง ตัวเมียจะกระโดดเกาะ เกาะกง่ิ ...” กน็ กึ วา่ ไม้มันสดตลอด กพ็ ึง่ ไง หวงั จะพง่ึ คนอนื่ น่ใี จท่ีมัน
พึ่งตัวเองไม่ได้ ใจทเี่ ปน็ ลิง กระโดดไปกระโดดมา กระโดดไปเกาะเอาไมแ้ ห้งหลน่ ตุ๊บ แต่ใจพระอรหนั ต์
ไมใ่ ช่อย่างนน้ั อาจารยห์ ลายองคพ์ ูดแลว้ ไมอ่ ยากเอ่ยชอ่ื นัง่ บนเครอ่ื งบินเลย บางคนมนั เบือ่ บอกวา่
“เคร่ืองบนิ ตก”
“ตกซะๆ” ว่าอยา่ งนัน้ นะ
อาจารยพ์ ูดใหเ้ ราฟงั เอง ท่านน่ังเครอื่ งบนิ มา ตกๆๆ บอกให้ตกเลย ถ้าเป็นเรา ใครน่ังเครอื่ งบิน
อยากให้เคร่ืองบินตก ใครอยากตาย แต่มันจะตายด้วยตัวเองไม่ได้ไง เพราะกรรมมันมีอยู่ มันต้อง
เปน็ ไปตามความเปน็ จริง คนสรา้ งคุณงามความดมี ามนั ต้องเกื้อหนนุ ไป รถถา้ มีน�้ำมันอยู่ น้�ำมันตอ้ ง
ขับเคลื่อนรถน้ันแล่นไป จนกว่ารถน้ันน�้ำมันจะหมด เห็นไหม พระพุทธเจ้าถึงบอกพระสารีบุตรกับ
พระโมคคัลลานะ “ใหส้ มควรแกเ่ วลาของเธอเถิด”
ใหส้ มควรตามความเปน็ ธรรม ตามความสมควรแกเ่ ธอเถิด คอื น�้ำมนั ในถงั น้�ำมนั หมดเม่อื ไหร่
รถกจ็ อดตรงนน้ั จนกว่าน้ำ� มนั มนั จะหมดไปตามความเปน็ จรงิ ไม่ใชน่ ้�ำมันไมห่ มด ดบั เคร่อื ง เห็นไหม
นพี่ วกอุบตั ิเหตุ นำ้� มนั ไมห่ มดดับเคร่อื ง ฉะนัน้ มันกห็ มดเฉพาะชาตนิ ีเ้ ท่าน้นั นะ มันยังมกี รรมต่อเนอ่ื ง
กันไป
แตน่ ่ีไม่อย่างนัน้ หัวใจนี้ไมใ่ ช่ลงิ หวั ใจท่ีมน่ั คงจะมอี ะไรตน่ื เตน้ ฟ้าจะถลม่ ฟ้าจะทลาย สงคราม
จะเกดิ จิตนี้ไม่มีเผลอไง ฉะนน้ั ความตายถงึ ไม่มีความหมายไง เครื่องบินจะตกอะไรน่ี มันเป็นกรรม

472

แตห่ ัวใจนน้ั ไมต่ กใจ ไม่คลอนแคลน ไม่หว่ันไหว ไมอ่ าศัยภายนอก มันอาศยั ภายใน อาศัยธรรมของ
ตวั เองไง เวลามอี ะไรเกิดขึ้นมนั จะฟ่บุ ไม่มีออก ไม่ส่งออก มีแตเ่ อาเขา้ ของตวั เอง

ฉะนั้น ถงึ ว่าทา่ นไม่ตกใจ ท่านไม่มกี รรม ท่านไม่เสยี หาย ถึงจะเครือ่ งบนิ ตก ความตายของ
ครูบาอาจารย์ก็ไม่เสียหาย เพราะเผามาแล้วกระดูกเป็นพระธาตุไง แต่โลกมันบอกว่า โอ๋ย !
ทำ� คุณงามความดีมาขนาดนัน้ เปน็ ถึงพระอรหันต์นะ ท�ำไมต้องมาเครื่องบินตกตาย ? ท�ำไมไม่ตายแบบ
สวยๆ งามๆ เอาดอกกุหลาบถือไปด้วยไง เอาดอกกุหลาบมาวางไว้เต็มๆ แล้วก็ตายแบบน่ิมๆ ไง
ถือว่าเปน็ ผูท้ มี่ ีบญุ เขาวา่ อย่างนนั้ นะ ตายแบบคนมบี ุญไง

