75
คดิ ทดสอบอกี คนื วันหน่งึ ท่านกเ็ กิดคิดขึ้นมาอีกวา่ “เอ ! ทเี่ ขาว่า ท่านพระอาจารย์มน่ั รู้วาระจติ ของ
ลกู ศิษยท์ ุกคน จรงิ ไหมหนอ ? เราน่าจะทดสอบดู ถา้ ทา่ นพระอาจารย์ม่นั ร้วู าระจิตของเราจรงิ ขอให้
ทา่ นพระอาจารยม์ น่ั มาหาเราท่ีกุฏคิ นื วันนเ้ี ถอะ” พอคิดไดส้ กั พกั เดียว ทา่ นก็ไดย้ นิ เสยี งไมเ้ ท้าเดนิ
เคาะใกลเ้ ขา้ มาๆ และไมเ้ ทา้ กก็ ระแทกเปรยี้ งเขา้ ทฝี่ ากฏุ ขิ องทา่ น พรอ้ มกบั เสยี งของทา่ นพระอาจารย์
มั่นตวาดดังลน่ั ว่า “ท่านจวน ท�ำไมจึงไปคดิ เช่นนั้น น่ันมนั ไม่ใช่ทางพน้ ทกุ ข์ ร�ำคาญเราน”่ี
คนื วนั นั้น แมท้ า่ นจะตวั สน่ั กลัวทา่ นพระอาจารย์ม่ัน แตท่ ่านกย็ งั คิดทดสอบอกี คนื หลงั กเ็ กิด
ความคดิ ขึ้นมาอกี ว่า
“ถ้าท่านพระอาจารย์มั่นเป็นผู้รู้วาระจิตของเรา เราบิณฑบาตได้อาหารมา ขอให้ท่านรอเรา
ทุกวันๆ ขออย่าเพิ่งฉันจนกว่าเราจะหย่อนบาตรท่านก่อน”
ตามธรรมดาพระศิษย์บณิ ฑบาตกลับมาก็จะเลือกอาหารทีด่ หี ยอ่ นใส่บาตรอาจารย์ เช้าวนั นน้ั
ท่านพระอาจารยจ์ วนกพ็ ยายามประวิงเวลา กวา่ จะน�ำอาหารไปใส่บาตรทา่ น กอ็ อกจะล่าชา้ กวา่ เคย
รอจนหมู่เพ่ือนใส่บาตรกันหมดแล้ว ท่านจึงหย่อนบาตร ท่านพระอาจารย์ม่ันจึงเริ่มฉัน เหตุการณ์
เป็นเช่นน้อี ยู่หลายวนั เพราะท่านพระอาจารยม์ ่ันท่านทราบวาระจติ ของศิษย์ทค่ี ดิ ทดสอบท่านน่ันเอง
ท่านก็มกั จะมีเหตใุ หช้ ้าไปด้วย ทา่ นพระอาจารยจ์ วนก็ชักจะไดใ้ จ มักอ้อยอิ่งอยทู่ ุกวนั จนเช้าวันหนึง่
ท่านพระอาจารย์ม่ันเห็นว่าศิษย์ทดสอบมากไปแล้ว ท่านจึงออกปากอย่างรู้วาระจิตของศิษย์ท่ีคิด
ทดสอบว่า “ทา่ นจวน อย่าทำ� เช่นน้นั อกี ผมร�ำคาญ ให้ผมรอทุกวันๆ ทีนีผ้ มไมร่ อแล้วนะ”
ครบู าอาจารยท์ ่านได้เมตตาเลา่ เรื่องนไ้ี วว้ ่า “ทา่ นพระอาจารยจ์ วน ทา่ นเป็นพระดีมีคุณธรรม
และมีปัญญามาก ท่านจึงมีอุบายทดสอบหลวงปู่ม่ัน การกระท�ำของท่านน้ันไม่ได้เป็นการลองดีหรือ
คิดเหยยี บยำ�่ หลวงปมู่ นั่ แตป่ ระการใด แต่ทา่ นทำ� ไปด้วยความเคารพบูชา ดว้ ยหวังใหห้ ลวงปมู่ ัน่ เมตตา
อบรมสั่งสอน คล้ายกับกรณีท่านพระอาจารย์ทองรัตน์ กนฺตสีโล พระศิษย์อาวุโสอีกองค์หน่ึงของ
หลวงปู่ม่ัน เมื่อพระในส�ำนักใคร่อยากฟังธรรมหลวงปู่ม่ัน ท่านจึงได้อาสาหมู่คณะ โดยท่านมีอุบาย
ฟังธรรมอย่างแปลกๆ อย่างชนิดไม่มีใครกล้าท�ำ เช่น ท่านไปแสดงกิริยาเตะต่อยชกลมอยู่ใต้กุฏิ
หลวงป่มู นั่ พอใหห้ ลวงป่มู นั่ ไดย้ นิ เสยี ง และคืนนั้นพระกไ็ ด้ฟังธรรมจากหลวงปมู่ ่ัน เปน็ ตน้ ”
ท่านภาวนาเกิดธรรมผุดเป็นบาลี
พ่อแม่ครูอาจารย์สายท่านพระอาจารย์มั่น แต่ละองค์มีอ�ำนาจวาสนาบารมีแตกต่างกันไป
ในการบ�ำเพ็ญเพียรภาวนา บางองค์ที่มีอ�ำนาจวาสนาบารมี ขณะภาวนาจิตสงบ ธรรมจะผุดขึ้นมา
บางองคก์ เ็ ป็นภาษาบาลี บางองค์กเ็ ป็นภาษาไทย กรณธี รรมผดุ เปน็ บาลี เปน็ ผ้ทู ี่มบี ารมสี งู มากและ
มฤี ทธ์มิ าก เชน่ กรณขี องท่านพระอาจารยม์ ่นั ส�ำหรบั ท่านพระอาจารยจ์ วนน้ัน ทา่ นมธี รรมผดุ เปน็
บาลีเหมอื นกนั โดยทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศน์ไวด้ งั นี้
76
“ในพรรษาทีอ่ ยู่ร่วมท่านนน่ั แหละ วันหน่ึงขา้ พเจ้าตั้งใจภาวนาทำ� ความพากความเพยี ร ตัง้ แต่
ปฐมยาม คอื ยามคำ�่ เม่ือเสร็จกิจวตั ร ท�ำวัตรไหว้พระเสร็จแลว้ เขา้ ทอ่ี ธิษฐานนง่ั ในกลดในมุ้งในกุฏิ
จะไมน่ อนคืนนนั้ พอน่งั ไปกน็ ึกค�ำบริกรรมอยู่ จติ คอ่ ยสงบลง สงบลง กเ็ ลยเกดิ นิมติ ข้ึนมาปรากฏในใจ
ทขี่ ณะนัง่ อยูน่ ้นั เกดิ บาลีผุดขึน้ ว่า “ปทททฺ า ปททฺโท” ดังน้ี ขา้ พเจา้ ก�ำหนดจติ แปลถงึ ๓ ครง้ั จงึ ได้
ความขึน้ วา่ “อย่าทอ้ ถอยไปทางอ่นื ” ดงั น้ี
ตอ่ แต่น้นั กเ็ กดิ ปรากฏว่ากายของตนไหวไปเลย จากนั้นจิตก็รวมลงสูภ่ วงั ค์ ลงถึงจติ เดมิ ทเี ดยี ว
ซึ่งข้าพเจ้าเองในขณะน้ัน ก็ไม่รู้ว่าภวังคจิตและจิตเดิมเป็นอย่างไร เม่ือจิตรวมลงใสบริสุทธิ์หมดจด
หาส่งิ ท่เี ปรียบได้ยาก และแสนทีจ่ ะสบายมากทีส่ ุด เพราะจิตชนิดนั้น เปน็ จติ ท่ีปราศจากอารมณ์
อยู่เฉพาะจิตล้วนๆ ไม่มีอะไรเจือปน รวมอยู่อย่างน้ันตลอดคืนยังรุ่ง พอดีแจ้งสว่าง จิตก็เลยถอน
แล้วก็ได้รับความเบิกบานกายและใจ มีความปีติเหมือนกับตนลอยอยู่บนอากาศ เดินไปเดินมา
เบากายเบาใจท่สี ดุ
ในระยะที่จิตรวมลงน้ันซ่ึงไปพักอยู่เฉพาะจิต ไม่มีอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเจือปน เป็นจิตที่ใส
บรสิ ุทธ์หิ มดจด วางเวทนา ความเจ็บปวดรวดร้าวไม่มีเลย ไม่ปรากฏแก่จิตเลย คือจิตมนั แยกออกจาก
ธาตุ ไมเ่ จอื ปนอยกู่ ับธาตุ อยู่เฉพาะจติ ล้วนๆ จึงไมม่ เี วทนา ตลอดคนื ยงั รงุ่ เมอ่ื สวา่ ง จติ พอดถี อน
ก็ได้เวลาจะลงท�ำข้อวัตร กิจวตั รในเวลาเช้า จัดเสนาสนะเพอ่ื จะตอ้ นรบั ในการไปบิณฑบาต
ในตอนเช้า ในระยะจิตถอน เมื่อถึงวันใหม่แล้วรู้สึกว่าเบากายเบาใจ ปลอดโปร่งโล่งสบาย
เดินไปมาเหมอื นกับเราเดนิ อยบู่ นอากาศ เบากาย เบาใจดี เย็นกายเยน็ ใจ เปน็ อยอู่ ย่างนนั้ หลายวัน
วันใหม่เวลาพลบค่�ำ พระเณรท้ังหลายก็ทยอยกันข้ึนไปรับโอวาทของท่านพระอาจารย์มั่น
ข้าพเจ้าได้โอกาสก็เลยกราบทูลถวายท่านให้ทราบว่า “เม่ือคืนนี้จิตมันเป็นอย่างนั้น” เล่าเรื่องท่ีเป็น
มาให้ทา่ นฟัง ท่านพระอาจารยม์ น่ั ก็เลยทดสอบ ทา่ นนง่ั ก�ำหนดพจิ ารณาพักหน่งึ พอสมควร คือท่าน
ตรวจดูจะเปน็ จริงหรือไม่ พอทา่ นตรวจดพู กั หนึ่งเลยเปล่งอทุ านขึ้นวา่
“ออ้ ! จติ ทา่ นจวนนีล้ งทีเดยี วถงึ ฐีตจิ ิต คอื จิตเดิม”
ท่านชมเชยวา่ “ดนี ัก ถา้ รวมอยา่ งนจ้ี ะได้ก�ำลังใหญ่ แต่ถ้าว่าสติตัวนี้อ่อน ก�ำลงั ก็ไมม่ ”ี กเ็ ลย
กราบเรียนท่านว่า “กอ่ นจติ ที่รวมไดป้ รากฏคาถา คือ อักขระข้นึ วา่ ปทททฺ า ปททโฺ ท ขอนิมนต์ให้
ทา่ นพระอาจารยแ์ ปลใหฟ้ งั ”
ท่านพระอาจารยม์ น่ั ท่านเลยบอกว่า “แปลไม่ไดห้ รอก เพราะสมบตั ิของใครของเรา คนอื่น
แปลใหไ้ ม่ได้ ตอ้ งแปลเอาเอง” ทา่ นว่าอย่างน้นั
เร่ืองนี้ความจริงแล้วเป็นอุบายของท่านต่างหาก คือท่านให้แปลให้ได้เอง นับว่าท่านพระ
อาจารย์ม่ันนใ้ี ช้อุบายคมคายหลักแหลมมากทส่ี ุด
77
ท่านกเ็ ลยยอ้ นมาพูดเรอื่ งจิตรวม จิตก่อนทีจ่ ะรวม บางคนก็ปรากฏวา่ กายของตนนห้ี ว่ันไหว
สะทกสะท้านไป บางคนกอ่ นจติ จะรวมแสดงภาพนิมิตตา่ งๆ ให้ปรากฏขึ้น ซง่ึ เป็นภาพภายนอก หรอื
แสดงอบุ ายภายในให้ปรากฏข้ึน ดังนี้ก็มี แล้วแต่จริตนสิ ัยของบคุ คล
แตถ่ ้าผไู้ ม่มีสตยิ อ่ มเพลดิ เพลนิ ลุม่ หลงไปตามนมิ ิตภาพนน้ั ๆ จิตกไ็ ม่รวม กเ็ ลยถอนเลย ไมไ่ ด้
รับประโยชน์ ไม่มกี �ำลงั แต่ถา้ ผูม้ สี ตดิ ีจะมนี มิ ติ ภาพภายนอก หรือธรรมะผุดขึ้นภายใน ก็ให้น้อมเขา้ มา
เป็นอุบายของวิปัสสนากรรมฐาน จิตก็จะรวมลงถึงฐีติจิต เม่ือจิตรวมลงก็ให้มีสติรู้ว่าจิตของเรารวม
และให้รู้อีกว่า จิตของเราท่ีรวมลงอิงอามิส คือ กรรมฐานหรือไม่ หรืออยู่เฉพาะจิตล้วนๆ ก็ให้รู้
อยา่ บงั คับจติ ใหร้ วม และจิตรวมแล้วอยา่ บงั คบั จติ ถอนขน้ึ ปล่อยใหจ้ ติ รวมเอง ปล่อยใหจ้ ติ ถอนเอง
และเมื่อจิตถอน บางคนชอบมีนิมติ แทรกขน้ึ ท้ังนมิ ิตภายนอกและนิมติ ภายใน กใ็ หม้ ีสติรูว้ ่า
น่ันเป็นเร่ืองของนิมิต หรือเป็นเรื่องของอุบาย อย่าไปตามนิมิตและอุบายนั้นๆ ให้น้อมเข้ามาเป็น
วิปสั สนากรรมฐาน ยกขนึ้ สูไ่ ตรลกั ษณ์ คอื อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา แลว้ กใ็ ห้พิจารณาก�ำหนดกรรมฐาน
ที่ตนเคยก�ำหนดน้ันๆ อย่าละเลย อย่าละทิ้ง ดว้ ยความมสี ตอิ ยู่ ทกุ ระยะที่จิตรวมและจติ ถอน ถ้าหดั
ใหไ้ ดอ้ ย่างนี้ ตอ่ ไปจะเป็นสนั ทฏิ ฐโิ ก คือ เป็นผ้รู ้เู องเห็นเอง แจง้ ชดั ขึ้น จะตัดความเคลอื บแคลงสงสัย
ไมล่ ังเลในพระรตั นตรยั ต่อไป
น้เี ปน็ โอวาทค�ำแนะน�ำของทา่ นพระอาจารยม์ ั่น ภูริทตฺตมหาเถร”
ธรรมผุด
เรือ่ งของธรรมผุด ครบู าอาจารย์ท่านไดเ้ มตตาเทศน์ไว้ ดงั นี้
“ธรรมผุดน้ีผุดขึ้นมาเป็นค�ำๆ ข้ึนมา นี้เป็นส่ิงที่บอกกล่าวขึ้นมา น้ีเหมือนการฟังธรรม
แตเ่ วลาฟังธรรมโดยทีม่ รรคสามคั คมี หัศจรรย์มากกว่ามากมายนัก... ”
“ฟงั ธรรม เหน็ ไหม ธรรมเกิดๆ เวลาธรรมเกดิ ถ้าเราประพฤตปิ ฏิบัติขึน้ มา พอปล่อยวาง
ปลอ่ ยวางโดยที่ไมต่ ้ังใจสง่ิ ใด แลว้ มันผุดขนึ้ มันเปน็ ขึน้ ดูรสชาตสิ ิ รสชาติเวลามันสัมผสั มันตน่ื เต้น
พอมันต่ืนเตน้ น่ไี ง หลวงปูม่ นั่ ท่านฟังธรรมๆ พอธรรมมันผุดนะ เพราะคนท่ีมอี ำ� นาจวาสนา สง่ิ น้ี
มนั จะเกิดข้ึน แต่ถ้าคนไมม่ อี ำ� นาจวาสนาจะไม่มีเลย...”
“น่ีเวลาปฏิบัติไป ถ้าครูบาอาจารย์เราเป็นนะ เวลาคนท่ีจิตสงบแล้ว มันผุดข้ึนมา ค�ำว่า
ผุดขนึ้ มาเปน็ ธรรมะเปน็ ข้อๆ เชน่ หลวงปู่มนั่ เวลาทา่ นขนึ้ ของท่านเป็นบาลี นที่ ่านเกบ็ ไว้ เอาไว้ฝาก
หลวงตา หลวงตามา “นีม่ หา ใครเป็นมหาตอบปญั หาน”ี้ ถ้าท่านบาลีขึ้นมาเลย หลวงตาทา่ นเข้าใจ
อยูแ่ ล้วว่าอันนี้ทา่ นเก็บเอาไว้ฝาก เก็บไว้ฝาก คอื วา่ มันเป็นธรรมผุดข้นึ มาในใจของท่าน ท่านได้รับรส
ของท่านแลว้ ทา่ นก็เก็บเอาไว้ เกบ็ ไวเ้ วลามีลูกศษิ ย์ท่านตัง้ เปน็ บาลมี าให้เราแปล
78
ถ้าแปลแล้ว นี่ธรรมมันผุดข้ึนมา ท่านจะแปลออกมาเป็นปริยัติก็เป็นตามตัวอักษร เป็น
ความหมาย แต่ท่านแปลตามธรรม โอ๋ย ! มนั ซาบซ้ึงกวา่ น้ัน... ”
“เวลาหลวงปู่ม่ัน อาจารย์จวนขณะที่ว่าธรรมผุดข้ึนมาเป็นภาษาบาลีนะ ครูบาอาจารย์
ของเราบางองคจ์ ะผดุ ขน้ึ มาเปน็ ภาษาไทย สง่ิ ท่ธี รรมผดุ ธรรมผุดนะ ธรรมผดุ เกิดจากไหน ? ธรรมผดุ
เกิดจากแผ่นดิน เกิดจากใจ ถา้ จิตมนั สงบเขา้ มา มนั จะเกดิ สภาวธรรม สภาวะความเข้าใจ สภาวะ
ความเห็นส่ิงต่างๆ...”
ท่านพระอาจารย์มั่นกล่าวชมท่านพระอาจารย์จวน
เมอื่ ท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ ได้รับโอวาทของท่านพระอาจารยม์ ั่นอยา่ งนัน้ กเ็ กดิ
กำ� ลังใจมากยง่ิ ขึ้น ในระยะท่อี ยู่รว่ มกบั ทา่ น ไดร้ ับความเมตตาอบอ่นุ ไดร้ บั การอบรมสง่ั สอนอย่าง
ใกล้ชดิ จากทา่ น ไดเ้ หน็ ท่านย่งิ เกิดความเคารพเล่ือมใสในปฏปิ ทา และได้เห็นพระศษิ ยข์ องทา่ น ตา่ งก็
มุง่ ม่ันปฏิบตั ธิ รรมกนั อยา่ งเอาจริงเอาจัง เพอ่ื ความหลดุ พ้น ทา่ นพระอาจารย์จวนก็ยงิ่ เกิดความตง้ั ใจ
ท�ำความพากเพยี รอย่างเดด็ เดี่ยวมากย่งิ ขึน้ รู้สกึ เหมอื นกับว่า นพิ พานสมบตั ิอย่ชู ่ัวเออ้ื ม ทา่ นพระ
อาจารย์มน่ั เปน็ ครผู ู้เลิศเลอประเสรฐิ สดุ เป็นครูผู้ช้ีอรยิ ทรัพย์อันประเสรฐิ ให้ ส่วนการจะได้นพิ พาน
สมบัติมาครองหรอื ไม่นั้น อยูท่ ี่ความเพียร ความตง้ั ใจเอาจริงเอาจังของเราเทา่ นน้ั
หลวงป่หู ลา้ เขมปตโฺ ต แห่งวดั บรรพตครี ี หรือ ภูจ้อก้อ พระศษิ ยข์ องท่านพระอาจารยม์ ่นั
ทา่ นได้เมตตาเล่าเรอื่ งยุคหนองผอื สมยั ทา่ นพระอาจารย์มัน่ ไว้ดงั น้ี
“ส�ำนักหลวงปูม่ ัน่ ยุควดั ป่าบา้ นหนองผอื คำ� สงั่ และคำ� สอนขององค์ทา่ นมีหลายๆ อุบาย และ
หลายๆ นยั จะเป็นอบุ ายใดๆ และนัยใดๆ ก็ตาม เพอื่ ใหผ้ ูเ้ ห็น ผฟู้ งั ผ้รู ู้ พจิ ารณาหลดุ พ้นในสงสาร
โดยด่วนทั้งน้ัน เพราะไมใ่ ช่บวชเล่น ไม่ใชป่ ฏบิ ตั ิเล่น เพื่อลวงตน เพอื่ ลวงโลก เพอื่ อามสิ ใดๆ ทั้งสิ้น
องคท์ ่านเทศนห์ ้�ำห่นั และเขย่าลกู ศิษย์อย่บู ่อยๆ”
ทา่ นพระอาจารย์ชา สภุ ทโฺ ท แหง่ วดั หนองป่าพง ได้เมตตาเล่าถึงบรรยากาศในช่วงที่ทา่ นมา
ศึกษาธรรมปฏิบัติกับท่านพระอาจารยม์ ัน่ ณ วดั ปา่ บ้านหนองผือ ไว้ดงั นี้
“...ที่ผมได้ความรู้ความฉลาด จนได้มาแบ่งปันพวกท่านท้ังหลายนั้น ก็เพราะผมได้ไปกราบ
ครบู าอาจารย์มนั่ ไปพบท่าน แล้วกเ็ ห็นสภาพวดั วาอารามของท่าน ถึงจะไมส่ วยงาม แตก่ ็สะอาดมาก
พระเณรต้ังหา้ สบิ หกสิบ เงยี บ ! ขนาดจะถากแก่นขนนุ (แก่นขนุนใชต้ ้มเคย่ี ว สำ� หรับยอ้ มและซกั จวี ร)
กย็ ังแบกเอาไปฟันอยูโ่ น้น... ไกลๆ โน้น เพราะกลัววา่ จะก่อกวนความสงบของหม่เู พื่อน...
พอตักนำ้� ทำ� กจิ อะไรเสรจ็ ก็เข้าทางจงกรมของใครของมัน ไมไ่ ดย้ ินเสียงอะไร นอกจากเสียง
เทา้ ทเี่ ดนิ เท่านน้ั แหละ บางวันประมาณหนึ่งทมุ่ เรากเ็ ข้าไปกราบทา่ นเพอ่ื ฟงั ธรรม ไดเ้ วลาพอสมควร
ประมาณสที่ ่มุ หรอื ห้าทมุ่ ก็กลบั กุฏิ เอาธรรมะทไ่ี ด้ฟงั ไปวจิ ัย ไปพจิ ารณา
79
เมื่อได้ฟังเทศน์ท่าน มันอิ่ม เดินจงกรมท�ำสมาธินี่ มันไม่เหน็ดไม่เหนื่อย มันมีก�ำลังมาก
ออกจากท่ีประชุมกันแล้วก็เงียบ ! บางคร้ังอยู่ใกล้ๆ กัน เพ่ือนเขาเดินจงกรมอยู่ตลอดคืนตลอดวัน
จนไดย้ ่องไปดวู า่ ใคร ทา่ นผนู้ ัน้ เปน็ ใคร ? ทำ� ไมถึงเดนิ ไม่หยุดไม่พัก นนั่ เพราะจิตใจมันมีก�ำลงั ...”
ตลอดระยะเวลาหน่ึงปีเต็มที่ท่านพระอาจารย์จวนอยู่ศึกษาอบรมกับท่านพระอาจารย์มั่น
ท่ีวัดป่าบ้านหนองผือ ต้ังแต่หลังออกพรรษา ๕ วันของปีหนึ่ง ไปบรรจบหลังออกพรรษาของอีก
ปีหน่ึง ท่านก็เร่งท�ำความเพียรอย่างเต็มสติปัญญาก�ำลังของตน เข้าใจว่าท่านพระอาจารย์ม่ันก็คงจะ
เฝ้าดูการปฏิบัติและจิตของท่านอยู่เหมือนกัน ท่านพระอาจารย์ม่ันได้ก�ำหนดจิตดูท่านแล้วได้ความ
เปน็ ธรรมว่า
“กาเยนะ วาจายะ วะเจตะ วิสทุ ธยิ า”
ทา่ นจวนเปน็ ผูม้ กี ายและจติ สมควรแก.่ .. “วสิ ทุ ธิยา”
ต่อมาภายหลังท่านพระอาจารย์จวน ทา่ นไดเ้ มตตาเลา่ ให้ลกู ศิษย์ฟังวา่ ท่านพระอาจารยม์ ่ัน
กล่าวชมท่านเป็นค�ำบาลีและแปลความหมายใหฟ้ ังด้วย
โดยทที่ า่ นพระอาจารยจ์ วน ท่านเป็นผู้ทม่ี ปี รกตอิ ่อนน้อมถ่อมตนอยู่แล้ว จึงแปลใหศ้ ษิ ย์ฟงั
โดยคำ� ว่า “วสิ ุทธิยา” ทา่ นแปลอยา่ งถอ่ มองค์ โดยลดความหมายลง ดังน้ี
ท่านจวนเปน็ ผมู้ ีกายและจิตสมควรแก่ข้อปฏบิ ัติธรรม
ทงั้ ๆ ที่ค�ำว่า “วิสทุ ธิยา” มคี วามหมายทีแ่ ทจ้ ริงลึกซ้ึงสูงส่งยง่ิ กวา่ นั้นมากมาย คอื หมายถึง
ความบริสุทธห์ิ มดจดจากกเิ ลสนั่นเอง
นิมิตขณะจ�ำพรรษาอยู่กับท่านพระอาจารย์ม่ัน
ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศนเ์ รอื่ งนี้ไวด้ งั น้ี
“และขอย้อนกล่าวอีกเพื่อให้ประวัตินี้บริบูรณ์ตามจริง ในขณะที่ข้าพเจ้าจ�ำพรรษาอยู่ร่วม
กบั ทา่ นพระอาจารย์มน่ั น้นั ในกลางพรรษานัน้ ไดน้ ิมติ ปรากฏข้นึ วา่ ข้าพเจา้ มีตะเกยี งโคมรั้วใบหนง่ึ
แล้วขีดไม้ขีดไฟจุดตะเกียงโคมร้วั ตอ่ หน้าท่านพระอาจารย์มั่นไม่ติด ขา้ พเจา้ จุดไฟเทา่ ไรๆ ก็ไมต่ ิด
ไฟไม่ติด ท่านพระอาจารย์ม่ันกเ็ ลยเอาตะเกียงของข้าพเจา้ จุดให้ ท่านขดี ไม้ขีดไฟจดุ ใหล้ ูกเดียวกต็ ิด
แล้วก็หมุนขึ้นแสงสว่างพอประมาณ ท่านว่า “เอาล่ะ ขนาดน้ีพอประมาณ” ท่านก็ย่ืนให้ข้าพเจ้า
น้นี มิ ติ อันหนึง่ ในขณะทอ่ี ยู่รว่ มจำ� พรรษากบั ท่าน
และอีกนิมติ หน่ึงขณะทร่ี ่วมอยจู่ ำ� พรรษากับท่านนั้น ปรากฏวา่ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตตฺ –
มหาเถร ท่านอ่านหนังสือเล่มหน่ึง ปรากฏในนิมิตนั่น หนังสือน่ันในปก ปกหลังหนังสือลายวิจิตร
80
พิสดาร แล้วก็มีสลักตัวอักษรว่า “หนังสือสงเคราะห์ต่างๆ” หนาประมาณ ๓ นิ้ว ในหนังสือนั้น
ทา่ นอ่านอยู่ ในขณะที่ทา่ นอา่ นหนงั สืออยู่นน้ั ปรากฏวา่ พระลูกศษิ ยท์ งั้ หลายนง่ั ล้อมทา่ นอยหู่ ลายองค์
ข้าพเจา้ นกึ ในใจว่า “หนงั สอื ทที่ ่านอา่ นน้ี ท่านจะใหอ้ งคไ์ หนหนอ ?”
