The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wonchai890, 2022-09-19 00:04:13

ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ประวัติหลวงปู่มั่น

ไตรต่ รองดดู ว้ ยความละเอยี ด ทกุ ๆ ครง้ั ทพ่ี ระสาวกอรหนั ตแ์ ตล่ ะองคม์ า
แสดงธรรมสงั่ สอน ทา่ นไดอ้ บุ ายตา่ งๆ จากการสดบั ธรรมของพระอรหนั ต์
ทั้งหลายท่ีมาอบรมสั่งสอนแต่ละครั้งแต่ละองค์ ช่วยส่งเสริมก�ำลังใจ
ก�ำลงั สตปิ ัญญาตลอดมา

ทา่ นเลา่ วา่ ขณะทฟี่ งั ธรรมพระอรหนั ตท์ า่ นแสดงธรรมใหฟ้ งั ประหนงึ่
ไดฟ้ งั ธรรมในทเ่ี ฉพาะพระพกั ตรข์ องพระพทุ ธเจา้ แมไ้ มเ่ คยเหน็ พระองค์
มากอ่ น ใจรูส้ ึกอ่มิ เอบิ และเพลิดเพลินไปตาม เหมอื นโลกและธาตขุ นั ธ์
ไม่มีกาลเวลามาบีบบังคับเลย ปรากฏว่ามีแต่จิตล้วนๆ ท่ีสว่างไสวไป
ดว้ ยอรรถดว้ ยธรรมเทา่ นนั้ พอจติ ถอนออกมาจงึ ทราบวา่ ตนมภี เู ขาอนั แสน
หนักท้ังลูก คือร่างกายอันเป็นที่รวมแห่งขันธ์ ซ่ึงแต่ละขันธ์ล้วนเป็น
กองทุกข์อันแสนทรมาน ท่านพักอยู่ที่ถ้�ำนั้นมีพระอรหันต์หลายองค์
มาเยยี่ มและแสดงธรรมใหฟ้ งั เสมอในวาระตา่ งๆ กนั ซงึ่ ผดิ กบั ทท่ี ง้ั หลาย
อยมู่ ากในชวี ติ ทผ่ี า่ นมา ธรรมเปน็ ทแี่ นใ่ จไดป้ รากฏขน้ึ แกท่ า่ นในถำ�้ นน้ั
ธรรมน้ันคือพระอนาคามีผล ธรรมน้ีในพระปริยัติท่านกล่าวไว้ว่า
ละสงั โยชนไ์ ด้ ๕ คอื สกั กายทฏิ ฐิ วจิ กิ จิ ฉา สลี พั พตปรามาส กามราคะ
ปฏฆิ ะ ท่านผ้บู รรลธุ รรมขนั้ นี้เปน็ ผ้แู นน่ อนในการไมก่ ลบั มาอุบัตเิ กิด
เปน็ มนษุ ย์ และสตั วท์ มี่ ธี าตสุ ่ี คอื ดนิ นำ้� ลม ไฟ เปน็ เรอื นรา่ งอกี ตอ่ ไป
หากยงั ไมเ่ ลอื่ นชน้ั ขนึ้ ถงึ พระอรหนั ตภมู ใิ นอตั ภาพนน้ั เวลาตายแลว้ ก็
ไปอบุ ตั เิ กดิ ในพรหมโลก ๕ ชน้ั ชน้ั ใดชน้ั หนงึ่ ตามภมู ธิ รรมทผ่ี นู้ น้ั ไดบ้ รรลุ
ในพรหมโลก ๕ ชั้น คือ อวหิ า อตัปปา สทุ ัสสา สทุ ัสสี และอกนิฏฐา
ซ่ึงเป็นท่ีสถิตอยู่ของพระอนาคามีบุคคล ตามล�ำดับแห่งภูมิธรรมที่มี
ความละเอยี ดตา่ งกนั

57

ทา่ นพระอาจารยม์ นั่ เลา่ เปน็ การภายในวา่ ทา่ นไดบ้ รรลอุ นาคาม-ี
ธรรมในถำ้� นนั้ แตผ่ เู้ ขยี นกเ็ ลยตดั สนิ ใจนำ� มาลงเพอ่ื ทา่ นผอู้ า่ นไดต้ ชิ มบา้ ง
หากเปน็ การผดิ พลาดประการใด กข็ อไดต้ ำ� หนผิ เู้ ขยี นวา่ เปน็ ผไู้ มร่ อบคอบ
เสยี เอง ทา่ นพกั บำ� เพญ็ สมณธรรมดว้ ยความสงบเยน็ ใจอยทู่ นี่ นั้ หลายเดอื น

คืนวันหน่ึง เกิดความเมตตาสงสารหมู่คณะขึ้นมาอย่างมากมาย
ผดิ สงั เกตทเี่ คยเปน็ มา สาเหตทุ ที่ ำ� ใหเ้ ปน็ เชน่ นนั้ เนอื่ งมาจากทา่ นทำ� สมาธิ
ภาวนาเกิดความอัศจรรย์หลายอย่างที่ไม่เคยคาดฝันว่าจะเป็นได้ในชีวิต
แตก่ ไ็ ดป้ รากฏข้ึนมาอยา่ งประจกั ษ์ใจตดิ ๆ กันทุกคนื เฉพาะคืนที่คิดถงึ
หมคู่ ณะนนั้ รสู้ กึ เปน็ คนื ทแ่ี ปลกมาก คอื จติ เปน็ สมาธทิ ล่ี ะเอยี ดสขุ มุ มาก
เปน็ พิเศษ ความรคู้ วามเหน็ ท้ังภายในภายนอกเปน็ พิเศษ ความอศั จรรย์
ปรากฏขน้ึ กบั ใจเปน็ พเิ ศษ ถงึ กบั นำ้� ตารว่ งไหลออกมาดว้ ยความเหน็ โทษ
แห่งความโง่ของตนในอดีตที่ผ่านมา ความเห็นคุณของความเพียรที่
ตะเกยี กตะกายมาจนไดเ้ หน็ ธรรมอัศจรรยข์ น้ึ จ�ำเพาะหน้า ความเห็นคุณ
ของพระพทุ ธเจา้ ผมู้ พี ระเมตตาประสทิ ธป์ิ ระสาทธรรมไวพ้ อเหน็ รอ่ งรอย
ได้ด�ำเนินตาม และรู้ความสลับซับซ้อนแห่งกรรมของตนและของผู้อื่น
ตลอดสัตว์ท้ังหลายขึ้นมาอย่างประจักษ์ ปราศจากความเคลือบแคลง
สงสยั ตรงตามธรรมบทว่า สัตวท์ ั้งหลายมีกรรมเป็นกำ� เนิด มีกรรมเปน็
ของตนเป็นต้น อันเป็นบทธรรมที่รวมความส�ำคัญของศาสนาไว้แทบ
ทงั้ มวล ทา่ นเตอื นตนวา่ แมจ้ ะประสบความอศั จรรยห์ ลายอยา่ งขนึ้ มาอยา่ ง
ภาคภูมิใจก็ตาม แต่ก็ทราบว่าทางเดินเพ่ือความพ้นทุกข์ของท่านยัง
ไม่สิน้ สดุ เพยี งเท่านี้ ยังจะต้องทมุ่ เทก�ำลงั สตปิ ญั ญาและความพากเพียร
ทกุ ด้านลงอย่างเต็มก�ำลงั อกี ตอ่ ไป

58

สิ่งที่ท�ำให้ท่านเย็นใจและอยู่ด้วยความผาสุกท้ังทางกายและ
ทางใจนั้น คือโรคเร้ือรังในท้องที่เคยรบกวนและตัดรอนเสมอมาได้
หายไปโดยส้นิ เชิง จิตใจได้หลักยึดอย่างม่นั คง แม้ยังไมส่ นิ้ กเิ ลส แตก่ ็
มิได้สงสัยปฏิปทาเคร่ืองด�ำเนินของตน ปฏิปทาภายในเป็นไปอย่าง
สม่�ำเสมอ ไมล่ มุ่ ๆ ดอนๆ เหมือนแตก่ ่อน มคี วามแน่ใจว่าจะไมล่ ุ่มหลง
สงสัยทางด�ำเนินเพ่ือธรรมขั้นสูงสุดแบบลูบๆ คล�ำๆ ดังท่ีเคยเป็นมา
และมนั่ ใจวา่ ตนจะบรรลถุ งึ ธรรมแดนพน้ ทกุ ขใ์ นวนั หนงึ่ แนน่ อน สตปิ ญั ญา
กด็ ำ� เนนิ ไปอยา่ งสมำ่� เสมอ ไมถ่ กู บงั คบั เคย่ี วเขญ็ วนั คนื หนง่ึ ๆ เกดิ ความรู้
ความเหน็ ตา่ งๆ ทง้ั ทเ่ี กย่ี วแกส่ ง่ิ ภายในและเกยี่ วแกส่ ง่ิ ภายนอกไมม่ ปี ระมาณ
ทำ� ให้จิตใจรน่ื เริงในธรรม และเกดิ ความสงสารหมคู่ ณะที่เคยอยู่ดว้ ยกัน
มามากขนึ้ อยากใหไ้ ด้รไู้ ดเ้ หน็ อยา่ งทต่ี นรเู้ ห็นบา้ ง ความคดิ สงสารนเี้ ลย
กลายเปน็ สาเหตใุ หท้ า่ นจำ� ตอ้ งจากถำ้� อนั เปน็ อดุ มมงคลน้ี ไปหาหมคู่ ณะ
ทางภาคอสี านอกี ทัง้ ๆ ท่ีอาลัยอาวรณไ์ ม่อยากไป

กอ่ นที่ท่านจะจากถ�้ำนีไ้ ปราว ๒-๓ วนั กป็ รากฏว่ามพี วกรกุ ขเทพ
โดยมีเทพลึกลับองค์ที่เคยมาหาท่านเป็นหัวหน้าพามาเย่ียมฟังธรรม
เทศนาท่าน เมอ่ื ท่านใหโ้ อวาทแก่เทวดาจบลง และบอกความประสงค์ท่ี
จะตอ้ งจากถ�ำ้ และคณะเทพทง้ั หลายไปสูถ่ ่นิ อน่ื ดว้ ยความจำ� เป็น บรรดา
เทวดาทร่ี วมกนั อยจู่ ำ� นวนมากไมย่ อมใหท้ า่ นจากไป และพรอ้ มกนั อาราธนา
นมิ นตท์ า่ นไวเ้ พอื่ ความรม่ เยน็ และเปน็ สริ มิ งคลแกช่ าวเทพตลอดกาลนาน
ทา่ นกบ็ อกวา่ ทม่ี าอยทู่ น่ี ก่ี ม็ าดว้ ยความจำ� เปน็ แมก้ ารจะจากไปสทู่ อี่ นื่ กไ็ ป
ดว้ ยความจำ� เปน็ เชน่ เดยี วกนั มไิ ดม้ าและไปดว้ ยความอยากพาใหเ้ ปน็ ไป
จงึ ขอความเหน็ ใจจากทา่ นทง้ั หลายอยา่ ไดเ้ สยี ใจ ถา้ มโี อกาสวาสนาอำ� นวย

59

ยงั จะไดม้ าทน่ี อี่ กี ชาวเทพพากนั แสดงความเสยี ใจและเสยี ดายทา่ นดว้ ย
ความเคารพรักจริงๆ ไมอ่ ยากใหท้ ่านจากไป

จวนจะถึงวนั ลงจากถ้�ำ ตอนกลางคืนราว ๔.๐๐ นาฬกิ า คอื ๑๐ ทมุ่
ท่านคิดถึงท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ วัดบรมนิวาส ว่าเวลาน้ีท่าน
จะพิจารณาอะไรอยู่ จึงก�ำหนดจิตส่งกระแสลงมาดูท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ
กท็ ราบวา่ เวลานนั้ ทา่ นกำ� ลงั พจิ ารณาปจั จยาการคอื อวชิ ชาอยู่ ทา่ นอาจารย์
ทราบแล้วก็จดจ�ำวันไว้ เวลาลงมากรุงเทพฯ ได้โอกาสก็เรียนถามท่าน
ตามที่ตนทราบมาแล้ว ท่านเจ้าคณุ อบุ าลฯี พอไดท้ ราบเท่านัน้ เลยต้อง
สารภาพและหัวเราะกันพักใหญ่ พรอ้ มท้ังชมเชยวา่ “ทา่ นมัน่ นีเ้ กง่ จรงิ
เราเองเป็นขนาดอาจารย์ แต่ไม่เป็นท่า น่าอายท่านมั่นเหลือเกิน
ทา่ นมนั่ เกง่ จรงิ ” แลว้ กก็ ลา่ วชมเชยวา่ “มนั ตอ้ งอยา่ งนซ้ี ลิ กู ศษิ ยพ์ ระตถาคต
ถึงจะเรียกว่าเดินตามครู พวกเราอย่าท�ำตัวเป็นโมฆะจากธรรมของ
พระพทุ ธเจา้ เสียหมด ตอ้ งมผี ้ทู รงธรรมทา่ นไว้บา้ ง สมกับธรรมเปน็
อกาลโิ ก ไมป่ ลอ่ ยใหก้ าลสถานทแี่ ละความเกยี จครา้ นเอาไปกนิ เสยี หมด
ธรรมจะไม่ปรากฏแก่โลกท้ังท่ีพระพุทธเจ้าประกาศสอนแก่หมู่ชน
ต้องท�ำอย่างท่านมั่นท่ีได้ความรู้ต่างๆ มาเล่าสู่กันฟังอย่างนี้จึงเป็นที่
น่าชมเชย”

ท่านเล่าใหฟ้ งั ว่า ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ เล่อื มใสและชมเชยทา่ นมาก
บางครงั้ เวลามเี รอ่ื งราวตา่ งๆ ทที่ า่ นไมแ่ นใ่ จวา่ ควรจะพจิ ารณาและตดั สนิ ใจ
อย่างไรจึงจะถูกต้องเหมาะสม ทา่ นยังให้พระนิมนต์ทา่ นพระอาจารย์ม่นั
ไปรว่ มปรกึ ษา และมอบเรอื่ งราวใหท้ า่ นไปพจิ ารณาชว่ ยกย็ งั มี พอควรแก่
เวลาแลว้ ทา่ นกเ็ ดนิ ทางไปภาคอสี าน ทา่ นวา่ กอ่ นทา่ นจะขนึ้ ไปบำ� เพญ็ อยทู่ ี่

60

ถำ้� สารกิ าเขาใหญ่ จงั หวดั นครนายก ทา่ นเทยี่ วจารกิ ไปทางประเทศพมา่ กอ่ น
แลว้ กลับมาผา่ นจงั หวดั เชียงใหม่ ลงไปทางหลวงพระบาง ประเทศลาว
บ�ำเพ็ญสมณธรรมอยู่แถบน้ันนานพอสมควร แล้วไปจังหวัดเลย และ
จำ� พรรษาทบ่ี า้ นโคก ซงึ่ อยใู่ กลเ้ คยี งกบั ถำ�้ ผาปใู่ นเขตจงั หวดั เลย ๑ พรรษา
และไปจำ� พรรษาทถ่ี ำ�้ ผาบงิ้ ๑ พรรษาในเขตจงั หวดั เดยี วกนั ทท่ี ที่ า่ นจำ� พรรษา
เหล่านมี้ ีแต่ป่าแตเ่ ขา และเต็มไปดว้ ยสตั วช์ นิดตา่ งๆ เพราะหมบู่ ้านและ
ผคู้ นมนี อ้ ยในสมยั นนั้ เดนิ ทางไปตงั้ วนั กไ็ มเ่ จอหมบู่ า้ น ถา้ เกดิ ไปหลงทาง
เข้าต้องแย่ และนอนกลางปา่ ซ่ึงเปน็ ท่ีชกุ ชุมของสัตว์นานาชนดิ มีเสอื
เปน็ ตน้

ท่านเล่าว่า ท่านข้ามไปเที่ยวธุดงค์ฟากฝั่งแม่น้�ำโขงประเทศลาว
และพกั อยใู่ นปา่ ใกลภ้ เู ขา มเี สอื โครง่ ใหญเ่ คยมาหาทา่ นบอ่ ยๆ บางทมี นั ก็
มาดทู ่านอยู่หา่ งๆ ในเวลากลางคืน ซง่ึ กำ� ลังเดินจงกรมอยู่ แตม่ นั มไิ ด้
แสดงทา่ ทางใหเ้ ปน็ ทนี่ า่ กลวั อะไรนกั นอกจากมนั รอ้ งไปตามภาษาของมนั
แลเทย่ี วไปมาอยแู่ ถวๆ บริเวณนนั้ เทา่ น้ัน ท่านกม็ ไิ ดส้ นใจกบั มนั เพราะ
เคยชินกับพวกสัตว์ต่างๆ มาแล้ว คืนวันหนึ่งมีเสือโคร่งตัวใหญ่มาก
เข้ามาหาพระท่ีเป็นเพ่ือนไปด้วยกัน ซ่ึงก�ำลังเดินจงกรมอยู่ แต่อยู่กัน
คนละหม่บู ้าน มิไดอ้ ยู่ด้วยกัน มนั เข้ามานั่งดูท่านอยู่ข้างทางเดินจงกรม
ของพระอาจารยอ์ งคน์ น้ั หา่ งจากทางจงกรมทา่ นประมาณ ๑ วา ทา่ มกลาง
ความสวา่ งของแสงไฟเทยี นไขทที่ า่ นจดุ ไวเ้ พอ่ื มองเหน็ หนทางเดนิ จงกรม
ไปมา การน่ังของเสือโคร่งตัวนั้นเหมือนสุนัขบ้านเรานั่งนั้นเอง มันน่ัง
หนั หนา้ มาทางจงกรมทา่ น ตามนั จบั จอ้ งมองดพู ระทท่ี า่ นกำ� ลงั เดนิ จงกรม
ไปมาไม่ลดละสายตา แตม่ ไิ ด้แสดงอาการอย่างใดออกมา

61

ขณะท่ีพระท่านเดินจงกรมไปถึงตรงที่มันนั่งดูอยู่น้ัน รู้สึกสงสัย
นัยน์ตาและเฉลียวใจ เพราะข้างทางจงกรมตรงน้ันปกติไม่มีอะไร แต่
ขณะน้ันรู้สึกพิกลนัยน์ตาจึงมองไปดู ก็พอดีเห็นเสือโคร่งใหญ่ก�ำลังน่ัง
มองดทู า่ นอยแู่ ลว้ ตง้ั แตเ่ มอื่ ไรกไ็ มท่ ราบ พระทา่ นเองกไ็ มก่ ลวั มนั มนั กไ็ มท่ ำ�
อะไรทา่ น เปน็ เพยี งนงั่ ดอู ยเู่ ฉยๆ เหมอื นสตั วไ์ มม่ วี ญิ ญาณและไมก่ ระดกุ
กระดกิ ทา่ นกเ็ ดนิ จงกรมผา่ นหนา้ มนั ไปมาไมน่ กึ กลวั อะไรกนั เปน็ แตเ่ หน็
มันนั่งดูท่านอยู่นานผิดปกติ จึงท�ำให้ท่านคิดข้ึนด้วยความสงสารมันว่า
แกจะไปหาอยหู่ ากนิ ทไ่ี หนกไ็ ปซิ จะมานงั่ เฝา้ เราทำ� ไมกนั พอทา่ นคดิ จบลง
เท่านั้น เสียงมันดังกระห่ึมขึ้นทันทีจนสะเทือนป่าไปหมดในขณะน้ัน
เมอื่ ทา่ นไดย้ นิ เสยี งมนั ดงั กระหม่ึ และไมย่ อมหนตี ามทที่ า่ นคดิ อยากใหม้ นั
หนไี ป ท่านเลยรีบเปลย่ี นความคดิ เสยี ใหม่ว่า เทา่ ท่คี ดิ เชน่ นั้นก็เพราะ
ความสงสาร เกรงวา่ จะเกดิ ความหวิ โหย เพราะมปี ากมที อ้ งทจี่ ะตอ้ งไดร้ บั
การบำ� รุงรักษาเชน่ ทว่ั ๆ ไป เพราะการมานงั่ เฝา้ เรานานๆ ถา้ ไมเ่ กดิ ความ
หวิ กระหายใดๆ จะนงั่ เฝา้ เพอ่ื รกั ษาอนั ตรายใหก้ ย็ ง่ิ ดี เรากไ็ มว่ า่ อะไร

พอทา่ นเปลย่ี นความคดิ ใหมเ่ ชน่ นจี้ บลง มนั กม็ ไิ ดแ้ สดงอาการอยา่ งไร
ต่อไปอีก คงน่ังดูท่านเดินจงกรมต่อไปตามนิสัยของมัน ท่านเองก็คง
เดินจงกรมไปมาตามปกติ มิได้สนใจกับมันอีกต่อไป มันก็นั่งดูท่านอยู่
เหมือนหัวตอไม่กระดุกกระดิกตัวแต่อย่างใดเลย จนถึงเวลาท่านก็เดิน
ออกจากทางจงกรมเขา้ ไปสทู่ พ่ี กั ซง่ึ เปน็ แครเ่ ลก็ ๆ เหมอื นเตยี งนอน ทอ่ี ยู่
ไมห่ า่ งไกลจากทางจงกรมนกั ท�ำวัตรสวดมนตแ์ ละนัง่ สมาธภิ าวนาต่อไป
จนถึงเวลาพักผ่อนท่านก็พักนอนอยู่บนแคร่นั้น ซ่ึงอยู่ไม่ห่างจากเสือ
โครง่ ตัวนน้ั นักเลย ท่านต่นื นอน ๓.๐๐ นาฬกิ า คอื ๙ ท่มุ จากน้นั ทา่ น
กเ็ ร่มิ ออกไปเดนิ จงกรมอีกตามเคย แตไ่ มเ่ ห็นเสอื ตวั นั้นอกี ไมท่ ราบวา่

62

มนั หายไปทางทศิ ใด คืนตอ่ ไปก็ไม่เหน็ มันมาทน่ี นั่ อกี จนกระท่ังทา่ นจาก
ทน่ี น้ั หนไี ป เผอญิ เหน็ เฉพาะคนื เดยี วเทา่ นน้ั จงึ ทำ� ใหพ้ ระอาจารยอ์ งคน์ น้ั เกดิ
ความสงสยั เวลาไปพบกับท่านพระอาจารย์มัน่ จึงเลา่ เร่ืองเสอื มาเฝ้าตน
ใหท้ ่านพระอาจารยม์ ่นั ฟัง