ตายแบบกรรม ตายแบบการส่ังสมมา แต่การกระท�ำท่ีเป็นธรรมขน้ึ มาในหวั ใจ อนั น้ันตา่ งหาก
มันสำ� คญั ตรงน้นั นะ พระพทุ ธเจา้ ถงึ ไดบ้ อกพระทงั้ หมดทเี่ ถยี งกันไง “อาสวักขยญาณ ญาณท่ปี ระเสรฐิ
ทีส่ ุด อาสวกั ขยฯ ไง การสิ้นกิเลส การท�ำลายกิเลสนั้นประเสรฐิ ท่ีสุด ไมม่ ญี าณ ไม่มวี ชิ าใดประเสริฐ
เทา่ กบั วชิ าการฆ่ากิเลสน้ี พอกเิ ลสสนิ้ สุด ตั้งแต่วันทก่ี เิ ลสสน้ิ แล้ว มนั ไมม่ อี ะไรตาย ความเป็นไป
มนั มไี ง”

• ธรรมะส่ือกัน

(๒๘ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๒)
ห้ามพดู นะ มันสงู ส่ง มันสงู มาก เอามาสือ่ กนั ไม่ได้ มรรคผลนพิ พานนีพ่ ดู ไม่ได้ พดู ไม่ได้ ท�ำไม
ครูบาอาจารย.์ .. เหน็ ไหม ในหยดนำ้� บนใบบัว อาจารย์มหาบวั ไปกราบหลวงปแู่ หวน จบั ไวบ้ นหัวเลย
ท�ำไมสื่อกันไมไ่ ด้ มนั ซ้งึ ขนาดนน้ั อาจารย์จวนไปถามหลวงป่ขู าว พอพดู เสรจ็ จับขาหลวงปู่ขาวลบู หวั
นะ ลบู หัวแล้วลูบหัวอกี ทงั้ ๆ ทธ่ี รรมะเสมอกัน แตค่ วามเคารพมนั ส่อื ออกมาด้วยธรรม อนั นนั้ มันซึ้งใจ
จบั เท้านีล่ ูบหวั ๆ เลย ท�ำไมจะสือ่ ไม่ได้ น่ันนะ่ สือ่ กนั น่ันน่ะธรรมะส่อื กนั ธรรมะส่ือกันถงึ เป็นธรรมไง
เราถงึ วา่ เราต้องเชือ่ ธรรม เช่อื ครบู าอาจารย์

• ท่านพ้นจากกิเลสแล้วยังท�ำประโยชน์กับโลก

(๕ สิงหาคม ๒๕๔๘)
จติ ของท่านพน้ จากกเิ ลส มนั ถงึ ไม่มสี มมุติท้งั หมด แตใ่ นเมือ่ ยงั มีธาตขุ นั ธ์อยู่ มธี าตุ คอื ยังมี
ชวี ิตอยู่ ขนั ธ์ คือ จติ ดวงนัน้ อาศยั สง่ิ นีด้ �ำรงธาตขุ นั ธ์ อยู่ดว้ ยวิหารธรรม รอแต่กาลเวลา เหน็ ไหม เวลา
ครบู าอาจารยข์ องเรา เวลาช�ำระกเิ ลส เหมอื นเชน่ อาจารย์จวน ท่านช�ำระกิเลสของทา่ นจนหมดแล้ว
ทา่ นยงั เปน็ สง่ิ ทเ่ี ปน็ ประโยชนก์ บั โลก ประโยชนก์ บั โลกนะ แมแ้ ตโ่ ลกวญิ ญาณเขายงั ไดผ้ ลประโยชน์
จากท่าน สิ่งที่เปน็ จติ วิญญาณนะ ครบู าอาจารย์ของเราเวลาประพฤติปฏบิ ตั ิขน้ึ มา สิง่ ทวี่ ่าจติ วิญญาณ
พวกเทวดา อนิ ทร์ พรหม เขาเหน็ ส่ิงน้ีนะ

