101
ประมาทดงั ทวี่ นิ ิจฉยั มาแลว้ นายจตั วาจึงไม่อาจอ้างป้องกันได้
การกระทาของนายจัตวาเป็นการกระทากรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษบท
หนัก คอื ความผิดฐานกระทาโดยประมาทเปน็ เหตใุ ห้ผู้อ่นื ถึงแกค่ วามตาย
ข้อ ๒๖ คาถาม นายดาเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางแดงมีบุตรด้วยกัน ๔ คน
ทั้งครอบครัวจะพักอาศัยอยู่ท่ีจังหวัดชลบุรี ส่วนนางแดงเปิดร้านอาหารอยู่ท่ีจังหวัดระยอง บางวัน
ก็จะค้างท่ีบริเวณห้องนอนชั้นบนของร้านอาหารที่จังหวัดระยอง เย็นวันหนึ่งนายเอกกับพวก
มารับประทานอาหารและด่ืมสุราท่ีร้านของนางแดงตั้งแต่ ๑๒ นาฬิกา จนถึง ๑๘ นาฬิกา พวกของ
นายเอกกลับบ้านไป ส่วนนายเอกยังนั่งคุยอยู่กับนางแดงจนปิดร้านเวลา ๒๔ นาฬิกา แล้วทั้งคู่ก็ข้ึน
ไปบนห้องนอนช้ันบนของร้านอาหาร ต่อมาเวลา ๖ นาฬิกา ของวันรุ่งขึ้น นายดาขับรถจากจังหวัด
ชลบุรีเพ่ือมาหาภริยาที่จังหวัดระยอง เม่ือมาถึงร้านอาหารนายดาเห็นรองเท้าของผู้ชายอยู่ที่บันได
นายดาจึงรีบว่ิงขึ้นไปท่ีห้องนอนชั้นบนแล้วเคาะประตูพร้อมทั้งตะโกนเรียกให้เปิดประตู ครู่หนึ่งมี
เสียงเปิดประตู นายดารบี กระชากประตูห้องเปดิ ออกแล้วเข้าไป พบนายเอกซึ่งสวมใส่เสือ้ ผ้านอนอยู่
บนเตียง นายดาจึงตรงเข้าไปหยิบปืนที่มีใบอนุญาตซึ่งซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้ายิงไปท่ีนายเอก ๕ นัด
นายเอกตายคาทบ่ี นเตยี งนั้น
ให้วินจิ ฉัยวา่ นายดามคี วามรับผดิ ทางอาญาหรือไม่ เพียงใด
คาตอบ หลักกฎหมายเรื่องป้องกัน บันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๘,
๗๒
การที่นายดาใช้อาวุธปืนยิงนายเอก เป็นการกระทาที่ครบองค์ประกอบความผิดฐานฆ่า
ผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ แม้นายเอกกับนางแดงภริยาของนายดา
จะอยู่ด้วยกันภายในห้องนอนตามลาพังสองต่อสองเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่ก็ยังไม่ถึงขนาด
ที่จะเป็นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายซึ่งเป็นการกระทา
ตอ่ เกียรติยศและช่ือเสียงของนายดาถึงขนาดที่จะก่อให้เกดิ สิทธิในการป้องกันได้ แต่การที่นายดา
พบเห็นเหตุการณ์โดยไมค่ าดคิดมาก่อน นายดาเกิดความโมโหหรือมีอารมณ์โกรธ จึงยิงไปในขณะนั้น
ทันทีท่ีพบเห็น เป็นการถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทาต่อผู้ข่มเหง
ในขณะนั้น เป็นการกระทาโดยเหตุบันดาลโทสะ ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกาหนดไว้
สาหรับความผิดน้ันเพยี งใดก็ได้ตามมาตรา ๗๒ (ฎีกาที่ ๓๙๕๕/๒๕๔๗)
ข้อสงั เกต ปัญหำเรื่อง "ผัวมีเมียนอ้ ย" หรอื "เมียมีชู้" เป็นปัญหำท่ีเกิดขึ้นมำกในสงั คมไทย กำรใช้
กำลังแกไ้ ขปัญหำกนั เองกม็ ีมำนำนแล้ว กรณี "เมียมีช้"ู ในกรณีทเ่ี ป็นสำมีภริยำโดยชอบด้วยกฎหมำย
หำกสำมีจับได้คำหนังคำเขำว่ำภริยำมีชู้ แล้วสำมีฆ่ำภริยำกับชำยชู้ เคยมีคดีข้ึนสู่กำรพิจำรณำของ
ศำลฎีกำ ศำลฎีกำได้ตัดสินตำมกฎหมำยเก่ำว่ำ กำรทำชูข้ องภรยิ ำน้ันจะเป็นกำรสำเรจ็ รปู ตอ้ งมีชำยชู้
มำร่วมด้วย กำรที่ภริยำมีชู้น้ันถือว่ำ เป็นกำรเสื่อมเสียเกียรติยศของสำมีอย่ำงร้ำยแรง ฉะน้ัน เม่ือ
102
ผู้เป็นสำมีฆ่ำภริยำและชำยชู้ตำยขณะร่วมประเวณีกัน จึงถือว่ำเป็นกำรป้องกันเกียรติยศพอสมควร
แก่เหตุ (ฎีกำท่ี ๓๗๘/๒๔๗๙) หำกเป็นกรณีท่ีเห็นขณะมีเพศสัมพันธ์แต่ไม่ได้ลงมือฆ่ำในท่ีเกิดเหตุ
ถือว่ำเหตุกำรณ์ผ่ำนพ้นไปแล้ว โดยศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำ จำเลยเห็นผู้ตำยขณะมีเพศสัมพันธ์กับภริยำ
จำเลยจึงเข้ำไปชกต่อยต่อสู้กับผู้ตำย เมื่อจำเลยเพล่ียงพล้ำ ภริยำจำเลยและผู้ตำยรีบสวมใส่กำงเกง
แล้วภริยำจำเลยไปติดเคร่ืองรถจักรยำนยนต์และเรียกผู้ตำยข้ึนรถ ผู้ตำยก็รีบวิ่งไปน่ังซ้อนท้ำย
รถจักรยำนยนต์ที่ภริยำจำเลยขับออกไป เช่นนี้ภยันตรำยท่ีเกิดจำกกำรประทุษร้ำยอันละเมิด
ต่อกฎหมำยได้ผ่ำนพ้นไปแล้ว กำรที่จำเลยวิ่งตำมไปทันทีแล้วใช้ไม้และเสียมตีผู้ตำยจึงไม่อำจอ้ำงว่ำ
เป็นกำรป้องกันสิทธิของตนได้ แต่เป็นกำรกระทำต่อเนื่องกระชั้นชิดกับเหตุกำรณ์ที่จำเลยเห็นผู้ตำย
มีเพศสัมพันธ์กับภริยำจำเลย ถือได้ว่ำจำเลยถูกผู้ตำยข่มเหงอย่ำงร้ำยแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
กำรท่ีจำเลยใช้ไม้และเสียมตีผู้ตำยในขณะนั้น จึงเป็นกำรกระทำควำมผิดฐำนฆ่ำผู้อื่นโดยบันดำล
โทสะตำม ป.อ. มำตรำ ๒๘๘ ประกอบมำตรำ ๗๒ (ฎีกำท่ี ๕๔๘๖/๒๕๖๐ ฎ.๗๒๐) สำหรับคดี
ซึ่งไม่ได้พบขณะชำยชู้และภริยำร่วมประเวณีกัน ศำลฎีกำตัดสินว่ำ กำรท่ีจำเลยใช้อำวุธปืนยิงผู้ตำย
เน่ืองจำกผู้ตำยกับ น. ภริยำจำเลยอยู่ด้วยกันภำยในห้องนอนตำมลำพังสองต่อสอง และจำเลย
พบเห็นเหตุกำรณ์โดยไม่คำดคิดมำก่อน จำเลยเกิดควำมโมโหหรือมีอำรมณ์โกรธ จึงยิงไปในขณะนั้น
ทันทีท่ีพบเห็น กำรกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นกำรป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมำยตำม ป.อ. มำตรำ
๖๘ แต่เป็นกำรกระทำโดยเหตุบันดำลโทสะตำมมำตรำ ๗๒ (ฎีกำที่ ๓๙๕๕/๒๕๔๗) หำกเป็นกรณี
ที่อยู่กินกันฉันสำมีภริยำโดยไม่ได้จดทะเบียน ตัดสินว่ำ จำเลยเห็นผู้ตำยกำลังชำเรำภริยำจำเลย
ในห้องนอน แม้ภริยำจำเลยจะมิใช่ภริยำที่ชอบด้วยกฎหมำย แต่ก็อยู่กินกันมำ ๑๕ ปี และมีบุตร
ด้วยกัน ๖ คน จำเลยย่อมมีควำมรักและหวงแหน กำรที่จำเลยใช้มีดพับเล็กท่ีหำมำได้ในทันที
แทงผตู้ ำย ๒ ที ถือว่ำจำเลยกระทำผิดโดยบนั ดำลโทสะ (ฎกี ำที่ ๒๔๙/๒๕๑๕)
สำหรับคดีท่ี "ผัวมีเมียน้อย" มีคดีที่ตัดสินว่ำ จำเลยเป็นภริยำโดยชอบด้วยกฎหมำยของ ต.
มีสิทธิป้องกันมิให้หญิงอ่ืนมำมีควำมสัมพันธ์ฉันชู้สำวกับสำมีของตน แต่ขณะจำเลยพบโจทก์ร่วมน้ัน
โจทก์ร่วมกำลังนอนหลับอยู่กับ ต. เท่ำนั้น มิได้กำลังร่วมประเวณีกัน ยังถือไม่ได้ว่ำมีภยันตรำย
ซึ่งเกิดจำกกำรประทุษร้ำยอันละเมิดต่อกฎหมำย และเป็นภยันตรำยที่ใกล้จะถึง ท่ีจำเลยจะกระทำ
เพื่อป้องกันสิทธิของจำเลยได้ แต่กำรที่โจทก์ร่วมเข้ำไปนอนหลับอยู่กับ ต. ท่ีเตียงนอนในฟำร์ม
เล้ียงไก่ของสำมีจำเลย นับได้ว่ำเป็นกำรกระทำที่ข่มเหงจิตใจของจำเลยอย่ำงร้ำยแรงด้วยเหตุ
ไม่เป็นธรรม เมื่อจำเลยพบเห็นโดยบังเอิญ มิได้คำดคิดมำก่อนและไม่สำมำรถอดกล้ันโทสะไว้ได้
ใช้มีดฟันศีรษะโจทก์ร่วมไปในทันทีทันใด จึงเป็นกำรกระทำโดยบันดำลโทสะตำมประมวลกฎหมำย
อำญำ มำตรำ ๗๒ (ฎกี ำที่ ๓๘๖๑/๒๕๔๗)
103
กฎหมายยกเวน้ ความผิด
ฎีกาท่ี ๑๗๓๙๑/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๒๒๐ บุตรของจาเลยถูกรุมทาร้าย การที่จาเลย
ไปหยิบอาวุธปืนจากรถยนต์มาเพื่อป้องกันบุตรของตน จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้เป็นบิดาและ
เหตุที่กระสุนปืนล่ันก็เกิดจากแย่งอาวุธปืนระหว่างจาเลยกับโจทก์ร่วม อันสืบเน่ืองมาจากจาเลยใช้
อาวุธปืนเพื่อป้องกันบุตรของตนดังกล่าว มิได้เกิดจากความประมาทของจาเลย จาเลยเป็นสมาชิก
วิสามัญชมรมยิงปืนศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ หากจาเลยประสงค์จะฆ่าโจทก์ร่วมย่อม
กระทาได้ เพราะมีความรู้ความถนัดในการใช้อาวธุ ปืน การจ้องปืนไปที่โจทก์รว่ มไม่น่าจะมีเจตนาฆ่า
เพียงแต่ต้องการยุติการที่บุตรของตนถูกทาร้าย การกระทาของจาเลยจึงเป็นการป้องกันตน
พอสมควรแกเ่ หตุ จงึ ไม่เป็นความผิด ทศ่ี าลอุทธรณ์ลงโทษจาเลยตาม ป.อ. มาตรา ๓๐๐ และมาตรา
๓๗๖ จงึ ไมช่ อบ
ข้อสังเกต คดีน้ีศำลฎีกำตัดสินว่ำจำเลยไม่มีเจตนำฆ่ำโจทก์ร่วม เพรำะศำลอุทธรณ์ยกฟ้องฐำน
พยำยำมฆ่ำและโจทก์ฎีกำขึ้นมำ ท่ีศำลฎีกำตัดสินต่อมำว่ำเป็นกำรป้องกันน้ัน เปน็ กำรวินิจฉัยว่ำเป็น
กำรป้องกันในควำมผิดฐำนยิงปืนโดยใช่เหตุในเมืองตำมมำตรำ ๓๗๖ จำเลยจึงไม่มีควำมผิดตำม
มำตรำ ๓๗๖ แต่ศำลฎีกำไม่ได้ตัดสินว่ำเป็นกำรป้องกันในควำมผิดฐำนพยำยำมฆ่ำด้วย เพรำะศำล
ฎีกำวนิ จิ ฉยั เฉพำะประเดน็ ที่ข้ึนมำสูก่ ำรพิจำรณำของศำลฎกี ำเท่ำนนั้ คดนี ้อี ำ่ นแล้วอำจสับสนได้
หำกฎีกำนี้ออกข้อสอบคงต้องตอบตำมลำดับว่ำ กำรจ้องปืนไปที่โจทก์ร่วมน้ันจำเลยไม่มี
เจตนำฆ่ำ เพียงแต่ต้องกำรยุติกำรท่ีบุตรของตนถูกทำร้ำย กำรกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นควำมผิด
ฐำนพยำยำมฆ่ำตำมมำตรำ ๒๘๘, ๘๐ และไม่เป็นกำรกระทำโดยประมำทเป็นเหตุให้ผู้อ่ืนได้รับ
อันตรำยสำหัสตำมมำตรำ ๓๐๐ และแม้ว่ำกำรกระทำของจำเลยครบองค์ประกอบควำมผิดฐำน
ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดในเมือง หมู่บ้ำน หรือท่ีชุมชนตำมมำตรำ ๓๗๖ แต่กำรท่ีจำเลยยิงปืนเพียง
ต้องกำรยุติกำรท่ีบุตรของตนถูกทำร้ำย จึงเป็นกำรป้องกันตนหรือผู้อื่นพอสมควรแก่เหตุไม่เป็น
ควำมผิดตำมมำตรำ ๓๗๖
ฎีกาที่ ๗๑๒๓/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๙ น.๗๐ ป.วิ.อ. บัญญัติอานาจและหน้าที่ของพนักงาน
สอบสวนในช้ันแจ้งข้อหาตามมาตรา ๑๓๔ กาหนดให้พนักงานสอบสวนต้องถามชื่อตัว ช่ือรอง ชื่อ
สกุล สัญชาติ บิดามารดา อายุ อาชีพ ท่ีอยู่ ท่ีเกิดของผู้ต้องหาเป็นประการแรก ต่อจากน้ันจึงแจ้ง
ให้ทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทาที่ถูกกล่าวหา แล้วจึงแจ้งข้อหาให้ผู้ต้องหาทราบรวมท้ัง
ให้โอกาสผู้ต้องหาท่ีจะแก้ข้อหาและแสดงข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์แก่ตน ดังน้ัน เมื่อเริ่มทาการ
สอบสวนพนักงานสอบสวนจึงมีอานาจสอบถามข้อมูลเบื้องต้นเก่ียวกับตัวผู้ต้องหาและผู้ต้องหา
มีหน้าที่ใหข้ ้อเท็จจริงเก่ยี วกับตนเอง ตามบทบัญญัตดิ งั กลา่ วซง่ึ มีสภาพบังคับทางอาญาดังที่บัญญตั ไิ ว้
ตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๗ ภายใต้หลักเกณฑ์ท่ีพนักงานสอบสวนต้องให้โอกาสผู้ต้องหาท่ีจะแก้
ข้อกล่าวหาและแสดงข้อเท็จจริงท่ีเป็นประโยชน์แก่ตนตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๓๔ วรรคส่ี เพ่ือให้
การสอบสวนดาเนินต่อไปได้อย่างถูกต้องและชอบธรรม ส่วนการถามคาให้การผู้ต้องหาอันเป็น
อีกข้ันตอนหน่งึ ซงึ่ ป.วิ.อ. มาตรา ๑๓๔/๔ บญั ญตั ิให้เป็นหน้าท่พี นักงานสอบสวนตอ้ งแจง้ ให้ผตู้ ้องหา
104
ทราบถึงสิทธิท่ีจะให้การหรือไม่ก็ได้ รวมท้ังสิทธิในการให้ทนายความหรือบุคคลที่ผู้ต้องหาไว้วางใจ
เข้าฟังการสอบปากคา ซึ่งเป็นข้ันตอนเม่ือผ่านการแจ้งข้อหาแก่ผู้ต้องหาแล้ว ไม่อาจแปลความไปถึง
ขนาดให้สิทธผิ ู้ตอ้ งหาทจี่ ะปฏิเสธอานาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนเมื่อเร่มิ ทาการสอบสวนดังกลา่ ว
ขา้ งตน้
จาเลยแจ้งความเท็จและแจ้งให้ร้อยตารวจโท ธ. พนักงานสอบสวนจดข้อความอันเป็นเท็จ
ลงในบันทึกคาให้การของจาเลยซึ่งเป็นผู้ต้องหาในความผิดฐานทาร้ายร่างกายผู้อ่ืนว่าจาเลยเป็น ด.
ซึ่งถึงแก่ความตายไปแล้ว หลังจากนั้นเม่ือพนักงานสอบสวนเรียกตัวจาเลยไปสอบถามเน่ืองจาก
จาเลยผิดเงื่อนไขการคุมประพฤติตามคาพิพากษาของศาลชั้นต้น จาเลยแจ้งความเท็จและแสดง
บัตรประจาตัวประชาชนของ ด. เพื่อให้ร้อยตารวจโท ธ. หลงเช่ือว่าจาเลยเป็น ด. จึงไม่อาจถือได้ว่า
เป็นการให้การและใช้สิทธิในขั้นตอนการถามคาให้การท่ีจาเลยเป็นผู้ต้องหาตาม ป.วิ.อ. มาตรา
๑๓๔/๔ (๑) การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๓๗ มาตรา ๒๖๗ และมาตรา
๓๖๗
ข้อสังเกต จุดที่พนักงำนสอบสวนแจ้งข้อหำเป็น “จุดตัด” ว่ำเป็นควำมผิดหรือไม่ ถ้ำเป็นข้อควำม
ที่ให้ก่อนแจ้งข้อหำ ผู้ต้องหำมีหน้ำท่ีต้องบอกช่ือและท่ีอยู่ตำมจริงตำม ป.วิ.อ.มำตรำ ๑๓๔ ถ้ำให้ช่ือ
และที่อยู่เท็จจะมีสภำพบังคับทำงอำญำคือเป็นควำมผิดตำมมำตรำ ๑๓๗ มำตรำ ๒๖๗ และมำตรำ
๓๖๗ หลังจำกแจ้งข้อหำแล้ว ผู้ต้องหำมีสิทธิให้กำรต่อไปซ่ึงผู้ต้องหำมีสิทธิให้กำรอย่ำงไรก็ได้
ตำม ป.วิ.อ. มำตรำ ๑๓๔/๔ ขอให้ดูฎีกำท่ี ๒๙๘๗/๒๕๔๗ เป็นกำรให้กำรหลังแจ้งข้อหำ แม้จะเป็น
ควำมเท็จ แต่กไ็ ดร้ บั ยกเวน้ ควำมผิดตำม ป.วิ.อ. มำตรำ ๑๓๔ และมำตรำ ๑๓๔/๔
ฎีกาท่ี ๒๙๘๗/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๘ น.๓๒ การท่ีจาเลยถูกเจ้าพนักงานตารวจจับกุมในข้อหา
มีอาวุธปืนและเคร่ืองกระสุนปืนไว้ในครอบครอง พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะ
โดยไม่ได้รับใบอนุญาต แล้วต่อมาจาเลยแสดงเครื่องหมายทะเบียนและนาสาเนาใบอนุญาตให้มีและ
ใชอ้ าวุธปืนไปแสดงตอ่ ร้อยตารวจโท ก. ซ่ึงเป็นผู้สอบสวนคดีนี้ การกระทาของจาเลยดังกล่าวเทา่ กับ
จาเลยให้การปฏิเสธในฐานะที่จาเลยเป็นผู้ต้องหา ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๑๓๔ ให้สิทธแิ กผ่ ู้ตอ้ งหาทจี่ ะใหก้ ารรบั หรอื ปฏิเสธกไ็ ด้ เม่อื กฎหมายใหส้ ิทธแิ กจ่ าเลยในฐานะ
ผู้ต้องหาไว้เช่นนี้ ดังน้ัน ถึงแม้ว่าเคร่ืองหมายทะเบียนและสาเนาใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน
ท่ีจาเลยนามาแสดงต่อร้อยตารวจโท ก. จะเป็นเอกสารอันเกิดจากการกระทาความผิดฐานปลอม
เอกสารราชการก็ตาม ก็จะเอาความผิดแก่จาเลยฐานใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทา
ความผิดฐานปลอมเอกสารราชการไมไ่ ด้
หมายเหตุ (โดยศำสตรำจำรยพ์ รเพชร วชิ ิตชลชัย จำกหนังสอื คำพพิ ำกษำศำลฎีกำ พ.ศ. ๒๕๔๗ เล่ม
๘หน้ำ๓๒ของสำนักงำนศำลยุติธรรม) คำพิพำกษำฎีกำฉบับน้ีนำหลักกฎหมำยวิธีสบัญญัติเร่ือง
สิทธิของผู้ต้องหำในคดีอำญำที่จะให้กำรต่อพนักงำนสอบสวนตำมประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำ
ควำมอำญำ มำตรำ ๑๓๔ มำเป็นข้อวินิจฉัยว่ำกำรกระทำของจำเลยที่นำเอกสำรปลอมมำใช้แสดง
ต่อเจ้ำพนักงำนไม่เป็นควำมผิดตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ ๒๖๕ ประกอบมำตรำ ๒๖๘
105
ซึ่งน่ำวิเครำะห์เป็นอย่ำงยิ่งว่ำหลักกำรเร่ืองสิทธิของผู้ต้องหำหรือจำเลยในกำรให้กำรต่อสู้คดีอำญำ
น้ันจะมีผลต่อควำมรับผิดทำงอำญำของผู้ต้องหำหรือจำเลยน้ันเพียงใด หำกผู้ต้องหำหรือจำเลยนั้น
ไปกระทำกำรซึ่งครบองค์ประกอบควำมผิดทำงอำญำขึ้นมำอีก เช่น กำรใช้เอกสำรรำชกำรปลอม
ดงั เชน่ ในคดีน้ี
ด้วยควำมเคำรพในคำพิพำกษำฎีกำผู้เขียนเห็นว่ำ หลักกำรตำมประมวลกฎหมำยวิธี
พิจำรณำควำมอำญำ มำตรำ ๑๓๔ ท่ีให้สิทธิผู้ต้องหำจะให้กำรปฏิเสธหรือจะไม่ให้กำรก็ได้ น่ำจะ
หมำยควำมเพียงว่ำ ผู้ต้องหำมีสิทธิที่จะปฏิเสธว่ำตนไม่ได้ทำควำมผิด และถึงแม้ว่ำต่อมำศำลวินิจฉัย
ว่ำผู้ต้องหำนั้นกระทำควำมผิด ก็จะถือว่ำผู้ต้องหำน้ันให้กำรเท็จต่อเจ้ำพนักงำนหรือเบิกควำมเท็จ
ต่อศำลไม่ได้ ดังนั้น กำรคุ้มครองสิทธิผู้ต้องหำตำมมำตรำ ๑๓๔ จึงเป็นเพียงสิทธิเก่ียวกับกำร
ให้ปำกคำหรอื ใหถ้ ้อยคำเทำ่ นัน้ กำรที่ผูต้ ้องหำนำเอกสำรปลอมมำใช้อ้ำงองิ ตอ่ พนกั งำนสอบสวนเช่น
ในคดีน้ี ผู้เขียนจึงมีควำมเห็นว่ำ ผู้ต้องหำนั้นจะอ้ำงสิทธิในเร่ืองคำให้กำรตำม ป.วิ.อ. มำเป็น
ขอ้ ยกเวน้ ควำมรบั ผดิ ฐำนใชเ้ อกสำรปลอมหำไดไ้ ม่
ฎีกาท่ี ๕๓๙๖/๒๕๔๙ ฎ.๑๔๕๖ โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าผิดสัญญาไม่ชาระค่าเช่า จาเลยที่ ๑ จึง
ให้จาเลยท่ี ๒ ไปล็อคกุญแจปิดร้านอาหารเพื่อมิให้โจทก์เช่าต่อไป โดยจาเลยท่ี ๑ คิดว่าตนเองมี
อานาจกระทาการได้ตามสัญญาเช่าที่ระบุว่าถ้าผู้เช่าผิดสัญญาไม่ชาระค่าเช่าภายในกาหนดเวลาที่
กาหนดไว้ ผู้ให้เช่าย่อมทรงสิทธิในการกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินท่ีเช่าตามสัญญาน้ีโดยพลัน
การกระทาของจาเลยทั้งสองจึงเป็นการขาดเจตนาท่ีจะกระทาผิดฐานบุกรุก ท้ังข้อสัญญาดังกล่าว
มิได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และมิได้เป็นสัญญาท่ีไม่เป็นธรรม จาเลยท้ังสอง
ไม่มีความผดิ ฐานบกุ รกุ
ขอ้ สังเกต กำรใช้กำลังบังคับให้เป็นไปตำมสิทธิด้วยตนเอง เช่น กำรเอำทรพั ย์ของลูกหนไี้ ปเพ่ือใชห้ นี้
หรือเอำมำไว้เป็นประกัน เดิมศำลฎีกำเคยตัดสินว่ำไม่มีเจตนำทุจริต ไม่มีควำมผิดฐำนลักทรัพย์ แต่
ปัจจุบันศำลฎีกำตัดสินว่ำเป็นกำรกระทำโดยทุจริตอันเป็นควำมผิดฐำนลักทรัพย์ (ฎีกำท่ี ๑๑๒๒๕/
๒๕๕๕, ๖๗๒๖/๒๕๕๗) กรณีตำมฎีกำนี้น่ำคิดว่ำจะถูกกลับหลักไปแล้วด้วยหรือไม่ คงต้องรอดูคดีที่
ข้อเทจ็ จรงิ ตำมฎกี ำเปน็ เร่ืองบุกรุกวำ่ ศำลฎีกำจะตัดสินอยำ่ งไร
ฎีกาที่ ๒๓๗/๒๕๕๙ ฎ.๑๙๐ ผู้เสียหายเป็นฝ่ายก่อเหตุข้ึนก่อนโดยเข้าไปล็อกแขนของ
จาเลยไปทางด้านหลัง แต่จาเลยก็ไม่ได้ทาร้ายผู้เสียหายจน ส. พูดทานองห้ามปรามผู้เสียหาย
ผู้เสียหายจึงปล่อยจาเลย แล้วจาเลยเดินไปที่รถจักรยานยนต์ ผู้เสียหายก็ยังเดินตามไปและพูด
ทานองท้าทายจาเลย จาเลยก็ไมไ่ ด้ตอ่ สู้กับผ้เู สียหาย เมอื่ ผู้เสียหายชกหน้าของจาเลย ๑ คร้ัง จาเลย
ไม่ได้ตอบโต้อีก และจูงรถจักรยานยนต์ออกไปหน้าบ้าน ขณะจาเลยกาลังขึ้นคร่อมรถจักรยานยนต์
ผู้เสียหายเดินตามมาแล้วใช้ขวดสุราจะตีท่ีศีรษะของจาเลย จาเลยยกแขนขวาขึ้นบังทาให้ขวด
หล่นแตก ผู้เสียหายจะชกจาเลย จาเลยหลบจนรถจักรยานยนต์ล้มลงกับพื้นและทับขาของจาเลย
ผเู้ สียหายพยายามเขา้ ไปชกจาเลยอกี จาเลยจึงคว้าขวดเบียร์ที่อยู่ในตะกร้าหน้ารถจักรยานยนต์ตีไป
ท่ีบริเวณศรี ษะดา้ นหลังของผเู้ สียหาย ดังนี้ ไมใ่ ช่เร่ืองที่จาเลยสมคั รใจววิ าทกบั ผู้เสียหาย และนับเป็น
106
ภยันตรายท่ีใกล้จะถึงท่ีไม่มีทางหลีกเล่ียงได้ อีกทั้งจาเลยได้ใช้ความอดทนอดกล้ันอย่างเต็มที่แล้ว
ประกอบกับจาเลยใช้ขวดเบียร์ซึ่งหยิบฉวยเอาได้ทันทีจากบริเวณตะกร้าหน้ารถจักรยานยนต์ตีท่ี
บริเวณศีรษะด้านหลังของผู้เสียหายเพียงคร้ังเดียว โดยไม่ได้ตีซ้าอีก และไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายมี
บาดแผลร้ายแรงท่ีบริเวณดังกล่าว แสดงว่าจาเลยกระทาไปโดยมีเจตนาเพ่ือป้องกันตนเองและเป็น
การกระทาพอสมควรแก่เหตุ ท้ังบาดแผลอื่นที่ผู้เสียหายได้รบั เชื่อว่าเป็นผลโดยตรงสืบเน่ืองจากการ
กระทาโดยปอ้ งกันของจาเลย การกระทาของจาเลยเปน็ การป้องกนั โดยชอบดว้ ยกฎหมาย
ฎีกาที่ ๖๕๙๔/๒๕๕๙ จาเลยที่ ๓ ขับรถกระบะพาจาเลยท่ี ๒ มาตามหาผู้เสียหายในเวลา
ค่าคืน แล้วใช้อาวุธปืนยิงบริเวณท้ายซอยห่างจากบ้านของผู้เสียหายและจาเลยท่ี ๑ ประมาณ ๕๐๐
เมตร ๑ นดั และยังใช้อาวุธปืนยิงบริเวณข้างบา้ นจาเลยท่ี ๑ ซึง่ อยู่ใกลบ้ ้านผ้เู สยี หายและบ้านจาเลย
ที่ ๑ แม้จาเลยที่ ๒ จะอ้างวา่ ยิงปืนขน้ึ ฟา้ เพ่ือขม่ ขู่ แต่เป็นการกระทาโดยไมม่ ีเหตุสมควรอันเปน็ การ
ละเมิดต่อกฎหมาย การท่ีจาเลยที่ ๑ กลับไปเอาอาวุธปืนลูกซองยาวของบิดาแล้วไปหลบซ่อนตัวกับ
ผเู้ สียหาย จะถอื วา่ จาเลยที่ ๑ สมัครใจทะเลาะววิ าทกับจาเลยที่ ๒ และที่ ๓ หาได้ไม่ เพราะบริเวณที่
จาเลยที่ ๑ และผู้เสียหายหลบซ่อนตัว อยบู่ ริเวณข้างบ้านจาเลยที่ ๑ จึงไม่มีความจาเป็นท่ีจาเลยที่ ๑
จะหลบหนีไปที่ใด และมีสิทธิที่จะกระทาเพ่ือป้องกันสิทธิของตนหากมีภยันตรายซ่ึงเกิดจากการ
ประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้ แม้ขณะท่ีจาเลยท่ี ๒ ใช้อาวุธปืนยิงในครั้งหลัง จาเลยท่ี ๒ จะ
ไมท่ ราบวา่ ผ้เู สียหายและจาเลยที่ ๑ หลบซอ่ นบริเวณใด แตต่ ามพฤติการณท์ ี่ ๒ ใชอ้ าวธุ ปืนยิงถึงสอง
คร้ังพร้อมท้ังท้าทายให้ผู้เสียหายออกมา ย่อมมีเหตุให้จาเลยที่ ๑ เข้าใจได้ว่าหากจาเลยที่ ๒ เห็น
จาเลยที่ ๑ และผ้เู สียหาย จาเลยท่ี ๒ อาจใชอ้ าวุธปนื ยิงบริเวณที่จาเลยท่ี ๑ และผเู้ สียหายหลบซอ่ น
ก็ได้ จึงถือว่าเป็นภยันตรายท่ีใกล้จะถึง การท่ีจาเลยท่ี ๑ ใช้อาวุธปืนยิงไปทางจาเลยท่ี ๒ ทันที
หลังจากที่จาเลยท่ี ๒ ใช้อาวุธปืนยิงในคร้ังหลัง ถือได้ว่าเป็นการป้องกันสิทธิของตนโดยชอบด้วย
กฎหมายและพอสมควรแก่เหตุ จาเลยท่ี ๑ จงึ ไมม่ คี วามผิด
ฎีกาท่ี ๔๗๙/๒๕๕๗ ฎ.๒๔๒ จาเลยมิได้เป็นฝ่ายก่อเหตุหาเร่ืองก่อนใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย
กับพวก หลังจาก ศ. บุตรชายจาเลยถูกพวกผู้ตายใช้อาวุธปืนยิงท่ีบริเวณหน้าท้อง ๑ นัด และ ศ.
