251
มหาดไทยว่าด้วยการพัสดขุ องหน่วยการบริหารราชการสว่ นทอ้ งถน่ิ ฯ เปน็ การปฏิบัตหิ นา้ ท่ีโดยมิชอบ
เพื่อใหเ้ กดิ ความเสียหายแกเ่ ทศบาล เป็นความผิดตามมาตรา ๑๕๗
ฎีกาท่ี ๗๓๒๒/๒๕๕๘ ฎ.๑๐๔๔ จาเลยเป็นปลัดองค์การบริหารส่วนตาบลและรักษาการ
หัวหน้าสานักงานปลัดองค์การบริหารส่วนตาบล ซ่ึงเป็นพนักงานตามกฎหมาย มีหน้าที่รับผิดชอบ
ควบคุมการปฏิบัติราชการประจาในองค์การบริการส่วนตาบล ปกครองบังคับบัญชาพนักงานส่ วน
ตาบลและลูกจ้าง โจทก์มีตาแหน่งรองปลัดองค์การบรหิ ารสว่ นตาบลเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจาเลย
เม่ือ ช. นายกองค์การบริหารส่วนตาบลมีคาส่ังอนุญาตให้โจทก์เข้ารับการอบรมหลักสูตร
ประกาศนียบัตรการบริหารจดั การองคก์ รปกครองส่วนท้องถ่ิน โจทก์มีสิทธิขอเบิกค่าลงทะเบียนและ
คา่ ใชจ้ ่ายในการเดินทางไปราชการตามระเบียบจากต้นสังกัด หากจาเลยเห็นวา่ คาส่งั ของ ช. ไม่ชอบ
ด้วยกฎหมาย เพราะไม่มีการตรวจสอบว่าคลังขององค์การบริหารส่วนตาบลมีเงินจ่ายหรือไม่ คาส่ัง
ให้โจทก์ไปอบรมเป็นคาสั่งที่ซับซ้อนกับคาส่ังอ่ืน โจทก์ไม่ได้เสนอแผนการใช้จ่ายเงินให้ส่วนการคลัง
รับรู้เสียก่อน เป็นหน้าท่ีของจาเลยจะต้องดาเนินการตามระเบียบของทางราชการ จาเลยไม่มีสิทธิ
นาสาเหตุโกรธเคืองส่วนตัวกับโจทก์ท่ีโจทก์เสนอเร่ืองขอไปอบรมให้ ช. อนุญาตโดยไม่ผ่านจาเลย
มาเกษียณสั่งไม่จ่ายเงินด้วยข้อความว่า “กูไม่โอนเงิน มึงทาข้ามสายการบังคับบัญชา”ีในบันทึก
ข้อความท่ีโจทก์เสนอเร่ืองขอส่งเอกสารฎีกาเบิกจ่ายเงินตามระเบียบเพื่อขอเบิกเงินค่าลงทะเบียน
และจาเลยไม่ทาเร่ืองเบิกเงินให้โจทก์ พฤติการณ์ของจาเลยท่ีไม่ตรวจและอนุมัติฎีกาซ่ึงเป็นการใน
หน้าที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และทางราชการโดยส่วนรวม จาเลยมีความผิดตาม ป.อ.
มาตรา ๑๕๗ ในฐานะเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบ โดยมีเจตนาเพื่อให้
เกิดความเสยี หายแก่โจทก์
ฎีกาท่ี ๑๓๓๑๒/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๘ น.๑๔๘ จาเลยพูดกับพันตารวจตรี อ. ผู้ใต้บังคับบัญชา
ให้ปล่อยผู้กระทาความผิดไป ๑๙ คน พร้อมรถกระบะของกลาง เมื่อได้รับการปฏิเสธจาเลยก็ยัง
โทรศัพท์ให้พันตารวจตรี อ. และผู้ใต้บังคับบัญชาทรี่ ่วมจับกุมไปหาท่ีบ้านและพูดเช่นเดิมอีก การพูด
กับผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนตลอดจนเรียกผู้ใต้บังคับบัญชาไปพบท่ีบ้านและบอกให้ปล่อยผู้กระทา
ความผิดพร้อมรถกระบะของกลาง จงึ เห็นได้ว่าเป็นการสั่งการในฐานะผู้บังคับบัญชาของผู้ร่วมจับกุม
จาเลยเป็นเจ้าพนักงานตารวจมีอานาจหน้าที่ในการจับกุมผู้กระทาความผิดและมีอานาจสั่งการให้
ผู้ใต้บังคับบัญชานาตัวผถู้ ูกจับกุมส่งต่อพนักงานสอบสวนหรือสั่งปล่อยผ้ถู ูกจับกมุ หากเหน็ ว่าเป็นการ
จับผิดตัว หรือผู้ถูกจับกุมไม่ได้กระทาความผิด หรือการกระทายังไม่เป็นความผิด จาเลยทราบดีว่า
คนต่างด้าวที่ถูกจับกมุ มาเป็นผู้กระทาความผิด จาเลยไม่มีอานาจสั่งปล่อยได้ แต่กลบั ส่ังการในฐานะ
ผู้บังคับบัญชาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปล่อยตัวผู้กระทาความผิดและรถของกลางโดยมิชอบ การกระทา
ของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพ่ือให้เกิดความเสียหาย
แก่ผ้หู นง่ึ ผ้ใู ด
ฎีกาที่ ๑๕๓๖๖/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๒๖๖ บัตรประจาตัวประชาชนเป็นเอกสารท่ีทาง
ราชการกาหนดให้ผู้มีสัญชาติไทยอายุต้ังแต่สิบห้าปีบริบูรณ์และมีชื่อในทะเบียนบ้านต้องมีบัตร
252
ประจาตัวประชาชนและต้องมีไว้เพื่อใช้แสดงเม่ือเจ้าพนักงานตรวจบัตรขอตรวจ มิฉะน้ันถือเป็น
ความผิดและต้องรับโทษอาญาตาม พ.ร.บ. บัตรประจาตัวประชาชนฯ มาตรา ๕ วรรคหนึ่ง และ
มาตรา ๑๗ (ที่ใช้บังคับในขณะน้ัน) ประกอบกับบัตรประจาตัวประชาชนก็เป็นเอกสารราชการที่
ประชาชนต้องใช้ในการติดต่อกับหน่วยงานของรัฐหรอื ใช้ประกอบการทานิติกรรม และการตรวจยึด
บัตรประจาตัวประชาชนของโจทก์นั้น จาเลยกล่าวอ้างลอย ๆ ว่าโจทก์เป็นบุคคลต่างด้าว
ขอยึดบัตรประจาตัวประชาชนไว้ตรวจสอบ โดยไม่ปรากฏมีเหตุอันควรสงสัยตามสมควรและชอบ
ด้วยเหตุผล ทั้งเป็นการยึดโดยจาเลยไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาและมิได้ดาเนินคดีใด ๆ ต่อโจทก์เป็น
เวลานานเกือบ ๔ เดือน อันอาจก่อให้ได้รับความเสียหายแก่โจทก์ การยึดบัตรประจาตัวประชาชน
ของโจทก์เป็นการยึดเอาไว้ภายหลังจากโจทก์ร้องเรียนกล่าวโทษจาเลยทางวินัย จาเลยยึดเอาบัตร
ประจาตัวประชาชนของโจทก์ โดยลุแก่อานาจและมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ให้ได้รับความเดือดร้อน
เสียหาย การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการ
ปฏบิ ัตหิ นา้ ที่โดยมิชอบ เพอื่ ให้เกดิ ความเสยี หายแกโ่ จทกต์ าม ป.อ. มาตรา ๑๕๗
ฎีกาท่ี ๗๖๓๐/๒๕๔๙ ฎ.๒๐๘๖ โจทก์เมาสุราจนครองสติไม่ได้ ประพฤติตนวุ่นวายในทาง
สาธารณะหรือสาธารณสถาน และโจทก์ได้ชาระค่าปรับตามท่ีพนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบแล้ว
ทาให้คดีอาญาท่ีโจทก์ถูกกล่าวหาเป็นอันเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๓๗ (๒) แต่เมื่อโจทก์กล่าวหาต่อจาเลยในฐานะพนักงานสอบสวนวา่ จ่าสิบตารวจ ป. ทาร้าย
ร่างกายโจทก์ ทาให้โจทก์เสียหายโดยมีเจตนาจะให้จ่าสิบตารวจ ป. ได้รับโทษ จึงเป็นคาร้องทุกข์
ตามมาตรา ๒ (๗) และเป็นการกระทาท่ีแยกต่างหากจากการกระทาที่โจทก์ถูกกล่าวหาดังกล่าว
จาเลยในฐานะพนักงานสอบสวนมีหน้าท่ีตอ้ งรบั คาร้องทุกขข์ องโจทก์ไว้เพื่อดาเนินการสอบสวนตาม
อานาจหน้าท่ีต่อไป การที่จาเลยไม่รับคาร้องทุกข์ของโจทก์ในข้อหาทาร้ายร่างกาย อ้างเพียงว่าคดี
เลิกกันแล้วโดยไม่มีกฎหมายให้อานาจ จึงเปน็ การละเว้นการปฏบิ ัติหนา้ ที่โดยมิชอบ ทาให้โจทก์ไดร้ ับ
ความเสยี หายมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗
ฎีกาที่ ๑๑๗/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๕ น.๑ ขณะจาเลยปฏิบัติหน้าที่ตรวจคนโดยสารขาออกนอก
ราชอาณาจักร จ. คนต่างด้าวซ่ึงเป็นคนโดยสารขาออกถือหนังสือเดินทางมาให้จาเลยตรวจ เพ่ือ
เดนิ ทางออกนอกราชอาณาจักร เมือ่ จาเลยตรวจพบว่า จ. มีเพียงหนงั สือเดนิ ทางโดยไม่มีตราประทับ
ขาเขา้ กับไม่มีเอกสารการเดินทางครบถ้วน แต่จาเลยไม่ได้ยดึ หนังสือเดินทางและควบคุม จ.ไว้เพื่อให้
นายตารวจสัญญาบัตรมารับตัวไปดาเนินคดีตามระเบียบปฏิบัติ กลับปล่อยให้ จ. ผ่านช่องตรวจ
ของจาเลยเพื่อเดินทางออกนอกราชอาณาจกั รได้ จาเลยจงึ มคี วามผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเวน้ การ
ปฏิบตั ิหน้าที่โดยมิชอบ เพือ่ ให้เกดิ ความเสยี หายแกส่ านกั งานตรวจคนเขา้ เมือง กรมตารวจ
ฎีกาท่ี ๓๕๐๙/๒๕๔๙ ฎ.๗๘๘ จาเลยซ่ึงเป็นพนักงานอัยการมีคาสั่งไม่ฟ้องบริษัท ส. และ
ป. ท่ีถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทโจทก์ ทั้งท่ีหนังสือพิมพ์ ด. ซึ่งบริษัท ส. เป็นเจ้าของและ ป. เป็น
บรรณาธิการ ลงข้อความในหนงั สอื พิมพ์เป็นความเท็จ และก่อใหเ้ กิดความเสียหายแก่โจทก์ เป็นการ
ใช้ดุลพินิจที่มิได้อยู่บนรากฐานของความสมเหตุสมผล แต่เป็นการใช้ดุลพินิจตามอาเภอใจ จึงเกินล้า
253
ออกนอกขอบเขตของความชอบด้วยกฎหมายและในฐานะที่จาเลยเป็นข้าราชการอัยการชั้นสูง
จาเลยย่อมทราบดีถึงเกณฑ์วินิจฉัยมูลความผิดของพนักงานอัยการ การใช้ดุลพินิจผิดกฎหมาย
ในกรณีนี้ จาเลยเห็นได้อยู่ในตัวแล้วว่าเป็นการมิชอบและมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์
ซึ่งเปน็ ผู้เสียหาย อกี ทั้งเพ่ือจะช่วยบรษิ ัท ส. และ ป. มิใหต้ ้องโทษจากการกระทาความผิดของตนอีก
ด้วย จาเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ และมาตรา ๒๐๐ วรรคหน่งึ
ฎีกาท่ี ๗๕๙/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๓๓ จาเลยที่ ๑ ได้รับแต่งต้ังเป็นกรรมการตรวจนับ
คะแนนประจาหน่วยเลือกตั้งโดยผู้มีอานาจตามกฎหมาย จาเลยท่ี ๑ จึงมีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน
จาเลยที่ ๑ ได้หยิบบัตรเลือกต้ังใส่ในเส้ือที่สวมใส่แล้วเดินออกไปยังจุดนัดพบกับ ต. เพ่ือให้ ต.
ตอ่ จากน้ันไดก้ ลับมายังท่หี นว่ ยเลือกต้ัง จนเวลาประมาณ ๑๓ นาฬิกา จาเลยท่ี ๑ ขออนุญาตออกไป
ทาธุระข้างนอกและไปหา ต. กับพวกรวม ๓ คน แล้วนาบัตรเลือกตั้งกลับมายังหน่วยเลือกตั้ง
จากนั้นจาเลยที่ ๑ ได้ลว้ งเอาบัตรเลือกตงั้ จากในเส้ือออกมาใสก่ ล่องบัตรดี บตั รเลือกตั้งทกุ แผน่ มีการ
กากบาทเครื่องหมายไว้แล้ว การกระทาของจาเลยที่ ๑ ย่อมเป็นท่ีเห็นได้ว่าจาเลยท่ี ๑ ได้กระทาไป
โดยมีเจตนาที่จะมิให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย นอกจากน้ียังเป็นการทาให้บัตร
เลือกต้ังเสียหายไม่อาจนาไปใช้การได้อีก อันถือได้ว่าเป็นการทาให้ผู้มีหน้าท่ีจัดการเลือกต้ังคร้ังน้ัน
ไดร้ ับความเสยี หาย การกระทาของจาเลยท่ี ๑ จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗
ฎกี าท่ี ๗๗๒๘-๗๗๓๑/๒๕๔๔ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๑๒๖ โจทก์ท้ังสี่มาปฏิบตั ิราชการทาการสอน
นักศึกษาตามกระบวนวิชาท่ีได้รบั มอบหมาย โจทก์ทั้งส่ีจงึ มีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าตอบแทนพิเศษ แม้
โจทก์ท่ี ๒ ถึงท่ี ๔ จะไม่ลงเวลาทางานตามระเบียบว่าด้วยการลงเวลาอันเปน็ การผิดระเบียบก็ตาม ก็
เป็นเร่ืองคนละส่วนกันกับเร่ืองน้ีที่จะต้องไปดาเนินการตามระเบียบข้าราชการพลเรือนอีกส่วนหน่ึง
ตา่ งหาก หาได้กระทบถึงสิทธิอันมีอยู่โดยชอบในการรับเงนิ ค่าตอบแทนพิเศษของโจทกท์ ้ังสี่แต่อย่าง
ใดไม่ ทั้งแบบฟอร์มก็เป็นแบบฟอร์มท่ีให้จาเลยในฐานะหัวหน้าภาควิชา รับรองการปฏิบัติราชการ
ของอาจารย์ในภาควิชา ไม่ใช่หลักฐานรับรองการลงเวลาปฏิบตั ิงาน จาเลยจงึ มหี น้าที่ต้องรับรองการ
ปฏิบัติราชการของโจทก์ท้ังสี่ และไม่มีสิทธิขีดฆ่าช่ือโจทก์ทั้งส่ีออกจากแบบฟอร์มการเบิกจ่ายเงิน
ค่าตอบแทนพิเศษได้ นอกจากน้ีจาเลยในฐานะหัวหน้าภาควิชาซึ่งมีหน้าท่ีรับรองการปฏิบัติราชการ
เพ่ืออนุมัติเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษ จะต้องปฏิบัติการในส่วนดังกล่าวตามห ลักเกณฑ์
โดยเคร่งครัด ด้วยความเที่ยงธรรมและเสมอภาค แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่า จาเลยก็รับรองการ
ปฏิบัติราชการและทาเร่ืองขออนุมัติเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษให้อาจารย์อ่ืนซึ่งไม่ได้ลงชื่อ
ในบัญชีลงเวลาปฏิบัติราชการของข้าราชการเช่นกัน แสดงว่าจาเลยไม่ใช้หลักเกณฑ์ในการพิจารณา
รับรองการปฏิบัติราชการเช่นเดียวกับที่ใช้กับโจทก์ท้ังส่ี จึงเป็นการเลือกปฏิบัติ และเป็นการปฏิบัติ
หน้าท่ีอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ท้ังสี่ในการที่จะได้รับเงินค่าตอบแทนพิเศษ ซ่ึงโจทก์ท้ังสี่
มีสิทธโิ ดยชอบท่ีจะได้รับ ดงั น้ัน การท่ีจาเลยไม่รับรองการปฏิบัติราชการของโจทกท์ ้ังส่ีและขีดฆา่ ช่ือ
โจทก์ทั้งสี่ออกจากแบบฟอร์มการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษ เพ่ือขออนุมัติเบิกจ่ายในงวด
ประจาเดือนตามฟ้องของโจทก์ท้ังส่ี ซ่ึงเป็นการเลือกปฏิบัติและก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่
254
ดังกล่าว ถือได้ว่าจาเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่
โจทก์ท้ังส่ี อันเปน็ ความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗
เพ่ือใหเ้ กดิ ความเสียหายแก่ผูห้ นึง่ ผู้ใด
ฎีกาที่ ๕๒๖๓/๒๕๖๑ ฎ.๑๗๐๑ จาเลยที่ ๑ ซ่ึงเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตาบล
ไม่ใช้การซ้ือหรือการจ้างโดยวิธีพิเศษตามที่ได้รับความเห็นชอบจากท่ีประชุมสภาองค์การบริหาร
ส่วนตาบลเพราะยังไม่ได้รับประกาศภัยพิบัติจากจังหวัด ไม่เข้าเง่ือนไขการซ้ือหรือการจ้างโดย
วิธีพิเศษตามระเบยี บกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุขององค์การบริหารส่วนตาบลฯ ข้อ ๑๗ (๒)
ต้องใช้การซ้ือหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคาตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของ
องคก์ ารบริหารสว่ นตาบลฯ ข้อ ๑๔ ตามท่ีจาเลยที่ ๒ เสนอต่อจาเลยท่ี ๑ ซงึ่ จะมีผลใหใ้ ช้เวลาในการ
ซ้ือหรือการจ้างนานขึ้น จาเลยที่ ๑ จึงไม่เห็นชอบให้ใช้การซ้ือหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคาตามท่ี
จาเลยท่ี ๒โต้แย้ง กลับสั่งการให้ใช้การซ้ือหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคาตามระเบียบกระทรวง
มหาดไทยว่าด้วยการพัสดุขององค์การบริหารส่วนตาบลฯ ข้อ ๑๓ เพ่ือจาเลยท่ี ๑ จะได้มีอานาจ
อนุมัติการซื้อหรือการจ้างน้ันได้ทันที ทาให้ต้องแบ่งการซื้อผ้าห่มนวมออกเป็นสองครั้ง เป็นเงิน
คร้ังละ ๑๐๐,๐๐๐ บาทเท่ากับจาเลยท่ี ๑ จงใจกระทาการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อระเบียบกระทรวง
มหาดไทยว่าด้วยการพัสดุขององค์การบริหารส่วนตาบลฯ ข้อ ๑๖ วรรคสอง การกระทาของจาเลย
ท่ี ๑ ซ่ึงเปน็ เจา้ พนักงานจงึ เปน็ การปฏิบัตหิ รือละเว้นการปฏิบตั ิหนา้ ที่โดยมิชอบ แต่ไม่ปรากฏว่าเป็น
การกระทาเพ่ือแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสาหรับตนเองหรือผู้อื่นอย่างใด
จึงไม่เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยทุจริต อย่างไรก็ตาม การท่ีจาเลยที่ ๑ จงใจ
ฝา่ ฝืนต่อระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าดว้ ยการพัสดุขององค์การบริหารส่วนตาบลฯ ดังกลา่ ว ย่อมมี
ผลกระทบกระเทอื นและกอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายแก่การบริหารราชการแผ่นดนิ จึงเป็นการปฏิบตั ิหรือ
ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพ่ือให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หน่ึงผู้ใด และเข้าองค์ประกอบ
ความผดิ ตามมาตรา ๑๕๗
โดยทุจริต
ฎีกาที่ ๓๕๙/๒๕๕๗ จาเลยทั้งสองตรวจรับงานโครงการก่อสร้างฝายน้าล้นคอนกรีตเสริม
เหล็กบ้านหนองบัวเงิน และมีการวางฎีกาเบิกจ่ายเงินให้แก่ห้างหุ้นส่วนจากัด น. แล้วก่อนที่จาเลย
ท้ังสองจะเรียกเงินจากผู้เสียหาย การกระทาของจาเลยทั้งสองจึงมิใช่เป็นการเรียกทรัพย์สินสาหรับ
ตนเองเพ่อื กระทาการหรือไม่กระทาการอย่างใดในตาแหน่งไมว่ า่ การนน้ั จะชอบหรือมิชอบด้วยหนา้ ท่ี
ตาม ป.อ. มาตรา ๑๔๙ แต่การที่จาเลยทั้งสองตรวจรับงานโครงการกอ่ สร้างฝายนา้ ล้นคอนกรตี เสริม
เหล็กบ้านหนองบัวเงินเรียบร้อยแล้วกลับมาหลอกลวงผู้เสียหายว่ายังไม่ได้ตรวจรับงานดังกล่าวเพื่อ
255
เรียกเงินจากผู้เสียหาย ย่อมเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗
ฎีกาที่ ๘๐๖๕/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล. ๕ น. ๗๔ การที่จาเลยที่ ๒ ลงชื่ออนุมัติให้จ่ายเงินในค่า
ครุภัณฑ์ท้ังหมดในหน้างบใบสาคัญเพื่อเป็นหลักฐานต้ังฎีกาเบิกจ่ายเงินค่าครุภัณฑ์จากคลังจังหวัด
ตรังไม่ตรงตามความเป็นจริงที่ระบุว่าเบิกเงินค่าครุภัณฑ์การศึกษาชุดปฏิบัติการวิชาเทคโนโลยีและ
สิ่งแวดล้อมจานวน ๑๗ รายการ อนั เป็นการไมป่ ฏิบัตติ ามสัญญาซื้อขายท่ีผู้ซ้ือจะจ่ายเงินใหแ้ ก่ผขู้ าย
เม่อื ผู้ซอ้ื ได้รับมอบส่ิงของไว้ครบถ้วนแลว้ แต่ขณะทจ่ี าเลยท่ี ๒ ลงชอ่ื อนุมัติใหจ้ ่ายเงินได้นน้ั ผู้ขายส่ง
มอบครุภัณฑ์เพียง ๑๑ รายการ ยังขาดอีก ๖ รายการ และเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้ันตอนที่ต้องให้
หัวหน้างานพัสดุกับ อ. และคณะกรรมการตรวจรับพัสดุได้ตรวจรับครุภัณฑ์ท่ีซื้อครบถ้วนแล้ว
การกระทาของจาเลยท่ี ๒ เป็นการเอ้ือประโยชน์แก่ผู้ขายที่อนุมตั ิให้จ่ายเงินค่าซือ้ ครุภณั ฑ์ทง้ั ทผ่ี ู้ขาย
ส่งมอบครุภัณฑ์ไม่ครบตามสัญญา อันเป็นการแสวงหาประโยชน์เพื่อผู้อ่ืนโดยไม่ชอบไม่ว่าผู้ขายจะรู้
หรือไม่ก็ตาม ถือว่าจาเลยที่ ๒ แสวงหาประโยชน์ท่ีมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสาหรับผู้อื่น
อันเปน็ การกระทาโดยทุจรติ ตาม ป.อ. มาตรา ๑ (๑)
ฎีกาที่ ๙๓๖๘/๒๕๕๒ ฎ.๒๒๕๔ จาเลยที่ ๑ รับราชการตาแหนง่ หวั หน้าส่วนโยธา องค์การ
บรหิ ารสว่ นตาบลหัวลา ช่วยราชการองค์การบริหารสว่ นตาบลซับจาปา ได้รับแต่งต้ังให้เป็นผู้ควบคุม
งาน จาเลยท่ี ๒ เป็นกานันตาบลซับจาปา และเป็นกรรมการบริหารองค์การบริหารส่วนตาบล
ซับจาปา ได้รับแต่งต้ังเป็นประธานกรรมการตรวจการจ้าง จาเลยท้ังสองจึงมีหน้าท่ีตรวจผลการ
ปฏิบัติและตรวจรับงานตามสัญญาจ้าง โดยจาเลยท้ังสองทราบแต่แรกแล้วว่างานจ้างเหมาก่อสร้าง
ถนนตามสัญญามีความยาว ๑,๓๕๐ เมตร การท่ีจาเลยท่ี ๑ ไม่ออกไปตรวจสอบการก่อสร้าง ทาให้
เกดิ ความเสียหายเพราะหากจาเลยท่ี ๑ ไปตรวจย่อมทราบได้ว่าถนนท่ีก่อสร้างเสร็จมีความยาวเพียง
ประมาณ ๑,๐๒๔ เมตร การท่ีจาเลยท้ังสองปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทาหลักฐานเท็จ
ด้วยเจตนาพิเศษที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่องค์การบริหารส่วนตาบลซับจาปาและ เป็นการ
กระทาโดยทุจริต ทาให้องค์การบริหารส่วนตาบลซับจาปาต้องจ่ายเงินค่าจ้างเกินไป และมีผู้ได้
ประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเป็นค่าก่อสรา้ งท่ีเกินไปจากความจริง แม้ภายหลังจาเลย
ท่ี ๒ จะนาเงินค่ารับจ้างส่วนท่ีรับเกินไปมาคืน ก็เน่ืองมาจากองค์การบริหารส่วนตาบลซับจาปา
แจง้ เรียกเงินคืน จาเลยทง้ั สองจงึ มีความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗
ฎีกาที่ ๑๒๙๐๙/๒๕๕๗ จาเลยเป็นเจ้าพนักงาน ได้ลงลายมือชื่อออกหนังสือรับรองการทา
ประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) ให้แก่ ด. ซ่ึงเป็นการกระทาท่ีอยู่ในอานาจหน้าท่ีของจาเลย โดยไม่ได้
ตรวจสอบความถูกต้องว่า ด. ย่ืนขอออก น.ส.๓ ก ถูกต้องตรงต่อความเป็นจริงหรือไม่ และทาให้ ด.
ได้ไปซึ่ง น.ส.๓ ก ดังกล่าวโดยไม่มีสิทธิได้รับ ถือได้ว่าเป็นการกระทาเพ่ือแสวงหาประโยชน์
ท่ีมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสาหรับผู้อื่น จาเลยจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการ
ปฏิบตั หิ นา้ ที่โดยทจุ ริตตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗
256
กรณีคณุ สมบัติของผู้กระทาความผิด
ฎีกาที่ ๕๑๔๖/๒๕๕๘ ป.อ. มาตรา ๘๔ วรรคสอง บัญญัติว่า "ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทาความผิด
นั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ..." นั่นคือ ให้ถือเสมือนว่าผู้ใช้เป็นตัวการ เป็นการร่วมกระทา
ความผิดด้วยกันตามมาตรา ๘๓ ซ่ึงบัญญัติว่า "ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทาของบุคคล
ตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทาความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ..." แต่กรณีที่ผู้กระทาความผิด
ด้วยตนเองโดยไม่ร่วมกบั ผู้อื่นน้นั ไม่เรียกวา่ ตวั การ ดังนั้น หากร่วมกระทาความผิดกับผู้อ่ืน แต่ผู้ร่วม
กระทาคนใดคนหน่ึงขาดคุณสมบัติตามท่ีกฎหมายบัญญัติไว้น้ัน อันเนื่องมาจากเป็นความผิด
เฉพาะตัวผูท้ ่ีมีคุณสมบัติเฉพาะตามท่ีกฎหมายบญั ญัติเปน็ องคป์ ระกอบของความผิดไว้ ดังเชน่ มาตรา
๑๖๒ (๑) (๒) ผู้น้ันก็เป็นตัวการไม่ได้ ปรากฏว่าจาเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทาเอกสาร
รับเอกสาร หรือกรอกข้อความลงในเอกสาร จาเลยที่ ๑ จึงขาดคุณสมบัติเฉพาะตัวตามบทบัญญัติ
มาตราดังกล่าว ไม่อาจลงโทษจาเลยท่ี ๑ ในฐานเป็นตัวการเพราะใช้จาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ กระทา
ความผิดตามมาตรา ๑๖๒ (๑) (๒) ได้ จาเลยท่ี ๑ ซึ่งเป็นผใู้ ช้ก็เปน็ ได้แตผ่ ูส้ นับสนนุ เทา่ น้ัน
ฎีกาท่ี ๗๓๖๔/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๘ น.๑๖๐ การที่จะไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน
เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗ น้ัน ต้องเป็นกรณีท่ีไม่มี
ตัวการกระทาความผิดในความผิดนี้ จาเลยท่ี ๓ อายยุ งั ไมค่ รบยี่สบิ ปบี รบิ ูรณ์ ซึ่งหากไม่มเี จ้าพนกั งาน
ร่วมกระทาความผิดแล้ว จาเลยที่ ๒ และที่ ๓ ย่อมไม่สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้เนื่องจากบิดา
มารดาของจาเลยที่ ๓ ไมไ่ ด้เดินทางไปให้ความยนิ ยอม ทง้ั ใบสาคญั การสมรสระหวา่ งจาเลยที่ ๒ และ
ที่ ๓ มีการแก้ไขเลข พ.ศ. แสดงว่าจะต้องมีเจ้าพนักงานซ่ึงปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบและทุจริตในการ
กรอกข้อความลงในทะเบียนสมรสและใบสาคัญการสมรสเพื่อให้จาเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ นาเอกสาร
ปลอมดังกล่าวไปยื่นขอรับเงินชดเชยพิเศษจากทางราชการแล้ว จาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นราษฎร
จงึ เปน็ ผสู้ นบั สนนุ ในความผิดดังกลา่ วได้
ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๑๕๘
ฎีกาท่ี ๓๕๓๖/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๔๒ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจาเลยตาม ป.อ. มาตรา
๙๐, ๙๑, ๑๕๗, ๑๕๘ จาเลยรับราชการในตาแหนง่ ชา่ งรงั วัด ๔ ไดร้ บั มอบหมายใหร้ ังวัดที่ดนิ ของ จ.