473

เวลาองคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เทศน์ธมั มจักฯ ทำ� ไมเทวดาสง่ ขา่ วข้ึนไปเปน็ ช้ันๆ ละ่ ?
เพราะเขาดีใจกับส่ิงนไ้ี ง เขาดใี จว่าธรรมเกดิ แล้ว ธรรมเกิดแล้ว ธรรมโอสถเกิดขึน้ มาแลว้ เขาจะไดม้ ี
โอกาส เหน็ ไหม เขาไดม้ โี อกาสนะ ถา้ เขามศี รทั ธาความเชอื่ อยา่ งเรานนี้ ะ นท่ี ว่ี า่ เรามศี รทั ธาและความเชอื่
ส่ิงน้ีท�ำใหเ้ ราออกมาประพฤตปิ ฏบิ ัติ ท�ำให้เรามาค้นคว้าสิ่งที่ว่า ชีวติ นี้คืออะไร ? แลว้ ชีวติ นี้อยู่ทไ่ี หน ?
พอสง่ิ ท่ีวา่ ชีวติ อยทู่ ีไ่ หนนะ่ จนจติ น้ตี ง้ั มั่น จนจิตนี้ออกมาท�ำงานนะ เทวดา อินทร์ พรหม กเ็ หมอื นกัน
ถา้ เขามีศรทั ธา เขามีความเช่ือของเขา เขาจะหาไง เขาจะมาฟงั ธรรมองคส์ มเด็จพระสัมมาสมั พุทธเจ้า
เขาจะมาฟังธรรมของครบู าอาจารย์เราเพอ่ื อะไร ? เพือ่ จะรอู้ รยิ สัจ อริยสจั คอื สัจจะความจริง

