501
บริการนา้ มนั ตามที่โจทกร์ ่วมได้นัดแนะกบั พนักงานขบั รถไว้ โดยใหน้ าสนิ ค้ามาเก็บรักษาไว้ที่บ้านของ
จาเลยเพ่ือเรียกค่าระวางขนส่งสินค้าจากโจทก์ร่วม การที่จาเลยไม่ยอมเจรจาและคืนสินค้าให้แก่
โจทก์ร่วมในตอนแรกน้ันก็เพราะว่าจาเลยโกรธและไม่พอใจที่โจทก์ร่วมกระทาการเช่นน้ัน เม่ือ
โจทก์ร่วมยังไม่ยอมเสียค่าระวางขนส่งสินค้า จาเลยในฐานะกรรมการผู้มีอานาจของบริษัท ป.
ผู้ขนส่งชอบที่จะยึดหน่วงเอาของไว้ก่อนได้ตามท่ีจาเป็นเพื่อประกันการใช้เงินค่าระวางพาหนะและ
อุปกรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๖๓๐ คร้ันเมื่อโจทก์ร่วมได้ชาระค่าระวางสินค้าให้แก่บริษัท ป. แล้ว
จาเลยก็ส่ังให้คืนสินค้าให้แก่โจทก์ร่วม จาเลยมิได้เจตนาทุจริตท่ีจะเอาสินค้าของโจทก์ร่วมไปเป็น
ประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่น จึงไม่เป็นความผดิ ฐานลกั ทรพั ย์
ฎีกาที่ ๘๕๘๓/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล.๕ น.๙๒ จาเลยที่ ๑ เป็นสามีอยู่กินกับ ก. มาก่อนเกิดเหตุ
ถงึ ๗ เดือน เคยนอนพักอาศยั กบั ก. ท่ีร้านท่ีเกิดเหตุ และมีเหตทุ ะเลาะกันบ่อย ทรัพย์ที่เอาไปก็ล้วน
แต่อยู่ในห้องนอนท่ีจาเลยที่ ๑ นอนกับ ก. ท้ังสิ้น ทั้งท่ีชั้นล่างของร้านที่เกิดเหตุก็มีโทรทัศน์สีที่มี
ขนาดใหญ่กวา่ และมที รพั ย์สนิ อืน่ ของผู้เสยี หายอีกมากมายแต่จาเลยท่ี ๑ ก็มิได้เอาไป แสดงให้เห็นว่า
จาเลยที่ ๑ หาได้มีเจตนาลักทรัพย์ของผู้เสียหายไม่ ชั้นสอบสวนจาเลยท่ี ๑ ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุ
เมอ่ื จาเลยที่ ๑ ไปขอคืนดีกับ ก. แล้ว ก. ไม่ยอมคืนดีด้วย ยังไดข้ ับไล่และเอากุญแจร้านใหจ้ าเลยที่ ๑
เพื่อไปขนสิ่งของเครื่องใช้ออกไป จาเลยที่ ๑ จึงชักชวนจาเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไปขนทรัพย์สินของ
ตนเองและของผู้เสียหายรวมไปด้วยเพื่อเป็นข้อต่อรองให้ ก. ยอมคืนดีด้วย หลังเกิดเหตุจาเลยที่ ๑
ก็กลับมานอนที่บ้านของ ก. ซ่ึงอยู่ข้างบ้านบิดามารดาของ ก. โดยไม่ได้หลบหนี และเมื่อ ก. ไปทวง
ถามให้นาทรัพย์สินไปคืน จาเลยที่ ๑ ก็ให้บุตรนาไปคืนแต่โดยดี ตามพฤติการณ์เช่ือได้ว่าจาเลยท่ี ๑
ถือวิสาสะเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปเนื่องจากต้องการเป็นข้อต่อรองกับ ก. ให้ยอมกลับมาคืนดีด้วย
เท่าน้ัน มิได้ประสงค์ต่อผลที่จะเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายไปเป็นของตนเองหรือของผู้อื่น จึงมิได้
มเี จตนาทุจริตแสวงหาประโยชนอ์ ันมิควรไดโ้ ดยชอบด้วยกฎหมาย การกระทาของจาเลยที่ ๑ ไม่เป็น
ความผิดฐานลักทรัพย์ และแม้จาเลยที่ ๑ จะไม่มีกุญแจร้านที่เกิดเหตุก็ตาม แต่จาเลยท่ี ๑ ก็พัก
อาศัยอยู่ท่ีร้านที่เกิดเหตุกับ ก. มานาน โดยในบางคร้ังกน็ อนที่ร้านกับ ก. และบางครั้งก็กลับมานอน
ท่ีบ้านบิดามารดาของ ก. ตามพฤติการณ์ถือว่าจาเลยที่ ๑ ได้พักอาศัยอยู่ท่ีร้านที่เกิดเหตุด้วย การ
เข้าไปในร้านของผู้เสียหายเช่นนี้ จึงฟังไม่ได้ว่าเข้าไปรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของ
ผู้เสียหายโดยไม่มีเหตุอันสมควร การกระทาของจาเลยที่ ๑ ไม่เป็นความผิดตามฟ้อง ดังนั้น
การกระทาของจาเลยที่ ๓ ซ่ึงเป็นผู้ท่ีเข้าไปช่วยจาเลยที่ ๑ ขนทรัพย์สินตามคาส่ังของจาเลยที่ ๑
จงึ ไม่เปน็ ความผดิ ตามฟอ้ งเชน่ เดียวกนั
ฎกี าท่ี ๒๗๐๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๒๓ จาเลยทัง้ สามมไิ ด้มีเจตนาทุจรติ ท่ีจะรว่ มกนั ลกั เงิน
ของผู้เสียหาย เนื่องจากสนิทสนมกันเป็นญาติและเป็นเพื่อนกัน ทั้งเกิดความคึกคะนองตามประสา
ของวยั รุ่นและขณะน้ันก็น่ังดื่มสุราอยู่ดว้ ยกนั จนหมด จึงน่าจะชว่ ยกันออกเงินค่าสรุ าบ้างเท่าน้ัน เม่ือ
จาเลยที่ ๑ พูดขอเงินหลายคร้ังแล้ว แต่ผู้เสียหายไม่ให้ จึงได้ถือวิสาสะเข้าค้นตัวผู้เสียหายเพ่ือค้น
เอาเงิน จาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ เพียงแต่จับแขนขาของผู้เสียหายไว้แน่นเท่าน้ัน ไม่ได้ทาร้าย ดังนี้
502
การกระทาของจาเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ ท่ีเข้ายึดแขนขาของผู้เสียหายเป็นเพียงการยึดตัวผู้เสียหาย
ให้อยู่นิ่งเพ่ือให้จาเลยที่ ๑ ค้นตัวได้สะดวกเท่านั้น การกระทาของจาเลยท้ังสามจึงเป็นความผิดฐาน
ร่วมกันข่มขืนใจโดยใช้กาลังประทุษร้ายจนผู้เสียหายต้องจายอมให้จาเลยทั้งสามคน้ ตัวและเอาเงินไป
มิใช่ความผิดฐานปลน้ ทรัพย์
ฎีกาที่ ๒๙๖๐/๒๕๕๒ ฎ.๖๘๕ จาเลยเข้าใจโดยสุจริตว่า ป. ซ่ึงเป็นกรรมการผู้มีอานาจ
บริษัทโจทก์ร่วมอนุมัติให้จาเลยเบิกเงินเดือนของจาเลยล่วงหน้าได้ แม้จาเลยจะไม่ได้ขออนุมัติจาก
ป. ก่อนตามระเบียบการเบิกเงินเดือนล่วงหน้าของพนักงาน ก็ไม่เป็นการเอาทรัพย์ของโจทก์ร่วมไป
โดยมีเจตนาทุจรติ จาเลยจึงไม่มีความผดิ ฐานลกั ทรพั ย์
ฎีกาที่ ๑๐๑๔๓/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๙ น.๒๗๓ ผู้เสียหายกับจาเลยรู้จักกันมาก่อน ไปเท่ียวด่ืม
สุราด้วยกัน พยานโจทก์ท่ีไปในท่ีเกิดเหตุกับจาเลยและผู้เสียหายเบิกความว่า ขณะที่กาลังรอรถ
โดยสารประจาทางอยู่นั้น จาเลยกับผู้เสียหายกอดกันในฐานะคนรัก หลังเกิดเหตุเมื่อสิบตารวจเอก
ป. ตามไปพบจาเลยอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุเพียงประมาณ ๑๐๐ เมตร พบจาเลยถอดเสื้อเอาเสื้อพาด
บ่าไว้ โดยจาเลยมอี าการมึนเมาและร้อยตารวจโท น. พนักงานสอบสวนก็เบิกความตอบทนายจาเลย
ถามค้านวา่ ขณะจับตัวจาเลย จาเลยมีอาการมึนเมา จากพฤติการณ์แห่งคดีเช่ือว่าจาเลยรู้จักคุ้นเคย
กบั ผู้เสียหายและจาเลยกระทาในขณะมึนเมา การท่ีจาเลยเอาสร้อยข้อมือทองคาของผู้เสียหายไปน้ัน
ไมไ่ ด้ประสงค์จะเอาไปในลักษณะเป็นการประทุษร้ายต่อกรรมสิทธ์ใิ นทรพั ย์ของผู้เสียหาย จาเลยมไิ ด้
เจตนาท่ีจะเอาทรัพย์ไปเพอ่ื แสวงหาประโยชนท์ ี่มิควรไดโ้ ดยชอบดว้ ยกฎหมายแต่อยา่ งใด การกระทา
ของจาเลยจงึ ไมม่ เี จตนาทุจริต ไมม่ คี วามผดิ ฐานชงิ ทรัพย์
ขอ้ สงั เกต กำรกระทำผิดจะอำ้ งวำ่ เมำไม่ได้ แตค่ ดนี ี้อ้ำงได้เพรำะจำเลยเปน็ คนรักของผ้เู สยี หำย
ฎีกาท่ี ๓๔๑๒/๒๕๕๐ ฎ.๑๑๕๓ กระบือเปน็ ของโจทกร์ ่วม แต่ขณะเกิดเหตุ น. ทาให้จาเลย
เช่ือว่ากระบือเป็นของ น. มีสิทธิยกให้จาเลยเป็นการชดใช้ค่าเสียหาย การท่ีจาเลยนาซากกระบือไป
ชาแหละขาย จงึ กระทาไปโดยเขา้ ใจว่ามีสิทธกิ ระทาได้ จาเลยไม่มีเจตนาทุจรติ การกระทาของจาเลย
ไม่เป็นความผดิ ฐานลักทรัพย์
โจทก์ร่วมกับจาเลยได้ตกลงเกี่ยวกับค่าเสียหายที่กระบือของโจทก์ร่วมทาให้สวนแตงโมของ
จาเลยเสียหาย และค่าเสียหายราคากระบือท่ีจาเลยยิงตายโดยทาบันทึกไว้เม่ือวันท่ี ๙ กันยายน
๒๕๔๔ คู่กรณีตกลงกันแล้วต่างฝ่ายต่างไม่ติดใจเรยี กร้องฟ้องกันทั้งทางแพ่งและอาญา โดยจาเลยได้
ช่วยเหลือค่าเสียหายของกระบือที่ถูกยิงตายให้โจทก์ร่วมเป็นเงิน ๗,๐๐๐ บาท จะนาเงินมาจ่าย
ให้หมดในวันท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๔๕ แล้วลงชื่อโจทก์ร่วมและจาเลย เป็นการทาสัญญาประนีประนอม
ยอมความกันโดยชอบด้วยกฎหมายมีผลให้สิทธินาคดีอาญามาฟ้องระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา
๓๙ (๒) แม้ต่อมาจาเลยจะไม่ชาระค่าเสียหายตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ร่วมก็ไม่มี
สิทธิร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดาเนินคดีแก่จาเลยในข้อหาทาให้เสียทรัพย์ หลังจากมีการ
ยอมความกันโดยชอบดว้ ยกฎหมายแล้วอีกได้
ฎกี าท่ี ๗๘๘๐/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๑๑๔ หลังจากจาเลยทัง้ สองรว่ มกันทาร้ายผู้เสียหายท่ี
503
๒ และที่ ๓ แล้ว จาเลยท้ังสองหลบหนีไป โดยจาเลยท่ี ๒ ขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายท่ี ๔ ไป
ด้วย หลังเกิดเหตุ ๒ วัน พบรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายท่ี ๔ จอดอยู่ที่ป้อมตารวจ หากจาเลย
ท้ังสองมีเจตนาจะเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายท่ี ๔ ไปโดยทุจริตก็สามารถทาได้ แต่จาเลยที่ ๒
กลับไปจอดไว้ที่ป้อมตารวจ แสดงว่าจาเลยที่ ๒ มีเจตนาเพียงใช้รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ ๔
เป็นยานพาหนะหลบหนีเท่านั้น หาได้มีเจตนาเอาไปโดยทุจริตไม่ จาเลยท้ังสองจึงไม่มีความผิดฐาน
ลักทรัพยร์ ถจักรยานยนตข์ องผเู้ สยี หายที่ ๔
ฎกี าท่ี ๔๒๐๐/๒๕๔๕ ฎ.ส.ล.๘ น.๘๑ รองเท้าแตะของโจทก์ร่วมตกอยู่ท่ีบริเวณประตบู ้าน
ของจาเลยก็เพราะโจทก์ร่วมทาหลุดไว้ เน่ืองจากเหตุวิวาทชกต่อยกันระหว่างจาเลยกับ ส. จาเลยจึง
ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานแล้วเก็บรองเท้าแตะของโจทก์ร่วมและนาไปมอบให้พนักงานสอบสวน แสดง
ว่าจาเลยมิได้เอารองเท้าแตะของโจทก์ร่วมไปเป็นของตนหรือผู้อื่นในลักษณะท่ีเป็นการประทุษร้าย
ต่อกรรมสิทธ์ิในทรัพย์ของโจทก์ร่วม แม้จาเลยจะไม่มีสิทธเิ ก็บเอารองเท้าแตะของโจทก์ร่วมไว้ก็ตาม
ก็มิใช่เหตุท่ีจะถือว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์ท่ีมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสาหรับตนเองหรือ
ผ้อู ่ืน การกระทาของจาเลยจงึ ไม่มเี จตนาทุจริต ไม่เป็นความผิดฐานลกั ทรพั ย์
ฎีกาที่ ๖๑๑๗/๒๕๖๒ ฎ.๑๐๓๒ จาเลยมีชื่อเป็นผู้เช่าซื้อแต่จาเลยเป็นเพียงตัวแทนเชิด
ของผู้เสียหายที่ ๒ แล้วมอบรถท่ีเช่าซ้ือให้แก่ผู้เสียหายที่ ๒ ไปแล้ว ผู้เสียหายที่ ๒ ย่อมเป็นผู้มีสิทธิ
ครอบครองรถท่ีเช่าซ้ือ ส่วนจาเลยไม่มีสิทธิครอบครองรถที่เช่าซ้ือ แม้ต่อมาผู้เสียหายท่ี ๒ ซึ่งตกลง
จะให้จาเลยกู้ยืมเงินเพ่ือตอบแทนที่จาเลยทาสัญญาเช่าซ้ือรถแทน ผู้เสียหายที่ ๒ ไม่ปฏิบัติตาม
ข้อตกลงกับจาเลยให้ครบถ้วน ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จาเลยจะเอารถที่เช่าซ้ือคืนจากผู้เสียหายท่ี ๒
การท่ีจาเลยเอารถที่เช่าซ้ือไปจากผู้เสียหายที่ ๒ เพื่อเรียกร้องให้ผู้เสียหายท่ี ๒ ปฏิบัติตามข้อตกลง
เป็นการแย่งการครอบครองและเป็นการบังคับสิทธิทางแพ่งของตนโดยพลการ จึงเป็นการแสวงหา
ประโยชน์ท่ีมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสาหรับตนเอง การกระทาของจาเลยเป็นความผิดฐาน
ลักทรพั ย์สาเร็จแล้ว แม้ต่อมาผู้เสียหายที่ ๒ ตกลงจะชาระเงินแก่จาเลย แล้วให้จาเลยคนื รถที่เชา่ ซื้อ
แก่ผู้เสียหายท่ี ๒ และเมื่อถึงวันเวลานัดจาเลยขับรถที่เช่าซื้อไปรอผู้เสียหายที่ ๒ ก็ไม่ทาให้การ
กระทาความผิดฐานลักทรพั ยท์ ี่สาเร็จแลว้ กลายเปน็ การกระทาทีไ่ ม่เป็นความผดิ
ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๓๓๕
ฎีกาท่ี ๘๙๙๓/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๓๔๐ การท่ีผู้เสียหายใช้โซ่คล้องยึดกล้องวิดีโอของ
กลางกับตู้โชว์ เป็นการขัดขวางไม่ให้มีการนากล้องวิดีโอของกลางไปอันมีลักษณะเป็นสิ่งกีดกั้น
สาหรับคุ้มครองกล้องวิดีโอของกลางเหมือนเช่นร้ัวหรือลูกกรงหน้าต่าง ประตูบ้าน การท่ีจาเลยตัด
โซ่คล้องที่ยึดกล้องวิดีโอของกลางกับตู้โชว์จนขาดออกแล้วลักกล้องวิดีโอของกลางไปจึงเป็นการ
ลักทรัพย์โดยทาอันตรายส่ิงกีดก้ันสาหรับคุ้มครองทรัพย์ การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดตาม
ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๓)
504
ฎีกาที่ ๕๔๘/๒๕๔๘ ฎ.ส.ล.๑ น.๙๙ กระบือ ๑๓ ตัว หายไปจากทุ่งเล้ียงตั้งแต่เวลา
ประมาณเที่ยงวัน น. พยานโจทก์ไปตามคืนมาได้ ๑๑ ตัว เมื่อเวลาประมาณ ๑๗ นาฬิกา แสดงว่า
กระบือ ๒ ตัว สูญหายไปในเวลากลางวัน แม้จะมีการขนถ่ายขึ้นรถยนต์บรรทุกของ ณ. ในตอนค่า
กเ็ ป็นเวลาหลังจากการลักกระบอื สาเร็จลงแล้ว เหตุจึงมไิ ดเ้ กิดในเวลากลางคืน การกระทาของจาเลย
จึงเปน็ เพียงความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๗) วรรคสาม ประกอบมาตรา ๓๓๖ ทวิ
ข้อสังเกต ควำมผิดฐำนลักทรัพย์เป็นควำมผิดสำเร็จเม่ือพำทรัพย์เคล่ือนท่ีไป เมื่อทรัพย์เคล่ือนท่ีไป
ตัง้ แต่เวลำกลำงวัน ควำมผิดก็สำเร็จลง แมจ้ ะพำเคลอ่ื นที่ต่อไปจนถึงเวลำกลำงคืน ก็ไม่เป็นควำมผิด
ฐำนลักทรัพย์ในเวลำกลำงคืน เพรำะควำมผิดฐำนลักทรัพย์ไม่ใช่ควำมผิดต่อเนื่อง แต่เป็นควำมผิด
ทสี่ ำเร็จเมอ่ื พำทรพั ยเ์ คลอื่ นทไี่ ป
ฎีกาท่ี ๕๖๘๘/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล. ๙ น. ๒๘ จาเลยเป็นผู้ลักบัตร เอ.ที.เอ็ม. ของผู้เสียหายไป
และนาไปถอนเงินตามฟ้อง แต่การที่ผู้เสียหายยินยอมให้จาเลยเข้ามารีดผ้าภายในบ้านของตน
จึงมิใช่การลักทรัพย์ในเคหสถานที่จาเลยเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๘)
วรรคแรก แต่เป็นการลักทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๔ เท่าน้ัน และในส่วนการถอนเงินของจาเลยจาก
ตู้ถอนเงินอัตโนมัติจานวน ๔ คร้ัง น้ัน โจทก์มิได้บรรยายฟ้องถึงการถอนเงินแต่ละคร้ังที่ประสงค์
จะลงโทษจาเลยเปน็ รายกระทง โดยโจทกบ์ รรยายแตเ่ พียงจาเลยลักบัตร เอ.ที.เอม็ . หนง่ึ กระทง และ
ถอนเงินสดด้วยบัตร เอ.ที.เอ็ม เป็นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท อีกหนึ่งกระทงเท่านั้น ในส่วนนี้จึงลงโทษ
จาเลยไดเ้ พยี งสองกระทงตามคาฟ้องโจทก์
ฎีกาที่ ๔๘๓/๒๕๕๗ จาเลยเป็นพนักงานช่วยงานพยาบาลซึ่งทางานในโรงพยาบาล
ท่ีเกิดเหตุ ห้องน้าท่ีเกิดเหตุเป็นสถานท่ีที่จาเลยต้องเข้าไปทางานตามหน้าที่ และเหตุคดีน้ีเกิด
ในช่วงเวลาที่จาเลยทางาน กรณีจึงมิใช่เร่ืองท่ีจาเลยเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วลักทรัพย์
ในสถานท่ีดงั กล่าว การกระทาของจาเลยย่อมเปน็ ความผิดฐานลกั ทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๔ มิใช่
ลักทรัพยใ์ นสถานที่ราชการ
ฎีกาท่ี ๑๔๒๕๘/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล. ๑๑ น. ๑๖๕ ความผิดฐานลักทรัพย์ในสถานที่ท่ีจัดไว้เพื่อ
ให้บริการสาธารณะตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๘) นอกจากองค์ประกอบความผิดที่ว่าสถานท่ี
ท่ีลักทรัพย์ต้องเป็นสถานท่ีที่จัดไว้เพื่อให้บริการสาธารณะแล้ว ผู้ท่ีเข้าไปลักทรัพย์ต้องเข้าไปใน
สถานท่ีดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย เมื่อไม่ปรากฏว่าในช่วงเวลาเกิดเหตุลักทรัพย์วัดหนองบัว
ได้หวงห้ามหรือปิดก้ันมิให้ประชาชนซึ่งเข้าไปในวัดหนองบัวเข้าไปในบริเวณท่ีเกิดเหตุ การท่ีจาเลย
เข้าไปลักประตูเหล็กพับยืดในบริเวณที่เกิดเหตุ จึงมิใช่เป็นการเข้าไปลักทรัพย์ในสถานที่ท่ีจัดไว้เพื่อ
ให้บริการสาธารณะที่ตนได้เข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต จาเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา ๓๓๕ (๘)
คงมคี วามผดิ ตามมาตรา ๓๓๔
ฎีกาที่ ๕๑๕๒/๒๕๔๘ ฎ.๑๓๘๑ สถานที่จอดรถของวิทยาลัยเทคนิคชัยนาทเป็นเพียง
สถานที่ซ่ึงทางราชการจัดไว้สาหรับเป็นที่จอดรถของบรรดานักศึกษา ผู้มาติดต่อราชการตลอดจน
ขา้ ราชการของวิทยาลยั เท่านัน้ มิใชเ่ ป็นสถานที่ซึ่งใชส้ าหรบั ปฏิบัติราชการของข้าราชการในวทิ ยาลัย
505
โดยตรง การที่จาเลยลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปจากบรเิ วณสถานที่จอดรถดังกล่าว จึงไม่ใช่
การลกั ทรพั ยใ์ นสถานทีร่ าชการอันเป็นความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๘) วรรคแรก
ฎีกาที่ ๔๒๘๔/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๙๔ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานฯ ให้
ความหมายของคาว่า ศาลาการเปรียญหมายถึงศาลาวัดสาหรับพระสงฆ์แสดงธรรม ศาลาการเปรยี ญ
จึงหาใช่สถานท่บี ูชาสาธารณะตามความหมายแห่งบทบญั ญัติ ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๙) วรรคแรก คดีนี้
ข้อเท็จจริงได้ความว่า พระยอดขุนพลของกลางที่จาเลยเข้าไปลัก ขณะเกิดเหตุติดอยู่ท่ีแผงบริเวณ
เสาของศาลาการเปรียญ การกระทาของจาเลยจงึ เป็นความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๘) วรรคแรก
ฎีกาที่ ๙๑๙๓/๒๕๕๒ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๘๓ แม้ทรัพย์ที่จาเลยกับพวกร่วมกันลักเป็น
พระพุทธรูปและอยู่ในวัดผู้เสียหาย แต่พระพุทธรูปดังกล่าวเก็บไว้ในศาลาบาเพ็ญกุศลหลังเก่าอยู่ใน
สภาพถูกปล่อยทิ้งร้างและรกรุงรัง มิได้จัดวางไว้ในท่ีเหมาะสมเพ่ือให้ประชาชนสักการะบูชา รวมท้ัง
ไม่มีเครื่องบูชา จึงยังถือไม่ได้ว่าพระพุทธรูปดังกล่าวเป็นท่ีสักการะบูชาของประชาชนตาม ป.อ.
มาตรา ๓๓๕ ทวิ วรรคแรก แม้จาเลยกับพวกร่วมกันลักพระพุทธรูปดังกล่าวภายในวัดผู้เสียหาย
ก็ไม่เป็นความผิดตาม มาตรา ๓๓๕ ทวิ วรรคสอง ท้ังศาลาบาเพ็ญกุศลมีไว้เพ่ือใช้จัดงานพิธีศพ
จึงมิใช่เป็นสถานที่บูชาสาธารณะตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๙) การกระทาของจาเลยคงเป็นความผิด
ฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยร่วมกระทาความผิดด้วยกันต้ังแต่สองคนข้ึนไปและโดยใช้ยานพาหนะเพื่อ
สะดวกแก่การกระทาความผิด การพาทรัพย์น้ันไปหรือเพ่ือให้พ้นการจับกุมตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕
(๗) วรรคแรก ประกอบมาตรา ๓๓๖ ทวิ, ๘๓ เทา่ นน้ั
ฎีกาท่ี ๕๔๕๖/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๘๕ จาเลยลักเหรียญกษาปณ์รวมเป็นเงนิ ๘๔๒ บาท
ของวัดผู้เสียหายโดยเหรยี ญกษาปณ์ดงั กล่าวอยู่ในพานและบาตรวางอยู่บนช้ันสามของอาคารเจษฎา
บดินทร์ ซ่ึงเป็นท่ีประดิษฐานพระพุทธรูปเพ่ือให้ประชาชนมากราบไหว้สักการะบูชาภายในวัด
สถานท่ีเกิดเหตุลักทรัพย์จึงเป็นสถานที่ซ่ึงประชาชนท่ัวไปมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้ ตรงกับ
คานิยามคาว่า "สาธารณสถาน" ตาม ป.อ. มาตรา ๑ (๓) ท้ังนี้เพ่ือการสักการบูชาพระพุทธรูป
ซ่ึงประดิษฐานไว้ให้ประชาชนกราบไหว้สักการะบูชา จึงเป็นการลักทรัพย์ในสถานที่บูชาสาธารณะ
ดงั ทโี่ จทกบ์ รรยายฟ้องไวแ้ ล้ว
ฎีกาท่ี ๑๒๘๘๘/๒๕๕๖ ฎ. ๒๗๐๘ บริเวณพงหญ้าปากทางเข้าสถานีขนส่ง ถึงแม้จะอยู่
ภายในบริเวณสถานีขนส่ง แต่บริเวณดังกล่าวเป็นทางเข้าออกสถานีขนส่ง มิใช่สถานท่ีซ่ึงจัดไว้ให้
สาธารณะนารถไปจอดได้ จงึ มใิ ช่ทจ่ี อดรถสาธารณะตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๙)
ฎีกาท่ี ๓๘๔๑/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๖ น.๑๑๓ เงินท่ีจาเลยท้ังสองพยายามลักจากตู้โทรศัพท์
สาธารณะ ไม่ใชท่ รพั ย์ทใ่ี ช้หรือมไี วเ้ พอ่ื สาธารณประโยชน์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๑๐)
ฎีกาที่ ๕๒๑๕/๒๕๕๗ จาเลยมิได้เป็นลูกจ้างของผู้เสียหาย แม้จาเลยร่วมกับ น. ซ่ึงเป็น
ลูกจ้างของผู้เสียหายลักทรัพย์ของผู้เสียหายก็ตาม จาเลยก็ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้างตาม
ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๑๑) ท้ังน้ีเพราะความเป็นลูกจ้างเป็นเหตุเฉพาะตัวของ น. จึงไม่มีผลไปถึงจาเลย
ฎีกาท่ี ๕๗๔๐/๒๕๕๘ คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่า จาเลยทั้งสี่ร่วมกันลักข้าวเปลือก
506
ที่เป็นของผู้มอี าชีพกสกิ รรม แต่ไม่ได้บรรยายฟ้องวา่ ทรัพยท์ ่ีถูกลกั ไปนั้นเป็นผลติ ภัณฑ์ พืชพันธุ์ หรือ
ได้มาจากการกสิกรรมน้ัน ตามท่ีบัญญัติไว้ใน ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๑๒) เพราะลาพังการลักทรัพย์
อ่ืนของผู้มีอาชีพกสิกรรมย่อมไม่เป็นความผิดตามอนุมาตรานี้ ดังน้ัน จาเลยทั้งสี่จึงมีความผิดตาม
มาตรา ๓๓๕ (๗) เท่านัน้
ข้อสังเกต ถ้ำนำข้อเท็จจริงเร่ืองกำรร่วมกันลักข้ำวเปลือกที่เป็นของผู้มีอำชีพกสิกรรม อันเป็น
ผลิตภณั ฑ์ พืชพันธุ์ หรือได้มำจำกกำรกสิกรรม มำแตง่ คำถำม คำตอบกต็ ้องตอบว่ำเป็นควำมผิดตำม
มำตรำ ๓๓๕ (๗) (๑๒) วรรคสอง
ฎกี าที่ ๓๕๕/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๑ น.๓๐ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔
คาว่า “กสิกรรม”ีหมายความถึง การทาไร่ไถนา การเพาะปลูก โจทก์ร่วมมีอาชีพเลี้ยงกุ้งกุลาดา
จึงมิใช่การประกอบอาชีพกสิกรรม การกระทาของจาเลยที่ ๒ จึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา
๓๓๕ (๑๒)
ฎีกาที่ ๑๐๑๒๙/๒๕๕๗ ท่ีดินเขตป่าสงวนแห่งชาติเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
ซ่ึงไม่อาจโอนให้แก่กันได้โดยชอบด้วยกฎหมาย การที่ ช. ปลูกต้นยางพาราในที่ดินดังกล่าวโดยไม่ได้
รับอนุญาต ต้นยางพาราดังกล่าวจึงเป็นไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ไม่ใช่ทรัพย์ของ ช. แม้ผู้เสียหาย
ซ้ือต้นยางพาราจาก ก. บุตรเขยของ ช. ต้นยางพาราดังกล่าวก็ไม่ใช่ทรัพย์ของผู้เสี ยหาย เมื่อ
ผู้เสยี หายยงั ไม่ได้เข้าไปกรดี เอาน้ายางซ่งึ เปน็ ของป่าจากตน้ ยางพาราดังกลา่ ว จึงยังไมม่ ีการยดึ ถือเอา
น้ายางเป็นของตน การที่จาเลยเข้าไปเอาน้ายางจากต้นยางพาราดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐาน
ลกั ทรพั ย์ของผูม้ ีอาชพี กสิกรรมโดยผูเ้ สยี หายตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๑๒) วรรคแรก
ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๓๓๖
ฎีกาท่ี ๔๑๔๖/๒๕๖๒ ฎ.๕๗o จาเลยทราบว่าธุรกิจขายขนมโดนัทท่ีร้านเกิดเหตุมิใช่ธุรกิจ
ของครอบครัวจาเลยฝา่ ยเดียว หรอื ทราบแลว้ วา่ ธุรกิจขายโดนัททรี่ ้านเกดิ เหตุเป็นธุรกิจในรูปหุ้นสว่ น
การที่จาเลยแสดงพฤติกรรมลักษณะหลอกว่าจะซ้ือเหมาขนมโดนัททั้งหมดและเอานาขนมโดนัทไป
โดยจงใจไม่จ่ายเงินย่อมทาให้ ส. พนักงานขายของโจทก์ร่วมต้องรับผิดในราคาขนมโดนัท จึงเป็น
การกระทาโดยทุจริตอันเป็นความผิดฐานว่ิงราวทรัพย์สาเร็จแล้ว แม้จาเลยยังถือถุงขนมโดนัท
อยู่ภายในศูนย์การค้าด้วยท่าทางการเดินเป็นปกติ ไม่มีลักษณะท่าทางว่ากาลังว่ิงหลบหนี ท้ัง ส.
ไม่ได้เรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยให้ตามจาเลยมาจ่ายเงิน หาทาให้ความผิดฐานว่ิงราวทรัพย์
สาเรจ็ แลว้ ไม่เปน็ ความผดิ ไม่
ข้อสังเกต ฎีกำนี้ไม่ได้หลอกให้ส่งมอบทรัพย์ แต่คนขำยวำงของไว้แล้วจำเลยเอำไปโดยไม่จ่ำยเงิน
ซงึ่ ถอื ว่ำเปน็ กำรแยง่ กำรครอบครองแล้ว
ฎกี าท่ี ๑๐๙๗๖/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๒๒๕ ความผิดฐานวง่ิ ราวทรัพยเ์ ปน็ การลกั ทรัพย์โดย
การฉกฉวยเอาซ่ึงหน้าซ่ึงหมายถึงกิริยาท่ีหยิบหรือจับเอาทรัพย์ไปโดยเร็วรวมเป็นการกระทา
507
อันเดียวกับการเอาไป และขณะที่ถกู เอาทรัพยไ์ ปผู้นั้นรูส้ กึ ตวั หรือเหน็ การฉกฉวยเอาทรัพย์นน้ั ไปด้วย
ดังนั้น การท่ีจาเลยดึงเอาโทรศพั ท์เคลอ่ื นที่จากกระเป๋ากางเกงของ บ. แล้ว บ. รู้สึกถึงการถูกดงึ จึงใช้
มือจับจนถูกมือของจาเลย การกระทาของจาเลยจึงอยู่ในความหมายของการลักทรัพย์โดยการ
ฉกฉวยเอาซง่ึ หนา้ อนั เป็นความผิดฐานว่งิ ราวทรพั ยต์ าม ป.อ. มาตรา ๓๓๖
ฎกี าท่ี ๖๕๓/๒๕๕๓ ฎ.๒๖๐ ความผิดฐานว่งิ ราวทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๖ จะต้องเป็น
การลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซ่ึงหน้า ผ. ทาทีเป็นพูดโทรศัพท์เคลื่อนที่ และเอาโทรศัพท์ไปในขณะท่ี
ผู้เสียหายให้บริการลูกค้าคนอื่นอยู่ เป็นการเอาไปในขณะเผลอ มิใช่เป็นการฉกฉวยทรัพย์ไปโดย
ซ่งึ หนา้ แต่ประการใด การกระทาของจาเลยกับพวกจึงเป็นความผดิ ฐานลักทรพั ย์ เมอื่ เหตุเกิดในเวลา
กลางคืนและร่วมกระทาความผิดตั้งแต่สองคนข้ึนไป เป็นความผิดตามมาตรา ๓๓๕ (๑) (๗)
วรรคสอง ซึง่ มโี ทษหนักกว่าความผิดฐานว่งิ ราวทรพั ย์ตามมาตรา ๓๓๖ วรรคหนึ่ง
ฎีกาที่ ๑๐๓๔๔/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๔๒๑ การท่ีจาเลยใช้อุบายเขา้ ไปขอซ้ือสนิ ค้า เม่ือ น.