๓ คร้ัง การรังวัดสองครั้งแรกจาเลยรับคาคัดค้านของผู้เสียหายทั้งสองและชาวบ้านซึ่งมีที่ดินติดต่อ
กับท่ีดินของ จ. ท่ีคัดค้านว่า จ. นาช้ีแนวเขตที่ดินรุกล้า การรังวัดครั้งท่ี ๓ ผู้เสียหายท่ี ๑ ให้บุตรไป
ระวังแนวเขต จาเลยไมร่ ับคาคัดคา้ นของผ้เู สยี หายทงั้ สองกบั พวก แต่จาเลยให้ จ. ทาบันทกึ รับรองว่า
ผเู้ สยี หายท่ี ๑ มาระวังแนวเขตแต่ไม่ยอมลงชื่อ หลังจากนนั้ จาเลยทารายงานเสนอผูบ้ ังคับบัญชาว่า
การรังวัดไม่ขัดข้อง เห็นควรแก้รูปแผนที่และเนื้อที่ซึ่งไม่ถูกต้องตรงกับความจริง การรังวัดมีการ
คัดค้านทุกคร้ังจาเลยก็มิได้บันทึกการคัดค้านของผู้เสียหายท่ี ๒ อันทาให้เกิดความเสียหายแก่
ผเู้ สียหายทั้งสอง เป็นการปฏิบัตหิ น้าท่ีโดยมิชอบ เป็นความผิดฐานเป็นเจา้ พนักงานปฏบิ ัตหิ น้าที่โดย
257
มิชอบตามฟ้องกระทงแรก สาหรับความผิดกระทงหลังน้ันได้ความว่าหลังการรังวัดคร้ังท่ี ๓
ผู้เสียหายทั้งสองกับชาวบ้านไปพบจาเลยที่สานักงานที่ดิน จาเลยทาบันทึกคัดค้านให้ ๓ ฉบับ
ทุกฉบับมีข้อความครบถ้วน มีผู้เก่ียวข้องลงชื่อทุกคนและจาเลยลงชื่อเป็นช่างรังวัดทุกฉบับ จาเลย
รบั คาคัดค้านแล้ว การที่จาเลยนาเอาคาคัดค้านดังกล่าวไปโดยไม่นาเสนอให้เจ้าพนักงานท่ีดนิ มีคาส่ัง
ในคาคัดค้านดังกล่าว ทาให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายท้ังสองและผู้ทาคาคัดค้านท้ังหมด จึงมี
ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และฐานเป็นเจ้าพนักงานซ่อนเร้นเอกสารอีก
กระทงหน่ึง เมื่อลงโทษจาเลยตามมาตรา ๑๕๘ อันเป็นบทเฉพาะแล้วกรณีไม่จาต้องปรับบทลงโทษ
ตามมาตรา ๑๕๗ อันเป็นบทท่วั ไปอกี
ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๖๑
ฎีกาท่ี ๕๒๕๘/๒๕๕๘ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๕๗ จาเลยปลอมเอกสารใบรับฝากส่งไปรษณีย์ด่วน
พิเศษของทที่ าการไปรษณยี พ์ ิษณโุ ลก ด้วยการกรอกข้อความใหป้ รากฏวา่ เปน็ การรบั ฝากสง่ ไปรษณีย์
ด่วนพิเศษว่าไดส้ ่งไปตามหน่วยราชการต่าง ๆ แล้วอันเป็นเท็จน้ัน ตามใบรับฝากไปรษณีย์ในประเทศ
รวม ๗ ฉบับ ด้านบนมีข้อความระบุว่า ผู้ฝากส่งเป็นผู้กรอกข้อความ เม่ือผู้ฝากส่งข้อความแล้วได้
นาส่งให้แก่เจ้าหน้าทไ่ี ปรษณีย์ เพอ่ื นาซองเอกสารน้ันช่ังน้าหนกั และดาเนินการตอ่ โดยกรอกข้อความ
ในส่วนด้านล่างที่มีข้อความระบุว่า เจ้าหน้าท่ีเป็นผู้กรอกข้อความซึ่งหมายถึงเจ้าพนักงานไปรษณีย์
ผู้มีหน้าท่ีโดยตรงในการจัดทาเอกสารดังกล่าวซึ่งเป็นเอกสารของท่ีทาการไปรษณีย์พิษณุโลก ดังน้ัน
การทีจ่ าเลยกระทาการปลอมเอกสารดังกล่าว โดยจาเลยมีหนา้ ท่ีตามคาสง่ั องค์การบริหารส่วนตาบล
ผ. เพียงเป็นผู้ปลดและผู้นาส่งประกาศประกวดราคาจ้างเหมาของผู้เสียหาย จาเลยจึงไม่เป็น
เจ้าพนักงานผู้มีอานาจหน้าที่โดยตรงในการจัดทาเอกสารใบรับฝากส่งไปรษณีย์ด่วนพิเศษดังกล่าว
การท่ีจาเลยปลอมเอกสารดังกล่าว จึงไม่ถือว่ากระทาโดยอาศัยโอกาสท่ีตนมีหน้าท่ีน้ัน ไม่เป็น
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๖๑
โจทก์บรรยายฟ้องเพยี งว่าจาเลยได้รับการแต่งตั้งจากนายกองค์การบริหารส่วนตาบล ผ. ให้
เป็นเจ้าหน้าที่พัสดุ เป็นเจ้าหน้าที่มีหน้าที่ปลดและนาส่งเอกสารประกาศประกวดราคาจ้างเหมา
ก่อสร้างของผู้เสียหายซึ่งกาหนดให้มีหน้าที่นาเอกสารประกาศประกวดราคาจ้างเหมาก่อสร้าง
ดังกล่าว เผยแพร่ไปยังสถานท่ีราชการต่าง ๆ รวมเจ็ดแห่ง ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วย
การพสั ดุขององค์การบริหารสว่ นตาบล พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อ ๓๑ ดังนน้ั ฎีกาของโจทกท์ ่ีวา่ จาเลยมหี น้าที่
กรอกข้อความในใบรับฝากไปรษณีย์ด่วนพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๒ และตามหนังสือ
สานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจึงเป็นการนอกฟ้องและเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดย
ชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาที่ไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๔๙ วรรคหน่ึง ป.วิ.อ.
มาตรา ๑๕
258
ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๑๖๒
ฎีกาท่ี ๑๐๗๔๒/๒๕๕๙ จาเลยท่ี ๒ ถึงที่ ๖ เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่เป็นกรรมการจัดซ้ือ
ท่ีดินร่วมกันลงนามในรายงานการประชุมและบันทึกผลการจัดซ้ือท่ีดินว่ามีการประชุมและต่อรอง
ราคาท่ีดินซ่ึงความจริงไม่ได้มีการประชุมและต่อรองราคาท่ีดินแต่อย่างใด ส่วนจาเลยท่ี ๑ เป็น
เจ้าพนักงานปฏิบัติงานในตาแหน่งนายกเทศมนตรีนครอุดรธานี มีหน้าที่รับเอกสารลงนามรับรอง
รายงานการประชุมและบันทึกผลการจัดซ้ือที่ดินท่ีจาเลยท่ี ๒ ถึงที่ ๔ เสนอให้พิจารณาอนุมัติจัดซื้อ
ซ่งึ ตนมีส่วนรูเ้ ห็นเกี่ยวขอ้ งกับการจดั ทาเอกสารดังกล่าวดว้ ย การท่ีจาเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๖ ลงนามรับรอง
ว่าได้กระทาการดังกล่าวเป็นการร่วมกันรับรองเอกสารเท็จและรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริง
อันเอกสารนั้นมุ่งพิสจู น์ความจรงิ อันเปน็ ความเท็จ จาเลยท่ี ๑ ถึงที่ ๖ จึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา
๑๖๒ (๑) (๔) ประกอบมาตรา ๘๓
ฎีกาท่ี ๘๐๑๐/๒๕๕๖ ฎ.๓๔๐๑ จาเลยท่ี ๑ ซ่ึงเป็นเจ้าพนักงานรับราชการตาแหน่ง
เจ้าหน้าท่ีบริหารที่ดิน ๕ ได้รับมอบหมายให้รังวัดชันสูตรตรวจสอบที่ดินในการออกหนังสือรับรอง
การทาประโยชน์ท่ีดินพิพาท ให้คารับรองว่าท่ีดินพิพาทซ่ึงเป็นท่ีดินไม่มีเอกสา รสิทธิเป็นท่ี
สาธารณประโยชน์ และเป็นที่สงวนหวงห้ามของทางราชการเนื่องจากเป็นที่ลาดชันเกิน ๓๕ องศา
ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิได้ ไม่ได้มีการครอบครองทาประโยชน์เต็มเน้ือท่ีจริง แบบแจ้งการ
ครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) ที่นามาอ้างว่าเป็นหลักฐานของท่ีดินพิพาทก็เป็นของที่ดินแปลงอื่น ซึ่ง
จาเลยท่ี ๑ ทราบดี แต่จาเลยที่ ๑ กลับดาเนินการรังวัดพร้อมจัดทาบันทึกถ้อยคาข้ึนโดยรวบรัด
ปราศจากการตรวจสอบให้ถูกต้องตามหน้าที่เพื่อให้ ส. ได้รับหนังสือรับรองการทาประโยชน์ในที่ดิน
ของรัฐ ทาให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ จาเลยที่ ๑ จึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาปฏิบัติหรือละเว้น
การปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบ และการท่ีจาเลยท่ี ๑ ทาหนงั สือเสนอตอ่ นายอาเภอรบั รองวา่ ออกทาการ
รังวัดตรวจสอบท่ีดินตลอดจนตรวจสอบแล้วว่าสามารถออกแบบแจ้งการครอบครองท่ีดิน (ส.ค. ๑)
และหนงั สอื รับรองการทาประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) ไดอ้ ันเป็นความเท็จ จึงเป็นความผิดฐานเจา้ พนักงาน
มีหน้าท่ีทาเอกสาร รับเอกสาร หรือกรอกข้อความลงในเอกสาร รับรองเป็นหลักฐานซ่ึงข้อเท็จจริง
อันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จด้วย การกระทาของจาเลยที่ ๑ เป็นความผิดตาม
ป.อ. มาตรา ๑๕๗, ๑๖๒ (๔) ประกอบมาตรา ๘๓
จาเลยท่ี ๒ ซ่ึงเป็นผู้ใหญ่บ้านลงลายมือช่ือในบันทึกสอบสวนสิทธิและใบรับรองเขตติดต่อ
ท่ีดินยืนยันว่ามีการครอบครองทาประโยชน์ต่อเนื่องและที่ดินมีแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน
(ส.ค. ๑) ท้ังไมใ่ ช่ทส่ี าธารณะหรือท่ีหวงห้ามของทางราชการอันเป็นความเท็จเพ่ือเปน็ หลกั ฐานในการ
เสนอนายอาเภอเพื่อออกหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) ซ่ึงต่อมานายอาเภอได้ออก
หนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) ให้แก่ ส. ทาให้รัฐเสียหาย การกระทาของจาเลยท่ี ๒
เป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานมีหน้าท่ีทาเอกสาร รับเอกสาร หรอื กรอกข้อความลงในเอกสารรับรอง
เป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จตาม ป.อ. มาตรา
๑๖๒ (๔) ประกอบมาตรา ๘๓
259
จาเลยท่ี ๑ เป็นเจ้าพนักงานได้รับมอบหมายจากนายอาเภอให้ปฏิบัติหน้าท่ีระวังช้ีและ
รับรองแนวเขตที่ดินสาธารณะกรณีราษฎรขอคัดสาเนาแบบแจ้งการครอบครองท่ีดิน (ส.ค. ๑) และ
ออกหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) แต่ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบและยังรับรอง
เป็นหลักฐานซ่ึงข้อเท็จจรงิ อนั เอกสารน้ันมุ่งพิสจู น์ความจริงอนั เป็นความเท็จมีจุดประสงค์อย่างเดียว
เพ่ือให้นายอาเภอออกหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) ซึง่ ต่อมานายอาเภอได้ออกหนังสือ
รับรองการทาประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) ให้แก่ ส. การกระทาของจาเลยที่ ๑ เป็นการกระทากรรมเดียว
เป็นความผิดตอ่ กฎหมายหลายบท
ฎีกาที่ ๑๐๓๓/๒๕๖๐ หนังสือบอกเลิกสัญญาผู้จ้างเหมาประกอบอาหารกลางวันศูนย์
พฒั นาเด็กเล็กท่ีจาเลยท่ี ๑ ทาและแจง้ ไปยังโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ มีวัตถุประสงค์สาคญั เพ่ือบอกเลิกสัญญา
ส่วนหนังสือของจาเลยที่ ๑ ทเ่ี สนอต่อผู้วา่ ราชการจังหวัดหนองคายซงึ่ เป็นผู้บงั คบั บัญชาให้มคี าสง่ั ว่า
โจทก์ท้ังสองเป็นผู้ทิ้งงานก็เป็นหนังสือที่จาเลยท่ี ๑ ได้ทาข้ึนเพ่ือรายงานเร่ืองการท้ิงงานต่อผู้มี
อานาจส่ังการไปตามข้ันตอน ไม่ใช่เอกสารที่ทาขึ้นเพ่ือรับรองเป็นหลักฐานซ่ึงข้อเท็จจริงอันเอกสาร
นัน้ มุ่งพสิ ูจนค์ วามจรงิ อันเปน็ เท็จตาม ป.อ. มาตรา ๑๖๒ (๔) แต่อยา่ งใด
260
ความผดิ ต่อเจา้ พนกั งานในการยตุ ิธรรม
ข้อ ๕๔ คาถาม นายแพะเช่าท่ีดินจากนายสมบัติซ่ึงเป็นบิดาของนายหนึ่งเพ่ือทาไร่มัน
สาปะหลัง ต่อมานายสมบัติตายที่ดินมรดกตกทอดแก่นายหน่ึง นายแพะยังคงอยู่ในที่ดินและชาระ
ค่าเช่าเร่ือยมาเพราะท่ีดนิ ดังกล่าวเหมาะกบั การเพาะปลูก นายแพะปลูกมันสาปะหลังบนท่ีดินทเ่ี ช่า
ได้ผลผลิตดมี าก จึงขุดมนั สาปะหลังที่ตนปลูกไปขาย นายหนึ่งมาเกบ็ ค่าเชา่ ที่ดินเห็นว่าผลผลิตดมี าก
จึงขอข้ึนค่าเช่า แต่นายแพะไม่ยอม นายหนึ่งและนายแพะจึงทะเลาะกัน นายหน่ึงต้องการให้
นายแพะถูกดาเนินคดี นายหน่ึงจึงแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า นายแพะกับพวกลักมัน
สาปะหลังท่ีนายหน่ึงปลูกบนท่ีดินแปลงดังกล่าวไป แล้วนายหน่ึงนาตารวจไปจับนายแพะมา
ดาเนินคดี อีก ๓ วันต่อมานางสองซ่ึงเป็นภริยาของนายหน่ึงมาพบพนักงานสอบสวน แล้วให้การ
เป็นพยานยนื ยนั ว่า นางสองร่วมกับนายหนงึ่ ปลูกมนั สาปะหลงั
ใหว้ นิ จิ ฉัยวา่ นายหน่งึ และนางสองมคี วามผิดทางอาญาฐานใด
คาตอบ การที่นายหนึ่งแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า นายแพะกับพวกลักมันสาปะหลัง
ท่ีนายหนึ่งปลูกไป ทั้งที่ความจริงนายแพะเป็นคนปลูก เป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่
เจ้าพนักงานซ่ึงกระทาการตามหน้าท่ีโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗ ซ่ึงเป็น
บทท่ัวไปมาตราหนึ่ง นอกจากนี้การกระทาดังกล่าวยังเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับ
ความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวน ซึ่งอาจทาให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหายโดยเจตนาตาม
มาตรา ๑๗๒ ซึ่งเป็นบททั่วไปอีกมาตราหน่ึง และยังเป็นกรณีที่นายหน่ึงรู้ว่ามิได้มีการกระทา
ความผิดเกิดขึ้น แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวนว่าได้มีการกระทาความผิดโดยเจตนาตาม
มาตรา ๑๗๓ ซ่ึงเป็นบทเฉพาะอีกมาตราหน่ึง และมีเจตนาพิเศษเพ่ือจะแกล้งให้นายแพะต้องรับ
โทษตามมาตรา ๑๗๔ วรรคสอง ซึ่งเป็นเหตุฉกรรจ์ของมาตรา ๑๗๒, ๑๗๓ เพราะมันสาปะหลัง
เป็นไม้ล้มลกุ เก็บเกย่ี วรวงผลได้หลายคราวต่อปี ไม่เปน็ ส่วนควบของท่ีดิน ตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๕ วรรคสอง เมื่อนายแพะปลูกย่อมเป็นทรัพย์ของนายแพะ แม้ว่าจะ
ปลูกบนท่ีดินของนายหน่ึง การที่นายหน่ึงไปแจ้งความว่านายแพะลักทรัพย์ ทั้งที่ทราบว่า
นายแพะเป็นคนปลูกมนั สาปะหลัง จึงเปน็ การแจง้ ข้อความเท็จว่า ได้มีการกระทาความผิดอาญา
โดยรู้ว่ามไิ ด้มีการกระทาความผิดเกดิ ขึ้น หาใช่เรื่องขาดเจตนาไม่ จึงปรับบทลงโทษนายหน่ึงตาม
มาตรา ๑๗๓ ประกอบมาตรา ๑๗๔ วรรคสอง ซง่ึ เปน็ บทเฉพาะ
แม้ต่อมานางสองมาพบพนักงานสอบสวน แล้วให้การเป็นพยานยืนยันว่า นางสองร่วมกับ
นายหน่ึงปลูกมันสาปะหลัง แต่ไม่ปรากฏว่านางสองร่วมกระทาความผิดกับนายหนึ่ง และ
ไม่ปรากฏว่านางสองมีเจตนาร่วมกับนายหนึ่งกระทาผิด นางสองจึงไม่มีความผิดตามมาตรา
๑๗๒ มาตรา ๑๗๓ ประกอบมาตรา ๑๗๔ วรรคสอง อย่างไรก็ตามการกระทาของนางสอง
ดังกล่าว ยังเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทาให้ผู้อื่นหรือประชาชน
เสียหาย จึงเป็นความผิดฐานแจ้งความเทจ็ ตามมาตรา ๑๓๗ (เทียบฎกี าท่ี ๑๗๐๖/๒๕๔๖)
ข้อสังเกต คำถำมข้อนี้นำมำจำกข้อเท็จจริงตำมฎีกำท่ี ๑๗๐๖/๒๕๔๖ กำรกระทำของนำยหนึ่งครบ
261
องค์ประกอบควำมผิดตำมมำตรำ ๑๗๓ ประกอบมำตรำ ๑๗๔ วรรคสอง แต่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษ
นำยหนึ่งตำมมำตรำ ๑๗๒ แม้จะฟังข้อเท็จจริงได้ดังกล่ำว ศำลก็ไม่อำจลงโทษตำมมำตรำ ๑๗๓
ประกอบมำตรำ ๑๗๔ วรรคสอง ได้ ลงโทษได้เพียงตำมมำตรำ ๑๗๒ ไม่เกินคำขอของโจทก์ตำม
ประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมอำญำ มำตรำ ๑๙๒ วรรคหน่ึง ดังน้ัน เมื่อนำข้อเท็จจริงตำม
คำพิพำกษำฎีกำนี้มำตั้งคำถำมในวิชำกฎหมำยอำญำว่ำ นำยหน่ึงมีควำมผิดฐำนใด จึงต้องกำหนด
คำตอบตำมมำตรำ ๑๗๓ ประกอบมำตรำ ๑๗๔ วรรคสอง ด้วย คำพิพำกษำฎีกำที่ตัดสินโดยมี
ขอ้ จำกัดตำมกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมเช่นน้ี เป็นคำถำมที่น่ำนำมำออกข้อสอบ เพรำะจะวัดควำมรู้
ของนักศึกษำได้เป็นอย่ำงดี ว่ำนักศึกษำเข้ำใจหลักกฎหมำยครบถ้วนหรือไม่ หำกนักศึกษำอ่ำน
คำพิพำกษำฎีกำโดยไมไ่ ด้ไตร่ตรองให้ดี แลว้ จำคำพิพำกษำฎีกำมำตอบ ก็อำจจะเสียคะแนนไปอย่ำง
นำ่ เสยี ดำย
กำรท่ีนำงสองมำพบพนักงำนสอบสวนแล้วให้กำรเป็นพยำนยืนยันว่ำ นำงสองร่วมกับนำย
หนึ่งปลูกมันสำปะหลังนั้น ก็น่ำจะเป็นกำรแจ้งข้อควำมอันเป็นเท็จเก่ียวกับควำมผิดอำญำแก่
พนักงำนสอบสวน ซ่ึงอำจทำให้นำยแพะเสยี หำยโดยเจตนำตำมมำตรำ ๑๗๒ แต่คดีนี้ศำลฎีกำตดั สิน
ไว้ โดยไม่ได้ติดข้อจำกัดเก่ียวกับเรื่องกฎหมำยวิธีพิจำรณำควำมอำญำ นักศึกษำคงจะต้องจำเหตุผล
ที่ศำลฎีกำตัดสินไว้ หำกปัญหำนี้ออกเป็นข้อสอบ สำหรับควำมผิดของนำงสอง นักศึกษำก็ควรจะ
ตอบตำมคำพิพำกษำฎกี ำ
ฎกี าที่ ๑๗๐๖/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๑๖ เม่ือมันสาปะหลงั ทีข่ ุดเปน็ ของโจทกท์ ี่ ๑ ที่ปลูกใน
ทดี่ ินเกิดเหตุ โดยจาเลยทั้งสองมิได้เป็นผู้ปลกู การท่ีจาเลยท่ี ๑ ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า
โจทก์ท้ังส่ีลกั ทรัพยม์ นั สาปะหลังทต่ี นปลูก จึงเป็นการแจง้ ข้อความอนั เปน็ เท็จเกี่ยวกบั ความผิดอาญา
แก่พนักงานสอบสวนซึ่งทาให้โจทก์ทั้งส่ีเสียหาย จาเลยท่ี ๑ ย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๑๗๒ หาใช่เป็นเร่ืองขาดเจตนาไม่ ส่วนจาเลยท่ี ๒ ไปให้การเป็นพยานต่อพนักงาน
สอบสวนยนื ยันว่าตนร่วมปลูกมันสาปะหลังกับจาเลยท่ี ๑ ซ่ึงเป็นความเทจ็ โดยไม่ปรากฏว่าจาเลยท่ี
๒ จะได้มีเจตนาร่วมกระทาผิดกับจาเลยท่ี ๑ การกระทาของจาเลยที่ ๒ คงเป็นเพียงความผิดฐาน
แจ้งความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗ ซ่ึงมีอัตราโทษเบา
กวา่ เท่าน้ัน
262
ข้อ ๕๕ คาถาม นายแดงเช่าซ้ือรถกระบะมาจากบริษัทเอ จากัด ตกลงจะชาระค่าเช่าซ้ือ
งวดละ ๑๐,๐๐๐ บาท รวม ๖๐ งวด โดยนารถกระบะไปทาประกันช้ันหนึ่งไว้กับบริษัทบีประกันภัย
จากัด ต่อมานายแดงค้างชาระค่าเช่าซื้อรวม ๔๐,๐๐๐ บาท นายแดงจึงนารถกระบะไปซ่อนที่บ้าน
ญาติ และได้แจ้งความต่อร้อยตารวจเอกดาพนักงานสอบสวนซึ่งเป็นเจ้าพนักงานและเป็นผู้มีอานาจ
สืบสวนคดีอาญาว่า มีคนร้ายลักเอารถกระบะดังกล่าวไปจากบ้านของนายแดง เพ่ือนาใบรายงาน
ประจาวันเก่ียวกับคดีไปขอเบิกเงินค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทบีประกันภัย จากัด จากกรณีท่ีรถ
กระบะที่ทาประกันภัยสูญหายไป เมื่อได้รายงานประจาวันเก่ียวกับคดีแล้วก่อนท่ีนายแดงจะไปเบิก
เงินค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทบีประกันภัย จากัด นายแดงเห็นป้ายโฆษณาต้องการเงินด่วนโทร
๐๑๒๓๔๕๖๗๘๙ นายแดงจึงโทรศัพท์ไปท่ีหมายเลขดังกล่าว นายขาวขอใหน้ ายแดงมาคุยท่ีบา้ นนาย
ขาว นายขาวบอกนายแดงให้ไปขอเช่าซ้ือรถกระบะจากจากบริษัทเอเอ จากัด โดยไม่ต้องว างเงิน
ดาวน์แล้วนารถกระบะมามอบให้นายขาว นายขาวจะมอบค่าตอบแทนให้นายแดง ๕๐,๐๐๐ บาท
นายแดงยังไม่ทันได้ไปขอเช่าซ้ือรถกระบะจากจากบริษัทเอเอ จากัด นายแดงถูกพนักงานสอบสวน
เรียกไปพบเพ่ือสอบถามเก่ียวกับรถกระบะคันแรกท่ีแจ้งวา่ หายไป นายแดงพดู จากวกวนจนพนักงาน
สอบสวนรู้ว่านายแดงจะไปขอเช่าซ้ือรถกระบะจากจากบริษัทเอเอ จากัด เพ่ือส่งมอบให้แก่นายขาว
พนักงานสอบสวนจึงยืมรถของนายม่วงมอบให้นายแดงเพื่อไปส่งมอบให้นายขาว เมื่อนายแดงนารถ
กระบะไปส่งมอบให้นายขาว นายขาวก็มอบเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท ให้นายแดง แล้วเจ้าหน้าท่ีตารวจเข้า
จับกุมนายแดงและนายขาว
ให้วินิจฉยั วา่ นายแดงและนายขาวมคี วามผิดตามประมวลอาญาฐานใด
คาตอบ การท่ีนายแดงนารถกระบะไปซ่อนและได้แจ้งความว่ามีคนร้ายลักเอารถกระบะไป
เป็นกรณีท่ีนายแดงรู้ว่ามิได้มีการกระทาความผิดเกิดขึ้น แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวนว่า
ได้มีการกระทาความผิด การกระทาของนายแดงจึงเป็นความผิดฐานรู้ว่ามิได้มีการกระทา
ความผิดเกิดข้ึน แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอานาจสืบสวนคดีอาญา
ว่าไดม้ กี ารกระทาความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๓ อนั เปน็ บทบัญญตั ิเฉพาะแล้ว
ไม่จาต้องปรับบทตามมาตรา ๑๓๗ อันเป็นบทบัญญัติว่าด้วยการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ
แก่เจ้าพนักงานทั่ว ๆ ไปอีก และเม่ือไม่เกิดมีความผิดอาญาฐานลักทรัพย์เกิดข้ึนในคดีน้ี
จึงไม่เปน็ ความผิดตามมาตรา ๑๗๒ (ฎกี าท่ี ๙๘๑/๒๕๖๑)
การที่นายขาวบอกนายแดงให้ไปขอเช่าซื้อรถกระบะจากจากบริษัทเอเอ จากัด โดยไม่ต้อง
วางเงินดาวน์แล้วนารถกระบะมามอบให้นายขาว นายขาวจะมอบค่าตอบแทนให้นายแดง ๕๐,๐๐๐
บาท เป็นกรณที ี่นายขาวกอ่ ให้นายแดงไปกระทาความผดิ ฐานฉ้อโกงด้วยการจ้างนายแดงไปหลอก
ขอเช่าซอื้ ท้ังทจ่ี ริง ๆ แล้ว ไม่ได้ต้ังใจจะเช่าซ้ือ ซึ่งก็คือหลอกเอากรรมสิทธ์ิรถยนต์ของผู้ให้เชา่ ซ้ือ
นายขาวจึงเป็นผู้ใช้ให้นายแดงกระทาความผิดฐานฉ้อโกง แม้นายแดงส่งมอบรถยนต์ให้นายขาว
แต่ก็เป็นแผนของพนักงานสอบสวนเพื่อจับกุม เมื่อนายแดงยังไม่ได้ไปขอเช่าซื้อรถกระบะจากจาก
บริษัทเอเอ จากัด นายแดงยังไม่ได้ลงมือกระทาความผิดฐานฉ้อโกง เป็นกรณีความผิดที่ใช้มิได้
263
กระทาลงเพราะผู้ถูกใช้ยังไม่ได้กระทา นายขาวผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหน่ึงในสามของโทษ
ที่กาหนดไว้สาหรบั ความผดิ ฐานฉอ้ โกง (เทยี บฎกี าท่ี ๗๐๘๖/๒๕๕๙)
ฎีกาที่ ๙๘๑/๒๕๖๑ ฎ.๒๐๔ การท่ีจาเลยรู้ว่ามิได้เกิดเหตุลักทรัพย์รถกระบะ แต่กลับแจ้ง
แก่พนักงานสอบสวนว่ามีคนร้ายลักทรัพย์รถกระบะที่จาเลยเช่าซ้ือไป เพื่อจะนาเงินท่ีได้รับจาก
บริษัทผู้รับประกันภัยไปชาระค่างวดแก่ธนาคาร ก. ผู้ให้เช่าซ้ือ การกระทาของจาเลยเป็นความผิด
ตาม ป.อ. มาตรา ๑๗๓ อันเป็นบทบัญญัติเฉพาะแล้ว ไม่จาต้องปรับบทตามมาตรา ๑๓๗ อันเป็น
บทบัญญัติว่าด้วยการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานทั่ว ๆ ไปอีก และเมื่อไม่เกิดมีความผิด
อาญาฐานลักทรพั ยเ์ กิดข้ึนในคดีนี้ จึงไมเ่ ปน็ ความผดิ ตามมาตรา ๑๗๒
ฎีกาท่ี ๗๐๘๖/๒๕๕๙ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๕๓ จาเลยท้ังสามชี้ช่องแนะนาให้ ร. ไปทาสัญญา
เช่าซื้อรถจักรยานยนต์โดยเสนอเงินค่าตอบแทน ๑๐,๐๐๐ บาท ในการที่ ร. ไปทาสัญญาและนา
รถจักรยานยนต์มาส่งมอบจาเลยท้ังสาม การกระทาของจาเลยทั้งสามไม่เป็นความผิดฐานร่วมกัน
ลักทรัพย์ แตเ่ ปน็ การที่จาเลยทัง้ สามใช้ให้ ร. ไปกระทาความผิดฐานฉ้อโกง
ส่วนความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทาความผิดฐานฉ้อโกงน้ัน การชี้ช่องแนะนาให้ ร.