พอท่านอ่านจบแล้ว ท่านก็ยื่นหนังสือให้ข้าพเจ้า แล้วก็ท่านบอกว่า “เอ้า ! หนังสือน่ี
ท่านจวนเอา เพราะทา่ นจวนดูแล้วเข้าใจดี ผมดไู ม่เขา้ ใจดเี ทา่ ไร แต่ทา่ นดูแลว้ เข้าใจด”ี ท่าน
กเ็ ลยมอบใหข้ า้ พเจา้ ในหนงั สอื เลม่ นนั้ นน่ี มิ ติ ภาพในขณะทอ่ี ยรู่ ว่ มจำ� พรรษากบั ทา่ นพระอาจารยม์ นั่
จะเปน็ เพราะเหตุอะไรไมท่ ราบ ข้าพเจา้ ไม่ได้พิจารณาในนิมติ เรอื่ งนี้”
ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ท่านพระอาจารย์มั่นแนะให้ไปอยู่ถ้�ำยาง
การเข้าพรรษา เปน็ พุทธบัญญัติ ซง่ึ พระภกิ ษทุ ุกรปู จะตอ้ งปฏบิ ตั ิตาม หมายถึง การอธิษฐาน
อย่ปู ระจ�ำทไ่ี ม่เทีย่ วจาริกไปยงั สถานท่ตี ่างๆ เวน้ แต่มีกิจจำ� เป็นจรงิ ๆ ชว่ งจ�ำพรรษาจะอยู่ในช่วงฤดูฝน
คือแรม ๑ คำ่� เดือน ๘ ถงึ ๑๕ คำ่� เดอื น ๑๑ ของทุกปี ดังนนั้ วันเข้าพรรษา หมายถงึ วนั ท่ีพระภิกษุ
ในพระพุทธศาสนาอธิษฐานอยู่ประจ�ำในวัด หรือเสนาสนะที่คุ้มแดดคุ้มฝนได้แห่งหน่ึง ไม่ไปค้างแรม
ในท่อี ืน่ ตลอด ๓ เดอื นในฤดูฝน
ในสมยั กอ่ นตามปา่ ตามเขาผนื ป่ายังอดุ มสมบูรณไ์ ปด้วยป่าไมแ้ ละสัตว์ปา่ กย็ งั ชกุ ชุม ตามปกติ
ของพระธดุ งคกรรมฐานสายท่านพระอาจารยม์ น่ั เม่อื ทา่ นอยจู่ �ำพรรษาครบ ๓ เดอื นตามพทุ ธบัญญัติ
แล้ว เม่ือออกพรรษาในหน้าแล้ง ส่วนใหญ่ท่านจะกราบนมัสการลาพ่อแม่ครูอาจารย์เพื่อออกธุดงค์
เท่ียววิเวกไปตามป่าตามเขา กรณีของท่านพระอาจารย์จวนก็เช่นกัน โดยท่านพระอาจารย์จวน
กุลเชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศน์ไว้ดงั นี้
“เมือ่ ออกพรรษาแล้ว เสร็จกิจทุกสิง่ ทุกอย่าง ล่�ำลาทา่ นออกวเิ วก ทา่ นก็เลยแนะให้ไปอยู่
ถ้�ำยาง บ้านลาดกะเฌอ จังหวัดสกลนคร สายกาฬสินธุ์แต่ก่อนไม่มีทางรถ เพราะถ้�ำนั้นเป็นถ�้ำท่ี
เยือกเย็น ห่างจากบ้าน ๒ กิโลฯ สมัยน้นั บ้านลาดกะเฌอยงั เป็นบ้านที่เล็กๆ ๑๐ กว่าหลงั คาเรือน
เป็นพวกชาวปา่ ชาวเขา ข้าพเจา้ ก็มุ่งหน้าไปส่ถู ้�ำน้นั
เมื่อไปถึงถ้�ำน้ัน ถ้�ำนั้นเย็นนัก เป็นถ�้ำที่เย็น ผินปากถ�้ำไปทางทิศตะวันตก ท�ำความพาก
ความเพยี รอยูน่ ั้น ๗ วัน ไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน อาหารท่ฉี ันลงไปกลางคืนถา่ ยออกหมด เพราะเป็น
อากาศทีเ่ ย็น ท�ำความพากความเพียรอยูถ่ �้ำน้นั ๗ วนั จิตมนั จะรวมเกิดนิมิตภาพตา่ งๆ ขนึ้ บางครั้ง
เดนิ จงกรมอยู่ จติ มันจะรวมกไ็ ดย้ ืนกำ� หนดจติ เมอื่ จิตถอนจากการรวมแลว้ จึงเดินต่อไป
ส่วนนิมิตภาพภายนอกและภายในที่ปรากฏขึ้นในถ้�ำน้ันก็มีอยู่ เมื่อก�ำหนดพิจารณาดูจิต
ของตนแลว้ จึงรู้วา่ นมิ ิตภาพตา่ งๆ ยอ่ มเกดิ จากพลงั ของจิตทีแ่ ส่สา่ ยไป แมเ้ มื่อออกจากถ�้ำนั้นมาพักอยู่
วดั รา้ งวัดหนง่ึ กเ็ กิดนมิ ติ ภาพเห็นคนเปลอื ยกายนั่งอยู่ใตถ้ ุนกุฏิ ในขณะท่ีขา้ พเจา้ หลบั ตานง่ั ภาวนาอยู่
81
ปรากฏเปลอื ยกายเป็นผหู้ ญงิ คร้ังแรกข้าพเจ้านึกว่าเปน็ เปรตเลยสวดมนตอ์ ทุ ศิ บุญกศุ ลให้ ภาพน้ันก็
ยังไม่หาย ยังปรากฏอยู่ เม่ือกำ� หนดจิตว่าอาจจะเกดิ ขึ้นจากพลงั ของจิต เลยมาพิจารณาก�ำหนดที่จติ
ของตน ภาพน้นั ก็เลยหายไป
จึงรู้และเข้าใจได้บ้างว่าภาพต่างๆ ที่แสดงท้ังภาพภายนอกและภาพภายใน คือเป็นนิมิตให้
ปรากฏเห็น ในขณะท่ีน่ังหลับตาภาวนาน้ัน แต่ล้วนแล้วเป็นเร่ืองของจิต เร่ืองของจิตท่ีแสดงรัศมี
หรือพลงั ออกไปหลอกลวงตา่ งๆ เท่านั้น เม่ือผูไ้ ม่มสี ตปิ ญั ญาแลว้ อาจจะลุ่มหลงไปตามภาพนิมิตนนั้ ๆ
เป็นเหตใุ ห้พล้งั เผลอ และท่สี ุดกส็ ำ� คญั ตนว่าตนไดญ้ าณความรู้อยา่ งนัน้ อย่างนี้ มหี ูทิพยต์ าทิพยเ์ กิดขึ้น
เกิดเปน็ ทิฏฐิวปิ ลาสไปกไ็ ด้ อาจจะเป็นเหตุใหธ้ รรมแตกไปก็ได้”
ธุดงค์ไปพบศิษย์อาวุโสของท่านพระอาจารย์มั่น
การเดินธุดงค์ของพระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น เมื่อท่านผ่านไปในสถานท่ีใด
ก็ตาม หากมีวัดป่ากรรมฐานท่ีพระศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่นอยู่จ�ำพรรษา ท่านก็จะแวะเข้าไปกราบ
นมสั การคารวะ เพือ่ ไปพัก ไปฟังธรรมและสนทนาธรรมกนั ท่านสนทิ สนมร้จู ักมักคนุ้ กนั ประดุจเปน็
ญาตพิ ่ีนอ้ งครอบครวั เดียวกนั จริงๆ หรอื ท่เี รยี กกนั ว่า “ครอบครัวกรรมฐาน”
ทา่ นพระอาจารยจ์ วน เม่ือครั้งทา่ นเป็นพระหนุ่มพรรษานอ้ ยออกเดนิ ธุดงค์ก็เช่นกัน ท่านได้
พบพระศิษยร์ ่นุ อาวุโสของท่านพระอาจารยม์ นั่ โดยทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศน์
เร่ืองนไ้ี วด้ งั น้ี
“น้ีในระยะนั้น ต่อแต่นั้นข้าพเจ้าก็เดินธุดงค์ไปตามแถวภูพาน จังหวัดสกลนคร ไปพบกับ
ท่านพระอาจารย์มหาทองสุก ซ่ึงเป็นเจ้าอาวาสวัดสุทธาวาสในสมัยนั้น และได้ไปฟังธรรมท่าน
อาจารยก์ งมา ซง่ึ กำ� ลงั อยทู่ บ่ี า้ นหว้ ยหบี พกั อยกู่ บั ทา่ นอาจารยม์ หาทองสกุ และทา่ นพระอาจารยก์ งมา
ฟังเทศน์ฟังธรรมท่านพอประมาณแล้วก็ร�่ำลาเลิกกัน ข้าพเจ้าก็เท่ียวไปตามแถวภูพาน เที่ยวลงไป
ทางเมอื งอบุ ลราชธานี แลว้ จะไปเที่ยวภาคเหนือ คอื จังหวัดเชียงใหม่ เดนิ ทางไปส่เู มืองอุบลฯ อ�ำเภอ
วารนิ ชำ� ราบ จังหวัดอบุ ลฯ ซึ่งเปน็ สถานีรถไฟ จุดทีจ่ ะไปข้ึนรถไฟ ท่หี ัวสถานี อำ� เภอวารนิ ช�ำราบ
เผอิญไดไ้ ปพบกบั ทา่ นพระอาจารยล์ ี ธมฺมธโร ท่านพักอยู่ท่ีวดั ป่าวารนิ ฯ เลยเขา้ ไปนมัสการสนทนา
ธรรมะกับท่านพอสมควรในคนื วนั น้นั แล้วร่งุ เช้ากข็ ้นึ รถไฟสายอุบลฯ ไปเชียงใหม่”
ท่านพระอาจารย์ท้ังสาม
ท่านพระอาจารย์มหาทองสุก สุจิตฺโต วัดป่าสุทธาวาส อ�ำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
ท่านพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโ วัดดอยธรรมเจดีย์ อ�ำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร และ
ทา่ นพระอาจารย์ลี ธมมฺ ธโร หรือ ท่านพอ่ ลี วดั อโศการาม อ�ำเภอเมอื ง จงั หวดั สมทุ รปราการ
82
ท่านพระอาจารยท์ งั้ สาม ท่านบวชและญัตติในฝา่ ยธรรมยุตในปเี ดียวกนั โดยมพี ระอปุ ัชฌาย์
องคเ์ ดยี วกัน คือ ท่านเจ้าคณุ พระปัญญาพิศาลเถร (หนู ติ ปญโฺ ) ตา่ งเป็นพระศษิ ย์อาวุโสของ
ทา่ นพระอาจารยม์ นั่ ภูริทตฺตมหาเถร และต่างมีอายุพรรษาเพียงสามสิบกว่าพรรษา กถ็ งึ แกม่ รณภาพ
ในวัยยงั ไมช่ ราภาพมากนกั
โดยทา่ นพระอาจารย์มหาทองสุก ทา่ นบวชเมอ่ื วันท่ี ๒๑ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๔๗๐ ในฝา่ ย
ธรรมยุติกนิกาย ณ พัทธสีมา วัดสระปทุม (วัดปทุมวนาราม) กรุงเทพมหานคร ได้รับนามฉายา
ว่า “สุจิตฺโต” โดยมี ท่านเจ้าคุณพระปัญญาพิศาลเถร (หนู ติ ปญฺโ) เป็นพระอุปัชฌาย์ และ
พระปลัดบญุ มี อนิ เฺ ชฏฺโก เป็นพระกรรมวาจาจารย์
ท่านพระอาจารย์มหาทองสุก ท่านเคยออกเท่ียวธดุ งค์วเิ วกตามปา่ ตามเขาทางภาคเหนือกับ
ทา่ นพระอาจารยม์ ่ัน ตามล�ำพังเพยี งสององค์ ท่านเปน็ คู่พึง่ เปน็ พง่ึ ตาย คทู่ กุ ข์คยู่ าก คู่ล�ำบากลำ� บน
กบั ทา่ นพระอาจารย์มนั่ ไปไหนในป่าในเขา ทกุ ขไ์ ปด้วยกัน คร้ังหน่ึงไปอยใู่ นปา่ เขา ตเุ๊ จา้ ย่หี ัวหน้า
ชาวเขากลา่ วหาวา่ ท่านเป็นเสอื เยน็ เปน็ เสอื อนั ตราย ท่านจึงตอ้ งทนอยู่อย่างล�ำบากล�ำบนเพ่อื โปรด
ชาวเขาจนเลอ่ื มใสศรทั ธา มฉิ ะนนั้ พวกชาวเขาตายไปจะพากนั เกิดเปน็ เสือ
จากการท่ที า่ นพระครอู ุดมธรรมคณุ (ท่านพระอาจารย์มหาทองสกุ สจุ ติ ฺโต) ได้ออกธดุ งค์
ตดิ ตามทา่ นพระอาจารย์ม่นั ภรู ทิ ตตฺ มหาเถร ไปทางภาคเหนอื ทงั้ เชียงใหม่ เชียงราย จนถึงประเทศ
พม่านั้น เพื่อศกึ ษาฝกึ ฝนอบรมธรรมปฏบิ ตั ิกบั ท่านพระอาจารยม์ ่นั นั้น ครัง้ หนึ่งทา่ นพระอาจารย์มนั่
ได้เล่าใหฟ้ งั ว่าไปธดุ งคก์ บั ทา่ นพระอาจารยม์ หาทองสุก พักอยู่กลางป่าบนดอยจังหวัดเชยี งใหม่ ไฟได้
ไหม้ล้อมเข้ามาทุกทิศ ท่านพระอาจารย์มหาทองสุกเป็นคนเก็บบริขารสะพายใส่บ่าทั้งสองชุด ของ
ท่านชดุ หนงึ่ และของทา่ นพระอาจารยม์ ่นั อกี ชดุ หน่ึง แล้วทา่ นจูงทา่ นพระอาจารยม์ ่นั หนไี ฟปา่ ออกมา
มิฉะนั้นอาจถูกไฟคลอกตายได้ จึงเป็นคู่ทุกข์คู่ยาก และเป็นส่ิงที่ฝังใจท่านพระอาจารย์ม่ันมาก
ท่านพระอาจารยม์ ่ัน ยังพดู เสมอวา่ “มหาทองสกุ เป็นค่ทู กุ ข์ค่ยู ากกนั ”
ทา่ นมรณภาพเม่ือวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ ณ โรงพยาบาลศิริราช เขตบางกอกนอ้ ย
กรุงเทพฯ สิริรวมอายไุ ด้ ๕๗ ปี พรรษา ๓๘
สว่ นท่านพระอาจารยก์ งมา และ ท่านพระอาจารยล์ ี ทา่ นได้ญัตติเปน็ พระในฝ่ายธรรมยุต
พรอ้ มกนั เมือ่ วนั ที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ณ พทั ธสีมา วัดบรู พาราม ต�ำบลในเมอื ง อำ� เภอ
เมอื ง จงั หวดั อบุ ลราชธานี ได้รับนามฉายาใหมว่ า่ “จริ ปุญโฺ ” และ “ธมฺมธโร” ตามล�ำดับ โดยมี
ท่านเจ้าคุณพระปญั ญาพิศาลเถร (หนู ติ ปญฺโ) เป็นพระอปุ ชั ฌาย์ และ ท่านพระอาจารย์เพ็ง
เป็นพระกรรมวาจาจารย์ โดยทา่ นพระอาจารยก์ งมาเปน็ นาคขวา ท่านพระอาจารยล์ เี ปน็ นาคซา้ ย
ทา่ นทัง้ สองจงึ สนทิ สนมกันมาก ต่างก็เปน็ พระประเภท “เพชรนำ้� หนึง่ ” และตา่ งกถ็ ึงแกม่ รณภาพ
ในวัยยังไม่ชราภาพมากนกั โดยท่านพระอาจารย์กงมา ทา่ นมรณภาพด้วยการประสบอุบตั เิ หตทุ าง
รถยนต์ เม่อื วนั ที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ สริ ิรวมอายุได้ ๖๑ ปี ๑๑ เดอื น ๑๑ วัน พรรษา ๓๕
83
ส่วนทา่ นพระอาจารยล์ ี ท่านมรณภาพดว้ ยอาการอาพาธอยา่ งสงบ เมอ่ื วันที่ ๒๖ เมษายน
พ.ศ. ๒๕๐๔ สริ ริ วมอายไุ ด้ ๕๕ ปี ๒ เดอื น ๒๖ วัน พรรษา ๓๔
พรรษา ๕ – ๖ พ.ศ. ๒๔๙๐ – ๒๔๙๑ จ�ำพรรษาท่ีเชียงใหม่
พระธดุ งคกรรมฐานสายท่านพระอาจารยม์ นั่ สว่ นใหญท่ ่านนยิ มขึน้ ไปทางภาคเหนือ เพ่ือออก
เท่ียวธุดงค์วิเวกตามเส้นทางรอยธรรมของท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)
และ ทา่ นพระอาจารยม์ น่ั ภูรทิ ตฺตมหาเถร เพราะทางภาคเหนือเป็นสถานทสี่ ัปปายะมาก มีสภาพ
ภมู ปิ ระเทศเปน็ ป่าเป็นเขา มถี �ำ้ เงอ้ื มผา อุดมสมบูรณ์ไปด้วยปา่ ไม้ มีตน้ ไมข้ นาดใหญ่ข้นึ ปกคลุมอย่าง
หนาทบึ อากาศจงึ คอ่ นข้างเย็นสบาย
ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ท่านเป็นพระศิษย์ท่านพระอาจารย์ม่ันอีกองค์หนึ่งที่ได้
ขึน้ ทางภาคเหนอื ไปจำ� พรรษาทีเ่ ชยี งใหม่ ๒ พรรษา โดยท่านได้เข้าพักท่ีวัดเจดีย์หลวง อ�ำเภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม่ จากนน้ั ไดอ้ อกเดินธุดงคว์ ิเวกในแถบจงั หวัดเชียงใหม่ จงั หวัดล�ำพูน จังหวดั เชียงราย
ส่อู �ำเภอแมส่ าย และเข้าไปเขตประเทศพม่า โดยท่านไปพักทีจ่ งั หวดั เชยี งตุง
ในขณะท่ีท่านพระอาจารย์จวนพักอยู่ในโบสถ์วัดเจดีย์หลวง ท่านได้นิมิตภาพพระมหาเถระ
มาตักเตือนทา่ น โดยท่านพระอาจารย์จวน กลุ เชฏโฺ ไดเ้ มตตาเทศน์เรื่องน้ไี วด้ ังนี้
“เม่ือไปถึงจังหวัดเชียงใหม่ เข้าไปพักอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง พักผ่อนวิเวกอยู่แถวนั้น อยู่ใน
วัดเจดีย์หลวงประมาณ ๓ เดือน ในขณะท่ีอยู่วัดเจดีย์หลวงน้ัน ข้าพเจ้าอยู่ในโบสถ์วัดเจดีย์หลวง
นั่งภาวนาอยู่ เลยเกิดนิมิตภาพขึ้น ขณะที่น่ังภาวนาปรากฏพระมหาเถระรูปหนึ่ง ท่านมาให้โอวาท
ตกั เตือนว่า
“ท่านจวน ถ้าท่านจะเป็นผู้ใหญ่เขาน้ัน ท่านอย่าวางแผ่นดิน เพราะความประพฤติ
ของท่านยังไมส่ ม�่ำเสมอ”
ดงั น้ี แลว้ ท่านก็หายไป ขา้ พเจ้ามาก�ำหนดพิจารณาดนู มิ ติ น้ัน ค�ำว่า “แผ่นดิน” หมายถึงว่า
ให้มีใจหนักแน่นเหมือนแผ่นดินนั่นเอง เมื่อถูกกระทบกระแทกจากอารมณ์ต่างๆ ก็อย่าท�ำใจให้
วอกแวก ใหม้ ีสตกิ �ำหนด ให้ใจตง้ั มั่นเปน็ สมาธิ ไมห่ ว่ันไหวพลุ่งพลา่ น เหมือนแผ่นดนิ
ตอนนขี้ า้ พเจา้ ได้เขียนจดหมายกราบเรียนท่านพระอาจารย์ม่ันทสี่ กลนคร วดั ป่าบ้านหนองผือ
อ�ำเภอพรรณานิคม โดยด่วนว่า ขอกราบเรียนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่ีเคารพอย่างสูง เกล้ากระผม
นั่งภาวนาเกิดภาพนิมิต ปรากฏพระมหาเถระมาพูดว่า “ท่านจวน ถ้าท่านจะเป็นผู้ใหญ่เขาน้ัน
ทา่ นอยา่ วางแผ่นดิน เพราะความประพฤตขิ องท่านยังไม่สม่�ำเสมอ” ดังน้ี กระผมเปน็ ผู้มสี ติและ
ปัญญาน้อยไม่สามารถรู้ว่าอะไรเป็นแผ่นดิน ขอนิมนต์พ่อแม่ครูบาอาจารย์โปรดประทานให้โอวาท
ตกั เตอื นดว้ ย
84
ท่านกเ็ ลยตอบจดหมายว่า “ถึงท่านจวนท่ีอาลัยยิ่ง ทกุ สง่ิ ทกุ อย่างท่ีผมไดแ้ นะนำ� ใหท้ ่านน้ัน
ขอให้ท่านจงต้ังอกต้ังใจประพฤติปฏิบัติด�ำเนินไปตามค�ำที่ผมแนะน�ำ อย่าประมาท เพ่ือเป็น
เกยี รติยศแก่พระพุทธศาสนาต่อไป” นี่ในจดหมายของท่านตอบ”
วดั เจดียห์ ลวง เปน็ วดั เก่าแกต่ ัง้ อย่กู ลางเมืองเชียงใหม่ ถือเป็นวัดส�ำคญั เปน็ วัดป่าศนู ยก์ ลาง
พระธุดงคกรรมฐานทางภาคเหนือ วัดเจดีย์หลวงเดิมเป็นวัดร้าง ต่อมาท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ได้มา
บูรณปฏิสงั ขรณ์ และรับเป็นเจา้ อาวาส ตามค�ำกราบอาราธนานิมนต์ของเจา้ แก้วนวรฐั เจ้าผคู้ รอง
นครเชยี งใหมใ่ นสมัยนน้ั ซงึ่ ตอ่ มาพ่อแมค่ รูอาจารย์องคส์ �ำคญั นับแตท่ ่านพระอาจารยม์ นั่ ภูรทิ ตโฺ ต
หลวงป่ชู อบ านสโม หลวงปพู่ รหม จิรปญุ ฺโ หลวงปู่แหวน สจุ ิณโฺ ณ หลวงปู่ตอ้ื อจลธมฺโม ฯลฯ
เม่ือขึ้นภาคเหนือ เม่ือถึงจังหวัดเชียงใหม่ ท่านจะแวะมาพักท่ีวัดเจดีย์หลวงก่อน จึงออกเดินธุดงค์
เท่ียววิเวกต่อไป รวมทั้งท่านอาจารย์พระมหาบัว าณสมฺปนฺโน ในสมัยท่ีท่านศึกษาภาคปริยัติ
ท่านได้มาจำ� พรรษาทีว่ ดั เจดียห์ ลวง และได้เห็นท่านพระอาจารย์มั่นครัง้ แรกในชีวติ ทวี่ ัดแห่งนี้
อันตรายของภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่
ตามบาลีว่า ภัยส�ำหรับกุลบุตรผู้บวชในธรรมวินัยน้ี อันเป็นเหตุให้ประพฤติพรหมจรรย์
อยู่ไดไ้ มย่ ั่งยืน ต้องลาสกิ ขาไป หรอื อันตรายของภกิ ษุสามเณรผบู้ วชใหมม่ ี ๔ ประการ ดงั น้ี
๑. อูมิภัย (ภัยคล่ืน คือ อดทนต่อค�ำส่ังสอนไม่ได้ เกิดความข้ึงเคียดคับใจ เบื่อหน่าย
ค�ำตักเตือนพร�่ำสอน)
๒. กุมภีลภยั (ภยั จระเข้ คือ เหน็ แกป่ ากแกท่ ้อง ถูกจ�ำกัดด้วยระเบียบวินยั เกีย่ วกับการบริโภค
ทนไมไ่ ด)้
๓. อาวฏภยั (ภัยน้�ำวน คอื หว่ งพะวงใฝ่ทะยานในกามสุข ตัดใจจากกามคณุ ไม่ได้)
๔. สุสกุ าภยั (ภัยปลาร้าย หรอื ภัยฉลาม คือ เกดิ ความปรารถนาทางเพศ รกั ผูห้ ญงิ )
เมอ่ื ครง้ั ท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ยังเปน็ พระหน่มุ ทา่ นเป็นพระหนุ่มหล่อรูปงามมาก
อันตรายในชีวิตพรหมจรรย์ของท่าน จึงเกิดจากเพศตรงข้าม ความที่ท่านเป็นพระหนุ่มหล่อรูปงาม
จึงมีหญิงสาวมาติดมาชอบ ซึ่งเร่ืองราวเหล่านี้มีมาแต่คร้ังพุทธกาล คล้ายกับกรณีของพระอานนท์
ในขณะท่ีท่านท�ำหน้าท่ีพุทธอุปัฏฐาก ท่านเป็นพระอริยบุคคลขั้นต้น คือ พระโสดาบัน ท่านเป็น
พระท่ีมีรปู โฉมงดงามมากคลา้ ยๆ พระพุทธเจา้ แตเ่ ป็นรองพระพทุ ธเจา้ ท่านจึงมหี ญงิ สาวมาหลงรกั
เช่น เร่อื งหญิงคนรับใช้มาหลงรักท่าน และได้ติดตามท่านมาวัดเชตวนั พระพุทธเจา้ เทศนโ์ ปรดอยา่ งไร
กย็ ังตดั ใจไม่ได้ และตอ่ มานางกไ็ ด้ออกอุบายบวชเป็นภกิ ษณุ ี เพื่อหวังตดิ ตามใกล้ชดิ ทา่ น เมื่อยังตดั ใจ
ไม่ได้ก็ย้ายไปอยู่เมืองโกสัมพี และเม่ือพระอานนท์ติดตามพระพุทธเจ้ามาเมืองโกสัมพี นางภิกษุณี
ทราบข่าวก็แกล้งป่วยหวังให้พระอานนท์มาเทศน์โปรด แต่ในท่ีสุดพระอานนท์ได้เทศนาธรรมโปรด
85
จนนางภิกษุณตี ัดใจรักทา่ นได้และกไ็ ดบ้ รรลธุ รรม ดงั นี้
“พระอานนท์ทา่ นร้วู ่านางภิกษุณแี กลง้ ป่วย พระอานนท์ได้สอนหลายๆ เรอื่ งใหก้ บั นางภกิ ษณุ ี
เพ่อื ใหม้ ีสติ โดยยกขอ้ ธรรมะทส่ี ำ� คัญๆ มา ตวั อย่างเชน่
“ธรรมดาวา่ ไม้จนั ทนน์ ั้น แม้จะแห้งกไ็ ม่ท้ิงกล่ิน อศั วนิ กา้ วลงสูส่ งครามกไ็ ม่ทิ้งลีลา ออ้ ยแม้
เขา้ ส่หู บี ยนต์แล้วก็ไม่ทิง้ รสหวาน บัณฑติ แม้ประสบทุกข์ก็ไมท่ ิง้ ธรรม พระศาสดาทรงย้�ำวา่ พงึ สละ
ทุกสิ่งทุกอยา่ งเพอื่ รักษาธรรม”
“พระศาสดาตรัสว่า บุคคลอาจอาศัยตัณหาละตัณหาได้ อาจอาศัยมานะละมานะได้
อาจอาศัยอาหารละอาหารได้ แต่เมถุนธรรมนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสอนให้ชักสะพานเสีย คือ
อยา่ ทอดสะพานเขา้ ไป เพราะอาศัยละไมไ่ ด้”
นางภกิ ษุณโี กกิลาได้ฟังก็ร้องไห้ และเริ่มเขา้ ใจอะไรในหลายๆ อยา่ ง จนสามารถประหารกเิ ลส
ทั้งมวลได้สำ� เรจ็ จนไดม้ รรคผลช้ันสูงสดุ เปน็ พระอรหนั ต”์
มาตุคาม
เร่ืองของมาตุคามนี้เป็นภัยต่อพรหมจรรย์ของพระภิกษุสงฆ์ผู้บวชในพระพุทธศาสนาอย่างมาก
และเป็นอุปสรรคต่อการประพฤติปฏบิ ัติธรรม ท�ำให้พระภิกษสุ งฆบ์ างองคไ์ มส่ ามารถครองพรหมจรรย์
ได้ตลอด และจ�ำต้องสึกออกไปใช้ชีวิตฆราวาสมีครอบครัว เร่ืองพระภิกษุสงฆ์ปฏิบัติต่อผู้หญิงน้ัน
พระวนิ ัยไดบ้ ญั ญัตไิ ว้มากมายหลายข้อ เช่น พระภิกษุสงฆห์ ้ามอยู่กบั ผ้หู ญิงตามล�ำพังสองต่อสอง โดย
มีเรื่องตน้ บัญญตั ิ ดงั น้ี
“พระผู้มีพระภาคเจา้ ประทบั ณ เชตวนาราม ใกลก้ รุงสาวัตถี สมยั นนั้ พระอุทายีเปน็ ผูเ้ ขา้ สสู่ กุล
มากดว้ ยกนั ในกรงุ สาวัตถี วันหนงึ่ เขา้ ไปนั่งในหอ้ งลบั ตาสองตอ่ สองกับหญิงสาว สนทนาบ้าง กล่าว
ธัมม์บา้ ง นางวิสาขาไดร้ ับเชิญไปส่สู กุลนนั้ เห็นเข้า จึงทักท้วงวา่ เป็นการไมส่ มควร ก็ไมเ่ อ้อื เฟื้อเชือ่ ฟัง
ความทราบถงึ พระผูม้ ีพระภาคเจ้า จงึ ทรงเรยี กประชุมสงฆ์ ทรงไต่สวนไดค้ วามเป็นสัตย์แล้ว
จงึ ทรงติเตยี น และทรงบญั ญัติสกิ ขาบท ใจความว่า ภิกขุนงั่ ในทีล่ ับตาสองตอ่ สองกบั หญงิ เป็นท่อี นั
พอจะประกอบกัมม์ได้ ถ้าอุบาสิกาผู้มีวาจาควรเชื่อได้กล่าวว่า ภิกขุต้องอาบัติอย่างใดอย่างหน่ึงใน
๓ อย่าง คอื อาบตั ปิ าราชกิ (เพราะเสพเมถนุ ) ก็ตาม อาบัติสงั ฆาทเิ สส (เพราะถกู ตอ้ งกายหญิง หรือ
