The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-10-26 10:13:10

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

601

เงินทดรองจ่ายค่าไถ่ถอนจานอง จาเลยปิดล็อกประตูช้ัน ๒ ของอาคารพิพาทซึ่งเป็นทางเช่ือมไปสู่
อาคารพิพาทส่วนท่ีโจทก์เช่าอยู่ ทาให้โจทก์และพนักงานของโจทก์ไม่สามารถเข้าไปยังอาคารพิพาท
ส่วนที่โจทก์เช่าอยู่ได้ แม้ประตูช้ัน ๒ จะอยู่ในความครอบครองของจาเลยหรือไม่ก็ตาม จาเลยก็ไม่มี
อานาจโดยพลการที่จะปิดล็อกประตูชั้น ๒ ซง่ึ เป็นทางเข้าออกทางเดียวทาให้โจทก์และพนักงานของ
โจทก์ไม่สามารถเข้าไปยังอาคารพิพาทส่วนท่ีโจทก์เช่าอยู่ได้ การกระทาของจาเลยจึงเป็นการล่วงล้า
เข้าไปในอานาจการครอบครองของโจทก์ ถือได้ว่าจาเลยเข้าไปกระทาการรบกวนการครอบครอง
อสงั หาริมทรพั ยข์ องโจทกโ์ ดยปกติสุขตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๒

ฎกี าน่าสนใจมาตรา ๓๖๔

ฎีกาท่ี ๓๕๒๘/๒๕๕๙ ฎ.๘๕๓ จาเลยมิได้สมัครใจเข้าต่อสู้กับผู้ตาย แต่ผู้ตายจะใช้
มดี ดาบทาร้ายจาเลยก่อน จาเลยย่อมมีสิทธิท่ีจะกระทาเพื่อป้องกันตนเองให้พ้นจากการประทุษร้าย
ของผู้ตาย มีดดาบที่ผู้ตายใช้ฟันทาร้ายจาเลยยาวประมาณ ๑ ช่วงแขน สามารถทาให้จาเลยตายได้
การท่ีจาเลยใช้กรรไกรยาวประมาณ ๑ คืบ แทงทาร้ายผู้ตายโดยปรากฏบาดแผลท่ีทาให้ผู้ตายถึงแก่
ความตายมีเพียงบาดแผลเดียวคือบาดแผลท่ีถูกของมีคมแทงท่ีหัวใจ ท้ังเมื่อผู้ตายล้มลงจาเลยไม่ได้
ตามเข้าไปทาร้ายซ้าอีก การกระทาของจาเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ จาเลยจึงไม่มี
ความผิดฐานฆ่าผูอ้ ่ืน

จาเลยถืออาวุธสีดาปลายแหลมตามเข้าไปแทงผู้ตายภายในห้องพักของผู้ตายซึ่งเป็น
กรรมสิทธิ์ของผู้เสียหาย การกระทาของจาเลยเป็นความผิดฐานบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่น
โดยไม่มีเหตุอันสมควรตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๔ มิใช่เป็นความผิดฐานบุกรุกเพ่ือเข้าไปรบกวนการ
ครอบครองอสังหารมิ ทรพั ยข์ องผู้อ่ืนโดยปกติสขุ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๒

ฎีกาที่ ๘๘๓๒/๒๕๕๙ ฎ.๓๔๒๘ จาเลยเข้าไปด่าโจทก์ในบริเวณบ้านของโจทก์ ยังถือไม่ได้
ว่าเป็นการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือเป็นการรบกวนการ
ครอบครองอสงั หาริมทรพั ย์ของโจทกโ์ ดยปกตสิ ขุ จึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๒ แตก่ ารที่
จาเลยเข้าไปในบริเวณบ้านอันเป็นเคหสถานของโจทก์เพ่ือด่าโจทก์ด้วยถ้อยคาหยาบคาย เป็นการ
เข้าไปในเคหสถานของโจทก์โดยไม่มเี หตุอันสมควร จึงเป็นความผิดตามมาตรา ๓๖๔
ขอ้ สงั เกต จำเลยมีควำมผดิ ตำมมำตรำ ๓๙๓ ด้วย

ฎกี าที่ ๔๓๙๐/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล. ๘ น. ๒๓ การท่ีจาเลยที่ ๒ ร่วมเดนิ ทางกับจาเลยท่ี ๑ เขา้ ไป
ในบ้านของผู้เสียหายในเวลากลางคืน เมื่อพบผู้เสียหาย จาเลยที่ ๑ ใช้กาลังประทุษร้ายจับข้อมือ
ผู้เสียหายโดยมีอาวุธมีด เมื่อผู้เสียหายร้องโวยวายและน้องสาวผู้เสียหายเข้ามาช่วย จาเลยทั้งสอง
จงึ ขบั รถจักรยานยนต์ออกไป ยังถือไม่ได้ว่าจาเลยที่ ๒ มีเจตนาบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสยี หาย อันเป็น
การรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุข จึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ.
มาตรา ๓๖๒ แต่พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงถึงความท่ีไม่มีเหตุอันสมควรที่จะเข้าไปในเคหสถานของ

602

ผูเ้ สยี หายอันเป็นองคป์ ระกอบสาคญั แห่งความผิดฐานบกุ รุกตามมาตรา ๓๖๔ อยดู่ ว้ ย
ฎีกาท่ี ๕๖๑๓/๒๕๔๙ ฎ.๑๒๖๑ จาเลยท่ี ๑ และท่ี ๔ เข้าไปชกต่อย น. บริเวณแคร่หน้า

บา้ นของ ล. ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นมารดาของ น. จาเลยที่ ๒ และท่ี ๓ ซ่ึงมีอาวุธมีดเข้าไปช่วยจาเลยที่ ๑
และท่ี ๔ น. วิ่งเข้าไปในบา้ นของผเู้ สียหาย จาเลยทงั้ สีว่ ่ิงตามเขา้ ไปโดยมเี จตนาทารา้ ย น. แมเ้ ป็น
การกระทาท่ีต่อเนื่องจากการที่จาเลยทั้งสี่ทาร้าย น. มาก่อน แต่เม่ือผู้เสียหายไล่ให้จาเลยทั้งส่ีออก
จากบา้ น จาเลยทั้งส่กี ็ออกจากบ้านทนั ที จะถือวา่ เป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรพั ยข์ อง
ผู้เสียหายโดยปกติสุขยังไม่ได้ แต่ถือได้ว่าเป็นการเข้าไปในบ้านโดยไม่มีเหตุอันสมควร โดยใช้กาลัง
ประทุษร้าย โดยมีอาวุธ และโดยร่วมกนั กระทาความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนข้ึนไป จึงมคี วามผิดฐาน
บุกรุกตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๔ และมาตรา ๓๖๕ (๑) (๒)

ฎกี าท่ี ๙๗๙๕/๒๕๕๒ ฎ.๒๐๘๓ ป.อ. มาตรา ๑ (๔) "เคหสถาน" หมายความวา่ ทซ่ี ่งึ ใช้เป็น
ที่อยอู่ าศัย เชน่ เรือน โรง เรือ หรอื แพ ซ่ึงคนอย่อู าศัยและใหห้ มายรวมถึงบริเวณของท่ีซึ่งใชเ้ ป็นท่ีอยู่
อาศัย จะมีรวั้ ลอ้ มหรอื ไมก่ ต็ าม บ้านของผเู้ สียหายไม่มีรั้วลอ้ ม กับบริเวณหลงั บ้านผู้เสยี หายอยู่ติดกับ
ถนนส่วนบุคคล กรณีจะถือเอาเพียงฝาผนังและประตูเหล็กด้านหลังเป็นแนวของเคหสถานย่อมจะ
ไม่ได้ เพราะเคหสถานตามกฎหมายให้หมายความรวมถึงบริเวณของท่ีซึ่งใช้เป็นท่ีอยู่อาศัยน้ันด้วย
ผู้เสียหายใช้ประโยชน์บริเวณรอบบ้านเป็นท่ีวางสิ่งของกับมีหลังคาบ้านย่ืนออกมาคลุม การท่ีจาเลย
ทัง้ สองไปอยู่บริเวณประตหู ลังบา้ นผู้เสียหาย ย่อมถือว่าเป็นการเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายแล้ว
จาเลยทง้ั สองเข้าไปในขณะท่ีผ้เู สยี หายไม่อยู่บ้าน ท้งั ผู้เสียหายกบั จาเลยทง้ั สองมีสาเหตุโกรธเคอื งกัน
มาก่อน จึงยิ่งไม่มีเหตุสมควรท่ีจะเข้าไปอยบู่ ริเวณประตูหลังบ้านผู้เสียหาย พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้
วา่ จาเลยทั้งสองกระทาความผิดฐานบกุ รุกเข้าไปในเคหสถานของผอู้ นื่ โดยไม่มีเหตุอันสมควร

ฎกี าท่ี ๖๕๕๑/๒๕๕๘ ฎ.๓๑๘๘ จาเลยกับพวกเคาะประตูบ้านเรียกผู้เสียหายให้เปิดประตู
และเข้าไปค้นบ้านผู้เสียหายในยามวิกาล แม้จาเลยจะกระทาเพ่ือค้นหาทรัพย์สินของจาเลยและ
จาเลยกับผู้เสียหายร้จู ักกนั มาก่อน แต่จาเลยกบั พวกไม่มสี ิทธิตามกฎหมายหรอื มีเหตุอนั ควรที่จะเข้า
ไปค้น จึงเปน็ การเข้าไปในเคหสถานของผอู้ ่ืนโดยไมม่ เี หตุอันสมควร

จาเลยผลักประตูบ้านท่ีผู้เสียหายเปิดแง้มเข้าไปโดยแสดงแก่ผู้เสียหายว่า ส. กับพวกอีก ๓
คน ซ่ึงยืนอยู่ห่างประตูบ้านเป็นเจ้าพนักงานตารวจและผ้เู สียหายมิได้ขัดขืนหรือห้ามปรามมิให้จาเลย
กับ ส. เข้าไป ถอื ไม่ได้ว่าผูเ้ สยี หายยินยอมให้จาเลยกับพวกเข้าไป การกระทาของจาเลยกบั พวกย่อม
เป็นความผิดฐานร่วมกันเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควรโดยร่วมกันกระทา
ความผิดต้ังแต่สองคนข้ึนไปในเวลากลางคืน

ผเู้ สียหายกับจาเลยรู้จกั กันมาก่อนและผู้เสียหายรู้ว่าจาเลยมิได้เปน็ เจ้าพนักงาน วนั เกิดเหตุ
จาเลยมิได้แสดงตนเป็นเจ้าพนักงาน เพียงแต่อ้างว่าพวกของจาเลยเป็นเจ้าพนักงาน การกระทาของ
จาเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทาการเป็นเจ้าพนักงานตาม
ป.อ. มาตรา ๑๔๕ วรรคแรก แต่การกระทาของจาเลยเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทา
ความผดิ ฐานร่วมกนั แสดงตนเปน็ เจ้าพนกั งานและกระทาการเปน็ เจา้ พนักงาน

