The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-10-26 10:13:10

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

201

ประกอบมำตรำ ๘๖" เพรำะฐำนควำมผิดคือมำตรำ ๑๖๗ ส่วนมำตรำ ๘๖ เป็นเร่ืองผู้สนับสนุน
กำรกระทำผิด จงึ ควรใช้คำว่ำ นำยหมูเป็นผู้สนับสนุนนำยม้ำกระทำผิดฐำนให้สินบนแก่เจ้ำพนักงำน
ในตำแหนง่ ตุลำกำรตำมมำตรำ ๑๖๗ ได้รวม ๗.๕ คะแนน เม่อื พิจำรณำภำพรวมแล้วให้ ๘ คะแนน

ตัวอย่างคาตอบที่ ๔ (ก) การที่นายม้า ทราบว่านายหมูฆ่าคนตายและถูกดาเนินคดีในศาล
จึง (ข้อความท่ีตัดออกเพราะไม่จาเป็นต้องนามาปรับบท) เสนอตัวว่าจะไปวิ่งเต้นผู้พิพากษาให้
ยกฟ้องโดยเรียกเงินจากนายหมู ๑๐ ล้านบาท เป็นกรณีที่นายม้าเรียก รับ ยอมจะรับ (ข้อเท็จจริง
เร่ืองน้ีเป็นเรียก รับ) เงิน ๑๐ ล้านบาท สาหรับตนเองเพื่อเป็นการตอบแทนในการท่ีจะจูงใจ
ผพู้ ิพากษาใหย้ กฟอ้ ง โดยวิธีอนั ทุจรติ หรอื ผดิ กฎหมาย มีความผิดฐานเปน็ คนกลางเรยี กรับสนิ บนตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ (ขาดเร่ืองไมไ่ ดม้ อบเงินให้ใครต่อไปก็เป็นความผิด ประเด็น
นี้ใหเ้ พียง ๑.๕ คะแนน)

ส่วนนายหมูนั้น เม่ือได้รับการเสนอจากนายม้าแล้วก็ได้มอบเงินจานวน ๑๐ ล้านบาท
เปน็ การใช้ให้นายม้านาเงินไปให้แก่ผู้พิพากษาเพ่ือจูงใจให้ตดั สนิ ยกฟ้องอันเป็นการไมช่ อบดว้ ยหนา้ ท่ี
จึงเป็นการใช้ให้นายม้ากระทาความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๔๔ ประกอบมาตรา
๘๔ เม่ือนายม้ายังมิได้กระทาความผิด นายหมูจึงรับโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษตามฐานความผิด
ดังกล่าว ตามมาตรา ๘๔ วรรคสอง (ประเด็นน้ีต้องวินิจฉัยว่าไม่ใช่ผู้สนับสนุน) และนายหมูไม่มี
ความผิดตามมาตรา ๑๔๓ เนื่องจากมีบทกฎหมายกาหนดความผิดของนายหมูไว้เพียงเฉพาะแล้ว
(ไม่อธบิ ายว่านายหมเู ป็นบคุ คลที่เป็นองคป์ ระกอบความผดิ ใหเ้ พียง ๑ ถึง ๑.๕ คะแนน)

(ข) จากประเด็นที่วินิจฉัยไปแล้วข้างต้น เมื่อนายม้าเป็นผู้ถูกใช้ให้กระทาความผิดฐานให้
สินบนเจ้าพนักงาน (ข้อความท่ีตัดออกเพราะไม่จาเป็นต้องนามาปรับบท) เม่ือนายม้าได้เสนอเงิน
ให้ผู้พิพากษาเจ้าของสานวนแล้ว ก็เป็นกรณีความผิดที่ถูกใช้ได้กระทาลงเป็นความผิดสาเร็จแล้ว
(ไม่อธิบายเร่ือง "ขอให้" ผิดสาเร็จ ประเด็นนี้ตัด ๑ คะแนน ได้เพียง ๑ คะแนน) แม้ผู้พิพากษา
เจ้าของสานวนไม่ยอมรับเงินก็ตาม นายม้าจึงมีความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๔๔
ซึง่ เม่อื ได้เสนอใหแ้ กผ่ ู้พพิ ากษาซง่ึ เป็นเจ้าพนกั งานในตาแหน่งตลุ าการ จึงมคี วามผดิ ตามมาตรา ๑๖๗
(๑ คะแนน)

ส่วนนายหมูผู้ใช้ให้กระทาความผิดน้ัน เม่ือนายม้าผู้ถูกใช้ได้กระทาความผิดฐานให้สินบน
เจ้าพนักงานในตาแหน่งตุลาการแล้ว นายหมูจึงต้องรับโทษเสมือนตัวการในการกระทาความผิด
ดังกลา่ ว (ประเดน็ น้ี ๐ คะแนน ไดร้ วม ๕ คะแนน)
ขอ้ เสนอแนะ คำถำมข้อน้ีถ้ำทำได้ ๕ คะแนนขนึ้ ไปนับว่ำใช้ได้แล้วเพรำะเป็นคำถำมยำกและมีหลำย
ประเด็น

ขอให้คิดต่อไปว่ำ ถ้ำผู้พิพำกษำเจ้ำของสำนวนรับเงินและวินิจฉัยคดีให้เป็นคุณแก่นำยหมู
เพรำะเห็นแก่เงนิ ทีร่ บั ไว้ ธงคำตอบจะเป็นอยำ่ งไรขอใหด้ คู ำถำมคำตอบข้อต่อไป

202

ข้อ ๔๙ คาถาม นายหมูไปฆ่าคนตายและถูกดาเนินคดีในศาล นายหมูจึงไปจ้างให้นายม้า
ไปว่ิงเต้นนายเสือให้ยกฟ้องตน แล้วนายหมูมอบเงิน ๑๐ ล้านบาทให้แก่นายม้า นายม้าไปว่ิงคดีโดย
เสนอจ่ายเงินให้นายเสือซ่ึงเป็นผู้พิพากษาเจ้าของสานวน นายเสือตกลงนายม้าจึงมอบเงิน ๘ ล้าน
บาทให้แก่นายเสือ โดยนายเสือรับปากว่าจะดาเนินการให้ตามขอ ต่อมานายเสือได้ร่วมกับนายหมู
และนายม้าปั้นพยานเท็จแล้วนามาเบิกความในศาลโดยผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะพิจารณ าคดี
ไม่ทราบเรอ่ื ง เมอ่ื คดีเสร็จการพจิ ารณา นายเสอื และองคค์ ณะพิพากษายกฟอ้ งนายหมู

ให้วินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายม้า นายหมู และนายเสือในความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓, ๑๖๗, ๒๐๑, และ ๑๕๗

คาตอบ ความรบั ผิดทางอาญาของนายม้า การท่ีนายม้ารับเงินจากนายหมูไปว่งิ เต้นนายเสือ
ผพู้ พิ ากษาเจา้ ของสานวนให้ยกฟ้อง เป็นกรณที ่ีนายม้ารบั เงิน ๑๐ ลา้ นบาทสาหรับตนเอง เพอ่ื เป็น
การตอบแทนในการที่จะจูงใจผู้พิพากษาให้ยกฟ้องโดยวิธีอันทุจริตและผิดกฎหมาย นายม้าจึงมี
ความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ แม้นายหมูจะ
ให้เงินนายม้าและนายม้ามีความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบน แต่ความผิดฐานเป็นคนกลาง
เรียกรบั สินบนตามมาตรา ๑๔๓ เม่ือนายม้าเป็นผู้รับเงนิ ต้องมีผู้จ่ายเงินคือนายหมูซ่ึงเป็นบุคคล
ท่ีเป็นองค์ประกอบความผิด บุคคลท่ีเป็นองค์ประกอบความผิดไม่อาจเป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือ
ผสู้ นับสนุน ในการกระทาผิดได้ เวน้ แต่กฎหมายบัญญัติความผิดไวโ้ ดยเฉพาะ เม่ือกฎหมายบัญญัติ
ให้คนกลางเรียกรับสนิ บนมคี วามผดิ ตามมาตรา ๑๔๓ โดยไม่มีกฎหมายบญั ญัติให้ผจู้ ่ายเงินใหแ้ ก่
คนกลางเป็นความผิด นายหมูจึงไมเ่ ป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน นายม้ากระทาความผิดฐาน
เปน็ คนกลางเรยี กรบั สนิ บนตามมาตรา ๑๔๓

เมื่อนายมา้ ไปว่ิงคดโี ดยเสนอจ่ายเงนิ ใหน้ ายเสือซ่ึงเปน็ ผูพ้ ิพากษาเจา้ ของสานวน เปน็ การให้
ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานในตาแหน่งตุลาการ เพื่อจูงใจให้กระทาการอันมิชอบด้วยหน้าท่ีโดย
เจตนา นายม้าจึงมีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานในตาแหน่งตุลาการตามมาตรา ๑๖๗
นายม้ากระทาผิดเพราะรบั จ้างจากนายหมู นายหมูเป็นผู้ก่อให้นายม้ากระทาความผิดด้วยการจ้าง
เพราะเป็นการทาใหน้ ายม้าตัดสินใจกระทาความผดิ นายหมูจึงเป็นผู้ใชใ้ หน้ ายม้ากระทาความผิด
ฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานในตาแหน่งตุลาการตามมาตรา ๑๖๗, ๘๔ เม่ือนายม้าได้กระทา
ความผิด นายหมผู ู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเปน็ ตัวการ นายหมูจึงเป็นผู้ใช้นายมา้ ให้กระทาความผิด
ฐานใหส้ ินบนแกเ่ จา้ พนกั งานในตาแหนง่ ตลุ าการตามมาตรา ๑๖๗, ๘๔

นายเสือรับเงินจากนายม้า โดยนายเสือรับปากว่าจะดาเนินการให้ตามขอ เป็นกรณีที่
นายเสอื เป็นเจา้ พนักงานในตาแหน่งตลุ าการรับทรัพยส์ ินสาหรบั ตนเองโดยมชิ อบ เพอื่ การทาการ
ในตาแหน่งโดยมิชอบด้วยหน้าท่ี โดยเจตนา นายเสือจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน
ในตาแหน่งตุลาการรับสินบนตามมาตรา ๒๐๑ ส่วนนายม้านั้น แม้การวิง่ คดแี ละมอบเงินให้นายเสือ
จะเป็นการก่อให้นายเสือกระทาความผดิ ตามมาตรา ๒๐๑ แตน่ ายมา้ มีความผิดตามมาตรา ๑๖๗
ดังท่ีวินิจฉัยมาแล้ว และนายม้าเป็นบุคคลที่เป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา ๒๐๑ นายม้า

203

ไม่อาจเป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนในความผิดฐานน้ีได้ นายม้าจึงไม่เป็นผู้ใช้ให้นายเสือ
กระทาความผิดตามมาตรา ๒๐๑ เม่ือนายม้าไม่มีความผิดตามมาตรา ๒๐๑ นายหมูซึ่งเป็นผู้ก่อ
ใหน้ ายม้ากระทาความผิดอกี ทอดหนง่ึ ก็ไมม่ ีความผิดเชน่ เดียวกนั

ตอ่ มานายเสือป้ันพยานเทจ็ แล้วนาพยานมาเบิกความในศาลและพิพากษายกฟ้องนั้น การท่ี
นายเสือรับเงินจากนายม้าเป็นการกระทาเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
สาหรับตนเอง เป็นการกระทาโดยทุจริต เมื่อนายเสือเป็นผู้พิพากษาเจ้าของสานวนมีหน้าท่ีต้อง
ตัดสินอรรถคดีให้เป็นไปโดยเท่ียงธรรม การกระทาของนายเสือจึงเป็นความผิดฐานเป็น
เจา้ พนกั งานปฏบิ ัติหนา้ ท่โี ดยทจุ รติ ตามมาตรา ๑๕๗ อกี บทหนึ่ง เมอ่ื นายหมแู ละนายมา้ ร่วมกระทา
ความผิดดว้ ย แต่นายหมูและนายมา้ ไม่ได้เป็นเจา้ พนกั งานไมอ่ าจเป็นตวั การร่วมกับนายเสอื ได้ แต่
การกระทาของนายหมูและนายมา้ กเ็ ป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกทงั้ ก่อนและในขณะนายเสือ
กระทาความผิด นายหมูและนายม้าจึงเป็นผู้สนับสนุนนายเสือกระทาความผิดฐานเป็น
เจ้าพนักงานปฏบิ ตั หิ น้าทีโ่ ดยทจุ ริตตามมาตรา ๑๕๗, ๘๖ อีกบทหน่ึง

สรุปแล้ว นายม้ามีความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบนตามมาตรา ๑๔๓ บทหนึ่ง
ฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานในตาแหน่งตุลาการตามมาตรา ๑๖๗ บทหน่ึง เป็นผู้สนับสนุนใน
ความผิดฐานเป็นเจา้ พนักงานปฏบิ ตั ิหน้าทโ่ี ดยทุจริตตามมาตรา ๑๕๗, ๘๖ อีกบทหนึง่

นายหมูเป็นผู้ใช้ในความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานในตาแหน่งตุลาการตามมาตรา
๑๖๗, ๘๔ บทหน่ึง เป็นผู้สนับสนุนในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตาม
มาตรา ๑๕๗, ๘๖ อีกบทหนึ่ง

นายเสือมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานในตาแหน่งตุลาการรับสินบนตามมาตรา ๒๐๑
บทหนงึ่ และฐานเปน็ เจ้าพนกั งานปฏบิ ตั หิ นา้ ทโี่ ดยทุจรติ ตามมาตรา ๑๕๗ อีกบทหนึ่ง
ข้อสังเกต คำตอบข้อน้ีไม่ได้แยกคะแนนไว้ให้ เพรำะมีหลำยประเด็นมำก คงต้องให้คะแนนใน
ภำพรวมจำกควำมเข้ำใจทง้ั หมด

ควำมผิดตำมมำตรำ ๑๖๗ ของนำยม้ำและนำยหมูนั้น มีลักษณะเป็นกำรจ้ำงอันเป็นกำร
ก่อให้นำยเสือกระทำควำมผิดตำมมำตรำ ๑๕๗ อยู่ในตัว ต่อมำนำยม้ำกับนำยหมูซ่ึงเป็นผู้ให้สินบน
และเป็นผู้ก่อให้นำยเสือกระทำควำมผิดตำมมำตรำ ๑๕๗ ได้ร่วมกับนำยเสือกระทำควำมผิดตำม
มำตรำ ๑๕๗ เพียงแต่นำยม้ำและนำยหมูขำดคุณสมบัติกำรเป็นเจ้ำพนักงำน จึงรับโทษเพียงตำม
มำตรำ ๑๕๗, ๘๖ ควำมผิดตำมมำตรำ ๑๖๗ ของนำยม้ำและนำยหมู ไม่อำจเกล่ือนกลืนเป็นกำร
กระทำควำมผิดในกรรมเดียวกับควำมผิดตำมมำตรำ ๑๕๗, ๘๖ เพรำะควำมผิดตำมมำตรำ ๑๖๗ มี
อัตรำโทษหนักกว่ำควำมผิดตำมมำตรำ ๑๕๗, ๘๖ ซึ่งจะแตกต่ำงจำกฎีกำที่ ๗๗๖๘/๒๕๔๘ ท่ี
วนิ ิจฉัยว่ำควำมผิดตำมมำตรำ ๑๔๔ ของจำเลยนั้น มีลักษณะเป็นกำรก่อให้ อ. กระทำควำมผิดตำม
มำตรำ ๑๕๑ อยู่ในตัว ต่อมำจำเลยซ่ึงเป็นผู้ให้สินบนเป็นผู้ก่อให้ อ. กระทำควำมผิดตำมมำตรำ
๑๕๑ ได้ร่วมกับ อ. กระทำควำมผิดตำมมำตรำ ๑๕๑ เพียงแต่จำเลยขำดคุณสมบัติกำรเป็น
เจ้ำพนักงำน จึงรับโทษเพียงตำมมำตรำ ๑๕๑, ๘๖ ควำมผิดตำมมำตรำ ๑๔๔ ของจำเลยจึงเกล่ือน

204

กลืนเป็นกำรกระทำควำมผิดในกรรมเดียวกบั ควำมผดิ ตำมมำตรำ ๑๕๑, ๘๖ ตำมคำพพิ ำกษำฎีกำน้ี
ควำมผิดตำมมำตรำ ๑๔๔ เกล่ือนกลืนเป็นกำรกระทำควำมผิดในกรรมเดียวกับควำมผิดตำมมำตรำ
๑๕๑, ๘๖ ได้เพรำะควำมผิดตำมมำตรำ ๑๔๔ มีอัตรำโทษเบำกว่ำควำมผิดตำมมำตรำ ๑๕๑, ๘๖
ขอให้ดูรำยละเอียดเพิ่มเติมในคำอธิบำยกฎหมำยอำญำภำคควำมผิด เล่ม ๑ ดร. เกียรติขจร
วัจนะสวัสด์ิ บทท่ี ๑ กรรมเดียวผิดกฎหมำยบทเดียว และฎีกำที่ ๗๗๖๘/๒๕๔๘ ซึ่งเป็นประเด็นที่
น่ำสนใจมำก

ฎีกำที่ ๗๗๖๘/๒๕๔๘ มีข้อเท็จจริงซับซ้อนมำก จะสรุปข้อเท็จจริงและคำวินิจฉัยบำง
ประเด็นให้เข้ำใจงำ่ ยขนึ้ ดังนี้

ทำงรำชกำรต้องกำรซื้อที่ดินเพ่ือเป็นท่ีทิ้งขยะ นำย ก. เป็นเจ้ำพนักงำนมีหน้ำท่ีซื้อทรัพย์
นำย ข. ไปติดต่อให้สินบนนำย ก. ให้ซื้อที่ดินของนำย ค. แล้วนำย ก. นำย ข. และนำย ค. ท้ังหมด
รว่ มกนั วำงแผนสรำ้ งรำคำที่ดนิ จำกไรล่ ะ ๕๐,๐๐๐ บำท ให้เปน็ ไรล่ ะ ๖๖๘,๐๐๐ บำท โดยกำรไปหำ
บุคคลต่ำง ๆ มำจดทะเบียนซ้ือขำยที่ดินข้ำงเคียงแปลงอื่นรำคำสูงเกินจริงเพื่อสร้ำงรำคำเท็จขึ้นมำ
ไว้เปรียบเทียบ แลว้ มกี ำรซ้ือที่ดินให้ทำงรำชกำรรำคำไรล่ ะ ๖๖๘,๐๐๐ บำท ซึ่งสูงกว่ำควำมเป็นจริง
รำคำไร่ละ ๕๐,๐๐๐ บำท ขอ้ กฎหมำยที่สำคญั บำงส่วนท่ีวินิจฉัยไว้มีดงั นี้

๑. นำย ข. ผิดฐำนให้สินบนตำมมำตรำ ๑๔๔
๒. นำย ก. ผดิ ฐำนรบั สนิ บนตำมมำตรำ ๑๔๙
๓. นำย ก. ผิดฐำนเป็นเจ้ำพนักงำน (มีหน้ำที่ซ้ือทรัพย์) ใช้อำนำจในตำแหน่งโดยทุจริตตำม
มำตรำ ๑๕๑
๔. กำรให้สินบนของนำย ข. เป็นกำรก่อให้นำย ก. กระทำควำมผิดตำมมำตรำ ๑๕๑ แต่
นำย ข. ไม่ไดเ้ ป็นเจ้ำพนักงำน ไม่อำจเป็นผใู้ ช้ แตเ่ ปน็ เพียงผสู้ นับสนนุ ตำมมำตรำ ๑๕๑, ๘๖
๕. นำย ข. ได้ร่วมกระทำผิดตำมมำตรำ ๑๕๑ ด้วย แต่นำย ข. ไม่ได้เป็นเจ้ำพนักงำน
ไมอ่ ำจเป็นตัวกำร แต่เป็นเพยี งผูส้ นบั สนุนตำมมำตรำ ๑๕๑, ๘๖
๖. กำรให้สินบนของนำย ข. ตำมข้อ ๑ มีลักษณะเป็นกำรก่อให้นำย ก. กระทำควำมผิด
อันเป็นกำรผู้สนับสนุนตำมมำตรำ ๑๕๑, ๘๖ ตำมข้อ ๔ สรุปคือกำรกระทำตำมข้อ ๑ กับข้อ ๔
เป็นกรรมเดยี ว ผดิ กฎหมำยหลำยบท
๗. กำรให้สินบนของนำย ข. ตำมข้อ ๑ ย่อมเกลื่อนกลืนเป็นกำรกระทำควำมผิดในกรรม
เดยี วกบั ควำมผิดฐำนเป็นผู้สนบั สนนุ เจ้ำพนักงำน (มีหนำ้ ที่ซ้อื ทรพั ย)์ ใช้อำนำจในตำแหน่งโดยทุจริต
ตำมข้อ ๕ แล้ว จึงลงโทษนำย ข. ฐำนเป็นผู้สนับสนุนเจ้ำพนักงำน (มีหน้ำที่ซื้อทรัพย์) ใช้อำนำจ
ในตำแหนง่ โดยทจุ ริตได้เพยี งบทเดียวเท่ำนัน้
ฎกี าที่ ๗๗๖๘/๒๕๔๘ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๒๐๑ คาฟ้องโจทก์ได้บรรยายถงึ การกระทาของจาเลย
ท่ี ๑ และท่ี ๓ มาว่า เม่ือระหว่างวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๓๕ ถึงวันท่ี ๗ กรกฎาคม ๒๕๓๖ เวลา
กลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จาเลยท่ี ๑ และที่ ๓ กับ พ. ได้ร่วมกัน
สนบั สนุน ชว่ ยเหลือ และให้ความสะดวกแกก่ ารท่ีจาเลยที่ ๔ และที่ ๕ กบั ว. ปลัดเมืองพทั ยาซ่ึงเป็น

205

เจ้าพนักงานมีอานาจจัดซื้อตรวจรับท่ีดินสาหรับใช้เป็นท่ีทิ้งขยะของเมืองพัทยา ปฏิบัติหน้าที่โดย
มิชอบและใช้อานาจในตาแหน่งโดยทุจริตเป็นท่ีเสียหายแก่รัฐ โดยทางราชการต้องจ่ายเงิน
งบประมาณแผ่นดินเพื่อซื้อทีด่ ินในราคาท่สี ูงกวา่ ความเปน็ จริงมาก และตามคาฟ้องข้อ (ค) โจทก์กไ็ ด้
บรรยายฟ้องมาว่า ตามวันเวลาดังกล่าวข้างต้น จาเลยที่ ๑ ได้ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้เงินจานวน
๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท แก่ ว. ปลัดเมืองพัทยาซ่ึงเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดซ้ือท่ีดินให้แก่เมืองพัทยา
เพ่ือจูงใจให้กระทาการอันมิชอบด้วยหน้าท่ี รับซื้อที่ดินในราคาที่สูงกว่าความเป็นจริง เป็นการ
บรรยายถึงการกระทาทั้งหลายท่ีอ้างว่าจาเลยท่ี ๑ และ ที่ ๓ ได้กระทาความผิด ข้อเท็จจริงและ
รายละเอียดเก่ียวกับเวลาซ่ึงเกิดการกระทานั้น ๆ พอท่ีจะให้จาเลยท่ี ๑ และที่ ๓ เข้าใจข้อหาได้ว่า
วนั เวลาท่จี าเลยที่ ๑ และท่ี ๓ กระทาความผิดเป็นช่วงเวลาวันใดตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๕๘ (๕) แล้ว
โจทก์หาจาต้องบรรยายระบุเวลาท่ีแน่ชัดว่าต้องเป็นวันท่ีเท่าใด เดือนใด เวลาใดท่ีแน่นอนไม่ ส่วน
การบรรยายฟ้องของโจทก์เก่ียวกับราคาท่ีดินที่ซ้ือขายกันน้ัน โจทก์ก็ได้บรรยายมาในคาฟ้องแล้วว่า
พ. ได้ดาเนินการซ้ือท่ีดินดังกล่าวมาในราคาไร่ละ ๕๐,๐๐๐ บาท และ ว. ปลัดเมืองพัทยากับจาเลย
ที่ ๔ และท่ี ๕ ร่วมกันกระทาการโดยมิชอบด้วยหน้าท่แี ละใช้อานาจในตาแหน่งโดยทจุ ริต ดาเนนิ การ
ให้เมืองพัทยารับซื้อท่ีดินแปลงดังกล่าวจาก พ. ในราคาไร่ละ ๖๖๘,๐๐๐ บาท ซ่ึงสูงกว่าความ
เป็นจริงมาก ท้ังนี้โดยได้รับความช่วยเหลือจากจาเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๓ กับ พ. ในการกระทาความผิด
ดงั กล่าว เป็นการเพียงพอท่ีจาเลยที่ ๑ และ ที่ ๓ จะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ดังจะเห็นได้ว่า จาเลยที่ ๑
และที่ ๓ ก็สามารถต่อสู้คดีได้ถูกต้องโดยมิได้หลงต่อสู้แต่อยา่ งใด สาหรับรายละเอียดอ่ืน ๆ เก่ียวกับ
เร่ืองนี้เป็นเร่ืองที่โจทก์สามารถนาสืบใหป้ รากฏไดใ้ นชั้นพจิ ารณา คาฟอ้ งของโจทกจ์ ึงไม่เคลือบคลมุ

แม้ขณะเกิดเหตุ ว. จะเข้ามาดารงตาแหน่งปลัดเมืองพัทยาโดยการว่าจ้างตามความใน
มาตรา ๕๐ ของ พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยาฯ แต่ปลัดเมืองพัทยาก็มีฐานะเป็น
พนักงานเมืองพัทยาตามความในมาตรา ๖๔ และพนักงานเมืองพัทยามีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตาม
ป.อ. ตามความในมาตรา ๖๖ ของ พ.ร.บ. ฉบับดงั กล่าวท่ใี ช้บงั คับในขณะกระทาความผดิ คดนี ี้ ดังน้ัน
หากขณะดารงตาแหน่งปลัดเมอื งพัทยา ว. ไดก้ ระทาการใดผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ราชการซึ่งกฎหมาย
บัญญัติเป็นความผิดและกาหนดโทษไว้ และ ว. มิได้ถึงแก่ความตายเสียก่อน ว. ก็ต้องรับผิดในทาง
อาญาในฐานะเจ้าพนกั งานตามที่ ป.อ. มาตรา ๒ และมาตรา ๑๔๗ ถึงมาตรา ๑๖๖ บัญญัติไว้ แมจ้ ะ
ปรากฏว่าภายหลังกระทาความผดิ ได้มี พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา
๓ ให้ยกเลิก พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ.๒๕๒๑ และมีบทบัญญัติเกี่ยวกับที่มา
ของผู้ดารงตาแหน่งปลัดเมืองพัทยาแตกต่างจากกฎหมายเดิม แต่ความผิดที่ ว. ถูกกล่าวหาในคดีน้ี
มิได้มีการยกเลิกไป และก็มิได้เป็นเร่ืองท่ีกฎหมายใหม่บัญญัติว่าการกระทาใดไม่เป็นความผิดหรือ
กาหนดโทษเป็นคณุ แก่ผูก้ ระทาความผิด จึงมิใช่กรณีทจ่ี าเลยท่ี ๑ จะอา้ ง ป.อ. มาตรา ๒ และมาตรา
๓ มาเป็นประโยชน์แกค่ ดีของจาเลยท่ี ๑ ได้

จาเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ กับ ว. และพวกที่หลบหนีได้ร่วมอยู่ในขบวนการทุจริตคอร์รัปชั่นในการ
จัดซ้ือท่ีดินสาหรับใช้เป็นท่ีทิ้งขยะคร้ังน้ีด้วยกัน โดยมีการแบ่งหน้าที่กันทาตามขั้นตอนท่ีแต่ละคน

206

ได้รับมอบหมายไปกระทาจนความผิดสาเร็จ ว. ปลัดเมืองพัทยาซ่ึงเป็นเจ้าพนักงานจึงมีความผิด
ตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๑ และเม่อื การกระทาของ ว. เป็นความผิดตามมาตรา ๑๕๑ อันเป็นบทเฉพาะ
แล้ว ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๑๕๗ ซ่ึงเป็นบทท่ัวไปอีก ส่วนจาเลยที่ ๑ และท่ี ๓ ไม่ใช่
เจา้ พนักงานผู้มอี านาจหน้าท่ีในการจัดซ้ือท่ีดนิ ของเมอื งพทั ยาด้วย จึงขาดคุณสมบตั ิเฉพาะตัวอนั เป็น
องค์ประกอบความผิดตามมาตรา ๑๕๑ แต่การกระทาของจาเลยที่ ๑ และที่ ๓ ก็เป็นการช่วยเหลือ
หรือให้ความสะดวกในการกระทาความผิดดังกล่าวของ ว. จาเลยท่ี ๑ และที่ ๓ จึงมีความผิดฐาน
เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าท่ีซ้ือทรัพย์ใช้อานาจในตาแหน่งโดยทุจริตตามมาตรา ๑๕๑
ประกอบมาตรา ๘๖ อันเป็นความผิดบทเฉพาะ และไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๑๕๗ ประกอบ
มาตรา ๘๖ ซ่ึงเป็นบททั่วไปเช่นเดียวกัน

ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานของจาเลยท่ี ๑ น้ัน มีลักษณะเป็นการยุยงส่งเสริม
กอ่ ให้ ว. ปลัดเมอื งพัทยากระทาความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมหี น้าท่ีซ้ือทรัพย์ใช้อานาจในตาแหน่ง
โดยทุจริตอยู่ในตัว แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามทางพิจารณาว่า ในช่วงวันเวลาที่โจทก์ฟ้อง จาเลย
ท่ี ๑ ซึ่งเป็นผู้ให้สินบนหรือเป็นผู้ยุยงส่งเสริมก่อให้ ว. ปลัดเมืองพัทยากระทาความผิดฐานเป็น
เจ้าพนักงานมีหน้าท่ีซ้ือทรัพยใ์ ช้อานาจในตาแหน่งโดยทุจรติ ได้เป็นตัวการรว่ มกับ ว. กับพวกกระทา
การทุจริตคอร์รัปชน่ั ในการจัดซื้อที่ดินสาหรับใช้เป็นท่ีท้ิงขยะของเมืองพัทยาอย่างเป็นขบวนการโดย
มกี ารช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อันมีลักษณะเป็นการแบ่งหน้าท่ีกันกระทามาแต่ต้นจนกระท่ังความผิด
สาเร็จ เพียงแต่จาเลยท่ี ๑ ขาดคุณสมบัติการเป็นเจ้าพนักงาน จึงรับโทษแค่เป็นผู้สนับสนุนการ
กระทาความผิดของ ว. กับพวกดังกล่าว ดังน้ัน ไม่ว่าจาเลยท่ี ๑ จะได้กระทาความผิดฐานให้สินบน
แก่เจ้าพนักงานหรือไม่ก็ตาม ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานของจาเลยที่ ๑ ย่อมเกล่ือนกลืน
เป็นการกระทาความผดิ ในกรรมเดียวกับความผิดฐานเป็นผูส้ นับสนุนเจา้ พนักงาน (มีหน้าที่ซื้อทรพั ย์)
ใช้อานาจในตาแหน่งโดยทุจริตแล้ว จึงลงโทษจาเลยท่ี ๑ ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน (มีหน้าท่ี
ซ้อื ทรพั ย)์ ใช้อานาจในตาแหนง่ โดยทุจริตได้เพยี งบทเดียวเทา่ น้ัน

โจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงการกระทาทั้งหลายท่ีอ้างว่าจาเลยที่ ๑ กระทาความผิดข้อเท็จจริง
และรายละเอียดที่เกี่ยวกับสถานที่ซ่ึงเกิดการกระทาน้ัน ๆ มาว่าจาเลยที่ ๑ เป็นผู้สนับสนุนให้ ว.
ปลัดเมืองพัทยากระทาความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดซื้อท่ีดินสาหรับใช้เป็นท่ีท้ิงขยะของ
เมอื งพัทยาใช้อานาจในตาแหน่งหนา้ ทโี่ ดยทจุ รติ ตามคาฟอ้ งข้อ (ก) ซ่งึ โจทกอ์ า้ งเหตุแห่งการทจุ ริตมา
ในคาฟ้อง ข้อ (ก) รวมสองประการคือ ประการแรก ว. รู้อยู่แล้วว่าท่ีดินตามหนังสือรับรองการ
ทาประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) ของ พ. ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และประการท่ี ๒ ว. รู้อยู่แล้วว่า พ.
ซือ้ ท่ีดินแปลงดังกลา่ วมาในราคาเพียงไร่ละ ๕๐,๐๐๐ บาท แต่ ว. กับพวกร่วมกันดาเนินการให้เมือง
พัทยารับซ้ือท่ีดินแปลงดังกล่าวจาก พ. ในราคาไร่ละ ๖๖๘,๐๐๐ บาท ซ่ึงสูงกว่าความเป็นจริงมาก
เห็นว่า ท่ีศาลล่างท้ังสองวินิจฉัยถึงเหตุแห่งการทุจริตในประการที่สองว่า ว. กับพวกดาเนินการให้
เมืองพัทยารบั ซื้อท่ีดินแปลงดังกล่าวในราคาท่ีสูงกว่าความเป็นจริงมากเพียงประการเดียว ก็เป็นการ
เพียงพอท่ีจะรับฟังว่า ว. กระทาความผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ราชการตามคาฟ้องแล้ว จึงไม่มีความ

207

จาเป็นท่ีศาลล่างท้ังสองจะต้องวินิจฉัยต่อไปว่าท่ีดินแปลงดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
หรือไม่อีก เพราะไม่ทาให้ผลของคาพิพากษาเปลี่ยนแปลงไปได้ คาวินจิ ฉัยของศาลล่างทั้งสองในข้อนี้
จึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว และเมื่อศาลฎีกามิได้มีคาวินิจฉัยว่าท่ีดิน น.ส. ๓ ก. อยู่นอกเขต
ปา่ สงวนแหง่ ชาติซง่ึ แตกต่างจากข้อเทจ็ จริงท่ีโจทกก์ ลา่ วมาในคาฟ้อง จึงไม่มีกรณีท่ีจาเลยที่ ๑ จะยก
ป.วิ.อ. มาตรา ๑๙๒ ขึ้นมาอา้ งเปน็ ประโยชน์แก่คดีของจาเลยท่ี ๑ ได้อีก

ที่จาเลยท่ี ๓ กับพวกเป็นผู้ใช้จ้างวานให้ อน. กับ ส. ไปแจ้งแก่ พร. เจ้าพนักงานที่ดิน
จดทะเบียนทานิติกรรมซ้ือขายที่ดินในราคา ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท อันเป็นความเท็จ และที่จาเลยที่ ๓
กับพวกเป็นผู้ใช้จ้างวานให้ ย กับ อพ. ไปแจ้งแก่ พร. เจ้าพนักงานที่ดิน จดทะเบียนทานิติกรรม
ซ้ือขายท่ีดินในราคา ๑,๔๐๐,๐๐๐ บาท อันเป็นความเท็จน้ัน จาเลยที่ ๓ กับพวกกระทาไปก็โดยมี
เจตนาหรอื วตั ถุประสงคท์ ีจ่ ะสร้างราคาที่ดินบริเวณใกล้เคยี งกบั ทด่ี ินตาม น.ส. ๓ ก. ของ พ. ใหส้ ูงข้ึน
กว่าความเป็นจริงเพ่ือให้ ว. ปลัดเมืองพัทยากับพวกนาหลักฐานการซ้ือขายที่ดินตามโฉนดท่ีดิน
ดังกล่าวไปใชเ้ ป็นหลักฐานแสดงประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการจัดซือ้ โดยวิธีพิเศษของเมอื ง
พัทยาในการจัดซื้อที่ดิน น.ส. ๓ ก. ของ พ. การกระทาของจาเลยท่ี ๓ กับพวกดังกล่าวเป็นเพียง
ข้ันตอนหนึ่งของแผนการทุจริตคอร์รัปช่ันในการจัดซื้อท่ีดินสาหรับใช้เป็นที่ท้ิงขยะของเมืองพัทยา
ท่ี ว. ปลัดเมืองพัทยาและจาเลยที่ ๓ กับพวกได้ร่วมมือกันกระทาอย่างเป็นขบวนการโดยมีการแบ่ง
หน้าท่ีกันกระทาจนความผิดสาเร็จอันเป็นความผิดตามคาฟ้องข้อ (ข) แม้วันเวลากระทาความผิด
ลักษณะของความผิด และผู้เสียหาย จะแตกต่างกัน แต่ก็เป็นกรณีการกระทาโดยมีเจตนาเดียวกัน
ความผิดของจาเลยที่ ๓ ตามคาฟ้องข้อ (ข) (ง) และ (ฉ) จึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมาย
หลายบท

การกระทาของจาเลยท่ี ๓ ตามคาฟ้องข้อ (ข) (ง) และ (ฉ) เป็นการกระทาต่อผู้เสียหาย
ต่างคนกันและเป็นเหตุการณ์คนละตอนกัน แม้จะอยู่ในแผนการทุจริตคอร์รัปช่ันเดียวกันก็มีการ
กระทาหลายอย่างและแต่ละอย่างเป็นความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติ การกระทาของจาเลยท่ี ๓
จงึ เป็นความผดิ ต่อกฎหมายหลายบทท้ังฐานใช้ให้ผอู้ ่ืนแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเปน็ เท็จและ
ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซ้ือทรัพย์ใช้อานาจในตาแหน่งโดยทุจริตตามคาฟ้องข้อ (ง)
(ฉ) และ (ข)
ข้อสังเกต ท่ีศำลฎีกำคดีน้ีวินิจฉัยว่ำ เมื่อกำรกระทำของ ว. เป็นควำมผิดตำมมำตรำ ๑๕๑ อันเป็น
บทเฉพำะแล้ว ก็ไม่เป็นควำมผิดตำมมำตรำ ๑๕๗ ซ่ึงเป็นบททั่วไปอีก ดร. เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์
เห็นว่ำน่ำจะปรับบทว่ำ เมื่อเป็นควำมผิดตำมมำตรำ ๑๕๑ ซ่ึงเป็นบทเฉพำะแล้ว ก็ไม่ต้องปรับบท
ตำมมำตรำ ๑๕๗

208

ข้อ ๕๐ คาถาม นายดาเล่นการพนันเสียท่ีบ่อนในประเทศกัมพูชาเป็นหนี้นายเหลือง
๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท นายเหลืองจึงให้นายดาขับรถตู้ขนชาวกัมพูชา ๑๐ คน ท่ีต้องการหลบหนีเข้ามา
ทางานในประเทศไทยและขนธนบัตรรัฐบาลไทยปลอมฉบับละ ๑,๐๐๐ บาท เป็นเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐
บาท ไปส่งให้ลูกค้าของนายเหลืองที่กรุงเทพฯ นายดารับทางานเพื่อล้างหนี้ ระหว่างทางที่นายดา
ขับรถจากกัมพูชามาถึงด่านตรวจคนเขา้ เมอื งอรัญประเทศ นายดาถูกรอ้ ยตารวจตรแี ดง เจ้าพนกั งาน
ตารวจตรวจคนเข้าเมือง ตรวจค้นพบว่ารถตู้บรรทุกชาวกัมพูชาหลบหนีเข้าเมืองโดยไม่ชอบ นายดา
จึงมอบธนบัตรปลอมให้แก่ร้อยตารวจตรีแดง ๒๐๐,๐๐๐ บาท โดยร้อยตารวจตรีแดงไม่รู้ว่าเป็น
ธนบัตรปลอม เมื่อรับเงินแล้ว ร้อยตารวจตรีแดงปล่อยให้นายดาขับรถผ่านด่านตรวจไป และต่อมา
นายดาถูกเจ้าพนักงานตารวจจับได้ท่ีอาเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี พร้อมชาวกัมพูชา ๑๐ คน และ
ธนบัตรปลอม ๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท เปน็ ของกลาง

ใหว้ ินิจฉยั วา่ นายดาและรอ้ ยตารวจตรีแดงมีความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใด
คาตอบ ความผิดทางอาญาของนายดา การที่นายดานาธนบัตรรัฐบาลไทยปลอมฉบับละ
๑,๐๐๐ บาท เป็นเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท จากประเทศกัมพูชาเข้ามาถึงอาเภอเมือง จังหวัด
ปราจีนบุรี เป็นการนาเข้าเงนิ ตราปลอม ซ่ึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๔๓
บทหนึ่ง และเป็นการมีไว้เพ่ือนาออกใช้ ซ่ึงเงินตราอันตนได้มาโดยรู้ว่าเป็นของปลอม จึงเป็น
ความผดิ ตามมาตรา ๒๔๔ อกี บทหนงึ่
แต่การที่นายดามอบธนบัตรปลอม ๒๐๐,๐๐๐ บาท ให้แก่ร้อยตารวจตรีแดง ไม่เป็นการ
มีไว้เพ่ือนาออกใช้ ซึ่งเงินตราอันตนได้มาโดยรู้ว่าเป็นของปลอมตามมาตรา ๒๔๔ อีกกรรมหน่ึง
เพราะมาตรา ๒๔๔ น้ัน การกระทาที่เป็นความผิด คือ "การมีไว้" เม่ือได้วินิจฉัยมาแล้วว่าการท่ี
นายดามีธนบัตรปลอม ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นความผิดตามมาตรา ๒๔๔ ก็เป็นการมีไว้เป็น
ความผิดตามมาตรา ๒๔๔ ต่อเนื่องกันจนกว่าธนบัตรปลอมจะหลุดมือหมดไป การนาธนบัตร
ปลอมออกใช้ ๒๐๐,๐๐๐ บาท จงึ ไมเ่ ป็นความผดิ ตามมาตรา ๒๔๔ อีกกรรมหน่งึ และไม่เป็นการ
นาเงนิ ตราปลอมออกใชต้ ามมาตรา ๒๔๕ เพราะการนาออกใชท้ ่จี ะเป็นความผิดตามมาตรา ๒๔๕
น้ัน ขณะได้มาผู้นาออกใช้ต้องไม่รู้ว่าเป็นเงินตราปลอม เม่ือขณะได้ธนบัตรปลอม ๒,๐๐๐,๐๐๐
บาทมา นายดารู้ว่าเป็นธนบัตรปลอม การนาธนบัตรปลอมออกใช้ ๒๐๐,๐๐๐ บาท จึงไม่มี
ความผดิ ตามมาตรา ๒๔๕
เมื่อร้อยตารวจตรีแดงพบว่ารถตู้บรรทุกชาวกัมพูชาหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
การท่ีนายดามอบธนบัตรปลอมให้แก่ร้อยตารวจตรีแดง แล้วร้อยตารวจตรีแดงปล่อยให้นายดา
ขบั รถผ่านด่านตรวจไป เป็นการให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงาน เพ่ือจูงใจให้ไม่กระทาการตามหน้าท่ี
แม้จะให้ธนบัตรปลอม ธนบัตรดังกล่าวก็อาจถูกนาไปใช้แก่บุคคลท่ีไม่รู้หรือรู้ก็ได้ แม้ว่าในบาง
กรณีการมีไว้อาจจะเป็นความผิด ธนบัตรปลอมก็ยังเป็นทรัพย์สินท่ีเป็นวัตถุแห่งการกระทาใน
ความผิดฐานให้สินบนได้ การกระทาของนายดาจึงเป็นการให้ทรัพย์สินแก่ร้อยตารวจตรีแดงซึ่ง
เป็นเจา้ พนกั งาน เพ่ือจงู ใจให้ไม่กระทาการตามหน้าที่อันเปน็ ความผิดตามมาตรา ๑๔๔ แต่ไมเ่ ป็น

209

ผูส้ นับสนุนเจา้ พนกั งานกระทาผดิ ฐานรับสนิ บนตามมาตรา ๑๔๙ (ฎีกาที่ ๔๓๕/๒๕๒๐)
การที่นายดาให้สินบนร้อยตารวจตรีแดง แล้วนายดาขับรถผ่านด่านตรวจพาชาวกัมพูชา

เดินทางต่อไป เป็นการช่วยผู้อื่นซ่ึงเป็นผู้กระทาความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้
ต้องโทษ โดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใดเพ่ือไม่ใหถ้ ูกจับกุม อันเป็นความผิดฐานช่วยเหลือผู้กระทา
ความผิด เพ่อื ไมใ่ หต้ ้องโทษตามมาตรา ๑๘๙ อีกบทหนงึ่ (คาชีข้ าดความเหน็ แยง้ ที่ ๗/๒๕๔๐)

ความผิดทางอาญาของร้อยตารวจตรีแดง การที่ร้อยตารวจตรีแดงเจ้าพนักงานตารวจตรวจ
คนเข้าเมืองตรวจค้นพบว่า รถตู้บรรทุกชาวกัมพูชาหลบหนีเข้าเมืองโดยไม่ชอบ ร้อยตารวจตรีแดง
รับธนบัตรปลอม แล้วปล่อยให้นายดาขับรถผ่านด่านตรวจไปนั้น ร้อยตารวจตรีแดงเป็น
เจ้าพนักงานรับทรพั ย์สินสาหรับตนเองโดยมิชอบ เพื่อไม่กระทาการจับกุมผกู้ ระทาผิดตามหน้าที่
ในตาแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าท่ี การตรวจค้นในคดีน้ีเป็นการตรวจค้น
ตามปกติมิได้มีการกลั่นแกล้ง จึงเป็นการกระทาโดยชอบด้วยหน้าท่ี ต่อมาจึงรับทรัพย์สินเพ่ือ
ไม่จับกุมผู้กระทาผิด อันเป็นการไม่ปฏิบัติการตามหน้าท่ี ร้อยตารวจตรีแดงมีความผิดฐานเป็น
เจ้าพนกั งานรบั สนิ บนตามมาตรา ๑๔๙ (เทยี บฎกี าที่ ๑๑๗/๒๕๔๗) เมื่อการกระทาของร้อยตารวจ
ตรีแดงเป็นความผิดตามมาตรา ๑๔๙ ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรา ๑๕๗
ซ่ึงเป็นบททั่วไปอีก แม้ว่าการกระทาของจาเลยจะเข้าหลักเกณ์์อันเป็นองค์ประกอบความผิด
ตามมาตรา ๑๕๗ ด้วยก็ตาม (ฎีกาที่ ๑๗๔๙/๒๕๔๕) แต่ร้อยตารวจตรีแดงไม่มีความผิดฐานเป็น
เจ้าพนักงานใช้อานาจในตาแหน่งโดยไม่ชอบตามมาตรา ๑๔๘ เพราะขณะเข้าตรวจค้นเป็นการ
กระทาการโดยชอบดว้ ยหน้าท่ี (เทียบฎีกาท่ี ๓๔๗๐/๒๕๔๓)

ฎีกาที่ ๑๑๗/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๕ น.๑ ขณะจาเลยปฏิบัติหน้าที่ตรวจคนโดยสารขาออก
นอกราชอาณาจักร จ. คนต่างด้าวซ่ึงเป็นคนโดยสารขาออกถือหนังสอื เดินทางมาใหจ้ าเลยตรวจ เพื่อ
เดนิ ทางออกนอกราชอาณาจกั ร เมื่อจาเลยตรวจพบว่า จ. มีเพยี งหนงั สือเดินทางโดยไม่มีตราประทับ
ขาเข้ากับไม่มีเอกสารการเดินทางครบถ้วน แต่จาเลยไม่ได้ยึดหนังสือเดินทางและควบคุม จ. ไว้
เพ่ือให้นายตารวจสัญญาบัตรมารับตัวไปดาเนินคดีตามระเบียบปฏิบัติ กลับปล่อยให้ จ. ผ่าน
ชอ่ งตรวจของจาเลยเพื่อเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ จาเลยจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน
ละเวน้ การปฏบิ ัติหน้าท่โี ดยมิชอบ เพ่ือให้เกิดความเสียหายแกส่ านักงานตรวจคนเขา้ เมือง

ฎีกาที่ ๑๗๔๙/๒๕๔๕ ฎ.ส.ล.๓ น.๒๐๓ พฤติการณ์ท่ีจาเลยจับกุมผู้เสียหายในข้อหา
ลักทรัพย์ของ ส. แล้วใหผ้ ู้เสยี หายลงลายมอื ชื่อในบนั ทกึ การจับกุม จากน้ันนาผเู้ สียหายไปควบคุมไว้
ที่สถานีตารวจประมาณ ๓๐ นาที จึงเรียกร้องเอาเงินจากผู้เสียหายเพ่ือแลกเปลี่ยนกับการปล่อยตัว
ไม่ดาเนินคดี โดยนาผู้เสียหายออกมาโทรศัพท์หา ก. ภริยาผู้เสียหาย ต่อมาเม่ือจาเลยได้รับเงิน
๓,๐๐๐ บาท จากผู้เสียหายแล้วจึงปล่อยผู้เสียหายไปน้ัน เป็นกรณีไม่กระทาการในตาแหน่งโดย
มิชอบด้วยหนา้ ท่ี จาเลยมคี วามผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๙

เม่ือการกระทาของจาเลยเป็นความผิดตามมาตรา ๑๔๙ ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว ย่อมไม่มี
ความผิดตามมาตรา ๑๕๗ ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก แม้ว่าการกระทาของจาเลยจะเข้าหลักเกณฑ์อันเป็น

210

องคป์ ระกอบความผดิ ตามมาตรา ๑๕๗ ดว้ ยกต็ าม
ฎีกาท่ี ๓๔๗๐/๒๕๔๓ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๔๒ จาเลยท้ังสามเป็นเจ้าพนักงานตารวจฯ ซ่ึงเป็น

เจ้าพนักงานตารวจมีอานาจหน้าท่ีสืบสวนจับกุมผู้กระทาความผิดอาญา เม่ือได้พบและกล่าวหาว่า
ผู้เสียหายให้ท่ีพักอาศัยแก่คนต่างด้าวโดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.
คนเข้าเมืองฯ จึงไม่ใช่การกลั่นแกล้งกล่าวหาว่าผู้เสียหายกระทาผิดอาญาโดยไม่มีมูลความผิด การที่
จาเลยทั้งสามปฏิบัติการไปตามหน้าท่ีดังกล่าวโดยชอบแล้วกลับไม่จับกุม แต่ขู่เข็ญเรียกร้องเอาเงิน
แลว้ ละเวน้ ไม่จบั กมุ ผู้เสยี หาย การกระทาของจาเลยท้งั สามจึงไมเ่ ป็นความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๘
แต่การที่จาเลยทั้งสามขู่เข็ญเรียกร้องเอาเงินจากผู้เสียหายภายหลังเช่นน้ี ย่อมเป็นความผิดฐาน
เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรพั ย์สินในตาแหน่ง โดยมิชอบด้วยหน้าท่ีตามมาตรา ๑๔๙ คดีนี้โจทก์มิได้
ฟ้องขอใหล้ งโทษจาเลยทงั้ สามตามมาตรา ๑๔๙ อันเป็นบทเฉพาะมาด้วย แตโ่ จทกไ์ ดบ้ รรยายฟ้องว่า
เมื่อพบการกระทาผิดซ่ึงจาเลยทั้งสามมีหน้าที่จับกุมผู้กระทาผิด แต่กลับร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้น
การปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต โดยข่มขืนใจผู้เสียหายให้มอบเงินดังกล่าว อันเป็นการใช้อานาจ
ในตาแหน่งโดยมิชอบ คาบรรยายฟ้องดังกล่าวจึงเข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา ๑๔๙ แม้
คาขอท้ายฟ้องโจทก์จะอ้างบทมาตราความผิดตามบทเฉพาะตามมาตรา ๑๔๘ แต่เมื่อบรรยายฟ้อง
และข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความว่า การกระทาของจาเลยทั้งสามเป็นความผิดตามบทเฉพาะตาม
มาตรา ๑๔๙ แล้ว จึงถือว่าโจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด ศาลมีอานาจลงโทษจาเลยตาม
ฐานความผดิ ที่ถูกตอ้ งได้ ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา ๑๙๒ วรรคหา้

จาเลยท้ังสามร่วมกันขู่เข็ญเรียกร้องเอาเงินจากผู้เสียหายเพื่อที่จะละเว้นไม่จับกุมผู้เสียหาย
ไปดาเนินคดี จนผู้เสียหายกลัวว่าจะถูกจับกุมอันจะเปน็ อันตรายต่อเสรภี าพของตน จึงยอมจะใหเ้ งิน
แก่จาเลยทั้งสามนั้น เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยทุจริต
ตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗ ซึง่ เป็นบททัว่ ไปและฐานกรรโชกตามมาตรา ๓๓๗ วรรคแรก ดว้ ย หาใช่เป็น
เรอ่ื งที่เม่อื เปน็ ความผิดตามมาตรา ๑๔๙ แล้ว จะไมเ่ ป็นความผดิ ตามมาตรา ๑๕๗ และมาตรา ๓๓๗
ด้วยไม่ เพียงแต่เมื่อเป็นความผิดตามมาตรา ๑๔๙ ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว ก็ไม่จาต้องปรับบทตาม
มาตรา ๑๕๗ ซึง่ เปน็ บทท่วั ไปอกี เทา่ นั้น

ฎกี าน่าสนใจมาตรา ๑๔๓

ฎกี าที่ ๑๖๖๖/๒๕๖๒ ฎ.๗๔๗ จาเลยเรียกเงินจากโจทก์เป็นการตอบแทนในการที่จะจงู ใจ
เจ้าพนักงานโดยวธิ ีการอันทจุ ริตหรือผดิ หมายให้กระทาการในหน้าท่ีอันเป็นคุณแกโ่ จทก์ การกระทา
ของจาเลยเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๓ แม้จาเลยไม่มีเจตนาท่ีจะจูงใจเจ้าพนักงานอันเป็น
การแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรอื หลอกลวงโจทก์ก็ตาม

ฎีกาที่ ๑๔๑๗๑/๒๕๕๗ ฎ.๒๖๐๑ จาเลยเรียกเงินจาก น. กับ ส. โดยแอบอ้างว่าจะนาเงิน
ไปให้พนักงานอัยการเจ้าของสานวนทาความเห็นไม่คัดค้านการขอปล่อยตัวชั่วคราวของ น. โดย

211

ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นคุณแก่ น. ซ่ึงเป็นจาเลยในคดีอาญา แม้จาเลยจะยังไม่ได้รับเงินหรือ
นาเงนิ ไปใหอ้ ัยการเจ้าของสานวนตามทีจ่ ูงใจกต็ าม การกระทาของจาเลยยอ่ มเป็นความผิดตาม ป.อ.
มาตรา ๑๔๓

ฎีกาท่ี ๖๖๑/๒๕๕๔ ฎ.๖ จาเลยเรียกและรับเงินไปจากผู้เสียหายเพื่อเป็นการ
ตอบแทนในการทจ่ี ะจงู ใจเจ้าพนักงานในตาแหน่งพนักงานอัยการโดยวธิ อี ันทุจรติ ผิดกฎหมาย เพ่อื ให้
กระทาการในหนา้ ที่โดยการช่วยเหลือในทางคดีให้สัง่ ไม่ฟ้องในคดีท่ี ร. ถูกดาเนนิ คดีอาญา แม้อัยการ
ธ. จะมิได้เป็นเจ้าของสานวนในคดีนั้นและจาเลยยังมิได้ให้เงินกันก็ตาม ก็ถือว่า ธ. เป็นเจ้าพนักงาน
ท่ีจาเลยจะจูงใจให้กระทาการในหน้าท่ีอันเป็นคุณแก่ ร. แล้ว การกระทาของจาเลยจึงครบ
องคป์ ระกอบแหง่ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๓ แล้ว

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๔๔

ฎีกาที่ ๑๕๐๕๕/๒๕๕๘ มีการจับกุม ป. โดยการล่อซ้ือเมทแอมเฟตามีนเม่ือเวลา ๑๘.๒๕
นาฬิกา หลังจากน้ันพันตารวจตรี ธ. ขอให้ศาลออกหมายค้นร้านเสริมสวยพูนศิริบิวต้ีและไปตรวจ
ค้นพบเมทแอมเฟตามีนพร้อมกับอาวุธปืนและกระสุนปืนแล้วจึงนาตัว ป. มาที่กองกากับการ
ตารวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ ซ่ึงย่อมจะต้องใช้เวลาในการดาเนินการตามท่ีกล่าวพอสมควร ในเวลา
ประมาณ ๒๐ นาฬิกา พันตารวจตรี ธ. ได้ควบคุม ป. มายังห้องสืบสวนกองกากับการตารวจภูธร
จงั หวัดศรีสะเกษ เหตุท่ียังไม่ได้นาตัว ป. ไปยังสถานีตารวจภูธรอาเภอเมอื งศรีสะเกษเนื่องจากยังอยู่
ในระหว่างการสืบสวนขยายผล สอดคล้องกับบันทึกการจับกุม ป. ที่ระบุว่า ทาข้ึนเมื่อเวลา ๒๐.๓๐
นาฬิกา ของวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๙ เช่ือว่าในขณะนั้นพันตารวจตรี ธ. ยังไม่ได้นาตัว ป. ส่ง
พนักงานสอบสวน ป. จึงยังอยู่ในการควบคุมของพันตารวจตรี ธ. ต่อมาเวลาประมาณ ๒๑ นาฬิกา
จาเลยมาพบพันตารวจตรี ธ. แจ้งว่าเป็นน้องชาย ป. และเสนอจะให้เงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท ถ้าปล่อย
ตัว ป. พันตารวจตรี ธ. รับปากจะช่วยเหลือ จาเลยนัดจะนาเงินมาให้ในวันรุ่งขึ้นเวลา ๙ นาฬิกา
หลังจากน้ันพันตารวจตรี ธ. ได้รายงานผบู้ ังคับบญั ชาและไปขอลงรายงานประจาวันไว้เป็นหลักฐานท่ี
สถานีตารวจภูธรอาเภอเมืองศรีสะเกษเพื่อวางแผนจับกุมตามสาเนารายงานประจาวันเกย่ี วกับคดี ซึ่ง
ร้อยตารวจตรี ม. เป็นผู้บันทึก ต่อมาวันรุ่งข้ึนเวลาประมาณ ๑๐ นาฬิกา จาเลยถือถุงกระดาษ
สนี ้าตาลมาหาพันตารวจตรี ธ. ที่ห้องสืบสวนกองกากบั การตารวจภูธรจังหวัดศรสี ะเกษ จาเลยแจง้ ว่า
เงนิ ครบ แลว้ ลว้ งเอาธนบัตรจานวน ๔๐๐,๐๐๐ บาท ออกมาจากถงุ พันตารวจตรี ธ. จงึ จับกมุ จาเลย
พร้อมยึดธนบัตรจานวนดงั กลา่ วเป็นของกลาง การกระทาของจาเลยจงึ เป็นความผดิ ฐานให้และขอให้
ทรัพยส์ ินแก่เจ้าพนักงาน เพอ่ื จงู ใจใหก้ ระทาการอันมิชอบด้วยหน้าที่ตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๔ และเงิน
ดังกลา่ วเปน็ ทรพั ยส์ นิ ท่จี าเลยได้ใชใ้ นการกระทาความผดิ จงึ ต้องรบิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓ (๑)

ฎกี าท่ี ๓๐๙๖/๒๕๕๒ ฎ.ส.ล.๗ น.๔๑ จาเลยท้ังสองไปตดิ ต่อกบั ดาบตารวจ ช. เพื่อขอให้
ช่วยเหลือ พ. กับพวก โดยเปล่ียนข้อหาจากเดิมข้อหาร่วมกันมีแมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง

212

เพ่ือจาหน่ายและจาหน่าย เป็นข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
โดยเสนอให้เงิน ๗๐,๐๐๐ บาท ย่อมเป็นการกระทาที่มุ่งประสงค์ขอให้ทรัพย์สินเพื่อจูงใจให้
ดาบตารวจ ช. ไปดาเนินการให้ผู้บังคับบัญชากระทาการอันมิชอบด้วยหน้าท่ี เมื่อพันตารวจตรี ต.
ผู้บังคับบัญชาของดาบตารวจ ช. ทราบความประสงค์ของจาเลยทั้งสองจากดาบตารวจ ช.
และวางแผนจับกุมโดยตอบตกลงและนัดหมายให้นาเงินมอบให้และจับกุมได้พร้อมเงินของกลาง
จึงถือได้วา่ จาเลยทั้งสองได้ขอให้ทรัพย์สินแก่ดาบตารวจ ช. และพันตารวจตรี ต. เพ่ือจูงใจให้กระทา
การอนั มิชอบด้วยหน้าที่อันเปน็ ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๔

โจทก์ฟ้องว่า ดาบตารวจ ช. ได้จับกุม พ. กับพวกในความผิดฐานร่วมกันจาหน่ายยาเสพติด
ใหโ้ ทษในประเภท ๑ และควบคมุ ตวั สง่ พนักงานสอบสวน จาเลยทัง้ สองให้ทรัพยส์ นิ แกด่ าบตารวจ ช.
ซง่ึ เป็นเจ้าพนักงานเพ่ือจงู ใจให้กระทาการปล่อยตวั พ. กับพวกซ่ึงเปน็ การกระทาอันมิชอบดว้ ยหนา้ ท่ี
แต่ในทางพิจารณาได้ความว่า จาเลยทั้งสองกระทาการเพ่ือจูงใจให้ดาบตารวจ ช. ดาเนินการ
ช่วยเหลือ พ. กับพวกโดยเปลี่ยนข้อหาให้เบาลง ก็มิใช่ข้อแตกต่างในสาระสาคัญ ทง้ั น้ีเพราะไม่ว่าจะ
เป็นการให้ทรัพย์สินเพ่ือจูงใจให้ปล่อยตัวหรือเปลี่ยนข้อหาก็ล้วนแต่เป็นการจูงใจให้กระทา การ
อันมิชอบด้วยหน้าที่ซึ่งเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๔ เช่นเดียวกัน เมื่อจาเลยมิได้หลงต่อสู้
ศาลย่อมมีอานาจที่จะลงโทษจาเลยทั้งสองตามที่พิจารณาได้ความนั้นได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๙๒
วรรคสอง
ข้อสังเกต คดีนี้ดำบตำรวจ ช. ไม่มีอำนำจเปลี่ยนข้อหำให้เบำลงได้ เพรำะเป็นอำนำจหน้ำที่ของ
พนกั งำนสอบสวน ทนำยจำเลยจึงต่อสู้วำ่ ไม่ใชอ่ ำนำจหน้ำท่ีของดำบตำรวจ ช. แต่ศำลฎีกำก็วินิจฉัย
ในคดีนี้ว่ำ กำรท่ีจำเลยขอให้ทรัพย์สินแก่ดำบตำรวจ ช. ย่อมเป็นกำรกระทำที่มุ่งประสงค์ขอให้
ทรัพย์สินเพื่อจูงใจให้ดำบตำรวจ ช. ไปดำเนินกำรให้ผู้บังคับบัญชำกระทำกำรอันมิชอบด้วยหน้ำท่ี
จึงถือได้ว่ำจำเลยขอให้ทรัพย์สินแก่ดำบตำรวจ ช. และพันตำรวจตรี ต. เพ่ือจูงใจให้กระทำกำร
อนั มชิ อบด้วยหนำ้ ท่อี ันเปน็ ควำมผิดตำมมำตรำ ๑๔๔

ฎีกาที่ ๘๖๒๓/๒๕๖๑ ฎ.๓๔๒๖ ขณะเกิดเหตจุ าเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ เท่าน้ันที่เป็นผู้เสนอเงิน
สินบนให้แก่เจา้ พนักงานตารวจเพอื่ ใหป้ ล่อยตวั จาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ กับพวก โดยจาเลยท่ี ๑ มิได้เป็น
ผู้ร่วมเสนอเงินสินบนให้แก่เจ้าพนักงานตารวจ จาเลยท่ี ๑ เพิ่งจะข้ามาเก่ียวข้องโดยเป็นผู้นาเงิน
สินบนมามอบให้แก่เจ้าพนักงานตารวจเท่านั้น การกระทาของจาเลยที่ ๑ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการ
ร่วมกระทาความผิดกับจาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ในลักษณะของตัวการกระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา
๑๔๔

ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๔ เป็นความผิดสาเร็จต้งั แตจ่ าเลยที่ ๒ และท่ี ๓ ใหห้ รือขอให้
เงินสินบนแก่เจา้ พนักงานตารวจแล้ว การท่ีจาเลยที่ ๑ นาเงินสินบนมามอบให้แก่เจ้าพนกั งานตารวจ
ในภายหลัง จึงไม่เป็นผู้สนับสนุนในการกระทาความผิดของจาเลยที่ ๒ และท่ี ๓ เพราะการเป็น
ผู้สนับสนุนตาม ป.อ. มาตรา ๘๖ จะต้องเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อ่ืนกระทา
ความผิดกอ่ นหรอื ขณะกระทาความผดิ เทา่ น้นั

213

จาเลยที่ ๑ เป็นผู้นาเงินสินบนมามอบให้แก่เจ้าพนักงานตารวจเพ่ือจูงใจให้เจ้าพนักงาน
ตารวจกระทาการอันมิชอบด้วยหน้าท่ีด้วยการปล่อยตัวจาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ให้พ้นจากการจับกุม
เป็นกรณีที่จาเลยที่ ๑ กระทาความผิดแยกได้ต่างหากจากการกระทาความผิดของจาเลยท่ี ๒ และ
ที่ ๓ การกระทาของจาเลยที่ ๑ จึงเป็นความผดิ ฐานใหส้ ินบนแก่เจ้าพนักงาน

ฎีกาท่ี ๓๙๐๐/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๕ น.๔๑ เมื่อ ว. ถูกผู้เสียหายจับกุม ว. เป็นผู้เสนอจะให้
สินบนแก่ผู้เสยี หาย ผเู้ สยี หายมอบโทรศัพทท์ ี่ถกู ยึดไปคืนแก่ ว. เพ่ือให้ ว. โทรศัพท์ติดต่อไปยงั จาเลย
ให้นาเงินมามอบให้ ว. เพื่อ ว. นาไปมอบให้ผู้เสียหาย การกระทาดังกล่าวจาเลยไม่มีเจตนาจะมีส่วน
รว่ มกระทาความผิดกับ ว. มาตั้งแต่ต้น คงนาเงนิ มาใหต้ ามท่ี ว. โทรศัพท์ไปเท่าน้นั เม่ือเดนิ ทางมาถึง
ก็นาเงินมอบให้ ว. มิได้ส่งมอบให้แก่ผู้เสียหายโดยตรง การกระทาของจาเลยจึงไม่ใช่ตัวการ แต่เป็น
เพียงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อ่ืนกระทาความผิด การกระทาของจาเลยจึงเป็น
เพียงผูส้ นับสนนุ ผู้อ่ืนให้กระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๘๖

ฎีกาที่ ๑๒๖๒/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๑๘ การท่ีเจ้าพนักงานตารวจผู้จับกุมผู้กระทา
ความผิดมหี นา้ ท่ตี ้องเบิกความต่อศาลตามความสัจจริงในระหว่างเป็นพยานในคดที ่ีผู้กระทาความผิด
ถกู ฟ้องนั้น เปน็ หน้าที่อยา่ งเดียวกับประชาชนท่ัวไป หาใชเ่ ปน็ หนา้ ที่โดยตรงอันสืบเนื่องมาจากท่ีเป็น
เจา้ พนักงานผจู้ บั กุมผกู้ ระทาความผิดไม่ หนา้ ท่ีท่ตี อ้ งเบิกความตามความสจั จรงิ จงึ ไมเ่ ป็นการกระทา
การในหน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ แม้จาเลยทั้งสามจะให้และรับว่าจะให้เงินแก่เจ้าพนักงาน
ตารวจเพอ่ื จงู ใจใหเ้ บิกความผดิ ไปจากความจรงิ ก็ไม่เปน็ ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๔

ฎีกาท่ี ๔๒๑๒/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๗ น.๘๖ ส. และสามีมิได้กระทาความผิดเกี่ยวกับ
ยาเสพติดให้โทษ และทางราชการมิได้ยึดทรัพย์สินของ ส. การที่ ส. มอบเงิน ๓๐๕,๐๐๐ บาท แก่
จาเลยสืบเน่ืองมาจากการหลอกลวงของจาเลยด้วยข้อความอันเป็นเท็จ มิใช่ ส. หรือสามีกระทา
ความผิดเก่ียวกับยาเสพติดให้โทษแล้ว ส. มอบเงินแก่จาเลยเพ่ือให้สินบนแก่เจ้าพนักงานเพื่อให้ ส.
หรือสามีพ้นจากความผิด จึงถือไม่ได้ว่า ส. ได้ร่วมกับจาเลยนาสินบนไปให้แก่เจ้าพนักงานเพ่ือจูงใจ
ให้กระทาการอันมิชอบด้วยหน้าท่ี ส. ย่อมเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย มีสิทธิท่ีจะร้องทุกข์ให้
ดาเนนิ คดีแกจ่ าเลยฐานฉอ้ โกงได้
ข้อสังเกต คดีน้ีหำกนำมำแต่งข้อสอบแล้วถำมควำมผิดของ ส. ก็คงต้องตอบว่ำไม่เป็นควำมผิดตำม
มำตรำ ๑๔๔ ถ้ำถำมว่ำจำเลยมีควำมผิดฐำนใด ตำมฎีกำนี้โจทก์ฟ้องในควำมผิดฐำนฉ้อโกง อำจมี
นักศึกษำบำงท่ำนคิดไปว่ำจำเลยมีควำมผิดฐำนเป็นคนกลำงเรียกรับสินบนตำมมำตรำ ๑๔๓ เพรำะ
เคยมีฎีกำตัดสินไว้ว่ำ หลอกว่ำจะเอำเงินไปให้เจ้ำพนักงำน แม้จะตั้งใจหลอกไม่มีเจตนำจะเอำไปให้
เจ้ำพนักงำน คนหลอกก็มีควำมผิดตำมมำตรำ ๑๔๓ ได้ แต่ฎีกำนี้ ข้อเท็จจริงต่ำงกับเรื่องดังกล่ำว
เพรำะเรื่องดังกล่ำวมีกำรกระทำควำมผิดแล้วให้เงินคนกลำงเพ่ือวิ่งเต้นคดี แต่คดีตำมฎีกำน้ีไม่มีกำร
กระทำควำมผดิ เลย ไม่มเี จ้ำพนักงำนที่จะรบั กำรวง่ิ เต้น หำกคำถำมถำมควำมผิดของจำเลยด้วย ตอบ
ตำมฎกี ำวำ่ มคี วำมผิดฐำนฉอ้ โกงนำ่ จะปลอดภัยทสี่ ุด

214

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๔๕

ฎกี าท่ี ๖๕๕๑/๒๕๕๘ ฎ.๓๑๘๘ จาเลยกับพวกเคาะประตูบ้านเรียกผู้เสียหายให้เปิดประตู
และเข้าไปค้นบ้านผู้เสียหายในยามวิกาล แม้จาเลยจะกระทาเพ่ือค้นหาทรัพย์สินของจาเลยและ
จาเลยกบั ผู้เสียหายรจู้ ักกันมากอ่ น แต่จาเลยกบั พวกไม่มีสิทธิตามกฎหมายหรอื มีเหตุอันควรท่ีจะเข้า
ไปค้น จึงเปน็ การเข้าไปในเคหสถานของผู้อ่ืนโดยไมม่ เี หตุอนั สมควร

จาเลยผลักประตูบ้านที่ผู้เสียหายเปิดแง้มเข้าไปโดยแสดงแก่ผู้เสียหายว่า ส. กับพวกอีก ๓
คน ซ่ึงยืนอยหู่ า่ งประตูบ้านเป็นเจ้าพนักงานตารวจและผู้เสียหายมิได้ขัดขืนหรือห้ามปรามมิให้จาเลย
กบั ส. เข้าไป ถือไมไ่ ด้ว่าผู้เสยี หายยินยอมใหจ้ าเลยกับพวกเข้าไป การกระทาของจาเลยกบั พวกย่อม
เป็นความผิดฐานร่วมกันเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควรโดยร่วมกันกระทา
ความผิดตัง้ แตส่ องคนข้นึ ไปในเวลากลางคืน

ผเู้ สียหายกับจาเลยรู้จักกันมาก่อนและผู้เสียหายรู้ว่าจาเลยมิได้เป็นเจ้าพนักงาน วันเกิดเหตุ
จาเลยมิได้แสดงตนเป็นเจ้าพนักงาน เพียงแต่อ้างว่าพวกของจาเลยเป็นเจ้าพนักงาน การกระทาของ
จาเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทาการเป็นเจ้าพนักงานตาม
ป.อ. มาตรา ๑๔๕ วรรคแรก แต่การกระทาของจาเลยเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทา
ความผิดฐานร่วมกนั แสดงตนเป็นเจา้ พนกั งานและกระทาการเปน็ เจ้าพนักงาน

ฎีกาที่ ๗๖๓๑/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๑๒ จาเลยแสดงตนโดยบอกแก่ผู้เสียหายทั้งสาม
ซ่งึ เป็นนักเรียนว่าจาเลยเปน็ สารวัตรนักเรียน และจาเลยได้ตรวจร่างกายผู้เสียหายท้ังสามโดยอ้างว่า
เพ่ือเป็นการพิสูจน์ว่าผู้เสียหายท้ังสามติดยาเสพติดให้โทษและผ่านการร่วมเพศมาก่อนหรือไม่ ทั้งให้
ผู้เสียหายท้ังสามน่ังรถไปกับจาเลยโดยอ้างว่าจะไปส่งโรงเรียนแล้วกลับพาไปกระทาอนาจาร
ซึ่งตาแหน่งสารวัตรนกั เรียนเป็นตาแหน่งของเจ้าพนักงานสังกัดกระทรวงศกึ ษาธิการ การกระทาของ
จาเลยจงึ เป็นการแสดงตนเป็นเจ้าพนกั งานและกระทาการเป็นเจา้ พนักงาน

ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๑๔๗

ฎีกาที่ ๓๗๘/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๑ น.๘๓ จาเลยเป็นรองนายกเทศบาลตาบล ปฏิบัติราชการ
แทนนายกเทศบาลตาบลเห็นชอบให้อนุมัติโครงการถนนอาหารฮาลาลประจาปี และยืมเงินทดรอง
ราชการจากเทศบาล เพ่ือเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการ แต่จาเลยกลับไม่ดาเนินการจัดให้มีโครงการ
ดังกล่าวและไม่ส่งใช้คืนเงินยืมทดรองราชการ จนกระทั่งถูกนายกเทศมนตรีทวงถาม และถูก
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติช้มี ูลความผิด การกระทาของจาเลยจึงเป็น
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๗ และมาตรา ๑๕๑ แต่เม่ือการกระทาของจาเลยเป็นความผิดตาม
ป.อ. มาตรา ๑๔๗ และมาตรา ๑๕๑ ซ่ึงเป็นบทเฉพาะของบทท่ัวไปตามมาตรา ๑๕๗ แล้วย่อม
ไมจ่ าต้องปรับบทความผิดตามมาตรา ๑๕๗ ซ่งึ เป็นบททั่วไปอีก

ฎีกาท่ี ๖๑๑๔/๒๕๖๐ ฎ.๑๐๐๖ จาเลยท่ี ๑ ในฐานะนายกเทศมนตรี ผู้เป็นหัวหน้าฝ่าย

215

บริหารของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นมีอานาจสั่งการใด ๆ ในการตรวจสอบสภาพของ
พสั ดุและการใช้ดุลพนิ ิจสง่ั ใหจ้ าหน่ายพัสดทุ ่ีชารุดหรือเส่ือมสภาพของเทศบาลได้ แม้พัสดุน้ันไม่มีเลข
ทะเบียนครุภัณฑ์หรือเป็นพัสดุที่ไม่มีทะเบียนคุมก็ตาม การดาเนินการใด ๆ ของจาเลยที่ ๑ ท่ี
เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบและจาหน่ายพัสดุของเทศบาลภายใต้ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วย
การพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถ่ิน พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๑๔๙ จึงเป็นการปฏิบัติราชการ
ในฐานะเจ้าพนักงานผู้มีหน้าท่ีจัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ตาม ป.อ. การท่ีจาเลยท่ี ๑ จาหน่าย
ศาลาทรงไทยกลางน้าของเทศบาลให้แก่เอกชนในลักษณะที่ฝ่าฝืนต่อระเบียบ อีกทั้งไม่นาเงิน
ท่ีขายได้ส่งเป็นรายได้ของเทศบาลในทันที จนกระท่ังถูกเจ้าหน้าที่เทศบาลทักท้วงและทวงถาม
ทั้งหลังจากกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติประจาจังหวัดได้ไปตรวจสอบแล้ว
จึงให้จาเลยที่ ๒ ซ่ึงเป็นเลขานุการนาเงินมาคืนให้ในภายหลัง การกระทาของจาเลยที่ ๑ จึงเป็น
ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๗ และมาตรา ๑๕๑

ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๗ และมาตรา ๑๕๑ เป็นบทเฉพาะของบททั่วไปตามมาตรา
๑๕๗ ยอ่ มไมจ่ าตอ้ งปรับบทความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗ ซง่ึ เปน็ บทท่ัวไปอีก

จาเลยท่ี ๑ นายกเทศมนตรีเป็นผู้ติดต่อขายศาลาทรงไทยกลางน้าของเทศบาลให้แก่ น.
โดยจาเลยท่ี ๒ มิได้มีส่วนเก่ียวข้องด้วย การที่จาเลยที่ ๒ เข้าร่วมประชุมวาระอนุมัติร้ือถอนศาลา
ทรงไทยกลางน้า เป็นเวลาหลังจากที่จาเลยท่ี ๑ ติดต่อขายศาลาทรงไทยกลางน้าให้แก่ น. ไปแล้ว
และจาเลยที่ ๒ เป็นผู้รับฝากเงินค่าขายศาลาทรงไทยกลางน้าไว้จาก น. เน่ืองจากจาเลยท่ี ๑
ไม่อยู่ท่ีสานักงาน หลังจากนั้นจาเลยท่ี ๒ เก็บเงินไว้ตลอดมาจนกระทั่งจาเลยท่ี ๑ สั่งให้จาเลย
ท่ี ๒ มอบเงินแก่เจ้าหน้าที่พัสดุ อันเป็นการกระทาตามคาสั่งของจาเลยท่ี ๑ ผู้เป็นผบู้ ังคับบัญชาของ
จาเลยท่ี ๒ พฤติการณ์ของจาเลยท่ี ๒ ยังรับฟังไม่ได้ว่าจาเลยที่ ๒ กระทาด้วยประการใด ๆ อันเป็น
การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการท่ีจาเลยที่ ๑ กระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๗ และ
มาตรา ๑๕๑ ก่อนหรอื ขณะกระทาความผิด จาเลยท่ี ๒ ย่อมมิใช่เป็นผู้สนบั สนนุ การกระทาความผิด
ของจาเลยที่ ๑ อันจะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๗ และมาตรา ๑๕๑ ประกอบมาตรา ๘๖

ฎีกาที่ ๒๑๘๕/๒๕๕๘ แม้ตามหนังสือที่ ศธ ๐๘๐๖/๑๙๑๗ มีใจความสาคัญวา่ กรมสามัญ
ศึกษาได้แจ้งการสนับสนุนให้โรงเรียนรับบริจาคเงินเพ่ือการศึกษาไม่ว่าจะเป็นการบริจาคโดยมี
วัตถุประสงค์หรือไม่มีวัตถุประสงค์ก็ตาม ท้ังนี้ การรับบริจาคนั้นต้องไม่มีเง่ือนไขในการรับนักเรียน
และหนังสือที่ ศธ ๐๘๐๔/๕๑๗๕ กรมสามัญศึกษาซักซ้อมความเข้าใจเรื่องการรับบริจาคเงินและ
สงิ่ ของในชว่ งระยะเวลาที่โรงเรยี นรบั สมคั รนกั เรียนเข้าเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี ๑ และมัธยมศึกษาปี
ท่ี ๔ ระบุว่า การรับบริจาคเงินและสิ่งของควรดาเนินการโดยไม่นามาเป็นเง่ือนไขหรือข้อต่อรอง
ในการรับนักเรียนเข้าเรียน ไม่ว่าจะเป็นการรับนักเรียนกรณีพิเศษ หรือรับนักเรียนในพื้นท่ีบริการ
อันเห็นได้ว่าการรบั บริจาคโดยมีเงื่อนไขในการรบั นกั เรยี นเปน็ ส่งิ ทไ่ี ม่ควรดาเนินการ แตต่ ามหนงั สอื ท่ี
ศธ ๐๘๘๐/๑๕๒๓ ผู้อานวยการสามัญศึกษาจังหวัดสุรินทร์มีหนังสอื ส่ังการไปยังโรงเรียนในสังกัดว่า
ถ้าโรงเรียนได้รับเงินบริจาคโดยมีเง่ือนไขในการรับนักเรียนเข้าเรียนก็ขอให้โรงเรียนคืนเงินจานวน

216

ดังกล่าวแก่ผู้ปกครองทั้งหมด เงินที่มีผู้บริจาคโดยมีเง่ือนไขฝ่าฝืนต่อหนังสือซักซ้อมความเข้าใจของ
กรมสามัญศึกษา จึงเป็นเงินของทางราชการเพราะเหตุว่ายังมีหน้าที่ต้องคืนให้แก่ผู้ปกครองซ่ึงเป็น
ผู้บริจาค และแม้ทางปฏิบัติสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียน ส. เป็นผู้บริจาคเงินดังกล่าวโดยออก
ใบเสร็จรับเงินให้ในนามของตนเองแทนโรงเรียนก็ไม่ทาให้เงินดังกล่าวไม่เป็นเงินของทางราชการ
ซ่ึงอยู่ในหน้าที่จัดการหรือรักษาของจาเลยเพ่ือให้เป็นไปตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการและ
กรมสามัญศึกษา การท่ีจาเลยรับเงินไว้ในฐานะผู้อานวยการโรงเรียน ซ่ึงมีหน้าที่บริหารงานและ
กิจการการศึกษาของโรงเรียนตลอดจนบริหารงานและควบคุมดูแลด้านการเงินทุกประเภทของ
โรงเรียนให้เป็นไปโดยเรียบร้อย การปฏิบัติหน้าที่ของจาเลยในการรับและเก็บรักษาเงินบริจาค
ดังกล่าวจึงเป็นการปฏิบัติราชการตามกฎหมาย การที่จาเลยมิได้นาเงินเก็บรักษาไว้ตามระเบียบ
จนกระทั่งมีการร้องเรยี นและตรวจสอบพบการกระทาของจาเลย จึงเป็นการเบียดบังเงินบริจาคของ
โรงเรียนที่อยู่ในหน้าที่จัดการหรือรักษาของจาเลยไปโดยทุจริตอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา
๑๔๗

ฎีกาที่ ๘๔๑๓/๒๕๕๖ ฎ. ๒๑๙๕ จาเลยแก้ไขต้นขั้วใบเสร็จรับเงินจากข้อความเดิมที่ว่า
ได้รับเงินจากองค์การบริหารส่วนตาบล ท. เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บภาษีบารุงท้องที่จานวน
๑,๘๗๐.๑๘ บาท เป็นข้อความว่าได้รับเงินจากองค์การบริหารส่วนตาบล ค. เป็นค่าธรรมเนียมการ
พนันเพิ่มจานวน ๔๐ บาท ในขณะท่ีจาเลยมีตาแหน่งเป็นเสมียนตราอาเภอ ท. มีหน้าท่ีรับเงินและ
ออกใบเสร็จรบั เงิน ซึ่งหากใบเสร็จรบั เงินที่จาเลยออกไปในหน้าท่ีมีข้อความหรือจานวนเงินผิดพลาด
จาเลยย่อมมีอานาจหน้าท่แี ก้ไขให้ถูกต้องได้ จึงไม่ใช่เป็นการแกไ้ ขขณะที่จาเลยหมดอานาจทจ่ี ะแก้ไข
เอกสารแล้ว การกระทาของจาเลยจงึ เป็นความผิดฐานเป็นเจา้ พนักงานทาเอกสารอนั เป็นเท็จ แต่การ
ทาเอกสารอันเป็นเท็จก็เพ่ือให้สมเหตุผลในการยักยอกทรัพย์ ถือได้ว่าเป็นการกระทาโดยมีเจตนา
เดียวคือเป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์อันเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานยักยอก
ทรพั ย์
ข้อสังเกต ฎีกำนน้ี ่ำคดิ ว่ำยงั มอี ำนำจแกไ้ ขใบเสร็จหรือไม่

ฎีกาท่ี ๒๐๕/๒๕๕๔ ฎ.๑ จาเลยเป็นเจ้าพนักงานตาแหน่งเจ้าพนักงานรับเงินค่าตอบแทน
ของผู้เยาว์ และได้เบียดบังเอาไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว โดยมิได้นาเงินจานวนดังกล่าวไปฝาก
ธนาคารในนามของผู้เยาว์ เป็นการไม่ปฏิบัติตนในฐานะผู้กากับการใช้อานาจปกครองในส่วนที่เป็น
ทรพั ย์สินของผู้เยาว์ตามคาสัง่ ศาล การกระทาของจาเลยซง่ึ เปน็ เจา้ พนักงานมีหน้าทีจ่ ดั การหรือรักษา
ทรัพย์ใดเบียดบังทรัพย์น้ันเป็นของตนโดยทุจริต จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๗ สาเร็จ
ไปแล้ว แม้ต่อมาจาเลยนาเงินไปเปิดบัญชีเงินฝากประเภทออมทรัพย์ให้แก่ผู้เยาว์ที่ธนาคาร ก็เป็น
เพียงการพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิด ไม่อาจทาให้การกระทาที่เป็นความผิดอาญาสาเร็จ
ไปแล้ว กลบั กลายเป็นไมม่ คี วามผดิ ไปได้

ฎีกาท่ี ๒๒๓๖/๒๕๕๑ ฎ.๑๓๙๒ จาเลยมาช่วยราชการท่ีองค์การบริหารส่วนตาบล
ท่าพระ โดยยังไม่ขาดจากตาแหน่งเดิมที่อาเภอหนองเรือ จึงต้องรับเงินเดือนจากต้นสังกัดเดิม กลับ

217

ตั้งฎีกาเบิกเงินเดือนของจาเลย ณ องค์การบริหารส่วนตาบลท่าพระอีก เป็นการเบิกซ้าซ้อนรวม ๗
เดือน แล้วเบียดบังไปเป็นประโยชน์ส่วนตน การกระทาของจาเลยจึงเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าท่ี
รกั ษาทรัพย์แล้วเบยี ดบงั ทรัพย์น้นั เปน็ ของตนโดยทจุ รติ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๗

ฎีกาท่ี ๖๐๑๓/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๖๘ แม้จาเลยเป็นอาจารย์ทาหน้าที่สอนหนังสือ แต่
จาเลยก็ได้รับคาสั่งมอบหมายจาก ส. ซ่ึงเป็นอาจารย์ใหญ่ ให้ทาหน้าที่หัวหน้าเจ้าหน้าท่ีพัสดุของ
โรงเรียน ซ่ึงอาจารย์ใหญ่มีอานาจมอบหมายได้ จาเลยจึงมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการ
หรอื รกั ษาพสั ดุของโรงเรยี นอันเป็นการปฏบิ ัตหิ น้าทรี่ าชการตามที่ไดร้ ับมอบหมายจากผบู้ ังคบั บัญชา
ผ้มู ีอานาจ เมื่อจาเลยเบยี ดบงั โดยนาเคร่ืองพมิ พ์ดีดอันเปน็ ทรพั ยส์ นิ ท่ีจาเลยมีหน้าทจี่ ัดการหรือรักษา
ไปขายโดยทจุ ริต จาเลยจงึ มคี วามผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๗

ฎีกาท่ี ๓๘๑๒–๓๘๑๔/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล. ๕ น. ๒๕ จาเลยเป็นเสมียนตราอาเภอโนนแดง
มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินและบัญชี เงินค่าวัสดุก่อสร้างโครงการฝายประชาอาสา ๑,๓๐๘,๑๐๔.๔๐
บาท เป็นเงินทีอ่ าเภอโนนแดงตอ้ งเบิกจากจงั หวัดนครราชสีมาไปชาระใหแ้ ก่หา้ งฯ ทั้งสอง ก่อนมกี าร
เบิกจ่ายเงนิ จานวนน้ยี ังไม่อยูใ่ นการครอบครองเก็บรักษาใช้สอยของอาเภอโนนแดง การเบิกจ่ายเมื่อ
เกิน ๓๐,๐๐๐ บาท อาเภอโนนแดงนายอาเภอหรือปลัดอาเภอผู้รักษาราชการแทนต้องลงนาม
ในคาส่ังอาเภอโนนแดงแต่งตัง้ คณะกรรมการรับเงนิ ตงั้ แต่ ๒ ถึง ๓ คน จากข้าราชการอาเภอโนนแดง
ไปยื่นเอกสารเบิกและรับเงิน คณะกรรมการท่ีได้รับแต่งต้ังโดยถูกต้องและชอบด้วยกฎระเบียบแล้ว
จึงจะเข้าไปมีอานาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับเงินดังกล่าวได้ตามกฎระเบียบ หากยังไม่มีการแต่งต้ังก็ไม่มี
อานาจหน้าที่ไม่ว่าในทางใด เม่ือจาเลยใช้คาสั่งแต่งต้ังคณะกรรมการรับเงินซึ่งไม่ใช่คาสั่งท่ีผู้ลงชื่อ
ประสงค์ต้ังจาเลยไปดาเนินการ ทั้งบางคาส่ังก็ตั้งกรรมการไมค่ รบตามกฎระเบียบ ไปแสดงตอ่ เสมียน
ตราจังหวัดเพ่ือขอเบิกและรับเงิน ย่อมเป็นการดาเนินการที่ไม่ชอบ จาเลยจึงไม่ได้เก่ียวข้องกับเงิน
ดังกล่าวตามอานาจหน้าที่ของตนไม่ว่าโดยทางปกติทั่วไปหรือการได้รับแต่งตั้ง เม่ือบทบัญญัติ ป.อ.
ท่ีบัญญัติมุ่งเอาผิดต่อบุคคลในฐานะเจ้าพนักงานกระทาความผิด นอกจากผู้น้ันต้องเป็นเจ้าพนักงาน
แล้วยังต้องกระทาความผิดในอานาจหน้าท่ีของตนด้วย หากไม่มีอานาจหน้าที่ในส่ิงที่ได้กระทา
ความผิดลงไปน้ัน ย่อมถือไม่ได้ว่าผู้นั้นกระทาความผิดในฐานะเจ้าพนักงานจึงไม่ต้องรับผิดในฐานะ
เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๗ คงรับผิดฐานะบุคคลธรรมดาท่ัวไปท่ีกระทา
ความผิดกรณีกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดเท่านั้น จาเลยไม่ได้รับมอบทรัพย์โดยชอบแล้วเบียดบัง
เอาไว้โดยทุจริตอันจะเป็นความผิดฐานยักยอก แต่จาเลยได้รับเช็คจาก ก. โดยแสดงคาส่ังแต่งต้ังต่อ
ก. เพื่อให้เข้าใจว่าตนได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการรับเงินโดยชอบ จน ก. หลงเช่ือมอบเช็คให้ไป แล้ว
จาเลยยังแสดงคาสั่งแต่งตั้งดังกล่าวต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารในการนาเช็คไปขอเบิกเงินสดจากธนาคาร
เป็นการหลอกลวงผู้อื่นแล้วได้มาซ่ึงเช็คและเงิน ย่อมเป็นความผิดฐานฉอ้ โกงตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๑

ฎีกาที่ ๗๔๔๑/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล. ๘ น. ๑๐๘ แม้จาเลยซ่ึงเป็นประธานกรรมการบริหาร
องค์การบริหารส่วนตาบล ย. เป็นคณะกรรมการรับ-ส่งเงิน จะไปรับเงินจากธนาคาร แต่ระเบียบ
กระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการ

218

ตรวจเงินขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นฯ ข้อ ๗๐ เป็นหน้าท่ีของหน่วยงานคลังในการจ่ายเงิน
ให้แก่ผู้รับจ้างแรงงาน ดังน้ี เมื่อคณะกรรมการรับ-ส่งเงินรับเงินมาจากธนาคารแล้ว จาเลยจึงไม่มี
หน้าที่โดยตรงเก่ียวกับเงินค่าจ้างแรงงานดังกล่าวอีกต่อไป จาเลยซ่ึงดารงตาแหน่งประธาน
กรรมการบริหารองค์การบริหารส่วนตาบลจึงมีอานาจเพียงอนุมัติฎีกาตามที่หวั หน้าส่วนการคลังของ
องค์การบริหารส่วนตาบลเสนอเท่าน้ัน ส่วนการจ่ายเงินเป็นหน้าที่ของหน่วยงานคลังขององค์การ
บริหารส่วนตาบลเป็นผู้ดาเนินการจ่ายเงินให้แก่ราษฎรท่ีรับจ้างแรงงานเองตามระเบียบดังกล่าว
การที่จาเลยกับพวกซึ่งเป็นกรรมการรับ-ส่งเงินไปเบิกถอนและรับเงินจากธนาคารมาเพ่ือเบิกจ่ายเงิน
ให้แก่ราษฎรผู้รับจ้างแล้ว จาเลยยืนยันขอรับเงินไปจ่ายให้แก่ราษฎรผู้รับจ้างเอง โดยจาเลยลงช่ือ
รับเงินในสมุดคุมการจ่ายเงินไว้ จึงเป็นการกระทานอกเหนืออานาจหน้าที่ของจาเลย อันเป็นการ
ผิดระเบียบกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว จาเลยไม่มีอานาจหน้าที่นาเงินค่าจ้างแรงงานไปจ่ายให้แก่
ราษฎรเอง เมื่อจาเลยรับเงินไปแล้วเบียดบังเอาไปโดยทุจริต ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทาความผิด
ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าทจ่ี ัดการหรือรกั ษาเงิน การกระทาของจาเลยจึงไม่เป็นความผดิ ตาม
ป.อ. มาตรา ๑๔๗ ซ่ึงเป็นบทบัญญัติให้เอาผิดแก่เจ้าพนักงานที่เบียดบังเอาทรัพย์ท่ีตนได้มาหรือถือ
ไวเ้ พื่อจัดการตามหน้าท่ี แตก่ รณคี งเป็นความผิดฐานยักยอกตามมาตรา ๓๕๒

ฎกี าที่ ๘๐๑/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๖๗ ป.อ. มาตรา ๑๔๗ เป็นบทบัญญัตทิ ี่ลงโทษแก่บุคคล
ท่ีกระทาความผิดที่เป็นเจ้าพนักงานและต้องมีหน้าที่ซื้อ ทา จัดการหรือรักษาทรัพย์ แม้จาเลยท่ี ๒
จะเป็นเจ้าพนักงานและเป็นภริยาของจาเลยที่ ๑ ตลอดจนร่วมกับจาเลยท่ี ๑ ในการเบียดบังเงินยืม
ทดรองราชการเปน็ ของตนโดยทจุ รติ แต่จาเลยที่ ๑ เพียงผู้เดยี วท่เี ป็นผ้ขู อเงินยืมทดรองราชการและ
ได้รับอนุญาต จาเลยท่ี ๑ จึงเป็นผู้มีหน้าที่โดยตรงในการจัดการหรือรักษาเงินยืมทดรองราชการ
จาเลยที่ ๒ หาได้มีหน้าท่ีโดยตรงในการจัดการหรือรักษาเงินยืมทดรองราชการ แม้จาเลยที่ ๒
จะร่วมกับจาเลยที่ ๑ กระทาความผิดต่อบทบัญญัตดิ ังกล่าวก็จะลงโทษจาเลยท่ี ๒ อยา่ งเจ้าพนักงาน
ผู้มีหน้าที่ในการจัดการหรือรักษาทรัพย์แล้วเบียดบังทรัพย์เป็นของตนโดยทุจริตไม่ได้ คงลงโทษ
จาเลยท่ี ๒ ได้แตเ่ พยี งในฐานะผู้สนับสนนุ ตาม ป.อ. มาตรา ๘๖ เทา่ นน้ั