ทา่ นเลา่ วา่ อาจารยอ์ งคน์ น้ั ชอ่ื “สที า” อายพุ รรษาแกก่ วา่ ทา่ นเลก็ นอ้ ย
ทา่ นเปน็ พระนกั ปฏบิ ตั ริ นุ่ เดยี วกนั และเปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ดิ ปี ฏบิ ตั ชิ อบองคห์ นงึ่
ท่านชอบป่าชอบเขาชอบท่ีสงบสงัดมาก ท่านชอบอยู่ตามภูเขาทางฝั่ง
แม่น้�ำโขงประเทศลาวมากกว่าที่อ่ืนๆ แม้ข้ามมาฝั่งไทยเราก็ไม่นาน
ทา่ นพระอาจารยส์ ที าเลา่ ใหพ้ ระอาจารยม์ นั่ ฟงั คราวเสอื กระหมึ่ ใสท่ า่ นนนั้
เปน็ ขณะทท่ี า่ นคดิ อยากใหม้ นั หนไี ปวา่ ทา่ นไมร่ สู้ กึ กลวั แตข่ นลกุ ไปหมด
ทง้ั ตวั ศรี ษะชาเหมอื นใสห่ มวก ตอ่ ไปคอ่ ยเปน็ ปกตแิ ละเดนิ จงกรมไปมา
ได้สะดวกธรรมดาเหมือนไม่มีอะไรมาอยู่ที่นั้น ความจริงมันคงจะมี
ความกลวั อยอู่ ยา่ งลกึ ลบั จนเจา้ ตวั ไมอ่ าจรไู้ ด้ แมค้ นื ทเ่ี สอื โครง่ ใหญต่ วั นน้ั
ไมม่ าหาทา่ นถงึ ทอ่ี ยู่ แตก่ ไ็ ดย้ นิ เสยี งมนั รอ้ งกระหมึ่ ๆ อยบู่ รเิ วณใกลเ้ คยี ง
ทท่ี ่านพักอยแู่ ทบทกุ คนื ทา่ นก็ไม่เห็นรสู้ กึ กลัวมัน และทำ� ความเพยี รได้
อย่างสบายเหมือนไม่มีอะไรในบรเิ วณน้ัน

สมยั ทที่ า่ นพระอาจารยม์ น่ั ออกปฏบิ ตั ทิ แี รก และเทยี่ วไปตามจงั หวดั
ตา่ งๆ มจี ังหวัดนครพนม สกลนคร อดุ รธานี จนไปถึงพมา่ กลบั มาผา่ น
จงั หวดั เชียงใหม่ หลวงพระบาง เวยี งจันทน์ จงั หวัดเลย ลงไปจำ� พรรษา
ทว่ี ดั ปทมุ วนั กรงุ เทพฯ และไปพกั ทถ่ี ำ�้ สารกิ า เขาใหญ่ ตลอดเวลาทท่ี า่ น
กลบั มาทางภาคอสี านอกี ทา่ นมกั จะไปเพยี งองคเ์ ดยี ว แมจ้ ะมพี ระตดิ ตาม
บ้างก็เป็นบางสมัยเท่าน้ัน แล้วก็แยกกันไป เพราะท่านเป็นผู้ปฏิบัติ

63

เดด็ เดย่ี ว ไมช่ อบเกยี่ วขอ้ งกบั หมคู่ ณะ ทา่ นถอื เปน็ ความสะดวกในการไป
คนเดยี วอยคู่ นเดยี ว บ�ำเพ็ญสมณธรรมคนเดียวตลอดมา จนปรากฏว่า
มกี ำ� ลงั ใจมน่ั คง จงึ เกดิ ความสงสารหมคู่ ณะ และสนใจทจี่ ะแนะนำ� สงั่ สอน
ความคิดอันน้ีเป็นเหตุให้ท่านได้จากถ้�ำสาริกาอันแสนสบายกลับไปทาง
ภาคอสี าน หลงั จากทา่ นไดอ้ บรมพระเณรไวบ้ า้ งสมยั ทท่ี า่ นเทย่ี วธดุ งคอ์ ยู่
ทางภาคอสี าน กอ่ นหนา้ จะลงมาทางภาคกลางและไปถำ�้ เขาใหญ่ กป็ รากฏ
วา่ มีพระธดุ งคกรรมฐานปฏบิ ัติอยู่ทางภาคอีสานมากพอสมควร พอท่าน
กลับไปเที่ยวนี้ก็ได้ตั้งใจท�ำการสั่งสอนท้ังพระเณรและฆราวาสผู้มีความ
มุ่งหวังต่อท่านอยู่แลว้ อย่างเต็มกำ� ลงั

การเทย่ี วทางภาคอสี านทา่ นกเ็ ทย่ี วไปตามจงั หวดั ตา่ งๆ ทเี่ คยไปแลว้
ปรากฏวา่ มพี ระเณรญาตโิ ยมเกดิ ความเชอื่ เลอื่ มใสทา่ นมากมาย ผอู้ อกบวช
และปฏบิ ตั ิตามทา่ นด้วยความเช่อื เลื่อมใสมจี �ำนวนมาก แม้พระท่ีมอี ายุ
พรรษาจนเป็นขั้นอาจารย์แล้วก็ยอมสละทิฐิมานะและภาระหน้าท่ีออก
ปฏิบตั ติ ามท่าน จนกลายเปน็ ผู้มีความมน่ั คงทางขอ้ ปฏิบตั ิและทางจติ ใจ
จนสามารถส่ังสอนผ้อู ่ืนไดอ้ ยา่ งเตม็ ภูมกิ ม็ ีจ�ำนวนมาก

พระท่ีเป็นลูกศิษย์รุ่นแรกของท่าน คือ ท่านพระอาจารย์สุวรรณ
ท่ีเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดอรัญญิกาวาส อ�ำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย
พระอาจารยส์ งิ ห์ ขนั ตยาคโม เจา้ อาวาสวดั ปา่ สาลวนั จงั หวดั นครราชสมี า
พระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล เคยเป็นเจ้าอาวาสวัดศรัทธารวม
นครราชสีมา ท้ัง ๓ องค์นีท้ ่านเป็นชาวอบุ ลราชธานี และทา่ นมรณภาพ
ไปหมดแลว้ ซง่ึ ลว้ นเปน็ ลกู ศษิ ยผ์ สู้ ำ� คญั ทใ่ี หก้ ารอบรมพระเณรญาตโิ ยม
สืบทอดจากพระอาจารย์มัน่ มาเป็นลำ� ดับถึงสมยั ปจั จบุ นั

64

พระอาจารย์สิงห์ กับ พระอาจารย์มหาปิ่น ทั้งสององค์น้ีท่าน
เป็นพ่ีกับน้องร่วมอุทรเดียวกัน และเป็นผู้ได้รับการศึกษาทางปริยัติมา
มากพอสมควร ทั้งสององค์นี้ท่านเกิดความเล่ือมใสพอใจ ยอมสละ
ทิฐิมานะและภาระหน้าท่ีออกปฏิบัติตามท่านพระอาจารย์มั่นตลอดมา
และไดท้ �ำประโยชนแ์ ก่ประชาชนอยา่ งกวา้ งขวาง

รองกนั ลงมากพ็ ระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี ท่านเปน็ พระราชาคณะ
ปัจจุบันท่านจ�ำพรรษาอยู่วัดหินหมากเป้ง อ�ำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัด
หนองคาย ทา่ นเปน็ ลกู ศษิ ยผ์ ใู้ หญข่ องทา่ นพระอาจารยม์ น่ั รปู หนง่ึ ทป่ี ฏบิ ตั ดิ ี
ปฏบิ ตั ชิ อบเป็นทน่ี ่าเคารพเลื่อมใสอยมู่ าก และเปน็ ทเี่ คารพเลอ่ื มใสของ
พระเณรและประชาชนทวั่ ไปแทบทกุ ภาค ปฏปิ ทาของทา่ นเปน็ ไปอยา่ งเรยี บๆ
สมำ�่ เสมอ สมกบั อธั ยาศยั ทา่ นทค่ี ลอ่ งแคลว่ ออ่ นโยนสงบเสงยี่ มงามมาก
ยากทจี่ ะหาไดแ้ ตล่ ะองค์ คำ� พดู จาปราศรยั เปน็ ทจี่ บั ใจไพเราะตอ่ คนทกุ ชน้ั
ท่านมีมารยาทสวยงามมาก ผู้ยึดไปเป็นคติและปฏิบัติตามย่อมเป็นผู้
สวยงามและเยน็ ตาเยน็ ใจแกผ่ ไู้ ดเ้ หน็ ไดย้ นิ ตลอดผมู้ าเกย่ี วขอ้ งทว่ั ๆ ไป
อยา่ งไม่มปี ระมาณ

เพราะมารยาทอัธยาศัยของครอู าจารยแ์ ต่ละองคไ์ มเ่ หมอื นกัน คอื
มารยาทของบางองคใ์ ครนำ� ไปใชก้ ง็ ามไปหมด ไมแ่ สลงใจแกผ่ มู้ าเกยี่ วขอ้ ง
และเป็นความงามตาเย็นใจในคนทุกช้ัน แต่มารยาทของบางอาจารย์
ยอ่ มเปน็ สมบตั ทิ เี่ หมาะสมและสวยงามเฉพาะองคท์ า่ นเทา่ นน้ั ผอู้ นื่ ยดึ เอา
ไปใช้ย่อมกลายเป็นสิ่งท่ีปลอมแปลงและแสลงใจผู้อื่นที่ได้เห็นได้ยินข้ึน
มาทนั ที ดงั นน้ั มารยาทของบางอาจารยจ์ งึ ไมส่ ะดวกทจ่ี ะยดึ ไปใชท้ ว่ั ๆ ไป
ท่านอาจารย์เทสก์ ท่านมีอัธยาศัยนุ่มนวลควรเป็นคติและเป็นสิริมงคล

65

แกผ่ รู้ บั ไปปฏบิ ตั ติ ามทว่ั ๆ ไป โดยไมม่ ปี ญั หาวา่ จะขดั ตอ่ สายตาและจติ ใจ
ของผู้มาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด และเหมาะสมกับเพศนักบวชผู้ควรมี
มารยาทอธั ยาศยั สงบเสงย่ี มเยน็ ใจโดยแท้ นคี่ อื ลกู ศษิ ยข์ องทา่ นรปู หนงึ่ ที่
ควรกราบไหวบ้ ชู าอยา่ งสนทิ ใจตามความรสู้ กึ ของผเู้ ขยี นทไี่ ดเ้ คยสมาคม
และกราบไหว้บูชาท่าน โดยถือเป็นครูอาจารย์อย่างสนิทใจตลอดมา
ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากในภาคต่างๆ และท�ำประโยชน์แก่หมู่ชนอย่าง
กวา้ งขวาง จัดวา่ เป็นพระอาจารยท์ ีห่ าไดย้ ากรปู หนึ่ง

ลำ� ดับพรรษาลงมาก็มี พระอาจารย์ฝนั้ อาจาโร ซงึ่ เป็นลูกศษิ ยข์ อง
ทา่ นผหู้ นงึ่ ขณะนที้ า่ นจำ� พรรษาอยทู่ วี่ ดั อดุ มสมพร บา้ นนาหวั ชา้ ง อำ� เภอ
พรรณานิคม จงั หวัดสกลนคร ทา่ นเปน็ ทเี่ ลอื่ งลอื ระบอื ทวั่ ทกุ หนทกุ แหง่
ด้วยกิตติศัพท์กิตติคุณแห่งการปฏิบัติดี สามีจิกรรมท่ีชอบท้ังภายนอก
ภายใน จติ ใจทา่ นกส็ งู ดว้ ยคณุ ธรรม เปน็ ทเี่ คารพนบั ถอื ของหมชู่ นทกุ ภาค
ของเมอื งไทย เปน็ ทนี่ ่าเลือ่ มใสอย่างย่งิ เปน็ ผู้มคี วามเมตตามากต่อคน
ทกุ ชนั้ การสงเคราะหท์ งั้ ดา้ นวตั ถแุ ละดา้ นธรรมะ นบั วา่ ทา่ นเอาใจใสอ่ ยา่ ง
พระผู้มีจิตเมตตาไม่มีขอบเขตจริงๆ แต่รู้สึกเสียใจท่ีจ�ำต้องงดเรื่องท่าน
ไวก้ อ่ นเพอ่ื ดำ� เนนิ เรอื่ งของทา่ นพระอาจารยม์ น่ั สบื ตอ่ ไป หากมโี อกาสจะ
นำ� มาลงในวาระตอ่ ไปตอนจบเรอ่ื งของทา่ นพระอาจารยม์ นั่ เรยี บรอ้ ยแลว้

ล�ำดบั ศษิ ย์ของทา่ นองค์ตอ่ ไปคือ ทา่ นพระอาจารยข์ าว ซึ่งขณะนี้
ทา่ นอยูว่ ัดถ�ำ้ กลองเพลอ�ำเภอหนองบัวล�ำภู จงั หวัดอดุ รธานี ทา่ นผ้อู า่ น
คงทราบกติ ตคิ ณุ ทา่ นไดด้ พี อ เพราะเปน็ อาจารยส์ ำ� คญั ในปจั จบุ นั ทง้ั ดา้ น
ขอ้ ปฏบิ ตั แิ ละความรภู้ ายในใจเปน็ ทนี่ า่ เลอ่ื มใสอยา่ งมาก ทา่ นเปน็ พระที่
เดด็ เดยี่ วทางความเพยี ร ชอบแสวงหาอยใู่ นทสี่ งดั ตลอดมา ทางความเพยี ร

66

ทา่ นเปน็ เยย่ี มในวงพระธดุ งคกรรมฐาน ยากจะหาตวั จบั ได้ แมป้ จั จบุ นั อายุ
ท่านจะกา้ วข้าม ๘๒ ปอี ยแู่ ล้วก็ตาม แตค่ วามเพยี รยงั ไมย่ อมลดหย่อน
ผอ่ นตามสงั ขารเลย มบี างคนพดู เปน็ เชิงวิตกเปน็ ห่วงทา่ นวา่ ท่านจะทำ�
ความเพยี รไปเพอ่ื อะไรนกั หนา เพราะอะไรๆ ทา่ นกเ็ พยี งพอทกุ อยา่ งแลว้
ไมท่ ราบว่าทา่ นจะขยันไปเพ่ืออะไรอีก

ก็ได้ชี้แจงเรื่องของท่านให้ฟังว่า ท่านผู้หมดส้ินส่ิงท่ีเป็นข้าศึกซึ่ง
คอยกดี กนั บน่ั ทอนและคอยเอารดั เอาเปรยี บตลอดเวลาโดยสน้ิ เชงิ แลว้
ท่านไม่มีความเกียจคร้านมากีดขวางลวงใจให้ลุ่มหลงไปตาม เหมือน
พวกเราผู้สั่งสมความข้ีเกียจอ่อนแอไว้ในใจจนกองเท่าภูเขาสูงลูกใหญ่ๆ
แทบมองหาตวั คนไมเ่ หน็ พอจะทำ� อะไรลงไปบา้ งกก็ ลวั แตจ่ ะไดม้ าก มมี าก
กลวั จะหาท่ีเกบ็ ไมไ่ ด้ กลวั แตจ่ ะเหนอื่ ยยากลำ� บาก สุดท้ายกไ็ มม่ อี ะไร
จะเกบ็ ใสภ่ าชนะเลย มีแตภ่ าชนะเปล่าๆ ใจเปลา่ ๆ ใจเหยี่ วแห้ง ใจไมม่ ี
คุณสมบัตเิ ครื่องอาศัย ใจลอยๆ สงิ่ ทเ่ี ต็มก็คอื การบ่นวา่ ทกุ ขว์ า่ จนหรอื
เดอื ดรอ้ นกนั ทวั่ โลก เพราะมารตวั ขเี้ กยี จคอยบนั ดาลขดั ขวางและกดถว่ งไว้
ท่านผู้ปราบมารตัวเหล่านี้ออกจากใจได้แล้ว จึงเป็นผู้ขยันหม่ันเพียร
ไมล่ ดละ โดยไมส่ นใจคดิ วา่ จะมภี าชนะเกบ็ หรอื ไม่ ความมใี จเปน็ ธรรมลว้ นๆ
ไมม่ ีโลกเครอ่ื งทำ� ลายเขา้ มาแอบแฝง จงึ เป็นบุคคลทม่ี คี วามสงา่ ผ่าเผย
อยทู่ กุ อิรยิ าบถ ไมม่ คี วามอับเฉาเศรา้ ใจเข้ามาครอบครอง จึงเปน็ บคุ คล
ตวั อยา่ งของโลกไดอ้ ยา่ งมนั่ เหมาะ ลกู ศษิ ยข์ องทา่ นพระอาจารยแ์ ตล่ ะองค์
รู้สึกมีสมบัติอันแพรวพราวราวกับเพชรซ่อนอยู่ในตัวอย่างลึกลับแทบ
ทุกองค์ เม่อื เขา้ ถงึ องคท์ า่ นจริงๆ แลว้ จะได้รบั สง่ิ แปลกๆ และอศั จรรย์
ไปเปน็ ขวญั ใจและระลกึ ไวเ้ ปน็ เวลานานๆ

67

ท่านพระอาจารย์มั่นท่านมีลูกศิษย์ท่ีส�ำคัญๆ อยู่หลายองค์และ
หลายรนุ่ ทง้ั รนุ่ อายพุ รรษาและคณุ ธรรมรองกนั ลงมาเปน็ ลำ� ดบั ลำ� ดา สมกบั
ทา่ นเปน็ ผฉู้ ลาดปราดเปรอ่ื งรงุ่ เรอื งดว้ ยคณุ ธรรม คอื ขอ้ ปฏบิ ตั แิ ละธรรม
ภายใน ประหน่ึงพระไตรปิฎกย่อมๆ ตั้งอยู่ภายในดวงใจท่าน จริงดัง
บพุ พนมิ ติ ทป่ี รากฏเปน็ กรยุ หมายไวแ้ ตเ่ รม่ิ แรกออกปฏบิ ตั ิ เวลาสำ� เรจ็ ผล
ขนึ้ มากต็ รงตามนนั้ ทราบวา่ ทา่ นจารกิ ไปในทตี่ า่ งๆ และทำ� การอบรมสง่ั สอน
พระเณรและประชาชนเป็นจ�ำนวนมากต่อมาก พากันเกิดความเชื่อ
เลอ่ื มใสอย่างฝังใจ และติดใจในรสพระสทั ธรรมของท่านมาก เนอ่ื งจาก
ทา่ นนำ� เอาของจรงิ ภายในใจออกสง่ั สอนดว้ ยความรจู้ รงิ เหน็ จรงิ มไิ ดเ้ ปน็
ไปแบบสมุ่ เดา คอื ทา่ นกแ็ นใ่ จและเหน็ จรงิ ในธรรมทป่ี ฏบิ ตั ิ รแู้ ละสอนจรงิ
ตามธรรมทที่ า่ นรทู้ า่ นเหน็ เมอื่ กลบั จากถำ้� สารกิ าสภู่ าคอสี านครง้ั ทสี่ องน้ี
ท่านเล่าวา่ ท่านตั้งใจอบรมสัง่ สอนพระเณรและประชาชนทัง้ ชดุ เก่าทเ่ี คย
อบรมไวบ้ า้ งแลว้ ท้ังชุดใหม่ทก่ี ำ� ลงั เรม่ิ ตั้งรากต้ังฐานอยา่ งแท้จริง

การปฏิบัตติ ่อธดุ งควัตรทท่ี า่ นนบั ถือเป็นแบบฉบับอยา่ งฝังใจประจ�ำ
องคท์ ่าน และสัง่ สอนพระเณรใหด้ ำ� เนินตามมีดงั น้ี

การบิณฑบาตเปน็ กิจวัตรประจำ� วนั มิไดข้ าด ถ้ายงั ฉันอยู่ เวน้ จะ
ไมฉ่ นั ในวันใดกไ็ มจ่ �ำต้องไปในวันนนั้ กจิ วตั รในการบิณฑบาต ทา่ นสอน
ให้ต้ังอยู่ในท่าส�ำรวมกายวาจาใจ มีสติประจ�ำตนกับความเพียรที่เป็นไป
อยเู่ วลานน้ั ไมป่ ลอ่ ยใจใหพ้ ลง้ั เผลอไปตามสง่ิ ยว่ั ยวนตา่ งๆ ทผ่ี า่ นเขา้ มา
สมั ผสั กับอายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลนิ้ กาย ใจ ทงั้ ไปและกลบั
ท่านสอนให้มีสติรักษาใจ ตลอดความเคลื่อนไหวต่างๆ ไม่ให้เผลอตัว
และถอื เป็นความเพยี รประจำ� กิจวตั รขอ้ นี้ทุกๆ วาระท่ีเรม่ิ เตรยี มตวั ออก
บณิ ฑบาต หนงึ่

68

อาหารทไ่ี ดม้ าในบาตรมากนอ้ ยถอื วา่ เปน็ อาหารทพ่ี อดี และเหมาะ
สมกบั ผู้ตัง้ ใจจะส่ังสมธรรมคือความมกั นอ้ ยสนั โดษให้สมบรู ณ์ภายในใจ
ไมจ่ ำ� ต้องแสวงหาหรอื รบั อาหารเหลอื เฟือทตี่ ามส่งมาทหี ลงั อกี อนั เปน็
การส่งเสริมกิเลสความมักมากซึ่งมีประจ�ำตนอยู่แล้ว ให้มีก�ำลังผยอง
พองตวั ยงิ่ ๆ ขนึ้ จนตามแกไ้ มท่ นั อาหารทไ่ี ดม้ าในบาตรอยา่ งใดกฉ็ นั อยา่ งนนั้
ไมแ่ สดงความกระวนกระวายสา่ ยแสอ่ นั เปน็ ลกั ษณะเปรตผตี วั มวี บิ ากกรรม
ทรมาน มีอาหารไม่พอกับความต้องการ ต้องว่ิงวุ่นขุ่นเคืองเดือดร้อน
เพราะทอ้ งเพราะปาก ดว้ ยความหวงั อาหารมากยงิ่ กวา่ ธรรม ธดุ งคข์ อ้ หา้ ม
อาหารท่ีตามส่งมาทีหลังน้ี เป็นธรรมหรือเคร่ืองมือหักล้างกิเลสความ
มกั มากในอาหารไดเ้ ปน็ อยา่ งดี และตดั ความหวงั ความกงั วลตา่ งๆ ทเ่ี กย่ี ว
กบั อาหารไดอ้ ย่างดเี ยี่ยม หนง่ึ

