The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ธัญญาดล อุปชิตกุล, 2020-05-06 02:43:47

แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2

๖๔๘

แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ ๑๑.๕

กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๒

หนว่ ยท่ี ๑๑ เยน็ ศิระเพราะพระบริบาล เวลา ๕ ช่ัวโมง

เรือ่ ง รเู้ ฟ่ืองเร่ืองคาภาษาบาลี - สนั สกฤต เวลา ๑ ช่วั โมง

ใชส้ อนวนั ท่ี ....................................................................................................................

มาตรฐานท่ี ท ๔.๑ เขา้ ใจธรรมชาตขิ องภาษาและหลักภาษาไทย การเปลีย่ นแปลงของภาษา
มาตรฐานท่ี ท ๕.๑ และพลงั ของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษาและรักษาภาษาไทยไว้เปน็ สมบัติ
เขา้ ใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอยา่ งเหน็ คุณคา่ และนามา
ประยกุ ตใ์ ช้ในชีวิตจรงิ

ตวั ชี้วัด
ท ๔.๑ ม.๒/๑ สรา้ งคาในภาษาไทย
ท ๔.๑ ม.๒/๕ รวบรวม และอธิบายความหมายของคาภาษาตา่ งประเทศทีใ่ ชใ้ นภาษาไทย

สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง

ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง/ทอ้ งถิ่น
ท ๔.๑ ม.๒/๑ สรา้ งคา
ในภาษาไทย ความรู้ (K) ทักษะ/กระบวนการ (P) คุณลกั ษณะ (A)

ท ๕.๑ ม.๒/๔ สรุป -หลกั การสร้าง คาซา้ - ศกึ ษาเร่ือง หลักการสรา้ ง - รู้ เข้าใจการสร้าง
ความรแู้ ละขอ้ คดิ จากการ
อ่านไปประยกุ ตใ์ ช้ คาซอ้ น คาซ้า คาซ้อนคาสมาสและ คาสมาสและคาสนธิ
ในชีวติ จรงิ
-หลกั การสรา้ ง สนธิ - จาแนกคาสมาสและ

คาสมาสและคาสนธิ - ฝึกหลกั การสร้างคาคาซ้า คาสนธิ

คาซ้อนสมาสและคาสนธิ ไดถ้ ูกต้อง

- ฝึกวิเคราะห์การสร้างคาซา้

คาซ้อนคาสมาสและคาสนธิ

การสรปุ ความจาก ฝึกสรปุ ความจากเรื่องท่ีอ่าน - รกั การอ่าน

การอ่าน - ใฝเ่ รียนรู้

- รกั การแสวงหาความรู้

- นาความรทู้ ีไ่ ดจ้ าก

การอ่านไปประยุกต์ใช้

ในชวี ติ จริง

๖๔๙

สาระสาคญั
พจนานกุ รม เปน็ หนังสือทชี่ ่วยการอา่ น การเขียน และการคน้ หาความหมายให้ถูกต้องและรวดเรว็

สาระการเรียนรู้
- หลกั การใช้พจนานุกรม : ความหมาย
- การเรยี งลาดับคา การบอกเสยี งอา่ น การบอกความหมายอักษรย่อ อักษรย่อหนา้ บทนิยาม

กระบวนการจดั การเรียนรู้
๑. ครสู นทนาทบทวนบทเรียนที่ผา่ นมา จากนนั้ ครูนาพจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.

๒๕๒๕ กบั ฉบบั อืน่ ๆ มาให้นักเรียนดูแลว้ สนทนากบั นักเรยี น เร่อื งการใช้และประโยชนข์ องพจนานกุ รม
๒. ครูแบ่งนกั เรียนออกเป็นกลมุ่ กลมุ่ ละ ๓ คน(หรอื ตามความเหมาะสม) แล้วแจกบตั ร

ความรู้ เรื่อง “ การใชพ้ จนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน ” พรอ้ มพจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน
พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้แตล่ ะกลุ่มศึกษาถึงเร่ืองการใชใ้ ห้เขา้ ใจ

