The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-10-26 10:13:10

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

351

เมื่อนายเออายุ ๑๗ ปีเศษ กระทาความผิดฐานกระทาชาเราเด็กอายยุ ังไม่เกิน ๑๕ ปี ตาม
มาตรา ๒๗๗ วรรคหน่ึง ซึ่งกระทาโดยบุคคลอายุไม่เกินสิบแปดปีกระทาต่อเด็กซ่ึงมีอายุกว่า
สิบสามปีแต่ยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นยินยอม ศาลที่มีอานาจพิจารณาคดีเยาวชนและ
ครอบครัวจะพิจารณาให้มีการคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กผู้ถูกกระทาหรือผู้กระทาความผิดตาม
กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็กแทนการลงโทษก็ได้ตามมาตรา ๒๗๗ วรรคห้า ในกรณีท่ีไดม้ ีการ
ดาเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กผู้ถูกกระทาหรือผู้กระทาความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ
คมุ้ ครองเดก็ แล้ว ผู้กระทาความผิดไม่ต้องรับโทษ แต่ถ้าการคุ้มครองสวัสดภิ าพดังกล่าวไมส่ าเร็จ
ศาลจะลงโทษผู้กระทาความผิดน้อยกว่าท่ีกฎหมายกาหนดไว้สาหรับความผิดน้ันเพียงใดก็ได้
ตามมาตรา ๒๗๗ วรรคหก สาหรบั การกระทาความผดิ ตามมาตรา ๒๗๗ วรรคหนงึ่

ฎีกาที่ ๑๐๖๓๒/๒๕๕๔ ฎ.๒๔๓๖ จาเลยเป็นธุระจัดหาเด็กหญิงซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกิน
สิบห้าปีเพ่ือให้เด็กหญิงกระทาการค้าประเวณีให้แก่ ณ. แม้ ณ. ยังไม่ได้ร่วมประเวณีกับเด็กหญิงน้ัน
การกระทาของจาเลยกเ็ ปน็ ความผดิ สาเร็จตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๒ วรรคสาม แลว้

ฎีกาท่ี ๔๙๐๙-๔๙๑๐/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๔๔ การที่จาเลยที่ ๑ พยายามบังคับให้
ผู้เสียหายอมอวัยวะเพศของตนเป็นการพยายามกระทาชาเราตามความหมายของมาตรา ๒๗๗
วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “การกระทาชาเราตามวรรคหนึ่ง หมายความว่าการกระทาเพ่ือสนองความ
ใคร่ของผู้กระทาโดยการใช้อวยั วะเพศของผู้กระทากับ (ตามกฎหมายเดิม กฎหมายใหม่ต้องใช้คาว่า
ล่วงล้า)...ช่องปากของผู้อ่ืน...” เม่ือจาเลยท่ี ๑ กระทาการดังกล่าวในขณะที่ น. กาลังกระทาชาเรา
ผู้เสียหาย จึงถือได้ว่าเป็นตัวการร่วมกันกระทาชาเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง
ข้อสังเกต กำรกระทำผิดตำมฎีกำนี้เป็นควำมผิดทั้งตำมกฎหมำยเดิมและกฎหมำยใหม่ แต่ต้อง
เปลี่ยนขอ้ กฎหมำยท่ีวินิจฉัยจำก “กระทำกับ” เป็น “ล่วงล้ำ” เวลำตอบข้อสอบต้องใช้กฎหมำยใหม่

ข้อ ๖๗ คาถาม เด็กหญิงพลอยเกิดวันท่ี ๕ มีนาคม ๒๕๔๗ บิดามารดามีฐานะยากจน
จึงนาเด็กหญิงพลอยไปทางานท่ีร้านอาหารของนางเพชรในจังหวัดเพชรบุรีโดยบิดามารดาของ
เด็กหญิงพลอยฝากให้นางเพชรช่วยดูแลเด็กหญิงพลอย เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๒ ตอนเย็น
นายกฤชไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารพบเด็กหญิงพลอยแล้วพูดคุยกันถูกชะตา นายกฤช
แอบชวนเด็กหญิงพลอยออกไปมีเพศสัมพันธ์กันทั้งท่ีนายกฤชมีภรรยาแล้ว เด็กหญิงพลอยแอบหนี
ออกจากร้านอาหารไปกับนายกฤชเวลา ๒๒ นาฬิกา ของวันท่ี ๔ มีนาคม ๒๕๖๒ นายกฤช
พาเด็กหญิงพลอยไปถงึ บ้านนายดาบ เวลา ๒ นาฬิกา ของวนั ท่ี ๕ มนี าคม ๒๕๖๒ แล้วขอใช้ห้องวา่ ง
ของบ้านนายดาบเพื่อพักกับเด็กหญิงพลอย แล้วนายกฤชกระทาชาเราเด็กหญิงพลอยโดยเด็กหญิง
พลอยยินยอม เม่ือนายกฤชกระทาชาเราเด็กหญิงพลอยเสร็จแล้วก็ออกมาเล่าให้นายดาบฟัง
นายดาบจึงเข้าไปในห้องและขอมีเพศสัมพันธ์กับเด็กหญิงพลอย เด็กหญิงพลอยก็ยินยอม แล้ว
นายกฤชพาเดก็ หญิงพลอยไปสง่ ทรี่ า้ นอาหารเยน็ วันที่ ๕ มนี าคม ๒๕๖๒

ให้วินิจฉัยวา่ นายกฤชและนายดาบมีความผดิ อาญาฐานใด

352

คาตอบ บิดามารดาของเด็กหญงิ พลอยฝากใหน้ างเพชรเจ้าของรา้ นอาหารชว่ ยดูแลเด็กหญิง
พลอย ถือว่านางเพชรเป็นผู้ดูแลเด็กหญิงพลอย เด็กหญิงพลอยจึงเป็นเด็กซ่ึงมีผู้ดูแลท่ีอาจเป็น
เดก็ ทถ่ี ูกพรากได้ (ฎีกาท่ี ๓๘๔๐/๒๕๕๓)

การนับอายุของบุคคลให้เร่ิมนับแต่วันเกิด เด็กหญิงพลอยเกิดวันท่ี ๕ มีนาคม ๒๕๔๗
จึงต้องนับอายุแต่วันเกิดคือนับแต่วันท่ี ๕ มีนาคม ๒๕๔๗ เป็นหนึ่งวันเต็ม เด็กหญิงพลอยจึงมี
อายุ ๑๕ ปบี รบิ ูรณ์ เมือ่ วันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๒ (ฎีกาที่ ๗๘๔๑/๒๕๕๒)

การที่นายกฤชแอบชวนเด็กหญิงพลอยไปมีเพศสัมพันธ์กัน เด็กหญิงพลอยหนีออกจากร้าน
ไปกับนายกฤชเวลา ๒๒ นาฬิกาของวันท่ี ๔ มีนาคม ๒๕๖๒ การกระทาของนายกฤชเป็นการ
กระทาโดยปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากผู้ดูแล และการท่ี
นายกฤชชวนเด็กหญิงพลอยไปมีเพศสัมพันธ์กันทั้งท่ีนายกฤชมีภรรยาแล้ว เป็นการพรากเด็กโดยมี
เจตนาพิเศษเพ่ือการอนาจาร สาหรับการพรากเด็กโดยมีเจตนาพิเศษแม้ยังไม่ได้กระทาการตาม
เจตนาพิเศษ ถ้าเป็นกระทาไปโดยมีเจตนาพิเศษ ก็ถือว่าเป็นความผิดสาเร็จทันทีแม้จะยังไม่ได้
กระทาการตามเจตนาพิเศษนั้น การท่ีนายกฤชชวนเด็กหญิงพลอยไปมีเพศสัมพันธ์จึงเป็นความผิด
ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากผู้ดูแล เพ่ือการอนาจารทันทีที่พรากตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม (เทยี บฎกี าท่ี ๓๘๔๐/๒๕๕๓)

นอกจากนี้การกระทาของนายกฤชยังเป็นการพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพ่ือการ
อนาจาร แม้เดก็ น้ันจะยนิ ยอมกต็ ามตามมาตรา ๒๘๓ ทวิ วรรคสอง อีกบทหนึง่

ส่วนนายดาบไม่ได้มีส่วนร่วมรู้เห็นหรือร่วมกระทากับนายกฤชในการพาเด็กหญิงพลอยมาที่
บ้านของนายดาบ เม่ือนายดาบไม่ได้พาเด็กหญิงพลอยไปยังสถานที่อ่ืน แม้นายดาบจะกระทาชาเรา
เด็กหญิงพลอยท่ีบ้านของนายดาบ ก็ยังถือไม่ได้ว่านายดาบเป็นตัวการร่วมกับนายกฤชพราก
เด็กหญิงพลอยไปเสียจากผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร (ฎีกาที่ ๘๔-๘๕/๒๕๕๒) และไม่เป็นตัวการใน
การพาเดก็ อายุยังไมเ่ กนิ สิบหา้ ปีไปเพ่ือการอนาจารตามมาตรา ๒๘๓ ทวิ วรรคสอง เชน่ เดียวกัน

นายกฤชและนายดาบกระทาชาเราเด็กหญิงพลอยเมื่อวันท่ี ๕ มีนาคม ๒๕๖๒ ไม่เป็น
ความผิดฐานกระทาชาเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซ่ึงมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอม
หรือไม่ก็ตามตามมาตรา ๒๗๗ วรรคหน่ึง เพราะขณะท่ีนายกฤชและนายดาบกระทาชาเรา
เด็กหญิงพลอยน้ัน เด็กหญิงพลอยอายุเกินสิบห้าปีแล้ว และยังไม่เป็นความผิดฐานข่มขืนกระทา
ชาเราผู้อื่น เพราะเด็กหญิงพลอยยินยอมย่อมไม่ใช่การข่มขืนกระทาชาเราตามมาตรา ๒๗๖
วรรคหน่งึ (ฎกี าที่ ๗๘๔๑/๒๕๕๒)

ฎีกาท่ี ๓๘๔๐/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๙๖ การพรากเด็กอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา
๓๑๗ วรรคสาม คือการพรากเด็กไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล แม้ขณะเกิดเหตุ
เด็กหญิง ว. จะไม่ได้พักอาศัยอยู่กับบิดา มารดา เน่ืองจากไปทางานเป็นพนักงานในร้านอาหาร ส.
ที่จังหวัดชุมพรก็ตาม แต่บิดาของเด็กหญิง ว. ได้มอบหมายให้ พ. ซ่ึงเป็นเจ้าของร้านอาหาร ส.
เป็นผู้ดูแลเด็กหญิง ว. การท่ีจาเลยพาเด็กหญิง ว. ไปท่ีบ้านของจาเลยและกระทาชาเราเด็กหญิง ว.

353

จึงเป็นการพรากเด็กอายุยังไม่เกิน ๑๕ ปี ไปเสียจากผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควร เพื่อการ
อนาจารแล้ว

ฎีกาที่ ๘๔-๘๕/๒๕๕๒ ฎ.๑๓๓ จาเลยท่ี ๑ ไม่ได้มีส่วนร่วมรู้เห็นหรือร่วมกระทากับจาเลย
ท่ี ๒ ในการพาผู้เสียหายที่ ๑ และที่ ๒ มาที่บ้านจาเลยท่ี ๑ เมื่อจาเลยท่ี ๑ ไม่ได้พาผู้เสียหายที่ ๑
และที่ ๒ ไปยังสถานท่ีอื่น แม้จาเลยที่ ๑ จะพยายามกระทาชาเราผู้เสียหายที่ ๒ ท่ีบ้าน ก็ยังถอื ไม่ได้
ว่าจาเลยท่ี ๑ เป็นตัวการร่วมกับจาเลยท่ี ๒ พรากผู้เสียหายท่ี ๑ และท่ี ๒ ไปเสียจากบิดามารดา
ผู้ปกครอง หรอื ผดู้ แู ล เพื่อการอนาจาร

ฎีกาท่ี ๗๘๔๑/๒๕๕๒ ฎ.ส.ล.๗ น.๒๑๔ ป.พ.พ. มาตรา ๑๖ บัญญัติว่า การนับอายุของ
บคุ คลให้เริ่มนับแต่วันเกดิ ผู้เสียหายที่ ๑ เกิดเมื่อวันท่ี ๕ มีนาคม ๒๕๓๒ จงึ ตอ้ งนับอายุแต่วันเกดิ คือ
นับแต่วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๓๒ เป็นหน่ึงวันเต็ม ผู้เสียหายที่ ๑ จึงมีอายุ ๑๕ ปีบริบูรณ์ เมื่อวันท่ี ๔
มีนาคม ๒๕๔๗ ตามนัยแห่ง ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๕ คดีได้ความวา่ เหตุเกิดวันท่ี ๕ มีนาคม ๒๕๔๗
เวลาประมาณ ๒ นาฬิกา ดังน้ัน ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ ๑ จึงมีอายุเกินกว่า ๑๕ ปีบริบูรณ์แล้ว
การกระทาของจาเลยที่ ๑ ที่ ๒ จึงขาดองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๗ จาเลยที่ ๑
ท่ี ๒ ไม่มีความผิดตามบทบัญญัตมิ าตราน้ี และแม้จะมีบทบัญญัติความผิดฐานข่มขนื กระทาชาเราใน
มาตรา ๒๗๖ แต่เม่ือผู้เสียหายท่ี ๑ ยินยอม การกระทาของจาเลยท่ี ๑ ท่ี ๒ ก็ไม่เป็นความผิดตาม
มาตรา ๒๗๖ เช่นกัน สว่ นการกระทาของจาเลยท่ี ๑ ท่ี ๒ น้ันไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๓๑๗ แต่ก็
เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง
หรือผูด้ ูแลเพื่อการอนาจารโดยผเู้ ยาว์นนั้ เตม็ ใจไปดว้ ยตามมาตรา ๓๑๙

ข้อ ๖๘ คาถาม เด็กหญิงสวยอายุ ๑๔ ปีเศษอยู่ในความปกครองดูแลของนางแจ่มซ่ึงบิดา
มารดาของเด็กหญิงสวยมอบให้นางแจ่มซ่ึงเป็นเจ้าของร้านอาหารและนายจ้าง ปกครองดูแลโดย
เด็กหญิงสวยพักอยู่ท่ีร้านอาหารที่จังหวัดระนอง เด็กหญิงสวยเดินทางจากจังหวัดระนองไปจังหวัด
นครราชสีมาเพ่ือทาบัตรประจาตัวประชาชน เมื่อเดินทางถึงสถานีรถไฟหัวลาโพง กรุงเทพมหานคร
เด็กหญิงสวยถูกนางทองและนายเงินชักชวนให้ไปทางานถอดเสื้อผ้าเดินโชว์ในร้านอาหาร เด็กหญิง
สวยปฏิเสธ นางทองและนายเงินกับพวกฉุดพาเดก็ หญิงสวยไปท่สี านักจัดหางานนอกสถานีรถไฟและ
ขังไว้ที่ช้ันสองของสานักจัดหางาน วันรุ่งขึ้นนางทองและนายเงินโทรศัพท์แจ้งนางเพชรว่า ได้เด็กมา
คนหนึง่ และพาเด็กหญิงสวยไปพบนางเพชรที่รา้ นเสริมสวยของนางเพชรที่จังหวดั ปทุมธานี นางเพชร
มอบเงินให้นางทองและนายเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทแล้วรับตัวเด็กหญิงสวยไว้ เด็กหญิงสวยถอดเส้ือผ้า
เดินโชว์แขกตามร้านอาหารต่างจังหวัดหลายแห่ง เพราะสงสารนางเพชรท่ีมารดาป่วยต้องหาเงินมา
รกั ษามารดา

ให้วินิจฉยั วา่ นางทอง นายเงิน และนางเพชร มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใด
คาตอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๗ คาว่า ผู้ปกครอง หมายถึง ผู้มีฐานะ

354

ทางกฎหมายเกี่ยวพันกับผู้เยาว์ เช่น บดิ ามารดา ซึ่งเป็นผู้ใชอ้ านาจปกครอง ส่วนผู้ดูแลหมายถึง
ผู้ควบคุม ระวังรักษาผู้เยาว์โดยข้อเท็จจริง เช่น ครูอาจารย์ นายจ้าง เป็นต้น เด็กหญิงสวยอายุ
๑๔ ปีเศษอยู่ในความปกครองดูแลของนางแจ่มซึ่งบิดามารดาของเด็กหญิงสวยมอบให้นางแจ่ม
ปกครองดูแล เด็กหญิงสวยจึงอยู่ในความดูแลของนางแจ่มและเป็นเด็กที่ถูกพรากได้ตามมาตรา
๓๑๗ (ฎีกาท่ี ๕๘๔๔/๒๕๕๒)

นางทองและนายเงินกับพวกฉุดพาเด็กหญิงสวยไปขังและพาเด็กหญิงสวยไปมอบให้นาง
เพชร เปน็ การรว่ มกันรบกวนสิทธหิ รอื แยกสิทธใิ นการควบคุมดูแลเดก็ หญงิ สวยโดยปราศจากเหตุ
อันสมควร จึงเป็นการร่วมกันพรากเด็กหญิงสวยไปจากความดูแลของผู้ดูแล เพื่อนาตัวเด็กหญิง
สวยไปขายและให้ถอดเสื้อผ้าเดินโชว์แขกตามร้านอาหาร เป็นการกระทาที่ไม่สมควรทางเพศ
การกระทาของนางทองและนายเงินกับพวกจึงเปน็ ความผดิ ฐานรว่ มกันพรากเด็กเพื่อการหากาไร
และเพื่อการอนาจารตามมาตรา ๓๑๗ วรรคสาม บทหนึ่ง (ฎีกาที่ ๒๕๓๖/๒๕๕๔) และเป็นการ
ร่วมกันกระทาเพ่ือสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพ่ือการอนาจารซ่ึง
เด็กอายุไม่เกิน ๑๕ ปี โดยใช้กาลังประทุษรา้ ยตามมาตรา ๒๘๓ วรรคสาม อกี บทหน่งึ กับเป็นการ
รว่ มกันหน่วงเหนยี่ วหรอื กักขงั ผูอ้ ืน่ ตามมาตรา ๓๑๐ วรรคแรก อีกบทหนึ่ง

ส่วนนางเพชรรับตัวเด็กหญิงสวยไว้ แล้วนาเด็กหญิงสวยถอดเสื้อผ้าเดินโชว์แขกตาม
รา้ นอาหารต่างจังหวัดหลายแห่ง มิใช่เป็นการแบ่งหน้าที่กันทากับนางทองและนายเงิน นางเพชร
จึงไม่เป็นตัวการร่วมกันกระทาความผิดกับนางทองและนายเงินตามมาตรา ๘๓ และไม่เป็นการ
สนับสนุนนางทองและนายเงินก่อนหรือขณะกระทาความผิดตามมาตรา ๘๖ เพราะเป็นการ
สนับสนุนหลังการกระทาผิด แต่การกระทาของนางเพชรดังกล่าว เป็นการกระทาโดยทุจริตซ้ือ
หรือรับตัวเด็กที่ถูกพรากตามมาตรา ๓๑๗ วรรคสอง บทหน่ึง (ฎีกาท่ี ๒๕๓๖/๒๕๕๔) และ
เป็นการกระทาเพ่ือสนองความใคร่ของผู้อื่น รับตัวบุคคลซึ่งมีผู้จัดหาหรือพาไปเพื่อการอนาจาร
ซงึ่ เด็กอายไุ ม่เกนิ ๑๕ ปตี ามมาตรา ๒๘๓ วรรคสี่ อกี บทหน่ึง
ข้อสังเกต ตำมคำพิพำกษำฎีกำมีกำรบังคับให้เด็กหญิงสวยถอดเสื้อผ้ำเดินโชว์ แต่กำรกระทำใน
ส่วนนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้อง ศำลจึงไม่วินิจฉัยกำรกระทำส่วนน้ี ผู้แต่งจึงตัดข้อเท็จจริงเร่ืองบังคับ
และเปล่ียนเป็นสมัครใจเพ่ือไม่ให้คำตอบมีประเด็นมำกเกินไป แต่ถ้ำข้อเท็จจริงเป็นกำรบังคับ
นักศึกษำตอ้ งตอบมำตรำ ๓๐๙, ๓๑๐, ๓๑๐ ทวิ, และ ๓๑๒ ทวิ ด้วย

ฎกี าที่ ๕๘๔๔/๒๕๕๒ ฎ. ๙๘๐ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๘ คาว่า ผู้ปกครองหมายถึงผู้มีฐานะ
ทางกฎหมายเกี่ยวพันกับผู้เยาว์ เช่น บิดามารดา ซึ่งเป็นผู้ใช้อานาจปกครอง ส่วนผู้ดูแลหมายถึง
ผคู้ วบคุม ระวังรักษาผู้เยาวโ์ ดยข้อเท็จจริง เช่น ครูอาจารย์ นายจ้าง เป็นต้น เมื่อผู้เสียหายที่ ๑ เป็น
นายจ้างประกอบกับบิดามารดาผู้เสียหายท่ี ๒ ซ่ึงเป็นผู้เยาว์ มอบให้ผู้เสียหายที่ ๑ ปกครองดูแล
ผเู้ สียหายท่ี ๒ ด้วย โดยผู้เสียหายท่ี ๑ ให้ผู้เสียหายที่ ๒ พักอยู่ท่ีร้านอาหารดังกล่าว ดังน้ี ผู้เสียหาย
ที่ ๑ จึงเป็นผู้ปกครองและผู้ดูแลผู้เสียหายท่ี ๒ ในฐานะนายจ้างโดยได้รับมอบหมายจากบิดามารดา
ผู้เสียหายที่ ๒ ด้วย การกระทาของจาเลยกับพวกเป็นการรบกวนสิทธิหรือแยกสิทธิในการ

355

ควบคุมดูแลผู้เสียหายที่ ๒ โดยปราศจากเหตุอันสมควร จึงเป็นการร่วมกันพรากผู้เสียหายท่ี ๒
ไปจากความดแู ลของผเู้ สียหายที่ ๑ อนั เป็นความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๘ วรรคสาม

ฎีกาท่ี ๒๕๓๖/๒๕๕๔ ฎ.๑๐๙๕ ท. กับพวกพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกิน
สิบห้าปีไปเสียจาก ค. มารดาผู้เสียหาย แล้ว ท. นาผู้เสียหายไปให้ ว. ดูตัว ว. ดูตัวผู้เสียหายแล้ว
พอใจ จึงมอบเงินให้ ท. รับไปและรับตัวผู้เสียหายไว้ การกระทาของ ว. มีลักษณะเป็นการซื้อ หรือ
รับตัวผู้เสียหายซ่ึงเป็นเด็กท่ีถูกพรากจาก ท. มาเท่านั้น จาเลยร่วมกับ ว. ควบคุมดูแลผู้เสียหาย
มิให้หลบหนีและบังคับให้แต่งตัวโป๊เดินโชว์ตามร้านอาหารให้ลูกค้าลูบคลาเนื้อตัวร่างกาย
การกระทาของจาเลยเป็นเพียงตัวการร่วมกันกับ ว. ที่ซ้ือหรือรับตัวเด็กท่ีถูกพรากอันเป็นความผิด
ตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคสอง มิใช่เป็นการแบ่งหน้าที่กันทากับ ท. อันมีลักษณะเป็นตัวการ
ร่วมกันในความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดา มารดา หรือผู้ปกครองหรือ
ผดู้ ูแลเพอ่ื การอนาจาร

ข้อ ๖๙ คาถาม นายซ่าพบเด็กหญิงแสบอายุ ๑๔ ปี ๑๐ เดือน ซ่ึงเป็นเด็กเร่ร่อนไม่มี
ผู้ปกครองในผับแห่งหน่ึง โดยนายซ่าถามอายุเด็กหญิงแสบ เด็กหญิงแสบโกหกนายซ่าว่าเด็กหญิง
แสบอายุ ๑๘ ปี ๒ เดือน นายซ่าเช่ือเพราะว่าเด็กหญิงแสบมีร่างกายสมบูรณ์กว่าคนทั่วไป
จนดูเหมอื นคนอายุมากกว่า ๑๘ ปี หลังจากดื่มสุราในผับแลว้ นายซา่ ชวนเด็กหญงิ แสบไปเทย่ี วต่อกัน
แล้วนายซ่ากระทาชาเราเด็กหญิงแสบ ๑ คร้ัง ต่อมานายซ่าสานึกตัวได้ว่าการดื่มสุราและเท่ียว
กลางคืนเป็นสิ่งไม่ดี จึงเลิกด่ืมสุราและเที่ยวเตร่ ตั้งใจเรียนจนจบและได้งานทาแล้วนายซ่ารู้จัก
และคบหากับเด็กหญิงสวยซ่ึงเป็นเด็กต่างจังหวัดท่ีเข้ามาเรียนในกรุงเทพมหานคร โดยบิดามารดา
ยังส่งเงินมาให้ใช้เป็นประจา เมื่อคบหากันจนมั่นใจในความรักกันแล้ว นายซา่ และเด็กหญิงสวยรกั กัน
ดว้ ยความสุจรติ ใจ ตา่ งมีเจตนาอยกู่ นิ ด้วยกนั ฉันสามีภรรยา เด็กหญิงสวยจงึ เลกิ เรยี นหนังสอื และย้าย
ออกจากท่ีพักเดิมมาอยู่กินกันทบี่ ้านของนายซ่า โดยนายซ่าได้กระทาชาเราเด็กหญิงสวยโดยทราบว่า
เด็กหญิงสวยอายุ ๑๔ ปี ๑๑ เดอื น ๒๙ วัน โดยขณะน้ันนายซ่าอายุ ๑๗ ปเี ศษ หลังจากอยู่กินกนั ได้
๓ ปีเศษ นายซ่าและนางสาวสวยมีบุตรด้วยกัน ๑ คน นายซ่าและนางสาวสวยจึงจดทะเบียนสมรส
กัน โดยไดร้ ับอนุญาตจากบิดามารดาของทง้ั สองฝา่ ย แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากศาล

ให้วินิจฉัยว่า นายซ่ามีความรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใด และจะต้องรับโทษ
เพียงใดหรือไม่

คาตอบ ความรับผิดทางอาญาของนายซ่าต่อเด็กหญิงแสบ การที่นายซ่ากระทาชาเรา
เด็กหญิงแสบโดยเช่ือว่าเด็กหญิงแสบอายุ ๑๘ ปี ๒ เดือน ทั้งที่ความจริงเด็กหญิงแสบอายุ ๑๔ ปี
๑๐ เดือน แม้จะเป็นการกระทาชาเราเด็กอายุยังไม่เกิน ๑๕ ปี ซ่ึงมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้น
จะยินยอมหรือไม่ก็ตามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗ วรรคหน่ึง แต่การสาคัญผิดว่า
เด็กหญิงแสบอายุ ๑๘ ปี ๒ เดือน เทา่ กับไมร่ ้ขู อ้ เท็จจรงิ เรอ่ื งอายอุ นั เปน็ องค์ประกอบภายนอกของ

356

ความผิดว่าผู้ถูกกระทาอายุยังไม่เกิน ๑๕ ปี จะถือว่านายซ่าประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผล
ไม่ได้ การกระทาของนายซ่าจึงขาดเจตนากระทาความผิดฐานดงั กล่าวตามมาตรา ๕๙ วรรคสาม
นายซ่าไม่มีความผิดฐานกระทาชาเราเด็กอายุไม่เกิน ๑๕ ปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้น
จะยินยอมหรอื ไม่กต็ ามตามมาตรา ๒๗๗ วรรคหนึง่ (ฎกี าที่ ๔๖๖๕/๒๕๔๗)

ความรับผิดทางอาญาของนายซ่าต่อบิดามารดาหรือผู้ปกครองของเด็กหญิงแสบ เมื่อ
เด็กหญิงแสบเป็นเด็กเร่ร่อนไม่มีผู้ปกครอง แม้การท่ีนายซ่าพาเด็กหญิงแสบไปกระทาชาเรา จะเป็น
การกระทาโดยปราศจากเหตุอันสมควรต่อเด็กอายุไม่เกิน ๑๕ ปี เพ่ือการอนาจาร ตามมาตรา
๓๑๗ วรรคแรกและวรรคสาม แต่ก็ไม่เป็นการพรากเด็กอายุไม่เกิน ๑๕ ปี โดยปราศจากเหตุ
อันสมควรจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพ่ือการอนาจาร เพราะการพรากเด็กต้องเป็น
การกระทาต่อเด็กที่อยู่ในอานาจปกครองดูแลของบิดามารดาหรือผู้ปกครอง เม่ือเด็กหญิงแสบ
เป็นเด็กเร่ร่อนไม่มีผู้ปกครอง การกระทาของนายซ่าจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน
๑๕ ปีโดยปราศจากเหตุอันสมควรจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจารตาม
มาตรา ๓๑๗ วรรคแรก และวรรคสาม

ความรับผิดทางอาญาของนายซ่าต่อเด็กหญิงสวย การที่นายซ่ากระทาชาเราเด็กหญิงสวย
โดยทราบว่าเด็กหญิงสวยอายุ ๑๔ ปี ๑๑ เดือน ๒๙ วัน แม้เด็กหญิงสวยจะยินยอม แต่ก็เป็นการ
กระทาชาเราเดก็ อายุยังไม่เกิน ๑๕ ปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยเด็กน้ันจะยินยอมหรือไม่ก็ตามโดย
เจตนา จึงเปน็ ความผดิ ฐานกระทาชาเราเดก็ อายุไมเ่ กนิ สบิ หา้ ปีตามมาตรา ๒๗๗ วรรคหนงึ่

แม้นายซ่าและนางสาวสวยจดทะเบียนสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ก็ไม่เป็นเหตุยกเว้น
โทษตามกฎหมาย แต่ขณะกระทาความผิดนายซ่าอายุ ๑๗ ปีเศษ เป็นการกระทาความผิดฐาน
กระทาชาเราเด็กอายุยังไม่เกิน ๑๕ ปี ตามมาตรา ๒๗๗ วรรคหนึ่ง ซึ่งกระทาโดยบุคคลอายุ
ไมเ่ กนิ สิบแปดปีกระทาต่อเด็กซึ่งมีอายกุ ว่าสิบสามปีแต่ยงั ไม่เกินสิบหา้ ปี โดยเดก็ นั้นยินยอม ศาล
ท่ีมีอานาจพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวจะพิจารณาให้มีการคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็ก
ผู้ถูกกระทาหรือผู้กระทาความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็กแทนการลงโทษก็ได้ ตาม
มาตรา ๒๗๗ วรรคห้า ในกรณีท่ีได้มีการดาเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กผู้ถูกกระทาหรือ
ผู้กระทาความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็กแล้ว ผู้กระทาความผิดไม่ต้องรับโทษ แต่
ถ้าการคุ้มครองสวัสดิภาพดังกล่าวไม่สาเร็จ ศาลจะลงโทษผู้กระทาความผิดน้อยกว่าที่กฎหมาย
กาหนดไว้สาหรับความผิดน้ันเพียงใดก็ได้ตามมาตรา ๒๗๗ วรรคหก สาหรับการกระทาความผิด
ตามมาตรา ๒๗๗ วรรคหนึง่

ความรับผิดทางอาญาของนายซ่าต่อบิดามารดาของเด็กหญิงสวย การท่ีนายซ่าพาเด็กหญิง
สวยมาอยู่กินท่ีบ้านของนายซ่า เป็นการพรากเด็กอายุยังไม่เกิน ๑๕ ปี ไปเสียจากบิดามารดาโดย
ปราศจากเหตุอันควร การท่ีเด็กหญิงสวยอยู่ในความอุปการะเล้ียงดูและให้การศึกษาของบิดา
มารดา บิดามารดามีอานาจปกครองและมีสิทธิกาหนดท่ีอยู่ของเด็กหญิงสวย แม้เด็กหญิงสวย
จะยินยอมไปอยู่กินฉันสามีภรรยากับนายซ่า ก็ถือว่าเป็นการกระทาโดยปราศจากเหตุอันควร

357

ต่อบิดามารดาของเด็กหญิงสวยอันเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน ๑๕ ปี ไปเสียจาก
บดิ ามารดาโดยปราศจากเหตอุ นั ควรตามมาตรา ๓๑๗ วรรคแรก แล้ว (ฎีกาที่ ๑๒๕๘/๒๕๔๒)