ไปหยิบสินค้าและเผลอ พวกของจาเลยลงจากรถลักบุหรี่ไปจากร้านค้าของผู้เสียหายโดยพวกของ
จาเลยลอบลักหยิบเอาบุหรี่ไปโดยไม่ให้บุคคลในร้านเห็น แม้ผู้เสียหายซ่ึงอยู่ในร้านตัดผมฟากถนน
ฝั่งตรงข้าม จะเห็นเหตุการณ์ขณะพวกของจาเลยลงจากรถเข้าไปลักบุหร่ีก็ตาม แต่ผู้เสียหายอยู่อีก
ฟากถนนและเห็นเหตุการณ์ในระยะห่าง ๒๐ เมตร ลักษณะการกระทาดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่า
พวกของจาเลยเอาบุหร่ขี องผู้เสียหายไปต่อหน้าผู้เสียหาย การกระทาของพวกของจาเลยไม่เป็นการ
ฉกฉวยเอาซงึ่ หนา้ ดังน้ัน การกระทาของจาเลยจงึ ไม่เป็นความผดิ ฐานรว่ มกนั ว่ิงราวทรัพย์
ฎีกาที่ ๑๓๔๖๔/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๒๐๔ จาเลยขอเงนิ ผู้เสียหายไปซอื้ สุรา เม่อื ผูเ้ สยี หาย
ไม่ให้ จาเลยจึงดึงกระเป๋าเงินไปจากผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายก็แย่งคืนมาได้ โดยไม่ปรากฏว่าจาเลย
ได้ทาร้ายร่างกายผู้เสียหาย ทั้งไม่ปรากฏว่าจาเลยใช้ จ้าง วาน ยุยงส่งเสริมให้ ด. ทาร้ายร่างกาย
ผู้เสียหายแต่อย่างใด การที่ ด. ทาร้ายร่างกายผู้เสียหายเกิดข้ึนจากการกระทาตามลาพังของ ด. เอง
ไม่เก่ียวข้องกับจาเลย และมิใช่เป็นการทาร้ายร่างกายเพ่ือท่ีจะเอาทรัพย์จากผู้เสียหาย แต่เชื่อว่ า
เป็นผลมาจากที่ผู้เสียหายด่าว่าจาเลยมากกว่า และก็ไม่ปรากฏว่าจาเลยกับ ด. มีพฤติการณ์ท่ีจะ
ร่วมกันชิงทรัพย์จากผู้เสียหาย เนื่องจากจาเลยกับ ด. ไม่ทราบมาก่อนว่าผู้เสียหายจะเดินผ่านมา
บริเวณน้ี แต่เป็นเหตกุ ารณ์ท่ีเกิดขึ้นทันทีทันควัน จาเลยกบั ด. จึงมไิ ด้มีเจตนาร่วมกันจะมาชิงทรัพย์
ของผู้เสียหายแต่อย่างใด ในส่วนของจาเลย ลาพังเพียงแต่จาเลยขอเงินจากผู้เสียหายมาซ้ือสุรา
จาเลยยังไม่มีความผิดอาญาใด ๆ แต่หลังจากท่ีผู้เสียหายไม่ให้เงิน จาเลยพยายามแย่งเอาเงินจาก
ผ้เู สียหายไปซง่ึ หน้า การกระทาของจาเลยในตอนหลังน้จี ึงเปน็ ความผิดฐานพยายามว่งิ ราวทรัพย์
ฎีกาท่ี ๑๒๕๘๔/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๓๐๕ อ. ทาร้ายร่างกายผู้เสียหายล้มลง พอ อ. ถอย
ออกมา จาเลยเข้าไปล้วงกระเป๋าผู้เสียหายเอาซองเงินเดือนผู้เสียหายว่ิงหลบหนีไปทันที เป็นการ
ฉกฉวยเอาซึง่ หนา้ จาเลยจงึ มีความผิดฐานว่งิ ราวทรพั ย์
508
ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๓๓๖ ทวิ
ฎีกาท่ี ๑๖๖๑/๒๕๖๑ ฎ.๔๗๔ จาเลยมีเจตนาจะลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายอยู่ก่อน
แล้ว จึงวางอุบายหลอกใช้รถจักรยานยนต์ของ อ. เป็นยานพาหนะเดินทางไปที่บ้านที่เกิดเหตุแล้ว
ลงมือลักรถจกั รยานยนต์ของผู้เสยี หายทันทีโดยไม่ปรากฏว่าก่อนเกิดเหตุจาเลยใช้รถจักรยานยนตไ์ ป
กระทากิจธุระอ่ืนใดอีก เหตุลักทรัพย์มิใช่เรื่องที่เกิดข้ึนโดยปัจจุบันทันด่วน แต่เป็นเรื่องที่จาเลย
วางแผนตระเตรียมการที่จะใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทาผิดไว้
ล่วงหน้าแล้ว การกระทาของจาเลยเป็นความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะตาม ป.อ. มาตรา
๓๓๖ ทวิ
ฎีกาท่ี ๑๒๕๖๓/๒๕๕๘ การที่จาเลยกับพวกคบคิดกันลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายซึ่ง
จอดไว้ในโกดัง แลว้ จาเลยกบั พวกช่วยกนั ยกรถจักรยานยนตข์ ้ึนท้ายกระบะเพื่อให้ ส. บรรทกุ ออกไป
ย่อมเล็งเห็นเจตนาได้ว่า จาเลยกับพวกประสงค์จะใช้รถกระบะเป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การ
กระทาความผิดหรือการพาทรพั ยน์ ั้นไป ส่วนรถกระบะซึ่งเป็นยานพาหนะทใ่ี ชใ้ นการกระทาความผิด
จะเป็นของผู้ใดหาใช่ข้อสาคัญไม่ การกระทาของจาเลยกับพวกจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ที่เป็น
ของนายจ้างโดยใชย้ านพาหนะซึ่งต้องรบั โทษหนักขนึ้ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๖ ทวิ
ฎกี าที่ ๔๑๓๖/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๙ น.๗๕ ท่ีดินที่เกิดเหตุเป็นของผู้เสียหาย จาเลยมีสิทธิเพียง
ครอบครองทาประโยชน์ในที่ดิน จาเลยชอบจะใช้ประโยชน์ในที่ดินตามปกติ การท่ีจาเลยอนุญาตให้
ผู้อื่นขุดเอาดินไปโดยได้รับเงินเป็นค่าตอบแทน แล้วอ้างว่าจะทาสระเก็บน้าในท่ีดินที่เกิดเหตุเม่ือมี
การขุดดินในท่ีดนิ ทเ่ี กิดเหตุเป็นรูปสี่เหลี่ยมผนื ผ้า กว้าง ๒๐ เมตร ยาว ๕๐ เมตรลึก ๗ เมตร คิดเป็น
ปริมาตรดินประมาณ ๒๑,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร นั้น เป็นการขุดดินท่ีมีความลึกและกว้างอย่างมาก
จากพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจาเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าจะต้องมีการใช้เ ครื่องจักรเช่น
รถแบ็กโฮตักดินในท่ีดินที่เกิดเหตุจึงจะสามารถทาให้ที่เกิดเหตุเป็นหลุมขนาดใหญ่เช่นนั้นได้ เมื่อมี
การใช้รถแบ็กโฮขุดเอาดินในท่ีดินที่เกิดเหตุ จึงถือว่าจาเลยมีเจตนาใช้รถแบ็กโฮเป็นยานพาหนะเพื่อ
สะดวกแก่การกระทาผิดและการพาทรัพย์น้ันไป การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรพั ย์
โดยใช้ยานพาหนะซึ่งตอ้ งรับโทษหนักขน้ึ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๖ ทวิ
ฎีกาที่ ๓๙๓๔-๓๙๓๖/๒๕๕๘ จาเลยท่ี ๒ ถึงท่ี ๔ เป็นผู้สนับสนุนการลักทรัพย์ในเวลา
กลางคืนโดยร่วมกระทาความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปและโดยใช้ยานพาหนะเพ่ือสะดวก
แก่การกระทาผิดหรือการพาทรัพย์น้ันไป หรือเพ่ือให้พ้นการจับกุม การท่ีศาลชั้นต้นพิพากษา
ให้จาเลยท่ี ๒ ถึงท่ี ๔ ต้องระวางโทษหนักข้ึนตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๖ ทวิ น้ันเป็นการไม่ชอบ เพราะ
ป.อ. มาตรา ๓๓๖ ทวิ มีวัตถุประสงค์ลงโทษเฉพาะผใู้ ชย้ านพาหนะเพ่อื สะดวกแก่การกระทาผิดหรือ
พาทรพั ย์นั้นไปเท่าน้นั
ฎีกาท่ี ๑๔๘๖/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๒๓ การกระทาที่จะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา
๓๓๖ ทวิ นั้น ต้องดูท่ีเจตนาของผู้กระทาผิดเป็นส่วนสาคัญว่าต้องการใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่
การกระทาผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพ่ือให้พ้นการจับกุมหรือไม่ เม่ือจาเลยมีเจตนาจะลัก
509
เงินสดท่ีอยู่ในกระเป๋าสะพายของผู้เสียหายท่ีวางอยู่ในรถที่จาเลยขับอยู่ก่อนแล้ว โดยใช้อุบายหลอก
ผู้เสียหายให้ลงจากรถไปซื้อน้าอัดลม แล้วถือโอกาสขับรถซึ่งมีกระเป๋าสะพายใส่เงินและกระเป๋า
เสือ้ ผา้ ของผู้เสียหายหนีไป จาเลยไม่ได้มีเจตนาที่จะใช้รถเพ่ือสะดวกแก่การกระทาผิดหรอื การพาเอา
ทรัพย์น้ันไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม จึงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะตาม ป.อ.
มาตรา ๓๓๖ ทวิ คงผิดฐานลักทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๔
ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๓๓๗
ฎีกาท่ี ๕๘๘๙/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๔๒ แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่า ผู้เสียหายเป็นหน้ี
มารดาของจาเลยและผิดนัดไม่ชาระหนี้ก็เป็นกรณีที่มารดาของจาเลยถูกโต้แย้งสิทธิและต้องใช้สิทธิ
ทางศาล เพื่อบังคับผู้เสียหายให้ชาระหนี้ตามที่บัญญัติในมาตรา ๕๕ และบทบัญญัติทั้งปวงแห่ง
ป.วิ.พ. หาก่อให้เกิดสิทธิแก่จาเลยในการข่มขืนใจผู้เสียหายให้ยอมหรือจะยอมชาระหนี้น้ันไม่ และ
ไม่ทาให้การกระทาของจาเลยที่เป็นความผิดฐานกรรโชกตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๗ กลายเป็นการ
กระทาทไ่ี มเ่ ปน็ ความผดิ
ฎีกาท่ี ๕๑๔๖/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๗๓ บ. ผู้เสียหาย และ ส. เป็นผู้ครอบครองรถยนต์
กระบะที่ธนาคาร ก. เป็นเจ้าของ แต่ผู้เสียหายและ ส. ไม่ได้ทาสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กระบะคัน
ดงั กล่าวจากธนาคาร ก. จาเลยไม่ไดเ้ ป็นพนกั งานธนาคาร ก. วนั เวลาเกิดเหตจุ าเลยกับพวกมาท่ีบา้ น
ผู้เสียหาย แจ้งว่าผู้เสียหายค้างชาระค่างวดรถยนต์ ๓ งวด และมาติดตามค่างวด ผู้เสียหายบอกว่า
สามีไม่อยู่ ไม่รู้เรื่องรถ จาเลยจึงบอกว่าถ้างั้นเอาค่าติดตามมา ธนาคารให้จาเลยกับพวกมาติดตาม
รถยนต์คืน ผู้เสียหายบอกว่าไม่มี จาเลยถามว่ามีเทา่ ไร ผู้เสยี หายบอกวา่ มี ๒,๓๐๐ บาท จาเลยพดู ว่า
ถ้าไม่ง้ันจะเอารถยนต์ไป ผู้เสียหายกลัวจาเลยกับพวกจะยึดรถยนต์ไปจึงให้เงินจาเลยไป ๒,๓๐๐
บาท เห็นว่า ป.อ. มาตรา ๓๓๗ วรรคแรก บัญญัติว่า “ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตน
หรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กาลังประทุษร้ายหรือโดยขู่เข็ญว่า
จะทาอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ช่ือเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือของบุคคลท่ีสาม
จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่าน้ัน ผู้น้ันกระทาความผิดฐานกรรโชก”ีดังนี้ การขู่เข็ญว่าจะทาอันตราย
ต่อทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญเป็นการแสดงให้ผู้ถูกขู่เข็ญเข้าใจว่าจะได้รับภัยในทรัพย์สินของตนจาก
การกระทาของผู้ขู่เข็ญ ซ่ึงอาจขู่เข็ญตรง ๆ หรือใช้ถ้อยคาหรือทากริยาให้เข้าใจเช่นน้ันก็ได้
โดยไม่จาเป็นที่ผู้ขู่เขญ็ ต้องกระทาต่อทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญจนเสียรูปทรงหรือเปลี่ยนรูปทรงไปจาก
เดิมหรือใช้การไม่ได้หรือทาให้เสื่อมค่าเสื่อมราคาดังที่จาเลยฎีกา การท่ีจาเลยขู่เข็ญให้ผู้เสียหาย
จ่ายเงินค่าติดตามรถยนต์คืน หากไม่นามาให้จะยึดรถยนต์กระบะของผู้เสียหายไป จึงเข้าลักษณะ
เป็นการขู่เข็ญผู้เสียหายโดยขู่เข็ญว่าจะทาอันตรายต่อทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญคือรถยนต์กระบะของ
ผู้เสียหายแล้ว ซ่ึงทาให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวและยินยอมนาเงิน ๒,๓๐๐ บาท ให้จาเลย
การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผดิ ฐานกรรโชก
510
ฎกี าที่ ๑๑๙๙/๒๕๕๓ ฎ.๘๒๗ ถ้อยคาท่ีจาเลยกลา่ วกับผู้เสียหายวา่ "หากผู้เสียหายไม่ยอม
ชาระหนี้ให้ ผู้เสียหายกับบุตรภรรยาจะเดือดร้อนเพราะอายุยังน้อย" นั้น ไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิโดย
ชอบธรรมที่เจ้าหน้ีอาจพึงฟ้องลูกหนี้ให้ชาระหนี้ได้ตามกฎหมายแต่อย่างใด แต่เป็นถ้อยคาที่สามัญ
ชนโดยท่ัวไปย่อมทราบและตีความได้ว่าเป็นคาพูดข่มขู่ว่าหากไม่ชาระหนี้ให้แล้วผู้เสียหายกับ
ครอบครัวอาจถูกทาร้ายให้ได้รับความเดือดร้อนและเป็นอันตรายได้ถ้อยคาดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการ
ขูเ่ ขญ็ ผเู้ สยี หายให้ตอ้ งยินยอมชาระหนี้ใหแ้ ก่กลุ่มจาเลยทง้ั ห้าตามที่เรียกร้อง
กรณีท่ีมีการพูดโทรศัพท์ขู่เข็ญผู้เสียหาย จนผู้เสียหายกลัวกระท่ังยอมนัดหมายให้นา
หลักฐานมาให้ดูและเตรียมเงินไปให้บางส่วน แม้ผู้เสียหายแวะปรึกษาหรือแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน
ตารวจให้ทราบถึงเหตุร้ายท่ีจะเกิดข้ึนแก่ตนและครอบครัว ก็เป็นการแจ้งเพ่ือขอความคุ้มครองจาก
พนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่ประชาชนพึงกระทากันตามปกติภายหลังจากที่ผู้เสียหายยอมตามท่ีจาเลย
ขม่ ขไู่ ปแล้ว กรณีไม่ใชผ่ ู้เสียหายไม่เกิดความกลัวและไมย่ อมทาตามการข่เู ขญ็ ของจาเลยทัง้ ห้า ฉะน้ัน
การกระทาของจาเลยท้งั ห้าจงึ เปน็ ความผดิ ฐานรว่ มกันกรรโชกสาเร็จแลว้ ไมใ่ ช่อยูใ่ นขั้นพยายาม
ฎีกาที่ ๙๙๗๐/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๔๙ แม้วา่ ส. เป็นหนี้จาเลยท่ี ๔ จรงิ และไม่ชาระหน้ี
จาเลยที่ ๔ กต็ ้องดาเนนิ คดี ส. ทางศาล มิใช่รว่ มกันจับตวั ขู่บงั คับให้ ส. ชาระหน้ี ซ่ึง ส. ไม่มีเงนิ ชาระ
หน้ี จาเลยท้ังหกก็เรียกเอาเงิน สร้อยคอทองคา และพระเลี่ยมทองคาจาก อ. และ ร. ภริยาและ
มารดา ส. และจาเลยทั้งหกอา้ งวา่ เหตุที่ได้รับเงินพร้อมทองรูปพรรณและพระเล่ียมทองคาแล้วพากัน
กลับต้องนาตัว ส. ไปด้วย เพราะเกรงจะถูกทาร้าย แสดงว่า จาเลยท้ังหกใช้วิธีการข่มขู่อย่างรุนแรง
จนเกรงว่าจะถูกทาร้าย การกระทาของจาเลยท้ังหกจึงเป็นการข่มขืนใจ ส. อ. และ ร. ให้ยอมให้เงิน
ทองรูปพรรณ และพระเล่ียมทองคาแก่จาเลยท้ังหกโดยใช้กาลังประทุษร้าย จึงเป็นความผิดฐาน
ร่วมกนั กรรโชก
ฎีกาท่ี ๗๒๐๔/๒๕๖๒ ฎ.๒๓๙๙ ผู้เสียหายที่ ๑ ขับรถกระบะเฉ่ียวชนรถยนต์เก๋งท่ีจาเลย
ขับ ทั้งสองฝ่ายจึงลงจากรถมาเจรจาค่าเสียหายกัน จาเลยกับพวกเรียกร้องค่าเสียหายสูงกว่าความ
เสียหายทเ่ี กิดข้ึน เม่อื ผู้เสยี หายท่ี ๑ ไม่ยอมจ่ายเงินใหจ้ าเลยในตอนแรก จาเลยได้ใช้เหล็กแป๊บตีหลัง
ผู้เสียหายท่ี ๑ หลังจากนั้นพวกของจาเลยล็อกคอผู้เสียหายท่ี ๑ และจาเลยกับพวกพูดว่าไม่ได้เงิน
มีเร่ืองแน่ เห็นได้ว่าเป็นคาพูดทานองขู่บังคับผู้เสียหายทั้งส่ีให้ยอมจ่ายเงินแก่จาเลยจนในที่สุด
ผู้เสียหายที่ ๑ รวบรวมเงินจากผู้เสยี หายท่ี ๓ และที่ ๔ ได้ ๘๓๐ บาท กับแหวนทองคาหนัก ๒ สลึง
ของผู้เสียหายท่ี ๒ นามามอบให้จาเลย เป็นพฤติการณ์ที่บ่งช้ีว่าผู้เสียหายท้ังส่ียอมจ่ายเงินให้แก่
จาเลยเพราะกลัวว่าจะถูกจาเลยกับพวกทาร้ายน่ันเอง การกระทาของจาเลยที่ใช้เหล็กแป๊บตีหลัง
ผ้เู สียหายที่ ๑ พวกของจาเลยล็อกคอผู้เสียหายที่ ๑ และจาเลยกับพวกพูดว่าหากไม่ได้เงินมีเรื่องแน่
เป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายท้ังสี่ให้ยอมให้เงินและแหวนทองคา ซ่ึงเป็นทรัพย์สินมูลค่าน้อยกว่า
ที่จาเลยกับพวกต้องการ จึงไม่เข้าลักษณะเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดน้ันจะใช้กาลังประทุษร้าย อันจะ
เป็นความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์โดยกระทาความผิดร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปตาม ป.อ. มาตรา
๓๔๐ วรคสอง ประกอบมาตรา ๓๔๐ ตรี, ๘๓ แต่เป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายทั้งสี่ให้ยอมให้จาเลยได้
511
ประโยชน์ในลักษณะท่ีเปน็ ทรพั ย์สินโดยขเู่ ข็ญว่าจะทาอันตรายตอ่ เสรีภาพของผู้เสยี หายท้ังส่ี อันเป็น
ความผิดฐานกรรโชกตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๗ วรรคแรก
ขอ้ สังเกต ฎีกำนีม้ ีกำรข่มขู่และใช้กำลงั ประทุษรำ้ ย จงึ ผดิ กรรโชก ถ้ำไมไ่ ด้ขม่ ขดู่ ูฎีกำท่ี ๖๘๓/๒๕๖๒
ซึ่งไม่เป็นกรรมโชก
ฎีกาท่ี ๖๘๓/๒๕๖๒ ฎ.๑๑๖ จาเลยท้ังส่ีวางแผนจะเรียกเอาเงินจากผู้เสียหายโดยวิธีให้
จาเลยท่ี ๑ ขับรถยนต์แซงรถยนต์ผู้เสียหายแล้วชะลอความเร็วรถยนต์จนผู้เสียหายต้องแซงรถยนต์
จาเลยท่ี ๑ จากนัน้ ให้จาเลยท่ี ๓ และท่ี ๔ ขับรถยนต์ไลห่ ลังรถยนต์ผูเ้ สียหาย จนผู้เสยี หายถกู บีบให้
ต้องรีบขับรถกลับเข้าช่องเดินรถด้านซ้าย แล้วจาเลยท่ี ๑ ขับรถจี้ตามหลังรถยนต์ผู้เสียหาย จนเกิด
การเฉยี่ วชนกนั ขน้ึ จากนน้ั จาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ จะขอเจรจาผู้เสียหายเพอ่ื เรียกเอาเงิน ซ่ึงวิธีการของ
จาเลยทั้งส่ีเช่นว่าน้ันจะทาให้เกิดความเสียหายต่อรถยนต์ซ่ึงเป็นทรพั ย์สินของผู้เสียหายอยู่ก่อนแล้ว
แม้จาเลยท่ี ๒ เรียกเอาเงินจากผู้เสียหาย แต่มิใช่คาพูดที่เป็นการขู่เข็ญหรือข่มขู่ว่าจะทาอันตรายต่อ
ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้เสียหาย ท้ังไม่ใช่ใช้กาลังประทุษร้าย การกระทา
ของจาเลยทั้งสี่จึงขาดองค์ประกอบท่ีจะเป็นความผิดฐานกรรโชกตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๗ วรรคหน่ึง
แต่เปน็ ความผิดตามมาตรา ๓๕๘
ฎกี าท่ี ๓๘๗๔/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล.๕ น.๓๔ การที่จาเลยท้ังสองซื้อสลากกินรวบจากผู้เสยี หายท่ี
๑ จาเลยท้ังสองย่อมทราบเป็นอย่างดีว่าเป็นการกระทาซ่ึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. การพนันฯ และ
ไม่ก่อให้เกิดหน้ีในอันท่ีจะสามารถบังคับกันได้ตามกฎหมาย ย่ิงกว่าน้ัน แม้หากเป็นหน้ีท่ีชอบด้วย
กฎหมายและลกู หน้ีไม่ยอมชาระหนี้ เจา้ หนย้ี ังหาได้มสี ิทธทิ ี่จะทวงถามด้วยการข่มขนื ใจให้ลูกหน้ยี อม
ชาระหน้ีโดยการใช้กาลังประทุษร้ายหรอื โดยขู่เข็ญว่าจะทาอันตรายต่อชีวิตของลูกหน้ีไม่ จึงไม่มีเหตุ
ทจี่ ะใหจ้ าเลยท่ี ๑ เข้าใจหรือเชื่อโดยสุจรติ ไดเ้ ลยว่าจาเลยที่ ๑ มีสทิ ธทิ ่จี ะบงั คบั และข่มขใู่ หผ้ ู้เสียหาย
ท่ี ๑ ยอมชาระเงินค่าสลากกินรวบให้แก่จาเลยที่ ๑ ด้วยการใช้กาลังประทุษร้ายและขู่เข็ญว่าจะทา
อันตรายต่อชีวิตของผู้เสียหายที่ ๑ เช่นนั้นได้ แต่เมื่อผู้เสียหายท่ี ๑ ไม่ได้ยอมที่จะให้เงินแก่จาเลย
ท่ี ๑ การกระทาของจาเลยที่ ๑ จึงเป็นการพยายามกรรโชก สาหรับจาเลยท่ี ๒ ได้ความวา่ หลังจาก
ผู้เสียหายท่ี ๑ แจ้งว่าเงินรางวัลมีจานวนมากเจ้ามือจะขอจ่ายเพียงครึ่งเดียวก่อน ในคืนวันท่ี ๑๖
ตุลาคม ๒๕๕๑ จาเลยที่ ๒ โทรศัพท์ข่มขู่ว่าจะพาเจ้าพนักงานตารวจจากจังหวัดขอนแก่นไปจัดการ
ผ้เู สียหายท่ี ๑ เพ่ือเอาเงินค่าสลากกินรวบให้ครบ ซึ่งสอดคล้องกับพฤติการณ์ที่ตอ่ มาวันร่งุ ข้ึนจาเลย
ท่ี ๒ ไปท่ีร้านของผู้เสียหายท่ี ๑ โดยมีจาเลยที่ ๑ และพวกอีกถึง ๕ คน ไปด้วย ย่อมแสดงชัดว่าเป็น
เรื่องท่ีจาเลยท่ี ๒ รู้เห็นโดยมีเจตนาที่จะร่วมกับจาเลยที่ ๑ และพวกไปขู่เข็ญกับใช้กาลังประทุษร้าย
เพือ่ ทวงถามเงินค่าสลากกนิ รวบจากผเู้ สียหายท่ี ๑ มาตง้ั แต่แรก มิใช่เป็นเร่ืองที่จาเลยที่ ๑ กระทาไป
เองเพียงลาพัง ฟังได้ว่าจาเลยท่ี ๒ เป็นตัวการร่วมกับจาเลยท่ี ๑ ในการพยายามกรรโชก และใช้
กาลังทาร้ายผู้เสียหายทั้งสองโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ตาม ป.อ. มาตรา
๓๓๗ วรรคสอง (๑) ประกอบมาตรา ๘๓, ๓๙๑
ฎีกาที่ ๔๗๘/๒๕๕๙ ฎ.๘๗๓ จาเลยท่ี ๑ ข่มขู่บังคับให้โจทก์ร่วมไปโอนขายสิทธิการเช่าที่
512
ราชพัสดุมชี ่ือของ ส. ซึง่ เปน็ บุตรถือสทิ ธิ และโจทก์ร่วมยอมไปขอรอ้ ง ส. ให้โอนขายสิทธิการเชา่ โดย
อ้างว่าโจทก์ร่วมกาลังเดือดร้อน ส. ต้องยอมโอนขายสิทธิการเช่าที่ราชพัสดุให้ผู้อ่ืน โดยเงินที่ขายได้
เข้าบัญชีเงินฝากในธนาคารของโจทก์ร่วม การกระทาตามคาขู่บังคับของจาเลยท่ี ๑ ไม่ทาให้จาเลย
ที่ ๑ ได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดยตรง ย่อมไม่เป็นความผิดฐานกรรโชก แต่การกระทา
ของจาเลยที่ ๑ เป็นการข่มขืนใจโจทก์ร่วมให้ไปขอร้อง ส. ให้โอนขายสิทธิการเช่าที่ราชพัสดุ โดยทา
ให้โจทก์ร่วมกลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่โจทก์ร่วมและคนในครอบครัว โจทก์ร่วมเกิดความกลัวยอม
กระทาการตามทจี่ าเลยท่ี ๑ ขม่ ขู่บังคับ การกระทาของจาเลยท่ี ๑ เป็นความผิดตอ่ เสรภี าพตาม ป.อ.
มาตรา ๓๐๙ วรรคแรก ซงึ่ เป็นความผดิ ทีร่ วมอยูใ่ นความผดิ ฐานกรรโชกตามทโ่ี จทก์ฟอ้ ง
จาเลยที่ ๒ รู้เห็นการกระทาของจาเลยที่ ๑ ซ่ึงเป็นภริยาในการข่มขู่บังคับโจทก์ร่วม
มาแต่แรก การที่จาเลยที่ ๒ ร่วมกับจาเลยที่ ๑ ไปที่บ้านของโจทก์ร่วม แม้จะยืนรออยู่นอกบ้าน
แต่จาเลยที่ ๒ ก็อยู่ในลักษณะที่จะช่วยเหลือจาเลยที่ ๑ ได้ทันที จาเลยท่ี ๒ เป็นเจ้าพนักงานตารวจ
มีหนา้ ท่ีสืบสวนจับกมุ ผูก้ ระทาความผิดกฎหมาย การท่ีจาเลยที่ ๒ ทราบว่าจาเลยท่ี ๑ ไปกระทาการ
ข่มขู่บังคับให้โจทก์ร่วมมอบเงินและทรัพย์สินต่าง ๆ ให้แก่จาเลยท่ี ๑ นามาปลูกสร้างบ้านซื้อ
ทรัพย์สินซ่ึงจาเลยที่ ๒ ได้ใชป้ ระโยชน์จากทรัพย์นั้น รวมทั้งรับโอนโฉนดที่ดนิ มาใส่ช่อื ตนและจาเลย
ที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธ์ิโดยจาเลยทั้งสองไม่ต้องจ่ายเงินค่าท่ีดิน ดังน้ี จาเลยที่ ๒ จึงเป็นตัวการ
กระทาความผิดฐานกรรโชกรวมทัง้ ความผิดต่อเสรภี าพร่วมกบั จาเลยที่ ๑ ดว้ ย
ฎีกาที่ ๑๒๒๒๒/๒๕๕๘ จาเลยเข้าไปเกี่ยวข้องโดยผู้เสียหายว่าจ้างให้จาเลยมาช่วยเจรจา
ไกล่เกลี่ยหนี้ให้แก่ ณ. แต่จาเลยทาผิดหน้าท่ีโดยฉกฉวยโอกาสนาสาเนาหมายจับปลอมมาใช้แสดง
ตอ่ ณ. ทาให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวว่า ณ. จะถูกจับกุมดาเนินคดตี ามสาเนาหมายจับปลอมดงั กล่าว
และผู้เสียหายยอมให้ทรัพย์สินแก่จาเลยไป แม้จาเลยจะไม่ได้แสดงการขู่เข็ญด้วยตัวของจาเลยเอง
แตก่ ารกระทาของจาเลยที่นาสาเนาหมายจบั ปลอมมาใชป้ ระกอบการขเู่ ข็ญ ทาใหผ้ ู้เสียหายเกดิ ความ
กลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อเสรีภาพของ ณ. บุตรสาวผู้เสียหายซึ่งเป็นบุคคลที่สาม การกระทาของ
จาเลยก็เป็นความผิดฐานกรรโชกแล้ว และเป็นการกระทากรรมเดียวกับความผิดฐานใช้เอกสาร
ราชการปลอม
ฎีกาท่ี ๓๗๒๓/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๖ น.๑๐๘ จาเลยที่ ๑ เรียกประชุมสมาชิกคนขับรถ
จักรยานยนต์รับจ้างในวินของจาเลยท่ี ๑ ซึ่งผู้เสียหายบางคนไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย โดยจาเลย
ทั้งสองได้บอกให้สมาชิกทราบว่าจาเลยที่ ๑ ขอเก็บเงินค่าวินจากสมาชิกคนละ ๙๕๐ บาท ต่อเดือน
หากสมาชิกคนใดไม่ยอมจ่ายเงินให้ ก็ให้สมาชิกคนน้ันกลับบ้านต่างจังหวัดไป จาเลยท้ังสองจะยึด
เส้ือวินคืนกับใหร้ ะวังตวั ใหด้ ี คาพูดดงั กล่าวมีลกั ษณะเป็นการขม่ ขู่ขืนใจให้สมาชิกท้ังที่เข้าร่วมประชุม
และไม่เข้าร่วมประชุมยอมจ่ายเงินเป็นรายเดือนเดือนละ ๙๕๐ บาท ให้แก่จาเลยที่ ๑ และไม่ให้
สมาชิกบอกเร่ืองที่ต้องจ่ายเงินให้แก่จาเลยท่ี ๑ ให้บุคคลอื่นรวมท้ังเจ้าหน้าท่ีของรัฐทราบด้วย โดย
การขู่เข็ญให้สมาชิกทราบว่าหากสมาชิกคนใดไม่ยอมกระทาตามท่ีบอก สมาชิกก็จะได้รับผลร้ายคือ
จะถูกยึดเสื้อวินท่ีสมาชิกใส่ในการขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างคืน ซึ่งหมายความว่าสมาชิกคนน้ัน
513
จะไม่สามารถมาจอดรถจักรยานยนต์ของตนที่วินของจาเลยท่ี ๑ เพื่อรอให้ผู้โดยสารว่าจ้างอีกต่อไป
อันเป็นการขู่เข็ญสมาชิกว่าจาเลยท้ังสองจะทาอันตรายต่อเสรีภาพของบรรดาสมาชิก ส่วนคาว่าให้
ระวังตัวให้ดีนั้นคนปกติทั่วไปก็สามารถเข้าใจได้ว่า เป็นลักษณะคาพูดข่มขู่ให้คนท่ีได้รับฟังให้เกิด
ความกลัวอยู่ในตัวว่าอาจจะเกิดอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายได้ จึงเป็นกรณีจาเลยทั้งสองขู่เข็ญ
สมาชิกว่าจาเลยท้ังสองจะทาอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายของบรรดาสมาชิก ซึ่งผู้เสียหายหลายคน
ยอมจ่ายเงินให้แกจ่ าเลยที่ ๑ การกระทาของจาเลยทั้งสองจงึ ครบองค์ประกอบความผิดฐานกรรโชก
ฎีกาที่ ๒๒๖๓/๒๕๕๑ ฎ.๒๒๔๐ ผู้เสียหายนารถยนต์เข้าไปจอดในบริเวณสถานีขนส่ง
สายใต้ใหม่ซ่ึงจาเลยไม่มีสิทธิเรียกเก็บเงินค่าจอดรถจากผู้เสียหาย การที่จาเลยพูดกับผู้เสียหายว่า
ถ้าไม่จ่ายค่าจอดรถจะตบและจาเลยนาเก้าอี้ขวางก้ันมิให้ผู้เสียหายขับรถยนต์ออกไป ถือได้ว่าเป็น
การขู่เข็ญข่มขืนใจผู้เสียหายให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็น
ทรัพย์สิน เม่ือผู้เสียหายไม่ยอมให้เงินแก่จาเลย จาเลยจึงมีความผิดฐานพยายามกรรโชกตาม ป.อ.