เกยี้ วหญิง เปน็ ต้น) กต็ าม อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ (เพราะนง่ั ในทลี่ ับสองต่อสองกบั หญงิ ) ก็ตาม ถา้ ภกิ ขสุ ารภาพ
ว่าตนน่งั กจ็ ะถูกอบุ าสิกาผ้มู วี าจาเชอ่ื ถือได้ปรบั อาบตั ไิ ด้ ๓ อยา่ งดังกลา่ ว”
หากพระภิกษุสงฆเ์ สพเมถนุ จะต้องโทษปรับอาบัติขนั้ สถานหนักถงึ ขึ้นปาราชกิ โดยขาดจาก
ความเป็นพระทันที เป็นต้น ซ่ึงเร่ืองของผู้หญิงน้ี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ความส�ำคัญ
86
อย่างมากถึงกับทรงส่ังสอนพระภิกษุสงฆ์อย่างเด็ดขาดว่า ไม่ให้พระภิกษุสงฆ์คุ้นกับผู้หญิง โดย
องค์หลวงตาพระมหาบวั าณสมปฺ นโฺ น ไดเ้ มตตาเทศน์ไว้ดงั น้ี
“พระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้ต่อพระอานนท์ พระอานนท์ทูลถามพระพุทธเจ้า การปฏิบัติต่อ
มาตุคาม คือ ผู้หญิงนี่จะให้ปฏิบัติยังไง ฟังซิน่ะ ฟังให้ดีนะ น่ีล่ะพระอานนท์ทูลถามพระพุทธเจ้า
การปฏิบัติต่อมาตุคาม คือ ผู้หญิงจะให้ปฏิบัติยังไง ใครก็เห็นด้วยกันทุกคน พระอานนท์ทูลถาม
พระพุทธเจ้าจะให้ปฏิบัตยิ งั ไง ทา่ นว่า “ไม่เหน็ ไมด่ ูเสียเลยอานนทด์ ี” ฟงั ซิน่ะ คอื ไม่เหน็ ไมด่ เู ลย
นน่ั แหละดี นัน่ พักแรกเป็นอยา่ งงนั้ หากความจำ� เปน็ ท่ีจะได้เห็นไดด้ มู ีจะท�ำยังไง “อย่าพดู ” นนั่ ฟงั ซิ
นีล่ ะ่ ภัยท่รี ุนแรงทส่ี ุดอย่จู ุดนี้นะ
ท่านบอกว่า ถ้าหากจ�ำเป็นจริงๆ ท่ีควรจะดูได้เห็นท�ำยังไง อย่าพูด น่ันฟังซิ หากมีความ
จ�ำเป็นท่จี ะได้พูดละ่ นัน่ พระอานนท์ทา่ นฉลาดขนาดนั้นนะ ท่ีจะพูดแลว้ ท�ำยงั ไง “ใหต้ งั้ สตใิ ห้ดี” นั่น
เห็นไหม ให้ตงั้ สติให้ดี อยา่ ใหเ้ ปน็ ไปตามอำ� นาจแหง่ ราคะตัณหา สามประโยคนกี้ ระเทอื นหมดท่วั
ประเทศไทย หญิงกบั ชาย พระกับผหู้ ญงิ นีก่ ระเทือนมากทีเดียว สำ� หรับพระกบั ผหู้ ญิงนีก่ ระเทอื นมาก
หญิงกับชายทั่วโลก ตลอดสัตว์มันก็เหมือนๆ กันไม่เอาเข้ามาเป็นกฎเกณฑ์ พระพุทธเจ้าสอนพระ
ตา่ งหาก เรอื่ งโลกของเขาเป็นโลกของเขา
น่ีล่ะเดด็ ไหม ฟังซิ พระพทุ ธเจ้า คนุ้ ไดเ้ ม่ือไรเร่อื งเหล่าน้ี มนั ของเล่นเม่ือไร ตัวนต้ี ัวส�ำคญั มาก
เราจะไดเ้ หน็ เวลาปฏิบตั ติ ่อมัน มีแต่อนั น้มี ันข้ึนๆ ผมจึงได้พดู ไดส้ อนใหห้ ม่เู พ่อื นฟงั เวลาเรียน
หนงั สอื อย่เู หน็ สง่ิ เหล่าน้กี เ็ หน็ กไ็ มเ่ หน็ แสดงความแปลกประหลาดสะดดุ ใจๆ พอออกปฏบิ ัติตั้งหนา้
จะฆา่ มัน อาการอันนี้มนั จะออกในจิตๆ แย็บๆ กวนอยตู่ ลอด เอ๊ ! ทำ� ไมจงึ เปน็ อย่างน้ี แตก่ อ่ นเรา
ไม่ตง้ั หนา้ ตงั้ ตาช�ำระมนั ทนี ้เี วลามาตง้ั หนา้ ต้งั ตา ท�ำไมจึงมแี ตอ่ ันน้ีแทรกเตม็ หัวใจ มนั เป็นอยใู่ นจติ
นน้ั แหละ มันไม่ได้มาแสดงภายนอก
จนกระทั่งเหมือนว่าโมโหนะ เห็นไหมเป็นภัยมาก ถ้าตัวน้ีได้รุนแรงหาความสงบร่มเย็น
เปน็ ตวั ของตวั ไมไ่ ดน้ ะ พระเรา เพราะฉะนนั้ อยา่ คนุ้ กบั เรอ่ื งเหลา่ น้ี เปน็ ภยั พระพทุ ธเจา้ เหน็ วา่ เปน็ ภยั
เราอยา่ เหน็ วา่ เปน็ มติ รเปน็ สหาย นน้ั แหละคอื มหาภยั เผาหวั ใจ พระทกุ วนั นเ้ี ปน็ ยงั ไงทไ่ี หนๆ กเ็ หมอื นกนั
เดย๋ี วนมี้ ันเปน็ ค่กู นั แลว้ นะ พระกับผู้หญิง ดูมันเลอะเทอะไปหมดเลย ดูไมไ่ ดน้ ะ จนกระทัง่ พระดพู ระ
ไม่ได้ว่าง้นั เลย ผมพูดจรงิ ๆ ดพู ระนีจ่ นดไู มไ่ ด้ มนั กระเทอื นใจพระแบบน้ี เราใหร้ ะวังใหด้ ีนะ อยา่ เกง่
กว่าศาสดานะ
น่ีศาสดาสอนไว้สามประโยค อย่าเห็น อยา่ ดเู ลยอานนท์ ถา้ หากว่าจ�ำเป็นท่จี ะเหน็ จะดจู ะท�ำ
ยงั ไง อย่าพูด น่นั ฟงั ซิ เป็นภัยขนาดไหนถงึ ไดเ้ ด็ดอยา่ งงั้น แลว้ หากว่าจ�ำเป็นท่คี วรจะพดู แลว้ ท�ำยังไง
ให้ตงั้ สตใิ ห้ดี คอื ตง้ั สตพิ ดู เวลาจำ� เป็นเทา่ นนั้ แล้วพรากจากกันเลย ไมใ่ ห้มาคลุกเคลา้ วุ่นวายกัน เอาไฟ
เผากนั เผาสดๆ รอ้ นๆ ไฟเผาอยา่ งอนื่ ยังค่อยยังชั่ว ไฟกิเลสตณั หามาเผาพระเผาเณร แหม ! กระเทอื น
87
ท่วั โลก ไมใ่ ช่เรือ่ งเลก็ น้อยนะ ใหพ้ ากันจำ� เอานะค�ำนี้ อย่าค้นุ กับใคร พระพทุ ธเจา้ ไม่สอนให้คุ้น อยา่ คุน้
สอนให้ระวังอย่างเต็มท่ี นี่ละ่ มหาภยั
สามจุดน้จี ุดมหาภัย ไมเ่ หน็ ไม่ดูเลยดี จำ� เป็นที่จะไดเ้ หน็ อย่าพดู คอื ไม่ให้ความสนทิ เลย
กบั ผ้หู ญงิ สนิทไมไ่ ดพ้ ันเลยทันที หากจำ� เป็นตอ้ งพดู ท�ำยงั ไง ตง้ั สติให้ดี คอื ต้งั ทา่ ระวัง พูดดว้ ย
ความระวังแล้วพรากจากกันทันทีเลย เม่ือเหตจุ ำ� เป็นทีค่ วรจะพดู พดู ดว้ ยความมสี ตแิ ล้วตดั ออก
ทันทเี ลย อย่างน้ันนะ พากันจ�ำ อยา่ มาค้นุ นะ คนุ้ กบั สิง่ เหลา่ น้ี ตายจรงิ ๆ พระพุทธเจา้ ไม่พาคนุ้
อยา่ คุ้น อย่าอวดดีกว่าศาสดา”
ผจญกิเลสมารจากมาตุคาม
ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ ขณะเปน็ พระหนุ่มพรรษานอ้ ย อายุประมาณ ๒๗ – ๒๘ ปี
ทา่ นยังไม่ไดบ้ รรลุคณุ ธรรมขน้ั ใด ยงั เป็นพระปถุ ชุ น ทา่ นจึงมีความใคร่ มีความก�ำหนัดยินดี ด้วยความ
ท่ที ่านเป็นพระหนมุ่ หลอ่ รปู งาม รูปร่างผวิ พรรณดี ท่านจึงเป็นท่ีตอ้ งตาตอ้ งใจของหญิงสาวทง้ั หลาย
รวมท้ังพ่อแม่ของหญิงสาวก็ยินดีในตัวท่าน ขอให้ท่านสึกไปอยู่กินมีครอบครัวกับลูกสาวของเขาก็มี
ท่านจงึ ต้องผจญกเิ ลสมารจากมาตคุ ามเพศตรงข้ามหลายรปู หลายแบบครัง้ แล้วครั้งเลา่ แต่ด้วยอ�ำนาจ
บุญญาบารมีของท่านท่ีสะสมมาด้วยดีแล้ว ท่านก็ผ่านอุปสรรคจากภัยมาตุคามมาได้ทุกครั้งไป โดย
ทา่ นพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฺ ได้เมตตาเทศนเ์ รือ่ งน้ไี วเ้ ป็นคตแิ ก่เพือ่ นสหพรหมจรรย์ ดังนี้
“ต่อแต่นน้ั ขา้ พเจ้ากเ็ ลยออกวเิ วกตามแถบรอบๆ เมอื งเชียงใหม่ ในระยะหน่ึงไปอยทู่ ่ีอบู มงุ
ข้างสนามบินจังหวัดเชียงใหม่ อิงดอยสุเทพ ทิศตะวันตกของสนามบินจังหวัดเชียงใหม่ ท่ีนั่นมี
เจดียเ์ กา่ และเขาท�ำเปน็ อูบมุงไว้ มถี ำ้� เป็นชอ่ งๆ ข้าพเจ้ากับพรรคพวกพากนั ไปพกั วิเวกท่ีนัน้ ในท่นี ้ัน
ตอนกลางคนื ได้นิมติ อกี ปรากฏวา่ ขา้ พเจา้ กบั ท่านพระอาจารย์มนั่ ได้พากันท�ำหบี ศพ อยู่ที่บนเจดยี ์
และในขณะทขี่ า้ พเจ้ากับทา่ นพระอาจารย์มน่ั ท�ำหีบศพอยู่นั้น ปรากฏวา่ ทา่ นเจ้าคณุ อบุ าลีคณุ ูปมา–
จารย์ สิริจนฺโท (สริ ิจนโฺ ท จันทร์) เจา้ อาวาสวดั บรมนวิ าส ทา่ นเหาะมาทางอากาศ มายนื ตรงหนา้
ข้าพเจา้ แลว้ ทา่ นก็ใหโ้ อวาทว่า
“ทา่ นจวน อเุ ปกฺขินทฺ ริยํ”
ท่านว่าอย่างน้ัน ขา้ พเจ้าไดย้ นิ เลยก�ำหนดแปลดวู า่ “อุเปกฺขนิ ทฺ ริยํ แปลว่าอะไร แปลว่าทวาร
อนิ ทรยี ์ทั้ง ๖ ตา หู จมกู ลนิ้ กาย และใจ เม่อื กระทบรูป เสียง กลิน่ รส เครอื่ งสมั ผัส และธรรมารมณ์
ดกี ต็ าม ช่วั กต็ าม ใหว้ างใจเป็นอเุ ปกขา มธั ยสั ถเ์ ป็นกลางๆ ดว้ ยความมีสตแิ ละปญั ญา อย่าเอาใจไป
ฟ่ันเฝอื ลุ่มหลงในอารมณ์นน้ั ๆ ท่มี ากระทบ” แลว้ ท่านก็หายไป
ข้าพเจ้าก�ำหนดพิจารณาตามนิมิตน้ันว่า พรุ่งนี้อาจจะมีอันตราย หรือเหตุการณ์อย่างใด
อย่างหนึ่งเกิดขนึ้ เป็นแน่ พอดตี ่ืนเช้า ฉันเสรจ็ หม่พู วกก็ไปหาเท่ยี วชมดูสถานทีต่ า่ งๆ ในเมอื งเชียงใหม่
88
ยังแต่ตัวข้าพเจ้าผู้เดียวอยู่ในถ้�ำน้ัน ในกลางวันก็มีพวกสีกาสาวหล่อ (สวย) เชียงใหม่ พวกดารา
เชียงใหม่ไปเท่ียว แล้วก็ไปชอบหาพระ มีสีกาสาวรูปสวยคนหนึ่งชอบค้นหาพระ ค้นไปค้นมาเห็น
ขา้ พเจ้านงั่ อยใู่ นถำ้� ในชอ่ งถำ้� แห่งหนง่ึ สกี านัน้ เครอื่ งนงุ่ ของเขา เขนิ ๆ (นงุ่ ส้ันๆ) แลว้ ก็มีเส้อื ช่อง
พอเขาไปเหน็ ขา้ พเจ้า เขาก็บอกพรรคพวกวา่ น้ี “ตเุ๊ จา้ อยู่นี้ ตเุ๊ จา้ อย่นู ่ี” ยืนเพ่งขา้ พเจา้
ข้าพเจ้าเพ่งไปเพ่งมา ก็เลยเห็นนมของเขาเต็มอก แล้วก็เพ่งลงไปข้างล่าง เคร่ืองนุ่งของเขา
ก็บางๆ เห็นซ่ินสเกิร์ต ก็เลยเกิดความก�ำหนัดข้ึน แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้พูดอะไร พอเกิดความก�ำหนัด
ขนึ้ เท่านน้ั ก็นึกถึงคำ� เทศนข์ องทา่ นเจ้าคณุ อบุ าลคี ุณูปมาจารย์ สริ จิ นฺโท วา่ “อเุ ปกฺขนิ ฺทรยิ ”ํ เลย
พจิ ารณาอบุ ายน้นั จติ กเ็ ลยสงบ หญิงคนนนั้ ออกไปเรยี กหมู่คณะมา มากราบมาไหวแ้ ลว้ เขาก็เอาของ
มาทาน แล้วก็ใหพ้ รเขา เขาก็เลิกละไป
ท�ำความพากความเพยี รอยูใ่ นถ้�ำน้นั พอประมาณ กเ็ ลยเทยี่ ววิเวกไปตามแถบเชียงใหม่ อำ� เภอ
สันก�ำแพงบ้าง อ�ำเภอแม่แตงบ้าง และแถบจงั หวัดลำ� พนู บ้าง ไปตามดอยตามเขานัน่ แหละ จำ� พรรษา
ท่จี ังหวดั เชียงใหม่ ๒ พรรษา แล้วก็เดินไปวเิ วกที่จงั หวดั เชยี งราย แล้วก็ไปเท่ียวเดินวเิ วกไปทางพม่า
เชยี งตุง ไปอยู่จงั หวดั เชียงตงุ ๓ เดอื น เทย่ี ววเิ วกในแถบนัน้
เดนิ จากอ�ำเภอแมส่ าย เขตไทย เดินทั้งน้ัน เดนิ ด้วยเทา้ เปล่าทง้ั น้ัน จากอำ� เภอแม่สายไป
ถึงจังหวัดเชยี งตงุ เดินถงึ ๗ คืน ๗ วนั จึงถึง มีแตด่ อยล้วนๆ ไปกับเณรหนงึ่ กับโยมคนหน่ึง แลว้ ไป
พกั วเิ วกอยูท่ ีจ่ งั หวดั เชียงตงุ บนดอย เขาเรยี กวา่ ดอยแตง ทีเ่ ขาท�ำวิหารไวบ้ นดอย ส�ำหรับพวกเขิน
พวกเงี้ยว อาศยั บณิ ฑบาตบ้านตีนดอยรอบๆ น่นั แหละ ไปอยนู่ น้ั ๓ เดอื น ดอยนส้ี �ำคญั มาก เวลา
พลบค่�ำมีพวกเสือมารอ้ ง มาครางให้ฟงั ทุกวนั ๆ
การเดินทางไปวิเวกต่างแดนนี้ ดีอยู่ส�ำหรับการจะไปเท่ียวชมภูมิประเทศ ป่าเขาล�ำเนาไพร
พบผู้คนบ้านช่อง ขนบธรรมเนยี ม วฒั นธรรมประเพณที ่แี ปลกตาไปจากเมืองไทยของเรา แต่ส�ำหรบั
การภาวนาภารกิจของสงฆ์น้ัน ถ้าได้อยู่วิเวกตามล�ำพัง ก็คงจะพบสถานที่อันสัปปายะแก่เราบ้าง
แต่ถ้าหากจะต้องอยู่ร่วมกับภิกษุพม่าแล้ว ก็ออกจะมีความขัดข้องใจมากในเร่ืองข้อวัตรปฏิบัติ
ที่แตกต่างกัน จนบางอย่างไม่ตรงกับธรรมวินัยพุทธบัญญัติเลย บางแห่งจะพบพระชวนกันต้มข้าว
ทำ� อาหารในตอนกลางคนื ฉนั กนั อย่างหนา้ ตาเฉย บางแหง่ จะเหน็ พระลูกวัดหรอื แม้แต่เจา้ อาวาสเอง
จะนอนสูบฝิ่น กินฝิ่นกันอย่างสุขารมณ์ และเขาเห็นเป็นธรรมดาด้วย จึงได้เชิญให้พระอาคันตุกะ
อยา่ งขา้ พเจา้ ร่วมฉันด้วย รว่ มสูบดว้ ย ร่วมกินด้วย
สงิ่ ทท่ี างไทยถือเป็นขอ้ บกพรอ่ ง ผิดศลี ท�ำให้ศลี ขาด ศีลทะลุ ศีลด่างพร้อย ศลี เศร้าหมอง
แตท่ างโน้นจะมคี วามเหน็ เปน็ อกี อย่างหนงึ่
สว่ นผู้คนของเขา แม้จะมีศรัทธาดี แต่ส�ำหรับสีกาแล้ว จะตอ้ งระมดั ระวังส�ำรวมอนิ ทรยี ท์ ้ัง ๖
ใหม้ ากย่งิ หญงิ สาวเชยี งตุงหลายแห่งท่ีพอเห็นข้าพเจ้ากจ็ ะเอะอะกิ๊วกา๊ วชักชวนเพ่ือนมาดู
89
“ดูเจา้ ศลี ธรรมองค์น้ี สวยแท้ สวยหลาย ผิวก็งาม หน้าก็งาม ผหู้ ญงิ ไหนๆ ก็สวยสู้ไมไ่ ด”้
เขาพูดวิจารณ์กนั ดงั ๆ อยา่ งไมข่ วยเขนิ อะไร และไมน่ ึกเกรงวา่ พระจะเขินด้วย รสู้ กึ วา่ เขาเหน็
พระคลา้ ยเป็นหุ่นหรอื ทอ่ นไม้อะไรอยา่ งหนงึ่
บางแห่งไม่แต่หญิงสาวเอง แม้แต่พ่อแม่ของหญิงก็จะพยายามเจรจาหว่านล้อมให้เราละเพศ
พรหมจรรย์ ไปครองชวี ิตฆราวาสรว่ มกบั ลกู สาวของเขา
“เฮารักตเุ๊ จ้ากนั จรงิ ๆ จักรก็เป็นของตเุ๊ จ้า บ้านก็ของตุเ๊ จา้ ไรน่ าสาโทสมบัตทิ ง้ั หมดกข็ องตุ๊เจ้า
เฮาจะยกใหต้ ุ๊เจา้ หมด ขอแตใ่ ห้ตเุ๊ จ้าลาสกิ ขาบทอยู่กบั เฮา ให้เฮาไดฝ้ ากผีเต๊อะ”
ที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้ มิใช่เป็นการอวดตัว ยกตัวอะไร แต่ก็เล่าให้เป็นคติ เพื่อเพ่ือน
สหพรหมจรรย์พรรษาน้อยอย่างข้าพเจ้าในสมัยน้ัน จะได้พยายามสังวรระมัดระวังกายใจ มิให้
ตกเปน็ เหยือ่ แกก่ เิ ลสมารตา่ งๆ เท่านั้น
การผจญกิเลสมารจากมาตุคามอันน่ากลัวน้ี แม้ระหว่างธุดงค์อยู่ในจังหวัดภาคเหนือก็ได้
ประสบอีกหลายครัง้ อยู่เหมอื นกนั อาทเิ ช่น วนั หนง่ึ ขา้ พเจา้ ไปบณิ ฑบาตในหมบู่ า้ นท่เี คยไปบณิ ฑบาต
เห็นหญิงสาวคนหน่ึงมายืนรอใส่บาตรอยู่ข้างทางห่างจากหมู่เพ่ือน เมื่อหญิงน้ันเห็นข้าพเจ้าก็ร้อง
นมิ นต์ ขา้ พเจ้าจึงตรงเขา้ ไปรบั บาตร พอเปดิ ฝาบาตรเตรยี มจะรอรบั อาหาร หญิงสาวคนน้นั กช็ ะงกั
กิริยาท่ีจะถวายอาหาร กลับวางถาดและขันข้าวลงเสยี แลว้ ขยบั ผา้ นงุ่ คลอ่ี อกเปน็ วงกว้างอย่ตู ่อหน้า
ข้าพเจ้า เขาไม่ได้มีเคร่ืองนุ่งห่มช้ันในช้ินใดปกปิดร่างกายเลย จึงเท่ากับมาเปลือยกายส่วนล่างอยู่
ตอ่ หนา้ พระนนั่ เอง ข้าพเจา้ ยงั เปน็ ปุถชุ นอยู่ จงึ เกดิ ความรูส้ กึ ในทางใคร่ขนึ้ มาบา้ ง แตก่ ็มีสตทิ ัน จงึ รบี
ปิดฝาบาตรเดนิ หนีไปในทนั ที และในวันนั้นก็ไดอ้ อกเดินทางจากหมบู่ า้ นนนั้ ไปเลย
อีกคร้ังหนึ่ง ระหว่างท่องเท่ียวอยู่ในจังหวัดภาคเหนือเช่นเดียวกัน ในบรรดาญาติโยมท่ีคอย
อุปัฏฐากอยู่นั้น มีหญิงสาวรูปสวยคนหน่ึงคอยถวายจังหันข้าพเจ้าเป็นประจ�ำ หญิงนั้นเป็นน้องสาว
นายอ�ำเภอ และเปน็ ผูม้ กี ิรยิ ามารยาทแช่มช้อย แตก่ ็มักจะสง่ สายตามาให้ข้าพเจ้าเสมอ ประกอบทั้ง
ผู้ปกครองของเขา กไ็ ด้พูดจาเปน็ เชงิ สนบั สนนุ ให้ข้าพเจา้ สึกหาลาเพศออกมาอยชู่ ว่ ยท�ำมาหากินด้วย
ข้าพเจ้าพยายามเจริญอสุภะเท่าใด ก็ไม่ค่อยเป็นผล ออกจะมีใจเขวไปบ้าง จนถึงกับคิดว่า
นีเ่ ราจะหมดบญุ ในทางเพศพรหมจรรยห์ รืออยา่ งไร คืนวันนัน้ ก�ำลงั อยู่ในระยะตัดสนิ ใจเรยี กวา่ “จะอยู่
หรอื จะไป” กันน่แี หละ จึงอธิษฐานวา่ “ถ้าหากข้าพเจ้าจะไดม้ วี าสนาได้เห็นธรรมเจรญิ ตอ่ ไปในทาง
พระพทุ ธศาสนา ก็ขอให้มีเหตใุ ดเหตุหนง่ึ มาชว่ ยคลี่คลายเรื่องทีก่ �ำลังประสบน้ีด้วยเถิด”
เช้าวันต่อมา เม่ือออกบิณฑบาตหญิงสาวผู้นั้นก็มายืนรอใส่บาตรตามเคย ข้าพเจ้าพยายาม
ไมม่ องหนา้ หญงิ นนั้ เลย พอเปิดฝาบาตรจะรบั บาตร ก็ใหบ้ ังเอิญวา่ ผ้าประจ�ำเดอื นของหญงิ นนั้ ไดห้ ลุด
ลงทพ่ี ื้นดนิ แม้หญิงน้นั จะตกใจ พยายามใชเ้ ท้าเหยยี บใหจ้ มโคลน ปกปดิ ภาพของจริงไว้ แต่ข้าพเจ้า
90
ก็ทันเห็นเลือดสีแดงเต็มตา ในใจเกิดความรู้สึกสลดสังเวชขึ้นมาทันที ด้วยเห็นถนัดเป็นของปฏิกูล
พงึ รงั เกยี จระลกึ มาไดว้ า่ เราไดอ้ ตุ สา่ หส์ ละชวี ติ จากเพศฆราวาส มาสเู่ พศบรรพชติ หนจี ากของตำ่� มาหา
ของสงู แลว้ เรายังจะย้อนกลบั ไปหาชวี ิตทเ่ี ราสละแลว้ อีกหรอื ?
ไดค้ ดิ เชน่ นี้ ขา้ พเจ้าจงึ ปิดฝาบาตร กลบั หลังสูท่ พ่ี ักโดยไมย่ อมบิณฑบาต หรือรอฉันจังหัน
เรง่ แตง่ ของและหนีออกไปจากท่นี ัน้ ทนั ท ี
ประสบการณ์เหล่าน้ี ในภายหลังเม่ือได้มีโอกาสมากราบนมัสการท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น
ข้าพเจ้าก็ได้เล่าถวายให้ท่านฟัง โดยเฉพาะความรู้สึกท่ีระยะแรกยังตัดไม่ขาดจากอารมณ์ปุถุชน
ทา่ นฟังแลว้ ก็วา่ “เป็นธรรมดาของพระหนุ่มจะตอ้ งพบเหตุการณ์เช่นนี้ ความส�ำคญั อยูท่ ี่ว่าจะตอ้ ง
เจรญิ กรรมฐานต่อสู้เอาชนะกเิ ลสมารตัวร้ายนนั้ อยา่ งไรต่างหาก”
ท่านเกิดนิมิตไม่ดีจึงไม่ไปอินเดีย
เร่ืองแปลกประหลาดอัศจรรยใ์ นธรรมประวตั ขิ องทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ คอื ทกุ ครง้ั
ท่ที ่านประสบเหตกุ ารณอ์ ะไรมาสัมผัส อันจะเป็นอปุ สรรคท้ังตอ่ เพศพรหมจรรย์ ท้ังต่อการเดนิ ธดุ งค์
และท้ังต่อการภาวนา ท่านจะเกิดภาพนิมิตทกุ คร้งั ไป นมิ ติ น้นั ย่อมเปน็ ธรรมนิมติ ทีค่ อยเตอื นสอนทา่ น
เสมอๆ บางคร้งั ท่านไมไ่ ด้อธษิ ฐานจิตกเ็ กดิ ภาพนมิ ติ เอง บางครงั้ ท่านอธิษฐานจติ แล้วจึงเกดิ ภาพนมิ ิต
ดงั ในครง้ั ท่ีท่านตัง้ ใจจะธุดงค์ไปอินเดยี ก็เกดิ ภาพนิมติ เชน่ กัน โดยท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ ได้
เมตตาเทศน์เรือ่ งนีไ้ ว้ดงั นี้
“และในขณะทอี่ ยเู่ ชียงตุงน้นั ข้าพเจา้ ตัง้ ใจว่าจะออกไปประเทศอนิ เดีย เลยไปพูดกับเจ้าสิทธิ
เชยี งตุง คือ สังฆราชเชยี งตงุ ว่า “อยากออกเดินทางออกไปทางยา่ งกุ้งและอนิ เดีย จะไปไดไ้ หม ?”
ท่านก็มีความยินดีว่า “ไปได้ แต่ต้องโอนเข้าเป็นพระเมือง” ท่านก็ยอมรับ จะโอนข้าพเจ้า
เข้าเปน็ พระเมอื ง แตย่ งั ไม่ได้โอน ขา้ พเจ้ากเ็ ลยอธิษฐานจิตลองดู
“ถา้ ว่าข้าพเจา้ ไปอินเดยี ดี ขอใหม้ ีนมิ ติ ภาพปรากฏเป็นทพ่ี อใจ ถ้าไปนีม้ เี หตุอันตราย ขอให้
นิมติ ร้าย”
อยูม่ ากเ็ ลยเกิดนิมติ ขึน้ ปรากฏเหน็ พระพทุ ธเจ้า และ พระอานนท์ พระมหากัสสปะ และ
ช้าง ปรากฏในจิตที่ขณะภาวนา เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จไปก่อนพระอานนท์ ขาวบริสุทธิ์หมดจด
พระอานนท์เสด็จตามหลัง ห่างกันระยะประมาณสัก ๑๐ เมตร แล้วก็ตีสามเป็นพระมหากัสสปะ
เดินตามหลงั มาอีก ตสี ่ีเป็นชา้ งใหญ่ตามหลังพระมหากัสสปะมา นป้ี รากฏภาพในนิมิต
ช้างตัวนนั้ พอมาถงึ ข้าพเจา้ วง่ิ เข้ามาหาขา้ พเจ้า หวงั จะแทงขา้ พเจ้า จะฆา่ ข้าพเจา้ ท�ำลาย
ขา้ พเจ้า วงิ่ เขา้ มาเลย วง่ิ จเู่ ข้าไปหาข้าพเจา้ นีป่ รากฏในภาพนมิ ิตนั้น หวงั จะขย้ขี ้าพเจา้ ใหแ้ หลกเหลว
น่นั เอง ในขณะท่ีชา้ งว่งิ มาปรากฏว่าขา้ พเจ้านัน่ ไดว้ ิง่ ข้นึ ต้นโพธ์ติ ้นหนง่ึ พอดีชา้ งวิง่ มาถงึ ข้าพเจา้ กถ็ ึง
91
คาคบของตน้ โพธ์ิ ชา้ งก็เลยไม่ไดท้ �ำอะไร ชา้ งกเ็ ลยเดินตามหลังพระมหากัสสปะไป เม่อื ช้างไปแลว้
ข้าพเจ้าจึงลงจากต้นโพธ์ิ
เม่ือลงมาถงึ โคนต้นโพธ์ิแลว้ มอี าสนะและมีหมอนใบหนงึ่ ทตี่ ั้งไว้หรอื ปูไวต้ ดิ กบั ต้นโพธ์ิ ขา้ พเจ้า
ก็ลงมาน่งั อาสนะพงิ หมอน และก็มีหนงั สือเลม่ หนึ่งใหญๆ่ หนาประมาณ ๓ น้วิ ข้าพเจา้ ก็อา่ นดูหนังสือ
น้นั ผินหนา้ ไปทางทศิ ตะวันออก อา่ นพอประมาณแลว้ ก็เลยตืน่ จากนมิ ิต กเ็ ลยมาพิจารณานมิ ิตนน้ั
ได้ความว่า “ไมค่ วรไปประเทศอนิ เดีย เพราะไมส่ ะดวก ควรกลับ” ขา้ พเจา้ ก็เลยตัดสนิ ใจกลับจาก
เชียงตุงถึงท่านพระอาจารย์ม่ัน”
กลับจากเชียงตุงเข้ากราบท่านพระอาจารย์มั่น
เม่ือท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ เดินทางมากราบนมัสการท่านพระอาจารย์ม่ัน
ภูริทตฺตมหาเถร ที่วัดป่าบ้านหนองผือ ค�ำถามแรกท่ีท่านพระอาจารย์มั่นถาม ก็เช่นเดียวกับที่
พระพุทธเจ้าตรสั ถามพระสงฆ์สาวกทงั้ หลาย คือ ทา่ นถามถึงการภาวนา
ทา่ นพระอาจารยม์ น่ั ท่านจะตั้งคำ� ถามเก่ียวกับการภาวนา เชน่ “เป็นยังไง ไปพกั ที่ไหนมา
ได้ก�ำลังทางจิตใจอย่างไร ?” “เป็นยังไงจิตใจ ภาวนาอะไร ?” “การภาวนาไปถึงไหนบ้าง ?”