603

ฎีกาท่ี ๗๘๒๔/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๖๑ เคหสถานตาม ป.อ. มาตรา ๑ (๔) ให้หมายความ
รวมถึงบริเวณของท่ีใช้เป็นท่ีอยู่อาศัยน้ันด้วย ฉะนั้น หลังคาบ้านย่อมเป็นเคหสถานตามบทบัญญัติ
ดังกล่าว แม้ผู้เสียหายทั้งสองกับจาเลยจะมบี ้านอยใู่ กล้กนั แต่ก็หาได้คนุ้ เคยหรอื สนิทสนมกันไม่ กรณี
จึงมิใช่เป็นเรื่องการถือวิสาสะ อีกทั้งขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน จาเลยย่อมไม่มีอานาจหรือไม่มี
สิทธิจะเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายโดยมิได้รับอนุญาตก่อน แม้จาเลยอ้างว่าเข้าไปเพราะ
ต้องการจะเก็บปืนของเล่นให้แก่บุตรชายของตนก็ตาม แต่เหตุตามท่ีจาเลยอ้าง มิใช่กรณีจาเป็น
เร่งด่วนถึงขนาดว่าจาเลยจะปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านผู้อ่ืนในยามวิกาลตามอาเภอใจโดยไม่บอกกล่าว
หรือขออนุญาตเจ้าของบ้านก่อน ท้ังเม่ือจาเลยถูกตาหนิที่ไม่ขออนุญาตกลับโต้เถียง และด่าว่า
ผ้เู สยี หายท้ังสองซงึ่ เป็นเจ้าของเคหสถานด้วยถ้อยคาหยาบคาย การกระทาของจาเลยจึงเป็นการเข้า
ไปในเคหสถานของผู้อ่นื โดยไมม่ เี หตุอันสมควรตามมาตรา ๓๖๕ (๓)

ฎีกาที่ ๘๒๐๗/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๙ น.๘๘ โจทก์ร่วมกับจาเลยตกลงยกบ้านท่ีเกิดเหตุให้แก่
บุตร และให้บุตรอยู่ในอานาจปกครองของโจทก์ร่วม อีกทั้งยังได้มีการย้ายชื่อจาเลยออกจากบ้าน
เกิดเหตุไปแล้วภายหลังจากจดทะเบียนหย่า ๘ วัน ย่อมแสดงว่าบ้านท่ีเกิดเหตุเป็นบ้านที่
โจทก์ร่วมกับบุตรพักอาศัยอยู่ด้วยกันภายหลังจากที่โจทก์ร่วมกับจาเลยหย่าขาดจากกันแล้ว จาเลย
ไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะมาพักอาศัยอยู่ในบ้านเกิดเหตุอีก มิฉะนั้นการหย่าและข้อตกลงเร่ืองจดทะเบียน
หย่าระหว่างโจทก์ร่วมกับจาเลยจะไม่มีผลแต่ประการใด เม่ือจาเลยไม่มีสิทธิพักอาศัยอยู่ในบ้าน
เกิดเหตุ การกระทาของจาเลยที่เข้าไปในบ้านเกิดเหตุช่วงเวลาดึกประมาณเท่ียงคืนถึงหนึ่งนาฬิกา
เช่นนี้ ถอื ได้วา่ เปน็ การเข้าไปในเคหสถานซึ่งอยูใ่ นความครอบครองของผ้อู นื่ โดยไมม่ ีเหตุอนั สมควร

ฎีกาท่ี ๗๑๔๖/๒๕๕๒ ฎ.๑๓๙๗ จ. ยังเป็นภริยาจาเลย แต่การที่จาเลยเข้าไปในบ้าน
ผู้เสียหายเพ่ือตามหา จ. โดยไม่ปรากฏว่าจาเลยกับผู้เสียหายมีความสัมพันธ์กันในทางใด ท้ังจาเลย
ก็ไม่เคยพักอาศัยอยู่กับผู้เสียหาย จาเลยย่อมไม่มีสิทธิเข้าไปในบ้านผู้เสียหายโดยพลการ จึงเป็นการ
เขา้ ไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร การกระทาของจาเลยจงึ เป็นความผิดฐานบกุ รุก

ฎีกาท่ี ๑๒๘๐๕/๒๕๕๘ ฎ.๑๙๔๒ บริเวณช้ันที่ ๒๙ ของอาคารชุดมีห้องชุดของโจทก์ห้อง
เดียวและมีประตูหนีไฟอยู่ ๒ จุด จุดแรกอยู่ในห้องชุดของโจทก์ ส่วนอีกจุดหนึ่งอยู่นอกห้องชุด
ของโจทก์ การตรวจสอบระบบป้องกันอัคคีภัยมีความจาเป็นต้องตรวจสอบภายในห้องชุดของโจทก์
ซ่ึงก่อนตรวจสอบมีการแจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้าแล้ว และในวันเกิดเหตุที่คณะผู้ตรวจสอบได้แจ้ง
ขออนุญาตจากผู้ดูแลห้องชุดของโจทก์แล้ว และได้ตรวจสอบบริเวณประตูหนีไฟภายในห้องชุดของ
โจทก์เพ่ือเช่ือมโยงกับประตูบานเล่ือนซ่ึงอยู่ในบริเวณพื้นที่ส่วนกลางที่เป็นปัญหาโต้เถียงกัน
ในที่ประชุมว่าเป็นเส้นทางหนีไฟหรือไม่แล้วออกจากห้องชุดของโจทก์ การท่ีจาเลยทั้งสามซึ่งเป็น
เจ้าของห้องชุดและจาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ในฐานะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดได้ร่วมตามคณะ
ผู้ตรวจสอบเข้าไปในห้องชุดของโจทก์ เช่ือว่ามีเจตนาเพียงเพื่อดูแลการตรวจสอบของคณะ
ผู้ตรวจสอบตามมติที่ประชุมคณะกรรมการอาคารชุดท่ีตนมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลในฐานะกรรมการ
นิติบุคคลอาคารชุดและเป็นผู้มีส่วนได้เสียเพื่อรักษาประโยชน์และความปลอดภัยของอาคารชุดโดย

604

ส่วนรวมในฐานะเจ้าของห้องชุด เม่ือคณะผู้ตรวจสอบตรวจสอบเสร็จแล้วออกจากห้องชุดของโจทก์
จาเลยทั้งสามก็ตามออกมาโดยไม่ปรากฏว่าจาเลยทั้งสามได้เข้าไปกระทาการอื่นใดอีกหรือทาให้
ทรัพย์สินในห้องชุดของโจทก์เสียหาย การกระทาของจาเลยทั้งสามยังไม่พอฟังว่าเป็นการเข้าไป
ในห้องชุดของโจทก์โดยไม่มีเหตุอันสมควรและรบกวนการครอบครองห้องชุดของโจทก์ จาเลย
ท้งั สามไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๔ ประกอบมาตรา ๓๖๕ (๒) และ ๘๓

ฎีกาท่ี ๑๒๑๔/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๑๒ การท่ีจาเลยซึ่งเป็นผู้จัดการของนิติบุคคลอาคาร
ชุดมีอานาจจัดการและดูแลรักษาห้องน้าชายและหญิงซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลาง ต้ังอยู่บนช้ันท่ี ๖ ได้
ปิดกั้นประตหู อ้ งน้าไม่ใหโ้ จทก์และเจ้าของห้องชุดคนอ่ืนซ่ึงเป็นเจ้าของร่วมใช้ประโยชน์ หากเปน็ การ
จัดการทรัพย์ส่วนกลางที่ไม่ชอบด้วย พ.ร.บ. อาคารชุดฯ หรือข้อบังคับประการใด โจทก์และเจา้ ของ
ห้องชุดดังกล่าวต้องดาเนินการแก่จาเลยทางมติที่ประชุมของเจ้าของห้องชุดหรือทางคณะกรรมการ
ควบคมุ การจดั การนิตบิ คุ คลอาคารชุด การกระทาของจาเลยตามฟ้องไมเ่ ป็นความผิดฐานบุกรุก

ฎีกาท่ี ๕๑๗๗/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๗๔ จาเลยเขา้ ไปในบ้านผเู้ สยี หายโดยการเชิญชวนของ
ส. บุตรสาวของผู้เสยี หาย แม้ผู้เสียหายจะมิได้อนุญาตให้จาเลยเข้าไปในบ้านก็ตาม แต่จาเลยก็ได้รับ
อนุญาตจากบุตรสาวของผู้เสียหายให้เข้าไปบ้านดังกล่าวแล้ว การกระทาของจาเลยจึงมิใช่เป็นการ
เข้าไปในบ้านผเู้ สียหายโดยไม่ได้รับอนุญาต หรอื โดยไม่มีเหตุอันสมควร ท้ังมิใช่การเข้าไปเพื่อกระทา
การใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุขตาม ป.อ.
มาตรา ๓๖๒ , ๓๖๔

ฎีกาที่ ๕๔๐/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๘ น.๒๐ บ้านที่เกิดเหตุมีโต๊ะสนุกเกอร์เปิดบริการให้บุคคล
ท่ัวไปเล่นได้และขณะเกิดเหตุยังคงเปิดบริการอยู่ การท่ีจาเลยท้ังสามเข้าไปทาร้ายรา่ งกายผู้เสียหาย
ที่ ๒ ในบรเิ วณที่บุคคลทั่วไปย่อมจะเข้าไปได้นั้น ย่อมไม่มคี วามผิดฐานบุกรุกตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๔
และมาตรา ๓๖๕

ฎกี าที่ ๒๑๓๗/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๔ น.๖๑ แมบ้ า้ นเกดิ เหตจุ ะเปน็ เคหสถานที่ผู้เสยี หายใช้อาศัย
แต่ผู้เสียหายก็ใช้ส่วนหนึ่งของบ้านดังกล่าว ซ่ึงได้แก่บริเวณท่ีเกิดเหตุ เปิดเป็นร้านรับซ่อม
เคร่อื งใช้ไฟฟ้าด้วย ในเวลาที่ผู้เสียหายยังเปิดให้บรกิ ารซ่อมเครื่องใช้ไฟฟา้ อยู่ บริเวณดังกล่าวจึงเป็น
สาธารณสถาน ซ่ึงประชาชนทั่วไปหรือแม้แต่จาเลยท่ี ๑ ก็ดีมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้ ต่อเมื่อ
ผู้เสียหายปิดร้านหรือหมดเวลาให้บริการรับซ่อมเคร่ืองใช้ไฟฟ้าในแต่ละวันแล้วเท่านั้น บริเวณ
ดงั กล่าวจึงจะเปน็ เคหสถานทีผ่ ู้เสยี หายใชอ้ ย่อู าศัย

ฎกี าท่ี ๖๖๐๖/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๗๐ จาเลยเข้าไปในห้างสรรพสินค้าท่ีเกิดเหตุในเวลาที่
ห้างสรรพสินค้าที่เกิดเหตุยังเปิดทาการ และจาเลยอยู่ในห้างสรรพสินค้าที่เกิดเหตุจนกระทั่ง
ห้างสรรพสินค้าที่เกิดเหตุปิดทาการ จึงมิใช่เป็นการเข้าไปในห้างสรรพสินค้าท่ีเกิดเหตุโดยไม่มีเหตุ
อันสมควร แตเ่ ป็นการซ่อนตวั อยใู่ นห้างสรรพสินค้าท่เี กดิ เหตุ