การฉันมื้อเดียวหรือหนเดียวในวันหนึ่งๆ เป็นความพอดีกับ
พระธดุ งคกรรมฐาน ผมู้ ภี าระและความกงั วลนอ้ ย ไมพ่ รำ�่ เพรอื่ กบั อาหาร
หวานคาวในเวลาต่างๆ อันเป็นการกังวลกับปากท้องมากกว่าธรรมจน
เกินไป ไม่สมศักดิ์ศรีของผู้แสวงธรรมเพื่อความพ้นทุกข์อย่างเต็มใจ
แม้เช่นนั้น ในบางคราวยังควรท�ำการผ่อนอาหาร ฉันแต่น้อยในอาหาร
ม้ือเดียวนัน้ เพือ่ จติ ใจกบั ความเพียรจะได้ด�ำเนินโดยสะดวก ไมอ่ ืดอาด
เพราะมากจนเกนิ ไป และยงั เปน็ ผลกำ� ไรทางใจอกี ตอ่ หนงึ่ จากการผอ่ นนน้ั
ด้วยส�ำหรับรายท่ีเหมาะกับจริตของตน ธุดงควัตรข้อน้ีเป็นธรรมเคร่ือง
สังหารลบล้างความเห็นแก่ปากแก่ท้องของพระธุดงค์ท่ีมีใจมักละโมบ
โลเลในอาหารได้ดี และเปน็ ธรรมข้อบังคบั ท่ีเหมาะสมมาก

69

ทางโลกกน็ ิยมเชน่ เดียวกบั ทางธรรม เช่น เขามีเครอ่ื งปอ้ งกันและ
ปราบปรามสง่ิ ทเี่ ปน็ ขา้ ศกึ ไมว่ า่ จะเปน็ ขา้ ศกึ ตอ่ ทรพั ยส์ นิ หรอื ตอ่ ชวี ติ จติ ใจ
เชน่ สนุ ัขดุ งดู ุ ช้างดุ เสือดุ คนดุ ไข้ดุ หรือไข้ทรยศ เขามีเครื่องมือ
หรือยาส�ำหรับป้องกันหรือปราบปรามกันท่ัวโลก พระธุดงคกรรมฐาน
ผมู้ ใี จดุ ใจหนกั ในอาหารหรอื ในทางไมด่ ใี ดๆ กต็ าม ทไ่ี มน่ า่ ดสู ำ� หรบั ตวั เอง
และผอู้ น่ื จงึ ควรมธี รรมเปน็ เครอ่ื งมอื ไวส้ ำ� หรบั ปราบปรามบา้ ง ถงึ จะจดั วา่
เป็นผู้มีขอบเขตและงามตาเย็นใจส�ำหรับตัวและผู้เกี่ยวข้องทั่วๆ ไป
ธุดงคข์ อ้ นี้จงึ เป็นธรรมเครื่องปราบปรามไดด้ ี หน่งึ

การฉันในบาตรไม่เก่ียวกับภาชนะอื่นใด จัดเป็นความสะดวก
อยา่ งยงิ่ สำ� หรบั พระธดุ งคกรรมฐาน ผปู้ ระสงคค์ วามมกั นอ้ ยสนั โดษและ
มนี สิ ัยไมค่ ่อยอยูก่ บั ทเี่ ปน็ ประจ�ำ การไปเที่ยวจาริกเพื่อสมณธรรมในทิศ
ทางใด กไ็ มต่ อ้ งหอบหว้ิ พะรงุ พะรงั อนั เปน็ ความไมส่ ะดวก และเหมาะสม
กับพระผู้ต้องการถ่ายเทสิ่งรกรุงรังภายในใจทุกประเภท เคร่ืองบริขาร
ใชส้ อยแตล่ ะอยา่ งนั้น ทำ� ความกงั วลแกก่ ารบ�ำเพ็ญได้อย่างพอดู ฉะนั้น
การฉนั เฉพาะในบาตรจงึ เปน็ กรณที ค่ี วรสนใจเปน็ พเิ ศษสำ� หรบั พระธดุ งค์
คณุ สมบตั ทิ จี่ ะเกดิ จากการฉนั ในบาตรยงั มมี ากมาย คอื อาหารชนดิ ตา่ งๆ
ที่รวมลงในบาตร ย่อมเป็นสิ่งที่สะดุดตาสะดุดใจและเตือนสติปัญญา
มใิ หน้ งิ่ นอนใจตอ่ การพจิ ารณาเพอื่ ถอื เอาความจรงิ ตา่ งๆ ทมี่ อี ยกู่ บั อาหาร
ทรี่ วมกนั อยไู่ ดอ้ ยา่ งดเี ยย่ี ม ทา่ นเลา่ วา่ ทา่ นเคยไดร้ บั อบุ ายตา่ งๆ จากการ
พจิ ารณาอาหารในขณะทฉี่ นั มาเปน็ ประจำ� แมข้ อ้ อน่ื ๆ กม็ นี ยั เชน่ เดยี วกนั
ทา่ นจงึ ได้ถอื เป็นขอ้ หนกั แน่นในธุดงควตั รตลอดมามไิ ด้ลดละ

70

การพิจารณาอาหารในบาตร เป็นอุบายตัดความทะเยอทะยานใน
รสชาติของอาหารได้ดี การพิจารณาก็เป็นธรรมเคร่ืองถอดถอนกิเลส
เวลาฉนั ใจกไ็ มท่ ะเยอทะยานไปกบั รสอาหาร มคี วามรสู้ กึ อยกู่ บั ความจรงิ
ของอาหารโดยเฉพาะ อาหารกเ็ พยี งเปน็ เครอื่ งยงั ชวี ติ ใหเ้ ปน็ ไปในวนั หนง่ึ ๆ
เทา่ นนั้ ไมก่ ลบั เปน็ เครอ่ื งกอ่ กวนและสง่ เสรมิ ใหใ้ จกำ� เรบิ เพราะอาหารดี
มีรสอร่อยบ้าง เพราะอาหารไม่ดีมีรสไม่ต้องใจบ้าง การพิจารณาโดย
แยบคายทุกๆ คร้ังก่อนลงมือฉัน ยอ่ มทำ� ให้ใจคงตวั อยไู่ ดโ้ ดยสม�่ำเสมอ
ไมต่ น่ื เต้น ไมอ่ ับเฉา เพราะอาหารและรสอาหารชนิดต่างๆ วางตวั คือใจ
เปน็ กลางอยา่ งมคี วามสขุ ฉะนนั้ การฉนั ในบาตรจงึ เปน็ ขอ้ วตั รเครอ่ื งกำ� จดั
กิเลสตัวหลงรสอาหารไดเ้ ป็นอย่างดี หนึง่

ท่านถือผ้าบังสุกุลเป็นกิจวัตร พยายามอดกล้ันไม่ท�ำตามความ
อยากอันเป็นความสะดวกใจ ซ่ึงมีนิสัยชอบสวยงามในความเป็นอยู่
ใชส้ อยโดยประการทงั้ ปวงมาดง้ั เดมิ คอื เทยี่ วเสาะแสวงหาผา้ ทเ่ี ขาทง้ิ ไว้
ในทตี่ า่ งๆ ทปี่ า่ ชา้ เปน็ ตน้ เกบ็ เลก็ ผสมนอ้ ยมาเยบ็ ปะตดิ ปะตอ่ เปน็ เครอ่ื ง
นุง่ ห่มใช้สอย โดยเปน็ สบงบ้าง เป็นจวี รบา้ ง เปน็ สงั ฆาฏิบ้าง เปน็ ผ้า
อาบนำ�้ ฝนบ้าง เป็นบริขารอ่นื ๆ บา้ ง เรอ่ื ยมา บางคร้ังทา่ นชกั บงั สกุ ลุ
ผา้ ทเี่ ขาพนั ศพคนตายในปา่ ชา้ กม็ ที เ่ี จา้ ของศพเขายนิ ดี เวลาไปบณิ ฑบาต
มองเห็นผ้าขาดตกท้ิงอยู่ตามถนนหนทาง ท่านก็เก็บเอาเป็นผ้าบังสุกุล
ไมว่ ่าจะเปน็ ผา้ ชนดิ ใดและไดม้ าจากทไ่ี หน เม่ือมาถึงทพี่ กั แล้วทา่ นนำ� มา
ทำ� การซักฟอกใหส้ ะอาด แล้วเอามาเยบ็ ปะสบงจวี รที่ขาดบา้ ง เยบ็ ติด
ตอ่ กนั เปน็ ผ้าอาบน�้ำฝนบา้ ง อย่างนน้ั เปน็ ประจ�ำตลอดมา

71

ต่อมาศรัทธาญาติโยมทราบเข้า ต่างก็น�ำผ้าไปบังสุกุลถวายท่าน
ทป่ี า่ ชา้ บา้ ง ตามสายทางทท่ี า่ นไปบณิ ฑบาตบา้ ง ตามบรเิ วณทพี่ กั ทา่ นบา้ ง
ที่กุฎีหรือแคร่ท่ีท่านพักบ้าง การบังสุกุลที่ท่านเคยท�ำมาด้ังเดิมก็ค่อย
เปลย่ี นไปตามเหตุการณท์ พี่ าใหเ้ ปน็ ไป ทา่ นเลยตอ้ งชกั บงั สุกุลผา้ ที่เขา
มาทอดไวต้ ามทตี่ า่ งๆ ในขอ้ นป้ี รากฏวา่ ทา่ นพยายามรกั ษามาตลอดอวสาน
แห่งชีวิต ท่านว่าพระเราต้องท�ำตัวเหมือนผ้าขี้ร้ิวท่ีปราศจากราคา
คา่ งวดใดๆ แลว้ จงึ เปน็ ความสบาย การกนิ อยหู่ ลบั นอนและใชส้ อยอะไรก็
สบาย การเกย่ี วขอ้ งกบั ผคู้ นกส็ บาย ไมม่ ที ฐิ มิ านะความถอื ตวั วา่ เราเปน็ พระ
เป็นเณรผู้สูงศักดิ์ด้วยศีลธรรม เพราะศีลธรรมอันแท้จริงมิได้อยู่กับ
ความสำ� คญั เชน่ นน้ั แตอ่ ยกู่ บั ความไมถ่ อื ตวั ยว่ั กเิ ลส อยกู่ บั ความตรงไป
ตรงมาตามผมู้ ีสตั ยม์ ีศีลมีธรรมความสม�่ำเสมอเป็นเคร่อื งครองใจ นี้แล
คือศีลธรรมอันแทจ้ ริง ไม่มมี านะเข้ามาแอบแฝงท�ำลายได้ อยู่ทีใ่ ดกเ็ ย็น
กายเยน็ ใจ ไมม่ ีภยั ทัง้ แก่ตวั และผอู้ ่ืน

การปฏบิ ตั ธิ ดุ งควตั รขอ้ นเ้ี ปน็ เครอ่ื งทำ� ลายกเิ ลสมานะความสำ� คญั ตน
ในแง่ต่างๆ ได้ดี ผู้ปฏิบัติจึงควรเข้าใจระหว่างตนกับศีลธรรมด้วยดี
อย่าปล่อยให้ตัวมานะเข้าไปยื้อแย่งครอบครองศีลธรรมภายในใจได้
จะกลายเปน็ ผมู้ เี ขย้ี วมเี ขาแฝงขน้ึ มาในศลี ธรรมอนั เปน็ ธรรมชาตเิ ยอื กเยน็
มาด้ังเดิม การฝึกหัดทรมานตนให้เป็นเหมือนผ้าเช็ดเท้าจนเคยชิน
โดยไม่ยอมให้ตัวทิฐิมานะโผล่ข้ึนมาว่าตัวมีราคาค่างวดนี้ เป็นทาง
ก้าวหน้าของธรรมภายในใจโดยสม่�ำเสมอ จนกลายเป็นใจธรรมชาติ
เป็นธรรมธรรมชาติ ไมห่ วั่นไหวเหมือนแผ่นดนิ ใครจะท�ำอะไรๆ กไ็ ม่
สะเทือน จิตท่ีปราศจากทิฐิมานะทุกประเภทโดยประการทั้งปวงแล้ว

72

ยอ่ มเปน็ จติ ทคี่ งทตี่ อ่ เหตกุ ารณด์ ชี วั่ ทง้ั มวล การปฏบิ ตั ติ อ่ บงั สกุ ลุ จวี รทา่ น
ถือว่าเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยตัดทอนลบล้างตัวมีราคาท่ีฝังอยู่ในใจอย่าง
ลกึ ลบั ใหส้ ูญซากลงไดอ้ ยา่ งม่นั ใจขอ้ หนงึ่

การอยปู่ า่ เปน็ วตั รตามธดุ งคร์ ะบไุ ว้ ทา่ นกเ็ รม่ิ เหน็ คณุ แตเ่ รมิ่ ฝกึ หดั
อยปู่ า่ เปน็ ตน้ มา ทำ� ใหเ้ กดิ ความวเิ วกวงั เวงอยคู่ นเดยี ว ตาเหลอื บมองไป
ในทิศทางใดก็ล้วนเป็นทัศนียภาพเคร่ืองปลุกประสาทให้ต่ืนตนอยู่เสมอ
ไม่ประมาทนอนใจ น่งั อย่กู ม็ สี ติ ยนื อยกู่ ็มีสติ เดินอย่กู ็มสี ติ นอนอยู่
กม็ สี ติ กำ� หนดธรรมทงั้ หลายทมี่ อี ยรู่ อบตวั เวน้ แตห่ ลบั เทา่ นน้ั ในอริ ยิ าบถ
ทงั้ สเ่ี ตม็ ไปดว้ ยความปลอดโปรง่ โลง่ ใจ ไมม่ พี นั ธะใดๆ มาผกู พนั มองเหน็
แต่ความมุ่งหวังพ้นทุกข์ที่เตรียมพร้อมอยู่ภายในไม่มีวันจืดจางและ
อม่ิ พอ ยงิ่ พกั อยใู่ นปา่ เปลย่ี วอนั เปน็ ทอ่ี ยขู่ องสตั วท์ กุ ชนดิ ซงึ่ ตง้ั อยหู่ า่ งไกล
จากหมู่บา้ นดว้ ยแล้ว ใจปรากฏว่าเตรียมพรอ้ มอยู่ทุกขณะ ประหนงึ่ จะ
ทะยานเหาะขนึ้ จากหลม่ ลกึ คอื กเิ ลสในเดยี๋ วนนั้ ราวกบั นกจะเหาะบนิ ขน้ึ
บนอากาศฉะน้นั ความจรงิ กิเลสกค็ งเปน็ กิเลสและฝงั อยูใ่ นใจตามความ
มอี ย่ขู องมนั นน่ั แล แต่ใจมันมคี วามรสู้ กึ ไปอกี แง่หนึ่ง

เมื่อไปอยู่ในท่ีเช่นนั้น ความรู้สึกในบางครั้งเป็นเหมือนกิเลสตาย
ลงไปวันละร้อยละพัน ยังเหลืออยู่บ้างประปรายราวตัวสองตัวเท่าน้ัน
เพราะอำ� นาจของสถานทท่ี พ่ี กั อยชู่ ว่ ยสง่ เสรมิ ทงั้ ความรสู้ กึ โดยปกตแิ ละ
เวลาบำ� เพญ็ เพียร กลายเปน็ เครอ่ื งพยงุ ใจไปทุกระยะทีพ่ กั อยู่ ความคดิ
เกยี่ วกบั สัตวต์ า่ งๆ ทง้ั สตั วร์ า้ ยและสัตวด์ ที ม่ี อี ยทู่ วั่ ไปในบรเิ วณนนั้ กค็ ดิ
ไปในทางสงสารมากกว่าจะคิดในทางเป็นภัย โดยคิดว่าเขากับเราก็มี
ความเกดิ แกเ่ จบ็ ตายเทา่ กนั ในชวี ติ ทที่ รงตวั อยเู่ วลาน้ี แตเ่ รายงั ดกี วา่ เขา

73

ตรงท่ีรู้จักบุญบาปดีช่ัวอยู่บ้าง ถ้าไม่มีสิ่งน้ีแฝงอยู่ภายในใจบ้างก็คงมี
นำ�้ หนักเทา่ กนั กับเขา

เพราะค�ำว่า “สัตว์” เป็นค�ำที่มนุษย์ไปต้ังชื่อให้เขาโดยที่เขามิได้
รบั ทราบจากเราเลย ทง้ั ๆ ทเ่ี รากเ็ ปน็ สตั วช์ นดิ หนง่ึ คอื สตั วม์ นษุ ยท์ ต่ี ง้ั ชอ่ื
กนั เอง สว่ นเขาไมท่ ราบวา่ ไดต้ ง้ั ชอ่ื ใหพ้ วกมนษุ ยเ์ ราอยา่ งไรหรอื ไม่ หรอื
เขาขโมยตัง้ ชื่อให้วา่ “ยักษ์” ก็ไมม่ ีใครทราบได้ เพราะสัตวช์ นดิ นี้ชอบ
รังแกและฆ่าเขา แล้วน�ำเน้ือมาปรุงเป็นอาหารก็มี ฆ่าทิ้งเปล่าๆ ก็มี
จึงน่าเห็นใจสัตว์ที่พวกมนุษย์เราชอบเอารัดเอาเปรียบเขาเกินไปประจำ�
นิสัย และไม่ค่อยยอมให้อภัยแก่สัตว์ตัวใดง่ายๆ แม้แต่พวกเดียวกัน
ยงั รังเกียจและเกลยี ดชังกนั เบยี ดเบียนกัน ฆ่ากันไมม่ ีหยดุ หย่อนและ
ผ่อนเบาลงบา้ งเลย ในวงสัตวก์ ็รอ้ นเพราะมนุษยเ์ บียดเบียนและฆา่ เขา
ในวงมนุษย์เองก็ร้อนเพราะมนุษย์เบียดเบียนและฆ่ากันเอง ฉะน้ัน
สัตว์จึงระเวียงระวงั มนษุ ยป์ ระจำ� สันดาน

ทา่ นวา่ การอยใู่ นปา่ มที างคดิ ทางไตรต่ รองไดก้ วา้ งขวาง ไมม่ ที างสน้ิ สดุ
ทั้งเรือ่ งนอกเรอื่ งใน ซ่งึ มอี ยู่รอบตัวตลอดเวลา ใจทีม่ ีความใครต่ อ่ ธรรม
แดนพ้นทุกข์ จงึ รีบเร่งตักตวงความเพยี รไม่มีเวลาลดละ บางครัง้ หมูปา่
เดนิ เขา้ มาหาในบรเิ วณทนี่ นั้ และมองเหน็ ทา่ นกำ� ลงั เดนิ จงกรมอยู่ แทนท่ี
มันจะกระโดดโลดเตน้ วิ่งหนเี อาตวั รอด แต่เปล่า มนั มองเหน็ แล้วกเ็ ดนิ
หากนิ ไปตามภาษาของมนั อยา่ งธรรมดา ทา่ นวา่ มนั จะเหน็ ทา่ นเปน็ ยกั ษไ์ ป
กับมนุษย์ผรู้ ้ายกาจทง้ั หลายดว้ ย แต่มนั ไม่คิดเหมาไปหมด มันจงึ ไมร่ บี
วิ่งหนี และเทย่ี วขุดกินอาหารอยา่ งสบายเหมอื นไมม่ อี ะไร

74

ในตอนน้ีผู้เขียนขอแทรกบ้างเล็กน้อยเพื่อเรื่องกระจ่างขึ้นบ้าง
อย่าว่าแต่หมูมันไม่กลัวท่านพระอาจารย์ม่ันท่ีอยู่องค์เดียวในป่าเลย
แม้แต่วัดป่าบ้านตาด เมื่อเริ่มสร้างวัดใหม่ๆ และมีพระเณรอยู่ด้วยกัน
หลายรูป หมูป่าเป็นฝูงๆ ยงั พากนั มาอาศยั นอนและเท่ยี วหากินอยตู่ าม
บริเวณหน้ากุฏีพระเณรในเวลากลางคืน ห่างจากที่ท่านเดินจงกรมราว
๒-๓ วาเทา่ นนั้ ไดย้ นิ เสยี งมนั ขดุ ดนิ หาอาหารดว้ ยจมกู ดงั ตบุ๊ ตบั๊ ๆ อยใู่ น
บรเิ วณนน้ั ไมเ่ หน็ มนั กลวั ทา่ นเลย เวลาทา่ นเรยี กกนั มาดแู ละฟงั เสยี งมนั
อยใู่ กลๆ้ กไ็ มเ่ หน็ มนั วง่ิ หนไี ป ยงั พากนั เทย่ี วหากนิ ตามสบายในบรเิ วณนนั้
แทบทกุ คืน ท้ังหมูและพระเณรเคยชนิ กันไปเอง แต่ทกุ วนั นี้ยงั มีเหลอื
เลก็ นอ้ ยและนานๆ พากนั มาเทยี่ วหากนิ ทหี นงึ่ เพราะยกั ษท์ ส่ี ตั วต์ งั้ ชอ่ื ให้
ดงั ทา่ นพระอาจารยม์ น่ั วา่ ไว้ เอาไปรบั ประทานเกอื บจะไมม่ สี ตั วเ์ หลอื คา้ ง
แผน่ ดินแถบน้นั อยูแ่ ล้วเวลาน้ี ต่อไปไม่กป่ี ีคงจะเรียบไปเอง

ทที่ า่ นเลา่ คงเปน็ ความจรงิ ในทำ� นองเดยี วกนั เพราะสตั วแ์ ทบทกุ ชนดิ
ชอบมาอาศยั พระ พระอยทู่ ไี่ หน สตั วช์ อบมาอยทู่ น่ี น้ั มาก แมว้ ดั ทอี่ ยใู่ นเมอื ง
สตั ว์ยงั ต้องมาอาศัย เช่น สนุ ขั เป็นต้น บางวัดมเี ป็นรอ้ ย เพราะทา่ น
ไมเ่ บยี ดเบียนมัน เพียงเทา่ นีก้ ็พอทราบได้ว่าธรรมเปน็ ของเยน็ สตั ว์โลก
จงึ ไมม่ ใี ครคอ่ ยรงั เกียจ เวน้ กรณที สี่ ุดวสิ ัยจะกลา่ วเสยี เท่าท่ที า่ นปฏบิ ตั ิ
มากอ่ น ท่านวา่ ป่าเป็นสถานทช่ี ่วยพยุงใจไดด้ มี าก ฉะน้ัน ป่าจงึ เป็นจดุ
ท่ีเด่นของพระผู้มีความใคร่ต่อทางพ้นทุกข์ จะถือเป็นสมรภูมิส�ำหรับ
บ�ำเพ็ญธรรมทุกชั้น โดยไม่ระแวงสงสัยว่าป่าจะกลับเป็นข้าศึกต่อการ
บ�ำเพ็ญธรรม ตรงกับอนุศาสน์ท่ีพระอุปัชฌาย์อบรมสั่งสอนภิกษุผู้
อปุ สมบทใหมใ่ หพ้ ากนั เสาะแสวงหาอยปู่ า่ ตามอธั ยาศยั ทา่ นพระอาจารย์