สว่ นการทน่ี ายซา่ และเด็กหญิงสวยรักกนั ดว้ ยความสุจริตใจตา่ งมีเจตนาอยู่กินดว้ ยกนั ฉนั สามี
ภรรยา ไม่ใช่การพรากเพ่ือการอนาจารตามมาตรา ๓๑๗ วรรคสาม เพราะการพรากเพื่อการ
อนาจาร ต้องเป็นการกระทาที่ไม่สมควรทางเพศ การรักกันด้วยความสุจริตใจต่างมีเจตนาอยู่กิน
ด้วยกันฉันสามีภรรยาไม่ใช่การกระทาที่ไม่สมควรในทางเพศ การกระทาของนายซ่าจึง
ขาดเจตนาพิเศษเพ่ือการอนาจาร ไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน ๑๕ ปี ไปเสียจาก
บิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันควรไปเพื่อการอนาจารตามมาตรา ๓๑๗ วรรคสาม (ฎีกาท่ี
๑๒๕๘/๒๕๔๒, ๕๘๘๐/๒๕๔๖)
ข้อสังเกต กำรไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบควำมผิดตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ
๕๙ วรรคสำม และกำรสำคัญผิดในข้อเท็จจริงท่ีจะทำให้กำรกระทำไม่เป็นควำมผิดตำมมำตรำ
๖๒ วรรคแรก ต่ำงก็เป็นเรื่อง "สำคัญผิด" หรืออีกนัยหน่ึงคือ "เข้ำใจผิด" เหมือนกัน แต่ควำมสำคัญ
ผิดหรือเข้ำใจผิดดังกล่ำวแตกต่ำงกันตรงที่ว่ำ กรณีตำมมำตรำ ๕๙ วรรคสำม เป็นควำมสำคัญผิด
ที่ทำให้ผู้กระทำ "ขำดเจตนำ" ส่วนควำมสำคัญผิดตำมมำตรำ ๖๒ วรรคแรก เป็นควำมสำคัญผิด
ท่ีทำให้ผู้กระทำซึ่ง "มีเจตนำ" อยู่แล้วไม่มีควำมผิด กำรท่ีนำยซ่ำเชื่อว่ำเด็กหญิงแสบอำยุ ๑๘ ปี
ตำมคำถำมข้อนี้ ก็คือนำยซ่ำไม่รู้ข้อเท็จจริงท่ีเป็นองค์ประกอบ ต้องถือว่ำไม่มีเจตนำตำมมำตรำ ๕๙
วรรคสำม ซึ่งมีฎีกำท่ี ๖๔๐๕/๒๕๓๙ ตัดสินว่ำ กำรที่จำเลยกระทำชำเรำผู้เสียหำยอำยุ ๑๔ ปีเศษ
โดยสำคัญผิดว่ำอำยุ ๑๗ ปี เท่ำกับไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบควำมผิดตำมมำตรำ
๒๗๗ วรรคแรก ถือว่ำไม่มีเจตนำกระทำควำมผิดตำมมำตรำ ๕๙ วรรคสำม ซ่ึงตัดสินถูกต้องตำม
หลักกฎหมำยแล้ว แต่ต่อมำมีฎีกำท่ี ๔๖๙๘/๒๕๔๐ ตัดสินว่ำ จำเลยไม่ทรำบว่ำผู้เสียหำยท่ียอม
ให้ตนร่วมประเวณีด้วยอำยุไม่เกิน ๑๕ ปี เป็นกำรสำคัญผิดในข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบ
ควำมผิดตำมมำตรำ ๒๗๗ วรรคแรก ประกอบมำตรำ ๖๒ วรรคแรก จำเลยไม่มีควำมผดิ ซึ่งไม่น่ำจะ
ตรงตำมหลักกฎหมำยดังท่ีกล่ำวมำแล้ว ต่อมำมีฎีกำท่ี ๔๖๖๕/๒๕๔๗ ตัดสินว่ำ จำเลยไม่มีเจตนำ
กระทำควำมผิดตำมมำตรำ ๕๙ วรรคสำม ซึ่งเป็นคำพิพำกษำฎีกำใหม่ล่ำสุดท่ีถูกต้องตำม
หลักกฎหมำย ดังน้ัน กำรตอบข้อสอบในประเด็นนี้นักศึกษำต้องตอบตำมแนวฎีกำท่ี ๔๖๖๕/๒๕๔๗
ตดั สนิ ไว้

ฎีกาท่ี ๔๖๖๕/๒๕๔๗ ฎ.๑๖๓๔ จาเลยพรากผู้เสียหายซึ่งมีอายุไม่เกิน ๑๕ ปี ไปเพื่อการ
อนาจาร และได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายโดยผู้เสียหายยินยอม โดยจาเลยเข้าใจว่าผู้เสียหายอายุ
๒๐ ปี จึงเป็นการสาคัญผิดในข้อเท็จจริงเร่ืองอายุอันเป็นองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา
๒๗๗ วรรคแรก และมาตรา ๓๑๗ วรรคสาม การกระทาของจาเลยจงึ ขาดเจตนากระทาความผดิ ฐาน
ดังกล่าวตามมาตรา ๕๙ วรรคสาม
ขอ้ สังเกต ฎีกำน้ีเด็กอำยุเกินสบิ สำมปีแตไ่ มเ่ กินสิบห้ำปี กำรสำคัญผิดเรอื่ งอำยเุ ด็ก จำเลยอ้ำงวำ่ ไม่มี
เจตนำกระทำผิดได้ทั้งตำมกฎหมำยเก่ำและกฎหมำยใหม่ แต่ถ้ำเป็นกำรกระทำต่อเด็กอำยุไม่เกิน

358

สิบสำมปี กฎหมำยที่แก้ไขใหม่มำตรำ ๒๘๕/๑ และมำตรำ ๓๒๑/๑ ห้ำมอ้ำงควำมไม่รู้อำยุของเด็ก
เพ่ือให้พ้นจำกควำมผิด ผู้กระทำจึงมีควำมผิดแม้จะสำคัญผิดเรื่องอำยุเด็กตำมกฎหมำยที่แก้ไขใหม่

กำรนำฎีกำมำออกขอ้ สอบ สำมำรถออกได้ ๓ วิธคี อื
๑. นำข้อเท็จจริงตำมฎีกำมำออกข้อสอบ เช่นคำถำมข้อน้ี ถ้ำอ่ำนฎีกำแล้วจำข้อกฎหมำย
และจำเหตผุ ลได้ ก็จะตอบขอ้ สอบได้
๒. นำหลักตำมฎีกำมำออกข้อสอบ โดยเปลี่ยนข้อเท็จจริงเสียใหม่ แต่คำตอบจะเป็นไปตำม
ข้อกฎหมำยและเหตุผลท่ีศำลฎีกำได้วินิจฉัยไว้ ข้อสอบประเภทนี้ แม้นักศึกษำจะอ่ำนและจำฎีกำได้
แต่ถ้ำนักศึกษำไม่เข้ำใจหลักกฎหมำย นักศึกษำก็ไม่รู้ว่ำจะตอบอย่ำงไร ข้อสอบประเภทนี้ ยำกท้ัง
ผู้ออกข้อสอบและยำกสำหรับนักศึกษำที่จะทำข้อสอบ แต่เป็นข้อสอบที่สำมำรถวัดควำมเข้ำใจ
หลักกฎหมำยได้ดีกว่ำข้อสอบประเภทแรก เพรำะว่ำแม้นักศึกษำจะจำฎีกำได้ แต่ถ้ำนักศึกษำ
ไมเ่ ข้ำใจหลักกฎหมำยนกั ศึกษำก็จะทำข้อสอบไม่ได้ เพรำะข้อเท็จจริงตำมคำถำมและขอ้ เท็จจริงตำม
ฎกี ำดูแลว้ เหมอื นเปน็ คนละเร่อื ง ทั้งทใี่ ช้หลกั กฎหมำยเดียวกันมำตอบข้อสอบ
นักศึกษำท่ีจะทำข้อสอบประเภทที่ ๑ ได้คือ "อ่ำน" และ "จำได้" ส่วนนักศึกษำที่จะทำ
ข้อสอบประเภทท่ี ๒ ได้คือ "อ่ำน" "เข้ำใจ" และ "จำได้" สำหรับกำรนำหลักตำมฎีกำมำออก
ข้อสอบก็เช่นคำถำมข้อ ๑๐ ในหน้ำ ๔๔ ขอ้ เท็จจริงตำมคำถำมในประเดน็ แรกไม่เก่ียวกับกำรกระทำ
ชำเรำเด็กเลย แต่ข้อกฎหมำยคือเร่ืองเจตนำกระทำผิดและเหตุผลท่ีวินิจฉัยก็เหมือนกันคือไม่รู้
ข้อเท็จจริงที่เป็นองค์ประกอบจะถือว่ำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลไม่ได้ ถือว่ำไม่มีเจตนำ และ
ข้อ ๙ ดังกล่ำว ในประเด็นหลังก็ไม่มีเรื่องข่มขืนกระทำชำเรำเลย แต่ข้อกฎหมำยก็คือ ไม่มีวัตถุแห่ง
กำรกระทำ ถือว่ำเป็นกำรขำดองค์ประกอบภำยนอก กำรกระทำของจำเลยไม่เป็นควำมผิด และ
ขอให้ดูตัวอยำ่ งตอ่ ไปนี้
นำย ก. เป็นคนรักเก่ำและเป็นชู้กับนำง ข. ซ่ึงเป็นภรรยำนำย ค. นำย ก. ต้องกำรฆ่ำ
นำย ค. เพื่อตนจะได้อยู่กับนำง ข. โดยเตรียมปืนเข้ำมำในบ้ำนนำย ค. และนำง ข. แต่นำง ข .
ไม่ต้องกำรให้นำย ค. ตำย นำง ข. จึงหลอกนำย ก. ว่ำ นำย ค. หัวใจวำยตำยบนเตียงนอนแล้ว
นำย ก. เขำ้ ใจว่ำนำย ค. ตำยแล้ว แต่กอ็ ยำกจะยงิ นำย ค. ให้สมแคน้ ที่มำแยง่ คนรกั ของตน นำย ก.
ไม่ทันดูให้ดีว่ำนำย ค. ยังมีชีวิตหรือไม่ นำย ก. ยิงไปท่ีนำย ค. ซ่ึงนอนอยู่บนเตียง นำย ค. ถึงแก่
ควำมตำย ข้อเท็จจริงท่ีให้มำน้ีก็ใช้หลักตำมฎีกำท่ี ๔๖๖๕/๒๕๔๗ มำตอบคำถำม คือ แม้กำรยิง
ของนำย ก. จะเป็นกำรฆ่ำนำย ค. ซึ่งครบองค์ประกอบภำยนอกของควำมผิด แต่นำย ก. เข้ำใจว่ำ
นำย ค. ตำยแล้ว ถือว่ำนำย ก. ไม่รู้ขอ้ เท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภำยนอกของควำมผิดว่ำยังมีผู้อื่น
อันเป็นวัตถุแห่งกำรกระทำในควำมผิดฐำนเจตนำฆ่ำผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จะถือว่ำนำย ก.
ประสงค์ต่อผลหรือยอ่ มเลง็ เห็นผลของกำรกระทำไม่ได้ ถือว่ำนำย ก. ขำดเจตนำกระทำควำมผิดฐำน
เจตนำฆ่ำผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่กำรที่นำย ก. ไม่ดูให้ดีว่ำ นำย ค. ยังมีชีวิตหรือไม่เป็นกำร
กระทำโดยปรำศจำกควำมระมัดระวังซึ่งบุคคลในภำวะเช่นนำย ก. ควรจะมีและใช้ควำมระมัดระวัง
เช่นว่ำน้ันได้ แต่หำได้ใช้ให้เพียงพอไม่ จึงเป็นกำรกระทำโดยประมำทเป็นเหตุให้นำย ค. ถึงแก่ควำม

359

ตำยตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ ๒๙๑ ตำมฎีกำมิได้วนิ ิจฉัยเรื่องประมำท เพรำะกำรกระทำ
ชำเรำเด็กโดยประมำทไม่มีกฎหมำยบัญญัติเป็นควำมผิด แต่กำรกระทำโดยประมำทเป็นเหตุให้ผู้อื่น
ถึงแก่ควำมตำยมีควำมผิด จึงต้องวินิจฉัยประเด็นน้ีด้วย ตัวอย่ำงนี้เป็นเพียงส่ิงท่ีผู้แต่งลองคิดและ
แต่งคำถำมจำกข้อเท็จจริงที่แตกต่ำงกัน แต่ใช้หลักกฎหมำยเดียวกัน ซ่ึงผู้แต่งอยำกจะฝำกนักศึกษำ
ว่ำเม่ืออ่ำนฎีกำแล้วให้ลองฝึกคิด และแต่งเป็นคำถำมแล้วทดลองเขียนตอบ หำกนักศึกษำสำมำรถ
แต่งคำถำมในแง่มมุ ตำ่ ง ๆ ได้ เวลำสอบนกั ศึกษำกจ็ ะสำมำรถตอบข้อสอบได้อย่ำงสบำย ๆ

๓. นำข้อเท็จจริงตำมฎีกำมำออกข้อสอบแล้วเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงในส่วนท่ีเป็นสำระ
สำคัญ และข้อกฎหมำยกับเหตุผลประกอบจะแตกต่ำงจำกคำพิพำกษำฎีกำ เช่น ก. นั่งดื่มสุรำในร้ำน
เดียวกันกับ ข. โดยนั่งใกล้กับโต๊ะท่ี ข. นั่งอยู่ ก. มีปำกเสียงกับ ข. ก. จึงใช้ปืนลูกซองยิงไปท่ี
หน้ำอก ข. หนึ่งนัด โดยข้ำง ข. มีขวดสุรำของ ค. วำงอยู่ หำกนักศึกษำอ่ำนฎีกำโดยจำข้อเท็จจริง
ว่ำ ใช้ปืนลูกซองยิงขวดสุรำใกล้ผู้เสียหำย เป็นเจตนำฆ่ำโดยเล็งเห็นผล ตำมตัวอย่ำงที่ให้เหมือนกับ
ฎีกำก็คือใช้ปืนลูกซองยิงและมีขวดสุรำวำงอยู่ แต่ข้อเท็จจริงท่ีเพ่ิมเติมข้ึนมำคือ ยิงไปที่หน้ำอก ข.
ไม่ใช่ยิงไปท่ีขวดสุรำ ข้อกฎหมำยตำมตัวอย่ำงจะแตกต่ำงจำกฎีกำ เพรำะตำมตัวอย่ำง ก. ใช้ปืนลูก
ซองยิงไปท่ีหน้ำอก ข. หนึ่งนัด กำรเล็งยิงไปท่ีอวัยวะสำคัญของ ข. เป็นกำรฆ่ำผู้อื่นโดยเจตนำ
ประสงค์ตอ่ ผล (แต่ฎีกำเล็งไปที่ขวดสุรำ) ข้ำง ข. มีขวดสุรำของ ค. วำงอยู่ จึงเป็นเจตนำย่อมเล็งเห็น
ผลว่ำจะทำให้ทรัพย์ของ ค.เสียหำย ซึ่งตำมฎีกำไม่ได้วินิจฉัยเร่ืองยิงขวดสุรำ เป็นควำมผิดฐำน
ทำให้เสียทรัพย์หรือไม่ เพรำะไม่ใช่ประเด็นท่ีคู่ควำมฎีกำขึ้นมำ แต่ตัวอย่ำงท่ีให้ระบุว่ำเป็นขวดสุรำ
ของ ค. ข้อเท็จจริงจำกคำถำมย่อมมีควำมหมำย และต้องกำรให้นักศึกษำตอบเรื่องทำให้เสียทรัพย์
จงึ ระบวุ ำ่ ขวดสุรำเป็นของ ค.

นักศึกษำที่จะทำข้อสอบประเภทท่ี ๓ ได้คือ "อ่ำน" "เข้ำใจ" และ "จำได้" เช่นเดียวกับ
ข้อสอบประเภทท่ี ๒

กำรออกข้อสอบทั้ง ๓ ประเภทมีข้อดีข้อเสียแตกต่ำงกัน แต่ละสนำมสอบก็อำจจะออก
ข้อสอบทง้ั ๓ ประเภทคละกนั ไป หรือบำงสนำมสอบ เช่น สนำมสอบอัยกำรมักจะใช้ข้อสอบรูปแบบ
ที่ ๒ และท่ี ๓ มำกกว่ำรปู แบบที่ ๑

ฎีกาที่ ๕๘๘๐/๒๕๔๖ ฎ.๑๑๔๑ จาเลยกับผู้เสียหายซ่ึงมีอายุ ๑๔ ปีเศษรักใคร่กันอย่าง
ชู้สาว มารดาผู้เสียหายก็ทราบและอนุญาตให้จาเลยพาผู้เสียหายออกจากบ้านไปรับประทานอาหาร
เท่ียวชมภาพยนตร์กันบ้างเพ่ือให้จาเลยและผู้เสียหายได้มีโอกาสอยู่ดว้ ยกัน และทาความรูจ้ ักคุ้นเคย
กันเพื่อประโยชน์ของการอยู่กินเป็นสามีภริยากันในวันข้างหน้า และทุกคร้ังจาเลยก็จะพากลับมาส่ง
ท่ีบ้าน อันเป็นการยอมรับในอานาจการปกครองของบิดามารดาผู้เสียหายอยู่ การที่จาเลยได้ลว่ งเกิน
ทางเพศแก่ผู้เสียหายด้วยการกอดจูบรวมท้ังกระทาชาเราผู้เสียหายก็เป็นไปตามโอกาสและตามวิสัย
คนรักใคร่ชอบพอกัน ซึ่งจาเลยต้องรับผิดทางอาญาในการกระทาของตนในแต่ละคร้ังอยู่แล้ว
หากการกระทานั้นเป็นความผิดต่อกฎหมาย แต่ยังไม่พอถือได้ว่าจาเลยพรากผู้เสียหายไปเสียจาก
บดิ ามารดาโดยปราศจากเหตอุ นั สมควรเพอื่ การอนาจาร

360

ฎีกานา่ สนใจเร่ือง
เป็นการกระทาชาเราตามมาตรา ๑ (๑๘)

ฎีกาที่ ๔๙๐๙-๔๙๑๐/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๔๔ การที่จาเลยท่ี ๑ พยายามบังคับให้
ผู้เสียหายอมอวัยวะเพศของตนเป็นการพยายามกระทาชาเราตามความหมายของมาตรา ๒๗๗
วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “การกระทาชาเราตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า การกระทาเพื่อสนอง
ความใคร่ของผู้กระทาโดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทากับ (ตามกฎหมายเดิม กฎหมายใหม่ต้อง
ใช้คาว่า ลว่ งลา้ )...ช่องปากของผู้อื่น...” เมื่อจาเลยท่ี ๑ กระทาการดังกลา่ วในขณะท่ี น. กาลังกระทา
ชาเราผู้เสียหาย จึงถือได้ว่าเป็นตัวการร่วมกันกระทาชาเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรม
เดก็ หญงิ
ข้อสังเกต ฎีกำน้ใี ช้เปน็ บรรทัดฐำนไดท้ ง้ั กฎหมำยเดมิ และกฎหมำยใหม่

ไมเ่ ปน็ การกระทาชาเราตามมาตรา ๑ (๑๘)

ฎีกาที่ ๖๗๗๕/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๗๒ การกระทาชาเราไม่ว่าเป็นการกระทากับ
อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรอื ช่องปากของผ้อู ื่นจึงยงั ต้องมีการสอดใส่อวัยวะเพศหรอื ส่ิงอ่ืนใดให้ล่วงล้า
เข้าไปในอวัยวะเพศ ทวารหนักหรือช่องปากด้วย เพราะไม่เช่นนั้นแล้วเพียงการสัมผัสภายนอกกั บ
อวัยวะเพศ ทวารหนักหรือช่องปากของผู้อ่ืนไม่ว่าด้วยอวัยวะส่วนใดหรือด้วยวัตถุสิ่งใดก็จะเป็นการ
กระทาชาเราไปเสยี ท้ังหมด คดีนี้จาเลยเพียงใชอ้ วัยวะเพศของจาเลยถูไถกบั อวยั วะเพศของผู้เสียหาย
ท่ี ๑ (อายุ ๑ ปเี ศษ) เท่านั้น แต่เมื่อมิได้มกี ารสอดใส่เพ่อื ท่จี ะให้อวัยวะเพศของจาเลยล่วงล้าเข้าไปใน
อวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ ๑ จึงยังไม่เป็นการกระทาชาเราตามความหมายของมาตรา ๒๗๗
วรรคสอง และพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจาเลยมีเจตนากระทาอนาจารผู้เสียหายท่ี ๑
เท่านั้น การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานกระทาอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี
ขอ้ สงั เกต ฎกี ำน้ีใชเ้ ป็นบรรทดั ฐำนได้ท้ังกฎหมำยเดิมและกฎหมำยใหม่

ฎีกาท่ี ๕๔๔๘/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๒๗ การกระทาชาเราตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๗
วรรคแรก หมายถึง การร่วมประเวณี กรณีจึงต้องมีการสอดใส่อวัยวะเพศของผู้กระทาเข้าไปใน
อวัยวะเพศของอีกฝ่าย แม้มาตรา ๒๗๗ วรรคสอง (เดิม) บญั ญัติให้ความหมายของการกระทาชาเรา
ว่า การกระทาเพ่ือสนองความใครข่ องผู้กระทาโดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทากระทากับ (ปัจจบุ ัน
“ล่วงล้ำ”) อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น หรือการใช้สิ่งอื่นใดกระทากับอวัยวะเพศ
หรือทวารหนักของผู้อื่น ก็เป็นเพียงการขยายขอบเขตของการกระทาชาเราในส่วนของอวัยวะ
ที่ถูกกระทาในมาตรา ๒๗๗ วรรคแรก ว่าไม่จาเป็นต้องเป็นการกระทากับอวัยวะเพศ จะเป็นการ
กระทากับทวารหนักหรือช่องปากก็ได้ และสิ่งที่ใช้ในการกระทาไม่จาเป็นต้องเป็นอวัยวะเพศเท่าน้ัน
จะเป็นส่ิงอ่ืนใดก็ได้เช่นกัน ดังน้ัน การกระทาชาเราไม่ว่าเป็นการกระทากับอวัยวะเพศ ทวารหนัก
หรือช่องปากของผู้อ่ืนจึงยังต้องมีการสอดใส่อวัยวะเพศหรือส่ิงอ่ืนใดให้ ล่วงล้าเข้าไปในอวัยวะเพศ

361

ทวารหนักหรือช่องปากด้วย เพราะไม่เช่นน้ันแล้วเพียงการสัมผัสภายนอกกับอวัยวะเพศ ทวารหนัก
หรือช่องปากของผู้อื่นไม่ว่าด้วยอวัยวะส่วนใดหรือด้วยวัตถุสิ่งใดก็จะเป็นการกระทาชาเราไปเสีย
ทั้งหมด จาเลยเพียงใช้อวัยวะเพศของจาเลยถูไถเสียดสีกับอวัยวะเพศของผู้เสียหาย โดยเจตนา
กระทาชาเราผู้เสียหาย แต่เม่ือมิได้มีการสอดใส่เพื่อที่จะให้อวัยวะเพศของจาเลยล่วงล้าเข้าไปใน
อวัยวะเพศของผู้เสียหาย จึงยังไม่เป็นการกระทาชาเราอันเป็นความผิดสาเร็จตามความหมายของ
มาตรา ๒๗๗ วรรคสอง การกระทาของจาเลยคงเปน็ เพียงความผดิ ฐานพยายามกระทาชาเรา
ข้อสังเกต คดีนี้จำเลยเพียงใช้อวัยวะเพศของจำเลยถูไถเสียดสีกับอวัยวะเพศของผู้เสียหำย
โดยเจตนำกระทำชำเรำผู้เสียหำย แต่เมื่อยังมิได้มีกำรสอดใส่เพื่อที่จะให้อวัยวะเพศของจำเลยล่วงล้ำ
เข้ำไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหำย จึงยังไม่เป็นกำรกระทำชำเรำอันเป็นควำมผิดสำเร็จตำม
ควำมหมำยของมำตรำ ๒๗๗ วรรคสอง (เดิม) กำรกระทำของจำเลยคงเป็นเพียงควำมผิดฐำน
พยำยำมกระทำชำเรำ (ฎีกำท่ี ๕๔๔๘/๒๕๕๗) ถ้ำจำเลยใช้อวัยวะเพศของจำเลยถูไถเสียดสีกับ
อวัยวะเพศของผู้เสียหำย โดยไม่มีเจตนำสอดใส่อวัยวะเพศของจำเลยเข้ำไปในอวัยวะเพศของ
ผู้เสียหำย กำรกระทำของจำเลยเป็นเพียงควำมผิดฐำนกระทำอนำจำร (ฎีกำที่ ๖๗๗๕/๒๕๕๗)
ซงึ่ ฎีกำเหล่ำนีย้ งั ใชเ้ ป็นบรรทดั ฐำนได้ทงั้ ตำมกฎหมำยเดมิ และกฎหมำยใหม่

ฎีกาที่ ๘๗๑๘/๒๕๕๙ จาเลยที่ ๒ ใช้มือจับแขนผู้เสียหายอายุ ๔ ปีเศษ ไว้ให้จาเลยท่ี ๑
ใช้นิ้วมอื สอดเข้าไปในอวยั วะเพศของผ้เู สยี หาย ถือได้ว่าเป็นการกระทาเพื่อสนองความใครข่ องจาเลย
ท่ี ๑ โดยการใช้ส่งิ อ่ืนใดกระทากับอวยั วะเพศของผู้เสยี หาย อันเป็นการกระทาชาเราตามความหมาย
ของ ป.อ. มาตรา ๒๗๗ วรรคสอง (เดิม) แล้ว (ตำมกฎหมำยใหม่จะเป็นกำรกระทำอนำจำร) ฎีกาท่ี
๕๘๒๘/๒๕๕๘ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๑๕ จาเลยใช้น้ิวมือสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย เป็น
ความผิดฐานข่มขืนกระทาชาเราสาเร็จแล้ว (ตำมกฎหมำยเดิม ตำมกฎหมำยใหม่จะเป็นกำรกระทำ
อนำจำร) อวัยวะเพศของจาเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายหรือไม่ ไม่มีผลทาให้การ
กระทาของจาเลยไม่เป็นความผิด ฎีกาท่ี ๑๓๙๘๘/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๗ น.๒๒๒ จาเลยใช้น้ิวมือของ
จาเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายอันเป็นการใช้สิ่งอ่ืนใดกระทากับอวัยวะเพศของ
ผู้เสียหาย การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานกระทาชาเราผู้เสียหายซ่ึงเป็นเด็กอายุยังไม่เกิน
สิบสามปี (ตำมกฎหมำยเดิม ตำมกฎหมำยใหม่จะเป็นกำรกระทำอนำจำร) มิใช่เพียงเป็นการกระทา
อนาจารแกผ่ ู้เสียหาย ฎกี าท่ี ๖๓๒๓/๒๕๕๗ จาเลยซ่งึ เปน็ ชายใชป้ ากอมอวัยวะเพศของผเู้ สียหายซ่ึง
เป็นเด็กอายุ ๑๑ ปี ถือได้ว่าช่องปากของจาเลยเป็นสิ่งอื่นใดท่ีใช้กระทากับอวัยวะเพศของผู้เสียหาย
แล้ว (ตำมกฎหมำยเดิม ตำมกฎหมำยใหม่จะเป็นกำรกระทำอนำจำร) การกระทาของจาเลยจึงเป็น
ความผดิ ตามมาตรา ๒๗๗ วรรคสาม (เดิม กฎหมำยใหม่คอื มำตรำ ๒๗๗ วรรคสอง)
ข้อสังเกต ฎีกำข้ำงต้นตัดสินโดยใช้กฎหมำยเดิมว่ำเป็นกำรกระทำชำเรำ แต่กำรใช้นิ้วแหย่เข้ำไปใน
อวัยวะเพศหญิงหรือกำรใชป้ ำกอมอวยั วะเพศชำย ตำมกฎหมำยใหม่จะเป็นกำรกระทำอนำจำร

362

พยายามขม่ ขืนหรือกระทาอนาจาร

ฎีกาที่ ๑๑๐๖๕/๒๕๕๔ ฎ.๒๑๑๕ จาเลยใช้กาลังประทุษร้ายกดตัวผู้เสียหายลงกับพ้ืน
ใช้มือชกที่บริเวณท้องและปากของผู้เสียหาย แล้วจาเลยฉีกกระชากกระโปรงของผู้เสียหายจนขาด
ผู้เสียหายร้องให้คนช่วยและมีผู้เข้าช่วยเหลือ ลักษณะการกระทาของจาเลยยังไม่อยู่ในวิสัยที่จาเลย
จะกระทาชาเราผู้เสียหายได้ จึงไม่เป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทาชาเรา แต่การกระทาของ
จาเลยดงั กล่าวเปน็ ความผดิ ฐานกระทาอนาจารผเู้ สยี หายตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๘

ขม่ ขนื หรือยนิ ยอม

ฎีกาที่ ๑๐๐๐๗/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๕๐ ผู้เสียหายท่ี ๑ อายุ ๑๖ ปีเศษ ยอมให้จาเลย
กระทาชาเราเนื่องจากหลงเชื่อในอุบายของจาเลยที่ทานายว่าผู้เสียหายท่ี ๑ ดวงชะตาไม่ดจี ะต้องทา
พิธีกรรมเพ่ือสะเดาะเคราะหเ์ พ่ือท่ีบิดาผู้เสียหายท้ังสองท่ีเลิกรากับมารดาของผู้เสียหายท้ังสองจะส่ง
เงนิ ให้แก่ผู้เสียหายท่ี ๑ แสดงว่าผเู้ สียหายที่ ๑ เยาว์วัยอ่อนต่อโลกมีความโงเ่ ขลาเบาปัญญาหลงเชื่อ
อย่างงมงายว่า จาเลยสามารถทาพิธีกรรมเพ่ือสะเดาะเคราะห์ต่อดวงชะตาจนส่งเสริมให้บิดาส่งเงิน
มาให้ได้ การท่ีผู้เสียหายที่ ๑ ยอมให้จาเลยกระทาชาเราหลายครั้ง มิได้เกิดจากความสมัครใจและ
อยใู่ นภาวะท่ีไมส่ ามารถขดั ขนื ได้ การที่จาเลยเลิกเสอื้ ของผู้เสยี หายท่ี ๑ ขึ้น ใชป้ ากกาเขียนที่หน้าอก
ที่ตัว และใช้น้ามันทาตัวผู้เสียหายที่ ๑ ถอดกางเกงของผู้เสียหายที่ ๑ แล้วจาเลยสอดใส่อวัยวะเพศ
ของจาเลยเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ ๑ ชักเข้าชักออกจนสาเร็จความใคร่ ถือได้วา่ เป็นการ
ใช้กาลังประทุษร้ายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ ๑ อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ตาม ป.อ. มาตรา
๒๗๖ วรรคแรก

ฎีกาท่ี ๗๗๒๑/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๘ น.๑๘๘ ผู้เสียหายทางานเป็นลูกจ้างอยู่ในบ้านของจาเลย
และถูกจาเลยข่มขู่ว่าหากไม่ยินยอมให้จาเลยกระทาชาเรา จะส่งตัวผู้เสียหายให้เจ้าพนักงานตารวจ
ดาเนินคดีในข้อหาหลบหนีเข้าเมือง ผู้เสียหายอยู่ในภาวะเสียเปรียบไม่อาจต่อสู้ขัดขืนจาเลยซึ่งเป็น
นายจ้างของตนได้ ถือไมไ่ ดว้ ่าผูเ้ สียหายยนิ ยอมให้จาเลยกระทาชาเรา

ขม่ ขนื สาเร็จแล้วหรือไม่

ฎีกาท่ี ๘๔๘/๒๕๔๘ ฎ.๑๒๑ จาเลยนาอวัยวะเพศของจาเลยใส่อวัยวะเพศของผู้เสียหาย
ที่ ๑ อวัยวะเพศของจาเลยได้ล่วงล้าเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายท่ี ๑ แล้ว การกระทาของ
จาเลยจึงเป็นความผิดฐานกระทาชาเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๗
วรรคสอง ส่วนจาเลยจะสาเรจ็ ความใคร่หรือไม่ ยอ่ มมิใช่สาระสาคญั

363

ผู้ถูกข่มขืน

ฎีกาที่ ๔๓๕๕/๒๕๕๘ ตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๖ (เดิม) ผู้ท่ีจะมีความผิดฐานข่มขืนกระทา
ชาเราต้องเป็นชายข่มขืนกระทาชาเราหญิงอ่ืนท่ีมิใช่ภริยาตน แต่ตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๖ (ท่ีแก้ไข
ใหม่) ซง่ึ ใช้บังคับขณะเกดิ เหตุ ท้งั ชายและหญิงอาจจะมีความผิดฐานขม่ ขนื กระทาชาเราแมจ้ ะกระทา
ต่อภริยาหรือสามีของตนเอง หากมีการขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ ดังท่ีบัญญัติตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๖