• เร่ืองความคุ้นเคย

(๒๑ ตุลาคม ๒๕๔๙)
อยกู่ บั ครบู าอาจารยน์ ะ ทา่ นไมใ่ หค้ นุ้ เคยกบั อะไรทงั้ สน้ิ ความคนุ้ เคย ความสนทิ นข่ี กี้ ลาก ขกี้ ลาก
มันติดพัน เวลาขกี้ ลากมนั ขน้ึ มันขยาย มันก็คนั น่กี ็เหมอื นกนั เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์ เวลาทา่ นดุ
ท่านคอยเตอื น ให้เหมือนหมาไง หางมนั จะตก ถ้าหางมนั ตกมันไม่เห่อเหิม ถา้ มันยงั ชหู างอยกู่ ิเลสมัน
ชูหางนะ เวลามันชูหางขึน้ มา มนั ทุกขม์ าก แตถ่ ้าเวลาท่านเตอื นขน้ึ มา ถา้ กเิ ลสมันโดนธรรมะกดไว้
ถ้ามันลงหางมนั จะตก ถา้ หางมันจะตก คนมนั จะดขี ้ึนมา ถึงไม่ใหค้ ้นุ เคยกับอะไรทั้งสิน้ ความคนุ้ เคย
กบั ส่ิงต่างๆ ส่ิงท่มี ันเปน็ สิง่ สกปรกโสโครก สิง่ นนั้ ไมด่ ีเลย แตเ่ วลาธรรมะค้นุ เคยไหม ? สวดมนตท์ กุ วัน
ท�ำบญุ กศุ ลทุกวนั นง่ั สมาธทิ กุ วนั มันคนุ้ เคยไหม ?
ศาสนาเป็นยาเสพติด มนั เสพไมต่ ดิ สิ ถ้ามนั เสพติด มันจะตดิ กบั หัวใจเรา มันจะเป็นประโยชน์
กบั เรา เวลาเทียบศาสนาเปน็ ยาเสพตดิ ศาสนาไมเ่ สพติดหรอก เสพแลว้ ไม่ตดิ พยายามเสพอยู่ แต่
มันไม่ติด แต่ถ้ายาเสพติด เร่ืองของกิเลสเสพแล้วมันติด มันติดเพราะมันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหา
ความทะยานอยาก ถ้าตัณหาทะยานอยากนั้นท�ำให้เราติด ค้นุ เคย ถงึ อยา่ คุน้ เคยกบั อะไร
การคุ้นเคย นีว่ สิ าสะ เวลาครูบาอาจารย์ของเรา อาจารยจ์ วน กบั อาจารยส์ งิ หท์ อง ท่านสนทิ
กันมาก เล่นกันแบบเด็กๆ เลย พระอรหนั ต์ด้วยกันนะ อาจารย์จวนกเ็ ป็นพระอรหนั ต์ อาจารยส์ ิงห์ทอง
ก็เป็นพระอรหันต์ เวลาแจกอาหารท่านก็เล่นกัน ท่านเล่นกันในขณะที่ท�ำข้อวัตรเลย แต่ท่านเป็น
พระอรหนั ต์นะ ความคนุ้ เคยอยา่ งนนั้ ความค้นุ เคยแบบวสิ าสะ ความค้นุ เคยโดยธรรม แต่ความค้นุ เคย
อยา่ งนน้ั มันเป็นประโยชน์
แต่วา่ หา้ มคุ้นเคยเลย แล้วอย่ใู นวัดกต็ อ้ งตีหน้ายักษใ์ สก่ ัน ไมใ่ ห้คุ้นเคยกนั หรอื ? ทักทายกันได้
อยู่กันได้ เป็นเพ่ือน เป็นสหธรรมิกได้ เรารักกัน เรามีน�้ำใจต่อกัน แต่ถ้ามันเป็นการเล่น การหัว
การคุน้ เคยของกิเลส มนั จะทำ� ให้เราผิดพลาด ท�ำใหเ้ สยี โอกาสของเรา

474

• อาจารย์เป็นกับอาจารย์ไม่เป็น

(๑๐ มนี าคม ๒๕๕๒)
อาจารยท์ ไ่ี มเ่ ปน็ นะ กไ็ ปทำ� แบบวา่ ถอื เครง่ โอโ้ ฮ ! ไปนงั่ กนั บนขอ่ื บนตน้ ไม้ ตกมาขาหกั แขนหกั
สง่ โรงพยาบาล เขามาเล่าใหฟ้ งั ฟังแลว้ เศรา้ ฉบิ หายเลย ร้เู ลยว่า อ๋อ ! อาจารยม์ นั ไมเ่ ปน็ อาจารย์
มันไม่เป็นแล้วไปท�ำกันอย่างน้ัน แต่ถ้ามันเป็นนะ เราจะน่ัง เราจะนั่งแก้ง่วงใช่ไหม เราก็ต้องมีสติ
ของเรา มันจะตกบา้ งเปน็ ครง้ั เปน็ คราว บางทีจะตก แต่ถ้ามีสติแล้วไมต่ ก
สังเกตได้นะอย่างเชน่ หลวงปู่จวน เวลาท่านนง่ั ท่านน่ัง ไปภูทอก เม่ือกอ่ นยงั ไมม่ บี ันได คดิ ดูสิ
ถา้ สปั หงกกต็ กกแ็ ล้วกันนะ่ ท่านน่ังหนา้ ผาเลย สมัยนัน้ ไปอยูใ่ หม่ๆ ยังไม่มีบันได ไมม่ ี ไม่มอี ะไรทงั้
ส้นิ เพราะทา่ นไปน่ังไง ทา่ นไปน่งั ทา่ นไปภาวนาไง แลว้ ทา่ นก็ไปนงั่ ไปภาวนา จิตท่านสว่าง ท่านเห็น
หมดละ่ เวลาไปทำ� พวกเรานีท่ ำ� งงนะ
ตอนหลวงปู่จวนจะท�ำบนั ได ให้ฝร่ังมาประมลู ว่าตคี า่ เท่าไรในการท�ำบนั ไดขึ้นอยา่ งน้นั เขาตี
ถงึ สิบล้านเลยนะ หลวงปจู่ วนบอก “กูมลี ้านเดยี ว” แลว้ ท่านก็ขน้ึ ไปขา้ งบนใชไ่ หม ขน้ึ ไปผูกกบั ตน้ ไม้
ไปผูกกบั หน้าผา โรยเชือกลงมา คือว่า ประสาเรา ฝร่ังท�ำมนั ต้องมีเคร่ืองไม้เครื่องมอื มนั ตอ้ งมีทกุ อยา่ ง
เขา้ มา ของท่านมีเชอื กเส้นเดยี วผกู เอว แลว้ กโ็ รยตวั ลงมา จะกลดั ตอกเปน็ บันไดน่ะ เอาเชอื กผกู เอว
แล้วโรยตัวลงมา เห็นไหม พอตั้งฐานได้ก็เอาไม้ตี แล้วก็วางไม้เป็นบันไดเดินลงมา น่ีคนเป็นกับ
คนไม่เป็น มันคนละเรื่องเลยนะ น่ีพูดถึงเวลาธรรมเห็นไหม เวลาน่ังทีเดียวก็ตาย แต่ตายไหมล่ะ
ไมเ่ คยตก ไม่เคยอะไรเลยนะ ไม่มอี ะไร แตค่ นไมเ่ ปน็ เราไม่เปน็ แลว้ ท�ำกันเสียหาย