ได้ร้องตะโกนให้จาเลยช่วย ถือว่าภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายได้เกิดขึ้นแล้วในขณะนั้น จาเลย
ย่อมมีสิทธิท่ีจะใช้อาวุธปืนยงิ ไปเพอื่ ป้องกัน ศ. บุตรชายมิให้ถกู พวกผู้ตายยิงซา้ ให้ถึงแก่ความตาย แต่
หลังจากน้ันพวกของผู้ตายยังใช้อาวุธปืนยิงไปที่จาเลยอีก ๑ นัด ดังนี้ ภยันตรายท่ีจาเลยจาต้อง
ป้องกันยังไม่หมดส้ินไป จาเลยมีสิทธิใช้อาวุธปืนยิงโต้ตอบไปอีกเพื่อป้องกันตัวได้ถึงแม้กระสุนปืน
ทจี่ าเลยยิงไปถูกผู้ตายซ่ึงยืนอยู่บริเวณใกล้เคียงกลุ่มพวกผู้ตาย แตก่ ็เปน็ การทีจ่ าเลยยิงโตต้ อบไปตาม
สถานการณ์ท่ีเกิดขึ้นในขณะนั้นในสภาพที่มองเห็นกันไม่ชัดไม่ทราบว่าเป็นใคร จาเลยย่อมไม่อาจ
เลือกยงิ คนทย่ี ิงจาเลยและ ศ. ได้ และยิงสวนไปตามทิศทางที่มีผู้ใชอ้ าวธุ ปนื ยิงมาท่ีจาเลย การกระทา
ของจาเลยเป็นการป้องกันสิทธิของตนและผู้อื่นพอสมควรแก่เหตุ จาเลยจึงไม่มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น
ฎีกาท่ี ๓๓๗/๒๕๕๙ ฎ.๒๒๗ ผู้เสียหายเดินเข้าไปหาจาเลยพร้อมเงื้อมือจะตบจาเลย
นับเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ แม้จาเลยมีอายุน้อยกว่าและรูปร่างใหญ่กว่า
107
ผู้เสียหายก็ตาม แต่จาเลยผลักผู้เสียหายซึ่งอยู่ในระยะประชิดเพื่อป้องกันตัวเพียงครั้งเดียว และ
บงั เอิญเป็นเหตุให้ผู้เสียหายล้มหงายหลงั ลงกับพื้นทาให้กระดูกสันหลังแตกยุบ ท้ังจาเลยไมไ่ ด้ตามไป
ทาร้ายผู้เสียหายซ้าอีก การกระทาของจาเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุและไม่เกินกว่ากรณี
แหง่ การจาตอ้ งกระทาเพ่อื ปอ้ งกัน จงึ ไม่มคี วามผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๖๘
ฎีกาท่ี ๖๖๗/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๖ น.๓ การที่จาเลยถูกผู้ตายผลักล้มลงนอนบนพ้ืน แล้วขึ้นมา
นัง่ ครอ่ มใช้มอื จบั มอื ท้งั สองขา้ งของจาเลยไวเ้ หนือศรี ษะ และใช้มืออีกข้างหน่ึงตบตีจาเลย รวมท้ังบีบ
คอจาเลยเป็นเวลานานพอสมควรจึงเกิดร่องรอยบาดแผลบริเวณคอและกราม อันถือว่าเป็น
ภยันตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย อาวุธท่ีจาเลยใช้แทงผู้ตายเป็นมีดปลาย
แหลมปอกผลไม้ที่หยิบฉวยได้ใกล้มือแล้วต้องแทงเสยข้ึนไปถูกท่ีราวนมด้านขวาของผู้ตายขณะนั้น
จาเลยแทงผู้ตายเพียง ๑ คร้ัง โดยไม่มีโอกาสเลือกแทงที่อ่ืนซ่ึงไม่อาจหลกี เล่ียงได้ แม้บริเวณหน้าอก
ของผตู้ ายจะเป็นอวัยวะสาคญั ท้ังนี้เพ่ือไม่ใหต้ นเองตอ้ งขาดอากาศหายใจจนอาจเสยี ชีวติ ได้ อันเป็น
ภยันตรายท่ีใกล้จะถึง เป็นพฤติการณ์ที่ฟังได้ว่าเป็นการกระทาท่ีพอสมควรแก่เหตุที่จาต้องกระทา
ในสถานการณ์เช่นนั้น การกระทาของจาเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตาม ป.อ.
มาตรา ๖๘ จาเลยไม่มคี วามผดิ ฐานฆา่ ผตู้ าย
ฎีกาท่ี ๑๑๘๒๒/๒๕๕๕ ฎ.๑๒๑๑ ผู้เสียหายทั้งสองและ อ. เป็นฝ่ายก่อเหตุโดยร่วมกัน
รมุ ทาร้ายจาเลยในขณะไม่ทันระวังตัวจนมึนงงและล้มหงายหลัง ท้ังใช้อาวุธมีดเหลียนมีความยาว ๑
เมตรเศษ เง้ือจะฟันและใช้ก้อนหินเป็นอาวุธเข้าทาร้ายจาเลย จึงเป็นภัยอันละเมิดต่อกฎหมายและ
ใกล้จะถึงอันอาจทาให้จาเลยถึงตายได้ การท่ีจาเลยชักอาวุธปืนออกมายิงตอบโต้ติด ๆ กัน ๔ นัด
ในภาวะคับขันไม่อาจหลบหนีได้ อันเป็นการกระทาพอสมควรแก่เหตุ จึงเป็นการป้องกันโดยชอบ
ดว้ ยกฎหมาย ตาม ป.อ. มาตรา ๖๘ จาเลยไมม่ ีความผิดฐานพยายามฆา่ ผู้อื่น
ฎีกาที่ ๑๐๔๙๗/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๙ น.๑๙๘ ผู้ตายเมาสุราก่อเหตุขนึ้ ก่อน โดยพูดจาทานอง
หาเรื่องจาเลย เม่ือจาเลยเดินหนีไม่ตอบโต้ ผู้ตายยังเดินตามและใช้ไม้ตีจาเลยที่หลัง ๑ คร้ัง แล้ว
ผู้ตายจะใช้ไม้ตีจาเลยอีก นับเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่มีทางหลีกเล่ียงได้ การที่จาเลยหัน
กลับมาชกผู้ตายซ่ึงอยู่ในระยะประชิดเพื่อป้องกันตัว แม้จะเป็นการชกโดยแรง แต่ก็เป็นการชกเพียง
ครั้งเดียว และเมื่อจาเลยชกผู้ตายล้มลงจาเลยก็ไม่ได้ชกผู้ตายซ้าอีก แม้ต่อมาผู้ตายถึงแก่ความตาย
เพราะเนอ้ื สมองชา้ เลอื ดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง การกระทาของจาเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแกเ่ หตุ
และไม่เกนิ กวา่ กรณีแหง่ การจาตอ้ งกระทาเพื่อป้องกนั ไม่เปน็ ความผิดตาม ปอ. มาตรา ๖๘
ฎีกาที่ ๑๔๕๔/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๒ น.๖๘ ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายให้จาเลยตามไปร่วมดื่มสุรา
ที่บ้านของผู้เสียหายแล้วจะคืนกีตาร์ท่ีผู้เสียหายยืมมาให้ จาเลยจึงไปที่บ้านของผู้เสียหายซึ่งมี น.
และ อ. ร่วมวงสุรากับผู้เสียหาย จาเลยขอกีตาร์คืน ผู้เสียหายคืนให้ จาเลยขอกลับ ผู้เสียหายบอก
จาเลยให้อยู่ร่วมด่ืมสุราต่อ แต่จาเลยเดินไปขึ้นรถจักรยานยนต์โดยมีอ. น่ังซ้อนท้าย ผู้เสียหายพูดขู่
จาเลยว่าถ้าขับรถจักรยานยนต์ออกไปจะยิง จาเลยขับรถจักรยานยนต์ออกไปประมาณ ๑๐ เมตร
ผู้เสียหายยิงปืน ๑ นัด รถจักรยานยนต์ของจาเลยล้มลงแล้วผู้เสียหายเป็นฝีายถืออาวุธเดินเข้าหา
108
จาเลยตรงบริเวณที่รถจักรยานยนต์ของจาเลยล้มอยู่ จากน้ันมีการกอดรัดต่อสู้ทาร้ายกัน จาเลย
วิ่งหนีไปทางสวนยางพารา ผู้เสียหายวิ่งไล่ตามและถืออาวุธปืนจ้องมายังจาเลย ในสภาวะเช่นนั้น
จาเลยย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าอาวุธปืนที่จ้องมายังจาเลยน้ันบรรจุกระสุนปืนหรือไม่ แต่รู้ได้ว่าเป็นอาวุธ
ที่อาจทาอันตรายถึงตายได้ ดังน้ัน ภยันตรายท่ีจะเกิดจากอาวุธปืนของผู้เสียหายจึงมีอยู่และเป็น
อันตรายที่อาจทาให้จาเลยเสียชีวิตทั้งเป็นอันตรายที่ใกล้จะถึง จาเลยจึงมีสิทธิป้องกันตัวเอง การใช้
อาวุธปนื ยงิ ผเู้ สียหายไป ๑ นัด เพื่อหยุดย้ังผู้เสียหายไม่ให้ทาอันตรายถึงแก่ชีวิตของจาเลยจึงเปน็ การ
ปอ้ งกันตวั พอสมควรแก่เหตุ การกระทาของจาเลยจงึ ไมเ่ ป็นความผดิ ฐานพยายามฆ่าผู้อน่ื
ฎีกาท่ี ๑๙๔๗/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๓๒ จาเลยยิงรถโจทก์ร่วมโดยสาคัญผิดในข้อเท็จจริง
ว่า โจทก์ร่วมเป็นคนร้ายที่ประสงค์จะขับรถพุ่งเข้าชนเพ่ือฆ่าจาเลย เม่ือจาเลยกระโดดหลบไป
ทางดา้ นขา้ งและรถโจทก์ร่วมแลน่ ไปทับจุดที่จาเลยนง่ั อยู่ จาเลยก็ใช้อาวธุ ปืนยงิ ไปท่ีรถของโจทก์รว่ ม
ทนั ทีทนั ใด เปน็ เหตุการณ์ที่ต่อเน่ืองและเปน็ ภยันตรายที่ใกล้จะถงึ ตัวจาเลยแล้ว จาเลยจึงมสี ิทธทิ ่ีจะ
ป้องกันตนเองได้ การท่ีจาเลยใช้อาวุธปืนส้ันที่มีติดตัวอยู่ยิงไปถูกรถยนต์ของโจทก์ร่วมเพียง ๑ นัด
แล้วก็หยุดไม่ได้ยงิ ซา้ อกี ทงั้ ๆ ทมี่ กี ระสุนปนื เหลอื อยูอ่ ีกถึง ๕ นดั และจาเลยไม่รู้ว่าคนขบั รถยนต์คัน
ดงั กล่าวเปน็ ใคร มีอาวธุ อะไรอยู่หรือไม่ กรณีถอื ได้วา่ การกระทาของจาเลยเป็นการพอสมควรแก่เหตุ
และเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายและโดยสาคัญผิดตาม ป.อ. มาตรา ๖๘ ประกอบด้วย
มาตรา ๖๒ จาเลยจงึ ไมม่ คี วามผิดฐานพยายามฆา่ โจทกร์ ว่ ม
ฎีกาที่ ๓๘๖๙/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๘๓ ในช่วงเวลาเกิดเหตุในละแวกบ้านจาเลยมีโจร
ผู้ร้ายชุกชุม และก่อนเกิดเหตุจาเลยเคยถูกคนร้ายเข้ามาลักทรัพย์ในบ้าน คืนเกิดเหตุผู้ตายได้ปีน
เขา้ บ้านจาเลยทางชอ่ งลมโดยปราศจากเหตุสมควร ย่อมทาให้จาเลยสาคญั ผิดคดิ ว่าผตู้ ายเป็นคนรา้ ย
และในขณะน้ันจาเลยย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าผู้ตายจะมีอาวุธหรือไม่ เพราะในห้องที่เกิดเหตุมืดและเป็น
เวลากะทันหัน ถ้าเป็นคนร้ายซ่ึงจะมาทาร้ายจาเลยจริงแล้ว การท่ีจะให้จาเลยรออยู่จนกว่าคนร้าย
จะแสดงกิริยาทาร้ายแล้ว จาเลยก็อาจได้รับอันตรายก่อนท่ีจะทาการป้องกันได้ทันท่วงที และจาเลย
ก็ยิงผู้ตายไปเพียง ๑ นัด เมื่อผู้ตายล้มลงจาเลยก็มิได้ยิงซ้าแต่อย่างใด การกระทาของจาเลย
จึงพอสมควรแก่เหตุ เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายโดยสาคัญผิดตาม ป.อ. มาตรา ๖๘
ประกอบดว้ ยมาตรา ๖๒ วรรคแรก
ฎีกาท่ี ๖๙๒/๒๕๕๗ ฎ.๘๔๑ ก่อนท่ีจาเลยจะใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายที่ ๒ จาเลยใช้อาวุธ
มีดแทงผู้เสียหายที่ ๑ และกาลังข้ึนรถจักรยานยนต์เพื่อหลบหนี เมื่อผู้เสียหายท่ี ๒ มาถึงบริเวณ
ดังกล่าวและพบผู้เสียหายท่ี ๑ ถูกแทงกบั เห็นจาเลยถอื อาวุธมีดนง่ั คร่อมรถจกั รยานยนต์ จึงเป็นกรณี
ท่ีผู้เสียหายที่ ๒ พบการกระทาความผิดต่อผู้เสียหายท่ี ๑ ในอาการซ่ึงแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่า
จาเลยเป็นผู้ใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายที่ ๑ มาแล้วสด ๆ ถือว่าการกระทาของจาเลยเป็นความผิดซึ่ง
หนา้ ตอ่ ผู้เสยี หายท่ี ๒ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๘๐ วรรคแรก ผ้เู สียหายที่ ๒ ในฐานะราษฎรย่อมมีอานาจ
จับจาเลยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๗๙ การท่ีผู้เสียหายท่ี ๒ กระโดดถีบจาเลยก็เพ่ือหยุดย้ังมิให้จาเลย
กับพวกขับรถจักรยานยนต์หลบหนี อันเป็นการกระทาเพื่อจับจาเลยเท่าน้ัน จาเลยจึงไม่มีสิทธิ
109
ป้องกันเพ่ือให้ตนพ้นจากการที่จะต้องถูกจับได้ การท่ีจาเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายที่ ๒ จนได้รับ
อันตรายสาหัสจึงมใิ ช่เป็นการปอ้ งกนั โดยชอบด้วยกฎหมาย
ฎีกาที่ ๔๐๘๓/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๘๓ การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามความใน
ป.อ. มาตรา ๖๘ นั้น การกระทาท่ีจะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้ต้องเป็นภยันตรายที่
เกิดจากการประทุษร้ายอนั ละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายทใี่ กลจ้ ะถงึ หากภยันตรายยงั ไมใ่ กล้
จะถึงเสียแล้วย่อมไม่อาจกระทาการเพ่ือป้องกันได้ ว. เพยี งเอาอาวธุ ปืนชูขึ้นเหนอื ศีรษะและยิงข้ึนฟ้า
๑ นัด ซ่ึงเหน็ ชัดเจนว่าเป็นการข่มขจู่ าเลยกับพวกเทา่ น้นั การท่ีจาเลยใช้อาวุธปนื ยิงไปยังรถกระบะท่ี
ว. นง่ั อยู่ทันที โดยไมป่ รากฏว่า ว. กระทาการอ่ืนใดอกี ในลกั ษณะจะทาร้ายพวกจาเลย จึงยังถือไม่ได้
ว่าภยันตรายอนั ละเมิดตอ่ กฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงเกิดขึ้น อันจะเป็นเหตุให้จาเลยอ้าง
เหตุป้องกันได้ ที่จาเลยอ้างว่าอาจยิงมาท่ีตนจึงยิงไปน้ัน เป็นเพียงจาเลยเข้าใจไปเองเกินกว่าสภาพ
การกระทาของ ว. ท่ีจะให้เข้าใจเชน่ น้ันได้ การกระทาของจาเลยจึงมิใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วย
กฎหมาย
ฎีกาท่ี ๖๔๓/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๑๖ ผู้เสียหายกับจาเลยโต้เถียงกัน จาเลยท้าทายให้
ผู้เสียหายลงจากรถ ถือได้ว่าจาเลยสมัครใจเข้าวิวาทกับผู้เสียหายแล้ว แม้ผู้เสียหายจะขับรถพุ่งชน
ถังน้าแข็งและรถจกั รยานยนต์บริเวณหนา้ บ้านของจาเลยก่อน ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนขณะท่ีจาเลย
กับผู้เสียหายสมัครใจวิวาทกัน จาเลยจึงไม่อาจอ้างสิทธิป้องกันได้ เมื่อจาเลยสมัครใจท่ีจะวิวาทกับ
ผูเ้ สียหายเองแล้ว จึงไม่อาจถือได้ว่าจาเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมอันจะอ้างเหตุ
บนั ดาลโทสะไดเ้ ช่นเดยี วกัน
ฎีกาที่ ๖๖๓๐/๒๕๖๒ ฎ.๑๒๖๘ จาเลยกับผู้ตายมีปากเสียงทะเลาะวิวาทและเข้าชกต่อย
กัน ถือได้ว่าจาเลยและผู้ตายต่างสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กัน แม้ไม่ปรากฏว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายก่อเหตุ
ขึ้นก่อนก็ตาม การกระทาของจาเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย เม่ือจาเลยใช้เท้าถีบ
ผตู้ ายเป็นเหตใุ ห้ผู้ตายพลดั ตกลงมาจากสถานท่กี ่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าจนถงึ แก่ความตาย การกระทา
ของจาเลยเป็นความผิดฐานทาร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้น้ันถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๐
วรรคแรก
ฎีกาท่ี ๑๐๒๗๑/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล. ๑๒ น. ๙๔ เม่ือผู้ตายถือท่อนเหล็กไล่ตีจาเลยมาถึง
หนา้ หอ้ งจาเลย จาเลยหนีเข้าไปในห้องและปิดประตูไว้ได้ ผู้ตายจงึ ใช้มือเคาะประตูอยา่ งแรง อนั เป็น
ทานองทา้ ทายชวนวิวาท ดังน้ัน เมอ่ื จาเลยปิดประตูหอ้ งไว้ได้แล้ว และไมป่ รากฏว่าผู้ตายจะพังประตู
หอ้ งจาเลยเข้ามา หากจาเลยไม่สมัครใจท่ีจะววิ าทหรอื ต่อสู้กับผู้ตาย จาเลยก็ชอบท่ีจะไมต่ อบโตห้ รือ
เปิดประตูห้องอีก แต่จาเลยกลับพูดว่า ถ้าเปิดประตูจะแทงนะ แล้วจาเลยได้เปิดประตูห้องพร้อม
ถืออาวุธมีดด้วย แสดงว่าจาเลยสมัครใจเข้าวิวาทและต่อสู้กับผู้ตาย และเข้าสู่ภัยโดยไม่มีกฎหมาย
ให้อานาจ การทีจ่ าเลยแทงผตู้ ายจึงไม่อาจอ้างว่าเป็นการปอ้ งกนั โดยชอบดว้ ยกฎหมายได้
ฎกี าท่ี ๑๐๕๘๔/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล. ๙ น. ๑๓๗ แม้ผู้ตายเป็นฝ่ายเอาอาวุธปืนของตนซง่ึ พกพา
ติดตัวขึ้นมายังไม่ได้ล่ันกระสุนปืนใส่จาเลย แต่จาเลยเข้าแย่งอาวุธปืนดังกล่าวไปได้เสียก่อน ทั้ง
110
ไม่ปรากฏว่าผู้ตายมีอาวุธอื่นใดติดตัวมาอีกเช่นน้ี ภยันตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิด
ต่อกฎหมายจากการกระทาของผู้ตายผ่านพ้นไปแล้ว และไม่มีภยันตรายท่ีใกล้จะถึงตัว พฤติการณ์
ท่ีจาเลยใช้อาวุธปืนท่ีแย่งจากมือผู้ตายมาได้ยิงผู้ตายเช่นนี้ ถือไม่ได้ว่าการกระทาของจาเลยเป็น
การปอ้ งกนั สทิ ธิโดยชอบด้วยกฎหมาย
ฎกี าที่ ๔๑๖๕/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑ ผู้ตายถกู แทงทด่ี ้านหน้าจนลงไปนอนคว่าหน้ากบั พ้ืน
แล้ว กับเมื่อโจทก์ร่วมท่ี ๒ ไม่มีมีดปังตออยู่ในมือแล้ว ถือว่าภยันตรายท่ีเกิดจากการต่อสู้ของผู้ตาย
และมีดปังตอของโจทก์ที่ ๒ ส้ินไปแล้ว ไม่มีภยันตรายใดท่ีจาเลยที่ ๑ ต้องกระทาเพ่ือป้องกันตัว
จาเลยท่ี ๑ ใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายด้านหลัง ผู้ตายมีบาดแผล ๔ แห่ง ลึกถึงอวัยวะภายใน ๒ แห่ง
เป็นการแทงโดยแรงอย่างต้ังใจ จึงต้องถือว่าจาเลยที่ ๑ มีเจตนาฆ่าผู้ตาย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตาย
สมเจตนาจาเลยท่ี ๑ จึงต้องรับผิดและไมเ่ ปน็ การป้องกันอันพอสมควรแก่เหตุ
ฎีกาท่ี ๖๒๗๙/๒๕๖๒ ฎ.๑๒๓๗ ขณะจาเลยใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มวัยรุ่น จาเลยมิได้ยิง
ตอบโต้ไปในทันทีขณะท่ีอยู่หน้าเวทีการแสดงลิเก อันจะแสดงออกถึงเจตนาระงับเหตุซ่ึงพวกกลุ่ม
วัยรุ่นอาจก่อข้ึนติดตามมาอีกอย่างกระชั้นชิด แต่จาเลยว่ิงออกจากหน้าเวทีการแสดงไปที่ถนน
สาธารณะแล้วยิงใส่กลุ่มวัยรุ่นซ่ึงกาลังพากันออกจากบริเวณงานอยู่ห่างจากจาเลยประมาณ ๑๕
เมตร ขณะเวลานัน้ ภยันตรายซง่ึ เกิดจากการประทษุ ร้ายอนั ละเมิดต่อกฎหมายได้หมดสิ้นไปแล้ว และ
ไม่เป็นภยันตรายท่ีใกล้จะถึง การกระทาของจาเลยไม่เป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจาต้อง
กระทาเพ่อื ป้องกนั ตาม ป.อ. มาตรา ๖๙
ฎีกาท่ี ๑๕๙๗/๒๕๖๒ ฎ.๒๓๔ จาเลยและผู้ตายมีปากเสียงกัน จาเลยเอาอาวุธปืนออกมา
ยิงขู่ผู้ตายในนัดแรก และเม่ือกอดปล้ากันกระสุนปืนลั่นถูกผู้ตาย การที่จาเลยทาปืนล่ันข้ึนขณะที่
กอดปล้ากันกับผู้ตายจาเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย แต่เป็นการกระทาโดยปราศจากความระมัดระวัง
ซ่ึงบุคคลในภาวะเช่นจาเลยจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และจาเลยอาจใช้ความระมัดระวัง
เชน่ วา่ นั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ จึงเป็นการกระทาโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อ่ืนถึงแก่ความตาย
การกระทาซึ่งจะเป็นการปอ้ งกันโดยชอบด้วยกฎหมายตาม ป.อ. มาตรา ๖๘ ต้องเป็นการกระทาโดย
เจตนา เมื่อการกระทาของจาเลยเป็นการกระทาโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ไม่ใช่
เป็นการกระทาโดยเจตนา จงึ ไมเ่ ป็นการป้องกนั โดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๖๘
ฎกี านา่ สนใจเรอื่ งกฎหมายยกเว้นโทษตามมาตรา ๖๗
ฎกี าท่ี ๗๒๒๗/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๘ น.๘๖ ผู้ตายชอบเลน่ อาวุธปนื บางครั้งเอากระสนุ ปืนออก
จากลูกโม่แล้วมาจ่อยิงท่ีศรี ษะตนเองหรือผู้อื่นเพื่อล้อเล่น ในวันเกดิ เหตุก่อนเกิดเหตุผตู้ ายก็เอาอาวุธ
ปนื มาเล่นอีก แตไ่ มป่ รากฏวา่ ขณะทผี่ ตู้ ายเอาอาวุธปืนมาจอ่ ที่ศีรษะตนเองแลว้ จาเลยเข้าแยง่ เป็นเหตุ
ให้ปืนลั่นน้ัน ผู้ตายจะยิงตนเองหรือผู้ตายเมาสุราจนไม่ได้สติแต่อย่างใด ทั้งไม่ปรากฏว่าจาเลยรู้
หรือไม่ว่าอาวุธปนื ดังกลา่ วบรรจกุ ระสุนปนื หรอื ไม่ ดังน้ัน การทจี่ าเลยเข้าแย่งอาวุธปนื ในสถานการณ์
111
ดังกล่าว ถือว่าจาเลยกระทาโดยปราศจากความระมัดระวงั ซึง่ บคุ คลในภาวะเช่นนนั้ จักต้องมีตามวิสัย
และพฤติการณ์ และจาเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่าน้ันได้แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ อันเป็นการ
กระทาโดยประมาทตาม ป.อ. มาตรา ๕๙ วรรคส่ี
การที่จะอ้างว่าเป็นการกระทาความผิดด้วยความจาเป็นได้นั้น ต้องเป็นเร่ืองการกระทาผิด
โดยเจตนา แต่คดีนี้จาเลยกระทาความผิดโดยประมาทจึงมิใช่เป็นการกระทาความผิดด้วยความ
จาเปน็
ฎีกาท่ี ๖๙๖๕-๖๙๖๖/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๓๙ การที่จาเลยอ้างถึงการเอาเงินของ
กรมการศาสนาไป เพราะต้องการนาไปใช้รกั ษาบิดามารดาว่าเป็นการกระทาผดิ ด้วยความจาเป็นน้ัน
เห็นได้ว่ากรณีมิใช่จาเลยอยู่ในที่บังคับหรือภายใต้อานาจซ่ึงไม่สามารถหลีกเล่ียงหรือขัดขืนได้ และ
มิใช่กรณีที่มีภยันตรายที่ใกล้จะถึงแต่อย่างใด การกระทาของจาเลยจึงหาใช่การกระทาความผิดด้วย
ความจาเปน็ ท่ีจะได้รบั การยกเว้นโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๗ ไม่
ฎีกาน่าสนใจเรอื่ งกฎหมายยกเวน้ โทษตามมาตรา ๗๑
ฎีกาท่ี ๑๓๐๔/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๒ ความผิดของจาเลยฐานลักทรัพย์เอาบัตร
อิเล็กทรอนิกส์ (บัตรเบิกถอนเงินอัตโนมัติหรือเอทีเอ็ม) ของผู้เสียหายไปในเวลากลางคืนและฐาน
ลักทรัพย์โดยใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์เบิกถอนเงินสดจากบัญชีของผู้เสียหายในเวลากลางคืนตาม ป.อ.
มาตรา ๓๓๕ (๑) วรรคหน่ึง เม่ือจาเลยเป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับ ส. ผู้เสียหาย ซ่ึงตาม
ป.อ. มาตรา ๗๑ บัญญัติให้ความผิดน้ีเป็นความผิดฐานหนึ่ง (ในมาตรา ๓๓๔ ถึงมาตรา ๓๓๖) ท่ีให้
เป็นความผิดอันยอมความได้ คดีนี้เม่ือในชั้นอุทธรณ์จาเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายเป็นเงิน
เทา่ จานวนทจี่ าเลยใชบ้ ัตรอิเล็กทรอนิกส์เบิกถอนไป และผเู้ สียหายทาหนังสอื ไม่ติดใจเอาความท้ังคดี
แพ่งและคดีอาญาแก่จาเลยอีกต่อไป จึงเป็นการยอมความคดีอาญาก่อนคดีถึงที่สุดตาม ป.วิ.อ.
มาตรา ๓๕ วรรคสอง ทาใหส้ ทิ ธินาคดีอาญามาฟอ้ งของโจทกย์ อ่ มระงับไปตามมาตรา ๓๙ (๒)
ฎกี าน่าสนใจมาตรา ๖๙
ฎีกาท่ี ๗๕๑๖/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๘ น.๑๑๕ แม้จาเลยมีร่างกายพิการที่ขาขวาด้วน จาเลยก็มี
สิทธิโดยชอบธรรมท่ีจะเข้าไปเท่ียวเพื่อหาความสุขสาราญในร้านอาหารที่เกิดเหตุได้เช่นคนที่มี
ร่างกายปกติธรรมดาทั่วไป และโจทก์ร่วมไม่มีสิทธิใด ๆ ท่ีจะนาเอาเหตุความพิการทางร่างกายของ
จาเลยมาพูดจาวิพากษ์วิจารณ์เยาะเย้ยถากถางหรือดูหมิ่นเหยียดหยามเพ่ือให้จาเลยเจ็บช้าน้าใจได้
การที่โจทก์ร่วมพูดกับ ม. ว่า “ดูน่ันซิ ด้วนแล้วยังมาเที่ยวอีก”ีและ ม. ยังพูดเป็นเชิงสนับสนุน
เห็นด้วยว่า “ถึงพิการแต่ใจรัก”ีเป็นการเย้ยหยันสบประมาทตัวจาเลย ทาให้จาเลยต้องรู้สึกอับอาย
และแค้นเคืองเป็นอย่างมาก การที่จาเลยชักอาวุธปืนออกมาแล้วยิงขึ้นฟ้า ๒ นัด ก็เพ่ือเตือนให้
112
หยุดยั้งการกระทาโดยมิชอบของโจทก์ร่วม และ ม. แต่แทนที่โจทก์ร่วมจะหยุดการกระทาดังกล่าว
โจทก์ร่วมกลบั วงิ่ เข้าไปหาจาเลยในลกั ษณะเข้าทาร้ายจาเลย แมโ้ จทกร์ ่วมจะไม่มีอาวธุ ตดิ ตวั แต่ดว้ ย
การที่จาเลยขาพิการย่อมอยู่ในฐานะท่ีเสียเปรียบหากจะป้องกันตัวโดยการต่อสู้กับโจทก์ร่วมด้วย
มอื เปล่า การที่จาเลยใช้อาวธุ ปืนยิงใส่โจทก์ร่วมจึงเป็นการป้องกันสิทธิของตนให้พ้นอันตราย ซึ่งเกิด
จากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่การท่ีจาเลยยิงปืน
ใส่บริเวณลาตัวจนถูกแขนของโจทก์ร่วม อาจพลาดไปโดนอวัยวะสาคัญทาให้ถึงตายได้ จึงเป็นการ
กระทาโดยเจตนาฆ่าซ่ึงเกินกว่ากรณีแห่งการจาต้องกระทาเพื่อป้องกัน ซึ่งศาลจะลงโทษจาเลย
น้อยกว่าทก่ี ฎหมายกาหนดไว้สาหรบั ความผิดนั้นเพยี งใดก็ไดต้ าม ป.อ. มาตรา ๖๘ และ ๖๙
ฎีกาท่ี ๘๗๗๒/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๙๒ การกระทาความผิดโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ.
มาตรา ๗๒ นั้น นอกจากผู้กระทาจะต้องถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมแล้ว ยังต้อง
กระทาต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นด้วย ดังนี้ แม้การท่ีผู้ตายไปมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงอ่ืนจะเป็น
การข่มเหงจาเลยซึ่งเป็นภริยาอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมก็ตาม แต่เม่ือจาเลยทราบเร่ือง
ดังกล่าวประมาณ ๓ ถึง ๔ เดือน ก่อนเกิดเหตุโดยไม่ปรากฏว่าจาเลยแสดงอาการโกรธหรือจะไป
ทาร้ายผู้ตาย และยังคงอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้ตายจนถึงวันเกิดเหตุ การกระทาของจาเลยจึงมิใช่
การกระทาความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น อันจะเป็นการกระทาความผิดโดยบันดาลโทสะตามท่ี
กฎหมายบัญญัติไว้ อย่างไรก็ตามพฤติการณ์ท่ีผู้ตายพูดกับจาเลยว่า "ถ้ามึงเลิกกับกูมึงตาย" แล้ว
ผู้ตายกาลังจะคว้าอาวุธปืนท่ีวางอยู่บนโต๊ะนั้น นับเป็นภยันตรายท่ีใกล้จะถึงและยากท่ีจะหนีให้พ้น
ภยันตรายน้ันได้ทันท่วงที เพราะผู้ตายอยู่ห่างจาเลยประมาณ ๑ เมตร เท่าน้ัน การที่จาเลยใช้อาวุธ
ปนื ยิงผตู้ ายในขณะน้ัน จงึ เป็นการป้องกันตนเองเพ่ือให้พ้นภยันตรายจากการถูกผตู้ ายทาร้าย แต่โดย
เหตุที่ผู้ตายไม่มีอาวุธ การท่ีจาเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายไป ๑ นัด จนเป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับบาดเจ็บ
ย่อมเพียงพอที่จะยับย้ังผู้ตายให้เกรงกลัวไม่เข้าไปทาร้ายจาเลยและเปิดโอกาสให้จาเลยหลบหนี
ผู้ตายไปได้แล้ว ดังนั้น การที่จาเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายซ้าอีกหลายนัดจึงเป็นการป้องกันเกินสมควร
แก่เหตตุ าม ป.อ. มาตรา ๖๙
ฎีกาท่ี ๖๓๙๗/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๗๓ ก่อนเกิดเหตุ ป. และ ส. โต้เถียงกันเรื่องท่ี ส. กับ
พวกได้ทดลองขับรถยนต์ที่ซ่อมและห้ามล้อรถเสียงดังแล้ว ส. ถือหินและไม้เข้าไปจะทาร้าย ป.