ฎีกาท่ี ๓๐๒/๒๕๕๙ ฎ.ส.ล.๑ น.๒๓ แม้โจทก์และจาเลยเป็นสามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกัน
ฉนั สามภี ริยา ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๖๑ วรรคหนึง่ ซึ่งจะต้องมีการร่วมประเวณีกันบ้าง แตก่ ารร่วม
ประเวณีตอ้ งเกิดจากความยินยอมของท้ังสองฝา่ ย หากอีกฝ่ายไม่ยินยอมก็ไม่อาจบังคับได้ หากขนื ใจ
ถอื เป็นความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๖

การที่จาเลยเรียกบตุ รผ้เู ยาว์มาฟงั คาดา่ จนโจทก์ยอมให้จาเลยร่วมประเวณเี พื่อให้บุตรผเู้ ยาว์
ไปพักผ่อน เช่นนี้จะถือวา่ โจทก์ยอมให้จาเลยรว่ มประเวณีไม่ได้ และการทีโ่ จทก์มดลูกอกั เสบจากการ
ร่วมประเวณีของจาเลย จาเลยทราบแต่ไม่หยุดร่วมประเวณีกับโจทก์ จนโจทก์ต้องหนีออกจากบ้าน
พฤติกรรมของจาเลยถือเป็นการทาร้ายหรือทรมานจิตใจโจทก์อย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุหย่าตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๑๖ (๓) และยังถือเป็นพฤติการณ์ท่ีเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่าง
รา้ ยแรงตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๑๖ (๖) ดว้ ย

อายุเดก็

ฎีกาที่ ๓๖๑๗/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล. ๑๐ น. ๒๓ ผู้เสียหายที่ ๑ อายุ ๑๒ ปีเศษ แต่มีรูปร่าง
สมบูรณ์กว่าเด็กหญิงคนอน่ื ในวัยเดียวกัน เช่นนี้แสดงให้เห็นว่ารูปร่างและลักษณะของผู้เสียหายที่ ๑
ย่อมมีเหตุผลทาให้จาเลยเข้าใจว่าผู้เสียหายที่ ๑ มีอายุเกินกว่า ๑๕ ปี แต่ยังไม่เกิน ๑๘ ปี ซึ่งเป็น
ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๗ และมาตรา ๓๑๗ วรรคสาม การ
กระทาของจาเลยจึงเป็นการกระทาโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด เป็นการขาด
เจตนากระทาความผิดดังกล่าว ตามมาตรา ๕๙ วรรคสาม วรรคสอง และวรรคแรก การกระทาของ
จาเลยจึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๒๗๗ วรรคสอง (เดิม) และมาตรา ๓๑๗ วรรคสาม และเมื่อ
ผู้เสียหายท่ี ๑ ยินยอมให้จาเลยกระทาชาเรา การกระทาของจาเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานข่มขืน
กระทาชาเราตามมาตรา ๒๗๖ (เดมิ ) เช่นกนั ส่วนความผดิ ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสีย
จากบิดามารดาเพ่ือการอนาจาร จาเลยกระทาโดยเข้าใจผิดคิดว่าผู้เสียหายท่ี ๑ มีอายุเกินสิบห้าปี
แต่ยังไม่เกินสิบแปดปี จาเลยจึงกระทาไปโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐาน
พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารตามมาตรา ๓๑๗ วรรคสาม
จาเลยจึงไม่มีเจตนากระทาความผดิ ฐานนี้ดว้ ย แต่เปน็ ความผดิ ฐานพรากผเู้ ยาว์อายกุ วา่ สิบหา้ ปแี ตย่ ัง
ไมเ่ กนิ สิบแปดปีตามมาตรา ๓๑๙ วรรคหนง่ึ (ข้อเท็จจริงตำมฎีกำน้ีตำมกฎหมำยปัจจุบันจะอ้ำงว่ำ
ไม่รู้อำยเุ ดก็ เพื่อให้พน้ จำกควำมผดิ ไม่ได)้

364

ข้อสังเกต ปัจจุบันกำรกระทำควำมผิดตำมมำตรำ ๒๗๗ และมำตรำ ๓๑๗ หำกเป็นกำรกระทำต่อ
เด็กอำยุไม่เกินสิบสำมปี มำตรำ ๒๘๕/๑ และมำตรำ ๓๒๑/๑ ห้ำมอ้ำงควำมไม่รู้อำยุของเด็กเพ่ือให้
พ้นจำกควำมผิด จำเลยจึงอ้ำงควำมไม่รู้อำยุของผู้เสียหำยที่ ๑ ไม่ได้ตำมกฎหมำยที่แก้ไขใหม่ แต่ถ้ำ
เด็กอำยุเกินสิบสำมปีแต่ไม่เกินสิบห้ำปี หำกสำคัญผิดเร่ืองอำยุก็ยังคงอ้ำงว่ำไม่มีเจตนำได้เช่นเดิม

ตัวการรว่ ม

ฎีกาท่ี ๘๗๑๘/๒๕๕๙ จาเลยที่ ๒ ใช้มือจับแขนผู้เสียหายอายุ ๔ ปีเศษ ไว้ให้จาเลยท่ี ๑
กระทาชาเราผูเ้ สียหาย การกระทาของจาเลยท่ี ๑ จงึ เป็นความผิดฐานกระทาชาเราเดก็ อายุยังไมเ่ กิน
สิบสามปีตามมาตรา ๒๗๗ วรรคสาม (เดิม กฎหมำยใหม่คือมำตรำ ๒๗๗ วรรคสอง) และเป็น
ความผิดท่ีร่วมกันกระทาผิดได้ โดยผู้ร่วมกระทาผิดไม่จาต้องเป็นผู้ลงมือกระทาชาเราด้วยกันทุกคน
เพยี งแต่คนใดคนหน่ึงกระทาชาเรา ผู้ร่วมกระทาผิดทกุ คนก็มีความผิดฐานเปน็ ตัวการตามมาตรา ๘๓
ท้งั มาตรา ๒๗๗ วรรคหนึ่ง บัญญัติแตเ่ พียงว่า "ผู้ใดกระทาชาเรา..." หาได้บัญญตั ิให้ลงโทษแต่เฉพาะ
ชายเท่านั้น แม้จาเลยท่ี ๒ จะเป็นหญิง แต่เม่ือฟังได้ว่าร่วมกับจาเลยท่ี ๑ จับผู้เสียหายขึ้นไปบนบ้าน
แล้วจาเลยท่ี ๒ ใช้มือจับแขนผู้เสียหายไว้ให้จาเลยที่ ๑ กระทาชาเราผู้เสียหายผู้เสียหายซ่ึงเป็นเด็ก
อายุยังไม่เกินสิบสามปี อันมีลักษณะแบ่งหน้าท่ีกันทา จาเลยท่ี ๒ จึงเป็นตัวการร่วมกับจาเลยท่ี ๑
ในการกระทาความผิดตามมาตรา ๒๗๗ วรรคสาม (เดิม กฎหมำยใหม่คือมำตรำ ๒๗๗ วรรคสอง)
ประกอบมาตรา ๘๓

รุมโทรม

ฎีกาท่ี ๗๓๔๖/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๗๕ การที่ ต. กระชากมือดึงผู้เสียหายเข้าไปในห้อง
ทาการข่มขืนกระทาชาเราผู้เสียหาย เม่ือ ต. ออกจากห้อง จาเลยก็เข้าไปในห้องทาการข่มขืนกระทา
ชาเราผู้เสียหายต่อ และเมื่อจาเลยออกจากห้อง ต. กับ ป. พวกของจาเลยก็พากันเข้าไปในห้อง
รว่ มกันข่มขืนกระทาชาเราผู้เสียหายอีก พฤติการณ์การข่มขืนกระทาชาเราเช่นน้ี แม้ว่าผู้กระทามิได้
อยู่ในห้องในขณะที่คนหน่ึงข่มขืนกระทาชาเราอยู่ แต่จาเลยกับพวกได้กระทาในลักษณะติดต่อกัน
จึงเปน็ การสมคบกนั กระทาความผิด อันมลี ักษณะเปน็ การโทรมหญงิ

ฎีกาท่ี ๓๐๘๙/๒๕๕๖ ฎ. ๑๕๔๘ บ. ข่มขืนกระทาชาเราผู้เสียหายท่ี ๒ แล้วเรียกจาเลย
เข้าไปในห้อง ส่วน บ. ออกจากห้องไปรอท่ีรถ เม่ือผู้เสียหายท่ี ๒ ไม่ยินยอมให้จาเลยกระทาชาเรา
จาเลยเรียกให้ บ. เข้าไปช่วยจับหัวไหล่ผู้เสียหายที่ ๒ ไว้เพื่อข่มขืนกระทาชาเราผู้เสียหายท่ี ๒ เป็น
พฤติการณ์ที่จาเลยกับ บ. คบคิดหรือนัดแนะกันมาแต่ต้น โดยมีเจตนาร่วมกันพาผู้เสียหายท่ี ๒
ไปกระทาชาเราต้ังแต่แรก การกระทาชาเราผู้เสียหายที่ ๒ ของจาเลยกับ บ. ทั้งสองคร้ังต่อเนื่อง
เช่ือมโยงกันและอยู่ในวาระเดียวกันตามแผนการที่จาเลยกับ บ. คบคิดหรือนัดแนะกันมา ถือได้ว่า

365

เป็นการผลัดเปล่ียนกันกระทาชาเราโดยร่วมกระทาความผิดด้วยกัน อันมีลักษณะเป็นการโทรม
เด็กหญงิ และเดก็ น้นั ไมย่ ินยอม

ฎีกาที่ ๑๙๑๗/๒๕๕๐ ฎ.๙๐๕ จาเลยที่ ๒ เอามือขยาหน้าอกผู้เสียหายในระหว่างที่พวก
ของจาเลยท่ี ๒ คนหนึ่งข่มขืนกระทาชาเราผู้เสียหาย ถือได้ว่าจาเลยท่ี ๒ เป็นตัวการร่วมข่มขืน
กระทาชาเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงแล้ว มิใช่จาเลยท่ี ๒ ต้องลงมือข่มขืนกระทา
ชาเราผเู้ สยี หายด้วยตนเอง

ฎีกาที่ ๔๙๐๙-๔๙๑๐/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๔๔ เม่ือไม่ปรากฏว่าจาเลยท้ังสอง ส. และ น.
คบคิดกันมาก่อนท่ีจะกระทาชาเราผู้เสียหาย ขณะที่ผู้เสียหายเดินกลับบ้าน จาเลยที่ ๒
ขับรถจักรยานยนต์ไล่ตามไปในขณะท่ีจาเลยท่ี ๑ ส. และ น. ยังนั่งด่ืมสุรากันอยู่ เม่ือจาเลยท่ี ๒
ฉุดกระชากผู้เสียหายเข้าไปในไร่ จาเลยที่ ๑ ส. และ น. จึงเดินตามไป เมอื่ ไปถึงเห็นจาเลยที่ ๒ กาลัง
กระทาชาเราผู้เสียหายโดยจาเลยที่ ๑ ส. และ น. ไม่ได้ช่วยเหลือ หลังจากจาเลยท่ี ๒ กระทาชาเรา
ผู้เสียหายเสร็จแล้ว จาเลยที่ ๒ ลุกขึ้นยืนสวมกางเกง ผู้เสียหายกาลังลุกข้ึนและสวมกางเกงได้เพียง
หัวเข่า จาเลยท่ี ๑ และ ส. เดินเข้ามา การกระทาชาเราของจาเลยที่ ๒ จึงเป็นการกระทาของจาเลย
ท่ี ๒ เพียงคนเดียว และในขณะท่ีจาเลยที่ ๑ ส. และ น. ร่วมกันกระทาชาเราผู้เสียหาย ไม่ปรากฏว่า
จาเลยท่ี ๒ รว่ มด้วย ลาพังการท่ีจาเลยที่ ๒ ยืนอยู่ในบริเวณทีเ่ กิดเหตุ จะฟังว่าพร้อมที่จะเข้าไปช่วย
ด้วยยังไม่ได้ จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจาเลยท่ี ๒ ร่วมกระทาความผิดกับพวกอันมีลักษณะเป็นการโทรม
เด็กหญิง การกระทาของจาเลยที่ ๒ คงเปน็ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๗ วรรคหนง่ึ เท่านน้ั

ฎีกาท่ี ๕๑๕๗/๒๕๕๘ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๕๓ จาเลยท่ี ๑ กับพวกนั่งดื่มสุรากันอยู่บริเวณ
กระท่อมที่เกิดเหตุอยู่ก่อนท่ีพวกของจาเลยที่ ๑ จะพาโจทก์ร่วมมายังกระท่อมที่เกิดเหตุ และ
ไม่ปรากฏว่าจาเลยที่ ๑ ทราบมาก่อนว่าพวกของจาเลยท่ี ๑ จะพาโจทก์ร่วมมาข่มขืนกระทาชาเรา
อีกท้ังไม่ปรากฏว่าจาเลยท่ี ๑ มีพฤติการณ์ที่จะเข้าไปมีส่วนในการกระทาความผิดด้วย นอกจากน้ี
ทั้งก่อนและขณะท่ีจาเลยท่ี ๒ กับพวกข่มขืนกระทาชาเราโจทก์ร่วม แม้จาเลยที่ ๑ อยู่ใกล้กับ
กระท่อมท่ีเกิดเหตุและเห็นเหตุการณ์ ก็ไม่ปรากฏว่าจาเลยที่ ๑ พูดหรือกระทาการใดอันเป็นการ
ชว่ ยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จาเลยที่ ๒ กับพวกในการขม่ ขืนกระทาชาเราโจทกร์ ว่ ม การทจ่ี าเลย
ท่ี ๑ เห็นเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนจากการกระทาของพวกจาเลยที่ ๑ แต่ไม่เข้าไปห้ามปรามหรือขัดขวาง
เพื่อมิให้โจทก์ร่วมถูกข่มขืนกระทาชาเรา กรณีดังกล่าวก็ยังถือไม่ได้ว่าจาเลยท่ี ๑ ช่วยเหลือหรือให้
ความสะดวกแก่จาเลยท่ี ๒ กับพวกข่มขืนกระทาชาเราโจทก์ร่วม จึงไม่เป็นความผิดฐานเป็น
ผู้สนับสนุน

กระทาโดยมีอาวุธปนื หรือวตั ถุระเบดิ

ฎีกาที่ ๙๒๘๗/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๓๑ ในขณะท่ีจาเลยข่มขืนกระทาชาเราผู้เสียหาย แม้
จาเลยไม่ถืออาวุธปืนมาจ่อที่ตวั ผู้เสียหายก็ตาม แต่ขณะขับรถไปท่ีร้านอาหาร จาเลยพดู วา่ มีอาวุธปืน

366

ปากกาและเมื่ออยู่ท่ีร้านอาหารยังนาอาวุธปืนปากกาลักษณะคล้ายปากกาสีทองออกมา ทั้งยังพูดขู่
จะยิงผู้เสียหายหากขัดขืน และหลังจากข่มขืนกระทาชาเราเสร็จแล้ว จาเลยยังใช้ให้ผู้เสียหาย
หาอาวุธปืนปากกาที่ตกหล่นในรถท่ีจาเลยข่มขืนผู้เสียหาย ซึ่งผู้เสียหายก็หาจนพบและส่งให้จาเลย
บ่งช้ีว่าจาเลยรู้ดีว่ามีอาวุธปืนปากกาติดตัวในขณะข่มขืนกระทาชาเราผู้เสียหาย เพราะไม่เช่นน้ัน
คงไม่พูดขู่ว่าจะยิงผู้เสียหายหากขัดขืน แม้อาวุธปืนปากกาจะตกหล่นไปแต่ก็ยังคงอยู่ในรถและ
อยใู่ กล้ชิดกับตัวจาเลย ถือว่าจาเลยมีอาวุธปืนไวใ้ นครอบครองขณะข่มขืนกระทาชาเราผูเ้ สยี หายแล้ว
ไม่ว่าขณะข่มขืนกระทาชาเราผู้เสียหายนั้น จาเลยจะใช้อาวุธปืนข่มขู่ให้ผู้เสียหายจายอมหรือไม่
จาเลยกม็ ีความผิดฐานขม่ ขืนกระทาชาเราโดยมีอาวุธปืนแลว้

ฎีกาที่ ๕๗๙๓/๒๕๔๔ ฎ.๑๘๓๒ สิ่งเทียมอาวุธปืนพกอัดลมชนิดใช้ยิงกับลูกกระสุน
พลาสติกทรงกลมขนาด ๖ มม. มิใช่อาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ การที่จาเลยใช้วัตถุ
ดังกล่าวในการขู่เข็ญข่มขืนกระทาชาเราผู้เสียหาย จึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๖
วรรคสอง (เดิม ปจั จบุ ันคือมำตรำ ๒๗๖ วรรคสำม)
ข้อสังเกต ข้อเท็จจริงตำมฎีกำนี้หำกเกิดขึ้นหลังจำกใช้กฎหมำยใหม่แล้ว จะไม่เป็นกำรกระทำโดยมี
อำวุธปืนหรือวัตถุระเบิดตำมมำตรำ ๒๗๖ วรรคสำม เหมือนกับที่ศำลฎีกำตัดสินไว้ แต่จะเป็นกำร
กระทำโดยทำใหผ้ ู้ถกู กระทำเขำ้ ใจว่ำผกู้ ระทำมีอำวธุ ปนื ตำมมำตรำ ๒๗๖ วรรคสอง

กระทาโดยใช้อาวธุ

ฎกี าที่ ๖๙๐๕/๒๕๖๒ ฎ.๑๓๐๗ จาเลยพกพาอาวุธมดี ขนาดใหญ่บุกรุกเขา้ ไปข่มขนื กระทา
ชาเราผู้เสียหายท่ี ๒ ในห้องนอนโดยขณะกระทาชาเราจาเลยวางอาวุธมีดไว้ข้างตัวใกล้มือจาเลยซึ่ง
พร้อมที่จะหยิบฉวยได้ทันที พฤติการณ์เช่นนี้ย่อมทาให้ผู้เสียหายที่ ๒ ซึ่งเป็นเด็กหญิงเกิดความกลัว
ว่าจะถูกทาร้ายด้วยอาวุธมีดน้ันจึงไม่กล้าขัดขืน ถือได้ว่าเป็นการใช้อาวุธมีดข่มขู่ผู้เสียหายที่ ๒ แล้ว
การกระทาของจาเลยเป็นความผิดฐานข่มขืนกระทาชาเราผู้เสียหายท่ี ๒ โดยใช้อาวุธตาม ป.อ.
มาตรา ๒๗๗ วรรคสี่

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๒๗๗ วรรคท้าย

กฎหมายใหม่ไม่มีการยกเว้นโทษให้กับจาเลยท่ีจดทะเบียนสมรสกับผู้เสียหายแล้วฎีกาท่ี
ตัดสนิ ไว้ไม่อาจใช้เป็นบรรทดั ฐานได้อกี ต่อไป จึงตัดฎีกาทเี่ คยมอี อกไปท้งั หมด

367

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๒๗๘

ฎีกาที่ ๑๒๙๘๓/๒๕๕๘ การที่จาเลยแอบติดตั้งกล้องบันทึกภาพไว้ท่ีใต้โต๊ะทางานของ
โจทก์ร่วม และบันทึกภาพสรีระร่างกายของโจทก์ร่วมตั้งแต่ช่วงลิ้นปี่จนถึงอวัยวะช่วงขามองเห็น
กระโปรงท่ีโจทกร์ ว่ มสวมใส่ ขาทอ่ นลา่ งและขาทอ่ นบนของโจทก์ร่วม โดยทกี่ ลอ้ งบนั ทึกภาพมีแสงไฟ
สาหรับเพ่ิมความสว่างเพ่ือให้มองเห็นภาพบริเวณใต้กระโปรงของโจทก์ร่วมให้ชัดเจนย่ิงขึ้น
การกระทาของจาเลยส่อแสดงให้เห็นถึงความใคร่และกามารมณ์ โดยท่ีโจทก์ร่วมมิได้รู้เห็น
หรือยินยอม อันเป็นการกระทาที่ไม่สมควรในทางเพศต่อโจทก์ร่วม โดยโจทก์ร่วมตกอยู่ในภาวะ
ที่ไมส่ ามารถขัดขืนได้ แม้จาเลยจะมไิ ด้สัมผัสตอ่ เนื้อตัวร่างกายของโจทก์ร่วมโดยตรง แต่การที่จาเลย
ใช้กล้องบันทึกภาพใต้กระโปรงโจทก์ร่วมในระยะใกล้ชิด โดยโจทก์ร่วมไม่รู้ตัวย่อมรับฟังได้ว่าจาเลย
ได้กระทาโดยประสงค์ต่อผลอันไมส่ มควรในทางเพศต่อโจทก์รว่ ม โดยใช้กาลงั ประทุษร้ายตามมาตรา
๑ (๖) แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งการใช้กาลังประทุษร้ายอันเป็นองค์ประกอบความผิดตาม
ป.อ. มาตรา ๒๗๘ นอกจากหมายความว่า ทาการประทุษร้ายแก่กายแล้ว ยังหมายความว่าทาการ
ประทุษร้ายแก่จิตใจด้วย ไม่ว่าจะทาด้วยใช้แรงกายภาพหรือด้วยวิธีอ่ืนใด และให้หมายความรวมถึง
การกระทาใด ๆ ซ่ึงเป็นเหตุให้บุคคลหน่ึงบุคคลใดอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ การกระทาของ
จาเลยดังกล่าว ทาให้โจทก์ร่วมต้องรู้สึกสะเทือนใจอับอายขายหน้า จึงถือว่าเป็นการประทุษร้ายแก่
จติ ใจของโจทก์รว่ มแล้ว การกระทาของจาเลยจึงเปน็ การกระทาอนาจารโจทกร์ ว่ ม ครบองคป์ ระกอบ
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๘

ห้องตรวจคนไข้ที่เกิดเหตุ เป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาลเนินสง่า อันเป็นสถานท่ีราชการ
ซ่ึงเป็นสาธารณสถาน แม้ประชาชนท่ีไปใช้บริการในห้องตรวจคนไข้ท่ีเกิดเหตุจะต้องได้รับอนุญาต
และผ่านการคัดกรองจากพยาบาลหน้าห้องตรวจก่อน แต่ก็เป็นเพียงระเบียบข้ันตอนและวิธีปฏิบัติ
ในการใช้บริการของโรงพยาบาลเท่าน้ัน หาทาให้ห้องตรวจคนไข้ดังกล่าวซึ่งเป็นสาธารณสถานท่ี
ประชาชนมีความชอบธรรมจะเข้าไปได้ต้องกลับกลายเป็นท่ีรโหฐานแต่อย่างใดไม่ ห้องตรวจคนไข้
ที่เกิดเหตุจึงยังคงเป็นสาธารณสถาน ดังน้ัน การกระทาของจาเลยจึงครบองค์ประกอบความผิดฐาน
กระทาด้วยประการใด ๆ อันเป็นการรังแก หรือข่มเหงผู้อื่น หรือกระทาให้ผู้อ่ืนได้รับความอับอาย
หรอื เดือดรอ้ นราคาญในทสี่ าธารณสถานตาม ป.อ. มาตรา ๓๙๗

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๒๗๙

ฎีกาที่ ๑๒๐๑/๒๕๕๙ ฎ.๓๔๘ จาเลยผลักผู้เสียหายที่ ๑ ซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี
เข้าไปในห้องน้าแล้วถอดกางเกงนักเรียนของผู้เสียหายท่ี ๑ ออกจนเหลือแตก่ างเกงชั้นใน ย่อมทาให้
ผู้เสียหายท่ี ๑ เกิดความอับอาย เพราะมิใช่วิสัยของคนท่ัวไปที่จะเปลือยกายหรือสวมใส่เฉพาะ
กางเกงช้ันในให้บุคคลท่มี ิได้สนิทสนมพบเห็น แม้จาเลยยังไม่ได้แตะเน้ือตัวรา่ งกายของผู้เสยี หายท่ี ๑
การกระทาของจาเลยเปน็ การกระทาท่ีไม่สมควรในทางเพศแลว้ จาเลยมคี วามผิดฐานกระทาอนาจาร

368

แก่ผู้เสียหายที่ ๑ ซ่ึงเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยใช้กาลังประทุษร้ายตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๙
วรรคสอง (เดมิ กฎหมำยใหมค่ อื มำตรำ ๒๗๙ วรรคสำม)

ฎีกาท่ี ๗๖๓๑/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๑๒ การท่ีผู้เสียหายทั้งสามยอมให้จาเลยกระทา
ก็เพราะหลงเชื่อว่าจาเลยเป็นเจ้าพนักงานมีอานาจกระทาได้ เกิดจากความเบาปัญญาอ่อนต่อโลก
ของผู้เสียหาย มิได้เกิดจากความสมัครใจและอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ การที่จาเลยจับและ
ลูบบริเวณแขน หัวไหล่ เต้านม และหน้าท้องของผู้เสียหายท้ังสามเป็นการใช้แรงกายภาพต่อ
ผเู้ สยี หายทงั้ สาม ถอื ได้วา่ เปน็ การใชก้ าลงั ประทุษร้าย

การท่ีจาเลยกระทาอนาจารต่อผู้เสียหาย ขณะผู้เสียหายอยู่ด้วยกันในรถกระบะของจาเลย
ในลักษณะเปิดเผยถอื ได้วา่ เปน็ การกระทาต่อหน้าธารกานลั

จาเลยแสดงตนโดยบอกแก่ผู้เสียหายท้ังสามซึ่งเป็นนักเรียนว่าจาเลยเป็นสารวัตรนักเรียน
และจาเลยได้ตรวจร่างกายผู้เสียหายท้ังสามโดยอ้างว่าเพ่ือเป็นการพิสูจน์ว่าผู้เสียหายทั้งสามติด
ยาเสพติดให้โทษและผ่านการร่วมเพศมาก่อนหรือไม่ ท้ังให้ผู้เสียหายท้ังสามนั่งรถไปกับจาเลย
โดยอ้างว่าจะไปส่งโรงเรียนแล้วกลับพาไปกระทาอนาจาร ซึ่งตาแหน่งสารวัตรนักเรียนเป็นตาแหน่ง
ของเจ้าพนักงานสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ การกระทาของจาเลยจึงเป็นการแสดงตนเป็น
เจ้าพนกั งานและกระทาการเป็นเจา้ พนักงาน

ฎีกาท่ี ๑๙๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๓ น.๔ ขณะผู้เสียหายถูกกระทาอนาจารผู้เสียหายนอนเฉย ๆ
โดยไมข่ ดั ขนื จาเลยไม่ไดท้ ุบตที ารา้ ยผูเ้ สียหาย จาเลยบอกวา่ อย่าให้ผูเ้ สียหายนาเร่อื งน้ีไปบอกคนอื่น
และทาหน้าดุใส่ผู้เสียหาย ผู้เสียหายเห็นแล้วจึงเกิดความกลัวน้ัน ก็เป็นการพูดและแสดงอาการ
หลังจากท่ีจาเลยได้กระทาอนาจารผู้เสียหายเสร็จแล้ว ท้ังยังเป็นการพูดและแสดงอาการเพื่อห้าม
มิให้ผู้เสียหายไปบอกเรื่องดังกล่าวให้ผู้ใดฟัง ซ่ึงมิใช่เป็นการประทุษร้ายหรือขู่เข็ญเพ่ือจะใช้กาลัง
ประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กาลังประทุษร้ายหรือโดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะท่ีไม่สามารถขัดขืนมิให้
จาเลยกระทาอนาจารผู้เสียหาย จาเลยจึงไม่มีความผิดฐานกระทาอนาจารผู้เสียหายโดยผู้เสียหาย
อย่ใู นภาวะไมส่ ามารถขัดขนื ได้ตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๙ วรรคสอง (เดิม กฎหมำยใหม่คือมำตรำ ๒๗๙
วรรคสำม) คงผิดฐานกระทาอนาจารผ้เู สียหายตามมาตรา ๒๗๙ วรรคแรก

ฎีกาท่ี ๑๐๓๒๘/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๒๔๗ จาเลยและผู้เสยี หายมคี วามสมั พนั ธ์กันในฐานะ
ครูกับศษิ ย์ แม้ขณะเกิดเหตจุ ะรับประทานอาหารดว้ ยกันก็ไมม่ ีเหตุท่ีจาเลยจะถูกเนื้อถูกตัวผู้เสียหาย
การท่ีจาเลยโอบกอดผู้เสียหายท่ีไหล่นาน ๑ นาที เป็นการกระทาที่ไม่สมควรในทางเพศ ถือเป็นการ
ลวนลามผู้เสียหายในทางเพศอันเป็นความผิดฐานกระทาอนาจาร แต่จาเลยมิได้กระทาให้ผู้เสียหาย
ต้องจายอมให้จาเลยกระทาอนาจาร เพียงแต่จาเลยถือโอกาสกระทาอนาจารในขณะที่ผู้เสียหาย
นั่งติดกับจาเลยและผู้เสียหายอายเพ่ือนท่ีไปด้วยกันจึงไม่ได้ห้ามจาเลย ยังไม่พอฟังว่าจาเลยกระทา
อนาจารโดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะท่ีไม่สามารถขัดขืนได้ แต่เป็นความผิดฐานกระทาอนาจารแก่เด็ก
อายยุ งั ไมเ่ กนิ สบิ หา้ ปี โดยเด็กนัน้ ไมย่ ินยอมตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๙ วรรคแรก

369

พา พราก ขม่ ขนื กระทาชาเรา กรรมเดียวหรือหลายกรรม

ฎีกาท่ี ๔๔๘๕/๒๕๔๘ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๒๔ การท่ีจาเลยพาผู้เสยี หายไปเพ่อื การอนาจารถือได้
วา่ จาเลยมีเจตนากระทาความผิดฐานหน่งึ แล้ว และการท่จี าเลยพรากผ้เู สยี หายไปเสยี จากบดิ ามารดา
เพ่ือการอนาจาร จาเลยก็มีเจตนากระทาความผิดให้เกิดผลอีกฐานหนึ่งต่างหากจากกัน การกระทา
ของจาเลยดงั กล่าวเป็นความผิดหลายกรรมหาใชก่ รรมเดยี วไม่

สว่ นการที่จาเลยพาผู้เสียหายไปนอนที่บ้านของจาเลย แล้วจาเลยได้กระทาชาเราผู้เสียหาย
เป็นการกระทาความผิดที่ต่อเน่ืองเช่ือมโยงอยู่ในวาระเดียวกันไม่ขาดตอน ซึ่งตามพฤติการณ์จาเลย
กระทาไปโดยมีเจตนาเพื่อจะกระทาชาเราผู้เสียหายเท่านั้น การกระทาของจาเลยในส่วนนี้ซึ่งเป็น
ความผดิ ฐานกระทาชาเราเดก็ หญงิ อายุยงั ไม่เกนิ สิบห้าปี และฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบหา้ ปีไปเพื่อ
การอนาจารเป็นการกระทากรรมเดยี ว มิใช่เปน็ การกระทาความผดิ หลายกรรมต่างกัน
ข้อสังเกต ควำมผิดฐำนพรำกเด็ก ผูป้ กครองของเด็กเป็นผ้เู สยี หำย แต่ควำมผิดฐำนพำเดก็ ไปเพ่ือกำร
อนำจำรตำมมำตรำ ๒๘๓ ทวิ วรรคสอง เด็กเป็นผู้เสียหำย แม้กำรพรำกเด็กและกำรพำเด็กไปเพ่ือ
กำรอนำจำรจะเป็นกำรกระทำเดียว แต่ก็ต้องถือว่ำผกู้ ระทำมีเจตนำท่ปี ระสงค์ให้เป็นควำมผิดต่ำงกัน
จึงเปน็ ควำมผดิ หลำยกรรมต่ำงกนั ตำมมำตรำ ๙๑

กำรกระทำควำมผิดหลำยกรรมที่จะลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงควำมผิดตำมมำตรำ ๙๑ ได้
นั้น ผู้กระทำต้องไดก้ ระทำกำรอันเป็นควำมผิดหลำยกรรมต่ำงกัน กำรกระทำควำมผิดฐำนพำเด็กไป
เพ่ือกำรอนำจำร และฐำนกระทำชำเรำเด็ก แมจ้ ะมีกำรกระทำหลำยกรรม แตก่ ำรกระทำหลำยกรรม
น้ัน ไม่ต่ำงกัน จึงลงโทษทุกกรรมตำมมำตรำ ๙๑ ไม่ได้ ต้องถือว่ำเป็นกรรมเดียว เป็นควำมผิดต่อ
กฎหมำยหลำยบทตำมมำตรำ ๙๐ ดังท่ศี ำลฎกี ำวนิ จิ ฉยั ไว้