๓ . เม่ือทุกกลุ่มเข้าใจถึงการใช้พจนานุกรมดีแล้ว ให้นักเรียนทดลองเปิดดูความหมายของชื่อ
หรอื นามสกุลของตนเองและเพอ่ื นในกล่มุ เพอื่ เปน็ การทดสอบความเข้าใจ ในการหาความหมายของคา ครู
อาจตรวจสอบดู ความเขา้ ใจของนกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ไดด้ ว้ ยการซกั ถาม

๔. นกั เรยี นหาความหมายของคาศัพท์ท่ีนกั เรียนยงั ไม่เข้าใจ พจนานกุ รม ฉบบั
ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ จากนัน้ ให้นาคามาเรียงลาดบั ใหถ้ ูกต้องตามหลักการเรียงคาในพจนานุกรม
โดยนามาเรยี งใหเ้ พ่ือนกล่มุ อ่ืน ๆ ดูทีห่ นา้ ชน้ั และให้เพ่ือน ๆ ช่วยกนั ตรวจสอบความถูกต้อง แล้วจดั ทา
เป็นรายงานส่งอีกคร้งั หนึ่ง

๕. ให้นักเรียนทากิจกรรมบตั รกิจกรรมการเรียนรู้
๖. ครูและนกั เรยี นช่วยกันสรปุ บทเรียน รวมทั้งสรปุ ความร้ทู ่ีไดจ้ ากบทเรยี นและการนาไปใช้ใน
ชวี ิตประจาวัน

๖๕๐

ส่อื / แหล่งเรียนรู้

ลาดบั ที่ รายการสือ่ กิจกรรมทใ่ี ช้ แหลง่ ทไี่ ดม้ า
๑ บตั รความรู้ เพิ่มเติมความชดั เจนในเนื้อหา ครูจดั เตรยี ม
๒ นักเรยี นทาบตั รกิจกรรม ครูจัดทา
๓ บัตรกจิ กรรมการเรียนรู้ นกั เรยี นดูภาพและฝกึ อ่าน ครจู ัดหา

๔ หนังสือเรียน ชดุ วรรณคดี ตรวจสอบ ครจู ดั ทา
วิจกั ษ์ ชนั้ ม. ๒
เฉลยบตั รกิจกรรมการเรียนรู้

๕ แบบประเมนิ การสงั เกต บันทึกการสงั เกตพฤติกรรม ครจู ัดทา
พฤติกรรม เพมิ่ เติมความชัดเจนในเนื้อหา ครจู ดั เตรยี ม

๖ พจนานุกรม

การวดั ผลและประเมนิ ผล

กิจกรรม-พฤตกิ รรมท่ี เครื่องมือที่ใชใ้ น วิธีการประเมนิ เกณฑ์การประเมิน
ประเมนิ การประเมนิ
๑. นกั เรยี นนาเสนอ
แบบประเมินรายกลุ่ม สงั เกตรายกลมุ่ รอ้ ยละ ๗๐ ขึน้ ไป
๒. นักเรียนทาบัตรกิจกรรม
การเรียนรู้ แบบประเมินการสังเกต ตรวจงานรายบคุ คล ร้อยละ ๗๐ ขึน้ ไป
พฤติกรรม และแบบ
๓. ประเมนิ พฤติกรรมและ
ผลงานระหว่างเรียน ประเมินผลงาน

แบบประเมินพฤตกิ รรมและ ตรวจงานรายกลุ่ม ร้อยละ ๗๐ ข้นึ ไป
ผลงานระหวา่ งเรยี น

กิจกรรมเสนอแนะ
………………………………………………………………………………………………….………………………………………………………
………………………………………….………………………………………………………………………………………………….……………
………………………………………………………………………………….………………………………………………………………………

๖๕๑

บนั ทึกผลหลังการจัดการเรียนรู้
๑. ผลการจดั การเรียนร้ตู ามผลการเรยี นรู้ท่คี าดหวัง
นักเรียนทง้ั หมด ....................คน
– ผ่านเกณฑ์การประเมนิ ระดับดี ............ คน คิดเปน็ ร้อยละ ...............
– ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ ระดับปานกลาง – คน คดิ เปน็ ร้อยละ .................
– ไม่ผา่ นเกณฑ์การประเมินระดบั ปรบั ปรุง – คน คิดเป็นร้อยละ ...............
๒. ผลการประเมนิ พฤตกิ รรมระหว่างเรยี น
............................................................................................................................. ...........................