ฎีกาที่ ๒๖๑๖/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๑๔ การที่จาเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหายเพื่อบอกให้
ผู้เสียหายเบาวิทยุท่ีเปิดเสียงดังหรือการที่จาเลยเข้าไปหานาง ก. น้ัน ถือว่ามีเหตุอันสมควร การ

605

เข้าไปของจาเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก แต่เมื่อผู้เสียหายไล่ให้จาเลยออกจากบ้านแล้ว จาเลย
ก็ไม่มีสิทธิที่จะอยู่อีก การที่จาเลยยังคงอยู่และใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหาย จาเลยจึงมีความผิดฐาน
บกุ รกุ โดยใช้กาลงั ประทษุ รา้ ย มีอาวธุ มีดและกระทาในเวลากลางคืน

ฎีกาท่ี ๗๔๗๙/๒๕๕๖ ฎ. ๒๕๕๑ ผู้เสียหายมิได้หวงห้ามที่จาเลยขับรถจักรยานยนต์เข้าไป
ในบริเวณบ้านของผู้เสียหาย และจาเลยก็เข้าไปสอบถามเก่ียวกับเร่ืองไก่ที่หายไป ถือได้ว่าจาเลย
มีเหตุอันสมควรที่จะเข้าไปเพื่อสอบถามผู้เสียหาย เม่ือเกิดมีการโต้เถียงกันและผู้เสียหายได้ไล่ให้
จาเลยออกไป แม้จาเลยจะยังไม่ออกไปในทันที แต่หลังจากนั้นไม่นานนักเพียงประมาณ ๓ ถึง ๔
นาที จาเลยก็เดินไปท่ีรถจักรยานยนต์แล้วขับออกไปจากบ้าน ดังน้ี ยังฟังไม่ได้ว่าจาเลยไม่ยอม
ออกไปจากสถานที่เช่นว่าน้ัน เม่ือผู้มีสิทธิที่จะห้ามมิให้เข้าไปได้ไล่ให้ออกอันจะเป็นความผิดฐาน
บกุ รุกในเวลากลางคืนตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๕ (๓)

ฎีกาท่ี ๑๓๖๓/๒๕๕๐ ฎ.๔๘๕ โจทก์ร่วมเช่าโกดังเก็บข้าวซึ่งเป็นโกดังที่จาเลยใช้ประกอบ
กิจการโรงสีของจาเลย เมื่อทาสัญญาเช่าแล้วจาเลยเป็นผู้ถือกุญแจโกดังเพียงฝ่ายเดียว จาเลยเป็น
ผคู้ รอบครองโกดังอยู่เช่นเดิม สัญญาเช่าท่ีทาไว้มีค่าเช่าเพียงปีละ ๑๐๐ บาท นับว่านอ้ ยมาก จึงเป็น
การทาสัญญาเช่าเป็นแบบพิธีเท่าน้ัน คู่สัญญาไม่ได้มีเจตนาให้เป็นการเช่าตามกฎหมายอย่างแท้จริง
จาเลยจงึ ไมอ่ าจรบกวนการครอบครองของตนเองได้ ไม่มีความผดิ ฐานบกุ รกุ
ข้อสังเกต โจทก์ร่วมทำสัญญำเช่ำโดยไม่ได้เข้ำครอบครองโกดัง โดยจำเลยยังเป็นผู้ครอบครอง
โจทก์ร่วมจึงจะมำฟ้องจำเลยวำ่ บุกรุกไม่ได้

ฎีกาที่ ๙๙๗๓/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๗๗ โจทก์กับจาเลยยังมีคดีความกันที่ศาลช้ันต้นใน
เรื่องสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ว่าฝ่ายใดมีสิทธิครอบครองท่ีดินพิพาทดีกว่ากัน เม่ือท้ังสองฝ่าย
ยังโต้เถียงการครอบครองกันอยู่ การท่ีจาเลยให้ชาวบ้านเข้าไปในที่ดินพิพาทเพื่อตัดต้นยูคาลิปตัส
จึงเป็นการเข้าใจโดยสุจริตว่าที่ดินพิพาทเป็นของจาเลย การกระทาของจาเลยจึงไม่มีความผิดฐาน
บกุ รุก

สว่ นความผิดฐานทาให้เสียทรัพย์นั้น แม้โจทก์จะอ้างว่าต้นยูคาลิปตัสที่จาเลยใช้ให้ชาวบ้าน
เข้าไปตัดฟันน้ัน โจทก์เป็นผู้ปลูกก็ตาม แต่ต้นยูคาลิปตัสเป็นไม้ยืนต้นจึงเป็นส่วนควบของท่ีดินตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๕ วรรคหน่ึง และตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของท่ีพิพาทซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์
ประธานตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๔ วรรคสอง เมื่อโจทก์และจาเลยยงั โต้เถียงสิทธิครอบครองในท่ีดิน
พิพาทกันอยู่ เท่ากับว่าโจทก์และจาเลยยังโต้เถียงกรรมสิทธ์ิของต้นยูคาลิปตัสซ่ึงปลูกอยู่ในท่ีพิพาท
การท่ีจาเลยใช้ให้ชาวบ้านเข้าไปตันฟันต้นยูคาลิปตัส จึงมีเหตุอันสมควรให้จาเลยเข้าใจโดยสุจริต
ว่าต้นยูคาลิปตัสดังกล่าวเป็นของจาเลยเช่นกัน การกระทาของจาเลยจึงไม่มีความผิดฐานทาให้
เสยี ทรพั ย์

606

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๓๖๕

ฎีกาที่ ๒๕๗๘/๒๕๕๗ ฎ.๙๖๘ ตามฟ้องโจทก์จาเลยท่ี ๑ ซึ่งบุกรุกเข้าไปในโกดังเก็บ
เฟอรน์ ิเจอร์ มิใช่ผู้แทนนิติบุคคลจาเลยที่ ๒ การกระทาความผิดของจาเลยท้ังสองจึงเป็นการกระทา
ของจาเลยแต่ละคนไมไ่ ดร้ ่วมกันกระทาความผดิ ดังน้ี การกระทาของจาเลยท้งั สองตามฟอ้ งจึงไม่เป็น
ความผิดฐานบุกรุกโดยร่วมกระทาความผิดด้วยกันต้ังแต่สองคนขึ้นไป ตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๕ (๒)
คงมีความผิดฐานบุกรกุ ตามมาตรา ๓๖๒, ๓๖๔

ฎีกาท่ี ๗๖๐๐/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๐๗ คนื เกดิ เหตุจาเลยทั้งสองกบั พวกไปเคาะประตูบ้าน
ของผู้เสียหายเรียกหา ส. บุตรเขยของผู้เสียหาย เม่ือ ส. เปิดประตูเห็นจาเลยท้ังสองกับพวก ส. พา
จาเลยที่ ๒ ไปน่ังคุยเรื่องหน้ีสินท่ีเก้าอี้หินอ่อนหน้าบ้าน โดยจาเลยที่ ๑ กับพวกก็อยู่บริเวณนั้นด้วย
ส่วนผู้เสียหายยืนถือมีดอยู่บริเวณประตูหน้าบ้าน แม้ ส. เป็นเพียงบุตรเขยของผู้เสียหาย แต่การที่
จาเลยทั้งสองกับพวกเข้าไปในบริเวณบ้านของผู้เสียหายถามหา ส. แล้วพากันไปน่ังคุยที่เก้าอ้ีหน้า
บ้าน โดยผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของบ้านอยู่รู้เห็นเหตุการณ์มาต้ังแต่ต้น แต่ก็มิได้ห้ามปรามหรือขอร้อง
ให้จาเลยทั้งสองกับพวกออกไปจากบริเวณบ้าน แสดงว่าผู้เสียหายอนุญาตให้จาเลยท้ังสองกับพวก
เข้าไปได้โดยปริยาย การเข้าไปของจาเลยทั้งสองกับพวกในตอนแรก จึงเป็นการเข้าไปโดยมีเหตุ
อันสมควร และไม่มีเจตนารบกวนการครอบครองที่อยู่อาศัยของผู้เสียหาย การกระทาของจาเลย
ท้ังสองกับพวกจงึ ไม่เปน็ ความผิดฐานรว่ มกนั บุกรกุ แต่การที่จาเลยท่ี ๑ ถืออาวุธปืนเดินเขา้ ไปในบา้ น
ของผู้เสียหายแล้วรื้อเส้ือผ้าในตระกร้าผ้าที่วางอยู่ข้างตู้เย็น แม้ผู้เสียหายจะถือมีดอยู่ก็ย่อมไม่กล้า
ขัดขวาง เพราะอาจถูกจาเลยท่ี ๑ ยิงได้ ดังน้ัน แม้จะถือว่าผู้เสียหายอนุญาตให้จาเลยทั้งสองเข้าไป
ในบริเวณบ้านก็ตาม แต่จะถือว่าผู้เสียหายอนุญาตให้เข้าไปภายในบ้านไม่ได้ การเข้าไปในบ้านของ
จาเลยที่ ๑ จึงไม่มีเหตุอันสมควรและเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหาย
โดยปกติสุข การกระทาของจาเลยที่ ๑ จึงเป็นความผิดฐานบุกรุกโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กาลัง
ประทุษร้ายและมีอาวุธในเวลากลางคืน อนั เป็นการกระทาเฉพาะตวั ของจาเลยที่ ๑ จาเลยท่ี ๒ ซ่งึ ยัง
นงั่ คุยอยูก่ ับ ส. ไมไ่ ด้มีส่วนร่วมร้เู ห็นหรือสนับสนนุ แต่ประการใด

607

ความผิดเกยี่ วกบั ศพ

ข้อ ๙๙ คาถาม คืนหน่ึงนายเอกไปนอนค้างท่ีบ้านนายโท นายเอกเห็นนางสาวสวย
นอ้ งภรรยานายโทกาลังอาบน้าอยู่ที่ใต้ถุนบ้าน นายเอกเดินเขา้ ไปและพูดจาเก้ยี วพาราสีนางสาวสวย
นางสาวสวยด่านายเอก นายเอกจึงเข้าไปตบนางสาวสวยที่ใบหน้าอย่างแรง ๑ ครั้ง นางสาวสวย
ล้มลงศีรษะกระแทกขอนไม้ท่ีพื้นแน่นิ่งไป แต่เน่ืองจากนางสาวสวยเป็นโรคความดันโลหิตไม่ปกติ
จึงทาให้เส้นเลือดในสมองแตกตายทันที แต่นายเอกไม่รู้ว่านางสาวสวยเป็นโรคดังกล่าว เข้าใจว่า
นางสาวสวยสลบไปเทา่ น้ัน นายเอกจึงข่มขนื กระทาชาเรานางสาวสวยแลว้ หลบหนไี ป

