The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-10-26 10:13:10

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

451

ทง้ั สองไป การกระทาของจาเลยท้ังสองจึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์
ฎกี าที่ ๒๗๖๓/๒๕๔๑ ฎ.ส.ล.๗ น.๔๒, ที่ ๖๗๓๖/๒๕๔๑ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๑๒๖ แมบ้ ริษัท ร.

จะได้รับสัมปทานเก็บรังนกจากรัฐบาลแต่ผู้เดียวก็ตาม หากยังมิได้เข้าถือเอา ก็ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๑๘ จาเลยมาเก็บรังนกไปจึงไม่มีความผิดฐาน
ลักทรพั ย์ของบริษัท ร.

เปน็ ทรัพย์ทีม่ ผี ู้อน่ื ครอบครองอยู่

ข้อ ๗๙ คาถาม นางดาและนายแดงเป็นสามีภรรยาโดยจดทะเบียนสมรสระหว่างท่ีเปน็ สามี
ภรรยานางดาและนายแดงร่วมกันปลูกต้นยางพาราในที่ดินมีโฉนดท่ีนายแดงเป็นผู้เช่ามาจากนาย
เหลือง ท่ีดินดังกล่าวมีการล้อมรั้วลวดหนามแสดงอาณาเขตไว้และติดป้ายห้ามไม่ให้บุคคลใดเข้าไป
ในสวนยางอย่างชัดเจน และได้ร่วมกันซ้ือบ้านพร้อมท่ีดินโดยใส่ชื่อนางดาเป็นเจ้าของในโฉนดที่ดิน
เพียงคนเดยี ว หลังจากปลูกต้นยางได้ ๗ ปี นางดาและนายแดงก็อยู่ร่วมกันท่ีบา้ นท่ีซ้ือมาและร่วมกัน
กรีดน้ายางนาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว ต่อมานายแดงจดทะเบียนหย่ากับนางดาแล้วไปอยู่กินกับ
นางขาวที่จังหวัดอื่นไม่เคยกลับมาเย่ียมนางดา นางดาจึงกรีดยางนาเงินมาใช้จ่ายในการอุปการะ
เลี้ยงดูบุตรท่ีเกิดกับนายแดงและชาระค่าเช่าที่ดิน ผ่านไป ๕ ปี นายแดงกลับมาดูสวนยางพาราและ
ทราบจากชาวบ้านข้างเคียงว่าสัปดาห์นี้นางดาไม่ได้กรีดยางเน่ืองจากหาคนงานไม่ได้ นายแดง
เข้าใจว่ามีอานาจเอาน้ายางพาราซ่ึงตนเป็นเจ้าของรวมได้โดยสุจริต นายแดงจึงไปจ้างนายซื่อให้
เข้าไปกรีดยางในสวนยางดังกล่าว โดยนายแดงบอกนายซื่อว่าสวนยางเป็นของตน นายซ่ือเข้าใจว่า
นายแดงเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองสวนยาง ในค่าคืนนั้นนายซื่อจึงเข้าไปกรีดยางในสวนยาง
ดังกล่าว หลังจากกรีดยางแล้วระหว่างท่ีน้ายางยังอยู่ในถ้วยรองน้ายาง ตอนเช้านางดามาท่ีสวนยาง
แล้วพบนายซื่อ นางดาจึงห้ามไม่ให้นายซ่ือเก็บน้ายางพาราออกจากถ้วยรองน้ายาง นายซือ่ จึงไปบอก
นายแดง นายแดงโกรธนางดาท่ีไม่ยอมให้ตนเก็บน้ายางจากถ้วยรองน้ายาง นายแดงจึงฟ้องศาลเป็น
คดีแพ่งขอให้นางดาแบ่งผลประโยชน์จากการกรีดยาง ๕ ปีท่ีผ่านมาในช่วงที่ตนไปอยู่กับนางขาว
และขอลงช่ือกรรมสิทธ์ิรวมในบ้านและท่ีดินร่วมกับนางดา นางดาและนายแดงทาสัญญา
ประนีประนอมยอมความกันโดยนางดายอมชาระเงินให้แก่นายแดง ๑๐๐,๐๐๐ บาท และนางดา
ยอมจดทะเบียนให้นายแดงมีกรรมสิทธิ์รวมในบ้านและท่ีดินร่วมกับนางดา ศาลพิพากษาตามยอม
หลังจากศาลพิพากษาตามยอมนายแดงยังมิทันได้บังคับคดี นางดานาเงินที่ต้องชาระ ๑๐๐,๐๐๐
บาท ไปวางชาระหน้ีท่ีศาล แต่แอบไปจดทะเบียนขายฝากบ้านพร้อมที่ดินให้แก่นายตรง แล้วนางดา
นาเงินท่ีได้เก็บไว้คนเดียวโดยไม่บอกนายแดง เมื่อถึงกาหนดไถ่นางดาไม่ยอมไถ่บ้านพร้อมท่ีดิน
ดังกล่าว

ให้วินิจฉัยว่า นายแดง นายซ่ือ และนางดามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใด
คาตอบ นางดาและนายแดงร่วมกันปลูกต้นยางพาราในที่ดินที่นายแดงเช่ามาจากนาย

452

เหลือง แม้ต้นยางจะเป็นไม้ยืนต้น แต่เป็นทรัพย์ซ่ึงติดกับที่ดินซ่ึงผู้มีสิทธิในท่ีดินของผู้อ่ืนใช้สิทธิ
ปลูกสร้างข้ึน ต้นยางจึงไม่เป็นส่วนควบกับที่ดิน (เทียบฎีกาที่ ๗๑๙๓/๒๕๔๗) แม้นายแดงจะเป็น
ผู้เช่าที่ดิน แต่นางดาและนายแดงร่วมกันปลูกต้นยางพาราระหว่างท่ีเป็นสามีภรรยากัน ต้นยาง
จึงเป็นสินสมรสระหว่างนางดาและนายแดง เพราะต้นยางดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่าง
สมรส หากมกี ารกรีดยางแล้วได้น้ายาง น้ายางเป็นดอกผลธรรมดาของต้นยาง ย่อมเป็นกรรมสทิ ธิ์
ของนางดาและนายแดงซง่ึ เป็นเจา้ ของรวม

ต่อมาเมื่อนางดาและนายแดงจดทะเบียนหย่ากัน แม้ต้นยางในสวนยางดังกล่าวจะเป็น
กรรมสิทธ์ิร่วมกันของนางดาและนายแดง แต่การที่นายแดงไปอยู่กินกับนางขาวที่จังหวัดอื่นไม่เคย
กลับมาเย่ียมนางดา นางดาจึงกรีดยางนาเงินมาใช้จ่ายและชาระค่าเช่าที่ดิน ๕ ปี นางดาจึงเป็น
ผู้ครอบครองสวนยางดังกล่าวเพียงผู้เดียวโดยนายแดงไม่ได้ครอบครองสวนยางด้วย (ฎีกาที่
๓๑๔๒/๒๕๕๗)

การท่ีนายซ่ือเข้าไปกรีดยางในสวนยางท่ีมีร้ัวลวดหนามแสดงอาณาเขตท่ีมีนางดาเป็น
ผู้ครอบครองในเวลากลางคืน แม้จะเป็นการเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของนางดา อันเป็นการ
รบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุขตามมาตรา ๓๖๒ ประกอบมาตรา
๓๖๕ (๓) และเป็นการลงมือเอาทรัพย์ที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยในเวลากลางคืนตามมาตรา
๓๓๔ และมาตรา มาตรา ๓๓๕ (๑) วรรคหนึ่ง แม้การกระทาของนายซื่อครบองค์ประกอบ
ภายนอกของความผิดฐานดังกล่าว แต่การบุกรุกและลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ต้องเป็นการ
เขา้ ไปเอาทรพั ย์โดยผ้คู รอบครองและเจ้าของไม่ยินยอม การที่นายซ่อื กระทาการดังกล่าวโดยเขา้ ใจ
ว่านายแดงเป็นผู้ครอบครองสวนยางและเป็นเจ้าของต้นยาง เท่ากับนายซื่อกระทาการไปโดยไม่รู้
ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานบุกรุกและลักทรัพย์ในเวลากลางคืน เพราะการ
สาคัญผิดในองค์ประกอบความผิดก็คือกรณีที่ผู้กระทามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของ
ความผิด จะถือว่าผู้กระทาประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทาน้ันมิได้ตามมาตรา
๕๙ วรรคสาม ต้องถือว่านายซือ่ ไม่มีเจตนากระทาผิด แม้การกระทาจะครบองค์ประกอบภายนอก
ของความผิด แตเ่ ม่ือขาดเจตนาซึ่งเปน็ องค์ประกอบภายในนายซื่อจึงไม่มีความผดิ ฐานบุกรกุ และ
ลกั ทรพั ย์ในเวลากลางคนื (ฎีกาที่ ๕๙๐๗/๒๕๔๖)

เมอ่ื นายซอื่ ไม่รู้วา่ การกระทานน้ั เปน็ ความผดิ นายแดงจึงไม่ใช่ผู้ก่อให้ผอู้ ่ืนกระทาความผิด
นายแดงจึงไม่เป็นผู้ใช้ตามมาตรา ๘๔ แม้นายซื่อไม่มีเจตนากระทาความผิดดังท่ีวินิจฉัยมาแล้ว แต่
การท่ีนายซื่อเข้าไปกรีดยางในเวลากลางคืนเพราะถกู นายแดงหลอกว่าเป็นผู้ครอบครองสวนยางและ
เป็นเจ้าของต้นยาง ตอ้ งถือว่านายซื่อเป็นเคร่ืองมือในการกระทาความผิดของนายแดง และถือว่า
นายแดงเป็นผู้กระทาผิดเองโดยทางออ้ ม (ฎีกาท่ี ๕๓๑๘/๒๕๔๙) ดังที่วนิ ิจฉยั มาแล้วว่าสวนยางอยู่
ในความครอบครองของนางดา การท่ีนายซื่อเข้าไปกรีดยางในสวนยาง ย่อมถือว่านายแดงบุกรุก
เข้าไปรบกวนการครอบครองสวนยางของนางดาในเวลากลางคืน นายแดงจึงมีความผิดฐาน
บุกรุกในเวลากลางคืน และต้องถือว่านายแดงลงมือเอาทรัพย์ซึ่งนางดาเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

453

ซ่ึงอยู่ในความครอบครองของนางดาไป จึงเป็นการกระทาโดยมีเจตนาทุจริต ในความผิดฐาน
ลักทรัพย์ แต่เม่ือน้ายางพารายังอยู่ในถ้วยรองน้ายาง มิได้ถูกพาเคล่ือนที่ไป จึงเป็นกรณีที่นายแดง
ลงมือกระทาความผิดแล้ว แต่กระทาไปไม่ตลอด จึงเป็นเพียงการพยายามกระทาความผิดฐาน
ลกั ทรพั ยใ์ นเวลากลางคนื (ฎีกาท่ี ๓๑๔๒/๒๕๕๗)

แม้นายแดงเข้าใจวา่ มีอานาจเอาน้ายางพาราซึ่งตนเป็นเจ้าของรวมได้โดยสจุ ริต แต่เป็นการ
อ้างความไม่รู้ข้อกฎหมาย ซ่ึงใช้แก้ตัวให้พ้นจากความรับผิดทางอาญาไม่ได้ตามมาตรา ๖๔ แม้
นายแดงฟอ้ งนางดาเป็นคดีแพ่งเพื่อขอแบง่ ผลประโยชนจ์ ากสวนยางแล้วทายอมโดยนางดายอมชาระ
เงนิ ให้นายแดงและศาลมคี าพิพากษาตามยอม จนนางดานาเงินไปชาระไว้ที่ศาล ก็เป็นเรอื่ งภายหลัง
ที่ความผิดคดีน้ีเกิดข้ึนแล้ว จึงไม่มีผลลบล้างเปล่ียนแปลงความผิดได้ (ฎีกาที่ ๓๑๔๒/๒๕๕๗)

สาหรับความผิดของนางดานั้น การที่นายแดงหย่ากับนางดาแล้วไปอยู่กินกับนางขาว
ท่ีจังหวัดอ่ืน ปล่อยให้นางดากรีดยาง ๕ ปี แม้นางดาจะไม่แบ่งผลประโยชน์จากการกรีดยางให้นาย
แดง แต่ก็เป็นการทาไปเพ่ือนาเงินมาอุปการะเล้ียงดูบุตรที่เกิดกับนายแดงและชาระค่าเช่าที่ดิน
เพราะนายแดงทอดทิ้งนางดาไปโดยมิไดเ้ รียกร้องผลประโยชน์ดงั กล่าว ก็ถือได้ว่านางดาเข้าใจได้ว่า
ตนมีสิทธินาดอกผลของต้นยางไปใช้ได้ จึงไม่เป็นการเบียดบังทรัพย์ท่ีผู้อื่นเป็นเจ้าของรวม
อยดู่ ้วยไปโดยทุจรติ นางดาไม่มคี วามผิดฐานยักยอกเงินค่าผลประโยชนจ์ ากการกรีดยางทีผ่ ่านมา
๕ ปี

นางดาเป็นหน้ีตามคาพิพากษาตามยอมต้องจดทะเบียนให้นายแดงมีกรรมสิทธิ์รวมในบ้าน
และทีด่ ินร่วมกบั นางดา แต่นางดาจดทะเบียนขายฝากบ้านพร้อมท่ดี ินให้แกน่ ายตรง เป็นการกระทา
โดยเจตนาเพ่ือมใิ ห้เจา้ หนีข้ องตนได้รบั ชาระหน้ี ซึ่งได้ใชส้ ิทธิเรียกรอ้ งทางศาลให้ชาระหน้ี โอนไป
ให้แก่ผู้อ่ืนซึ่งทรัพย์คือบ้านพร้อมท่ีดินให้แก่นายตรงจึงเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามมาตรา
๓๕๐ บทหน่ึง และยังเป็นการครอบครองบ้านพร้อมท่ีดินซ่ึงเป็นทรัพย์ท่ีผู้อ่ืนเป็นเจ้าของรวม
อยดู่ ้วย แลว้ เบียดบงั เอาทรัพยน์ ้นั เปน็ ของบุคคลท่ีสามโดยทจุ ริต เมอ่ื นางดาไมไ่ ด้แจง้ นายแดงก่อน
ขายบ้านพร้อมท่ีดินและนาเงินท่ีได้เก็บไว้คนเดียว จึงเป็นความผิดฐานยักยอกตามมาตรา ๓๕๒
วรรคแรก อีกบทหน่ึง (ฎีกาท่ี ๑๒๒๕๐/๒๕๕๗) แต่การกระทาดังกล่าวไม่เป็นการกระทาโดย
เจตนาเพ่ือจะมิให้การเป็นไปตามคาพิพากษาของศาล ทาให้เสียหาย ทาลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย
หรือทาให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ท่ีตนรู้ว่าน่าจะถูกยึดหรืออายัดตามมาตรา ๑๘๗
เพราะถ้ามีการบังคับคดีเอากับบ้านพร้อมท่ีดินตามคาพิพากษาตามยอม นายแดงจะต้อง
ดาเนินการจดทะเบียนทางเจ้าพนักงานท่ีดินมิใช่ดาเนินการยึดหรืออายัดโดยเจ้าพนักงานบังคับ
คดี

ฎีกาท่ี ๓๑๔๒/๒๕๕๗ ฎ.๔๕๑ แม้จาเลยและผู้เสียหายเป็นเจ้าของรวมในน้ายางพารา
แต่ขณะนั้นผู้เสียหายเป็นผู้เดียวท่ีครอบครองและได้ประโยชน์ มิใช่ผู้เสียหายครอบครอง
สวนยางพาราแทนจาเลยเพราะจาเลยและผู้เสยี หายมีเหตุพพิ าทและหย่าขาดจากกนั แลว้ การกระทา
ของจาเลยจึงเป็นการแสวงหาประโยชน์ท่ีมิควรได้โดยชอบดว้ ยกฎหมายสาหรับตนเองเป็นการทุจริต

454

จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ เม่ือน้ายางพาราที่กรีดยังอยู่ในถ้วยรองน้ายางยังไม่ได้ถูกนาไป
จึงเปน็ เพยี งพยายามกระทาความผิดฐานลกั ทรัพย์

จาเลยเข้าใจว่ามีอานาจเอาน้ายางพาราซ่ึงจาเลยเป็นเจ้าของรวมได้โดยสุจริตและ ส.
ก็กระทาโดยเปิดเผย เป็นการอ้างความไม่รู้ข้อกฎหมาย ซ่ึงใช้แก้ตัวให้พ้นจากความรับผิดทางอาญา
ไม่ได้ตาม ป.อ. มาตรา ๖๔ แม้จาเลยฟ้องผู้เสียหายเป็นคดีแพ่งเพ่ือขอแบ่งผลประโยชน์จากสวนยาง
ท่ีเกิดเหตุแล้วทายอมโดยผู้เสียหายยอมชาระเงินให้จาเลยและศาลมคี าพพิ ากษาตามยอม กเ็ ปน็ เรื่อง
ภายหลงั ทค่ี วามผิดคดนี ้ีเกดิ ข้นึ แลว้ จึงไมม่ ีผลลบล้างเปลยี่ นแปลงความผดิ ได้

ฎีกาที่ ๑๒๒๕๐/๒๕๕๗ ฎ.๒๐๒๑ การลงทุนทาไร่องุ่นระหว่างโจทก์ร่วมกับจาเลยที่
ประเทศออสเตรเลยี อยใู่ นช่วงเวลาทโ่ี จทก์ร่วมกบั จาเลยยงั คงเป็นสามภี ริยากัน แมจ้ าเลยยา้ ยกลับมา
อยู่ในประเทศไทย แต่ก็ยังไม่ได้หย่าขาดกับโจทก์ร่วม เงินค่าชดเชยที่รัฐบาลออสเตรเลียจ่ายให้แก่
โจทก์ร่วมและจาเลยกรณีเลิกทาไร่องุ่น เป็นเงินที่ได้มาในระหว่างสมรส จึงเป็นสินสมรส การที่
โจทก์ร่วมส่งเงินค่าชดเชยมาให้แก่จาเลย เงินส่วนน้ีก็ยังคงเป็นสินสมรส เม่ือจาเลยนาเงินไปซื้อที่ดิน
พร้อมบ้านพิพาท ถึงแม้มีการจดทะเบียนโอนใส่ชื่อจาเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว
ทรพั ย์พิพาทกเ็ ป็นสนิ สมรสระหว่างโจทกร์ ่วมกบั จาเลย

จาเลยจดทะเบียนขายฝากท่ีดินพร้อมบ้านพิพาทอันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์ร่วมกับ
จาเลยไว้แก่ ม. ภายหลังท่ีโจทก์ย่ืนฟ้องจาเลยขอหย่าและแบ่งสินสมรส จึงมิใช่การทาสัญญา
ในลักษณะปกติ แม้คดียังมีข้อโต้เถียงกรรมสิทธ์ิและอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ก็ต้องถือว่า
โจทก์ร่วมอยู่ในฐานะเจ้าหน้ีที่มีอานาจฟ้องจาเลย จึงเข้าองค์ประกอบความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม
ป.อ. มาตรา ๓๕๐

ที่ดินพร้อมบ้านพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์ร่วมกับจาเลย โจทก์ร่วมกับจาเลยจึงเป็น
เจ้าของรวมในท่ีดินพร้อมบ้านพิพาท การที่จาเลยนาท่ีดินพร้อมบ้านพิพาทไปจดทะเบียนขายฝากไว้
แก่ ม. โดยโจทก์ร่วมไม่ทราบและไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ร่วมก่อนและไม่ไถ่คืนภายในกาหนด
การกระทาของจาเลยเป็นการเบียดบังเอาท่ีดินพร้อมบ้านพิพาทไปเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดย
ทุจริต จงึ เปน็ ความผิดฐานยักยอกตามมาตรา ๓๕๒ วรรคแรก ด้วย

ข้อ ๘๐ คาถาม นายเอกเป็นลูกจ้างของบริษัทเอ จากัด ขับรถบรรทกุ นา้ มนั ของบริษัทไปส่ง
ให้แก่ลูกค้า ระหว่างทางท่ีขับรถไปเวลาประมาณ ๒๐ นาฬิกา นายเอกจอดรถหน้าบ้านของนายโท
แล้วนายโทมาเปิดประตูบ้าน นายเอกจึงขับรถบรรทุกน้ามันเข้าไปจอดในบ้านของนายโท นายเอก
ลงจากรถบรรทกุ น้ามันแลว้ ปนี ข้ึนไปบนถังบรรจนุ ้ามันโดยใชค้ มี ตดั ลวดและซีลซง่ึ ปดิ ฝาถงั น้ามนั ออก
โดยนายโทยืนถือถังน้ามันรอนายเอกที่ข้างรถบรรทุกน้ามัน แล้วเจ้าพนักงานตารวจบุกเข้ามาจับ
นายเอกและนายโทได้

ให้วินจิ ฉยั วา่ ก. นายเอกมคี วามผิดฐานใด
ข. นายโทเป็นผู้สนับสนุนนายเอกกระทาผิดหรือไม่ และนายโทมีความผิด

455

ฐานรับของโจรหรอื ไม่
คาตอบ ความรับผิดทางอาญาของนายเอก การท่ีนายเอกเป็นลูกจ้างของบริษัทเอ จากัด

ขับรถบรรทุกน้ามันของบริษัทไปส่งให้แก่ลูกค้า แม้นายเอกจะยึดถือรถบรรทุกน้ามันและน้ามัน
แต่นายเอกเพียงยึดถือทรัพย์ดงั กล่าวแทนบริษัทเอ จากดั ซ่ึงเป็นนายจ้างไว้ช่ัวคราวช่ัวขณะหน่ึง
เท่านั้น การครอบครองโดยแท้จริงยังอยู่ท่ีบริษัทเอ จากัด โดยนายเอกไม่มีสิทธิครอบครอง
การกระทาของนายเอกจึงไม่เป็นความผิดฐานยักยอก (เทียบฎีกาท่ี ๔๒๖๗/๒๕๔๙) เพราะ
ความผิดฐานยักยอกผู้กระทาความผิดต้องเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๕๒ จึงต้องพิจารณาเรื่องการเอาไปซึ่งกรรมสิทธ์แิ ละสิทธิครอบครองซง่ึ ทรัพย์ของผู้อื่น
ในความผดิ ฐานลกั ทรพั ย์ (๓ คะแนน)

นายเอกลงจากรถบรรทุกน้ามันแล้วปีนขึ้นไปบนถังบรรจุน้ามันโดยใช้คีมตัดลวดและซีล
ซ่ึงปิดฝาถังน้ามันออก เป็นการกระทาท่ีพ้นขั้นตระเตรียมและเข้าสู่ขั้นลงมือกระทาความผิดฐาน
ลักทรัพย์ เพราะการกระทาใกล้ชิดต่อผลแล้ว จึงเป็นการลงมือกระทาผิดแล้ว แต่กระทาไป
ไม่ตลอด เพราะการกระทาของนายเอกยังไม่ได้ทาให้น้ามันเคล่ือนท่ีไป จึงเป็นความผิดฐาน
พยายามลกั ทรพั ย์ (๑ คะแนน) ที่เปน็ ของนายจ้าง โดยทาอันตรายสิ่งกดี กนั้ สาหรับคุ้มครองทรพั ย์
ในเวลากลางคนื (๑ คะแนน)

ความรับผิดทางอาญาของนายโท การที่นายโทเปดิ ประตูบา้ น ให้นายเอกมาลักน้ามนั ในบ้าน
ของนายโท โดยนายโทยืนถือถังน้ามันรอนายเอกท่ีข้างรถบรรทุกน้ามัน แม้จะเป็นการช่วยเหลือให้
ความสะดวกแก่นายเอกในการกระทาความผิดซึ่งครบองค์ประกอบภายนอกของการเป็น
ผู้สนับสนุนนายเอกพยายามลักทรัพย์ฯ แต่นายโทกระทาการดังกล่าวโดยมีเจตนาเพ่ือจะรับซ้ือ
น้ามันที่นายเอกลักเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาสนับสนุนนายเอกพยายามลักทรัพย์ฯ เมื่อการกระทา
ขาดองค์ประกอบภายใน นายโทจึงไม่เป็นผู้สนับสนุนนายเอกกระทาความผิดฐานพยายาม
ลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้าง โดยทาอันตรายสิ่งกีดกั้นสาหรับคุ้มครองทรัพย์ในเวลากลางคืน
(ฎกี าที่ ๑๐๘๒/๒๕๔๙) (๓ คะแนน)

แม้นายโทเจตนาจะรับซื้อน้ามันที่นายเอกลักอันเป็นองค์ประกอบภายในของความผดิ ฐาน
รับของโจร แต่นายเอกยังลักทรัพย์ไม่สาเร็จ จึงยังไม่มีทรัพย์ท่ีได้มาโดยการกระทาผิดฐาน
ลักทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุแห่งการกระทาในความผิดฐานรับของโจร การกระทาของนายโทจึงขาด
องค์ประกอบภายนอกของความผิดฐานรับของโจร นายโทจึงไม่มีความรับผิดทางอาญา
(๒ คะแนน)
ข้อสังเกต คำตอบข้อน้ีมีนักศึกษำบำงท่ำนตอบว่ำ กำรตัดลวดและซีลเป็นควำมผิดฐำนทำให้
เสยี ทรัพย์ ซง่ึ ไม่น่ำจะเป็นควำมผดิ เพรำะกำรตัดลวดและซลี เป็นกำรใช้ตำมปกติของทรัพย์ประเภท
น้นั เม่ือในคำพพิ ำกษำฎีกำไม่ได้วินิจฉยั ไว้ จงึ ไมม่ ีประเดน็ นใี้ นคำตอบ

ฎีกาที่ ๔๒๖๗/๒๕๔๙ ฎ.๑๑๒๗ จาเลยร่วมกับ ป. ขนท่อแก๊สของผู้เสียหายลงจากรถยนต์
บรรทุกที่ ป. เป็นผู้ขับไปไว้ในท่ีเกิดเหตุเพื่อขายต่อให้แก่บุคคลอื่น การที่จาเลยและ ป. ครอบครอง

456

ท่อแก๊สในขณะท่ีนาไปส่งให้ลูกค้าของผู้เสียหายเป็นการครอบครองแทนผู้เสียหายไว้ชั่วคราว
ช่ัวขณะหนึ่งเท่านั้น การครอบครองโดยแท้จริงยังอยู่ที่ผู้เสียหาย เมื่อจาเลยนาท่อแก๊สไปกองท้ิงใน
ท่ีเกิดเหตุ จึงเป็นการเคลื่อนย้ายท่อแก๊สจากท่ีต้ังปกติเพื่อให้อยู่ในสภาพพร้อมท่ีจะขายแก่บุคคลอ่ืน
เป็นการแย่งการครอบครองทรัพย์ไปจากผู้เสียหายแล้ว การกระทาของจาเลยจึงเป็นการร่วมกับ ป.
กระทาความผดิ ฐานลกั ทรพั ย์

ฎกี าที่ ๑๐๘๒/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๑๕ จาเลยที่ ๑ ขับรถยนต์บรรทุกนา้ มันของผู้เสียหาย
เขา้ มาจอดท่บี ริเวณบ้านของจาเลยท่ี ๒ โดยมวี ัตถุประสงคเ์ พื่อขายนา้ มันทจ่ี าเลยที่ ๑ จะดูดออกจาก
ถังน้ามันของรถยนต์บรรทุก ให้แก่จาเลยที่ ๒ ขณะที่จาเลยที่ ๑ ใช้คีมตัดลวดและซีลซ่ึงใช้ปิดฝาถัง
น้ามัน เพอื่ เปดิ ฝาถังน้ามันออก โดยจาเลยที่ ๒ ถือถังน้ามันเตรียมไว้รองรบั น้ามันที่จาเลยที่ ๑ จะลัก
มาขายให้ ก็ถูกเจ้าพนักงานตารวจเข้าจับกุม การที่จาเลยที่ ๒ เตรียมถังน้ามันไว้รองรับน้ามัน
ท่ีจาเลยท่ี ๑ จะลักจากรถยนต์บรรทุกน้ามัน จาเลยที่ ๒ ได้กระทาไปโดยมีเจตนาจะรับซื้อน้ามัน
จากจาเลยที่ ๑ เท่าน้ัน ไม่อาจถือไดว้ ่าการท่ีจาเลยที่ ๒ ใหจ้ าเลยท่ี ๑ นารถยนต์บรรทุกน้ามันเข้ามา
จอดในบริเวณบ้านของตน เป็นการกระทาโดยเจตนาช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จาเลยที่ ๑
ในการลกั ทรพั ย์
ขอ้ สังเกต คดีน้ีโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยท้ังสองตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ ๓๓๕, ๘๐,
๘๓ ศำลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ ๑ ฐำนพยำยำมลักทรัพย์ โดยทำอันตรำยสิ่งกีดก้ันสำหรับคุ้มครอง
ทรัพย์ จำเลยที่ ๑ ไมอ่ ุทธรณ์ คดีของจำเลยท่ี ๑ จึงยุติไปตำมคำพิพำกษำศำลชัน้ ต้น ส่วนจำเลยที่ ๒
ศำลชั้นต้นยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศำลอุทธรณ์พิพำกษำแก้เป็นว่ำ จำเลยที่ ๒ เป็นผู้สนับสนุนจำเลย
ท่ี ๑ กระทำควำมผิดฐำนพยำยำมลักทรัพย์โดยทำอันตรำยส่ิงกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์ จำเลย
ท่ี ๒ ฎีกำ ศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำ จำเลยที่ ๒ ไม่เป็นผู้สนับสนุนฯ เพรำะไม่มีเจตนำสนับสนุนกำร
ลักทรัพย์ฯ แต่เป็นเจตนำรับของโจร กำรที่ศำลฎีกำไม่ลงโทษฐำนรับของโจร นักศึกษำสงสัยหรือไม่
ลองมำวเิ ครำะหค์ วำมผดิ ของจำเลยท่ี ๒ กนั

กำรที่จำเลยที่ ๒ ยอมให้จำเลยที่ ๑ นำรถยนต์บรรทุกน้ำมันเข้ำมำจอดในบริเวณบ้ำน
ของตนและเตรียมถังน้ำมันไว้รองรับน้ำมันท่ีจำเลยที่ ๑ จะลักจำกรถยนต์บรรทุกน้ำมันนั้น
กำรกระทำของจำเลยที่ ๒ ครบองค์ประกอบภำยนอกในกำรเป็นผู้สนับสนุนจำเลยท่ี ๑ กระทำผิด
ฐำนพยำยำมลักทรัพย์ฯ แต่ขำดองค์ประกอบภำยใน เพรำะขำดเจตนำสนับสนุนจำเลยท่ี ๑ พยำยำม
ลักทรพั ย์ กำรกระทำของจำเลยท่ี ๒ ไมค่ รบองคป์ ระกอบ จึงไมเ่ ปน็ ควำมผิด

สำหรับควำมผิดฐำนรับของโจรนั้น ศำลฎีกำวินิจฉัยไว้ชัดเจนว่ำจำเลยท่ี ๒ มีเจตนำรับของ
โจร แต่ศำลฎีกำไม่ได้ลงโทษจำเลยท่ี ๒ ฐำนรับของโจร (ท้ังที่โจทก์ฟ้องฐำนลักทรัพย์ เน่ืองจำกฟ้อง
ว่ำลักทรพั ย์ทำงพิจำรณำฟงั ไดว้ ่ำผิดฐำนรับของโจร ศำลลงโทษได้ ตำมประมวลกฎหมำยวิธีพิจำรณำ
ควำมอำญำมำตรำ ๑๙๒) แสดงว่ำศำลฎีกำเห็นว่ำ กำรกระทำของจำเลยที่ ๒ ก็ไม่เป็นควำมผิดฐำน
รับของโจร ซึ่งศำลฎีกำมิได้วินิจฉัยว่ำทำไมจำเลยท่ี ๒ ไม่มีควำมผิดฐำนรับของโจร ซ่ึงก็ถูกต้องแล้ว
ทศ่ี ำลฎกี ำไม่วินจิ ฉัยปัญหำดงั กลำ่ ว เพรำะไมใ่ ชป่ ญั หำทค่ี ู่ควำมฎีกำขึน้ มำ

457

สำหรับปัญหำว่ำกำรกระทำของจำเลยท่ี ๒ เป็นควำมผิดฐำนรับของโจรหรือไม่น้ัน จำเลย
ที่ ๑ ยังลักทรัพย์ไม่สำเร็จ กำรกระทำยังอยู่เพียงข้ันพยำยำม ยังไม่มีของโจรซ่ึงเป็นทรัพย์อันได้มำ
โดยกำรกระทำควำมผิดฐำนลักทรัพย์ กำรกระทำของจำเลยที่ ๒ จึงขำดองค์ประกอบภำยนอก
ในส่วนวตั ถแุ หง่ กำรกระทำ จำเลยที่ ๒ จึงไมม่ ีควำมผดิ ฐำนรบั ของโจร

กำรสอบเนติฯ หรือผู้ช่วยผู้พิพำกษำ ท่ีนำคำพิพำกษำฎีกำมำออกข้อสอบน้ัน บำงคร้ัง
อำจำรย์ผู้ออกข้อสอบอำจจะต้องกำรถำมประเด็นอื่นเพิ่มเติม ก็จะเพิ่มข้อเท็จจริงตำมคำถำมเข้ำมำ
ให้มำกกว่ำข้อเท็จจริงตำมฎีกำ นักศึกษำต้องตอบข้อกฎหมำยตำมข้อเท็จจริงท่ีเพ่ิมเติมข้ึนมำด้วย
เช่น ถ้ำถำมว่ำ จำเลยทั้งสองคดีนี้มีควำมผิดฐำนใด ต้องถือว่ำคำถำมมีข้อเท็จจริงมำกกว่ำประเด็น
ตำมฎีกำ เพรำะคดีน้ีศำลฎีกำตัดสินเฉพำะจำเลยท่ี ๒ ซ่ึงฎีกำขึ้นมำ แตค่ ำถำมไดถ้ ำมถงึ ควำมผิดของ
จำเลยที่ ๑ ซึ่งยุติไปตำมคำพพิ ำกษำศำลชนั้ ต้นด้วย นักศึกษำกต็ ้องตอบควำมผิดของจำเลยท่ี ๑ ดว้ ย
ดงั คำถำมคำตอบข้อนี้

สำหรับควำมผิดของจำเลยที่ ๒ กำรตอบว่ำไม่เป็นผู้สนับสนุนจำเลยท่ี ๑ กระทำควำมผิด
ฐำนพยำยำมลักทรัพย์เพรำะขำดเจตนำ ก็น่ำจะถือว่ำเพียงพอ แต่ถ้ำตอบว่ำไม่ผิดฐำนรับของโจร
เพรำะขำดของโจรอันเป็นวัตถุแห่งกำรกระทำด้วย ก็ไม่น่ำจะเสียหำยเพรำะไม่ขัดแย้งกับฎีกำและ
ทำให้คำตอบชัดเจนข้ึน อย่ำงไรก็ตำมกำรตอบคำถำมเกินกว่ำฎีกำ บำงครั้งก็เป็นเรื่องอันตรำย
เพรำะถ้ำสิ่งที่ตอบไปผิดจะถูกหักคะแนน ผู้แต่งแนะนำว่ำถ้ำข้อเท็จจริงตรงตำมฎีกำ ก็ตอบตำมฎีกำ
จะปลอดภัยและนำ่ จะได้คะแนนดที ่ีสุด ฎีกำน้ี หำกผแู้ ต่งนำมำแต่งขอ้ สอบ ผู้แต่งจะถำมให้ชัดเลยว่ำ
จำเลยที่ ๒ เป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ ๑ กระทำควำมผิดฐำนพยำยำมลักทรัพย์ฯหรือไม่ และจำเลย
ท่ี ๒ ผดิ ฐำนรบั ของโจรหรอื ไม่