มาตรา ๓๓๗ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๘๐
ฎีกาที่ ๒๙๑๒/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๔๑ จาเลยขู่เข็ญผู้เสียหายโดยกล่าวอ้างแสดงตัวว่า
เป็นเจ้าพนกั งานตารวจ และขู่วา่ จะยัดยาบ้าให้เท่านั้น การกระทาของจาเลยท่ีขู่เขญ็ ผู้เสียหาย ไมเ่ ข้า
ลักษณะเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดน้ันจะใช้กาลังประทุษร้าย อันจะเป็นความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์
ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๙ แต่เข้าลักษณะเป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายให้ยอมให้จาเลยได้ประโยชน์ใน
ลักษณะท่ีเป็นทรัพย์สินโดยขู่เข็ญว่าจะทาอันตรายต่อเสรีภาพของผู้เสียหายผู้ถูกขู่เข็ญ อันเป็น
ความผดิ ฐานกรรโชกตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๗ วรรคหน่ึง
ฎีกาท่ี ๑๔๘๔/๒๕๔๙ ฎ.๖๘๑ จาเลยรับของโจรโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหาย แล้ว
จาเลยขู่เข็ญให้ผู้เสียหายนาเงิน ๕,๕๐๐ บาท มามอบให้เป็นค่าไถ่โทรศัพท์เคลื่อนท่ีของผู้เสียหายท่ี
จาเลยรับมาจากคนร้ายที่ลักทรัพย์ และหากไม่นามาให้จะไม่ได้รับโทรศัพท์คืน จาเลยจะนาไปขาย
ให้แก่บุคคลอ่ืน เข้าลักษณะเป็นการขู่เข็ญว่าจะทาอันตรายต่อทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ คือขาย
โทรศัพท์เคลือ่ นท่ีไป ซึง่ ทาใหผ้ ้เู สียหายเกิดความกลวั และยินยอมจะนาเงนิ ๕,๕๐๐ บาท ไปใหจ้ าเลย
จึงเขา้ ลักษณะความผดิ ฐานกรรโชก
หมายเหตุ (โดยศำสตรำจำรย์ไพโรจน์ วำยุภำพ) กำรที่จำเลยรับโทรศัพท์เคล่ือนท่ีมำจำกคนร้ำยท่ี
ลกั ทรัพยเ์ ป็นควำมผดิ ฐำนรับของโจร ภำยหลังจำกนั้นจำเลยไมไ่ ดก้ ระทำตอ่ โทรศัพท์เคลอ่ื นท่ที ่ีอยูใ่ น
ควำมครอบครองของจำเลย เพียงแต่นำมำใช้ในกำรขู่เข็ญว่ำจะนำไปขำยให้บุคคลอื่น ให้ยอมให้เงิน
๕,๕๐๐ บำท แก่จำเลยแล้วจะคืนให้ จำเลยจึงมีควำมผิดฐำนกรรโชกอีกกระทงหนึ่ง ต่ำงกับกรณีท่ี
จำเลยนำโทรศัพทเ์ คลื่อนทไี่ ปทำลำย จำเลยยอ่ มไม่มีควำมผิดฐำนทำให้เสยี ทรพั ย์อีก
กำรท่ีจำเลยจะนำโทรศัพท์เคล่ือนที่ที่จำเลยรับของโจรมำไว้ในครอบครองไปขำยต่อ แม้จะ
ไม่ได้เป็นกำรทำให้เสียหำยทำลำยโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่ก็เป็นกำรกระทำต่อสิทธิแห่งกรรมสิทธิ์ใน
โทรศัพท์เคลื่อนท่ี ซึ่งเป็นสิทธิอันเก่ียวกับทรัพย์สินที่เป็นวัตถุไม่มีรูปร่ำง อันถือว่ำเป็นทรัพย์สินตำม
ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ ๑๓๘ เมื่อกำรกระทำควำมผิดฐำนกรรโชกตำมประมวล
514
กฎหมำยอำญำมำตรำ ๓๓๗ เกิดจำกกำรที่ผู้กระทำขู่เข็ญว่ำจะทำอันตรำยต่อทรัพย์สินของผู้ถูก
ขู่เข็ญ กำรที่จำเลยขู่เข็ญว่ำจะนำโทรศัพท์เคล่ือนท่ีไปขำยให้บุคคลอื่น เป็นกำร ขู่เข็ญว่ำ
จะทำอนั ตรำยต่อทรัพย์สนิ ของผ้ถู ูกขู่เขญ็ จึงเป็นควำมผิดฐำนกรรโชก
ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๓๓๘
ฎีกาที่ ๑๑๘๘/๒๕๖๑ ฎ.๒๖๘๖ จาเลยส่งข้อความถึงโจทก์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต
โปรแกรมสไกป์ (SKYPE) และแอปพลิเคชันไลน์ (LINE) ว่า จาเลยต้องการเงิน ๑๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์
ฮ่องกง หากโจทก์ไม่ยินยอมมอบเงินให้ จาเลยจะเปิดเผยภาพเปลือยและวิดีโอบันทึกภาพลามก
เก่ียวกับโจทก์ซึ่งเป็นความลับให้บุตรสาวโจทก์ทราบ การกระทาของจาเลยเป็นการข่มขืนใจผู้อื่น
ให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยขู่เข็ญจะเปิดเผย
ความลับ ซ่ึงการเปิดเผยนั้นจะทาให้ผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สามเสียหาย ครบองค์ประกอบความผิด
ฐานรีดเอาทรัพย์ เม่ือโจทก์ไม่ยินยอมมอบเงินให้ตามที่จาเลยขู่เข็ญ การกระทาของจาเลยเป็น
ความผิดฐานพยายามรีดเอาทรัพยต์ าม ป.อ. มาตรา ๓๓๘, ๘๐
ฎีกาที่ ๑๒๖๘๕/๒๕๕๘ ฎ.๓๐๖๗ การขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับซึ่งเป็นองค์ประกอบ
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๘ หมายความว่า การขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยเหตุการณ์ข้อเท็จจริง
ท่ีไม่ประจักษ์แก่บุคคลท่ัวไป และเป็นข้อเท็จจริงท่ีเจ้าของความลับประสงค์จะปกปิดไม่ให้
บุคคลอ่ืนรู้ ดังนี้ ความลับจึงไม่จาเป็นต้องเป็นการกระทาที่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ชอบด้วย
กฎหมายหรือผิดศีลธรรมอันดีของประชาชน หากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงและเจ้าของข้อเท็จจริง
ประสงค์จะปกปิดไม่ให้บุคคลอ่ืนรู้ก็ถือว่าเป็นความลับแล้ว เมื่อฎีกาของจาเลยยอมรับข้อเท็จจริงว่า
จาเลยมีภริยาอยู่แล้ว แต่จาเลยกับผู้เสียหายสมัครใจมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันมาประมาณ ๑ ปี
ข้อเท็จจริงที่จาเลยกับผู้เสียหายมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันจึงเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดข้ึนจริง เม่ือเป็น
การกระทาท่ีผิดศีลธรรมอันดีของประชาชน แสดงว่าผู้เสียหายประสงค์จะปกปิดไม่ให้บุคคลอ่ืน
โดยเฉพาะภริยาจาเลยรู้เรื่องดังกล่าว เรื่องนั้นจึงเป็นความลับของผู้เสียหาย การท่ีจาเลยขู่เข็ญ
ผู้เสียหายว่าหากผู้เสียหายไม่นาเงินจานวน ๒๐,๐๐๐ บาท มาให้จาเลย จาเลยจะนาเร่ือง
ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวระหว่างจาเลยซึ่งมีครอบครัวแล้วกับผู้เสียหายไปเปิดเผยต่อบุคคลอื่น จึงเป็น
การขเู่ ข็ญว่าจะเปดิ เผยความลับของผู้เสียหาย ครบองคป์ ระกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๘
515
ชิงทรัพย์ ปล้นทรพั ย์
ข้อ ๙๑ คาถาม นายแดงเป็นชายฉกรรจ์ร่างกายกายาขับรถจักรยานยนต์ตาม
รถจักรยานยนต์ท่ีนางสาวสวยซ่ึงเป็นนักศึกษาหญิงขับมาถึงมหาวิทยาลัย เม่ือนางสาวสวยจอดรถ
โดยยังไม่ได้ลงจากรถ นายแดงเดินมาจากด้านหลังสอบถามนางสาวสวยว่ามีสายชาร์จ
โทรศัพท์เคลื่อนที่หรือไม่ นางสาวสวยตอบว่าไม่มี นายแดงถามว่ามีเงินเท่าใด นางสาวสวยตอบว่ามี
๕๐๐ บาท นายแดงเข้าประชิดตัวนางสาวสวยมากข้ึน นางสาวสวยเปิดกระเป๋าหยิบเงินย่ืนเงินให้
นายแดงย่ืนมือขวามารับเงินจากนางสาวสวย สว่ นมอื ซา้ ยทาท่าจะล้วงอาวุธจากขอบกางเกงด้านหลัง
หลังจากรับเงินแล้ว นายแดงจับแขนนางสาวสวยไว้ นางสาวสวยใช้หมวกนิรภัยตีนายแดง นายแดง
ต่อยที่ท้อง ลาตัว และศีรษะนางสาวสวยจนได้รับอันตรายแก่กาย แล้วฉุดกระชากลากตัวนางสาว
สวยไปทลี่ านจอดรถอีกช่องหนงึ่ ซงึ่ มีรถกระบะจอดอยู่ นายแดงผลักและเหวย่ี งนางสาวสวยทีพ่ ื้นและ
บอกให้ถอดกางเกง นางสาวสวยขัดขืนดงึ กางเกงไว้ นายแดงกอดปล้าและพยายามดึงกางเกงนางสาว
สวยออก นางสาวสวยกลัวนายแดงจะข่มขืนจึงถอดสร้อยคอทองคาหนัก ๕๐ สตางค์ท่สี วมอยู่ให้นาย
แดงไป โดยคิดว่าเม่ือนายแดงได้สร้อยแล้วจะปล่อยตัวนางสาวสวย หลังจากนายแดงเอาสรอ้ ยคอไป
แล้ว นางสาวสวยพยายามลุกข้ึนจะหลบหนี แต่นายแดงกระชากนางสาวสวยไว้และชกต่อยนางสาว
สวยอีก นายแดงถอดกางเกงขายาวและกางเกงช้ันในของนางสาวสวยออก นางสาวสวยขัดขืนและ
ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ นายแดงใช้มือบีบคอนางสาวสวยระหว่างน้ันมีชายเก็บขยะเดินมา
นายแดงจงึ ปล่อยตวั นางสาวสวยแลว้ ขบั รถจักรยานยนตห์ ลบหนไี ป
ให้วนิ ิจฉยั ว่านายแดงมคี วามผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใด
คาตอบ การที่นายแดงถามนางสาวสวยว่ามีเงินเท่าไหร่ แล้วเข้าประชิดตัวนางสาวสวยมาก
ขึน้ นายแดงเป็นชายฉกรรจร์ ่างกายกายา เป็นพฤติการณ์ที่ทาใหน้ างสาวสวยซึ่งเป็นหญิงเข้าใจได้
ว่าหากไม่ส่งเงินให้จะถูกนายแดงทาร้าย เม่ือนางสาวสวยเปิดกระเป๋าหยิบเงินให้ นายแดงก็รับเอา
ไป โดยอีกมือหนึ่งทาท่าจะล้วงอาวุธจากขอบกางเกง กรณีจึงถือว่านายแดงเอาทรัพย์ของนางสาว
สวยไปโดยทุจรติ และโดยขู่เข็ญด้วยกริยาและวาจาวา่ ทันใดน้นั จะใช้กาลังปทุษร้าย เพื่อให้ย่ืนให้
ซง่ึ ทรพั ย์นน้ั เม่ือการชงิ ทรัพย์เปน็ เหตุให้นางสาวสวยได้รับอนั ตรายแก่กาย การกระทาของนายแดง
จึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 (2) วรรคสาม การท่ีนาย
แดงขับรถจักรยานยนต์ติดตามไปชิงทรัพย์นางสาวสวย ย่อมเป็นการใช้ยานพาหนะเพื่อกระทาผิด
หรอื พาทรัพยน์ ้ันไป หรอื เพือ่ ใหพ้ ้นการจบั กุม อนั เป็นความผิดตามมาตรา ๓๔๐ ตรีด้วย
หลังจากรับเงินแล้ว ไม่ปรากฏว่านายแดงขู่เข็ญหรือใช้กาลังประทุษร้ายนางสาวสวย เพื่อ
มุ่งประสงค์ต่อสร้อยคอทองคาของนางสาวสวย หากแต่นางสาวสวยคิดว่าเมื่อนายแดงได้สร้อยคอ
ทองคาแล้วจะปล่อยตัวนางสาวสวย การท่ีนายแดงรับเอาสร้อยคอทองคาจากนางสาวสวยไป
เป็นเจตนาทุจริตที่เกิดขึ้นภายหลัง การกระทาของนายแดงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่เป็น
ความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๔ อีกบทหน่ึง
516
การที่นายแดงฉุดกระชาก ผลัก และเหวี่ยงนางสาวสวยไปที่พื้นแล้วบอกให้ถอดกางเกง
นางสาวสวยขัดขืนดึงกางเกงไว้ นายแดงกอดปล้าและพยายามดึงกางเกงนางสาวสวยออก นั้น
นายแดงยังไม่อยู่ในวิสัยท่ีจะทาการข่มขืนกระทาชาเรานางสาวสวยได้ การกระทาของนายแดง
เป็นการกระทาเพียงขั้นตระเตรียมซึ่งยังไม่ถึงข้ันลงมือกระทาความผิดฐานข่มขืนกระทาชาเรา
นางสาวสวย นายแดงจึงไม่มีความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทาชาเรา แต่เม่ือการกระทา
ดังกล่าวเป็นการกระทาที่ไม่สมควรทางเพศต่อนางสาวสวย จึงเป็นความผิดฐานกระทาอนาจาร
แก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีโดยใช้กาลังประทุษร้าย ตามมาตรา 278 อีกบทหน่ึง และการที่นาย
แดงทาร้ายนางสาวสวยจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย นายแดงจึงมีความผิดฐานทาร้าย
รา่ งกายตามมาตรา 295 อีกบทหนึ่ง
ฎีกาที่ ๑๕๑๓/๒๕๖๒ ฎ.๑๖๘ จาเลยเข้ามาทางด้านหลังของผู้เสียหายแล้วถามผู้เสียหาย
ว่ามีเงินเท่าใด จากนั้นเข้าประชิดตัวผู้เสียหายพร้อมทั้งทาท่าจะล้วงอาวุธจากขอบกางเกงด้านหลัง
ซึ่งลักษณะการกระทาของจาเลยเป็นการข่มขู่คุกคามผู้เสียหาย โดยเฉพาะจาเลยเป็นชายอยู่ใน
วัยฉกรรจ์ มีร่างกายล่ากายาและสูงกว่าผู้เสียหายมาก ผู้เสียหายเป็นหญิงและกาลังศึกษา ย่อมเกิด
ความเกรงกลัวจาเลย พฤตกิ ารณ์ของจาเลยถือได้ว่าเป็นการขเู่ ขญ็ ผเู้ สียหายวา่ ในทันใดน้ันจะใช้กาลัง
ประทุษร้าย การท่ีจาเลยกระทาและพูดกับผู้เสียหายเช่นน้ัน ก็เพ่ือให้ผู้เสียหายส่งเงินให้แก่จาเลย
เม่ือผู้เสียหายส่งเงินให้เพราะเกิดความกลัวเนื่องจากถูกจาเลยขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กาลัง
ประทุษร้าย การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์เงินของผู้เสียหายตาม ป.อ. มาตรา
๓๓๙ (๒) วรรคสาม ทั้งน้ี โดยไม่ต้องคานึงถึงวา่ จาเลยเป็นผู้หยิบเอาทรัพย์นั้นเองหรือผู้เสียหายเป็น
ผ้หู ยบิ สง่ ใหไ้ ป
จาเลยขับรถจักรยานยนต์ติดตามผู้เสียหายมาถึงที่เกิดเหตุแล้วชิงทรัพย์ของผู้ เสียหายไป
ย่อมเป็นการใช้ยานพาหนะเพื่อกระทาผิดหรือพาทรัพย์น้ันไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม อันเป็น
ความผดิ ตามมาตรา ๓๔๐ ตรี
ผู้เสียหายกลัวจาเลยจะข่มขืนกระทาชาเราจึงถอดสร้อยคอทองคาที่สวมอยู่ให้จาเลยไปเอง
โดยไม่ปรากฏว่าจาเลยขู่เข็ญหรือใช้กาลังประทุษร้ายผู้เสียหาย เพ่ือมุ่งประสงค์ต่อสร้อยคอทองคา
ของผู้เสียหาย หากแต่ผู้เสียหายคิดว่าเม่ือจาเลยได้สร้อยคอทองคาแล้วจะปล่อยตัวผู้เสียหาย การท่ี
จาเลยรับเอาสร้อยคอทองคาจากผู้เสียหายไป เป็นเจตนาทุจริตที่เกิดขึ้นภายหลัง การกระทาของ
จาเลยไม่เป็นความผิดฐานชงิ ทรพั ย์ แต่เป็นความผิดฐานลักทรพั ย์ตามมาตรา ๓๓๔ และยังมีความผิด
ตามมาตรา ๒๙๕ และมาตรา ๒๗๘ ด้วย
517
ข้อ ๙๒ คาถาม นายสิงห์พกอาวุธมีดปลายแหลมไปดักรอคนข้ามสะพานลอยซ่ึงเป็นทาง
สาธารณะในเวลากลางคืน นายสิงห์เห็นนางนงค์กาลังเดินข้ามสะพานเพียงผู้เดียว จึงเข้าไปใช้แขน
รัดคอนางนงค์ ใช้มีดจี้ท่ีบริเวณคอและพูดขอร่วมประเวณี นางนงค์พูดขอนายสิงห์ไม่ให้ข่มขืนตน
โดยขอให้เอาแต่เงินไป พร้อมกบั ล้วงเงิน ๑๒๐ บาท ส่งให้นายสิงห์ นายสิงห์รับเงินไว้จากน้ันใช้มีดจี้
บังคับฉุดลากนางนงค์ลงไปท่ีเชิงสะพานลอยแล้วกอดปล้าให้นางนงค์นอนลง นางนงค์ด้ินรนไม่ยอม
ให้นายสิงห์ข่มขืน นายสิงห์จึงได้ลากนางนงค์ไปกดลงที่คูน้าในบริเวณน้นั ประมาณ ๑๐ นาที จนนาง
นงคถ์ ึงแก่ความตาย นายสิงห์ได้ลากนางนงค์ข้ึนมาแล้วกระทาชาเราจนสาเรจ็ ความใคร่ โดยไม่ทราบ
ว่านางนงคถ์ งึ แกค่ วามตายแลว้
ดงั นี้ ให้วนิ ิจฉยั วา่ การกระทาของนายสิงหเ์ ป็นความผดิ ฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด
คาตอบ การท่ีนายสิงห์พกอาวุธมีดปลายแหลมไปดักรอคนข้ามสะพานลอยซ่ึงเป็นทาง
สาธารณะ เป็นการพาอาวุธไปในทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควร จึงมีความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑
แม้นายสิงห์จะมกี ารใช้กาลงั ประทุษร้ายดว้ ยการใช้แขนรัดคอนางนงค์ และขู่เขญ็ ว่าทันใด
น้ันจะใช้กาลังประทุษร้าย ด้วยการใช้มีดจ้ีที่บริเวณคอและพูดขอร่วมประเวณี นางนงค์พูดขอนาย
สิงห์ไม่ให้ข่มขืนตน โดยขอให้เอาแต่เงินไป พรอ้ มกับล้วงเงิน ๑๒๐ ส่งให้นายสิงห์ นายสิงห์รับเงินไว้
ในเวลากลางคืน แต่ก็เป็นการกระทาเพ่ือขอร่วมประเวณี ไม่ใช่กระทาเพื่อให้ย่ืนให้ซ่ึงทรัพย์
การกระทาของนายสิงห์จึงขาดเจตนาพิเศษในการกระทาความผิดฐานชิงทรัพย์ท่ีต้องเป็นการใช้
กาลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าทันใดน้ันจะใชก้ าลังประทุษร้าย เพื่อให้ย่ืนให้ซึ่งทรัพย์ การกระทา
ของนายสิงห์จึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์โดยใช้กาลังประทุษร้ายและขู่เข็ญว่าในทันใดน้ันจะ
ใช้กาลังประทุษรา้ ยโดยมีอาวุธในเวลากลางคืนตามมาตรา ๓๓๙ วรรคสอง (๒ คะแนน) แตก่ ารท่ี
นายสิงห์ใช้มีดจ้ีคอและพูดขอร่วมประเวณี นางนงค์พูดขอนายสิงห์ไม่ให้ข่มขืนตน โดยขอให้เอาแต่
เงินไป พร้อมกับล้วงเงนิ ๑๒๐ บาท ส่งให้นายสิงห์ นายสิงห์รับเงินไว้น้ัน เป็นการสง่ มอบเงินเพราะ
นางนงค์ตอ้ งการหลกี เลีย่ งจากการถูกข่มขืนกระทาชาเรา จึงไม่ใช่การส่งมอบโดยความบรสิ ุทธใ์ิ จ
แต่นายสิงห์เอาทรัพย์ดังกล่าวของนางนงค์ไปอันเป็นผลพลอยได้จากการท่ีนางนงค์ส่งมอบเงินให้
กอ่ นหน้านเี้ พื่อไม่ใหถ้ ูกข่มขืนกระทาชาเรา ต้องถือว่านายสิงห์แย่งการครอบครองเงินจากนางนงค์
การกระทาของนายสิงห์จึงเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อ่ืนไปโดยทุจริต นายสิงห์จึงมีความผิดฐาน
ลกั ทรพั ยโ์ ดยมอี าวธุ ในเวลากลางคืนตามมาตรา ๓๓๕ วรรคสอง (๑) (๗) วรรคสอง (เทียบฎีกาที่
๗๐๘๘/๒๕๕๗) (๒ คะแนน)
การที่นายสิงห์กดนางนงค์ลงในคูน้านาน ๑๐ นาที จนนางนงค์ถึงแก่ความตาย นายสิงห์
ย่อมเล็งเห็นได้ว่านางนงค์จะถึงแก่ความตายอย่างแน่นอนเท่าที่จิตใจของบุคคลในฐานะเช่นน้ัน
จะเล็งเห็นได้ การกระทาของนายสิงห์จึงเป็นการกระทาโดยเล็งเห็นผล จึงเป็นความผิดฐาน
ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา (๒ คะแนน) เพื่อความสะดวกและเพื่อเอาไว้ซ่ึงผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่
ตนได้กระทาความผดิ อยา่ งอนื่ ตามมาตรา ๒๘๙ (๖) (๗)
518
การที่นางนงค์ได้ถึงแก่ความตายก่อนถูกข่มขืนแล้ว การกระทาของนายสิงห์จึงไม่ครบ
องค์ประกอบภายนอกของความผิดฐานข่มขืนกระทาชาเราเน่ืองจากขาดผู้อื่นที่จะถูกข่มขื น
กระทาชาเรา การกระทาของนายสิงห์จึงไม่เป็นความผิดฐานข่มขืนกระทาชาเราผู้อ่ืนตามมาตรา
๒๗๖ แต่การท่ีนายสิงห์ใช้มีดจี้บังคับฉุดลากนางนงค์ลงไปท่ีเชิงสะพานแล้วกอดปล้านางนงค์ เป็น
การกระทาท่ีไม่สมควรในทางเพศแกน่ างนงค์โดยใช้กาลังประทุษร้าย จึงเป็นความผิดฐานกระทา
อนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีโดยใช้กาลังประทุษร้าย โดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะท่ีไม่สามารถ
ขัดขืนได้ ตามมาตรา ๒๗๘ (๒ คะแนน)
การท่ีนายสิงห์ได้ลากนางนงค์ขึ้นมาแล้วกระทาชาเราจนสาเร็จความใคร่ แม้จะเป็นการ
กระทาเพ่ือสนองความใคร่ของผู้กระทาโดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทากระทากับอวัยวะเพศ
ของศพ ครบองค์ประกอบภายนอกของความผิดฐานกระทาชาเราศพ แต่เมื่อนายสิงห์ไม่ทราบว่า
นางนงค์ถงึ แก่ความตายแลว้ เป็นการกระทาโดยผ้กู ระทามิได้รู้ข้อเท็จจรงิ อันเป็นองค์ประกอบของ
ความผิด จะถือว่าผู้กระทาประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทานั้นมิได้ ถือว่าขาด
เจตนาในการกระทาความผิด เพราะไม่รู้ว่าตนกาลังกระทาชาเราศพ นายสิงห์จึงไม่มีความผิด
ฐานกระทาชาเราศพตามมาตรา ๓๖๖/๑ เพราะขาดองค์ประกอบภายใน (๒ คะแนน)
ข้อสังเกต คำถำมข้อน้ีผู้แต่งนำข้อสอบอัยกำรก่อนมีกำรแก้ไขกฎหมำยและก่อนฎีกำท่ี ๗๐๗๗/
๒๕๕๗ ตัดสิน ธงคำตอบต้องเปลี่ยนแปลงไปตำมกฎหมำยที่แก้ไขใหม่และแนวฎีกำใหม่ กำรทำ
ข้อสอบเก่ำเป็นประโยชน์ แต่นักศึกษำต้องรู้ว่ำถ้ำมีกฎหมำยแก้ไขใหม่หรือฎีกำใหม่กลับแนวเดิม
ต้องเปลย่ี นคำตอบเปน็ ไปตำมกฎหมำยท่แี ก้ไขใหม่และแนวฎกี ำใหม่
ฎีกาท่ี ๗๐๘๘/๒๕๕๗ จาเลยไม่ได้มีเจตนาท่ีจะเอาทรัพย์ของผู้เสียหายแต่แรก การที่
ผ้เู สยี หายส่งมอบโทรศัพทเ์ คลอื่ นทก่ี ับเงิน ๗๐๐ บาท แกจ่ าเลยกบั พวกโดยเจตนาเพ่ือไม่ให้ถูกจาเลย
กับพวกทาร้ายและข่มขืนกระทาชาเรา เมื่อจาเลยกับพวกรับทรัพย์ดังกล่าวไว้ แต่ยังคงทาร้าย
ร่างกายผู้เสียหายอยู่เพ่ือข่มขืนกระทาชาเรา เม่อื ผู้เสียหายขอคนื จาเลยกับพวกยังยึดเงนิ ๒๐๐ บาท
ไว้ ไม่คืนให้ผู้เสียหาย เป็นการเอาทรัพย์ดังกล่าวของผู้เสียหายไปอันเป็นผลพลอยได้จากการท่ี
ผู้เสียหายส่งมอบเงินให้ก่อนหน้าน้ีเพื่อไม่ให้ถูกข่มขืนกระทาชาเรา ดังนั้น การกระทาของจาเลย
กับพวกจึงเป็นเพียงความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยร่วมกระทาผิดด้วยกันตั้งแต่สองคน
ขึ้นไป
ข้อสังเกต กำรที่ศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำ จำเลยกับพวกยังยึดเงิน ๒๐๐ บำทไว้ ไม่คืนให้ผู้เสียหำย
เป็นกำรเอำทรัพย์ดังกล่ำวของผู้เสียหำยไปอันเป็นผลพลอยได้จำกกำรที่ผู้เสียหำยส่งมอบเงินให้ก่อน
หน้ำนี้เพ่ือไม่ให้ถกู ข่มขืนกระทำชำเรำ คือไม่ใช่กำรไม่ส่งมอบทรัพย์โดยสมัครใจน่ันเอง เพรำะถ้ำเป็น
กำรส่งมอบทรัพย์โดยควำมสมคั รใจจะไมเ่ ปน็ ควำมผดิ ฐำนลกั ทรัพย์
519
ข้อ ๙๓ คาถาม กลางดึกคืนหนึ่งบนถนนท่ีเปล่ียวไม่ค่อยจะมีรถสัญจรผ่านไปมา นายต๋อย
ขับรถจักรยานยนต์แซงและปาดหน้ารถจักรยานยนต์ของนางสาวต๋ิมซ่ึงไม่รู้จักกัน เพ่ือให้เสียหลัก
และหยุดรถทันทีและตะคอกด่าพร้อมกับพูดว่า มีอะไรส่งมาให้หมด โดยนายต๋อยแสดงสีหน้าขึงขัง
เมื่อนางสาวต๋ิมส่งกระเป๋าสะพายให้นายต๋อยและพูดว่าจะเอาอะไรก็เอาไปขอบัตรประจาตัว
ประชาชนไว้ นายต๋อยคน้ กระเป๋าสะพายแล้วเห็นว่าไม่มีของมีคา่ จึงส่งกระเปา๋ สะพายคืนให้ และคลา
ที่คอนางสาวตมิ๋ เพ่ือหาสร้อยคอ นางสาวติ๋มบอกนายต๋อยว่าไมม่ ีของมีค่าติดตวั มา นายต๋อยจึงปล่อย
ตัวนางสาวติม๋ แลว้ ขับรถจกั รยานยนต์หนไี ป
ใหว้ นิ ิจฉยั วา่ นายตอ๋ ยมคี วามรบั ผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใด
คาตอบ การท่ีนายต๋อยขับรถจักรยานยนต์แซงและปาดหน้ารถจกั รยานยนตข์ องนางสาวติ๋ม
ซง่ึ ไม่รู้จักกันเพื่อให้เสียหลกั และหยุดรถทันทีและตะคอกด่าพร้อมกับพูดว่า มีอะไรส่งมาให้หมด โดย
นายต๋อยแสดงสีหน้าขึงขัง แม้นายต๋อยจะไม่ได้พูดว่าหากไม่ส่งส่ิงของให้จะทาร้ายนางสาวติ๋ม แต่
พฤติการณด์ ังกล่าวเกดิ ข้นึ ในเวลากลางคืนบนถนนเปล่ยี ว ย่อมเปน็ การคุกคามนางสาวตม๋ิ ใหก้ ลวั ว่า
จะถูกทาร้ายหากไม่ส่งทรัพย์สินให้ จึงเป็นการขู่เข็ญนางสาวติ๋มท้ังกิริยาและวาจาโดยมี
ความหมายว่า ถ้านางสาวต๋ิมไม่ให้สิ่งของใดแล้วนางสาวต๋ิมจะถูกทาร้าย จนนางสาวติ๋มกลัวต้อง
รีบส่งกระเป๋าสะพายให้นายต๋อย หาใช่เร่ืองที่นางสาวติ๋มกลัวไปเองไม่ การกระทาดังกล่าวของ
นายต๋อยจึงเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กาลังประทุษร้ายเพ่ือให้ยื่นให้ซ่ึงทรัพย์อันเป็น
ความผิดฐานชงิ ทรัพย์ มใิ ช่ความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ (ฎกี าที่ ๘๗๙๐/๒๕๕๔)
การท่ีนายต๋อยตะคอกด่าพร้อมกับพูดว่า มีอะไรส่งมาให้หมด เม่ือนางสาวต๋ิมส่งกระเป๋า
สะพายให้นายต๋อยและพูดว่าจะเอาอะไรก็เอาไปขอบัตรประจาตัวประชาชนไว้ นายต๋อยค้นกระเป๋า
สะพายแล้วเห็นว่าไม่มีของมีค่าจึงส่งกระเป๋าสะพายคืนให้ และคลาท่ีคอนางสาวติ๋มเพื่อหาสร้อยคอ
นางสาวต๋ิมบอกนายต๋อยว่าไม่มีของมีค่าติดตัวมา นายต๋อยจึงปล่อยตัวนางสาวติ๋มแล้วขับ
รถจักรยานยนต์หนีไป แสดงว่านายต๋อยมิได้ประสงค์จะแย่งเอากระเป๋าสะพายของนางสาวติ๋มไป
เป็นของตน เพียงแต่ต้องการค้นหาของมีค่าในกระเป๋าสะพาย มิฉะนั้นเมื่อนายต๋อยได้กระเป๋า
สะพายแล้วก็ต้องหลบหนีไปทันที โดยไม่ต้องเปิดดูและคืนกระเป๋าสะพายให้นางสาวติ๋ม
การกระทาของนายต๋อยจึงเป็นการลงมือกระทาความผิดไปตลอดแล้วแต่การกระทานั้น
ไม่บรรลุผล เป็นการพยายามกระทาความผิดไม่เป็นการชิงทรัพย์สาเร็จ เพราะไม่ได้ทรัพย์ไป
นายต๋อยคงมีความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทา ผิด
ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๔๐ ตรี และมาตรา ๘๐ (ฎีกาท่ี ๘๖๙/๒๕๕๕)
ฎกี าท่ี ๘๗๙๐/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๒๐๑ ผู้เสยี หายไม่ร้จู ักจาเลยกบั พวก การท่ีพวกจาเลย
ขับรถแซงและปาดหน้ารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายเพ่ือให้หยุดรถทันทีและตะคอกด่าพร้อมกับ
พดู ว่า มีอะไรส่งมาให้หมด โดยจาเลยกับพวกแสดงสีหนา้ ขึงขัง แม้พวกจาเลยจะไม่ไดพ้ ูดวา่ หากไมส่ ่ง
สง่ิ ของให้จะทาร้ายผู้เสียหาย แต่พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการคุกคามผู้เสียหายให้กลัวว่าจะถูกทาร้าย