เป็นต้น ท่านมักจะถามพระศิษย์ทุกองค์ทุกคร้ังไปท่ีเพิ่งกลับจากการธุดงค์เที่ยววิเวกตามป่าตามเขา
อันเป็นการแสดงออกถึงท่านพระอาจารย์ม่ัน ท่านมุ่งสนใจงานภายในเป็นส�ำคัญ และการสนทนา
พูดคยุ กนั ทา่ นกย็ ดึ ตามหลกั สัลเลขธรรม ๑๐ ประการทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั วิ างไวท้ ุกประการ
โดยท่านมุ่งสนทนาแต่เร่ืองธรรมเป็นส�ำคัญ อีกทั้งท่านเองก็ไม่ชอบการก่อการสร้าง และท่านก็
ไมส่ ่งเสริมการก่อการสร้าง อนั ถอื เป็นงานภายนอกและถือเปน็ ข้าศึกตอ่ การบ�ำเพญ็ ภาวนา
โดยทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ ได้เมตตาเทศน์เรอื่ งนไี้ ว้ดงั นี้
“ขากลับนีข้ ี่รถจากเชยี งตุงมาแมส่ าย ตั้งแต่ ๖ โมงเชา้ ขึน้ รถ ๖ โมงเชา้ จากเชยี งตุงถงึ แมส่ าย
๓ ทมุ่ แล้วขึน้ รถจากแมส่ าย จงั หวัดเชียงราย ถงึ ภาชี แล้วก็มานมสั การพระบาทลพบุรี จากน้ัน
กข็ ้นึ รถมาพกั ที่อบุ ลราชธานีพอประมาณ แลว้ กเ็ ดนิ ทางมานมสั การท่านพระอาจารย์ใหญม่ นั่ ท่บี า้ น
หนองผอื
ท่านพระอาจารยใ์ หญม่ น่ั ถามวา่ “เป็นยังไงจากไป ๒ ปแี ลว้ การภาวนาไปถงึ ไหนบา้ ง เที่ยว”
กราบเรยี นทา่ นให้ทราบวา่ “ไปถึงเชียงตุง การภาวนาไมส่ ู้ดีเหมอื นอยู่กบั พ่อแม่ครูบาอาจารย”์
ท่านกเ็ ลยวา่ “ใช่แหละ ขณะทีผ่ มอยูภ่ าคเหนือหมไู่ ดอ้ าศัยผม เมื่อผมกลับมาแลว้ ภาคเหนอื
ไมม่ ใี ครอาศยั ไม่สดู้ นี กั ต่อแตน่ ไ้ี ปทา่ นจวนอยา่ ไปอกี ใหภ้ าวนาอยแู่ ถวภาคอีสานนแ่ี หละ มันดแี ลว้ ”
นีท่ า่ นแนะน�ำ”
92
รายช่ือพระเณรท่ีอยู่จ�ำพรรษากับท่านพระอาจารย์ม่ัน ณ วัดป่าบ้านหนองผือ
ในระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๔๘๘ – พ.ศ. ๒๔๙๒ ท่านพระอาจารย์ม่ัน ภรู ิทตตฺ มหาเถร อยจู่ ำ� พรรษา
ทวี่ ัดป่าบา้ นหนองผือ อ�ำเภอพรรณานคิ ม จงั หวดั สกลนคร เปน็ เวลาติดตอ่ กันนานถงึ ๕ พรรษา
ซงึ่ กุฏมิ จี ำ� นวนไมเ่ พียงพอต่อพระเณรทจี่ ะมาขออยู่จ�ำพรรษา ในระหวา่ งน้ีจึงมพี ระเณรแวะเวยี นมาขอ
อยูจ่ �ำพรรษารว่ มกับท่านพระอาจารยม์ ัน่ ทัง้ ในพรรษาและนอกพรรษา รวมทั้งทา่ นพระอาจารย์จวน
กุลเชฏฺโ โดยมีท่านอาจารย์พระมหาบัว าณสมฺปนฺโน ได้อยู่ร่วมจ�ำพรรษา โดยท�ำหน้าท่ีเป็น
พระอปุ ฏั ฐากใกล้ชดิ ทา่ นพระอาจารยม์ ่นั และท�ำหน้าทีเ่ ปน็ หวั หน้าคอยดูแลความสงบเรียบรอ้ ยต่างๆ
ภายในวดั เพื่อเปน็ อนุสรณ์ใหจ้ ดจำ� ระลึกถงึ จึงมีผศู้ รัทธาไดจ้ ัดท�ำปา้ ยรายชื่อพระเณรทเี่ คยหมนุ เวียน
มาอยู่จ�ำพรรษากับท่านพระอาจารย์ม่ัน ติดอยู่ท่ีหน้าราวระเบียงกุฏิของท่านพระอาจารย์ม่ัน โดย
ระบุช่อื พระเณร ไวด้ ังน้ี
๑. ทา่ นพระอาจารย์คำ�ดี ปภาโส ญัตติ พ.ศ. ๒๔๗๑
๒. ทา่ นพระอาจารยเ์ นียม โชตโิ ก (สหธรรมกิ หลวงปู่กงมา จริ ปญุ ฺโ)
๓. ท่านอาจารยพ์ ระมหาบวั าณสมฺปนฺโน บวช ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗
๔. ท่านพระอาจารยอ์ ่อนสา สขุ กาโม บวช ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘
๕. ท่านพระอาจารยส์ อ สมุ งคฺ โล ขณะมรณภาพบวชได้ ๙ พรรษา
๖. ทา่ นพระอาจารยว์ ัน อุตฺตโม บวช ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๕
๗. ทา่ นพระอาจารยจ์ ันทร์โสม กติ ตฺ ิกาโร บวช ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๕
๘. ท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ บวช ๒๔ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๘๖
๙. ท่านพระอาจารยค์ ำ�พอง ติสฺโส บวช ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๖
๑๐. ทา่ นพระอาจารยอ์ ่นุ ชาคโร ญตั ติ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๗
๑๑. ทา่ นพระอาจารย์สงิ ห์ทอง ธมมฺ วโร บวช ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๗
๑๒. ทา่ นพระอาจารยห์ ลา้ เขมปตโฺ ต ญัตติ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๘
๑๓. ท่านพระอาจารยศ์ รี มหาวีโร บวช ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๘
๑๔. ท่านพระอาจารย์แตงออ่ น กลฺยาณธมโฺ ม ญัตติ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๙
๑๕. ทา่ นพระอาจารย์เนตร กนตฺ สีโล
๑๖. ทา่ นพระอาจารยอ์ ร่าม สุสิกฺขโิ ต
93
๑๗. ท่านพระอาจารย์พวง สุขนิ ฺทริโย บวช พ.ศ. ๒๔๙๑
๑๘. ท่านพระอาจารยบ์ ญุ เพง็ เขมาภิรโต บวช ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๒
๑๙. ทา่ นพระอาจารย์ทองคำ� าโนภาโส
๒๐. ทา่ นพระอาจารยส์ หี า
๒๑. ท่านพระอาจารย์แดง
๒๒. ท่านพระอาจารย์กัณหา
๒๓. ทา่ นพระอาจารยบ์ ัว
๒๔. ท่านพระอาจารย์ทองพนู
๒๕. ท่านพระอาจารย์สังวาลย์
๒๖. ทา่ นพระอาจารย์เดือน
๒๗. ท่านพระอาจารยเ์ ดน
๒๘. ท่านพระอาจารย์มนู
๒๙. ท่านพระอาจารย์ทองอยู่
๓๐. ทา่ นพระอาจารย์พล
๓๑. สามเณรดวง
๓๒. สามเณรกำ�พล
๓๓. สามเณรสี
ส�ำหรบั พระศษิ ยร์ ุน่ อาวุโสท่ีไดเ้ ดนิ ทางมากราบคารวะทา่ นพระอาจารย์ม่ันอยูเ่ สมอๆ มิได้ขาด
เช่น ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี หลวงปู่อ่อน าณสิริ
หลวงปู่ชอบ านสโม หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโ ทา่ นพอ่ ลี ธมมฺ ธโร หลวงป่ตู ้ือ อจลธมโฺ ม เปน็ ตน้
บรรดาครูบาอาจารย์พระเณรทีเ่ คยอยู่อบรมกบั ท่านพระอาจารย์มน่ั ภรู ทิ ตตฺ มหาเถร ล้วนถูก
ส่ังสอนอบรมใหเ้ ข้มงวดกวดขันท�ำข้อวัตรปฏิบัติ ให้รักษาปฏิบัติตามพระธรรมวนิ ยั และธุดงควตั รด้วย
ความเคร่งครัด ท่านสง่ เสรมิ ให้พระอยูป่ ฏบิ ัติภาวนาตามป่าตามเขา หรืออยใู่ นเสนาสนะปา่ อนั วเิ วก
เงียบสงดั แสนจะประหยัดเรียบง่ายและไม่ฟฟู่ ่าหรหู รา เพ่ือสะดวกตอ่ การบ�ำเพญ็ สมถะ – วปิ ัสสนา–
กรรมฐานเพอื่ ความหลดุ พน้ อันเปน็ หนา้ ทแี่ ท้จรงิ ของพระ เป็นงานภายในของพระ
94
ทา่ นพระอาจารยม์ ่ัน ทา่ นไมเ่ คยสง่ เสริมใหพ้ ระอยใู่ นเมอื ง อันเกล่ือนกลน่ วุ่นวายเสียงดงั และ
คลกุ คลีดว้ ยผูค้ น ท่านไม่เคยส่งเสริมงานกอ่ งานสร้างทกุ ชนิด อนั เป็นงานภายนอก เปน็ ภาระ และเป็น
ข้าศกึ ต่อการภาวนา ท้งั เปน็ การรบกวนเรี่ยไรเงนิ ทองจากญาติโยม และท่สี �ำคญั ทา่ นไมเ่ คยโฆษณา
ชวนเชื่อใดๆ เพื่อหวังลาภสักการะ หรือเพื่อให้คนมานับหน้าถือตา หรือให้มาปฏิบัติธรรมกับท่าน
แต่ด้วยคุณธรรมประจ�ำองค์ท่าน ด้วยปฏิปทาจริยาวัตรอันงดงามขององค์ท่าน และด้วยชื่อเสียง
กติ ตศิ ัพท์ กติ ติคุณ อันโดง่ ดงั รำ�่ ลอื ขององคท์ ่าน จึงมนี ักปฏิบัติธรรมท้ังพระและฆราวาสเดินทางไกล
รอนแรมบากบั่นด้วยความยากล�ำบาก เพื่อเข้าไปกราบนมัสการ น้อมกายและใจถวายตัวเป็นศิษย์
เพ่ือฟงั ธรรมและรบั การอบรมส่ังสอนจากองค์ท่านกนั มากมาย
ปฏิปทาของท่านพระอาจารย์มนั่ เป็นไปอยา่ งสมณะอนั แท้จรงิ ตามหลกั ของพระพุทธศาสนา
สมดังมงคล ๓๘ ประการ ในข้อทว่ี า่ “สมณานญฺจ ทสฺสนํ เอตมฺมงคฺ ลมตุ ตฺ มํ” การเหน็ สมณะเป็น
มงคลอันสูงสุด พระศิษยข์ องทา่ นพระอาจารย์มน่ั รุ่นแล้วรุน่ เล่า จึงไดส้ บื ทอดอริยปฏิปทาดงั กลา่ วกนั
เรอ่ื ยมาจวบจนปัจจบุ นั
พรรษา ๗ พ.ศ. ๒๔๙๒ จ�ำพรรษาวัดป่าบ้านเหล่ามันแกว โปรดโยมมารดา
ท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ ได้เมตตาเทศนเ์ ร่อื งนี้ไว้ดงั นี้
“ทีนี้เมือ่ กลบั จากเชียงตงุ มาถงึ ทา่ นพระอาจารย์มั่น ทา่ นก็ถามเรอื่ งราวการภาวนา เลยกราบ
เรียนท่านวา่ “ไมส่ ู้ดีนกั ไม่เหมอื นอย่กู ับพอ่ แมค่ รูบาอาจารย์ ท่ขี ้าพเจ้าเดนิ ทางมาจากเชียงตุงมาพัก
อย่บู ้าน ได้เอาโยมมารดาเข้าบวชเป็นชี” ทา่ นกเ็ ลยแตง่ ขา้ พเจา้ ให้ไปจ�ำพรรษากบั โยมมารดา เพ่ือโปรด
โยมมารดา แล้วก็แต่งพระเถระองค์หน่ึงก�ำกับไปด้วย ซ่ึงเป็นหลวงพ่อค�ำอ้าย คนจังหวัดเชียงใหม่
เป็นลูกศษิ ยข์ องท่านพระอาจารยม์ น่ั นั่นเอง และท่านก็ไดก้ �ำชบั ขา้ พเจา้ ไวว้ า่ “เม่ือออกพรรษาแล้ว
ใหร้ บี กลับมาหาผม เดย๋ี วจะไมท่ ันผม” ดงั นี้
เพราะเร่ืองนี้ท่านได้ประกาศให้พระลูกศิษย์ท้ังหลายทราบแล้วมาหลายปีล่วงหน้าไว้ ท่าน
กำ� หนดอายุของทา่ นวา่ “ผมเพียงอายุ ๘๐ ปเี ทา่ นั้นกจ็ ะมรณภาพแลว้ ” ดังนี้ เพราะในระยะนนั้ หรอื
ปีนั้นกพ็ อดอี ายขุ องทา่ น ๘๐ ปีพอด”ี
อนึ่ง วัดป่าบ้านเหล่ามันแกว หรือ วัดป่าร่วมใจ อันเป็นวัดบ้านเกิดของท่านพระอาจารย์
จวน วดั ตัง้ อยรู่ มิ หม่บู ้าน “บา้ นเหลา่ มันแกว” สภาพบรเิ วณเป็นปา่ อนั มรี ่มไมห้ นาทบึ ระหวา่ งทท่ี ่าน
จำ� พรรษามีพระเณรรว่ มจ�ำพรรษาหลายสิบรูป ท่านได้สรา้ งกุฏกิ รรมฐานขึน้ ๒ หลงั และทา่ นได้ให้
ญาติโยมปรบั ปรงุ พน้ื ทีส่ ว่ นหนึ่งของวัดปลกู ไมผ้ ล ซงึ่ ปจั จุบันยังคงมหี ลักฐานหลงเหลืออยู่บ้าง
95
ประวัติย่อ หลวงปู่ค�ำอ้าย ติ ธมฺโม
หลวงปู่ค�ำอ้าย ติ ธมฺโม ท่านเป็นชาวบ้านปง อ�ำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านเป็น
พระศษิ ยห์ ลวงปู่มั่นอีกองค์หนึ่ง ที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย และถอื ธดุ งควัตร ทา่ นเป็นพระปฏบิ ัติดี
ปฏบิ ตั ิชอบ
สมัยท่ีหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ขึ้นวิเวกธุดงค์ทางภาคเหนือบ�ำเพ็ญธรรมข้ันแตกหัก ขณะนั้น
หลวงปคู่ �ำอา้ ยยงั เป็นฆราวาส ท่านเคยมีโอกาสกราบและฟงั พระธรรมเทศนาของหลวงป่มู ่ันแล้วเกดิ
ความเลอ่ื มใสศรทั ธา ทา่ นจงึ ตง้ั ใจออกบวชเปน็ พระธดุ งคกรรมฐาน ทา่ นไดส้ ละบา้ นเรอื นออกบวชเปน็
ตาผ้าขาวอยอู่ ุปัฏฐากหลวงปูม่ ัน่ ทเี่ สนาสนะป่าบ้านปง (ปจั จุบัน คอื วดั อรัญญวิเวก) โดยทา่ นไดฝ้ กึ
เป็นผ้าขาวและได้มีโอกาสตดิ ตามอุปัฏฐากรบั ใช้หลวงปมู่ ั่นอย่างใกล้ชดิ เช่น เมอ่ื ครัง้ ธุดงคเ์ ชยี งดาว
และตอ่ มาได้บรรพชาอุปสมบทเปน็ พระภิกษุ เปน็ พระธดุ งคกรรมฐาน เม่ือหลวงปู่ม่นั ท่านเดินทาง
กลบั ภาคอีสานแล้ว ตอ่ มาทา่ นได้ติดตามหลวงป่มู ่ันมาด้วย และทา่ นได้รับความเมตตาไว้วางใจจาก
หลวงปูม่ ั่นสั่งใหท้ ่านไปจ�ำพรรษากับทา่ นพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ เพ่อื โปรดโยมมารดา
หลวงปู่ค�ำอา้ ย กับ ท่านพระอาจารย์จวน จงึ สนทิ สนมคุ้นเคยกันเปน็ อย่างดี และต่อมากไ็ ด้
จ�ำพรรษารว่ มกันอกี ทีด่ งหมอ้ ทอง อำ� เภอบา้ นม่วง จงั หวัดสกลนคร
หลวงปู่คำ� อ้าย เปน็ ผทู้ เ่ี ปิดเผยค�ำกลา่ วของหลวงปู่ม่นั ท่ที า่ นประกาศตอ่ หนา้ คณะพระศษิ ยว์ า่
ท่านได้บรรลอุ รยิ ธรรมขน้ั สงู สุดแล้ว ดงั น้ี
“ผมคงไม่มงี านทีจ่ ะท�ำอยู่กบั พวกท่านหรอก ผมคงจะอยู่กบั พวกทา่ นไปไม่มีงานท�ำ แตก่ ็
จะอยู่กับพวกท่านไป พวกทา่ นกใ็ ห้พากนั ตั้งใจปฏิบัติ แต่พวกทา่ นอย่าไปบอกญาติโยมนะ”
หลวงปู่มั่น ท่านได้พูดข้อความน้ีหลังจากเทศน์อบรมศิษย์หลังฉันภัตตาหารที่เสนาสนะป่า
บา้ นแม่กอย (วดั ป่าอาจารย์มนั่ ) อ�ำเภอพรา้ ว จงั หวดั เชียงใหม่ ศษิ ยท์ อี่ ยู่ ณ ที่น้นั มี หลวงปเู่ ทสก์
หลวงปขู่ าว หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ฝ้ัน หลวงปู่แหวน หลวงปตู่ อื้ หลวงป่สู มิ หลวงปคู่ ำ� อา้ ย ฯลฯ
ท่านโปรดโยมมารดาจนหมดห่วง
ในพรรษาที่ ๗ นี้ ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ได้อยู่โปรดโยมมารดา จนโยมมารดา
ของท่านภาวนาได้ผลดีแล้ว และได้เอ่ยบอกกับท่านว่า “อย่าเป็นห่วงโยมแม่เลย” นับว่าท่านพระ
อาจารย์จวน ไดท้ ดแทนบญุ คุณโยมมารดาอยา่ งสงู สดุ ตามหลกั พระพุทธศาสนา โดยท่านพระอาจารย์
จวน กลุ เชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศนเ์ รอ่ื งนไี้ ว้ดงั น้ี
“ขณะทจี่ �ำพรรษาอบรมโยมมารดาอยบู่ า้ นนน้ั โยมมารดาทบี่ วชเปน็ ชีก็ไดต้ ง้ั อกต้ังใจภาวนา
และโยมมารดาภาวนา เลยมาเลา่ เรอื่ ง เรื่องภาวนาของแกใหข้ ้าพเจ้าฟงั วา่ “โยมได้ภาวนาบรกิ รรม
96
ไปว่า “พทุ โธๆๆ” อยู่แต่ในใจ บางวันจติ มันลงไปใสบรสิ ุทธิ์อยู่เฉพาะจิตลว้ นๆ ไมม่ ีทกุ ขเวทนาเลย
แสนที่สบาย” น้ีโยมมารดาเล่าให้ฟงั “เมื่อเป็นเช่นนี้มันเป็นอย่างไร ?” น่โี ยมมารดาถาม
ขา้ พเจ้าก็เลยตอบโดยเปรยๆ ว่า “จติ มนั รวม มันวางธาตุ มันอยเู่ ฉพาะจติ มนั ก็สบาย
แล้วใหม้ ันรวมอยู่เสมอ แตใ่ หม้ ีสตริ วู้ า่ จติ ของเรารวม อยา่ ไปรบกวนจติ และอยา่ บงั คบั จิตใหร้ วม
ใหร้ วมเอง เมอื่ จิตรวมกใ็ หม้ สี ติ เมอ่ื จิตถอนก็ใหม้ ีสติ มาพิจารณากายของตนน้ี และอยา่ บงั คับจิต
ให้ถอน ใหถ้ อนเอง” ได้แนะนำ� โยมมารดาแต่เพียงแคน่ ี้ ตามอบุ ายของทา่ นพระอาจารย์ม่นั แนะน�ำ
นั่นเอง และโยมมารดาก็ไปภาวนาปฏิบัติตามแนวนี้ และวันต่อมาโยมมารดาก็มาเล่าเร่ืองของแกท่ี
เปน็ มานั่นแหละ ว่าจติ มนั รวมตั้งแต่ยำ�่ ค่ำ� จนถึงรุ่งก็มบี างวัน โยมมารดาก็เลยพดู ขน้ึ ว่า
“ไมม่ ีใครตาย มแี ตผ่ ู้รู้ รอู้ ยู่ ผตู้ ายไม่มี ท่ีวา่ ตายๆ นั้นเพราะคนไม่รสู้ มมตุ ิ เพราะร่างกาย
ธาตุขันธอ์ นั น้เี ปน็ แต่เพยี งสมมุติ มนั ไม่ตาย มันตายไมเ่ ปน็ ” นโี่ ยมมารดาว่า
“เพราะธาตุทั้งหลาย ดนิ น�ำ้ ลม ไฟ มันมอี ยู่เป็นธรรมดา เป็นของมีอยู่ประจ�ำอย่างนัน้ ไมม่ ี
อะไรตายเลย สว่ นผูร้ ู้กไ็ มต่ าย” โยมมารดาว่า “จะให้เอาอะไร ใหเ้ อาผ้รู ้อู ยหู่ รอื ” นีโ้ ยมมารดาพดู ขน้ึ
ข้าพเจ้าก็เลยตอบโยมมารดาว่า “พระพุทธเจ้าท่านว่า เบื้องต้นท่านสอนให้ก�ำหนดให้รู้ตาม
เปน็ จรงิ เม่ือรู้แลว้ ละ วาง ปลอ่ ย สลดั ตัดขาด
ถ้าเรารู้ เราตอ้ งเอาความรู้ขอ้ ที่ว่า เราละไมไ่ ด้ พระพทุ ธเจ้าท่านวา่ เม่ือเป็นผู้กำ� หนดรู้เหน็
ตามเป็นจรงิ ดว้ ยปัญญาแล้ว
ยาวเทว าณมตตฺ าย ญาณ คือความรู้ กส็ กั แตว่ ่ารู้
ปฏสิ ฺสตมิ ตตฺ าย สตคิ วามอาศัยระลกึ รู้ ก็สักแตว่ า่ อาศัยระลึกรู้
เม่อื เธอเปน็ ผ้กู ำ� หนดรู้เห็นด้วยปญั ญาตามเปน็ จรงิ แล้ว
อนิสฺสิโต จ วิหรติ เธอย่อมไม่ตดิ อยู่ดว้ ย
น จ กิญจฺ ิ โลเก อุปาทิยติ ย่อมไม่ยดึ ถืออะไรๆ แม้แตน่ ดิ หน่อยนอ้ ยหน่งึ มิได้มอี ยูใ่ นโลก
ดังนี้ เปน็ โอวาทคำ� ส่ังสอนตกั เตอื นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำ� วา่ “ไมต่ ดิ ไปดว้ ย” คือความรู้
กไ็ ม่ติด คำ� ว่า “ไม่ยดึ ถืออะไรๆ ในโลก” ความรู้น้รี ู้ตามเป็นจรงิ ร้โู ลกนัน่ เอง คือ โลกวิทู รู้แจ้งโลก
เมอ่ื รู้แจ้งโลกแลว้ กล็ ะ วาง สลัดกันเท่าน้นั ใหโ้ ยมมารดาไปพิจารณาเอาเอง พระพุทธเจา้ ทา่ นตรสั ไว้
อยา่ งน”้ี
นี้เป็นการเตือนโยมมารดาในขณะนั้น เม่ือโยมมารดาได้รับค�ำตักเตือนอย่างน้ี ก็ไปภาวนา
ภายหลงั จึงมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า
97
“บัดนโี้ ยมรแู้ ล้ว คุณลูกจะไปที่ไหนก็ไปเถอะ อย่าเปน็ ห่วงโยมมารดาเลย” ว่าดงั นี”้
ท่านมีวาสนาบารมีอยู่ในพรหมจรรย์ตลอดชีวิต
ในคร้ังพุทธกาลจวบจนสมัยปัจจุบันน้ี ครูบาอาจารย์ที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ทุกองค์
ท่านเกิดเป็นชาติสุดท้ายน้ัน ล้วนอยู่ในสมณเพศครองพรหมจรรย์ได้ตลอดชีวิตตราบจนวันมรณภาพ
แม้บางองค์ท่านต้ังใจจะสึกออกไปเป็นฆราวาส แต่ก็มีเหตุเป็นธรรมบันดาลไม่ให้สึก ตัวอย่าง
ในคร้ังพุทธกาล เช่น พระจฬู ปันถก จะขอสึก พระพุทธเจา้ ทรงพระเมตตาชว่ ยและตรัสสอนกรรมฐาน
ด้วยพระองคเ์ อง และพระจฬู ปนั ถกไดบ้ �ำเพญ็ ตามคำ� สอนจนบรรลุธรรม
ในครงั้ ก่ึงพุทธกาล เชน่ ทา่ นเจ้าคุณพระอบุ าลีคณุ ปู มาจารย์ (จันทร์ สริ ิจนฺโท) หลวงปู่
เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ต้ือ เป็นต้น ต่างกต็ ้งั ใจจะสึก แตใ่ นทีส่ ุดก็ไม่ได้สกึ แม้บางองคส์ ึกออกไปแล้ว
ก็มีเหตุเป็นธรรมบันดาลให้ออกบวช เหล่านี้ล้วนเกิดจากเหตุที่ท่านได้บ�ำเพ็ญคุณงามความดีมาแล้ว
ในอดตี ชาติ เปน็ ปจั จัยหนนุ ช่วย ดงั เชน่ กรณีของท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ซงึ่ เคยบวชแล้ว
ได้สึกออกไปเป็นฆราวาสประกอบอาชีพ ท่านเกิดเจ็บไข้ล้มป่วยด้วยไข้ป่า รักษาอย่างไรก็ไม่หาย
เม่ือท่านอธษิ ฐานจิตแลว้ อาการก็ดีขึน้ โดยลำ� ดบั และหายป่วยอย่างน่าอัศจรรย์ จงึ ไดก้ ลับมาบวชใหม่
เป็นครัง้ ที่ ๒ โดยคร้งั นี้ตงั้ ใจจะไม่สึก ซง่ึ ตอ่ มาญาตพิ ี่นอ้ งมานิมนต์อ้อนวอนขอใหท้ า่ นสึก แตท่ า่ นก็
ไมย่ อมสกึ ตามค�ำขอน้นั
ญาติพ่ีน้องมานิมนต์ขอให้ท่านสึก
ชีวิตพระธุดงคกรรมฐานท่ีออกบ�ำเพ็ญภาวนาตามป่าตามเขา ท่านล�ำบากทางด้านร่างกาย
แต่ทางด้านจิตใจแล้ว ท่านกลับผาสุกเย็นใจ ซึ่งความเห็นแบบโลกทั่วไปยากท่ีจะเข้าใจได้ รวมทั้ง
ญาติพี่น้องของท่านพระอาจารย์จวน เมื่อเหน็ ทา่ นอยูใ่ นสภาพล�ำบากดังกลา่ ว ดว้ ยความปรารถนาดี
ก็เกิดนึกสงสารท่าน จึงกราบนิมนต์ให้ท่านสึก แต่ท่านมีความต้ังใจบวชไม่สึก ด้วยปัญญาบารมี
ของท่านจงึ ได้ก�ำหนดเครอื่ งสึกไวม้ ากมาย จนญาตพิ นี่ อ้ งไม่สามารถหามาให้ครบถ้วนได้ จงึ ตอ้ งยอม
และเลกิ ขอใหท้ า่ นสึก โดยทา่ นพระอาจารย์จวน กลุ เชฏฺโ ได้เมตตาเทศน์เร่ืองนีไ้ วด้ ังนี้
“และในพรรษาที่มาจ�ำ ท่ีไปจ�ำร่วมกับโยมมารดาเพื่อสงเคราะห์โยมมารดาน่ันแหละ เป็น
พรรษาที่ ๗ โยมน้าหรอื ยายนาค ซึ่งเป็นน้องสาวของโยมมารดา เกดิ ความสงสารขา้ พเจ้า เลยบอก
ลูกบอกหลานว่า “ใหไ้ ปนิมนต์ทา่ นลาสิกขาเสยี เพราะสงสารหลานกู หลานกูมนั ทุกข์มนั ยาก ไปนอน
อยปู่ า่ อยดู่ ง หวิ ขา้ วหวิ นำ้� ไมม่ ีเงินใช้สอย ทุกขร์ ะกำ� ล�ำบาก ไมม่ ีลกู มีเมยี เสียหนอ่ เสียแนว (เสียวงศ์
ตระกลู )” น่โี ยมน้าบอกลกู หลาน ลูกหลานเขาก็เหน็ พ้องกัน เลยแตง่ ขันธ์ไปนมิ นตข์ ้าพเจา้ ให้ลาสกิ ขา
ในพรรษาที่ ๗ นัน้ พวกลูกหลานชาวบา้ นเขาก็ถือขันธ์ไป เข้าไปวัด ข้าพเจ้าเหน็ อาการอยา่ งนั้นเลย
ถามเขาวา่ “พากนั มาท�ำไมมากนัก ถือขนั ธม์ า มีธรุ ะอะไร มานิมนต์อาตมาไปอะไร ?”
98
เขาตอบวา่ “แมใ่ หญบ่ อกลกู หลาน บอกพวกผม มานมิ นต์อาจารยส์ กึ ”
“สกึ เพราะเหตใุ ด ?”
“สึกเพราะว่าแม่ใหญ่สงสาร ลูกหลานมนั ทกุ ขม์ นั ยาก นอนป่านอนดง ไม่ได้ลูกไดเ้ มยี ไมไ่ ดเ้ งนิ
ได้ทอง นมิ นต์อาจารยส์ กึ ไป วา่ อยา่ งนัน้ พวกผมจงึ ได้มาตามค�ำส่ังของแม่ใหญ”่
ข้าพเจา้ กเ็ ลยประกาศข้ึนว่า “เออ ! ดลี ่ะ แม่ใหญ่มคี วามสงสารอยา่ งนน้ั กด็ ีแลว้ แลว้ พวก
ลูกหลานสงสารไหม ?”
“สงสารครบั ” เขาวา่
“เออดี แลว้ อาตมาจะประกาศให้ฟัง การบวชอาตมามีศรัทธาบวชเอาเอง ของบวชอาตมาคิด
บวชเอาเอง สะสมเอาเอง ไม่มีใครรู้ พวกญาติพี่น้องไม่ได้เกี่ยวข้อง ส่วนการสึก พวกญาติพี่น้อง
ทั้งหลายอยากให้สึก ตอ้ งแต่งของสึก ของสกึ ถ้าไม่ครบ สกึ ออกไปเปน็ บา้ จะรบั รองไดไ้ หม ?”
เขาวา่ “รบั รองได้ ให้บอกมา”
แล้วก็ประกาศอีก ย้ำ� อีกวา่ “ภาระขา้ งไหนจะมากกวา่ กัน ขา้ งใหส้ กึ มาก หรอื ขา้ งใหอ้ ยมู่ าก
ถึงค่อยพจิ ารณากนั ” เลยประกาศขนึ้ “ใครอยากใหส้ กึ ?” พวกอยากใหส้ กึ มาก “ใครอยากให้อยู่ ?”
พวกอยากใหอ้ ยูม่ เี พยี ง ๕ คน
เม่ือเป็นเช่นนจี้ งึ ก�ำหนดของสกึ ให้เขา แตง่ เครอ่ื งสกึ ใหเ้ ขา เขาก็รบั วา่ จะท�ำได้ ของสึกมดี ังนี้
หนึง่ “หมวก สองเสอ้ื ชน้ั นอกชนั้ ใน สามกางเกงชั้นนอกช้นั ใน รองเทา้ นาฬกิ า สายสร้อย”
เขาวา่ “ได้” “เครือ่ งนุ่งชุดท�ำงาน” เขาก็ว่า “ได้”
ทส่ี อง “การซักรดี เส้อื ผ้า ใครจะรบั ?” เขาว่า “ได”้
ทีส่ าม “รถจักรยานยนต์ คอื มอเตอร์ไซค์ ส�ำหรับการสกึ ใหมข่ ่ีไปขม่ี า ไดไ้ หม ?” เขาว่า “ได”้
ส่ี “รถฟอรด์ ๑ คัน” เขาวา่ “ราคาเทา่ ไร ?”
“สมยั นี้อยา่ งต�่ำก็ ๖ หมน่ื อยา่ งสูงก็ ๑ แสน” เม่อื เขาไดฟ้ งั ดงั นนั้ กระอ้อมกระแอ้มเสยี แล้ว
ชกั จะพูดไมอ่ อกเสยี แลว้ เขาวา่ “ไม่ได้หรอก”
ข้อที่ห้า “ใหป้ ลูกปราสาทบนอากาศ ไมม่ ีเสาปักดนิ นกึ อยากไปทีไ่ หนใหล้ อยไป ได้ไหม ?”
เขาว่า “ไม่ไดห้ รอก” อยา่ งนี้
ทหี่ ก “ให้มียาป้องกนั เกิด แก่ เจ็บ ตาย เพราะสกึ ไปแล้ว มนั จะไม่ได้แก่ ไม่ได้เจบ็ ไม่ได้ตาย
ใหม้ อี ายยุ นื ยงคงทน หนมุ่ แนน่ อยู่เสมอๆ ได้ไหม ?” เขาวา่ “ไม่ได้หรอก”
99
และขอ้ ตอ่ ไป “การสึกใหม่ ธรรมดาสึกไป ทางของฆราวาส ตอ้ งมลี ูกมเี มีย จะหาให้ไดไ้ หม ?”
มีน้าคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “เออ ! ได้ เรื่องนี้ผมรับรอง ลูกสาวผมมีอายุ ๑๖ ปี ยกให้เลย ไม่ต้องมี
ค่าสนิ สอด” แนะ่ ! อย่างนน้ั
“เมอื่ เป็นเช่นน้ี ไมไ่ ดค้ รบเครื่องสึก สกึ ออกไปก็เปน็ บ้า ไมม่ ียาปวั (รกั ษา) สกึ ไมไ่ ด้ รับรองไม่ได้
ใหค้ รบ ในจำ� นวนทีป่ ระกาศในครัง้ น้ไี ด้ครบทุกขอ้ ไหม ทุกอย่างไหม ?”