ใหว้ ินิจฉัยความรับผดิ ทางอาญาของนายเอก
คาตอบ การท่ีนายเอกเข้าไปตบนางสาวสวยท่ีใบหน้าอย่างแรง ๑ ครั้งนั้น นายเอกมีเพียง
เจตนาประสงคต์ ่อผลในการทาร้ายนางสาวสวยเท่านั้น เพราะการตบเพียง ๑ ครั้ง โดยนายเอกไม่รู้
ว่านางสาวสวยเป็นโรคความดันโลหิตไม่ปกติ นายเอกจึงไม่มีเจตนาฆ่านางสาวสวย เป็นเพียง
เจตนาทาร้ายไม่เป็นอันตรายแก่กายและจิตใจ แม้นายเอกจะกระทาผิดเพราะโดนนางสาวสวยด่า
กอ่ น แต่นายเอกก็ไม่อาจอ้างว่ากระทาไปเพราะบันดาลโทสะได้ เพราะตนเป็นฝ่ายไปพูดจาเกี้ยว
พาราสีนางสาวสวยก่อน
การทนี่ ายเอกทาร้ายแล้วนางสาวสวยถึงแกค่ วามตายนั้น เมอ่ื พิจารณาผลโดยตรงตามทฤษฎี
เงื่อนไขที่ว่า ถ้าไม่ทาผลไม่เกิด ถือว่าผลเกิดจากการกระทานั้น แม้จะมีเหตุอ่นื ประกอบด้วยก็ตาม
กรณีนี้ถ้านายเอกไม่ทาร้ายนางสาวสวย นางสาวสวยจะไม่ล้มลงศีรษะกระแทกถูกขอนไม้
เส้นโลหิตในสมองจะไม่แตกตาย ต้องถือว่าความตายของนางสาวสวยเป็นผลโดยตรงจากการ
กระทาของนายเอกตามทฤษฎีเงื่อนไขแลว้ แมน้ ายเอกจะไม่รู้ว่านางสาวสวยเป็นโรคความดนั โลหิต
ไม่ปกติ จึงทาให้เส้นเลือดในสมองแตกตายทันที แตโ่ รคดงั กล่าวเป็นสงิ่ ทมี่ ีอยู่ก่อนกระทา ไม่ใช่เหตุ
แทรกแซงและไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่เป็นองค์ประกอบของความผิดที่ผู้กระทาจะต้องรู้ เมื่อความตาย
ของนางสาวสวยเป็นผลโดยตรงจากการกระทาของนายเอก และไม่มีเหตุแทรกแซง นายเอกจึงมี
ความผิดฐานทาร้ายจนเปน็ เหตุให้นางสาวสวยถึงแกค่ วามตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๒๙๐
สาหรับความผิดฐานข่มขืนกระทาชาเราผู้อื่นนั้น ขณะที่นายเอกขม่ ขืนกระทาชาเรานางสาว
สวย นางสาวสวยถึงแก่ความตายไปแล้ว จึงไม่มีผู้อื่นท่ีจะเป็นวัตถุแห่งการกระทา ต้องถือว่าการ
กระทาของนายเอกขาดองค์ประกอบภายนอกของความผิด นายเอกจึงไม่มีความผิดฐานข่มขืน
กระทาชาเราผู้อื่นตามมาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง เพราะนางสาวสวยได้ถึงแก่ความตายไปก่อนแล้ว
ไมม่ ีสภาพเปน็ บคุ คล (ฎกี าท่ี ๗๑๔๔/๒๕๔๕)
ส่วนความผิดฐานกระทาชาเราศพน้ัน แม้ขณะท่ีนายเอกกระทาชาเราศพนั้น จะมีศพของ
นางสาวสวยเป็นวัตถุแห่งการกระทาซึ่งทาให้การกระทาของนายเอกครบองค์ประกอบภายนอก
ของความผิดฐานกระทาชาเราศพแล้ว แต่การที่นายเอกกระทาชาเราศพนางสาวสวยโดยเข้าใจว่า
นางสาวสวยสลบไป เป็นการไม่รู้ข้อเท็จจริงท่ีเป็นองค์ประกอบภายนอกว่าตนกาลังกระทาชาเรา

608

ศพนางสาวสวย จะถือว่านายเอกประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลในการกระทาความผิดฐาน
กระทาชาเราศพไม่ได้ นายเอกจงึ ไม่มเี จตนากระทาความผดิ เมือ่ นายเอกกระทาโดยไม่มเี จตนาซึ่ง
ไม่ครบองค์ประกอบภายใน นายเอกจึงไม่มีความผิดฐานกระทาชาเราศพตามมาตรา ๓๖๖/๑
วรรคหนึ่ง (เทียบฎีกาที่ ๕๗๒๙/๒๕๕๖) การกระทาชาเราศพโดยประมาทไม่มีกฎหมายบัญญัติเป็น
ความผดิ จงึ ไม่ตอ้ งพิจารณาว่าเป็นการกระทาผดิ โดยประมาท

นายเอกจึงมีความผิดฐานทาร้ายจนเป็นเหตุให้นางสาวสวยถึงแก่ความตาย แต่ไม่มี
ความผิดฐานข่มขนื กระทาชาเราผู้อ่นื และไม่มีความผดิ ฐานกระทาชาเราศพ
ข้อสงั เกต ในกำรพิมพ์ครั้งก่อน ไม่มีธงคำตอบเรื่องกำรกระทำชำเรำศพ แต่เมือ่ พระรำชบัญญตั ิแก้ไข
เพิ่มเติมประมวลกฎหมำยอำญำ (ฉบับท่ี ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้เพ่ิมมำตรำ ๓๖๖/๑ ควำมผิดฐำน
กระทำชำเรำศพ จงึ ได้ปรบั ปรุงคำตอบข้อนีต้ ำมกฎหมำยท่เี พ่มิ เติมใหม่

ฎีกาท่ี ๗๑๔๔/๒๕๔๕ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๒๓๕ เม่ือผู้ตายได้ตายไปแล้ว แต่จาเลยคิดว่าผู้ตาย
สลบไป จึงข่มขืนกระทาชาเราผตู้ าย จาเลยไม่มคี วามผิดฐานข่มขืนกระทาชาเราผ้ตู าย เพราะผู้ตายได้
ถงึ แก่ความตายไปก่อนแล้ว ไม่มีสภาพเปน็ บคุ คลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕
ข้อสังเกต ปัญหำว่ำกำรกระทำท่ีขำดองค์ประกอบภำยนอกในส่วนวัตถุแห่งกำรกระทำ แต่ผู้กระทำ
เข้ำใจวำ่ ครบองค์ประกอบภำยนอกแลว้ จึงกระทำ ผู้นั้นจะต้องรบั ผดิ ทำงอำญำหรอื ไม่ ในทำงวิชำกำร
เห็นเป็น ๒ แนวทำง ควำมเห็นแรกเห็นว่ำเม่ือควำมเป็นจริงไม่มีวัตถุแห่งกำรกระทำซึ่งเป็น
องค์ประกอบภำยนอกแล้ว แม้ผู้กระทำจะเข้ำใจว่ำมีองค์ประกอบภำยนอกอยู่ครบ ก็ต้องถือตำม
ควำมเป็นจริงไม่ใช่ตำมควำมเข้ำใจ เมื่อถือตำมควำมเป็นจริงผู้กระทำก็ไม่มีควำมผิดฐำนนั้น ๆ และ
ไม่เป็นกำรพยำยำมกระทำควำมผิดซ่ึงเป็นไปไม่ได้อย่ำงแน่แท้เพรำะเหตุแห่งวัตถุท่ีมุ่งหมำยกระทำ
ต่อตำมมำตรำ ๘๑ เนื่องจำกถือว่ำขำดองค์ประกอบภำยนอกแล้ว ผู้กระทำก็จะไม่มีควำมรับผิดทำง
อำญำ (ดูเพม่ิ เติมในศำสตรำจำรย์ ดร. เกียรติขจร วัจนะสวัสด์ิ, คำอธิบำยกฎหมำยอำญำภำค ๑ เล่ม
๑ พิมพ์คร้ังที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๖๒ หน้ำ ๑๘๙ ถึง ๑๙๐) ส่วนอีกควำมเห็นหนึ่งเห็นว่ำ กรณีท่ีผู้กระทำ
มีเจตนำกระทำควำมผิดแล้ว แต่ขำดวัตถุแห่งกำรกระทำซึ่งเป็นองค์ประกอบภำยนอกของควำมผิด
เป็นกรณีท่ีผู้กระทำควำมผิดกระทำกำรโดยมุ่งต่อผลซึ่งกฎหมำยบัญญัติเป็นควำมผิด แต่กำรกระทำ
นั้นไม่สำมำรถจะบรรลุผลได้อย่ำงแน่แท้เพรำะเหตุแห่งวัตถุที่มุ่งหมำยกระทำต่อ ให้ถือว่ำผู้น้ัน
พยำยำมกระทำควำมผดิ แต่ให้ลงโทษไม่เกินก่ึงหนึ่งของโทษทีก่ ฎหมำยกำหนดไวส้ ำหรับควำมผิดนั้น
ตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ ๘๑ ปัญหำนเี้ ปน็ ที่ถกเถยี งกันมำนำนในท่สี ดุ ศำลฎีกำได้วำงหลัก
ไว้ในฎกี ำท่ี ๗๑๔๔/๒๕๔๕ วำ่ กำรกระทำที่ขำดองค์ประกอบภำยนอก แม้ผ้กู ระทำจะมีเจตนำกระทำ
ควำมผดิ กำรกระทำก็ไมเ่ ป็นควำมผิด เม่ือศำลฎีกำไดต้ ัดสนิ เป็นบรรทัดฐำนไว้ดงั น้ีแล้ว หำกมีคำถำม
ทเ่ี กี่ยวกับประเด็นดงั กล่ำวน้ีธงคำตอบตอ้ งเป็นไปตำมหลักท่ีฎีกำที่ ๗๑๔๔/๒๕๔๕ วำงบรรทดั ฐำนไว้
ข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพำกษำเมื่อวันท่ี ๒๙ กุมภำพันธ์ ๒๕๔๗ ข้อ ๑๐ ก็วำงธงคำตอบว่ำ ผู้กระทำไม่มี
ควำมผดิ โดยอ้ำงฎีกำที่ ๗๑๔๔/๒๕๔๕ ข้อสอบอัยกำรผชู้ ่วย เมอ่ื วันท่ี ๑ พฤษภำคม ๒๕๔๘ ขอ้ ๑๐
ก็วำงธงคำตอบว่ำ ผ้กู ระทำไมม่ ีควำมผิดเชน่ เดยี วกนั

609

ฎีกาที่ ๕๗๒๙/๒๕๕๖ ฎ. ๑๖๐๐ จาเลยพยายามข่มขืนกระทาชาเราผู้ตายโดยใช้กาลัง
ประทุษร้ายผู้ตายจนหมดสติแล้วนาไปทิ้งที่อ่างเก็บน้า โดยเข้าใจว่าผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว จึงถือ
ว่าจาเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายหาได้ไม่ เพราะจาเลยมิได้รขู้ ้อเท็จจรงิ อันเป็นองค์ประกอบของความผิดอัน
จะถือว่าจาเลยประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลไม่ได้ตาม ป.อ. มาตรา ๕๙ วรรคสาม จึงไม่เป็น
ความผิดฐานเจตนาฆ่าผูต้ ายตามมาตรา ๒๘๘ แต่เป็นการกระทาผิดโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึง
แกค่ วามตายตามมาตรา ๒๙๑