หากไม่ส่งทรัพย์สินให้ จงึ เป็นการขู่เข็ญผ้เู สียหายท้ังกิริยาและวาจาโดยมคี วามหมายว่า ถา้ ผู้เสียหาย
520
ไม่ให้สิ่งของใดแล้วผู้เสียหายจะถูกทาร้าย จนผู้เสียหายกลัวต้องรีบส่งกระเป๋าสะพายให้จาเลย
หาใช่เรื่องที่ผู้เสียหายกลัวไปเองไม่ การกระทาดังกล่าวจึงเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดน้ันจะใช้กาลัง
ประทุษร้ายเพื่อให้ยื่นให้ซ่ึงทรัพย์อันเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ มิใช่ความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ เม่ือ
ขณะเกิดเหตุจาเลยยังคงนั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์คันเดียวกับพวก และแม้จาเลยไม่ได้พูดกับ
ผ้เู สียหาย แต่เมื่อผู้เสียหายย่ืนทรัพย์ให้จาเลยกร็ ับไว้แล้วก็ขับรถจักรยานยนต์หนีไปด้วยกันทันที ถือ
เป็นการแบง่ หน้าที่กนั ทาอันเป็นการร่วมกนั กระทาผิด
ฎกี าที่ ๘๖๙/๒๕๕๕ ฎ.๒๖๗๖ จาเลยใช้อาวุธปืนจ้ีขู่เข็ญผู้เสียหายวา่ อย่าสง่ เสียงและให้ส่ง
ของมีค่าให้ เมื่อผู้เสียหายส่งกระเป๋าสะพายให้จาเลยและพูดว่าจะเอาอะไรก็เอาไปขอบัตรประจาตัว
ประชาชนไว้ จาเลยค้นกระเป๋าสะพายแล้วเห็นว่าไม่มีของมีค่าจึงส่งกระเป๋าสะพายคืนให้ และคลาที่
คอผู้เสียหายเพ่ือหาสร้อยคอ ผู้เสียหายบอกจาเลยว่าไม่มีของมีค่าติดตัวมา จาเลยจึงปล่อยตัว
ผู้เสียหายแล้วเดินหนีไป แสดงว่าจาเลยมิได้ประสงค์จะแย่งเอากระเป๋าสะพายของผู้เสียหายไปเป็น
ของตน เพียงแต่ต้องการค้นหาของมีค่าในกระเป๋าสะพาย มิฉะน้ันเม่ือจาเลยได้กระเป๋าสะพายแล้ว
ก็ต้องหลบหนีไปทันที โดยไม่ต้องเปิดดูและคืนกระเป๋าสะพายให้ผู้เสียหาย การกระทาของจาเลย
จึงไม่เป็นการชิงทรัพย์สาเร็จ จาเลยคงมีความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้อาวุธ
ปืนตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๔๐ ตรี และมาตรา ๘๐
ข้อ ๙๔ คาถาม นายหนึ่ง นายสอง นายสาม และนายส่ี ตกลงกนั ไปปล้นบา้ นนายห้าโดยให้
นายสองนาอาวุธมีดไปด้วย เมื่อไปถึงบ้านของนายห้า นายห้าไม่อยู่บ้านมีเพียงนางหกคนรับใช้อยู่
ในบ้าน นายหน่ึงและนายสองเข้าไปในบ้านช่วยกันจับนางหกมัดไว้ ส่วนนายสามและนายสี่ช่วยดู
ต้นทางท่ีหน้าบ้าน แล้วนายหน่ึงและนายสองช่วยกันขนทรัพย์สินของนายห้าใส่รถแท๊กซ่ีจนเต็มหน่ึง
คัน แล้วนายหน่ึงน่ังรถแท๊กซี่เอาทรัพย์ออกจากบ้านของนายห้าไป โดยมีนายสองอยู่ในบ้านค้นหา
ทรัพย์สินต่อ ส่วนนายสามและนายสี่ดูต้นทางอยู่เช่นเดิม ต่อมานายห้ากลับเข้ามาในบ้าน นายสาม
และนายส่ีแจ้งนายสอง นายสองคอยให้นายห้าเข้ามาในบ้าน แล้วนายสองจึงใช้มีดจี้คอนายห้าเพื่อ
สอบถามรหัสเปดิ ตู้เซฟโดยนายสองพยายามระมัดระวังมิให้มดี ถูกนายห้า แต่นายห้าไม่ยอมบอกรหัส
และพยายามด้ินรนจนมีบาดคอถูกเส้นประสาทบริเวณคอนายห้าจนประกอบกรณียกิจตามปกตไิ ม่ได้
เกินกวา่ ยสี่ บิ วันซึ่งเปน็ อันตรายสาหัส
ให้วินิจฉัยว่า นายหนึ่ง นายสอง นายสาม และนายสี่ มีความผิดฐานปล้นทรัพย์หรือไม่
เพยี งใด
คาตอบ การท่ีนายหนึ่งและนายสองเข้าไปในบ้าน แม้นายสามและนายสี่ช่วยดูต้นทางที่
หน้าบ้าน แต่ก็ถือว่าเป็นการแบ่งหน้าที่กันทา ต้องถือว่านายหน่ึง นายสอง นายสาม และนายส่ี
เป็นตวั การร่วมกัน การท่ีนายหน่ึงและนายสองจับนางหกมัดไว้ แลว้ ช่วยกันขนทรัพย์สินของนายห้า
ใส่รถแท๊กซ่ีไป เป็นการชิงทรัพย์โดยร่วมกันกระทาความผิดด้วยกันต้ังแต่สามคนขึ้นไปโดยใช้
ยานพาหนะเพื่อพาทรพั ย์นน้ั ไป นายหน่ึง นายสอง นายสาม และนายส่ี จึงมีความผดิ ฐานร่วมกัน
521
ปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพ่ือพาทรัพย์นั้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐
วรรคแรก ประกอบมาตรา ๓๔๐ ตรี เม่ือเป็นการปล้นทรัพย์โดยนายสองมีอาวุธมีดติดตัวไปด้วยโดย
ใช้ยานพาหนะเพ่ือพาทรัพย์น้ันไปและตัวการร่วมกันรู้ว่านายสองมีอาวุธมีดในการปล้น นายหน่ึง
นายสอง นายสาม และนายส่ี ซ่ึงเป็นตัวการร่วมกันจึงต้องรับโทษหนักขึ้นตามมาตรา ๓๔๐
วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๔๐ ตรี ดว้ ยกันทุกคน
การท่ีนายสองใช้มดี จี้คอนายห้าเพ่ือสอบถามรหัสเปิดตู้เซฟ เมื่อการกระทาของนายสองเป็น
เหตุให้นายห้ารับอันตรายสาหัส แม้นายสองใช้ความระมัดระวังโดยไม่มีเจตนาทาร้ายนายห้าก็ไม่ใช่
ข้อสาคัญ เพราะการที่นายสองจะรับโทษหนักขึ้นด้วยเหตุท่ีนายห้ารบั อันตรายสาหัสน้ัน นายสอง
ไม่จาต้องกระทาโดยมีเจตนาเพียงแต่พิจารณาว่าผลที่นายห้ารบั อันตรายสาหัสน้ัน เป็นผลที่ตาม
ธรรมดาย่อมเกิดขึ้นได้ตามมาตรา ๖๓ หรือไม่ บริเวณคอเป็นอวัยวะสาคัญมีเส้นเลือดและ
เส้นประสาทจานวนมาก เม่ือนายสองใช้มีดจี้คอนายห้า การท่ีนายห้าดิ้นรนจนมีบาดคอถูก
เส้นประสาทบริเวณคอรับอันตรายสาหัสจากมีดนั้น จึงย่อมเป็นผลธรรมดาที่จะเกิดข้ึนจากการ
กระทาของนายสองแล้ว นายสองจึงมีความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้นายห้ารับ
อันตรายสาหัสโดยใช้ยานพาหนะเพื่อพาทรัพย์น้ันไปตามมาตรา ๓๔๐ วรรคสาม ประกอบมาตรา
๓๔๐ ตรี (เทยี บฎกี าที่ ๑๘๖๗/๒๕๕๓)
นายสามและนายสี่จะมีความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้นายห้ารับอันตรายสาหัส
ตามมาตรา ๓๔๐ วรรคสาม หรือไม่นั้น กฎหมายมีวัตถุประสงค์เพื่อท่ีจะลงโทษการกระทาของ
คนรา้ ยท่ปี ล้นทรัพย์ด้วยกนั ว่าถ้าการปลน้ ทรัพย์น้ัน เปน็ เหตุให้ผอู้ ่นื ได้รับอันตรายสาหัส ผกู้ ระทา
ความผิดทุกคนต้องรับโทษหนักข้ึน ไม่ว่าใครจะเปน็ คนทาร้าย และไมว่ ่าจะอยู่ร่วมกันในขณะที่มี
การทาร้ายหรือไม่ เช่น มีการแบ่งหน้าที่กันทาโดยมีคนร้ายเฝ้าดูต้นทางแต่พวกท่ีเข้าไปปล้น
ทรัพย์ทาร้ายเจ้าทรัพย์ก็มีความผิดร่วมกัน นายสามและนายส่ีที่อยู่ดูต้นทาง จึงมีความผิดฐาน
ร่วมกนั ปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้นายห้ารับอันตรายสาหัสโดยใช้ยานพาหนะเพื่อพาทรัพย์น้ันไปตาม
มาตรา ๓๔๐ วรรคสาม ประกอบมาตรา ๓๔๐ ตรี เชน่ เดียวกับนายสอง (ฎีกาท่ี ๑๗๗๘/๒๕๕๓)
แต่ผลของการกระทาซึ่งทาให้ผู้กระทาต้องรับโทษหนักข้ึนดังกล่าวต้องเป็นการกระทาท่ี
ไม่ขาดตอนกันจึงจะเป็นเหตุลักษณะคดี แม้นายหนึ่ง นายสอง นายสาม และนายส่ี ร่วมกันวางแผน
ปลน้ ทรัพย์มาแตต่ ้น แตเ่ มื่อนายหนึ่งเอาทรัพย์สนิ แลว้ กลับไปกอ่ น ส่วนนายสอง นายสาม และนายส่ี
อยู่เพ่ือเอาทรัพย์สินของนายห้าต่อไป การกระทาของนายหน่ึงขาดตอนลงแล้ว ต้ังแต่นายหนึ่งมิได้
อยูร่ ่วมในการปลน้ ทรัพย์ด้วย ดงั น้ัน นายหนึ่งจึงมีความผดิ เพียงฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ
มดี ติดตัวไปด้วยโดยใช้ยานพาหนะเพื่อพาทรัพย์นั้นไปตามมาตรา ๓๔๐ วรรคสอง ประกอบมาตรา
๓๔๐ ตรี แต่ไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้นายห้ารับอันตรายสาหัสโดยใช้
ยานพาหนะเพื่อพาทรัพย์น้ันไปตามมาตรา ๓๔๐ วรรคสาม ประกอบมาตรา ๓๔๐ ตรี (ฎีกาที่
๑๗๗๘/๒๕๕๓)
ข้อสังเกต คำถำมไม่ถำมว่ำมีควำมผิดฐำนใด เพรำะไม่อยำกให้เสียเวลำตอบฐำนบุกรุก ทำร้ำย
522
รำ่ งกำย ทำใหเ้ สือ่ มเสยี เสรีภำพ หรือ หน่วงเหนีย่ วกกั ขัง พำอำวธุ ซ่ึงเป็นลหุโทษ
ฎีกาที่ ๑๘๖๗/๒๕๕๓ ฎ.๑๗๓ จาเลยใช้อาวุธมีดปลายแหลมจี้ขู่ผู้เสียหายและเอา
โทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายและรถยนต์ของบิดาของผู้เสียหายไป เม่ือการกระทาของจาเลยเป็น
เหตใุ หผ้ ูเ้ สยี หายรับอนั ตรายแกก่ าย จาเลยก็ต้องรบั โทษหนักขึ้น แมผ้ เู้ สียหายไดร้ บั บาดแผลท่ตี น้ แขน
ซ้ายจากมีดของจาเลยเนื่องจากอุบัติเหตุ จาเลยไม่มีเจตนาทาร้ายผู้เสียหาย ก็ไม่ใช่ข้อสาคัญ เพราะ
การท่ีจาเลยจะรบั โทษหนกั ขึ้นด้วยเหตุท่ีผู้เสยี หายรับอันตรายแก่กายน้ัน จาเลยไมจ่ าต้องกระทาโดย
มีเจตนา เพียงแต่พิจารณาว่าผลที่ผู้เสียหายรับอันตรายแก่กายน้ัน เป็นผลท่ีตามธรรมดาย่อมเกิดขึ้น
ไดต้ าม ป.อ. มาตรา ๖๓ หรือไม่ เม่ือจาเลยใช้มดี ปลายแหลมจผ้ี ู้เสียหาย การท่ีผู้เสยี หายรับอนั ตราย
แก่กายจากมีดนั้น จึงย่อมเป็นผลธรรมดาที่จะเกิดข้ึนจากการกระทาของจาเลยแล้ว จาเลยจึงมี
ความผดิ ฐานชิงทรัพย์เป็นเหตใุ ห้ผเู้ สยี หายรบั อนั ตรายแก่กายตามมาตรา ๓๓๙ วรรคสาม
ฎีกาท่ี ๑๗๗๘/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๔ น.๓๐ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๐ วรรคสาม น้ัน
กฎ ห ม ายมี วัต ถุ ป ระส งค์ เพื่ อที่ จะลงโท ษ ก ารก ระท าข อ งค น ร้ ายท่ี ป ล้ น ท รัพ ย์ ด้วย กั น ว่าถ้าก าร
ปล้นทรพั ย์น้ัน เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสผู้กระทาความผิดทุกคนต้องรับโทษหนักขึน้ ไม่ว่า
ใครจะเป็นคนทาร้ายหรือรู้ตัวผู้ทาร้ายหรือไม่ และไม่ว่าจะอยู่ร่วมกันในขณะท่ีมีการทาร้ายหรือไม่
เช่น มีการแบ่งหน้าท่ีกันทาโดยมีคนร้ายเฝ้าดูต้นทางแต่พวกท่ีเข้าไปปล้นทรัพย์ทาร้ายเจ้าทรัพย์
ก็มีความผิดร่วมกัน แต่ท้ังน้ีต้องเป็นการกระทาท่ีไม่ขาดตอนกันจึงจะเป็นเหตุลักษณะคดี แม้จาเลย
ท่ี ๒ และท่ี ๓ รว่ มกบั จาเลยที่ ๑ และพวกรวมท้ังหมด ๖ คน วางแผนปล้นทรพั ย์บา้ นหลงั นม้ี าแตต่ ้น
วันเกิดเหตุจาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ เข้าไปจับตวั คนรบั ใชใ้ นบ้านผู้เสยี หายมัดไว้และได้รอื้ คน้ เอาทรัพยส์ ิน
ภายในบ้านแล้วกลับไปก่อน ส่วนจาเลยท่ี ๑ กับพวกท่ีเหลือรออยู่เพื่อเอาทรัพย์สินจากผู้เสียหาย
เมื่อผู้เสียหายกับพวกกลับมาบ้านก็ถูกจาเลยที่ ๑ กับพวกที่เหลือทาร้ายเพื่อปล้นทรัพย์ จาเลยท่ี ๒
และที่ ๓ มไิ ด้อยู่รว่ มเพ่ือปล้นทรัพย์ด้วย ไม่ปรากฏวา่ ไดร้ ออยู่นอกบา้ นเพื่อดูต้นทางหรือยอ้ นกลับมา
อีก หรือรอฟังผลยังสถานท่ีนัดหมายกัน ท้ังไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับบ้านที่เกิดเหตุ ทั้งผู้เสียหายกับพวก
กก็ ลับมาหลังจากจาเลยที่ ๒ และที่ ๓ กลับไปแล้วเป็นเวลานานถึง ๒-๓ ช่ัวโมง ไม่ต่อเน่ืองกับการท่ี
จาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ไดร้ ว่ มกันปล้นทรพั ยม์ าแต่ต้น การจะคาดหมายว่าหากผเู้ สยี หายกับพวกกลบั มา
และขดั ขืนย่อมมกี ารใช้กาลังประทษุ รา้ ย ย่อมเป็นการคาดหมายท่ีเป็นผลรา้ ยแก่จาเลยท่ี ๒ และที่ ๓
ดังน้ัน การกระทาของจาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ เป็นความผิดตามมาตรา ๓๔๐ วรรคแรก แต่ไม่เป็น
ความผดิ ตามมาตรา ๓๔๐ วรรคสาม
ฎกี าน่าสนใจเร่ืองชิงทรพั ย์ ปล้นทรัพย์
ต้องเป็นลกั ทรัพย์ถึงจะเปน็ ชิงทรัพย์ ปลน้ ทรพั ย์
ฎีกาท่ี ๑๑๐๕๒/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๐๙ ความแตกต่างระหว่างความผิดฐานชิงทรัพย์
กบั ความผดิ ฐานกรรโชกทรพั ย์ตามบทบัญญัติของกฎหมายมิได้อยู่ท่ีจานวนทรัพยส์ ินท่ีผู้กระทาผิดได้
523
ไปว่าจะเป็นทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน เพราะไม่ว่าคนร้ายจะได้ทรัพย์สินไปเพียงใด การกระทา
ความผิดก็เกิดขึ้นแล้วเช่นกัน แต่ข้อสาระสาคัญอยู่ท่ีว่าความผิดฐานชิงทรัพย์ต้องมีฐานเดิมจาก
ความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๔ โดยคนร้ายใช้กาลังประทุษร้ายเจ้าของหรือ
ผ้คู รอบครองทรัพย์นั้น หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กาลังประทุษร้าย เพ่ือให้ยน่ื ให้ซง่ึ ทรัพยน์ ้ันตาม
ความในมาตรา ๓๓๙ (๒) โดยการลักทรัพย์กับการใช้กาลังประทุษร้ายต้องไม่ขาดตอน หรือเป็นการ
ลกั ทรัพย์ท่ีต้องขเู่ ข็ญให้ปรากฏว่าในทันทีทันใดนั้นจะใช้กาลังประทุษร้ายต่อเน่ืองกันไป เมื่อได้ความ
ว่า ผู้เสียหายถูกจาเลยตบหน้าทันทีที่เปิดประตูห้อง เม่ือ ช. ตามเข้าไปปิดประตูห้อง จาเลยก็ล้วง
มีดพับออกมาจี้ที่แก้มผู้เสียหายขู่ขอเงินไปซ้ือสุรา พฤติการณ์ของจาเลยบ่งชี้ว่าหากผู้เสียหายขัดขืน
ไม่ให้เงินก็จะถูกประทุษร้ายต่อเน่ืองไปในทันใดนั้น แสดงให้เห็นว่ามุ่งหมายมาทาร้ายและขู่เข็ญ
ผูเ้ สียหายโดยประสงค์ต่อทรัพย์มาแต่แรก ไม่ใช่เป็นการข่มขืนใจให้ผู้เสียหายยอมให้เงินบางส่วนโดย
ใช้กาลงั ประทุษร้าย จาเลยจึงมคี วามผดิ ตามมาตรา ๓๓๙ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๘๓
ฎีกาท่ี ๓๖๓๐/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๕ น.๙๓ เหตุทจ่ี าเลยทารา้ ยทุบบรเิ วณท้ายทอยและหลังของ
ผู้เสียหายที่ ๒ ในตอนแรกมีสาเหตุจากการที่ผู้เสียหายท่ี ๒ เข้าไปปลุกจาเลยขณะหลับอยู่บนรถ
โดยสารมินิบัสของผู้เสียหายท่ี ๑ ซึ่งขณะนั้นจาเลยมีอาการเมาสุรา เมื่อผู้เสียหายท่ี ๒ ถามจาเลยว่า
จะลงจากรถหรือไม่ จาเลยตอบว่าลงและเดินไปที่ประตูด้านหลังของรถยนต์มินิบัส แต่กลับย้อนมา
ทาร้ายผู้เสียหายท่ี ๒ อีก ผู้เสียหายที่ ๒ พยายามใช้กระบอกต๋ัวเก็บเงินค่าโดยสารต่อสู้กับจาเลย
ดังนั้น การท่ีจาเลยแย่งเอากระบอกตั๋วเกบ็ เงนิ ค่าโดยสารแล้วลงจากรถว่ิงหนีไปเป็นเพราะจาเลยเมา
สุราและไม่ประสงค์จะต่อสู้กับผู้เสียหายที่ ๒ ประกอบกับผู้เสียหายท่ี ๒ ใช้กระบอกต๋ัวเก็บเงิน
ค่าโดยสารทาร้ายจาเลยดว้ ย การทจ่ี าเลยแย่งเอากระบอกต๋วั เกบ็ เงินคา่ โดยสารจากผู้เสียหายท่ี ๒ ไป
ก็เพราะไม่ประสงค์ให้ผู้เสียหายที่ ๒ ใช้กระบอกต๋ัวเก็บเงินค่าโดยสารติดตามมาทาร้ายจาเลยอีก
หากจาเลยประสงค์จะชิงทรัพย์ จาเลยอาจหยิบเอาเฉพาะเงินจากกระบอกต๋ัวเก็บเงินค่าโดยสาร
ท้ิงกระบอกตั๋วไว้แล้วหลบหนีไปก็อาจกระทาได้ การท่ีจาเลยยังคงมีกระบอกต๋ัวเก็บเงินค่าโดยสาร
ติดตัวอยู่ ทาให้เห็นว่าจาเลยไม่ประสงค์ให้ผู้ใดนากระบอกต๋ัวเก็บเงินค่าโดยสารมาทาร้ายจาเลยอีก
การกระทาของจาเลย แม้จะเป็นการพาเอาทรัพย์ไปจากผู้เสียหายที่ ๒ แต่ไม่ได้เกิดโดยเจตนาทุจริต
จึงไม่เปน็ ความผิดฐานชิงทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๙ เป็นเพียงความผิดฐานใช้กาลังทารา้ ยรา่ งกาย
ผอู้ ่นื ไม่ถงึ กบั เป็นเหตุใหเ้ กดิ อันตรายแก่กายหรอื จติ ใจตาม ป.อ. มาตรา ๓๙๑
พยายามชิงทรพั ย์หรือพยายามปล้นทรพั ย์
ฎีกาที่ ๖๙๘๔/๒๕๕๘ ฎ.๓๒๑๗ จาเลยท้ังสามบุกรุกเข้าไปในสถานท่ีเก็บรักษาสายไฟฟ้า
ทง้ั ยังทาร้ายผู้เสียหายซ่ึงครอบครองดูแลสถานที่น้นั อันเป็นส่วนหนึ่งของการปล้นทรัพย์ จึงเป็นการ
ลงมือกระทาความผิดฐานปล้นทรัพย์ ไม่ใช่แค่เพียงตระเตรียมการ แม้จาเลยท้ังสามจะหลบหนีไป
ก่อน โดยไม่แตะต้องสายไฟฟ้า ก็เป็นการลงมือกระทาความผิดแล้วแต่กระทาไปไม่ตลอด การกระทา
524
ของจาเลยท้งั สามจงึ เปน็ การร่วมกันพยายามกระทาความผดิ ฐานปล้นทรัพย์
ฎกี าท่ี ๘๖๙/๒๕๕๕ ฎ.๒๖๗๖ จาเลยใชอ้ าวุธปืนจี้ขู่เข็ญผู้เสียหายวา่ อย่าส่งเสียงและให้ส่ง
ของมีค่าให้ เมื่อผู้เสียหายส่งกระเป๋าสะพายให้จาเลยและพูดว่าจะเอาอะไรก็เอาไปขอบัตรประจาตัว
ประชาชนไว้ จาเลยค้นกระเป๋าสะพายแล้วเห็นว่าไม่มีของมีค่าจึงส่งกระเป๋าสะพายคืนให้ และคลา
ท่ีคอผู้เสียหายเพ่ือหาสร้อยคอ ผู้เสียหายบอกจาเลยว่าไม่มีของมีค่าติดตัวมา จาเลยจึงปล่อยตัว
ผู้เสียหายแล้วเดินหนีไป แสดงว่าจาเลยมิได้ประสงค์จะแย่งเอากระเป๋าสะพายของผู้เสียหายไป
เป็นของตน เพียงแต่ต้องการค้นหาของมีค่าในกระเป๋าสะพาย มิฉะน้ันเม่ือจาเลยได้กระเป๋าสะพาย
แลว้ ก็ต้องหลบหนีไปทันที โดยไม่ต้องเปิดดแู ละคนื กระเปา๋ สะพายให้ผ้เู สียหาย การกระทาของจาเลย
จึงไม่เป็นการชิงทรัพย์สาเร็จ จาเลยคงมีความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้อาวุธ
ปนื ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๔๐ ตรี และมาตรา ๘๐
ฎีกาท่ี ๘๔๐๖/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๕๒ ขณะที่จาเลยกระชากสร้อยคอทองคาพร้อม
กระดูกเลี่ยมทองของผู้เสียหายสร้อยคอทองคาพร้อมกระดูกเลี่ยมทองที่อยู่ในมือน้ัน จาเลยก็เพียง
มุ่งหมายที่จะให้สร้อยคอทองคาพร้อมกระดูกเลี่ยมทองหลุดจากคอผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นเพียง
แย่งการครอบครองเท่าน้ัน แต่หลังจากสร้อยคอทองคาและกระดูกเลี่ยมทองขาดตกลงที่พ้ืนแล้ว
จาเลยก็ไม่ได้เข้ายึดถือเอาสร้อยคอทองคาพร้อมกระดูกเลี่ยมทองอันจะเห็นได้ว่ามีการพาทรัพย์
เคลื่อนท่ีไปแต่อย่างใด การกระทาดังกล่าวจึงยังไม่เป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปสาเร็จ จึงเป็น
พยายามชิงทรัพย์
ลกั โดยใช้กาลังประทุษรา้ ยหรอื ขูเ่ ขญ็ วา่ ในทนั ใดจะใชก้ าลังประทษุ ร้าย
ฎกี าท่ี ๔๙๓๒/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๕ น.๙๔ คนื เกดิ เหตุ จาเลยกับผู้เสยี หายเจรจาเรื่องหน้ีสนิ กัน
แล้วต่อมาจาเลยนารถยนต์และกุญแจรถยนต์ของผู้เสียหายไป ซ่ึงต่อมาเจ้าพนักงานตารวจเข้าตรวจ
ยืดรถยนต์คันดังกล่าวได้จากรา้ นรบั ซ้ือของเก่า รถยนต์ยังคงอยู่ในสภาพเดิมไม่มีการดัดแปลงเปล่ียน
สภาพ แสดงว่าจาเลยต้องการนารถยนต์ไปเก็บไว้เป็นการประกันหนี้เพื่อให้ผู้เสียหายมาชาระหน้ีคืน
แก่จาเลย แต่การบังคับชาระหน้ีคืนจากลูกหนี้มีกฎหมายกาหนดขั้นตอนให้ฟ้องร้องดาเนินคดีและ
บังคับคดีไว้อยู่แล้ว หากจาเลยต้องการบังคับชาระหน้ีจากผู้เสียหาย จาเลยย่อมจะต้องดาเนินการ
ภายใต้กรอบหรือหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกาหนดไว้ การท่ีจาเลยนารถยนต์ของผู้เสียหายไปเพื่อเป็น
การประกันหน้ีโดยพลการเช่นน้ี จึงเป็นการกระทาโดยไม่มีอานาจใด ๆ ตามกฎหมาย ถือได้ว่าเป็น
การแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสาหรับตนเอง อันเป็นการเอาทรัพย์ของ
ผู้เสยี หายไปโดยทุจริตแล้ว การกระทาของจาเลยกับพวกจึงเป็นความผดิ ฐานลกั ทรัพย์
การท่ีจาเลยตบศีรษะผู้เสียหายนั้น ไม่ได้ตบเพื่อให้เกิดความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือ
พาทรัพย์นั้นไปหรอื ใหผ้ เู้ สียหายยื่นให้ซึ่งทรพั ย์นั้นหรือเพ่ือยึดถอื เอาทรพั ย์นนั้ ไว้ แตเ่ ปน็ การตบศรี ษะ
เพื่อบังคับให้ผู้เสียหายเขียนสัญญากู้ยืมเงิน ดังน้ัน การตบศีรษะผู้เสียหายกับการเอารถยนต์ของ
525
ผู้เสียหายไปจึงเป็นการกระทาที่แยกขาดจากกัน ไม่ใช่เป็นการใช้กาลังประทุษร้ายเพ่ือให้สะดวกแก่
การพาทรัพย์นั้นไปหรือให้ย่ืนให้ซึ่งทรัพย์น้ันหรือเพื่อยึดถือเอาทรัพย์น้ันไว้อันจะเป็นความผิดฐาน
ชิงทรัพย์ การกระทาของจาเลยจึงเป็นการกระทาความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๑)
และทาร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกดิ อันตรายแกก่ ายหรือจิตใจตามมาตรา ๓๙๑ แยกต่างหาก
จากกัน การกระทาของจาเลยกับพวกจึงเป็นการกระทาอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ฎีกาที่ ๘๒๐๙/๒๕๕๙ พฤติการณ์ของจาเลยท่ีเพียงแต่แสดงตัวว่าเป็นเจ้าพนักงานตารวจ
และสอบถามว่า เสพยาเสพติดหรือไม่แล้วขอตรวจค้นตัวผู้เสียหายท้ังสองก่อนที่จะล้วงเอากระเป๋า
สตางค์ของผู้เสียหายที่ ๑ เอาบุหร่ีของผู้เสียหายท่ี ๒ ไปและบอกว่าจะพาไปตรวจปัสสาวะ หาก
ไม่พบสารเสพติดก็จะปล่อยตัวไปนั้น ไม่ปรากฏว่ามีการใช้กาลังประทุษร้ายหรอื ขู่เข็ญว่าในทันใดนั้น
จะใช้กาลังประทุษร้ายแต่อย่างใด จึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๙
คดีคงฟังได้เพียงว่า จาเลยร่วมกับพวกท่ียังหลบหนีกระทาความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา
๓๓๕ (๑) (๖) (๗) วรรคสอง
ฎีกาที่ ๗๐๘๘/๒๕๕๗ จาเลยไม่ได้มีเจตนาท่ีจะเอาทรัพย์ของผู้เสียหายแต่แรก การที่
ผูเ้ สียหายส่งมอบโทรศัพท์เคล่ือนทก่ี ับเงิน ๗๐๐ บาท แกจ่ าเลยกับพวกโดยเจตนาเพ่ือไม่ให้ถูกจาเลย
กับพวกทาร้ายและข่มขืนกระทาชาเรา เมื่อจาเลยกับพวกรับทรัพย์ดังกล่าวไว้ แต่ยังคงทาร้าย
ร่างกายผู้เสยี หายอยู่เพื่อข่มขนื กระทาชาเรา เม่ือผ้เู สียหายขอคืน จาเลยกับพวกยงั ยึดเงิน ๒๐๐ บาท
ไว้ ไม่คืนให้ผู้เสียหาย เป็นการเอาทรัพย์ดังกล่าวของผู้เสียหายไปอันเป็นผลพลอยได้จากการที่
ผู้เสียหายส่งมอบเงินให้ก่อนหน้าน้ีเพ่ือไม่ให้ถูกข่มขืนกระทาชาเรา ดังนั้น การกระทาของจาเลย
กับพวกจึงเป็นเพียงความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยร่วมกระทาผิดด้วยกันต้ังแต่สองคน
ขน้ึ ไป
ข้อสังเกต กำรท่ีศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำ จำเลยกับพวกยังยึดเงิน ๒๐๐ บำทไว้ ไม่คืนให้ผู้เสียหำย
เป็นกำรเอำทรัพย์ดังกล่ำวของผู้เสียหำยไปอันเป็นผลพลอยได้จำกกำรท่ีผู้เสียหำยส่งมอบเงินให้ก่อน
หน้ำน้ีเพื่อไม่ให้ถกู ข่มขืนกระทำชำเรำ คือไม่ใช่กำรไม่ส่งมอบทรัพย์โดยสมัครใจน่นั เอง เพรำะถ้ำเป็น
กำรส่งมอบทรัพยโ์ ดยควำมสมคั รใจจะไม่เป็นควำมผิดฐำนลักทรัพย์
______________________
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ
ผู้เสียหายกับนายเอ็ม จาเลย นายกุ้ง และนายประสิทธ์ิไปรับประทานอาหารและดื่มเบียร์กัน
ท่ีร้านอาหาร ต.เต่า หลังจากน้ันนายเอ็มกับจาเลยและพวกชวนผู้เสียหายไปท่ีวัดไร่ขิง นายเอ็มชวน
ผูเ้ สยี หายไปดปู ลาในแม่นา้ แลว้ ขอรว่ มเพศกับผู้เสียหายโดยพากนั ไปรว่ มเพศท่ีโรงเรียนวัดไรข่ ิง เสร็จ
แล้วนายเอ็มขอให้ผเู้ สียหายร่วมเพศกับจาเลยและพวก แต่ผูเ้ สียหายไม่ยินยอม ผู้เสียหายให้นายเอ็ม
ขบั รถจักรยานยนต์ไปส่งท่ีพัก ถึงท่ีเกิดเหตุพบจาเลยกับพวกดักรออยู่ จาเลยกับพวกเข้ามากอดปล้า
และทาร้ายผู้เสียหาย ผู้เสียหายส่งโทรศัพท์เคล่ือนที่กับเงิน ๗๐๐ บาท ให้จาเลยกับพวกเพื่อไม่ให้
526
จาเลยกับพวกข่มขืนกระทาชาเราผู้เสียหาย จาเลยกับพวกรับไว้แต่ยังจะข่มขืนกระทาชาเรา
ผเู้ สียหาย ผเู้ สียหายด้ินรนต่อสู้ ถกู จาเลยกับพวกทาร้ายจนหมดสติ นายเอ็มห้ามจาเลยกับพวกไม่ให้
ข่มขืนกระทาชาเราผู้เสียหาย เม่ือผู้เสียหายฟ้ืนข้ึนได้ขอโทรศัพท์เคลื่อนที่และเงิน ๗๐๐ บาท คืน
จาเลยกับพวกคืนโทรศัพท์เคล่ือนท่ีและเงิน ๕๐๐ บาท แก่ผู้เสียหาย ส่วนเงินอีก ๒๐๐ บาท ไม่ยอม
คนื ให้
ปัญหาต้องวินิจฉัยมีว่า เม่ือผู้เสียหายขอคืนโทรศัพท์เคล่ือนที่และเงิน ๗๐๐ บาท การท่ี
จาเลยกับพวกคืนโทรศัพท์เคล่ือนท่ีและเงิน ๕๐๐ บาท ให้ผู้เสียหาย ส่วนอีก ๒๐๐ บาท ไม่คืนให้
เป็นความผิดตามท่ีศาลชั้นต้นวนิ ิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า จาเลยไม่ได้มีเจตนาท่ีจะเอาทรพั ย์ของผู้เสียหาย
มาแต่แรก การที่ผู้เสียหายส่งมอบโทรศัพท์เคลื่อนท่ีกับเงิน ๗๐๐ บาท แก่จาเลยกับพวกโดยเจตนา