..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................

๓. ปญั หาและอปุ สรรคระหว่างการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน
............................................................................................................................. ...........................
.......................................................................................... ....................................................................................
๔. การปรบั ปรงุ แก้ไข
............................................................................................................................. ..............
...................................................................................................................................... ........................................
๕. ขอ้ คิดเหน็ และข้อเสนอแนะเพม่ิ เติม
........................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................

ลงชอ่ื ..........................................................ผูส้ อน
(นางสาวธญั ญาดล อุปชิตกลุ )
ครู วทิ ยฐานะครชู านาญการพิเศษ

๖๕๒

ความเหน็ ของผู้อานวยการโรงเรยี น
............................................................................................................................. ...........................

........................................................................................................ ......................................................................
............................................................................................................................. .................................................
......................................................................................................................................... .....................................
.............................................................................................. ................................................................................
............................................................................................................................. .................................................

ลงชื่อ.................................................ผู้ตรวจสอบ
( ................................................. )

ผู้อานวยการโรงเรยี นโคกโพธิ์ไชยศึกษา

๖๕๓

เรือ่ ง “ การใช้พจนานกุ รม ”

การใชพ้ จนานุกรม

๑. พจนานกุ รม มาจากคาว่า “ พจน ” แปลว่า คา คาพูด ถอ้ ยคา “ อนกุ รม ” แปลว่า

ลาดับ

๒. พจนานุกรม คอื หนงั สือสาหรับค้นความหมายของคาท่เี รียงลาดบั ตามตวั อักษร

๓. พจนานกุ รมที่รฐั บาลกาหนดใหใ้ ช้เปน็ มาตรฐานในปัจจุบนั คือ พจนานุกรม ฉบับ

ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๔

๔. พจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน บอกการเขียนสะกดการนั ต์ เสยี งอา่ นความหมาย

ของคา และประวัติท่มี าของคา

๕. วธิ ีเรยี งลาดับคาในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ จะเรยี งตามลาดับ

ตวั อักษรมิได้เรยี งลาดับตามเสียงอ่าน ซ่ึงมหี ลักดงั นี้

๕.๑ การเรยี งพยัญชนะ คอื การเรียงลาดบั โดยยึดพยัญชนะตวั แรกเปน็ หลกั โดยเรียงลา

ดงั นี้

กขฃฅคฆง

จ ฉ ช ซ ฌญ

ฎ ฏ ฐ ฑฒณ

ดตถ ทธ น

บปผฝพฟภม

ย ร ฤ ฤา ล ฦ ฦา ว ศ ษ ส

หฬ อ ฮ

๕.๒ การเรยี งสระ สระน้ันไม่ได้เรียงลาดับไว้ตามเสียง ลาดบั ไวต้ ามรปู สระ แม้รูป

สระทป่ี ระสมกนั หลายรปู ก็จดั เรยี งลาดบั รูปสระที่อยกู่ ่อน และหลังตามลาดับน้ี

ะ เ เสอื )

กนั ) เ ะ ( เกือะ )

ะ ( ผัวะ ) เ แ

า เ ะ ( เกะ ) แ ะ ( แพะ )

ำ เ า ( เขา ) โ

เ าะ ( เจาะ ) โ ะ ( โป๊ะ )

เ เกนิ ) ใ

๖๕๔

เ เสยี ) ไ

เ ะ ( เดียะ )

ส่วนตวั อ ว ย ลาดบั อยู่ในพยญั ชนะเสมอ

๖. ขอ้ สงั เกตเรอื่ งการลาดับคา ในพจนานกุ รม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ มีดังน้ี

๖.๑ ฤ ฤา ตามหลัง ร

๖.๒ คาในพจนานุกรมไมเ่ รียงตามเสยี งอ่าน แต่เรียงลาดับตามรูปพยัญชนะ ดงั นน้ั ถา้

จะค้นหาคาว่า หญิง เหมา ก็จะต้องไปคน้ ในหมวดตัวอกั ษร ห และถา้ ค้นคาว่า ทรัพย์ ก็ตอ้ งไปค้นใน