• ถ้าให้พูดแบบเรียบร้อย ท่านไม่เทศน์ดีกว่า

(๒๙ มีนาคม ๒๕๕๒)
หลวงตา (หลวงตาพระมหาบัว) ทา่ นพูดอยา่ งนี้ ถ้าไม่ใช่สายบญุ สายกรรมจะไมเ่ ชือ่ ไม่ฟังกัน
ถา้ ไม่ใชส่ ายบญุ สายกรรมมนั จะไมเ่ ชือ่ ไมฟ่ งั กนั มันอยู่ทวี่ าสนานะ มนั กเ็ ปน็ วาสนา มนั เป็นวาสนานะ
เวลาเราพดู นะ บางทีถ้าเราจะพดู ให้ถงึ ใจเราไง เราอย่กู ับหลวงปู่จวนน่ะ เวลาคนเขาไปถามวา่
ทำ� ไมทา่ นพดู อยา่ งน้นั น่ะ ทา่ นบอก “ถา้ ให้พดู แบบเรยี บร้อย ท่านไมเ่ ทศน์ดีกว่า” คือมนั ไม่ถงึ ใจไง
มนั ไมถ่ งึ ใจคน เหมอื นอยา่ งเวลาเราทำ� อะไร มันไม่ถงึ ใจ ไมถ่ งึ ใจคือเทศนอ์ อกมาแบบครึ่งๆ กลางๆ ไง
แต่ถา้ พดู ใหถ้ ึงใจนะ มนั โอโ้ ฮ ! แลว้ มันไหลเลยนะ มันไหลไปเตม็ ทเ่ี ลย แลว้ ถ้าพดู ถงึ เวลาเราปฏิบตั ิ
กนั น่ะ เรามคี รมู ีอาจารย์ เราจะวงิ่ เขา้ ไปหาที่น่ันเลย เวลาหลวงปมู่ ่ันทา่ นจะเทศน์ โอย๋ ! พระท่อี ยูก่ บั
หลวงปู่มน่ั นะ เฮ้ย ! ฟา้ ผ่าเว้ย ฟา้ ผ่า ฝนตกแลว้ วงิ่ เขา้ ไปใหญ่เลย เขาว่งิ หากันอย่างนัน้ แตถ่ ้ามนั ไมใ่ ช่
สายบญุ สายกรรม มันก็มองกลายเปน็ การกลา่ วโทษกัน อะไรกัน มนั ถงึ ตอ้ งเป็นสายบุญสายกรรม


Click to View FlipBook Version