เพ่ือไม่ให้ถูกจาเลยกับพวกทาร้ายและข่มขืนกระทาชาเรา เมื่อจาเลยกับพวกรับทรัพย์ดังกลา่ วไว้ แต่
ยังคงทาร้ายร่างกายผู้เสียหายอยู่เพ่ือข่มขืนกระทาชาเรา เมื่อผู้เสียหายขอคืน จาเลยกับพวกยังยึด
เงนิ ๒๐๐ บาท ไว้ ไมค่ ืนใหผ้ ู้เสยี หายเป็นการเอาทรพั ยด์ ังกล่าวของผเู้ สยี หายไป จากผลพลอยไดก้ าร
ท่ีผู้เสียหายส่งมอบเงนิ ไว้ให้ก่อนหน้านี้เพ่ือไม่ให้ถูกข่มขืนกระทาชาเรา ดังน้ัน การกระทาของจาเลย
กับพวกจึงเป็นเพียงความผิดฐานลกั ทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยรว่ มกระทาผิดดว้ ยกนั ตง้ั แตส่ องคนขึ้น
ไปศาลฎีกามีอานาจพิพากษาลงโทษจาเลยในการกระทาที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคท้าย อนึ่ง ข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะกระทาความผิด
จาเลยกับพวกไม่ได้ใช้รถจักรยานยนตเ์ ป็นยานพาหนะเพ่ือกระทาความผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือ
เพื่อให้พ้นการจับกุม จาเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๖ ทวิ ฎีกาของ
โจทกฟ์ ังข้นึ บางส่วน”
พิพากษากลับว่า จาเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑) (๗)
วรรคสอง ประกอบมาตรา ๘๓ จาคุก ๒ ปี ให้จาเลยคืนเงนิ ๒๐๐ บาท แกผ่ ูเ้ สยี หาย
(อนนั ต์ วงษ์ประภารัตน์ - วจิ ิตร วิสุชาติ - เปรมศักด์ิ ชืน่ ชวน)
ฎีกาที่ ๑๕๑๓/๒๕๖๒ ฎ.๑๖๘ จาเลยเข้ามาทางด้านหลังของผู้เสียหายแล้วถามผู้เสียหาย
ว่ามีเงินเท่าใด จากนั้นเข้าประชิดตัวผู้เสียหายพร้อมท้ังทาท่าจะล้วงอาวุธจากขอบกางเกงด้านหลัง
ซึ่งลักษณะการกระทาของจาเลยเป็นการข่มขู่คุกคามผู้เสียหาย โดยเฉพาะจาเลยเป็นชายอยู่ใน
วัยฉกรรจ์ มีร่างกายล่ากายาและสูงกว่าผู้เสียหายมาก ผู้เสียหายเป็นหญิงและกาลังศึกษา ย่อมเกิด
ความเกรงกลัวจาเลย พฤติการณ์ของจาเลยถือไดว้ ่าเป็นการขู่เขญ็ ผ้เู สียหายว่าในทันใดนั้นจะใช้กาลัง
ประทุษร้าย การท่ีจาเลยกระทาและพูดกับผู้เสียหายเช่นนั้น ก็เพ่ือให้ผู้เสียหายส่งเงินให้แก่จาเลย
เมื่อผู้เสียหายส่งเงินให้เพราะเกิดความกลัวเน่ืองจากถูกจาเลยขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กาลัง
ประทุษร้าย การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์เงินของผู้เสียหายตาม ป.อ. มาตรา
๓๓๙ (๒) วรรคสาม ทั้งน้ี โดยไม่ต้องคานึงถึงว่าจาเลยเป็นผู้หยิบเอาทรัพย์นั้นเองหรือผู้เสียหายเป็น
ผู้หยบิ สง่ ใหไ้ ป
จาเลยขับรถจักรยานยนต์ติดตามผู้เสียหายมาถึงที่เกิดเหตุแล้วชิงทรัพย์ของผู้เสียหายไป
527
ย่อมเป็นการใช้ยานพาหนะเพ่ือกระทาผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม อันเป็น
ความผิดตามมาตรา ๓๔๐ ตรี
ผู้เสียหายกลัวจาเลยจะข่มขืนกระทาชาเราจึงถอดสร้อยคอทองคาที่สวมอยู่ให้จาเลยไปเอง
โดยไม่ปรากฏว่าจาเลยขู่เข็ญหรือใช้กาลังประทุษร้ายผู้เสียหาย เพื่อมุ่งประสงค์ต่อสร้อยคอทองคา
ของผู้เสียหาย หากแต่ผู้เสียหายคิดว่าเม่ือจาเลยได้สร้อยคอทองคาแล้วจะปล่อยตัวผู้เสียหาย การที่
จาเลยรับเอาสร้อยคอทองคาจากผู้เสียหายไป เป็นเจตนาทุจริตท่ีเกิดขึ้นภายหลัง การกระทาของ
จาเลยไม่เป็นความผิดฐานชิงทรพั ย์ แตเ่ ป็นความผิดฐานลกั ทรพั ย์ตามมาตรา ๓๓๔ และยังมีความผิด
ตามมาตรา ๒๙๕ และมาตรา ๒๗๘ ด้วย
ฎีกาที่ ๗๕๓๒/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๗ น.๙๗ จาเลยกับพวกร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้สายไฟของ
เคร่ืองเป่าผมผูกมัดประตูห้องน้าไว้กับประตูระเบียงห้องจนเป็นเหตุทาให้ผู้เสียหายไม่สามารถออก
จากห้องน้าได้ การท่ีจาเลยและ ป. ใชส้ ายไฟของเครอ่ื งเป่าผมผูกมดั ประตูห้องน้าไว้กับประตูระเบยี ง
ห้อง จาเลยและ ป. ก็มิได้ใช้แรงกายภาพกระทาต่อผู้เสียหาย การกระทาของจาเลยและ ป. ที่ใช้
สายไฟของเครื่องเป่าผมผูกมัดประตูห้องน้าไว้กับประตูระเบียงห้อง จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้กาลัง
ประทุษร้าย อันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์ด้วยเหตุดังกล่าว คงเป็นการ
กระทาท่ีเป็นการหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทาด้วยประการใดให้ผู้อ่ืนปราศจากเสรีภาพ
ในรา่ งกายตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๐
ส่วนที่ ป. ใช้มีดปอกผลไม้ฟันข้อมือผู้เสียหาย ๑ คร้ัง บาดเจ็บเล็กน้อย เมื่อผู้เสียหายร้อง
ขอให้จาเลยเอายามาให้ ป. เอายามาให้ผู้เสียหาย นับว่าผดิ วิสัยของคนร้ายท่ีประสงค์ทาร้ายร่างกาย
เจ้าของทรัพย์เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ การกระทาของ ป. จึงเป็นการกระทาที่มิได้
เก่ียวเนื่องกับการลักทรัพย์และเป็นเร่ืองเฉพาะตัวของ ป. เอง ไม่ปรากฏว่าจาเลยรู้เห็นด้ว ยใน
ลักษณะอย่างใด ไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์ จาเลยคงมีความผิดฐานลักทรัพย์โดยร่วมกัน
กระทาความผิดตัง้ แตส่ องคนขนึ้ ไป
ฎีกาท่ี ๖๙๑/๒๕๕๔ ฎ.๑๗๙ จาเลยซึ่งเคยเปน็ สามโี ดยชอบด้วยกฎหมายของผเู้ สยี หายท่ี ๑
เขา้ ไปกระตกุ สร้อยคอของผเู้ สียหายท่ี ๑ จนหลดุ ออก แล้วได้ตบตีผเู้ สียหายที่ ๑ การกระตุกสรอ้ ยคอ
กับการตบตีทาร้ายรา่ งกาย จึงแยกออกเป็น ๒ ตอน จาเลยมไิ ดล้ ักทรัพย์โดยใช้กาลังประทุษร้ายหรือ
ขู่เข็ญว่าในทันใดน้ันจะใช้กาลังประทุษร้ายผู้เสียหายที่ ๑ เพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการ
พาทรัพย์นั้นไป จึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๙ (๑) แต่เป็นการใช้กิริยา
ฉกฉวยเอาสร้อยคอและรูปสัญลักษณ์ศาสนาอิสลามทองคาของผู้เสียหายท่ี ๑ ไปซ่ึงหน้า จึงเป็น
ความผิดฐานวิง่ ราวทรพั ยต์ ามมาตรา ๓๓๖
จาเลยพูดขอเงินกับผู้เสียหายท่ี ๒ ว่า หากไม่ให้เงินจะทาร้ายผู้เสียหายท่ี ๑ ต่อไป เป็นการ
ข่มขืนใจผู้เสียหายท่ี ๒ ให้ยอมให้เงินจึงเป็นความผิดฐานกรรโชกตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๗ (๑)
วรรคสอง แตไ่ มเ่ ปน็ ความผิดฐานชิงทรพั ยผ์ เู้ สยี หายท่ี ๒ ตามฟ้อง
ฎีกาท่ี ๑๙๒๕๕/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล. ๑๒ น. ๓๐๙ หลังจากท่ีจาเลยผลักประตูบุกรุกเข้ามาใน
528
บ้านแล้ว ได้ดันตัวผู้เสียหายเข้าไปในห้องนอนจนล้มลง แล้วใช้มือคว้าตามลาคอและแขนเพ่ือค้นหา
ทรัพย์ เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บบริเวณหน้าอก เมื่อผู้เสียหายร้องเรียกให้คนช่วย จาเลย
จึงผละไปหยิบเอากระเป๋าสะพายของผู้เสียหายซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ โดยภายในมีกระเป๋าเงินและมีเงิน
สด ๑๐,๐๐๐ บาท ว่ิงหลบหนีไปข้ึนรถจักรยานยนต์ของจาเลยซ่ึงจอดอยู่ เห็นว่า พฤติการณ์ของ
จาเลยที่ดันตัวผู้เสียหายจนล้มลง แล้วใช้มือคว้าตามลาคอและแขนของผู้เสียหายจนได้รับบาดเจ็บ
บริเวณหน้าอก โดยมีบาดแผลฉีกขาดขอบเรียบที่เหนือราวนมขวา ยาว ๕ เซนติเมตร ต้องใช้เวลา
รักษาประมาณ ๑๔ วัน ย่อมแสดงวา่ จาเลยใช้กาลงั โดยแรงให้ผู้เสยี หายเกิดความกลวั และอยใู่ นภาวะ
ที่ไม่สามารถขัดขืนได้ เพ่ือจาเลยจะได้ลักทรัพย์ของผู้เสียหายไป ถือว่าเป็นการใช้กาลังประทุษร้าย
ต่อผู้เสียหายตาม ป.อ. มาตรา ๑ (๖) แล้ว การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ใน
เคหสถานในเวลากลางคนื โดยใชย้ านพาหนะ
ฎีกาท่ี ๗๕๘๓/๒๕๖๐ ฎ.๑๘๓๓ แม้จาเลยจะมิได้พูดจาข่มขู่หรือขู่เข็ญว่าในทันใดน้ันจะใช้
กาลังประทุษรา้ ย แต่พฤตกิ ารณ์ของจาเลยทเี่ ดินเข้าไปในห้องพกั อันเป็นเคหสถานของผ้เู สียหายเวลา
วกิ าล แล้วเปิดเส้อื ให้ดูพร้อมทาท่าคล้ายกับจะชกั อาวุธลักษณะเป็นมีดปลายแหลมจนทาให้ ภ. รู้สึก
ตกใจกลัว เกรงว่าจะถูกทาร้ายและไม่กล้าขัดขืน จากนั้นจาเลยหยิบคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คไป จึงเป็น
การที่จาเลยแสดงอาการขู่เข็ญ ภ. แล้วว่าในทันใดนั้นจะใช้กาลังประทุษร้ายในขณะเดียวกันกับ
ลักทรัพย์หรอื ใกลช้ ดิ กบั การลกั ทรัพย์ตอ่ เนื่องเปน็ เหตกุ ารณ์เดยี วกัน
ฎีกาที่ ๒๘๖/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๑ น.๘๔ แม้จาเลยจะมิได้พูดจาข่มขู่หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้น
จะใช้กาลังประทุษร้าย แต่พฤติการณ์ของจาเลยที่เดินเข้าหาผู้เสียหายจนทาให้ผู้เสียหายเกิดความ
กลัวจนต้องดึงสร้อยคอทองคาโยนทิ้ง บ่งบอกให้เห็นว่าจาเลยแสดงอาการขู่เข็ญผู้เสียหายแล้ว โดย
ไมจ่ าต้องพิจารณาวา่ จาเลยจะไดพ้ ูดจาขเู่ ขญ็ ผู้เสียหายหรือไม่ และเมื่อผู้เสียหายโยนสร้อยคอทองคา
ท้ิงเพ่ือมิให้จาเลยแย่งเอาไปได้ จาเลยยังใช้มีดปลายแหลมจ่อที่หน้าอกผู้เสียหายอีก กรณีถือได้ว่า
เป็นการขู่เข็ญผู้เสียหายมิให้ขัดขืนต่อการท่ีจาเลยจะลักเอาสร้อยคอทองคาและเป็นการขู่เข็ญว่า
ในทันใดน้ันจะใช้กาลังประทุษร้ายผู้เสียหายแล้ว การกระทาของจาเลยจงึ เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๙ วรรคสาม
ฎีกาท่ี ๘๐๔๓/๒๕๕๔ ฎ.๑๗๗๑ ขณะจาเลยใช้มือกระชากสรอ้ ยคอทองคาพรอ้ มพระเล่ียม
กรอบทองคาของผู้เสียหาย จาเลยมิได้ใช้กาลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดน้ันจะใช้กาลัง
ประทุษร้าย แต่หลงั จากกระชากสรอ้ ยคอทองคาขาดติดมือไปแล้วและกาลงั จะวิง่ หนี ผ้เู สยี หายหนั ไป
เห็นจาเลยและตรงเข้าไปจับชายเสื้อของจาเลยไว้ จาเลยจึงใช้มือซ้ายล้วงเข้าไปที่เอวด้านขวาและ
จับด้ามอาวุธมีดท่ีเหน็บไว้ที่เอวกางเกงเพ่ือให้ผู้เสียหายเห็นว่ามีอาวุธและอยู่ในกิริยาอาการท่ีพร้อม
จะชกั อาวุธมีดออกมาทง้ั ยงั ใช้สายตาข่มขู่จ้องเขม็งมายังผเู้ สยี หาย โดยแสดงว่าพรอ้ มทจี่ ะใช้อาวุธมีด
ทาอันตรายแก่ผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงเกิดความกลัวและเกรงว่าในทันใดนั้นจาเลยจะใช้กาลังด้วย
อาวุธมีดประทุษร้าย ทาให้ผู้เสียหายยอมปลอ่ ยมือท่ีจบั ชายเสื้อของจาเลย จาเลยว่ิงหลบหนไี ปพร้อม
สร้อยคอทองคาของผู้เสียหาย จาเลยมีเจตนาขู่เข็ญไม่ให้ผู้เสียหายขัดขวางการหลบหนี เพ่ือการพา
529
ทรัพย์นั้นไปและให้พ้นจากการจับกุม จึงมิใช่เป็นเพียงความผิดฐานว่ิงราวทรัพย์ แต่เป็ นการ
ลักสร้อยคอทองคาของผู้เสียหายโดยขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กาลังประทุษร้ายซ่ึงเป็นความผิดฐาน
ชิงทรัพยต์ าม ป.อ. มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง
ฎีกาที่ ๘๖๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๒ น.๒๔ การขู่เข็ญว่าในทนั ใดนน้ั จะใช้กาลังประทษุ รา้ ยอนั เป็น
องค์ประกอบความผิดฐานปล้นทรัพย์นั้น อาจขู่ตรง ๆ หรือใช้ถ้อยคา ทากิริยา หรือทาประการใดให้
เข้าใจได้เชน่ นนั้ เปน็ การแสดงให้ผถู้ ูกขูเ่ ข็ญเข้าใจวา่ จะรับภยั จากการกระทาของผู้ขเู่ ข็ญ การท่จี าเลย
กับพวกบังคับเอาโทรศัพท์เคล่ือนท่ีของผู้เสียหาย โดย ม. พวกของจาเลยทาท่าทางเหมือนจะชัก
อาวุธออกมาโดยล้วงเข้าไปในเสื้อบริเวณเอว แม้มิได้ใช้กาลังประทุษรา้ ย มิได้ใช้อาวุธมาขู่บังคับหรือ
พูดว่าจะใช้กาลังประทุษร้ายก็ตาม แต่กิริยาท่าทีของ ม. ดังกล่าว เป็นพฤติการณ์ท่ีถือได้ว่าเป็นการ
ข่เู ข็ญวา่ ในทันใดน้ันจะใช้กาลังประทุษร้าย ทาให้ผเู้ สียหายเกิดความกลัวว่าจาเลยกับพวกจะใช้กาลัง
ประทุษร้าย จึงต้องจายอมให้โทรศัพท์เคล่ือนท่ีแก่จาเลยกับพวกไป การกระทาของจาเลยกับพวก
ครบองคป์ ระกอบความผดิ ฐานปลน้ ทรัพย์แล้ว
ฎีกาที่ ๘๗๙๐/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๒๐๑ ผู้เสียหายไมร่ ้จู ักจาเลยกับพวก การที่พวกจาเลย
ขับรถแซงและปาดหน้ารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายเพ่ือให้หยุด รถทันทีและตะคอกด่าพร้อมกับ
พูดว่า มีอะไรส่งมาให้หมด โดยจาเลยกับพวกแสดงสีหนา้ ขึงขงั แมพ้ วกจาเลยจะไม่ไดพ้ ูดวา่ หากไม่ส่ง
สิ่งของให้จะทาร้ายผู้เสียหาย แต่พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการคุกคามผู้เสียหายให้กลัวว่าจะถูกทาร้าย
หากไม่ส่งทรพั ย์สินให้ จงึ เป็นการขู่เข็ญผูเ้ สียหายทั้งกิริยาและวาจาโดยมคี วามหมายว่า ถา้ ผู้เสียหาย
ไม่ให้ส่ิงของใดแล้วผู้เสียหายจะถูกทาร้าย จนผู้เสียหายกลัวต้องรีบส่งกระเป๋าสะพายให้จาเลย
หาใช่เรื่องท่ีผู้เสียหายกลัวไปเองไม่ การกระทาดังกล่าวจึงเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดน้ันจะใช้กาลัง
ประทุษร้ายเพื่อให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์อันเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ มิใช่ความผิดฐานกรรโชกทรัพย์
เมื่อขณะเกิดเหตุจาเลยยังคงน่ังอยู่บนรถจักรยานยนต์คันเดียวกับพวก และแม้จาเลยไม่ได้พูดกับ
ผู้เสียหาย แต่เม่ือผู้เสียหายย่ืนทรัพย์ให้จาเลยก็รับไว้แล้วก็ขับรถจักรยานยนต์หนีไปด้วยกันทันที
ถอื เป็นการแบง่ หนา้ ทก่ี ันทาอันเปน็ การรว่ มกนั กระทาผดิ
ฎีกาท่ี ๑๑๘๖๕/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๒๕๓ การกระทาท่ีจะเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตาม
ป.อ. มาตรา ๓๓๙ วรรคแรกน้ัน ต้องเปน็ การลกั ทรพั ยโ์ ดยใช้กาลงั ประทษุ ร้าย หรอื ข่เู ข็ญว่าทนั ใดน้ัน
จะใช้กาลังประทุษรา้ ย เพื่อให้ความสะดวกแก่การลกั ทรพั ย์ หรือการพาทรัพย์นั้นไป หรอื ให้ยื่นให้ซึ่ง
ทรัพย์น้ัน ฯลฯ เม่อื พวกของจาเลยซ่ึงนั่งซ้อนท้ายรถจกั รยานยนต์ของจาเลยที่กาลงั ขับตามผ้เู สยี หาย
ไป ถามผู้เสียหายว่าจะรีบไปไหน พวกของจาเลยดังกล่าวเพียงแต่มีมีดถืออยู่ในมือ และในขณะ
ผู้เสียหายวิ่งหนี พวกของจาเลยได้ว่ิงไล่ตามผู้เสียหายไปจนทันแล้วกระชากสร้อยคอทองคาท่ี
ผู้เสียหายสวมอยู่ขาดติดมือพวกของจาเลยไป โดยพวกของจาเลยไม่ได้ใช้มีดที่ถืออยู่จี้ขู่เข็ญหรือ
แสดงท่าทีใด ๆ ให้เห็นว่าเป็นการขู่เข็ญว่าจะใช้มีดที่ถืออยู่ฟัน หรือแทงประทุษร้ายหากผู้เสียหาย
ขัดขืนไมใ่ หพ้ วกของจาเลยกระชากเอาสร้อยคอทองคาไป พฤตกิ ารณ์ของจาเลยกับพวกจึงถือไม่ได้ว่า
เป็นการขู่เข็ญว่าทันใดน้ันจะใช้กาลังประทุษร้ายผู้เสียหายเพ่ือความสะดวกในการลักทรัพย์ หากแต่
530
เป็นเพียงการร่วมกันลักทรัพย์ของผู้เสียหายโดยฉกฉวยเอาซ่ึงหน้าโดยใช้รถจักรยานยนต์เป็น
ยานพาหนะเพ่ือสะดวกแกก่ ารกระทาความผิด พาทรพั ยน์ ั้นไป หรือให้พน้ การจับกมุ อันเป็นความผิด
ฐานวง่ิ ราวทรพั ย์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๖ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๓๓๖ ทวิ, ๘๓
ข้อสังเกต ฎีกำน้ีมีอำวุธ แต่ไม่ได้ใช้อำวุธและไม่ได้ขู่เข็ญ เพียงแต่กระชำกกระเป๋ำไป แต่ฎีกำที่
๘๗๙๐/๒๕๕๔ มกี ำรขเู่ ข็ญ
ฎีกาที่ ๒๔๘/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๒ การที่จาเลยท่ี ๑ พูดสาทับกับผู้เสียหายว่า "ถ้ามึง
ไมใ่ ห้เด๋ยี วมันก็แทงมึงหรอก กูช่วยมึงไม่ได้" หลังจากจาเลยที่ ๑ ขอยืมเงินและผู้เสียหายปฏิเสธ แล้ว
จาเลยที่ ๑ หันไปคุยกับจาเลยท่ี ๒ ว่า "เฮ้ย แม่งไม่ให้เว้ย" จาเลยท่ี ๒ จึงลุกข้ึนยืนพร้อมกับล้วงมีด
ออกมาจากด้านหลังแล้วเดินเข้ามาใกล้ผู้เสียหาย และจาเลยที่ ๑ ได้ผลักจาเลยท่ี ๒ พร้อมกับพูดว่า
"มึงไม่ต้องแทง" ถือได้ว่าการกระทาของจาเลยท้ังสองเป็นการร่วมกันข่มขู่ผู้เสียหายว่าในทันทีทันใด
นั้นจะใช้กาลังประทุษร้ายอันเป็นเหตุให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวจึงได้มอบเงินให้แก่จาเลยทั้งสอง
จาเลยทง้ั สองจงึ มีความผิดฐานร่วมกนั ชิงทรพั ย์
ฎกี าท่ี ๘๗๒๒/๒๕๔๘ ฎ.๑๘๕๘ ผ้เู สยี หายขับรถยนต์รับจา้ งสาธารณะ จาเลยกบั พวกอีก ๒
คน ว่าจ้างให้ขับไปส่งบริเวณเกษตร เม่ือไปถึงจาเลยกับพวกให้ผู้เสียหายหยุดรถ จาเลยกับพวกลง
จากรถโดยไม่ชาระค่าโดยสารอ้างว่าผู้เสียหายโกงมิเตอร์ ผู้เสียหายจึงลงจากรถและตามจาเลย
กบั พวกไปเพ่ือทวงค่าโดยสาร จาเลยหันกลับมาชักมีดปลายแหลมยาวประมาณ ๕ น้ิว ออกมาจี้หลัง
ผู้เสียหายบังคับให้ผู้เสียหายเดินเข้าไปในบ้านท่ีเกิดเหตุแล้วให้ผู้เสียหายน่ังอยู่ภายในห้องในบ้า น
จาเลยกบั พวกเตะผ้เู สียหายคนละ ๑ ครงั้ กล่าวหาว่าผ้เู สียหายเปน็ สายลบั ให้เจ้าพนักงานตารวจและ
พูดข่มขู่ให้ผู้เสียหายเสพเมทแอมเฟตามีน จากน้ันบังคับให้ผู้เสียหายน่ังในลักษณะคู้ตัวไปข้างหน้า
ขาเหยียดตรงแล้วจึงเอานาฬิกาข้อมือและเงินสด ๘๘๐ บาท ไปจากผู้เสียหาย ผู้เสียหายอยู่ในภาวะ
ท่ไี มส่ ามารถขัดขืนได้ ถือไดว้ า่ จาเลยกับพวกเอาทรัพยไ์ ปโดยใช้กาลงั ประทุษร้าย จงึ เปน็ ความผิดฐาน
ชงิ ทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๙ เมื่อจาเลยร่วมกระทาความผิดกับพวกอีก ๒ คน โดยมมี ีดเป็นอาวุธ
จึงเป็นความผิดฐานร่วมกบั พวกปลน้ ทรัพย์โดยมอี าวธุ ติดตัวไปด้วยตามมาตรา ๓๔๐ วรรคสอง
ฎีกาท่ี ๙๒๔๑/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๙ น.๒๑๙ จาเลยกับพวกนาธูปซึ่งมีส่วนผสมของสิ่งของ
บางอย่างท่ที าให้มึนเมาออกมาให้โจทก์ร่วมและ บ. ดม ทาให้โจทก์ร่วมเกิดอาการมึนศีรษะ เป็นเหตุ
ใหอ้ ยู่ในภาวะไมส่ ามารถขัดขืนได้ แล้วจาเลยกบั พวกอกี ๒ คน ได้ลกั ทรพั ย์ของโจทก์ร่วมไป ถือได้ว่า
เป็นการลักทรัพย์โดยใช้กาลังประทุษร้ายเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ และการพาทรัพย์นั้น
ไป เมอื่ รว่ มกระทาความผิดตัง้ แต่ ๓ คนขนึ้ ไป การกระทาของจาเลยจงึ เป็นความผดิ ฐานปลน้ ทรพั ย์
ฎกี าที่ ๔๘๙๑/๒๕๔๙ ฎ.๑๐๔๔ จาเลยดงึ มอื ผู้เสียหายท่ีปิดปอ้ งสร้อยคอออกแล้วกระชาก
สร้อยคอของผู้เสียหายไปเป็นการกระทาแก่เน้ือตัวหรือกายของผู้เสียหาย จึงเป็นการใช้กาลัง
ประทุษร้ายเพ่ือให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไปและยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้
เป็นความผิดฐานชงิ ทรพั ย์
ฎีกาที่ ๘๗๐๑/๒๕๔๗ ฎ.๒๑๙๑ แม้จาเลยที่ ๒ จะกระชากสร้อยไปจากคอโจทก์ร่วม แต่ทั้ง
531
สร้อยคอและสร้อยข้อมือของโจทก์ร่วมเป็นสร้อยเส้นเล็กหนักเพียงเส้นละหน่ึงสลึง ท่ีคอโจทก์ร่วม
มีอาการบวมช้า ไม่มีร่องรอยบาดแผลจากการถูกสร้อยบาดตามแรงกระชากที่จาเลยท่ี ๒ กระทา
ต่อทรัพย์ ไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายของโจทก์ร่วม อันจะถือว่าเป็นการประทุษร้ายแก่กายของ
โจทกร์ ่วมตาม ป.อ. มาตรา ๑ (๖)
ฎีกาท่ี ๖๓๕๔/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๕ น.๒๑๘ การที่จาเลยใช้อาวุธมีดจ้ีท่ีเอวด้านหลังของ
ผเู้ สยี หาย เป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนัน้ จะใช้กาลังประทุษร้าย เพือ่ ความสะดวกแกก่ ารลักทรพั ย์หรือ
การพาทรัพย์นั้นไป ครบองค์ประกอบความผิดฐานชิงทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง แล้ว
โดยไม่ต้องมีการประทุษร้ายร่างกายผู้เสยี หายจนเป็นเหตุใหผ้ ูเ้ สยี หายได้รับอนั ตรายแก่กาย
ฎีกาที่ ๓๙๕/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑ น.๕๔ ความผิดฐานชิงทรัพย์ซ่ึงนาไปสู่ความผิดฐานปล้น
ทรัพย์น้ัน เป็นการกระทาความผิดฐานลักทรัพย์ โดยใช้กาลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดน้ัน
จะใช้กาลังประทุษร้าย เมื่อมีการใช้กาลังประทุษร้ายแล้ว แม้จะไม่ทาให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่
กายหรอื จติ ใจก็เข้าองคป์ ระกอบความผดิ ฐานชงิ ทรพั ย์
ฎีกาท่ี ๗๒๐๔/๒๕๖๒ ฎ.๒๓๙๙ ผู้เสียหายที่ ๑ ขับรถกระบะเฉี่ยวชนรถยนต์เก๋งท่ีจาเลย
ขับ ทั้งสองฝ่ายจึงลงจากรถมาเจรจาค่าเสียหายกัน จาเลยกับพวกเรียกร้องค่าเสียหายสูงกว่าความ
เสียหายทเ่ี กิดข้ึน เมอ่ื ผู้เสียหายที่ ๑ ไมย่ อมจ่ายเงินใหจ้ าเลยในตอนแรก จาเลยได้ใชเ้ หลก็ แป๊บตีหลัง
ผู้เสียหายท่ี ๑ หลังจากน้ันพวกของจาเลยล็อกคอผู้เสียหายท่ี ๑ และจาเลยกับพวกพูดว่าไม่ได้เงิน
มีเร่ืองแน่ เห็นได้ว่าเป็นคาพูดทานองขู่บังคับผู้เสียหายทั้งสี่ให้ยอมจ่ายเงินแก่จาเลยจนในที่สุด
ผู้เสียหายท่ี ๑ รวบรวมเงินจากผู้เสยี หายท่ี ๓ และที่ ๔ ได้ ๘๓๐ บาท กับแหวนทองคาหนัก ๒ สลึง
ของผู้เสียหายที่ ๒ นามามอบให้จาเลย เป็นพฤติการณ์ที่บ่งชี้ว่าผู้เสียหายทั้งส่ียอมจ่ายเงินให้แก่
จาเลยเพราะกลัวว่าจะถูกจาเลยกับพวกทาร้ายน่ันเอง การกระทาของจาเลยที่ใช้เหล็กแป๊บตีหลัง
ผเู้ สียหายที่ ๑ พวกของจาเลยล็อกคอผู้เสียหายท่ี ๑ และจาเลยกับพวกพูดว่าหากไม่ได้เงินมีเรื่องแน่
เป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายท้ังสี่ให้ยอมให้เงินและแหวนทองคา ซ่ึงเป็นทรัพย์สินมูลค่าน้อยกว่า
ท่ีจาเลยกับพวกต้องการ จึงไม่เข้าลักษณะเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กาลังประทุษร้าย อันจะ
เป็นความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์โดยกระทาความผิดร่วมกันต้ังแต่สามคนขึ้นไปตาม ป.อ. มาตรา
๓๔๐ วรคสอง ประกอบมาตรา ๓๔๐ ตรี, ๘๓ แต่เป็นการข่มขืนใจผู้เสยี หายท้ังส่ีให้ยอมให้จาเลยได้
ประโยชน์ในลักษณะทเี่ ปน็ ทรพั ย์สินโดยขูเ่ ข็ญว่าจะทาอนั ตรายตอ่ เสรีภาพของผู้เสียหายทั้งสี่ อันเป็น
ความผดิ ฐานกรรโชกตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๗ วรรคแรก
ขาดตอน
ฎีกาที่ ๑๒๐๗๙/๒๕๕๘ ฎ.๑๘๒๘ ผ. เก็บกระเป๋าสะพายไว้ใต้เบาะรถจักรยานยนต์ จาเลย
ใช้มีดปังตอทาร้าย ผ. ให้ ผ. เปิดเบาะรถ ผ. จะดึงกุญแจรถจักรยานยนต์ออกจากตัวรถแต่จาเลย
เง้ือมีดขม่ ขู่ ผ. จงึ ว่ิงหลบหนี จากน้ันจาเลยใช้กญุ แจรถดงั กลา่ วไขเบาะรถแต่ไม่สามารถเปดิ ได้ จาเลย
532
จึงเอากุญแจรถดังกล่าวไป แม้จาเลยประสงค์จะเอาทรัพย์ในกระเป๋าสะพายเป็นอันดับแรก แต่เม่ือ
ไม่สามารถเปิดเบาะรถจักรยานยนต์ได้จึงเอากุญแจรถจักรยานยนต์อันเป็นทรัพย์อีกชิ้นหน่ึงไป เม่ือ
จาเลยประสงค์ต่อทรัพย์ของ ผ. แม้จะไม่สามารถเปิดเบาะรถจักรยานยนต์เพ่ือเอาทรัพย์ในกระเป๋า
สะพาย แต่การกระทาของจาเลยเพ่ือเอาทรพั ย์ยังไมข่ าดตอน การท่ีจาเลยเอากุญแจรถจักรยานยนต์
ของ ผ. ไป ย่อมเป็นการกระทาเพื่อแสวงหาประโยชน์ท่ีมคิ วรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสาหรับตนเอง
หรอื ผ้อู น่ื อนั เป็นการกระทาโดยทุจริต และเป็นการลักทรพั ยข์ อง ผ.