219

เจ้าพนักงานใช้อานาจในตาแหน่งโดยมิชอบ

ข้อ ๕๑ คาถาม นายหนึ่งเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย ได้ไปที่สานักงาน
ท่ดี ินเพ่ือขอจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิท์ ี่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๑ ซ่ึงเป็นทรัพย์มรดกมาเปน็ ของตน
นายสองเป็นเจ้าพนกั งานท่ดี ินมหี น้าที่ดาเนินการเรอ่ื งการจดทะเบยี นสิทธแิ ละนิติกรรมเก่ียวกับท่ีดิน
ไม่ดาเนินการให้ แต่แนะนานายหน่ึงว่าจะต้องมีคาส่ังศาลแต่งต้ังผู้จัดการมรดกเสียก่อนจึงจะ
จดทะเบียนโอนที่ดินได้ และรับติดต่อทนายความเพ่ือดาเนินการร้องขอจัดการมรดกให้นายหนึ่ง
โดยนายหน่ึงมอบเงิน ๓,๗๐๐ บาท ใหแ้ กน่ ายสองเพื่อมอบใหแ้ ก่ทนายความ ตอ่ มาทนายความไดย้ ่ืน
คาร้องขอต่อศาลและศาลได้นัดไต่สวน ในวันไต่สวน นายหนึ่งได้เบิกความในช้ันไต่สวนว่า ท่ีดินตาม
โฉนดท่ดี ินเลขท่ี ๑ ซงึ่ เป็นทรพั ย์มรดกมีบ้านซ่งึ เจ้ามรดกปลูกอยู่บนที่ดนิ ดังกล่าว ท้ังที่ความจรงิ บ้าน
ดงั กล่าวเป็นของนายสามซง่ึ ปลูกโดยเจา้ มรดกยนิ ยอม

ให้วินิจฉัยว่า นายหนึ่งมีความผิดฐานเบิกความเท็จหรือไม่ และนายสองมีความผิดฐานเป็น
เจ้าพนักงานใช้อานาจในตาแหน่งโดยมิชอบ และฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ีโดย
มิชอบ หรอื ไม่

คาตอบ ความรับผิดทางอาญาของนายหน่ึง การท่ีนายหน่ึงเบิกความว่า บนที่ดินมรดก
มีบ้านซึ่งเจ้ามรดกปลูก ท้ังที่ความจริงบ้านดังกล่าวเป็นของนายสามซึ่งปลูกโดยเจ้ามรดกยินยอมน้ัน
แม้จะเป็นการเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล แต่ความอันเป็นเท็จนั้นไม่ใช่
ข้อสาคัญในคดี เพราะคดีที่นายหนึ่งย่ืนคาร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกมีประเด็นว่า นายหน่ึงเป็น
ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียที่จะมีสิทธิย่ืนคาร้องขอต่อศาล และมีเหตุที่จะแต่งตั้งผู้จัดการมรดก
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๑๓ หรือไม่ ส่วนข้อท่ีว่าเจ้ามรดกมีทรัพย์
อะไรบ้าง จานวนเท่าใด ไม่ใช่ประเด็นในคดีจัดการมรดก ความเท็จดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อสาคัญ
ในคดี นายหน่ึงจึงไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗
วรรคแรก (ฎีกาที่ ๗๕/๒๕๔๔)

ความรับผิดทางอาญาของนายสอง การท่ีนายสองซ่ึงเป็นเจ้าพนักงานที่ดินมีหน้าที่
ดาเนินการเร่ืองการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเก่ียวกับท่ีดิน ไม่ยอมจดทะเบียนโอนท่ีดินให้
นายหนึ่ง โดยอ้างว่าจะต้องมีคาส่ังศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดกเสียก่อนจึงจะจดทะเบียนโอนที่ดินได้
ไม่เป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบ เพ่ือให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตาม
มาตรา ๑๕๗ เพราะการกระทาท่ีจะเป็นความผิดฐานนี้จะตอ้ งเป็นการละเว้นการปฏบิ ัตหิ น้าที่โดย
มิชอบ การที่นายสองอ้างว่าจะต้องมีคาส่ังศาลแต่งต้ังผู้จัดการมรดกเสียก่อน จึงจะจดทะเบียน
โอนได้ เป็นการไม่ปฏิบัติหน้าท่ีโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบปฏิบัติของทางราชการ
นายสองจึงไมม่ คี วามผดิ ตามมาตรา ๑๕๗

การท่ีนายสองแนะนานายหนึ่งว่า จะต้องมีคาส่ังศาลตั้งผู้จัดการมรดกเสียก่อนจึงจะ
จดทะเบียนโอนท่ีดินได้ และรับติดต่อทนายความเพื่อดาเนินการร้องขอจัดการมรดกให้นายหนึ่ง
โดยนายหนึ่งมอบเงิน ๓,๗๐๐ บาท ให้แก่นายสองเพื่อมอบให้แก่ทนายความน้ัน ไม่เป็นการ

220

ใช้อานาจในตาแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจเพ่ือให้นายหนึ่งมอบทรัพย์สินแก่ตนเองหรือ
ทนายความ เพราะการข่มขืนใจหรือจงู ใจเพื่อใหม้ อบทรัพยส์ ินท่ีจะเปน็ ความผิดตามมาตรา ๑๔๘
ต้องเป็นการใช้อานาจหน้าที่โดยมิชอบ คดีน้ีแม้นายสองจะไม่ยอมจดทะเบียนโอนที่ดินให้
นายหน่ึง โดยอา้ งว่าจะตอ้ งมีคาส่ังศาลแต่งตัง้ ผู้จัดการมรดกเสยี กอ่ นจึงจะจดทะเบียนโอนที่ดนิ ได้
เป็นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบปฏิบัติของทางราชการ หาใช่เป็นการใช้
อานาจในตาแหน่งโดยมิชอบ นายสองจึงไม่มีความผิดตามมาตรา ๑๔๘ (ฎีกาที่ ๒๓๘๙/๒๕๔๗,
ที่ ๕๒๘๘/๒๕๕๓)

ฎีกาท่ี ๗๕/๒๕๔๔ ฎ.๑๗ คดีที่จาเลยย่ืนคาร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ ม. ผู้ตายมี
ประเด็นว่า จาเลยเปน็ ทายาทหรอื ผู้มีส่วนได้เสยี ที่จะมีสิทธิย่ืนคาร้องขอต่อศาลและมีเหตุท่ีจะแต่งตั้ง
ผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๑๓ หรือไม่ กับจาเลยเป็นบุคคล
ต้องห้ามท่ีจะเป็นผู้จัดการมรดกตามมาตรา ๑๗๒๘ หรือไม่ ส่วนข้อที่ว่า ม. มีทรัพย์มรดกอะไรบ้าง
จานวนเท่าใด ไม่ใช่ประเด็นในคดีดังกล่าว การที่จาเลยเบิกความเท็จว่า บ้านเป็นของ ม. จึงมิใช่
ข้อสาคัญในคดี ไมม่ คี วามผิดฐานเบกิ ความเทจ็

ฎีกาที่ ๒๓๘๙/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๐๐ แม้ว่าจาเลยจะเป็นเจ้าพนักงานที่ดินมีหน้าท่ีใน
การดาเนินการเร่ืองการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน แต่การที่จาเลยแนะนาผู้เสียหาย
ว่าต้องดาเนินการร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกก่อนและรับติดต่อทนายความ เพื่อดาเนินการร้องขอ
จดั การมรดกน้ัน หาใชเ่ ป็นการใชอ้ านาจในตาแหน่งโดยมิชอบหรอื เป็นการปฏบิ ัติการหรอื ละเว้นการ
ปฏบิ ัตหิ น้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๘ และมาตรา ๑๕๗ ไม่

ฎีกาที่ ๕๒๘๘/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๗๑ การกระทาที่เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้
อานาจในตาแหน่งโดยมิชอบนั้น ในส่วนของการกระทาจะต้องเป็นเร่ืองท่ีเจ้าพนักงานผู้กระทาได้ใช้
อานาจในตาแหนง่ ท่ีตนดารงอยู่โดยตรง ซึง่ เม่อื พิจารณาจากคาฟ้องแล้วจะเห็นวา่ ขณะเกิดเหตจุ าเลย
เป็นเจ้าพนักงานดารงตาแหน่งเจ้าหน้าท่ีบริหารงานท่ีดินมีหน้าที่เพียงแนะนาประชาชนในเรื่องที่
เก่ียวกับท่ีดิน ดาเนินการเรื่องจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับท่ีดินและปฏิบัติราชการตาม
ประมวลกฎหมายท่ีดินเท่าน้ัน หาได้มีอานาจหน้าท่ีในการขอตั้งผู้จัดการมรดกซ่ึงเป็นเรื่องที่ผู้ร้อง
จะต้องไปดาเนินการเองด้วยไม่ การจูงใจผู้เสียหายเพ่ือให้มอบเงินให้แก่จาเลยในการท่ีจาเลยจะ
ดาเนินการเร่ืองขอตั้งผู้จัดการมรดก จึงเป็นเร่ืองนอกเหนืออานาจหน้าท่ีของจาเลย การกระทาของ
จาเลยจงึ ไม่เปน็ ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อานาจในตาแหนง่ โดยมิชอบ

221

ฎกี าน่าสนใจมาตรา ๑๔๘

ฎีกาที่ ๑๖๖/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๔ เม่ือผลการตรวจค้นตัว ว. ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย
จึงไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่า ว. ได้กระทาความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองต่อไปอีก
จาเลยท่ี ๑ ซ่ึงเป็นเจ้าพนักงานตารวจไม่มีอานาจจับกุม ว. สมควรที่จาเลยท่ี ๑ จะต้องปล่อยตัว ว.
ไป การที่จาเลยที่ ๑ ยังจับกุม ว. จากศาลาท่าน้านาตัวไปไว้ที่สะพานข้ามคลองแสนแสบจึงเป็นการ
ปฏบิ ตั หิ น้าท่ีโดยมชิ อบ

วันเกิดเหตุจาเลยท่ี ๒ ออกปฏิบัติหน้าท่ีคู่กับจาเลยท่ี ๑ โดยใช้รถจักรยานยนต์คันเดียวกับ
จาเลยที่ ๑ และอยู่ด้วยกันกับจาเลยที่ ๑ ตั้งแต่เร่ิมตรวจค้นจับกุมจนกระทั่งปล่อยตัว ว. ขณะท่ี
จาเลยที่ ๑ ขับรถจักรยานยนต์นา ว. ไปท่ีใต้สะพานข้ามคลองแสนแสบโดย ว. น่ังกลาง จาเลยท่ี ๒
น่ังซ้อนท้ายมีลักษณะควบคุมตัว ว. ไม่ให้หลบหนีท้ังระหว่างที่จาเลยที่ ๑ เรียกร้องเงินจนถึงรับเงิน
จาก ว. จาเลยท่ี ๒ ก็อยู่ในบริเวณเดียวกันนั้น เมื่อได้รับเงินแล้วจาเลยท่ี ๒ ก็น่ังรถจักรยานยนต์
ออกไปจากที่เกิดเหตุพร้อมกับจาเลยที่ ๑ พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าจาเลยท่ี ๒ เป็นตัวการร่วม
กระทาความผิดกบั จาเลยท่ี ๑

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๔๙

ฎีกาที่ ๕๑๘๒/๒๕๕๙ จาเลยท่ี ๑ ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม
๒๕๕๑ และต่อมาได้รับคาส่ังให้กลับเข้ารับราชการใหม่โดยจาเลยที่ ๑ ไปรายงานตัวกลับเข้ารับ
ราชการเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๓ ดังน้ัน ระหว่างวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๑ ถึงวันท่ี ๒ สิงหาคม
๒๕๕๓ จาเลยที่ ๑ ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เจ้าพนักงานตารวจ จึงไม่มีอานาจทาการสืบสวนคดีอาญาตาม
ป.วิ.อ. มาตรา ๑๗ รวมท้ังไม่มหี น้าที่จับกุม ป. กบั พวก ซงึ่ กระทาความผดิ ต่อ พ.ร.บ.การพนันฯ ตาม
พ.ร.บ. ตารวจแห่งชาติฯ มาตรา ๙๕ วรรคสาม ท่ีบัญญัติว่า "ในกรณีที่ผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้
ก่อนได้รับคาสั่งใหก้ ลับเขา้ รับราชการหรือได้รบั คาสั่งให้ออกจากราชการด้วยเหตุใด ๆ ท่มี ิใช่เป็นการ
ลงโทษ ใหผ้ ู้น้ันมสี ถานภาพเป็นขา้ ราชการตารวจตลอดระยะเวลาระหวา่ งทีถ่ กู สั่งให้ออกจากราชการ
ไว้ก่อน" น้ัน เป็นบทบัญญัติให้ข้าราชการตารวจผู้ถูกส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนที่ได้รับคาส่ัง
ให้กลับเข้ารับราชการใหม่มีสถานภาพเป็นข้าราชการตารวจตลอดระยะเวลาระหว่างที่ถูกสั่งให้ออก
จากราชการไว้ก่อนเพื่อสิทธิในการรับเงินเดือน และเงินอ่ืน ๆ ตาม พ.ร.บ.ตารวจแห่งชาติฯ มาตรา
๙๕ วรรคสี่ ดังนั้น การท่ีจาเลยท่ี ๑ ได้รับคาส่ังให้กลับเข้ารับราชการใหม่ จึงไม่อาจถือว่าระหว่าง
เวลาที่ถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อนนั้น จาเลยท่ี ๑ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าท่ีเจ้าพนักงานตารวจ
การกระทาของจาเลยท่ี ๑ ที่เรียกรับเงินจาก ป. กับพวก เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๓ และวันท่ี ๘
กรกฎาคม ๒๕๕๓ จึงเป็นการกระทาในขณะจาเลยที่ ๑ ไม่มีหน้าท่ีจับกุมผู้กระทาความผิดตาม
ป.วิ.อ. มาตรา ๑๗ ไม่ครบองค์ประกอบของความผิดซ่ึงผู้กระทาความผิดต้องเป็นเจ้าพนักงาน
ผมู้ หี น้าทต่ี าม ป.อ. มาตรา ๑๔๙ จาเลยที่ ๑ ไม่มีความผิดตามกฎหมายมาตราดังกลา่ ว

222

ฎีกาที่ ๓๕๙/๒๕๕๗ จาเลยท้ังสองตรวจรับงานโครงการก่อสร้างฝายน้าล้นคอนกรีตเสริม
เหล็กบ้านหนองบัวเงิน และมีการวางฎีกาเบิกจ่ายเงินให้แก่ห้างหุ้นส่วนจากัด น. แล้วก่อนท่ีจาเลย
ทั้งสองจะเรียกเงินจากผู้เสียหาย การกระทาของจาเลยทั้งสองจึงมิใช่เป็นการเรียกทรัพย์สินสาหรับ
ตนเองเพื่อกระทาการหรือไม่กระทาการอย่างใดในตาแหน่งไม่ว่าการนัน้ จะชอบหรือมิชอบดว้ ยหนา้ ที่
ตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๙ แต่การท่ีจาเลยท้ังสองตรวจรับงานโครงการกอ่ สร้างฝายนา้ ล้นคอนกรตี เสริม
เหล็กบ้านหนองบัวเงินเรียบร้อยแล้วกลับมาหลอกลวงผู้เสียหายว่ายังไม่ได้ตรวจรับงานดังกล่าวเพ่ือ
เรียกเงินจากผู้เสียหาย ย่อมเป็นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยทุจริตอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗

ฎีกาที่ ๒๒๙๒/๒๕๖๐ ฎ.๓๕๑ ขณะเกิดเหตุกรุงเทพมหานครมีนโยบายให้ทาการสารวจ
ผู้ค้าในจุดผ่อนผันให้ทาการค้าซึ่งจาเลยท่ี ๑ ดารงตาแหน่งเจ้าหน้าท่ีปกครอง ๓ ฝ่ายเทศกิจ
สานักงานเขตไดร้ บั คาส่งั จากหัวหนา้ งานให้เป็นหัวหนา้ ชดุ ปฏิบัติการรับผิดชอบพน้ื ที่ตลาดดงั กล่าวให้
ทาการสารวจ จาเลยที่ ๑ ได้ทาการสารวจและจัดทาบัญชีผู้ค้าเสนอต่อผู้บังคับบัญชา จึงเป็นการ
ปฏิบัติงานในหนา้ ท่ีเป็นเจ้าพนกั งานตาม พ.ร.บ. ระเบียบบรหิ ารราชการกรงุ เทพมหานคร เมอื่ จาเลย
ท่ี ๑ เรียกรับทรัพย์สินสาหรับตนเองและผู้อ่ืนเพื่อเสนอชื่อผู้จ่ายเงินให้ได้รับบัตรประจาตัวผู้ค้า
จาเลยท่ี ๑ จึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกและรับทรัพย์สินโดยมิชอบเพ่ือกระทาการหรือ
ไมก่ ระทาการอยา่ งใดในตาแหนง่ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๙

ฎีกาที่ ๒๑๖๕/๒๕๖๑ จาเลยเป็นเจ้าพนักงานรับเงิน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท จาก ป.
ในตาแหน่งโดยมิชอบด้วยหน้าที่ เพ่ือช่วยเหลือให้ ป. ไม่ต้องถูกย้ายออกจากจังหวัดขอนแก่น
การกระทาของจาเลยจึงครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๙ แม้ภายหลังจาเลย
จะไม่กระทาอย่างใดในตาแหน่งเพ่ือช่วยเหลือ ป. หรือไม่ก็ตาม ก็ถือว่าเป็นความผิดสาเร็จตั้งแต่
ขณะที่จาเลยรับเงินดงั กล่าวแลว้

ฎีกาท่ี ๖๘๖๑/๒๕๖๒ ฎ.๑๒๙๕ การประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้เสียหายท้ังหกที่ อ.
หัวหน้าส่วนการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรมเสนอต่อจาเลยท่ี ๒ ก่อนจาเลยท่ี ๒ นาเสนอต่อให้แก่
จาเลยที่ ๑ ตาม พ.ร.บ. สภาตาบลและองค์การบริหารส่วนตาบลฯ เพื่อเสนอให้จาเลยท่ี ๑ อนุมัติ
การต่อสัญญาจ้างและความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบให้ต่อสัญญาของจาเลยที่ ๒ ย่อมมีผลต่อการ
พิจารณาของจาเลยท่ี ๑ ถ้อยคาที่จาเลยที่ ๒ กล่าวแก่ผู้เสียหายท้ังหก แม้ไม่ได้กล่าวคาว่าตนจะทา
อย่างไรในหน้าที่ส่วนที่เก่ียวข้องกับการต่อสัญญาจ้าง แต่ก็แปลความเป็นอ่ืนไม่ได้นอกจากทาให้
ผู้เสียหายท้ังหกเข้าใจได้อยู่ในตัวว่าหากผู้เสียหายทั้งหกยอมตามท่ีจาเลยที่ ๒ เรียกร้องเงินเป็น
ค่าตอบแทนการต่อสัญญาจ้างให้แก่จาเลยท่ี ๑ แล้วจาเลยท่ี ๒ ย่อมต้องทาความเห็นเสนอให้จาเลย
ท่ี ๑ ทาสัญญาจ้างผู้เสียหายทั้งหก ในทางกลับกันหากผู้เสียหายทั้งหกไม่ยินยอมจาเลยที่ ๒ ก็จะทา
ความเห็นไปในทางไม่เห็นชอบการต่อสัญญาจ้างซ่ึงการพิจารณาทาความเห็นในตาแหน่งปลัด
องค์การบริหารส่วนตาบลของจาเลยที่ ๒ เพื่อเสนอไปยังจาเลยที่ ๑ เป็นการกระทาการในตาแหน่ง
หน้าที่ของจาเลยที่ ๒ อันเป็นข้ันตอนหนึ่งของกระบวนการอนุมัติต่อสัญญาจ้างแก่ผู้เสียหายท้ังหก
ก่อนข้ันตอนสุดท้าย ซึ่งเป็นหน้าท่ีจาเลยท่ี ๑ พิจารณาอนุติ การที่จาเลยท่ี ๒ กล่าวถ้อยคาต่อ

223

ผเู้ สียหายทั้งหกว่าผู้เสียหายทงั้ หกจะได้รับการต่อสญั ญาจ้าง ผเู้ สียหายต้องนาเงินไปจ่ายให้แก่จาเลย
ที่ ๑ หากไม่จ่ายเงนิ จาเลยที่ ๑ จะไม่ต่อสัญญาให้ เป็นการกระทาอันเป็นการเรียกเงินสาหรับจาเลย
ท่ี ๑ โดยมชิ อบเพ่ือกระทาการหรือไม่กระทาการอยา่ งใดในตาแหน่งหน้าที่ตนอยใู่ นตัว อันมีลักษณะ
เป็นการแบ่งหน้าที่กันทาในขั้นตอนส่วนท่ีอยู่ในอานาจหน้าท่ีตนอย่างมีเจตนาร่วมกันกับจาเลยที่ ๑
ผู้มีอานาจอนุมัติและลงนามในสัญญาจ้างในข้ันตอนสุดท้าย การกระทาของจาเลยที่ ๒ จึงเป็น
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๙

การกระทาของจาเลยที่ ๒ เป็นความผิดตามมาตรา ๑๔๙ ซ่ึงเป็นบทเฉพาะแล้ว ไม่จาต้อง
ปรับบทลงโทษตามมาตรา ๑๕๗ ซ่งึ เป็นบทท่ัวไปอกี

ฎีกาท่ี ๒๔๘๘/๒๕๕๘ สานักงานตารวจแห่งชาติแต่งต้ังจาเลยให้เป็นหัวหน้าศูนย์ป้องกัน
และปราบปรามการกระทาความผิดเก่ียวกับน้ามันเชื้อเพลิงในโครงการน้ามันสีเขียว โดยจาเลย
มีหน้าท่ีจัดเจ้าพนักงานตารวจกองตารวจน้าไปตรวจสอบว่า เรือบรรทุกน้ามันเชื้อเพลิงได้เดินทาง
ไปถึงน่านน้าเขตต่อเน่ืองของราชอาณาจักรด้วยความเรียบรอ้ ย โดยมีน้ามันเชอื้ เพลิงครบตามจานวน
ท่ีได้รับมาจากคลังน้ามันหรือไม่ เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วก็จะลงลายมือชื่อในใบกากับการขนส่ง
น้ามันดีเซล หลังจากน้ันเรือดังกล่าวจึงสามารถถ่ายน้ามันเช้ือเพลิงที่ขนส่งได้ การตรวจสอบการ
ขนส่งน้ามันดีเซลในโครงการน้ามันสีเขียวเพ่ือป้องกันมิให้มีการลักลอบจาหน่ายในราชอาณาจักร
หรือนาน้ามันดงั กลา่ วกลับเขา้ มาจาหนา่ ยในราชอาณาจักร จงึ เปน็ การปฏิบัตหิ นา้ ทร่ี าชการอย่างหนึ่ง
ในงานปราบปรามการกระทาความผิด ดังนั้น การท่ีเจ้าพนักงานตารวจน้าเดินทางไปกับเรือบรรทุก
น้ามันไปจนถึงน่านน้าเขตต่อเน่ืองของราชอาณาจักรเพื่อปฏิบัติหน้าท่ีดังกล่าว จึงเป็นการปฏิบัติ
หน้าที่ราชการ จาเลยย่อมไม่มีสิทธิรับเงินค่าใช้จ่ายใดๆ จากผู้ประกอบการจาหน่ายน้ามันดีเซล
การท่ีจาเลยรับเงินแล้วสั่งการให้เจา้ พนักงานตารวจกองตารวจน้าเดินทางไปกับเรือบรรทุกนา้ มันเพ่ือ
ปฏิบัติหน้าท่ีดังกล่าว แม้จะนาเงินมาจ่ายเป็นค่าเบ้ียเลี้ยงพิเศษให้แก่เจ้าพนักงานตารวจกองตารวจ
น้าท่ีเดินทางไปปฏิบัติหน้าท่ีในเรือบรรทุกน้ามันก็ตาม ก็เป็นการรับทรัพย์สินเพื่อกระทาการหรือ
ไม่กระทาการอย่างใดในตาแหน่ง ไม่ว่าการน้ันจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ การกระทาของจาเลย
จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อ่ืนใดสาหรับ
ตนเองหรือผอู้ ่ืนโดยมิชอบ เพื่อกระทาการหรอื ไม่กระทาการอย่างใดในตาแหน่ง ไม่ว่าการน้ันจะชอบ
หรือมิชอบด้วยหน้าที่ตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๙ เม่ือการกระทาของจาเลยเป็นความผิดตามมาตรา
๑๔๙ ซ่ึงเป็นบทเฉพาะแล้ว กรณีไม่จาเป็นต้องปรับบทความผิดตามมาตรา ๑๕๗ ท่ีเป็นบททั่วไปอีก

ฎีกาที่ ๑๓๖๕๐/๒๕๕๘ แม้ก่อนบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้าทางานในเทศบาลตาบลหนอง
ปล่อง จาเลยจะมิได้เกี่ยวข้องหรือมีอานาจหน้าที่ในการสอบคัดเลือก ควบคุมการสอบ
การตรวจข้อสอบ และการให้คะแนนก็ตาม แต่เมื่อจาเลยมีอานาจออกคาสั่งเก่ียวกับการบรรจุและ
แต่งต้ังพนักงานเทศบาลหรือการอ่ืนใดที่เก่ียวกบั การบริหารงานบคุ คลของเทศบาล ทั้งน้ีตาม พ.ร.บ.
ระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นฯ มาตรา ๒๓ วรรคท้าย ประกอบมาตรา ๑๕ การดาเนินการ
ดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นส่วนหนึ่งของการบรรจุและแต่งต้ังพนักงานเทศบาลซึ่งเป็นอานาจหน้าท่ีของ

224

จาเลย เมื่อจาเลยเรียกเงินและรับเงินจานวน ๓๓๐,๐๐๐ บาท จาก ป. เพื่อช่วยเหลือให้ น. บุตร ป.
เข้าทางานเป็นพนักงานเทศบาลตาบลหนองปล่อง จาเลยจึงเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าท่ีออกคาส่ัง
เกย่ี วกับการบรรจุและแต่งตัง้ พนักงานเทศบาลตาบลหนองปล่องเรียกและรบั ทรัพย์สินสาหรับตนเอง
โดยมิชอบแล้วกระทาการในตาแหน่งเพ่ือช่วยเหลือ น. ให้เข้าทางานเป็นพนักงานเทศบาลตาบล
หนองปลอ่ ง อนั เป็นการกระทาอันมชิ อบด้วยหน้าท่ี ครบองค์ประกอบของความผิดตาม ป.อ. มาตรา
๑๔๙ แล้ว

ฎีกาท่ี ๑๕๒๔/๒๕๕๑ ฎ.๑๖๔ จาเลยเป็นเจ้าพนักงานตารวจมีหน้าท่ีสืบสวนจับกุม
ผู้กระทาความผิดอาญา ได้พบเห็น ส. กับพวกเล่นการพนันชนไก่อันเป็นความผิดอาญา จาเลย
มีหน้าท่ีต้องทาการจับกุมผู้กระทาความผิด แต่กลับไม่ทาการจับกุมและเรียกรับเงินจานวน
๑,๕๐๐ บาท จาก ส. เพื่อจะไม่จับกุมตามหน้าที่ การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.อ.
มาตรา ๑๔๙

ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๑๕๑

ฎีกาท่ี ๓๗๘/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๑ น.๘๓ จาเลยเป็นรองนายกเทศบาลตาบล ปฏิบัติราชการ
แทนนายกเทศบาลตาบลเห็นชอบให้อนุมัติโครงการถนนอาหารฮาลาลประจาปี และยืมเงินทดรอง
ราชการจากเทศบาล เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการ แต่จาเลยกลับไม่ดาเนินการจัดให้มีโครงการ
ดังกล่าวและไม่ส่งใช้คืนเงินยืมทดรองราชการ จนกระท่ังถูกนายกเทศมนตรีทวงถาม และถูก
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติชี้มูลความผิด การกระทาของจาเลยจึงเป็น
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๗ และมาตรา ๑๕๑ แต่เม่ือการกระทาของจาเลยเป็นความผิดตาม
ป.อ. มาตรา ๑๔๗ และมาตรา ๑๕๑ ซึ่งเป็นบทเฉพาะของบทท่ัวไปตามมาตรา ๑๕๗ แล้วย่อม
ไม่จาต้องปรบั บทความผดิ ตามมาตรา ๑๕๗ ซึง่ เป็นบทท่วั ไปอีก

ฎีกาที่ ๑๖๙๗/๒๕๖๐ ฎ.๒๙๗ จาเลยซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีเจตนาจัดสรร
งบประมาณมาซื้อรถยนต์ตรวจการณ์ไว้ใช้เอง สมรู้ร่วมคิดกับ ท. อาจารย์ใหญ่โรงเรียน สังกัดกรม
สามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานและเป็นเจ้าหน้าท่ีของรัฐตาม พ.ร.บ.
ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ จัดสรรงบประมาณ
ให้โรงเรียน โดยโรงเรียนไม่มีความจาเป็นต้องใช้รถยนต์ โดยมีเจตนาว่าเม่ือมีการจัดซื้อรถยนต์แล้ว
ท. ต้องมอบรถยนต์ให้จาเลยไว้ใช้ประโยชน์ โดยไม่ตดิ ตราเครือ่ งหมายประจาส่วนราชการและอักษร
ช่ือเต็มของโรงเรียนด้านนอกรถยนต์ทั้งสองข้าง แล้วทาใบยืมรถยนต์ของโรงเรียนให้จาเลยไปใช้
หลังจากจัดซื้อได้ไม่นาน หลังจากนั้น ส. ภริยาจาเลยนาไปขับไปทางาน ขับไปทาธุระส่วนตัวโดย
ไม่สง่ รถยนตค์ นื จนกระทั่ง พ. นานกั เรียนโรงเรยี นไปตดิ ตามทวงรถยนต์คนื และไปแจ้งความร้องทกุ ข์
ให้ดาเนินคดแี ก่จาเลย จาเลยจงึ ยินยอมคนื รถยนต์ใหโ้ รงเรียน ดงั นี้ รับฟังได้วา่ จาเลยสนับสนุนให้ ท.
ไม่ปฏิบัติตามระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการ พ.ศ. ๒๕๒๓ ระเบียบกรมสามัญศึกษา

225

ว่าด้วยหลักเกณฑ์การใช้รถส่วนกลางสาหรับหน่วยงานทางการศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา พ.ศ.
๒๕๒๙ ข้อ ๖ และข้อ ๙ และระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๑๔๖
และข้อ ๑๔๗ และสนับสนุนให้ ท. จัดทาใบยืมอันเป็นเท็จ เพ่ือให้เห็นว่าจาเลยขอยืมรถยนตไ์ ปใช้ใน
ราชการจริง จาเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๑ ประกอบมาตรา ๘๖ มาตรา ๑๕๗ ประกอบ
มาตรา ๘๖

ฎีกาที่ ๕๖๕/๒๕๕๘ จาเลยทราบดีว่านาง ล. ตกลงขายท่ีดินแก่นาย พ. บุตรเขยจาเลย
ในราคาเพียง ๒๒๐,๐๐๐ บาท แต่มีการปลอมแปลงลายมือช่ือนาง ล. ในใบเสนอราคาขายท่ีดิน
ดังกล่าวเป็นเงิน ๕๙๔,๘๐๐ บาท แล้วนาไปยื่นต่อองค์การบริหารส่วนตาบลตูมใต้ พร้อมกับ
ใบเสนอราคาของเจ้าของท่ีดินอีกสองแปลงซ่ึงเสนอราคาสูงกว่า และเมื่อคณะกรรมการจัดซื้ อ
เห็นสมควรซื้อท่ีดินของนาง ล. ที่เสนอราคาต่าสุด จาเลยในฐานะนายกองค์การบริหารส่วนตาบล
ก็ได้อนุมัติให้จัดซ้ือท่ีดินดังกล่าวในราคาภายหลังการต่อรองแล้ว ๕๙๔,๐๐๐ บาท สูงกว่าราคาที่
นาง ล. ต้องการขาย ๓๗๔,๐๐๐ บาท และเมื่อหักเงินที่จาเลยต้องนาไปชาระเป็นค่าภาษี ๕,๙๔๐
บาท คงมีส่วนต่างท่ีเป็นประโยชน์แก่บุตรเขยของจาเลย ๓๖๘,๐๖๐ บาท การกระทาของจาเลย
จึงเป็นการเอื้อประโยชน์แก่บุตรเขยของจาเลย อันถือได้ว่าเป็นการแสวงประโยชน์โดยมิชอบ
เป็นเหตุให้องค์การบริหารส่วนตาบลตูมใต้ได้รับความเสียหายต้องซ้ือที่ดินในราคาสูงเกินกว่า
ที่ควรจะเป็น จาเลยจึงมีความผิดฐานเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซ้ือทรัพย์ ใช้อานาจในตาแหน่งโดยทุจริต
อันเป็นการเสยี หายแกร่ ฐั