หมวดตวั อกั ษร ท

๖.๓ คาทีอ่ ยู่ในหมวดอักษรเดยี วกัน จะเรียงลาดบั ตามรูปพยัญชนะตัวถดั ไปของคา

ไม่วา่ พยญั ชนะตัวถัดไปจะเป็นตวั สะกด อักษรควบกล้า หรอื อักษรทีต่ ามอักษรนา เช่น กด ( ด เป็น

ตัวสะกด )

มาก่อน กบ เพราะ ด มากอ่ น บ กบ กลบ ( ล เป็นสว่ นหน่งึ ของอักษรควบกลา้ )

๖.๔ คาทีข่ น้ึ ต้นดว้ ยพยญั ชนะและตามด้วยสระจะมาหลังคาทีข่ ้ึนต้นดว้ ยพยัญชนะและ

ตามตวั พยัญชนะเช่น กระ จะมาหลงั กรอ่ ย และ คา จะมาหลังคาวา่ คอ เป็นตน้

๖.๕ เน่ืองจากสระเรียงไวต้ ามรูป ( ตามข้อ ๕.๒ ) ฉะนน้ั การเรียงลาดบั คาจึง

เป็นไปตามลาดับสระดงั กลา่ วด้วยเช่นกัน เชน่

กนั มาก่อน กา เพราะ มาก่อน สระ - า

กาว มาก่อน กา เพราะ - ำ มาก่อน เ – า

เกิน มาก่อน แกน เพราะ เ – ิ มาก่อน แ –

๖.๖ การเรยี งลาดบั ทเี่ ปน็ นามย่อยพจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑิตยสถานจะเรยี งนามยอ่ ย

ไวต้ ามหมวดตวั อักษร เชน่ กระจอก เปน็ นามยอ่ ยของนก แต่จะไม่จัดไวใ้ ต้คา นก จัดไวใ้ นพวก

กระ

๖.๗ คาบางคาทเี่ ปน็ อนพุ จน์ หรอื ลกู คา กระจกเว้า กระจกตา กระจกนูน

๗. การออกเสยี งอา่ นในพจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน มีวิธีการดงั นค้ี ือ

๗.๑ จะเขยี นบอกเสียงอ่านไวห้ ลังคานั้น ๆ ในเคร่ืองหมาย […….]

๗.๒ คาทใี่ ชค้ าสะกดได้หลายตัวในแม่สะกดหนง่ึ ๆ ให้ออกเสียงเหมอื นตวั แมน่ ้ัน ๆ

เช่น ญ ณ ร ล ฬ สะกดอา่ นเหมือน น สะกด

๗.๓ ตวั ห ซง่ึ เป็นตวั นาและไม่ออกเสียง ใช้พนิ ทจุ ุดไวใ้ ต้ตัว ห เช่น

เหลา [ เหลา ]

๗.๔ อกั ษรกล้า บอกเสยี งอา่ นโดยใชพ้ นิ ทจุ ดุ ไวใ้ ตพ้ ยญั ชนะตัวหนา้ เชน่ ขวนขวาย

[ ขวนขวาย ] ปรชั ญา [ ปรดั ยา ]

๗.๕ คาที่มีปัญหาในการอา่ น กไ็ ด้บอกเสยี งอ่านไวท้ ง้ั แม่คาและลูกคา แม่คาวา่ กล -

ได้บอกเสยี งอ่านกากับไว้ในลูกดว้ ย เช่น กลไก [ กนไก ] กลฉ้อฉล [ กน - ]

๖๕๕

๘. การบอกความหมายของคาในพจนานกุ รม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน มีวธิ กี ารดงั น้ี คอื จะ

บอกเสยี งอา่ นไว้หลังคาน้ัน ๆ ถา้ เป็นคาที่มีความหมายหลายความหมาย โดยปกติจะเรยี งความหมายทีใ่ ช้

กนั เสมอไว้ก่อน เชน่

ขนั ๑ น. ภาชนะสาหรับตักหรอื ใส่

ขนั ๒ ก. ทาใหต้ ิดหรือให้แนน่ ดว้ ยวธิ หี มุนกวดเรง่ เข้าไป

ขนั ๓ ก. อาการร้องเปน็ เสียงอย่างหนง่ึ ของไก่หรอื นกบางชนดิ

ขนั ๔ ว. น่าหัวเราะ ชวนหัวเราะ

๙. อักษรย่อในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน มหี ลักการใช้ดังน้ี