ข้อ ๘๑ คาถาม นายสองทาบัตรประจาตัวประชาชนและบัตร ATM ตกหาย บัตร ATM
ดงั กล่าวธนาคารกรุงเก่าท่ีออกให้แก่นายสองใช้ถอดเงินสดได้โดยต้องรู้รหัส แต่ใช้ชาระค่าสินค้าแทน
เงินสดไม่ได้ ระหว่างที่นายสองยังเดินหาบัตรอยู่ นายหนึ่งเห็นนายสองเดินหาของ นายหน่ึงจึงกวาด
ตามองหาแลว้ พบสิ่งของดงั กล่าว จงึ แอบเกบ็ ใส่กระเป๋าแลว้ เดินออกไป นายหนง่ึ เหน็ ที่หลังบตั รมชี อ่ ง
ให้ลงลายมือชื่อ แต่นายสองยังไม่ไดล้ งลายมือชื่อไว้ นายหนึ่งจึงลงลายมือช่ือหลังบัตร ATM ดังกล่าว
แล้วนาบัตร ATM ไปกดเงินสดจากตู้เบิกถอนเงินอัตโนมัติโดยทดลองกดรหัสจากเลข พ.ศ. เกิดของ
นายสองซ่ึงได้จากบัตรประจาตัวประชาชน ปรากฏวา่ รหัสถูกต้อง นายหน่ึงกดเงินได้ ๑๐,๐๐๐ บาท
แล้วเอาเงนิ ดังกล่าวไป

ให้วินจิ ฉยั ว่า นายหนึ่งมีความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใด
คาตอบ การท่ีนายหนง่ึ เกบ็ บัตร ATM และบตั รประจาตวั ประชาชนของนายสองไป นั้น แม้
นายสองทาบัตร ATM และบัตรประจาตัวประชาชนตกหายไม่ได้ยึดถือบัตรไว้ แต่นายสองยังเดินหา
อยู่ ถือว่าบัตร ATM และบัตรประจาตัวประชาชนยังอยู่ในความครอบครองของนายสองไม่ใช่
ทรัพย์สินหาย การท่ีนายหน่ึงเก็บบัตร ATM และบัตรประจาตัวประชาชนไป จึงไม่เป็นการยักยอก

458

ทรัพย์สินหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ วรรคสอง แต่เป็นกรณีที่นายหนึ่งแย่งการ
ครอบครองบัตร ATM และบัตรประจาตัวประชาชนของนายสอง ต้องถือว่านายหน่ึงเอาไปซ่ึง
ทรัพย์ของผ้อู ืน่ โดยเจตนาทจุ ริต นายหนง่ึ จึงมคี วามผดิ ฐานลกั ทรพั ยต์ ามมาตรา ๓๓๔ บทหนงึ่

บัตร ATM และบัตรประจาตัวประชาชน เป็นเอกสาร เพราะเป็นวัตถุซึ่งได้ทาให้ปรากฏ
ความหมายด้วยตัวอักษรและเป็นหลักฐานแห่งความหมายนั้นตามมาตรา ๑ (๗) การท่ีนายหน่ึง
เก็บบัตรของนายสองไป นายหนึ่งจึงมีความผิดฐานเอาไปเสียซ่ึงเอกสารของผู้อ่ืน ในประการท่ี
นา่ จะเกิดความเสียหายแก่ผู้อน่ื หรอื ประชาชนตามมาตรา ๑๘๘ อกี บทหน่ึง (เทียบฎกี าที่ ๖๘๒๐/
๒๕๕๒)

การท่ีนายหน่ึงลงลายมือชื่อหลังบัตร ATM น้ัน ธนาคารผู้ออกบัตร ATM ออกแบบให้
ด้านหลังของบัตร ATM มีช่องให้เจ้าของบัตรลงลายมือชื่อไว้นั้น นอกจากจะมีวัตถุประสงค์มีไว้
เพือ่ ระบตุ วั เจ้าของบตั รแลว้ ยังอาจมีวัตถปุ ระสงค์เป็นประการอ่ืน ๆ ด้วย การที่นายหนึ่งลงลายมือ
ช่ือหลังบัตร ATM เป็นการลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร เป็นการกระทาโดยประการที่น่าจะเกิด
ความเสียหายแก่นายสองหรือธนาคาร และได้กระทาเพื่อให้ผู้หน่ึงผู้ใดหลงเช่ือว่าเป็นเอกสาร
ท่ีแท้จริง บัตร ATM เป็นเอกสารสิทธิ นายหน่ึงจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามมาตรา
๒๖๔ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๒๖๕ อีกบทหน่ึง (ฎีกาท่ี ๓๘๗๓/๒๕๕๑) การปลอมบัตร
อิเล็กทรอนิกส์โดยการเติมข้อความในบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่แท้จริง โดยประการที่น่าจะเกิดความ
เสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทาเพ่ือให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์
ทีแ่ ท้จริงจึงจะเป็นความผิดตามมาตรา ๒๖๙/๑ แมบ้ ัตร ATM ใช้ถอดเงินสดได้โดยต้องรู้รหัส แต่ใช้
ชาระค่าสินค้าแทนเงินสดไม่ได้ การลงชื่อปลอมในบัตร ATM หากไม่รู้รหัสก็ไม่สามารถใช้บัตรได้
การลงลายมือชื่อปลอมในบัตร ATM ไม่น่าจะจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน จึง
ไม่เป็นความผิดฐานปลอมบัตรอเิ ล็กทรอนกิ ส์ตามมาตรา ๒๖๙/๑

เมื่อไม่เป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมการที่นายหน่ึงเก็บบัตร ATM ไป บัตร ATM เป็นบัตร
อิเล็กทรอนิกส์ นายหนึ่งจึงมีความผิดฐานมีไว้เพ่ือนาออกใช้ซ่ึงบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดย
มิชอบในประการท่ีน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นตามมาตรา ๒๖๙/๖ เม่ือเป็นบัตร
อิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้เพ่ือประโยชน์ในการเบิกถอนเงินสด ผู้กระทาต้อง
ระวางโทษหนักกว่าท่บี ัญญัตไิ ว้ในมาตราน้นั ๆ กง่ึ หนงึ่ ตามมาตรา ๒๖๙/๗ อีกบทหนง่ึ

นายหนึ่งนาบัตร ATM ไปกดเงินสดจากตู้เบิกถอนเงินอัตโนมัติเป็นความผิดฐานใช้บัตร
อิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือ
ประชาชนตามมาตรา ๒๖๙/๕ เมื่อเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้เพ่ือ
ประโยชน์ในการเบิกถอนเงินสด ผู้กระทาต้องระวางโทษหนักกว่าท่ีบัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ
กง่ึ หนง่ึ ตามมาตรา ๒๖๙/๗ อีกบทหนง่ึ

นายหนึ่งกดเงิน ๑๐,๐๐๐ บาทแล้วเอาเงินดังกล่าวไป เป็นการเอาทรัพย์ของผู้อ่ืนไปโดย
ทุจริต นายหน่ึงจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ คือเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท อีกบทหนึ่ง (เทียบฎีกาที่

459

๒๕๑๒/๒๕๕๐)
ข้อสังเกต คำตอบท่ีว่ำกำรลงลำยมือช่ือปลอมหลังบัตร ATM ไม่เป็นกำรปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์
เป็นควำมเห็นผแู้ ต่ง ยังไม่มีฎีกำตดั สินไว้ และยังไม่มีสนำมสอบใดนำไปออกข้อสอบ คำถำมเร่ืองท่ียัง
ไม่มีฎีกำและยังไม่มีสนำมสอบใดนำไปออกเปน็ ข้อสอบ ถ้ำเป็นปัญหำน่ำสนใจผู้แต่งก็ยังเห็นว่ำน่ำจะ
มไี ว้ให้นักศึกษำลองทำ ปัญหำนี้ผู้แต่งเห็นว่ำต่ำงกับกำรลงชื่อปลอมในบัตรเครดิต เพรำะบัตรเครดิต
เม่ือลงลำยมือชือ่ หลังบัตรเครดิต เมื่อนำบตั รดังกลำ่ วไปใช้ซ้อื สินค้ำ ผู้รบั บัตรเครดิตจะดูว่ำลำยมือช่ือ
หลังบัตรเหมือนกับลำยมือชื่อในใบบันทึกรำยกำรหรือไม่ กำรลงลำยมือช่ือคนอ่ืนในบัตรเครดิต
จึงเป็นกำรปลอมบัตรอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ขอใหด้ ูคำถำมขอ้ ถัดไป

ฎีกาที่ ๖๘๒๐/๒๕๕๒ ฎ.๑๙๕๖ การท่ีจาเลยเอาไปเสยี ซงึ่ เอกสารบัตรเครดิตวีซ่าการ์ดของ
บริษัท บ. อันเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ และเอกสารตาม ป.อ. มาตรา ๑ (๗) ซึ่งออกให้แก่ น.
ในประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ น. และบริษทั บ. แลว้ การกระทาของจาเลยจึงเปน็ ความผิด
ตามมาตรา ๑๘๘

ฎีกาที่ ๓๘๗๓/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๒๑ การที่ธนาคารผู้ออกบัตร ATM ท้ังหลายต่าง
ออกแบบให้ด้านหลังของบัตร ATM มีช่องให้เจ้าของบัตรลงลายมือชื่อไว้น้ัน นอกจากจะมี
วัตถุประสงค์มีไว้เพื่อระบุตัวเจ้าของบัตรแล้วยังอาจมีวัตถุประสงค์เป็นประการอื่น ๆ ด้วย การท่ี
จาเลยปลอมลายมือชื่อของโจทก์ร่วมในบัตร ATM ของโจทก์ร่วม แม้ลายมือชื่อปลอมจะมิใช่
สาระสาคัญของการใช้บัตร ATM ในการทารายการเบิกถอนเงินท่ีตู้เบิกถอนเงิน ATM ก็ตาม แต่การ
กระทาของจาเลยท่ีลงลายมือชื่อปลอมที่หลังบัตร ATM ของโจทก์ร่วม ก็ถือได้ว่าน่าจะเกิดความ
เสียหายแก่โจทก์ร่วมและธนาคารผู้ออกบัตร และได้กระทาให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเช่ือว่าเป็นเอกสารที่
แท้จริง อันเป็นการครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๔ วรรคแรก ประกอบมาตรา
๒๖๕

ฎีกาที่ ๒๕๑๒/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๕ น.๖๒ โจทก์ฟ้องจาเลยแยกเป็น ๒ ข้อ คือ ข้อ ๑.๑ และ
ข้อ ๑.๒ การกระทาตามที่บรรยายฟ้องมาแต่ละข้อเป็นความผิดสาเร็จในตัวเอง โดยโจทก์บรรยาย
ฟ้องข้อ ๑.๑ ว่า จาเลยได้ลักทรัพย์และเอาไปเสียซ่ึงบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคาร ก. ที่ออกให้แก่
ผู้เสียหายไปโดยทุจริต ในประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย ธนาคาร ก. ผู้อื่นและ
ประชาชน ความผิดดงั กลา่ วยอ่ มสาเร็จเม่ือจาเลยลักเอาบัตรดังกล่าวไป และโจทก์ได้บรรยายฟ้องข้อ
๑.๒ ว่าภายหลังการกระทาความผดิ ตามฟ้องข้อ ๑.๑ แลว้ จาเลยไดน้ าบตั รอิเลก็ ทรอนิกส์ดังกล่าวไป
ใช้ลักทรัพย์เบิกถอนโอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายโดยทุจริต ในประการที่น่าจะเกิด
ความเสียหายแก่ผู้เสียหาย ธนาคาร ก. ผู้อ่ืนและประชาชน ดังนี้ การกระทาของจาเลยในข้อ ๑.๒
จึงเป็นคนละวาระกันกับการกระทาความผิดตามฟ้องข้อ ๑.๑ ท้ังทรัพย์ที่ได้จากการกระทาความผิด
ก็แตกต่างกัน กล่าวคือ ทรัพย์ท่ีได้จากการกระทาความผิดตามฟ้องข้อ ๑.๑ คือ บัตรอิเล็กทรอนิกส์
แต่ทรัพย์ท่ีได้จากการกระทาความผดิ ตามฟ้องข้อ ๑.๒ คือเงนิ เม่ือจาเลยให้การรับสารภาพ จงึ ฟังได้
ว่าจาเลยกระทาความผิดโดยมีเจตนาตา่ งกนั การกระทาของจาเลยย่อมเป็นความผิดหลายกรรม

460

ข้อ ๘๒ คาถาม นายดาทาบัตรประจาตวั ประชาชนและบัตรเครดติ ที่เพิ่งไดร้ บั มาตกหายโดย
นายดายังหาอยู่ นายแดงเห็นนายดาเดินหาของ นายแดงจึงกวาดตามองหาแล้วพบส่ิงของดังกล่าว
นายแดงเห็นท่ีหลังบัตรเครดิตมีช่องให้ลงลายมือช่ือ แต่นายดายังไม่ได้ลงลายมือช่ือไว้ นายแดงจึงลง
ลายมือช่ือหลังบัตรเครดิตดังกล่าว แล้วรีบเก็บใส่กระเป๋ากางเกงต้ังใจว่าจะนาไปใช้ซ้ือสินค้า ต่อมา
นายแดงนาบัตรเครดิตไปซ้ือสินค้าจากห้างสรรพสินค้าโดยยื่นบัตรเครดิตปลอมให้พนักงานเก็บเงิน
พนักงานเก็บเงินก็นาบัตรเครดิตรูดผ่านเครื่องรูดบัตร เม่ือเครื่องพิมพ์ใบบันทึกรายการการใช้บัตร
เครดิตออกมา นายแดงลงลายมือช่ือในใบบันทึกรายการดังกล่าวแล้วมอบให้พนักงานเก็บเงนิ แล้วได้
สนิ ค้าไป

ให้วนิ จิ ฉยั ว่า นายแดงมีความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใด
คาตอบ การที่นายแดงเก็บบัตรประจาตัวประชาชนและบัตรเครดิตของนายดาไป น้ัน แม้
นายดาไม่ได้ยึดถือบัตรดังกล่าวไวเ้ พราะทาตกหาย แต่นายดายังเดินหาอยู่ ถือว่าบัตรดังกล่าวยังอยู่
ในความครอบครองของนายดาไม่ใช่ทรัพย์สินหาย การท่ีนายแดงเก็บบัตรดังกล่าวไป จึงไม่เป็น
การยักยอกทรัพย์สินหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ วรรคสอง แต่เป็นกรณีที่นาย
แดงแย่งการครอบครองบัตรดังกล่าวไปจากการครอบครองของนายดา ต้องถือว่านายแดงเอาไป
ซึ่งทรัพย์ของผ้อู ื่นโดยเจตนาทุจริต นายแดงจึงมีความผิดฐานลักทรัพยต์ ามมาตรา ๓๓๔ บทหนึ่ง
บัตรประจาตัวประชาชนและบัตรเครดิตเป็นเอกสาร เพราะเป็นวัตถุซ่ึงได้ทาให้ปรากฏ
ความหมายด้วยตัวอักษรและเป็นหลักฐานแห่งความหมายนั้นตามมาตรา ๑ (๗) การท่ีนายแดง
เก็บบัตรดังกล่าวไป นายแดงจึงมีความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อ่ืน ในประการที่น่าจะ
เกิดความเสียหายแก่ผู้อ่ืนหรือประชาชนตามมาตรา ๑๘๘ อีกบทหน่ึง (เทียบฎีกาที่ ๖๘๒๐/
๒๕๕๒)
การที่นายแดงลงลายมือชื่อหลังบัตรเครดิตนั้น ธนาคารผู้ออกบัตรเครดิตออกแบบให้
ด้านหลังของบัตรเครดิตมีช่องให้เจ้าของบัตรลงลายมือช่ือไว้น้ัน นอกจากจะมีวัตถุประสงค์มีไว้
เพือ่ ระบุตัวเจา้ ของบัตรแลว้ ยงั มีวตั ถุประสงค์ใหร้ ้านค้าเปรียบเทียบลายมือช่ือหลังบตั รกับลายมือ
ช่ือในเอกสารท่ีร้านค้าให้ลูกค้าลงลายมือช่ือว่าตรงกันหรือไม่ การที่นายแดงลงลายมือช่ือหลังบัตร
เครดิต เป็นการลงลายมือช่ือปลอมในเอกสาร เป็นการกระทาโดยประการที่น่าจะเกิดความ
เสียหายแก่นายดาหรือธนาคาร และได้กระทาเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
เพราะนายแดงตั้งใจว่าจะนาไปใช้ซ้ือสินค้าย่อมต้องดูลายมือช่ือหลังบัตร เม่ือบัตรเครดิตเป็น
เอกสารสิทธิ นายแดงจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามมาตรา ๒๖๔ วรรคแรก ประกอบ
มาตรา ๒๖๕ อกี บทหนึง่ (ฎกี าท่ี ๓๘๗๓/๒๕๕๑)
การลงลายมือช่ือปลอมดังกล่าวยังเป็นการเติมข้อความในบัตรอิเล็กทรอนิกส์ท่ีแท้จริง
โดยประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และได้กระทาเพื่อให้ผู้หน่ึงผู้ใด
หลงเช่ือว่าเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่แท้จริง จึงเป็นความผิดฐานปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์ตาม
มาตรา ๒๖๙/๑ อีกบทหน่ึง การท่ีนายแดงเก็บบัตรเครดิตไว้โดยต้ังใจว่าจะนาไปใช้ซื้อสินค้า

461

เปน็ การมีไวเ้ พ่ือใชซ้ ึ่งบตั รอิเลก็ ทรอนกิ ส์ปลอมอันได้มาโดยรวู้ ่าเป็นของท่ีทาปลอมข้ึนตามมาตรา
๒๖๙/๔ อีกบทหนึ่ง นายแดงนาบัตรเครดิตไปใช้ซ้ือสินค้าโดยยื่นให้พนักงานเก็บเงินเป็นความผิด
ฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมอันได้มาโดยรู้ว่าเป็นของท่ีทาปลอมข้ึนตามมาตรา ๒๖๙/๔ อีก
บทหนึ่ง เมื่อเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ท่ีผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้เพ่ือประโยชน์ในการเบิกถอน
เงินสด ผู้กระทาต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตราน้ัน ๆ กึ่งหน่ึงตามมาตรา ๒๖๙/๗
เม่ือนายแดงผู้กระทาความผิดฐานมีไว้เพ่ือใช้และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมเป็นผู้ปลอมบัตร
อิเลก็ ทรอนิกส์ จึงให้ลงโทษตามมาตรา ๒๖๙/๔ วรรคสาม ประกอบมาตรา ๒๖๙/๗ กระทงเดียว

นอกจากนี้การท่ีนายแดงยื่นบัตรเครดิตปลอมให้พนักงานเก็บเงินใช้แทนเงินสดในการชาระ
ค่าสินค้า จึงเป็นการใช้เอกสารปลอม ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรอื ประชาชน
ตามมาตรา ๒๖๘ วรรคแรก

นอกจากนี้การท่ีนายแดงลงลายมือชื่อในใบบนั ทึกรายการบตั รเครดิตเช่นเดียวกับลายมือช่ือ
ด้านหลังบัตรเครดิตปลอมมอบให้พนักงานเก็บเงินแล้วได้สินค้าไป เป็นการทาเอกสารสิทธิปลอม
ด้วยการลงลายมือช่ือปลอมในเอกสารสิทธิ โดยประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อ่ืนหรือ
ประชาชน เพ่ือให้พนักงานเก็บเงินเชื่อว่าเป็นเอกสารท่ีแท้จริง จึงเป็นความผิดฐานทาเอกสาร
สิทธิปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา ๒๖๔ ประกอบมาตรา ๒๖๕ เม่ือนายแดงผู้ทา
เอกสารสิทธิปลอมเป็นผู้ใช้เอกสารสิทธิปลอม ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมแต่กระทงเดียว
ตามมาตรา ๒๖๘ วรรคสอง และยังเป็นการกระทาโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดง
ข้อความอันเป็นเท็จแสดงตนเป็นบุคคลที่มีช่ือตามบัตรเครดิต และโดยการหลอกลวงนั้นได้ไปซึ่ง
ทรัพย์สนิ จากผถู้ ูกหลอกลวงตามมาตรา ๓๔๒ (๑) ประกอบมาตรา ๓๔๑ ด้วย

ข้อ ๘๓ คาถาม นายเอกและนายโทเป็นเพ่ือนนักศึกษาสถาบันเดียวกัน วันหนึ่งนายเอก
น่ังรถของนายโทไปด่ืมสุราท่ีบ้านของนายตรี โดยนายเอกวางประมวลกฎหมายอาญาท่ีซ้ือมาใหม่
ไว้ในรถของนายโท หลังจากด่ืมสุรากันแล้วนายเอกทะเลาะกับนายโท นายเอกจึงนั่งรถแท็กซ่ี
กลับบ้านไป โดยลืมประมวลกฎหมายอาญาที่ซ้ือมาใหม่ไว้ในรถของนายโท ต่อมานายโทขับรถ
ไปเรียนหนังสือโดยนายตรีน่ังไปด้วย นายตรีเห็นประมวลกฎหมายอาญาของนายเอกที่อยู่ในรถของ
นายโท จึงสอบถามนายโท นายโทท้ังที่รู้ว่าเป็นของนายเอก แต่ก็บอกว่าเป็นของตนเองเพ่ิงซื้อมา
ตอนน้ีประมวลเล่มเก่าท่ีหายไปตนหาเจอแล้ว ถ้านายตรีอยากได้ก็เอาไป นายตรีเช่ือว่าประมวล
กฎหมายอาญาดังกลา่ วเป็นของนายโท นายตรีจึงหยบิ เอาประมวลกฎหมายอาญาดังกล่าวไปจากรถ
ของนายโทเพื่อใช้ประกอบการเรยี น

ให้วนิ ิจฉยั ความรบั ผดิ ทางอาญาของนายโทและนายตรี
คาตอบ ความรับผิดทางอาญาของนายตรี การท่ีนายตรเี อาประมวลกฎหมายอาญาของนาย
เอกไป แม้จะเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไป ซ่ึงครบองค์ประกอบภายนอกของความผิดฐาน
ลักทรัพย์ แตก่ ารท่ีนายตรีเชอื่ ว่าประมวลกฎหมายอาญาดังกล่าวเป็นของนายโท นายตรีย่อมเข้าใจ

462

ว่าตนได้กรรมสิทธิ์ในประมวลกฎหมายอาญาดังกล่าวจากการให้ จึงเป็นการเข้าใจผิดว่า
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ท่ีเอาไปเป็นของตนเอง มีผลเท่ากับนายตรีไม่รู้ข้อเท็จจริงท่ีเป็นองค์ประกอบ
ความผิดว่า ทรัพย์ทเ่ี อาไปเปน็ ทรพั ย์ของผู้อ่ืน จะถือว่านายตรปี ระสงค์ตอ่ ผลหรือย่อมเลง็ เห็นผล
ของการกระทาน้ันมิได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙ วรรคสาม ต้องถือว่านายตรีไม่มี
เจตนากระทาความผิด การกระทาของนายตรีจึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ เพราะขาด
องค์ประกอบภายใน (เทียบฎีกาท่ี ๔๖๖๕/๒๕๔๗)

ความรับผิดทางอาญาของนายโท การท่ีนายโทบอกนายตรีว่าประมวลกฎหมายอาญาเป็น
ของตนเองเพ่ิงซ้ือมา ถ้านายตรีอยากได้ก็เอาไป ไม่เป็นการก่อให้นายตรีกระทาความผิด เพราะ
นายตรีขาดเจตนาในการกระทาความผิดดังท่ีวินิจฉัยมาแล้ว ต้องถือว่านายตรีเป็นเครื่องมือใน
การกระทาความผิด โดยนายโทเป็นผู้กระทาผิดเองโดยทางอ้อม ไม่ใช่เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทา
ความผดิ (เทียบฎีกาท่ี ๓๓๓๖-๓๓๓๗/๒๕๔๗)

การท่ีนายเอกลืมประมวลกฎหมายอาญาไว้ในรถของนายโท นายเอกไม่ได้สละการ
ครอบครองประมวลกฎหมายอาญาของตนแต่อย่างใด และนายโทควรรูว้ ่านายเอกจะต้องติดตาม
เอาประมวลกฎหมายอาญาของตนคืน เมื่อนายโทไม่ได้ครอบครองทรัพย์ แล้วนายโทให้นายตรี
เอาไปใช้ประโยชน์ จึงเป็นการท่ีนายโทเอาประมวลกฎหมายอาญาไปจากการครอบครองของ
นายเอกโดยเจตนาทุจริต เน่ืองจากเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
สาหรับตนเองหรือผู้อื่น นายโทจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ หาใช่เป็นความผิดฐานยักยอกไม่
(เทยี บฎีกาที่ ๓๓๓๓/๒๕๔๕)
ข้อสังเกต คำถำมข้อนี้ดูเหมือนจะนำข้อเท็จจริงตำมฎีกำท่ี ๓๓๓๓/๒๕๔๕ มำแต่งคำถำมฎีกำเดียว
แต่เนื่องจำกปญั หำข้อกฎหมำยท่ีข้นึ มำสศู่ ำลฎีกำในคดีกล่ำวมีเพยี งประเด็นเดียว คอื กำรกระทำของ
จำเลยผิดฐำนลักทรัพย์หรือยักยอก ส่วนประเด็นท่ีว่ำผู้ท่ีเอำทรัพย์ไป ตำมคำบอกกล่ำวของจำเลย
มีควำมผิดหรือไม่ ไม่ได้ข้ึนมำสู่กำรวินิจฉัยของศำลฎีกำ ซ่ึงปัญหำน้ีศำลฎีกำเคยวินิจฉัยไว้ว่ำ ผู้ท่ี
เอำทรัพย์ไปไม่มีควำมผิดเน่ืองจำกขำดองค์ประกอบภำยใน (ฎีกำที่ ๔๖๖๕/๒๕๔๗) และผู้ที่
เอำทรัพย์ไปเป็นเครื่องมือในกำรกระทำควำมผิด โดยจำเลยเป็นผู้กระทำผิดเองโดยทำงอ้อม (ฎีกำที่
๓๓๓๖-๓๓๓๗/๒๕๔๗) ผู้แต่งจึงระบุไว้ชัดเจนในคำถำมว่ำ ให้วินิจฉัยควำมรับผิดทำงอำญำของ
นำยโทและนำยตรี ซ่ึงจุดน้ีเป็นจุดท่ีผู้แต่งจะช้ีให้นักศึกษำเห็นว่ำคำถำมต้องกำรให้นักศึกษำตอบ
อะไรบ้ำง ไม่ใช่ตอบมำเพียงควำมรับผิดทำงอำญำของนำยโทคนเดียวตำมฎีกำท่ี ๓๓๓๓/๒๕๔๕
นอกจำกนี้ขอให้สังเกตลำดับในกำรตอบว่ำ นักศึกษำต้องตอบควำมรับผิดทำงอำญำของนำยตรกี ่อน
แล้วจึงตอบนำยโท เพรำะควำมรับผิดของนำยโทต้องอำศัยควำมรับผิดของนำยตรีมำตอบด้วย
หำกตอบควำมรับผิดของนำยโทกอ่ น ก็จะต้องตอบควำมรับผิดของนำยตรีในส่วนเดียวกันด้วย ทำให้
คำตอบวกวนสับสน จึงขอให้หลักในกำรเขียนตอบด้วยว่ำ หำกเป็นผู้กระทำควำมผิดโดยทำงอ้อม
โดยมีเครื่องมือในกำรกระทำควำมผิด นักศกึ ษำต้องตอบควำมรบั ผิดของเคร่ืองมือก่อน แล้วคอ่ ยตอบ
ผกู้ ระทำผดิ โดยทำงอ้อม จะทำให้กำรตอบขอ้ สอบเป็นลำดับไม่สับสน หรอื กรณีมีผู้ลงมอื ตัวกำร ผู้ใช้

463

ผู้สนับสนุน ก็ต้องตอบผู้ลงมือก่อน แล้วจึงตอบตัวกำร ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน ตำมลำดับไป จะทำให้กำร
เขยี นตอบเปน็ ลำดับขน้ั ตอนที่รวบรดั เขำ้ ใจงำ่ ย และไม่สบั สนวกไปวนมำ

ฎีกาที่ ๓๓๓๓/๒๕๔๕ ฎ.ส.ล.๖ น.๖๕ การที่มีผู้นาเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้เสียหายไป
เก็บไว้ที่ท้ายกระโปรงรถยนต์ของผู้เสียหายคันที่ให้จาเลยซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายขายของผู้เสียหาย
นาไปใช้ในการทางาน โดยจาเลยไม่ทราบมาก่อน ผู้เสียหายไม่ได้สละการครอบครองเครื่อง
คอมพิวเตอร์แต่อย่างใด เคร่ืองคอมพิวเตอร์ยังอยู่ในความยึดถือของผู้เสียหายและจาเลยควรรู้ว่า
ผู้เสียหายจะต้องติดตามเอาเครื่องคอมพิวเตอร์คืน การที่จาเลยยอมให้ ณ. นาเครื่องคอมพิวเตอร์
ดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว จึงเป็นการที่จาเลยเอาเคร่ืองคอมพิวเตอร์ไปจากการครอบครองของ
ผู้เสียหายเพื่อแสวงหาประโยชน์ท่ีมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสาหรับตนเองหรือผู้อื่น การกระทา
ของจาเลยจึงเปน็ ความผิดฐานลกั ทรัพย์ หาใช่เปน็ ความผดิ ฐานยกั ยอกไม่

เป็นทรพั ย์ท่ีมผี ู้อ่ืนครอบครองอยู่

ฎีกาท่ี ๔๒๖๗/๒๕๔๙ ฎ.๑๑๒๗ จาเลยรว่ มกับ ป. ขนท่อแก๊สของผู้เสียหายลงจากรถยนต์
บรรทุกท่ี ป.เป็นผู้ขับไปไว้ในที่เกิดเหตุเพ่ือขายต่อให้แก่บุคคลอ่ืน การท่ีจาเลยและ ป. ครอบครอง
ท่อแก๊สในขณะที่นาไปส่งให้ลูกค้าของผู้เสียหายเป็นการครอบครองแทนผู้เสียหายไว้ช่ัวคราว
ช่ัวขณะหน่ึงเท่าน้ัน การครอบครองโดยแท้จริงยังอยู่ท่ีผู้เสียหาย เมื่อจาเลยนาท่อแก๊สไปกองท้ิงใน
ที่เกิดเหตุ จึงเป็นการเคล่ือนย้ายท่อแก๊สจากที่ต้ังปกติเพ่ือให้อยู่ในสภาพพร้อมท่ีจะขายแก่บุคคลอ่ืน
เป็นการแย่งการครอบครองทรัพย์ไปจากผู้เสียหายแล้ว การกระทาของจาเลยจึงเป็นการร่วมกับ ป.
กระทาความผดิ ฐานลักทรัพย์
ข้อสังเกต ทรัพย์ที่จะถูกลักต้องมีผู้อื่นครอบครองอยู่ โดยเหตุท่ีกำรยึดถือทรัพย์ อำจอยู่กับบุคคล
หนึ่ง ซ่ึงมิได้มีเจตนำยึดถือเพื่อตน แต่กำรครอบครองอยู่กับอีกบุคคลหน่ึง ซึ่งมีเจตนำเพื่อตนโดย
บคุ คลอื่นยึดถือไว้ให้ ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ ๑๓๖๘ ถ้ำผู้ยึดถอื เอำทรัพย์น้ัน
ไป ก็ได้ช่ือว่ำเอำไปจำกกำรครอบครองของผู้ครอบครอง เป็นควำมผิดฐำนลักทรัพย์ ไม่ใช่ยักยอก
กำรครอบครองก็คือสิทธิครอบครองตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์น่ันเอง ผู้ที่จะมีสิทธิ
ครอบครองตอ้ ง ๑. มีกำรยึดถอื ๒. ยดึ ถือเพื่อตนมี ๒ ลกั ษณะคือ ๒.๑ ยดึ ถือเพ่ือตนแบบเป็นเจำ้ ของ
๒.๒ ยึดถือเพื่อตนเพื่อจะใช้ประโยชน์จำกทรัพย์ตำมสัญญำ เช่น ผู้เช่ำ ยึดถอื เพ่ือตนที่จะได้ใช้ทรัพย์
ตำมสัญญำเช่ำ หำกยึดถือทรัพย์แต่ไม่มีสิทธิใช้ประโยชน์ ก็ไม่มีสิทธิครอบครอง คดีน้ีจำเลยยึดถือ
ทอ่ แก๊สไว้ แต่ไมไ่ ด้ยึดถอื เพื่อตน เพรำะไมไ่ ด้ประโยชน์จำกท่อแก๊ส อำจจะได้ประโยชนจ์ ำกกำรไปส่ง
ท่อแก๊ส ก็เป็นประโยชน์จำกสัญญำจ้ำงแรงงำน จำเลยไม่ได้ยึดถือท่อแก๊สเพื่อตน จึงไม่มีสิทธิ
ครอบครอง เมอื่ เอำไปจึงผดิ ลกั ทรพั ย์

กรณีของรถท่ีจำเลยขับก็เช่นเดียวกัน หำกจำเลยเอำรถไป ก็เป็นลักทรัพย์ไม่ใช่ยักยอก
เพรำะจำเลยไม่ได้ครอบครองรถ แต่ถ้ำจำเลยขออนญุ ำตนำยจ้ำงและนำยจ้ำงยนิ ยอมให้จำเลยเอำรถ

464

กลับไปเที่ยวต่ำงจังหวัดได้ จำเลยยึดถือรถเพ่ือตนเพรำะได้ประโยชน์จำกรถตำมสัญญำยืม หำกยืม
แล้วเอำไป ผิดฐำนยักยอก เพรำะจำเลยครอบครองรถแลว้ เบยี ดบงั ไป

ฎีกาท่ี ๑๑๐๔/๒๕๔๕ ฎ.๓๙๗ จาเลยเป็นพนักงานของธนาคารผู้เสียหายตาแหน่งพนกั งาน
ธนากร มีหน้าท่ีรบั ฝากและถอนเงินให้ลูกค้า แต่เงินท่ีลกู ค้านาฝากเข้าบัญชีของลกู ค้าไว้กับผเู้ สยี หาย
เป็นของผู้เสียหายและอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหาย มิได้อยู่ในความครอบครองของจาเลย
การที่จาเลยใช้ใบถอนเงินหรือแก้ไขบัญชีเงินฝากของลูกค้าผู้ฝากต่างกรรมต่างวาระในรูปแบบทาง
เอกสาร เป็นกลวิธีในการถอนเงินของผู้เสียหายจนเป็นผลสาเร็จแล้วทุจริตนาเงินนั้นไป จึงเป็น
ความผิดฐานลักทรัพย์ มิใชย่ กั ยอก
ขอ้ สังเกต คดีตำมฎีกำน้ีจำเลยยึดถือทรัพย์ แต่ไมไ่ ด้ยึดถอื เพื่อตน จึงไม่มีสิทธิครอบครอง เมื่อเอำเงิน
ไปจึงผดิ ฐำนลกั ทรัพย์ของนำยจำ้ ง ไมใ่ ช่ยกั ยอก