ถ้ำมีกำรกระทำควำมผิด ๓ ฐำน คือ ๑. พรำก ๒. พำ ๓. กระทำชำเรำ จะเป็นพรำก
๑ กรรม ส่วน ๒. และ ๓. พำและกระทำชำเรำเป็นกรรมเดียวกัน รวมเป็นผิด ๓ ฐำนแต่ลงโทษ
๒ กรรม

ฎีกาที่ ๔๖๑๐/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๙๘ ความผิดฐานพรากผู้เสียหายไปเพ่ือการอนาจาร
เป็นความผิดต่างกรรมกบั ความผิดฐานกระทาชาเราผเู้ สียหาย เพราะความผิดทั้งสองฐานมีเจตนาใน
การกระทาความผิดเป็นคนละเจตนาแตกต่างกัน และเป็นความผิดต่างฐานกัน แม้จาเลยจะกระทา
ความผิดท้ังสองฐานนี้เกี่ยวเน่ืองกันไป การกระทาของจาเลยก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตาม
ป.อ. มาตรา ๙๑ หาใช่เป็นการกระทากรรมเดียว คือ พรากเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพ่ือ
กระทาชาเราโดยผู้เสียหายยินยอมไม่

ฎีกาท่ี ๑๑๙๖/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๒ น.๙๐ ความผิดฐานกระทาชาเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน
สิบห้าปีตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๗ วรรคแรก และความผิดฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจาร โดยใช้กาลัง
ประทุษร้ายตามมาตรา ๒๘๔ วรรคแรก จาเลยมีเจตนาเดียวกันคือพาผู้เสียหายไปข่มขืนกระทา
ชาเรา จึงเป็นการกระทาอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดตอ่ กฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา
๒๗๗ วรรคแรก ซ่งึ เปน็ บททีม่ โี ทษหนักท่ีสุดตามมาตรา ๙๐

370

ฎีกาท่ี ๗๖๙๕/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๙๙ ความผิดฐานพาผู้เยาว์ไปเพ่ือการอนาจารโดย
ผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย และฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย แม้จาเลย
กระทาในคราวเดียวกัน แต่ก็เป็นความผิดต่อท้ังผูเ้ ยาว์และมารดาของผู้เยาว์ ถอื ได้ว่ามีเจตนากระทา
ความผิดให้เกดิ ผลเปน็ กรรมในความผิดต่างฐานตา่ งหากจากกันจึงเป็นความผิดหลายกรรมตา่ งกนั

ฎีกาที่ ๔๙๔/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๑ น.๓๘ การท่ีจาเลยพรากผูเ้ สียหายท่ี ๑ อายยุ งั ไม่เกินสิบหา้ ปี
ไปเสียจากผู้เสียหายที่ ๒ ซ่ึงเป็นมารดา และผู้เสียหายที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้ปกครองดูแล เพ่ือการอนาจาร
อนั เป็นความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม น้ัน เป็นความผิดที่ได้กระทาให้เกิดความเสียหาย
ตอ่ ผู้เสียหายท่ี ๒ และผู้เสียหายที่ ๓ โดยตรง ถอื ได้ว่าจาเลยมีเจตนากระทาความผดิ ฐานนี้ให้เกิดผล
ข้ึนต่างหากจากความผิดฐานอ่ืน จึงมิใช่กรรมเดียวกับความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวให้ผู้อื่นปราศจาก
เสรีภาพในร่างกาย และฐานกระทาอนาจารเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีโดยใช้กาลังประทุษร้าย ที่จาเลย
กระทาให้เกดิ ความเสียหายต่อผเู้ สยี หายท่ี ๑

ส่วนการที่จาเลยหน่วงเหนี่ยวผู้เสียหายที่ ๑ โดยใช้กาลังดึงแขนและขู่บังคับให้น่ัง
รถจักรยานยนต์ไปกับจาเลย ทั้งทาให้กลัวว่าจะเกดิ อันตรายต่อชีวติ ร่างกาย และทาให้ผู้เสียหายที่ ๑
ต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๐๙ วรรคแรก และมาตรา
๓๑๐ วรรคแรก แล้วจาเลยพาผู้เสียหายท่ี ๑ ไปกระทาอนาจารอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา
๒๗๙ วรรคสอง (เดิม กฎหมำยใหม่คือมำตรำ ๒๗๙ วรรคสำม) นั้น เป็นการกระทาที่ต่อเนื่อง
เช่ือมโยงอยู่ในวาระเดียวกันไม่ขาดตอนและถือว่าจาเลยกระทาไปโดยมีเจตนาเพื่อกระทาอนาจาร
ผู้เสียหายที่ ๑ เป็นสาคัญ การกระทาของจาเลยส่วนนี้จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมาย
หลายบท

ฎีกาที่ ๗๐๐๕-๗๐๐๗/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๖ น.๒๐๘ จาเลยกระทาความผิดฐานพรากผู้เยาว์
อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดแู ล เพ่ือการอนาจาร
โดยผูเ้ ยาวไ์ ม่เต็มใจไปด้วย ฐานพรากเดก็ อายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผ้ปู กครอง หรือ
ผูด้ ูแลเพ่ือการอนาจาร ฐานข่มขืนกระทาชาเรา และฐานกระทาชาเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปี
โดยเด็กหญิงน้ันจะยินยอมหรือไม่ก็ตามต่อผู้เสียหายต่างคนกัน ความผิดฐานดังกล่าวมีเจตนาในการ
กระทาความผิดเป็นคนละเจตนาแตกต่างกนั และเปน็ ความผิดต่างฐานกนั แม้ความผดิ บางฐานจาเลย
ได้กระทาต่อผู้เสียหายแต่ละคนในคราวเดียวกัน การกระทาของจาเลยก็เป็นความผิดหลายกรรม
ตา่ งกัน

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๒๘๐

ฎีกาท่ี ๖๓๘๙/๒๕๖๐ การกระทาอนาจารอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๐ นั้น
จะต้องได้ความว่าผลของความตายของผู้ถูกกระทาอนาจารเกิดจากการกระทาอนาจาร แต่ผู้ตาย
ถูกจาเลยทั้งสองขับรถจักรยานยนต์แซงเบียดจนรถจักรยานยนต์ของผู้ตายล้มลง เป็นเหตุให้ได้รับ

371

บาดเจบ็ และถึงแก่ความตายจากการติดเช้อื ในกระแสโลหิตจากภาวะแทรกซ้อน ความตายของผู้ตาย
ย่อมมิใช่ผลโดยตรงอันเกิดจากการท่ีจาเลยทั้งสองร่วมกันกระทาอนาจารผู้ตาย จาเลยทั้งสองจึงมี
ความผดิ ฐานรว่ มกนั กระทาอนาจารตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๘ เท่าน้นั
ข้อสังเกต ควำมผิดฐำนกระทำอนำจำรจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ควำมตำย เป็นควำมผิด
ที่ผลของกำรกระทำทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้นตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ ๖๓
ผู้กระทำจะต้องรับผิดในผลต่อเม่ือเป็นท้ังผลโดยตรงตำมทฤษฎีเงื่อนไขและเป็นผลธรรมดำตำม
มำตรำ ๖๓ หำกไม่เป็นผลโดยตรงผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิดในผล โดยไม่ต้องพิจำรณำว่ำเป็น
ผลธรรมดำหรือไม่ (ดเู พ่มิ เตมิ ในศำสตรำจำรย์ ดร. เกียรติขจร วจั นะสวัสด์ิ, คำอธบิ ำยกฎหมำยอำญำ
ภำค ๑ เล่ม ๑ พิมพ์คร้ังที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๖๒ หน้ำ ๔๔๐ ถึง ๔๔๑) คดีน้ีแม้ไม่ใช่ผลโดยตรงจำกกำร
ร่วมกันกระทำอนำจำร แต่ก็เป็นผลโดยตรงจำกกำรร่วมกันทำร้ำยและเป็นเหตุแทรกแซงที่จำเลย
คำดหมำยไดจ้ ำเลยทง้ั สองจึงต้องรว่ มกันรับผิดตำมมำตรำ ๒๙๐

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๒๘๑

ฎีกาท่ี ๔๕๙๓/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๓๙ จาเลยกระทาอนาจารจับหน้าอกผู้เสียหาย
ในร้านอาหารซ่ึงมีลูกค้านั่งรับประทานอาหารอยู่ท่ีโต๊ะอ่ืนด้วย และมี น. พนักงานร้านอาหารน้ัน
เห็นจาเลยจับหน้าอกผู้เสียหายขณะ น. เสิร์ฟอาหารอยู่โต๊ะอ่ืน จึงเป็นการกระทาต่อหน้าธารกานัล
และมิใชค่ วามผิดฐานกระทาอนาจารทีจ่ ะยอมความได้ตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๑ ประกอบมาตรา ๒๗๘

ฎีกาท่ี ๔๘๓๖/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๖ น.๑๗๗ คาว่า "อนาจาร" มีความหมายว่าเป็นการกระทา
ต่อเน้ือตัวบุคคลท่ีไม่สมควรทางเพศ ซ่ึงมิได้หมายความเฉพาะการประเวณีหรือความใคร่เท่านั้น แต่
รวมถึงการกระทาให้อับอายขายหน้าในทางเพศด้วย การที่จาเลยกอดเอวโจทก์ร่วม จับมือและ
ดึงแขนโจทก์ร่วมเช่นน้ัน จึงเป็นการกระทาอนาจารแก่โจทก์ร่วมโดยใช้กาลังประทุษร้าย
เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๘ แม้บางตอนจาเลยจะได้กระทาขณะอยู่ในรถยนต์กระบะ
แต่การที่จาเลยจับมือและดึงแขนโจทก์ร่วมให้เข้าไปในห้องพักของโรงแรมขณะอยู่ต่อหน้าพนักงาน
โรงแรมเช่นนั้น เป็นการกระทาโดยเปิดเผยในท่ีซึ่งอาจมีคนเห็นได้ แม้ไม่มีผู้ใดเห็นในขณะกระทานั้น
ก็เป็นธารกานัลแล้ว เพราะการกระทาต่อหน้าธารกานัลมิได้หมายความเฉพาะแต่กระทาโดย
ประการท่ีให้บุคคลอื่นได้เห็นโดยแท้จริงเท่านั้น เพียงแต่กระทาในลักษณะที่เปิดเผยให้บุคคลอื่น
สามารถเห็นได้ก็เปน็ ต่อหน้าธารกานัลแลว้ ดังนัน้ เม่ือจาเลยกระทาอนาจารแก่โจทกร์ ่วมโดยใชก้ าลัง
ประทุษรา้ ยตอ่ หนา้ ธารกานัล จึงเปน็ ความผิดท่ีมิใชค่ วามผิดอนั ยอมความได้

372

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๒๘๒

ฎีกาที่ ๘๘๖๗/๒๕๕๔ ฎ.๑๘๙๖ จาเลยเพียงแต่พูดชักชวนผู้เสียหายซ่ึงเป็นเด็กอายุ
ยังไม่เกินสิบห้าปีให้ไปร่วมหลับนอนกับ อ. สามีของจาเลย แล้วจะให้โทรศัพท์เคล่ือนท่ีและเงิน
เป็นการตอบแทน โดยไม่ปรากฏว่าจาเลยใช้อุบายและพูดไม่จริง หรือจะไม่ให้ส่ิงของดังกล่าว
ตอบแทนเม่ือผ้เู สียหายตกลง จงึ ยังถือไม่ได้วา่ จาเลยใช้อบุ ายหลอกลวง จึงขาดองคป์ ระกอบภายนอก
เก่ียวกับวิธีประกอบการกระทาอันจะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๓ วรรคสาม แต่การที่
ผู้เสียหายทาทีพยักหน้าแต่ไม่ตกลง เท่ากับผู้เสียหายไม่ยินยอม การกระทาของจาเลยจึงครบ
องค์ประกอบความผิดตามมาตรา ๒๘๒ วรรคสาม ซึ่งจาเลยลงมือกระทาความผิดและกระทาไป
ตลอดแล้วแต่ผู้เสียหายไม่ไปด้วย การกระทาของจาเลยไม่บรรลุผลตามท่ีหวังไว้ จึงเป็นการพยายาม
กระทาความผดิ ตามมาตรา ๒๘๒ วรรคสาม

ฎีกาที่ ๖๐๘๗/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๘ น.๑๒๕ จาเลยขับรถจักรยานยนต์มารับ อ. ไปพบ
ผู้ซ้ือบริการทางเพศ แล้วผู้ซื้อบริการทางเพศขับรถยนต์พา อ. ไปร่วมประเวณีโดยจาเลยทราบเร่ือง
การค้าประเวณีของ อ. เป็นอย่างดี และได้กระทาการอันเป็นธุระจัดหาหรือชักพา อ. ไปค้าประเวณี
แม้จะไม่ปรากฏว่าจาเลยได้รับเงินส่วนแบ่งในการค้าประเวณีจาก อ. ก็ตาม จาเลยจึงมีความผิดฐาน
เป็นธุระจัดหาหรือพาไปเพื่อการอนาจาร เพ่ือให้สาเร็จความใคร่ของผู้อื่น และเพื่อการค้าประเวณี
ซึ่งเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน ๑๕ ปี กับฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน ๑๕ ปี ไปจากผู้ปกครองหรือผู้ดูแล
เพื่อหากาไรและเพือ่ การอนาจาร

ฎีกาท่ี ๑๐๖๓๒/๒๕๕๔ ฎ.๒๔๓๖ จาเลยเป็นธุระจัดหาเด็กหญิงซ่ึงเป็นเด็กอายุยังไม่เกิน
สิบห้าปีเพ่ือให้เด็กหญิงกระทาการค้าประเวณีให้แก่สิบตารวจตรี ณ. แม้สิบตารวจตรี ณ. ยังไม่ได้
ร่วมประเวณีกับเด็กหญิงนั้น การกระทาของจาเลยก็เป็นความผิดสาเร็จตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๒
วรรคสาม แล้ว

ฎีกาที่ ๙๖๓๔/๒๕๔๒ ฎ.๒๘๒๘ จาเลยบอกว่ามีคู่ชายหญิงพร้อมจะแลกเปล่ียนคู่นอน
แต่ตอ้ งสมัครเป็นสมาชิกโดยเสยี เงินค่าสมาชิก พรอ้ มทง้ั นาหลกั ฐาน คือ ทะเบียนสมรสและทะเบียน
บ้านมาแสดง การที่จาเลยได้ประกอบอาชีพเก่ียวกับส่ือลามกอนาจารมาโดยตลอด แสวงหา
ผลประโยชน์จากส่ิงลามกอนาจารอันขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมอันดีของประชาชน และจาเลย
เป็นผู้ติดต่อชักชวนให้สมาชกิ มาพบกนั เพอื่ มีการตกลงแลกเปล่ียนคู่นอนกับสายลับของเจ้าพนักงาน
ตารวจ แม้สมาชิกจะตกลงยินยอมตามความสมัครใจกันเอง การกระทาของจาเลยก็ถือว่าเป็นธุระ
จัดหาหรือชักพาไป เพื่อการอนาจารซ่ึงหญิง แม้หญิงนั้นจะยินยอมก็ตาม อันเป็นความผิดตาม ป.อ.
มาตรา ๒๘๒ วรรคแรก

373

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๒๘๓

ฎีกาที่ ๖๒๑๕/๒๕๕๖ ฎ. ๒๐๗๔ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๓ ต้องเป็นธุระจัดหา
ล่อไป หรือพาไปเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น มิใช่กระทาไปเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทาน้ันเอง
หรือร่วมกันกระทาเพ่ือผู้ใดในบรรดาผู้ร่วมกระทาด้วยกัน เมื่อจาเลยและ จ. กับพวกร่วมกัน
พาผู้เสยี หายไปเพอื่ สนองความใครข่ อง จ. ซงึ่ เปน็ ผู้รว่ มกระทาความผิดด้วยกนั การกระทาของจาเลย
ย่อมไมเ่ ป็นความผิดตามมาตรา ๒๘๓

ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๒๘๓ ทวิ

ฎีกาที่ ๔๐๕๗/๒๕๖๐ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๗๕ การพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพ่ือการ
อนาจารอันจะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๓ ทวิ วรรคสอง น้ัน ต้องเป็นการกระทาเพื่อสนอง
ความใคร่ของตนเองหรือผู้ร่วมกระทาความผิดกบั ตน เมื่อจาเลยทงั้ สองกับพวกร่วมกันเป็นธรุ ะจัดหา
และพาผู้เสียหายท่ี ๑ ไป เพื่อให้กระทาการค้าประเวณี อันเป็นการกระทาเพื่อสนองความใคร่ของ
ผอู้ ื่น มิใช่กระทาไปเพ่ือสนองความใครข่ องจาเลยท้ังสองกับพวก การกระทาของจาเลยทง้ั สองจึงเป็น
ความผิดตามมาตรา ๒๘๓ วรรคสาม แต่ไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๒๘๓ ทวิ วรรคสอง ส่วน
ความผิดฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปซ่ึงเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีเพื่อให้กระทาการ
ค้าประเวณีโดยขู่เข็ญ ใช้อานาจครอบงาผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใด ๆ
ฐานค้ามนุษย์โดยร่วมกันกระทาความผิดต้ังแต่สามคนข้ึนไป และฐานเพื่อสนองความใคร่ของผู้อ่ืน
ร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพ่ือการอนาจารซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยขู่เข็ญ
ใช้อานาจครอบงาผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใด ๆ อันเป็นการกระทากรรมเดียว
ผิดต่อกฎหมายหลายบทนั้น ต้องลงโทษจาเลยท้ังสองฐานเพ่ือสนองความใคร่ของผู้อื่น ร่วมกัน
เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยขู่เข็ญ ใช้อานาจ
ครอบงาผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใด ๆ ตามมาตรา ๒๘๓ วรรคสาม ซึ่งเป็น
กฎหมายบทท่มี ีโทษหนกั ท่สี ดุ ตามมาตรา ๙๐

ฎกี าที่ ๑๐๒๘๒/๒๕๕๘ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๖๖ ขณะเกิดเหตุโจทก์ร่วมอยู่ที่บ้าน จ. ซ่ึงเป็นปู่
โดยโจทก์ร่วมได้ไปเยี่ยมปู่และย่าที่บ้านพักและพักอาศัยอยู่ที่นั่น โดยผู้เสียหายท่ี ๒ ได้ส่งโจทก์ร่วม
ไปที่บ้าน จ. เพื่อให้มาดูแลเน่ืองจาก จ. ป่วย จึงถือได้ว่า จ. อยู่ในฐานะผู้ดูแลโจทก์ร่วม โดยได้รับ
มอบหมายจากผู้เสียหายที่ ๒ ฉะน้ัน การที่จาเลยโทรศัพท์ชวนโจทก์ร่วมไปทางาน แล้วขับรถเก๋ง
มารับโจทก์ร่วมไปและต่อมาก็ได้กระทาชาเราโจทก์ร่วม การกระทาของจาเลยดังกล่าวเป็นการ
รบกวนและก้าวล่วงอานาจผู้ดูแลของ จ. ท่ีมีต่อโจทก์ร่วม โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพ่ือการ
อนาจาร อีกทั้งการกระทาของจาเลยยังเป็นความผิดฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพ่ือการ
อนาจารตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๓ ทวิ วรรคสอง ด้วย โดยความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน
สิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร

374

ตามมาตรา ๓๑๗ วรรคสาม จาเลยมีเจตนากระทาต่อผู้ดูแลโจทก์ร่วมเป็นความผิดกรรมหน่ึง
ส่วนความผิดฐานกระทาชาเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซ่ึงมิใช่ภริยาของตนตามมาตรา ๒๗๗
วรรคแรก และความผิดฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพ่ือการอนาจารตามมาตรา ๒๘๓ ทวิ
วรรคสอง จาเลยมีเจตนาเดียวกันคือพาโจทก์ร่วมไปกระทาชาเรา การกระทาของจาเลยจึงเป็น
กรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา ๒๗๗ วรรคแรก ซ่ึงเป็น
กฎหมายบทที่มีโทษหนกั ทสี่ ุดตามมาตรา ๙๐

ฎีกาที่ ๙๓๖๔/๒๕๕๕ ฎ.๑๐๑๘ ผู้เสยี หายยนิ ยอมพรอ้ มใจใหจ้ าเลยกอดจูบตน การกระทา
ของจาเลยจึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๙ วรรคสอง (เดิม กฎหมำยใหม่คือมำตรำ ๒๗๙
วรรคสำม) แต่เป็นความผิดตามมาตรา ๒๗๙ วรรคแรก ฐานกระทาอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกิน
สบิ ห้าปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม และจาเลยยงั มีความผิดตามมาตรา ๒๘๓ ทวิ วรรคสอง
ฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพ่ือการอนาจาร แม้เด็กจะยินยอมก็ตาม การที่จาเล ย
พาผู้เสียหายไปที่บ้านเกิดเหตุโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก ช. บิดาผู้เสียหาย ในขณะเกิดเหตุผู้เสียหาย
มีอายุเพียง ๑๔ ปีเศษและอยู่ในอานาจปกครองของบิดา ย่อมเป็นการล่วงอานาจปกครองของบิดา
ผ้เู สยี หาย แม้ผูเ้ สียหายสมัครใจยินยอมไปกับจาเลยก็ถอื ไม่ได้ว่าได้รับความยนิ ยอมเห็นชอบจากบิดา
ผเู้ สียหาย การกระทาของจาเลยจึงเป็นการพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกนิ สิบห้าปไี ปเสียจาก
บดิ า ทั้งการที่จาเลยทาการกอดจูบผู้เสยี หายด้วยน้ัน ถือได้ว่าเป็นการพรากเด็กไปโดยปราศจากเหตุ
อนั สมควรเพือ่ การอนาจารตามมาตรา ๓๑๗ วรรคสาม

ฎีกาที่ ๑๕๘๖/๒๕๖๒ ฎ.๑๔๑๙ แม้ผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุ ๑๒ ปีเศษ ยังไม่เกินสิบห้าปี
ไปทรี่ ้านจาเลยเอง ยินยอมให้จาเลยพยายามกระทาชาเราและกระทาอนาจาร แต่ผู้เสียหายยังไม่พ้น
จากความปกครองดูแลของมารดา ถือได้ว่าจาเลยพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา
เพ่ือการอนาจาร การกระทาของจาเลยเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม แต่ไม่เป็น
ความผิดฐานพาผ้เู สยี หายที่ ๒ ไปเพ่ือการอนาจารตามมาตรา ๒๘๓ ทวิ วรรคสอง

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๒๘๕

ฎีกาท่ี ๒๔๒๕/๒๕๕๔ ฎ.๑๐๗๒ จาเลยซ่ึงเป็นครูประจาช้ันจูงมือผู้เสียหายไปต่อหน้าบิดา
ผู้เสียหายและคนอ่ืน เป็นการใช้อานาจของครูต่อผู้เสียหายซึ่งเป็นศิษย์แล้ว แม้จาเลยกระทาชาเรา
ต่อศิษยน์ อกเวลาเรยี นกถ็ อื วา่ ศิษย์นนั้ อยใู่ นความดูแล

ฎีกาที่ ๓๑๑๐/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๙ น.๕๐ การที่จาเลยดารงตาแหน่งผู้ชว่ ยครูใหญ่ จาเลยย่อม
มีหน้าท่ีปกครองดูแลผู้เสียหายซ่ึงเป็นศิษย์ของจาเลย เม่ือจาเลยพยายามกระทาชาเราผู้เสียหาย
จาเลยจงึ มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๘๐, ๒๗๗ วรรคสอง, ๒๘๔ วรรคแรก, ๒๘๕

ฎีกาท่ี ๒๗๗/๒๕๕๒ ฎ.ส.ล.๑ น.๓๓ ขณะเกิดเหตุจาเลยเป็นเจ้าอาวาสวัด ส. และเป็น
ประธานกิตติมศักดิ์ของคณะกรรมการมูลนิธิ ห. กับเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิดังกล่าว เม่ือมูลนิ ธิ

375

มีวัตถุประสงค์เผยแผ่พระพุทธศาสนาและรับเด็กยากจนมาอาศัยอยู่ท่ีวัด ส. เพื่อส่งเสียให้ได้รับ
การศกึ ษา การอบรมให้เด็กเหล่านั้นประพฤติอยู่ในศีลธรรมอันดีตามหลักพทุ ธศาสนาและต้ังใจศกึ ษา
เล่าเรียนย่อมอยู่ในวัตถุประสงค์ของมูลนิธิด้วย แม้การเงินของมูลนิธิแยกออกจากวั ดเพราะ
มีฐานะป็นนิติบุคคลแตกต่างกัน แต่จาเลยในฐานะประธานกิตติมศักดิ์ของมูลนิธิย่อมต้องอบรม
ส่ังสอนผู้เสียหายท้ังแปดซึ่งอยู่ในความดูแลของตนให้ปฏิบัติดีเพ่ือบรรลุวัตถุประสงค์นั้นมิให้เงิน
ที่ผู้บริจาคเพื่อการศึกษาของเด็กยากจนสิ้นเปลืองเปล่า เม่ือมูลนิธิมาก่อตั้งภายในอาณาเขตวัด ส.
เด็ก ๆ รวมทั้งผู้เสียหายท้ังแปดย่อมต้องเชื่อฟังจาเลยในฐานะเจ้าอาวาสวัด ส. ดังเช่นที่เป็นศิษย์วัด
อกี สถานหน่ึง กล่าวได้วา่ จาเลยดูแลผู้เสียหายทงั้ แปดในฐานะเป็นครูอาจารยด์ ูแลนกั เรียนในปกครอง
กับฐานะเจ้าอาวาสดูแลศิษย์ไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้น ผู้เสียหายที่ ๑ ถึงท่ี ๘ จึงเป็นศิษย์ซึ่งอยู่ในความ
ปกครองดูแลของจาเลย

ฎีกาที่ ๕๕๕๑/๒๕๕๙ ฎ.๑๑๕๐ ขณะเกิดเหตุจาเลยเป็นครูประจาช้ันประถมศึกษาปีที่ ๒
มิได้เป็นครูประจาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ที่ผู้เสียหายเรียนอยู่ แต่วันเกิดเหตุครูประจาชั้นผู้เสียหาย
ไม่มา จาเลยเข้าไปสอนหนังสอื แทนโดยไม่ปรากฏว่าจาเลยได้รับมอบหมายจากผู้อานวยการโรงเรยี น
หรือไม่ เพียงใด ดังน้ี ไม่เป็นท่ีแน่ชัดว่าจาเลยมีหน้าท่ีควบคุมดูแลปกป้องรักษาผู้เสียหายแค่ไหน
เพียงใด แม้จาเลยกระทาอนาจารแก่ผู้เสียหาย ก็มิใช่กระทาต่อศิษย์ซ่ึงอยู่ในความดูแลอันจะทาให้
ตอ้ งรกั โทษหนักขึ้นตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๕

ฎีกาที่ ๔๒๑/๒๕๔๖ ฎ.๓๓ คาว่า "ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแลตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๕"
ต้องตีความโดยเคร่งครัด ซ่ึงความหมายของข้อความที่ว่าศิษย์ซ่ึงอยู่ในความดูแลนั้น มิได้หมายถึง
เฉพาะผู้ที่มีความสมั พันธ์ในฐานะครหู รืออาจารย์ ซึ่งมีหน้าท่ีสอนศษิ ย์เท่าน้นั แต่ครูหรืออาจารย์น้ัน
ต้องมีหน้าที่ควบคุมดูแลปกป้องรักษาตัวศิษย์และกระทาความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติต่อศิษย์
ในระหว่างมีหน้าท่ีดังกล่าวด้วย จาเลยเป็นเพียงครูหรืออาจารย์สอนกวดวิชาตามที่มีผู้ไปสมัครเรยี น
ตามความสมัครใจ และเมื่อโจทก์ร่วมที่ ๒ สมัครเรียนชาระค่าสมัครเรียนแล้วจะไปเรียนหรือไม่ก็ได้
ข้ึนอยู่กับความสนใจท่ีจะใฝ่หาความรู้ แสดงว่าจาเลยไม่มีหน้าท่ีรับผิดชอบควบคุมดูแลปกป้องรักษา
โจทก์ร่วมที่ ๒ ตลอดระยะเวลาที่ทาการสอน ดังนั้น แม้จาเลยข่มขืนกระทาชาเราโจทก์ร่วมท่ี ๒
ก็มิใช่กระทาต่อศิษย์ซง่ึ อยู่ในความดแู ลของจาเลยอนั จะเป็นผลให้จาเลยต้องรับโทษหนักข้นึ เม่ือการ
กระทาของจาเลยไม่ต้องด้วยกรณีท่ีต้องรับโทษหนักขน้ึ ตามมาตรา ๒๘๕ หากเป็นเพียงความผิดตาม
มาตรา ๒๗๖ วรรคแรก และมิไดเ้ กิดตอ่ หนา้ ธารกานัล ไมเ่ ป็นเหตุให้โจทก์ร่วมท่ี ๒ รบั อันตรายสาหัส
หรอื ถงึ แก่ความตาย จึงเป็นความผิดอนั ยอมความได้ตามมาตรา ๒๘๑ (เดิม แตต่ ำมกฎหมำยใหม่เป็น
ควำมผดิ ที่ไม่อำจยอมควำมได้แล้ว เพรำะจำเลยและผู้เสียหำยมิใชค่ ู่สมรสกันตำมมำตรำ ๒๘๑ (๑))

จาเลยมีความมุ่งหมายท่ีจะกระทาชาเราโจทก์ร่วมที่ ๒ จึงหลอกโจทก์ร่วมท่ี ๒ ว่าจะพาไป
สมคั รแข่งขันวาดภาพโดยใหโ้ จทกร์ ่วมท่ี ๒ ซ้อนทา้ ยรถจกั รยานยนต์ท่ีจาเลยขับไป แต่จาเลยกลบั ขับ
รถจักรยานยนต์พาโจทก์ร่วมที่ ๒ เข้าโรงแรมม่านรูดแล้วข่มขืนกระทาชาเราโจทก์ร่วมที่ ๒
การกระทาของจาเลยเป็นการพรากโจทก์รว่ มท่ี ๒ ซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ไม่เกินสิบแปดปี

376

ไปเสียจากโจทก์ร่วมที่ ๑ ซ่ึงเป็นมารดาเพ่ือการอนาจาร โดยโจทก์ร่วมท่ี ๒ ไม่เต็มใจไปด้วย จึงเป็น
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๘ วรรคสาม

ฎีกาท่ี ๘๗๒๐/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๒๐ ผู้เสียหายเป็นบุตรของ จ. และไม่ปรากฏว่า จ.
ถูกถอนอานาจปกครองหรือมีการแต่งต้ังให้จาเลยเป็นผู้ปกครองผู้เสียหาย ดังน้ัน จ. ซึ่งเป็นมารดา
ผเู้ สยี หายจงึ เปน็ ผู้ใชอ้ านาจปกครองตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๖๖ แม้ จ. มารดาผูเ้ สียหายสง่ ผ้เู สียหาย
มาอยกู่ ับจาเลยและภรยิ าซึ่งเป็นพี่สาวของ จ. ตั้งแต่ยังเล็ก แตอ่ านาจปกครองผเู้ สยี หายก็ยังคงอยกู่ ับ
จ. มารดาผู้เสียหาย ไม่ใช่จาเลย การกระทาของจาเลยต่อผู้เสียหายจึงไม่ใช่การกระทาต่อผู้อยู่ใน
ความปกครองไม่ต้องรับโทษหนักขึ้นตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๕ (เดิม แต่ตำมกฎหมำยใหม่จำเลยต้อง
ระวำงโทษหนักข้ึน แม้จำเลยจะไม่มีอำนำจปกครองผู้เสียหำย เพรำะมำตรำ ๒๘๕ เพิ่มบุคคลที่ได้รับ
ควำมคุ้มครองใหร้ วมถงึ ผอู้ ยภู่ ำยใต้อำนำจดว้ ยประกำรอืน่ ใดดว้ ย)