ฎีกาที่ ๑๐๒๓๗/๒๕๕๘ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๔๗ จาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ
ร่วมกันใช้อานาจในตาแหน่งโดยทุจริตหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบและ
โดยทุจริต อนุมัติและดาเนินการเก่ียวกับการจัดซ้ือจัดจ้างโครงการต่าง ๆ ของเทศบาลตาบลสว่าง
แดนดิน ๑๖ โครงการ โดยจาเลยที่ ๑ และท่ี ๒ ได้กระทาการโดยใช้อุบายหลอกลวงหรือกระทาการ
โดยวิธีอื่นใดเป็นเหตุให้ผู้อื่นไม่มีโอกาสเข้าเสนอราคาอย่างเป็นธรรมอันทาให้ เกิดความเสียหายแก่
เทศบาล ราชการ เจ้าหน้าท่ีเทศบาล บริษัทห้างร้านท่ีมีอาชีพรับเหมาก่อสร้างทั่วไปหรือบุคคลอ่ืน
และประชาชน ว่าจาเลยท่ี ๓ และท่ี ๔ ลงลายมือชื่อรับบันทึกรับส่งประกาศสอบราคา บันทึกรับ
เอกสารสอบราคาและบักทกึ การย่นื ซองสอบราคาซึ่งเปน็ เอกสารทเี่ ก่ียวข้องกบั โครงการทจุ ริตท้ัง ๑๖
โครงการโดยที่ไม่มีการปิดประกาศเผยแพร่ไว้โดยเปิดเผย ณ ท่ีทาการสานักงานเทศบาล หรือให้มี
การประชาสัมพันธ์การสอบราคาให้ประชาชนท่ัวไปทราบ ทั้งเจ้าหน้าที่ของเทศบาลบางส่วน
ก็ไม่ทราบ ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างท่ัวไปไม่มีโอกาสเข้าแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม มีแต่
จาเลยท่ี ๓ และที่ ๔ กับจาเลยอ่ืนเท่าน้ันที่รู้และยื่นซองเสนอราคา เม่ือจาเลยที่ ๓ และที่ ๔ มีส่วน
รู้เห็นกับการกระทาความผิดของจาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ จาเลยท่ี ๓ และที่ ๔ จึงร่วมกระทาความผิด
กบั จาเลยที่ ๑ และที่ ๒

แม้ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๑, ๑๕๗, ๑๖๒ และ พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการ
เสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐฯ กฎหมายมุ่งประสงค์เอาผิดกับผู้กระทาความผิดท่ีเป็นเจ้าพนักงาน

226

แต่เอกชนก็ร่วมกระทาความผิดกับเจ้าพนักงานได้โดยต้องลงโทษเอกชนผู้ร่วมกระทาความผิดฐาน
เป็นผู้สนับสนุน จาเลยที่ ๓ และที่ ๔ เป็นเอกชน ร่วมกระทาความผิดกับเจ้าพนักงานคือจาเลยท่ี ๑
และที่ ๒ จาเลยท่ี ๓ และที่ ๔ จึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทาความผิดของเจ้าพนักงาน

ฎีกาที่ ๑๐๗๔๒/๒๕๕๙ การทผ่ี ู้ว่าราชการจงั หวดั อุดรธานีอาศัยอานาจตามความในมาตรา
๔๕ วรรคท้าย แห่ง พ.ร.บ. เทศบาลฯ ซึ่งแก้ไขเพ่มิ เติมโดย พ.ร.บ. เทศบาล (ฉบับท่ี ๘) พ.ศ. ๒๕๑๙
แต่งตั้งคณะเทศมนตรีนครอุดรธานีชั่วคราว มีจาเลยท่ี ๑ เป็นนายกเทศมนตรี กับพวกอีก ๔ คน
เป็นเทศมนตรี เท่าจานวนของคณะเทศมนตรีที่ต้องออกจากตาแหน่งท้ังคณะตามคาวินิจฉัยของสภา
เทศบาล ตามคาส่ังจังหวัดอุดรธานี ลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๔๒ น้ัน เป็นกรณีแต่งต้ังคณะเทศมนตรี
ช่ัวคราวโดยชอบด้วยบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว และต่อมาวันท่ี ๘ มีนาคม ๒๕๔๒ ผู้ว่าราชการ
จังหวดั อดุ รธานปี ระกาศแตง่ ตั้งคณะเทศมนตรีนครอดุ รธานขี ้นึ ใหม่ มีจาเลยท่ี ๑ เป็นนายกเทศมนตรี
และเทศมนตรชี ั่วคราวชุดเดิมเป็นเทศมนตรี ตามประกาศจงั หวัดอุดรธานี ลงวันที่ ๘ มนี าคม ๒๕๔๒
แต่เมื่อวันท่ี ๑๘ มีนาคม ๒๕๔๒ ศาลช้ันต้นมีคาสั่งในคดีแพ่งหมายเลขดาที่ ๑๑๕๑/๒๕๔๒
ให้เพิกถอนประกาศแต่งต้ังคณะเทศมนตรีนครอุดรธานีดังกล่าว ซึ่งระหว่างนั้น พ.ร.บ. เทศบาล
(ฉบับท่ี ๑๐) พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลใช้บังคับต้ังแต่วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๔๒ แล้ว โดยมีมาตรา ๓ และ
มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๕ แห่ง พ.ร.บ. เทศบาลฯ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. เทศบาล
(ฉบับท่ี ๘) พ.ศ. ๒๕๑๙ ที่กาหนดว่า ในกรณีท่ีคณะเทศมนตรีต้องออกจากตาแหน่งทั้งคณะ ให้ผู้ว่า
ราชการจังหวัดแต่งต้ังผู้ที่เห็นสมควรเท่าจานวนของคณะเทศมนตรีที่ต้องออกจากตาแหน่งให้เป็น
คณะเทศมนตรีชั่วคราวเพื่อดาเนินกิจการของเทศบาลไปจนกว่าจะได้แต่งต้ังคณะเทศมนตรีขึ้นใหม่
และแก้ไขใหม่ตามมาตรา ๔๕ แห่ง พ.ร.บ. เทศบาล (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๕๔๒ ว่า "ในระหว่างท่ีไม่มี
คณะเทศมนตรี ให้ปลัดเทศบาลปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีเป็นการช่ัวคราวเท่าที่จาเป็นได้จนกว่า
คณะเทศมนตรีท่ีแต่งตั้งข้ึนใหม่จะเข้ารับหน้าท่ี" ก็ตาม แต่กฎหมายฉบับใหม่น้ีมิได้กล่าวถึงสถานะ
ของคณะเทศมนตรีชั่วคราวซึ่งแต่งตั้งขึ้นตามกฎหมายฉบับเดิมว่าจะให้ดารงอยู่ในสถานะใด เช่นน้ี
คณะเทศมนตรีนครอุดรธานีชั่วคราวซ่ึงแต่งต้ังข้ึนโดยชอบด้วยกฎหมายฉบับเดิม จึงยังคงมีสถานะ
เป็นคณะเทศมนตรีชั่วคราว รวมท้ังมีอานาจและหน้าที่ดาเนินกิจการของเทศบาลนครอุดรธานีไป
จนกว่าจะมีการส่งมอบงานในหน้าท่ีให้แก่ปลัดเทศบาลนครอุดรธานีปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรี
นครอุดรธานีเป็นการช่ัวคราวต่อไปจนกว่าคณะเทศมนตรีนครอุดรธานีที่แต่งต้ังขึ้นใหม่จะเข้ารับ
หน้าที่ เม่ือขณะเกดิ เหตุจาเลยท่ี ๑ ยังไม่ไดส้ ่งมอบงานในหน้าท่ีใหแ้ ก่ปลัดเทศบาลนครอุดรธานี และ
ได้ใช้อานาจในตาแหน่งหน้าท่ีนายกเทศมนตรีนครอุดรธานีในการบริหารงานของเทศบาลนคร
อุดรธานีต่อไป ดังนั้น การกระทาของจาเลยที่ ๑ ตามท่ีโจทก์อ้างในฟ้อง จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่
ในฐานะเจ้าพนักงานตามกฎหมาย การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. รับเรื่องร้องเรียน แต่งต้ัง
คณะอนุกรรมการไต่สวน ลงมติว่าจาเลยท่ี ๑ มีมูลความผิดอาญา กับส่งรายงานเอกสารและ
ความเห็นไปยังอัยการสูงสุดเพ่ือฟ้องคดีน้ี เป็นการกระทาที่มีอานาจกระทาได้ ถือว่ามีการสอบสวน
แล้ว พนักงานอัยการย่อมอ้างรายงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดังกล่าวเป็นสานวนการสอบสวน

227

เพอ่ื ยนื่ ฟ้องจาเลยท่ี ๑ ได้ โจทกจ์ งึ มีอานาจฟ้อง
เมื่อจาเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าท่ีเป็นกรรมการจัดซ้ือท่ีดินร่วมกันลงนาม

ในรายงานการประชุมและบันทึกผลการจดั ซอื้ ทดี่ ินว่ามีการประชุมและตอ่ รองราคาทีด่ ินซ่ึงความจริง
ไม่ได้มีการประชุมและต่อรองราคาที่ดินแต่อย่างใด ส่วนจาเลยที่ ๑ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติงาน
ในตาแหน่งนายกเทศมนตรีนครอุดรธานี มีหน้าท่ีรับเอกสารลงนามรับรองรายงานการประชุมและ
บันทึกผลการจัดซ้ือท่ีดินที่จาเลยที่ ๒ ถึงท่ี ๔ เสนอให้พิจารณาอนุมัติจัดซื้อซึ่งตนมีส่วนรู้เห็น
เก่ียวข้องกับการจัดทาเอกสารดังกล่าวด้วย การท่ีจาเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ลงนามรับรองว่าได้กระทาการ
ดังกล่าวเป็นการร่วมกันรับรองเอกสารเท็จและรับรองเป็นหลักฐานซ่ึงข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น
มงุ่ พิสูจน์ความจริงอันเปน็ ความเท็จ จาเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๖ จึงมคี วามผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๖๒ (๑) (๔)
ประกอบมาตรา ๘๓

จาเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่เป็นกรรมการจัดซ้ือท่ีดินให้แก่เทศบาลนคร
อุดรธานี ส่วนจาเลยท่ี ๑ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติงานในฐานะนายกเทศมนตรีนครอุดรธานีและเป็น
ผู้แต่งตั้งจาเลยท่ี ๒ ถึงท่ี ๖ เป็นคณะกรรมการจัดซื้อที่ดิน แม้จาเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นกรรมการจัดซื้อ
ท่ีดิน แต่มีหน้าท่ีจัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ มิให้เป็นการเสียหายแก่รัฐและเทศบาลนครอุดรธานี
การท่ีจาเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ร่วมกันจัดซ้ือที่ดินจาก ท. ในราคาไร่ละ ๒๘๖,๐๐๐ บาท ท้ัง ๆ ท่ีท่ีดินมี
ราคาเพียงไร่ละ ๕๐,๐๐๐ บาท เท่าน้ัน ทาให้เทศบาลนครอุดรธานีเสียหายต้องซ้ือที่ดินในราคาสูง
กวา่ ราคาทแ่ี ท้จริงมาก และจาเลยท่ี ๑ ไม่ตรวจสอบการจัดซอื้ ท่ีดินใหถ้ ูกต้องตามระเบียบ ทง้ั ยงั ออก
เชค็ ส่ังจ่ายเงินผิดระเบยี บเพราะไม่จ่ายให้แก่เจ้าหน้ีหรือคู่สัญญาโดยตรงหรือในนามของผู้มอบฉนั ทะ
แต่กลับไปจ่ายให้แก่จาเลยที่ ๗ ผู้รบั มอบอานาจ ดังนี้ พฤติการณ์บ่งช้ีชัดแจ้งว่าเปน็ การร่วมรเู้ ห็นกัน
มาแต่ต้นในการจัดซ้ือท่ีดิน เป็นการใช้อานาจในตาแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐและ
เทศบาลนครอุดรธานีแล้ว จาเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ จึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๑ ประกอบมาตรา
๘๓

ฎีกาท่ี ๖๒๐๔/๒๕๖๐ เจ้าพนักงานผู้กระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๑ ต้องมีหน้าที่
ซ้ือ ทา จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ และใช้อานาจในตาแหน่งแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้
โดยชอบด้วยกฎหมายจากตัวทรัพย์นั้น โดยไม่ได้เอาตัวทรัพย์ไป ไม่ใช่เพียงแต่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง
กบั ทรัพยน์ ั้นเท่าน้นั

ฎีกาท่ี ๖๗๙๒/๒๕๖๑ ฎ.๒๓๖๒ จาเลยเป็นนายกเทศมนตรี มีอานาจหน้าท่ีกาหนด
นโยบายส่ังอนุญาตและอนุมัติเกี่ยวกับราชการของเทศบาลและมีอานาจส่ังอนุญาตให้ซื้อหรือจ้าง
ทุกวิธีท่ีใช้จ่ายจากเงินรายได้ไม่จากัดวงเงินตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของ
หน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นฯ ส่วนการดาเนินการจัดซ้ือจัดจ้างทรายพิพาทเป็นหน้าที่ของ
งานพัสดุและทรัพย์สิน และทรายพิพาทท่ีจัดซื้อมาได้อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของฝ่ายโยธา และ
การจัดการดูแลรับผิดชอบรถยนต์ของเทศบาลเป็นหน้าที่ของงานป้องกันและรักษาความสงบ
เรียบร้อยของเทศบาล จาเลยมีส่วนเก่ียวข้องเพียงเป็นผู้อนุมัติเกี่ยวกับงานราชการของเทศบาล

228

ไม่ได้มีหน้าท่ีโดยตรงในการซ้ือ ทา จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ จาเลยจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ.
มาตรา ๑๔๗ และมาตรา ๑๕๑

จาเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายอาศัยอานาจในตาแหน่งนายกเทศมนตรีสงั่ การให้ใช้
รถยนต์ของเทศบาลขนทรายพิพาทไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่ถูกต้องตามระเบียบกระทรวง
มหาดไทยว่าดว้ ยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถ่นิ ฯ เปน็ การปฏบิ ตั หิ นา้ ท่โี ดยมิชอบ
เพื่อใหเ้ กดิ ความเสียหายแกเ่ ทศบาล เป็นความผดิ ตามมาตรา ๑๕๗

ฎีกาที่ ๒๔๐๙/๒๕๖๐ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๙ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๑ ฐานเป็น
เจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการทรัพย์ใด ๆ ใช้อานาจในตาแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ
องค์ประกอบภายใน คือ เจตนาทุจริต หมายถึง เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วย
กฎหมายสาหรบั ตนเองหรอื ผู้อนื่

โครงการอาหารกลางวันสาหรับเด็กนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาตอนต้นเป็นนโยบายของ
ป. ผู้อานวยการโรงเรียน โดยตั้งจาเลยท้ังสามเป็นกรรมการผู้ดาเนินการ และจาเลยทง้ั สามไม่เคยทา
มากอ่ น จึงได้ไปสอบถาม ช. ผู้ทาหน้าทก่ี ารเงิน ช. ไม่ไดแ้ นะนาว่าให้ยมื เงินงบประมาณสารองเพือ่ ใช้
ในโครงการก่อน เม่ือเงินงบประมาณส่งมา ช. ก็ไม่ได้แจ้งให้จาเลยทั้งสามทราบ จนสิ้นกาหนด
ระยะเวลาตามโครงการและโรงเรียนปิดเทอม จึงแจ้งให้จาเลยท้ังสามมารับเงิน ซ่ึงที่ถูกแล้ว
ต้องไม่จ่ายเงิน เน่ืองจากไม่อาจจะไปดาเนินการตามวัตถุประสงค์ได้ ส่วนเงินท่ีจ่ายได้นาไปเข้าบัญชี
มชี ื่อจาเลยที่ ๑ หรือ ป. จานวน ๕๐,๐๐๐ บาท และ ป. ให้เกบ็ เป็นเงินสดอีกจานวน ๒๒,๐๐๐ บาท
ซ่ึงบัญชีดังกล่าวเป็นบัญชีเพื่อสวัสดิการของโรงเรียน ผู้อานวยการมีอานาจส่ังจ่ายและนาไปใช้ โดย
จาเลยท้ังสามไมไ่ ด้นาเงินจานวนดงั กล่าวไปใช้เป็นประโยชน์สว่ นตวั เม่อื มีการตรวจสอบผู้อานวยการ
ได้ส่ังให้นาเงินจานวน ๗๒,๐๐๐ บาท จากบัญชีดังกล่าวมาเข้าบัญชีของโรงเรียน เห็นได้ว่าเรื่องท่ี
เกิดขึ้นเป็นเร่ืองของผู้อานวยการโรงเรียน จาเลยท้ังสามเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ต้องทาตามคาสั่งของ
ผู้บังคับบัญชา รับฟังไม่ได้ว่าจาเลยทั้งสามมีเจตนาทุจริต จึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๑

ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ี
โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดนั้น เม่อื ระยะเวลาตามโครงการสิ้นสุดลงแล้วจาเลย
ทั้งสามไปลงลายมือช่ือขอรับเงิน ท้ังท่ียังไม่ได้ดาเนินการตามโครงการ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าท่ีโดย
มชิ อบเพ่ือให้เกดิ ความเสยี หายแก่โรงเรียน แกร่ ัฐ อันเป็นความผดิ ตามบทบญั ญตั ิดังกลา่ ว

ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๑๕๒

ฎกี าท่ี ๘๘๒๓/๒๕๕๙ ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๒ ไม่มีองค์ประกอบของความผิดหรือ
มลู เหตุชกั จงู ใจว่า อันเปน็ การเสยี หายแก่รฐั หรอื เพ่ือใหเ้ กิดความเสยี หายแกผ่ หู้ นงึ่ ผ้ใู ด เมอื่ จาเลยเป็น
ผู้จัดทาโครงการส่งเสริมการปลูกส้มเขียวหวานปลอดโรค "การจัดทาแปลงสาธิตระบบการให้น้า
เหนือผิวดิน" โดยดาเนินการตามขั้นตอนของทางราชการต้ังแต่เริ่มจนแล้วเสร็จ แม้ไม่ปรากฏว่า

229

มีขั้นตอนใดท่ีกระทาโดยฝ่าฝืนระเบียบหรือมีระเบียบห้ามไว้ ในขั้นตอนของการจัดซ้ือวัสดุอุปกรณ์
และขั้นตอนการตรวจรับและการติดต้ังก็ไม่ปรากฏว่ามีการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกิดข้ึน แต่พื้นท่ี
แปลงสาธิตเป็นของ ส. ภริยาของจาเลย แม้การจัดหาท่ีดินแปลงสาธิตจะเป็นดังท่ีจาเลยอ้างว่า
เกษตรอาเภอแม่วงก์เป็นผู้จัดหาท่ีดินและเกษตรกรได้รับประโยชน์จากแปลงสาธิตก็ตาม จาเลย
ก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบของตนได้ เพราะเกิดมีความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน
และผลประโยชน์ส่วนรวมขึ้น ซ่ึงเป็นเร่ืองที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมของผู้มีตาแหน่งหน้าท่ีและ
มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นความผิด การนาท่ีดินของ ส. มาดาเนินการโดยมีการนาวัสดุอุปกรณ์และ
กิ่งพันธุ์ส้มเขียวหวานปลอดโรคมาลงในที่ดิน ท่ีดินของ ส. ย่อมได้รับประโยชน์อยู่ในตัวโดยปริยาย
เมื่อจาเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่กากับดูแลกิจการโครงการดังกล่าว ถือว่าจาเลยเข้ามีส่วนได้เสีย
เพือ่ ประโยชน์สาหรับภรยิ าตนเนื่องด้วยกิจการนนั้ จาเลยจึงมคี วามผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๒

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๕๓

ฎีกาท่ี ๑๑๗๔๑/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๘๑ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๓ ผู้กระทา
ความผิดเป็นเจ้าพนักงานและมีหน้าท่ีจ่ายทรัพย์แล้วจ่ายทรัพย์น้ันเกินกว่าที่ควรจ่ายเพ่ือประโยชน์
สาหรับตนเองหรอื ผู้อ่ืน จาเลยจ่ายเงิน ๒๖๐,๖๗๕ บาท เปน็ ค่าพันธุป์ ลาและวสั ดุการเกษตรเกนิ กว่า
ท่ีควรจ่าย ๑๔๖,๙๐๐ บาท เพื่อประโยชน์สาหรับตนเองและผู้อื่น จึงเป็นความผิดตามมาตรา ๑๕๓
และความผิดตามมาตรา ๑๖๒ ผู้กระทาความผิดต้องเป็นเจ้าพนักงานและมีหน้าที่ทาเอกสาร
รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร จาเลยทาเอกสารและกรอกข้อความในเอกสาร
ใบตรวจรับ ลงช่ือรับรองเป็นหลักฐานอันเป็นเท็จว่าได้ตรวจพันธ์ุปลาทุกชนิดตามจานวนและขนาด
ตามใบส่ังซ้ือโดยพันธ์ุปลาดังกล่าวมีขนาด ๕ ถึง ๗ เซนติเมตร จึงเป็นความผิดตามมาตรา
๑๖๒ (๑) (๔) ส่วนความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗ ผู้กระทาความผิดเป็นเจ้าพนักงานท่ัวไป
จึงรวมท้ังเจ้าพนักงานผู้มีหน้าท่ีจ่ายทรัพย์ตามมาตรา ๑๕๓ และเจ้าพนักงานผู้มีหน้าท่ีทาเอกสาร
รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสารตามมาตรา ๑๖๒ จาเลยกระทาการตรวจรบั พันธุป์ ลาและ
วัสดุการเกษตรดังกล่าวโดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ จึงเป็นความผิดตามมาตรานี้
โดยที่การกระทาความผิดของจาเลยเป็นข้อเทจ็ จริงอันเดยี วเก่ียวพันกัน แมจ้ าเลยได้รับแต่งต้ังให้เป็น
ท้ังประธานคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ เจ้าหน้าที่พัสดุประจาหน่วยงานและรักษาราชการแทน
ประมงจังหวัดลาพูนถึง ๓ ตาแหน่ง แต่จาเลยกระทาความผิดโดยมีวัตถุประสงค์เดียว คือ การได้เงิน
สว่ นต่าง ๑๔๖,๙๐๐ บาท การกระทาของจาเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
ไม่ใช่ความผิดหลายกรรมต่างกัน ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๓ ผู้กระทาความผิดจ่ายทรัพย์
เกินกวา่ ควรจ่ายเพื่อประโยชน์สาหรบั ตนเองหรือผูอ้ ื่นก็เป็นความผิดสาเร็จแล้วโดยไม่จาต้องคานงึ ว่า
การจ่ายทรัพย์น้ันต้องทาให้หน้ีระงับลงด้วยจึงจะเป็นความผิด เพราะความผิดตามมาตราน้ีต้องการ
ลงโทษเพียงแคผ่ ู้มหี น้าทีจ่ ่ายทรพั ย์ จ่ายทรัพย์เกินกว่าทีค่ วรจ่ายเท่านนั้ ไม่ไดค้ านึงว่าหนท้ี จ่ี ่ายทรัพย์

230

ไปนั้นต้องระงับลงไปด้วย ฉะน้ัน แม้จาเลยจะชาระหน้ีด้วยเช็ค และ ก. ผู้ได้รับชาระหน้ียังไม่ได้
นาเช็คไปเรียกเก็บเงินเน่ืองจากถูกเรียกทวงคืนก่อน การกระทาของจาเลยก็เป็นความผิดสาเร็จแล้ว

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๑๕๔

ฎกี าที่ ๑๐๑๗๑-๑๐๑๘๒/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๙ น.๑๗๓ นอกจากจาเลยมีหน้าทรี่ ังวัดที่ดินแล้ว
ผู้บังคับบัญชายังได้มอบหมายหน้าท่ีให้จาเลยมีหน้าท่ีรับคาขอ ลงบัญชี รับทาการ เรียกเก็บเงิน
คา่ ธรรมเนียม และออกใบเสร็จรับเงนิ ด้วย การที่จาเลยรับเงินคา่ ธรรมเนียมรังวัดที่ดินจากผู้เสียหาย
ท้ังสิบสอง การกระทาของจาเลยเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่หรือแสดงตนว่ามีหน้าที่
เรยี กเก็บหรือตรวจสอบภาษอี ากร ค่าธรรมเนียม หรอื เงินน้นั โดยทุจรติ ตาม ป.อ.มาตรา ๑๕๔

231

เจ้าพนกั งานปฏบิ ัติหนา้ ที่โดยมชิ อบ

ขอ้ ๕๒ คาถาม นายเอกเป็นเจ้าของท่ดี ินมีหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส.๓ ก) เน้ือท่ี
๒๐ ไร่ นายโทเป็นนายช่างรังวัดสานักงานที่ดินอาเภอเกาะยาวมีหน้าท่ีทาเอกสารรังวัด ลงรูปแผนที่
ในเอกสารหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส.๓ ก) นายตรีเป็นนายอาเภอเกาะยาวซ่ึงมีหน้าท่ี
ออกเอกสารสิทธิหนังสือรับรองการทาประโยชน์ นายเอกต้องการให้หนังสือรับรองการทาประโยชน์
(น.ส.๓ ก) มีเน้ือท่ีเพิ่มข้ึนเพ่ือจะนาไปจานองธนาคารได้เงินจานวนมาก นายเอกยื่นคาขอ
ตรวจสอบเนื่อท่ีที่ดินต่อเจ้าพนักงานท่ีดิน ต่อมานายเอกนานายโทไปรังวัดท่ีดิน เม่ือรังวัดท่ีดิน
ได้เน้ือที่ ๒๐ ไร่เท่าเดิม นายเอกและนายโทร่วมกันทาเอกสารเท็จโดยนายโททาหลักฐานการรังวัด
สอบเขตที่ดินว่า นายเอกยินยอมให้มีการแก้ไขเน้ือที่และรูปแผนท่ีกับนาช้ีในการรังวัดสอบเขตที่ดิน
และลงลายมือช่ือในใบรับรองแนวเขตติดต่อของเจ้าของที่ดินยืนยันต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าที่ดิน
ท่ีมีการรังวัดสอบเขตมีการทาประโยชน์ในที่ดินและมีเน้ือที่เพ่ิมข้ึนเป็น ๔๐ ไร่ ทั้งที่ความจริง
มิได้มีการทาประโยชน์ในท่ีดินและมิได้มีเน้ือที่เพ่ิมข้ึน นายโททาหลกั ฐานเสนอหัวหน้างานรังวัดและ
เสนอนายตรีว่า ทาการรังวัดใหม่แล้วได้เนื้อท่ี ๔๐ ไร่ เน้ือท่ีมากกว่าเดิม ๒๐ ไร่ เห็นควรแก้ไขเน้ือท่ี
และรูปแผนท่ีในหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส.๓ ก) เดิม นายเอกมาขอร้องนายตรีให้อนุมัติ
ใหด้ าเนนิ การตามท่ีเจ้าพนักงานท่ีดินเสนอ ทั้งท่ีนายตรีทราบวา่ ท่ีดินดังกล่าวไม่อาจมีเน้อื ท่ีเพ่มิ ขึ้นได้
เพราะที่ดินอยู่ติดเหวลึกลาดลงไปถึงทะเล แต่นายตรีลงความเห็นว่าดาเนินการตามเสนอ
แล้วลงลายมือชอื่ โดยนายเอกเป็นผู้ประทับตรายางชอื่ และตาแหน่งของนายตรี จากนั้นจึงแกไ้ ขเน้ือที่
ท่ีดินเป็น ๔๐ ไร่ และกาหนดรูปแผนท่ีใหม่ในหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส.๓ ก) มอบให้
นายเอกไป นายโทถึงแก่ความตายจึงมไิ ดถ้ กู ดาเนินคดี

ใหว้ นิ จิ ฉัยว่า นายเอกและนายตรีมคี วามผดิ หรือไมเ่ พยี งใด
คาตอบ นายเอกทราบดีว่าท่ีดินมิได้มีเนื้อท่ีเพ่ิมขึ้น การที่นายเอกไปย่ืนคาขอตรวจสอบ
เนื้อท่ีที่ดินและยินยอมให้มีการแก้ไขเนื้อท่ีและรูปแผนท่ีและลงลายมือชื่อในใบรับรองแนวเขตติดต่อ
ของเจ้าของท่ีดินยืนยันต่อนายโทพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าที่ดินพิพาทท่ีมีการรังวัดสอบเขตมีการ
ทาประโยชน์ในที่ดินและมเี นือ้ ทเี่ พ่มิ ขึ้นโดยไมเ่ ป็นความจรงิ การกระทาของนายเอกจึงเปน็ ความผิด
ฐานแจ้งข้อความอนั เปน็ เท็จต่อเจ้าพนักงานซงึ่ อาจทาใหผ้ ู้อื่นหรือประชาชนเสียหายตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗
นายตรีเป็นนายอาเภอซ่ึงมีหน้าท่ีออกเอกสารสทิ ธิหนังสือรับรองการทาประโยชน์ทราบดีว่า
ท่ดี นิ ท่ีนายเอกย่นื คาขอแก้ไขเนอ้ื ที่และรูปแผนท่ีในที่ดนิ จากเดมิ มิได้มีเนื้อทที่ ่ีดินเพ่ิมข้ึนตามท่ีปรากฏ
ในรูปแผนท่ี แม้การแก้ไขรูปแผนท่ีและเนื้อท่ีในหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส.๓ ก) จะ
สามารถกระทาได้ตามประมวลกฎหมายท่ีดิน แต่ต้องเป็นการแก้ไขให้ถูกต้องตามความเป็นจริง
การที่นายตรีอนุญาตให้มีการแก้ไขเน้ือที่และรูปแผนท่ีในท่ีดินตามคาขอของนายเอก จึงมิได้เป็น
เพียงการกระทาตามสายงานราชการ แต่เป็นการร่วมกับนายเอกในการแก้ไขที่ดินพิพาทให้มีเนื้อท่ี
มากกว่าความเป็นจริงเพ่ือประโยชน์แก่นายเอก นายตรีเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทาเอกสารหรือ

232

กรอกข้อความลงในเอกสาร กระทาการรับรองเป็นหลกั ฐานซึ่งขอ้ เท็จจริงอันเอกสารน้ันมุ่งพิสูจน์
ความจริงอันเป็นความเท็จ ในการปฏิบัติการตามหน้าท่ีโดยเจตนา นายตรีจึงมีความผิดฐานเป็น
เจ้าพนักงานมีหน้าท่ีทาเอกสารรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความ
จริงอันเป็นเท็จตามมาตรา ๑๖๒ (๔) บทหนึ่ง และนายตรีเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
โดยเจตนาและมเี จตนาพเิ ศษเพ่อื ให้เกดิ ความเสียหายแก่ผู้ท่มี าทานติ กิ รรมเก่ียวกับหนงั สอื รับรอง
การทาประโยชน์ จึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบตั ิหนา้ ที่โดยมิชอบ
ตามมาตรา ๑๕๗ อีกบทหน่ึงด้วย มิใช่ว่าเมื่อการกระทาเป็นความผิดตามมาตรา ๑๖๒ (๔)
อันเป็นบทเฉพาะแล้วก็ไม่เป็นความผดิ ตามมาตรา ๑๕๗ ซง่ึ เป็นบทท่วั ไปอกี