ไปทาสัญญาเช่าซื้อรถจักรยานยนต์โดยเสนอเงินค่าตอบแทนในการนารถจักรยานยนต์มาส่งมอบ
จานวน ๑๐,๐๐๐ บาท ดังกลา่ ว อาจถอื ได้วา่ เปน็ การกระทาดว้ ยประการใด ๆ อันเป็นการชว่ ยเหลือ
หรือใหค้ วามสะดวกแก่ ร. กต็ าม แม้ ร. จะนารถไปสง่ มอบให้จาเลยท้ังสาม แต่ก็เกดิ จากการวางแผน
ของเจ้าหน้าท่ีตารวจ โดยตารวจยืมรถจากผู้อืน่ แล้วให้ ร. ขับไปทาทีส่งมอบแก่พวกจาเลย หาได้เกิด
จาก ร. โดยทุจริตหลอกลวงผู้ให้เช่าซ้ือด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรอื ปกปิดข้อความจริงซ่ึง
ควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้น ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง อันจะถือเป็น
การกระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๑ ไม่ บริษัท ก. ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าเป็นผู้เสียหาย
กไ็ ม่ใช่ผเู้ สยี หาย และไมม่ ีผู้ใดเป็นผู้เสียหายในคดีนี้ เท่ากับไม่มีการกระทาความผิดฐานลักทรพั ยด์ ังท่ี
กล่าวในฟ้องและการกระทาอันถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามท่ีปรากฏในการพิจารณาแต่อย่าง ใด
จงึ ไมม่ ีฐานความผิดท่ีจะนามาใช้ลงโทษตามท่ีโจทก์ฟ้องได้เลย ท้ังความผิดตามมาตรา ๓๔๑ อันเป็น
มูลฐานแห่งความผิดฐานสนับสนุนการกระทาผิดไม่มีเสียแล้ว ความผิดฐานสนับสนุนการกระทา
ความผิดที่ต้องนาความผิดตามมาตรา ๓๔๑ มาประกอบกับมาตรา ๘๖ ย่อมเกิดข้ึนไม่ได้เช่นกัน จึง
ไม่อาจพิพากษาลงโทษตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๑ ประกอบมาตรา ๘๖ ได้อีกด้วย
264
ฎกี าน่าสนใจมาตรา ๑๗๒
ฎีกาที่ ๔๒๔๘/๒๕๖๑ ฎ.๑๓๑๘ ข้อเท็จจริงที่จาเลยมอบอานาจให้ พ. ไปแจ้งความ
กล่าวหาโจทก์ล้วนเป็นข้อเท็จจริงท่ีเกิดข้ึนตามลาดับเหตุการณ์ ไม่ปรากฏว่า พ. ได้กล่าวอ้าง
ข้อเท็จจริงใดท่ีเป็นเท็จหรือบิดเบือนข้อเท็จจริง การท่ีจาเลยมอบอานาจให้ พ. ไปแจ้งความต่อ
พนักงานสอบสวนให้ดาเนนิ คดีแกโ่ จทก์กับ ป. ในข้อหาร่วมกันยักยอกทรพั ย์และทาใหเ้ สยี ทรัพย์ เป็น
เร่ืองท่ีจาเลยกล่าวอ้างไปตามความเข้าใจของตน ทั้งมีรายงานการประชุมของบริษัท ท. ซ่ึงเป็น
เจ้าของเช็คที่ถูกยักยอกและถูกทาให้เสียหายในคดีนี้เป็นพยานสนับสนุน ข้อความที่ พ. แจ้งความ
รอ้ งทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนจึงตรงตามสภาพเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนและตามขอ้ เท็จจริงท่ีปรากฏ ส่วน
การกระทาตามที่จาเลยแจ้งจะเป็นความผิดหรือไม่ เป็นเรื่องท่ีพนักงานสอบสวนจะดาเนินการ
สอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพ่ือวินิจฉัยว่าการกระทาดังกล่าวเป็นความผิดฐานใดซ่ึงไม่ใช่
ข้อสาคัญ เพราะการแจ้งความย่อมหมายถึงการแจ้งเฉพาะข้อเท็จจริงไม่กี่ยวกับข้อกฎหมาย แม้
ต่อมาพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการจะมีความเห็นส่ังไม่ฟ้องโจทก์กับ ป. ก็ตาม การกระทา
ของจาเลยกไ็ ม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๗๒ และมาตรา ๑๗๓
ฎีกาที่ ๑๒๐๙๑/๒๕๕๘ ฎ.๓๐๒๕ ก่อนจับกุมโจทก์ทั้งสองได้มีการจับกุม ช. กับพวกใน
ขอ้ หาลักทรพั ย์ในเวลากลางคืน ช. ใหก้ ารว่าโจทก์ทงั้ สองเป็นผู้ใช้จ้างวาน จงึ มีการสอบสวน ขยายผล
และจบั กุมโจทก์ทั้งสองมาลงบันทึกประจาวนั ไว้ และตามสาเนารายงานประจาวันเกี่ยวกับคดีระบุว่า
พนั ตารวจเอก ส. ผู้กากบั การสถานีตารวจนครบาลพระโขนง สั่งให้จาเลยทั้งสิบสามซึง่ เป็นเจ้าหน้าท่ี
ฝ่ายสืบสวนปราบปรามนาตัว ช. ไปสอบสวนขยายผล โดยนัดโจทก์ท่ี ๒ มารับรถยนต์ท่ีหน้า
ห้างสรรพสินค้า ซ่ึงเป็นเรื่องจาเป็นเร่งด่วนหากต้องไปขอหมายจับจากศาลช้ันต้นแล้วผู้ร่วมกระทา
ความผิดอาจหลบหนีไปได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๗๘ (๓) ทั้งรถท่ีถูกลักอยู่ท่ีบ้านของโจทก์ท่ี ๒ และ
โจทก์ท่ี ๒ เป็นผู้พาเจ้าพนักงานตารวจไปทาการตรวจค้นเอง จึงไม่จาต้องขอหมายค้นจากศาลตาม
ป.วิ.อ. มาตรา ๙๒ (๔) และมาตรา ๙๔ การกระทาของจาเลยทั้งสิบสามเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตาม
คาสั่งของผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจสั่งการโดยชอบ จึงไม่มีความผิดฐานปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบตาม
ป.อ. มาตรา ๑๕๗
การที่จาเลยท้ังสิบสามจับกุมโจทก์ท้ังสองสืบเนื่องจากคาซัดทอดของ ช. กับพวก ต่อมามี
การแจ้งข้อหาและทาหลักฐานการจับกุม การระบุวันท่ีจับกุมและบันทึกคาให้การชั้นสอบสวน
คลาดเคล่ือนไปบ้างเป็นเพียงรายละเอียด แต่สาระสาคัญมีความถูกต้องตามพฤติการณ์และ
ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และมีการนาสืบพยานหลักฐานในชั้นพิจารณาไปตามข้อเท็จจริงดังกล่าว
ซง่ึ จาเลยทั้งสบิ สามอาจเชื่อว่าโจทกท์ งั้ สองมสี ่วนร่วมในการกระทาความผิดฐานลกั ทรัพย์ จึงมิใช่เป็น
พยานหลักฐานเท็จ การกระทาของจาเลยทั้งสิบสามจึงไม่มีมูลความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ
ทาพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ หรือนาสืบพยานหลักฐานอันเป็นเท็จตาม ป.อ. มาตรา ๑๖๒, ๑๗๒,
๑๗๓, ๑๗๔, ๑๗๙ และ ๑๘๐
ฎีกาที่ ๑๓๓/๒๕๔๘ ฎ.ส.ล.๑ น.๒๑ แม้พลตารวจโท ป. และพลตารวจโท ว. เป็น
265
เจ้าพนักงานตารวจผู้มีอานาจสบื สวนคดีอาญาได้ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา ๑๗ แตต่ ามหนังสือทจ่ี าเลยที่ ๑
ร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อพลตารวจโท ป. และพลตารวจโท ว. ซ่ึงบุคคลทั้งสองต่างเป็น
ผ้บู ังคบั บัญชาโจทก์ ท้ังนเ้ี พื่อประสงคใ์ หม้ กี ารต้ังคณะกรรมการสอบสวนและลงโทษทางวินยั แก่โจทก์
และย้ายโจทก์ออกจากพ้ืนที่รบั ผิดชอบทางราชการ จงึ เป็นการท่ีจาเลยที่ ๑ มีหนังสือถึงพลตารวจโท
ป. และพลตารวจโท ว. ขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับความประพฤติโจทก์ต่อบุคคลทั้งสองในฐานะ
ผู้บังคับบญั ชาโจทก์มใิ ช่ในฐานะที่เป็นพนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอานาจสืบสวนคดีอาญา
แต่อย่างใดและพลตารวจโท ป. มิได้มีคาส่ังให้ดาเนินการสืบสวนสอบสวนความผิดในทางอาญาแก่
โจทก์ คงมีคาสั่งให้ผู้บังคับการตารวจภูธรจังหวัดชุมพรตรวจสอบข้อเท็จจริงและพิจารณาให้ความ
คุ้มครองจาเลยท่ี ๑ แล้วรายงานให้พลตารวจโท ป. ทราบด้วยเท่าน้ัน การกระทาของจาเลยที่ ๑
จึงไมเ่ ปน็ ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๗๒
ข้อสังเกต ฎีกำน้ีหำกออกข้อสอบนักศึกษำต้องตอบมำตรำ ๑๓๗, ๓๒๖, ๓๒๘ ด้วย เพรำะโจทก์
กไ็ ด้ฟอ้ งข้อหำดังกลำ่ วไว้ แต่ขอ้ หำดังกลำ่ วยุตไิ ปตั้งแต่ศำลชนั้ ตน้ และข้อเท็จจรงิ ทำนองน้ีเป็นเร่ืองที่
ควรจะฟอ้ งมำตรำ ๑๓๗, ๑๗๒, ๑๗๓, ๓๒๖, ๓๒๘ รวมกนั มำดว้ ย
ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๑๗๓
ฎีกาที่ ๙๘๑/๒๕๖๑ ฎ.๒๐๔ การท่ีจาเลยรู้ว่ามิได้เกิดเหตุลักทรัพย์รถกระบะ แต่กลับแจ้ง
แก่พนักงานสอบสวนว่ามีคนร้ายลักทรัพย์รถกระบะที่จาเลยเช่าซ้ือไป เพื่อจะนาเงินท่ีได้รับจาก
บริษัทผู้รับประกันภัยไปชาระค่างวดแก่ธนาคาร ก. ผู้ให้เช่าซื้อ การกระทาของจาเลยเป็นความผิด
ตาม ป.อ. มาตรา ๑๗๓ อันเป็นบทบัญญัติเฉพาะแล้ว ไม่จาต้องปรับบทตามมาตรา ๑๓๗ อันเป็น
บทบัญญัติว่าด้วยการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานท่ัว ๆ ไปอีก และเมื่อไม่เกิดมีความผิด
อาญาฐานลักทรัพยเ์ กดิ ขึน้ ในคดีน้ี จึงไมเ่ ป็นความผดิ ตามมาตรา ๑๗๒
ฎีกาท่ี ๕๒๓๖/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๙๒ การกระทาของโจทก์ทั้งสองกับพวกเป็นเหตุให้
จาเลยเข้าใจไดว้ า่ เป็นการบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ และทาใหเ้ สยี ทรพั ย์ทีม่ ีไวเ้ พื่อสาธารณประโยชน์
เมื่อข้อความท่ีจาเลยแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนตรงตามสภาพเหตุการณ์ที่เกิดข้ึน
เป็นเรอ่ื งที่จาเลยแจ้งความตามข้อเท็จจริงท่ีปรากฏ สว่ นการกระทาของโจทก์ท้งั สองจะเป็นความผิด
ต่อกฎหมายตามที่จาเลยแจ้งหรือไม่ ไม่สาคัญ เพราะการแจ้งความย่อมหมายถึงเฉพาะข้อเท็จจริง
ไม่เกี่ยวกับข้อกฎหมาย แม้ต่อมาพนักงานสอบสวนจะได้ดาเนินคดีแก่โจทก์ท้ังสองตามที่จาเลยแจ้ง
และพนักงานอยั การมคี าสงั่ เดด็ ขาดไม่ฟ้องคดีโจทก์ท้ังสองก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้วา่ ข้อความท่ีจาเลยแจ้ง
น้ันเป็นความเท็จ
ฎกี าที่ ๗๐๐๘/๒๕๔๘ ฎ.๒๒๑๘ การท่ีเจา้ พนักงานตารวจ ๑๙๑ มีหน้าที่รบั โทรศพั ท์ เป็น
หน้าทีเ่ ฉพาะตามที่ทางราชการแต่งตั้งให้ปฏิบตั ิ แต่โดยท่ัวไปแล้วเจ้าพนกั งานตารวจยอ่ มมีอานาจทา
การสืบสวนคดีอาญาได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๗ การท่ีจาเลยโทรศัพท์แจ้งเจ้าพนักงานตารวจ ๑๙๑
266
ว่ามีการวางระเบดิ ที่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาสุขสวสั ดิ์ และสถานทีอ่ ื่นอกี หลายแหง่ โดยรอู้ ยวู่ า่ มไิ ด้
มีการกระทาความผิดอาญา จึงเป็นการแจ้งความแก่เจ้าพนักงานผู้มีอานาจสืบสวนคดีอาญามี
ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๗๓
ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๗๔
ฎีกาท่ี ๓๐๑๔/๒๕๖๐ ฎ.ส.ล.๗ น.๓๔ จาเลยรู้ว่ามิได้มีการกระทาความผิดเกิดขึ้น
แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอานาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทา
ความผิดเพื่อจะแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษตาม ป.อ. มาตรา ๑๗๔ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๑๗๓
เมื่อการกระทาของจาเลยเป็นความผิด ป.อ. มาตรา ๑๗๔ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๑๗๓ อันเป็น
บทเฉพาะแล้ว ก็ย่อมไม่จาต้องปรับบทความผิดตามมาตรา ๑๓๗ อันเป็นบทบัญญัติว่าด้วยการแจ้ง
ขอ้ ความอันปน็ เท็จแก่เจ้าพนักงานทั่ว ๆ ไปอกี รวมท้ังบทความผดิ ตามมาตรา ๑๗๒ ด้วย
การให้ถ้อยคาของจาเลยต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษในตอนแรกสืบเน่ืองจากการที่จาเลย
มาเป็นพยานในคดีที่ อ. เป็นผู้กล่าวหาในกรณีการหายตัวไปของ ส. อันมีใจความสาคัญตอนหน่ึงว่า
จาเลยถกู โจทกก์ บั พวกทาร้ายเพอ่ื บังคบั ให้รับสารภาพในข้อหาปล้นอาวุธปืนของกองพนั ทหารพัฒนา
ท่ี ๔ และในข้อหาจ้างวานฆ่าจ่าสิบตารวจ ป. ซึ่งมีลักษณะเป็นการร้องทุกข์หรือกล่าวโทษต่อ
พนักงานสอบสวนคดีพิเศษให้ดาเนินคดีแก่เจ้าหน้าท่ีของรัฐอันเน่ืองมาจากได้กระทาความผิดต่อ
ตาแหน่งหน้าที่ราชการหรือความผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม การให้ถ้อยคาของจาเลยต่อ
คณะอนุกรรมการไต่สวนซึ่งได้รับการแต่งต้ังจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในตอนหลังในเรื่องเดียวกัน
อีกคร้ัง ก็เนื่องจากพนักงานสอบสวนคดีพิเศษไม่มีอานาจสอบสวนต่อไปต้องส่งเรื่องไปให้
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดาเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ
ป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา ๘๙ และ พ.ร.บ. การสอบสวนคดีพิเศษฯ มาตรา ๒๑/๑
อันมีลักษณะเป็นการสอบสวนเช่นเดียวกันกับการสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญา แม้การให้ถ้อยคาท้ังสองคร้ังจะต่างเวลากัน แต่ก็เป็นการให้ถ้อยคาในช้ันสอบสวนด้วยกันใน
เรื่องเดียวกันน่ันเอง จงึ เป็นการกระทาที่เก่ยี วเน่ืองโดยมเี จตนาเดียวกนั เป็นความผดิ กรรมเดียว หาใช่
เป็นความผิดสองกรรมตา่ งกนั ไม่
ฎีกาที่ ๘๖๑๑/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๘ น.๑๖๙ การท่ีจาเลยยืนยันข้อเท็จจริงว่าจาเลยเห็น
โจทก์ร่วมหยิบเอาเศษสร้อยคอทองคาของจาเลยไป และได้แจ้งความแก่พนักงานสอบสวนให้
ดาเนินคดีโจทกร์ ่วมในขอ้ หาลักทรัพยซ์ ึ่งเปน็ ขอ้ ความอนั เปน็ เท็จ โดยจาเลยร้ดู ีว่ามิไดม้ ีการกระทาผิด
ในข้อหาลักทรัพย์เกิดขึ้น แต่กลับไปแจ้งความแก่พนักงานสอบสวนดังกล่าวว่าได้มีการกระทาผิด
ขอ้ หาลักทรัพยอ์ ันเป็นเท็จ เพ่ือให้พนักงานสอบสวนเช่ือว่าได้มคี วามผิดข้อหาลักทรัพย์เกิดข้ึนเพื่อให้
โจทก์ร่วมได้รับโทษ การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จตาม ป.อ.
มาตรา ๑๓๗, ๑๗๔ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๑๗๓ นอกจากนี้ จาเลยยังมีเจตนาแจ้งความเพ่ือให้
267
พนักงานสอบสวนดาเนินคดีแก่โจทก์ร่วม อันเป็นการใส่ความโจทก์ร่วมต่อบุคคลท่ีสามเพ่ือให้
โจทกร์ ว่ มถกู ดูหม่ินเกลยี ดชังและเสียชือ่ เสยี ง จงึ เปน็ การหม่นิ ประมาทโจทก์รว่ มอีกดว้ ย
ฎีกาที่ ๑๐๗๖/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๗ จาเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเก่ียวกับความผิด
อาญาต่อพนักงานสอบสวนและเป็นการแจ้งโดยมีเจตนาท่ีจะแกล้งให้ จ. และ ธ. ได้รับโทษฐาน
ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเอาของมีพิษหรือสิ่งอ่ืนที่น่าจะเป็นอันตรายแก่
สขุ ภาพเจือลงในน้าที่มีอยู่หรือจัดไว้เพื่อประชาชนบริโภค การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒ และมาตรา ๑๗๔ วรรคสอง และความผิดดังกล่าวน้ีเป็น
ความผิดสาเร็จเม่ือพนักงานสอบสวนได้ทราบข้อความที่จาเลยแจ้ง พนักงานสอบสวนจะทราบว่า
ข้อความทีจ่ าเลยแจง้ เป็นความเท็จหรือไม่ ศาลจะมคี าพิพากษาอย่างไร และถึงทส่ี ดุ แลว้ หรอื ไม่ หาใช่
ข้อสาคญั ที่จะฟังวา่ จาเลยกระทาความผดิ หรือไม่ จึงไมต่ อ้ งพจิ ารณาสานวนคดที ีฟ่ ้อง จ. และ ธ. และ
ผลของคาพพิ ากษาของศาลในคดดี งั กล่าว
ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๑๗๕
ฎีกาที่ ๔๑๐๘/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๖๓ การนาความอันเป็นเท็จมาฟ้องเป็นคดีอาญาต่อ
ศาลมีความหมายว่า เป็นการนาความอันเป็นองค์ประกอบความผิดทางอาญาซึ่งเป็นเท็จมาฟ้องต่อ
ศาล หาใช่ถือเอาแต่ผลแพ้ชนะแห่งคดีมาเป็นข้อชี้ขาดไม่ แม้ศาลช้ันต้นพิพากษายกฟ้องของจาเลย
ที่ ๑ กไ็ ม่เปน็ หลกั ฐานทแี่ สดงวา่ ฟอ้ งของจาเลยที่ ๑ เป็นเท็จ
ฎีกาท่ี ๙๖๙๖/๒๕๕๘ การกระทาอันจะเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จตาม ป.อ. มาตรา ๑๗๕
ตอ้ งเปน็ การนาความเท็จในสว่ นที่เกีย่ วกบั การกระทาความผดิ อาญาไปแกล้งฟ้องผู้อ่นื ให้รบั โทษ ทง้ั ท่ี
ไม่เป็นความจริง ส่วนเรื่องอายุความน้ัน ป.อ. มาตรา ๙๕ และมาตรา ๙๖ ได้บัญญัติไว้ต่างหากเพื่อ
เป็นหลักเกณฑ์ในการฟ้องคดี ซ่ึงเป็นเรื่องอ่ืนท่ีไม่เก่ียวกับการกระทาความผิดอาญาโดยตรง ดังนั้น
การท่ีจาเลยที่ ๑ กล่าวอ้างในฟ้องคดีก่อนว่าคดีของจาเลยที่ ๑ ยังไม่ขาดอายุความน้ันแม้จะไม่เป็น
ความจริง จาเลยท้งั หกกห็ ามคี วามผิดฐานฟ้องเท็จไม่
ฎีกาท่ี ๑๙๙๘๐/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล. ๑๒ น. ๓๓๐ ความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความอันเป็น
เท็จในการพิจารณาคดีอาญา โจทก์ต้องบรรยายฟ้องถึงข้อความตามท่ีอ้างวา่ เป็นเท็จ โดยมีความจริง
ว่าอยา่ งไรและผู้กระทาทราบว่าความท่ีนาไปฟ้องและเบกิ ความน้ันเป็นเท็จด้วย ที่โจทก์กล่าวบรรยาย
ฟ้องว่า การท่ี ว. เป็นโจทก์ฟ้องจาเลยทั้งสอง โจทก์เพียงบรรยายและเรียงคาฟ้องในฐานะ
ทนายความท่ีรับคาบอกเล่ามาจาก ว. ซ่ึงเป็นลูกความ ข้อความที่ปรากฏในคาฟ้องจะเป็นความเท็จ
หรือความจริงโจทก์ย่อมไม่มีโอกาสทราบได้ หากในเวลาภายหน้าความปรากฏว่าคาฟ้องเป็น
ความเทจ็ ผู้ทจี่ ะต้องรับผิดชอบคือ ว. ไม่ใช่โจทกน์ นั้ เป็นเพียงการอ้างผลของคาพพิ ากษาว่าศาลในคดี
ดงั กล่าววินิจฉัยชี้ขาดคดีว่าอย่างไรเท่าน้ัน มิใช่เป็นการกล่าวยนื ยันข้อความใดที่อ้างว่าเป็นความเท็จ
โดยความจริงมีว่าอย่างไรแต่อย่างใด ท้ังการเป็นทนายความผู้เรียงคาฟ้องก็อาจเป็นตัวการร่วมกับ
268
ตัวความกระทาความผิดฐานฟ้องเท็จได้หากทนายความกระทาไปโดยรู้เห็นหรือร่วมกับตัวความ
วางแผนเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นมาต้ังแต่ต้น โจทก์จึงต้องบรรยายฟ้องยืนยันข้อเท็จจริงท่ีเป็น
ความจริงด้วยว่า ความจริงจาเลยทั้งสองทราบเป็นอย่างดีว่า โจทก์มิได้รู้เห็นหรือทราบมาก่อนว่า
เรื่องราวตามที่โจทก์บรรยายและเรียงคาฟ้องในคดีอาญาเป็นความเท็จ ลาพังการอ้างว่า โจทก์
บรรยายและเรียงคาฟ้องในฐานะทนายความ จึงมิใช่เป็นการกล่าวถึงข้อความที่อ้างว่าเป็นเท็จนั้น
เชน่ ไร โดยมีความจริงเป็นอย่างไรและจาเลยท้ังสองทราบดีเช่นเดียวกัน ถือวา่ ฟ้องโจทก์มไิ ดบ้ รรยาย
ถึงการกระทาท้ังหลายของจาเลยท้ังสองที่อ้างว่าจาเลยท่ี ๑ ฟ้องเท็จและจาเลยท้ังสองเบิกความ
อนั เปน็ เทจ็ ในการพิจารณาคดีอาญาพอสมควรเท่าที่จะใหจ้ าเลยท้ังสองเข้าใจขอ้ หาได้ดี จึงเป็นฟ้องท่ี
ไมส่ มบรู ณ์ ไม่ชอบดว้ ย ป.วิ.อ. มาตรา ๑๕๘ (๕)
ฎีกาที่ ๕๔๔๐/๒๕๖๐ ฎ.๑๗๓๗ จาเลยทงั้ สามเขา้ ใจว่าโจทก์ท่ี ๒ มีสว่ นรเู้ ห็นในการกระทา
ความผิดทางอาญาร่วมกับโจทก์ท่ี ๑ การท่ีจาเลยทั้งสามฟ้องโจทก์ทั้งสองในความผิดบุกรุกเข้าไปใน
ที่ดิน ทาให้เสียทรัพย์ และลักทรัพย์ของจาเลยทั้งสาม เป็นการฟ้องโดยสุจริตตามท่ีจาเลยท้ังสาม
เช่ือว่าตนเองมีสิทธิตามกฎหมาย มิใช่เป็นเร่ืองท่ีจาเลยทั้งสามรู้อยู่แล้วว่าโจทก์ที่ ๑ เป็นผู้มีสิทธิ
ครอบครองท่ีดินและเป็นเจ้าของรั้วกับประตูเหล็ก แต่จาเลยท้ังสามไม่มีสิทธิในการครอบครองท่ีดิน
และมิใช่เป็นเจ้าของร้ัวกับประตูเหล็ก แล้วนาข้อความซึ่งรู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จไปฟ้องโจทก์ท้ังสอง
การกระทาของจาเลยทั้งสามจึงขาดเจตนาในการกระทาความผิดฐานร่วมกันฟ้องเท็จ จาเลยทั้งสาม
ไมม่ คี วามผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๗๕ ประกอบมาตรา ๘๓
ฎกี าที่ ๑๕๒๔๓/๒๕๕๗ คาฟ้องไม่มีลายมอื ชื่อโจทก์ทัง้ สองเป็นฟ้องไมถ่ ูกต้องตามกฎหมาย
แต่เมื่อมีการย่ืนคาร้องขอแก้ไขฟ้องโดยลงลายมือชื่อโจทก์ทั้งสองมาในส่วนของคาขอท้ายฟ้องก่อน
วันนัดไต่สวนมูลฟ้องและศาลชั้นต้นมีคาส่ังอนุญาต ดังน้ี กรณีถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้สั่งโจทก์ให้แก้
ฟอ้ งใหถ้ กู ตอ้ งตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา ๑๖๑ วรรคหนึง่ จนเห็นไดว้ ่าเปน็ ฟ้องถกู ตอ้ งตามกฎหมายแลว้
ฎีกาที่ ๖๔๓๐/๒๕๖๐ ฎ.๑๐๓๖ พฤติการณ์ของจาเลยกับพวกทาให้โจทก์เข้าใจว่าจาเลย
กับพวกร่วมกันเบียดบังเอาเงินผลผลิตปาลม์ น้ามันไปเป็นของตนโดยทุจริต การท่ีโจทก์ฟ้องว่าจาเลย
กับพวกร่วมกันยักยอกเงินผลผลิตปาล์มน้ามัน จึงเป็นการใช้สิทธิทางศาลกล่าวหาว่าจาเลยไปตาม
ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น หาใช่โจทก์เอาความอันเป็นเท็จแล้วมาแกล้งกล่าวหาจาเลยไม่ การที่จาเลย
มาฟ้องโจทก์หาว่าโจทก์เอาความอันเป็นเทจ็ ฟ้องจาเลยเป็นคดอี าญา ทั้งที่รแู้ ล้วว่าเรอื่ งทีจ่ าเลยนามา
ฟ้องโจทก์เป็นความเท็จ แม้ศาลจะยกฟ้องของจาเลยในช้ันไต่สวนมูลฟ้องก็ตาม การกระทาของ
จาเลยก็เป็นความผิดฐานฟ้องเท็จตาม ป.อ. มาตรา ๑๗๕
269
ฎกี าน่าสนใจมาตรา ๑๗๖
ฎีกาที่ ๑๕๒๓๒/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๒๓๙ ป.อ. มาตรา ๑๗๖ บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทา
ความผิดตามมาตรา ๑๗๕ แล้วลุแก่โทษต่อศาล และขอถอนฟ้องหรือแก้ฟ้องก่อนมีคาพิพากษา
ให้ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกาหนดไว้หรือศาลจะไม่ลงโทษเลยก็ได้ ”ีบทบัญญัติดังกล่าวเป็น
บทบัญญัติเก่ียวกับการบรรเทาโทษให้แกผ่ ู้กระทาความผดิ ดงั น้ี เม่ือจาเลยถอนฟ้องในคดอี าญาท่ีเอา
ความอันเป็นเท็จฟ้องโจทก์ก่อนมีคาพิพากษา ย่อมถือได้ว่าจาเลยได้ลุแก่โทษต่อศาลแล้ว ควรได้รับ
การบรรเทาโทษตามบทบัญญัติน้ัน ทั้งกฎหมายหาได้บัญญัติว่าจาเลยต้องให้การรับสารภาพจึงจะ
ได้รับการบรรเทาโทษ
ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๑๗๗
เป็นข้อสาคัญในคดี
ฎีกาที่ ๖๐๙๒/๒๕๕๙ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๒๘ แม้โจทก์คดีนี้ไม่ได้ป็นคู่ความหรือถูกฟ้องเป็น
จาเลยในคดแี พ่งหมายเลขดาท่ี ม.๑๐๑๒/๒๕๔๙ ของศาลแพ่งก็ตาม แตห่ ากจาเลยเบิกความอันเป็น
เท็จในการพิจารณาคดีแพ่งดังกล่าวเป็นเหตุให้ศาลฟังว่าจาเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธ์ิในที่ดินตามโฉนด
ที่ดินเลขท่ี ๑๒๔๑๐ และพิพากษาขับไล่บรวิ ารของโจทก์ ทาให้โจทก์ซ่ึงเป็นเจ้าของที่ดนิ ต้องเสยี สทิ ธิ
ใช้สอยในที่ดินดังกล่าวไปเช่นนี้ โจทก์ย่อมป็นบุคคลผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงเน่ืองจากการ
เบิกความอันเป็นเท็จของจาเลย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายและมีอานาจฟ้องคดีน้ีตาม ป.วิ.อ. มาตรา
๒ (๔) และมาตรา ๒๘ (๒) การท่ีจาเลยเบิกความต่อศาลแพ่งในคดีที่จาเลยเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่ พ.