ป. ตะโกนให้จาเลยช่วยเหลือ จาเลยจึงพูดห้ามปราม แต่ ส. ไม่ยอมหยุดและจะทาร้ายจาเลยด้วย
การทจ่ี าเลยใช้อาวุธปืนยิง ส. และ ศ. เพ่ือช่วยเหลือป้องกัน ป. ภริยาจาเลยและจาเลยให้พ้นจากการ
ประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยนั ตรายที่ใกล้จะถึง แต่การท่ีจาเลยใช้อาวุธปืนยิง ส. ๒
นัด จนถึงแก่ความตายน้ัน เป็นการกระทาเพื่อปอ้ งกันสทิ ธิของตนและผู้อื่นเกินสมควรแก่เหตุ จาเลย
จึงมีความผิดฐานฆ่า ส. โดยป้องกนั เกินสมควรแก่เหตุ หลังจากนั้นจาเลยวิ่งไลต่ ามแล้วใช้อาวุธปนื ยิง
ศ. จนถึงแก่ความตาย แม้จะเป็นการกระทาต่อเนื่องกันอันเป็นกรรมเดียว แต่ขณะจาเลยยิง ศ. นั้น
ไมม่ ภี ยนั ตรายใด ๆ ทจ่ี าเลยจะต้องปอ้ งกนั อีก การทจ่ี าเลยยงิ ศ. จงึ มคี วามผิดฐานฆ่าผอู้ ื่น
ฎีกาที่ ๗๙๔๐/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๐๔ บ้านและบริเวณบ้านของจาเลยถือว่าเป็น
113
เคหสถานที่ประชาชนท่ัวไปย่อมเห็นว่าเป็นท่ีปลอดภัยไม่ควรถูกบุคคลอื่นรุกล้าเข้ามากระทาการอั น
ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จาเลยไม่จาเป็นต้องหลบหนีและมีสิทธิท่ีจะป้องกันสิทธิของตนเพราะจาเลย
เป็นผู้สุจริตหาต้องถูกบังคับให้ไปเสียจากเคหสถานของจาเลยซึ่งมีสิทธิที่จะอยู่อาศัยและเคลื่อนไหว
โดยอิสระ หากจาเลยจาต้องหนีแลว้ เสรภี าพของจาเลยกจ็ ะถกู กระทบกระเทอื น
ผู้ตายขับรถเข้ามาในบริเวณบ้านของจาเลยเพื่อจะบังคับ ผ. ซ่ึงเป็นบุตรสาวของจาเลยและ
เคยเป็นภริยาของผู้ตายให้ไปอยู่กินด้วยกันเช่นเดิมแล้วเกิดโต้เถียงกัน จาเลยพูดจาห้ามปราม ผู้ตาย
ไม่ฟังและได้ลงจากรถพร้อมกับถืออาวุธมีดยาว ๑๒ นิ้วเดินไปหาจาเลย จาเลยจึงว่ิงข้ึนไปบนบ้าน
หยบิ เอาอาวธุ ปืนยาวกึ่งอัตโนมัติขนาด .๒๒ ซึ่งเป็นอาวธุ ปืนที่จาเลยได้รบั อนุญาตใหม้ ีและใช้ ทง้ั เป็น
อาวุธปืนท่ีปกติใช้ยิงนกหรือสัตว์ขนาดเล็กและมีแรงปะทะน้อยลงจากบ้าน เพื่อปรามมิให้ผู้ตายทา
ร้ายจาเลยหรือทาลายทรัพย์สินของจาเลยหรือบังคับให้ ผ. ไปอยู่กับผู้ตาย โดยไม่มีกริยาอาการท่ีจะ
ยงิ ทาร้ายผู้ตายซ่ึงถูก ผ. โอบกอดไว้ ดังน้ี จะถือว่าจาเลยมีเจตนาสมัครใจเข้าทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย
หาได้ไม่ หลังจากนนั้ สักครู่ผู้ตายสะบัดตัวหลุดและเดินเข้าหาจาเลยเพื่อทารา้ ยจนห่างประมาณ ๑ วา
โดยมีอาวุธมีดยาว เช่นน้ีนับว่าเป็นภยันตรายท่ีใกล้จะถึงแล้ว จาเลยย่อมมีสิทธิจะป้องกันเน่ืองจาก
หากปล่อยให้ผู้ตายเข้ามาใกล้กว่านั้น โอกาสท่ีจะใช้อาวุธปืนยาวยิงเพื่อป้องกันตัวย่อมจะขัดข้อง
การที่จาเลยใช้อาวุธดังกล่าวยิงไปท่ีผู้ตายไป ๑ นัด แต่ผู้ตายยังเดินเข้ามาหาจาเลยอีก จาเลยจึง
ยิงผู้ตายอีก ๒ นัด ติดต่อกันผู้ตายจึงล้มลง นับว่าเป็นการพอสมควรแก่เหตุในภาวะและวิสัยเช่นนั้น
แตห่ ลังจากผู้ตายล้มลงนอนหงายจาเลยยังเดินเขา้ ไปยิงผ้ตู ายอีก ๒ นัด จึงเป็นการกระทาเกินสมควร
แก่เหตุ จาเลยจึงมคี วามผิดฐานฆา่ ผ้อู ืน่ โดยปอ้ งกันเกินสมควรแกเ่ หตุ
ฎีกาที่ ๑๙๑/๒๕๔๙ ฎ.๖๑ ผู้ตายเข้าไปลักแตงโมในไร่ของจาเลยเป็นการประทุษร้ายอัน
ละเมิดต่อกฎหมายต่อทรัพย์ของจาเลย จาเลยจึงมีสิทธิท่ีจะป้องกันทรัพย์สินของตนได้ แต่การท่ี
จาเลยต่อและปล่อยกระแสไฟฟ้าซึ่งมีแรงเคลื่อนสูงถึง ๒๒๐ โวลท์ ที่สามารถดูดคนให้ถึงแก่ความ
ตายได้ ท้ังที่ทรัพย์ท่ีจาเลยมีสิทธิกระทาการป้องกันคือแตงโมมีราคาไม่สูงมากนัก ย่อมถือได้ว่าเป็น
การกระทาท่ีเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีแห่งการจาต้องกระทาตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๖๙
ฎีกาที่ ๓๓๓๐/๒๕๖๒ ฎ.๓๑๑ ผู้ตายท้ังสองเข้าไปลักใบพืชกระท่อมของจาเลย ถือได้ว่า
ผู้ตายท้ังสองได้กระทาการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายต่อทรัพย์ของจาเลย จาเลยมีสิทธิท่ีจะ
ป้องกันทรัพย์สินของตนเองได้ แต่จาเลยต่อและปล่อยกระแสไฟฟ้าที่สามารถทาให้ดูดคนให้ถึงแก่
ความตายได้ ทั้งที่ทรัพย์สินท่ีจาเลยมีสิทธิกระทาการป้องกันมีราคาไม่สูงมากนัก ย่อมถือได้ว่า
เป็นการกระทาท่ีเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีแห่งการจาต้องกระทาตาม ป.อ. มาตรา ๖๙
ซึ่งศาลจะลงโทษนอ้ ยกว่าทกี่ ฎหมายกาหนดไวส้ าหรับความผิดน้นั เพียงใดก็ได้
114
บนั ดาลโทสะ
ข้อ ๒๗ คาถาม นางเขียวเป็นภริยานายขาว แต่นางเขียวพอใจนายเข้มซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน
นางเขียวได้หลอกล่อนายเข้มให้เข้ามาในบ้านและพยายามยั่วยวนนายเข้มเพ่ือให้รับรักตน แต่นาย
เข้มเมอื่ ทราบความจริงก็วงิ่ หนีจากบ้านโดยนายเข้มวง่ิ สวนกบั นายขาวที่บันไดบ้าน นายขาวสอบถาม
นางเขียวว่านายเข้มเข้ามาทาอะไรในบ้าน นางเขียวซึ่งรู้สึกเสียหน้าอยู่แต่เดิม จึงโกหกว่านายเข้ม
ได้ข่มขนื กระทาชาเราตนและวิ่งหนีไปแล้ว นายขาวรสู้ ึกโมโหมากและเหน็ หลังนายเข้มวง่ิ หนีจากบา้ น
ไปไว ๆ ก็รีบวิ่งไล่ตามและชกนายเข้มหน่ึงคร้ัง ถูกนายเข้มครึ่งปากครึ่งจมูก นายเข้มล้มลงหัวฟาด
ก้อนหินถึงแกค่ วามตาย
ให้วินิจฉยั ความรับผิดทางอาญาของนายขาว
คาตอบ หลักกฎหมายเร่ืองเจตนา ผลโดยตรง สาคัญผิด บันดาลโทสะ ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๕๙, ๖๒, ๗๒
การที่นายขาวชกนายเข้มหน่ึงคร้ัง ถูกนายเข้มครึ่งปากคร่ึงจมูก ถือว่านายขาวมีเพียง
เจตนาทาร้ายนายเข้ม เพราะการชกถูกครึ่งปากคร่ึงจมูกดังกล่าว มิได้ประสงค์ต่อผลหรือย่อม
เล็งเห็นผลในการฆ่า เพียงแต่ประสงค์ต่อผลในการทาร้ายเป็นเหตุให้ผู้อ่ืนได้รับอันตรายแก่กาย
เท่านั้น นายขาวจึงมีเพียงเจตนาทาร้ายร่างกายนายเข้มตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๒๙๕ เท่านัน้
แม้นายขาวจะมเี พียงเจตนาทารา้ ยนายเข้ม แตเ่ มื่อนายเข้มถึงแก่ความตาย ต้องพิจารณาว่า
เป็นผลโดยตรงตามทฤษฎีเง่ือนไขหรือไม่ ซึ่งมีหลักว่า ถ้าไม่ทาผลไม่เกิด ถือว่าผลเกิดจากการ
กระทานั้น แม้จะมีเหตุอื่นประกอบด้วยก็ตาม กรณีน้ีถ้านายขาวไม่ชกนายเข้ม นายเข้มก็จะ
ไม่ล้มลงหัวฟาดก้อนหินและไม่ถึงแก่ความตาย ต้องถือว่าความตายของนายเข้มเป็นผลโดยตรง
จากการกระทาของนายขาวตามทฤษฎีเง่ือนไขแล้ว นายขาวต้องรับผิดในผล การกระทาของ
นายขาวจึงครบองค์ประกอบความผิดฐานเจตนาทาร้ายนายเข้มจนเป็นเหตุให้นายเข้ม
ถงึ แกค่ วามตายตามมาตรา ๒๙๐
แต่นายขาวชกนายเข้มเพราะนายขาวโมโหนายเข้ม เน่ืองจากนางเขียวโกหกนายขาวว่า
นายเข้มข่มขืนกระทาชาเรานางเขียว จึงเป็นการสาคัญผิดในข้อเท็จจริง ถ้ามีอยู่จริงจะทาให้
นายขาวได้รับโทษน้อยลง แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง แต่นายขาวสาคัญผิดว่ามีอยู่จริง
นายขาวย่อมได้รับโทษน้อยลง เพราะนายขาวเข้าใจว่าตนเองถูกนายเข้มข่มเหงอย่างร้ายแรง
ดว้ ยเหตุอันไม่เป็นธรรมและได้กระทาต่อนายเข้มผู้ข่มเหงในขณะน้ัน นายขาวจึงอ้างเหตุบันดาล
โทสะโดยสาคัญผิดมาลดโทษได้ตามมาตรา ๗๒ ประกอบมาตรา ๖๒ วรรคแรก นายขาวจึง
มีความผิดฐานเจตนาทาร้ายนายเข้มจนเป็นเหตุให้นายเข้มถึงแก่ความตาย เพราะบันดาลโทสะ
โดยสาคัญผิด ศาลจะลงโทษนายขาวน้อยกว่าที่กฎหมายกาหนดไว้สาหรับความผิดน้ันเพียงใด
กไ็ ด้
115
ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๗๒
ฎีกาท่ี ๑๓๘๔/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๑๕ จาเลยทราบเรื่องท่ีผู้ตายเป็นภริยาน้อยของสามี
ตนมานานถึง ๓ เดือนแล้ว จาเลยเคยโทรศัพท์ไปด่าว่าผู้ตาย เม่ือพบกันก็ต่อว่ากันบ้าง แต่ไม่เคย
ลงมือตบตีกัน จาเลยเคยไปทวงหนี้ผู้ตายถึงบ้านมาแล้ว ๒ คร้ัง และในวันเกิดเหตุจาเลยก็เป็นฝ่าย
ไปทวงถามหนี้ผู้ตายถึงบ้าน ถ้อยคาท่ีโต้ตอบกันได้ความเพียงว่า จาเลยบอกให้ผู้ตายใช้หนี้จาเลย
ผู้ตายบอกว่ากูได้ผัวมึงมาเป็นผัวกูแล้วก็หักหน้ีกันไปซิ จาเลยบอกว่าถ้าไม่ให้ก็ไม่ยอม ผู้ตายบอกว่า
กเ็ ข้ามาซิ พร้อมกับหยิบมีดทาครัวจากเขียงในครวั มาถอื แล้วบอกว่ามึงอยากไดก้ ็เข้ามาซิ ถอ้ ยคาของ
ผู้ตายดังกล่าวมีลักษณะเป็นเพียงถ้อยคาท่ีก้าวร้าว ย่ัวยุ ท้าทาย โดยไม่ให้ความเคารพหรือยาเกรง
ภริยาหลวงเท่าน้ัน ประกอบกับผู้ตายซึ่งต้ังครรภ์ถึง ๖ เดือน ไม่ได้เป็นฝ่ายเดินเข้าหาเพื่อทาร้าย
จาเลย แต่จาเลยถอยหลังออกมาแลว้ หยิบทอ่ นเหล็กของกลางท่ีวางอยู่ชายคาข้างบ้าน แล้วเข้าไปใน
ครวั ใช้เหล็กท่ีถอื ไปตีทศี่ ีรษะผู้ตายกอ่ นโดยตีประมาณ ๓ คร้ัง ผู้ตายล้มลงและมีดหลุดจากมือ จาเลย
ใช้มดี ดังกล่าวปาดคอผู้ตายคร้ังเดยี ว เช่นน้ี ตามพฤติการณ์แห่งคดีข้างตน้ หาใช่เป็นการข่มเหงจาเลย
อย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม กรณีจึงฟังไม่ได้ว่าจาเลยฆ่าผู้ตายโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ.
มาตรา ๗๒
ฎีกาที่ ๘๗๗๒/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๙๒ การกระทาความผิดโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ.
มาตรา ๗๒ น้ัน นอกจากผู้กระทาจะต้องถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมแล้ว ยังต้อง
กระทาต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นด้วย ดังน้ี แม้การท่ีผู้ตายไปมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงอื่นจะเป็น
การข่มเหงจาเลยซ่ึงเป็นภริยาอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมก็ตาม แต่เมื่อจาเลยทราบเร่ือง
ดังกล่าวประมาณ ๓ ถึง ๔ เดือน ก่อนเกิดเหตุโดยไม่ปรากฏว่าจาเลยแสดงอาการโกรธหรือจะไป
ทาร้ายผู้ตาย และยังคงอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้ตายจนถึงวันเกิดเหตุ การกระทาของจาเลยจึงมิใช่
การกระทาความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น อันจะเป็นการกระทาความผิดโดยบันดาลโทสะตามท่ี
กฎหมายบัญญัติไว้ อย่างไรก็ตามพฤติการณ์ที่ผู้ตายพูดกับจาเลยว่า "ถ้ามึงเลิกกับกูมึงตาย" แล้ว
ผู้ตายกาลังจะคว้าอาวุธปืนที่วางอยู่บนโต๊ะน้ัน นับเป็นภยันตรายท่ีใกล้จะถึงและยากที่จะหนีให้พ้น
ภยันตรายน้ันได้ทันท่วงที เพราะผู้ตายอยู่ห่างจาเลยประมาณ ๑ เมตร เท่านั้น การที่จาเลยใช้อาวุธ
ปืนยิงผ้ตู ายในขณะนัน้ จงึ เป็นการป้องกันตนเองเพือ่ ใหพ้ ้นภยันตรายจากการถูกผ้ตู ายทาร้าย แตโ่ ดย
เหตุท่ีผู้ตายไม่มีอาวุธ การที่จาเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายไป ๑ นัด จนเป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับบาดเจ็บ
ย่อมเพียงพอท่ีจะยับยั้งผู้ตายให้เกรงกลัวไม่เข้าไปทาร้ายจาเลยและเปิดโอกาสให้จาเลยหลบหนี
ผู้ตายไปได้แล้ว ดังน้ัน การท่ีจาเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายซ้าอีกหลายนัดจึงเป็นการป้องกันเกินสมควร
แกเ่ หตุตาม ป.อ. มาตรา ๖๙
ฎีกาท่ี ๖๐๑๙/๒๕๖๐ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๒๓ ขณะที่จาเลยเดินมาซื้อส้ม ผู้ตายเพียงแต่พูดว่า
"ทาไมซื้อส้มเท่าน้ีตังมีเยอะ" แล้วจาเลยกับผู้ตายต่างพูดเสียดสีท้าทายกัน จนเป็นเหตุให้จาเลย
ใช้อาวธุ ปืนยิงผูต้ าย แมผ้ ู้ตายเป็นฝ่ายพดู กบั จาเลยก่อนจนเป็นเหตุให้จาเลยไมพ่ อใจ แล้วมีการพูดจา
เสียดสแี ละท้าทายกัน แต่ถ้อยคาของผ้ตู ายมีลักษณะเป็นเพียงการหยอกลอ้ จาเลย ยังถือไม่ได้ว่าการ
116
กระทาของผ้ตู ายเป็นการขม่ เหงจาเลยอยา่ งรา้ ยแรงดว้ ยเหตุอนั ไมเ่ ป็นธรรม
ฎกี าท่ี ๑๐๒๑/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๘๗ จาเลยใชม้ ีดพร้าฟันโจทก์ร่วมหลายครงั้ โดยแรงจึง
ทาให้มีบาดแผลลึกถึงกระดูกและกะโหลกศีรษะและยังทาให้เส้นประสาทขาด สาหรับกรณีศีรษะถือ
เป็นอวยั วะสาคญั ของร่างกาย การที่จาเลยใชม้ ีดพร้าขนาดใหญเ่ ชน่ นฟ้ี ันโจทก์ร่วมจนทาให้มีบาดแผล
ฉกรรจ์ที่ศีรษะบริเวณท้ายทอยลึกถึงกะโหลกศีรษะ จาเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าโจทก์ร่วมย่อมได้รับ
อันตรายถึงแก่ชีวิตได้ การกระทาของจาเลยดังกล่าวจึงมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วม เมื่อโจทก์ร่วมไม่ถึงแก่
ความตาย จาเลยจึงมคี วามผิดฐานพยายามฆ่าผู้อ่ืน
โจทก์ร่วมเขียนจดหมายไปถึงจาเลยโดยมีข้อความบางตอนว่า "ไอ้คนสิ้นคิด สมองหมา
ปัญญาควาย ... อย่ามุดหัวอยู่แต่ในผ้าถุงเมียให้มากนัก ... มึงมีปัญญาแค่ลักเล็กขโมยน้อยเท่านั้น
แหละ" ก็ตาม แต่เหตกุ ารณด์ งั กล่าวเกดิ ขน้ึ ก่อนเกิดเหตคุ ดีนีน้ านกว่า ๗ เดอื น จาเลยจงึ ไมอ่ าจอ้างว่า
มีความโมโหสะสมอยู่ได้ และแม้ในวันเกิดเหตุโจทก์ร่วมมาด่าจาเลยก่อนว่า "ไอ้เย็ดแม่ ควาย
ไอ้ชิงหมาเกิด ไม่รับผิดชอบ" และชี้หน้าแช่งจาเลยให้ขับรถชนตายก็ตาม แต่ถ้อยคาด่าดังกล่าว
เป็นเพยี งถ้อยคาที่หยาบคาย ซงึ่ ตามปกติวญิ ญชนโดยทั่วไปจะไม่กล่าวออกมาเช่นนนั้ และไม่ปรากฏ
ว่าหลังจากที่โจทก์ร่วมกล่าวถ้อยคาดังกล่าวในวันเกิดเหตุแล้วโจทก์ร่วมได้กระทาการอย่างหนึ่ง
อย่างใดต่อจาเลยอีกก่อนท่ีจาเลยจะใช้มีดพร้าฟันโจทก์ร่วม การกระทาของโจทก์ร่วมตามที่จาเลย
กล่าวอ้างยังถือไม่ได้ว่าเป็นการข่มเหงจาเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จาเลยจึงไม่อาจ
อ้างไดว้ ่าจาเลยใช้มดี พรา้ ฟันโจทก์รว่ มโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา ๗๒
ฎีกาที่ ๔๗๕๑/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๔๗ ผู้ตายมีพฤติการณ์ที่ห่างเหินและแสดงความ
รังเกียจจาเลยด้วยการไม่ยอมกลับบ้าน และในเวลาเกิดเหตุเม่ือจาเลยมาพบผู้ตายและขอร้องให้
ผู้ตายกลับบ้าน ผู้ตายก็ปฏิเสธไม่ยอมกลับบ้านกับจาเลยและพูดในทานองย่ัวยุว่าต้องการหย่ากับ
จาเลยโดยอ้างว่าบิดาไม่ชอบจาเลยและต้องการให้หย่า นอกจากน้ีผู้ตายยังพูดว่าไม่รักจาเลยและ
จะไม่ขออยู่กับจาเลย ท่ีจดทะเบียนสมรสกับจาเลยก็เพ่ือหวังหลอกร่วมประเวณีกบั จาเลย การกล่าว
เช่นน้ีจึงเป็นการพูดดูถูกเห ยียดหยามทาให้จาเลยซึ่งเป็นหญิงและเป็น ภริยาของผู้ตาย เกิดความ
น้อยใจและโกรธท่ีผู้ตายจะทอดทิ้งด้วยการหย่าโดยอ้างว่าจาเลยถูกผู้ตายหลอกให้เป็นภริยาของ
ผู้ตายโดยประสงค์จะร่วมประเวณีกับจาเลยเท่านั้น มิได้มีความรักในฐานะเป็นคู่สมรสกันแต่อย่างใด
ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจาเลยซ่ึงเป็นหญิงและเป็นภริยาของผู้ตายอย่างไม่เป็นธรรม ทาให้จาเลยเกิด
ความโกรธอย่างรุนแรง ไม่อาจระงับโทสะได้ จึงใช้อาวธุ ปืนของกลางซงึ่ นาติดตัวมายิงผู้ตายขณะยังมี
โทสะอยู่จนเปน็ เหตใุ หถ้ งึ แก่ความตาย การกระทาของจาเลยจงึ เปน็ การกระทาโดยบันดาลโทสะ
ฎีกาที่ ๖๗๘๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๑๑ การท่ีผู้ตายซึ่งเป็นภริยามิได้จดทะเบียนสมรส
ของจาเลยท่ี ๑ มีชู้ และผู้ตายกับชายอ่ืนเข้าห้องปิดประตูอยู่ด้วยกัน มีลักษณะว่ามีความสัมพันธ์ฉัน
ชู้สาว ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจิตใจจาเลยที่ ๑ อย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม พิจารณา
ประกอบกับเหตุบนั ดาลโทสะอาจเกิดเพราะคาบอกเลา่ ได้ ไม่จาเปน็ ตอ้ งประสบเหตุการณ์ดว้ ยตนเอง
ทง้ั จาเลยที่ ๑ ก็ไปทารา้ ยผู้ตายทันทีท่ีได้รับคาบอกเล่า อนั เป็นการกระทาความผิดในขณะนั้น ดังน้ัน
117
การกระทาของจาเลยท่ี ๑ จึงเป็นการทารา้ ยผตู้ ายโดยบนั ดาลโทสะ
ข้อสังเกต แต่ถ้ำกระทำภำยหลังจำกทรำบนำน ฎีกำท่ี ๑๕๕๘๕/๒๕๕๗ ฎ.๒๓๓๑ ตัดสินว่ำ จำเลย
ใช้อำวุธปืนยิงผู้เสียหำยในขณะท่ีผู้เสียหำยกำลังขับรถยนต์เล้ียวเข้ำสถำนีบริกำรน้ำมัน แม้ก่อนเกิด
เหตุจำเลยทรำบว่ำผู้เสียหำยมีควำมสัมพันธ์ฉันชู้สำวกับภริยำจำเลยและจำเลยยังขุ่นเคืองผู้เสียหำย
ก็ตำม แต่จำเลยหำได้กระทำต่อผู้เสียหำยในขณะที่พบเห็นผู้เสียหำยเป็นชู้กับภริยำจำเลยหรือ
ในระยะเวลำที่ต่อเนื่องกระช้ันชิดกัน ถือไม่ได้ว่ำจำเลยยิงผู้เสียหำยเพรำะเหตุบันดำลโทสะในขณะ
ถูกขม่ เหงอย่ำงรำ้ ยแรงดว้ ยเหตุอนั ไม่เป็นธรรมตำม ป.อ. มำตรำ ๗๒
ฎีกาที่ ๓๕๘๓/๒๕๕๕ ฎ.๘๑๘ จ. เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจาเลยซึ่งจาเลย
มีสิทธิตามกฎหมายท่ีจะกระทาการป้องกันเกียรติยศช่ือเสียงของตน โดยมิให้ชายอ่ืนมามี
ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับภรรยาของตนได้ แตข่ ณะเกิดเหตุจาเลยพบเห็น จ. นอนหนุนตักผู้ตายและ
กอดจูบกันโดยไม่มีการร่วมประเวณีกัน และผู้ตายกระทาต่อ จ. ก็เป็นไปโดย จ. สมัครใจยินยอม
พฤติการณ์ยังถือไม่ได้ว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดการประทุษอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตราย
ท่ใี กล้จะถึง ซงึ่ จาเลยจาตอ้ งกระทาการป้องสทิ ธิ แต่การที่ผตู้ ายกบั จ. กอดจูบกนั นบั เป็นการกระทา
ที่ข่มเหงจิตใจของจาเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เม่ือจาเลยเห็นเหตุการณ์ย่อม
เหลือวิสัยของจาเลยท่ีจะอดกลั้นโทสะไว้ได้ การทีจ่ าเลยเขา้ ไปชกตอ่ ยผู้ตายแลว้ ใช้มีดปอกผลไม้ทีว่ าง
อยู่ใกล้ตัวแทงผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา จึงเป็นการกระทาโดยบันดาล
โทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๒
ฎีกาที่ ๒๐๖/๒๕๕๕ ฎ.๒๕ ก่อนเกิดเหตุผู้ตายเป็นคนชอบด่ืมสุราจนเมามายและรีดไถเงิน
จากจาเลยท่ี ๑ ซ่ึงเป็นภรรยาผู้ตาย เป็นประจา หากไม่ได้เงินคร้ังใดก็จะตบตีจาเลยท่ี ๑ วันเกิดเหตุ
ขณะผ้ตู ายไปหาจาเลยท่ี ๑ ผ้ตู ายก็เมาสุราและดา่ วา่ จาเลยที่ ๑ ดว้ ยถอ้ ยคาหยาบคายว่า มึงเมาเอาชู้
มึงรึ อีกะหรี่ อีสัตว์ อีเห้ีย กูจะนอนมึงไม่ให้กูนอนด้วย มึงจะมาให้ชู้มึงเอาหรือไง โคตรพ่อ โคตรแม่
มึง อีกะหร่ี อันถือได้ว่าเป็นการขม่ เหงจาเลยท่ี ๑ อย่างร้ายแรง ดว้ ยเหตุอันไม่เปน็ ธรรม การที่จาเลย
ท่ี ๑ ใช้ขวดแตกเป็นรูปปากฉลามแทงผู้ตายจนถึงแก่ความตายโดยเจตนาฆ่าจึงเป็นการกระทาโดย
บนั ดาลโทสะ ศาลจะลงโทษจาเลยที่ ๑ นอ้ ยกว่าที่กฎหมายกาหนดไว้เพยี งใดกไ็ ด้
ฎีกาท่ี ๔๘๗๖/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๕ น.๗๖ จาเลยซ่ึงเป็นคนรักเก่าของ ส. มาในที่เกิดเหตุ
เนื่องจากผตู้ ายทะเลาะและทาร้าย ส. และสั่งให้ ส. โทรศัพทเ์ รยี กจาเลยมาในที่เกดิ เหตุ ขณะเกดิ เหตุ
จาเลยเข้าไประงับเหตุระหว่างผู้ตายกับ ส. โดยจาเลยถามผู้ตายว่า "ทาไมทากับผู้หญิงอย่างน้ี"
เม่ือจาเลยพูดจบ ผู้ตายเป็นฝ่ายชกที่ใบหน้าจาเลย ๑ คร้ัง จากน้ันท้ังสองชุลมุนชกต่อยกัน ผู้ตาย
เป็นฝ่ายพกอาวุธมีดมา แม้เหตุการณ์ในช่วงน้ีอาจถือได้ว่ามีภยันตรายที่จาเลยจาต้องป้องกัน แต่
ปรากฏว่าต่อมาจาเลยแย่งอาวุธมีดดังกลา่ วได้แล้วแทงผู้ตาย โดยเหตุการณ์ในช่วงต่อมาน้ี จาเลยกับ
ผ้ตู ายชุลมุนต่อสู้กันประมาณ ๑๐ นาที ผู้ตายพูดว่า "พอแล้วไม่ไหวแล้ว" แสดงว่าผู้ตายไม่อยู่ในวิสัย
ที่จะต่อสู้ทาร้ายจาเลยได้อีกต่อไป ภยันตรายท่ีจาเลยจาต้องป้องกันได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่จาเลยกับ
พวกยังตามทาร้ายซ้าอีก แล้วจาเลยได้ถีบผู้ตายตกลงไปในคลอง จากน้ันจาเลยกับพวกกลับไป
118
ที่รถจักรยานยนต์แล้วขับกลับมายังจุดท่ีผู้ตายตกลงไปในคลอง และจาเลยตะโกนขึ้นว่า "ลงไปดูซิ
มันตายหรือยัง" แต่เพื่อนของจาเลยบอกว่า "ไปเลย ไปเลย" จาเลยกับพวกจึงขับรถจักรยานยนต์
ออกไปจากที่เกิดเหตุ การกระทาของจาเลยจึงไม่เป็นการป้องกัน แต่พฤติการณ์ที่จาเลยซ่ึงเป็น
คนรักเก่าของ ส. และถูกเรียกให้ไปในท่ีเกิดหตุ กับพยายามระงับเหตุทะเลาะระหว่างผู้ตายซ่ึงเป็น
คนรักใหม่กับ ส. แต่ผู้ตายเป็นฝ่ายชกและพยายามจะใช้อาวุธมีดแทงทาร้ายจาเลยก่อน จึงถือได้ว่า
จาเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จาเลยแทงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย
จงึ เปน็ ความผิดฐานฆ่าผู้อ่นื โดยบันดาลโทสะ
ฎีกาที่ ๔๗๕๓/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๕๒ วันเกิดเหตุจาเลยพูดขอให้ผู้ตายอย่ายุ่งเกี่ยวกับ
หลานสาวของจาเลยซึ่งมีสามีแล้วในทานองชู้สาว แต่ผู้ตายกลับพูดกับจาเลยว่า มึงไม่เกี่ยว ไอ้ด้วน
พ่อมึงกูยังไม่กลัวแล้วกูจะกลัวมึงทาไม จาเลยเป็นคนพิการ ขาข้างขวาขาดต้ังแต่หัวเข่าต้องใส่ขา
เทียม จาเลยไปพูดขอร้องมิให้ผู้ตายยุ่งเกี่ยวกับหลานสาวของจาเลย เพราะเห็นว่าการกระทาของ
ผู้ตายต่อหลานสาวของจาเลยนั้น นอกจากจะเป็นเร่ืองผิดกฎหมายแล้วยังผิดต่อศีลธรรมอันดีของ
ประชาชนด้วย จึงเป็นเร่ืองปกติที่บุคคลในฐานะเช่นจาเลยจะต้องพึงกระทาเพื่อปกป้องมิให้ผู้ตายก่อ
ความเดือดร้อนและสรา้ งความรา้ วฉานให้เกดิ ขึ้นแกค่ รอบครัวของญาติจาเลย แต่ผูต้ ายไม่เช่อื ฟังกลับ
พูดท้าทายและด่าจาเลย รวมทั้งพูดถึงปมด้อยของจาเลย ท้ังยังกล่าวพาดพิงถึงบิดาจาเลยในทานอง
เหยียดหยามจาเลยและเหยียดหยามบดิ าของจาเลยอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิง่ ความพิการของบุคคล
อนื่ ย่อมเปน็ ปมด้อยท่เี ป็นเร่ืองสาคัญไมอ่ าจนามากลา่ วเยาะเยย้ ไดใ้ นสภาพเช่นนี้ ดังนน้ั วิญญูชนท่ีอยู่