แม้นายเอกเป็นผู้ประทับตรายางช่ือและตาแหน่งของนายตรจี ะเป็นการกระทาร่วมกันและ
มีเจตนาร่วมกับนายตรีกระทาผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทาเอกสารรับรองเป็นหลักฐาน
ซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารน้ันมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จตามมาตรา ๑๖๒ (๔) และฐาน
เป็นเจา้ พนักงานปฏิบตั ิหรอื ละเวน้ การปฏิบัติหน้าทโ่ี ดยมิชอบตามมาตรา ๑๕๗ แต่เนอ่ื งจากนายเอก
ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานจึงไม่อาจเป็นตัวการร่วมกับนายตรีกระทาความผิดได้ นายเอกคงเป็น
ได้เพียงผู้สนับสนุนนายตรีกระทาความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทาเอกสารรับรองเป็น
หลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จและฐานเป็นเจ้าพนักงาน
ปฏิบัติหรือละเวน้ การปฏิบตั หิ น้าทโี่ ดยมชิ อบเทา่ นน้ั (ฎกี าท่ี ๒๒๙๖-๒๒๙๗/๒๕๕๗)
ข้อสังเกต คำถำมข้อน้ีที่จรงิ มีกำรกระทำผดิ ของผู้กระทำแต่ละคน ๓ กำรกระทำ คือ

ก. นำยเอกแจ้งขอ้ ควำมและรบั รองกำรรังวดั อันเปน็ เทจ็
ข. นำยโทจดขอ้ ควำมอันเป็นเท็จวำ่ ตนรังวัดทด่ี นิ ได้ ๔๐ ไร่
ค. นำยตรแี ก้ไขหนงั สอื รับรองกำรทำประโยชนเ์ ป็นเท็จ
กำรกระทำตำมข้อ ก. นำยเอกนอกจำกจะมีควำมผิดตำมมำตรำ ๑๓๗ แล้วน่ำจะมีควำมผิด
ตำมมำตรำ ๒๖๗ ด้วย เพรำะเป็นกำรแจ้งให้เจ้ำพนักงำนผู้กระทำกำรตำมหน้ำที่จดข้อควำม
อันเป็นเท็จลงในเอกสำรมหำชนหรอื เอกสำรรำชกำร ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยำนหลักฐำน
โดยประกำรที่น่ำจะเกิดควำมเสียหำยแก่ผู้อ่ืนหรือประชำชน ปัญหำนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตำม
มำตรำ ๑๓๗ แต่ไม่ได้ฟ้องขอให้ลงโทษตำมมำตรำ ๒๖๗ ศำลฎีกำไม่วินิจฉัยว่ำผิดมำตรำ ๒๖๗
ก็ถกู ต้องแล้ว เพรำะโจทกไ์ ม่ไดข้ อให้ลงโทษ กำรกระทำตำมขอ้ ก. นน้ี ำยโทจะเป็นผู้ร่วมกระทำผดิ ได้
หรือไม่ นำยโทไม่อำจเป็นตัวกำรหรือผู้สนับสนุนได้เพรำะนำยโทเป็นบุคคลท่ีรับกำรกระทำของ
นำยเอกซ่ึงเป็นบุคคลท่ีเป็นองค์ประกอบของควำมผิด และมีกฎหมำยกำหนดควำมผิดของนำยโท
ไวแ้ ล้วขอให้ดขู อ้ พิจำรณำต่อไป
กำรกระทำตำมข้อ ข. นำยโทน่ำจะหลบหนีไม่ได้ตัวมำฟ้อง แต่ถ้ำฟ้องท้ังสำมคน นำยโทมี
ควำมผิดจำกกำรกระทำตำมข้อ ข. ตำมมำตรำ ๑๖๒ (๔), ๑๕๗ เพรำะนำยโทมีหน้ำที่รังวัดและ
รับรองกำรรังวัดของตนเองด้วย กรณีน้ีแม้นำยเอกเป็นผู้นำชี้กำรรังวัดและนำยเอกแจ้งข้อควำมอัน
เป็นเท็จแก่นำยโท แต่ในส่วนของนำยโทมีกำรรับรองด้วยว่ำนำยโททำกำรรังวัดที่ดินแล้วได้ ๔๐ ไร่

233

เป็นกำรรับรองของนำยโทซึ่งเป็นเจ้ำพนักงำนโดยไม่จำต้องมีนำยเอกเป็นบุคคลที่เป็นองค์ประกอบ
ควำมผิด เมื่อนำยเอกไม่เป็นเจ้ำพนักงำนไม่อำจเป็นตัวกำรได้ แต่ก็เป็นผู้สนับสนุนนำยโทกระทำผิด
ได้

กำรกระทำตำมข้อ ค. นำยตรีผิดตำมที่ศำลฎีกำวินิจฉัย โดยมีนำยเอกเป็นผู้สนับสนุน
ผู้แต่งต้ังข้อสังเกตให้ลองคิดต่อให้ครบทุกคนที่มีส่วนร่วมกระทำควำมผิด ถ้ำฎีกำนี้ออก
ข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพำกษำและถำมถึงนำยโทด้วย ธงคำตอบจะเป็นอย่ำงไรคงต้องแล้วแต่
คณะกรรมกำรจะมีมติ แต่ถ้ำถำมเพียงนำยเอกและนำยตรีคงต้องตอบตำมฎีกำ แต่ถ้ำออกข้อสอบ
เนตแิ ลว้ ถำมถึงนำยโทดว้ ยลองดคู ำบรรยำยเนตฯิ ว่ำอำจำรย์ผสู้ อนวำ่ อยำ่ งไรก็ตอบไปตำมน้นั
ฎีกาท่ี ๒๒๙๖-๒๒๙๗/๒๕๕๗ ฎ.๖๓๖ จาเลยที่ ๑ ทราบดีว่าที่ดินพิพาทมิได้มีการทา
ประโยชน์ในพ้ืนท่ีและมิได้มีเน้ือท่ีเพิ่มข้ึน การท่ีจาเลยท่ี ๑ ไปย่ืนคาขอตรวจสอบเนื้อที่ท่ีดินพิพาท
และยินยอมให้มีการแก้ไขเน้ือที่และรูปแผนที่กับนาชี้ในการรังวัดสอบเขตที่ดินพิพาทและลงลายมือ
ชอ่ื ในใบรับรองแนวเขตติดต่อของเจ้าของท่ีดนิ ยืนยันต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าที่ดินพพิ าทท่ีมีการรงั วัด
สอบเขตมีเน้ือท่ีเพ่ิมขึ้นโดยไม่เป็นความจริง การกระทาของจาเลยที่ ๑ จึงเป็นความผิดฐานแจ้ง
ข้อความอนั เป็นเท็จต่อเจ้าพนกั งาน
จาเลยท่ี ๒ เป็นนายอาเภอซึ่งมีหน้าที่ออกเอกสารสิทธิหนังสือรับรองการทาประโยชน์
ทราบดีว่าที่ดินพิพาททจ่ี าเลยที่ ๑ ยื่นคาขอแก้ไขเนื้อที่และรปู แผนที่ในที่ดินพิพาทจากเดิมมไิ ดม้ ีการ
ทาประโยชน์ในท่ีดินพิพาทและมีเน้ือที่ดินเพ่ิมข้ึนตามที่ปรากฏในรูปแผนที่ แม้การแก้ไขรูปแผนท่ี
และเนื้อท่ีในหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส.๓ ก) จะสามารถกระทาได้ตาม ป. ที่ดิน มาตรา
๖๙ ทวิ แต่ต้องเป็นการแก้ไขให้ถูกต้องตามความเป็นจริง การที่จาเลยที่ ๒ อนุญาตให้มีการแก้ไข
เน้ือที่และรูปแผนที่ในท่ีดินพิพาทตามคาขอของจาเลยท่ี ๑ จึงมิได้เป็นเพียงการกระทาตามสายงาน
ราชการ แต่เป็นการร่วมกับจาเลยท่ี ๑ และพวกในการแก้ไขท่ีดินพิพาทให้มีเน้ือท่ีมากกว่า
ความเป็นจริงเพ่ือประโยชน์แก่จาเลยที่ ๑ จาเลยท่ี ๒ จึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าท่ี
ทาเอกสารรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จตาม ป.อ.
มาตรา ๑๖๒ (๔) และมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบ
ตามมาตรา ๑๕๗ อีกด้วย มใิ ช่วา่ เม่ือการกระทาเปน็ ความผิดตามมาตรา ๑๖๒ (๔) อนั เป็นบทเฉพาะ
แลว้ ก็ไมเ่ ปน็ ความผดิ ตามมาตรา ๑๕๗ ซง่ึ เป็นบททัว่ ไปอีก
ข้อสังเกต ฎีกำน้ีศำลฎกี ำวินิจฉยั ด้วยว่ำ จำเลยท่ี ๑ ยังมคี วำมผดิ ฐำนเป็นผสู้ นับสนุนให้เจ้ำพนักงำน
ผู้มีหน้ำท่ีทำเอกสำรรับรองเป็นหลักฐำนซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสำรน้ันมุ่งพิสูจน์ควำมจริงอันเป็นเท็จ
และสนับสนุนให้เจ้ำพนักงำนปฏิบัติหรือละเว้นกำรปฏิบัติหน้ำท่ีโดยมิชอบอีกด้วย แต่ในประเด็นน้ี
ผยู้ ่ออำจจะเห็นว่ำเป็นเรื่องที่ผู้อำ่ นต้องทรำบเองจึงไม่ได้ยอ่ ไว้ ผู้แต่งจึงอยำกฝำกข้อเตือนใจไวว้ ่ำกำร
อ่ำนฎีกำ หำกมีข้อสงสัยนักศึกษำควรอ่ำนย่อยำวของฎีกำด้วยไม่ใช่อ่ำนเฉพำะย่อส้ันฎีกำแล้วจำไป
เท่ำนัน้ เพรำะถำ้ นำฎีกำมำออกข้อสอบ ธงคำตอบตอ้ งเปน็ ไปตำมทศ่ี ำลฎกี ำวินิจฉัยทุกประเดน็

234

ข้อ ๕๓ คาถาม สบิ ตารวจตรหี น่ึงและสบิ ตารวจตรีสองขีร่ ถจักรยานยนต์ตรวจทอ้ งที่ผ่านมา
พบสิบตารวจตรีสามซ่ึงเป็นเจ้าพนักงานตารวจฝ่ายสืบสวนในราชการร่วมกับชาวบ้านอีก ๑๐ คน
เล่นไฮโล สบิ ตารวจตรีหน่ึงและสิบตารวจตรีสองจงึ ได้แสดงตัวเข้าจับกุม สิบตารวจตรีสามกับพวกว่ิง
หนีไปคนละทิศคนละทาง สิบตารวจตรีหนึ่งและสิบตารวจตรีสองว่ิงเข้าจับกุมโดยกอดตัวสิบตารวจ
ตรีสามไว้ สบิ ตารวจตรีสามดิ้นรนจนหลุดแล้ววิ่งหนไี ปได้

ใหว้ ินิจฉยั ว่า สิบตารวจตรีสามมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใด หรือไม่
คาตอบ แม้สิบตารวจตรีสามจะเปน็ เจ้าพนกั งานตารวจมีอานาจหน้าที่ในการจับกมุ ผู้กระทา
ผิด ไม่จับกุมผู้ร่วมเล่นการพนัน แต่ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
เน่ืองจากเปน็ ผู้รว่ มกระทาผิดด้วยการร่วมเลน่ ไฮโล สิบตารวจตรีสามไม่มีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิด
ความเสียหายแก่ผู้ร่วมเล่นการพนันหรือสานักงานตารวจแห่งชาติ สิบตารวจตรีสามจึงไม่มี
ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบ เพ่ือให้เกิดความเสียหาย
แกผ่ ู้หน่ึงผใู้ ดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ (ฎกี าที่ ๗๘๓๖-๗๘๓๘/๒๕๔๔)
เม่ือสิบตารวจตรีหนึ่งและสิบตารวจตรีสองว่ิงเข้าจับกุม โดยกอดตัวสิบตารวจตรีสามไว้
สิบตารวจตรีสามดิ้นรนจนหลุดแล้วว่ิงหนีไปได้ ไม่เป็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน เพราะเป็น
เพียงขั้นตอนหนึ่งของการจะหลบหนี เมื่อไม่ได้ความว่าสิบตารวจตรีสามกระทาการอ่ืนใด
นอกเหนือไปจากนี้ การกระทาของสิบตารวจตรีสามจึงไม่เป็นความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวาง
เจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘ (เทียบฎีกาท่ี
๒๔๐๑/๒๕๔๕)
ฎีกาท่ี ๗๘๓๖-๗๘๓๗/๒๕๔๔ ฎ.ส.ล.๘ น.๑๕๕ จาเลยเป็นเจ้าพนักงานตารวจมีอานาจ
หน้าท่ีในการจับกุมผู้กระทาผิด แต่กลับเป็นผู้ร่วมกระทาผิดด้วยการร่วมเล่นการพนันไพ่รัมม่ี แล้ว
จาเลยไม่จบั กมุ ผรู้ ว่ มเล่นไพร่ ัมมี่ ยังถอื ไมไ่ ด้ว่าเปน็ การละเวน้ การปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ีโดยมิชอบ โดยมเี จตนา
พิเศษเพ่ือให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร่วมเล่นการพนันหรือสานักงานตารวจแห่งชาติ จาเลยจึงไม่มี
ความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗
ฎีกาท่ี ๒๔๐๑/๒๕๔๕ การท่ีจาเลยขับรถยนต์มาถึงด่านตรวจเจ้าพนักงานตารวจให้
สัญญาณเพ่ือขอตรวจค้น จาเลยไม่ยอมหยุดและขับรถเลยไป จนต้องมีการไล่ติดตามเพื่อสกัดจับ
และจาเลยด้ินรนเพื่อให้หลุดพ้นจากการจับกุมนั้น เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของการจะหลบหนี เมื่อ
ไมไ่ ดค้ วามวา่ จาเลยกระทาการอ่ืนใดนอกเหนอื ไปจากน้ี การกระทาของจาเลยจึงไมเ่ ป็นความผิดฐาน
ต่อสหู้ รอื ขดั ขวางเจา้ พนกั งานในการปฏิบตั ิการตามหนา้ ที่

235

ฎกี าน่าสนใจมาตรา ๑๕๗
กรณีเปน็ เจา้ พนกั งาน

ฎกี าที่ ๘๓๑๕/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๑๖๖ ความหมายของคาวา่ เจ้าพนกั งานตาม ป.อ. น้ัน
นอกจากกฎหมายระบุไว้ชัดว่าเป็นเจ้าพนักงานแล้ว ยังหมายความรวมถึงบุคคลซ่ึงได้รับแต่งตั้งให้
ปฏบิ ัติหน้าท่ีราชการไม่วา่ จะเป็นประจาหรอื คร้งั คราวและไม่วา่ จะไดร้ ับคา่ ตอบแทนหรือไม่ ภ. ผู้รว่ ม
จับกุมจาเลยเป็นพนักงานราชการ ทาหน้าท่ีหัวหน้าหน่วยพิทักษ์อุทยาน มีหน้าที่ในการจับกุม
ผ้กู ระทาความผดิ เกีย่ วกับป่าไม้ ภ. จึงเป็นบคุ คลที่ได้รบั แต่งต้ังให้ปฏบิ ัติหน้าที่ราชการ มีหน้าทใ่ี นการ
จับกุมผู้กระทาความผิดเกี่ยวกับป่าไม้ ภ. จึงเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอานาจสืบสวนคดีอาญาในความผิด
เก่ียวกับป่าไม้ การที่จาเลยสลัดเชือกหลุดแล้วว่ิงหลบหนี จึงเป็นการหลบหนีท่ีถูกคุมขังตามอานาจ
ของเจา้ พนักงานผมู้ ีอานาจสบื สวนคดีอาญา ไม่จาต้องมีการแจง้ ข้อกล่าวหาและสทิ ธิตามกฎหมายแก่
จาเลยก่อนแต่อย่างใด จาเลยมีความผิดฐานหลบหนีระหว่างท่ีถูกคุมขังตามอานาจของเจ้าพนักงาน
ผมู้ ีอานาจสืบสวนคดีอาญา

ฎีกาที่ ๒๗๘-๒๘๔/๒๕๕๙ ป.อ. ที่ใช้บังคับในขณะเกิดเหตุมิได้บัญญัติบทนิยามของ
"เจ้าพนักงาน" ไว้ เมื่อพิจารณาจากสภาพการณ์ปัจจุบัน หน่วยงานของรัฐมิได้มีแต่ส่วนราชการ แต่
ประกอบไปด้วยรัฐวิสาหกจิ องค์การของรัฐ รวมทั้งองค์กรอิสระ สาหรับองค์การคลงั สินค้าผู้เสียหาย
เปน็ องค์การของรัฐบาลทม่ี ีฐานะเปน็ นิตบิ ุคคล ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล พ.ศ.
๒๔๙๖ และโดยอาศัยอานาจตาม พ.ร.บ. ดังกล่าวได้มีการจัดตั้งข้ึนตาม พ.ร.ฎ.จัดตั้งองค์การ
คลังสินค้า พ.ศ.๒๔๙๘ ซ่ึงท้ัง พ.ร.บ. และ พ.ร.ฎ. ล้วนระบุว่าการจัดต้ังใช้เงินทุนจากงบประมาณ
แผ่นดินและทุนประเดิมจากรัฐบาล เม่ือรัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรีมีมติให้นายกรัฐมนตรีในฐานะ
ประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติจัดให้มีโครงการรับจานาข้าวเปลือก และมอบหมายให้
ผู้เสียหายเป็นผู้รับผิดชอบปฏิบัติหน้าท่ีตามโครงการดังกล่าว ดังน้ัน ว. หัวหน้าหน่วยรับจานา
ข้าวเปลือกนอกจากจะมีฐานะเป็นพนักงานองค์การคลังสินค้าผู้เสียหายแล้ว ยังต้องปฏิบัติหน้าที่ใน
โครงการรับจานาข้าวเปลือกของรฐั บาลตามที่ผู้เสียหายได้รับมอบหมายจากรัฐบาลโดยมีหน้าท่ีออก
ใบรับของคลังสินค้าและใบประทวนสินค้าให้เกษตรกรเพ่ือนาไปทาสัญญาจานาและรับเงินจาก
ธนาคาร พ. เมื่อธนาคารดงั กล่าวจา่ ยเงินให้แก่เกษตรกรแล้วก็จะนาเอกสารที่เกษตรกรมอบใหไ้ ปเบิก
เงินจากโครงการรับจานาข้าวเปลือกของรัฐบาลซึ่งบางส่วนเป็นเงินงบประมาณแผ่นดิน การกระทา
ของ ว. จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ของรัฐในโครงการดังกล่าว แม้ ว. ไม่ใช่เป็นข้าราชการ
ที่รับเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดิน แต่เป็นพนักงานที่รับเงนิ เดือนหรือค่าจ้างจากผู้เสียหายที่เป็น
องค์การของรัฐบาลที่จัดต้ังข้ึนโดยใช้เงินทุนจากงบประมาณแผ่นดิน อีกทั้งเป็นการปฏิบัติหน้าท่ีใน
กิจการงานของรัฐบาลโดยแท้ อันมีลักษณะเป็นการปฏิบัติหน้าท่ีราชการ ย่อมถือได้ว่าการปฏิบัติ
หนา้ ที่ของ ว. ในโครงการรบั จานาขา้ วเปลอื กของรัฐบาล เป็นการกระทาในฐานะเจ้าพนักงาน
ข้อสังเกต ศำลฎีกำวินิจฉัยวินิจฉัยในคดีนี้ว่ำ แม้ ว. ไม่ใช่เป็นข้ำรำชกำรท่ีรับเงินเดือนจำก
งบประมำณแผน่ ดนิ แตเ่ ป็นพนกั งำนท่รี ับเงินเดอื นหรอื ค่ำจ้ำงจำกผู้เสยี หำยทเ่ี ปน็ องค์กำรของรฐั บำล

236

ที่จดั ตงั้ ขึ้นโดยใช้เงินทุนจำกงบประมำณแผ่นดนิ อีกทัง้ เป็นกำรปฏิบตั ิหนำ้ ทใี่ นกิจกำรงำนของรัฐบำล
โดยแท้ อันมีลักษณะเป็นกำรปฏิบัตหิ น้ำท่ีรำชกำร ย่อมถือได้วำ่ กำรปฏิบัติหนำ้ ที่ของ ว. ในโครงกำร
รับจำนำข้ำวเปลือกของรัฐบำล เป็นกำรกระทำในฐำนะเจ้ำพนักงำน ซึ่งต่ำงจำกฎีกำเดิม ๆ ว่ำ
เจ้ำพนักงำนต้องเปน็ ข้ำรำชกำร

ฎกี าที่ ๑๐๗๔๒/๒๕๕๙ การทผี่ ู้ว่าราชการจังหวดั อุดรธานีอาศัยอานาจตามความในมาตรา
๔๕ วรรคท้าย แหง่ พ.ร.บ. เทศบาลฯ ซึ่งแก้ไขเพ่ิมเติมโดย พ.ร.บ. เทศบาล (ฉบับท่ี ๘) พ.ศ. ๒๕๑๙
แต่งต้ังคณะเทศมนตรีนครอุดรธานีช่ัวคราว มีจาเลยที่ ๑ เป็นนายกเทศมนตรี กับพวกอีก ๔ คน
เป็นเทศมนตรี เท่าจานวนของคณะเทศมนตรีที่ต้องออกจากตาแหน่งทั้งคณะตามคาวินิจฉัยของสภา
เทศบาล ตามคาสั่งจังหวัดอุดรธานี ลงวันท่ี ๓ มีนาคม ๒๕๔๒ น้ัน เป็นกรณีแต่งตั้งคณะเทศมนตรี
ชั่วคราวโดยชอบด้วยบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว และต่อมาวันท่ี ๘ มีนาคม ๒๕๔๒ ผู้ว่าราชการ
จงั หวัดอดุ รธานีประกาศแต่งต้งั คณะเทศมนตรนี ครอดุ รธานขี น้ึ ใหม่ มีจาเลยที่ ๑ เป็นนายกเทศมนตรี
และเทศมนตรีช่ัวคราวชุดเดิมเป็นเทศมนตรี ตามประกาศจงั หวัดอดุ รธานี ลงวันท่ี ๘ มีนาคม ๒๕๔๒
แต่เม่ือวันท่ี ๑๘ มีนาคม ๒๕๔๒ ศาลชั้นต้นมีคาสั่งในคดีแพ่งหมายเลขดาที่ ๑๑๕๑/๒๕๔๒
ให้เพิกถอนประกาศแต่งตั้งคณะเทศมนตรีนครอุดรธานีดังกล่าว ซ่ึงระหว่างน้ัน พ.ร.บ. เทศบาล
(ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลใช้บังคับต้ังแต่วันท่ี ๑๑ มีนาคม ๒๕๔๒ แล้ว โดยมีมาตรา ๓ และ
มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๔๕ แห่ง พ.ร.บ. เทศบาลฯ ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติมโดย พ.ร.บ. เทศบาล
(ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๑๙ ที่กาหนดว่า ในกรณีที่คณะเทศมนตรีต้องออกจากตาแหน่งท้ังคณะ ให้ผู้ว่า
ราชการจังหวัดแต่งต้ังผู้ที่เห็นสมควรเท่าจานวนของคณะเทศมนตรีท่ีต้องออกจากตาแหน่งให้เป็น
คณะเทศมนตรีชั่วคราวเพ่ือดาเนินกิจการของเทศบาลไปจนกว่าจะได้แต่งตั้งคณะเทศมนตรีขึ้นใหม่
และแก้ไขใหม่ตามมาตรา ๔๕ แห่ง พ.ร.บ. เทศบาล (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๕๔๒ ว่า "ในระหว่างที่ไม่มี
คณะเทศมนตรี ให้ปลัดเทศบาลปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีเป็นการช่ัวคราวเท่าท่ีจาเป็นได้จนกว่า
คณะเทศมนตรีที่แต่งตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่" ก็ตาม แต่กฎหมายฉบับใหม่นี้มิได้กล่าวถึงสถานะ
ของคณะเทศมนตรีช่ัวคราวซ่ึงแต่งต้ังขึ้นตามกฎหมายฉบับเดิมว่าจะให้ดารงอยู่ในสถานะใด เช่นนี้
คณะเทศมนตรีนครอุดรธานีชั่วคราวซ่ึงแต่งตั้งขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมายฉบับเดิม จึงยังคงมีสถานะ
เป็นคณะเทศมนตรีชั่วคราว รวมท้ังมีอานาจและหน้าท่ีดาเนินกิจการของเทศบาลนครอุดรธานีไป
จนกว่าจะมีการส่งมอบงานในหน้าที่ให้แก่ปลัดเทศบาลนครอุดรธานีปฏิบัติหน้าท่ีนายกเทศมนตรี
นครอุดรธานีเป็นการช่ัวคราวต่อไปจนกว่าคณะเทศมนตรีนครอุดรธานีท่ีแต่งตั้งข้ึนใหม่จะเข้ารับ
หนา้ ท่ี เม่ือขณะเกดิ เหตุจาเลยที่ ๑ ยังไม่ได้ส่งมอบงานในหน้าท่ีใหแ้ ก่ปลัดเทศบาลนครอุดรธานี และ
ได้ใช้อานาจในตาแหน่งหน้าที่นายกเทศมนตรีนครอุดรธานีในการบริหารงานของเทศบาลนคร
อุดรธานีต่อไป ดังน้ัน การกระทาของจาเลยท่ี ๑ ตามท่ีโจทก์อ้างในฟ้อง จึงเป็นการปฏิบัติหน้าท่ี
ในฐานะเจ้าพนักงานตามกฎหมาย การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. รับเรื่องร้องเรียน แต่งต้ัง
คณะอนุกรรมการไต่สวน ลงมติว่าจาเลยท่ี ๑ มีมูลความผิดอาญา กับส่งรายงานเอกสารและ
ความเห็นไปยังอัยการสูงสุดเพื่อฟ้องคดีน้ี เป็นการกระทาท่ีมีอานาจกระทาได้ ถือว่ามีการสอบสวน

237

แล้ว พนักงานอัยการย่อมอ้างรายงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดังกล่าวเป็นสานวนการสอบสวน
เพื่อยื่นฟอ้ งจาเลยที่ ๑ ได้ โจทกจ์ ึงมีอานาจฟอ้ ง

ฎีกาท่ี ๑๔๗๓๘/๒๕๕๘ พ.ร.บ. สภาตาบลและองค์การบริหารส่วนตาบล พ.ศ. ๒๕๓๗
มาตรา ๕๘/๒ ที่ใช้บังคับขณะเกิดเหตุบัญญัติว่า "ให้นายกองค์การบริหารส่วนตาบลดารงตาแหน่ง
นับต้ังแต่วันเลือกต้ัง..." เมื่อประกาศผลเลือกตั้งในวันท่ี ๑๕ กันยายน ๒๕๕๑ จาเลยจึงเป็น
เจา้ พนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ตาม พ.ร.บ. สภาตาบลและองค์การบริหารส่วนตาบล พ.ศ.
๒๕๓๗ มาตรา ๕๙, ๖๐ และ ๖๕ มีอานาจหน้าท่ีควบคุม รับผิดชอบ ในการบริหารราชการของ
องคก์ ารบริหารส่วนตาบลหนองไฮ และเปน็ ผู้บังคับบัญชาของพนักงานสว่ นตาบลและลกู จ้างองค์การ
บริหารส่วนตาบลหนองไฮ ตลอดทั้งมีอานาจหน้าท่ีกาหนดนโยบายโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย และ
รับผิดชอบในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนตาบลหนองไฮ ให้เป็นไปตามกฎหมาย
นโยบาย แผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนตาบล ข้อบัญญัติ ระเบียบ และข้อบังคับของทางราชการ
เพื่อให้งานขององคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลหนองไฮ เป็นไปด้วยความเรยี บร้อย จาเลยจึงเป็นเจา้ หน้าที่
ของรฐั ตามความหมายของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๔

พ.ร.บ. สภาตาบลและองค์การบริหารส่วนตาบล พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๕๘/๕ วรรคสอง
บัญญัติว่า "...หากมีกรณีที่สาคัญและจาเป็นเร่งด่วนซึ่งปล่อยให้เน่ินช้าไปจะกระทบต่อประโยชน์
สาคัญของราชการหรือราษฎร นายกองค์การบริหารส่วนตาบลจะดาเนินการไปพลางก่อนเท่าท่ี
จาเป็นก็ได้..." แสดงว่ากฎหมายกาหนดให้นายกองค์การบริหารส่วนตาบลมีอานาจหน้าที่เป็น
เจ้าพนักงานต้ังแต่วันได้รับเลือกต้ัง ส่วนการแถลงนโยบายก่อนเข้ารับหน้าท่ีเป็นเพียงเงื่อนไข
ในการเขา้ ปฏิบตั ิงานเทา่ นน้ั ไมใ่ ช่จาเลยไมม่ อี านาจหน้าทีป่ ฏิบตั ิงานในตาแหน่งนายกองค์การบริหาร
ส่วนตาบลหนองไฮหากยงั ไม่ไดแ้ ถลงนโยบายต่อสภาองค์การบรหิ ารสว่ นตาบลหนองไฮ

กรณีไมเ่ ปน็ เจา้ พนกั งาน

มาตรา ๑ (๑๖) เพ่ิมเติมโดย พ.ร.บ. แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ มีบทนิยาม
คาว่า “เจ้าพนักงาน” หมายความว่า บุคคลซึ่งกฎหมายบัญญัติว่า เป็นเจ้าพนักงานหรือได้รับ
แต่งต้ังตามกฎหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ราชการ ไม่ว่าเป็นประจาหรือคร้ังคราว และไม่ว่าจะได้รับ
ค่าตอบแทนหรือไม่ ดังน้ัน คาพิพากษาฎีกาท่ีตัดสินตามกฎหมายเดิมว่าจาเลยไม่ใช่เจ้าพนักงาน
อาจจะใช้เปน็ บรรทัดฐานไม่ไดแ้ ลว้ ต้องพจิ ารณาเป็นเร่ือง ๆ ไป

ฎีกาที่ ๔๓๔๗/๒๕๕๘ จาเลยท่ี ๒ เป็นลูกจ้างประจา ตาแหน่งนักการ เทศบาลตาบล
จักราช มิใช่ข้าราชการที่ได้รับการแต่งต้ังตามกฎหมายว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการให้ดารงตาแหน่ง
หรือเป็นผู้ดารงตาแหน่งหน้าท่ีซึ่งมีกฎหมายระบุไว้โดยเฉพาะให้ถือเป็นเจ้าพนักงาน จาเลยที่ ๒ จึง
ไม่ใช่เจ้าพนักงานตามกฎหมาย เน่ืองจาก ป.อ. มาตรา ๑๔๗, ๑๕๑, ๑๖๑ เป็นบทบัญญัติท่ีลงโทษ

238

แก่บุคคลผู้กระทาความผิดที่เป็นเจ้าพนักงานซ่ึงกระทาผิดต่อตาแหน่งหน้าที่เท่านั้น แม้จาเลยท่ี ๒
จะร่วมกับจาเลยที่ ๑ กระทาความผิดต่อบทบัญญัติดังกล่าว ก็จะลงโทษจาเลยที่ ๒ อย่าง
เจ้าพนักงานไม่ได้ คงลงโทษจาเลยท่ี ๒ ได้แต่เพียงในฐานะผู้สนับสนุนตาม ป.อ. มาตรา ๘๖ เท่าน้ัน
ข้อสังเกต ฎีกำนี้น่ำจะเป็นเจ้ำพนักงำนตำมกฎหมำยใหม่ เพรำะลูกจ้ำงประจำก็เป็นเจ้ำพนักงำนได้
แต่ฎีกำนี้อำจจะไม่เป็นกำรปฏิบัติหน้ำท่ีในฐำนะเจ้ำพนักงำนเพรำะเป็นเพียงนักกำรของเทศบำล ผล
น่ำจะเหมือนเดมิ คอื เป็นผสู้ นับสนุน แตก่ ำรให้เหตผุ ลตอ้ งเปล่ียนไป