ข้อ ๑๐๐ คาถาม นายสี่เมาสุราขับรถกระบะของตนผ่านมาพบนายหน่ึงซ่ึงเป็นคนไม่ชอบ
หน้ากัน นายสี่ลงจากรถกระบะมาพูดจาไม่ดีกับนายหนึ่ง นายหน่ึงหม่ันไส้นายสี่อยู่แล้วจึงเอาปืนยิง
นายส่ีไปท่ีหน้าอกหน่ึงนัด นายสี่ล้มครืนลงที่พ้ืน นายหนึ่งเข้าใจว่านายสี่ถึงแก่ความตายไปแล้ว
จงึ ไปเล่าให้นายสองและนายสามฟังว่าตนยิงนายสี่ตายขอให้นายสองและนายสามช่วยกันนาร่างของ
นายสี่ข้ึนรถกระบะไปเผาท้ิงจะได้ไม่มีใครทราบว่านายสตี่ าย นายหน่งึ นายสอง และนายสามร่วมกัน
ยกรา่ งนายส่ีข้นึ รถกระบะขับไปซ่อนในที่เปลี่ยวแล้วนาฟางมากองทับร่างนายสท่ี ้ายรถกระบะแลว้ นา
น้ามันราดไปท่ีร่างนายส่ีและฟางแล้วจุดไฟเผาฟางและร่างของนายส่ีที่อยู่บนรถกระบะ นายสี่ซ่ึง
สลบไปจงึ ถงึ แก่ความตายเน่อื งจากถูกไฟคลอกจากการเผา

ให้วินิจฉัยว่า นายหน่ึง นายสอง และนายสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใด
คาตอบ การที่นายหนึ่งใช้ปืนยิงนายสี่ไปที่หน้าอกหนึ่งนัด นายส่ีล้มลงท่ีพื้น เป็นการลงมือ
ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาแล้ว การท่ีนายสี่ล้มลง นายหนึ่งเข้าใจว่านายส่ีถึงแก่ความตายแล้ว จึงร่วมกับ
นายสองและนายสามเผาร่างของนายส่ีซ่ึงสลบไปจนถึงแก่ความตายน้ัน ความตายของนายส่ีเป็น
ผลโดยตรงจากการที่นายหนึ่งลงมือฆ่านายสี่ การท่ีนายหน่ึงร่วมกับนายสองและนายสามเผาร่าง
ของนายส่ีจนถึงแก่ความตายเพ่ือปกปิดความผิดน้ัน เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่หลังจากนายหน่ึง
กระทาความผิด จึงเป็นเหตุแทรกแซงที่วิญญูชนคาดหมายว่าย่อมเกิดขึ้นได้ นายหน่ึงจึงต้อง
รบั ผิดในผล คือ นายหนึ่งต้องรับผิดฐานฆ่านายส่ีโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๒๘๘ บทหน่ึง ไม่ใช่รับผิดเพียงฐานพยายามฆา่ นายสี่ (ศำลช้ันต้นตัดสินว่ำนำยหนึ่งผิดฐำนฆ่ำผู้อื่น
โดยเจตนำแล้ว ไม่มีผู้ใดอุทธรณ์ฎีกำขึ้นมำจึงไม่มีประเด็นให้ศำลฎีกำวินิจฉยั แต่เม่ือถำมว่ำนำยหนึ่ง
มีควำมผิดตำมประมวลกฎหมำยอำญำหรือไม่ จึงต้องตอบว่ำนำยหน่ึงผิดมำตรำ ๒๘๘ บทหนึ่งตำมที่
ศำลชั้นต้นตัดสินไว้ โดยควรกล่ำวถึงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรกระทำและผลด้วย เพรำะคดีน้ี
มีเหตุแทรกแซง สำหรับควำมผิดฐำนพำอำวุธปืนไปในเมืองหรือหมู่บ้ำนและยิงปืนโดยใช่เหตุซึ่งเป็น
ควำมผิดลหุโทษ ขอให้สังเกตว่ำธงคำตอบข้อสอบเนติบัณฑิตและผู้ช่วยผู้พิพำกษำมักจะไม่กล่ำวถึง
อำจเป็นเพรำะว่ำคำตอบในประเด็นหลักก็ยำกพอแล้ว ถ้ำตอบมำก็ไม่ถือว่ำผิดแต่ไม่ได้คะแนนเพ่ิม
หรือไม่โดนหักคะแนน แต่ขอให้ติดตำมธงคำตอบที่ออกมำล่ำสุดด้วยว่ำเปล่ียนแนวหรือไม่ อย่ำงไร
กต็ ำมในคำถำมข้อนีไ้ ม่ไดร้ ะบวุ ำ่ ทเี่ กิดเหตุเป็นเมือง หมู่บำ้ น ทำงสำธำรณะ หรือเป็นชุมนุมชนท่ีได้จัด

610

ให้มขี ึน้ เพอ่ื นมสั กำรหรือกำรรน่ื เริงตำมมำตรำ ๓๗๑ และมำตรำ ๓๗๖)
การที่นายหน่ึง นายสอง และนายสาม ร่วมกันจุดไฟเผาร่างของนายส่ีท่ีอยู่บนรถกระบะ

นายสี่ซึ่งสลบไปจึงถึงแก่ความตายเนื่องจากถูกไฟคลอกจากการเผา แม้จะครบองค์ประกอบ
ภายนอกในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามมาตรา ๒๘๘ แต่การที่นายหน่ึง นายสอง และนายสาม
เข้าใจว่านายสี่ถึงแก่ความตายไปแล้ว เป็นการกระทาโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของ
ความผิด คือ ไม่รู้ว่านายส่ียังมีชีวิตอยู่ จะถือว่าผู้กระทาประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของ
การกระทานั้นมิได้ นายหน่ึง นายสอง และนายสาม จึงไม่มีเจตนาฆ่านายส่ีสาหรับการกระทา
ในส่วนน้ี แต่นายหนึ่ง นายสอง และนายสาม มิได้ใช้ความระมัดระวังตรวจดูให้ดีก่อนว่านายสี่
ถึงแก่ความตายแล้วหรือไม่ ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนายหน่ึง นายสอง และนายสาม จักต้องมีตาม
วิสัยและพฤติการณ์แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ นายหนึ่ง นายสอง และนายสาม แต่ละคนจึงมี
ความผิดฐานกระทาโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายบทหนึ่ง แต่ต้องถือว่าต่างคน
ต่างประมาทไม่ใช่ร่วมกนั กระทาโดยประมาท เพราะการเป็นตัวการรว่ มกนั มีได้เฉพาะการกระทา
โดยเจตนาร่วมกันกระทาความผิด (ในฎีกำไม่ได้วินิจฉัยว่ำนำยหน่ึงมีควำมผิดตำมมำตรำ ๒๙๑
เพรำะศำลชัน้ ตน้ ตัดสินว่ำนำยหนึง่ ผดิ ฐำนฆ่ำผอู้ ่นื โดยเจตนำแล้ว ไมม่ ผี ู้ใดอุทธรณ์ฎกี ำขึ้นมำจึงไมเ่ ป็น
ประเด็นตำมฎีกำ แม้ศำลฎีกำจะวินิจฉัยว่ำนำยสองและนำยสำมมีควำมผิดตำมมำตรำ ๒๙๑ โดย
ไม่กล่ำวถึงนำยหน่ึง แต่คำถำมข้อน้ีควรตอบว่ำนำยหน่งึ ผิดมำตรำ ๒๙๑ อีกบทหนึ่งดว้ ย) และยังเป็น
ความผิดฐานรว่ มกันวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น คือ เผารถยนต์ของนายสี่โดยเจตนาเล็งเห็นผล
ตามมาตรา ๒๑๗ อีกบทหน่ึง (ฎีกำน้ีโจทก์ไม่ได้ฟ้องขอให้ลงโทษตำมมำตรำ ๒๒๔ ศำลจึงไม่ได้
วนิ ิจฉัยวำ่ เป็นกำรร่วมกนั วำงเพลงิ เผำทรัพย์เปน็ เหตุใหผ้ ู้อืน่ ถึงแกค่ วำมตำยหรือไม่ตำมมำตรำ ๒๒๔
รอดูในคำบรรยำยของท่ำนอำจำรย์เกียรติขจรว่ำท่ำนเห็นว่ำเป็นผลธรรมดำหรือไม่) และเป็นการ
ร่วมกันกระทาความผิดฐานทาให้เสียทรพั ย์ เพราะมเี จตนาประเภทเล็งเห็นผลว่าจะเปน็ การทาให้
เสียหายซึ่งทรัพย์ของนายสต่ี ามมาตรา ๓๕๘ อีกบทหน่ึง (ฎีกำน้ีโจทกไ์ ม่ได้ฟ้องข้อหำร่วมกันทำให้
เสยี ทรพั ย์ ศำลจึงไมไ่ ดว้ ินิจฉัยวำ่ จำเลยท้ังสำมร่วมกนั กระทำควำมผิดตำมมำตรำ ๓๕๘ หรอื ไม่)

การท่ีนายหน่ึง นายสอง และนายสาม ร่วมกันย้ายและเผาร่างของนายสี่ที่อยู่บนรถกระบะ
เพื่อไม่ให้ผู้อื่นทราบว่านายส่ีตาย แม้จะเป็นการกระทาโดยเจตนาที่จะย้ายหรือทาลายศพเพ่ือ
ปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตายตามมาตรา ๑๙๙ แต่ขณะท่ีนายหน่ึง นายสอง และนายสาม
ชว่ ยกันย้ายรา่ งของนายสี่ไปเผา นายสี่ยังไม่ถึงแก่ความตาย ร่างกายของนายสใ่ี นขณะน้ันจึงไม่ใช่ศพ
ย่อมไม่อาจถือได้ว่านายหน่ึง นายสอง และนายสามร่วมกันซ่อนเร้น ย้ายหรือทาลายศพ
เพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย เพราะเป็นการขาดองค์ประกอบภายนอกของความผิด
การกระทาของนายหนึ่ง นายสอง และนายสามในส่วนนี้จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๑๙๙
(ฎีกาท่ี ๑๓๒๖๒/๒๕๕๘) และไม่เป็นการรว่ มกนั กระทาโดยไม่มีเหตุอันสมควร เคลื่อนย้าย ทาลาย
หรอื ทาให้ไร้ประโยชน์ ซ่งึ ศพตามมาตรา ๓๖๖/๓ เช่นเดียวกนั