ฎีกาท่ี ๑๐๓๖๙/๒๕๕๙ ฎ.๒๖๓๒ จาเลยขายสินค้าของผู้เสียหายได้รับเงินค่าสินค้ามา
แทนท่ีจาเลยจะรวบรวมนาสง่ เงนิ ไปฝากธนาคาร แต่จาเลยนาเงนิ น้ันไปเป็นของจาเลย แลว้ ใชว้ ธิ ีการ
เปล่ียนแปลงรายการสินค้าในระบบคอมพิวเตอร์เพื่อให้ยอดสินค้าในระบบคอมพิวเตอร์ตรงกับ
จานวนเงินท่ีผู้เสียหายควรได้รับมาจากการจาหน่าย อันเป็นวิธีการท่ีผู้เสียหายจะไม่ทราบว่าจาเลย
ไม่ได้นาส่งเงินเข้าบัญชธี นาคารของผู้เสียหาย ต่อเมอ่ื ตรวจสอบสต๊อกสินคา้ แลว้ จึงจะทราบว่าจานวน
สินค้าไม่ตรงกับจานวนเงินท่ีมีการจาหน่าย ดังนี้ เงินที่จาเลยรับมาจากลูกค้าซึ่งได้จากการจาหน่าย
สนิ ค้า เป็นการรับเงินไว้ระหวา่ งการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะของลูกจ้างของผู้เสียหาย เพียงแต่ใหจ้ าเลย
ยึดถือไว้ชั่วคราว อานาจในการครอบครองควบคุมดูแลทรัพย์สินยังเป็นของนายจ้าง ผู้เสียหายไม่ได้
ส่งมอบการครอบครองให้แก่จาเลย เม่ือจาเลยเอาเงินของผู้เสียหายไป จึงเป็นการเอาเงินไปโดย
เจตนาทุจริต เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ของผู้เสียหายที่เป็นนายจ้างตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๑๑)
วรรคแรก มใิ ช่เปน็ ความผิดฐานยักยอก

ฎีกาที่ ๑๕๗๙๓/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล.๙ น.๒๒๒ จาเลยทั้งสองเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วม มีหน้าที่
นาเศษเหล็กไปส่งแก่ลูกค้าของโจทก์ร่วมตามคาสั่งของโจทก์ร่วม จาเลยทั้งสองจึงมีสิทธิเพียงยึดถือ
ดูแลไว้แทนนายจ้างชั่วเวลาในขณะปฏิบัติหน้าท่ีเท่านั้น สิทธิครอบครองยังอยู่ที่โจทก์ร่วม การท่ี
จาเลยทง้ั สองเอาเศษเหล็กไปขาย จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้าง หาใช่ความผิดฐานยกั ยอกไม่

ฎีกาที่ ๔๙๓๗-๔๙๓๘/๒๕๕๖ ฎ.๒๔๖๐ จาเลยเป็นลูกจ้างของผู้เสียหายทางานในตาแหน่ง
พนักงานอาวุโส ซึ่งในขณะเกิดเหตุจาเลยมีหน้าท่ีประจาลานจอดเคร่ืองบินและปล่อยเคร่ืองบิน ไม่มี
หน้าท่ีขายบัตรโดยสารเครื่องบิน ผู้เสียหายมิได้มอบหมายให้จาเลยมีหน้าท่ีรับและครอบครองเงิน
ค่าโดยสารเคร่ืองบินท่ีได้จากลูกค้าแทนผู้เสียหาย เม่ือจาเลยรับเงินค่าโดยสารเคร่ืองบินที่ลูกค้าซื้อ
การให้บริการหรือชาระค่ารับจ้างในกิจการของผู้เสียหาย เงินค่าโดยสารเครื่องบินจึงเป็นของ
ผู้เสียหาย จาเลยต้องนาไปส่งมอบหรือชาระตามวิธีการให้ผู้เสียหาย การท่ีจาเลยเอาเงินค่าโดยสาร
เคร่ืองบินตามฟ้องไว้เป็นของจาเลยเสียเองในฐานะลูกจ้างของผู้เสียหาย จึงเป็นการกระทาความผิด
ฐานลักทรัพย์ทีเ่ ปน็ ของนายจ้างตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๑๑) มิใชเ่ ป็นความผดิ ฐานยกั ยอก

465

ฎีกาท่ี ๑๒๓๓๓/๒๕๕๕ ฎ.๓๓๕๙ จาเลยเป็นพนักงานของโจทก์ร่วม ตาแหน่งผู้จัดการ
ฝ่ายรถยนต์บรรทุก มีหน้าที่ในการจัดการดูแลรถยนต์บรรทุกและจัดจาหน่ายรถยนต์บรรทุกของ
โจทก์ร่วมโดยไดร้ บั มอบการครอบครองรถยนต์บรรทุกจากโจทก์รว่ ม แตก่ ารขายหรือจาหน่ายรถยนต์
บรรทุกจาเลยต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ร่วมก่อน การที่จาเลยครอบครองรถยนต์บรรทุก
จงึ เป็นการชั่วคราวและเพ่ือประโยชน์ในการปฏิบัติงานในหน้าท่ีของจาเลย อานาจครอบครองในการ
ควบคุมดแู ลรถยนต์บรรทุกยงั อยู่กบั โจทก์รว่ ม การทีจ่ าเลยนารถยนต์บรรทุกไปขายโดยไม่ได้รับความ
ยินยอมจากโจทก์ร่วม จึงไม่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ แต่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ท่ีอยู่ใน
ความครอบครองของนายจ้างตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๑๑) วรรคแรก

ฎีกาที่ ๑๐๙๙/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๙ การท่ีจาเลยกรอกข้อความและลงลายมือชื่อของ
ผ้เู สียหายปลอมในใบรบั เงินช่ัวคราวโดยผู้เสียหายไม่ได้ยินยอม จาเลยย่อมทราบดีว่าเป็นการกระทา
ท่ีผิดกฎหมาย ท้ังจาเลยยังนาเงินไปใช้ส่วนตัว จึงมิใช่การเข้าใจโดยสุจริตเพื่อจะนาเงินเข้าบริษัท อ.
จาเลยมีความผิดฐานปลอมเอกสารสทิ ธแิ ละใช้เอกสารสิทธิปลอม

จาเลยทางานเป็นเลขานุการส่วนตัวของผู้เสียหายและมีหน้าที่ทางานเพียงตามท่ีผู้เสียหาย
มอบหมาย ตอ้ งถือว่าใบรับเงินชวั่ คราวยังอยใู่ นความครอบครองของผูเ้ สียหายและผู้เสียหายมิไดม้ อบ
การครอบครองให้แก่จาเลย ดังนั้น การที่จาเลยนาใบรับเงินชั่วคราวไปใช้ประกอบการขอรับ
เบ้ียประกันจาก ด. โดยผู้เสยี หายมิได้มอบหมายหรือรู้เห็น ย่อมถือไดว้ ่าเป็นการเอาไปจากผู้เสียหาย
โดยทุจริต จาเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ แม้โจทก์มิได้นาสืบให้เห็นว่าใบรับเงินช่ัวคราวเล่มท่ี
จาเลยไม่นาส่งให้แก่ผู้เสียหายเป็นเล่มที่เท่าใดและเลขท่ีเท่าใด ย่อมไม่ใช่ข้อสาระสาคัญ เพราะแม้
หากใบรบั เงินช่ัวคราวอยู่ในเลม่ ท่ีจาเลยส่งมอบให้แกผ่ ู้เสยี หาย จาเลยก็ไม่พ้นผดิ จาเลยจึงมีความผิด
ฐานลักทรพั ย์

ฎีกาท่ี ๑๔๖๘๙/๒๕๕๘ จาเลยซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายบัญชี มีหน้าที่จัดทาข้อมูลเก่ียวกับ
เงินเดือนของพนักงาน ได้ดาเนินการให้โจทก์ร่วมโอนเงินเดือนเข้าบัญชีเงินฝากของตนเองและ ส.
เกินกว่าเงินเดือนที่มีสิทธิได้รับจริง ซ่ึงแสดงให้เห็นว่าจาเลยได้ใช้โอกาสที่ตนเองเป็นผู้จัดทาบัญชี
เงินเดือนของพนักงานทาการแสวงหาประโยชน์ด้วยการปรับแต่งบัญชีเงินเดือนของพนักงาน
เพิ่มเงินเดือนให้แก่ตนเองให้มีอัตราสูงกว่าความเป็นจริง ทาให้จาเลยได้รับเงินจากโจทก์ร่วมไปเป็น
เงินทั้งส้ิน ๔๖๖,๕๐๐ บาท และจาเลยยังได้ปรับแต่งข้อมูลอัตราเงินเดือนของ ส. ให้สูงข้ึน เป็นเหตุ
ให้ ส. ได้รับเงนิ เกินไปกว่าเงนิ เดือนที่แทจ้ รงิ จานวน ๙๖,๐๐๐ บาท แตเ่ มื่อ ส. นาเงินสว่ นท่ีไดร้ ับเกิน
มาดังกล่าวไปคืนให้แก่จาเลย จาเลยก็นาไปเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คืนเงินให้แก่โจทก์ร่วม
กรณีเป็นเรื่องที่จาเลยลักเงินของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นนายจ้างโดยใช้กลอุบายปรับแต่งบัญชีเงินเดือน
ให้โจทก์ร่วมนาเงนิ ฝากเข้าบัญชเี งินฝากของจาเลยและ ส. เกนิ กว่าเงนิ เดอื นทมี่ ีสิทธไิ ด้รบั แล้วจาเลย
นาเงนิ จานวนดังกล่าวไปเปน็ ประโยชน์ส่วนตน จงึ เปน็ ความผิดฐานลกั ทรัพยข์ องนายจา้ ง

ฎีกาที่ ๙๘๗๑/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๑๑๗ จาเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้เสียหายเอาเงินของ
ผู้เสียหายไป ๔ ซอง รวม ๔๐,๐๐๐ บาท จาเลยเพยี งแต่มหี น้าทหี่ ย่อนเงินลงในตู้เซฟชั้นในและลงชื่อ

466

เป็นพยาน หรือเป็นผู้นาเงินมาให้ผู้หย่อนซ่ึงเรียกว่าเป็นผู้ Pick up เท่าน้ัน ผู้เสียหายหาได้ส่งเงิน
ให้อยู่ในครอบครองของจาเลยแต่ประการใดไม่ การที่จาเลยไม่หย่อนเงินลงในตู้เซฟชั้นในก็ดี
หรือจาเลยเอาเงินจากตู้เซฟชั้นในไปก็ดี เป็นการเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต เป็นความผิด
ฐานลักทรพั ย์ทีเ่ ปน็ ของนายจ้าง หาใชเ่ ป็นความผดิ ฐานยกั ยอกไม่
ข้อสังเกต คดีตำมฎีกำน้ีกำรท่ีจำเลยไม่หย่อนเงินลงในตู้เซฟหรือจำเลยเอำเงินจำกตู้เซฟ เป็นกำร
เอำทรัพย์ของผูเ้ สียหำยไปโดยทุจรติ เป็นควำมผดิ ฐำนลกั ทรัพย์ทีเ่ ป็นของนำยจ้ำง หำใช่เป็นควำมผิด
ฐำนยักยอกไม่ แต่ถ้ำเปิดเซพนับเงินแล้วมีกำรมอบเงินให้จำเลยนำไปฝำกธนำคำร เป็นกำรมอบกำร
ครอบครอง หำกจำเลยเอำไปเป็นกำรเบียดบัง มีควำมผิดฐำนยักยอกตำมฎีกำที่ ๖๑๑๖/๒๕๖๐
๒๕๖๐ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๘๓ ผเู้ สยี หำยประกอบกิจกำรรำ้ น ซ. จำเลยเปน็ พนักงำนของผู้เสียหำยมีหน้ำที่
ดูแลกิจกำรในร้ำน ซ. และนำเงินรำยได้ของรำ้ นไปฝำกธนำคำรโดยเมื่อพนักงำนของรำ้ นขำยสนิ ค้ำได้
แลว้ จะนำเงินท่ีไดร้ ับจำกลูกคำ้ ใส่ซองหยอ่ นลงไปในตูน้ ิรภัยของรำ้ น ซึ่งจำเลยเปน็ ผถู้ ือกุญแจตู้นิรภัย
เพียงคนเดียวและไม่มีสิทธินำเงินรำยได้ดังกล่ำวไปใช้ส่วนตัว เวลำประมำณ ๑๓ นำฬิกำ ของทุกวัน
จำเลยต้องนำกุญแจไปไขตู้นิรภัยนำเงินรำยได้ของร้ำนออกมำแล้วไปตรวจนับต่อหน้ำ ส. และ ท.
เม่ือทรำบจำนวนเงินรำยได้แล้ว ส. จะเขียนใบนำฝำกเงินและมอบสมุดบัญชีของตนเองให้จำเลย
จำกนน้ั จำเลยจะขับรถยนต์นำเงินพรอ้ มสมุดบัญชแี ละใบนำฝำกไปฝำกเงินทธี่ นำคำร วันรุ่งขึ้นจำเลย
ต้องนำใบรับฝำกเงินที่มีตรำประทับจำกธนำคำรส่งคืนให้แก่ผู้เสียหำยเพื่อตรวจสอบยอดเงินท่ีนำไป
ฝำกธนำคำรวำ่ ครบถ้วนหรอื ไม่ วันเกดิ เหตุ ธ. บุตรของ ท. ไดร้ ว่ มตรวจนบั เงนิ กับจำเลยแลว้ มอบเงิน
จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บำท ให้จำเลยนำไปฝำกธนำคำร หลังจำกน้ันจำเลยร่วมกับพวกเอำเงินน้ันไป
กำรท่ีจำเลยใช้กุญแจไขตู้นิรภัยนำเงินรำยได้ของร้ำน ซ. ออกมำแล้วนำไปตรวจนับต่อหน้ำ ส. และ
ท. เป็นเพียงกำรทำงำนในหน้ำท่ีดูแลเงินชั่วครำวเท่ำนั้น หำใช่เป็นเรื่องที่ผู้เสียหำยได้มอบกำร
ครอบครองเงนิ ใหแ้ ก่จำเลยโดยเดด็ ขำดไม่ ดังนี้ ขณะนั้นจำเลยจึงไม่ใช่ผูค้ รอบครองเงินของผเู้ สียหำย
แต่เมื่อจำเลยเอำเงินจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บำท ของผู้เสียหำยไปหลังจำกที่ผู้เสียหำยตรวจสอบแล้ว
มอบให้จำเลยนำไปฝำกเข้ำบัญชีของผู้เสียหำยที่ธนำคำร กรณีจึงถือได้ว่ำขณะนั้นผู้เสียหำยได้มอบ
เงินจำนวนดงั กลำ่ วให้อยู่ในควำมครอบครองของจำเลยแล้วเพรำะจำเลยต้องถือและรักษำเงนิ จำนวน
นั้นจนกระทั่งนำไปฝำกเข้ำบัญชีของผู้เสียหำยที่ธนำคำรให้เรียบร้อย กำรที่จำเลยวำงแผนให้พวก
จำเลยมำแย่งเอำเงนิ ไปในระหวำ่ งเดนิ ทำงไปธนำคำรจงึ เป็นควำมผิดฐำนยักยอก

ฎีกาท่ี ๑๓๐๗/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๒๔ ในขณะเกิดเหตุบริษัท ว. จากัด และจาเลยท่ี ๓
และที่ ๔ เป็นผู้ครอบครองสนิ ค้าปยุ๋ เคมีไว้แทนบริษัท ท. จากัด (มหาชน) ดงั น้ี เมอ่ื เกิดเหตุบรษิ ัท ท.
จากัด (มหาชน) จึงเป็นผู้เสียหายด้วย และสาหรบั จาเลยท่ี ๓ และที่ ๔ นัน้ เป็นลูกจ้างของบริษทั ว.
จากัด มีหน้าที่ควบคุมหรือบรรทุกสินค้าดังกล่าวไปส่งท่ีสถานีสินค้าของผู้เสียหาย การครอบครอง
ของจาเลยที่ ๓ และท่ี ๔ เป็นการครอบครองแทนไว้ชั่วคราวช่ัวขณะหนึ่งเท่าน้ัน อานาจการ
ครอบครองสินค้าท่ีแท้จริงยังอยู่กับผู้เสียหาย เม่ือจาเลยที่ ๓ และที่ ๔ ร่วมกับพวกเอาทรัพย์สิน
ดังกล่าวไปโดยทุจริต จึงเปน็ การกระทาความผดิ ฐานลกั ทรัพย์

467

ฎีกาท่ี ๓๓๓๓/๒๕๔๕ ฎ.ส.ล.๖ น.๖๕ การทีม่ ีผู้นาเคร่ืองคอมพิวเตอร์ของผู้เสียหายไปเก็บ
ไว้ท่ีท้ายกระโปรงรถยนต์ของผู้เสียหายคันท่ีให้จาเลยซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายขายของผู้เสียหายนาไป
ใช้ในการทางาน โดยจาเลยไม่ทราบมาก่อน ผู้เสียหายไม่ได้สละการครอบครองเคร่ืองคอมพิวเตอร์
แต่อย่างใด เคร่ืองคอมพิวเตอร์ยงั อยู่ในความยึดถือของผู้เสียหายและจาเลยควรรวู้ ่าผู้เสียหายจะต้อง
ติดตามเอาเคร่ืองคอมพิวเตอร์คืน การที่จาเลยยอมให้ ณ. นาเครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวไปใช้
ประโยชน์ส่วนตัว จึงเป็นการท่ีจาเลยเอาเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ไปจากการครอบครองของผูเ้ สียหายเพื่อ
แสวงหาประโยชน์ท่ีมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสาหรับตนเองหรือผู้อ่ืน การกระทาของจาเลย
จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ หาใช่เป็นความผิดฐานยักยอกไม่

ฎีกาที่ ๕๙๘/๒๕๔๘ ฎ.๔๓๗ รถยนต์กระบะของจาเลยเสีย พ. ซ่อมรถยนต์ได้จึงรับอาสา
ซ่อมรถยนต์ให้จาเลย พ. ขับรถจักรยานยนต์ซึ่งอยู่ระหว่างเช่าซ้ือมีจาเลยนั่งซ้อนท้ายไปที่โกดังเก็บ
สินค้าซึ่งรถยนต์ของจาเลยจอดเสียอยู่ พ. ซ่อมรถยนต์ของจาเลยจนกระท่ังเย็นแต่ซ่อมไม่สาเร็จ
จาเลยยืมรถจักรยานยนต์ของ พ. อ้างว่าไปหายืมเงินมาซื้ออะไหล่ นานประมาณ ๑ ชั่วโมง จาเลย
กลับมาบอกว่าหายืมเงินไม่ได้ ขอยืมรถอีกคร้ังอ้างว่าจะไปหารถยนต์มาลากจูงรถยนต์ของจาเลย
การที่ พ. มอบรถจักรยานยนตใ์ ห้จาเลยยืมไปดังกล่าว เป็นการส่งมอบการครอบครองรถให้แก่จาเลย
ไม่ใช่เพียงแต่ให้การยึดถือ จาเลยจึงเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ของผู้อื่น เม่ือจาเลยไม่คืนรถนั้นแก่ พ.
จึงเปน็ ความผดิ ฐานยกั ยอก ไม่ใชล่ กั ทรพั ย์
ข้อสังเกต จำเลยมีเจตนำยึดถือเพ่ือตนในลักษณะท่ีจะได้ประโยชน์จำกกำรใช้สอยรถตำมสัญญำยืม
จำเลยจึงมีสิทธคิ รอบครอง เม่ือเอำไปจงึ เป็นควำมผดิ ฐำนยกั ยอก

ฎีกาท่ี ๔๖๔๔/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๘ น.๑๙๘ จาเลยขอยืมรถจักยานยนต์ของผู้เสียหายไปจาก
ช. ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามสัญญาเช่าซ้ือ การที่ ช. อนุญาตให้จาเลยขับรถจักรยานยนต์ไปส่ง
ส. จึงเป็นการส่งมอบการครอบครองรถจักรยานยนต์ให้จาเลยช่ัวคราวซ่ึงจาเลยมีหน้าท่ีต้องนา
รถจักรยานยนต์ท่ีขอยืมไปมาคืน ช. เมื่อจาเลยนารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปจานาแก่
บุคคลภายนอกจึงเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ของผู้เสียหายเป็นของบุคคลอื่นโดยทุจริตขณะท่ีจาเลย
ครอบครองทรัพยน์ ้ันอันเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก การกระทา
ของจาเลยไมใ่ ช่ความผิดฐานลักทรัพย์ ที่โจทก์ฎีกาว่าได้ความจาก ส. ว่าจาเลยบอกวา่ หลังจากจาเลย
ได้รถจักรยานยนต์แล้วนาไปขายทันที การขอยืมรถจึงเป็นอุบายท่ีจะได้รถจักรยานยนต์ไปน้ัน ก็เป็น
เพียงการคาดคะเนของโจทก์ถึงเจตนารมณ์ของจาเลยซึ่งไม่อาจนามารับฟังเป็นผลร้ายว่าจาเลย
มีเจตนาเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปต้ังแต่ต้น เม่ือจาเลยชาระค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายเป็นที่
พอใจและผู้เสียหายไม่ติดใจดาเนินคดีแก่จาเลยย่อมทาให้สิทธินาคดีอาญามฟ้องระงับไปตาม ป.วิ.อ.
มาตรา ๓๙ (๒)
ข้อสังเกต คดีน้ีศำลฎีกำฟังข้อเท็จจริงว่ำขณะยืมจำเลยมีเจตนำยืมรถจักรยำนยนต์จริง เมื่อได้รถ
ไว้ในครอบครองและใช้สอยแล้วจึงมีเจตนำเอำไปจำนำภำยหลัง จึงเป็นกำรเบียดบังทรัพย์ของผู้อ่ืน
ที่ตนครอบครองอันเป็นควำมผิดฐำนยักยอก โดยจำเลยไม่ได้มีเจตนำหลอกเอำรถจักรยำนยนต์ไป

468

ตั้งแต่แรก แต่ถ้ำข้อเท็จจริงปรำกฏชัดว่ำจำเลยมีเจตนำเอำรถจักรยำนยนต์ไปต้ังแต่แรกด้วยกำร
หลอกขอยืมรถจกั รยำนยนต์เพื่อจะเอำไปจำนำ จะเปน็ กำรหลอกเอำกำรครอบครองซึ่งถอื ว่ำเป็นกำร
แยง่ กำรครอบครอง จะเป็นควำมผิดฐำนลักทรัพย์

ฎีกาท่ี ๕๘๓๘/๒๕๔๘ ฎ.๑๕๘๒ รถยนต์ท่ีผู้เสียหายมอบให้จาเลยซ่อมได้อยู่กับจาเลยมา
นานถึง ๑ ปีเศษ ถือได้ว่าผู้เสียหายมอบหมายให้จาเลยยึดถือครอบครองทรัพย์น้ันไว้ การท่ีจาเลย
ถอดอะไหล่และเคร่ืองเสียงในรถยนต์ให้บุคคลอื่นหรือนาไปขาย จึงเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์
ดังกล่าวเป็นของตนและบุคคลท่ีสามโดยทุจริต มีความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก
ข้อสังเกต จำเลยมีเจตนำยึดถือเพื่อตน เพรำะมีสิทธิยึดหน่วงรถไว้ จำเลยจึงมีสิทธิครอบครอง เม่ือ
เอำไปจงึ เป็นควำมผดิ ฐำนยักยอก

ฎีกาที่ ๑๒๘๑๑/๒๕๕๘ กรณีจะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ผู้กระทาความผิดต้อง
มีเจตนาแย่งการครอบครองทรัพย์นั้นโดยทุจริตต้ังแต่ท่ีเข้าแย่งการครอบครอง แต่ขณะที่จาเลย
ยืมคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กจากผู้เสียหาย ไม่ปรากฏว่าจาเลยมีเจตนาจะเอาไปในลักษณะท่ีเป็นการ
ตัดกรรมสิทธิ์ตั้งแต่แรก จาเลยยังคงพักอยู่ที่โรงแรมตรงข้ามอู่ซ่อมรถของผู้เสียหาย เหตุที่จาเลย
หลบหนีออกจากโรงแรมโดยนาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กไปด้วย เพราะไม่ตอ้ งการชาระค่าซ่อมรถท่ีจาเลย
ค้างชาระผู้เสียหาย จึงเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ท่ีอยู่ในความครอบครองเป็นของจาเลยโดยทุจริต
เปน็ ความผดิ ฐานยกั ยอก

ฎีกาที่ ๑๖๐๘๑-๑๖๐๘๓/๒๕๕๕ ฎ.๑๗๗๐ โจทก์ท้ังสามไม่ได้ครอบครองที่ดินและต้นสน
และไม่ทราบแน่นอนว่าต้นสนอยู่ในท่ีดินตาแหน่งใด จาเลยเป็นผู้จัดการดูแลต้นสนในที่ดินของโจทก์
ทงั้ สาม ต้นสนของโจทก์ทั้งสามอยู่ในความครอบครองของจาเลย การท่ีจาเลยตัดต้นสนโดยไม่แจ้งให้
โจทก์ทัง้ สามทราบหรือได้รับความยินยอมจากโจทกท์ ั้งสาม และจาเลยรับเงินค่าต้นสนทงั้ หมดไปเป็น
ประโยชน์ของตนเองไม่เป็นความผดิ ฐานลกั ทรัพย์ต้นสน แตเ่ ปน็ ความผดิ ฐานยักยอก

ผกู้ ระทาตอ้ งเขา้ ครอบครองทรัพย์

ฎีกาท่ี ๑๑๒/๒๕๕๔ ฎ.๕๗๓ จาเลยดึงโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายที่เหน็บไว้ในกระเป๋า
กระโปรงแล้วโยนทิ้งท่ีชานพักบันได เพราะโกรธที่ได้ยินเสียงผู้ชายโทรศัพท์เข้ามา ยังไม่พอฟังว่า
จาเลยเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายไปโดยมีเจตนาทุจริตเพ่ือต้องการโทรศัพท์เคล่ือนที่ของ
ผ้เู สียหายมาเป็นของตนเองอันจะเป็นความผิดฐานว่ิงราวทรัพย์ แตก่ ารโยนโทรศัพท์เคลื่อนท่ีลงไปท่ี
ชานพักบันได ย่อมเล็งเห็นได้ว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายอาจเกิดความเสียหายได้ เมื่อ
โทรศัพท์เคล่ือนท่ีของผู้เสียหายไม่เสียหาย การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามทาให้
เสยี ทรพั ย์
ข้อสังเกต ฎีกำนใ้ี นทำงตำรำเป็นเรอ่ื งท่ีจำเลยไม่ได้เข้ำครอบครองทรัพย์ จึงไมเ่ ปน็ กำรเอำไปซึ่งน่ำจะ

469

ถือวำ่ ขำดองค์ประกอบภำยนอก
ฎกี าที่ ๙๓๙๓/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๓๙ รถจักรยานของผู้เสียหายถูกทิ้งไวข้ ้างถนนห่างจาก

ถนนเพียง ๕ เมตร ซึ่งสามารถพบเห็นได้โดยง่าย และเมื่อนับระยะเวลาตั้งแต่วันเกิดเหตุจนถึงวันที่
พบรถจักรยานเป็นเวลาประมาณ ๙ วัน ซ่ึงถ้าหากจาเลยมีเจตนาที่จะลักเอารถจักรยานดังกล่าวไป
เพื่อประโยชน์ส่วนตน ย่อมต้องนารถจักรยานดังกล่าวไปจากบริเวณสถานท่ีเกิดเหตุแล้ว มิใช่นามา
ท้ิงไว้บริเวณข้างถนนเป็นเวลาถึง ๙ วัน อีกทั้งจุดที่พบรถจักรยานก็อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ
๒๐ เมตร จึงเช่ือว่าจาเลยกับพวกนารถจักรยานดังกลา่ วมาทง้ิ ไว้ โดยมีเจตนาเพอื่ ทีจ่ ะไมใ่ ห้ผู้เสียหาย
ใช้รถจักรยานดังกล่าวในการหลบหนีหรือขี่กลับบ้าน จาเลยกับพวกไม่ได้ประสงค์จะเอารถจักรยาน
ไปในลักษณะเป็นการประทุษร้ายต่อกรรมสิทธ์ิในทรพั ย์ของผู้เสียหาย จาเลยกับพวกมิได้เจตนาที่จะ
เอาทรัพย์ไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ท่ีมิควรได้โดยชอบดว้ ยกฎหมายแต่อย่างใด การกระทาของจาเลย
กบั พวกจึงไมม่ ีเจตนาทุจริตไม่เปน็ ความผดิ ฐานลักทรัพย์

การเข้าครอบครองนนั้ ต้องเป็นการแยง่ การครอบครอง

ก าร เข้ า ค ร อ บ ค ร อ ง นั้ น ต้ อ งเป็ น ก า ร แ ย่ งก า ร ค ร อ บ ค ร อ ง โด ย ผู้ ค ร อ บ ค ร อ งท รั พ ย์ เดิ ม
มิได้อนุญาต ถ้าเป็นการส่งมอบการครอบครองก็จะไม่เป็นแย่งการครอบครอง แต่ต้องเป็น
การส่งมอบท่ีปราศจากการข่มขู่ สาคัญผิด หรือหลอกลวง ถ้าส่งมอบเพราะการข่มขู่ สาคัญผิด
หรือหลอกลวง ก็คอื การแย่งการครอบครอง ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเอาไปในความผิดฐานลักทรพั ย์นั่นเอง
เวน้ แตว่ ่าจะมกี ฎหมายบญั ญัตเิ ปน็ อยา่ งอ่นื

ก. การส่งมอบเพราะถูกข่มขู่จึงเป็นชิงทรัพย์ เพราะเป็นการลักทรัพย์โดยขู่เข็ญว่าในทันใด
น้ันจะใชก้ าลงั ประทุษร้าย

ข. การส่งมอบเพราะสาคัญผดิ เปน็ ก่งึ ยักยอกตามมาตรา ๓๕๒ วรรคสอง
ค. การส่งมอบเพราะถูกหลอกลวงอาจแยกพิจารณาได้เป็นหลอกเอากรรมสิทธิ์ หลอกเอา
การครอบครอง หลอกเอาการยึดถือ
การหลอกเอากรรมสิทธ์ิ มาตรา ๓๔๑ กาหนดให้การหลอกลวงผู้อื่นจนได้ไปซ่ึงทรัพย์สิน
จากผู้ถูกหลอกลวงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง การได้ไปซ่ึงทรัพย์สินตามมาตรา ๓๔๑ ดังกล่าวกค็ ือการ
หลอกลวงจนได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินไป การหลอกเอากรรมสิทธ์ิแม้จะเป็นการแย่งการครอบครอง
ตามมาตรา ๓๓๔ แต่มีมาตรา ๓๔๑ กาหนดไว้โดยเฉพาะให้เป็นความผิดฐานฉ้อโกง จึงไม่เป็น
ความผิดฐานลักทรัพย์ ส่วนการหลอกลวงเอาการครอบครองหรือหลอกลวงเอาการยึดถือไม่มี
กฎหมายบัญญัตไิ ว้เป็นการเฉพาะ ก็ต้องถือว่าเป็นแย่งการครอบครอง ถ้าเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่น
ไปโดยทุจรติ ก็จะเป็นความผดิ ฐานลักทรัพย์

470

ข้อ ๘๔ คาถาม นายเอกเป็นคนกลัวภริยามาก วันหนึ่งนายเอกได้เงินจากการทางานพิเศษ
มา ๕,๐๐๐ บาท นายเอกจึงเอาเงินดังกล่าวซอ่ นไวใ้ นช่องเก็บของในรถยนต์ท่ีนายเอกขับเปน็ ประจา
เพื่อเก็บไว้ใช้ส่วนตัว ต่อมารถยนต์ของนายเอกเกิดอุบัติเหตุ นายเอกจึงเอารถไปมอบให้นายโทซ่อม
โดยลืมเงิน ๕,๐๐๐ บาท ไว้ในรถ หลังจากรับรถไว้ ๓ วัน นายโทรื้อของในรถพบเงิน ๕,๐๐๐ บาท
จงึ เอาเงินดังกล่าวไปใช้จ่ายสว่ นตัว ต่อมานายโทซอ่ มรถไม่ดี นายเอกและนายโทจึงมีปัญหาเรื่องการ
ซ่อมรถกัน และไม่ได้ซ่อมรถต่อให้เสร็จ ต่อมาอีก ๑ ปีเศษ นายโทได้ถอดเคร่ืองเสียงในรถยนต์ของ
นายเอกไปขาย

ให้วินจิ ฉยั วา่ นายโทมีความผิดฐานใด
คาตอบ นายเอกเอารถไปมอบให้นายโทซ่อม โดยลืมเงิน ๕,๐๐๐ บาท ไว้ในรถไม่เป็นการ
ส่งมอบการครอบครองเงิน ๕,๐๐๐ บาท ให้แก่นายโท ดังนั้น การท่ีนายโทร้ือของในรถพบเงิน
๕,๐๐๐ บาท แล้วเอาเงินดังกล่าวไป จึงเป็นเอาไปซ่ึงทรัพย์ของผู้อ่ืนตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๓๔ เพราะเป็นการแย่งการครอบครองเงิน ๕,๐๐๐ บาท โดยนายเอกไม่ยินยอม เม่ือ
กระทาโดยเจตนาทุจริต จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ไม่ใช่ฐานยักยอก (คำอธิบำยประมวล
กฎหมำยอำญำ ภำค ๒ ตอน ๒ และภำค ๓ โดยศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภัทิย์ ๒๕๕๓, หัวข้อ 1204
หนำ้ ๕๗๕)
รถยนต์ที่นายเอกมอบให้นายโทซ่อมได้อยู่กับนายโทมานานถึง ๑ ปีเศษ ถือได้ว่านายเอก
มอบหมายให้นายโทยึดถือครอบครองทรัพย์นั้นไว้เพ่ือตน การที่นายโทถอดเคร่ืองเสียงในรถยนต์
ไปขาย จึงเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ดังกล่าวเป็นของตนโดยทุจริต มีความผิดฐานยักยอกตาม
มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก (ฎีกาท่ี ๕๘๓๘/๒๕๔๘)
ข้อสังเกต กำรเอำไปตำมมำตรำ ๓๓๔ คือ แย่งกำรครอบครองและพำทรัพย์เคลื่อนที่ไป เหตุนี้
ทรัพย์ท่ีจะถูกลักต้องมีผู้ครอบครองอยู่ประกำรหน่ึง และผู้กระทำเข้ำครอบครองทรัพย์นั้นอีก
ประกำรหนึ่ง กำรเข้ำครอบครองนั้นเป็นกำรแย่งกำรครอบครองซึ่งผู้ครอบครองทรัพย์อยู่เดิมมิได้
อนญุ ำตประกำรหน่ึง แลว้ ได้พำทรพั ย์เคลื่อนท่ไี ปอีกประกำรหน่ึง พร้อมทงั้ ๔ ประกำรน้ี จึงจะถือได้
ว่ำเป็นกำรเอำทรัพย์ไปสำเร็จบริบูรณ์ (อ้ำงแล้ว หัวข้อ 1192 หน้ำ ๕๔๑) กำรที่นำยโทเอำเงิน
๕,๐๐๐ บำท ของนำยเอกไป ถือว่ำกำรเขำ้ ครอบครองน้ันเป็นกำรแยง่ กำรครอบครอง ไมใ่ ชเ่ รอื่ งส่ง
มอบกำรครอบครอง เช่นเดียวกับของทตี่ ดิ มำในลน้ิ ชักโต๊ะท่สี ่งมำให้ซ่อม (อำ้ งแล้ว น.๕๗๕)
ทรัพย์ท่ีจะถูกลกั ตอ้ งมีผู้ครอบครองอยู่ โดยเหตุท่ีกำรยึดถือทรพั ย์ อำจอยู่กบั บคุ คลหนึง่ ซึ่ง
มิได้มีเจตนำยึดถือเพื่อตน แต่กำรครอบครองอยู่กับอีกบุคคลหน่ึง ซึ่งมีเจตนำเพื่อตนโดยบุคคลอ่ืน
ยึดถือไว้ให้ ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ ๑๓๖๘ ถ้ำผู้ยึดถือเอำทรัพย์น้ันไป
ก็ได้ช่ือว่ำเอำไปจำกกำรครอบครองของผู้ครอบครอง เป็นควำมผิดฐำนลักทรัพย์ ไม่ใช่ยักยอกทรัพย์
(อ้ำงแล้ว น.๕๕๒) กำรครอบครองก็คือสิทธิครอบครองตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์
นั่นเอง ผู้ท่ีจะมีสิทธิครอบครองต้อง ๑. มีกำรยึดถือ ๒. ยึดถือเพ่ือตน แนวควำมคิดในเรื่องสิทธิ
ครอบครองมีมำตั้งแต่สมัยโรมัน เดิมผู้มีสิทธิครอบครองต้อง ๑ ยึดถือ ๒ ยึดถือเพ่ือตนแบบเป็น