เป็นจาเลยตามคดีแพ่งหมายเลขดาที่ ม.๑๐๑๒/๒๕๔๙ ของศาลแพ่ง ว่าจาเลยซื้อที่ดินตามโฉนด
ทด่ี ินเลขท่ี ๑๒๔๑๐ จาก ด. และ ก. ในราคา ๕,๗๐๐,๐๐๐ บาท เป็นการเบิกความเก่ยี วกับประเด็น
ข้อพิพาทซึ่งเป็นข้อแพ้ชนะกัน ถือว่าเป็นข้อสาคัญในคดี เม่ือการเบิกความน้ันเป็นเท็จ การกระทา
ของจาเลยจงึ เป็นความผดิ ฐานเบิกความอันเป็นเท็จในการพจิ ารณาคดีตอ่ ศาลตาม ป.อ. มาตรา ๑๗๗
วรรคแรก
ฎีกาที่ ๕๕๖๘/๒๕๕๗ ประเด็นข้อพิพาทในคดีก่อนมีว่าท่ีดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือเป็น
ของจาเลยที่ให้โจทก์มีช่ือถือกรรมสิทธ์ิแทน การท่ีจาเลยเบิกความเก่ียวกับโจทก์เพียงว่าจาเลยรู้จัก
กบั โจทก์เม่ือปี ๒๕๒๔ และเหน็ วา่ โจทก์เป็นคนดีน่าเชื่อถือ กับได้รับคาแนะนาจากนายจ้างของโจทก์
ว่าโจทก์เป็นผู้ท่ีไว้วางใจได้น่าเช่ือถือ อันแสดงว่าจาเลยได้พิจารณาเพียงคุณสมบัติของตัวโจทก์
ดังกล่าวก่อนท่ีจะให้โจทก์เป็นผู้ซื้อและถือกรรมสิทธ์ิท่ีดินแทนจาเลย โดยไม่เบิกความถึงความ
สัมพันธ์ท่ีจาเลยอยู่กินกับโจทก์เป็นภริยาของจาเลยอีกคนหน่ึงด้วย ซ่ึงเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโจทก์
อันเป็นกรณีพิเศษไปจากบุคคลอ่ืน ๆ และย่อมเป็นพยานหลักฐานสาคัญที่ศาลในคดีก่อนจะได้นาไป
พิจารณาประกอบกับพยานหลักฐานอื่น ๆ เพื่อวินิจฉัยให้มีผลคดีท่ีถูกต้องและเป็นธรรม จึงเป็นการ
เบกิ ความโดยปดิ บงั ขอ้ สาคญั แหง่ คดี เปน็ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๗๗ วรรคแรก
270
ฎีกาที่ ๕๕๕/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล. ๑ น. ๕๓ จาเลยทราบดีว่าโจทก์เป็นบุตรของ ค. แต่กลับ
เบิกความยืนยันหนักแน่นในคดีที่จาเลยยื่นคาคัดค้านคาร้องท่ีโจทก์ขอเป็นผู้จัดการมรดกของ ค.
ว่า โจทก์ไม่ใช่บุตร ค. อันเป็นความเท็จ และเมื่อคดีที่โจทก์ย่ืนคาร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ ค.
นั้น ประเด็นที่ว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้ร้องเป็นทายาทของ ค. หรือไม่น้ันเป็นข้อสาคัญในคดี โดยหากศาล
รับฟงั คาเบิกความเท็จของจาเลยว่า โจทก์ไม่ได้เป็นบุตรซึ่งย่อมหมายถึงไม่ได้เป็นทายาทของ ค. แล้ว
ศาลก็จะตอ้ งมีคาส่งั ยกคาร้องของโจทก์ การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผดิ ฐานเบิกความเท็จ
ฎีกาที่ ๑๙๙๘/๒๕๕๓ ฎ.๖๓๓ ประเด็นข้อพิพาทในคดีแพ่งท่ีว่าจาเลยท่ี ๑ ซ้ือท่ีดินพิพาท
จากโจทก์หรอื ไม่ เป็นประเด็นอันเป็นข้อสาคัญแห่งคดี แต่คาพิพากษาในคดีดังกล่าวมผี ลผกู พันโจทก์
และจาเลยท่ี ๑ ซึ่งเป็นคู่ความในคดีแพ่งเท่านั้น ไม่อาจนาผลของคาวินิจฉัยในคดีแพ่งมาผูกพันคา
วินิจฉัยในคดีอาญาได้ คงเป็นพยานหลักฐานส่วนหน่ึงท่ีศาลในคดีอาญาจะต้องนามาช่ังน้าหนัก
ประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ว่ามีน้าหนักให้รับฟังว่าจาเลยทั้งสองได้กระทาความผิดฐานเบิก
ความเทจ็ จริงหรอื ไม่
ฎีกาที่ ๑๒๙๒๐/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๗๘ ลายมือชื่อในช่องผู้ค้าประกันในสัญญา
ค้าประกันไม่ใช่ลายมือช่ือโจทก์ จาเลยทางานเป็นหัวหน้าแผนกสินเช่ือของธนาคารท่ีฟ้องโจทก์
เปน็ คดีแพ่งโดยมหี น้าท่ีพิจารณาสินเชอื่ และจัดทาเอกสารสญั ญา เมื่อจะเบิกความเปน็ พยานในส่วนท่ี
ตนรู้เห็นย่อมจะต้องทราบข้อต่อสู้ตามคาให้การของโจทก์และสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว
ว่าเป็นจริงหรือไม่เพียงใด แต่จาเลยได้เบิกความเป็นพยานในคดีแพ่งยืนยันว่าโจทก์ลงลายมือช่ือใน
สัญญาค้าประกันต่อหน้าจาเลยจริงจนศาลชั้นต้นเชื่อว่าโจทก์ลงลายมือช่ือในสัญญาค้าประกัน
ดงั กลา่ วและพิพากษาให้โจทก์ร่วมรับผิดชาระหน้ใี หแ้ ก่ธนาคาร คาเบิกความของจาเลยในคดดี ังกล่าว
จึงเป็นขอ้ สาคัญในคดี การกระทาของจาเลยจึงเปน็ ความผิดฐานเบกิ ความเทจ็
ฎีกาท่ี ๑๐๓๓๘/๒๕๕๗ ในคดีอาญาเดิม พนักงานอัยการโจทก์ไม่สามารถติดตามตัว จ.
ผู้เสียหาย ซ่ึงเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความเป็นพยานต่อศาลได้ จึงจาเป็นต้องส่งบันทึกคาให้การ
ชน้ั สอบสวนของ จ. บันทึกการชต้ี วั ผตู้ ้องหาทั้งสองและบนั ทึกการชี้ภาพถา่ ยผู้ต้องหาทัง้ สองซึง่ จาเลย
ทาหน้าท่ีเป็นล่ามแปลภาษาให้ จ. และพิมพ์ลายน้ิวมือในคาแปลไว้ กับจาเป็นต้องส่งบันทึกการ
สอบปากคาจาเลยในฐานะผทู้ าหน้าทลี่ ่ามแปลภาษาให้ จ. ฟงั เป็นพยานหลักฐานตอ่ ศาล และเพื่อให้
พยานดังกล่าวมีคุณค่าในการรับฟัง จึงจาเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องนาตัวจาเลยมาเบิกความยืนยนั การท่ี
จาเลยเบิกความอันเป็นเท็จโดยเบิกความกลับคาให้การในชั้นสอบสวนเป็นว่า จาเลยพิมพ์ลายพิมพ์
นิ้วหัวแม่มือลงในเอกสารทุกฉบับโดยท่ีจาเลยมิได้ทาหน้าที่เป็นล่ามแปลและมิได้สาบานตัวว่าจะทา
หน้าท่ีเป็นลา่ มแปลต่อพนกั งานสอบสวน ท้ังเบิกความด้วยวา่ จาเลยมิได้ทาหน้าท่ีเป็นลา่ มในการชี้ตัว
และช้ีภาพถ่ายผตู้ ้องหาทัง้ สองเลย ความเท็จท่ีจาเลยเบกิ ความจึงเปน็ ข้อสาคัญในคดี เพราะหากศาล
เช่ือตามคาเบิกความของจาเลย พยานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทาหน้าท่ีล่ามแปลของจาเลย
ดังกล่าว ย่อมเป็นพยานหลักฐานชนิดที่เกิดข้ึนโดยมิชอบท่ีศาลจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้เลย
เพราะต้องห้ามมิให้โจทก์อ้างเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของจาเลยท้ังสองในคดี
271
ดงั กล่าว
องค์ประกอบความผิดฐานเบิกความเท็จตาม ป.อ. มาตรา ๑๗๗ วรรคแรก บัญญัติแต่เพียง
ว่า "ผู้ใดเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ถ้าความเท็จนั้นเป็นข้อสาคัญในคดี..."
เท่าน้ัน แสดงว่าเพียงความเท็จที่ผู้กระทาผิดเบิกความเป็นข้อสาคัญในคดีท่ีจะพิสูจน์ความจริงได้ก็
ครบองค์ประกอบความผิดแล้ว ตามองค์ประกอบความผิดดังกล่าว หาได้ระบุว่าต้องเป็นข้อสาคัญใน
คดีถึงขนาดทศ่ี าลจะรบั ฟงั เป็นพยานหลักฐานได้หรือไมไ่ ด้แตอ่ ย่างใด
ฎีกาที่ ๔๔๕๙/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล. ๓ น. ๒๘ จาเลยเบิกความในฐานะประจักษ์พยาน แต่กลับ
คาให้การอ้างวา่ ไมเ่ ห็น ส. ขายยาเสพตดิ จึงปรากฏชัดในทางนาสืบของโจทกแ์ ล้ว เมอื่ คาเบิกความใน
สว่ นน้เี ป็นเท็จ และเป็นการเบกิ ความเท็จในขอ้ แพ้ชนะคดี อันเป็นข้อสาคัญในคดี แม้โจทก์มิไดน้ าสืบ
ให้เห็นว่าข้อเท็จจริงที่แตกต่างมีตอนใดเป็นจริงหรือเท็จอย่างไร การกระทาของจาเลยก็เป็นความผิด
ตามฟ้อง
ฎีกาที่ ๕๖๗๗/๒๕๕๕ ฎ.๒๙๙๔ โจทก์ที่ ๑ กับบริษัท ส. ตกลงซื้อขายเครื่องจักรกัน
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินย่อมโอนไปยังโจทก์ที่ ๑ ทันที การชาระราคาหาใช่เป็นเงื่อนไขแห่งการโอน
กรรมสิทธ์ิไม่ การท่ีจาเลยเบิกความต่อศาลในคดีอาญาข้อหาลักทรัพย์ในคดีก่อนว่าเป็นเรื่องให้ยืม
เครอื่ งจักร ไม่เคยติดต่อซ้ือขายเคร่ืองจักรให้แก่โจทกท์ ี่ ๑ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จและข้อความ
นัน้ เป็นสาคัญในคดีทม่ี ีผลต่อการวินิจฉัยชีข้ าดคดขี องศาลในการพิจารณาคดอี าญาถงึ ขนาดเปน็ ผลให้
แพ้ชนะคดีกัน การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จตาม ป.อ. มาตรา ๑๗๗
วรรคสอง
ฎีกาท่ี ๓๙๖๓/๒๕๔๓ ฎ.ส.ล.๘ น.๙๔ การท่ีโจทก์ออกเช็คสั่งจ่ายเงินจานวน ๕๐๐,๐๐๐
บาทให้แก่จาเลยน้ันเป็นการออกเช็คเพื่อค้าประกันเงินกู้ท่ีโจทก์กู้ไปจากจาเลยจานวน ๑๒๐,๐๐๐
บาท เม่ือจาเลยนาเช็คพิพาทฉบับดังกล่าวไปฟ้องกล่าวหาว่าโจทก์ออกเช็คให้แก่จาเลยเพื่อชาระหน้ี
เงินกู้โดยเจตนาท่ีจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้
เช็คฯ มาตรา ๔ จึงเป็นการฟ้องคดีอาญาต่อศาลว่า โจทก์กระทาความผิด การกระทาของจาเลยจึง
เป็นความผดิ ฐานฟ้องเทจ็
จาเลยเบิกความในการพิจารณาคดีอาญาของศาลชั้นต้นยืนยันตามฟ้องว่าเช็คพิ พาทตามที่
จาเลยฟ้องเป็นเช็คที่โจทก์ออกเพื่อชาระหน้ีเงินกู้ให้จาเลย เม่ือข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ออกเช็ค
พิพาทให้จาเลยยึดถือไว้เพื่อประกันหนี้เงินกู้ท่ีโจทก์มีอยู่ต่อจาเลย คาเบิกความของจาเลยย่อมเป็น
ความเท็จและเป็นข้อสาระสาคัญในคดี เพราะถ้าศาลช้ันต้นฟังว่าเช็คพิพาทโจทก์ออกให้จาเลยเพื่อ
เป็นการชาระหนี้เงินกู้ ศาลช้ันต้นก็อาจพิพากษาลงโทษจาคุกโจทก์ได้ ดังนั้น จาเลยย่อมมีความผิด
ฐานเบกิ ความเท็จ
ฎีกาท่ี ๓๙๖๕/๒๕๕๓ ฎ.๕๖๘ ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ ใช้เอกสารสิทธิปลอม เบิก
ความเท็จและแสดงเอกสารอันเป็นเท็จตามฟ้องเกิดขึ้นทันทีทจี่ าเลยได้กระทาการเหล่านั้น หาจาต้อง
รอใหค้ ดีก่อนท่ีจาเลยนาหนังสือสัญญากู้เงินที่โจทก์ลงลายมอื ชอ่ื ผูก้ ู้ย่ืนฟอ้ งโจทกเ์ ปน็ คดีแพ่งให้รับผิด
272
ตามสัญญากู้ดังกล่าวมคี าพิพากษาถงึ ท่ีสุดเพ่ือได้ข้อเทจ็ จริงที่ยุติในคดแี พ่งนั้นมาเป็นเหตทุ ี่จะวินิจฉัย
ในคดนี ีว้ ่ามมี ูลหรอื ไม่
เมื่อโจทก์เบิกความในช้ันไต่สวนมูลฟ้องยืนยันว่า โจทก์มิได้กู้เงินจาเลย และจาเลยกรอก
ข้อความในสัญญากู้ที่โจทก์ลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์แล้วจาเลย
นาสัญญากไู้ ปฟ้องโจทก์ให้ชาระเงินตามสญั ญาและจาเลยเบกิ ความเทจ็ และอ้างสัญญากูป้ ลอมในการ
พิจารณาคดีนั้นซ่งึ เป็นขอ้ สาคัญในคดี ขอ้ เท็จจริงที่ไดจ้ ึงครบองค์ประกอบความผิดโดยไมม่ ีข้อพิรุธอัน
เปน็ ทป่ี ระจกั ษ์ชัด คดโี จทก์จงึ มีมูล
ฎกี าที่ ๘๙๐๒/๒๕๕๒ ฎ.ส.ล.๙ น.๒๑๙ เมอ่ื โจทก์รว่ มมิได้ทาหนงั สอื สัญญากูย้ ืมเงนิ กบั บ.
แต่จาเลยจัดให้ บ. และ ฝ. ลงช่ือในสัญญากู้ยืมเงินโดยปลอมลายมือช่ือโจทก์ร่วม จึงเชื่อว่าจาเลย
เป็นผู้ปลอมสัญญากู้ยืมเงิน การท่ีจาเลยยื่นฟ้องโจทก์ร่วมโดยระบุว่าโจทก์ร่วมออกเช็คชาระหน้ีเงิน
ก้ยู ืมถึงกาหนดชาระและบังคบั ไดต้ ามกฎหมายจึงเป็นฟ้องเทจ็ เพราะการกูย้ ืมเงินไมไ่ ด้มีหลกั ฐานเป็น
หนังสอื ลงลายมือชอ่ื โจทก์รว่ ม จึงไมส่ ามารถฟ้องร้องบังคับคดไี ด้ เม่ือจาเลยเบิกความยืนยันและอ้าง
ส่งหนังสือสัญญากยู้ มื เงินปลอมเป็นพยานต่อศาล จึงเป็นความผิดฐานนาสบื หรือแสดงพยานหลักฐาน
อนั เปน็ เท็จด้วย
ฎีกาท่ี ๒๖๑๔/๒๕๖๒ (ประชุมใหญ่) ฎ.ส.ล.๒ น.๑๖๑ คดีอาญาของศาลแขวงพระนครใต้
โจทก์ (จาเลยที่ ๑ ในคดีน้ี) ฟ้องจาเลย (โจทก์ในคดีน้ี) ว่า จาเลยได้ดูหมิ่นโจทก์ซ่ึงหน้าและใส่ความ
หมิ่นประมาทโจทก์ ต่อหน้าโจทก์ ป. ภ. อ. และ ส. ซ่ึงเป็นบุคคลที่สาม โดยจาเลยกล่าวถ้อยคา
ใสค่ วามโจทก์ว่า "โจทก์เป็นคนโกหก" "โจทก์เป็นคนคดโกง" "โจทก์เปน็ คนไม่ดี" "สาปแช่งโจทก์ให้ไฟ
ไหม้" "ชื่อเสียงโจทก์เหม็นเน่า" "โจทก์ไม่จ่ายค่าส่วนกลาง" จาเลยให้การปฏิเสธ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
ว่า คดีถึงที่สุดตามคาพิพากษาศาลอุทธรณ์ ว่า จาเลยไม่ได้พูดถ้อยคาท่ีโจทก์กล่าวหาในฟ้อง การที่
โจทก์ฟ้องจาเลยในคดีดังกล่าวจึงเป็นการเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่า กระทาความผิด
อาญา และการที่โจทก์กบั ส. (จาเลยที่ ๓ ในคดีนี)้ เบิกความว่าจาเลยพูดถ้อยคาตามทโี่ จทก์กลา่ วหา
ในคดีดังกล่าวก็เป็นการเบิกความอนั เป็นเท็จซ่ึงเป็นขอ้ สาคัญในการพิจารณาคดีอาญาต่อศาล จาเลย
ที่ ๑ และท่ี ๓ จงึ กระทาความผดิ ตามฟอ้ ง
การที่จาเลยที่ ๑ เบิกความสองครั้งในคดีเดียวกันคือ ในช้ันไต่สวนมูลฟ้องและช้ันพิจารณา
แม้จะเป็นการเบิกความคนละคราว แต่ก็เป็นการนาสาระสาคัญของข้อความในเร่ืองเดียวกัน
ประโยคเดียวกนั มูลเหตุเดียวกัน มากลา่ วอีกครั้ง โดยมเี จตนาให้โจทก์ต้องโทษในคดเี ดยี วกนั เท่านั้น
จงึ เป็นการกระทากรรมเดียว
ไมเ่ ปน็ ขอ้ สาคัญในคดี
ฎีกาท่ี ๘๙๒๕/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล.๘ น.๑๐๕ ความเท็จท่ีเบิกความอันถือว่าเป็นความผิดนั้น
จะต้องอยู่ในประเด็นพิพาทและเป็นข้อสาคัญในคดีที่อาจทาให้คู่ความต้องแพ้ชนะกัน คดีแพ่ง
273
ที่จาเลยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์ในคดีนี้ เป็นเร่ืองท่ีจาเลยบรรยายมาในคาฟ้องว่า ท่ีดินพิพาทเนื้อท่ี
๕ ตารางวา อยู่ในที่ดนิ โฉนดเลขท่ี ๙๘๔๔ ซึง่ เป็นของจาเลยกับผู้มีชื่อในโฉนดซ่ึงครอบครองโดยสงบ
เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ และขอให้ศาลมีคาพิพากษาว่า ท่ีดินพิพาทเป็นท่ีดินตามโฉนดเลขท่ี
๙๘๔๔ ซึ่งจาเลยกับผู้มีชื่อในโฉนดได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์ เห็นได้ว่า คาฟ้องของจาเลย
ดังกล่าวเป็นคาฟ้องที่ขัดแย้งกัน เพราะการครอบครองปรปักษ์จะมีได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อ่ืนเท่านั้น
ดังนั้น คาฟ้องของจาเลย จึงไม่มีประเด็นพิพาทเรื่องการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา
๑๓๘๒ ดังนั้น แม้จาเลยจะเบิกความว่าจาเลยครอบครองที่ดินพิพาท อันอาจเป็นความเท็จ แต่เมื่อ
คดีดังกล่าวไม่มีประเด็นข้อพิพาทในเร่ืองการครอบครองปรปักษ์เสียแล้ว คาเบิกความของจาเลยนั้น
ย่อมไม่มีผลทาให้จาเลยชนะคดีได้เลย คาเบิกความของจาเลยดังกล่าวจึงไม่เป็นข้อสาคัญในคดีและ
อยู่ในประเด็นพิพาท การกระทาของจาเลยจงึ ไม่เปน็ ความผิดฐานเบกิ ความเท็จ
ฎีกาท่ี ๑๓๔๖/๒๕๖๑ ฎ.๔๔๖ ความผิดฐานเบิกความเท็จตาม ป.อ. มาตรา ๑๗๗ นั้น
ข้อความเท็จที่ได้เบิกความต่อศาลในการพิจารณาคดีจะต้องเป็นข้อสาคัญในคดี ซึ่งหมายถึงต้องเป็น
ข้อสาคัญในคดีอย่างแท้จริงถึงขนาดมีผลทาให้แพ้ชนะคดีกันได้โดยอาศัยคาเบิกความอันเป็นเท็จ
เท่านั้น ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงโดยวินิจฉัยถึงหน้าที่นาสืบของโจทก์ประกอบคาเบิกความตอบ
คาถามค้านของโจทก์และคาเบิกความของ พ. จาเลยในคดีดังกล่าวเป็นสาคัญ ส่วนคาเบิกความของ
จาเลยน้ัน ศาลช้ันต้นไม่ได้นามากล่าวถึง เพียงแต่นามารับฟังประกอบข้อวินิจฉัยที่ว่าโจทก์ไม่มี
พยานหลักฐานมานาสบื กับคาเบิกความตอบคาถามค้านทนายจาเลยของโจทก์เท่านั้น แลว้ วินิจฉัยถึง
พฤติการณ์ต่าง ๆ ดังที่หยิบยกขึ้นมากล่าว โดยมิได้นาคาเบิกความของจาเลย มาเป็นข้อวินิจฉัย
ให้มีผลเป็นการแพ้ชนะกัน ข้อความท่ีจาเลยเบิกความดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อสาคัญในคดี ไม่อาจลงโทษ
จาเลยในความผิดฐานเบกิ ความเท็จได้
ฎีกาที่ ๓๐๐๔/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๓ น.๗๗ ในการไต่สวนมูลฟ้องโจทก์มีหน้าท่ีนาพยานมา
ไต่สวนเพือ่ ให้ศาลเห็นว่าการกระทาของจาเลยครบองค์ประกอบความผดิ คดจี ึงจะมมี ูล ซงึ่ ตาม ป.อ.