ข้อสังเกต ถ้ำคิดมำกอำจจะคิดว่ำจะชิงทรัพย์ในกระเป๋ำ เป็นเพียงพยำยำมลัก จึงเป็นพยำยำม
ชงิ ทรพั ย์ แต่ฎีกำน้ีตดั สินไว้ชดั วำ่ เอำกุญแจไปก็เปน็ กำรลักทรพั ย์คอื กญุ แจสำเรจ็ แล้ว จึงผดิ ชงิ ทรัพย์
ฎีกาท่ี ๒๐๗๓/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๖ พฤติการณ์ที่จาเลยลักเอาเงินท่ีอยู่ในลิ้นชักจานวน
๑,๒๐๐ บาท ของผูเ้ สยี หายท่ี ๑ ไป เมอื่ ผู้เสียหายท่ี ๑ ทราบเรือ่ ง จาเลยจึงได้คนื เงนิ จานวนดังกลา่ ว
ให้แก่ผู้เสียหายท่ี ๑ ถือได้ว่าการลักทรัพย์สาเร็จแล้ว แต่ขณะท่ีจาเลยกาลังจะขับรถหลบหนี
ผู้เสียหายที่ ๒ เข้าดึงท้ายรถจักรยานยนต์ของจาเลยไว้เพ่ือไม่ให้จาเลยหนี จาเลยจึงใช้หมวกนิรภัย
เหวย่ี งไปท่ีผูเ้ สยี หายท่ี ๒ แต่ผู้เสียหายที่ ๒ หลบทัน จาเลยจึงขับรถจักรยานยนต์ออกไปอย่างรวดเร็ว
ทาให้ผู้เสียหายท่ี ๒ เสียหลกั ล้มลงเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บไมถ่ ึงกบั เป็นอนั ตรายแก่กายนนั้ เป็นการ
กระทาที่ต่อเนื่องยังไม่ขาดตอนจากการกระทาความผิดฐานลักทรัพย์ ถือได้ว่าจาเลยใช้กาลัง
ประทุษรา้ ยเพื่อให้พ้นจากการจบั กุม การกระทาของจาเลยจงึ เปน็ ความผิดฐานชิงทรัพย์
ฎีกาที่ ๒๙๐๗/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๗๒ แม้จาเลยเดินไปหยิบเอาเงินเหรียญกษาปณ์ของ
ผู้เสียหาย โดยจาเลยไม่ได้พูดหรือทากิริยาอาการอย่างใดที่ขู่เข็ญว่าในทันใดน้ันจะใช้กาลัง
ประทุษร้ายหรือได้ใช้กาลังประทุษร้ายผู้เสียหาย แต่หลังจากจาเลยหยิบเอาเงินเหรียญกษาปณ์ของ
ผู้เสียหายแล้วได้วิ่งหนีไปน่ังรถจักรยานยนต์ของจาเลยซ่ึงจอดอยู่หน้าร้านค้าท่ีเกิดเหตุเพื่อหลบหนี
และผู้เสียหายว่ิงตามไปทันขณะจาเลยนั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์ดังกล่าว แล้วจาเลยถูกผู้เสียหาย
กระชากคอเสื้อและบิดกุญแจรถดับเครื่องยนต์เพ่ือแย่งเอาเงินคืน จาเลยได้เตะผู้เสียหาย ๑ คร้ัง
การกระทาของจาเลยดังกล่าวยังต่อเนื่องเก่ียวพันกันโดยตลอดและยังไม่ขาดตอนจากการเอาทรัพย์
ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต การที่จาเลยเตะผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายตามไปแย่งเอาเงินคืนน้ัน
จงึ เป็นพฤติการณ์ที่ชช้ี ัดว่าจาเลยกระทาโดยมีเจตนาขเู่ ข็ญไม่ใหผ้ ู้เสียหายขดั ขวางการหลบหนีเพ่ือให้
พ้นจากการจบั กุมและเพอื่ การพาทรัพย์ไป การกระทาของจาเลยจงึ เป็นความผดิ ฐานชงิ ทรพั ย์
จาเลยขับรถจักรยานยนต์มาทเ่ี กิดเหตแุ ลว้ กอ่ เหตุท้ังเม่ือจาเลยไดท้ รพั ย์ของผู้เสยี หายไปแล้ว
จาเลยก็ว่ิงหนีไปน่ังรถจักรยานยนต์ของจาเลยซ่ึงจอดไว้หน้าร้านค้าที่เกิดเหตุและติดเครื่องยนต์
แต่ผู้เสียหายวิ่งตามไปทันจึงกระชากคอเสื้อจาเลยแล้ว บิดกุญแจรถดับเคร่ืองยนต์ พฤติการณ์ของ
จาเลยดังกลา่ วแสดงให้เห็นว่าจาเลยกระทาโดยมีเจตนาจะใช้รถจักรยานยนต์มาทเี่ กดิ เหตุแลว้ ก่อเหตุ
และใช้รถจักรยานยนต์พาทรัพย์นั้นไปจากท่ีเกิดเหตุ การกระทาความผิดของจาเลยจึงเป็นการใช้
รถจกั รยานยนต์เป็นยานพาหนะเพ่ือการกระทาความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๐ ตรี
ฎกี าท่ี ๗๗๕๐/๒๕๔๘ ฎ.๒๓๑๒ การปล้นทรัพย์จะขาดตอนแล้วหรือไม่ ย่อมต้องพิจารณา
533
จากพฤติการณ์แห่งคดีตามข้อเท็จจริงที่ได้ความซึ่งมิได้จากัดด้วยระยะทาง แม้จาเลยที่ ๒ ขับ
รถจักรยานยนต์ของจาเลยที่ ๑ ออกมาเกือบถึงถนนสายป่าโมก - สุพรรณบุรีแล้ว แต่ก็ยังอยู่ใน
บริเวณสถานีบริการน้ามันที่เกิดเหตุซ่ึงทางฝ่ายผู้เสียหายกับพวกยังอาจติดตามขัดขวางการ
ปล้นทรัพย์น้ันได้ ยังอยู่ในขั้นตอนของการพาเอาทรัพย์ไป การปล้นทรัพย์ของจาเลยทั้งสองกับพวก
จึงยงั ไมข่ าดตอน
ฎีกาที่ ๑๓๔๗/๒๕๔๙ ฎ.๔๗๒ พวกจาเลยคนหน่ึงขับรถจักรยานยนต์แซงรถจักรยานยนต์
ของผู้เสียหาย จาเลยซึ่งน่ังซ้อนท้ายกระชากสร้อยคอทองคาและพระเล่ียมทองของผู้เสียหายแม้
จาเลยไม่ได้ขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กาลังประทุษร้าย หรือได้ใช้กาลังประทุษร้ายผู้เสียหาย แต่
หลังจากกระชากสรอ้ ยคอแล้วจาเลยกับพวกขับรถจกั รยานยนต์หลบหนี ผู้เสียหายกับพวกติดตามไป
ทันทีจนพบและจะเข้าจับจาเลย จาเลยใช้ขวดตีผู้เสียหาย การกระทาของจาเลยดังกล่าวยังต่อเนื่อง
และเกี่ยวพันกันโดยตลอดและยังไม่ขาดตอนจากการว่ิงราวทรัพย์ ถือว่าจาเลยมีเจตนาใช้กาลัง
ประทุษร้ายผู้เสียหายเพื่อให้พ้นจากการจับกุม จึงเป็นความผิดฐานร่วมกับพวกสองคนชิงทรัพย์
ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธ และโดยใช้ยานพาหนะในการกระทาความผิด พาทรัพย์น้ันไป และ
เพ่ือใหพ้ ้นจากการจับกุมตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๘๓, ๓๔๐ ตรี
ฎีกาท่ี ๙๒๕๑/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๙ น.๒๒๒ จาเลยกับพวกอีก ๕ คนมีเจตนาท่ีจะเอาเคร่ือง
เชื่อมโลหะและเคร่ืองป๊ัมลมซ่ึงจาเลยมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของอยู่ด้วยไปเพ่ือเป็นประโยชน์ของตน
โดยเจ้าของรวมคนอ่ืนมิได้ยินยอม เม่ือจาเลยกับพวกขนเคร่ืองเชื่อมโลหะและเครื่องป๊ัมลมขึ้นบน
รถยนต์กระบะ ถือได้ว่าการลักทรัพย์สาเร็จอันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ในเวลาต่อเนื่องกัน บ.
เจ้าของรวมคนหน่ึงท่ีรู้เห็นการกระทาของจาเลยกับพวกได้เข้าขัดขวางโดยข้ึนไปบนรถยนต์กระบะ
เพ่ือเอาเคร่ืองปั๊มลมกลับคืน จึงถูกจาเลยผลักและพวกของจาเลยใช้เสียมตีท่ีศีรษะเป็นเหตุให้ บ.
หมดสติไป การท่ีจาเลยกับพวกอีก ๕ คน ร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้กาลังประทุษร้าย บ. ขณะท่ีการ
ลกั ทรัพย์ยงั ไมข่ าดตอน ยอ่ มถือได้ว่าเป็นการชิงทรัพย์โดยร่วมกนั กระทาความผิดด้วยกันต้ังแต่ ๓ คน
ขึ้นไป ซ่งึ เปน็ ความผิดฐานปลน้ ทรัพย์แลว้
ฎีกาท่ี ๕๘/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๘ ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนกับรถเก๋ง
รถจักรยานยนต์ล้มทับขาผู้เสียหาย จาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ขับรถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายกันมามีเจตนา
จะลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายมาแต่แรก จึงใช้อุบายทาทีเข้าช่วยเหลอื หลอกลวงว่าจะพาไปส่ง
บ้าน ขณะที่จาเลยท่ี ๒ ขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย โดยจาเลยท่ี ๓ ขับรถจักรยานยนต์
มีผู้เสียหายน่ังซ้อนท้ายตามกันไป การลักทรัพย์ยังไม่ขาดตอน แม้ว่าเม่ือบรเิ วณทางแยก จาเลยที่ ๒
จะขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายลับสายตาไปแล้ว แต่ผู้เสียหายยังไม่ละการติดตามโดยบอก
จาเลยที่ ๓ ให้หยุดรถเพื่อแจ้งศูนย์วิทยุติดตามจาเลยที่ ๒ อีกทางหนึ่ง ทั้งคนร้ายคือจาเลยที่ ๓
ก็ยังอยู่กับผู้เสียหาย การที่จาเลยท่ี ๓ ใช้กาลังประทุษร้ายโดยใช้ศอกตวัดกระแทกผู้เสียหายตกจาก
รถจักรยานยนต์ ก็เพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป และกรณีไม่ใช่การ
กระทาของจาเลยที่ ๓ โดยลาพัง เพราะพฤติการณ์ท่ีจาเลยที่ ๒ ขับรถจักรยานยนต์ย้อนกลับมายัง
534
จุดที่นัดหมายกันไว้ย่อมเป็นการแสดงชัดแจ้งว่าจาเลยท่ี ๒ มีเจตนาร่วมกระทาด้วย จาเลยที่ ๒
และท่ี ๓ จึงมคี วามผิดฐานร่วมกันชิงทรพั ย์
ข้อสังเกต กำรจะเป็นตัวกำรร่วมกันน้ัน ส่วนของกำรกระทำร่วมกันจะตอ้ งอยู่ในทีเ่ กิดเหตุพร้อมท่ีจะ
ช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ทันที ซ่ึงเป็นหลักท่ีใช้กันมำนำน และต้องปรับใช้ให้เหมำะสมกับสภำพ
สังคม คดีน้ีแม้จำเลยท่ี ๒ จะขับรถจักรยำนยนต์ของผู้เสียหำยลับสำยตำไปแล้ว จำเลยท่ี ๓ จึงใช้
กำลังประทุษร้ำยกำรท่ีศำลฎีกำเห็นว่ำ กำรลักทรัพย์ยังไม่ขำดตอน ก็หมำยควำมว่ำ คดีน้ีแม้จำเลย
ที่ ๒ และท่ี ๓ ลับสำยตำกันไปแล้ว แต่ก็ยังช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ทันที ยังมีกำรกระทำร่วมกัน
ซ่งึ ถือว่ำเป็นตัวกำรรว่ มกันได้
ไมม่ เี จตนาลกั ขณะทารา้ ย
ฎีกาท่ี ๑๑๖๕๖/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๒๐๗ จาเลยทาร้ายผู้เสียหายเพราะจาเลยขอให้
ผู้เสียหายช่วยบวชให้ แต่ผู้เสียหายไม่ช่วยทั้งยังด่าจาเลยว่า “ไม่มีลูกศิษย์เหี้ย ๆ อย่างนี้ ลูกศิษย์
มารศาสนาแบบน้ีไม่เอา”ีและ “ไอ้เย็ดแม่ กูพูดกับมึงไม่รู้เร่ือง กูบอกไม่บวชให้ก็ยังเซ้าซี้”ีภายหลัง
จาเลยทาร้ายผู้เสียหายแล้วจาเลยเอาเงิน ๔๐๐ บาท ไปจากผู้เสียหายด้วย จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า
จาเลยทาร้ายผู้เสียหายโดยประสงค์ต่อทรัพย์ของผู้เสียหายอันเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ เป็นเพียง
ความผดิ ฐานทารา้ ยร่างกายและฐานวงิ่ ราวทรัพย์ตา่ งกรรมกนั
ฎกี าที่ ๒๒๐๗/๒๕๕๗ ฎ.๑๗๕ ผู้เสียหายท้ังสองอยู่ท่ีลานจอดรถในห้างสรรพสินค้า จาเลย
ทงั้ สองเขา้ ไปรุมทาร้ายผู้เสยี หายท่ี ๒ เพราะเข้าใจผดิ วา่ เปน็ คู่อริ มิไดป้ ระสงค์ต่อทรัพยข์ องผูเ้ สียหาย
ท่ี ๑ มาแต่แรก ผู้เสียหายท่ี ๑ เข้าไปช่วยและร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ ผู้เสียหายท่ี ๒ วิ่งหนี
เข้าไปในห้องรับรองลูกค้า จาเลยที่ ๑ ว่ิงตาม ผู้เสียหายท่ี ๑ ยังคงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ
จาเลยท่ี ๒ ว่ิงไปหาผู้เสียหายท่ี ๑ แล้วตบผู้เสียหายที่ ๑ ที่บรเิ วณใบหน้า ๒ ครั้ง เพื่อมิให้ผู้เสียหาย
ที่ ๑ ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ มิได้มีเจตนาที่จะเอาโทรศัพท์เคล่ือนที่ของผู้เสียหายท่ี ๑ จนเม่ือ
จาเลยท่ี ๒ ทาร้ายผู้เสียหายที่ ๑ ล้มลงแล้ว จาเลยท่ี ๒ จึงมีเจตนาท่ีจะเอาโทรศัพท์เคลื่อนท่ีของ
ผู้เสียหายท่ี ๑ และเข้าแย่งโทรศัพท์เคลือ่ นท่ีจากมอื ของผเู้ สียหายที่ ๑ อันเป็นการฉกฉวยเอาซึ่งหน้า
เมอ่ื ผู้เสยี หายที่ ๑ มีบาดแผลแกม้ ซ้ายบวมกดเจ็บ และเสียวฟันหน้า ๒ ซ่ี ใชเ้ วลารักษาประมาณ ๑๐
วัน การกระทาของจาเลยท่ี ๒ เป็นความผิดฐานทาร้ายร่างกายผู้อ่ืนไม่เป็นเหตุใหเ้ กิดอันตรายแก่กาย
หรอื จิตใจและฐานว่ิงราวทรพั ย์
ภายหลังจาเลยท่ี ๒ เข้าแย่งโทรศัพท์เคล่ือนที่ไปจากมือผู้เสียหายที่ ๑ จาเลยท่ี ๑ ว่ิงกลับ
ออกมาแล้วจาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ ว่ิงไปด้วยกันก่อนแยกย้ายกันหลบหนีไปคนละทิศละทาง พนักงาน
ห้างจับจาเลยท่ี ๑ ได้ที่ริมกาแพงห้างและพบโทรศัพท์เคลื่อนท่ีของผู้เสียหายท่ี ๑ ที่นอกกาแพงห้าง
ซึ่งบริเวณนอกกาแพงห้างที่พบโทรศัพท์เคลื่อนท่ีของผู้เสียหายท่ี ๑ อยู่ใกล้กับจุดท่ีจาเลยท่ี ๑ ถูกจับ
และอยู่ห่างไกลจากจุดท่ีจาเลยที่ ๒ ถูกจับ แสดงว่าจาเลยท่ี ๑ เป็นคนขว้างโทรศัพท์เคล่ือนท่ีของ
535
ผู้เสียหายท่ี ๑ ออกไปนอกกาแพงห้าง ซึ่งหมายความว่าจาเลยท่ี ๑ ต้องรับโทรศัพท์เคล่ือนที่ของ
ผู้เสียหายที่ ๑ จากจาเลยท่ี ๒ ก่อนแยกย้ายกันหลบหนี และจาเลยที่ ๑ ต้องทราบว่าโทรศัพท์
เคล่ือนที่ไม่ใช่ของจาเลยท่ี ๒ แต่เป็นของผู้เสียหายที่ ๑ ท่ีจาเลยท่ี ๒ ได้มาจากการกระทาความผิด
มิฉะน้ันจาเลยที่ ๑ คงไม่ขว้างออกไปนอกกาแพงห้าง เมื่อจาเลยท่ี ๑ ช่วยพาโทรศัพท์เคล่ือนท่ีของ
ผเู้ สยี หายที่ ๒ ไปจากท่ีเกิดเหตแุ ล้วขว้างออกไปนอกกาแพงห้าง โดยทราบว่าเป็นทรัพย์ท่ีจาเลยที่ ๒
ได้มาจากการกระทาความผิด การกระทาของจาเลยที่ ๑ จึงเปน็ ความผดิ ฐานรับของโจร
ฎีกาที่ ๑๑๐๗๐/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๑๕๑ ในคืนเกิดเหตุจาเลยท่ี ๑ เข้าใจว่าผู้เสียหาย
ไปจีบ ก. คนรักของจาเลยที่ ๑ เป็นเหตุให้จาเลยท่ี ๑ ไม่พอใจผู้เสียหาย จึงให้จาเลยที่ ๒
ขับรถจักรยานยนต์พาจาเลยท่ี ๑ และท่ี ๓ ตามไปทาร้ายผู้เสยี หายในทีเ่ กิดเหตุ แต่ขณะท่จี าเลยท่ี ๒
กระชากเอาสร้อยคอทองคาพร้อมพระเล่ียมทองคาจากคอของผู้เสียหาย ก็ไม่ปรากฏว่าจาเลยท่ี ๑
และที่ ๓ กระทาการใดอันจะส่อแสดงให้เห็นว่ามีลักษณะของการร่วมมือและร่วมใจกับจาเลยท่ี ๒
ในการประทุษร้ายต่อทรัพย์ของผู้เสียหาย ลาพังแต่เพียงท่ีจาเลยท้ังสามร่วมกันเดินทางไปทาร้าย
ผู้เสียหายในที่เกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุจาเลยท้ังสามหลบหนีออกไปจากที่เกิดเหตุด้วยกันนั้น
ยังไม่อาจช้ีให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าในขณะเกิดเหตุจาเลยท่ี ๑ และท่ี ๓ มีเจตนาร่วมกับจาเลยที่ ๒
ในการกระชากสร้อยคอทองคาพร้อมพระเลี่ยมทองคาจากคอผู้เสียหาย ลักษณะการกระทาของ
จาเลยทั้งสามดังกล่าวอาศัยเจตนาท่ีแตกต่างแยกจากกันได้ว่าจาเลยทั้งสามมีเจตนาร่วมกันทาร้าย
ผู้เสียหาย โดยจาเลยท่ี ๒ แต่เพียงลาพังเท่าน้ันที่มีเจตนาประทุษร้ายต่อทรัพย์ของผู้เสียหาย
พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่พอรับฟังได้ว่า จาเลยท้ังสามร่วมกันปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายโดยใช้
รถจักรยานยนต์เปน็ พาหนะ
ข้อสังเกต คดีน้ีศำลชั้นต้นลงโทษจำเลยทั้งสำมฐำนร่วมกันปล้นทรัพย์ ศำลอุทธรณ์ลงโทษจำเลย
ท้ังสำมฐำนร่วมกันทำร้ำยตำมมำตรำ ๒๙๕ และเฉพำะจำเลยท่ี ๒ มีควำมผิดฐำนลักทรัพย์
โจทกฎ์ กี ำ ศำลฎีกำพิพำกษำยนื
ฎีกาที่ ๑๐๘/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๒ น.๑ จาเลยได้รับแจ้งจาก ห. ว่าผู้เสียหายล่อลวง ห. ไปท่ี
บังกะโลเพ่ือล่วงเกินทางเพศ จาเลยโกรธแค้นจึงวางแผนให้ ห. โทรศัพท์ไปหลอกผู้เสียหายให้ออก
จากบ้านไปหา ห. ท่ีจุดเกิดเหตุ เพ่ือทาร้ายส่ังสอนเป็นการแก้แค้นแทน ห. เมื่อผู้เสียหายขับ
รถจักรยานยนต์ไปถึงท่ีเกิดเหตุ จาเลยกับพวกที่รออยู่วิ่งเข้าไปทาร้ายผู้เสียหายทันที ผู้เสียหาย
หลบหนี จาเลยกับพวกไล่ตามและจาเลยใช้มีดขู่เข็ญพาตัวผู้เสียหายไป แล้วพวกของจาเลยใช้
ของแขง็ ตีศีรษะผู้เสยี หายจนผเู้ สียหายแกล้งทาเป็นหมดสติ จากนั้นจาเลยกับพวกหนไี ปโดยถอื โอกาส
เอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปด้วย ซ่ึงการใช้มีดขู่เข็ญผู้เสียหายและการทาร้ายผู้เสียหายใน
ตอนหลังเป็นเรอื่ งต่อเนือ่ งมาจากสาเหตุเดมิ ท่ีจาเลยโกรธแค้นผเู้ สียหาย หาใช่ว่าจะมเี จตนาเอาทรพั ย์
ของผู้เสียหายมาแต่แรกไม่ การกระทาของจาเลยกับพวกจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันทาร้ายร่างกาย
ผ้อู ่นื โดยไตร่ตรองไวก้ อ่ น และจาเลยยังมีความผดิ ฐานลกั ทรัพย์ในเวลากลางคนื ตามมาตรา ๓๓๕ (๑)
วรรคแรก ดว้ ย
536
ฎกี าที่ ๒๘๘๔/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๓๙ จาเลยไม่ได้มีเจตนาทจี่ ะชิงทรพั ย์ของผเู้ สียหายมา
แต่แรก แต่สาเหตุเน่ืองจากผู้เสียหายกับจาเลยมีเรื่องวิวาทกันก่อน จาเลยสู้ไม่ได้จึงพาพรรคพวกคือ
ส. และ ท. มารุมทาร้ายผู้เสียในภายหลัง ท่ีจาเลยเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปน่าจะเป็นผลพลอยได้
จากการที่ผู้เสียหายถูกทาร้ายจนได้รับบาดเจ็บแล้วมากกว่า มิฉะนั้นจาเลยคงไม่พูดประโยคว่า
“มึงทากูเจ็บ ก็ต้องเอาของมึง” ซ่ึงมีลักษณะเป็นการแก้แค้นจากการถูกผู้เสียหายทาร้ายมาก่อน
การกระทาของจาเลยจงึ เปน็ ความผิดฐานทารา้ ยรา่ งกายและลกั ทรัพย์ของผเู้ สียหาย
ฎีกาที่ ๘๗๐๑/๒๕๔๗ ฎ.๒๑๙๑ หลังจากจาเลยท้ังสองรุมทาร้ายจนโจทก์ร่วมสลบแล้ว
จาเลยที่ ๑ เตือนให้จาเลยที่ ๒ หยุดทาร้ายเพราะเกรงว่าโจทก์ร่วมจะตาย เมื่อจาเลยท่ี ๑ จะผละไป
ที่รถจักรยานยนต์ จาเลยที่ ๒ ได้กระชากสร้อยคอของโจทก์ร่วมส่งให้จาเลยท่ี ๑ แสดงว่าเมื่อแรก
วางแผนลวงโจทก์ร่วมมาจนกระทั่งรุมทาร้ายโจทก์ร่วมสลบน้ัน จาเลยทั้งสองยังไม่มีเจตนาจะเอา
ทรัพย์ของโจทก์ร่วม แต่หลังจากหยุดทาร้ายโจทก์ร่วมแล้วจาเลยที่ ๒ จึงเกิดโลภเจตนาถือโอกาสที่
โจทก์ร่วมส้ินสติปลดทรพั ย์ของโจทก์ร่วม เจตนาตอ่ ทรัพยด์ ังกลา่ วจึงเป็นคนละตอน คนละเจตนากับ
การลวงโจทก์ร่วมมาทาร้าย แมจ้ าเลยท่ี ๒ จะกระชากสร้อยไปจากคอโจทก์ร่วม แต่ท้ังสร้อยคอและ
สร้อยข้อมือของโจทก์ร่วมเป็นสร้อยเสน้ เล็กหนกั เพียงเสน้ ละหนึ่งสลึง ทค่ี อโจทกร์ ่วมมีอาการบวมช้า
ไม่มีร่องรอยบาดแผลจากการถูกสร้อยบาดตามแรงกระชากท่ีจาเลยท่ี ๒ กระทาต่อทรัพย์ ไม่ถึงกับ
เป็นอันตรายแก่กายของโจทก์ร่วม อันจะถือว่าเป็นการประทุษร้ายแก่กายของโจทก์ร่วมตาม ป.อ.
มาตรา ๑ (๖) การกระทาของจาเลยท้ังสองคนเปน็ เพียงความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคนื
มเี จตนาร่วมกัน
ฎีกาท่ี ๔๕๒๓/๒๕๖๐ ฎ.๖๓๘ จาเลยทั้งส่ีกับพวกมีเจตนาจะเอาสร้อยคอทองคาของ
ผู้เสียหายท่ี ๑ ต้ังแต่แรกที่เห็น จึงร่วมกันติดตามมาโดยทาเป็นหาเรื่องผู้เสียหายทั้งสองกับพวก
เพ่ือทาร้ายผู้เสียหายท่ี ๑ ให้เกิดความกลัวแล้วเอาสร้อยคอทองคากับพระเหรียญเลี่ยมทองไปและ
เอาโทรศัพท์เคลื่อนท่ีผู้เสียหายท่ี ๒ ไปด้วย หาใช่เกิดจากเจตนาทาร้ายร่างกายก่อนแล้วมีเจตนา
ลักทรัพย์ของผู้เสียหายท้ังสองไปในภายหลัง และจาเลยท่ี ๔ มิได้มีเจตนาร่วมกับจาเลยท่ี ๑ ถึงที่ ๓
ลักทรัพย์ของผู้เสียหายทั้งสองไม่ เพราะผู้เสียหายทั้งสองกับพวกมิได้มีการกระทาใด ๆ ที่จะก่อให้
จาเลยทั้งสี่กับพวกไม่พอใจถึงขนาดต้องติดตามไปเพื่อทาร้ายร่างกายเท่านั้น และหากไม่มีเจตนา
ต่อทรัพย์ เหตุใดจึงจงใจเลือกทาร้ายแต่ผู้เสียหายท่ี ๑ โดยแยกผู้เสียหายท่ี ๒ กับ ณ. ไปอยอู่ ีกทห่ี น่ึง
ก่อนด้วย ส่วนผู้เสียหายท่ี ๒ ซึ่งเป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์ก็เพียงแต่ใช้เท้าถีบในขณะท่ีจอด
รถจักรยานยนต์เท่านั้น โดยมิได้ทาร้ายผู้เสียหายที่ ๒ กับ ณ. ทั้งท่ีหากไม่พอใจจริงก็น่าจะไม่พอใจ
ผูเ้ สียหายท่ี ๒ ซ่ึงเปน็ ผู้ขบั รถจกั รยานยนตท์ ี่ไม่ยอมจอดรถจกั รยานยนต์มากกวา่ ผเู้ สียหายที่ ๑ ท่ีเป็น
เพียงผู้นั่งซ้อนท้ายมาเท่านั้น แสดงว่าจาเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันวางแผนแบ่งหน้าที่กันทาโดยหาเหตุ
ทจี่ ะเอาทรัพยข์ องผเู้ สียหายท่ี ๑ ก่อนแล้วและได้ทาร้ายผู้เสียหายท่ี ๑ จนได้ทรัพย์สินของผู้เสียหาย
537
ที่ ๑ ไป และได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายท่ี ๒ ไปด้วย การกระทาของจาเลยทั้งสี่กับพวกจึงเป็นการ
ปล้นทรัพย์โดยใช้รถกระบะเป็นยานพาหนะเพ่ือพาทรัพย์ของผู้เสียหายท้ังสองไปและให้พ้นการ
จบั กุมตามฟ้อง
ฎีกาท่ี ๗๘๓๔/๒๕๕๖ ฎ. ๑๙๔๐ ผู้เสียหายท่ี ๒ กาลังพูดคุยกับ ร. เรื่องท่ีผู้เสียหายที่ ๒
เป็นหนี้ ร. และไม่ยอมให้ ร. เอารถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมซึ่งอยู่ในความครอบครองของ
ผเู้ สียหายที่ ๒ ไป จาเลยซึง่ นง่ั รถยนต์กระบะมากับ ร. ได้ลงจากรถเดินเขา้ ไปใช้เท้าถีบผู้เสยี หายท่ี ๒
ที่บริเวณหน้าอก จนผู้เสียหายที่ ๒ ตกจากรถ หลังจากนั้นจาเลยขับรถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วม
หลบหนีไป โดยมี ร. กับพวกขับรถยนต์กระบะแล่นตามไป แสดงวา่ จาเลยมีเจตนารว่ มกันเปน็ ตวั การ
กับ ร. ชิงทรัพย์รถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมโดยแบ่งหน้าที่กันทา จาเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกัน
ชงิ ทรพั ยผ์ ู้อ่นื ในเวลากลางคืนตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง, ๘๓
จาเลยชิงทรัพย์รถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมโดยมิได้ใช้รถยนต์กระบะคันท่ีจาเลยนั่งมากับ
ร. และพวกเพื่อกระทาความผิดหรือพาเอาทรัพย์น้ันไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม จาเลยคงขับ
รถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมหลบหนีไปจากบริเวณท่ีเกิดเหตุ โดยมี ร. กับพวกขับรถยนต์กระบะ
แล่นตามไป รถยนต์กระบะจึงเป็นเพียงยานพาหนะท่ีพา ร. มาบริเวณที่เกิดเหตุและออกไปจาก
บริเวณท่ีเกิดเหตุ ไม่ได้ใช้ในการกระทาความผิดโดยตรง จึงไม่เป็นการชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะซึ่ง
จะทาให้จาเลยต้องรบั โทษหนกั ขึน้ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๐ ตรี
ฎีกาท่ี ๖๕๖๓/๒๕๕๔ ฎ.๗๕๙ จาเลยที่ ๒ จอดรถจักรยานยนต์คอยจาเลยที่ ๑ ใกล้กับ
ท่ีเกิดเหตุ เม่ือจาเลยที่ ๑ ชิงทรัพย์ของผู้ตายได้แล้ว จาเลยท่ี ๒ ขับรถจักรยานยนต์พาจาเลยท่ี ๑
ออกไปอย่างรวดเร็ว แสดงว่าจาเลยท่ี ๒ รู้เห็นกับการชิงทรัพย์ของจาเลยที่ ๑ จึงพาจาเลยท่ี ๑
หลบหนใี ห้พ้นจากการจับกุมโดยเรว็ แม้จาเลยท้ังสองพาบุตรซ่ึงเป็นผู้เยาว์มาด้วย ๒ คน ก็เช่ือว่าเพ่ือ
ต้องการให้ผู้ท่ีพบเห็นไม่คาดคิดว่าจาเลยท้ังสองกาลังจะกระทาความผิด การพาจาเลยที่ ๑ หลบหนี
ไป เป็นการพาเอาทรัพย์ของผู้ตายท่ีจาเลยท่ี ๑ ชิงทรัพย์มาไป อันมีลักษณะแบ่งหน้าที่กันทา
ทั้งจาเลยท่ี ๒ ยังได้นาโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ตายไปขายฝากทันทีในวันเกิดเหตุ แสดงว่าจาเลยที่ ๒
ยอมรับเอาทรัพย์ที่จาเลยท่ี ๑ ได้มาจากชิงทรัพย์เป็นผลประโยชน์ของตน อันถือได้ว่าจาเลยท่ี ๒
มีเจตนาร่วมกระทาความผิดกับจาเลยที่ ๑ มาต้ังแต่ต้น จาเลยท่ี ๒ จึงเป็นตัวการร่วมกับจาเลยที่ ๑
ชิงทรพั ย์เปน็ เหตุใหผ้ ้อู น่ื ถึงแกค่ วามตายโดยมีเหตุฉกรรจต์ ามฟอ้ ง
ฎีกาท่ี ๓๙๕/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑ น.๕๔ การท่ีจาเลยท้ังสามไปดักซุ่มตรวจค้นโดยเรียกผู้ขับ
รถจักรยานยนต์ที่ผ่านมาให้หยุดรถ เม่ือผู้เสียหายทั้งสองไม่หยุดรถจักรยานยนต์ให้ตรวจค้น จาเลย
ท้ังสามก็ตามไปทาร้ายและข่มขู่อ้างเป็นเจ้าพนักงานตารวจใช้อานาจตรวจค้นกระเป๋าสตางค์เอาเงิน