471

เจ้ำของเท่ำน้ัน ดังน้ัน ตำมควำมคิดด้ังเดิมผู้รับจำนำ แม้จะยึดถือทรัพย์ แต่ก็ไม่มีสิทธิครอบครอง
ต่อมำควำมคิดเรือ่ งของสิทธิครอบครองข้อ ๒ ยดึ ถือเพื่อตนแบบเปน็ เจ้ำของเท่ำนั้น เริ่มจะผอ่ นคลำย
ลงโดยถือว่ำผู้ทรงบุริมสิทธิ เช่น ผู้รับจำนำก็เป็นผู้ยึดถือเพื่อตน ผู้รับจำนำที่ยึดถือทรัพย์ไว้จึงมีสิทธิ
ครอบครองในยุคดังกล่ำว ส่วนผู้เช่ำหรือผู้ยืม แม้จะยึดถือทรัพย์ แต่ก็ยังไม่มีสิทธิครอบครองใน
ยุคดังกล่ำว และต่อมำก็ได้มีกำรผ่อนคลำยเรอื่ งกำรยึดถือเพ่ือตนขยำยออกไปอีก โดยให้รวมถึงผู้ท่ีมี
สทิ ธิใช้ประโยชน์จำกทรัพย์ เชน่ ผ้เู ช่ำ ผู้ยืม เป็นผู้ยึดถือเพื่อตนท่ีมีสิทธิครอบครอง ซึ่งกฎหมำยเร่ือง
สิทธิครอบครองตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ของเรำใช้คำว่ำ ยึดถือเพ่ือตน ก็ใช้หลักนี้
ก็คือยึดถือเพ่ือตน ๒ ลักษณะคือ ๒.๑ ยึดถือเพื่อตนแบบเป็นเจ้ำของ ๒.๒ ยึดถือเพื่อตนเพื่อจะใช้
ประโยชน์จำกทรัพย์ตำมสัญญำ เช่น ผู้เช่ำ ยึดถือเพ่ือตนที่จะได้ใช้ทรัพย์ตำมสัญญำเช่ำ หำกยึดถือ
ทรัพย์แต่ไม่มีสิทธิใช้ประโยชน์ เช่น ผู้รับฝำกท่ีไม่มีสิทธิใช้ทรัพย์ แม้ จะได้ค่ำฝำกก็ไม่มีสิทธิ
ครอบครอง (คำอธิบำยกฎหมำยลักษณะทรัพย์ ศำสตรำจำรย์ ม.ร.ว. เสนีย์ ปรำโมช ๒๕๕๑
น. ๔๘๗) สำหรับคดีตำมฎีกำท่ี ๕๘๓๘/๒๕๔๘ ที่นำมำแต่งเป็นคำถำม ผู้แต่งเห็นว่ำ เมื่อมีกำร
พิพำทเร่ืองกำรซ่อมกันจนไม่มีกำรนำรถกลับคืนถึงปีเศษ แสดงว่ำนำยโทผู้ซ่อมรถใช้สิทธิยึดหน่วง
ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ ๒๔๑ จึงถือว่ำนำยโทมีสิทธิครอบครอง เมื่อถอด
เครอ่ื งเสยี งไปจงึ ผิดฐำนยักยอกทรัพย์

ฎีกาท่ี ๕๘๓๘/๒๕๔๘ ฎ.๑๕๘๒ รถยนต์ที่ผู้เสียหายมอบให้จาเลยซ่อมได้อยู่กับจาเลยมา
นานถึง ๑ ปีเศษ ถือได้ว่าผู้เสียหายมอบหมายให้จาเลยยึดถือครอบครองทรัพย์น้ันไว้ การที่จาเลย
ถอดอะไหล่และเคร่ืองเสียงในรถยนต์ให้บุคคลอื่นหรือนาไปขาย จึงเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์
เป็นของตนและบคุ คลท่ีสามโดยทุจริต มคี วามผิดฐานยักยอกตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก

ข้อ ๘๕ คาถาม นายยอดเช่าซื้อรถยนต์คันที่ ๑ จากบริษัทหนึ่ง จากัด หลังจากชาระค่า
เช่าซ้ือ ๒ งวด นายยอดถูกไล่ออกจากงาน นายยอดไปเล่นการพนัน แต่เสียพนันหมดนายยอดจึงนา
รถยนต์คันท่ี ๑ ไปขายตีใช้หน้ีในบ่อนพนัน ต่อมานายยอดไปหลอกขอเช่าซ้ือรถยนต์คันที่ ๒ จาก
บริษัทสอง จากัด โดยไม่ต้องวางเงินดาวน์และตั้งใจว่าจะไม่ชาระค่าเช่าซื้อ เมื่อได้รถยนต์มาแล้ว
นายยอดก็นาไปขายอีก และนายยอดได้ไปหลอกขอเช่ารถยนต์คันท่ี ๓ จากบริษัทสาม จากัด ซึ่งให้
เชา่ รถยนต์ เม่อื ได้รถยนต์มาแลว้ นายยอดกน็ ารถไปขายอกี

ใหว้ ินิจฉัยว่า นายยอดมีความผิดฐานใดสาหรับรถยนตท์ ั้ง ๓ คัน
คาตอบ นายยอดเช่าซื้อรถยนต์คันที่ ๑ จากบริษัทหน่ึง จากัด หลังจากชาระค่าเช่าซ้ือ
๒ งวด นายยอดนารถยนต์คันที่ ๑ ไปขายตีใช้หนี้ในบ่อนพนัน เม่ือขณะทาสัญญาเช่าซ้ือนายยอด
มีเจตนาเช่าซ้ือรถยนต์คันท่ี ๑ มาใช้จริง มิได้มีการหลอกลวง แต่มาเบียดบังภายหลังจากได้รับ
มอบการครอบครองรถยนต์คันท่ี ๑ แล้ว ถือว่านายยอดมีเจตนาเบียดบังเอาทรัพย์ของผู้ให้
เช่าซ้ือท่ีอยู่ในครอบครองของนายยอดไปโดยทุจริต นายยอดมีความผิดฐานยักยอกตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ สาหรบั รถยนต์คันท่ี ๑ (ฎีกาที่ ๑๑๒๙๔/๒๕๕๓)

472

นายยอดไปหลอกขอเช่าซื้อรถยนต์คันท่ี ๒ จากบริษัทสอง จากัด โดยไม่ต้องวางเงินดาวน์
และตั้งใจว่าจะไม่ชาระค่าเช่าซ้ือ บริษัทสอง จากัด ยินยอมส่งมอบรถยนต์คันท่ี ๒ ให้แก่นายยอด
เนื่องจากถูกนายยอดหลอกลวงให้ทาสัญญาเช่าซ้ือ ซ่ึงการหลอกขอเช่าซื้อเป็นการหลอกเอา
กรรมสทิ ธิ์ เพราะวัตถุประสงค์ของการเช่าซ้ือก็เพื่อโอนกรรมสิทธิ์เมื่อชาระค่าเชา่ ซ้อื ครบถ้วนแล้ว
มใิ ช่เป็นการเอารถยนต์คันท่ี ๒ ไปโดยพลการโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดฐานลักทรพั ย์ หากแต่
เป็นการได้รถยนต์คันที่ ๒ ไปโดยการหลอกลวงบริษัทสอง จากัด โดยทุจริตว่าจะปฏิบัติตาม
สัญญาเช่าซื้อท่ีทาไว้กับบริษัทสอง จากัด การกระทาของนายยอดเป็นการกระทาความผิดฐาน
ฉ้อโกงตามมาตรา ๓๔๑ สาหรับรถยนต์คนั ท่ี ๒ (ฎีกาท่ี ๕๒๒๘/๒๕๕๔)

นายยอดหลอกขอเชา่ รถยนต์คันที่ ๓ จากบรษิ ัทสาม จากัด ซึ่งให้เชา่ รถยนต์ เป็นการหลอก
เอาการครอบครอง เพราะสัญญาเช่ามอบเฉพาะการครอบครอง ไม่ได้โอนกรรมสิทธ์ิ การท่ีนาย
ยอดได้รถยนต์มา จึงเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต นายยอดจึงมีความผิดฐานลักทรพั ย์
ตามมาตรา ๓๓๔ สาหรบั รถยนต์คันท่ี ๓
ข้อสังเกต ตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ ๓๔๑ กำรหลอกลวงที่เป็นควำมผิดฐำนฉ้อโกง ต้อง
เป็นกำรหลอกเอำกรรมสิทธ์ิเท่ำน้ัน แต่หลอกเอำกำรครอบครองเป็นลักทรัพย์โดยใช้อุบำย เพรำะ
กำรลักทรัพย์เป็นกำรเอำทรัพย์ไปโดยเจ้ำของไม่ยินยอม ควำมยินยอมเพรำะถูกขู่ หลอกลวง หรือ
สำคัญผดิ ถือว่ำไม่ยนิ ยอม

กำรขู่เอำทรัพย์ไป เจ้ำของส่งให้ จึงเป็นชิงทรัพย์ ได้ทรัพย์ที่ส่งให้โดยสำคัญผิดเป็น
ก่ึงยักยอกตำมมำตรำ ๓๕๒ วรรคสอง หลอกเอำทรัพย์ไปได้เป็นฉ้อโกง เมื่อกำรฉ้อโกงตำมมำตรำ
๓๔๑ เป็นกำรได้ทรัพย์ไปโดยกำรหลอกลวงเอำกรรมสิทธิ์ จงึ ไม่เป็นลักทรัพย์ เพรำะกฎหมำยบัญญัติ
โดยเฉพำะแยกออกไปจำกลักทรัพย์ จะเป็นลักทรัพย์อยู่อีกไม่ได้ แต่หลอกเอำกำรครอบครองไม่เป็น
ฉ้อโกง จึงยังคงเป็นลักทรัพย์อยู่ตำมเดิม เพรำะไม่ถือเป็นกำรได้ทรัพย์ไปโดยเจ้ำของทรัพย์ยินยอม
โดยหลอกให้เขำส่งมอบกำรครอบครองมำ แต่ไม่ถึงกับฉ้อโกงเพรำะไม่ใช่ได้ไปอย่ำงหลอกเอำ
กรรมสิทธิ์ ยังคงเป็นลักทรัพย์ท่ีเรียกว่ำลักทรัพย์โดยใช้อุบำย เหตุผลเหล่ำน้ีคงช่วยให้เข้ำใจกำร
ลักทรัพย์โดยใช้อุบำยและควำมแตกต่ำงระหว่ำงหลอกในลักทรั พย์และในฉ้อโกงได้บ้ำง
(ดูรำยละเอียดเพิ่มเติมในศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภัทิย์, รวมหมำยเหตุท้ำยคำพิพำกษำศำลฎีกำ
กฎหมำยอำญำ ของศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภัทิย์ รวบรวมโดย ดร. เกียรติขจร วัจนะสวัสด์ิ
ดร.ทวเี กยี รติ มีนะกนฐิ , พิมพ์คร้ังท่ี ๔, กรุงเทพฯ : หน้ำ ๒๓๕)

ฎีกาที่ ๑๑๒๙๔/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๑๕ หลังจากทาสัญญาเช่าซ้ือจาเลยชาระค่าเชา่ ซื้อ
ให้ผู้เสียหายเพียง ๒ งวดแล้วไม่ชาระค่าเช่าซื้ออีกเลย และจาเลยนารถที่เช่าซื้อไปตีใช้หนี้ให้แก่ผู้อ่ืน
โดยจาเลยทราบอยแู่ ลว้ ว่ารถทีเ่ ช่าซื้อยังเป็นกรรมสทิ ธิ์ของผเู้ สียหาย เม่ือ จ. ไปติดตามยึดรถท่เี ช่าซื้อ
แต่จาเลยบ่ายเบี่ยงไม่ให้ความร่วมมือ พฤติการณ์ของจาเลยดังกล่าวบ่งช้ีให้เห็นว่าจาเลยมีเจตนา
เบียดบังเอาทรัพย์ของผู้เสียหายท่ีอยู่ในครอบครองของจาเลยไปโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐาน
ยักยอก

473

ฎีกาที่ ๕๒๒๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๗ น.๙๙ ผู้เสียหายยินยอมส่งมอบรถจักรยานยนต์ของกลาง
ใหแ้ ก่จาเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ เนื่องจากถูกจาเลยที่ ๑ และท่ี ๒ หลอกลวงใหท้ าสัญญาเช่าซ้อื และสัญญา
ค้าประกัน มิใช่เป็นการเอารถจักรยานยนต์ของกลางไปโดยพลการโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดฐาน
ลกั ทรัพย์ หากแต่เป็นการได้รถจักรยานยนต์ของกลางไปโดยการหลอกลวงผู้เสียหายโดยทุจริตว่าจะ
ปฏิบัติตามสัญญาเชา่ ซื้อรถจักรยานยนต์ที่ทาไว้กับผู้เสียหาย การกระทาของจาเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๓ เป็น
ตัวการร่วมกันกระทาความผิดฐานฉ้อโกง ส่วนจาเลยที่ ๔ ไม่ได้ประกอบกิจการซื้อขาย
รถจักรยานยนต์ แต่รับซือ้ รถจักรยานยนตข์ องกลางในราคาต่ากว่าราคาปกติมาก ทั้งเป็นการซ้ือขาย
กันในลักษณะเร่งรีบและรวบรัด ไม่มีการตรวจสอบทางทะเบียนเพื่อทราบถึงบุคคลผู้เป็นเจ้าของ
ท่ีแท้จริงก่อน เป็นการผิดปกติวิสัยการซ้ือขายโดยสุจริตท่ัวไป ฟังได้ว่าจาเลยท่ี ๔ รับซื้อ
รถจักรยานยนต์ของกลางไว้โดยร้วู า่ เปน็ ทรัพยอ์ นั ไดม้ าจากการกระทาความผดิ ฐานฉ้อโกง

การท่ีจาเลยที่ ๔ จ่ายเงินค่าซ้ือรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่จาเลยที่ ๓ จาเลยที่ ๓ มอบ
กุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางให้จาเลยท่ี ๔ และจาเลยท่ี ๔ ข้ึนนั่งคร่อมรถจะขับออกไป แต่ถูก
เจ้าพนักงานตารวจจับกุมเสียก่อน ถือได้ว่าจาเลยที่ ๔ ได้รับทรัพย์ท่ีซ้ือจากจาเลยท่ี ๓ ไว้แล้ว เป็น
ความผดิ ฐานรับของโจรสาเร็จแล้ว
ข้อสังเกต แม้สิทธินำคดีอำญำมำฟ้องฐำนฉ้อโกงจะระงับลงแล้ว แต่ทรัพย์ท่ีได้มำจำกกำรฉ้อโกง
ยังเปน็ ของโจรอยู่ ผูร้ ับของโจรจงึ ยงั มีควำมผดิ นักศกึ ษำบำงทำ่ นอำ่ นแล้วอำจรสู้ ึกสงสำรผ้รู ับของโจร
ว่ำทำไมไม่ได้รับประโยชน์จำกสิทธินำคดีอำญำมำฟ้องระงับ ขอให้สังเกตว่ำควำมผิดฐำนฉ้อโกงตำม
มำตรำ ๓๔๑ โทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี แต่ควำมผิดฐำนรับของโจรตำมมำตรำ ๓๕๗ วรรคแรก โทษ
จำคุกไม่เกิน ๕ ปี หำกพิจำรณำจำกอัตรำโทษแล้ว ควำมผิดฐำนรับของโจรถือว่ำร้ำยแรงกว่ำฉ้อโกง

ขอ้ ๘๖ คาถาม นางเจนทางานเป็นเลขานกุ ารสว่ นตวั ของนายแจค๊ มีหนา้ ที่ทางานตามทีน่ าย
แจ๊คมอบหมาย นายแจ๊คจะมอบแบบพิมพ์เช็คไว้ให้นางเจนเก็บรักษาไว้ท่ีโต๊ะทางานของนางเจนโดย
ใส่กุญแจไว้ เม่ือนายแจ๊คจะสั่งจ่ายเงินตามเช็คเพื่อเบิกเงินจากธนาคารก็จะสั่งให้นางเจนเขียน
ข้อความในเช็คนามามอบให้นายแจ๊ค แล้วนายแจ๊คจะลงช่ือเป็นผู้ส่ังจ่าย อยู่มาวันหน่ึงนางเจน
ต้องการใช้เงินจึงเอาแบบพิมพ์เช็คท่ีเก็บไว้ที่โต๊ะทางานมา ๑ ฉบับ และเขียนวันที่และข้อความ
สั่งจ่ายเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท ให้แก่ผู้ถือ พร้อมกับลงลายมือช่ือนายแจ๊คในเช็คดังกล่าว แล้วนางเจน
นาเชค็ มอบให้นายจกลูกจา้ งของนายแจค๊ ไปเบิกเงินจากธนาคาร โดยบอกวา่ นายแจค๊ ใช้ให้ไปเบกิ เงิน
นายจกนาเช็คดังกล่าวไปเบิกเงินจากธนาคาร พนักงานธนาคารตรวจดูลายมือชื่อแล้วเหมือนกับ
ลายมือช่ือของนายแจ๊คท่ีให้ไว้กับธนาคาร จึงมอบเงินให้นายจกไป นายจกนาเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท
ไปให้นางเจน เมื่อนางเจนได้รับเงินดังกล่าวแล้วจึงบอกนายจกว่าเช็คดังกล่าวไม่ใช่ลายมือช่ือของ
นายแจ๊ค เมอ่ื นายจกทราบเร่ืองกลวั ความผดิ จงึ หลบหนไี ป

ให้วินจิ ฉัยวา่ นายจกและนางเจนมคี วามรบั ผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใด
คาตอบ แม้เช็คที่นายจกนาไปเบิกเงินจากธนาคารเป็นลายมือช่ือปลอม ซึ่งการกระทาของ

474

นายจกครบองค์ประกอบภายนอกของการกระทาความผิดฐานใช้เช็คปลอมและฉ้อโกง แต่ขณะที่
ไปเบิกเงินนายจกไม่รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าว เม่ือผู้กระทามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของ
ความผิด จะถือว่าผู้กระทาประสงคต์ ่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทานั้นมิได้ นายจกไม่มี
เจตนากระทาความผิดฐานใช้เช็คปลอมและไม่มีเจตนากระทาความผิดฐานฉ้อโกงแต่อย่างใด
นายจกจึงไม่มีความรับผิดทางอาญา แม้หลังจากมอบเงินให้นางเจน นางเจนจะบอกความจริง
แก่นายจก แต่ความรับผิดทางอาญาในส่วนขององค์ประกอบภายในที่ว่าต้องกระทาโดยเจตนา
ต้องพิจารณาขณะกระทามิใช่หลังการกระทา การกระทาของนายจกดังกล่าวจึงเป็นเพียง
เครอ่ื งมอื ในการกระทาผดิ ของนางเจน

นางเจนเป็นเลขานุการส่วนตัวของนายแจ๊ค แม้นายแจ๊คจะมอบแบบพิมพ์เช็คไว้ให้นางเจน
เก็บรักษาไว้ที่โต๊ะทางานของนางเจน นางเจนมีเพียงการยึดถือแบบพิมพ์เช็คไว้แทนนายแจ๊ค
โดยนายแจ๊คยังครอบครองแบบพิมพ์เช็ค มิไดม้ อบการครอบครองให้แกน่ างเจน ดงั นนั้ การทีน่ าง
เจนเอาแบบพิมพ์เช็คที่เก็บไว้ที่โต๊ะทางานของตนไป จึงเป็นการเอาทรัพย์ของนายแจ๊คไปโดย
เจตนาทุจริต อันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔ (ฎีกาที่
๑๐๙๙/๒๕๕๔) แต่แบบพิมพ์เช็คท่ียังไม่ได้กรอกรายการ เท่ากับยังมิได้ทาให้ปรากฏความหมาย
ด้วยตัวอักษร ตัวเลข อันเป็นหลักฐานแห่งความหมายน้ัน จึงไม่เป็นเอกสารตามมาตรา ๑ (๗)
แม้นางเจนเอาแบบพมิ พ์เช็คของนายแจ๊คไป ไมเ่ ป็นการเอาไปเสียซ่ึงเอกสารของผอู้ ่ืน ในประการที่
น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อ่ืนหรือประชาชน นางเจนจึงไม่มีความผิดตามมาตรา ๑๘๘ (ฎีกาที่
๕๖๗๔/๒๕๔๔)

การท่ีนางเจนเขียนวันที่และข้อความสั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้ถือ พร้อมกับลงลายมือชื่อนายแจ๊ค
ในเช็คดังกล่าว เป็นเจตนาทาเอกสารปลอมขึ้นท้ังฉบับ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่
ผู้อ่ืนหรือประชาชน และได้กระทาเพ่ือให้ผู้หน่ึงผู้ใดหลงเช่ือว่าเป็นเอกสารท่ีแท้จริง นางเจน
มีความผิดฐานปลอมเอกสาร และเอกสารท่ีปลอมคือเช็คซ่ึงเป็นตั๋วเงิน จึงเป็นความผิดฐาน
ปลอมตว๋ั เงินตามมาตรา ๒๖๖ (๔)

การที่นางเจนมอบเช็คปลอมให้นายจกไปเบิกเงินจากธนาคาร โดยนายจกไม่มีเจตนากระทา
ผิดดังท่ีวินิจฉัยมาแล้ว ต้องถือว่านางเจนเป็นผู้กระทาความผิดเอง ซึ่งเป็นการกระทาโดยทุจริต
หลอกลวงพนักงานธนาคารด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าลายมือชอ่ื ในเช็คเปน็ ลายมือชื่อ
ผ้สู ั่งจา่ ยทีแ่ ท้จรงิ และโดยการหลอกลวงดงั ว่านั้นได้ไปซ่ึงทรัพย์สินจากธนาคาร อันเป็นความผิด
ฐานฉ้อโกงธนาคารตามมาตรา ๓๔๑ เพราะเงินท่ีนางเจนได้ไปเป็นเงินของธนาคาร มิใช่เงินของ
นายแจ๊คตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๗๒ นางเจนจึงไม่มีความผิดฐานลักเงิน
ของของนายแจ๊ค แต่เปน็ ความผิดฐานฉอ้ โกงธนาคาร (ฎีกาท่ี ๑๔๗๘๓/๒๕๕๕) นอกจากนี้ยังเป็น
การใชต้ ๋ัวเงนิ ปลอมตามมาตรา ๒๖๕ ประกอบมาตรา ๒๖๖ (๔) อีกบทหนง่ึ

ฎีกาท่ี ๑๐๙๙/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๙ การท่ีจาเลยกรอกข้อความและลงลายมือช่ือของ
ผู้เสียหายปลอมในใบรับเงินชั่วคราวโดยผู้เสียหายไม่ได้ยินยอม จาเลยย่อมทราบดีว่าเป็นการกระทา

475

ท่ีผิดกฎหมาย ท้ังจาเลยยังนาเงินไปใช้ส่วนตัว จึงมิใช่การเข้าใจโดยสุจริตเพื่อจะนาเงินเข้าบริษัท อ.
จาเลยมคี วามผดิ ฐานปลอมเอกสารสทิ ธิและใช้เอกสารสทิ ธปิ ลอม

จาเลยทางานเป็นเลขานุการส่วนตัวของผู้เสียหายและมีหน้าที่ทางานเพียงตามท่ีผู้เสียหาย
มอบหมาย ตอ้ งถือว่าใบรบั เงินช่วั คราวยงั อย่ใู นความครอบครองของผู้เสียหายและผ้เู สียหายมิไดม้ อบ
การครอบครองให้แก่จาเลย ดังน้ัน การที่จาเลยนาใบรับเงินช่ัวคราวไปใช้ประกอบการขอรับ
เบ้ียประกันจาก ด. โดยผู้เสยี หายมิได้มอบหมายหรือรู้เห็น ย่อมถือไดว้ ่าเป็นการเอาไปจากผู้เสียหาย
โดยทุจริต จาเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ แม้โจทก์มิได้นาสืบให้เห็นว่าใบรับเงินชั่วคราวเล่มท่ี
จาเลยไม่นาส่งให้แก่ผู้เสียหายเป็นเล่มที่เท่าใดและเลขท่ีเท่าใด ย่อมไม่ใช่ข้อสาระสาคัญ เพราะแม้
หากใบรับเงินชั่วคราวอยใู่ นเลม่ ทจี่ าเลยส่งมอบให้แกผ่ ู้เสยี หาย จาเลยก็ไม่พน้ ผดิ จาเลยจึงมีความผิด
ฐานลกั ทรพั ย์

ฎีกาท่ี ๕๖๗๔/๒๕๔๔ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๑๘ แบบพิมพ์เช็คท่ียังไม่ได้กรอกรายการ เท่ากับยัง
มิได้ทาให้ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษร ตัวเลข อันเป็นหลักฐานแห่งความหมายน้ัน จึงไม่เป็น
เอกสารตาม ป.อ. มาตรา ๑ (๗) แม้จาเลยเอาแบบพิมพ์เช็คของผู้เสียหายไป ก็ไม่มีความผิดตาม
มาตรา ๑๘๘
ข้อสังเกต ในอดีตเช็คของบำงธนำคำร จะมีเพียงข้อควำมระบุว่ำเป็นเช็คธนำคำรใด โดยไม่ระบุว่ำ
เจำ้ ของบญั ชีทจี่ ะลงชอื่ สง่ั จ่ำยเงนิ ตำมเชค็ เป็นใคร นี่อำจจะเปน็ สำเหตุหนงึ่ ทีท่ ำให้ศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำ
แบบพิมพ์เช็คไม่เป็นเอกสำร แต่ในปัจจุบันแบบพิมพ์เช็คจะระบุเลขที่บัญชีและเจ้ำของบัญชีตำมเช็ค
แล้ว หำกมีคดีข้ึนสู่ศำลฎีกำอีก คงต้องรอดูว่ำศำลฎีกำจะวินิจฉัยว่ำเป็นเอกสำรหรือไม่ หรือหำก
เทียบกับแบบใบอนุญำตขับรถ ซ่ึงศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำเป็นเอกสำรรำชกำรซ่ึงเจ้ำพนักงำนได้จัดทำข้ึน
ก็เพรำะปรำกฏข้อควำมบำงส่วนใหเ้ หน็ เป็นประจกั ษ์วำ่ เป็นแบบใบอนุญำตของทำงรำชกำรทแ่ี ท้จริง
แมย้ งั ไม่กรอกขอ้ ควำมอ่นื ลงไป

ฎีกาที่ ๑๔๗๘๓/๒๕๕๕ ฎ.๒๔๕๑ จาเลยมอบเช็คปลอมให้พนักงานของผู้เสียหาย นาไป
เบิกเงินจากธนาคารตามเช็คด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า ลายมือช่ือผู้ส่ังจ่ายเป็นลายมือชื่อ
แท้จริงของ ธ. กรรมการผู้มีอานาจกระทาการแทนโจทก์ร่วม เงินที่จาเลยได้ไปเป็นเงินของธนาคาร
มิใช่เงินของโจทก์ร่วมตาม ป.พ.พ. มาตรา ๖๗๒ จาเลยจึงไม่มีความผิดฐานลักเงินของโจทก์ร่วม แต่
เปน็ ความผิดฐานฉ้อโกงธนาคาร

ข้อ ๘๗ คาถาม นายดาขายปุ๋ยให้แก่นายแดงราคา ๒๐๐,๐๐๐ บาท โดยนายดาออกใบส่ัง
จ่ายสินค้าเพ่ือใช้มารับมอบสินค้าจากคลังสินค้าของนายดา นายดามอบใบส่ังจ่ายสินค้าให้แก่นาย
แสดผู้รับจ้างขนส่งปุ๋ยให้ไปส่งแก่นายแดง นายแสดจ้างนายเทาเป็นผู้ขนส่งไปส่งสินค้าอีกทอดหน่ึง
โดยมอบใบสั่งจ่ายสินค้าให้แก่นายเทาไปรับปุ๋ย นายน้าเงินต้องการปุ๋ยดังกล่าวในราคาถูกจึงไปซ้ือ
ใบส่ังจ่ายสนิ ค้าจากนายเทาราคา ๕๐,๐๐๐ บาท เพ่ือจะเอาปุ๋ยไปเป็นของตน เมื่อจ่ายเงินและได้รับ
ใบส่ังจ่ายสินค้ามาแล้ว นายน้าเงินไปรับปุ๋ยจากคลังสินค้าของนายดาเวลา ๒๐ นาฬิกา โดยแจ้ง

476

พนักงานของนายดาว่า นายน้าเงนิ เปน็ ผ้ขู นส่งจะนาปุ๋ยไปมอบให้แกน่ ายแดง
ใหว้ ินิจฉยั ว่า นายเทาและนายน้าเงนิ มคี วามผิดเก่ียวกบั ทรพั ยฐ์ านใด
คาตอบ ใบส่ังจ่ายสินคา้ เป็นเพียงหลักฐานเพื่อนาไปเบิกปุ๋ยจากคลังสินค้าของนายดา การที่

นายน้าเงินซื้อใบส่ังจ่ายสินค้าจากนายเทาซึ่งเป็นผู้รับจ้างขนส่งช่วงจากนายแสดโดยต้องการนาใบ
จ่ายสนิ ค้าไปรบั ปุ๋ยจากคลังสินค้าของนายดา มใิ ช่เป็นการรบั ซื้อเฉพาะใบส่ังจ่ายสินค้า ทง้ั นายเทา
รู้ว่านายน้าเงินจะนาใบส่ังจ่ายสินค้าไปรับปุ๋ยจากคลังสินค้าของนายดาไปเป็นประโยชน์ของตน
จงึ มใิ ช่การรบั ของโจรใบสงั่ จ่ายสินคา้

การทน่ี ายนา้ เงนิ นาใบสั่งจ่ายสนิ คา้ ไปรับปุ๋ยจากคลังสินคา้ ของนายดา โดยแจ้งวา่ เป็นผูข้ นส่ง
จะนาปุ๋ยไปมอบใหน้ ายแดง แม้จะได้รับมอบปุ๋ยมา แต่ก็เป็นการได้รับมอบปุ๋ยมาโดยการหลอกลวง
พนักงานของนายดา เมื่อนายนา้ เงินหลอกว่าจะนาปุ๋ยไปมอบให้นายแดง เป็นการหลอกเอาซ่ึงการ
ยึดถือ ไม่ใช่การหลอกลวงเอากรรมสิทธิ์ เพราะผู้ขนส่งเพียงแต่เป็นผู้ยึดถือแทน ไม่ได้ยึดถือปุ๋ย
เพื่อตน การหลอกลวงจนได้ปุ๋ยไปดังกล่าว จึงเป็นการเอาปุ๋ยของผู้อื่นไปโดยเจตนาและโดยทุจริต
การกระทาของนายน้าเงนิ จงึ เป็นความผดิ ฐานลักทรพั ย์

เมื่อเป็นการลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยนายเทามีการกระทาร่วมกันและมีเจตนา
ร่วมกันกระทาความผิดกับนายน้าเงินด้วย นายน้าเงินและนายเทาจึงมีความผิดฐานร่วมกัน
ลักทรัพยใ์ นเวลากลางคนื (ฎีกาที่ ๔๔๕๖/๒๕๕๑ ฎ.๑๗๙๕ )
ข้อสังเกต กำรเอำไปตำมมำตรำ ๓๓๔ คือ แย่งกำรครอบครองและพำทรัพย์เคลื่อนที่ไป เหตุนี้
ทรัพย์ที่จะถูกลักต้องมีผู้ครอบครองอยู่ประกำรหนึ่งและผู้กระทำเข้ำครอบครองทรัพย์น้ัน อีก
ประกำรหนึ่ง กำรเข้ำครอบครองน้ันเป็นกำรแย่งกำรครอบครอง ซ่ึงผู้ครอบครองทรัพย์อยู่เดิมมิได้
อนุญำตประกำรหนึ่ง แล้วได้พำทรพั ย์เคลือ่ นท่ีไปอีกประกำรหน่ึง พร้อมทั้ง ๔ ประกำรน้ี จึงจะถอื ได้
ว่ำเป็นกำรเอำทรัพย์ไปสำเร็จบริบูรณ์ (คำอธิบำยประมวลกฎหมำยอำญำ ภำค ๒ ตอน ๒ และภำค
๓ ศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภัทิย์ ๒๕๕๓ หัวข้อ 1194) กำรส่งมอบเน่ืองจำกถูกหลอกลวงจะถือว่ำ
เปน็ กำรแย่งกำรครอบครองหรือไม่ ซ่ึงจะเป็นควำมผดิ ฐำนลกั ทรัพยห์ รอื ฉ้อโกงขอ้ ยุติควรเป็นอยำ่ งไร

กรณีกำรหลอกโดยอุบำยซ่ึงได้ไปเพียงกำรยึดถือทรัพย์ เช่น ฎีกำที่ ๕๕๔/๒๕๐๙ เรื่อง
หลอกลวงว่ำผู้ที่ฝำกปืนไว้ช่ัวครู่ให้มำรับปืนไปนั้น ไม่มีทำงท่ีจะเป็นฉ้อโกงได้ เพรำะไม่มีกำรส่งมอบ
แม้แต่กำรครอบครอง จะเป็นกำรส่งมอบทรัพย์โดยสำคัญผดิ มำตรำ ๓๕๒ วรรค ๒ ก่ึงยักยอกก็ไม่ได้
เพรำะกำรส่งมอบหมำยควำมถึงส่งมอบกำรครอบครอง (คำอธิบำยประมวลกฎหมำยอำญำ ภำค ๒
ตอน ๒ และภำค ๓ ศำสตรำจำรยจ์ ิตติ ตงิ ศภัทิย์ ๒๕๕๓ หวั ขอ้ 1209 ก.)

