The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-10-26 10:13:10

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

ตอบข้อสอบกฎหมายอย่างไรให้ได้คะแนน ถาม - ตอบ อาญา แก้ไขเพิ่มเติม 2563 อาจารย์สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์

51

เจตนาคนละประเภทกับเจตนาทาให้เสียทรัพย์ อีกทั้งกรรมของการกระทาก็ต่างกัน จึงถือว่าเป็นการ
กระทาโดยพลาดมิได้ แม้จาเลยท่ี ๑ และที่ ๒ อาจจะกระทาโดยประมาท แตก่ ารทาใหเ้ สียทรัพยโ์ ดย
ประมาทไม่มกี ฎหมายบญั ญตั เิ ป็นความผิดอาญา
ข้อสังเกต ในคำถำมไม่มีข้อเท็จจริงที่จะช้ีให้เห็นว่ำนำยแดงมีเจตนำประเภทเล็งเห็นผลในควำมผิด
ฐำนทำให้เสียทรัพย์ คำตอบจึงเป็นไปตำมคำพิพำกษำฎีกำ แต่ถ้ำจะออกข้อสอบให้ยำกข้ึนก็คงต้อง
เพ่ิมข้อเท็จจริงเขำ้ ไปเพ่อื ให้ผลแตกตำ่ งกัน เชน่ จำเลยยิงปืนไมค่ ่อยแม่นยิงไปที่ผูเ้ สียหำยซ่ึงนั่งอยู่ใน
บ้ำนหลำยนัด คำดหมำยได้แน่นอนว่ำ กระสุนบำงส่วนอำจไปถูกคน ทรัพย์สิน และบ้ำนเสียหำย
คำตอบน่ำจะเป็นควำมผิดฐำนพยำยำมฆ่ำซึ่งเป็นเจตนำประสงค์ต่อผล และเป็นควำมผิดฐำนทำให้
เสียทรพั ย์ซง่ึ เปน็ เจตนำเลง็ เหน็ ผลด้วย

ข้อ ๑๔ คาถาม นายโด่งต้องการจะฆ่านายคา นายโด่งเห็นนายเข้มเดินผ่านมา นายโด่ง
เข้าใจวา่ นายเข้มคือนายคา นายโด่งจงึ ใช้ปืนยิงไปที่นายเข้มหลายนัด กระสุนนัดหนึ่งถูกนายเขม้ ตาย
และกระสุนนัดหน่ึงถูกนางม่วงมารดาของนายโด่งซึ่งเดินอยู่ไกลจากท่ีเกิดเหตุมาก แต่นางม่วง
ไม่ถึงแก่ความตาย เพราะมีผู้อ่ืนนานางม่วงไปส่งโรงพยาบาล แพทย์ช่วยชีวิตนางม่วงไว้ทัน และยังมี
กระสนุ อกี นดั หนงึ่ เฉย่ี วด้านหลงั นายฟ้าในระยะกระช้ันชดิ มาก แตไ่ ม่โดนตวั นายฟา้

ให้วนิ จิ ฉยั ความรบั ผดิ ทางอาญาของนายโด่ง
คาตอบ หลักกฎหมายเรื่องการกระทาโดยเจตนา สาคัญผิด พลาด ความสัมพันธ์ระหว่าง
บคุ คลทีท่ าให้โทษหนกั ข้ึน พยายาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙, ๖๑, ๖๐, ๘๐
ความรับผิดทางอาญาของนายโด่งต่อนายเข้ม การท่ีนายโด่งใช้ปืนยิงไปที่นายเข้มหลายนัด
โดยเข้าใจว่านายเข้มคือนายคา เป็นการกระทาโดยเจตนาต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทาต่ออีกบุคคล
หนงึ่ โดยสาคัญผิด นายโด่งจะยกเอาความสาคญั ผดิ เป็นข้อแก้ตวั วา่ มไิ ด้กระทาโดยเจตนาหาได้ไม่
ตามมาตรา ๖๑ ต้องถือว่านายโด่งมีเจตนาฆ่านายเข้ม เม่ือนายเข้มถึงแก่ความตาย นายโด่งจึงมี
ความผิดฐานฆ่านายเข้มโดยเจตนา แมจ้ ะกระทาโดยสาคญั ผดิ
ความรับผิดทางอาญาของนายโด่งต่อนายคา เมื่อนายโด่งใช้ปืนยิงนายเข้ม ถือว่านายโด่ง
มีเจตนาฆ่านายเข้ม เจตนาฆ่าที่นายโด่งมีต่อนายคาได้เปล่ียนไปเป็นเจตนาฆ่านายเข้มแล้ว
นายโดง่ จึงไม่มคี วามรบั ผิดทางอาญาต่อนายคาอีก
ความรับผิดทางอาญาของนายโด่งต่อนางม่วง การที่นายโด่งใช้ปืนยิงไปท่ีนายเข้มโดยเข้าใจ
ว่านายเข้มคือนายคา ซึ่งถือว่านายโด่งมีเจตนาฆ่านายเข้ม แต่ผลของการกระทาเกิดแก่อีกบุคคล
หนึ่งโดยพลาดไป กล่าวคือกระสุนปืนนัดหนึ่งพลาดไปถูกนางม่วงมารดาของนายโด่งซ่ึงเดินอยู่ไกล
จากท่ีเกิดเหตุมาก ต้องถือว่านายโด่งกระทาโดยเจตนาต่อนางม่วง ซ่ึงเป็นบุคคลท่ีได้รับผลร้าย
จากการกระทาน้ันด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๐ แต่ในกรณีท่ีกฎหมายบัญญัติให้
ลงโทษหนักขึ้นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทากับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นากฎหมายนั้น

52

มาใช้บังคับเพ่ือลงโทษผู้กระทาให้หนักขึ้น ดังนั้น แม้ว่านางม่วงจะเป็นมารดาซึ่งเป็นบุพการีของ
นายโด่ง แต่นายโด่งก็ไม่มีความผิดฐานฆ่าบุพการี เพราะถือว่าผู้กระทาไม่รู้ว่าเป็นการกระทา
ตอ่ บพุ การี ก็ไม่มเี จตนากระทาต่อบุพการี เมื่อนายโด่งลงมือกระทาความผดิ ไปตลอดแล้ว แต่การ
กระทาน้ันไม่บรรลุผล คือ นางม่วงไม่ถึงแก่ความตาย ถือว่านายโด่งพยายามกระทาความผิด
ต้องระวางโทษสองในสามของความผิดฐานเจตนาฆ่านางม่วงซึ่งเป็นการกระทาโดยพลาด
ตอ่ บคุ คลธรรมดาเท่าน้ัน ไมม่ ีความผิดฐานพยายามฆ่าบุพการี

ความรับผิดทางอาญาของนายโด่งต่อนายฟ้า การกระทาโดยพลาดต้องเป็นกรณีท่ีผู้ใด
เจตนากระทาต่อบุคคลหนึ่งแต่ผลของการกระทาเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้น
กระทาโดยเจตนาแก่บุคคลซ่ึงได้รับผลร้ายจากการกระทาน้ัน เมื่อกระสุนอีกนัดหนึ่งเฉ่ียวด้านหลัง
นายฟา้ ในระยะกระชน้ั ชดิ มากแต่ไม่ถูกตัวนายฟ้า ผลของการกระทามไิ ด้เกิดแก่นายฟ้า และนายฟ้า
ไมไ่ ด้รับผลร้ายจากการกระทาแตอ่ ย่างใด ไมอ่ าจถือว่านายโด่งมีเจตนากระทาความผิดต่อนายฟ้า
โดยพลาด นายโดง่ จงึ ไมม่ ีความรับผดิ ทางอาญาต่อนายฟ้า

อนึ่ง นายโด่งใช้ปืนยิงนายเข้มคร้ังเดียวกันหลายนัด ถือว่านายโด่งมีความผิดฐานเจตนาฆ่า
นายเข้มโดยสาคัญผิด และฐานพยายามฆ่านางม่วงโดยพลาดดังท่ีวินิจฉัยมาแล้ว เป็นการกระทา
อันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักท่ีสุดลงโทษ
นายโดง่ คือ ความผดิ ฐานเจตนาฆา่ นายเขม้ โดยสาคญั ผิดเพียงฐานเดียว
ข้อสังเกต ข้อน้ีมีผู้ถูกกระทำหลำยคน ขอให้สังเกตว่ำกรณีสำคัญผิดในตัวบุคคลตำมมำตรำ ๖๑
ผู้กระทำควำมผิดจะอ้ำงว่ำไม่มีเจตนำไม่ได้ ซ่ึงต้องถือว่ำเป็นเจตนำตำมควำมเป็นจริงประเภทหนึ่ง
และมีเจตนำเดียว คือ เจตนำต่อผู้ถูกกระทำ (ผู้ที่ได้รับผลร้ำย) ส่วนเจตนำท่ีผู้กระทำมีต่อบุคคล
ที่ต้องกำรกระทำ ได้เปลี่ยนมำเป็นเจตนำต่อผู้ถูกกระทำแล้ว นำยโด่งจึงไม่มีควำมรับผิดทำงอำญำ
ตอ่ นำยคำอีก แต่กรณกี ำรกระทำโดยพลำดตำมมำตรำ ๖๐ เป็นเจตนำโดยผลของกฎหมำยเพิม่ ขึน้ มำ
อีกเจตนำหน่ึง เช่น ก ยิง ข กระสุนไปถูก ค ด้วย ถือว่ำ ก มีเจตนำฆ่ำ ข และมีเจตนำฆ่ำ ค โดย
พลำดด้วยอีกเจตนำหน่ึง แต่เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมำยหลำยบท คำตอบข้อน้ีจึงต้องถือว่ำ
นำยโดง่ มเี จตนำฆ่ำนำยเข้ม และพยำยำมฆ่ำนำงม่วงโดยเจตนำโดยพลำดดว้ ย ข้อเท็จจริงจำกคำถำม
แม้ว่ำนำงม่วงจะอยู่ไกลจำกที่เกิดเหตุเพียงใดก็ตำม ก็ยังถือว่ำนำยโด่งมีเจตนำฆ่ำนำงม่วงโดยพลำด
เพรำะกฎหมำยพิจำรณำเพียงว่ำมีเจตนำต่อบุคคลหน่งึ แลว้ ผลเกิดแก่อีกบคุ คลหน่ึงโดยพลำด กถ็ ือว่ำ
เปน็ เจตนำโดยผลของกฎหมำยแลว้

ขอ้ ๑๕ คาถาม นายเอกเป็นเจ้าของช้างซ่ึงกาลังตกมัน นายเอกปล่อยช้างอยู่ตามลาพังโดย
ใช้เชือกผูกช้างไว้กับต้นไม้ใหญ่ในหมู่บ้าน แทนท่ีจะใช้โซ่ล่ามไว้ ช้างของนายเอกตกมันด้ินจนเชือก
ท่ีผูกไว้ขาด แล้ววง่ิ เตลิดไปตามถนนในหมู่บ้าน นายโทซึ่งเพิ่งไปล่าสัตว์กลับมากาลังเดินมาตามถนน
ในหมู่บ้าน ช้างตกมันของนายเอกวิ่งตรงเข้าหานายโท จะใช้งาแทงนายโทในระยะกระช้ันชดิ นายโท
จึงใช้ปนื ยงิ ไปทช่ี า้ งของนายเอกตาย แลว้ กระสนุ ยังทะลไุ ปถูกสุนัขของนายตรีตายด้วย

53

ใหว้ ินิจฉยั ความรับผิดทางอาญาของนายโทในความผิดฐานทาใหเ้ สียทรพั ย์
คาตอบ หลักกฎหมายเรอ่ื งเจตนา พลาด ป้องกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙,
๖๐, ๖๘
ความรับผิดทางอาญาของนายโทต่อนายเอก การท่ีนายเอกใช้เชือกผูกช้างไว้กับต้นไม้ใหญ่
ในหมู่บ้านแทนท่ีจะใช้โซ่ล่ามไว้ เป็นการกระทาโดยปราศจากความระมัดระวังซ่ึงบุคคลในภาวะ
เช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และนายเอกอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่าน้ันได้ แต่
หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ ถือว่านายเอกกระทาโดยประมาท แม้การกระทาโดยประมาทของนายเอก
ยังไม่ถึงข้ันตอนที่กฎหมายบัญญัติเป็นความผิด เน่ืองจากการกระทาโดยประมาทต้องเกิดผล
จึงจะเป็นความผิด แต่ก็ถอื ว่าภยันตรายดังกล่าวเป็นภยนั ตรายท่ีกาลังจะเกิดข้ึนแล้วอย่างแท้จริง
จึงเป็นกรณีท่ีนายเอกก่อภยันตรายต่อชีวิตของนายโทซ่ึงเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิด
ต่อกฎหมายและเป็นภัยใกล้จะถึง นายโทสามารถยิงช้างของนายเอกเพื่อป้องกันสิทธิของตน
ซง่ึ เป็นการกระทาต่อนายเอกผกู้ ่อภยั พอสมควรแกเ่ หตุ การท่ีนายโทยิงช้างของนายเอกตาย จึงเป็น
การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้การกระทาของนายโทจะครบองค์ประกอบความผิดฐาน
ทาให้เสียทรัพย์ แต่มีกฎหมายยกเว้นความผิด นายโทจึงไม่มีความรับผิดทางอาญาต่อนายเอก
(๕ คะแนน)
ความรับผิดทางอาญาของนายโทต่อนายตรี การที่นายโทยิงช้างของนายเอก แล้วกระสุน
ยังทะลุไปถูกสุนัขของนายตรีตายด้วยน้ัน เป็นการกระทาโดยเจตนาท่ีจะกระทาต่อบุคคลหนึ่ง แต่
ผลของการกระทาเกิดแก่อีกบุคคลหน่ึงโดยพลาดไป คาว่าเจตนากระทาต่อบุคคลหน่ึงดังกล่าว
หมายถึงเจตนากระทาต่อสิทธิของบุคคลหนึ่งซึ่งรวมถึงสิทธใิ นทรัพย์สินด้วย จึงต้องถือว่านายโท
กระทาโดยเจตนาแก่ทรัพย์ของนายตรีโดยพลาดด้วย การท่ีนายโทยิงช้างของนายเอกซึ่งถือว่าเป็น
การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายดังท่ีวินิจฉัยมาแล้ว กระสุนปืนยังพลาดไปถูกสุนัขของนายตรีตาย
ด้วย ก็ต้องถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย อันมีกฎหมายยกเว้นความผิดด้วย
เช่นเดียวกัน เพราะการกระทาดังกล่าวเป็นผลสืบเน่ืองมาจากการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
นายโทจึงไม่มีความรับผิดทางอาญาตอ่ นายตรีในความผิดฐานทาให้เสยี ทรัพย์ (๕ คะแนน)
ข้อสังเกต หำกเจ้ำของช้ำงระมัดระวังดีแล้ว นำยโทต้องอ้ำงจำเป็น เพรำะเป็นภยันตรำยท่ีไม่ได้
เกิดจำกกำรประทุษร้ำยอันละเมิดต่อกฎหมำย จึงอ้ำงป้องกันไม่ได้ แต่เม่ือมีภยันตรำยก็สำมำรถอ้ำง
จำเป็นยกเว้นโทษได้
ตัวอย่างคาตอบที่ ๑ ช้างซ่ึงเป็นสัตว์ใหญ่ในเวลาตกมัน ย่อมมีอาการคลุ้มคลั่งดุร้าย
นายเอกเป็นเจ้าของช้างท่ีกาลังตกมัน จึงควรดูแลช้างซึ่งเป็นทรัพย์สินของตนอย่างระมัดระวัง
เอาใจใส่เป็นพิเศษกว่ายามปกติด้วย เม่ือนายเอกไม่ได้ใช้ความใส่ใจดูแลโดยใช้แค่เพียงเชือกผูกช้าง
ไว้กับต้นไม้ใหญ่ในหมู่บ้านแทนท่ีจะใช้โซ่ล่ามไว้ให้หนาแน่น เพ่ือป้องกันไม่ให้ช้างหลุดออกไปได้
หากต่อมาได้เกิดกรณีที่ช้างหลุดออกมาและได้ไปทาความเสียหายให้แก่บุคคลใด นายเอกผู้เป็น
เจ้าของช้างย่อมต้องรับผิดชอบในความเสียหายอันเกิดจากสัตว์ของตนตามที่ประมวลกฎหมายแพ่ง

54

และพาณิชย์ มาตรา ๔๓๓ กาหนดไว้ ถือว่าพฤติการณ์ที่นายเอกไม่ใส่ใจดูแลช้างของตนส่วนนี้เป็น
การละเมิดในทางกฎหมายแพ่ง

เมื่อช้างที่นายเอกล่ามไว้หลุดออกมาแล้วว่ิงเตลิดไปตามถนนในหมู่บ้าน วิ่งตรงเข้าไป
จะทาร้ายนายโท ในระยะกระชั้นชิด ถือว่าพฤติการณ์ท่ีเป็นภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้าย
อนั ละเมิดต่อกฎหมายดังกลา่ วไว้ข้างต้นซ่ึงสามารถนามาปรับใชใ้ นเร่ืองป้องกันตามกฎหมายอาญาได้
และเป็นภัยท่ีใกล้จะถึง นายโทซ่ึงอยู่ภาวะคับขันจึงได้ยิงปืนไปที่ช้างของนายเอกเพ่ือหยุดความ
คลุ้มคลั่งของช้างเพื่อให้ตนไม่ต้องถูกช้างทาร้าย เม่ือยิงไปเพียงนัดเดียว จึงถือได้ว่าเป็นการกระทา
พอสมควรแก่เหตุ จึงถือว่าเป็นการกระทาความผิดฐานทาให้เสียทรัพย์โดยป้องกัน ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๘ ประกอบกบั มาตรา ๖๘ การกระทาในสว่ นนี้ของนายโทจึงไม่มีความผิด
ฐานทาใหเ้ สียทรพั ย์ (๒.๕ คะแนน)

การที่กระสุนปืนที่นายโทยิงทะลไุ ปโดนสุนัขของนายตรีตายดว้ ยนั้น ถือว่าเป็นกรณีท่ีนายโท
เจตนายิงช้างที่เป็นทรัพย์สินของนายเอกและผลของการกระทาพลาดไปโดนสุนัขซ่ึงเป็นทรัพย์สิน
ของนายตรีด้วยโดยพลาดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๐ แต่เม่ือเจตนาแรกของนายโท
สามารถอ้างป้องกันได้ ดังท่ีได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น เจตนากระทาความผิดของนายโทที่โอนมายังทรัพย์
ของนายตรีก็สามารถอ้างป้องกันได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น การกระทาความผิดต่อสุนัขซ่ึงเป็นทรัพย์สิน
นายตรีท่นี ายโทได้กระทาลงไปจงึ ไมม่ ีความผดิ ตามมาตรา ๓๕๘, ๖๐ ประกอบกับมาตรา ๖๘ นายโท
จงึ ไม่มคี วามผิดฐานทาให้เสียทรพั ย์ (๔.๕ คะแนน รวมได้ ๗ คะแนน)
ขอ้ เสนอแนะ กำรดูแลช้ำงไมด่ ี ตอ้ งตอบวำ่ เป็นกำรกระทำโดยประมำทตำมประมวลกฎหมำยอำญำ
มำตรำ ๕๙ วรรคส่ี เปน็ ภยันตรำยต่อชวี ติ ของนำยโทที่เกิดจำกกำรประทุษรำ้ ยอนั ละเมิดตอ่ กฎหมำย
และใกล้จะถึงแล้ว หรือจะตอบว่ำเป็นภยันตรำยทีเ่ กิดจำกกำรกระทำผิดตำมมำตรำ ๓๗๗ ก็ได้ แต่ที่
นักศึกษำท่ำนนี้ใช้ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์มำตอบยังไม่ถูกต้อง หำกจะใช้ประมวล
กฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ ต้องเป็นกรณีท่ีช้ำงเข้ำไปกินพืชผักผลไม้ เจ้ำของช้ำงไม่มีควำมผิดฐำน
ทำให้เสียทรัพย์โดยประมำท จึงต้องใช้ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ เพรำะประมวลกฎหมำย
อำญำไม่มคี วำมผิดฐำนทำใหเ้ สยี ทรัพย์โดยประมำท

กรณีตำมคำถำมข้อน้ีต้องใช้มำตรำ ๕๙ วรรคส่ี ประกอบมำตรำ ๒๙๑ เพรำะคำว่ำภัย
ใกล้จะถึง หมำยถึง ภยันตรำยที่กำลังจะเกิดข้ึนแล้วอย่ำงแท้จริง ไม่ได้หมำยควำมว่ำต้องเป็นกำร
กระทำท่ีถึงขั้นผิดกฎหมำยแลว้ แม้กำรกระทำยังไม่ถงึ ขนั้ เป็นควำมผิดตำมกฎหมำย ก็เป็นภยันตรำย
ที่เกิดจำกกำรประทุษร้ำยอันละเมิดต่อกฎหมำยและเป็นภัยใกล้จะถึงแล้ว ถ้ำเป็นภยันตรำยท่ีกำลัง
จะเกิดข้ึนแล้วอย่ำงแท้จริง เช่น ก. ไปดักยิง ข. เม่ือ ข. เดินผ่ำนมำ ก. หยิบปืนออกมำยังไม่ทันได้
เลง็ ไปท่ี ข. ข. เหน็ ข. ไวกว่ำ ข. ยิง ก. ตำย ข. อ้ำงป้องกันได้ แม้กำรกระทำของ ก. ยังไม่ถึง
ข้ันตอนท่ีกฎหมำยบัญญัติเป็นควำมผิด หรือกรณีตำมคำถำมข้อน้ี แม้ยังไม่เกิดอันตรำยต่อ ก.
ข. ยังไม่มีควำมผิด เพรำะกำรกระทำโดยประมำทต้องเกิดผลจึงจะเป็นควำมผิดโดยไม่มีพยำยำม
กระทำโดยประมำท แต่กถ็ อื ว่ำเปน็ ภยนั ตรำยใกล้จะถึงท่ี ข. อำ้ งปอ้ งกันได้

55

ตวั อย่างคาตอบท่ี ๒ ในกรณตี ามปญั หามปี ระเด็นท่ีจะตอ้ งวนิ ิจฉัยว่า การกระทาของนายโท
เปน็ การกระทาป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายและเปน็ การกระทาโดยพลาดหรือไม่

หลักกฎหมายในเร่ืองป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๖๘
ผู้ใดจาต้องกระทาเพื่อป้องกันตนหรือผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็น
ภยันตรายที่ใกล้จะถงึ หากได้กระทาไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทานัน้ เป็นการป้องกันโดยชอบดว้ ย
กฎหมายผูน้ ั้นไมม่ ีความผดิ

หลักกฎหมายในเร่ืองการกระทาโดยพลาดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๐ ผู้ใด
เจตนาจะกระทาต่อบุคคลหนึ่งแต่ผลของการกระทาเกิดแก่อีกบุคคลหน่ึงโดยพลาดไป ให้ถือว่า
ผู้นนั้ ไดก้ ระทาตอ่ บคุ คลผูไ้ ดร้ ับผลร้ายจากการกระทาน้ัน

ตามปัญหา การที่นายโทใช้ปืนยิงไปที่ช้างของนายเอกเป็นการกระทาโดยเจตนาทาให้ช้าง
ของนายเอกตาย อันเป็นการกระทาความผิดฐานทาให้ทรัพย์ของนายเอกเสียหายเป็นความผิดตาม
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๘ ประกอบมาตรา ๕๙ แตก่ ารที่นายโทใช้ปืนยิงช้างตาย ก็เพราะ
จาต้องกระทาเพื่อป้องกันสิทธิในชีวิตของนายโทไม่ให้ช้างของนายเอกเข้ามาใช้งาแทงนายโทอันเป็น
การกระทาให้พ้นจากภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมาย เพราะการที่นายเอกซ่ึงเป็นเจ้าของช้างซึ่ง
กาลังตกมันย่อมเป็นสัตว์ดุ นายเอกต้องควบคุมดูแลช้างให้ดีโดยการใช้โซ่ล่ามไว้ มิใช่เพียงใช้เชือก
ล่าม (ผูก) เท่าน้ัน อันเป็นการปล่อยปะละเลย การที่ช้างหลุดจากเชือกแล้วเดินไปตามถนนใน
หมู่บ้านซ่ึงน่าจะเกิดอันตรายต่อบุคคลหรอื ทรัพย์ของผอู้ ื่นจงึ ถือว่านายเอกกระทาละเมิดต่อกฎหมาย
อาญามาตรา ๓๗๗ เม่ือนายโทใช้ปืนยิงในขณะท่ีช้างของนายเอกกาลังจะเข้ามาใช้งาแทงย่อมเป็น
ภยันตรายท่ีใกล้จะถึง และได้กระทาพอสมควรแก่เหตุแลว้ เพราะเม่ือเปรยี บเทียบระหวา่ งทรพั ยข์ อง
นายเอกเสียหายกับชีวิตของนายโทย่อมได้สดั ส่วนกันทจ่ี ะป้องกนั ได้ ดังน้ัน การกระทาของนายโทจึง
เปน็ การกระทาท่ีป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจึงไม่มีความผิดตามมาตรา ๓๕๘ ประกอบมาตรา ๖๘
(แม้ไม่ได้ตอบประมาทตามมาตรา ๕๙ วรรคส่ี แต่ตอบมาตรา ๓๗๗ มา ซึ่งก็ถูกต้องเหมือนกัน
และถูกตอ้ งกว่าตอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้ ๕ คะแนน)

ส่วนการทีน่ ายโทเจตนาใช้ปืนยิงช้างของนายเอกตายและกระสนุ ยังพลาดไปถกู สนุ ขั ของนาย
ตรีถึงแก่ความตายด้วย เป็นการกระทาโดยพลาดตามมาตรา ๖๐ ซึ่งถือว่านายโทมีเจตนาทาให้สุนัข
ของนายตรีเสียหายด้วย เป็นเร่ืองเจตนาโอนโดยผลของกฎหมาย แต่เม่ือการกระทาของนายโทเป็น
การกระทาป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น การที่นายโททาให้สุนัขนายตรีตาย การกระทาโดย
ป้องกันจึงโอนไปด้วย นายโทจึงไม่มีความผิดฐานทาให้ทรัพย์คือสุนัขของนายตรีเสียหายเพราะเป็น
การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๘ ประกอบมาตรา ๖๐
และ ๖๘ (ไมไ่ ด้อธบิ ายว่า บุคคลหน่ึงตามมาตรา ๖๐ หมายถงึ สทิ ธิของบุคคลซงึ่ รวมถึงทรัพย์ของ
บุคคลด้วย ใหเ้ พียง ๔ คะแนน รวมได้ ๙ คะแนน)

ตัวอย่างคาตอบที่ ๓ การท่ีนายเอกเอาเชือกผูกช้างซึ่งกาลังตกมันแทนท่ีจะใช้โซ่ล่ามเป็น
การกระทาโดยปราศจากความระมัดระวังซ่ึงบุคคลในภาวะเช่นน้ันจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์

56

จึงเป็นการกระทาโดยประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙ วรรค ๔ เมือ่ ช้างของนายเอก
ซง่ึ กาลังตกมันดน้ิ จนเชือกท่ีผกู ไวข้ าดแลว้ วงิ่ เขา้ มาจะใช้งาแทงนายโทในระยะกระช้ันชดิ นายโทจึงใช้
ปืนยิงไปที่ช้างของนายเอกตายเป็นการกระทาที่ครบองค์ประกอบทั้งภายนอกและภายในของ
ความผิดฐานทาให้เสียทรัพย์ตามมาตรา ๓๕๘ แล้ว แต่การกระทาดังกล่าวเป็นการกระทาเพ่ือ
ป้องกันตนให้พ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและละเมิดต่อกฎหมายอันเน่ืองมาจากการกระทาโดย
ประมาทของนายเอกตามมาตรา ๖๘ ไปพอสมควรแก่เหตุ (เป็นการป้องกนั โดยชอบด้วยกฎหมาย)
นายโทจึงไม่มีความผิด เพราะมีกฎหมายยกเว้นยกเว้นความผิด นายโทจึงไม่ผิดฐานทาให้เสียทรัพย์
ของนายเอกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๘ ประกอบมาตรา ๖๘ (๔ คะแนน)

การท่ีกระสุนทะลุไปถูกสุนัขของนายตรีตายเป็นการกระทาท่ีนายโทเจตนาจะยิงช้างซ่ึงเป็น
ทรัพย์ของนายเอก แต่ผลของการกระทาไปเกิดแก่ทรัพย์คือสุนัขของนายตรีจึงเป็นการกระทาโดย
พลาด ตามมาตรา ๖๐ อันเน่ืองมาจากการกระทาโดยป้องกันในตอนแรก นายโทจึงไมม่ ีความผดิ ฐาน
ทาให้เสียทรัพย์ของนายตรีเช่นกันตามมาตรา ๓๕๘ ประกอบมาตรา ๖๐ และ ๖๘ (๔ คะแนน
รวมได้ ๘ คะแนน)

ข้อ ๑๖ คาถาม นายเดชรู้สึกราคาญนายฤทธ์ิที่นั่งดื่มสุราอยู่ที่โต๊ะอาหารข้าง ๆ เพราะ
เมาสุราพูดเอะอะโวยวาย จึงชักอาวุธปืนลูกซองออกมาเล็งยิงไปท่ีขวดสุราบนโต๊ะอาหารที่นายฤทธิ์
นงั่ อยู่ ลูกกระสนุ ปนื ถูกขวดสุราของนายฤทธิแ์ ตก และลูกกระสุนปนื ยังกระจายไปถูกนายฤทธ์ไิ ด้รับ
อันตรายสาหัส นอกจากน้ีลกู กระสนุ ปืนยังกระจายไปถูกนายฉงน นักมายากลท่ีเผอิญอุ้มกระตา่ ยเดิน
เข้ามาในร้านอาหารพอดี เป็นเหตุให้นายฉงนถึงแก่ความตาย และถูกกระต่ายท่ีนายฉงนอุ้มอยู่ตาย
ด้วย

ให้วินิจฉัยวา่ นายเดชมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใดบ้าง (ข้อสอบเนตฯิ สมัย
ที่ ๕๔ ปกี ารศึกษา ๒๕๔๔ ข้อ ๓)

คาตอบ หลักกฎหมายเร่ืองเจตนา เล็งเห็นผล พลาด พยายามตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๕๙, ๖๐, ๘๐

ความรับผิดทางอาญาของนายเดชต่อนายฤทธิ์ การท่ีนายเดชใช้อาวุธปืนลูกซองเล็งยิงไปท่ี
ขวดสุราบนโต๊ะอาหารที่นายฤทธ์ินั่งอยู่น้ัน นอกจากนายเดชจะมีเจตนาประสงค์ต่อผลที่จะทาให้
เสียทรัพย์ต่อขวดสุราของนายฤทธิ์แล้ว ยังเล็งเห็นได้ว่ากระสุนปืนจากอาวุธปืนลูกซองน้ันจะ
กระจายออกไปถูกนายฤทธิ์ที่นั่งอยู่ท่ีโต๊ะอาหารนั้นถึงแก่ความตายอย่างแน่นอนเท่าท่ีจิตใจของ
บุคคลในฐานะเช่นน้ันจะเล็งเห็นได้ เพราะปืนลูกซองเมื่อยิงแล้วลูกกระสุนย่อมกระจายไปใน
วงกว้าง ถือไดว้ ่านายเดชมีเจตนาฆ่านายฤทธิ์ ซึ่งเป็นเจตนาย่อมเล็งเห็นผลตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๕๙ วรรคสองด้วย (ฎีกาท่ี ๒๐๖๐/๒๕๔๑) เม่ือผลของการกระทาปรากฏวา่ ลูกกระสุน
ปืนถูกขวดสุราของนายฤทธ์ิแตกและนายฤทธ์ิได้รับอันตรายสาหัส นายเดชจึงมีความผิดฐานทาให้
เสียทรัพย์ตอ่ ขวดสุราของนายฤทธิ์ตามมาตรา ๓๕๘, ๕๙ บทหนึ่ง และฐานพยายามฆ่านายฤทธิ์

57

ตามมาตรา ๒๘๘, ๘๐, ๕๙ วรรคสอง อกี บทหนงึ่
ความรับผิดทางอาญาของนายเดชต่อนายฉงน ส่วนการท่ีลูกกระสุนปืนยังกระจายพลาดไป

ถกู นายฉงนทอ่ี มุ้ กระต่ายเปน็ เหตุใหล้ กู กระสุนปนื ถูกกระต่ายของนายฉงนและตวั นายฉงนถึงแก่ความ
ตายด้วยเป็นเร่ืองที่นายเดชมีเจตนากระทาต่อทรัพย์ของนายฤทธ์ิและตัวนายฤทธ์ิ แต่ผลของการ
กระทาไปเกิดแก่ทรัพย์ของนายฉงนและตัวนายฉงนโดยพลาดซ่ึงมาตรา ๖๐ ให้ถือว่านายเดช
กระทาโดยเจตนาต่อผู้ท่ีได้รับผลร้าย นายเดชจึงมีความผิดฐานทาให้เสียทรัพย์ต่อกระต่ายของ
นายฉงนโดยพลาดตามมาตรา ๓๕๘, ๖๐ บทหน่ึง และฐานฆา่ นายฉงนตายโดยเจตนาโดยพลาด
ตามมาตรา ๒๘๘, ๖๐ อีกบทหน่ึง
ข้อสังเกต ธงคำตอบข้อสอบเนติฯ มักจะไม่มีธงเรื่องกรรมเดียวหรือหลำยกรรมตำมมำตรำ ๙๐, ๙๑
โดยจะตอบควำมผิดฐำนต่ำง ๆ ทุกฐำนควำมผิด แล้วพิจำรณำว่ำ ผิดบทนี้บทหน่ึง แล้วผิดบทน้ัน
อีกบทหนึ่ง เช่นเดียวกับธงคำตอบข้อน้ี เหตุผลท่ีธงคำตอบไม่มีมำตรำ ๙๐, ๙๑ อำจเป็นเพรำะว่ำ
คำถำมมักจะถำมว่ำ มีควำมผิดฐำนใด ไม่ได้ถำมว่ำจะลงโทษฐำนใด แต่ข้อสอบผชู้ ่วยผู้พิพำกษำและ
อัยกำรผู้ชว่ ยสมยั ล่ำสดุ เร่ิมจะมีประเด็นตำมมำตรำ ๙๐, ๙๑ เพิ่มขึน้ มำด้วย ก็ขอใหด้ ธู งคำตอบลำ่ สุด
ของแต่ละสนำมสอบและตอบตำมธงคำตอบของสนำมสอบที่ไปสอบด้วย