ในพจนานกุ รมจะบอกชนดิ ของคาตามหลักไวยากรณ์โดยใชต้ วั อกั ษรตัวจ๋ิวและบอกลักษณะ

ของคาท่ีใชเ้ ฉพาะเปน็ อักษรในวงเล็บ ดังนี้

๙.๑ อกั ษรหนา้ บทนยิ าม บอกชนิดของคาตามหลักไวยากรณ์

น. = นาม บ. = บพุ บท

ส. = สรรพนาม สนั . =สันธาน

ก. = กริยา อ. = อทุ าน

ว. = วเิ ศษณ์ ( คุณศัพท์หรือกริยาวิเศษณ์ )

๙.๒ อกั ษรย่อในวงเล็บหนา้ บทนิยาม บอกลกั ษณะของคาท่ใี ช้เฉพาะแห่ง คอื

( กฎ ) คือคาท่ใี ช้ในกฎหมาย

( กลอน ) คือคาทใ่ี ชใ้ นบทร้อยกรอง

( คณติ ) คอื คาที่ใช้ในคณิตศาสตร์

( ถนิ่ ) คอื คาทใ่ี ช้เฉพาะทอ้ งถ่นิ

( แบบ ) คอื คาทใ่ี ช้เฉพาะในหนงั สือ

( โบ ) คอื คาโบราณ

( ปาก ) คือคาที่เปน็ ภาษาปาก

( ราชา ) คือคาท่ใี ช้ในราชาศัพท์

( ไว ) คือคาไวยากรณ์

( สา ) คือคาที่เปน็ สานวน

( อตุ ุ ) คอื คาที่ใชใ้ นอุตุนิยมวทิ ยา

ตวั อยา่ งจรวัก ( จะระหวกั น. ตวัก ( หมายความว่า จรวกั ใชใ้ นบทรอ้ ยกรอง )

จอก ( โบ ) น. กระจอก ( หมายความวา่ จอก เปน็ คาโบราณ )

จ่อย ( ถน่ิ - อีสาน ) ผอม ( หมายความว่า จ่อย เปน็ คาในภาษาถนิ่ )

๙.๓ อักษรย่อในวงเลบ็ ท้ายบทนยิ าม บอกภาษาทม่ี าของคา เชน่

( ข. ) = เขมร ( ต. ) = ตะเลง

( ล. ) = ละติน ( จ. ) = จีน

๖๕๖

( บ. ) = เบงคอลี ( ส. ) = สันสกฤต

( ช. ) = ชวา ( ป. ) = บาลี

( อ. ) = อังกฤษ ( ญ. ) = ญวน

( ฝ. ) = ฝรงั่ เศส ( ฮ. ) = ฮินดู

( ญิ. ) = ญ่ปี ุ่น ( ม. ) = มลายู

ตัวอยา่ ง ซ่าโบะ น. ผ้าหม่ ( ช. )

ซปุ ( น. ) อาหารชนดิ หนงึ่ ตม้ ดว้ ยเนอ้ื สัตว์หรือผัก …… ( อ. Soup )

ซวย ( ปาก ) ว. เคราะหร์ า้ ย อับโชค ( จ. )

๑๐. การบอกประวตั ิของคาในพจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕

พจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑิตยสถานได้บอกประวตั ขิ องคาไว้ทา้ ยคานัน้ ๆ โดยเขยี นไวใ้ นวงเลบ็

เปน็ อักษรย่อพมิ พด์ ว้ ยตัวธรรมดาคาที่เป็นภาษาไทยกับคาทย่ี ังไม่ทราบแน่วา่ เป็นภาษาอะไรไม่ได้บอกประวตั ิ

ไว้เชน่

สรุ า น. เหล้า ( ป. ส. )

กงสี น. ของกลาง ( จ. )

สหุ ร่าย น. เครื่องโปรยน้าใหเ้ ป็นฝอยอย่างบวั ( เปอร์เซีย = surahi )

ปรงั น. นาที่ต้องทานอกฤดูทานา ( ข. ปรงั ว่า ฤดแู ล้ง )

๑๑. สรปุ หลกั เกณฑ์การคน้ หาความหมายของคาในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ.