ตัวอย่ำงคำถำมข้อนี้ก็เช่นเดียวกัน นำยน้ำเงินได้รับมอบเพียงกำรยึดถือ ไม่ได้รับมอบกำร
ครอบครอง เนื่องจำกนำยน้ำเงินหลอกว่ำตนเปน็ เพียงผู้รับจ้ำงขนส่งปุ๋ย ผู้ส่งมอบได้ส่งมอบเพียงกำร
ยึดถือให้แก่นำยน้ำเงิน นำยน้ำเงินจึงเป็นเพียงผู้ยึดถือแทน ไม่ได้ยึดถือปุ๋ยเพ่ือตน นำยน้ำเงินไม่ได้
ครอบครองปุ๋ยแล้วเอำไปจงึ เป็นควำมผิดฐำนลกั ทรพั ย์

หำกนำยน้ำเงินหลอกลวงว่ำตนคือนำยแดงมำรับปุ๋ยเอง พนักงำนคลังสินค้ำของนำยดำ

477

หลงเช่ือและส่งมอบปุ๋ยไป เป็นกำรหลอกเอำกรรมสิทธิ์จะเป็นควำมผิดฐำนฉ้อโกงเช่นเดียวกับฎีกำที่
๕๓๑๙/๒๕๔๗ ท่ีวินิจฉัยว่ำ ผู้เสียหำยนำสร้อยคอไปจำนำ เจ้ำของร้ำนทองผู้รับจำนำได้ออก
หลักฐำนเป็นหนังสือให้ผู้เสียหำยว่ำเป็นกำร “ขำยฝำก” โดยมีกำหนดไถ่คืนภำยใน ๑ เดือน
กรรมสิทธิ์และกำรครอบครองสร้อยคอจึงตกอยู่แก่เจ้ำของร้ำนทองผู้รับจำนำจนกว่ำผู้เสียหำยจะ
ไถ่คืน กำรท่ีจำเลยนำหนังสือดังกล่ำวไปขอไถ่สร้อยคอจำกผู้รับจำนำ โดยไม่แสดงออกให้แจ้งชัดว่ำ
ตัว๋ ไถ่ไม่ใช่ของตน เปน็ เหตุใหผ้ ู้รบั จำนำหลงเชื่อวำ่ จำเลยเปน็ เจ้ำของท่ีแท้จริง จงึ ไดส้ ่งมอบกรรมสิทธิ์
และกำรครอบครองสร้อยคอให้จำเลยไป จึงเป็นควำมผิดฐำนฉ้อโกงตำมประมวลกฎหมำยอำญำ
มำตรำ ๓๔๑

นักศึกษำบำงท่ำนอำจถำมว่ำทำไมนำยเทำเป็นตัวกำรร่วมกันกับนำยน้ำเงิน เพรำะนำยเทำ
ไม่ได้ไปเบิกปุ๋ยกับนำยน้ำเงนิ คงตอบเพียงส้ัน ๆ ว่ำ มีกำรกระทำรว่ มกันและมีเจตนำร่วมกันกระทำ
ควำมผิดก็พอแล้ว หำกมีกำรนำฎีกำนี้ไปออกข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพำกษำ นักศึกษำต้องตอบตำมฎีกำ
เพรำะเป็นกำรสอบกฎหมำยภำคปฏิบัติ ต้องตอบตำมผลที่ออกมำและบังคับได้จริง แต่ถ้ำเป็นกำร
สอบในระดับปริญญำตรีหรือปริญญำโทซ่ึงเป็นกำรทดสอบหลักกฎหมำย น่ำคิดว่ำนำยเทำจะเป็น
เพยี งผสู้ นบั สนุนหรือไม่

ฎีกาท่ี ๔๔๕๖/๒๕๕๑ ฎ.๑๗๙๕ ใบสัง่ จา่ ยสนิ ค้าที่โจทกร์ ่วมมอบให้แก่ ส. ผูร้ ับจ้างขนส่งปุ๋ย
เป็นเพียงหลกั ฐานเพ่อื นาไปเบิกปยุ๋ จากคลงั เกบ็ สินค้าของโจทก์รว่ ม การทีจ่ าเลยที่ ๑ รับซื้อใบส่ังจา่ ย
สินค้าจาก ท. ซึ่งเป็นผู้รับจ้างขนส่งช่วงจาก ส. โดยคิดตามมูลค่าปุ๋ยที่ระบุในใบส่ังจ่ายสินค้าโดย
ตอ้ งการนาใบจ่ายสนิ ค้าไปรับปยุ๋ จากคลังเก็บสนิ ค้าของโจทก์ร่วม มิใช่เป็นการรับซ้อื เฉพาะใบสั่งจ่าย
สินค้า ท้ัง ท. รู้ว่าจาเลยท่ี ๑ จะนาใบสั่งจ่ายสินค้าไปรับปุ๋ยจากคลังเก็บสินค้าของโจทก์ร่วมไปเป็น
ประโยชน์ของตน ท. และจาเลยที่ ๑ จึงเป็นตัวการร่วมกันลักปุ๋ยของโจทก์ร่วมไปโดยใช้ใบส่ังจ่าย
สินค้าเป็นหลักฐานในการเบิกจ่ายสินค้า การกระทาของจาเลยท่ี ๑ จึงเป็นความผิดฐานลักปุ๋ยของ
โจทกร์ ่วมมใิ ชเ่ ปน็ เพยี งรับของโจรใบสง่ั จา่ ยสินคา้

ข้อ ๘๘ คาถาม นางสาวหนึ่งเดินเที่ยวในห้างสรรพสินค้า เห็นตุ๊กตาหมีแพนด้าราคา
๒,๐๐๐ บาทสวยถูกใจ แต่นางสาวหน่ึงมีเงินไม่พอ นางสาวหน่ึงเหลือบไปเห็นตุ๊กตาสุนัขราคา ๕๐๐
บาท นางสาวหน่ึงจึงแอบเปล่ียนรหัสแท่ง (BAR CODE) ของตุ๊กตาสุนัข มาใส่ตุ๊กตาหมีแพนด้า แล้ว
นางสาวหน่ึงนาตุ๊กตาหมแี พนด้าท่ีเปล่ียนรหัสแท่งแล้วไปชาระเงิน พนักงานเก็บเงินนาเคร่ืองมืออ่าน
รหัสแท่ง เครือ่ งอ่านได้อา่ นประเภทสินค้าเป็นตุ๊กตาสุนัขราคา ๕๐๐ บาท แต่ช่วงนั้นมีลูกค้ามาชาระ
เงินจานวนมาก พนักงานเก็บเงินไม่ทันสังเกตประเภทสินค้าจึงเก็บเงินจากนางสาวหน่ึง ๕๐๐ บาท
แลว้ นาตุ๊กตาหมแี พนดา้ ใสถ่ งุ มอบใหน้ างสาวหนึ่งไป

ใหว้ ินิจฉัยว่า นางสาวหนึ่งมคี วามรบั ผดิ ทางอาญาฐานใด
คาตอบ การกระทาทจี่ ะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อ่ืนไปโดย
พลการโดยทุจริต มิใช่ไดท้ รพั ย์ไปเพราะผู้อนื่ ยินยอมมอบให้เน่ืองจากถูกหลอกลวง การท่ีนางสาว

478

หนึ่งแอบเปล่ยี นรหัสแท่ง (BAR CODE) ของตุ๊กตาสุนัขราคา ๕๐๐ บาท มาใส่ตุ๊กตาหมีแพนด้าราคา
๒,๐๐๐ บาท แลว้ นาไปชาระเงิน ๕๐๐ บาท จงึ มิใชก่ ารเอาตกุ๊ ตาหมีแพนดา้ ราคา ๒,๐๐๐ บาทไป
โดยพลการโดยทุจรติ อันจะเปน็ ความผิดฐานลกั ทรพั ย์ หากแตเ่ ป็นการหลอกลวงพนกั งานเก็บเงิน
โดยทุจริต โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าราคาตุ๊กตาหมีแพนด้า ๕๐๐ บาท พนักงานเก็บเงิน
หลงเชื่อยนิ ยอมมอบตุ๊กตาหมีแพนด้าให้นางสาวหนงึ่ ไปโดยรับเงนิ ไวเ้ พยี ง ๕๐๐ บาท การกระทา
ของนางสาวหนึ่งจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงบทหน่ึง (๔ คะแนน) (เทียบฎีกาที่ ๖๘๙๒/๒๕๔๒
(ประชุมใหญ)่ )

นอกจากนี้รหัสแท่ง (BAR CODE) ท่ีติดไว้ที่ตุ๊กตาสุนัขและตุ๊กตาหมีแพนด้า เป็นวัตถุที่
ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้โดยบันทึกข้อมูลหรือรหัสไว้ด้วยการประยุกต์ใช้วิธีการทาง
อเิ ล็กตรอนไฟฟ้า คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้าตามมาตรา ๑ (๑๔) ก การท่ีนางสาวหนึ่งแอบเปลี่ยนรหัสแท่ง
(BAR CODE) ของตุ๊กตาสุนัข มาใส่ต๊กุ ตาหมีแพนด้ามไิ ด้มีการทาปลอมข้ึนทั้งฉบับ หรือเติมตัดทอน
ขอ้ ความ หรอื แก้ไขด้วยประการใด ๆ ในบัตรอเิ ล็กทรอนกิ ส์ตามมาตรา ๒๖๙/๑ เพราะไมไ่ ด้มีการ
แก้ไขรหัสแท่ง (BAR CODE) การกระทาของนางสาวหน่ึงจึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมบัตร
อิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรา ๒๖๙/๑ (๓ คะแนน) แต่นางสาวหน่ึงนาตุ๊กตาหมีแพนด้าท่ีเปล่ียน
รหัสแท่ง (BAR CODE) แล้วไปชาระเงิน พนักงานเก็บเงินนาเคร่ืองมืออ่านรหัสแท่ง แล้วเก็บเงินจาก
นางสาวหน่ึง ๕๐๐ บาท โดยนาตุ๊กตาหมีแพนด้าใส่ถุงมอบให้นางสาวหน่ึงไป เป็นกรณีท่ีนางสาว
หน่ึงใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อ่ืนโดยมิชอบ ในประการท่ีน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อ่ืน
หรือประชาชนโดยเจตนาตามมาตรา ๒๖๙/๕ อีกบทหน่ึง เพราะการเปล่ียนรหัสแท่งโดยพลการ
เพ่ือจะได้ชาระเงินน้อยกว่าความเป็นจริง เป็นการใช้โดยมิชอบและก่อให้เกิดความเสียหายแก่
ห้างสรรพสินค้าแล้ว การกระทาของนางสาวหน่ึงจึงเป็นความผิดฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของ
ผูอ้ นื่ โดยมชิ อบตามมาตรา ๒๖๙/๕ (๓ คะแนน)
ข้อสังเกต ข้อนี้มีนักศึกษำหลำยท่ำนตอบผิดว่ำเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ตำมมำตรำ ๒๖๙/๗ ซึ่งต้อง
ระวำงโทษหนักกว่ำตำมมำตรำ ๒๖๙/๕ ก่ึงหน่ึง บัตรอิเล็กทรอนิกส์ตำมมำตรำ ๒๖๙/๗ ต้องเป็น
บัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกเพ่ือ ๑. ใช้ประโยชน์ในกำรชำระค่ำสินค้ำ ๒. แทนกำรชำระด้วยเงินสด
รหัสแท่งตำมคำถำมข้อน้ี แม้จะเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ท่ีออกเพื่อใช้ประโยชน์ในกำรชำระค่ำสินค้ำ
ตำมข้อ ๑ แต่ไมไ่ ด้มีไว้ใช้แทนกำรชำระด้วยเงินสดตำมข้อ ๒ จงึ ไมเ่ ป็นบัตรอิเล็กทรอนิกสต์ ำมมำตรำ
๒๖๙/๗

ฎกี าท่ี ๖๘๙๒/๒๕๔๒ (ประชุมใหญ่) ฎ.ส.ล.๑๑ น.๑๐๘ การกระทาที่จะเป็นความผดิ ฐาน
ลักทรัพย์ต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยพลการโดยทุจริต มิใช่ได้ทรัพย์ไปเพราะผู้อ่ืนยินยอม
มอบให้เนื่องจากถูกหลอกลวง การที่จาเลยเปลี่ยนเอาป้ายราคาโคมไฟตั้งโต๊ะของกลางซ่ึงติดราคา
๑,๗๘๕ บาทออก แล้วนาป้ายราคาโคมไฟอ่ืนซ่ึงติดราคา ๑๓๔ บาท มาติดแทน แล้วมอบให้พวก
ของจาเลยนาไปชาระราคาแก่พนักงานเก็บเงินของผู้เสียหาย จึงมิใช่เอาโคมไฟต้ังโต๊ะไปโดยพลการ
โดยทจุ ริต อันจะเปน็ ความผดิ ฐานลักทรพั ย์ หากแตเ่ ป็นการหลอกลวงพนกั งานเกบ็ เงนิ ของผูเ้ สียหาย

479

โดยทุจริต โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า ราคาโคมไฟต้ังโต๊ะมีราคา ๑๓๔ บาท พนักงานเก็บเงิน
ของผู้เสียหายหลงเชื่อยินยอมมอบโคมไฟต้ังโต๊ะของกลางให้จาเลยโดยรับเงินจากจาเลยไว้เพียง
๑๓๔ บาท การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผดิ ฐานฉอ้ โกง
ข้อสังเกต ควำมผิดฐำนลักทรัพย์ (โดยใช้กลอุบำย) กับฐำนฉ้อโกง เป็นควำมผิดที่ใกล้เคียงกันมำก
ในทำงตำรำศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภัทิย์ และศำสตรำจำรย์ ดร. เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์ อธิบำยว่ำ
กำรหลอกเอำกรรมสิทธิ์ เป็นฉ้อโกง กำรหลอกเอำกำรครอบครองเป็นลักทรัพย์ เช่น หลอกว่ำขอยืม
ม้ำเพอ่ื ทดลองข่แี ล้วเอำไป เปน็ กำรหลอกเอำกำรครอบครอง จึงผิดลกั ทรัพย์ แต่ถ้ำหลอกว่ำขอซื้อม้ำ
โดยไม่ไดต้ ้ังใจจะซ้ือ เมือ่ เขำส่งมำ้ ให้ก็ทำทีเปน็ หยบิ เงิน แตพ่ ำม้ำหนีไป โดยไมจ่ ่ำยเงนิ เปน็ กำรหลอก
เอำกรรมสทิ ธ์ิ ผดิ ฉอ้ โกง

เหตุที่กำรหลอกเอำกรรมสิทธ์ิและหลอกเอำกำรครอบครองทำให้เป็นควำมผิดแตกต่ำงกัน
เนอ่ื งจำกควำมผิดฐำนลักทรัพย์ต้องมีกำรแย่งกำรครอบครองของผู้อื่น หำกส่งมอบกำรครอบครองให้
ผูก้ ระทำผดิ (โดยไม่มีกำรหลอกลวงให้สง่ มอบ) แล้วผ้กู ระทำผิดเอำไปจะเป็นยักยอก เพรำะไม่ได้แย่ง
กำรครอบครอง แต่ถ้ำส่งมอบกำรครอบครองโดยสำคัญผิด แล้วผู้กระทำผิดเอำไปกฎหมำยบัญญัติ
เป็นควำมผิดฐำนก่ึงยักยอกตำมมำตรำ ๓๕๒ วรรคสอง กรณีส่งมอบกำรครอบครองเพรำะถูกหลอก
จะถือว่ำแย่งกำรครอบครองหรือไม่ คงจะตอบได้ในเบ้ืองต้นว่ำกำรส่งมอบกำรครอบครองเพรำะ
ถูกหลอก ถือว่ำเป็นแย่งกำรครอบครอง แต่จะผิดฐำนลักทรัพย์หรือไม่ มีประเด็นต้องพิจำรณำ
๒ ประกำร คือ ๑. ส่งมอบกำรครอบครองเพรำะถูกหลอกเอำกรรมสิทธ์ิ ๒. ส่งมอบกำร
ครอบครองเพรำะถกู หลอกเอำกำรครอบครอง

มำตรำ ๓๔๑ ควำมผิดฐำนฉ้อโกง เป็นกำรหลอกจนได้ไปซึ่งทรัพย์สิน ก็คือกำรส่งมอบกำร
ครอบครองเพรำะถกู หลอกเอำกรรมสิทธ์ติ ำมขอ้ ๑. นั่นเอง เมอ่ื มกี ฎหมำยบัญญัตวิ ำ่ กำรสง่ มอบกำร
ครอบครองเพรำะถูกหลอกเอำกรรมสิทธ์ิเป็นควำมผิดฐำนฉ้อโกง กรณีนี้แม้กำรส่งมอบกำร
ครอบครองเพรำะถูกหลอก จะถือว่ำถูกแย่งกำรครอบครอง ผู้หลอกก็ไม่ผิดฐำนลักทรัพย์ เพรำะมี
กฎหมำยบญั ญัติไวโ้ ดยเฉพำะแล้ววำ่ เป็นควำมผิดฐำนฉอ้ โกง

แต่กำรส่งมอบกำรครอบครองเพรำะถูกหลอกเอำกำรครอบครอง ไม่เป็นควำมผิดตำม
มำตรำ ๓๔๑ เพรำะไม่ใช่กำรหลอกจนได้ไปซ่ึงทรัพย์สิน เม่ือกำรส่งมอบกำรครอบครองเพรำะ
ถูกหลอกเอำกำรครอบครอง ไมเ่ ป็นควำมผดิ ตำมมำตรำ ๓๔๑ จงึ กลบั ไปหำหลกั ทั่วไปวำ่ เปน็ กำรแย่ง
กำรครอบครองโดยตัดกรรมสิทธใ์ิ นทรพั ยข์ องผู้อื่น อันเปน็ ควำมผิดฐำนลกั ทรัพย์

ดังนั้น ฎีกำที่ ๖๘๙๒/๒๕๔๒ เป็นกำรหลอกเอำกรรมสิทธิ์จึงเป็นฉ้อโกง ฎีกำที่ ๕๓๑๙/
๒๕๔๗ เร่ืองท่ีเอำหลักฐำนกำรขำยฝำกทอง แล้วเอำไปไถ่ทอง จึงเป็นควำมผิดฐำนฉ้อโกงทอง ไม่ใช่
ลักทอง เพรำะเป็นกำรหลอกเอำกรรมสิทธ์ิ แต่ฎีกำน้ันปัญหำคือลักหรือฉ้อโกงทอง ไม่ได้ฟ้องว่ำ
ลกั กระดำษหลกั ฐำนกำรขำยฝำก ถ้ำฟอ้ งว่ำลักกระดำษดว้ ยก็จะเป็นลกั ทรัพย์คือกระดำษได้

ส่วนฎีกำท่ี ๒๕๘๑/๒๕๒๙ เรื่องเติมน้ำมันแล้วหยิบก้อนกลม ๆ คล้ำยระเบิดมำให้ดูโดย
ไม่จ่ำยเงินแล้วหนีไป ตัดสินว่ำเป็นฉ้อโกง แต่มีฎีกำท่ี ๖๑๑/๒๕๓๐ เติมน้ำมันแล้วไม่จ่ำยเงิน

480

เหมือนกัน แต่ตัดสินว่ำเป็นลักทรัพย์ ถ้ำวิเครำะห์ตำมหลักท่ีกล่ำวมำ กำรเติมน้ำมันโดยไม่จ่ำยเงิน
แล้วหนีไปเป็นกำรหลอกเอำกรรมสิทธิ์ ต้องผิดฐำนฉ้อโกง ไม่ใช่ลักทรัพย์ ดังน้ัน ฎีกำที่ ๒๕๘๑/
๒๕๒๙ ที่ตัดสินว่ำผิดฐำนฉ้อโกงจึงถูกต้องตำมหลักกฎหมำย ส่วนฎีกำที่ ๖๑๑/๒๕๓๐ ที่ตัดสินว่ำ
เป็นลกั ทรัพยน์ ่ำจะไม่ตรงตำมหลกั กฎหมำย กำรสอบเนติฯ หรือผู้ช่วยฯ แม้ฎีกำจะตดั สินไม่ตรงตำม
หลักกฎหมำย ถ้ำเป็นฎีกำใหม่นักศึกษำต้องจำไปตอบข้อสอบ เพรำะอำจออกสอบได้ในฐำนะท่ีเป็น
ฎีกำใหม่ แต่ถ้ำเป็นฎีกำเก่ำและไม่ตรงตำมหลัก คงไม่ต้องสนใจมำกนัก เพรำะกรรมกำรสอบ
คงไม่เห็นด้วยจึงไม่นำมำออกข้อสอบ ส่วนฎีกำที่ตรงตำมหลักและเป็นฎีกำใหม่อย่ำงฎีกำท่ี
๕๓๑๙/๒๕๔๗ ใหอ้ ำ่ นและจดจำให้ดี เพรำะอำจจะออกขอ้ สอบเม่ือไหรก่ ็ได้

ขอให้ดูรำยละเอียดเพ่ิมเติมเร่ืองลักทรัพย์ (โดยใช้กลอุบำย) กับฉ้อโกง ในคำอธิบำย
กฎหมำยอำญำภำคควำมผิดของศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภัทิย์ และศำสตรำจำรย์ ดร. เกียรติขจร
วัจนะสวัสด์ิ

อนึ่ง ฎีกำที่ ๓๙๓๕/๒๕๕๓ หำกอ่ำนไม่ดี นักศึกษำอำจเข้ำใจว่ำกลับฎีกำที่ ๖๘๙๒/๒๕๔๒
(ประชุมใหญ่) แต่ข้อเท็จจริงทั้งสองเร่ืองแตกต่ำงกันในสำระสำคัญ กล่ำวคือ ฎีกำที่ ๖๘๙๒/๒๕๔๒
(ประชุมใหญ่) พนักงำนเก็บเงนิ ของผู้เสียหำยหลงเชื่อยินยอมมอบโคมไฟให้จำเลย จึงเป็นกำรฉ้อโกง
จนไดโ้ คมไฟไป แตฎ่ ีกำท่ี ๓๙๓๕/๒๕๕๓ พนักงำนแคชเชียรม์ อบลังน้ำปลำท้ังสองลังให้จำเลยไป แต่
มิได้มีเจตนำส่งมอบสุรำต่ำงประเทศให้จำเลย จึงเป็นกำรลักสุรำต่ำงประเทศ ขอให้แยกควำม
แตกตำ่ งของสองเร่ืองน้ใี หด้ ี

ฎีกาที่ ๓๙๓๕/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๖ น.๑๐๑ จาเลยเอาสุราต่างประเทศของกลางใส่ไว้ในลัง
น้าปลาแล้วใช้สกอตเทปปิดลังไว้ โดยนาลังน้าปลาอีกใบหน่ึงมาวางทับ จากน้ันจึงนาไปชาระเงินนั้น
ย่อมแสดงให้เห็นว่าจาเลยมีเจตนาทุจริตท่ีจะเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปต้ังแต่แรกแล้ว การที่จาเลย
นาลังน้าปลาซึ่งมีสุราต่างประเทศซุกซ่อนอยู่ภายในไปชาระราคาเท่ากับราคาน้าปลาจนพนักงาน
แคชเชียร์มอบลังน้าปลาท้ังสองลังให้จาเลยไป เป็นเพียงกลอุบายเพ่ือให้บรรลุผล คือ การเอาสุรา
ต่างประเทศของกลางของผู้เสียหายไปโดยทุจริตเท่านั้น พนักงานแคชเชียร์ซ่ึงเป็นตัวแทนของ
ผู้เสียหายมิได้มีเจตนาส่งมอบการครอบครองสุราต่างประเทศให้แก่จาเลย การกระทาของจาเลย
จงึ เปน็ ความผิดฐานลักทรัพย์ หาใช่เป็นความผิดฐานฉอ้ โกงไม่

การเข้าครอบครองนั้นตอ้ งเป็นการแยง่ การครอบครอง

ฎีกาที่ ๔๓๔๕/๒๕๔๕ ฎ.ส.ล.๖ น.๑๗๒ จาเลยเป็นลูกจ้างธนาคารโจทก์ร่วมในตาแหน่ง
ผู้ช่วยหัวหน้าส่วน มีหน้าท่ีควบคุมดูแลงานด้านกู้เงินระยะสั้นโดยการออกต๋ัวสัญญาใช้เงินรวมท้ัง
เอกสารที่เกี่ยวข้อง ได้อาศัยโอกาสในหน้าท่ีของจาเลยทาเอกสารใบถอนเงินของโจทก์ร่วมระบุ
โอนเงินเข้าบัญชีลูกค้าอันเป็นเท็จ และโอนเงินของโจทก์ร่วมเข้าบัญชีของ ส. พวกของจาเลย
หลังจากนน้ั ก็ร่วมกับพวกเบิกถอนเงินดงั กลา่ วไปเปน็ ประโยชน์ของตนกับพวก ซึ่งการทเ่ี จ้าหน้าที่ของ

481

โจทก์ร่วมยอมให้มีการโอนเงินไปตามเอกสารใบถอนเงินที่จาเลยทาข้ึนน้ัน มิได้ข้ึนอยู่กับข้อความใน
เอกสารว่าเป็นจริงหรือเท็จ แต่เป็นการโอนเงินไปเพราะเอกสารใบถอนเงินทจ่ี าเลยได้รบั มอบอานาจ
ให้กระทามีรายการครบถ้วนและมีลายมือชื่อกับรหัสประจาตัวของจาเลย ซ่ึงหากจาเลยไม่กระทา
ด้วยวิธีการดังกล่าว ย่อมไม่อาจเอาเงินออกไปจากบัญชีของโจทก์ร่วมได้ ดังน้ัน การท่ีอนุมัติให้โอน
เงินออกไปจากบัญชีของโจทก์ร่วม จึงมิได้เกิดจากการที่จาเลยหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความใน
เอกสารอันเป็นเท็จและโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินของโจทก์ร่วม แต่เป็นกรณีท่ี
จาเลยทาเอกสารใบถอนเงินโดยมีข้อความอันเป็นเท็จ แล้วเสนอไปตามขั้นตอนเพื่อให้มีการอนุมัติ
โอนเงินตามเอกสารน้ัน อันเป็นเพียงวิธีการท่ีจะทาให้จาเลยเอาเงินของโจทก์ร่วมออกไป จากบัญชี
ของโจทก์ร่วมโดยทุจริตได้ การกระทาของจาเลยจึงมิใช่ความผิดฐานฉ้อโกง แต่เป็นความผิดฐาน
ลกั ทรัพย์ท่เี ป็นของนายจ้าง
ข้อสังเกต จำกท่ีกล่ำวมำแล้วว่ำ ทรัพย์ท่ีจะถูกลักต้องมีผู้ครอบครองอยู่ประกำรหน่ึง และผู้กระทำ
เข้ำครอบครองทรัพย์น้ันอีกประกำรหนึ่ง กำรเข้ำครอบครองน้ันเป็นกำรแย่งกำรครอบครอง ซ่ึง
ผู้ครอบครองทรัพย์อยู่เดิมมิได้อนุญำตประกำรหน่ึง แล้วได้พำทรัพย์เคล่ือนที่ไปอีกประกำรหน่ึง
พร้อมท้ัง ๔ ประกำรนี้ จึงจะถือได้ว่ำเป็นกำรเอำทรัพย์ไปสำเร็จบริบูรณ์ (คำอธิบำยประมวล
กฎหมำยอำญำ ภำค ๒ ตอน ๒ และภำค ๓ ศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภัทิย์ ๒๕๕๓ น. ๕๔๒) สำหรับ
ปัญหำตำมคำพิพำกษำฎีกำนี้คือ กำรเข้ำครอบครองน้ันเป็นกำรแย่งกำรครอบครอง หรือเป็นกำรท่ี
นำยจ้ำงซึ่งเป็นโจทก์ร่วมส่งมอบกำรครอบครองเพรำะถูกหลอกลวง ศำลฎีกำได้วินิจฉัยว่ำ กำรท่ี
อนุมัติให้โอนเงินออกไปจำกบัญชีของโจทก์ร่วม มิได้เกิดจำกกำรที่จำเลยหลอกลวงด้วยกำรแสดง
ข้อควำมในเอกสำรอันเป็นเท็จ และโดยกำรหลอกลวงดังว่ำนั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินของโจทก์ร่วม
แต่เป็นกรณีที่จำเลยทำเอกสำรใบถอนเงินโดยมีข้อควำมอันเป็นเท็จ แล้วเสนอไปตำมข้ันตอนเพ่ือให้
มีกำรอนุมัตโิ อนเงินตำมเอกสำรนน้ั เป็นเพยี งวิธีกำรท่ีจะทำให้จำเลยเอำเงนิ ของโจทก์ร่วมออกไปจำก
บัญชีของโจทก์ร่วมโดยทุจริตได้ กำรกระทำของจำเลยจึงมิใช่ควำมผิดฐำนฉ้อโกง แต่เป็นควำมผิด
ฐำนลักทรัพย์ที่เป็นของนำยจ้ำง ซ่ึงคงต้องถือว่ำศำลฎีกำเห็นว่ำ กำรเข้ำครอบครองเงินนั้น เป็นกำร
แย่งกำรครอบครอง ไม่ใช่ส่งมอบกำรครอบครอง หำกถูกหลอกจึงส่งมอบกำรครอบครองจะเป็น
ควำมผดิ ฐำนฉ้อโกง เชน่ ฎีกำที่ ๖๓๓/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๗ น.๕ กำรทีจ่ ำเลยท้ังสำมกับ ย. ใช้อุบำยทำที
ไปติดต่อขอซ้ือผ้ำจำกโจทก์ร่วมท้ังที่จำเลยทั้งสำมและ ย. มิได้เตรียมเงินมำให้พร้อม จำเลยทั้งสำม
กับ ย. หลอกให้โจทก์ร่วมขนผ้ำขึ้นรถท่ีเตรียมมำแล้วจึงบอกว่ำจะชำระค่ำผ้ำก่อน ๒๐,๐๐๐ บำท
ส่วนท่ีเหลือให้ตำมไปเก็บจำก ย. แต่บุตรสำวของโจทก์ร่วมร้องไห้ ภริยำของโจทก์ร่วมเข้ำไปดูแล
บุตรสำวภำยในร้ำน จำเลยทั้งสำมกับ ย. ก็พำกันนำรถบรรทุกผ้ำออกไปจำกร้ำนของโจทก์ร่วมทันที
โดยยังมิได้ชำระเงินคำ่ ผ้ำใหแ้ ก่โจทก์รว่ ม กรณีเห็นได้ชดั ว่ำจำเลยท้งั สำมกบั ย. รว่ มกนั มีเจตนำทุจริต
หลอกลวงให้โจทก์ร่วมหลงเช่ือว่ำจำเลยทั้งสำมกับ ย. จะซ้ือผ้ำจริงมำแต่ต้น ด้วยกำรวำงแผนกำร
เป็นขั้นตอนและไม่มีเจตนำจะใช้รำคำผ้ำให้แก่โจทก์ร่วมเลย และโดยกำรหลอกลวงดังกล่ำวนั้น
จำเลยท้ังสำมกับ ย. ได้ผ้ำไปจำกโจทก์ร่วมผู้ถูกหลอกลวง กำรกระทำของจำเลยทั้งสำมกับพวก

482

จึงเป็นควำมผดิ ฐำนร่วมกนั ฉอ้ โกงตำม ป.อ. มำตรำ ๓๔๑ มิใชล่ ักทรัพย์
ฎีกาที่ ๗๔๓๙/๒๕๕๕ ฎ.๑๙๒๕ จาเลยท่ี ๑ ลงบันทึกรายการน้าหนักช้ินงานตัวเรือน

เครื่องประดับประเภทโลหะเงนิ ท่ีตกแต่งเสร็จแล้วให้สูงกว่าน้าหนักช้ินงานที่แท้จริงโดยมีเจตนาร่วมกับ
จาเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ เพ่ือเอาผงเงินและเศษช้ินงานของโจทก์ร่วมซ่ึงเป็นนายจ้างไปโดยโจทก์ร่วมมิได้
หลงเชื่อหรือสง่ มอบผงเงนิ และเศษชิน้ งานใหแ้ ก่จาเลยท่ี ๒ ถงึ ที่ ๔ แตล่ ักษณะเปน็ การแย่งกรรมสทิ ธ์ิ
ทรัพย์ของโจทก์ร่วม ถือว่าเป็นการร่วมกันวางแผนโดยมีเจตนาลักทรัพย์ซึ่งอยู่ในความครอบครอง
ของโจทก์ร่วมไปโดยทุจริต เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๗) (๑๑) วรรคสอง
ประกอบมาตรา ๘๓ หาใชเ่ ปน็ ความผิดฐานฉอ้ โกงไม่
ข้อสังเกต ฎีกำนี้แม้จะมีกำรทำเอกสำรระบุน้ำหนักชิ้นงำนเกินกว่ำน้ำหนักจริง แต่ก็เป็นกำรทำ
เอกสำรเพื่อปกปิดกำรเอำไปทเี่ ป็นกำรแย่งกำรครอบครองของโจทก์ร่วม จงึ เป็นลักทรัพย์ไม่ใช่ฉ้อโกง

ฎีกาท่ี ๖๘๐/๒๕๕๔ ฎ.๖๒๑ เงินท่ีหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเองตาม พ.ร.บ.
จัดระเบียบบริหารหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเองฯ นาไปฝากไว้ที่ธนาคาร ย่อมตกเป็นของ
ธนาคารผู้รับฝาก โดยธนาคารมีหน้าที่ต้องคืนเงินให้แก่เจ้าของบัญชีตามเง่ือนไขท่ีตกลงกัน
ให้ครบถ้วน ท้ังจาเลยทั้งสามไม่ได้รับมอบการครอบครอง และไม่มีอานาจหน้าที่ในการดูแลเงิน
ดงั กล่าว การท่ีจาเลยทั้งสามร่วมกันลงลายมือชอ่ื เพื่อถอนเงินจากธนาคารเป็นไปโดยพลการ มิได้รับ
ความเห็นชอบหรือความยินยอมจากคณะกรรมการกลางหมู่บ้านซึ่งเป็นผู้ดูแลบริหารการใช้เงินและ
เอาเงนิ นนั้ ไปโดยทุจริต จาเลยท้ังสามมีความผดิ ฐานร่วมกนั ลกั ทรัพย์ และต้องร่วมกนั คืนเงนิ ดังกล่าว
แก่เจา้ ของ
ข้อสงั เกต คดีนจ้ี ำเลยฎกี ำวำ่ เป็นควำมผดิ ฐำนยกั ยอก ไม่ใช่ลักทรพั ย์ แต่ท่จี รงิ กำรได้เงินในคดีนไี้ ดม้ ำ
โดยหลอกธนำคำรว่ำจำเลยมีสทิ ธิถอนเงินจำกบัญชีธนำคำรชอื่ “เงินหม่บู ้ำน อ.พ.ป. บ้ำนหนองแก”
ไปเป็นค่ำใช้จ่ำยในกำรพัฒนำหมู่บ้ำน กำรได้เงินโดยกำรหลอกน่ำจะพิจำรณำควำมผิดฐำนลักทรพั ย์
กับฉ้อโกง แต่ที่ศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำ ไม่ใช่ยักยอกเป็นลักทรัพย์ ก็เพรำะวินิจฉัยตำมฎีกำของจำเลย
หำกมำวิเครำะห์กำรหลอกในคดีนี้จำเลยหลอกถอนเงินจำกบัญชีว่ำจะเอำเงินไปพัฒนำหมู่บ้ำนตำม
วัตถุประสงค์ของกำรเปิดบัญชี น่ำจะเป็นกำรหลอกเอำกำรครอบครอง ไม่ใช่หลอกเอำกรรมสิทธิ์
จึงเปน็ ควำมผิดฐำนลักทรพั ย์ดงั ทีศ่ ำลฎีกำวินิจฉยั ไว้