75

จึงถือธุดงค์ขอ้ นจี้ นวาระสดุ ทา้ ยแห่งขนั ธ์ นอกจากสมยั ทีจ่ �ำต้องอนโุ ลม
ผอ่ นผันไปตามเหตกุ ารณ์เท่าน้ัน เพราะทำ� ให้ระลึกว่าตนอย่ใู นปา่ ซ่ึงเปน็
ที่เปลี่ยวกายเปล่ียวใจตลอดเวลาจะนอนใจมิได้ คุณธรรมจึงมีทางเกิด
ไม่เลือกกาล หน่ึง

ธดุ งควตั รขอ้ รกุ ขมลู คอื รม่ ไม้ กม็ ลี กั ษณะคลา้ ยคลงึ กนั ทา่ นอาจารยม์ นั่
เล่าว่า ขณะที่จิตของท่านจะผ่านโลกามิสไปได้โดยส้ินเชิง คืนวันน้ัน
ทา่ นกอ็ าศยั อยรู่ กุ ขมลู คอื รม่ ไม้ ซงึ่ ตง้ั อยโู่ ดดเดย่ี วตน้ เดยี ว ตอนสำ� คญั น้ี
จะรอลงข้างหน้าตามล�ำดับของการเที่ยวจาริกและการบ�ำเพ็ญของท่าน
จงึ ขออภัยทา่ นผอู้ า่ นทั้งหลายโปรดรออา่ นขา้ งหน้า วาระน้ีจำ� จะเขยี นไป
ตามลำ� ดบั ความจำ� เปน็ กอ่ น เพอ่ื เนอ้ื เรอ่ื งจะไมข่ าดความตามลำ� ดบั การอยู่
ใตร้ ม่ ไมซ้ งึ่ ปราศจากทม่ี งุ บงั และเครอ่ื งปอ้ งกนั ตวั ยอ่ มทำ� ใหม้ คี วามรสู้ กึ
ตัวอยู่เสมอ จติ ทตี่ ั้งความรสู้ ึกไว้กับตวั ย่อมเป็นทางถอดถอนกิเลส
ไปทุกโอกาส เพราะกาย เวทนา จิต ธรรม หรอื ทุกข์ สมุทยั นิโรธ
มรรค ทเ่ี รยี กวา่ “สตปิ ฏั ฐานและสจั ธรรม” อนั เปน็ จดุ ทรี่ ะลกึ รขู้ องจติ
แตล่ ะจดุ นน้ั ย่อมเปน็ เกราะเครือ่ งปอ้ งกันตวั เพ่อื ท�ำลายกเิ ลสแตล่ ะ
ประเภทได้อย่างมน่ั เหมาะ ซง่ึ ไม่มีทอี่ น่ื ใดจะยง่ิ ไปกว่า

ฉะนนั้ จติ ทรี่ ะลกึ รอู้ ยกู่ บั สตปิ ฏั ฐานหรอื อรยิ สจั เพราะความเปลยี่ ว
และความกลวั เปน็ เหตุ จงึ เปน็ จติ ทมี่ หี ลกั ยดึ เพอื่ การรบชงิ ชยั เอาตวั รอด
โดยสคุ โตตามทางอรยิ ธรรมไมม่ ผี ดิ พลาด ผปู้ ระสงคอ์ ยากทราบเรอื่ งของ
ตัวอย่างละเอยี ดทั่วถงึ โดยทางทถ่ี กู และปลอดภัย จงึ ควรแสวงหาธรรม
และสถานทท่ี ่เี หมาะสมเปน็ เครื่องพยุงทางความเพยี ร จะช่วยใหม้ ีความ
สะดวกรวดเรว็ ขนึ้ กวา่ ธรรมดาทคี่ วรจะเปน็ อยมู่ าก ดงั นน้ั ธดุ งควตั รขอ้ อยู่

76

รกุ ขมลู จงึ เปน็ ธรรมเครอ่ื งทำ� ลายกเิ ลสไดเ้ ปน็ อยา่ งดเี สมอมาทค่ี วรสนใจ
เป็นพเิ ศษอกี ขอ้ หนงึ่

ธุดงควัตรที่เก่ียวกับการเยี่ยมป่าช้า เป็นธุดงค์เคร่ืองปลุกเตือน
พระและหมู่ชนมิใหป้ ระมาทในเวลามีชีวิตอยู่ โดยเข้าใจวา่ ตวั จะไม่ตาย
ความจรงิ กค็ อื คนทเ่ี รม่ิ ตายเลก็ ตายนอ้ ยตายไปอยทู่ กุ เวลานน่ั เอง เพราะ
คนทตี่ ายจนถงึ กบั ยา้ ยบา้ นใหมไ่ ปปลกู สรา้ งกนั อยทู่ ปี่ า่ ชา้ จนดาษดนื่ แทบ
จะหาท่เี ผาและท่ีฝงั กันไม่ได้ ก็ล้วนแต่คนท่ีเคยตายเลก็ ตายนอ้ ยมาแลว้
เชน่ พวกเราผยู้ งั มชี วี ติ อยนู่ เี่ อง จะเปน็ คนแปลกหนา้ มาจากทไ่ี หน พอจะ
เหน็ วา่ เราเปน็ คนทแ่ี ปลกกวา่ เขา แลว้ ประมาทวา่ ตนจะไมต่ าย ทท่ี า่ นสอน
ใหเ้ ยย่ี มญาตพิ นี่ อ้ งผเู้ กดิ แก่ เจบ็ ตายดว้ ยกนั กเ็ พอ่ื เตอื นไมใ่ หห้ ลงลมื
ญาติพ่ีน้องอันดั้งเดิมในป่าช้าน่ันเอง เพ่ือจะได้ท่องบ่นไว้ในใจว่า เรามี
ความแก่ เจบ็ ตายอยูป่ ระจำ� ตวั ทวั่ หนา้ กัน ไม่มีใครจะกล้าอุตริเยอ่ หยิง่
ตัววา่ จะไม่เกิด แก่ เจ็บ ตายได้เมอื่ สายทางแหง่ วฏั ฏะทต่ี นยงั ทอ่ งเทยี่ ว
เรยี นสตู รอยู่ยงั ไมจ่ บ

พระซง่ึ เป็นเพศที่เตรยี มพรอ้ มแล้วเพ่อื ความหลุดพน้ จงึ ควรศึกษา
มลู เหตแุ หง่ วฏั ทกุ ขท์ ม่ี อี ยกู่ บั ตน คอื ความเกดิ แก่ เจบ็ ตาย ทงั้ ภายนอก
คือการเยี่ยมป่าช้าอันเป็นที่เผาศพ ท้ังภายในคือตัวเองอันเป็นป่าช้า
ร้อยแปดพันเกา้ แหง่ ศพท่นี �ำมาฝังหรือบรรจอุ ยใู่ นตัวตลอดเวลา ทั้งเกา่
และใหมจ่ นนับไมค่ รบและแทบเรยี นไมจ่ บ ให้จบส้นิ ลงดว้ ยการพจิ ารณา
ธรรมสังเวชโดยทางปัจจเวกขณะ คือ องค์สติปัญญาเคร่ืองทดสอบ
แยกแยะหามูลความจริงไม่นิ่งนอนใจ ทั้งนักบวชและฆราวาสท่ีชอบ
เข้าเยี่ยมท้ังป่าช้านอกและป่าช้าในตัวเอง โดยการพิจารณาความตาย

77

เปน็ ตน้ เปน็ อารมณ์ ยอ่ มมที างถอดถอนความเผยอเยอ่ หยงิ่ ในวยั ในชวี ติ
และในวทิ ยฐานะตา่ งๆ ออกไดอ้ ยา่ งนา่ ชม ไมช่ อบผยองพองตวั ในแงต่ า่ งๆ
ตามนสิ ยั มนษุ ยซ์ ง่ึ มกั มคี วามพสิ ดารประจำ� ใจอยเู่ ปน็ นติ ย์ ทง้ั จะเหน็ โทษ
แห่งความบกพร่องของตัวและพยายามแก้ไขไปเป็นล�ำดับ มากกว่าจะ
ไปเห็นโทษคนอื่นแล้วน�ำมานินทาเขา ซึ่งเป็นการสั่งสมความไม่ดีใส่ตน
ประจ�ำนิสัยมนุษย์ที่ชอบเป็นกันอยู่ท่ัวไป เหมือนโรคระบาดเรื้อรังชนิด
แก้ไม่หายหรือไม่สนใจจะแก้ นอกจากจะเพ่ิมเชอ้ื ใหม้ ากขนึ้ เทา่ นน้ั

ป่าช้าเป็นสถานท่ีอ�ำนวยความรู้ความฉลาดให้แก่ผู้สนใจพิจารณา
อยา่ งกวา้ งขวาง เพราะคำ� วา่ ปา่ ชา้ เปน็ จดุ ใหญท่ สี่ ดุ ของโลก ทกุ คนทกุ เพศ
ทกุ วยั และทกุ ชาตชิ นั้ วรรณะจำ� ตอ้ งประสบดว้ ยกนั จะกระโดดขา้ มไปไมไ่ ด้
เพราะไม่ใชค่ ลองเล็กๆ พอจะก้าวข้ามไปอย่างง่ายดายโดยมิไดพ้ ิจารณา
จนรรู้ อบขอบชดิ กอ่ น ดงั พระพทุ ธเจ้าและพระสาวกอรหันตท์ า่ นข้ามไป
แมเ้ ชน่ นนั้ กป็ รากฏวา่ ทา่ นตอ้ งเรยี นวชิ าจากสถาบนั ใหญ่ คอื ความเกดิ แก่
เจบ็ ตาย จนเชยี่ วชาญทกุ ๆ แขนงกอ่ น แลว้ จงึ โดดขา้ มไปอยา่ งสบายหายหว่ ง
ไม่ต้องตดิ บว่ งแห่งมารอยู่เหมือนพวกท่ีลืมตนลมื ตาย ไม่สนใจพจิ ารณา
เรอ่ื งของตวั คือมรณธรรมอันขวางหน้าอยู่ ซึ่งจะตอ้ งโดนในไม่ชา้ นี้

การเยย่ี มปา่ ชา้ เพอื่ พจิ ารณาความตาย จงึ เปน็ ทางผอ่ นคลายหายกลวั
ท้ังเร่ืองของตัวและเร่ืองของคนอื่นได้อย่างไม่มีประมาณ จนเกิดความ
อาจหาญตอ่ ความตาย ทง้ั ๆ ทโ่ี ลกกลวั กนั ทว่ั ดนิ แดน ซงึ่ ไมน่ า่ จะเปน็ ไปได้
แตก่ ไ็ ดเ้ ปน็ ไปในวงของนกั ปฏบิ ตั ธิ รรมมาแลว้ มพี ระพทุ ธเจา้ และพระสาวก
เปน็ ตวั อย่างอนั ยอดเยยี่ ม เสรจ็ แลว้ จงึ ประทานพระโอวาทเกีย่ วกับการ
พิจารณาความเกดิ แก่ เจ็บ ตาย ไว้ทุกแง่ทุกมุม เพื่อหมชู่ นผู้มคี วาม

78

รับผิดชอบในตนและผู้เกี่ยวข้องได้น�ำไปพิจารณาหาทางแก้ไขบรรเทา
ความมัวเมาเขลาปัญญาของตนขณะทยี่ ังมีชีวติ อยู่ ซ่ึงเป็นเวลาที่พอดบิ
พอดี ยังไม่สายเกินไป เม่ือส้ินลมหายใจจนไปถึงสถาบันใหญ่แล้ว
ตอ้ งนับวา่ หมดหนทางแกไ้ ข มอี ยู่เพียงอย่างเดียวคือ ถา้ ไม่เผาก็ต้องฝงั
เท่านั้น จะพาไปรักษาศีลภาวนาท�ำบุญสุนทานอย่างแต่ก่อนนั้นเป็นไป
ไมไ่ ดแ้ ล้ว

ทา่ นพระอาจารย์มั่นทา่ นเหน็ คุณของการเย่ียมป่าช้า วา่ เป็นสถานท่ี
ทใี่ หส้ ตปิ ญั ญารอบรกู้ บั เรอ่ื งของตนตลอดมา ทา่ นจงึ สนใจเยยี่ มปา่ ชา้ นอก
และป่าช้าในอยู่เสมอ แม้พระบางองค์ท่ีเป็นลูกศิษย์ท่านก็ยังพยายาม
ตะเกยี กตะกายปฏิบตั ิตามทา่ น ทั้งๆ ท่ตี นเป็นพระทก่ี ลัวผีมาก ซ่งึ เรา
ไม่ค่อยได้ยินกันในค�ำว่าพระกลัวผีและธรรมกลัวโลก แต่พระองค์น้ัน
ได้เป็นพระที่กลวั ผเี สยี แลว้

ทา่ นเลา่ ใหฟ้ งั วา่ พระองคห์ นงึ่ เทย่ี วธดุ งคไ์ ปพกั อยใู่ นปา่ ใกลก้ บั ปา่ ชา้
แตเ่ จา้ ตวั ไมร่ วู้ า่ ถกู โยมพาไปพกั รมิ ปา่ ชา้ เพราะไปถงึ หมบู่ า้ นนนั้ ตอนเยน็ ๆ
และถามถงึ ปา่ ทค่ี วรพกั บำ� เพญ็ เพยี ร โยมกช็ บ้ี อกตรงปา่ นน้ั วา่ เปน็ ทเ่ี หมาะ
แต่มิได้บอกวา่ เป็นป่าชา้ แล้วพาท่านไปพักทน่ี ั้น พอพักได้เพียงคืนเดียว
วนั ตอ่ มากเ็ หน็ เขาหามผตี ายผา่ นมาทนี่ นั้ เลยไปเผาทป่ี า่ ชา้ ซง่ึ อยหู่ า่ งจาก
ทพ่ี กั ทา่ นประมาณ ๑ เสน้ ทา่ นมองตามไปกเ็ หน็ ทเ่ี ขาเผาอยอู่ ยา่ งชดั เจน
องคท์ า่ นเองพอมองเหน็ หบี ศพทเ่ี ขาหามผา่ นมาเทา่ นนั้ กช็ กั เรม่ิ กลวั ใจไมด่ ี
และยังนึกว่าเขาจะหามผ่านไปเผาท่ีอื่น แม้เช่นน้ันก็นึกเป็นทุกข์ไว้เผ่ือ
ตอนกลางคืนอยู่อีก กลัวว่าภาพนั้นจะมาหลอกหลอนท�ำให้นอนไม่ได้
ตอนกลางคนื

79

ความจรงิ ที่ทา่ นพักอย่กู ลับเป็นริมป่าช้า และยังได้เหน็ เขาเผาผอี ยู่
ตอ่ หนา้ ซง่ึ อยไู่ มห่ า่ งไกลเลย ทา่ นยง่ิ คดิ ไมส่ บายใจและเปน็ ทกุ ขใ์ หญ่ คอื
ทงั้ จะคดิ เปน็ ทกุ ขใ์ นขณะนนั้ และคดิ เปน็ ทกุ ขเ์ ผอื่ ตอนกลางคนื อกี ใจเรมิ่
กระวนกระวายเอาการอยนู่ ับแตข่ ณะทไ่ี ด้เห็นศพทแี รก เม่อื ตกกลางคืน
ยิง่ กลวั มาก และหายใจแทบไมอ่ อก ปรากฏวา่ ตีบตนั ไปหมด นา่ สงสาร
ท่ีพระกลัวผีถึงขนาดนี้ก็มี จึงได้เขียนลงเพ่ือท่านผู้อ่านที่เป็นนักกลัวผี
จะได้พิจารณาดูความบกึ บึนท่ที า่ นพยายามต่อสกู้ บั ผีในคราวน้นั จนเปน็
ประวตั กิ ารณอ์ นั เก่ยี วกับสว่ นได้สว่ นเสยี มอี ยู่ในเน้อื เร่ืองอนั เดยี วกนั นี้

พอเขากลับกันหมดแล้ว ท่านเริ่มเกิดเร่ืองยุ่งกับผีแต่ขณะน้ันมา
จนถึงตอนเย็นและกลางคืน จิตใจไม่เป็นอันเจริญสมาธิภาวนาเอาเลย
หลบั ตาลงไปทไี ร ปรากฏวา่ มแี ตผ่ เี ขา้ มาเยยี่ มถามขา่ วถามคราวความทกุ ข์
สุกดบิ ตา่ งๆ อนั สืบสาวยาวเหยียดไมม่ ีประมาณ และปรากฏว่าพากนั มา
เปน็ พวกๆ กย็ ง่ิ ทำ� ใหท้ า่ นกลวั มาก แทบไมม่ สี ตยิ บั ยงั้ ตงั้ ตวั ไดเ้ ลย เรอ่ื งเรม่ิ
แต่ขณะมองเห็นศพท่ีเขาหามผ่านหน้าท่านไปจนถึงกลางคืน ไม่มีเวลา
เบาบางลงบา้ งพอใหห้ ายใจได้ นบั วา่ ทา่ นเปน็ ทกุ ขถ์ งึ ขนาดทจี่ ะทนอดกลน้ั
ไดน้ บั แตว่ นั บวชมากเ็ พงิ่ มคี รง้ั เดยี วเทา่ นนั้ ทต่ี อ่ สกู้ บั ผใี นมโนภาพอยเู่ ปน็
เวลาหลายช่ัวโมง

ท่านจึงพอมสี ติระลึกไดบ้ า้ งว่า ที่เราคดิ กลัวผกี ็ดี ท่เี ข้าใจว่าผีพากนั
มาเย่ยี มเราเป็นพวกๆ กด็ ี อาจไม่เปน็ ความจรงิ กเ็ ปน็ ได้ และอาจเปน็
เร่ืองเราวาดมโนภาพศพข้ึนมาหลอกตนเองให้กลัวเปล่าๆ มากกว่า
อยา่ กระนน้ั เลย เพราะถงึ อยา่ งไรเรากเ็ ปน็ พระธดุ งคกรรมฐานทงั้ องค์ ทโ่ี ลก
ใหน้ ามว่าเปน็ พระทเ่ี กง่ กาจอาจหาญเอาจรงิ เอาจงั และเปน็ พระประเภท

80

ทไ่ี มก่ ลวั อะไรๆ ไมว่ า่ จะเปน็ ผที ต่ี ายแลว้ หรอื เปน็ ผเี ปรต ผหี ลวง ผที ะเล
อะไรๆ มาหลอกกไ็ มก่ ลวั แตเ่ ราซง่ึ เปน็ พระธดุ งคท์ โี่ ลกเคยยกยอสรรเสรญิ
อย่างยิ่งมาแล้วว่าไม่กลัวอะไร แล้วท�ำไมจึงมาเป็นพระที่อาภัพอับเฉา
วาสนา บวชมากลวั ผี กลวั เปรต กลวั ลมกลวั แลง้ อยา่ งไมม่ เี หตมุ ผี ลเอาได้
เป็นท่ีน่าอับอายขายหน้าหมู่คณะซ่ึงเป็นพระธุดงคกรรมฐานด้วยกัน
เสียเรี่ยวแรงและก�ำลังใจของโลกที่อุตส่าห์ยกยอให้ว่าเป็นพระดี พระ
ไม่กลวั ผกี ลวั เปรต คร้นั แล้วก็เป็นพระอยา่ งน้ไี ปได้

เม่ือท่านพรรณนาคุณของพระธุดงค์และต�ำหนิตัวเองว่าเป็นพระ
เหลวไหลไมเ่ ปน็ ทา่ แลว้ กบ็ อกกบั ตวั เองวา่ นบั แตข่ ณะนเี้ ปน็ ตน้ ไป ซง่ึ ขณะนน้ั
เปน็ เวลากลางคืน เรามคี วามกลัวในสถานท่ใี ด จะตอ้ งไปในสถานทน่ี น้ั
ให้จงได้ ก็บดั นีใ้ จเรากำ� ลงั กลัวผีท่กี ำ� ลังถูกเผา ซ่งึ มองเหน็ กองไฟอย่ใู น
ปา่ ช้านนั้ เราต้องไปที่น้ันให้ไดใ้ นขณะนี้ ว่าแล้วกเ็ ตรยี มตัวครองผา้ ออก
จากทพ่ี กั เดนิ ตรงไปทศี่ พซงึ่ กำ� ลงั ถกู เผาและมองเหน็ อยอู่ ยา่ งชดั เจนทนั ที
พอออกเดนิ ไปไดไ้ มก่ กี่ า้ ว ขาชกั แขง็ กา้ วไมค่ อ่ ยออกเสยี แลว้ ใจทง้ั เตน้
ท้งั สนั่ ตัวรอ้ นเหมอื นถกู แดดเผาเวลากลางวัน เหงอื่ แตกโชกไปท้ังตวั
เห็นท่าไม่ไดก้ ารจึงรีบเปลยี่ นวิธใี หม่ คอื เดินแบบเทา้ ต่อเทา้ ติดๆ กนั ไป
ไมย่ อมใหห้ ยดุ อยกู่ บั ที่ ตอนนที้ า่ นตอ้ งบงั คบั ใจอยา่ งเตม็ ที่ ทงั้ กลวั ทง้ั สนั่
แทบไมเ่ ปน็ ตวั ของตวั เหมอื นอะไรๆ มนั จะสดุ ๆ สน้ิ ๆ ไปเสยี แลว้ เวลานนั้
แต่ท่านไม่ถอยความพยายามที่จะก้าวไปให้ถึงแบบเอาเป็นเอาตายเข้า
วา่ กัน สดุ ท้ายกไ็ ปจนถึง