ในสภาวะ วิสัย พฤติการณ์ และมีสภาพเช่นเดียวกับจาเลยย่อมมีความรู้สึกว่าถูกผู้ตายข่มเหงอย่าง
ร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมแล้ว การท่ีจาเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจึงเป็นการกระทาความผิดโดย
บันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา ๗๒
ฎีกาท่ี ๔๘๙๕/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๕ น.๘๓ การกระทาโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา ๗๒
เป็นการกระทาที่ผู้กระทาความผิดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมจึงกระทาความผิด
ต่อผู้ข่มเหงในขณะน้ัน ส่วนการป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๖๘ หรือการป้องกัน
สิทธิเกินสมควรแก่เหตุตามมาตรา ๖๙ น้ัน เป็นกรณีที่ผู้กระทาจาต้องกระทาเพ่ือป้องกันสิทธิของตน
หรือของผู้อ่ืนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตราย
ที่ใกล้จะถึง การกระทาอย่างใดอย่างหน่ึงจึงไม่อาจเป็นทั้งการกระทาโดยบันดาลโทสะและป้องกัน
สิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายหรือเป็นการป้องกันสิทธิเกินสมควรแก่เหตุในขณะเดียวกันได้ เนื่องจาก
ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายท่ีผู้กระทาจะกระทาเพื่อป้องกันสิทธิได้
จะต้องเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและภยันตรายนั้นยงั มิได้สิน้ สุดลง หากภยันตรายนั้นผ่านพ้นไปแล้ว
ผู้กระทาก็ไม่อาจอ้างว่าเป็นการกระทาเพื่อป้องกันสิทธิได้ อย่างไรก็ดี ภยันตรายดังกล่าว
แม้จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ก็อาจเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมได้อย่างหนึ่ง
หากผู้ถูกข่มเหงได้กระทาความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น คอื ในระยะเวลาต่อเนื่องที่ตนยังมีโทสะอยู่
ยอ่ มถือว่าเปน็ การกระทาความผดิ โดยบันดาลโทสะ
119
จาเลยมีอาวุธปืนอยู่ในมือในขณะท่ีผ้ตู ายไม่มอี าวุธเป็นพฤตกิ ารณ์ที่เชื่อได้ว่า ผตู้ ายคงไม่กล้า
ทาร้ายจาเลยอีกต่อไปแล้ว จึงถือได้ว่าภยันตรายดังกล่าวท่ีผู้ตายก่อได้ผ่านพ้นไปแล้ว อย่างไรก็ตาม
พฤติการณ์ที่จาเลยยิงผู้ตายถึง ๖ นัด แล้วยังบรรจุกระสุนปืนเพิ่มและยิงผู้ตายอีกก็ต่อเน่ืองมาจาก
การกระทาของผู้ตายที่กระทาต่อจาเลย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจาเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุ
อันไม่เป็นธรรม การท่ีจาเลยยิงผู้ตายไปในระยะเวลาต่อเนื่องกระช้ันชิดกับการกระทาดังกล่าว การ
กระทาของจาเลยจึงเป็นการกระทาความผิดโดยบันดาลโทสะ หาใช่เป็นการกระทาเพื่อป้องกันสิทธิ
เกินสมควรแก่เหตุด้วยในขณะเดียวกันและเป็นการกระทากรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทไม่
ฎีกาที่ ๖๘๒๗-๖๘๒๘/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๕๙ ผู้เสียหายที่ ๒ ถูกจาเลยท่ี ๒ ใช้อาวุธมีด
ฟันและว่ิงหลบหนีเข้าไปในบ้านโจทก์ร่วม ส่วนโจทก์ร่วมหนีออกจากท่ีเกิดเหตุเช่นเดียวกัน ดังนั้น
ภยันตรายท่ีเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายจากการกระทาของโจทก์ร่วมจึงผ่านพ้น
ไปแล้วและไม่มีภยันตรายท่ีใกล้จะถึงตัว การท่ีจาเลยท้ังสองติดตามไปหาตัวโจทก์ร่วมจนพบและ
จาเลยที่ ๒ ใช้มีดฟันโจทก์ร่วมน้ัน จาเลยทั้งสองไม่อาจอ้างได้ว่าเป็นการป้องกันสิทธิของตนเองได้
แต่การกระทาดังกล่าวเกิดข้ึนต่อเน่ืองใกล้ชิดกับเหตุการณ์ที่โจทก์ร่วมใช้อาวุธปืนยิง ศ. ซึ่งเป็นบุตร
ของจาเลยท่ี ๑ และเป็นน้องชายจาเลยที่ ๒ จึงถือได้ว่าจาเลยท้ังสองถูกโจทก์ร่วมข่มเหงอย่าง
รา้ ยแรงด้วยเหตอุ ันไม่เปน็ ธรรม การกระทาของจาเลยท้งั สองจึงเป็นการกระทาโดยบันดาลโทสะตาม
ป.อ. มาตรา ๗๒
ฎีกาท่ี ๓๓๙๑/๒๕๕๙ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๗๒ แม้ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อน แต่เม่ือ
ไม่ปรากฏพฤติการณ์อื่นใดว่าผู้ตายจะเข้าทาร้ายจาเลยอีกโดยผู้ตายวิ่งกลับไปที่รถยนต์จอดอยู่และ
ไม่ปรากฏว่าขณะน้ันผู้ตายมีอาวุธติดตัวด้วย ถือได้ว่าภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิด
ตอ่ กฎหมายได้ผ่านพน้ ไปแล้ว การทีจ่ าเลยวง่ิ ไลต่ ามผตู้ ายไปในทันทีแล้วใชอ้ าวุธปนื ยงิ ผู้ตายจงึ ไม่อาจ
อ้างว่าเป็นการป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
ได้ แต่อย่างไรก็ดี การกระทาดังกล่าวเป็นการกระทาต่อเนื่องกระชั้นชิดกับเหตุการณ์ที่จาเลย
ถูกผู้ตายชกต่อยก่อน โดยจาเลยมิได้สมัครใจทะเลาวิวาทกับผู้ตายถือได้ว่าจาเลยถูกผู้ตายข่มเหง
อย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การท่ีจาเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายในขณะนั้น จึงเป็นการกระทา
ความผิดฐานเจตนาฆา่ ผอู้ ื่นโดยบนั ดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๘ ประกอบมาตรา ๗๒
ฎีกาที่ ๑๒๙๔/๒๕๕๕ ฎ.๒๘๓ ขณะเกิดเหตุจาเลยมีอายุ ๓๔ ปีเศษ จึงไม่เป็นผู้เยาว์และ
ไม่อยูใ่ ต้อานาจปกครองของผ้เู สียหายซึ่งเป็นบิดา การรับจ้างเกบ็ ค่าน้าประปาภายในหมู่บ้านเป็นงาน
อาชีพหน่ึงของจาเลย หากจาเลยบกพร่องในการทางานผู้ว่าจ้างยอ่ มจะว่ากล่าวแก่จาเลยเอง แม้โดย
ความผูกพันฉันบดิ ากับบุตร ผเู้ สียหายอาจตกั เตือนจาเลยไดบ้ ้าง แต่อายุขนาดจาเลยถือว่าเติบโตเป็น
ผู้ใหญ่มากแลว้ การท่ีผู้เสียหายดุด่าจาเลยดว้ ยคาหยาบคายเป็นเวลาตอ่ เนื่องกัน ท้ังยังตบกกหูจาเลย
อย่างรา้ ยแรงจนจาเลยทรุดตัวลง ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจาเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
เม่ือจาเลยกระทาความผิดต่อผู้ขม่ เหงในขณะนั้น ย่อมเป็นการกระทาความผิดโดยบันดาลโทสะ ตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๒
120
ฎีกาท่ี ๔๔๐๗/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๖ น.๑๔๕ ผู้ตายมีพฤติการณ์เป็นอันธพาลและข่มเหงรังแก
ผ้อู อ่ นเยาวก์ ว่า โดยข่มขู่รดี ไถเงินจากจาเลยซึ่งเปน็ นักศกึ ษา และถือวสิ าสะพาพรรคพวกเข้าไปม่ัวสุม
เสพยาเสพติดใหโ้ ทษในห้องพักของจาเลย อันเป็นการแสดงอานาจบาตรใหญ่จนจาเลยต้องยา้ ยที่อยู่
แต่ผู้ตายก็ตามไปจนพบและบังคับขอเงินจากจาเลยทั้งท่ีไม่มีความสัมพันธ์เก่ียวข้องกันแต่อย่างใด
โดยในวันเกิดเหตุขณะท่ีจาเลยจะไปวิทยาลัยผู้ตายก็ข่มขู่บังคับให้จาเลยหาเงินให้ก่อนและขู่ว่าถ้า
ไม่ไดต้ อ้ งถึงแก่ความตาย ถือได้ว่าจาเลยถกู ข่มเหงอยา่ งร้ายแรงดว้ ยเหตอุ ันไม่เป็นธรรม เมื่อจาเลยวิ่ง
หลบหนีผู้ตายยังวิ่งไล่ตามจาเลย การท่ีจาเลยใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้ตาย จึงเป็นการกระทาโดย
บนั ดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๘ ประกอบมาตรา ๗๒
ฎีกาท่ี ๑๓๓๒/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๐๒ การที่จาเลยด่าแม่โจทก์ร่วมตอบโต้ไปก่อนเข้าฟัน
โจทก์ร่วม เทา่ กับว่าจาเลยได้ถลาเขา้ ไปทะเลาะววิ าทกับโจทก์ร่วมด้วยแล้ว เมอื่ ต่างคนต่างก็ทะเลาะ
ด่าว่าซึ่งกันและกันเช่นนี้ จึงถือไม่ได้ว่าจาเลยกระทาความผิดโดยบันดาลโทสะเพราะถูกข่มเหงอย่าง
ร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมตาม ป.อ. มาตรา ๗๒ และไม่อาจอ้างว่าเป็นการกระทาความผิด
โดยบันดาลโทสะเพ่ือให้ศาลลงโทษจาเลยน้อยกว่าท่ีกฎหมายกาหนดไว้ สาหรับความผิดที่ได้กระทา
น้ันได้
ฎีกาท่ี ๔๒๗๐/๒๕๕๒ ฎ.๗๕๖ การท่จี าเลยอ้างวา่ ผู้ตายใชใ้ หจ้ าเลยไปยมื เงนิ ผ้อู ่ืนมาให้เป็น
เรื่องท่ีเกิดข้ึนก่อนเกิดเหตุ และจาเลยชอบท่ีจะต้องดาเนินการเรียกร้องบังคับให้ผู้ตายชาระหน้ีให้
จาเลยตามข้ันตอนของกฎหมายต่อไป ส่วนที่จาเลยไปทวงถามเอาจากผู้ตาย แต่ผู้ตายไม่ยอมคืนให้
ท้ังผู้ตายยังได้พูดกับจาเลยว่า "ควย มาทวงอะไรมากมาย" "ควย กูไม่ให้ ให้โคตรพ่อโคตรแม่มึงมา
ทวงซ"ิ และ "ควย กูไมใ่ ห้แล้ว" ถ้อยคาที่ผู้ตายพูดกับจาเลยที่เป็นคาก้าวร้าว หยาบคาย เป็นเรื่องท่ี
ไม่สมควรท่ีจะกล่าวออกมา และเป็นท่ีระคายเคืองแก่จาเลยอยู่บ้าง ก็ไม่ถึงขนาดท่ีจะถือว่าเป็นการ
ข่มเหงจาเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จาเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจึงมิใช่เป็นการ
กระทาโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา ๗๒
ฎีกาที่ ๓๖๑๗/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๓ ผู้ตายท่ี ๑ ด่าจาเลยว่า "โคตรพ่อโคตรแม่" แม้จะ
เป็นถ้อยคาก้าวร้าวหยาบคายเป็นที่ระคายเคืองแก่จาเลยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่จะถือว่าเป็นการ
ขม่ เหงจาเลยอยา่ งรา้ ยแรงด้วยเหตุอนั ไมเ่ ป็นธรรมตาม ป.อ. มาตรา ๗๒
ฎีกาท่ี ๖๑๓๕/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล. ๓ น. ๑๕๙ ก่อนและขณะเกิดเหตุผู้ตายได้ด่าว่าบุพการขี อง
จาเลย โดยจาเลยนาสืบว่า ถ้อยคาท่ีผู้ตายด่าจาเลยคือคาว่า “เย็ดแม่” เป็นเวลาหลายนาที แล้วยัง
เดินไปเดินมาด่าจาเลยอยู่อย่างนั้น จนจาเลยซึ่งอยู่ในห้องรับประทานข้าวจนเสร็จและหลบไปนอน
จาเลยนอนฟังอยู่โดยผู้ตายมายืนด่าแม่ที่หน้าห้องนอนจาเลย ๓ ครั้ง จาเลยทนไม่ไหวจึงลุกออกไป
นอกห้อง ผู้ตายพูดว่า “เพื่อนอย่างน้ีคบไม่ได้ ไม่ต้องคบ อย่าไปคบมันเลย”ีโดยพูดย้า ๆ ถึง ๓ ครั้ง
เปน็ คาพูดแดกดนั สบถคาหยาบคาย เห็นวา่ คาด่าดังกลา่ วแมจ้ ะเป็นถ้อยคาก้าวร้าวหยาบคายเป็นที่
ระคายเคืองแก่จาเลยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่จะถือว่าเป็นการข่มเหงจาเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุ
อันไม่เป็นธรรม คดีจึงฟังไม่ได้ว่าท่ีจาเลยใช้อาวุธปืนยิงฆ่าผู้ตายเป็นการกระทาโดยบันดาลโทสะ
121
เนอ่ื งจากผ้ตู ายข่มเหงอย่างรา้ ยแรงดว้ ยเหตุอนั ไม่เปน็ ธรรมตาม ป.อ. มาตรา ๗๒
ฎกี าที่ ๗๔๒๘/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๙๕ จาเลยใช้อาวุธปืนยิงผ้ตู ายเนอื่ งจากผู้ตายด่าจาเลย
ว่า อีลูกกะหร่ี น้ัน ย่อมมีความหมายเป็นที่เข้าใจของคนปกติทั่วไปว่าเป็นการกล่าวหามารดาจาเลย
วา่ เป็นคนสาส่อนทางเพศ ท้ังน้ี ไม่ว่าผู้ตายจะด่าจาเลยด้วยถ้อยคาดังกล่าวซ้าหลายครั้งหรือไม่ ย่อม
ทาใหค้ นธรรมดาและวญิ ญูชนทว่ั ไปท่ีอยู่ในภาวะวิสัยและพฤติการณ์ปกติรวมท้ังจาเลยรู้สกึ โกรธแค้น
จึงเป็นการข่มเหงจาเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม แม้เม่ือผู้ตายด่าจาเลยด้วยถ้อยคา
ดงั กล่าวแล้วจาเลยจะเดินไปท่ีรถและพูดกับ อ. ในทานองว่าขับรถให้หน่อยแล้วจาเลยจึงใช้อาวุธปืน
ยิงผู้ตายก็ตาม แตก่ ็เป็นการใชอ้ าวธุ ปืนยิงผู้ตายไปในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดในขณะทีโ่ ทสะของ
จาเลยยังรุนแรงอยู่ ย่อมเป็นการกระทาต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น การท่ีจาเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจึง
เป็นการกระทาโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา ๗๒
ฎีกาที่ ๑๔/๒๕๖๒ ฎ.๑๓๓๗ อาวุธมีดท่ีจาเลยที่ ๑ ใช้แทงโจทก์ร่วมเป็นอาวุธมีดปลาย
แหลม และคมมีดยาว ๔ น้ิว และจาเลยที่ ๑ เลือกแทงโจทก์ร่วมท่ีท้องซึ่งมีอวัยวะสาคัญอยู่ภายใน
จนลาไส้ทะลักออกมา แสดงว่าแทงอย่างแรง จาเลยที่ ๑ ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าคมมีดอาจทะลุไปถึง
อวัยวะสาคัญจนเป็นเหตุให้โจทก์รว่ มถงึ แก่ความตายได้ แมค้ มมีดจะไม่ถูกอวยั วะสาคญั ภายใน ก็ต้อง
ถือว่าจาเลยท่ี ๑ มีเจตนาฆ่า เม่ือจาเลยที่ ๑ ลงมือกระทาความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทาของ
จาเลยที่ ๑ ไม่บรรลุผลเพราะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทาการผ่าตัดและรักษาโจทก์ร่วมได้ทันท่วงที่ โจทก์
ร่วมไม่ถึงแก่ความตาย การกระทาของจาเลยท่ี ๑ เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อ่ืน มิใช่เป็นเพียง
ความผิดฐานทารา้ ยรา่ งกายผอู้ ื่น
ก่อนเกิดเหตุโจทก์ร่วมบุกรุกเข้าไปในบ้านของนางสาว จ. และพยายามเข้าไปห้องนอน
เป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมต่อนางสาว จ. มิใช่เป็นการข่มเหงต่อจาเลยที่ ๑
แม้การกระทาของโจทก์ร่วมจะสร้างความไม่พอใจแก่จาเลยที่ ๑ ซ่ึงเป็นญาติของ จ. แต่ จ. ก็เป็น
เพียงลูกพ่ีลูกน้องของจาเลยท่ี ๑ ไม่ใช่บุคคลใกล้ชิดอันจะก่อให้เกิดสิทธิและหน้าท่ีแก่จาเลยท่ี ๑
ที่จะต้องคอยปกป้องดูแลมิให้ผู้อ่ืนมาทาร้าย ดังน้ี ไม่อาจถือว่าจาเลยที่ ๑ ถูกโจทก์ร่วมข่มเหงอย่าง
ร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ส่วนข้อความท่ีจาเลยท่ี ๑ สอบถามและถ้อยคาท่ีโจทก์ร่วมโต้ตอบ
ไม่ว่าจะใช้ถ้อยคาว่า "แม่มึงเสือกไหร" หรือ "แม่งมึงเสือกไหร" ต่างเป็นเพียงถ้อยคาที่ไม่สุภาพ
หาใช่เป็นคาดา่ แมไ่ ม่ ยังถอื ไม่ไดว้ ่าจาเลยที่ ๑ ถูกขม่ เหงอย่างรา้ ยแรงด้วยเหตุอนั ไม่เป็นธรรมเช่นกัน
การกระทาของจาเลยท่ี ๑ ไมเ่ ป็นการกระทาโดยบันดาลโทสะ
122
พยายามกระทาความผดิ
ข้อ ๒๘ คาถาม นายแบนขับรถบรรทุกหกล้อนาสินค้ากล่องกระดาษขนาดเล็กมาส่งให้แก่
บริษัท กระดาษไทย จากัด หลังจากนาสินค้าดังกล่าวลงจากรถเรียบร้อย นายแบนขับรถบรรทุก
หกล้อไปจอดอีกมุมหน่ึงโกดัง นายแบนขนกระดาษท้ังใหม่และเก่าของบริษัท กระดาษไทย จากัด
ข้ึนรถบรรทุกหกล้อจนเต็มรถ หลังจากน้ันนายแบนขับรถบรรทุกหกล้อจะผ่านประตูทางออกเพื่อ
ออกจากโรงงานของบรษิ ัท กระดาษไทย จากัด แตพ่ นักงานรกั ษาความปลอดภยั ของบริษัท กระดาษ
ไทย จากัด ตรวจสอบพบว่ากระดาษบนรถดังกล่าวไม่มีใบอนุญาตให้นาออกนอกบริษัท จึงกักรถ
เอาไว้ไม่ให้นายแบนนากระดาษออกไป นางโบเป็นพนักงานของบริษัท กระดาษไทย จากัด
ซงึ่ แอบชอบนายแบนทราบวา่ นายแบนไม่มีสิทธิเอากระดาษออกไป แต่ต้องการช่วยนายแบนจึงบอก
พนักงานรักษาความปลอดภัยว่า กระดาษบนรถที่นายแบนขับเป็นของที่ไม่ใช้แล้วให้นายแบน
นาออกไปได้ ส่วนเอกสารอนุญาตให้นาส่ิงของผ่านออกจากบริษัทจะนามาให้ภายหลัง แต่พนักงาน
รักษาความปลอดภัยไม่ยอม จึงมีการนากระดาษลงไปไว้ที่เดิม แล้วพนักงานรักษาความปลอดภัย
จงึ ยอมให้นายแบนขบั รถบรรทุกหกล้อออกไป
ให้วนิ ิจฉยั ว่า นายแบนและนางโบมคี วามผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใด
คาตอบ การท่ีนายแบนขนกระดาษของบริษัท กระดาษไทย จากัด ข้ึนรถบรรทุกหกล้อ
แมน้ ายแบนจะขนกระดาษของผู้อน่ื เคลอื่ นที่โดยทจุ ริตแลว้ แต่รถบรรทุกหกล้อยังอยู่ในโรงงานของ
บริษัทฯ ซึ่งมีพนักงานรักษาความปลอดภัยดูแลอยู่ด้วย ท้ังพนักงานรักษาความปลอดภัยตรวจสอบ
พบว่ากระดาษบนรถดังกล่าวไม่มีใบอนุญาตให้นาออกนอกบริษัท จึงกักรถเอาไว้ไม่ให้นายแบน
นากระดาษออกไป จึงถือว่าการแยง่ กรรมสิทธ์ิในกระดาษของนายแบนยังไม่สมบูรณ์ ขั้นตอนการ
ลักทรัพย์ของนายแบนยังกระทาการไม่แล้วเสร็จ ถือว่านายแบนลงมือกระทาความผิดฐาน
ลักทรัพย์แล้ว แต่กระทาไปไม่ตลอด เพราะพนักงานรักษาความปลอดภัยไม่ยอมให้นารถบรรทุก
กระดาษออกนอกบริษัทฯ การกระทาของนายแบนมีความผิดเพียงฐานพยายามลักทรัพย์โดยใช้
ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทาผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔, ๓๓๖ ทวิ
ประกอบมาตรา ๘๐
การที่นางโบบอกพนักงานรักษาความปลอดภัยว่า กระดาษบนรถที่นายแบนขับเป็นของที่
ไม่ใช้แล้วให้นายแบนนาออกไปได้ ส่วนเอกสารอนุญาตให้นาสิ่งของผ่านออกจากบริษัทจะนามาให้
ภายหลังโดยทราบว่านายแบนไม่มีสิทธิเอากระดาษออกไป เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก
นายแบนขณะกระทาความผิด แม้นายแบนผู้กระทาความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้
ความสะดวกน้ันก็ตาม เมื่อนางโบช่วยเหลือนายแบนขณะท่ีการกระทาความผิดฐานลักทรัพย์ของ
นายแบนยังไม่สาเร็จ นางโบจึงเป็นผู้สนับสนุนนายแบนกระทาผิดตามมาตรา ๘๐, ๘๖ (ฎีกาที่
๔๓๙๙–๔๔๐๐/๒๕๕๕) แม้นางโบจะเปน็ ผสู้ นับสนุนนายแบนในการกระทาผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้
ยานพาหนะเพอ่ื สะดวกแก่การกระทาผิดหรอื พาทรัพย์นั้นไปซึ่งต้องระวางโทษหนักขึ้นตามมาตรา
๓๓๖ ทวิ น้ัน แต่มาตรา ๓๓๖ ทวิ มวี ตั ถปุ ระสงคล์ งโทษเฉพาะผู้ใช้ยานพาหนะเพือ่ สะดวกแก่การ
123
กระทาผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปเท่านั้น นางโบจึงไม่ต้องระวางโทษหนักข้ึนตามมาตรา ๓๓๖ ทวิ
คงเป็นเพยี งผสู้ นบั สนนุ ผูอ้ นื่ พยายามลักทรพั ยเ์ ทา่ น้นั (ฎีกาที่ ๓๙๓๔-๓๙๓๖/๒๕๕๘)
ฎีกาท่ี ๔๓๙๙–๔๔๐๐/๒๕๕๕ ฎ.๒๗๘๓ จาเลยท้ังสองเข้าไปพูดกับ ช. และ ภ. ซ่ึงทา
หน้าท่ีเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทผู้เสียหายบริเวณประตูทางออก เพ่ือให้ บ. นารถ
ซ่ึงบรรทุกกล่องกระดาษของผู้เสียหายออกไปจากบริษัทผู้เสียหาย แม้คนร้ายได้เคล่ือนย้ายกล่อง
กระดาษจากบรเิ วณท่ีผู้เสียหายเก็บไว้ในโกดงั ขน้ึ รถบรรทุกหกล้อ แต่รถบรรทกุ หกล้อยังคงอยู่ภายใน
โรงงานของผู้เสยี หายซึ่งมีพนกั งานรักษาความปลอดภยั ดูแลอยดู่ ว้ ย ท้ังพนักงานรักษาความปลอดภัย
ไม่ยินยอมให้ บ. นากล่องกระดาษออกไป จึงถือว่าการแย่งกรรมสิทธ์ิในกล่องกระดาษของ บ. ยัง
ไม่สมบูรณ์ ข้ันตอนการลักทรัพย์ของ บ. ยังกระทาการไม่แล้วเสร็จ การนารถบรรทุกหกล้อบรรทุก
กล่องกระดาษออกจากบริษัทของผู้เสียหายเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องเกี่ยวพันกับการลักทรั พย์ท่ีจาเลย
ทั้งสองพูดกับ ภ. และ ช. เพื่อให้นารถบรรทุกหกล้อออกไปจากโรงงานผู้เสียหาย จึงถือเป็นการ
ช่วยเหลือหรอื ให้ความสะดวกในขณะท่ี บ. ลงมือกระทาความผิดฐานลกั ทรพั ย์ เมือ่ บ. ไม่สามารถนา
กล่องกระดาษออกไปได้ การกระทาของ บ. ย่อมเป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ การกระทาของ
จาเลยทงั้ สองจึงเปน็ ความผดิ ฐานสนับสนุน บ. ในการกระทาความผดิ ฐานพยายามลักทรพั ย์
ข้อสังเกต ขอ้ เท็จจริงคดีนีฟ้ ังไม่ไดว้ ำ่ จำเลยรว่ มกับ บ. กระทำผดิ จงึ เป็นผู้สนบั สนนุ แต่ถ้ำขอ้ เทจ็ จริง
ฟงั วำ่ นัดกนั มำกระทำควำมผิด จะเปน็ ตวั กำรไม่ใชผ่ สู้ นับสนุน
ฎกี าที่ ๓๙๓๔-๓๙๓๖/๒๕๕๘ จาเลยที่ ๒ เป็นผูส้ นับสนุนการลกั ทรัพย์ในเวลากลางคืนโดย
ร่วมกระทาความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนข้ึนไปและโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทาผิด
หรือการพาทรัพยน์ ้ันไป หรือเพื่อให้พน้ การจบั กุม การทศ่ี าลช้ันต้นพพิ ากษาใหจ้ าเลยที่ ๒ ตอ้ งระวาง
โทษหนักขึ้นตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๖ ทวิ นั้นเป็นการไม่ชอบ เพราะมาตรา ๓๓๖ ทวิ มีวัตถุประสงค์
ลงโทษเฉพาะผ้ใู ช้ยานพาหนะเพือ่ สะดวกแก่การกระทาผดิ หรอื พาทรัพยน์ ั้นไปเทา่ น้ัน
ข้อ ๒๙ คาถาม นายสอนต้องการฆ่านางสาภริยาของตนซ่ึงป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล เพราะ
ตอ้ งการมรดกของนางสา นายสอนจึงจา้ งให้นางสาวสวยนาอาหารผสมยาพิษไปใหน้ างสารับประทาน
นายสอนมอบถงุ อาหารผสมยาพิษให้แกน่ างสาวสวยที่งานประชาสัมพันธ์หนา้ ห้องผู้ป่วย นางสาวสวย
นาอาหารไปใส่จานทง่ี านประชาสมั พันธ์หน้าห้องผู้ปว่ ยเสร็จแล้วนางสาวสวยก็นาอาหารผสมยาพษิ ที่
ใส่จานเรียบร้อยแล้วจะไปให้นางสารับประทานในห้อง แต่ก่อนท่ีนางสาวสวยจะเปิดประตูเข้าไปใน
ห้องผู้ป่วยน้ัน นางสาวสวยกลัวความผิดจนมือส่ัน อาหารผสมยาพิษหลุดมือตกลงที่พ้ืนหน้าห้อง
ผู้ป่วย ทันใดนั้นนายซวยซ่ึงมาจากต่างจังหวัดเพ่ือเย่ียมญาติ แต่หาญาติไม่พบและไม่ได้รับประทาน
อาหารมา ๓ วันแล้ว เดินผา่ นหน้าห้องดังกล่าวพอดี จึงเข้าไปหยิบอาหารท่ีพื้นมารบั ประทานและถึง
แกค่ วามตาย โดยที่นางสาวสวยหา้ มไมท่ นั
ใหว้ ินิจฉัยความรบั ผิดทางอาญาของนายสอนและนางสาวสวยในความผิดตอ่ ชวี ิตโดยเจตนา
124
คาตอบ หลักกฎหมายเร่ืองการพยายามกระทาความผิด ผู้ใช้ การกระทาโดยพลาดตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๘๔, ๖๐
ความรับผิดทางอาญาของนางสาวสวยต่อนางสา การท่ีนางสาวสวยนาอาหารผสมยาพิษ
ท่ีใส่จานเรียบร้อยแล้วจะไปให้นางสารับประทานในห้อง แต่นางสาวสวยกลัวความผิดจนมือสั่น
อาหารผสมยาพิษหลุดมือตกลงที่พื้นหน้าห้องผู้ป่วยนั้น การกระทายังอยู่เพียงขั้นตระเตรียม
ยงั ไม่ถึงขั้นลงมือเพราะการกระทายงั ไม่ใกล้ชิดต่อผล ยังไม่เป็นการพยายามกระทาความผิดฐาน
ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน นางสาวสวยจึงยังไม่มีความรับผิดทางอาญาต่อนางสาในความผิด
ต่อชวี ิตโดยเจตนา
ความรับผิดทางอาญาของนางสาวสวยต่อนายซวย แม้นายซวยหยิบอาหารผสมยาพิษท่ีพ้ืน
มารับประทานและถึงแก่ความตาย แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทาโดยพลาดในความผิดฐานฆ่าผู้อ่ืน
โดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพราะการกระทาต่อบุคคลหนึ่งแล้วผลไปเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง ซึ่งจะ