ฎีกาท่ี ๑๕๒๔๘-๑๕๒๔๙/๒๕๕๗ จาเลยเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยของโจทก์ ซ่ึงพนักงาน
มหาวิทยาลัยดังกล่าวคือ พนักงานในสถาบันอุดมศึกษาตามความในมาตรา ๔ แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบ
ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาฯ พ.ร.บ.ฉบับน้ีกาหนดคานิยามของ "พนัก งานใน
สถาบนั อดุ มศึกษา" ว่า หมายถงึ บุคคลซ่งึ ได้รับการจ้างตามสัญญาจ้างให้ทางานในสถาบันอุดมศึกษา
โดยได้รับค่าจ้างหรือค่าตอบแทนจากเงินงบประมาณแผ่นดินหรือเงินรายได้ของสถาบันอุดมศึกษา
ซ่ึงความหมายของ "พนักงานในสถาบันอุดมศึกษา" ตามกฎหมายฉบับนี้แตกต่างจากความหมายของ
"ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา" ตามกฎหมายฉบับเดียวกนั กล่าวคือ "ขา้ ราชการพลเรือน
ในสถาบันอุดมศึกษา" หมายถึง บคุ คลซึง่ ไดร้ บั บรรจแุ ละแต่งตงั้ ใหร้ บั ราชการตาม พ.ร.บ.น้ี โดยได้รับ
เงินเดือนจากเงินงบประมาณประเภทเงินเดือนในสถาบันอุดมศึกษา หากเปรียบเทียบข้อแตกต่าง
สาคัญแล้ว จะเห็นได้ชัดว่า "ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา" เป็นบุคคลที่ได้รับการบรรจุ
และแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการ โดยได้รับเงินเดือนจากเงินงบประมาณประเภทเงินเดือนใน
สถาบันอุดมศึกษา จึงมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ส่วน "พนักงานใน
สถาบันอุดมศึกษา" เป็นบุคคลท่ีได้รับการจ้างตามสัญญาจ้างให้เป็นพนักงาน จึงถือไม่ได้ว่าเป็น
ข้าราชการ อีกท้ังค่าจ้างหรือค่าตอบแทนพนักงานในสถาบันอุดมศึกษาก็มิใช่เงินเดือนอันมีที่มาจาก
เงินงบประมาณประเภทเงินเดือนในสถาบันอุดมศึกษา แม้ พ.ร.บ.ฉบับน้ีจะระบุว่า พนักงานใน
สถาบันอุดมศึกษาได้รับค่าจ้างหรือค่าตอบแทนจากเงินงบประมาณแผ่นดินก็ตาม แต่เม่ือพิจารณา
ความหมายของพนักงานมหาวิทยาลัยทั้งสายวิชาการและสายสนับสนุนตามข้อ ๔ แห่งข้อบังคับ
มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิแล้ว ล้วนได้ความตรงกันว่าพนักงานมหาวิทยาลัยท้ังสองประเภทได้รับ
ค่าจ้างหรือค่าตอบแทนจากเงินงบประมาณแผ่นดินหมวดเงินอุดหนุนท่ัวไปหรือเงินรายได้ของ
มหาวิทยาลัย เมื่อจาเลยเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยหรือพนักงานในสถาบันอุดมศึกษาซ่ึงมิใช่
ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาและไม่ได้รับเงินเดือนจากเงินงบประมาณประเภทเงินเดือน
ในสถาบันอุดมศึกษา ประกอบกับไม่มีกฎหมายหรือข้อบังคับใดกาหนดให้พนักงานใน
สถาบันอุดมศึกษาเป็นเจ้าพนักงาน จาเลยจึงไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานตาม ป.อ. และศาล
ไม่อาจลงโทษจาเลยในฐานะเป็นเจ้าพนักงานผู้กระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๗, ๑๕๗ และ
๑๖๑ ได้

จาเลยมีหน้าที่รับผิดชอบในงานเบิก-จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดิน ตรวจสอบเอกสาร
เงินยืม ติดตามเงินยืมและตัดยอดเงินยืม ดังน้ัน แม้จาเลยจะจัดทาเอกสารเก่ียวกับงานการเงิน

239

ในหน้าที่รับผิดชอบของจาเลยไม่ตรงกับความเป็นจริงและใช้หรืออ้างเอกสารดังกล่าวเสนอต่อ
ผบู้ ังคบั บัญชา ก็ถือไม่ได้ว่าจาเลยกระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๔ ฐานปลอมเอกสาร มาตรา
๒๖๘ ฐานใช้เอกสารปลอม และมาตรา ๑๓๗ ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน เพราะ
จาเลยเปน็ ผ้บู ันทึกข้อความลงในเอกสารตา่ ง ๆ ด้วยตนเอง โดยจาเลยมิได้เป็นผูแ้ จ้งข้อความดังกล่าว
แก่เจ้าพนกั งานอน่ื แตอ่ ยา่ งใด
ข้อสังเกต ฎีกำน้ีน่ำจะเป็นเจ้ำพนักงำนตำมกฎหมำยใหม่ ถ้ำกำรกระทำครบองค์ประกอบควำมผิด
ผลคดคี วำมผิดตอ่ ตำแหน่งหน้ำทรี่ ำชกำรน่ำจะเปล่ยี นไป

ฎีกาท่ี ๑๗๙๗๘/๒๕๕๗ ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคล่ืนความถี่และกากับกิจการวิทยุ
กระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมฯ ทใี่ ชบ้ ังคับอยใู่ นขณะเกิดเหตบุ ัญญัติไว้ชดั เจน
วา่ ให้คณะกรรมการ กสช. ก็ดี คณะกรรมการ กทช. ก็ดี และพนักงานสานักงานของคณะกรรมการ
ดังกล่าว ก็ดี เป็นเจ้าพนักงานตาม ป.อ. แต่ใน กฎหมายฉบับเดียวกัน มาตรา ๔๙ ว่าด้วย
คณะกรรมการสรรหา ท่มี า และบทบาทหน้าท่ี ไม่ไดก้ าหนดวา่ คณะกรรมการสรรหากรรมการกิจการ
โทรคมนาคมเป็นเจ้าพนักงานตาม ป.อ. เช่นเดียวกันกับคณะกรรมการ กสช. หรือ กทช. หรือ
พนักงานดังกล่าว เช่นนี้ ย่อมเห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าวได้ชัดเจนว่า กฎหมายไม่ได้
มีเจตนารมณ์ที่จะให้คณะกรรมการสรรหากรรมการกิจการโทรคมนาคมต้องมีอานาจหน้าท่ีหรือ
มีความรับผิดในฐานะเป็นเจ้าพนักงานตาม ป.อ. จาเลยเป็นเพียงคณะกรรมการสรรหากรรมการ
กิจการโทรคมนาคม จึงไม่ใช่เจ้าพนักงานท่ีจะต้องรับผิดในฐานะเป็นเจ้าพนักงานตาม ป.อ. มาตรา
๑๕๗, ๑๕๘, ๑๖๑ และ ๑๖๒

ตาแหน่งประธานวุฒิสภา เป็นตาแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ ไม่ใช่ตาแหน่ง
เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา การยื่นรายงานเรื่องผลการพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่
สมควรไดร้ บั การเสนอชือ่ เปน็ กทช. จึงไม่อาจท่จี ะเปน็ ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๓๗ ได้
ข้อสังเกต ฎีกำน้ีน่ำจะเป็นเจ้ำพนักงำนตำมกฎหมำยใหม่ ถ้ำกำรกระทำครบองค์ประกอบควำมผิด
ผลคดีควำมผิดตำม ป.อ. มำตรำ ๑๕๗, ๑๕๘, ๑๖๑ และ ๑๖๒ น่ำจะเปล่ียนไป ส่วนที่ศำลฎีกำ
วินิจฉัยว่ำ “ตำแหน่งประธำนวุฒิสภำ เป็นตำแหน่งสมำชิกสภำนิติบัญญัติแห่งรัฐ ไม่ใช่ตำแหน่ง
เจ้ำพนักงำนตำมประมวลกฎหมำยอำญำ กำรยื่นรำยงำนเร่ืองผลกำรพิจำรณำคัดเลือกบุคคล
ท่ีสมควรได้รับกำรเสนอชื่อเป็น กทช. จึงไม่อำจท่ีจะเป็นควำมผิดตำม ป.อ. มำตรำ ๑๓๗ ได้”
ยงั เปน็ บรรทัดฐำนทใ่ี ช้ไดต้ ำมกฎหมำยปจั จุบัน

ฎีกาท่ี ๑๘๑๖๑/๒๕๕๗ การกระทาอันจะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗ ผู้กระทา
ตอ้ งเป็นเจ้าพนกั งานตามความในประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งหมายถึงผู้ปฏบิ ัตหิ น้าทีใ่ นหนว่ ยงานของ
รฐั ทเ่ี ป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าดว้ ยการบรหิ ารราชการแผ่นดนิ หรอื ผ้ปู ฏบิ ัตหิ นา้ ทใ่ี นหนว่ ยงาน
ของรัฐอ่ืนที่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นเจ้าพนักงานตามความในประมวลกฎหมายอาญา หรือผู้ท่ีมี
กฎหมายบัญญัติว่าหากได้รับแต่งตั้งจากผู้มีอานาจหน้าที่ให้ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามควา มใน
ประมวลกฎหมายอาญา

240

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย จัดต้ังขึ้นตาม พ.ร.บ.สถาบันวิจัย
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๕๒๒ มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ แต่เม่ือ
พิจารณา พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.๒๕๔๕ มาตรา ๓๙ ท่ีว่าด้วยส่วนราชการของ
กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ไม่ปรากฏว่าสถาบันแห่งน้ีเป็นส่วนราชการในสังกัดของ
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดว้ ย จาเลยจึงมิใช่ผู้ปฏิบัติหน้าท่ีในหนว่ ยงานของรัฐท่เี ป็นส่วน
ราชการตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการแผ่นดิน และไม่ปรากฏว่ามีบทมาตราใดบัญญัติว่า
การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ปฏิบัติหน้าท่ีในสถาบันแห่งนี้เป็นเจ้าพนักงานตามความในประมวลกฎหมาย
อาญาด้วย การปฏิบัติหน้าท่ีของจาเลยในฐานะประธานกรรมการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยีแห่งประเทศไทยในการพิจารณาและวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ตามฟ้อง จึงไม่อาจเป็น
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗ ได้

ขณะเกิดเหตุจาเลยมีตาแหน่งเป็นรองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็น
ข้าราชการพลเรือนและรับเงินเดอื นจากงบประมาณแผ่นดิน ทาหน้าทีป่ ระธานกรรมการสถาบนั วิจัย
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยแี ห่งประเทศไทยตามคาส่งั ของผบู้ ังคับบัญชา การปฏิบตั หิ น้าท่ีของจาเลย
ตามฟ้องเป็นการใช้อานาจหน้าที่ของประธานกรรมการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่ง
ประเทศไทย มิได้เป็นการใช้อานาจหน้าที่ของรองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซ่ึง
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกัน จะถือว่าการใช้อานาจหน้าที่ในฐานะประธานกรรมการ
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยของจาเลยเป็นการใช้อานาจหน้าท่ีในฐานะ
รองปลดั กระทรวงวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยดี ้วยมิได้
ข้อสังเกต ฎีกำนี้น่ำจะเป็นเจ้ำพนักงำนตำมกฎหมำยใหม่ ถ้ำกำรกระทำครบองค์ประกอบควำมผิด
กจ็ ะเป็นควำมผิดตอ่ ตำแหนง่ หน้ำท่รี ำชกำรได้

กรณีเจ้าพนกั งานไม่มอี านาจหนา้ ท่ี

ฎีกาท่ี ๖๗๙๗/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๕o โจทก์ให้ ม. นาเงินไปมอบแก่จาเลยไว้ใช้เป็น
หลักประกันสัญญาจ้าง จึงเป็นการท่ีจาเลยครอบครองทรัพย์ของผู้อ่ืน การที่จาเลยปฏิเสธวา่ ไม่ได้รับ
ไว้ย่อมเป็นการเบียดบังเอาเงินดังกล่าวของโจทก์ไว้โดยทุจริตอันเป็นความผิดฐานยักยอกตาม ป.อ.
มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก แม้โจทก์จะฟ้องวา่ จาเลยกระทาความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรพั ย์
ตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๗ และทางพิจารณาได้ความว่าเงินดังกล่าวเป็นของโจทก์ ทั้งการเบียดบัง
เอาเงินน้ันจาเลยมิได้กระทาโดยเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่รกั ษาเงินดังกล่าว ซึ่งไม่อาจลงโทษจาเลย
ตามคาขอของโจทก์ได้ แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องกล่าวถึงข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด
ฐานยักยอกตามมาตรา ๓๕๒ ไว้แล้ว ศาลก็ย่อมมีอานาจลงโทษจาเลยในความผิดตามมาตรา ๓๕๒
วรรคแรก ไดต้ าม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๙๒ วรรคท้าย ประกอบมาตรา ๒๑๕ และ ๒๒๕

241

เทศบาลตาบล บ. มิได้มีคาส่ังมอบหมายให้จาเลยมีหน้าท่ีรับเงินแต่อย่างใด จาเลยจึงมิได้
เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่รับเงินและออกใบเสร็จรับเงิน การที่จาเลยไม่ออกใบเสร็จรับเงิน
คา่ หลักประกนั สัญญาจา้ งแกโ่ จทก์ ไม่มผี ลให้การกระทาของจาเลยเป็นความผิดตามกฎหมาย แต่เมื่อ
จาเลยมีหน้าทีใ่ นการจัดทาสัญญาจ้างระหว่างโจทกก์ ับเทศบาลตาบล บ. การที่จาเลยอ้างแก่โจทก์ว่า
ยังจัดพิมพ์สัญญาจ้างไม่เสร็จ รวมทั้งแจ้งแก่โจทก์ว่าโจทก์ไม่สามารถลงนามในสัญญาจ้างได้ เพราะ
สานักงานตรวจเงินแผ่นดินไม่ยอมให้โจทก์ลงนามน้ัน แสดงให้เห็นว่าจาเลยมีพฤติการณ์ที่ใช้อานาจ
หน้าท่ีกดี กันโจทก์ในการเปน็ ผู้รบั จา้ งก่อสร้างโดยบ่ายเบี่ยงประวงิ ให้ล่วงเลยตามหนังสือแจ้งให้โจทก์
มาทาสัญญากับเทศบาลตาบล บ. เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเรียกผู้รับจ้างรายใหม่มาทาสัญญาและ
โจทก์ต้องมีช่ือเป็นผู้ทิ้งงานราชการ ส่อให้เห็นถึงความไม่สุจริตของจาเลย แม้ไม่ปรากฏว่าจาเลย
กระทาการโดยทุจริต แต่การกระทาของจาเลยบ่งช้ีว่าจาเลยมีเจตนากระทาโดยมิชอบเพื่อให้เกิด
ความเสียหายแก่โจทก์ อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบเพ่ือให้เกิดความ
เสียหายแก่ผู้หน่ึงผู้ใดตามที่โจทก์ฟ้อง จาเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗ และเป็นการ
กระทาต่างกรรมต่างวาระกับความผิดฐานยกั ยอก

ฎีกาที่ ๑๑๕๓/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล. ๔ น. ๓๑ แม้ พ.ร.บ. ลักษณะปกครองท้องที่ฯ มาตรา ๒๗
จะกาหนดให้ผู้ใหญ่บ้านทาหน้าที่ช่วยเหลือนายอาเภอในการปฏิบัติหน้าที่และเป็นหัวหน้าราษฎรใน
หม่บู ้านของตน และให้มอี านาจหน้าท่ีอ่ืนอีกหลายประการ รวมท้ังการจดั ใหม้ ีการประชมุ ราษฎรและ
คณะกรรมการหมู่บ้านเป็นประจาอย่างน้อยเดือนละหน่ึงคร้ังก็ตาม แต่กฎหมายดังกล่าวมิได้
กาหนดให้ผู้ใหญ่บ้านมีอานาจหน้าที่ตรวจสอบการใช้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน หรือการ
ดาเนินกิจกรรมใด ๆ โดยการใช้เงินทไ่ี ด้รับการอุดหนุนจากองคก์ รปกครองส่วนท้องถ่ิน ดังน้ัน การที่
ผู้เสียหายจัดให้มีการประชุมราษฎรและคณะกรรมการหมู่บ้านและตรวจสอบกรณีสภาองค์การ
บริหารส่วนตาบลดอนเจดีย์มีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติให้จ่ายขาดเงินสะสมอุดหนุนกิจการการเกษตร
ให้แก่กลุ่มเกษตรกรผู้ใช้น้าฯ จึงมีวัตถุประสงค์เพ่ือกระทาการนอกอานาจหน้าท่ี มิใช่เป็นการกระทา
ตามอานาจหน้าท่ีของผู้ใหญ่บ้าน ท้ังได้ความว่าผู้เสียหายหวังจะใช้โอกาสดังกล่าวกล่าวหาสมาชิก
สภาองค์การบริหารส่วนตาบลดอนเจดีย์ที่มีมติว่ามีเจตนาโอนเงินให้พวกพ้องทุจริตโกงกินกันเพื่อ
ทาลายความน่าเชื่อถือ เพราะเกรงว่าสามีผู้เสียหายซ่ึงกาลังจะสมัครรับเลือกต้ังเป็นสมาชิกสภา
องค์การบริหารส่วนตาบลดอนเจดีย์จะเสียเปรียบในการเลือกต้ัง มิใช่เป็นการกระทาตามอานาจ
หน้าท่ีของผู้ใหญ่บ้านในการดูแลทุกข์สขุ ของราษฎรในหมู่บา้ นซึ่งเป็นอานาจหน้าที่ตามกฎหมาย การ
ท่ีจาเลยใช้วาจาขู่เข็ญให้ผู้เสียหายต้องยกเลิกการประชุมจึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา ๑๓๙

ฎีกาท่ี ๒๖๒/๒๕๔๓ ฎ.๕๔๗ ความผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ราชการตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗
ต้องเปน็ การปฏิบัติหรือละเว้นปฏบิ ตั ิหนา้ ท่ีโดยมิชอบ

จาเลยมีหน้าท่ีรายงานและให้ความเห็นในการขอลาออกของผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านในท้องท่ี แต่
จาเลยไม่มีหน้าที่ในการทาหนังสือขอลาออก จาเลยปลอมหนังสือขอลาออกของผู้เสียหายและ
ใช้เอกสารปลอม จึงไม่ใชก่ ารปฏิบัตหิ น้าที่ ไม่เปน็ ความผิดตามมาตรา ๑๕๗

242

ฎีกาท่ี ๗๑๖๒-๗๑๖๓/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๘ น. ๑๕๒ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๑ เจ้าพนักงาน
ท่ีจะมีความผิดจะต้องมีหน้าท่ีซ้ือ ทา จัดการ หรือรักษาทรัพย์นั้น ๆ โดยตรง และใช้อานาจ
ในตาแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รฐั เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพยน์ ั้น จึงจะเป็น
ความผิด จาเลยที่ ๑ ดารงตาแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตาบล ต. ไม่ได้มีอานาจหน้าท่ีโดยตรง
ในการซื้อ ทา จัดการ หรือรักษาอาคาร อปพร. และอาคารศูนย์ประสานงานกานันผู้ใหญ่บ้านตาบล
ต. เพียงแต่ดาเนินการให้มีการก่อสร้างอาคารดังกล่าวตามโครงการก่อสร้างที่สภาองค์การบริหาร
ส่วนตาบล ต. ให้ความเห็นชอบในฐานะท่ีจาเลยที่ ๑ ดารงตาแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตาบล
ต. ท่ีมีอานาจหน้าท่ีรับผิดชอบในการบริหารราชการขององค์การบรหิ ารส่วนตาบล ต. ให้เป็นไปตาม
กฎหมายเทา่ นัน้ จึงไมม่ ีความผดิ ฐานนี้

ฎีกาที่ ๗๗๖/๒๕๖๐ ฎ.๑๓๙ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗ ต้องเป็นการปฏิบัติหรือ
ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ซง่ึ อยู่ในหน้าทขี่ องเจ้าพนักงานนั้นเองโดยมิชอบ เพ่ือให้เกิดความเสียหายแก่
ผหู้ นึ่งผู้ใดหรือโดยทุจริต ถา้ ไม่เกย่ี วกับหน้าท่ีเจ้าพนกั งานผู้นั้นโดยตรงแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิด การ
รับเงนิ ลงบันทึกในสมุดเงินสดและนาเงินไปฝากธนาคารหรือเกบ็ ในตู้นริ ภัยไม่ใช่การกระทาท่ีเกี่ยวกับ
หนา้ ท่ีของจาเลยซึง่ เป็นเจ้าพนักงานตาแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตาบลโดยตรง การกระทาของ
จาเลยดงั กลา่ วไมเ่ ปน็ ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗

ฎีกาที่ ๗๔๔๑/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๘ น. ๑๐๘ แม้จาเลยซ่ึงเป็นประธานกรรมการบริหาร
องค์การบริหารส่วนตาบล ย. เป็นคณะกรรมการรับ-ส่งเงิน จะไปรับเงินจากธนาคาร แต่ระเบียบ
กระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการ
ตรวจเงินขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นฯ ข้อ ๗๐ เป็นหน้าท่ีของหน่วยงานคลังในการจ่ายเงิน
ให้แก่ผู้รับจ้างแรงงาน ดังนี้ เมื่อคณะกรรมการรับ-ส่งเงินรับเงินมาจากธนาคารแล้ว จาเลยจึงไม่มี
หน้าท่ีโดยตรงเก่ียวกับเงินค่าจ้างแรงงานดังกล่าวอีกต่อไป จาเลยซ่ึงดารงตาแหน่งประธาน
กรรมการบริหารองค์การบรหิ ารส่วนตาบลจึงมีอานาจเพียงอนุมตั ิฎีกาตามท่ีหวั หน้าส่วนการคลงั ของ
องค์การบริหารส่วนตาบลเสนอเท่าน้ัน ส่วนการจ่ายเงินเป็นหน้าท่ีของหน่วยงานคลังขององค์การ
บริหารส่วนตาบลเป็นผู้ดาเนินการจ่ายเงินให้แก่ราษฎรที่รับจ้างแรงงานเองตามระเบียบดังกล่าว
การทจี่ าเลยกับพวกซ่ึงเป็นกรรมการรับ-ส่งเงนิ ไปเบิกถอนและรับเงินจากธนาคารมาเพื่อเบิกจ่ายเงิน
ให้แก่ราษฎรผู้รับจ้างแล้ว จาเลยยืนยันขอรับเงินไปจ่ายให้แก่ราษฎรผู้รับจ้างเอง โดยจาเลยลงชื่อ
รับเงินในสมุดคุมการจ่ายเงินไว้ จึงเป็นการกระทานอกเหนืออานาจหน้าท่ีของจาเลย อันเป็นการ
ผิดระเบียบกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว จาเลยไม่มีอานาจหน้าที่นาเงินค่าจ้างแรงงานไปจ่ายให้แก่
ราษฎรเอง เมื่อจาเลยรับเงินไปแล้วเบียดบังเอาไปโดยทุจริต ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทาความผิด
ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการหรอื รักษาเงนิ การกระทาของจาเลยจงึ ไม่เป็นความผิดตาม
ป.อ. มาตรา ๑๔๗ ซ่ึงเป็นบทบัญญัติให้เอาผิดแก่เจ้าพนักงานท่ีเบียดบังเอาทรัพย์ที่ตนได้มาหรือถือ
ไวเ้ พ่อื จัดการตามหน้าที่ แต่กรณีคงเปน็ ความผดิ ฐานยักยอกตามมาตรา ๓๕๒

ฎีกาท่ี ๕๗๘๗/๒๕๔๓ ฎ.๑๗๐๗ การกระทาท่ีจะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗

243

จะต้องได้ความว่า เจ้าพนักงานผู้นั้นได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต
เฉพาะเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนตามกฎหมายหรือระเบียบหรือที่ได้รับมอบหมายให้กระทา
โดยตรงเทา่ น้ัน

จาเลยทั้งเก้าเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตาบล จาเลยท่ี ๑ เป็นรองประธานสภา
องค์การบริหารส่วนตาบล นายอาเภออนุมัติและมีคาส่ังประกาศให้สภาองค์การบริหารส่วนตาบล
เปิดสมัยประชุมวิสามัญและชอบด้วย พ.ร.บ. สภาตาบลและองค์การบริหารส่วนตาบลฯ มาตรา ๕๕
วรรคหน่ึง ในการเรียกประชุม พ.ร.บ. สภาตาบลและองค์การบริหารส่วนตาบลฯ มาตรา ๕๔
กาหนดให้เป็นหน้าท่ีของประธานสภาองค์การบริหารส่วนตาบลเป็นผู้เรียกประชุมสภาองค์การ
บริหารส่วนตาบลตามสมัยประชุมและเป็นผู้เปิดและปิดประชุม เว้นแต่กรณีท่ียังไม่มีประธานสภา
องค์การบริหารส่วนตาบล หรือประธานสภาองค์การบริหารส่วนตาบลไม่เรียกประชุมตามกฎหมาย
จึงเป็นหน้าท่ีของนายอาเภอที่จะต้องเรียกประชุมและเป็นผู้เปิดหรือปิดประชุม เม่ือนายอาเภอได้มี
ประกาศให้สภาองค์การบริหารส่วนตาบลเปิดสมัยประชุมวิสามัญตามคาร้องขอของจาเลยท้ังเก้า
กับพวกได้แล้ว ผู้ทีม่ หี นา้ ท่ีเรียกสมาชิกสภาองคก์ ารบริหารสว่ นตาบลมาประชุมตามวนั ท่ีกาหนดยอ่ ม
ต้องเป็นประธานสภาองค์การบริหารส่วนตาบล คือ นายอาเภอเท่านั้น จาเลยที่ ๑ ซ่ึงเป็น
รองป ระธ านส ภ าองค์การบ ริห ารส่วน ตาบล ไม่มี หน้ าที่ ใน การเรียกป ระชุม สภ าองค์ก ารบ ริห าร
ส่วนตาบล เว้นแต่จะได้รับมอบหมายจากนายอาเภอ เมื่อนายอาเภอไม่ได้มอบหมายให้จาเลยที่ ๑
เรียกประชุม จาเลยท่ี ๑ จึงไม่มีอานาจหน้าท่ีจะเรียกประชุมสมัยวิสามัญดังกล่าวได้ แม้จาเลยที่ ๑
ทาหนังสือเรียกประชุมสภาองค์การบริหารส่วนตาบล และจาเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ พร้อมสมาชิกสภา
องค์การบริหารส่วนตาบลมาร่วมประชุม โดยมีจาเลยที่ ๑ ทาหน้าท่ีประธานท่ีประชุมในวันดังกล่าว
ก็ตาม แต่กไ็ ม่ใช่เป็นการประชุมสภาองค์การบริหารส่วนตาบลสมัยวิสามญั โดยชอบตาม พ.ร.บ. สภา
ตาบลและองค์การบริหารส่วนตาบลฯ หมวด ๒ ส่วนท่ี ๑ ว่าด้วยสภาองค์การบริหารส่วนตาบล
จาเลยทงั้ เกา้ จงึ ไม่มหี น้าท่ีต้องเข้าร่วมประชมุ สมยั วสิ ามัญซึ่งเรียกประชุมโดยไม่ชอบด้วยบทกฎหมาย
หากมติท่ีประชุมจะก่อให้เกิดให้ความเสียหายแก่โจทก์ จาเลยท้ังเก้าก็ไม่มีความผิดฐานเป็น
เจ้าพนกั งานปฏบิ ตั ิโดยมิชอบ

ฎีกาที่ ๑๖๔๐๗/๒๕๕๕ ฎ.๒๕๑๒ จาเลยได้รับมอบหมายตามหน้าท่ีให้ดูแลเกี่ยวกับการ
กู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพ่ือการศึกษาให้แก่นักเรียน จาเลยจึงไม่มีหน้าท่ีโดยตรงท่ีต้องเก็บ
รกั ษาสมุดบัญชีเงินฝากของนักเรยี นไว้และไปถอนเงินจากธนาคารแทนนักเรียน การท่ีจาเลยบอกให้
นักเรียนบางคนมอบสมุดบัญชีเงินฝากไว้ท่ีจาเลยและมอบอานาจให้จาเลยไปถอนเงินจากธนาคาร
แทนแล้วให้นักเรียนไปขอเบิกเงินจากจาเลยอีกทอดหนึ่ง จึงเป็นเรื่องที่จาเลยกระทาไปนอกเหนือ
หน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย นอกจากน้ีเงินท่ีกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาโอนเข้าบัญชีเงินฝาก
ของนักเรียน ถือว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของนักเรียน มิใช่เป็นทรัพย์สินของหน่วยงานราชการซ่ึง
จาเลยมีหน้าท่ีดูแลรักษาอีกด้วย การที่จาเลยไม่มีหน้าท่ีต้องดูแลรับผิดชอบเงินในบัญชีเงินฝาก
อนั เป็นบัญชีส่วนตัวของนักเรยี น แม้จาเลยจะได้นาไปใช้หมุนเวยี นเพื่อประโยชนส์ ่วนตนก่อนท่ีจะถูก

244

ร้องเรียนและคืนให้นักเรียนในภายหลังหรือไม่ก็ตาม คงเข้าลักษณะของการกระทาที่อาจเป็นการ
ยักยอกตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ ซ่ึงโจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษ จาเลยไม่มีความผิดฐานเป็น
เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
โดยทุจรติ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗

ฎีกาที่ ๑๐๐๕/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๑๑ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗ จะต้องเป็นการ
ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าท่ีซึ่งอยู่ในหน้าท่ีของเจ้าพนักงานนั้นเองโดยมิชอบ เพ่ือให้เกิดความ
เสียหายแก่ผู้หน่ึงผู้ใดหรือโดยทุจริต ถ้าไม่เกี่ยวกับหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรงแล้วย่อม
ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ เม่ือขณะที่จาเลยท้ังสองมาเอารถยนต์แท็กซ่ีจากโจทก์ไป จาเลยท่ี ๒
แต่งเครื่องแบบตารวจเท่าน้ัน แต่จาเลยท่ี ๒ กระทาไปโดยไม่มีกฎหมายรองรับ ไม่มีอานาจหน้าท่ี
จะต้องทา แสดงว่าการไปเอารถยนต์แท็กซี่จากโจทก์นั้น มิใช่การกระทาท่ีเกี่ยวกับหน้าท่ีของจาเลย
ที่ ๒ ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจาเลยท่ี ๒ จึงไม่มีมูลความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการ
ปฏบิ ัติหนา้ ที่โดยมิชอบ

ฎีกาท่ี ๑๐๓๔/๒๕๕๘ ฎ.ส.ล.๔ น.๒๑ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗ จะต้องเป็นการ
ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งอยู่ในหน้าท่ีของเจ้าพนักงานนั้นเองโดยมิชอบด้วย เพ่ือให้เกิด
ความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือโดยทุจริต ถ้าไม่เก่ียวกับอานาจหน้าท่ีของเจ้าพนักงานผู้น้ันโดยตรง
แล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตราดังกล่าว ขณะเกิดเหตุอานาจหน้าท่ีในการแต่งตั้งพนักงาน
เจ้าหน้าที่ของสานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจาจังหวัดชลบุรี เป็นอานาจหน้าที่ของ
เลขาธิการสานักงานคณะกรรมการการเลือกต้ังตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย
คณะกรรมการการเลือกตั้งฯ มาตรา ๓๐ จาเลยทั้งหกมีอานาจตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง
มอบหมายตามมาตรา ๑๓ ของพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งมิได้กาหนดให้จาเลยท้ังหกในฐานะ
คณะกรรมการการเลือกตง้ั ประจาจังหวดั มอี านาจหน้าท่ีในการแตง่ ต้ังโยกย้ายพนกั งานของสานักงาน
คณะกรรมการการเลือกต้ัง การที่จาเลยท้ังหกมีการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งประจาจงั หวัด
ชลบุรี แล้วมีมติว่าให้ส่งตัวโจทก์คืนสานักงานคณะกรรมการการเลือกต้ังและให้แต่งต้ังหัวหน้างาน
สืบสวนสอบสวนคนใหม่แทนโจทก์ จาเลยท้ังหกกระทาไปโดยไม่มีอานาจหน้าท่ี ท้ังไม่ปรากฏว่า
หลังจากจาเลยที่ ๑ ทาหนังสือขอส่งตัวโจทก์คืนไปยังเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง
เลขาธิการมีคาสั่งเก่ียวกับหนังสือดังกล่าวอย่างไร การท่ีโจทก์ได้รับคาส่ังให้ไปช่วยราชการท่ี
สานักงานคณะกรรมการการเลือกต้ัง ก็เป็นเวลาต้ังแต่วันท่ี ๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๘ ก่อนท่ีจะมีมติ
ดังกล่าว ส่วนท่ีโจทกไ์ ดร้ ับคาส่ังให้ช่วยราชการต่อเน่ืองกันมาจนถึงวันท่ี ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ตาม
คาสั่งของเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกต้ัง โดยไม่ปรากฏว่าการมีคาส่ังดังกล่าวสืบเนื่องมาจาก
การลงมติของจาเลยท้ังหกที่ให้ส่งตัวโจทก์คืน การกระทาของจาเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ จึงหาใช่เป็นการใช้
อานาจในตาแหน่งโดยมิชอบ หรือเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบตาม ป.อ.
มาตรา ๑๕๗ แต่อยา่ งใด