การที่นายหนึง่ เล่าให้นายสองและนายสามฟังว่าตนยงิ นายสี่ตายขอให้นายสองและนายสาม

611

ช่วยกันนาร่างของนายส่ีขึ้นรถกระบะไปเผาทิ้งจะได้ไม่มีใครทราบว่านายส่ีตาย นายหนึ่ง นายสอง
และนายสามร่วมกันยกร่างนายสี่ขน้ึ รถกระบะขบั ไปซ่อนในทเี่ ปล่ียวแล้วเผาร่างของนายส่ีท่ีอยู่บนรถ
กระบะ การกระทาของนายสองและนายสามจึงเป็นการร่วมกันช่วยนายหนึง่ มิให้ต้องรับโทษ โดย
การทาใหเ้ สียหายหรือทาลายซ่ึงพยานหลักฐานในการกระทาความผิดของนายหน่ึง นายสองและ
นายสามจึงร่วมกันกระทาความผิดตามมาตรา ๑๘๔ อีกบทหนึ่ง (ฎีกำนี้โจทกไ์ มไ่ ด้ฟ้องวำ่ นำยสอง
และนำยสำมร่วมกันช่วยนำยหน่ึงมิให้ต้องรับโทษ ทำให้เสียหำย ทำลำย ซ่ึงพยำนหลักฐำนในกำร
กระทำควำมผิดของนำยหนึง่ ศำลจึงไมไ่ ด้วินิจฉัยวำ่ ผดิ มำตรำ ๑๘๔)
ข้อสังเกต ที่บรรยำยไว้ (ในวงเล็บตัวเอน) ไม่ต้องเขียนไปในคำตอบ แต่ใส่ไว้ให้อ่ำนให้เข้ำใจมำกขึ้น
และรู้วำ่ ควรจะเขยี นตอบในประเด็นดงั กลำ่ วอยำ่ งไร

ฎีกาท่ี ๑๓๒๖๒/๒๕๕๘ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๘๕ เมื่อจาเลยท่ี ๑ ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแล้ว จาเลย
ที่ ๒ และที่ ๓ ไปส่ง บ. ที่บ้านแล้วย้อนกลับไปยังกระท่อมท่ีเกิดเหตุอีกครั้งหน่ึง และร่วมกับจาเลย
ท่ี ๑ ยกร่างของผ้ตู ายขึ้นรถกระบะคันเกดิ เหตุ ทั้งขณะท่จี าเลยท่ี ๑ นาฟางมาคลุมร่างของผ้ตู ายและ
นายางในรถยนต์มาวางทับ แล้วตระเตรียมน้ามันเช้ือเพลิงข้ึนรถกระบะน้ัน จาเลยที่ ๒ และท่ี ๓
ก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย จาเลยที่ ๒ และที่ ๓ ย่อมคาดหมายได้ว่าจาเลยที่ ๑ จะต้องจุดไฟเผารถ
กระบะคันเกิดเหตุและร่างของผู้ตายเพื่ออาพรางคดี จากน้ันจาเลยที่ ๓ ก็นั่งไปด้วยในรถกระบะ
ท่ีจาเลยที่ ๑ ขับ โดยมีจาเลยที่ ๒ ขับรถอีกคันหน่ึงแล่นติดตามไป แล้วจาเลยท้ังสามร่วมกันจุดไฟ
เผารถกระบะคันเกิดเหตุพร้อมร่างของผู้ตายซ่ึงอยู่ในรถดังกล่าว การท่ีจาเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกัน
จุดไฟเผารถกระบะคันเกิดเหตุโดยเข้าใจว่าผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว เป็นการกระทาโดยไม่รู้
ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จึงไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย แต่การกระทาของจาเลยที่ ๒
และท่ี ๓ หาได้ใช้ความระมัดระวังตรวจดูให้ดีก่อนว่าผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วหรือไม่ ซ่ึงบุคคล
ในภาวะเช่นจาเลยที่ ๒ และที่ ๓ จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอ จาเลยท่ี ๒
และท่ี ๓ จึงมีความผิดฐานกระทาโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และฐานร่วมกัน
วางเพลิงเผาทรัพย์ของผูอ้ ื่น

ความผิดฐานร่วมกันซ่อนเร้น ย้าย หรือทาลายศพเพื่อปิดบังเหตุแห่งการตายตาม ป.อ.
มาตรา ๑๙๙ นั้น การกระทาท่ีจะเป็นความผิดฐานนี้ ผู้กระทาจะต้องซ่อนเร้น ย้าย หรือทาลายศพ
ซ่ึงหมายความถึงร่างกายของคนที่ตายแล้ว แต่เมื่อขณะท่ีผู้ตายถูกเผา ผู้ตายยังไม่ถึงแก่ความตาย
ร่างกายของผู้ตายในขณะน้ันจึงไม่ใช่ศพ ย่อมไม่อาจถือได้ว่าจาเลยที่ ๒ และท่ี ๓ ร่วมกันซ่อนเร้น
ย้ายหรือทาลายศพอันเป็นองค์ประกอบความผิด การกระทาของจาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ จึงไม่เป็น
ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๙๙

612

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๓๖๖/๓

ฎีกาท่ี ๒๗๙๒/๒๕๖๐ ฎ.๔๒๒ จาเลยที่ ๓ มีเจตนาร่วมทาร้ายผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ต้ังแต่แรกท่ีจาเลยที่ ๒ ได้ขอให้จาเลยที่ ๓ ช่วยเหลือก่อนเกิดเหตุแล้ว จาเลยที่ ๓ มีความผิดเพียง
ฐานร่วมกันทาร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนซ่ึงเป็นความผิดลักษณะหนึ่งใน ป.อ. มาตรา
๒๘๙ ตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๖ อันเป็นความผิดอย่างหน่ึงท่ีเป็นความผิดได้ในตัวเองในหลายอย่าง
ที่รวมอยู่ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามฟ้องและมีอัตราโทษน้อยกว่า
ศาลย่อมลงโทษในความผิดตามท่ีพจิ ารณาไดค้ วามไดต้ าม ป.ว.ิ อ. มาตรา ๑๙๒ วรรคทา้ ย

จาเลยที่ ๒ ใช้เชอื กรดั คอผตู้ ายจนถึงแกค่ วามตาย ณ สถานทีท่ ี่จาเลยที่ ๒ นารถยนต์กระบะ
มาจอดทิ้งไว้ เนื่องจากผู้ตายฟื้นขึ้นยังไม่ตาย จากน้ันก็ไม่มีการเคลื่อนย้ายผู้ตายไปท่ีใดอีก แสดงว่า
ระหว่างท่ีจาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ยกผู้ตายมาไว้ในรถยนต์กระบะจนถึงเวลาที่จาเลยที่ ๒ ขับรถยนต์
กระบะไปจอดท้ิงไว้ที่อื่นก่อนที่จาเลยที่ ๒ จะฆ่าผู้ตายท่ีน่ัน ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ การเคลื่อนย้ายผู้ตาย
ไปยังสถานท่ีดังกล่าวไม่ใช่เป็นการเคล่ือนย้ายศพตามฟ้อง การกระทาของจาเลยท่ี ๒ ที่ ๓ ไม่เป็น
ความผิดฐานร่วมกันเคล่ือนย้ายศพเพื่อปิดบังการเกิด การตาย หรือเหตุแห่งการตาย กับฐาน
เคลื่อนย้ายศพโดยไม่มีเหตุอันสมควรตาม ป.อ. มาตรา ๑๙๙ และมาตรา ๓๖๖/๓ ประกอบมาตรา
๘๓

ฎีกาที่ ๑๓๒๖๒/๒๕๕๘ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๘๕ เม่ือจาเลยที่ ๑ ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแล้ว จาเลย
ที่ ๒ และที่ ๓ ไปส่ง บ. ที่บ้านแล้วย้อนกลับไปยังกระท่อมที่เกิดเหตุอีกครั้งหนึ่ง และร่วมกับจาเลย
ท่ี ๑ ยกรา่ งของผู้ตายขึ้นรถกระบะคันเกิดเหตุ ทั้งขณะทจี่ าเลยท่ี ๑ นาฟางมาคลุมร่างของผตู้ ายและ
นายางในรถยนต์มาวางทับ แล้วตระเตรียมน้ามันเช้ือเพลิงข้ึนรถกระบะนั้น จาเลยที่ ๒ และที่ ๓
ก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย จาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ย่อมคาดหมายได้ว่าจาเลยที่ ๑ จะต้องจุดไฟเผารถ
กระบะคันเกิดเหตุและร่างของผู้ตายเพ่ืออาพรางคดี จากนั้นจาเลยที่ ๓ ก็นั่งไปด้วยในรถกระบะ
ที่จาเลยที่ ๑ ขับ โดยมีจาเลยท่ี ๒ ขับรถอีกคันหนึ่งแล่นติดตามไป แล้วจาเลยทั้งสามร่วมกันจุดไฟ
เผารถกระบะคันเกิดเหตุพร้อมร่างของผู้ตายซึ่งอยู่ในรถดังกล่าว การท่ีจาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ร่วมกัน
จุดไฟเผารถกระบะคันเกิดเหตุโดยเข้าใจว่าผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว เป็นการกระทาโดยไม่รู้
ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จึงไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย แต่การกระทาของจาเลยท่ี ๒
และท่ี ๓ หาได้ใช้ความระมัดระวังตรวจดูให้ดีก่อนว่าผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วหรือไม่ ซึ่งบุคคล
ในภาวะเช่นจาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอ จาเลยที่ ๒
และที่ ๓ จึงมีความผิดฐานกระทาโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และฐานร่วมกัน
วางเพลงิ เผาทรัพยข์ องผู้อ่ืน

ความผิดฐานร่วมกันซ่อนเร้น ย้าย หรือทาลายศพเพ่ือปิดบังเหตุแห่งการตายตาม ป.อ.
มาตรา ๑๙๙ น้ัน การกระทาท่ีจะเป็นความผิดฐานน้ี ผู้กระทาจะต้องซ่อนเร้น ย้าย หรือทาลายศพ
ซ่ึงหมายความถึงร่างกายของคนที่ตายแล้ว แต่เมื่อขณะที่ผู้ตายถูกเผา ผู้ตายยังไม่ถึงแก่ความตาย
ร่างกายของผู้ตายในขณะนั้นจึงไม่ใช่ศพ ย่อมไม่อาจถือได้ว่าจาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ร่วมกันซ่อนเร้น

613

ย้ายหรือทาลายศพอันเป็นองค์ประกอบความผิด การกระทาของจาเลยที่ ๒ และท่ี ๓ จึงไม่เป็น
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๙๙

ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๓๘๖

ฎีกาท่ี ๒๖๔/๒๕๕๕ ฎ.๔๒๙ จาเลยอุทิศที่ดินของตนให้สร้างทางพิพาทเพื่อให้ประชาชนใช้
ประโยชน์ร่วมกัน แม้การอุทิศที่ดินให้เป็นถนนสาธารณะด้วยวาจา มิได้ทาเป็นหนังสือและ
จดทะเบียนต่อพนกั งานเจ้าหน้าท่ีตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๒๙๙ ก็ตาม แต่การอุทิศที่ดินให้ใชเ้ ป็นถนน
สาธารณะ เป็นการสละที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสาหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามมาตรา
๑๓๐๔ (๒) หาจาต้องทาเป็นหนังสือและจดทะเบียนการให้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๕๒๕
ไม่ การอุทิศด้วยวาจาก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย และสภาพความเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
ไม่อาจสูญสิ้นไปเพราะการไม่ได้ใช้ แม้ประชาชนส่วนใหญ่จะมิได้ใช้ทางพิพาทตามวัตถุประสงค์
ท่ีจาเลยขอบริจาคเน่ืองจากทางพิพาทน้าท่วม แคบ ไม่สะดวกแก่การใช้ โดยไปใช้เส้นทางใหม่แทน
และจาเลยได้กลับเข้าครอบครองใช้ประโยชน์ท่ีดินท่ีเป็นถนนสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้วนาน
เพียงใดก็ตาม ก็ไม่ทาให้ทางพิพาทตกไปเป็นของจาเลยได้อีก เพราะมาตรา ๑๓๐๖ บัญญัติห้ามมิให้
ยกอายุความข้ึนเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเร่ืองทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ทาง
พิพาทยังเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ จาเลยไม่มีสิทธิใช้กิ่งไม้ปิดก้ันทางพิพาทซ่ึงเป็นถนน
สาธารณะอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน โดยห้ามมิให้ประชาชนสัญจร
ไปมาแล้วเข้ายึดถือครอบครองถนนดังกล่าว การกระทาของจาเลยย่อมเป็นความผิดตาม ป. ที่ดิน
มาตรา ๙, ๑๐๘ ทวิ วรรคสอง และ ป.อ. มาตรา ๓๘๖