“ไม่ได”้ เขาวา่
“ไมไ่ ดก้ ห็ ยดุ กนั ” เลยโอเคกนั เลย อย่างน้ันแหละ นพี่ รรษาท่ี ๗”
เรือ่ งการแตง่ ของสกึ โดยการก�ำหนดขอสงิ่ น้นั และขอสง่ิ นี้ น้นั เป็นอุบายอนั ชาญฉลาดแยบคาย
ของทา่ นพระอาจารยจ์ วน ซึง่ ในครงั้ พุทธกาลก็เคยมเี รอ่ื งพระสวดมนต์ขอดวงแก้ววเิ ศษจากพญานาค
เพอื่ ขบั ไลพ่ ญานาคทม่ี ารังแก ดงั นี้
“พระพุทธเจ้าสอนคนไม่ให้เห็นแก่ตัว ตรัสว่าน่ันเป็นคนสกปรก คนข้ีขอเป็นพวกเห็นแก่ตัว
เปน็ ที่รงั เกยี จของคน แม้พญานาคก็รงั เกียจคนขี้ขอ
ทรงตรัสเล่าว่า สมัยหน่ึงมีภิกษุไปน่ังภาวนาอยู่ใกล้แม่น้�ำใหญ่ ถูกพญานาคซ่ึงตนนี้เป็น
พญานาคเกเรมารงั แกข่มขู่ขบั ไล่ไม่ให้บ�ำเพญ็ กรรมฐาน พระกลัวจนตอ้ งหนีไปทีอ่ น่ื พระอื่นกม็ านงั่
ภาวนาต่ออกี หลายรปู เพราะเปน็ ที่สงดั รม่ เยน็ เป็นสัปปายะ เหมาะแกก่ ารปฏิบัตทิ างจติ ทุกรูปต้อง
หนหี มด
พระรูปหน่งึ ไปฟอ้ งพระพทุ ธเจา้ จงึ ทรงสอนมนต์ใหบ้ ทหนง่ึ ใชส้ วดเมื่อถกู พญานาคมาข่มขู่
พระนน้ั กไ็ ปนั่งบำ� เพ็ญภาวนาท่ใี กลแ้ ม่นำ�้ น้ัน
ขณะน่ังภาวนา พญานาคกเ็ ลอ้ื ยขึ้นมา แผพ่ งั พาน ส่งเสียงขฟู่ ่อๆๆ นา่ สะพรึงกลวั พระรปู นัน้
ก็ทอ่ งมนต์ นาคไดฟ้ ังก็ตกลงเลอื้ ยกลบั ลงแมน่ ้ำ�
วันถดั มาพญานาคกม็ าอกี คราวนพี้ อข้นึ ฝั่ง เลื้อยได้หน่อยเดยี ว พระกท็ ่องมนต์ นาคกต็ กใจ
รีบเลอ้ื ยกลับลงแม่นำ�้ อีก
วันที่สามพอพญานาคโผล่เศียรพน้ แม่นำ้� พระก็สวดมนตอ์ กี พญานาคด�ำหนีหายไป ไม่มา
ปรากฏอกี เลย
มนต์บทศักดิ์สิทธิ์ท่ีสามารถขับไล่พญานาคน้ีแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “พ่อนาคเอย ดวงแก้ว
วิเศษในปากท่านนั้น อาตมาขอบิณฑบาตแก่อาตมาเถิด” ขอกันด้ือๆ นาคมีแก้ววิเศษประจ�ำตัว
ส�ำหรบั อยู่ในน�้ำ บก แลอากาศ ใช้หาอาหารและในการแปลงรปู เมอ่ื ถกู ขอบิณฑบาตก็ตกใจกลวั
100
พระพุทธเจ้าจึงสอนว่าเกิดเป็นคนอย่าเป็นคนขี้ขอ เพราะเป็นคนสกปรกเป็นที่รังเกียจของ
เทวดาและมนษุ ย์แม้กระทง่ั สัตวอ์ ยา่ งพญานาค
ขอพระธรรมอันพระตถาคตได้ประกาศดังแสดงมาน้ี จงยังท่านทั้งหลายให้เป็นผู้สะอาด
ไม่เหน็ แก่ตวั และไม่เปน็ คนขข้ี อ เพอื่ เปน็ ท่รี กั ของเทวดาแลมนุษย์”
ปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ท่านประสบความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
วนั ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ตรงกบั วนั ศกุ ร์ที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ เม่อื ออกพรรษา
ไดไ้ มน่ าน ในระยะนที้ า่ นพระอาจารยจ์ วน ทา่ นตอ้ งประสบความสญู เสยี อยา่ งใหญห่ ลวงทง้ั ในทางโลก
และในทางธรรม ในเวลาต่อเนื่องใกล้ๆ กัน กล่าวคือ ในเดือนพฤศจิกายน โยมมารดาและพี่ชาย
ของท่านป่วยหนักและถึงแก่อนิจกรรม โดยทา่ นอยพู่ ยาบาลโยมมารดาและพ่ชี ายประมาณ ๑ เดือน
พชี่ ายของท่านก็ตายก่อนโยมมารดาเล็กนอ้ ย โยมมารดาของทา่ นทราบวันตายล่วงหน้า โดยบอกกับ
ท่านและลกู หลานล่วงหนา้ ว่า “แมจ่ ะตายคนื วนั พฤหัสฯ เวลาตหี นึ่ง” และเม่ือถงึ คนื วนั พฤหัสบดที ี่
๑๐ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๙๒ เวลาตหี นงึ่ โยมมารดาก็ถงึ แก่กรรมด้วยอาการสงบ
ถดั จากนนั้ เม่ือวนั ที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ เวลา ๐๒.๒๓ นาฬกิ า ท่านพระอาจารยม์ ัน่
ภรู ทิ ตฺตมหาเถร ท่านเปน็ พอ่ แม่ครูอาจารย์ และเป็นประดจุ บดิ าในทางธรรมของทา่ น ได้ถงึ แกก่ าล
มรณภาพ และเมอื่ วันองั คารท่ี ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ตรงกับวันขึน้ ๑๓ คำ�่ เดอื น ๓ ไดจ้ ดั ประชุม
ถวายเพลงิ ศพท่าน ณ วดั ปา่ สุทธาวาส อ�ำเภอเมอื ง จังหวดั สกลนคร
โดยทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ ไดเ้ มตตาเทศน์เรอื่ งนไ้ี ว้ดงั น้ี
“เม่ือออกพรรษาแล้ว ก็ได้รีบเดินทางจะมานมัสการท่านอาจารย์ใหญ่ม่ัน แต่มาถึงดงมะอี่
วิเวกช่ัวคราว เพราะท่ีน่ันวิเวกดี ก็พอดีญาติพ่ีน้องทางบ้าน เลยมาให้ข่าวว่าโยมมารดาและพี่ชาย
ป่วยหนกั กเ็ ลยลงไปเยีย่ ม ประมาณ ๑ เดือน โยมมารดาท่ีบวชเป็นชแี ละพีช่ าย กไ็ ด้ถงึ แก่อนิจกรรม
คอื มรณภาพ ไดจ้ ดั การทำ� ฌาปนกิจศพส�ำเรจ็ แลว้ ก็รีบข้นึ มาหาท่านพระอาจารยใ์ หญม่ ั่น พอดีทา่ นก็
มรณภาพแล้ว ไมท่ นั ทา่ น ไมไ่ ด้เห็นใจท่าน ทนั แตก่ ารเกบ็ ศพ คอื ท�ำฌาปนกจิ ศพถวายพระเพลงิ ทา่ น
ได้จดั ท�ำอยูน่ ั้น เป็นเวลาเดอื นหนึง่ เสร็จ”
อนึ่ง การสูญเสียอย่างใหญ่หลวงท้ัง ๒ เหตุการณ์ ย่อมน�ำมาซ่ึงความเศร้าโศกเสียใจให้กับ
ทา่ นพระอาจารย์จวนเป็นอันมาก เปน็ อนั วา่ ในขณะทที่ า่ นเปน็ พระหนุ่มมอี ายเุ พียง ๒๙ ปี ท่านก็
ปราศจากไร้ซึ่งโยมบิดาและโยมมารดา นับว่าเป็นความสูญเสียทางด้านจิตใจอย่างยิ่งใหญ่ในทางโลก
แต่ก็ได้ชดเชยอุดหนนุ ท่านในทางธรรม เพราะทำ� ให้ทา่ นหมดหว่ งหมดความกงั วลในบพุ การี และเปน็
ผลดี คอื ท่านสามารถออกเท่ยี วธดุ งคกรรมฐานอยู่ปฏบิ ัตธิ รรมตามปา่ ตามเขาไดอ้ ย่างสะดวกคลอ่ งตัว
ไม่ต้องหว่ งหน้าพะวงหลัง
101
ส่วนการสูญเสียท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งเป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ทางภาคปฏิบัติของท่านนั้น
นับว่าเป็นความสูญเสียท่ีย่ิงใหญ่ในทางธรรมและมากยิ่งกว่าในทางโลก ท�ำให้วงพระธุดงคกรรมฐาน
ในขณะน้ันส่ันสะเทือนเป็นอย่างมาก พระศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่นต่างก็พากันเศร้าโศกเสียใจและ
เกิดความสลดหดหู่ว้าเหว่จิตใจเป็นอันมากต่อการจากไปของท่านพระอาจารย์มั่น เพราะขาดครูบา–
อาจารย์ผู้แนะน�ำส่ังสอนและขาดที่พ่ึงทางใจ รวมท้ังท่านพระอาจารย์จวน เพราะขณะน้ันท่านเพิ่ง
บวชไดเ้ พยี ง ๗ พรรษา และที่สำ� คัญทา่ นก็ยงั ไม่ไดบ้ รรลุธรรมตามเจตนาทีต่ ง้ั ไว้ ทา่ นจำ� เปน็ ตอ้ งพง่ึ พา
อาศัยครูบาอาจารย์ เพ่ือคอยเมตตาอบรมสั่งสอนชี้แนะต่อไป
พระอรหันต์มีสติทุกลมหายใจ
ในระยะทีท่ า่ นพระอาจารย์มน่ั เจ็บหนกั นี้ ทา่ นเป็นพระอรหันต์แล้ว สตขิ องท่านเปน็ มหาสติ
มหาปญั ญา มสี ติทกุ ลมหายใจ จงึ ไมม่ ีเผลอ แตข่ ณะน้ันหลวงตาพระมหาบัว าณสมฺปนโฺ น ทา่ น
เกิดความคดิ สงสัยข้นึ มาว่า ทา่ นพระอาจารย์ม่นั จะมเี ผลอบา้ งหรอื ไม่ ? แล้วทา่ นกร็ ีบระงบั ความคิด
น้นั ทนั ที โดยหลวงตาพระมหาบัวไดเ้ มตตาเทศนเ์ ร่ืองนี้ไว้ดังน้ี
“เรื่อง สนทฺ ฏิ ฺโิ ก ก็แบบเดยี วกนั นั้น ไม่ผิดอะไรกบั การรับประทานนีเ้ ลย สดๆ รอ้ นๆ อย่างนี้
จะไปครึที่ไหน ลา้ สมยั ทไ่ี หน ถ้าไม่ให้กเิ ลสมันหลอกเลน่ เปล่าๆ ท�ำลงไปซิให้ไดเ้ หน็ ทนี ี้จติ เมอ่ื เวลาถึง
ขัน้ เต็มทีข่ องมัน ขึ้นช่ือว่าสมมุติไม่มเี หลือแล้วจะเกดิ ท่ไี หน เอา้ ! ไสไปซิ ไมว่ า่ จะตายกลางคำ�่ กลางคืน
ตายเวลาไหน ตายอิรยิ าบถใด ตายดว้ ยเหตุผลกลไกอะไร เปน็ แตเ่ รื่องธาตุเรอ่ื งขนั ธส์ ลายตัวไปเท่านั้น
ธรรมชาตนิ นั้ ตายตวั แลว้ ทา่ นเรียกวา่ อกปุ ฺป
อกุปฺป แปลว่าอะไร หาความก�ำเริบไม่ได้ นั่น พระโสดาก็ไม่ก�ำเริบที่จะลงมาเป็นปุถุชน
พระสกทิ าฯ ก็ไมก่ ำ� เรบิ ที่จะสลายตวั ลงมา หรอื ว่าเส่อื มลงมาเป็นพระโสดา พระอนาคากไ็ ม่เสื่อมลง
มาเป็นพระสกทิ าฯ พระอรหนั ต์ไมเ่ ส่อื มเป็นพระอนาคา และไมเ่ ส่อื มลงมาเป็นปุถุชน นนั่ จงึ เรยี กวา่
อกุปปธรรม
อกปุ ฺปธมฺโม อกุปฺปธมโฺ ม ธรรมไม่ก�ำเริบ ไม่ก�ำเรบิ ไปโดยล�ำดับๆ จนกระทง่ั ถึงวิมตุ ติหลดุ พ้น
โดยส้ินเชิง เรียกว่าไม่ก�ำเริบโดยประการท้ังปวง น่ัน ให้เห็นในหัวใจเจ้าของซิแล้วจะหายสงสัยเอง
จะไปสงสยั ใคร ถ้าลองเจ้าของได้ประกาศกังวานข้ึนในหัวใจเจ้าของแล้วจะไปสงสัยผู้ใดที่ไหนอีก ถ้า
ไม่ใช่บ้าว่าง้ันเลย พระอรหันตบ์ ้ามันเป็นได้ เช่น อย่างเปา่ นกหวดี ปด๊ี ๆ สำ� เร็จแลว้ วันหลังมาเปา่ ป๊ีดอกี
มันไมส่ ำ� เร็จ มันบ้าสองช้นั ถา้ แบบน้นั เปน็ ได้ ถา้ เป็นแบบศาสดาองค์เอกแลว้ เป็นไปไม่ได้ ตามหลักของ
สวากขาตธรรมแลว้ เปน็ อย่างนน้ั นนั่ แหละธรรมของจรงิ
มแี ตช่ อ่ื มีแตเ่ สยี งของธรรมเต็มอย่กู ับคัมภรี ์ใบลาน เต็มอยู่กบั ความจดความจ�ำ ไม่ได้เตม็ อยู่
ในความจริง มีแต่ความจดความจ�ำเอามาโอ้มาอวดกันเฉยๆ กิเลสมีก�ำลังมากยิ่งสนุกเหยียบหัวคนท่ี
102
ส�ำคัญตนว่ารู้ว่าฉลาด เพราะการศึกษาเล่าเรียนมามาก เราหารู้ไม่ว่ากิเลสมันสนุกเหยียบรีดกิน
หวั ใจเราจนแหลกหมด ทัง้ ๆ ทเ่ี ราว่าเรามีความรูม้ ากนัน่ แหละ น่คี ือความจ�ำ เปน็ อย่างน้ี จ�ำเฉยๆ จ�ำ
ไม่ปฏบิ ตั ิ ถา้ จ�ำเพ่ือปฏบิ ัติ เอา ! น่ันล่ะกิเลสเริม่ ร้อนแล้วท่ีนี่นะ ร้อนแมร่ อ้ นลกู กนั ไปแลว้ เดีย๋ วก็
บา้ นแตกสาแหรกขาด ถ้าลงปฏิบตั ไิ ด้ จบั เขา้ ไปแล้วมนั เป็นความจริง จะรูข้ องจรงิ ไปโดยลำ� ดบั ลำ� ดา
จนกระท่งั กเิ ลสพงั พังเพราะปฏิบัติ
พดู อยา่ งน้ีท�ำให้ระลกึ แย็บไปถงึ พอ่ แม่ครบู าอาจารย์ (ท่านพระอาจารย์ม่นั ) อันนผ้ี มไมล่ มื นะ
อะไรท่ีคดิ กับท่าน ผมไมล่ มื ตอนน้นั เรากำ� ลงั ชุลมนุ วุ่นวาย ทา่ นทางธาตุทางขันธแ์ ลว้ กเ็ พยี บ เราทาง
ด้านจิตใจมนั เพียบ มนั เพียบไปคนละดา้ น ท่านกเ็ พียบทางด้านธาตขุ ันธ์ จิตใจทา่ นไม่ไดพ้ ดู แหละ ไม่ได้
หมายอะไร แต่ถึงอยา่ งนน้ั เร่ืองตวั กิเลสมันกไ็ ปแทรกจนได้ ผมถึงไดพ้ ูดใหห้ ม่เู พ่อื นฟงั เวลาดึกๆ ทา่ นมี
ลกั ษณะเหมอื นครวญเหมือนคราง อ๊ีๆๆ นดิ ๆ ไม่ไดม้ ากนะ กเ็ ราอยนู่ ่นั น่ะ มีลักษณะเหมือนอๆ๊ี แอะ๊ ๆ
เหมือนร้องเหมือนครางเบาๆ น่ะ แลว้ มันกแ็ ยบ็ ขึน้ มา แต่แย็บเราระวงั นะ
เอ๊ ! เวลาทา่ นเป็นอยา่ งนี้น้นั ทา่ นจะมเี ผลอบ้างไหมนะ ? เทา่ นั้นล่ะ พอแล้ว เราว่าเหมือน
อนั หนง่ึ มนั ตีปบั๊ เลยไมใ่ ห้ก�ำเริบยงิ่ กว่านีไ้ ป พูดง่ายๆ กเ็ พราะมันระวงั อยู่น่ี เพยี งแย็บออกไปเท่านน้ั ล่ะ
เวลาท่านมีอาการอย่างนี้ ทา่ นจะรสู้ ึกมเี ผลอบา้ งไหมนา ? เทา่ นั้นล่ะ เรากห็ ยดุ ทนั ทีเลย แล้วกจ็ �ำไว้
ดว้ ยไม่ลืมนะ มันหากเปน็ ธรรมชาตขิ องมนั เอง
จนกระทงั่ เรอื่ งผ่านไป ท่านก็ปรนิ พิ พานไปแลว้ เรื่องของเราจึงมาเปน็ ทหี ลงั เราก็กราบขอขมา
โทษทา่ นเลย อันนเ้ี ราแนใ่ จรอ้ ยเปอร์เซน็ ตว์ ่า เราหลดุ ไปเลยไมม่ ีอะไรเหลอื เว้นแต่วา่ เรากลวั เราเปน็
หมาเทา่ นัน้ ละ่ นัน้ ถึงวันตายก็ไม่หมด เพราะเราก็รอู้ ย่ใู นใจของเราวา่ กลวั เป็นหมาน่ี “หือๆ พวกนีม้ า
เพ่อื ปฏิบัตเิ พอ่ื พระหรอื เพื่อหมา” ทา่ นวา่ เราปฏิบตั ิเพ่อื พระ มนั ขึงขงั ภายในใจนะ จติ เขา้ ใจวา่ ตวั
บรสิ ุทธิ์ เข้าใจว่าตัวจรงิ จงั แตก่ ิเลสเขา้ แฝงในน้ันเราไมร่ ู้เลย อันน้ันจนกระทัง่ วนั ตายก็ไมห่ มด เราแน่
ในหัวใจเรา
แตท่ เ่ี ราไปคิดถึงเกี่ยวกับเรื่องทา่ นวา่ “เอ๊ ! ทา่ นมีลักษณะ อื๊อๆ อย่างน้ี ท่านจะเผลอบ้างไหม
นา ?” น้ีหมดเราแนใ่ จ เพราะเราระมัดระวงั มาก พอมันแย็บเทา่ น้ัน เราก็รีบ เหมือนกับวา่ ตบกนั ลง
ทนั ทีเลย แล้วก็ไมล่ ืมขณะจิตที่มันคิดถึงทา่ นอยา่ งนี้ เวลาเร่ืองของเราผ่านไปทีหลัง เราถึงกลับมายอม
เลยทนั ที โอ้โห ! ทำ� ไมคิดผิดเอามากมาย คาดพอ่ แมค่ รูอาจารย์ โห ! คนมกี ิเลสไปคาดคนส้นิ กิเลส
มันคาดกันได้อย่างน้ีเชียวเหรอ กิเลสพาให้คาดนั่น มันยอม เข้าไปกราบอัฐิของท่าน เข้าไปกราบ
ขอขมาโทษอฐั ิของท่าน อันนี้ปรากฏว่ามนั โล่งไปเลยทันที ไม่ปรากฏวา่ มอี ะไรตกค้าง แต่ค�ำว่ากลวั วา่
เปน็ หมานั้น จนกระทั่งวนั ตาย เรายอมรับอนั น้ี
“หอื ! จิตของท่านส้ินแลว้ จะให้ทา่ นมาเป็นอะไรอกี ”
103
ถา้ ลงจิตบรสิ ุทธิ์ จิตเป็นถึงขนาดอรหัตภมู ิบริสุทธเิ์ ตม็ ท่ีแลว้ ยังจะกลับมาเปน็ ปถุ ชุ นอีก ศาสนา
มีความหมายอะไรวะ น่ัน ธรรมะพระพุทธเจา้ ที่ว่า สฺวากขฺ าโต หมายความวา่ ยังไงนั่นซิ สวฺ ากฺขาโต
ภควตา ธมฺโม ตรัสไว้ชอบแลว้ มันชอบอะไร วา่ เปน็ ยงั งนั้ แลว้ กลบั เปน็ ยังงีอ้ กี ๆ ทา่ นตรัสไว้ชอบยงั ไง
ถ้าไม่ใชม่ ันหลอกเทา่ นัน้ เอง ธรรมของจรงิ เปน็ อย่างน้นั
นี่ล่ะกิเลสมันสวมรอยเป็นอย่างน้ีล่ะ เร่ืองของเรา เราจ�ำไม่ลืมเลยมันสวมรอย ตั้งแต่บัดนั้น
ผมไม่ลืมจนกระทั่งบดั น้นี ะ นี่เห็นไหม มันสวมรอย ทง้ั ๆ ที่กอ็ าศัยเจตนาวา่ ดีน่ัน เจตนาดีนั่น มัน
สวมรอยไดอ้ ยา่ งนี้
จิตของท่าน เราก็เชื่อท่าน มาต้ังแต่ไปฟังเหตุฟังผลท่านทีแรก ถึงแน่ใจว่าร้อยเปอร์เซ็นต์
ขนาดน้ันนะ แตท่ �ำไมมันจึงไปแย็บ “เอ๊ ! ท่านจะมเี วลาเผลอบ้างไหมนะ ?” เหมอื นกับทา่ นจะเป็น
ผ้แู บกสติแบกปัญญาไวอ้ ยา่ งนี้ ประคองอรหันตไ์ ว้อยา่ งน้ี เป็นลกั ษณะอยา่ งน้นั นะ เหมือนกบั ทา่ นเอา
มหาสตมิ หาปัญญานป้ี ระคองไว้ แบกหามจติ ดวงบริสทุ ธไ์ิ วอ้ ย่างนนั้ กลัวจติ ดวงบริสทุ ธ์ินจ้ี ะพลาดไป
จากมหาสติมหาปัญญาแล้วจะจม มันเปน็ ของมันอย่างน้นั จงึ ต้องถาม จึงตอ้ งสงสยั วา่ “เอ๊ะ ! เมอื่ จิต
ท่านมลี กั ษณะ อาการของท่านมลี กั ษณะอยา่ งนี้ ท่านจะเผลอบา้ งไหมนา ?” มนั ถึงเปน็
ส่วนที่พูดว่าเพราะธรรมไมเ่ คยรู้ ส่ิงไม่เคยรูไ้ ม่เคยเหน็ มนั ก็สงสัยบา้ งเป็นธรรมดาก็ยกไว้ แต่
เม่ือยกขึน้ ถึงเรื่องว่า กุปปธรรม อกปุ ปธรรม เขา้ ละ่ ซิ มันค้านกัน มนั ลบล้างกนั กบั อันนอี้ ย่างเต็มที่
เลยว่าทไ่ี ม่เคยรูเ้ คยเห็น เป็นธรรมไม่เคยรไู้ มเ่ คยเหน็ กส็ งสัยบา้ งแหละ แล้วกปุ ปธรรม อกปุ ปธรรม
ใครตรัสไว้น่ันนะ่ ก็ศาสดาองค์เอกเป็นผู้ตรสั ไว้ สฺวากขฺ าโต ภควตา ธมโฺ ม ใครเปน็ ผ้ตู รัสไว้ ก็ศาสดา
องค์เอก เรารตู้ ามความจริงนน้ั แล้ว มันจะไปไหน ถา้ มนั ไม่ลงตรงน้ัน มันจะลงตรงไหน มนั กห็ มด
ปญั หา จะเอาปญั หามาจากไหน เพราะธรรมนนั้ ไมใ่ ชธ่ รรมปญั หาน่ี เรื่องของปญั หามีแตเ่ รื่องของกิเลส
ท้ังนัน้ เข้าแทรกๆ ถ้าหมดกิเลสไปแล้ว มันก็หมดปญั หา ไม่มอี ะไร”
เร่ืองโยมมารดาของท่านพระอาจารย์จวน
ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฺ ไดเ้ มตตาเทศน์เรอื่ งนี้ไว้ดังน้ี
“ส�ำหรับเรื่องโยมมารดาของข้าพเจ้านี้ คิดว่าควรจะเล่าให้ละเอียดสักหน่อย เพ่ือเป็น
เกียรติประวัติของหญิงชนบทคนหน่ึง โยมมารดาข้าพเจ้าเป็นหญิงชาวบ้าน ไม่ได้รับการศึกษา ไม่รู้
หนงั สอื เพราะคนโบราณสมัยน้นั ในจงั หวัดชนบทหา่ งไกล ไมไ่ ดเ้ ขา้ โรงเรยี นแต่อยา่ งใด แตก่ ่อนทา่ น
เปน็ คนถือผไี ท้ผฟี ้าด้วยซ�้ำ เพราะป่วยเป็นโรคตา เจ็บตา ก็เอาหมอผีมารักษา ในบา้ นมีศาลบชู าผี
อยู่ดว้ ย มารดาตกแต่งดอกไม้มาบชู าเป็นประจ�ำทกุ วันดว้ ยความเลอ่ื มใส
เวลานน้ั ข้าพเจ้ายังเปน็ เด็ก จ�ำได้วา่ ก�ำลงั เรียนอยู่ชน้ั ประถมปีที่ ๕ มีความคดิ วา่ ผีหรือเทวดา
นีแ่ หละเป็นตัวท�ำให้มารดาตาเจ็บ อย่ากระนั้นเลย เราตอ้ งปราบผนี ีเ้ สีย วิธีปราบผขี องเดก็ ชายจวน
104
สมัยน้ันก็คือกลับจากโรงเรียนวันหนึ่ง ก็เอาค้อนมาทุบศาลผีหรือเทวดาที่มารดาเรียกแตกกระจาย
มารดากลบั มาบา้ นตอนเย็นเห็นเขา้ กต็ กใจว่า ลูกมาทำ� อย่างน้ัน ทำ� ผิดต่อผตี อ่ เทวดาเชน่ น้นั นยั นต์ า
คงจะแตกตายแน่ ขา้ พเจา้ กว็ ่า “ไม่เป็นไรหรอก ไม่แตกดอก ลูกปราบผีใหแ้ ล้ว” มารดาจะแตง่ ศาลที่
บูชาขึน้ ใหม่ ข้าพเจา้ ก็ไม่ยอมวา่ “แตง่ ไม่ได้ บา้ นนน้ั เขามีไวใ้ ห้คนอยู่ ไม่ใชใ่ ห้ผอี ย”ู่ มารดาวา่ “ถา้ ง้ัน
จะเอาไปไว้ที่ไหน ?” ข้าพเจา้ ก็ว่า “ไว้ที่ไหนก็ได้แต่ไม่ใชบ่ นบ้านนี.้ .. ท่ีป่าไผ่กไ็ ด้”
สุดท้ายมารดากเ็ อาศาลไปแขวนไว้ทป่ี า่ ไผน่ อกบ้าน
ข้าพเจา้ จงึ คิดหาอุบายทจ่ี ะทรมานมารดาให้เลิกนบั ถอื ผี จึงไปหาซือ้ หนังสือ “หลานสอนป”ู่
มาอ่านให้มารดาฟงั หนังสือ “หลานสอนป่”ู นี้เป็นหนังสอื ทคี่ นโบราณแตง่ ไวเ้ ปน็ คตสิ อนใจ ทางอสี าน
รู้จักกันดีเป็นหนังสือคู่กันกับหนังสือ “ปู่สอนหลาน” เน้ือความท่ีเป็นสาระโดยย่อเท่าท่ีข้าพเจ้าจ�ำได้
กค็ อื หลานซงึ่ เปน็ เดก็ เล็ก พยายามจะสอนใหป้ ู่รจู้ กั เขา้ วดั เขา้ วา ให้รู้จักบาปบญุ คุณโทษ ให้ร้จู กั
สรา้ งสมทางกุศล ตักบาตร ทำ� บญุ ใหร้ จู้ กั การภาวนาบอกวา่ ถ้าป่ไู ม่รู้จักเข้าวัดฟังธรรม เด็กนอ้ ยก็จะ
ไม่นบั ถือย�ำเกรง
ข้าพเจ้าแกล้งอ่านไปเรือ่ ยๆ ระยะแรก มารดาก็ไมฟ่ ัง เอด็ ตะโรวา่ หนวกหู แต่ข้าพเจ้ากท็ �ำไมร่ ู้
ไม่ชี้ อา่ นไป... อ่านไป โดยเฉพาะเวลามารดาอยู่บ้านจะฟังหรอื ไมฟ่ งั กต็ ามใจมารดา เรามีหนา้ ทอ่ี ่าน
ก็อ่านเสียงแจ้วๆ ไป กระทัง่ ภายหลังวันไหนไม่อ่าน มารดากจ็ ะถามหา แสดงวา่ ธรรมะของ “หลาน
สอนปู่” ได้ซึมซาบเข้าไปสู่จิตใจมารดาแล้วเป็นล�ำดับ และต่อมาหลังจากนั้นมารดาก็เลยเลิกนับถือ
ผีไท้ ผฟี ้า กลับเข้าวัดเขา้ วาฟังเทศน ์ ถอื ศีลเปน็ อนั ดี
นบั ว่าอบุ าย “หลานสอนป”ู่ ของเด็กชายจวนในครง้ั กระโนน้ ได้ผลเปน็ อย่างดียงิ่
เมื่อโยมมารดาบวชเปน็ ชีคร้งั นี้ อายุได้ ๗๕ – ๗๖ ปีแลว้ ทา่ นพระอาจารย์ม่นั ทา่ นคงจะ
พจิ ารณาร้กู ารณ์ข้างหน้า ท่านจงึ แตง่ ใหข้ า้ พเจา้ ไปจ�ำพรรษากบั มารดาทา่ นวา่ “ท่านจวนเอามารดา
มาบวชแล้ว... ไม่ได้ ต้องไปอบรมส่ังสอนผู้เฒ่านะ” แล้วท่านก็แนะน�ำวิธีให้ว่า “อบรมผู้เฒ่านั้น
อยา่ ไปอบรมมากๆ ลึกซง้ึ อะไร ผู้เฒ่าจ�ำไม่ไดห้ รอก เอาแต่ส้นั ๆ พอให้ทำ� ได้แลว้ จึงค่อยแนะขนั้ ต่อไป
เปน็ ลำ� ดับ” ทา่ นบอกอุบายใหแ้ ล้วก็เตือนขา้ พเจา้ ออกพรรษาแล้ว ใหร้ ีบไปหาทา่ น เพราะประเดยี๋ ว
จะไม่ทนั ท่าน ดงั ทขี่ า้ พเจา้ เคยเลา่ ไวแ้ ลว้
เมื่อข้าพเจ้ากลับมาพยาบาลท่าน ตอนโยมมารดาเจ็บหนักน้ี ท่านก็บอกว่า ท่านจะอยู่ไม่ได้
นาน อกี สามวนั ก็จะไปล่ะ เพราะมารดาเกดิ วนั พฤหัสบดี จะตายวนั น้นั โยมมารดาบอกวันตายดว้ ย
แลว้ กบ็ อกเวลาอกี ว่าเวลาตีหนึ่ง จะลาละ่ อยา่ รีบไปไหน
พอถงึ วนั พฤหัสบดี ลูกหลานทุกคนกม็ าเฝา้ กนั หมดพรอ้ มหน้า ข้าพเจ้ากน็ ่งั อยู่ใกล้ๆ คอยเฝา้
ผูเ้ ฒา่ อยู่ ถามโยมมารดาวา่ “มหี ่วง มอี ะไรสงสยั ไหม ?”