ฎีกาที่ ๘๐๑/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๖๗ ป.อ. มาตรา ๑๔๗ เป็นบทบัญญัติทลี่ งโทษแก่บุคคล

245

ท่ีกระทาความผิดที่เป็นเจ้าพนักงานและต้องมีหน้าท่ีซ้ือ ทา จัดการหรือรักษาทรัพย์ แม้จาเลยท่ี ๒
จะเป็นเจ้าพนักงานและเป็นภริยาของจาเลยที่ ๑ ตลอดจนร่วมกับจาเลยท่ี ๑ ในการเบียดบังเงินยืม
ทดรองราชการเปน็ ของตนโดยทุจรติ แต่จาเลยท่ี ๑ เพยี งผู้เดียวทเี่ ปน็ ผู้ขอเงนิ ยืมทดรองราชการและ
ได้รับอนุญาต จาเลยที่ ๑ จึงเป็นผู้มีหน้าที่โดยตรงในการจัดการหรือรักษาเงินยืมทดรองราชการ
จาเลยที่ ๒ หาได้มีหน้าท่ีโดยตรงในการจัดการหรือรักษาเงินยืมทดรองราชการ แม้จาเลยท่ี ๒
จะร่วมกับจาเลยท่ี ๑ กระทาความผิดต่อบทบัญญัตดิ งั กล่าวก็จะลงโทษจาเลยท่ี ๒ อยา่ งเจา้ พนกั งาน
ผู้มีหน้าที่ในการจัดการหรือรักษาทรัพย์แล้วเบียดบังทรัพย์เป็นของตนโดยทุจริตไม่ได้ คงลงโทษ
จาเลยท่ี ๒ ได้แตเ่ พียงในฐานะผ้สู นับสนุนตาม ป.อ. มาตรา ๘๖ เทา่ นนั้

กรณีเจา้ พนกั งานมอี านาจหนา้ ที่

ฎีกาท่ี ๖๗๙๗/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๕o โจทก์ให้ ม. นาเงินไปมอบแก่จาเลยไว้ใช้เป็น
หลักประกันสัญญาจ้าง จึงเป็นการที่จาเลยครอบครองทรพั ย์ของผู้อ่ืน การท่ีจาเลยปฏิเสธวา่ ไม่ได้รับ
ไว้ย่อมเป็นการเบียดบังเอาเงินดังกล่าวของโจทก์ไว้โดยทุจริตอันเป็นความผิดฐานยักยอกตาม ป.อ.
มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก แมโ้ จทก์จะฟ้องว่าจาเลยกระทาความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรพั ย์
ตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๗ และทางพิจารณาได้ความว่าเงินดังกล่าวเป็นของโจทก์ ทั้งการเบียดบัง
เอาเงินนั้นจาเลยมิได้กระทาโดยเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าท่ีรักษาเงินดังกล่าว ซึ่งไม่อาจลงโทษจาเลย
ตามคาขอของโจทก์ได้ แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องกล่าวถึงข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด
ฐานยักยอกตามมาตรา ๓๕๒ ไว้แล้ว ศาลก็ย่อมมีอานาจลงโทษจาเลยในความผิดตามมาตรา ๓๕๒
วรรคแรก ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๙๒ วรรคท้าย ประกอบมาตรา ๒๑๕ และ ๒๒๕

เทศบาลตาบล บ. มิได้มีคาส่ังมอบหมายให้จาเลยมีหน้าท่ีรับเงินแต่อย่างใด จาเลยจึงมิได้
เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าท่ีรับเงินและออกใบเสร็จรับเงิน การท่ีจาเลยไม่ออกใบเสร็จรับเงิน
คา่ หลักประกนั สัญญาจา้ งแก่โจทก์ ไมม่ ผี ลให้การกระทาของจาเลยเป็นความผดิ ตามกฎหมาย แต่เม่ือ
จาเลยมีหน้าท่ใี นการจัดทาสัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับเทศบาลตาบล บ. การทีจ่ าเลยอ้างแก่โจทก์ว่า
ยังจัดพิมพ์สัญญาจ้างไม่เสร็จ รวมท้ังแจ้งแก่โจทก์ว่าโจทก์ไม่สามารถลงนามในสัญญาจ้างได้ เพราะ
สานักงานตรวจเงินแผ่นดินไม่ยอมให้โจทก์ลงนามน้ัน แสดงให้เห็นว่าจาเลยมีพฤติการณ์ที่ใช้อานาจ
หน้าท่ีกดี กันโจทก์ในการเป็นผู้รบั จา้ งก่อสร้างโดยบ่ายเบ่ียงประวงิ ใหล้ ่วงเลยตามหนังสือแจ้งให้โจทก์
มาทาสัญญากับเทศบาลตาบล บ. เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเรียกผู้รับจ้างรายใหม่มาทาสัญญาและ
โจทก์ต้องมีช่ือเป็นผู้ทิ้งงานราชการ ส่อให้เห็นถึงความไม่สุจริตของจาเลย แม้ไม่ปรากฏว่าจาเลย
กระทาการโดยทุจริต แต่การกระทาของจาเลยบ่งช้ีว่าจาเลยมีเจตนากระทาโดยมิชอบเพ่ือให้เกิด
ความเสียหายแก่โจทก์ อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพ่ือให้เกิดความ
เสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตามท่ีโจทก์ฟ้อง จาเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗ และเป็นการ
กระทาต่างกรรมต่างวาระกับความผดิ ฐานยักยอก

246

ฎีกาท่ี ๖๘๗๗/๒๕๕๙ การยึดรถกระบะของกลางตลอดจนการคืนล้วนเกี่ยวข้องกับอานาจ
หน้าท่ีของพนักงานสอบสวนตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๘๕ วรรคสาม (เดิม), ๑๓๑ ส่วนเร่ืองการเก็บรักษา
ดูแล หรือพจิ ารณาส่ังคนื ของกลาง แมต้ ามขอ้ บังคบั หรือระเบียบของสานักงานตารวจแหง่ ชาติจะมิได้
กาหนดให้เป็นอานาจหน้าท่ีของพนักงานสอบสวนเจ้าของสานวนโดยลาพังก็ตาม ก็หาทาให้อานาจ
หน้าท่ีของพนักงานสอบสวนที่ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายหมดสิ้นไป จาเลยในฐานะ
พนักงานสอบสวนเจ้าของสานวนเรียกรับเงินค่าตรวจสภาพรถกระบะของกลางโดยไม่มีอานาจ
โดยชอบด้วยกฎหมาย ย่อมเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗

ฎีกาท่ี ๗๒๑๑/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๕ น.๒๐๕ จาเลยรับราชการในตาแหนง่ เจ้าพนกั งานปกครอง
๕ เป็นผู้จัดทาสาเนาทะเบียนบ้านข้ึนเอง และเป็นผู้ลงลายมือช่ือรับรองสาเนาในฐานะนายทะเบียน
ด้วยตนเอง หาใช่มีบุคคลอื่นปลอมลายมือช่ือของจาเลยไม่ เพ่ือใช้ประโยชน์เป็นหลักฐานประกอบ
ให้แก่ ช. นาไปขอบัตรประจาตัวประชาชน ซ่ึงจาเลยเป็นผู้อนุมัติให้ออกบัตรประจาตัวประชาชน
ให้แก่ ช. แม้จาเลยอ้างว่าไม่มีอานาจท่ีจะวินิจฉัยให้ ช. เพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านได้ กรณีน้ีแม้จาเลย
ไม่มีอานาจหน้าที่ที่จะปฏิบัติการดังกล่าวให้เสร็จลุล่วงเพราะต้องเสนอนายอาเภอวินิจฉัยอีกด้วย
แต่การกระทาดังกล่าวส่วนหนึ่งกเ็ ป็นอานาจหนา้ ท่ีของจาเลย ฉะนั้น การท่ีจาเลยกระทาการดังกล่าว
เพ่ือช่วยเหลือให้ ช. มีบัตรประจาตัวประชาชนโดยที่ ช. เป็นบุคคลต่างด้าวไม่มีสัญชาติไทย
ไมส่ ามารถมบี ัตรประจาตวั ประชาชนเป็นคนไทยได้ จึงเปน็ ความผดิ ฐานเจ้าพนกั งานปฏิบัติหน้าที่โดย
มชิ อบ

ฎีกาท่ี ๓๔๗๘/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๓๑ การสอบสวนกรณีแจ้งการเกิดเกินกาหนดเป็น
อานาจของนายอาเภอ ปลัดอาเภอจะใช้อานาจในฐานะผู้ปฏิบัติราชการแทนไม่ได้ เว้นแต่เป็นกรณี
มอบอานาจ จาเลยท่ี ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ปกครอง รับแจ้งการเกิดของ อ. เกินกาหนด ออกใบสูติ
บัตรและลงรายการทะเบียนบ้านโดยไม่มีการสอบสวนและโดยพลการ เป็นการปฏิบัติที่ผิดระเบียบ
และผิดกฎหมาย เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗ แต่การท่ีจาเลยท่ี ๓ ในฐานะผู้ใหญ่บ้าน ทา
หนังสือรับรองว่า อ. เป็นบุตรของนาย บ. และนาง ช. ภายหลังจากความผิดท่ีจาเลยท่ี ๒ กระทา
สาเร็จไปแล้ว จึงไม่ใช่การกระทาอันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการท่ีผู้อื่นกระทา
ความผิดกอ่ นหรือขณะกระทาความผดิ ไมเ่ ปน็ ความผดิ ฐานเป็นผสู้ นับสนุน

จาเลยที่ ๒ ไม่ได้เป็นพนักงานเจ้าหน้าท่ีตาม พ.ร.บ. บัตรประจาตัวประชาชนฯ แต่จาเลย
ที่ ๒ เป็นข้าราชการ ตาแหน่งเจ้าหน้าท่ีปกครอง ๒ ตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฯ
จาเลยท่ี ๒ ได้รับคาสัง่ จากนายอาเภอให้รับผิดชอบในงานบัตรประจาตัวประชาชน ยอ่ มทาให้จาเลย
ที่ ๒ เป็นเจา้ พนกั งานผู้ทาการแทนนายอาเภอ

247

ไม่เป็นการปฏบิ ัตหิ รือละเว้นการปฏบิ ัติหนา้ ทโ่ี ดยไม่ชอบ

ฎีกาท่ี ๒๓๑๑/๒๕๖๐ ฎ.ส.ล.๒ น.๔๒ จาเลยท่ี ๒ มีคุณสมบัติและลักษณะไม่ต้องห้ามใน
การดารงตาแหน่งเป็นท่ีปรึกษานายกเทศมนตรีตาม พ.ร.บ. เทศบาลฯ มาตรา ๔๘ จตุทศ
การที่จาเลยที่ ๑ แต่งต้ังจาเลยท่ี ๒ เป็นประธานที่ปรึกษานายกเทศมนตรีเมืองท่าบ่อ ย่อมมิได้
ขัดต่อบทบญั ญัตขิ องกฎหมายแต่ประการใด

หลังจากที่จาเลยท่ี ๑ แต่งต้ังจาเลยท่ี ๒ ให้เป็นประธานท่ีปรึกษานายกเทศมนตรีแล้ว
สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประชาชาติไทย (ส.ท.ห.) เป็นผู้มีหนังสือเชิญจาเลยท่ี ๒ ร่วมเดินทาง
ไปศึกษาดูงาน ณ กรุงไทเป ดินแดนไต้หวัน โดยขอให้เบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางจากต้นสังกัด
จาเลยที่ ๑ ในฐานะนายกเทศมนตรีเพียงแต่มีคาสั่งอนุมัติให้จาเลยท่ี ๒ ไปราชการดินแดนไต้หวัน
ตามหนังสือเชิญของ ส.ท.ห. โดยให้จาเลยที่ ๒ มีสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการได้ตาม
สทิ ธิและระเบียบราชการอนั เป็นไปตามระเบียบของการปฏิบัติงานราชการโดยทั่วไป การกระทาของ
จาเลยที่ ๑ ผู้เป็นเจ้าพนักงานดังกล่าว แม้จะไม่เหมาะสมกับที่อนุมัติให้จาเลยที่ ๒ ภริยาตนไป
ราชการและเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการท่ีดินแดนไต้หวัน แต่การกระทาของจาเลยที่ ๑
ดงั กล่าวกย็ ังรับฟังไม่ไดว้ ่าเป็นการท่ีเจา้ พนกั งานปฏิบตั ิหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าทีโ่ ดยมิชอบ เพื่อให้
เกิดความเสียหายแก่ผู้หน่ึงผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยทุจริต อันเป็นการกระทา
ความผดิ ตอ่ ตาแหนง่ หน้าท่ีราชการตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗ และจาเลยท่ี ๒ ยอ่ มไมม่ ีความผิดฐานเป็น
ผู้สนับสนุนการกระทาความผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ราชการตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗ ประกอบมาตรา
๘๖
ข้อสังเกต ขอใหเ้ ปรยี บเทียบกับฎีกำที่ ๗๐๑๗/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๑๐๐ ทว่ี ินิจฉัยว่ำ “จำเลยดำรง
ตำแหน่งนำยกเทศมนตรี สมัครเข้ำรับกำรเลือกสรรให้ได้รับทุนกำรศึกษำระดับปริญญำโท แต่กลับ
แต่งต้ังตนเองเป็นประธำนกรรมกำรคัดเลอื กผู้สมควรไดร้ ับทุนกำรศึกษำระดับปรญิ ญำโท และจำเลย
ร่วมพิจำรณำคัดเลือกจำเลย กับ ม. เป็นผู้ได้รับทุนกำรศึกษำโดยปรำศจำกเหตุผล โจทก์ซึ่งเป็น
ผู้สมัครเข้ำรับกำรเลือกสรรรับทุนกำรศึกษำดังกล่ำวด้วยคนหน่ึง ย่อมได้รับควำมเสียหำยแล้ว
พฤติกำรณ์ของจำเลยจึงเป็นกำรปฏิบัติหน้ำที่หรือละเว้นกำรปฏิบัติหน้ำที่โดยมชิ อบเพ่ือให้เกิดควำม
เสียหำยแก่โจทก์” ซึ่งคงต้องหำข้อแตกต่ำงแล้วจำไปตอบข้อสอบ หรือใกล้เคียงกับอีกคดีหนึ่งท่ี
พนักงำนอัยกำรอำจฟ้องวำ่ เปน็ ควำมผิดฐำนเป็นเจำ้ พนักงำน มีหนำ้ ทจี่ ดั กำรหรอื ดูแลกิจกำรใด เข้ำมี
ส่วนได้เสียเพ่ือประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อ่ืน เนื่องด้วยกิจกำรนั้นตำมมำตรำ ๑๕๒ ซ่ึงก็มีฎีกำท่ี
๘๘๒๓/๒๕๕๙ ตัดสินวำ่ ควำมผดิ ตำม ป.อ. มำตรำ ๑๕๒ ไมม่ ีองคป์ ระกอบของควำมผิดหรอื มูลเหตุ
ชักจูงใจว่ำ อันเป็นกำรเสียหำยแก่รัฐหรือเพ่ือให้เกิดควำมเสียหำยแก่ผู้หน่ึงผู้ใด เม่ือจำเลยเป็น
ผู้จัดทำโครงกำรส่งเสริมกำรปลูกส้มเขียวหวำนปลอดโรค "กำรจัดทำแปลงสำธิตระบบกำรให้น้ำ
เหนือผิวดิน" โดยดำเนินกำรตำมขั้นตอนของทำงรำชกำรตั้งแต่เริ่มจนแล้วเสร็จ แม้ไม่ปรำกฏว่ำมี
ข้นั ตอนใดที่กระทำโดยฝำ่ ฝืนระเบียบหรอื มีระเบียบห้ำมไว้ ในข้ันตอนของกำรจัดซอ้ื วสั ดอุ ุปกรณแ์ ละ
ข้ันตอนกำรตรวจรับและกำรติดตั้งก็ไม่ปรำกฏว่ำมีกำรฝ่ำฝืนระเบียบข้อบังคับเกิดขึ้น แต่พื้นที่แปลง

248

สำธิตเป็นของ ส. ภริยำของจำเลย แม้กำรจัดหำที่ดินแปลงสำธิตจะเป็นดังท่ีจำเลยอ้ำงว่ำเกษตร
อำเภอแม่วงก์เป็นผู้จัดหำท่ีดินและเกษตรกรได้รับประโยชน์จำกแปลงสำธิตก็ตำม จำเลยก็ไม่อำจ
ปฏิเสธควำมรับผิดชอบของตนได้ เพรำะเกิดมีควำมขัดแย้งกันระหว่ำงผลประโยชน์ส่วนตนและ
ผลประโยชน์ส่วนรวมขึ้น ซ่ึงเป็นเร่ืองท่ีเกี่ยวข้องกับจริยธรรมของผู้มีตำแหน่งหน้ำที่และมีกฎหมำย
บัญญัติไว้เป็นควำมผิด กำรนำที่ดินของ ส. มำดำเนินกำรโดยมีกำรนำวัสดุอุปกรณ์และก่ิงพันธ์ุ
ส้มเขียวหวำนปลอดโรคมำลงในท่ีดิน ท่ีดินของ ส. ย่อมได้รับประโยชน์อยู่ในตัวโดยปริยำย เมื่อ
จำเลยเป็นเจ้ำพนักงำนมีหน้ำท่ีกำกับดูแลกิจกำรโครงกำรดังกล่ำว ถือว่ำจำเลยเข้ำมีส่วนได้เสียเพ่ือ
ประโยชน์สำหรับภรยิ ำตนเนอื่ งดว้ ยกจิ กำรนัน้ จำเลยจึงมคี วำมผิดตำม ป.อ. มำตรำ ๑๕๒

ฎีกาท่ี ๖๖๓๘/๒๕๕๙ ฎ.๑๘๖๓ ขณะเกิดเหตุจาเลยมีตาแหน่งเป็นผู้อานวยการกลุ่ม
ควบคุมพันธุ์พืช ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มควบคุมพันธุ์พืช จึงเป็นผู้มีอานาจพิจารณาคาขอรับใบอนุญาต
ของโจทก์ว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตตามท่ีได้รับมอบหมายจากอธิบดีกรมวิชาการเกษตรได้ มิใช่
มีหน้าท่ีต้องเสนอคาขอดังกล่าวต่ออธิบดีกรมวิชาการเกษตร เมื่อโจทก์ย่ืนคาขอรับใบอนุญาต
รวบรวมเมล็ดพันธุ์ควบคุมเพื่อการค้าพร้อมเอกสารประกอบ และจาเลยเห็นว่ายังขาดเอกสาร
หลักฐานประกอบตามกฎกระทรวงที่ออกโดยอาศัยอานาจตามความในพระราชบัญญัติพันธุ์พืชฯ
มาตรา ๑๔ วรรคสอง ท่ีบัญญัติว่า การขออนุญาตและการออกใบอนุญาตให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่กาหนดในกฎกระทรวง จึงคืนคาขอของโจทก์โดยไม่เสนอคาขอดังกล่าวต่อ
อธิบดีกรมวิชาการเกษตรเพ่ือพิจารณาสั่ง ดังน้ี การกระทาของจาเลยไม่มมี ูลความผดิ ฐานปฏิบัติหรือ
ละเวน้ การปฏบิ ตั ิหน้าที่โดยมิชอบตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗

การคืนคาขอเพ่ือให้โจทก์ไปรวบรวมเอกสารหลักฐานประกอบมาให้ครบ แล้วนามาย่ืน
คาขอใหม่ ซึ่งเป็นการคืนในช้ันตรวจเอกสารหลักฐานประกอบตามคาขอในเบ้ืองต้น มิใช่เป็นการ
พิจารณาคาขอแลว้ มีคาส่ังไม่ออกใบอนุญาตให้แกโ่ จทกท์ ่ีผู้ขอใบอนุญาตหรือผขู้ อต่อใบอนญุ าตมีสทิ ธิ
อทุ ธรณ์เป็นหนังสือต่อรัฐมนตรีภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนงั สือของพนักงานเจ้าหน้าที่แจ้ง
การไม่ออกใบอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ต่อใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติพันธ์ุพืช มาตรา ๒๐ แม้
โจทก์ขอให้จาเลยออกคาปฏิเสธคืนคาขอดังกล่าวเป็นหนังสือ แต่จาเลยไม่ออกให้ การกระทาของ
จาเลยก็ถือไม่ได้ว่าจาเลยละเวน้ การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์อันจะมี
มลู ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗

ฎกี าที่ ๑๔๐๖๖/๒๕๕๘ พ.ร.บ. ประกอบรฐั ธรรมนูญว่าดว้ ยการป้องกันและปราบปรามการ
ทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙๑ บัญญัติว่า เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนข้อเท็จจรงิ แล้วมีมติว่า
ข้อกล่าวหาใดไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาน้ันเป็นอันตกไป ข้อกล่าวหาใดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่า
มีมูลความผิดให้ดาเนินการดังต่อไปน้ี (๑) ถ้ามีมูลความผิดทางวินัย ให้ดาเนินการตามมาตรา ๙๒
ซ่ึงบัญญัติว่า ในกรณีมีมูลความผิดทางวินัย เม่ือคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาพฤติการณ์แห่ง
การกระทาความผิดแล้วมีมติว่าผู้ถูกกล่าวหาผู้ใดกระทาความผิดวินัย ให้ประธานกรรมการส่ง
รายงานและเอกสารท่ีมีอยู่ พร้อมทั้งความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอานาจแต่งตั้งถอดถอน

249

ผู้ถูกกล่าวหาผู้นั้นเพื่อพิจารณาโทษทางวินัยตามฐานความผิดท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติโดย
ไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอีก ในการพิจารณาโทษทางวินัยแก่ผู้ถูกกล่าวหา ให้ถือว่า
รายงานเอกสารและความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นสานวนการสอบสวนทางวินัยของ
คณะกรรมการสอบสวนวินัยตามกฎหมายหรือระเบียบหรอื ข้อบังคับวา่ ดว้ ยการบรหิ ารงานบุคคลของ
ผู้ถูกกล่าวหานั้น ๆ แล้วแต่กรณี บทบัญญัติดังกล่าวบังคับเฉพาะกรณีท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ
ว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทาความผิดวินัยเท่าน้ันที่ให้ถือตามรายงานเอกสารและความเห็นของ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ได้บังคับในกรณีท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล
ความผิด จาเลยท่ี ๑ ท่ี ๒ และท่ี ๔ จึงยังคงมีอานาจมีมติให้คณะกรรมการสอบสวนวินัยสอบสวน
โจทกไ์ ด้ ไม่เปน็ การปฏบิ ตั ิหนา้ ที่โดยมชิ อบ

พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกต้ัง พ.ศ. ๒๕๔๑ ที่ใช้บังคับ
ในขณะนั้น มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ให้มีสานักงานคณะกรรมการการเลือกต้ังเป็น
หน่วยงานของรัฐมีฐานะเป็นนิติบุคคล และอยู่ภายใต้การกากับดูแลของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
โดยมีประธานกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด” มาตรา ๒๘ วรรคหน่ึง บัญญัติว่า
“ให้สานักงานคณะกรรมการการเลือกต้ังมีเลขาธิการคนหน่ึง ซ่ึงประธานกรรมการการเลือกตั้ง
แต่งต้ังโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง” และระเบียบคณะกรรมการการเลือกต้ัง
ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อ ๗๖ วรรคหน่ึง กาหนดว่า “พนักงานผู้ใดกระทาผิด
วินัยอย่างรา้ ยแรง ให้เลขาธิการหรือประธานกรรมการโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ แล้วแต่
กรณี ส่ังลงโทษปลดออกหรือไล่ออกตามความร้ายแรงแห่งกรณี” และ ( ๒ ) กาหนดว่า “สาหรับ
ผดู้ ารงตาแหน่งเลขาธิการ ให้ประธานกรรมการเป็นผู้ส่งั การ” ดังน้ัน แม้คณะกรรมการสอบสวนวินัย
รายงานการสอบสวนโจทกว์ ่าเหน็ ควรยตุ ิเรื่องและจาเลยท่ี ๑ เหน็ ชอบ ก็ตอ้ งได้รบั ความเหน็ ชอบจาก
คณะกรรมการการเลือกต้ังซึ่งเป็นผู้มีอานาจให้ความเห็นชอบในการแต่งต้ังและลงโทษโจทก์ จาเลย
ที่ ๑ ที่ ๒ และท่ี ๔ ในฐานะคณะกรรมการการเลือกตั้งจึงมีอานาจมีมติให้คณะกรรมการสอบสวน
วนิ ัยสอบสวนโจทกต์ ่อไปได้ ไมเ่ ป็นการปฏิบตั ิหน้าทโ่ี ดยมิชอบ

ฎีกาที่ ๑๒๐๙๑/๒๕๕๘ ฎ.๓๐๒๕ ก่อนจับกุมโจทก์ท้ังสองได้มีการจับกุม ช. กับพวกใน
ข้อหาลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ช. ให้การว่าโจทก์ท้ังสองเปน็ ผู้ใช้จา้ งวาน จงึ มีการสอบสวน ขยายผล
และจบั กุมโจทก์ท้ังสองมาลงบันทึกประจาวนั ไว้ และตามสาเนารายงานประจาวันเก่ยี วกับคดีระบุว่า
พันตารวจเอก ส. ผู้กากบั การสถานีตารวจนครบาลพระโขนง ส่ังให้จาเลยทั้งสิบสามซ่งึ เป็นเจ้าหน้าที่
ฝ่ายสืบสวนปราบปรามนาตัว ช. ไปสอบสวนขยายผล โดยนัดโจทก์ที่ ๒ มารับรถยนต์ท่ีหน้า
ห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นเร่ืองจาเป็นเร่งด่วนหากต้องไปขอหมายจับจากศาลช้ันต้นแล้วผู้ร่วมกระทา
ความผิดอาจหลบหนีไปได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๗๘ (๓) ท้ังรถท่ีถูกลักอยู่ท่ีบ้านของโจทก์ท่ี ๒ และ
โจทก์ท่ี ๒ เป็นผู้พาเจ้าพนักงานตารวจไปทาการตรวจค้นเอง จึงไม่จาต้องขอหมายค้นจากศาลตาม
ป.วิ.อ. มาตรา ๙๒ (๔) และมาตรา ๙๔ การกระทาของจาเลยท้ังสิบสามเป็นการปฏิบัติหน้าท่ีตาม
คาส่ังของผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจสั่งการโดยชอบ จึงไม่มีความผิดฐานปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบตาม

250

ป.อ. มาตรา ๑๕๗
ฎีกาที่ ๔๙๕๘/๒๕๕๖ ฎ.๔๘๔ อาคารท่ีพักสายตรวจสร้างจากเงินบริจาคของประชาชน

และสร้างบนท่ีดินขององค์การบริหารส่วนตาบล เพื่อใช้เป็นสถานท่ีพักของตารวจสายตรวจและ
อานวยความสะดวกแก่ประชาชนที่มาแจ้งความร้องทุกข์ แม้โจทก์จะร่วมบริจาคเงินในการก่อสร้าง
ด้วย แต่เม่อื ประชาชนสามารถเข้ามาติดต่อใช้อาคารในการตดิ ต่อกับเจ้าพนักงานตารวจได้ จงึ ไม่ใช่ท่ี
รโหฐานอันเป็นท่ีส่วนตัวของโจทก์ที่จะมีอานาจจัดการหวงห้ามได้ ส่วนห้องนอนของโจทก์ท่ีก้ันเป็น
สัดสว่ น เป็นส่วนหน่ึงของอาคารทพี่ ักสายตรวจ และผู้ใต้บังคับบญั ชาของโจทก์ใชเ้ ป็นที่เปลี่ยนเสือ้ ผ้า
แสดงว่านอกจากโจทก์จะใช้เป็นที่พักอาศัยแล้วตารวจสายตรวจอ่ืนก็สามารถใช้ประโยชน์ได้ แม้
โจทก์จะเก็บสิ่งของส่วนตัวไว้และใส่กุญแจ ก็ไม่ใช่ห้องพักส่วนตัวที่โจทก์จะมีสทิ ธหิ วงกันไว้ผู้เดียวได้
แต่เป็นห้องพักอันเป็นสถานที่ราชการที่เจ้าพนักงานตารวจอ่ืนก็เข้าพักอาศัยได้เช่นกัน ห้องพักที่เกิด
เหตุจึงไม่ใช่ที่รโหฐาน การที่จาเลยเข้าไปในห้องพักเพื่อค้นหาอาวุธปืนตามท่ีผู้ใช้กระทาความผิดแจ้ง
ว่านามาไว้ในอาคารที่พักสายตรวจ จึงมีเหตุอันควรสงสัยตามสมควรว่ามีสิ่งของท่ีได้ใช้หรือมีไว้เป็น
ความผิดซอ่ นไวใ้ นหอ้ งพักของโจทก์ จาเลยย่อมมีอานาจคน้ หอ้ งพักของโจทก์ได้โดยไมต่ ้องมีหมายค้น
หาใช่เป็นการกล่ันแกล้งเพ่ือให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่ การกระทาของจาเลยเป็นการปฏิบัติ
หนา้ ทโี่ ดยชอบดว้ ยกฎหมาย จึงไม่เปน็ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗

ฎีกาท่ี ๖๙๙๗/๒๕๖๑ คณะกรรมการตุลาการศาลปกครองมีอานาจส่ังพักราชการโจทก์ได้
แม้คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยยังไม่ได้เสนอความเห็นตอ่ คณะกรรมการตุลาการศาลปกครองว่า
สมควรจะส่ังพักราชการโจทก์ เพ่ือมิให้ปฏิบัติหน้าท่ีราชการต่อไปอันจะเป็นการเสียหายแก่ราชการ
หรอื ไม่

เปน็ การปฏบิ ตั หิ รือละเวน้ การปฏิบัตหิ นา้ ทโ่ี ดยมิชอบ

ฎีกาที่ ๖๗๙๒/๒๕๖๑ ฎ.๒๓๖๒ จาเลยเป็นนายกเทศมนตรี มีอานาจหน้าท่ีกาหนด
นโยบายสั่งอนุญาตและอนุมัติเกี่ยวกับราชการของเทศบาลและมีอานาจส่ังอนุญาตให้ซ้ือหรือจ้าง
ทุกวิธีที่ใช้จ่ายจากเงินรายได้ไม่จากัดวงเงินตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของ
หน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถ่ินฯ ส่วนการดาเนินการจัดซ้ือจัดจ้างทรายพิพาทเป็นหน้าที่ของ
งานพัสดุและทรัพย์สิน และทรายพิพาทท่ีจัดซ้ือมาได้อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของฝ่ายโยธา และ
การจัดการดูแลรับ ผิดชอบรถยนต์ของเท ศบาลเป็น หน้ าท่ีของงานป้องกันและรักษาความสงบ
เรียบร้อยของเทศบาล จาเลยมีส่วนเกี่ยวข้องเพียงเป็นผู้อนุมัติเกี่ยวกับงานราชการของเทศบาล
ไม่ได้มีหน้าที่โดยตรงในการซื้อ ทา จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ จาเลยจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ.
มาตรา ๑๔๗ และมาตรา ๑๕๑

จาเลยซงึ่ เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายอาศัยอานาจในตาแหน่งนายกเทศมนตรีส่ังการให้ใช้
รถยนต์ของเทศบาลขนทรายพิพาทไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่ถูกต้องตามระเบียบกระทรวง


Click to View FlipBook Version