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๓๙๑

ฎีกาที่ ๒๔๗๑/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๕๐ จาเลยผลัก กดและเขย่าไหล่ของโจทก์ร่วม จับมือ
แล้วเหว่ียงโจทก์ร่วมไปกระแทกขอบประตู และปิดประตูกระแทกด้านหลังตัวของโจทก์ร่วมจริง แม้
สิ่งที่จาเลยกระทาไปจะเป็นการกระทาท่ีทาให้เกิดอันตรายแก่โจทก์ร่วมได้ แต่ก็ไม่ใช่การกระทาท่ี
เป็นการมุ่งทาร้ายให้เกิดอันตรายร้ายแรง และไม่ปรากฏว่ามีการกระทบถูกอวัยวะสาคัญ โจทก์ร่วม
ได้รับบาดเจ็บมีเพยี งบาดแผลฟกช้าเล็กน้อย ปวดเม่ือย และการกดเจบ็ เท่าน้นั การกระทาของจาเลย
จึงเป็นความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๙๑

614

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๓๙๒

ฎกี าท่ี ๙๑๔๐/๒๕๕๘ ฎ.๑๓๓๖ จาเลยกับพวกไม่ได้มเี จตนาฆ่าผู้เสียหาย เพียงแต่มีเจตนา
ขม่ ขผู่ ู้เสียหายเพ่อื ใหเ้ กิดความกลวั การกระทาของจาเลยกบั พวกไมเ่ ปน็ ความผิดฐานร่วมกนั พยายาม
ฆ่าผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๙ (๔) ตามฟ้อง แต่เป็นความผิดฐานร่วมกันทาให้
ผู้อืน่ เกิดความกลัวหรอื ความตกใจโดยการขู่เขญ็ ตามมาตรา ๓๙๒

ฎีกาที่ ๘๔๒๒/๒๕๕๘ การท่ีจาเลยที่ ๑ พูดจาให้ร้ายผู้เสียหายขณะปฏิบัติหน้าท่ีเข้าตรวจ
ค้นร้านโดยใช้คาว่า "ปลัดส้นตีน" ซึ่งเป็นคาดูหม่ินเหยียดหยาม เป็นการกระทาความผิดฐานดูหม่ิน
เจ้าพนักงานซึ่งกระทาการตามหน้าที่ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๓๖ สาเร็จแล้วกระทงหน่ึง ส่วนการที่
จาเลยท่ี ๑ ร่วมกับจาเลยที่ ๒ ทาให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญขณะที่
ผเู้ สยี หายเขา้ ตรวจภายในร้าน โดยจาเลยที่ ๑ พูดขึ้นวา่ ไปเอาปืนมายิงให้ตาย อยา่ ให้ออกไปได้ แล้ว
จาเลยท่ี ๒ วิ่งไปหยิบไม้เบสบอลมาตีผู้เสียหาย ๑ ที จาเลยท่ี ๑ เอาไม้กวาดไล่ตีผู้เสียหาย เป็นการ
กระทาต่อเน่ืองกันไป โดยมีเจตนาเดียวกันคือทาร้ายผู้เสียหาย จึงเป็นการกระทากรรมเดียวกับการ
รว่ มกันใช้กาลงั ทาร้ายผ้อู ่นื โดยไม่ถงึ กับเปน็ เหตใุ ห้เกิดอนั ตรายแก่กายหรอื จติ ใจ

ฎีกาที่ ๓๐๗๙/๒๕๕๕ ฎ.๖๐๔ ผู้เสียหายถูกจาเลยซึ่งเป็นคนแปลกหน้าเข้ามาใกล้ตัว
ลักษณะจู่โจมและชี้หน้าใช้ถ้อยคาว่า มึงเข้าไปในไร่ของกูตอนกูไม่อยู่แล้วข่มขู่ลูกน้องกูว่ากูบุกรุก
ท่ีดินของมึงหรือ โดยผู้เสียหายไม่ได้คาดคิดมาก่อน ท้ังที่อยู่ในห้องพิจารณาของศาล ผู้เสียหายย่อม
ต้องตกใจท่ีพบเหตุการณ์ดังกล่าว แม้ต่อมาผู้เสียหายจะพูดโต้ตอบจาเลยว่า คุณเป็นใครมาช้ีหน้าผม
อยู่ในศาลน้ีได้อย่างไร แต่จาเลยยังพูดท้าทายพร้อมข่มขู่อีกว่า ออกจากศาลแล้วไปลุยกันข้างนอก
ย่อมทาให้ผู้เสยี หายตกใจว่าจะเกิดอันตรายแก่ตนเองได้ เม่ือผู้เสียหายเสร็จธุระท่ีศาลแล้ว ผู้เสียหาย
ได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนทันที แสดงว่าผู้เสียหายยังคงกลัวภัยท่ีอาจจะเกิดขึ้นแก่ตนเอง
ตามวสิ ยั ปุถุชนทวั่ ไป การกระทาของจาเลยจึงเปน็ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๙๒

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๓๙๓

ฎีกาที่ ๔๓๙๗/๒๕๖๐ ล.๑ น.๑๙๕ คาว่า “มารศาสนา”ีหมายถึง บุคคลผู้มีใจบาป
หยาบช้าคอยกีดกันไม่ให้ผู้อื่นทาบุญและกีดกันบุญกุศลที่จะมาถึงตนโดยอ้างความหมายใน
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒ ๕ ๕ ๔ ซึ่งเป็นความหมายเดียวกันกับความหมาย
ที่คนเข้าใจกันท่ัวไป การท่ีจาเลยยืนข้ึนในห้องประชุมขณะโจทก์บรรยายและมีผู้ฟังจานวนมาก
โดยจาเลยชูป้ายข้อความว่า “นาย ก. (พร้อมนามสกุล) มารศาสนา”ีพร้อมกับตะโกนว่า “นาย ก.
มารศาสนาของแท้”ีน้ัน เหน็ ไดว้ ่าจาเลยมีเจตนาเพ่ือให้ผู้อยู่ในห้องประชุมเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี
และเพื่อให้โจทก์ได้รับความอับอายในท่ีนั้น จึงไม่อาจถือเป็นคาเตือนชาวคริสต์ให้ทราบพฤติกรรม
ของโจทกห์ รอื เป็นการแสดงความเหน็ โดยสุจริต

ฎีกาท่ี ๑๓๑๗๓/๒๕๕๘ ฎ.ส.ล.๕ น.๒๓๔ การดูหม่ินผู้อื่น หมายถึง การดูถูกเหยียดหยาม

615

สบประมาทหรือทาให้อับอาย การวินิจฉัยว่าการกล่าวหาดูหมิ่นผู้อื่นหรือไม่ จึงต้องพิจารณาว่า
ถ้อยคาที่กล่าวเป็นการดูถูกเหยียดหยามสบประมาทผู้ท่ีถูกกล่าวหรือเป็นการทาให้ผู้ที่ถูกกล่าวหา
อับอายหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น ก็ถือได้ว่าเป็นการดูหมิ่นแล้ว ที่จาเลยด่าผู้เสียหายว่า “ก็ผู้หญิงชั่ว”ี
และมองไปที่ผู้เสียหายน้ัน ซึ่งตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายคาว่า “ชั่ว”ีว่า
เลว ทราม ร้าย ไม่ดี ซ่ึงมีความหมายในทางเส่ือมเสีย การที่จาเลยกล่าวถ้อยคาดงั กล่าวต่อผู้เสียหาย
จึงเป็นการพูดด่าผู้เสียหายเป็นการดูถูกเหยียดหยามและสบประมาทผู้เสียหายว่า เป็นผู้หญิงเลว
ผู้หญิงทราม ผู้หญิงร้าย ผู้หญิงไม่ดี จึงเป็นการดูหม่ินผู้เสียหายอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา
๓๙๓

ฎีกาที่ ๓๗๑๑/๒๕๕๗ ฎ.๑๔๗๒ แม้จาเลยโทรศัพท์ไปด่าว่าและทวงเอกสารจากผู้เสียหาย
แต่ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายอยู่ท่ีห่างไกลกันคนละอาเภอกับจาเลย องค์ประกอบความผิดตาม ป.อ.
มาตรา ๓๙๓ น้ัน ถ้าเป็นการกล่าวด้วยวาจา ผู้กระทาต้องกล่าวซึ่งหน้าผู้เสียหาย เพราะบทบัญญัติ
มาตราน้ีมีเจตนารมณ์ป้องกันเหตุร้ายท่ีอาจเข้าถึงตัวกันทันทีท่ีมีการกล่าวดูหมิ่น ดังนั้น การกระทา
ของจาเลยยงั ไม่เข้าองคป์ ระกอบความผิดฐานดหู มิ่นผู้อืน่ ซึง่ หนา้

ฎีกาท่ี ๘๙๑๙/๒๕๕๒ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๑๖๐ การดูหม่ินผู้อ่ืน หมายถึง การดูถูกเหยียดหยาม
สบประมาท หรือทาให้อับอาย การวินิจฉัยว่าการกล่าววาจาอย่างไรเป็นการดูหมิ่นผู้อ่ืนหรือไม่
จึงต้องพจิ ารณาว่าถ้อยคาท่ีกลา่ วเป็นการดถู ูกเหยียดหยาม สบประมาทผูท้ ี่ถกู กล่าว หรือทาให้ผทู้ ่ีถูก
กล่าวอับอายหรือไม่ หากเป็นเช่นน้ันก็ถือได้ว่าเป็นการดูหม่ินแล้ว คาว่า "ตอแหล" ว่า เป็นการด่า
คนที่พูดเท็จ ซึ่งมีความหมายในทางเส่ือมเสีย การท่ีจาเลยกล่าวถ้อยคาดังกล่าวต่อผู้เสียหายจึงเป็น
การด่าผู้เสียหาย เป็นการดูถูกเหยียดหยามและสบประมาทผู้เสียหายว่าเป็นคนพูดเท็จ จึงเป็นการ
ดหู มิ่นผเู้ สยี หายอนั เป็นความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๙๓