ฎกี าน่าสนใจมาตรา ๒๘๖

ฎีกาที่ ๒๙๙๓/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๗๙ จาเลยเป็นเจ้าของสถานค้าประเวณีโดยเปิดเป็น
ร้านอาหารอยู่ด้วย มีสุรา อาหาร และเครื่องด่ืมบริการขายแก่ลูกค้า และมีหญิงค้าประเวณีกินอยู่
หลับนอนกับจาเลยในสถานท่ีดังกล่าว แม้พึงคาดหมายได้ว่าจาเลยจะต้องได้รับเงินจากการค้า
ประเวณีซึง่ มีหญิงโสเภณีเป็นองคป์ ระกอบในการดาเนินกิจการของจาเลย รายได้ของจาเลยจึงได้จาก
ลูกค้าท่ีมาเท่ียว มิใช่ได้จากหญิงที่ค้าประเวณีโดยตรง ประกอบกับจาเลยเป็นหญิงมีสามี สามีจาเลย
ประกอบกิจการขนส่งมีรถยนต์บรรทุกสิบล้อใช้ในกิจการถึง ๓ คัน ซ่ึงแม้จาเลยจะไม่มีรายได้จาก
กจิ การค้าประเวณี ก็สามารถดารงชีพอยู่ได้ดว้ ยการอาศัยสามี กรณีจึงถือไม่ได้ว่าจาเลยไม่มีปจั จัยอื่น
หรือไม่มีปัจจัยอันเพียงพอสาหรับดารงชีพ (ฎีกำน้ีเป็นกำรตัดสินตำมกฎหมำยเดิม ไม่อำจใช้เป็น
บรรทัดฐำนตำมกฎหมำยใหม่อีกต่อไป) การกระทาของจาเลยจึงถือไม่ได้ว่าจาเลยดารงชีพแม้เพียง
บางสว่ นจากรายได้ของหญิงซ่ึงคา้ ประเวณี
ข้อสังเกต มำตรำ ๒๘๖ ที่แก้ไขใหม่ ได้ตัดองค์ประกอบควำมผิดตำมมำตรำ ๒๘๖ เดิมที่ว่ำ ผู้ใด
ดำรงชีพอย่แู ม้เพียงบำงส่วนจำกรำยได้ของผู้ซ่ึงค้ำประเวณี โดยไม่มีปัจจัยอย่ำงอื่นอันปรำกฏสำหรับ
ดำรงชีพ หรือไม่มีปจั จัยอนั พอเพียงสำหรบั ดำรงชพี ออกไป ดงั น้ัน ตำมมำตรำ ๒๘๖ ทีแ่ กไ้ ขใหม่ แม้
จำเลยจะมีปัจจัยอย่ำงอ่ืนอีกมำกมำยสำหรับกำรดำรงชีพ ก็เป็นผู้กระทำควำมผิดตำมมำตรำ ๒๘๖
ได้ ฎีกำน้ีไม่อำจใช้เป็นบรรทัดฐำนตำมมำตรำ ๒๘๖ ที่แก้ไขใหม่อีกต่อไป หำกตัดสินตำมมำตรำ
๒๘๖ ที่แก้ไขใหม่ ต้องวินิจฉัยว่ำ จำเลยเป็นเจ้ำของสถำนค้ำประเวณีและมีหญิงค้ำประเวณีกินอยู่
หลับนอนกับจำเลยในสถำนทดี่ ังกลำ่ ว จำเลยเป็นผู้จัดให้มีกำรค้ำประเวณีระหว่ำงผู้ซึ่งคำ้ ประเวณีกับ
ผู้ใช้บริกำรและได้รับประโยชน์ไม่ว่ำรูปแบบใดจำกกำรค้ำประเวณีของผู้อ่ืนหรือจำกผู้ซึ่งค้ำประเวณี
จึงเปน็ ควำมผิดตำมำตรำ ๒๘๖

377

ความผดิ เกีย่ วกับส่ือลามกอนาจารเด็ก

เดิมมาตรา ๒๘๗ จะลงโทษเฉพาะผู้ครอบครองส่ือลามกอนาจารที่มเี จตนาพิเศษเพ่ือการค้า
หรือประกอบการค้าวัตถุลามก แต่ถ้าครอบครองไว้เพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางเพศสาหรับตนเอง
ไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๒๘๗ โดยมิได้แยกว่าเป็นส่ือลามกผู้ใหญ่หรือเด็ก แต่ปัจจุบันการละเมิด
สิทธิเด็กโดยการเผยแพร่ส่ือลามกอนาจารเด็กมีมากข้ึนเร่ือย ๆ สภานิติบัญญัติแห่งชาติจึงได้บัญญัติ
ความผดิ เกีย่ วกับส่อื ลามกอนาจารเดก็ ข้ึนมาค้มุ ครองเด็กตาม พ.ร.บ. แกไ้ ขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมาย
อาญา (ฉบับที่ ๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๘ (ความผิดเก่ียวกับส่ือลามกอนาจารเด็ก) ซ่ึงจะแก้ไขเพิ่มเติม
ประมวลกฎหมายอาญา ดังนี้

มาตรา ๑ (๑๗) “ส่ือลามกอนาจารเดก็ ” หมายความวา่ วตั ถหุ รือสิ่งที่แสดงใหร้ ู้หรือเหน็ ถึง
การกระทาทางเพศของเด็กหรือกับเด็กซ่ึงมีอายุไม่เกินสิบแปดปี โดยรูป เรื่อง หรือลักษณะสามารถ
สื่อไปในทางลามกอนาจาร ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของเอกสาร ภาพเขียน ภาพพิมพ์ ภาพระบายสี
สิง่ พมิ พ์ รูปภาพ ภาพโฆษณา เครอื่ งหมาย รปู ถ่าย ภาพยนตร์ แถบบันทึกเสียง แถบบันทกึ ภาพ หรือ
รูปแบบอ่ืนใดในลักษณะทานองเดียวกัน และให้หมายความรวมถึงวัตถหุ รือสง่ิ ต่าง ๆ ข้างต้นทจ่ี ัดเก็บ
ในระบบคอมพิวเตอร์หรือในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อ่ืนท่ีสามารถแสดงผลให้เข้าใจความหมายได้

มาตรา ๒๘๗/๑ ผู้ใดครอบครองส่ือลามกอนาจารเด็กเพ่ือแสวงหาประโยชน์ในทางเพศ
สาหรับตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหน่ึงแสนบาท หรือทั้งจา
ท้งั ปรบั

ถ้าผู้กระทาความผิดตามวรรคหน่ึงส่งต่อซึ่งส่ือลามกอนาจารเด็กแก่ผู้อ่ืน ต้องระวางโทษ
จาคกุ ไม่เกินเจ็ดปี หรือปรบั ไม่เกินหนง่ึ แสนสีห่ มืน่ บาท หรอื ท้งั จาทงั้ ปรับ

มาตรา ๒๘๗/๒ ผใู้ ด
(๑) เพ่ือความประสงค์แห่งการค้า หรือโดยการค้า เพ่ือการแจกจ่ายหรือเพื่อการแสดงอวด
แก่ประชาชน ทา ผลิต มีไว้ นาเขา้ หรือยังให้นาเข้าในราชอาณาจกั ร ส่งออกหรอื ยังให้ส่งออกไปนอก
ราชอาณาจกั ร พาไปหรอื ยังใหพ้ าไปหรอื ทาใหแ้ พรห่ ลายโดยประการใด ๆ ซงึ่ ส่ือลามกอนาจารเดก็
(๒) ประกอบการค้า หรือมีส่วนหรือเข้าเกี่ยวข้องในการค้าเก่ียวกับส่ือลามกอนาจารเด็ก
จ่ายแจกหรอื แสดงอวดแกป่ ระชาชนหรอื ใหเ้ ช่าสื่อลามกอนาจารเด็ก
(๓) เพื่อจะช่วยการทาให้แพร่หลาย หรือการค้าสื่อลามกอนาจารเด็กแล้ว โฆษณาหรือ
ไขข่าวโดยประการใด ๆ ว่ามีบุคคลกระทาการอันเป็นความผิดตามมาตรานี้ หรือโฆษณาหรือไขข่าว
ว่าสื่อลามกอนาจารเดก็ ดังกลา่ วแล้วจะหาได้จากบุคคลใด หรือโดยวิธีใด
ต้องระวางโทษจาคกุ ตงั้ แตส่ ามปีถึงสิบปี และปรับต้งั แตห่ กหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
ตามกฎหมายท่ีแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวหากผู้ใดครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็ก เพือ่ แสวงหา
ประโยชน์ในทางเพศสาหรบั ตนเองหรือผู้อื่นจะเป็นความผิดตามมาตรา ๒๘๗/๑ วรรคหน่ึง ถ้าส่งต่อ
ซึง่ สื่อลามกอนาจารเด็กแก่ผู้อื่นจะเป็นความผิดตามมาตรา ๒๘๗/๑ วรรคสอง แต่ถ้าเป็นการกระทา
เพ่อื การค้าหรอื ประกอบการค้าส่อื ลามกอนาจารเดก็ จะเป็นความผิดตามมาตรา ๒๘๗/๒

378

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๓๑๒ ตรี

ฎีกาที่ ๔๑๔๗/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๑๔ จาเลยโทรศัพท์นัดหมายให้ ย. พาเพื่อนไปขาย
บริการทางเพศแก่จาเลย ย. จึงชักชวนเด็กหญิง ด. เด็กหญิง อ. และเด็กหญิง ส. ไปกระทาการ
ดังกล่าว แล้วจาเลยรับตัวเด็กหญิงท้ังสามไว้กระทาชาเราโดยเด็กหญิงทั้งสามยินยอมท่ีโรงแรม ผ.
เป็นการล่วงอานาจปกครองของโจทก์ร่วมที่ ๒ ท่ี ๕ และที่ ๓ ตามลาดับ โดยปราศจากเหตุอัน
สมควรเพ่อื การอนาจาร การกระทาของจาเลยเป็นการกระทาชาเราเด็กหญิง ด. อายุยงั ไม่เกิน ๑๕ ปี
ซึ่งมิใช่ภริยาของตน และพรากเด็กหญิง ด. โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร กระทา
ชาเราเด็กหญิง อ. อายุยงั ไม่เกิน ๑๕ ปี ซ่ึงมใิ ชภ่ รยิ าของตน และพรากเดก็ หญิง อ. โดยปราศจากเหตุ
อันสมควรเพื่อการอนาจาร และกระทาชาเราเด็กหญิง ส. อายุยังไม่เกิน ๑๕ ปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตน
และพรากเด็กหญิง ส. โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพ่ือการอนาจาร แต่การกระทาของจาเลย
ดังกล่าวมิใช่เป็นการรับไว้หรือล่อไปซ่ึงเด็กอายุยังไม่เกิน ๑๕ ปี โดยทุจริตเพราะจาเลยหาได้รับ
เด็กหญิงท้ังสามไว้เพ่ือแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสาหรับตนเองหรือผู้อ่ืนไม่
เนื่องจากจาเลยมีเจตนาประสงค์จะกระทาชาเราเด็กหญิงทั้งสามเท่าน้ัน การกระทาของจาเลย
จึงไมเ่ ป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๒ ตรี วรรคสอง

ผู้ท่ีถกู พรากต้องอยภู่ ายใตอ้ านาจปกครอง

ฎีกาที่ ๔๕๒๓/๒๕๕๔ ฎ.๑๒๗ คาว่า “บิดาหรือผู้ดูแล ตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๘
หมายรวมถึง บิดาหรือผู้ดูแลผู้เยาว์ตามความเป็นจริงด้วย แม้จะเป็นบิดามารดาหรือผู้ปกครองตาม
กฎหมายดังกล่าว หากไม่ได้ใช้อานาจปกครองดูแลผู้เยาว์ก็อาจส้ินสุดลงได้ และความปกครองดูแล
โดยพฤตนิ ัยนนั้ กอ็ าจสน้ิ สุดลงได้เช่นกัน

ส. บิดาของผู้เสียหายได้แยกทางกับมารดาของผู้เสียหายและไปมีภริยาใหม่ ไม่ได้อุปการะ
เล้ียงดูผู้เสียหายมานาน ๗ ปีแล้ว และผู้เสียหายไปอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของ บ. ผู้เป็นยาย
ผู้เสียหายจึงมิได้อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูและอานาจปกครองดูแลของ ส. ผู้เป็นบิดาแล้ว ส่วน บ.
แม้เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูผู้เสียหายอยู่กอ่ นเกิดเหตุ แต่ก่อนเกิดเหตุประมาณ ๑๐ กว่าวัน ผู้เสียหายได้
หลบหนีออกจากบ้าน บ. ไปอยู่กับ ด. ผู้เป็นพี่สาวและรับจ้างทางานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้าน
คาราโอเกะซึ่งอยู่ต่างอาเภอกัน ท้ัง บ. ก็ไม่ทราบวา่ ผู้เสียหายหลบหนีไปอยทู่ ี่ไหนกับผใู้ ดและติดตาม
หาไม่พบ ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุ ๑๕ ปีเศษแล้ว และเคยออกจากบ้านไปอยู่กินฉันสามีภริยา
กับ ป. มาก่อน แสดงว่าผู้เสียหายโตเป็นผู้ใหญ่ท่ีมีประสบการณ์ชีวิตไม่น้อย พฤติการณ์บ่งช้ีว่า
ผู้เสียหายสมัครใจหลบหนีออกจากบ้านเจตนาไปทางานเลี้ยงชีพพึ่งตนเองโดยลาพังไม่ประสงค์
จะพ่ึงพาอาศัยอยู่ในความอุปการะเล้ียงดูและในความดูแลของ บ. ผู้เป็นยายอีกต่อไป ผู้เสียหาย
จึงขาดจากความดูแลของ บ. ผู้เป็นยายแล้ว หาใช่ว่าผู้เสียหายไปจากความดูแลเพียงช่ัวคราวไม่
การกระทาของจาเลยท้ังส่ีถือไม่ได้ว่าเป็นการพรากผู้เสียหายไปเสียจากความปกครองดูแลของบิดา

379

และยายของผู้เสียหาย จึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกิน
สิบแปดปไี ปเสียจากบิดามารดา ผูป้ กครองหรอื ผดู้ ูแล โดยผเู้ ยาวน์ ้ันไมเ่ ต็มใจไปดว้ ยตามมาตรา ๓๑๘

ฎีกาที่ ๕๙๘๙/๒๕๔๘ ฎ.ส.ล.๙ น.๑๗๐ ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๙
หมายความว่า ผู้กระทาความผิดได้กระทาการอันเป็นการละเมิดต่ออานาจปกครองของบิดามารดา
หรือต่อผู้ปกครองหรือต่อผู้ดูแลของผู้เยาว์ คดีนี้บิดาของผู้เสียหายมิได้จดทะเบียนสมรสกับมารดา
ผ้เู สียหาย จงึ มใิ ช่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่บิดาและมารดาของผูเ้ สียหายไดเ้ ลิกรา้ งกันมานานถึง
๑๗ ปี โดยผู้เสยี หายอยใู่ นความอปุ การะเล้ียงดขู องบิดามาตลอด บดิ าของผเู้ สียหายจงึ เป็นผู้ปกครอง
ผเู้ สียหาย การกระทาของจาเลยจงึ เปน็ ความผิดฐานพรากผูเ้ ยาว์ไปเสยี จากผูป้ กครอง

ฎีกาท่ี ๑๒๖๔/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๐๓ แม้ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ ๑ จะไม่ได้พักอาศัย
อยู่กับบิดามารดาเนื่องจากบิดาเสียชีวิตแล้วและมารดามีสามีใหม่ แต่ผู้เสียหายที่ ๒ น้าสะใภ้ของ
ผู้เสียหายที่ ๑ เป็นผู้เล้ียงดูผู้เสียหายท่ี ๑ ต้ังแต่ยังเป็นเด็ก ต่อมาผู้เสียหายท่ี ๑ พักอาศัยท่ีบ้านของ
ผู้เสียหายที่ ๑ เอง แต่ก็ห่างจากบ้านผู้เสียหายที่ ๒ เพียง ๕๐ เมตร และมารดาของผู้เสียหายที่ ๑
มาหาผ้เู สียหายที่ ๑ บ้าง ในคืนเกิดเหตุเจ้าพนักงานตารวจมาพบผู้เสียหายที่ ๒ ขอใหไ้ ปสถานตี ารวจ
เน่อื งจากผู้เสียหายที่ ๑ บอกเจ้าพนกั งานตารวจว่าผู้เสยี หายที่ ๒ เป็นผู้ปกครอง แสดงวา่ อานาจการ
ปกครองดูแลผู้เสียหายท่ี ๑ ผู้เยาวซ์ ่ึงอายุ ๑๗ ปเี ศษ ยงั อยู่กบั ผเู้ สียหายที่ ๒ การท่ีจาเลยท่ี ๒ และท่ี
๓ กับพวกพาผ้เู สียหายที่ ๑ ไปที่บ้านเกิดเหตแุ ล้วร่วมกนั ขม่ ขนื กระทาชาเราผู้เสยี หายที่ ๑ ในขณะที่
ผู้เสียหายท่ี ๑ พยายามท่ีจะหลบหนี เป็นการพรากผู้เสียหายท่ี ๑ ไปเสียจากผู้ปกครองหรือผู้ดูแล
โดยผเู้ สยี หายที่ ๑ ไมเ่ ต็มใจไปด้วยเพ่อื การอนาจารแล้ว

ฎีกาที่ ๕๖๒๐/๒๕๕๒ ฎ.๙๗๑ บิดามารดาของเด็กทั้งสามมีฐานะยากจนต้องออกทางาน
หาเลี้ยงชีพในแต่ละวัน จึงต้องปล่อยให้เด็กท้ังสามเที่ยวเล่นอยู่ตามลาพังตามประสาเด็กเท่านั้น
แต่เมื่อเด็กทั้งสามไม่กลับบ้านตามปกติ บิดามารดาของเด็กทั้งสามก็ตามหาและแจ้งแก่เจ้าพนักงาน
ตารวจ ถือว่ายังเป็นการใช้อานาจปกครองเด็กทั้งสามอยู่ การท่ีจาเลยท้ังสองชักชวนเด็กทั้งสามคน
ไปทางานบ้านอยู่กับจาเลยทั้งสองท่ีจังหวัดสุพรรณบุรี แต่กลับพาไปบวชเป็นสามเณรแล้วพาออก
แจกซองผ้าป่าตามจังหวัดต่าง ๆ เร่ียไรเงินจากชาวบ้านแล้วแบ่งผลประโยชน์กันโดยไม่ได้รับความ
ยินยอมจากบิดามารดาของเด็กทั้งสามคน จึงเป็นการพรากเด็กทั้งสามคนไปจากบิดามารดาหรือ
ผปู้ กครองดูแลโดยปราศจากเหตอุ ันสมควร

จาเลยท้ังสองพาเด็กชายท้ังสามไปบวชเป็นสามเณรแล้วพาออกแจกซองผ้าป่าตามจังหวัด
ต่าง ๆ เรี่ยไรเงินจากชาวบ้านแล้วแบ่งผลประโยชน์กัน พฤติการณ์ของจาเลยทั้งสองจึงเป็นความผิด
ฐานพรากเด็กชายทั้งสามซ่ึงอายุไม่เกิน ๑๕ ปี ไปเสียจากบิดามารดาหรือผู้ปกครองดูแล โดย
ปราศจากเหตุอนั สมควรเพ่ือหากาไรตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม

380

เป็นการพราก

ฎีกาที่ ๒๙๗๓/๒๕๕๖ ฎ. ๘๔๘ คาว่า “พราก”ีในความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน
สิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควรตาม ป.อ. มาตรา
๓๑๗ หมายความว่า พาไปหรือแยกเด็กออกไปจากอานาจปกครองดูแล ทาให้อานาจปกครองดูแล
ของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเด็กถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยบิดามารดา
ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเด็กไม่รู้เห็นยินยอมด้วย อันเป็นการล่วงละเมิดอานาจปกครองของบิดามารดา
ผ้ปู กครองหรอื ผู้ดูแลเด็ก ทั้งนี้ไม่ว่าเด็กจะไปอยู่ทีใ่ ด หากบดิ ามารดาผู้ปกครองหรอื ผู้ดูแลยังเอาใจใส่
เดก็ ยอ่ มอยู่ในอานาจปกครองของบิดามารดา ผ้ปู กครองหรอื ผู้ดูแลตลอดเวลา

วันเกิดเหตุกระทาความผิดคร้ังแรกผู้เสียหายท่ี ๒ ซึ่งเป็นมารดาอนุญาตให้ผู้เสียหายท่ี ๑
อายุ ๑๒ ปีเศษ ไปทารายงานกับเพื่อนที่โรงเรียน ส่วนการกระทาความผิดคร้ังหลังผู้เสียหายท่ี ๒
ใช้ให้ผู้เสียหายท่ี ๑ ไปซ้ือของที่ตลาด ดังนี้ อานาจปกครองของผู้เสียหายท่ี ๑ ยังคงอยู่ที่ผู้เสียหาย
ท่ี ๒ แม้ผู้เสียหายท่ี ๑ จะโทรศัพท์ชักชวนจาเลยให้มารับหรือนัดหมายให้จาเลยมาพบกัน แต่การท่ี
จาเลยมารับผู้เสียหายท่ี ๑ แล้วพาไปยังที่เกิดเหตุและกระทาชาเราผู้เสียหายท่ี ๑ ย่อมทาให้อานาจ
ปกครองของผู้เสียหายท่ี ๒ ทมี่ ีต่อผูเ้ สยี หายท่ี ๑ ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือน การกระทาของ
จาเลยจงึ เป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา ผ้ปู กครองหรือผู้ดูแลโดย
ปราศจากเหตอุ ันสมควรเพอื่ การอนาจาร

ฎีกาที่ ๑๕๘๖/๒๕๖๒ ฎ.๑๔๑๙ แม้ผู้เสียหายซ่ึงเป็นเด็กอายุ ๑๒ ปีเศษ ยังไม่เกินสิบห้าปี
ไปท่ีร้านจาเลยเอง ยินยอมให้จาเลยพยายามกระทาชาเราและกระทาอนาจาร แต่ผู้เสียหายยังไม่พ้น
จากความปกครองดูแลของมารดา ถือได้ว่าจาเลยพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา
เพ่ือการอนาจาร การกระทาของจาเลยเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม แต่ไม่เป็น
ความผดิ ฐานพาผู้เสยี หายท่ี ๒ ไปเพอื่ การอนาจารตามมาตรา ๒๘๓ ทวิ วรรคสอง

ฎกี าท่ี ๔๐๕๗/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๙๙ ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม มีความมงุ่ หมายทีจ่ ะ
คุ้มครองอานาจของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลผู้เยาว์ อันไม่ใช่ตัวผู้เยาว์ท่ีถูกพราก และ
ปกป้องมิให้ผู้ใดมาก่อการรบกวนหรือกระทาการอันใด ๆ อันเป็นการกระทบกระท่ังต่ออานาจ
ปกครอง ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยปริยาย ผู้เยาว์แม้จะไปอยู่ที่แห่งใดหากบิดามารดา ผู้ดูแล หรือ
ผู้ปกครองยังดูแลเอาใจใส่อยู่ ผู้เยาว์ย่อมอยู่ในอานาจปกครองดูแลของบิดามารดา ผู้ดูแล หรือ
ผู้ปกครองตลอดเวลาโดยไม่ขาดตอน ทั้งเป็นการลงโทษผู้ที่ละเมิดต่ออานาจปกครองดูแลผู้เยาว์ของ
บิดามารดา ผู้ดูแล หรือผู้ปกครอง นอกจากนี้กฎหมายมิได้จากัดคาว่า "พราก" โดยวิธีการอย่างใด
และไม่ว่าผู้เยาว์จะเป็นฝ่ายออกจากบ้านเองหรือโดยมีผู้ชักนาหรือไม่มีผู้ชักนา หากมีผู้กระทาต่อ
ผู้เยาว์ในทางเสื่อมเสียและเสียหายย่อมถือได้ว่าเป็นความผิด การที่ผู้เสียหายท่ี ๑ ซ่ึงอาศัยอยู่กับ
ผู้เสยี หายที่ ๒ ซึ่งเป็นบิดาออกจากบา้ นไปเล่นกับเพ่ือนในที่เกิดเหตุซ่ึงอยู่ไม่ไกลจากบ้าน ไม่ว่าจะขอ
อนุญาตผู้เสียหายที่ ๒ หรือไม่ก็ตาม เมื่อถูกจาเลยพาไปกระทาชาเรา การกระทาของจาเลยดังกล่าว
ทาให้อานาจปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ ๒ ซ่ึงเป็นบิดาย่อมถูกตัดขาดพรากไปแล้วโดยปริยาย หา

381

ใช่ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามมาตราน้ีจะต้องถึงขนาดเป็นการกระทาที่ต้องพาไปหรือแยกผู้เยาว์
ออกไปจากความปกครองตั้งแต่ออกจากบ้านถึงจะทาให้ความปกครองถูกรบกวนหรือถูก
กระทบกระเทือนแล้วจึงเป็นความผิด ดังนั้น เม่ือผู้เสียหายที่ ๑ ออกจากบ้านแล้วถูกจาเลยกระทา
ลกั ษณะเส่อื มเสียเย่ยี งนี้ ถอื ได้วา่ เป็นการพาและแยกผู้เยาวไ์ ปจากความปกครองดูแล และล่วงละเมิด
อานาจปกครองของผู้เสียหายที่ ๒ ซึ่งเป็นบิดา อันเป็นความหมายของคาว่าพรากแล้ว การกระทา
ของจาเลยจงึ เป็นความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม

ฎีกาท่ี ๔๘๙/๒๕๖๑ ฎ.๖๒ การกระทาโดยปราศจากเหตอุ ันสมควร พรากเด็กอายุยงั ไมเ่ กิน
สิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม ไม่ต้อง
ถึงขนาดเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังทาให้เด็กปราศจากอิสระในการเคล่ือนไหว เพราะการกระทา
เช่นน้ันจะเป็นความผิดต่อเสรีภาพอีกต่างหาก “พราก” ตามพจนานุกรมมีความหมายว่า จากไป
หรือแยกออกจากกัน ดังนั้น สาระสาคัญจึงอยู่ที่ว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ ๒ ซึ่งเป็นเด็กยังอยู่ใน
อานาจปกครองของผู้เสียหายท่ี ๑ การท่ีจาเลยนัดแนะหรือแยกผู้เสียหายท่ี ๒ ไปยังท่ีต่าง ๆ ใน
โรงเรียน จาเลยได้รับความยินยอมจากผูเ้ สียหายท่ี ๑ หรอื ไม่ และมีเหตผุ ลอันสมควรหรอื ไม่ โดยบท
กฎหมายดังกล่าวประสงค์ที่จะลงโทษผู้ท่ีละเมิดอานาจปกครองดูแลเด็กของบิดามารดา ผู้ปกครอง
หรือผู้ดูแล อันเป็นการคุ้มครองเด็กมิให้ถูกล่อลวงไปในทางเสียหาย ดังน้ัน แม้หลังถูกกระทาชาเรา
ผู้เสียหายที่ ๒ มิได้ถูกจาเลยหน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง มีอิสระในการเคล่ือนไหว และสามารถกลับไป
เรียนตามปกติได้ ก็เป็นการล่วงละเมิดอานาจปกครองของผู้เสียหายที่ ๑ โดยปราศจากเหตุอัน
สมควร เพื่อการอนาจารแลว้

ฎีกาที่ ๔๒๖๓/๒๕๕๙ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๔๓ ความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยัง
ไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วยตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๘ น้ัน
เห็นว่า คาว่า “พราก” หมายความว่าพาไปหรือแยกผู้เยาว์ออกไปจากอานาจปกครองดูแล โดย
ไม่จากัดว่าจะกระทาด้วยวิธีใด ทาให้อานาจปกครองดูแลของบิดามารดา ถูกรบกวนหรือถูกกระทบ
โดยบิดามารดาผู้เยาว์ไม่รู้เห็นยินยอมด้วย อันเป็นการล่วงละเมิดอานาจปกครองของบิดามารดา
ผเู้ ยาว์ ท้ังนไ้ี มว่ ่าผู้เยาวจ์ ะไปอยู่ท่ีใด หากบดิ ามารดายังเอาใจใสผ่ ู้เยาว์ ยอ่ มอยใู่ นอานาจปกครองของ
บิดามารดาตลอดเวลา การพรากผูเ้ ยาว์ ไม่ว่าผู้พรากผู้เยาว์จะเป็นฝ่ายชักชวนโดยมีเจตนามุ่งหมายที่
จะกระทาชาเราผูเ้ ยาว์เพยี งอย่างเดียว กย็ อ่ มเป็นความผิดทั้งสิน้

ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายท่ี ๒ ได้ขออนุญาตผู้เสียหายที่ ๑ ซ่ึงเป็นมารดา ไปเล่นกีฬา
วอลเลยบ์ อลที่สนามวอลเลย์บอลของโรงเรียน ระหว่างน้ันจาเลยได้ชักชวนผู้เสยี หายท่ี ๒ ไปพูดคุยท่ี
บรเิ วณหน้าห้องน้า แล้วจาเลยพาผู้เสียหายท่ี ๒ เข้าไปในห้องน้าชายและกระทาชาเราผู้เสียหายที่ ๒
ดังน้ี อานาจปกครองของผู้เสียหายที่ ๒ จึงยังคงอยู่ท่ีผู้เสียหายท่ี ๑ การท่ีจาเลยชักชวนผู้เสียหายที่
๒ ไปที่บริเวณห้องน้าแล้วกระทาชาเราผู้เสียหายท่ี ๒ โดยไม่ไดร้ ับอนุญาตหรือยินยอมจากผู้เสียหาย
ท่ี ๑ ย่อมทาให้อานาจปกครองของผู้เสียหายที่ ๑ ท่ีมีต่อผู้เสียหายท่ี ๒ ถูกรบกวนหรือถูกกระทบ
กระเทือน โดยผู้เสียหายที่ ๑ ไม่รู้เห็นยินยอมด้วย การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานพราก

382

ผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย เพ่ือ
การอนาจารตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๘ วรรคสาม

ฎกี าที่ ๘๗๖๗/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๑๘๒ คาวา่ "พา" หมายความว่า นาไปหรือพาไป ส่วน
คาว่า "พราก" หมายความว่า การพาไปหรือแยกเด็กออกไปจากอานาจปกครองดูแลทาให้อานาจ
ปกครองดูแลของบิดามารดาเด็กถูกรบกวนหรือกระทบกระเทือนโดยบิดามารดาเด็กไม่รู้เห็นยินยอม
อันเป็นการมุ่งหมายเพ่ือยึดครองอานาจปกครองของบิดามารดาผู้ปกครองหรือผดู้ ูแลที่มีต่อเด็ก มิให้
ผ้ใู ดล่วงละเมิดด้วยการพาไปหรอื แยกเด็กออกจากความปกครองดแู ล โดยไมจ่ ากัดว่า จะกระทาด้วย
วธิ กี ารใด และไมค่ านึงถงึ ระยะทางใกลไ้ กล ดังนั้น การทจี่ าเลยใช้กลวิธีด้วยการตะโกนเรยี กผู้เสียหาย
ท่ี ๒ ให้เข้าไปหาจาเลย และแมท้ ่ีเกิดเหตุจะอยู่ห่างจากบรเิ วณท่ผี ู้เสียหายที่ ๒ เลน่ อย่กู ับเพื่อนเพียง
๗ เมตร กับแม้จะอยู่ในบริเวณอู่ซ่อมรถด้วยกันก็ตาม ถือได้ว่าจาเลยพาผู้เสียหายที่ ๒ ไปและพราก
ผู้เสียหายท่ี ๒ ไปเสียจากผู้เสียหายที่ ๑ การกระทาของจาเลยดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานพาเด็ก
อายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารและฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร

ฎีกาท่ี ๑๐๒๗๒/๒๕๕๙ พฤติการณ์ที่จาเลยเป็นฝ่ายโทรศัพท์นัดหมายผู้เสียหายที่ ๑
แลว้ ขบั รถจักรยานยนต์พา อ. น่ังซอ้ นท้ายไปรับผเู้ สียหายที่ ๑ หนา้ โรงเรยี นและพาออกนอกเสน้ ทาง
ไปท่ีร้านถ่ายรูป และไปขายบริการท่ีโรงแรมก็ดี และมีการรับตัวผู้เสียหายที่ ๑ ไปพักท่ีบ้าน ด. ก็ดี
แลว้ ผูเ้ สยี หายท่ี ๑ ถูก อ. กระทาชาเรา ล้วนบ่งช้ใี ห้เห็นวา่ จาเลยกับ อ. ได้นัดกันไว้แล้วลว่ งหน้า แม้
ผู้เสียหายท่ี ๑ จะยินยอมสมัครใจเดินทางไปทุกหนแห่งกับจาเลยและ อ. รวมทั้งยินยอมให้ อ.
กระทาชาเราก็ตาม แต่ผู้เสียหายท่ี ๒ ซึ่งเป็นมารดาของผู้เสียหายท่ี ๑ มิได้ตกลงยินยอมด้วย
การกระทาของจาเลยจึงเป็นการก้าวล่วงกระทบกระเทือนต่ออานาจปกครองของผู้เสียหายที่ ๒ และ
ขณะเกิดเหตุผ้เู สยี หายที่ ๑ อายุเพยี ง ๑๔ ปเี ศษ ความยินยอมของผู้เสยี หายท่ี ๑ หาได้มผี ลทาใหก้ าร
กระทาของจาเลยไม่เป็นความผิดแต่อย่างใดไม่ พฤติการณ์ของจาเลยมีลักษณะเป็นการแบ่งหน้าที่
กันทาระหว่างจาเลยกับพวก การกระทาของจาเลยจึงเป็นตัวการร่วมกระทาความผิดฐานพรากเด็ก
อายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจารและร่วมกัน
พาเด็กอายุยังไมเ่ กินสบิ ห้าปีไปเพื่อการอนาจาร หาใช่เปน็ เพยี งผู้สนับสนุนไม่