ถือว่าเป็นการกระทาโดยพลาด จะต้องเป็นการกระทาถึงข้ันตอนท่ีกฎหมายบัญญัติเป็น
ความผิดเสียก่อน หากการกระทายังอยู่เพียงข้ันตระเตรียมซ่ึงไม่เป็นความผิด แม้ผลไปเกิดแก่
อีกบุคคลหน่ึงก็ไม่เป็นการกระทาโดยพลาด เรื่องน้ีเม่ือวินิจฉัยมาแล้วว่าการกระทาของนางสาว
สวยยังไม่เป็นความผิดต่อนางสาเพราะการกระทายังไม่ถึงขั้นลงมือ จึงไม่เป็นการกระทา
โดยพลาดต่อนายซวย นางสาวสวยจึงไม่มีความรับผิดทางอาญาต่อนายซวยในความผิดต่อชีวิต
โดยเจตนาโดยผลของกฎหมาย
ความรับผิดทางอาญาของนายสอนต่อนางสา เมื่อการกระทาของนางสาวสวยต่อนางสา
ยังไม่ถึงข้ันลงมือกระทาความผิดดังที่วินิจฉัยมาแล้ว ถือว่าความผิดท่ีใช้ยังมิได้กระทาลง นายสอน
ผ้ใู ชจ้ ึงตอ้ งรบั โทษหนง่ึ ในสามของความผิดทีใ่ ช้
ความรับผิดทางอาญาของนายสอนต่อนายซวย เมื่อนางสาวสวยผู้ถูกใช้ไม่มีความรับผิด
ตอ่ นายซวยในความผดิ ตอ่ ชีวติ โดยพลาด เนอ่ื งจากการกระทาของนางสาวสวยอยู่เพียงขั้นตระเตรยี ม
นายสอนผู้ใช้ซึ่งต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ก็ไม่มีความรับผิดต่อนายซวยเช่นเดียวกัน
กับนางสาวสวย
ข้อสังเกต คำถำมข้อน้ีนักศึกษำจำนวนมำกตอบว่ำ กำรกระทำของนำงสำวสวยเป็นกำรลงมือต่อ
นำงสำแล้ว และเป็นกำรกระทำโดยพลำดต่อนำยซวย ซ่ึงเป็นคำตอบท่ีผิด นักศึกษำตกหลุมพรำงที่
ผู้แต่งวำงไว้ แต่มีอีกส่วนหน่ึงตอบว่ำนำงสำวสวยไม่เจตนำต่อนำยซวย และไม่ประมำท ก็ไม่มี
ควำมรับผิดต่อนำยซวย ซึ่งก็เป็นคำตอบที่ถูกธง แต่เหตุผลผิด เพรำะข้อน้ีนำงสำวสวยยังไม่ได้ลงมือ
กระทำควำมผิดต่อนำงสำ กำรกระทำขำดองค์ประกอบภำยนอกข้อที่ว่ำกำรกระทำยังไม่ถึงข้ันลงมือ
จึงไม่เป็นควำมผิด ถ้ำหำกกำรกระทำถึงข้ันลงมือต่อนำงสำแล้ว แม้ไม่เจตนำไม่ประมำทต่อนำยซวย
แต่ก็เปน็ กำรกระทำโดยพลำดซ่ึงเปน็ ควำมผิดได้
จำกคำถำมข้อน้ี หำกเปลี่ยนแปลงคำถำมเป็นว่ำนำงสำวสวยนำอำหำรผสมยำพิษไปวำงไว้ท่ี
โต๊ะในห้องผู้ป่วยขณะท่ีนำงสำหลับอยู่ รอให้นำงสำต่ืนข้ึนมำรับประทำนเอง แล้วนำงสำวสวย
125
ออกจำกห้องไป พอดีนำยซวยเข้ำไปในห้องเพื่อเยี่ยมนำงสำ นำยซวยเห็นนำงสำหลับอยู่ นำยซวย
จงึ แอบหยิบอำหำรไปรับประทำนและถึงแก่ควำมตำย ผลของกรณีนี้จะเปล่ียนไปเป็นว่ำ กำรกระทำ
ของนำงสำวสวยผ่ำนพ้นข้ันตระเตรียมเข้ำสู่ข้ันลงมือกระทำผิด เพรำะได้กระทำกำรในข้ันสุดท้ำย
ซึ่งตนต้องกระทำแลว้ ถือว่ำกำรกระทำของนำงสำวสวยใกล้ชิดต่อผล จึงเป็นกำรลงมือฆ่ำนำงสำแล้ว
นำงสำวสวยมีควำมผิดฐำนพยำยำมฆ่ำนำงสำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนโดยเจตนำและฐำนฆ่ำนำยซวย
โดยไตร่ตรองไว้ก่อนโดยพลำด สำหรับนำยสอนก็มีควำมรับผิดและต้องรับโทษเสมือนนำงสำวสวย
ซ่ึงเปน็ ตัวกำร
ข้อ ๓๐ คาถาม นายหน่ึงแค้นนายสองท่ีมาประมูลงานแข่งกับตน จึงตกลงใจอย่างแน่วแน่
ที่จะฆ่านายสอง แต่นายหนึ่งไม่มีปืนจึงหลอกนายสามว่าขอยืมปืนไปป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน
เพราะมีข่าวว่ามีคนร้ายจะมาปล้นบ้านนายหน่ึง นายสามเช่ือจึงให้นายหน่ึงยืมปืนไปป้องกันชีวิต
และทรัพย์สิน นายหน่ึงเดินทางเพ่ือจะไปยิงนายสอง โดยซุ่มอยู่บริเวณพุ่มไม้ข้างทางท่ีนายสอง
เดินผ่านมาเป็นประจาในเวลากลางคืน นายหน่ึงพบนายส่ีซึ่งเป็นผู้แพ้การประมูลงานกับนายสอง
เช่นเดียวกัน จึงเดินออกมาคุยกับนายส่ี นายส่ีแค้นนายสองเช่นเดียวกันกับนายหน่ึง แต่นายส่ี
ไม่ทราบว่านายหนึ่งมาซมุ่ เพื่อจะฆ่านายสอง นายสจี่ ึงจา้ งนายหน่ึงใหฆ้ ่านายสองเป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐
บาท นายหนึ่งเห็นว่าตนตั้งใจจะฆ่านายสองอยู่แล้วจึงรับเงินไว้ แล้วนายส่ีก็เดินจากไป จากนั้น
นายหนึ่งก็กลับเข้าไปซุ่มอยู่บริเวณพุ่มไม้ข้างทางเช่นเดิม สักครู่หน่ึงนายห้าเดินผ่านมานายหนึ่ง
เข้าใจว่านายห้าเป็นนายสอง นายหน่ึงจึงใช้ปืนยิงไปที่นายห้าหลายนัดกระสุนถูกนายห้าได้รับ
อันตรายแก่กาย นายหน่ึงจึงเดินเข้าไปดูพบว่าเป็นนายห้าไม่ใช่นายสอง นายหน่ึงสงสารนายห้า
จึงพานายหา้ ไปสง่ โรงพยาบาลแพทย์ช่วยชีวิตนายห้าไว้ทนั
ให้วินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายหน่ึง นายสาม และนายส่ีในความผิดต่อชีวิตและ
รา่ งกาย
คาตอบ หลักกฎหมายเร่ืองเจตนาโดยสาคัญผิดในตัวบุคคล การพยายามกระทาความผิด
การกลับใจแก้ไขไม่ให้เกิดผล ผู้ใช้ ผสู้ นับสนุน เหตุส่วนตัว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙,
๖๑, ๘๐, ๘๒, ๘๔, ๘๖, ๘๙
ความรับผิดทางอาญาของนายหนึ่งต่อนายห้า การท่ีนายหน่ึงใช้ปืนยิงไปที่นายห้าหลายนัด
โดยเข้าใจว่านายห้าเป็นนายสอง เป็นการกระทาโดยเจตนาต่อบุคคลหน่ึง แต่ได้กระทาต่ออีก
บุคคลหนึ่งโดยสาคญั ผิด นายหน่ึงจะยกเอาความสาคัญผดิ เป็นขอ้ แกต้ วั ว่ามิได้กระทาโดยเจตนา
หาได้ไม่ จึงต้องถือว่านายหนึ่งมีเจตนาฆา่ นายห้า เมอ่ื นายหนึ่งลงมือกระทาไปตลอดแล้ว แต่การ
กระทาไม่บรรลุผล คือ นายห้าไม่ถึงแก่ความตาย นายหน่ึงจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่านายห้า
โดยไตรต่ รองไว้ก่อนโดยเจตนา
แม้ว่านายหน่ึงจะยิงไปท่ีนายห้าหลายนัด ซึ่งถือว่าเป็นการลงมือฆ่านายห้าโดยไตร่ตรอง
ไว้ก่อนโดยเจตนาแล้ว แต่การที่นายหน่ึงสงสารนายห้าจึงพานายห้าส่งโรงพยาบาล แพทย์ช่วยชีวิต
126
นายห้าไว้ทัน เป็นกรณีที่ผู้พยายามกระทาความผิดกลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทานั้นบรรลุผล
หากนายหน่ึงไม่กลับใจนายห้าคงถึงแก่ความตาย เพราะเป็นเวลากลางคืนคงจะไม่มีใครมาช่วย
นายห้า นายหน่ึงจึงได้รบั ยกเว้นโทษในความผิดฐานพยายามฆ่านายห้าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนโดย
เจตนา
อย่างไรก็ตาม การท่ีนายหน่ึงใช้ปืนยิงไปท่ีนายห้าหลายนัดกระสุนถูกนายห้าได้รับอันตราย
แก่กาย การท่ีได้กระทาไปแล้วของนายหนึ่งดังกล่าวต้องตามบทกฎหมายที่บัญญัติเป็นความผิด
นายหน่ึงจึงต้องรับโทษในความผิดฐานทาร้ายนายห้าจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายโดย
ไตรต่ รองไว้ก่อนโดยเจตนา
ความรับผิดทางอาญาของนายหนึ่งต่อนายสอง เม่ือนายหน่ึงยิงนายห้าโดยคิดว่านายห้าเป็น
นายสอง นายหน่ึงไมม่ ีความรับผิดทางอาญาตอ่ นายสองอีก เพราะเจตนาทนี่ ายหน่ึงมีต่อนายสอง
ได้เปลี่ยนไปเปน็ เจตนาท่มี ตี อ่ นายห้าแล้ว
ความรับผิดทางอาญาของนายส่ีต่อนายห้า เม่ือนายหน่ึงตกลงใจอย่างแน่วแน่ที่จะไปฆ่า
นายสองอยู่ก่อนและเดินทางไปฆ่านายสองแล้ว การที่นายสี่จ้างนายหนึ่งให้ไปฆ่านายสอง นายสี่
ก็ไม่เป็นผู้ใช้ให้นายหน่ึงกระทาความผิด เพราะการเป็นผู้ใช้นั้นจะต้องมีการก่อให้ผู้อื่นกระทาผิด
เมื่อนายหนึ่งตกลงใจอย่างแน่วแน่ที่จะกระทาผิดอยู่ก่อนและได้เดินทางไปเพื่อกระทาความผิดแล้ว
นายส่ีจึงมิได้ก่อให้นายหน่ึงกระทาความผิด แต่เป็นเร่ืองที่นายหนึ่งตัดสินใจกระทาผิดเองอยู่แล้ว
นายสี่จึงไม่เป็นผู้ใช้ (ดูเพิ่มเติมในศำสตรำจำรย์ ดร. เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, คำอธิบำยกฎหมำย
อำญำภำค ๑ เล่ม ๒ พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๑๑ พ.ศ. ๒๕๖๒ หนำ้ ๑๖๖)
แม้การที่นายส่ีจ้างนายหน่ึงดังกล่าวจะไม่เป็นการใช้ให้นายหน่ึงกระทาความผิด แต่ก็เป็น
การกระทาด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือในการที่นายหน่ึงกระทาความผิด เพราะเมื่อ
นายหนึ่งได้รับเงินค่าจ้างจากนายส่ี ๑๐๐,๐๐๐ บาท นายหนึ่งจะมีความม่ันใจและฮึกเหิมที่จะไป
กระทาความผิด นายสี่จึงเป็นผู้สนับสนุนให้นายหน่ึงกระทาความผิด (ดูเพิ่มเติมในศำสตรำจำรย์
ดร. เกียรติขจร วัจนะสวัสด์ิ, คำอธิบำยกฎหมำยอำญำภำค ๑ เล่ม ๒ พิมพ์คร้ังท่ี ๑๑ พ.ศ. ๒๕๖๒
หนำ้ ๑๖๖)
การท่ีนายส่ีเป็นผู้สนับสนุนนายหนึ่งในการฆ่านายสอง แม้นายหนึ่งพยายามฆ่านายห้าโดย
เจตนาโดยไตร่ตรองไว้ก่อนโดยสาคัญผิดว่านายห้าคือนายสอง ก็ถือว่าอยู่ในขอบเขตของการ
สนบั สนนุ ของนายส่ี
แม้ว่านายหน่ึงสงสารนายห้าจึงพานายห้าส่งโรงพยาบาลแพทย์ช่วยชีวิตนายห้าไว้ทัน
เป็นการกลับใจทาให้นายหนึ่งได้รับยกเว้นโทษในความผิดฐานพยายามฆ่านายห้าโดยไตร่ตรอง
ไว้ก่อนโดยเจตนา แต่จะนาเหตุยกเว้นโทษนี้มาใช้กับนายสี่ผู้สนับสนุนไม่ได้ เพราะการกลับใจ
ซง่ึ ไดร้ ับยกเว้นโทษดงั กล่าวเปน็ เหตุส่วนตัวของนายหน่ึง นายส่ีจึงมีความผิดและต้องรับโทษฐาน
เป็นผู้สนับสนุนนายหนึ่งในการพยายามฆ่านายห้าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยต้องระวางโทษสอง
ในสามสว่ นของโทษในความผิดทสี่ นบั สนุนนน้ั
127
ความรับผิดทางอาญาของนายส่ีต่อนายสอง เมื่อนายหน่ึงผู้กระทาความผิด ไม่มีความรับผิด
ทางอาญาต่อนายสอง เพราะเจตนาท่ีนายหนึ่งมีต่อนายสองได้เปล่ียนไปเป็นเจตนาที่มีต่อนายห้า
ดังทวี่ นิ ิจฉยั มาแล้ว นายสผ่ี ้สู นับสนุนจงึ ไมม่ ีความรบั ผดิ ตอ่ นายสองเช่นเดียวกับนายหนงึ่ ผูก้ ระทา
ความผิด
ความรับผิดทางอาญาของนายสาม แม้การที่นายสามให้นายหนึ่งยืมปืน จะเป็นการกระทา
อันเป็นการช่วยเหลือให้นายหน่ึงกระทาผิด ซึ่งครบองค์ประกอบภายนอกของการสนับสนุน
นายหนึ่งให้กระทาความผิด แต่การที่นายสามถูกนายหนึ่งหลอกว่าขอยืมปืนไปป้องกันชีวิตและ
ทรพั ย์สิน แสดงว่านายสามไม่รขู้ อ้ เทจ็ จริงที่เปน็ องคป์ ระกอบความผิดของการสนับสนุน นายสาม
ไม่มีเจตนาสนับสนุนนายหนึ่งกระทาความผิด การกระทาของนายสามขาดองค์ประกอบภายใน
ของความผิด นายสามจึงไม่มีความรับผิดทางอาญาต่อนายสองและนายห้า เพราะนายสาม
ไม่รู้ถอื วา่ ไม่มีเจตนา
ข้อสังเกต คำถำมข้อนี้มีผู้กระทำ ๓ คน และมีผู้ถูกกระทำ ๒ คน กำรตอบข้อสอบกรณีมีผู้กระทำ
ควำมผิดหลำยคนและผู้ถูกกระทำหลำยคน มีรูปแบบท่ัวไปในกำรจัดลำดับประเด็นคำตอบ คือ
ควำมรับผิดทำงอำญำของ ผู้ลงมือกระทำต่อ ผูถ้ ูกกระทำคนแรก ควำมรบั ผิดทำงอำญำของ ผู้ลงมือ
กระทำต่อผู้ถูกกระทำคนต่อไปตำมลำดับ แล้วจึงตอบผู้ท่ีเก่ียวข้องในกำรกระทำควำมผิด เช่น
ตัวกำร ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนต่อผู้ถูกกระทำคนแรกและคนต่อไปตำมลำดับ ในคำถำมข้อนี้ลำดับ
ในกำรตอบคือ ๑. ผู้ลงมือกระทำควำมผิดคือนำยหน่ึงก่อน โดยตอบถึงผู้ถูกกระทำทุกคนตำมลำดับ
คือ ๑.๑ ควำมรับผิดทำงอำญำของนำยหน่ึงต่อนำยห้ำ ๑.๒ ควำมรับผิดทำงอำญำของนำยหน่ึง
ต่อนำยสอง แล้วจึงตอบ ๒. ผู้ใช้ (ซ่ึงข้อน้ีวินิจฉัยแล้วว่ำเป็นผู้สนับสนุน) คือนำยสี่ โดยตอบถึง
ผู้ถูกกระทำทุกคนตำมลำดับคือ ๒.๑ ควำมรับผิดทำงอำญำของนำยส่ีต่อนำยห้ำ ๒.๒ ควำมรับผิด
ทำงอำญำของนำยส่ีต่อนำยสอง แล้วจึงตอบ ๓. ผู้สนับสนุน (ซ่ึงข้อนี้วินิจฉัยว่ำไม่ผิด) คือนำยสำม
ในข้อน้ีวินิจฉัยรวมผู้ถูกกระทำท้ังสองคนรวมกันได้เลย ซึ่งขอให้สังเกตว่ำรูปแบบในกำรจัดลำดับ
ประเด็นในคดีอำญำจะคล้ำย ๆ กัน ดังนั้น หำกนักศึกษำฝึกทำข้อสอบมำกขึ้น เมื่อพบคำถำมก็จะ
นึกถงึ รปู แบบกำรจดั ลำดบั ประเดน็ คำตอบไดโ้ ดยอตั โนมัติ ไม่ต้องเสยี เวลำจดั ลำดับประเดน็ มำก
คำถำมขอ้ นห้ี ำกเปลยี่ นขอ้ เทจ็ จริงในคำถำมเลก็ น้อย ผลจะเปน็ อยำ่ งไร ขอใหด้ ขู อ้ ต่อไป
ข้อ ๓๑ คาถาม นายหนึ่งแค้นนายสองท่ีมาประมูลงานแข่งกับตน นายหน่ึงตกลงใจ
อย่างแน่วแน่ท่ีจะฆ่านายสอง แต่นายหนึ่งไม่มีปืนจึงขอยืมปืนจากนายสาม นายสามให้ยืมปืน
โดยทราบวา่ นายหนึ่งจะเอาปืนไปยงิ นายสอง นายหน่ึงเดินทางเพื่อจะไปยงิ นายสองโดยซมุ่ อยบู่ ริเวณ
พุ่มไม้ข้างทางที่นายสองเดินผ่านมาเป็นประจาในเวลากลางคืน นายหนึ่งพบนายส่ีซึ่งเป็นผู้แพ้
การประมูลงานกับนายสองเช่นเดียวกัน จึงเดินออกมาคุยกับนายสี่ นายสี่แค้นนายสองเช่นเดียวกัน
กับนายหน่ึง แต่นายส่ีไม่ทราบว่านายหนึ่งมาซุ่มเพ่ือจะฆ่านายสอง นายส่ีจึงจ้างนายหน่ึงให้ฆ่า
นายสองเป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท นายหนึ่งเห็นว่าตนต้ังใจจะฆ่านายสองอยู่แล้วจึงรับเงินไว้ แล้ว
128
นายสี่ก็เดินจากไป จากน้ันนายหนึ่งก็กลับเข้าไปซุ่มอยู่บริเวณพุ่มไม้ข้างทางเช่นเดิม สักครู่นายหนึ่ง
เห็นนายสองเดินผ่านมา นายหน่ึงหยิบปืนเพิ่งพ้นจากกระเป๋า นายหน่ึงเหลือบเห็นตารวจข่ีรถ
จักรยานยนต์ผ่านมา นายหนึ่งจึงเกบ็ ปืนแลว้ หลบหนไี ป
ให้วินจิ ฉยั ความรับผดิ ทางอาญาของนายหนึ่ง นายสาม และนายส่ีในความผดิ ตอ่ ชีวติ
คาตอบ หลักกฎหมายเร่ืองการพยายามกระทาความผิด ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๘๔, ๘๖, ๒๘๙ (๔)
ความรับผิดทางอาญาของนายหนึ่ง การท่ีนายหนึ่งเห็นนายสองเดินผ่านมา นายหน่งึ หยิบปืน
เพ่ิงพ้นจากกระเป๋า นายหน่ึงเหลือบเห็นตารวจข่ีรถจักรยานยนต์ผ่านมา นายหนึ่งจึงเก็บปืนแล้ว
หลบหนีไป ยังไม่เป็นการลงมือกระทาความผิดฐานฆ่าผู้อื่น เพราะนายหนึ่งยังไม่จ้องปืนเล็งไปที่
นายสอง อยู่เพียงขั้นตระเตรียมการ ยังไม่ถึงขั้นลงมือ เนื่องจากการกระทายังไม่ใกล้ชิดต่อผล
การกระทาของนายหน่ึงจึงยังไม่เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อ่ืนโดยเจตนา โดยไตร่ตรอง
ไว้ก่อน เมื่อการกระทายังไม่ถึงข้ันพยายามกระทาความผิด ซึ่งถือว่าการกระทาไม่ครบ
องค์ประกอบความผิด จงึ ไมต่ อ้ งพิจารณาว่าเป็นการยับย้งั เสียเอง ซงึ่ เปน็ เหตยุ กเว้นโทษ
ความรับผิดทางอาญาของนายสี่ เม่ือนายหนึ่งตกลงใจอย่างแน่วแน่ที่จะไปฆ่านายสอง
อยู่ก่อนและเดินทางไปฆ่านายสองแล้ว การท่ีนายส่ีจา้ งนายหนึ่งใหไ้ ปฆ่านายสอง นายส่ีก็ไมเ่ ป็นผู้ใช้
ให้นายหนึ่งกระทาความผดิ เพราะนายสี่มิได้เป็นผู้ก่อใหน้ ายหนง่ึ กระทาความผิดดว้ ยการจา้ ง แต่
เป็นเรื่องท่ีนายหนึ่งตกลงใจอย่างแน่วแน่ที่จะกระทาผิดอยู่ก่อน และได้เดินทางเพื่อไปกระทา
ความผิดแล้ว นายสี่จึงไม่เป็นผู้ใช้ให้นายหนึ่งกระทาผิด แม้ความผิดท่ใี ช้มิได้กระทาลงตามมาตรา
๘๔ วรรคสอง แต่นายสี่ไม่ใช่ผู้ใช้ดังที่วินิจฉัยมาแล้ว นายสี่จึงไม่ต้องรับโทษหนึ่งในสามของ
ความผดิ
การที่นายสี่จ้างนายหนึ่งดังกล่าว ไม่เป็นการใช้ให้นายหน่ึงไปกระทาความผิดดังท่ีวินิจฉัย
มาแลว้ การกระทาดังกล่าวแม้จะเป็นการกระทาด้วยประการใด ๆ อนั เปน็ การช่วยเหลือนายหนึ่ง
แต่การจะเป็นผู้สนับสนุนการกระทาความผิดจะต้องมีการกระทาที่เป็นความผิดแล้ว เม่ือการ
กระทาของนายหน่งึ ผูล้ งมือกระทาผิด ยังไม่ถึงขั้นตอนทกี่ ฎหมายบญั ญัตเิ ปน็ ความผิด การกระทา
ของนายสจ่ี งึ ยังไมเ่ ป็นผู้สนบั สนนุ การกระทาความผดิ ตามมาตรา ๘๖
ความรับผิดทางอาญาของนายสาม แม้การท่ีนายสามให้นายหน่ึงยืมปืนจะเป็นการ
ช่วยเหลือและให้ความสะดวกก่อนท่ีนายหนึ่งจะกระทาผิด แต่เมื่อการกระทาของนายหนึ่ง
ผู้ลงมือกระทาผิด ยังไม่ถึงขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติเป็นความผิด การกระทาของนายสาม
จงึ ยงั ไมเ่ ป็นผู้สนับสนุนการกระทาความผดิ ตามมาตรา ๘๖
ข้อสังเกต กำรตอบคำถำมเกี่ยวกับกำรพยำยำมกระทำผิด หำกกำรกระทำยังไม่ถึงข้ันลงมือตำม
มำตรำ ๘๐ นักศึกษำต้องตอบให้ครบถ้วนว่ำ ๑. ยังอยู่ในขั้นตระเตรียม ๒. ยังไม่ถึงข้ันลงมือ
๓. เพรำะกำรกระทำยังไม่ใกล้ชดิ ต่อผล ๔. จึงยังไม่เปน็ กำรพยำยำมกระทำผิด กำรพยำยำมจะมีจุด
ที่พิจำรณำ ๔ จุดท่ีเน้นไว้ให้ หำกนักศึกษำตอบมำเพียงว่ำ "กำรกระทำยังไม่ถึงขั้นลงมือ กำรกระทำ
129
ยังไม่เป็นพยำยำมกระทำผิด" คำตอบยังไม่สมบูรณ์ คือขำดเรื่องยังอยู่ในข้ันตระเตรียมและ
ยังไมใ่ กล้ชิดต่อผล หำกอำจำรย์ผู้ตรวจข้อสอบทเ่ี ครง่ ครัดมำก นักศึกษำจะได้คะแนนส่วนเหตุผลนอ้ ย
กว่ำที่ควรจะได้ หรือกรณีที่กำรกระทำถึงข้ันลงมือแล้วตำมมำตรำ ๘๐ นักศึกษำต้องตอบด้วยว่ำ
๑. ผ่ำนพ้นขั้นตระเตรียม ๒. ถึงขั้นลงมือแล้ว ๓. กำรกระทำใกล้ชิดต่อผล ๔. เป็นกำรพยำยำม
กระทำควำมผิดแล้ว กำรตอบข้อสอบให้ได้คะแนนดี นอกจำกนักศึกษำจะต้องเข้ำใจหลักกฎหมำย
แล้ว หำกนักศึกษำจำหลักกฎหมำยและเขียนตอบข้อสอบได้แม่นยำครบถ้วน ก็จะทำให้นักศึกษำ
ไดค้ ะแนนดี ไมพ่ ลำดโอกำสทจี่ ะไดค้ ะแนนทั้งทม่ี คี วำมรู้
กำรสอนให้นักศึกษำจำรูปแบบไปเขียนตอบขอ้ สอบ อำจมีนักศึกษำบำงคนตำหนิว่ำเป็นกำร
เรียนกำรสอนแบบท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทอง แต่ผู้แต่งยืนยันว่ำกำรสอนให้ตอบข้อสอบด้วย
เทคนิคต่ำง ๆ ในหนังสือเล่มนี้ เป็นกำรสอนหลักกฎหมำย แล้วจำหลักกฎหมำยให้แม่นยำ เพื่อจะ
ไมต่ อ้ งเสียเวลำคดิ เวลำตอบขอ้ สอบจรงิ
ข้อ ๓๒ คาถาม นายใหญ่ตระเตรียมวางแผนฆ่านายอ้วน โดยจะใช้อาวุธปืนสองกระบอก
ของตน แต่อาวุธปืนที่จะใช้ในการฆ่าได้ถูกคนร้ายลักไปก่อนโดยนายใหญ่ไม่ทราบ นายเล็กต้องการ
ให้นายอ้วนตายเช่นกัน จึงแอบเอาอาวุธปืนของตนไปไว้ทบี่ ้านนายใหญ่โดยประสงค์ให้นายใหญ่ใช้ยิง
นายอ้วน โดยนายเล็กไม่รู้ว่าอาวุธปืนกระบอกนั้นมีผู้แอบเอากระสุนออกจนหมดแล้ว นายน้อย
ต้องการให้นายอ้วนตายเช่นกัน จึงเอาอาวุธปืนของตนไปไว้ท่ีบ้านนายใหญ่โดยประสงค์ให้นายใหญ่
ใช้ยิงนายอว้ น ต่อมานายใหญ่เหน็ อาวธุ ปืนทง้ั สองกระบอกของนายเล็กและนายนอ้ ยวางอยู่ นายใหญ่
เข้าใจว่าเป็นอาวุธปืนสองกระบอกของตน นายใหญ่ได้หยิบอาวุธปืนของนายเล็กไปและเมื่อพบ
นายอ้วน นายใหญ่ได้ใช้อาวธุ ปนื กระบอกนัน้ จ้องเล็งจะยิงนายอว้ น แต่นายใหญ่เห็นตารวจสายตรวจ
ขับขร่ี ถจักรยานยนตผ์ ่านมาจึงไม่ยิงและหลบหนีไป
ใหว้ ินจิ ฉัยวา่ นายใหญ่ นายเลก็ และนายนอ้ ยมีความผดิ ฐานใดหรอื ไม่
(ข้อสอบเนตฯิ สมยั ท่ี ๕๖ ปีการศกึ ษา ๒๕๔๖ ขอ้ ๒ )
คาตอบ หลักกฎหมายเร่ืองพยายามซึ่งเป็นไปไม่ได้อย่างแน่แท้ ยับยั้ง ผู้สนับสนุน ตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๘๑, ๘๒, ๘๖
ความรับผิดทางอาญาของนายใหญ่ การที่นายใหญ่ตระเตรียมวางแผนฆ่านายอ้วนเป็นการ
กระทาโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๔) (ฎีกาที่ ๑๖๕๔/๒๕๓๒)
เมื่อนายใหญ่เล็งปืนจ้องจะยิงนายอ้วน เป็นการกระทาท่ีผ่านพ้นข้ันตระเตรียม เข้าสู่ขั้นลงมือ
กระทาความผิดแล้ว แต่กระทาไปไม่ตลอด นายใหญ่จึงมีความผิดฐานพยายามฆ่านายอ้วนโดย
ไตร่ตรองไวก้ อ่ น เพราะการกระทาใกลช้ ิดต่อผลคือความตายของนายอ้วนแลว้
แต่เนื่องจากปืนกระบอกดังกล่าวนั้นไม่มีกระสุน การกระทาของนายใหญ่จึงไม่สามารถ
บรรลุผลอย่างแน่แท้ เพราะเหตุปัจจยั ซ่ึงใช้ในการกระทา นายใหญจ่ ึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า
ผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นไปไม่ได้อย่างแน่แท้ตามมาตรา ๒๘๙ (๔) ประกอบมาตรา ๘๑
130
(ฎกี าที่ ๙๘๐/๒๕๐๒)
ส่วนการที่นายใหญ่เห็นตารวจสายตรวจขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมาจึงไม่ยิงและหลบหนีไป
ไม่เป็นการยับย้ังเสียเองไม่กระทาไปให้ตลอด เพราะการยับย้ังเสียเองที่จะได้รับยกเว้นโทษต้อง
เป็นการยับย้ังจากความรู้สึกท่ีไม่ต้องการกระทาผิดจากสานึกของผู้ลงมือ โดยไม่มีภาวะกดดัน
จากภายนอก การยับย้ังเพราะตารวจผ่านมามีเหตุกดดันจากภายนอก จึงไม่ใช่การยับย้ังเสียเอง
นายใหญ่จึงไมไ่ ด้รบั ยกเวน้ โทษตามมาตรา ๘๒
ความรับผิดทางอาญาของนายเล็ก การท่ีนายเล็กแอบนาอาวุธปืนไปไว้ที่บ้านนายใหญ่โดย
ประสงค์ให้นายใหญ่ใช้ยิงนายอ้วน และนายใหญ่ได้ใช้อาวุธปืนของนายเล็กยิงนายอ้วน เป็นการ
ช่วยเหลือในการที่นายใหญ่กระทาความผิด แม้นายใหญ่จะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือนั้นก็ตาม
นายเล็กก็ยังเป็นผู้สนับสนุนในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซ่ึงเป็นไปไม่ได้
อยา่ งแนแ่ ทต้ ามมาตรา ๒๘๙ (๔) ประกอบมาตรา ๘๑ และมาตรา ๘๖
ความรับผิดทางอาญาของนายน้อย ส่วนที่นายน้อยนาอาวุธปืนของตนไปไว้ท่ีบ้านของ
นายใหญ่ แม้นายน้อยมีเจตนาช่วยเหลือในการท่ีนายใหญ่กระทาความผิด แต่เม่ือนายใหญ่มิได้ใช้
อาวุธปืนของนายน้อยยิงนายอ้วน นายใหญ่ไม่ได้ประโยชน์จากการช่วยเหลือของนายน้อย
นายน้อยจึงไม่มคี วามผิดฐานเปน็ ผ้สู นบั สนนุ การกระทาความผิดของนายใหญ่
ข้อสังเกต หำกเปลี่ยนคำถำมเป็นกำรยับยั้งเสียเอง นำยใหญ่จะได้รับยกเว้นโทษ ซึ่งเป็นเหตุ
ในลกั ษณะคดีตำมมำตรำ ๘๙ มีผลถึงผู้สนับสนนุ ดว้ ย ขอใหด้ ูข้อตอ่ ไป
ข้อ ๓๓ คาถาม นาย ก. จ้างนาย ข. ให้ยิงนาย ค. นาย ข. ตกลง และเตรียมการยิงนาย
ค. โดยไปยืมปืนจากนาย ง. ซึ่งนาย ง. ทราบดีว่านาย ข. จะยิงนาย ค. ต่อมานาย ข. ได้ดักซุ่มเพ่ือ
จะยิงนาย ค. โดยยกปืนข้ึนเล็งแล้ว แต่เมื่อเห็นว่านาย ค. มากับบุตรซึ่งน่ารักมาก จึงเกิดความ
สงสาร ไมย่ งิ นาย ค. แล้วนาย ข. ก็กลับบา้ นไป
ใหว้ ินจิ ฉัยวา่ นาย ก. นาย ข. และนาย ง. มีความรบั ผดิ ทางอาญาในความผดิ ตอ่ ชวี ติ อยา่ งไร
คาตอบ หลักกฎหมายเร่ืองพยายาม ยับย้ัง เหตุในลักษณะคดี ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน ตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๘๒, ๘๙, ๘๔, ๘๖
ความรับผิดทางอาญาของนาย ข. การท่ีนาย ข. รับจ้างและไปดักซุ่มเพื่อจะยิงนาย ค.
เป็นการกระทาโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๔) เมื่อนาย ข.