พอไปถึงศพแล้ว แทนท่ีจะสบายตามความรู้สึกในสิ่งทั่วๆ ไปว่า
“สมประสงค์แลว้ ” แต่เวลานน้ั ปรากฏวา่ ตัวเองจะเป็นลมและลมื หายใจ

81

ไปจนแล้วจนรอด จึงข่มใจพยายามดศู พทีก่ �ำลงั ถกู เผาทัง้ ๆ ทีก่ ำ� ลังกลัว
แทบจะเป็นบ้าเป็นหลงั ไปอยูแ่ ล้ว พอมองเหน็ กะโหลกศีรษะผีที่ถกู เผา
จนไหมแ้ ละขาวหมดแลว้ ใจกย็ งิ่ กำ� เรบิ กลวั ใหญ่ แทบจะพาเหาะลอยไป
ในขณะนนั้ จงึ พยายามสะกดใจไว้ แลว้ พานง่ั สมาธลิ งตรงหนา้ ศพหา่ งจาก
เปลวไฟเผาศพพอประมาณ โดยหันหน้ามาทางศพเพื่อท�ำศพให้เป็น
เปา้ หมายของการพจิ ารณา บังคบั ใจทีก่ �ำลงั กลวั ๆ ใหบ้ ริกรรมวา่ เราก็จะ
ตายเชน่ เดยี วกบั เขาคนนี้ ไมต่ อ้ งกลวั เรากจ็ ะตาย ไมต่ อ้ งกลวั เรากจ็ ะตาย
กลวั ไปทำ� ไม ไม่ตอ้ งกลวั

ขณะท่ีนั่งบังคับใจให้บริกรรมภาวนาความตายอยู่ด้วยทั้งความ
กระวนกระวาย เพราะกลวั ผนี นั้ ไดป้ รากฏเสยี งแปลกประหลาดขนึ้ ขา้ งหลงั
เสียงบาทยา่ งเทา้ ดงั เข้ามาเป็นบทเปน็ บาท เหมอื นมีอะไรเดนิ มาหาทา่ น
ซ่งึ ก�ำลงั นงั่ สมาธิภาวนาอยู่ และเดนิ ๆ หยดุ ๆ เป็นลกั ษณะจดๆ จ้องๆ
คล้ายจะมาท�ำอะไรทา่ น ซ่งึ เปน็ ความรูส้ ึกท่คี ดิ ขึ้นในขณะน้นั ก็ย่ิงท�ำให้
ใจกำ� เรบิ ใหญถ่ งึ ขนาดจะวง่ิ หนแี ละรอ้ งออกมาดงั ๆ วา่ ผมี าแลว้ ชว่ ยดว้ ย
ถ้าเทียบทางวัตถุก็ยังอีกเส้นผมเดียวท่ีท่านจะออกวิ่ง ท่านอดใจรอฟัง
ไปอกี ก็ไดย้ ินเสยี งค่อยๆ เดินมาข้างๆ ห่างท่านประมาณ ๓ วา แล้วก็
ได้ยินเสียงเค้ียวอะไรกร้อบแกร้บ ย่ิงท�ำให้ท่านคิดไปมากว่า มันมา
เคีย้ วกินอะไรท่ีนี่ เสร็จแล้วก็จะมาเคย้ี วเอาศีรษะเราเข้าอีก ก็เป็นอันว่า
เราต้องจบเรอ่ื งกับผตี ัวรา้ ยกาจไม่ไวห้ นา้ ใครอยู่ที่น้แี น่ๆ

พอคดิ ขึน้ มาถงึ ตอนนี้ ท่านอดรนทนไม่ไหว จงึ คดิ จะลืมตาข้นึ ดูมัน
เผ่ือเห็นท่าไม่ได้การจะได้เตรียมวิ่งหนีเพื่อเอาตัวรอด ดีกว่าจะมายอม
จอดจมใหผ้ ตี วั ไมม่ คี วามดอี ะไรเลยกนิ เปลา่ เมอื่ ชวี ติ รอดไปไดเ้ รายงั มหี วงั

82

ไดบ้ ำ� เพญ็ เพยี รตอ่ ไป ยงั จะมกี ำ� ไรกวา่ การเอาชวี ติ ของพระทงั้ องคม์ าใหผ้ ี
กินเปล่า พอปลงตกแล้วก็รีบลืมตาข้ึนมาดูผีตัวก�ำลังเคี้ยวอะไรกร้อบๆ
อยู่ขณะน้ัน พร้อมกับเตรียมตัวจะว่ิงเพื่อตัวรอดหวังเอาชีวิตไปจอด
ขา้ งหนา้ พอลมื ตาขนึ้ มาดจู รงิ ๆ สง่ิ ทเ่ี ขา้ ใจวา่ ผตี วั รา้ ยกาจ เลยกลายเปน็
สุนัขบ้านออกมาเท่ียวเก็บกินเศษอาหารท่ีเขาน�ำมาเพื่อเซ่นผู้ตายตาม
ประเพณี ซ่ึงไม่สนใจกับใครและมาจากที่ไหน คงเท่ียวหากินไปตาม
ภาษาสตั ว์ซง่ึ เปน็ ผ้อู าภพั ทางอาหารประจำ� ชาติตามกรรมนยิ ม

สว่ นพระธดุ งคกรรมฐาน พอลืมตาข้นึ มาเหน็ สนุ ัขอย่างเตม็ ตาแล้ว
เลยทงั้ หวั เราะตวั เอง และคดิ พดู ทางใจกบั สนุ ขั ตวั ไมร่ ภู้ าษาและไมส่ นใจ
กับใครน้ันว่า แหม! สุนัขตัวนี้มีอ�ำนาจวาสนามากจริง ท�ำเอาเราแทบ
ตัวปลิวไปได้ และเป็นประวัติการณ์อันส�ำคัญต่อไปไม่มีสิ้นสุด ท้ังเกิด
ความสลดสงั เวชตนอยา่ งยิง่ ทไ่ี มเ่ ป็นท่าเอาเลย ทั้งๆ ที่ไดพ้ ูดกับตวั เอง
แลว้ วา่ จะเปน็ นกั สแู้ บบเอาชวี ติ เขา้ ประกนั แตพ่ อเขา้ มาเยย่ี มศพในปา่ ชา้
และได้ยินเสียงสุนัขมาเท่ียวหากินเท่านี้ก็แทบตั้งตัวไม่ติด และจะเป็น
กรรมฐานบา้ ว่ิงเตลดิ เปิดเปิงไปจนได้ ยังดีที่มพี ระธรรมท่านเมตตาไวใ้ ห้
รออยู่ประมาณผมเสน้ หน่งึ พอรเู้ หตผุ ลตน้ ปลายบา้ ง ไมเ่ ชน่ นนั้ คงเป็น
บ้าไปเลย โอ้โฮ! เราน้ีโงแ่ ละหยาบถึงขนาดนี้เชียวหรอื ควรจะครองผ้า
เหลืองอันเป็นเครื่องหมายของศิษย์พระตถาคตผู้องอาจกล้าหาญไม่มี
ใครเสมอเหมือนอีกต่อไปละหรือ และควรจะไปบิณฑบาตจากชาวบ้าน
มากินใหส้ ิ้นเปลืองของเขาเปลา่ ๆ ด้วยความไมเ่ ป็นทา่ ของเราอยอู่ กี หรือ

เราจะปฏิบัติต่อตัวเองที่แสนต่�ำทรามอย่างไรบ้าง จึงจะสาสมกับ
ความเลวทรามไม่เป็นท่าของตนซง่ึ แสดงอยู่ขณะนี้ ลกู ศษิ ยพ์ ระตถาคต

83

ผู้โง่เขลาและต่�ำทรามขนาดเราน้ีจะยังมีอยู่ให้หนักพระศาสนาต่อไปอีก
ไหมหนอ ขนาดมเี ราเพยี งคนเดยี วเทา่ นีก้ ็นับว่าจะท�ำพระศาสนาให้ซวย
พอแลว้ ถ้าขนื มอี ีกเชน่ เราน้ีพระศาสนาคงแยแ่ น่ๆ ความกลวั ผีซ่ึงเป็น
เรอื่ งกดถว่ งใหเ้ ราเปน็ คนตำ่� ทรามไมเ่ ปน็ ทา่ นน้ั เราจะปฏบิ ตั ติ อ่ กนั อยา่ งไร
รีบตดั สินใจเดย๋ี วน้ี ถา้ รอไปนานกข็ อใหเ้ ราตายเสยี ดกี วา่ อยา่ มายอมตวั
ให้ความกลัวผีเหยียบย่�ำบนหัวใจอีกต่อไปเลย อายโลกเขาแทบไม่มี
แผ่นดินจะใหค้ นหนกั พระศาสนาอยู่ตอ่ ไปอีกแลว้ พอพร�่ำสอนตนจบลง
ทา่ นทำ� ความเขา้ ใจกบั ตวั เองวา่ ถา้ ไมห่ ายกลวั ผเี มอื่ ไร จะไมย่ อมหนจี าก
ทนี่ ี้อยา่ งเด็ดขาด ตายกย็ อมตาย ไม่ควรอยู่ใหห้ นกั โลกและพระศาสนา
ตอ่ ไป คนอนื่ ยงั จะเอาอยา่ งไมด่ ไี ปใชอ้ กี ดว้ ย และจะกลายเปน็ คนไมเ่ ปน็ ทา่
ไปหลายคน และหนักพระศาสนาย่ิงขน้ึ ไปอกี มากมาย

นบั แตข่ ณะนนั้ มา ทา่ นตง้ั ใจปฏบิ ตั ติ อ่ ความกลวั อยา่ งกวดขนั โดยเขา้
ไปอยู่ป่าช้าท้ังกลางวันกลางคืน ยึดเอาคนที่ตายไปแล้วมาเทียบกับตน
ซง่ึ ยงั เปน็ อยู่ วา่ เปน็ สว่ นผสมของธาตเุ ชน่ เดยี วกนั เวลาใจยงั ครองตวั อยู่
กม็ ที างเปน็ สตั วเ์ ปน็ บคุ คลสบื ตอ่ ไป เมอ่ื ปราศจากใจครองเพยี งอยา่ งเดยี ว
ธาตุท้ังมวลที่ผสมกันอยู่ก็สลายลงไป ที่เรียกว่าคนตาย และยึดเอา
ความสำ� คญั ทไ่ี ปหมายสนุ ขั ทงั้ ตวั ทมี่ าเทย่ี วหากนิ ในปา่ ชา้ วา่ เปน็ ผมี าสอน
ตวั เองวา่ เปน็ ความส�ำคัญที่เหลวไหลจนบอกใครไมไ่ ด้ ไมค่ วรเชอ่ื ถือวา่
เปน็ สาระตอ่ ไปกบั คำ� วา่ ผมี าหลอก ความจรงิ แลว้ คอื ใจหลอกตวั เองทง้ั เพ
การกลวั กก็ ลัวเพราะใจหลอกหลอนตัวเอง ทกุ ข์ก็เพราะความเชอ่ื ความ
หลอกลวงของใจ จนทำ� ใหเ้ ปน็ ทกุ ขแ์ บบจะเปน็ จะตายและแทบจะเสยี คน
ไปทง้ั คนในขณะนนั้ ผจี รงิ ไม่ปรากฏวา่ มาหลอกหลอน

84

เราเคยหลงเชอื่ ความคดิ ความหมายมน่ั ปน้ั เรอื่ งหลอกลวงตา่ งๆ ของ
จติ มานาน แตย่ ังไม่ถงึ ข้ันจะพาตัวใหล้ ม่ จมเหมอื นครงั้ นี้ ธรรมทา่ นสอน
ไวว้ ่า สัญญาเป็นเจา้ มายานั้น แตก่ อ่ นเรายงั ไม่ทราบความหมายชัดเจน
เพงิ่ มาทราบเอาตอนจะตายทงั้ เปน็ และจะเหมน็ ทง้ั ทยี่ งั ไมเ่ นา่ ขณะกลวั ผี
ที่ถูกเจ้าสัญญาหลอกและต้มตุ๋นนี้เอง ต่อไปนี้สัญญาจะมาหลอกเรา
เหมอื นแตก่ อ่ นไมไ่ ดแ้ นน่ อน เราจะตอ้ งอยปู่ า่ ชา้ นจี้ นกวา่ เจา้ สญั ญาทเ่ี คย
หลอกตายไปเสยี กอ่ น จนไม่มอี ะไรมาหลอกใหก้ ลัวผีตอ่ ไปถงึ จะหนีไป
ทอ่ี น่ื เวลานเี้ ปน็ เวลาทเี่ ราจะทรมานสญั ญาตวั ปลน้ิ ปลอ้ นหลอกลวงเกง่ ๆ
น้ีให้ตายไป จนได้เผาศพมันเหมือนเผาศพผีตายดังท่ีเราเห็นเมื่อวาน
เสยี ก่อน เม่อื ชวี ิตยังอยู่ อยากไปทีไ่ หนเราถึงจะไปทีหลัง

ตอนนถ้ี งึ ขนั้ เดด็ ขาดกบั สญั ญา ทา่ นกเ็ ดด็ จรงิ ๆ และทรมานถงึ ขนาด
ทส่ี ญั ญาหมายขน้ึ วา่ ผมี อี ยู่ ณ ทใี่ ด และเกดิ ขน้ึ ขณะใดทา่ นตอ้ งไปทนี่ น้ั
เพอ่ื ดแู ละรเู้ ทา่ มนั ทนั ที จนสญั ญาเผยอตวั ขนึ้ ไมไ่ ดใ้ นคนื วนั นนั้ เพราะทา่ น
ไมย่ อมหลบั นอนเอาเลย ตง้ั หนา้ ตอ่ สกู้ บั ผภี ายนอก คอื สนุ ขั ซง่ึ เกอื บเสยี ตวั
ไปกับมัน พอได้เง่ือนและได้สติ ท่านก็ย้อนกลับมาต่อสู้กับผีภายใน
ใหห้ มอบราบไปตามๆ กนั นบั แตข่ ณะทรี่ ตู้ วั แลว้ ความกลวั ผไี มเ่ คยเกดิ ขน้ึ
รบกวนทา่ นได้อีกตลอดทัง้ คนื แมค้ นื ตอ่ มา ท่านก็ต้งั ท่ารับความกลัวนัน้
อยา่ งแขง็ แกรง่ ตอ่ ไป จนกลายเปน็ พระองคก์ ลา้ หาญตอ่ หลายๆ สงิ่ ขน้ึ มา
อยา่ งไมน่ า่ เชอ่ื แตเ่ รอ่ื งกเ็ ปน็ ความจรงิ จากทา่ นมาแลว้ จนเปน็ เรอ่ื งฝงั ใจ
และต้ังตวั ได้เพราะผีเปน็ เหตแุ ตบ่ ัดนั้นเปน็ ตน้ มา

ความกลัวผีจึงเป็นธรรมเทศนากัณฑ์เอกโปรดท่านให้กลายเป็น
พระอันแท้จริงขึ้นมาองค์หน่ึง ถึงได้น�ำมาแทรกลงในประวัติของท่าน

85

พระอาจารยม์ นั่ เผอ่ื ทา่ นผอู้ า่ นไดน้ ำ� ไปเปน็ คตติ อ่ ไป คงไมไ่ รส้ าระไปเสยี
ทเี ดยี ว เชน่ กบั ประวตั ขิ องทา่ นผเู้ ปน็ อาจารย์ ซง่ึ เปน็ ประวตั ทิ ใี่ หค้ ตแิ กโ่ ลก
อยู่เวลาน้ี ฉะนั้น การเย่ียมป่าช้าจึงเป็นความส�ำคัญส�ำหรับธุดงควัตร
ประจำ� สมยั ตลอดมา หนง่ึ

การถอื ไตรจวี รคอื ผา้ ๓ ผนื เปน็ วตั ร ทา่ นพระอาจารยม์ นั่ ถอื ปฏบิ ตั ิ
มาแต่เร่ิมอุปสมบทไมล่ ดละ จนถึงวัยชราจึงลดหยอ่ นผอ่ นตามธาตุขนั ธ์
ที่ต้องการความบ�ำรุงมากข้ึนทุกระยะ ท่ีท่านปฏิบัติเช่นน้ันโดยเห็นว่า
พระธุดงคกรรมฐานครั้งน้ันไม่อยู่ประจำ� ท่ีนัก นอกจากในพรรษาเท่าน้ัน
ตอ้ งเทย่ี วไปในปา่ นนั้ ในภเู ขาลกู นอี้ ยเู่ สมอ การไปกต็ อ้ งเดนิ ดว้ ยเทา้ เปลา่
ไม่มรี ถราเหมอื นสมยั นี้ มบี ริขารมากน้อยตอ้ งสะพายไปเอง ช่วยตวั เอง
ทงั้ นน้ั ของใครของเราชว่ ยกนั ไมไ่ ด้ เพราะตา่ งคนตา่ งมพี อกบั กำ� ลงั ของตวั
จะมมี ากกวา่ นนั้ กเ็ อาไปไมไ่ หว ทง้ั เปน็ ความไมส่ ะดวก พะรงุ พะรงั อกี ดว้ ย
จงึ มเี ฉพาะทจี่ ำ� เปน็ จรงิ ๆ นานไปกก็ ลายเปน็ ความเคยชนิ ตอ่ นสิ ยั แมผ้ มู้ มี า
ถวายกใ็ ห้ทานผู้อนื่ ไป ไม่สง่ั สมใหเ้ ป็นการกงั วล

เพราะสมณะเรามีความสวยงามอยู่กับการปฏิบัติดีและไม่สั่งสม
เวลาตายไปใหม้ ีแตบ่ ริขารแปด ซง่ึ เป็นของจำ� เป็นสำ� หรบั พระเทา่ น้ัน
เปน็ ความงามอยา่ งยงิ่ เมอ่ื มชี วี ติ อยกู่ ส็ งา่ ผา่ เผยดว้ ยความจนแบบพระ
เวลาตายก็เป็นสุคโต ไมม่ อี ารมณ์กบั สง่ิ ใดอนั เปน็ เกยี รตอิ ยา่ งยิ่งของ
พระผตู้ ายดว้ ยความจน มนษุ ยแ์ ละเทวดาสรรเสรญิ ธดุ งควตั รขอ้ นจ้ี งึ
เปน็ เครื่องประดับสมณะใหง้ ามตลอดอวสานขอ้ หนึ่ง

ธดุ งควตั รเหลา่ น้ี ทา่ นเคยปฏบิ ตั มิ าเปน็ ประจำ� ไมล่ ดละ ปรากฏวา่ เปน็
ผคู้ ลอ่ งแคลว่ ชำ� นชิ ำ� นาญในทางนอี้ ยา่ งยากจะหาผเู้ สมอไดใ้ นสมยั ปจั จบุ นั

86

และได้อบรมส่ังสอนพระเณรผู้มาศึกษาอบรมด้วยธุดงควัตรเหล่าน้ี
คอื ทา่ นพาอยรู่ กุ ขมลู รม่ ไม้ ในปา่ ในเขา ในถำ�้ เงอื้ มผา ปา่ ชา้ ซง่ึ ลว้ นเปน็
สถานที่เปล่าเปล่ียวน่ากลัว พาบิณฑบาตเป็นกิจวัตรประจ�ำวัน ไม่พา
รบั อาหารทมี่ ผี ตู้ ามสง่ ทหี ลงั ขอ้ นค้ี ณะศรทั ธาเมอื่ ทราบอธั ยาศยั ทา่ นแลว้
เขามอี าหารคาวหวานอยา่ งไร กพ็ ากนั จดั ใสบ่ าตรถวายทา่ นไปพรอ้ มเสรจ็
ไม่ต้องไปส่งให้ล�ำบาก พาฉันส�ำรวมในบาตร ไม่มีภาชนะชนิดส�ำหรับ
ใสอ่ าหาร ทงั้ คาวหวานรวมลงในบาตรใบเดยี ว พาฉนั มอื้ เดยี วคอื วนั ละหน
มาเปน็ ประจ�ำจนอวสานสดุ ทา้ ย

พระเณรท่ีเป็นลูกศิษย์ตลอดฆราวาสญาติโยมนับวันแน่นหนาขึ้น
เป็นล�ำดบั ทา่ นไปพัก ณ ทใี่ ด มีพระเณรพยายามตดิ สอยหอ้ ยตามเป็น
จ�ำนวนมาก บางสมัยมพี ระเณรอยู่กับท่านราว ๖๐–๗๐ รูปกม็ ี ท่พี กั อยู่
แถวบริเวณใกล้เคียงก็ยังมีอีกมาก แต่ท่านพยายามระบายพระเณรให้
แยกยา้ ยกนั ไปอยใู่ นทต่ี า่ งๆ ไมไ่ กลกนั พอไปมาหาสเู่ พอื่ ศกึ ษาอรรถธรรม
ในเวลาเกดิ ความสงสยั สะดวกและเหมาะแกก่ ารบำ� เพญ็ ธรรม ไมห่ ลายองค์
เกินไปจนกลายเปน็ ความไม่สงบ วันอโุ บสถ ปาฏโิ มกข์ ต่างก็ทยอยมา
รวมกนั ทำ� ทสี่ ำ� นกั ทา่ น หลงั จากปาฏโิ มกขแ์ ลว้ ทา่ นใหโ้ อวาทสงั่ สอนและ
แก้ปัญหาข้อข้องใจแก่ผู้มีความสงสัยเรียนถามเป็นรายๆ ไป จนเป็นท่ี
พอใจแล้ว ต่างองค์ก็กลับไปสู่ท่ีอยู่ของตนด้วยความอ่ิมเอิบในธรรมที่
ไดร้ บั จากท่าน และตา่ งก็ตั้งหน้าปฏิบตั ิดว้ ยความสนใจ ทั้งศลี ท้งั สมาธิ
และปญั ญาตามภูมิและก�ำลังของตน ตลอดขอ้ วตั รปฏบิ ัตอิ ยา่ งอน่ื ที่เป็น
อปุ กรณแ์ กก่ ารบ�ำเพ็ญ