๒๕๒๕ ดังนี้

๑๑.๑ สังเกตพยญั ชนะตัวหนา้ ( พยัญชนะต้น ) ว่าตัวใดมาก่อนหลงั เช่น ซ ศ มา

กอ่ น ส

๑๑.๒ ถา้ เปน็ อักษรควบ หรืออักษรนาซ่งึ ตัวหน้าเป็นตวั เดยี วให้สังเกตตวั ที่ ๒ เช่น คร

มาก่อน ปร มา ก่อน ปล

๑๑.๓ คาทีข่ ้นึ ต้นดว้ ยพยญั ชนะ ตามดว้ ยพยญั ชนะ มาก่อนคาที่ขึน้ ต้นดว้ ยพยัญชนะ

ตามดว้ ยสระ เชน่ ควร มาก่อน คะนึง

๑๑.๔ ถ้าเป็นคาทีม่ ตี วั สะกด สังเกตตัวสะกดว่าตวั ใดมาก่อน - หลัง เชน่ คน มา

ก่อน คม เพราะ น มาก่อน ม

๑๑.๕ สงั เกตอักษรย่อ บอกชนิด และหนา้ ทีข่ องคานน้ั

๑๑.๖ สังเกตหน้าท่ีและตาแหนง่ ของคานั้นในประโยค

๑๑.๗ พิจารณาความหมายแตล่ ะชนิด และหน้าที่ของคาน้นั วา่ ความหมายใดตรงกบั

ความหมายในประโยคและความหมายอืน่ ๆ เพ่ือที่จะนาไปใชป้ ระโยชน์ในโอกาสตอ่ ไป

๑๒. ประโยชน์ของพจนานุกรม ดังนี้

๑๒.๑ ใชใ้ นการตรวจสอบการเขียน อ่านให้ถูกต้องตามหลักอักขรวธิ ี

๑๒.๒ ใชใ้ นการคน้ หาความหมายของคาศัพท์ ประวตั ิและทม่ี าของคาน้ัน ๆ

๖๕๗

๑๒.๓ ใช้ในการสังเกตชนดิ ของคาตามหลกั ไวยากรณ์
๑๒.๔ ใชเ้ ป็นแมบ่ ทในการพิจารณาหลักเกณฑ์ของภาษา

๖๕๘

บัตรกจิ กรรมการเรียนรู้

ใหน้ กั เรยี น รวบรวมคาศพั ท์ใหมท่ นี่ ักเรยี นยังไม่เขา้ ใจ หรือยังไมร่ โู้ ดยการเปดิ พจนานกุ รมมา ๒๐ คา

………………….
………………….
………………….
………………….
………………….
………………….
………………….
………………….
………………….
………………….
………………….
………………….
………………….

๖๕๙

แบบประเมินหลงั แผนการจดั การเรียน

๖๖๐

แบบประเมินพฤติกรรมและผลงานระหว่างเรียน

ความหมาย

๑. ตง้ั ใจ หมายถงึ ความมานะ อดทนทางานจนเสรจ็ ( A )

๒. ความรว่ มมอื หมายถึง สมาชิกในกลมุ่ ให้ความรว่ มมือทางานจนเสรจ็ ( A )

๓. ความมีวนิ ัย หมายถึง ผลงาน หรือการทางานเป็นระบบระเบยี บเรียบร้อย สะอาด

สวยงาม และได้เนื้อหาครบถ้วน ทนั หรอื ตรงต่อเวลา ( A,K )

๔. คณุ ภาพของผลงาน หมายถงึ ผลงานเรยี บรอ้ ย สวยงาม เนอื้ หาครบถว้ น

ภาษาทใ่ี ช้เหมาะสม (P – Product, K)

๕. การนาเสนอผลงาน หมายถึง การพูดอธบิ ายนาเสนอผลงานได้ตามลาดับ

และเน้ือหาถูกต้อง ( P – Process, K )