ข้อ ๑๗ คาถาม นางสาวส้มกับนายแดงคนรักข้ึนไปบนอาคารชั้น ๑๔ เพื่อร่วมประเวณีกัน
ต่อมานายดาเพ่ือนนายแดงตามข้ึนไป นายแดงจึงได้ผละออกมาจากนางสาวส้มแล้วลงไปช้ันล่าง
นางสาวส้มซึ่งไม่ได้สวมกางเกงกลัวนายดาเข้ามาข่มขืนตน จึงได้หนีออกไปท่ีระเบียงช้ันเดียวกัน
นายดาถอดกางเกงเดินเข้าไปหานางสาวส้มเพ่ือจะข่มขืนกระทาชาเรา นางสาวส้มไม่ยินยอมโดยร้อง
ว่าให้นายแดงคนเดียวคนอื่นไม่เกี่ยว แล้วถอยหลังจนพิงลูกกรงระเบียงซึ่งสูงระดับสะโพก นายดา
เดินตามไปจนชิดในลักษณะหันหน้าชนกับนางสาวส้มและใช้มือท้ังสองข้างจับไหล่นางสาวส้ม
นางสาวส้มดนิ้ รนและขดั ขนื จงึ พลัดตกลงไปจากระเบยี งของอาคารชนั้ ดังกล่าวถึงแก่ความตาย

ใหว้ ินิจฉัยว่า นายดามคี วามผดิ ตอ่ ชีวิตของนางสาวสม้ หรือไม่
(ปรับปรุงมาจากขอ้ สอบฯ ผู้ชว่ ยผพู้ พิ ากษา วันท่ี ๑๕ มถิ นุ ายน ๒๕๔๖)

คาตอบ หลักกฎหมายเรื่องเจตนา เล็งเห็นผล ผลโดยตรง เหตุแทรกแซง ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๕๙

การท่ีนายดาถอดกางเกงเดินเข้าไปจนชิดในลักษณะหันหน้าชนกันและใช้มือท้ังสองข้างจับ
ไหล่นางสาวส้มเพ่ือจะข่มขืนกระทาชาเรา ในขณะท่ีนางสาวส้มไม่ได้สวมกางเกงและยืนพิงลูกกรง
ระเบียงซ่ึงสูงระดับสะโพก โดยนางสาวส้มไม่ได้ยนิ ยอมน้ัน นายดาย่อมเล็งเห็นไดว้ ่าหากนางสาวส้ม
หลบหลีกขัดขืนมิให้ตนข่มขืนกระทาชาเราแล้ว นางสาวส้มจะพลัดตกลงไปจากระเบียงอาคาร
ช้ัน ๑๔ ถึงแก่ความตายอย่างแน่นอนเท่าท่ีจิตใจของบุคคลในฐานะเช่นนั้นจะเล็งเห็นได้ นายดา
จึงมีเจตนาฆ่านางสาวส้มโดยเจตนาเลง็ เห็นผล

58

การทนี่ างสาวส้มตกลงไปจากระเบียงอาคารถึงแก่ความตายนั้น เมื่อพจิ ารณาผลโดยตรงตาม
ทฤษฎเี งอ่ื นไขท่วี ่า ถ้าไม่ทาผลไมเ่ กดิ ถือวา่ ผลเกดิ จากการกระทาน้ัน แม้จะมีเหตุอื่นประกอบด้วย
ก็ตาม กรณีนี้ ถ้านายดาไม่เข้าไปเพ่ือจะข่มขืนกระทาชาเรา นางสาวส้มจะไม่ดิ้นรนขัดขืน และ
จะไม่ตกจากระเบียงอาคารถึงแก่ความตาย ต้องถือว่าความตายของนางสาวส้มเป็นผลโดยตรง
จากการเข้าไปเพ่ือจะขม่ ขืนกระทาชาเราของนายดา ตามทฤษฎีเงือ่ นไขแลว้

การท่ีนางสาวส้มดิ้นรนขัดขืนเพ่ือมิให้นายดาข่มขืนกระทาชาเราจนตกลงไปจากระเบียง
อาคารถึงแก่ความตายนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนใหม่หลังจากการกระทาความผิด ซ่ึงเป็น
เหตุแทรกแซงที่วิญญูชนคาดเห็นได้ว่านางสาวส้มจะตกลงไปจากระเบียงอาคารถึงแก่ความตาย
เพราะระเบยี งสูงเพียงสะโพกเท่านั้น เม่ือความตายของนางสาวสม้ เป็นผลโดยตรงจากการกระทา
ของนายดาและเหตุแทรกแซงก็คาดเห็นได้ นายดาจึงต้องรับผิดในผล คือต้องรับผิดฐานฆ่า
นางสาวส้มโดยเจตนาโดยเล็งเห็นผลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบมาตรา
๕๙ (ฎีกาท่ี ๔๕๖๓/๒๕๔๓)
ขอ้ สังเกต คำถำมและคำตอบขอ้ นี้ ข้อสอบฯ ผู้ช่วยผู้พิพำกษำ ถำมประเดน็ เรื่องข่มขืนกระทำชำเรำ
ด้วย ซ่ึงเร่ืองดังกล่ำวเป็นเน้ือหำของวิชำกฎหมำยอำญำภำคควำมผิดและอำจมีข้อโต้แย้งได้ว่ำเป็น
พยำยำมข่มขืนหรือไม่ ผู้แต่งจึงตัดออกไปเหลือเฉพำะส่วนที่ไม่มีข้อโต้แย้งและเป็นคำถำมกฎหมำย
อำญำภำคท่ัวไป

ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๑ (๕)

ฎีกาท่ี ๒๐๓๐/๒๕๕๔ ฎ.๑๐๒๘ ตาม ป.อ. มาตรา ๑ (๕) อาวุธ หมายความรวมถึงส่ิงซ่ึง
ไม่เป็นอาวุธโดยสภาพแต่ซึ่งได้ใช้หรือเจตนาจะใช้ประทุษร้ายร่างกายถึงอันตรายสาหัสอย่างอาวุธ
สเปรย์พริกไทยผลิตข้ึนโดยมีวัตถุประสงค์ในการใช้ฉีดพ่นเพ่ือยับย้ังบุคคลหรือสัตว์ร้ายมิให้เข้าใกล้
หรือทาอันตรายผู้อ่ืน ผู้ที่ถูกฉีดพ่นสารในกระป๋องสเปรย์ใส่จะมีอาการสาลักจาม ระคายเคืองหรือ
แสบตา หลังจากน้ันไม่นานก็สามารถหายเป็นปกติได้ เห็นได้ว่าการผลิตสเปรย์พริกไทยดังกล่าว
มิได้ผลิตขึ้นเพื่อทาร้ายผู้ใด จึงไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ ท้ังไม่อาจใช้ประทุษร้ายร่างกายถึงอันตราย
สาหสั อยา่ งอาวธุ สเปรยพ์ รกิ ไทยจึงไม่เป็นอาวุธตามมาตรา ๑ (๕)

ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๕

ฎีกาท่ี ๓๓๑๓/๒๕๖๒ ฎ.๓๐๒ เว็บไซต์ที่โจทก์อ้างว่าจาเลยเป็นเจ้าของและผู้ดูแลมิใช่เป็น
เว็บไซต์ซ่ึงบุคคลเฉพาะกลุ่มเท่าน้ันท่ีจะเข้าถึง บุคคลทั่วไปจากทุกมุมโลกสามารถเข้าถึงได้เป็นปกติ
เช่นเดียวกับโจทก์ซึ่งอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเข้าถึงได้จากท่ีอยู่ของโจทก์ในราชอาณาจักร การที่มี
ผู้นาภาพใบหน้าของโจทก์มาตัดต่อดัดแปลงโดยใช้ประกอบกับภาพถ่ายร่างกายของบุคคลอ่ืน

59

ที่แสดงออกชัดว่าเป็นเกย์โพสต์ลงในเว็บไซต์ ผู้กระทาย่อมต้องการให้โจทก์ได้รับความเสียหายและ
อับอายโดยเฉพาะต่อบุคคลในชุมชนที่โจทก์อาศัยอยู่และรู้จักโจทก์จากการเข้าชมเว็บไซต์นั้น
ถือได้ว่าผลแห่งการกระทาความผิดนั้นกิดข้ึนในราชอาณาจักรโดยตรงท่ัวทุกแห่งตามเจตนาของ
ผู้กระทาซึ่งกฎหมายให้ถือว่าเป็นการกระทาความผดิ ในราชอาณาจักรแล้วตาม ป.อ. มาตรา ๕ โจทก์
ซ่ึงพบภาพถ่ายของตนท่ีถูกต่อเติมดัดแปลงจากเว็บไซต์ดังกล่าวในขณะที่พักอาศัยอยู่ในท้องที่อยู่ใน
เขตศาลช้ันต้น ต้องถือว่าสถานที่ท่ีโจทก์อยู่ในเขตศาลเป็นท่ีซ่ึงความผิดได้กระทาลงด้วย ศาลชั้นต้น
มอี านาจรบั คดีนี้ไว้พิจารณาพพิ ากษาได้

ฎีกาที่ ๖๕๙๓/๒๕๕๙ ความผิดฐานหมิ่นประมาทตาม ป.อ. มาตรา ๓๒๖ ไม่ใช่ความผิด
ท่ีมีผลเกิดขึ้นต่างหากจากการกระทา เมื่อจาเลยพูดให้สัมภาษณ์นักข่าว การกระทาของจาเลย
ที่โจทก์กล่าวอ้างว่าเป็นความผิดย่อมสาเร็จเม่ือนักข่าวซ่ึงเป็นบุคคลท่ีสามทราบข้อความแล้ว
โดยคนที่ถูกหมิ่นประมาทไม่ต้องรู้ว่าตนเองถูกหมิ่นประมาท สาหรับข้อท่ีว่าโดยประการที่น่าจะ
ทาให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียง ถูกดูหม่ิน หรือถูกเกลียดชังน้ัน เป็นพฤติการณ์ประกอบการกระทา
ไม่ใช่ผลของการกระทา จึงไม่ต้องด้วย ป.อ. มาตรา ๕ วรรคแรก เมื่อโจทกก์ ล่าวอ้างว่าจาเลยกระทา
ความผิดฐานหมิ่นประมาทนอกราชอาณาจักรและไม่ใช่กรณีกระทาความผิด ที่ประมวลกฎหมาย
อาญาถือวา่ ได้กระทาในราชอาณาจักร ผกู้ ระทาความผิดจึงไม่ต้องรบั โทษในราชอาณาจักร

ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๘

ฎีกาที่ ๓๑๒/๒๕๕๘ ความผิดฐานหน่วงเหน่ียวหรือกักขัง ทาให้ปราศจากเสรีภาพเพื่อให้
ผู้อื่นทาการค้าประเวณีตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี ฯ มาตรา ๑๒ เป็น
ความผิดอาญาแผ่นดินที่เกิดขึ้นในประเทศเดนมาร์กนอกราชอาณาจักร จาเลยท่ี ๓ ผู้กระทาผิดเป็น
คนไทยและผู้เสียหายทั้งสองได้ร้องขอใหล้ งโทษ จาเลยที่ ๓ จะต้องรับโทษในราชอาณาจักรและศาล
ไทยจะลงโทษได้เฉพาะความผิดต่อเสรีภาพตามมาตรา ๓๐๙ และมาตรา ๓๑๐ ประกอบมาตรา ๘
ตาม ป.อ. เท่านั้น ศาลฎีกาต้องตีความกฎหมายทางอาญาโดยเคร่งครัด จะขยายความมาตรา ๘
ไปไกลว่า กฎหมายอาญามีเจตนารมณ์ให้ลงโทษผู้กระทาผิดตามกฎหมายพิเศษเฉพาะเรอ่ื งอันมีโทษ
หนักขึ้นตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีฯ มาตรา ๑๒ หาได้ไม่ และมาตรา ๑๒
น้ันเองไม่ได้บัญญัติว่า หากกระทาความผิดดังกล่าวไม่ว่าภายในหรือนอกราชอาณาจักรต้องรับโทษ
ดว้ ย

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๑๐

ฎีกาที่ ๔๙๐๑/๒๕๕๕ ฎ.๒๘๕๑ ศาลในต่างประเทศพิพากษาให้ลงโทษจาเลยข้อหา
ค้าประเวณี แต่คดีนี้จาเลยกระทาความผิดข้อหาเป็นธุระจัดหาซ่ึงบุคคลใดเพื่อการอนาจารและ

60

เพื่อให้บุคคลนั้นกระทาการค้าประเวณี เป็นคนละข้อหากัน และการกระทาต่างกัน การห้ามมิให้
ลงโทษจาเลยในราชอาณาจักรตาม ป.อ. มาตรา ๑๐ ต้องเป็นการลงโทษเพราะการกระทาเดียวกัน
คือ เมื่อลงโทษข้อหาใดในต่างประเทศแล้วจะลงโทษข้อหาเดียวกันซ้าในราชอาณาจักรอีกไม่ได้
ดงั นั้น คดนี ย้ี ่อมลงโทษจาเลยได้

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๒๙

ฎีกาท่ี ๔๑๖/๒๕๖๑ (ประชุมใหญ่) ฎ.๔๙ พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครัวและ
วิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา ๑๔๕ วรรคหน่ึง บัญญัติว่า “ในกรณเี ด็กหรือเยาวชน
ต้องโทษปรับ... ห้ามมิให้ศาลส่ังกักขังเด็กหรือเยาวชนแทนค่าปรับ แต่ให้ศาลส่งตัวไปควบคุมเพ่ือ
ฝึกอบรมในสถานท่ที ่กี าหนดไว.้ ..” และวรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีที่เด็กหรอื เยาวชนตอ้ งโทษปรับ
แต่ไม่มีเงินชาระค่าปรับ ให้นาบทบัญญัติมาตรา ๓๐/๑ มาตรา ๓๐/๒ และมาตรา ๓๐/๓ แห่ง ป.อ.
มาใช้บังคับโดยอนุโลม” จากบทบัญญัติดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า กรณีเด็กหรือเยาวชนต้องโทษปรับ
ไม่ให้มีการกักขังแทนค่าปรับ คงให้ส่งไปควบคุมเพ่ือฝึกอบรมเท่านั้น ซึ่งเป็นบทบัญญัติเฉพาะและ
เป็นข้อยกเว้น ป.อ. มาตรา ๒๙ ที่ให้กักขังแทนค่าปรับ หรือยึดทรัพย์สิน อายัดสิทธิเรียกร้องใน
ทรัพย์สินเพื่อใช้ค่าปรับ ซึ่งเป็นบทท่ัวไปเพ่ือเป็นการคุ้มครองสิทธิ สวัสดิภาพ และวิธีปฏิบัติต่อเด็ก
และเยาวชนให้สามารถที่จะดาเนินชีวิตต่อไปได้และกลับคืนสู่สังคมในสภาพที่ดีขึ้น เมื่อการบังคับคดี
ตามคาพิพากษาเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนเสร็จสิ้น โดยจะเห็นได้จากวรรคสองแห่งมาตรา ๑๔๕
ดังกล่าว ท่ีให้นามาตรา ๓๐/๑ มาตรา ๓๐/๒ และมาตรา ๓๐/๓ แห่ง ป.อ. มาใช้โดยอนุโลมเท่าน้ัน
มิได้กล่าวถึงมาตรา ๒๙ แห่ง ป.อ. แต่ประการใด โจทก์ไม่มีอานาจยื่นคาร้องขอให้ออกหมาย
ยึดทรัพย์สินหรืออายัดทรัพย์สินของจาเลยใช้ค่าปรับตามคาพิพากษาในกรณีที่จาเลยเป็นเด็กหรือ
เยาวชนกระทาความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๒๙ วรรคหนง่ึ

ฎีกาท่ี ๔๖๑๐/๒๕๖๐ ฎ.๒๘๙๒ แม้ระหว่างที่จาเลยต้องกักขังแทนค่าปรับได้มีพระราช
กฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษฯ ใช้บังคับ ซึ่งมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ผู้ต้องโทษดังต่อไปนี้
ให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวไป (๑) ผู้ต้องกักขัง..." มีผลให้ผู้ต้องกักขังได้รับพระราชทาน
อภัยโทษปล่อยตัวไปไม่ต้องถูกกักขังแทนค่าปรับต่อไป แต่หาได้บัญญัติให้ผู้ต้องโทษปรับพ้นจาก
โทษปรับไม่ โทษปรับตามคาพิพากษาของจาเลยยังคงมีอยู่ เม่ือจาเลยไม่ชาระค่าปรับ ศาลชั้นต้น
ย่อมมีอานาจดาเนินการบังคับคดีโดยใช้วิธียึดทรัพย์สินชดใช้ ค่าปรับในส่วนที่ยังไม่ถูกบังคับกักขัง
แทนค่าปรับ กรณีไม่มีเหตุที่จะคืนหลักประกันและยกเลิกหมายบังคับคดี รวมท้ังคืนเงินท่ีได้รับจาก
การบงั คบั คดใี หแ้ ก่จาเลย

ฎีกาที่ ๕๒๕๒/๒๕๕๙ การบังคับโทษปรับเป็นการใช้อานาจรัฐเก่ียวกับการลงโทษทาง
อาญาแก่จาเลยท่ี ๑ เมื่อคดีถึงท่ีสุดแล้วเป็นอานาจของศาลที่จะบังคับโทษปรับแก่จาเลยท่ี ๑ ตาม
ป.วิ.อ. มาตรา ๒๔๕ วรรคหน่ึง ผู้ร้องในฐานะพนักงานอัยการมีอานาจบังคับให้จาเลยท่ี ๑ ชาระ

61

คา่ ปรบั เตม็ จานวนท่ีกาหนดไว้ในคาพิพากษา
การท่ีจาเลยท่ี ๑ ถูกศาลมีคาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และบรรดาเจ้าหน้ีของจาเลยท่ี ๑

จะต้องขอรับชาระหน้ีจากกองทรัพย์สินของจาเลยท่ี ๑ ต่อผู้คัดค้านตาม พ.ร.บ. ล้มละลายฯ มาตรา
๒๗, ๙๑ วรรคหน่ึง และมาตรา ๙๔ แต่คดีนี้ศาลและผู้ร้องมิใช่เจ้าหนี้ของจาเลยที่ ๑ อีกท้ังค่าปรับ
ก็มิใช่หน้ีตามท่ีบัญญัติไว้ตาม พ.ร.บ. ล้มละลายฯ แต่การชาระเงินค่าปรับหรือการบังคับโทษปรับ
เป็นการใช้อานาจรัฐเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญา โดยศาลและพนักงานอัยการเป็น
ผู้บังคับใช้กฎหมายเพื่อให้จาเลยที่ ๑ ชาระค่าปรับตามท่ีบัญญัติไวใ้ น ป.อ. มาตรา ๒๙ โดยไม่จาต้อง
ยื่นคาขอรับชาระหนี้ต่อผู้คัดค้านเช่นเดียวกับหน้ีเงินในคดีแพ่ง มิฉะน้ันแล้วการลงโทษทางอาญา
จะไมต่ ้องตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพราะกฎหมายอาญาจัดเป็นกฎหมายมหาชนวา่ ด้วยความผิด
และโทษทางอาญาเป็นบทบัญญัติถึงความเก่ียวพันระหว่างเอกชนกับรัฐ ทั้งการกระทาความผิดน้ัน
ยังได้ชื่อว่ากระทบกระเทือนต่อมหาชนเป็นส่วนรวม จึงไม่อยู่ในบังคับของ พ.ร.บ. ล้มละลายฯ
ซง่ึ ผูร้ อ้ งจะต้องยน่ื คาขอรบั ชาระหนี้

ฎีกาท่ี ๖๗๘๘/๒๕๕๙ การท่ีศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษปรับจาเลยที่ ๑ หมายความว่า
จาเลยท่ี ๑ ผู้ต้องคาพิพากษาศาลอุทธรณ์จะต้องนาค่าปรบั มาชาระ หากจาเลยที่ ๑ ไม่ชาระค่าปรับ
แล้ว จาเลยที่ ๑ ต้องถกู ยึดทรพั ย์สนิ ใชค้ า่ ปรบั หรือมฉิ ะน้นั ตอ้ งถูกกักขงั แทนค่าปรับตาม ป.อ. มาตรา
๒๙ วรรคหนึ่ง เดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะท่ีจาเลยที่ ๑ ย่ืนคาร้อง วิธีการยึดทรัพย์
ใช้ค่าปรับหรือการกักขงั แทนค่าปรับดังกล่าว เป็นวิธีท่จี ะกระทาเพื่อเป็นการชดใช้ค่าปรับซง่ึ เป็นการ
บังคับคดีตามคาพิพากษาเท่าน้ัน เม่ือจาเลยท่ี ๑ ไม่นาค่าปรับมาชาระตามคาพิพากษาศาลอุทธรณ์
แล้ว แม้จาเลยท่ี ๑ ต้องถูกกักขังแทนค่าปรับและในท่ีสุดศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องจาเลยที่ ๑ ก็ไม่มี
เหตุที่ต้องจ่ายเงินค่าปรับท่ีจาเลยท่ี ๑ ต้องถูกกักขังแทนค่าปรับคืนให้แก่จาเลยที่ ๑ ทั้งกรณีไม่อาจ
นา ป.พ.พ. มาตรา ๔ มาใช้บังคบั กับคดนี ี้ซึ่งเปน็ คดีอาญาได้

ฎกี าน่าสนใจมาตรา ๒๙/๑

ฎีกาท่ี ๔๖๓๙/๒๕๖๒ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๘๐ จาเลยเป็นนักโทษเด็ดขาดและยังไม่ได้ถูกกักขัง
แทนค่าปรับก่อนพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษเน่ืองในโอกาสแรกนับแต่ข้ึนทรงราชย์สื บ
ราชสันตติวงศ์ พ.ศ. ๒๕๕๙ มีผลใช้บังคับ ซ่ึงมาตรา ๕ วรรคหน่ึง แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
บัญญัติว่า "ผู้ต้องโทษดังต่อไปน้ีให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวไป (๑) ผู้ต้องกักขัง ..." และ
มาตรา ๕ วรรคสอง บัญญัติว่า "กรณีผู้ต้องกักขังตามวรรคหนึ่ง (๑) ซ่ึงเป็นนักโทษเด็ดขาดและยัง
ไม่ได้รับโทษกักขังแทนโทษจาคุกหรือยังไม่ได้ถูกกักขังแทนค่าปรับ ให้ผู้ต้องกักขังน้ันได้รับ
พระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวไปในส่วนของโทษกกั ขังแทนโทษจาคุกหรือในส่วนของการกกั ขังแทน
ค่าปรับ แลว้ แตก่ รณี" ดังน้ัน จาเลยจึงได้รบั ประโยชนต์ ามมาตรา ๕ วรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎกี า
ดังกล่าวเฉพาะในสว่ นท่ีจะไมถ่ ูกกักขังแทนค่าปรบั หากจาเลยยังไม่ชาระค่าปรบั แต่พระราชกฤษฎีกา

62

ดังกล่าวไม่ได้ให้จาเลยพ้นจากโทษปรับด้วย โทษปรับจาเลยตามคาพิพากษายังคงมีอยู่ เม่ือจาเลยยัง
ไม่ชาระค่าปรับตามคาพิพากษาศาลชั้นต้นท่ีถึงท่ีสุด โจทก์จึงขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีต้ัง
เจ้าพนกั งานบงั คับคดียดึ หรืออายดั ทรพั ย์ของจาเลยได้

ฎกี าน่าสนใจมาตรา ๓๘

ฎีกาที่ ๑๐๔๘๘/๒๕๕๘ ป.อ. มาตรา ๓๘ บัญญัติว่า "โทษให้เป็นอันระงับไปด้วยความตาย
ของผู้กระทาความผิด" เมื่อจาเลยถึงแก่ความตายในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โทษตาม
คาพิพากษาของศาลล่างท้ังสองจึงเป็นอันระงับไปตามบทบัญญัติดังกล่าว เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นทายาท
ของผู้ตายยื่นคาร้องขอคืนค่าปรับท่ีจาเลยชาระต่อศาลตามคาพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องคืนเงิน
ค่าปรับใหแ้ ก่ผู้รอ้ ง

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๕๖

ฎีกาท่ี ๑๘๓๓๒/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๑๑ น.๒๔๘ ป.อ. มาตรา ๕๖ กรณีท่ีศาลจะพิพากษาว่า
จาเลยมคี วามผิดแตใ่ ห้รอการกาหนดโทษได้ จะตอ้ งเปน็ ความผิดซง่ึ มีโทษถงึ จาคุก และศาลจะลงโทษ
จาคุกไม่เกินสามปี โดยผูก้ ระทาผิดนั้นต้องไม่เคยได้รับโทษจาคุกมาก่อน หรอื ได้รับโทษจาคุกมาก่อน
แต่เป็นโทษสาหรับความผิดที่ได้กระทาโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษเท่านั้น เมื่อความผิดตามที่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษมีระวางโทษปรับต้ังแต่สองแสนบาทถึงหน่ึงล้านบาทและปรับอีกไม่เกินวันละ
หน่ึงหม่ืนบาทตลอดระยะเวลาท่ีฝา่ ฝืนอยู่ โดยไม่มีการกาหนดโทษจาคุกไว้ด้วย จึงไม่ใช่ความผิดซึ่งมี
โทษจาคุกและไม่เข้าเงื่อนไขท่ีศาลจะรอการกาหนดโทษแก่จาเลยได้ ดังน้ัน แม้จาเลยจะไม่เคย
ต้องโทษจาคุกมาก่อนและเพ่งิ กระทาผิดคดนี เี้ ป็นคร้ังแรก ก็ไม่อาจที่จะรอการกาหนดโทษในความผิด
ฐานดังกลา่ วได้
ข้อสังเกต ฎีกำนี้ตัดสินตำมกฎหมำยเดิม แต่ปัจจุบันควำมผิดท่ีมีเพียงโทษปรับโดยไม่มีโทษจำคุก
ศำลก็รอกำรลงโทษปรับให้แกจ่ ำเลยไดต้ ำมมำตรำ ๕๖ ทแี่ กไ้ ข พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งบญั ญัติวำ่

มำตรำ ๕๖ ผู้ใดกระทำควำมผิดซ่ึงมีโทษจำคุกหรือปรับ และในคดีนั้นศำลจะลงโทษจำคุก
ไมเ่ กนิ ห้ำปไี มว่ ำ่ จะลงโทษปรบั ด้วยหรือไมก่ ็ตำม หรอื ลงโทษปรบั ถ้ำปรำกฏวำ่ ผูน้ น้ั

(๑) ไม่เคยรบั โทษจำคุกมำก่อน หรือ
(๒) เคยรับโทษจำคุกมำก่อนแต่เป็นโทษสำหรับควำมผิดท่ีได้กระทำโดยประมำทหรือ
ควำมผิดลหโุ ทษ หรือเปน็ โทษจำคุกไม่เกินหกเดอื น หรือ
(๓) เคยรับโทษจำคุกมำก่อนแต่พ้นโทษจำคกุ มำแล้วเกินกวำ่ ห้ำปี แล้วมำกระทำควำมผิดอีก
โดยควำมผิดในครั้งหลังเป็นควำมผิดที่ได้กระทำโดยประมำทหรือควำมผิดลหุโทษ และเมื่อศำล
ได้คำนึงถึงอำยุ ประวัติ ควำมประพฤติ สติปัญญำ กำรศึกษำอบรม สุขภำพ ภำวะแห่งจิต นิสัย

63

อำชีพ และสิ่งแวดล้อมของ ผู้นั้น หรือสภำพควำมผิด หรือกำรรู้สึกควำมผิด และพยำยำมบรรเทำ
ผลร้ำยท่ีเกิดข้ึน หรือเหตุอื่นอันควรปรำนีแล้ว ศำลจะพิพำกษำว่ำผู้นั้น มีควำมผิดแต่รอกำรกำหนด
โทษหรือกำหนดโทษแต่รอกำรลงโทษไว้ ไม่ว่ำจะเป็นโทษจำคุกหรือปรับอย่ำงหน่ึงอย่ำงใดหรือ
ทัง้ สองอยำ่ ง เพอื่ ให้โอกำสกลับตัวภำยในระยะเวลำท่ศี ำลจะได้กำหนดแต่ตอ้ งไม่เกินห้ำปีนับแตว่ ันท่ี
ศำลพพิ ำกษำ โดยจะกำหนดเง่อื นไขเพื่อคุมควำมประพฤติของผนู้ นั้ ด้วยหรือไม่ก็ได.้ ..