ฎีกาที่ ๑๖๒๓/๒๕๕๑ ฎ.๔๗๙ การดูหมิ่นผู้อื่นอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๙๓
หมายถึง การดูถูกเหยียดหยาม สบประมาท หรือทาให้อับอาย การวินิจฉัยว่าการกล่าววาจาอย่างไร
เปน็ การดูหม่นิ ผ้อู ่ืนหรอื ไม่ จึงตอ้ งพิจารณาวา่ ถอ้ ยคาที่กลา่ วเป็นการดูถกู เหยียดหยามสบประมาทผู้ท่ี
ถูกกลา่ วถงึ หรือเปน็ การทาให้ผู้ท่ีถูกกล่าวถึงอับอายหรอื ไม่ หากเป็นเช่นน้ันก็ถอื ได้ว่าเป็นการดูหม่ิน
แล้ว ไม่ต้องถึงกับเป็นการใส่ความให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ซึ่งเป็นความผิด
ฐานหม่นิ ประมาทตามมาตรา ๓๒๖

ตามพจนานุกรมให้ความหมายคาว่า "เฮงซวย" ว่า เอาแน่นอนอะไรไม่ได้ คุณภาพต่า ไม่ดี
ซึ่งมีความหมายในทางเส่ือมเสีย การที่จาเลยพูดใส่ผู้เสียหายด้วยความไม่พอใจว่า "ไอ้ทนายความ
เฮงซวย" จึงเป็นถ้อยคาที่จาเลยด่าผู้เสียหาย เป็นการดูถูกเหยียดหยามและสบประมาทผู้เสียหายว่า
เป็นทนายความเฮงซวย เปน็ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๓

ฎีกาที่ ๒๘๖๗/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๙ น.๘ คาว่า "ดูหม่ิน" ตาม ป.อ. มาตรา ๓๙๓ ไม่ได้นิยาม
ศัพท์ไว้ว่ามีความหมายว่าอย่างไร แต่ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานอธิบายว่า หมายถึง
ดูถูกเหยียดหยามทาให้อับอายเป็นท่ีเกลียดชังของประชาชน โดยถ้อยคาท่ีกล่าวจะต้องเป็นการ

616

เหยียดหยามผู้อน่ื หาใช่ตัวผกู้ ลา่ วเองไม่ คาว่า "ประธานใช้ครอู ย่างข้ีขา้ " น้ัน จาเลยมิไดเ้ หยยี ดหยาม
ตัวผู้เสียหายว่ามีสถานภาพอย่างขี้ข้าหรือผู้รับใช้ แต่เป็นการพูดถึงสถานภาพของครูในโรงเรียน
รวมท้ังจาเลยว่าเป็นผู้รับใช้ของผู้เสยี หาย เมื่อคาว่า "ข้ีข้า" ในท่ีน้ีจาเลยหมายถึงตัวจาเลยเองและครู
ในโรงเรียนที่ถูกผู้เสียหายใช้งาน มิใช่หมายถึงตัวผู้เสียหายซ่ึงเป็นผู้ใช้งาน ถ้อยคาที่จาเลยกล่าวจึง
มิใชเ่ ปน็ การดหู ม่ินผเู้ สียหายซง่ึ หน้าตามความหมายใน ป.อ. มาตรา ๓๙๓

ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๓๙๗

ฎีกาที่ ๑๒๙๘๓/๒๕๕๘ การท่ีจาเลยแอบติดต้ังกล้องบันทึกภาพไว้ท่ีใต้โต๊ะทางานของ
โจทก์ร่วม และบันทึกภาพสรีระร่างกายของโจทก์ร่วมต้ังแต่ช่วงลิ้นป่ีจนถึงอวัยวะช่วงขามองเห็น
กระโปรงทโ่ี จทก์ร่วมสวมใส่ ขาทอ่ นล่างและขาท่อนบนของโจทกร์ ่วม โดยที่กล้องบนั ทึกภาพมีแสงไฟ
สาหรับเพิ่มความสว่างเพื่อให้มองเห็นภาพบริเวณใต้กระโปรงของโจทก์ร่วมให้ชัดเจนย่ิงขึ้น
การกระทาของจาเลยส่อแสดงให้เห็นถึงความใคร่และกามารมณ์ โดยท่ีโจทก์ร่วมมิได้รู้เห็น
หรือยินยอม อันเป็นการกระทาที่ไม่สมควรในทางเพศต่อโจทก์ร่วม โดยโจทก์ร่วมตกอยู่ในภาวะ
ท่ีไม่สามารถขัดขืนได้ แมจ้ าเลยจะมไิ ดส้ ัมผัสต่อเนื้อตัวร่างกายของโจทก์ร่วมโดยตรง แต่การที่จาเลย
ใช้กล้องบันทึกภาพใต้กระโปรงโจทก์ร่วมในระยะใกล้ชิด โดยโจทก์ร่วมไม่รู้ตัวย่อมรับฟังได้ว่าจาเลย
ไดก้ ระทาโดยประสงค์ต่อผลอันไม่สมควรในทางเพศตอ่ โจทก์ร่วม โดยใช้กาลังประทุษรา้ ยตามมาตรา
๑ (๖) แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งการใช้กาลังประทุษร้ายอันเป็นองค์ประกอบความผิดตาม
ป.อ. มาตรา ๒๗๘ นอกจากหมายความว่า ทาการประทุษร้ายแก่กายแล้ว ยังหมายความว่าทาการ
ประทุษร้ายแก่จิตใจด้วย ไม่ว่าจะทาด้วยใช้แรงกายภาพหรือด้วยวิธีอื่นใด และให้หมายความรวมถึง
การกระทาใด ๆ ซ่ึงเป็นเหตุให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ การกระทาของ
จาเลยดังกล่าว ทาให้โจทก์ร่วมต้องรู้สึกสะเทือนใจอับอายขายหน้า จึงถือว่าเป็นการประทุษร้ายแก่
จติ ใจของโจทก์ร่วมแล้ว การกระทาของจาเลยจึงเปน็ การกระทาอนาจารโจทก์ร่วม ครบองคป์ ระกอบ
ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๘

ห้องตรวจคนไข้ที่เกิดเหตุ เป็นส่วนหน่ึงของโรงพยาบาลเนินสง่า อันเป็นสถานที่ราชการ
ซ่ึงเป็นสาธารณสถาน แม้ประชาชนท่ีไปใช้บริการในห้องตรวจคนไข้ที่เกิดเหตุจะต้องได้รับอนุญาต
และผ่านการคัดกรองจากพยาบาลหน้าห้องตรวจก่อน แต่ก็เป็นเพียงระเบียบข้ันตอนและวิธีปฏิบัติ
ในการใช้บริการของโรงพยาบาลเท่านั้น หาทาให้ห้องตรวจคนไข้ดังกล่าวซ่ึงเป็นสาธารณสถานที่
ประชาชนมีความชอบธรรมจะเข้าไปได้ต้องกลับกลายเป็นท่ีรโหฐานแต่อย่างใดไม่ ห้องตรวจคนไข้
ท่ีเกิดเหตุจึงยังคงเป็นสาธารณสถาน ดังนั้น การกระทาของจาเลยจึงครบองค์ประกอบความผิดฐาน
กระทาด้วยประการใด ๆ อันเป็นการรังแก หรือข่มเหงผู้อื่น หรือกระทาให้ผู้อื่นได้รับความอับอาย
หรอื เดอื ดร้อนราคาญในท่ีสาธารณสถานตาม ป.อ. มาตรา ๓๙๗

______________________

617

บรรณานุกรม

เกยี รตขิ จร วจั นะสวสั ด.์ิ คาอธิบายกฎหมายอาญาภาค ๑ เล่ม ๑. พมิ พ์คร้งั ท่ี ๑๑ กรุงเทพ, ๒๕๖๒

เกียรตขิ จร วจั นะสวสั ด์ิ. คาอธบิ ายกฎหมายอาญาภาค ๑ เล่ม ๒. พิมพ์คร้ังท่ี ๑๑ กรุงเทพ, ๒๕๖๒

เกียรติขจร วจั นะสวสั ด.์ิ กฎหมายอาญาภาคความผิด เลม่ ๑. พิมพ์ครั้งที่ ๕ กรุงเทพ, ๒๕๕๐

เกยี รติขจร วัจนะสวสั ด.์ิ กฎหมายอาญาภาคความผดิ เล่ม ๒. พิมพค์ รัง้ ท่ี ๖ กรุงเทพ, ๒๕๕๗

เกียรติขจร วจั นะสวสั ดิ.์ กฎหมายอาญาภาคความผิด เลม่ ๓. พิมพค์ รั้งท่ี ๒ กรุงเทพ, ๒๕๕๕

เกียรตขิ จร วัจนะสวัสด.์ิ กฎหมายอาญาภาคความผดิ เล่ม ๔. พิมพ์ครง้ั ที่ ๑ กรงุ เทพ, ๒๕๕๑

เกียรตขิ จร วจั นะสวัสดิ์ ทวีเกียรติ มนี ะกนิษฐ.์ คาถามและแนวคาตอบกฎหมายอาญา.
พิมพ์คร้งั ท่ี ๗ กรุงเทพ, ๒๕๕๒

จิตติ ติงศภัทิย์. กฎหมายอาญา ภาค ๑. พิมพ์คร้ังที่ ๑๑ กรุงเทพ : สานักอบรมศึกษากฎหมาย
แห่งเนตบิ ณั ฑติ ยสภา, ๒๕๕๕

จิตติ ติงศภัทิย์. กฎหมายอาญา ภาค ๒ ตอน ๑. พิมพ์คร้ังที่ ๘ กรุงเทพ : สานักอบรมศึกษา
กฎหมายแห่งเนติบณั ฑิตยสภา, ๒๕๔๘

จิตติ ติงศภทั ิย.์ กฎหมายอาญา ภาค ๒ ตอน ๒ และภาค ๓. พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๗ กรุงเทพ : เนติบัณฑิตย-
สภา, ๒๕๕๓

เสนีย์ ปราโมช. คาอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยทรัพย์สิน. กรุงเทพ :
เนติบณั ฑิตยสภา, ๒๕๕๑

618

...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................

619

...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................

620

...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................
...........................................................................................................

621

สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

นติ ิศาสตรบณั ์ิต (เกยี รตินยิ ม) ธรรมศาสตร์ (๒๕๓๓)
เนตบิ ัณ์ติ ไทย สมัยท่ี ๔๔ (๒๕๓๕)
ทนายความ ๒๕๓๕-๒๕๓๗
ผูพ้ ิพากษาศาลยตุ ิธรรม ๒๕๓๗-๒๕๕๘
ผชู้ ว่ ยเลขาธกิ ารสานกั งาน ก.ล.ต.
มกราคม ๒๕๕๙ ถงึ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ผูพ้ พิ ากษาหัวหน้าศาลประจาสานักประธานศาลฎกี า
สิงหาคม ๒๕๖๒ ถงึ มีนาคม ๒๕๖๓
ผพู้ พิ ากษาหัวหนา้ คณะในศาลภาษอี ากรกลาง
เมษายน ๒๕๖๓ ถงึ ปัจจุบนั
อาจารย์ผ้บู รรยาย (ภาคคา่ ) วชิ ากฎมายอาญา มาตรา ๕๙ ถงึ ๑๐๖
สานักอบรมศกึ ษากฎหมายแห่งเนตบิ ณั ์ิตยสภา
อาจารยพ์ ิเศษ
สถาบันสง่ เสรมิ งานสอบสวน สานกั งานตารวจแห่งชาติ
อาจารย์พเิ ศษ
คณะนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์
หลักสตู รประกาศนียบตั รกฎหมายการเงินการธนาคาร


Click to View FlipBook Version