ฎกี าท่ี ๒๖๙๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๖ น.๗๐ การทจี่ าเลยซึ่งเป็นพนักงานขายสนิ คา้ ของผ้เู สียหาย
อ้างว่าร้าน ร. สั่งซ้ือสินค้าและต้องการด่วน จาเลยขอรับสินค้าไปส่งเอง ท้ังท่ีความจริงร้าน ร. ไม่ได้
ส่ังซื้อ จาเลยไม่ได้นาสินค้าดังกล่าวไปส่งให้และไม่ปรากฏว่าจาเลยไปขายสินค้าดังกล่าวให้แก่ใคร
สินค้าดงั กล่าวเป็นกรรมสิทธ์ิของผู้เสียหาย เมื่อจาเลยประสงค์ต่อผลเอาสินค้าดังกล่าวของผู้เสียหาย
ไปต้ังแต่แรก แสดงว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้ โดยชอบด้วยกฎหมายสาหรับตนเองหรือ
ผู้อื่น อันเป็นการแย่งกรรมสิทธิ์ทรัพย์ของผู้เสียหาย ซ่ึงผู้เสียหายไม่ได้อนุญาตให้จาเลยกระทาการ
ดังกล่าวได้ แล้วจาเลยพาทรัพย์เคลื่อนท่ีไป จึงเป็นการกระทาโดยเจตนาทุจริตเพ่ือได้ทรัพย์ของ
ผูเ้ สยี หายดังกลา่ วไป การกระทาของจาเลยจงึ ครบองค์ประกอบความผิดฐานลกั ทรัพย์

483

ขอ้ สงั เกต ฎีกำนเ้ี ป็นกำรหลอกเอำกำรยดึ ถือแล้วเอำไปเปน็ ลกั ทรัพย์
ฎีกาท่ี ๑๒๘๘๘/๒๕๕๘ ฎ.๒๑๑๑ จาเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวง ร. ว่า ร. เป็นหน้ี ช. ซ่ึง

เป็นความเท็จ ความจริง ร. ชาระหนี้ให้ ช. ไปแล้ว แต่จาเลยท่ี ๑ ซ่ึงเป็นพนักงานบัญชีและการเงิน
ของ ร. ทาบิลส่งของซ้า ร. หลงเช่ือจึงส่ังจ่ายเช็คมอบให้จาเลยทั้งสอง จาเลยท่ี ๑ ได้มอบเช็คให้
จาเลยท่ี ๒ ไปข้ึนเงินที่ธนาคารจากบัญชีเงินฝากของ ร. ได้เงินของ ร. มา ๑๒๕,๖๑๖ บาท แล้ว
จาเลยท่ี ๒ ไม่นาเงินดังกล่าวมามอบให้จาเลยท่ี ๑ มอบเงินคืนให้ ร. จาเลยทั้งสองได้รว่ มกันลักเงิน
ของ ร. ไป จาเลยท่ี ๑ ซ่ึงเป็นลูกจ้างของ ร. จึงมีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างตาม ป.อ.
มาตรา ๓๓๕ (๗) (๑๑) วรรคสอง ส่วนจาเลยที่ ๒ มไิ ด้เป็นลูกจ้างของ ร. จาเลยท่ี ๒ ไม่อาจร่วมกับ
จาเลยที่ ๑ กระทาความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้างได้ จาเลยที่ ๒ มีความผิดตามมาตรา ๓๓๕ (๗)
วรรคแรก มิใช่ความผดิ ฐานฉ้อโกงตามท่ีโจทก์ฟอ้ ง
ข้อสังเกต ฎีกำน้ีหลอกว่ำจะเอำเช็คไปชำระหนี้ จึงเป็นกำรหลอกเอำกำรยึดถือ ไม่ใช่หลอกเอำ
กรรมสทิ ธ์ิ จงึ เปน็ ลักทรพั ย์ ไมใ่ ช่ฉ้อโกง

ฎีกาที่ ๓๙๓๕/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๖ น.๑๐๑ จาเลยเอาสุราต่างประเทศของกลางใส่ไว้ในลัง
น้าปลาแล้วใช้สกอตเทปปิดลังไว้ โดยนาลังน้าปลาอีกใบหน่ึงมาวางทับ จากน้ันจึงนาไปชาระเงินน้ัน
ย่อมแสดงให้เห็นว่าจาเลยมีเจตนาทุจริตท่ีจะเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปตั้งแต่แรกแล้ว การที่จาเลย
นาลังน้าปลาซึ่งมีสุราต่างประเทศซุกซ่อนอยู่ภายในไปชาระราคาเท่ากับราคาน้าปลาจนพนักงาน
แคชเชียร์มอบลังน้าปลาทั้งสองลังให้จาเลยไป เป็นเพียงกลอุบายเพื่อให้บรรลุผล คือ การเอาสุรา
ต่างประเทศของกลางของผู้เสียหายไปโดยทุจริตเท่านั้น พนักงานแคชเชียร์ซึ่งเป็นตัวแทนของ
ผู้เสียหายมิได้มีเจตนาส่งมอบการครอบครองสุราต่างประเทศให้แก่จาเลย การกระทาของจาเลย
จึงเปน็ ความผดิ ฐานลกั ทรพั ย์ หาใช่เปน็ ความผิดฐานฉอ้ โกงไม่
ข้อสังเกต พนักงำนแคชเชียร์มอบน้ำปลำให้จำเลยไป ไม่ได้มอบสุรำต่ำงประเทศ กำรเอำสุรำ
ตำ่ งประเทศไปจงึ เป็นกำรแยง่ กำรครอบครองและกรรมสิทธ์ิ ไมใ่ ชส่ ่งมอบ ผดิ ลักทรพั ย์

ฎีกาที่ ๔๔๕๖/๒๕๕๑ ฎ.๑๗๙๕ ใบสัง่ จ่ายสินค้าทีโ่ จทก์ร่วมมอบใหแ้ ก่ ส. ผู้รบั จา้ งขนส่งปุ๋ย
เป็นเพยี งหลักฐานเพอื่ นาไปเบิกปยุ๋ จากคลงั เกบ็ สินค้าของโจทก์รว่ ม การทจ่ี าเลยท่ี ๑ รบั ซอ้ื ใบสั่งจา่ ย
สินค้าจาก ท. ซึ่งเป็นผู้รับจ้างขนส่งช่วงจาก ส. โดยคิดตามมูลค่าปุ๋ยท่ีระบุในใบสั่งจ่ายสินค้าโดย
ตอ้ งการนาใบจ่ายสินค้าไปรับปยุ๋ จากคลังเก็บสนิ ค้าของโจทก์รว่ ม มิใช่เป็นการรับซ้ือเฉพาะใบสั่งจ่าย
สินค้า ท้ัง ท. รู้ว่าจาเลยท่ี ๑ จะนาใบส่ังจ่ายสินค้าไปรับปุ๋ยจากคลังเก็บสินค้าของโจทก์ร่วมไปเป็น
ประโยชน์ของตน ท. และจาเลยที่ ๑ จึงเป็นตัวการร่วมกันลักปุ๋ยของโจทก์ร่วมไปโดยใช้ใบส่ังจ่าย
สินค้าเป็นหลักฐานในการเบิกจ่ายสินค้า การกระทาของจาเลยท่ี ๑ จึงเป็นความผิดฐานลักปุ๋ยของ
โจทก์ร่วมมใิ ชเ่ ป็นเพยี งรบั ของโจรใบสั่งจ่ายสนิ ค้า
ข้อสังเกต ฎีกำน้ีเป็นกำรหลอกลวงให้ส่งมอบกำรยึดถือแล้วเอำไป ผิดฐำนลักทรัพย์ เพรำะเป็นกำร
แยง่ กำรครอบครอง

ฎีกาที่ ๕๘/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๘ ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์เฉ่ียวชนกับรถเก๋ง

484

รถจักรยานยนต์ล้มทับขาผู้เสียหาย จาเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ ขับรถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายกันมามีเจตนา
จะลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายมาแต่แรก จึงใช้อุบายทาทีเข้าช่วยเหลือหลอกลวงว่าจะพาไปส่ง
บ้าน ขณะที่จาเลยที่ ๒ ขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย โดยจาเลยท่ี ๓ ขับรถจักรยานยนต์มี
ผู้เสียหายน่ังซ้อนท้ายตามกันไป การลักทรัพย์ยังไม่ขาดตอน แม้ว่าเม่ือบริเวณทางแยก จาเลยท่ี ๒
จะขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายลับสายตาไปแล้ว แต่ผู้เสียหายยังไม่ละการติดตามโดยบอก
จาเลยที่ ๓ ให้หยุดรถเพ่ือแจ้งศูนย์วิทยุติดตามจาเลยท่ี ๒ อีกทางหนึ่ง ท้ังคนรา้ ยคือจาเลยท่ี ๓ ก็ยัง
อยู่กับผู้เสียหาย การท่ีจาเลยที่ ๓ ใช้กาลังประทุษร้ายโดยใช้ศอกตวัดกระแทกผู้เสียหายตกจาก
รถจักรยานยนต์ ก็เพ่ือความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์น้ันไป และกรณีไม่ใช่การ
กระทาของจาเลยที่ ๓ โดยลาพัง เพราะพฤติการณ์ที่จาเลยที่ ๒ ขับรถจักรยานยนต์ย้อนกลับมายัง
จุดที่นัดหมายกันไว้ย่อมเป็นการแสดงชัดแจ้งว่าจาเลยที่ ๒ มีเจตนาร่วมกระทาด้วย จาเลยที่ ๒
และที่ ๓ จงึ มคี วามผิดฐานรว่ มกนั ชิงทรพั ย์
ข้อสังเกต ฎีกำน้ีเป็นกำรหลอกลวงให้ส่งมอบกำรยึดถือแล้วเอำไป เป็นลักทรัพย์ เม่ือมีกำรใช้กำลัง
ประทษุ ร้ำยจึงผดิ ฐำนร่วมกันชงิ ทรัพย์

ฎีกาท่ี ๑๒๓๓๘/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล. ๑๒ น. ๑๔๗ การท่ีจาเลยกับพวกมีเจตนาท่ีจะเอาทรัพย์
ของผู้เสียหายไปตั้งแต่แรกและต่อมามีการหลอกลวงว่าจะให้เงินผู้เสียหาย ๑๐,๐๐๐ บาท และให้
ถอดสร้อยคอทองคาพร้อมพระเคร่ืองมารวมไว้ ล้วนเป็นการใช้กลอุบายเพ่ือให้ได้ไปซ่ึงสร้อยคอ
ทองคาพร้อมพระเคร่ืองของผู้เสียหาย แม้ผู้เสียหายจะหลงเชื่อ แต่ผู้เสียหายก็มิได้มีเจตนาส่งมอบ
สร้อยคอและพระเคร่ืองให้แก่จาเลย สาเหตุที่จาเลยเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปได้เกิดจากการ
สบั เปล่ียนห่อผ้าเชด็ หนา้ ซึง่ เป็นการแย่งกรรมสิทธท์ิ รพั ย์ของผู้เสยี หาย จึงเป็นความผิดฐานลักทรพั ย์
โดยรว่ มกระทาความผิดดว้ ยกันต้ังแต่สองคนข้นึ ไปตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๗) วรรคแรก

ฎีกาท่ี ๑๒๔๒๗/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล. ๑๒ น. ๑๕๑ จาเลยเป็นทนายความให้โจทก์ในคดีแพ่ง
จาเลยย่ืนอุทธรณ์และได้ขอถอนอุทธรณ์กับขอรับเงินค่าข้ึนศาลชั้นอุทธรณ์ ๒๐๐,๐๐๐ บาทคืนไป
จากศาล โดยศาลชั้นต้นสั่งจ่ายเป็นเช็คในนามของโจทก์ จาเลยไม่มอบเช็คให้โจทก์ แต่จาเลยหลอก
ให้โจทก์ไปเปิดบญั ชีออมทรัพย์ที่ธนาคาร ท. สาขายโสธร และขอใช้บัตร เอ.ที.เอ็ม. ในบัญชีดังกล่าว
โดยจาเลยบอกว่าลูกค้าของจาเลยที่จังหวัดอานาจเจริญและจังหวัดศรีสะเกษจะ ชาระเงินให้จาเลย
เปน็ เช็ค เพื่อความสะดวกในการนาเชค็ ฝากเขา้ บัญชีและเบิกเงนิ จึงขอให้โจทก์เปิดบัญชีให้ เมื่อโจทก์
เปิดบัญชเี รียบร้อยแล้วได้มอบสมุดบัญชีเงินฝากและบตั ร เอ.ที.เอ็ม. พร้อมรหัสเบิกเงินสดจากเคร่ือง
เอ.ที.เอม็ . ให้จาเลย จากนั้นจาเลยนาเช็คไปเข้าบัญชดี ังกล่าว แล้วใชบ้ ัตร เอ.ท.ี เอ็ม. ถอนเงินครงั้ ละ
๒๐,๐๐๐ บาทไปจนหมด จาเลยจงึ มคี วามผดิ ฐานลักทรัพย์
ข้อสังเกต คดีนี้เกิดเหตุปี ๒๕๔๓ ควำมผิดตำมมำตรำ ๒๖๙/๕, ๒๖๙/๗ ยังไม่ได้ใช้บังคับ โจทก์
จึงไม่ได้ฟ้องตำมมำตรำ ๒๖๙/๕, ๒๖๙/๗ แต่ฟ้องว่ำลักเงินท่ีกดไปจำกบัญชี นอกจำกน้ีกำรเอำเช็ค
ไปเข้ำบัญชีจะเป็นกำรลักทรัพย์หรือยักยอกหรือไม่ โจทก์ไม่ได้ฟ้องศำลฎีกำจึงไม่ได้วินิจฉัยปัญหำนี้
นักศกึ ษำลองไปคิดดูว่ำผดิ หรือไม่

485

ฎกี าที่ ๖๘๙๒/๒๕๔๒ (ประชมุ ใหญ่) ฎ.ส.ล.๑๑ น.๑๐๘ การกระทาที่จะเป็นความผิดฐาน
ลักทรัพย์ต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อ่ืนไปโดยพลการโดยทุจริต มิใช่ได้ทรัพย์ไปเพราะผู้อ่ืนยินยอม
มอบให้เนื่องจากถูกหลอกลวง การที่จาเลยเปลี่ยนเอาป้ายราคาโคมไฟต้ังโต๊ะของกลางซึ่งติดราคา
๑,๗๘๕ บาทออก แล้วนาป้ายราคาโคมไฟอื่นซึ่งติดราคา ๑๓๔ บาท มาติดแทน แล้วมอบให้พวก
ของจาเลยนาไปชาระราคาแก่พนักงานเก็บเงินของผู้เสียหาย จึงมิใช่เอาโคมไฟต้ังโต๊ะไปโดยพลการ
โดยทจุ รติ อันจะเป็นความผดิ ฐานลักทรพั ย์ หากแต่เป็นการหลอกลวงพนักงานเก็บเงินของผ้เู สยี หาย
โดยทุจริต โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า ราคาโคมไฟต้ังโต๊ะมีราคา ๑๓๔ บาท พนักงานเก็บเงิน
ของผู้เสียหายหลงเชื่อยินยอมมอบโคมไฟตั้งโต๊ะของกลางให้จาเลยโดยรับเงินจากจาเลยไว้เพียง
๑๓๔ บาท การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานฉอ้ โกง
ข้อสังเกต คดนี ้ีเป็นกำรส่งมอบกำรครอบครองเพรำะถูกหลอกเอำกรรมสิทธิเ์ ปน็ ควำมผดิ ฐำนฉ้อโกง

ฎีกาท่ี ๔๑๔๖/๒๕๖๒ ฎ.๕๗o จาเลยทราบว่าธุรกิจขายขนมโดนัทท่ีร้านเกิดเหตุมิใช่ธุรกิจ
ของครอบครัวจาเลยฝา่ ยเดียว หรือทราบแลว้ ว่าธุรกจิ ขายโดนัททีร่ า้ นเกดิ เหตุเป็นธรุ กิจในรูปหุ้นส่วน
การท่ีจาเลยแสดงพฤติกรรมลักษณะหลอกว่าจะซื้อเหมาขนมโดนัทท้ังหมดและเอานาขนมโดนัทไป
โดยจงใจไม่จ่ายเงินย่อมทาให้ ส. พนักงานขายของโจทก์ร่วมต้องรับผิดในราคาขนมโดนัท จึงเป็น
การกระทาโดยทุจริตอันเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์สาเร็จแล้ว แม้จาเลยยังถือถุงขนมโดนัท
อยู่ภายในศูนย์การค้าด้วยท่าทางการเดินเป็นปกติ ไม่มีลักษณะท่าทางว่ากาลังว่ิงหลบหนี ทั้ง ส.
ไม่ได้เรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยให้ตามจาเลยมาจ่ายเงิน หาทาให้ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์
สาเร็จแลว้ ไมเ่ ป็นความผิดไม่
ข้อสังเกต ฎีกำน้ีไม่ได้หลอกให้ส่งมอบทรัพย์ แต่คนขำยวำงของไว้แล้วจำเลยเอำไปโดยไม่จ่ำยเงิน
ซึ่งถือวำ่ เปน็ กำรแยง่ กำรครอบครองแลว้

ฎีกาท่ี ๕๓๑๙/๒๕๔๗ ผู้เสียหายนาสร้อยคอไปจานา เจ้าของร้านทองผู้รับจานาได้ออก
หลักฐานเป็นหนังสือให้ผู้เสียหายว่าเป็นการ “ขายฝาก” โดยมีกาหนดไถ่คืนภายใน ๑ เดือน
กรรมสิทธ์ิและการครอบครองสร้อยคอ จึงตกอยู่แก่เจ้าของร้านทองผู้รับจานาจนกว่าผู้เสียหายจะ
ไถ่คืน การที่จาเลยนาหนังสือดังกล่าวไปขอไถ่สร้อยคอจากผู้รับจานา โดยไม่แสดงออกให้แจ้งชัดว่า
ตัว๋ ไถไ่ ม่ใชข่ องตน เปน็ เหตใุ ห้ผู้รบั จานาหลงเชื่อวา่ จาเลยเปน็ เจ้าของท่ีแท้จริง จึงได้ส่งมอบกรรมสิทธ์ิ
และการครอบครองสร้อยคอใหจ้ าเลยไป จงึ เปน็ ความผดิ ฐานฉอ้ โกงตาม ป.อ. อาญา มาตรา ๓๔๑
ข้อสังเกต คดีนี้ไม่ใช่แย่งกำรครอบครอง แต่เป็นกำรส่งมอบกำรครอบครองเพรำะถูกหลอก
เอำกรรมสทิ ธจ์ิ งึ เปน็ ควำมผดิ ฐำนฉ้อโกง ไมผ่ ดิ ลกั ทรพั ย์

ฎีกาท่ี ๕๒๒๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๗ น.๙๙ ผู้เสียหายยินยอมส่งมอบรถจักรยานยนต์ของกลาง
ให้แก่จาเลยที่ ๑ และที่ ๒ เน่อื งจากถกู จาเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ หลอกลวงให้ทาสัญญาเช่าซอื้ และสัญญา
ค้าประกัน มิใช่เป็นการเอารถจักรยานยนต์ของกลางไปโดยพลการโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดฐาน
ลักทรัพย์ หากแต่เป็นการได้รถจักรยานยนต์ของกลางไปโดยการหลอกลวงผเู้ สียหายโดยทุจริตว่าจะ
ปฏิบัติตามสัญญาเช่าซ้ือรถจักรยานยนต์ที่ทาไว้กบั ผู้เสียหาย การกระทาของจาเลยท่ี ๑ ถึงที่ ๓ เป็น

486

ตัวการร่วมกันกระทาความผิดฐานฉ้อโกง ส่ วนจาเลยที่ ๔ ไม่ได้ประกอบกิจการซ้ือขาย
รถจักรยานยนต์ แต่รับซอ้ื รถจักรยานยนตข์ องกลางในราคาต่ากว่าราคาปกติมาก ทั้งเป็นการซ้ือขาย
กันในลักษณะเร่งรีบและรวบรัด ไม่มีการตรวจสอบทางทะเบียนเพ่ือทราบถึงบุคคลผู้เป็นเจ้าของท่ี
แท้จริงก่อน เป็นการผิดปกติวิสัยการซ้ือขายโด ยสุจริตท่ัวไป ฟังได้ว่าจาเลยที่ ๔ รับซื้อ
รถจกั รยานยนต์ของกลางไว้โดยรูว้ า่ เปน็ ทรัพยอ์ ันได้มาจากการกระทาความผดิ ฐานฉ้อโกง

การท่ีจาเลยท่ี ๔ จ่ายเงินค่าซ้ือรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่จาเลยท่ี ๓ จาเลยท่ี ๓ มอบ
กุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางให้จาเลยท่ี ๔ และจาเลยที่ ๔ ข้ึนน่ังคร่อมรถจะขับออกไป แต่ถูก
เจ้าพนักงานตารวจจับกุมเสียก่อน ถือได้ว่าจาเลยท่ี ๔ ได้รับทรัพย์ที่ซ้ือจากจาเลยท่ี ๓ ไว้แล้ว เป็น
ความผดิ ฐานรับของโจรสาเร็จแล้ว
ข้อสังเกต คดีนี้ศำลฎีกำฟังข้อเท็จจริงว่ำจำเลยที่ ๑ ไม่มีเจตนำเช่ำซ้ือ แต่เป็นกำรหลอกขอเช่ำซื้อ
แม้จะไม่ไดโ้ อนกรรมสิทธิ์ทันทีท่สี ่งมอบทรพั ย์ แต่สญั ญำเช่ำซ้ือก็เป็นสัญญำที่มีวตั ถุประสงค์สุดท้ำยที่
จะโอนกรรมสิทธิ์เมื่อชำระค่ำเช่ำซื้อครบถ้วนแล้ว กำรหลอกในคดีน้ีเป็นกำรหลอกเอำกรรมสิทธ์ิ
กำรเอำทรัพยไ์ ปในคดนี ้ีจึงเปน็ ควำมผิดฐำนฉ้อโกง เช่นเดยี วกบั ฎกี ำท่ี ๕๙๑/๒๕๖๐ ฎ.๑๑๙ ทต่ี ัดสิน
วำ่ จำเลยเป็นคนวำงแผนและมอบเงนิ ให้ ว. ไปหลอกเชำ่ ซ้ือรถจักรยำนยนต์จำกโจทกร์ ว่ มโดยจำเลย
และ ว. แบ่งหน้ำที่กันทำโดยมีเจตนำทุจริตมำแต่แรก และเมื่อจำนำรถไปแล้วจำเลยก็ไม่ได้คิดที่จะ
ไถ่คืนเป็นท่ีเสียหำยแก่โจทก์ร่วม จำเลยและ ว. จึงเป็นตัวกำรร่วมกันกระทำควำมผิดฐำนร่วมกัน
ฉ้อโกงตำม ป.อ. มำตรำ ๓๔๑

หำกเปลี่ยนขอ้ เทจ็ จริงเป็นหลอกขอเชำ่ ทรัพย์ เป็นกำรหลอกเอำกำรครอบครอง เพรำะกำร
เชำ่ ทรัพยไ์ ม่ใช่สญั ญำที่มีวตั ถุท่ีประสงค์ในกำรโอนกรรมสิทธิ์ กำรเอำไปจึงเปน็ ควำมผิดฐำนลักทรัพย์
(ดเู พ่ิมเตมิ ใน ดร. เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, กฎหมำยอำญำควำมผิดเล่ม ๓, พิมพ์ครั้งท่ี ๒, กรุงเทพฯ,
๒๕๕๕. หน้ำ ๑๐)

ฎีกาที่ ๔๖๐๘/๒๕๖๐ ฎ.๖๕๗ จาเลยท่ี ๒ เป็นผู้วางแผนและมอบเงินให้จาเลยท่ี ๑ ไป
เช่าซ้ือรถจักรยานยนต์จากโจทก์ร่วม โดยไม่มีเจตนาที่จะผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อ เพียงแต่อาศัย
การหลอกลวงโจทก์ร่วมว่าจะปฏิบัติตามสัญญาเพ่ือเป็นช่องทางให้ได้รถจักรยานยนต์ไป ครั้น
ได้รถจักรยานยนต์มาแล้ว จาเลยที่ ๒ นารถจักรยานยนต์ไปและให้เงินค่าจ้างแก่จาเลยท่ี ๑ ดังน้ี
เปน็ การรว่ มกระทาความผิดโดยแบ่งหนา้ ท่ีกนั ทาตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๑ ประกอบมาตรา ๘๓

ฎีกาท่ี ๙๖๖๓/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๘ น.๒๐๖ ผู้เสียหายไม่ได้มอบหมายให้จาเลยเบิกเงิน
๔๙๐,๐๐๐ บาท จากบัญชีของผู้เสียหายที่เปิดไว้ท่ีธนาคารกรุงเทพ จากัด (มหาชน) สาขาตาก
แต่เป็นเจตนาของจาเลยที่ต้องการได้เงินโดยมิชอบ และหาวิธีการโดยการปลอมใบถอนเงินนาไป
หลอกลวงเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อให้ได้มาซ่ึงเงินจานวนดังกล่าว ดังน้ัน เงินที่จาเลยได้มาตามฟ้อง
แม้จะเป็นเงินท่ีเจ้าหน้าที่ธนาคารทาพิธีการทางบัญชีของธนาคารหักจากบัญชีของผู้เสียหายก็ตาม
แต่เป็นเพราะจาเลยนาเอกสารปลอมไปหลอกลวงจนเจ้าหน้าที่ของธนาคารหลงเช่ือ เงินท่ีจาเลยได้
ไปจึงเป็นเงินของธนาคาร มิใชเ่ งินของผู้เสียหายตาม ป.พ.พ. มาตรา ๖๗๒ จาเลยจึงไม่มีความผิดฐาน

487

ยักยอกเงนิ ผู้เสยี หาย แต่เปน็ ความผิดฐานฉอ้ โกง
ข้อสังเกต คดีน้ีไมม่ ีทำงเป็นกำรยักยอกได้ เพรำะกำรจะมีควำมผิดฐำนยกั ยอก ผู้กระทำผิดต้องได้รับ
มอบกำรครอบครองมำโดยถูกต้องแล้วมีเจตนำเบียดบังเอำไป แต่ที่ศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำจำเลย
มีควำมผิดฐำนฉ้อโกงไม่ใช่ยักยอก เป็นกำรวินิจฉัยตำมฎีกำของคู่ควำม ที่จริงคดีน้ีประเด็นน่ำจะ
พิจำรณำเป็นเร่ืองกำรลักทรัพย์โดยใช้อุบำยกับฉ้อโกง เพรำะมีกำรหลอกลวงและได้ทรัพย์ไป กรณี
ถ้ำเป็นกำรหลอกเอำกรรมสิทธิ์ จะเป็นควำมผิดฐำนฉ้อโกง แต่ถ้ำเป็นกำรหลอกเอำกำรครอบครอง
จะเป็นควำมผิดฐำนลักทรัพย์ สำหรับกำรทำธุรกรรมกับธนำคำร หำกเป็นกำรปลอม ๑. ใบถอนเงิน
และ ๒. ใบมอบอำนำจในกำรรบั เงิน เป็นกำรหลอกเอำกำรครอบครอง เพรำะหลอกว่ำเจ้ำของบัญชี
ให้มำเบิกเงินแทน หำกเอำไปจะผิดลักทรัพย์ แต่ถ้ำปลอมเฉพำะใบถอนเงิน และหลอกเจ้ำหน้ำที่
ธนำคำรว่ำเป็นเจ้ำของบัญชีมำเบิกเงิน จะเป็นกำรหลอกเอำกรรมสิทธ์ิ เพรำะเมื่อพนักงำนธนำคำร
มอบเงินให้ก็จะเอำไปเลย จะเป็นควำมผิดฐำนฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอ่ืนตำมมำตรำ ๓๔๒ (๑)

ฎีกาท่ี ๕๔๒๗/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๖ น.๑๘๗ จาเลยทราบมาต้ังแต่แรกแล้วว่าต้นสักพิพาท
เป็นของโจทก์ร่วม หากจาเลยมีเจตนาตัดต้นสักพิพาทเพียงเพ่ือต้องการนาที่ดินที่ต้นสักรุกล้าเข้ามา
ในที่ดินของจาเลยปลูกอ้อยจริงแล้ว จาเลยก็น่าจะตัดต้นสักและขนย้ายต้นสักพิพาทให้ออกไปจาก
ท่ดี ินของจาเลยเท่าน้ัน แต่ภายหลังท่ีจาเลยตัดต้นสักพิพาทแลว้ จาเลยใช้รถยนต์ขนต้นสักแล้วนาไป
ไว้ท่ีบ้านจาเลย และไม้สักบางส่วนจาเลยนาไปแปรรูป การที่จาเลยนาไม้สักพิพาทซ่ึงจาเลยทราบ
มาแต่แรกว่าเป็นของโจทก์ร่วมไปแปรรูป ย่อมแสดงว่าจาเลยมีเจตนาที่จะแสวงหาประโยชน์จาก
ไม้สกั พิพาทของโจทก์ร่วมแล้ว กบั ทั้งจาเลยเคยทาบันทกึ กับโจทก์ร่วมว่าจะใช้สิทธิทางศาล แตจ่ าเลย
ก็หาได้กระทาตามบันทึกฉบบั ดังกลา่ วไม่ การกระทาของจาเลยจึงเป็นการเอาทรัพย์ของโจทก์ร่วมไป
โดยทุจริตอันเป็นความผิดฐานลกั ทรพั ยต์ าม ป.อ. มาตรา ๓๓๔

พาทรพั ย์เคลื่อนท่ีไป

ข้อ ๘๙ คาถาม นางหวานเดินดูสินค้าในห้างสรรพสินค้าแห่งหน่ึง ขณะท่ีกาลังเดินดูสินค้า
อยู่นั้นนางหวานนึกข้ึนได้ว่าตนลืมเอากระเป๋าสตางค์มา แต่นางหวานอยากได้แชมพูสระผมไม่อยาก
ย้อนกลับมาท่ีห้างอีก นางหวานจึงหยิบแชมพูสระผมหนึ่งขวดใส่กระเป๋าสะพายแล้วเดินออกมาจาก
จุดวางสินค้า ก่อนที่จะผ่านจุดที่ลูกค้าต้องชาระค่าสินค้าแก่พนักงานเก็บเงินของห้างสรรพสินค้า
ประมาณ ๒๐๐ เมตร นางหวานกลัวความผดิ จึงนาแชมพูสระผมกลบั ไปวางท่ีเดิม

ให้วินิจฉัยว่า นางหวานมีความผิดฐานใด
คาตอบ แม้การที่ห้างนาสินค้ามาวางจาหน่ายจะถือว่ายินยอมส่งมอบสินค้าให้แก่ลูกค้า
แตก่ ถ็ อื วา่ ห้างยินยอมสง่ มอบสนิ คา้ ให้แกล่ กู ค้าทีน่ าสินค้าไปชาระเงินแกห่ า้ งเท่าน้นั เม่ือนางหวาน
หยิบแชมพูสระผมหนึ่งขวดใส่กระเป๋าสะพายโดยต้ังใจจะไม่ชาระเงินให้แก่ห้าง ต้องถือว่าห้าง
ไม่ยินยอมส่งมอบสินค้า การกระทาของนางหวานจึงเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไป ซ่ึงครบ

488

องคป์ ระกอบภายนอกของความผิดฐานลักทรัพย์แล้ว
เมื่อนางหวานทราบว่าตนลืมเอากระเป๋าสตางค์มา การกระทาดังกล่าวจึงเป็นการกระทา

โดยรู้ข้อเท็จจริงท่ีเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิดว่าเป็นการเอาไปซ่ึงทรัพย์ของผู้อ่ืน
ต้องถือว่านางหวานมีเจตนากระทาความผิดฐานลักทรัพย์แล้ว และยังเป็นการกระทาเพ่ือ
แสวงหาประโยชน์ท่ีมิควรไดโ้ ดยชอบด้วยกฎหมายสาหรบั ตนเองอันเป็นการกระทาโดยทุจริตตาม
มาตรา ๑ (๑) (เทยี บฎีกาที่ ๔๑๓/๒๕๕๒)

การกระทาของนางหวานครบองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์และนางหวานเข้า
ยึดถือครอบครองและเอาทรัพย์เคลื่อนไปในลักษณะท่ีพาเอาไปได้เป็นการลักทรัพย์สาเร็จแล้ว
(เทียบฎีกาท่ี ๓๐๑๑/๒๕๕๑) แม้นางหวานยังไม่ผ่านจุดที่ลูกค้าต้องชาระค่าสินค้าแก่พนักงาน
เกบ็ เงนิ และนาแชมพูสระผมกลับไปวางทเ่ี ดิม ก็ไมท่ าให้ความผิดฐานลักทรพั ย์ท่สี าเร็จไปแล้วกลับ
ไม่เป็นความผิด และไม่เป็นการกลับใจแก้ไขไม่ให้เกิดผลตามมาตรา ๘๒ เพราะการกลับใจ
ที่จะได้รับยกเว้นโทษตามมาตรา ๘๒ จะต้องเป็นการกลับใจขณะท่ีความผิดอยู่เพียงข้ันพยายาม
กระทาความผิด หรืออีกนัยหน่ึงก็คือต้องกลับใจก่อนที่ความผิดจะสาเร็จ เมื่อการกระทาของ
นางหวานเป็นความผิดสาเร็จแลว้ ก็ไม่อาจกลบั ใจได้ แตอ่ ย่างไรก็ตามการที่นางหวานกลัวความผิด
นาแชมพูกลับไปวางที่เดิม เป็นการรู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดน้ัน
ถือว่ามีเหตุบรรเทาโทษ ถ้าศาลเห็นสมควรจะลดโทษไม่เกินก่ึงหนึ่งของโทษท่ีจะลงแก่ผู้กระทา
ความผิดน้ันก็ได้ตามมาตรา ๗๘
ข้อสังเกต คำถำมข้อน้ีนำข้อเท็จจริงตำมฎีกำท่ี ๔๑๓/๒๕๕๒ มำดัดแปลงโดยนำข้อสังเกตของ
ศำสตรำจำรย์ไพโรจน์ วำยุภำพ ท่ีให้ไว้ มำแต่งเป็นคำถำมย้ำเตือนให้แม่นในหลักกฎหมำยว่ำ
กำรลักทรัพย์สำเร็จคือกำรพำทรัพย์เคลื่อนที่ไป ไม่ใช่พำผ่ำนจุดชำระเงิน แต่ถ้ำหยิบสินค้ำเคล่ือนที่
ไปโดยตง้ั ใจจะนำไปจ่ำยเงินและนำไปจ่ำยเงิน กำรกระทำจะไม่เป็นควำมผิดฐำนลักทรพั ย์ เพรำะเป็น
กำรเอำไปโดยเจำ้ ของยินยอมสง่ มอบกำรครอบครอง