ฎีกาที่ ๒๕๔๓/๒๕๖๑ ฎ.๕๓๘ ข้อเท็จจริงได้ความตามรายงานการคุมความประพฤติของ
พนักงานคุมประพฤตวิ ่าภายหลังจากศาลอุทธรณ์มีคาพพิ ากษาในคดีนี้ คดอี าญาที่โจทก์ขอให้นบั โทษ
ต่อ ศาลอุทธรณ์มีคาพิพากษาให้จาคุกจาเลยและปรับ และคดีเป็นอันถึงท่ีสุดไปแล้ว ปัจจุบันจาเลย
ตอ้ งโทษจาคุกอยู่ในเรือนจา ดังนั้น กรณีของจาเลยไม่อยู่ในหลกั เกณฑ์ตาม ป.อ. มาตรา ๕๖ ที่จะรอ
การลงโทษจาคุกให้แก่จาเลยได้

ฎีกาที่ ๗๕๐๓/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๘ น.๑๗๐ จาเลยท่ี ๑ ซ่ึงพ้นโทษในคดีก่อนเม่ือวันที่ ๑๕
ธันวาคม ๒๕๕๔ นับถึงวันกระทาความผิดคดีน้ีแม้จะเกินกว่า ๕ ปีก็ตาม แต่เม่ือมากระทาความผิด
คดีนี้ซึ่งไม่ใช่ความผิดที่ได้กระทาโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ จึงไม่อยู่ในเง่ือนไขตาม ป.อ.
มาตรา ๕๖ ท่ีจะรอการกาหนดโทษให้ได้ ส่วนจาเลยท่ี ๒ ซ่ึงพ้นโทษในคดีก่อนเมื่อวันที่ ๙ กันยายน
๒๕๕๖ และกลับมากระทาความผิดในคดีนี้อีกเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๐ จึงยังพ้นโทษมาไม่เกิน
๕ ปี ทั้งความผิดในคดีก่อนและความผิดคดีนี้ต่างก็ไม่ใช่ความผิดที่ได้กระทาโดยประมาท
หรือความผิดลหุโทษ โดยโทษจาคุกในคดีก่อนมีกาหนด ๕ ปี ๓ เดือน ซึ่งเป็นโทษจาคุกเกินกว่า
๖ เดอื น กรณีของจาเลยท่ี ๒ จงึ ไมอ่ ยู่ในหลักเกณฑ์ทีจ่ ะรอการกาหนดโทษให้ได้เช่นเดยี วกัน

ฎีกาที่ ๕๕๐๑/๒๕๖๐ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๗๑ หลังเกิดเหตุคดีนี้ จาเลยได้รับโทษจาคุก ๑๔ ปี
๑๒ เดือน ตามคดีของศาลอาญาในความผิดต่อ พ.ร.บ. บัตรประจาตัวประชาชนฯ และความผิด
เกี่ยวกับเอกสาร และได้พ้นโทษแล้ว โจทก์จึงฟ้องจาเลยเป็นคดีน้ี เม่ือจาเลยเคยได้รับโทษจาคุก
มาก่อนและพ้นโทษไปแล้วดังกล่าว ท้ังความผิดในคดีก่อนและคดีน้ีไม่ใช่ความผิดที่ได้กระทาโดย
ประมาทหรือความผิดลหุโทษ จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ท่ีจะรอการลงโทษจาคุกตาม ป.อ. มาตรา ๕๖

ฎีกาท่ี ๖๐๒๓/๒๕๖๐ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๒๗ ป.อ. มาตรา ๕๖ บัญญัติว่า "ผู้ใดกระทาความผิด
ซึง่ มีโทษจาคุกหรือปรับ และในคดีน้ันศาลจะลงโทษจาคกุ ไม่เกนิ หา้ ปี ไม่ว่าจะลงโทษปรบั ด้วยหรือไม่
ก็ตาม หรือลงโทษปรับ ถ้าปรากฏว่าผู้นั้น... (๒) เคยรับโทษจาคุกมาก่อนแต่...เป็นโทษจาคุกไม่เกิน
หกเดือน (๓) เคยรับโทษจาคุกมาก่อนแต่พ้นโทษจาคุกมาแล้วเกินกว่าห้าปี แล้วมากระทาความผิด
อีก โดยความผิดในครั้งหลังเป็นความผิดท่ีได้กระทาโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ... ศาล
จะพิพากษาว่าผู้นั้นมีความผิดแต่รอการกาหนดโทษหรือกาหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้...ก็ได้"
เม่ือจาเลยเคยต้องโทษจาคุก ๓ ปี ๕ เดือน ๒๔ วัน ในความผิดฐานชิงทรัพย์ ความผิดต่อเสรีภาพ
และความผิดต่อ พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ และพ้นโทษมาแล้วไม่ถึงห้าปี แล้วมากระทาความผิดอีก แมค้ ดีน้ี
เป็นความผิดที่ได้กระทาโดยประมาท ก็ไมเ่ ขา้ เงื่อนไขของมาตรา ๕๖ (๒) (๓) ที่ศาลจะรอการลงโทษ
จาคกุ ให้แก่จาเลยได้

64

ฎกี าที่ ๗๒๖๔/๒๕๖๑ ฎ.๒๖๗๐ จาเลยเคยไดร้ ับโทษจาคุกในคดีกอ่ นเกินกว่าหกเดือนและ
มิใช่ความผิดที่ได้กระทาโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ แมค้ วามผิดในคดกี ่อนเกิดขึ้นภายหลงั คดีน้ี
แตก่ ไ็ มอ่ ยู่ในหลกั เกณฑ์ท่ีจะรอการลงโทษจาคุกให้แกจ่ าเลยตาม ป.อ. มาตรา ๕๖

ฎีกาท่ี ๖๘๑๕/๒๕๖๒ ฎ.๑๕๗๖ จาเลยเคยได้รับโทษจาคุกตามคาพิพากษาในคดีก่อน
อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ ๑๐ เดือน กรณีไม่อาจรอการลงโทษในคดีน้ีได้ตาม ป.อ.
มาตรา ๕๖ (๒) แม้จาเลยจะได้รับโทษจริงไม่เกินหกเดือนเน่ืองจากได้รับพระราชทานอภัยโทษ
ให้ลดโทษลงเพยี งใดหรือถึงข้นั ปล่อยตวั ไปกต็ าม

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๕๙
ไม่รู้ ถอื วา่ ไม่มีเจตนา

ฎีกาท่ี ๘๔๓๒/๒๕๕๙ ฎ.๑๙๖๒ จาเลยนาบัตรเอทีเอ็มของโจทก์ร่วมท่ี ๒ ซึ่งโจทก์ร่วม
ท่ี ๒ มอบให้โจทก์ร่วมท่ี ๑ ไปเบิกถอนเงินสด โดยเชื่อว่าโจทก์ร่วมท่ี ๒ มอบบัตรเอทีเอ็มแก่
โจทก์รว่ มท่ี ๑ ไว้ใช้ การกระทาของจาเลยเป็นการกระทาท่มี ิได้รู้ขอ้ เท็จจริงอันเป็นองคป์ ระกอบของ
ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๕๙ วรรคสาม ถือไม่ได้ว่าจาเลยกระทาโดยมีเจตนา การกระทาของจาเลย
ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนและฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อ่ืนเบิกถอนเงินสด
โดยมิชอบ
ข้อสังเกต กำรไม่รู้ข้อเทจ็ จริงอันเป็นองค์ประกอบควำมผิดตำมมำตรำ ๕๙ วรรคสำม และกำรสำคัญ
ผิดในข้อเท็จจริงที่จะทำให้กำรกระทำไม่เป็นควำมผิดตำมมำตรำ ๖๒ วรรคแรก ต่ำงก็เป็นเรื่อง
"สำคัญผิด" หรืออีกนัยหนึ่งคือ "เข้ำใจผิด" เหมือนกัน แต่ควำมสำคัญผิดหรือเข้ำใจผิดดังกล่ำว
แตกต่ำงกันตรงท่ีว่ำกรณีตำมมำตรำ ๕๙ วรรคสำม เป็นควำมสำคัญผิดท่ีทำใหผ้ ู้กระทำ "ขำดเจตนำ"
ส่วนควำมสำคัญผิดตำมมำตรำ ๖๒ วรรคแรก เป็นควำมสำคัญผิดที่ทำให้ผู้กระทำซ่ึง "มีเจตนำ" อยู่
แล้วไม่มคี วำมผิด (ดูเพ่ิมเติมในศำสตรำจำรย์ ดร. เกียรติขจร วัจนะสวสั ดิ์, คำอธิบำยกฎหมำยอำญำ
ภำค ๑ เล่ม ๑ พิมพ์ครั้งท่ี ๑๑ พ.ศ. ๒๕๖๒ หน้ำ ๒๙๕ ถึง ๒๙๗) ที่ศำลฎีกำตัดสินตำมฎีกำที่
๘๔๓๒/๒๕๕๙ ว่ำ จำเลยเช่ือว่ำโจทก์ร่วมท่ี ๒ มอบบัตรเอทีเอ็มแก่โจทก์ร่วมท่ี ๑ ไว้ใช้ กำรกระทำ
ของจำเลยเป็นกำรกระทำท่ีมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของควำมผิดตำมมำตรำ ๕๙ วรรค
สำม ถือไม่ได้ว่ำจำเลยกระทำโดยมีเจตนำ นำ่ จะกลับฎีกำที่ ๑๔๒๓/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๓ ท่ีตัดสิน
วำ่ จำเลยท้ังสองเข้ำใจโดยสุจริตว่ำที่ดินพพิ ำทเป็นของตน กรณีจงึ เป็นเรือ่ งท่ีจำเลยทั้งสองสำคัญผิด
ในขอ้ เทจ็ จริงซึง่ หำกฟังไดว้ ่ำ จำเลยท้งั สองเป็นเจ้ำของที่ดินพิพำทจรงิ จำเลยท้ังสองกย็ ่อมมีสทิ ธทิ ่ีจะ
ทำให้เสียหำยหรือทำลำยต้นยำงพำรำซึ่งตกเป็นกรรมสิทธิ์ของตนแล้วได้โดยไม่เป็นควำมผิดฐำน
ทำใหเ้ สียทรพั ย์ตำมมำตรำ ๓๕๘ ตำมมำตรำ ๖๒

ฎีกำท่ี ๘๔๓๒/๒๕๕๙ ที่ตัดสนิ ว่ำจำเลยเช่ือวำ่ โจทก์ร่วมที่ ๒ มอบบัตรเอทีเอ็มแก่โจทกร์ ่วม
ท่ี ๑ ไว้ใช้ กำรกระทำของจำเลยเป็นกำรกระทำท่ีมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของควำมผิด

65

ตำม ป.อ. มำตรำ ๕๙ วรรคสำม ถือไม่ได้ว่ำจำเลยกระทำโดยมีเจตนำ เป็นฎีกำที่ตัดสินถูกต้องตำม
หลักกฎหมำยและเปน็ แนวฎีกำล่ำสุด หำกออกข้อสอบนกั ศกึ ษำต้องตอบตำมบรรทัดฐำนฎกี ำน้ี

ฎีกาท่ี ๕๗๒๙/๒๕๕๖ ฎ. ๑๖๐๐ จาเลยพยายามข่มขืนกระทาชาเราผู้ตายโดยใช้กาลัง
ประทุษร้ายผู้ตายจนหมดสติแล้วนาไปทิ้งที่อ่างเก็บน้า โดยเข้าใจว่าผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว
จึงถือว่าจาเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายหาได้ไม่ เพราะจาเลยมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบ
ของความผิดอันจะถือว่าจาเลยประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลไม่ได้ตาม ป.อ. มาตรา ๕๙
วรรคสาม การกระทาของจาเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานเจตนาฆ่าผู้ตายตามมาตรา ๒๘๘ แต่เป็นการ
กระทาผิดโดยประมาทเป็นเหตใุ หผ้ ูต้ ายถงึ แก่ความตายตามมาตรา ๒๙๑
ข้อสังเกต ที่ศำลฎีกำตัดสินว่ำ จำเลยทำร้ำยผู้ตำยจนหมดสติโดยจำเลยเข้ำใจว่ำผู้ตำยถึงแก่ควำม
ตำยจึงนำผู้ตำยไปถ่วงน้ำจนถึงแก่ควำมตำย เป็นกำรกระทำโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบ
ภำยนอก เท่ำกับไม่มีเจตนำฆ่ำ จำเลยไม่มีควำมผิดฐำนฆ่ำผู้อ่ืน แต่เป็นกำรกระทำโดยประมำท
ให้ผู้อ่ืนถึงแก่ควำมตำยตำมมำตรำ ๒๙๑ นั้น ถูกต้องแล้ว แต่นอกจำกนี้กำรกระทำของจำเลยน่ำจะ
เป็นควำมผิดฐำนทำร้ำยผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ควำมตำยตำมมำตรำ ๒๙๐ ด้วย เพรำะจำเลยทำร้ำย
ผ้ตู ำยจนหมดสติ แล้วจำเลยนำผู้ตำยไปถ่วงนำ้ จนถึงแก่ควำมตำย ควำมตำยของผู้ตำยเปน็ ผลโดยตรง
จำกกำรกระทำของจำเลยและมีเหตุแทรกแซงที่จำเลยคำดหมำยได้ ขอให้ดูรำยละเอียดใน
FACEBOOK เกียรตขิ จร วจั นะสวัสด์ิ

ฎีกาที่ ๙๙๐๗/๒๕๕๙ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๗๒ ต้นสักเป็นไม้ยืนต้นจึงเป็นส่วนควบกับที่ดินพิพาท
ที่ต้นสักนั้นข้ึนอยู่ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๕ วรรคหนึ่ง และผู้มีสิทธิครอบครองท่ีดินพิพาทย่อมมี
กรรมสิทธ์ิในต้นสักซ่ึงเป็นส่วนควบของที่ดินดังกล่าวตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๔ วรรคสอง เม่ือโจทก์
และจาเลยท่ี ๑ ยังมีข้อพิพาทโต้แย้งกันอยู่เกี่ยวกับท่ีดินพิพาทว่าฝ่ายใดเป็นผู้มีสิทธิครอบครองท่ีดิน
พิพาทและใครเป็นผู้ปลูกต้นสักดังกล่าว กรณีจึงยังไม่อาจรับฟังช้ีชัดได้ว่าต้นสักเป็นกรรมสิทธิ์ของ
ผู้ใด การที่จาเลยท่ี ๑ ให้จาเลยที่ ๒ กับคนงานเข้าไปตัดฟันต้นสักในท่ีดินพิพาทเพราะเชื่อว่าที่ดิน
พิพาทและต้นสักเป็นของจาเลยท่ี ๑ แต่เมื่อโจทก์เข้าห้ามปรามก็หยุดตัดเช่นน้ี กรณีน่าเช่ือว่าจาเลย
ที่ ๑ กระทาโดยสจุ ริต จาเลยท่ี ๑ จงึ ไมม่ ีความผิดฐานทาให้เสียทรัพยต์ ามฟอ้ ง

ฎีกาที่ ๙๙๗๓/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๗๗ โจทก์กับจาเลยยังมีคดีความกันท่ีศาลชั้นต้นใน
เร่ืองสิทธิครอบครองท่ีดินพิพาทอยู่ว่าฝ่ายใดมีสิทธิครอบครองท่ีดินพิพาทดีกว่ากัน เมื่อทั้งสองฝ่าย
ยังโต้เถียงการครอบครองกันอยู่ การที่จาเลยให้ชาวบ้านเข้าไปในที่ดินพิพาทเพื่อตัดต้นยูคาลิปตัส
จึงเป็นการเข้าใจโดยสุจริตว่าท่ีดินพิพาทเป็นของจาเลย การกระทาของจาเลยจึงไม่มีความผิดฐาน
บกุ รกุ

ส่วนความผิดฐานทาให้เสียทรัพย์น้ัน แม้โจทก์จะอ้างว่าต้นยูคาลิปตัสท่ีจาเลยใช้ให้ชาวบ้าน
เข้าไปตัดฟันน้ันโจทก์เป็นผู้ปลูกก็ตาม แต่ต้นยูคาลิปตัสเป็นไม้ยืนต้นจึงเป็นส่วนควบของที่ดิน และ
ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดินซ่ึงเป็นเจ้าของทรัพย์ประธาน เม่ือโจทก์และจาเลยยังโต้เถียงสิทธิ
ในท่ีดิน เท่ากับว่าโจทก์และจาเลยยังโต้เถียงกรรมสิทธ์ิของต้นยูคาลิปตัสซึ่งปลูกอยู่ในที่ดิน การท่ี

66

จาเลยใช้ให้ชาวบ้านเข้าไปตันฟันต้นยูคาลิปตัส จึงมีเหตุอันสมควรให้จาเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าต้น
ยคู าลปิ ตัสดงั กลา่ วเป็นของจาเลยเชน่ กัน การกระทาของจาเลยจึงไม่มคี วามผดิ ฐานทาใหเ้ สยี ทรัพย์

ฎีกาที่ ๕๗๔๐/๒๕๕๘ แม้ในคดีแพ่งท่ีผู้เสียหายฟ้องขับไล่จาเลยท่ี ๑ ศาลชั้นต้นมีคาส่ัง
ยกคาร้องขอคุ้มครองชั่วคราวของผู้เสียหายโดยให้เหตุผลว่าผู้เสียหายยื่นคาร้องขอคุ้มครองชั่วคราว
ก่อนพิพากษาหลังจากที่จาเลยที่ ๑ เข้าไปปลูกข้าวในท่ีนาพิพาทเป็นเวลาหลายเดือนจนข้าวจะ
เก็บเก่ียวได้แล้ว การย่ืนคาร้องขอของผู้เสียหายจึงล่วงเลยเวลาอันสมควร ทั้งหากจะนาวิธีการ
คุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษามาใช้ ก็ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่จาเลยท่ี ๑ จึงยังไม่สมควร
จะนาวธิ ีการชัว่ คราวก่อนพิพากษาตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา ๒๕๔ (๒) มาใช้แก่จาเลยที่ ๑ อันอาจเป็นเหตุ
ทาให้จาเลยท่ี ๑ เข้าใจว่าจาเลยท่ี ๑ มีสิทธิเข้าไปเก็บเกี่ยวข้าวในท่ีนาพิพาท เพราะเช่ือว่าเป็น
ต้นข้าวท่ีจาเลยที่ ๑ ปลูกไว้ก็ตาม แต่ภายหลังศาลช้ันต้นมีคาพิพากษาในคดีอาญาที่โจทก์ฟ้อง
กล่าวหาจาเลยท่ี ๑ กับพวกว่า การกระทาของจาเลยที่ ๑ เป็นความผิดฐานบุกรุกท่ีนาพิพาทของ
ผู้เสียหาย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าท่ีนาพิพาทเป็นของผู้เสียหาย และผลของคาพิพากษาคดีอาญา
ดังกล่าวย่อมทาให้จาเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธิเข้าไปกระทาการใด ๆ ในท่ีนาพิพาท เนื่องจากคาพิพากษา
ศาลช้ันต้นย่อมมีผลผกู พันคู่ความจนกว่าคาพิพากษานั้นถูกเปล่ยี นแปลง แก้ไข กลับ หรืองดเสยี ตาม
ป.ว.ิ พ. มาตรา ๑๔๕ วรรคหน่งึ ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา ๑๕ แตใ่ นวันเกิดเหตหุ ลังจากท่ีศาลชน้ั ตน้ มี
คาพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวแล้ว จาเลยที่ ๑ ท่ี ๒ และท่ี ๓ กลับเข้าไปเก่ียวข้าวซ่ึงปลูกอยู่ในท่ี
นาพิพาทเน้ือท่ีประมาณ ๑ งาน ได้ข้าวจานวน ๕๐ มัด นาไปวางไว้บนคันนาอีก เมื่อข้าวในที่นา
พพิ าทเป็นของผู้เสียหาย การที่จาเลยท่ี ๔ เข้าไปเกย่ี วข้าวในที่นาพิพาทร่วมกับจาเลยที่ ๑ ท่ี ๒ และ
ที่ ๓ จึงถือว่าจาเลยท่ี ๔ เป็นตัวการร่วมกับจาเลยท่ี ๑ ที่ ๒ และท่ี ๓ กระทาความผิดฐานลักทรัพย์

ฎีกาท่ี ๑๙๕๔/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๐๐ ผู้เสียหายท่ี ๑ สวมกางเกงขายาวสีกากี สวมเส้ือ
ยืดคอกลมสีขาว เข้าไปขอตรวจค้นตัวจาเลยโดยแจ้งว่าเป็นเจ้าพนักงานตารวจ แต่ ไม่ได้แต่ง
เครื่องแบบตารวจหรือแสดงหลักฐานให้เห็นว่าตนเป็นเจ้าพนักงานตารวจผู้ทาการตามหน้าท่ี กรณี
อาจทาให้จาเลยเข้าใจผิดไปได้ แม้จาเลยจะต่อสู้ชกต่อยหรือใช้มีดแทงผู้เสียหายท่ี ๑ เพ่ือขัดขวาง
ไม่ให้ผู้เสียหายที่ ๑ ตรวจค้นและจับกุม จาเลยก็หามีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการ
ปฏิบตั กิ ารตามหน้าทแี่ ละพยายามฆา่ เจา้ พนกั งานซ่ึงกระทาการตามหนา้ ทไ่ี ม่

ฎีกาท่ี ๒๒๐๕/๒๕๕๔ (ประชุมใหญ่) ฎ.๑๐๕๒ จาเลยที่ ๑ ยินยอมไปซ้ือเมทแอมเฟตา
มีนของกลางจากจาเลยท่ี ๒ มาให้เจ้าพนักงานตารวจเพราะหวังค่าจ้าง ไม่ว่าค่าจ้างจะเป็นเมทแอม
เฟตามีนครึ่งเม็ดหรือเป็นเงิน ๕๐ บาท ก็ถือเป็นค่าจ้าง หากไม่มีค่าจ้างจาเลยที่ ๑ จะไม่ไป
ดาเนินการซ้ือเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจาเลยที่ ๒ เช่นน้ี ถือเป็นการอาศัยจาเลยท่ี ๑ เป็น
เครือ่ งมือ เจ้าพนักงานตารวจซ่ึงเป็นผู้เร่ิมมิใชจ่ าเลยที่ ๑ เป็นผู้เร่ิมในการไปซอ้ื เมทแอมเฟตามีนจาก
จาเลยที่ ๒ จาเลยที่ ๑ จึงอยู่ในสถานะเดียวกับสายลับ ถือไม่ได้ว่าจาเลยที่ ๑ มีเจตนากระทา
ความผิด จาเลยท่ี ๑ จึงไม่มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพ่ือจาหน่ายและ
จาหนา่ ยเมทแอมเฟตามนี

67

ฎีกาที่ ๑๒๘๐/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๐๗ จาเลยท่ี ๒ วางแผนกับพวกหลอกว่าจ้างจาเลยที่
๑ นารถยกไปยกรถยนต์ของผู้เสียหายไปส่งให้จาเลยที่ ๒ เพ่ือจาเลยที่ ๒ จะยกรถยนต์ต่อไปยัง
จดุ หมาย โดยจาเลยท่ี ๑ ไม่ทราบว่าตนเองเป็นเคร่ืองมือของคนร้าย จาเลยท่ี ๒ จึงเป็นตัวการในการ
ลักรถยนต์โดยใช้จาเลยที่ ๑ เป็นเครื่องมือในการกระทาความผิดของตน จาเลยท่ี ๑ จึงไม่ได้ร่วม
กระทาผดิ

ประสงค์ตอ่ ผลหรือย่อมเล็งเห็นผล

ฎีกาที่ ๑๒๘๙/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๓๕ จาเลยเป็นคนร้ายท่ีร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนยิง
โจทก์ร่วมที่ ๑ ถึงท่ี ๓ พฤติการณ์ท่ีจาเลยกับพวกใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงโจทก์ร่วมที่ ๑
ถึงที่ ๓ ในขณะที่นั่งโดยสารอยู่บนกระบะด้านหลังรถของโจทก์ร่วมที่ ๔ โดยอยู่ห่างกันเพียง ๒ ถึง
๓ เมตร เป็นจานวนถึง ๑๒ นัด จาเลยกับพวกย่อมเล็งเห็นผลได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกโจทก์ร่วมที่ ๑
ถงึ ท่ี ๓ ถึงแก่ความตายได้ จาเลยกับพวกจึงมีเจตนาฆ่า เม่ือจาเลยกับพวกลงมือกระทาความผิดแล้ว
แต่การกระทาไม่บรรลุผลเน่ืองจากโจทก์ร่วมท่ี ๑ ถึงท่ี ๓ ไม่ถึงแก่ความตาย การกระทาของจาเลย
จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่า และการท่ีจาเลยกับพวกใช้อาวุธปืนยิงดังกล่าวเป็นเหตุให้
กระสุนปืนถูกรถกระบะของโจทก์ร่วมท่ี ๔ ได้รับความเสียหายหลายแห่ง จาเลยจึงมีความผิดฐาน
ร่วมกนั ทาใหเ้ สยี ทรัพย์ด้วย
ขอ้ สังเกต คดีตำมฎีกำนแี้ ละฎีกำที่ ๗๗๑๖/๒๕๖๑ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐำนพยำยำมฆ่ำ และฐำน
ทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งท้ังสองฎีกำนี้ไม่ใช่เรื่องพลำด แต่เป็นเรื่องที่จำเลยมีทั้งเจตนำฆ่ำและเจตนำทำให้
เสียทรัพย์เป็นกำรกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมำยหลำยบท หำกออกข้อสอบนักศึกษำต้องตอบว่ำ
มีเจตนำฆ่ำโดยเล็งเห็นผล เม่ือไม่ตำยก็เป็นพยำยำมฆ่ำบทหนึ่ง และมีเจตนำทำให้เสียทรัพย์
อีกบทหน่ึงด้วย อย่ำตอบว่ำเป็นกำรกระทำโดยพลำดโดยเด็ดขำด เพรำะจะเป็นคำตอบท่ีผิด เพรำะ
เจตนำกระทำต่อชวี ติ จะถอื ว่ำมีเจตนำโดยพลำดตอ่ ทรัพยไ์ มไ่ ด้

ฎีกาท่ี ๗๗๑๖/๒๕๖๑ ฎ.ส.ล.๘ น.๑๗๘ จาเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายท่ี ๑ เมื่อผู้เสียหาย
ท่ี ๑ วิ่งหลบหนีไปในบริษัท จาเลยยังไล่ยิงไปยังรถบัสของผู้เสียหายที่ ๒ ขณะมีพนักงานว่ิงหนีเพื่อ
ไปหลบบนรถ กระสุนไม่ถูกผู้ใด แต่ถูกกระจกมองข้างของรถบัสของผู้เสียหายท่ี ๒ ได้รับความ
เสียหาย จากการกระทาดงั กล่าวแสดงให้เห็นว่าจาเลยเล็งเหน็ ผลแหง่ การกระทาของตนว่ากระสุนปืน
อาจถูกผู้เสียหายที่ ๑ ถึงแก่ความตาย เป็นการกระทาโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายท่ี ๑ เม่ือกระสุนปืน
ไม่ถูกผู้เสียหายท่ี ๑ แต่ถูกกระจกมองขา้ งของรถบัสได้รับความเสียหาย การกระทาของจาเลยจงึ เป็น
ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสยี หายที่ ๑ และทาใหเ้ สียทรัพย์ผูเ้ สียหายที่ ๒

ฎกี าที่ ๑๗๑/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล. ๑ น.๑๕ การทจ่ี าเลยนาบุตรที่เพิ่งคลอดออกจากโรงพยาบาล
เจ้าหน้าท่ีโรงพยาบาลใช้ผ้าขนหนูห่อพันตัวเด็กให้เพ่ือป้องกันแสงแดดและมลภาวะอากาศ โดยเว้น
ส่วนใบหน้าไว้เพื่อท่ีเด็กจะได้มีอากาศหายใจ จึงไม่มีเหตุผลท่ีจาเลยจะต้องเอาเด็กใส่กระเป๋าหิ้ว

68

การที่จาเลยนาเด็กทารกเพ่ิงคลอดท่ีต้องมีคนคอยดูแลตลอดเวลาเพราะยังพึ่งพาตนเองไม่ได้ใส่ใน
กระเป๋าห้ิว เอาผ้าขนหนูห่อมิดทั้งตัว ปิดทับด้วยเส้ืออีกชั้นกับรูดซิบปิดกระเป๋าไว้ ทาให้อากาศ
ไม่สามารถผ่านเข้าไปในกระเป๋า ซ้านาแผ่นพลาสเตอร์ปิดบริเวณปากและจมูก ย่อมเห็นเจตนาว่า
จาเลยประสงค์จะให้เด็กถึงแก่ความตาย แต่เพราะเหตุที่พลาสเตอร์ท่ีปิดไว้อาจจะไม่สนิทพอทาให้
ยงั พอจะหายใจไดป้ ระกอบกบั ถูกตรวจพบทนั เวลา เปน็ เหตใุ หเ้ ดก็ ไม่ถงึ แก่ความตาย การกระทาของ
จาเลยจงึ เปน็ ความผิดฐานพยายามฆา่ ผูอ้ ืน่

ฎีกาที่ ๕๓๓๒/๒๕๖๐ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๙๕ จาเลยใช้ถุงพลาสติกซึ่งไม่มีช่องอากาศครอบ
ศีรษะผู้ตาย แล้วใช้เทปกาวพันรอบถุงบริเวณรอบลาคอผู้ตาย แม้จาเลยมิได้ประสงค์จะให้ผู้ตายถึง
แก่ความตาย แต่จาเลยก็ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าการกระทาดังกล่าวจะทาให้ผู้ตายขาดอากาศหายใจ
และถึงแก่ความตายได้ จึงถือได้ว่าจาเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายแล้ว เมื่อการกระทาของจาเลยเป็นเหตุให้
ผู้ตายถึงแก่ความตาย จาเลยจงึ มีความผดิ ฐานฆา่ ผ้อู ื่น

การที่จาเลยจะอ้างว่ากระทาความผิดโดยบันดาลโทสะได้น้ันจะต้องปรากฏว่าจาเลยถูก
ผูต้ ายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมก่อน และต้องเป็นการกระทาความผิดในขณะที่ถูก
ผตู้ ายข่มเหงด้วย ก่อนเกิดเหตุจาเลยกับผตู้ ายมีปากเสียงทะเลาะกันในขณะท่ีจาเลยขับรถยนต์มากับ
ผู้ตาย แม้จาเลยอ้างว่าผู้ตายทุบตีและถีบจาเลยจนทาให้รถยนต์เสียหลักไปชนกับขอบทางด่วน แต่
สาเหตุท่ีผู้ตายกระทาต่อจาเลยเกิดจากจาเลยหลอกลวงให้ผู้ตายไปพบเพือ่ ดรู ถยนต์ท่จี ะนามาตีใชห้ นี้
ให้แก่ผู้ตายซ่ึงจาเลยมีส่วนผิดอยู่ด้วย เมื่อจาเลยใช้เข็มขัดพลาสติกรัดสายไฟมัดมือมัดเท้า ใช้เทป
ปิดปากผู้ตาย และถอดเส้ือผ้าของผู้ตายออกทิ้งไปแล้ว ผู้ตายย่อมไม่อาจกระทาการอันเป็นการ
ข่มเหงจาเลยอย่างร้ายแรงต่อไปได้ การท่ีจาเลยยังคงใช้ถุงพลาสติกคลุมศีรษะผู้ตายและใช้เทปมัด
ถุงพลาสติกรอบคอผู้ตายจนแน่นโดยอ้างวา่ ยังคงได้ยินเสียงผู้ตายด่าทอและข่มขู่จะทาร้ายภริยาและ
บุตรของจาเลย จนทาให้ผู้ตายขาดอากาศหายใจและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมานั้น ย่อมไม่อาจ
รับฟังได้ว่าจาเลยกระทาความผิดในขณะที่ถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
การกระทาของจาเลยจงึ ไมเ่ ป็นการกระทาความผิดโดยบนั ดาลโทสะ

ฎีกาที่ ๓๑๖๑/๒๕๕๙ ฎ.ส.ล.๓ น.๗๓ ขณะท่ีจาเลยขว้างขวดบรรจุน้ามันที่มีไฟติดอยู่
ไปท่ีโต๊ะของผูเ้ สียหายที่ ๑ นั้น ผเู้ สียหายที่ ๒ น่ังอยใู่ กล้กบั ผู้เสียหายท่ี ๑ จาเลยย่อมเลง็ เหน็ ผลไดว้ ่า
น้ามนั ที่ติดไฟจะกระเด็นไปถกู ผู้เสยี หายที่ ๒ ซึ่งน่ังอยูใ่ กลก้ ับผเู้ สียหายที่ ๑ ได้ การกระทาของจาเลย
จึงเป็นการกระทาโดยเจตนาเล็งเห็นผลตาม ป.อ. มาตรา ๕๙ วรรคสอง หาใช่เป็นการกระทา
โดยพลาดตามมาตรา ๖๐ ไม่

ฎีกาท่ี ๕๕๐๕/๒๕๕๙ การท่ีจาเลยใช้อาวุธปืนซึ่งมีสภาพร้ายแรงยิงเข้าไปที่ขอบหน้าต่าง
ด้านบนของห้องของบ้านเกิดเหตุ โดยที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเม่ือกระสุนปืนกระทบขอบ
หน้าต่างแล้วจะหักเหไปในทิศทางใด จาเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่ากระสุนปืนอาจแฉลบไปถูกผู้ท่ีอยู่
ภายในห้องถึงแก่ชีวติ ได้ จาเลยจงึ มีความผดิ ฐานพยายามฆ่าผ้อู น่ื

ฎีกาท่ี ๗๖๖๙/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๗ น.๒๒๐ การท่ีจาเลยซ่ึงเป็นเจ้าพนักงานตารวจทราบดี

69

อยู่แล้วว่า อาวุธปืนเป็นอาวุธท่ีร้ายแรง สามารถทาอันตรายถึงแก่ชีวิตได้โดยง่าย แต่ยังนาอาวุธปืน
ดังกล่าวออกมาข่มขู่ผู้ตายโดยจ่อไปทางศีรษะของผู้ตาย จาเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่าอาวุธปืนอาจลั่น
ถูกผู้ตายถึงแก่ชีวิตได้ แต่จาเลยยังคงกระทาการดังกล่าว ผู้ตายจึงได้ปัดป้องให้พ้นตัว แต่ปืนล่ัน
เสยี ก่อน จึงถกู ผู้ตายจนถึงแกค่ วามตาย เป็นการกระทาโดยเจตนาฆา่

ฎีกาท่ี ๖๔๓๗/๒๕๕๖ ฎ. ๑๗๒๐ จาเลยทาทานบก้ันในลาห้วยนาเพื่อต้องการกักเก็บน้า
เอาไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง เป็นการกระทาที่ห่างไกลเกินความประสงค์ของเร่ืองทาให้เสียทรัพย์ จาเลย
มิได้มีเจตนากระทาเพ่ือให้เครื่องกลหรือเคร่ืองจักรท่ีใช้ในการประกอบกสิกรรมและพืชผลของโจทก์
ร่วมซ่ึงเป็นกสิกรเสียหาย และมิได้มีเจตนากระทาเพื่อให้เกิดอุทกภัยอันเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่
โจทก์ร่วมหรือบุคคลอ่ืน หรือทรัพย์สินของโจทก์ร่วมหรือผู้อ่ืนท้ังความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๒๘
จะต้องมีเจตนาให้เกิดอุทกภัยโดยตรง จะเอาการเล็งเห็นผลของการกระทาตาม ป.อ. มาตรา ๕๙
วรรคสอง มาใช้ไมไ่ ด้ การกระทาของจาเลยไม่เปน็ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๒๘, ๓๕๙ (๑) (๓)
ข้อสังเกต ควำมผิดตำม ป.อ. มำตรำ ๒๒๘ ผู้ใดกระทำด้วยประกำรใด ๆ เพ่ือให้เกิดอุทกภัย ... ถ้ำ
กำรกระทำนั้นน่ำจะเป็นอันตรำยแก่บคุ คลอืน่ หรอื ทรัพย์ของผูอ้ นื่ ตอ้ งระวำงโทษ

มำตรำนี้กำรกระทำที่จะครบองค์ประกอบภำยในคือต้องมีเจตนำตำมมำตรำ ๕๙ และ
จะต้องมีเจตนำพิเศษเพอ่ื ให้เกิดอุทกภยั

สำหรับกำรกระทำท่ีจะถือว่ำครบองค์ประกอบภำยในโดยท่ัวไป คือต้องมีเจตนำคือผู้กระทำ
ต้องประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลเพียงอย่ำงใดอย่ำงหน่ึง ก็ถือว่ำมีเจตนำแล้ว แต่กรณีที่
ควำมผิดใดกฎหมำยกำหนดว่ำต้องมีเจตนำพิเศษ จะต้องเป็นเจตนำประสงค์ต่อผลเท่ำน้ัน หำกเป็น
เพียงเจตนำย่อมเล็งเห็นผล ไม่อำจถือได้ว่ำมีเจตนำพิเศษเพื่อให้เกิดอุทกภัยดังที่ศำลฎีกำตัดสินไว้
ในคดนี ้ี ซง่ึ กเ็ ป็นกำรตัดสินตำมบรรทัดฐำนฎกี ำท่ี ๑๒๔๐/๒๕๐๔ (ประชุมใหญ่)