87

พระเณรแมจ้ ะอยกู่ บั ทา่ นเปน็ จำ� นวนมากในบางสมยั แตก่ ารปกครอง
เป็นที่เบาใจตลอดมา เพราะท่านท่มี าศกึ ษาตา่ งพรอ้ มแลว้ ท่ีจะปฏบิ ัติตน
เพื่อความเป็นคนดีตามโอวาทท่ีท่านอบรมสั่งสอน เรื่องราวอันเป็น
ข้าศึกต่อความสงบจึงไม่ค่อยมีในป่าที่พระเณรกับท่านพักอยู่รวมกันเป็น
จำ� นวนมาก แตเ่ ปน็ เหมอื นไมม่ คี นอยทู่ นี่ นั้ เลย ถา้ ไปไมถ่ กู กบั เวลาทที่ า่ น
มารวมกนั เชน่ เวลาฉนั และเวลาประชุมเท่านั้น นอกเวลาแลว้ จะไปหา
ทา่ นกไ็ มพ่ บ เพราะตา่ งองคต์ า่ งหลกี เรน้ อยกู่ บั ความเพยี ร คอื การเดนิ จงกรม
นั่งสมาธภิ าวนาในปา่ เปน็ แห่งๆ จำ� เพาะองค์ ท้ังกลางวันและกลางคนื

เวลาทา่ นประชมุ ใหโ้ อวาทแกพ่ ระเณรตอนกลางคนื จะไดย้ นิ เฉพาะ
เสียงท่านที่ให้โอวาทเท่าน้ัน เสียงจากพระเณรแม้จะอยู่ร่วมกันเป็น
จำ� นวนมาก ไมป่ รากฏในขณะนน้ั กระแสเสยี งและเนอ้ื ธรรมทท่ี า่ นใหโ้ อวาท
แกพ่ ระเณรรสู้ กึ ซาบซง้ึ จบั ใจไพเราะ ทำ� ใหผ้ ฟู้ งั เคลมิ้ ไปตามกระแสธรรม
จนลมื เนอื้ ลมื ตวั ลมื ความเหนด็ เหนอื่ ย ลมื เวลำ�่ เวลา ไมร่ สู้ กึ กบั สงิ่ อนื่ ใด
ในขณะนน้ั นอกจากกระแสธรรมกบั ใจสมั ผสั สมั พนั ธก์ นั อยอู่ ยา่ งเพลนิ ตวั
ไมร่ จู้ กั อมิ่ พอเทา่ นน้ั การประชมุ ครง้ั หนง่ึ ๆ เปน็ เวลาหลายชวั่ โมง เพราะ
ถือเป็นการท�ำความเพียรทางสมาธิและปัญญาอันเป็นภาคปฏิบัติอยู่กับ
การฟงั ในขณะน้นั ด้วย

พระธดุ งคจ์ งึ มคี วามเลอื่ มใสในอาจารยแ์ ละในการฟงั มากเปน็ พเิ ศษ
เน่ืองจากอาจารย์ผู้คอยให้โอวาทตักเตือนและการฟังถือเป็นเส้นชีวิต
จติ ใจแหง่ การปฏบิ ตั ทิ างภายในของพระธดุ งคจ์ รงิ ๆ ทา่ นจงึ มคี วามเคารพรกั
ตอ่ อาจารยม์ าก แมช้ วี ติ กย็ อมสละแทนได้ ทพี่ ระอานนทม์ คี วามจงรกั ภกั ดี
ต่อพระพุทธองค์ถึงกับกล้าสละว่ิงออกขัดขวางช้างตัวเมามันท่ีเทวทัต

88

ปลอ่ ยใหม้ าทำ� ลายพระองคไ์ ดอ้ ยา่ งไมอ่ าลยั ชวี ติ กเ็ พราะความเคารพรกั
เป็นส�ำคญั

พระธุดงค์ในสมัยท่านพระอาจารย์ม่ันพาด�ำเนิน รู้สึกเป็นไปด้วย
ความเคารพเชอ่ื ฟงั โอวาทอยา่ งถงึ ใจ พอจะทราบไดเ้ วลาทา่ นหาอบุ ายจะ
ใหพ้ ระทอี่ าศยั อยกู่ บั ทา่ นไดก้ ำ� ลงั ใจเปน็ กรณพี เิ ศษวา่ ทา่ นองคน์ นั้ ควรไป
อยู่ในป่าน้ัน องค์น้ีควรไปอยู่ในถ�้ำนั้นดังนี้ พระองค์ที่ถูกระบุนามจะ
ไม่ขัดขืนและไปด้วยความเคารพเต็มใจจริงๆ โดยไม่สนใจคิดว่าจะกลัว
หรือจะเป็นจะตายอะไรเลย มีแต่ความดีใจและม่ันใจว่า ตัวจะต้องได้
กำ� ลงั ใจจากสถานทท่ี ที่ า่ นแสดงอบุ ายใหไ้ ปทา่ เดยี วและตง้ั ใจบำ� เพญ็ เพยี ร
ทง้ั กลางวันและกลางคนื ไมห่ ยดุ ยั้งลดละ มีความมุ่งมั่นตอ่ ผลทีจ่ ะพึงได้
จากความเพียรในสถานที่นั้นตามค�ำที่ท่านแนะให้ไป ประหน่ึงได้รับ
ค�ำพยากรณ์จากท่านมาแล้วอย่างมั่นใจว่าเม่ือพักอยู่ท่ีน้ันจะได้ผล
อยา่ งนน้ั ทำ� นองพระอานนทท์ ไ่ี ดร้ บั คำ� พยากรณจ์ ากพระพทุ ธเจา้ เวลาจะ
เสด็จปรินิพพานว่าอีกสามเดือนเธอจะไปเป็นผู้ไม่มีกิเลสเหลืออยู่ในใจ
คือจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตบุคคลในวันท�ำสังคายนาแน่นอนฉะนั้น
เหลา่ นพ้ี อจะทราบไดว้ า่ ความเคารพเชอื่ ฟงั ครอู าจารยเ์ พอ่ื ผลทตี่ นมงุ่ หวงั
เปน็ สงิ่ สำ� คญั มาก ทำ� ใหผ้ นู้ น้ั มคี วามสนใจจดจอ่ ไมเ่ ผอเรอและเลอื่ นลอย
ปลอ่ ยใจปลอ่ ยตวั นบั วา่ เปน็ ผมู้ หี ลกั ยดึ ของใจดว้ ยดี พดู อะไรกพ็ อรเู้ รอ่ื ง
กันบา้ ง ไม่ตอ้ งพูดซ้ำ� ๆ ซากๆ จนกลายเปน็ เร่ืองร�ำคาญและหนกั ใจด้วย
กนั ทงั้ สองฝา่ ยโดยไม่เกดิ ประโยชนอ์ ะไรเลย

ท่านพระอาจารย์มั่นกลับไปภาคอีสานเท่ียวที่สองนี้ ท�ำให้ผู้คน
พระเณรต่ืนเต้นและกระตือรือร้นกันทั้งภาค เพราะท่านเท่ียวจาริก

89

และอบรมส่ังสอนในท่ีต่างๆ เกือบทุกจังหวัด เร่ิมผ่านไปแต่จังหวัด
นครราชสีมา ศรีสะเกษ อบุ ลฯ นครพนม สกลนคร อดุ รธานี หนองคาย
เลย หลม่ สกั เพชรบรู ณ์ และข้ามไปเวยี งจันทน์ ทา่ แขก ประเทศลาว
กลบั ไปมาหลายตลบในแตล่ ะจงั หวดั จงั หวดั ทม่ี ปี า่ มเี ขามาก ทา่ นชอบพกั
อยู่นานเพอื่ การบำ� เพ็ญเป็นแหง่ ๆ ไป เช่น ทางทิศใตแ้ ละทิศตะวนั ตก
เฉียงใต้ของตัวจังหวัดสกลนคร มีป่ามีเขามาก ท่านพักจ�ำพรรษาอยู่
แถบนนั้ คือจ�ำพรรษาท่หี มบู่ ้านโพนสวา่ ง อ�ำเภอสวา่ งแดนดิน จังหวัด
สกลนคร แถบนนั้ มีแต่ป่าแต่เขา พระธุดงค์จึงมีประจำ� มไิ ด้ขาดตลอดมา
จนทุกวนั นี้ เพราะทา่ นเหล่าน้ชี อบปา่ ชอบเขามาก

เวลาท่านเท่ียวจาริกในหน้าแล้ง ที่พักหลับนอนโดยมากก็เป็นร้าน
หรือแคร่เล็กๆ ปูด้วยฟากที่ท�ำด้วยไม้ไผ่สับแผ่ออกเป็นแผ่นแบนๆ
ยาวประมาณ ๑ วา กวา้ ง ๒ หรอื ๓ ศอก สงู ประมาณ ๑ ศอก เฉพาะ
แต่ละรูปอยู่ห่างกันตามแต่ป่าท่ีไปอาศัยกว้างหรือแคบ ถ้าป่ากว้างก็อยู่
ห่างกันออกไปประมาณ ๒๐ วา มีป่าคัน่ มองไม่เหน็ กัน ถ้าป่าแคบและ
อยดู่ ว้ ยกันหลายรปู ก็หา่ งกันราว ๑๕ วา แต่โดยมากตง้ั แต่ ๒๐ วาข้ึนไป
อยู่น้อยองค์ด้วยกันเท่าไรก็ย่ิงอยู่ห่างกันออกไปมาก พอได้ยินเสียงไอ
หรือจามเทา่ น้นั

ญาติโยมพากันมาท�ำทางส�ำหรับเดินจงกรมให้ท่านประจ�ำที่พัก
องค์ละหนง่ึ สาย ยาวประมาณ ๕ วาหรอื ๑๐ วา ทุกองค์ สำ� หรับท�ำ
ความเพยี รในทา่ เดนิ และเดนิ ไดท้ ง้ั กลางวนั และกลางคนื ตามแตส่ ะดวก
ในเวลาตอ้ งการ

90

ถ้ามีพระข้ีกลัวผี หรือกลัวเสือไปอยู่ด้วย ท่านมักจะให้อยู่ห่างๆ
หมู่เพ่ือนเป็นพิเศษ เพื่อเป็นการฝึกทรมานให้หายพยศความข้ีขลาด
ของตวั เสยี บา้ ง จนมคี วามเคยชนิ ตอ่ ปา่ ดงพงลกึ และสตั วเ์ สอื หรอื ผตี า่ งๆ
ทจี่ ติ ไปทำ� ความสำ� คญั มนั่ หมายสงิ่ นนั้ ๆ มาหลอกตวั เอา จะไดเ้ หมอื นทา่ น
ทเ่ี คยฝกึ มาแลว้ บา้ ง ไปทไ่ี หนจะไมต่ อ้ งหาบหามความกลวั ไปดว้ ย เพราะ
วธิ นี ท้ี า่ นถอื วา่ ไดผ้ ลดกี วา่ การปลอ่ ยตามใจ ซงึ่ ไมม่ วี นั จะเกดิ ความกลา้ หาญ
ได้เลย ถ้าไปอยู่ใหม่ๆ ต่างองค์ก็นอนกับพ้ืนดินไปก่อน โดยเที่ยวหา
ใบไมแ้ หง้ หรือใบไมส้ ดมารองนอน ถา้ มฟี างก็เอาฟางมาปูรองทนี่ อน

ทา่ นว่าหน้าเดอื น ๑-๒ ซ่งึ เปน็ ฤดฟู ้าใหม่ฝนเก่าประสานกันนร้ี ้สู กึ
ล�ำบากอยู่บ้าง เวลาฝนตกต้องเปียกและตากฝนทุกปี บางคร้ังนอน
ตากฝนตลอดคืนจนกว่าจะหยุด กลดก็สู้ไม่ไหว เพราะทั้งฝนทั้งลม
ตอ้ งทนหนาวตวั สน่ั อยใู่ นกลดนน่ั แล ตากม็ องไมเ่ หน็ จะหนไี ปไหนกไ็ มไ่ ด้
ถา้ กลางวนั กค็ อ่ ยยงั ชวั่ บา้ ง แมจ้ ะเปยี กกพ็ อมองเหน็ นนั่ เหน็ นี่ และควา้ นน่ั
ควา้ นม่ี าชว่ ยปิดบงั ฝนไดบ้ า้ ง ไม่มดื มดิ ปดิ ตาเสียทเี ดียว ผ้าสังฆาฏแิ ละ
ไม้ขีดไฟซ่งึ เป็นสง่ิ จำ� เปน็ ต้องเก็บไว้ในบาตร เอาฝาปิดไวใ้ หด้ ี สว่ นจีวร
เอาไวส้ ำ� หรบั หม่ กนั หนาวขณะฝนกำ� ลงั ตก มงุ้ ทก่ี างไวก้ บั กลดตอ้ งลดลง
เพ่อื กนั ฝนสาดเวลาลมพดั แรง ไม่เช่นนั้นก็เปยี กหมด ตกตอนเชา้ ไม่มี
ผา้ หม่ บณิ ฑบาตก็ยง่ิ แยใ่ หญ่

พอตกเดือน ๓ เดือน ๔ หรือเดือน ๕ อากาศเรม่ิ ร้อนขึน้ ก็ข้นึ
บนภเู ขา หาพกั ตามถำ�้ หรอื เงอื้ มผา พอบงั แดดบงั ฝนไดบ้ า้ ง ถา้ ไปตอนเดอื น
๑-๒ ซ่ึงพ้ืนท่ียังไม่แห้งดี ก็ท�ำให้เป็นไข้และชนิดจับสั่นที่เรียกกันว่า
มาลาเรีย ซึ่งใครเป็นเข้าแล้วไม่ค่อยหายเอาง่ายๆ เสียเวลาต้ังหลายๆ

91

เดอื นกวา่ จะหายขาด หรือบางทกี ก็ ลายเปน็ ไขเ้ รือ้ รังไปเลย คดิ อยากไข้
เม่อื ไรก็เปน็ ข้นึ มา ชนดิ ทเ่ี ขาเรยี กวา่ “ไขพ้ ่อตาแม่ยายหน่ายเกลยี ดชงั ”
รบั ประทานได้ แตท่ ำ� งานไมไ่ ด้ คอยแตจ่ ะไข้ ถา้ เปน็ อยา่ งน้ี ไมว่ า่ แตพ่ อ่ ตา
แมย่ ายใครๆ กค็ งจะเบอื่ หนา่ ยเหมอื นกนั ไขป้ ระเภทนไี้ มม่ ยี ารบั ประทาน
ในสมยั โนน้ ใครเปน็ เขา้ ตอ้ งปลอ่ ยใหห้ ายไปเอง ไขท้ นี่ า่ เขด็ หลาบประเภทนี้
ผู้เขียนเองเคยถูกมาบ่อยท่ีสุด เวลาเป็นข้ึนมาแล้วก็ต้องปล่อยให้หาย
ไปเองเช่นกนั เพราะไมม่ ยี ารกั ษา ทา่ นพระอาจารยม์ ัน่ เลา่ เร่ืองพระธดุ งค์
เป็นไขป้ ่า ไขม้ าลาเรีย นบั แต่องคท์ า่ นลงไปถงึ ลูกศิษย์ บางองคถ์ ึงกบั
ตายไปกม็ ี ฟงั แลว้ เกดิ ความสงสารสงั เวชทา่ นและคณะของทา่ นมากมาย
รอดตายมาแล้วถึงได้มาสั่งสอนธรรมพอเป็นร่องรอยแก่คณะลูกศิษย์ได้
ยดึ ถือและปฏิบัตติ ามทา่ นบ้าง

แต่ก่อนที่ท่านพระอาจารย์ม่ันและพระอาจารย์เสาร์ยังไม่ได้ผ่านไป
อบรมสงั่ สอนพอใหร้ เู้ รอื่ งดเี รอื่ งชว่ั เรอื่ งผเี รอื่ งคน เรอื่ งบญุ เรอ่ื งบาปบา้ ง
ภาคอีสานท้ังภาคเป็นภาคท่ีนับถือผีอย่างเป็นชีวิตจิตใจจริงๆ จะท�ำนา
ท�ำสวนปลูกบ้านสรา้ งเรอื นอะไรๆ แทบทัง้ นั้น ตอ้ งลงเลขลงยามหาวนั ดี
เดือนดี ปีดี หาฤกษง์ ามยามดี และเซ่นสรวงวิงวอนผีให้เหน็ ดเี หน็ ชอบ
ก่อนถึงจะลงมือท�ำอะไรลงไปได้ ไม่เช่นนั้นหากมีสิ่งไม่ดีเกิดข้ึน เช่น
ไอบ้างจามบา้ งตามธรรมดาธาตขุ ันธ์ แม้แต่สุนัขกย็ ังมีไดเ้ ปน็ ได้ แต่เปน็
ตอ้ งหาวา่ ผดิ ผเี ขา้ แลว้ ตอ้ งไปเชญิ หมอมาทำ� นายทายทกั ใหใ้ นทนั ทที นั ใด
หมอสมัยนัน้ ก็เก่งจริง เกง่ กว่าหมอสมยั น้เี ปน็ ไหนๆ เปน็ ต้องทายเปาะ
ออกมาวา่ ผดิ ผตี รงนน้ั บา้ ง ตรงนบี้ า้ งทนั ที เมอ่ื ไปบวงสรวงแลว้ จะหาย หวดั
กห็ าย จามกห็ าย ไอกห็ าย แมผ้ เู้ ปน็ จะยงั ไอยงั จามฟกิ ๆ แฟกๆ อยกู่ ต็ าม

92

ถา้ หมอสมัยน้นั ว่าหายแล้วก็หายไปตามและสบายใจไปเลย ทั้งทไี่ อและ
จามฟกิ ๆ อยนู่ นั้ แล ฉะนนั้ จงึ กลา้ เขยี นวา่ หมอสมยั นนั้ เกง่ จรงิ และคนไข้
สมยั นนั้ เกง่ จรงิ หมอบอกอยา่ งไรกไ็ ดอ้ ยา่ งนน้ั ไมต่ อ้ งสนใจหาหยกู หายา
มารกั ษากัน เอาหมอกับผมี าเป็นยารกั ษาเป็นหายเรยี บไปเลย

แต่พอท่านอาจารย์ท้ังสองผ่านไปและอบรมส่ังสอนอย่างมีเหตุผล
เรอื่ งบา้ ผีแลบา้ หมอทายผีก็ค่อยจางลงจนแทบไมม่ เี ลย แม้หมอเสียเอง
กย็ อมรับพระไตรสรณคมน์ คอื พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ แทนการ
ถอื ผไี หวผ้ ตี า่ งๆ แตบ่ ดั นนั้ เปน็ ตน้ มา ทกุ วนั นแี้ ทบจะไมม่ ใี ครทำ� กนั กว็ า่ ได้
เวลาเทย่ี วไปตามหมบู่ า้ นตา่ งๆ ทางภาคอสี าน ไมค่ อ่ ยโดนและเหยยี บผี
และเหยยี บเครอื่ งสงั เวยผเี หมอื นแตก่ อ่ น นอกจากเขาจะพากนั ไปทำ� อยู่
ใตด้ ิน ซง่ึ สุดวิสัยท่ีจะไปเท่ยี วซอกแซกเห็น จงึ นับวา่ ภาคอสี านมวี าสนา
อยบู่ า้ ง ไมพ่ ากนั กอดคอกนั ตายกบั ผไี ปตลอดชาติ ยงั มพี ระพทุ ธ พระธรรม
พระสงฆ์ กราบไหวบ้ ชู าแทนผีบา้ งในกาลตอ่ มา ชาวอีสานที่ได้รับความ
เมตตาอนเุ คราะหจ์ ากทา่ นพระอาจารยท์ ง้ั สองคงไมล่ มื บญุ คณุ ทา่ น เพราะ
เป็นผู้มีพระคุณแก่คนภาคนั้นจนสุดท่ีพรรณนา ทั้งนี้เขียนตามประวัติ
ทที่ า่ นเลา่ ใหฟ้ งั สว่ นจะผดิ หรอื ถกู ผเู้ ขยี นกท็ ราบไมไ่ ด้ ในระยะนนั้ อาจยงั
ไม่เกิดหรือยังเป็นเด็กอย่มู าก ที่พอ่ แมพ่ านบั ถอื ผเี ป็นชวี ติ จติ ใจเหมือน
คนทั่วไปกไ็ ด้ จงึ ขออภยั ด้วย

สมยั โน้น ไมว่ ่าการอบรมฆราวาสหรือพระเณร ทา่ นได้ทุ่มเทก�ำลัง
และความสามารถทกุ ดา้ นเพอ่ื ใหค้ นเปน็ คนจรงิ ๆ ทา่ นเทยี่ วไปบางหมบู่ า้ น
มีนักปราชญ์บัณฑิตประจ�ำหมู่บ้านมาถามปัญหากับท่านก็มี ความว่าผีมี
จรงิ ไหมบ้าง วา่ มนุษยเ์ กดิ มาจากไหนบา้ ง ว่าอะไรทำ� ใหผ้ หู้ ญงิ กบั ผชู้ าย

93

เกิดรกั ชอบกนั เองโดยไม่มโี รงร่�ำโรงเรยี นสอนให้รกั ชอบกนั บา้ ง ว่าสตั ว์
ชนดิ เดยี วกนั ตวั ผกู้ บั ตวั เมยี ทำ� ไมจงึ เกดิ รกั ชอบกนั เองบา้ ง วา่ มนษุ ยแ์ ละ
สตั ว์ไปเรยี นความรกั ชอบซง่ึ กนั และกันมาจากไหน จงึ ไดเ้ กดิ รกั ชอบกนั
ขึน้ มาบา้ ง แต่ผเู้ ขียนก็จ�ำไดบ้ า้ งเล็กนอ้ ยไม่ละเอียดทว่ั ถงึ จึงน�ำมาลงไว้
เทา่ ที่จ�ำได้ จะถกู หรือผดิ ประการใดน้นั ข้นึ อยูก่ บั ผเู้ ขียนเอง เพราะเป็น
ผจู้ ดจำ� ผดิ พลาดคลาดเคลอื่ นมาตามนสิ ยั ทเี่ คยเปน็ มาประจำ� แมแ้ ตจ่ ำ� คำ�
ท่ีตนเคยพูดและเร่ืองของตัวที่เคยเป็นมา ก็ยังมีผิดพลาดได้เสมอมา
อย่างแก้ไม่ตก จึงไม่สามารถจดจ�ำค�ำของท่านทุกค�ำดว้ ยความถกู ตอ้ งได้