ยกปืนข้ึนเล็งไปยังนาย ค. แล้ว เป็นการกระทาท่ีผ่านพ้นขั้นตระเตรียม เข้าสู่ข้ันลงมือกระทา
ความผิดแล้ว แต่กระทาไปไมต่ ลอด นาย ข. จึงมีความผิดฐานพยายามฆ่านาย ค. โดยเจตนาและ
ไตรต่ รองไว้กอ่ น เพราะการกระทาใกลช้ ิดตอ่ ผลคือความตายของนาย ค. แล้ว
แต่นาย ข. เห็นว่านาย ค. มากับบุตร จึงเกิดความสงสาร ไม่ยิงนาย ค. เป็นกรณีที่
ผู้พยายามกระทาความผิดยับย้ังเสียเองไม่กระทาการให้ตลอด เพราะเป็นการยับย้ังไม่ต้องการ
กระทาผิดจากสานึกของผู้ลงมือ โดยไม่มีภาวะกดดันจากภายนอก นาย ข. จึงไม่ต้องรับโทษ
131
สาหรับการพยายามกระทาความผดิ นนั้ ตามมาตรา ๘๒
ความรับผิดทางอาญาของนาย ง. การที่นาย ง. ให้นาย ข. ยืมปืน โดยนาย ง. ทราบว่า
นาย ข. จะยิงนาย ค. ต้องถือว่า นาย ง. กระทาด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือในการที่
ผู้อื่นกระทาความผิดก่อนกระทาความผิด นาย ง. จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทาความผิดของ
นาย ข. ตามมาตรา ๘๖
แต่การท่ีนาย ข. ยับย้ังเสียเองไม่กระทาการให้ตลอด จึงไม่ต้องรับโทษสาหรับการพยายาม
กระทาความผดิ นั้น เป็นเหตุในลกั ษณะคดี จึงให้ใช้แกผ่ ู้กระทาความผดิ ในการกระทาความผิดน้ัน
ด้วยกันทุกคน นาย ง. ผสู้ นับสนุนจึงไดร้ ับยกเวน้ โทษด้วยสาหรบั การพยายามกระทาความผิดน้ัน
ตามมาตรา ๘๙ (ดูเพิ่มเติมในศำสตรำจำรย์ ดร. เกียรติขจร วัจนะสวัสด์ิ, คำอธิบำยกฎหมำยอำญำ
ภำค ๑ เลม่ ๒ พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๑๑ พ.ศ. ๒๕๖๒ หน้ำ ๒๙๑)
ความรับผิดทางอาญาของนาย ก. การท่ีนาย ก. จ้างนาย ข. ให้ยิงนาย ค. เป็นการก่อให้
ผ้อู ่ืนกระทาความผิดด้วยการจ้าง นาย ก. เป็นผู้ใช้ให้กระทาความผิด เมื่อนาย ข. ยกปนื ขึ้นเล็งไป
ยังนาย ค. แลว้ ถือว่าผูถ้ ูกใช้ได้กระทาความผิดแล้ว นาย ก. ผู้ใชต้ ้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการตาม
มาตรา ๘๔
เม่ือนาย ข. ยับย้ังเสียเอง จึงไม่ต้องรับโทษสาหรับการพยายามกระทาความผิดน้ัน เป็นเหตุ
ในลักษณะคดี จึงให้ใช้แก่ผู้กระทาความผิดในการกระทาความผิดน้ันด้วยกันทุกคนดังท่ีวินิจฉัย
มาแล้ว นาย ก. ผู้ใช้จึงได้รับยกเว้นโทษด้วยสาหรับการพยายามกระทาความผิดนั้น ตามมาตรา
๘๙ แตก่ ารไดร้ ับยกเวน้ โทษดังกล่าวนน้ั ถา้ การท่ีได้กระทาไปแล้ว ตอ้ งตามบทกฎหมายทบี่ ญั ญัติ
เป็นความผิด ผู้นั้นต้องรับโทษสาหรับความผิดนั้น ๆ ตามมาตรา ๘๒ กรณีที่ความผิดมิได้
กระทาลง นาย ก. ผู้ใช้ต้องระวางโทษหน่ึงในสามของโทษที่กาหนดไว้สาหรับความผิดน้ันตาม
มาตรา ๘๔ นาย ก. จงึ ตอ้ งไดร้ ับโทษหน่ึงในสามของโทษท่ีกาหนดไวส้ าหรับความผิดน้นั ดว้ ย
ข้อสังเกต กำรยับย้ังกับกำรกลับใจขอให้สังเกตให้ดีว่ำ กำรยับย้ังเป็นเหตุในลักษณะคดี แต่กำร
กลับใจเป็นเหตุส่วนตัว คำถำมข้อน้ี หำกเปล่ียนข้อเท็จจริงเป็นยิงถูก แล้วนำย ข. พำไปให้แพทย์
รักษำจนหำย นำย ข. ได้รับยกเว้นโทษควำมผิดฐำนพยำยำมฆ่ำโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ต้องรับผิด
ท่ีทำไปแล้วคือต้องรับโทษฐำนทำร้ำยร่ำงกำย ส่วนนำย ก. และนำย ง. ไม่ได้รับยกเว้นโทษ เพรำะ
เป็นเหตุส่วนตัวของนำย ข. (ดูเพิ่มเติมในศำสตรำจำรย์ ดร. เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, คำอธิบำย
กฎหมำยอำญำภำค ๑ เล่ม ๒ พิมพ์ครง้ั ที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๖๒ หน้ำ ๒๘๙)
ลำดับกำรตอบข้อสอบข้อนี้ต้องตอบนำย ข. ผู้ลงมือกระทำควำมผิดก่อน แล้วจึงตอบ
ผ้สู นบั สนุนกบั ผใู้ ชต้ ่อไป
สำหรบั ลำดับของผู้สนับสนุนกับผู้ใชข้ อ้ นีค้ วรตอบผสู้ นับสนนุ กอ่ น แลว้ จึงตอบผู้ใช้ หำกตอบ
ผใู้ ชก้ อ่ นผูส้ นับสนนุ คำตอบจะวกวนกวำ่
132
ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๘๐
ฎีกาท่ี ๖๕๘๕/๒๕๕๗ จุดด่านตรวจท่ีจับกุมจาเลยได้เป็นจุดตรวจค้นพบของกลางเท่าน้ัน
ยังไม่ใช่จุดปฏบิ ัติการบังคับเครือ่ งบินซ่ึงจาเลยเคยมาทดสอบการใช้เครอ่ื งบินเฮลิคอปเตอร์บงั คับดว้ ย
วิทยุมาแล้ว ฉะน้ัน เมื่อจาเลยจะปฏิบัติการบังคับเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ส่งโทรศัพท์เคลื่อนที่
และอุปกรณ์เข้าเรือนจาจึงอยู่ใกล้เรือนจาซ่ึงสามารถกระทาได้ ไม่ได้อยู่ห่างจากเรือนจาเป็น
๑๐ กิโลเมตร การกระทาของจาเลยถือว่าได้ลงมือกระทาความผิดแล้ว แต่กระทาไปไม่ตลอด
เนื่องจากเจ้าพนักงานตารวจจับกุมจาเลยได้เสียก่อน การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐาน
ร่วมกันพยายามนาโทรศัพท์เคล่ือนท่แี ละอปุ กรณ์ซงึ่ เป็นส่ิงของต้องห้ามเข้าไปในเรอื นจา อันเป็นการ
ฝ่าฝนื ระเบียบหรือข้อบงั คบั ของเรอื นจา
ฎีกาที่ ๗๑๒/๒๕๕๙ จาเลยที่ ๒ ส่ังซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจาก อ. ชาวลาวใหส้ ่งเมท
แอมเฟตามีนน้ันจากสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาวเข้ามาในประเทศไทย โดยไม่ได้ความว่า
จาเลยที่ ๒ กับ อ. เป็นพวกเดียวกันและได้วางแผนแบ่งหน้าท่ีกันกระทาผิดดังกล่าว ท้ังจาเลยที่ ๒
ก็ไม่ได้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร การกระทาของจาเลยที่ ๒ จึงไม่เป็นตัวการร่วมกันกับ
จาเลยท่ี ๑ ทีเ่ ปน็ ผขู้ าย แตถ่ ือเป็นผู้กอ่ ใหผ้ ้ขู ายนาเมทแอมเฟตามนี เข้ามาในราชอาณาจกั ร
เจา้ พนักงานตารวจได้เข้าจับกมุ จาเลยท้ังสองโดยทจ่ี าเลยที่ ๑ ยังไม่ได้ส่งมอบเมทแอมเฟตา
มีนของกลางแก่จาเลยท่ี ๒ จาเลยท่ี ๒ ยังไม่ได้รับเข้ามาในเง้ือมมือของจาเลยที่ ๒ จึงฟังไม่ได้ว่า
จาเลยท่ี ๒ ได้ครอบครองเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวเป็นความผิดสาเรจ็ แต่การที่จาเลยที่ ๒ ไปรอรับ
เมทแอมเฟตามีนของกลางท่ีจาเลยท่ี ๑ นาเข้ามาเพื่อส่งมอบให้ท่ีจุดนัดหมาย ถือว่าเป็นการกระทา
ที่ใกล้ชิดต่อความผิดสาเร็จ เข้าขั้นลงมือกระทาผิดแล้ว การกระทาของจาเลยท่ี ๒ จึงเป็นความผิด
ฐานพยายามมเี มทแอมเฟตามนี ไว้ในครอบครองเพอ่ื จาหน่าย
ฎีกาท่ี ๓๒๓๗/๒๕๕๙ จาเลยที่ ๒ และจาเลยที่ ๓ จะไปรับเมทแอมเฟตามีนของกลางเพื่อ
ขนกลับไปคืนให้แก่ ศ. เม่ือเมทแอมเฟตามีนของกลางมีจานวนมาก จาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ย่อมรู้ว่า
ศ. มีไว้เพ่ือจาหน่าย การกระทาของจาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ย่อมถือได้ว่ามีเจตนาร่วมกับ ศ. มีเมท
แอมเฟตามีนของกลางไวใ้ นครอบครองเพื่อจาหน่าย
การท่ีจาเลยท่ี ๒ เข้าไปที่โรงแรม อ. ขอกุญแจห้องพักหมายเลข ๕๐๓ จากพนักงานของ
โรงแรมดังกล่าวและถูกจับกุมขณะกาลังเปิดประตูห้องพัก ส่วนจาเลยท่ี ๓ เข้าไปที่โรงแรม ล. ขณะ
กาลังเคาะประตูห้องพักหมายเลข ๑๐ เพื่อจะไปรับเมทแอมเฟตามีนคืนให้ ศ. จึงถูกเจ้าพนักงาน
ตารวจจับกุมเช่นกัน ถือว่าจาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ลงมือกระทาความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ใน
ครอบครองเพ่ือจาหน่ายแล้ว แม้การกระทาของจาเลยท่ี ๒ และที่ ๓ จะไม่บรรลุผลสาเร็จก็ตาม
การกระทาของจาเลยที่ ๒ และที่ ๓ ก็เข้าขั้นพยายามมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อ
จาหน่ายไม่ใช่เป็นเพียงความผิดฐานสนับสนุน ศ. มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจาหน่าย
ฎีกาที่ ๗๙๙๘/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๑๒๖ จาเลยกับพวกในสาธารณรัฐคอสตาริการ่วมกัน
กระทาความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทาในการนาโคคาอีนเข้ามาในประเทศไทย โดยส่งพัสดุภัณฑ์ทาง
133
ไปรษณีย์ แม้เป็นการกระทาในขั้นตอนสุดท้ายแล้วก็ตาม แต่โคคาอีนดังกล่าวถูกตรวจยึดไว้ได้ท่ี
ประเทศสหรัฐอเมริกาก่อน ผลจากการกระทาของจาเลยกับพวกถือว่าสิ้นสุดลงแล้วในประเทศ
สหรัฐอเมริกา จึงไม่ได้เกิดขึ้นอย่างสาเร็จสมบูรณ์ในประเทศไทยตามเจตนาของจาเลยกับพวก
กรณีเป็นการลงมือกระทาความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทาไม่บรรลุผล จึงเป็นการพยายาม
กระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๘๐ เท่าน้ัน แม้ต่อมามีการนาโคคาอีนจากประเทศสหรัฐอเมริกา
เข้ามาในประเทศไทย แต่ก็เปน็ เรื่องภายหลังที่พบการกระทาผิดและตรวจยึดโคคาอื่นดังกล่าวไดแ้ ล้ว
จึงมกี ารร่วมมือกันระหว่างทางราชการที่เกี่ยวข้องเพ่ือสบื สวนสอบสวนจับกุมผู้ร่วมกระทาผดิ ท่ีอยู่ใน
ประเทศไทยตอ่ ไป ไม่ไดเ้ ป็นผลลาพังจากการกระทาของจาเลยกับพวก
ฎีกาท่ี ๓๖๗๔/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล. ๖ น. ๗๙ การที่จาเลยไปรับเงินจากสายลับเพอ่ื ทจ่ี ะไปหาซ้ือ
เมทแอมเฟตามีนมาให้สายลับนั้น ยังมีอีกหลายข้ันตอนกว่าที่จาเลยจะได้เมทแอมเฟตามีนมาไว้ใน
เง้ือมมือ เพราะจาเลยจะต้องไปติดต่อเพ่ือขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจากผู้จาหน่ายเสียก่อน ซ่ึงก็ไม่
ปรากฏว่าเป็นใคร อยู่ท่ีไหน และจาเลยจะไปซ้ือเมื่อใด ทั้งยังเป็นการไม่แน่ว่าจาเลยจะซ้ือได้จริง
หรือไม่ หลังจากซื้อมาแล้วยังจะต้องมีการนัดหมายเพ่ือท่ีจะนาเมทแอมเฟตามีนไปส่งมอบให้แก่
สายลับอีก การที่จาเลยเพียงแต่ไปรบั เงินจากสายลับจึงยังห่างไกลต่อการที่จาเลยจะมีเมทแอมเฟตา
มีนไว้ในครอบครองเพ่ือจาหน่ายและจาหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้สาเร็จผลอยู่มาก การกระทาของ
จาเลยเป็นเพียงขัน้ ตอนของการตระเตรียมการ ยังไม่ถึงขั้นท่ีเป็นการลงมือกระทาความผิด จาเลยจึง
ไม่มีความผิดฐานพยายามมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพ่อื จาหน่าย ฐานพยายามจาหน่ายเมท
แอมเฟตามีน
ฎกี าท่ี ๘๖๙/๒๕๕๕ ฎ.๒๖๗๖ จาเลยใช้อาวุธปืนจี้ขู่เข็ญผู้เสยี หายวา่ อย่าสง่ เสียงและให้ส่ง
ของมีค่าให้ เม่ือผู้เสียหายส่งกระเป๋าสะพายให้จาเลยและพูดว่าจะเอาอะไรก็เอาไปขอบัตรประจาตัว
ประชาชนไว้ จาเลยค้นกระเป๋าสะพายแล้วเห็นว่าไม่มีของมีค่าจึงส่งกระเป๋าสะพายคืนให้ และคลาที่
คอผู้เสียหายเพ่ือหาสร้อยคอ ผู้เสียหายบอกจาเลยว่าไม่มีของมีค่าติดตัวมา จาเลยจึงปล่อยตัว
ผู้เสียหายแล้วเดินหนีไป แสดงว่าจาเลยมิได้ประสงค์จะแย่งเอากระเป๋าสะพายของผู้เสียหายไปเป็น
ของตน เพียงแต่ต้องการค้นหาของมีค่าในกระเป๋าสะพาย มิฉะน้ันเม่ือจาเลยได้กระเป๋าสะพายแล้ว
ก็ต้องหลบหนีไปทันที โดยไม่ต้องเปิดดูและคืนกระเป๋าสะพายให้ผู้เสียหาย การกระทาของจาเลย
จึงไม่เป็นการชิงทรัพย์สาเร็จ จาเลยคงมีความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้
อาวุธปนื ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๔๐ ตรี และมาตรา ๘๐
ฎีกาที่ ๔๘๒๗/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล. ๖ น.๑๕๕ จาเลยท่ี ๑ เป็นผู้ตรวจค้นศพผู้ตายและเป็น
ผู้รวบรวมทรัพย์สิ่งของในตัวผู้ตายรวมท้ังบัตรต่าง ๆ ของผู้ตาย แล้วจาเลยที่ ๑ เอาบัตรถอนเงินสด
ของผู้ตายและของผู้เสียหายทั้งสองไป จาเลยที่ ๑ มอบบัตรถอนเงินสดดังกล่าวให้แก่จาเลยที่ ๒
ไปถอนเงิน แล้วจาเลยที่ ๒ นาบัตรถอนเงินสดไปถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายท่ี ๒ ผ่าน
เครอ่ื งถอนเงนิ อตั โนมัติ ๒ ครั้ง จากบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายท่ี ๑ จานวน ๑ ครั้ง และจากบญั ชเี งิน
ฝากของผู้ตาย ๑ คร้ัง แต่ไม่ได้เงิน เป็นกรณีที่จาเลยที่ ๑ ลักเอาบัตรถอนเงินสดของผู้ตายและของ
134
ผู้เสียหายทั้งสองไป และการท่ีจาเลยที่ ๑ ให้จาเลยที่ ๒ นาบัตรถอนเงินสดดังกล่าวไปลักเงินจาก
บัญชีเงินฝากของผู้ตายและผู้เสียหายท้ังสองโดยผ่านเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ จึงเป็นผู้ใช้ให้ผู้อ่ืน
กระทาความผิดฐานลักทรัพย์ แต่สาหรับบัตรถอนเงินสดของผู้ตายท่ีจาเลยที่ ๒ ไม่สามารถถอนเงิน
จากบญั ชีเงินฝากไดเ้ น่อื งจากไม่มเี งินอยู่ในบัญชเี งนิ ฝาก จงึ เปน็ ความผิดฐานพยายามลกั ทรัพย์
ข้อสังเกต บัตรถอนเงนิ สดเป็นเอกสำรและยงั เป็นบัตรอิเล็กทรอนิกสด์ ้วย
ฎีกาท่ี ๑๐๘๕๔/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๑๔๔ ความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ตามลักษณะ
ของความผิดไม่อาจทราบได้ว่าทรพั ย์ท่ีจาเลยทั้งสองจะลักเป็นทรัพยอ์ ะไรและมมี ูลค่าเพียงใด เพราะ
จาเลยทั้งสองเพียงแต่ลงมือกระทาความผิดเท่าน้ัน แต่ยังไม่ได้เอาทรัพย์ไป ดังน้ัน การท่ีโจทก์
บรรยายฟ้องว่า จาเลยท้ังสองร่วมกันบุกรกุ เข้าไปในห้องพักอาศัยอันเป็นเคหสถานของโรงแรมทีเ่ ป็น
ที่เกิดภัยพิบัติคล่ืนยักษ์พัดถล่ม เพ่ือลักทรัพย์สินของโรงแรมและนักท่องเที่ยวที่เก็บรักษาไว้ใน
ห้องพัก จาเลยท้ังสองลงมือกระทาความผิดแล้วแต่กระทาไปไม่ตลอด เพราะมีผู้พบเห็นและ
เข้าขัดขวาง จึงไม่อาจลักทรัพย์สินของผู้อ่ืนไปได้สาเร็จ ฟ้องโจทก์จึงเป็นการบรรยายครบถ้วนตาม
ป.วิ.อ. มาตรา ๑๕๘ (๕) แล้ว เพียงแต่ไม่ได้ระบุรายละเอียดเก่ียวกับทรัพย์ที่จาเลยท้ังสองพยายาม
ลักเท่าน้ัน แต่เม่ืออ่านคาฟ้องโดยตลอดแล้วย่อมเป็นท่ีเข้าใจได้ว่าจาเลยท้ังสองร่วมกันพยายาม
ลกั ทรัพย์ของผูอ้ ่นื
ฎีกาที่ ๗๕๐๘/๒๕๖๒ ฎ.๑๖๑๒ จาเลยตะโกนเรียกช่ือ ค. หลายคร้ังท่ีหน้าบ้านเพ่ือจะขอ
ซ้ือสุรา จากน้ันจาเลยงัดหน้าต่างบ้านโดยไม่มีเหตุอันสมควรแล้วลักลอบเข้าไปในยามวิกาลโดย
คาดว่าไม่มีบุคคลใดอยู่บ้าน ถือได้ว่าจาเลยมีเจตนาจะลักทรัพย์ผู้เสียหาย เม่ือจาเลยเข้าไปในบ้าน
ได้แล้ว จาเลยเดินลงไปที่ช้ันล่างซึ่งเป็นบริเวณร้านขายของชาทันที แม้จาเลยจะยังไม่ได้แตะต้องตัว
ทรัพยก์ ต็ าม การกระทาของจาเลยถอื ว่าใกล้ชดิ ต่อผลทจี่ ะเอาทรัพยไ์ ปได้ ถอื ว่าอยใู่ นขน้ั ลงมือกระทา
ความผิดแล้ว เพียงแต่กระทาไปไม่ตลอดเพราะมีผู้มาพบจาเลยก่อนท่ีจาเลยจะลักทรัพย์ของ
ผเู้ สียหายไป จาเลยมีความผิดฐานพยายามลักทรัพยใ์ นเคหสถานในเวลากลางคืนโดยเข้าทางช่องทาง
ซึ่งทาข้ึนโดยไม่ได้จานงให้เป็นทางคนเข้าตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๑) (๔) (๘) วรรคสอง ประกอบ
มาตรา ๓๓๖ ทวิ, ๘๐
ฎีกาที่ ๘๔๐๖/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๕๒ ขณะท่ีจาเลยกระชากสร้อยคอทองคาพร้อม
กระดูกเลี่ยมทองของผู้เสียหาย สร้อยคอทองคาพร้อมกระดูกเล่ียมทองท่ีอยู่ในมือนั้น จาเลยก็เพียง
มุ่งหมายท่ีจะให้สร้อยคอทองคาพร้อมกระดูกเล่ียมทองหลุดจากคอผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นเพียง
แย่งการครอบครองเท่าน้ัน แต่หลังจากสร้อยคอทองคาและกระดูกเล่ียมทองขาดตกลงท่ีพื้นแล้ว
จาเลยก็ไม่ได้เข้ายึดถือเอาสร้อยคอทองคาพร้อมกระดูกเล่ียมทองอันจะเห็นได้ว่ามีการพาทรัพย์
เคล่ือนท่ีไปแต่อย่างใด การกระทาดังกล่าวจึงยังไม่เป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปสาเร็จ จึงเป็น
พยายามชงิ ทรพั ย์
ฎีกาท่ี ๕๐๖๙/๒๕๖๒ ฎ.๑๔๕๕ จาเลยที่ ๑ ขายสารที่อ้างวา่ เปน็ สเตม็ เซลล์ใหแ้ กผ่ ูเ้ สียหาย
ที่ ๔ จนหลงเช่ือและยินยอมให้จาเลยที่ ๑ ฉีดสารให้แก่ตนเอง การกระทาของจาเลยท่ี ๑ ถึงขั้น
135
ลงมือกระทาความผิดแล้ว แต่ผู้เสียหายท่ี ๔ ยงั ไม่ได้ชาระเงนิ ให้แก่จาเลยท่ี ๑ การกระทาของจาเลย
ที่ ๑ ยังไม่เป็นความผิดสาเรจ็ เพราะยังไม่ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้เสียหายท่ี ๔ ผู้ถูกหลอกลวง จึงเป็น
เพียงความผิดฐานพยายามฉ้อโกง
ฎีกาที่ ๗๐๓๗/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๗๗ กระบอกฉีดยาที่ไม่มีเข็มฉีดยา ก็สามารถฉีด
ของเหลวเข้าสู่ตัวกระบือทางปากหรือทางทวารได้ จาเลยมีกระบอกฉีดยาบรรจุสารพิษไว้แล้ว และ
จาเลยกาลังจับเชือกที่ผูกกระบือของผู้เสียหายซึ่งพร้อมท่ีจะลงมือฉีดสาร พิษใส่เข้าไปในตัวกระบือ
การกระทาของจาเลยใกล้ชิดต่อผลแห่งการทาให้เสียทรัพย์ ถือว่าเป็นการลงมือกระทาความผิด
แล้วแต่กระทาไปไม่ตลอด เพราะผู้เสียหายมาพบและเข้าขัดขวางเสียก่อน จาเลยจึงมีความผิดฐาน
พยายามทาให้เสยี ทรัพย์
ข้อสังเกต ข้ันตอนของกำรกระทำในคดีน้ีผ่ำนพ้นขั้นตระเตรียมกำร เข้ำสู่ข้ันลงมือกระทำควำมผิด
แล้ว เพรำะกำรกระทำใกลช้ ดิ ต่อผลแลว้
ฎีกาที่ ๑๖๙๐/๒๕๕๕ ฎ.๒๙๒ จาเลยทั้งสองตัดต้นไม้จนแยกขาดออกจากลาต้น จากนั้น
เคลื่อนย้ายไม้ไปวางบนพ้ืนและมีการเลื่อยแปรรูปบางส่วน อันเป็นการทาให้ต้นไม้ที่จาเลยท้ังสองลัก
เคล่ือนที่จากท่ีต้ังและเปล่ียนแปลงสภาพจากเดิม แม้จาเลยท้ังสองยังมิได้ขนย้ายออกไปจากที่เกิด
เหตุ เน่ืองจากมีนา้ หนักมากหรือเป็นเพราะยงั แปรรปู ไม่เสร็จ กเ็ รียกได้ว่าเป็นการลกั ทรพั ย์สาเร็จแล้ว
หาใช่เป็นเพยี งการพยายามลักทรพั ยไ์ ม่
ฎีกาที่ ๑๔๒๒/๒๕๕๔ ฎ.๑๔๘๐ จาเลยท่ี ๑ ซึ่งเป็นพนักงานของโจทก์ร่วมทราบดีว่า
ใบรับรองเงินฝากเป็นเอกสารสิทธิปลอมได้จัดส่งเอกสารสิทธิปลอมดังกล่าวไปต่างประเทศโดยผ่าน
แผนกไปรษณียภัณฑ์ในธรุ กิจของโจทกร์ ่วมด้วยการปิดผนึกซองเขียนชุดใบนาส่งเอกสารของธนาคาร
โจทก์ร่วมและใบนาสง่ ไปรษณียม์ อบให้กับพนักงานโจทกร์ ่วมผมู้ ีหน้าทจ่ี ัดส่งเอกสารตามวธิ ีการจัดส่ง
เอกสารในธุรกิจของโจทก์ร่วมครบถ้วนแล้วอันเป็นการลงมือใช้หรืออ้างเอกสารที่เกิดจากการกระทา
ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ แม้เอกสารสิทธิปลอมจะปิดผนึกอยู่ในซองและพนักงานผู้จัดส่ง
เอกสารของโจทก์รว่ มตรวจเห็นพริ ุธจนพบว่าเอกสารท่ีจัดส่งเป็นเอกสารสิทธิปลอมก่อนท่ีเอกสารจะ
สง่ ถึงผู้รับในตา่ งประเทศ ก็เป็นการใช้หรืออ้างเอกสารสทิ ธปิ ลอมเป็นความผดิ สาเร็จโดยไมต่ ้องรอผล
ของการใช้หรืออ้างว่าผู้รับหรือถกู อ้างจะได้รับเอกสารสิทธิปลอมที่จดั ส่งไป เพราะเมื่อจาเลยที่ ๑ ได้
ใช้หรืออ้างเอกสาร การกระทาของจาเลยท่ี ๑ ก็ถือได้ว่ากระทาไปในประการที่น่าจะเกิดความ
เสียหายแก่โจทก์ร่วม ผู้อ่ืนหรือประชาชนตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๘ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๒๖๕
แลว้ จาเลยที่ ๑ จงึ มคี วามผดิ ฐานรว่ มกันใชเ้ อกสารสทิ ธิปลอม
ฎีกาท่ี ๒๒๗/๒๕๕๑ ฎ.๕๘๐ ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๔ ให้คานิยามของคาว่า "ล่า" หมายความว่า เก็บ ดัก จับ ยิง ฆ่า หรือทาอันตรายด้วย
ประการอื่นใดแก่สัตว์ป่าท่ีไม่มีเจ้าของและอยู่เป็นอิสระ และหมายความรวมถึงการไล่ การต้อน
การเรียก หรือการล่อเพื่อการกระทาดังกล่าวด้วย ดังน้ัน การเคาะไม้ไล่ต้อนสัตว์ป่า จึงอยู่ใน
ความหมายของคาว่า "ล่า" ตามคานิยามดังกล่าว การท่ีจาเลยกับพวกร่วมกันเคาะไม้ไล่ต้อนสัตว์ป่า
136
ในเขตรักษาพันธ์ุสตั วป์ ่าเพือ่ ให้พวกของจาเลยท่ีดกั ซ่มุ รออยู่ใช้อาวุธปืนยิง จงึ เป็นความผิดสาเร็จฐาน
ลา่ สัตวป์ ่า มิใช่เปน็ เพยี งความผิดฐานพยายามล่าสัตวป์ า่
ฎีกาที่ ๗๕๐๓/๒๕๖๒ ฎ.๒๑๘๐ จาเลยใช้อาวธุ มีดฟนั ผ้เู สียหายที่ ๒ ก่อน จากน้ันจะฟันซ้า
ผู้เสียหายท่ี ๑ จึงเข้าแย่งมีดกับจาเลย จาเลยดึงกระเป๋าสะพายท่ีไหล่ซ้ายของผู้เสียหายท่ี ๑ ไปได้
จงึ เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์สาเร็จแล้ว แม้ภายหลังผูเ้ สยี หายทั้งสองเข้าไปแยง่ กระเป๋าสะพายคืนมา
ได้ โดยจาเลยยอมท้ิงกระเป๋าแล้วข่ีรถจักยานหลบหนีไปหาทาให้ความผิดที่สาเร็จแล้วกลับเป็น
ความผิดฐานพยายามไม่
ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๘๑
ฎีกาที่ ๓๑๕๓/๒๕๕๗ ฎ.๔๕๗ จาเลยลักลอบเข้าไปที่ใต้ถุนบ้านและข้ึนไปรื้อค้นส่ิงของ
บนระเบียงช้ันบนของบ้านผู้เสียหายขณะไม่มีบุคคลใดอยู่ที่บ้าน ส่อเจตนาไม่สุจริตอยู่ในตัว ลักษณะ
การรอื้ ค้นจาเลยร้ือค้นลิ้นชกั พลาสตกิ ท่เี ชิงบันไดซึ่งมี ๔ ล้ินชกั ในลน้ิ ชักอันบนสดุ พบกระเปา๋ สะพาย
สีดาและกระเป๋าสตางค์ใบเล็ก จาเลยดึงออกมาจากลิ้นชักแล้วค้นหาส่ิงของในกระเป๋าสะพายและ
กระเป๋าสตางค์ ต่อจากน้ันจาเลยเดินขึ้นบันไดไปบนระเบียงชั้นบนของบ้านและค้นหาสิ่งของที่กอง
เครื่องมือของใช้ที่วางอยู่บนระเบียง แล้วกลับลงไปร้ือค้นหาส่ิงของที่ล้ินชักพลาสติกช้ันอื่นทุกลิ้นชัก
แสดงว่าจาเลยมีเจตนาค้นหาเงินและของมีค่าอ่ืนในจุดที่จาเลยคาดว่าผู้เสียหายหรือบุคคลใน
ครอบครัวผู้เสียหายน่าจะเก็บหรือซุกซ่อนไว้ พฤติการณ์ในการตรวจค้นหาส่ิงของดังกล่าวฟังได้ว่า
มีเจตนาค้นหาและประสงค์จะลักเงินของผู้เสียหาย ถือว่าจาเลยลงมือกระทาความผิดและกระทาไป
ตลอดแล้ว แต่การกระทาไม่บรรลุผลได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุวัตถุท่ีมุ่งหมายกระทาต่อ เป็นการ
พยายามกระทาความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๘) วรรคแรก ประกอบ
มาตรา ๘๑
หมายเหตุ (โดยศำสตรำจำรย์ ดร. เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์) กำรท่ีจำเลยเข้ำไปในเคหสถำนของ
ผู้เสียหำยโดยไม่ได้รับอนุญำต เพื่อจะลักทรัพย์แม้จะยังไม่ทันแตะต้องทรัพย์ของผู้เสียหำย ก็เคยมี
คำพิพำกษำฎีกำวินิจฉัยไว้หลำยเรื่องว่ำจำเลยมีควำมผิดฐำนพยำยำมลักทรัพย์ในเคหสถำน ตำม
ป.อ. มำตรำ ๓๓๕ (๘) วรรคแรก ประกอบมำตรำ ๘๐ เช่น ฎีกำท่ี ๘๕๔/๒๕๐๗, ๑๘๕๗/๒๕๓๐,
๒๓๘๕/๒๕๓๔ เป็นต้น ซึ่งคำพิพำกษำฎีกำท่ีหมำยเหตุคือฎีกำท่ี ๓๑๕๓/๒๕๕๗ นี้ ศำลชั้นต้น
ก็พิพำกษำลงโทษจำเลยตำม ป.อ. มำตรำ ๓๓๘ (๘) วรรคแรก ประกอบมำตรำ ๘๐ ตำมบรรทัดฐำน
ของคำพิพำกษำฎีกำทก่ี ลำ่ วมำแล้ว
แต่จำเลยตำมคำพิพำกษำฎีกำที่หมำยเหตุนี้ ได้กระทำกำรยิ่งไปกว่ำนั้น กล่ำวคือ ถึงขนำด
ค้นหำสงิ่ ของในกระเปำ๋ สะพำยของผเู้ สยี หำยเพอ่ื จะลักเงิน แต่ปรำกฏว่ำไม่มีเงินทีจ่ ะลักอยู่ในกระเป๋ำ
ดังกล่ำว ซ่ึงศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำ เป็นกำรพยำยำมลักเงินของผู้เสียหำย แต่กำรกระทำไม่สำมำรถ
บรรลุผลได้อย่ำงแน่แท้ เพรำะเหตุ “วัตถุ” ท่ีมุ่งหมำยกระทำต่อ อันเป็นควำมผิดตำม ป.อ. มำตรำ
137
๓๓๕ (๘) วรรคแรก ประกอบมำตรำ ๘๑
ผู้หมำยเหตุเห็นว่ำ กำรกระทำของจำเลยเป็นควำมผิดฐำนพยำยำมลักทรัพย์ในเคหสถำน
ตำม ป.อ. มำตรำ ๓๓๕ (๘) วรรคแรก ประกอบมำตรำ ๘๐ ต้ังแต่เข้ำไปในเคหสถำนแล้ว แม้ว่ำจะ
ยังไม่ทันได้แตะต้องทรัพย์ของผู้เสียหำยท่ีจำเลยประสงค์จะลักไปก็ตำม ทั้งน้ีตำมบรรทัดฐำนของ
คำพพิ ำกษำฎีกำหลำยเรอ่ื งท่ีกล่ำวขำ้ งตน้
ประเด็นท่ีจะต้องพิจำรณำก็คือ หำกจำเลยกระทำควำมผิดในสำธำรณสถำน เช่น เอำมือ
ล้วงในกระเป๋ำสะพำยของผู้เสียหำย หรือล้วงกระเป๋ำกำงเกงของผู้เสียหำยขณะท่ีผู้เสียหำยยืนรอรถ
ประจำทำงอยู่ แต่กำรกระทำไม่บรรลุเพรำะไม่มีเงินท่ีจะลักอยู่ในกระเป๋ำดังกล่ำวเลย จะถือว่ำเป็น
พยำยำมลักทรัพย์ตำม ป.อ. มำตรำ ๓๓๔ (หรอื มำตรำ ๓๓๕) ประกอบมำตรำ ๘๐ หรือจะถือว่ำเป็น
พยำยำมลกั ทรัพย์แตก่ ำรกระทำไม่อำจบรรลุผลได้อย่ำงแนแ่ ท้ เพรำะเหตุวตั ถทุ ี่มุ่งหมำยกระทำต่อ
ตำมมำตรำ ๘๑
บทบัญญัติใน ป.อ. มำตรำ ๘๑ มีบญั ญัติขึน้ เป็นครง้ั แรกใน ป.อ. โดยไม่มีบทบญั ญัติเช่นนี้ใน
กฎหมำยลักษณะอำญำ ร.ศ. ๑๒๗ โดย ศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภัทิย์ ได้อธิบำยไว้ในหนังสือ
“กฎหมำยอำญำภำค ๑” ในส่วนที่เก่ียวกับ กำรกระทำไม่สำมำรถจะบรรลุผลได้อยำ่ งแน่แท้ เพรำะ
เหตแุ ห่ง “วัตถุท่มี ุง่ หมำยกระทำต่อ” โดยยกตวั อย่ำง ดังน้ี
ยิงไปท่ตี อไม้โดยเข้ำใจว่ำเป็นคน ไมม่ ีคนอยทู่ ี่น่นั ไมใ่ ช่ท่ีที่คนอยู่ตำมปกติ เป็นกำรกระทำท่ี
ไม่สำมำรถบรรลุผลอย่ำงแน่แท้ ซ่ึงเดิมไม่เป็นควำมผิด แต่บัดนี้ต้องมีควำมผิดตำมมำตรำ ๘๑
(ดูหัวขอ้ ๑๓๕ ของหนังสอื ดงั กล่ำว)
ส่วนในกรณีลักทรัพย์ ศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภัทิย์ ยกตัวอย่ำงว่ำ ประสงค์จะลักทรัพย์
ในหีบที่เคยเก็บทรัพย์ แต่หีบในขณะน้ันไม่มีทรัพย์ กรณีเช่นน้ี เป็นกำรลักทรัพย์ที่ไม่สำเร็จ
(ไม่บรรลุผล) โดย “ไม่เด็ดขำด” เก่ียวกับ “วัตถุท่ีมุ่งหมำยกระทำต่อ” เป็นพยำยำมลักทรัพย์ตำม
มำตรำ ๘๐ ไม่ใช่มำตรำ ๘๑ เทียบเคียงได้กับกรณี “ยิงเข้ำไปในห้องที่คนซึ่งประสงค์จะฆำ่ เคยอยู่
แต่เผอิญขณะที่ยิงนั้นคนนั้นไปเสียท่ีอื่น” ก็เป็นพยำยำมฆ่ำตำมมำตรำ ๘๐ ไม่ใช่มำตรำ ๘๑
(ดหู ัวขอ้ ๑๓๕ ของหนังสือดังกลำ่ ว)
ศำลฎีกำในฎีกำที่ ๑๔๔๖/๒๕๑๓ (ประชุมใหญ่) วินิจฉัยกรณีจำเลยใช้ปืนยิงไปที่ห้องท่ี
ผู้เสียหำยเคยนอน แต่ผเู้ สียหำยรู้ตวั ก่อนจึงยำ้ ยไปนอนท่อี ื่น ดงั น้ี
จำเลยใช้ปืนยิงผ่ำนไปตรงท่ีที่ผู้เสียหำยเคยนอนในห้องเรือนแต่กระสุนปืนไม่ถูก เพรำะ
ผู้เสียหำยรู้ตัวเสยี ก่อนจึงย้ำยไปนอนเสียทร่ี ะเบียง กำรท่ีผูเ้ สียหำยรูต้ ัวและหลบไปไม่อยู่ในท่ีที่จำเลย
เข้ำใจ ถือได้ว่ำเป็นเรื่องบังเอิญ และผู้เสียหำยก็ยังคงอยู่บนเรือนนั่นเอง ดังน้ี กำรกระทำของจำเลย
หำใช่เป็นเร่ืองท่ีไม่สำมำรถบรรลุผลได้อย่ำงแน่แท้ตำมมำตรำ ๘๑ แห่ง ป.อ. ไม่ แต่ต้องปรับด้วย
มำตรำ ๘๐
จำกบรรทัดฐำนของฎีกำประชุมใหญ่นี้ จึงถือกันว่ำหำกกำรไม่บรรลุผล “เป็นเรื่องบังเอิญ”
(หรือกล่ำวอีกนัยหน่ึงคือ “ไม่เด็ดขำด”) ก็เป็นกรณีตำมมำตรำ ๘๐ ส่วนกรณีมำตรำ ๘๑ ต้องเป็น
138
กำรไม่บรรลผุ ล “โดยเด็ดขำด”
คำพิพำกษำฎกี ำประชมุ ใหญ่ที่ ๑๔๔๖/๒๕๑๓ มหี มำยเหตทุ ำ้ ยฎีกำควำมตอนหนง่ึ ดังน้ี
กรณี (กรณีข้อเท็จจริงตำมคำพิพำกษำฎีกำประชุมใหญ่เร่ืองใช้ปืนยิงไปท่ีห้องนอน) ต่ำงกับ
กำรท่ีจำเลยตั้งใจจะยิงผู้เสียหำย แต่เข้ำใจผิดคิดว่ำตอไม้เป็นผู้เสียหำยจึงยิงไปที่ตอไม้นั้น กรณีนี้
(กรณียิงต่อไม้) ถึงแม้องค์ประกอบควำมผิดมีครบแล้ว แต่ตอไม้น้ันปกติไม่ใช่เป็นท่ีท่ีคนอยู่อำศัย
เช่นนี้ กำรกระทำของจำเลยจงึ ไม่บรรลุผลไดโ้ ดยแนแ่ ท้
ผู้หมำยเหตุจึงมีควำมเห็นว่ำ กรณีจำเลยล้วงกระเป๋ำสะพำยหรือล้วงกระเป๋ำกำงเกง
ผู้เสียหำยในที่สำธำรณสถำนเพ่ือลักเงินในกระเป๋ำ แต่ปรำกฏว่ำไม่มีเงินในกระเป๋ำนั้น ๆ เลย น่ำจะ
ถือว่ำเป็น “เร่ืองบังเอิญ” เพรำะกระเป๋ำก็ดี หีบเก็บทรัพย์ก็ดี ปกติเป็นที่ใส่เงิน จึงเป็นพยำยำม
ลักทรัพย์ตำม ป.อ. มำตรำ ๘๐ ไม่น่ำจะถือว่ำเป็นกรณีไม่บรรลุผล “โดยเด็ดขำด” อันจะเป็น
พยำยำมลกั ทรพั ยต์ ำม ป.อ. มำตรำ ๘๑
ส่วนกรณกี ำรเข้ำไปในเคหสถำนของผเู้ สียหำยโดยไม่ได้รบั อนุญำตเพ่ือลักทรัพยใ์ นเคหสถำน
ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงตำมคำพิพำกษำฎีกำท่ีหมำยเหตุนี้ (ฎีกำท่ี ๓๑๕๓/๒๕๕๗) ผู้หมำยเหตุเห็นว่ำ
ผู้กระทำมีควำมผดิ ฐำนพยำยำมลักทรพั ย์ตำมมำตรำ ๓๓๕ (๘) วรรคแรก ประกอบมำตรำ ๘๐ ต้งั แต่
เข้ำไปในเคหสถำนแล้ว (นอกเหนือจำกควำมผิดฐำนบุกรุก) แม้จำเลยจะยังไม่ทันแตะต้องทรัพย์
ที่ต้องกำรจะลักแต่อย่ำงใดเลยก็ตำม ทั้งน้ี ตำมแนวคำพิพำกษำฎีกำท่ีกล่ำวมำแล้วในตอนต้น
(เช่น ฎกี ำที่ ๘๕๔/๒๕๐๗, ๑๘๕๗/๒๕๓๐, ๒๓๘๕/๒๕๓๔ เป็นต้น)
นอกจำกน้ัน ยังมีคำพิพำกษำฎีกำที่ ๔๙๓๘/๒๕๕๔ กรณีเข้ำไปลักทรัพย์ในโรงงำน ฎีกำที่
๔๙๐/๒๕๔๒ กรณีเข้ำไปลักทรัพย์ในท่ีเก็บรักษำทรัพย์ แม้จำเลยจะยังไม่ได้แตะต้องตัวทรัพย์ที่
ประสงคจ์ ะลัก กเ็ ป็นพยำยำมลักทรัพย์ตำม ป.อ. มำตรำ ๘๐
กรณีข้อเท็จจริงตำมคำพิพำกษำฎีกำท่ีหมำยเหตุน้ี (ฎีกำท่ี ๓๑๕๓/๒๕๕๗) จำเลยเข้ำไป
ในบ้ำนของผู้เสียหำยโดยไม่ได้รับอนุญำตโดยเจตนำจะลักทรัพย์ในบ้ำนน้ัน หำกจำเลยถูกจับกุม
ภำยในบ้ำนก่อนจะลงมือรื้อค้นส่ิงของในตู้ลิ้นชักพลำสติก ข้อเท็จจริงเพียงเท่ำน้ี คงเป็นที่เข้ำใจ
ตรงกันว่ำ จำเลยย่อมมีควำมผิดฐำนพยำยำมลักทรัพย์ในเคหสถำน ตำมมำตรำ ๓๓๕ (๘) ประกอบ
มำตรำ ๘๐ ต้ังแต่ขณะน้ันแล้ว ทั้งนี้ ตำมบรรทัดฐำนของคำพิพำกษำฎีกำหลำยเร่ืองที่กล่ำวมำแล้ว
กรณีจงึ ไม่น่ำจะกลำยเป็นวำ่ ในกำรกระทำอันเดียวกัน โดยมีเจตนำเดียวกัน แต่จำเลยไดก้ ระทำกำร
เกินเลยไปกว่ำนั้น กล่ำวคือ ถึงขนำดรื้อค้นลิ้นชักพบกระเป๋ำสะพำยแล้วค้นหำเงินในกระเป๋ำ
แต่ไม่พบเงินในกระเป๋ำ จำเลยจะกลับมีควำมผิดตำมมำตรำ ๓๓๕ (๘) วรรคแรก ประกอบมำตรำ
๘๑ ไปได้
ฎีกาท่ี ๑๕๑๒/๒๕๕๑ ฎ.๖๔๘ การกระทาที่ไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ตาม ป.อ.