มาตรา ๑๗๗ บัญญัติว่า "ผู้ใดเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ถ้าความเท็จนั้นเป็น
ข้อสาคัญในคดี... ดังน้ัน ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องต้องได้ความว่าคาเบิกความของจาเลยอันเป็นเท็จต้อง
เป็นข้อสาคญั ในคดจี ึงจะครบองค์ประกอบความผดิ แตป่ รากฏขอ้ เท็จจรงิ จากการไต่สวนวา่ ในคดีแพ่ง
ของศาลช้ันต้นที่โจทก์ฟ้องว่าจาเลยเบิกความอันเป็นเท็จนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิ
ครอบครองที่ดินพิพาทและศาลอทุ ธรณ์พิพากษายืนโดยไม่ได้นาคาเบกิ ความของจาเลยในคดีดงั กลา่ ว
มาวินิจฉัยและปรากฏตามคาส่ังศาลฎีกาในคดีดังกล่าวว่า ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉั ย
ข้อเท็จจริงชอบแล้ว จึงไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๒๓
วรรคหนึ่ง โดยไม่ได้นาคาเบิกความของจาเลยมาพิจารณาแต่อย่างใด คาเบิกความของจาเลยในคดี
ดงั กล่าวจึงไม่เป็นข้อสาคัญในคดี กรณีจงึ ไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามท่ีโจทกฟ์ ้อง คดีโจทก์ฐาน
เบกิ ความอนั เป็นเท็จจงึ ไม่มีมูล
ฎีกาที่ ๙๓๓๐/๒๕๕๗ คดีก่อน บริษัท ย. ย่ืนฟ้องโจทก์คดีนี้ว่า ผิดนัดไม่ชาระค่าเช่าท่ีดิน
274
งวดเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๑ ส่วนโจทก์ให้การต่อสู้ว่า ในทางปฏิบัติ บริษัท ย. จะต้องส่งใบแจ้งหน้ี
ก่อนแล้วโจทกจ์ งึ จะชาระค่าเช่า แต่ในงวดดังกลา่ วบรษิ ัท ย. ไม่ได้สง่ ใบแจ้งหน้ี ตอ่ มาโจทกต์ รวจสอบ
พบวา่ ยังค้างชาระค่าเช่าอยู่ จึงนาเงินไปชาระค่าเช่าในภายหลัง คาใหก้ ารของโจทกใ์ นคดกี ่อนเท่ากับ
รบั ว่าตนชาระค่าเช่างวดเดอื นกรกฎาคม ๒๕๕๑ หลังจากครบกาหนดชาระไปแล้ว แต่มีข้อเถียงโดย
ยกข้อต่อสู้ข้ึนใหม่ว่า แม้โจทก์จะชาระล่าช้าแต่ก็มิได้ผิดนัดเพราะบริษัท ย. ยังไม่ได้ส่งใบแจ้งหนี้
ให้แก่ตนตามที่เคยปฏิบัติ ฉะน้ัน ประเด็นแห่งคดีในคดีก่อนจึงมีว่า บริษัท ย. จะต้องออกใบแจ้งหนี้
ค่าเช่างวดดังกล่าวให้แก่โจทก์เสียก่อนแล้วโจทก์จึงจะต้องชาระค่าเช่า หรือไม่ ดังน้ัน คาเบิกความ
ของจาเลยในคดีก่อนที่ว่า โจทก์ชาระค่าเช่างวดเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๑ เม่ือวันท่ี ๑๒ กันยายน
๒๕๕๑ อันเป็นการผิดนัดชาระค่าเช่า ทาให้สัญญาเช่าสิ้นสุดลง จึงไม่ใช่ข้อสาคัญในคดี การกระทา
ของจาเลยจึงไมเ่ ป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ
ฎีกาที่ ๑๐๒๖๗/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล. ๘ น. ๑๗๔ ความผิดฐานเบิกความเท็จตาม ป.อ. มาตรา
๑๗๗ ข้อความเท็จท่ีได้เบิกความต่อศาลจะต้องเป็นข้อสาคัญในคดีซึ่งหมายความว่า ต้องเป็น
ข้อสาคัญในคดีอย่างแท้จริงถึงขนาดมีผลทาให้แพ้ชนะคดีกนั ไดโ้ ดยคาเบิกความอันเป็นเทจ็ นั้น แต่ใน
คดีท่ีโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จาเลยน้ัน ศาลแขวงอุบลราชธานีพิพากษายกฟ้อง โดยฟังข้อเท็จจริงว่า
ท่ีดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดงภูโหล่นอันเป็นท่ีดินของรัฐ ซ่ึงห้ามมิให้บุคคลใดเข้าไป
ยึดถือครอบครอง ทั้งนี้ ตาม ป. ท่ีดินและกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ ดังน้ัน บุคคลใดก็ไม่มี
สิทธิครอบครองและไม่อาจนาไปขายต่อได้ แต่ในกรณีราษฎรพิพาทกันเอง บุคคลใดเข้าไป
ครอบครองทาประโยชน์ก่อนย่อมมีสิทธิฟ้องผู้มาบุกรุกภายหลังได้ กับฟังข้อเท็จจริงจาก
พยานหลักฐานในสานวนต่อไปว่า ที่ดินพิพาทก่อนท่ีโจทก์จะซ้ือมาไม่มีการครอบครองทาประโยชน์
และหลงั จากซอื้ มาแล้วโจทก์ก็ไม่ได้เข้าครอบครองทาประโยชน์เนือ่ งจากโจทก์อ้างว่า บ. บกุ รุกเข้าไป
ครอบครองทาประโยชน์ด้วยการปลูกยางพาราแล้วขายต่อให้จาเลยซ่ึงปัจจุบันจาเลยครอบครองทา
ประโยชนใ์ นทีด่ ินพิพาท โจทก์จึงไม่ใช่ผคู้ รอบครองทาประโยชน์ตามความเป็นจริงอันจะมีอานาจฟ้อง
ซ่ึงเป็นการวินิจฉัยถึงการครอบครองทาประโยชน์ในที่ดินพิพาทของโจทก์เป็นสาคัญ โดยศาลมิได้
หยิบยกเอาคาเบิกความของจาเลยที่ว่าจาเลยเข้าจับจองทาประโยชน์ในที่ดินพิพาทต้ังแต่ปี ๒๕๔๕
มาเป็นข้อวินิจฉัยถึงอานาจฟ้องของโจทก์แต่อย่างใด แม้ความจริงจาเลยจะเพิ่งซ้ือที่ดินพิพาทจาก
นายบุญมาในระหวา่ งที่โจทก์และ บ. มีข้อพิพาท ซ่ึงแตกต่างไปจากคาเบิกความของจาเลยดังที่โจทก์
กล่าวอ้าง ก็มิได้ทาให้ผลของคดีดังกล่าวเปล่ียนแปลงไป คาเบิกความของจาเลยดังกล่าวจึงไม่เป็น
ขอ้ สาคญั ในคดอี ันจะทาให้จาเลยมคี วามผดิ ฐานเบกิ ความเทจ็
ฎีกาที่ ๕๕๘/๒๕๔๘ ฎ.๔๒๒ ความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๑๗๗ ข้อความเท็จที่ได้เบิกความต่อศาลจะต้องเป็นข้อสาคัญในคดี ซึ่งหมายถึงต้องเป็น
ข้อสาคัญในคดีอย่างแท้จริงถึงขนาดมีผลทาให้แพ้ชนะคดีกันได้โดยอาศัยคาเบิกความอันเป็นเท็จน้ัน
คดีแพ่งซ่ึงโจทก์ถกู ท. ฟ้องเรยี กเงินคืน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ ท. ชนะคดีโดยอาศยั พยานเอกสารใน
คดีเป็นสาคัญ ส่วนคาเบิกความของพยานบุคคลเพียงแต่นามารับฟังประกอบพยานเอกสารเท่านั้น
275
และวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้าหนักมากกว่าโดยมิได้นาคาเบิกความของจาเลยมาเป็น
ข้อวินิจฉัยให้มีผลเป็นการแพ้ชนะกัน ข้อความที่จาเลยเบิกความจึงไม่ใช่ข้อสาคัญในคดี ไม่อาจ
ลงโทษจาเลยในความผดิ ฐานเบิกความเท็จได้
ฎกี าที่ ๙๘๔/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๖ น.๙ แม้ในคดีก่อนจาเลยเบิกความโดยเช่ือและสงสยั ว่าโจทก์
เป็นผู้ลกั เอาทรพั ย์ไปเน่ืองจากขณะเกิดเหตุมโี จทกแ์ ละจาเลยอยูใ่ นบ้านพักจาเลยเพียง ๒ คน แตเ่ ม่ือ
ขอ้ เท็จจริงปรากฏว่า ก่อนเกิดเหตุ ๑ วัน จาเลยหลงลืมสรอ้ ยคอทองคาพร้อมพระเลี่ยมทองที่อา้ งว่า
ได้หายไปไว้ท่ีบ้าน ร. โดยในวันรุ่งขึ้นจาเลยทราบทางโทรศัพท์จาก บ. และจาเลยไปรับทรัพย์ของ
จาเลยท่ีอา้ งว่าได้หายไปคืนจาก บ. จากนั้น จาเลยก็ไปแจง้ ให้พนักงานสอบสวนบันทึกเร่ืองการได้รับ
ทรัพย์คืนไว้เป็นหลักฐานในวันเดียวกัน ทั้งจาเลยยังไปขอโทษโจทก์และเป็นผู้ประกันตัวโจทก์ใน
ระหว่างสอบสวน ต่อมาจาเลยก็พยายามบรรเทาผลร้ายดังกล่าวด้วยการเสนอชดใช้ค่าทาขวัญเป็น
เงิน ๓๐,๐๐๐ บาท ใหแ้ ก่โจทก์ แต่โจทก์เรียกร้องเป็นเงินถึง ๖๐๐,๐๐๐ บาท จึงตกลงกันไม่ได้ ตาม
พฤติการณ์ดังกล่าวของจาเลยเท่ากับเป็นการยอมรับว่าจาเลยเข้าใจโจทก์คลาดเคล่ือนไปจากความ
จริง จึงมิใช่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นคนร้ายลักทรัพย์ของจาเลยไป แม้หลังจากจาเลยรู้
ความจริงแล้ว จาเลยมิได้ถอนคาร้องทุกข์ดังที่โจทก์ฎีกา ก็น่าจะเป็นเพราะจาเลยรู้ว่าคดีนั้นเป็น
ความผิดต่อแผ่นดินไม่อาจถอนคาร้องทุกข์ได้จึงไม่เป็นข้อพิรุธ ท้ังในคดีก่อนศาลช้ันต้นก็มิได้วินิจฉัย
ว่าจาเลยป้ันแต่งเร่ืองข้ึนเพ่ือกล่ันแกล้งปรักปรากล่าวหาโจทก์และคาเบิกความของจาเลยไม่เป็น
ความจริงแต่อย่างใด ดังนี้ จึงถือไม่ได้ว่าคาเบิกความของจาเลยในคดีก่อนเป็นข้อสาคัญในคดี
การกระทาของจาเลยจึงไมเ่ ป็นความผิดฐานเบิกความอันเปน็ เทจ็
ฎีกาท่ี ๕๑๐๐/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๒๕ ในการพิจารณาคดีอาญาตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย
ความผิดอันเกิดจากการใช้เชค็ ฯ ตอ้ งให้ได้ความว่าจาเลยได้ออกเชค็ เพื่อชาระหน้ที ี่มอี ยจู่ ริงและบงั คับ
ได้ตามกฎหมายและธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน แต่หลังจากที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน
แล้วมีการชาระเงินตามเช็คให้แก่ผู้ทรงเช็คมากน้อยเพียงใดมิใช่ข้อสาคัญในคดี เพราะไม่ใช่เหตุผลท่ี
ศาลจะนาไปวินิจฉัยชี้ขาดว่า จาเลยในคดีเรื่องน้ันกระทาความผิดจริงหรือไม่ เว้นแต่เป็นการเบิก
ความวา่ ได้ใช้เงินตามเช็คให้แก่ผทู้ รงเช็คภายในสามสิบวันซึ่งทาให้คดีเลิกกัน ดังน้นั การที่จาเลยเบิก
ความว่า หลังจากที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงนิ ตามเช็ค ผู้ออกเช็คไม่เคยชาระเงินให้แก่จาเลยจึงมิใช่
ข้อสาคัญในคดี
ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๑๘๐
ฎีกาที่ ๑๑๕๖๐/๒๕๕๗ การย่ืนเอกสารเท็จในชั้นย่ืนคาร้องต่อศาลว่าจาเลยในคดี
ดังกล่าวถึงแก่ความตาย ยังไม่ถึงช้ันพิจารณาพยานหลักฐานว่าจาเลยในคดีดังกล่าวถึงแก่ความตาย
จงึ ยังไมเ่ ปน็ ความผดิ ฐานรว่ มกนั แสดงพยานหลักฐานอนั เป็นเทจ็ ในการพิจารณาคดี
ข้อสังเกต กำรกระทำที่เป็นองค์ประกอบภำยนอกของควำมผิดตำมมำตรำ ๑๘๐ มีได้ ๒ ประกำร
276
คอื ๑. กำรนำสืบ หรือ ๒. กำรแสดง พยำนหลักฐำนอันเปน็ เทจ็ ในกำรพิจำรณำคดี มคี ดที ี่ข้อเท็จจริง
เทียบฎีกำนไ้ี ด้ คือ ฎีกำท่ี ๓๐๖๖/๒๕๒๗ จำเลยได้อำศยั หนังสือสัญญำก้อู ันเป็นเท็จมำฟ้องผ้เู สยี หำย
ซ่ึงเป็นผู้กู้ แล้วมีกำรทำสัญญำประนีประนอมยอมควำมกันในศำล และศำลได้พิพำกษำไปตำมยอม
นัน้ ดังนี้ ยังถือไม่ได้วำ่ เป็นกำรนำสบื หรือแสดงหลักฐำนอันเปน็ เทจ็ ในกำรพิจำรณำคดีของศำลจำเลย
ไมม่ ีควำมผดิ ตำม ป.อ. มำตรำ ๑๘๐ แต่ถำ้ นำสญั ญำก้ปู ลอมมำฟอ้ งคดี แลว้ คู่ควำมอกี ฝ่ำยหนึ่งขอให้
ส่งสัญญำกู้ต่อศำล จำเลยส่งสัญญำกู้ปลอมต่อศำล ถือเป็นกำรแสดงหลักฐำนอันเป็นเท็จตำม ป.อ.
มำตรำ ๑๘๐ แม้จะยงั ไมเ่ ป็นกำรสืบพยำน (ฎกี ำที่ ๓๐๕/๒๕๐๘)
ฎกี าท่ี ๖๒๐๒/๒๕๖๒ ฎ.๒๑๔๙ การฟอ้ งคดีโดยแนบรายการสินคา้ มาเป็นเอกสารทา้ ยฟ้อง
หรือการจัดทาเอกสารเพื่อนามาใช้เป็นพยานหลักฐานในการดาเนินคดี มิใช่เป็นเร่ืองการนาสืบหรือ
แสดงพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีตาม ป.อ. มาตรา ๑๘๐
ฎีกาที่ ๙๕๕๐/๒๕๕๘ ฎ.๑๖๐๒ หากจาเลยเป็นผู้ทาเอกสารเกี่ยวกับค่าทางาน ค่าเช่ารถ
กับการนาเคร่ืองจักรและรถยนต์มาใช้งานในโครงการตามท่ีโจทก์กล่าวอ้าง การกระทาของจาเลย
ก็ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร เพราะเอกสารน้ันเป็นเอกสารของจาเลยผทู้ าข้ึนเองไม่ใช่เอกสาร
ของคนอื่น แม้หัวกระดาษของเอกสารจะมีชื่อบริษัท จ. แต่ข้อความท่ีปรากฏในเอกสารนอกจากจะ
ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท จ. แล้ว บริษัท จ.ยังอนุญาตให้ใช้หัวกระดาษท่ีมีช่ือของบริษัทในไซด์งาน เมื่อ
การกระทาของจาเลยไมเ่ ปน็ การทาเอกสารปลอม กย็ ่อมไมเ่ ป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
ข้อสาคัญและพยานหลักฐานท่ีเก่ียวกับประเด็นของคดีแพ่งท่ีจาเลยฟ้องโจทก์ที่จะทาให้แพ้
หรือชนะคือ ประเด็นว่าโจทก์ในคดีนี้กับพวกเช่าเคร่ืองจักรและรถยนต์ไปทางานในโครงการโดยมี
เอกสารพิพาทซง่ึ เป็นสว่ นหนึ่งของเอกสารที่นาสืบ เม่ือเอกสารพิพาทดงั กล่าวเป็นเพียงเอกสารตาราง
แสดงรายการและรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้เคร่ืองจักรซ่ึงเป็นรถประเภทต่าง ๆ พร้อมหมายเลข
ทะเบียนระบุการใช้งานเป็นรายชัว่ โมง รายเดือน และจานวนเงินคา่ ทางานประจาเดือน รวม ๙ เดอื น
และบางฉบับเป็นการรวบรวมรายละเอียดของค่าทางานและค่าเช่าในการใช้เคร่ืองจักรและร ถยนต์
เล็กทั้ง ๙ เดือน มิใช่พยานหลักฐานในข้อสาคัญในข้อท่ีมีการฟ้องท่ีมีประเด็นในเร่ืองเช่าหรือเป็น
หุ้นส่วนกัน การนาพยานหลักฐานเอกสารพิพาทของจาเลยเข้าสืบในการพิจารณาคดีจึงไม่เป็น
ความผดิ ฐานนาสบื หรือแสดงพยานหลกั ฐานอนั เปน็ เท็จ
ฎกี าท่ี ๑๐๔๕๒/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๑๒๑ จาเลยที่ ๑ โดยจาเลยที่ ๒ และท่ี ๓ กรรมการ
ผู้มีอานาจ มอบอานาจให้จาเลยท่ี ๖ เป็นผู้กระทาการแทนจาเลยที่ ๑ ในการรับจานองที่ดิน แม้จะ
ปรากฏว่าตามวันที่ลงในหนังสือมอบอานาจ จาเลยที่ ๒ และท่ี ๓ ได้ลงลายมือชื่อร่วมกันในช่อง
ผู้มอบอานาจโดยไม่ได้ประทับตราสาคัญของจาเลยท่ี ๑ ซ่ึงไม่ได้เป็นไปตามที่มีการจดทะเบียนต่อ
สานักงานทะเบียนหุ้นส่วนบรษิ ัทกรุงเทพมหานครเกี่ยวกับเร่ืองจานวนหรอื ชื่อกรรมการซ่ึงลงลายมือ
ช่ือผูกพันบริษัทก็ตาม แต่การกระทาดังกล่าวเป็นเพียงการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับท่ีระบุไว้ในหนังสือ
รับรองเท่านั้น และจะมีผลต่อรูปคดีหรือไม่เพียงใดเป็นเรื่องที่ศาลในคดีดังกล่าวจะพิจารณาวินิจฉัย
หนังสือมอบอานาจจึงไม่ใช่พยานหลักฐานอันเป็นเท็จเพราะเหตุจาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ลงลายมือช่ือ
277
โดยไม่มีอานาจและไม่ได้ประทับตราสาคัญของจาเลยท่ี ๑ การส่งหนังสือมอบอานาจ เป็นพยาน
หลกั ฐานตอ่ ศาลจงึ ไมเ่ ป็นความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๘๐
ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๑๘๑
ฎีกาท่ี ๕๓๗๗/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๘๖ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๘๑ (๑) คาว่า "เป็นการ
กระทาในกรณีแห่งข้อหาว่าผู้ใดกระทาความผิดท่ีมีระวางโทษจาคุกต้ังแต่สามปีขึ้นไป" นั้น
หมายความว่า กรณีแห่งข้อหาว่าผู้ใดกระทาความผิดจะต้องมีอัตราโทษข้ันต่าจาคุกสามปี
เป็นอย่างน้อยที่สุด แต่การท่ีจาเลยท่ี ๑ ฟ้องโจทก์กับพวกโดยมีข้อหาว่าโจทก์กระทาความผิดฐาน
บุกรุก ทาให้เสียทรัพย์และลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามมาตรา ๓๖๕ (๒) (๓) ประกอบด้วยมาตรา
๓๖๒ ซึ่งมีระวางโทษจาคุกไม่เกินห้าปี ตามมาตรา ๓๕๘ ซ่ึงมีระวางโทษจาคุกไม่เกินสามปี และ
มาตรา ๓๓๕ (๗) ซ่ึงต้องระวางโทษตามมาตรา ๓๓๕ วรรคหนึ่ง จาคุกต้ังแต่หนึ่งปีถงึ ห้าปี อตั ราโทษ
ข้ันต่าแต่ละฐานความผิดดังกล่าวไม่ถึงสามปี การเบิกความเท็จของจาเลยท่ี ๒ จึงไม่ต้องด้วยกรณี
ทีต่ ้องรบั โทษหนักขนึ้ ตามมาตรา ๑๘๑ (๑)
ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๑๘๔
ฎีกาท่ี ๕๘๑๑/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๘ น.๑๖๗ การท่ี ช. ขับรถจักรยานยนต์ไปและใชอ้ าวุธปืนยิง
ส. ถึงแก่ความตายแล้วขับรถจกั รยานยนตค์ ันดังกล่าวหลบหนีไปนนั้ นอกจากอาวุธปืนซ่งึ เปน็ ทรัพย์ท่ี
ช. ใช้ในการกระทาความผิดโดยตรงและถือเป็นพยานหลักฐานสาคัญในคดีแล้วรถจักรยานยนต์ของ
กลางท่ี ช. ใช้เป็นยานพาหนะขับไปยิง ส. และหลบหนีก็เป็นทรพั ยท์ ใี่ ช้ในการกระทาความผดิ โดยตรง
เชน่ กัน และเป็นพยานหลักฐานสาคัญอกี ส่วนหนงึ่ ซ่ึงสามารถใช้พสิ ูจนก์ ารกระทาความผิดของ ช. ได้
หากมพี ยานบุคคลมาพบเห็นการกระทาความผิดดังกล่าว และจดจาลกั ษณะของรถจักรยานยนต์ของ
กลางท่ี ช. ขับได้ ซึ่งต่อมาเจ้าพนักงานตารวจก็ได้ใช้เป็นพยานหลักฐานในการสืบสวนสอบสวน
นาไปสู่การติดตามจับกุมตัว ช. มาลงโทษได้ ดังน้ัน การที่จาเลยช่วยซ่อนเร้นรถจักรยานยนต์ของ
กลางไว้จงึ เปน็ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๘๔
ฎกี าน่าสนใจมาตรา ๑๘๗
ฎีกาท่ี ๔๑๙๖/๒๕๕๘ ทรัพย์ที่ลูกหน้ีโอนไปให้ผู้อ่ืน อันจะเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหน้ีตาม
ป.อ. มาตรา ๓๕๐ นั้น หมายถึงทรัพย์ใด ๆ ของลูกหน้ีท่ีมีอยู่ได้มีการโอนไป เมื่อจาเลยท่ี ๑
ทาสัญญากับองค์การคลังสินค้า ๒ ฉบบั ฉบับแรกว่าจ้างใหจ้ าเลยท่ี ๑ แปรสภาพหัวมนั สาปะหลังสด
จากเกษตรกรท่ีนามาจานาแก่องค์การคลังสินค้าเป็นแป้งมันสาปะหลัง ฉบับที่สองเป็นสัญญาเก็บ
278
แป้งมันสาปะหลังที่คลังสินค้าของจาเลยท่ี ๑ โดยองค์การคลังสินค้าเป็นผู้ส่งมอบให้แก่จาเลยท่ี ๑
อันเป็นสัญญาฝากทรัพย์ ดังน้ัน แป้งมันสาปะหลังท่ีจาเลยท่ี ๑ แปรสภาพแล้วเก็บไว้ในคลังสินค้า
ของจาเลยที่ ๑ จึงเป็นกรรมสิทธ์ิขององค์การคลังสินค้าหาใช่เป็นของจาเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกหน้ี
ของโจทก์ไม่ ทั้งองค์การคลังสินค้าได้ร้องทุกข์ให้ดาเนินคดีแก่จาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ ข้อหายักยอก
แม้จาเลยท่ี ๑ ถึงที่ ๓ จะร่วมกันนาเอาแป้งมันสาปะหลังที่เก็บไว้ท่ีคลังสินค้าของจาเลยที่ ๑ ไปขาย
ก็ถอื ไม่ได้ว่าเป็นการย้ายไปเสยี ซ่อนเรน้ หรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซ่ึงทรัพย์ใดเพอ่ื มิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้
ของตนได้รบั ชาระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน การกระทาของจาเลยที่ ๑ ถึงท่ี ๓ จงึ ไม่เป็นความผิดฐาน
โกงเจ้าหนี้ ทั้งแป้งมันสาปะหลังที่จาเลยท่ี ๑ ถึงที่ ๓ ร่วมกันนาไปขายก็มิใช่ทรัพย์ท่ีถูกยึดหรอื อายัด
การกระทาของจาเลยท่ี ๑ ถึงที่ ๓ จงึ ไม่ใช่การทาใหเ้ สียหาย ทาลาย ซ่อนเรน้ เอาไปเสยี หรือสูญหาย
หรอื ไร้ประโยชน์ซึ่งทรพั ยท์ ่ถี ูกยึดหรืออายัด เพื่อจะมิให้การเปน็ ไปตามคาพพิ ากษาหรอื คาสงั่ ของศาล
จึงไม่เปน็ ความผิดตาม ป.อ.มาตรา ๑๘๗
ข้อสังเกต กำรกระทำของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ไม่เป็นควำมผิดฐำนโกงเจ้ำหนี้ตำม ป.อ. มำตรำ ๓๕๐
และไม่เป็นควำมผิดตำมมำตรำ ๑๘๗ ตำมท่ีตัดสินไว้ตำมฎีกำนี้ แต่น่ำคิดว่ำจะเป็นควำมผิดฐำน
ยกั ยอกหรือไม่ หำกจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ครอบครองทรพั ย์ของผู้อื่น คือ องคก์ ำรคลังสินคำ้ แลว้ เอำไป
ขำย ก็น่ำจะเป็นกำรเบียดบังทรัพย์ของผู้อ่ืนท่ีตนครอบครองอยู่โดยทุจริต อันเป็นควำมผิดฐำน
ร่วมกันยักยอก ซ่ึงคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยท้ังหกตำมมำตรำ ๘๓, ๙๑, ๑๘๗, ๓๔๑, และ
๓๕๐ แต่ไม่ได้ฟ้องขอให้ลงโทษในควำมผิดฐำนยักยอกตำมมำตรำ ๓๕๒ และคดีนี้ไม่อำจนำ ป.วิ.อ.
มำตรำ ๑๙๒ ที่ว่ำควำมแตกต่ำงของควำมผิดฐำนโกงเจ้ำหนี้และควำมผิดฐำนยักยอก เป็นเพียง
ควำมแตกต่ำงในรำยละเอียดมิใช่ข้อแตกต่ำงในสำระสำคัญมำใช้บังคับ เพรำะคดีนี้มีควำมแตกต่ำง
ทั้งฐำนควำมผิดและตัวผู้เสียหำย ซึ่งเป็นข้อแตกต่ำงในสำระสำคัญ เมื่อไม่มีใครหยิบยกศำลฎีกำ
จึงไม่ได้วินิจฉัยว่ำผิดยักยอกหรือไม่ เพรำะหำกวินิจฉัยให้แล้วก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป และ
ไม่เป็นประเด็นในช้ันฎีกำ ทั้งองค์กำรคลังสินค้ำได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒
ข้อหำยักยอกด้วย หำกนำข้อเท็จจริงตำมฎีกำมำออกข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพำกษำหรือเนติฯ น่ำจะตอบ
ว่ำผิดยักยอกด้วย กำรตอบตำมท่ีศำลฎีกำวินิจฉัยน่ำจะยังไม่พอ เพรำะศำลฎีกำกล่ำวถึงฐำนยักยอก
ท่ีคนอ่ืนฟอ้ งแลว้ ดว้ ย
ฎีกาที่ ๓๖๒๘/๒๕๕๖ ฎ.๔๒๕ หลังจากทาสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้น
พิพากษาตามยอมแล้ว หากโจทก์หรือจาเลยหรือศาลแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบ เจ้าพนักงาน
ท่ีดินก็จะไม่จดทะเบียนแบ่งเช่าและแบ่งแยกให้ เพราะตามสัญญาประนีประนอมยอมความจาเลย
ตกลงยกท่ีดินโฉนดเลขที่ ๘ ให้เป็น ๖ ส่วนเท่า ๆ กัน การท่ีจาเลยขอจดทะเบียนแบ่งเช่าให้ บ. เช่า
และขอจดทะเบียนแบ่งแยกเป็นช่ือของจาเลยเองโดยท่ีมิได้แจ้งเจ้าพนักงานท่ีดิน ก็เพ่ือจะมิให้การ
เป็นไปตามคาพิพากษาตามยอม และการท่ีจาเลยดาเนินการจดทะเบียนแบ่งเช่าโดยให้ บ. เช่า
นานถึง ๑๐ ปี เม่ือแบ่งแยกแล้วที่ดินก็ยังคงติดภาระการเช่า ๑๐ ปี ทาให้ยุ่งยากแก่การบังคับคดี
ให้เป็นไปตามคาพิพากษาตามยอม เช่นอาจจะต้องพิพาทกับผู้เช่าก่อน ย่อมเป็นการทาให้เสียหาย
279
ซึ่งท่ีดินโฉนดเลขที่ ๘ อยู่ในตัว นอกจากน้ีในการบังคับคดีให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอม
ความอาจจะต้องยึดหรืออายัดทรัพย์ รวมท้ังท่ีดินโฉนดเลขท่ี ๘ ด้วย ท่ีดินโฉนดเลขท่ี ๘ จึงเป็น
ทรัพย์ที่จาเลยรู้ดีว่าน่าจะถูกยึดหรืออายัดในช้ันบังคับคดีภายหน้า ไม่ใช่ไม่เป็นทรัพย์ท่ีถูกยึดหรือ
น่าจะถูกยึด การที่จาเลยต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคาพิพากษาตามยอม
จาเลยจะบ่ายเบี่ยงหรือหน่วงเหน่ียวมใิ ห้เป็นไปตามคาพพิ ากษาตามยอมโดยท่คี คู่ วามอกี ฝ่ายหน่ึงมไิ ด้
ตกลงดว้ ยหาไดไ้ ม่ การกระทาของจาเลยเปน็ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๘๗
280
ทาใหเ้ สียหายหรอื เอาไปเสียซง่ึ เอกสาร
ข้อ ๕๖ คาถาม นายโจเป็นผู้ช่วยผู้จัดการสหกรณ์การเกษตร ต้องการแกล้งผู้จัดการ
สหกรณ์การเกษตร นายโจจึงสั่งให้นางแจ๋นซ่ึงเป็นนักการภารโรงของสหกรณ์การเกษตร นาบัญชี
เงินกู้ของลูกค้าหลายรายท่ียังไม่ได้รับชาระหนี้ไปเผาทิ้ง โดยนายโจหลอกนางแจ๋นว่า บัญชีเงินกู้
ดังกล่าวชาระหนีห้ มดแลว้ และครบกาหนดเวลาต้องปลดเผาทาลาย แลว้ นายโจมอบเอกสาร ๑๐ ลัง
ให้แกน่ างแจ๋น นางแจน๋ จงึ เอาเอกสารดังกล่าวไปเผาทีเ่ ตาเผาขยะของสหกรณ์
ให้วินิจฉัยว่า นางแจ๋นและนายโจมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใด หรอื ไม่
คาตอบ การท่ีนางแจ๋นเอาเอกสารไปเผา แม้จะเป็นการทาลายทรัพย์ของผู้อ่ืนตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๘ และเป็นการทาลายเอกสารของผู้อ่ืนในประการท่ีน่าจะเกิด
ความเสียหายแก่สหกรณ์การเกษตรตามมาตรา ๑๘๘ ครบองค์ประกอบภายนอกของความผิด
แต่การท่ีนางแจ๋นเอาเอกสารดังกล่าวไปเผา ก็เพราะถูกนายโจหลอกว่าบัญชีเงินกู้ดังกล่าวชาระหน้ี
หมดแล้ว และต้องปลดเผาทาลาย เป็นการกระทาไปโดยไม่รู้ว่าเจ้าของเอกสารยังหวงกันและต้อง
ใช้เอกสารดังกล่าวอยู่ ต้องถือว่านางแจ๋นไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอกของ
ความผิด จะถือว่านางแจ๋นประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทานั้นมิได้ตามมาตรา
๕๙ วรรคสาม นางแจ๋นจึงไม่มีเจตนา การกระทาของนางแจ๋นจึงขาดองค์ประกอบภายใน
การกระทาของนางแจ๋นจึงไม่เปน็ ความผดิ ตามมาตรา ๓๕๘ และมาตรา ๑๘๘
การท่ีนายโจส่งั ให้นางแจ๋นเอาเอกสารไปเผาและการกระทาของนางแจ๋นไม่เป็นความผิดตาม
มาตรา ๓๕๘ และมาตรา ๑๘๘ การกระทาของนายโจจึงไม่ใช่เป็นการใช้ผู้อื่นกระทาความผิด
เพราะนางแจ๋นผู้ถูกใช้ไม่รู้ว่าการกระทาน้ันเป็นความผิด แต่เป็นการท่ีนายโจใช้นางแจ๋นเป็น
เคร่ืองมือของนายโจในการกระทาความผิด ถือว่านายโจเป็นผู้กระทาความผิดเองโดยทางอ้อม
เมื่อนางแจ๋นซ่ึงเป็นเคร่ืองมือในการกระทาความผิด ได้ทาลายทรัพย์ของผู้อื่นตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๓๕๘ และทาลายเอกสารของผู้อื่น ในประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่สหกรณ์
การเกษตรตามมาตรา ๑๘๘ ต้องถือว่านายโจเป็นผู้กระทาความผิดเองโดยอ้อมและมีความผิด
ตามมาตรา ๓๕๘ และมาตรา ๑๘๘ (ฎีกาท่ี ๓๓๓๖-๓๓๓๗/๒๕๔๗)
ฎีกาท่ี ๓๓๓๖-๓๓๓๗/๒๕๔๗ บ. เป็นนักการภารโรงของสหกรณ์การเกษตรไม่มีส่วน
ได้เสียในบัญชีเงินกู้ จึงไม่มีเหตุท่ี บ. ต้องเผาบัญชีเงินกู้ หาก บ. ทราบว่าการเผาทาลายบัญชีเงินกู้
เป็นการกระทาท่ีผิดกฎหมาย อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๘๘ ก็คงไม่กระทาตามคาสั่งของ
จาเลยที่ ๑ ซ่ึงเป็นผู้ชว่ ยผู้จัดการของสหกรณ์ แต่ บ. ยอมเผาบัญชีเงินกตู้ ามคาส่ังของจาเลยท่ี ๑ ซ่ึง
เป็ น ผู้ บั งคั บ บั ญ ช าเพ ราะเชื่ อโด ย สุ จ ริต ว่ าเป็ น การป ฏิ บั ติ ต าม ค าสั่ งท่ี ช อ บ ด้ วย กฎ ห ม าย ข อง
ผู้บังคับบัญชา การที่จาเลยท่ี ๑ สั่งให้ บ. เผาบัญชีเงินกู้ จึงไม่ใช่เป็นการใช้ผู้อื่นกระทาความผิด
เพราะ บ. ผู้ถูกใช้ไมร่ ้วู ่าการกระทาน้นั เป็นความผิด แต่เป็นการท่จี าเลยท่ี ๑ ใช้ บ. เป็นเครอ่ื งมอื ของ
จาเลยที่ ๑ ในการกระทาความผดิ ถือว่าจาเลยที่ ๑ เปน็ ผ้กู ระทาความผิดเองโดยอ้อม
ขอ้ สังเกต ข้อสอบควำมรู้ชน้ั เนติบัณฑิต ภำค ๑ สมยั ที่ ๕๘ เม่ือวันที่ ๒๕ กันยำยน ๒๕๔๘ ขอ้ ๒ ได้
281
นำหลกั กฎหมำยตำมคำพิพำกษำฎีกำน้ีมำเทียบเคียงออกเป็นข้อสอบ กำรนำคำพิพำกษำฎกี ำมำออก
ข้อสอบ อำจำรย์ผู้ออกข้อสอบบำงท่ำนจะนำข้อเท็จจริงตำมคำพิพำกษำฎีกำมำออกตรง ๆ ข้อสอบ
ลกั ษณะน้ีถ้ำนกั ศกึ ษำอ่ำนคำพิพำกษำมำแล้วจำได้ กจ็ ะทำได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมำกนัก สว่ นขอ้ สอบ
ท่ีอำจำรย์นำเฉพำะหลักกฎหมำยตำมท่ีศำลฎีกำวินิจฉัยไว้มำออกข้อสอบ โดยแต่งข้อเท็จจริง
ขึ้นมำใหม่ เช่น คำถำมข้อ ๒ ดังกล่ำว ออกเร่ืองลักร่ม แทนท่ีจะเป็นทำให้เสียทรัพย์หรือทำลำย
เอกสำรตำมคำพิพำกษำฎีกำ หำกนักศึกษำท่ีอ่ำนหนังสือแบบท่องจำ โดยไม่เข้ำใจหลักกฎหมำย
ก็จะทำข้อสอบไม่ได้ ข้อสอบแบบนี้จะวัดนักศึกษำได้ว่ำอ่ำนคำพิพำกษำฎีกำแล้วจำได้หรือเข้ำใจ
ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๑๘๘
ฎีกาที่ ๑๔๔๖๐/๒๕๕๖ ฎ. ๒๘๕๘ ส. นาเงินที่จาเลยมีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ด้วยไปให้ ท.