ของผู้เสียหายทั้งสองไป แม้จาเลยที่ ๓ จะนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์ไม่ได้ลงไปร่วมทาร้ายผู้เสียหาย
ทั้งสองและเอาเงินไปด้วย แต่จาเลยท่ี ๓ ก็อยู่ในบริเวณท่ีเกิดเหตุในลักษณะคอยคุมเชิงและคอย
ช่วยเหลือจาเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ ที่ปฏิบัติการปล้นทรัพย์อยู่ แสดงว่ามีเจตนาร่วมกันที่จะดักตรวจค้น
ปล้นเอาเงินของผู้ท่ีขับรถจักรยานยนต์ผ่านมาต้ังแต่ต้น และได้ร่วมปล้นทรัพย์ด้วยกัน การกระทา
538
ของจาเลยทั้งสามจึงเป็นการร่วมกันชิงทรัพย์โดยแบ่งหน้าท่ีกันทาครบ ๓ คน ครบองค์ประกอบ
ความผดิ ฐานปล้นทรพั ย์
ฎกี าที่ ๑๓๔๖๔/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๒๐๔ จาเลยขอเงินผู้เสยี หายไปซอื้ สุรา เมือ่ ผเู้ สยี หาย
ไม่ให้ จาเลยจึงดึงกระเป๋าเงนิ ไปจากผ้เู สียหาย แต่ผู้เสียหายก็แยง่ คืนมาได้ โดยไม่ปรากฏว่าจาเลยได้
ทาร้ายร่างกายผู้เสียหาย ทั้งไม่ปรากฏว่าจาเลยใช้ จ้าง วาน ยุยงส่งเสริมให้ ด. ทาร้ายร่างกาย
ผเู้ สียหายแต่อย่างใด การที่ ด. ทาร้ายร่างกายผู้เสียหายเกิดข้ึนจากการกระทาตามลาพังของ ด. เอง
ไม่เกย่ี วข้องกบั จาเลย และมใิ ชเ่ ป็นการทาร้ายร่างกายเพ่ือท่ีจะเอาทรัพย์จากผูเ้ สียหาย แตเ่ ชือ่ ว่าเป็น
ผลมาจากท่ีผู้เสียหายด่าว่าจาเลยมากกว่า และก็ไม่ปรากฏว่าจาเลยกับ ด. มีพฤติการณ์ท่ีจะร่วมกัน
ชิงทรัพย์จากผู้เสียหาย เนื่องจากจาเลยกับ ด. ไม่ทราบมาก่อนว่าผู้เสียหายจะเดินผ่านมาบริเวณน้ี
แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนทันทีทันควัน จาเลยกับ ด. จึงมิได้มีเจตนาร่วมกันจะมาชิงทรัพย์ของ
ผเู้ สียหายแตอ่ ย่างใด
ในสว่ นของจาเลย ลาพงั เพียงแต่จาเลยขอเงินจากผูเ้ สยี หายมาซื้อสุรา จาเลยยังไม่มีความผิด
อาญาใด ๆ แต่หลังจากที่ผู้เสียหายไม่ให้เงิน จาเลยพยายามแย่งเอาเงินจากผู้เสียหายไปซ่ึงหน้า
การกระทาของจาเลยในตอนหลงั น้จี ึงเป็นความผิดฐานพยายามวงิ่ ราวทรพั ย์
ฎกี าที่ ๑๕๒๘/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๓ น.๗๓ วนั เกดิ เหตุเปน็ วันสงกรานต์ พ. เรียกผ้เู สยี หายให้ด่มื
สุรา จาเลยเดินมายืนข้างหน้าผู้เสียหาย ช. ยืนข้างหลัง จาเลยขว้างแก้วท่ีวางอยู่บนโต๊ะใส่หน้า
ผู้เสียหายถูกหน้าผากเลือดไหล ผู้เสียหายลุกขึ้นยืนจะป้องกันตัว ช. กระชากสร้อยคอทองคาของ
ผเู้ สยี หายจากดา้ นหลังขาดติดมือ จากน้นั จาเลยและ ช. ได้รมุ ชกตอ่ ยผเู้ สียหาย ง. และ ด. ใช้ไม้ฟืน
ยาว ๑ เมตร คนละท่อนตีท้ายทอยผู้เสียหายแตก การกระทาของจาเลยน่าจะเกิดจากความ
คึกคะนองเมื่อได้ด่ืมสุราเข้าไป และเป็นการพาลหาเร่ืองมากกว่าจะเป็นการแบ่งหน้าท่ีกันทาเพ่ือ
ประสงค์ต่อทรัพย์ของผู้เสียหาย การท่ี ช. กระชากสร้อยคอทองคาของผู้เสียหายจากด้านหลังขาด
ติดมือไป เป็นการฉวยโอกาสเป็นส่วนตัวลาพังเพียงคนเดียว จาเลยไม่ได้สมรู้ร่วมคิดด้วย จึงไม่มี
ความผดิ ฐานร่วมกับพวกชิงทรัพย์
ฎีกาที่ ๖๐๗๐/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๖ น.๑๘๙ จาเลยท่ี ๑ เป็นคนรักของผู้เสียหาย จาเลยท่ี ๑
กับพวกวางแผนให้จาเลยที่ ๑ หลอกผู้เสียหายออกมาแล้ว ณ. เดินเข้าไปหาผู้เสียหายกับจาเลยท่ี ๑
ซึ่งกาลังยืนคุยกันอยู่ ทาท่าเง้ือมือจะตบหน้าผู้เสียหายพร้อมกับพูดว่า “อีสัตว์อย่ามายุ่ง เด๋ียวตบ
แม่งเลย” แล้วหันไปใช้ไขควงจ้ีที่หน้าอกจาเลยที่ ๑ ก่อนที่จะแย่งเอาโทรศัพทเ์ คล่ือนที่ของผู้เสียหาย
ไปจากมือจาเลยที่ ๑ ตามที่นัดแนะกันไว้ ถือว่าเป็นการขู่เข็ญว่าทันใดน้ันจะใช้กาลังประทุษร้าย
ผู้เสียหายเพ่ือให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ หรือการพาทรัพย์น้ันไปหรือเพื่อให้ยื่นให้ซ่ึงทรัพย์นั้น
อันเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๙ (๑) (๒) ดังน้ัน แม้จาเลยที่ ๑ ผู้รับหน้าท่ีชวน
ผู้เสียหายออกมานอกปั๊มนา้ มนั และทาทีเป็นขอตรวจดูโทรศัพท์เคลื่อนท่ีของผู้เสียหาย จะไม่ได้แสดง
อาการขู่เข็ญผู้เสยี หายก็ตาม แต่จาเลยที่ ๑ ผู้เปน็ ตัวการร่วมกระทาผิด กต็ ้องมีความผิดฐานชิงทรพั ย์
ด้วยและเม่ือการชิงทรัพย์ดังกล่าวประกอบด้วยลักษณะดังท่ีบัญญัติไว้ในอนุมาตราหน่ึงอนุมาตราใด
539
แห่งมาตรา ๓๓๕ การกระทาของจาเลยท่ี ๑ จึงต้องเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง
และต้องรับโทษหนักขึ้นตามมาตรา ๓๔๐ ตรี เพราะ ณ. ตัวการร่วมได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็น
ยานพาหนะเพือ่ กระทาผดิ หรอื เพ่ือพาทรพั ยน์ ั้นไปดว้ ย
จาเลยท่ี ๓ ยินยอมให้ ณ. ขับรถจักรยานยนต์ของตนไปกระทาผิดเท่าน้ันโดยขณะชิงทรัพย์
จาเลยท่ี ๓ คงรออยู่ท่ีร้าน ด. อันไม่อยู่ในวิสัยที่จะช่วยเหลือจาเลยท่ี ๑ หรือ ณ. ขณะกระทาผิดได้
จาเลยท่ี ๓ จงึ ไมอ่ ยูใ่ นฐานะตัวการรว่ มชงิ ทรัพย์ แตก่ ารให้ ณ. ขับรถจักรยานยนต์ของตนตามจาเลย
ท่ี ๑ ไปได้ เป็นการให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทาผิดตาม ป.อ. มาตรา ๘๖ จาเลยที่ ๓ ย่อมมี
ความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในการกระทาความผิดฐานชิงทรัพย์อันเข้าลักษณะฉกรรจ์แ ละโดยใช้
ยานพาหนะ
ผลของการกระทา
ฎีกาที่ ๒๕๗๐/๒๕๕๗ ฎ.๑๙๔ จาเลยชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้เสียหายมีรอยฟกช้า บวมแดง
ท่ีบริเวณข้อพักแขนขวา ขนาดประมาณ ๙ เซนติเมตร และผู้เสียหายมีอาการปวดอยู่ ๒ วัน ถือว่า
บาดแผลของผู้เสียหายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ การกระทาของ
จาเลยจึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๙ วรรคสาม คงเป็นความผิดตามมาตรา ๓๓๙
วรรคแรก
ฎีกาท่ี ๑๘๖๗/๒๕๕๓ ฎ.๑๗๓ จาเลยใช้อาวุธมีดปลายแหลมจ้ีขู่ผู้เสียหายและเอา
โทรศัพท์เคลื่อนท่ีของผู้เสียหายและรถยนต์ของบิดาของผู้เสียหายไป เมื่อการกระทาของจาเลยเป็น
เหตใุ ห้ผู้เสยี หายรบั อันตรายแก่กาย จาเลยก็ตอ้ งรับโทษหนักข้ึน แมผ้ เู้ สยี หายได้รบั บาดแผลที่ต้นแขน
ซ้ายจากมีดของจาเลยเน่ืองจากอุบัติเหตุ จาเลยไม่มีเจตนาทาร้ายผู้เสียหาย ก็ไม่ใช่ข้อสาคัญ เพราะ
การที่จาเลยจะรับโทษหนกั ข้ึนด้วยเหตุที่ผูเ้ สยี หายรับอันตรายแก่กายน้ัน จาเลยไม่จาต้องกระทาโดย
มีเจตนา เพียงแต่พิจารณาว่าผลที่ผู้เสียหายรบั อนั ตรายแกก่ ายน้ัน เป็นผลที่ตามธรรมดาย่อมเกิดขึ้น
ไดต้ าม ป.อ. มาตรา ๖๓ หรือไม่ เมอ่ื จาเลยใช้มดี ปลายแหลมจผี้ ู้เสียหาย การท่ีผเู้ สยี หายรับอันตราย
แก่กายจากมีดน้ัน จึงย่อมเป็นผลธรรมดาที่จะเกิดขึ้นจากการกระทาของจาเลยแล้ว จาเลยจึงมี
ความผิดฐานชิงทรพั ย์เป็นเหตุใหผ้ ้เู สยี หายรบั อนั ตรายแกก่ ายตามมาตรา ๓๓๙ วรรคสาม
ฎีกาที่ ๑๔๘๑/๒๕๔๘ ฎ.ส.ล.๕ น.๓๕ เม่ือปรากฏว่าจาเลยเป็นคนร้ายร่วมกับพวกในการ
ปล้นทรัพย์ แต่ผู้เสียหายและผู้ตายมิได้ถูกยิงในขณะจาเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ แต่ถูกยิงขณะ
จาเลยกับพวกพาผู้เสียหายและผู้ตายไปห่างไกลจากที่เกิดเหตุปล้นทรัพย์ถึง ๔ กิโลเมตร และอยู่ใน
ท้องท่ีต่างตาบลกับท้องที่เกิดเหตุปล้นทรัพย์ ดังน้ัน การที่ผู้เสียหายและผู้ตายถูกยิงได้รับบาดเจ็บ
สาหัสและถงึ แก่ความตาย จึงมิใช่เป็นผลจากการยงิ ตอ่ เนอื่ งกบั การปล้นทรพั ย์ การปล้นทรัพยไ์ ด้ขาด
ตอนไปแล้ว การกระทาของจาเลยจึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๐ วรรคสาม วรรคสี่ และ
วรรคทา้ ย
540
ฎีกาท่ี ๒๗๕๑/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๕๓ หลังจากจาเลยปลดสรอ้ ยคอทองคาของโจทกร์ ่วม
แล้ว จาเลยลากโจทก์ร่วมไปกลางกระต๊อบเพ่ือไม่ให้คนเห็น แล้วจาเลยใช้กาลังประทุษร้ายโดย
ชกปากชกท้องโจทก์ร่วม และข่มขืนกระทาชาเราโจทก์ร่วม ความผิดฐานชิงทรัพย์จึงสาเร็จต้ังแต่
จาเลยปลดเอาสร้อยคอทองคาของโจทก์ร่วมไปแล้ว เจตนาข่มขืนกระทาชาเราเกิดข้ึนภายหลังการ
ชิงทรัพยส์ าเร็จแล้ว บาดแผลท่ีริมฝีปากของโจทก์ร่วมตามผลการชันสูตรบาดแผลเกิดจากการข่มขืน
กระทาชาเราโดยใช้กาลังประทุษร้าย ไม่ได้เกิดจากการชิงทรัพย์ ส่วนท่ีข้อมือท้ังสองข้างของ
โจทก์ร่วมมีรอยแดง ๆ เชื่อว่าเกิดจากจาเลยใช้สายกางเกงของโจทก์ร่วมมัดข้อมือท้ังสองข้างของ
โจทก์ร่วมไวถ้ ือว่าเปน็ การใช้กาลังประทุษร้าย เพอ่ื สะดวกในการลักเอาสร้อยคอทองคาของโจทก์รว่ ม
อันเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่อาการบาดเจ็บเพียงรอยแดง ๆ ดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการได้รับ
อนั ตรายแก่กายหรอื จิตใจ จาเลยจึงมีความผิดฐานชงิ ทรพั ยต์ าม ป.อ. มาตรา ๓๓๙ วรรคแรก
ใช้อาวธุ ปนื
ฎีกาที่ ๔๓๙๘/๒๕๕๕ ฎ.๒๗๗๑ ในการปล้นทรัพย์ เม่ือพวกของจาเลยมีอาวุธปืนไปด้วย
แม้จาเลยจะรู้หรือไม่รู้ว่าพวกของจาเลยมีอาวุธปืน จาเลยต้องมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๐
วรรคสอง
ฎีกาท่ี ๓๖๙๒/๒๕๖๑ ฎ.๑๐๔๘ จาเลยใช้อาวุธปืนจี้ผู้เสียหายพร้อมพูดข่มขู่ผู้เสียหาย
ให้ส่งเงินให้ จนผู้เสียหายยอมส่งเงินให้แก่จาเลย การกระทาของจาเลยย่อมเป็นการชิงทรัพย์โดย
มีอาวุธอันมีลักษณะดังที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา (๗) แห่ง ป.อ. มาตรา ๓๓๕ จึงเป็นความผิดตาม
มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง การท่ีจาเลยเป็นผู้มีและใช้อาวุธปืนในการกระทาความผิด จาเลยจึงมี
ความผิดตามมาตรา ๓๓๙ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๔๐ ตรี
ใชย้ านพาหนะเพ่อื กระทาความผดิ
ฎกี าที่ ๔๓๙๘/๒๕๕๕ ฎ.๒๗๗๑ จาเลยกับพวกเดินทางมาท่ีเกิดเหตุโดยใช้รถจักรยานยนต์
เป็นยานพาหนะ แม้หลังจากท่ีผู้เสียหายใช้อาวุธปืนยิงจาเลย จาเลยกับพวกจะแยกย้ายกันหลบหนี
โดยทิ้งรถจักรยานยนต์ไว้ในท่ีเกิดเหตุก็ตาม แต่การที่จาเลยกับพวกใช้รถจักรยานยนต์ท่ีมีการใช้
สกอตเทปสีดาติดเปล่ียนเลขทะเบียนรถอาพรางเลขทะเบียนที่แท้จริงเป็นยานพาหนะเดินทางมายัง
ท่ีเกิดเหตุ แล้วเข้าไปพยายามปล้นทรัพย์ท่ีบ้านของผู้เสียหาย ย่อมแสดงว่าจาเลยใช้รถจักรยานยนต์
เดินทางมายังบ้านของผู้เสียหายเพ่ือกระทาความผิดฐานปล้นทรัพย์ และหากปล้นทรัพย์สาเร็จ
จาเลยกับพวกย่อมใชร้ ถจักรยานยนต์พาทรัพย์นั้นไปจากท่ีเกิดเหตุ การกระทาของจาเลยจึงเป็นการ
พยายามปล้นทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพ่ือกระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา
๓๔๐ ตรี
541
ฎีกาที่ ๖๘๑๙/๒๕๕๔ ฎ.๑๖๑๑ ป.อ. มาตรา ๓๔๐ ตรี มิได้บัญญัติให้ถือว่ายานพาหนะ
เป็นทรัพย์ท่ีใช้ในการกระทาความผิด ปัญหาท่ีว่ายานพาหนะเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทา
ความผิดซ่ึงศาลพึงริบตาม ป.อ. มาตรา ๓๓ (๑) หรือไม่ จะต้องพิจารณาตามพฤติการณ์ของ
การกระทาผิดเปน็ เร่อื ง ๆ วา่ ผูก้ ระทาผิดได้ใช้ยานพาหนะนัน้ ในการกระทาความผดิ หรือไม่
จาเลยกับพวกขับรถจักรยานยนต์ของกลางแซงรถจักรยานยนต์ท่ีผู้เสียหายท่ี ๑ ขับ แล้ว
จอดรถจักรยานยนต์ของกลางขวางถนนห่างจากรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายท่ี ๑ ประมาณ ๔
เมตร จากนั้นจาเลยทาร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสอง เม่ือผู้เสียหายทั้งสองหลบหนีไป จาเลยกับพวก
ก็เอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายท่ี ๑ ไป ถือได้ว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นพาหนะที่ใช้ในการ
กระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๓ (๑)
ฎีกาที่ ๒๓๒๖/๒๕๕๒ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๑๑ การท่ีจาเลยขับรถจักรยานยนต์แซงปาดหน้าให้
รถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมหยุดแล้วชิงทรัพย์และขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปน้ัน เป็นการใช้
รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อกระทาผิด พาทรัพย์น้ันไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม อันเป็น
ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๙ วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา ๓๔๐ ตรี
ฎกี าที่ ๒๙๐๗/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๗๒ จาเลยขับรถจักรยานยนต์มาท่ีเกดิ เหตุแล้วก่อเหตุ
ทั้งเมื่อจาเลยได้ทรัพย์ของผู้เสียหายไปแล้ว จาเลยก็วิ่งหนีไปนั่งรถจักรยานยนต์ของจาเลยซึ่งจอดไว้
หน้าร้านค้าที่เกิดเหตุและติดเคร่ืองยนต์ แต่ผู้เสียหายว่ิงตามไปทันจึงกระชากคอเสื้อจาเลย แล้วบิด
กุญแจรถดับเคร่ืองยนต์ พฤติการณ์ของจาเลยดังกลา่ วแสดงให้เห็นว่าจาเลยกระทาโดยมเี จตนาจะใช้
รถจักรยานยนต์มาที่เกิดเหตุแล้วก่อเหตุและใช้รถจักรยานยนต์พาทรัพย์นั้นไปจากท่ีเกิดเหตุ
การกระทาความผิดของจาเลยจึงเป็นการใชร้ ถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อการกระทาความผิด
ตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๐ ตรี
ฎีกาที่ ๕๕๖๔/๒๕๕๒ ฎ.ส.ล.๔ น.๒๐๕ การใช้ยานพาหนะเพ่ือกระทาผิดตามความใน
ป.อ. มาตรา ๓๔๐ ตรี ต้องเป็นการใช้ตามลักษณะการใช้งานของยานพาหนะที่เป็นเครอื่ งนาไป หรือ
เครื่องขับขี่ แต่การใช้รถจักรยานของกลางจอดล้มขวางถนนไว้ไม่ใช่เป็นการใช้รถจักรยานของกลาง
ตามลักษณะการใช้งานของยานพาหนะซึ่งใช้เป็นเครื่องนาผู้ขับขี่เคล่ือนที่ไปจาเลยท้ังสองจึงไม่มี
ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๐ ตรี
ฎกี าที่ ๘๓๑๘/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๐๑ จาเลยที่ ๓ กบั พวกได้รว่ มกนั ลงมือแบง่ หน้าทกี่ ัน
ทา ปล้นเอารถตู้และทรัพย์ของกลางทั้งหมดของผู้เสยี หายไปจากความครอบครองของผู้เสียหาย ซ่ึง
นอนหลับหมดสติในห้องพักของโรงแรมอันเป็นความผดิ สาเร็จเดด็ ขาดแล้ว สว่ นพฤติการณ์ภายหลังท่ี
จาเลยท่ี ๓ นารถตู้ไปจอดไว้รอบุคคลอ่ืนมารับไปจาหน่ายที่ประเทศกัมพูชาแล้วถูกเจ้าพนักงาน
ตารวจและสายลับวางแผนจับกุมโดยถูกจับขณะที่จาเลยที่ ๑ ถึงท่ี ๖ น่ังอยู่ในรถกระบะซึ่งจาเลย
ท่ี ๑ ขับนาทางรถตู้ของผู้เสียหายไปก็ตามก็หาใช่เป็นพฤติการณ์สืบเน่ืองมาจากการปล้นทรัพย์
ซึ่งเป็นความผิดสาเรจ็ ขาดตอนไปแล้ว จงึ หามคี วามผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๐ ตรี ด้วยไม่
ฎีกาท่ี ๘๕๒๓/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๗ น.๒๑๖ การท่จี าเลยกับพวกนารถจกั รยานยนต์มาท่บี รษิ ัท
542
ผู้เสียหายในครั้งแรกนั้น ก็เพ่ือให้ผู้เสียหายจัดไฟแนนซ์รถจักรยานยนต์ให้ จึงมิใช่เป็นการใช้
ยานพาหนะเพื่อกระทาความผิด ต่อมาหลังจากจาเลยกบั พวกทารา้ ยร่างกายผูเ้ สยี หายไดร้ ับอันตราย
แก่กายแล้วล้วงเอาเงินในกระเป๋าเส้ือของผู้เสียหายไป จากน้ันจาเลยใช้มีดแทงหลังกับจับศีรษะ
ผู้เสียหายกระแทกกับโถส้วมหลายครั้งจนผู้เสียหายหมดสติไป การกระทาของจาเลยกับพวกเป็น
ความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผ้อู ่ืนรับอนั ตรายแก่กายหรือจิตใจตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๙ วรรคสาม
เทา่ นน้ั
ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๓๔๑
เปน็ การหลอกลวงผู้อืน่
ฎีกาที่ ๑๖๘๘๙/๒๕๕๕ ฎ.๓๔๒๘ จาเลยซึ่งเป็นผู้จัดการร้านของผู้เสียหาย บอกพนักงาน
เกบ็ เงนิ ของผ้เู สียหายว่า สร้อยคอทองคา สร้อยข้อมือทองคา แหวนทองคา และแหวนพลอยเป็นของ
ลูกค้าผู้เสยี หายที่นามาจานา พนักงานของผู้เสียหายได้มอบเงินของผู้เสียหายที่จาเลยต้องนาไปมอบ
ให้แก่ลูกค้าให้แก่จาเลยไป แล้วจาเลยเอาเงินน้ันไป มิใช่เป็นการเอาเงินของผู้เสียหายไปโดยพลการ
โดยทุจริต หากแตเ่ ป็นการหลอกลวงพนกั งานเก็บเงินของผู้เสยี หายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ
การท่ีจาเลยได้เงินของผู้เสียหายไปเกิดจากการที่พนักงานเก็บเงินซ่ึงเป็นตัวแทนของผู้เสียหาย
หลงเช่ือการหลอกลวงของจาเลย การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา
๓๔๑
ข้อสังเกต คดีน้ีอัยกำรฟ้องว่ำจำเลยเอำเงินของผู้เสียหำยไปโดยใช้อุบำย โดยบรรยำยฟ้องว่ำกำรได้
เงินคดีน้ีเกิดจำกกำรท่ีจำเลยหลอกว่ำลูกค้ำนำทองคำมำจำนำโดยนำทองคำของผู้เสียหำยมำให้ดู
ประกอบกำรหลอก จำเลยได้เงินมำจำกกำรหลอกโดยไม่ได้นำทองคำไป จึงเป็นควำมผิดฐำนฉ้อโกง
ถ้ำจำเลยเอำทองคำท่ีอยู่ในกำรยึดถือไป จำเลยจะผิดลักทองคำ เพรำะจำเลยไม่ได้
ครอบครองทองคำ หรือถ้ำลูกค้ำมำจำนำทองคำ จำเลยรับเงินมำแล้วเอำไปเลยไม่มอบให้ลูกค้ำ
จำเลยผิดฐำนลักเงิน เพรำะกำรท่ีจำเลยรับเงินมำมอบให้ลูกค้ำจำเลยไม่ได้คร อบครองเงิน
ฎีกาที่ ๕๒๒๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๗ น.๙๙ ผู้เสียหายยินยอมส่งมอบรถจักรยานยนต์ของกลาง
ใหแ้ ก่จาเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ เน่อื งจากถกู จาเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ หลอกลวงให้ทาสัญญาเช่าซือ้ และสัญญา
ค้าประกัน มิใช่เป็นการเอารถจักรยานยนต์ของกลางไปโดยพลการโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดฐาน
ลกั ทรัพย์ หากแต่เป็นการได้รถจักรยานยนต์ของกลางไปโดยการหลอกลวงผ้เู สียหายโดยทุจริตว่าจะ
ปฏิบัติตามสัญญาเชา่ ซื้อรถจกั รยานยนต์ที่ทาไว้กบั ผู้เสียหาย การกระทาของจาเลยที่ ๑ ถึงท่ี ๓ เป็น
ตัวการร่วมกันกระทาความผิดฐานฉ้อโกง ส่วนจาเลยที่ ๔ ไม่ได้ประกอบกิจการซ้ือขาย
รถจักรยานยนต์ แต่รับซื้อรถจักรยานยนตข์ องกลางในราคาต่ากว่าราคาปกติมาก ท้ังเป็นการซ้ือขาย
กันในลักษณะเร่งรีบและรวบรัด ไม่มีการตรวจสอบทางทะเบียนเพื่อทราบถึงบุคคลผู้เป็นเจ้าของที่
แท้จริงก่อน เป็นการผิดปกติวิสัยการซื้อขายโดยสุจริตท่ัวไป ฟังได้ว่าจาเลยที่ ๔ รับซ้ือ
543
รถจักรยานยนต์ของกลางไวโ้ ดยรวู้ ่าเป็นทรัพยอ์ นั ได้มาจากการกระทาความผิดฐานฉ้อโกง
การท่ีจาเลยที่ ๔ จ่ายเงินค่าซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่จาเลยท่ี ๓ จาเลยท่ี ๓ มอบ
กุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางให้จาเลยที่ ๔ และจาเลยท่ี ๔ ข้ึนนั่งคร่อมรถจะขับออกไป แต่ถูก
เจ้าพนักงานตารวจจับกุมเสียก่อน ถือได้ว่าจาเลยท่ี ๔ ได้รับทรัพย์ท่ีซ้ือจากจาเลยที่ ๓ ไว้แล้ว เป็น
ความผิดฐานรบั ของโจรสาเรจ็ แลว้
ข้อสังเกต คดีน้ีศำลฎีกำฟังข้อเท็จจริงว่ำจำเลยที่ ๑ ไม่มีเจตนำเช่ำซื้อ แต่เป็นกำรหลอกขอเช่ำซ้ือ
แมจ้ ะไม่ไดโ้ อนกรรมสิทธิท์ ันทีทส่ี ่งมอบทรัพย์ แต่สัญญำเช่ำซ้ือก็เป็นสัญญำท่ีมีวัตถุประสงค์สุดท้ำยที่
จะโอนกรรมสิทธ์ิเมื่อชำระค่ำเช่ำซ้ือครบถ้วนแล้ว กำรหลอกในคดีนี้เป็นกำรหลอกเอำกรรมสิทธ์ิ
กำรเอำทรัพยไ์ ปในคดีน้จี ึงเปน็ ควำมผดิ ฐำนฉอ้ โกง เช่นเดยี วกบั ฎีกำท่ี ๕๙๑/๒๕๖๐ ฎ.๑๑๙ ท่ตี ดั สิน
วำ่ จำเลยเป็นคนวำงแผนและมอบเงนิ ให้ ว. ไปหลอกเชำ่ ซ้ือรถจกั รยำนยนต์จำกโจทกร์ ว่ มโดยจำเลย
และ ว. แบ่งหน้ำที่กันทำโดยมีเจตนำทุจริตมำแต่แรก และเมื่อจำนำรถไปแล้วจำเลยก็ไม่ได้คิดท่ีจะ
ไถ่คืนเป็นท่ีเสียหำยแก่โจทก์ร่วม จำเลยและ ว. จึงเป็นตัวกำรร่วมกันกระทำควำมผิดฐำนร่วมกัน
ฉ้อโกงตำม ป.อ. มำตรำ ๓๔๑
หำกเปล่ียนขอ้ เทจ็ จริงเป็นหลอกขอเชำ่ ทรัพย์ เป็นกำรหลอกเอำกำรครอบครอง เพรำะกำร
เช่ำทรัพยไ์ ม่ใช่สัญญำท่ีมีวตั ถทุ ี่ประสงค์ในกำรโอนกรรมสทิ ธ์ิ กำรเอำไปจึงเปน็ ควำมผิดฐำนลักทรัพย์
(ดูเพ่ิมเติมใน ดร. เกียรติขจร วัจนะสวัสด์ิ, กฎหมำยอำญำควำมผิดเลม่ ๓, พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพฯ,
๒๕๕๕. หนำ้ ๑๐)
ฎีกาที่ ๔๖๐๘/๒๕๖๐ ฎ.๖๕๗ จาเลยท่ี ๒ เป็นผู้วางแผนและมอบเงินให้จาเลยที่ ๑ ไป
เช่าซ้ือรถจักรยานยนต์จากโจทก์ร่วม โดยไม่มีเจตนาที่จะผูกพันตามสัญญาเช่าซ้ือ เพียงแต่อาศัย
การหลอกลวงโจทก์ร่วมว่าจะปฏิบัติตามสัญญาเพื่อเป็นช่องทางให้ได้รถจักรยานยนต์ไป คร้ัน
ได้รถจักรยานยนต์มาแล้ว จาเลยท่ี ๒ นารถจักรยานยนต์ไปและให้เงินค่าจ้างแก่จาเลยที่ ๑ ดังนี้
เปน็ การร่วมกระทาความผดิ โดยแบ่งหน้าท่ีกนั ทาตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๑ ประกอบมาตรา ๘๓
ฎีกาท่ี ๔๖๔๔/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๘ น.๑๙๘ จาเลยขอยืมรถจักยานยนต์ของผู้เสียหายไปจาก
ช. ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามสัญญาเช่าซื้อ การที่ ช. อนุญาตให้จาเลยขับรถจักรยานยนต์ไปส่ง
ส. จึงเป็นการส่งมอบการครอบครองรถจักรยานยนต์ให้จาเลยช่ัวคราวซ่ึงจาเลยมีหน้าท่ีต้องนา
รถจักรยานยนต์ที่ขอยืมไปมาคืน ช. เมื่อจาเลยนารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปจานาแก่
บุคคลภายนอกจึงเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ของผู้เสียหายเป็นของบุคคลอื่นโดยทุจริตขณะที่จาเลย
ครอบครองทรัพยน์ ัน้ อันเป็นความผดิ ฐานยกั ยอกทรพั ยต์ าม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก การกระทา
ของจาเลยไม่ใช่ความผิดฐานลักทรพั ย์ ท่โี จทกฎ์ ีกาว่าได้ความจาก ส. ว่าจาเลยบอกวา่ หลังจากจาเลย
ได้รถจักรยานยนต์แล้วนาไปขายทันที การขอยืมรถจึงเป็นอุบายท่ีจะได้รถจักรยานยนต์ไปนั้น ก็เป็น
เพียงการคาดคะเนของโจทก์ถึงเจตนารมณ์ของจาเลยซ่ึงไม่อาจนามารับฟังเป็นผลร้ายว่าจาเลย
มีเจตนาเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปตั้งแต่ต้น เม่ือจาเลยชาระค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายเป็นที่
พอใจและผู้เสียหายไม่ตดิ ใจดาเนินคดีแก่จาเลยย่อมทาให้สิทธินาคดีอาญามฟ้องระงับไปตาม ป.วิ.อ.