ฎีกาท่ี 1240/2504 (ประชุมใหญ่) ความผิดเก่ียวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อ
ประชาชนตามมาตรา 228 แห่งประมวลกฎหมายอาญา น้ัน จาเลยจะต้องมีเจตนาให้เกิดอุทกภัย
โดยตรง จะยกเอาการเล็งเหน็ ผลของการกระทาตามมาตรา 59 วรรคสองมาใช้ไมไ่ ด้
ข้อสังเกต แม้ศำลฎีกำจะวำงหลักไว้ว่ำ ควำมผิดเก่ียวกับกำรก่อให้เกิดภยันตรำยต่อประชำชนตำม
มำตรำ 228 น้ัน จำเลยจะต้องมีเจตนำให้เกิดอุทกภัยโดยตรง จะยกเอำกำรเล็งเห็นผลของกำร
กระทำตำมมำตรำ 59 วรรคสอง มำใช้ไม่ได้ แต่ข้อเท็จจริงในคดีน้ีศำลฎีกำเห็นว่ำจำเลยประสงค์
ต่อผลเพรำะเมื่อเกิดอุทกภัยแล้วทำงกำรสั่งให้เปิดทำนบ จำเลยก็ไม่ยอมเปิด แสดงให้เห็นชัดว่ำ
จำเลยเจตนำประสงค์ต่อผลเพื่อทำให้เกิดอุทกภัย ไม่ใช่เพียงเล็งเห็นผลว่ำจะเกิดอุทกภัย เม่ือกำร
กระทำของจำเลยน่ำจะเป็นอันตรำยแก่ทรัพย์ของผู้อนื่ จงึ เปน็ ควำมผดิ ตำมฟอ้ ง

_________________________________________________________________

ศาลฎีกาวินจิ ฉัยวา่ ข้อเท็จจรงิ ได้ความวา่ จาเลยทง้ั สไ่ี ด้ร่วมกนั ทาทานบปิดก้นั น้าในลาคลอง
สาธารณขึ้นใหม่ ไม่ใช่ซ่อมแซมทานบเก่าดังท่ีจาเลยต่อสู้ จาเลยทาทานบสูงเสมอตลิ่ง น้าจึงได้ท่วม
ทสี่ วนที่นาของผู้เสียหาย ต้นยางตายเป็นจานวนมากและท่ีนาก็ทานาไม่ได้ ก่อนที่จาเลยจะทาทานบ

70

เมื่อถึงหนา้ นา้ น้าจะท่วมท่สี วนทนี่ าเพยี งวนั สองวันกแ็ ห้งลงคลองไป ไม่ถงึ กับทาให้ตน้ ยางตาย
ปัญหามีว่า การกระทาของจาเลยจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๒๘

หรือไม่ มาตรา ๒๒๘ บัญญัติว่า " ผู้ใดกระทาด้วยประการใด ๆ เพื่อให้เกิดอุทกภัย... ถ้าการกระทา
น้ันน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อ่ืน..." ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า เพ่ือให้
เกิดอุทกภัยตามมาตราน้ีจาเลยจะต้องมีเจตนาให้เกิดอุทกภัยโดยตรง จะยกเอาการเล็งเห็นผลของ
การกระทาตามมาตรา ๕๙ วรรค ๒ มาใช้ไม่ได้ แต่เจตนาของบุคคลเป็นเรื่องในใจ ต้องอาศัย
พฤติการณ์เป็นเร่ือง ๆ ไป เป็นเคร่ืองช้ีเจตนา สาหรับเรื่องนี้ตามพฤติการณ์ท่ีกล่าวข้างต้น แสดงว่า
การทาทานบปิดก้ันคลองของจาเลยเพื่อเจตนาจะให้เกิดอุทกภัยเพราะนาจาเลยอยู่ในท่ีสูง สวนยาง
และนาผู้เสียหายอยู่ในทต่ี ่ากวา่ จาเลยย่อมต้ังใจให้เกิดอุทกภัยแกส่ วนและนาของผู้เสียหาย น้าจึงจะ
ไหลเข้าถึงนาของจาเลย ย่ิงกว่านี้ เมื่อเกิดอุทกภัยแล้วทางการสั่งให้เปิดทานบ จาเลยก็ไม่ยอมเปิด
แสดงให้เห็นชัดว่าจาเลยเจตนาทาให้เกิดอุทกภัยตลอดมา จาเลยจึงต้องมีความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๒๒๘

พพิ ากษากลับ ใหบ้ งั คบั คดีตามคาพพิ ากษาศาลชนั้ ต้น
(บรริ กั ษจ์ รรยาวตั ร - สญั ญา ธรรมศักดิ์ - สอาด นาวีเจริญ)

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๕๙ วรรคสี่

ฎีกาท่ี ๗๑๑๖/๒๕๖๐ ฎ.๒๐๗๒ ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์เข้าไปบริเวณท่ีมีเครื่องหมาย
จราจรพน้ื ทางสขี าวแดงซึ่งเป็นบรเิ วณห้ามเขา้ หรือเขตปลอดภัย แล้วเข้าขวางหน้ารถกระบะท่ีจาเลย
กาลังขับลงมาจากสะพานในช่องเดินรถที่สามในระยะกระชั้นชิด เป็นเหตุให้รถกระบะของจาเลย
ชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตาย ถือได้ว่าผู้ตายมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามเคร่ืองหมายจราจรที่ปรากฏ
เมื่อเข้าที่คับขันและขับรถเข้าไปในเขตปลอดภัย อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ มาตรา
๒๑ วรรคหนึ่ง, ๔๖ (๔) และ ๑๑๙ เมื่อจาเลยมิได้ขับรถมาด้วยความเร็วเกินกว่าท่ีกฎหมายกาหนด
หรือมีพฤติการณ์อื่นใดท่ีบ่งชี้ว่าจาเลยขับรถโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เหตุเฉ่ียวชนในคดีนี้จึงเกิดจาก
ความประมาทของผูต้ ายแตเ่ พียงฝา่ ยเดยี ว

ฎีกาท่ี ๙๙๐๘/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๔๒ ว. ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์สวนทางทางเดินรถ
ตนเองจากช่องเดินรถด้านซ้ายไปยังช่องเดินรถด้านขวาย้อนกลับมายังจุดกลับรถหน้าโรงพยาบาล
ท่าแซะแล่นข้ามถนนไปยังทางเดนิ รถท่ีสวนกันทแยงมุมเปน็ เส้นตรง โดยผู้ตายไมห่ ยุดรถที่จุดกลับรถ
ของตน กลบั แล่นข้ามถนนที่จดุ กลบั รถทางเดินรถจาเลย ซ่งึ จาเลยไมอ่ าจคาดหมายได้ลว่ งหน้า ดงั น้ัน
แมจ้ าเลยจะขบั รถยนต์ดว้ ยความเร็วต่ากว่า ๑๐๐ กิโลเมตรต่อชว่ั โมง จาเลยก็ไม่เหน็ รถจักรยานยนต์
และห้ามลอ้ ไดท้ นั ผ้ตู ายจงึ เป็นฝ่ายประมาทขับรถจักรยานยนตต์ ดั หน้ารถยนตจ์ าเลย

ฎีกาที่ ๖๔๕๐/๒๕๕๘ ก่อนเกิดเหตุจาเลยขับรถยนต์บรรทุกพ่วงในทางเดินรถของจาเลย
จาเลยไม่ได้ขับล้าเข้าไปในทางเดินรถสวน ส่วน ร. ขับรถจักรยานยนต์สวนทางมาโดยขับตามหลัง

71

รถอีแต๋นท่ี บ. เป็นผู้ขับ แต่ ร. ขับแซงขนึ้ หน้ารถอีแต๋นล้าเข้าไปในทางเดนิ รถของจาเลย เป็นเหตุให้
รถจักรยานยนต์ท่ี ร. ขับชนกับรถจาเลย หาก ร. ไม่ขับรถล้าเข้าไปในทางเดินรถของจาเลย เหตุรถ
ท้งั สองคันชนกันก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ แม้จะฟังว่าจาเลยมิได้ขับรถชิดขอบทางด้านซ้าย แต่ก็ยงั ขับอยใู่ น
ทางเดินรถของจาเลย และตามรายงานชันสูตรพลิกศพระบุว่า ร. ขับรถตัดหน้ารถจาเลยเป็นเหตุให้
ชนกัน แล้วรถจาเลยเสียหลักไปชนรถอีแต๋น แสดงว่า ร. ขับแซงขึ้นหน้ารถอีแต๋นในระยะกระชั้นชิด
ขณะที่รถจาเลยใกล้จะสวนทางกับรถอีแต๋น การท่ีรถจาเลยเสียหลักพุ่งชนรถอีแต๋น จึงเป็น
ผลโดยตรงจาก ร. ขับแซงขึ้นหน้าในระยะกระชั้นชิดเข้าไปในทางเดินรถของจาเลย มิใช่ผลโดยตรง
ที่จาเลยมิได้ขับรถชิดขอบทางด้านซ้ายหรือไม่ชะลอความเร็ว จะถือว่าจาเลยมีส่วนประมาทด้วย
หาได้ไม่ เพราะการที่รถจาเลยเสียการควบคุมไปชนรถอีแต๋นเป็นผลจากความประมาทอย่างร้ายแรง
ของ ร. ที่ขับแซงขึ้นหน้าในระยะกระชั้นชิด การกระทาของจาเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานกระทา
โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อ่ืนถึงแก่ความตายและรับอันตรายแก่กาย แต่การท่ีจาเลยขับรถยนต์
บรรทุกพ่วงซึ่งเป็นรถขนาดใหญ่บรรทุกหินเต็มคันรถด้วยความเร็วสูงในทางแคบ ถือได้ว่าเป็นการ
ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว จาเลยจึงมีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา
๔๓ (๔), ๑๕๗
ข้อสังเกต ฎีกำนี้วินิจฉัยตอนท้ำยว่ำ กำรท่ีจำเลยขับรถยนต์บรรทุกพ่วงด้วยควำมเร็วสูงในทำงแคบ
ถือได้ว่ำเป็นกำรขับรถโดยประมำทเป็นควำมผิดตำม พ.ร.บ.จรำจรทำงบกฯ มำตรำ ๔๓ (๔), ๑๕๗
แต่ท่ีวินิจฉัยตอนต้นว่ำ มิใช่ผลโดยตรงท่ีจำเลยมิได้ขับรถชิดขอบทำงด้ำนซ้ำยหรือไม่ชะลอควำมเร็ว
จะถือวำ่ จำเลยมีส่วนประมำทดว้ ยหำไดไ้ ม่ น่ำจะหมำยถงึ จำเลยไมม่ คี วำมผิดฐำนกระทำโดยประมำท
เป็นเหตุให้ผู้อ่ืนถึงแก่ควำมตำยตำม ป.อ. มำตรำ ๒๙๑ เพรำะไม่ใช่ผลโดยตรงจำกกำรกระทำด้วย
ควำมประมำท คงไม่ใช่หมำยถงึ จำเลยไม่ประมำท

ฎีกาท่ี ๕๑๕๙/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล.๕ น.๓๙ ผู้ตายทราบดีอยู่แล้วว่าผู้ตายขับอยู่ในช่องทาง
ไหล่ทางและก็เห็นจาเลยขับรถมาในช่องเดินรถของจาเลย ผู้ตายไม่ควรด่วนรีบตัดหน้ารถของจาเลย
ควรชะลอให้รถของจาเลยผ่านพ้นไปเสียก่อนผ้ตู ายจึงจะกลับรถได้ แต่ผู้ตายก็หาได้กระทาเช่นนั้นไม่
กลับขับตัดหน้ารถของจาเลยในระยะกระชั้นชิด ซ่ึงจาเลยก็แล่นมาตามปกติในช่องเดนิ รถของจาเลย
โดยไม่มีการหักหลบส่ิงกีดขวางแต่ประการใด หากผู้ตายใช้ความระมัดระวังเช่นว่าน้ันให้เพียงพอ
แม้วา่ จาเลยจะขับรถมาเรว็ เพียงใดเหตุแหง่ ความตายก็จะไม่เกิดข้ึน ดังน้ัน เหตุท่ีเกิดจึงเนอื่ งจากการ
ขับรถของผตู้ าย มิใช่ความประมาทเลินเลอ่ ของจาเลย

ฎีกาที่ ๖๙/๒๕๕๕ ฎ.๑ ก่อนถงึ จุดเกดิ เหตุประมาณ ๕๐ เมตร มีป้ายเตือนแสดงสญั ลักษณ์
ว่าด้านหน้าเป็นส่ีแยกซ่ึงห้ามไม่ให้ผู้ขับขี่รถแซงข้ึนหน้ารถอื่นภายในระยะสามสิบเมตรก่อนถึง
ทางรว่ มทางแยกตาม พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ มาตรา ๔๖ (๒) และบริเวณก่อนถงึ ส่ีแยกมีเครื่องหมาย
จราจรบนพื้นทางประเภทบังคับ เป็นเคร่ืองหมายจราจรตามแนวทางเดินรถ คือ เส้นแบ่งทิศทาง
จราจรห้ามแซงเฉพาะด้าน ซ่ึงด้านรถบรรทุกคนโดยสารจะแซงรถบรรทุกของจาเลยไม่ได้ การท่ี ธ.
ขับรถโดยสารในช่องเดินรถด้านซ้ายของเส้นดังกล่าวแซงข้ึนมาย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อเคร่ือ งหมาย

72

จราจรดังกล่าว ท้ังก่อนเกิดเหตุ จาเลยเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวขวาจอดรอให้รถกระบะที่แล่นสวนมา
ขับผ่านไปก่อนจึงได้เล้ียวรถ จาเลยย่อมไม่อาจคาดหมายได้ว่าจะมีรถยนต์ด้านหลังขับแซงข้ึนมาทาง
ด้านขวาเพราะมีป้ายเตือนและเคร่ืองหมายจราจรห้ามแซง ถือได้ว่าจาเลยใช้ความระมัดระวังซ่ึง
บุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์แล้ว จาเลยไม่มีความผิดฐานขับรถโดย
ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายตาม ป.อ. มาตรา ๓๙๐ และ พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ
มาตรา ๔๓ (๓) , ๑๕๗

ฎีกาที่ ๕๒๐๗/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๘๖ จาเลยขับรถด้วยความเร็วสูงและไม่ได้ชะลอ
ความเร็วเมื่อมาถึงทางร่วมทางแยก แม้จะได้ความว่าทางเดินรถของฝา่ ยแท็กซ่ีเป็นทางโทมีป้ายหยุด
ปักอยู่ตรงปากทางและผู้ขับรถแท็กซ่ีไม่ได้หยุดรถของตนอันเป็นการกระทาโดยประมาทด้วยก็ตาม
แต่การขบั รถผ่านทางร่วมทางแยกนั้นเปน็ หน้าทข่ี องผขู้ ับขีร่ ถทุกเส้นทางท่ีมาบรรจบทางรว่ มทางแยก
จะต้องลดความเร็วลงให้อยู่ในระดับความเร็วที่ต่าหรือหยุดรถเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายอันเกิดจากการ
ชนกันระหว่างรถที่กาลังแล่นผ่าน หาใช่ว่าผู้ที่ขับรถมาในทางเอกจะใช้ความเร็วในอัตราท่ีสูงโดย
ขับผ่านทางร่วมทางแยกไปโดยปราศจากความระมัดระวัง เม่ือจาเลยขับรถแล่นเข้าไปในทางร่วม
ทางแยกดว้ ยความเร็วสงู ทาให้ชนกับรถยนตค์ ันที่ผ้ตู ายขบั มาเปน็ เหตใุ หม้ ีผไู้ ด้รับบาดเจ็บและเสยี ชีวิต
ยอ่ มถือไดว้ า่ เหตุที่เกดิ ขน้ึ เป็นผลมาจากความประมาทของจาเลยด้วย

ฎีกาท่ี ๓๕๖๙/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๑๖ ขณะเกิดเหตุจาเลยอยู่ห่างจากดาบตารวจ ย.
เพียง ๓ ถึง ๕ เมตร จากการตรวจสอบท่ีเกิดเหตุพบรอยกระสุนปืนที่ผนังอุโบสถสูงจากพื้น ๑๗๐
เซนติเมตร ห่างจากจุดที่ดาบตารวจ ย. ยืนอยู่ ๒.๗๐ เมตร และท่ีฐานอุโบสถสูงจากพ้ืน ๑๐
เซนติเมตร อยู่ห่างจากจุดท่ีดาบตารวจ ย. ยืนอยู่ ๒.๕๐ เมตร ในระยะห่างกันไม่เกิน ๕ เมตร
หากจาเลยมีเจตนาจะใช้อาวุธปืนยิงไปทตี่ ัวดาบตารวจ ย. กระสุนปืนน่าจะถูกส่วนสาคัญของร่างกาย
ดาบตารวจ ย. หรือมิฉะน้ันรอยกระสนุ ปืนอยู่ใกล้ตัวดาบตารวจ ย. มากกว่าน้ี แสดงให้เห็นว่าจาเลย
ไม่ประสงค์จะยิงให้ถูกตัวดาบตารวจ ย. จึงฟังได้ว่าจาเลยไม่มีเจตนาฆ่า การกระทาของจาเลย
จึงไม่เป็นความผิดฐานพยายามฆา่ เจา้ พนักงานขณะกระทาการตามหน้าที่ แต่เมื่อกระสุนปืนท่ีจาเลย
ยิงขู่ เพื่อต้องการหลบหนีจากการถูกตรวจค้นและจับกุมถูกท่ีหลังเท้าขวาของดาบตารวจ ย. เช่นน้ี
จาเลยคงมีความผิดฐานกระทาโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายตาม ป.อ. มาตรา
๓๙๐

ฎีกาที่ ๗๒๒๗/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๘ น.๘๖ ผู้ตายชอบเล่นอาวุธปืน บางครั้งเอากระสุนปืน
ออกจากลูกโม่แล้วมาจ่อยิงที่ศีรษะตนเองหรือผู้อื่นเพ่ือล้อเล่น ในวันเกิดเหตุก่อนเกิดเหตุผู้ตาย
ก็เอาอาวุธปืนมาเล่นอีก แต่ไม่ปรากฏว่าขณะท่ีผู้ตายเอาอาวุธปืนมาจ่อที่ศีรษะตนเองแล้วจาเลย
เข้าแยง่ เป็นเหตุให้ปนื ล่ันน้ัน ผู้ตายจะยงิ ตนเองหรือผู้ตายเมาสุราจนไม่ได้สตแิ ต่อยา่ งใด ทั้งไมป่ รากฏ
ว่าจาเลยรู้หรือไม่ว่าอาวุธปืนดังกล่าวบรรจุกระสุนปืนหรือไม่ ดังน้ัน การที่จาเลยเข้าแย่งอาวุธปืน
ในสถานการณ์ดังกล่าว ถือว่าจาเลยกระทาโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นน้ัน
จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และจาเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่หาได้ใช้

73

ให้เพยี งพอไม่ อนั เปน็ การกระทาโดยประมาทตาม ป.อ. มาตรา ๕๙ วรรคส่ี
ฎีกาท่ี ๑๕๙๗/๒๕๖๒ ฎ.๒๓๔ จาเลยและผู้ตายมีปากเสียงกัน จาเลยเอาอาวุธปืนออกมา

ยิงขู่ผู้ตายในนัดแรก และเมื่อกอดปล้ากันกระสุนปืนลั่นถูกผู้ตาย การที่จาเลยทาปืนล่ันข้ึนขณะที่
กอดปล้ากันกับผู้ตายจาเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย แต่เป็นการกระทาโดยปราศจากความระมัดระวัง
ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นจาเลยจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และจาเลยอาจใช้ความระมัดระวัง
เช่นว่าน้ันได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ จึงเป็นการกระทาโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแกค่ วามตาย
การกระทาซ่ึงจะเป็นการป้องกนั โดยชอบด้วยกฎหมายตาม ป.อ. มาตรา ๖๘ ต้องเป็นการกระทาโดย
เจตนา เม่ือการกระทาของจาเลยเป็นการกระทาโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ไม่ใช่
เป็นการกระทาโดยเจตนา จึงไมเ่ ป็นการป้องกันโดยชอบดว้ ยกฎหมายตามมาตรา ๖๘

ฎีกาที่ ๒๕๘๙/๒๕๔๖ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๑๕ จาเลยมีเจตนาใช้อาวุธปืนแก๊ปยาวยิงค้างคาว
โดยไม่พิจารณาให้ดีว่าบริเวณท่ียิงไปนั้นจะมีผู้เสียหายอยู่หรือไม่ เมื่อกระสุนปืนที่ยิงไปนั้นไม่ถูก
คา้ งคาว แต่กลับไปถูกผู้เสยี หายได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่าย่ีสิบ
วัน กรณีเช่นน้ีจึงถือว่า จาเลยกระทาโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง จาเลยย่อมมีความผิด
ตาม ป.อ. มาตรา ๓๐๐

ฎีกานา่ สนใจมาตรา ๖๐

ฎีกาท่ี ๗๔๐/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๙ จาเลยใชม้ ีดดาบฟันไปท่ีศีรษะของ พ. แต่ พ. หลบทัน
คมมีดจึงพลาดไปถูกที่ข้อศอกขวาของผู้เสียหาย จึงต้องถือว่าจาเลยมีเจตนาใช้มีดฟันท่ีศีรษะของ
ผู้เสียหายตามนัยแห่ง ป.อ. มาตรา ๖๐ การที่จาเลยใช้มีดดาบความยาวรวมด้ามประมาณ ๒๖ นิ้ว
ฟนั ไปท่ีศีรษะของ พ. อันเป็นอวยั วะส่วนสาคัญของร่างกาย แต่จาเลยฟันพลาดไปถูกข้อศอกขวาของ
ผ้เู สยี หายจนกระดกู แตกไดร้ บั อันตรายสาหัส แสดงวา่ จาเลยใช้มีดดาบฟนั อย่างรุนแรงโดยมีเจตนาจะ
ฆ่า พ. เม่ือผู้เสียหายซ่ึงถูกกระทาโดยพลาดไม่ถึงแก่ความตาย จาเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า
ผู้อื่น และการที่จาเลยใช้มีดดาบฟัน พ. โดยมีเจตนาฆ่าแต่คมมีดพลาดไปถูกผู้เสียหาย การกระทา
ของจาเลยดงั กล่าวเปน็ การกระทาโดยพลาดตาม ป.อ. มาตรา ๖๐ ดว้ ย

ฎกี าท่ี ๕๖๓๔/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๙ น.๑๑๗ จาเลยใช้มดี เปน็ อาวุธแทงผ้ตู ายโดยเจตนาฆา่ แล้ว
พลาดไปถูกผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ การกระทาของจาเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า
ผู้เสยี หายโดยพลาดตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๘, ๘๐ ประกอบมาตรา ๖๐

ฎีกาที่ ๒๒๗๗/๒๕๕๔ ฎ.๔๖๑ จาเลยทั้งสองเข้าไปในบริเวณบ้านผู้เสียหายทั้งสองและ
ใช้ก้อนหินขว้างผู้เสียหายท้ังสองแต่ไม่ถูก แต่เป็นเหตุให้กระเบื้องหลังคาแตก การกระทาของจาเลย
ทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานพยายามทาร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสองและฐานบุกรุกเคหสถานต้ังแต่
สองคนข้นึ ไปในเวลากลางคนื อันเป็นการกระทากรรมเดยี วผดิ ตอ่ กฎหมายหลายบท

แต่สาหรับความผิดฐานทาให้เสียทรัพย์ ตามคาฟ้องของโจทก์บรรยายว่า ก้อนหินท่ีขว้างไป

74

ถูกกระเบ้ืองหลังคา แสดงว่าเป็นเพราะพลาดไปถูกหลังคา มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งว่าจาเลย
ทัง้ สองมีเจตนาทาให้เสียทรัพย์ด้วย จึงถือเอาเจตนาที่จาเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ มีเจตนาทาร้ายผู้เสียหาย
ทงั้ สองเป็นเจตนาทาใหเ้ สียทรพั ย์โดยพลาดตาม ป.อ. มาตรา ๖๐ ด้วยไม่ได้ เพราะเจตนาทาร้ายผู้อื่น
เป็นเจตนาคนละประเภทกับเจตนาทาให้เสียทรัพย์ อีกทั้งกรรมของการกระทาก็ตา่ งกัน จงึ ถือว่าเป็น
การกระทาโดยพลาดมิได้ แม้จาเลยที่ ๑ และท่ี ๒ อาจจะกระทาโดยประมาท แตก่ ารทาให้เสียทรพั ย์
โดยประมาทไม่มีกฎหมายบญั ญตั เิ ปน็ ความผิดอาญา
ข้อสังเกต หำกนำข้อเท็จจริงตำมฎีกำมำออกข้อสอบคงต้องตอบตำมฎีกำ ว่ำเป็นควำมผิดฐำน
พยำยำมทำร้ำย แต่ไม่เป็นควำมผิดฐำนทำให้เสียทรัพย์โดยเจตนำซึ่งเป็นกำรกระทำโดยพลำด และ
ไม่เป็นกำรกระทำโดยประมำทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินเสียหำย เพรำะควำมผิดฐำนทำให้เสียทรัพย์
โดยประมำทไม่มีกฎหมำยบัญญัติเป็นควำมผิด แต่ถ้ำจะออกข้อสอบให้ยำกข้ึนก็คงต้องเพิ่ม
ข้อเทจ็ จริงเขำ้ ไปเพ่อื ใหผ้ ลแตกต่ำงกนั เช่น จำเลยยิงปืนไม่คอ่ ยแมน่ ยงิ ไปที่ผเู้ สียหำยซึ่งนั่งอยู่ในบ้ำน
หลำยนัด คำดหมำยได้แน่นอนว่ำ กระสุนบำงสว่ นอำจไปถูกคน ทรัพย์สิน และบ้ำนเสียหำย คำตอบ
น่ำจะเป็นควำมผิดฐำนพยำยำมฆำ่ ซ่ึงเปน็ เจตนำประสงคต์ ่อผล และเป็นควำมผิดฐำนทำใหเ้ สียทรัพย์
ซึง่ เปน็ เจตนำเล็งเหน็ ผล

ฎีกาท่ี ๒๘๖๕/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๔ น.๙๐ ผู้กระทาผิดซ่ึงเป็นผู้ถูกข่มเหงจะอ้างเหตุบันดาล
โทสะได้จะต้องกระทาต่อผู้ข่มเหง ตามข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่า ป. ได้ข่มเหงหรือร่วมกับ น. ข่มเหง
จาเลยแต่อย่างใด จาเลยจะใช้อาวธุ ปืนยิง น. แตก่ ระสุนปืนไปถูก ป. ซง่ึ อยู่ด้านหนา้ ของ น. จาเลย
ยอ่ มเลง็ เห็นผลของการกระทาได้ว่ากระสุนปืนท่ีจาเลยยิงออกไปนั้นจะถกู ป. ท่ีอยู่ในบริเวณดงั กล่าว
ได้ การกระทาของจาเลยจึงไม่เป็นการกระทาโดยพลาดตาม ป.อ. มาตรา ๖๐ จาเลยจะอ้างว่า
จาเลยเจตนาฆ่า น. ด้วยเหตุบนั ดาลโทสะ แต่ผลของการกระทาเกิดแก่ ป. โดยพลาดไป จึงต้องถือว่า
จาเลยเจตนาฆา่ ป. ด้วยเหตบุ ันดาลโทสะดว้ ยไม่ได้ ดังน้ัน เมื่อจาเลยเจตนาฆ่า ป. แต่ ป. มไิ ดเ้ ป็นผู้
ข่มเหงจาเลย จาเลยจึงไม่อาจอ้างเหตุบันดาลโทสะได้ แม้จะได้ความจากทางนาสืบของโจทก์และ
โจทก์ร่วมว่า เม่ือ ป. ถูกจาเลยยิงล้มลง น. วิ่งหนี จาเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิง น. ถึงแก่ความตาย
ดว้ ยเหตุบนั ดาลโทสะก็ตาม ก็เปน็ คนละตอนและคนละเจตนาแยกต่างหากจากกันกบั ท่จี าเลยยิง ป.
ข้อสังเกต กำรใช้ปืนลูกซองยิงบุคคลหนึ่ง แต่ผลเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ กัน ในทำง
วิชำกำรจะถือว่ำผู้ยิงมีเจตนำย่อมเล็งเห็นผลตำมมำตรำ ๕๙ เพรำะปืนลูกซองลูกกระสุนมีจำนวน
มำกเม่ือยิงแลว้ จะกระจำยออก แตศ่ ำลฎีกำก็เคยวินิจฉัยว่ำกำรใชป้ ืนลูกซองยิงเป็นเจตนำโดยผลของ
กฎหมำยคอื เปน็ กำรกระทำโดยพลำดตำมมำตรำ ๖๐ เช่น ฎีกำท่ี ๘๓๑๐/๒๕๔๙ ฎ.๒๕๐๗

คดนี ้ีใช้ปนื ลูกโม่ยงิ บุคคลหนึ่ง แต่ผลไปเกิดกับอีกบุคคลหนง่ึ น่ำจะเป็นเจตนำโดยพลำดตำม
มำตรำ ๖๐ แต่ศำลฎีกำอำจไม่ต้องกำรให้จำเลยอ้ำงบันดำลโทสะต่อ ป. ซึ่งไม่ได้เป็นผู้ข่มเหง
จึงวินิจฉัยว่ำเป็นกำรกระทำโดยเจตนำเล็งเห็นผลตำมมำตรำ ๕๙ เพรำะหำกเป็นเจตนำตำมมำตรำ
๖๐ จำเลยสำมำรถอ้ำงบันดำลโทสะต่อ ป. ได้ แต่ถ้ำเป็นเจตนำเล็งเห็นผลตำมมำตรำ ๕๙ จำเลย
ไม่อำจอ้ำงบันดำลโทสะต่อ ป. ได้ ฎีกำท่ี ๒๘๖๕/๒๕๕๓ เป็นฎีกำใหม่ ผู้สอบต้องจำข้อเท็จจริง

75

และหำกออกข้อสอบ ต้องตอบตำมฎีกำนี้ว่ำเป็นเจตนำเล็งเห็นผล อย่ำไปตอบพลำด อำจจะพลำด
ไดค้ ะแนนเสียเปลำ่ ๆ

ฎีกาท่ี ๙๒๔๔/๒๕๕๓ ฎ.๑๘๘๘ จาเลยใช้เหล้าสาดใส่หน้าของผู้เสียหาย อันเป็นการ
ใช้กาลังทาร้ายผู้เสียหายโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ เป็นการกระทา
โดยเจตนาต่อผู้เสียหาย แต่เมื่อเหล้าไปถูก พ. เท่ากับผลของการกระทาเกิดแก่ พ. โดยพลาดไป
จงึ เป็นความผิดฐานพยายามใช้กาลังทาร้ายผู้เสียหายและใช้กาลังทาร้าย พ. โดยพลาดไปด้วยซ่ึงเป็น
การกระทากรรมเดยี วเปน็ ความผิดต่อกฎหมายหลายบท
ข้อสังเกต หำกนำข้อเท็จจริงตำมฎีกำนี้มำออกข้อสอบ นักศกึ ษำต้องตอบเหตุยกเว้นโทษตำมมำตรำ
๑๐๕ ด้วย เพรำะควำมผิดฐำนพยำยำมใช้กำลังทำร้ำยผู้เสียหำยตำมมำตรำ ๓๙๑ ประกอบมำตรำ
๘๐ เป็นกำรพยำยำมกระทำควำมผิดลหุโทษ ไม่ต้องรับโทษตำมมำตรำ ๑๐๕ ทีศ่ ำลฎกี ำไม่ได้วนิ ิจฉัย
มำตรำ ๑๐๕ เพรำะไม่มีประเด็นนี้ในช้ันฎีกำ แต่ปกติแล้วควำมผิดลหุโทษไม่ออกข้อสอบผู้ช่วย
ผูพ้ พิ ำกษำและเนตบิ ณั ฑิต

ฎกี าที่ ๘๓๑๐/๒๕๔๙ ฎ.๒๕๐๗ จาเลยใช้อาวธุ ปนื ลกู ซองสน้ั ยิงสวนมาทาง ส. กับพวก แต่
กระสุนปืนพลาดไปถูกนักศึกษาหญิงหลายคนได้รับอันตรายแก่กาย จาเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ.
มาตรา ๒๘๘, ๘๐, ๖๐ อันเป็นความผิดต่อผลของการกระทาโดยพลาดที่เกิดแก่นักศึกษาหญิง
ผู้เสียหายทุกคนและมีความผิดตามมาตรา ๒๘๘, ๘๐ อันเป็นผลของการกระทาที่จาเลยใช้อาวุธปืน
ลกู ซองสัน้ ยิง ส. กบั พวกด้วย

ฎกี านา่ สนใจมาตรา ๖๑

ฎีกาท่ี ๓๕๓-๓๕๔/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๓ น.๑ จาเลยท่ี ๑ และที่ ๓ ร่วมเดินทางไปกับจาเลย
ที่ ๒ เพ่อื ไปยงิ แกแ้ คน้ ช. ซ่งึ เคยยิงจาเลยท่ี ๒ มากอ่ น โดยจาเลยที่ ๑ และที่ ๓ ทราบดีว่าจาเลยที่ ๒
นาอาวุธปืนติดตัวไปด้วย จาเลยที่ ๑ และที่ ๓ มีเจตนาร่วมกับจาเลยที่ ๒ ฆ่า ช. และเมื่อพบ
ผู้เสียหาย จาเลยที่ ๒ ยิงผู้เสียหายโดยเข้าใจว่าเป็น ช. ย่อมเป็นการกระทาต่ออีกบุคคลหนึ่งโดย
สาคัญผิดตาม ป.อ. มาตรา ๖๑ จาเลยท่ี ๑ และท่ี ๓ ซ่ึงร่วมกระทาความผิดกับจาเลยที่ ๒ ไม่อาจ
ยกเอาความสาคัญผิดดังกล่าวมาเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้มีเจตนาร่วมฆ่าผู้เสียหายได้ ต้องถือว่าจาเลย
ที่ ๑ และท่ี ๓ มีเจตนาร่วมกับจาเลยที่ ๒ ฆ่าผู้เสียหายด้วย ฉะนั้น เม่ือผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย
สมดงั เจตนาฆา่ จาเลยท่ี ๑ และที่ ๓ จึงมคี วามผิดฐานร่วมกบั จาเลยที่ ๒ พยายามฆา่ ผู้เสียหาย