กู้ยืม หลังจาก ส. ถึงแก่ความตาย จาเลยได้รับมอบหมายให้ดูแลกิจการร้านของ ส. รวมทั้งตู้นิรภัย
และสิ่งของต่าง ๆ ภายในตู้นิรภัย แม้จาเลยนาหนังสือสัญญากู้ยืมเงินระหว่าง ส. กับ ท. ซึ่งอยู่ใน
ตู้นิรภัยไป ไม่ว่าเอกสารน้ันเป็นต้นฉบับหรือสาเนา ก็ถือไม่ได้ว่าจาเลยเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น
ตาม ป.อ. มาตรา ๑๘๘ เพราะจาเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับ ส. และเป็นผู้ครอบครองเอกสารดังกล่าว
การกระทาที่จะเป็นความผิดตามมาตรา ๑๘๘ ต้องเป็นการเอาไปซึ่งเอกสารของผู้อื่น เมื่อ
จาเลยเอาเอกสารหนังสือสัญญากู้ยืมเงินท่ีจาเลยมีส่วนเป็นเจ้าของด้วยไป การกระทาของจาเลย
ไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๘๘ โดยไม่ต้องคานึงว่าผู้อ่ืนหรือกองมรดกมีส่วนเป็นเจ้าของ
เอกสารดว้ ยหรอื ไม่
ฎีกาท่ี ๑๕๖๔/๒๕๕๗ แม้โดยสภาพของการส่ังจองพระเครื่องต้องมีการกรอกข้อความ
เกี่ยวกับช่ือและที่อยขู่ องผู้ส่ังจอง จานวนพระเครื่องและจานวนเงินทีส่ ่ังจอง มอบต้นฉบับใหผ้ ู้สั่งจอง
และเก็บคู่ฉบับเพ่ือส่งมอบแก่ผู้จัดสรา้ งดังที่โจทก์ฎีกา แต่เมื่อใบสั่งจองดงั กล่าวไม่ก่อให้เกิดสิทธิหรือ
หน้าท่ีประการใดแก่โจทก์ร่วม แม้จาเลยไม่คืนต้นฉบับและคู่ฉบับใบสั่งจองดังกล่าวให้โจทก์ร่วม
จาเลยก็ไม่มีความผิดฐานเอาไปเสีย ซ่อนเร้น ทาให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสารของผู้อ่ืน
โดยประการทนี่ า่ จะเกดิ ความเสยี หายแก่ผูอ้ น่ื ตาม ป.อ. มาตรา ๑๘๘
ใบส่ังจองท่ียังไม่ได้มีการกรอกข้อความใด ๆ เพ่ือให้เป็นหลักฐานในการสั่งจองพระเครื่อง
ท่ีโจทก์ร่วมเป็นผู้จัดสร้าง มิใช่เอกสารตามความหมายของ ป.อ. มาตรา ๑ (๗) แม้จาเลยไม่คืนให้
โจทก์ร่วม จาเลยก็ไม่มีความผิดฐานเอาไปเสีย ซ่อนเร้น ทาให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสาร
ของผูอ้ ื่น โดยประการท่นี า่ จะเกิดความเสียหายแก่ผู้อนื่ เชน่ กัน
ฎีกาที่ ๕๘๘๓/๒๕๕๒ ฎ.๑๑๔๗ จาเลยซ่ึงเป็นนายวงแชร์มีหน้าท่ีนาเช็คท้ังหกฉบับจาก
ลูกวงแชร์ที่ยังประมูลแชร์ไม่ได้ไปมอบให้ผู้เสียหาย การที่จาเลยเอาเช็คตามฟ้องทั้งหกฉบับ
ที่ลูกวงแชร์ส่ังจ่ายให้ผู้เสียหายไปเรียกเก็บเงินในบัญชีของตนเอง ก็เพื่อประโยชน์ของจาเลยโดยที่
จาเลยไม่มีสิทธิ การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อ่ืนตาม ป.อ.
282
มาตรา ๑๘๘
ส. ซึ่งเป็นลูกวงแชร์ประมูลแชรไ์ ด้ จาเลยซึ่งเป็นนายวงแชร์ได้รับเช็คตามฟ้องจากลูกวงแชร์
ที่ยังประมูลไม่ได้เพื่อนาไปมอบให้แก่ ส. แต่จาเลยมิได้นาไปมอบให้ ส. กลับนาเช็คดังกล่าวไปเรียก
เก็บเงินในบัญชีของตนเองและถอนเงินไป ดังน้ี จาเลยในฐานะนายวงแชร์มีหน้าท่ีต้องปฏิบัติตาม
ข้อตกลงการเล่นแชร์ว่า เมื่อจาเลยได้เช็คจากลูกวงแชร์แล้วจะต้องนาเช็คไปมอบให้ ส. ซ่ึงประมูล
แชร์ได้ การท่ีจาเลยรับเช็คตามฟ้องจึงเป็นการรับไว้แทน ส. เมื่อจาเลยนาเช็คไปเรียกเก็บเงินและ
ถอนเงินออกจากบัญชี จึงเป็นการครอบครองเงินของ ส. แล้วเบียดบังเอาเงินน้ันไป ส. จึงเป็น
ผู้เสยี หายในความผิดฐานยักยอกเงนิ ตามเช็ค
ข้อสังเกต คดีนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องว่ำจำเลยลักเช็คตำมมำตรำ ๓๓๔ แต่ฟ้องว่ำเอำไปเสียซ่ึงเอกสำรของ
ผูอ้ น่ื ตำมมำตรำ ๑๘๘ เพรำะขอ้ หำตำมมำตรำ ๑๘๘ มีโทษหนักกวำ่ ขอ้ หำตำมมำตรำ ๓๓๔
คดีนโ้ี จทกฟ์ อ้ งว่ำจำเลยเอำไปเสยี ซง่ึ เช็คซึ่งเปน็ เอกสำรของผอู้ ื่นตำมมำตรำ ๑๘๘ กรรมหนึ่ง
และฟ้องว่ำเม่ือนำเช็คไปเรียกเก็บเงินแล้วยักยอกเงินอีกกรรมหนึ่ง ศำลฎีกำได้วินิจฉัยว่ำผิดมำตรำ
๑๘๘ กรรมหน่งึ และผิดมำตรำ ๓๕๒ อีกกรรมหนึ่ง
กำรเอำเช็คไปข้ึนเงินของจำเลยศำลฎีกำไม่ได้วินิจฉัยว่ำผิดฐำนลักทรัพย์หรือยักยอกเพรำะ
โจทก์ไม่ได้ฟ้อง ผู้แต่งเห็นว่ำจำเลยน่ำจะมีควำมผิดฐำนลักเช็ค เพรำะกำรท่ีจำเลยยึดถือเช็คไว้เป็น
กำรยึดถือแทนผู้ประมูลแชร์ได้ จำเลยไม่ได้ยึดถือเช็คเพ่ือตน จำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองเช็ค
เม่ือจำเลยเอำเช็คไปขึ้นเงิน จึงเป็นกำรเอำไปซ่ึงเป็นกำรแย่งกำรครอบครองเช็คของผู้อื่นโดยทุจริต
อันเป็นควำมผิดฐำนลักทรัพย์ตำมมำตรำ ๓๓๔ เหมือนกับกรณีลูกจ้ำงขับรถของนำยจ้ำงไปส่งของ
แล้วเอำรถไปเป็นลกั ทรัพยข์ องนำยจ้ำง
คดีน้ีถ้ำฟ้องว่ำลักเช็คกรรมหนึ่ง และยักยอกเงินกรรมหนึ่ง น่ำจะวินิจฉัยว่ำผิดฐำนลักเช็ค
บทหน่งึ และยกั ยอกเงนิ อีกบทหนึ่งซ่ึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมำยหลำยบทโดยเทียบเคียงจำกฎกี ำสอง
เร่ือง หรืออำจคิดไปไกลขนำดว่ำไม่ผิดยักยอกเงิน เพรำะเม่ือลักเช็คแล้วย่อมไม่ผิดเกี่ยวกับทรัพย์
ท่ีลักอีก ประเด็นน้ีหำกออกเป็นข้อสอบ ก็คงต้องแล้วแต่วำสนำของผู้สอบ เพรำะคำพิพำกษำฎีกำ
ตรง ๆ ไม่มี และกำรออกข้อสอบเนติฯ หรือข้อสอบผู้ช่วยฯ มักจะนำคำพิพำกษำฎีกำหลำย ๆ เร่ือง
มำแต่งข้อสอบ ส่วนธงคำตอบก็ต้องแล้วแต่ท่ีประชุมคณะกรรมกำรว่ำจะวำงธงคำตอบว่ำผลเป็น
อย่ำงไร ซ่ึงปกติก็จะทำธงคำตอบตำมฎีกำ แต่บำงครั้งธงคำตอบที่คณะกรรมกำรเสียงข้ำงมำกมีมติ
กเ็ ป็นธงที่ไม่ตรงกับอำจำรย์ท่ีออกข้อสอบกม็ ี หรือที่บำงครงั้ เขำเรียกกันว่ำคนออกข้อสอบยังสอบตก
แต่น่ีเป็นกติกำของกำรสอบเนติฯ หรือสอบผู้ช่วยฯ ท่ีกำรเลือกข้อสอบก็เป็นเสียงข้ำงมำกของ
ท่ีประชุมคณะกรรมกำร และธงคำตอบก็เป็นไปตำมเสียงข้ำงมำกของที่ประชุมคณะกรรมกำร
ซึ่งแตกต่ำงจำกอำจำรย์ผู้ออกข้อสอบได้ จุดน้ีถือเป็นจุดแข็งของกำรสอบเนติฯ หรือสอบผู้ช่วยฯ
เพรำะข้อสอบของใครจะได้รับเลือกก็ไม่มีใครรู้ และธงคำตอบจะเป็นอย่ำงไรก็ไม่มีใครรู้ จึงบอก
ข้อสอบและช่วยกันไม่ได้ ใครที่เก็งแม่นแต่ธงถูกพลิกก็ต้องยอมรับกติกำ ผู้แต่งเองก็เคยเจอด้วย
ตัวเองมำแล้วในกำรสอบผู้ช่วยฯ บำงข้อซ่ึงในปัจจุบันผู้แต่งก็ยังเห็นว่ำคำตอบท่ีผู้แต่งตอบไปน่ำจะ
283
เป็นคำตอบท่ีถูกต้องตำมหลักกฎหมำยและฎีกำมำกกว่ำ แต่แตกต่ำงจำกควำมเห็นของ
คณะกรรมกำรซ่ึงผู้แต่งก็ยอมรับผลน้ันได้ โดยทำใจไว้ว่ำน่เี ปน็ กติกำของกำรสอบผู้ชว่ ยฯ ซ่งึ ตอ่ มำก็มี
ฎีกำที่ ๘๒๐/๒๕๕๘ วินิจฉัยว่ำเป็นยักยอกเช็คไม่ใช่ลักเช็ค ถ้ำไม่ได้เห็นฎีกำผู้แต่งคงสอบตกข้อนี้
แต่ถ้ำนำข้อเท็จจริงตำมฎีกำเดียวมำแต่งคำถำม ธงคำตอบคงต้องเป็นไปตำมท่ีศำลฎีกำ
วินจิ ฉัย เพรำะหำกธงคำตอบไม่ตรงกับฎกี ำกรรมกำรคงจะเถยี งกันมำกกวำ่ ผู้สอบเสียอกี
ฎีกาท่ี ๘๒๐/๒๕๕๘ ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ และความผิดฐาน
เอาไปเสียซึ่งเอกสารตาม ป.อ. มาตรา ๑๘๘ นั้น แตกต่างกัน การกระทาของจาเลยจะเป็นความผิด
ฐานใดน้ัน ต้องขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของแต่ละความผิดนั้น เม่ือจาเลยเป็นผู้ครอบครองเช็คพิพาท
โดยโจทก์เป็นผู้มอบการครอบครองให้แก่จาเลย การที่จาเลยเอาเช็คพิพาทของโจทก์ไปเรียกเก็บเงิน
นอกจากเป็นความผิดฐานยักยอกแล้ว ย่อมเป็นการกระทาให้เช็คพิพาทน้ันไร้ประโยชน์ที่จะใช้ได้อีก
การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อ่ืนตาม ป.อ. มาตรา ๑๘๘
อกี บทหนึง่ ด้วย
ฎีกาท่ี ๖๘๒๐/๒๕๕๒ ฎ.๑๙๕๖ การที่จาเลยเอาไปเสียซ่ึงเอกสารบัตรเครดิตวีซ่าการ์ด
ของบริษัท บ. อันเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ และเอกสารตาม ป.อ. มาตรา ๑ (๗) ซึ่งออกให้แก่ น.
ในประการท่ีนา่ จะเกิดความเสียหายแก่ น. และบริษัท บ. แลว้ การกระทาของจาเลยจงึ เปน็ ความผิด
ตามบทบัญญัติมาตรา ๑๘๘
ฎีกาท่ี ๓๐๖๓/๒๕๕๒ ฎ.๘๔๖ จาเลยกับพวกร่วมกันนาเอาโฉนดที่ดินของผู้เสียหายและ
แบบพิมพ์หนังสือมอบอานาจท่ีมีเพียงลายมือชื่อของผู้เสียหายลงไว้ในช่องผู้มอบอานาจไปโดย ไม่ได้
รบั อนุญาต แล้วนาไปกรอกขอ้ ความว่าผเู้ สียหายมอบอานาจให้จาเลยย่ืนขอจดทะเบียนโอนท่ีดินของ
ผู้เสียหายให้แก่จาเลยโดยเสน่หา เป็นการกระทาความผิดฐานทาให้เสียหาย ทาลาย ซ่อนเร้น
เอาไปเสีย หรือทาให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสารของผู้อื่น ตาม ป.อ. มาตรา ๑๘๘ และ
เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๔ วรรคสอง และมาตรา
๒๖๘ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๒๖๔ วรรคสอง และมาตรา ๘๓
ฎีกาท่ี ๘๔๕๐/๒๕๔๘ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๒๒๙ ความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นตาม
ป.อ. มาตรา ๑๘๘ เป็นความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม กฎหมายมุ่งคุ้มครองเอกสารที่เป็น
พยานหลักฐานในทานองเดียวกับพินัยกรรมเป็นสาคัญ มิได้มุ่งถึงกรรมสิทธ์ิหรือสิทธิในการเป็น
เจ้าของกระดาษหรือวัตถุที่ทาให้ปรากฏความหมายเป็นเอกสาร ซ่ึงมีบทบัญญัติว่าด้วยความผิด
เก่ียวกับทรัพยไ์ ว้เป็นการท่ัวไปอยู่แล้ว คาว่า "เอาไปเสีย" ตามมาตรา ๑๘๘ จึงมไิ ด้มีความหมายเป็น
อย่างเดียวกับคาว่า "เอาไปเสีย" ท่ีใช้ในความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๔ แต่หมายถึงเอาไป
จากท่ีเอกสารน้ันเคยอยู่ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนท่ีอาจต้องขาด
เอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐาน แต่ใบเสร็จรับเงินและใบกากับภาษีตามฟ้อง เป็นเอกสารท่ีโจทก์รว่ ม
จัดทาข้ึนมอบให้แก่จาเลยท่ี ๑ นาไปใช้เก็บเงินค่าสินค้าซึ่งหากลูกค้าชาระค่าสินค้า จาเลยท่ี ๑
จะต้องมอบใบเสร็จรับเงินและใบกากับภาษีให้แก่ลูกค้าไป ส่วนสมุดบัญชีเงินฝากนั้น โจทก์ร่วม
284
เปดิ บัญชเี พื่อประโยชนใ์ นการหักทอนบัญชีหนีส้ ินระหวา่ งโจทก์ร่วมกับจาเลยที่ ๑ ที่เกดิ จากกิจการที่
จาเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนจาหน่ายสินค้าให้แก่โจทก์ร่วม ดังนั้น แม้ต่อมาโจทก์ร่วมได้ถอนจาเลยท่ี ๑
ออกจากการเป็นตวั แทนจาหน่ายสินค้าของโจทกร์ ่วม ทาให้สญั ญาตัวแทนระงับส้ินไป จาเลยที่ ๑ มี
หน้าท่ีต้องส่งคืนใบเสร็จรับเงินและใบกากับภาษี รวมท้ังสมุดบัญชีเงินฝากตามฟ้องให้แก่โจทก์ร่วม
แต่จาเลยที่ ๑ ยึดหนว่ งไวไ้ ม่ยอมส่งคนื อันเปน็ การกระทาทถี่ ือไดว้ ่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์รว่ ม
ทาให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหาย ก็เป็นเร่อื งท่ีจาเลยท่ี ๑ จะต้องรับผิดในทางแพ่ง ตามพฤติการณ์
ท่ีโจทก์และโจทก์ร่วมนาสืบมาดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจาเลยท่ี ๑ กระทาความผิดฐานเอาไปเสียซ่ึง
เอกสารของผอู้ ่ืนตาม ป.อ. มาตรา ๑๘๘
ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๑๙๐
ฎีกาที่ ๘๓๑๕/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๑๖๖ ความหมายของคาว่า เจา้ พนกั งานตาม ป.อ. นั้น
นอกจากกฎหมายระบุไว้ชัดว่าเป็นเจ้าพนักงานแล้ว ยังหมายความรวมถึงบุคคลซ่ึงได้รับแต่งต้ังให้
ปฏบิ ัตหิ น้าทีร่ าชการไมว่ า่ จะเป็นประจาหรือครง้ั คราวและไม่ว่าจะได้รับค่าตอบแทนหรือไม่ ภ. ผรู้ ่วม
จับกุมจาเลยเป็นพนักงานราชการ ทาหน้าท่ีหัวหน้าหน่วยพิทักษ์อุทยาน มีหน้าท่ีในการจับกุม
ผู้กระทาความผิดเกย่ี วกบั ป่าไม้ ภ. จงึ เป็นบคุ คลท่ีได้รบั แตง่ ตั้งใหป้ ฏบิ ัติหน้าที่ราชการ มีหน้าทีใ่ นการ
จับกุมผู้กระทาความผิดเกี่ยวกับป่าไม้ ภ. จึงเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอานาจสืบสวนคดีอาญาในความผิด
เกี่ยวกับป่าไม้ การที่จาเลยสลัดเชือกหลุดแล้ววิ่งหลบหนี จึงเป็นการหลบหนีที่ถูกคุมขังตามอานาจ
ของเจ้าพนักงานผู้มีอานาจสืบสวนคดีอาญา ไม่จาต้องมีการแจ้งขอ้ กล่าวหาและสทิ ธิตามกฎหมายแก่
จาเลยก่อนแต่อย่างใด จาเลยมีความผิดฐานหลบหนีระหว่างท่ีถูกคุมขังตามอานาจของเจ้าพนักงาน
ผู้มีอานาจสืบสวนคดอี าญา
ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๑๙๑
ฎีกาท่ี ๗๓๒๒/๒๕๕๗ ขณะเกิดเหตุดาบตารวจ บ. และดาบตารวจ ส. แต่งกายใน
เครื่องแบบเจ้าพนักงานตารวจ พกพาอาวุธปืนส้ันแบบเปิดเผย กาลังมอบหมายให้ อ. ซ่ึงเป็นผู้ช่วย
เจ้าพนักงานดาเนินการจับกุม ส. โดยทาการใส่กุญแจมือ ส. ได้เพียงข้างเดียว แล้ว ส. ด้ินรนขัดขืน
พฤติการณ์ท่ีเกิดข้ึนในขณะนั้นใครเห็นก็ต้องทราบดีว่า ส. กาลังถูกเจ้าพนักงานตารวจจับกุมอยู่
ไม่จาเป็นที่จาเลยจะต้องทราบว่า ส. ถูกเจ้าพนักงานตารวจจับกุมในข้อหาอะไร ข้อเท็จจริงเช่ือว่า
จาเลยทราบดีว่าเจ้าพนักงานตารวจและ อ. กาลังเข้าจับกุม ส. อยู่ จาเลยเข้ามาช่วย ส. โดยช่วย
ดึงแขนดาบตารวจ บ. และดาบตารวจ ส. จนเป็นเหตุให้ดาบตารวจ บ. หกล้ม อาวุธปืนสั้นหล่นลง
ท่ีพื้น การกระทาของจาเลยเป็นความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าท่ีและ
เปน็ การกระทาโดยใช้กาลังประทุษร้ายตาม ป.อ. มาตรา ๑๓๘ วรรคสองแลว้ แต่เจ้าพนักงานตารวจ
285
และ อ. ยังไมส่ ามารถจับกุม ส. ได้ จงึ ฟังไม่ได้ว่า ส. ถกู คุมขังอยใู่ นอานาจของเจ้าพนักงานผู้มอี านาจ
สบื สวนคดีอาญา การกระทาของจาเลยจึงไม่เปน็ ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๙๑
ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๙๘
ฎีกาท่ี ๑๐๖๑๑/๒๕๕๕ ฎ.๑๐๙๒ คาส่ังศาลปกครองกลางท่ีกาหนดมาตรการและวิธีการ
คุ้มครองบรรเทาทุกข์ช่ัวคราวก่อนการพิพากษาตามพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองและ
วธิ พี ิจารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๖๖ ประกอบระเบียบของท่ีประชมุ ใหญ่ในศาลปกครอง
สูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ข้อ ๗๗ ท่ีให้นาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพ่ง ลักษณะ ๑ ของภาค ๔ ว่าด้วยวิธีการช่ัวคราวก่อนพิพากษามาใช้ เป็นการกระทาตามท่ี
บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อันเก่ียวด้วยคดีซึ่งศาลได้กระทาต่อคู่ความ
ฝ่ายหน่ึงและเป็นกระบวนพิจารณาก่อนท่ีศาลช้ีขาดตัดสินคดี อันเป็นการพิจารณาคดีของศาล แต่ก็
แ ย ก พิ จ า ร ณ า ได้ เป็ น อี ก ส่ ว น ห น่ึ งจ า ก ก า ร พิ จ า ร ณ า พิ พ า ก ษ า ใน เน้ื อ ห า แ ห่ งค ดี ที่ ฟ้ อ ง ร้ อ งกั น
ทั้งกระบวนพิจารณาของศาลปกครองกลางในการออกคาสั่งได้เสร็จส้ินไปแล้ว เหลือแต่ผลบังคับ
ถึงจาเลยที่ ๒ ให้ต้องปฏิบัติตามเป็นการช่ัวคราวก่อนที่คดีที่ฟ้องร้องกันจะมีคาพิพากษาถึงท่ีสุด
หากจาเลยท่ี ๒ ซ่ึงทราบคาสั่งแล้วไม่ปฏิบัติตาม และยังฝ่าฝืนก่อสร้างอาคารจนเสร็จ กระบวน
พิจารณาท่ีเสร็จสิ้นไปแล้วก็ไม่อาจถูกขัดขวางทาให้ไม่สะดวกหรือต้องติดขัดจากการกระทาดังกล่าว
ทั้งการพิจารณาพิพากษาในเนื้อหาแห่งคดีท่ีฟ้องร้องกันยังสามารถดาเนินการต่อไปได้เป็นอีก
ส่วนหนง่ึ การกระทาของจาเลยที่ ๒ ตามฟ้องท่ีฝ่าฝืนคาส่ังศาลปกครองกลางที่กาหนดมาตรการและ
วิธีการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ช่ัวคราวก่อนพิพากษา จึงไม่เป็นการขัดขวางการพิจารณาคดี
ของศาลอนั จะเปน็ ความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๙๘
ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๑๙๙
ฎีกาท่ี ๑๐๒๗๘/๒๕๕๕ ฎ.๒๓๒๓ จาเลยเกลี่ยดินกับข้ีเถ้ากลบคราบเลือดของผู้ตาย
ท่ีบริเวณใต้ถุนบ้านของจาเลย เพื่อปิดบังและอาพรางการกระทาความผิดของตน การท่ีจาเลย
ลากศพผู้ตายไปไว้ท่ีถนนสาธารณะหน้าบ้านห่างออกไปประมาณ ๓๐ เมตร แม้บริเวณน้ันไม่อาจ
ปิดบังการตายได้ แต่เป็นการกระทาเพ่ือปิดบังเหตุแห่งการตายและเพื่ออาพรางการกระทาความผิด
ของตน การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานเคลื่อนย้ายศพเพื่อปิดบังเหตุแห่งการตายและเพื่อ
อาพรางคดตี าม ป.อ. มาตรา ๑๙๙ ป.วิ.อ. มาตรา ๑๕๐ วรรคสอง
ฎีกาท่ี ๒๗๙๒/๒๕๖๐ ฎ.๔๒๒ จาเลยที่ ๓ มีเจตนาร่วมทาร้ายผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ตั้งแต่แรกที่จาเลยที่ ๒ ได้ขอให้จาเลยที่ ๓ ช่วยเหลือก่อนเกิดเหตุแล้ว จาเลยท่ี ๓ มีความผิดเพียง
ฐานร่วมกันทาร้ายร่างกายผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อนซึ่งเป็นความผิดลักษณะหนึ่งใน ป.อ. มาตรา
286
๒๘๙ ตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๖ อันเป็นความผิดอย่างหนึ่งที่เป็นความผิดได้ในตัวเองในหลายอย่าง
ท่ีรวมอยู่ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามฟ้องและมีอัตราโทษน้อยกว่า
ศาลยอ่ มลงโทษในความผดิ ตามที่พิจารณาได้ความไดต้ าม ป.ว.ิ อ. มาตรา ๑๙๒ วรรคทา้ ย
จาเลยท่ี ๒ ใช้เชอื กรัดคอผู้ตายจนถึงแกค่ วามตาย ณ สถานท่ีท่ีจาเลยท่ี ๒ นารถยนต์กระบะ
มาจอดท้ิงไว้ เน่ืองจากผู้ตายฟ้ืนขึ้นยังไม่ตาย จากนั้นก็ไม่มีการเคล่ือนย้ายผู้ตายไปท่ีใดอีก แสดงว่า
ระหว่างท่ีจาเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ ยกผู้ตายมาไว้ในรถยนต์จนถึงเวลาที่จาเลยท่ี ๒ ขับรถยนต์ไปจอด
ทิ้งไว้ท่ีอื่นก่อนท่ีจาเลยที่ ๒ จะฆ่าผู้ตายท่ีน่ัน ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ การเคล่ือนย้ายผู้ตายไปยังสถานที่
ดังกล่าวไม่ใช่เป็นการเคล่ือนย้ายศพตามฟ้อง การกระทาของจาเลยท่ี ๒ ท่ี ๓ ไม่เป็นความผิดฐาน
ร่วมกันเคลื่อนย้ายศพเพื่อปิดบังการเกิด การตาย หรือเหตุแห่งการตาย กับฐานเคลื่อนย้ายศพ
โดยไม่มเี หตุอันสมควรตาม ป.อ. มาตรา ๑๙๙ และมาตรา ๓๖๖/๓ ประกอบมาตรา ๘๓
ฎีกาที่ ๑๓๒๖๒/๒๕๕๘ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๘๕ เมื่อจาเลยท่ี ๑ ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแล้ว จาเลย
ที่ ๒ และท่ี ๓ ไปส่ง บ. ที่บ้านแล้วย้อนกลับไปยังกระท่อมท่ีเกิดเหตุอีกครั้งหนึ่ง และร่วมกับจาเลย
ที่ ๑ ยกรา่ งของผูต้ ายข้ึนรถกระบะคันเกดิ เหตุ ทั้งขณะท่จี าเลยท่ี ๑ นาฟางมาคลุมร่างของผ้ตู ายและ
นายางในรถยนต์มาวางทับ แล้วตระเตรียมน้ามันเช้ือเพลิงข้ึนรถกระบะนั้น จาเลยที่ ๒ และที่ ๓
ก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย จาเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ ย่อมคาดหมายได้ว่าจาเลยที่ ๑ จะต้องจุดไฟเผารถ
กระบะคันเกิดเหตุและร่างของผู้ตายเพื่ออาพรางคดี จากนั้นจาเลยท่ี ๓ ก็นั่งไปด้วยในรถกระบะ
ที่จาเลยที่ ๑ ขับ โดยมีจาเลยท่ี ๒ ขับรถอีกคันหน่ึงแล่นติดตามไป แล้วจาเลยท้ังสามร่วมกันจุดไฟ
เผารถกระบะคันเกิดเหตุพร้อมร่างของผู้ตายซึ่งอยู่ในรถดังกล่าว การท่ีจาเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกัน
จุดไฟเผารถกระบะคันเกิดเหตุโดยเข้าใจว่าผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว เป็นการกระทาโดยไม่รู้
ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จึงไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย แต่การกระทาของจาเลยที่ ๒
และที่ ๓ หาได้ใช้ความระมัดระวังตรวจดูให้ดีก่อนว่าผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วหรือไม่ ซึ่งบุคคล
ในภาวะเช่นจาเลยที่ ๒ และที่ ๓ จักตอ้ งมีตามวิสัยและพฤติการณ์แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอ จาเลยที่ ๒
และท่ี ๓ จึงมีความผิดฐานกระทาโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อ่ืนถึงแก่ความตาย และฐานร่วมกัน
วางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อน่ื
ความผิดฐานร่วมกันซ่อนเร้น ย้าย หรือทาลายศพเพื่อปิดบังเหตุแห่งการตายตาม ป.อ.