เกณฑ์การประเมนิ

๔ หมายถงึ ทาไดด้ ีมาก ๓ หมายถึง ทาได้ดี

๒ หมายถึง ทาได้พอใช้ ๑ หมายถึง ควรปรับปรงุ

เลขท่ี ความต้งั ใจ ความรว่ มมอื ความมีวินัย คุณภาพของ การนาเสนอ รวม

(๔) (๔) (๔) ผลงาน (๔) ผลงาน (๔) (๒๐)

๖๖๑

เกณฑ์การให้คะแนนกระบวนการทางานกล่มุ

ประเด็นการประเมิน เกณฑ์การให้คะแนน/ระดับ
๑. การกาหนด –
๓๒๑
เปา้ หมายรว่ มกัน
สมาชิกทกุ คนมีสว่ น สมาชิกสว่ นใหญม่ ี สมาชิกส่วนน้อยมี
๒. การแบง่ หน้าท่ี
รับผดิ ชอบ ร่วมในการกาหนด สว่ นร่วมในการกาหนด ส่วนรว่ มในการกาหนด

๓. การปฏบิ ตั ิหน้าท่ี เปา้ หมายการทางาน เป้าหมายในการ เป้าหมายในการ
ทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย
อย่างชดั เจน ทางาน ทางาน
๔. การประเมนิ และ
ปรบั ปรงุ ผลงาน กระจายงานได้อย่าง กระจายงานไดท้ ัว่ ถงึ กระจายงานไม่ท่วั ถึง

ทวั่ ถงึ และตรงตาม แต่ไม่ตรงตาม

ความสามารถของ ความสามารถของ

สมาชกิ ทกุ คน สมาชกิ

ทางานได้สาเรจ็ ตาม ทางานไดส้ าเร็จตาม ทางานไมส่ าเร็จตาม

เปา้ หมายที่ไดร้ ับ เป้าหมายแต่ชา้ กวา่ เป้าหมาย

มอบหมาย ตาม เวลาทก่ี าหนด

ระยะเวลาที่กาหนด

สมาชกิ ทกุ คนรว่ ม สมาชิกบางส่วนมีส่วน สมาชกิ บางส่วนไม่มี

ปรึกษาหารือ ตดิ ตาม รว่ มปรกึ ษาหารือแต่ไม่ สว่ นร่วมปรึกษาหารอื

ตรวจสอบและปรบั – ชว่ ยปรบั ปรุงผลงาน และไม่ช่วยปรับปรงุ

ปรงุ ผลงานเป็นระยะ ผลงาน

๖๖๒

แบบประเมนิ กระบวนการทางานกลุ่ม

กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย วิชา ภาษาไทย
ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี ๒ กล่มุ ท่ี …….....

ท่ี รายการประเมิน คะแนน ขอ้ คิดเหน็
๓๒๑
๑. การกาหนดเป้าหมายร่วมกนั
๒. การแบ่งหน้าทร่ี ับผิดชอบ
๓. การปฏิบตั ิตามหนา้ ท่ที ี่ได้รับมอบหมาย
๔. การประเมินและปรับปรุงผลงาน

รวม

ลงชอื่ ผ้ปู ระเมิน
( )