ฎีกาน่าสนใจมาตรา ๖๒

ฎีกาที่ ๘๓๓/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๖ น.๑๑ มีดที่จาเลยใช้แทงผู้เสียหายมีขนาดยาวประมาณ ๑
ฟุต ถือเป็นมีดท่ีมีขนาดใหญ่ วิญญูชนท่ัวไปย่อมทราบว่าสามารถทาอันตรายต่อชีวิตได้ การที่จาเลย

76

ใช้อาวุธมีดดังกล่าวแทงผู้เสียหายท่ีบริเวณหน้าท้องซึ่งมีอวัยวะสาคัญอยู่ภายใน จาเลยย่อมเล็งเห็น
ผลได้ว่าอาจทาให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ แม้จาเลยไม่ได้ทะเลาะกับผู้เสียหายไม่มีเหตุจะฆ่า
ก็ตาม แต่ในสภาวะขณะที่แทงน้ันต้องพิจารณาจากการกระทาอันเป็นเครอื่ งชี้เจตนาของจาเลยและ
ฟงั ไมไ่ ดว้ ่าจาเลยมเี จตนาเพยี งทาร้าย

การที่จาเลยมีเร่ืองทะเลาะกับเพื่อน ๔ ถึง ๕ คน และถือเก้าอี้จะทาร้ายจาเลย แม้สาเหตุ
การทะเลาะจะเป็นเร่ืองเล่นการพนันซึ่งผิดกฎหมาย แต่เม่ือไม่ปรากฏว่าจาเลยเป็นคนก่อเหตุและ
สมัครใจทะเลาะวิวาทด้วย จาเลยหันไปแทงผู้เสียหายที่เข้ามาทางด้านหลังเพียง ๑ คร้ัง ย่อมถือว่า
จาเลยใชส้ ิทธิป้องกันโดยชอบดว้ ยกฎหมาย การทีผ่ ู้เสียหายเข้าทางด้านหลังจาเลยระหวา่ งน้ัน ทาให้
จาเลยสาคัญผิดคิดว่าผู้เสียหายจะเข้ามาทาร้าย จึงเป็นกรณีท่ีจาเลยสาคัญผิดในข้อเท็จจริง แม้
ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง จาเลยก็สามารถอ้างเหตุป้องกันได้ตาม ป.อ. มาตรา ๖๒ วรรคแรก แต่
ผทู้ ี่ร่วมทารา้ ยจาเลยมเี พยี งเก้าอ้เี ปน็ อาวุธและยังไมไ่ ด้ทารา้ ยจาเลย โดยเฉพาะผเู้ สยี หายแม้จะเข้ามา
ทางด้านหลังของจาเลยแต่ผู้เสียหายก็ไม่มีอาวุธ การที่จาเลยใช้อาวุธมีดยาวประมาณ ๑ ฟุต แทง
ผ้เู สยี หายบริเวณหน้าท้องซึ่งเปน็ อวัยวะสาคัญอย่างรุนแรง จงึ เป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตาม
ป.อ. มาตรา ๖๙

ฎีกาท่ี ๕๒๙๙/๒๕๖๒ ฎ.๗๐๙ จาเลยและ ว. ออกไปซุ่มดูเหตุการณ์โดยนาอาวุธปืนติดตัว
ไปด้วยเพราะเข้าใจว่าอาจถูกผู้เสียหายกับพวกทาร้าย หาใช่เป็นการตระเตรยี มอาวุธปืนเพื่อสมัครใจ
ทะเลาะวิวาทกับพวกผู้เสียหายไม่ การที่ผู้เสียหายกับพวกขว้างปาขวดสุราและไม้เข้าไปยังบริเวณที่
จาเลยและ ว. หลบซ่อนอยู่โดยจาเลยและ ว. มิได้ก่อเหตุขึ้นก่อน ย่อมเป็นเหตุทาให้จาเลยสาคัญผิด
ว่าผู้เสียหายกับพวกซึ่งมีจานวนมากกว่ามีเจตนาประทุษร้ายจาเลยและ ว. อันเป็นภยันตรายซึ่งเกิด
จากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จาเลยมีสิทธิกระทาการ
ป้องกันเพื่อให้พ้นจากภยันตราย แต่ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายกับพวกมีอาวุธร้ายแรงอื่นใดอีก การที่
จาเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายกับพวกย่อมไม่ได้สัดส่วนกับการป้องกันตัวของจาเลย การกระทาของ
จาเลยเป็นการป้องกนั เกนิ สมควรแกเ่ หตโุ ดยสาคญั ผิด เมอื่ กระสุนปนื ที่จาเลยยิงถกู ผู้เสียหายเป็นเหตุ
ให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายสาหัส จาเลยมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นอันเป็น
การป้องกนั เกินสมควรแก่เหตุโดยสาคญั ผิด

ฎีกาที่ ๒๕๕๐/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๓ น.๑๑๐ ขณะเกดิ เหตุเป็นเวลากลางคืน จาเลยนอนในเปล
ท่ีขนาในนากุ้งเพื่อเฝ้าดูแลรักษาทรัพย์สินของตน เม่ือจาเลยเห็นรถยนต์แล่นผ่านเข้ามาใกล้ ก็ใช้
สปอทไลท์ส่อง ซึ่งจะทาให้ผู้ที่ผ่านเข้ามาทราบว่ามีผู้เฝ้าดูแลอยู่ในบริเวณน้ัน อันเป็นการกระทาเพ่ือ
รักษาทรัพย์สินของตน แต่โจทก์ร่วมกลับขบั รถแลน่ เข้ามาบรเิ วณท่ีเกิดเหตุซ่ึงมิใช่ถนนสาธารณะที่ใช้
สญั จรทั่วไป แต่เป็นถนนทางเขา้ นากุ้งในยามวิกาลเวลาประมาณ ๓ นาฬิกา แล้วชนรถจักรยานยนต์
ของจาเลยซ่ึงจอดอยู่หน้าขนา ย่อมทาให้จาเลยตกใจกลัวและสาคัญผิดว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง
จากคนร้ายท่ีมุ่งเข้าทาร้ายตน การที่จาเลยใช้อาวุธปืนยิงข้ึนฟ้าก่อนและยิงอีก ๑ นัด ในระยะเวลา
ท่ีใกล้ชิดต่อเนื่องกันขณะ ช. และโจทก์ร่วมกาลังเปิดประตูรถออกมา ย่อมทาให้จาเลยเข้าใจว่าผู้ที่

77

อยู่ในรถมีอาวุธ หากจาเลยช้าไปเพียงเล็กน้อย จาเลยก็อาจได้รับอันตรายร้ายแรงได้ จึงเป็นการ
ป้องกันตนให้พ้นจากภยันตรายท่ีจาเลยสาคัญผิดว่าจะเกิดขึ้นแก่ตนและเป็นภยันตรายท่ีใกล้จะถึง
อีกท้ังหลังจากจาเลยยิงปืนนัดที่สองไปแล้ว จาเลยก็วิ่งหลบหนีไปในทันที โดยมิได้ยิงหรือทาร้าย
โจทก์ร่วมหรือ ช. ซ้าอีก ท้ังท่ีมีโอกาสเน่ืองจากโจทก์ร่วมถูกกระสุนปืนได้รับบาดเจ็บและลงมาจาก
รถแล้ว การกระทาของจาเลยดังกล่าว จึงเป็นการกระทาพอสมควรแก่เหตุเพ่ือให้ตนพ้นจาก
ภยันตรายที่จาเลยสาคัญผิดว่าจะเกิดขึ้น อันเป็นการป้องกันโดยชอบดว้ ยกฎหมายโดยสาคัญผิดตาม
ป.อ. มาตรา ๖๘ ประกอบมาตรา ๖๒ วรรคแรก

ฎีกาที่ ๔๙๖๘/๒๕๕๑ ฎ.๑๘๓๐ จาเลยสาคัญผิดว่าผู้ตายกับพวกจะเข้ามาลักผลไม้ในไร่
และผู้ตายเดินเข้ามาจะทาร้ายจาเลย แต่ผู้ตายไม่ได้มีอาวุธหรือพูดข่มขู่หรือมีกิริยาอาการว่า
จะทาร้ายจาเลยโดยวิธีใด อันจะทาให้จาเลยได้รับอันตรายร้ายแรง หากจาเลยเพียงแต่ยิงขู่ก็น่าจะ
เป็นการเพียงพอที่จะทาให้ผู้ตายเกรงกลัวและหลบหนีไปได้ เพราะผู้ตายมิใช่คนร้าย การที่จาเลย
ใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงผู้ตายที่บริเวณหน้าท้อง ๑ นัดจนผู้ตายล้มลงแล้วจาเลยยังใส่กระสุนปืน
ลกู ซองเข้าไปใหม่แล้วยิงผู้ตายที่ศีรษะซ้าอีก ๑ นัด จนถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทาโดยป้องกัน
อันเกินกว่ากรณีแห่งการจาต้องกระทาเพื่อป้องกันตาม ป.อ. มาตรา ๖๙ และความสาคัญผิดของ
จาเลยเกิดข้ึนโดยความประมาท เน่ืองจากมิได้ใช้ความระมัดระวังพิจารณาให้รอบคอบว่าผู้ตาย
กับพวกเป็นคนร้ายจริงหรือไม่ จาเลยจึงมีความผิดฐานกระทาโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อ่ืนถึงแก่
ความตายตามมาตรา ๒๙๑ โดยผลของมาตรา ๖๒ วรรคสองดว้ ย

ฎีกาท่ี ๖๙๓๖/๒๕๖๒ ฎ.๑๕๘๔ แม้ก่อนเกิดเหตุผู้ตายทาร้ายจาเลยฝ่ายเดียวด้วยการ
ชกต่อยและบีบคอจาเลย ถือว่าภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้เกิดขึ้น
แล้วก็ตาม แต่หลังจากเด็กชาย ซ. ว่ิงออกจากบ้านเข้ามาดึงแยกจาเลยออกจากผู้ตายแล้ว จาเลย
ก็วิ่งเข้าไปในบ้าน ส่วนผู้ตายว่ิงไปท่ีรถจักรยานยนต์ ถือได้ว่าภยันตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษร้าย
อันละเมิดต่อกฎหมายท่ีมีต่อจาเลยได้หมดไปแล้ว เหตุที่จาเลยจะใช้อ้างเพ่ือกระทาการป้องกันสิทธิ
ของตนย่อมหมดไปด้วย แม้ขณะท่ีจาเลยว่ิงกลับเข้าไปภายในบ้านจะได้ยินผู้ตายตะโกนพูดว่า
มึงตายแน่ และเมื่อกลับออกมาเห็นผู้ตายยืนเปิดเบาะล้วงเข้าไปหยิบของในกล่องใต้เบาะ
รถจักรยานยนต์ก็ตาม แต่ในการกลับออกมาน้ีจาเลยออกมาพร้อมถืออาวุธปืนมาด้วย แล้วใช้อาวุธ
ปืนจ้องเล็งยิงไปท่ีผู้ตาย ๑ นัด ทันที โดยไม่ปรากฏว่าผู้ตายได้กระทาการใดเลย จาเลยไม่อาจอ้าง
เหตุความสาคัญผิดในข้อเท็จจริงโดยเข้าใจว่ากล่องใต้เบาะรถจักรยานยนต์ของผู้ตายมีอาวุธปืนอยู่
และผู้ตายล้วงลงไปเพ่ือนาอาวุธปืนออกมายิงจาเลยได้ แต่การกระทาของจาเลยเป็นการกระทาที่
ต่อเนื่องจากการท่ีถูกผู้ตายชกต่อยและบีบคอฝ่ายเดียวซ่ึงถือว่าเป็นการข่มเหงจาเลยด้วยเหตุอัน
ไม่เป็นธรรมย่อมก่อให้เกิดโทสะแก่จาเลย การท่ีจาเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย ถือได้ว่าเป็นการกระทา
ความผดิ โดยบนั ดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา ๗๒

78

ความสัมพันธร์ ะหว่างการกระทาและผล

ข้อ ๑๘ คาถาม นางหน่ึงมีบุตรคือนายสองพักอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน นายสองและนายสาม
เป็นวัยรุ่นหมู่บ้านเดียวกันทั้งสองคนกับพวกร่วมกันทะเลาะวิวาทกับนายส่ีกับพวกวัยรุ่นหมู่บ้านอื่น
ที่งานวัด นายสองชวนนายสามกลับบ้านมาเอามีดดาบเพ่ือจะออกไปเท่ียวงานวัดกันต่อ ขณะท่ี
นายสองและนายสามกาลังจะออกจากบ้าน นายส่ีขับรถจักรยานยนต์ผ่านหน้าบ้านนายสอง
นายส่ีมีปากเสียงทะเลาะและท้าทายนายสองกับนายสามบริเวณถนนสาธารณะหน้าบ้าน นางหน่ึง
โกรธท่ีนายสม่ี ีปากเสียงทะเลาะและท้าทายนายสองซึ่งเปน็ บตุ รของตน นางหน่ึงจึงใช้ขวดสรุ าตีนายสี่
๑ ทที แ่ี ขนแตไ่ ม่มีบาดแผลทแี่ ขน เม่อื นายสองเหน็ กใ็ ช้มีดดาบวง่ิ ไลข่ ่เู ข็ญนายส่ี นายส่ีตกใจกลวั ว่งิ หนี
ไปตามทางสาธารณะ นางหนึ่งมิได้ตามไป แต่นายสองและนายสามวิ่งไล่ทาร้ายและด่าว่าข่มขู่และ
ชกต่อยทารา้ ยนายส่ี แล้วนายสองใชม้ ีดแทงนายสบ่ี ริเวณขาโดยมนี ายสามเข้าไปช่วยรุมโดยใชไ้ มค้ าน
ตีนายส่ีด้วย มีพลเมืองดีพานายส่ีไปส่งโรงพยาบาล แต่นายสี่ถึงแก่ความตายก่อนถึงโรงพยาบาล
เน่ืองจากหัวใจขาดเลือดกะทันหัน ซ่ึงเกิดจากการตกใจและมีความเครียดอย่างรุนแรง โดยภาวะ
หลอดเลือดหัวใจตีบของนายส่ีเป็นภาวะที่เป็นมาก่อนแล้ว และภาวะหลอดเลือดหัวใจขาดเลือดเป็น
สาเหตทุ ่ที าให้นายสถ่ี งึ แกค่ วามตาย

ใหว้ นิ ิจฉยั วา่ นางหนึ่ง นายสอง และนายสามมีความผิดฐานใด
คาตอบ การที่นายสองใช้มีดดาบวิ่งไล่นายสี่แล้วใช้มีดแทงนายส่ีบริเวณขาโดยมีนายสาม
เข้าไปช่วยรุมโดยใช้ไม้คานตีนายส่ีด้วย แม้นายสามไม่ไดใ้ ช้มีดแทงนายสี่ แต่นายสามก็มีการกระทา
ร่วมกันและมีเจตนาร่วมกันที่จะกระทาความผิดร่วมกับนายสอง นายสองและนายสามจึงเป็น
ตัวการร่วมกันกระทาผิดฐานทาร้ายร่างกายนายสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕, ๘๓
การที่นายส่ีถึงแก่ความตายก่อนถึงโรงพยาบาล เมื่อพิจารณาผลโดยตรงตามทฤษฎีเง่ือนไขที่ว่า
ถ้าไม่ทาผลไม่เกิด ถือว่าผลเกิดจากการกระทานั้น แม้จะมีเหตุอ่ืนประกอบด้วยก็ตาม กรณีน้ีถ้า
นายสองไม่ใช้มีดแทงและนายสามไม่ใช้ไม้ตีทะเลาะวิวาทกับนายสี่ นายส่ีจะไม่ถึงแก่ความตาย
ต้องถือว่าความตายของนายสี่เปน็ ผลโดยตรงจากการกระทาของนายสองและนายสามตามทฤษฎี
เงื่อนไขแล้ว แม้นายสี่ถึงแก่ความตายเน่ืองจากหัวใจขาดเลือดกะทันหัน ซ่ึงเกิดจากการตกใจและมี
ความเครียดอยา่ งรนุ แรง โดยภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบของนายสเี่ ป็นภาวะที่เป็นมากอ่ นแล้ว แต่โรค
ดังกล่าวเป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนกระทาผิด ไม่ใช่เหตุแทรกแซง เพราะเหตุแทรกแซงต้องเป็นเหตุที่
เกิดขึ้นหลังการกระทาผิด เมื่อความตายของนายส่ีเป็นผลโดยตรงจากการทาร้ายของนายสอง
และนายสาม โดยไม่มีเหตุแทรกแซง นายสองและนายสามจึงมีความผิดฐานร่วมกันทาร้าย
จนเป็นเหตุให้นายส่ีถึงแก่ความตายตามมาตรา ๒๙๐, ๘๓ บทหนึ่ง (ฎีกาที่ ๕๖๙๘/๒๕๕๔) และ
มีความผิดฐานร่วมกันพาอาวุธไปในหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรตามมาตรา
๓๗๑, ๘๓ อีกบทหน่งึ
ส่วนนางหนึ่งกับนายสี่มิได้มีสาเหตุโกรธเคืองอย่างรุนแรง แต่สาเหตุที่นางหนึ่งใช้ขวดสุรา
ตีนายสี่ก็เน่ืองมาจากเห็นนายส่ีมีปากเสียงทะเลาะและท้าทายนายสองซ่ึงเป็นบุตรของตน เมื่อนาย

79

สองและนายสามวิ่งไล่ทาร้ายนายส่ี นางหน่ึงก็มิได้ตามไป ประกอบกับนางหนึ่งใช้ขวดสุราตีนายสี่
เพียง ๑ ที แลว้ มิได้ตีนายสี่ซ้าอกี แสดงวา่ นางหน่ึงมไิ ด้รูเ้ ห็นเป็นใจดว้ ยกับการกระทาของนายสอง
และนายสาม จึงรับฟังได้ว่าการที่นายสองใช้อาวุธมีดแทงนายสี่และนายสามใช้ไม้ตีนายสี่นั้น
เป็นการกระทาที่อยู่นอกเหนือเจตนาของนางหนึ่ง ดังนั้น นางหน่ึงจึงไม่เป็นตัวการร่วมกับ
นายสองและนายสามกระทาความผิด อยา่ งไรก็ตาม การท่ีนางหนึ่งใช้ขวดสรุ าตีนายสี่ไม่มีบาดแผล
น้ัน ย่อมเป็นความผิดฐานใช้กาลังทาร้ายผู้อื่นไม่เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตามมาตรา ๓๙๑
(เทียบฎีกาท่ี ๑๓๑๑/๒๕๕๕)

ฎีกาท่ี ๕๖๙๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๖ น.๑๘๗ ได้ความจากแพทย์ผู้ตรวจชันสูตรศพผู้ตายว่า
ผู้ตายหัวใจโตเส้นเลือดหัวใจเสน้ หน้าหนาตัวข้ึน หลอดเลอื ดภายในเลอื ดผ่านได้ประมาณร้อยละ ๒๐
สันนิษฐานว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเน่ืองจากหัวใจขาดเลือดกะทันหัน ซ่ึงเกิดจากการตกใจหรือ
มีความเครียดอย่างรุนแรง แม้จะได้ความจากการตอบคาถามค้านว่าภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบของ
ผู้ตายเป็นภาวะท่ีเป็นมาก่อนแล้วและภาวะหลอดเลือดหัวใจขาดเลือดเป็นสาเหตุที่ทาให้ผู้ตายถึงแก่
ความตายก็ตาม แต่ก็ไม่เป็นเหตุให้รับฟังได้ว่าผู้ตายถึงแก่ความตายโดยมิใช่เกิดจากการทาร้ายของ
จาเลย เพราะการท่ีจาเลยถือมีดดาบว่ิงไล่ขู่เข็ญผู้ตาย ทาให้ผู้ตายเกิดอาการตกใจกลัวว่ิงหนีการไล่
ทาร้ายและการที่จาเลยกลับมาด่าว่าข่มขู่และชกต่อยทาร้ายผู้ตาย ย่อมเป็นการกระทาอัน
กระทบกระเทือนต่อร่างกายและจิตใจของผู้ตายอย่างรุนแรง เป็นเหตุให้ระบบการหมุนเวียนโลหิต
ล้มเหลวขาดเลือดไปเลีย้ งหัวใจอย่างเฉียบพลันจนถึงแกค่ วามตาย ดังได้ความจากแพทย์ผู้รับผู้ตายไว้
เบกิ ความว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายมาก่อนถึงโรงพยาบาลแล้ว เช่นน้ี ความตายจึงเป็นผลโดยตรงจาก
การกระทาของจาเลยในความผิดฐานมิได้เจตนาฆ่าแตท่ าร้ายผู้อ่ืนจนเป็นเหตใุ ห้ผนู้ ้ันถึงแก่ความตาย

ฎีกาที่ ๑๓๑๑/๒๕๕๕ ฎ.ส.ล.๑ น.๑๒๐ ก่อนเกิดเหตุ จาเลยท่ี ๒ กับผู้ตายมิได้มีสาเหตุ
โกรธเคืองอย่างรุนแรงถึงขั้นท่ีจะต้องเอาชีวิตกัน แต่สาเหตุที่จาเลยท่ี ๒ ใช้ขวดสุราตีผู้ตาย
ก็เนื่องมาจากเห็นผู้ตายมีปากเสียงทะเลาะและท้าทายจาเลยท่ี ๑ ซ่ึงเป็นบุตรของตน หลังจากน้ัน
จาเลยที่ ๑ ก็เข้าไปใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายหลายคร้ังในทันทีทันใด โดยมี ส. เข้าไปช่วยจาเลยที่ ๑
รุมทาร้ายโดยใช้ไม้คานตีผู้ตายด้วย ซ่ึงไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจาเลยที่ ๒ รู้เห็นเป็นใจด้วยกับการ
กระทาของจาเลยท่ี ๑ และ ส. ประกอบกบั จาเลยท่ี ๒ ใชข้ วดสรุ าตผี ู้ตายเพียง ๑ ที แล้วมไิ ดต้ ีผ้ตู าย
ซา้ อีก จึงรบั ฟงั ไดว้ ่าการที่จาเลยท่ี ๑ ใช้อาวุธมดี แทงผูต้ ายหลายคร้ังโดยเจตนาฆ่าน้นั เป็นการกระทา
ที่อยู่นอกเหนือเจตนาของจาเลยที่ ๒ ดังนั้น จาเลยที่ ๒ จึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น อย่างไร
ก็ตาม การท่ีจาเลยที่ ๒ใช้ขวดสุราตีผู้ตายจนเกิดบาดแผลฉีกขาดท่ีศีรษะข้างซ้าย ขนาด ๔x๑.๕
เซนติเมตร น้ัน ย่อมเป็นความผิดฐานทาร้ายผู้อ่ืนจนเป็นเหตุให้เกดิ อันตรายแก่กายตาม ป.อ. มาตรา
๒๙๕
ข้อสังเกต ข้อเท็จจริงคดีนี้ฟังว่ำจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ และ ส. กระทำผิด จำเลยที่ ๒
จึงมีควำมผิดตำมมำตรำ ๒๙๕ เท่ำที่ตนกระทำ แต่ถ้ำเปล่ียนข้อเท็จจริงเป็นว่ำ จำเลยที่ ๒ มีเจตนำ

80

ร่วมกับจำเลยท่ี ๑ และ ส. กระทำผิดฐำนทำร้ำยร่ำงกำย โดยจำเลยที่ ๒ ไม่มีเจตนำฆ่ำ จำเลยท่ี ๑
กระทำเกินขอบเขตของกำรเป็นตัวกำร จำเลยท่ี ๒ จะมีควำมผิดตำมมำตรำ ๒๙๐

ข้อ ๑๙ คาถาม นายเอกขับรถยนต์บรรทุกน้าหนักเกินอัตราด้วยความเร็วสูงเกินอัตราที่
กฎหมายกาหนด เมื่อถึงบริเวณที่เกิดเหตุนายโทขับรถยนต์มาด้วยความเร็วสูงมากเน่ืองจากเมาสุรา
แล้วรถยนต์ท่ีนายโทขับเสียหลักล้าเส้นก่ึงกลางของทางเดินรถเข้าไปในช่องทางเดินรถที่นายเอกขับ
รถยนต์บรรทกุ มาโดยกระทันหันในระยะกระช้นั ชดิ มาก ในระยะท่ีรถยนตบ์ รรทกุ ทว่ั ไปไมอ่ าจห้ามล้อ
ไดท้ นั จนชนรถยนตบ์ รรทกุ ของนายเอก เปน็ เหตใุ ห้นายโทถึงแกค่ วามตาย

ใหว้ นิ จิ ฉยั ว่านายเอกมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใดหรือไม่
คาตอบ นายเอกขับรถยนต์บรรทุกน้าหนักเกินอัตราด้วยความเร็วสูงเกินอัตราที่กฎหมาย
กาหนดน้ัน เป็นการกระทาโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นน้ันจักต้องมีตาม
วิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทาอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่าน้ันได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙ วรรคสี่ (๕ คะแนน) จึงถือว่านายเอกกระทาโดยประมาท
แม้นายเอกกระทาโดยประมาท แต่การที่นายเอกจะมีความผิดฐานกระทาโดยประมาทเป็นเหตุให้
ผู้อ่ืนถึงแก่ความตายตามมาตรา ๒๙๑ หรือไม่ ต้องพิจารณาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการกระทา
และผลต่อไป
กรณีน้ีแม้นายเอกจะขับรถเร็วตามที่กฎหมายกาหนด นายโทก็ต้องถึงแก่ความตายเพราะ
นายโทขับรถยนต์เสียหลักเข้าไปในช่องทางเดินรถของนายเอกโดยกระทันหันในระยะกระชั้นชิดมาก
ในระยะทร่ี ถยนต์บรรทกุ ท่ัวไปไม่อาจห้ามล้อไดท้ ัน จนเป็นเหตุให้นายโทถึงแก่ความตาย จึงเป็นกรณี
ที่ว่า แม้ไม่ทาผลก็ยังต้องเกิด จะถือว่าผลเกิดจากการกระทานั้นไม่ได้ ความตายของนายโท
จงึ ไม่เปน็ ผลโดยตรงจากการกระทาโดยประมาทของนายเอก (เทียบฎกี าท่ี ๔๙๑๗-๔๙๑๘/๒๕๔๙,
ท่ี ๔๘๘๓/๒๕๕๓) ดังนั้น นายเอกจึงไม่มีความผิดฐานกระทาโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่
ความตายตามมาตรา ๒๙๑ (๕ คะแนน)
ฎีกาที่ ๔๙๑๗-๔๙๑๘/๒๕๔๙ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๔๙ เหตุท่ีรถยนตบ์ รรทุกท่ี ย. ขบั เสียหลกั แล่น
ไปชนรถยนต์โดยสารของโจทก์ที่ ๑ เป็นเพราะผ้ตู ายขับรถยนต์เก๋งแล่นล้าเส้นกึง่ กลางของทางเดนิ รถ
เข้าไปชนรถยนต์บรรทุกก่อน ดังนั้น ย. จึงไม่ได้ขับรถประมาท เหตุท่ีรถยนต์ชนกันเกิดจากความ
ประมาทเลินเล่อของผู้ตายฝ่ายเดียว มิใช่เป็นผลโดยตรงท่ีเกิดจากการที่ ย. ขับรถด้วยความเร็วสูง
หรือขับรถยนต์บรรทุกท่บี รรทกุ นา้ หนักเกินกวา่ ท่ีกฎหมายกาหนดแต่อยา่ งใด
ข้อสังเกต ฎีกำน้ีตัดสินในคดีแพ่งซึ่งมีประเด็นข้อกฎหมำยท่ีวินิจฉัยโดยตรงในเร่ืองที่ว่ำ ควำมตำย
ของผู้ตำยไม่ใช่ผลโดยตรง ซ่ึงนำมำปรับใช้เป็นคำตอบได้ ส่วนฎีกำที่วินิจฉัยว่ำเป็นผลโดยตรง
ที่น่ำสนใจคอื ฎีกำที่ ๗๙๗๓-๗๙๗๕/๒๕๔๘
ฎีกาที่ ๗๙๗๓-๗๙๗๕/๒๕๔๘ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๒๖๑ แม้เหตุระเบิดเกิดข้ึนจากการที่ชาวบ้าน

81

ซ่ึงเป็นบุคคลภายนอกเข้ามายุ่งเกี่ยว กระทาให้เกิดระเบิดข้ึนภายหลังจากจาเลยท่ี ๔ ขับรถบรรทุก
สิบล้อและรถพ่วงที่บรรทุกวัตถุระเบิดพลิกคว่าก็ตาม แต่การกระทาของชาวบ้านท่ีทาให้เกิดการ
ระเบิดขนึ้ เชน่ น้ี ก็เปน็ ผลโดยตรงมาจากการท่ีจาเลยที่ ๔ ขับรถบรรทุกระเบิดพลกิ ควา่ และนับว่าเป็น
เหตุแทรกแซงที่ก่อให้เกิดผลบั้นปลายขึ้น ซึ่งเหตุแทรกแซงเช่นว่านี้ เป็นเหตุแทรกแซงท่ีวิญญูชน
คาดหมายได้ เพราะเป็นเรื่องธรรมดาเมือ่ มีอุบัติเหตเุ กิดข้นึ บนทางหลวง ก็จะมีชาวบา้ นท่ีอยูใ่ กล้เคียง
รวมท้ังประชาชนท่ีใช้ยวดยานสัญจรผ่านที่เกิดเหตุจะหยุดรถลงไปมุงดูเหตุการณ์และให้ความ
ช่วยเหลือแก่ผู้บาดเจ็บ รวมทั้งอาจมีคนไม่ดีซ่ึงปะปนอยู่ในกลุ่มคนเหล่าน้ันถือโอกาสหยิบฉวยเอา
ทรัพย์สินของที่ตกหล่นไปได้ ประกอบกับจาเลยท้ังส่ีผู้ครอบครองและขนส่งวัตถุระเบิดมิได้จัดให้มี
ป้ายข้อความว่า "วัตถุระเบิด" ติดแสดงไว้ให้เห็นได้ง่ายท่ีด้านหน้าและด้านหลังของรถบรรทุกวัตถุ
ระเบิดคันเกิดเหตุด้วย จึงต้องถือว่าการท่ีภายหลังจากรถซึ่งบรรทุกวัตถุระเบิดพลิกคว่า แล้วมี
ชาวบ้านเข้ามายุ่งเกี่ยวกับวัตถุระเบิดและเป็นเหตุให้เกิดการระเบิดข้ึนเช่นน้ี เป็นเหตุแทรกแซง
ที่วิญญูชนคาดหมายได้ว่าจะเกดิ เหตกุ ารณ์เช่นนั้น จึงต้องถือว่าเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลใกล้ชิด
สมั พนั ธ์ต่อเน่ืองมาจากการขับรถพลิกควา่ ของจาเลยที่ ๔

ฎีกาท่ี ๔๘๘๓/๒๕๕๓ ฎ.ส.ล.๔ น.๑๙๒ แม้จาเลยจะขับรถบรรทุกสิบล้อและรถพ่วงด้วย
ความเร็วสูง แต่จาเลยขับรถในทางเดินรถของตนโดยถูกต้อง ส่วน ส. มิได้จอดรถเพื่อรอกลับรถใน
ช่องกลับรถอย่างในภาวะปกติธรรมดา หากแต่เป็นเพราะรถที่ ส. ขับเกิดเสียการทรงตัวแล้วหมุนเข้า
ไปในทางเดินรถของจาเลยและขวางรถที่จาเลยขับในระยะกระชั้นชิด ในภาวะเช่นนั้นไม่ว่าจาเลยจะ
ขับมาในลักษณะเช่นใดจาเลยย่อมไม่อาจจะหลบหลีกเพื่อมิให้ชนกับรถท่ี ส. ขับได้ ดังนั้น การที่
จาเลยขับรถบรรทุกสิบล้อและรถพ่วงด้วยความเร็วสูง และไม่ขับให้อยู่ในช่องเดินรถด้านซ้ายจึงมิใช่
เป็นผลโดยตรงท่ีทาให้เกิดการเฉี่ยวชนกัน จาเลยจึงไม่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทและกระทา
โดยประมาทเป็นเหตุให้ผ้อู นื่ ถึงแกค่ วามตาย
ข้อสังเกต คดีน้ีแม้ศำลฎีกำจะไม่วินิจฉัยว่ำจำเลยกระทำโดยประมำทหรือไม่ แต่ก็พอจะถือได้ว่ำศำล
ฎีกำเห็นว่ำกำรขับรถเร็วเป็นกำรกระทำโดยประมำท แต่เม่ือเป็นกำรกระทำโดยประมำทแล้วต้อง
พิจำรณำต่อไปว่ำ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรกระทำและผลสัมพันธ์กันหรือไม่ หำกควำมสัมพันธ์
ระหว่ำงกำรกระทำและผลสัมพันธ์กัน ผู้กระทำต้องรับผิดในผลคือรับผิดตำมมำตรำ ๒๙๑ แต่ถ้ำกำร
กระทำและผลไม่สัมพันธ์กัน ผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิดในผลคือไม่ผิดมำตรำ ๒๙๑ และไม่เป็นกำร
พยำยำมกระทำควำมผิดตำมมำตรำ ๒๙๑ เพรำะกำรพยำยำมกระทำควำมผิดมีไดเ้ ฉพำะกำรกระทำ
โดยเจตนำ