มาตรา ๑๙๙ น้ัน การกระทาที่จะเป็นความผิดฐานน้ี ผู้กระทาจะต้องซ่อนเร้น ย้าย หรือทาลายศพ
ซึ่งหมายความถึงร่างกายของคนท่ีตายแล้ว แต่เมื่อขณะท่ีผู้ตายถูกเผา ผู้ตายยังไม่ถึงแก่ความตาย
ร่างกายของผู้ตายในขณะนั้นจึงไม่ใช่ศพ ย่อมไม่อาจถือได้ว่าจาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ร่วมกันซ่อนเร้น
ย้ายหรือทาลายศพอันเป็นองค์ประกอบความผิด การกระทาของจาเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงไม่เป็น
ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๑๙๙
287
ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๒๐๐
ฎีกาที่ ๓๑๓๐/๒๕๕๖ ฎ. ๒๔๓๐ จาเลยซ่ึงเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบแก้ไข
ข้อความในสานวนการสอบสวนหลังจากที่จาเลยเสนอสานวนการสอบสวนที่มีความเห็นส่ังฟ้อง ส.
ผู้ต้องหา ให้พันตารวจโท พ. และพันตารวจเอก น. ผู้บังคับบัญชาตามลาดับชั้นลงช่ือในสานวน
การสอบสวนเพื่อส่งสานวนและความเห็นไปยังพนักงานอัยการแล้ว หาใช่เป็นการแก้ไขก่อนจาเลย
เสนอสานวนต่อบุคคลทั้งสองไม่ ท้ังจาเลยมิได้ส่งสานวนพร้อมด้วยความเห็นไปให้พนักงานอัยการ
ตามขั้นตอนตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๔๒ และหลังจากที่ได้รับคาสั่งย้ายไปรับราชการท่ีอ่ืน จาเลยยังนา
สานวนการสอบสวนติดตวั ไปด้วย ทั้ง ๆ ทีเ่ ป็นเอกสารทีต่ ้องอยู่ในระบบราชการของสถานีตารวจภูธร
มใิ ช่ทรัพย์สนิ ส่วนตัวหรือเป็นเอกสารทตี่ อ้ งติดตัวจาเลยไปดว้ ย การทจ่ี าเลยเกบ็ สานวนไวท้ ี่ตวั เชอื่ ว่า
เพ่ือปกปิดซ่อนเร้นเรื่องท่ีจาเลยแก้ไขสานวนการสอบสวนโดยมิชอบ พฤติการณ์ของจาเลยเป็นพิรุธ
ผิดวิสัยของพนักงานสอบสวนที่ปฏิบัติราชการตามอานาจหน้าท่ีโดยสุจริตอย่างตรงไปตรงมา
อันมีเห ตุซึ่งเช่ือได้ ว่าจาเลยแก้ไขข้อความ ในสานวนการส อบ สวนจากเดิมท่ี มีความเห็น ส่ังฟ้อ ง
เป็นส่ังไม่ฟ้อง ก็เพ่ือช่วยเหลือ ส. ผู้ต้องหามิให้ต้องโทษ การกระทาของจาเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน
ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด จึงเป็นความผิด
ตาม ป.อ. มาตรา ๑๕๗ และยังถือว่าเป็นเจ้าพนักงานในตาแหน่งพนักงานสอบสวนกระทาการหรือ
ไม่กระทาการอย่างใด ๆ ในตาแหน่งโดยมิชอบเพ่ือช่วยเหลือบุคคลหนึ่งบุคคลใดมิให้ต้องโทษหรือ
ใหร้ บั โทษนอ้ ยลงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๐๐ วรรคแรก อีกด้วย
ฎกี าน่าสนใจมาตรา ๒๐๖
ฎีกาที่ ๗๑๒๕/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๖๒ จาเลยให้บุคคลหน่ึงทาป้ายที่มีข้อความว่า
“ทองเหลืองหล่อน้ี ไม่ใช่พุทธเจ้าแน่ ไม่ต้องกราบมัน”ีติดท่ีฐานองค์พระพุทธรูป กับจาเลยใช้
เท้าเหยียบฐานของพระพุทธรูปและใช้มือตบที่บริเวณพระพักตร์ของพระพุทธรูปนั้น เป็นการกระทา
ท่ีไม่สมควร ไม่เคารพต่อพระพุทธรูปอันเป็นท่ีเคารพในทางศาสนาพุทธ อันเป็นการเหยียดหยาม
ศาสนา จาเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๐๖
ฎีกาที่ ๑๘๐๗/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๓ น.๖๔ พระพุทธรูปเป็นท่ีเคารพสกั การะในทางศาสนาของ
ประชาชนผู้นับถือศาสนาพุทธทั่วไป การกระทาของจาเลยตามที่ปรากฏในภาพถ่าย จาเลยแต่งกาย
เป็นภิกษุแล้วใช้เท้าข้างหน่ึงยืนอยู่บนฐานพระพุทธรูปปางห้ามญาติ โดยเท้าจาเลยอยู่บนส่วนหนึ่ง
ของพระบาทพระพุทธรูปยกมือขวาข้ึนเลียนแบบพระพุทธรูป ส่วนใบหน้าของจาเลยแสดงท่าทาง
ล้อเลียนถลึงตาอ้าปากเช่นนี้ นอกจากจะเป็นการไม่เคารพต่อพระพุทธรูปแล้ว จาเลยยังได้แสดงตน
เสมอกับพระพุทธรูป จึงเป็นการกระทาอันไม่สมควรและเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามพุทธศาสนา
จาเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง ท่ีจาเลยอ้างว่า จาเลยทาพิธีรักษาโรคโดยน่ังเพ่งกระแสจิตเกิดตัวลอย
ข้ึนไปยืนอยู่บนฐานพระพุทธรูปไม่มีเจตนาล้อเลียนน้ัน เป็นข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผลและ
288
ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนนุ ไมม่ นี ้าหนักหกั ลา้ งพยานหลกั ฐานโจทก์ได้
ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๒๐๙
ฎกี าที่ ๓๒๗๙/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๑๐ จาเลยกับพวกมไิ ด้มีเจตนาทจ่ี ะประกอบการบริษัท
อ. ในอาคารที่เกิดเหตุอย่างแท้จริง การนาช่ือของบริษัทที่เป็นสานักงานทนายความไปติดต้ังไว้ที่
อาคารด้านหน้าโดยต่อมามีการเช่าอาคารส่วนกลางและด้านหลังเพ่ือการเล่นพนันไพ่บาการา จึงมี
เหตุผลท่ีเช่ือได้ว่าเป็นเพียงการบังหน้าเพ่ือให้เจ้าพนักงานตารวจเกรงกลัวและไม่กล้าเข้าไปค้น
พฤติการณ์ในการกระทาของจาเลยกับพวกจึงเป็นการรวมกลุ่มกันเพ่ือจัดให้มีการเล่นการพนัน
ไพ่บาการาในอาคารท่ีเกิดเหตุ โดยนาช่ือบริษัทซ่ึงเป็นสานักงานทนายความและชมรมมาบังหน้าเพื่อ
จัดให้มีการเล่นการพนันมาแต่ต้น จาเลยกับพวกเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดาเนินการ
และมีความม่งุ หมายเพ่ือการอันมชิ อบด้วยกฎหมาย อนั เปน็ การกระทาความผิดฐานเป็นองั้ ย่ี
ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๒๑๐
ฎีกาท่ี ๕๖๘๒/๒๕๕๙ การกระทาความผิดฐานเป็นอ้ังยี่ตาม ป.อ. มาตรา ๒๐๙ เป็น
ความผิดสาเร็จทันทีเม่ือผู้นั้นได้เข้าเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซ่ึงปกปิดวิธีดาเนินการและมีความ
มุ่งหมายเพ่ือการอันมิชอบ ทั้งยังเป็นความผดิ ต่อเนื่องติดตอ่ กันตลอดมา ตราบใดท่ีผูก้ ระทาความผิด
ฐานเป็นอั้งยี่ยังคงเป็นสมาชิกของคณะบุคคลดังกล่าว เมื่อคณะบุคคลท่ีจาเลยท้ังเจ็ดเข้าร่วมเป็น
สมาชิกตามท่ีโจทก์บรรยายฟ้องในคดีนี้ กับคณะบุคคลท่ีจาเลยที่ ๑ และที่ ๓ ถึงท่ี ๕ เข้าร่วมเป็น
สมาชกิ ตามท่ีโจทก์บรรยายฟ้องในคดีกอ่ นเป็นคณะบุคคลเดียวกนั และช่วงระยะเวลาที่จาเลยท้ังเจ็ด
สมคั รเป็นสมาชิกของคณะบุคคลดงั กล่าวอยู่ในช่วงระยะเวลาเดียวกันกบั ระยะเวลาที่จาเลยที่ ๑ และ
จาเลยที่ ๓ ถึงท่ี ๕ สมัครเปน็ สมาชกิ ของคณะบุคคลในคดีดังกล่าว ความผิดฐานเป็นอั้งยี่ท่ีโจทก์ฟ้อง
จาเลยท่ี ๑ และที่ ๓ ถึงที่ ๕ ในคดีน้จี ึงเปน็ ฟอ้ งซา้ หรือเปน็ ฟ้องซอ้ นกับคดดี ังกล่าว
ความผิดฐานเป็นซ่องโจรตาม ป.อ. มาตรา ๒๑๐ เป็นความผิดสาเร็จเมื่อมีการสมคบกัน
ตั้งแต่ห้าคนข้ึนไป เพื่อกระทาความผิดอย่างหน่ึงอย่างใดตามท่ีบทบัญญัติไว้ในภาค ๒ ของ ป.อ.
ความผิดฐานเป็นซอ่ งโจรจงึ เป็นขั้นตอนการกระทาความผิดท่ียกระดับจากความผิดฐานเป็นอ้งั ย่ี โดย
มีการกระทาถึงขั้นคบคิดหรือตกลงกันหรือประชุมหรือตกลงกันเพื่อกระทาความผิด ส่วนความผิด
ฐานร่วมกันก่อการร้ายตาม ป.อ. มาตรา ๑๓๕/๒ (๒) จะเป็นความผิดต่อเมื่อผู้กระทาได้สะสมกาลัง
พลหรืออาวุธ จัดหาหรือรวบรวมทรัพย์สิน ให้หรือรับการฝึกการก่อการร้าย หรือการกระทาอ่ืนใด
ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๓๕/๒ (๒) อันเป็นการยกระดับจากความผิดฐานเป็นอ้ังยี่เช่นกัน แม้
ความผิดฐานเป็นซ่องโจรและความผิดฐานร่วมกันก่อการร้ายอาจเป็นความผิดกรรมเดียวกันได้หาก
เป็นการสมคบกันต้ังแต่ห้าคนข้ึนไป เพ่ือก่อการร้ายซ่ึงเป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในภาค ๒ ของ
289
ป.อ. แต่วันเวลาและสถานท่ีเกิดเหตุซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องเก่ียวกับการกระทาความผิดฐานเป็น
ซ่องโจรและฐานร่วมกันก่อการร้ายในคดีน้ีต่างจากวันเวลาและสถานท่ีเกิดเหตุท่ีโจทก์บรรยายฟ้อง
เก่ยี วกับการกระทาความผิดฐานเป็นซ่องโจรและฐานรว่ มกันก่อการร้ายในคดีกอ่ น และเจตนาในการ
กระทาความผิดคดีนี้ต่างกับเจตนาในการกระทาความผิดที่โจทก์ฟ้องในคดีก่อน ฟ้องโจทก์ใน
ความผิดฐานเป็นซ่องโจรและฐานร่วมกันก่อการร้ายคดีนี้เป็นการกระทาความผิดต่างกรรมกันกับ
ความผดิ ฐานเปน็ ซอ่ งโจรและฐานรว่ มกนั ก่อการร้ายในคดกี ่อน จงึ ไม่เปน็ ฟ้องซอ้ นหรือฟ้องซ้ากับฟ้อง
ในความผดิ ฐานเปน็ ซ่องโจรและฐานร่วมกนั ก่อการร้ายในคดดี งั กล่าว
เม่ือการกระทาความผิดฐานเป็นซ่องโจรในคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องและนาสืบว่า จาเลยที่ ๑
ที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๗ สมคบกันต้ังแต่ห้าคนขึ้นไป เพ่ือกระทาการก่อการร้าย และลงมือกระทา
ความผิดฐานก่อการร้ายโดยร่วมกันมีวัตถุระเบิด ดังนี้ การกระทาความผิดฐานเป็นซ่องโจรและ
ความผิดฐานร่วมกันก่อการร้ายในคดีนี้จึงเป็นกระทาความผิดโดยมีเจตนาเดียวกันในการกระทา
ความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวอันถือเป็นความผิดกรรมเดียวตาม ป.อ. มาตรา ๙๐ ส่วนการกระทา
ความผิดฐานเป็นอั้งยี่ และฐานเป็นซ่องโจรเป็นการกระทาความผิดที่ยกระดับถึงข้ันมีการสมคบกัน
เพอ่ื กระทาความผดิ ไม่วา่ โดยร่วมกันคบคิดหรือวางแผนเพื่อกระทาความผดิ ตามท่บี ัญญัตไิ ว้ในภาค ๒
ของ ป.อ. ดังนั้น การกระทาความผิดฐานเป็นอั้งย่ี และฐานเป็นซ่องโจรจึงเป็นการกระทาความผิดท่ี
ผกู้ ระทาความผดิ มีเจตนาต่างกนั อันเป็นความผิดหลายกรรมตา่ งกนั
ฎีกาท่ี ๔๙๕๓/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๖๐ จาเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๖ ไม่อาจทาให้แผนการที่
สมคบกันเพื่อฉ้อโกง ว. สาเร็จได้โดยลาพัง ต้องมีผู้ร่วมขบวนการดาเนินการตามแผนการทาทีเป็น
เล่นการพนัน เมื่อ ว. หลงกลเดินทางไปยังท่ีนัดพบพร้อมเงินสดท่ีนาติดตัวไป ก็จะถูกหลอกล่อให้ ว.
เข้าร่วมเล่นพนันจึงจะสามารถเอาเงิน ว. ไปได้ อันมีลักษณะเป็นการแบ่งหน้าที่กันทา ฟังได้ว่า
จาเลยท่ี ๑ ที่ ๒ และที่ ๖ ร่วมกับพวกอีก ๘ คนคบคิดร่วมประชุมปรึกษาหารือกันท่ีโรงแรม
ที่เกิดเหตุเพื่อทาการฉ้อโกงทรัพย์ของ ว. และความผิดฐานซ่องโจรตาม ป.อ. มาตรา ๒๑๐ น้ัน
ผู้กระทาต้องมีจานวนต้ังแต่ห้าคนข้ึนไปสมคบกันเพ่ือกระทาความผิด โดยร่วมคบคิดกันหรือ
แสดงออกซ่ึงความตกลงจะร่วมกันกระทาความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค ๒ แห่ง
ประมวลกฎหมายอาญาและความผิดน้นั มีกาหนดโทษจาคุกอย่างสูงตัง้ แต่หนง่ึ ปขี น้ึ ไป เม่อื จาเลยที่ ๑
ที่ ๒ และที่ ๖ ร่วมกับพวกซ่ึงมีจานวนรวมกันแล้วเกินกวา่ ๕ คน คบคิดรว่ มประชุมปรึกษาหารือกัน
เพื่อฉ้อโกงทรัพย์ของ ว. ความผิดฐานฉ้อโกงเป็นความผิดท่ีบัญญัติไว้ในภาค ๒ แห่งประมวล
กฎหมายอาญา และมีกาหนดโทษจาคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีข้ึนไป การกระทาของจาเลยที่ ๑ ที่ ๒
และที่ ๖ ครบองค์ประกอบความผิด จึงมีความผิดฐานซ่องโจรตาม ป.อ. มาตรา ๒๑๐ วรรคแรก
แม้ศาลล่างท้ังสองให้ยกฟ้องจาเลยที่ ๓ ถึงท่ี ๕ และท่ี ๗ ถึงท่ี ๑๐ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัย
ให้จาเลยดังกล่าว เป็นดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานที่เก่ียวกับจาเลยแต่ละคนของศาลล่าง
ทัง้ สองว่าพยานหลักฐานของโจทก์พอฟังลงโทษได้หรือไม่เท่านั้น แต่ไม่เก่ียวกับจาเลยที่ ๑ ที่ ๒ และ
ท่ี ๖ และไม่ผูกพันศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจรงิ เก่ียวกบั จาเลยท่ี ๑ ท่ี ๒ และท่ี ๖ ตามศาลลา่ งท้ังสอง
290
การกระทาของจาเลยที่ ๑ ท่ี ๒ และท่ี ๖ จึงไม่ขาดองค์ประกอบความผดิ เพราะมีบุคคลไม่ครบตัง้ แต่
ห้าคนขึ้นไปดังท่ีศาลอุทธรณ์วนิ จิ ฉยั
ฎีกาที่ ๓๘๘๐/๒๕๕๖ ฎ. ๗๓๘ จาเลยเป็นสมาชิกกลุ่มก่อความไม่สงบต้องการแบ่งแยก
รัฐปัตตานีร่วมสมคบกนั วางแผนกระทาการใด ๆ อันก่อให้เกดิ อันตรายตอ่ ทรัพย์สิน ชีวติ หรือร่างกาย
แล้วจาเลยร่วมกับคนร้ายอีก ๔ คน ใช้อาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ซุ่มยิง
ผู้เสียหายท้ังแปดซ่ึงเป็นเจ้าพนักงานขณะกระทาการตามหน้าที่ขับรถจักรยานยนต์ไปคุ้มครองครู
แต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหายทั้งแปด เป็นการสร้างความป่ันป่วนให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่
ประชาชนอันเป็นส่วนของแผนการเพ่ือก่อการร้าย โดยแบ่งแยกหน้าท่ีกันทา การกระทาของจาเลย
จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนท่ีนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง
ตาม พ.ร.บ. อาวุธปนื ฯ มาตรา ๗๘ วรรคหน่ึง ฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวในการกระทาความผิด
ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ มาตรา ๗๘ วรรคสาม ฐานร่วมกันพยายามฆ่า
เจ้าพนักงานโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฐานร่วมกันก่อการร้าย ฐานร่วมกันกระทาการอันเป็นส่วนของ
แผนการก่อการร้าย ฐานร่วมกันเป็นอ้ังยี่ และฐานเปน็ ซ่องโจร
291
ม่ัวสุมเพอื่ กระทาความผิด
ข้อ ๕๗ คาถาม นายเอกกับพวก ๑๐ คน เป็นแกนนาในการชุมนุมเพ่ือจะอภิปรายหน้า
ที่วา่ การอาเภอตากใบ ในหัวข้อ "กีฬาหรอื การพนัน" เพื่อระดมความคิดเห็นต่อโครงการถ่ายทอดสด
ฟุตบอลใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของ "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา" โดยมี
ชาวบ้านมาฟังการอภิปรายประมาณ ๑๐๐ คน นายโทซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน เกรงว่านายเอกกับพวก
และผู้ชุมนุมจะก่อความวุ่นวาย จึงมีคาส่ังให้นายเอกกับพวกยกเลิกการอภิปราย และให้ชาวบ้าน
แยกย้ายกันกลับบ้านไป แต่นายเอกกับพวกไม่ยอมหยุด โดยได้อภิปรายให้ชาวบ้านฟังต่อไปว่า
"นายกรัฐมนตรีแก้ปัญหาภาคใตไ้ ม่ได้ ที่ผ่านมาก็เดินหลงทางมาตลอด" และ "นายกรัฐมนตรีกาลังจะ
สร้างปญั หาใหม่" ขอให้ชาวบ้านช่วยกนั ส่งจดหมายไปตู้แดงนายกรัฐมนตรี เพื่อใหม้ ีคาส่ังยกเลิกเรื่อง
ดงั กล่าว นายโทไม่พอใจที่นายเอกกับพวกไม่ทาตามคาส่ัง จึงใช้กาลังเจ้าหน้าที่ตารวจจับกมุ นายเอก
และไล่ชาวบ้านใหก้ ลับบา้ นไปส่วนพวกของนายเอกหนีไปได้ทงั้ หมด
ใหว้ นิ จิ ฉยั วา่ นายเอกมีความรบั ผดิ ทางอาญาฐานใด หรือไม่
คาตอบ นายเอกกับพวกเป็นแกนนาในการชุมนุม แม้จะมีการอภิปรายให้ชาวบ้านช่วยกัน
ส่งจดหมายไปตู้แดงนายกรัฐมนตรี เพื่อให้มีคาสั่งยกเลิกโครงการถ่ายทอดสดฟุตบอล จะเป็นการ
มั่วสุมกันต้ังแต่สิบคนข้ึนไป แต่นายเอกกับพวกไม่ได้ใช้กาลังประทุษร้าย ไม่ได้ขู่เข็ญว่าจะใช้
กาลังประทุษร้าย หรือไม่ได้กระทาการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
เป็นเพียงการชมุ นุมปราศรัยดว้ ยความสงบ ซึง่ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานท่ีประชาชนย่อมกระทาไดต้ าม
รฐั ธรรมนูญ การกระทาของนายเอกจงึ ไม่เป็นความผดิ ฐานมั่วสุมตั้งแต่ ๑๐ คนข้ึนไปตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๒๑๕
นายเอกกับพวกมิได้มั่วสุมโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อกระทาความผิดตามมาตรา ๒๑๕ ดังท่ี
วินิจฉัยมาแล้ว แม้เจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการมั่วสุมแล้วไม่เลิก การกระทาจึงไม่ครบองค์ประกอบ
ความผิดตามมาตรา ๒๑๖ นายเอกก็ไม่มีความผิดตามมาตรา ๒๑๖ (คาพิพากษาฎีกาท่ี ๓๐๕/
๒๕๔๗)
ท่ีนายเอกกับพวกอภิปรายให้ชาวบ้านฟังว่า "นายกรัฐมนตรีแก้ปัญหาภาคใต้ไม่ได้ ท่ีผ่านมา
ก็เดินหลงทางมาตลอด" แม้ข้อความดังกล่าวเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่เป็นการใส่ความ
นายกรัฐมนตรีต่อบุคคลท่ีสาม โดยประการที่น่าจะทาให้นายกรัฐมนตรีเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น
หรือถูกเกลียดชัง แต่บุคคลท่ีดารงตาแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นบุคคลสาธารณะ ต้องทนฟังการ
วิพากษ์วิจารณ์ได้มากกว่าบุคคลทั่วไป การที่นายเอกกับพวกกล่าวข้อความดังกล่าว จึงเป็นการ
แสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม ซ่ึงเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทา
นายเอกจึงไม่มีความผิดฐานหม่ินประมาทตามมาตรา ๓๒๙ (๓)
ส่วนขอ้ ความท่วี ่า "นายกรัฐมนตรีกาลังจะสร้างปัญหาใหม่" ไม่เป็นการใส่ความ เพราะเป็น
การคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคต ไม่ใช่การยืนยันข้อเท็จจริง จึงไม่เป็นการใส่ความ การกระทา
ของนายเอกจึงไม่เป็นการหม่ินประมาท นายเอกจึงไม่มีความผิดฐานหม่ินประมาทตามมาตรา
292
๓๒๖
ฎกี าที่ ๓๐๕/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๑ น.๙๘ จาเลยท่ี ๑ ที่ ๓ และท่ี ๔ กับพวกรวม ๑๐ คน ชุมนุม
ปราศรยั ด้วยความสงบ ไม่มพี ฤติการณ์ว่าจะใชก้ าลงั ประทุษร้าย ขเู่ ข็ญว่าจะใช้กาลังประทุษร้าย หรือ
กระทาการอย่างหน่ึงอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ตามท่ีบัญญัติไว้ในตาม ป.อ. มาตรา
มาตรา ๒๑๕ แสดงว่าจาเลยท่ี ๑ ท่ี ๓ และที่ ๔ กับพวกมิได้มั่วสุมโดยมีเจตนาพิเศษเพ่ือกระทา
ความผิดตามมาตรา ๒๑๕ การกระทาของจาเลยจึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา ๒๑๖
แม้เจ้าพนักงานส่ังให้เลิกการม่ัวสุมแล้วไม่เลิก จาเลยที่ ๑ ที่ ๓ และท่ี ๔ ก็ไม่มีความผิดตามมาตรา
๒๑๖
293
วางเพลงิ เผาทรัพย์
ข้อ ๕๘ คาถาม นายเอกซ้ือน้ามันเบนซินมาหน่ึงถังเพื่อจะนาไปเผาบ้านของนายโท เม่ือ
นายเอกห้ิวถังน้ามันไปถึงหน้าบ้านของนายโท นายเอกเห็นนายโทกาลังเล่นกับบุตรสาวซ่ึงน่ารักมาก
นายเอกสงสารบุตรสาวของนายโท จึงเปล่ยี นใจไม่เผาบา้ นนายโทและห้ิวถงั น้ามันกลับบ้านไป
ให้วินจิ ฉัยว่า นายเอกมคี วามรับผดิ ทางอาญาหรอื ไม่
คาตอบ หลักกฎหมายเร่ืองตระเตรียม พยายาม กลับใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๘๐, ๘๒
การที่นายเอกห้ิวถังน้ามันไปถึงหน้าบ้านของนายโท แม้จะยังไม่ถึงข้ันลงมือกระทา
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐ แต่ก็เป็นการตระเตรียมกระทาความผิด
ซึ่งกฎหมายกาหนดให้การตระเตรียมเพื่อกระทาความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ท่ีเป็นโรงเรือน
ที่คนอยู่อาศัยเป็นความผิด ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับการพยายามกระทาความผิดนั้น ตาม
มาตรา ๒๑๘ (๑) ประกอบมาตรา ๒๑๙ การกระทาของนายเอกจึงครบองค์ประกอบที่กฎหมาย
บญั ญตั ิเป็นความผดิ
แม้การกระทาของนายเอกจะครบองค์ประกอบที่กฎหมายบัญญัติและไม่มีกฎหมาย
ยกเว้นความผิด แต่เมื่อการกระทาความผิดของนายเอกต้องระวางโทษเช่นเดียวกับการพยายาม
กระทาความผิด การท่ีนายเอกเปล่ียนใจไม่เผาบ้านนายโทและหิ้วถังน้ามันกลับบ้านไปเพราะสงสาร
บุตรสาวของนายโท เมื่อกรณีท่ีผู้พยายามกระทาความผิดยับย้ังเสียเองไม่กระทาการให้ตลอด
ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสาหรับการพยายามกระทาความผิดน้ัน นายเอกซึ่งเป็นผู้ตระเตรียมกระทา
ความผิดซ่ึงร้ายแรงน้อยกว่าการพยายามกระทาความผิดกฎหมาย ก็ต้องยกเว้นโทษให้แก่
ผู้ตระเตรียมซึ่งยับยั้งเช่นเดียวกัน นายเอกจึงไม่ต้องรับโทษตามมาตรา ๘๒ (ดูเพิ่มเติมใน
ศำสตรำจำรย์ ดร. เกียรติขจร วัจนะสวัสด์ิ, คำอธิบำยกฎหมำยอำญำภำค ๑ เล่ม ๒ พิมพ์คร้ังที่ ๑๑
พ.ศ. ๒๕๖๒ หนำ้ ๕๙)
ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๒๑๘
ฎีกาที่ ๘๐๖๔/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล. ๔ น. ๑๗๐ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จาเลยวางเพลิงเผา
โรงเรือนอันเป็นที่เก็บสินค้าของผู้เสยี หายและขอใหล้ งโทษจาเลยตาม ป.อ. มาตรา ๒๑๘ จากทางนา
สืบของโจทก์ท่วี า่ ผู้เสียหายมีอาชีพทาฟาร์มโคน้ัน ยอ่ มฟังได้ว่าฟางอัดแท่งท่เี กบ็ อยู่ในโรงเกบ็ ดังกลา่ ว
ไม่ใช่สินค้าท่ีมีไว้เพ่ือการค้าของผู้เสียหาย แต่มีไว้เลี้ยงโคผู้เสียหายเอง โรงเก็บฟางที่จาเลยวางเพลิง
จึงไม่ใช่โรงเรือนอันเป็นที่เก็บสินค้าตามความหมายของมาตรา ๒๑๘ (๒) แต่เป็นทรัพย์ทั่วไปของ
ผู้อื่นตามมาตรา ๒๑๗ จาเลยจงึ ไม่มีความผดิ ตามมาตรา ๒๑๘ แตม่ ีความผดิ ตามมาตรา ๒๑๗
ฎีกาที่ ๕๕๓/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๑ น.๖๓ แม้สานักสงฆ์จะปลูกสร้างบนท่ีดินสาธารณ
ประโยชน์ซึ่งเป็นป่าต้นน้าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่การดาเนินการให้ร้ือถอนต้องเป็นไปตาม
294
กฎหมาย จาเลยท่ี ๑ เป็นผู้ใหญ่บ้าน จาเลยที่ ๒ เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน จึงเป็นเจ้าหน้าท่ีของรัฐ
มีหน้าทีด่ ูแลชาวบ้านในเขตปกครองของตนมใิ หล้ ะเมิดต่อกฎหมาย แมก้ ารชมุ นมุ จะเป็นเสรีภาพทจี่ ะ
กระทาได้ แต่ต้องเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ จาเลยทั้งสองร่วมกับชาวบ้านประมาณ
๒๐๐ คน เดินทางไปที่สานักสงฆ์ โดยมีรถบรรทุก ๖ ล้อ ติดเคร่ืองขยายเสียง รถไถนา แสดงให้เห็นว่า
มีการนัดหมายกันมาชุมนุม พฤติการณ์ที่จาเลยทั้งสองร่วมกับชาวบ้านมาชุมนุมหน้าสานักสงฆ์และ
พดู จาผ่านเครือ่ งขยายเสยี งด่าว่าพระภิกษไุ ล่ออกจากสานักสงฆ์และใชถ้ ้อยคารุนแรงว่าหากไม่ออกไป
ก็จะเผา ในขณะที่ชาวบ้านไม่พอใจสานักสงฆ์ดังกล่าวและมีการชุมนุมมาก่อนหน้านี้แล้ว ชาวบ้าน
บางคนด่ืมสุราจนมึนเมา เม่ือชาวบ้านใช้ก้อนอิฐขว้างปาศาลา จาเลยท้ังสองก็มิได้ห้ามปรามอย่าง
แท้จริง การที่จาเลยทั้งสองพูดจายุยงส่งเสริมด้วยถ้อยคาหยาบคายด่าพระภิกษุให้รื้อถอนออกไป
มิฉะน้ันจะเผาทาลายศาลากุฏิของสานักสงฆ์ โดยจาเลยทั้งสองเป็นผู้นาการชุมนุมและอยู่ใน
เหตุการณ์กับชาวบ้านโดยตลอด ย่อมทาให้ชาวบ้านมีความคึกคะนอง ประกอบกับบางคนด่ืมสุรา
จนมึนเมาด้วยจึงได้ร่วมกันขว้างปาศาลาและเผากุฏิเกิดข้ึน หากจาเลยทั้งสองไม่พูดยุยงส่งเสริม
ดังกล่าว ชาวบ้านก็คงไม่กล้ากระทาเช่นนั้นต่อหน้าจาเลยทั้งสองที่เป็นผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วย
ผู้ใหญ่บ้าน การพูดของจาเลยทั้งสองดังกล่าวจาเลยท้ังสองย่อมเล็งเห็นได้ว่าชาวบ้านอาจจะก่อเหตุ
ดงั ท่ีจาเลยท้งั สองประกาศทางเครือ่ งขยายเสยี งได้ จึงถือไดว้ า่ จาเลยทั้งสองมเี จตนาก่อให้ผอู้ ื่นกระทา
ความผิดด้วยการยุยงส่งเสริมแล้ว มิใช่เหตุเกิดนอกเหนือเจตนาของจาเลยทั้งสอง จาเลยท้ังสอง
จึงมีความผิดฐานร่วมกันก่อให้ผู้อ่ืนกระทาความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นซ่ึงเ ป็นกุฏิหรือ
โรงเรือน และฐานทาใหเ้ สียทรัพย์
ฎีกาที่ ๖๙๘๔/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๘๙ ส่วนของโรงเรือนท่ีปรากฏร่องรอยไฟไหม้เป็น
เพียงรอยเขม่าดาติดอยู่ที่ส่วนล่างของแผ่นสังกะสีเพียง ๒ แผ่น เท่านั้น แม้จะได้ความว่ามีการจุดไฟ
จากการวางเพลิงขึ้นแล้วก็ตาม แต่การกระทาท่ีจะเป็นความผิดสาเร็จฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ท่ีเป็น
โรงเรือนนั้น มิได้หมายความว่ามีเพลิงเกิดขน้ึ จากการวางเท่านั้น หากแต่เพลงิ นั้นต้องเผาจนโรงเรือน
ลุกติดไฟข้ึนด้วย เพียงแต่ฝาผนังอันเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรือนท่ีเกิดเหตุมีรอยเขม่าดาแต่ยังไม่ไหม้ไฟ
ยังถือไม่ได้ว่าเป็นความผิดสาเร็จ และแม้ว่าจะมีร่องรอยของเส่ือน้ามันท่ีปูพ้ืนถูกไฟไหม้ด้วยเล็กน้อย
แต่เสื่อน้ามันดังกล่าวเป็นเพียงทรัพย์สินท่ีอยู่ในโรงเรือน ถือไม่ได้ว่าทรัพย์สินดังกล่าวเป็นส่วนหน่ึง
ของโรงเรือนซ่ึงเป็นที่อยู่อาศัยได้ถูกไฟไหม้ไปด้วย อันจะทาให้เป็นความผิดสาเร็จ จึงเป็นเพียง
ความผดิ ฐานพยายามวางเพลิงเผาโรงเรือนเท่าน้ัน
295
ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๒๒๑
ฎีกาท่ี ๘๕๘๔/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๑๓๘ จาเลยท่ี ๑ และท่ี ๓ กับพวกใช้ผ้าปิดปากขวด
ที่บรรจุน้ามันและจุดไฟโยนเข้าไปในบริเวณสถานีบริการน้ามัน จนเกิดระเบิดและน่าจะเกิดความ
เสียหาย การกระทาของจาเลยท่ี ๑ และที่ ๓ เป็นการกระทาให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตราย
แก่บุคคลอ่ืนหรือทรัพย์ของผู้อื่น เป็นความผิดสาเร็จตาม ป.อ. มาตรา ๒๒๑ แล้ว กฎหมายหาได้
บัญญัติว่าต้องกระทาโดยใช้วัตถุและต้องเกิดความเสียหายเป็นอันตรายแก่บุคคลอ่ืนหรือทรัพย์ของ
ผูอ้ ่ืนดว้ ยไม่
ฎกี าน่าสนใจมาตรา ๒๒๓
ฎีกาท่ี ๑๐๖๔๗/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๑๗๙ จาเลยจุดไฟเผาร้านของผู้เสียหายทาให้เกิด
เพลิงลุกไหม้ เป็นเหตุให้โต๊ะ เก้าอ้ี อุปกรณ์เคลือบบัตร ไม้และกระเบ้ืองของร้านเสียหาย รวมราคา
ทรัพย์ท่ีถูกเพลิงไหม้ทั้งส้ินประมาณ ๑๕,๕๐๐ บาท ร้านของผู้เสียหายดังกล่าวมีลักษณะเป็นเพิงไม้
ชั้นเดียวยกพ้ืนสูง เป็นห้องโล่ง ปลูกอยู่ริมถนนเหนือคูน้าไม่มีผู้ใดพักอาศัย รอบ ๆ ไม่มีบ้านเรือน
บคุ คลอน่ื อยู่ ดังน้ี จึงต้องถอื วา่ รา้ นของผู้เสียหายและทรัพยส์ ินทถ่ี ูกเพลงิ ไหมม้ รี าคาน้อย ทั้งขณะเกิด
เหตไุ ม่มีบคุ คลอยู่อาศยั ย่อมไม่น่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอ่ืน การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิด
ตาม ป.อ. มาตรา ๒๒๓
ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๒๒๕
ฎกี าที่ ๑๗๒๑๒/๒๕๕๕ ฎ.๒๐๖๔ ขณะเกิดเหตลุ ูกจา้ งของจาเลยทาการจุดไฟเผาซากก่ิงไม้
ใบหญ้าแห้งและวัชพืชในที่ดินของจาเลย โดยจาเลยอยู่ในที่ดินของตนเพื่อกากับการเผาอยู่ด้วย
ถือไดว้ า่ จาเลยมสี ว่ นรว่ มในการจุดไฟเผาและก่อใหเ้ กดิ เพลิงไหม้
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวันซึ่งมีอากาศร้อน ต้นยางพาราเริ่มมีใบหล่นร่วงตามพื้นดิน
บ้างแล้ว การท่ีจาเลยไม่กระทาการใดอันเป็นการป้องกันมิให้ไฟลุกลามไปยังท่ีดินข้างเคียง เป็นเหตุ
ให้เกิดเพลิงไหม้ต้นยางพาราของผู้เสียหาย จึงเป็นการกระทาให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทและ
เปน็ เหตใุ ห้ทรัพย์สนิ ของผอู้ นื่ เสยี หาย เปน็ ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๒๒๕
การกระทาความผิดโดยประมาทเป็นการกระทาความผิดมใิ ช่โดยเจตนา จงึ ไม่อาจมีการร่วม
กระทาในลกั ษณะเป็นตัวการตาม ป.อ. มาตรา ๘๓ ได้
296
ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๒๒๗
ฎีกาที่ ๑๐๘๒๓/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๙ น.๒๘๗ ป.อ. ไม่ได้ให้คานิยามของคาว่า ผู้มีวิชาชีพ ไว้
จึงต้องถือตามความหมายที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ซ่ึงตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.