มาตรา ๘๑ ต้องเป็นกรณีท่ีเก่ียวกับปัจจัยหรือวัตถุซ่ึงใช้ในการกระทาผิดไม่สามารถจะกระทาให้
บรรลผุ ลไดอ้ ยา่ งแนแ่ ท้ เช่น หญิงไม่มชี อ่ งคลอดอนั เป็นการผิดปกติมาแตก่ าเนดิ ซ่ึงอยา่ งไร ๆ อวัยวะ
เพศชายก็ไม่สามารถจะสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศหญิงดังกล่าวได้ แต่ความเห็นแพทย์ระบุว่า หาก
139
จะมกี ารร่วมประเวณี อวัยวะเพศชายจะเขา้ ไปในช่องคลอดของผู้เสียหายได้ยากมาก โดยอวัยวะเพศ
ชายสามารถเข้าไปในช่องคลอดของผูเ้ สียหายได้ แต่ช่องคลอดก็จะฉีกขาด และการท่ีอวัยวะเพศชาย
จะเข้าไปในช่องคลอดของผู้เสียหายน้ัน จะต้องมีการบังคับขู่เข็ญหรือใช้สารหล่อลื่น แสดงว่ากรณี
ดังกล่าวไม่ใช่กรณีท่ีอวัยวะเพศชายไม่สามารถจะสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายได้
การกระทาของจาเลยจงึ ใชก่ รณที ี่ปจั จยั ซง่ึ ใช้ในการกระทาผดิ ไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้
ฎีกาท่ี ๕๙๙๗/๒๕๖๐ ฎ.๗๕๐ จาเลยใช้ระเบิดขว้างปาใส่ด้านหน้ารถย่อมเล็งเห็นได้ว่า
น่าจะเป็นอันตรายแก่ผู้เสียหายท่ี ๑ ผู้เสียหายท่ี ๓ และผู้โดยสารอื่น ๆ ในรถ โดยจาเลยรู้อยู่ว่า
ระเบิดใช้งานได้อันเป็นพฤติการณ์ท่ีส่อแสดงให้เห็นถึงเจตนาฆ่าแต่การกระทาไม่บรรลุผล จึงเป็น
ความผิดฐานพยายามฆ่า เมื่อฟังได้แต่เพียงว่าวัตถุระเบิดท่ีเป็นปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทามีอานุภาพ
ไม่ร้ายแรงเพียงพอท่ีจะทาอันตรายต่อชีวิตได้ ย่อมทาให้การกระทาของจาเลยไมส่ ามารถบรรลุผลได้
อยา่ งแนแ่ ทอ้ ันเปน็ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๘ ประกอบมาตรา ๘๑
จาเลยมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองแล้วใช้วัตถุระเบิดปาใส่หน้ารถที่มีผู้เสียหายท่ี ๓ เป็น
ผู้ขับข่ีและผู้โดยสารอื่น ๆ ในรถโดยจาเลยรู้อยู่ว่าระเบิดใช้งานได้ อันเป็นการกระทาความผิดตาม
ป.อ. มาตรา ๒๘๘ ประกอบมาตรา ๘๑ และเป็นกรรมเดียวกบั ความผิดฐานทาให้เกิดระเบิดจนนา่ จะ
เป็นอันตรายแก่บุคคลและทรัพย์ของผู้อ่ืนและฐานทาให้เสียทรัพย์ตามมาตรา ๒๒๑ และมาตรา
๓๕๘ ด้วย หาใชค่ วามผิดหลายกรรมไม่
ฎีกาท่ี ๓๕๐๒/๒๕๔๘ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๗๗ การที่จาเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้เสียหาย
ในระยะห่างประมาณ ๒๐ เมตร กระสุนปืนถูกบริเวณคอด้านหน้าขวาและบริเวณชายโครงขวา
ดา้ นหน้าทั้งสองแห่งมีบาดแผลขนาด ๐.๕ เซนติเมตร ไม่มีความลึก แพทยล์ งความเห็นว่ารักษาหาย
ภายใน ๗ วัน แสดงให้เห็นว่ากระสุนปืนไม่มีความรุนแรงพอท่ีจะทาให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้
อย่างแน่แท้ เพราะเหตุอาวุธปืนซง่ึ เป็นปัจจยั ท่ีใช้ในการกระทาความผิด การกระทาของจาเลยจึงเป็น
การกระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๙ (๔) ประกอบมาตรา ๘๑ วรรคหน่งึ
140
ตัวการ
ข้อ ๓๔ คาถาม นายดาทาสวนมะม่วงติดกับสวนขนุนของนายขาวท่ีจังหวัดจันทบุรี
นายขาวจะไปเยี่ยมบุตรที่กรุงเทพมหานครหลายวันนายขาวจึงฝากให้นายดาดูแลสวนขนุนแทน
นายดารบั ปากดแู ลให้ เม่ือมีบคุ คลภายนอกมาลกั ขนุนของนายขาว นายดาจะไล่จนหนีไปหมด ต่อมา
ระหว่างท่ีนายขาวยังไม่กลับมา นายแดงลูกจ้างของนายดาท่ีมาตัดก่ิงไม้และหญ้าในสวนของนายดา
เมื่อเห็นขนุนของนายขาวลูกใหญ่คิดว่าคงนาไปขายได้ราคาดีจึงแอบเดินผ่านสวนมะม่วงของนายดา
เข้าไปในสวนของนายขาวลกั ขนนุ ๑๐ ลูกไปขาย ระหว่างที่นายแดงลักขนุนน้ันนายดาเห็นแต่กแ็ กล้ง
ทาเป็นไม่เห็นและมิได้ห้ามปรามเพราะเกรงว่านายแดงจะไม่ยอมตัดกิ่งไม้และตัดหญ้าให้ตนและ
คิดว่าอย่างไรเสียนายขาวคงไม่รวู้ ่าใครลักไป ต่อมาหลังจากตัดหญ้าและกิ่งไม้เสร็จเวลากลางวันซึ่งมี
อากาศร้อนต้นมะม่วงและต้นขนุนมีใบหล่นร่วงจนแห้งตามพ้ืนดินท้ังสองสวน นายแดงไม่ได้กวาด
หรือไถกลบใบไม้แห้งท้ังสองสวนก่อน แล้วนายแดงจุดไฟเผาซากก่ิงไม้และใบหญ้าแห้งในท่ีดินของ
นายดา โดยนายดาอยู่ในที่ดินของตนเพื่อกากับการเผาอยู่ด้วย เม่ือไฟไหม้ก่ิงไม้และใบหญ้าแห้งท่ี
นายแดงจุดไฟเผาแล้ว ไฟยังได้ลุกลามไหม้ใบ้ไม้แห้งในสวนมะม่วงของนายดาและลามไปลุกไหม้ใน
สวนขนุนของนายขาวได้รบั ความเสยี หายด้วย
ให้วนิ ิจฉัยวา่ นายแดงและนายดามคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใด
คาตอบ ในความผิดฐานบุกรุกและความผิดฐานลักทรัพย์น้ัน การท่ีนายแดงเข้าไปในสวน
ของนายขาวเพือ่ ลกั ขนุน เป็นการเจตนาเขา้ ไปกระทาการใด ๆ อันเปน็ การรบกวนการครอบครอง
อสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุข เป็นความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๓๖๒ และเป็นการเจตนาเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา
๓๓๔ นายแดงจึงมีความผิดฐานบุกรุกและลักทรัพย์ การบุกรุกเข้าไปลักทรัพย์เป็นการกระทา
กรรมเดยี วเปน็ ความผดิ ตอ่ กฎหมายหลายบทลงโทษบทหนักตามมาตรา ๙๐
ขณะที่นายแดงลักขนุนน้ันนายดาเห็นแต่ก็มิได้ห้ามปราม แม้จะเป็นการไม่เคล่ือนไหวของ
นายดา แต่การท่ีนายขาวฝากให้นายดาดูแลสวนขนุนแทน นายดารับปากดูแลให้ หากมีคนเข้ามา
ลักขนุนนายดาต้องห้ามปราม เพราะเป็นหน้าท่ีตามสัญญาที่นายดาต้องดูแลสวนขนุนแทน
นายขาว เมื่อนายดาเห็นนายแดงลักขนุนของนายขาวแต่มิได้ห้ามปราม จึงถอื ว่านายดากระทาโดย
ไม่เคลื่อนไหวเพราะเป็นการงดเว้นจากหน้าท่ีเฉพาะเจาะจงที่ตนมีตามสัญญา เน่ืองจากการ
กระทาให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดข้ึนโดยงดเว้นการท่ีจักต้องกระทาเพ่ือ
ป้องกันผลนั้นด้วยตามมาตรา ๕๙ วรรคท้าย นายดาจึงมีการกระทาในความผิดฐานบุกรุกและ
ลกั ทรัพย์ จึงตอ้ งพิจารณาตอ่ ไปว่าการกระทาของนายดามีความผิดอย่างไร
การเป็นตัวการร่วมกันกระทาความผิดตามมาตรา ๘๓ ผู้กระทาจะต้องมีการกระทา
ร่วมกนั และมีเจตนารว่ มกันกระทาผิด การที่นายดาไม่ห้ามปรามมใิ ห้นายแดงเข้าไปลักขนนุ ของนาย
ขาว แม้จะเปน็ การกระทาโดยงดเว้น แต่นายแดงแอบเขา้ ไปลักขนนุ ในสวนของนายขาว นายดาแกล้ง
ทาเป็นไม่เห็นและมิได้ห้ามปรามน้ัน นายดาและนายแดงมิได้มีเจตนาร่วมกันกระทาความผิดฐาน
141
บุกรุกและลักทรัพย์ เพราะนายแดงไม่รู้ว่านายดาเห็นตนเข้าไปลักทรัพย์ นายดาจึงไม่เป็นตัวการ
ร่วมกับนายแดงกระทาผิดฐานบุกรุกและลักทรัพย์ แต่การที่นายดามิได้ห้ามปรามนายแดงน้ัน
เป็นการกระทาด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่นายแดง
กระทาความผิดก่อนหรือขณะกระทาความผิด แม้นายแดงผู้กระทาความผิดจะมิได้รู้ถึงการ
ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกน้ันก็ตาม ผู้น้ันเป็นผู้สนับสนุนการกระทาความผิด ต้องระวางโทษ
สองในสามสว่ นของโทษท่ีกาหนดไว้สาหรบั ความผิดที่สนับสนนุ นัน้ ตามมาตรา ๘๖ นายดาจงึ เป็น
ผู้สนับสนนุ นายแดงกระทาความผดิ ฐานบกุ รกุ และลกั ทรพั ย์
สาหรับความผิดฐานทาให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทนั้น การที่นายแดงจุดไฟเผากิ่งไม้และ
ใบหญ้าในท่ีดินของนายดาเวลากลางวันซึ่งมีอากาศร้อนต้นมะม่วงและต้นขนุนมีใบแห้งร่วงตาม
พื้นดินทั้งสองสวน เป็นการกระทาโดยปราศจากความระมัดระวังซ่ึงบุคคลในภาวะเช่นน้ันจักต้อง
มีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทาอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้
ให้เพียงพอไม่ การท่ีนายแดงไม่ได้กวาดหรือไถกลบใบไม้แห้งทั้งสองสวนก่อน จึงเป็นการกระทา
ให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท เม่ือไฟลามไปลุกไหม้ในสวนขนุนของนายขาวเสียหาย นายแดงจึงมี
ความผดิ ฐานทาใหเ้ กดิ เพลิงไหม้โดยประมาทตามมาตรา ๒๒๕ (ฎีกาที่ ๑๗๒๑๒/๒๕๕๕)
การกระทาความผิดโดยประมาทเป็นการกระทาความผิดมิใช่โดยเจตนา จึงไม่อาจมีการ
ร่วมกระทาในลักษณะเป็นตัวการตามมาตรา ๘๓ ได้ นายดาจึงไม่เป็นตัวการร่วมกับนายแดง
กระทาความผิดฐานทาให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทตามมาตรา ๒๒๕ แต่การท่ีนายแดงไม่ได้กวาด
หรือไถกลบใบไม้แห้งทั้งสองสวนก่อนจุดไฟเผากิ่งไม้และใบหญ้าแห้ง โดยนายดาอยู่ในท่ีดินของตน
เพอื่ กากับการเผาอย่ดู ้วย การทน่ี ายดาไม่กระทาการใดอนั เป็นการปอ้ งกันมิให้ไฟลุกลามไปยงั ท่ีดิน
ข้างเคียง ท้ังที่นายดาเป็นเจ้าของสวนและเป็นนายจ้างของนายแดง จนเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้
ต้นขนุนของนายขาวเสยี หาย ถือไดว้ า่ นายดามสี ว่ นในการจุดไฟเผาและก่อให้เกิดเพลิงไหม้ จงึ เป็น
การกระทาให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทและเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อ่ืนเสียหาย ตามมาตรา
๒๒๕ ซ่ึงถอื วา่ เปน็ การกระทาความผิดโดยประมาทของนายดาดว้ ย (ฎีกาที่ ๑๗๒๑๒/๒๕๕๕)
ฎกี าที่ ๑๗๒๑๒/๒๕๕๕ ฎ.๒๐๖๔ ขณะเกิดเหตุลูกจา้ งของจาเลยทาการจุดไฟเผาซากกิ่งไม้
ใบหญ้าแห้งและวชั พืชในที่ดนิ ของจาเลย โดยจาเลยอยู่ในทด่ี นิ ของตนเพ่อื กากับการเผาอย่ดู ้วย ถือได้
วา่ จาเลยมสี ่วนรว่ มในการจดุ ไฟเผาและก่อให้เกดิ เพลิงไหม้
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวันซึ่งมีอากาศรอ้ น ต้นยางพาราเริ่มมีใบหล่นร่วงตามพ้ืนดินบ้าง
แล้ว การท่ีจาเลยไม่กระทาการใดอันเป็นการป้องกันมิให้ไฟลุกลามไปยังที่ดินข้างเคียง เป็นเหตุให้
เกิดเพลิงไหม้ต้นยางพาราของผู้เสียหาย จึงเป็นการกระทาให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทและเป็นเหตุ
ใหท้ รัพย์สนิ ของผูอ้ ื่นเสยี หาย เป็นความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๒๒๕
การกระทาความผิดโดยประมาทเป็นการกระทาความผิดมิใช่โดยเจตนา จึงไม่อาจมีการร่วม
กระทาในลกั ษณะเป็นตัวการตาม ป.อ. มาตรา ๘๓ ได้
142
ข้อ ๓๕ คาถาม นายหน่ึงจ้างนายสองบรรทุกกุ้งกุลาดาไปส่งให้พ่อค้าในเมือง แต่นายสอง
ขับรถบรรทุกคว่า นายหนึ่งโกรธนายสองเพราะต้องขาดทุนจากการขนส่งไม่ทันและกุ้งเสียหาย
นายหนึ่งจึงต่อว่านายสองวา่ ขับรถอยา่ งน้ีผมหมดตัวแล้ว ให้เอาไปเผาเลยท้ังกุ้งทั้งรถ นายสองพูดว่า
ให้มึงเอาไปเผาซิ แล้วนายสองโทรศัพท์แจ้งนายสามและนายสี่บุตรของนายสองให้เอารถมาถ่ายกุ้ง
ขณะเปล่ียนถ่ายกุ้งข้ึนรถคันใหม่ นายหน่ึงและนายสองโต้เถียงกันรุนแรง นายสองพูดว่า ถึงบ้าน
จะเห็นดีกัน แล้วนายหนึ่งก็แยกออกไปตลาดด้วยรถกระบะ ส่วนรถบรรทุกกุ้งก็แยกไป โดยนายสอง
นายสาม และนายสี่ น่ังรถกระบะอีกคันหน่ึงไปตลาด รถบรรทุกกุ้งถึงตลาดก่อนพร้อมรถท่ีนายสอง
กับพวกมาถึง ระหว่างท่ีขนกุ้งลงน้ัน นายหนึ่งไปถึงตลาดแล้วเดินลงจากรถ ทันใดนั้นนายสามและ
นายสี่ว่ิงเข้ามาหานายหน่ึงพร้อมกัน โดยนายสามเข้ามาชกนายหนึ่งและนายส่ีใช้ไม้ตีนายหน่ึง
มีชาวบ้านร้องห้าม แต่นายสามและนายส่ีไม่หยุดตีและไม่หยุดชก ทันใดนั้นนายสองว่ิงเข้ามาแล้ว
ตะโกนว่า ไอ้สัตว์มึงตายเสียเถอะ แล้วนายสองใช้ปืนยิงนายหนึ่งที่บริเวณหน้าอกสองนัด โดย
นายสามและนายสี่ไม่ทราบว่านายสองมีปืนมาด้วย แล้วนายสอง นายสาม และนายส่ี ก็วิ่งหนีข้ึนรถ
คันเดียวกันขับออกไปจากที่เกิดเหตุ ส่วนนายหนึ่งมีพลเมืองดีช่วยพาไปส่งโรงพยาบาล แพทย์รักษา
ทนั นายหน่ึงจึงไม่ตาย แต่ได้รับอันตรายแก่กายจากแผลที่ถกู ชกและไม้ตี กบั ไดร้ ับอันตรายสาหัสจาก
แผลท่ีถูกยิง
ใหว้ นิ ิจฉัยวา่ นายสอง นายสาม และนายสี่ มีความผดิ ต่อชวี ิตและรา่ งกายฐานใด
คาตอบ หลักกฎหมายเรือ่ งเจตนา ตวั การ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙, ๘๓
นายสองใช้ปืนยิงนายหน่ึงที่บริเวณหน้าอกสองนัดนั้น นายสองมีเจตนาฆ่านายหนงึ่ เพราะ
ยิงบริเวณอวัยวะสาคัญแสดงว่านายสองเจตนาประสงค์ต่อผลในความตายของนายหน่ึง แม้นาย
หนึ่งไม่ตาย เพียงแต่ได้รับอันตรายสาหัสจากแผลที่ถูกยิง เมื่อนายสองลงมือกระทาความผิดไป
ตลอดแล้ว แต่การกระทาไม่บรรลุผล นายสองจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบมาตรา ๘๐
การที่นายสามเข้ามาชกนายหนึ่งและนายส่ีใช้ไม้ตีนายหน่ึง แล้วนายสองเข้ามายิงนายหนึ่ง
ยังไม่อาจถือว่านายสามและนายสี่เป็นตัวการร่วมกับนายหน่ึงในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อ่ืน
โดยเจตนา เพราะการจะเปน็ ตวั การร่วมกันน้ัน จะต้องมที ้ังการกระทาร่วมกันและมีเจตนารว่ มกัน
แม้นายสอง นายสาม และนายสี่ จะนั่งรถมาด้วยกัน หลังกระทาความผิดแล้วก็วิ่งหนีขึ้นรถ
คันเดียวกันขับออกไปจากที่เกิดเหตุ และมีสาเหตุโกรธเคืองกับนายหน่ึงด้วยเร่ืองเดียวกันก็ตาม
แต่พฤติการณ์เช่นนี้ก็ยังไม่อาจสรุปได้ว่ามีการปรึกษาหารือ นัดแนะ และคบคิดกันมาก่อน
เม่ือนายสามและนายส่ีไม่ทราบว่านายสองมีปืนมาด้วย แสดงว่านายสองยิงนายหน่ึงโดยเจตนาฆ่า
ตามลาพัง อันเป็นการตัดสินใจของนายสองโดยฉับพลันในขณะน้ันเอง นายสามและนายส่ี
จงึ ไมเ่ ป็นตวั การร่วมกับนายสองในความผิดฐานพยายามฆ่าผอู้ ่นื โดยเจตนา
เม่ือนายสามเข้ามาชกนายหน่ึงและนายสี่ใช้ไม้ตีนายหน่ึง นายหนึ่งเพียงได้รับอันตราย
แก่กายจากแผลท่ีถูกชกและไม้ตี แม้นายหนึ่งจะได้รับอันตรายสาหัสเพราะถูกนายสองยิง แต่
143
อั น ต ร า ย ส า หั ส ดั ง ก ล่ า ว ก็ มิ ใ ช่ ผ ล โ ด ย ต ร ง อั น เกิ ด จ า ก ก า ร ก ร ะ ท า ข อ ง น า ย ส า ม แ ล ะ น า ย สี่
จึงถือได้ว่านายสามและนายสี่ได้ร่วมกันทาร้ายร่างกายนายหน่ึงเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย
เท่าน้ัน นายสามและนายส่ีคงมีความผิดฐานร่วมกันทาร้ายร่างกายตามมาตรา ๒๙๕ ประกอบ
มาตรา ๘๓
ข้อสังเกต คำถำมข้อนี้นำข้อเท็จจริงตำมฎีกำที่ ๑๕๑๐/๒๕๔๘ มำแต่งเป็นข้อสอบ โดยผู้แต่งวำงธง
คำตอบว่ำ ๑. นำยสองผิดฐำนพยำยำมฆ่ำ ๒. นำยสำมและนำยสี่ไม่เป็นตัวกำรในกำรพยำยำมฆ่ำ
๓. นำยสำมและนำยส่ีเป็นตัวกำรร่วมกันทำร้ำยตำมมำตรำ ๒๙๕ ๔. นำยสำมและนำยส่ีไม่ต้อง
รับผิดฐำนทำร้ำยเป็นเหตุให้ได้รับอันตรำยสำหัสตำมมำตรำ ๒๙๗ (๘) โดยไม่ได้กล่ำวถึงเลยว่ำ
นำยสองเป็นตัวกำรร่วมกับนำยสำมและนำยส่ีในควำมผิดฐำนทำร้ำยตำมมำตรำ ๒๙๕ ด้วยหรือไม่
ตำมฎีกำน้ี (ในฎีกำอื่น ๆ หำกเป็นตัวกำรร่วมกันทำร้ำย แล้วตัวกำรบำงคนมเี จตนำฆ่ำโดยตัวกำรอื่น
มิได้รู้เห็นในกำรฆ่ำ แม้ตัวกำรอ่ืนไม่มีเจตนำฆ่ำ แต่ตัวกำรอื่นก็ต้องรับผิดในผล คือ ผิดตำมมำตรำ
๒๙๗ หรือมำตรำ ๒๙๐ แล้วแต่กรณี (ฎีกำที่ ๔๑๔๐/๒๕๓๐, ท่ี ๑๒๑๓/๒๕๕๕ ,ท่ี ๖๐๒๐/๒๕๕๙,
และที่ ๗๒๔๒/๒๕๖๑)
ข้อ ๓๖ คาถาม นางสวยเป็นภรรยาคนท่ีสองของนายหล่อ ได้เปิดร้านอาหารและใช้เป็นที่
พักอาศัยด้วย เวลานายหล่อมาหานางสวยและพักค้างคืนนายหล่อจะขับรถยนต์กระบะมาจอดหน้า
ร้านอาหารดังกล่าว ระยะหลังนายหล่อไปติดพันสาวอื่นจึงมีเร่ืองทะเลาะกับนางสวยและนายหล่อ
มักจะทุบตีทาร้ายนางสวย นางสวยจึงไปขอให้นายสอดช่วยส่ังสอนนายหล่อ นายสอดตกลงโดย
นางสวยจะคล้องกุญแจไม่ล็อคประตู เม่ือนายหล่อมาค้างท่ีร้านกับนางสวย นางสวยแจ้งนายสอด
นายสอดจึงไปขอให้นายแทรกมาช่วยโดยบอกว่าจะไปสั่งสอนนายหล่อ นายแทรกตกลง นายสอด
และนายแทรกจึงขับรถจักรยานยนต์มาด้วยกันแล้วเข้าไปในร้านอาหารโดยข้ึนไปบนที่พักพบ
นายหล่อนอนอยบู่ นเตียง นายสอดจึงใช้เกา้ อี้ในร้านตที าร้ายนายหลอ่ ท่นี อนอยบู่ นเตยี ง เมอ่ื นายหล่อ
จะลุกขึ้นนายแทรกเข้าไปจับขานายหล่อไว้ แล้วนายหล่อแน่นิ่งไป นายสอดและนายแทรกเข้าใจว่า
นายหล่อถึงแก่ความตายไปแล้ว นายสอดและนายแทรกจะเอาศพและรถยนต์กระบะไปทิ้งในป่า
จึงช่วยกันยกร่างนายหล่อไปวางไว้ที่น่ังข้างคนขับรถยนต์กระบะของนายหล่อ แล้วนายสอด
ขบั รถยนต์กระบะดังกล่าวออกไปโดยนายแทรกขับรถจักรยานยนต์ตามไป เม่อื ไปถึงริมถนนห่างจาก
หมู่บ้านประมาณ ๑๐ กิโลเมตร นายสอดขับรถยนต์กระบะเล้ียวเข้าไปในป่าเมื่อจอดรถยนต์กระบะ
ขณะนั้นนายหล่อรู้สึกตัวนายสอดจึงใช้เชือกไนลอนที่อยู่ในรถยนต์กระบะรัดคอนายหล่อจนถึงแก่
ความตาย แล้วลงจากรถยนต์กระบะพบนายแทรกขับขี่รถจักรยานยนต์ตามมา นายสอดเล่าเรื่อง
ทีใ่ ช้เชือกรัดคอนายหล่อถงึ แกค่ วามตายใหน้ ายแทรกฟัง แลว้ นายสอดน่ังรถจักรยานยนต์ทน่ี ายแทรก
ขบั หนีไปดว้ ยกนั
ให้วินิจฉัยว่า นางสวย นายสอด และนายแทรก มีความผิดตามประมวลกฎหายอาญาฐานใด
หรอื ไม่เพียงใด
144
คาตอบ ความรับผดิ ทางอาญาของนายสอดและนายแทรก การทนี่ ายสอดใช้เก้าอ้ตี ที ารา้ ย
นายหล่อที่นอนอยู่บนเตียง เม่ือนายหล่อจะลุกขึ้นนายแทรกเข้าไปจับขานายหล่อไว้ แล้วนายหล่อ
แน่นิ่งไป เป็นการร่วมกันทาร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจของผู้อื่นนั้น
เมื่อผู้กระทาผิดได้คิดไตร่ตรองบททวนแล้วจึงตกลงใจกระทาความผิด จึงเป็นการไตร่ตรอง
ไว้ก่อน นายสอดและนายแทรกจึงมีความผิดฐานร่วมกันทาร้ายทาร้ายผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๖ ประกอบมาตรา ๘๓ บทหน่งึ
การฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน หมายความว่า ก่อนทาการฆ่าผู้กระทาผิด
ได้คิดไตร่ตรองบททวนแล้วจึงตกลงใจกระทาความผิด ไม่ใช่กระทาไปโดยปัจจุบันทันด่วน การท่ี
นายสอดเข้าใจว่านายหล่อถึงแก่ความตายไปแล้ว จะนาร่างนายหล่อไปทิ้งแล้วนายหล่อรู้สึกตัว
นายสอดจึงใช้เชือกที่อยู่ในรถยนต์กระบะรัดคอนายหล่อจนถึงแก่ความตาย นั้น เป็นกระทาไป
โดยปัจจุบันทันด่วนเม่ือเห็นว่านายหล่อยังไม่ถึงแก่ความตาย การกระทาของนายสอดจึงไม่เป็น
การฆ่าผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามมาตรา ๒๘๙ (๔) เป็นแต่เพียงความผิดฐานฆ่าผู้อ่ืน
โดยเจตนาตามมาตรา ๒๘๘ อกี บทหนึ่ง
สว่ นนายแทรกแมจ้ ะชว่ ยนายสอดยกร่างนายหล่อข้ึนรถยนต์กระบะ เม่ือนายสอดขับรถยนต์
กระบะไปนายแทรกก็ขับรถจักรยานยนต์ตามไป จนนายสอดใช้เชือกท่ีอยู่ในรถยนต์กระบะรัดคอ
นายหล่อจนถึงแก่ความตาย นายแทรกมิได้มีการกระทาร่วมกันและมิได้มีเจตนาร่วมกันกับ
นายสอดในการฆ่านายหล่อในขณะนายสอดกระทาความผิดฐานฆ่าผู้อ่ืน นายแทรกจึงไม่เป็น
ตัวการร่วมกับนายสอดฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา แม้หลังจากนายสอดใช้เชือกรัดคอนายหล่อถึงแก่ความ
ตาย แล้วนายสอดน่ังรถจักรยานยนต์ที่นายแทรกขบั หลบหนีไปด้วยกันน้ัน การท่ีจะเป็นผู้สนับสนุน
ผู้อื่นกระทาความผิด ต้องเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกผู้อื่นก่อนหรือในขณะกระทา
ความผิด แต่การท่ีนายแทรกช่วยเหลือนายสอดหลังนายสอดกระทาความผิด นายแทรก
จึงไมผ่ ูส้ นับสนุนนายสอดกระทาความผิดฐานฆ่าผ้อู นื่ โดยเจตนา
เม่ือนายสอดและนายแทรกเข้าใจว่านายหล่อถึงแก่ความตาย เจตนาของนายสอดและ
นายแทรกท่ีร่วมกันกระทาความผิดฐานร่วมกันทาร้ายนายหล่อโดยไตร่ตรองไว้ก่อนก็ยุติลง
การเป็นตัวการร่วมกันของนายสอดและนายแทรกจึงยุติลง แม้นายสอดใช้เชือกรัดคอนายหล่อ
จนถึงแก่ความตาย ก็เป็นการกระทาลาพังของนายสอดเองเมื่อทราบว่านายหล่อยังไม่ถึงแก่ความ
ตาย นายแทรกไม่ต้องรับผิดในผลคือความตายของนายหล่อ นายแทรกจึงไม่มีความผิดฐาน
ทาร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตใุ ห้ผนู้ ัน้ ถงึ แก่ความตายตามมาตรา ๒๙๐ วรรคสอง แต่มคี วามผิดเพยี งฐาน
รว่ มกันทาร้ายทารา้ ยผ้อู ่ืนโดยไตร่ตรองไวก้ อ่ นดงั ท่วี นิ ิจฉยั มาแลว้
ส่วนการที่นายสอดและนายแทรกเข้าใจว่านายหล่อถึงแก่ความตายไปแล้ว จะเอาศพและ
รถยนต์กระบะไปท้งิ ในป่า ระหว่างที่นายสอดและนายแทรกยกนายหล่อมาไวใ้ นรถยนต์กระบะจนถึง
เวลาท่ีนายสอดขับรถยนต์กระบะไปจอดท้ิงไว้ที่อ่ืนก่อนท่ีนายสอดจะฆ่านายหล่อที่น่ัน นายหล่อ
ยังมีชีวิตอยู่ การเคลื่อนย้ายนายหล่อไปยังสถานท่ีดังกล่าวไม่ใช่เป็นการเคลื่อนย้ายศพ จึงขาด
145
องค์ประกอบภายนอกของความผิด การกระทาของนายสอดและนายแทรกไม่เป็นความผิดฐาน