ปญั หาท่วี ่ามผี ีจริงไหม? ท่านแก้วา่ ไม่วา่ แตผ่ หี รือส่งิ ใดๆ ในโลก
ถา้ สงิ่ นนั้ มอี ยจู่ รงิ สงิ่ นนั้ ตอ้ งเปน็ อสิ ระไปตามความมอี ยขู่ องตน ไมข่ นึ้ อยู่
กับความสนับสนุนหรือท�ำลายของใครที่ไปว่าสิ่งน้ันมีจริงหรือสิ่งน้ันไม่มี
ส่ิงนั้นถึงจะมีหรือจะสูญไป แต่ส่ิงนั้นต้องมีอยู่ตามธรรมชาติของตน
ไม่มีการเพ่ิมขึ้นและลดลงตามคำ� เสกสรรของใครๆ ผีท่ีมนุษย์สงสัยกัน
ทว่ั โลกวา่ มหี รอื ไมม่ กี เ็ ชน่ กนั ความจรงิ ผที ที่ ำ� ใหค้ นเกดิ ความกลวั และเปน็
ทุกขก์ ันนน้ั เปน็ ผที คี่ นคิดข้นึ ทีใ่ จ วา่ ผีมอี ย่นู ัน้ บา้ งท่นี บ้ี า้ ง ผีจะมาทำ� ลาย
บ้างต่างหาก จึงพาให้เกิดความกลัวและเป็นทุกข์ขึ้นมา ถ้าอยู่ธรรมดา
ไมก่ อ่ เรอื่ งผขี นึ้ ทใี่ จ กไ็ มเ่ กดิ ความกลวั และไมเ่ ปน็ ทกุ ข์ ฉะนนั้ ผจี งึ เกดิ ขนึ้
จากการก่อเร่ืองของผู้กลัวผขี น้ึ ทใ่ี จมากกวา่ ผจี ะมาจากที่อ่นื

แต่ผีจะมีจริงหรือไม่น้ัน แม้จะบอกว่าผีมีจริงก็ไม่มีพยานหลักฐาน
ยืนยันกันพอให้เชื่อได้ เพราะนิสัยมนุษย์เราไม่ชอบยอมรับความจริง
แม้ไปเทย่ี วขโมยของเขามา เจ้าของตามจบั ตวั ได้พรอ้ มท้งั ของกลางและ
พยานหลกั ฐานมาอยา่ งพร้อมมลู ยงั ไมย่ อมรับตามความจริง แถมยังป้นั

94

พยานเทจ็ ข้นึ หลอกลวงเพอ่ื หาทางรอดตวั ไปจนได้ โดยไม่ยอมรับว่าตวั
ท�ำผิด นอกจากถูกบังคับด้วยหลักฐานพยานเท่านั้นก็ยอมรับโทษไป
ทง้ั ๆ ทใี่ จจรงิ และกริ ยิ าทแ่ี สดงออกไมย่ อมรบั วา่ ตวั ผดิ เวลาไปเปน็ นกั โทษ
อยู่ในเรือนจ�ำแล้ว มีผู้ไปถามว่าคุณท�ำผิดอะไรถึงต้องมาติดคุกและ
เสวยกรรมอยา่ งนี้ นกั โทษคนนน้ั จะรบี ตอบเปน็ เชงิ แกต้ วั ทนั ทวี า่ เขาหาวา่
ผมขโมยของเขาแตจ่ ะยอมรบั ตามความจรงิ วา่ ผมไปขโมยของเขาอยา่ งน้ี
ไมค่ อ่ ยมี รายไหนถกู ถาม รายนน้ั ตอ้ งตอบอยา่ งเดยี วกนั นคี่ อื มนษุ ยเ์ รา
โดยมากเป็นอยา่ งนี้

ปญั หาท่ีวา่ มนุษยเ์ กิดมาจากไหน? ท่านตอบวา่ มนุษย์เราตา่ งกม็ ี
พอ่ มแี มเ่ ปน็ แดนเกดิ แมผ้ ถู้ ามกม็ ไิ ดเ้ กดิ จากโพรงไม้ แตม่ พี อ่ แมเ่ ปน็ ผใู้ ห้
กำ� เนดิ และเลยี้ งดมู าเหมอื นกนั จงึ ไมค่ วรถาม ถา้ จะตอบวา่ มนษุ ยเ์ กดิ จาก
อวชิ ชาตณั หา กย็ ง่ิ จะมดื มดิ ปดิ ตายงิ่ กวา่ ไมต่ อบเปน็ ไหนๆ เพราะไมเ่ คยรู้
วา่ อวชิ ชาตณั หาคอื อะไร ทง้ั ๆ ทม่ี อี ยกู่ บั ทกุ คน เวน้ พระอรหนั ตท์ า่ นเทา่ นนั้
แตไ่ มส่ นใจอยากรแู้ ละปฏบิ ตั เิ พอ่ื รสู้ งิ่ ดงั กลา่ ว นอกจากจะตอบวา่ เกดิ จาก
พอ่ กบั แมท่ เี่ หน็ ๆ กนั อยนู่ เี้ ทา่ นน้ั ผถู้ ามกจ็ ะหาวา่ ตอบตดั สำ� นวน จงึ ลำ� บาก
ในการตอบตามความจริง เพราะผู้ถามมิได้สนใจกับความจริงเท่าไรนัก
ในธรรมท่านว่ามนุษย์และสัตว์เกิดจาก อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ฯลฯ
สมทุ โย โหติ และดบั ภพชาตอิ นั เปน็ ความดบั ทกุ ขท์ ง้ั มวล จาก อวชิ ชฺ ายเตวฺ ว
อเสสวิราคนโิ รธา สงขฺ ารนิโรโธ ฯลฯ นโิ รโธ โหติ เหล่านก้ี ม็ อี ยกู่ บั จิต
ของทุกคนท่ีมกี เิ ลสบนหัวใจ

ถ้ายอมรับความจริงแล้ว ก็นี่แลพาให้เกิดเป็นมนุษย์และสัตว์อยู่
เต็มโลกจนจะหาที่อยู่ที่กินกันไม่ได้อยู่แล้ว เพราะอวิชชาตัณหาความ

95

หิวโหยไม่มีเวลาลดตัวเป็นต้นเหตุ ทั้งท่ียังไม่ตายก็เตรียมหาที่เกิดและ
ท่ีอยู่กินอยู่แล้ว นี่แลตัวที่พาให้มนุษย์และสัตว์เกิดและเป็นทุกข์อยู่
เต็มโลก ถา้ อยากทราบ กจ็ งดูจิตดวงที่เตม็ ไปดว้ ยกเิ ลสประเภททพี่ าให้
ร้อนรนกระวนกระวายส่ายแส่หาท่ีเกิดท่ีอยู่ทุกๆ ขณะน้ี จะได้พบส่ิงท่ี
มงุ่ หวงั อยา่ งสมใจและหายสงสยั ในตวั เอง ไมต่ อ้ งไปถามใคร อนั เปน็ การ
แสดงความงมงายของตวั ใหค้ นอน่ื เหน็ วา่ ตวั ยงั บกพรอ่ งเรอื่ งของตวั อยมู่ าก
เพราะจิตเปน็ ตัวคะนองและจองหอง ไมม่ อี ะไรจะเปรียบเทียบได้ในโลก
หากแต่ขาดความสนใจเหลยี วแลเทา่ นน้ั จึงไม่รู้ความดือ้ ดึงของตวั และ
ทำ� ให้ควา้ น้ำ� เหลวโดยไมม่ ีอะไรติดมือพอเป็นความสมหวงั บ้าง

ท่ีว่าอะไรที่ท�ำให้มนุษย์หญิงชายและสัตว์ชนิดเดียวกันเกิดความ
รักชอบกัน โดยไม่มีโรงร่�ำโรงเรียนสอนให้รักชอบกัน? ท่านตอบว่า
เพราะราคะตัณหาความรักชอบไม่ได้อยู่ในหนังสือ ไม่ได้อยู่ในโรงร่�ำ
โรงเรียนและครทู คี่ วรจะไปเรยี นกบั ส่ิงดังกลา่ วน้นั แตร่ าคะตณั หาความ
หน้าด้านไมม่ ยี างอาย มันเกิดและอยูก่ ับใจของมนุษยห์ ญิงชายและสัตว์
ตา่ งหาก จงึ ทำ� ใหผ้ มู้ สี ง่ิ ลามกนกี้ ลายเปน็ หญงิ ชายและสตั วผ์ ลู้ ามกไปตาม
อ�ำนาจของมันโดยไม่รู้สึกตัว และไม่เลือกชาติชั้นวรรณะและวัยอะไร
ท้งั ส้นิ ถ้ามีมากก็ย่งิ ทำ� ให้โลกกลายเป็นโลกวนิ าศไปได้อย่างไมม่ ปี ญั หา
หากไม่มีสติปัญญาสกัดก้ันมันไว้บ้างพอให้น่าดู ก็จะกลายเป็นน้�ำล้นฝั่ง
ท่วมทับหัวใจและท่วมบ้านเมืองให้ฉิบหายป่นปี้ไปได้ โดยไม่มีอะไรยัง
เหลอื พอใหเ้ ปน็ ทน่ี า่ ดบู า้ งเลย สงิ่ ทเี่ กดิ อยทู่ จี่ ติ ใจของสตั วโ์ ลกและเจรญิ
อยทู่ จี่ ติ ใจของสตั วโ์ ลกตลอดมา กเ็ พราะมนั ไดร้ บั การบำ� รงุ สง่ เสรมิ อยา่ ง
เหลือเฟือเสมอมา จึงมีก�ำลังเขย่าก่อกวนและท�ำลายสัตว์โลกให้ได้รับ
ความทุกขเ์ ดือดรอ้ นเสมอมา ไมม่ ีวันเวลาผ่อนตวั พอให้หายใจบา้ งเลย

96

โดยมากเคยได้ยินแต่น้�ำท่วมบ้านท่วมเมืองผู้คนและสัตว์ ตลอด
ทรพั ย์สินสมบตั ติ า่ งๆ ใหพ้ นิ าศฉิบหาย แตไ่ ม่เคยสนใจสังเกตดนู ำ้� ราคะ
ตณั หาไมม่ เี มอื งพอดี ทว่ มหวั ใจสตั วโ์ ลกตลอดสมบตั ทิ พ่ี งึ พอใจใหฉ้ บิ หาย
วายป่วงไปทุกระยะเวลาโดยไม่นิยมว่าหน้าแล้งหน้าฝนเลย จึงไม่เห็น
ความเสื่อมโทรมของโลกที่ก�ำลังเป็นอยู่และจะเป็นไปว่ามีสาเหตุเป็นมา
อย่างไร เพราะต่างคนตา่ งผลิต ต่างคนตา่ งส่งเสรมิ โดยไมส่ นใจดูความ
เสอื่ มโทรมเพราะนำ้� นเ้ี ปน็ ตน้ เหตุ การมองหาความสงบสขุ ของโลกจงึ เปน็
สิ่งทอ่ี อกจะสดุ วิสัยไปได้ ถา้ ไมม่ องดูตวั ที่ก�ำลงั กอ่ เหตุ

ผู้ถามถามเฉพาะความรักชอบระหว่างหญิงชายและสัตว์เท่านั้น
ไม่ถามถึงความเกลียดชังกร้ิวโกรธและท�ำลายเพราะราคะตัณหาเป็น
ตน้ เหตบุ า้ งเลย แตท่ า่ นกอ็ ธบิ ายเกย่ี วโยงไปถงึ ความไมด่ ที งั้ หลายทรี่ าคะ
ตัณหาไปเที่ยวก่อกรรมท�ำลายไว้อย่างไม่มีประมาณบ้างแล้ว ท่านว่า
ราคะตณั หานแี่ ลเปน็ สอื่ มวลพาใหห้ ญงิ ชายและสตั วร์ กั ชอบกนั และเปน็
ผู้อ�ำนวยการให้หญิงชายและสัตว์ยินดีซึ่งกันและกันตามหลักธรรมชาติ
นอกนี้ไม่มีอะไรท�ำให้เกิดความรักชอบเกลียดชังซ่ึงกันและกันได้ เวลา
ราคะตณั หาใชเ้ ลห่ เ์ หลยี่ มไปทางรกั คนและสตั วก์ ร็ กั เวลามนั ใชเ้ ลห่ เ์ หลย่ี ม
ไปในทางเกลยี ดทางโกรธหรอื ทางท�ำลาย คนและสัตวก์ ต็ อ้ งเกลยี ดต้อง
โกรธและท�ำลายกันได้ มันต้องการเล้ียงมนุษย์และสัตว์ไว้ด้วยวิธีให้รัก
ชอบกนั มนษุ ยแ์ ละสตั วก์ ร็ กั ชอบกนั ประหนง่ึ จะไมม่ วี นั เหนิ หา่ งจดื จางจาก
กันเลย เวลามันตอ้ งการให้มนุษย์และสตั ว์ทอ่ี ยู่ใตอ้ ำ� นาจของมนั เกลียด
โกรธกัน กจ็ ำ� ต้องเป็นไปตามมนั จนได้ ไมม่ ที างขดั ขืน

97

พวกโยมไมเ่ คยทะเลาะกนั บา้ งหรอื ระหวา่ งสามภี รรยาซงึ่ แสนรกั กนั
มาก่อนวนั แตง่ งาน จงึ ต้องมาถามอาตมา อาตมาคดิ ว่าโยมรเู้ รือ่ งนี้ดกี วา่
พระเป็นไหนๆ ท่านย้อนถามเขาตอนจบประโยค เขาตอบท่านว่า
เคยทะเลาะกันเสียจนเบื่อไม่อยากทะเลาะกันเลยท่าน แต่ก็จ�ำต้อง
ทะเลาะกนั จนได้ เรอื่ งของโลกมนั เปน็ อยา่ งนแ้ี ล เดย๋ี วรกั กนั เดยี๋ วชงั กนั
เดย๋ี วโกรธกนั เดย๋ี วเกลยี ดกนั ทง้ั ทร่ี อู้ ยวู่ า่ ไมด่ แี ตก่ แ็ กไ้ มต่ กสกั ที ทา่ นถาม
เขาว่า โยมพยายามแก้มันจริงๆ หรือ มิใช่ว่าโกหกอาตมาเล่นเปล่าๆ
หรอกหรอื ถา้ ตา่ งพยายามแกก้ นั อยบู่ า้ ง แมไ้ มไ่ ดม้ าก เขา้ ใจวา่ จะไมเ่ ปน็
ไปอยบู่ อ่ ย ทำ� นองผกั ชจี ม้ิ นำ�้ พรกิ กบั อาหารเชา้ เยน็ คอื เชา้ กท็ ะเลาะกนั
เยน็ ก็ทะเลาะกัน ทะเลาะกันไมห่ ยดุ จนได้หยา่ ร้างกนั ไปกม็ ใี นบางราย
ผูท้ พี่ ลอยเปน็ เชอื้ เพลิงไปดว้ ยคอื ลูกๆ ทไ่ี มร่ ู้เรอ่ื งอะไรดว้ ยเลยกจ็ �ำตอ้ ง
หาบบาปหาบกรรมไปดว้ ย ตา่ งกร็ อ้ นเปน็ ไฟไปตามๆ กนั เขา้ กบั ใครไมต่ ดิ
เพราะความอดิ หนาระอาใจละอายเพื่อนฝูง

ถ้าต่างฝ่ายต่างสนใจอยู่บ้างเพียงแต่เริ่มจะทะเลาะกันก็ทราบอยู่
ด้วยกนั ว่าเป็นเรื่องไม่ดี ต่างกพ็ ยายามระงับและแก้ไขตวั ให้ถูกตอ้ งเสยี
ในขณะน้ัน เรื่องก็ระงับไปเอง ต่อไปก็ไม่มีเร่ืองท�ำนองน้ันเกิดข้ึนอีก
ประการหนง่ึ เวลาจะโกรธจะเกลยี ดกค็ วรคดิ ถงึ ความหลงั บา้ งคดิ ถงึ อนาคต
ท่ีจะอยู่อาศัยกันไปตลอดชีวิตบ้าง มาบวกลบกันกับความไม่ดีท่ีเกิดขึ้น
เวลาน้นั จะพอมีทางระงบั ได้ โดยมากคนเราท่เี ปน็ ไปในทางไม่ดีก็เพราะ
ความอยากใหไ้ ดต้ ามใจหวงั ของตวั อยา่ งเดยี ว และอยากใหใ้ จคนในครอบครวั
มาอยู่ใต้อ�ำนาจของตัวคนเดียว โดยไม่ค�ำนึงถึงความผิดถูก ซึ่งเป็นสิ่ง
สุดวิสัยท่ีจะเป็นไปได้ เรื่องจึงระบาดออกมาและลุกลามไปไหม้คนอ่ืน
ให้เดือดร้อนไปด้วย

98

นอกจากนัน้ ยงั อยากใหใ้ จของคนทั้งโลกมารวมอยู่ในอุ้งมือของตัว
คนเดยี ว ซง่ึ เปน็ ลกั ษณะความคดิ เพอื่ กน้ั นำ้� มหาสมทุ รดว้ ยฝา่ มอื อนั เปน็
ความคิดทผ่ี ิดวสิ ยั จึงเปน็ เร่ืองไม่ควรคดิ ไม่ควรทำ� อย่างยงิ่ ถา้ ฝืนคดิ ไป
ก็อกแตกตายเปล่าๆ การอยู่ด้วยกันต้องมีหลักที่ถูกต้องดีงามเป็น
เครอ่ื งยดึ เครอ่ื งดำ� เนนิ ทง้ั ฝา่ ยสามแี ละภรรยา ตลอดลกู ๆ และคนงานในบา้ น
แม้กับคนอื่นหรือคนในวงงานก็ควรปฏิบัติอย่างมีเหตุมีผลท่ีเป็นทาง
ลงรอยกนั ได้ หากคนอน่ื ไมย่ อมรบั ความจรงิ กเ็ ปน็ ความผดิ ของเขาผไู้ มม่ ี
ขอบเขตเหตุผลส�ำหรับตัวเขา และเป็นความเสียหายอยู่กับตัวเขาเอง
ตนไม่มีสว่ นผิด และยังพอมหี ลักยึดเพื่อการครองตัวตอ่ ไป

การอบรมสง่ั สอนประชาชนและพระเณร ถ้ามคี นมาเกย่ี วข้องมาก
ท่านกแ็ บ่งเปน็ เวลา ไม่ใหต้ รงกนั คือ บา่ ยราว ๔-๕ โมงเยน็ อบรมคณะ
ญาตโิ ยม แต่ ๑ ทุ่มข้นึ ไปอบรมพระเณร พอเลกิ จากประชุม ตา่ งองค์
ตา่ งไปทพี่ กั ของตน และประกอบความเพยี ร เวลาพกั อยตู่ ามจงั หวดั ตา่ งๆ
ทางภาคอีสาน ท่านปฏิบัติต่อประชาชน พระเณรอย่างหน่ึง ในเที่ยว
แรกกับเท่ยี วที่ ๒ เวลาท่านไปพกั อยูท่ ่ีจงั หวัดเชียงใหมแ่ ละกลบั ไปอุดร
เทย่ี วที่ ๓ คอื เทย่ี วสดุ ทา้ ย ทา่ นปฏบิ ตั กิ บั ประชาชน พระเณรอกี อยา่ งหนงึ่
ซง่ึ ผดิ กบั แตก่ อ่ นอยมู่ าก แตท่ งั้ สองตอนหลงั นี้ จะรอไวเ้ ขยี นขา้ งหนา้ เพอ่ื
ให้เร่อื งตดิ ต่อกนั ไม่ขาดความ ท่านสนใจสัง่ สอนพระเณรมากเป็นพิเศษ
ถา้ ปรากฏวา่ รายใดภาวนาจิตเปน็ ไปและรู้เหน็ ส่ิงต่างๆ เกี่ยวกับภายนอก
หรือภายใน ท่านจะพยายามสนใจและเรียกมาสอบอารมณ์เป็นพิเศษ
เพราะตามธรรมดาของผู้ปฏิบัติภาวนาท่ัวๆ ไป ย่อมมีจริตนิสัยแปลก
ตา่ งกัน

99

การปฏบิ ตั แิ ละความรทู้ เ่ี กดิ ขน้ึ จากการภาวนากม็ คี วามแปลกตา่ งกนั
เป็นรายๆ แต่ผลคือความสงบสุขเย็นใจน้ันเหมือนกัน ที่แปลกต่างกัน
กค็ อื อบุ ายวธิ แี ละความรคู้ วามเหน็ ทป่ี รากฏขน้ึ ในขณะภาวนา บางรายกร็ ู้
เก่ียวกับสง่ิ ภายในดว้ ย เก่ยี วกับส่งิ ภายนอกด้วย เช่น เหน็ ภตู ผีเขา้ มา
เกีย่ วข้องบา้ ง เห็นเทวบตุ รเทวดาเปน็ ตน้ เข้ามาเกีย่ วข้องบ้าง เหน็ คน
หรอื สตั วม์ าตายอยตู่ อ่ หนา้ บา้ ง เหน็ เขาหามผมี าทงิ้ ไวต้ อ่ หนา้ บา้ ง เหน็ รา่ ง
ของตัวออกไปนอนตายอยูต่ ่อหน้าบ้าง เปน็ ต้น ซ่งึ เป็นสิ่งทีส่ ุดวสิ ยั ของ
ผู้เพ่ิงรู้เพิ่งเห็นในขณะเริ่มต้นภาวนาและจิตเร่ิมสงบ ซึ่งล้วนเป็นส่ิงท่ี
สดุ วสิ ยั ทจ่ี ะปฏบิ ตั ใิ หถ้ กู ตอ้ งแมน่ ยำ� ไดท้ กุ ๆ กรณไี ป ทงั้ ไมแ่ นใ่ จวา่ ทป่ี รากฏ
ขนึ้ มาแตล่ ะอยา่ งนนั้ จะมคี วามผดิ ถกู แฝงอยปู่ ระการใดบา้ ง บางรายทเ่ี ปน็
นสิ ยั ไมช่ อบใครค่ รวญกอ็ าจเหน็ ผดิ ไปตาม และยดึ ถอื เอาวา่ เปน็ ความจรงิ
ก็ยิง่ เป็นทางล่อแหลมตอ่ ความเสยี หายในอนาคตมากขึน้