105
ท่านก็ว่า มีอยู่อย่างหน่ึง ท่านสงสัยเร่ืองกรรมคือท่านเอาหมากถ่ัว (ถ่ัวฝักยาว) ท่ีไร่ของ
หลาน ไร่นน้ั เขาท้ิงรา้ งแลว้ โยมเกบ็ มาประกอบเป็นอาหารถวายพระ กลัววา่ การกระท�ำนจี้ ะเปน็ บาป
เป็นกรรม เพราะไม่ได้บอกหลานเขา ขา้ พเจา้ ก็เลยบอกโยมมารดาว่า ไม่เป็นไรหรอก เปน็ ไรข่ องหลาน
เราเอง และไร่นน้ั เขากท็ ิ้งร้างแล้ว
ท่านบอกวา่ ท่านมสี งสัยเพียงแค่นัน้ พอถงึ เวลาตีหนึ่ง ท่านกด็ ับไปจรงิ ๆ โดยหลบั ตา สนิ้ ลมไป
อย่างสบาย สงบทส่ี ุด”
106
ภาค ๕ ติดตามหลวงปู่ขาว อนาลโย
ศาสนทายาทธรรมของท่านพระอาจารย์ม่ัน
การสร้างศาสนทายาทเพื่อจรรโลงสืบทอดรักษาพระพุทธศาสนานั้นส�ำคัญมาก และมีมาแต่
อดีตกาลในครั้งพุทธกาล ซ่ึงในคร้ังนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนา
และทรงอบรมสั่งสอนพุทธบริษัท ๔ โดยเฉพาะพระสงฆ์สาวกให้ฝึกฝนอบรมตนตามหลักธรรมวินัย
ถือธุดงควัตร บ�ำเพ็ญสมถะ – วิปัสสนากรรมฐานตามป่าตามเขา เมื่อบรรดาพระสงฆ์สาวกได้บรรลุ
อมตธรรมเป็นพระอรหันตสาวก ก็ได้เป็นศาสนทายาทรักษาพระพุทธศาสนา และเมื่อพระองค์
ใกล้เสด็จดบั ขนั ธปรินพิ พานทรงมอบธรรมวนิ ัยเปน็ องคแ์ ทนตถาคต ดงั นี้
“พระธรรมและพระวินัยน่ันแล จะเป็นศาสดาของเธอท้ังหลายแทนเราตถาคต เม่ือเรา
ตายไปแล้ว นน่ั ดูก่อน อานนท์ เมื่อยังมผี ู้ปฏิบตั ติ ามหลกั ธรรมหลักวินัยอยู่ พระอรหนั ต์ไมส่ ญู
จากโลกนะ อานนท์”
จากนั้นพระสงฆ์สาวกประเภทอรหัตอรหนั ต์ตา่ งก็ได้ท�ำหน้าทีส่ ร้างศาสนทายาท เพ่ือสืบทอด
ตอ่ ๆ กันมา เรอื่ ยมาจนถึงปัจจุบันกาล ทงั้ จะสืบทอดต่อออกไปในอนาคตกาล
ในคร้ังกึ่งพุทธกาล เม่ือท่านพระอาจารย์ม่ัน ภูริทตฺตมหาเถร ได้บรรลุธรรมข้ันสูงสุดแล้ว
ท่านได้ฝึกฝนอบรมสั่งสอนพระศิษย์เป็นศาสนทายาทจ�ำนวนมากมาย และในระยะบ้ันปลายของ
ท่านพระอาจารย์ม่ัน ท่านได้เร่ิมเอ่ยถึงชื่อศาสนทายาทของท่าน ซ่ึงนอกจากท่านพระอาจารย์ม่ัน
จะกลา่ วชื่นชมคณุ ธรรมของหลวงปู่ขาว อนาลโย แลว้ ท่านยังกล่าวช่ืนชมองค์หลวงตาพระมหาบัว
โดยท่านพระอาจารย์ม่ันได้กล่าวช่ืนชมคุณธรรมของหลวงปู่ขาวให้บรรดาพระศิษย์ท้ังหลาย
ฟังวา่ “หม่เู อ๊ย ! ให้รูจ้ กั ทา่ นขาวไว้นะ ทา่ นขาวน่ีเธอไดพ้ จิ ารณาถึงทส่ี ดุ แล้ว”
โดยองค์หลวงตาพระมหาบวั ไดบ้ ันทึกเหตกุ ารณท์ ีท่ า่ นพระอาจารยม์ ั่นมาเย่ียมหลวงป่ขู าว
ในสมาธิภาวนา ดงั นี้
“เม่ือท่านพระอาจารย์มั่นนิพพานไปแล้ว ท่านได้มาเย่ียมและแสดงสัมโมทนียธรรมให้
หลวงปู่ขาวฟังทางนิมิตภาวนาเสมอๆ ตลอดพรรษา การท�ำข้อวัตรในบริเวณถ้�ำที่พักจ�ำพรรษา
ตลอดการจัดบริขารต่างๆ ไม่ถูกต้องประการใด ท่านได้ตักเตือนอยู่เสมอ พรรษานั้นจึงเป็นเหมือน
อยู่กับท่านพระอาจารย์มั่นตลอดเวลา ท่านมาแสดงประเพณีของพระธุดงค์ผู้มุ่งต่อความหลุดพ้น
ใหฟ้ งั วา่ ธุดงควัตรตา่ งๆ ควรรกั ษาให้ถกู ต้องตามที่พระพุทธองค์ประทานไว้ อย่าใหเ้ คล่ือนคลาด... และ
ภายหน้าหลวงปู่ขาวจะเป็นอาจารยข์ องคนจ�ำนวนมาก”
107
ส่วนองค์หลวงตาพระมหาบัวน้ัน ท่านพระอาจารย์ม่ันได้กล่าวชมไว้ว่า “ท่านมหาเป็น
ผู้ฉลาดทัง้ ภายนอกภายใน ต่อไปจะเป็นทพี่ ่ึงแก่หม่คู ณะได้มาก”
ในขณะที่ท่านพระอาจารย์มน่ั จ�ำพรรษาทีว่ ดั ปา่ บา้ นหนองผอื ก่อนท่ที า่ นจะมรณภาพไมน่ าน
ท่านได้ส่ังและมอบหมายหลวงปู่ขาว อนาลโย ให้เป็นผู้ดูแลอบรมสั่งสอนท่านพระอาจารย์จวน
เหตุที่ท่านพระอาจารย์ม่ันไว้วางใจหลวงปู่ขาว เน่ืองจากท่านท้ังสองเคยพูดคุยสนทนาธรรมกันแล้ว
ทา่ นพระอาจารย์มน่ั จึงทราบวา่ หลวงปขู่ าว ท่านไดบ้ รรลุอริยธรรมขัน้ สงู สุดเปน็ พระอรหนั ต์องคห์ นงึ่
และจะเป็นศาสนทายาทองค์ส�ำคัญองค์หน่ึงของท่าน ท่ีจะท�ำหน้าที่สืบทอดวงพระธุดงคกรรมฐาน
และสบื ทอดพระพุทธศาสนาแทนทา่ นต่อไป
ประวัติย่อ หลวงปู่ขาว อนาลโย
หลวงปู่ขาว อนาลโย แห่งวัดถ้�ำกลองเพล อ�ำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวล�ำภู ท่านเป็น
พระอรยิ เจา้ ทีไ่ ดช้ อ่ื ว่า “เป็นเพชรน้�ำหนง่ึ แหง่ วงกรรมฐานสายทา่ นพระอาจารย์ม่นั ภูรทิ ตฺโต”
ท่านเกิดในครอบครัวชาวนา เม่อื วนั อาทติ ยท์ ่ี ๒๘ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๓๑ ตรงกบั ปีชวด ณ
บ้านบ่อชะเนง ต�ำบลหนองแก้ว อำ� เภออำ� นาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี (ตอ่ มาเปน็ อ�ำเภอเมือง
จงั หวดั อำ� นาจเจริญ)
บดิ าชือ่ นายพัว่ มารดาช่อื นางรอด นามสกุล โคระถา
มลู เหตุที่ทา่ นออกบวชน้นั เกิดจากภรรยาของท่านมีชู้ โดยจบั ได้คาหนังคาเขา
ท่านอุปสมบทเมอื่ วนั ที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ ณ วดั โพธศ์ิ รี บา้ นบ่อชะเนง ต�ำบล
หนองแกว้ อ�ำเภออำ� นาจเจรญิ จังหวดั อุบลราชธานี โดยมีพระครูพฒุ ิศกั ดิ์ เป็นพระอปุ ัชฌาย์ และ
พระอาจารย์บุญจันทร์ เปน็ พระกรรมวาจาจารย์ อยู่จ�ำพรรษาทวี่ ัดโพธิ์ศรีเปน็ เวลา ๖ ปี ได้สังเกตดู
ครูบาอาจารย์และเพื่อนพระภิกษุสามเณรประพฤติปฏิบัติพระธรรมวินัยลุ่มๆ ดอนๆ ไม่เป็นที่พอ
เช่ือถือได้ ไม่สมเจตนาที่ออกบวชเพ่ือมรรคผลนิพพาน จึงเข้ากราบลาพระอุปัชฌาย์เพ่ือออกธุดงค์
ตามหาท่านพระอาจารยม์ ัน่ แม้ญาตพิ ีน่ ้อง ทั้งพระอาจารย์และฆราวาสทีช่ าวบา้ นนบั ถือจะหา้ มปราม
อยา่ งไร ท่านกไ็ ม่ฟงั ทา่ นเป็นผ้มู จี ิตใจเดด็ เดี่ยว เหมือนจะกดั เพชรท้ังก้อนให้แหลกเปน็ ผุยผงไปใน
นาทเี ดยี ว ทา่ นมงุ่ มั่นในเป้าหมาย หากไมบ่ รรลุธรรมแลว้ ท่านจะไม่กลับบา้ นเกดิ อยา่ งเดด็ ขาด
ท่านญัตติเป็นธรรมยุต เม่ือวันท่ี ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ โดยมี พระธรรมเจดีย์
(จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระอาจารย์บุญ ปญฺาวุโธ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
(หลวงปูข่ าวเป็นนาคซ้าย หลวงปหู่ ลยุ เป็นนาคขวา หลวงปู่หลุยบวชกอ่ น ๑๕ นาที) หลวงป่หู ลยุ
จนฺทสาโร จงึ เปน็ เพ่ือนสหธรรมิกท่เี ก้อื กลู กนั ในทางธรรม
108
ต่อมาทา่ นได้เดินธดุ งคต์ ดิ ตามทา่ นพระอาจารย์ม่ัน และไดจ้ ำ� พรรษากับทา่ นพระอาจารย์ม่นั
ทจี่ ังหวดั เชียงใหม่ เมือ่ ไดร้ ับการอบรมธรรมปฏิบัติจากทา่ นพระอาจารยม์ นั่ แลว้ ทา่ นได้เร่งความเพยี ร
อย่างอุกฤษฏ์ และไดบ้ รรลอุ ริยธรรมช้นั สูงสุด ในราวพรรษาที่ ๑๖ – ๑๗ ทีเ่ สนาสนะปา่ กลางทุ่งนา
บ้านโหลง่ ขอด อำ� เภอพรา้ ว จงั หวัดเชียงใหม่
ทา่ นมอี ดตี ชาติเกี่ยวพันกับสตั ว์ปา่ มชี ้าง เปน็ ตน้ ไมว่ า่ ทา่ นจะไปเทยี่ วทีป่ ่าเขาลกึ เพยี งไหน
ช้างหัวหน้าฝูงมักจะเข้ามาหาคารวะท่าน ท่านรู้ภาษาสัตว์ และสัตว์เหล่านั้นก็รู้ภาษาของท่านเป็น
อย่างดี แม้ภายหลังท่านมาจำ� พรรษาทว่ี ดั ถ้�ำกลองเพลแลว้ เมอ่ื ท่านคิดถึงชา้ ง ช้างก็มาหาทา่ น
ทา่ นมเี มตตาธรรมเปน็ เลศิ มคี วามสงา่ งามประดจุ พญาชา้ งสาร ทา่ นสามารถระลกึ ชาตยิ อ้ นหลงั
ได้หลายชาติ คร้ังพุทธกาลท่านเคยเกิดเป็นพระภิกษุ ๑ ใน ๕๐๐ รูป ติดตามพระเทวทัตผู้เป็น
มิจฉาทิฏฐิ แต่หลงั จากไดฟ้ งั ธรรมจากพระสารบี ุตร จึงหนั กลับเขา้ มาส่สู ัมมาทิฏฐิ สถานท่ีต่างๆ ท่ที า่ น
อยู่จ�ำพรรษา มักจะเป็นสถานทีเ่ คยเกิดเปน็ คนหรอื สตั ว์ต่างๆ ในอดีตชาติ
ทา่ นเปน็ ศาสนทายาทองค์ส�ำคัญของท่านพระอาจารย์มนั่ ท่ีสืบทอดข้อวตั รปฏปิ ทา ธุดงควัตร
อย่างเคร่งครัดตลอดอายุขัย แม้ในวัยชราภาพมากแล้ว ท่านก็ยังท�ำความเพียรด้วยการเดินจงกรม
นั่งสมาธิอย่างไม่หยุดไม่หย่อน ท่านได้เท่ียวธุดงค์จาริกเผยแผ่ไปตามถิ่นต่างๆ จนในท่ีสุดก็มาพ�ำนัก
จ�ำพรรษาอยู่ท่ี วัดถ�้ำกลองเพล อ�ำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวล�ำภู และท่านได้อยู่จ�ำพรรษาเร่ือยมา
และทา่ นถงึ อนปุ าทเิ สสนิพพาน ในวนั จนั ทรท์ ่ี ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๖
ในวันพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ขาว เมื่อวันเสาร์ท่ี ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๗
ซ่ึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชด�ำเนินมาเป็นองค์ประธาน พร้อมด้วยสมเด็จ–
พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีน้ัน
ปรากฏว่า วัดถ้�ำกลองเพลซ่ึงมีอาณาบริเวณหลายพันไร่กลับคับแคบไปถนัดใจ ประชาชนจากทั่วทุก
สารทิศหลั่งไหลกันมาถวายสักการะสรีระร่างของท่าน นับเป็นจ�ำนวนแสนคน นับเป็นประวัติการณ์
สงู สดุ ของประเทศทเี ดียว
เมือ่ เสรจ็ พิธีพระราชทานเพลิงศพ อัฐิของท่านได้แปรสภาพเปน็ พระธาตุอย่างรวดเร็ว
เสร็จงานฌาปนกิจหลวงปู่มั่น ติดตามหลวงปู่ขาว
ในกรณีของหลวงป่ขู าว และ ท่านพระอาจารย์จวน ต่างก็ไม่เคยพบกัน และก็ไมเ่ คยรูจ้ ักกัน
มากอ่ น ประมาณเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ท่านท้ังสองได้พบกนั คร้ังแรกในงานประชุมถวายเพลงิ
ศพท่านพระอาจารย์มัน่ ภายหลงั จากเสร็จงาน พระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มนั่ เหมอื น
บ้านแตกสาแหรกขาด เหมือนลูกขาดพ่อขาดแม่ผู้ให้ความอบอุ่น เพราะการมรณภาพจากไปของ
ท่านพระอาจารยม์ นั่ ซึง่ เปน็ ทั้งพอ่ แมค่ รอู าจารย์ เป็นทัง้ รม่ โพธ์ิร่มไทรใหญท่ ี่ใหร้ ม่ เงาแกศ่ ษิ ยท์ เี่ ขา้ มา
109
อาศัย ดังน้ัน พระศิษย์รุ่นลูกรุ่นหลานของท่านพระอาจารย์ม่ัน จึงต่างพากันเข้าหาครูบาอาจารย์
ศิษยผ์ ู้ใหญข่ องทา่ นพระอาจารย์ม่ัน เพอ่ื หวังเป็นที่เกาะทพี่ ึ่งทีย่ ึดเหนีย่ วตอ่ ไป
กรณขี องท่านพระอาจารยจ์ วนกเ็ ช่นกัน แรกเริ่มเดิมทที า่ นมคี วามต้ังใจจะออกตดิ ตามหลวงปู่
เทสก์ เทสรฺ ํสี ไปภาคใต้ แตใ่ นทสี่ ุดด้วยความเคารพเชอ่ื ฟังในค�ำสง่ั ของครบู าอาจารย์ ทา่ นไมไ่ ด้ไปกับ
หลวงปเู่ ทสก์ แตท่ า่ นไดต้ ิดตามไปอยู่กบั หลวงปูข่ าว ตามที่ทา่ นพระอาจารยม์ น่ั สงั่ ไว้
โดยทา่ นพระอาจารย์จวน กลุ เชฏฺโ ได้เมตตาเทศนเ์ ร่ืองน้ีไว้ดงั นี้
“เม่ือเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าปรึกษากันกับท่านอาจารย์วัน อุตฺตโม เจ้าคุณอุดมวิสุทธิสังวร
มหาเถระ สมยั ปจั จบุ นั นี้ ก็คอื ทา่ นอภัยดำ� รงธรรมวิเวกน่นั เอง สมัยนัน้ ปรึกษากนั วา่ จะไปเท่ยี วทาง
ปักษใ์ ต้ จังหวดั ภเู ก็ต ซ่งึ สมัยนน้ั ท่านเจา้ คุณเทสก์ (ท่านเจ้าคณุ พระนิโรธรงั สีคัมภรี ปัญญาจารย์) หรือ
ท่านพระอาจารยห์ ลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี วัดหนิ หมากเป้ง ท่านไปประกาศศาสนาทนี่ นั่ ทา่ นว่าดี เราก็
ตดั สินใจวา่ จะไป
ทีนีท้ ่านอาจารยข์ าว คอื หลวงปขู่ าว อนาลโย วัดถ้�ำกลองเพลนี่เอง ซง่ึ แตก่ ่อนไมเ่ คยพบเหน็
กันกบั ทา่ นหลวงปู่ และทา่ นหลวงปกู่ ไ็ ม่รู้ขา้ พเจา้ ข้าพเจา้ ก็ไมร่ ู้ทา่ น ท่านได้ทราบว่าข้าพเจ้ามาจาก
การฌาปนกิจศพ ซ่ึงทา่ นก็ไปร่วมในงานนัน้ ดว้ ย แลว้ ก็พระหมพู่ วกเดียวกนั บอก ทา่ นทราบวา่ นคี่ ือ
ท่านจวน ทา่ นก็เรยี กเขา้ ไปหา ทา่ นเรยี กเขา้ ไปหาแล้ว สนทนาปราศรัยกันไปพอสมควร แลว้ ท่านก็
ไต่ถามว่า “เมอ่ื เสรจ็ งานแลว้ จะไปไหน ?”
ก็เลยตอบทา่ นว่า “จะไปเทย่ี วปกั ษใ์ ต้ จงั หวดั ภูเก็ต กับท่านเจ้าคณุ เทสก์”
ทา่ นวา่ “ไมใ่ หไ้ ป ไปอยูก่ บั ผม ทีถ่ ้�ำเป็ด” ดันกนั อยอู่ ยา่ งนั้นแหละ
กเ็ ลยคัดคา้ นท่านว่า “ผมจะไปปกั ษ์ใต้ครบั ”
ท่านว่า “ไมใ่ หไ้ ป” ดนั กนั อยอู่ ยา่ งนน้ั
ทีนี้ท่านก็เลยพูดให้ฟังว่า “เวลาผมมาจากจังหวัดเชียงใหม่ แล้วผมเข้าไปนมัสการท่าน
พระอาจารย์มัน่ ทา่ นพระอาจารย์ม่ันถามผม” นห่ี ลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ�้ำกลองเพลพดู ใหฟ้ ังวา่
“ทา่ นขาว รจู้ ักทา่ นจวนไหม ?”
“ไม่รู้”
“เอ้อ ! ทา่ นจวนคนอำ� เภออำ� นาจเจรญิ จังหวัดอบุ ลฯ นะ่ มาอยกู่ บั ผมน่ี แลว้ ใหท้ า่ นก�ำกับ
ท่านจวนนะ ดูแลทา่ นจวน”
“น่ที ่านอาจารยม์ นั่ สั่งไวก้ บั ผม เม่อื ผมมาพบท่านแล้ว ผมจึงไม่อยากใหท้ ่านไปที่อนื่ ให้ไปอยู่
กบั ผม เพราะท่านอาจารย์มัน่ ส่ังอยา่ งน้นั ”
110
เมื่อท่านกล่าวถึงอย่างน้ี อาตมาก็เลยอ่อนใจ ข้าพเจ้าอ่อนใจ ไม่ไป เพ่ือเคารพโอวาทของ
ทา่ นพระอาจารยม์ น่ั จงึ รบั คำ� ท่านว่า “จะไมไ่ ป” จะไปอยกู่ บั หลวงปขู่ าวนนั่ เอง ท่านกเ็ ลยรับรอง
ทกุ สิ่งทกุ อย่าง ค่ารถ ค่าเรอื ท่านเสยี ใหห้ มดทเี ดียว ก็เลยไปอยู่กบั ท่านหลวงป่ขู าวท่ีถ�้ำเปด็ แล้วก็ย้าย
มาจำ� พรรษาทีห่ วายสะนอย”
ถ้�ำเป็ด
ถ้�ำเป็ด ตั้งอยใู่ นพื้นที่บา้ นหนองมว่ ง ต�ำบลปทมุ วาปี อ�ำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร ถ�้ำนี้
ตง้ั อยหู่ า่ งจากตัวอำ� เภอสอ่ งดาวประมาณ ๒๕ กิโลเมตร อยทู่ างทิศตะวนั ออกของถำ�้ พวง ภูเหล็ก หรอื
วัดถ�้ำอภยั ด�ำรงธรรม ของท่านพระอาจารยว์ ัน อตุ ฺตโม
ถ�ำ้ เป็ด มชี ่อื เดิมวา่ “ถำ�้ เปรต” เพราะมพี วกวญิ ญาณ พวกเปรตมาอย่ตู รงน้นั ครูบาอาจารย์
เดนิ ธดุ งคม์ าภาวนา เหน็ ว่าชอื่ “ถ�้ำเปรต” ไม่ค่อยเป็นมงคล จึงเปลยี่ นเป็น “ถ้�ำเปด็ ”
เหตุท่เี รยี กว่า “ถ้ำ� เปด็ ” ก็เนอ่ื งจากวา่ ถ้�ำแหง่ น้มี ตี น้ ตนี เป็ดขนาดใหญ่ทย่ี ังใหร้ ่มเงาอยู่ปากถ�้ำ
ถ้�ำเป็ดนั้นมคี วามยาว ๒ เส้นเศษ (ประมาณ ๑๐๐ เมตร) มีความลึกเขา้ ไปดา้ นในประมาณ ๑๐ วา
(๒๐ เมตร) ภายในถ�ำ้ มีศาลาและกฏุ ิท่พี กั อย่ใู นถ้�ำน้ันเสร็จ มีธารน�้ำเยน็ ไหลตกลงมาจากเทือกเขา
ภูพาน สนั เขาภูพานในชว่ งนนั้ เปน็ หน้าผาสูงชัน มีทัศนยี ภาพทส่ี วยงามมาก เปน็ ผนื ป่าธรรมชาตทิ ่ี
สมบูรณม์ ีต้นไม้ขึน้ ปกคลุมเขยี วขจอี ย่างหนาแน่น มีแหล่งน้�ำที่อุดมสมบรู ณต์ ลอดปี
ถ้�ำเป็ดเป็นสถานที่สัปปายะอีกแห่งหน่ึง จึงมีพระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์ม่ัน
นยิ มเดนิ ธุดงคม์ าวิเวกบำ� เพญ็ สมถะ – วิปัสสนากรรมฐาน ณ ถ้�ำเปด็ แหง่ น้ี นับแตพ่ อ่ แม่ครูอาจารย์มัน่
ภรู ทิ ตโฺ ต หลวงป่ขู าว อนาลโย หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ฯลฯ เพราะ
เน่อื งจากความเงียบและสงบของธรรมชาติของพื้นท่ปี า่ แห่งนี้
ตามประวัติหลวงปขู่ าว อนาลโย ทา่ นไดเ้ ดนิ ธดุ งค์วิเวกอยูต่ ามเทอื กเขาภูพาน นานพอสมควร
พอถงึ ฤดูกาลเข้าพรรษา ท่านได้ไปพบถ้ำ� แหง่ หนงึ่ เรียกว่า “ถำ�้ เปด็ ” มีภมู ปิ ระเทศท่ีเหมาะสมต่อการ
บ�ำเพญ็ เพยี ร หลวงปู่จึงได้พกั จำ� พรรษาที่ถ้�ำแห่งนี้ นับเปน็ พรรษาที่ ๒๕ ของท่าน
ในปัจจุบันยังคงหลงเหลือร่องรอยของการมาจ�ำพรรษาท่ีถ�้ำเป็ดแห่งน้ี คือ กุฏิของหลวงปู่
ทั้งหลายท่ถี ูกสรา้ งจากไมก้ ระดานแบบเรียบง่าย ท่ามกลางความสงบรม่ เย็น
ถ�้ำเป็ดแห่งนี้ต่อมาได้พัฒนาเป็นวัดถ้�ำเป็ด ปัจจุบันมีท่านพระอาจารย์ก้าน จิตฺตธมฺโม เป็น
เจา้ อาวาส ซึ่งเปน็ พระศษิ ยข์ องทา่ นพระอาจารย์วัน อตุ ตฺ โม ผ้พู ฒั นาถ้�ำพวงจนเปน็ วดั ถ้�ำพวง โดย
ปัจจบุ ันมชี ่ือวา่ วัดถ้�ำอภยั ดำ� รงธรรม วัดท้งั สองตงั้ อยไู่ มห่ ่างไกลกนั นัก หา่ งกันประมาณ ๓ กิโลเมตร
111
สาเหตุที่หลวงปู่ม่ันฝากท่านกับหลวงปู่ขาว
ครูบาอาจารย์ทา่ นได้เมตตาเทศน์เร่ืองน้ไี วด้ ังน้ี
“หลวงปมู่ นั่ ทา่ นฝากหลวงปูจ่ วนไวก้ ับหลวงป่ขู าว เพราะอะไร ? เพราะว่าเวลาภาวนาไป
ครูบาอาจารยก์ ับลกู ศิษย์จะอยดู่ ้วยกนั จะรู้จรติ ของแตล่ ะคนมนั จะไมเ่ หมอื นกนั ...
เวลาหลวงปจู่ วน ในนิมิตของหลวงปจู่ วนว่า หลวงปู่ม่ันไดเ้ อาหลวงปจู่ วนขึ้นหลังแล้วข้ึนใส่
หลงั ไป เหน็ ไหม นน่ี มิ ติ ของหลวงปจู่ วน แลว้ หลวงปจู่ วนทา่ นปฏบิ ตั ขิ องทา่ น ทา่ นมปี ระสบการณอ์ ะไร
ของท่าน ท่านได้ถามปัญหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเห็นถึงความเป็นไปว่าจิตนี้คึกคะนอง จิตน้ีมีฤทธ์ิ
จติ มฤี ทธ์ิเพราะอะไร เพราะเวลาจติ สงบนะ หลวงปูม่ ัน่ กบั หลวงป่จู วนเวลาจิตสงบแล้วมนั จะข้ึนเป็น
ภาษาบาลี หลวงตาทา่ นบอกเลย เวลาจิตเราสงบนะ ธรรมมนั เกิดเปน็ ภาษาไทย คือขนึ้ มาเป็นภาษา
ไทย แต่หลวงปู่มั่นกับหลวงปู่จวนขึ้นเป็นภาษาบาลี พวกภาษาบาลีพวกน้ีจิตมันจะมีฤทธิ์ พอมีฤทธิ์
ข้ึนมาน่ีหลวงปู่มั่นท่านเห็นคณุ สมบัตขิ องจติ เหน็ คุณสมบัตขิ องคนวา่ มีอ�ำนาจวาสนาขนาดไหน
ฉะนน้ั ถ้าคนท่มี อี �ำนาจวาสนา มันต้องมคี วาญประจ�ำช้าง ช้างตวั ไหนถา้ มันคกึ คะนอง ชา้ ง
ตัวไหนทม่ี กี �ำลัง ช้างตัวไหนที่จะใชป้ ระโยชน์ได้ ควาญประจ�ำช้างนัน้ ตอ้ งให้ทนั ชา้ งตัวน้นั ถา้ ควาญชา้ ง
ตวั นน้ั คุมช้างตวั นน้ั ฝึกหัดช้างตวั นนั้ เปน็ ประโยชนข์ น้ึ มา จะเปน็ ประโยชนก์ บั ช้างตัวนั้นเองแล้วก็จะ
เป็นประโยชนก์ ับศาสนามาก
ฉะน้ัน ท่านถึงส่ังหลวงปู่ขาวไว้ว่า “ฝากท่านจวนไว้ด้วยๆ” ทีน้ีพอหลวงปู่ม่ันท่านฝาก
หลวงปู่จวนไว้กับหลวงปู่ขาว น้ีฝากไว้กับหลวงปู่ขาว หลวงปู่จวนก็อยากจะไปเท่ียวใต้ อยากจะไป
ธดุ งค์ท่ีภเู ก็ต หลวงปู่ขาวทา่ นบอกว่าใชอ้ บุ ายกอ่ น เพราะวา่ จะอ้างครูบาอาจารย.์ ..
ในวงกรรมฐาน ในวงของครูบาอาจารย์ของเรานี่เป็นผู้ท่ีมีคุณธรรม จะอ่อนน้อมถ่อมตน
จะออ่ นน้อมจะถ่อมตน จะพดู สิ่งใดเป็นธรรม ไมม่ ีทฐิ ิ ไม่มมี านะท่ีจะพดู กดขีก่ นั ไมม่ ีทิฐิ ไม่มีมานะ
ทจี่ ะพดู เอารัดเอาเปรียบกนั ก็พยายามใช้อุบายบอกวา่ “พอเสรจ็ งานศพแล้วท่านจวนไปกบั ผมนะ
ไปวเิ วกกับผมนะ” หลวงปู่จวน “ไม่ จะไปภูเก็ต ไม่ จะไปภูเกต็ ” จนสดุ ทา้ ยเหตผุ ลทยี่ กมาแม่นำ้� ท้งั ๕
แล้วกเ็ อาไม่อยู่ สดุ ท้ายหลวงปขู่ าวก็เลยพดู ตรงๆ “ท่านไปไม่ไดห้ รอก หลวงปูม่ น่ั ฝากทา่ นไวก้ ับผม”
หลวงปู่จวนน่คี อตกเลย ต้องไปกบั หลวงปูข่ าว พอไปกับหลวงปขู่ าว พอหลวงปู่ขาวทา่ นสอนของทา่ น
ท่านพิจารณาของท่าน
เราจะบอกว่า ควาญประจ�ำช้าง ควาญนั้นตอ้ งมีปัญญามากกวา่ ชา้ งนั้น ควาญประจ�ำช้างนัน้
ตอ้ งมปี ัญญามากกว่า ควาญประจำ� ชา้ งนั้นต้องมีปญั ญา ต้องมีอบุ ายวิธีการ บอกให้ชา้ งนัน้ พยายาม
ฝกึ หัดตวั เองขน้ึ มา พอฝกึ หดั ตวั เองขน้ึ มาจนถงึ ท่สี ุด หลวงปูจ่ วน “ทุกข์ เหตใุ ห้เกิดทกุ ข์ ทกุ ข์ดับ
วิธกี ารดับทกุ ข์” ไปฟังเทศน์หลวงป่จู วนสิ ทุกข์ เหตใุ หเ้ กดิ ทุกข์ ทกุ ขค์ ือทุกข์ควรกำ� หนด เหตใุ ห้เกิด
112
ทกุ ขค์ ือสมุทัย ทุกขด์ บั นน่ั คอื นิโรธ วิธกี ารดบั ทกุ ข์ นมี่ นั จะมีสจั จญาณ กิจจญาณ มีกตญาณ น่ีวงรอบ
ของ ๑๒ หลวงปู่จวนทา่ นจะเทศนอ์ ยา่ งนีป้ ระจำ�
ฉะนน้ั เวลาหลวงปูจ่ วนท่านไปหา ไปกราบหลวงปู่ขาว พาหมู่คณะไปกราบหลวงปขู่ าว ไปดู
รูปสิ เวลาหลวงปู่จวนท่านไปกราบหลวงปู่ขาวนะ ท่านเอาหัวเข้าไปไว้ท่ีเท้านะ แล้วหยิบเท้าของ
หลวงปู่ขาวนะ ลูบหัวท่านๆ ท่านเคารพ ท่านบูชา ท่านซาบซ้ึงบุญคุณหลวงปู่ขาว ที่หลวงปู่ขาว
เอาทา่ นไปชุบเลย้ี ง เอาทา่ นไปดูแล ทา่ นซงึ้ บุญคุณกนั น่ีเหน็ ไหม ถ้าเปน็ จริงมันเป็นแบบน้ี เป็นจริง
เป็นแบบน้ีหมายความว่า เวลาหลวงปู่ขาวท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านมีคุณสมบัติตามความจริง
ของทา่ น ทา่ นถึงบอกวิธกี าร บอกชนี้ ำ� ทาง ทางที่ผูป้ ฏบิ ตั ใิ หถ้ ึงท่สี ุดแหง่ ทุกข์ได้
...เวลาครูบาอาจารย์ของเราต้ังแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นลงมา เวลาท่านสอน ท่านสอน
สว่ นตัว อย่างเช่น หลวงปู่จวน ท่านเหน็ แววของหลวงปู่จวน ทา่ นเหน็ แววแลว้ พอเห็นแววแลว้
มันคิดหลายชั้นนะ เห็นแววหลวงปู่จวนว่า “หลวงปู่จวนจิตนี้มันมหัศจรรย์” ถ้าจิตมหัศจรรย์แล้ว
ใครจะคุม แล้วท่ีวา่ ใครมนั จะคมุ แล้วตวั ทา่ นมนั ถึงคราวตอ้ งเสียไง มนั ถึงคราวทา่ นต้องตาย เพราะ
ท่านบอกเองวา่ “หมูค่ ณะ ใครจะปฏิบัติ ใหป้ ฏบิ ัตมิ านะ แก้จิต แก้ยากนะ ผ้เู ฒ่าจะแกว้ ะ่ ผู้เฒ่า
จะแก้ นี่ผเู้ ฒ่าแก่แล้วนะ เด๋ียวผู้เฒ่าก็อายุไมเ่ กิน ๘๐ นะ”
หลวงตาพดู ประจ�ำ ทา่ นก็นบั เลยนะ ๗๐ ๗๑ ๗๒ ๗๓ แล้วนะ ทา่ นนบั มาตลอด ว่าไม่พน้
๘๐ นะ ๘๐ ต้องตายๆ แล้วพอหลวงป่จู วนท่านยังภาวนา มนั ยงั ขนึ้ มา คือคนเรากร็ ู้อยู่ว่า จิตมัน
มหัศจรรย์ แลว้ ตวั เองกต็ ้องตายไปแล้วจะฝากใครไว้ จะฝากอย่างนไี้ ว้กับใคร ก็ตอ้ งฝากไวก้ บั คนรจู้ ริงสิ
ถา้ ฝากไว้กับคนรู้จรงิ เพราะว่าหลวงปขู่ าวทา่ นได้คยุ กันไวแ้ ลว้ วา่ “หลวงปขู่ าวนี่เปน็ พระอรหนั ต์”
ฉะนั้น ท่านถึงฝากไว้ เพราะฝากไว้ จะไปไว้กับคนอ่ืนก็ไว้ไม่ได้ จะไปไว้กับใคร ถ้าไว้กับ
คนอื่นนะ เวลาหลวงปู่จวนทา่ นปฏิบัตขิ นึ้ ไป เห็นไหม มีปัญหาตง้ั แตเ่ ร่อื งผู้ก่อการรา้ ย สมยั น้ันแถวน้นั
สแี ดงหมดเลย เวลาผกู้ ่อการรา้ ยต่างๆ มีอะไรกระทบ เขาก็ไปฟ้องหลวงปขู่ าว หลวงปขู่ าวกเ็ รียกทา่ น
ออกไป ไปดแู ล จะดูแลตง้ั แตค่ วามเปน็ อยู่ แลว้ ยงั คอยบอกทฤษฎี ยงั คอยบอกวิธกี าร ยงั คอยแก้ไข
ยังคอยท�ำกนั เพือ่ ให้ขึน้ มา”
การตรวจสอบคุณธรรม
ในวงพระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์ม่ัน เมื่อมีการไปมาหาสู่กัน หรือเม่ือมี
การพบปะกนั ท่านมักจะมีการตรวจสอบคณุ ธรรมซ่งึ กันและกัน โดยจากการพูดคุยสนทนาธรรมกนั