เกณฑ์การประเมิน ดมี าก
๑๑ – ๑๒= ดี
๘ – ๑๐ = พอใช้
๕–๖ = ปรบั ปรงุ
๐–๔ =

๖๖๓

เกณฑ์การประเมนิ การนาเสนอผลงาน

แนวทางการพิจารณา

หัวขอ้ การพิจารณา/ระดบั การปฏบิ ตั ิหรอื พฤติกรรม

ระดับ เน้อื หา กลวิธีการนาเสนอ ขน้ั ตอนการ การใชภ้ าษา ตอบคาถาม/
คะแนน นาเสนอ เวลา
๔ มีการเรียงลาดบั
เนอ้ื หาไดด้ ี มกี ารนาเขา้ สเู่ นือ้ มกี ารนาเสนอ ออกเสียงถูกตอ้ ง ตอบคาถามได้
มีความตอ่ เนือ่ ง เรื่อง มีความ อย่างมภี มู ิรู้
มีประโยชน์ สมั พนั ธก์ บั เนื้อ อย่างตอ่ เนื่อง ตามอกั ขรวิธแี ละดงั และมคี วาม
ให้แงค่ ดิ เรื่อง เร้าใจผฟู้ ัง ชัดเจน มแี หลง่
มีความม่นั ใจ ราบร่นื เปน็ ไปตาม ชดั เจน ใช้ภาษา อา้ งอิง
ใช้เวลาตาม
ขัน้ ตอน เหมาะสม เข้าใจ กาหนด
ตอบคาถามได้
ง่าย มกี ารใช้ ค่อนขา้ งชดั เจน
มแี หลง่ อา้ งองิ
สานวนโวหาร ใช้เวลาเกนิ
กาหนด ๑ นาที
๓ มีการเรียงลาดับ มีการนาเขา้ สู่เนื้อ การนาเสนอ ออกเสียงถูกตอ้ ง
เร่อื ง มคี วาม ต่อเนื่อง มีการ ตามอกั ขรวธิ ีและดงั ตอบคาถามไดไ้ ม่
เนือ้ หาไดด้ ี สัมพนั ธ์กบั เนอ้ื ข้ามขน้ั ตอนบ้าง ชัดเจน ใช้ภาษา ค่อยชัดเจน
มคี วามต่อเน่อื ง เรื่อง เร้าใจผู้ฟัง เหมาะสมเข้าใจงา่ ย มีแหล่งอ้างองิ
มีประโยชน์ ไมม่ คี วามม่นั ใจใน การนาเสนอ ไม่มีการใช้สานวน เปน็ บางสว่ น
ใหแ้ ง่คดิ น้อย การนาเสนอ ต่อเนอื่ ง ไมม่ ี โวหาร ใช้เวลาเกิน
มีการนาเข้าสเู่ นอื้ ข้ันตอนเปน็ ส่วน ออกเสยี งถกู ต้อง กาหนด
๒ มกี ารเรยี งลาดบั เรื่อง มคี วาม ใหญ่ ตามอกั ขรวิธแี ละดงั ๒ นาที
สมั พนั ธ์กับเนื้อ ชดั เจน ใช้ภาษา ตอบคาถามไมไ่ ด้
เนอ้ื หาไดด้ ี เรอ่ื ง ไม่ เรา้ ใจผู้ฟงั เขา้ ใจยาก ไม่มี เปน็
มคี วามต่อเนอื่ ง ไม่มีความมั่นใจใน การใช้สานวน ส่วนใหญ่
มีประโยชน์น้อยให้ การนาเสนอ โวหาร ใชเ้ วลาเกิน
แง่คดิ นอ้ ย กาหนด ๕ นาที

๑ มกี ารเรยี งลาดับ มีการนาเข้าสู่เนอ้ื การนาเสนอ ออกเสยี งถูกต้อง
เรอ่ื ง ไมม่ คี วาม ไมต่ อ่ เน่อื ง ตามอกั ขรวธิ แี ละดงั
เน้อื หาไดด้ ี สมั พนั ธก์ บั เนือ้ นาเสนอสบั สน ชดั เจน ใช้ภาษาไม่
เร่อื ง ไมเ่ ร้าใจผู้ฟัง เหมาะสม เขา้ ใจ
ไม่มคี วามตอ่ เนื่อง ไม่มีความมน่ั ใจใน ยาก ไมม่ ีการใช้
การนาเสนอ สานวนโวหาร
มีประโยชน์นอ้ ยให้
แงค่ ิดนอ้ ย

๖๖๔

แบบประเมนิ การนาเสนอผลงาน

กลมุ่ ท.่ี ...........................................................หอ้ ง.......................

เน้ือหา กลวธิ ี ขน้ั ตอนการ การใช้ การตอบ รวม

๔ การ นาเสนอ ภาษา คาถาม คะแนน

ประเด็น นาเสนอ ๔ ๔ /เวลา ๒๐

ชอื่ – สกุล ๔๔
สมาชกิ
๑.
๒.
๓.
๔.
๕.
๖.
๖.
๘.

ลงชอ่ื ......................................................ผปู้ ระเมนิ
()
วนั ที่......เดือน......................ป.ี ...............

เกณฑ์การประเมิน ๔ หมายถึง ดมี าก
๓ หมายถงึ ดี
๒ หมายถงึ พอใช้
๑ หมายถึง ต้องปรบั ปรุง


Click to View FlipBook Version