กรณีน้ีแม้จำเลยขับรถมำด้วยควำมเร็วไม่สูง ก็ต้องเกิดเหตุ เพรำะรถที่ ส. ขับเสียกำร
ทรงตัวแล้วหมุนเข้ำไปในทำงเดินรถของจำเลยและขวำงรถที่จำเลยขับในระยะกระชั้นชิด เป็นกรณี
แม้ไม่ทำผลก็ยังต้องเกิด ถือว่ำผลเกิดจำกกำรกระทำนั้นไม่ได้ จึงไม่เป็นผลโดยตรง กำรกระทำ
และผลจึงไม่สมั พนั ธ์กัน ผูก้ ระทำจึงไมต่ ้องรบั ผดิ ในผล คอื ไม่มคี วำมผิดตำมมำตรำ ๒๙๑

ตัวอย่างคาตอบท่ี ๑ กรณีตามปัญหา การที่นายเอกขับรถยนต์บรรทุกหนักเกินอัตราด้วย

82

ความเร็วสูงเกินอัตราที่กฎหมายกาหนดน้ัน แม้ยานพาหนะดังกล่าวมีการบรรทุกจนน่าจะเป็น
อนั ตรายแก่บคุ คลในยานพาหนะน้ันกต็ าม แต่การกระทาของนายเอกไม่มีความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา
๒๓๓ เพราะยานพาหนะที่นายเอกใช้มิใช่ยานพาหนะรับจ้างขนส่งคนโดยสาร (คาถามไม่น่าจะถาม
ถงึ เร่ืองน้ี ตอบเกนิ มาโดยตอบไม่ผิดไม่ตัดคะแนน แตก่ ็ไม่ได้คะแนน) และเมื่อขับรถมาถึงบรเิ วณที่
เกิดเหตุปรากฏว่านายโทขับรถยนต์มาด้วยความเร็วสูงมากเน่ืองจากเมาสุราแล้วรถยนต์ท่ีนายโทขับ
เสียหลักล้าเส้นก่ึงกลางของทางเดินรถเข้าไปในช่องทางเดินรถจนชนรถยนต์บรรทุกของนายเอกโดย
กระทันหันในระยะกระชั้นชิดมากเป็นเหตุให้นายโทถึงแก่ความตายน้ัน การกระทาของนายเอกแมจ้ ะ
ขบั รถเกินอัตราท่ีกฎหมายกาหนด ซึง่ ถือได้ว่าพฤติการณ์ดังกล่าว เป็นการกระทาโดยประมาทก็ตาม
(ให้ ๓ คะแนน เพราะไม่อธิบายว่าประมาทคือการกระทาอย่างไร แต่ก็ถือว่าตอบมาได้ท้ังหลัก
กฎหมายและการวินิจฉัยถูกต้องแล้ว แต่ยังไม่สมบูรณ์ ถ้ากรรมการเคร่งครัดมากอาจจะได้น้อย
กว่านี้) แต่การที่นายโทถึงแก่ความตาย ก็มิใช่เป็นผลโดยตรงจากการขับรถเร็วของนายเอกโดย
ประมาทแต่อย่างใด เพราะความตายของนายโทเกิดจากกระทาของนายโทที่ขับรถด้วยความเรว็ และ
เมาสุราจนเป็นเหตุให้รถยนต์ท่ีนายโทขับเสียหลักชนรถนายเอก ดังน้ัน นายเอกจึงไม่มีความผิดฐาน
ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม ป.อ.มาตรา ๒๙๑ (ไม่มีหลักตามทฤษฎี
เงื่อนไขที่ว่า แม้ไม่ทาผลก็ยังต้องเกิด ถือว่าผลเกิดจากการกระทาไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องสาคัญ แต่
ตอบมาว่าไม่ใช่ผลโดยตรง เท่านก้ี ็พอได้ ๓ ถึง ๔ คะแนน รวมข้อนีใ้ ห้ ๗ คะแนน)

ตัวอย่างคาตอบท่ี ๒ การกระทาความผิดฐานประมาท จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๑ นั้น ผู้กระทาต้องกระทาโดยปราศจากความระมัดระวัง
ซ่ึงบุคคลในภาวะเช่นน้ันจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ แต่ผู้กระทาหาได้ใช้ความระมัดระวัง
เช่นนั้นไม่ การที่นายเอกขับรถยนต์บรรทุกน้าหนักเกินอัตรา และขับด้วยความเร็วสูงเกินอัตรา
ที่กฎหมายกาหนด จึงเป็นการกระทาท่ีปราศจากความระมัดระวัง ซ่ึงนายเอกจักต้องมีวิสัยและ
พฤติการณ์ คือ เม่ือรวู้ ่าตนขับรถยนต์บรรทุกเกินอัตราแล้ว ควรต้องขับรถยนต์บรรทุกด้วยความเร็ว
ไม่สูง แต่นายเอกหาได้ใช้ความระมัดระวังน้ันไม่ เม่ือนายโทขับรถยนต์มาด้วยความเร็วสูงมาก
เน่ืองจากเมาสุราแล้วรถยนต์ที่นายโทขับเสียหลักล้าเส้นก่ึงกลางของทางเดินรถเข้าไปในช่องทาง
เดินรถจนชนรถยนต์บรรทุกของนายเอกโดยกะทันหันในระยะกระช้ันชิดมากเป็นเหตุให้นายโท
ถงึ แก่ความตาย ดังน้ัน ถ้าหากนายเอกไมข่ ับรถยนต์บรรทุกดว้ ยความเรว็ สงู เหตุการณ์อาจไม่เกิดขึ้น
ก็ได้ นายเอกจึงมีความผิดฐานกระทาโดยประมาท จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา
๒๙๑
ข้อเสนอแนะ ขอ้ นี้ให้ ๒ คะแนน จำกหลกั กฎหมำยเรื่องประมำท ๑ คะแนน ผลโดยตรง ๑ คะแนน
เร่ืองของกำรตอบผิดแลว้ ได้คะแนนบำ้ งเปน็ เรื่องของโชคว่ำใครตรวจ ทำงที่ดตี อบใหถ้ ูกธงและเหตุผล
ถูกดีกว่ำ กำรสอบเนติฯ และผู้ช่วยฯ ไม่มีทำงทรำบว่ำเป็นสมุดคำตอบของใคร และใครจะเป็น
คนตรวจ เนอื่ งจำกมกี ำรถอดรหสั สมดุ คำตอบ

คำตอบข้อนีถ้ ำ้ เป็นกำรสอบระดับปรญิ ญำตรีอำจไดถ้ ึง ๕ คะแนน เพรำะตอบถูก ๑ ประเด็น

83

จำก ๒ ประเด็น แต่กำรสอบเนติฯ และผู้ช่วยฯ ซ่ึงเป็นกำรสอบกฎหมำยภำคปฏิบัติเพ่ือนำไปใช้งำน
จริง ธงคำตอบเปน็ เร่อื งสำคัญ ถ้ำผดิ ธงจะได้คะแนนนอ้ ยมำก

ตัวอย่างคาตอบที่ ๓ กรณีตามปัญหา นายเอกไม่มีความผิดตาม ปอ.เพราะเหตุว่าตาม ปอ
ม.๕๙ วรรคสี่นั้น แม้นายเอกจะขับรถด้วยความเร็วสูงในทางตนเอง แต่การท่ีนายโทซงึ่ เมาสุราขับรถ
ด้วยความเร็วสูงและขับรถเบ่ียงเข้ามาในทางของนายเอกโดยกระชั้นชิด ดังนั้น เมื่อนายเอกขับรถ
ด้วยความเร็วธรรมดาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และเมื่อนายเอกขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกาหนด
กไ็ ม่อาจหลกี เลยี่ งได้เช่นกันนายเอกจึงไม่ไดก้ ระทาโดยประมาท
ข้อเสนอแนะ กำรตอบแบบนี้ตรวจให้คะแนนยำกมำก เพรำะไม่รู้ว่ำตอบมั่วมำ หรือเขียนไม่ดี
เขียนไม่เป็น เมื่ออำ่ นแล้วคงตอ้ งดูวำ่ เป็นกำรสอบระดับใด ถ้ำเปน็ สอบระดับปรญิ ญำตรีให้ ๖ คะแนน
ก็พอได้ หำกสอบเนติให้ ๕ คะแนนก็พอได้ สอบผู้ช่วยผู้แต่งให้ ๓ คะแนน เพรำะกำรสอบผู้ช่วยต้อง
จับประเด็นให้ได้ว่ำประมำทหรือไม่ เป็นผลโดยตรงหรือไม่ ประเด็นประมำทก็ตอบมำ แต่ดูเหมือน
ไมค่ ่อยมนั่ ใจ ประเด็นผลโดยตรงก็มแี ตธ่ ง ไมม่ หี ลักตำมทฤษฎเี งอื่ นไข

ข้อ ๒๐ คาถาม นายสุขเป็นศัตรูกับนายใจ วันหน่ึงนายสุขเห็นนายใจยืนอยู่ที่ท่าน้าข้างเรือ
ลาหน่ึง นายสุขหยิบเอากอ้ นอิฐขว้างปานายใจ นายใจหลบทันก้อนอิฐจึงไมถ่ ูกนายใจ แต่นายใจเซไป
กระแทกถูกข้างเรือได้รับอันตรายแก่กาย ปรากฏว่าก้อนอิฐได้ไปถูกนายเมืองซ่ึงยืนอยู่ที่ท่าน้านั้น
เป็นเหตุให้นายเมืองเสียหลักตกลงไปในน้า แต่มีพลเมืองดีช่วยนานายเมืองขึ้นมาจากน้า นายเมือง
หมดสตแิ ละถงึ แกค่ วามตายเพราะขาดอากาศหายใจจากการตกลงไปในน้าน้นั

ใหว้ นิ ิจฉัยวา่ นายสุขจะมีความผดิ ต่อนายใจและนายเมืองฐานใด
(ขอ้ สอบเนตฯิ สมยั ที่ ๕๑ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๔๑ ขอ้ ๒ )

คาตอบ หลักกฎหมายเรื่องผลโดยตรง เหตุแทรกแซง พลาด ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๕๙, ๖๐

ความรับผิดทางอาญาของนายสุขต่อนายใจ การที่นายสุขหยิบเอาก้อนอิฐขว้างปานายใจ
เป็นการทาร้ายผู้อ่ืนโดยเจตนาประสงค์ต่อผล แต่การที่นายใจเซไปกระแทกถูกข้างเรือได้รับ
อันตรายแก่กายนั้น เม่ือพิจารณาผลโดยตรงตามทฤษฎีเงื่อนไขท่ีว่า ถ้าไม่ทาผลไม่เกิด ถือว่าผล
เกดิ จากการกระทานั้น แม้จะมีเหตุอ่นื ประกอบด้วยกต็ าม กรณีนี้ถา้ นายสุขไม่เอาก้อนอิฐขว้างปา
นายใจ นายใจจะไม่หลบและไม่เซไปกระแทกถูกข้างเรือไดร้ ับอันตรายแก่กาย ตอ้ งถือว่าอันตราย
แกก่ ายของนายใจเป็นผลโดยตรงจากการกระทาของนายสุขตามทฤษฎีเงือ่ นไขแล้ว การท่ีนายใจ
หลบทันก้อนอิฐจึงไม่ถูกนายใจ แต่นายใจเซไปกระแทกถูกข้างเรือได้รับอันตรายแก่กาย เป็น
เหตุการณ์ที่เกิดข้ึนใหม่หลังจากการกระทาความผิด ซ่ึงเป็นเหตุแทรกแซงที่วิญญูชนคาดเห็นได้
นายสุขต้องรับผิดในผล นายสุขจึงมีความผิดฐานทาร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้นายใจได้รับ
อันตรายแกก่ ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ (ฎกี าท่ี ๘๙๕/๒๕๐๙)

84

ความรับผิดทางอาญาของนายสุขต่อนายเมือง นายสุขเจตนาที่จะกระทาต่อนายใจ แต่ผล
ของการกระทาเกิดแก่นายเมืองด้วยโดยพลาดไป ให้ถือว่านายสุขกระทาโดยเจตนาต่อนายเมือง
ซงึ่ ไดร้ ับผลร้ายจากการกระทาผิดนัน้ อันเปน็ การกระทาโดยพลาด ตามมาตรา ๖๐ กรณีนถี้ ้านาย
สุขไม่เอาก้อนอิฐขว้างปานายใจ ก้อนอิฐก็จะไม่ถูกนายเมืองจนตกลงไปในน้าจนตาย ต้องถือว่า
ความตายของนายเมอื งเปน็ ผลโดยตรงจากการทาร้ายร่างกายโดยพลาดของนายสุข นายสขุ ย่อม
มีความผิดฐานทาร้ายจนเป็นเหตุให้นายเมืองถึงแก่ความตายโดยพลาดตามมาตรา ๒๙๐
วรรคแรก ประกอบมาตรา ๖๐ (เทียบฎีกาที่ ๑๖๑๗/๒๕๓๙)
ข้อสังเกต กำรได้รับบำดเจ็บของนำยใจพิจำรณำเฉพำะเรื่องผลโดยตรงตำมทฤษฎีเง่ือนไข ไม่ต้อง
พจิ ำรณำผลธรรมดำตำมมำตรำ ๖๓ เพรำะอันตรำยแกก่ ำยทเ่ี กดิ จำกควำมผิดฐำนทำร้ำยร่ำงกำยตำม
มำตรำ ๒๙๕ เป็นผลที่เกดิ ขึน้ ตำมเจตนำของผู้กระทำควำมผดิ ไม่ใช่ผลของกำรกระทำทำใหผ้ ู้กระทำ
ต้องรบั โทษหนกั ขน้ึ

ข้อ ๒๑ คาถาม นางสาวขาวอายุ ๑๖ ปีเศษ ขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านหมู่บ้านเพ่ือไปหา
คนรักด้วยความเร็วประมาณ ๕๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง นายแดงซึ่งแอบชอบนางสาวขาวมานาน
เห็นนางสาวขาว จึงขับขี่รถจักรยานยนต์ไล่ตามและเบียดจนรถจักรยานยนต์ของนางสาวขาวล้มลง
ข้างถนนเป็นเหตุให้นางสาวขาวมีบาดแผลถลอกตามลาตัว บาดแผลท่ีศีรษะ กะโหลกศีรษะแตกร้าว
และหมดสติ แล้วนายแดงถอดกางเกงนางสาวขาวลงมาถึงหัวเขา่ ขณะนั้นมีพลเมืองดีขับรถยนตผ์ ่าน
มาและจอดรถดู นายแดงจึงรีบขับขี่รถจักรยานยนต์หนีไป พลเมืองดีจึงพานางสาวขาวไปรักษาตัว
ที่โรงพยาบาล การท่นี างสาวขาวได้รบั อันตรายแก่กายดงั กลา่ วจึงรกั ษาตัวอยทู่ ี่โรงพยาบาลจนกระท่ัง
ถงึ แก่ความตายเนอื่ งจากการติดเชื้อในกระแสโลหิตจากภาวะแทรกซ้อน

ให้วินจิ ฉยั วา่ นายแดงมคี วามผิดทางอาญาฐานใด
คาตอบ การท่ีนายแดงขับขีร่ ถจกั รยานยนต์ไล่ตามและเบยี ดจนรถจกั รยานยนตข์ องนางสาว
ขาวล้มลงขา้ งถนนเปน็ เหตุให้นางสาวขาวมีบาดแผลถลอกตามลาตัว บาดแผลทศ่ี ีรษะ กะโหลกศรี ษะ
แตกร้าวหมดสติ เป็นการทาโดยมีเจตนาทาร้ายนางสาวขาวจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย
นายแดงจึงมีความผิดฐานทาร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ (ฎีกาที่
๑๒๖๐/๒๕๕๔) การท่ีนางสาวขาวถึงแก่ความตายต้องพิจารณาว่าความตายของนางสาวขาวเป็นผล
โดยตรงจากการทารา้ ยรา่ งกายหรือไม่
คดีน้ีถ้านายแดงไม่ทาร้ายร่างกายนางสาวขาว ผลจะไม่เกิด แม้จะเกิดจากเหตุอื่น
ประกอบด้วยก็ตาม ต้องถือว่าความตายของนางสาวขาวเป็นผลโดยตรงจากการทาร้ายของ
นายแดงแล้ว แม้ขณะที่รักษาตัวอยู่ท่ีโรงพยาบาลนางสาวขาวมีการติดเชื้อในกระแสโลหิตจาก
ภาวะแทรกซ้อนจนถึงแก่ความตาย เป็นเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนใหม่หลังจากการกระทาของผู้กระทา
ในตอนแรก และเป็นเหตุท่ีก่อให้เกิดผลในบั้นปลายข้ึน ถือว่าเป็นเหตุแทรกแซงที่คาดหมายได้
นายแดงจึงมีความผิ ดฐาน ทาร้ายผู้ อื่น จนเป็นเหตุ ให้ถึงแก่ความตายโดยไม่มีเจตน าฆ่า ตาม

85

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐ วรรคแรก บทหน่งึ
การที่นายแดงทาร้ายแล้วถอดกางเกงนางสาวขาวลงมาถึงหัวเข่า เป็นการกระทาที่

ไมส่ มควรในทางเพศแกบ่ ุคคลอ่นื นายแดงจึงมีความผิดฐานการกระทาอนาจารแก่บุคคลอายกุ ว่า
สบิ ห้าปี โดยใช้กาลังประทุษร้ายตามมาตรา ๒๗๘ วรรคแรก เม่อื นางสาวขาวถึงแก่ความตายจึงตอ้ ง
พิจารณาว่านายแดงมีความผิดฐานกระทาอนาจารจนเป็นเหตุให้ผู้อ่ืนถึงแก่ความต ายตามมาตรา
๒๘๐ (๒) หรือไม่

ความผิดฐานกระทาอนาจารจนเป็นเหตุให้ผู้อ่ืนถึงแก่ความตาย แม้จะเป็นความผิดที่ผล
ของการกระทาความผิด ทาให้ผู้กระทาต้องรับโทษหนักขึ้น ผลของการกระทาความผิดน้ัน
ต้องเป็นผลที่ตามธรรมดาย่อมเกิดข้ึนได้ตามมาตรา ๖๓ แต่การที่ผู้กระทาจะต้องรับผิดในผลนั้น
ต้องเป็นทั้งผลโดยตรงและเป็นผลธรรมดา กรณีน้ีแม้นายแดงไม่กระทาอนาจารนางสาวขาว ผล
ก็ยังต้องเกิด จะถือว่าผลเกิดจากการกระทานั้นไม่ได้ กล่าวคือ แม้นายแดงไม่กระทาอนาจาร
นางสาวขาว นางสาวขาวก็ยังต้องถึงแก่ความตายจากการทาร้ายของนายแดง ความตายของ
นางสาวขาวจึงไม่ใช่ผลโดยตรงจากการกระทาอนาจารของนายแดง นายแดงจึงไม่มีความผิด
ฐานกระทาอนาจารจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา ๒๘๐ (๒) นายแดงมีเพียง
ความผิดฐานการกระทาอนาจารแกบ่ ุคคลอายุกว่าสิบห้าปี โดยใช้กาลงั ประทุษร้ายตามมาตรา ๒๗๘
วรรคแรก อีกบทหนง่ึ

นายแดงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๘ วรรคแรก, ๒๙๐ วรรคแรก
การกระทาของนายแดงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท และให้ลงโทษในความผิด
ฐานทาร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายโดยไม่มีเจตนาฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๒๙๐ วรรคแรก อนั เป็นกฎหมายบทที่มโี ทษหนักท่ีสุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ (ฎีกา
ที่ ๖๓๘๙/๒๕๖๐)

ฎกี าที่ ๑๒๖๐/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๑๒ น.๓ เจตนาฆา่ โดยเล็งเห็นผลของการกระทานนั้ ผ้กู ระทา
ต้องเล็งเห็นผลของการกระทาแล้วว่าจะทาให้ผู้ถูกกระทาถึงแก่ความตายได้ ซ่ึงเป็นผลที่เห็นได้ชัดว่า
จะเกิดขึ้น มิใช่เพียงแค่อาจจะเกิดขึ้นเท่าน้ัน การที่จาเลยกับพวกร่วมกันถีบรถจักรยานยนต์ที่
ผู้เสียหายท้ังสองขับด้วยความเร็ว ๗๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซ่ึงเป็นความเร็วไม่มาก ทาให้ผู้เสียหาย
ทั้งสองไถลไปตามไหล่ทางที่มีหญ้าข้ึนปกคลุมและได้รับบาดแผลถลอกเป็นส่วนใหญ่ คงมีแต่
ผู้เสียหายท่ี ๒ ที่น้ิวมือขวาฉีกด้วยเท่านั้น จึงเป็นพฤติการณ์ท่ีแสดงว่าจาเลยเพียงเจตนาทาร้าย
เทา่ นั้น

ฎีกาท่ี ๖๓๘๙/๒๕๖๐ การกระทาอนาจารอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๐ น้ัน
จะต้องได้ความว่าผลของความตายของผู้ถูกกระทาอนาจารเกิดจากการกระทาอนาจาร แต่ผู้ตาย
ถูกจาเลยทั้งสองขับรถจักรยานยนต์แซงเบียดจนรถจักรยานยนต์ของผู้ตายล้มลง เป็นเหตุให้ได้รับ
บาดเจบ็ และถึงแก่ความตายจากการติดเชอ้ื ในกระแสโลหิตจากภาวะแทรกซ้อน ความตายของผู้ตาย
ย่อมมิใช่ผลโดยตรงอันเกิดจากการที่จาเลยท้ังสองร่วมกันกระทาอนาจารผู้ตาย จาเลยท้ังสองจึงมี

86

ความผิดฐานรว่ มกนั กระทาอนาจารตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๘ เทา่ น้ัน
ข้อสังเกต ควำมผิดฐำนกระทำอนำจำรจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ควำมตำย เป็นควำมผิด
ท่ีผลของกำรกระทำทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้นตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ ๖๓
ผู้กระทำจะต้องรับผิดในผลต่อเม่ือเป็นทั้งผลโดยตรงตำมทฤษฎีเงื่อน ไขและเป็นผลธรรมดำตำม
มำตรำ ๖๓ หำกไม่เป็นผลโดยตรงผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิดในผล โดยไม่ต้องพิจำรณำว่ำเป็น
ผลธรรมดำหรอื ไม่ (ดูเพ่ิมเตมิ ในศำสตรำจำรย์ ดร. เกยี รติขจร วจั นะสวสั ดิ์, คำอธิบำยกฎหมำยอำญำ
ภำค ๑ เล่ม ๑ พิมพ์คร้ังท่ี ๑๑ พ.ศ. ๒๕๖๒ หน้ำ ๔๔๐ ถึง ๔๔๑) คดีน้ีแม้ไม่ใช่ผลโดยตรงจำกกำร
ร่วมกันกระทำอนำจำร แต่ก็เป็นผลโดยตรงจำกกำรร่วมกันทำร้ำยและเป็นเหตุแทรกแซงที่จำเลย
คำดหมำยได้จำเลยท้ังสองจงึ ตอ้ งร่วมกนั รบั ผิดตำมมำตรำ ๒๙๐

ฎกี านา่ สนใจเรอ่ื ง
ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งการกระทาและผล

ฎีกาท่ี ๓๐๓๙/๒๕๔๗ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๐๔ จาเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย จากการตรวจชันสูตร
พลิกศพผตู้ าย ผูต้ ายมภี าวะปอดบวมแทรกซ้อนจนถึงแก่ความตาย เหตทุ ีท่ าให้มีภาวะปอดบวมแทรก
ซ้อน ก็เนื่องมาจากสาเหตุท่ีผู้ตายได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิง เห็นได้ว่า แม้ผู้ตายจะตายเนื่องจาก
มีอาการปอดบวมแทรกซ้อน แต่การแทรกซ้อนดังกล่าวก็สืบเนื่องโดยตรงจากบาดแผลที่ถูกยิง
การตายของผู้ตายจึงเป็นผลโดยตรงจากการยิง การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดสาเร็จมิใช่เป็น
เพียงความพยายามกระทาความผดิ
ข้อสังเกต กำรวินิจฉัยควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรกระทำและผลจะต้องพิจำรณำเสียก่อนว่ำเป็น ๑.
ควำมผิดท่ีต้องกำรผลตำม ป.อ. มำตรำ ๕๙ หรือ ๒. ควำมผิดทผ่ี ลของกำรกระทำ ทำให้ผกู้ ระทำตอ้ ง
รบั โทษหนักขึน้ ตำมมำตรำ ๖๓

หำกเป็น ๑. ควำมผิดที่ต้องกำรผล ผู้กระทำต้องรับผิดในผลต่อเมื่อเป็นผลโดยตรงตำม
ทฤษฎีเง่ือนไข ซ่ึงมีหลักว่ำ ถ้ำไม่ทำผลไม่เกิด ถือว่ำผลเกิดจำกกำรกระทำ แม้จะเกิดจำกเหตุอ่ืน
ประกอบด้วยก็ตำม แต่ถ้ำเป็นกรณีที่ แม้ไม่ทำผลยังต้องเกิด จะถือว่ำผลเกิดจำกกำรกระทำนั้นไม่ได้
ไม่ใช่ผลโดยตรงผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิดในผล กล่ำวโดยสรุปก็คือถ้ำเป็นผลโดยตรงก็ต้องรับผิดในผล
ถำ้ ไม่ใช่ผลโดยตรงก็ไมต่ ้องรับผิดในผล ในกรณีที่เปน็ ผลโดยตรง นอกจำกจะพิจำรณำผลโดยตรงตำม
ทฤษฎีเงื่อนไขแล้ว ถ้ำหำกมีเหตุแทรกแซง (เหตุกำรณ์ท่ีเกิดขึ้นใหม่หลังกำรกระทำควำมผิด) ก็ต้อง
มำพิจำรณำว่ำเหตุแทรกแซงนั้นวิญญูชนคำดเห็นได้ตำมทฤษฎีเหตุท่ีเหมำะสมหรือไม่ หำกวิญญูชน
คำดเห็นได้ ผู้กระทำก็ต้องรับผิดในผล หำกวิญญูชนคำดเห็นไม่ได้ ผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิดในผล เช่น
ก. ยิง ข. ข. วิ่งหนี แล้ว ข. ถูกฟ้ำผ่ำตำย ควำมตำยของ ข. เป็นผลโดยตรง แต่มีเหตุแทรกแซง
คือฟ้ำผ่ำ ข. ตำย เป็นเหตุแทรกแซงท่ีไม่อำจคำดเห็นได้ ก. จึงไม่ต้องรับผิดในควำมตำยของ ข.
ก. รับผดิ เพยี งฐำนพยำยำมฆำ่

87

๒. ควำมผิดที่ผลของกำรกระทำทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น ต้องพิจำรณำเสียก่อนว่ำ
เป็นผลโดยตรงหรือไม่ หำกไม่ใช่ผลโดยตรงผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิดในผล โดยไม่ต้องพิจำรณำเรื่อง
ผลธรรมดำ หำกเป็นผลโดยตรง ต้องพิจำรณำต่อว่ำเป็นผลธรรมดำตำมมำตรำ ๖๓ หรือไม่ หำกเป็น
ผลธรรมดำต้องรับผิดในผล หำกไม่ใช่ผลธรรมดำก็ไม่ต้องรับผิดในผล ควำมผิดที่ผลของกำรกระทำ
ทำใหผ้ ู้กระทำต้องรับโทษหนักขน้ึ ต้องเปน็ ทั้งผลโดยตรงและผลธรรมดำ

คดีตำมคำพิพำกษำฎีกำนี้ ควำมผิดฐำนฆ่ำผู้อื่นโดยเจตนำเป็นควำมผิดที่ต้องกำรผลตำม
ข้อ ๑. เม่ือเป็นผลโดยตรงตำมทฤษฎีเงื่อนไข และมีเหตุแทรกแซงท่ีวิญญูชนคำดเห็นได้ตำมทฤษฎี
เหตทุ เี่ หมำะสม ผูก้ ระทำจึงต้องรับผิดในผล ไมใ่ ชร่ ับผดิ เพยี งฐำนพยำยำม

คดีนี้ไม่ต้องวินิจฉัยเรื่องผลธรรมดำ เพรำะควำมผิดฐำนฆ่ำผู้อ่ืนโดยเจตนำ ไม่ใช่ควำมผิด
ท่ีผลของกำรกระทำทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักข้ึนตำมมำตรำ ๖๓ แต่เป็นควำมผิดท่ีต้องกำรผล
ตำมมำตรำ ๕๙

ฎีกาที่ ๓๕๐๓/๒๕๕๙ ฎ.๘๔๖ ผู้ตายถูกกระสุนปืนทจ่ี าเลยยิงท่ีชายโครงทะลปุ อด ตับและ
ลาไส้จนฉีกขาด แพทย์ต้องรักษาอาการบาดเจ็บของผู้ตายด้วยการผ่าตัดทันที แม้ผู้ตายถึงแก่ความ
ตายหลังเกิดเหตุเป็นเวลาประมาณ ๑ เดือน เนื่องจากติดเชื้ออย่างรุนแรง ย่อมถือได้ว่าการตายของ
ผู้ตายเป็นผลธรรมดาอันสืบเน่ืองจากการท่ีจาเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า มิใช่ถึงแก่ความ
ตายจากเหตุแทรกแซงหรือเหตุอ่ืนแต่อย่างใด จาเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อ่ืนโดยเจตนาตาม ป.อ.
มาตรา ๒๘๘
ขอ้ สังเกต คดีนี้ ในทำงตำรำน่ำจะเป็นผลโดยตรงและมีเหตแุ ทรกแซงที่คำดหมำยได้

ฎีกาที่ ๒๘๐๓/๒๕๕๐ ฎ.ส.ล.๖ น.๖๑ จาเลยที่ ๑ ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อบรรทุกทราย
เต็มคนั รถในเขตชุมชนใกลท้ างแยกเข้าหมู่บา้ น ตามหลังรถยนต์กระบะไปตามถนน ควรใช้ความเร็ว
ต่าและเว้นระยะให้ห่างมากพอที่จะหยุดรถได้ทันโดยไม่ให้ชนรถคันหน้า ย่ิงมีฝนตกและเป็นเวลา
กลางคืนควรต้องระมัดระวังเว้นระยะให้ห่างมากข้ึน การที่จาเลยท่ี ๑ ต้องหักหลบไปทางขวาเมื่อ
รถยนต์กระบะต้องหยุดรถเพราะมีรถยนต์ออกจากป๊ัมน้ามัน ก็เกิดจากจาเลยท่ี ๑ เกรงว่าจะหยุด
ไม่ทันเนื่องจากบรรทุกของหนักเป็นเครื่องแสดงอยู่ในตัวว่ารถยนต์บรรทุกสิบล้อท่ีจาเลยท่ี ๑ ขับ
จะต้องใช้ความเร็วสูงทั้งไม่เว้นระยะให้ห่างรถยนต์กระบะซึ่งขับอยู่ข้างหน้าให้อยู่ในระยะท่ีสามารถ
หยุดรถได้ทันโดยไม่ต้องหักหลบเช่นนั้น รถของจาเลยท่ี ๑ จึงล้าเข้าไปในช่องเดินรถที่ผู้ตาย
ขับรถยนต์สวนมาและเกิดเหตุชนกับรถท่ีผู้ตายขับในช่องเดินรถของผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่
ความตาย จงึ เป็นผลโดยตรงจากการขับรถโดยปราศจากความระมดั ระวงั ซ่ึงบคุ คลในภาวะเช่นจาเลย
ท่ี ๑ จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และจาเลยท่ี ๑ อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่าน้ันได้ แต่หาได้
ใช้ให้เพียงพอไม่ จึงเป็นการขับรถโดยประมาทและกระทาโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความ
ตายอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ มาตรา ๔๓ (๔), ๑๕๗ และ ป.อ. มาตรา ๒๙๑ แม้
จะมีรถยนต์บรรทุกสิบล้อท่ีจาเลยที่ ๒ ขับตามหลังมาไม่สามารถหยุดรถได้ทัน ก็หามีผลให้การ
กระทาของจาเลยที่ ๑ ไม่เป็นความผิด และการขับรถยนต์ประมาทของจาเลยท่ี ๒ ดังกล่าวไม่ตัด

88

ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทาและผลที่จาเลยท่ี ๑ ก่อขึ้นแก่ผู้ตาย ส่วนกรณีที่ตรวจพบ
แอลกอฮอล์ ๐.๒๓๙ กรัมเปอรเ์ ซน็ ต์ ซึง่ ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดระดับนีม้ ีผลต่อร่างกายทาให้การ
ตัดสินใจผิดพลาดได้น้ัน ก็ถือว่าผู้ตายมิได้มีส่วนประมาทก่อให้เกิดเหตุชนกันข้ึน ไม่อาจทาให้ผู้ตาย
หลีกเลยี่ งไมใ่ ห้เกิดเหตชุ นกนั ได้ จึงไมอ่ าจทาใหจ้ าเลยท่ี ๑ พ้นผดิ ไปได้
ขอ้ สังเกต หำกถำมควำมรับผิดทำงอำญำของจำเลยที่ ๑ นักศกึ ษำต้องตอบตำมลำดับว่ำ ๑. จำเลยท่ี
๑ กระทำโดยประมำทตำมมำตรำ ๕๙ วรรคสี่ ๒. ควำมตำยของผู้ตำยเป็นผลโดยตรงจำกกำร
กระทำโดยประมำทของจำเลยที่ ๑ ๓. แม้จำเลยท่ี ๒ จะประมำทขับรถมำชนด้วย กำรขับรถยนต์
ประมำทของจำเลยท่ี ๒ ดังกล่ำวไม่ตัดควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรกระทำและผลที่จำเลยที่ ๑ ก่อขึ้น
แกผ่ ้ตู ำย จำเลยที่ ๑ ตอ้ งรับผดิ ในผลของกำรกระทำโดยประมำทของตน