แต่นิสัยที่จิตออกรู้ส่ิงต่างๆ ดังกล่าวมาขณะท่ีจิตสงบลงมีจ�ำนวน
นอ้ ยมาก รอ้ ยละหา้ คนกท็ งั้ ยาก แตก่ ต็ อ้ งมรี ายหนง่ึ จนไดท้ จี่ ะปรากฏเชน่ นนั้
ขึ้นมา จึงเป็นความจ�ำเป็นท่ีจะต้องได้รับการแนะน�ำจากท่านผู้มีความรู้
เชยี่ วชาญในทางนม้ี ากอ่ น เวลาพระธดุ งคท์ า่ นเลา่ ผลของการภาวนาทป่ี รากฏ
ในลกั ษณะตา่ งๆ กนั ถวายครอู าจารย์ และเวลาอาจารยช์ แี้ จงวธิ ปี ฏบิ ตั ติ อ่
สงิ่ ทร่ี ทู้ เี่ หน็ ใหผ้ มู้ าศกึ ษาไตถ่ ามฟงั รสู้ กึ วา่ ซาบซงึ้ จบั ใจเพลดิ เพลนิ ในการ
ฟังไมอ่ ยากใหจ้ บลงอย่างง่ายๆ เวลาอธบิ าย ท่านแยกประเภทแห่งนมิ ติ
ออกเป็นตอนๆ และอธิบายวิธีปฏิบัติต่อนิมิตนั้นๆ อย่างละเอียดลออ
มากจนผฟู้ งั หายสงสยั และรา่ เรงิ ในธรรมทท่ี า่ นแสดงใหฟ้ งั พรอ้ มทงั้ ความ
มแี กใ่ จทจี่ ะบำ� เพญ็ ตนใหย้ ง่ิ ๆ ขนึ้ ไป แมร้ ายทไ่ี มป่ รากฏเหน็ นมิ ติ เกยี่ วกบั
สิ่งภายนอก แตก่ ็นา่ ฟังไปอกี ทางหน่งึ

100

เวลาทา่ นเลา่ ความสงบสขุ ของใจที่รวมลงสคู่ วามสงบ ตลอดอบุ าย
วธิ ที ที่ า่ นทำ� ถวายอาจารย์ ผทู้ ยี่ งั ไมส่ ามารถถงึ ขน้ั ทไี่ ดย้ นิ ไดฟ้ งั ในขณะนนั้
ก็เกิดศรัทธาความเชื่อมั่นข้ึนมาท่ีจะพยายามท�ำให้ได้อย่างนั้นบ้าง หรือ
ยง่ิ กวา่ นนั้ บา้ ง ทง้ั ผทู้ ม่ี จี ติ เปน็ ไปและผทู้ กี่ ำ� ลงั ตะเกยี กตะกายตา่ งกไ็ ดร้ บั
ความปลาบปลม้ื ปีติในขณะฟงั บางรายเวลาจติ สงบลง ปรากฏว่าไดไ้ ป
เทย่ี วบนสวรรคช์ มวมิ านชน้ั ตา่ งๆ จนจวนสวา่ ง ใจถงึ กลบั สรู่ า่ งและรสู้ กึ ตวั
ขน้ึ มากม็ ี บางรายลงไปเทย่ี วปลงธรรมสงั เวชกบั พวกเสวยกรรมตา่ งๆ กนั
ในนรกกม็ ี บางรายทง้ั ขน้ึ ไปเทย่ี วบนสวรรคท์ ง้ั ลงไปเทย่ี วในนรก ดสู ภาพ
ท้ังสองแห่งซงึ่ มคี วามแตกตา่ งกันมาก คอื พวกหน่งึ ร่นื เรงิ บันเทงิ แต่อกี
พวกหนึ่งคร่�ำครวญด้วยความทุกข์ทรมาน ซึ่งไม่มีก�ำหนดว่าจะพ้นโทษ
ไปได้เม่อื ไรกม็ ี บางรายก็ต้อนรบั แขกคอื พวกภูตผีและเทวดาที่มาจากท่ี
ตา่ งๆ คือชนั้ บนบ้าง รุกขเทพฯ บ้าง

ขณะทจี่ ติ สงบลง บางรายกเ็ สวยความสงบสขุ ทเี่ กดิ จากสมาธปิ ระเภท
ต่างๆ กันตามก�ำลังของตัวบ้าง บางรายก็พิจารณาทางปัญญาแยกธาตุ
แยกขนั ธอ์ อกเปน็ แผนก และแยกใหส้ ลายจากกนั จนเปน็ คนละชนิ้ ละสว่ น
และท�ำให้สลายลงสู่คติเดิมของตนบ้าง บางรายก็ก�ำลังเริ่มฝึกหัดและ
ก�ำลังล้มลุกคลุกคลานเหมือนเด็กก�ำลังฝึกหัดน่ังบ้างเดินบ้างต่างๆ กัน
บางรายภาวนาบังคับจิตให้ลงอย่างใจหวังไม่ได้ เกิดความน้อยเนื้อต่�ำใจ
รอ้ งไหบ้ า้ ง บางรายไดย้ นิ ทา่ นสนทนาธรรมประเภทตา่ งๆ ตามภมู ทิ ตี่ นรเู้ หน็
กบั อาจารยเ์ กิดความปตี ิและอศั จรรย์ในธรรมนั้นๆ แล้วรอ้ งไห้บา้ ง

บางรายก็ไปเป็นทัพพีนอนแช่อยู่กับแกงไม่รู้รสของแกงว่าเป็น
อยา่ งไร และทำ� ตวั ขวางหมอ้ ตม้ หมอ้ แกงอยู่ ซงึ่ เปน็ ธรรมดา ของหลายอยา่ ง

101

อยู่ด้วยกันย่อมมีท้ังดีท้ังชั่วปะปนกันไปแต่ไหนแต่ไรมา ผู้มีสติปัญญา
ก็เลือกเก็บเอาเฉพาะที่เห็นว่าดีและเป็นประโยชน์ ก็เป็นสาระแก่
ผรู้ อบคอบนน้ั รายเชน่ นแ้ี มผ้ เู้ ขยี นเองกไ็ มร่ บั รองตวั คงตอ้ งมสี ว่ นอยดู่ ว้ ย
จนได้ ทา่ นผอู้ า่ นกรณุ าผา่ นไป อยา่ ไดส้ นใจ เพราะเรอ่ื งเชน่ น้ี แมใ้ นบา้ น
และในตัวเราเองก็อาจมใี นบางครง้ั บางคราว และอาจมอี ยทู่ ว่ั ไป

ท่านมาอยู่อบรมส่ังสอนภาคอีสานเที่ยวที่สองน้ีปรากฏว่าหลายปี
แตก่ ารจำ� พรรษาไมค่ อ่ ยซำ้� ทเี่ กา่ ในปหี ลงั พอออกพรรษาแลว้ กอ็ อกเทยี่ ว
ธุดงคต์ ามปา่ ตามเขาไปแบบสคุ โต เหมือนนกท่ีมีเฉพาะปกี กับหางบินไป
เทย่ี วหากนิ ในทตี่ า่ งๆ ตามความสบาย บนิ ไปจบั ตน้ ไมแ้ ละหากนิ บนตน้ ไมใ้ ด
บึงหรือหนองใด พออ่ิมแล้วก็บินไปอย่างสบายหายห่วง ไม่คิดว่า
ไมต้ น้ นนั้ ผลไมน้ นั้ เปอื กตมนนั้ บงึ นนั้ หนองนน้ั เปน็ ของมนั ผปู้ ฏบิ ตั ธิ รรม
ไดแ้ บบนกกเ็ ปน็ สขุ ไปทางหนงึ่ ซงึ่ ยากจะทำ� ได้ เพราะมนษุ ยเ์ ราเปน็ สตั ว์
หมู่สัตว์พวก ชอบอยูก่ นั เปน็ หมเู่ ป็นพวก และชอบติดถิน่ ฐานบ้านเรอื น
ผู้จะออกไปโดดเด่ียวดังท่านพระอาจารย์ม่ันปฏิบัติมาในบั้นต้นและ
จวบบนั้ ปลาย คอื เวลาทา่ นอยเู่ ชยี งใหม่ จงึ รสู้ กึ ฝนื ใจไมน่ อ้ ยเลย ขออภยั
ถ้าเทียบก็ราวกับจูงสัตว์บกใส่นำ้� ใส่ฝนฉะน้ัน แต่ถ้าใจคุ้นกับธรรมแล้ว
กลบั ตรงขา้ ม คอื ชอบไปคนเดยี ว อยคู่ นเดยี ว อริ ยิ าบถทงั้ สเ่ี ปน็ เรอื่ งของ
คนๆ เดยี ว ใจดวงเดยี ว ไมม่ อี ารมณเ์ ครอื่ งกอ่ กวนยงุ่ เหยงิ นอกจากธรรม
เป็นอารมณ์อันพาให้สบายเทา่ น้นั

ฉะนน้ั ทา่ นผมู้ ใี จเปน็ เอการมณ์ คอื มธี รรมเปน็ อารมณเ์ พยี งอยา่ งเดยี ว
จึงเป็นใจที่แสนสบายและสว่างไสว ไม่มีอะไรมาปกปิดก�ำบังให้อับเฉา
เมามัว เปน็ ผอู้ ยู่ตัวเปล่า ใจเปล่าจากอารมณ์ ชมสันตสิ ขุ ดว้ ยธรรมชาติ

102

ทม่ี อี ยกู่ บั ตวั อยา่ งสมบรู ณ์ ไมเ่ กรงกลวั วา่ จะมกี ารเปลยี่ นแปลงและสนิ้ ไป
หมดไป เพราะเปน็ อกาลิกธรรม คอื ธรรมที่ปราศจากกาลสถานที่ มีอยู่
กับใจท่ีปราศจากสมมุติเคร่ืองหลอกลวง พระอาจารย์มั่นท่านด�ำเนิน
แบบสคุ โต ไปเป็นสขุ อยเู่ ปน็ สุข น่ังเปน็ สขุ ยืนเปน็ สุข เดนิ เป็นสุข
นอนเป็นสขุ น�ำหม่คู ณะโดยสุคโต แต่บรรดาลูกศิษยท์ พ่ี ยายามตามให้
เป็นไปตามความประสงคท์ า่ นร้สู ึกว่ามีนอ้ ยในธรรมขั้นสงู แต่กย็ งั นับวา่
เป็นประโยชนแ์ กป่ ระชาชนอยู่มาก

เวลาทา่ นพาออกบณิ ฑบาตเฉพาะองค์ ทา่ นเองจะมเี รอื่ งสตั วช์ นดิ ตา่ งๆ
มาเปน็ อารมณค์ เู่ คยี งกบั ธรรมภายในใจ ใหแ้ สดงออกทางวาจาพอผเู้ ดนิ ทาง
ตามหลงั ถดั ทา่ นไดย้ นิ ชดั ถอ้ ยชดั คำ� อนั เปน็ เชงิ สอนเราใหร้ วู้ บิ ากกรรมวา่
แมส้ ตั วเ์ ดยี รจั ฉานกย็ งั มแี ละเสวยกรรมไปตามวบิ ากของมนั โดยนำ� เรอ่ื ง
ของสตั วน์ นั้ ๆ ทเ่ี ดนิ ผา่ นไปพบเหน็ เขาเทย่ี วหากนิ อยตู่ ามรายทางมาแสดง
เพื่อมิให้ประมาทเขาว่าเป็นสัตว์ที่เกิดในกำ� เนิดที่ต่�ำทราม ความจริงเขา
เพยี งเสวยกรรมตามวาระทเ่ี วยี นมาถงึ เทา่ นนั้ เชน่ เดยี วกบั มนษุ ยเ์ ราเกดิ
เสวยชาตเิ ปน็ คน ซ่ึงมคี วามสขุ บา้ งทุกข์บา้ งตามวาระของกรรมท่อี ำ� นวย
ในเวลาต่างๆ กนั

ฉะนนั้ ทที่ า่ นพรำ�่ เรอื่ งของสตั วช์ นดิ ตา่ งๆ มไี ก่ สนุ ขั ววั ควาย เปน็ ตน้
เพราะความสงสารท่ีเขาต้องมาเป็นอย่างน้ันหนึ่ง เพราะความตระหนัก
ในกรรมของสัตวว์ า่ มีตา่ งๆ กันหน่งึ เพราะทา่ นและพวกเราท่กี �ำลงั เป็น
มนษุ ยก์ ม็ กี รรมชนดิ หนง่ึ ทพี่ าใหม้ าเปน็ เชน่ น้ี ซงึ่ ลว้ นเคยผา่ นกำ� เนดิ ตา่ งๆ
มาจนนบั ไมถ่ ว้ นหนงึ่ เพราะความวติ กรำ� พงึ กบั สง่ิ ทพี่ าใหเ้ ปน็ ภพเปน็ ชาติ
ประจำ� มวลสตั วว์ า่ เปน็ สง่ิ ลกึ ลบั มาก ยากทจ่ี ะรเู้ หน็ ไดแ้ มม้ อี ยกู่ บั ตวั ทว่ั กนั

103

ถ้าไมฉ่ ลาดแก้หรอื ถอดถอนออกไดก้ ็ต้องเป็นภัยอยรู่ ่�ำไป ไม่มจี ุดหมาย
ปลายทางวา่ จะหลุดพน้ ไปได้ในกาลและสถานทีใ่ ดๆ หน่ึง

แทบทกุ ครง้ั ทอ่ี อกบณิ ฑบาต ทา่ นจะนำ� เรอื่ งสตั วห์ รอื เรอื่ งคนมาพรำ่�
ไปตามสายทางในลกั ษณะทก่ี ลา่ วมา ผสู้ นใจพจิ ารณาตามกเ็ กดิ สตปิ ญั ญา
ไดอ้ ุบายตา่ งๆ จากทา่ น ผู้ไมส่ นใจพิจารณาตามก็ไม่เกิดประโยชน์ และ
ยังอาจคิดไปว่าท่านพูดอะไรกับสัตว์กับมนุษย์ ซึ่งเขาเหล่าน้ันไม่มีทาง
ทราบได้ เพราะท่านมไิ ด้พูดเฉพาะหนา้ เขา ดงั น้กี อ็ าจมีได้

เวลาทา่ นพกั อยภู่ าคอสี านบางจงั หวดั ขณะทา่ นแสดงธรรมอบรมพระ
ตอนดกึ ๆ หน่อย ในบางคนื ซง่ึ เปน็ กรณีพิเศษ ท่านยังสามารถทราบและ
มองเหน็ พวกรกุ ขเทวดาทพี่ ากนั มาแอบฟงั ทา่ นอยหู่ า่ งๆ เพราะพวกเทพฯ
ทง้ั เบื้องบนเบื้องล่าง มีความเคารพพระมาก ทา่ นเลา่ ว่า เวลาพวกเทพฯ
ชน้ั บนลงมาจากชน้ั ตา่ งๆ มาฟงั ธรรมทา่ นในยามดึกสงดั จะไม่มาทางท่ี
มีพระพกั อยู่ แต่จะมาตามทางทว่ี า่ งจากพระและพร้อมกนั ทำ� ประทักษณิ
สามรอบขณะท่ีมาถึง แล้วนั่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เสร็จแล้ว
หัวหนา้ กลา่ วคำ� รายงานตวั ที่พาพวกเทพฯ มาจากท่ีน้นั ๆ ประสงค์อยาก
ฟังธรรมนน้ั ๆ ทา่ นก็เรม่ิ ทกั ทายพอสมควร แล้วเริ่มก�ำหนดจติ เพ่อื ธรรม
ทสี่ มควรจะแสดงแกช่ าวเทพฯ จะผดุ ขนึ้ มา จากนนั้ กเ็ รมิ่ แสดงใหช้ าวเทพฯ
ฟงั จนเป็นท่เี ขา้ ใจ จบแลว้ ชาวเทพฯ พร้อมกันสาธกุ ารสามครัง้ เสียงลัน่
โลกธาตุ ส�ำหรับผมู้ หี ูทพิ ย์ไดย้ นิ ทว่ั กัน ส่วนหกู ระทะหูหม้อต้มหม้อแกง
ไม่มที างทราบไดต้ ลอดไป

พอจบการแสดงธรรมแลว้ ชาวเทพฯ พรอ้ มกนั ทำ� ประทกั ษณิ สามรอบ
แล้วลาท่านกลับอย่างมีระเบียบสวยงาม ผิดกับชาวมนุษย์เราอยู่มาก

104

แม้ผเู้ ปน็ พระและผเู้ ปน็ อาจารย์ พวกชาวเทพฯ ก็ไม่สามารถท�ำได้อย่าง
สวยงามเหมอื นเขา เพราะความหยาบความละเอยี ดแหง่ เครอื่ งมอื คอื กาย
ตา่ งกนั กบั เขามาก พอออกไปพน้ เขตวดั หรอื ทพี่ กั แลว้ ชาวเทพฯ เหลา่ นน้ั
พากนั เหาะลอยขนึ้ สอู่ ากาศเหมอื นปยุ นนุ่ หรอื สำ� ลเี หาะปลวิ ขน้ึ บนอากาศ
ฉะนนั้ เวลาทชี่ าวเทพฯ มากเ็ ชน่ กนั พากนั เหาะลอยมาลงนอกบรเิ วณทพ่ี กั
แล้วเดินเข้ามาด้วยความเคารพอย่างมีระเบียบสวยงามมากและมิได้
พูดคุยกันอึกทึกครึกโครมเหมือนชาวมนุษย์เราเข้าไปหาอาจารย์ที่ถือว่า
เปน็ ทเี่ คารพนบั ถอื ทง้ั นอ้ี าจเปน็ เพราะพวกเทพฯ เปน็ กายทพิ ย์ จะพดู อยา่ ง
มนษุ ยจ์ งึ ขดั ขอ้ ง ขอ้ นพ้ี วกเทพฯ ตอ้ งยอมแพม้ นษุ ยท์ พี่ ดู เสยี งดงั กวา่ มนษุ ย์
จึงไดเ้ ปรยี บพวกเทพฯ ตรงนเี้ อง

พวกเทพฯ ขณะฟังเทศน์มีความส�ำรวมดีมาก ไม่ส่ายโน่นส่ายนี่
ไม่แสดงทิฐิมานะออกมาให้กระทบจิตใจของผู้จะให้อรรถให้ธรรม
ตามปกตกิ อ่ นหนา้ พวกเทพฯ จะมาฟงั เทศน์ ทา่ นเคยทราบไว้กอ่ นเสมอ
เช่น เขาจะมาในราวที่สดุ ของสองยาม คอื ๖ ทุ่ม พอตกตอนเย็นทา่ น
ทราบไว้ก่อนแล้ว บางวันท่านคิดว่าจะมีการประชุมพระตอนเย็นก็ต้อง
สงั่ งดในคนื วนั นน้ั พอขน้ึ จากทางจงกรมแลว้ ทา่ นเรม่ิ เขา้ ทท่ี ำ� สมาธภิ าวนา
พอจวนเวลาพวกเทพฯ จะมาถงึ ทา่ นเรม่ิ ถอยจติ ออกมารออยขู่ นั้ อปุ จาร-
สมาธิและส่งกระแสจิตออกไปดู ถ้ายังไม่เห็นมา ท่านก็เข้าสมาธิอีก
พกั อยพู่ อสมควรแลว้ ถอยจติ ออกมาอกี บางครง้ั พวกเทพฯ มาถงึ กอ่ นแลว้
บางคร้ังก�ำลงั หลั่งไหลเขา้ มาในบริเวณท่พี กั บางคร้งั ทา่ นกร็ อคอยอยู่ขน้ั
อปุ จารสมาธนิ านพอสมควร จึงเหน็ พวกเทพฯ มา

105

วันไหนทที่ ราบว่าเขาจะมาดึกๆ หนอ่ ย ราวตี ๑ ตี ๒ หรือตี ๓ กม็ ี
หา่ งๆ วนั เชน่ นน้ั พอทำ� ความเพยี รจนถงึ เวลาพอสมควรแลว้ ทา่ นกพ็ กั ผอ่ น
จ�ำวัด ไปต่ืนเอาตอนนั้นทีเดียว แล้วเตรียมต้อนรับแขกตามเวลาท่ี
กำ� หนดไว้ พวกเทพฯ ทม่ี าฟงั เทศนท์ า่ นเวลาพกั อยทู่ างภาคอสี านไมค่ อ่ ย
มีมาบ่อยๆ และไม่มีมากนัก ส่วนรายที่มาแอบฟังเทศน์ท่านอยู่ห่างๆ
ขณะทท่ี ่านก�ำลงั อบรมพระนัน้ พอทราบท่านก็หยุดการอบรมในเวลานั้น
และสั่งพระให้เลิกประชมุ ส�ำหรบั องค์ท่านกร็ บี เข้าที่ท�ำสมาธิภาวนาเพอ่ื
แสดงธรรมใหช้ าวเทพฯ ฟงั ในลำ� ดบั ตอ่ ไปจนจบ พอพวกเทพฯ กลบั ไปแลว้
ท่านก็พกั จ�ำวดั จนกวา่ ถึงเวลาอนั ควร ก็ตน่ื ท�ำความเพียรตอ่ ไปตามปกติ
ทเี่ คยทำ� มาเป็นประจ�ำ การตอ้ นรับชาวเทพฯ เปน็ กจิ ของท่านโดยเฉพาะ
ไม่ให้คลาดเคลื่อนเวลาได้เลย เพราะเขามาตามก�ำหนดเวลา ค�ำสัตย์
เขาถอื เปน็ สำ� คญั มาก แมพ้ ระทำ� ใหเ้ คลอ่ื นโดยไมม่ คี วามจำ� เปน็ เขากต็ ำ� หนิ
ติเตียน พวกเทพฯ เคารพหวั หนา้ มาก คอยฟงั คำ� ส่งั และปฏิบตั ติ ามด้วย
ความสนใจ

พวกนี้ไม่ว่าจะมาจากช้ันบน หรือที่เป็นรุกขเทพฯ มาจากท่ีต่างๆ
ต้องมีหัวหน้าเป็นผู้น�ำเสมอ การสนทนาระหว่างพวกเทพฯ กับพระใช้
ภาษาใจภาษาเดียวเท่านั้น ไม่มีหลายภาษาเหมือนมนุษย์และสัตว์ชนิด
ต่างๆ กัน เน้ือหาของใจที่คิดข้ึนเพ่ือผู้ตอบนั้นเป็นค�ำถามของภาษาใจ
ที่แสดงออกอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วผู้ตอบเข้าใจได้ชัดเช่นเดียว
กับเราถามกันเป็นประโยคด้วยค�ำพูดทางวาจา ประโยคท่ีผู้ตอบคิดขึ้น
แต่ละประโยคแต่ละค�ำเป็นเน้ือหาของภาษาใจอย่างเต็มท่ีแล้ว ผู้ถาม
เข้าใจได้ชัดเจนเช่นเดียวกัน ภาษาของใจยิ่งตรงตามความรู้สึกท่ีระบาย

106


Click to View FlipBook Version