ตามหลกั สลั เลขธรรม หรอื ธรรมอนั เปน็ เครอ่ื งขดั เกลาชำ� ระกเิ ลส มดี ว้ ยกนั ๑๐ ประการ มอี ปั ปจิ ฉตา
ความมกั นอ้ ย เปน็ เบือ้ งต้น มวี มิ ตุ ติญาณทัสสนะ ความรเู้ ห็นอนั แจ้งชัดในความหลุดพ้น เป็นทสี่ ุด
และเปน็ มงคลตามหลัก ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงคฺ ลมตุ ตฺ มํ การสนทนาธรรมตามกาลเป็นมงคลอันสูงสดุ
อนั เปน็ มงคลข้อหนึ่งในมงคล ๓๘ ประการ
113
ในเรื่องของการตรวจสอบคุณธรรมถอื เปน็ เรือ่ งปกตใิ นวงปฏบิ ัติ มมี าดัง้ เดิมต้ังแตค่ ร้ังพทุ ธกาล
เมื่อครั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงด�ำรงพระชนม์ชีพอยู่น้ัน พระพุทธองค์ทรงรับรอง
คุณธรรมของพระสงฆ์สาวกด้วยพระองคเ์ อง จากพระญาณอนั ชดั เจนแจ่มแจง้ จากน้นั พระสงฆส์ าวก
เม่อื ทา่ นปฏิบัติไปแลว้ ทา่ นก็ตา่ งตรวจสอบคณุ ธรรมของกนั และกนั
ครนั้ ตอ่ มาในคร้งั ก่ึงพุทธกาล ยคุ ฟื้นฟธู ุดงควัตร ขอ้ วัตรปฏบิ ัติ ปฏิปทาพระธดุ งคกรรมฐาน
ท่านเจ้าคุณพระอบุ าลคี ุณูปมาจารย์ ทา่ นพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลมหาเถร ท่านพระอาจารยม์ ัน่
ภูริทตตฺ มหาเถร ท่านกต็ รวจสอบคณุ ธรรมกนั เอง เมอ่ื บรรลคุ ณุ ธรรมขนั้ สูงสุด คอื เปน็ พระอรหนั ต์
จนเป็นมงคลแก่โลกแล้ว ก็ออกเท่ียวธุดงค์จาริกเผยแผ่ไปท่ัวสังฆมณฑล จนพระพุทธศาสนากลับมา
เจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง จากน้ันมาพระธุดงคกรรมฐานศิษย์ในสายน้ีเม่ือปฏิบัติไปแล้ว ต่างก็ตรวจสอบ
คณุ ธรรมกันเอง โดยยกตวั อยา่ งดงั น้ี
ครบู าอาจารยต์ รวจสอบกันเอง เชน่ กรณหี ลวงปู่ขาวกับองค์หลวงตาพระมหาบัว
ครูบาอาจารย์ตรวจสอบศิษย์ เช่น กรณีหลวงปู่ขาวกับท่านพระอาจารย์จวน และ กรณี
องค์หลวงตาพระมหาบวั กบั ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง และ
ระหว่างศิษย์ด้วยกันตรวจสอบกันเอง เช่น กรณีท่านพระอาจารย์จวนกับท่านพระอาจารย์
สงิ หท์ อง เปน็ ต้น
เม่ือครูบาอาจารย์ท่านได้พูดคุยสนทนาธรรมตรวจสอบคุณธรรมกันแล้ว ก็จะท�ำให้ทราบว่า
องค์ไหนมีภูมิจิตภูมิธรรม และทรงอริยธรรมในขั้นใด เพราะเมื่อส�ำเร็จบรรลุอริยธรรมในขั้นใดแล้ว
จะมีผลเปน็ หนงึ่ เดยี วกนั มีผลเหมอื นกนั และเป็นอนั เดยี วกัน ถงึ แม้วิธีการปฏิบัติจะแตกต่างกันไปตาม
จรติ นิสัยก็ตาม
การทว่ี งกรรมฐานจะทราบ “ภูมิจติ ภมู ธิ รรม” ของกันและกนั นอกจากการพดู คุยสนทนาธรรม
ตรวจสอบกนั แล้ว จะทราบจากจิตหย่ังทราบกัน และ ยงั ทราบไดจ้ ากการแสดงธรรม โดยองค์หลวงตา
พระมหาบัว าณสมปฺ นฺโน ได้เมตตาเทศน์ไวด้ งั นี้
“กรรมฐานอ่านภมู ธิ รรมกันนไ้ี มไ่ ดอ้ ่านยากนะ ขึ้นเทศน์แมจ้ ะเทศน์ประชาชนกต็ าม มันหาก
มแี ยบ็ ออกมาจบั จนไดน้ ัน่ แหละ แสดงวา่ เทศนม์ ภี มู ิ อยูใ่ นภูมไิ หนๆ มนั จะค่อยบอกไปเรื่อยๆ แย็บออก
มาตรงไหนๆ ออก จะจบั ไปเรื่อยๆ คือไม่รู้ ออกไม่ได้ ความจริงว่าอย่างน้นั นะ
ธรรมความจริงในหัวใจน้ี เจา้ ของไมร่ ู้ แสดงออกไม่ได้ ไมเ่ หมือนปรยิ ัติ ปริยัติไมร่ กู้ พ็ ดู ได้ แต่
มันพูดอย่างผวิ เผนิ ฟงั มันก็รู้ พูดแย็บออกมาจากความจรงิ นิดหนอ่ ย รู้ทันทๆี เลย นี่ละ่ พระฝ่ายปฏิบตั ิ
ท่านดูกัน ดูด้วยการสนทนา หรือมีญาณดูกนั ก็ได้ มันมีอยู่ ๒ – ๓ ประเภท
114
๑. มจี ติ ส่งดกู ันก็ได้
๒. เวลาสนทนาธรรมกัน รภู้ ูมอิ รรถภมู ธิ รรมก็ได้
๓. เวลาท่านเทศนาวา่ การในทีต่ ่างๆ จับไดๆ้
เปน็ ๓ ขนั้ อย่างนอ้ ยเป็น ๓ ขนั้ ”
สัลเลขธรรม ธรรมอันเป็นเคร่ืองขัดเกลาช�ำระกิเลสเพื่อความหลุดพ้น มี ๑๐ ประการ
ไดแ้ ก่ อปั ปจิ ฉตา (ความมกั นอ้ ย), สันตฏุ ฐี (สันโดษ), วิเวกตา (ความสงดั วิเวกทางกายและทางใจ),
วริ ยิ ารมั ภา (การประกอบความเพียร), อสังสคั คณกิ า (ความไมค่ ลุกคลีมั่วสุมกับใครๆ ทัง้ นนั้ ), ศลี ,
สมาธิ, ปญั ญา, วมิ ตุ ติ (ความหลุดพ้น), วิมุตตญิ าณทัสสนะ (ความร้เู ห็นอันแจง้ ชดั ในความหลดุ พน้ )
พรรษา ๘ พ.ศ. ๒๔๙๓ จ�ำพรรษาที่ถ�้ำพวง
เม่ือท่านพระอาจารย์จวนอยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ขาวที่ถ�้ำเป็ดได้ไม่นานนัก หลวงปู่ขาว
ได้สัง่ ใหท้ า่ นพระอาจารย์จวนไปอยูล่ �ำพังเพยี งองคเ์ ดียวทถ่ี ้�ำพวง อ�ำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร โดย
ทา่ นพระอาจารย์จวน กลุ เชฏโฺ ได้เมตตาเทศนเ์ รอ่ื งนไี้ ว้ดังน้ี
“ส่วนข้าพเจ้า ท่านหลวงปู่ให้ไปจ�ำพรรษาที่ถ้�ำพวง ถ�้ำอภัยด�ำรงธรรม ท่ีท่านอาจารย์วัน
สร้างอยู่เดี๋ยวนี้ ถ�้ำพวงนี้แต่ก่อนเป็นถ�้ำที่ศักด์ิสิทธิ์และส�ำคัญมาก ท่านแต่งให้ไปอยู่องค์เดียวใน
ฤดูแลง้ ตั้งแตเ่ ดอื นมกราฯ ถึงเดือน ๗ อยู่คนเดยี ว บณิ ฑบาตบา้ นหนองบวั ทางระยะไกลร้อยกวา่ เส้น
๑๓๐ เส้นน่ีแหละ (ประมาณ ๕ กโิ ลเมตรเศษ) เดนิ บณิ ฑบาตต้องเดินลงจากเขา แหวกทุ่งหญ้าเพ็ก
ซึ่งสูงท่วมหวั ไปโดยตลอด การจะไป การจะมา กินเวลามาก บางวันกฉ็ นั ตนี เขา แลว้ จึงขน้ึ ไปอยู่
องค์เดียว
ท่ีถำ้� พวงนตี้ ามประวตั เิ ลา่ กันมา ทา่ นอาจารยม์ ่ันวา่ “ถำ้� หน่งึ ท่เี ป็นถ้�ำเล็กๆ อยู่ทิศตะวนั ออก
ทางถำ�้ พวง ระยะประมาณไม่ไกลจากถ้�ำพวง ประมาณสิบกวา่ เมตร มีพระอรหันต์องค์หน่ึง ช่ือว่า
“พระนรสหี ”์ ทา่ นมานพิ พานท่ีน่นั ” ตามประวตั วิ ่า ท่านอาจารย์มั่นทา่ นเคยมาวิเวกท่ีน่ีแล้ว เวลา
จะเขา้ ใกลถ้ ้�ำนน้ั หา่ งประมาณ ๑๒ ศอก ทา่ นไดถ้ อดรองเทา้ ไปกราบไหวถ้ ้�ำนนั้ เพราะเป็นถ�้ำทีส่ ำ� คญั
ถ้�ำท่ีพระอรหันต์ไปนิพพานท่ีน้ัน และที่ถ�้ำพวงน้ันแต่ก่อนยังมีรูหน่ึงลงไปลึก ลงไปใต้พ้ืนเขา แต่ว่า
จะลึกเท่าไหร่ไม่ทราบ เป็นรูใหญ่ที่อยู่ข้างถ้�ำพวง ในขณะน้ันประวัติว่า ท่านอาจารย์สิงห์ใหญ่
ขนฺตยาคโม ไดไ้ ปวเิ วก ท่านว่าเป็นถำ้� นาค มันมาพน่ พิษใส่ ทา่ นก็เลยเอาก้อนหินปดิ ไวใ้ หแ้ น่น เด๋ียวนี้
ไมร่ ู้ว่าจดุ ไหน ราบรนื่ กนั ไปหมด
ขณะท่ขี า้ พเจา้ อยถู่ �้ำพวงนน้ั การภาวนาดนี กั จิตรวมดี บางคนื รวมคร้ังละ ๓ หนก็มี อยูม่ า
สมยั นนั้ เณรชลติ เด๋ียวน้เี ปน็ มหาชลิต อยวู่ ัดฝ่งั ธนบุรี วัดเขมมะฯ เขาเปน็ มหาแลว้ เดยี๋ วน้ี เปน็ เณร
115
ไปอยู่ด้วย คนบา้ นหนองบัวน่ันเอง บา้ นโพนสวาง หนองบัวนนั่ เอง เปน็ ภูไท ข้ึนไปร่วมดว้ ยและปฏิบัติ
ในระหว่างเดอื น ๗ ท่านอาจารย์เพง็ เตชพโล ท่ีท่านมรณภาพแลว้ เดีย๋ วนี้ ท่านหลวงป่ขู าวกแ็ ตง่
ท่านอาจารยเ์ พง็ ขึ้นไปอยูใ่ ห้รว่ มเปน็ เพ่ือนกนั ดว้ ย เพื่อรกั ษากัน ไปอย่นู นั่ ภาวนา ๘ ป”ี
กระต่ายน้อยนักภาวนา
องค์สมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า คราวเสวยพระชาตเิ ปน็ พระโพธิสัตว์ พระชาตหิ นงึ่ พระองค์
เคยเกิดเป็นกระต่ายป่า และได้ยอมสละชีวิตเลือดเนื้อเพื่อบ�ำเพ็ญทานปรมัตถบารมี เพ่ือการตรัสรู้
อนตุ ตรสัมมาสมั โพธญิ าณในภายภาคหน้า โดยการกระโดดเขา้ กองเพลงิ ท่ไี ฟลุกโชน ยอมตายเพอื่ มอบ
เน้ือหนงั ของตนเปน็ อาหารประทงั ชวี ิตใหน้ ายพรานทห่ี ลงป่า
การสรา้ งบารมีนั้น ถงึ แม้พระโพธิสัตว์จะเกดิ ไปเปน็ สตั วเ์ ดรัจฉานกย็ งั สามารถสรา้ งได้ แมใ้ น
ภาคปฏิบัติ สัตว์เดรจั ฉานบางชนิดก็ปฏิบัติได้ เพราะภาคปฏิบัตถิ อื เปน็ ภาคส�ำคญั ของพระพุทธศาสนา
เมื่อเรียนปรยิ ตั แิ ลว้ ต้องนำ� มาปฏิบัติ มิฉะนนั้ แล้วผบู้ วชเรียนจะเกดิ ความละอายใจตอ่ สัตวเ์ ดรจั ฉาน
ก็เปน็ ได้ ดังประวตั ขิ องทา่ นพระอาจารยส์ ิงหท์ อง ธมฺมวโร ณ ภูทอก สถานท่ซี ่งึ ทา่ นพระอาจารย์
สิงห์ทองพบพญานาค ก็มีเร่ืองหนูเดินจงกรม เพ่ือเตือนสติพระมหานิกายฝ่ายปฏิบัติท่ีอยู่ประจ�ำที่
ภทู อก อย่าให้ขาดการเดนิ จงกรม จากนัน้ มาพระองคน์ ั้นกไ็ มเ่ คยขาดการเดินจงกรมเลย ส่วนประวัติ
ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ก็มเี ร่ืองกระต่ายน้อยเดนิ จงกรม นั่งสมาธิ โดยทา่ นพระอาจารยจ์ วน
กลุ เชฏโฺ ได้เมตตาเทศน์เรอื่ งนไี้ วด้ ังน้ี
“เวลาตอนบ่าย บ่าย ๓ บ่าย ๔ ข้าพเจ้าออกเดินจงกรม มีกระต่ายตัวหนึ่งออกมาน่ังอยู่
ข้างทางจงกรม กระต่ายน้อยตัวน้นั ทกุ วนั ๆ นั่งหลบั ตาภาวนาอยา่ งน้ันแหละ มนั จะภาวนาหรือไม่
กไ็ มท่ ราบ แตว่ า่ มนั นง่ั หลับตาอยู่รมิ ทางจงกรม ใกลช้ ิดประมาณ ๑ ศอก ฉะน้นั เวลาเราเลิกจาก
ท�ำความเพียรเดนิ จงกรมเข้าไปที่รา้ น มนั กเ็ ขา้ ไปด้วย แล้วกม็ านงั่ อยูใ่ ต้ร้าน นอนอย่ใู ตร้ ้าน ถ้าไดย้ ิน
เสยี งคนมา เสียงพอ่ ออก เสยี งญาติโยมมา มันก็ว่งิ เข้าปา่ นี่กระตา่ ยน้อยตวั นี้ส�ำคญั มาก นเี่ หน็ ดว้ ยตา
ตนเองแทบทกุ วันๆ นนั่ แหละ มนั มาเดินจงกรม มาภาวนาด้วย กระต่ายนอ้ ยตัวน”ี้
อุบายวิธีต่อสู้ภัยมาตุคามของครูบาอาจารย์
เรือ่ งความรักในเพศตรงขา้ ม เป็นเรื่องธรรมชาติของชายหญิง และเปน็ เร่ืองปกตขิ องพระภกิ ษุ
เกือบทุกวัย ไม่ว่าในสมยั คร้งั พทุ ธกาล หรือในสมัยปัจจบุ นั ไม่วา่ จะเปน็ พระฝา่ ยอรัญวาสี (พระป่า)
หรอื พระคามวาสี (พระบา้ น) เม่ือท่านไดบ้ วชเรยี นหรอื ออกปฏบิ ัตแิ ล้วกต็ าม หากไมไ่ ด้ตัง้ ใจปฏิบตั ิ
เจริญสมถะและวิปสั สนากรรมฐานอย่างเอาจรงิ เอาจังแลว้ หรอื อาจเปน็ เพราะอ�ำนาจของกรรมเกา่ น้นั
ส่งผล ทำ� ให้มีหลายตอ่ หลายองค์ ทา่ นทนตอ่ ความรักความลุม่ หลงในสตรีเพศไมไ่ ด้ ท่านตอ้ งแพ้ภัย
จากมาตุคามและจ�ำเปน็ ต้องสกึ ออกไปเปน็ ฆราวาสใชช้ ีวิตครอบครวั
116
แม้แต่ครูบาอาจารย์ที่มีคุณธรรมและมีช่ือเสียงโด่งดังหลายต่อหลายองค์ ที่เป็นพระศิษย์สาย
ท่านพระอาจารยม์ ัน่ ภรู ิทตฺโต เมอื่ คราวท่ีท่านยงั เปน็ พระหน่มุ และยังเปน็ พระปถุ ชุ นอยูน่ ั้น ท่านก็
เคยมีจติ ปฏพิ ัทธร์ กั ใคร่ในสตรเี พศ แต่ดว้ ยบุญญาบารมี ดว้ ยความเดด็ เดี่ยวม่งุ มั่น ทา่ นกม็ อี บุ ายวธิ ีการ
ตอ่ สู้ภัยจากมาตุคามแปลกแตกต่างกนั ไปแตล่ ะองค์ ยกตัวอยา่ งเชน่
กรณีหลวงปทู่ องรตั น์ กนฺตสีโล หรือ ครูบาอาจารยเ์ ฒ่า ท่านต่อสูก้ ามราคะ ดังนี้
“การผ่านพ้นอุปสรรคแต่ละครั้ง ต้องใช้ความอดทนอดกล้ันเป็นอย่างมาก ในการประหัต–
ประหารกับอุปสรรคนนั้ ๆ บางคร้ังต้องเอาชวี ติ เข้าแลก และนก่ี ็เปน็ อปุ สรรคอีกอย่างหนึง่ ของครูบา–
อาจารย์เฒา่ ทา่ นเล่าใหล้ กู ศิษย์ฟงั ว่า
ครงั้ หนงึ่ ขณะเดินจงกรมอยู่ จติ เกิดฟงุ้ ซ่าน กามราคะเขา้ ครอบง�ำ ด้วยความทก่ี ารต่อส้อู ปุ สรรค
แต่ละอย่าง ต้องห้าวหาญและเด็ดขาด อันเป็นคุณสมบัติประจ�ำตัวองค์ท่าน ท่านคว้าขวานเก่า
สนิมขึ้นเกรอะได้ ก็เดินตรงร่ีด้วยความฉุนเฉียวคล้ายจะไปฆ่าใครสักคน พอไปถึงขอนไม้ผุ ได้ใช้
ขวานนั้นสบั ไปเตม็ ก�ำลัง พร้อมทัง้ ร้องทงั้ ด่าไปเหมอื นกับระบายความโกรธว่า
“โคตรพ่อ โคตรแม่มึง มึงสิไปสร้างโลกโลกาทางได๋ มึงรู้จักอยู่บ่ มันทุกข์ โคตรพ่อ
โคตรแมม่ ึง”
ทัง้ สบั ทั้งรอ้ งตะโกน ทำ� อย่อู ยา่ งนั้น จนตัวท่านเองหมดแรง ขอนไมก้ ็ไมข่ าด เพราะขวานก็เก่า
ข้ึนสนมิ แรงกห็ มด ความก�ำหนัดจึงหายไป”
ส�ำหรบั กรณีรอยกรรมจากบพุ เพสันนิวาสของ ทา่ นพระอาจารยฝ์ ั้น อาจาโร ครบู าอาจารย์
ท่านไดเ้ มตตาเทศนเ์ รอ่ื งนไ้ี วด้ งั นี้
“หลวงตาทา่ นเลา่ บ่อย หลวงป่ฝู ัน้ ปี ๒๔๗๕ หลวงปูส่ งิ หแ์ ละหลวงปู่มหาปิ่น ๒ องคพ์ ีน่ อ้ ง
ลงมางานฉลองกรงุ ปี ๒๔๗๕ หลวงปู่ฝนั้ ทา่ นเปน็ พระบวชใหม่ ท่านเป็นผู้อุปัฏฐากบาตรของหลวงปู่
สิงห์กับหลวงปู่มหาป่นิ และบาตรของท่าน รวมเป็น ๓ ใบ มาพกั ทวี่ ดั บวรฯ แล้วเวลาจะออกมา
บิณฑบาต ท่านจะเอาบาตรออกมา ๓ ใบ เพราะมันเปน็ ประเพณขี องพระปา่ คอื จะอปุ ฏั ฐากครบู า–
อาจารย์ก็เอาบาตรมาล่วงหน้า เสร็จแล้วก็เอาบาตรนี่ถวายครูบาอาจารย์ท่าน ให้ออกบิณฑบาต
ขากลบั กเ็ อาบาตร ๓ ใบน่ีล้าง
หลวงปู่ฝ้ันทา่ นล้างทหี นึง่ ๓ ใบเลย ลา้ งบาตรทั้ง ๓ ใบเลย อุปัฏฐากหลวงปสู่ ิงหก์ บั หลวงปู่
มหาปิน่ ๒ องคพ์ ่ีนอ้ ง ปี ๒๔๗๕ ทวี่ ัดบวรฯ จนวันหนึ่งเดนิ สวนทางกบั ผหู้ ญิงไม่เคยร้จู ักกัน ไมเ่ คย
เห็นหนา้ กนั หลวงป่ฝู นั้ อยู่สกลนคร ไม่เคยเหน็ หน้าผ้หู ญงิ คนน้ีเลย เหน็ ครงั้ แรก ปิ๊ง ! โอ้โฮย ! มันรกั
พอรกั กไ็ ปปรกึ ษาหลวงปสู่ งิ ห์ มนั เปน็ โรครกั แลว้ หลวงปสู่ งิ หแ์ ละหลวงปมู่ หาปน่ิ บอกวา่ ใหเ้ ขา้ โบสถเ์ ลย
โบสถ์วัดบวรฯ
117
พอเขา้ โบสถว์ ดั บวรฯ กป็ ดิ ประตูนัน้ ปดิ หมดเลย อดอาหารไม่กินขา้ ว รักไหม ? “รกั ” ไม่กนิ
วันท่ี ๑ ท่ี ๒ ท่ี ๓ รักไหม ? “รัก” ไม่กิน “รัก” ไม่กิน พอวันท่ี ๗ มันจะหิว รักไหม ? “ไม่รัก”
ไมร่ ักมากินขา้ วได้ หลวงปฝู่ ้ันท่านรอดมา จากการอดอาหารผอ่ นอาหาร”
แต่ส�ำหรับกรณีหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร หนักหนาสาหัสย่ิงกว่า เพราะตัวท่านกับสุภาพสตรี
คนดังกล่าวมีโอกาสพบกันอีกหลายคร้ัง ญาติผู้ใหญ่ของท่านทั้งสองฝ่ายก็สนิทกันประดุจญาติ และ
ตวั ท่านกับสภุ าพสตรีทา่ นน้ี ก็อาจเคยพบกนั มาแล้วต้งั แต่เด็กๆ เพียงแต่ฝา่ ยหญิงถกู ครอบครัวส่งไป
ศึกษาเลา่ เรียนที่กรงุ เทพฯ ตัง้ แต่เลก็ ๆ มาพบกันอกี ครง้ั คอื ครงั้ นี้ หลวงปูห่ ลยุ ได้เข้าส่เู พศพรหมจรรย์
เป็นบรรพชติ ไปแล้ว
ส�ำหรับท่านสุภาพสตรี เมื่อไปอยู่กรุงเทพฯ ได้เข้าเรียนหนังสือจนจบช้ันมัธยมบริบูรณ์จาก
โรงเรียนสตรีมีช่ือภาษาต่างประเทศโรงเรียนหนึ่ง นานๆ ครั้งจึงจะกลับมาเย่ียมบ้าน เม่ือมาเยี่ยม
บ้าน ทา่ นจะมีบคุ ลกิ ของสาวสมัยใหม่ เคร่อื งแต่งกายงดงามทนั สมยั และชอบขีม่ า้ เลน่ ข่ีมา้ เก่ง เวลา
ขม่ี ้าใส่ท็อปบูต๊ ดูสงา่ งาม ผิดไปจากสาวๆ พน้ื บ้านทอ้ งถ่นิ น้นั กลุ สตรีท่านน้ีเปน็ สาวสวย รูปรา่ งสวย
หนา้ สวย นยั นต์ าโตงาม ผมก็งาม เพยี บพร้อมด้วยรูปสมบตั ิ คณุ สมบตั ิ และทรัพย์สมบตั ิครบถว้ น
ในขณะท่ีหลวงปู่หลุยพะว้าพะวังจะลาจากเพศพรหมจรรย์เสียให้ได้ ท่านพระอาจารย์สิงห์
เห็นอาการแล้วคงไม่ดีแน่ จึงรีบพาหลวงปู่หลุยออกจากหล่มสัก พาหนีไปให้ไกลห่างสถานท่ีเกิดเหตุ
เท่ียววิเวกตามป่าตามเขา เร่งกระท�ำความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ แม้กระท่ังอดนอน อดอาหาร เพื่อ
ผอ่ นคลายความคดิ ถึงมาตคุ าม ท่านพระอาจารยส์ งิ ห์ก็สนับสนุนใหก้ ระท�ำ
เม่ือหลวงปู่หลุยพิจารณาอย่างหนัก ก็ได้นิมิตว่า สุภาพสตรีท่านนั้นเคยเป็นคู่บุพเพสันนิวาส
กันมาแต่บุพชาติ ท่านพระอาจารย์สิงห์อธิบายเพิ่มเติมให้อีกว่า เธอผู้นั้นในอดีตชาติคงต้ังความ
ปรารถนาบ�ำเพญ็ บารมีคกู่ ันมา อานุภาพเมอ่ื สบตากันคร้ังแรกจึงรุนแรงเกรีย้ วกราดถงึ ปานนั้น
แม้หลวงปู่หลุยจะได้นิมิตแห่งรอยกรรมอันเน่ืองด้วยบุพเพสันนิวาส ท่านก็ไม่ยอมสิโรราบ
แล้วยอมรับชะตากรรมไปตามนนั้ จิตใจมุ่งที่จะบ�ำเพ็ญเพศพรหมจรรยต์ อ่ ไป ทง้ั ๆ ทหี่ ัวอกประหนึ่ง
จะกลดั หนอง ใชม้ านะข่มขันธ์ เรง่ กระท�ำความเพียร และยังมที ่านพระอาจารยส์ ิงหค์ อยก�ำกับให้สติ
เปน็ เวลาพอสมควร หลวงปู่หลยุ จงึ สามารถตดั ขาดเย่อื ใยแหง่ บุพเพสันนวิ าสจนขาดสะบนั้ ไมม่ ีชาตภิ พ
จะสบื ตอ่ ไปอีกทงั้ ในกาลปัจจุบันและอนาคตใดๆ
ด้วยเหตุน้ี หลวงป่หู ลุย จงึ ตระหนกั ถงึ ภัยจากมาตคุ ามทม่ี ตี อ่ เพศพรหมจรรย์อยา่ งยิง่ เม่ือทา่ น
เทศนาอบรมพระภิกษุสามเณรเก่ียวกับมาตุคามและบุพเพสันนิวาสคร้ังใด จะกล่าวย้�ำกล่าวเตือนว่า
ต้องใชก้ �ำลังใจอยา่ งสูงสดุ จึงจะเอาชนะได้ นบั แตน่ ้นั หลวงป่หู ลุยก็ด�ำเนินไปตามวถิ ีแหง่ สมณธรรม
โดยสว่างสงบ ตราบกระทัง่ ทา่ นละสังขารเป็นปรโิ ยสาน
118
ส่วนกรณที า่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ แมท้ ่านจะบวชและปฏบิ ัติธรรมมาได้ ๘ พรรษา
แล้วก็ตาม เคยพิจารณาซากศพอสภุ ะมาแล้วกต็ าม ทา่ นกย็ งั มภี ยั จากมาตุคาม ทำ� ให้เกิดความก�ำหนดั
แต่ด้วยอุบายภาวนาอันชาญฉลาดล้�ำเลิศของท่าน ด้วยการเอากระดูกช้างมาแขวนคอในขณะที่ท�ำ
ความเพียร ท�ำใหท้ ่านผา่ นภัยจากมาตคุ ามได้อีกครั้งหนง่ึ จนหลวงป่ขู าวผู้เป็นอาจารยข์ องทา่ นถงึ กบั
ช่ืนชมในอุบายวธิ ีภาวนาตอ่ สูข้ องทา่ น
อุบายเอากระดูกช้างมาแขวนคอเดินจงกรมและภาวนา
ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏฺโ ไดเ้ มตตาเทศน์เรอื่ งนี้ไวด้ งั นี้
“ทีนี้อยู่มา พวกญาติโยม แม่ออกหนุ่ม สีกาท้ังหลาย เขาก็ข้ึนไปเท่ียวเขา แล้วไปส่งเสบียง
อาหาร พ่ีสาวของเณรชลิต มหาชลิตนั่นเอง สาวภูไทก�ำลังข้ึนใหม่ เขาไปส่งอาหารทุกวันๆ วันหน่ึง
เขาก็ท�ำตาหวานใส่ ตามนั ไหลริกๆๆๆๆ มองดูทุกวนั ๆ กเ็ ลยเกดิ ความก�ำหนดั ในตาของเขาว่างามสวย
สาวคนนี้ เพราะสาวขน้ึ ใหม่เปน็ ธรรมดา แตเ่ ขาจะแสดงปฏกิ ิริยาอาการอยา่ งไรก็ไม่ทราบ
ตามวยั ของคนหนมุ่ แตต่ วั เองไปหมายในตาของเขา เมอื่ หมายเข้าไปหลายวันกเ็ กิดจิตก�ำหนดั
ยนิ ดีในสายตาของเขา ภาวนาเหน็ แตส่ ายตาของเขาอย่ใู นใจ วริ ัตๆิ ๆ อยอู่ ยา่ งน้ัน จิตมนั ไมล่ ง พจิ ารณา
กรรมฐานไม่เห็น แตต่ อนพจิ ารณากระดูกอกเห็น เม่ือสายตาสีกาสาวคนน้ันมาซาบซา่ อย่ใู นจิต ไมเ่ หน็
ซะเลย เห็นแตค่ วามงามของสายตาและรปู รา่ งของเขา อยใู่ นจิต อยใู่ นใจ เหน็ หลายวันจติ ไมส่ งบ เวลา
ภาวนานกึ ถงึ ภาพน้ันเลย
ทีนี้อยู่มามีโยมผู้ชาย ๒ คน มีโยมเหล็ก พ่อออกเหล็กกับพ่อออกนิล เวลาตอนเช้าข้ึนมา
มาก็มาสนทนากันไปบ้างเล็กน้อย และโยมสองคนพูดว่า เขามาฆ่าช้างตายอยู่ท่ีนั่น แล้วเขาเผาช้าง
ได้ถามเขาวา่ “เด๋ียวนีก้ ระดูกมนั ยังอยูห่ รอื ?”
“ยังอยคู่ รบั ” เขาบอกอย่างนั้น
“เออ ! ถ้าอยา่ งนัน้ ไปเอามาให้อาตมาบ้าง”
ในขณะนน้ั ท่านอาจารยเ์ พง็ อย่นู ่ัน อย่รู ่วมกัน แล้วท่านอาจารย์เพ็งวา่ “เออ ! ต้องการกระดูก
ช้าง จะเอากระดกู ขามาท�ำยา ส�ำหรับแกโ้ รคข้ีโม”้ ทา่ นวา่ อยา่ งนนั้ แล้วข้าพเจา้ กไ็ ดส้ งั่ โยมวา่ “ให้
เอากระดูกขาชา้ งมาใหน้ ะ สกั ท่อน สักขา” โยมกเ็ ลยไปกับทา่ นอาจารยเ์ พง็ ไม่ไกลจากถ�้ำพวงหา่ ง
ประมาณสักสามเสน้ เทา่ น้ันเอง
พอไปเขาก็แบกขากระดูกช้างมาเลย กระดูกแข้งมันท่อนหน่ึง ประมาณสักแค่ศอกนี่แหละ
ไม่ใหญ่ มาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ฟั่นฝ้ายนี่แหละ เกลียวฝ้ายใส่กันเป็นเชือกแล้วก็ผูกกระดูกช้างแล้ว
แขวนคอตนเอง แขวนอยู่อย่างนั้นแหละ โตงเตงๆ อยอู่ ย่างน้ัน แล้วกเ็ ดนิ จงกรมก็แขวน นง่ั ภาวนา
กแ็ ขวน แขวนคอ แลว้ กส็ อนมนั วา่
119
“เน้ือไม่ได้กิน หนังไม่ได้นั่ง กระดูกแขวนคออย่างนี้แหละ ถ้าเธอภาวนาไม่เห็นร่างกระดูก
ไม่เห็นกระดูกในตนของตนแล้ว เราจะไม่ปลด ไมแ่ ก้ ไมเ่ ปลอ้ื งออกให้ แขวนมันอยู่อยา่ งน้ี รจู้ กั ไหม ?
น่ีกองกระดูก กระดูกภายนอก กระดูกภายในก็เหมือนกัน เราก็เป็นสัตว์ตัวหนึ่ง” นี่เทศน์ให้มันฟัง
มันไม่สงบ ไปหมายแต่สายตาของเขาอย่างน้นั แลว้ ก็มีอุบายวา่ “ธรรมดา ควายตวั ไหนมนั ดอ้ื มันด้าน
มนั ไปหาไร่เขา ไปหาเขา้ ร้วั เข้าสวนเขา เขาต้องแขวนโคนแขวนไม้ ใส่ทรกรรมมนั อย่างน้ี”
แล้วก็แขวนกระดูกช้าง เดินจงกรมก็แขวน น่ังภาวนาก็แขวน อยู่อย่างน้ัน เว้นเสียแต่นอน
“ถา้ จติ ไม่สงบ ไมถ่ อนออกจากสายตาของเขา ไม่แกใ้ ห้” ให้โอวาท ทรมานมนั แล้วกบ็ างทีเคยี้ วหมาก
กินหมาก บ้วนน�้ำหมากลงไปถูกกระดูกช้าง “แดง” อย่างน้ันแหละ อยู่มาจิตก็เลยถอนจากสายตา
ของเขา ได้รับความสงบ จงึ แก้เอากระดกู ช้างออกจากคอของตน
ตอนเอากระดูกช้างแขวนคอ เดินจงกรม นั่งภาวนาน่ันแหละ วันหน่ึงท่านอาจารย์เพ็ง
เตชพโล ได้มาเหน็ ข้าพเจ้าเอากระดกู ชา้ งแขวนคอเดินจงกรม นัง่ ภาวนา ท่านกเ็ ลยเกดิ ความหัวเราะ
ก๊ากใหญ่เลย จะส�ำคัญว่าข้าพเจ้ามีจิตวิปลาสคลาดเคลื่อน หรือเป็นบ้าอย่างไรก็ไม่ทราบ พอรุ่งเช้า
ลงไปบณิ ฑบาต ท่านพระอาจารย์เพ็ง เตชพโล จึงไดไ้ ปกราบเรยี นทา่ นหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่
จ�ำพรรษาอยู่ตีนดอยภูเป็ด คือทห่ี วายสะนอยนนั่ เอง ว่า
“ครูบาจวน เอากระดกู ช้างแขวนคอเดินจงกรมและนัง่ ภาวนา แล้วกเ็ ค้ยี วหมาก บ้วนนำ�้ หมาก
ลงถกู กระดกู ชา้ งแดงม่าล่า (แดงจ้า) ครูบาจวนท�ำอยา่ งนน้ั เห็นจะเปน็ บ้าเสยี แล้ว วิปริตเสยี แล้ว จงึ ท�ำ
เชน่ นั้น” นท้ี า่ นพระอาจารย์เพง็ ไปเรยี นทา่ นหลวงปูข่ าว
ทา่ นหลวงปู่ขาวได้ฟังดงั นน้ั ท่านพิจารณาแล้วกต็ อบว่า “เฮย้ ! ไมใ่ ชค่ นเป็นบ้า ไม่ใชค่ นวิปริต
อนั นเ้ี ป็นอบุ ายของท่านต่างหาก ท่านมีเหตุจ�ำเปน็ ท่านจึงใช้อบุ ายอยา่ งนี้ ถ้าคนเป็นบา้ ไม่ท�ำอยา่ งนี้
น่ีเป็นอุบายส�ำหรับทรมานท่านต่างหาก คงจะเหตุใดเหตุหน่ึง เราจงค่อยฟังไป อย่าเพิ่งไปเข้าใจว่า
ท่านเป็นบ้าเลย” นี้ท่านหลวงปู่ขาวพูดกบั ท่านพระอาจารยเ์ พง็ เตชพโล
อยมู่ าเมือ่ จติ มันสงบ วางจากสายตาของเขา ไดร้ ับความสงบเป็นปกติ สบาย การภาวนาจติ ก็
สบาย ขา้ พเจา้ จึงได้เอากระดูกช้างออกจากคอ ไม่แขวนคอ แลว้ ภายหลังวนั ตอ่ ไป จึงไปกราบเรียน
ท่านหลวงปขู่ าว อนาลโย คือไปนมัสการท่าน ท่านก็ซักถามวา่
“ท่านจวน ท่านทำ� ไมเอากระดูกช้างแขวนคอเดินจงกรม น่งั ภาวนา เพราะเหตอุ ะไร ?”