ฎีกาที่ ๔๑๓/๒๕๕๒ ฎ.๓๒ จาเลยยังมิได้พาเตาอบไฟฟ้าของผู้เสียหายออกไปพ้นนอก
ห้างสรรพสินค้าของผู้เสียหาย แต่ก็ได้เคล่ือนย้ายเตาอบไฟฟ้าออกจากจุดท่ีผู้เสียหายเก็บหรือวาง
ทรัพย์น้ันไว้ ท้ังยังผ่านจุดท่ีลูกค้าจะต้องชาระค่าสินค้าแก่พนักงานเก็บเงินไปแล้ว จึงถือได้ว่าจาเลย
พาทรัพย์ของผู้เสียหายเคล่ือนที่ไปแล้วโดยมีเจตนาทุจริต การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิด
สาเรจ็
หมายเหตุ (โดยศำสตรำจำรย์ไพโรจน์ วำยุภำพ) กำรกระทำควำมผิดฐำนลักทรัพย์เป็นกำรเอำ
ทรัพย์ไป เป็นควำมผิดสำเร็จเม่ือทรัพย์เคลื่อนที่ กำรท่ีจำเลยเคล่ือนย้ำยเตำอบไฟฟ้ำออกจำกจุดท่ี
ผู้เสียหำยเก็บหรือวำงทรัพย์เป็นกำรเอำทรัพย์ไป จึงเป็นควำมผิดสำเร็จ กำรผ่ำนจุดชำระเงินโดย
ไมช่ ำระเงิน เปน็ เรื่ององค์ประกอบภำยในท่แี สดงว่ำจำเลยมีเจตนำทุจริตหรือไม่เท่ำนั้น เน่อื งจำกกำร
ซื้อสินค้ำในห้ำงสรรพสินค้ำต้องนำสินค้ำมำชำระเงินแก่พนักงำนเก็บเงินเท่ำนั้น ตรำบใดที่ยังไม่ผ่ำน
จุดชำระเงินจำเลยยังชำระเงินได้ กำรพิสูจน์ถึงเจตนำทุจริตก่อนน้ันจึงทำได้ยำก ดังนั้น ถ้ำพิสูจน์

489

ได้ว่ำจำเลยมีเจตนำทุจริตและเคล่ือนย้ำยเตำอบไฟฟ้ำ ก็เป็นควำมผิดสำเร็จ แม้เปลี่ยนใจยอม
ชำระเงนิ ตอนผำ่ นจุดชำระเงิน กไ็ มเ่ ปน็ กำรพยำยำมกระทำควำมผดิ หรอื ไม่มคี วำมผดิ ฐำนลักทรพั ย์

ฎีกาท่ี ๓๐๑๑/๒๕๕๑ ฎ.๑๒๔๐ จาเลยข้ึนนั่งคร่อมและเข็นรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย
ออกมาจากจุดท่ีจอดเดิมประมาณ ๑ เมตร แต่จาเลยยังไม่ทันติดเครื่องรถขับเอาไปเพราะผู้เสียหาย
มาพบเห็นเสียก่อน จาเลยจึงท้ิงรถวิง่ หนีไป ถือได้ว่าจาเลยเข้ายึดถือครอบครองและเอาทรัพย์เคลื่อน
ไปในลักษณะทพ่ี าเอาไปไดเ้ ปน็ การลักทรัพยส์ าเรจ็ แล้ว

ลงมือลักทรัพย์แล้วหรือไม่

ฎีกาท่ี ๔๙๓๘/๒๕๕๔ ฎ.๒๒๘๗ จาเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ กับพวก นารถบรรทุกของกลาง
เข้าไปจอดในบริเวณโรงงานท่ีเกิดเหตุซ่ึงล้อมร้ัวสังกะสีไว้ในยามวกิ าล แล้วจาเลยที่ ๒ ใช้ไฟฉายส่อง
ไปที่มอเตอร์ซ่ึงติดตั้งอยู่บนโครงเหล็ก เป็นการสารวจทรัพย์ที่จะลักและเพื่อจะขนทรัพย์น้ันไปไว้บน
รถบรรทุกของกลางที่นาเข้ามาในบริเวณโรงงานท่ีเกิดเหตุ แม้จาเลยท่ี ๒ ยังไม่ได้แตะต้องตัวทรัพย์
แต่นับว่าใกล้ชิดพร้อมท่จี ะเอาทรัพย์ไปได้ในทันทีทันใด การกระทาของจาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ กับพวก
อยู่ในข้ันลงมือกระทาความผิดแล้วเพียงแต่กระทาไปไม่ตลอด เพราะ บ. กับพวกพบจาเลยที่ ๒
กับพวกก่อนที่จาเลยที่ ๒ กับพวกจะลักทรัพย์ไป การกระทาของจาเลยที่ ๑ และท่ี ๒ จึงเป็น
ความผิดฐานร่วมกันบุกรกุ และพยายามลักทรพั ย์

ฎีกาท่ี ๔๘๒๗/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล. ๖ น.๑๕๕ จาเลยท่ี ๑ เป็นผู้ตรวจค้นศพผู้ตายและเป็น
ผู้รวบรวมทรัพย์สิ่งของในตัวผู้ตายรวมท้ังบัตรต่าง ๆ ของผู้ตาย แล้วจาเลยที่ ๑ เอาบัตรถอนเงินสด
ของผู้ตายและของผู้เสียหายทั้งสองไป จาเลยที่ ๑ มอบบัตรถอนเงินสดดังกล่าวให้แก่จาเลยที่ ๒
ไปถอนเงิน แล้วจาเลยท่ี ๒ นาบัตรถอนเงินสดไปถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายท่ี ๒ ผ่าน
เครื่องถอนเงินอัตโนมัติ ๒ คร้ัง จากบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายท่ี ๑ จานวน ๑ ครั้ง และจากบัญชี
เงินฝากของผู้ตาย ๑ ครั้ง แต่ไม่ได้เงิน เป็นกรณีท่ีจาเลยที่ ๑ ลักเอาบัตรถอนเงินสดของผู้ตายและ
ของผ้เู สยี หายท้งั สองไป และการที่จาเลยที่ ๑ ใหจ้ าเลยท่ี ๒ นาบัตรถอนเงินสดดงั กล่าวไปลกั เงนิ จาก
บัญชีเงินฝากของผู้ตายและผู้เสียหายทั้งสองโดยผ่านเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ จึงเป็นผู้ใช้ให้ผู้อ่ืน
กระทาความผิดฐานลักทรัพย์ แต่สาหรับบัตรถอนเงินสดของผู้ตายที่จาเลยท่ี ๒ ไม่สามารถถอนเงิน
จากบญั ชเี งนิ ฝากไดเ้ น่ืองจากไม่มีเงนิ อยู่ในบัญชีเงนิ ฝาก จึงเปน็ ความผิดฐานพยายามลักทรพั ย์
ข้อสงั เกต บัตรถอนเงนิ สดเป็นเอกสำรและยงั เปน็ บตั รอเิ ลก็ ทรอนิกสด์ ว้ ย

ฎีกาที่ ๑๐๘๕๔/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๑๔๔ ความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ตามลักษณะ
ของความผิดไม่อาจทราบได้วา่ ทรัพย์ทจี่ าเลยทั้งสองจะลักเป็นทรัพย์อะไรและมมี ูลค่าเพียงใด เพราะ
จาเลยทั้งสองเพียงแต่ลงมือกระทาความผิดเท่าน้ัน แต่ยังไม่ได้เอาทรัพย์ไป ดังน้ัน การท่ีโจทก์
บรรยายฟ้องว่า จาเลยทั้งสองร่วมกันบุกรกุ เข้าไปในหอ้ งพักอาศัยอันเป็นเคหสถานของโรงแรมท่เี ป็น
ท่ีเกิดภัยพิบัติคลื่นยักษ์พัดถล่ม เพ่ือลักทรัพย์สินของโรงแรมและนักท่องเที่ยวที่เก็บรักษาไว้ใน

490

ห้องพัก จาเลยท้ังสองลงมือกระทาความผิดแล้วแต่กระทาไปไม่ตลอด เพราะมีผู้พบเห็นและ
เข้าขัดขวาง จึงไม่อาจลักทรัพย์สินของผู้อ่ืนไปได้สาเร็จ ฟ้องโจทก์จึงเป็นการบรรยายครบถ้วนตาม
ป.วิ.อ. มาตรา ๑๕๘ (๕) แล้ว เพียงแต่ไม่ได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์ที่จาเลยท้ังสองพยายาม
ลักเท่านั้น แต่เม่ืออ่านคาฟ้องโดยตลอดแล้ว ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าจาเลยทั้งสองร่วมกันพยายาม
ลักทรพั ยข์ องผู้อื่น ฟ้องโจทก์จงึ ระบุข้อเทจ็ จรงิ รายละเอยี ดเก่ียวกบั บุคคลและสิ่งของพอสมควรเท่าที่
จะทาให้จาเลยท้ังสองเข้าใจข้อหาได้ดี และตอ่ สู้คดีได้ หาจาต้องระบุรายละเอียดเก่ียวกับทรัพย์สินท่ี
จาเลยทง้ั สองพยายามลักทรัพย์ไม่

พาทรัพยเ์ คลือ่ นท่ีไป

ฎีกาท่ี ๑๔๗๑๕/๒๕๕๗ การท่ีจาเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ ร่วมกันตัดผลปาล์มของผู้เสียหายจน
หล่นลงมากองอยู่บนพื้น เป็นการแยกหรือเคล่ือนท่ีผลปาล์มออกจากต้น แต่ยังไม่ทันรวบรวม
ผลปาล์ม ผู้เสียหายกม็ าพบเสียก่อน ยังถอื ไม่ได้ว่าจาเลยที่ ๑ และที่ ๒ เข้ายดึ ถือเอาผลปาล์มจานวน
น้ันไว้แล้ว อันเป็นการเอาไปซ่ึงทรัพย์ของผู้เสียหาย กรณีจึงเป็นความผิดฐานพยายามร่วมกัน
ลักทรัพย์เท่านนั้

ฎีกาท่ี ๔๓๙๙-๔๔๐๐/๒๕๕๕ ฎ.๒๗๘๓ จาเลยทงั้ สองเข้าไปพดู กับ ช. และ ภ. ซึง่ ทาหนา้ ท่ี
เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทผู้เสียหายบริเวณประตูทางออก เพื่อให้ บ. นารถซ่ึง
บรรทุกกล่องกระดาษของผู้เสียหายออกไปจากบริษัทผู้เสียหาย แม้คนร้ายได้เคลื่อนย้ายกล่อง
กระดาษจากบรเิ วณที่ผ้เู สียหายเก็บไว้ในโกดังข้ึนรถบรรทกุ หกลอ้ แต่รถบรรทุกหกล้อยังคงอยภู่ ายใน
โรงงานของผู้เสยี หายซ่ึงมีพนักงานรักษาความปลอดภยั ดูแลอยู่ด้วย ทั้งพนักงานรักษาความปลอดภัย
ไม่ยินยอมให้ บ. นากล่องกระดาษออกไป จึงถือว่าการแย่งกรรมสิทธิ์ในกล่องกระดาษของ บ.
ยงั ไม่สมบูรณ์ ขนั้ ตอนการลกั ทรัพย์ของ บ. ยังกระทาการไม่แล้วเสรจ็ การนารถบรรทุกหกล้อบรรทุก
กล่องกระดาษออกจากบริษัทของผู้เสียหายเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องเก่ียวพันกับการลักทรัพย์ท่ีจาเลย
ท้ังสองพูดกับ ภ. และ ช. เพ่ือให้นารถบรรทุกหกล้อออกไปจากโรงงานผู้เสียหาย จึงถือเป็นการ
ชว่ ยเหลือหรือให้ความสะดวกในขณะท่ี บ. ลงมือกระทาความผิดฐานลกั ทรพั ย์ เม่ือ บ. ไม่สามารถนา
กล่องกระดาษออกไปได้ การกระทาของ บ. ย่อมเป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ การกระทาของ
จาเลยทั้งสองจงึ เป็นความผดิ ฐานสนบั สนนุ บ. ในการกระทาความผิดฐานพยายามลักทรพั ย์
ข้อสังเกต ข้อเทจ็ จริงคดนี ้ีฟงั ไม่ได้ว่ำจำเลยร่วมกับ บ. กระทำผดิ จงึ เป็นผสู้ นบั สนนุ แตถ่ ำ้ ขอ้ เทจ็ จริง
ฟังว่ำนัดกันมำกระทำควำมผดิ จะเปน็ ตวั กำรไม่ใชผ่ ้สู นบั สนนุ

ฎีกาท่ี ๑๖๙๐/๒๕๕๕ ฎ.๒๙๒ จาเลยท้ังสองตัดต้นไม้จนแยกขาดออกจากลาต้น จากน้ัน
เคล่ือนย้ายไม้ไปวางบนพื้นและมีการเลื่อยแปรรูปบางส่วน อันเป็นการทาให้ต้นไม้ท่ีจาเลยท้ังสองลัก
เคล่ือนที่จากท่ีตั้งและเปลี่ยนแปลงสภาพจากเดิม แม้จาเลยท้ังสองยังมิได้ขนย้ายออกไปจากท่ีเกิด
เหตุ เนื่องจากมีน้าหนักมากหรอื เป็นเพราะยังแปรรูปไมเ่ สรจ็ ก็เรียกไดว้ ่าเป็นการลกั ทรัพยส์ าเร็จแล้ว

491

หาใชเ่ ปน็ เพียงการพยายามลักทรัพยไ์ ม่
ฎีกาที่ ๔๑๓/๒๕๕๒ ฎ.๓๒ จาเลยยังมิได้พาเตาอบไฟฟ้าของผู้เสียหายออกไปพ้นนอก

ห้างสรรพสินค้าของผู้เสียหาย แต่ก็ได้เคล่ือนย้ายเตาอบไฟฟ้าออกจากจุดท่ีผู้เสียหายเก็บหรือวาง
ทรัพย์น้ันไว้ ทั้งยังผ่านจุดที่ลูกค้าจะต้องชาระค่าสินค้าแก่พนักงานเก็บเงินไปแล้ว จึงถือได้ว่าจาเลย
พาทรัพย์ของผู้เสียหายเคลื่อนที่ไปแล้วโดยมีเจตนาทุจริต การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิด
สาเร็จ
หมายเหตุ (โดยศำสตรำจำรย์ไพโรจน์ วำยุภำพ) กำรกระทำควำมผิดฐำนลักทรัพย์เป็นกำรเอำ
ทรัพย์ไป เป็นควำมผิดสำเร็จเมื่อทรัพย์เคลื่อนที่ กำรที่จำเลยเคล่ือนย้ำยเตำอบไฟฟ้ำออกจำกจุดท่ี
ผู้เสียหำยเก็บหรือวำงทรัพย์เป็นกำรเอำทรัพย์ไป จึงเป็นควำมผิดสำเร็จ กำรผ่ำนจุดชำระเงินโดย
ไมช่ ำระเงิน เปน็ เร่ืององค์ประกอบภำยในทแ่ี สดงว่ำจำเลยมีเจตนำทุจรติ หรือไมเ่ ท่ำนั้น เน่อื งจำกกำร
ซื้อสินค้ำในห้ำงสรรพสินค้ำต้องนำสินค้ำมำชำระเงินแก่พนักงำนเก็บเงินเท่ำนั้น ตรำบใดท่ียังไม่ผ่ำน
จุดชำระเงินจำเลยยังชำระเงินได้ กำรพิสูจน์ถึงเจตนำทุจริตก่อนน้ันจึงทำได้ยำก ดังนั้น ถ้ำพิสูจน์
ได้ว่ำจำเลยมีเจตนำทุจริตและเคล่ือนย้ำยเตำอบไฟฟ้ำ ก็เป็นควำมผิดสำเร็จ แม้เปลี่ยนใจยอม
ชำระเงินตอนผ่ำนจดุ ชำระเงิน ก็ไมเ่ ปน็ กำรพยำยำมกระทำควำมผิด หรือไมม่ ีควำมผดิ ฐำนลกั ทรัพย์

ฎีกาท่ี ๖๖๕๖/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๘๐ หลักเร่ืองการโอนกรรมสิทธิ์ตาม ป.พ.พ. ท่ีจาเลย
กล่าวอ้างมาน้ัน เป็นหลักการพิจารณาเก่ียวกับความรับผิดในทางแพ่งของสัญญาซื้อขายที่ได้กระทา
โดยสุจริต ซ่ึงเป็นคนละกรณีกับการพิจารณาความรับผิดในทางอาญาดังเช่นในกรณีนี้ เน่ืองจาก
ทรัพย์สินของผู้เสียหายท่ีวางไว้ในร้านของผู้เสียหายเพ่ือจาหน่ายแก่ผู้มาซ้ือ กรรมสิทธิ์และสิทธิ
ครอบครองในทรัพย์สินดังกล่าวย่อมเป็นของผู้เสียหาย เม่ือจาเลยเอาไปซ่ึงทรัพย์สินดังกล่าวด้วย
วิธีการซุกซ่อนไว้ในเส้ือผ้าของจาเลย โดยมีเจตนาที่จะไม่ชาระราคาทรัพย์สินน้ัน จึงเป็นการกระทา
โดยมีเจตนาทุจริตเพ่ือได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายดังกล่าวไป การกระทาของจาเลยจึงครบ
องคป์ ระกอบความผิดฐานลกั ทรพั ย์แล้ว
ข้อสังเกต จำเลยอ้ำงว่ำเมื่อร้ำนค้ำนำสินค้ำมำวำงขำย เป็นคำเสนอ กำรท่ีจำเลยเอำทรัพย์ไป
เป็นกำรทำคำสนอง สัญญำเกิดและกรรมสิทธิ์ในทรัพย์โอนเป็นของจำเลย จำเลยไม่ผิดลักทรัพย์
ปัญหำนี้ถ้ำจะตอบให้ตรงข้อท่ีจำเลยฎีกำก็คือ กรรมสิทธิ์ยังไม่โอน เพรำะร้ำนค้ำนำสินค้ำมำวำงขำย
เป็นคำเสนอต่อผู้ที่จะสนองรับให้เป็นกำรซ้ือขำย ไม่ใช่ให้มำขโมยกันดื้อ ๆ ถ้ำต้ังใจจะขโมย ก็ไม่ใช่
กำรทำคำสนองรับคำเสนอ สัญญำก็ไม่เกิด เพรำะกำรขโมยไม่ใช่กำรแสดงเจตนำทำคำสนอง เม่ือ
เอำไปโดยตงั้ ใจขโมยจึงผิดลกั ทรพั ย์

ฎกี าที่ ๓๔๖๓/๒๕๕๔ ฎ.๒๒๓๕ จาเลยน่ังคร่อมบนรถจักรยานยนต์ของผเู้ สียหาย เป็นการ
ลงมือกระทาความผิดฐานลักทรัพย์แล้ว แม้จาเลยจะสตาร์ทเครื่องด้วยเท้าไม่ติดและต่อสายตรง
ไม่สาเร็จ แต่จาเลยได้พารถเคลอ่ื นที่ไปจากที่จอดไว้ ๕ ถึง ๑๐ เมตร เป็นการพาทรัพย์เคลอ่ื นที่ไปได้
แลว้ การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผดิ สาเรจ็ ฐานลักทรัพย์
ข้อสังเกต แต่ถ้ำทรัพย์ยังไม่เคลื่อนท่ีฎีกำท่ี ๕๗๒๕/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๐๕ จำเลยที่ ๑ เดิน

492

ไขกุญแจรถจักรยำนยนต์ไปเรื่อย ๆ ประมำณ ๑๐ กว่ำคันจนกว่ำจะไขกุญแจรถได้ และกำรที่จำเลย
ท่ี ๑ ขึ้นไปน่ังคร่อมรถจกั รยำนยนต์ของผ้เู สยี หำยเพื่อจะไขกญุ แจรถนั้น แสดงว่ำจำเลยที่ ๑ มีเจตนำ
ลักรถจักรยำนยนต์ของผู้เสียหำย แต่จำเลยที่ ๑ เพียงนั่งคร่อมรถจักรยำนยนต์ของผู้เสียหำยโดย
ยังไม่ได้เอำรถออก จึงเป็นกำรลงมือลักทรัพย์แล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอด เพรำะเจ้ำพนักงำนตำรวจ
และผู้เสียหำยมำถึงท่ีเกดิ เหตกุ ่อน ทำให้จำเลยที่ ๑ เอำรถจักรยำนยนตข์ องผ้เู สยี หำยไปไม่ได้ จำเลย
ท่ี ๑ ย่อมมีควำมผิดฐำนพยำยำมลักทรัพย์ในเวลำกลำงคืน จำเลยที่ ๒ เป็นภริยำของจำเลยที่ ๑
มำเท่ียวงำนแสดงสินค้ำดว้ ยกัน ไม่ปรำกฏว่ำจำเลยที่ ๒ กระทำกำรอย่ำงใดอย่ำงหน่ึงพอจะรับฟังได้
ว่ำเป็นกำรแบ่งหน้ำที่กันทำโดยดูต้นทำงให้จำเลยท่ี ๑ ลักทรัพย์ ฟังไม่ได้ว่ำจำเลยท่ี ๒ เป็นตัวกำร
รว่ มกระทำควำมผดิ กับจำเลยท่ี ๑

ฎีกาท่ี ๑๒๘๐/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๐๗ จาเลยท่ี ๒ วางแผนกับพวกหลอกว่าจ้างจาเลยที่
๑ นารถยกไปยกรถยนต์ของผู้เสียหายไปส่งให้จาเลยท่ี ๒ เพ่ือจาเลยท่ี ๒ จะยกรถยนต์ต่อไปยัง
จุดหมาย โดยจาเลยท่ี ๑ ไม่ทราบวา่ ตนเองเป็นเคร่ืองมือของคนรา้ ย จาเลยท่ี ๒ จึงเปน็ ตัวการในการ
ลักรถยนต์โดยใช้จาเลยท่ี ๑ เป็นเคร่ืองมือในการกระทาความผิดของตน จาเลยที่ ๑ จึงไม่ได้ร่วม
กระทาผิด

จาเลยท่ี ๑ ขับรถยกยกรถยนต์ของผู้เสียหายขยับออกไปจากท่ีจอดไม่ถึง ๑ เมตร โดยส่วน
หน้าของรถยนต์ของผู้เสียหายถูกยกขึ้นไปเกยบนคานของรถยกและมีโซ่คล้องรถยนต์ของผู้เสียหาย
ผกู ยึดติดกบั รถยกของจาเลยท่ี ๑ พร้อมท่ีจะขบั เคลื่อนพารถยนต์ของผู้เสียหายออกไปได้ทันที ถือว่า
จาเลยท่ี ๑ ซึ่งจาเลยท่ี ๒ ใช้เป็นเครอ่ื งมือ ได้เข้ายดึ ถือครอบครองรถยนต์ของผู้เสยี หายโดยสมบูรณ์
พรอ้ มที่จะเอาไปได้แล้ว จึงถอื ว่าจาเลยท่ี ๒ ไดเ้ อาไปซงึ่ รถยนต์ของผ้เู สียหายเปน็ การลักทรพั ย์สาเร็จ
แม้จาเลยท่ี ๑ จะยังไม่ทันขับรถยกลากจูงรถยนต์ของผู้เสียหายออกไปก็ตาม หาใช่เพียงพยายาม
ลักทรพั ยไ์ ม่

ฎีกาที่ ๕๔๘/๒๕๔๘ ฎ.ส.ล.๑ น.๙๙ กระบือ ๑๓ ตัว หายไปจากทุ่งเลี้ยงตั้งแต่เวลา
ประมาณเที่ยงวัน น. พยานโจทก์ไปตามคืนมาได้ ๑๑ ตัว เม่ือเวลาประมาณ ๑๗ นาฬิกา แสดงว่า
กระบือ ๒ ตัว สูญหายไปในเวลากลางวัน แม้จะมีการขนถ่ายข้ึนรถยนต์บรรทุกของ ณ. ในตอนค่า
ก็เป็นเวลาหลงั จากการลักกระบอื สาเรจ็ ลงแล้ว เหตจุ ึงมไิ ดเ้ กดิ ในเวลากลางคืน การกระทาของจาเลย
จงึ เปน็ เพยี งความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๗) วรรคสาม ประกอบมาตรา ๓๓๖ ทวิ
ข้อสังเกต ควำมผิดฐำนลักทรัพย์เป็นควำมผิดสำเร็จเม่ือพำทรัพย์เคล่ือนท่ีไป เมื่อทรัพย์เคลื่อนที่ไป
ตั้งแต่เวลำกลำงวัน ควำมผิดก็สำเร็จลง แม้จะพำเคลื่อนที่ต่อไปจนถึงเวลำกลำงคืน ก็ไม่เป็นควำมผิด
ฐำนลักทรัพย์ในเวลำกลำงคืน เพรำะควำมผิดฐำนลักทรัพย์ไม่ใช่ควำมผิดต่อเน่ือง แต่เป็นควำมผิด
ทส่ี ำเร็จเมอ่ื พำทรัพยเ์ คล่อื นท่ไี ป

ฎีกาท่ี ๗๖๔๗/๒๕๔๘ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๒๔๒ จาเลยเป็นคนร้ายงัดฝาสังกะสีบ้านผู้เสียหาย
แล้วเข้าไปในบ้านเอาโทรทัศน์ เครื่องเป่าผม ไมโครโฟนและรีโมทของผู้เสียหายเคลื่อนท่ีจากท่ีเคย
วางมาวางอยู่ตรงบริเวณที่มีรอยงัด การกระทาของจาเลยจึงเป็นการเอาทรัพย์ของผู้เสียหายเคลื่อน

493

ไปในลักษณะท่ีสามารถจะเอาไปได้แล้ว แม้ว่ายังไม่ทันเอาเคลื่อนที่พ้นไปจากบ้าน การกระทาของ
จาเลยกเ็ ปน็ ความผิดฐานลักทรพั ยส์ าเร็จ มใิ ช่ความผิดฐานพยายามลักทรพั ย์
ข้อสังเกต หำกเป็นกรณีที่มีพนักงำนรักษำควำมปลอดภัยดูแลทรัพย์ก่อนนำออกจำกอำคำร แม้
ทรัพย์จะเคลื่อนท่ี แต่ยังนำออกไปจำกอำคำรไม่ได้ เป็นเพียงพยำยำมลักทรัพย์ เช่น บ. เคล่ือนย้ำย
ทรัพย์จำกบริเวณท่ีผู้เสียหำยเก็บไว้ในโกดังข้ึนรถบรรทุกหกล้อ แต่รถบรรทุกหกล้อยังคงอยู่ภำยใน
โรงงำนของผู้เสยี หำยซึ่งมพี นกั งำนรักษำควำมปลอดภัยดูแลอยดู่ ้วย ทั้งพนักงำนรกั ษำควำมปลอดภัย
ไม่ยินยอมให้ บ. นำกล่องกระดำษออกไป จึงถือว่ำกำรแย่งกรรมสิทธ์ิในกล่องกระดำษของ บ.
ยงั ไม่สมบูรณ์ ข้นั ตอนกำรลกั ทรพั ย์ของ บ. ยงั กระทำกำรไม่แล้วเสรจ็ กำรนำรถบรรทุกหกล้อบรรทุก
กล่องกระดำษออกจำกบริษัทของผู้เสียหำยเป็นเหตุกำรณ์ต่อเนื่องเก่ียวพันกับกำรลักทรัพย์ที่จำเลย
ทั้งสองพูดกับ ภ. และ ช. เพ่ือให้นำรถบรรทุกหกล้อออกไปจำกโรงงำนผู้เสียหำย จึงถือเป็นกำร
ชว่ ยเหลือหรือให้ควำมสะดวกในขณะที่ บ. ลงมือกระทำควำมผิดฐำนลักทรพั ย์ เมื่อ บ. ไม่สำมำรถนำ
กล่องกระดำษออกไปได้ กำรกระทำของ บ. ยอ่ มเป็นควำมผิดฐำนพยำยำมลักทรัพย์ กำรกระทำของ
จำเลยท้ังสองจึงเป็นควำมผิดฐำนสนับสนุน บ. ในกำรกระทำควำมผิดฐำนพยำยำมลักทรัพย์ (ฎีกำที่
๔๓๙๙-๔๔๐๐/๒๕๕๕)

ฎีกาท่ี ๖๓๗๑/๒๕๔๘ ฎ.ส.ล.๙ น.๑๙๔ การท่จี าเลยนาชุดก้านสบู รถจักรยานยนต์ออกจาก
ท่ีเก็บซึ่งจาเลยไม่มีหน้าท่ีเก่ียวข้องด้วย แล้วนาไปวางบนผ้ากันเปื้อนของจาเลย แต่เม่ือถูกทักท้วง
จึงนาไปเก็บน้ัน แม้การกระทาของจาเลยยังอยู่ภายในโรงงานของผู้เสียหายก็ตาม แต่เป็นการนา
ทรัพย์ของผู้เสียหายออกจากท่ีเก็บของของผู้เสียหาย เป็นการเคล่ือนย้ายทรัพย์ไปจากความ
ครอบครองของผู้เสียหายแล้ว การนามาวางที่ผ้ากันเป้ือนของจาเลย ก็เป็นการท่ีจาเลยเข้าถือเอา
ทรัพย์น้ันแล้ว แม้จาเลยจะยังมิได้นาออกนอกโรงงานของผู้เสียหายก็ตาม การกระทาของจาเลย
ก็เป็นการเอาทรัพย์นั้นไปจากความครอบครองของผู้เสียหาย อันเป็นการกระทาผิดฐานลักทรัพย์
สาเรจ็ แล้ว
ข้อสังเกต ฎีกำนี้ไม่ปรำกฏว่ำมีพนักงำนรักษำควำมปลอดภัยดูแลทรัพย์ก่อนนำออกจำกอำคำร เม่ือ
ทรัพย์จะเคล่ือนท่ีจึงผดิ สำเรจ็

ฎีกาท่ี ๖๐๘๐/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๙ น.๒๑๙ จาเลยกับพวกอีก ๑ คนร่วมกันลักหม้อแปลง
ไฟฟ้าของผู้เสียหาย โดยข้ึนไปบนเสาไฟฟ้าแล้วเล่ือยตัดสายลวดสลิงท่ียึดหม้อแปลงไฟฟ้าและใช้
เชอื กผูกผลักลงจากคานบนเสาไฟฟ้า เม่ือหม้อแปลงไฟฟ้าเคล่ือนจากจุดท่ตี ิดต้ังเดิมและถูกเคลื่อนมา
อยู่ท่ีพ้ืนดิน ถือว่าเป็นการเอาไปซ่ึงทรัพย์หม้อแปลงไฟฟ้าอันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์สาเร็จแล้ว
แม้จาเลยกับพวกจะยังไม่ทันยกหม้อแปลงไฟฟ้าข้ึนรถยนต์กระบะของจาเลยเพราะหม้อแปลงไฟฟ้า
มีนา้ หนักมาก กรณีกห็ าใช่เป็นเพียงพยายามลักทรพั ย์ไม่

ฎีกาที่ ๒๔๓๙/๒๕๓๙ ฎ.ส.ล.๗ น.๓๒ ส. ลักสุราของผู้เสียหายออกจากโรงเก็บสินค้า ก.
ไปเก็บไว้ที่โรงเก็บสินค้า ล. แล้ว ส.พาจาเลยไปขนสุราซ่ึงกองอยู่หน้าโรงเก็บสนิ ค้า ล. ขณะที่จาเลย
ไปช่วยขนสุราของผู้เสียหายเป็นเวลาท่ี ส.ลักสุราของผู้เสียหายเสร็จแล้ว จาเลยจึงมิได้เป็นตัวการ

494

รว่ มกับ ส. ลักทรัพย์ แต่จาเลยผดิ ฐานรับของโจร
ข้อสังเกต เมื่อพำทรัพย์เคล่ือนท่ีไปควำมผิดฐำนลักทรัพย์สำเร็จลงแล้ว กำรท่ีจำเลยร่วมกับ ส.
กระทำผิดภำยหลังควำมผิดสำเร็จจึงไม่เป็นตัวกำร เพรำะกำรเป็นตัวกำรต้องมีกำรกระทำร่วมกัน
ขณะกระทำผิด และกำรช่วยเหลือให้ควำมสะดวกในกำรกระทำผิดท่ีจะเป็นผู้สนับสนุนต้องเป็นกำร
สนบั สนุนก่อนหรือขณะกระทำผิด เมอื่ มำร่วมกระทำหลังควำมผดิ สำเร็จจงึ ไม่เป็นผู้สนับสนุนด้วย แต่
เปน็ รบั ของโจรดงั ทีศ่ ำลฎกี ำวินิจฉัยไว้

ฎีกาท่ี ๘๓๑๘/๒๕๕๙ ฎ.๑๙๓๓ ศาลช้ันต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จาเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๕ ร่วมกัน
ลกั เอาสายไฟนามารวมกนั ไว้ในบริเวณที่เกิดเหตุ จากน้ันจึงหาโอกาสเขา้ ไปในหอ้ งเกิดเหตุเพอื่ ทาการ
ตดั และปอกสายไฟในลักษณะการทยอยปอกเอาลวดทองแดงออกไปจากห้องเกิดเหตุในลักษณะการ
กระทาผิดคร้ังเดียวกระทาต่อเน่ืองกันไปในแต่ละวันตามแตโ่ อกาสจะอานวย การกระทาของจาเลยท่ี
๑ ถึงท่ี ๕ จึงเป็นความผิดกรรมเดียว ดังนั้น วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และวันท่ี ๕ กรกฎาคม
๒๕๕๕ ซ่ึงเป็นวันที่โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวหาว่า จาเลยที่ ๗ ร่วมกระทาความผิดฐานลักทรัพย์
ตามลาดับ จาเลยท่ี ๑ ถึงท่ี ๕ ไม่ได้รว่ มกระทาความผิดฐานลักทรพั ย์เนื่องจากความผิดฐานลกั ทรัพย์
สาเร็จตั้งแต่วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ วันดังกล่าวตามฟ้องจาเลยที่ ๗ จึงไม่ได้ร่วมกระทาความผิด
ฐานลักทรัพย์ ต้องยกฟ้องโจทก์สาหรับจาเลยที่ ๗ ในความผิดฐานลักทรัพย์ ส่วนการท่ีจาเลยที่ ๗
ถอื ลวดทองแดงคะเนน้าหนักแล้ววางลงนนั้ ข้อเท็จจริงดังกล่าวไมม่ ีน้าหนักเพียงพอใหร้ ับฟงั วา่ จาเลย
ท่ี ๗ ช่วยซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสีย ซ้ือ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทา
ความผิดฐานลกั ทรัพย์ จาเลยที่ ๗ จึงไมไ่ ดก้ ระทาความผดิ ฐานรับของโจรด้วย

เป็นการเอาไปในลักษณะตดั กรรมสทิ ธิ์

ข้อ ๙๐ คาถาม นายหนึ่งเป็นลูกจ้างของนายสอง นายสองวางกุญแจรถพร้อมรีโมท
คอนโทรลไว้ที่โต๊ะทางานของนายหน่ึง นายหน่ึงนัดแฟนไปเท่ียว นายหนึ่งต้องการอวดแฟนว่าตน
มีรถยนต์ขับ นายหน่ึงได้ใชก้ ุญแจรถพร้อมรีโมทคอนโทรลดังกล่าวแอบเอารถยนต์ของนายสองขับไป
เท่ียวกลางคืน เมื่อขับรถไปเที่ยวกับแฟนแล้วก็ขับรถมาจอดท่ีเดิม พร้อมกับนากุญแจรถพร้อมรีโมท
คอนโทรลไปวางไวท้ เี่ ดิม โดยใชน้ ้ามนั ของนายสองไป ๓ ลติ ร