๒๕๒๕ ให้ความหมายของคาว่าวิชาชีพ หมายถึงอาชีพที่ต้องอาศัยวิชาความรู้คว ามชานาญ
ส่วนพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ความหมายของคาว่าวิชาชีพ หมายถึงวิชา
ที่จะนาไปใช้ในการประกอบอาชีพ เช่น วิชาแพทย์ วิชาช่างไม้ วิชาช่างยนต์ และคาว่า วิชา
พจนานุกรมท้ังสองฉบับให้ความหมายว่า ความรู้ ความรู้ท่ีได้ด้วยการเล่าเรียนหรือฝึกฝน ดังนั้น
คาว่า ผู้มีวิชาชีพจึงหมายถึงผู้มีอาชีพท่ีต้องอาศัยวิชาความรู้ความชานาญหรือผู้ที่มีความรู้ซ่ึงอาจ
ได้จากการเล่าเรียนโดยตรงหรอื จากการทางานอันเป็นการฝึกฝนในการประกอบอาชีพเป็นปกติธุระ
ก็ได้ ผู้มีวิชาชีพในการก่อสร้างตามความหมายของมาตราน้ีจึงหาได้จากัดเฉพาะผู้ท่ีได้เล่าเรียนมา
โดยตรงเพ่ือเป็นสถาปนิก วิศวกร หรือโฟร์แมน (หัวหน้าคนงาน) ดังที่จาเลยที่ ๓ ฎีกาไม่ เม่ือบริษัท
จาเลยที่ ๑ มกี รรมการเพียงคนเดยี วคือจาเลยท่ี ๓ ในการรับเหมาก่อสร้างบ้านให้แกโ่ จทก์ท้ังสองน้ัน
จาเลยท่ี ๓ เป็นผู้ทาการแทนจาเลยท่ี ๑ ตลอดมาตั้งแต่ก่อนการทาสัญญารับเหมาก่อสร้างและ
รับผิดชอบการก่อสร้างในฐานะเป็นเจ้าของกิจการบริษัทจาเลยที่ ๑ ท้ังเป็นผู้กระทาการแก้ไข
แบบแปลนการก่อสร้างเพ่ือให้การก่อสร้างเสียค่าใช้จ่ายน้อยลง ดังน้ี แม้จาเลยท่ี ๓ จะไม่ได้
จบการศึกษาทางด้านการก่อสร้างอาคาร ก็ถือได้ว่าจาเลยท่ี ๓ มีความรู้ความชานาญและใช้ความรู้
ด้านการก่อสร้างในการประกอบอาชีพเป็นปกติธุระ จาเลยที่ ๓ จึงเป็นผู้มีวิชาชีพในการก่อสร้าง
อาคารหรือส่งิ ปลูกสรา้ งใด ๆ ตามความหมายของ ป.อ. มาตรา ๒๒๗
ฎกี าน่าสนใจมาตรา ๒๒๘
ฎีกาท่ี ๖๔๓๗/๒๕๕๖ ฎ. ๑๗๒๐ จาเลยทาทานบก้ันในลาห้วยนาเพ่ือต้องการกักเก็บน้า
เอาไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง เป็นการกระทาที่ห่างไกลเกินความประสงค์ของเร่ืองทาให้เสียทรัพย์ จาเลย
มิได้มีเจตนากระทาเพ่ือให้เคร่ืองกลหรือเคร่ืองจักรท่ีใช้ในการประกอบกสิกรรมและพืชผลของโจทก์
ร่วมซึ่งเป็นกสิกรเสียหาย และมิได้มีเจตนากระทาเพ่ือให้เกิดอุทกภัยอันเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่
โจทก์ร่วมหรือบุคคลอ่ืน หรือทรัพย์สินของโจทก์ร่วมหรือผู้อ่ืนท้ังความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๒๘
จะต้องมีเจตนาให้เกิดอุทกภัยโดยตรง จะเอาการเล็งเห็นผลของการกระทาตาม ป.อ. มาตรา ๕๙
วรรคสอง มาใชไ้ มไ่ ด้ การกระทาของจาเลยไมเ่ ปน็ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๒๘, ๓๕๙ (๑) (๓)
297
ฎกี าน่าสนใจมาตรา ๒๒๙
ฎีกาท่ี ๖๗๘/๒๕๕๖ ฎ. ๕๓๒ จาเลยนาไม้ไผ่หลายลามาปักลงบนพื้นถนนและสร้างคาน
ไม้ไผ่เป็นแนวขวางพาดปิดกั้นถนนอันเป็นทางสาธารณะให้อยู่ในลักษณะอันน่าจะเป็นเหตุให้เกิด
อันตรายแก่การจราจร และไม่ได้รับอนุญาต อันชอบด้วยกฎหมาย การกระทาของจาเลยจึงเป็น
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๒๙, ๓๘๖
298
ความผดิ เก่ียวกบั เงินตรา
ข้อ ๕๙ คาถาม นายหน่ึงซื้อธนบัตรปลอมใบละ ๑,๐๐๐ บาท มาจากผู้ปลอมธนบัตร
จานวน ๑๐ ฉบับ ราคา ๒,๐๐๐ บาท นางสองภรรยาของนายหนง่ึ จะไปซื้อกับข้าวท่ตี ลาดแต่ไม่มีเงิน
นางสองจึงหยิบธนบัตรปลอมของนายหนึ่งดังกล่าวจานวน ๑ ฉบับ แล้วออกไปซ้ือกับข้าวโดย
ไม่ทราบว่าเป็นธนบัตรปลอม นางสองมอบธนบัตรดังกล่าวให้แก่นางสามซ่ึงเป็นเพื่อนของนางสอง
เพ่ือชาระค่ากับข้าว นางสามดูธนบัตรแล้วเห็นว่าเป็นธนบัตรปลอม จึงบอกนางสองว่าเป็นธนบัตร
ปลอม แล้วคืนธนบตั รดังกล่าวให้แก่นางสองไป หลังจากทราบว่าเป็นธนบัตรปลอมแล้วนางสองไดไ้ ป
ซอื้ กับข้าวจากนางสี่โดยมอบธนบตั รให้แกน่ างส่ี นางส่ีหยิบธนบัตรข้นึ สอ่ งดู นางสามอยากให้นางสอง
ใชธ้ นบัตรปลอมได้ นางสามจึงบอกนางส่ีวา่ ธนบัตรจริงไม่ต้องดหู รอก รับไว้แล้วรีบไปขายของคนอ่ืน
นางสไ่ี มร่ ู้ว่าเปน็ ธนบัตรปลอมจึงรับไว้แล้วทอนเงินให้แก่นางสองไป นางสองขอบใจนางสามและชวน
กันมากินข้าวกันที่บ้านของนางสอง เมื่อถึงบ้านของนางสอง นายหน่ึงต่ืนขึ้นมาพอดีและมีพนักงาน
ขายมาขายเคร่ืองกรองน้าที่บ้านของนายหน่ึง นายหน่ึงต่อรองแล้วตกลงซ้ือเครื่องกรองน้าราคา
๓,๒๐๐ บาท นายหนึ่งจึงหยิบธนบัตรปลอม ๔ ฉบับ มอบให้แก่พนักงานขายเคร่ืองกรองน้า
พนักงานขายเครื่องกรองน้ารับธนบัตรไว้แล้วรู้สึกว่าผิดปกติ จึงหยิบธนบัตรดังกล่าวข้ึนส่องดู
นางสองทราบว่าธนบัตรดังกล่าวเป็นธนบัตรปลอม แต่นางสองก็พูดกับพนักงานขายว่า ธนบัตรจริง
ไม่ต้องดูหรอก ทอนเงินมา ๘๐๐ บาท แล้วจะได้ไปขายคนอื่นต่อ พนักงานขายเครื่องกรองน้า
ดูธนบัตรแล้ว เห็นว่าเป็นธนบัตรปลอมจึงไม่ทอนเงิน ๘๐๐ บาท ให้แก่นายหน่ึง พอดีมีตารวจ
ขับรถจักรยานยนต์ตรวจท้องท่ีผ่านมา พนักงานขายเคร่ืองกรองน้าจึงเรียกตารวจจับนายหน่ึง
นางสอง และนางสาม
ใหว้ ินจิ ฉัยว่า นายหนึ่ง นางสอง และนางสาม มีความผิดเกี่ยวกับเงินตราหรอื ไม่ เพียงใด
คาตอบ ความรับผิดทางอาญาของนายหน่ึง การที่นายหนึ่งซื้อธนบัตรปลอมใบละ ๑,๐๐๐
บาท จานวน ๑๐ ฉบับ เป็นการมีไว้เพื่อนาออกใช้ซึ่งเงินตราปลอมอันตนได้มาโดยรู้ว่าเป็นของ
ปลอมโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๔๔ ถือว่าเป็นความผิดสาเร็จแล้ว แม้
พนักงานขายเครื่องกรองน้าจะยังไม่ทันรับไว้สมบูรณ์ด้วยการทอนเงินท่ีเหลือ เพราะการกระทาท่ี
เป็นความผิดตามมาตรา ๒๔๔ คือ การมไี ว้ ไมใ่ ช่การนาออกใช้ (ฎีกาที่ ๒๑๗๗/๒๕๔๒)
ความรับผิดทางอาญาของนางสอง การที่นางสองมอบธนบัตรดังกล่าวให้แก่นางสามเพ่ือ
ชาระคา่ กบั ขา้ ว แมน้ างสองไดม้ าซึง่ ธนบัตรโดยไม่รู้ว่าเป็นธนบัตรปลอมแล้วนาออกใช้ แต่ขณะนา
ธนบัตรปลอมออกใช้กับนางสาม นางสองไม่รู้ว่าเป็นธนบัตรปลอม การกระทาของนางสองจึงเป็น
การกระทาโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงที่เป็นองค์ประกอบภายนอก ต้องถือว่านางสองไม่มีเจตนา
จึงไมเ่ ป็นความผดิ ฐานใช้เงินตราปลอมตามมาตรา ๒๔๕ เพราะขาดองคป์ ระกอบภายใน
หลังจากทราบว่าเป็นธนบัตรปลอมแล้ว นางสองได้ไปซ้ือกับข้าวจากนางสี่โดยมอบธนบัตร
ให้แก่นางสี่ เป็นกรณีท่ีนางสองได้มาซึ่งธนบัตรโดยไม่รู้ว่าเป็นธนบัตรปลอม แล้วต่อมารู้ว่า
เป็นธนบัตรปลอม ยังขืนนาออกใช้โดยเจตนา การกระทาของนางสองในส่วนนี้จึงเป็นความผิด
299
ฐานใชเ้ งินตราปลอมโดยเจตนาตามมาตรา ๒๔๕
การท่ีนางสองทราบว่าเป็นธนบัตรปลอม แล้วนางสองพูดกับพนักงานขายว่า ธนบัตรจริง
ไม่ต้องดูหรอก ทอนเงินมา ๘๐๐ บาท แล้วจะได้ไปขายคนอื่นต่อ แม้จะเป็นการกระทาร่วมกันกับ
นายหน่ึง แต่ก็เป็นเพียงการร่วมกันนาออกใช้ ไม่ใช่ร่วมกับนายหน่ึงมีไว้ ซึ่งเป็นองค์ประกอบ
ความผิดตามมาตรา ๒๔๔ นางสองจึงไม่เป็นตัวการร่วมกับนายหนึ่งกระทาความผิดตามมาตรา
๒๔๔ ประกอบมาตรา ๘๓ และการกระทาดังกล่าวก็ไม่เป็นการกระทาด้วยประการใด ๆ อันเป็น
การช่วยเหลอื หรือใหค้ วามสะดวกในการทน่ี ายหน่ึงมไี ว้ เพ่ือนาออกใช้ซ่งึ ธนบตั รปลอม นางสอง
จึงไม่เป็นผูส้ นบั สนุนนายหนึ่งกระทาความผดิ ตามมาตรา ๒๔๔ ประกอบมาตรา ๘๖
ความรับผิดทางอาญาของนางสาม การที่นางสามบอกนางส่ีว่า ธนบัตรจริงไม่ต้องดูหรอก
รับไวแ้ ล้วรีบไปขายของคนอนื่ นางสจ่ี งึ รับไว้แล้วทอนเงนิ ใหแ้ ก่นางสองไป แม้จะมกี ารกระทาร่วมกัน
ในการใช้ธนบัตรปลอม แต่นางสามไม่ใช่ผู้ได้ธนบัตรปลอมมาโดยไม่รู้ว่าเป็นธนบัตรปลอมตาม
มาตรา ๒๔๕ นางสามจึงไม่เป็นตัวการร่วมกับนางสองกระทาความผิดตามมาตรา ๒๔๕ อย่างไร
ก็ตามแม้นางสามจะไม่เป็นตัวการ แต่การกระทาของนางสามดังกล่าว ก็เป็นการช่วยเหลือ
ให้ความสะดวกแก่นางสองขณะกระทาความผิด กล่าวคือ ช่วยเหลือนางสองนาธนบัตรปลอม
ออกใช้ นางสามจึงเปน็ ผสู้ นับสนุนนางสองกระทาความผิดตามมาตรา ๒๔๕ ประกอบมาตรา ๘๖
ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษตามมาตรา ๒๔๕
ข้อสังเกต ตำมคำถำมข้อน้ีนำงสองไม่มีส่วนร่วมในกำร "มีไว้" เพื่อนำออกใช้ จึงไม่มีควำมผิดตำม
ประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ ๒๔๔ เป็นตัวอย่ำงจำกหนังสือคำอธิบำยประมวลกฎหมำยอำญำ
ภำค ๒ ตอน ๑ พิมพ์ครั้งท่ี ๘ โดยศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภัทิย์ หน้ำ ๕๔๕ แต่ถ้ำนำงสองมีส่วน
ร่วมกับนำยหนึ่งในกำร "มีไว้" แม้จะร่วมกันก่อนท่ีจะใช้ธนบัตรปลอมจนหลุดมือไป ก็ถือว่ำเป็น
ตัวกำรร่วมกันมีควำมผิดตำมมำตรำ ๒๔๔ ประกอบมำตรำ ๘๓ ได้ เช่น ล.๑ ขำยธนบัตรปลอมให้
ผู้ซื้อ ล.๒ เป็นผู้ส่งซองบรรจุธนบัตรปลอมให้ ล.๑ ล.๒ เป็นตัวกำรร่วมกันตำมมำตรำ ๒๔๔ (ฎีกำท่ี
๒๔๘๔/๒๕๓๐) ขอให้สังเกตว่ำควำมผิดตำมมำตรำ ๒๔๔ กำรกระทำที่เป็นควำมผิด คือ "กำรมีไว้"
แต่ควำมผดิ ตำมมำตรำ ๒๔๕ กำรกระทำทเ่ี ปน็ ควำมผิด คอื "กำรนำออกใช้" สำหรับควำมผิดฐำนมไี ว้
เพอ่ื นำออกใชต้ ำมมำตรำ ๒๔๔ ท่ีนำงสองชว่ ยเหลือนำยหนึ่งนำออกใช้ โดยไม่ไดช้ ่วยเหลือในกำรมไี ว้
จึงไม่เป็นควำมผิดดังท่ีกล่ำวมำแล้ว แต่ถ้ำเป็นกรณีควำมผิดฐำนใช้เงินตรำปลอมตำมมำตรำ ๒๔๕
ผู้สนับสนุนกำรนำออกใช้ตำมมำตรำ ๒๔๕ ที่นำงสำมเป็นผู้สนับสนุนผู้อ่ืนกระทำผิด ก็เพรำะ
สนบั สนุนในส่วนของกำรนำออกใช้
ฎีกาที่ ๒๑๗๗/๒๕๔๒ จาเลยมีธนบัตรรัฐบาลไทยปลอมไว้เพื่อนาออกใช้ และจาเลยได้นา
ธนบตั รดงั กล่าวไปใช้ซ้ือผลไม้จากผู้เสียหาย ถือได้ว่าเป็นความผิดสาเร็จตาม ป.อ. มาตรา ๒๔๔ แล้ว
แม้วา่ ผ้เู สยี หายจะยงั ไมท่ ันรับไวส้ มบรู ณ์ด้วยการทอนเงินท่เี หลอื จากค่าซ้ือผลไม้แกจ่ าเลยก็ตาม
300
ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๒๔๐
ฎีกาท่ี ๔๙๓๐/๒๕๕๗ ป.อ. มาตรา ๒๔๐ บัญญัติว่า "ผู้ใดทาปลอมข้ึนซึ่งเงินตรา ไม่ว่าจะ
ปลอมขึ้นเพื่อให้เป็นเหรียญกระษาปณ์ ธนบัตร หรือส่ิงอ่ืนใดซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือให้อานาจ
ให้ออกใช้ ผู้น้ันกระทาความผิดฐานปลอมเงินตรา" คาว่า "ทาปลอมข้ึน" หมายความถึงทาโดยตั้งใจ
ให้เหมือนของจริง จึงต้องทาในประการที่จะให้มีลักษณะอย่างเดียวกับเงินตราท่ีรัฐบาลกาหนด เช่น
มีลวดลาย สี ขนาด ลักษณะของกระดาษอย่างเดียวกัน ซึ่งจะต้องพอที่จะลวงตาให้เห็นว่าเป็น
เงินตรา แต่ไม่จาต้องถึงกับต้องพิจารณาจึงจะรู้ว่าปลอม เพียงแต่ลวงตาซ่ึงถ้าไม่พิจารณาให้ดีอาจ
หลงเขา้ ใจวา่ เปน็ เงินตราได้ กถ็ อื ว่าเป็นการทาปลอมขนึ้ แล้ว และการทาปลอมยอ่ มจะเหมอื นของจริง
ไปทุกอย่างไม่มีผิดกันเลยไม่ได้ ย่อมต้องมีบางสิ่งบางอย่างผิดจากของจริงบ้างไม่มากก็น้อย ฉะน้ัน
การปลอมจะผิดจากของจริงทต่ี ้งั ใจทาใหเ้ หมือนมากน้อยเพยี งใดจึงไม่สาคญั
การท่ีจาเลยนาธนบัตรฉบบั ละ ๑,๐๐๐ บาท ซงึ่ เป็นเงินตราท่ีรฐั บาลไทยออกใชจ้ านวน ๔๖
ฉบับ มาตัดออกเป็น ๒ ท่อนทุกฉบับ ท่อนหนง่ึ ยาวเกินครึง่ ฉบบั อีกทอ่ นหน่ึงยาวไมถ่ ึงคร่งึ ฉบบั แล้ว
นาท่อนซ้ายที่ส้ันมาต่อสลับท่อนเข้ากับท่อนขวาท่ีส้ันของอีกฉบับหน่ึงด้วยเทปใส ย่อมเป็นการทา
ธนบัตรฉบับละ ๑,๐๐๐ บาท ข้ึนใหม่อีก ๒๓ ฉบับ โดยตั้งใจให้เหมือนของจริง จึงเป็นการทาปลอม
ขึ้นซึ่งธนบัตรฉบับละ ๑,๐๐๐ บาท ที่รัฐบาลออกไว้ การท่ีธนบัตรของกลางเป็นธนบัตรชารุดตาม
พ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ.๒๕๐๑ มาตรา ๑๘ ประเภทต่อท่อนผิด ทาให้ไม่เป็นเงินที่ชาระหนี้ได้ตาม
กฎหมาย ไม่ทาใหก้ ารกระทาของจาเลยไม่เป็นความผิดฐานปลอมเงนิ ตรา เพราะหากธนบัตรดังกลา่ ว
เป็นเงินที่ชาระหนี้ได้ตามกฎหมาย ธนบัตรดังกล่าวย่อมไม่เป็นของปลอม การท่ีใช้ชาระหนี้ไม่ได้ตาม
กฎหมายแสดงว่าเป็นของปลอม จาเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเงินตราและมีเงินตราปลอมเพื่อ
นาออกใช้โดยรู้ว่าเปน็ เงนิ ตราปลอมตาม ป.อ. มาตรา ๒๔๐ และ ๒๔๔
_________________________
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังว่า จาเลยได้นาธนบัตรฉบับละ ๑,๐๐๐ บาท ๔๖ ฉบับ
มาตัดออกเป็น ๒ ท่อนทุกฉบับ ท่อนหนึ่งยาวเกินครึ่งฉบับ อีกท่อนหน่ึงยาวไม่ถึงคร่ึงฉบับ แล้วนา
ท่อนซ้ายท่ีสั้นมาต่อสลับท่อนเข้ากับท่อนขวาที่ส้ันของอีกฉบับหนึ่งด้วยเทปใส จาเลยนาธนบัตรของ
กลาง ๑๘ ฉบับ ไปชาระหนี้การใช้บัตรเครดิตจานวน ๑๘,๐๐๐ บาท ท่ีร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ต่อมา
พนักงานรา้ นดังกลา่ วนาธนบัตรไปขอแลกทีธ่ นาคารแหง่ ประเทศไทย แตแ่ ลกไม่ได้
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทาของจาเลยเป็นความผิดฐานปลอมเงินตรา
และมีเงินตราปลอม เพื่อนาออกใช้โดยรู้ว่าเป็นเงินตราปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๒๔๐ และ ๒๔๔ ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๔๐ บัญญัติว่า "ผู้ใดทา
ปลอมขึ้นซึ่งเงินตรา ไม่ว่าจะปลอมข้ึนเพื่อให้เป็นเหรียญกระษาปณ์ ธนบัตรหรือสิ่งอื่นใด ซ่ึงรัฐบาล
ออกใช้หรือให้อานาจให้ออกใช้ ผู้น้ันกระทาความผิดฐานปลอมเงินตรา" คาว่า "ทาปลอมขึ้น"
หมายความถึงทาโดยตั้งใจให้เหมือนของจริง จึงต้องทาในประการที่จะให้มีลักษณะอย่างเดียวกับ