ข้าพเจา้ กเ็ ลยเรยี นถวายท่านวา่
“เพราะเหตุวา่ ขณะนัน้ สีกาสาวหนมุ่ (สวย) ท่ีบ้านโพนสวาง เขาไปสง่ อาหารแทบทุกวัน แลว้
เขาแสดงสายตาของเขา ลิดลัดๆ หวาน เม่อื หลายวนั กห็ มายในสายตาของเขา เมอื่ ภาวนาลง จติ ก็
หมายอยูใ่ นสายตาของเขา ที่อยใู่ นจิต มันไมส่ งบ ฉะนั้น กระผมจึงหาอุบายเอากระดูกชา้ งมาแขวนคอ
120
เดนิ จงกรมและนงั่ ภาวนา เพ่อื ทรมานมนั แตก่ ่อนเพง่ กระดกู อกของตนเห็นชัด ทนี ้ีเม่อื คดิ ถึงสายตา
ของเขาแล้ว พิจารณากระดูกอกของตนไม่เห็นชัด จึงเอากระดูกช้างซึ่งเป็นกระดูกสัตว์เหมือนกัน
มาเป็นสักขีพยานแขวนคอภายนอก เพื่อน้อมเอากระดูกที่แขวนคอนั้น เข้าไปสู่กระดูกอกท่ีแขวน
คอภายในของตน ว่ากระดูกท่ีแขวนคออยู่ข้างนอกกับกระดูกท่ีแขวนคออยู่ข้างใน ก็เป็นกระดูกสัตว์
เหมอื นกนั ทำ� ไมทา่ นจึงไมเ่ หน็ ถา้ ทา่ นไมเ่ หน็ เรากไ็ มแ่ ก้ออกให้
นีแ่ หละ ทา่ นก็ไปหมายเอาสายตาของเขา โบราณทา่ นว่า “เนอ้ื ไมไ่ ด้กนิ หนงั ไม่ไดน้ ัง่ กระดูก
แขวนคอต่องแต่งๆ อย่างน้ี” และอุบายอีก กระผมก็สอน ได้อุบายสอนตนอีกว่า “อย่างนี้แหละ
ธรรมดาควายตัวไหนมนั ห้าว มันคะนอง มันด้อื มนั ด้าน มันไปหาชนเขา ไลเ่ ขา มนั ไปเขา้ รัว้ เขา้ สวนเขา
เขาต้องทรมานมนั เอาไม้ยาวๆ มาแขวนคอมนั เพอื่ ใหม้ นั ละพยศอันร้าย เมื่อมันละพยศอนั รา้ ยแลว้
เขาจึงเอาไมอ้ อกจากคอมนั ”
นไี้ ดเ้ รยี นถวายทา่ นหลวงปขู่ าวใหท้ ราบ ท่านหลวงปู่กเ็ ลยยอ้ นถามวา่
“เม่อื ทา่ นทำ� เช่นน้ี เปน็ ยงั ไงละ่ มันหายไหม ได้ผลไหม ?”
ก็เลยตอบท่านว่า “ไดผ้ ลครับ ได้ผลดี หายเลยครบั จติ สงบดีแล้ว ผมจงึ ปลดออก แกอ้ อกจาก
คอของตน” ดังนี้
แล้วท่านได้ฟังดังน้ัน ท่านก็หัวเราะ แล้วก็ชมเชยว่า “แหม ! อุบายอย่างน้ีชอบกลนัก
ท่านฉลาดคดิ ได้ เรายงั คดิ ไม่ได้เลย”
แล้วท่านก็เล่าเรื่องของพระอาจารย์เพ็งว่า “ท่านเพ็งมาบอกผมนี่แหละ ว่าท่านจวน ครูบา
จวนเป็นบ้า จิตวปิ รติ เอากระดูกช้างแขวนคอเดนิ จงกรมและนง่ั ภาวนา ผมก็ยังไมเ่ ชอ่ื นอี่ ุบายอย่างน้ี
ชอบกล” ท่านวา่ “ดนี กั อมื ! ได้ผลดี” ทา่ นกลบั ชมเชย ดังน”ี้
กรณีมาตุคามน้ัน นอกจากอุบายวิธีดังกล่าวมา ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ได้เมตตา
เทศนเ์ หตทุ ี่หา้ มจ�ำเริญเมตตาต่อมาตุคาม ไวด้ งั นี้
“อน่งึ อย่าจำ� เรญิ เมตตาไปเฉพาะมาตุคาม คือ หญงิ อย่าจ�ำเรญิ ไปในคนตาย ถ้าปรารภ
ซงึ่ เมตตามาตคุ ามแล้ว คือหญิงแล้ว แลจำ� เริญเมตตาไปในไปโดยเฉพาะมาตคุ าม ราคะก็จะมาเกิด
ประดุจบุตรแห่งอ�ำมาตย์ผ้หู นง่ึ มหาเถระผู้เปน็ อาจารยบ์ อกว่า ใหจ้ �ำเรญิ เมตตาไปในบุคคลทร่ี ัก และ
บุตรอ�ำมาตย์นั้นมีภรรยาเป็นท่ีรัก คือบุตรอ�ำมาตย์น้ันมีภรรยาเป็นที่รัก ก็จ�ำเริญซึ่งเมตตาไปเฉพาะ
ต่อภรรยา คือเมียของตน เม่ือเจริญไปดังน้ัน จิตก็มืดตุ้มไปด้วยราคะด�ำฤษณาอันบังเกิดขึ้นและ
บุตรอำ� มาตย์นน้ั จะไปหาภรรยา คือเมยี แห่งตน บ่มอิ าจจะก�ำหนดซง่ึ ประตูได้ ก็กระท�ำซงึ่ ... ยทุ ธ คอื
รบกับฝาส้นิ ราตรี สนิ้ คืนยันร่งุ บ่มเิ ป็นอนั จ�ำเรญิ ซ่งึ เมตตากรรมฐานได้ เหตุดังน้นั จึงหา้ มมิใหจ้ �ำเรญิ
ซึ่งเมตตาไปในมาตคุ าม คอื หญิงโดยสว่ นอันเฉพาะ”
121
การพิจารณาอสุภกรรมฐานส�ำคัญมาก
ท่านพระอาจารยจ์ วน กุลเชฏโฺ ท่านเป็นครูบาอาจารยพ์ ระศษิ ย์ของทา่ นพระอาจารย์มั่น
ภูริทตฺตมหาเถร อีกองค์หน่ึงท่ีมีความช�ำนาญเชี่ยวชาญในการพิจารณาอสุภกรรมฐานเป็นอย่างมาก
โดยท่านได้ฝึกพิจารณาซากศพอสุภกรรมฐานมาตั้งแต่บวชพรรษาแรก อุบายวิธีพิจารณาอสุภะของ
ทา่ นกไ็ ดผ้ ลดีและไมเ่ หมอื นใคร และท่านได้เทศน์เรื่องอสุภกรรมฐานได้อย่างละเอียดคล่องแคลว่ ซ่งึ ใน
ภาคปฏิบตั ิ เรอ่ื งการพจิ ารณาอสุภกรรมฐานสำ� คญั มาก โดยองค์หลวงตาพระมหาบัว าณสมฺปนฺโน
ไดเ้ มตตาเทศน์เรอ่ื งนีไ้ ว้ดงั น้ี
“น่ีล่ะเร่ืองอสุภะส�ำคัญมากนะ ขอให้ท่านท้ังหลายใช้เรื่องอสุภะอสุภังให้มาก กามราคะ
อยจู่ ดุ นนี้ ะ ตอ้ งใชอ้ นั น้ใี หม้ าก กามราคะน้ีจะค่อยลดลงๆ พอลืมหูลืมตาได้ ถึงมันยงั ไมข่ าดกล็ ืมหู
ลมื ตาได้ จนกระทัง่ ถึงจดุ มนั ขาดมันก็รเู้ อง ให้เอาอันนี้หนัก จากน้ันไปก็ก้าวเขา้ สสู่ ติปญั ญาอัตโนมตั ิ
จากสตปิ ญั ญาอัตโนมัติแลว้ มหาสติมหาปัญญาเชอื่ มโยงถงึ กนั อนั น้ไี หลไปเลย น่ลี ่ะภาคปฏิบตั ิ... ”
จิตท่ีขาดจากอสุภะอสุภังในฐานเบ้ืองต้นน้ีเรียบร้อยแล้ว มันจะเป็นส�ำลีหมุนข้ึนเรื่อย ให้ลง
ไมม่ ี เพราะฉะนน้ั พระอนาคามที ่านจงึ ไมก่ ลบั มาเกิดอีก มันบอกชัดๆ อยู่ในหัวใจ มีแต่หมุนขึน้ เรอื่ ยๆ
จนกระทั่งท่ีสุดฟาดอวิชชาขาดสะบั้นลงไปนี้โลกจ้าไปเลย นี่ล่ะภาคปฏิบัติ ท่านทั้งหลายอย่าไปหา
มรรคผลนิพพานทีไ่ หนนะ ใหจ้ ำ� ให้ดี ธรรมและวินยั ท่ีเราปฏบิ ตั ิอยู่นี้แลคอื ศาสดาองคเ์ อกคอยชแ้ี นะ
ทางเราอยู่เสมอ อย่าให้หา่ งจากนี้นะ เรอ่ื งธรรมของเราทไ่ี ม่ช�ำนิช�ำนาญตรงไหน เอาใหด้ ี เชน่ อยา่ ง
พจิ ารณาฝกึ ซอ้ มอสภุ ะอสภุ งั เพราะกเิ ลสตณั หากามกเิ ลสนห้ี นกั หนว่ งมากทเี ดยี วนะ แหม ! ไมม่ อี ะไร
ทีจ่ ะกดจะถ่วงมากย่งิ กว่ากามกิเลสราคะตณั หานะ กดถ่วงมาก กลอ่ มมากด้วยนะ สตั วท์ ั้งหลายน้ี
ติดกนั งอมไปเลยไม่มวี นั ฟื้นคอื ตัวนแี้ หละ มันกดมนั ถว่ ง เพลนิ ด้วย ความทกุ ขก์ ็เตม็ อยใู่ นอันน้ี
ทนี ี้เวลาพิจารณานี้เบาเขา้ ๆ เรือ่ งความทกุ ขค์ วามกดถว่ งน้คี อ่ ยเบาไป ฟาดกามกิเลสขาดสะบ้ัน
ลงไปแลว้ ความกดถว่ งไม่มี มีแต่ดีดขนึ้ ขา้ งหน้าเร่ือย ดีดสูงข้นึ ไปเรื่อยๆ น่ที ว่ี า่ ไมก่ ลบั มาเกิดอกี ก็คอื
กิเลสตัวนเ้ี องพาให้เกิดให้ตาย กดถ่วงให้เกดิ ภพนน้ั ภพนคี้ อื กามกิเลส พอตวั นขี้ าดสะบัน้ ไปจากใจแลว้
จิตนเี้ หมอื นสำ� ลขี น้ึ ไปเร่ือยๆ... ”
นิมิตของท่านพระอาจารย์จวนในพรรษาท่ี ๘
ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโ ท่านเป็นอีกองค์หน่ึงท่ีมีนิมิตภาวนาแปลกๆ เช่นเดียวกับ
ทา่ นพระอาจารย์มนั่ ภรู ิทตฺโต โดยในพรรษาท่ี ๘ ขณะทท่ี า่ นจ�ำพรรษาทีถ่ ้�ำพวง ท่านมีนิมติ ภาวนา
แปลกๆ เกดิ ข้นึ มากมาย โดยท่านพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏฺโ ได้เมตตาเทศน์เรอ่ื งนี้ไว้ดังนี้
“ในขณะที่จ�ำพรรษาอยู่ถ�้ำพวงน้ี ชอบมีนิมิตแปลกๆ และจะเล่าให้ฟังเพื่อประวัติน้ีสมบูรณ์
และเพ่อื ผ้ฟู ังถอื เป็นคตติ ่อไป ขณะท่ีทำ� ความเพียรภาวนาอย่ถู ้�ำพวงนัน้ บางวนั จิตมนั สงบ มันรวมลง
122
บางครั้งเหน็ ภาพรูปนิมิตของโยมมารดาท่ีมรณภาพไปแล้วก็มี บางคร้ังเม่ือจติ มันสงบ คือมนั จะรวมลง
ก่อนมันจะรวม แต่ยังไม่ขาดจากอารมณ์ อยู่ในระหว่างที่จะรวมแหล่ไม่รวมแหล่ บางทีได้ยินเสียง
เขาร�ำ เขาร้อง ไดจ้ �ำกลอนรำ� ของเขาวา่ “โอ้ละหนอ… (เออื้ น)” วา่ ซั่น “หวายสะนอย กะแมน่ หนอง
ดบี ู๊ก” น่เี ลยจ�ำได้ อันทจ่ี ริงทีห่ วายสะนอยเปน็ แร่ดบี กุ อยนู่ ่นั เอง และบางครง้ั ไดย้ นิ เสยี งแตรเสียงสงั ข์
ท่ีเป็นเสียงทพิ ย์ ในขณะที่จิตรวมแหล่ไม่รวมแหล่นนั้ เอง อยใู่ นระหวา่ งก่งึ กลางการรวมและการไม่รวม
ทนี ขี้ า้ พเจา้ ก็ก�ำหนดฟงั เสียงน้ัน และเพลิดเพลนิ ตามเสยี งนัน้ เพราะเสยี งนั้นเพราะ สนกุ จริงๆ
แล้วจิตก็ถอนจากการรวม เม่ือจิตถอนจากการรวม ก็มีสติตามเสียงนั้นอยู่ ว่าจะเป็นเสียงอะไรแน่
พอจิตถอนมาอยู่โดยธรรมดาแล้ว ที่ไหนได้ มันเป็นเสียงน�้ำที่มันตกจากหิน แล้วก็เสียงลมพัดใบไม้
มนั กระทบกนั ต่างหาก น่ีแหละ เลยมาได้อบุ ายวา่ “ออ้ ! เมอ่ื จติ มนั ละเอียดลงไป ถ้าเราไม่มสี ติ กระทบ
เสยี งอะไร เสยี งนั้นก็เปน็ เสียงทีว่ ิจิตรพสิ ดารข้นึ ไป เลยมาได้คติตอนน้ี” น่คี ือภาคนิมิต
ระยะต่อมาไดเ้ กิดนมิ ิตอกี ในขณะนัน้ ปรากฏว่าขา้ พเจา้ อยใู่ นกฏุ เิ ล็กๆ หลงั หนง่ึ แล้วในกฏุ นิ ัน้
มหี มอ้ อัฐิ คือ กระดูก ข้าพเจา้ เลยเขา้ ไปน่ังเพ่งภาวนาอัฐินัน้ อยู่ ในทันใดนั้น มีเดก็ คนหนงึ่ ถอื ดาบคม
เลือ่ ม (เงา) ในคมดาบนัน้ มีสนิมกนิ ไปทวั่ เด็กคนน้ันจะมาท�ำอันตรายข้าพเจา้ แล้วเอาดาบนัน้ แทงแหย่
ขน้ึ ตามชอ่ งของกฏุ หิ วงั จะให้ถูกขา้ พเจ้า แทงเทา่ ไรกไ็ มถ่ กู แทงไมถ่ ูกแลว้ เขาเลยบอกว่า “จะไปบอก
พี่ชายของเขามาฆา่ ใหต้ าย” เขาเลยกลับไปบอกพชี่ ายของเขามาฆ่าข้าพเจา้ ใหต้ าย ทอ่ี ย่ใู นกุฏิ
ทีนี้พี่ชายของเขาก็มา ถือดาบเล่มน้ันมา พอดีมาถึงข้าพเจ้า เขาจะประหารข้าพเจ้าให้ตาย
จะตดั คอเลย ข้าพเจา้ เลยถามเขาวา่ “ข้าพเจ้ามคี วามผิดอะไรจึงมาประหาร ? ขา้ พเจา้ ไม่มีความผิด
อะไรเลย ไมไ่ ดท้ ำ� อะไร” วา่ อย่างไรเขาก็ไม่เชอื่ เขาเลยมาจับเอาผมที่บนศีรษะของข้าพเจ้า แลว้ จะเอา
ดาบแลค่ อขา้ พเจา้ ให้ขาด ข้าพเจ้าก็เลยประกาศว่า “เอา้ ! ถ้าข้าพเจ้ามีความผิด ฆา่ เลย ถา้ ขา้ พเจ้า
ไม่มีความผดิ ฆ่าอยา่ งไรกไ็ ม่ตาย ดาบนีจ้ ะมาแล่ปาดคอขา้ พเจา้ กไ็ ม่เข้า ถ้าผูถ้ ือพระรตั นตรยั หรือผู้ถงึ
พระรัตนตรยั แลว้ ฆา่ ไมต่ าย” นี้ประกาศเขา
ต่อแต่น้ันเขาก็จับผมข้าพเจ้า แล้วก็เอาดาบมาแล่คอข้าพเจ้า ปาดคอข้าพเจ้า หวังจะให้ขาด
แลไ่ ปเท่าไรๆ คมดาบก็ไม่เขา้ ไม่เข้า คอขา้ พเจ้าไมบ่ าดแมแ้ ต่นดิ หน่อย ทำ� เท่าไรๆ มนั ก็ไม่เข้า เม่ือ
หมดความสามารถของเขา เขากเ็ ลยวางดาบ วางดาบเขาก็ยกมือไหว้ เขาประกาศวา่ “ตอ่ แต่นไ้ี ปขอ
เปน็ เพอื่ นเป็นมิตรกัน ไมอ่ จิ ฉาพยาบาทกนั เลย” น่ใี นนิมิตภาพน้นั จะเปน็ เหตุบงั เอิญด้วยประการใด
กไ็ มท่ ราบ มนั เปน็ อยา่ งนนั้
อีกมาสมัยหน่ึงน่ันแหละ อยู่ถ�้ำพวงนั่นแหละ สมัยนั้นข้าพเจ้านั่งภาวนา ก่อนสว่าง อยู่ใน
กฏุ ิ ได้เหน็ สนุ ัขตวั หนึ่งมาน่ังเฝา้ ขา้ พเจ้าเลยพจิ ารณาไป พอสวา่ งก็ไปบณิ ฑบาต บณิ ฑบาตกถ็ กู สุนัข
ตัวที่น่ังเฝ้ากัด แต่มันกัดไม่เข้า ต่อมาสุนัขนั้นอีก ๓ วันก็เลยตาย นี่ตามข่าวชาวบ้านเขาว่า “สุนัข
ท่ีกัดครูบาจวนตายเลย” จะเป็นจริงหรือไม่ก็ไม่ทราบ เพราะเหตุอะไร เราก็ไม่ได้เจตนาให้เขาตาย
เขาตายเอง นี้ในพรรษาที่ ๘ จ�ำพรรษาทีถ่ ำ้� พวง
123
ในพรรษาท่ี ๘ ระหวา่ งกลางวนั เมื่อฉนั จังหนั เสร็จแล้วก็ท�ำความพากความเพียร มีเดินจงกรม
พอประมาณแลว้ ถงึ เวลาพักผ่อนก็เขา้ พักผอ่ น นอนกลางวัน พอนอนไประหว่างหลับบ้าง ไมห่ ลับบา้ ง
อยู่ในครึง่ กลางระหวา่ งหลบั และไม่หลับ ปรากฏว่ายังลืมตาอยู่ แตจ่ ติ สงบ จิตนนั้ สงบนงิ่ ไมฟ่ ุ้งซ่านอะไร
ปรากฏว่าตนเองลืมตา
ในขณะน้นั เอง ปรากฏภาพนิมิต มียักษ์ใหญต่ ัวหนง่ึ เขา้ มา มาจะขอกินดี คอื กนิ ดขี องขา้ พเจ้า
แกว่าแกอยากกินดีของขา้ พเจา้ ขา้ พเจา้ นอนอยู่ แกกเ็ ลยมากดมอื ไว้ กดขาไว้ ข้าพเจา้ กเ็ ลยประกาศ
ให้ยักษ์ทราบวา่ “ดีของขา้ พเจ้าไม่มี” ยกั ษ์กเ็ ลยบอกว่า “ต้องมสี ิ คนไมม่ ีดี มนั ไม่มหี รอก มนั ต้องมีดี
ทกุ คน” คอื มีดีทกุ คนนั่นเอง
พอว่าอย่างน้นั ยกั ษ์กเ็ อามดี คว้านทอ้ งและควา้ นอกของขา้ พเจ้าออก ค้นควา้ หาดี หาดีกไ็ มเ่ หน็
คน้ คว้าเท่าไหรๆ่ ก็ไม่เหน็ นป้ี รากฏในจิต เมื่อยักษ์คน้ คว้าหาดไี ม่เหน็ แกก็เลยออกปากว่า “แหม !
พระองค์นี้ไม่มีดีเว้ย ดีพระองค์นี้ไม่มี” แล้วแกก็ประกบให้ดีเช่นเดิม จากนั้นข้าพเจ้าก็ตื่นจากนิมิต
นั้นแล้วมาพิจารณาเร่ืองราวท่ีเป็นว่า ยักษ์มาหาดีของข้าพเจ้า ได้เอามีดแหวะและควักท้องออก
ควกั อกออก ซอกค้นหาดี หาดกี ไ็ ม่เห็น ตกลงก็เลยหนี ไม่ได้กนิ ดขี องข้าพเจ้า
มาพิจารณาเร่อื งนมิ ติ ท่ีเป็น ค�ำว่าดีมี ๒ ชนิดคนเรา คอื ดีมฝี กั อยา่ งหนงึ่ ดไี มม่ ฝี ักอย่างหนงึ่
ดีไมม่ ฝี ักนเ้ี ป็นดีที่ซาบซา่ นทวั่ ไป สว่ นดมี ีฝกั น้ีอาจจะอยใู่ นจุดใดจดุ หนึง่ ของระหวา่ งตับ ตามตำ� ราท่าน
กลา่ ววา่ พวกดที ่มี ีฝกั นช้ี อบจะเป็นโรคน่วิ กนั โดยมาก หรือโรคเบาหวานนี้ ส่วนพวกดีไมม่ ฝี ัก ที่มดี ี
ซาบซ่านอยู่ท่วั สรรพางคร์ า่ งกายนนั้ ไมใ่ ครเ่ ป็นโรคนิว่ พวกนี้ หรอื อาจจะเปน็ อยา่ งนก้ี ไ็ ด้ หรืออยา่ งไร
ข้าพเจา้ กไ็ ม่ทราบ
หรืออีกอยา่ งหนึ่งคำ� วา่ “ดี” น้ี มีความหมายวา่ มาค้นคว้าหาดวงจิตดวงวิญญาณของข้าพเจ้าก็
อาจเป็นได้ แต่วา่ ดวงจิตดวงวญิ ญาณของเราในขณะน้ันมันสงบเยอื กเย็น ยักษ์ค้นคว้าหาไมเ่ ห็น เพราะ
ยักษม์ ดี วงจติ ดวงวิญญาณอนั หยาบชา้ ไม่ละเอยี ด อยา่ งน้ีกอ็ าจเปน็ ได้ จึงไมเ่ ห็นกนั หรืออย่างไร
ขอท่านผู้ฟังและผู้อ่านท้ังหลาย โปรดน�ำไปพิจารณาเอาเอง ข้าพเจ้าไม่ใช่หมอ ไม่ใช่แพทย์
นี้พรรษาที่ ๘”
ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ศึกษาธรรมกับท่านพระอาจารย์หล้า ขนฺติโก
บรรดาพระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลายล้วนผ่านธุดงควัตร ซึ่งเป็นหัวใจของนักปฏิบัติผู้จะเข้าถึง
อรยิ ธรรมข้ันตา่ งๆ นบั แตข่ ัน้ พระโสดาบันถึงขนั้ พระอรหนั ต์ และถือหลักธรรมต่างๆ ขององคพ์ ระบรม–
ศาสดาอยา่ งเคร่งครดั เช่น สลั เลขธรรม ๑๐ ประการ เปน็ ต้น ดงั นน้ั ทา่ นพำ� นกั อยู่ ณ สถานท่ีใด
ก็ตาม จงึ ลว้ นเป็นสถานทเ่ี ปลา่ เปลี่ยววิเวกเงียบสงัด อันเป็นไปตามอธั ยาศยั ของบรรดาผ้ทู ี่หลดุ พ้นแล้ว
และ ณ สถานทีน่ น้ั ย่อมเป็นธรรมสถานมงคล เปน็ อนสุ รณใ์ ห้ระลกึ ถึง ทงั้ นี้การทีท่ ่านอยู่ ณ สถานที่
124
เช่นน้นั กเ็ พ่ือครองธาตขุ ันธ์ ครองบรมสขุ ทา่ นอยู่อยา่ งผาสกุ เย็นใจ มักนอ้ ยสันโดษ เรยี บงา่ ย โดยมี
วิหารธรรมเปน็ เคร่ืองอยู่ เพอื่ เผยแผ่พทุ ธธรรม เพือ่ สงเคราะหโ์ ลก เป็นเนอ้ื นาบุญของโลก และ เพือ่
ใหค้ วามร่มเยน็ แก่บรรดาเหล่าทวยเทพ พทุ ธบรษิ ทั และสรรพสตั ว์ท้ังหลาย ไม่วา่ ทา่ นจะหลบหลกี
ปลีกตวั ซ่อนเร้นผูค้ นไปอยใู่ นทีล่ มุ่ ทดี่ อน ปา่ ชา้ ปา่ รกชฏั ป่าเขา ดอยสงู หรอื อยตู่ ามถ�้ำเงื้อมผา
เหวลึก อันเป็นสถานท่ีซ่ึงการคมนาคมเข้าไม่ถึง แม้การเดินทางเข้าถึงท่านผู้ทรงคุณธรรมเช่นน้ัน
จะยากลำ� บากห่างไกลเพียงไรกต็ าม แตส่ ำ� หรบั ผูม้ จี ิตศรัทธาเคารพเลอื่ มใสแล้วไมเ่ ปน็ อุปสรรคเลย
ดังเช่นกรณีของ ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล และ ท่านพระอาจารย์ม่ัน ภูริทตฺโต
พระปรมาจารยใ์ หญฝ่ า่ ยวปิ สั สนากรรมฐาน ทย่ี ดึ มนั่ ขอ้ วตั รปฏปิ ทาพระธดุ งคกรรมฐานขององคส์ มเดจ็ –
พระสมั มาสัมพุทธเจ้าอย่างเคารพเครง่ ครดั โดยเฉพาะการถือธุดงควัตรข้ออยปู่ ่าเปน็ วตั ร ท่านทงั้ สอง
ได้ถืออย่างเคร่งครดั ตลอดชวี ิตตราบจนหมดลมหายใจ
ดว้ ยพ่อแมค่ รูอาจารยท์ ั้งสองมคี ณุ ธรรมสูงสดุ และมกี ิตตศิ พั ท์ กติ ติคณุ ชือ่ เสยี งอันโดง่ ดงั
จนเป็นที่เล่ืองลือไปท่ัวสังฆมณฑล จึงย่อมมีผู้มีจิตศรัทธาต่างรุมแย่งกันปวารณาน้อมถวายในปัจจัย
ทัง้ ๔ อย่างเลอื กสรรวา่ ดที สี่ ดุ แมว้ า่ ราคาแพง ก็ยอมท่มุ เทถวาย เช่น เสนาสนะอนั หรหู รา อาหาร
อนั เลศิ รส ผ้าไตรจีวรอนั งดงาม ยารกั ษาโรคอนั ดีเลศิ แตท่ ่านทง้ั สองกลบั ใช้ชีวติ สมณเพศอย่างสมถะ
อยา่ งมักนอ้ ยสนั โดษ ประหยัด เรยี บงา่ ย จงึ ใช้ชีวติ อย่ทู า่ มกลางป่าดงพงไพร ยินดีอยอู่ ยา่ งยากล�ำบาก
แรน้ แคน้ อยู่อยา่ งคนไรค้ ่าไมม่ ีราคา แตห่ ัวใจของทา่ นและคณุ ธรรมในใจท่านน้ันยิง่ ใหญ่ไพศาลมาก
จึงมีพระศิษย์ให้ความเคารพอย่างสูงสุดและได้ออกเดินธุดงค์ติดตามท่านท้ังสอง เพื่อขอเข้ารับการ
ศึกษาอบรมธรรมปฏิบัติกันอย่างไม่ขาดสาย และมีศรัทธาญาติโยมต่างก็พากันไปกราบไปท�ำบุญกัน
มาก สมกับที่ท่านทั้งสองเป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ผู้บุกเบิกฟื้นฟูธุดงควัตรในคร้ังยุคก่ึงพุทธกาล และ
สมกบั เป็นคติตวั อยา่ งอนั เลิศเลอลำ้� คา่ และหาไดย้ ากยิ่ง ดงั นัน้ พระศิษยใ์ นสายนี้ทีเ่ ปน็ ศาสนทายาท
ของท่าน เช่น หลวงปูช่ อบ านสโม หลวงปขู่ าว อนาลโย หลวงปูฝ่ ้นั อาจาโร หลวงปพู่ รหม
จิรปุญโฺ ฯลฯ จึงได้กา้ วด�ำเนินตามรอย เพ่ือรกั ษาขอ้ วัตรปฏิปทา รักษาธุดงควัตรอย่างเครง่ ครดั
กรณีของท่านพระอาจารย์หล้า ขนฺติโก ก็เช่นเดียวกัน ท่านเป็นพระศิษย์อาวุโสองค์ส�ำคัญ
องคห์ นง่ึ ประเภท “เพชรน้�ำหนึง่ ” ของท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสโี ล และ ทา่ นพระอาจารย์มน่ั
ภูริทตฺโต ท่านด�ำรงชีวิตสมณเพศครองสมณธรรมอยู่ในป่าเขาตามรอยพ่อแม่ครูอาจารย์ท้ังสองอย่าง
เคารพเคร่งครัด ด้วยคุณธรรมของทา่ น ท่านจึงมีพระธุดงคกรรมฐานศิษยส์ ายทา่ นพระอาจารยเ์ สาร์
ท่านพระอาจารย์มัน่ ไปขออยูศ่ กึ ษาอบรมธรรมกบั ท่านเปน็ ระยะๆ
โดยช่วงต้นปี พ.ศ. ๒๔๙๓ องค์หลวงตาพระมหาบัว าณสมฺปนฺโน กอ่ นการบรรลุธรรม
ขนั้ สูงสุดที่วัดดอยธรรมเจดยี ์ ทา่ นกไ็ ด้ไปศึกษาอบรมธรรมะกับท่านพระอาจารย์หล้า ขนฺติโก อย่รู าว
ครึง่ เดือน ซง่ึ องค์หลวงตาท่านไดก้ ล่าวชื่นชมคุณธรรมของท่านพระอาจารยห์ ล้าเป็นอยา่ งมาก และ
ตอ่ มาในปเี ดยี วกนั เมอ่ื ออกพรรษาแลว้ ทา่ นพระอาจารยจ์ วน กลุ เชฏโฺ ไดเ้ ดนิ ธดุ งคไ์ ปทางอำ� เภอผอื