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่ำจำเลยที่ ๒ ประมำท ศำลชน้ั ต้นและศำลอุทธรณ์พิพำกษำว่ำจำเลยที่ ๒ มี
ควำมผิดเช่นเดียวกับจำเลยที่ ๑ แต่ศำลฎีกำไม่ได้พิพำกษำลงโทษจำเลยท่ี ๒ เพรำะจำเลยที่ ๒ ถึง
แกค่ วำมตำยในระหวำ่ งกำรพจิ ำรณำของศำลฎีกำ

ฎีกาที่ ๗๕๘๑/๒๕๖๑ ฎ.๒๘๘๐ จาเลยเป็นเจ้าหน้าท่ีควบคุมผู้ต้องหาปฏิบัติหน้าท่ีเป็น
สิบเวรมีหน้าที่โดยตรงในการควบคุมและดูแลความปลอดภัยของผู้ต้องหา แต่ไม่อยู่ปฏิบัติหน้าท่ี
โดยปราศจากเหตุอันสมควร เป็นการกระทาโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทาเพื่อป้องกันผล คือ
อนั ตรายที่อาจเกิดขึ้นแก่ชีวิตของผู้ต้องหา เมื่อจาเลยกระทาโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคล
ในภาวะเช่นน้ันจักต้องมีตามภาวะวิสัยและพฤติการณ์ และจาเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่า
นั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอหรือไม่ การกระทาของจาเลยเป็นการกระทาโดยประมาท แม้มีเหตุ
เพลิงไหม้ทาให้เกิดผลคือความตายของผู้ตายด้วย แต่ก็ไม่ทาให้ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทาโดย
ประมาทของจาเลยและผลคือความตายของผู้ตายขาดตอนลง เพราะถ้าจาเลยอยู่ปฏิบัติหน้าที่ย่อม
ช่วยเหลือผู้ตายได้ทัน เน่ืองจากห้องทางานของจาเลยอยู่หน้าห้องขังซ่ึงใช้ควบคุมผู้ตายรวมทั้งผู้ตาย
คนอ่ืน ผลคือความตายของผู้ตายก็จะไม่เกิดข้ึน ความตายของผู้ตายเป็นผลโดยตรงจากการกระทา
โดยประมาทของจาเลย จาเลยมีความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อ่ืนถึงแก่ความตายตาม ป.อ.
มาตรา ๒๙๑

ฎีกาที่ ๙๔๑๓/๒๕๕๒ ฎ.๒๒๗๔ ตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๐ วรรคแรก ที่บัญญัติว่า "ผู้ใดมิได้
มีเจตนาฆ่าแต่ทาร้ายผู้อ่ืนจนเป็นเหตุให้ผู้น้ันถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจาคุก ..." นั้น
มคี วามหมายว่า หากผูใ้ ดทาร้ายผู้อืน่ จนเป็นเหตุให้ผู้นน้ั ถึงแก่ความตายโดยมิได้มีเจตนาฆ่าแล้ว ผู้น้ัน
ย่อมมีความผดิ ตามมาตราน้ี ซ่งึ เปน็ การบญั ญัติใหไ้ ด้รับโทษหนักข้ึน แตกต่างจากความผิดฐานทาร้าย
ผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อ่ืน หรือความผิดฐานทาร้ายร่างกายจนเป็น
เหตุให้ผู้ถูกกระทาร้ายรับอันตรายสาหัส ตลอดจนความผิดฐานใช้กาลังทาร้ายผู้อ่ืนโดยไม่ถึงกับเป็น
เหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๕, ๒๙๗ และ ๓๙๑ ตามลาดับ อันแสดง
ให้เห็นถึงกฎหมายเจตนาให้ผู้กระทาต้องรับโทษตามผลของการกระทาน้ันแตกต่างกันไปตามความ
หนักเบาของผลท่ีเกิดข้ึน เม่ือจาเลยท่ี ๒ ใช้มีดดาบเป็นอาวุธไล่ฟันผู้ตายอันเป็นการทาร้ายผู้ตายจน

89

เป็นเหตุให้ผู้ตายว่ิงหลบหนีกระโดดลงน้าจนถึงแก่ความตาย การกระทาของจาเลยที่ ๒ จึงเป็นการ
ทาร้ายผู้ตาย ซึ่งเมื่อมิใช่กระทาโดยมีเจตนาฆ่า แต่การกระทาน้ันเป็นเหตุทาให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย
จึงเป็นความผิดสาเร็จตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๐ วรรคแรก แล้ว หาใช่เป็นเพียงการพยายามกระทา
ความผิดไม่
ข้อสังเกต กรณีนี้ถ้ำจำเลยท่ี ๒ ไม่ไล่ฟันผู้ตำย ผู้ตำยจะไม่กระโดดลงน้ำจนถึงแก่ควำมตำย เป็น
กรณีที่ว่ำถ้ำไม่ทำผลไม่เกิด ถือว่ำผลเกิดจำกกำรกระทำนั้น แม้จะมีเหตุอื่นด้วยก็ตำม ถือว่ำ
เป็นผลโดยตรงจำกกำรกระทำของจำเลย ส่วนกำรที่ผู้ตำยกระโดดลงน้ำจนถึงแก่ควำมตำย
เป็ น เห ตุ ก ำ ร ณ์ ท่ี เกิ ด ข้ึ น ห ลั งก ำ ร ก ร ะ ท ำค ว ำ ม ผิ ด ถื อ เป็ น เห ตุ แ ท ร ก แ ซ งที่ วิ ญ ญู ช น ค ำ ด เห็ น ได้
กำรกระทำและผลจึงสัมพนั ธ์กนั ผู้กระทำตอ้ งรบั ผิดในผลคอื ต้องรับผดิ ตำมมำตรำ ๒๙๐

ควำมผิดฐำนทำร้ำยเป็นเหตุให้ผู้อ่ืนถงึ แก่ควำมตำยไม่มีกำรพยำยำมกระทำควำมผิด เพรำะ
ถ้ำผู้ถูกกระทำตำยโดยควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรกระทำและผลสัมพันธ์กัน ผู้กระทำต้องรับผิดในผล
หำกกำรกระทำและผลไม่สัมพันธ์กัน ผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิดในผลและไม่เป็นกำรพยำยำมกระทำ
ควำมผิดตำมมำตรำ ๒๙๐ โดยรับผิดเพียงมำตรำ ๒๙๕ หรือมำตรำ ๓๙๑ แล้วแต่กรณี ต่ำงจำก
ควำมผิดฐำนฆ่ำผู้อื่นโดยเจตนำ ถ้ำหำกกำรกระทำและผลไม่สัมพันธ์กัน ผู้กระทำต้องรับผิดฐำน
พยำยำมฆำ่

ฎีกาที่ ๒๑๓๗๙/๒๕๕๖ จาเลยท่ี ๑ ขับรถยนต์ไล่ทาร้ายผู้ตายกับพวกในระยะกระช้ันชิด
โดยถือไม้ถูพ้ืนชูออกนอกรถยนต์เพื่อข่มขู่ผู้ตายกับพวกไปตลอดทาง โดยมีเจตนาจะทาร้ายผู้ตายกับ
พวก และผลจากการกระทาดังกล่าวทาให้ผู้ตายต้องขับรถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูงเพื่อหลบหนี
การถูกไล่ทาร้ายจนเกดิ เหตุชนกับรถยนต์กระบะทจ่ี อดอยู่ จาเลยที่ ๑ และที่ ๒ ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า
การกระทาดงั กล่าวเป็นเหตุใหผ้ ตู้ ายไดร้ ับอันตรายสาหัสและถงึ แก่ความตายในเวลาตอ่ มา จาเลยท่ี ๑
และที่ ๒ ย่อมมีความผิดฐานทาร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้น้ันถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๐
ข้อสังเกต คดีน้ีจำเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ ประสงค์ตอ่ ผลว่ำผูต้ ำยจะได้รับอันตรำยแก่กำย กำรกระทำของ
จำเลยที่ ๑ และท่ี ๒ จึงมีเจตนำทำรำ้ ยผู้อนื่ จนเป็นเหตใุ ห้ได้รับอนั ตรำย เม่อื ผ้ตู ำยถึงแกค่ วำมตำยซ่ึง
เป็นผลโดยตรง แม้จะมีเหตุแทรกแซง แต่ก็เป็นเหตุแทรกแซงท่ีจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ย่อมคำดหมำย
ได้ จำเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ จึงต้องรับผิดในผล กล่ำวคือมีควำมผิดตำมมำตรำ ๒๙๐ ถ้ำฎีกำนี้
ออกข้อสอบเนติ น่ำจะตอบว่ำ จาเลยท่ี ๑ ขับรถยนต์ไล่ทาร้ายผู้ตายกับพวกในระยะกระชั้นชิดโดย
ถือไม้ถูพื้นชูออกนอกรถยนต์เพ่ือข่มขู่ผู้ตายกับพวกไปตลอดทาง เป็นการกระทาโดยมีเจตนา
ประสงค์ต่อผลในการทาร้าย ผลจากการกระทาดังกล่าวทาให้ผู้ตายต้องขับรถจักรยานยนต์ด้วย
ความเร็วสูงเพื่อหลบหนีการถูกไล่ทาร้ายจนเกิดเหตุชนกับรถยนต์กระบะท่ีจอดอยู่ ย่อมเป็นผล
โดยตรงจำกกำรกระทำผิด เพรำะถ้ำไม่ทำผลไม่เกิด ย่อมถือว่ำผลเกิดจำกกำรกระทำน้ัน แม้จะมี
เหตุแทรกแซงแต่ก็เป็นเหตุแทรกแซงที่จำเลยที่ ๑ และท่ี ๒ ย่อมคำดหมำยได้ จำเลยท่ี ๑ และ
ท่ี ๒ จึงต้องรับผดิ ในผลคือควำมตำยของผู้ตำย กล่ำวคือจำเลยท่ี ๑ และท่ี ๒ มีควำมผดิ ตำมมำตรำ
๒๙๐ (โดยไม่ต้องตอบเจตนำเล็งเห็นผล เพรำะในทำงทฤษฎีแลว้ ถ้ำผู้กระทำเล็งเห็นผลถึงควำมตำย

90

ย่อมมีเจตนำฆ่ำเป็นควำมผิดตำมมำตรำ ๒๘๘ ประกอบมำตรำ ๕๙ แต่ฎีกำนี้ศำลฎีกำลงโทษตำม
มำตรำ ๒๙๐)

แต่ถ้ำออกข้อสอบผู้ช่วยฯ อำจจะต้องตอบตำมฎีกำว่ำ ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่ำ กำรกระทำ
ดังกล่ำวเป็นเหตุให้ผู้ตำยได้รับอันตรำยสำหัสและถึงแก่ควำมตำยในเวลำต่อมำ จำเลยมีควำมผิดตำม
มำตรำ ๒๙๐ ตำมฎีกำ

ฎีกาท่ี ๙๙๐๘/๒๕๕๖ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๔๒ ว. ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์สวนทางทางเดินรถ
ตนเองจากช่องเดินรถด้านซ้ายไปยังช่องเดินรถด้านขวาย้อนกลับมายังจุดกลับรถหน้าโรงพยาบาล
ท่าแซะแล่นข้ามถนนไปยงั ทางเดนิ รถท่ีสวนกันทแยงมุมเปน็ เส้นตรง โดยผู้ตายไม่หยุดรถที่จุดกลับรถ
ของตน กลับแล่นข้ามถนนท่ีจดุ กลับรถทางเดินรถจาเลย ซงึ่ จาเลยไมอ่ าจคาดหมายได้ลว่ งหน้า ดังนั้น
แมจ้ าเลยจะขบั รถยนต์ด้วยความเร็วต่ากว่า ๑๐๐ กิโลเมตรตอ่ ชว่ั โมง จาเลยก็ไมเ่ ห็นรถจักรยานยนต์
และหา้ มลอ้ ได้ทนั ผตู้ ายจึงเปน็ ฝ่ายประมาทขับรถจกั รยานยนต์ตดั หน้ารถยนตจ์ าเลย

ฎีกาที่ ๖๔๕๐/๒๕๕๘ ก่อนเกิดเหตุจาเลยขับรถยนต์บรรทุกพ่วงในทางเดินรถของจาเลย
จาเลยไม่ได้ขับล้าเข้าไปในทางเดินรถสวน ส่วน ร. ขับรถจักรยานยนต์สวนทางมาโดยขับตามหลัง
รถอีแต๋นท่ี บ. เป็นผู้ขับ แต่ ร. ขับแซงข้ึนหน้ารถอีแต๋นล้าเข้าไปในทางเดินรถของจาเลย เป็นเหตุให้
รถจักรยานยนต์ที่ ร. ขับชนกับรถจาเลย หาก ร. ไม่ขับรถล้าเข้าไปในทางเดินรถของจาเลย เหตุรถ
ทง้ั สองคันชนกันก็ไม่อาจเกดิ ขึ้นได้ แม้จะฟังว่าจาเลยมิได้ขับรถชิดขอบทางดา้ นซ้าย แต่ก็ยงั ขบั อย่ใู น
ทางเดินรถของจาเลย และตามรายงานชันสูตรพลิกศพระบุว่า ร. ขับรถตัดหน้ารถจาเลยเป็นเหตุให้
ชนกัน แล้วรถจาเลยเสียหลักไปชนรถอีแต๋น แสดงว่า ร. ขับแซงข้ึนหน้ารถอีแต๋นในระยะกระช้ันชิด
ขณะที่รถจาเลยใกล้จะสวนทางกับรถอีแต๋น การที่รถจาเลยเสียหลักพุ่งชนรถอีแต๋น จึงเป็น
ผลโดยตรงจาก ร. ขับแซงขึ้นหน้าในระยะกระช้ันชิดเข้าไปในทางเดินรถของจาเลย มิใช่ผลโดยตรง
ที่จาเลยมิได้ขับรถชิดขอบทางด้านซ้ายหรือไม่ชะลอความเร็ว จะถือว่าจาเลยมีส่วนประมาทด้วย
หาได้ไม่ เพราะการท่ีรถจาเลยเสียการควบคุมไปชนรถอแี ต๋นเป็นผลจากความประมาทอย่างร้ายแรง
ของ ร. ท่ีขับแซงขึ้นหน้าในระยะกระช้ันชิด การกระทาของจาเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานกระทา
โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อ่ืนถึงแก่ความตายและรับอันตรายแก่กาย แต่การที่จาเลยขับรถยนต์
บรรทุกพ่วงซึ่งเป็นรถขนาดใหญ่บรรทุกหินเต็มคันรถด้วยความเร็วสูงในทางแคบ ถือได้ว่าเป็น
การขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว จาเลยจึงมีความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ มาตรา
๔๓ (๔), ๑๕๗
ข้อสังเกต ฎีกำน้ีวินิจฉัยตอนท้ำยว่ำ กำรที่จำเลยขับรถยนต์บรรทุกพ่วงด้วยควำมเร็วสูงในทำงแคบ
ถือได้ว่ำเป็นกำรขับรถโดยประมำทเป็นควำมผิดตำม พ.ร.บ.จรำจรทำงบกฯ มำตรำ ๔๓ (๔), ๑๕๗
แต่ที่วินิจฉัยตอนต้นว่ำ มิใช่ผลโดยตรงท่ีจำเลยมิได้ขับรถชิดขอบทำงด้ำนซ้ำยหรือไม่ชะลอควำมเร็ว
จะถือวำ่ จำเลยมีสว่ นประมำทดว้ ยหำไดไ้ ม่ น่ำจะหมำยถึงจำเลยไมม่ ีควำมผิดฐำนกระทำโดยประมำท
เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ควำมตำยตำม ป.อ. มำตรำ ๒๙๑ เพรำะไม่ใช่ผลโดยตรงจำกกำรกระทำด้วย
ควำมประมำท คงไมใ่ ช่หมำยถงึ จำเลยไมป่ ระมำท

91

ฎีกาที่ ๑๐๐๑/๒๕๔๗ ฎ.๒๒๔ ความผิดฐานทาร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับ
อันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗ เป็นเหตุที่ทาให้ผู้กระทาความผิดฐาน
ทาร้ายร่างกายตามมาตรา ๒๙๕ ต้องรับโทษหนักขึ้น เพราะผลท่ีเกิดจากการกระทา โดยท่ีผู้กระทา
ไม่จาตอ้ งประสงค์ตอ่ ผลหรือยอ่ มเลง็ เหน็ ผลถงึ อันตรายสาหัสนั้น ดังน้ัน แม้จาเลยจะทาร้ายผ้เู สยี หาย
โดยมิได้มีเจตนาทาให้แท้งลูก เมื่อผลจากการทาร้ายน้ันทาให้ผู้เสียหายต้องแท้งลูกแล้ว จาเลยก็ต้อง
มีความผิดตามมาตรา ๒๙๗ (๕)
ข้อสังเกต ควำมผิดฐำนทำร้ำยร่ำงกำยจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ำยรับอันตรำยสำหัสตำมประมวล
กฎหมำยอำญำ มำตรำ ๒๙๗ เป็นควำมผิดท่ีผลของกำรกระทำทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น
โดยผู้กระทำจะต้องรับผิดในผลตำมหลักควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรกระทำและผล คือถ้ำเป็นผล
โดยตรงและเป็นผลธรรมดำผู้กระทำก็ต้องรับผิดในผล โดยไม่ต้องพิจำรณำว่ำ ผู้กระทำมีเจตนำให้
เกิดผลหรือไม่ เพรำะไม่ใช่ควำมผิดท่ีตอ้ งกำรผลตำมเจตนำตำมมำตรำ ๕๙ แตเ่ ป็นควำมผิดที่ผลของ
กำรกระทำทำให้ผกู้ ระทำต้องรบั โทษหนักขนึ้ ตำมมำตรำ ๖๓

ฎีกาท่ี ๖๕๑๙/๒๕๔๗ ฎ.๑๖๘๗ ความผิดฐานทาร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับ
อันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗ เป็นเหตุท่ีทาให้ผู้กระทาความผิดฐาน
ทาร้ายร่างกายตามมาตรา ๒๙๕ ต้องรับโทษหนักข้ึนเพราะผลท่ีเกิดจากการกระทา โดยท่ีผู้กระทา
ไม่จาต้องมีเจตนาต่อผลที่ทาให้ต้องรับโทษหนักข้ึน ดังน้ัน เม่ือจาเลยใช้ท่อนไม้ขว้างปาผู้เสียหาย
ถูกบริเวณศีรษะทาให้ผู้เสียหายตกรถจักรยานยนต์ แม้จาเลยไม่มีเจตนาให้ผู้เสียหายได้รับอันตราย
สาหัส คงมีเจตนาทาร้ายร่างกายผู้เสียหาย จาเลยก็ต้องรับผิดในผลท่ีเกิดขึ้นจากการกระทาของ
จาเลยทท่ี าร้ายผ้เู สียหายจนเป็นเหตใุ ห้ไดร้ ับอันตรายสาหสั ตามมาตรา ๒๙๗ (๘)

ฎีกาที่ ๔๙๐๔/๒๕๔๘ ฎ.ส.ล.๗ น.๑๕๑ ผู้ตายและผ้เู สยี หายท้ังสามถกู กักขังและถูกทาร้าย
ร่างกายในลักษณะการทรมานอยู่ในห้องพักที่เกิดเหตุเป็นระยะเวลาประมาณ ๓ เดือน โดยไม่มี
หนทางหลบเล่ียงให้พ้นจากการถูกทรมานหรือขอความช่วยเหลือจากผู้ใดได้ เห็นได้ว่าผู้เสียหาย
ทั้งสามและผู้ตายต้องตกอยู่ในสภาพถูกบีบคั้นทารุณทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรงติดต่อ กัน
เปน็ เวลานาน การท่ีผู้ตายตัดสนิ ใจกระโดดจากหอ้ งพักเพ่ือฆ่าตัวตายนั้นอาจเป็นเพราะผู้ตายมีสภาพ
จิตใจท่ีเปราะบางกว่าผู้เสียหายอื่น และไม่อาจทนทุกข์ทรมานได้เท่ากับผู้เสียหายอ่ืน จึงได้ตัดสินใจ
กระทาเช่นนั้น เพื่อให้พ้นจากการต้องทนทุกข์ทรมาน พฤติการณ์ฟังได้ว่าการตายของผู้ตายมีสาเหตุ
โดยตรงมาจากการถกู ทรมานโดยทารุณโหดร้าย
ขอ้ สังเกต ควำมผิดฐำนเอำตัวบุคคลไปเพื่อให้ได้มำซึ่งค่ำไถ่ จนเป็นเหตุให้บุคคลดังกล่ำวถึงแก่ควำม
ตำย เปน็ ควำมผดิ ท่ีผลของกำรกระทำทำให้ผู้กระทำตอ้ งรบั โทษหนักขึน้ ตำมประมวลกฎหมำยอำญำ
มำตรำ ๖๓ จงึ ตอ้ งเป็นท้งั ผลโดยตรงตำมทฤษฎีเงือ่ นไขและเปน็ ผลธรรมดำตำมมำตรำ ๖๓ แตจ่ ำเลย
ท่ี ๒ ฎีกำมำเพียงว่ำไม่ใช่ผลโดยตรง ศำลฎีกำจึงวินิจฉัยเพียงเร่ืองผลโดยตรงตำมที่จำเลยที่ ๒ ฎีกำ
ไม่ได้วินิจฉัยเรื่องผลธรรมดำเพรำะจำเลยท่ี ๒ ไม่ได้ฎีกำข้ึนมำ หำกนำข้อเท็จจริงตำมคำพิพำกษำ
ฎีกำนี้มำออกข้อสอบ นักศึกษำต้องตอบว่ำเป็นผลโดยตรงและเป็นผลธรรมดำจึงจะเป็นคำตอบท่ี

92

สมบรู ณต์ ำมหลักควำมสมั พันธ์ระหว่ำงกำรกระทำและผล นอกจำกนก้ี ำรทีจ่ ำเลยทงั้ สำมทำรำ้ ยผ้ตู ำย
ตลอดเวลำเป็นเวลำนำนถึง ๓ เดือน จนผู้ตำยทนไม่ไหวและตัดสินใจฆ่ำตัวตำย ยังเป็นควำมผิดตำม
มำตรำ ๒๙๐ อีกบทหนึ่ง เพรำะควำมตำยเป็นผลโดยตรงจำกกำรทำร้ำยและกำรฆ่ำตัวตำยเป็นเหตุ
แทรกแซงท่ีเกิดจำกกำรท่ีผู้เสียหำยฆ่ำตัวตำย อันเนื่องมำจำกกำรกระทำของผู้กระทำในตอนแรก
เนื่องจำกกำรที่ผู้ตำยถูกทำร้ำยเจ็บปวดทรมำนจนทนไม่ไหว จึงตัดสินใจฆ่ำตัวตำย ในกรณีเช่นนี้
ถือว่ำเม่ือจำเลยท้ังสำมได้ก่อให้เกิดเหตุกำรณ์ท่ีทำให้ผู้ตำยต้องทนทุกข์ทรมำนและทำให้ผู้ตำยเกิด
ควำมรู้สึกว่ำตำยเสยี ดีกว่ำอยู่แลว้ ถอื ว่ำกำรฆ่ำตวั ตำยของผูต้ ำยเป็นเหตุแทรกแซงที่วญิ ญูชนคำดเห็น
ได้ จำเลยท้ังสำมต้องรับผิดในผลคือควำมตำยของผู้ตำย (ดูเพิ่มเติมในศำสตรำจำรย์ ดร. เกียรติขจร
วัจนะสวัสด์ิ, คำอธิบำยกฎหมำยอำญำภำค ๑ เล่ม ๑ พิมพ์คร้ังที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๖๒ หน้ำ ๔๖๔ ถึง
๔๖๕) แต่ศำลฎีกำไม่ได้วินิจฉัยปัญหำดังกล่ำวไว้เพรำะโจทก์ไม่ได้ฟ้องในข้อหำน้ี แต่ก็ไม่เกิดควำม
เสียหำยแก่รูปคดี เพรำะข้อหำตำมมำตรำ ๓๑๓ (๒) (๓) วรรคสำม ที่ศำลฎีกำวินิจฉัยไว้มีอัตรำโทษ
หนักกว่ำมำตรำ ๒๙๐ นอกจำกน้ีกำรกระทำของจำเลยทั้งสำมยังเป็นควำมผิดตำมมำตรำ ๒๙๕,
๒๙๗, ๒๙๘, ๓๐๙ วรรคหนึ่ง, ๓๑๐ วรรคหนึง่ และวรรคสองตำมท่ีศำลชน้ั ต้นไดต้ ัดสนิ ไว้ดว้ ย

ฎีกาที่ ๖๓๘๙/๒๕๖๐ การกระทาอนาจารอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๐ น้ัน
จะต้องได้ความว่าผลของความตายของผู้ถูกกระทาอนาจารเกิดจากการกระทาอนาจาร แต่ผู้ตาย
ถูกจาเลยท้ังสองขับรถจักรยานยนต์แซงเบียดจนรถจักรยานยนต์ของผู้ตายล้มลง เป็นเหตุให้ได้รับ
บาดเจบ็ และถึงแก่ความตายจากการติดเช้อื ในกระแสโลหิตจากภาวะแทรกซ้อน ความตายของผตู้ าย
ย่อมมิใช่ผลโดยตรงอันเกิดจากการท่ีจาเลยทั้งสองร่วมกันกระทาอนาจารผู้ตาย จาเลยท้ังสองจึงมี
ความผิดฐานรว่ มกันกระทาอนาจารตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๘ เทา่ น้นั
ข้อสังเกต ควำมผิดฐำนกระทำอนำจำรจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ควำมตำย เป็นควำมผิด
ท่ีผลของกำรกระทำทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักข้ึนตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ ๖๓
ผู้กระทำจะต้องรับผิดในผลต่อเม่ือเป็นทั้งผลโดยตรงตำมทฤษฎีเง่ือนไขและเป็นผลธรรมดำตำม
มำตรำ ๖๓ หำกไม่เป็นผลโดยตรงผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิดในผล โดยไม่ต้องพิจำรณำว่ำเป็น
ผลธรรมดำหรอื ไม่ (ดเู พ่มิ เติมในศำสตรำจำรย์ ดร. เกยี รตขิ จร วจั นะสวสั ด์ิ, คำอธบิ ำยกฎหมำยอำญำ
ภำค ๑ เล่ม ๑ พิมพ์คร้ังท่ี ๑๑ พ.ศ. ๒๕๖๒ หน้ำ ๔๔๐ ถึง ๔๔๑) คดีน้ีแม้ไม่ใช่ผลโดยตรงจำกกำร
ร่วมกันกระทำอนำจำร แต่ก็เป็นผลโดยตรงจำกกำรร่วมกันทำร้ำยและเป็นเหตุแทรกแซงที่จำเลย
คำดหมำยไดจ้ ำเลยทัง้ สองจึงตอ้ งรว่ มกนั รบั ผดิ ตำมมำตรำ ๒๙๐

ฎีกาท่ี ๔๕๓๒/๒๕๖๑ (ประชุมใหญ่) ฎ.๑๓๕๐ การที่จาเลยทั้งสามกับพวกนาผู้ตายไป
กักขังเพื่อเรียกค่าไถ่แล้วพวกของจาเลยได้ฆ่าผู้ตาย ถือได้ว่าการตายของผู้ตายเป็นผลมาจากการที่
จาเลยท้ังสามกับพวกนาผู้ตายไปเพื่อเรียกค่าไถ่ การกระทาของจาเลยทั้งสามเป็นความผิดตาม ป.อ.
มาตรา ๓๑๓ วรรคท้าย แม้จาเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ ไมม่ สี ่วนรว่ มในการฆา่ ผู้ตายกต็ าม
ข้อสังเกต ควำมผิดฐำนนำผู้อื่นไปกักขังเพื่อเรียกค่ำไถ่ จนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ควำมตำย
เป็นควำมผิดท่ีผลของกำรกระทำทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้นตำมประมวลกฎหมำยอำญำ

93

มำตรำ ๖๓ เมื่อจำเลยบำงคนก่อให้เกิดผลโดยกำรฆ่ำผู้ตำย เมื่อเป็นทั้งผลโดยตรงและผลธรรมดำ
ตำมมำตรำ ๖๓ แมจ้ ำเลยอ่ืนไม่มีส่วนรว่ มในกำรฆ่ำผู้ตำย จำเลยทุกคนต้องรับผิดในผลคือควำมตำย
ของผู้ถูกกะทำ

ฎีกาท่ี ๑๘๖๗/๒๕๕๓ ฎ.๑๗๓ จาเลยใช้อาวุธมีดปลายแหลมจี้ขู่ผู้เสียหายและเอา
โทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายและรถยนต์ของบิดาของผู้เสียหายไป เม่ือการกระทาของจาเลยเป็น
เหตใุ หผ้ ้เู สียหายรับอนั ตรายแก่กาย จาเลยก็ตอ้ งรับโทษหนักข้ึน แมผ้ เู้ สยี หายไดร้ บั บาดแผลท่ตี ้นแขน
ซ้ายจากมีดของจาเลยเน่ืองจากอุบัติเหตุ จาเลยไม่มีเจตนาทาร้ายผู้เสียหาย ก็ไม่ใช่ข้อสาคัญ เพราะ
การท่ีจาเลยจะรบั โทษหนกั ขึ้นด้วยเหตุท่ีผ้เู สยี หายรับอันตรายแก่กายน้ัน จาเลยไม่จาตอ้ งกระทาโดย
มเี จตนา เพียงแต่พิจารณาว่าผลทผ่ี ู้เสียหายรบั อนั ตรายแก่กายนน้ั เป็นผลท่ีตามธรรมดายอ่ มเกิดข้ึน
ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๓ หรือไม่ เม่ือจาเลยใช้มีดปลายแหลมจ้ีผู้เสียหาย การท่ี
ผู้เสียหายรบั อันตรายแก่กายจากมีดนั้น จึงย่อมเป็นผลธรรมดาท่ีจะเกิดข้ึนจากการกระทาของจาเลย
แล้ว จาเลยจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้เสียหายรับอันตรายแก่กายตามมาตรา ๓๓๙
วรรคสาม

94

กฎหมายยกเวน้ ความผดิ

ข้อ ๒๒ คาถาม นายกล้าทะเลากับนายโจ๋ในโรงเรียน นายโจ๋กับเพ่ือนเข้ามารุมทาร้าย
นายกล้าได้รับบาดเจ็บ เม่ือนายเก่งบิดาของนายกล้าทราบเร่ือง ในวันรุ่งขึ้นจึงพานายกล้าไปพบ
ครูฝ่ายปกครองที่โรงเรียนโดยจอดรถไว้ใกล้ห้องผู้บริหาร ในการนี้นายเก่งซึ่งเป็นสมาชิกวิสามัญ
ชมรมยิงปืน ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ และเคยได้รับรางวัลแม่นปืนด้วย นาอาวุธปืนท่ีตน
ได้รับอนุญาตให้มีและพกพาไว้ในรถเป็นประจามาด้วย เม่ือนายกล้าพร้อมบิดามารดาและนายโจ๋
พร้อมบิดามารดาไปถึงโรงเรียน ท้ังหมดพบกันที่โรงอาหาร นายเก่งถามว่าใครรุมทาร้ายนายกล้า
จากน้ันนายกล้าชกต่อยกับนายโจ๋ได้ครู่หนึ่ง ครูฝ่ายปกครองเข้ามาห้ามแล้วเรียกนายโจ๋ไปพบครู
ฝ่ายปกครองท่ีห้องผู้บริหาร ส่วนบิดามารดานายโจ๋น่ังรอท่ีหน้าห้อง โดยนายกล้าพร้อมบิดามารดา
นั่งรอท่ีม้าหินริมสนามฟุตบอลห่างจากห้องผู้บริหาร ๓๐ เมตรเพื่อรอพบผู้อานวยการ เมื่อนายโจ๋
เข้าไปในห้องผู้บริหาร ครูฝ่ายปกครองตาหนินายโจ๋ว่า ไอ้พวกเหี้ย ไอ้พวกเลว สร้างแต่ปัญหา
นาช่างกลมาปิดล้อมโรงเรียน นายโจ๋โกรธที่โดนด่าจึงวิ่งออกมาจากห้อง บิดามารดานายโจ๋ก็ว่ิง
ตามมาบริเวณที่นายกล้าพร้อมบิดามารดาน่ังรอที่ม้าหินริมสนามฟุตบอลเพ่ือรอพบผู้อานวยการ
เม่ือนายโจ๋พบนายกล้านายโจ๋ชกต่อยนายกล้าโดยมีพ่ีชายของนายโจ๋และเพ่ือนของนายโจ๋อีกหลาย
คนเข้ามารุมทาร้ายนายกล้าด้วยโดยใช้ไม้และท่อน้าเข้ามารุมตีทาร้าย นายเก่งและภรรยากับ
ครูผู้ปกครองตะโกนห้ามให้ทุกคนหยุด แต่นายโจ๋กับพวกก็ไม่หยุดทายร้ายนายกล้า นายเก่งจึงรีบวิ่ง
ไปหยิบปืนที่เก็บไว้ในรถยนต์มาจ้องเล็งไปท่ีนายโจ๋แล้วตะโกนว่าหยุดทุกคนนะ นายโจ๋เห็นจึงวิ่งเข้า
มาแยง่ ปนื เปน็ เหตใุ ห้กระสุนปนื ลั่นถูกบรเิ วณโคนขาของนายโจไ๋ ด้รับอันตรายสาหัส