ให้วนิ จิ ฉัยว่านายหนึง่ มีความผดิ ฐานใด
คาตอบ การท่ีนายหน่ึงเอารถยนต์พร้อมกุญแจรถและรีโมทคอนโทรล ของนายสองขับไป
เท่ียวกลางคืน แล้วก็ขับรถพร้อมกุญแจรถและรีโมทคอนโทรลมาไว้ท่ีเดิม ไม่เป็นการเอาทรัพย์ของ
ผู้อ่ืนไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๔ เพราะการเอาไปตามมาตรา ๓๓๔ ต้องเป็นการ
เอาไปในลักษณะที่เป็นการตัดกรรมสิทธ์ิ การท่ีนายหน่ึงเพียงต้องการเอารถยนต์พร้อมกุญแจรถ
และรีโมทคอนโทรลของนายสองขบั ไปเที่ยวกลางคนื แล้วก็ขบั รถมาไว้ทเี่ ดิม เป็นการเอาไปชั่วคราว
จึงไม่เป็นการเอาไปซ่ึงทรัพย์ของผู้อื่นโดยเจตนาทุจริต ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา

495

๓๓๔ (๓ คะแนน) จึงไมเ่ ป็นความผิดฐานลกั ทรัพยท์ ีเ่ ป็นของนายจา้ งตามมาตรา ๓๓๕ (๑๑) ดว้ ย
ส่วนน้ามันท่ีอยู่ในรถ เป็นอุปกรณ์ของรถเพราะเป็นสังหาริมทรัพย์ที่เจ้าของทรัพย์

ประธานเติมไว้ใช้กับรถที่เป็นทรัพย์ประธานน้ัน เมื่อนายหนึ่งเอารถซ่ึงเป็นทรัพย์ประธานไป
ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ดังที่วินิจฉัยมาแล้ว การเอาน้ามันซ่ึงเป็นอุปกรณ์ของรถไปก็ไม่เป็น
ความผิดฐานลักทรัพย์เช่นเดียวกัน (๒ คะแนน) และการที่นายหนึ่งขับรถโดยใช้น้ามันไป ๓ ลิตร
ก็ไม่เป็นการทาให้เสียหาย ทาลาย ทาให้เส่ือมค่า หรือทาให้ไร้ประโยชน์ซ่ึงทรัพย์ของผู้อ่ืนตาม
มาตรา ๓๕๘ เพราะเปน็ การใชต้ ามปกติโดยสภาพของทรัพย์เชน่ นา้ มนั (๒ คะแนน) การเอานา้ มัน
ไปพร้อมรถและการขับรถโดยใช้น้ามนั ของนายหนงึ่ จงึ ไมเ่ ป็นความผดิ

รีโมทคอนโทลเป็นวัตถุท่ีผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้โดยบันทึกข้อมูลหรือรหัสไว้ด้วย
การประยุกต์ใช้วิธีการทางอิเล็กตรอนไฟฟ้า คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าตามมาตรา ๑ (๑๔) ก ดังน้ัน
การท่ีนายหนึ่งมีและใช้รีโมทคอนโทรลดังกล่าวแอบเอารถยนต์ของนายสองขับไปเท่ียวกลางคืนนั้น
จึงเป็นการมีไว้เพื่อนาออกใช้ซ่ึงบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะ
ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อ่ืนหรือประชาชนโดยเจตนาตามมาตรา ๒๖๙/๖ บทหนึ่ง และเป็น
การใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อ่ืนโดยมิชอบ ในประการท่ีน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อ่ืน
หรือประชาชนโดยเจตนาตามมาตรา ๒๖๙/๕ อีกบทหน่ึง เพราะการนาไปใช้โดยผู้มีสิทธิใช้
ไม่ยินยอมเป็นการใช้โดยมิชอบและก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายสองแล้ว การกระทาของ
นายหนึ่งจึงเป็นความผิดฐานมีไว้เพ่ือนาออกใช้ซ่ึงบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อ่ืนโดยมิชอบตาม
มาตรา ๒๖๙/๖ และฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อ่ืนโดยมิชอบ ตามมาตรา ๒๖๙/๕
(๓ คะแนน)
ข้อสงั เกต ประเดน็ เรื่องกำรเอำไปท่ีตดั กรรมสิทธิ์ จึงจะเป็นควำมผิดฐำนลักทรพั ย์ ถ้ำไม่ไดเ้ อำไปเลย
จะไม่ผิดฐำนลักทรัพย์ ในทำงตำรำน่ำจะเป็นกำรขำดองค์ประกอบภำยนอก แต่คำพิพำกษำฎีกำ
มที ง้ั ท่ีวนิ ิจฉัยว่ำขำดองคป์ ระกอบภำยนอก คอื ไม่เป็นกำรเอำไป และที่วินจิ ฉัยวำ่ ไม่มีเจตนำทุจรติ คือ
ขำดองค์ประกอบภำยในส่วนเจตนำพิเศษ ดังน้ัน ข้อนี้หำกนักศึกษำตอบมำว่ำ ไม่ใช่กำรเอำไป หรือ
ขำดเจตนำทุจริต ผู้แต่งเห็นว่ำ เป็นคำตอบที่ถูกต้องและให้คะแนนทั้งสองแนว แต่ผู้แต่ง
ให้ข้อเสนอแนะว่ำ หำกมีฎีกำใหม่ ๆ วินิจฉัยในแนวทำงใด นักศึกษำควรตอบตำมแนวฎีกำล่ำสุด
เพรำะกำรสอบเนติฯ หรือผู้ช่วยฯ หำกมีกำรนำข้อเท็จจริงตำมฎีกำมำออกข้อสอบ ธงคำตอบต้อง
เป็นไปตำมฎีกำ (เร่ืองน้ีอย่ำคิดว่ำเป็นเรื่องกำรเรียนแบบโง่ ๆ เรำต้องเข้ำใจว่ำนี่คือกติกำของกำร
สอบเนติฯ และผ้ชู ่วยฯ เม่ือกติกำเป็นแบบน้ีเรำต้องปรบั ตัวเขำ้ กติกำ ขอยกตัวอย่ำงว่ำเรำเตะก้ำนคอ
เก่งมำก แต่เรำไปชกมวยสำกล แล้วเรำเตะก้ำนคอคู่ชกจนน๊อคไปเรำจะชนะหรือไม่ เรำก็ไม่ชนะ
เพรำะเรำไมป่ ฏบิ ตั ิตำมกติกำ)

ปัญหำกำรเอำไปท่ีไม่เป็นกำรตัดกรรมสิทธ์ิ ไม่ผิดลักทรพั ย์เพรำะเหตใุ ด ขอให้ศึกษำเพมิ่ เติม
จำกตำรำของศำสตรำจำรย์จิตติ ติงศภัทิย์ ส่วนประเด็นเรื่องบัตรอิเล็กทรอนิกส์จำกตำรำของ
ศำสตรำจำรย์ ดร. เกยี รติขจร วจั นะสวสั ด์ิ

496

มีนักศึกษำบำงท่ำนเมื่อเขียนข้อสอบจบข้อ แต่เหลือกระดำษด้ำนล่ำงของหน้ำที่เขียน ก็จะ
ขีดฆ่ำท้ำยกระดำษท่ีเหลือ ซึ่งเป็นระเบียบกำรสอบของ มสธ. แต่กำรสอบเนติฯ หรือสอบผู้ช่วยฯ
นกั ศึกษำท่จี บมำจำก มสธ. ผู้แต่งขอเตอื นว่ำ ห้ำมขดี ฆ่ำที่ทำ้ ยกระดำษคำตอบเด็ดขำด เพรำะอำจถูก
หักคะแนน ในปัญหำนี้เคยมีคนถูกหักคะแนนมำแล้ว ขอให้ดูเร่ืองข้อบกพร่องในกำรเข้ำสอบท่ีพบ
และคณะกรรมกำรมีมติ ในหนังสือรวมข้อสอบผ้ชู ่วยผู้พพิ ำกษำ ๑๔ สมัย โดยสำนักงำนศำลยุตธิ รรม
พ.ศ.๒๕๕๔ หน้ำ ๑๘

เป็นการเอาไปในลักษณะตัดกรรมสิทธ์ิ

ฎกี าท่ี ๑๐๑๓๙/๒๕๕๗ จาเลยท้ังส่ีเอาทรัพยข์ องผู้เสียหายไปโดยมีเจตนาเพอื่ จะตรวจดูว่า
ทรัพย์ท่ีเอาไปนั้นเป็นของจาเลยทั้งส่ีท่ีถูกคนร้ายลักไปหรือไม่เท่าน้ัน มิใช่เป็นการเอาไปเพื่อแสวงหา
ประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสาหรับตนเองหรือผู้อ่ืน จึงไม่เป็นการกระทา "โดยทุจริต"
ตามบทนิยามความหมายของคาว่า "โดยทุจริต" ใน ป.อ. มาตรา ๑ (๑) การกระทาของจาเลยท้ังส่ี
จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์เพราะขาดเจตนาพิเศษเรื่องการกระทาโดยทุจริต
ดังกล่าว ซ่ึงย่อมส่งผลทาให้การกระทาของจาเลยทั้งส่ีไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานปล้นทรัพย์
ตามท่ีโจทก์ฟ้องไปด้วย และการกระทาของจาเลยท้ังสี่เช่นน้ีหาใช่ว่าจาเลยท้ังส่ีกระทาโดย
ไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด ซ่ึงถือว่าจาเลยทั้งสี่ไม่มีเจตนากระทาความผิดตาม
ป.อ. มาตรา ๕๙ วรรคสอง ประกอบวรรคสาม ดงั คาพพิ ากษาของศาลช้นั ตน้ ไม่
ข้อสังเกต ข้อเท็จจริงคดีนี้อำจเป็นได้ท้ังไม่ใช่กำรเอำไป เพรำะเพียงเอำไปตรวจดู ไม่ใช่กำรเอำไป
เลย จงึ ขำดองค์ประกอบภำยนอก

หำกจะถือว่ำเป็นกำรเอำไป ครบองค์ประกอบภำยนอก แต่ก็เป็นกำรเอำไปโดยยังไม่รู้ว่ำเป็น
ทรัพย์ของผู้อื่นจริงหรือไม่ เพรำะยังคิดว่ำอำจเป็นทรัพย์ของตนเองหรือของคนอ่ืนต้องดูก่อน จึงถือ
ว่ำขำดเจตนำกระทำผิด ขำดองค์ประกอบภำยในในสว่ นของเจตนำ

หำกจะถือว่ำมีเจตนำ ก็จะถือว่ำขำดเจตนำพิเศษท่ีต้องกระทำทำโดยทุจริต ถ้ำออกข้อสอบ
คงตอบตำมฎกี ำว่ำไม่ครบองค์ประกอบควำมผิดฐำนลกั ทรัพยเ์ พรำะขำดเจตนำพิเศษเร่อื งกำรกระทำ
โดยทจุ ริต

ฎีกาที่ ๑๐๐๒๕/๒๕๕๗ ฎ.๒๑๓๒ บัตรเติมน้ามันเป็นของผู้เสียหาย ผู้เสียหายมอบให้ ช.
เพ่ือใช้เติมน้ามันรถบรรทุกคันที่ ช. ขับเท่านั้น เป็นการมอบให้ยึดถือช่ัวคราวเพื่อใช้เติมน้ามัน
กรรมสิทธิ์และสิทธิครองครองบัตรยังอยู่กับผู้เสียหาย ผู้ใดเอาไปย่อมถือได้ว่าเป็นการเอาไปจาก
ผูเ้ สียหาย การท่ีจาเลยนาบัตรนี้ไปใช้เตมิ น้ามันในเวลากลางคืนและสามารถใช้ได้แสดงว่าจาเลยย่อม
รู้รหัสบัตร ส่วนจาเลยจะรู้ได้อย่างไร สมคบกับ ช. หรือไม่ ไม่เป็นสาระสาคัญ เพราะไม่ทาให้จาเลย
พ้นจากความผิดได้เนื่องจากจาเลยเอาบัตรไปจากการครอบครองของผู้เสียหายช่วงเวลาหน่ึง
อย่างน้อยคือช่วงเวลาเอาไปใช้นั่นเอง จาเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างในเวลา

497

กลางคืนและฐานเอาไปเสียซ่ึงเอกสารของผู้อ่ืนตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๑) (๑๑) และมาตรา ๑๘๘
ข้อสังเกต ปัจจุบันหลักกฎหมำยที่ว่ำ กำรลักทรัพย์ต้องเป็นกำรเอำไปในลักษณะตัดกรรมสิทธิ์
ซ่ึงเป็นควำมเห็นทำงตำรำ ศำลฎีกำแปลควำมเคร่งครัดขึ้นเรื่อย ๆ และจะเหลือกรณีที่จะใช้บังคับ
น้อยลงทุกที คำถำมในข้อท่ีว่ำแอบเอำรถไปขับแล้วเอำมำคืนในคำถำมข้อก่อนหน้ำฎีกำน้ี ไม่รู้ว่ำ
ถ้ำเกดิ ขนึ้ จริงศำลฎีกำจะตดั สินอยำ่ งไร

อนึ่ง ข้อเท็จจริงในคดีน้ีกำรเอำบัตรเติมน้ำมันเป็นของผู้เสียหำยไปใช้เติมน้ำมันยังเป็น
ควำมผิดฐำนใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบตำมมำตรำ ๒๖๙/๕ เม่ือเป็นบัตรที่ผู้ออกได้
ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้เพื่อใช้ชำระค่ำสินค้ำแทนกำรชำระด้วยเงินสด ผู้กระทำต้องระวำงโทษหนักข้ึน
อกี กง่ึ หน่ึงตำมมำตรำ ๒๖๙/๗ ดว้ ย

ฎีกาที่ ๖๗๔/๒๕๕๔ (ประชุมใหญ่) ฎ. ๖๑๕ จาเลยกับพวกอีกสองคนร่วมกันใช้กาลัง
ประทุษร้ายผู้เสียหายเพื่อมิให้ผู้เสียหายขัดขืนเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักเงินสด ๑,๑๐๐ บาท
บัตร เอ.ที.เอ็ม. และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายไป หรือการพาทรัพย์น้ันไป ให้ย่ืนให้ซ่ึงทรัพย์
ยดึ ถอื เอาทรัพยน์ ั้นไว้ หรือให้พ้นจากการจับกุม แม้จาเลยกับพวกเอาทรพั ย์สินของผเู้ สยี หายไปเท่าท่ี
คิดว่าพอกับค่าจ้างที่ผู้เสียหายเป็นหนี้พวกจาเลยอยู่ ไม่ได้เอาทรัพย์สินอ่ืนท่ีมีค่ามากไปด้วยก็ตาม
แต่ก็เป็นการกระทาที่ไม่มีอานาจตามกฎหมาย ย่อมเป็นการกระทาโดยเจตนาทุจริต จาเลย
มีความผดิ ฐานปล้นทรัพยข์ องผู้เสียหาย
หมายเหตุ (โดยท่ำนอำจำรย์สมชัย ทีฆำอุตมำกร) แม้ลูกหน้ีละเลยไม่ชำระหน้ี แต่กำรจะบังคับ
ชำระหนี้ ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ ๒๑๓ บัญญัติให้เจ้ำหน้ีจะต้องใช้สิทธิร้อง
ต่อศำลให้ส่ังบังคับชำระหนี้ก็ได้ คำว่ำ “ก็ได้” หมำยควำมว่ำ เจ้ำหนี้จะใช้สิทธิทำงศำลหรือไม่ก็ได้
หำกไม่ใช้สิทธิทำงศำล ก็ไม่อำจบังคับลูกหน้ีให้ชำระหนี้ มิใช่เป็นกำรให้สิทธิแก่เจ้ำหนี้บังคับลูกหนี้
ให้ชำระหน้ีได้โดยไม่ต้องใช้สิทธิทำงศำล กำรที่เจ้ำหนี้ใช้กำลังบังคับลูกหน้ีให้ชำระหน้ีโดยพลกำร
จึงเป็นกำรกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมำย ถึงแม้ทรัพย์สินท่ีเจ้ำหนี้เอำไปจำกลูกหนี้ไม่เกินไปกว่ำหน้ี
ที่ลูกหนี้ต้องชำระ ก็ย่อมนับได้ว่ำเป็นกำรแสวงหำประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมำยสำหรับ
ตนเองตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ ๑ (๑)

ฎีกาท่ี ๑๑๒๒๕/๒๕๕๕ ฎ.๑๕๑๘ ก่อนจาเลยท้ังสามเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไป จาเลย
ทั้งสามได้ไปพบ ว. ผู้ใหญ่บ้านเพ่ือให้ช่วยพูดให้ผู้เสียหายชาระหนี้จาเลยที่ ๑ เมื่อตกลงกันไม่ได้
จาเลยท้งั สามจงึ เอาทรัพย์ของผ้เู สยี หายไปใส่ท้ายกระบะรถยนต์ จาเลยทงั้ สามบอก ร. บตุ รผเู้ สยี หาย
ว่าหากอยากจะได้ทรัพย์ของผู้เสียหายคืนให้ผู้เสียหายนาเงินที่กู้ยืมไปชาระ และจาเลยทั้งสามนา
ทรัพย์ของผู้เสียหายไปคืนพนักงานสอบสวน เม่ือพนักงานสอบสวนบอกให้จาเลยทั้งสามนาทรัพย์
ของกลางมาคืน ประกอบกับหนังสือสัญญากู้เงินตามกฎหมายใหม่ระบุว่าผู้เสียหายจะชาระหนี้ให้
จาเลยท่ี ๑ เดือนละ ๒,๐๐๐ บาท หากไม่ชาระยินยอมให้ยึดทรัพย์สินของผู้เสียหายโดยไม่มี
ข้อยกเว้น แม้จาเลยท้ังสามเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปเพ่ือให้ผู้เสียหายไปติดต่อชาระหน้ีเงินกู้ยืม
ท่ีค้างชาระจาเลยที่ ๑ แต่การกระทาของจาเลยทั้งสามเป็นการบังคับให้ผู้เสียหายชาระหน้ีโดย

498

พลการ ซึ่งไม่มีอานาจจะกระทาได้ตามกฎหมาย ถือเป็นการกระทาโดยมีเจตนาทุจริต จึงเป็น
ความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๑) (๗) (๘) วรรคสอง ประกอบมาตรา
๓๓๖ ทวิ และมาตรา ๘๓
ข้อสังเกต ก่อนหน้ำนี้กำรเอำทรัพย์ผู้เสียหำยไปเพื่อต่อรองให้อีกฝ่ำยหน่ึงชำระหนี้ ศำลฎีกำเคย
วินิจฉัยว่ำไม่ใช่กำรเอำไปที่เป็นกำรตัดกรรมสิทธ์ิ (ไม่ใช่กำรเอำไปเลย) หรือบำงฎีกำก็วินิจฉัยว่ำ
ไม่มีเจตนำทุจริต จึงไม่ผิดลักทรัพย์ แต่ต่อมำปัญหำเรื่องกำรบังคับชำระหน้ีโดยพลกำรของเจ้ำหนี้
มีมำกขึ้นและอำจก่อให้เกิดควำมวุ่นวำยในสังคมได้ ศำลฎีกำได้เปล่ียนแนวกำรวนิ ิจฉัยว่ำ แม้จะเป็น
กำรเอำทรัพย์ผู้เสียหำยไปเพ่ือต่อรองให้อีกฝ่ำยหนึ่งชำระหน้ี ก็ถือว่ำเป็นกำรเอำทรัพย์ของผู้อ่ืนไป
โดยทจุ ริตอันเป็นควำมผดิ ฐำนลักทรัพย์ ดงั นั้น ฎกี ำที่ ๕๙๓/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๒ น.๕๗, ฎกี ำที่ ๓๑๕๐/
๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๐๕, ฎีกำที่ ๒๒๗๙/๒๕๕๑, ฎีกำท่ี ๘๓๘๘/๒๕๕๑ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๔๕
ที่วนิ ิจฉยั วำ่ ไมผ่ ิดฐำนลกั ทรพั ย์ ไม่อำจใชเ้ ปน็ บรรทัดฐำนตอ่ ไป

ฎีกาท่ี ๖๗๒๖/๒๕๕๗ ฎ.๑๘๓๐ จาเลยแย่งโทรศัพท์เคล่ือนที่ของผู้เสียหายไปขณะ
ผูเ้ สียหายกาลังใช้โทรศัพท์เพื่อบังคับชาระหน้ีท่ีผู้เสียหายค้างชาระ เป็นการใช้อานาจบังคับชาระหน้ี
โดยมชิ อบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์ท่ีมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสาหรับตนเอง
เป็นการฉกฉวยเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปซึ่งหน้าโดยเจตนาทุจริต เปน็ ความผิดฐานวิ่งราวทรพั ย์ตาม
ป.อ. มาตรา ๓๓๖ วรรคแรก

ฎีกาท่ี ๑๐๐๙๔/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๘ น.๙๖ ผู้เสียหายเป็นหนี้จาเลย ๕๐๐ บาท จาเลยชอบท่ี
จะใช้สิทธิเรียกร้องทางแพ่งเพ่ือขอให้ผู้เสียหายชาระหน้ี จาเลยหามีสิทธิเอารถจักรยานยนต์ของ
ผู้เสียหายไปเพื่อเป็นประกันให้ผู้เสียหายชาระหน้ี การกระทาของจาเลยเป็นการบังคับให้ผู้เสียหาย
ชาระหน้ีโดยพลการ ซึ่งไม่มีอานาจกระทาได้ตามกฎหมาย เป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดย
ชอบด้วยกฎหมายสาหรับตนเอง การกระทาของจาเลยจึงเป็นการเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดย
ทุจริต เมื่อจาเลยใช้อาวุธปืนข่มขู่ผู้เสียหายไม่ให้ขัดขืนด้วย จาเลยจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์โดยมี
หรอื ใชอ้ าวุธปนื

ฎกี าท่ี ๗๘๖๘/๒๕๖๐ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๗๕ น. บตุ รโจทกร์ ่วมรักใคร่ชอบพอกบั ช. บตุ รชาย
จาเลยจนฝ่ายหญิงตั้งครรภ์ โจทก์ร่วมและจาเลยได้จัดพิธีมงคลสมรสให้แก่ น. และ ช. ที่บ้านของ
โจทก์ร่วมโดยฝ่ายจาเลยมอบเงินสด ๒๐๐,๐๐๐ บาท สร้อยคอทองคา ๕ เส้น สร้อยข้อมือทองคา
๔เส้น ที่ฝ่ายจาเลยอ้างว่ามีน้าหนัก ๙ บาท ให้แก่ฝ่ายโจทก์ร่วม ต่อมาวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ
โจทก์ร่วมนาสร้อยคอทองคาและสร้อยข้อมือทองคาดังกล่าวซึ่งเป็นทรัพย์ตามฟ้องไปตรวจสอบ
พร้อมกับฝ่ายจาเลยที่ร้านทอง ผลการตรวจสอบได้น้าหนักเพียง ๘.๒๕ บาท จึงเกิดการโต้เถียงกัน
ระหว่างนั้นจาเลยหยิบเอาสร้อยคอทองคาและสร้อยข้อมือทองคารวม ๙ เส้น ที่วางอยู่บนโต๊ะของ
ร้านทองไป สร้อยคอทองคาและสร้อยข้อมือทองคาอันเป็นทรัพย์ตามฟ้องจะเป็นสินสอดหรือ
ของหม้ันหรือไม่ก็ตาม แต่ฝ่ายจาเลยก็ส่งมอบทรัพย์ดังกล่าวให้แก่ฝ่ายโจทก์ร่วมยึดถือครอบครอง
อันเป็นการยกให้ในวันพิธีมงคลสมรสแล้ว จาเลยจึงไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทรัพย์ตามฟ้อง ดังน้ี

499

หากจาเลยเห็นว่าฝ่ายโจทกร์ ่วมไม่ปฏิบตั ิตามข้อตกลงอยา่ งไร จาเลยก็ชอบที่จะใช้สิทธเิ รยี กร้องฟ้อง
คดีทางแพ่งเพื่อเรียกทรัพย์คืน หามีสิทธิฉกฉวยเอาทรัพย์มาโดยพลการไม่ การกระทาของจาเลย
เป็นการใชอ้ านาจโดยมชิ อบด้วยกฎหมาย เป็นการแสวงหาประโยชนท์ ี่มิควรได้โดยชอบดว้ ยกฎหมาย
สาหรับตนเอง การกระทาของจาเลยจึงเป็นการลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซ่ึงหน้าอันเป็นความผิด
ฐานวิง่ ราวทรพั ย์

ฎีกาท่ี ๑๖๓๘/๒๕๖๑ ฎ.๔๖๔ ขณะท่ีผู้เสียหายต่อสู้กับจาเลยมีผู้มาแยกจาเลยกับ
ผู้เสียหายออกจากกัน ผู้เสียหายยืนในลักษณะก้มทาให้สร้อยคอทองคาท่ีสวมอยู่ที่คอห้อยลง จาเลย
ดงึ สร้อยคอทองคาของผู้เสียหายจนขาดติดมอื แลว้ วิง่ ไปทางบ้านของจาเลย ระหว่างทางจาเลยทาท่า
เหมือนขว้างสร้อยคอทองคาดังกล่าวท้ิง แต่มไิ ด้แบมือ ทัง้ ยังพูดวา่ สร้อยมึง มึงอยากไดม้ งึ ติดตามเอา
กูขว้างทิ้งแล้ว เป็นการแย่งการครอบครองสร้อยคอทองคาไปจากผู้เสียหายโดยจาเลยมีเจตนาเอา
ทรัพย์ของผู้เสียหายไป อันเป็นการกระทาเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
สาหรับตนเองแล้วอันเป็นลักษณะการฉกฉวยเอาทรัพย์ของผู้อ่ืนไปซ่ึงหน้าโดยทุจริต จาเลยย่อมมี
ความผดิ ฐานวงิ่ ราวทรพั ย์

ฎีกาที่ ๔๘๘๒/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๓๘ จาเลยไปหาผู้เสียหายโดยมีเจตนาเพ่ือทวงหนี้ที่
ผู้เสียหายค้างชาระ โดยก่อนเกิดเหตุจาเลยพยายามยกถังแก๊สท่ีผู้เสียหายใช้หุงต้มในการขาย
กว๋ ยเตีย๋ วไปเพื่อการชาระหน้ี แต่จาเลยเอาไปไม่ได้เพราะสามีผู้เสียหายไมย่ อมให้เอาไป ต่อมาจาเลย
กับผู้เสียหายก็โต้เถียงกันอีกเรื่องที่ผู้เสียหายไม่ชาระหน้ีให้จาเลย ทาให้จาเลยโกรธแค้นจึงเข้า
กระชากสร้อยคอทองคาของผู้เสียหายและเอาสร้อยคอทองคาของผู้เสียหายไปคร่ึงเส้น แม้เพ่ือ
ชดเชยที่ผู้เสยี หายไม่ยอมชาระหนี้ แต่การบังคับชาระหนี้ก็ต้องดาเนินการตามกฎหมาย มิใช่กระชาก
สร้อยคอทองคาครึ่งเส้นของผู้เสียหายไปโดยพลการทั้งมูลหน้ีที่จาเลยมาทวงผู้เสียหายนั้น เกิดจาก
หน้ีการพนันหวยใต้ดิน จึงเป็นมูลหน้ีที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ย่อม
ไม่กอ่ ให้เกิดหนี้ทีผ่ เู้ สียหายพึงชาระและแม้จาเลยเบกิ ความวา่ เป็นหนี้เงินยืม จาเลยก็รับวา่ ที่ผู้เสียหาย
ไม่ยอมชาระหน้ีดังกล่าว ก็เพราะไม่มีลายมือช่ือของผู้เสียหาย หนี้กู้ยืมเงิน ๒,๐๐๐ บาท ของ
ผู้เสียหายจึงไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ยืม จาเลยย่อม
ฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ กรณีจึงไม่มีมูลหน้ีที่จาเลยจะฟ้องร้องบังคับคดีต่อผู้เสียหายได้ด้วย ดังน้ัน
การกระชากสร้อยคอครึ่งเส้นของจาเลยดังกล่าว จึงเป็นการเอาไปโดยทุจริต เพ่ือแสวงหาประโยชน์
อนั มิควรได้โดยชอบดว้ ยกฎหมาย จาเลยยอ่ มมคี วามผดิ ฐานวิ่งราวทรพั ยต์ าม ป.อ. มาตรา ๓๓๖

ฎกี าท่ี ๓๑๒๑/๒๕๕๒ ฎ.๕๕๐ การบังคบั ชาระหน้ีตอ้ งดาเนนิ การตามกฎหมาย มิใชเ่ จ้าหน้ี
บุกรุกเข้าไปเอาทรัพย์สินของลูกหนี้ไปโดยพลการ การที่จาเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้ีใช้เลื่อยตัดกุญแจแล้ว
เปิดประตูเข้าไปเอาเครื่องบดแป้งไฟฟ้าและรถจักรยานท่ีเก็บอยู่ภายในบ้านซึ่งจาเลยรู้อยู่แล้ว ว่า
ไม่ใช่บ้านพักของ ป. ลูกหน้ีและไม่รู้ด้วยว่าเครื่องบดแป้งไฟฟ้าและรถจักรยานใช่ของ ป. หรือไม่
ไปเพื่อตีชาระหน้ี จึงเป็นการเอาทรัพย์ไปโดยทุจริต จาเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถาน
โดยทาอันตรายส่ิงกดี ก้ันสาหรับคมุ้ ครองบคุ คลหรือทรัพย์

500

ฎกี าที่ ๔๙๓๒/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๕ น.๙๔ คืนเกิดเหตุ จาเลยกับผู้เสียหายเจรจาเรื่องหนี้สนิ กัน
แล้วต่อมาจาเลยนารถยนต์และกุญแจรถยนต์ของผู้เสียหายไป ซึ่งต่อมาเจ้าพนักงานตารวจเข้าตรวจ
ยืดรถยนต์คนั ดังกล่าวได้จากรา้ นรบั ซ้ือของเก่า รถยนต์ยังคงอยู่ในสภาพเดิมไม่มกี ารดัดแปลงเปลี่ยน
สภาพ แสดงว่าจาเลยต้องการนารถยนต์ไปเก็บไว้เป็นการประกันหน้ีเพื่อให้ผู้เสียหายมาชาระหน้ีคืน
แก่จาเลย แต่การบังคับชาระหน้ีคืนจากลูกหนี้มีกฎหมายกาหนดข้ันตอนให้ฟ้องร้องดาเนินคดีและ
บังคับคดีไว้อยู่แล้ว หากจาเลยต้องการบังคับชาระหน้ีจากผู้เสียหาย จาเลยย่อมจะต้องดาเนินการ
ภายใต้กรอบหรือหลักเกณฑ์ท่ีกฎหมายกาหนดไว้ การท่ีจาเลยนารถยนต์ของผู้เสียหายไปเพื่อเป็น
การประกันหน้ีโดยพลการเช่นนี้ จึงเป็นการกระทาโดยไม่มีอานาจใด ๆ ตามกฎหมาย ถือได้ว่าเป็น
การแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสาหรับตนเอง อันเป็นการเอาทรัพย์ของ
ผู้เสียหายไปโดยทุจรติ แล้ว การกระทาของจาเลยกบั พวกจงึ เปน็ ความผิดฐานลกั ทรัพย์

การที่จาเลยตบศีรษะผู้เสียหายน้ัน ไม่ได้ตบเพื่อให้เกิดความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือ
พาทรัพยน์ ้ันไปหรือให้ผู้เสยี หายยื่นให้ซงึ่ ทรพั ย์นั้นหรอื เพือ่ ยึดถอื เอาทรัพย์นน้ั ไว้ แตเ่ ปน็ การตบศีรษะ
เพ่ือบังคับให้ผู้เสียหายเขียนสัญญากู้ยืมเงิน ดังน้ัน การตบศีรษะผู้เสียหายกับการเอารถยนต์ของ
ผู้เสียหายไปจึงเป็นการกระทาท่ีแยกขาดจากกัน ไม่ใช่เป็นการใช้กาลังประทุษร้ายเพื่อให้สะดวกแก่
การพาทรัพย์นั้นไปหรือให้ย่ืนให้ซ่ึงทรัพย์น้ันหรือเพ่ือยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้อันจะเป็นคว ามผิดฐาน
ชิงทรัพย์ การกระทาของจาเลยจึงเป็นการกระทาความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๑)
และทาร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแกก่ ายหรือจิตใจตามมาตรา ๓๙๑ แยกต่างหาก
จากกนั การกระทาของจาเลยกับพวกจงึ เป็นการกระทาอันเปน็ ความผิดหลายกรรมตา่ งกัน
ข้อสังเกต ถ้ำกำรครอบครองทรัพย์อยู่ที่จำเลยจะเป็นควำมผิดฐำนยักยอก ฎีกำท่ี ๘๓๙๒/๒๕๖๑
ฎ.ส.ล.๑๒ น.๑๔๖ จำเลยรับจำนำรถกระบะไว้จำกผ้เู สียหำยแล้วจำเลยขำยรถกระบะดังกล่ำวให้แก่
ผู้อ่ืนไปโดยไม่ได้รับควำมยินยอมจำกผู้เสียหำย แม้ผู้เสียหำยรวบรวมเงินได้ครบถ้วนพร้อมท่ีจะ
ไถ่ถอนรถกระบะดังกล่ำวจำกจำเลยหลังจำกพ้นเวลำที่จำเลยผ่อนผันให้แล้วก็ตำม แต่ตำม ป.พ.พ.
มำตรำ ๗๖๔ กำรบังคับจำนำจะกระทำได้ด้วยกำรขำยทอดตลำดเท่ำนั้น จำเลยไม่มีสิทธิท่ีจะขำยรถ
กระบะดังกล่ำวด้วยวิธีกำรอ่ืน กำรที่จำเลยขำยรถกระบะดังกล่ำวจึงเป็นกำรขำยโดยไม่มีสิทธิ ถือว่ำ
เปน็ กำรกระทำโดยทุจริต จำเลยจึงมคี วำมผิดตำม ป.อ. มำตรำ ๓๕๒ วรรคแรก

โดยทจุ รติ

ฎีกาท่ี ๑๖๔๗/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๘ น.๑๑ โจทก์ร่วมลักลอบนาสินค้าไปฝากคนขับรถโดยสาร
ปรับอากาศของบริษัท ป. โดยไม่ยอมเสียค่าระวางขนส่งให้แก่บริษัท ป. แต่จ่ายเงินให้แก่พนักงาน
ขบั รถโดยสารปรับอากาศของบริษทั ป. ซ่ึงถูกกว่าท่ีจะจ่ายให้แก่บริษัท ป. การกระทาของโจทก์ร่วม
ดังกล่าวเป็นการร่วมกับพนักงานขับรถทุจริตต่อบริษัท ป. เม่ือจาเลยซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอานาจของ
บริษัท ป. ทราบเรื่องจึงวางแผนจับผิดพนักงานขับรถและส่ังไม่ให้ส่งสินค้าให้แก่โจทก์ร่วมท่ีสถานี


Click to View FlipBook Version