ฎีกาท่ี ๓๔๑๙/๒๕๕๙ ฎ.๘๓๒ บ้านท่ีเกิดเหตุอยู่ห่างจากบ้านของผู้เสียหายที่ ๒ ประมาณ
๓๐ เมตร ขณะเกดิ เหตุผู้เสียหายท่ี ๑ เล่นขายของอยู่กับเพื่อนในบรเิ วณนั้น จาเลยดึงแขนผู้เสยี หาย
ที่ ๑ ข้ึนบ้านและข่มขืนกระทาชาเราผู้เสียหายท่ี ๑ ถือได้ว่าขณะนั้นผู้เสียหายท่ี ๑ ยังอยู่ในความ
ปกครองและการดูแลของผู้เสียหายท่ี ๒ ผู้เป็นยาย การกระทาของจาเลยเป็นการแยกสิทธิในการ
ปกครองและดูแลผู้เสียหายที่ ๑ ไปจากผู้เสียหายที่ ๒ จึงเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน
สิบห้าปีไปเสียจากผู้ปกครองหรือผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพ่ือการอนาจารตาม ป.อ.
มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม

ฎีกาที่ ๗๕๙/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๒ น.๓๒ ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสีย
จากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคแรก กฎหมายมุ่งประสงค์ท่ีจะ

383

ลงโทษผู้ท่ีละเมิดอานาจปกครองดูแลเด็กของบุคคลดังกล่าว อันเป็นการคุ้มครองเด็กมิให้ถูกล่อลวง
ไปในทางเสียหาย ดังนั้น การกระทาท่ีจะเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจาก
บิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล จึงไม่ต้องถึงขนาดเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังทาให้เด็กปราศจาก
อิสระในการเคลื่อนไหวหรือควบคุมเด็กไว้ เพราะการกระทาเช่นน้ันจะเป็นความผิดต่อเสรีภาพอีก
ต่างหาก การจะเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง
หรือผดู้ ูแลตามมาตรา ๓๑๗ วรรคแรก สาระสาคญั จึงอยู่ที่ว่าการพาไปหรือแยกเด็กไปนั้นได้รับความ
ยินยอมจากบุคคลดังกล่าวให้ไปกับบุคคลที่พาไปหรือไม่ หรือมิฉะน้ันบุคคลที่พาเด็กน้ันไปจะต้อง
มีเหตุอันสมควร หากการพาหรือแยกเด็กออกไปจากอานาจปกครองดูแลของบิดามารดา ทาให้
อานาจปกครองดูแลของบิดามารดาเด็กถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยบิดามารดาเด็ก
ไม่รู้เห็นยินยอมด้วย อันเป็นการล่วงละเมิดอานาจปกครองของบิดามารดาเด็ก การกระทาดังกล่าว
ย่อมเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล
สาหรับการกระทาอนาจารหมายถึง การกระทาที่ไม่สมควรทางเพศ เช่น กอดจูบ ลูบคลา แตะต้อง
เนอื้ ตัวรา่ งกายในทางไมส่ มควร

ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ ๓ ซ่ึงเป็นเด็กอายุ ๑๐ ปีเศษ ยังอยู่ในอานาจปกครองของ
ผู้เสียหายท่ี ๑ และที่ ๒ ซ่ึงเป็นบิดามารดา การท่ีจาเลยใช้กาลังประทุษร้ายถีบรถจักรยานยนต์ท่ี
ผู้เสียหายท่ี ๓ ขี่มาจนผู้เสียหายที่ ๓ จาต้องหยุดรถ จากนั้นจาเลยจับแขนดึงผู้เสียหายที่ ๓ เข้ามา
กอด หอมที่ซอกคอ จับนมของผู้เสียหายที่ ๓ แล้วล็อกคอของผู้เสียหายท่ี ๓ ลากเข้าไปในป่ามัน
สาปะหลงั ข้างทาง เป็นเหตุให้ขาของผูเ้ สียหายที่ ๓ เก่ียวกับลวดหนามได้รับบาดเจ็บ โดยผู้เสียหายที่
๓ อยู่ในภาวะท่ไี ม่สามารถขัดขืนได้ และโดยผเู้ สียหายท่ี ๓ ไมย่ ินยอม การกระทาดังกล่าวของจาเลย
จึงเป็นการพาไปหรือแยกผู้เสียหายท่ี ๓ ซ่ึงเป็นเด็กไปโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายท่ี ๑
และท่ี ๒ ซ่ึงเป็นบิดามารดา เพื่อกระทาการที่ไม่สมควรทางเพศ จาเลยจึงมีความผิดฐานพรากเด็ก
อายยุ ังไมเ่ กินสบิ หา้ ปไี ปเสยี จากบิดามารดา ผปู้ กครอง หรอื ผู้ดูแล เพือ่ การอนาจาร
ขอ้ สงั เกต ขอ้ เท็จจรงิ คดนี ย้ี งั เปน็ ควำมผิดฐำนทำร้ำยรำ่ งกำยและกระทำอนำจำรเด็กอีกดว้ ย

ฎีกาท่ี ๕๐๔-๕๐๖/๒๕๖๑ ฎ.๒๖๒ แม้ผู้เสียหายที่ ๕ ซึ่งเป็นเด็กหญิงได้รับอนุญาตจาก
ผู้เสียหายท่ี ๔ ซึ่งเป็นมารดาให้ไปเล่นท่ีบ้านจาเลย แต่การที่จาเลยพาผู้เสียหายท้ังสามเข้าไปใน
ห้องนอนภายในบ้านจาเลยโดยมีลักษณะบังคับมิให้ขัดขืนหลบหนี แล้วกระทาชาเราผู้เสียหายที่ ๕
จนผู้เสียหายท่ี ๓ ซ่ึงเป็นเด็กต้องเข้าไปช่วย ผู้เสียหายที่ ๕ จึงหลบหนีออกมาได้ แล้วผู้เสียหายที่ ๓
ถูกจาเลยจับมัดแล้วชาเรา ลักษณะการกระทาของจาเลยท่ีพาผู้เสียหายจากบริเวณท่ีผู้เสียหายได้รับ
อนุญาตให้ไปเล่น แล้วพาเข้าห้องนอนโดยผู้เสียหายไม่อาจหลบหนีไปได้เช่นน้ี จึงเป็นการพรากเด็ก
ไปจากอานาจของผปู้ กครองอันเป็นความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคสามแลว้

ฎกี าที่ ๘๑๔๑/๒๕๕๙ ฎ.๒๒๕๓ ผูเ้ สียหายท่ี ๒ อายุ ๑๔ ปีเศษ ยังอยู่ในความปกครองของ
ผู้เสียหายที่ ๑ แมว้ า่ ผูเ้ สียหายที่ ๒ จะเดินทางไปยงั ห้องทเี่ กดิ เหตเุ องกต็ าม ก็ตอ้ งถอื วา่ ผเู้ สียหายท่ี ๒
ยังอยู่ในอานาจปกครองของผู้เสียหายท่ี ๑ ผู้เป็นมารดาตลอดเวลา แต่เมื่อผู้เสียหายที่ ๒ จะออกไป

384

จากห้องไป จาเลยเข้าขัดขวางบังประตู ล็อคคอผู้เสียหายท่ี ๒ ไว้ไม่ให้ออกไปจากห้องเพ่ือข่มขืน
กระทาชาเรา ดังนี้ ถอื ได้ว่าเป็นการแยกผเู้ สยี หายที่ ๒ ออกไปจากอานาจปกครองของผู้เสียหายที่ ๑
และทาให้อานาจปกครองของผู้เสียหายท่ี ๑ ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือน โดยผู้เสียหายท่ี ๑
ไมร่ ู้เห็นยนิ ยอมด้วย เป็นการล่วงละเมิดอานาจปกครองของผเู้ สียหายที่ ๑ การกระทาของจาเลยเป็น
การพรากผู้เสียหายท่ี ๒ ไปเสียจากอานาจปกครองของผู้เสียหายท่ี ๑ ผู้เป็นมารดา จาเลยจึงมี
ความผิดฐานพรากเดก็ อายยุ ังไม่เกนิ สบิ หา้ ปีไปเพอื่ การอนาจารตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม

ฎีกาที่ ๑๗๖๖/๒๕๕๘ ฎ.๑๘๙ แม้ในตอนแรก ต. จะเป็นคนพาผู้เสียหายที่ ๒ ไปที่ห้องน้า
แต่ขณะจาเลยจะเข้าไปข่มขนื กระทาชาเรา ผเู้ สียหายที่ ๒ วิ่งหนอี อกจากห้องน้าเพราะคาดเดาได้ว่า
จาเลยจะมาข่มขืนกระทาชาเราซึ่งผู้เสียหายท่ี ๒ ไม่ยินยอม จาเลยตามไปฉุดกระชากตัวผู้เสียหาย
ที่ ๒ กลับมาและข่มขืนกระทาชาเราผู้เสียหายท่ี ๒ ในห้องน้าท่ีเกิดเหตุจึงเป็นการพาเด็กอายุยัง
ไม่เกินสิบห้าปีไปเพ่ือการอนาจาร อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๓ ทวิ วรรคสอง เมื่อขณะ
เกิดเหตุผู้เสียหายท่ี ๒ ยังอยู่ในความปกครองดูแลของผู้เสียหายท่ี ๑ ซ่ึงเป็นมารดา การท่ีจาเลย
ฉุดกระชากผู้เสียหายที่ ๒ ไปข่มขืนกระทาชาเราในห้องน้า ย่อมเป็นการกระทบกระเทือนต่ออานาจ
ปกครองของผู้เสียหายท่ี ๑ เพราะเป็นการแยกสิทธิปกครองของผู้เสียหายที่ ๑ ในการควบคุมดูแล
ผู้เสียหายท่ี ๒ โดยปราศจากเหตุอันสมควร อันเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี
ไปเสียจากผู้ปกครองอีกกระทงหนึ่งเพื่อการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม อีกกระทง
หนง่ึ

ฎีกาที่ ๑๐๒๘๒/๒๕๕๘ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๖๖ คาว่า “พราก” ในความผิดฐานพรากเด็กอายุ
ยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควรตาม ป.อ.
มาตรา ๓๑๗ หมายความว่า พาไปหรือแยกเด็กออกไปจากอานาจปกครองดูแลโดยไม่จากัดว่าจะ
กระทาด้วยวิธีใด ทาให้อานาจปกครองดูแลของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเด็กถูกรบกวนหรือ
ถูกกระทบกระเทือน โดยบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเด็กไม่รู้เห็นยินยอมด้วย อันเป็นการล่วง
ละเมิดอานาจปกครองของบิดามารดา ผปู้ กครองหรอื ผดู้ ูแลเด็ก ทั้งน้ีไม่ว่าเด็กจะไปอยู่ที่ใด หากบิดา
มารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลยังเอาใจใส่ เด็กย่อมอยู่ในอานาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครอง
หรือผู้ดูแลตลอดเวลา ดังน้ี การพรากเด็กไม่ว่าผู้พรากเด็กจะเป็นฝ่ายชักชวนโดยมีเจตนามุ่งหมายท่ี
จะกระทาชาเราเพยี งอย่างเดยี วก็ย่อมเปน็ ความผิดทัง้ สิ้น

ขณะเกิดเหตุโจทก์ร่วมอยู่ท่ีบ้าน จ. ซึ่งเป็นปู่โดยโจทก์ร่วมได้ไปเยี่ยมปู่และย่าท่ีบ้านพักและ
พักอาศัยอยู่ที่น่ัน โดยผู้เสียหายที่ ๒ ได้ส่งโจทก์ร่วมไปท่ีบ้าน จ. เพ่ือให้มาดูแลเน่ืองจาก จ. ป่วย
จงึ ถอื ไดว้ า่ จ. อยใู่ นฐานะผูด้ แู ลโจทกร์ ว่ ม โดยไดร้ บั มอบหมายจากผ้เู สียหายท่ี ๒ ฉะนั้น การท่ีจาเลย
โทรศัพท์ชวนโจทก์ร่วมไปทางาน แล้วขับรถเก๋งมารับโจทก์ร่วมไปและต่อมาก็ได้กระทาชาเรา
โจทก์ร่วม การกระทาของจาเลยดังกล่าวเป็นการรบกวนและก้าวล่วงอานาจผู้ดูแลของ จ. ที่มีต่อ
โจทกร์ ่วม โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพอ่ื การอนาจาร

อีกทั้งการกระทาของจาเลยยังเป็นความผิดฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการ

385

อนาจารตามมาตรา ๒๘๓ ทวิ วรรคสอง ด้วย โดยความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี
ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดแู ล โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจารตามมาตรา
๓๑๗ วรรคสาม จาเลยมีเจตนากระทาต่อผู้ดูแลโจทก์ร่วมเป็นความผิดกรรมหนึ่ง ส่วนความผิดฐาน
กระทาชาเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซ่ึงมิใช่ภริยาของตนตามมาตรา ๒๗๗ วรรคแรก และ
ความผิดฐานพาเด็กอายุยงั ไม่เกินสิบห้าปีไปเพ่ือการอนาจาร ตามมาตรา ๒๘๓ ทวิ วรรคสอง จาเลย
มีเจตนาเดียวกันคือพาโจทก์ร่วมไปกระทาชาเรา การกระทาของจาเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็น
ความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา ๒๗๗ วรรคแรก ซ่ึงเป็นกฎหมายบทท่ีมีโทษ
หนักท่ีสดุ ตามมาตรา ๙๐

ฎีกาท่ี ๗๖๔/๒๕๕๖ ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ ถึงมาตรา ๓๑๙
กฎหมายมุ่งคุ้มครองอานาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล มิใช่ตัวผู้เยาว์ผู้ถูกพราก
เพ่ือมิให้ผ้ใู ดมาก่อการรบกวนหรือกระทาการใด ๆ กระทบกระทั่งต่ออานาจปกครองไม่ว่าจะโดยตรง
หรือโดยปริยาย นอกจากนี้กฎหมายมิได้จากัดว่าพรากโดยวิธีการใดและไม่ว่าผู้เยาว์จะเป็นฝ่ายออก
จากบ้านไปเองหรือโดยมีผู้ชักนาก็ย่อมเป็นความผิดท้ังสิ้น การท่ีผู้เยาว์เป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปหาจาเลย
จาเลยมาพบ แล้วพาผู้เยาว์ไปอยู่กับจาเลย ระหว่างอยู่ด้วยกันจาเลยร่วมประเวณีกับผู้เยาว์โดยมิได้
มีเจตนาจะอยู่กินกับผู้เยาว์ฉันสามีภรรยาจริง การกระทาของจาเลยจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไป
เสียจากบดิ ามารดาเพือ่ การอนาจารโดยผเู้ ยาว์เตม็ ใจไปด้วยตามมาตรา ๓๑๙ วรรคแรก

ฎีกาที่ ๕๔๘๔/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๑ น.๒๑๐ ผู้เสียหายไปท่ีบ้านจาเลยโดยจาเลยไม่ได้ชักชวน
มา เพียงผู้เสียหายแวะมาซ้อื ขนมและมาเล่นเอง แต่จาเลยเป็นผู้พาผู้เสยี หายเข้าไปในห้องนอนซงึ่ อยู่
บริเวณช้นั ล่างแลว้ กระทาอนาจารผเู้ สียหาย ดังนัน้ แม้จาเลยได้กระทาอนาจารผูเ้ สยี หายในบ้านของ
จาเลย ขณะน้ันก็ถือได้ว่าผู้เสียหายยังอยู่ในความปกครองดูแลของ บ. ผู้เป็นยาย การกระทาของ
จาเลยย่อมกระทบกระเทือนต่ออานาจปกครองของ บ. เพราะแยกสิทธิปกครองของ บ. ในการ
ควบคุมดูแลผู้เสียหายโดยปราศจากเหตุอันสมควร เป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน ๑๕ ปี
ไปเสียจากผูป้ กครองเพื่อการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม

ฎีกาท่ี ๒๒๘๔๐-๒๒๘๔๑/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล. ๑๒ น. ๓๕๗ คาว่า “พราก”ีในความผิดฐาน
พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุ
อนั สมควรตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ หมายความวา่ พาไปหรือแยกเด็กออกไปจากอานาจปกครองดูแล
ทาให้อานาจปกครองดูแลของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเด็กถูกรบกวนหรือถูกกระทบ
กระเทือน โดยบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเด็กไม่รู้เห็นยินยอมด้วย อันเป็นการล่วงละเมิด
อานาจปกครองของบิดามารดาผปู้ กครองหรือผ้ดู ูแลเด็ก ท้ังน้ี ไม่ว่าเด็กจะไปอยู่ทีใ่ ด หากบิดามารดา
ผู้ปกครองหรอื ผู้ดูแลยังเอาใจใส่ เด็กย่อมอยู่ในอานาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล
ตลอดเวลา ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายท่ี ๑ กาลังเล่นกับเพื่อนในซอยซึ่งเป็นท่ีตั้งบ้านของผู้เสียหายที่ ๑
จาเลยได้กวักมือเรียกผู้เสียหายที่ ๑ ไปที่บ้านของจาเลย เม่ือผู้เสียหายท่ี ๑ ไปท่ีบ้านจาเลยแล้ว
จาเลยได้กระทาอนาจารผู้เสียหายที่ ๑ ดังน้ี อานาจปกครองของผู้เสียหายที่ ๑ จึงยังคงอยู่ท่ี

386

ผเู้ สียหายท่ี ๒ การที่จาเลยชักชวนผู้เสียหายที่ ๑ ไปที่บา้ นของจาเลยแล้วกระทาอนาจารผู้เสียหายท่ี
๑ โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือยินยอมจากผู้เสียหายที่ ๒ ย่อมทาให้อานาจปกครองของผู้เสียหายท่ี ๒
ทีม่ ีต่อผู้เสียหายที่ ๑ ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยผู้เสียหายท่ี ๒ ไม่รู้เห็นยินยอมด้วย การ
กระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา ผู้ปกครอง
หรือผ้ดู ูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจารตามมาตรา ๓๑๗ วรรคสาม
ข้อสังเกต ฎีกำน้ีจำเลยกวักมือเรียกผู้เสียหำยท่ี ๑ ไปท่ีบ้ำนจำเลย และมีกำรพำไปด้วย จึงเป็นกำร
พรำก ซง่ึ ตำ่ งจำกฎีกำท่ี ๑๑๑๙๖/๒๕๕๕ ทชี่ วนแตไ่ ม่มกี ำรพำไป จึงไม่เปน็ กำรพรำก

ฎีกาท่ี ๗๖๗๓/๒๕๕๑ ฎ.๑๗๔๖ ผู้เสียหายท่ี ๑ อายุ ๑๒ ปีเศษ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ บิดา
มารดาเลิกร้างกัน พักอาศัยอยู่กับผู้เสียหายที่ ๒ ซ่ึงเป็นมารดา ผู้เสียหายท่ี ๑ จึงอยู่ภายใต้อานาจ
ปกครองของผู้เสียหายที่ ๒ จาเลยเคยแอบปีนหน้าต่างห้องนอนเข้าไปกระทาอนาจารและกระทา
ชาเราผู้เสียหายท่ี ๑ ในบา้ นของผู้เสยี หายที่ ๒ ในเวลาวิกาลมาแล้วหลายครั้ง ไดน้ ัดให้ผู้เสียหายท่ี ๑
ซ่ึงพบกันขณะผู้เสียหายท่ี ๑ ไปส่งเพื่อน ให้ไปพบจาเลยที่โรงเรียนแล้วพาผู้เสียหายท่ี ๑ ไปกระทา
ชาเราที่ข้างอาคารเรียน แม้ผู้เสียหายที่ ๑ จะสมัครใจไปกับจาเลย ก็เป็นการล่วงละเมิดอานาจ
ปกครองของผู้เสียหายท่ี ๒ และเป็นการกระทาโดยปราศจากเหตุอันสมควร เป็นความผิดฐานพราก
เด็กอายยุ งั ไมเ่ กิน ๑๕ ปี ไปเสียจากบดิ ามารดาตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม

จาเลยน่ังดืม่ สุรากับเพ่ือนอยู่ทบ่ี ้าน ว. อยู่ก่อน ผู้เสยี หายท่ี ๑ ไปทีบ่ ้าน ว. และไปเข้าหอ้ งน้า
หลังบ้าน ว. เอง โดยจาเลยไม่ได้นัดแนะหรือบอกให้ผู้เสียหายท่ี ๑ ทาเช่นน้ัน จาเลยเพียงแต่ฉวย
โอกาสลุกจากวงสุราตามเข้าไปขอกระทาชาเราผู้เสียหายที่ ๑ ในห้องน้าดังกล่าวโดยผู้เสียหายท่ี ๑
ยินยอม เสร็จแล้วจาเลยก็ออกจากห้องน้ากลับไปนั่งดื่มสุราต่อ โดยไม่ได้กระทาการอ่ืนใดแก่
ผู้เสียหายท่ี ๑ อีก จาเลยมุ่งที่จะกระทาชาเราผู้เสียหายที่ ๑ เพียงอย่างเดียว มิได้มีเจตนาที่จะล่วง
ละเมิดอานาจปกครองผู้เสียหายท่ี ๒ การกระทาของจาเลยในสว่ นน้ีจึงไมเ่ ป็นความผิดฐานพรากเด็ก
อายุยังไม่เกิน ๑๕ปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพ่ือการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา
๓๑๗ วรรคสาม
ข้อสังเกต ตอนแรกผู้เสียหำยท่ี ๑ สมัครใจไปกับจำเลย แล้วมีกำรพำผู้เสียหำยที่ ๑ ไป จึงเป็นกำร
พรำก แตต่ อนหลังผูเ้ สยี หำยท่ี ๑ ไปบ้ำน ว. และไปเขำ้ หอ้ งน้ำหลังบำ้ น ว. เอง โดยจำเลยไม่ไดพ้ ำไป
จงึ ไมเ่ ป็นกำรพรำก

ฎีกาที่ ๔๐๓๗/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๖ น.๑๓๒ ความผิดฐานพรากเด็กตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗
วรรคหนึ่ง น้ัน เป็นการกระทาต่ออานาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลที่มีต่อเด็ก
จาเลยท่ี ๑ รู้ดวี ่าผู้เสียหายยงั เป็นเด็กอยู่และไม่สามารถตัดสินใจอยกู่ นิ ฉนั สามภี ริยากับจาเลยท่ี ๑ ได้
ดว้ ยตนเอง ซึ่งเป็นเร่ืองสาคัญอย่างหนึ่งในการดาเนินชีวิตคู่ ในกรณีน้ีสมควรได้รบั อนุญาตหรือความ
ยินยอมจากมารดาหรือยายของผู้เสียหายก่อน ท้ังมารดาและยายของผู้เสียหายมิได้อนุญาตหรือให้
ความยินยอม ประกอบกับผู้เสียหายยงั ไม่สามารถทาการสมรสไดต้ ามกฎหมาย เวน้ แต่ศาลจะมีคาสั่ง
อนุญาตอีกดว้ ย ดังน้ัน การท่ีจาเลยที่ ๑ พาผูเ้ สียหายไปอยู่กินฉันสามีภรยิ ากันโดยผู้เสียหายสมัครใจ

387

น้ัน จึงเป็นการกระทาต่ออานาจปกครองของมารดาและยายของผู้เสียหายโดยตรงและไม่มีเหตุ
อนั สมควรกระทาได้ โดยผลของการกระทาของจาเลยท่ี ๑ จงึ เป็นการพรากเด็กอายุยังไมเ่ กินสบิ หา้ ปี
ไปเสียจากมารดาหรือผู้ปกครอง โดยปราศจากเหตุอันสมควรตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคหนง่ึ
ข้อสังเกต หำกมำรดำหรือยำยผู้เสียหำยยอม จำเลยไม่ผิดมำตรำ ๓๑๗ วรรคหนึ่ง แต่ก็ผิดมำตรำ
๒๗๗ วรรคหนงึ่ เพียงกรรมเดียว

ฎีกาท่ี ๒๖๗๓/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๒๙ จาเลยมีอาชีพขับรถรับส่งเด็กนักเรียน ขณะที่
เด็กหญิงผู้เสียหายเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๖ จาเลยทาอนาจารผู้เสียหายโดยใช้มือลูบคลาท่ี
อวัยวะสืบพันธ์ุและจับหน้าอกผู้เสียหาย จาเลยจึงมีความผิดฐานกระทาอนาจารเด็กอายุยังไม่เกิน
๑๕ ปีตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๙ วรรคแรก

ขณะทจี่ าเลยขับรถพาผู้เสยี หายและเด็กนักเรียนอ่ืนกลับบ้านไดแ้ วะที่อาคารหลังหนึ่งให้เด็ก
นักเรียนอื่นลงไปซื้อขนม ผู้เสียหายจะลงไปด้วย แต่จาเลยไม่ให้ลงโดยบอกให้ผู้เสียหายฝากคนอ่นื ไป
ซอ้ื ขนมแทน แล้วจาเลยนาตัวผู้เสียหายให้นอนราบกับเบาะ ใช้มอื กดตัวผูเ้ สียหายไม่ให้ลุกข้ึน แลว้ ได้
กระทาชาเราผู้เสียหาย หลังจากครั้งนี้แล้วจาเลยกระทาชาเราผู้เสียหายอีกหลายครั้ง จนกระท่ัง
ผู้เสียหายเรียนจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โดยนอกจากกระทาชาเราในรถซ่ึงแวะจอดที่อาคาร
ดังกลา่ วแลว้ จาเลยยังพาผู้เสียหายเข้าไปในบ้านร้างแถวสุขุมวิทแลว้ กระทาชาเราผ้เู สียหาย จาเลยจึง
มีความผิดฐานกระทาชาเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน ๑๕ ปี ซ่ึงมิใช่ภริยาตนตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๗
วรรคแรก

ความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพ่ือการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคแรก คาว่า "พราก"
หมายความว่า พาไปหรือแยกออกจากความปกครองดูแล จะกระทาโดยวิธีใดก็ได้ ไม่มีข้อจากัด ไม่
ต้องใช้กาลังหรืออุบาย ดังน้ัน ไม่ว่าการพาไปเพ่ือร่วมประเวณีจะอยู่ในเส้นทางหรือนอกเส้นทาง
รบั สง่ ผู้เสียหายไปกลบั จากโรงเรียนก็ยอ่ มเปน็ ความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพ่อื การอนาจารแล้ว

ไมเ่ ปน็ การพราก

ฎีกาท่ี ๗๓๘๐/๒๕๖๐ ฎ.๑๗๖๑ ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายท่ี ๑ อยู่ที่บ้านของ ส. ก่อนแล้ว
หลังจากนั้น ร. พาจาเลยกับพวกไปที่บ้านของ ส. โดยจาเลยไม่เคยรู้จักผู้เสียหายท่ี ๑ มาก่อน และ
จาเลยกับพวกไมไ่ ด้นัดแนะหรือบอกให้ผ้เู สียหายท่ี ๑ มาท่ีบ้าน แม้ตอ่ มา ร. กระทาชาเราผู้เสียหายท่ี
๑ ที่บ้าน การกระทาของจาเลยหรือพวกของจาเลยก็หาเป็นการล่วงละเมดิ อานาจปกครองผู้เสียหาย
ที่ ๒ ไม่ การกระทาของจาเลยจงึ ไมเ่ ปน็ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๘ วรรคสาม

ฎีกาท่ี ๙๔/๒๕๖๐ ฎ.๑๑๑๑ ม. ชักชวนผู้เสียหายท่ี ๑ ไปท่ีบา้ นของจาเลย โดยจาเลยไมไ่ ด้
มีส่วนเกี่ยวข้อง แม้จาเลยกระทาอนาจารผู้เสียหายท่ี ๑ โดยชวนผู้เสียหายท่ี ๑ เข้าไปในห้องนอน
ภายในบ้านของจาเลย ก็ถือไม่ได้ว่าจาเลยกระทาการอันเป็นการพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไป
เสียจากผู้เสียหายท่ี ๒ ซึ่งเป็นมารดาของผู้เสียหายที่ ๑ หรือมีการกระทาอันเป็นการกระทบ

388

กระเทือนหรือรบกวนต่ออานาจปกครองหรือสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายของผู้เสียหายท่ี ๒ อันจะเป็น
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคแรก เพราะผู้เสียหายที่ ๑ ซึ่งมีอายุ ๑๔ ปี แล้ว ย่อมมีอิสระ
ตดั สินใจได้เองตามสมควรจะเข้าไปในห้องนอนของจาเลยหรือไม่ มิใช่ว่าไม่ว่าผู้ใดชวนผู้เสยี หายที่ ๑
ไปท่ีใดหรือเข้าไปภายในหรือบริเวณใดของบ้านหรือสถานท่ีธรรมดาทั่วไปก็ต้องขอหรือกลับไป
ขอความยินยอมจากผู้เสียหายที่ ๒ ทุกครั้งไป เมื่อการกระทาของจาเลยไม่เป็นความผิดตามมาตรา
๓๑๗ วรรคแรก แล้วก็ไม่ต้องพิจารณาว่าเป็นการกระทาเพ่ือการอนาจารอันจะเป็นความผิดตาม
มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม หรือไม่
ข้อสังเกต ฎีกำนี้แม้จำเลยชวนผู้เสียหำยท่ี ๑ เข้ำไปในห้องนอน แต่ไม่ได้พำผู้เสียหำยท่ี ๑ ไปท่ี
ห้องนอน จึงไมเ่ ปน็ กำรพรำก

ฎีกาท่ี ๒๙๘๒/๒๕๖๒ ฎ.๕๑๑ ผู้เสียหายที่ ๒ มาหาจาเลยเองด้วยความเต็มใจ จาเลยมิได้
พาผู้เสียหายที่ ๒ มา อีกท้ังมิได้เหนี่ยวรั้งผู้เสียหายที่ ๒ ไว้ เช่นน้ีถือไม่ได้ว่าจาเลยมีการกระทา
ประการใดอันเข้าลักษณะเป็นการพรากผู้เสียหายที่ ๒ ไปเสียจากผู้เสียหายท่ี ๑ ซ่ึงจะ
กระทบกระเทือนต่ออานาจปกครองของผู้เสียหายท่ี ๑ จาเลยไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗
วรคสาม และไม่มีความผดิ ฐานพาผ้เู สียหายที่ ๒ เดก็ อายุยงั ไม่เกินสิบห้าปไี ปเพ่อื การอนาจาร

ฎีกาที่ ๑๒๐๑/๒๕๕๙ ฎ.๓๔๘ จาเลยพบผู้เสียหายท่ี ๑ ซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี
ในห้องน้าของห้างสรรพสินค้า แลว้ จาเลยกระทาชาเราผเู้ สียหายที่ ๑ กบั ถอดกางเกงของผเู้ สียหายท่ี
๑ ออกภายในห้องน้าแยกแต่ละคน โดยจาเลยไม่ได้พาผู้เสียหายที่ ๑ ไปที่อ่ืน ยังไม่เข้าลักษณะพา
หรือแยกเด็กไปจากความปกครองดูแลของผู้ปกครองเด็กอันทาให้ความปกครองดูแลของผู้ปกครอง
เด็กถกู รบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนสิทธิ การกระทาของจาเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุ
ยังไมเ่ กนิ สิบห้าปีไปเสยี จากมารดาผปู้ กครองเพ่ือการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗

จาเลยโทรศัพท์ให้ผู้เสียหายท่ี ๑ ซ่ึงเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปพบที่ร้านค้าใน
หา้ งสรรพสินค้า แต่ผู้เสียหายที่ ๑ ยอมไปพบจาเลยเพราะต้งั ใจจะไปลบคลปิ วิดีโอ แสดงว่าผเู้ สียหาย
ท่ี ๑ ไปพบจาเลยด้วยความเต็มใจของผู้เสียหายที่ ๑ เอง ไม่ได้ไปตามคาชักชวนของจาเลย
ท้ังหลังจากท่ีผู้เสียหายท่ี ๑ กับจาเลยพูดคุยกันแล้ว ผู้เสียหายท่ี ๑ ไปเข้าห้องน้าโดยจาเลยไม่ได้
หน่วงเหน่ียวผู้เสียหายท่ี ๑ ไว้ แสดงว่าผู้เสียหายที่ ๑ มีอิสระที่จะไปไหนก็ได้ เมื่อผู้เสียหายที่ ๑
ไปห้องน้า จาเลยเป็นฝ่ายท่ีตามผู้เสียหายที่ ๑ ไปเอง แม้จาเลยจะผลักผู้เสียหายเข้าห้องน้าแยก
แต่ละคนก็ตาม แต่การกระทาของจาเลยก็ยังไม่เข้าลักษณะพาหรือแยกเด็กไปจากความปกครองดแู ล
ของผู้ปกครองเด็กอันทาให้ความปกครองดูแลของผู้ปกครองเด็กถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือน
สทิ ธิ อันเป็นพรากผู้เสียหายท่ี ๑ ไปเสียจากผู้เสียหายท่ี ๒ เพ่ือการอนาจาร จาเลยไม่มีความผิดฐาน
พรากเดก็ อายไุ ม่เกนิ สิบห้าปไี ปเสียจากมารดาผปู้ กครองเพ่ือการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗

จาเลยผลักผู้เสียหายท่ี ๑ เข้าไปในห้องน้าแล้วถอดกางเกงนักเรียนของผู้เสียหายท่ี ๑ ออก
จนเหลอื แต่กางเกงชั้นใน ยอ่ มทาให้ผู้เสยี หายท่ี ๑ เกิดความอับอาย เพราะมใิ ช่วิสยั ของคนทว่ั ไปทีจ่ ะ
เปลือยกายหรือสวมใส่เฉพาะกางเกงช้ันในให้บคุ คลท่ีมิไดส้ นิทสนมพบเหน็ แม้จาเลยยังไม่ได้แตะเน้ือ

389

ตวั รา่ งกายของผเู้ สียหายที่ ๑ การกระทาของจาเลยเปน็ การกระทาทีไ่ มส่ มควรในทางเพศแล้ว จาเลย
มีความผิดฐานกระทาอนาจารแก่ผู้เสียหายท่ี ๑ ซึ่งเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยใช้กาลัง
ประทษุ รา้ ยตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๙ วรรคสอง
ข้อสังเกต กำรที่จำเลยผลักผู้เสียหำยท่ี ๑ เข้ำห้องน้ำ น่ำจะเป็นกำรพำผู้เสียหำยท่ี ๑ อันเป็นกำร
พรำกแล้ว เพรำะกำรผลักผู้เสียหำยที่ ๑ เข้ำไปน่ำจะร้ำยแรงยิ่งกว่ำกำรพำผู้เสียหำยท่ี ๑ ไปเสียอีก
ซึ่งลองเปรียบเทียบฎีกำที่ ๓๔๑๙/๒๕๕๙ ฎ.๘๓๒ จำเลยดึงแขนผู้เสียหำยท่ี ๑ ข้ึนบ้ำนและข่มขืน
กระทำชำเรำผู้เสียหำยท่ี ๑ เป็นควำมผิดฐำนพรำกเด็ก ถ้ำออกข้อสอบเร่ืองนี้ก็จะเป็นหนึ่งในสอง
หรือสำมประเด็น บำงคร้ังต้องปล่อยวำงอย่ำไปคิดมำก เพรำะทำได้คะแนนร้อยละ ๕๐ ก็สอบผ่ำน
แลว้

ฎีกาที่ ๑๑๗๔/๒๕๕๘ ฎ.ส.ล.๑ น.๒๗ ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีตาม
ป.อ. มาตรา ๓๑๗ กฎหมายมุ่งคุ้มครองอานาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล แต่
กรณีจะเป็นความผิดดังกล่าวได้จะต้องมีการกระทาที่เป็นการพรากซึ่งหมายถึงการพาไปเสีย
ประกอบด้วย เมื่อก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายที่ ๑ ไปด่ืมเบียร์กับ ส. ภริยาจาเลยจนเมาไม่ได้สติ ส. พา
ผเู้ สียหายที่ ๑ กลับไปส่งที่บ้าน แต่ ด. ยายของผเู้ สยี หายที่ ๑ ให้ ส. พาผู้เสยี หายที่ ๑ กลบั ไปเพราะ
เกรงว่าผู้เสียหายที่ ๑ จะถูกลงโทษ ส. จึงพาผู้เสียหายท่ี ๑ ไปนอนท่ีแคร่หน้าห้องนอนของจาเลย
และ ส. เม่ือจาเลยกลับถึงบ้านเห็นผู้เสียหายท่ี ๑ นอนหลับอยู่บนแคร่จึงกระทาชาเราผู้เสียหายท่ี ๑
จาเลยจึงมไิ ดก้ ระทาการอนั เปน็ การพรากผู้เสยี หายที่ ๑ ไปเสียจากผู้ดูแล คงมแี ต่เจตนากระทาชาเรา
ผู้เสียหายที่ ๑ เท่านั้น แม้หลังจากจาเลยกระทาชาเราผู้เสียหายท่ี ๑ ท่ีแคร่แล้ว จาเลยจะอุ้ม
ผู้เสียหายท่ี ๑ เข้าไปกระทาชาเราในห้องนอนของบุตรสาวจาเลยซึ่งอยู่บริเวณเดียวกันอีก ๒ ครั้ง
กไ็ ม่เป็นการกระทาท่ีเป็นการพรากตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว เพราะมิได้พาผเู้ สยี หายท่ี ๑
ไปที่อ่ืนอีก และถือไม่ได้ว่าเป็นการพาผู้เสียหายท่ี ๑ ซ่ึงเป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพ่ือการ
อนาจารด้วย

ฎกี าท่ี ๑๓๙๘๗/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๖ น.๒๑๗ คาว่า “พราก”ีในความผิดฐานพรากเด็กอายุยัง
ไม่เกิบสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควรตาม ป.อ.
มาตรา ๓๑๗ มีความหมายว่า พาไปหรือแยกเดก็ ออกจากอานาจปกครองดูแล ทาให้อานาจปกครอง
ดูแลของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเด็กถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยบิดามารดา
ผปู้ กครอง หรือผู้ดแู ลเด็กไม่รู้เห็นยินยอม อันเป็นการล่วงละเมิดอานาจปกครองดูแลของบิดามารดา
ผปู้ กครอง หรือผู้ดูแลเด็ก ไม่ว่าจะกระทาด้วยวิธีใด ซึ่งข้อเท็จจรงิ ปรากฏว่า ระหว่างที่ผ้เู สียหายที่ ๑
(อายุ ๘ ปีเศษ) กับพวกเดินผ่านบ้านจาเลยและเห็นจาเลยยืนอยู่ในบ้าน จึงชวนกันเข้าไปในบ้าน
จาเลยเพ่ือขอเงินโดยไม่ปรากฏว่าจาเลยได้นัดแนะหรือเรียกให้ผู้เสียหายที่ ๑ กับพวกเข้าไปในบ้าน
จาเลยเพียงฉวยโอกาสบอกให้ผู้เสียหายท่ี ๑ กับพวกถอดเส้ือผ้าและเต้นอะโกโก้ในท่าทางยั่วยวน
แลว้ ภายหลงั จาเลยไดก้ ระทาชาเราผูเ้ สยี หายที่ ๑ โดยที่จาเลยไมไ่ ดพ้ าผู้เสยี หายที่ ๑ ไปยังสถานท่อี ื่น
หลงั จากนั้นผู้เสียหายที่ ๑ กับพวกสวมใส่เส้ือผา้ แล้วพากันเดินออกจากบ้านจาเลย โดยไม่ปรากฏว่า

390

จาเลยได้หน่วงเหนี่ยวกักขังหรือกระทาการอ่ืนใดแก่ผู้เสียหายท่ี ๑ กับพวกอีก ซ่ึงแสดงให้เห็นว่า
ขณะผู้เสียหายท่ี ๑ กับพวกอยู่ท่ีบ้านจาเลยน้ันผู้เสียหายท่ี ๑ กับพวกมีอิสระในการกระทาการใดได้
โดยไม่ได้อยู่ในความควบคุมของจาเลย เห็นได้ว่าจาเลยมีเจตนามุ่งที่จะกระทาชาเราผู้เสียหายท่ี ๑
เพียงอย่างเดียว โดยมิได้เจตนาจะล่วงละเมิดอานาจปกครองของผู้เสียหายท่ี ๒ การกระทาของ
จาเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือ
ผู้ดแู ลเพอื่ การอนาจารตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม

ฎีกาที่ ๑๑๑๙๖/๒๕๕๕ ฎ.๒๓๕๔ การพรากเป็นคนละอย่างกับการพูดชักชวน และการ
พรากมีความหมายคนละอย่างกับการพูดและไม่ใช่การพูด หากจาเลยพูดแต่ไม่ได้พรากหรือพา
ผู้เสียหายไป จาเลยย่อมไม่ผิดฐานพรากผู้เยาว์ เพราะการพรากผู้เยาว์จะต้องมีการกระทาที่ย่ิงกว่า
การพูดชกั ชวน เนอ่ื งจากการพูดชักชวนเด็กหรือผ้เู ยาว์ตัดสินใจไม่ไปตามที่พูดชักชวนได้ จนกว่าจะมี
การพาเด็กหรือผู้เยาว์ไปตามทิศทางที่พูดชักชวนไว้ จึงจะมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ได้ การที่จาเลย
พูดชักชวนผู้เสียหายท่ี ๑ จนผู้เสียหายท่ี ๑ ใจอ่อนยอมมาหาจาเลยเองโดยจาเลยไม่ได้ไปรับหรือพา
ผู้เสียหายท่ี ๑ ออกมาจากบ้าน การกระทาของจาเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตาม ป.อ.
มาตรา ๓๑๗
ข้อสังเกต ฎีกำขณะน้ีกำรพรำกต้องมีกำรพำไปด้วย หำกชวนจนผู้เสียหำยท่ี ๑ มำหำจำเลยเอง แต่
ไมม่ กี ำรพำไป ก็จะไมเ่ ปน็ กำรพรำก

ฎีกาท่ี ๔๙๔๘/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล. ๑๒ น. ๓๐ จาเลยเพียงแตพ่ าผู้เสยี หายที่ ๑ ไปท่โี รงครวั และ
ห้องน้าภายในวัด ศ. ที่ผู้เสียหายที่ ๑ เล่นชิงช้าอยู่เพ่ือกระทาอนาจาร เม่ือจาเลยกระทาอนาจาร
ผเู้ สยี หายที่ ๑ แล้ว ส. มาเรียก จาเลยก็ปลอ่ ยผ้เู สียหายท่ี ๑ กลับไปโดยดี โดยมไิ ด้มกี ารหน่วงเหนยี่ ว
กักขังผู้เสียหายที่ ๑ แต่อย่างใด การที่จะเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจาก
บิดามารดาหรือผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร จะต้องเป็นการพาไปหรือแยกเด็กออกไปจาก
ความปกครองดูแล ทาให้ความปกครองดูแลของบิดามารดาหรือผู้ปกครองเด็กถูกรบกวนหรือถูก
กระทบกระเทือน ซงึ่ คาว่า “พราก”ีตามพจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถานฯ หมายความว่า จากไป
พา เอาไปจาก แยกออกจากกัน หรือเอาออกจากกัน ดังน้ัน การกระทาของจาเลยดังกล่าวยังไม่เข้า
ลักษณะพาหรือแยกเด็กไปจากความปกครองดูแลของผูป้ กครองเด็ก อนั ทาใหค้ วามปกครองดูแลของ
ผปู้ กครองเด็กถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนสิทธิ จึงไมเ่ ป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไมเ่ กิน
สิบหา้ ปีไปเสยี จากบดิ ามารดา หรอื ผปู้ กครอง หรอื ผดู้ ูแลตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม
ข้อสังเกต ฎีกำนี้มีกำรพำไป แต่ไม่เป็นกำรพรำก เพรำะยังไม่เข้ำลักษณะพำหรือแยกเด็กไปจำก
ควำมปกครองดูแลของผู้ปกครองเด็ก ผู้แต่งอ่ำนแล้วยังหำควำมแตกต่ำงจำกฎีกำที่ ๒๒๘๔๐-
๒๒๘๔๑/๒๕๕๕ ไมไ่ ด้

ฎีกาที่ ๑๒๑๒๓/๒๕๕๔ ฎ.๒๔๘๘ ผู้เสียหายทั้งสองเป็นญาติกับจาเลย บ้านของผู้เสียหาย
ท่ี ๑ และบ้านจาเลยอยู่ติดกัน ผู้เสียหายที่ ๒ พักอยู่อาศัยกับผู้เสียหายที่ ๑ ได้ไปท่ีบ้านจาเลยเป็น
ประจาเพื่อให้ ธ. บุตรของจาเลยสอนการบ้าน จาเลยฉวยโอกาสท่ีผู้เสียหายท่ี ๒ มาท่ีบ้านจาเลย

391

เพ่ือให้ ธ. สอนการบ้านตามปกตใิ นวันเกิดเหตุ เมื่อ ธ. สอนการบา้ นเสร็จแล้ว จาเลยบอกให้ ธ. ออก
จากบ้าน จากน้ันจาเลยได้เรียกผู้เสียหายท่ี ๒ เข้าไปในห้องแล้วพยายามกระทาชาเราและกระทา
อนาจารผู้เสียหายท่ี ๒ เช่นน้ี ยงั ถือไมไ่ ดว้ ่าเป็นการพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปจากบิดามารดา
อันเปน็ ความผิดตามตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม

ฎีกาที่ ๕๕๔๗/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๘. น.๑๔๘ ขณะที่จาเลยขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหาย
ที่ ๑ นัง่ ซอ้ นทา้ ยไปเทีย่ วที่หาดทรายแก้ว ผู้เสยี หายท่ี ๒ ซึ่งเป็นบดิ าผ้เู สียหายที่ ๑ ก็อยบู่ ริเวณใกล้ ๆ
น้ันด้วย หลังจากน้ัน ๒ ถึง ๓ วัน ผู้เสียหายที่ ๒ ไปขอร้องให้ น. พาไปพูดกับบิดามารดาจาเลยว่า
ยอมจะรับเลี้ยงดูผู้เสียหายท่ี ๑ เป็นสะใภ้หรือไม่ เม่ือบิดามารดาจาเลยบอกว่าจะรับเลี้ยงดผู ู้เสียหาย
ท่ี ๑ เหมอื นบุตรสะใภ้ ผู้เสียหายท่ี ๒ ก็พอใจโดยไมม่ ีการเรียกสนิ สอดแตอ่ ย่างใด ต่อมา ๒ ถึง ๓ วัน
ผเู้ สียหายที่ ๒ ไปขอให้ น. ไปพูดกับบิดามารดาจาเลยว่าให้ทาพิธีสมรส แต่บิดามารดาจาเลยบอกว่า
ให้รอไว้ก่อน ผู้เสียหายท่ี ๒ รู้เร่ืองดังกล่าวแล้ว ก็มิได้โต้แย้งหรือคัดค้าน ตามพฤติการณ์ของ
ผู้เสียหายท่ี ๒ ดงั กล่าวเชื่อได้วา่ จาเลยพาผู้เสียหายท่ี ๑ ไปที่บ้านจาเลยและกระทาชาเราผู้เสยี หายท่ี
๑ โดยความยินยอมของผู้เสียหายท่ี ๑ และโดยความรู้เห็นยินยอมของผู้เสียหายท่ี ๒ การกระทา
ของจาเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน ๑๕ ปี ไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจาก
เหตอุ ันสมควรเพอ่ื การอนาจารตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม
ขอ้ สงั เกต ฎีกำนีต้ ำมพฤติกำรณบ์ ดิ ำของเดก็ ยอมให้พำไป จงึ ไม่เป็นกำรพรำกเด็ก

ฎีกาท่ี ๕๖๑๙/๒๕๕๒ ฎ.๑๘๙๑ คดีน้ีคนร้าย ๔ คน ได้พาผู้เสียหายซ่ึงเป็นเด็กอายุไม่เกิน
๑๕ ปี ไปข่มขืนกระทาชาเรา หลังจากนั้นคนร้าย ๒ คน ได้พาผู้เสียหายนั่งรถจักรยานยนต์ไปท่ีบ้าน
หลังหนึ่ง ซ่ึงเป็นห้องพักของจาเลย แล้วคนร้าย ๒ คนน้ันได้ข่มขืนกระทาชาเราผู้เสียหายอีกรอบ
จากนั้นจึงให้จาเลยมาข่มขืนกระทาชาเราผู้เสียหาย การกระทาของจาเลยไม่ปรากฏว่าจาเลยมีส่วน
ร่วมหรือรูเ้ ห็นในการท่คี นร้าย ๔ คน ไดพ้ รากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารตัง้ แต่แรก
แต่ประการใด จาเลยเป็นเพียงเจ้าของห้องพักที่เกิดเหตุซึ่งยินยอมให้พวกนาผู้เสียหายมาใช้ห้องพัก
เป็นสถานท่ีหลับนอนและข่มขืนกระทาชาเราผู้เสียหาย โดยมิได้มีการพรากผู้เสียหายไปยังที่อ่ืน ๆ
อกี จาเลยจึงมใิ ชต่ วั การร่วมหรือผู้สนบั สนุนในความผิดฐานพรากผเู้ ยาวอ์ ายุไมเ่ กินสบิ ห้าปไี ปเสียจาก
บิดามารดาเพื่อการอนาจาร ตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม คงมีความผิดเพียงตามมาตรา ๒๗๗
วรรคสาม

เพ่อื การอนาจารหรอื ไม่

ฎีกาท่ี ๗๖๔/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล. ๑ น. ๗๖ ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗
ถึงมาตรา ๓๑๙ กฎหมายมุ่งคุ้มครองอานาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล มิใช่ตัว
ผู้เยาว์ผู้ถูกพราก เพ่ือมิให้ผู้ใดมาก่อการรบกวนหรือกระทาการใด ๆ อันเป็นการกระทบกระท่ังต่อ
อานาจปกครองไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยปริยาย นอกจากน้ีกฎหมายมิได้จากัดว่าพรากโดยวิธีการใด

392

และไม่ว่าผู้เยาว์จะเป็นฝ่ายออกจากบ้านไปเองหรือโดยมีผู้ชักนา ก็ย่อมเป็นความผิดทั้งส้ิน การท่ี
ผู้เยาว์เป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปหาจาเลย จาเลยมาพบแล้วพาผู้เยาว์ไปอยู่กับจาเลยที่บ้านเช่าท่ี
กรุงเทพมหานคร และพาผู้เยาว์ไปอยู่กับจาเลยที่จังหวัดระยอง ระหว่างอยู่ด้วยกันจาเลยร่วม
ประเวณีกับผู้เยาวโ์ ดยมิไดร้ ับอนญุ าตหรือความยินยอมจากโจทก์ร่วมทั้งสองซ่ึงเป็นบิดามารดาผ้เู ยาว์
แม้ผู้เยาว์จะสมัครใจร่วมประเวณีกับจาเลย ก็ย่อมทาให้อานาจปกครองดูแลบุตรผู้เยาว์ถูกพรากจาก
ไปโดยปริยาย เม่ือจาเลยพาผู้เยาว์ไปอยู่กินกับจาเลย จาเลยก็มิได้พาผู้เยาว์ไปพบบิดามารดาหรือ
ญาติผู้ใหญ่ของจาเลยเพ่ือแจ้งให้ทราบว่า ผู้เยาว์เป็นภริยาของตนประสงค์จะอยกู่ ินฉันสามีภรยิ า ท้ัง
เมื่อจาเลยทราบว่าผู้เยาว์ต้ังครรภ์ก็ไม่ปรากฏว่าจาเลยได้พาผู้เยาว์ไปฝากครรภ์ และเม่ือโจทก์ร่วม
ทั้งสองพาผู้เยาว์กลับมาบ้าน จาเลยก็มิได้นาญาติผู้ใหญ่ฝ่ายจาเลยมาติดต่อสู่ขอผู้เยาว์และจัดงาน
แต่งงานกับผู้เยาว์ตามประเพณีท้ังท่ีทราบว่าผู้เยาว์กาลังมีบุตรกับจาเลย จนโจทก์ร่วมท่ี ๒ ต้องพา
ผู้เยาว์ไปทาแท้ง แสดงให้เห็นว่าจาเลยมิได้มีเจตนาท่ีจะอยู่กินกับผู้เยาว์ฉันสามีภริยาจริง ทั้งท่ี
ขณะน้ันจาเลยได้เลิกกับภริยาที่มิได้จดทะเบียนสมรสแล้ว การกระทาของจาเลยจึงเป็นการพราก
ผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาเพ่ือการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๙
วรรคแรก

ฎกี าที่ ๗๓๖๙/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๘ น.๑๖๖ ขณะทจี่ าเลยพาผเู้ สยี หายที่ ๑ ไปกระทาชาเราทั้ง
๕ ครั้งน้ัน จาเลยมีเจตนาเพียงเพื่อสาเร็จความใคร่ของตนเองเท่าน้ัน มิได้ประสงค์จะยกย่องหรือ
เล้ยี งดูผเู้ สยี หายที่ ๑ เป็นภริยาแต่อย่างใด จงึ ต้องถือว่าเป็นการพรากเพ่ือการอนาจาร ข้อเทจ็ จริงรับ
ฟงั ไดว้ ่าจาเลยกระทาความผิดตามฟ้อง โดยศาลช้นั ต้นพิพากษาว่าจาเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา
๓๑๗ วรรคสาม การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การท่ีจาเลยยังไม่มีภริยาจึงอยู่ในสถานะที่จะเลี้ยงดู
ผู้เสียหายที่ ๑ ฉันสามีภริยาได้ ทั้งต่อมาผู้เสียหายท่ี ๑ กับจาเลยได้แต่งงานกันตามประเพณีและมี
บุตรด้วยกัน ย่อมเป็นเคร่ืองชี้เจตนาของจาเลยว่าประสงค์จะเล้ียงดูผู้เสียหายท่ี ๑ เป็นภริยา
พฤติการณ์ของจาเลยจึงมิใช่เป็นการพรากเด็กไปเพ่ือการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม
พิพากษาแก้ว่าเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคแรกน้ัน ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทา
ความผิดอาญาต้องถือเจตนาขณะกระทาความผิด มิใช่พิจารณาจากเจตนาในภายหลังการกระทา
ความผิดแล้ว นอกจากน้ียังปรากฏจากคาเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ ว่า ผู้เสียหายที่ ๒ บอกให้
ผู้เสียหายที่ ๑ นัดหมายจาเลยมาเจรจาสู่ขอแต่จาเลยไม่มา ผู้เสียหายท่ี ๒ ติดต่อไปหาจาเลย แต่
จาเลยบ่ายเบ่ียงไม่มาสู่ขอตามที่ตกลง ข้อเท็จจริงจึงคลาดเคล่ือนไม่อาจฟังได้ตามท่ีศาลอุทธรณ์
วินิจฉัย พิพากษาให้จาเลยมีความผิดตามฟ้องฐานพรากเด็กไปเพ่ือการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา
๓๑๗ วรรคสาม มใิ ชว่ รรคแรก

ฎีกาที่ ๓๗๑๘/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๘๔ วันเกิดเหตุจาเลยชวนผู้เสียหายที่ ๒ ไปเท่ียวท่ี
อาเภอโนนดินแดง จงั หวัดบรุ รี ัมย์ ผ้เู สียหายท่ี ๒ ตกลงไปและไดช้ วน ส. ไปเป็นเพ่ือนด้วย ไดไ้ ปเที่ยว
ท่ีเขื่อนลานางรองจนถึงเวลาประมาณ ๒๑ นาฬิกา จาเลยชวนไปเที่ยวต่อท่ีบ้านเพ่ือนจาเลย
หลังจากนั้นก็ชวนกลับ แต่ผู้เสียหายที่ ๒ ไม่กล้ากลับบ้านเน่ืองจากเป็นเวลาค่ามืดแล้วกลัวบิดา

393

มารดาดุด่าเฆี่ยนตี โดยจาเลยมิได้ใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายท่ี ๒ ไปเที่ยวแต่ประการใด หากแต่
เป็นความยินยอมพร้อมใจท่ีจะไปเที่ยวกับจาเลย และ ส. ตามประสาวัยรุ่น แม้ต่อมาจะปรากฏว่า
จาเลยได้กระทาชาเราผูเ้ สียหาย กเ็ ปน็ เรือ่ งเกิดเหตุภายหลงั โดยไม่ปรากฏว่าจาเลยวางแผนมาแตแ่ รก
จาเลยจึงไม่มีความผิดฐานพาหญิงไปเพ่ือการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวงตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๔
วรรคแรก

ความผิดฐานพรากเด็กมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความคุ้มครองอานาจปกครองของบิดามารดาที่
มีต่อเด็กมิให้ผู้ใดพรากไปเสียจากความปกครอง แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่าผู้เสียหายท่ี ๒ และ ส.
จะเพียงชวนกันไปเท่ียวอันเป็นการที่ผู้เสียหายท่ี ๒ เต็มใจไปกับจาเลยเองดังวินิจฉัยข้างต้น แต่
ผ้เู สยี หายท่ี ๒ ยังไม่พ้นจากความปกครองดูแลของผู้เสียหายท่ี ๑ และ ท. ผู้เป็นบิดามารดา ท่ีจาเลย
อ้างว่าผู้เสียหายที่ ๒ ไม่ยอมกลับบ้านทั้ง ๆ ที่จาเลยชวนกลับแล้วน้ัน จาเลยก็หามีสิทธิท่ีจะพา
ผู้เสียหายท่ี ๒ ไปเสียจากความปกครองของผู้เสียหายที่ ๑ และ ท. ไม่ ทั้งยังปรากฏพฤติการณ์ที่
จาเลยพาผู้เสียหายที่ ๒ ไปยังสถานที่ต่าง ๆ ก็มลี ักษณะเปน็ การหลบซ่อนเพื่อมิใหผ้ ู้เสียหายที่ ๑ ตาม
ไปพบผู้เสียหายที่ ๒ อันเป็นข้อพิรุธในการกระทาของจาเลย จาเลยอยู่กับผู้เสียหายที่ ๒ ตลอดมา
แล้วจาเลยยังได้กระทาชาเราผู้เสียหายท่ี ๒ อีกด้วย เมื่อผู้เสียหายที่ ๒ กับจาเลยมิได้มีความรักใคร่
กันทางชู้สาวมาก่อน และจาเลยก็ไม่มีเจตนาจะแต่งงานอยู่กินหรือเลี้ยงดูผู้เสียหายท่ี ๒ แต่อย่างใด
การกระทาของจาเลยถือได้ว่าเป็นการพรากเด็กอายุยังไม่เกิน ๑๕ ปี ไปเสียจากบิดามารดาเพ่ือการ
อนาจาร อันเปน็ ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม

ฎีกาท่ี ๑๒๕๘/๒๕๔๒ ฎ.ส.ล.๕ น.๘๖ ป.อ. มาตรา ๓๑๗ มิได้จากัดวา่ การพรากเด็กจะต้อง
กระทาโดยวิธีการอย่างใด แม้เด็กจะมีรูปร่างใหญ่โต แต่อายุไม่เกิน ๑๕ ปี และเด็กเต็มใจไปด้วยก็
ตาม ก็เป็นความผิด และต้องเป็นการกระทาโดยปราศจากเหตุอันสมควร การท่ีเด็กอยู่ในความ
อุปการะเลยี้ งดูและใหก้ ารศึกษาของบิดามารดา โดยบิดามารดามอี านาจปกครองและมีสิทธกิ าหนดท่ี
อย่ขู องบุตรนั้น เม่ือจาเลยพาเด็กไปถือเป็นการกระทาโดยปราศจากเหตุอันสมควรเป็นความผิดตาม
มาตรา ๓๑๗ วรรคแรก แล้ว ส่วนการท่ีจาเลยกับผู้เสียหายรักกันด้วยความสุจริตใจต่างมีเจตนาอยู่
กินด้วยกันฉันสามีภริยา การกระทาของจาเลยขาดเจตนาเพ่ือการอนาจาร จึงไม่เป็นความผิดตาม
มาตรา ๓๑๗ วรรคสาม

394

ความผดิ ตอ่ ชีวติ ร่างกาย

ข้อ ๗๐ คาถาม นายเยี่ยมเชิญพันตารวจเอกยอดหัวหน้าสถานีตารวจไปร่วมงานเล้ียง
ขึ้นบ้านใหม่ของนายเย่ียมและขอให้ช่วยดูแลความเรียบร้อยด้วยเพราะได้จัดให้มีการรื่นเริงในงาน
พันตารวจเอกยอดได้ไปร่วมงานเลี้ยงของนายเยี่ยม นายแย่ไปงานเลี้ยงบ้านนายเย่ียมด้วยโดยนา
อาวุธปืนที่ยืมมาจากนายยุ่งเพ่อื จะนาไปใช้ยงิ พันตารวจเอกยอดเพราะเจบ็ ใจที่มาแย่งก๊กิ ของตน เม่ือ
นายแย่พบพันตารวจเอกยอดในงานเลี้ยงบ้านนายเย่ียมโดยบังเอิญ นายแย่จึงใช้อาวุธปืนดังกล่าว
ยิงพันตารวจเอกยอดทันทีที่เห็นหน้า กระสุนไม่ถูกพันตารวจเอกยอด แต่พันตารวจเอกยอดได้ยิน
เสียงปนื จงึ ตกใจจนถงึ แกค่ วามตาย

ใหว้ นิ ิจฉัยว่า นายแยม่ ีความรับผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใด
คาตอบ แม้นายเยี่ยมจะเชิญพันตารวจเอกยอดไปร่วมงานเล้ียงในฐานะเป็นหัวหน้าสถานี
ตารวจเพื่อให้ช่วยดูแลความเรียบร้อย ก็เป็นการเชิญไปร่วมงานในฐานะส่วนตัว พันตารวจเอก
ยอดไม่ได้ไปปฏิบัติหน้าท่ีรักษาความสงบภายในงานตามอานาจหน้าท่ีของเจ้าพนักงานตารวจ
แม้นายเยี่ยมขอให้ช่วยดูแลความเรียบร้อยนั้น นายเย่ียมเพียงต้องการให้ผู้ร่วมงานเกรงใจ
พันตารวจเอกยอดซ่ึงมีตาแหน่งเป็นหัวหน้าสถานีตารวจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนเท่าน้ัน การที่
นายแยย่ ิงพนั ตารวจเอกยอดจงึ ไม่ใชก่ ารฆา่ เจ้าพนักงานซง่ึ กระทาการตามหนา้ ท่ี (ฎีกาท่ี ๑๑๗๒๐/
๒๕๕๔) นายแยจ่ ึงไม่มคี วามผิดฐานฆ่าเจ้าพนักงาน
แต่การที่นายแย่นาอาวธุ ปืนของนายยุง่ ไปเพอื่ นาไปใชย้ งิ พนั ตารวจเอกยอด แมน้ ายแย่ได้พบ
พันตารวจเอกยอดในงานเลีย้ งโดยบังเอิญซงึ่ นายแย่มไิ ด้ตระเตรียมการไว้กอ่ น แลว้ นายแยใ่ ช้อาวุธปืน
ดังกล่าวยิงพันตารวจเอกยอดทันที แต่เป็นการตระเตรียมการท่ีจะใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิง
พันตารวจเอกยอดตามแต่โอกาสจะอานวย การกระทาความผิดของนายแย่จงึ เป็นการกระทาโดย
ไตร่ตรองไวก้ ่อน (ฎีกาที่ ๓๓๖๖/๒๕๕๕)
แม้กระสุนไม่ถูกพันตารวจเอกยอด แต่พันตารวจเอกยอดได้ยินเสียงปืนจึงตกใจจนถึงแก่
ความตาย จึงต้องพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างการกระทาและผลต่อไปตามหลักผลโดยตรงที่ว่า
ถ้าไม่ทาผลไม่เกิด ถือว่าผลเกิดจากการกระทาน้ัน แม้จะมีเหตุอ่ืนประกอบด้วยก็ตาม กรณีน้ี
หากนายแย่ไมย่ ิงปืนพันตารวจเอกยอดก็จะไม่ตกใจจนถึงแก่ความตาย ความตายของพันตารวจเอก
ยอดเป็นผลโดยตรงจากการกระทาของนายแย่ และไม่มีเหตุแทรกแซง นายแย่ต้องรับผิดในผล
คือความตายของพนั ตารวจเอกยอด นายแย่จึงมคี วามผิดฐานฆา่ ผ้อู ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
การท่ีนายแย่พกปืนไปงานเลี้ยงบ้านนายเยี่ยมและใช้ปืนยิงพันตารวจเอกยอด เป็นการพา
อาวุธไปในชุมนุมชนที่ได้จัดให้มีขึ้นเพ่ือการรื่นเริงตามมาตรา ๓๗๑ และเป็นการยิงปืนซ่ึงใช้ดิน
ระเบิดโดยใชเ่ หตใุ นท่ชี มุ นุมชนตามมาตรา ๓๗๖ ด้วย
ฎีกาท่ี ๑๑๗๒๐/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๒๙๑ วนั เกิดเหตุผตู้ ายไดไ้ ปร่วมงานเลีย้ งข้ึนบา้ นใหม่
ของ ส. แม้ ส. จะเชิญผู้ตายไปร่วมงานในฐานะผู้ตายเป็นหัวหน้าสถานีตารวจเพ่ือให้ช่วยดูแลความ
เรยี บรอ้ ย ก็เปน็ การเชิญไปรว่ มงานในฐานะส่วนตัว ไม่ใชผ่ ้ตู ายไปปฏิบัติหน้าทร่ี ักษาความสงบภายใน