544
มาตรา ๓๙ (๒)
ข้อสังเกต คดีน้ีศำลฎีกำฟังข้อเท็จจริงว่ำขณะยืมจำเลยมีเจตนำยืมรถจักรยำนยนต์จริง เมื่อได้รถ
ไว้ในครอบครองและใช้สอยแล้วจึงมีเจตนำเอำไปจำนำภำยหลัง จึงเป็นกำรเบียดบังทรัพย์ของผู้อ่ืน
ที่ตนครอบครองอันเป็นควำมผิดฐำนยักยอก โดยจำเลยไม่ได้มีเจตนำหลอกเอำรถจักรยำนยนต์ไป
ต้ังแต่แรก แต่ถ้ำข้อเท็จจริงปรำกฏชัดว่ำจำเลยมีเจตนำเอำรถจักรยำนยนต์ไปต้ังแต่แรกด้วยกำร
หลอกขอยืมรถจักรยำนยนต์เพ่ือจะเอำไปจำนำ จะเป็นกำรหลอกเอำกำรครอบครองซึ่งถอื ว่ำเปน็ กำร
แย่งกำรครอบครอง จะเป็นควำมผิดฐำนลกั ทรัพย์
ฎีกาที่ ๙๖๖๓/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๘ น.๒๐๖ ผู้เสียหายไม่ได้มอบหมายให้จาเลยเบิกเงิน
๔๙๐,๐๐๐ บาท จากบัญชีของผู้เสียหายท่ีเปิดไว้ที่ธนาคารกรุงเทพ จากัด (มหาชน) สาขาตาก
แต่เป็นเจตนาของจาเลยท่ีต้องการได้เงินโดยมิชอบ และหาวิธีการโดยการปลอมใบถอนเงินนาไป
หลอกลวงเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อให้ได้มาซ่ึงเงินจานวนดังกล่าว ดังน้ัน เงินที่จาเลยได้มาตามฟ้อง
แม้จะเป็นเงินท่ีเจ้าหน้าท่ีธนาคารทาพิธีการทางบัญชีของธนาคารหักจากบัญชีของผู้เสียหายก็ตา ม
แต่เป็นเพราะจาเลยนาเอกสารปลอมไปหลอกลวงจนเจ้าหน้าท่ีของธนาคารหลงเช่ือ เงินท่ีจาเลยได้
ไปจึงเปน็ เงินของธนาคาร มิใช่เงนิ ของผู้เสียหายตาม ป.พ.พ. มาตรา ๖๗๒ จาเลยจึงไม่มีความผิดฐาน
ยักยอกเงินผ้เู สียหาย แต่เป็นความผิดฐานฉอ้ โกง
ข้อสงั เกต คดีน้ีไม่มีทำงเป็นกำรยกั ยอกได้ เพรำะกำรจะมีควำมผิดฐำนยกั ยอก ผู้กระทำผิดต้องได้รับ
มอบกำรครอบครองมำโดยถูกต้องแล้วมีเจตนำเบียดบังเอำไป แต่ท่ีศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำจำเลย
มีควำมผิดฐำนฉ้อโกงไม่ใช่ยักยอก เป็นกำรวินิจฉัยตำมฎีกำของคู่ควำม ที่จริงคดีน้ีประเด็นน่ำจะ
พิจำรณำเป็นเร่ืองกำรลักทรัพย์โดยใช้อุบำยกับฉ้อโกง เพรำะมีกำรหลอกลวงและได้ทรัพย์ไป กรณี
ถ้ำเป็นกำรหลอกเอำกรรมสิทธ์ิ จะเป็นควำมผิดฐำนฉ้อโกง แต่ถ้ำเป็นกำรหลอกเอำกำรครอบครอง
จะเป็นควำมผิดฐำนลักทรัพย์ สำหรับกำรทำธุรกรรมกับธนำคำร หำกเป็นกำรปลอม ๑. ใบถอนเงิน
และ ๒. ใบมอบอำนำจในกำรรับเงิน เป็นกำรหลอกเอำกำรครอบครอง เพรำะหลอกว่ำเจ้ำของบัญชี
ให้มำเบิกเงินแทน หำกเอำไปจะผิดลักทรัพย์ แต่ถ้ำปลอมเฉพำะใบถอนเงิน และหลอกเจ้ำหน้ำท่ี
ธนำคำรว่ำเป็นเจ้ำของบัญชีมำเบิกเงิน จะเป็นกำรหลอกเอำกรรมสิทธิ์ เพรำะเม่ือพนักงำนธนำคำร
มอบเงินให้ก็จะเอำไปเลย จะเป็นควำมผิดฐำนฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอ่ืนตำมมำตรำ ๓๔๒ (๑)
ฎีกาท่ี ๑๔๗๘๓/๒๕๕๕ ฎ.๒๔๕๑ จาเลยมอบเช็คปลอมให้พนักงานของผู้เสียหาย นาไป
เบิกเงินจากธนาคารตามเช็คด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า ลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเป็นลายมือชื่อ
แท้จริงของ ธ. กรรมการผู้มีอานาจกระทาการแทนโจทก์ร่วม เงินที่จาเลยได้ไปเป็นเงินของธนาคาร
มิใช่เงินของโจทก์ร่วมตาม ป.พ.พ. มาตรา ๖๗๒ จาเลยจึงไม่มีความผิดฐานลักเงินของโจทก์ร่วม แต่
เป็นความผดิ ฐานฉ้อโกงธนาคาร
ข้อสังเกต คดีน้ีเมื่อพนักงำนของผู้เสียหำยนำเช็คไปเบิกเงินจำกธนำคำร ธนำคำรมอบเงินของ
ธนำคำรใหแ้ ก่ผู้ถือเช็ค เป็นกำรหลอกเอำกรรมสทิ ธิ์จำกธนำคำร จงึ เปน็ ควำมผิดฐำนฉ้อโกง
ฎกี าที่ ๓๙๔/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๑ การกระทาทจ่ี ะเป็นความผดิ ฐานลักทรพั ย์ จะต้องเป็น
545
การเอาทรพั ย์ของผู้อื่นไปโดยทุจรติ มใิ ชไ่ ด้ทรัพย์ไปเพราะผู้อื่นยินยอมมอบให้เน่ืองจากถูกหลอกลวง
เมื่อจาเลยจัดทาใบเบิกเงินทดรองจ่ายซึ่งมีค่าใช้จ่ายไม่ตรงตามความเป็นจริง จึงเป็นการหลอกลวง
ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ การอนุมัติให้จาเลยเบิกเงินไปเกิดจากการที่พนักงานและ
กรรมการของโจทกร์ ่วมหลงเช่อื ข้อความในเอกสาร จงึ เปน็ ความผดิ ฐานฉอ้ โกง
ข้อสังเกต คดนี ้ีจะต่ำงกบั พนักงำนธนำคำรทำเอกสำรปลอมว่ำลูกคำ้ เบกิ ถอนเงิน ซงึ่ ผดิ ลกั ทรัพย์
ฎีกาท่ี ๔๐๐๕/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๖ น.๑๒๑ การที่จาเลยหลอกลวงโจทก์ร่วมโดยกล่าวเท็จ
ชักชวนโจทกร์ ่วมให้นาเงินไปซอ้ื เบ้ียเลี้ยงทหารลว่ งหนา้ รายละ ๒,๐๐๐ บาท จากยอดเบีย้ เล้ียงทหาร
ที่สามารถเบิกจ่ายได้จริงรายละ ๒,๖๐๐ บาท ซ่ึงความจริงจาเลยไม่สามารถนาเงินไปซื้อเบี้ยเลี้ยง
ทหารและมไิ ดม้ ีส่วนเก่ียวข้องกับการเบิกจ่ายเบ้ียเล้ียงแต่อยา่ งใด เป็นเหตุให้โจทก์รว่ มหลงเช่ือตกลง
ซ้ือเบี้ยเลยี้ งทหารรวม ๑๑๘ ราย และมอบเงินรวม ๒๓๖,๐๐๐ บาท ใหแ้ ก่จาเลยไป การกระทาของ
จาเลยเปน็ ความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๑
ฎีกาท่ี ๕๐๖๙/๒๕๖๒ ฎ.๑๔๕๕ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจาเลยทั้งสามในความผิดฐาน
ร่วมกันฉ้อโกงโดยอ้างว่าจาเลยทั้งสามร่วมกันหลอกลวงโจทก์ร่วมท่ี ๑ และท่ี ๒ และผู้เสียหายท่ี ๔
ให้ซ้ือและฉีดสารที่อ้างว่าเป็นสเต็มเซลล์ โปรตีน และวิตามินซีเข้าสูร่างกาย โดยสารดังกล่าวไม่ใช่
สเต็มเซลล์และไม่ได้มีสรรพคุณตามท่ีจาเลยทั้งสามกล่าวอ้าง คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่าจาเลยที่ ๑ และท่ี
๒ หลอกลวงโจทก์ร่วมท่ี ๑ โดยชักชวนให้โจทก์ร่วมท่ี ๑ ร่วมลงทุนในธุรกิจสเต็มเซลล์แต่ไม่สามารถ
ดาเนินธุรกิจได้จริงตามท่ีกล่าวอ้าง ประเด็นข้อกล่าวหาของแต่ละคดีต่างกันและเป็นคนละมูลเหตุที่
กล่าวหาจาเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ และเปน็ การกระทาต่างกรรมกัน แม้ฟ้องจาเลยที่ ๑ และที่ ๒ ในข้อหา
ฉ้อโกงเหมือนกันก็ตาม ฟ้องคดนี ้ไี ม่เปน็ ฟ้องซา้ กับคดีกอ่ น โจทกม์ อี านาจฟ้อง
จาเลยท่ี ๑ รู้อยู่แล้วว่าสารท่ีตนนามาขายและฉีดให้แก่โจทก์ร่วมท่ี ๑ และที่ ๒ และ
ผู้เสียหายท่ี ๔ ไม่ใช่สเต็มเซลล์ แต่กลับหลอกลวงว่าเป็นสเต็มเซลล์ และการหลอกลวงของจาเลยท่ี
๑ ไดไ้ ปซ่ึงเงินค่าสเต็มเซลล์จากโจทก์รว่ มท่ี ๑ และท่ี ๒ การกระทาของจาเลยที่ ๑ ต่อโจทก์ร่วมที่ ๑
และท่ี ๒ เปน็ ความผดิ ฐานฉ้อโกงตามฟ้องโจทก์
จาเลยท่ี ๑ ขายสารที่อ้างว่าเป็นสเต็มเซลล์ให้แก่ผู้เสียหายที่ ๔ จนหลงเชื่อและยินยอมให้
จาเลยที่ ๑ ฉีดสารให้แก่ตนเอง การกระทาของจาเลยที่ ๑ ถึงข้ันลงมือกระทาความผิดแล้ว แต่
ผูเ้ สยี หายที่ ๔ ยังไม่ได้ชาระเงินให้แก่จาเลยท่ี ๑ การกระทาของจาเลยที่ ๑ ยังไม่เป็นความผิดสาเร็จ
เพราะยังไม่ได้ไปซ่ึงทรัพย์สินจากผู้เสียหายที่ ๔ ผู้ถูกหลอกลวง จึงเป็นเพียงความผิดฐานพยายาม
ฉ้อโกง
จาเลยท่ี ๒ ซึ่งเป็นสามีจาเลยที่ ๑ รู้อยู่แล้วว่าสารที่จาเลยท่ี ๑ นามาขายไม่ใช่สเต็มเซลล์
แม้จาเลยที่ ๒ ไม่ได้มีสว่ นร่วมในการพูดจาโน้มน้าวชักชวนให้โจทก์ร่วมที่ ๑ และท่ี ๒ และผู้เสียหาย
ที่ ๔ ซื้อสเต็มเซลล์จากจาเลยท่ี ๑ ก็ตาม แต่การที่จาเลยที่ ๒ เป็นผู้ไปรับสารดงั กล่าวจาก พ. ขับรถ
พาจาเลยที่ ๑ ไปฉีดสเต็มเซลล์ คอยช่วยเหลือยกและถือกระเป๋าให้ แสดงว่าจาเลยที่ ๒ อยู่ร่วมกับ
จาเลยที่ ๑ ในเกอื บทุกขน้ั ตอนของการซ้ือขายสเต็มเซลล์ ท้ังไม่ปรากฏวา่ จาเลยที่ ๒ มีหน้าท่ีการงาน
546
ใดเป็นหลักแหล่ง แสดงว่าธุรกิจการขายสารท่ีอ้างว่าเป็นสเต็มเซลล์เป็นธุรกิจหลักของครอบครัว
การกระทาของจาเลยท่ี ๒ เป็นการแบ่งหน้าที่กันทากับจาเลยท่ี ๑ ถือว่าเป็นตัวการร่วมกับจาเลย
ท่ี ๑ หลอกลวงโจทก์ร่วมท่ี ๑ และที่ ๒ และผู้เสียหายท่ี ๔ ดังนั้น จาเลยท่ี ๒ มีความผิดฐานร่วมกับ
จาเลยที่ ๑ ฉอ้ โกงโจทกร์ ่วมท่ี ๑ และที่ ๒ และรว่ มกนั พยายามฉอ้ โกงผเู้ สยี หายที่ ๔
จาเลยที่ ๓ รู้อยู่แล้วว่าสารที่จาเลยที่ ๑ นามาขายไม่ใช่สเต็มเซลล์แต่กลับพูดสนับสนุนให้
โจทก์รว่ มที่ ๑ เช่ือว่าคือสเต็มเซลลโ์ ดยพดู หลอกลวงโจทก์รว่ มท่ี ๑ ว่าจาเลยท่ี ๑ นาสารดังกล่าวมา
ฉีดให้บุคคลในครอบครัว ทาให้โจทก์ร่วมที่ ๑ หลงเชื่อและตัดสินใจซ้ือสเต็มเซลล์จากจาเลยท่ี ๑
จาเลยที่ ๓ มีสว่ นรว่ มในการหลอกลวงขายสารทีอ่ ้างว่าเป็นสเต็มเซลล์ให้แกโ่ จทกร์ ่วมท่ี ๑ ด้วย และ
ถึงแม้ว่าจะไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจาเลยที่ ๓ ร่วมหลอกลวงโจทก์ร่วมท่ี ๒ และผู้เสียหายที่ ๔ แต่
การพูดจาหว่านล้อมในทานองว่าคนในครอบครัวก็ได้รับการฉีดสเต็มเซลล์ด้วยเมื่อสบโอกาส ไม่ได้
เลือกว่าจะหลอกลวงผู้ใดผู้หน่ึงโดยเฉพาะ พฤติการณ์เป็นการแบ่งหน้าที่กันทา ถือว่าร่วมกับจาเลย
ท่ี ๑ หลอกลวงโจทก์ร่วมท่ี ๒ และผู้เสียหายท่ี ๔ ด้วย การกระทาของจาเลยที่ ๓ เป็นความผิดฐาน
รว่ มกันฉ้อโกงโจทก์ร่วมท่ี ๑ และท่ี ๒ และรว่ มกนั พยายามฉอ้ โกงผเู้ สียหายที่ ๔
แม้จาเลยที่ ๑ ฉีดยาให้แก่โจทก์ร่วมที่ ๑ และท่ี ๒ ผู้เสียหายที่ ๓ และท่ี ๔ โดยจาเลยท่ี ๒
และที่ ๓ ไม่ได้เป็นผู้ฉีดยาให้แก่บุคคลดังกล่าวด้วยตนเองก็ตาม แต่ในการขายสารท่ีอ้างวา่ เป็นสเต็ม
เซลล์ โปรตีน และวิตามินซี จาเลยที่ ๑ จะบริการฉีดสารดังกล่าวให้ภายหลังการขายโดยจะติดตาม
ไปฉีดให้แก่ลูกค้าที่สถานท่ีท่ีลูกค้าสะดวกในลักษณะเป็นการบริการหลังการขายอัน ถือเป็นส่วนหนึ่ง
ของการขาย จาเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกับจาเลยท่ี ๑ ขายสารท่ีอ้างว่าเป็นสเต็มเซลล์ โปรตีน และ
วิตามินซี ย่อมต้องทราบทางปฏิบัติวา่ จะต้องมีบรกิ ารฉีดสารเข้าสู่ร่างกายลูกค้าดว้ ยเสมอ พฤตกิ ารณ์
ท่ีมีเพียงจาเลยที่ ๑ เป็นผู้ฉีดนั้น ถือเป็นการแบ่งหน้ที่กันทาโดยจาเลยทั้งสามมีเจตนาร่วมกันในการ
ฉีดสารดังกล่าวให้แก่โจทก์ร่วมที่ ๑ และที่ ๒ ผู้เสียหายท่ี ๓ และท่ี ๔ เม่ือจาเลยท่ี ๑ มิได้รับ
ใบอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมจาเลยที่ ๒ และท่ี ๓ ซ่ึงมีเจตนาร่วมกันต้องรับผลแห่ง
การกระทาของจาเลยท่ี ๑ ด้วย จาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ มคี วามผดิ ฐานรว่ มกันประกอบวิชาชีพเวชกรรม
โดยไมไ่ ดร้ บั ใบอนุญาตตามฟอ้ ง
ไมเ่ ป็นการหลอกลวงผู้อืน่
ฎีกาที่ ๗๗๘/๒๕๖๐ ฎ.๑๔๖ เหตุที่โจทก์ร่วมมอบเงินสดให้แก่จาเลย เพราะโจทก์ร่วม
เป็นฝ่ายติดต่อขอให้จาเลยช่วยเหลือ และจาเลยแจ้งว่าในการเสนอโครงการติดตั้งป้ายโฆษณา
ในพ้ืนทีข่ องทางราชการจะตอ้ งมีคา่ ใช้จ่าย โดยมิได้เกดิ จากเหตทุ ่ีโจทก์รว่ มหลงเช่ือจากการถูกจาเลย
หลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ และปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ร่วม
ว่า จาเลยทางานเป็นคณะกรรมาธิการอยู่ที่อาคารรัฐสภา และสามารถติดต่อช่วยเหลือให้โจทก์ร่วม
ได้รับงานเกี่ยวกับการทาป้ายโฆษณาให้ส่วนราชการต่าง ๆ ตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้อง แม้โจทก์
547
กล่าวอ้างในฟ้องว่า จาเลยได้ไปซ่ึงทรัพย์สินจากโจทก์ร่วม ก็มิใช่เป็นผลโดยตรงจากการท่ีจาเลย
หลอกลวงโจทก์ร่วมด้วยการยืนยันข้อเท็จจริงใดอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอก
ใหแ้ จ้งแกโ่ จทก์ร่วม การกระทาของจาเลยยอ่ มไม่ครบองคป์ ระกอบความผดิ ฐานฉ้อโกง
ฎกี าท่ี ๒๐๖๗/๒๕๔๘ ฎ.๑๗๒๒ จาเลยชักชวนโจทก์เขา้ ร่วมลงทนุ ในบรษิ ัทของจาเลย โดย
ให้โจทก์ซื้อหุ้นในบริษัทของจาเลย ๓,๐๐๐ หุ้น เป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท และโจทก์ได้ชาระเงิน
ใหจ้ าเลยรับไปแล้วโดยจาเลยสญั ญาว่าเมื่อชาระแล้วจะโอนหนุ้ ในบริษัทของจาเลยให้แก่โจทก์ ต่อมา
จาเลยมาขอเงินจากโจทก์อีก ๕๘,๐๐๐ บาท เพ่ือเป็นค่าใช้จ่ายในบริษัทแล้วจะชาระเงินคืนเป็น
หุ้นให้ โจทก์จึงจา่ ยเงินให้จาเลยไป ซ่ึงรวมทั้งสนิ้ เป็นเงนิ ๓๕๘,๐๐๐ บาท การที่จาเลยชักชวนโจทก์
ให้ซื้อหุ้นในบริษัทของจาเลย เป็นเพียงคารับรองที่จาเลยจะปฏิบัติในอนาคต ขณะให้คารับรอง
ดงั กลา่ วยงั ไม่ถึงกาหนดเวลาที่จาเลยจะปฏิบัติตามคารบั รอง จึงไม่ใชค่ วามเท็จ นอกจากน้ันตามบญั ชี
ผู้ถือหุ้น ก็ปรากฏว่าจาเลยมีหุ้นอยู่ในบริษัทดังกล่าวจานวนถึง ๙,๙๔๐ หุ้น แสดงว่ามีหุ้นอยู่จริง
มิได้หลอกลวงโจทก์ การทีจ่ าเลยไมโ่ อนหุ้นให้แก่โจทก์จงึ เปน็ การผิดสัญญาในทางแพ่งเท่าน้ัน ไม่เป็น
ความผดิ ฐานฉ้อโกง
ฎกี าที่ ๓๓๖๖/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๔ น.๖๙ จาเลยขับรถกระบะไปเปลี่ยนยางรถท่รี ้านผู้เสยี หาย
โดย บ. ญาติจาเลยไปด้วย ผู้เสียหายคิดราคายาง ๔ เส้น เป็นเงนิ ๘,๐๐๐ บาท จาเลยตกลงเปลี่ยน
ยางท้ังส่ีเส้น ว. ลูกจ้างประจาร้านเป็นผู้เปล่ียนให้โดยใส่ยางรถชุดเก่าไว้ในกระบะรถ เมื่อเปลี่ยน
ยางรถสร็จท้ังส่ีเส้นแล้ว ว. ถอยรถกระบะไปจอดที่บริเวณหน้าร้านโดยติดเคร่ืองยนต์ไว้ จากนั้น
ประมาณ ๓ นาที จาเลยขับรถกระบะดังกล่าวออกจากร้านไปโดยไม่ชาระราคา ขณะตกลงซ้ือขาย
ยางรถระหว่างจาเลยกับผเู้ สียหาย จาเลยไม่มีเจตนาที่จะใช้กลอุบายหลอกหลวงให้ผู้เสียหายส่งมอบ
ยางรถทั้งส่ีเส้นโดยไม่คิดจะชาระราคามาแต่ต้น ดังนั้น กรรมสิทธ์ิในยางรถท้ังส่ีเส้นย่อมโอนไปยัง
จาเลยซ่ึงเป็นผู้ซ้ือต้ังแต่เมื่อได้ทาสัญญาซ้ือขายและกาหนดเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งแล้วตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๔๕๘ และมาตรา ๔๖๐ วรรคหน่ึง แม้จาเลยยังมิได้ชาระราคาแก่ผู้เสียหาย ก็เป็นมูลคดี
ผดิ สัญญาในทางแพง่ เท่าน้ันหามมี ูลความผดิ ทางอาญาฐานลกั ทรัพย์ไม่
ข้อสังเกต คดีนี้ท่ีจริงเป็นฎีกำท่ีตัดสินในปัญหำข้อเท็จจริงว่ำจำเลยมีเจตนำจะหลอกเอำยำงรถยนต์
ตั้งแต่แรกหรือไม่ ซึ่งศำลฎีกำวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่ำ จำเลยไม่มีเจตนำจะหลอกเอำยำงรถยนต์ต้ังแต่
แรก เม่ือจำเลยยังมิได้ชำระรำคำแก่ผู้เสียหำย ก็เป็นมูลคดีผิดสัญญำในทำงแพ่งเท่ำน้ัน หำมีมูล
ควำมผิดทำงอำญำ คดีนโ้ี จทกฟ์ ้องวำ่ ลกั ทรัพยม์ ไิ ด้ฟอ้ งว่ำฉ้อโกง เมื่อศำลฎกี ำวินจิ ฉัยแล้ววำ่ ไม่เจตนำ
หลอกมำตั้งแต่แรก ศำลฎีกำจึงตัดสินว่ำไม่ผิดตำมฟ้อง (ลักทรัพย์) แต่ถ้ำศำลฎีกำเห็นว่ำเป็นเจตนำ
หลอกเอำยำงรถยนต์ตั้งแต่แรก ก็จะต้องวินิจฉัยต่อว่ำเป็นลักทรัพย์ตำมฟ้องหรือฉ้อโกง แม้
ข้อเท็จจริงที่ปรำกฏในฟ้องต่ำงจำกทำงพิจำรณำก็ลงโทษได้ หำกคดีน้ีมีเจตนำหลอกเอำยำงรถยนต์
มำตั้งแต่ต้น จะเป็นกำรหลอกเอำกรรมสิทธิ์ซง่ึ เปน็ ควำมผดิ ฐำนฉ้อโกงดงั ฎีกำท่ี ๖๓๓/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.
๗ น.๕ กำรท่จี ำเลยท้งั สำมกับ ย. ใช้อบุ ำยทำทไี ปติดต่อขอซื้อผ้ำจำกโจทก์ร่วมทัง้ ที่จำเลยท้ังสำมและ
ย. มิได้เตรียมเงินมำให้พร้อม จำเลยทั้งสำมกับ ย. หลอกให้โจทก์ร่วมขนผ้ำขึ้นรถที่เตรียมมำแล้วจึง
548
บอกว่ำจะชำระค่ำผ้ำก่อน ๒๐,๐๐๐ บำท ส่วนท่ีเหลือให้ตำมไปเก็บจำก ย. แต่บุตรสำวของโจทก์
ร่วมร้องไห้ ภริยำของโจทก์ร่วมเข้ำไปดูแลบุตรสำวภำยในร้ำน จำเลยทั้งสำมกับ ย. ก็พำกันนำ
รถบรรทุกผ้ำออกไปจำกร้ำนของโจทก์ร่วมทันทีโดยยังมไิ ดช้ ำระเงินค่ำผ้ำให้แก่โจทก์รว่ ม กรณีเห็นได้
ชดั ว่ำจำเลยทง้ั สำมกับ ย. ร่วมกันมเี จตนำทจุ ริตหลอกลวงใหโ้ จทก์ร่วมหลงเช่อื วำ่ จำเลยทง้ั สำมกับ ย.
จะซ้ือผ้ำจริงมำแต่ต้น ด้วยกำรวำงแผนกำรเป็นข้ันตอนและไม่มีเจตนำจะใช้รำคำผ้ำให้แก่โจทก์ร่วม
เลย และโดยกำรหลอกลวงดังกล่ำวน้ันจำเลยทั้งสำมกับ ย. ได้ผ้ำไปจำกโจทก์ร่วมผู้ถูกหลอกลวง
กำรกระทำของจำเลยทั้งสำมกับพวกจึงเป็นควำมผิดฐำนร่วมกันฉ้อโกงตำม ป.อ. มำตรำ ๓๔๑ มิใช่
ลักทรัพย์
ไดไ้ ปซึ่งทรพั ย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลทสี่ าม
ฎีกาท่ี ๖๔๐๔/๒๕๖๐ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๘๘ การท่ีจาเลยท้ังสองประสงค์ให้ร้าน ก. ของจาเลย
ท้ังสองได้รับงานรับจ้างทาความสะอาดโรงพยาบาล ช. จึงหลอกลวงนาหนังสือค้าประกันของ
ธนาคาร ก. ท่ีมีข้อความว่า ธนาคารยอมผูกพันตนโดยไม่มีเงื่อนไขที่จะค้าประกันชนิดเพิกถอนไม่ได้
เช่นเดียวกับลูกหน้ีช้ันต้นในการชาระเงินให้ตามสิทธิเรยี กร้องของโรงพยาบาล ช. ผู้ว่าจ้าง ในกรณีท่ี
ร้านของจาเลยทั้งสองผู้รับจา้ งก่อให้เกิดความเสียหายใด ๆ หรือตอ้ งชาระค่าปรับหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ
หรือร้านของจาเลยทั้งสองผู้รับจ้างมิได้ปฏิบัติตามภาระหน้าที่ใด ๆ ที่กาหนดในสัญญาจ้างมาแสดง
แต่ความจริงแล้วธนาคารมิได้ออกหนังสือค้าประกันดังกล่าวให้แก่จาเลยท้ังสอง อันเป็นการ
หลอกลวงผู้เสียหายและการหลอกลวงดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเช่ือตกลงทาสัญญาจ้างร้าน
ของจาเลยท้ังสองทาความสะอาดโรงพยาบาล ช. และได้ทรัพย์สินเป็นค่าจ้างจากการทางาน
๑๐๘,๐๐๐ บาท ถือว่าจาเลยท้ังสองรว่ มกนั กระทาความผดิ ฐานฉอ้ โกงแล้ว แมภ้ ายหลงั จาเลยทัง้ สอง
จะเข้าทาความสะอาดโรงพยาบาลจริงและได้รับค่าจ้างดังกล่าว ก็ไม่เป็นเหตุให้การกระทาความผิด
อาญาของจาเลยท้งั สองท่เี กิดขึน้ แล้วกลับกลายเป็นไมม่ ีความผดิ
ฎีกาท่ี ๗๐๕๔/๒๕๖๑ ฎ.๒๓๘๔ เม่ือวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๗ จาเลยท่ี ๑ หลอกลวง
โจทก์ด้วยการปลอมโฉนดท่ีดินของจาเลยที่ ๒ ว่า เป็นของตนและนาสาเนาโฉนดท่ีดินมาวางเป็น
ประกันหนี้ โจทก์หลงเช่ือจึงให้จาเลยท่ี ๑ กู้เงินโดยทาสัญญากู้เงินและมอบเงิน ๑๔๐,๐๐๐ บาท
ให้แกจ่ าเลยท่ี ๑ ถือได้วา่ จาเลยท่ี ๑ กระทาความผิดฐานฉ้อโกงสาเรจ็ ในวนั ดงั กล่าวแล้ว แม้ต่อมาใน
วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๘ จาเลยท้ังสองร่วมกันหลอกลวงโจทก์อีกว่า จาเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของท่ีดิน
และขอใช้โฉนดที่ดินดังกล่าวเป็นหลักประกันในการชาระหน้ีต่อไป โดยจาเลยที่ ๒ ทาสัญญา
ค้าประกันเงินกู้ไว้ให้แก่โจทก์ด้วย โจทก์จึงหลงเชื่อยอมรับหลักประกันดังกล่าวและขยายระยะเวลา
ชาระหนี้เงินกู้ให้แก่จาเลยท่ี ๑ ก็เป็นการกระทาท่ีเกิดขึ้นใหม่หลังจากท่ีจาเลยที่ ๑ กระทาความผิด
ฐานฉ้อโกงเมื่อวันท่ี ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๗ สาเร็จไปแล้ว เม่ือไม่ปรากฏว่าในการหลอกลวงคร้ังหลัง
จาเลยท้ังสองได้รับทรัพย์สินจากโจทก์เพิ่มเติมนอกเหนือจากเงินกู้ ๑๔๐,๐๐๐ บาท ท่ีได้รับไปแล้ว
549
แม้ว่าโจทก์จะทาสัญญากู้เงินฉบับใหม่กับจาเลยที่ ๑ แต่ก็เป็นเพียงขยายระยะเวลาชาระหน้ีเงินกู้
ให้แก่จาเลยที่ ๑ เท่าน้ัน หาได้ทาให้โจทก์เสื่อมเสียสิทธิในสัญญากู้เงินฉบับเดิมแต่อย่างใดไม่ ทั้ง
ปรากฏว่าโจทก์ได้นาสัญญากู้เงินดังกล่าวไปฟ้องคดีแพ่งและศาลชั้นต้นพิพากษาให้จาเลยทั้งสอง
ชาระหนี้เงินกู้แกโ่ จทกแ์ ล้ว การกระทาของจาเลยท้ังสองในวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๘ จึงมิได้มผี ลให้
โจทก์หรือทาให้โจทก์ทา ถอน หรอื ทาลายเอกสารสิทธิอันจะเปน็ ความผดิ ฐานฉ้อโกงตามฟ้อง
ฎีกาท่ี ๒๗๒๘/๒๕๕๗ ฎ.๙๗๒ โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินให้จาเลย โจทก์พาคนซ้ือไปดู
ที่ดินแล้วจาเลยไม่ขาย ต่อมาจาเลยขายที่ดินได้แล้ว เมื่อโจทก์สอบถาม จาเลยหลอกลวงว่ายังไม่ได้
ขายที่ดินและไม่ชาระค่านายหน้า แม้จาเลยหลอกลวงโจทก์ตามฟ้อง แต่การหลอกลวงมิได้ทาให้
จาเลยได้เงินไปจากโจทก์ซึ่งอ้างว่าถูกหลอกลวง เงินที่โจทก์ฟ้องว่าจาเลยได้ไปน้ันเป็นเพียง
ค่านายหน้า ซ่ึงโจทก์ถือว่าตนมีสิทธิจะได้และจาเลยไม่ชาระให้ กรณีเป็นเร่ืองที่โจทก์จะต้องว่ากล่าว
กันในทางแพ่ง ทั้งไม่ปรากฏว่าจาเลยแสดงตนเป็นบุคคลอ่ืนหรือฉ้อโกงประชาชน การกระทาของ
จาเลยจงึ ไม่ครบองค์ประกอบความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๑, ๓๔๒, ๓๔๓
ฎีกาที่ ๑๐๕๗๗/๒๕๕๗ จาเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๔ ร่วมกันนาโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองราคา
ประเมินท่ีดินมาหลอกลวงโจทก์ในระหว่างการพิจารณาคดีอาญาทั้งสองและคดีแพ่ง โดยจาเลยที่ ๑
และที่ ๒ หลอกลวงว่าขอนาท่ีดินโฉนดเลขที่ ๖๗๖๓๓ และ ๗๐๒๒๕ ตีใช้หน้ีโจทก์ โจทก์หลงเชื่อ
หนังสือรับรองราคาประเมินว่าที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๗๐๒๒๕ มีราคาประเมิน ๑,๓๐๒,๐๐๐
บาท จึงรับโอนที่ดินและถอนคาร้องทุกข์และถอนฟ้องท้ังสามคดี ความจริงท่ีดินดังกล่าวมีราคา
ประเมนิ เพยี ง ๑๑๗,๑๘๐ บาท ไม่ได้มรี าคาประเมนิ ตามหนงั สอื รบั รองดงั กลา่ ว
จาเลยที่ ๑ และท่ี ๒ ได้รับประโยชน์เพียงไม่ถูกดาเนินคดีอาญาและคดีแพ่งเท่าน้ัน ไม่ได้ไป
ซึ่งทรัพย์สินจากโจทก์ด้วยการท่ีจาเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่ต้องชาระหนี้แก่โจทก์ การถอนฟ้องคดีแพ่ง
นั้นโจทก์สามารถฟ้องใหม่ได้ภายในอายุความ การท่ีโจทก์ถอนคาร้องทุกข์คดีอาญาท้ังสองคดีและ
ถอนฟ้องคดีแพ่งก็ไม่ใช่การถอนหรือทาลายเอกสารสิทธิ เพราะคาฟ้องคดีแพ่งและคาร้องทุกข์
ไม่ใช่เอกสารสทิ ธิ จึงไมเ่ ปน็ ความผิดฐานร่วมกนั ฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๑
ฎีกาท่ี ๑๔๘๔๙/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล. ๑๒ น. ๒๐๙ ผู้เสียหายมอบหมายให้จาเลยไปเสียภาษี
โรงเรือนและที่ดินแทน โดยได้มอบโฉนดที่ดินและลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอานาจท่ีจาเลย
จัดเตรียมมาให้จาเลยไป ผู้เสียหายมิได้มอบโฉนดท่ีดินให้แก่จาเลยเพราะถูกจาเลยหลอกลวง ส่วน
หนงั สือมอบอานาจมิใช่ทรัพยส์ นิ ของผเู้ สยี หาย ลาพงั การท่ีผ้เู สียหายลงลายมอื ชอ่ื ในเอกสารของผอู้ ื่น
ไม่ทาให้เอกสารดังกล่าวกลับกลายเป็นเอกสารของผู้เสียหาย เพียงแต่เม่ือมีการนาไปกรอกข้อความ
โดยไม่ได้รับความยินยอมหรือฝ่าฝืนคาส่ังของผู้เสียหาย ก็อาจเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร การที่
จาเลยนาโฉนดที่ดินและหนังสือมอบอานาจดังกล่าวไปทาสัญญาจานองกับบุคคลภายนอก ก็ไม่เป็น
ความผดิ ฐานฉ้อโกง
550
ผู้ถกู หลอกลวงไม่ต้องเปน็ เจ้าของทรัพยท์ ่ีมอบให้
ฎีกาที่ ๒๐๖๒/๒๕๕๘ ความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๑ ไม่ได้จากัดว่าผู้ท่ี
ถูกหลอกลวงจะต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ แม้ทรัพย์น้ันจะเป็นของผู้หลอกลวง ถ้าหากผู้หลอกลวงโดย
ทุจริตหลอกลวงผู้ถูกหลอกลวงและโดยการหลอกลวงนั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง
ก็เป็นความผดิ ฐานฉอ้ โกง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จาเลยโดยเจตนาทุจริตใช้อุบายหลอกลวงให้โจทก์ส่งมอบโฉนดที่ดิน
ให้แก่จาเลยอ้างว่าจะนาโฉนดท่ีดินท้ังสองแปลงไปดาเนินการย่ืนคาร้องขอแบ่งแยกและโอนเปลี่ยน
ชื่อผู้ถือกรรมสิทธ์ิให้แก่โจทก์ โจทก์หลงเชื่อจึงได้มอบโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่จาเลยไปซ่ึงเป็น
ความเท็จ ความจริงจาเลยกลับนาที่ดินทั้งสองแปลงไปโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ ค. ซึ่งเก่ียวดองเป็นญาติ
ทางการสมรสกับจาเลย ถือว่าโจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทาทั้งหลายที่อ้างว่าจาเลยได้กระทาผิด
ครบองคป์ ระกอบความผิดฐานฉอ้ โกงที่ขอใหล้ งโทษจาเลยตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๑ แลว้
ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๓๔๒
ฎีกาที่ ๘๑๔๕/๒๕๕๙ ฎ.๒๒๕๙ จาเลยท่ี ๑ กับพวกไม่ได้แสดงตนเป็นคนอ่ืน เป็นเพียง
แสดงฐานะของตนเองอันเป็นเท็จว่าเป็นเจ้าหน้าท่ีของกรมสรรพากรหรือเจ้าหน้าท่ีของสา นักงาน
ประกันสังคมแล้วแต่กรณีว่าผู้เสียหายแต่ละคนมีสิทธิได้รับเงินภาษีคืนจากกรมสรรพากรหรือ
ได้รับเงินประกันสังคมคืนจากสานักงานประกันสังคมเท่านั้น การกระทาของจาเลยท่ี ๑ กับพวก
จึงไม่เขา้ เกณฑ์ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๒ (๑)
ฎีกาท่ี ๒๗๔/๒๕๕๙ การที่จาเลยท่ี ๑ หลอกลวงเอาทรัพย์ไปจากผู้เสียหายท่ี ๑ ในขณะท่ี
ผู้เสียหายที่ ๑ มีอาการป่วยทางจิต ซึ่งเป็นบุคคลท่ีมีภาวะแห่งจิตต่ากว่าปกติ และย่อมถูกหลอกลวง
ได้โดยง่ายกว่าคนปกติทว่ั ไปนัน้ ถอื เป็นการกระทาความผดิ ฐานฉ้อโกงโดยอาศัยความอ่อนแอแห่งจิต
ของผู้เสียหายท่ี ๑ ผู้ถูกหลอกลวง จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๒ (๒) หาใช่เป็นเพียง
ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๑ ไม่
ฎีกาท่ี ๘๓๙๕/๒๕๖๑ ฎ.๓๔o๒ จาเลยทั้งสองซ่ึงเป็นบุตรและหลานของโจทก์รู้อยู่แล้วว่า
โจทก์ป่วยเป็นโรคสมองเส่ือมต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นประจาการท่ีจาเลยทั้งสองร่วมกัน
หลอกลวงพาโจทกไ์ ปจดทะเบยี นโอนกรรมสทิ ธทิ์ ี่ดินใหจ้ าเลยท่ี ๑ โดยอาศยั ความออ่ นแอแหง่ จติ ของ
โจทก์ การกระทาของจาเลยท้ังสองจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๒ (๒)
ประกอบมาตรา ๘๓
ฎีกาที่ ๒๐/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๑ น.๑ การท่ีจาเลยนา น.ส.๓ ก. ท่ีระบุชื่อ ส. และสาเนาบัตร
ประจาตัวประชาชนของ ส. ซ่ึงเลอะเลือนมองเห็นไม่ชัดเจนมาแสดงต่อผู้เสียหายเพื่อขอกู้ยืมเงิน
ทาให้ผู้เสียหายหลงเช่ือว่าจาเลยคือ ส. เจ้าของที่ดินตาม น.ส.๓ ก. ท่ีแท้จริงจึงตกลงให้จาเลย
กู้ยืมเงินไปนั้น เป็นความผิดฐานฉ้อโกงผู้อื่นโดยการแสดงตนเป็นคนอื่นตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๒ (๑)