ใหว้ นิ จิ ฉยั วา่ นายเก่งมคี วามรบั ผิดทางอาญาฐานใดหรือไม่
คาตอบ การท่ีนายเก่งจ้องเล็งไปที่นายโจ๋แล้วตะโกนว่าหยุดทุกคนนะ แม้เป็นการกระทา
ครบองค์ประกอบภายนอกในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น แต่หากนายเก่งประสงค์จะฆ่านายโจ๋
ย่อมกระทาได้ เพราะมีความรู้ความถนัดในการใช้อาวุธปืน การจ้องเล็งปืนไปที่นายโจ๋จึงไม่มี
เจตนาฆ่า เพียงแต่ต้องการยุติการที่บุตรของตนถูกทาร้าย แม้นายโจ๋เห็นจึงว่ิงเข้ามาแย่งปืน
จนเป็นเหตุให้กระสุนปืนลั่นถูกบริเวณโคนขาของนายโจ๋ได้รับอันตรายสาหัส แต่เมื่อนายเก่ง
ไม่ประสงค์ต่อผลในการจะยิงนายโจ๋ นายเก่งไม่มีเจตนาฆ่านายโจ๋ นายเก่งจึงไม่มีความผิดฐาน
พยายามฆ่านายโจ๋ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบมาตรา ๘๐
นอกจากน้ี การที่บุตรของนายเก่งถูกรุมทาร้าย การที่นายเก่งไปหยิบอาวุธปืนจากรถยนต์
มาจ้องเล็งไปท่ีนายโจ๋ ไม่เป็นกระทาโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจัก
ต้องมีตาม วิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทาอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้
ให้เพียงพอไม่ ซ่ึงเป็นเร่ืองปกติธรรมดาของผู้เป็นบิดาต้องช่วยเหลือบุตรที่ถูกคนอ่ืนรุมทาร้าย
และเหตุท่ีกระสุนปืนล่ันก็เกิดจากแย่งอาวุธปืนระหว่างนายเก่งกับนายโจ๋ แม้นายโจ๋ได้รับอันตราย
สาหัส แต่ก็มิได้เกิดจากการกระทาโดยความประมาทของนายเก่ง นายเก่งจึงไม่มีความผิดฐาน
กระทาโดยประมาทเปน็ เหตุให้ผอู้ ่นื ไดร้ ับอนั ตรายสาหสั ตามมาตรา ๓๐๐

95

การท่ีนายเก่งไปหยิบอาวุธปืนจากรถยนต์มาจ้องเล็งไปที่นายโจ๋ แม้จะเป็นการยิงปืนซ่ึงใช้
ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชนซึ่งครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา
๓๗๖ แต่เม่ือนายโจ๋เป็นฝ่ายที่ก่อเหตุขึ้นก่อน การที่นายเก่งจาต้องกระทาการเพื่อป้องกันสิทธิบุตร
ของตนให้พ้นภยันตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตราย
ท่ีใกล้จะถึง นายเก่งเพียงแต่ต้องการยุติการที่บุตรของตนถูกทาร้าย การกระทาของนายเก่งจึงเป็น
การป้องกันตนพอสมควรแก่เหตุ อันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๖๘
นายเกง่ จึงไมม่ คี วามผิดตามมาตรา ๓๗๖

ฎีกาที่ ๑๗๓๙๑/๒๕๕๗ ฎ.ส.ล.๑๐ น.๒๒๐ บุตรของจาเลยถูกรุมทาร้าย การท่ีจาเลย
ไปหยิบอาวุธปืนจากรถยนต์มาเพ่ือป้องกันบุตรของตน จึงเป็นเร่ืองปกติธรรมดาของผู้เป็นบิดาและ
เหตุท่ีกระสุนปืนลั่นก็เกิดจากแย่งอาวุธปืนระหว่างจาเลยกับโจทก์ร่วม อันสืบเน่ืองมาจากจาเลยใช้
อาวุธปืนเพื่อป้องกันบุตรของตนดังกล่าว มิได้เกิดจากความประมาทของจาเลย จาเลยเป็นสมาชิก
วิสามัญชมรมยิงปืนศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ หากจาเลยประสงค์จะฆ่าโจทก์ร่วมย่อม
กระทาได้ เพราะมีความรู้ความถนัดในการใช้อาวุธปืน การจ้องปืนไปที่โจทก์รว่ มไม่น่าจะมีเจตนาฆ่า
เพียงแต่ต้องการยุติการที่บุตรของตนถูกทาร้าย การกระทาของจาเลยจึงเป็นการป้องกันตน
พอสมควรแก่เหตุ จึงไม่เป็นความผิดท่ีศาลอุทธรณ์ลงโทษจาเลยตาม ป.อ. มาตรา ๓๐๐ และมาตรา
๓๗๖ จึงไมช่ อบ
ข้อสังเกต คดีน้ีศำลฎีกำตัดสินว่ำจำเลยไม่มีเจตนำฆ่ำโจทก์ร่วม เพรำะศำลอุทธรณ์ยกฟ้องฐำน
พยำยำมฆ่ำและโจทก์ฎีกำข้ึนมำ ท่ีศำลฎีกำตัดสินต่อมำว่ำเป็นกำรป้องกันน้ัน เปน็ กำรวินิจฉัยว่ำเป็น
กำรป้องกันในควำมผิดฐำนยิงปืนโดยใช่เหตุในเมืองตำมมำตรำ ๓๗๖ จำเลยจึงไม่มีควำมผิดตำม
มำตรำ ๓๗๖ แต่ศำลฎีกำไม่ได้ตัดสินว่ำเป็นกำรป้องกันในควำมผิดฐำนพยำยำมฆ่ำด้วย เพรำะศำล
ฎกี ำวินิจฉยั เฉพำะประเด็นที่ข้ึนมำสกู่ ำรพิจำรณำของศำลฎกี ำเท่ำนนั้ คดนี อี้ ่ำนแล้วอำจสบั สนได้

หำกฎีกำนี้ออกข้อสอบคงต้องตอบตำมลำดับว่ำ กำรจ้องปืนไปที่โจทก์ร่วมนั้นจำเลยไม่มี
เจตนำฆ่ำ เพียงแต่ต้องกำรยุติกำรที่บุตรของตนถูกทำร้ำย กำรกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นควำมผิด
ฐำนพยำยำมฆ่ำตำมมำตรำ ๒๘๘, ๘๐ และไม่เป็นกำรกระทำโดยประมำทเป็นเหตุให้ผู้อ่ืนได้รับ
อันตรำยสำหัสตำมมำตรำ ๓๐๐ และแม้ว่ำกำรกระทำของจำเลยครบองค์ประกอบควำมผิดฐำน
ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดในเมือง หมู่บ้ำน หรือท่ีชุมชนตำมมำตรำ ๓๗๖ แต่กำรท่ีจำเลยยิงปืนเพียง
ต้องกำรยุติกำรท่ีบุตรของตนถูกทำร้ำย จึงเป็นกำรป้องกันตนหรือผู้อ่ืนพอสมควรแก่เหตุไม่เป็น
ควำมผิดตำมมำตรำ ๓๗๖

96

ข้อ ๒๓ คาถาม เด็กชายซ่าอายุ ๑๒ ปี นักเรียนชั้น ม.๓ โรงเรียนหน่ึงไปดูภาพยนตร์เรื่อง
เสือเผ่น ซึ่งดาราแสดงนาฝ่ายชายสักยันต์รูปเสือเผ่นท่ีร่างกายแล้วมีอิทธิฤทธ์ิมากมาย เด็กชายซ่า
อยากมีอิทธิฤทธ์ิตามภาพยนตร์ จึงไปขอให้พระภิกษุซนสักยันต์ให้ โดยได้รับความยินยอมจากบิดา
มารดาแล้ว พระภิกษุซนแจ้งให้เด็กชายซ่าทราบว่า การสักยันต์ไม่สามารถมีอิทธิฤทธิ์ตามภาพยนตร์
ได้ แต่เด็กชายซ่าก็ยังอ้อนวอนจนพระภิกษุซนทนการอ้อนวอนไม่ไหว จึงสักยันต์รูปเสือเผ่น
ให้เด็กชายซ่า การสักยันต์ดังกล่าวพระภิกษุซนใช้เหล็กแหลมจุ่มหมึกแทงบริเวณกลางหลังเด็กชาย
ซนจนมีเลือดออกได้รับอันตรายแก่กาย หลังจากสักยันต์แล้วเด็กชายซ่ารักษาบาดแผลจากการ
สกั ยันตไ์ มด่ ี แผลเนา่ และติดเชื้อบาดทะยกั ตาย

ใหว้ ินิจฉัยความรบั ผดิ ทางอาญาของพระภิกษุซน
คาตอบ หลักกฎหมายเรื่องผลโดยตรง เหตุแทรกแซง ความยินยอม ตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๕๙, ๖๘
การท่ีพระภิกษุซนใช้เหล็กแหลมจุ่มหมึก แทงบริเวณกลางหลังเด็กชายซ่าจนมีเลือดออก
เป็นการทารา้ ยผู้อ่ืนจนเป็นเหตใุ ห้ไดร้ ับอันตรายแกก่ ายโดยเจตนา ครบองคป์ ระกอบความผดิ ฐาน
ทารา้ ยรา่ งกายแล้ว
การท่ีเด็กชายซ่าถึงแก่ความตายน้ัน เมื่อพิจารณาผลโดยตรงตามทฤษฎีเง่ือนไขที่ว่า
ถ้าไม่ทาผลไม่เกิด ถือว่าผลเกิดจากการกระทานั้น แม้จะมีเหตุอื่นประกอบด้วยก็ตาม กรณีน้ี
ถ้าพระภิกษุซนไม่ใช้เหล็กแหลมจุ่มหมึกแทงบริเวณกลางหลังเด็กชายซ่า เด็กชายซ่าก็จะไม่เป็น
แผล และไม่เป็นบาดทะยักตาย ต้องถือว่าความตายของเด็กชายซ่าเป็นผลโดยตรงจากการ
กระทาของพระภกิ ษุซนตามทฤษฎีเงือ่ นไขแล้ว
การที่เด็กชายซ่ารักษาบาดแผลจากการสักยันต์ไม่ดี แผลเน่าและติดเช้ือบาดทะยักตายนั้น
เป็นเหตุการณ์ทเ่ี กิดขน้ึ ใหม่หลังจากการกระทาความผิด ซึ่งเปน็ เหตแุ ทรกแซงที่วิญญชู นคาดเห็น
ได้ พระภิกษุซนจึงต้องรับผิดในผลคือความตายของเด็กชายซ่า การกระทาของพระภิกษุซน
ครบองค์ประกอบความผิดฐานมีเจตนาทาร้ายเด็กชายซ่าจนเป็นเหตุให้เด็กชายซ่าถึงแก่ความ
ตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐ วรรคแรก
เมอ่ื การกระทาของพระภกิ ษุซนครบองคป์ ระกอบความผิดดังท่ีวินิจฉยั มาแล้ว จงึ ต้องวนิ ิจฉัย
เหตยุ กเว้นความผิดต่อไป คือ เรื่องความยนิ ยอม ความยินยอมที่จะยกเว้นความรับผิดทางอาญาได้
ตอ้ งเป็นความยินยอมท่ไี ม่ขัดต่อสานึกในศีลธรรมอันดีของประชาชนเท่าน้ัน แต่การท่ีพระภิกษุซน
ทารา้ ยเด็กชายซา่ โดยไดร้ ับความยนิ ยอมจากเด็กชายซ่าและบดิ ามารดาของเด็กชายซ่านน้ั เป็นความ
ยินยอมที่ขัดต่อสานึกในศีลธรรมอันดีของประชาชน เพราะไม่ใช่กิจที่สงฆ์ควรจะปฏิบัติและเป็น
ความยินยอมของเด็กอายุ ๑๒ ปีซึ่งยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ ความยินยอมดังกล่าวจึงไม่อาจ
ยกเว้นความผิดได้ พระภิกษุซนจึงต้องรับผิดฐานเจตนาทาร้ายจนเป็นเหตุให้เด็กชายซ่าถึงแก่
ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐ วรรคแรก
ข้อสังเกต คำถำมข้อนี้หำกเปลี่ยนข้อเท็จจริงเป็นว่ำพลทหำรดำถูกเกณฑ์ไปรบท่ีประเทศอิรัก

97

จึงขอให้หลวงพ่อคุณสักยันต์ให้ หลวงพ่อคุณก็แจ้งให้พลทหำรดำทรำบว่ำกำรสักยันต์ไม่ได้ทำให้
อยู่ยงคงกะพัน แต่พลทหำรดำก็ยังอ้อนวอนขอให้สักเพ่ือเป็นท่ีพ่ึงทำงใจ หลวงพ่อจึงสักยันต์ให้
ตอ่ มำพลทหำรดำรักษำแผลไม่ดีเป็นบำดทะยักตำย ฝำกนักศึกษำไปคิดว่ำควำมยินยอมกรณีน้ีขัดต่อ
สำนึกในศีลธรรมอนั ดขี องประชำชนหรือไม่ ปัญหำนี้ผูแ้ ต่งเหน็ ว่ำน่ำจะไม่ขดั ต่อสำนึกในศีลธรรมอนั ดี
ของประชำชน

ขอให้ดูรูปแบบกำรเขียนตอบข้อสอบด้วยว่ำกำรตอบข้อสอบเรื่องกฎหมำยยกเว้นควำมผิด
นักศึกษำจะต้องตอบเสียก่อนว่ำกำรกระทำครบองค์ประกอบ แล้วจึงจะมำวินิจฉัยเรื่องกฎหมำย
ยกเว้นควำมผิด คำตอบจึงจะสมบูรณ์ คำตอบข้อน้ีมีนักศึกษำจำนวนมำกตอบเร่ืองกฎหมำยยกเว้น
ควำมผิดก่อน แล้วจึงมำตอบเรื่องกำรกระทำเป็นกำรทำร้ำย และควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรกระทำ
และผล ซง่ึ จะเหน็ ไดว้ ำ่ ลำดบั ควำมคดิ ยังไมเ่ ป็นระบบตำมโครงสร้ำงควำมรับผดิ ทำงอำญำ

ข้อ ๒๔ คาถาม นายแดงต้องการฆ่านายดา นายแดงจึงไปซุ่มเพ่ือดักยงิ นายดาซง่ึ น่ังดื่มสุรา
อยู่ท่ีบ้านนายดาแถวเขตตล่ิงชัน ขณะท่ีนายดากาลังเมาครึ้ม ๆ นายดาเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ที่ริมรั้วบ้าน
นายดาเข้าใจว่าเป็นเสือปลาที่เท่ียวกัดชาวบ้านและสัตว์เล้ียง นายดาอยากลองฝีมือยิงปืนของตน
นายดาจึงเล็งปืนยิงไปที่ริมร้ัวโดยเข้าใจว่ายิงเสือปลา แต่ความเป็นจริงแล้วเสือปลาตัวนั้นเป็น
นายแดงท่ีกาลังยืนลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ริมรั้วบ้านเพื่อดักซุ่มยิงนายดา เม่ือนายแดงเห็นนายดาเล็งปืน
มายังตน นายแดงเข้าใจว่านายดายิงตนเพราะรู้ตัวว่าตนมาดักซุ่มยงิ นายแดงจึงยิงนายดาเพ่ือป้องกัน
ตนเอง กระสุนปืนของนายดาและนายแดงต่างถูกอีกฝ่ายหนึ่งจนถึงได้รับอันตรายแก่กาย แต่ต่อมา
ท้ังค่ไู ด้รบั การรักษาจนหาย

ใหว้ นิ จิ ฉัยความรับผิดทางอาญาของนายแดงและนายดา
คาตอบ หลักกฎหมายเร่ืองการกระทาโดยเจตนา ประมาท ป้องกัน พยายาม ตามประมวล
กฎหมายอาญามาตรา ๕๙ วรรคสอง, วรรคสาม, วรรคส่ี, ๖๘, ๘๐
ความรับผิดทางอาญาของนายดาต่อนายแดง แม้การที่นายดายิงนายแดงจะครบ
องค์ประกอบภายนอกของความผิดฐานพยายามฆ่านายแดง แต่นายดาเข้าใจว่าตนกาลังยิง
เสือปลา ต้องถือว่านายดาไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานพยายามฆ่า
จะถือว่านายดาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลไม่ได้ นายดาไม่มีเจตนาฆ่านายแดง นายดา
จงึ ไม่ต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านายแดงโดยเจตนา เพราะขาดองค์ประกอบภายใน (เทียบฎกี าท่ี
๔๖๖๕/๒๕๔๗) (๓ คะแนน)
การที่นายดายิงปืนขณะด่ืมสุรา แม้มิใช่การกระทาโดยเจตนา ดังที่วินิจฉัยมาแล้ว แต่ก็
เป็นการกระทาโดยปราศจากความระมัดระวงั ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนายดาจักต้องมีตามวิสัยและ
พฤติการณ์ และนายดาอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่าน้ันได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ ถือว่าเป็น
การกระทาโดยประมาท เมื่อนายแดงได้รับอันตรายแก่กาย นายดาจึงต้องรับผิดฐานกระทาโดย

98

ประมาทเปน็ เหตใุ ห้ผอู้ ื่นเกิดอันตรายแกก่ าย (๒ คะแนน)
แม้นายแดงจะมาฆ่านายดา แต่นายดาก็จะอ้างว่าเป็นการกระทาโดยป้องกัน อันเป็นเหตุ

ยกเว้นความผิดไม่ได้ เพราะการที่นายดายิงนายแดงไม่ได้เป็นการกระทาโดยเจตนา และไม่ได้
กระทาไปโดยมีเจตนาพิเศษเพ่ือป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตรายซ่ึงเกิดจากการ
ประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย แม้เป็นภยันตรายท่ีใกล้จะถึง แต่การกระทาของนายดาเป็น
การกระทาความผดิ โดยประมาท นายดาจงึ อ้างเหตุปอ้ งกันมายกเวน้ ความผิดไม่ได้ (๑ คะแนน)

ความรบั ผิดทางอาญาของนายแดงต่อนายดา การท่ีนายดายงิ นายแดงโดยประมาท นายแดง
จึงยิงนายดาน้ัน แม้นายแดงได้กระทาไปโดยมีเจตนาพิเศษเพ่ือป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจาก
ภยันตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงซ่ึงเกิด
จากการกระทาโดยประมาทของนายดา (๒ คะแนน) แต่ก็เป็นการกระทาที่นายแดงมีส่วนผิด
ในการก่อให้เกิดภัยน้ัน โดยนายแดงมีเจตนาไปดักซุม่ ยิงนายดาก่อน นายแดงจะอ้างว่าตนกระทา
การโดยป้องกันเพื่อเป็นเหตุยกเว้นความผิดไม่ได้ นายแดงจึงต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านายดา
โดยไตรต่ รองไว้ก่อน (๒ คะแนน)
ข้อสังเกต ข้อน้ีนักศึกษำอำจพลำดตอบว่ำนำยแดงมีเจตนำทำร้ำยนำยดำ เพรำะในคำถำม
มีข้อเท็จจริงว่ำนำยดำได้รับอันตรำยแก่กำย ซ่ึงควำมจริงแล้วในคำถำมระบุไว้ชัดเจนว่ำนำยแดง
มีเจตนำฆ่ำนำยดำ เม่ือนำยแดงยิงแล้วนำยดำไม่ตำยแต่ได้รับบำดเจ็บ นำยแดงก็ต้องรับผิดฐำน
พยำยำมฆ่ำนำยดำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนโดยเจตนำ ในข้อน้ีหำกเปลี่ยนข้อเท็จจริงเป็นว่ำ นำยดำ
เหน็ ว่ำนำยแดงกำลังจะยงิ นำยดำ นำยดำจึงยิงนำยแดง ตอ้ งถือว่ำนำยดำมีเจตนำฆำ่ นำยแดง แตน่ ำย
ดำสำมำรถอ้ำงกำรป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมำยมำยกเว้นควำมผิดได้ นำยดำจึงไม่ผิดฐำนพยำยำม
ฆ่ำ (โดยไม่ต้องวินิจฉัยว่ำนำยดำไม่มีควำมผิดฐำนกระทำโดยประมำทเป็นเหตุให้นำยแดงได้รับ
อันตรำยแก่กำย เพรำะวินิจฉัยเร่ืองพยำยำมฆ่ำไปแล้ว) ส่วนนำยแดงก็ยังไม่สำมำรถอ้ำงป้องกันได้
เช่นเดิม แต่เหตุผลจะเปลี่ยนไป เพรำะเม่ือนำยดำสำมำรถอ้ำงป้องกันได้ ภยันตรำยที่นำยดำก่อข้ึน
กจ็ ะไม่ใช่ภยนั ตรำยที่มำจำกกำรประทุษร้ำยอนั ละเมดิ ต่อกฎหมำย นำยแดงจึงอ้ำงป้องกันไม่ได้ และ
จะอ้ำงจำเป็นก็ไม่ได้ เพรำะตนมีส่วนก่อให้เกิดภัยขึ้น ขอให้สังเกตอีกด้วยว่ำคำตอบข้อนี้ไม่มีเลข
มำตรำของกฎหมำยเลย แต่ลองดูวำ่ เน้อื หำของกฎหมำยครบถ้วนหรือไม่ ถำ้ นักศกึ ษำตอบคำถำมโดย
อธิบำยหลักกฎหมำยได้ แม้จะไม่มีเลขมำตรำ ก็ได้คะแนนดีได้ แต่กฎหมำยอำญำมำตรำน้อย
จะใสโ่ ดยระวังอย่ำให้ผดิ กย็ ่ิงดี

ตัวอย่างคาตอบท่ี ๑ นายแดงต้องการฆ่านายดา จึงไปซุ่มดักยิงนายดาซึ่งนั่งด่ืมสุราอยู่
หน้าบ้าน นายแดงจึงมีเจตนาฆ่านายดาโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๒๘๙ (๔) เมื่อนายดาเพียงไดร้ ับบาดเจ็บเท่าน้ัน การกระทาของนายแดงจึงไดก้ ระทาไปตลอดแล้วแต่
ไม่บรรลผุ ลสาเร็จ จงึ ผิดฐานพยายามฆ่าผู้อ่นื โดยไตร่ตรองไว้กอ่ น ตามมาตรา ๒๘๙ (๔), ๘๐

เม่ือนายแดงเห็นนายดาเล็งปืนมายังตน นายแดงจึงยิงนายดา (ควรจะมีหลักกฎหมายเรื่อง
ป้องกนั คอื แดงไดก้ ระทาไปโดยมีเจตนาพิเศษเพ่ือป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตรายซ่ึงเกิด

99

จากการประทุษรา้ ยอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายท่ีใกล้จะถึง) เพ่ือป้องกันภยันตรายท่ี
เกิดจากนายแดงจ้องปืนมายังตนนั้น นายแดงจะอ้างไม่ได้ เนื่องจากตนเป็นผู้ก่อให้เกิดภยันตราย
นัน้ เอง จึงไม่อาจอ้างป้องกันเพ่อื ให้พน้ ผดิ ได้ตามมาตรา ๖๘ (สองประเด็นน้ใี หร้ วม ๓ คะแนน)

นายดาจ้องปืนไปยังนายแดงเพราะเข้าใจว่าเป็นเสือปลา กระสุนถูกนายแดงจนได้รับ
บาดเจ็บ ถือไม่ได้ว่านายดามีเจตนาทาร้ายนายแดง เพราะนายดาไม่ทราบว่าเป็นนายแดง แต่คิดว่า
เป็นเสือปลา ดังน้ัน เมื่อนายดาไม่ทราบองค์ประกอบของความผิด (ให้เพียง ๒ คะแนนจาก ๓
คะแนน เพราะไม่ได้ตอบจุดสาคัญคือ ไม่รู้ข้อเท็จจริงท่ีเป็นองค์ประกอบของความผิด ถือว่าไม่มี
เจตนา การกระทาขาดองค์ประกอบภายใน) คือไมร่ ูว้ า่ เป็นนายแดง แต่การที่นายดาเลง็ ปืนไปท่นี าย
แดง โดยไม่ดูให้ดีก่อนว่าเป็นคนหรือเป็นสัตว์ ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นน้ันจักต้องมีตามวิสัยและ
พฤติการณ์ นายดาจึงต้องรับผิดฐานประมาทจนเป็นเหตุให้นายแดงได้รับอนั ตรายแกก่ ายตามมาตรา
๓๙๐ (๒ คะแนน รวมได้ ๗ คะแนน) คาตอบนี้หากฝึกเขียนบ่อย ๆ จะรู้ว่าควรตอบแดงหรือดา
กอ่ น เพราะการวนิ ิจฉยั ว่าภยันตรายท่ีจะอา้ งปอ้ งกนั มาจากใครก่อ ควรกลา่ วถึงคนนัน้ กอ่ น

ตัวอย่างคาตอบที่ ๒ กรณีของนายดา ขณะท่นี ายดากาลงั น่งั กินเหลา้ (คาถามใชค้ าวา่ ด่ืม
สุรา ก็ควรจะใช้คาว่า ดื่มสุรา ซึ่งเป็นภาษาที่เป็นทางการกว่า คาว่า กินเหล้า ซ่ึงเป็นภาษาพูด)
เห็นเงาตะคุ่ม ๆ จึงเข้าใจว่าเป็นเสือปลาท่ีเที่ยวกัดชาวบ้านและสัตว์เลี้ยงซึ่งตามจริงแล้วคือนายแดง
แต่นายดาต้องการลองฝีมือโดยไม่ดูให้ดี จึงยิงไปถูกนายแดง ได้รับอันตรายแก่กาย ซ่ึงนายดาไม่มี
เจตนาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลที่จะฆ่าหรือทาร้ายนายแดง (ไม่ได้ตอบว่าทาไมไม่มีเจตนา
แต่ก็ถือว่าถูกธง เหตุผลพอใช้ได้ ประเด็นน้ีพอให้ได้ ๑.๕ จาก ๓ คะแนน) แต่การกระทาดังกล่าว
เกิดจากความประมาทของนายดา ซึ่งถ้าหากดูให้ดีแล้ว ก็จะไม่ยิง (ไม่มีหลักกฎหมายของการ
กระทาโดยประมาท ให้ ๑ คะแนนจาก ๒ คะแนน) และจะอ้างว่าเป็นการกระทาเพื่อป้องกันไม่ได้
เพราะการป้องกันจะตอ้ งเกิดจากเจตนาได้เท่านัน้ แต่กรณีนี้นายดาไม่ทราบว่านายแดงกาลงั ดกั ซุ่มยิง
ตนอยู่ จึงยิงสวนไป เพ่ือป้องกันตน ดังนั้น นายดาจึงผิดฐานทาร้ายร่างกายนายแดงโดยประมาท
(กระทาโดยประมาทเปน็ เหตใุ ห้นายแดงไดร้ ับอนั ตรายแก่กาย) (๑ คะแนน)

กรณีของนายแดง นายแดงต้องการฆ่านายดาจึงไปดักยิงนายดาท่ีบ้าน แต่เม่ือนายแดงเห็น
นายดาเล็งปืนมายังตน จงึ เข้าใจว่านาย แดง (ดา) จะยงิ ตนเพราะรู้ว่าตนมาดักซมุ่ ยิงนายดา นายแดง
จึงยิงนายดาเพ่ือป้องกันตน (ไม่มีการกล่าวถึงหลักกฎหมายของการป้องกัน) ดังนี้นายแดงจะอ้าง
ป้องกันไม่ได้ เนื่องจากเหตุเกิดจากนายแดงที่ต้องการฆ่านายดา จึงมาดักซุ่มยิงนายดา ทาให้นายดา
เข้าใจผิดคิดว่าเป็นเสือปลา แต่การท่ีนายแดงยิงนายดา นายแดงมีเจตนาประสงค์ต่อผลท่ีจะให้นาย
ดาตาย เม่ือนายแดงกระทาไปตลอดแล้วแต่การกระทาไม่บรรลุผลเนื่องจากนายดาไม่ตาย ดังน้ัน
นายแดงจึงผิดฐานพยายามฆ่านายดาโดยไตร่ตรองไว้ก่อน (สองประเด็นน้ีให้ ๓ คะแนนจาก ๔
คะแนน รวมแต่ละประเด็นได้ ๖.๕ คะแนน การให้คะแนนจะไม่ให้เป็นเศษ ดูในภาพรวมแล้วให้
เพียง ๖ คะแนน)

100

ข้อ ๒๕ คาถาม นายเอกจ้างนายโทและนายตรีให้ฆ่านายจัตวา นายโทและนายตรีย่อง
ขึ้นเรือนนายจัตวาเพื่อลงมือฆ่าและนายตรีจ้องปืนเล็งไปที่นายจัตวา ขณะนั้นนายจัตวากาลังด่ืมสุรา
และทาความสะอาดปืนอยู่ในบ้าน ขณะท่ีทาความสะอาดปืนนนั้ นิว้ ของนายจัตวาสอดเขา้ ไปลั่นไกปืน
โดยบังเอิญ ปืนล่ันถูกนายโทตายในท่ีเกิดเหตุทันที แล้วแฉลบไปถูกนายตรีจนบาดเจ็บ โดยที่นายตรี
ยังไมท่ นั ไดล้ ่นั ไกปนื นายจตั วาตกใจจงึ รบี พานายตรไี ปสง่ โรงพยาบาลรักษาจนหาย

ใหว้ ินิจฉยั ความรบั ผิดทางอาญาของนายเอก นายตรี และนายจัตวา
คาตอบ หลักกฎหมายเรื่องพยายาม ผู้ใช้ ป้องกัน การกระทาโดยประมาท ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๘๔, ๖๘, ๕๙
ความรับผิดทางอาญาของนายตรีต่อนายจัตวา การท่ีนายตรีจ้องปืนเล็งไปที่นายจัตวา เป็น
การกระทาท่ีผ่านพ้นข้ันตระเตรียมและเข้าสู่ขั้นลงมือกระทาผิดแล้ว เพราะการกระทาใกล้ชิด
ต่อผลคือความตายของนายจตั วาแล้ว เมื่อนายตรลี งมือกระทาความผิดแลว้ แต่กระทาไปไม่ตลอด
นายตรีจึงต้องรับผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่านายจัตวาโดยไตร่ตรองไว้ก่อนโดยเจตนา และ
มคี วามผิดฐานร่วมกนั บกุ รุกด้วย
ความรับผิดทางอาญาของนายเอกต่อนายจัตวา เมื่อนายตรีไปกระทาความผิดตามที่ใช้
นายเอกผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนตัวการ คือรับผิดในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าโดยไตร่ตรอง
ไว้ก่อนโดยเจตนาและฐานรว่ มกันบกุ รุก
ความรับผิดทางอาญาของนายจัตวาต่อนายโทและนายตรี นายจัตวาทาความสะอาดปืนแล้ว
นิว้ ของนายจัตวาสอดเข้าไปล่ันไกปืนโดยบังเอิญ กระสุนลน่ั ถูกนายโทตายและนายตรีบาดเจบ็ แม้จะ
ครบองค์ประกอบภายนอกของความผิดฐานฆ่าผู้อื่น แต่ก็ไม่ได้เกิดจากการกระทาโดยประสงค์
ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของนายจัตวา นายจัตวาไม่มีเจตนากระทาความผิด นายจัตวาจึงไม่มี
ความผิดฐานฆ่านายโทโดยเจตนา และไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่านายตรี เพราะการกระทา
ของนายจัตวาขาดองค์ประกอบภายในของความผิดฐานดังกล่าว เม่ือไม่เป็นความผิดฐาน
พยายามฆ่าจึงไมต่ ้องพิจารณาประเดน็ เรื่องการกลบั ใจแก้ไขไมใ่ ห้เกิดผลในกรณีที่นายตรีไม่ถึงแก่
ความตาย
แต่การท่ีนายจัตวาดื่มสุราและทาความสะอาดปืน แล้วปนื ล่ันเป็นการกระทาโดยปราศจาก
ความระมัดระวัง ซ่ึงบุคคลในภาวะเช่นน้ัน จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และนายจัตวาอาจ
ใช้ความระมัดระวังเช่นว่าน้ันได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ เพราะปืนเป็นอาวุธร้ายแรงอาจเกิด
อันตรายได้ จึงเป็นการกระทาโดยประมาทเป็นเหตุให้นายโทถึงแก่ความตาย และนายตรีได้รับ
อันตรายแก่กาย
แมน้ ายตรจี อ้ งปืนเลง็ ไปที่นายจตั วา จะเป็นภยันตรายซงึ่ เกิดจากการประทษุ ร้ายอันละเมิด
ต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่นายจัตวาไม่อาจอ้างปอ้ งกันต่อนายโทและนายตรี
ได้ เพราะการกระทาซ่ึงจะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จะต้องเป็นการกระทาผิดโดย
เจตนาและมีเจตนาพิเศษเพื่อป้องกัน เม่ือนายจัตวาไม่ได้กระทาโดยเจตนา แต่เป็นการกระทาโดย


Click to View FlipBook Version