395

งานตามอานาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานตารวจ ส่วนที่ ส. อ้างว่าเพื่อให้ช่วยดูแลความเรียบร้อยนั้น
ส. เพียงต้องการให้ผู้ร่วมงานเกรงใจผู้ตายซึ่งมีตาแหน่งเป็นหัวหน้าสถานีตารวจไม่ให้ก่อความ
เดือดร้อนเท่านน้ั การกระทาของจาเลยที่ยงิ ผ้ตู ายจึงไมใ่ ช่การฆ่าเจา้ พนักงานซงึ่ กระทาการตามหนา้ ท่ี

ฎีกาท่ี ๓๓๖๖/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๗๖ จาเลยนาอาวุธปืนของ ส. ไปเพื่อนาไปใช้ยิง
ผู้เสียหาย แม้จาเลยได้พบผู้เสียหายในที่เกิดเหตุโดยจาเลยมิได้ตระเตรียมการไว้ก่อน แล้วจาเลย
เข้าใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย แต่เป็นการตระเตรียมการท่ีจะใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้เสียหายตามแต่
โอกาสจะอานวย ความผิดของจาเลยจงึ เป็นการกระทาโดยไตรต่ รองไว้ก่อน

ข้อ ๗๑ คาถาม นายเก่งแค้นใจที่ดาบตารวจเก๋ามาแย่งก๊ิกของตน วันหนึ่งดาบตารวจเก๋า
แต่งเคร่ืองแบบตารวจขับข่ีรถจักรยานยนต์ตรวจท้องที่ผ่านหน้าบ้านนายเก่ง นายเก่งเห็นเข้าจึงรีบ
เข้าบ้านไปหยิบลูกระเบิดขว้างใส่ดาบตารวจเก๋าโดยไม่ทันได้ถอดสลักนิรภัย ลูกระเบิดจึงไม่ระเบิด
แล้วนายเก่งก็หลบหนีไป ผลการตรวจพิสูจน์ลูกระเบิดว่าอยู่ในสภาพใช้การได้ หากเกิดระเบิดขึ้น
มีอานาจทาลายสงั หารชวี ิตมนุษยไ์ ด้ ต่อมาดาบตารวจเก๋ากับพวกรว่ มกันจับนางก้อนในขอ้ หาร่วมกัน
จาหน่ายยาบ้าซ่ึงเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ ขณะท่ีดาบตารวจเก๋าเดินเที่ยวอยู่กับกิ๊ก
นายกล้าสามีของนางก้อนพบดาบตารวจเก๋าโดยบังเอิญจึงใช้ปืนยิงดาบตารวจเก๋าถึงแก่ความตาย
เพราะแค้นทจี่ ับภรรยาตน

ให้วนิ ิจฉัยวา่ นายเกง่ และนายกลา้ มีความผดิ ต่อชีวิตหรือไมเ่ พียงใด
คาตอบ การฆ่าเจ้าพนักงานซ่ึงกระทาการตามหน้าท่ี หมายความถึง เจ้าพนักงานกาลัง
กระทาการตามหน้าท่ีอยู่ในขณะท่ีถูกฆ่า แต่ไม่จาต้องถูกฆ่าเพราะเหตุที่กาลังกระทาตามหน้าท่ี
ดังน้ัน การท่ีนายเก่งขว้างลูกระเบิดใส่ดาบตารวจเก๋า แม้จะทาเพราะแค้นใจที่ดาบตารวจเก๋าจาก
เรื่องส่วนตัว แต่นายเก่งฆ่าในขณะที่ดาบตารวจเก๋าขับข่ีรถจักรยานยนต์ตรวจท้องท่ีในเครื่องแบบ
ตารวจ ก็เป็นการกระทาต่อเจ้าพนักงานซึ่งกาลังกระทาการตามหน้าท่แี ลว้ (ฎกี าที่ ๑๒๓๘/๒๕๑๕
และดูเพิ่มเติมในคำอธิบำยประมวลกฎหมำยอำญำ ภำค ๒ ตอน ๒ และภำค ๓ โดยศำสตรำจำรย์
จิตติ ติงศภัทิย์ ๒๕๕๓ หัวข้อ 1001 หน้ำ ๘๐ ถึง ๘๑) แม้ระเบิดท่ีขว้างไม่ระเบิดเน่ืองจากยังไม่ได้
ถอดสลักนิรภัยซึ่งอาจเป็นเพราะนายเก่งรีบร้อนเกินไป เม่ือผลการตรวจพิสูจน์ลูกระเบิดว่าอยู่ใน
สภาพใช้การได้ หากเกิดระเบิดข้ึนมีอานาจทาลายสังหารชีวิตมนุษย์ได้ การกระทาของนายเก่งเป็น
การลงมือกระทาความผิดไปตลอดแลว้ แต่การกระทาไม่บรรลผุ ล จึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า
เจ้าพนักงานซึ่งกระทาการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๒) ประกอบ
มาตรา ๘๐ (ฎีกาที่ ๙๒/๒๕๕๓)
การฆ่าเจ้าพนักงานซึง่ ไดก้ ระทาการตามหน้าที่ ผู้กระทาต้องมีมลู เหตุชักจูงใจมาจากการ
ท่ีเจ้าพนักงานได้กระทาการตามหน้าที่มาแล้ว แม้จะกระทาในเวลาท่ีเจ้าพนักงานกาลังเที่ยวอยู่
ตามสบาย การฆ่าก็เป็นความผิดตามนี้ การที่นายกล้ายิงดาบตารวจเก๋าถึงแก่ความตายเพราะ

396

ดาบตารวจเก๋ากับพวกรว่ มกันจับนางก้อนภรรยาของนายกล้านัน้ แม้จะฆ่าขณะที่ดาบตารวจเก๋าเดิน
เท่ียวอยู่ แต่ก็เป็นความผิดฐานฆ่าเจ้าพนักงานซ่ึงได้กระทาการตามหน้าที่ตามมาตรา ๒๘๙ (๒)
แล้ว (ดูเพ่ิมเติมในคำอธิบำยประมวลกฎหมำยอำญำ ภำค ๒ ตอน ๒ และภำค ๓ โดยศำสตรำจำรย์
จติ ติ ติงศภทั ิย์ ๒๕๕๓ หัวข้อ 1003 หน้ำ ๘๗)

ฎีกาท่ี ๙๒/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๗ การท่ีจาเลยท้ังสองขบั รถจักรยานยนต์หนีโดยมรี ถยนต์
ของผู้เสยี หายซงึ่ เป็นเจ้าพนักงานตารวจไล่ตามมาตดิ ๆ เป็นระยะทางหลายกโิ ลเมตร และจาเลยท่ี ๒
ขว้างลูกระเบิดไปขา้ งหลังโดยเลง็ เห็นว่าลูกระเบิดท่ีขว้างไปดังกล่าวสามารถทาให้ผู้เสยี หายและพวก
ซึ่งอยู่ในรถยนต์ท่ีไล่ตามมาอาจถึงแก่ความตายได้หากลูกระเบิดเกิดระเบิดข้ึน จึงเป็นการขว้างโดยมี
เจตนาฆ่าผู้เสียหายกับพวก แต่การกระทาของจาเลยทั้งสองไม่บรรลุผล เพราะลูกระเบิดที่ขว้าง
ไม่เกิดระเบิดเนื่องจากยังไม่ได้ถอดสลักนิรภัยซึ่งอาจเป็นเพราะจาเลยท่ี ๒ รีบร้อนเกินไป เม่ือ
ปรากฏผลการตรวจพิสูจนล์ กู ระเบิดว่าอยูใ่ นสภาพใช้การได้ หากเกิดระเบดิ ขน้ึ มอี านาจทาลายสงั หาร
ชีวิตมนุษย์ สัตว์ และทรัพย์สินให้เสียหายได้ในรัศมีฉกรรจ์ ๑๐ เมตร จากจุดระเบิด การกระทาของ
จาเลยทั้งสองจงึ เป็นความผดิ ฐานพยายามฆา่ ผเู้ สียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๒)
ประกอบมาตรา ๘๐

ขอ้ ๗๒ คาถาม นายเอกและนายโทมีปากเสียงกนั สง่ เสยี งดงั นายเอกเอามีดยาว ๒ ฟตุ ฟัน
ทาร้ายนายโทถูกท่ีบริเวณแขนบาดเจ็บ ขณะเดียวกันนางตรีมารดาของนายโทออกมาดูเห็นเข้า
ก็ตกใจมาก ประกอบกับนางตรีซ่ึงเป็นโรคหัวใจอยู่ก่อนแล้ว นางตรีจึงเป็นลมตาย โดยนายเอก
ไม่ทราบมากอ่ นว่านางตรเี ปน็ โรคหัวใจ ใหว้ ินิจฉัยวา่

ก. นายเอกมคี วามผดิ ทางอาญาต่อนายโทและนางตรฐี านใด
ข. หากขณะท่ีฟันนายโทนั้น นายเอกเห็นนางตรีมารดาของนายโทและทราบว่านางตรีเป็น
โรคหัวใจ นายเอกจะมีความผิดทางอาญาตอ่ นางตรีฐานใด
คาตอบ หลักกฎหมายเรื่องเจตนา ประสงค์ต่อผล ย่อมเล็งเห็นผล พลาด ผลโดยตรง เหตุ
แทรกแซง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙, ๖๐
ก. ความรบั ผิดทางอาญาของนายเอกต่อนายโท นายเอกเอามดี ยาว ๒ ฟุต ฟนั ทาร้ายนายโท
ถูกท่ีบริเวณแขนบาดเจ็บ เป็นการทาร้ายร่างกายนายโทจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายโดย
เจตนา นายเอกจึงมีความผิดฐานทาร้ายร่างกายนายโทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕,
๕๙
ความรับผิดทางอาญาของนายเอกต่อนางตรี แม้นางตรีจะถึงแก่ความตายเพราะตกใจ
มไิ ด้ถึงแกค่ วามตายเพราะการใช้มีดฟัน เมือ่ นายเอกเจตนาทาร้ายร่างกายนายโทโดยเจตนา แต่ผล
ไปเกิดแก่นางตรีโดยพลาดไป ให้ถือว่านายเอกกระทาโดยเจตนาแก่นางตรี ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับ
ผลร้ายจากการกระทาน้ันตามมาตรา ๖๐ ต้องถือวา่ นายเอกมเี จตนาทารา้ ยนางตรีโดยพลาด โดย

397

ไม่ต้องคานึงว่าผลน้ันจะเกิดจากการฟันหรือการตกใจ เม่ือนายเอกมีเจตนาทาร้ายร่างกายนางตรี
โดยพลาดและนางตรีถึงแก่ความตาย นายเอกจะต้องรับผิดฐานทาร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึง
แก่ความตายตามมาตรา ๒๙๐ หรือไม่ ต้องพิจารณาเร่ืองความสัมพันธ์ระหว่างการกระทาและ
ผลต่อไป

ความผิดตามมาตรา ๒๙๐ มิใช่ความผิดที่ผลของการกระทาทาให้ผู้กระทาต้องรับโทษ
หนักขึ้นจากฐานทาร้ายร่างกาย แต่เป็นบทเบาของฐานฆ่าผู้อ่ืนโดยเจตนา จึงไม่ต้องพิจารณา
ผลธรรมดาตามมาตรา ๖๓ พิจารณาเพียงผลโดยตรงตามทฤษฎีเง่ือนไขท่ีว่า ถ้านายเอกไม่ฟัน
นายโท นางตรีก็จะไม่ตกใจตาย ความตายของนางตรีเป็นผลโดยตรงจากการกระทาของนายเอก
แม้นางตรีจะเป็นโรคหัวใจ แต่ก็ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดข้ึนใหม่หลังการกระทาความผิด จึงไม่มีเหตุ
แทรกแซง เมื่อความตายของนางตรีเป็นผลโดยตรงจากการกระทาของนายเอก นายเอก
จึงมีความผิดฐานทาร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้น้ันถึงแก่ความตายโดยพลาดตามมาตรา ๒๙๐, ๖๐
(ดูเพิ่มเติมในศำสตรำจำรย์จติ ติ ติงศภัทิย์, กฎหมำยอำญำภำค ๒ ตอน ๒ และภำค ๓ พิมพ์ครั้งท่ี ๗
พ.ศ. ๒๕๕๓ หน้ำ ๑๒๙)

การกระทาของนายเอกเป็นกรรมเดียวมีความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตาม
มาตรา ๒๙๐ ซึ่งเปน็ บทหนักทสี่ ดุ ตามมาตรา ๙๐

ข. หากขณะที่ฟันนายโทนั้น นายเอกเห็นนางตรีมารดาของนายโทและทราบว่านางตรีเป็น
โรคหัวใจ นายเอกย่อมเล็งเห็นได้ว่านางตรีจะตายเพราะนายเอกย่อมเล็งเห็นได้ว่านางตรีซึ่งเป็น
โรคหัวใจยอ่ มจะต้องตกใจตายอย่างแนน่ อนเท่าที่จิตใจของบคุ คลในฐานะเช่นนั้นจะเล็งเห็นได้ว่า
คนที่เป็นโรคหัวใจ หากเห็นคนฟันบุตรของตนคงจะต้องตกใจตาย การกระทาของนายเอกจงึ เป็น
ความผิดฐานฆ่านางตรีโดยเจตนาเล็งเห็นผลตามมาตรา ๒๘๘, ๕๙ ด้วยอีกบทหนึ่งซึ่งเป็นกรรม
เดียวมีความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา ๒๘๘ ซึ่งเป็นบทหนักทส่ี ุดตามมาตรา
๙๐
ข้อสังเกต หำกเจตนำต่อนำยโทเป็นเจตนำทำร้ำยตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ ๒๙๕ เมื่อ
พลำดไปเกิดผลต่อนำงตรีถึงแก่ควำมตำย ก็ต้องเป็นเจตนำทำร้ำยถึงแก่ควำมตำยตำมมำตรำ ๒๙๐
ดังตัวอย่ำงข้อ ก. หรือหำกเดิมมีเจตนำฆ่ำนำยโท เมื่อพลำดไปถูกนำงตรีแต่ไม่ตำย เพียงได้รับ
อันตรำยสำหัสก็ต้องเป็นควำมผิดฐำนพยำยำมฆ่ำโดยพลำด ไม่ใช่ผิดเพยี งฐำนทำรำ้ ยรำ่ งกำยเปน็ เหตุ
ให้ไดร้ ับอันตรำยสำหัส แต่ถำ้ มีเจตนำเอำปืนขนึ้ มำข่ใู หน้ ำยโทมอบทรัพย์ แต่นำงตรีตกใจตำย ไม่เป็น
เจตนำฆำ่ ผูอ้ ่ืนโดยพลำด เพรำะไมม่ ีเจตนำฆำ่ มำตัง้ แต่ต้น

398

ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๒๘๘

ผู้อืน่ ตอ้ งมชี ีวิตขณะถูกฆา่

ฎีกาท่ี ๔๒๐๐/๒๕๕๙ ป.อ. มาตรา ๒๘๘ ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นมีองค์ประกอบความผิด
ประการหนึ่ง คือ ฆ่า คาว่า "ฆ่า" หมายถึงการกระทาด้วยประการใด ๆ ให้คนตาย แต่ตาม ป.อ. มิได้
กาหนดบทนยิ ามคาว่า "ตาย" วา่ มีความหมายอย่างไร และไม่มีบทบญั ญตั ิของกฎหมายใดนยิ ามความ
ตายให้ชัดแจ้ง เม่ือตาม พ.ร.บ. การทะเบียนราษฎรฯ กาหนดให้แพทย์เป็นผู้ออกหนังสือรับรอง
การตาย ดังนั้น การวินิจฉัยการตายจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงท่ีต้องให้แพทย์ซึ่งเป็นผู้เช่ียวชาญเป็น
ผู้วินิจฉัย โดยท่ีงานของแพทย์มีลักษณะเป็นวิชาชีพ จึงเป็นงานที่ต้องมีกรอบขนบธรรมเนียมและ
จรรยาบรรณของหมู่คณะโดยเฉพาะ และเป็นการใช้ความรู้ในวิทยาการเฉพาะด้านท่ีผู้อื่นไม่อาจรู้ได้
ทั้งหมด อีกทั้งมีวิวัฒนาการด้านการรักษาและวิทยาการเทคโนโลยีทางด้านการแพทย์ที่
เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การประกอบวิชาชีพเวชกรรมจึงมีกฎหมายควบคุมผู้ประกอบวิชาชีพนี้
เป็นพิเศษและมีการสอดส่องดูแลโดยบุคคลในวิชาชีพเดียวกันเพ่ือให้การประกอบวิชาชีพเป็นไปโดย
ถูกต้องตามกรอบมาตรฐานวิชาชีพและจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ขณะเกิดเหตุ วิทยาศาสตร์การแพทย์
ด้านการปลูกถ่ายอวัยวะในผู้ป่วยที่มีปัญหาการสูญเสียหน้าที่การทางานของอวัยวะหรือมีความ
ล้มเหลวของอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ ตับ ไต เป็นต้น มีความก้าวหน้าจนสามารถเอาอวัยวะจากผู้ที่
ตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่นาไปปลูกถ่ายอวัยวะให้แก่ผู้ป่วยได้ ในการน้ีได้มีประกาศแพทยสภา เรื่อง
เกณฑ์การวินิจฉัยสมองตาย พ.ศ.๒๕๓๒ และประกาศแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับท่ี ๒ พ.ศ.๒๕๓๙ กาหนด
หลักเกณฑ์และวิธกี ารวนิ ิจฉัยสมองตายมีสาระสาคัญวา่ การวนิ จิ ฉัยคนตายโดยอาศยั เกณฑ์สมองตาย
นั้นมีความจาเป็นท่ีจะต้องนาไปใช้โดยเฉพาะกับการผ่าตัดเปล่ียนอวัยวะสาคัญของมนุษย์ และอาจ
นาไปใช้ในกรณอี ื่น ๆ ในอนาคตเพื่อความเจริญกา้ วหน้าทางวิชาชีพและเพื่อประโยชน์ของประชาชน
บุคคลซ่ึงได้รับการวินิจฉัยว่าสมองตาย ถือว่า บุคคลน้ันถึงแก่ความตาย สมองตายหมายถึง การท่ี
แกนสมองถกู ทาลายจนสิ้นสุดการทางานโดยส้ินเชิงตลอดไป แพทย์เป็นผพู้ ิจารณาวินจิ ฉัยและตดั สิน
การตายของสมองตามเกณฑ์ของวิชาชีพ ดังน้ัน เม่ือแพทย์ใช้วิธีการท่ีไดร้ ับการยอมรับในการสรุปว่า
คนไขน้ นั้ ถงึ แก่ความตายแล้ว บคุ คลผู้อยู่ในสภาวะสมองตาย คือ การที่แกนสมองถกู ทาลายจนส้ินสุด
ก าร ท างาน โด ย สิ้ น เชิ งต ล อ ด ไป ต าม ห ลั ก เก ณ ฑ์ แ ล ะ วิ ธีก าร วินิ จ ฉั ย ส ม อ งต าย ท่ี ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร
แพทยสภากาหนดและออกเป็นประกาศแพทยสภาตามประกาศแพทยสภาดังกล่าว ย่อมถือได้ว่า
เป็นการตายของบุคคล การท่ีจาเลยท่ี ๑ และที่ ๔ แพทย์ผู้ร่วมผ่าตัดเอาไตทั้ง ๒ ข้างและตับออก
จากร่างกายของนางสาว ล. และจาเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ แพทย์ผู้ร่วมผ่าตัดเอาไตท้ัง ๒ ข้าง ออกจาก
รา่ งกายของนาง น. ซึ่งอยู่ในสภาวะสมองตายตามประกาศแพทยสภา เรื่อง เกณฑ์การวินิจฉัยสมอง
ตาย เพื่อนาเอาอวัยวะน้ันไปทาการปลูกถ่ายอวยั วะให้แกบ่ ุคคลอื่น จึงเป็นการกระทาต่อบุคคลท่ีตาย
แลว้ ไม่มีสภาพเป็นบคุ คลทจ่ี ะถกู ฆ่าไดอ้ ีก ไมเ่ ป็นความผิดฐานรว่ มกันฆ่าผ้อู นื่

399

ใชป้ ืนถอื วา่ มีเจตนาฆ่า

ฎีกาท่ี ๑๓๑๑๖/๒๕๕๘ ฎ.ส.ล.๗ น.๘๙ ตามแผนท่ีสังเขปแสดงสถานท่ีเกิดเหตุ ประกอบ
ภาพถ่ายที่คู่ความรับว่าถูกต้อง ซึ่งแสดงแนววิถีของกระสุนปืนที่ยิง ระบุชัดเจนว่าเป็นการยิงตรงไป
บริเวณที่กล่มุ ของผู้เสียหายซึ่งกาลงั ว่ิงหลบหนี สอ่ แสดงเจตนาชัดเจนวา่ จาเลยและ อ. ประสงค์จะทา
อันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้เสียหายกับพวก แม้กระสุนปืนจะถูกที่ระดับเท้าของผู้เสียหาย
และถูกรถยนต์ที่ระดับสูงก็ตาม ย่อมเล็งเห็นได้ว่าเป็นพฤติการณ์มุ่งเล็งยิงไปท่ีกลุ่มผู้เสียหายโดย
ประสงค์ต่อชีวิต ส่วนการที่กระสุนปืนถูกบริเวณต่าในระดับเท้าและถูกรถยนต์ในระดับสูง ย่อมเป็น
เรื่องปกติท่ีอาจเกิดข้ึนได้เนื่องจากผู้ยิงไม่มีความชานาญในการยิงปืนและเป้าหมายท่ีถูกยิงเคล่ือนที่
จึงฟังได้ว่าจาเลยกับพวกมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายมิได้ถึงแก่ความตาย จาเลยย่อมมี
ความผิดฐานร่วมกนั พยายามฆา่ ผเู้ สียหาย

ฎีกาที่ ๗๓๖๘/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๓๓ จาเลยขับรถจกั รยานยนต์ไปถามหาโจทก์ที่บ้าน ส.
เรียกให้โจทก์ออกไปพบ เมื่อโจทก์ออกไปพบ จาเลยสอบถามโจทก์ว่า ตีเพ่ือนจาเลยหรือไม่ โจทก์
ปฏิเสธ จาเลยจึงใช้มือซา้ ยล็อกคอโจทก์พร้อมกับใชม้ ือขวาล้วงอาวุธปืนออกมาจ่อทบ่ี รเิ วณขมบั โจทก์
โจทก์ไดย้ ินเสียงคลา้ ยกบั ขึ้นนกปนื จึงใชม้ อื ปดั อาวธุ ปืนแลว้ ปืนลั่นขน้ึ ๑ นดั การที่จาเลยใช้อาวุธปืน
ซึ่งเป็นอาวุธรา้ ยแรงสามารถทาอนั ตรายแก่ชวี ิตได้โดยง่ายจอ่ ไปท่ีขมับโจทก์ในระยะใกล้ พร้อมกบั ข้ึน
นกปืนทาให้อาวุธปืนอยู่ในสภาพที่จะใช้งานได้ทันทีตามพฤติการณ์ดังกล่าวถือว่าจาเลยมีเจตนาฆ่า
โจทก์ แต่โจทก์ใช้มือปัดอาวุธปืนและเกิดเสียงปืนลั่นข้ึน ๑ นัด กระสุนปืนจึงไม่ถูกโจทก์ การกระทา
ของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ แต่การที่จาเลยมิได้ใช้อาวุธปืนที่เตรียมมายิงโจทก์
ทันที แต่ได้เรียกโจทก์มาสอบถามว่าทาร้ายเพ่ือนจาเลยหรือไม่ เมื่อโจทก์ปฏิเสธจึงใช้มือล็อกคอ
โจทกแ์ ละใชอ้ าวุธปนื จอ่ ท่ขี มับ ยงั ถอื ไมไ่ ด้ว่าเปน็ การกระทาโดยไตร่ตรองไวก้ ่อน

ฎกี าที่ ๒๖๙๑/๒๕๕๕ ฎ.๑๘๖ จาเลยใช้อาวุธปืนจอ่ ศีรษะผู้เสียหายท่ี ๑ ในขณะมีการกอด
ปล้าและด้ินรนขัดขืนอยู่ ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่ากระสุนปืนอาจลั่นถกู ศีรษะผู้เสียหายท่ี ๑ เป็นอันตราย
ถึงชีวิตได้ จึงเป็นการกระทาโดยเจตนาฆ่า เมื่อผู้เสียหายท่ี ๑ ถูกยิงในระยะกระชั้นชิด กระสุนปืน
เฉี่ยวศีรษะมีบาดแผลเลือดไหลไม่ถึงแก่ความตาย จาเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายท่ี ๑

แม้ไม่มีเหตุท่ีจาเลยจะต้องฆ่าผู้เสียหายที่ ๒ แต่การที่จาเลยหันปากกระบอกปืนไปทาง
ผู้เสียหายที่ ๒ แล้วลั่นไกปืนจาเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่ากระสุนปืนอาจลั่นถูกผู้เสียหายท่ี ๒ ถึงแก่
ความตายได้ จงึ เป็นการกระทาโดยเจตนาฆ่า เมื่อผเู้ สียหายท่ี ๒ ถกู ยงิ ในระยะใกล้ กระสุนปนื ถกู ทไี่ ห
ปลารา้ ไม่ถงึ แกค่ วามตาย จาเลยจึงมีความผดิ ฐานพยายามฆ่าผู้เสยี หายที่ ๒

ฎกี าท่ี ๖๖๓๙/๒๕๕๔ ฎ.๑๕๔๓ จาเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุภายในบ้านของโจทก์และพวก แล้ว
ไปเอาอาวุธปืนของจาเลยย้อนกลับไปบ้านเกิดเหตุซ่ึงมีโจทก์ พี่ชาย และพี่สาวกับญาติอีกหลายคน
หลบอยู่ภายในบ้าน การท่ีจาเลยยงิ ปืนไปทบ่ี ริเวณบา้ นรวม ๔ นดั กระสนุ ปืน ๑ นดั ถกู ที่เสาหน้าบา้ น
สูงจากพื้นประมาณ ๑๒๔ เซนติเมตร อีกหน่ึงนัดถูกที่ตู้กระจกใส่ของสูงจากพ้ืนประมาณ ๓๖
เซนติเมตร และโจทก์มีบาดแผลถูกของมีคมบริเวณท้องแขนทั้งสองข้าง เน่ืองจากถูกกระจกกระเด็น

400

ใส่ จาเลยย่อมเล็งเหน็ ผลไดว้ า่ กระสุนปืนอาจถูกโจทกห์ รอื บคุ คลอื่นภายในบ้านถึงแก่ความตายได้ แม้
กระสุนปืนจะไม่ถูกผู้ใด จาเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๒๘๘ , ๘๐

ฎีกาท่ี ๘๖๕๐/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๑๗๔ จาเลยขับรถไล่ตามรถของผู้เสียหายที่ ๑
ในระยะกระชั้นชิด แล้วใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงสามารถทาอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ยิงใส่รถของ
ผู้เสียหายที่ ๑ ซ่ึงอยู่ด้านหน้า ๓ นัด ในขณะท่ีผู้เสียหายท้ังสองนั่งอยู่ในห้องโดยสาร จาเลยย่อม
เล็งเห็นหรือคาดหมายได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกบุคคลที่นั่งอยู่ในรถของผู้เสียหายที่ ๑ ถึงแก่ความตาย
ได้ ถือได้ว่าจาเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายท้ังสอง เม่ือจาเลยลงมือกระทาความผิดไปโดยตลอดแล้ว
แต่การกระทาไม่บรรลุผล เนื่องจากกระสุนปืนท่ียิงไม่ถูกผู้เสียหายท้ังสอง การกระทาของจาเลย
จงึ เปน็ ความผิดฐานพยายามฆา่ ผ้อู ื่น

ใช้ปนื แตไ่ ม่มีเจตนาฆา่

ฎีกาที่ ๗๘๖๐/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล. ๖ น. ๑๖๒ เม่ือจาเลยท้ังสามกับกลุ่มวัยรุ่นหมู่บ้าน ข.
ยังมิได้มีการทาร้ายซ่ึงกันและกัน การท่ีจาเลยท่ี ๑ ชักอาวุธปืนออกมาเพ่ือข่มขู่เท่าน้ัน มิใช่จะใช้ยิง
กลุ่มวัยรุ่นหมู่บ้าน ข. จาเลยที่ ๑ ถืออาวุธปืนในลักษณะเฉียงลงพ้ืนดิน ถือได้ว่าจาเลยที่ ๑
ได้ใช้ความระมัดระวงั ตามสมควรเพ่ือมิใหก้ ระสุนปืนลั่นไปถกู ผูอ้ ื่นแลว้ ผู้เสียหายเขา้ จับกมุ จาเลยท่ี ๑
โดยใช้มือขวาจับข้างที่ถืออาวุธปืนของจาเลยที่ ๑ ในลักษณะจะแย่งปืนจากจาเลยท่ี ๑ แม้ผู้เสียหาย
จะบอกว่าเป็นเจ้าพนักงานตารวจก็ตาม แต่ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายแต่งกายนอกเคร่อื งแบบและไม่ได้
แสดงหลักฐานอื่นอีกเพ่ือแสดงตอ่ จาเลยท่ี ๑ ว่าเปน็ เจ้าพนักงานตารวจจริงหรอื ไม่ จาเลยท่ี ๑ กาลัง
มเี รือ่ งทะเลาะวิวาทกบั กลมุ่ วยั รุ่นดังกล่าว ซง่ึ ภาวะเช่นน้นั จาเลยท่ี ๑ อาจเข้าใจว่าผู้เสียหายเปน็ กลุ่ม
วัยรุ่นที่กาลังทะเลาะท่ีจะเข้ามาทาร้ายจาเลยท่ี ๑ ก็ได้ จาเลยที่ ๑ ย่อมมีความชอบธรรมท่ีจะแย่ง
อาวุธปืนจากผู้เสียหายได้ เมอื่ ต่างฝ่ายต่างแยง่ อาวุธปนื กันอันเปน็ การกระทาอยา่ งรวดเร็วทันทีทันใด
จาเลยที่ ๑ ย่อมไม่อาจใช้ความระมัดระวังไม่ให้น้ิวไปถูกไกปืนได้ การที่กระสุนปืนล่ันขึ้นจึงมิใช่เกิด
จากการกระทาของจาเลยท่ี ๑ แต่ฝ่ายเดียว แต่เกิดจากการกระทาของผู้เสียหายด้วย ถือว่าจาเลย
ท่ี ๑ ได้ใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์ท่ีจาเลยท่ี ๑ อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่าน้ัน
ได้แล้ว การกระทาของจาเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นความผิดฐานกระทาโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อ่ืนได้รับ
อนั ตรายสาหัส

ฎีกาท่ี ๑๓๓๖/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๒ น.๑๑๒ ผู้เสียหายที่ ๑ กับพวกเข้าไปรุมทาร้ายจาเลยกับ
พวก จาเลยใช้อาวุธปืนยิงข้ึนฟ้า ๑ นัด เพื่อขู่ไม่ให้ผู้เสียหายที่ ๑ กับพวกเข้ามาทาร้าย ลักษณะจึง
เป็นการเตือนก่อน จากน้ันได้ยิงลงพื้นดินระหว่างจาเลยกับกลุ่มผู้เสียหายท่ี ๑ กับพวกเพ่ือให้ถอยไป
เม่ือไม่ได้ผลจึงยิงจนกระสุนปืนหมดลูกโม่ แต่ละนัดท่ียิงจาเลยพยายามยิงลงพื้นและในระดับต่าเพ่ือ
ไม่ให้ถูกอวัยวะส่วนสาคัญของผู้เสียหายท่ี ๑ และที่ ๒ กับพวก ลักษณะบาดแผลที่ผู้เสียหายท้ังสี่


Click to View FlipBook Version