ร่วมกันเคลื่อนย้ายศพเพ่ือปิดบังการเกิด การตาย หรือเหตุแห่งการตาย กับฐานเคลื่อนย้ายศพ
โดยไม่มีเหตุอันสมควรตามมาตรา ๑๙๙ และมาตรา ๓๖๖/๓ ประกอบมาตรา ๘๓ (ฎีกาที่ ๒๗๙๒/
๒๕๖๐)
ความรับผิดทางอาญาของนางสวย การที่นางสวยไปขอให้นายสอดช่วยส่ังสอนนายหล่อ
ย่อมหมายถึงทาให้เจ็บตัวเพียงเพ่ือสั่งสอนเท่านั้น หาได้มีเจตนามุ่งหมายถึงกับจะฆ่าให้ตายไม่
จึงเป็นการที่นางสวยใช้ให้นายสอดไปทาร้ายร่างกายนายหล่อเท่าน้ัน การที่นายสอดไปฆ่า
นายหล่อเป็นการเกนิ เลยจากขอบเขตที่ใชข้ องนางสวย นางสวยผใู้ ช้ให้กระทาความผิดตอ้ งรับผิด
ทางอาญาเพียงสาหรับความผิดเท่าท่ีอยู่ในขอบเขตที่ใช้ตามมาตรา ๘๗ วรรคหนึ่ง นางสวย
จึงไม่ต้องรับผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาซึ่งนายสอดผู้ลงมือกระทาผิดได้รับ แต่เมื่อการกระทาของ
นายสอดเกิดผลรุนแรงเป็นเหตุให้นายหล่อถึงแก่ความตายดังกล่าว เป็นกรณีท่ีผู้ถูกใช้จะต้องรับผิด
ทางอาญามีกาหนดโทษสูงขึ้นเพราะอาศัยผลที่เกิดจากการกระทาความผิด ผู้ใช้ให้กระทา
ความผิดต้องรบั ผดิ ทางอาญาตามความผดิ ท่ีมีกาหนดโทษสูงขนึ้ นั้นด้วยตามมาตรา ๘๗ วรรคสอง
นางสวยย่อมต้องรับผิดฐานทาร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา ๒๙๐
วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๘๙ (๔), ๘๔, ๘๗ วรรคสอง เพราะความตายเป็นผลโดยตรงและนาง
สวยย่อมคาดหมายได้ว่าจะเกิดข้ึนจากการทาร้ายที่นางสวยได้ใช้ (ฎีกาท่ี 4941/๒๕28
(ประชุมใหญ่))
ฎีกาที่ ๒๗๙๒/๒๕๖๐ ฎ.๔๒๒ จาเลยที่ ๓ มีเจตนาร่วมทาร้ายผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ตั้งแต่แรกที่จาเลยท่ี ๒ ได้ขอให้จาเลยท่ี ๓ ช่วยเหลือก่อนเกิดเหตุแล้ว จาเลยที่ ๓ มีความผิดเพียง
ฐานร่วมกันทาร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนซ่ึงเป็นความผิดลักษณะหน่ึงใน ป.อ. มาตรา
๒๘๙ ตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๖ อันเป็นความผิดอย่างหนึ่งท่ีเป็นความผิดได้ในตัวเองในหลายอย่าง
ท่ีรวมอยู่ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามฟ้องและมีอัตราโทษน้อยกว่า
ศาลย่อมลงโทษในความผดิ ตามทีพ่ จิ ารณาไดค้ วามได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๙๒ วรรคทา้ ย
จาเลยท่ี ๒ ใช้เชอื กรดั คอผ้ตู ายจนถึงแก่ความตาย ณ สถานท่ีที่จาเลยที่ ๒ นารถยนต์กระบะ
มาจอดทิ้งไว้ เน่ืองจากผู้ตายฟื้นขึ้นยังไม่ตาย จากนั้นก็ไม่มีการเคล่ือนย้ายผู้ตายไปที่ใดอีก แสดงว่า
ระหว่างท่ีจาเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยกผู้ตายมาไว้ในรถยนต์กระบะจนถึงเวลาที่จาเลยท่ี ๒ ขับรถยนต์
กระบะไปจอดท้ิงไว้ที่อื่นก่อนที่จาเลยท่ี ๒ จะฆ่าผู้ตายท่ีนั่น ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ การเคล่ือนย้ายผู้ตาย
ไปยังสถานที่ดังกล่าวไม่ใช่เป็นการเคลื่อนย้ายศพตามฟ้อง การกระทาของจาเลยท่ี ๒ ท่ี ๓ ไม่เป็น
ความผิดฐานร่วมกันเคล่ือนย้ายศพเพ่ือปิดบังการเกิด การตาย หรือเหตุแห่งการตาย กับฐาน
เคล่ือนย้ายศพโดยไม่มีเหตุอันสมควรตาม ป.อ. มาตรา ๑๙๙ และมาตรา ๓๖๖/๓ ประกอบมาตรา
๘๓
146
ข้อ ๓๗ คาถาม นายเอก นายโท และนายตรี เห็นนายมดและนายปลวกนักศึกษาต่าง
สถาบันกันเดินสวนทางมา นายเอกจาได้ว่านายมดเป็นคู่อริทเ่ี คยร่วมกบั พวกรุมทาร้ายตน จึงบอกให้
นายโทและนายตรีทราบ นายโทและนายตรีใช้ไม้ทีท่ีถือติดตัวมาวิ่งตรงเข้าไปจะตีทาร้ายนายมดกับ
นายปลวกโดยมีนายเอกวิ่งตามไปด้วย นายมดกับนายปลวกวิ่งหนีเข้าไปในซอยซ่ึงมีบ้านคนปลูกอยู่
สองข้างทาง นายมดวิ่งช้าเพราะรูปร่างอ้วนทาให้คนท้ังสามว่ิงไล่กวดตามทัน แล้วนายโทกับนายตรี
ต่างใช้ไม้ทีรุมตีทาร้ายนายมดจนล้มทรุดลงกับพื้น ส่วนนายเอกยืนดูอยู่เฉย ๆ นายปลวกเป็นห่วง
นายมดจึงวิง่ กลับมาเห็นนายโทกับนายตรีกาลงั จะรุมตีทารา้ ยนายมดซา้ อีก นายปลวกร้องห้ามก็ไม่มี
ใครฟังจึงชักปืนออกมายกปากกระบอกปืนขึ้นเหนือศีรษะเพ่ือจะยิงขู่ข้ึนฟ้า นายเอกซึ่งยืนดูอยู่เห็น
เช่นน้ันก็ร้องบอกเพื่อนว่า "เฮ้ย มันชักปืนออกมาแล้ว" นายโทและนายตรีจึงพากันทิ้งไม้ทีตรงเข้าไป
แย่งปืนจากมือของนายปลวก ทาให้ปากกระบอกปืนซ่ึงอยู่ในแนวตั้งฉากข้ึนฟ้าเฉียงต่าลง อันเป็น
จังหวะเดียวกับท่ีนายปลวกลัน่ ไกปนื เป็นเหตใุ หก้ ระสุนปืนลั่นไปถูกนายอ่อนซ่ึงยืนดูเหตกุ ารณ์อยู่บน
ระเบียงบ้านชั้นสองถึงแก่ความตาย ส่วนนายมดขณะท่ีล้มลงเพราะถูกนายโทกับนายตรีใช้ไม้ทีรุมตี
ทาร้ายน้ันศีรษะกระแทกถูกขอบทางเท้า เป็นเหตุให้โลหิตออกค่ังอยู่ในสมอง แพทย์ผ่าตัดสมอง
ช่วยชีวิตไว้ได้ทัน แต่เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของพยาบาลทาให้บาดแผลผ่าตัดติดเช้ือ
นายมดจงึ ถงึ แก่ความตายในเวลาต่อมา
ให้วินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายเอก นายโท นายตรี และนายปลวก ตามประมวล
กฎหมายอาญา
(ข้อสอบฯ ผชู้ ่วยผพู้ ิพากษา สนามเลก็ เม่อื วนั ท่ี ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๗)
คาตอบ หลักกฎหมายเรื่องเจตนา พลาด ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทาและผล เหตุ
แทรกแซง พยายาม ตัวการ ผู้สนับสนนุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙, ๖๐, ๘๐, ๘๓, ๘๖
ความรับผิดทางอาญาของนายโทและนายตรีต่อนายมด นายโทและนายตรีใช้ไม้ทีจะตีทา
ร้ายนายมดและนายปลวก ต้องถือว่ามีเพียงเจตนาร่วมกันทาร้ายนายมดและนายปลวกเท่าน้ัน
หาได้มเี จตนาฆ่าไม่ เพราะการใช้ไมท้ ีตีแสดงใหเ้ ห็นว่าเป็นเพยี งเจตนาทารา้ ย
การท่ีนายโทและนายตรีทาร้ายนายมดถึงแก่ความตายน้ัน เม่ือพิจารณาผลโดยตรงตาม
ทฤษฎีเง่ือนไขท่ีว่า ถ้าไม่ทาผลไม่เกิด ถือว่าผลเกิดจากการกระทาน้ั น แม้จะมีเหตุอ่ืน
ประกอบด้วยก็ตาม กรณีน้ี ถ้านายโทกับนายตรีไม่ทาร้ายนายมด นายมดจะไม่ล้มลงศีรษะ
กระแทกถูกขอบทางเท้า ไม่ต้องผ่าตัดสมองจนติดเช้ือตาย ต้องถือว่าความตายของนายมดเป็น
ผลโดยตรงจากการกระทาของนายโทกับนายตรีตามทฤษฎีเงื่อนไขแล้ว การท่ีพยาบาลประมาท
เลนิ เล่อทาให้บาดแผลผา่ ตัดติดเช้ือ นายมดถงึ แก่ความตายนั้น เปน็ เหตุการณ์ที่เกิดข้ึนใหม่หลงั จาก
การกระทาความผิด ซ่ึงเป็นเหตุแทรกแซงที่วิญญูชนคาดเห็นได้ ผู้กระทาจึงต้องรับผิดในผล
คือความตายของนายมด นายโทและนายตรีจึงมีความผิดฐานร่วมกันทาร้ายจนเป็นเหตุให้
นายมดถงึ แก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๘๓
ความรับผิดทางอาญาของนายโทและนายตรีต่อนายปลวก การท่ีนายโทและนายตรีใช้ไม้ที
147
จะตีทาร้ายนายปลวก แต่นายปลวกว่ิงหนีทันจึงไม่ถูกตี เป็นการลงมือกระทาความผิดแล้ว แต่
กระทาไปไม่ตลอด จึงเป็นการร่วมกันกระทาความผิดฐานพยายามทารา้ ยร่างกายนายปลวกแล้ว
เพราะการกระทาใกล้ชดิ ตอ่ ผลคอื อันตรายแกก่ ายแลว้
ความรบั ผิดทางอาญาของนายโทและนายตรีตอ่ นายอ่อน การท่ีนายโทและนายตรีตรงเข้าไป
แยง่ ปนื จากมือของนายปลวกในขณะที่นายปลวกยกปากกระบอกปืนขึน้ เหนือศีรษะเพ่ือจะยงิ ขขู่ ้ึนฟ้า
น้ัน เนื่องจากบริเวณท่ีเกิดเหตุเป็นซอยมีบ้านคนปลูกอยู่สองข้างทาง นายโทและนายตรีต้องใช้
ความระมัดระวังเพราะกระสุนปืนอาจล่ันไปถูกคนอ่ืนได้ แต่คนทั้งสองต่างหาได้ใช้ความระมัด
ระวงั ให้เพยี งพอไม่ เป็นเหตใุ ห้ปากกระบอกปืนซึ่งอยใู่ นแนวตง้ั ฉากขน้ึ ฟ้าเฉียงตา่ ลง และกระสุนปืน
ลั่นไปถูกนายอ่อนซึ่งยืนดูเหตุการณ์อยู่บนระเบียงบ้านช้ันสองถึงแก่ความตาย นายโทและนายตรี
จึงมีความผิดฐานกระทาโดยประมาทเป็นเหตุให้นายอ่อนถึงแก่ความตายตามมาตรา ๒๙๑ โดย
ถือว่าต่างคนต่างประมาท หาใช่ตัวการร่วมกันกระทาโดยประมาทไม่ เพราะการเป็นตัวการ
รว่ มกันมไี ด้เฉพาะการกระทาโดยเจตนา ไม่อาจมีการรว่ มกนั กระทาผิดโดยประมาทได้
ความรับผิดทางอาญาของนายเอกต่อนายมดและนายปลวก การที่นายเอกจาได้ว่านายมด
เป็นคู่อริที่เคยร่วมกับพวกรุมทาร้ายตน จึงบอกให้นายโทและนายตรีทราบ เม่ือนายโทกับนายตรีใช้
ไม้ทีที่ถือติดตัวมาว่ิงตรงเข้าไปจะตีทาร้ายนายมดกับนายปลวก นายเอกก็ว่ิงตามไปด้วย แม้ขณะที่
นายโทกับนายตรีรุมตีทาร้ายนายมด นายเอกจะเพียงแต่ยืนดูอยู่เฉย ๆ ก็ตาม แต่นายเอกได้อยู่ร่วม
ในท่ีเกิดเหตุในลักษณะท่ีพร้อมจะช่วยเหลือได้ทันที แสดงว่ามีเจตนาร่วมกันกระทาความผิด
นายเอก นายโท และนายตรีจึงเป็นตัวการร่วมกันตามมาตรา ๘๓ เมื่อนายโทและนายตรี
มีความผิดฐานร่วมกนั ทารา้ ยจนเปน็ เหตใุ ห้นายมดถึงแกค่ วามตายกบั ร่วมกันกระทาความผิดฐาน
พยายามทารา้ ยร่างกายนายปลวก นายเอกตวั การจงึ ต้องร่วมรับผิดด้วย
ความรบั ผิดทางอาญาของนายเอกต่อนายอ่อน สว่ นการท่ีนายเอกร้องบอกเพ่ือนว่า "เฮ้ย มัน
ชักปืนออกมาแล้ว" ไม่เป็นการช่วยเหลือนายโทและนายตรีกระทาผิดโดยประมาท เพราะการเป็น
ผสู้ นับสนุนมีได้เฉพาะการกระทาโดยเจตนา ไม่อาจมีการสนับสนุนในการกระทาผิดโดยประมาท
ได้ นายเอกจงึ ไม่มีความรับผดิ ทางอาญาต่อนายอ่อน
ความรับผิดทางอาญาของนายปลวก นายปลวกร้องห้ามนายโทและนายตรีมิให้รุมตีทาร้าย
นายมด แต่ไม่มีใครฟัง ในภาวะฉุกเฉินเช่นนน้ั การท่นี ายปลวกชักปืนออกมายกปากกระบอกปืนขึ้น
เหนือศีรษะเพ่ือจะยิงขู่ขึ้นฟ้า ถือได้ว่านายปลวกไม่มีเจตนาฆ่าผู้ใด และได้ใช้ความระมัดระวังซ่ึง
บุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์เพียงพอแก่กรณีแล้ว การที่กระสุนปืนลั่น
ออกไปถูกนายอ่อนถึงแก่ความตายน้ัน เกิดจากการกระทาโดยประมาทของนายโทและนายตรี
เท่านนั้ นายปลวกหามสี ่วนประมาทดว้ ยไม่ นายปลวกจงึ ไมม่ ีความผดิ ฐานฆา่ นายอ่อนโดยเจตนา
ตามมาตรา ๒๘๘ และไม่มีความผิดฐานกระทาโดยประมาทเป็นเหตุให้นายอ่อนถึงแก่ความตาย
ตามมาตรา ๒๙๑
ข้อสังเกต ข้อน้ีมีผู้กระทำผิดหลำยคนและผู้ถูกกระทำหลำยคน จึงต้องจัดลำดับประเด็นให้ดีก่อน
148
เขยี นตอบ มิฉะนนั้ จะเขียนไม่ทันและไมค่ รบทกุ ประเดน็ ผูแ้ ต่งเห็นว่ำนำยโทและนำยตรีมกี ำรกระทำ
ที่ควรจะวินิจฉัยไปพร้อมกันในทุกผู้ถูกกระทำ แล้วจึงวินิจฉัยนำยเอกซ่ึงเป็นตัวกำรร่วมกับนำยโท
และนำยตรี (ที่ไม่วินิจฉัยไปพร้อมกัน ๓ คน เนื่องจำกนำยเอกไมผ่ ิดฐำนกระทำโดยประมำทเป็นเหตุ
ให้นำยอ่อนถึงแก่ควำมตำย) แต่ถ้ำจะวินิจฉัยควำมรับผิดของนำยเอก นำยโท และนำยตรี ไปพร้อม
กันก็ได้ ซึ่งเป็นกำรวินิจฉัยตำมลำดับท่ีธงคำตอบออกมำดังน้ี (ผู้แต่งคงลำดับในกำรวินิจฉัยไว้ตำมธง
คำตอบจริงแตป่ รับปรงุ เนือ้ หำบำงส่วน)
ความรับผิดทางอาญาของนายเอก นายโท และนายตรี การท่ีนายเอกจาได้ว่านายมดเป็น
คู่อริท่ีเคยร่วมกับพวกรุมทาร้ายตน จึงบอกให้นายโทและนายตรีทราบ เมื่อนายโทกับนายตรีใช้ไม้ที
ทีถ่ ือติดตวั มาว่ิงตรงเข้าไปจะตีทาร้ายนายมดกบั นายปลวก นายเอกก็วิ่งตามไปด้วย แม้ขณะท่ีนายโท
กับนายตรีรุมตีทาร้ายนายมด นายเอกจะเพียงแต่ยืนดูอยู่เฉย ๆ ก็ตาม แต่นายเอกได้อยู่ร่วมใน
ท่ีเกิดเหตุในลักษณะท่ีพร้อมจะช่วยเหลือได้ทันที แสดงว่ามีเจตนาร่วมกันกระทาความผิด นายเอก
นายโท และนายตรีจึงเป็นตัวการร่วมกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ นายโทกับนายตรี
ใช้ไม้ทีตีทาร้ายนายมดกับนายปลวก ต้องถือว่ามีเพียงเจตนาทาร้ายนายมดกับนายปลวกเท่าน้ัน
หาไดม้ ีเจตนาฆ่าไม่ เพราะการใช้ไม้ทีแสดงให้เห็นว่าเปน็ เพียงเจตนาทาร้าย การท่ีนายมดถึงแกค่ วาม
ตายน้ัน เมื่อพิจารณาผลโดยตรงตามทฤษฎีเง่ือนไขท่ีว่า ถ้าไม่ทาผลไม่เกิด ถือว่าผลเกิดจากการ
กระทานั้น แม้จะมีเหตุอื่นประกอบด้วยก็ตาม กรณีนี้ถ้านายโทกับนายตรีไม่ทาร้ายนายมด นายมด
จะไม่ล้มลงศีรษะกระแทกถูกขอบทางเท้า ไม่ต้องผ่าตัดสมองจนติดเชื้อตาย ต้องถือว่าความตายของ
นายมดเป็นผลโดยตรงจากการกระทาของนายโทกับนายตรีตามทฤษฎีเงื่อนไขแล้ว การที่พยาบาล
ประมาทเลินเล่อทาให้บาดแผลผ่าตัดติดเช้ือ นายมดถึงแก่ความตายนั้น เป็นเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นใหม่
หลังจากการกระทาความผิด ซึ่งเป็นเหตุแทรกแซงท่ีวิญญูชนคาดหมายได้ ผู้กระทาจึงต้องรับผิด
ในผลคือความตายของนายมด กล่าวคือนายเอก นายโท และนายตรี จงึ มีความผิดฐานร่วมกันทารา้ ย
นายมดจนเป็นเหตุให้นายมดถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐ วรรคแรก
ประกอบมาตรา ๘๓
การท่ีนายโทและนายตรตี รงเข้าไปแย่งปืนจากมือของนายปลวกในขณะท่ีนายปลวกยกปาก
กระบอกปืนข้ึนเหนอื ศีรษะเพื่อจะยิงขู่ข้ึนฟ้านน้ั เนื่องจากบรเิ วณที่เกิดเหตุเป็นซอยมีบ้านคนปลูกอยู่
สองข้างทาง นายโทและนายตรีต้องใช้ความระมัดระวังเพราะกระสุนปืนอาจลั่นไปถูกคนอ่ืนได้ แต่
คนท้ังสองต่างหาได้ใช้ความระมดั ระวังใหเ้ พยี งพอไม่ เป็นเหตใุ หป้ ากกระบอกปนื ซ่ึงอย่ใู นแนวตั้งฉาก
ข้ึนฟ้าเฉียงต่าลง และกระสุนปืนลั่นไปถูกนายอ่อนซ่ึงยืนดูเหตุการณ์อยู่บนระเบียงบ้านช้ันสองถึงแก่
ความตาย นายโทและนายตรีจึงมีความผิดฐานกระทาโดยประมาทเป็นเหตุให้นายอ่อนถึงแก่ความ
ตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ โดยถือว่าต่างคนต่างประมาท หาใช่ตัวการร่วมกัน
กระทาโดยประมาทไม่ เพราะการเป็นตัวการร่วมกันมีได้เฉพาะการกระทาโดยเจตนา ไม่อาจมีการ
รว่ มกนั กระทาผิดโดยประมาทได้
ส่วนการท่ีนายเอกร้องบอกเพื่อนว่า "เฮ้ย มันชักปนื ออกมาแล้ว" ไม่เป็นการชว่ ยเหลอื นายโท
149
และนายตรีกระทาผิดโดยประมาท เพราะการเป็นผู้สนับสนุนมีได้เฉพาะการกระทาโดยเจตนา
ไม่อาจมีการสนับสนุนในการกระทาผิดโดยประมาทได้ นายเอกจึงไม่มีความรับผิดทางอาญาต่อ
นายออ่ น
ความรับผิดทางอาญาของนายปลวก นายปลวกร้องหา้ มนายโทและนายตรีมิใหร้ ุมตีทาร้าย
นายมด แต่ไม่มีใครฟัง ในภาวะฉุกเฉินเช่นนั้น การท่ีนายปลวกชักปืนออกมายกปากกระบอกปืน
ขึ้นเหนือศีรษะเพื่อจะยิงขู่ข้ึนฟ้า ถือได้ว่านายปลวกไม่มีเจตนาฆ่าผู้ใด และได้ใช้ความระมัดระวัง
ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์เพียงพอแก่กรณีแล้ว การท่ีกระสุนปืนลั่น
ออกไปถูกนายอ่อนถึงแก่ความตายนั้นเกิดจากการกระทาโดยประมาทของนายโทและนายตรีเท่าน้ัน
นายปลวกหามีส่วนประมาทด้วยไม่ นายปลวกจึงไม่มีความผิดฐานฆ่านายอ่อนโดยเจตนาตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ และไม่มีความผิดฐานกระทาโดยประมาทเป็นเหตุให้นายอ่อน
ถงึ แกค่ วามตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑
ข้อ ๓๘ คาถาม จุ๋มชอบดุด่าแจ๋วซึ่งเป็นคนรับใช้ของตน แจ๋วเก็บความเจ็บแค้นมานาน
อยู่มาวันหนึ่งจุ๋มไปเที่ยวต่างจังหวัดหลายวัน จุ๋มบอกให้แจ๋วเฝ้าบ้านให้ดีแล้วก็ไปเท่ียว ระหว่างที่จุ๋ม
ไม่อยู่บ้าน แจ๋วจึงนัดโจแฟนของแจ๋วให้มาร่วมกันลักทรัพย์ของจุ๋มในวันที่จุ๋มไม่อยู่บ้าน เมื่อโจมาถึง
บ้าน โจและแจ๋วยังไม่ได้ลักทรัพย์ของจุ๋ม แต่ท้ังสองคนร่วมกันด่ืมสุราฉลองความสาเร็จท่ีแจ๋วจะได้
แก้แค้นจุ๋ม ระหว่างด่ืมสุรากันอยู่นั้น มารดาแจ๋วโทรมาแจ้งว่าบิดาของแจ๋วป่วยหนัก แจ๋วจึงรีบ
กลับไปท่ีบ้านของแจ๋วโดยท่ียังไม่ได้ลักทรัพย์ของจุ๋ม ระหว่างที่แจ๋วไม่อยู่บ้านของจุ๋มน้ัน โจได้ลัก
โทรทัศน์ของจุ๋มไป ๑ เครื่อง แล้วจึงปิดบ้านจุ๋ม ขณะที่โจกาลังยกโทรทัศน์จากหน้าบ้านจุ๋มเพื่อไปไว้
ใช้ท่ีบ้านโจ โจพบก้องระหว่างทาง ก้องทราบวา่ โจลกั โทรทัศนม์ า แต่ก้องก็ยังช่วยโจแบกโทรทัศน์ไป
ท่ีบ้านโจ
ให้ วินิจฉัยความรับผิ ดทางอาญ าของแจ๋วและก้องเฉพาะความผิ ดฐานเป็นตัวก ารแล ะ
ผู้สนบั สนุนในการลกั ทรัพย์
คาตอบ หลักกฎหมายเรื่องตัวการ ผู้สนับสนุน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓,
๘๖
ความรับผิดทางอาญาของแจ๋ว ในกรณีความผิดใดเกิดข้ึนโดยการกระทาของบุคคลตั้งแต่
สองคนข้ึนไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทาผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓
น้ัน จะต้องมีการกระทาร่วมกันขณะกระทาความผิด ขณะที่โจลักโทรทัศน์ของจุ๋มนั้น แจ๋วไม่ได้อยู่
ด้วย แจ๋วและโจไม่มีการกระทาร่วมกัน แจ๋วจึงไม่เป็นตัวการร่วมกับโจกระทาความผิดฐาน
ลกั ทรพั ย์
แม้แจ๋วจะไม่เป็นตัวการร่วมกับโจกระทาผิด แต่การที่แจ๋วนัดโจมาร่วมกันลักทรัพย์ของจุ๋ม
ในวันที่จมุ๋ ไมอ่ ยบู่ ้าน แล้วโจก็ลักทรัพย์ของจุ๋มไปน้ันการนัดหมายดังกล่าวเปน็ การช่วยเหลอื ให้ความ
สะดวกแก่โจก่อนกระทาความผิด เพราะถ้าไม่มีการนัดหมาย โจก็จะไม่ทราบว่าควรจะมา
150
ลักทรัพย์เม่ือใด แจ๋วจึงเป็นผู้สนับสนุนโจในการกระทาความผิดต้องระวางโทษสองในสามส่วน
ของโทษท่ีกาหนดไว้สาหรบั ความผดิ ท่สี นับสนนุ น้นั ตามมาตรา ๘๖
ความรับผิดทางอาญาของก้อง การที่ก้องช่วยโจแบกโทรทัศน์ไปที่บ้านโจน้ัน ก้องมิได้มีการ
กระทาร่วมกันกับโจขณะกระทาผิด เน่ืองจากขณะทโ่ี จยกโทรทัศน์เคล่ือนท่ี ความผิดฐานลกั ทรัพย์
สาเร็จแล้ว การท่ีก้องเขา้ มาร่วมกระทาผิดหลังจากความผิดสาเร็จแล้ว ไม่เป็นการกระทาร่วมกัน
ขณะกระทาผิด จึงไม่เป็นตัวการ และไม่เป็นผู้สนับสนุนด้วย เพราะการเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นให้
กระทาผิด ต้องเป็นการสนับสนุนกอ่ นหรือขณะกระทาผดิ ตามปัญหาก้องสนับสนุนโจภายหลังการ
กระทาผิด ก้องจงึ ไม่เป็นผู้สนับสนนุ โจกระทาความผดิ ฐานลกั ทรพั ย์
ข้อสงั เกต ก้องผิดฐำนรับของโจร แต่ไม่ต้องตอบมำในคำตอบ เพรำะในชั้นนี้ต้องกำรวัดควำมร้เู ฉพำะ
กฎหมำยอำญำภำคท่ัวไป คำถำมจึงไม่ได้ถำมถึงควำมผิดฐำนรับของโจร แต่ถ้ำคำถำมถำมว่ำมี
ควำมผิดฐำนใด นักศึกษำต้องตอบฐำนรับของโจรดว้ ย
จุดตัดของกำรเป็นผู้ร่วมกระทำควำมผิดฐำนลักทรัพย์หรือฐำนรับของโจรก็คือ ร่วมกระทำ
ก่อนควำมผิดฐำนลักทรัพย์ เป็นกำรสนับสนุน ร่วมขณะกระทำอำจจะเป็นผู้สนับสนุนหรือตัวกำร
แล้วแต่กรณี แต่กำรร่วมกระทำผิดภำยหลังไม่เป็นผู้มีส่วนร่วมในกำรกระทำผิดฐำนลักทรัพย์ แต่ผิด
ฐำนรับของโจร
ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๘๓
ฎีกาท่ี ๕๐๕๓/๒๕๕๕ ฎ.๒๘๘๕ จาเลยท่ี ๒ ร่วมกับพวกรุมทาร้ายผู้เสียหายเพื่อข่มขู่มิให้
ผู้เสียหายยื่นซองสอบราคาจ้างเหมางานที่จาเลยท่ี ๑ ซึ่งเป็นพี่ชายต่างบิดาของจาเลยท่ี ๒ ขอไม่ให้
ผเู้ สียหายย่นื จาเลยที่ ๒ จงึ มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๕, ๓๐๙ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๘๓
แม้จาเลยท่ี ๒ ไม่ได้ยื่นซองสอบราคา แต่การท่ีจาเลยท่ี ๒ ร่วมใช้กาลังประทุษร้าย
ต่อผู้เสียหายเพ่ือให้จายอมไม่เข้าร่วมในการเสนอราคาตามประกาศสอบราคาจ้างเหมาจนผู้เสียหาย
ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลจากแพทย์ท่ีโรงพยาบาลและไม่กล้ายื่นซองสอบราคาภายในกาหนด
การกระทาของจาเลยที่ ๒ จึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อ
หน่วยงานของรัฐ มาตรา ๖ ซ่ึงไม่มีองค์ประกอบความผิดว่าผู้กระทาผิดจะต้องเป็นผู้เสนอราคาด้วย
ฎีกาที่ ๔๒๐๔/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๒๖ ตาม พ.ร.บ. ว่าดว้ ยความผิดอนั เกิดจากการใช้เช็ค
มาตรา ๔ คาว่า “ผู้ใดออกเช็ค” มิได้มีความหมายเฉพาะผู้ออกเช็คในฐานะผู้ส่ังจ่ายเท่าน้ันที่จะเป็น
ผู้กระทาความผิดได้ บุคคลอื่นแม้มิใช่ผู้ส่ังจ่ายก็อาจร่วมกระทาความผิดกับผู้ออกเช็คโดยเป็นตัวการ
ร่วมกันตาม ป.อ. มาตรา ๘๓ ได้ ดังนั้น ผู้สลักหลังเช็คจึงอาจเป็นตัวการร่วมกระทาความผิดกับ
ผู้ออกเช็คได้ เม่ือจาเลยท่ี ๒ ร่วมกับจาเลยท่ี ๑ ออกเช็คพิพาท โดยจาเลยท่ี ๑ ลงลายมือช่ือเป็น
ผู้ออกเช็คพิพาทและจาเลยที่ ๒ ลงลายมอื ช่ือเป็นผู้สลักหลังเช็คพิพาทเพื่อชาระหนี้ให้โจทก์ ถือได้ว่า
จาเลยท้ังสองเป็นตวั การร่วมกันออกเช็คพิพาทชาระหน้ีให้โจทก์ เม่ือธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินด้วย